ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทสิบสี่ #อัพ 14-12-2019
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทสิบสี่ #อัพ 14-12-2019  (อ่าน 14307 ครั้ง)

ออฟไลน์ MewSN

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 170
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +234/-4
บทสิบสอง
ข้าได้เลื่อนตำแหน่ง
   วังกงกงไล้มือไปตามสันหนังสือ เวลานี้ขันทีเฒ่าอยู่ในห้องทรงพระอักษรของฮ่องเต้ กำลังมองหาอะไรสักอย่างที่ชั้นหนังสือ พระเจ้าถังเกาจงประชวรมาหลายวันแล้ว แม้เทียนโฮ่วจะทรงมีพระทัยใส่ใจในการบ้านการเมือง แต่ทว่าม้วนฎีกาที่กองพะเนินบนโต๊ะทรงพระอักษรเหล่านี้กลับไม่ได้รับการชำระ นั่นเพียงเพราะว่าฎีกาไม่ได้ถูกถวายในท้องพระโรง ซึ่งแน่นอนว่าผู้รับและตรวจทานจะต้องเป็นเทียนโฮ่ว ฉะนั้นเพื่อให้แน่ใจว่าฎีกาจะถึงมือฝ่าบาท เหล่าขุนนางจึงต้องมายื่นให้กับวังกงกงขันทีผู้รับใช้ข้างกายฮ่องเต้ด้วยตนเอง เรื่องนี้มิใช่ไม่รู้ถึงหูเทียนโฮ่ว แต่พระนางไม่อยากปิดประตูเมืองหลวงไปทุกบาน เหลือช่องทางไว้ให้ศัตรูได้หายใจ เป็นการทำให้ตายใจก่อนลงมือเชือด เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ทุกอย่างย่อมเป็นไปตามพระประสงค์ของเทียนโฮ่ว
   วังกงกงรู้เรื่องนี้ดี จึงมิอาจปล่อยเวลาให้ผ่านไป ระหว่างที่ฝ่าบาททรงประชวร เขาจำต้องทำอะไรสักอย่าง เดิมทีเป็นขันทีถูกขุนนางฝ่ายพลเรือนกล่าวหาว่าประจบประแจง วันๆเอาแต่เที่ยวจับผิดผู้อื่น แต่วังกงกงผู้นี้มิเคยเป็นเช่นนั้น เขาเข้ามาเป็นขันทีตั้งแต่ยังหนุ่มแน่น ไม่เคยประพฤติผิดกฎข้อใดในพระราชวัง ดำรงตนอยู่ในกฎระเบียบของขันทีอย่างเคร่งครัด ขันทีคนอื่นๆเห็นดังนั้นจึงกล่าวเตือนเขาว่า ไม่ประจบสอพลอ หน้าที่การงานก็ไม่ก้าวหน้า แต่วังกงกงก็มิเคยเสแสร้งแกล้งทำให้ผู้อื่นพอใจ หน้าที่เขาก็มีเพียงแต่เป็นขันทีประจำอยู่ที่หอตำรา คอยจัดการกับม้วนตำรามหาศาลที่ถูกส่งมาจากฝ่ายอื่นๆในวังหลวงให้เป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่เสมอ
   แต่วันหนึ่งเหมือนสวรรค์มีตา เบื้องบนเห็นความดีของวังกงกง พระเจ้าถังเกาจงในวัยสิบแปดชันษาจู่ๆก็นึกอยากจะมาเที่ยวเล่นที่หอตำรา มิใช่มาอ่าน แต่พระองค์เพียงหลบหนีการเครี่ยวกรำฝึกฝนอย่างเคร่งครัดของพระอาจารย์หวัง หรือก็คือแม่ทัพหวังมู่จินซึ่งมีศักดิ์เป็นพระเจ้าอาของพระองค์ จื้อหนูพระนามก่อนที่พระองค์จะเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ องค์ชายจื้อหนูในวัยสิบแปดปี เมื่อมาเห็นขันทีวังกงกงแม้ตำแหน่งน้อยนิด กำลังจัดการกับม้วนตำราอย่างขะมักเขม้นเป็นการเป็นงาน ก็นึกสะท้อนใจ พระองค์เป็นถึงองค์รัชทายาทซึ่งในอนาคตอันใกล้ไม่ช้าก็เร็วจะขึ้นเป็นฮ่องเต้ของแผ่นดินต้าถัง ไม่ร่ำเรียนวิชา เอาแต่หลบหนีไปเที่ยวเล่นเตร็ดเตร่ เหตุนี้จะเป็นราชาผู้ทรงพระปรีชาสามารถของประชาชนได้อย่างไร
   ‘ขันทีผู้นี้ เจ้ามีนามว่าอะไร’
   วังกงกงซึ่งบัดนี้ด้วยวัยเกือบสี่สิบปีก็ยังคงทำงานอยู่หอตำรามิได้เลื่อนขั้นไปที่ใดกล่าวตอบอย่างนอบน้อม
   ‘ทูลองค์ชาย หม่อมฉันขันทีวังแห่งหอตำรามู่อิ๋นพะยะค่ะ’
   ‘นับแต่นี้เจ้าเป็นขันทีประจำกายข้า ให้เลื่อนตำแหน่งเป็นกงกง’
   ขันทีวังรีบคุกเข่า ละล่ำลักทำความเคารพ
   ‘เป็นพระกรุณายิ่งพะยะค่ะ ข้าน้อยจะทำอย่างสุดความสามรถ’
   เป็นขันทีเรื่องที่ควรเกรงใจย่อมกล่าวปัด เรื่องที่ไม่ควรเกรงใจย่อมไม่ควรเกรงใจ
   “อา เจอแล้ว”
   นัยน์ตาฝ้าฟางของขันทีเฒ่ามีประกายความหวัง ก่อนจะดึงตำราม้วนหนึ่งออกมาจากตู้หนังสือ
   พลันหูได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวเข้ามา วังกงกงเก็บตำรายัดใส่ช่องเดิมอย่างรวดเร็ว ก่อนหันตัวไปหาผู้มาเยือน
   ฉุนกงกง ขันทีประจำกายเทียนโฮ่ว รูปร่างอ้วนท้วนทั้งตัวและสมอง กล่าวกันว่าความฉลาดของขันทีผู้นี้จึงเป็นที่พอพระทัยของเทียนโฮ่ว
   “ฉุนกงกง”
   “วังกงกง”
   สองขันทียศเสมอกันกล่าวทักทาย
   “เวลานี้ฝ่าบาทประชวรหนัก เหตุใดวังกงกงจึงทิ้งพระองค์ มาอยู่ที่นี่ล่ะ”
   วังกงกงไม่แสดงพิรุธ เพียงยิ้มอย่างเป็นมิตรแล้วกล่าวว่า
   “ข้ารับหน้าที่ให้มาตรวจสอบจำนวนฎีกาที่เหล่าขุนนางยื่นถวายในวันนี้”
   “นั่นสิๆ ลำบากวังกงกงแล้ว แต่อีกหน่อยคงมิต้องลำบากฮ่องเต้แล้ว หน้าที่นั้นเทียนโฮ่วทรงกล่าวว่าจะจัดการด้วยตนเอง”
   “หามิได้ เทียนโฮ่วทรงมีน้ำพระทัย ใส่ใจกิจการบ้านเมือง ไม่นานเมื่อฝ่าบาททรงพระวรกายแข็งแรง คงได้ร่วมด้วยช่วยกันบริหารราชกิจ”
   พลันดวงตาของฉุนกงกงปรากฏความแข็งกร้าว ชั่วครู่เขาก็ขจัดมันทิ้งไป
   “เช่นนั้นก็ดี”
   “ปลีกตัวมานาน ข้าต้องขอตัวกลับตำหนักฮ่องเต้แล้ว”
   “เชิญ!”
   วังกงกงไม่รอช้า รีบก้าวเดินออกจากห้อง คล้อยหลังไปได้ไม่นาน ฉุนกงกงก็กำมือแน่น สบถวาจา
   “อีกไม่นานดวงอาทิตย์ของท่านก็จะดับแสงลง วังกงกง”
   
   แม้วังกงกงจะได้เห็นเนื้อหาในม้วนตำราในเวลากระชั้นชิด แต่เขาก็ได้อ่านเนื้อความจนหมดแล้ว หน้าที่ขันทีประจำหอตำราทำให้เขามีความจำเป็นเลิศ เวลานี้รีบกลับตำหนักจักรพรรดิไปทูลให้ทรงทราบจะเป็นการดี
   “วังกงกง”
   “ซุนกงกง”
   ซุนฉื่อ หัวหน้าขันที เมื่อก่อนทำหน้าที่เป็นขันทีข้างกายพระเจ้าถังเกาจง ก่อนที่วังกงกงจะได้เลื่อนตำแหน่ง พอวังกงกงเข้ามาช่วยงาน ซุนฉื่อที่มีหน้าที่อีกตำแหน่งคือหัวหน้าขันที คอยดูแลขันทีทุกคนในพระราชวังก็ปลีกตัวไปดูแลทางนั้นมากกว่า งานดูแลพระเจ้าถังเกาจงส่วนใหญ่จึงมาตกอยู่ที่วังกงกง แต่ซุนฉื่อก็ยังคอยแวะเวียนมาปฏิบัติหน้าที่เดิมอยู่เสมอ
   “วังกงกงมาพอดีเลย เมื่อครู่ข้าไปที่ตำหนัก พระองค์ฟื้นจากบรรทมแล้วทรงเรียกหา”
   “ขอบคุณซุนฉื่อกงกง ถ้างั้นข้าขอตัว”
   วังกงกงทำท่าจะก้าวเดินต่อ แต่ถูกซุนฉื่อกงกงรั้งไว้
   “เดี๋ยววังกงกง ท่านคิดว่าบ้านเมืองทุกวันนี้วุ่นวายหรือไม่”
   กงกงเฒ่าได้ฟังคำหัวหน้าขันทีก็รับรู้โดยนัยน์
   “ข้าเป็นเพียงขันทีข้างกายฮ่องเต้ เรื่องอันใดที่พระองค์ไม่รู้ข้าย่อมไม่รู้”
   ซุนฉื่อกงกงยกยิ้ม “ถ้าเช่นนั้นก็ดี เรื่องไหนที่มิควรรู้ ท่านก็อย่ารู้เลย”
   หัวหน้าขันทีพูดทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้น แล้วเดินจากไป

   “ซีหยางจื่อเจ้าตอบมา เทียนโฮ่วกับเจ้า มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร”
   หลังจากท่านแม่ทัพใหญ่กลับมาเป็นคนเดิม วรยุทธกล้าแข็ง สามารถเอาชนะและจับตัวนางมารหยาดโลหิตกลับมาที่โรงเตี๊ยมได้ ตอนแรกหานซิ่นต้องพันธนาการแขนขานางไว้ด้วยมือของตนเอง เพราะไม่ว่ามัดมือนางด้วยเชือกอะไรนางก็สามารถรวบรวมพละกำลังจนทำให้เชือกที่รัดแน่นขาดกระจุยกระจายได้ นี่แหละคือพลังของมาร จนเมื่อถังรุ่ยกลับมา และนำเชือกมัดเซียนมามัดนางไว้ เช่นนั้นสุดท้ายนางจึงไม่มีทางหนีไปไหนได้อีก ยิ่งนางออกแรงพยายามทำให้เชือกขาดมากเท่าไหร่ เชือกมัดเซียนยิ่งรัดแน่นเป็นเท่าตัว สร้างความเจ็บปวดให้ตัวนางเอง
   นางมารหยาดโลหิตผู้นี้มีนามว่าซีหยางจื่อ เป็นหนึ่งในขุนพลลำดับต้นๆแถวหน้าของภพมารทางฝั่งเหนือ สามารถอาศัยอยู่ในภพมนุษย์ด้วยการอาศัยร่างภาชนะบรรจุของศพมนุษย์ที่ตายแล้ว เพราะเป็นขุนพลมารแข็งแกร่ง ร่างภาชนะจึงสามารถรักษาไว้ได้นานกว่ามารปลายแถวที่เข้าสิงซากศพไม่กี่วันศพก็เน่าเปื่อย
   “เจ้าสมคบคิดกับพระนางอู่ กระทำการใด”
   แม่ทัพหานซิ่นยังคงคาดคั้นเอาคำตอบจากนาง แม้ว่าทำเช่นนั้นมาหนึ่งชั่วยามก็ยังไม่ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์สักเท่าไรนัก
   “บอกไปคาดว่าก็ไม่ทันการณ์ที่เจ้าจะป้องกันได้เสียแล้ว”
   นางว่า แล้วหัวเราะร้ายกาจ ก่อนจะต้องหุบปากเพราะปลายกระบี่ของท่านแม่ทัพได้จ่อลงที่ลำคอนางเสียแล้ว
   “เอาสิ ฆ่าข้าเลย เพราะยังไง เจ้าก็จะไม่ได้ในสิ่งที่เจ้าต้องการหรอก”
   เมื่อนางมารสบถถ้อยคำจนสาแก่ใจ พลันเบื้องหน้าของพวกเราก็ปรากฏกระแสลมหมุนวน ร่างของท่านเซียนหลี่เถียไกว่ค่อยๆก่อตัวขึ้นมาจากฝุ่นละออง
   “เสียเวลาเปล่าๆที่จะมานั่งสนทนากับมาร”
   เซียนเฒ่าตรงเข้าไปบีบคอนาง จนซีหยางจื่อหายใจไม่ออก จำต้องอ้าปากเพื่อสูดอากาศเข้า ข้านึกว่าหลี่เถียไกว่จะฆ่านางให้ตายด้วยวิธีโหดเหี้ยมเช่นนี้เสียแล้ว เพียงแต่ว่าเมื่อปากของนางอ้าออก เขาก็กรอกยาผงสีขาวลงไปจำนวนหนึ่ง แล้วคลายมือที่บีบคอนาง
   “เจ้าเซียนเฒ่า เจ้าเอาอะไรให้ข้ากิน”
   “ยาที่ข้าให้เจ้ากินมีชื่อว่ายาคืนสัจจะ ด้วยฤทธิ์ของยานี้จะทำให้เจ้าพูดความจริงออกมา”
   ซีหยางจื่อพลันหน้าซีดเผือด ความลับระหว่างนางกับเทียนโฮ่วนั้นมีมากมาย หากผู้อื่นล่วงรู้ น่ากลัวว่าในวันหน้าจะเป็นหลักฐานมัดตัวพระนางอู่อย่างแน่นหนา
   “อีกสักพักยาใกล้จะออกฤทธิ์แล้ว” เซียนเฒ่าว่า ข้ากับหานซิ่นหันมาจ้องตากันโดยมิได้นัดหมาย พลันเป็นข้าที่เสมองไปทางอื่น
   “เจ้ามีนามว่าอะไร” หลี่เถียไกว่ถามนางมาร
   “ข้า ซีหยางจื่อ ขุนพลลำดับสิบสองแห่งพรรคมารไท่ผิง”
   ยาได้ผลจริง เช่นนั้นเซียนเฒ่าจึงพยักหน้าย้ายหน้าที่ให้แม่ทัพหานซิ่นเชิญถามต่อได้
   “เจ้ากับเทียนโฮ่ว…”
   ฉึก!
   “แล้วกัน!”
   ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็ว ศรธนูดอกหนึ่งพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วทางหน้าต่างที่เปิดอ้า ก่อนจะปักลงตรงจุดหมายที่เจ้าของเล็งเอาไว้
   ที่ลำคอของซีหยางจื่อ คมศรทะลุหลอดลม นางมารสิ้นใจทันที
   แม่ทัพหานซิ่นคว้ากระบี่แล้วรีบไล่ตามผู้ลงมือ
   “ถังรุ่ยเจ้าจัดการเผาศพมารตนนี้เสีย” หลี่เถียไกว่ถอนหายใจ “อีกนิดเดียวแท้ๆ”
   ก่อนร่างเขาจะค่อยๆหายไปพร้อมฝุ่นละอองปลิวว่อนในอากาศ
   นึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไปอีกแล้ว ข้าชินชาเสียแล้วล่ะ

   แม่ทัพหานซิ่นกลับมาพร้อมข่าวร้าย จับตัวนักฆ่ากลับมาไม่ได้ เท่ากับว่าทุกอย่างคว้าน้ำเหลว คืนนี้จำต้องเลิกรากันไป ถังรุ่ยขอตัว ข้าเองตอนแรกก็ตั้งใจจะกลับไปพักยังห้องเดิมของข้า เพราะแม่ทัพผู้นี้ความทรงจำกลับมาทั้งหมดแล้ว ไม่จำเป็นต้องเล่นละครฉากใหญ่อีกต่อไป นึกไม่ถึงว่าขากำลังจะก้าวออกจากห้องไป เขาก็เรียกให้ข้าหยุด
   “เจ้าจะไปไหน”
   “กลับห้องขอรับ”
   ข้ากล่าวบอก “กลับห้องอันใด เจ้าอย่าทำเป็นลืมเรื่องที่ข้าถามเจ้าที่ตรอกเมื่อครู่”
   ข้าขมวดคิ้วมุ่น ข้าลืมไปแล้วจริงๆ
   “ตกลงเจ้าคือผู้ใด โหวเฉียนเฉิง หรือว่าจิ่วฉือเหนียง”
   เรื่องนี้เองเหรอ ข้าแค่นยิ้ม พลางกล่าว “ท่านจะอยากรู้ไปทำไมกัน หรือถ้าข้าเป็นจิ่วฉือเหนียง ท่านจะไม่ไว้ใจข้าเช่นนั้นหรือ”
   เดิมทีข้าเป็นคนสกุลจิ่ว สกุลจิ่วได้ชื่อว่าเป็นสุนัขรับใช้ฮองเฮา แถมฐานะข้านั้นยังเป็นตัวหมากช่วยบิดาให้ทำลายชื่อเสียงของแม่ทัพหานซิ่นผู้นี้จนป่นปี้ เขาย่อมระแวงในตัวข้าไม่แปลก
   “ถ้าเป็นเช่นนั้นท่านมิต้องระแวงสงสัยอันใดในตัวข้า ขอท่านโปรดเชื่อใจข้า ข้าอยู่ในร่างของโหวเฉียนเฉิงนับเป็นคนสกุลโหว เรื่องราวในอดีตลืมเลือนไปเสีย…”
   หมับ!
   ข้าเอ่ยยังไม่ทันจบ ร่างทั้งร่างก็ถูกดึงเข้าไปหาท่านแม่ทัพ
   หานซิ่นสวมกอดข้าไว้แนบแน่น ความอบอุ่นในตัวท่านแม่ทัพแผ่ซ่านเข้ามา พาให้ความรู้สึกของข้าผิดแปลกไป
   “ข้าขอโทษเจ้า จิ่วฉือเหนียง”
   แม้มิรู้ว่าหานซิ่นกล่าวขอโทษข้าเรื่องใดบ้าง แต่บัดนี้ใจข้าได้ยกโทษให้เขาไปหมดสิ้นแล้ว
   โดยไม่รู้ตัว ข้าโอบกอดร่างสูงใหญ่ตอบ

   “เจ้าจะไปไหน!”
   หลังจากทำความเข้าใจเรื่องราวต่างๆกันอยู่นาน ข้าบอกเล่าเรื่องราวมหัศจรรย์ต่างๆที่ข้าได้พานพบ แต่มิได้บอกไปว่าข้าตายอย่างไร ถึงยังไงจินหรูอันก็เป็นนางในดวงใจของหานซิ่น เขาย่อมมิอาจเชื่อได้ลงว่านางจะกระทำการโหดเหี้ยมเช่นนี้ได้หรอก เรื่องที่ควรเล่าข้าก็เล่าไปหมดสิ้นแล้ว ข้าจึงถามเขากลับไปว่าคืนนั้นได้เกิดเหตุการณ์ใดขึ้น แม้ข้าจะรู้อยู่เต็มอกว่าเรื่องราวเป็นเช่นไร แต่ข้าก็ตั้งใจถามเพื่อหยั่งเชิงดูว่าหานซิ่นยังคงเศร้าเสียใจกับเรื่องของฮูหยินผู้เฒ่าและอดีตเสนาบดีหานอยู่หรือไม่ ผลปรากฏว่าแม่ทัพผู้นี้ซ่อนความรู้สึกเก่งจนข้าเกือบเชื่อไปแล้วว่าเขาไม่รู้สึกรู้สาอะไร เพียงแต่ว่าจิตใจคนแข็งนอกอ่อนใน อย่างไรเสีย ข้าก็เพียงให้แน่ใจว่าเขาจะไม่จมปรักอยู่กับเรื่องนี้จนพลอยทำให้ไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งผลที่ข้าเดาเอาเองก็เป็นที่พอใจของข้าแล้ว
   ส่วนเรื่องสัญญาเลือด ข้าว่าไม่บอกเขาจะเป็นการดีที่สุด
   “ข้าจะกลับห้องขอรับ”
   “ใยเจ้าต้องพูดว่าขอรับๆ ข้ารำคาญหูยิ่งนัก เจ้าเป็นภรรยาข้า ควรใช้คำอย่างไรกับสามีเจ้าย่อมรู้”
   ข้าเบิกตากว้าง นี่ท่านกล่าวอันใดอยู่ท่านแม่ทัพใหญ่
   “มานี่”
   เมื่อเห็นว่าข้านิ่งอึ้งอยู่หน้าประตู เขาก็เป็นฝ่ายเดินมาลากข้าเข้าไปหา
   “ไป ไปที่ใดกัน”
   “คืนนี้เจ้าปรนนิบัติข้าอาบน้ำ”
   !!!
   เรื่องอันใดกัน!
   
   
   
   
   

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ MewSN

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 170
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +234/-4
บทสิบสาม
บุญคุณ หนี้แค้น
   “ซีหยางจื่อตายแล้ว”
   จ้าวจือหลางเบิกตากว้าง กล่าวละล่ำละลักถามเทียนโฮ่ว หวังให้คำที่ออกมาจากปากของพระนางไม่เป็นเรื่องจริง
   “น้องสาวร่วมสาบานของเจ้า ทำงานล้มเหลว ถูกฝ่ายศัตรูจับได้ ข้าจึงไม่มีทางเลือกจำต้องสังหารนางปิดปาก ถ้าเจ้าจะคิดแค้น ก็จงแค้นผู้ที่จับตัวน้องเจ้าได้เถอะ”
   จ้าวจือหลางมิอาจตัดสินเทียนโฮ่วได้อยู่แล้ว จึงได้แต่ก้มหน้ายอมรับต่อชะตากรรมของน้องสาวร่วมสาบาน พลันมือที่ถือกระบี่ก็ยิ่งกำแน่นเข้าไปอีกด้วยความแค้นสุมอก
   “มันเป็นผู้ใดขอรับ”
   พระนางอู่ไม่ได้ตอบคำ เป็นฉุนกงกงที่ยืนอยู่ข้างกายเทียนโฮ่วตอบแทน
   “แม่ทัพหานซิ่น”
   เทียนโฮ่วเห็นร่างของจ้าวจือหลางสั่นกระตุกด้วยความเครียดเกร็งก็ยิ่งโหมกระแสลมเติมเชื้อเพลิงกล่าวว่า
   “เดิมทีคนผู้นี้รอดพ้นจากการจับกุมของข้าไป นึกไม่ถึงว่าจะยังมีชีวิตอยู่”
   จ้าวจือหลางพลันหยัดกายลุกขึ้น
   “ทูลเทียนโฮ่ว แม่ทัพหานซิ่นผู้นี้ ข้าจะนำหัวของเขามาให้พระนาง”
   “ดี!!!”
   ฉุนกงกงกับพระนางอู่ลอบสบตากัน พลันทั้งคู่ก็เผยยิ้มร้าย
   จุดจบของหานซิ่น เป็นใคร ใครก็อยากชม

   “ถวายพระพรเทียนโฮ่ว”
   จิ่วเหมียนชงไม่ทราบด้วยเหตุใดตนจึงถูกเรียกมาเข้าเฝ้าพระนางอู่ยามดึกเช่นนี้ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็คงไม่ใช่เรื่องดีแน่ เพราะเขาเหลือบเห็นหน้าพระพักตร์ของเทียนโฮ่วยามนี้ ดูไม่สบอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง จึงได้รีบกล่าวประจบเอาใจอย่างที่ทำจนเคยชิน
   “เทียนโฮ่วทรงมีเรื่องใดให้ข้าน้อยรับใช้หรือขอรับ”
   เป็นถึงขุนนางตำแหน่งเสนาบดี แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าสตรีผู้นี้ เขากลับต้องแทนตัวว่าข้าน้อย รู้ถึงไหน อับอายถึงนั่น
   “จิ่วเหมียนชงนะจิ่วเหมียนชง ลูกชายเจ้าเพิ่งตายได้ไม่นาน ข้าได้ข่าวว่าบ้านเจ้าก็จัดงานเฉลิมฉลองเทศกาลหยวนเซียวอย่างอึกทึกครึกโครมเสียแล้ว”
   “ทูลเทียนโฮ่ว ข้าน้อยกับจิ่วกงเล่อลูกชายคนโตนั้นเสียใจอย่างยิ่งต่อการจากไปของลูกชายคนรอง แต่ทว่ามิเท่าเสียใจที่ลูกชายคนรองผู้นี้ ไม่อาจทำประโยชน์ให้กับพระองค์ได้อีกต่อไป”
   เสนาบดีผู้นี้นับว่าเลือดเย็นยิ่งนัก แม้ลูกชายในไส้ตายไปทั้งคน ไม่อาจเทียบเท่ากับการได้ประจบเทียนโฮ่ว ความเสียใจที่มีล้วนเป็นการเสแสร้งแกล้งทำทั้งสิ้น
   “เจ้าทราบหรือไม่ ว่าแม่ทัพหานซิ่นหนีไปกบดานยังเมืองลั่วหยาง”
   เทียนโฮ่วเอ่ยถาม
   “ทูลเทียนโฮ่ว ข้าเพิ่งทราบข่าวเมื่อเร็วๆนี้”
   “เขาหนีไปพร้อมกับลูกชายของเสนาธิการโหวอันเล่อ ว่ากันว่าโหวเฉียนเฉิงผู้นี้หายออกจากบ้านไปสามวันสองคืนไม่กลับ วันเดียวกับที่ลูกของเจ้ากระโดดน้ำตาย คนหายมิใช่คนตาย เมื่อเขากลับมาได้ทว่านิสัยกลับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เจ้าคิดเห็นว่าอย่างไร”
   “ทูลเทียนโฮ่ว โหวเฉียนเฉิงผู้นี้อาจสำนึกตนได้ แต่ข้าไม่เข้าใจว่าเขาเกี่ยวข้องกันอย่างไรกับเรื่องนี้”
   เทียนโฮ่วทรงพระสรวล
   “พูดได้ดีๆ ในบรรดาข้ารับใช้ของข้า เจ้าฉลาดที่สุดจิ่วเหมียนชง”
   “…”
   “ที่บรรพตหนานซาน มีเซียนผู้หนึ่งนามว่าหลี่เถียไกว่ เชี่ยวชาญวิชาการแพทย์ รักษาผู้คนด้วยวิชาแปลกใหม่พิสดาร ทว่าล้วนเต็มไปด้วยความอัศจรรย์ ว่ากันว่า เขาสามารถชุบชีวิตคนตาย พลิกฟื้นคนเป็น ถ้าข้าบอกว่าลูกของเจ้าบัดนี้ได้เข้าไปสิงอยู่ในร่างของโหวเฉียนเฉิง เจ้าจะว่าอย่างไร”
   “เป็นไปไม่ได้ๆ”
   เรื่องเหนือธรรมชาติเช่นนี้ เช่นนั้นคนตายวันนี้ อีกวันฟื้นคืนไม่เกลื่อนกลาดพบเห็นได้ทั่วไปหรอกหรือ
   “ลูกของเจ้าเกิดปีนักษัตรฉลู ธาตุดิน ใช่หรือไม่”
   “ใช่ขอรับ”
   “พลังธาตุสัมพันธ์กับนักษัตร นักพรตจากแดนใต้นามเหยียนจู่อันทำนายไว้ว่าพลังชีวิตที่กล้าแข็งเช่นนี้ ฆ่าไม่ตาย ถึงตายก็จะฟื้นคืนกลับมาใหม่ เดิมทีข้าไม่เชื่อ แต่หลายวันมานี้ข้าได้ให้คนจับตาดูคุณชายผู้นี้อยู่ห่างๆ ระหว่างเดินตลาดในเมืองลั่วหยาง เขาได้ทำสิ่งนี้ตกไว้ เจ้าดูเอา”
   เทียนโฮ่วยื่นสิ่งนั้นให้เขาดู
   “หยกตระกูลจิ่ว!”
   “ไม่ใช่หยกของตระกูลจิ่วธรรมดาทั่วไปใช่หรือไม่”
   เป็นตามคำของเทียนโฮ่วพูด หยกตระกูลจิ่วหรืออีกความหมายหนึ่งคือป้ายผ่านทางอันนี้ย่อมไม่เหมือนหยกของตระกูลจิ่วทั่วไปที่คนในจวนพกพา เมื่อเพ่งมองจะเห็นตัวอักษรจีนลวดลายงดงาม สลักชื่อของเจ้าของเอาไว้
   เหมียนเยว่…
   ชื่อของภรรยาอันเป็นที่รักของจิ่วเหมียนชง ก่อนตายนางได้มอบหยกชิ้นนี้ให้กับจิ่วฉือเหนียง ลูกชายคนรองของเขาให้ดูแล
   “ข้าคิดว่าท่านจิ่วคงมีคำตอบให้ข้าในใจแล้ว ว่าหยกชิ้นนี้ไปอยู่กับคุณชายตระกูลโหวได้อย่างไร”
   
   “เจ้าว่าเขาจะเชื่อที่ข้าพูดหรือไม่”
   พระนางอู่เอ่ยถามฉุนกงกงที่เดินข้างกายอยู่ไม่ห่าง ขันทีเฒ่ากล่าวว่า “ท่านจิ่วมิใช่คนโง่ เพียงแต่ขี้ประจบมากไป ดังนั้นเขาย่อมคิดได้พะยะค่ะ”
   เทียนโฮ่วพยักหน้า
   “เม่ยเหนียง”
   นานแล้วที่พระนางไม่ได้ยินผู้ใดเรียกขานเช่นนี้ ยกเว้นแต่…
   “จื้อหนู”
   พระเจ้าถังเกาจงพร้อมขันทีคนสนิทวังกงกงปรากฏกายขึ้น
   “ฝ่าบาททรงประชวร ไม่ทราบว่าหายดีแล้วหรือเพคะ”
   “เหตุใดกล่าววาจาห่างเหินกับข้าเช่นนี้ เรียกสรรพนามตามเดิมเถอะ ไป เดินชมจันทร์กันสักหน่อย”
   วันนี้นับว่าพระจันทร์เป็นใจ ทั่วท้องฟ้าสว่างจ้าไปด้วยแสงนวลของจันทร์วันเพ็ญ
   “ข้าล้มป่วยหนนี้ เจ้าคงลำบากแย่ งานบ้านงานเมืองข้าก็โยนให้เจ้าทำ”
   “ไม่หรอก ข้าเต็มใจช่วยท่าน” เทียนโฮ่วเมื่ออยู่ต่อหน้าโอรสสวรรค์ผู้นี้ที่แตกต่าง จึงไม่ไว้ยศไว้นามอีกต่อไป
   “นานแล้วนะ ที่พวกเรามิได้มาเดินเล่นชมจันทร์กันเช่นนี้”
   “ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว จื้อหนู เจ้ากับข้าก็ย่อมไม่เหมือนเดิม”
   ฮ่องเต้ทรงเหม่อมองท้องฟ้าแล้วได้แต่ทอดถอนพระทัย
   คำพูดของเทียนโฮ่ว เป็นเช่นนั้นจริงๆ

   “บัดซบสิ้นดี ไหนเจ้าบอกว่าวางยาฆ่ามันไปแล้วมิใช่หรือ”
   จิ่วกงเล่อสะบัดแขนเสื้อด้วยความหงุดหงิด เขาจ้องจินหรูอันเขม็ง เมื่อครู่ท่านพ่อเรียกเขาไปพบที่เรือนใหญ่ ตอนแรกจิ่วกงเล่อได้ยินมาว่าจิ่วเหมียนชงถูกเรียกตัวเข้าวัง มิแคล้วจะได้รางวัลใหญ่จากเทียนโฮ่ว แต่กาลกลับไม่เป็นเช่นนั้น ท่านพ่อถูกเรียกไปด้วยเรื่องของคุณชายรองที่ยังไม่ตาย หนำซ้ำมันยังถูกเซียนแห่งบรรพตหนานซานอะไรนั่นช่วยดึงดวงวิญญาณกลับมาเกิดใหม่ เรื่องมหัศจรรย์เช่นนี้ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เดิมคราวที่ท่านแม่คลอดมันออกมา มันก็นอนแน่นิ่งไม่หายใจ แต่สามวันต่อมาก่อนที่ท่านแม่จะตัดสินใจทิ้งมันลง มันกลับลืมตาตื่นขึ้นมา มาแย่งความรักใคร่เอ็นดูของท่านแม่ไปจากเขาทั้งหมด นับแต่นั้นเป็นต้นมา ท่านแม่ก็เอาแต่รักแต่หลงมัน ไม่เหลียวแลใยดีลูกชายคนโตเช่นเขา เขาแค้นมันยิ่งนัก
   “ข้าน้อยเห็นกับตาตัวเองเจ้าค่ะคุณชาย”
   จินหรูอันโผเข้ามากอดแข้งกอดขาจิ่วกงเล่อ ร้องไห้ฟูมฟายกลัวว่าอีกฝ่ายจะกระทำเรื่องโหดร้ายกับตน เดิมทีชีวิตคุณหนูตระกูลจินรุ่งเรืองรุ่งโรจน์ เติบโตขึ้นมาเป็นสาวงามสะพรั่ง แต่ถ้าไม่เพราะท่านพ่อของนาง จินอันเมี่ยนหลงผิดไปให้การสนับสนุนกับหานซิ่นจนตระกูลถูกเพ่งเล็งจากเทียนโฮ่ว และในที่สุดก็ถูกคำสั่งลับของพระนางอู่ ที่บัญชาให้ตระกูลจิ่วทำการกำจัดเสี้ยนหนามอย่างตระกูลจินไปเสีย เวลานั้นท่านแม่ทัพหานซิ่นทำศึกยังชายแดนใต้ อยู่ห่างไกลออกไป ไม่มีตระกูลไหนกล้ายื่นมือเข้ามาช่วย จิ่วเหมียนชงจับพ่อและแม่ของนางเป็นตัวประกัน เช่นนั้นคุณหนูจินหรูอันจึงกลายเป็นหมากอีกตัวของเทียนโฮ่ว แต่งเข้าเป็นภรรยาเอกของแม่ทัพหานซิ่น คอยแทรกแซงเป็นหูเป็นตาให้กับเทียนโฮ่วในจวนสกุลหาน
   แต่ทว่าการวางยาพิษคุณชายรองอนุภรรยาของหานซิ่นครั้งนี้เหนือความคาดหมาย นางถึงแม้จะถือโทษโกรธเคืองจิ่วฉือเหนียงว่าแย่งคนรักอย่างหน้าไม่อาย เดิมทีถ้าก่อนหน้านี้นางถูกแต่งเข้าไปเป็นภรรยาเอกของแม่ทัพหานซิ่น แน่นอนว่าเทียนโฮ่วคงมิอาจแตะต้องตระกูลจินได้อีกต่อไป เรื่องราวเป็นเช่นนี้นางย่อมแค้นฝังใจจิ่วฉือเหนียง แต่ทว่าความแค้นของสตรีอย่างนางเพียงน้อยนิดไม่อาจเทียบกับความแค้นของพี่ชายของจิ่วฉือเหนียงอย่างจิ่วกงเล่อ แผนลอบวางยาพิษทั้งหมดเป็นจิ่วกงเล่อที่เป็นเจ้าของแผนการ แม่ทัพหานซิ่นเป็นคนฉลาด แม้เขาไม่พูดแต่นางก็รู้ว่าเขาไม่มีทางเชื่อว่าจิ่วฉือเหนียงผู้นั้นจะกระโดดสระบัวฆ่าตัวตายดังคำจินหรูอันบอก หรือเขาอาจจะดีใจเสียด้วยซ้ำที่จิ่วฉือเหนียงต้นเหตุแห่งความอัปยศของตนถูกกำจัดไปนางก็ไม่อาจคาดเดาได้ เรื่องราวของจิ่วฉือเหนียงจบลงเพียงสองคำสั้นๆ ‘ช่างเถอะ’ ก่อนท่านแม่ทัพจะไม่กล่าวอะไรอีกเลย
   แต่กับฮูหยินผู้เฒ่า นังแก่หนังเหี่ยวนั่นไม่เพียงร้องไห้ฟูมฟายเป็นบ้าเป็นหลัง กลับล้มป่วยกะทันหันเพราะทนคิดถึงจิ่วฉือเหนียงไม่ได้ จินหรูอันรู้ความเป็นไปทุกเรื่องของตระกูลหาน ซ้ำยังรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่านั้นต่อหน้าทำร้ายกาจกับจิ่วฉือเหนียง แต่ความจริงรักใคร่เอ็นดูยิ่งกว่าใครๆ ทว่าแม้รู้ทุกเรื่องนางก็ไม่ได้โง่ กล่าวพูดกับเทียนโฮ่วทุกเรื่อง หลายคนยืมมือนางเพื่อทำลายตระกูลหาน นางเองก็จะยืมมือคนสองฝ่ายนี้ฆ่ากันเองเช่นกัน
   แต่นึกไม่ถึงว่าอีกสามวันต่อมา เทียนโฮ่วจะมีบัญชาให้กำจัดตระกูลหาน
   ตอนแรกจินหรูอันคิดว่าเป็นไปไม่ได้ แต่บัดนี้นางรู้ซึ้งถึงอำนาจของสตรีสูงศักดิ์ผู้นั้นแล้ว ผ่านไปเพียงชั่วข้ามคืน ตระกูลหานทั้งตระกูลก็ถูกฆ่าล้างโคตรอย่างโหดเหี้ยม โดยก่อนตายยังถูกใส่ร้ายอย่างไม่เป็นธรรมด้วยข้อหากบฏ
   “เอาเถอะ รีบไปเตรียมตัว ท่านพ่อมีงานใหญ่ให้พวกเราทำ”
   จิ่วกงเล่อผลักจินหรูอันออกไปอย่างไม่ไยดี
   “เรื่องของมัน ข้าจะขึ้นบัญชีไว้ก่อน”
   
   “ท่านหานซิ่น…” ข้าจำต้องหุบปากแล้วเปลี่ยนสรรพนามใหม่เมื่อท่านแม่ทัพที่ก้มหน้าก้มตาเขียนตำราเงยหน้าขึ้นมาจ้องเขม็ง “ท่านพี่” เรียกเองก็กระอักน้ำลายตัวเอง เสียงข้าจะหวานหยดไปไหนกัน
   เวลานี้ข้าถูกแม่ทัพหานซิ่นคนชั่วบังคับให้มานั่งฝนหมึกให้เขาเขียนตำรา ข้าอยากจะกู่ร้องเสียงดังใส่หน้าเขาเหลือเกินว่า ข้าไม่อยากทำๆ แต่ก็ทำได้เพียงนั่งฝนหมึกหน้าจ๋อย ข้าไปที่ใดไม่ได้ อิสระของข้าโบยบินไปไกลลับตาแล้ว
   “ข้าเมื่อย ขอพักได้หรือไม่”
   “ไม่ได้!” ข้าอ้าปากค้างพะงาบๆ
   “ท่านเป็นแม่ทัพนะ ทหารต้องฝึกวิชาดาบ หาใช่มานั่งเขียนตำรานี่ไม่”
   ข้าเอาข้อเท็จจริงเข้าสู้ ข้าเติบโตในจวนเสนาบดีนะ วันๆไม่เห็นทหารฝึกวิชาดาบ ก็เห็นฝึกวรยุทธ ไม่มีผู้ใดมานั่งใจเย็นเขียนตำราอยู่เช่นแม่ทัพผู้นี้หรอก วิชาถดถอยกันพอดี
   “ข้าให้เจ้าพูดความจริง”
   ข้าหน้างอง้ำ แม่ทัพผู้นี้น่ากลัวว่าจะอ่านใจข้าออกจนทะลุปรุโปร่ง
   “ข้าเบื่อ ข้าอยากออกไปข้างนอก ได้หรือไม่ท่านพี่”
   “…”
   เมื่อเห็นว่าเขาไม่ตอบ ข้าจึงคิดว่าน้ำเสียงออดอ้อนของตัวเองได้ผล จึงตรงเข้าไปเกาะแขนเขาเขย่าไปมา โดยหารู้ตัวไม่ว่า ได้เข้าไปใกล้ชิดมากเกินไปเสียแล้ว
   “ได้หรือไม่ ท่านพี่ ข้า…อื้อ”
   !!!
   ต่อมาข้าก็ได้รับรู้ถึงสัมผัสแปลกประหลาดที่เจือด้วยไออุ่นนิดๆแต่แฝงด้วยความเย็นที่ริมฝีปาก
   พลันเสียงข้าปลาสนาการหายไป พูดไม่ออก เพราะบัดนี้ริมฝีปากของข้าได้ถูกผนึกไว้โดยท่านแม่ทัพผู้นี้เสียแล้ว ข้าพยายามดิ้นให้หลุดแต่ไม่เป็นผล มือใหญ่ของหานซิ่นจับมือข้าตรึงไว้ที่พื้น ส่วนริมฝีปากของเขาก็ตักตวงเอาความหวานไปจากข้าไม่จบสิ้น สุดท้ายข้าทำอะไรไม่ได้ ได้แต่อ่อนยวบยาบหลงใหลในสัมผัสดุดันทว่านุ่มนวลนั่นไป
   ท่านแม่ทัพถอนริมฝีปากอย่างอ้อยอิ่ง ออกมาจ้องหน้าข้าด้วยสีหน้าจริงจัง ตอนแรกข้านึกว่าข้าจะเป็นอิสระแล้ว แต่ทว่า “เจ้ายั่วยวนข้าหรือ”
   “ข้าไม่…อื้อ”
   ริมฝีปากของข้าถูกผนึกอีกครั้ง แม่ทัพทำเช่นนี้วนไปวนมาอยู่ซ้ำๆ ผนึกแล้วก็คลายออก จ้องหน้าข้า แล้วก็ผนึกอีกไม่เลิกรา
   “ปากข้าบวมเจ่อไปหมดแล้ว”
   ข้าปาดริมฝีปากอย่างเอียงอาย หานซิ่นยิ้มนัยน์ตาก่อนจะเคลื่อนใบหน้าเข้ามาอีกครั้ง ข้ารีบตะครุบเอามือปิดที่ริมฝีปากเขาไว้อย่างใจกล้า
   “พอแล้วได้หรือไม่ เช่นนั้นข้าจะหมดแรงแล้วนะ”
   ถ้าข้าไม่รู้สึกแบบนั้นจริง ข้าย่อมไม่มีวันพูดมันออกมาแน่ แม่ทัพผู้นี้ช่ำชองการดูดพลังจากผู้อื่นยิ่งนัก
   “ถ้าเช่นนั้น เจ้ายังเบื่ออยู่หรือไม่”
   แขนแกร่งเลื้อยพันรอบเอวข้า กระชับแน่นให้ร่างของเราทั้งคู่ยิ่งใกล้กันเข้าไปอีก ข้าขืนตัวไว้แต่ไม่เป็นผล สุดท้ายอะไรต่อมิอะไรใต้เสื้อคลุมก็แนบชิดกันไปหมด
   ข้าเบือนหน้าหนีแล้วกล่าวว่า
   “ไม่เบื่อแล้ว”

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ toeytoey

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 4
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เขาจูบกันสักทีๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

:ruready

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
หืมมม  พัฒนาไวมาก

ออฟไลน์ toeytoey

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 4
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
หายไปนานจังเลยคิดถึงมาต่อเร็วๆน้า :call:

ออฟไลน์ MewSN

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 170
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +234/-4
บทสิบสี่
แกว่งเท้าหาเสี้ยน
   ข้าสังเกตหานซิ่นมาหลายวันแล้ว ถูกทางการตามล่า เมื่อไม่กี่วันก่อนเหตุเพราะข้ากับหานซิ่นไปเที่ยวชมงานเทศกาลหยวนเซียว โชคไม่ดีเจอกับคนของทางการ เวลานี้ทั่วทั้งเมืองลั่วหยางทหารเดินเพ่นพ่าน พวกข้าจึงมิกล้าออกไปไหนในตอนกลางวัน ครั้นกลางคืนสบโอกาสหนี เพราะในขณะนี้งานรื่นเริงก็ยังไม่จบลง เพราะฉะนั้นไม่ว่าเหล่าทหารพวกนี้จะอยากปิดเมืองล้อมจับพวกข้ามากเพียงใด ก็ทำมิได้ เหตุเพราะทางราชวังได้ออกกฎในระยะเวลาห้าวันของเทศกาลหยวนเซียวนี้ ประตูเมืองทุกแห่งจะต้องเปิดตลอดเวลา เช่นนั้นก็เป็นโอกาสดีใช่หรือไม่ สบโอกาสเช่นนี้พวกเราย่อมหนีออกจากเมืองนี้ไปกบดานที่อื่นยามกลางคืน ทว่าแม่ทัพผู้นี้ไม่เพียงไม่หนี วันๆยังเอาแต่ขีดเขียนม้วนตำราอะไรสักอย่าง
   ข้าไม่ได้โง่ ข้าว่าหานซิ่นกำลังรอใครสักคนอยู่ แต่เป็นผู้ใดนั้น ข้าก็มิอาจรู้ได้
   “ถังรุ่ย เจ้าคิดเหมือนข้าหรือไม่”
   ระหว่างที่เขาปล่อยตัวข้าให้เป็นอิสระจากการฝนหมึก ข้ากับถังรุ่ยจึงได้มีโอกาสสนทนากัน
   “คิดอันใด อาเฉียน” ข้ามองเขา “ข้าว่าท่านแม่ทัพกำลังรอผู้ใดอยู่ เจ้าว่าผู้ใดกัน”
   ข้าจนปัญญาอย่างแท้จริง ขนาดว่าคิดแล้วคิดอีกก็คิดไม่ออก เวลานี้จวนสกุลหานกับจวนสกุลโหวแตกพ่าย เท่ากับว่าข้าและหานซิ่นไร้ญาติขาดมิตร ขุนนางที่เคยสนับสนุนเขาก็เร้นกายหายตัวเงียบเพราะเกรงกลัวจะติดร่างแหข้อหากบฏตามไปด้วย เช่นนั้นยังเหลือผู้ใดได้อีก
   “เจ้าว่า…”
   “…”
   “เขากำลังรอหลี่ว์ต้งปินอยู่หรือไม่”
   เมื่อวันที่ข้าเจอหลี่ว์ต้งปินหนแรก เขาก็พูดออกตัวแล้วว่าอยากได้แม่ทัพผู้นี้เป็นศิษย์ประจำสำนัก หรือสองคนนี้จะลักลอบติดต่อกันอย่างลับๆ แล้วเหตุใดต้องเป็นความลับด้วย
   “เป็นไปไม่ได้ๆ” ถังลุ่ยโบกไม้โบกมือเป็นพัลวัน พลางกล่าวต่อว่า
   “เวลานี้ท่านเซียนหลี่ว์ต้งปินกำลังติดพันอยู่กับภารกิจที่บรรพตหนานซาน อาจารย์หลี่ได้บอกกล่าวไว้ก่อนไป”
   ข้าขมวดคิ้วมุ่น ตาเฒ่านั่นจะมาก็มาจะไปก็ไป มีเวลาบอกกล่าวเรื่องราวใดกับศิษย์ตนอีกหรือ แต่ช่างเถอะ ไม่ว่าท่านแม่ทัพหานซิ่นจะรออะไรอยู่ ข้าก็จำเป็นต้องอดรนทนรอไปกับเขาด้วยอยู่แล้ว เพราะสัญญาเลือดทำให้ข้ามีเรืออยู่หนึ่งลำ จะพายไปก็พายไม่ได้ เพราะติดที่เรืออีกลำไม่ไปด้วยกันนี่สิ
   ข้ายังจำคำของหลี่ว์ต้งปินได้ดี “ห่างกันร้อยลี้ เจ้าสิ้นลมหายใจ”
   ด้วยพลังพันธนาการของสัญญาเลือด อาจทำให้ชีวิตของข้าสูญสิ้นทันทีเมื่อออกห่างจากตัวท่านแม่ทัพเกินร้อยลี้!
   เพราะสิ่งนี้ข้าไม่อาจไปจากเขาได้ อย่างไรก็ตามข้าก็ไม่อาจบอกความจริงกับเขาได้เช่นเดียวกัน
   น่ากลัวว่าหากสักวันท่านแม่ทัพคิดละทิ้งข้า ข้าคงต้องยอมทิ้งศักดิ์ศรีเกาะแข้งเกาะขาอ้อนวอนตามเขาไปให้จงได้ ชีวิตข้าล้วนอยู่ในกำมือของท่านแม่ทัพ เขาจะบีบก็ตาย เขาจะคลายข้าก็ไปไหนไม่ได้อยู่ดี เช่นนี้หากบอกเรื่องนี้เข้าไปอีก ไม่แน่ว่าสักวันท่านแม่ทัพอาจใช้เงื่อนไขเหล่านี้สร้างความยุ่งยากให้กับข้าก็เป็นได้ ขอเพียงเรื่องนี้สงบลง ข้าอาจได้อิสระไม่เกินร้อยลี้นี้กลับมาอยู่บ้าง
   “ถังรุ่ย ข้าว่าเอาแต่หลบซ่อนอยู่ในนี้ไปก็ไม่ได้เรื่องอันใด หลายวันมานี้เมืองหลวงมีข่าวคราวใดบ้าง พวกเราไปสืบหน่อยเถอะ”
   ลั่วหยางแม้อยู่ห่างไกลจากเมืองหลวง แต่นับว่าไม่มาก ผู้คนยังไปมาหาสู่กันได้ เช่นนั้นกระแสข่าวก็ย่อมพัดพาตามการนำมาของนักเดินทางเหล่านี้ หากต้องการรู้ข่าวคราวในเมืองหลวง ข้าย่อมรู้ว่าต้องไปที่ใด
   ถังรุ่ยหน้าซีดเผือด พลางละล่ำละลักกล่าวกับข้าว่า
   “คุณชาย ข้าไม่ปลอมตัวเช่นนั้นอีกแล้วได้หรือไม่”
   โธ่เอ๋ยถังรุ่ยหนอถังรุ่ย เจ้าช่างไร้เดียงสานัก!
   “ย่อมไม่ได้!”
   ข้ามองสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของถังลุ่ยแล้วได้แต่ยิ้มขำในใจ

   เอาเข้าจริงข้าไม่ต้องไปเดินหาเหล่านักเดินทางให้ไกลเลย ข้างล่างของโรงเตี๊ยมเสียนหยางที่พวกข้าพักอาศัยเป็นแหล่งรวมเส้นทางโคจรมาพบปะพูดคุยกันของเหล่าผู้ท่องยุทธภพ เคราะห์ดีที่ข้าบังคับให้ถังรุ่ยปลอมตัวเป็นสตรีอีกครั้ง ไม่เช่นนั้นคนมากมายย่อมต้องจำเขาได้แน่ เพราะตั้งแต่ลงมานั่งที่มุมหนึ่งของห้องถังรุ่ยก็ชี้ไม้ชี้มือบอกกล่าวชื่อแซ่ของผู้คนเหล่านั้นได้อย่างแม่นยำไปหลายคนแล้ว เขาบอกว่าหลายคนที่นี่มีบางคนที่เป็นศิษย์จากบรรพตหนานซาน ด้วยภารกิจบางอย่างที่ทำให้ท่านผู้ท่องยุทธภพเหล่านั้นจำต้องปลอมตัว แต่ถังรุ่ยก็ยังคงจำเค้าโครงใบหน้าได้ ข้าฟังเช่นนั้นแล้วนึกภูมิใจยิ่งที่ไม่มีผู้ใดสามารถจดจำถังรุ่ยได้แม้แต่ผู้เดียว นั่นย่อมหมายความว่า ฝีมือการแปลงกายของข้าเข้าขั้นระดับสุดยอด
   “ใต้เท้า ข้าทราบมาว่า ท่านเสนาบดีจิ่วเหมียนชงกับคุณชายใหญ่จิ่วกงเล่อ เดินทางมายังเมืองลั่วหยางใช่หรือไม่”
   เป็นไปตามคาด ไม่นานข่าวที่เข้าหูพอฟังได้ก็ดังมาจากโต๊ะข้างๆไม่ไกลจากโต๊ะของข้า นี่ไม่ใช่แค่ข่าวเล็กๆแล้ว แต่เป็นข่าวที่สำคัญอย่างมากเลยล่ะ
   จิ่วเหมียนชงพ่อของข้า มาที่เมืองลั่วหยางเช่นนั้นหรือ
   “ถังรุ่ย วันนี้วันอะไร วันที่เท่าไหร่ เดือนอะไรแล้ว”
   “วันนี้วันที่หนึ่งเดือนหนึ่ง ท่านถามทำไมหรือ”
   ข้าลืมไปเสียสนิท เหตุเพราะความวุ่นวายหลายวันก่อน
   อีกสามวัน วันที่สี่เดือนหนึ่ง เป็นวันครบรอบวันตายของท่านแม่ข้า
   เดิมทีท่านแม่เป็นคนลั่วหยาง เดินทางไปค้าขายยังนครฉางอัน จึงได้พบรักกับท่านพ่อที่เวลานั้นยังเป็นเพียงขุนนางขั้นหก ไม่ได้มีตำแหน่งเป็นเสนาบดีผู้สูงศักดิ์อย่างเช่นทุกวันนี้ เรื่องราวเหล่านี้ท่านแม่เคยเล่าให้ข้าฟังสมัยที่ข้ายังเป็นเพียงคุณชายรองตัวน้อยๆ
   เวลานี้ ที่ท่านพ่อเดินทางมายังเมืองลั่วหยางก็เพื่อกระทำพิธีจัดงานครบรอบวันตายของท่านแม่ขึ้นที่บ้านเกิดของนาง หลังจากท่านแม่จากไปก็แปดปีเข้าให้แล้ว ข้าเคยเดินทางมาจัดงานให้นางที่นี่อยู่สองครั้งก่อนแต่งเข้าจวนสกุลหานและไม่ได้มาอีกเลย
   ข้าคิดถึงนางเหลือเกิน ท่านแม่คือคนผู้เดียวที่รักข้าอย่างแท้จริง
   บัดนี้แม้วันครบรอบวันตาย ข้าก็ไม่อาจเข้าร่วมได้เสียแล้ว
   “คุณชาย สีหน้าท่านดูไม่ดีนัก เป็นอะไรไปหรือ” ถังรุ่ยเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง ข้าส่ายหน้าบอกไม่มีอันใด
   “เปล่าๆ ช้าว่าเรากลับขึ้นข้างบนกันเถอะ”
   “แต่เราเพิ่งมาไม่นานนะท่าน”
   “เอาเถอะ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว”
   แม้ถังรุ่ยจะไม่เข้าใจในคำพูดของข้า แต่เขาก็ไม่กล่าวโต้แย้งอันใดอีก ตามข้าขึ้นไปบนห้องเงียบๆ
   “เจ้าไปไหนมา อาเฉียน”
   พอเข้าไปในห้องก็พบท่านแม่ทัพยืนทำหน้าตาถมึงทึงจ้องมาทางข้า
   “ท่านพี่ ถ้าจะให้ข้าช่วยฝนหมึก ข้าคงต้องวานถังรุ่ยเสียแล้ว อาถังข้ารบกวนเจ้าด้วย”
   เวลานี้ข้าเหนื่อยเกินจะสามารถทำสิ่งใดได้ กำลังจะปลีกตัวไปอีกทางก็ถูกมือท่านแม่ทัพคว้าข้อมือของตัวเองไว้
   “เจ้าเป็นอะไร สีหน้าดูไม่ดีนัก”
   “เปล่าหรอก ข้าแค่เหนื่อยๆน่ะท่านพี่ ข้าขอพักเสียหน่อยเถิด”
   แม่ทัพหานซิ่นเห็นข้าไม่มีท่าทีอยากต่อล้อต่อเถียงของเขาก็ขมวดคิ้วมุ่น เพียงแต่ยังไม่ปล่อยข้อมือของข้าให้ไปไหน
   “ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากังวลเรื่องใด…”
   “…”
   “เพียงแต่ อย่าเป็นเช่นนี้เลย”
   พรึบ!
   ข้าที่ถูกท่านแม่ทัพหานซิ่นกระทำการอุกอาจดึงเข้าไปกอดไม่สามารถขัดขืนแรงกายที่เหนือกว่าตัวเองได้ พลันความรู้สึกอุ่นซ่านในใจก็วาบขึ้นมา ข้าไม่อาจปฏิเสธอ้อมกอดนี้ของหานซิ่นซึ่งเป็นยาชั้นดีที่กำลังปลอบประโลมจิตใจที่อ่อนแอของข้าในเวลานี้ได้เลย รู้สึกดีเหลือเกิน ข้าหลับตาลง สัมผัสความรู้สึกนุ่มนวล ซ้ำไม่สนใจด้วยว่าในเวลานี้ถังรุ่ยซึ่งก็อยู่ในห้องนี้จะกำลังมามาหรือไม่ อ้อมกอดของท่านแม่ทัพ ช่างอบอุ่นเหลือเกิน
   คืนนั้นข้าฝันเห็นท่านแม่ในห้วงนิทรา ท่านเพียงมาปลอบโยนหัวใจอันบอบช้ำของข้า แล้วก็หายไป

   เช้าวันต่อมาคนที่ท่านแม่ทัพรอคอยก็ปรากฏตัว
   เป็นภรรยาเอกของหานซิ่น จินหรูอันนั่นเอง ข้าแค่นยิ้มในใจ หลายวันมานี้ที่ท่านรอคอยก็คือนางผู้เป็นนางในดวงใจของท่านตลอดกาลผู้นี้เองสินะ
   “ฮือ ท่านพี่ ข้าเศร้าเสียใจยิ่งนัก ที่เป็นข้าเพียงผู้เดียวที่หลบหนีออกมาได้ วันนั้นท่านพ่อเรียกตัวข้าไปพบพอดี ไม่แน่หากข้าอยู่ที่จวน ยังพอช่วยอะไรได้”
   นางร้องห่มร้องไห้น่าสงสารยิ่ง หานซิ่นเข้าไปกอดปลอบโยนนาง แม่ทัพผู้นี้ช่างมากอ้อมกอดเสียจริง เมื่อวานกอดข้า วันนี้กอดอีกคน ข้ามองภาพตรงหน้าด้วยสีหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดๆแต่ในใจเหมือนมีพายุตั้งเค้า เหตุใดกัน ข้าว้าวุ่นใจเหลือเกิน เมื่อก่อนไม่เป็นเช่นนี้
   “เรื่องผ่านมาแล้ว ปล่อยวางเสียเถอะ อีกอย่างเจ้าเป็นเพียงหญิงตัวเล็กๆ ไม่สามารถกระทำการใดได้ เคราะห์ดีเหลือเกินที่เจ้าปลอดภัย”
   ข้าแค่นยิ้ม ภาพท่านแม่ทัพลูบหัวนางเหตุใดจึงทำให้ข้าหงุดหงิดถึงเพียงนี้กัน
   “เจ้าตื่นแล้วหรือ”
   ข้ายืนเป็นตอไม้อยู่ตั้งนาน ท่านเพิ่งสังเกตเห็นข้าหรือ
   “ข้าจะออกไปข้างนอกเสียหน่อย เชิญพวกท่านปลอบโยนกันให้หายกลัวเสียเถอะ!”
   ข้าไม่รู้เลยว่า เสียงของตนช่างกระโชกโฮกฮากแค่ไหน แล้วสะบัดตัวเดินออกมาจากห้องนั้นทันที
   “อ้าว คุณชาย…”
   “ถังรุ่ย ไปหาข่าวกัน!”
   ถังรุ่ยที่ยิ้มทักทายพลันหุบลงฉับ
   “อีกแล้วหรือ ข้าต้องแต่งเป็นสตรีอีกแล้วหรือ”

   ข้าดินเตะฝุ่นเตะลมเตร็ดเตร่ไปตามทางเดินในตลาด ออกมาครึ่งชั่วยามแล้วจิตใจก็ยังไม่สงบลง ในหัวเอาแต่คิดไปว่าสองสามีภรรยาที่โรงเตี๊ยมเสียนหยางนั่นจะกระทำการใดปลอบใจกันไปแล้วบ้าง แต่นั่นก็หาใช่กงการใดของข้าไม่ คิดไปก็เปล่าประโยชน์ ผ่านมาครึ่งชั่วยามเพราะเอาแต่คิดเรื่องบ้าๆนั่น อย่าว่าแต่สืบหาข่าวคราวอันใดได้เลย ข้อมูลสักประโยคก็ยังไม่มี
   แต่เหมือนสวรรค์จะเห็นใจข้าอยู่บ้าง ห่างไปไม่ไกลนักพอให้สายตาข้ามองเห็นใบหน้าอันคุ้ยเคยของใครบางคน
   นั่น… จิ่วกงเล่อ ท่านพี่ใหญ่
   “ใต้เท้าจิ่ว เหตุใดจึงมาเยือนร้านราข้างถนนของข้าได้ขอรับ”
   พ่อค้าเจ้าของร้านเข้าไปประจบประแจง ในแววตาเขาราวกับเห็นบุญวาสนามากองอยู่เบื้องหน้า ข้าเดินเข้าไปใกล้กว่านี้อย่างระวังตัว ไม่ให้อีกฝ่ายมองเห็น
   “ท่านแม่ข้าโปรดของเช่นนี้ เจ้าแนะนำข้าได้หรือไม่”
   ที่จิ่วกงเล่อกล่าวนั้นเป็นความจริง ท่านแม่โปรดปรานจี้หยกปลอมเป็นที่สุด สมัยข้ายังเด็กเคยเข้าไปเล่นซนในห้องหับของท่าน นึกไม่ถึงด้วยความซนของตัวเองข้าจะเผลอไปเหยียบจี้หยกปลอมเข้า เพราะเป็นของปลอม โดนแรงข้าเหยียบไปจี้หยกก็แตก ท่านแม่แม้ไม่แสดงอาการเสียใจแต่ข้ารู้ว่าของสิ่งนั้นท่านรักมันมาก ภายหลังข้าจึงรู้ว่า จี้หยกปลอมอันนั้นเป็นของแทนใจของท่านพ่อที่มอบให้ท่านแม่ยามแรกพบกัน
   เหราะเหตุนี้ ชั่วชีวิตนางแม้มีเงินทองมากมายกลับไม่ได้หลงใหลในหยกแท้ หากเป็นของปลอมเสียอีกที่นางพึงใจ
   แม้พ่อค้าจะรู้สึกสงสัยว่าเหตุใดคุณชายตระกูลสูงศักดิ์ รวยล้นฟ้าเช่นนี้มาหาซื้อของปลอมอย่างจี้หยก แต่เขาก็ไม่รอช้ารีบประจบประแจงทันที
   ข้าเฝ้ามองจิ่วกงเล่อหาซื้อจี้หยกอยู่ห่างๆ
   ไม่นานเขาก็ได้ในสิ่งที่ต้องการ แล้วออกก้าวเดินไปอีกทาง ข้าตามไป ถังรุ่ยเอ่ยปากจะห้ามแต่ข้าส่งสายตาบอกให้เขาเงียบเสียง พวกเราตามจิ่วกงเล่อไปเงียบๆ
   ไม่ช้าเขาก็หยุดยืนอยู่หน้าสถานที่แห่งหนึ่ง จวนชั่วคราวของสกุลจิ่ว ข้าเคยมาพักที่นี้อยู่สองครั้ง จวนแห่งนี้แม้ไม่ได้รักษาความปลอดภัยมากมาย แต่ป้ายผ่านทางย่อมยังคงเป็นจี้หยกประจำตระกูลจิ่ว ข้ารอให้จิ่วกงเล่อเข้าไปก่อน เขาหยุดคุยกับผู้เฝ้าประตูชั่วครู่ จากนั้นก็เดินตัวลอยเข้าไปในจวน
   ข้าได้โอกาส ปรี่เข้าไปหาผู้คุม
   “ผู้คุมท่านนี้ ข้าเป็นสหายของคุณชายจิ่วที่เมืองลั่วหยาง จะขอเข้าพบคุณชาย”
   “เรียนคุณชาย ย่อมต้องมีป้ายผ่านทางขอรับ”
   ข้ากระหยิ่มยิ้มย่อง ข้าเป็นคนของสกุลจิ่ว ย่อมต้องมีป้ายผ่านทางของสกุลจิ่ว อีกอย่างป้ายผ่านทางของข้าก็พิเศษกว่าป้ายผ่านทางทั่วไป เพราะมันเป็นจี้หยกของท่านแม่ที่มอบไว้ให้ข้าก่อนตาย ข้าล้วงมือเข้าไปควานหาป้ายผ่านทางที่นำติดตัวมาในอกเสื้อ
   “เจ้ามีป้ายผ่านทางหรืออาเฉียน” ถังรุ่ยกระซิบกระซาบ
   “ย่อมมี ข้าพกไว้ติดตัว ในนี้…”
   ข้าควานหา แต่ทว่าหาอย่างไรก็ไม่เจอ ข้าขมวดคิ้ว ตบไปทั่วตัวของข้า ไม่มี จี้หยกของข้าหายไปไหนกัน!
   “ท่านมีป้ายผ่านทางหรือไม่ขอรับ คุณชาย”
   “ข้ามีๆ รอชั่วครู่”
   ข้าล้วงหาจี้หยกอีกรอบ ผลเป็นดังเดิม ไม่มี ไม่มีจี้หยกตระกูลจิ่วในเสื้อของข้า หรือลืมไว้ที่โรงเตี๊ยมเสียนหยาง
   “ผู้คุม ข้าคงจะลืมไว้ที่พัก เช่นนั้นข้าขอตัวกลับไป…”
   “คุณชายโหวเฉียนเฉิง”
   ข้าไม่ทันบอกกล่าวจบประโยคดี พลันก็มีเสียงเรียกชื่อข้า
   จิ่วกงเล่อที่ควรเข้าไปในจวนตั้งนานแล้วกลับมาปรากฏกายอยู่ตรงนี้

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2

ออฟไลน์ ursleepingxd

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 148
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
อ้านถึงตอนล่าสุดแล้ววว ค้างมากกก มาต่อเถอะค่าาา ; - ;

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด