ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทสิบสี่ #อัพ 14-12-2019
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทสิบสี่ #อัพ 14-12-2019  (อ่าน 14336 ครั้ง)

ออฟไลน์ gumrai3

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1966
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-4
ลุ้นและน่าติดมากคะ อยากทุบๆๆๆๆพระเอก

ออฟไลน์ เจ้าอ้วงงง

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
รอค่ะ สนุกๆๆๆๆ  :sad4:

ออฟไลน์ Maxshu

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 858
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
รอค่าา โดยรวมถือว่าดีค่ะ แต่คำผิดมีเยอะอยู่นะคะ

ออฟไลน์ valenna yy

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2

ออฟไลน์ pktherabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 207
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
เปิดเรื่อง​มา​จนถึง​ 7​ ตอน
สนุกมาก​ รออ่านต่อนะคะ

ออฟไลน์ iamtsubame

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
กำลังมันเลยจ้าาาา
ขอบคุณค่ะ :3123:


ออฟไลน์ MewSN

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 170
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +234/-4
บทแปด
ความวุ่นวายในเมืองหลวง ภาคปลาย
   หลังจากข้าทำแผลให้หานซิ่นเรียบร้อยแล้ว ก็ได้แต่มานั่งมองเขาหายใจรวยริน เป็นตายอย่างละครึ่ง หากเป็นเพียงบาดแผลธรรมดาก็ว่าไปอย่าง พรุ่งนี้เช้าคงลุกขึ้นมาเดินเหินได้ง่ายดายเพราะเขานั้นเป็นถึงแม่ทัพผู้กรำศึกมาอย่างหนักหน่วง ร่างกายย่อมปรับตัวอย่างรวดเร็ว แต่ทว่าบาดแผลนี้ร้ายลึกยิ่งนัก คมดาบที่กรีดเฉือนเนื้อของอีกฝายลึกเสียจนข้ายังต้องขยาดแทน ผ้าพันแผลสีขาวสะอาดที่มาจากเสื้อผ้าตัวนอกของข้าเองบัดนี้ถูกเลือดสีแดงฉานย้อมจนมิรู้มาก่อนว่ามันเคยขาวสะอาดสะอ้านเพียงใด เมื่อโดนพิษร้ายข้ายังพอตรวจอาการและรีบขับไล่มันออกไปได้ แต่นี่คือบาดแผลที่ต้องคมดาบ ได้แต่เพียงทำแผลแล้วใส่ยาสมาน รอให้มันหายไปเองเพียงเท่านั้น
   น่ากลัวว่าแผลสาหัสเช่นนี้คงกลายเป็นแผลเป็นน่ารังเกียจติดตัวท่านแม่ทัพไปตลอดกาล แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น สิ่งที่ข้าวิตกกังวลอยู่ตอนนี้คือ ชีวิตของหานซิ่นผู้นี้ อาจไม่รอดไปถึงพรุ่งนี้เช้าต่างหาก
   “เรียนถามท่านผู้เฒ่าหลี่ เราเพียงได้แต่รอให้เขาฟื้นขึ้นมาเช่นหรือขอรับ”
   ท่านเซียนเข้าใจนัยสำคัญในประโยคคำถามของข้า เซียนเฒ่าเพียงพยักหน้าตอบบ่งบอกว่าไร้ซึ่งหนทางอื่นแล้ว
   “ที่จริงก็ยังพอมีวิธี”
   “หลี่ว์ต้งปิน เจ้าหยุดวาจานั้นเสีย”
   พลันน้ำเสียงของหลี่เถียไกว่ก็กระด้างไม่น่าฟัง เขาจ้องเขม็งปรามเซียนหนุ่มเลือดร้อน
   “ความเป็นตายอยู่เบื้องหน้าท่าน ไม่ยักรู้ว่าเซียนเฒ่าผู้เชียวชาญวิชาแพทย์จะมองข้ามชีวิตเล็กๆนี้ไปได้”
   “เจ้าอยากได้เขาเป็นศิษย์ แต่เจ้าไม่อาจฝืนลิขิตสวรรค์ได้”
   “หลี่เถียไกว่ข้าขอเตือนเจ้า อย่าใช้ความมากประสบการณ์มาสอนข้า สิ่งใดถูกผิดข้าตัดสินเองได้ เดิมทีท่านเองก็ทำผิดกฎเซียนหากบรรพตหนานซานรู้เรื่องนี้เข้า เป็นท่านก็เถอะ ถูกจองจำนับพันปี”
   ข้าได้แต่นิ่งฟังอยู่เงียบๆ เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องของภพเซียน ไม่มีช่องคำพูดให้ข้าแทรก สายตาก็จดจ้องแผ่นอกของหานซิ่นที่บัดนี้กระเพื่อมเคลื่อนขึ้นลงอย่างเชื่องช้าเพราะหายใจแผ่วเต็มที
   “ข้าขอบังอาจขอร้องท่านเซียนทั้งสอง ช่วยสามีข้าทีเถอะ”
   ไม่รู้สิ่งใดดลใจให้ข้าพูดเช่นนั้น แถมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนคุกเข่าขอร้องอ้อนวอนให้ช่วยชีวิตคนผู้นี้ ที่ไม่เคยเหลียวแลข้าเลยแม้แต่น้อยไปทำไมกัน
   แต่มาบัดนี้ ชีวิตคนอยู่เบื้องหน้าข้า นับว่าข้าทำสิ่งที่ถูกต้อง
   “ดี!”
   “…”
   “เพียงแต่สิ่งนี้อาจทำให้เจ้าลำบากใจ”
   เซียนเฒ่าหลี่เถี่ยไกว่ส่ายหน้า จนปัญญาที่จะห้ามข้าได้ เขาส่ายหน้าหนึ่งทีเมื่อไม่อาจขัดขวางจึงไม่มีธุระที่นี่แล้ว เขาหมุนตัวสลายกลายเป็นเฒ่าธุลี บัดนี้เหลือเพียงข้ากับหลี่ว์ต้งปิน และร่างของหานซิ่นที่หายใจรวยรินลงทุกที
   “ขอผู้อาวุโสโปรดชี้แจง” ข้าประสานมือ
   “สิ่งที่จะช่วยชีวิตชายผู้นี้ได้คือสัญญาเลือด”
   ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน “มันคือสิ่งใดหรือขอรับ”
   “ข้าได้ยินมาว่า เจ้านั้นเมื่อก่อนเคยเป็นอนุภรรยาของหานซิ่น จำใจแต่งเพราะเหตุผลทางการเมือง เมื่อตายไปแล้วหวังเป็นอิสระจากเขา แต่บัดนี้เจ้าอยากจะช่วยชีวิตเขา มีเพียงสัญญาเลือดนี้เท่านั้นที่จะดึงดวงวิญญาณของผู้ที่ตกลงสู่ความตายกลับคืนมาได้ หากแต่มันต้องแลกกับการที่เจ้าต้องถูกจองจำอยู่ข้างกายเขาไปตลอดกาล”
   “…”
   “เมื่อสัญญาเลือดมีผล ข้าจะสามารถถ่ายพลังชีวิตครึ่งหนึ่งของเจ้าไปให้กับหานซิ่นเพื่อฟื้นฟูร่างกายได้ เพียงแต่ว่านับจากนี้ ถึงเจ้าอยากจะไปจากเขามากเพียงใด เจ้าก็กระทำมิได้แล้ว”
   “…”
   “เจ้ายังอยากจะช่วยชีวิตเขาอยู่หรือไม่”
   ข้านิ่งอึ้งไปเมื่อฟังจบ พลันย้อนกลับมาถามตัวเองว่าตลอดเวลาข้าติดค้างสิ่งใดกับหานซิ่นหรือไม่ แม้ว่าดูเหมือนจะไม่มีอะไรเลย แต่คำตอบคือข้าติดค้างเขาอยู่ หากเวลานั้นข้าใจแข็งสักหน่อย มีกำลังตัดสินใจมากกว่านี้ ข้าก็คงไม่ต้องถูกท่านพ่อวางตัวให้เป็นหมากในกระดานทางการเมือง หานซิ่นก็คงมิต้องกล้ำกลืนฝืนทนรับข้ามาเป็นอนุทำให้สูญเสียชื่อเสียงไปครึ่งหนึ่ง ข้าก็คงไม่ถูกเขาเกลียด แม้ทั้งหมดจะมิใช่ความอ่อนแอของข้าที่ก่อให้เกิด แต่ก็เป็นข้าที่มีส่วนทำให้มันเกิดขึ้น ไม่อาจไม่ยอมรับได้
   ไม่แปลกที่หานซิ่นจะไม่เคยมาเยี่ยมเยือนเขาที่เรือนหลังเล็กเลย ตลอดระยะเวลาสามปีที่ข้าอาศัยอยู่ในจวนสกุลหาน
   แต่เรื่องนั้นก็ส่วนเรื่องนั้น เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ข้าถามตัวเองว่าจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องทำขนาดนี้เพื่อช่วยชีวิตคนผู้นี้
   คำตอบของข้าคือ…
   “ข้าอยากช่วยชีวิตเขาขอรับ!”
   “ดี!”
   เป็นไปตามคำที่ท่านเซียนหลี่ว์ต้งปินบอกข้า ในขณะที่ลมปราณชีวิตของข้ากำลังถูกถ่ายทอดให้กับหานซิ่น ข้าจะเห็นความทรงจำของอีกฝ่ายได้อย่างเลือนลางราวกับร่างของข้ากับเขาประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน
   ‘กลับมาแล้วอย่างนั้นหรือหานเอ๋อร์’
   ฮูหยินผู้เฒ่าที่ยืนรอลูกชายอยู่หน้าจวนกล่าวต้อนรับเขาด้วยความยินดี แม่ทัพหานซิ่นในเวลานั้นซึ่งกลับมาจากสงครามกับชนเผ่าเซียนเปยทางตะวันออกมีสีหน้าอิดโรย ก่อนกลับเข้าจวนเขายังต้องแวะปรึกษาหารือกับเสนาธิการโหว อันเล่อเรื่องการเมือง พลอยทำให้ยิ่งเหน็ดเหนื่อยอีกเท่าตัว
   ‘อนุภรรยาเจ้าล้มป่วย จะไปเยี่ยมไข้นางที่เรือนหลังเล็กหรือไม่’
   หูข้าราวกับได้ยินคำที่ผิดแปลกพิกลพ่นออกมาจากปากฮูหยินผู้เฒ่า ข้าจำได้แล้วเหตุการณ์ในวันนั้นก็คือวันที่แปดเดือนแปดของปีรัชศกเชิงหยวนปีที่สิบ หลังจากข้าแต่งงานเข้าเป็นอนุของแม่ทัพหานซิ่น พระเจ้าถังเกาจงก็มีบัญชาให้สามีของข้าเกณฑ์ไพร่พลไปรับมือกับชนเผ่าเซียนเปยที่แข็งข้อขึ้นทางตะวันออก เมื่อเขากลับมาข้าก็ล้มป่วย เวลานั้นรู้เพียงว่าข้าปิดข่าวเอาไว้ ไม่ให้เหมยฮวาบอกผู้ใด เหตุใดฮูหยินผู้เฒ่าที่ร้อยวันพันปีไม่เคยสนใจเรื่องของข้าถึงได้กล่าววาจาเช่นนี้ออกมาได้
   วาจาที่แสดงความห่วงใย แค่ดูจากสีหน้านางข้าก็มั่นใจได้ว่า นางห่วงข้าอย่างจริงใจ
   ‘ข้าแต่งเขามาเป็นอนุ แต่เป็นสามีที่ใช้ไม่ได้ แม้แต่ยามล้มป่วย ข้าก็ไม่สามารถไปเยี่ยมไข้เขาได้ เมื่อครู่ท่านโหวเพิ่งกำชับข้ามาว่า ช่วงนี้จิ่วเหมียนชงกำลังเคลื่อนไหวทางการเมือง ราชสำนักกำลังปั่นป่วน อย่าได้กระทำสิ่งใดที่จะทำให้เขาตลบหลังข้าได้’
   ‘แม่รู้ แต่อาเหนียงมิใช่…’
   ‘มิใช่ แต่ก็เป็นคนของสกุลจิ่ว’
   
   หมอกควันสีขาวก่อตัวขึ้นเบื้องหน้าข้า แล้วภาพทั้งหมดก็หมุนวนเป็นคลื่นลม มลายหายไปเป็นเถ้าธุลี แล้วก่อตัวเป็นอีกฉากหนึ่งในสวนสระบัว
   แม่ทัพหานซิ่นกำลังยืนหลบมุมหลังต้นไม้ใหญ่ แอบมองข้ากับเหมยฮวาที่คุยเล่นกันไม่รู้ตัว
   ‘นายน้อยเจ้าคะ นี่เป็นดอกหมู่ตาน*ที่ข้าไปเก็บมาได้จากสวนใกล้เรือนของฮูหยินผู้เฒ่า กลีบดอกสวยงาม ส่งกลิ่นหอม ท่านลองดมดู’
   ข้าในเวลานั้นเบิกตากว้าง หยิบตะกร้าดอกไม้คืนกลับให้เหมยฮวา
   ‘เหมยฮวา เจ้าไปเอาของๆฮูหยินผู้เฒ่ามาได้อย่างไร เดี๋ยวนางก็ลงโทษข้าหรอก เวลานี้ท่านหานซิ่นผู้นั้นเพิ่งกลับมาจากศึกสงคราม ข้ามิอยากก่อเรื่องอันใดให้เขารำคาญใจ’
   ในเวลานี้ข้าช่างอายตัวเองยิ่งนัก วิชาพรางตัวของท่านแม่ทัพหานซิ่นไร้ที่ติจริงๆ ข้ายังคุยเจื้อยแจ้วต่อถึงหานซิ่นผู้นั้น หานซิ่นผู้นี้ไม่หยุด ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตอนนั้นถูกแอบดูแอบฟังอยู่
   ภาพตัดไปอีกแล้ว ข้าลอยเคว้งคว้างอยู่ในมิติความมืดชั่วครู่ ก่อนจะปรากฏตัวอีกครั้งที่เรือนหลังใหญ่ซึ่งเป็นเรือนของฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหาน
   ในเรือนมีเหมยฮวานั่งอยู่
   ‘เหมยฮวา ดอกหมู่ตานที่ข้าฝากให้อาเหนียงเป็นอย่างไรบ้าง’
   ‘เรียนฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าคะ เหตุเพราะท่านบอกให้ข้าบอกว่าข้าเก็บมันมาจากสวนของท่าน นายน้อยเลยมิกล้าแตะเจ้าค่ะ’
   ฮูหยินผู้เฒ่าได้ฟังแล้วเพียงคลี่ยิ้มไม่แสดงสีหน้าไม่พอใจแต่อย่างใด นางเพียงแต่รำพันว่า
   ‘จิ่วฉือเหนียงหนอ เจ้าช่างเป็นคนขี้เกรงใจเสียจริงๆ’
   ‘นายหญิงเจ้าคะ เหมยฮวาไร้ปัญญา ไม่เข้าใจว่าเวลาอยู่ต่อหน้านายน้อย ท่านจริงจังเคร่งครัด พลอยทำให้นายน้อยเกรงกลัว แต่เวลาลับหลังกลับให้สิ่งของต่างๆมากมาย’
   ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ถือโทษโกรธเหมยฮวาที่ถามซักไซ้ไล่ความ เดิมทีบ่าวถามนายมิใช่สิ่งที่ควร
   ‘เหมยฮวา โลกนี้กว้างใหญ่นัก เจ้ายังต้องเรียนรู้อีกมาก การเมืองเป็นเรื่องที่แม้ห่างไกลสตรีเช่นเรา แต่ไม่ควรไม่ปฏิบัติตาม’
   เหมยฮวาฟังแล้วขมวดคิ้วมุ่น เพียงมีเรื่องหนึ่งที่นางพอจะเข้าใจได้ นั่นคือ ต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าทำเป็นเย็นชาใส่นายน้อยของเธอ แต่ลับหลังนั้นกลับรักใคร่เอ็นดู สิ่งเหล่านี้นางล้วนดูออก
   
   ภาพตัดวูบอีกครา คราวนี้ข้ามายืนอยู่ตรงหน้าระหว่างคนสองคนที่กำลังทุ่มเถียงกัน หนึ่งคือท่านแม่ทัพใหญ่ อีกหนึ่งคือคุณหนูตระกูลจิน จินหรูอัน
   ‘ข้ามีภรรยาแล้ว ขอโทษด้วยแม่นางจิน’
   ‘กาลเวลาผ่านพ้น รักย่อมหมดไป’
   หานซิ่นมิโต้ตอบสิ่งใด จินหรูอันเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามราตรี พลันน้ำตาของนางก็ไหลอาบแก้ม แต่แม่ทัพใหญ่ใจแข็ง เพียงมองภาพเหล่านั้นอย่างนิ่งเฉย
   ‘ท่านทำให้ข้าผิดหวังนักพี่หาน’
   ‘แม่นางจินโปรดระวังคำพูด บัดนี้ข้าย่อมไม่ใช่พี่หานของแม่นางอีกต่อไปแล้ว ข้าเป็นเพียงแม่ทัพหานซิ่น เราสองต่างก็จำเป็นต้องถอยหลังให้กับความสัมพันธ์เช่นนี้คนละก้าว’
   ‘นั่นสินะ’
    ภาพของคนทั้งคู่สลายหายไปราวกับมีใครใช้น้ำหยดลงบนภาพสี ต่อมาข้าพบว่าตัวเองกลับมายังจวนสกุลหานอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้ ภายในจวนกลับลุกไหม้ เสียงผู้คนกรีดร้องโหยหวน เสียงคมดาบปะทะกันดังไปทั่วจวน ภาพตรงหน้าทำให้ข้าเบิกตากว้าง ร่างไร้วิญญาณของฮูหยินผู้เฒ่าและนายท่านแห่งจวนสกุลหานถูกแทงด้วยดาบหลายสิบเล่ม นอนกอดก่ายกันที่พื้น
   เฮือก!
   “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
   ข้าลืมตาอีกครั้ง พบว่าข้ากลับมาอยู่ข้างในกระท่อมหลังเดิม
   “ไม่เป็นอะไรขอรับ เขาเป็นอย่างไรบ้าง” ข้าถามท่านเซียนกลับ
   หลี่ว์ต้งปินกล่าว “ตอนนี้บาดแผลสมานเข้าหากันจนหมดแล้วด้วยพลังปราณชีวิตของเจ้า แต่ร่างกายและจิตใจของแม่ทัพผู้นี้ได้รับความบอบช้ำมาอย่างหนัก ที่เหลือก็ต้องปล่อยไปตามฟ้าดินกำหนด จะฟื้นไม่ฟื้นขึ้นอยู่กับเขาแล้ว”
   ข้าพยักหน้าเข้าใจ สิ่งที่กระทบจิตใจถึงขนาดทำให้แม่ทัพหานซิ่นบอบช้ำ สิ่งเหล่านั้นข้าเห็นมันมาด้วยสองตาของข้าเอง ข้าไม่พูดอะไร เพียงแต่ก้มมองหานซิ่นที่ยังนอนหลับตาไม่ตื่น แต่สีหน้าคลายความเจ็บปวดไปมากแล้ว
   “ต่อจากนี้เจ้าจะเอาอย่างไรต่อ”
   ข้าส่ายหน้าไม่อาจบอกได้ การตัดสินใจเช่นนี้คงต้องให้หานซิ่นที่หลับอยู่ฟื้นขึ้นมาเสียก่อน
   เพียงแต่ว่า ต่อจากนี้ไปชีวิตข้าคงไม่สามารถเป็นอิสระจากเขาได้อย่างแท้จริง
   “มีคนมา!”
   พลันข้างนอกมีเสียงฝีเท้าม้า ฟังแล้วนับสิบตัว ข้าเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ศัตรูของท่านแม่ทัพตามมาแล้วหรือ
   ไม่มีเวลาให้ได้ครุ่นคิด พอจะหลบก็สายไปเสียแล้ว ประตูกระท่อมเปิดออก คนชุดดำนับสิบกรูกันเข้ามาข้างใน
   พอข้าหันมาหลี่ว์ต้งปินก็หายไปแล้ว
   เหล่าชายชุดดำชี้กระบี่นับสิบมาตรงหน้าข้า ปลายกระบี่ใกล้เพียงเอื้อมมือแตะ
   “หยุดมือ!”
   มีคนผู้หนึ่งก้าวออกมาจากกลุ่มคนที่ลุมร้อมข้าอยู่ แล้วถอดผ้าปิดหน้าออก
   “ท่านพ่อ”
   เป็นเสนาธิการโหวอันเล่อนั่นเอง
   แต่ต่อมาสิ่งที่ทำให้ข้าเบิกตากว้างกว่าเดิมก็ตามมา
   “เฉียนเอ๋อร์! เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
   ชายชุดดำอีกสามคนที่ข้าคิดว่าเป็นบุรุษนั้นหาใช่ไม่ หากแต่เป็นมารดาทั้งสามของข้าเอง นี่มันเรื่องอะไรกัน
   “ท่านแม่ใหญ่ ท่านแม่รอง ท่านแม่เล็ก และท่านพ่อ เหตุใดพวกท่านจึงมาอยู่ที่นี่ขอรับ”
   “จวนสกุลหานถูกทำลายแล้ว เป็นฝีมือของเทียนโฮ่ว  บัดนี้ไม่มีเวลาอธิบายให้มากความ เจ้าต้องพาท่านแม่ทัพลี้ภัยไปเมืองลั่วหยางคืนนี้ก่อนฟ้าสาง”
   ข้าอยากจะกล่าวถามให้มากกว่านี้ แต่รู้ว่าเวลานี้ไม่ควร จึงพยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจแล้ว
   “เฉียนเอ๋อร์ เจ้าไปแล้วหากได้ยินข่าวคราวใดในเมืองหลวง เจ้าจงอย่ากลับมาที่นี่อีก” ท่านแม่ใหญ่กล่าว
   “อย่าพูดให้มากความฮูหยิน”
   ข้าไม่ทันได้ถามเอาความให้กระจ่าง ท่านพ่อก็กล่าวว่า “ไป! รถม้ารอเจ้าอยู่ข้างนอก”
   ท่านพ่อผายมือให้คนชุดดำที่เหลืออุ้มท่านแม่ทัพออกไป ข้าเดินตามไปด้วยจิตใจว้าวุ่น
   “ไปแล้วอย่าได้กลับมา!”
   สิ้นคำท่านพ่อ รถม้าก็เคลื่อนตัวทันที



*ดอกโบตั๋น หรือ หมู่ตาน (牡丹花; Peony) เป็นดอกไม้ที่สวยงาม สีสันสดใส และมีกลิ่นหอม เป็นดอกไม้ที่นิยมใช้ในงานศิลปะมายาวนาน และเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ประจำชาติของจีน คนจีนยกให้เป็นดอกไม้ของจักรพรรดิ ถือเป็นดอกไม้แห่งเกียรติยศและความร่ำรวยอีกด้วย
   


ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
สลับซับซ้อนดีจริงๆ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ alien24

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ปมเนอะดีรอคุณนักเขียนมาต่อค่ะ ยังใช้้้้้้้้เล้าไม่เป็นเพิ่งสมัครเอง

ออฟไลน์ MewSN

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 170
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +234/-4
บทเก้า
เขาคือหานซิ่น

   หลังจากที่รถม้ามาถึงเมืองลั่วหยางก็สามวันเข้าให้แล้ว แต่ทว่าแม่ทัพหานซิ่นยังไม่ตื่นจากฝันร้าย หลังจากเดินทางมาไกล ข้าก็ไม่ได้ข่าวคราวจากเมืองหลวงอีกเลย ครั้นย่างเข้าวันที่สี่ ข่าวร้ายก็มาเยือน
   “เล่าลือกันว่าที่เมืองหลวงเกิดความวุ่นวายครานี้ เป็นฝีมือของท่านแม่ทัพใหญ่ที่ไม่พอใจที่ตนต้องย้ายไปประจำการที่ลั่วหยาง สมรู้ร่วมคิดกับเสนาธิการโหวอันเล่อลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้ แต่ไม่สำเร็จ เคราะห์ดีบ้านเมืองเรามีหยกคู่บรรลังก์ พระนางอู่ล้วงรู้แผนร้ายนี้เข้า จึงสั่งปราบปรามได้ทันการณ์ เพียงชั่วข้ามคืน สกุลหานและสกุลโหวก็พินาศสิ้นบารมี”
   ข้าที่แอบฟังเถ้าแก่ร้านขายยาคุยจ้อกับนักเดินทางแล้วแทบผงะ อะไรกันนี่ หลังจากปิดหูปิดตามาสามวัน ข่าวร้ายช่างเป็นข่าวที่ร้ายแรงจริงๆ
   เมื่อรู้ว่าสกุลโหวเองก็ถูกทำลาย ข้ากลับไม่ได้รู้สึกเสียใจขนาดร้องไห้ฟูมฟาย เพียงแต่ว่าจะปฏิเสธว่าไม่ได้รู้สึกอะไรเลยคงเป็นไปไม่ได้ เมื่อหลายวันก่อนท่านแม่ทั้งสามต่างดีกับข้า ท่านพ่อคนใหม่ผู้นี้แม้เป็นคนเคร่งครัด แต่ดูปราดเดียวก็รู้ว่ารักเฉียนเฉิงเพียงใด ของดูต่างหน้าที่พวกนางให้ข้า ยังอยู่ในจวนไม่ได้นำสิ่งใดติดมือมาเนื่องจากการเดินเร่งรีบ
   น่าแปลก พอรู้ว่าบัดนี้ข้าอยู่ตัวคนเดียวก็ให้รู้สึกว่าใจหาย ไม่รู้สิ เดิมทีข้าไม่ได้รู้สึกผูกพันธ์อันใดกับตระกูลจิ่ว ที่มีก็เพียงพันธะติดหนี้บุญคุณที่เลี้ยงดูข้ามา แต่บัดนี้ข้ามาเกิดใหม่ในร่างของเฉียนเฉิงผู้นี้ มันกลับพาให้ความรู้สึกอ้างว้างถาโถมเข้ามาเมื่อได้รู้ข่าว
   “ว่ากันว่าฆาตกรยังลอยนวล หานซิ่นแม่ทัพใหญ่ถูกปลดออกจากตำแหน่ง เป็นตายร้ายดีก็ถูกทางการไล่ล่าอยู่ จับยังไม่ได้ในเร็ววันนี้ น่ากลัวว่าจะหนีมากบดานที่นี่”
   ข้าสะดุ้งในคำคาดการณ์ที่ช่างตรงเผงของเถ้าแก่ร้านขายยา พลางรีบเลือกซื้อห่อยา ไปจ่ายเงินแล้วรีบกลับโรงเตี๊ยมน่าจะเป็นการดีที่สุด
   แต่ไม่ทันระวัง เร่งรีบเกินไปจนเผลอตัวไปชนนักเดินทางที่กำลังยืนคุยกับเถ้าแก่เข้า
   “ขออภัยนายท่าน”
   บัดนี้ข้าย่อมรู้สถานการณ์ เป็นชาวบ้านธรรมดาดีกว่าเป็นคุณชายสูงศักดิ์สกุลโหว ปลอมตัวไว้เป็นการเอาตัวรอดที่ดี
   “ไม่เป็นไรๆ เอ่อ…”
   นักเดินทางชะงักมองข้าชั่วครู่
   ข้าไม่รีรอให้เขาคิดสิ่งใดออก เวลานี้สถานการณ์ล่อแหลม ต้องรีบกลับโรงเตี๊ยมเพื่อคิดหาทางออก ได้แต่ควักเงินจ่ายส่งๆไป ไม่รอเงินทอน ตรงดิ่งออกมาจากร้านขายยา
   กึก!
   นึกไม่ถึง ว่าคนของทางการจะรออยู่ก่อนแล้ว ไม่ใช่มารอจับตัวข้า แต่เพราะนี่เป็นเวลาตรวจราชการ ร้านขายยาทุกแห่งต้องถูกตรวจสอบว่าไม่มียาพิษและไม่ใช้วัตถุหวงห้ามในการทำยา เช่นนั้นข้าจึงมาพบเข้าโดยบังเอิญ แต่ความบังเอิญของข้า ไม่ใช่เรื่องดีเลยจริงๆ
   หางตาข้าแอบเห็นทหารผู้ใต้บังคับบัญชากระซิบกระซาบกับนายกอง เท่านั้นล่ะข้าก็ไม่รอช้า ออกตัววิ่งทันที
   “จับมันผู้นั้นไว้ นั่นคือโหวเฉียนเฉิงลูกกบฏ!”
   เป็นจริงดังข้าคาดการณ์ ทหารเหล่านั้นล้วนต้องรู้จักข้า เพราะจี้สีแดงที่ห้อยเอวอยู่บอกสถานะว่าเป็นทหารใต้บังคับบัญชาของหานซิ่น และข้าผู้ที่ชอบไปมาหาสู่เขาบ่อยๆ เหตุใดเล่าเหล่าทหารพวกนี้จะจำไม่ได้
   ข้าพยายามหลบหนี ระหว่างทางชนแผงลอยร้านรวงข้างทางไปมาก ได้รับคำก่นด่า แต่เอาเถอะ สามปีกับคำสาปแช่ง ข้าชินชาเสียจนไม่รู้สึกอะไร ชนแผงลอยล้มระเนระนาด คว้าได้สิ่งของก็ขว้างปาใส่เหล่าทหาร เพราะอยู่กลางเมือง ที่เป็นตลาด เหล่าทหารจึงไม่กล้าหยิบอาวุธ ได้แต่วิ่งไล่ตามข้ามา ข้าเลี้ยวลดคดเคี้ยวตามซอย วิ่งไปมั่วซั่ว จนในที่สุดก็สลัดเหล่าทหารทิ้งไปได้ แต่ตอนนี้มิรู้ว่าอยู่ที่ใดแห่งใดในเมือง
   ที่ข้ายืนอยู่ คือตรอกซอยไร้ผู้คน เงียบเชียบพาลทำให้ขนลุกทั้งที่เป็นเวลากลางวัน
   “เจ้าคิดว่าเจ้ารอดแล้วเช่นนั้นหรือ โหวเฉียนเฉิง”
   มีคนผู้หนึ่งอยู่บนหลังคาบ้าน ข้าแหงนมองก็พบสตรีทาปากแดง ดวงตากราดเกรี้ยวน่ากลัว ข้างกายพกกระบี่ไว้
   ในใจข้าสังหรณ์ นางไม่ได้มาดีแน่!
   “ตอนนี้ราชสำนักไม่ได้เป็นเพียงผู้เดียวที่ต้องการตัวเจ้า ถ้าไม่อยากตายก็บอกที่ซ่อนตัวของหานซิ่นมาซะ”
   นางบอกจุดประสงค์ชัดเจนว่ามาเพื่อเอาตัวหานซิ่นไป!
   ข้าภาวนาในใจ ตัวข้าไร้วรยุทธ์ แต่ช่วงเวลาคับขันเช่นนี้ ท่านเซียนทั้งสองโปรดปรากฏตัวมาช่วยข้าทีเถอะ
   แต่ภาวนาไปก็มีเพียงความเงียบงัน… ข้าถูกทอดทิ้งเสียแล้ว
   “ข้าจะนับหนึ่งถึงสาม จงบอกมา!!!”
   ข้ากัดฟันแน่นไร้ทางหนี ยามนี้คือหมาจนตรอก
   “หนึ่ง!”
   นางเริ่มนับเลข
   “สอง!”
   ข้าจะทำเช่นไรดี
   “ในเมื่อเจ้าเลือกที่จะตาย…”
   วี้ดดดดดดดดดดดด
   เสียงกระบี่แหวกผ่านสายลม ข้าหลับตาพลันคิดในใจว่าต้องตายแน่ นึกไม่ถึงจะได้ยินเสียงกระบี่ถูกปัด ข้าลืมตาขึ้น
   นักเดินทางที่ร้านขายยาผู้นั้น ปัดกระบี่ของสตรีปากแดงให้พ้นตัวข้าไปได้ นางถูกพลังลมปราณสะท้อนกระอักเลือดอึกใหญ่แล้วเซถอยหลังไป
   “เจ้า!”
   “โผล่ออกมาเสียที นางมารหยาดโลหิต กายหยาบนั่นคงใช้งานอีกไม่ได้นาน เตรียมเข้ามาอยู่ในถุงเฉียนคุน(ถุงกำราบมาร) ของข้าเสีย”
   ที่แท้สตรีที่ทาปากแดงนั่นก็คือเหล่ามารที่ข้าเคยอ่านในตำรา ส่วนบุรุษผู้นี้คือ…
   “ใครจะไปอยากอยู่ในที่มืดๆแคบๆพรรค์นั้น ฝากไว้ก่อนแล้วกัน ถังรุ่ย เจ้ากับข้าสักวันต้องได้ประมือกัน”
   นางปัดมือไปมา เกิดสายลมขนาดย่อมพัดรอบกาย นักเดินทางถังรุ่ยจะเข้าไปขวางการหนี แต่ก็ไม่ทันการณ์ ร่างของนางหายไปแล้ว
   “ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
   “ขอขอบคุณท่านถังรุ่ย ข้าน้อยเสียมารยาทที่ร้านขายยา ไม่นึกว่าท่านคือเทพเซียน”
   ถังรุ่ยได้ฟังก็หัวเราะร่วน
   “คุณชายท่านนี้ ข้าเป็นเพียงเหล่าสานุศิษย์ของบรรพตหนานซานเท่านั้น ยังไม่อาจเรียกว่าเซียน”
   ข้าขมวดคิ้วไม่เข้าใจ แต่ถังรุ่ยผู้นี้ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด
   “ท่านอาจารย์ของข้า หลี่เถียไกว่ฝากฝังพวกท่านกับข้า จึงส่งข้ามาคุ้มกัน ระหว่างที่ท่านแม่ทัพยังไม่หายดี”
   เช่นนั้นที่ร้านขายยาเมื่อครู่ ที่เขาคลับคล้ายคลับคลาว่าจะรู้จักข้าก็ด้วยเหตุนี้เองสินะ พอได้ยินว่าหลี่เถียไกว่เป็นอาจารย์ของเขา ข้าก็วางใจในตัวชายผู้นี้ไปเปราะหนึ่ง พลางกล่าวว่า
   “บัดนี้ท่านแม่ทัพยังมิฟื้นเลย ข้าไม่รู้จะทำเช่นไร ได้แต่รักษาตามอาการที่ปรากฏ”
   “นางมารหยาดโลหิตปรากฏตัวเช่นนี้ไม่ดีแน่ ข้าว่าเรารีบกลับที่พำนักของพวกท่านกันเถอะ”
   ข้าพยักหน้า แล้วนำทางเขาไป
   ข้าลัดเลาะพยายามคลำทางจนหาทางออกมาจากตรอกซอยพร้อมกับถังรุ่ยศิษย์ของบรรพตหนาซาน ถังรุ่ยกล่าวเล่าเรื่องราวของตนอย่างคร่าวๆ ว่าได้ฝากตัวเป็นศิษย์ของท่านเซียนหลี่เถียไกว่ตั้งแต่วัยเยาว์ เนื่องจากตนนั้นเป็นเด็กจรจัดข้างถนน ถูกบิดามารดาที่เกิดมาก็ไม่เห็นหน้าค่าตากันแล้วทิ้งอย่างไม่ไยดี วันหนึ่งตนหิวโซจนทนไม่ไหว จำต้องฝืนใจกระทำการลักขโมยซาลาเปาของร้านค้าข้างตลาด เถ้าแก่เจ้าของร้านโกรธมาก ปล่อยสุนัขล่าเนื้อที่เลี้ยงไว้ตามถังรุ่ยมาติดๆ หวังให้มันกัดเจ้าเด็กเหลือขอผู้นี้ คราวหลังจะได้ไม่กล้าคิดเป็นขโมยอีก ถังรุ่ยหนีมาจนสุดทางซึ่งเป็นทางตันไม่มีที่ให้หนีอีก เขาคุดคู้อยู่ติดกำแพง มือเล็กกำซาลาเปาในมือแน่น แม้กลัวแต่เพราะความหิว ไม่กินก็ตาย สู้กินเสียแล้วค่อยตายยังดีกว่าอีก หมาล่าเนื้อย่างสามขุมเข้ามาใกล้ มันแยกเขี้ยวเห็นฟันซี่ใหญ่ชัดเจน พอใกล้ระยะมันก็กระโจนเข้ามา หวังกัดเด็กน้อย ถังร่ยหลับตาปี๋กลัวตายขึ้นมาในบัดดล แต่ทว่าคมเขี้ยวสุนัขไม่อาจทำร้ายเด็กน้อยได้อีกต่อไป
   ลมสายหนึ่งพัดเข้าปะทะพาให้มันกระเด็นกระดอนไปไกล บรรยากาศรอบตัวโอบล้อมถังร่ยราวกับเขาอยู่ใจกลางของพายุที่เรียกว่าตาพายุอย่างไรอย่างนั้น พลันฝุ่นควันรายล้อมก็ก่อตัวเป็นร่างของชายชราใจดี ซึ่งนั้นก็คือหลี่เถียไกว่นั่นเอง
   เล่ามาถึงตรงนี้แล้วข้าก็ต้องพยักหน้า อืมๆ เซียนเฒ่าผู้นี้มิเพียงยุ่งแค่กับข้า แต่ก่อนหน้านั้นเขายังเที่ยวช่วยคนยากคนจนมากมาย สมกับคำร่ำรือในตำนาน ว่าหลี่เถียไกว่ผู้ชุบชีวิตมารดาของเอี้ยวจื้อ
   พอผ่านช่วงมรสุมของชีวิตมาได้ ชายหนุ่มผู้นี้ก็เติบโตมากลายเป็นศิษย์สำนักบรรพตหนานซานอันดับต้นๆวรยุทธ์ล้ำลึกร้ายกาจ แม้เขาจะถ่อมตัวว่าหาเป็นเช่นนั้นไม่ แต่ข้าก็ได้เห็นกับตาเมื่อครู่ที่เขาต่อสู้กับนางมารหยาดโลหิตไปแล้ว นางมารหยาดโลหิต แม้ข้าจะไม่เคยเห็นตัว แต่ตำราจีนโบราณที่กล่าวถึงภพมารกับภพเซียน นางมารหยาดโลหิตถือเป็นขุนพลปีศาจอันดับต้นๆ ของราชวงศ์ปีศาจจากทางเหนือ ว่ากันว่าภพมารแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ใต้เราเรียกว่าเหล่ามาร แต่ทางเหนือกลับเรียกขานตนเองว่าเป็นปีศาจ ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่ามารทางใต้นั้นมีรูปร่างเป็นมนุษย์ ไม่อาจแปลงกายเป็นสัตว์ประหลาดนานาชนิดได้ จึงได้ถูกแบ่งแยกจากเหล่าปีศาจทางเหนือ แต่ทั้งสองนั้นภพมนุษย์ต่างก็เรียกขานว่าผู้ฝึกวิชามาร
   นางมารหยาดโลหิตว่ากันว่านางสามารถแปลงกายเป็นสัตว์อสูรได้หลายชนิด ซ้ำยังใช้กายหยาบของศพมนุษย์คอยทำให้นางสามารถดำรงอยู่ในภพของมนุษย์ได้ชั่วเวลาหนึ่ง กล่าวกันว่าที่โลกมนุษย์สงบสุขนั้น ครึ่งหนึ่งเป็นเพราะมีเหล่าเทพเซียนคอยคุ้มครอง อีกครึ่งนั้นคือบรรยากาศในภพมนุษย์เป็นอันตรายต่อมารในระดับหนึ่ง เพียงแต่ว่าผู้มีสายเลือดมารในราชวงศ์นั้นแข็งแกร่งจึงเป็นข้อยกเว้น หากแต่ก็ไม่เคยมีปรากฏว่าราชามารได้มาเยือนภพมนุษย์แม้สักครั้งในประวัติศาสตร์
   เมื่อถังรุ่ยเล่าจนจบ พวกเราก็มาถึงโรงเตี๊ยมเสียนหยาง ซึ่งต่อไปนี้ข้าสามารถเรียกได้เต็มปากเต็มคำว่าคือสถานที่กบดานของข้าและหานซิ่น พวกเราถูกทางการหมายหัวเสียแล้ว
   ตอนนั้นก็เซียน ตอนนี้ก็มาร ข้าจับต้นชนปลายไม่ถูกแล้ว
   พอข้ากับถังรุ่ยเดินเข้ามาภายในโรงเตี๊ยม เถ้าแก่เจ้าของก็รีบเร่งเข้ามาหาพลางกล่าวว่า
   “คุณชายมาพอดีเลย เมื่อครู่คนที่ท่านพามาด้วยจู่ๆก็ตื่นขึ้นมา แล้วอาละวาดจนข้าวของในห้องเละเทะ บัดนี้ข้าไม่รู้จะทำเช่นไร จึงได้แต่ขังเขาไว้ในห้อง”
   ข้าไม่อยู่รอฟังว่าเถ้าแก่จะพูดอะไรต่อ รีบขึ้นไปชั้นสองของโรงเตี๊ยม ซึ่งเป็นห้องพักที่ข้าจ่ายไว้เป็นที่พักฟื้นร่างกายของหานซิ่น ก่อนจะผลักประตูเปิดออก
   ก็พบว่า…
   ข้าวของในห้องเละเทะไม่มีชิ้นดีอย่างเถ้าแก่ว่า แต่คนนิ่งไปแล้ว ที่มุมหนึ่งของห้อง หานซิ่นกำลังอ่านม้วนตำราบนโต๊ะอย่างขะมักเขม้น
   “ท่านฟื้นแล้วหรือ เมื่อกี้เถ้าแก่บอกข้าว่าท่านอาละวาดจนข้าวของเสียหาย ไม่ทราบว่าท่านยังเจ็บแผลอยู่หรือไม่”
   ข้าตรงเข้าไปนั่งข้างเขา ก่อนที่ถังรุ่ยจะเดินเข้ามาพอดี
   “นี่คือท่านถังรุ่ย เมื่อครู่นี้ช่วยข้าจากเรื่องลำบาก ท่านถังรุ่ยนี่คือท่านแม่ทัพหานซิ่น”
   แม้ตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ของเขาจะถูกปลดไปแล้ว แต่ข้าก็ยังกล่าวแนะนำเขากับถังรุ่ยเช่นนั้น เป็นนัยว่าสักวันแม่ทัพตกอับผู้นี้ต้องชิงตำแหน่งนั้นคืนมาได้อย่างแน่นอน ไม่รู้ข้าเอาอะไรมามั่นใจ
   “คารวะแม่ทัพหานซิ่น ชื่อเสียงของท่านดังไปไกลถึงบรรพตหนานซาน วันนี้ได้พบตัวจริง นับว่าเป็นวาสนาของถังรุ่ยแล้ว”
   ชั่วครู่ข้านึกว่าแม่ทัพจะวางตำราลง แต่หานซิ่นไม่เพียงไม่ตอบกลับ ยังก้มหน้าก้มตาอ่านตำราสารพัดเรื่องนั้นต่อไป ราวกับพวกข้าไร้ตัวตน
   ข้าจึงรู้สึกได้ถึงความพิกลแปลกๆนี้
   “แม่ทัพหานซิ่น ท่านได้รับความกระทบกระเทือนทางหูหรือ”
   ข้าใช้เสียงที่ดังกว่าเดิมถามเขา น่าแปลก ข้าตรวจดูทุกซอกมุมของร่างกายหานซิ่นเพื่อให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้รับอันตรายที่ใดอีกและหูของเขาไม่มีบาดแผลใดๆเลย แต่ก็ไม่อาจวางใจได้ เขาอาจจะได้รับความกระทบกระเทือนภายในก็เป็นได้
   คราวนี้แม่ทัพหานซิ่นวางตำราลง จ้องมองพวกข้าเขม็ง คิ้วของเขาขมวดมุ่น ก่อนเอ่ยวาจา ที่ทำให้ข้ากับถังรุ่ยเบิกตากว้างแทบผงะหงายหลัง
   “เมื่อครู่นี้พวกเจ้าเอาแต่เรียกหานซิ่นๆ หานซิ่นนั้น มันผู้ใดกันหรือ”
   !!!
   ข้าพลันหมดคำพูด
   น่ากลัวว่าแม่ทัพใหญ่ตกอับผู้นี้ จะไม่ได้หูหนวก แต่ความจำเสื่อมเสียแล้ว
   นี่มันเรื่องอะไรกัน!
   
   “ท่านเซียนหลี่เถียไกว่ เป็นอย่างไรบ้างขอรับ”
   เรื่องนี้หนักหนาสาหัสเกินกว่ากำลังของข้าจะทานไหว จึงขอร้องให้ถังรุ่ยจุดพลุสัญญาณเรียกเทพเซียนหลี่เถียไกว่มาตรวจดู ยามนี้ต้องพึ่งพลังของเทพเซียนอย่างเขาแล้ว
   เมื่อครู่หานซิ่นก็โวยวายขึ้นอีกรอบ แต่ถูกข้าโปะยาสลบเพื่อเปิดทางให้เซียนเฒ่าตรวจร่างกายเขาอย่างละเอียด ตอนนี้ร่างคนนอนหลับตาพริ้ม แผ่นอกไหวกระเพื่อมตามแรงอารมณ์ที่สงบลง
   “เป็นเช่นนี้ไปก็ได้แต่รอเวลาแล้วล่ะ เดิมทีอาจเป็นเพราะจิตใจของเขาได้รับความกระทบกระเทือนอย่างหนักจากหลากหลายเรื่องราวที่ประเดประดังเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว ให้เวลาเขาหน่อย ระหว่างนั้นพวกเจ้าก็คอยหลบซ่อนตัวอยู่ที่เมืองนี้ไปก่อน หากว่าความทรงจำของเขาไม่กลับมาแล้วจริงๆ เช่นนั้นก็ถึงเวลาที่เจ้าจะเป็นคนตัดสินใจ”
   เดิมทีข้าอยู่ที่นี่เพื่อรอให้ท่านแม่ทัพหานซิ่นฟื้นจากอาการบาดเจ็บ ไหนๆก็ถูกผูกไว้ด้วยกันด้วยสัญญาเลือดแล้ว ข้าก็จำเป็นจะต้องถามความเห็นของท่านแม่ทัพผู้นี้เสียก่อน
   “ถังรุ่ยเจ้าก็อยู่ที่นี่คอยคุ้มกันคุณชายเฉียนเฉิง ในระหว่างนี้ข้าจะไม่อยู่สักพัก”
   “ท่านจะไปไหน”
   ถังรุ่ยท่านถามได้ตรงใจข้ายิ่งนัก บัดนี้เกิดเรื่อง ท่านยังจะทิ้งพวกเราไปอีกหรือ
   “เกรงว่าบรรพตหนานซานจะมีปัญหาเสียแล้ว”
   ผู้เฒ่าไม่รอให้พวกเราซักไซ้ไล่ความ ร่างของเขาก็กลายเป็นฝุ่นผงหายไปในอากาศ
   นึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไป
   ข้าได้แต่มองสบตากับถังรุ่ย
   “เช่นนั้นรบกวนท่านเซียนซือ*แล้ว”
   ถังรุ่ยท่านลืมทางไปบรรพตหนานซานเสียเถอะ บัดนี้ท่านต้องช่วยข้าอยู่ดูแลแม่ทัพหานซิ่นแทนอาจารย์ของท่าน

*เซียนซือ คือคำที่ใช้เรียกผู้ฝึกวิชาเซียน ไม่จำเป็นต้องเป็นเทพเซียน
   


ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-11-2019 15:26:00 โดย ommanymontra »

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
ความจำเสื่อมไปอีกกกก

ออฟไลน์ MewSN

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 170
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +234/-4
บทสิบ
ข้าคือจิ่วฉือเหนียง เป็นภรรยาที่ท่านรักมาก

   “ถวายพระพร เทียนโฮ่ว!”
   วังกงกงที่เฝ้าอยู่หน้าตำหนักพระจักรพรรดิ รีบเร่งเข้าไปแสดงความเคารพต่อสตรีสูงศักดิ์ที่บัดนี้อำนาจในวังหลวงของนางช่างมากมายมหาศาลนัก เมื่อไม่มีก้างขวางคออย่างสกุลหานและสกุลโหวอีกต่อไป นับว่าอำนาจในพระราชสำนักบัดนี้เหล่าขุนนางชั้นสูงล้วนเป็นคนของพระนางอู่เกือบทั้งสิ้น ขุนนางที่คอยสนับสนุนแม่ทัพใหญ่ผู้ตกอับ แถมถูกยัดเยียดข้อหาลอบปลงพระชนม์ฝ่าบาทหลายคนถูกย้ายไปประจำการต่างถิ่น ที่ยังอยู่ในเมืองหลวงได้ก็จำเป็นต้องเร้นกายหายตัวเงียบ ไม่เคลื่อนไหวอันใดอีก วังกงกงเป็นขันทีข้างกายพระเจ้าถังเกาจงมานาน ย่อมรู้สถานการณ์ในตอนนี้ดี เขาจึงต้องยอมโอนอ่อนต่ออำนาจของพระนางอู่
   ชาวบ้านร่ำลือ หูตามืดบอด เชื่อราชโองการปรักปรำปลิ้นปล้อนของเทียนโฮ่ว แต่ผู้คนที่มีชีวิตอยู่ในวังมานานอย่างวังกงกงย่อมรู้ดีว่าสิ่งใดเป็นสิ่งใด บัดนี้เท่ากับว่าไร้อำนาจแม่ทัพใหญ่หานซิ่น ฝ่าบาทก็คล้ายจะอยู่ในกำมือนาง พระนางอู่จะบีบให้ตาย จะคลายก็รอด เป็นชั้นนั้นจริงๆ
   “ไม่ต้องมากพิธีวังกงกง พระอาการฝ่าบาทเป็นอย่างไรบ้าง”
   เคราะห์ไม่ดี เวลานี้ฮ่องเต้เองก็มาล้มป่วยกะทันหัน เดิมทีก่อนพระองค์จะขึ้นครองราชย์ก็มีโรคประจำตัวอยู่แล้ว เพราะทรงอ่อนแอขี้โรคแต่เด็ก ด้วยสาเหตุนี้จึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้อำนาจของพระองค์อ่อนแอ ไม่อาจบริหารบ้านเมืองติดต่อกันเป็นเวลานาน จำเป็นต้องมีผู้ช่วยอย่างพระนางอู่คอยช่วยเหลือ เริ่มแรกก็ดีอยู่หรอก สองพระองค์ร่วมกันบริหารบ้านเมืองเป็นหยกคู่ในรัชสมัยต้าถัง ผู้คนล้วนสรรเสริญยินดี แต่นานวันเข้า เทียนโฮ่วที่ฉลาดปราดเปรื่องอยู่แล้วก็เข้าก้าวก่ายอำนาจในส่วนต่างๆมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็เป็นอย่างที่เห็น บัดนี้ไม่มีผู้ใดขวางทางนางได้อีกแล้ว
   “ทูลเทียนโฮ่ว ฝ่าบาททรงเสวยยาที่หมอหลวงจัดเตรียมให้ ตอนนี้บรรทมไปแล้วพะยะค่ะ”
   เทียนโฮ่วเผยรอยยิ้ม วังกงกงรู้สึกร้อนหนาวสันหลังเป็นที่ยิ่ง เป็นเหตุให้ขันทีเฒ่าไม่กล้าสบตากับพระนางอู่โดยตรง เขาเผลอก้าวถอยหลังไปเล็กน้อย
   “เช่นนั้นก็ดีแล้ว วังกงกงโปรดดูแลพระอาการของฝ่าบาทอย่างใกล้ชิด เรื่องในพระราชสำนัก ข้าจะจัดการเอง”
   “รับด้วยเกล้าพะยะค่ะ”
   ถอยหนึ่งก้าวแล้วจึงรอด แต่กับเทียนโฮ่วผู้นี้ วังกงกงจำต้องถอยไปเสียหลายก้าว
   “สั่งการออกไป ฝ่าบาทประชวรหนัก ข้าจำเป็นต้องว่าราชการแทนพระองค์…”
   “…”
   “จนกว่าพระอาการจะดีขึ้น!”
   “รบกวนเทียนโฮ่วแล้ว”
   
   “ทูลเทียนโฮ่ว พวกเขามากันแล้วพะยะค่ะ”
   ฉุนกงกงเดินเข้ามาแจ้งให้พระนางอู่ทราบ ว่าบัดนี้อาคันตุกะที่พระนางกำลังรออยู่ได้มาถึงแล้ว เทียนโฮ่วโบกพระหัตถ์ แล้วกล่าวว่า “เข้ามาได้!”
   “ซีหยางจื่อ ถวายพระพรเทียนโฮ่ว”
   “จ้าวจือหลาง ถวายพระพรเทียนโฮ่ว”
   เป็นหนึ่งบุรุษกับหนึ่งสตรีที่เดินเข้ามาถวายความเคารพหน้าพระพักตร์ เทียนโฮ่วยกยิ้ม
   “ท่านทั้งสองไม่ต้องเกรงใจ เรื่องที่ข้าสั่งให้พวกท่านไปทำ เป็นอย่างไรบ้าง”
   ซีหยางจื่อลอบสบตากับพี่ชายร่วมสาบานของนางจ้าวจือหลางก่อนจะกล่าวว่า
   “ทูลเทียนโฮ่ว ข้าน้อยไร้ความสามารถ มุกราตรีทมิฬอยู่ในความคุ้มครองของบรรพตหนานซาน เกรงว่าจะ…”
   “ถึงอย่างไรก็ต้องนำมันมาให้ข้าให้ได้!!!”
   “…”
   “ไม่ต้องอ้างเหตุผล เจ้าไปทำงาน นำของมา เช่นนั้นข้อตกลงระหว่างเจ้ากับข้าก็จะได้รับความเห็นชอบจากต้าถัง”
   ซีหยางจื่อกัดฟัน ก้มหน้าไม่กล้ามองสบตาเทียนโฮ่ว รู้ได้ในทันทีว่าพระนางอู่เริ่มไม่สบพระทัยเสียแล้ว
   “ถ้าเจ้าอยากได้ของ เจ้าก็ต้องนำของมาแลก”
   เทียนโฮ่วถอนหายใจผ่อนคลายอารมณ์ นางกล่าวต่อไปว่า
   “ฉุนกงกงเข้ามาหาข้า!”
   กงกงเฒ่ารีบเร่งเข้ามายืนเบื้องหน้าพระพักตร์
   “พะยะค่ะเทียนโฮ่ว”
   “ร่างกายนี้คงใช้การไม่ได้แล้ว จงพาอาคันตุกะของข้าทั้งสองผู้นี้ ไปดูภาชนะบรรจุใหม่”
   ซีอยางจื่อและจ้าวจือหลางเบิกตากว้าง
   “ขอบพระทัยเทียนโฮ่วที่เมตตา”
   “ทำการใหญ่ให้ลุล่วง แล้วพวกเจ้าจะได้ในสิ่งที่ต้องการ”
   
   “หานซิ่น ท่านฟื้นแล้วหรือ”
   ข้างัวเงียตื่นขึ้นมาก็พบว่าตนเผลอฟุบหลับไปข้างเตียงคนป่วย บัดนี้คนที่หลับไปเมื่อครู่เพราะยานอนหลับ ลุกขึ้นมานั่งจ้องข้าเขม็งแล้ว
   ถังรุ่ยที่นำอาหารเข้ามากล่าวว่า “ทานอาหารเสียหน่อยเถิดท่านแม่ทัพ ร่างกายจะได้ฟื้นฟูเร็วขึ้น”
   ข้าลุกออกไปแต่งเนื้อแต่งตัว ปัดผมเผ้าให้เข้าที่เข้าทาง ถังรุ่ยหันมาหาข้า
   “ท่านก็กินเสียหน่อยเถอะนะ จะได้มีแรง”
   “ขอบคุณท่านมาก”
   ข้าโค้งคำนับเขา บุรุษผู้นี้นอกจากร่ำเรียนวิชาเซียนติดตัวแล้ว ยังมีมารยาทไม่อวดเบ่งดั่งยอดยุทธคนอื่นๆ น่านับถือๆ
   “ไม่ต้องเกรง… อ๊ากกกกก”
   เรื่องราวเกิดขึ้นกะทันหัน เมื่อคนป่วยที่อยู่บนเตียงก้าวลงมา มือคว้าจับได้ม้วนตำราปึกหนา ฟาดศีรษะถังรุ่ยเข้าเต็มแรง ครั้นข้าจะร้องห้ามก็ไม่ทันเสียแล้ว ศิษย์ของท่านหลี่เถียไกว่ผู้นี้ สลบเหมือดสิ้นท่าเสียแล้ว
   “หานซิ่น ท่านทำอะไร”
   “คิดว่าข้าจะไว้ใจพวกเจ้าหรือ พวกเจ้าเป็นใครก็ไม่รู้ ญาติข้ารึก็ไม่ใช่ กักขังตัวข้าไว้ที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้ น่ากลัวจะเป็นพวกค้าทาส”
   นี่จิตใจท่านคิดไปถึงไหนเนี่ย ท่านแม่ทัพ หรือว่าอาการความจำเสื่อมของท่านในครั้งนี้จะทำให้ท่านกลายเป็นคนขี้ระแวงไปแล้ว
   “ข้า ข้าไม่ให้ท่านไป”
   ไม่มีเวลามัวมาคิดหน้าคิดหลังแล้ว หานซิ่นรีบเร่งไปที่ประตูห้อง แต่ถูกข้าหยุดไว้ได้ทันก่อนเขาจะผลักประตูเปิดออก ข้าดึงเขาออกมาเค้นแรงทั้งหมดที่มีก็ดึงเขาออกมาห่างจากบานประตูได้แค่ไม่กี่คืบ อนาถยิ่งนักวรยุทธของข้า
   “ข้าบอกท่านแล้วว่าพวกเรากำลังช่วยเหลือท่านอยู่ ท่านความจำเสื่อม จำอะไรไม่ได้ พวกเราคือมิตรไม่ใช่ศัตรูของท่าน”
   หานซิ่นขมวดคิ้วมุ่น แววตาสั่นระริกสับสน ชั่วครู่ก็เปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว ดึงดันจะไปที่ประตูให้ได้ ข้าจึงต้องเอาตัวมาขวางระหว่างเขากัคั่นประตู แต่ไม่คิดว่าจะกันเขาได้หรอก แค่หานซิ่นผลักข้าก็ได้พุ่งพรวดถลาออกนอกห้องพร้อมกับบานประตูที่เปิดโผงเป็นแน่ ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจอย่างรวดเร็ว
   ฝ่ามือของหานซิ่นพุ่งมาเร็วมาก ไม่สนใจว่ามีข้าอยู่ตรงหน้า ตั้งใจจะผลักข้าออกไปพร้อมกับบานประตู
   ข้าหลับตาปี๋ เปล่งวาจาที่ทำให้ทุกอย่างหยุดชะงักราวกับเวลาหยุดนิ่ง
   “สามี ท่านจะไปจากภรรยาอย่างข้าไม่ได้นะ!!!”
   เดิมทีเป็นข้าอยากมีอิสระ แต่บัดนี้ด้วยสัญญาเลือด ท่านก็ต้องผูกมัดอยู่กับข้าไปจนตายนี่แหละหานซิ่น

   “อูยยยยย ท่านแม่ทัพมือหนักยิ่งขอรับ”
   ข้าที่ช่วยถังรุ่ยประคบร้อนอยู่พลันรู้สึกผิดไปด้วย ถ้าข้าเอ่ยเตือนทันเขาก็คงไม่ถูกตีจนสลบไปแบบนี้ ผู้เรียนวิชาเซียนนับว่าร่างกายทรหด ถ้าฝีมือท่านแม่ทัพไม่ยอดเยี่ยมจริง คาดว่าคงไม่ทำให้ถังรุ่ยผู้นี้ถึงกับสลบไสลไปแบบนี้เป็นแน่ และที่สำคัญ ถ้าถังรุ่ยไม่สลบเหมือดไป ข้าก็คงไม่ต้องใช้ไม้ตายสุดท้าย เอ่ยว่าเป็นภรรยาเพื่อผูกมัดเขาไว้กับข้าเช่นนี้หรอก ทุกอย่างโทษตัวข้าผู้เดียวเท่านั้น
   ส่วนตัวการก่อเรื่องทั้งหมดขึ้นนั้น หนีไปนั่งอีกมุมหนึ่งของห้อง แล้วเอาแต่จ้องมองข้า พลันก็ขมวดคิ้วมุ่น พลันก็เขม็งเกร็ง ข้าจึงไม่กล้าหันกลับไปมองเขาเท่าใดนัก เพียงแต่ทำทีเป็นตั้งใจประคบร้อนให้ถังรุ่ยไป
   “สรุปว่าข้าก็คือมีนามว่าหานซิ่น ตำแหน่งแม่ทัพใหญ่แห่งต้าถังหรือ”
   ในที่สุดเขาก็ยอมเปิดปาก ไม่ต้องรอให้ข้าพยักหน้าตอบ เป็นถังรุ่ยที่ชิงตอบขึ้นมาก่อน
   “ถูกต้องๆ เดิมทีท่านมีตำแหน่งเป็นแม่ทัพใหญ่”
   “เดิมทีหรือ” หานซิ่นขมวดคิ้วไม่เข้าใจ
   ข้าจึงอธิบายต่อจากถังรุ่ยว่า “บัดนี้ท่านถูกปลดเพราะข้อหาลอบปลงพระชนม์พระจักรพรรดิ ข้าพาท่านที่บาดเจ็บหนีมาที่ลั่วหยางนี้ เท่ากับว่าเราทั้งคู่ลงเรือลำเดียวกันแล้ว”
   ข้าไม่อธิบายอันใดต่อ เรื่องราวในส่วนอื่นๆนั้น ย่อมให้เขาต้องรับรู้ด้วยตนเอง มิใช่กงการใดของข้าที่จะบอกกล่าว
   ข้าวางผ้าประคบลง แล้วหยิบถ้วยชามาริน ยกขึ้นดื่ม ก่อนจะ…
   “แล้วเจ้า … เป็นภรรยาข้าจริงๆหรือ”
   แค่กๆ สำลักชาพร้อมกับเบิกตาแทบถลน ไม่ใช่ข้าคนเดียวนะ ถังรุ่ยก็ด้วย เดิมทีถังรุ่ยรู้แค่ว่าข้านั้นถูกเทพเซียนหลี่เถียไกว่ชุบชีวิตขึ้นมา ส่วนพื้นเพเบื้องลึกเบื้องหลัง ข้าว่าเซียนเฒ่ามิได้เอ่ยบอกเล่าเรื่องราวใดแก่เขาเลย
   “อย่างไรกันล่ะเนี่ย” ถังรุ่ยเสียสติไปแล้ว
   “ไม่อย่างไรทั้งนั้น ข้าเป็นผู้ที่ฝ่าบาทเลือกให้สมรสพระราชทานกับท่านแม่ทัพหานซิ่น แต่งงานรักใคร่ปรองดอง อยู่กินกันมาได้สามปีแล้ว”
   แค่กๆ พูดเองก็สำลักความโป้ปดของตัวเองไป ข้าขอโทษนะท่านแม่ทัพหานซิ่น ข้าจำเป็นต้องรั้งท่านไว้ด้วยเหตุผลเหล่านั้นจริงๆ
   “เจ้า” เขาชี้ที่ตัวข้า แล้วชี้ที่ตัวเขาอย่างไม่อยากเชื่อเท่าใดนัก “กับข้าหรือที่รักกันปานจะกลืนกิน” ไม่เชื่อเจ้าก็ต้องเชื่อ เพียงแต่เจ้าจะแต่งคำเสริมมาอีกทำไม
   ข้าพยักหน้ายืนยัน
   “ท่านยังกล่าวเลยว่า ชั่วชีวิตนี้จะมิพรากจากกัน”
   หานซิ่นคล้ายไม่เชื่อ แต่ข้าหาได้สนใจไม่ เขาเปิดปากพูดอีกรอบ
   “เจ้า… ชื่ออะไรนะ”
   บัดซบ!
   “ข้ามีนามว่าจิ่วฉือเหนียง เป็นภรรยาที่ท่านรักมากๆ”
   สถานการณ์เช่นนี้ หยิบยืมชื่อคนตายไปก่อน ใช้โหวเฉียนเฉิงคงไม่เป็นการดีแน่
   
   “เจ้าจะไปไหน”
   ดึกดื่นค่อนคืนแล้ว หลังจากพวกข้าสั่งอาหารขึ้นมากินบนนี้ เหตุผลเพราะข้างล่างมีคนพลุกพล่าน แม้จะไม่บังเอิญเจอคนที่จำข้าได้ทุกเมื่อ แต่กันไว้ดีกว่าแก้ บัดนี้ถังรุ่ยออกไปพำนักยังห้องฝั่งซ้ายที่ข้าไปแจ้งแก่เถ้าแก่เจ้าของโรงเตี๊ยมเมื่อเช้าว่าขอเพิ่มห้องแล้ว ส่วนข้าเองก็ต้องกลับห้องของตัวเองเหมือนกัน
   “กลับห้องสิขอรับ ท่านมีอะไรให้ข้ารับใช้อีกหรือไม่”
   “เจ้าเป็นภรรยาข้าจริงๆหรือ”
   เอาอีกแล้ว ก็ข้าบอกว่าข้าเป็น…
   “เช่นนั้นเจ้าก็ต้องนอนร่วมเตียงเดียวกันกับข้า”
   ข้าไม่เป็นแล้วได้หรือไม่ ภรรยาเจ้าน่ะ ร้อยวันพันปี ข้าเคยแต่งงานกับเจ้ามากสุดสามปี ก่อนตายข้าไม่เคยร่วมเรียงเคียงหมอน ครองพรหมจรรย์แม้มิได้ตั้งใจมาเนิ่นนาน
   ล้อเล่นกับข้าหรือ จะให้นอนร่วมเตียงเดียวกับท่านแม่ทัพ ข้าย่อมปฏิเสธ
   “ไม่งามๆ ข้าเป็นภรรยาท่านก็จริง แต่ท่านมักให้เกียรติ ไม่เคยบังคับข่มเหง ให้ข้าต้องร่วมหลับนอนกับท่านเลย”
   แม่ทัพหานซิ่นขมวดคิ้ว
   “เช่นนั้นเจ้าก็ยังพรหมจรรย์”
   ข้ากำลังจะพยักหน้าตอบว่าใช่ ก็ชะงักค้างกลางอากาศ พลันในหัวก็ประมวลผลอย่างรวดเร็ว ถ้าเขารู้ว่าเราเป็นสามีภรรยาแต่มิเคยร่วมเรียงเคียงหมอน อย่างนี้เท่ากับว่าเส้นด้ายบางๆที่ผูกมัดความสัมพันธ์ระหว่างเขากับข้าก็มีเพียงน้อยนิดไม่มั่นคงเช่นนั้นหรือ
   ไม่มั่นคง จากกันไปได้ทุกเมื่อ ย่อมไม่ได้
   “ท่านทำข้าทุกคืน!”
   สวรรค์โปรดลงโทษข้าเถอะ นี่ข้าพูดเรื่องหน้าอายอันใดออกไป
   แม่ทัพหานซิ่นและข้าต่างพร้อมใจกันเสมองไปทางอื่น บัดซบนัก
   “เอ่อ ข้า ข้าหมายความว่า…”
   ข้าไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไร หานซิ่นกลับมาจ้องคาดคั้นเอาคำตอบจากข้าอีกแล้ว เอาเถอะ ยังไงข้าก็เป็นบุรุษมิเสียหาย หวงเนื้อหวงตัวอย่างกับสตรีแรกแย้ม พลอยอับอายศักดิ์ศรียิ่งนัก
   “เช่นนั้นท่านขยับไปหน่อย ข้าอ่อนเพลียนักวันนี้ จะเข้านอนแล้ว”
   ท่านแม่ทัพหานซิ่นขยับเว้นที่ว่างให้ข้า พลางตบเตียงปุๆน่าหมั่นไส้ยิ่งนัก
   ข้าล้มตัวลงนอนตะแคงไม่ยอมหันหน้าไปหาหานซิ่น ไม่ลืมเป่าตะเกียงให้ดับแสง กำลังจะหลับตาพลันก็สะดุ้งโหยง เพราะแขนแข็งแกร่งของคนด้านหลังที่ซุกซนอยู่ที่เอวของข้า
   “ทะ ท่านนอนดีๆได้หรือไม่”
   “อืม ข้าขอกอดภรรยาไม่ได้หรือ”
   ในความมืดข้ากลอกตาไปมาอย่างหมดคำพูดใดจะโต้แย้ง จึงได้ปล่อยเลยตามเลย
   “เช่นนั้นก็แล้วแต่ท่านเถอะ”
   
   

ออฟไลน์ toeytoey

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 4
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ท่านแม่ทัพแกล้งความจำเสื่อมปะเนี่ย

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2

ออฟไลน์ Quatree

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 279
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1

ออฟไลน์ Jiraapp

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 380
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
โอ๊ยยยยสนุกมากกกก ท่านหานซิ่นนี่ไม่ได้แกล้งความจำเสื่อมใช่ป่ะ ฉือเหนียงลูกเสริมเติมแต่งจนเข้าตัวแล้วเนี่ยจากที่เป็นเมียในนามมาสามปีจนตายแล้วมาอยู่ในร่างใหม่ดูท่าจะไม่ได้เป็นแค่ในนามแล้วแหละ ><

ออฟไลน์ MewSN

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 170
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +234/-4
บทสิบเอ็ด
วรยุทธหวนคืน
   ผ่านพ้นไปแล้วสามวันความทรงจำของท่านแม่ทัพก็ไม่มีทีท่าว่าจะกลับมาให้เห็น อย่างไรก็ตามเซียนเฒ่าเองก็ไม่ปรากฏตัว ข้ากับถังรุ่ยจึงไม่สามารถกระทำการใดได้นอกจากรอ
   “อาเหนียง เมื่อกี้ข้าออกไปข้างนอกมา ชาวบ้านพากันแขวนโคมต้อนรับเทศกาลหยวนเซียวแล้ว”
   จริงสิ หลายวันมานี้ข้าค่อนข้างยุ่งวุ่นวายไม่รับรู้ความเป็นไปของเหตุการณ์ภายนอก วันๆก็จำต้องป้อนความทรงจำเก่าๆที่ข้าพอจะรู้เกี่ยวกับตัวแม่ทัพผู้นี้ให้กับตัวเขาเอง แต่ก็ช่างน้อยนิดเหลือเกิน ฟังดูแปลกพิกลแต่ก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ข้าพยายามทำให้ท่านแม่ทัพนึกอะไรออกได้ง่ายๆด้วยการบอกกล่าวถึงอดีตที่ผ่านมาของเขา เขามีผลงานมากมาย เป็นถึงแม่ทัพใหญ่แห่งต้าถัง ก่อนหน้านั้นเลื่อนขั้นอย่างรวดเร็วปานก้าวกระโดด แต่ไม่ว่าจะใส่ข้อมูลความทรงจำไปให้มากเพียงใด หานซิ่นก็ยังขมวดคิ้วมุ่นอยู่ดี
   อีกอย่างความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับอารุ่ยก็ค่อนข้างพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว บัดนี้ได้ใช้สรรพนามเรียกขานกันอย่างสนิทสนม สาเหตุที่ข้ากับเขาเป็นสหายสนิทกันได้เร็วปานนี้คงเพราะต้องรับภาระอย่างหานซิ่นและลงเรือลำเดียวกันไปแล้วอย่างช่วยไม่ได้
   เอาเข้าจริงนี่ก็ปาไปแล้วหกวัน ยังไม่เห็นวี่แววของเซียนเฒ่าที่บอกเล่าเก้าสิบว่าวันที่สามเขาจะกลับมา ก่อนหน้านั้นเมืองลั่วหยางจัดเทศกาลตรุษจีนต้อนรับปีใหม่กันอย่างคึกคัก ข้ามิได้ออกไปไหน ซ้ำยังต้องบังคับให้หานซิ่นอยู่ในห้องให้ได้ แม่ทัพผู้นี้ดึงดันอยากจะไปร่วมเทศกาล แต่จนแล้วจนรอดอย่างไรก็ให้ออกไปไม่ได้ คนของทางการมากมาย ชื่อเสียงของเขาไม่เหมือนเช่นข้า เป็นถึงแม่ทัพใหญ่ รู้หน้าค่าตากันหมดทั้งกองทัพ ขืนให้ออกไปมีหวังเกิดเรื่องวุ่นวายเป็นแน่
   “เทศกาลหยวนเซียวหรือ”
   ข้าพึมพำ ถังรุ่ยยิ้ม “ใช่ๆๆๆ คราวนี้เห็นว่าจักรพรรดิทรงมีบัญชา ให้เจ้าเมืองลั่วหยางจัดงานเทศกาลอย่างยิ่งใหญ่ เท่าเทียมนครฉางอานเมืองหลวงเลยทีเดียว”
   ข้าไม่แปลกใจ เดิมทีนครลั่วหยางแห่งนี้เป็นเมืองหลวงเก่าของราชวงศ์สุยซึ่งเป็นราชวงศ์ก่อนหน้า ครั้นถึงสมัยราชวงส์ถังได้ทำการย้ายเมืองหลวงไปยังนครฉางอาน ความเจริญรุ่งเรืองจนได้เคลื่อนย้ายตาม แต่ถึงอย่างไรนครลั่วหยางก็ได้ชื่อว่ามีความรุ่งเรืองเทียบเท่ากับมหานครแห่งต้าถังอย่างเมืองฉางอาน เทศกาลหยวนเซียวที่จัดขึ้นทุกๆปีที่เมืองหลวง เมืองลั่วหยางเองก็จัดขึ้นเช่นเดียวกัน และคึกคักไม่แพ้ฉางอานเลยทีเดียว
   เทศกาลโคมไฟ หรือ วันหยวนเซียว คือวันที่สิบห้าของเดือนหนึ่ง ตามปฏิทินจันทรคติ หรือที่เรียกกันว่า ชูสืออู่ นั่นเอง คำว่า หยวน มีความหมายว่า แรก ส่วนเซียว แปลว่า กลางคืน จึงใช้เรียกคืนที่พระจันทร์เต็มดวงครั้งแรกในรอบปีหลังผ่านพ้นตรุษจีน คล้ายกับเป็นวันตบท้ายเทศกาลตรุษจีน สำหรับคืนสำคัญนี้ มีประเพณีว่า ชาวบ้านจะต้องรับประทานบัวลอยกันในครอบครัวและออกไปชมโคมไฟที่จะนำมาประดับประดากันอย่างสวยงามตามท้องถนนหนทาง ดังนั้น เทศกาลนี้จึงถูกเรียกอีกชื่อว่า เทศกาลโคมไฟ
   ประเพณีการชมโคมไฟนี้ เริ่มต้นขึ้นเมื่อสองพันกว่าปีก่อนในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตก จนมาถึงราชวงศ์ถังประเพณีนี้ยิ่งมีความพิถีพิถันมากขึ้น ภายในพระราชวังหรือตามท้องถนน ทุกหนทุกแห่ง ล้วนมีการแขวนโคมไฟ และยังพัฒนาไปเป็นหอโคมไฟ ต้นไม้โคมไฟ หรือวงล้อโคมไฟ
   วันหยวนเซียวได้รับการสืบทอดเรื่อยมา จนกระทั่งถึงสมัยต้าถังนี้ที่จักรพรรดิทรงให้ความสำคัญกับเทศกาลโคมไฟ และกิจกรรมต่างๆ ในเทศกาลดังกล่าวก็ยิ่งคึกคัก รวมทั้งมีการฉลองติดต่อกันถึงห้าวัน นอกจากนี้ รูปแบบของโคมไฟที่ประดับประดาก็ยิ่งหลายหลากมากขึ้นด้วย
   พูดถึงเทศกาลหยวนเซียวแล้วก็พาให้ความทรงจำในวัยเด็กของข้ากลับคืนมา สมัยข้ายังเป็นคุณชายรองตระกูลจิ่วและท่านแม่ยังอยู่ ข้ามักออดอ้อนให้นางพาออกไปชมโคมไฟที่แขวนเรียงรายเต็มสองข้างทางถนนในเมืองหลวง ท่านแม่แม้รู้ว่าตัวเองร่างกายอ่อนแอป่วยกระเสาะกระแสะง่ายแต่ก็ไม่อาจปฏิเสธคำขอของข้าได้ลง สุดท้ายจำต้องแอบท่านพ่อพาข้าออกไปเที่ยวชม พอหลังจากนั้นก็ล้มป่วยอยู่นาน ท่านแม่ไม่สามารถมาเล่นกับข้าได้เป็นเดือนๆ
   “เหนียงเหนียง เจ้าเป็นอะไรไป”
   คำเรียกขานของแม่ทัพหานซิ่นทำให้ข้าหลุดจากภวังค์ เมื่อไม่กี่วันก่อนหลังมื้ออาหารเย็น จู่ๆท่านแม่ทัพผู้นี้ก็เรียกข้าขึ้นมาด้วยชื้อนี้ พลันทำให้ชาที่ถังรุ่ยดื่มไปครึ่งแก้วเกือบกระฉอกออกมาจากปากเขา ส่วนข้านั้นเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อหู เขาบอกกับข้าว่า สามีภรรยา ประดิษฐ์สรรพนามเรียกขานกันมิใช่เรื่องแปลกอันใด ข้าจึงต้องยอมถูกเขาเรียกเช่นนี้นับแต่นั้นมา
   “อาซิ่น…” แค่กๆ ข้าสำลัก ไม่เพียงสรรพนามเรียกตัวข้าที่เปลี่ยนไปเท่านั้น เวลาข้าเรียกเขา ก็ต้องเรียกเขาว่าอาซิ่น นั่นเป็นข้อตกลงระหว่างเรา
   “เจ้าอยากออกไปเที่ยวชมเทศกาลหรือไม่”
   ข้าเห็นว่าแม่ทัพเอาแต่อุดอู้อยู่ที่โรงเตี๊ยมคงไม่เป็นการดี แม้คนของทางการจะมากมายขนาดเดินชนกระทบไหล่ได้ตามท้องถนน แต่ถ้าปลอมตัวออกไปก็คงไม่มีปัญหา อีกอย่างบรรยากาศปลอดโปร่ง อาจดีต่อการฟื้นคืนความทรงจำ เมื่อครู่ข้าได้ยินเทศกาลหยวนเซียวแล้วหวนคิดถึงวัยเด็ก บางทีมันอาจจะได้ผลกับท่านแม่ทัพก็เป็นได้
   “ถึงข้าอยากออกเพียงใด เจ้าก็ไม่ให้ข้าไปอยู่ดี”
   “แล้วถ้าเกิดข้าให้ท่านไปได้เล่า”
   นัยน์ตาของหานซิ่นราวกับมีประกายวาววับ
   “แต่ย่อมมีเงื่อนไข”
   คนของกองทัพย่อมรู้จักใบหน้าของหานซิ่น ฉะนั้นเงื่อนไขสำหรับเขาจึงมีมากกว่าข้า
   “เจ้าต้องปลอมตัว!”
   หานซิ่นพยักหน้า แม้ไม่อาจรู้ได้ว่าหายนะกำลังรอตนอยู่เบื้องหน้า
   “ทาปากแดงเช่นนี้ พอแล้วหรือยัง”
   เสียงหงุดหงิดของท่านแม่ทัพคล้ายอยากต่อว่าข้า แต่ก็ต้องยอมจำนนด้วยเหตุผลที่ข้ายกขึ้นมาอ้าง
   “ท่านต้องดัดเสียงให้อ่อนหวานกว่านี้ เป็นสตรีห้ามแข็งกระด้าง”
   ข้ากอดอกชื่นชมผลงานการแปลงโฉมของตัวเอง บัดนี้แม่ทัพหานซิ่นผู้ยิ่งใหญ่ ได้มาอยู่ในร่างของสาวงามที่พร้อมออกเที่ยวชมเทศกาลหยวนเซียวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แม้จะไม่ใช่ในแบบที่ข้าหวังไว้ เพราะรูปร่างสูงใหญ่ อกผายไหล่ผึ่ง หน่วยก้านของบุรุษในกองทัพเช่นนี้ แทนที่จะได้ความอรชรกลับกลายเป็นความบึกบึนไปเสีย แต่เช่นไรข้าก็ยกยิ้มอย่างพอใจ ไม่เลวๆ
   “แล้วทำไมข้าต้องแต่งกับท่านแม่ทัพด้วย”
   ถังรุ่ยผู้ประสบชะตากรรมเดียวกันกับท่านแม่ทัพร้องโอดโอย
   “อารุ่ย เจ้าเองก็เป็นผู้มีชื่อเสียง กันไว้ดีกว่าแก้ ข้าไม่อยากให้มีปัญหาในภายหลัง อยากให้ทุกคนเที่ยวชมเทศกาลอย่างสนุกสนาน”
   ทั้งๆที่ถังรุ่ยอยากจะเถียงเหลือเกินว่า เขามีชื่อเสียงแล้วอย่างไรเล่า ไม่ได้มีป้ายเขียนติดไว้ว่าได้ลงเรือลำเดียว พากันพายหนีทางการกับพวกเจ้าเสียหน่อย เขาเป็นคนของยุทธภพ ไม่มีใครคิดหรอกว่าจะมาสมรู้ร่วมคิดช่วยกันซ่อนตัวหานซิ่นจากทางการ
   ถังรุ่ยค่อนข้างมั่นใจว่าคุณชายน้อยผู้นี้ต้องแกล้งเขาแน่ๆ
   “เอาเถอะๆ ทุกท่านโปรดอย่าเสียใจไป ความปลอดภัยย่อมมาอันดับหนึ่ง ไม่เสียสละชัยชนะไม่เกิด!”

   ในที่สุด ข้าและสาวงามอีกสองนาง(?)จึงได้ออกมาเที่ยวชมเทศกาลแขวนโคมไฟ ตอนนี้ท้องถนนเรียงรายไปด้วยโคมไฟสีส้มนวล รูปทรงแตกต่างหลากหลาย บางรูปทำเป็นโคมไฟปลา บางรูปทำเป็นสี่เหลี่ยม ประดับประดาด้วยลวดลายอันวิจิตรตระการตา อาจพูดได้เลยว่าเทศกาลหยวนเซียวที่นครลั่วหยางแห่งนี้ ยิ่งใหญ่ไม่แพ้มหานครฉางอานเลยทีเดียว
   “ถังรุ่ย เมื่อครู่ก่อนออกมาเจ้าบอกข้าว่ามีของบางสิ่งที่ต้องการซื้อ” หานซิ่นกล่าว ข้าขมวดคิ้ว ของอันใดกัน แต่เอาเถอะ มิใช่กงการอะไรของข้า
   ถังรุ่ยเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ “ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัว เจอกันที่โรงเตี๊ยมหลังเทศกาลนะขอรับ”
   ความจริงเทศกาลหยวนเซียวนี้มีกำหนดจัดงานถึงห้าวัน แต่ละวันเพื่อไม่ให้เกิดเหตุร้ายจึงต้องกำหนดเวลาสิ้นสุดไว้ อีกอย่างทางการเองก็ต้องให้เหล่าขุนนางลาดตระเวนได้พักผ่อนจึงเป็นเช่นนี้ นับว่าปล่อยให้เหล่าขุนนางผู้ทำหน้าที่ดูแลประชาราษฎรได้ผักผ่อนอย่างเต็มอิ่ม แต่ในความเป็นจริงจะมีสักกี่คนกัน ที่เสียสละตัวเองเพื่อชาติบ้านเมืองอย่างแท้จริงและไม่หวังอำนาจ
   เอาเถอะ เรื่องของการเมืองไม่เกี่ยวข้องกับข้า
   “ภรรยา คืนนี้เจ้าอยากได้สิ่งใดหรือไม่”
   แค่กๆ ข้าสำลัก แม่ทัพผู้นี้ทำโรคน่ากลัวของข้ากำเริบอีกแล้ว ข้าถอยห่างจากเขามาหนึ่งก้าว พลางมองด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ
   “ข้าไม่เคยพูดคำหวานหูเช่นนี้กับเจ้าเลยหรือ”
   ไม่เคยน่ะสิท่านถามมาได้ แต่ข้าไม่รู้จะตอบอย่างไร จึงเบี่ยงประเด็นไปเรื่องอื่น
   “ตรงนั้นมีถังหูลู่ขาย”
   ข้าตรงไปหาคนขายถังหูลู่* ถังหูลู่เป็นของกินขึ้นชื่อของทางเหนือ โดยเฉพาะในเป่ยจิง นานๆครั้งจึงจะเห็นมีคนนำมาขายในงานเทศกาลที่นครฉางอาน สมัยเป็นเด็กข้าชื่นชอบยิ่งนัก รสหวานของน้ำตาลผสมกับความเปรี้ยวพอดี กัดเข้าไปทีลิ้นก็รับรู้ถึงความรู้สึกสดชื่น
   “เอากี่ไม้ดีขอรับ คุณชายท่านนี้”
   ข้าเหลือบมองหานซิ่นที่ตามมา พลางกล่าวกับคนขายว่า “ขอสองไม้ ไม้นี้ของข้า อีกไม้สำหรับภรรยาข้า”
   หานซิ่นจ้องข้าเขม็ง แต่ข้าหาได้สนใจไม่ ยื่นถังหูลู่ให้เขาไปหนึ่งไม้
   “อร่อยนะท่าน ลองชิมดู”
   “ดีๆ ฮูหยินมีสามีเช่นคุณชายนับว่าเป็นโชคดี ขอให้รักกันนานนานๆ”
   ข้านิ่งอึ้ง ไม่คิดว่าคนขายจะอวยพรเช่นนี้ เดิมทีความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับหานซิ่นเมื่อเป็นจิ่วฉือเหนียงช่างห่างไกลคำว่ารักใคร่กลมเกลียว มาตอนนี้พอได้ยินมันเลยแปลกพิกล ไม่เคยชิน
   แต่กับท่านแม่ทัพกลับยิ้มรับหน้าตาเฉย พร้อมกล่าวว่า
   “ท่านพูดถูกใจข้ายิ่งนัก ขอเพิ่มอีกห้าไม้”
   “…”
   “เป็นของรางวัลแด่สามีที่คอยดูแลภรรยาเช่นข้า”
   หานซิ่นนะหานซิ่น ข้าพลันหมดคำพูด กัดถังหูลู่จนฉีกขาดด้วยหาที่ลงไม่ได้
   คนขายเมื่อได้ยินดังนั้น จึงรีบกล่าวอวยพรประจบประแจง
   “ขอให้รักกันจนตราบสิ้นฟ้าดิน”
   ข้านั้นกระอักความหงุดหงิดไปหลายอึกแล้ว
   ปึก!
   พลันมีคนชนข้า ด้วยไม่ระวังจนเกือบล้มหงายหลังเคราะห์ดีที่ได้ภรรยา(?)อย่างแม่ทัพหานซิ่นคอยรับไว้
   ภรรยาที่ดี…
   ทว่า!!! พอข้าเงยหน้าขึ้นมอง คนที่ชนเมื่อครู่คือคนของทางการ ข้ารีบยันกายลุกขึ้นยืนด้วยสองขา ก่อนจะหันหน้าหลบ
   “คารวะไต้เท้า ท่านมาตรวจสินค้าใช่หรือไม่”
   คนขายรีบเข้าไปทักทายคนของทางการ ข้านึกว่าพวกเราจะรอดแล้วแต่…
   “คุณชายท่านนี้…”
   ข้าไม่เคยรู้จักหน้าค่าตาเจ้ามาก่อน เช่นนั้นข้าภาวนาขอให้เจ้าอย่าได้มารู้จักข้าเลย
   ใต้เท้าผู้นี้มองต่ำลงไปที่เอวของข้า พลันข้าเบิกตากว้าง บัดซบ! ข้าพกหยกของจวนสกุลโหวออกมา ลืมถอดเก็บเอาไว้เสียได้ สะเพร่าแล้ว
   “ทหารใครอยู่แถวนี้ จับกบฏโค้นล้มบรรลังก์!!!”
   ข้ารีบคว้าข้อมือท่านแม่ทัพพลางกล่าวว่า “ไป!”
   ไม่รอให้ข้าพูดมากกว่านี้ เราทั้งคู่ก็รีบออกวิ่งทันที พร้อมกับขบวนทหารที่ตามมาข้างหลัง
   “เข้าไปหลบที่ตรอกนั้นก่อน”
   แต่ทว่านับเป็นความโชคดีอีกหน ที่ท่ามกลางงานเทศกาลผู้คนมากมายสัญจรขวักไขว่บนท้องถนน ทหารของทางการย่อมปฏิบัติภารกิจลำบาก เดิมทีมีหน่วยลาดตระเวนก็เพื่อรักษาความปลอดภัยภายในงานเท่านั้น อาทิ เรื่องเข้าใจผิดเกิดเหตุชกต่อยเล็กๆน้อยๆ กับเรื่องไม่เป็นเรื่อง การต้องมาไล่จับตัวกบฏอย่างพวกเขาเช่นนี้ ย่อมเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายทั้งสิ้น
   ข้ากับท่านแม่ทัพจึงสามารถหลบหนีคนของทางการมาได้อย่างปลอดภัย
   “เหยื่อมาติดกับดักเองเสียแล้ว”
   ทว่าเหตุการณ์กลับซ้ำรอยประวัติศาสตร์เสียได้
   นางมารหยาดโลหิตหัวเราะร่วน พลางชี้กระบี่มาทางพวกข้า
   “คราวที่แล้วข้าถามหาเขาเจ้าไม่ตอบ คราวนี้เจ้าพาเขามาพบข้าด้วยตนเอง ดีๆ”
   ข้าไม่ได้ตั้งใจพาเขามาพบเจ้าเสียหน่อย ข้าหลบหนีมาต่างหาก
   “แม่ทัพหานซิ่น เทียนโฮ่วมีบัญชา ลงโทษกบฏ ปกป้องบรรลังก์ เจ้ากระทำการกำเริบเสิบสาน มีความผิดโทษประหารชีวิต”
   “…”
   “จงไปสำนึกความผิดของตัวเองในนรกเถอะ”
   วี๊ด
   ไม่พูดต่อให้มากความ เสียงกระบี่ตัดผ่านสายลมตรงเข้าหาหานซิ่น บัดนี้เขาหลงลืมวรยุทธย่อมไม่มีทางประมือกับนางมารตนนี้ได้ ซีหยางจื่อกระหยิ่มยิ้มย่อง ภาชนะบรรจุใหม่ของสตรีที่ตายแล้วคนนี้ทำให้นางมีพละกำลังมากมายเหลือล้น ต้องขอบพระทัยเทียนโฮ่วที่เมตตา
   “ต่อให้ข้าต้องตาย เจ้าก็อย่าหวังดึงเขาลงนรก”
   ข้าตะโกนสุดเสียง พลันตัดสินใจอย่างรวดเร็ว เอาตัวเข้าขวางคมกระบี่ที่ที่พุ่งมาหาท่านแม่ทัพ
   สามี ท่านต้องไม่เป็นอะไร ในใจข้าภาวนาให้ถังรุ่ยปรากฏตัว
    ข้าหลับตา เตรียมรับความเจ็บปวด
   ทว่า…
   เจ็บ ข้ารู้สึกเจ็บ แต่เจ็บเพียงที่ไหล่เท่านั้น คมกระบี่เฉียดไหล่ข้าสร้างบาดแผลโฉบเฉี่ยว
   หานซิ่นจับตัวข้าหมุนย้อนกลับ ทันทีก็กลายเป็นว่าข้าถูกปราการแข็งแกร่งคอยปกป้องไว้เสียแล้ว กระบี่ที่ไม่รู้ว่ามาจากที่ใดในมือหานซิ่น ปัดกระบี่ของนางมารหยาดโลหิตให้พ้นทาง ราวกับเหตุการณ์ซ้ำรอยอีกรอบ นางมารกระเด็นถอยหลัง กระอักเลือดไปหลายอึก เมื่อปะทะกับปราณที่แข็งแกร่งกว่า
   ท่านแม่ทัพ วรยุทธท่านกลับมาแล้ว!
   ข้าดีใจเพียงชั่วครู่ พลันต้องเบิกตากว้างกับคำกล่าวต่อมาของหานซิ่น
   “ตกลงเจ้าคือโหวเฉียนเฉิง หรือจิ่วฉือเหนียงอนุภรรยาของข้า”
   ไม่เพียงแต่ความสามารถเท่านั้นที่กลับมา ความทรงจำของแม่ทัพหานผู้นี้ก็กลับมาด้วย

*ถังหูลู่
   ในภาษาจีนแปลว่า น้ำเต้าเคลือบน้ำตาล แต่เดิมเขาจะใช้ ซานจา แค่ 2 ลูก มาเสียบไม้ โดยเสียบให้ลูกเล็กอยู่ด้านบน ส่วนลูกใหญ่อยู่ข้างล่าง ทำให้รูปร่างคล้ายน้ำเต้า จึงเรียกชนมชนิดนี้ว่า ถังหูลู่ ภายหลัง มีการเพิ่มจำนวนของถังหูลู่ ขึ้นเป็น 4-8 ลูก ในปัจจุบัน มีการนำผลไม้ชนิดอื่นเข้ามาดัดแปลง ให้มีความหลายหลากมากขึ้น เช่น สตรอว์เบอร์รี่ สับปะรด แคนตาลูป องุ่น และ ส้ม
   ตามความเชื่อของชาวปักกิ่ง ถังหูลู่ ถือเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นสิริมงคล และ เป็นพระเอกของงานวัด ที่จัดขึ้นในช่วง เทศกาลตรุษจีน ในเมืองปักกิ่ง อีกด้วย คนส่วนใหญ่มักจะซื้อ แต่ไม่กิน จะนำกลับบ้านเพื่อเป็นของสิริมงคลแทน โดยเชื่อว่า ถังหูลู่ จะนำ โชคดี โชคลาภ และความมั่งคั่ง มาสู่ครอบครัวในวันปีใหม่
   {ข้อมูลจากเว็บไซต์ : https://specialfood.co.th}

   
   

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ nikpook

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
สนุกมากๆเลยค่ะ ท่านแม่ทัพความทรงจำกลับมาแล้วจะเป็นยังไงต่อ :katai1:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2

ออฟไลน์ Quatree

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 279
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1

ออฟไลน์ bigbeeboom

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 381
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
โอย ลุ้นนนน สนุกมากๆ มาลุ้นต่อว่าจับความจริงได้หรือยัง ตอนหน้าจ้า

ออฟไลน์ JanTi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
รู้ว่าหยกพกทำให้เกิดปัญหา  :เฮ้อ:
ก็ยังจะพกคิดตัวอยู่นั่นแหละ สมองมีปัญหาและ   :z3:

ออฟไลน์ toeytoey

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 4
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :katai4: อย่าใจร้ายกะนายเอกมากเลย นางน่าสงสารนะท่านแม่ทัพ

ออฟไลน์ Jiraapp

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 380
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เหนียงเหนียง อาซิ่น แหม ๆๆๆๆ หนีพวกทหารมาได้ยังมาเจอนางมารอีกกกก

ออฟไลน์ mokha

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
มาต่อเหอะน้าาาาาาาาา

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด