ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทสิบสี่ #อัพ 14-12-2019
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทสิบสี่ #อัพ 14-12-2019  (อ่าน 14314 ครั้ง)

ออฟไลน์ MewSN

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 170
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +234/-4
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม



***


ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ}

เดิมทีท่านถูกข้ารั้งไว้ด้วยสมรสพระราชทาน บัดนี้ข้าตายตกไปแล้ว ท่านเป็นอิสระ ข้าก็ไม่เหนี่ยวรั้งท่าน

   จิ่วฉือเหนียง บุตรชายของขุนนางใหญ่แห่งต้าถัง ในเวลานั้นต้าถังแบ่งเป็นสามขั้วอำนาจใหญ่
หนึ่งคืออำนาจโอรสสวรรค์ สองคืออำนาจของเทียนโฮ่ว และขั้วอำนาจสุดท้ายคือฝ่ายขุนนางทหาร
เมืองหลวงเต็มไปด้วยเล่ห์เพทุบาย ไม่เลือกข้างก็เท่ากับรอวันตกต่ำ หากจะคิดแค้นก็แค้นความอ่อนแอของตัวเองเถอะ
จิ่วฉือเหนียงจึงถูกใช้เป็นเครื่องมือของพ่อตัวเอง ทำลายผู้ต่อต้านฝ่ายตรงข้าม 
เวลานั้นหานซิ่น แม้ทัพใหญ่แห่งต้าถังซึ่งเป็นขุนนางฝ่ายทหารเองก็มีความดีความชอบใหญ่หลวง
จิ่วเหมียนชงคิดการใหญ่ หลังทำศึกขับไล่ผู้รุกรานไปได้มีความดีความชอบไม่แพ้กัน หวังทำลายชื่อเสียงของแม่ทัพหานซิ่น
ทูลขอรางวัลพระราชทานสมรสหลวงให้บุตรชายตนแต่งเป็นอนุในจวนแม่ทัพหานซิ่น
แม้ชื่อเสียงบุตรชายต้องแปดเปื้อน ไม่เท่าชื่อเสียงของหานซิ่นก้างชิ้นใหญ่ที่ขวางคอเขาในพระราชสำนักมานาน!


***
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-12-2019 19:10:39 โดย MewSN »

ออฟไลน์ MewSN

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 170
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +234/-4
บทนำ

   ข้าอยู่ที่ใดกัน
   ที่นี่ที่ไหนกัน
   ทำไมช่างมืดมนเช่นนี้
   หรือมันคือยมโลก
   โลกหลังความตาย
   ใช่แล้วล่ะ ข้าตายไปแล้ว ถูกลอบวางยาพิษโดยภรรยาเอกของแม่ทัพหานซิ่น น่าขันยิ่งนักแม้ข้าตบแต่งกับเขามาก่อนนาง อยู่กินกันมาเกือบสามปี เขายังไม่เคยให้ข้าได้เรียกท่านพี่ ไม่ต้องคิดถึงคำสรรพนามเรียกเขาว่าอาฮั่น(ภรรยาใช้เรียกสามี) เขาแทบไม่มองหน้าข้าด้วยซ้ำ
   ใช่สิ แต่แรกเริ่มเดิมที ข้าเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งในกระดานหมากรุกของท่านพ่อเท่านั้น ท่านพ่อรักพี่ใหญ่ที่เป็นบุตรคนโตมากกว่าข้า แต่ถึงกระนั้นข้าก็ไม่เคยคาดคิดเลยว่า พ่อแท้ๆจะทำกับลูกในไส้ได้ลงคอ ท่านพ่อใช้ข้าเป็นเหยื่อทางการเมือง ทำลายศักดิ์ศรีลูกผู้ชายของข้าจนไม่เหลือชิ้นดี ข้าต้องกลายเป็นอนุภรรยาของแม่ทัพหานซิ่นผู้ไร้จิตใจผู้นั้น ไม่สิ เขาไม่ได้เย็นชาต่อความรัก เพียงแต่ว่า เป็นข้าต่างหาก ที่เขาเกลียด
   แม้ต้าถังจะได้ชื่อว่าเป็นอาณาจักรยิ่งใหญ่ ชื่อเสียงเกรียงไกรแผ่ไปหลายพันลี้ แต่ในเวลานั้นเป็นที่รู้กันว่าการเมืองภายในเมืองหลวงแบ่งออกเป็นสามขั้วอำนาจ ระหว่างอำนาจของจักรพรรดิเอง ที่ทรงเหลือน้อยนิดเต็มที อำนาจของเทียนโฮ่ว ฮองเฮาที่บารมีเกือบเทียบเท่าจักรพรรดิ ขุนนางฝ่ายฮองเฮาอู่มีมากมาย รวมถึงพ่อข้าด้วย และอำนาจสุดท้ายที่เป็นก้างขวางคือพระนางอู่คืออำนาจของกรมทหาร กรมทหารมีแม่ทัพใหญ่หานซิ่นดูแลและขึ้นตรงต่อจักรพรรดิ แต่เมื่อหลายปีก่อน พระเจ้าถังเกาจงสูญเสียความชอบธรรมในการสั่งการ และไม่อาจควบคุมขุนนางฝ่ายทหารได้อีกต่อไป แต่ทว่าขุนนางฝ่ายทหารเองก็ยำเกรงต่อบารมีของพระนางอู่ อำนาจจึงคานกันอยู่เช่นนี้ เป็นวัฏจักรการเมือง ผู้ใดล้ม ผู้นั้นเหยียบ ผู้ใดเป็นกลาง สุดท้ายต้องเลือกข้าง หากอยากคงอยู่ในราชสำนักต่อไป
   หลายปีมานี้ พระนางอู่เบียดบารมีกับฮ่องเต้จนพระองค์ถูกจำกัดหูตาอยู่เพียงในพระราชวัง มิหนำซ้ำสมุนขุนนางท้องที่ของเทียนโฮ่ว ยิ่งกำเริบเสิบสาน ไม่เว้นแม้แต่ขันที พ่อของข้าเป็นหนึ่งในสมุนคนโปรดของพระนางอู่ ในเวลานั้นขุนนางฝ่ายพลเรือนจิ่วเหมียนชงพ่อของข้า สามารถต้านรับศึกจากชนเผ่าซงหนูที่รุกรานมาจากทางเหนือได้ ได้รับการชมเชยจากจักรพรรดิ พระนางอู่เห็นหนทางลดทอนอำนาจของหานซิ่นแม่ทัพใหญ่ จึงคิดวางแผนร้ายกับพ่อข้า ด้วยการให้ท่านพ่อทูลขอสมรสพระราชทาน โชคร้ายที่พ่อของข้าไม่มีลูกสาว แต่ความชั่วบังตา เห็นดีเห็นงามกับเทียนโฮ่ว หวังทำลายชื่อเสียงของแม่ทัพใหญ่หานซิ่น ด้วยการให้ตบแต่งกับบุรุษ
   ด้วยเหตุนี้ ข้าผู้ไม่รู้เรื่องอันใด จึงเป็นเหยื่อไปโดยปริยาย เวลานั้นข้าตระหนักได้ว่า ผู้อ่อนแอ ย่อมพ่ายแพ้ในทุกทาง
   หลังจากตบแต่งเข้าจวนแม่ทัพหาน คนในตระกูลหานชิงชังรังเกียจข้า แต่ก็ทำอะไรมิได้ ด้วยว่าเป็นสมรสพระราชทาน ไม่มีผู้ใดอยากคบค้าสมาคม ข้าเอาแต่เหี่ยวเฉาอยู่ในรังรอวันตายไปช้าๆ ชีวิตข้าเรื่อยๆเอื่อยเฉื่อยๆ ไร้สีสัน ไร้ความรื่นเริง จนกระทั่งย่างเข้าปีที่สองที่แต่งงาน ไม่มีแม้แต่เงาของแม่ทัพหานซิ่นมาเยือนเรือนของข้า ข้าเองก็มิได้ชมชอบบุรุษแต่ต้นอยู่แล้ว ดีเสียอีกที่แม่ทัพผู้นี้ยังเป็นคนดีอยู่บ้าง ไม่คิดเอาความโกรธแค้นจากบิดามาลงกับบุตรอย่างข้า ตลอดเวลาที่ข้าอยู่ในเรือน มีเพียงสาวใช้เหมยฮวาเท่านั้นที่คอยมาเยี่ยมเยือนและอยู่เป็นเพื่อนคุย
   ในที่สุดวันหนึ่ง ข้าก็ได้รับรู้ข่าวว่าแม่ทัพหานซิ่นจะตบแต่งคุณหนูตระกูลจินเป็นภรรยาเอก ข้าเพียงฟังด้วยสีหน้าเรียบเฉยเท่านั้น เหมยฮวาเป็นเดือดเป็นร้อนแทนข้า ข้าช่างน่าขันนัก ชีวิตข้ายังต้องให้ผู้อื่นเป็นห่วง อ่อนแอแท้ๆจิ่วฉือเหนียง เจ้าช่างอ่อนแอเหลือเกิน
   ไม่นาน ข้าก็รู้สึกว่าโชคร้ายนั้นเป็นของข้าแต่เพียงผู้เดียว ใครเลยจะคิดว่าคุณหนูตระกูลจิน จินหรูอันเป็นหญิงนิสัยใจคอโหดร้าย ต่อหน้านางประจบสอพลอ จึงเป็นที่รักใคร่ของทุกคนในจวนตระกูลหาน แต่ลับหลังกลับมารังแกข้าถึงในเรือนหลังเล็กๆนี้ ข้าเป็นบุรุษ ไม่สะทกสะท้าน เพียงแต่จะตอบโต้ก็ไม่งาม ข้าจึงนิ่งเฉยๆ ไม่กระทำการใด นางอยากแกล้ง ข้าปล่อย นางกลับเห็นข้านิ่งเงียบไม่ปริปากบ่น ก็ยิ่งแค้นเคือง จนเมื่อรู้ตัวก็สายไปเสียแล้ว ข้าถูกนางเชิญไปเรือนใหญ่ ดื่มน้ำแกงที่นางเตรียมไว้ให้ จากนั้นก็สิ้นชีวิต
   ภายในความมืดมิดปรากฏแสงสว่างริบหรี่ จากนั้นก็เจิดจ้าขึ้น ข้ายกมือปิดตาหวังให้ความระคายเคืองน้อยลงบ้าง
   เมื่อแสงบรรเจิดหายไป เบื้องหน้าข้าปรากฏร่างของเฒ่าชราใจดีผู้หนึ่ง หลังค่อมยืนถือไม้เท้า แต่ไม่อ่อนแอ
   “ข้อน้อยเสียมารยาท ท่านคงจะเป็นหลี่เถียไกว่(ลี๋เท็กก้วย) คารวะท่านเซียน”
   ข้ายกมือประสานตรงอก ค้อมหัวลงแสดงความเคารพ
   ในตำนานโบราณของจีนกล่าวถึงเถียกว่ายหลี่ว่า หลี่เถียไกว่ หรือ หลี่ขาเหล็ก เกิดเมื่อประมาณ พ.ศ. 200 เดิมชื่อหลีเหียน  เมื่อเป็นหนุ่มเป็นชายรูปงาม  กำพร้าบิดามารดา  มีความสนใจในการท่องบทคัมภีร์และมีใจฝักใฝ่ในธรรมะ  ไม่เสพเนื้อสัตว์  เป็นคนรักสันโดษ  ต่อมาได้ละเคหสถานพำนักรักษาศีลตามโรงเจ  เมื่อมีผู้มาขอทรัพย์สินและบ้านที่เคยอยู่อาศัยก็สละให้หมด  และออกบำเพ็ญตบะตามถ้ำ  ต่อมาได้เดินทางไปยังเขาฮั่วซัวฝากตัวเป็นศิษย์ของหลีเล่ากุลอาจารย์ใหญ่  พร้อมกับศึกษาธรรมบำเพ็ญภาวนาจนสำเร็จ มีผู้นับถือและสมัครเป็นศิษย์มากมาย มีศิษย์ก้นกุฏิคนหนึ่งชื่อเอี้ยวจื้อ  อยู่มาวันหนึ่งหลีเหียนได้ถอดวิญญาณออกจากร่างไปหาอาจารย์  โดยบอกให้เอี้ยวจื้อดูแลร่างไว้ให้ดีครบ 7 วัน จะกลับมา 
   พอวันที่ 6 มารดาของเอี้ยวจื้อเจ็บหนัก  และเอี้ยวจื้อคิดว่าอาจารย์ได้ตายแล้ว  จึงเผาร่างอาจารย์และรีบเดินทางไปหามารดา  แต่มารดาได้ตายเสียก่อน  ส่วนหลีเหียนหลังจากถอดวิญญาณไปแล้วอาจารย์หลีเล่ากุลได้พาไปศึกษาวิชาเซียน 36 สำนัก เมื่อกลับมาไม่พบร่างของตน  พบแต่กองขี้เถ้าวิญญาณ
   หลีเหียนจึงเที่ยวล่องลอยหาร่างใหม่อาศัยเมื่อไปพบศพขอทานขาพิการสกปรกมีไม้เท้าและถุงข้าวสารอยู่ข้างๆจึงเข้าไปอาศัยร่างและได้เสกไม้เท้าเป็นไม้เท้าเหล็ก  เสกถุงข้าวสารเป็นน้ำเต้า ส่วนข้าวสารก็เสกเป็นยารักษาโรค  และได้เรียกตนเองว่าหลี่เถี่ยไกว่จากนั้นก็รีบไปชุบชีวิตมารดาของเอี้ยวจื้อให้ฟื้นขึ้นแล้วหลี่เถียไกว่ก็กลับไปอยู่สำนักหลีเล่ากุลเป็นเซียนองค์ที่หนึ่ง  ผู้ใดปรารถนาจะให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งปวง  ให้จุดธูปบูชาและอธิษฐานถึงเซียนหลี่เถียไกว่
   “บุรุษผู้นี้ช่างนอบน้อมถ่อมตนนัก ข้าชอบเจ้าๆ”
   หลี่เถียไกว่ย้ำประโยค ข้าชอบเจ้าๆ อยู่ซ้ำ
   “ขอเรียนถามท่านเซียน ข้าอยู่ที่ใดกัน”
   เวลานี้สิ่งที่ข้าอยากรู้ที่สุดไม่ใช่ว่าเหตุใดหลี่เถียไกว่จึงอยู่ที่นี่ แต่เป็นเหตุใดข้าจึงมาอยู่ที่นี่ต่างหาก
   เฒ่าชรายิ้มเห็นฟันหลอ แล้วหัวร่อยกใหญ่ หนวดแกว่งไกวตามหัวที่สะบัดไปมา
   “เจ้าไม่รู้หรือว่าเจ้าตายแล้ว”
   “ข้อรู้ขอรับ เพียงแต่ทำไม…”
   คำพูดของข้าถูกหยุดด้วยท่าทียกนิ้วชี้ขึ้นจรดริมฝีปากของชายชรา พร้อมส่งเสียง “ชู่วววววววว” ลากยาว
   “เจ้าไม่ได้รับความเป็นธรรม”
   ข้าไม่มีอะไรต้องปิดบังเซียนผู้นี้ ขึ้นชื่อว่าเซียน สิ่งใดเป็นความลับย่อมรู้ได้ สิ่งใดบ้างที่เซียนไม่อาจรู้ไม่มี
   “เจ้าถูกวางยาจนถึงแก่ความตาย”
   ข้าพยักหน้า
   “ด้วยฝีมือของแม่ทัพหานซิ่น”
   ข้าส่ายหน้า “ไม่ใช่ฝีมือของเขาขอรับท่าน เป็นฝีมือของภรรยาเอกจินหรูอัน นางไม่รู้มีความแค้นอันใดกับข้า จึงฝังใจแค้นเช่นนี้”
   “ความแค้นสตรีช่างน่ากลัวนัก น่ากลัวว่าการสมรสพระราชทานของเจ้า จะไปทำให้ความรักของนางกับแม่ทัพหานซิ่นที่ควรผลิดอกงอกเงยต้องล่าช้ามานานถึงหนึ่งปีเต็ม”
   เป็นเช่นนี้เองหรอกหรือ ที่แท้แม่ทัพหานซิ่นผู้นั้นก็หมายปองจินหรูอันมาตั้งแต่กาลก่อน ถ้าให้ข้าเดา แม่ทัพหานซิ่นกลับมาจากทางใต้ หลังปราบปรามกองกำลังกบฏท้องที่ลงได้หวังมาตบแต่งกับจินหรูอัน แต่โดนแผนร้ายทำลายชื่อเสียงของพระนางอู่ร่วมกับบิดาข้า ทำให้ต้องเลื่อนงานแต่งกับจินหรูอัน มาแต่งข้าเข้าเป็นอนุแทน ชาวบ้านเล่าลือ ชื่อเสียงป่นปี้ มีหรือใครจะไม่เกลียดข้า แม้ข้าเป็นเพียงตัวหมาก แต่ข้าก็มีตัวตนให้ทุกคนถือโกรธ ข้าเป็นเพียงผู้อ่อนแอ มีหรือใครจะกล้าสาปแช่งจิ่วเหมียนชงผู้มีอำนาจบารมีล้นฟ้า ทั้งหมดล้วนมาลงกับผู้ต่ำต้อยเป็นบุตรที่ถูกทิ้งของตระกูลจิ่วอย่างข้าต่างหาก
   นึกแล้วก็สมเพชชะตากรรมของตัวเองนัก
   “แต่อย่างไรก็ตาม แม่ทัพหานซิ่นผู้นั้น ก็ไม่ควรทำกับเจ้าเช่นนี้ เจ้าเป็นเพียงตัวหมาก ไม่น่ามาตายเช่นนี้จริงๆ”
   ข้าจ้องท่านผู้เฒ่าเขม็ง
   “เจ้าคิดหรือว่าจินหรูอันหญิงใจแคบเช่นนั้นจะกล้าวางยาเจ้าที่เป็นถึงอนุที่พระจักรพรรดิสมรสพระราชทาน”
   “…”
   “เจ้าประเมินสามีของเจ้าต่ำเกินไป แม้เขาไม่ถือโทษโกรธเจ้า แต่การมีอยู่ของเจ้า กลับทำให้นับวันชื่อเสียงของเขายิ่งถดถอย ไม่สู้กำจัดคนอย่างเจ้าเสียก็สิ้นเรื่องสิ้นราว”
   “ข้าขอบังอาจพูดขอรับท่านเซียน แม้ข้าจะไม่เคยได้ใกล้ชิดสนิทสนมจนถึงขั้นล่วงรู้ความคิดของหานซิ่น แต่ข้าเชื่อมั่นในการดูคนของข้าออก แม่ทัพหานจิตใจดีงาม เขาเพียงแต่ทำงานเพื่อชาติบ้านเมือง แม้ต้องแตกหักกับขั้วอำนาจอย่างเทียนโฮ่วเขาก็จะทำ เห็นได้จากศึกใหญ่ทางใต้ สมุนที่ก่อความวุ่นวายล้วนเป็นคนของเทียนโฮ่ว แต่แม่ทัพหานซิ่นก็ยืนยันจะเข้าปราบปราม ดูแลทุกข์สุขของราษฎร ห่วงใยแผ่นดินและบรรลังก์ฝ่าบาท แม้มีคนพูดลับหลังว่าเขาหวังแย่งชิงบรรลังก์ข้าก็หาได้เชื่อไม่ เหตุนี้เพียงเรื่องเล็กน้อย ข้าคิดว่าเขาคงแยกแยะออกและไม่จิตใจคับแคบถึงเพียงนั้นขอรับ”
   ไม่รู้ทำไมข้าจึงได้พูดออกมาเสียเป็นวรรคเป็นเวรได้ขนาดนี้ แต่แม่ทัพหานซิ่นผู้นี้ ข้าไม่อาจยอมให้ถูกผู้ใดลบหลู่ เดิมทีแม้เขาเพียงไม่ย่างกรายมาเยี่ยมเยือนข้า มิใช่ข้อกล่าวหาให้ร้ายเขาได้
   “เจ้าเป็นคนดี บุรุษวัยเยาว์”
   “…”
   “คนดีเช่นนี้ไม่น่าตายก่อนวัยอันควร ข้าช่างสงสารเจ้านัก”
   เพียงข้าเผอเรอชั่วครู่ ร่างของท่านผู้เฒ่าก็ค่อยๆสลายเป็นผุยผง แต่เสียงของเขายังก้องกังวาลอยู่บริเวณนี้ไม่หายไป
   พลันเบื้องหน้าปรากฏแสงสว่างเจิดจ้า
   ข้ายกมือขึ้นปิดตาด้วยความเคยชิน
   แต่แล้ว…
   เมื่อเอามือออก เบื้องหน้าข้าก็ปรากฏภาพความศิวิไลซ์ของนครฉางอาน

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
โอ้ ยังไงล่ะนี่ รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ตามมมมมมมมมม  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ lovenine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 250
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
เกิดใหม่ในร่างเดิม หรือร่างใหม่กันนะ  :hao4:

ออฟไลน์ MewSN

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 170
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +234/-4
บทแรก
วิชาของเซียนเฒ่า
   
   “โฮ นายน้อย ท่านมาอยู่นี่เองขอรับ”
   ขณะที่ข้ากำลังตะลึงงันกับความอัศจรรย์ที่ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้อยู่นั้น บั้นเอวก็ถูกสวมกอดจากเบื้องหลังด้วยชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง ที่ปล่อยโฮอย่างไม่เกรงใจผู้ใดออกมา
   “ข้า… คือผู้ใดนะ”
   “โฮ นายน้อย หลายวันก่อนท่านหายตัวไปจากจวนท่านเสนาธิการ พลอยทำให้นายท่านกินไม่ได้นอนไม่หลับ ท่านหญิงใหญ่ ท่านหญิงรอง แล้วก็ท่านหญิงเล็กเป็นห่วงท่านกันหมด”
   ผู้ใดคือนายท่าน ผู้ใดคือท่านหญิงใหญ่ ผู้ใดคือท่านหญิงรอง แล้วผู้ใดคือท่านหญิงเล็กกัน
   โชคดีที่ข้ายังมีสติอยู่บ้าง
   “เจ้า พกกระจกสัมฤทธิ์มาหรือไม่”
   ชายผู้นั้นมึนงงชั่วครู่ ก่อนจะหยิบกระจกในสาบเสื้อออกมาให้ข้า
   เพียงข้าจ้องตัวเองในกระจกทองสัมฤทธิ์ ก็พาให้ตะลึงงัน ยกมือลูบไล้ใบหน้าอย่างคนไม่รู้ตัว
   “นี่ ใครกัน”
   “นายน้อย ท่าน ท่านเสียสติไปแล้วหรือขอรับ”
   หรือข้ากลายเป็นวิญญาณร้ายมาสิงสู่ยึดร่างของชายผู้นี้กัน
   “เฉียนเอ๋อร์! เฉียนเอ๋อร์ของแม่!”
   “นายหญิงรอง!!!”
   ชายผู้ที่กอดข้าอยู่ผละออกไปประคองแม่นางที่เขาเรียกว่านายหญิงรองเอาไว้
   “ทำไมเจ้ามองแม่อย่างนั้น แม่จะไม่ห้ามเจ้าไปที่ลั่วหยางแล้ว เจ้าไปเถอะ แต่เจ้าอย่าได้หนีไปคนเดียวอีกเลยนะ ไว้แม่จะขอร้องท่านพ่อให้จัดขบวนรถให้เจ้าเดินทางอย่างปลอดภัย”
   นางเดินเข้ามาสวมกอดข้าแน่น ไม่รู้ทำไมร่างกายของข้าจึงตอบสนองด้วยการกอดตอบนางอย่างที่เห็น
   อบอุ่น ช่างอบอุ่นเหลือเกิน ข้าผู้ไม่เคยได้รับความรักจากผู้ใดมาก่อนยกเว้นท่านแม่ของข้า อ้อมกอดของนางช่างเหมือนกับอ้อมกดของท่านแม่ของข้าจริงๆ
   “ท่านแม่ ข้าเป็นอะไรไปหรือ”
   ข้าต้องรับรู้ให้ได้ ข้ามาอยู่ในร่างนี้ได้อย่างไร
   “สามวันก่อน เจ้าหายตัวไปน่ะสิ ชาวบ้านบอกว่าเจ้าตกลงไปยังแม่น้ำฉางเจียง แม่กับคนของจวนเสนาธิการหาได้เชื่อไม่ จึงออกตามหา ไม่นึกเลยว่าสวรรค์จะเห็นใจข้า ส่งเฉียนเอ๋อร์กลับคืนมา”
   นางปล่อยโฮแล้วก็สวมกอดข้าแน่น
   “นายหญิงรองขอรับ ข้าว่าเรารีบพาคุณชายกลับจวนสกุลโหวกันเถอะขอรับ คนอื่นๆจะได้ใจชื้นได้เสียที”
   “จริงสิ อาตง เรารีบกลับจวนกันเถอะ!”
   “ขอรับนายหญิงรอง”
   ทั้งคู่ตกลงกันเองเสร็จสรรพก็ลากตัวข้าขึ้นรถม้าไป

   กึก!
   รถม้าหยุดลงตรงหน้าป้ายของจวนสกุลโหว แม้ข้าจะไม่รู้เรื่องการเมืองนัก แต่ข้าย่อมรับรู้ว่าฝ่ายใครอยู่ฝ่ายใคร เสนาธิการโหวอันเล่อเป็นสายพระญาติห่างๆของฮองเฮาองค์ก่อนที่ถูกประหารชีวิต สายพระญาติโดยตรงนั้นถูกประหารตามไปด้วย แต่สกุลโหวรอดพ้น ด้วยความช่วยเหลือจากแม่ทัพหานซิ่น และขุนนางคนอื่นๆที่อยู่ฝ่ายเขา ทำให้โหวอันเล่อรอดพ้นวิกฤตมาได้ ซ้ำยังไต่เต้าขึ้นมาเป็นถึงเสนาธิการตำแหน่งสูงศักดิ์ เทียบเท่าตำแหน่งขุนนางของท่านพ่อข้า โหวอันเล่อคอยสนับสนุนแม่ทัพหานซิ่นเสมอมา ไม่เคยเกรงกลัวอำนาจของสกุลอู่ และขุนนางที่เขาเรียกว่าสุนัขรับใช้เทียนโฮ่ว นานวันเข้า สกุลโหวเองก็กลายเป็นก้างชิ้นใหญ่ของพระนางอู่เช่นเดียวกัน
   “เฉียนเอ๋อร์ เจ้าปลอดภัย”
   พอข้าลงจากรถม้า คนที่ถลาเข้ามากอดข้าก็มีมากถึงสามคน ข้าพอจะจับต้นชนปลายได้ จึงรู้ว่า ผู้ที่กอดข้าคือท่านพ่อ เสนาธิการโหวอันเล่อ ท่านหญิงใหญ่ ภรรยาเอกผู้รักข้าดั่งลูกชายในไส้เพราะนางไม่มีบุตร เรื่องราวในสกุลโหวข้าพอรู้มาบ้าง ชาวบ้านร่ำลือ ไม่ใช่ในทางเสียหายแต่เป็นไปในทางที่ดี กล่าวว่าเสนาธิการโหวมีลูกชายเพียงคนเดียว ภรรยาสามคนรักใคร่ปรองดองกัน รักคุณชายผู้นี้ที่ข้าสิงอยู่ดั่งลูกในไส้ ดูแลอย่างดียุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม ช่างเป็นที่น่าอิจฉานักในเมืองฉางอานแห่งนี้ คนสุดท้ายคือนายหญิงเล็กที่ร่ำร้องไห้หนักกว่าผู้ใด
   “น้องฟางเชียนเจ้าก็อย่าร่ำไห้ไปเลย บัดนี้ลูกของพวกเรากลับมาแล้ว”
   ท่านแม่ข้า นายหญิงรองกล่าวปลอบขวัญนายหญิงเล็กที่นางเห็นเป็นน้องเสมอมา
   “ท่านพี่เพราะพวกข้าไม่ดี ทักท้วงเฉียนเอ๋อร์ไม่ให้ไปลั่วหยาง ครานี้คงน้อยใจหนัก หนีออกจากบ้าน”
   ท่านแม่เล็กกล่าวไปก็ร่ำไห้ไป ดูแล้วน่าสงสารยิ่ง ก่อนนางจะหันไปตัดพ้อกับพ่อของข้าว่า
   “ทุกอย่างเป็นเพราะท่าน เพราะท่านเอาแต่ห้าม ห้าม แล้วก็ห้าม ลูกจึงหนีออกจากบ้านไปแบบนี้ ท่านมิต้องมาพบพวกเราอีกนับจากนี้”
   เสนาธิการโหวแทบขาดใจ หันไปหาตัวช่วยอย่างนายหญิงใหญ่ของบ้าน
   “น้องฟางเชียนพูดถูก คราวนี้เจ้าก็อย่ายกโทษให้เขาง่ายๆนะน้องเหวินเฉียน เฉียนเอ๋อร์มาหาแม่ใหญ่มาลูก”
   ข้าเข้าไปให้ท่านแม่ใหญ่ปลอบขวัญ
   “ครานี้ท่านคงได้สติ ปล่อยเฉียนเอ๋อร์ไปศึกษาที่นครลั่วหยางได้แล้วกระมัง อยู่ไกลตามีคนดูแล ก็ดีกว่าลูกหนีออกจากบ้านไปพลอยไม่รู้เป็นตายอย่างไร ดีที่สวรรค์เมตตาเฉียนเอ๋อร์ของแม่ มาๆ เจ้าคงจะลำบากหาทางกลับจวนอยู่หลายวัน บัดนี้ดูซูบผอมเหลือเกิน แม่เตรียมของอร่อยไว้ให้เจ้าแล้ว ส่วนท่าน ก็ไปจัดการหารถม้าทำเรื่องทำราวให้มันจบสิ้นเถอะ”
   เสนาธิการโหวรับรู้ในคราวนั้นเองว่า หมาหัวเน่าเป็นอย่างไร
   เขาไม่นึกอิจฉาลูกชาย เพราะโชคดีแค่ไหนแล้ว ที่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนผู้นี้กลับเข้าจวนมาอย่างปลอดภัย
   นับว่าสวรรค์ทรงเมตตา

   คืนนี้เป็นคืนจันทร์เต็มดวง ท้องฟ้าสว่างพร่างพราวด้วยแสงนวลของแสงจันทร์ ข้าออกมายืนรับลมเย็นของฤดูใบไม้ผลิ พลางคิดไปถึงเรื่องมหัศจรรย์มากมายที่เกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ ข้าก็กลับกลายมาเกิดใหม่ มาอยู่ในร่างของลูกชายของเสนาธิการโหวอันเล่อ จากผู้ที่ไม่เคยได้รับการเอาใจใส่ เจอการต้อนรับอย่างอบอุ่นใครบ้างที่ไม่รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกไปจากอก เหมือนตัวเบาราวกับจะลอยได้ บัดนี้ข้าเป็นที่รักของทุกคนในจวน แต่ทว่าจิตใจยามนี้เองก็สับสนเช่นเดียวกัน วิญญาณของโหวเฉียนเฉิงไปอยู่ที่ใดกัน เขาตกลงไปในแม่น้ำฉางเจียงจริงหรือไม่ และเขาตายไปแล้วจริงๆหรือ
   “เจ้าคิดว่าสักวันเจ้าจะต้องคืนร่างนี้ให้กับคนผู้ที่เจ้ามาสิงสู่เช่นนั้นหรือ”
   คิดไม่ตก พลันได้ยินเสียงผู้เฒ่า ก่อนร่างของชายชราจะปรากฏกาย ล่องลอยไปมาเบื้องหน้าข้า หลี่เถียไกว่นั่นเอง
   “คารวะท่านเซียนขอรับ”
   “เจ้ากำลังคิดว่าข้าเป็นเพียงความฝันของเจ้าหรือ”
   ใบหน้าของชายชรายังประดับรอยยิ้มไม่หายไป
   “เจ้าคนมักน้อยเอ๋ย เจ้ากำลังรู้สึกว่าร่างนี้มิใช่ของเจ้า สักวันเจ้าจะต้องปล่อยมันไปใช่หรือไม่”
   ข้ากลัวเหลือเกิน ข้าไม่อยากเห็นแก่ตัว
   “โหวเฉียนเฉิงตายไปแล้ว วิญญาณของเขาสลายเป็นเถ้าทุลีไปแล้ว เจ้าเรียกอย่างไรเขาก็ไม่กลับมาแล้ว เรื่องนี้มิใช่ความผิดของเจ้า มันเป็นลิขิตสวรรค์ โหวเฉียนเฉิงแม้เป็นคนดีแต่อายุสั้นนัก บางเรื่องเทพเซียนอย่างข้าพอจะช่วยได้ แต่บางเรื่องก็จนปัญญา คนดีตายไปเสียมาก คนชั่วยังอยู่นับแสน เป็นลิขิตฟ้า”
   ข้าพอจะเข้าใจว่า เรื่องบางเรื่องที่เทพเซียนองค์นี้พอช่วยได้เขาก็ได้ช่วยไปแล้ว และเรื่องบางเรื่องที่เกินกำลังนั้นคือเรื่องอะไร ข้าก็ได้ประจักษ์แล้ว เพียงแต่เหล่านี้ ช่างมหัศจรรย์เกินไปจริงๆ
   “แต่ใช่ว่าเจ้าเกิดใหม่จะไม่ทำประโยชน์ ข้าได้มอบวิชาติดตัวเจ้าไปเพื่อช่วยเหลือผู้คน หากเจ้ารู้สึกผิดที่การมาเข้าร่างนี้เป็นเหตุให้เจ้าของร่างเดิมต้องสิ้นอายุขัย แม้ความจริงจะไม่ใช่อย่างนั้น ก็จงใช้วิชาแพทย์ที่เจ้าได้มา ออกช่วยเหลือผู้คนเสีย”
   ข้าไม่เข้าใจในสิ่งที่เซียนเฒ่าพูดถึง แต่ชายชราผู้นี้ จะมาก็มา จะไปก็ไป และบัดนี้เขาไปแล้ว
   “นายน้อย! แย้แล้วขอรับ อาหารมื้อเย็นมียาพิษ ตอนนี้นายหญิงใหญ่ถูกพิษสลบไปเป็นตายอย่างละครึ่ง นายท่านให้ข้าตามนายน้อยไปตรวจพิษในร่างกายขอรับ”
   ข้าตะลึงงัน
   ตัวเองเพิ่งถูกลอบวางยาจนตาย บัดนี้ต้องมาเห็นคนอื่นถูกลอบวางยาจนตายบ้าง จะไม่ให้อกสั่นขวัญหายได้อย่างไร รีบตามอาตงไปที่เรือนหลังใหญ่ทันที
   
   “เรียนนายท่าน คุณชายน้อยปลอดภัยดี ส่วนทางนายหญิงใหญ่ ข้าต้องเฝ้าดูอาการต่อไป”
   ท่านหมอกล่าวบอกกับท่านพ่อ เสนาธิการโหวถอนหายใจแต่สีหน้ามิได้คลายกังวล เนื่องด้วยภรรยาไม่รู้เป็นตาย บัดนี้จวนสกุลโหวไม่มีผู้ใดข่มตานอนหลับได้ลง
   “ท่านพ่อ ให้ข้าเข้าพบท่านแม่ใหญ่ได้หรือไม่”
   ถ้าคำของเฒ่าชราเป็นจริง ข้าก็จะต้องเริ่มต้นช่วยผู้คนตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
   “เอาเถอะ ข้าไม่ได้พูดเป็นลาง แต่ฮวนอิ๋งเป็นตายครึ่งหนึ่ง บอกลากันไว้มิเสียหายอันใด”
   สีหน้าท่านพ่อยามเอ่ยถึงนางอันเป็นที่รักช่างเศร้าสร้อยยิ่งนัก
   “วางใจเถอะขอรับท่านพ่อ”
   ข้าเข้าไปกอดปลอบบิดา ก่อนจะผละไปหาท่านแม่ใหญ่ที่เรือนฝั่งตะวันออก

   “อาตง เวลานี้ร้านยาภายในเมืองยังเปิดอยู่หรือไม่”
   “ยังเปิดขอรับคุณชาย”
   “งั้นเจ้าช่วยข้า หาสิ่งเหล่านี้ที่ร้านยามาให้ครบตามจำนวน”
   เป็นจริงดังที่ท่านผู้เฒ่าชราพูด คำของเซียนหลี่เถียไกว่ไม่เคยโป้ปด เพียงข้าพินิจดูอาการของท่านแม่ใหญ่ชั่วครู่ พลันในหัวก็เกิดแสงสว่าง รับรู้ว่าต้องรักษาอย่างไร จึงเขียนใบสั่งซื้อรายการให้อาตงรีบไปหามาทันที
   พิษเหมันต์สามฤดูเป็นพิษร้ายแรงทางตอนเหนือจากคำให้การของแม่ใหญ่ที่เพิ่งฟื้นขึ้นมา ยืนยันได้ว่าในสกุลโหวนั้นไม่ได้มีผู้ใดคิดปองร้าย เพียงแต่ว่าหลายวันก่อนนายหญิงใหญ่ออกไปหาข่าวคราวของข้า หรือก็คือโหวเฉียนเฉิงที่ตกลงไปในแม่น้ำฉางเจียง บังเอิญได้พบคนของพระนางอู่เข้า ที่นางรู้เพราะคนผู้นั้นบอกเองว่าเป็นนางกำนัลจากฝ่ายใน พวกนางร่วมสนทนากันชั่วครู่ พิษไม่ได้ออกฤทธิ์ทันที ขึ้นชื่อว่าพิษเหมันต์สามฤดู พิษชนิดนี้จะออกฤทธิ์ตามฤดูการสามฤดู คือฤดูใบไม้ผลิ ใบไม้ร่วง และฤดูร้อน แต่มีเงื่อนไขคือเมื่อถึงวันพระจันทร์เต็มดวงในสามฤดู พิษจึงจะออกฤทธิ์ตามความเข้มของแสงจันทร์ ว่ากันว่าพิษชนิดนี้เป็นพิษที่ถูกคิดค้นโดยชนเผ่าเซียนเปยทางตอนใต้
   เมื่อรักษาท่านแม่ใหญ่ได้ ไม่มีผู้ใดคิดสงสัยในตัวข้า กลับยิ่งชื่นชมยินดีที่วิชาแพทย์ที่ข้าเคยเรียนก่อนหน้านี้ประสบผลสำเร็จ นั่นเป็นการตอกย้ำว่า ความตั้งใจเดิมของข้าที่จะไปเรียนต่อวิชาแพทย์ที่เมืองลั่วหยางประตูย่อมถูกเปิดออกไปกว่าครึ่งบานแล้ว ที่เหลือก็เพียงแต่ให้ท่านพ่ออนุญาต
   “ลูกเฉียนของเราโตแล้วจริงๆนะท่านพี่”
   ท่านแม่ของข้ากล่าวชมข้าให้ท่านแม่ใหญ่ฟัง ขณะเราสี่คนแม่ลูกนั่งชื่นชมบรรยากาศฤดูใบไม้ผลิยังสวนในจวนเสนาธิการโหว
   “ฟางเชียนดีใจยิ่งนัก ท่านพี่มีวาสนา มีลูกที่เก่งกาจเช่นนี้” ท่านแม่เล็กกล่าวชมสำทับจยข้าเกือบลอยขึ้นฟ้า
   “ลูกของเราต่างหากน้องเชียนฟาง”
   ข้าดีใจเหลือเกินที่ได้เห็นภาพความรักใคร่ปรองดองต่อกันเช่นนี้ ที่ถ้าข้ายังอยู่ในสกุลเดิมคงไม่มีวันได้เห็น
   “ท่านพี่ เป็นอะไรเดินหน้าเครียดมาเชียว”
   ท่านแม่ใหญ่ที่เห็นท่านพ่อเดินมาก่อนใครเอ่ยทักขึ้น จนทุกคนมองตามไป
   “ท่านหานซิ่นมา หารือเรื่องลอบวางยาพิษเจ้า”
   “ตายจริงท่านพี่ ใยไม่บอกท่านแม่ทัพว่ามิใช่เรื่องใหญ่อะไร”
   “ไม่ได้หรอกฮวนอิ๋ง นางกำนัลพวกนั้นกำเริบเสิบสาน เอาเถอะนี่เป็นเรื่องการเมือง เจ้ารู้ไว้เพียงเท่านี้ก็พอ เฉียนเอ๋อร์ มากับพ่อ”
   ข้าเบิกตากว้าง
   “ไปพบท่านแม่ทัพหานซิ่น”
   ว่ากันว่าเมืองหลวงใกล้กันแค่นี้ ไม่แปลกใจที่ข้าจะต้องพบสามีเก่าในเร็ววัน

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
จะได้ป่ะหน้าปัวเก่าแล้ว ดีใจ หรือ เสียใจ กันแน่นะ  :hao3:

ออฟไลน์ MewSN

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 170
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +234/-4
บทสอง
อยากหนี แต่หนีไม่รอด

   “ท่านเสนาธิการ อาเฉียน”
   แม่ทัพหานซิ่นคารวะเสนาธิการโหว แล้วหันมาทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับข้า นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน จะว่าแม่ทัพผู้นี้มีตา เห็นว่าข้านั้นแท้จริงคืออนุภรรยาที่ตายไปก็หาใช่ไม่ เช่นนั้นแม่ทัพหานผู้นี้คงเป็นเซียนที่สิงสู่อยู่ในร่างมนุษย์หล่อเหลานามว่าหานซิ่นกระมัง
   “อาเฉียนเจ้าอย่าก่อเรื่อง ให้เจ้ามาฟังครานี้ เพราะเป็นเรื่องใหญ่ ภายหน้าเจ้าจะได้จัดการได้”
   ข้ามึนงงไปหมด ข้าจะก่อเรื่องอันใดกัน ฟังจากสรรพนามเรียกขานระหว่างตัวข้าคนเดิมกับท่านแม่ทัพ เดาว่าทั้งสองคงรู้จักกันเป็นอย่างดี ไม่งั้นคงไม่เรียกว่าอาเฉียนหรอก
   แต่เหตุที่ข้าจะก่อเรื่อง มันคืออันใดกัน
   “เข้าเรื่องเลยเถอะท่านโหว เช้านี้มีคนมาแจ้งข้าว่าฮูหยินของท่านถูกคนของพระนางอู่ลอบวางยารึ”
   แม่ทัพหานซิ่นไม่รีรอ เข้าเรื่องตรงประเด็นโผงผาง เสนาธิการโหวเองก็ถอนหายใจ พลางพยักหน้ายืนยันว่าเป็นเรื่องจริง เวลานี้ทั่วเมืองหลวงต่างเล่าลือ แต่ในพระราชวังนั้นข่าวคราวมิได้ไปถึงพระเนตรพระกรรณของจักรพรรดิอย่างแน่นอน เนื่องจากขันทีคนสนิทที่คอยปรนนิบัติฮ่องเต้ เป็นพวกของพระนางอู่
   “เทียนโฮ่วใจดำอำมหิตถึงเพียงนี้ ใต้จมูกท่านโหว ข้าต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่ง”
   แม่ท่านหานซิ่นกล่าวอย่างจริงใจ ข้ามองกิริยาอาการคุกเข่าคำนับขอโทษด้วยความอึ้ง ตลอดเวลาข้ามิเคยเห็นเวลาสามีเป็นงานเป็นการเช่นนี้มาก่อน เพราะข้าเอาแต่อยู่ในเรือนหลังเล็ก อยู่ในที่ของตน ได้ยินก็แต่คนอื่นเล่าคนอื่นลือ สามีข้าช่างเป็นผู้น่าเลื่อมใสเสียจริง
   จะว่าให้ถูก ก็อดีตสามีไปแล้ว
   “เรื่องนี้เหตุใดท่านจึงผิดกัน ลุกขึ้นเถิดท่านแม่ทัพ ด้วยตำแหน่งของท่านนั้นสูงกว่าข้านัก”
   “ในเขตเมืองหลวงเป็นหน้าที่ของกรมทหาร ตัวข้าเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ย่อมมีความผิด อีกอย่างข้ามิได้คุกเข่าขอโทษในฐานะท่านแม่ทัพ แต่คุกเข่าขอโทษในฐานะสหายที่มิอาจปกป้องภรรยาของสหายสนิทได้”
   คำของหานซิ่นยิ่งทำให้ข้านิ่งอึ้ง สามี ท่านดีขนาดนี้เชียวหรือ
   นั่นยิ่งทำให้ข้ามั่นใจมากไปอีกว่า ท่านไม่มีวันร่วมสมรู้ร่วมคิดกับจินหรูอันวางยาข้าเป็นแน่
   “เฉียนเอ๋อร์ เจ้ารีบประคองท่านหานซิ่นให้ลุกขึ้นเถอะ”
   ทำไมเป็นข้าล่ะท่านพ่อ ข้าผู้กำลังถูกท่านแม่ทัพมองด้วยสายตาประหลาดยิ่ง ทั้งขยะแขยงปนจำใจ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ความสัมพันธ์ระหว่างข้าคนเดิมก่อนตายกับหานซิ่นนับว่าแย่ ข้าเป็นหมาก เขาย่อมมองข้าว่าข้าสมรู้ร่วมคิด รู้เห็นเป็นใจกับขุนนางคหบดีจิ่วเหมียนชงสมคบคิดกับพระนางอู่ร่วมกันทำลายชื่อเสียง แต่นี่มันอะไรกันอีก ข้ามาเกิดในร่างใหม่ ยังต้องมีความสัมพันธ์ด้านลบกับเขาอยู่อีกหรือ สวรรค์ลงโทษข้าเถอะ
   ข้าจำเป็นต้องเข้าไปประคองอย่างมิอาจขัดขืนได้ ท่านแม่ทัพสะบัดชายเสื้อทีหนึ่ง ข้าจึงรีบปล่อยมือเขาอย่างรวดเร็ว ไม่นึกว่าจะทำให้หานซิ่นย่นคิ้วประหลาดใจ
   อะไรกัน ข้าทำอะไรผิดอีกเหรอ
   ไม่นึกว่าท่านพ่อเองก็มองด้วยสายตาอันแปลกประหลาดยิ่ง พลางกระแอมทีหนึ่ง
   “เอาล่ะ ท่านแม่ทัพ ข่าวร้ายก็ผ่านพ้นไปแล้ว ข้าว่าท่านมิได้มาด้วยเรื่องฮูหยินข้าเรื่องเดียวเป็นแน่”
   ข้าขมวดคิ้วมุ่น ทำไมบรรยากาศจึงตึงเครียดขึ้นมากะทันหันเช่นนี้เล่า
   แม่ทัพหานซิ่นชำเลืองมองข้าครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวว่า
   “ข้าถูกย้ายไปประจำการที่ลั่วหยาง ด้วยคำสั่งของพระจักรพรรดิย่อมไม่อาจปฏิเสธได้ เมื่อเช้าในวังเกิดการแต่งตั้งตำแหน่งนายกรมทหารม้าคนใหม่ เป็นคนของพระนางอู่”
   เพียงเท่านี้ทุกคนก็รับรู้แล้ว การโยกย้ายท่านแม่ทัพแม้จะอ้างอำนาจจักรพรรดิแต่ว่าเวลานี้พระเจ้าถังเกาจงแทบไม่มีอำนาจควบคุมฝ่ายทหาร แน่นอนว่าขั้วอำนาจที่ทำให้หานซิ่นผู้นี้จำต้องย้ายประจำการต้องเป็นฝั่งของพระนางอู่เป็นแน่ แต่ใช่ว่าแม่ทัพหานซิ่นในราชสำนักจะไม่มีคนสนับสนุน เพียงแต่ว่าไม่กี่วันก่อนพระนางอู่ได้จัดประชุมราชสำนักขึ้น เรียกว่าประชุมแต่ไม่ครบองค์ประชุม เพราะขุนนางตำแหน่งเสนาบดีส่วนใหญ่ที่สนับสนุนแม่ทัพหานซิ่นนั้น จำต้องเดินทางไปปฏิบัติภารกิจนอกเมืองหลวง ทำให้การประชุมครั้งนี้เหลือเพียงขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายพระนางอู่เท่านั้น เท่ากับว่าเทียนโฮ่วกุมอำนาจ การประชุมจบเป็นวาระๆไป เพราะฉะนั้นวาระไหนถูกยกขึ้นมาและชนะองค์ประชุม วาระนั้นจำต้องปฏิบัติตาม
   และเรื่องก็เป็นดังนี้ พระนางอู่เสนอให้หานซิ่นไปประจำการที่ลั่วหยาง ไม่มีผู้ใดคัดค้าน องค์ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ แม่ทัพหานซิ่นเลี่ยงมิได้
   “กำเริบเสิบสานแล้ว!”
   เสนาธิการโหวได้แต่เพียงอุทานออกมาเท่านั้น
   “วาระยืนยันแล้ว ฮ่องเต้ทรงออกพระราชโองการ ข้าก็หมดหนทางปฏิเสธแล้ว เรื่องในวังหลวง ต้องฝากท่านดูแล เป็นหูเป็นตาให้”
   เรื่องมาถึงขั้นนี้ เป็นถึงเสนาธิการก็ทำอะไรไม่ได้ ทุกวันนี้ในวังมีแต่คนชั่วช้า แอบอ้างราชโองการ เพียงประทับตราทองคำของจักรพรรดิ ก็ถือว่ามีอำนาจสูงสุดแล้ว
   “จริงสิ ท่านไปลั่วหยาง เฉียนเอ๋อร์ เจ้าก็ติดรถท่านแม่ทัพไปด้วยแล้วกัน”
   ข้าถลึงตามองท่านพ่อ
   “วันที่แปดเดือนแปดยามเหม่า(05.00 - 06.59 น.) ข้าจะออกเดินทาง ชักช้าไม่ได้นี่เป็นราชโองการของฮ่องเต้”
   “ดีๆ ขอให้ท่านเดินทางปลอดภัย”
   แล้วทำไมจึงเป็นข้าที่ต้องไปกับเขาเล่าท่านพ่อ
   “เฉียนเอ๋อร์ เจ้ายังไม่ขอบคุณแม่ทัพหานอีก”
   “ขอบคุณขอรับ ท่านหานซิ่น”
   ข้ากล่าวขอบคุณพลางคารวะ แต่ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นมากลับพบกับดวงตาปูดโปนของท่านพ่อที่แทบถลนออกมาจากเบ้า
   “มีอะไรหรือขอรับท่านพ่อ”
   “แค่กๆ ไม่มี ไม่มีอะไร เจ้าไปพักผ่อนได้แล้ว ขออภัยท่านแม่ทัพ ลูกฆ่าหายไปหลายวัน กลับมาบ้านอย่างปลอดภัยนับว่าสวรรค์ยังมีเมตตา ท่านอย่าได้ถือสาเขาเลย”
   ข้าถูกท่านพ่อขับไล่ไสส่งออกมาจากศาลา ไม่รู้จะไปที่ใดจากเที่ยวเตร่ชมนกชมไม้ในจวนเสียเลย
   จวนของตระกูลจิ่วไม่ใหญ่เท่าจวนตระกูลโหว กลับกันจวนตระกูลโหวกลับให้ความรู้สึกสัมผัสกับธรรมชาติ ได้มากกว่าจวนของตระกูลจิ่วที่หรูหราฟุ่มเฟือย ทุกอย่างเป็นสีแดงราวกับอยู่ในวังหลวง ข้าคิดว่าดีเหลือเกินที่ได้มาอยู่ในร่างนี้ หากแต่เฉียนเฉิงผู้นี้ ชะตาอาภัพ ช่างน่าสงสารนัก
   แต่ตัวข้าเองก็น่าสงสารไม่แพ้เขาเลย บางทีข้ากับเขาอาจสลับชะตากรรมกันก็เป็นได้
   “นายน้อยขอรับ”
   “ว่าไงอาตง”
   “ข้อเรียกนายน้อยตั้งนาน ทำไมท่านเดินใจลอยเช่นนี้ขอรับ”
   เป็นเจ้าต่างหากที่เรียกเบาเกินไป ข้าอยากจะถามเหลือเกินว่าจวนแห่งนี้ห้ามเสียงดังหรือ แต่ก็ปัดคำถามไร้สาระทิ้งไป
   “อาตง ข้ากับแม่ทัพหานเกี่ยวข้องกันอย่างไร”
   ดีเลย มีคนมาให้เค้นถามถึงที่ อาตงขมวดคิ้วมองเขาด้วยความมึนงง แล้วอ้าปากเจื้อยแจ้วบอกว่า
   “คุณชายน้อย เมื่อก่อนท่านเอาแต่เรียกว่า พี่หานๆไม่หยุดปาก พอท่านแม่ทัพมาทีไร ท่านก็จะเข้าไปเกาะแขนเกาะขา วุ่นวายจนพลอยให้ถูกตำหนิจากท่านพ่อเรื่อยไป ท่านจำไม่ได้หรือ”
   ข้าฟังไปก็อยากกระอักเลือดตายไปครั้งละหลายหนเหลือเกิน นั้นเท่ากับว่าเมื่อครู่ ข้าทำตัวปล่อยไก่ไปเสียหลายเล้าเลยล่ะ
   “แล้วยังไงอีก”
   “อะไรหรือขอรับ”
   “ก็ความสัมพันธ์ของข้ากับพี่หานไง”
   โอ คำนั้นข้าที่เป็นจิ่วฉือเหนียงอยากเรียกเขามานานแล้วเหลือเกิน พอเรียกแล้วรู้สึกแปลกๆเหมือนกันนะ ข้ามั่นใจได้ว่า เฉียนเฉิงคนเก่าย่อมมีใจให้แม่ทัพหานซิ่นสามีเก่าข้าเป็นแน่ ไม่เช่นนั้นท่านแม่ทัพจะทำท่ารังเกียจข้าไปทำไมกัน เดิมทีหานซิ่นเป็นผู้ชาย เขาไม่ได้ชอบบุรุษอยู่แล้ว แต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธคำขอของพ่อข้า เห็นได้ชัดว่าท่านพ่อรู้เห็นเป็นใจร่วมด้วยช่วยลูกชายตามฉบับของท่านจริงๆ
   “ท่านก็มักแวะเวียนไปหาท่านหานซิ่นบ่อยๆ มีครั้งนึงท่านมาร้องห่มร้องไห้บอกว่าท่านหานซิ่นแต่งอนุเป็นผู้ชาย แต่ไม่ยอมแต่งงานกับท่าน”
   ข้าคนเดิมนี่ช่างกล้ากำเริบแท้ๆ อุตส่าห์ว่าได้ออกมาจากจวนตระกูลหานแล้วแท้ๆ มีเค้าลางว่าเฉียนเฉิงผู้นี้ กำลังนำหายนะมาให้ข้าชัดๆ
   ข้าไม่แปลกใจเลยที่ข้าไม่เคยเห็นเฉียนเฉิงผู้นี้ เพราะว่าวันๆข้าเอาแต่หมกตัวอยู่ในเรือนหลังเล็ก คุยกับสาวใช้เหมยฮวาแก้เหงา จะว่าไปข้าตายเช่นนี้ นางจะเป็นอย่างไรกันนะ
   “อาตง เราไปบ้านสกุลหานกัน”
   “หา!!!”
   ไปเวลานี้ หานซิ่นอาจจะคุยกับท่านพ่อยังไม่กลับ ข้าก็แค่อ้างว่ามาหาหานซิ่น แอบเข้าไปดูเหมยฮวา บอกตรงๆว่าข้ารู้สึกผูกพันกับนางเหลือเกิน การที่ข้าต้องมาตายเช่นนี้ ไม่มีเวลาห่วงหน้าห่วงหลัง ไม่รู้ป่านนี้นางจะไปเป็นคนใช้ของผู้ใดในเรือนสกุลหาน
   “ไปเถอะ อย่าช้า!”
   อาตงผู้ถูกข้าลากมาด้วยไม่มีโอกาสได้ขัดขืนอีกต่อไป

   เป็นดังคาด ข้ามา แม่ทัพหานยังไม่กลับ สาวใช้เรือนใหญ่จึงไปเรียนฮูหยินผู้เฒ่าของบ้าน หวังจื่อซิ่น นางเป็นผู้จงเกลียดจงชังข้าเข้ากระดูกดำ แต่ข้าไม่ยักรู้ว่านางเอ็นดูเฉียนเฉิงอย่างยิ่ง แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าเฉียนเฉิงชอบแม่ทัพหานอย่างนั้นหรือ บ้านสกุลนี้ตรรกะช่างแปลกยิ่งนัก
   ฮูหยินผู้เฒ่าออกมาทักทายข้าตามประสา แล้วบอกให้ไปเที่ยวเล่นในจวนได้ตามสบาย ข้าจึงสบโอกาสทิ้งอาตงให้คุยจ้อกับสาวใช้ในเรือนใหญ่ ซึ่งคิดว่าทั้งสองคงสนิทกันเนื่องจากเฉียนเฉิงน่าจะมาบ่อยไม่น้อยเลย ข้าตามหาเหมยฮวาทั่วจวนก็ไม่พบ จึงเดินกลับมาที่เรือนใหญ่ หนึ่งสาวใช้หนึ่งนายบ่าวก็ยังคุยกันไม่จบสิ้น
   “จริงสิแม่นางเวิ่นชิง ข้าไม่ยักเห็นเหมยฮวาวันนี้เลย”
   อาตง เจ้าช่างยอดเยี่ยมเสียจริง เจ้าถามตรงใจข้าเหลือเกิน
   “นี่พี่ไม่รู้หรือ ว่าเหมยฮวาถูกไถ่ตัวเป็นอิสระแล้ว”
   “ข้าดีใจด้วย แม่นางเหมยฮวาคงพบเจอคนรักเสียที”
   เรื่องเป็นเช่นนี้เองสินะ ข้าค่อยโล่งใจหน่อย แต่ทว่า…
   “ใช่ที่ไหนกันพี่ นายหญิงจินหรูอันบอกว่าเหมยฮวาไม่เอาไหน เลยขับไล่ไสส่งบังคับนางให้เป็นอิสระ ป่านนี้นางไม่รู้ไปพึ่งพิงใคร หลังนายน้อยจิ่ว…”
   แม่นางเวิ่นชิงพูดมาถึงตรงนี้ก็หยุดชะงัก
   “อะไรของเจ้า ว่าต่อสิ”
   “ช่างเถอะๆ”
   ดูเหมือนว่าเรื่องของข้าจะถูกปิดเงียบไม่ให้ใครพูดถึงอีก เอาเถอะ เวลานี้ข้าร้อนใจเรื่องของเหมยฮวายิ่งนัก ทำอย่างไรดี
   “แล้วเจ้ารู้หรือไม่ ว่านางจะไปที่ใด”
   “นายน้อยเฉียน ข้าทราบว่านางมีญาติอยู่ที่ชานเมือง นางคงไปพึ่งพิงอยู่อาศัยที่นั่น”
   “แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่า…”
   “แล้วเจ้าจะถามเรื่องของเหมยฮวาไปเพื่อเหตุใดกัน”
   !!!
   ข้าเบิกตากว้าง หันไปมองต้นเสียงเบื้องหลัง
   แม่ทัพหานซิ่นยืนขมวดคิ้วเคร่งเครียดอยู่
   “ไม่มีอะไร ท่าน เอ่อ พี่หานซิ่น”
   “เจ้ากลับมาเรียกข้าอย่างเดิมแล้วหรือ”
   ก็ใช่น่ะสิ ข้ามันไม่รู้ความ โปรดปล่อยข้าไปเถอะท่านพี่หานซิ่น
   “คนใช้บอกว่าเจ้ามาหาข้า ข้าแปลกใจนักว่าเราเพิ่งเจอกันเมื่อครู่ ที่จวนของพ่อเจ้า”
   ข้าอ้าปากพะงาบๆ ไม่มีสิ่งใดจะโต้แย้ง
   “ข้า ข้าหมดธุระแล้ว ขอลาล่ะท่านพี่”
   ข้าบุ้ยใบ้ปากให้อาตงรีบตามมา แต่ตัวข้ากลับนิ่งค้างอยู่กับที่ เมื่อท่านแม่ทัพคว้าข้อมือข้าไว้แล้วกำแน่น
   “เจ้ามาหาข้า ข้ามาแล้ว เจ้าจะกลับเลยรึ”
   “ก็ ข้าเจอท่านแล้วนี่ไง ข้ามาเพราะคิดถึง บัดนี้พบกันแล้ว ข้าขอลา”
   ข้าพยายามแกะมือของอีกฝ่ายออกไป แต่ไม่เป็นผล
   “ทำไมเจ้าจึงกลับมาเรียกข้าว่าพี่หาน ทำไมจึงไม่เรียก…”
   ข้าเบิกตากว้าง
   “ท่านหานซิ่น”
   ท่านหมายความว่าอย่างไรกัน ที่ท่านพูดหมายถึงการที่ข้าเรียกท่านที่ศาลาในจวนสกุลโหว หรือการที่ข้าเรียกท่านเช่นนั้นมาตลอดสามปีที่แต่งงานกัน ข้าจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีดำขลับ แต่ไร้คำตอบ
   แม่ทัพผู้นี้ น่ากลัวจริงๆ

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ MewSN

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 170
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +234/-4
บทสาม
สิ่งที่ติดค้างในใจ

   ข้าอ้ำอึ้งอยู่นานไม่รู้จะมีอันใดให้พูด ได้แต่กะพริบตาปริบๆมองแม่ทัพหานซิ่นอดีตสามีที่เหมือนรู้มากผู้นี้
   “เอาเถอะ ข้าไม่รั้งเจ้าแล้ว”
   ครั้นจะปล่อยก็ปล่อยโดยง่าย ช่างเดาใจยากเหลือเกิน
   “อาตง รีบไป…”
   “ก็นึกว่าใคร ที่แท้ก็คุณชายน้อยจากสกุลโหวนี่เอง”
   ข้ายังไม่ทันพูดจบประโยค จินหรูอันก็เดินนวยนาดออกมาจากประตูบานใหญ่ ท่าทางราวกับนางพญานี้เป็นท่าประจำของนางอยู่แล้ว ข้าไม่แปลกใจอะไร
   “ข้าน้อยเสียมารยาท คารวะแม่นางหรูอัน”
   จินหรูอันหน้าถอดสี อันที่จริงตำแหน่งคุณชายสกุลโหวถือว่าสูงศักดิ์กว่าภรรยาเอกของหานซิ่นนัก ไม่แปลกที่การที่ข้าทำแบบนี้จะทำให้นางอยู่ไม่สุข จำต้องก้มหัวคารวะข้าตอบ
   จินหรูอันครุ่นคิด วันนี้คุณชายต้วนซิ่ว(พวกชอบไม้ป่าเดียวกัน)ผู้นี้จะมาไม้ไหน
   “พอดีเฉียงเฉิงมีธุระ คงอยู่สนทนาด้วยมิได้”
   หานซิ่นแปลกใจที่วันนี้เฉียนเฉิงไม่ต่อล้อต่อเถียงกับภรรยาเอกของตน แต่ก็ได้แต่เก็บงำความไม่ชอบมาพากลนี้ไว้ในใจ
   อาตงเองก็มึนงง ว่าวันนี้คุณชายน้อยกินยาอันใดที่ทำให้สงบเสงี่ยมเช่นนี้ได้กันนะ เขาจะได้ซื้อมาเตรียมไว้ยามต้องมาจวนสกุลหานก็ให้นายน้อยกิน
   “ขอตัวก่อน แม่นางหรูอัน ท่านหานซิ่น”
   ในเมื่ออีกฝ่ายอยากให้เรียกท่านหานซิ่นนัก ข้าก็จะเรียกเช่นนี้ไปตลอดเสียเลย
   ไม่รู้ตาฝาดไปเองหรือเปล่า ที่เห็นคิ้วท่านแม่ทัพใหญ่กระตุก
   “ไปกันเถอะ อาตง”
   “ขอรับ นายน้อย”
   เมื่อเดินห่างออกมา จนแน่ใจว่าไม่มีคนตามมาแล้ว ข้าจึงถามที่อยู่เหมยฮวากับอาตง เนื่องจากข้าเป็นคนที่ค่อนข้างเก็บตัว แปลกกว่าเด็กทั่วๆไป ตอนเด็กๆไม่ใคร่จะสนใจเที่ยวชมเมืองเท่าใดนัก ตอนมาเป็นภรรยาเขาก็ยิ่งเก็บตัวเข้าไปอีก ข้าจึงมิรู้ที่ทางในเมืองหลวงมากนัก แม้เป็นคนในพื้นที่ ก็จำต้องให้อาตงนำทางไป ไม่นานพวกเราก็มาถึงกระท่อมหลังเล็กซอมซ่อแห่งหนึ่ง
   “แม่นางเหมยฮวา ท่านอยู่หรือไม่”
   อาตงร้องเรียกไปหนึ่งครั้ง ประตูบ้านจึงเปิดออก
   “พี่ตงเซี่ย กลับไปเสีย อย่ามาที่นี่อีก”
   เหมยฮวามีสีหน้าอิดโรย ความสดใสในวันวานได้หายไปจากใบหน้าของนางแทบหมดสิ้น
   “สีหน้าเจ้าไม่ค่อยดีนัก มีเรื่องทุกข์ใจอันใดหรือแม่นาง”
   ข้าเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง ปกติเหมยฮวาเป็นคนสดใสร่าเริง นางกินเก่งและคุยจ้อไม่หยุด เรื่องนี้ข้ารู้ดีกว่าใครๆ นางเป็นเหมือนนักเล่านิทานยามข้าเหงา เป็นเพื่อนยามข้าโดดเดี่ยว เป็นพี่สาวคอยปลอบโยนยามข้าอ้างว้าง เหตุใด เรื่องราวใดกันที่พรากความสดใสไปจากนาง
   “นายน้อยเฉียน โปรดกลับไปเถอะเจ้าค่ะ”
   นางปากแข็ง เบือนหน้าหนี คล้ายกับไม่อยากให้ข้ายุ่งในเรื่องนี้ ข้าเองก็จำใจ สุดท้ายจึงกล่าวว่า
   “เช่นนั้นขอให้แม่นางรักษาสุขภาพด้วย”
   พอออกมาจากกระท่อมหลังนั้นข้ากับอาตงก็ไม่ได้ตรงกลับจวนสกุลโหวทีเดียว เพียงเที่ยวเตร่อยู่กลางเมืองอีกสักหน่อย รอฟ้ามืดค่อยกลับไป
   “นายน้อยดูนี่สิขอรับ พัดลายนกกระเรียนที่นายหญิงใหญ่ชอบ”
   อาตงชักชวนเขาให้ดูพัดด้ามจิ้วที่วางขายเกลื่อนตามท้องถนน แต่ร้านนี้เขียนลายได้งดงามยิ่ง จนเขาอดจะเดินเข้าไปดูไม่ได้
   ข้าหยิบพัดลายนกกระเรียนขึ้นมาพินิจดูลวดลายอ่อนช้อยสวยงาม คนทำทำด้วยใจ
   “พวกเราจะเอายังไงกับเหมยชี ยัยแก่คนนั้นเป็นโรคระบาด ปล่อยไว้พาลจะมาติดพวกเราเสียเปล่า”
   หูของข้าพลันได้ยินแม้ค้าปากตลาดพูดคุยกับเซ็งแซ่ แซ่เหมยหรือ
   “เหมยฮวาก็เหลือเกิน รักยายมากไป ไม่สนฟ้าดิน อย่างนี้ไม่กี่วันคงติดโรคไปด้วยแน่ๆ น่าเสียดาย ยังสาวยังสวย ไม่น่าตายเพราะโรคระบาดเลย”
   “ท่านป้าท่านนี้ ท่านยายเหมยชี นางป่วยเป็นโรคอันใดหรือ ป่วยมานานแล้วหรือยัง”
   “นายน้อย ข้าเองก็ไม่รู้สาเหตุหรอก แต่แม่เฒ่าผู้นี้ป่วยกระเสาะกระแสะมาหลายเดือนแล้ว ไปหาหมอก็หลายที่ แต่ไม่มีผู้ใดกล้ารักษา ท่านหมอได้แต่บ่นว่า โรคระบาดเช่นนี้ไม่มีทางรักษาให้หายใด พวกข้าก็กลัวโรคจะพาลมาติด เลยเสนอให้แม่นางเหมยฮวาปล่อยยายแก่คนนี้ให้อดข้าวตายไปเสีย ไม่นึกว่านางจะเห็นแก่ความเป็นหลาน ไม่สนว่าตัวเองจะติดโรคหรือไม่ คอยปรนนิบัตินาง ให้ข้าวให้น้ำ น่าเสียดาย ช่างน่าเสียดาย ยังสาวยังสวย ไม่น่ามาตายด้วยโรคระบาดเช่นนี้เลย”
   แม่ค้าอีกคนที่ขายของอยู่อีกฝั่งตะโกนมา
   “ข้าได้ยินมาอีกว่า ไม่มีร้านยาร้านไหนกล้าขายยาให้แม่นางเหมยฮวาไปรักษายายแก่เหมยชี คนเป็นโรคระบาด รีบตายรีบฝัง จะได้ไม่แพร่เชื้อไปหาคนอื่น”
   ข้าลุกขึ้น ไม่อยู่ฟังต่ออีก พลางเรียกอาตง
   “อาตง เจ้ากลับไปก่อน ไปบอกท่านพ่อว่าคืนนี้ข้าไม่กลับบ้าน”
   “อะไรนะขอรับคุณชาย”
   ข้าไม่อยู่รอให้อาตงตกใจ ชักฝีเท้าไปทางกระท่อมหลังเดิมที่จากมา

   “ท่านกลับมาทำไมอีกนายน้อยเฉียน เดี๋ยวก็ได้…”
   “พาลติดโรคระบาดใช่หรือไม่”
   เขาต่อประโยคให้แม่นางเหมยฮวาจนจบ นางจนใจไม่มีคำใดจะพูดอีก
   “ข้าพอมีวิชาด้านการแพทย์ ข้าช่วยตรวจดูอาการของท่านยายได้”
   “เปล่าประโยชน์ หมอคนไหนก็บอกว่ายายของข้าใกล้ตายแล้ว”
   เหมยฮวายิ่งพูด ความสดใสในดวงตาของนางก็ยิ่งดับลงไปเรื่อยๆ ข้าเดินเข้าไปหานาง แล้วแตะไหล่ปลอบโยน
   “เชื่อข้าสิ แล้วเจ้าจะกลับมายิ้มอีกครั้ง”
   เหมยฮวานิ่งอึ้ง พลันนางจับมือเขาโดยไม่รู้ตัวก่อนจะรีบปล่อยทันที
   “ขออภัยนายน้อย เพียงแต่เมื่อครู่คำพูดของท่านคล้ายกับคนที่ข้ารู้จัก”
   ใช่แล้วล่ะ นั่นเป็นคำพูดของข้าเอง จิ่วฉือเหนียง
   ไม่ต้องรอให้นางอนุญาต ข้าเปิดประตูบ้านเข้าไป ข้างในคับแคบกว่าที่คิด ข้าเห็นร่างยายแก่คนเหมยชีนอนหายใจรวยริน
   “ท่านหมอ ท่านเป็นหมอหรือเจ้าคะ”
   “ใช่แล้ว ข้าเป็นหมอ ท่านยาย ให้ข้าตรวจดูอาการหน่อยเถิด”
   ข้าจับชีพจรของนางเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงเริ่มตรวจหาความผิดปกติ แขนของนางซูบผอมจนผิวหนังที่เหี่ยวย่นติดกับกระดูก ข้าตรวจให้ถี่ถ้วนดูอีกครั้ง ซักถามนางไปสองสามประโยคเพราะนางไม่มีแรงตอบ แต่เพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
   “เหมยฮวา ข้าว่าท่านยายของเจ้าโดนพิษเข้าแล้ว”
   “จะเป็นไปได้อย่างไร ก็ตอนที่ข้าถูกไล่ออกมาจากจวนสกุลหาน ข้า…”
   นางหยุดพูดไป เหมือนเพิ่งครุ่นคิดอะไรในหัวออก
   “ใช่แล้ว วันนั้นนางกินผลพุทราจีนที่ข้านำติดตัวมา มันเป็นของขวัญอำลาของนังชั่วจินหรูอัน ข้าว่าแล้วเชียว ข้าเห็นมีรอยกัดที่ผลพุทราจึงถามนาง นางตอบว่าหนูกระมัง ไม่นึกเลยว่านางจะแอบกิน ท่านยายนะท่านยาย ข้าจะทำเช่นไรดี ไม่แน่ นางอาจสิ้นชีวิตเหมือนกับนายน้อยจิ่ว”
   นางกังวลจนลืมตัวพูดความคิดออกมาผสมกับความจริง
   “พิษนี้ไม่ร้ายแรง ขอเพียงเจ้าเอาพุทราลูกนั้นมาให้ข้าดู ร่องรอยของพิษต้องตกค้างอยู่แน่ๆ”
   “ข้า ข้าเก็บมันไว้ในห้องครัว”
   เหมยฮวารีบร้อนเข้าไปในกระท่อม ชั่วครู่นางก็กลับมาพร้อมกับผลพุทราที่เน่าแล้ว
   ข้าไม่รังเกียจ หยิบมาจากมือนางเอามาดมพิสูจน์กลิ่น
   “เป็นอย่างที่ข้าคิด เจ้าไปซื้อยาตามนี้ได้หรือไม่”
   เขาหยิบใบสั่งยาให้แม่นางเหมยฮวา อันที่จริงวิชาการแพทย์ที่เทพเซียนหลี่เถียไกว่มอบให้เขานั้น มองปราดเดียวก็รู้ว่าคือพิษอะไร เพียงแต่เขาอยากแน่ใจและไม่ผิดพลาดจึงต้องมาตรวจสอบกับผลพุทราอีกรอบ ใบสั่งยา เขาเขียนไว้ตั้งแต่อยู่ในกระท่อมนานแล้ว
   “ขอบคุณนายน้อยเฉียน”
   เหมยฮวารีบร้อนออกไปทันที
   พอนางจากไป คิ้วของข้าก็ขมวดมุ่นเข้าหากัน จินหรูอัน คุณหนูตระกูลจิน นางช่างเป็นหญิงที่น่ากลัว รอบรู้เรื่องพิษทำร้ายคนมากเกินไปแล้ว
   
   แม่นางเหมยฮวายังไม่กลับ ข้านั่งรอมาครึ่งชั่วยาม จนอาทิตย์ตกดินเข้าสู่ยามสลัว ยังไม่เห็นแม้เงาของหลานสาวเจ้าของบ้านหลังนี้กลับมาเลย เกิดอะไรขึ้นกัน
   รออีกครึ่งชั่วยาม ข้าจึงตัดสินใจออกตามหานางตามร้านขายยาที่ข้าพอรู้จัก
   จึงไปพบนางยืนคุกเข่าหน้าร้านขายยาอยู่ร้านหนึ่ง
   “เถ้าแก่ เห็นแก่ท่านยายข้าเถอะเจ้าค่ะ ข้าต้องการยาตัวนี้จริงๆ”
   นางพูดทั้งน้ำตา เป็นภาพที่เห็นแล้วสะเทือนใจยิ่ง
   ข้าเดินเข้าไปหานาง
   “เถ้าแก่ เหตุใดจึงไม่จัดยาให้นางเล่า นางมีเงิน ท่านย่อมขายให้”
   “นายน้อยเฉียนขอรับ นางมีเงินก็จริง เพียงแต่ยาของข้า ใช้สิ้นเปลืองกับอาการป่วยของยายนางมามากพอแล้ว”
   ข้าหน้าตึง พูดเสียงกร้าว
   “แล้วถ้าครั้งนี้ยาของท่านช่วยชีวิตคนเล่า”
   “เป็นไปไม่ได้ๆ เหมยชีนางป่วยใกล้ตายแล้ว อีกอย่าง คนพูดกันว่านางเป็นโรคระบาด”
   ข้ากำลังจะเถียง แต่แม่นางเหมยฮวาเร็วกว่า
   “ยายข้าถูกพิษ นางกำลังจะหายดี”
   “ไม่ขาย ยังไงข้าก็ไม่ขาย ไปเสียเหมยฮวา เห็นแก่เจ้าเป็นคนน่ารัก จริงใจ ข้าจึงไม่ได้ให้เด็กในร้านขับไล่ไสส่ง เพียงแต่เจ้าชักจะกระทำมากเกินไปแล้ว”
   เถ้าแก่จิตใจคับแคบ ยังยืนยันจะไม่ขายยาให้นาง
   “แล้วถ้าข้าจะซื้อ ท่านจะขายหรือไม่ เก้าแก่”
   สิ้นเสียงทรงอำนาจ ท่านแม่ทัพหานซิ่นก็ปรากฏตัว คราวนี้เถ้าแก่หน้าถอดสี
   “ว่าอย่างไร หลี่หยวนจาง เจ้าจะขายยาให้ข้าหรือไม่”
   “ขะ ขายๆ ขายสิขอรับ”
   “ขอบคุณเจ้าค่ะนายท่าน ขอบคุณนายท่านๆ”
   เหมยฮวาคารวะหานซิ่นอยู่เช่นนั้น จนข้าต้องเอ่ยเตือนสตินาง
   “เจ้าไปเอายามา ข้าจะได้ทำการรักษา”
   “ไม่ยักรู้นะ ว่าวิชาแพทย์ของเจ้าก้าวหน้าเช่นนี้” แม่ทัพหานซิ่นเริ่มหาเรื่องข้าแล้ว ข้าต้องรีบหนีแล้ว
   “คนเราพัฒนากันได้ ขอเพียงท่านเปิดใจ”
   ข้าเบือนหน้าหนี ไม่นึกว่าเขาจะพูดต่อว่า
   “นั่นสิ ขนาดคำสรรพนามเรียกข้าของเจ้ายังเปลี่ยนจากพี่หาน เป็นท่านหานซิ่นเลย”
   เช่นนั้นมันเกี่ยวอย่างไรกับท่านเล่า ข้าคันปากอยากพูดนัก แต่รู้ว่าไม่ควรพูดจึงได้แต่เงียบ
   
   “ท่านยาย!”
   แต่คนดีฟ้าดินไม่เคยเห็นใจ น่าเศร้านักที่เมื่อข้ากลับมาพร้อมเหมยฮวานั้นช้าเกินไป ยายแก่เหมยชีสิ้นใจก่อนหน้าได้ไม่นาน
   เหมยฮวาเล่าว่านางและเหมยชีมิใช่ยายหลานกันอย่างแท้จริง เมื่อสิบแปดปีก่อนยายแก่เหมยชีและหวนฟังสามีของนางเก็บเหมยฮวามาเลี้ยง เด็กทารกน้อยที่ถูกทิ้งอยู่ในป่า ถ้าไม่ได้เหมยชี ป่านนี้นางคงไม่อยู่มาได้จนถึงตอนนี้ น่ากลัวว่าจะถูกสัตว์ป่ากินไปเสียแล้ว หลังจากเติบโตได้อายุสิบหกปี เนื่องจากชีวิตของสองตายายแร้นแค้นนัก เหมยฮวาสงสารท่านทั้งสอง จึงตัดสินใจใช้ตัวเองขายตัวไปเป็นทาสสกุลหาน หานฮูเสีย บิดาของหานฟังนายท่านผู้เฒ่าของบ้านรับนางไว้ ถูกขายเป็นทาส ไม่มีโอกาสได้กลับบ้าน เหมยฮวาปลอบใจตัวเองว่า แม้มิได้อยู่ดูแลตอบแทนบุญคุณ เงินก้อนใหญ่จากการขายตัวนางคงทำให้สองสามีภรรยาอยู่กินสบายได้พักหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าหลังจากขายตัวเป็นทาส จู่ๆหวนฟังก็ล้มป่วยด้วยโรคร้าย เงินทั้งหมดยายแก่เหมยชีเอาไปใช้รักษาสามีจนสิ้นเนื้อประดาตัว สุดท้ายนางเองก็อยู่อย่างอดๆอยากๆ จนเมื่อหลานสาวที่เก็บมาเลี้ยงถูกปล่อยให้เป็นอิสระ เหมยฮวานำพุทราติดตัวมาด้วย วันนั้นนางไม่รับ แต่เป็นบ่าวมิอาจปฏิเสธน้ำใจของจินหรูอันได้ จึงต้องยอมรับมา นึกไม่ถึงว่ายายแก่เหมยชีจะใช้ชีวิตหิวโหยมานมนาน หยิบฉวยอะไรกินได้ก็กิน ไม่ใช่ว่าไม่รู้ เดิมเหมยฮวาตั้งใจจะแอบเอาพุทราป่าเหล่านี้ไปทิ้ง แต่ไม่ทันการณ์ ยายแก่กลับกัดกินไปกว่าครึ่งผลแล้วอ้างว่าหนูกิน จึงล้มป่วยอยู่นานเป็นอาทิตย์
   “นางถูกพิษย์ของเหล็กในผึ้ง พิษชนิดนี้สมาคมลับเทียนกว่าเหรินเป็นผู้คิดค้น เดิมเหล็กไนผึ้งมีพิษร้ายแรงก็แค่ทำให้เกิดอาการปวดและบวมตามเนื้อตัว แต่เมื่อผสมกับน้ำผึ้งเดือนห้าจะมีพิษร้ายกาจ สามารถแผ่ซ่านตามเส้นลมปราณของคนที่กินเข้าไปได้ เส้นลมปราณเหล่านี้ล้วนติดต่อกับหัวใจ พิษเหล็กในผึ้งเป็นพิษที่ค่อยๆแทรกซึมอย่างช้าๆ ถ้าข้ามาเร็วกว่านี้ ท่านยายของเจ้าคงไม่ตายเช่นนี้”
   ข้าเหม่อมองบนท้องฟ้า ยามนี้ราตรีถูกเมฆหมอกบดบัง ไร้แสงดาวเดือน ดูแล้วเศร้าสลดหดหู่ใจนัก
   ทำไมจินหรูอันถึงจิตใจโหดเหี้ยมได้ถึงเพียงนี้ ฆ่าข้าให้ตายแล้วยังไม่สมใจ ยังคิดจะฆ่าคนที่ใกล้ชิดกับข้าทุกคนเลยหรือ บัดนี้ข้าตายไปแล้วเหมือนเป็นอิสระ แต่ผู้อื่นต้องมารับกรรมแทน เช่นนั้นข้าไปแล้วพวกเขาเล่า จะอยู่อย่างไร
   “เจ้ามิใช่คนผิด”
   ไม่รู้ทำไม ในเวลานี้คำพูดของหานซิ่นดูมีน้ำหนักที่สุด คนเราทุกคนก็อยากได้รับการปลอบโยนว่าไม่ได้ทำผิด แต่ในใจของข้ารู้ดีที่สุด ว่ามันไม่ใช่เช่นนั้น

   “เจ้าจะเอาอย่างไรต่อเหมยฮวา”
   แม่ทัพหานซิ่นเป็นคนดีมีน้ำใจ เขาย่อมยื่นมือเข้าช่วยเหลือ อีกอย่างเหมยฮวาเป็นสาวใช้ในบ้านเขามานาน ซ้ำเขายังรู้สึกผิดที่ไม่อาจห้ามปรามจินหรูอันให้ขับไล่ไสส่งนางได้ รู้ทั้งรู้ว่านางไม่มีที่ไป แต่เขาก็มิอาจขัดใจจินหรูอันได้
   “ข้าว่าจะขายตัวเป็นทาสให้สกุลอื่นเจ้าค่ะ อย่างน้อยข้าก็ไม่มีญาติที่ไหนแล้ว เลี้ยงปากเลี้ยงท้องไปวันๆก็พอใจแล้วเจ้าค่ะ”
   คำพูดนี้นางมิได้ประชดหานซิ่นแต่อย่างใด เพียงแต่ชีวิตคนจนในเมืองหลวงก็เป็นเช่นนี้ คนรวยรวยล้นฟ้า คนจนต่ำต้อยติดดิน เพียงแค่มีกินมีอยู่ก็นับว่าได้ใช้ชีวิตให้คุ้มค่าแล้ว
   เพียงแต่ว่าหากนางไปอยู่ในเรือนที่มีแต่ผู้รังแกนางเล่า ดังนั้นข้าจึงกล่าวว่า
   “ต่อไปนี้เจ้าก็ไปอยู่กับข้าแล้วกัน”
   “ไม่ดี สกุลโหวกับสกุลหานมีสัมพันธ์ฉันท์มิตร คนจะว่ากล่าวเอาได้ว่าขี้ข้าเลือกที่รักมักที่ชัง”
   หานซิ่นคัดค้าน เรื่องนี้ย่อมเป็นขี้ปากชาวบ้านท้องตลาดได้โดยง่าย เผลอๆจะลือกันว่าสองสกุลแตกหักกันขนาดแย่งข้าทาสบริวารกันเอง แม้เหมยฮวาจะถูกขับไล่ไสสงให้ถอนตัวเป็นอิสระ แต่ตั้งแต่โบราณกาลนานมาแล้วที่ถือเป็นประเพณี ไม่รับทาสที่เคยเป็นของมิตรสหาย ดังนั้นหานซิ่นจึงคัดค้านข้าอย่างหนัก
   “ถ้ากลับไปบ้านท่าน ก็ต้องถูกจินหรูอันรังแกอีก ดีไม่ดี นางอาจถูกใช้ไปหาบน้ำผ่าฟืนเหมือนอย่าง…”
   ข้าเริ่มรู้สึกตัวว่าพูดมากไปแล้วจึงเงียบปาก
   “เหมือนอย่างอะไร” แต่ท่านแม่ทัพผู้นี้พยายามคาดคั้นเอาคำตอบ
   “ช่างเถอะๆ แล้วท่านจะให้ข้าทำเช่นไร แม่นางเหมยฮวาไร้ญาติขาดมิตร ข้าไม่ได้ดูถูกน้ำใจนางนะ เพียงแต่ข้ากลัวจะมีผู้คนชักชวนไปในทางเสื่อมเสีย”
   เวลานี้การค้าทาสยิ่งหนักหน่วง ทางการไม่เข้มงวด แน่ล่ะ บ้านไหนเรือนไหนก็อยากได้ทาส ทาสผู้ชายพอช่วยงานได้ ทาสผู้หญิงหน้าตาดีเข้าหน่อย ถูกขายให้หอนางโลมล้วนมีมากมาย เหมยฮวาแม้ไม่ใช่คนสวยสะพรั่งแต่นับว่าหน้าตาดี หญิงสาวเช่นนี้ถ้าไม่อับจนหนทางเองไปขายตัวที่หอนางโลม ก็ถูกพวกค้าทาสจับไปขายได้ราคางาม
   “เป็นท่านนั่นแหละ ที่ไม่ดูแลคนใช้ในบ้านให้ดี”
   ข้าขอตัดพ้อท่านอีกหนึ่งประโยคแล้วกันท่านพี่หานซิ่น
   “งานการข้าก็มี คนในบ้านให้ฝ่ายในดูแล”
   “เช่นนั้นท่านจึงปล่อยปละละเลยคนอื่นๆสินะ”
   เดิมทีข้าอยากกระแนะกระแหนเขาให้กระอักเลือดตายไปข้าง แต่จู่ๆก็มีคำพูดหนึ่งที่ทำให้ข้าพูดไม่ออก
   “ข้าขอโทษ”
   แววตาของท่านแม่ทัพเศร้าสร้อย แสดงความรู้สึกผิดอย่างจริงใจ ข้ามองแล้วรู้สึกแปลกพิกล หานซิ่นผู้นี้ต้องการสื่อเจตนาอันใดมาที่ตัวข้ากัน
   “เช่นนั้นก็ให้นางไปอยู่กับข้าได้หรือไม่”
   แม้จะรู้สึกพิกล แต่เวลานี้หานซิ่นดูหัวอ่อนชักจูงง่ายที่สุดแล้ว ข้าขอโทษที่หลอกใช้ความเศร้าสร้อยของท่านแล้วกัน ขอท่านแม่ทัพโปรดอย่าถือสาหาความภายหลัง
   “เช่นนั้นก็แล้วแต่เจ้าเถอะ”
   บทจะยอม ก็ยอมง่ายเหลือเกิน
   ไม่รู้ทำไม ข้าจึงรู้สึกว่าท่านเหมือนพยายามคืนสิ่งที่ติดค้างข้าอยู่
   
   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-11-2019 19:33:08 โดย MewSN »

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
พฤติกรรมของท่านแม่ทัพ 2 ขั้วจริง ๆ  :katai1:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ MewSN

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 170
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +234/-4
บทสี่
ข้าย่อมไม่ผิด

   “ไม่ได้!”
   แม่ทัพหานซิ่นอุตส่าห์แง้มประตูเปิดให้ครึ่งบาน แต่เสนาธิการโหวอันเล่อกลับปิดมันใส่หน้าข้าดังปัง
   “เหมยฮวาเคยเป็นทาสของสกุลหาน เจ้าอย่ามาบังคับพ่อเจ้า ข้ากับหานฮูเสียนับถือกันเป็นสหายสนิท เจ้าทำเช่นนี้ ข้าจะมีหน้าไปพบหานฮูเสียได้อย่างไร”
   ข้าได้แต่กะพริบตาปริบๆ
   “ท่านพี่ ลูกเฉียนใจดีมีเมตตา แต่ท่านกลับมาขัดขวาง ภายภาคหน้าแทนที่คนจะลือกันว่าน้ำใจยิ่งใหญ่กว่ามหาสุมทร น่ากลัวว่าถูกท่านขัดขวางวันนี้คงไม่มีเสียงเล่าลือดังมาถึงจวนโหว”
   ข้าขอคารวะท่านแม่ใหญ่ในใจ ท่านช่วยออกหน้าพูดแทนให้ ข้าปริ่มใจนัก
   “นั่นสิท่านพี่ เดิมทีเหมยฮวาคนนี้ถูกขับไล่ไสส่งออกมาใครเลยจะไม่รู้ ฮูหยินจินจิตใจคับแคบ จงเกลียดจงชังอนุภรรยาสมรสพระราชทานไม่พอ กลับขับไล่ไสส่งคนใช้ของเขาออกมาหลังเขาฆ่าตัวตาย”
   “ระวังปากเจ้าหน่อยฟางเชียน”
   ข้าฆ่าตัวตายเองเช่นนั้นหรือ หึ ก็สมเหตุสมผลสำหรับคนเก็บตัวเช่นข้าแล้ว ไม่มีผู้ใดสืบสาวราวเรื่อง ใครบ้างไม่รู้ว่าหานซิ่นกล้ำกลืนฝืนทนรับข้าเป็นอนุในสมรสพระราชทาน ไม่แปลกที่ข้าจะไม่ได้รับความรัก แถมยังถูกเย็นชาและเกลียดชัง ข้าฆ้าตัวตายเพราะทนอยู่แบบนี้ไม่ได้ ช่างเป็นความสมเหตุสมผลที่น่าขันเหลือเกิน
   “เอาเถอะท่านพี่ อย่างไรเสียข้าก็ไม่เห็นว่าเฉียนเอ๋อร์รับนางจะเป็นเรื่องผิดแปลกอันใด หานฮูเสียไม่ต้องการนางแล้ว เช่นนั้นเราชุบเลี้ยงนางในสกุลโหว ถึงเวลานั้นท่านหานคงไม่แล้งน้ำใจตัดญาติขาดมิตรกับท่านหรอก”
   ข้าเริ่มเห็นแววใจอ่อนในดวงตาของท่านพ่อ
   “เช่นนั้นก็แล้วแต่เจ้าเถอะ”
   “ขอบคุณขอรับท่านพ่อ”
   ข้าตั้งใจคารวะงามๆให้ท่านพ่อไปหนึ่ง ทีก่อนจะหันตัวออกจากเรือนใหญ่ แต่ถูกคำของบิดารั้งไว้เสียก่อน
   “เฉียนเอ๋อร์ เจ้าคงมิคิดแต่งนางเป็นอนุใช่หรือไม่ เช่นนั้นแม่ทัพหานซิ่นคงเสียใจ”
   ข้าก้าวเท้าผิดไปหนึ่งข้าง!
   ฟังแล้วช่างน่ากลัวนัก เสนาธิการโหวอันเล่ผู้นี้ น่ากลัวจะมิใช่พ่อสื่อธรรมดาเสียแล้ว
   
   “ขอบพระคุณคุณชายเฉียนเจ้าค่ะ”
   พอออกมาจากเรือนใหญ่ ข้าก็ตรงไปบอกข่าวดีให้เหมยฮวาทราบถึงที่กระท่อม บัดนี้ข้ารับเลี้ยงนาง สรรพนามใช้เรียกข้าก็ต้องเปลี่ยนจากนายน้อยเป็นคุณชายตามศักดิ์ในจวนโหว เหมยฮวาย่อมมีท่าทีเคารพนบนอบ อ่อนน้อมถ่อมตนกับนายคนใหม่ เดิมทีนางก็เป็นคนมีสัมมาคารวะอยู่แล้ว ใครเห็นก็เอ็นดูนาง เพียงแต่ในจวนเก่า นางชอบเข้าหาข้า มาเป็นเพื่อนเล่นยามข้าเหงา พูดคุยช่วยให้ข้าสบายใจ คนทั้งจวนเกลียดข้า ชิงชังข้า พลอยทำให้นางติดร่างแหโดนเกลียดไปด้วย ข้ายังนึกเสียใจ ที่เป็นต้นเหตุให้ญาติคนเดียวที่เหลือของนางต้องได้รับความเดือดร้อนถึงแก่ความตายเช่นนี้ แม้มิใช่ญาติแท้ๆแต่นางก็ผูกพันยิ่งนัก สังเกตจากก่อนจากมา นางมองกระท่อมซอมซ่อหลังนั้นเป็นหนสุดท้าย น้ำตารื้นขึ้นที่ดวงตา ก่อนจะตัดสินใจหันหลังไม่หันกลับ ข้านับถือจิตใจอันเด็ดเดี่ยวของแม่นางจริงๆ
   ระหว่างนั่งในรถม้า ข้าเห็นนางทำปากขยุบขยิบ ไม่แปลกใจอันใด ด้วยนิสัยเดิมของนางนั้นเป็นคนช่างพูด เพียงแต่หลายวันมานี้ไม่เหมาะเพราะอยู่ในอารมณ์เศร้าสร้อย เวลานี้นางออกมาเปิดหูเปิดตาในเมืองหลวง ย่อมต้องมีเรื่องอยากพูดเป็นธรรมดา ข้าแอบยิ้มอยู่ในใจ เหมยฮวาเจ้าไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ
   “เจ้าว่าร้านเกี๊ยวร้านนั้นเป็นอย่างไร”
   เมื่อก่อนเวลานางติดตามหัวหน้าแม่ครัวออกไปจ่ายตลาดนางมักกลับมาเล่าเรื่องของกินในตลาดให้ข้าฟังได้เป็นวรรคเป็นเวร จนข้านึกภาพร้านแผงลอยเหล่านั้นออก ดังนั้นร้านเกี๊ยวร้านนั้นที่ข้าชี้ไม้ชี้มือไป ต้องเป็นร้านเกี๊ยวแสนอร่อย ที่นางเล่าไปกลืนน้ำลายสูดปากไปให้ข้าฟังบ่อยๆเป็นแน่
   “คุณชายเจ้าคะ ร้านเกี๊ยวร้านนั้นอยู่มาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตาทวด สูตรน้ำซุปของร้านนั้นเป็นสูตรลับที่ไม่เคยมีผู้ใดล่วงรู้ เถ้าแก่บอกข้าว่าเขาต้องตื่นตั้งแต่ยามเหม่าเพื่อมาต้มน้ำซุบขาหมู เขี้ยวให้ละเอียดด้วยผักใบเขียว ข้าฟังแล้วน้ำลายสอยิ่งนักเจ้าค่ะ แถมร้านนี้ขึ้นชื่อเกี๊ยวไส้หมูมากๆเลยเจ้าค่ะ เนื้อหมูหอมนุ่ม กัดได้เต็มคำ กินประกอบกับน้ำซุป บอกเลยว่าเป็นร้านข้างทางที่เลิศรสอันดับหนึ่ง”
   สูตรลับที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ กลายเป็นว่าเถ้าแก่เอามาบอกเหมยฮวาเสียเอง
   “งั้นเจ้าอยากกินหรือไม่”
   แต่ก่อนข้าได้แต่ฟังนางเล่า ครั้นอยากจะซื้อหามาตอบแทนน้ำใจนางข้าก็ไม่ได้มีโอกาสได้ออกไปหามาให้ บัดนี้มาถึงที่แล้ว ถือว่าตอบแทนนางเมื่อครั้งก่อนยังไม่สาย
   “เอ่อ บ่าวมิกล้าเจ้าค่ะ”
   “อาตงหยุดรถม้า ข้าจะกินเกี๊ยวร้านนี้”
   ข้าสั่งการให้อาตงหยุด ไม่รอช้ารีบลากเหมยฮวาลงมา เมื่อมาถึงที่ร้านโต๊ะก็ว่างหนึ่งที่พอดี เป็นไปตามที่อาตงบอก เกี๊ยวร้านนี้ลือชื่อ คนไม่ขาด โต๊ะว่างยากจริงๆ
   “เจ้าอยากสั่งอะไร ก็สั่งตามใจเจ้า!”
   เมื่อคำพูดของข้าเป็นใบเบิกทาง แม่นางเหมยฮวาก็ไม่เกรงใจอีกต่อไป ไม่นานเกี๊ยวไส้หมู เกี๊ยวผักกาด เกี๊ยวหน่อไม้ เกี๊ยวบะหมี่ ก็มาอยู่จนเต็มโต๊ะ ส่งกลิ่นหอมฉุนแตะจมูก ข้าสูดมันเข้าไปเต็มปอด แล้วจ้วงกินอย่างหิวกระหาย โปรดเข้าใจด้วยว่าแม้อยากกินอย่างตะกละเพียงใดแต่ข้าก็แบกหน้าของสกุลโหวเอาไว้ เช่นนั้นความมูมมามของข้าจึงพ่ายแพ้เหมยฮวาและอาตงทั้งสิ้น
   “ก็ว่าใครลดตัวมานั่งร้านราค้าขายข้างตลาดเช่นนี้ เป็นคุณชายน้อยตระกูลโหวนั่นเอง”
   เสียงหวานหยดย้อยพร้อมร่างอรชรของจินหรูอันที่เดินทางมาหาเรื่องข้าถึงที่โต๊ะ!
   ให้ข้าเดาเฉียนเฉิงคนนี้มื่อก่อนคงมีเรื่องขัดหูขัดใจกับจินหรูอันไม่น้อย แน่นอนล่ะอิสตรีที่ไหนจะทนให้สามีตนเองถูกคนอื่นป้อยอเอาอย่างไม่คิดตอบโต้ ข้าคนก่อนต้องไปตามตอแยหานซิ่นจนทำให้ถังน้ำส้มของแม่นางจินหรูอันผู้นี้แตกเป็นแน่แท้ นับว่าเฉียนเฉิงเป็นศัตรูที่สมน้ำสมเนื้อกับนางมากกว่าตัวข้าคนเก่าเสียอีก
   ช่วยไม่ได้ ในเมื่อข้าไม่ใช่จิ่วฉือเหนียง แถมเฉียนเฉิงผู้นี้ยังมีพระคุณมอบร่างกายให้กับข้า ใยข้าจะไม่ปกป้องเขาเล่า ข้าลุกขึ้นคารวะแม่นางจินหรูอัน
   “คารวะฮูหยิน”
   อยู่จวนสกุลหานนับว่าบ่าวไพร่คนใช้เป็นของนาง แต่นี่อยู่นอกจวน ข้าผู้เป็นถึงคุณชายน้อยของเสนาธิการโหวอันเล่อ คารวะแม่นางจินหรูอัน ที่ยิ่งใหญ่แค่ไหนก็เป็นเพียงสตรี ผู้คนในร้านย่อมไม่เงียบปากเช่นคนใช้บ้านสกุลหาน เกิดเสียงเซ็งแซ่ขึ้นท่านที
   “ผู้ใดกัน เสียมารยาทให้คุณชายตระกูลโหวคารวะก่อน”
   “ทำตัวราวกับเป็นสตรีในราชวงศ์ ถ้าใช่ก็ว่าไปอย่าง”
   “กำเริบนัก ไร้มารยาท”
   แม่นางจินหรูอันหน้าถอดสียิ่งกว่าตอนอยู่ในจวน แต่เดิมนางตั้งใจมาหาเรื่องต้วนซิ่วเฉียนเฉิง นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะใช้เล่ห์เพทุบาย ทำให้นางขายหน้าเช่นนี้ได้
   “เสียมารยาทแล้วเจ้าค่ะ คุณชายน้อยโปรดให้อภัย ข้ารู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว วันนี้จึงขอลา”
   บทตัวร้าย อยู่ได้ไม่นานหรอก ข้าไม่ยิ้ม แต่เหมยฮวากับอาตงยิ้มไม่หุบ พอนางลับสายตาพวกเราไปเท่านั้นล่ะ
   “คุณชายท่านเก่งมากขอรับ ปกติท่านเป็นฝ่ายถูกนางไล่ต้อนอยู่ร่ำไปจนโมโห บัดนี้ท่านสามารถโต้ตอบนางได้ ข้าดีใจยิ่งนัก” อาตงนี่เท่ากับว่าเจ้าสนับสนุนข้าแย่งสามีชาวบ้านมาตั้งแต่หนก่อนแล้วหรือ
   “นางอสรพิษผู้นี้ วางยาได้แม้กระทั่งอนุจิ่ว ข้าจงเกลียดจงชังนัก”
   “เหมยฮวา เจ้าระวังปากหน่อย อนุจิ่วฆ่าตัวตายเองหาใช่นางทำไม่”
   เขาพูดเสียงแข็ง เหมยฮวาทำท่าจะกล่าวต่อไป แต่นางย่อมรู้สถานการณ์ไม่ใช่คนโง่ จึงรับคำข้า
   “เจ้าค่ะ เป็นอย่างที่คุณชายน้อยพูด”

   “จะเดินทางวันที่แปด เจ้ายังเอ้อระเหยนั่งกินเกี๊ยวอยู่ที่นี่”
   โบราณว่าหนีเสือปะจระเข้ ภรรยาไปแล้ว สามีก็มาหาเรื่องข้าอีกคน คนตระกูลหานนี่เหลือทนเหลือเกิน
   “เช่นนั้นแล้วท่านเล่า มาเอ้อระเหยลอยชายอะไรอยู่ที่เดียวกับข้า”
   แน่นอนว่าข้าไม่ใช่จิ่วฉือเหนียงคนเงียบอีกต่อไปแล้ว ทุกคำพูดของข้าเป็นอิสระจากตัวหมาก
   “ข้ามาหาซื้อเสบียง ไม่ยักรู้ว่าจะได้เจอเจ้าในที่…แบบนี้”
   “ข้าเองก็ไม่ยักรู้ ว่าท่านแม่ทัพไม่โปรดร้านราข้างถนน”
   หานซิ่นหนอหานซิ่น เจ้ามันเป็นคนดีที่ไม่เคยติดดินจริงๆ
   “หาไม่แล้วอาเฉียน นี่เป็นร้านโปรดของข้าเลยต่างหาก เพียงแต่เมื่อหนก่อนข้าเคยชวนเจ้าร่วมโต๊ะ แต่เจ้าปฏิเสธเพียงเพราะว่าร้านนี้เป็นร้านข้างถนน เจ้าจำไม่ได้หรือ หรือสติเลอะเลือนหลังจากหายออกจากบ้านหลายวันยังไม่หายกัน”
   แม่ทัพผู้นี้ คารมช่างคมคายยิ่งนัก
   “เช่นนั้นท่านก็มากิน เชิญท่านตามสบาย ท่านหานซิ่น”
   ข้าผายมือ เป็นนัยขับไล่ไสส่ง
   “โต๊ะเต็มแล้ว คงมีแต่โต๊ะของเจ้าที่…”
   “โต๊ะข้าเต็มแล้วพี่หาน” ไม่ปล่อยให้เขาพูดจบ ข้าชิงตัดบทพูดขึ้นก่อน หานซิ่นยิ้มมุมปากข้าเพิ่งเคยเห็น เขาผายมือแล้วกล่าว
   “อาเล่อ เอาเก้าอี้มาเพิ่มที่โต๊ะนี้หนึ่งตัว”
   ชั่วครู่เก้าอี้ก็ถูกเสกมาวางไว้ข้างตัวข้า หน้าหนายิ่งนักแม่ทัพหานซิ่น คนเขาไล่แล้วยังไม่ไป ข้าก็จำใจด้วยต้องรักษาน้ำใจและมารยาท
   “อาหารจืดชืด ข้าสั่งมานานแล้ว เกรงว่าท่านแม่ทัพไม่นิยมกินของเหลือ”
   “ของเหลือที่ใดกิน ข้ากินแล้วจึงว่าของเหลือ ของพวกนี้ยังมิใช่ของเหลือ”
   ทำไมวาจาท่านเอาแต่ย้ำว่าของเหลือๆอยู่นั่นเล่า
   “สั่งเพิ่มหรือไม่”
   จนในที่สุดข้าเห็นเขาจ้วงเอาๆอย่างไม่นึกรังเกียจจึงใจอ่อน ไม่กล้าแกล้งคนอีกต่อไป เห็นเขาหิวจริง ข้าจึงกล่าวถาม
   “สั่งเพิ่มแล้วเจ้าเลี้ยงหรือไม่”
   “เงินเดือนของข้าที่ได้จากจวนโหว หรือจะสู้เบี้ยหวัดประจำปีของท่านแม่ทัพหานซิ่นได้”
   แน่นอนว่าข้าย่อมไม่อาจข่มใจไม่กัดเขาไปหนึ่งประโยคเต็มๆได้ แต่เพียงสร้างความขบขันในแววตาของท่านแม่ทัพเท่านั้น
   “อีกหน่อยข้าก็ถูกลดเงินเดือนแล้วเมื่อไปประจำการที่ลั่วหยาง เช่นนั้นก็คงเลี้ยงเจ้าไม่ได้แล้ว”
   “เอ๊ะ แล้วท่านจะมาเลี้ยงข้าทำไม”
   ข้ามีท่านพ่อผู้เป็นถึงเสนาธิการโหวคอยเลี้ยงดูอยู่แล้ว
   “เมื่อก่อนข้านึกว่าเจ้าอยากให้ข้ารับเจ้าเป็นอนุ”
   แม่ทัพผู้นี้ใยพูดเรื่องน่าอายแบบนี้ออกมาได้ ข้าเป็นบุรุษเขาเป็นบุรุษ แล้วอาตงกับเหมยฮวา ทำไมเจ้าทั้งสองถึงยังไม่หุบยิ้มเล่า
   “เป็นเพียงอนุ ข้าจึงเปลี่ยนใจแล้ว ท่านก็อย่าถือสาหาความกับความโง่งมของข้าในยามก่อนเลย”
   “มิได้ ก็เจ้าชมชอบข้าหนักขนาดนั้น”
   แม่ทัพผู้นี้หลงตัวเองยิ่งนัก ข้ากัดเกี๊ยวไส้หมูอย่างทำอะไรเขามิได้
   “จริงสิ ท่านไปหนนี้ อย่าลืมยารักษาโรคติดตัวไปล่ะ”
   เดิมทีข้าตั้งใจจะเปลี่ยนเรื่องเลยพูดเรื่องยาซึ่งเป็นสิ่งที่ข้าถนัดขึ้นมาเพียงชั่วข้ามคืนอย่างอัศจรรย์ แต่ไม่รู้ความกลายเป็นเรื่องนี้ที่ย้อมกลับมาทำร้ายตัวข้าเสียเอง
   “ยังเลย ข้าไม่เชี่ยวชาญเรื่องหยูกยา ดีที่วันนี้เจอเจ้า รบกวนอาเฉียนแล้ว”
   “รบกวนอันใดท่านพี่หาน”
   “ช่วยข้าหาหยูกยาในตลาดทีเถิด”
   เจ้า!

   “เหมยฮวา เจ้าเป็นหญิงสาวย่อมเหนื่อยง่าย เดินมามากเช่นนี้ ข้าว่าเรากลับจวนโหวกันเถอะ”
   ข้าพยายามหาเรื่องพาตัวเองกลับจวน แต่ไม่นึกว่าสาวใช้ผู้นี้จะไม่ยอมให้ความร่วมมือ
   “ไม่เลยเจ้าค่ะ คุณชายน้อยไม่เหนื่อย เหมยฮวาก็ไม่เหนื่อยเจ้าค่ะ”
   เจ้า… ข้าจะพูดได้อย่างไรว่าข้าไม่เหนื่อย
   “ยานี้ขายอย่างไรท่านผู้เฒ่า”
   หูข้าได้ยินเสียงถามไถ่ราคาของแม่ทัพหานซิ่นมาแต่ไกล
   “ตัวยาทำจากโสมพันปีขอรับไต้เท้า หายากในแดนเหนือ ทางใต้มักส่งมาปีละครั้ง ข้าจึงต้องขายในราคาห่อละห้าร้อยตำลึง”
   ข้ารีบเดินเข้าไปดู หยิบตัวยาที่ผู้เฒ่าผู้นี้อ้างว่าทำมาจากโสมพันปีแดนใต้ ดมกลิ่นชั่วครู่ก็วางมันลง
   “ไม่กระมังท่านผู้เฒ่า ถึงแม้ท่านแม่ทัพจะรับราชการ แต่มิได้มีเบี้ยหวัดมากมายนัก ท่านลดให้ได้หรือไม่”
   “จะลดได้อย่างไรขอรับ ข้า…”
   ข้าแกล้งหยิบโสมขาวจากแผงลอยของท่านผู้เฒ่าออกมาดูเล่น
   “เช่นนั้นลดได้ เช่นนั้นลดได้”
   หึ ตาแก่มักมาก ริอาจเอาโสมขาวมาหลอกเป็นสมพันปี เจ้าดูถูกจมูกและความรอบรู้ของข้าเกินไปแล้ว
   ในที่สุดแม่ทัพหานก็ไม่ถูกหลอก แถมยังได้ตัวยานั้นมาในราคาร้อยตำลึง นับว่าสมราคาวัตถุดิบ
   “ใยเจ้าไม่บอกว่ามันคือโสมขาว”
   แม่ทัพหานซิ่นเป็นคนฉลาด ตั้งแต่เขาเห็นข้าหยิบโสมขาวขึ้นมาเล่น เขาก็รู้ได้ทันทีเลยว่า วัตถุดิบที่เอามาทำย่อมเป็นโสมขาว
   “โสมขาวไม่ใช่ตัวยาที่ไม่ดี รักษาโรคได้ สรรพคุณมิได้หลอกลวง โสมพันปีเองก็สามารถนำมาทำยาชนิดนี้ได้ เพียงแต่พ่อค้าเฒ่าผู้นั้นอยากโก่งราคา ข้าบอกออกไปเขาถูกทางการจับ ความแค้นสร้างง่าย บุญคุณชำระยาก ข้าเพียงมิอยากมีความแค้นกับผู้ใด”
   แม่ทัพหานซิ่นพ่นลมหายใจ
   “เช่นนั้นเจ้าบอกข้าหรือไม่ ว่าเจ้าไม่ได้ทำผิดอะไร”
   ถ้าเขาหมายถึงการที่ข้าไม่บอกกล่าวให้ผู้ใดรู้เรื่องวัตถุดิบที่พ่อค้าเฒ่าผู้นั้นจงใจหลอกขาย ข้าย่อมไม่ผิด ข้ามิได้มีส่วนได้ส่วนเสีย ข้าย่อมไม่ผิด
   แต่ถ้าท่านแม่ทัพหมายถึงเรื่องบางเรื่อง ตัวหมากอย่างข้านั้นเป็นเพียงตัวหมาก ข้าไม่ร่วมคิดก็ร่วมกระทำ ดังนั้นข้าจึงตอบตรงๆไม่ได้ว่า ข้าย่อมไม่ผิด
   

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
อิแม่ทัพนี่ก็เหมือนไบโพล่าร์

ออฟไลน์ MewSN

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 170
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +234/-4
บทห้า
ลางร้ายในจวนสกุลหาน
   “ท่านหานซิ่นหรือ!”
   “คารวะฮูหยินรอง”
   ท่านแม่รองมีแววตาแปลกใจที่คนที่ตามข้าเข้ามาคือแม่ทัพหานซิ่น ร้อยวันพันปีนางไม่เคยพบเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน ใยแม่ทัพหนุ่มผู้ผลักไสลูกชายนาง บัดนี้เดินตามกันมาเข้าจวนสกุลโหวอย่างง่ายดาย ช่างเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก
   “วันนี้ข้ารบกวนอาเฉียนช่วยหายารักษาโรคเป็นเสบียงติดตัวยามข้าไปประจำการที่ลั่วหยาง อาเฉียนรอบรู้เรื่องยาจนแตกฉาน นึกไม่ถึงว่านอกจากจะช่วยข้าให้หายาครบถ้วนไม่ขาดไม่เกิน กลับช่วยข้ามิให้ตกเป็นเหยื่อของผู้มากด้วยเล่ห์กล”
   ท่านแม่รองกล่าวถามอย่างสงสัย “เรื่องเป็นมาอย่างไรกันเจ้าคะ”
   “ท่านแม่ ข้าว่าพาท่านแม่ทัพไปเรือนรับรองก่อนเถอะขอรับ”
   ครั้นจะมายืนซักไซ้ไล่หาความกันเอาหน้าเรือนใหญ่ก็ใช่ที่ นายหญิงรองของบ้านเหมือนจะรู้ตัวว่ายามนี้ได้เสียมารยามไปเสียแล้ว รีบผายมือกล่าวเชิญท่านแม่ทัพ
   “คารวะฮูหยินใหญ่”
   ท่านแม่ใหญ่มีศักดิ์ในจวนสูงกว่าหานซิ่นเนื่องจากเป็นภรรยาเอกจึงต้องเคารพก่อน แต่ความจริงแล้วไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป ท่านแม่ทัพมิต้องเคารพฮูหยินเสียก็ได้ เพราะตามธรรมเนียมของสังคมจีนนั้นค่อนข้างให้ความสำคัญกับสตรีน้อยมาก เช่นนั้นแม่ตำแหน่งจะสูงศักดิ์เพียงใด มิใช่สตรีในราชวงศ์ แม้ขุนนางขั้นหกก็ไม่จำเป็นต้องเคารพท่านแม่ใหญ่ก็ได้ จากนั้นจึงตามมาด้วยท่านแม่เล็กคารวะแม่ทัพ ทุกคนกล่าวทักทายกันตามมารยาท แล้วท่านพ่อก็มาถึง
   “เฉียนเอ๋อร์ เจ้าไปนั่งข้างท่านหานซิ่น!”
   มาถึงก็ทำหน้าที่พ่อสื่อเลยนะตาแก่ ข้าจำต้องก้มหัวโค้งคำนับปลกๆ แล้วเคลื่อนตัวไปนั่งข้างแม่ทัพหานซิ่นผู้เผยแววตายิ้มขันส่งมาให้ข้าอย่างจงใจ
   ข้าได้แต่สาปแช่งก่นด่าเขาในใจ
   “ท่านแม่ทัพมาถึงจวนข้าเวลานี้ เช่นนั้นก็อยู่ทานข้าวเย็นเสียหน่อยเถิด เราไม่ได้พบปะพูดคุยเรื่องธรรมดาทั่วไปกันมานานมากแล้ว อีกทั้งทางหานฮูเสียข้าก็มิเคยได้ว่างไปเยี่ยมเยือน ตาเฒ่าผู้นั้นคงโกรธข้าเป็นฟืนเป็นไฟแน่แล้ว”
   “ท่านเสนาธิการกล่าวผิดแล้ว เป็นบิดาข้าเสียอีกที่ละอายใจกล่าวว่าไร้มารยาทต่อท่านที่หลายปีมานี้ด้วยวัยอันล่วงเลยจึงมิได้มีโอกาสมาเยี่ยมท่านถึงจวน”
   ข้าเบื่อจะฟังเรื่องรักษามารยาทหรือเรื่องทำเสียมารยาทพวกนี้เต็มทนแล้ว แต่ก็ไม่สามารถลุกไปไหนได้
   “จริงสิ แม่ทัพหานซิ่น เวลานี้อาการของฮูหยินผู้เฒ่าเป็นอย่างไรบ้าง”
   ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหาน แม่ของหานซิ่นอย่างนั้นหรือ ไม่กี่วันก่อนข้าไปที่จวนสกุลหาน นางยังมีสีหน้าผ่องใสอยู่เลยนี่ ดูๆแล้วมิน่าล้มป่วยกะทันหันเช่นนี้
   “สามวันดีสี่วันไข้ ข้าก็จนใจไม่สามารถทำเช่นไรได้”
   “เช่นนั้นให้เฉียนเอ๋อร์ไปตรวจอาการดูดีหรือไม่” ท่านแม่รอง ท่านหาเรื่องมาให้ข้าเสียแล้ว
   “เสียมารยาท! เฉียนเอ๋อร์มิได้เป็นหมออาชีพเพียงร่ำเรียนวิชาแพทย์จนแตกฉาน ใช่ว่าจะรู้ดีไปกว่าหมอคนอื่นๆ”
   ท่านพ่อพูดถูกแล้ว เวลานี้ท่านพูดถูกใจข้ายิ่งนัก
   “ดีเหมือนกันท่านเสนาธิการ ถ้าเช่นนั้น…”
   “…”
   “อาเฉียนโปรดเมตตา”
   ปากข้ากระตุก ได้แต่สาปแช่งท่านแม่ทัพผู้นี้ในใจ ข้าอยากหนีออกมาจากสกุลหานใจจะขาด บัดนี้ยังหนีไม่พ้น ต้องวนเวียนกลับไปดั่งวัฏจักรไม่รู้จบสิ้น ท่านพ่อแม้ตอนแรกจะคัดค้านแต่เมื่อเห็นท่านแม่ทัพไม่ว่าอย่างไร จึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย พลางกล่าวว่า
   “พรุ่งนี้เช้าเจ้าก็ไปช่วยตรวจดูอาการฮูหยินผู้เฒ่าหน่อยเถิด จงระวังกิริยามารยาท ท่านแม่ทัพวางใจเจ้า อย่าทำให้ผิดหวัง ทราบหรือไม่อาเฉียน”
   “ขอรับท่านพ่อ”
   ข้ารับคำอย่างจำยอม
   
   “มาแล้วหรือ”
   เป็นไปตามคำท่านพ่อ เมื่อเสนาธิการโหวอันเล่อสั่งการมาแล้ว ลูกในไส้เช่นข้าไยจะปฏิเสธได้ จำต้องเดินทางมายังจวนสกุลหานอย่างฝืนทน เดิมทีข้านึกว่าผู้มาเปิดประตูจวนให้จะเป็นคนใช้ในบ้าน แต่นึกไม่ถึงกลับเป็นแม่ทัพหานซิ่นผู้สูงศักดิ์ในชุดผ้าแพรธรรมดาไม่สวมเกราะดังเช่นทุกวัน บอกให้ข้ารู้ว่าแม่ทัพผู้นี้ก็มีวันธรรมดาอย่างใครเขาเช่นเดียวกัน
   “ฮูหยินผู้เฒ่าอยู่ในสวน”
   “…”
   “เวลานี้นางอาการไม่สู้ดีนัก เจ้าไปดูเอาเถอะ”
   ท่านแม่ทัพบอกเล่าระหว่างที่เรากำลังเดินไปยังจุดหมาย
   “คารวะฮูหยินผู้เฒ่า”
   เมื่อไปถึงข้าแสดงความเคารพต่อฮูหยินผู้เฒ่า นางไม่ตอบคำเอาแต่นั่งเหม่อลอยมองสระบัวตรงหน้า
   “ขออภัยด้วย ท่านแม่ข้ามักเป็นเช่นนี้บ่อยๆ”
   ข้าพยักหน้าเข้าใจ พลางเดินเข้าไปหานาง นั่งคุกเข้าลงหวังจะเข้าไปขอตรวจดูชีพจรและอาการต่างๆ แต่ทันใดมืออันเหี่ยวย่นของนางกลับจับแขนของข้าไว้ แล้วกล่าวคำพูดอันบางเบาที่ได้ยินเพียงข้ากับนาง
   “จิ่วฉือเหนียง ข้าผิดไปแล้ว”
   ข้านิ่งอึ้ง ชั่วครู่นึกว่านางพูดกับตัวข้า แต่ไม่ได้เป็นเช่นนั้น นางกำลังพูดกับภาพมายาที่นางสร้างขึ้นในภวังค์ของตัวนางเอง
   “ท่านป้า”
   คำของข้าทำให้นางได้สติ หันมามอง
   “อาเฉียนหรือ”
   “ขอรับท่านป้า”
   “หานเอ๋อร์”
   “ขอรับท่านแม่”
   นางเรียกข้าและอาซิ่น ราวกับจะให้แน่ใจว่าพวกเราทั้งสองคนยังอยู่ตรงนี้
   “เจ้าไปตามจิ่วฉือเหนียงมาพบข้าหน่อยเถอะ”
   !!!
   ประโยคต่อมาของนาง ทำให้ทั้งข้าและหานซิ่นเบิกตากว้าง
   “ท่านแม่ขอรับ จิ่วฉือเหนียงตายไปแล้ว”
   เป็นแม่ทัพหานซิ่นที่ได้สติก่อนข้า จึงกล่าวบอกกับนางตามความจริง
   ใช่แล้ว จิ่วฉือเหนียงตายไปแล้ว เวลาข้าอยู่พวกท่านจงเกลียดจงชังข้า เวลานี้ข้าตายไปแล้วพวกท่านจะถามหาข้าให้ได้ประโยชน์อันใดขึ้นมา
   ไม่มีคำตอบจากฮูหยินเฒ่า นางเพียงเหม่อมองไปยังกอดอกบัวในสระเบื้องหน้า แล้วน้ำตาก็ไหลอาบสองแก้ม

   “ขอโทษด้วย ที่ต้องให้เจ้ามารับรู้เรื่องเช่นนี้”
   แม่ทัพหานซิ่นกล่าวขอโทษข้าด้วยน้ำเสียงอ่อนลงกว่าปกติ ข้าพยักหน้าเข้าใจพลางกล่าวว่า “ฮูหยินเป็นไข้ใจ โรคนี้สามวันดีสี่วันไข้ ในเมื่อเรามิอาจหาคนผู้นั้นกลับมาได้แล้ว ก็ต้องขึ้นอยู่กับตัวฮูหยินเอง ข้าได้แต่หวังว่านางจะทำใจได้ในเร็ววัน”
   ความแค้นในครั้งก่อน ข้าขออโหสิกรรมให้นับแต่วันนี้ ผู้ใดเกลียดข้า ข้าไม่เกลียดตอบ ตายแล้วเกิดใหม่เรื่องราวบุณคุณความแค้นถือเป็นที่สิ้นสุด
   “เช่นนั้นข้าขอเที่ยวชมสวนของสกุลท่านสักครู่ก่อนกลับได้หรือไม่”
   แม่ทัพหานซิ่นกล่าวว่าตามสบาย ก่อนเขาจะผละไปเพราะมีคนมาพบ ข้าไม่รู้ว่าเรื่องอะไรแต่คงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะหลังจากมีคนใช้มาเรียก เขาก็หุนหันจากไป ข้าเดินเที่ยวเตร่ไปเรื่อยๆ ไม่รู้ด้วยความเคยชินหรืออะไร ไม่นานเท้าทั้งสองของข้าก็พาตัวเองมาถึงเรือนหลังเล็ก
   เรือนที่ข้าเคยอาศัยอยู่มาสามปี
   
   ภายในเรือนยังคงงดงามดังเดิม ความงดงามสำหรับข้าคือของตกแต่งน้อยชิ้น แม้ข้าจะเป็นคุณชายจากสกุลร่ำรวยแต่ก็ไม่ใฝ่หาของหรูหราฟุ่มเฟือย สิ่งที่ข้าหามาตกแต่งห้องมีเพียงแจกันหยกสองใบ ลวดลายของแจกันเป็นนกกระเรียนคู่ ข้าจำได้ว่าหามาได้จากร้านข้างถนนในราคาไม่กี่ร้อยตำลึง โต๊ะเขียนหนังสือของข้ายังวางไว้ที่เดิม ห้องนี้น่าจะได้รับการทำความสะอาดทุกวัน เมื่อครู่ข้าลองใช้มือกวาดไปมาบนโต๊ะเครื่องแป้งแล้วแทบไม่มีฝุ่นจับ
   ข้านึกขึ้นได้จึงตรงไปที่ตู้เก็บหนังสือ หยิบตำราเล่มหนึ่งออกมาจากชั้นวาง มันเป็นบทกลอนที่ข้าเขียนทิ้งเอาไว้ก่อนตายแต่ไม่มีบุญวาสนาได้เขียนต่อจนจบ เพราะขณะนั้นข้าที่กำลังดื่มด่ำกับบรรยากาศในสวน คนของจินหรูอันก็มาเรียกข้าไปพบ จากนั้นข้าก็กินน้ำแกงถ้วยนั้นจนถึงแก่ความตาย ไม่มีโอกาสได้สานต่อบทกลอนบทนี้ เดิมทีมันเป็นของของข้า คงไม่แปลกอันใดหากว่าข้าจะเก็บเอาไปเขียนต่อที่จวนสกุลโหว ว่าแล้วก็ยัดตำราบทกลอนเล่มนี้ใส่ไว้ในสาบเสื้อ
   ของของคนตายก็คือของของข้า เพราะคนที่ตายก็เป็นข้าเอง เช่นนั้นจึงไม่อาจเรียกว่าขโมย
   “เจ้าอย่าได้เสียงดัง จงตามข้ามา”
   พลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้นในห้อง ตามมาด้วยเสียงประตูปิดลง บอกให้รู้ว่ามีใครบางคนเข้ามาในเรือนหลังเล็กนี้ ข้าซึ่งอยู่ในห้องหนังสือรีบไปหลบหลังตู้เก็บหนังสือตามสัญชาตญาณ ก่อนจะชะโงกหน้าออกมาแอบดูผู้มาเยือน
   จินหรูอัน กับใครบางคนที่ข้าไม่เห็นหน้าเพราะถูกขอบตู้เก็บหนังสือบดบังจนมิด
   นางยืนกระสับกระส่ายร้อนรน
   “ข้าน้อยทำตามที่ท่านบอกแล้ว แต่คนของท่านน่ะสิเจ้าคะ ทำเสียเรื่อง”
   “บัดนี้เทียนโฮ่วทรงกริ้วมาก เกรงว่าถ้าภารกิจต่อไปไม่สำเร็จ นางจะไม่หยุดลงโทษเพียงเท่านี้ ครั้งต่อไปถ้าเจ้าพลาด มันจะเป็นหัวของเจ้าเอง”
   ข้าปิดปากตัวเองแน่น เสียงนี้แม้ข้าไม่ได้ยินมานานเกือบสามปีแต่คุ้นหูเป็นความเคยชิน
   เสียงของพี่ใหญ่ข้า จิ่วกงเล่อ
   “เทียนโฮ่วกรุณาเมตตา จิตใจสูงส่งยิ่ง”
   “ทำภารกิจให้สำเร็จ แล้วเจ้าจะได้รางวัลจากพระนาง”
   “…”
   “หรือไม่เช่นนั้น เจ้าล้มเหลว รางวัลก็คือความตายของเจ้าเอง”
   จินหรูอันรีบคุกเข่า ก้มหัวปลกๆอย่างเกรงกลัวต่อฟ้าดิน
   “ข้าน้อยทราบแล้วๆ”
   “ดี ไป!”
   พวกเขาเร่งรีบออกไปกลัวจะมีคนมาเห็น ข้ายังยืนหลบอยู่หลังตู้เก็บหนังสือที่เดิม ในใจสับสนวุ่นวาย ในหัวเค้นความคิด
   นี่มันเรื่องอะไรกัน…

   ภารกิจอันใดที่เทียนโฮ่วสั่งให้ทำ จินหรูอันเป็นคนของพระนางอู่เช่นนั้นหรือ แต่นางก็ยังเป็นคนที่หานซิ่นรัก สกุลจินแม้ไม่มีอำนาจบารมีเทียบเท่าสกุลโหว แต่ก็สนับสนุนหานซิ่น เรื่องนี้ข้าจนปัญญาคิดแล้วจริงๆ
   เพราะมัวแต่ใจลอย จึงมิรู้ว่าเบื้องหน้ามีปราการแข็งแกร่งขวางกั้นอยู่ เช่นนั้นข้าจึงเดินไปชนเข้าอย่างจัง เป็นท่านแม่ทัพหานซิ่นนี่เองที่มายืนทำตัวเป็นเสาไม้ขวางเส้นทางเดินของข้าอยู่
   “เป็นอะไรไปอาเฉียน ข้าไม่อยู่เพียงครึ่งชั่วยามเจ้าก็เอาแต่ใจลอยคิดถึงข้าแล้วรึ”
   “ระวังปากท่านเถอะ ข้าคิดเรื่องอื่นอยู่ ใยท่านแน่ใจว่าเป็นเรื่องของท่าน”
   แม้ข้าจะสะอึกว่ามันเป็นเรื่องของท่านจริงๆ แต่ข้าก็แกล้งข่มความสะอึกนี้ลงได้
   “เมื่อก่อนเจ้าก็เอาแต่คิดถึงข้า มาบัดนี้จะให้ข้าเชื่อว่าเจ้าตัดใจได้ลงแล้วหรือ”
   “หึ ท่านหรือจะชมชอบข้า ข้าเป็นบุรุษบัดนี้ข้ารู้ตัวว่าเรื่องระหว่างเราเป็นไปไม่ได้แล้ว ข้าถอยหนึ่งก้าว ท่านก็ถอยไปแล้วสองก้าว เราต่างถอยคนละก้าว ไม่ดีหรือ”
   อีกอย่างท่านรีบๆถอยออกห่างข้าไปเสียทีเถอะ ข้าก็ถอยไปหนึ่งก้าวแล้วท่านจะก้าวตามมาติดๆอีกทำไม
   “ใครบอกว่าข้ามิชมชอบบุรุษ”
   “ฟ้าดินมีตา ถึงไม่มีใครบอก ข้าย่อมรู้ได้”
   ใครจะรู้ ว่าข้านั้นช่างไม่รู้อะไรเสียเลย ได้แต่เหมารวมไปว่าในเมื่อท่านเกลียดข้าที่เป็นอนุภรรยาจากสมรสพระราชทาน เช่นนั้นท่านก็ไม่นิยมชมชอบบุรุษเท่าใดนัก หากแต่ข้าพยายามละเลยความชั่วของตัวข้าเอง มองข้ามเหตุผลที่ว่าข้ามิเพียงเป็นบุรุษ แต่อีกเหตุผลที่ท่านแม่ทัพทำตัวห่างเหินกับข้านั้นคือข้าเป็นตัวหมากให้กับจิ่วเหมียนชง เพื่อคอยทำลายชื่อเสียงของเขา
   “เช่นนั้นเจ้าจะยอมแพ้”
   “ข้ามิได้ยอมแพ้ แต่ข้าถอยหนึ่งก้าว ท่านถอยสองก้าว ต่อให้ข้าก้าวไปตามท่านข้าก็ก้าวไม่ทันเพราะท่านก้าวหนีข้าทีละสองก้าว”
   “เช่นนั้นข้าก้าวมาอย่างนี้ดีหรือไม่”
   เป็นบ้าหรือไง ท่านก้าวมาหาข้าเช่นนี้ข้าก็เสียหลัก…
   “เฮ้ย!”
   เพราะแรงของท่านแม่ทัพที่มีมากกว่าเมื่อก้าวเข้ามาหาปะทะชนข้าตรงๆ ไฉนเลยข้าที่ผอมแห้งแรงน้อยแขนขาง่อยเปลี้ย ไม่ได้เป็นนักรบเช่นนี้จะยืนทรงตัวอยู่ได้ ย่อมเสียหลักเอนหลังจะล้มเตรียมหัวฟาดพื้น ข้าจึงหลับตาปี๋จนใจยอมรับความเจ็บปวด
   ทว่าความรู้สึกเจ็บกลับไม่ถาโถมเข้ามา ข้าจึงลืมตาขึ้น พบว่าตนเองยามนี้ตกอยู่ในอ้อมกอดของท่านแม่ทัพเสียแล้ว
   “ท่าน!!!”
   ข้ารีบยันตัวลุกขึ้นยืนตรง ชี้หน้าหานซิ่นอย่างลืมมารยาท
   “ท่านแกล้งข้า สนุกหรือไรแกล้งคนไม่มีกำลัง”
   “สนุกสิ” แม่ทัพกล่าวหน้าตาเฉย คนผู้นี้หน้าหนายิ่งนัก แกล้งผู้อื่นแล้วยังยืนยิ้มปะทะคารมอยู่ได้
   “ท่าน!!!”
   เจ้ามันแม่ทัพผู้เหลืออด ข้าไม่รู้จะก่นด่าสาปแช่งเจ้าอย่างไรแล้ว ได้แต่สะบัดชายเสื้อแล้วหันหน้าหนีไปอีกทา
 ขาก็ก้าวเดินเพียงแต่คิดว่าไปให้พ้นๆจวนของคนขี้แกล้งผู้นี้เสียที
   “อย่าไปฟ้องท่านโหวล่ะเจ้า” เขาตะโกนไล่หลังมา
   “เรื่องเล็กเช่นนี้ ใครเขาทำกัน”
   ข้ารีบหลับหูหลับตาเดินออกมาด้วยความอับอายที่ถูกหยอกล้อ มีเสียงหัวเราะร่วนดังตามหลังมาติดๆ
   ฝากไว้ก่อนเถอะ แม่ทัพหานซิ่น
   
   

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2

ออฟไลน์ bigbeeboom

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 381
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
น่าติดตามมากจ้า สนุกมากอ่านรวดเดียว โอยลุ้นๆ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
แม่ทัพหานนี่ดูท่าคิดยังไงๆ กับคุณชายเฉียนซะละ   :impress2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ท่านแม่ทัพเนี่ยมีอะไรที่ไม่ชอบอนุที่ตายไป แล้วมีอะไรที่ชอบเตาะคุณชายเสียจริง อยากรู้จริง ๆ เลย  :katai1:

ออฟไลน์ MewSN

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 170
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +234/-4
บทหก
เมื่อเทพเซียนมาเยือนข้า
   ข้ากลับมาจวนสกุลโหวด้วยใบหน้าไม่สบอารมณ์ ไม่มีคนใช้ผู้ใดกล้าเข้าใกล้ข้า
   “นายน้อยเจ้าคะ ดื่มชาให้ผ่อนคลายอารมณ์หน่อยเถอะ”
   ยกเว้นเหมยฮวาที่ทำใจดีสู้เสือเข้ามาหาข้า ข้าสูดกลิ่นชาผสมน้ำผึ้งมะนาวแล้วให้คลายความหงุดหงิดลง ยกถ้วยชาขึ้นดื่ม เพียงลิ้นสัมผัสความเปรี้ยวหวาน ก็ทำให้ใจคลายทุกข์ได้ ความกังวลที่มีมาตลอดระยะทางกลับจวนหลังไปได้ยินได้ฟังเรื่องไม่ควรรู้เข้าก็ค่อยๆบรรเทาลง
   “จริงสินายน้อยเจ้าคะ เมื่อครู่นายหญิงใหญ่มาหาท่านแต่ไม่พบ บอกว่าเมื่อคุณชายกลับมาให้แจ้งท่านด้วยว่าให้ไปหานางที่เรือนรับรอง”
   “ด้วยเหตุอันใด”
   “ไม่ทราบเจ้าค่ะคุณชาย นางเพียงแต่ให้ข้าเรียนท่านเช่นนี้”
   ข้าพยักหน้าเข้าใจ
   
   “คารวะท่านแม่ใหญ่”
   “ตามสบายเฉียนเอ๋อร์ เจ้ามาหาแม่นี่มา”
   ข้าขยับตัวเปลี่ยนตำแหน่งไปนั่งใกล้ๆนาง นางวางมือบนหัวทุยๆของข้า แล้วลูบเส้นผมยาวสลวยเงางามของข้าไปมา
   “คราวนี้เจ้าไปนานเป็นปี หวังจะไปศึกษาวิชาแพทย์เพิ่มเติมดั่งคำเจ้าว่าครั้งก่อน ข้าเลยตั้งใจจะมอบของไว้ดูต่างหน้า ยามเจ้านึกถึงบ้าน นึกถึงท่านแม่ เจ้าก็นำปิ่นปักผมเล่มนี้ออกมาดูให้หายคิดถึงเถิด”
   ท่านแม่ล้วงมือลงไปในหีบเล็กข้างกายนาง แล้วหยิบปิ่นหยกขึ้นมาเมื่อมองดูใกล้ๆจึงมองเห็นอักษรจีนประณีตงดงามสลักเป็นชื่อของข้า
   “ขอบคุณขอรับท่านแม่ ข้าจะรักษามันไว้อย่างดี”
   ที่แท้ท่านแม่ใหญ่ก็กลัวจะทนคิดถึงข้าไม่ได้ ความจริงที่นางอ้างว่าให้ของแทนใจ ให้ข้าเอาออกมาดูยามคิดถึงนาง แท้จริงนางได้ซื้อปิ่นหยกคู่ที่เหมือนกันมาไว้แล้ว ชิ้นหนึ่งให้ข้า อีกชิ้นนางเก็บเอาไว้เป็นของดูต่างหน้าข้า ยามเมื่อนางเองก็คิดถึงข้าเช่นกัน
   ข้าสวมกอดนางแน่น ท่านแม่น้ำตารื้นขึ้นมา ก่อนนางจะลูบหน้าลบน้ำตา แล้วกล่าวว่า “เจ้าไปครานี้ ไปไกลถึงลั่วหยาง มีอะไรก็อดทนนะลูกแม่ หนักนิดเบาหน่อยก็อย่าได้ท้อถอย ตั้งใจเรียนให้แตกฉานในวิชาการแพทย์ วันหน้าแม้เจ้าไม่เดินเส้นทางสายขุนนางแม่ก็ไม่ว่าอะไร ส่วนพ่อเจ้าไม่ต้องกังวล ไม่มีพ่อแม่คนไหนที่ไม่อยากให้ลูกประสบความสำเร็จ ความมีหน้ามีตา มิสู้เป็นคนดีหรอกลูกแม่”
   เห็นได้ชัดว่านางช่างเป็นสตรีที่มีใจกว้างขวางดั่งแม่น้ำหวงเหอจริงๆ
   ข้าสวมกอดนางจากใจจริง หลายคนคงเวทนาเฉียนเฉิงคนก่อนหากไม่ตายตกไปเสียก่อนก็ควรจะได้รับความรักความอบอุ่นเช่นนี้อยู่ร่ำไป เพียงแต่ข้าไม่คิดเช่นนั้น แม้เป็นความโชคร้ายของเขา แต่กลับเป็นโชคดีของข้า บัดนี้เขาตายมิได้หมายความว่าเป็นเพราะข้า ทุกอย่างล้วนถูกกำหนดโดยสวรรค์ เมื่อสิ้นวาสนาต่อกัน คนก็ต้องจากไป
   ข้าทั้งมิได้ยินดีเกินงาม และมิได้อาลัยอาวรณ์เขาเกินไปเช่นเดียวกัน
   “มาๆลูกเฉียน ข้านี่ไม่เอาไหน พลอยทำให้ลูกชายมีห่วงเสียได้ ข้าว่าจะไม่ร้องไหแล้วนะ”
   ข้ากับท่านแม่ใหญ่ผละออกจากอ้อมกอดกันและกัน ก่อนที่นางจะผายมือให้ข้ากลับมานั่งตรงข้ามดังเดิม
   “คารวะท่านพี่หญิง”
   “คารวะท่านแม่รอง”
   ข้าลุกขึ้นเคารพท่านแม่รอง นางทรุดนั่งลงข้างกายข้า
   “นี่คงเป็นปิ่นหยกแท้ ที่พี่หญิงมอบให้เจ้าสินะ วันนี้แม่ก็มีของดูต่างหน้ามามอบให้เจ้าเช่นเดียวกัน”
   “เช่นนั้นอย่าให้น้อยหน้าข้าล่ะ น้องเหวินเฉียน”
   เกิดการข่มขวัญกันระหว่างท่านแม่ทั้งสองขึ้นแล้ว แต่ก็เพียงเป็นการหยอกล้อกันเล่นตามประสาพี่น้องเท่านั้น คนในสกุลย่อมโหวรู้ดีกว่าใคร ว่าความรักใคร่ปรองดองระหว่างสามภรรยาของท่านโหวนั้นแน่นแฟ้นยิ่งนัก มีหรือจะกัดกันเป็นจริงเป็นจังไปได้
   “ของๆข้า สู้ปิ่นหยกท่านพี่ฮวนอิ๋งมิได้หรอก นี่เป็นถุงเงินที่แม่ถักให้เจ้าเองกับมือ เจ้านำติดตัวไปไว้เถิด”
   ข้ารับถุงเงินลายนกกระเรียนคู่มาไว้ในมือ ข้าเริ่มมั่นใจแล้วว่ารสนิยมของเฉียนเฉิงคนก่อนคงชื่นชอบลายนกกะเรียนคู่เป็นแน่ ซึ่งตรงกับรสนิยมของข้า ที่ของตกแต่งเรือนนั้นย่อมมีแต่ลายนกกระเรียนคู่ บุรุษอย่างข้าเกิดมาชะตาอาภัพรัก ได้แต่หวังดูลายนกกะเรียนคู่ไว้ปลอบประโลมจิตใจ วันใดได้เจอเนื้อคู่ ย่อมเป็นฟ้าลิขิต หากไม่มี ก็ย่อมเป็นฟ้าลิขิตอีกเช่นเดียวกัน
   บนถุงเงินสลักอักษรจีนงดงามอ่อนช้อยเป็นชื่อของข้า เช่นเดียวกับปิ่นหยกของท่านแม่ใหญ่
   “ปิ่นหยกข้ารึจะสู้ฝีมือเย็บปักถักร้อยของน้องหญิงได้ ถ่อมตัวเกินไปแล้ว ปิ่นหยกราคาแพงล้วนหาง่าย แต่ความจริงใจในผลงานที่ใส่เข้าไปในถุงเงินนี้ของเจ้าต่ออาเฉียนนั้นย่อมมีเพียงสิ่งเดียวในโลก”
   “ขอบคุณท่านพี่หญิงที่ชื่นชม”
   ท่านแม่รองคำนับท่านแม่ใหญ่เป็นการขอบคุณ
   “เอาเถอะ หวังว่าน้องเล็กคงมิได้เอาของอันใดที่เหนือกว่าของพวกเรามาหรอกนะ”
   คำพูดเหล่านี้เป็นเพียงการหยอกล้อกันของพวกท่านแม่เท่านั้น ไม่ได้มีจิตริษยาแฝงอยู่ในเนื้อคำแม้แต่น้อย
   “น้องมาแล้วเจ้าค่ะท่านพี่ทั้งสอง คารวะท่านพี่ทั้งสอง”
   “คารวะท่านแม่เล็กขอรับ”
   ท่านแม่เล็กเดินเข้ามาหาข้า “ไม่ต้องมากพิธี ดูซิ อาฉียนของแม่โตเป็นหนุ่มเสียแล้ว”
   ข้ายิ้มเขิน พลางคิดในใจว่า ท่านแม่เล็กผู้นี้กล่าวชมข้าเกินไปแล้ว
   “ไหนน้องฟางเชียน เจ้าเตรียมอะไรมาให้เฉียนเอ๋อร์”
   “ข้ามิรู้จะช่วยอันใดเฉียนเอ๋อร์ได้ เรื่องเย็บปักถักร้อยข้าหรือจะสู้ท่านพี่รองได้ หนำซ้ำสมบัติข้าช่างน้อยนิดนักเมื่อเทียบกับท่านพี่ใหญ่ ข้าจึงขอมอบตำราให้ลูกของเรา นี่เป็นตำราทางการแพทย์ทั้งหมดของฉางอาน หวังว่าจะพอช่วยเจ้าได้ยามต้องไปศึกษาต่อที่ลั่วหยางได้นะเฉียนเอ๋อร์”
   “ขอบพระคุณขอรับท่านแม่เล็ก”
   “เอาเถอะ เจ้ากล่าวว่าปิ่นของข้าราคาแพง ตำราเจ้าที่หายากก็มีมิใช่น้อย แถมราคาในตลาดมืดช่างสูงลิ่ว เห็นทีคงควักสมบัติทั้งหมดของเจ้ามาจ่ายแล้วกระมัง”
   นี่ก็เป็นเพียงคำพูดหยอกล้อกันตามประสาพี่น้องของภรรยาทั้งสามของท่านพ่อเท่านั้น ข้าย่อมยิ้มไม่หุบกับความรักใคร่ปรองดองเหนียวแน่น ภาพเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นในจวนสกุลจิ่ว
   “ข้าผิดไปแล้วท่านพี่ ท่านอย่าลงโทษข้าเลย”
   ท่านแม่เล็กออดอ้อนท่านแม่ใหญ่ เป็นภาพที่พบเห็นได้ยากยิ่ง นั่นยิ่งทำให้ข้าฉีกยิ้มกว้าง คนใช้นายบ่าวต่างเห็นภาพเหล่านี้แล้วพลอยหุบยิ้มไม่ลงไปตามๆกัน
   “เอ๊ะ เจ้านี่ ทำเหมือนข้าเป็นภรรยาเอกใจจืดใจจำ ดูสิน้องเหวินเฉียน ดูนางทำเข้า คนไม่รู้พลอยจะคิดว่าข้ารังแกนางเข้าล่ะสิ”
   “ถ้าเช่นนั้นให้ข้าลงโทษดีหรือไม่”
   ท่านแม่รองก็ร่วมผสมโรงเล่นละครกันสนุกสนาน
   “ถ้าท่านพี่ทั้งสองรุมแกล้งข้าเช่นนี้ ข้าจะเอาอาเฉียนเป็นเกราะกำบัง”
   ว่าแล้วท่านแม่เล็กก็กระโจนเข้ามาหลบหลังข้า
   ภาพเหล่านี้เหล่าบ่าวไพร่คนเก่าคนแก่มองแล้วก็พลันให้นึกถึงย้อนไปเมื่อวันวานตอนคุณหนูของพวกเขาพวกเธอยังเป็นเด็ก ครั้งนั้นเฉียนเฉิงในวัยสิบขวบวิ่งโร่มาฟ้องท่านแม่ทั้งสามว่าถูกท่านพ่อดุด่า พวกนางมิรู้จะทำเช่นไรให้เด็กน้อยหยุดร้องไห้ จึงเล่นละครด่ากันไปมา โทษว่าเป็นความผิดของน้องรองบ้าง น้องเล็กบ้าง พี่ใหญ่บ้าง ที่ทำให้เฉียนเอ๋อร์ถูกเสนาบดีต่อว่า จนเฉียนเอ๋อร์ตัวน้อยรู้ความ ก็กล่าวว่า ข้าจะไม่น้อยใจเช่นนี้อีก สุดท้ายทุกคนจึงปรองดองกัน รวมทั้งท่านพ่อก็ถูกเด็กน้อยให้อภัยด้วย
   “กำบังอะไรเจ้าได้ อาเฉียนเชื่อฟังคำแม่ใหญ่ ส่งตัวนางมา”
   “ไม่นะขอรับท่านแม่ ท่านแม่เล็กน่าสงสารออกเช่นนี้ ข้าว่าควรงดข้าวท่านแม่เล็กขอรับ”
   เมื่อข้ากล่าวเช่นนี้ กลับกลายเป็นว่าท่านแม่ทั้งสามร่วมสามัคคีกันเปล่งคำว่า “อาเฉียน!!!” ซึ่งเป็นชื่อของข้าออกมาดังๆ
   ก่อนจะปรองดองกันรุมด่าข้า เท่ากับว่าสายลมหวนกลับ
   “ดูซิกล้าอดข้าวท่านแม่เล็กได้ลงคอ เด็กคนนี้โตมานิสัยใจคอไม่ดี” ท่านแม่ใหญ่เล่นละครต่อว่าข้า พลอยทำให้บ่าวไพร่หัวเราะสนุกสนาน
   “ข้าขอโทษขอรับ อาเฉียนผิดไปแล้ว”
   ไม่รู้จะถามหาความสมเหตุสมผลจากที่ใดกัน จากแต่เดิมนั้นท่านแม่เล็กผิด ถูกท่านแม่ทั้งสองกล่าวว่า แต่ตอนนี้กลายเป็นเมื่อข้าเข้าข้างท่านแม่ทั้งสอง ท่านแม่ทั้งสามคนกลับเข้าข้างกันแล้วมารุมข้า
   จนคนที่ผิด สุดท้ายก็กลายเป็นข้าไปเสียอย่างนั้น
   “เช่นนั้นวันนี้เจ้าต้องเป็นเด็กดี เชื่อฟังวาจาท่านแม่ทั้งสาม คอยอยู่ปรนนิบัติพัดวีให้หายคิดถึงก่อนจะจากกันไปแรมปี”
   ท่านแม่ใหญ่สรุปความผิดและบทกำหนดโทษของข้าเสร็จสรรพ พวกนางก็หันไปยิ้มให้กันเมื่อแกล้งข้าเป็นผลสำเร็จ
   “ขอรับๆ ไม่มีหญิงใดงามเท่าท่านแม่ทั้งสามของข้าแล้ว เฉียนเอ๋อร์มิกล้าไปปรนนิบัติพัดวีให้หญิงใดหรอกขอรับ”
   “วาจาไพเราะเสียจริงลูกของข้า ดี!”
   ท่านแม่รองกล่าวชมข้า
   “น่าเศร้านักน้องเหวินเฉียน เจ้าช่างถูกความใสซื่อของเฉียนเอ๋อร์หลอกไปแล้วเต็มๆ”
   “ท่านแม่ใหญ่ของข้าจิตใจกว้างขวาง เป็นโชคดีของบิดาที่แต่งงานกับหญิงงามเช่นท่าน”
   “เฉียนเอ๋อร์มาให้ท่านแม่ใหญ่ของเจ้ากอดเร็ว”
   แล้วเมื่อครู่ผู้ใดบอกกันว่าอย่าหลงคารมคมคายของข้า ใช่ท่านแม่ใหญ่ที่กำลังกอดข้าอย่างรักใคร่หรือไม่ขอรับ
   ข้ากำลังจะตายเพราะสำลักความสุขจากอ้อมกอดของหญิงงามทั้งสามเสียแล้ว
   “พวกเราต้องคิดถึงเจ้ามากแน่ๆ เฉียนเอ๋อร์ลูกรัก”
   ข้าก็จะคิดถึงพวกท่าน ข้าจะคิดถึงพวกท่านทุกๆคน…

   “เจ้าหนูนี่หลับลึกตื่นยากเสียจริง ข้าปลุกเท่าไหร่ก็มิยอมขยับเขยื้อนกาย หลงจมอยู่ในห้วงฝัน”
   ข้าได้ยินเสียงแหบแห้งของชายผู้หนึ่งดังขึ้นใกล้ๆตัว จึงค่อยๆลืมตาตื่นขึ้น หรี่ตาเพื่อปรับแสงในความมืดจึงพบว่าข้างเตียงข้า มีเฒ่าชรากับอีกหนึ่งหนุ่มเจ้าสำอางยืนอยู่
   ผู้เฒ่าพกน้ำเต้าคือเทพเซียนหลี่เถียไกว่ ส่วนอีกหนึ่งนั้น ข้าดูไม่ออก แต่ย่อมเป็นเซียน
   ข้ารีบลุกขึ้นมาคารวะเทพเซียนทั้งสอง
   “ตื่นเสียที ข้าเคาะกระบี่เรียกเจ้าตั้งนาน พลอยจะทำให้คนตื่นทั้งจวนแล้วเจ้าก็ไม่ลุกขึ้นมา ข้าอยากรู้นักว่าในฝันเจ้าฝันถึงสิ่งใดกัน”
   “เอาเถอะท่านลื่อทงปิน บัดนี้เวลาไม่รอท่า ความเป็นความตายของผู้ที่ท่านคอยคุ้มครองขึ้นอยู่กับเขาผู้นี้”
   เมื่อได้ยินท่านผู้เฒ่าหลี่เถียไกว่พูดชื่อของเขาออกมา ข้าก็นึกออก ในตำราเทพเซียนโบราณของจีน หลี่ว์ต้งปิน จัดเป็นเซียนที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุด เขาคือหนึ่งในปาเซียน*(โป๊ยเซียน)ลำดับที่สาม ทางลัทธิเต๋าเทิดทูนท่านเป็น ‘ฉุนหยางจู่ซือ’ มักปรากฏกายในร่างของหนุ่มรูปงามเจ้าสำอางรอยยิ้มกรุ่มกริ่ม แต่มีความองอาจห้าวหาญจนเป็นที่เลื่องลือ ในยามปกติจะสะพายกระบี่ไว้กลางหลัง และออกท่องเที่ยวไปทั่วแว่นแคว้น ซึ่งเมื่อครู่ข้าก็ประจักษ์แล้วว่า เขาได้ใช้กระบี่เล่มนั้นเคาะข้าให้ตื่นจากฝันจริงๆ
   ตามตำนานเล่าขานกันว่าหลี่ว์ต้งปินเกิดในสมัยของพระปฐมจักรพรรดิของราชวงศ์ถัง เป็นเซียนอายุน้อย มีชื่อเดิมว่า ‘หลี่ว์เอี๋ยน’ เคยไปสอบขุนนางเพื่อรับราชการในตำแหน่งจิ้นซื่อ แต่สอบตกสร้างความเสียอกเสียใจให้แก่ท่านเป็นอย่างมาก จึงได้ออกเดินทางร่อนเร่พเนจรไปเรื่อยๆ จนได้มาพบกับจงหลีเฉวียน(หนึ่งในเทพเซียนเช่นเดียวกัน) จึงได้ปรับทุกข์ให้ฟังถึงความอาภัพอับโชค จงหลีเฉวียนได้ยินได้ฟังก็ไม่ว่ากระไร และยังได้ต้มข้าวหวงเหลียง พร้อมทั้งส่งหมอนให้แก่หลี่ว์ต้งปินนอนหลับพักผ่อนเสียก่อน ในระหว่างห้วงแห่งความฝันนั้นเอง หลี่ว์ต้งปินได้ฝันเห็นตนเองประสบความสำเร็จ สามารถสอบได้เป็นจิ้นซื่อสมปรารถนา และเรื่องราวต่างๆในความฝันก็ต่อเนื่องกันมา สอบรับราชการได้สำเร็จ มีชีวิตที่รุ่งเรือง มีหน้าที่การงานที่มั่นคง แต่งงานมีครอบครัว ถูกปรักปรำให้ร้าย ถูกปลดจากตำแหน่ง ต้องโทษจำคุก สุดท้ายบ้านแตกสาแหรกขาด ทันใดนั้นเอง หลี่ว์ต้งปินก็สะดุ้งตื่นขึ้น พบว่าข้าวหวงเหลียงยังไม่ทันสุกดีเลย จงหลีเฉวียนหัวร่อพร้อมกับกล่าวทักทายในความฝันเหล่านั้น ทำให้หลี่ว์ต้งปินบังเกิดความสะทกสะท้อนใจและปลงกับสัจธรรมแห่งชีวิต จึงได้กราบจงหลีเฉวียนเป็นอาจารย์ และพากันไปบำเพ็ญเพียรภาวนาที่เขาหนานซาน จนกระทั่งสามารถบรรลุมรรคผลกลายเป็นเซียนในที่สุด
   สัญลักษณ์ประจำตัวของหลี่ว์ต้งปิน คือกระบี่วิเศษณ์ กล่าวกันว่ากระบี่เล่มนี้มิใช่ธรรมดา แต่เป็นกระบี่ที่มีฤทธาอันยิ่งใหญ่ สามารถกำราบพิชิตมารร้ายได้
   ซึ่งกระบี่เล่มนี้ วันนี้เขาได้นำมันมาเพื่อเคาะให้ข้าตื่นจากฝัน อา…วิเศษณ์สมชื่อจริงๆ
   “เจ้าตามข้ามา”
   ข้าไม่ทันได้ถามอะไรต่อ ร่างของเซียนทั้งสองก็ล่องลอยออกไปทางประตูหน้าต่าง ข้ารีบลุกขึ้นแต่งตัวอย่างลวกๆ แล้วรีบไล่ตามพวกเขาทั้งสองไป
   เทพเซียนทั้งสองล่องลอยไปตามถนนหนทางในเมืองหลวง บัดนี้ข้าวิ่งตามมาไกลห่างจากจวนสกุลโหวมากแล้ว แต่ท่านทั้งสองก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลย
   ข้าตามพวกเขาไปจนกระทั่งถึงกระท่อมทรุดโทรมหลังหนึ่ง ตั้งอยู่ปลายสุดของถนนที่ทอดตรงสู่เมืองหลวง เท่ากับว่าเวลานี้ ข้าได้ถูกนำพามานอกเมืองไม่ไกลนัก มองจากตรงนี้ ยังเห็นประตูเมืองหลวงอยู่รำไร เพราะเป็นเทศกาลในฤดูใบไม้ผลิ จึงไม่ต้องแปลกใจที่เมืองหลวงจะเปิดประตูต้อนรับอาคันตุกะตลอดทั้งคืน เพียงแต่พลทหารเหล่านั้น บัดนี้ไม่รู้หายไปอยู่ที่ใด ข้าจึงออกจากประตูเมืองมาได้โดยง่าย
   “เขาอยู่ที่นี่แหละ หลี่เถียไกว่เจ้าเชี่ยวชาญด้านการแพทย์ จงใช้วิชาเซียนของเจ้า ช่วยเขาเถิด”
   “เจ้าเข้าไปดู”
   หลี่เถียไกว่ผายมือให้ข้าเข้าประตูกระท่อมไป
   “น่าขำยิ่งนัก เจ้าฝากฝังวิชาแพทย์อันมหัศจรรย์กับมนุษย์อ่อนแอผู้นี้ เจ้ามันคงเป็นตาแก่เลอะเลือนดั่งอาจารย์ข้ากล่าวหาแล้ว”
   หลี่เถียไกว่มิกล่าวสิ่งใด เขามีเพียงสีหน้าราบเรียบราวห้วงน้ำลึกมอบให้เท่านั้น
   ประตูกระท่อมถูกเปิดออกมาอีกรอบ หลังจากโหวเฉียนเฉิงเข้าไปแล้วเมื่อครู่ และเป็นโหวเฉียนเฉิงอีกนั่นแหละที่รีบเร่งออกมา
   “นี่มันเรื่องอันใดกันขอรับ เหตุใดท่านแม่ทัพหานซิ่นจึงนอนครึ่งเป็นครึ่งตายอยู่เช่นนี้!!!”

ขอขอบคุณข้อมูลของเทพเซียนหลี่ว์ต้งปินจากบทความ “หลี่ว์ต้งปิน” จากเว็บไซต์ : http://www.jiewfudao.com
*ปาเซียน หรือ โป๊ยเซียน คือเซียนแปดองค์ ตามความเชื่อในลัทธิเต๋าของจีน เป็นเทพเจ้าที่ชาวจีนนับถือมาช้านาน นับเป็นหนึ่งในบรรดาเซียนนับร้อย ๆ องค์ของจีน แต่เซียนทั้งแปดนี้ นับว่าเป็นที่รู้จักดีและได้รับการนับถืออย่างกว้างขวางมาก ในศาลเจ้าตามของหมู่บ้านชาวจีน มักจะมีแท่นบูชาที่ปูด้วยผ้า มีภาพวาดเซียนทั้งแปดรวมเป็นกลุ่ม บ้างก็เป็นภาพเซียนนั่งเรือกลับจากการไปงานเลี้ยงของพระนางไซอ๋องโบ้ (งานเลี้ยงของทวยเทพและเซียนต่าง ๆ) สมาชิกทั้ง ๘ ในกลุ่มของโป๊ยเซียนนั้นแตกต่างกันไปตามยุคสมัย {ข้อมูลจากเว็บไซต์ : http://www.thaicine.org}

   
   

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11

ออฟไลน์ MewSN

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 170
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +234/-4
บทเจ็ด
ความวุ่นวายในเมืองหลวง ภาคต้น

   หานซิ่นลุกจากที่นอนในยามโฉ่ว(01.00 - 02.59 น.)เมื่อได้ยินเสียงดังวุ่นวายขึ้นในจวน เขารีบเร่งเปิดประตูเรือนออกไปทันที ไม่นานเงาร่างหนึ่งก็มาโผล่ตรงหน้า เป็นหัวหน้าองครักษ์ชิงชิวนั่นเอง หัวหน้าองครักษ์ย่อมต้องอยู่ข้างกายฝ่าบาท บัดนี้มาปรากฏตัวด้วยชุดดำอำพรางกายตรงหน้าเขา น่ากลัวว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับฮ่องเต้เสียแล้ว
   “ชิงชิวคารวะท่านแม่ทัพ”
   “เกิดเรื่องอันใดขึ้นท่านหัวหน้าองครักษ์”
   พรึบ!
   ยังไม่ทันได้ซักไซ้ไล่ความ ร่างทั้งร่างของท่านหัวหน้าองครักษ์ก็ล้มลงตรงหน้าหานซิ่น
   “นายน้อยขอรับ”
   พอดีกับที่พ่อบ้านหลี่ พ่อบ้านชราที่คอยรับใช้ตระกูลหานมานาน มาถึงพอดี เมื่อครู่เขาได้ยินเสียงคนเคลื่อนไหวภายนอกจวน พ่อบ้านผู้นี้แม้อายุมากแล้วแต่ความสามารถกลับไม่ถดถอยตามสังขาร ยังคงหูตาว่องไว ยามนี้ย่อมรู้ว่าในจวนมีผู้แปลกหน้าเข้ามาแล้ว
   “พ่อบ้านหลี่ ไปตามหมอมาให้ข้า”
   “ขอรับ”
   พ่อบ้านชรารับคำ ก่อนจากไปด้วยความเร่งรีบ
   ส่วนหานซิ่นนั้นประคองร่างหัวหน้าองครักษ์เข้าไปนอนบนเตียงในเรือน ตรวจดูร่างกายของอีกฝ่ายจึงรู้ว่ามีบาดแผลเป็นรูเล็กๆบนไหล่ขวาเหมือนรอยงูกัดสองรู
   ลมเย็นตีผ่านหน้าต่าง พาให้ผ้าม่านปลิวไสว หานซิ่นจับกระบี่ข้างกายขึ้นมาเตรียมไว้
   “คารวะท่านแม่ทัพ”
   “ผู้ใดกัน!”
   บุคคลที่มามิได้แสดงตัวในทันที เขาค่อยๆก้าวออกมาจากเงามืด
   “ซุนฉื่อหรือ”
   หัวหน้าขันทีซุนฉื่อ ขันทีประจำกายของพระเจ้าถังเกาจงอย่างนั้นหรือ
   “เวลาไม่รอท่าแล้วท่านแม่ทัพ ฝ่าบาทกำลังตกอยู่ในอันตราย รีบตามข้าเข้าวังหลวงยามนี้เถอะ”
   ไม่มีเวลาให้คิด เพียงเอ่ยว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับความเป็นความตายของฝ่าบาท แม่ทัพหนุ่มก็รีบเร่งคว้าเสื้อนอกมาสวมใส่อย่างลวกๆ ไม่ต้องพูดถึงชุดเกราะเพราะย่อมไม่มีเวลาให้หยิบมาสวม
   “ตามข้ามาทางนี้!”
   
   เมื่อพ่อบ้านหลี่นำหมอมาถึงเรือนพักของนายน้อย ท่านแม่ทัพหานซิ่นก็ไม่อยู่เสียแล้ว
   “เชิญท่านหมอทางนี้ขอรับ”
   เขาผายมือให้หมอไปตรวจดูอาการของคนที่นอนอยู่บนเตียง ด้วยสายตาอันว่องไว พ่อบ้านหลี่สังเกตเห็นอะไรบางอย่างในมือของอีกฝ่ายที่กำแน่น
   เมื่อคลายออกมาก็พบกับกระดาษสีขาว ที่บรรจงเขียนด้วยรอยเลือด
   “แย่แล้ว!”
   นายน้อยของเขาอยู่ที่ใดกัน

   ระหว่างเส้นทางลัดเลาะเข้าวังหลวง แม่ทัพหานซิ่นจิตใจกระวนกระวาย
   “เรื่องเป็นมาอย่างไรกันท่านหัวหน้าขันที”
   ซุนฉื่อไม่หยุดฝีเท้า ยังก้าวเดินต่อไป
   “เมื่อตอนเย็นฝ่าบาททรงเสด็จไปตำหนักพระนางอู่ ร่วมทานอาหารมื้อค่ำ จิบสุราเลิศรสที่ได้มาจากแดนใต้ พูดคุยกันเรื่องสัพเพเหระไม่สลักสำคัญใดๆ เพียงแต่ว่า นึกไม่ถึงจู่ๆเทียนโฮ่วก็ท่องบทกวีบทหนึ่ง เพียงได้ฟังสีพระพักต์ของฝ่าบาทก็ซีดเผือด ข้าน้อยอยู่ไกลจึงมิรู้ว่าบทกวีที่พระนางอู่ท่องนั้นมีเนื้อความว่าอย่างไร จนสังเกตอาการผิดปกติของฮ่องเต้ได้ ข้าจึงไต่ถาม ได้ความว่า บทกวีที่นางท่องคือบทกวีของเจ้าจวิ้น”
   หานซิ่นแม้เป็นแม่ทัพ แต่มิได้แข็งทื่อใช้เป็นแต่เพียงกำลัง
   “ฟ้าดินดับแสง ดวงอาทิตย์มอด ดวงใหม่เจิดจ้า”
   !!!
   “ฮ่องเต้ทรงเรียกหัวหน้าองครักษ์เข้าพบ แต่สายไปเสียแล้วที่จะวางแผนป้องกันตนเอง เมื่อถึงยามจื่อ (23.00 - 24.59 น.) กองกำลังจากตำหนักเทียนโฮ่วก็ได้ล้อมบริเวณตำหนักของพระองค์เสียแล้ว หัวหน้าองครักษ์พยายามฝ่าวงล้อมออกไป อีกทางก็ให้ข้าแอบออกมาอย่างเงียบเชียบ นึกไม่ถึงว่าทางฝั่งของเขานั้นจะเจอปัญหาที่ใหญ่กว่าข้า”
   เช่นนั้นเขาจึงได้รับบาดเจ็บ หานซิ่นจึงเข้าใจเหตุการณ์ทั้งหมด
   “ดังนั้นเมื่อข้าออกมาได้ จึงมาที่จวนของท่าน ในยามนี้แม้ท่านเกณฑ์ไพร่พลก็ไม่ทันการณ์แล้ว ข้ายังพอมีกองกำลังทหารรับจ้างอาศัยปะปนอยู่เป็นยามเฝ้าประตู ถ้าเราเข้าวังไปรวบรวมพวกเขาแล้วไปช่วยฮ่องเต้ ยังอาจมีทางรอด ความเป็นตายของพระองค์ขึ้นอยู่กับท่านแล้ว”
   หานซิ่นได้ฟังน่ากลัวว่าจะช้ากว่านี้ไม่ได้แล้ว

   พ่อบ้านหลี่รีบนำสาส์นที่เขาได้มันมาจากมือของหัวหน้าองครักษ์ไปให้หานฮูเสียดู เมื่อนายใหญ่ของจวนสกุลหานอ่านมันซ้ำไปซ้ำมาอย่างละเอียด แม้ตัวอักษรจะเขียนไว้เพียงแค่สี่คำ
   “นี่มันเรื่องใหญ่แล้ว หานซิ่นไปที่ใดกันพ่อบ้านหลี่” หานฮูเสียถามถึงลูกชายตน
   “ข้าน้อยมิทราบขอรับ คุณชายให้ข้าไปตามหมอ พอกลับมาก็ไม่พบกันแล้ว”
   หานฮูเสียได้ฟังพลันความวิตกกังวลก็ถาโถมเข้ามา เขามองออกไปนอกผ้าม่าน ดวงจันทร์วันนี้มืดดับไปแล้วครึ่งเสี้ยว
   “รีบแต่งตัวให้ข้า ส่งคนไปตามท่านเสนาธิการโหวมาที่จวนของเรา”
   หานฮูเสียสั่งการ มือกวักเรียกบ่าวรับใช้เข้ามา
   “พวกเจ้าไปปลุกฮูหยินข้าให้ตื่น บอกทุกคนมารวมตัวกันที่นี่ให้หมด”
   บ่าวรับใช้รับคำแล้วรีบเร่งออกไปทันที
   “อ๊าก!!!”
   แต่ไปไม่ถึงไหน ร่างของเขาก็ล้มลงตรงหน้าประตูเรือน อกซ้ายถูกลูกธนูปัก
   “คุ้มครองท่านหาน!”
   พ่อบ้านหลี่ไหวพริบว่องไว ตะโกนส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากทหารในจวน แต่ทว่าสายไปเสียแล้ว เมื่อเสียงต่อมาคือเสียงร้องโหยหวนของทหารในจวนที่ต้องศรธนู!

   “ถึงแล้วท่านแม่ทัพ โปรดรออยู่ที่นี่”
   หานซิ่นย่อมรู้ที่ทางในวังหลวง เขาเป็นถึงขุนนางทหารตำแหน่งสูง ย่อมเข้านอกออกวังได้เป็นว่าเล่น ที่นี่คือหลังตำหนักเย็น ตำหนักที่ใช้ลงโทษผู้คนของฝ่ายใน
   แผ่นหลังของหัวหน้าขันทีซุนฉื่อหายลับไปในเงามืด
   รอไม่ถึงหนึ่งเค่อ* หัวหน้าขันทีก็เดินกลับมา
   “รอนานหรือไม่ ท่านแม่ทัพใหญ่”
   หานซิ่นเบิกตากว้าง เมื่อคนที่อยู่เบื้องหลังซุนฉื่อ เผยตัวท่ามกลางแสงจันทร์

   สายลมพัดหวีดหวิวในยามดึก ยามนี้ยามอิ๋น (03.00 - 04.59 น.) แล้ว ผู้คนต่างเอนกายนอนหลับพักผ่อนจมไปกับห้วงแห่งฝันอันรื่นรมย์ แต่ทว่าภายในจวนสกุลหานกลับเกิดความโกลาหลวุ่นวาย เสียงกระบี่กระทบกันไม่จบสิ้น เพลิงไหม้เผาผลาญทุกสรรพสิ่ง ลามจากเรือนนั้นไปเรือนนี้ ผู้คนล้มตายไปจำนวนมาก ส่วนที่เหลือก็ยังคงสู้เอาชีวิตรอด เสียงโหยหวนดังปะปนกันมิรู้ฝ่ายใดเป็นฝ่ายใด ในคืนนี้มีร่างใครบ้างที่ล้มลง และมีผู้ใดบ้างที่ต้องพลีชีพสังเวย
   เมื่อผ่านพ้นไปถึงยามเหม่า (05.00 - 06.59 น.) แม่ทัพหานซิ่นก็กลับมา เขามองสภาพภายในจวนด้วยความตะลึงลาน ยามนี้ในจวนสกุลหาน ไม่มีผู้ใดรอดชีวิต ศพกองพะเนินเป็นภูเขาขนาดย่อม ในจำนวนนั้นมีศพสองศพที่แยกออกมานั่นคือท่านอดีตเสนาบดีหานและภรรยา หานซิ่นทิ้งตัวลงคุกเข่าไร้เรี่ยวแรง บาดแผลรอบกายราวกับไม่เจ็บปวดเท่ากับภาพเบื้องหน้า น้ำตาลูกผู้ชายไหลอาบสองข้างแก้ม กระบี่ถูกทิ้งลงพื้นอย่างไม่ไยดี
   
   “พระนางอู่”
   หานซิ่นก้มหัวคารวะฮองเฮา ถึงเป็นฮองเฮาแต่มีศักดิ์เทียบเท่าฮ่องเต้ จากพระนามของพระนางที่ถึงกับได้รับการเรียกขานว่าเทียนโฮ่ว
   “แม่ทัพหานซิ่นช่างมีน้ำใจ พอได้ยินว่ามีคนปองร้ายต่อฮ่องเต้ ก็ไม่คิดหน้าคิดหลัง ไตร่ตรองให้รอบคอบ ตามขันทีคนสนิทของพระองค์เข้าวังหลวงมาแต่เพียงผู้เดียว นี่หรือแม่ทัพผู้ชาญฉลาด กรำศึกสงครามนอกด่านมายาวนาน บัดนี้ลืมเลือนเหลี่ยมเล่ห์เพทุบายในวังหลวงจนหมดสิ้น จึงมาติดกับเทียนโฮ่วอย่างข้าถึงที่ ประเสริฐยิ่งนัก วันนี้ข้าล่อหนูตัวใหญ่เข้ากรงทองได้แล้วซุนฉื่อ”
   “พะยะค่ะเทียนโฮ่ว”
   หานซิ่นกำหมัดแน่น เพียงคำของเทียนโฮ่วก็ทำให้รู้แล้วว่า เขาได้หลงกลแผนชั่วของพระนางอู่เข้าให้แล้ว
   “เช่นนั้นพรุ่งนี้มีประกาศออกไปว่า แม่ทัพหานซิ่นลอบปลงพระชนม์ฝ่าบาท ถูกข้าเทียนโฮ่วขัดขวาง ปกป้องฮ่องเต้ จึงกระทำการสังหารคนชั่ว ผดุงความยุติธรรมให้บ้านเมือง เช่นนี้ดีหรือไม่”
   เห็นได้ชัดว่าสตรีนางนี้ช่างชั่วช้ายิ่งนัก
   “แล้วแต่พระนางอู่จะกรุณา” หานซิ่นตอบคำสีหน้าเรียบเฉยปกปิดความกลัว
   “ข้าจะกรุณาเจ้าเป็นอย่างดี ซุนฉื่อ…”
   “…”
   “ฆ่า!”
   ทันใดเหล่าทหารที่ซุ่มอยู่ก่อนแล้วตามเงามืดก็ถือดาบพุ่งออกมา หานซิ่นรับการโจมตี ท่วงท่าสง่างาม รวดเร็วว่องไว สมเป็นแม่ทัพ แต่ทว่าแค่เพียงจำนวนคนก็ไม่อาจชนะได้แล้ว อีกทั้งเหล่าทหารพวกนี้ก็มากด้วยฝีมือ นับว่าเทียนโฮ่วผู้นี้กระทำการรอบคอบไม่ประเมินฝีมือเขาต่ำนัก จึงจัดยอดคนมาสังหารเขาโดยเฉพาะ
   ไม่นานการตั้งรับก็เริ่มไร้ผล เมื่อเหล่าทหารพวกนี้รู้กระบวนท่าของหานซิ่น ก็สามารถจับทางได้ ปลายดาบเฉือนเอาเลือดเนื้อเขาไปมากขึ้นเรื่อยๆ ตามร่างกายของหานซิ่นเริ่มมีแผลจากคมดาบศัตรู พระนางอู่ยืนมองภาพอันน่าอภิรมย์อย่างใจเย็นพร้อมขันทีคนสนิทของจักพรรดิ ผู้สมรู้ร่วมคิดแผนชั่วข้างกาย
   “ดิ้นรนไปก็เปล่าประโยชน์ วันนี้ฟ้าดินเข้าข้างข้า เป็นใจให้ข้าล้วงก้างชิ้นใหญ่ออกจากคอ!”
   สิ้นคำของพระนาง ปลายดาบก็ตรงเข้ามาหาเขา ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ที่เขาติดพันกับดาบอีกเล่มของศัตรู ย่อมปัดคมดาบนี้ไม่พ้นตัว
   ทว่า สายลมพัดมาจากไหนไม่รู้ทิศ รุนแรงและหนักหน่วง ปัดคมดาบไม่สามารถทำอันตรายต่อหานซิ่นได้ สายลมพาฝุ่นละอองมาด้วย ปลิวเข้าตาเหล่าทหารไปมาก ที่เหลือต่างยกมือขึ้นป้องกันดวงตา ไม่ก็หลับตากันพัลวัน ยอดฝีมือเมื่อเผชิญสถานการณ์เช่นนี้ก็ได้แต่จนปัญญา
   แต่หานซิ่นไหวพริบรวดเร็ว อาศัยช่วงเวลานี้ พุ่งตัวออกมาจากดงดาบนับสิบเล่ม แม้แขนขาตามลำตัวจะถูกคมดาบเฉือนไป เขากัดฟันทะยานออกตัวไปดั่งสายลม
   “ตามไป!!!”
   “…”
   “อย่าให้หนีรอด!”
   ซุนฉื่อสั่งการเหล่าทหารไม่ได้ความพวกนี้
   “ไม่เห็นต้องใจร้อนเลยซุนฉื่อ บัดนี้ยังมีที่ใดให้ท่านแม่ทัพผู้นั้นไปหลบซ่อนอยู่อีกหรือ”
   ซุนฉื่อลอบมองพระเนตรของเทียนโฮ่ว แล้วกล่าวว่า
   “ไม่มี”
   รอยยิ้มหวานหยาดหยดแต่ล้วนเต็มไปด้วยอสรพิษคลี่ออก

   “เจ้าหนุ่มนี่อึดจริงๆ”
   หลังหนึ่งฮองเฮาหนึ่งขันทีจากไป บนหลังคาของตำหนักเย็นก็ปรากฏเงาร่างสองร่างขึ้นมา
   ร่างหนึ่งอ้อนแอ้นอรชรดั่งสตรี แต่มีกระบี่พาดบ่า อีกร่างเป็นชายชราเครายาว มีน้ำเต้าอยู่ที่เอว
   “ข้าถูกชะตา จะรับไว้เป็นศิษย์ ดวงเจ้านั่นยังไม่ถึงฆาต เช่นนั้นเป็นการช่วยเล็กๆน้อยๆ”
   หลี่ว์ต้งปินกล่าว เฒ่าชราหลี่เถียไกว่ลูบเครายาวสลวย
   “เป็นเช่นนั้นๆ”
   “น่าเศร้านัก ปกติเซียนอย่างเรามิยุ่งกับโลกมนุษย์ แต่ทว่าครั้งนี้ไม่ยุ่งไม่ได้ เทียนโฮ่วผู้นี้เดิมใจดำอำมหิตไม่เท่าไหร่ แต่ริอาจสมคบคิดกับมารชั่ว ก่อความวุ่นวายในภพมนุษย์”
   “ธรรมชาติในจิตใจของมนุษย์ย่อมมีดีเลว ขึ้นอยู่กับว่าใครดีมากกว่า ใครเลวร้ายกว่า ความชั่วชักชวนง่าย กระทำง่าย สิ่งเหล่านี้เป็นหนทางที่มารจะหลอกใช้จิตใจของมนุษย์”
   เฒ่าชราหลับตากล่าวสัจธรรมของโลก
   “แต่จนแล้วจนรอด มารตัวใดก็มิปรากฏ เอาแต่หดหัวอยู่ในกระดองเต่า”
   หลี่ว์ต้งปินกอดอกเชิดหน้า ปากเผยอขึ้นเล็กน้อยเมื่อกล่าวถึงเรื่องที่ทำให้หงุดหงิดใจ
   “บัดนี้โลกมนุษย์มีเซียนมากมายที่แฝงตัวปะปนไปกับผู้คน ข้ามั่นใจว่าไม่ช้าก็เร็ว เราต้องหาต้นสายปลายเหตุของปราณมารบนเขาหนานซานได้อย่างแน่นอน”
   “เอาเถอะๆ ข้ามันคนหนุ่มเลือดร้อน ท่านเป็นคนแก่ใจเย็น ข้าเชื่อท่านก็แล้วกัน”
   หลี่ว์ต้งปินครั้นไม่อยากกล่าวอะไรยืดยาวอีก เขาดึงกระบี่ที่สะพายหลังออกมาจากด้าม แล้วขึ้นขี่เร้นกายหายไปในเงามืดที่แสงจันทร์มิอาจสาดถึง
   หลี่เถียไกว่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นสักพัก แล้วร่างของเขาก็ค่อยๆกลายเป็นเถ้าธุลีหายไป

*เค่อ (刻:kè)
1 เค่อ เทียบเท่ากับ 15 นาทีโดยประมาณตามเวลาสากล ในหนึ่งวันมีทั้งหมด 100 เค่อ ในแต่ละชั่วยามมีทั้งหมด 8 เค่อ เมื่อหมดวันน้ำจะลดถึงก้นถัง รอเติมน้ำจนเต็มเพื่อนับเวลาในวันถัดไป {ข้อมูลจากเพจเฟซบุ๊ก : สำนักพิมพ์สุรีย์พร}
   
   

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
 เขียนได้น่าติดตามมากครับ.. o13

 :L2: :pig4: :L2:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ลุ้นกับอะไรไม่รู้ ไม่อยากเดาอะไรเลย กลัวผิดค่ะ  :hao5:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด