บทสาม
สิ่งที่ติดค้างในใจ
ข้าอ้ำอึ้งอยู่นานไม่รู้จะมีอันใดให้พูด ได้แต่กะพริบตาปริบๆมองแม่ทัพหานซิ่นอดีตสามีที่เหมือนรู้มากผู้นี้
“เอาเถอะ ข้าไม่รั้งเจ้าแล้ว”
ครั้นจะปล่อยก็ปล่อยโดยง่าย ช่างเดาใจยากเหลือเกิน
“อาตง รีบไป…”
“ก็นึกว่าใคร ที่แท้ก็คุณชายน้อยจากสกุลโหวนี่เอง”
ข้ายังไม่ทันพูดจบประโยค จินหรูอันก็เดินนวยนาดออกมาจากประตูบานใหญ่ ท่าทางราวกับนางพญานี้เป็นท่าประจำของนางอยู่แล้ว ข้าไม่แปลกใจอะไร
“ข้าน้อยเสียมารยาท คารวะแม่นางหรูอัน”
จินหรูอันหน้าถอดสี อันที่จริงตำแหน่งคุณชายสกุลโหวถือว่าสูงศักดิ์กว่าภรรยาเอกของหานซิ่นนัก ไม่แปลกที่การที่ข้าทำแบบนี้จะทำให้นางอยู่ไม่สุข จำต้องก้มหัวคารวะข้าตอบ
จินหรูอันครุ่นคิด วันนี้คุณชายต้วนซิ่ว(พวกชอบไม้ป่าเดียวกัน)ผู้นี้จะมาไม้ไหน
“พอดีเฉียงเฉิงมีธุระ คงอยู่สนทนาด้วยมิได้”
หานซิ่นแปลกใจที่วันนี้เฉียนเฉิงไม่ต่อล้อต่อเถียงกับภรรยาเอกของตน แต่ก็ได้แต่เก็บงำความไม่ชอบมาพากลนี้ไว้ในใจ
อาตงเองก็มึนงง ว่าวันนี้คุณชายน้อยกินยาอันใดที่ทำให้สงบเสงี่ยมเช่นนี้ได้กันนะ เขาจะได้ซื้อมาเตรียมไว้ยามต้องมาจวนสกุลหานก็ให้นายน้อยกิน
“ขอตัวก่อน แม่นางหรูอัน ท่านหานซิ่น”
ในเมื่ออีกฝ่ายอยากให้เรียกท่านหานซิ่นนัก ข้าก็จะเรียกเช่นนี้ไปตลอดเสียเลย
ไม่รู้ตาฝาดไปเองหรือเปล่า ที่เห็นคิ้วท่านแม่ทัพใหญ่กระตุก
“ไปกันเถอะ อาตง”
“ขอรับ นายน้อย”
เมื่อเดินห่างออกมา จนแน่ใจว่าไม่มีคนตามมาแล้ว ข้าจึงถามที่อยู่เหมยฮวากับอาตง เนื่องจากข้าเป็นคนที่ค่อนข้างเก็บตัว แปลกกว่าเด็กทั่วๆไป ตอนเด็กๆไม่ใคร่จะสนใจเที่ยวชมเมืองเท่าใดนัก ตอนมาเป็นภรรยาเขาก็ยิ่งเก็บตัวเข้าไปอีก ข้าจึงมิรู้ที่ทางในเมืองหลวงมากนัก แม้เป็นคนในพื้นที่ ก็จำต้องให้อาตงนำทางไป ไม่นานพวกเราก็มาถึงกระท่อมหลังเล็กซอมซ่อแห่งหนึ่ง
“แม่นางเหมยฮวา ท่านอยู่หรือไม่”
อาตงร้องเรียกไปหนึ่งครั้ง ประตูบ้านจึงเปิดออก
“พี่ตงเซี่ย กลับไปเสีย อย่ามาที่นี่อีก”
เหมยฮวามีสีหน้าอิดโรย ความสดใสในวันวานได้หายไปจากใบหน้าของนางแทบหมดสิ้น
“สีหน้าเจ้าไม่ค่อยดีนัก มีเรื่องทุกข์ใจอันใดหรือแม่นาง”
ข้าเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง ปกติเหมยฮวาเป็นคนสดใสร่าเริง นางกินเก่งและคุยจ้อไม่หยุด เรื่องนี้ข้ารู้ดีกว่าใครๆ นางเป็นเหมือนนักเล่านิทานยามข้าเหงา เป็นเพื่อนยามข้าโดดเดี่ยว เป็นพี่สาวคอยปลอบโยนยามข้าอ้างว้าง เหตุใด เรื่องราวใดกันที่พรากความสดใสไปจากนาง
“นายน้อยเฉียน โปรดกลับไปเถอะเจ้าค่ะ”
นางปากแข็ง เบือนหน้าหนี คล้ายกับไม่อยากให้ข้ายุ่งในเรื่องนี้ ข้าเองก็จำใจ สุดท้ายจึงกล่าวว่า
“เช่นนั้นขอให้แม่นางรักษาสุขภาพด้วย”
พอออกมาจากกระท่อมหลังนั้นข้ากับอาตงก็ไม่ได้ตรงกลับจวนสกุลโหวทีเดียว เพียงเที่ยวเตร่อยู่กลางเมืองอีกสักหน่อย รอฟ้ามืดค่อยกลับไป
“นายน้อยดูนี่สิขอรับ พัดลายนกกระเรียนที่นายหญิงใหญ่ชอบ”
อาตงชักชวนเขาให้ดูพัดด้ามจิ้วที่วางขายเกลื่อนตามท้องถนน แต่ร้านนี้เขียนลายได้งดงามยิ่ง จนเขาอดจะเดินเข้าไปดูไม่ได้
ข้าหยิบพัดลายนกกระเรียนขึ้นมาพินิจดูลวดลายอ่อนช้อยสวยงาม คนทำทำด้วยใจ
“พวกเราจะเอายังไงกับเหมยชี ยัยแก่คนนั้นเป็นโรคระบาด ปล่อยไว้พาลจะมาติดพวกเราเสียเปล่า”
หูของข้าพลันได้ยินแม้ค้าปากตลาดพูดคุยกับเซ็งแซ่ แซ่เหมยหรือ
“เหมยฮวาก็เหลือเกิน รักยายมากไป ไม่สนฟ้าดิน อย่างนี้ไม่กี่วันคงติดโรคไปด้วยแน่ๆ น่าเสียดาย ยังสาวยังสวย ไม่น่าตายเพราะโรคระบาดเลย”
“ท่านป้าท่านนี้ ท่านยายเหมยชี นางป่วยเป็นโรคอันใดหรือ ป่วยมานานแล้วหรือยัง”
“นายน้อย ข้าเองก็ไม่รู้สาเหตุหรอก แต่แม่เฒ่าผู้นี้ป่วยกระเสาะกระแสะมาหลายเดือนแล้ว ไปหาหมอก็หลายที่ แต่ไม่มีผู้ใดกล้ารักษา ท่านหมอได้แต่บ่นว่า โรคระบาดเช่นนี้ไม่มีทางรักษาให้หายใด พวกข้าก็กลัวโรคจะพาลมาติด เลยเสนอให้แม่นางเหมยฮวาปล่อยยายแก่คนนี้ให้อดข้าวตายไปเสีย ไม่นึกว่านางจะเห็นแก่ความเป็นหลาน ไม่สนว่าตัวเองจะติดโรคหรือไม่ คอยปรนนิบัตินาง ให้ข้าวให้น้ำ น่าเสียดาย ช่างน่าเสียดาย ยังสาวยังสวย ไม่น่ามาตายด้วยโรคระบาดเช่นนี้เลย”
แม่ค้าอีกคนที่ขายของอยู่อีกฝั่งตะโกนมา
“ข้าได้ยินมาอีกว่า ไม่มีร้านยาร้านไหนกล้าขายยาให้แม่นางเหมยฮวาไปรักษายายแก่เหมยชี คนเป็นโรคระบาด รีบตายรีบฝัง จะได้ไม่แพร่เชื้อไปหาคนอื่น”
ข้าลุกขึ้น ไม่อยู่ฟังต่ออีก พลางเรียกอาตง
“อาตง เจ้ากลับไปก่อน ไปบอกท่านพ่อว่าคืนนี้ข้าไม่กลับบ้าน”
“อะไรนะขอรับคุณชาย”
ข้าไม่อยู่รอให้อาตงตกใจ ชักฝีเท้าไปทางกระท่อมหลังเดิมที่จากมา
“ท่านกลับมาทำไมอีกนายน้อยเฉียน เดี๋ยวก็ได้…”
“พาลติดโรคระบาดใช่หรือไม่”
เขาต่อประโยคให้แม่นางเหมยฮวาจนจบ นางจนใจไม่มีคำใดจะพูดอีก
“ข้าพอมีวิชาด้านการแพทย์ ข้าช่วยตรวจดูอาการของท่านยายได้”
“เปล่าประโยชน์ หมอคนไหนก็บอกว่ายายของข้าใกล้ตายแล้ว”
เหมยฮวายิ่งพูด ความสดใสในดวงตาของนางก็ยิ่งดับลงไปเรื่อยๆ ข้าเดินเข้าไปหานาง แล้วแตะไหล่ปลอบโยน
“เชื่อข้าสิ แล้วเจ้าจะกลับมายิ้มอีกครั้ง”
เหมยฮวานิ่งอึ้ง พลันนางจับมือเขาโดยไม่รู้ตัวก่อนจะรีบปล่อยทันที
“ขออภัยนายน้อย เพียงแต่เมื่อครู่คำพูดของท่านคล้ายกับคนที่ข้ารู้จัก”
ใช่แล้วล่ะ นั่นเป็นคำพูดของข้าเอง จิ่วฉือเหนียง
ไม่ต้องรอให้นางอนุญาต ข้าเปิดประตูบ้านเข้าไป ข้างในคับแคบกว่าที่คิด ข้าเห็นร่างยายแก่คนเหมยชีนอนหายใจรวยริน
“ท่านหมอ ท่านเป็นหมอหรือเจ้าคะ”
“ใช่แล้ว ข้าเป็นหมอ ท่านยาย ให้ข้าตรวจดูอาการหน่อยเถิด”
ข้าจับชีพจรของนางเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงเริ่มตรวจหาความผิดปกติ แขนของนางซูบผอมจนผิวหนังที่เหี่ยวย่นติดกับกระดูก ข้าตรวจให้ถี่ถ้วนดูอีกครั้ง ซักถามนางไปสองสามประโยคเพราะนางไม่มีแรงตอบ แต่เพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
“เหมยฮวา ข้าว่าท่านยายของเจ้าโดนพิษเข้าแล้ว”
“จะเป็นไปได้อย่างไร ก็ตอนที่ข้าถูกไล่ออกมาจากจวนสกุลหาน ข้า…”
นางหยุดพูดไป เหมือนเพิ่งครุ่นคิดอะไรในหัวออก
“ใช่แล้ว วันนั้นนางกินผลพุทราจีนที่ข้านำติดตัวมา มันเป็นของขวัญอำลาของนังชั่วจินหรูอัน ข้าว่าแล้วเชียว ข้าเห็นมีรอยกัดที่ผลพุทราจึงถามนาง นางตอบว่าหนูกระมัง ไม่นึกเลยว่านางจะแอบกิน ท่านยายนะท่านยาย ข้าจะทำเช่นไรดี ไม่แน่ นางอาจสิ้นชีวิตเหมือนกับนายน้อยจิ่ว”
นางกังวลจนลืมตัวพูดความคิดออกมาผสมกับความจริง
“พิษนี้ไม่ร้ายแรง ขอเพียงเจ้าเอาพุทราลูกนั้นมาให้ข้าดู ร่องรอยของพิษต้องตกค้างอยู่แน่ๆ”
“ข้า ข้าเก็บมันไว้ในห้องครัว”
เหมยฮวารีบร้อนเข้าไปในกระท่อม ชั่วครู่นางก็กลับมาพร้อมกับผลพุทราที่เน่าแล้ว
ข้าไม่รังเกียจ หยิบมาจากมือนางเอามาดมพิสูจน์กลิ่น
“เป็นอย่างที่ข้าคิด เจ้าไปซื้อยาตามนี้ได้หรือไม่”
เขาหยิบใบสั่งยาให้แม่นางเหมยฮวา อันที่จริงวิชาการแพทย์ที่เทพเซียนหลี่เถียไกว่มอบให้เขานั้น มองปราดเดียวก็รู้ว่าคือพิษอะไร เพียงแต่เขาอยากแน่ใจและไม่ผิดพลาดจึงต้องมาตรวจสอบกับผลพุทราอีกรอบ ใบสั่งยา เขาเขียนไว้ตั้งแต่อยู่ในกระท่อมนานแล้ว
“ขอบคุณนายน้อยเฉียน”
เหมยฮวารีบร้อนออกไปทันที
พอนางจากไป คิ้วของข้าก็ขมวดมุ่นเข้าหากัน จินหรูอัน คุณหนูตระกูลจิน นางช่างเป็นหญิงที่น่ากลัว รอบรู้เรื่องพิษทำร้ายคนมากเกินไปแล้ว
แม่นางเหมยฮวายังไม่กลับ ข้านั่งรอมาครึ่งชั่วยาม จนอาทิตย์ตกดินเข้าสู่ยามสลัว ยังไม่เห็นแม้เงาของหลานสาวเจ้าของบ้านหลังนี้กลับมาเลย เกิดอะไรขึ้นกัน
รออีกครึ่งชั่วยาม ข้าจึงตัดสินใจออกตามหานางตามร้านขายยาที่ข้าพอรู้จัก
จึงไปพบนางยืนคุกเข่าหน้าร้านขายยาอยู่ร้านหนึ่ง
“เถ้าแก่ เห็นแก่ท่านยายข้าเถอะเจ้าค่ะ ข้าต้องการยาตัวนี้จริงๆ”
นางพูดทั้งน้ำตา เป็นภาพที่เห็นแล้วสะเทือนใจยิ่ง
ข้าเดินเข้าไปหานาง
“เถ้าแก่ เหตุใดจึงไม่จัดยาให้นางเล่า นางมีเงิน ท่านย่อมขายให้”
“นายน้อยเฉียนขอรับ นางมีเงินก็จริง เพียงแต่ยาของข้า ใช้สิ้นเปลืองกับอาการป่วยของยายนางมามากพอแล้ว”
ข้าหน้าตึง พูดเสียงกร้าว
“แล้วถ้าครั้งนี้ยาของท่านช่วยชีวิตคนเล่า”
“เป็นไปไม่ได้ๆ เหมยชีนางป่วยใกล้ตายแล้ว อีกอย่าง คนพูดกันว่านางเป็นโรคระบาด”
ข้ากำลังจะเถียง แต่แม่นางเหมยฮวาเร็วกว่า
“ยายข้าถูกพิษ นางกำลังจะหายดี”
“ไม่ขาย ยังไงข้าก็ไม่ขาย ไปเสียเหมยฮวา เห็นแก่เจ้าเป็นคนน่ารัก จริงใจ ข้าจึงไม่ได้ให้เด็กในร้านขับไล่ไสส่ง เพียงแต่เจ้าชักจะกระทำมากเกินไปแล้ว”
เถ้าแก่จิตใจคับแคบ ยังยืนยันจะไม่ขายยาให้นาง
“แล้วถ้าข้าจะซื้อ ท่านจะขายหรือไม่ เก้าแก่”
สิ้นเสียงทรงอำนาจ ท่านแม่ทัพหานซิ่นก็ปรากฏตัว คราวนี้เถ้าแก่หน้าถอดสี
“ว่าอย่างไร หลี่หยวนจาง เจ้าจะขายยาให้ข้าหรือไม่”
“ขะ ขายๆ ขายสิขอรับ”
“ขอบคุณเจ้าค่ะนายท่าน ขอบคุณนายท่านๆ”
เหมยฮวาคารวะหานซิ่นอยู่เช่นนั้น จนข้าต้องเอ่ยเตือนสตินาง
“เจ้าไปเอายามา ข้าจะได้ทำการรักษา”
“ไม่ยักรู้นะ ว่าวิชาแพทย์ของเจ้าก้าวหน้าเช่นนี้” แม่ทัพหานซิ่นเริ่มหาเรื่องข้าแล้ว ข้าต้องรีบหนีแล้ว
“คนเราพัฒนากันได้ ขอเพียงท่านเปิดใจ”
ข้าเบือนหน้าหนี ไม่นึกว่าเขาจะพูดต่อว่า
“นั่นสิ ขนาดคำสรรพนามเรียกข้าของเจ้ายังเปลี่ยนจากพี่หาน เป็นท่านหานซิ่นเลย”
เช่นนั้นมันเกี่ยวอย่างไรกับท่านเล่า ข้าคันปากอยากพูดนัก แต่รู้ว่าไม่ควรพูดจึงได้แต่เงียบ
“ท่านยาย!”
แต่คนดีฟ้าดินไม่เคยเห็นใจ น่าเศร้านักที่เมื่อข้ากลับมาพร้อมเหมยฮวานั้นช้าเกินไป ยายแก่เหมยชีสิ้นใจก่อนหน้าได้ไม่นาน
เหมยฮวาเล่าว่านางและเหมยชีมิใช่ยายหลานกันอย่างแท้จริง เมื่อสิบแปดปีก่อนยายแก่เหมยชีและหวนฟังสามีของนางเก็บเหมยฮวามาเลี้ยง เด็กทารกน้อยที่ถูกทิ้งอยู่ในป่า ถ้าไม่ได้เหมยชี ป่านนี้นางคงไม่อยู่มาได้จนถึงตอนนี้ น่ากลัวว่าจะถูกสัตว์ป่ากินไปเสียแล้ว หลังจากเติบโตได้อายุสิบหกปี เนื่องจากชีวิตของสองตายายแร้นแค้นนัก เหมยฮวาสงสารท่านทั้งสอง จึงตัดสินใจใช้ตัวเองขายตัวไปเป็นทาสสกุลหาน หานฮูเสีย บิดาของหานฟังนายท่านผู้เฒ่าของบ้านรับนางไว้ ถูกขายเป็นทาส ไม่มีโอกาสได้กลับบ้าน เหมยฮวาปลอบใจตัวเองว่า แม้มิได้อยู่ดูแลตอบแทนบุญคุณ เงินก้อนใหญ่จากการขายตัวนางคงทำให้สองสามีภรรยาอยู่กินสบายได้พักหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าหลังจากขายตัวเป็นทาส จู่ๆหวนฟังก็ล้มป่วยด้วยโรคร้าย เงินทั้งหมดยายแก่เหมยชีเอาไปใช้รักษาสามีจนสิ้นเนื้อประดาตัว สุดท้ายนางเองก็อยู่อย่างอดๆอยากๆ จนเมื่อหลานสาวที่เก็บมาเลี้ยงถูกปล่อยให้เป็นอิสระ เหมยฮวานำพุทราติดตัวมาด้วย วันนั้นนางไม่รับ แต่เป็นบ่าวมิอาจปฏิเสธน้ำใจของจินหรูอันได้ จึงต้องยอมรับมา นึกไม่ถึงว่ายายแก่เหมยชีจะใช้ชีวิตหิวโหยมานมนาน หยิบฉวยอะไรกินได้ก็กิน ไม่ใช่ว่าไม่รู้ เดิมเหมยฮวาตั้งใจจะแอบเอาพุทราป่าเหล่านี้ไปทิ้ง แต่ไม่ทันการณ์ ยายแก่กลับกัดกินไปกว่าครึ่งผลแล้วอ้างว่าหนูกิน จึงล้มป่วยอยู่นานเป็นอาทิตย์
“นางถูกพิษย์ของเหล็กในผึ้ง พิษชนิดนี้สมาคมลับเทียนกว่าเหรินเป็นผู้คิดค้น เดิมเหล็กไนผึ้งมีพิษร้ายแรงก็แค่ทำให้เกิดอาการปวดและบวมตามเนื้อตัว แต่เมื่อผสมกับน้ำผึ้งเดือนห้าจะมีพิษร้ายกาจ สามารถแผ่ซ่านตามเส้นลมปราณของคนที่กินเข้าไปได้ เส้นลมปราณเหล่านี้ล้วนติดต่อกับหัวใจ พิษเหล็กในผึ้งเป็นพิษที่ค่อยๆแทรกซึมอย่างช้าๆ ถ้าข้ามาเร็วกว่านี้ ท่านยายของเจ้าคงไม่ตายเช่นนี้”
ข้าเหม่อมองบนท้องฟ้า ยามนี้ราตรีถูกเมฆหมอกบดบัง ไร้แสงดาวเดือน ดูแล้วเศร้าสลดหดหู่ใจนัก
ทำไมจินหรูอันถึงจิตใจโหดเหี้ยมได้ถึงเพียงนี้ ฆ่าข้าให้ตายแล้วยังไม่สมใจ ยังคิดจะฆ่าคนที่ใกล้ชิดกับข้าทุกคนเลยหรือ บัดนี้ข้าตายไปแล้วเหมือนเป็นอิสระ แต่ผู้อื่นต้องมารับกรรมแทน เช่นนั้นข้าไปแล้วพวกเขาเล่า จะอยู่อย่างไร
“เจ้ามิใช่คนผิด”
ไม่รู้ทำไม ในเวลานี้คำพูดของหานซิ่นดูมีน้ำหนักที่สุด คนเราทุกคนก็อยากได้รับการปลอบโยนว่าไม่ได้ทำผิด แต่ในใจของข้ารู้ดีที่สุด ว่ามันไม่ใช่เช่นนั้น
“เจ้าจะเอาอย่างไรต่อเหมยฮวา”
แม่ทัพหานซิ่นเป็นคนดีมีน้ำใจ เขาย่อมยื่นมือเข้าช่วยเหลือ อีกอย่างเหมยฮวาเป็นสาวใช้ในบ้านเขามานาน ซ้ำเขายังรู้สึกผิดที่ไม่อาจห้ามปรามจินหรูอันให้ขับไล่ไสส่งนางได้ รู้ทั้งรู้ว่านางไม่มีที่ไป แต่เขาก็มิอาจขัดใจจินหรูอันได้
“ข้าว่าจะขายตัวเป็นทาสให้สกุลอื่นเจ้าค่ะ อย่างน้อยข้าก็ไม่มีญาติที่ไหนแล้ว เลี้ยงปากเลี้ยงท้องไปวันๆก็พอใจแล้วเจ้าค่ะ”
คำพูดนี้นางมิได้ประชดหานซิ่นแต่อย่างใด เพียงแต่ชีวิตคนจนในเมืองหลวงก็เป็นเช่นนี้ คนรวยรวยล้นฟ้า คนจนต่ำต้อยติดดิน เพียงแค่มีกินมีอยู่ก็นับว่าได้ใช้ชีวิตให้คุ้มค่าแล้ว
เพียงแต่ว่าหากนางไปอยู่ในเรือนที่มีแต่ผู้รังแกนางเล่า ดังนั้นข้าจึงกล่าวว่า
“ต่อไปนี้เจ้าก็ไปอยู่กับข้าแล้วกัน”
“ไม่ดี สกุลโหวกับสกุลหานมีสัมพันธ์ฉันท์มิตร คนจะว่ากล่าวเอาได้ว่าขี้ข้าเลือกที่รักมักที่ชัง”
หานซิ่นคัดค้าน เรื่องนี้ย่อมเป็นขี้ปากชาวบ้านท้องตลาดได้โดยง่าย เผลอๆจะลือกันว่าสองสกุลแตกหักกันขนาดแย่งข้าทาสบริวารกันเอง แม้เหมยฮวาจะถูกขับไล่ไสสงให้ถอนตัวเป็นอิสระ แต่ตั้งแต่โบราณกาลนานมาแล้วที่ถือเป็นประเพณี ไม่รับทาสที่เคยเป็นของมิตรสหาย ดังนั้นหานซิ่นจึงคัดค้านข้าอย่างหนัก
“ถ้ากลับไปบ้านท่าน ก็ต้องถูกจินหรูอันรังแกอีก ดีไม่ดี นางอาจถูกใช้ไปหาบน้ำผ่าฟืนเหมือนอย่าง…”
ข้าเริ่มรู้สึกตัวว่าพูดมากไปแล้วจึงเงียบปาก
“เหมือนอย่างอะไร” แต่ท่านแม่ทัพผู้นี้พยายามคาดคั้นเอาคำตอบ
“ช่างเถอะๆ แล้วท่านจะให้ข้าทำเช่นไร แม่นางเหมยฮวาไร้ญาติขาดมิตร ข้าไม่ได้ดูถูกน้ำใจนางนะ เพียงแต่ข้ากลัวจะมีผู้คนชักชวนไปในทางเสื่อมเสีย”
เวลานี้การค้าทาสยิ่งหนักหน่วง ทางการไม่เข้มงวด แน่ล่ะ บ้านไหนเรือนไหนก็อยากได้ทาส ทาสผู้ชายพอช่วยงานได้ ทาสผู้หญิงหน้าตาดีเข้าหน่อย ถูกขายให้หอนางโลมล้วนมีมากมาย เหมยฮวาแม้ไม่ใช่คนสวยสะพรั่งแต่นับว่าหน้าตาดี หญิงสาวเช่นนี้ถ้าไม่อับจนหนทางเองไปขายตัวที่หอนางโลม ก็ถูกพวกค้าทาสจับไปขายได้ราคางาม
“เป็นท่านนั่นแหละ ที่ไม่ดูแลคนใช้ในบ้านให้ดี”
ข้าขอตัดพ้อท่านอีกหนึ่งประโยคแล้วกันท่านพี่หานซิ่น
“งานการข้าก็มี คนในบ้านให้ฝ่ายในดูแล”
“เช่นนั้นท่านจึงปล่อยปละละเลยคนอื่นๆสินะ”
เดิมทีข้าอยากกระแนะกระแหนเขาให้กระอักเลือดตายไปข้าง แต่จู่ๆก็มีคำพูดหนึ่งที่ทำให้ข้าพูดไม่ออก
“ข้าขอโทษ”
แววตาของท่านแม่ทัพเศร้าสร้อย แสดงความรู้สึกผิดอย่างจริงใจ ข้ามองแล้วรู้สึกแปลกพิกล หานซิ่นผู้นี้ต้องการสื่อเจตนาอันใดมาที่ตัวข้ากัน
“เช่นนั้นก็ให้นางไปอยู่กับข้าได้หรือไม่”
แม้จะรู้สึกพิกล แต่เวลานี้หานซิ่นดูหัวอ่อนชักจูงง่ายที่สุดแล้ว ข้าขอโทษที่หลอกใช้ความเศร้าสร้อยของท่านแล้วกัน ขอท่านแม่ทัพโปรดอย่าถือสาหาความภายหลัง
“เช่นนั้นก็แล้วแต่เจ้าเถอะ”
บทจะยอม ก็ยอมง่ายเหลือเกิน
ไม่รู้ทำไม ข้าจึงรู้สึกว่าท่านเหมือนพยายามคืนสิ่งที่ติดค้างข้าอยู่