พิมพ์หน้านี้ - ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทสิบสี่ #อัพ 14-12-2019

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: MewSN ที่ 03-11-2019 15:46:55

หัวข้อ: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทสิบสี่ #อัพ 14-12-2019
เริ่มหัวข้อโดย: MewSN ที่ 03-11-2019 15:46:55
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม



***


ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ}

เดิมทีท่านถูกข้ารั้งไว้ด้วยสมรสพระราชทาน บัดนี้ข้าตายตกไปแล้ว ท่านเป็นอิสระ ข้าก็ไม่เหนี่ยวรั้งท่าน

   จิ่วฉือเหนียง บุตรชายของขุนนางใหญ่แห่งต้าถัง ในเวลานั้นต้าถังแบ่งเป็นสามขั้วอำนาจใหญ่
หนึ่งคืออำนาจโอรสสวรรค์ สองคืออำนาจของเทียนโฮ่ว และขั้วอำนาจสุดท้ายคือฝ่ายขุนนางทหาร
เมืองหลวงเต็มไปด้วยเล่ห์เพทุบาย ไม่เลือกข้างก็เท่ากับรอวันตกต่ำ หากจะคิดแค้นก็แค้นความอ่อนแอของตัวเองเถอะ
จิ่วฉือเหนียงจึงถูกใช้เป็นเครื่องมือของพ่อตัวเอง ทำลายผู้ต่อต้านฝ่ายตรงข้าม 
เวลานั้นหานซิ่น แม้ทัพใหญ่แห่งต้าถังซึ่งเป็นขุนนางฝ่ายทหารเองก็มีความดีความชอบใหญ่หลวง
จิ่วเหมียนชงคิดการใหญ่ หลังทำศึกขับไล่ผู้รุกรานไปได้มีความดีความชอบไม่แพ้กัน หวังทำลายชื่อเสียงของแม่ทัพหานซิ่น
ทูลขอรางวัลพระราชทานสมรสหลวงให้บุตรชายตนแต่งเป็นอนุในจวนแม่ทัพหานซิ่น
แม้ชื่อเสียงบุตรชายต้องแปดเปื้อน ไม่เท่าชื่อเสียงของหานซิ่นก้างชิ้นใหญ่ที่ขวางคอเขาในพระราชสำนักมานาน!


***
หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทนำ
เริ่มหัวข้อโดย: MewSN ที่ 03-11-2019 15:47:38
บทนำ

   ข้าอยู่ที่ใดกัน
   ที่นี่ที่ไหนกัน
   ทำไมช่างมืดมนเช่นนี้
   หรือมันคือยมโลก
   โลกหลังความตาย
   ใช่แล้วล่ะ ข้าตายไปแล้ว ถูกลอบวางยาพิษโดยภรรยาเอกของแม่ทัพหานซิ่น น่าขันยิ่งนักแม้ข้าตบแต่งกับเขามาก่อนนาง อยู่กินกันมาเกือบสามปี เขายังไม่เคยให้ข้าได้เรียกท่านพี่ ไม่ต้องคิดถึงคำสรรพนามเรียกเขาว่าอาฮั่น(ภรรยาใช้เรียกสามี) เขาแทบไม่มองหน้าข้าด้วยซ้ำ
   ใช่สิ แต่แรกเริ่มเดิมที ข้าเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งในกระดานหมากรุกของท่านพ่อเท่านั้น ท่านพ่อรักพี่ใหญ่ที่เป็นบุตรคนโตมากกว่าข้า แต่ถึงกระนั้นข้าก็ไม่เคยคาดคิดเลยว่า พ่อแท้ๆจะทำกับลูกในไส้ได้ลงคอ ท่านพ่อใช้ข้าเป็นเหยื่อทางการเมือง ทำลายศักดิ์ศรีลูกผู้ชายของข้าจนไม่เหลือชิ้นดี ข้าต้องกลายเป็นอนุภรรยาของแม่ทัพหานซิ่นผู้ไร้จิตใจผู้นั้น ไม่สิ เขาไม่ได้เย็นชาต่อความรัก เพียงแต่ว่า เป็นข้าต่างหาก ที่เขาเกลียด
   แม้ต้าถังจะได้ชื่อว่าเป็นอาณาจักรยิ่งใหญ่ ชื่อเสียงเกรียงไกรแผ่ไปหลายพันลี้ แต่ในเวลานั้นเป็นที่รู้กันว่าการเมืองภายในเมืองหลวงแบ่งออกเป็นสามขั้วอำนาจ ระหว่างอำนาจของจักรพรรดิเอง ที่ทรงเหลือน้อยนิดเต็มที อำนาจของเทียนโฮ่ว ฮองเฮาที่บารมีเกือบเทียบเท่าจักรพรรดิ ขุนนางฝ่ายฮองเฮาอู่มีมากมาย รวมถึงพ่อข้าด้วย และอำนาจสุดท้ายที่เป็นก้างขวางคือพระนางอู่คืออำนาจของกรมทหาร กรมทหารมีแม่ทัพใหญ่หานซิ่นดูแลและขึ้นตรงต่อจักรพรรดิ แต่เมื่อหลายปีก่อน พระเจ้าถังเกาจงสูญเสียความชอบธรรมในการสั่งการ และไม่อาจควบคุมขุนนางฝ่ายทหารได้อีกต่อไป แต่ทว่าขุนนางฝ่ายทหารเองก็ยำเกรงต่อบารมีของพระนางอู่ อำนาจจึงคานกันอยู่เช่นนี้ เป็นวัฏจักรการเมือง ผู้ใดล้ม ผู้นั้นเหยียบ ผู้ใดเป็นกลาง สุดท้ายต้องเลือกข้าง หากอยากคงอยู่ในราชสำนักต่อไป
   หลายปีมานี้ พระนางอู่เบียดบารมีกับฮ่องเต้จนพระองค์ถูกจำกัดหูตาอยู่เพียงในพระราชวัง มิหนำซ้ำสมุนขุนนางท้องที่ของเทียนโฮ่ว ยิ่งกำเริบเสิบสาน ไม่เว้นแม้แต่ขันที พ่อของข้าเป็นหนึ่งในสมุนคนโปรดของพระนางอู่ ในเวลานั้นขุนนางฝ่ายพลเรือนจิ่วเหมียนชงพ่อของข้า สามารถต้านรับศึกจากชนเผ่าซงหนูที่รุกรานมาจากทางเหนือได้ ได้รับการชมเชยจากจักรพรรดิ พระนางอู่เห็นหนทางลดทอนอำนาจของหานซิ่นแม่ทัพใหญ่ จึงคิดวางแผนร้ายกับพ่อข้า ด้วยการให้ท่านพ่อทูลขอสมรสพระราชทาน โชคร้ายที่พ่อของข้าไม่มีลูกสาว แต่ความชั่วบังตา เห็นดีเห็นงามกับเทียนโฮ่ว หวังทำลายชื่อเสียงของแม่ทัพใหญ่หานซิ่น ด้วยการให้ตบแต่งกับบุรุษ
   ด้วยเหตุนี้ ข้าผู้ไม่รู้เรื่องอันใด จึงเป็นเหยื่อไปโดยปริยาย เวลานั้นข้าตระหนักได้ว่า ผู้อ่อนแอ ย่อมพ่ายแพ้ในทุกทาง
   หลังจากตบแต่งเข้าจวนแม่ทัพหาน คนในตระกูลหานชิงชังรังเกียจข้า แต่ก็ทำอะไรมิได้ ด้วยว่าเป็นสมรสพระราชทาน ไม่มีผู้ใดอยากคบค้าสมาคม ข้าเอาแต่เหี่ยวเฉาอยู่ในรังรอวันตายไปช้าๆ ชีวิตข้าเรื่อยๆเอื่อยเฉื่อยๆ ไร้สีสัน ไร้ความรื่นเริง จนกระทั่งย่างเข้าปีที่สองที่แต่งงาน ไม่มีแม้แต่เงาของแม่ทัพหานซิ่นมาเยือนเรือนของข้า ข้าเองก็มิได้ชมชอบบุรุษแต่ต้นอยู่แล้ว ดีเสียอีกที่แม่ทัพผู้นี้ยังเป็นคนดีอยู่บ้าง ไม่คิดเอาความโกรธแค้นจากบิดามาลงกับบุตรอย่างข้า ตลอดเวลาที่ข้าอยู่ในเรือน มีเพียงสาวใช้เหมยฮวาเท่านั้นที่คอยมาเยี่ยมเยือนและอยู่เป็นเพื่อนคุย
   ในที่สุดวันหนึ่ง ข้าก็ได้รับรู้ข่าวว่าแม่ทัพหานซิ่นจะตบแต่งคุณหนูตระกูลจินเป็นภรรยาเอก ข้าเพียงฟังด้วยสีหน้าเรียบเฉยเท่านั้น เหมยฮวาเป็นเดือดเป็นร้อนแทนข้า ข้าช่างน่าขันนัก ชีวิตข้ายังต้องให้ผู้อื่นเป็นห่วง อ่อนแอแท้ๆจิ่วฉือเหนียง เจ้าช่างอ่อนแอเหลือเกิน
   ไม่นาน ข้าก็รู้สึกว่าโชคร้ายนั้นเป็นของข้าแต่เพียงผู้เดียว ใครเลยจะคิดว่าคุณหนูตระกูลจิน จินหรูอันเป็นหญิงนิสัยใจคอโหดร้าย ต่อหน้านางประจบสอพลอ จึงเป็นที่รักใคร่ของทุกคนในจวนตระกูลหาน แต่ลับหลังกลับมารังแกข้าถึงในเรือนหลังเล็กๆนี้ ข้าเป็นบุรุษ ไม่สะทกสะท้าน เพียงแต่จะตอบโต้ก็ไม่งาม ข้าจึงนิ่งเฉยๆ ไม่กระทำการใด นางอยากแกล้ง ข้าปล่อย นางกลับเห็นข้านิ่งเงียบไม่ปริปากบ่น ก็ยิ่งแค้นเคือง จนเมื่อรู้ตัวก็สายไปเสียแล้ว ข้าถูกนางเชิญไปเรือนใหญ่ ดื่มน้ำแกงที่นางเตรียมไว้ให้ จากนั้นก็สิ้นชีวิต
   ภายในความมืดมิดปรากฏแสงสว่างริบหรี่ จากนั้นก็เจิดจ้าขึ้น ข้ายกมือปิดตาหวังให้ความระคายเคืองน้อยลงบ้าง
   เมื่อแสงบรรเจิดหายไป เบื้องหน้าข้าปรากฏร่างของเฒ่าชราใจดีผู้หนึ่ง หลังค่อมยืนถือไม้เท้า แต่ไม่อ่อนแอ
   “ข้อน้อยเสียมารยาท ท่านคงจะเป็นหลี่เถียไกว่(ลี๋เท็กก้วย) คารวะท่านเซียน”
   ข้ายกมือประสานตรงอก ค้อมหัวลงแสดงความเคารพ
   ในตำนานโบราณของจีนกล่าวถึงเถียกว่ายหลี่ว่า หลี่เถียไกว่ หรือ หลี่ขาเหล็ก เกิดเมื่อประมาณ พ.ศ. 200 เดิมชื่อหลีเหียน  เมื่อเป็นหนุ่มเป็นชายรูปงาม  กำพร้าบิดามารดา  มีความสนใจในการท่องบทคัมภีร์และมีใจฝักใฝ่ในธรรมะ  ไม่เสพเนื้อสัตว์  เป็นคนรักสันโดษ  ต่อมาได้ละเคหสถานพำนักรักษาศีลตามโรงเจ  เมื่อมีผู้มาขอทรัพย์สินและบ้านที่เคยอยู่อาศัยก็สละให้หมด  และออกบำเพ็ญตบะตามถ้ำ  ต่อมาได้เดินทางไปยังเขาฮั่วซัวฝากตัวเป็นศิษย์ของหลีเล่ากุลอาจารย์ใหญ่  พร้อมกับศึกษาธรรมบำเพ็ญภาวนาจนสำเร็จ มีผู้นับถือและสมัครเป็นศิษย์มากมาย มีศิษย์ก้นกุฏิคนหนึ่งชื่อเอี้ยวจื้อ  อยู่มาวันหนึ่งหลีเหียนได้ถอดวิญญาณออกจากร่างไปหาอาจารย์  โดยบอกให้เอี้ยวจื้อดูแลร่างไว้ให้ดีครบ 7 วัน จะกลับมา 
   พอวันที่ 6 มารดาของเอี้ยวจื้อเจ็บหนัก  และเอี้ยวจื้อคิดว่าอาจารย์ได้ตายแล้ว  จึงเผาร่างอาจารย์และรีบเดินทางไปหามารดา  แต่มารดาได้ตายเสียก่อน  ส่วนหลีเหียนหลังจากถอดวิญญาณไปแล้วอาจารย์หลีเล่ากุลได้พาไปศึกษาวิชาเซียน 36 สำนัก เมื่อกลับมาไม่พบร่างของตน  พบแต่กองขี้เถ้าวิญญาณ
   หลีเหียนจึงเที่ยวล่องลอยหาร่างใหม่อาศัยเมื่อไปพบศพขอทานขาพิการสกปรกมีไม้เท้าและถุงข้าวสารอยู่ข้างๆจึงเข้าไปอาศัยร่างและได้เสกไม้เท้าเป็นไม้เท้าเหล็ก  เสกถุงข้าวสารเป็นน้ำเต้า ส่วนข้าวสารก็เสกเป็นยารักษาโรค  และได้เรียกตนเองว่าหลี่เถี่ยไกว่จากนั้นก็รีบไปชุบชีวิตมารดาของเอี้ยวจื้อให้ฟื้นขึ้นแล้วหลี่เถียไกว่ก็กลับไปอยู่สำนักหลีเล่ากุลเป็นเซียนองค์ที่หนึ่ง  ผู้ใดปรารถนาจะให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งปวง  ให้จุดธูปบูชาและอธิษฐานถึงเซียนหลี่เถียไกว่
   “บุรุษผู้นี้ช่างนอบน้อมถ่อมตนนัก ข้าชอบเจ้าๆ”
   หลี่เถียไกว่ย้ำประโยค ข้าชอบเจ้าๆ อยู่ซ้ำ
   “ขอเรียนถามท่านเซียน ข้าอยู่ที่ใดกัน”
   เวลานี้สิ่งที่ข้าอยากรู้ที่สุดไม่ใช่ว่าเหตุใดหลี่เถียไกว่จึงอยู่ที่นี่ แต่เป็นเหตุใดข้าจึงมาอยู่ที่นี่ต่างหาก
   เฒ่าชรายิ้มเห็นฟันหลอ แล้วหัวร่อยกใหญ่ หนวดแกว่งไกวตามหัวที่สะบัดไปมา
   “เจ้าไม่รู้หรือว่าเจ้าตายแล้ว”
   “ข้อรู้ขอรับ เพียงแต่ทำไม…”
   คำพูดของข้าถูกหยุดด้วยท่าทียกนิ้วชี้ขึ้นจรดริมฝีปากของชายชรา พร้อมส่งเสียง “ชู่วววววววว” ลากยาว
   “เจ้าไม่ได้รับความเป็นธรรม”
   ข้าไม่มีอะไรต้องปิดบังเซียนผู้นี้ ขึ้นชื่อว่าเซียน สิ่งใดเป็นความลับย่อมรู้ได้ สิ่งใดบ้างที่เซียนไม่อาจรู้ไม่มี
   “เจ้าถูกวางยาจนถึงแก่ความตาย”
   ข้าพยักหน้า
   “ด้วยฝีมือของแม่ทัพหานซิ่น”
   ข้าส่ายหน้า “ไม่ใช่ฝีมือของเขาขอรับท่าน เป็นฝีมือของภรรยาเอกจินหรูอัน นางไม่รู้มีความแค้นอันใดกับข้า จึงฝังใจแค้นเช่นนี้”
   “ความแค้นสตรีช่างน่ากลัวนัก น่ากลัวว่าการสมรสพระราชทานของเจ้า จะไปทำให้ความรักของนางกับแม่ทัพหานซิ่นที่ควรผลิดอกงอกเงยต้องล่าช้ามานานถึงหนึ่งปีเต็ม”
   เป็นเช่นนี้เองหรอกหรือ ที่แท้แม่ทัพหานซิ่นผู้นั้นก็หมายปองจินหรูอันมาตั้งแต่กาลก่อน ถ้าให้ข้าเดา แม่ทัพหานซิ่นกลับมาจากทางใต้ หลังปราบปรามกองกำลังกบฏท้องที่ลงได้หวังมาตบแต่งกับจินหรูอัน แต่โดนแผนร้ายทำลายชื่อเสียงของพระนางอู่ร่วมกับบิดาข้า ทำให้ต้องเลื่อนงานแต่งกับจินหรูอัน มาแต่งข้าเข้าเป็นอนุแทน ชาวบ้านเล่าลือ ชื่อเสียงป่นปี้ มีหรือใครจะไม่เกลียดข้า แม้ข้าเป็นเพียงตัวหมาก แต่ข้าก็มีตัวตนให้ทุกคนถือโกรธ ข้าเป็นเพียงผู้อ่อนแอ มีหรือใครจะกล้าสาปแช่งจิ่วเหมียนชงผู้มีอำนาจบารมีล้นฟ้า ทั้งหมดล้วนมาลงกับผู้ต่ำต้อยเป็นบุตรที่ถูกทิ้งของตระกูลจิ่วอย่างข้าต่างหาก
   นึกแล้วก็สมเพชชะตากรรมของตัวเองนัก
   “แต่อย่างไรก็ตาม แม่ทัพหานซิ่นผู้นั้น ก็ไม่ควรทำกับเจ้าเช่นนี้ เจ้าเป็นเพียงตัวหมาก ไม่น่ามาตายเช่นนี้จริงๆ”
   ข้าจ้องท่านผู้เฒ่าเขม็ง
   “เจ้าคิดหรือว่าจินหรูอันหญิงใจแคบเช่นนั้นจะกล้าวางยาเจ้าที่เป็นถึงอนุที่พระจักรพรรดิสมรสพระราชทาน”
   “…”
   “เจ้าประเมินสามีของเจ้าต่ำเกินไป แม้เขาไม่ถือโทษโกรธเจ้า แต่การมีอยู่ของเจ้า กลับทำให้นับวันชื่อเสียงของเขายิ่งถดถอย ไม่สู้กำจัดคนอย่างเจ้าเสียก็สิ้นเรื่องสิ้นราว”
   “ข้าขอบังอาจพูดขอรับท่านเซียน แม้ข้าจะไม่เคยได้ใกล้ชิดสนิทสนมจนถึงขั้นล่วงรู้ความคิดของหานซิ่น แต่ข้าเชื่อมั่นในการดูคนของข้าออก แม่ทัพหานจิตใจดีงาม เขาเพียงแต่ทำงานเพื่อชาติบ้านเมือง แม้ต้องแตกหักกับขั้วอำนาจอย่างเทียนโฮ่วเขาก็จะทำ เห็นได้จากศึกใหญ่ทางใต้ สมุนที่ก่อความวุ่นวายล้วนเป็นคนของเทียนโฮ่ว แต่แม่ทัพหานซิ่นก็ยืนยันจะเข้าปราบปราม ดูแลทุกข์สุขของราษฎร ห่วงใยแผ่นดินและบรรลังก์ฝ่าบาท แม้มีคนพูดลับหลังว่าเขาหวังแย่งชิงบรรลังก์ข้าก็หาได้เชื่อไม่ เหตุนี้เพียงเรื่องเล็กน้อย ข้าคิดว่าเขาคงแยกแยะออกและไม่จิตใจคับแคบถึงเพียงนั้นขอรับ”
   ไม่รู้ทำไมข้าจึงได้พูดออกมาเสียเป็นวรรคเป็นเวรได้ขนาดนี้ แต่แม่ทัพหานซิ่นผู้นี้ ข้าไม่อาจยอมให้ถูกผู้ใดลบหลู่ เดิมทีแม้เขาเพียงไม่ย่างกรายมาเยี่ยมเยือนข้า มิใช่ข้อกล่าวหาให้ร้ายเขาได้
   “เจ้าเป็นคนดี บุรุษวัยเยาว์”
   “…”
   “คนดีเช่นนี้ไม่น่าตายก่อนวัยอันควร ข้าช่างสงสารเจ้านัก”
   เพียงข้าเผอเรอชั่วครู่ ร่างของท่านผู้เฒ่าก็ค่อยๆสลายเป็นผุยผง แต่เสียงของเขายังก้องกังวาลอยู่บริเวณนี้ไม่หายไป
   พลันเบื้องหน้าปรากฏแสงสว่างเจิดจ้า
   ข้ายกมือขึ้นปิดตาด้วยความเคยชิน
   แต่แล้ว…
   เมื่อเอามือออก เบื้องหน้าข้าก็ปรากฏภาพความศิวิไลซ์ของนครฉางอาน
หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทนำ {03-11-2019}
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 03-11-2019 17:55:39
โอ้ ยังไงล่ะนี่ รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทนำ {03-11-2019}
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 03-11-2019 21:17:32
ตามมมมมมมมมม  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทนำ {03-11-2019}
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 03-11-2019 21:31:28
ตามๆๆ
หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทนำ {03-11-2019}
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 03-11-2019 22:30:21
เกิดใหม่ในร่างเดิม หรือร่างใหม่กันนะ  :hao4:
หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทแรก : วิชาของเซียนเฒ่า {04-11-2019}
เริ่มหัวข้อโดย: MewSN ที่ 04-11-2019 14:52:44
บทแรก
วิชาของเซียนเฒ่า
   
   “โฮ นายน้อย ท่านมาอยู่นี่เองขอรับ”
   ขณะที่ข้ากำลังตะลึงงันกับความอัศจรรย์ที่ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้อยู่นั้น บั้นเอวก็ถูกสวมกอดจากเบื้องหลังด้วยชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง ที่ปล่อยโฮอย่างไม่เกรงใจผู้ใดออกมา
   “ข้า… คือผู้ใดนะ”
   “โฮ นายน้อย หลายวันก่อนท่านหายตัวไปจากจวนท่านเสนาธิการ พลอยทำให้นายท่านกินไม่ได้นอนไม่หลับ ท่านหญิงใหญ่ ท่านหญิงรอง แล้วก็ท่านหญิงเล็กเป็นห่วงท่านกันหมด”
   ผู้ใดคือนายท่าน ผู้ใดคือท่านหญิงใหญ่ ผู้ใดคือท่านหญิงรอง แล้วผู้ใดคือท่านหญิงเล็กกัน
   โชคดีที่ข้ายังมีสติอยู่บ้าง
   “เจ้า พกกระจกสัมฤทธิ์มาหรือไม่”
   ชายผู้นั้นมึนงงชั่วครู่ ก่อนจะหยิบกระจกในสาบเสื้อออกมาให้ข้า
   เพียงข้าจ้องตัวเองในกระจกทองสัมฤทธิ์ ก็พาให้ตะลึงงัน ยกมือลูบไล้ใบหน้าอย่างคนไม่รู้ตัว
   “นี่ ใครกัน”
   “นายน้อย ท่าน ท่านเสียสติไปแล้วหรือขอรับ”
   หรือข้ากลายเป็นวิญญาณร้ายมาสิงสู่ยึดร่างของชายผู้นี้กัน
   “เฉียนเอ๋อร์! เฉียนเอ๋อร์ของแม่!”
   “นายหญิงรอง!!!”
   ชายผู้ที่กอดข้าอยู่ผละออกไปประคองแม่นางที่เขาเรียกว่านายหญิงรองเอาไว้
   “ทำไมเจ้ามองแม่อย่างนั้น แม่จะไม่ห้ามเจ้าไปที่ลั่วหยางแล้ว เจ้าไปเถอะ แต่เจ้าอย่าได้หนีไปคนเดียวอีกเลยนะ ไว้แม่จะขอร้องท่านพ่อให้จัดขบวนรถให้เจ้าเดินทางอย่างปลอดภัย”
   นางเดินเข้ามาสวมกอดข้าแน่น ไม่รู้ทำไมร่างกายของข้าจึงตอบสนองด้วยการกอดตอบนางอย่างที่เห็น
   อบอุ่น ช่างอบอุ่นเหลือเกิน ข้าผู้ไม่เคยได้รับความรักจากผู้ใดมาก่อนยกเว้นท่านแม่ของข้า อ้อมกอดของนางช่างเหมือนกับอ้อมกดของท่านแม่ของข้าจริงๆ
   “ท่านแม่ ข้าเป็นอะไรไปหรือ”
   ข้าต้องรับรู้ให้ได้ ข้ามาอยู่ในร่างนี้ได้อย่างไร
   “สามวันก่อน เจ้าหายตัวไปน่ะสิ ชาวบ้านบอกว่าเจ้าตกลงไปยังแม่น้ำฉางเจียง แม่กับคนของจวนเสนาธิการหาได้เชื่อไม่ จึงออกตามหา ไม่นึกเลยว่าสวรรค์จะเห็นใจข้า ส่งเฉียนเอ๋อร์กลับคืนมา”
   นางปล่อยโฮแล้วก็สวมกอดข้าแน่น
   “นายหญิงรองขอรับ ข้าว่าเรารีบพาคุณชายกลับจวนสกุลโหวกันเถอะขอรับ คนอื่นๆจะได้ใจชื้นได้เสียที”
   “จริงสิ อาตง เรารีบกลับจวนกันเถอะ!”
   “ขอรับนายหญิงรอง”
   ทั้งคู่ตกลงกันเองเสร็จสรรพก็ลากตัวข้าขึ้นรถม้าไป

   กึก!
   รถม้าหยุดลงตรงหน้าป้ายของจวนสกุลโหว แม้ข้าจะไม่รู้เรื่องการเมืองนัก แต่ข้าย่อมรับรู้ว่าฝ่ายใครอยู่ฝ่ายใคร เสนาธิการโหวอันเล่อเป็นสายพระญาติห่างๆของฮองเฮาองค์ก่อนที่ถูกประหารชีวิต สายพระญาติโดยตรงนั้นถูกประหารตามไปด้วย แต่สกุลโหวรอดพ้น ด้วยความช่วยเหลือจากแม่ทัพหานซิ่น และขุนนางคนอื่นๆที่อยู่ฝ่ายเขา ทำให้โหวอันเล่อรอดพ้นวิกฤตมาได้ ซ้ำยังไต่เต้าขึ้นมาเป็นถึงเสนาธิการตำแหน่งสูงศักดิ์ เทียบเท่าตำแหน่งขุนนางของท่านพ่อข้า โหวอันเล่อคอยสนับสนุนแม่ทัพหานซิ่นเสมอมา ไม่เคยเกรงกลัวอำนาจของสกุลอู่ และขุนนางที่เขาเรียกว่าสุนัขรับใช้เทียนโฮ่ว นานวันเข้า สกุลโหวเองก็กลายเป็นก้างชิ้นใหญ่ของพระนางอู่เช่นเดียวกัน
   “เฉียนเอ๋อร์ เจ้าปลอดภัย”
   พอข้าลงจากรถม้า คนที่ถลาเข้ามากอดข้าก็มีมากถึงสามคน ข้าพอจะจับต้นชนปลายได้ จึงรู้ว่า ผู้ที่กอดข้าคือท่านพ่อ เสนาธิการโหวอันเล่อ ท่านหญิงใหญ่ ภรรยาเอกผู้รักข้าดั่งลูกชายในไส้เพราะนางไม่มีบุตร เรื่องราวในสกุลโหวข้าพอรู้มาบ้าง ชาวบ้านร่ำลือ ไม่ใช่ในทางเสียหายแต่เป็นไปในทางที่ดี กล่าวว่าเสนาธิการโหวมีลูกชายเพียงคนเดียว ภรรยาสามคนรักใคร่ปรองดองกัน รักคุณชายผู้นี้ที่ข้าสิงอยู่ดั่งลูกในไส้ ดูแลอย่างดียุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม ช่างเป็นที่น่าอิจฉานักในเมืองฉางอานแห่งนี้ คนสุดท้ายคือนายหญิงเล็กที่ร่ำร้องไห้หนักกว่าผู้ใด
   “น้องฟางเชียนเจ้าก็อย่าร่ำไห้ไปเลย บัดนี้ลูกของพวกเรากลับมาแล้ว”
   ท่านแม่ข้า นายหญิงรองกล่าวปลอบขวัญนายหญิงเล็กที่นางเห็นเป็นน้องเสมอมา
   “ท่านพี่เพราะพวกข้าไม่ดี ทักท้วงเฉียนเอ๋อร์ไม่ให้ไปลั่วหยาง ครานี้คงน้อยใจหนัก หนีออกจากบ้าน”
   ท่านแม่เล็กกล่าวไปก็ร่ำไห้ไป ดูแล้วน่าสงสารยิ่ง ก่อนนางจะหันไปตัดพ้อกับพ่อของข้าว่า
   “ทุกอย่างเป็นเพราะท่าน เพราะท่านเอาแต่ห้าม ห้าม แล้วก็ห้าม ลูกจึงหนีออกจากบ้านไปแบบนี้ ท่านมิต้องมาพบพวกเราอีกนับจากนี้”
   เสนาธิการโหวแทบขาดใจ หันไปหาตัวช่วยอย่างนายหญิงใหญ่ของบ้าน
   “น้องฟางเชียนพูดถูก คราวนี้เจ้าก็อย่ายกโทษให้เขาง่ายๆนะน้องเหวินเฉียน เฉียนเอ๋อร์มาหาแม่ใหญ่มาลูก”
   ข้าเข้าไปให้ท่านแม่ใหญ่ปลอบขวัญ
   “ครานี้ท่านคงได้สติ ปล่อยเฉียนเอ๋อร์ไปศึกษาที่นครลั่วหยางได้แล้วกระมัง อยู่ไกลตามีคนดูแล ก็ดีกว่าลูกหนีออกจากบ้านไปพลอยไม่รู้เป็นตายอย่างไร ดีที่สวรรค์เมตตาเฉียนเอ๋อร์ของแม่ มาๆ เจ้าคงจะลำบากหาทางกลับจวนอยู่หลายวัน บัดนี้ดูซูบผอมเหลือเกิน แม่เตรียมของอร่อยไว้ให้เจ้าแล้ว ส่วนท่าน ก็ไปจัดการหารถม้าทำเรื่องทำราวให้มันจบสิ้นเถอะ”
   เสนาธิการโหวรับรู้ในคราวนั้นเองว่า หมาหัวเน่าเป็นอย่างไร
   เขาไม่นึกอิจฉาลูกชาย เพราะโชคดีแค่ไหนแล้ว ที่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนผู้นี้กลับเข้าจวนมาอย่างปลอดภัย
   นับว่าสวรรค์ทรงเมตตา

   คืนนี้เป็นคืนจันทร์เต็มดวง ท้องฟ้าสว่างพร่างพราวด้วยแสงนวลของแสงจันทร์ ข้าออกมายืนรับลมเย็นของฤดูใบไม้ผลิ พลางคิดไปถึงเรื่องมหัศจรรย์มากมายที่เกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ ข้าก็กลับกลายมาเกิดใหม่ มาอยู่ในร่างของลูกชายของเสนาธิการโหวอันเล่อ จากผู้ที่ไม่เคยได้รับการเอาใจใส่ เจอการต้อนรับอย่างอบอุ่นใครบ้างที่ไม่รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกไปจากอก เหมือนตัวเบาราวกับจะลอยได้ บัดนี้ข้าเป็นที่รักของทุกคนในจวน แต่ทว่าจิตใจยามนี้เองก็สับสนเช่นเดียวกัน วิญญาณของโหวเฉียนเฉิงไปอยู่ที่ใดกัน เขาตกลงไปในแม่น้ำฉางเจียงจริงหรือไม่ และเขาตายไปแล้วจริงๆหรือ
   “เจ้าคิดว่าสักวันเจ้าจะต้องคืนร่างนี้ให้กับคนผู้ที่เจ้ามาสิงสู่เช่นนั้นหรือ”
   คิดไม่ตก พลันได้ยินเสียงผู้เฒ่า ก่อนร่างของชายชราจะปรากฏกาย ล่องลอยไปมาเบื้องหน้าข้า หลี่เถียไกว่นั่นเอง
   “คารวะท่านเซียนขอรับ”
   “เจ้ากำลังคิดว่าข้าเป็นเพียงความฝันของเจ้าหรือ”
   ใบหน้าของชายชรายังประดับรอยยิ้มไม่หายไป
   “เจ้าคนมักน้อยเอ๋ย เจ้ากำลังรู้สึกว่าร่างนี้มิใช่ของเจ้า สักวันเจ้าจะต้องปล่อยมันไปใช่หรือไม่”
   ข้ากลัวเหลือเกิน ข้าไม่อยากเห็นแก่ตัว
   “โหวเฉียนเฉิงตายไปแล้ว วิญญาณของเขาสลายเป็นเถ้าทุลีไปแล้ว เจ้าเรียกอย่างไรเขาก็ไม่กลับมาแล้ว เรื่องนี้มิใช่ความผิดของเจ้า มันเป็นลิขิตสวรรค์ โหวเฉียนเฉิงแม้เป็นคนดีแต่อายุสั้นนัก บางเรื่องเทพเซียนอย่างข้าพอจะช่วยได้ แต่บางเรื่องก็จนปัญญา คนดีตายไปเสียมาก คนชั่วยังอยู่นับแสน เป็นลิขิตฟ้า”
   ข้าพอจะเข้าใจว่า เรื่องบางเรื่องที่เทพเซียนองค์นี้พอช่วยได้เขาก็ได้ช่วยไปแล้ว และเรื่องบางเรื่องที่เกินกำลังนั้นคือเรื่องอะไร ข้าก็ได้ประจักษ์แล้ว เพียงแต่เหล่านี้ ช่างมหัศจรรย์เกินไปจริงๆ
   “แต่ใช่ว่าเจ้าเกิดใหม่จะไม่ทำประโยชน์ ข้าได้มอบวิชาติดตัวเจ้าไปเพื่อช่วยเหลือผู้คน หากเจ้ารู้สึกผิดที่การมาเข้าร่างนี้เป็นเหตุให้เจ้าของร่างเดิมต้องสิ้นอายุขัย แม้ความจริงจะไม่ใช่อย่างนั้น ก็จงใช้วิชาแพทย์ที่เจ้าได้มา ออกช่วยเหลือผู้คนเสีย”
   ข้าไม่เข้าใจในสิ่งที่เซียนเฒ่าพูดถึง แต่ชายชราผู้นี้ จะมาก็มา จะไปก็ไป และบัดนี้เขาไปแล้ว
   “นายน้อย! แย้แล้วขอรับ อาหารมื้อเย็นมียาพิษ ตอนนี้นายหญิงใหญ่ถูกพิษสลบไปเป็นตายอย่างละครึ่ง นายท่านให้ข้าตามนายน้อยไปตรวจพิษในร่างกายขอรับ”
   ข้าตะลึงงัน
   ตัวเองเพิ่งถูกลอบวางยาจนตาย บัดนี้ต้องมาเห็นคนอื่นถูกลอบวางยาจนตายบ้าง จะไม่ให้อกสั่นขวัญหายได้อย่างไร รีบตามอาตงไปที่เรือนหลังใหญ่ทันที
   
   “เรียนนายท่าน คุณชายน้อยปลอดภัยดี ส่วนทางนายหญิงใหญ่ ข้าต้องเฝ้าดูอาการต่อไป”
   ท่านหมอกล่าวบอกกับท่านพ่อ เสนาธิการโหวถอนหายใจแต่สีหน้ามิได้คลายกังวล เนื่องด้วยภรรยาไม่รู้เป็นตาย บัดนี้จวนสกุลโหวไม่มีผู้ใดข่มตานอนหลับได้ลง
   “ท่านพ่อ ให้ข้าเข้าพบท่านแม่ใหญ่ได้หรือไม่”
   ถ้าคำของเฒ่าชราเป็นจริง ข้าก็จะต้องเริ่มต้นช่วยผู้คนตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
   “เอาเถอะ ข้าไม่ได้พูดเป็นลาง แต่ฮวนอิ๋งเป็นตายครึ่งหนึ่ง บอกลากันไว้มิเสียหายอันใด”
   สีหน้าท่านพ่อยามเอ่ยถึงนางอันเป็นที่รักช่างเศร้าสร้อยยิ่งนัก
   “วางใจเถอะขอรับท่านพ่อ”
   ข้าเข้าไปกอดปลอบบิดา ก่อนจะผละไปหาท่านแม่ใหญ่ที่เรือนฝั่งตะวันออก

   “อาตง เวลานี้ร้านยาภายในเมืองยังเปิดอยู่หรือไม่”
   “ยังเปิดขอรับคุณชาย”
   “งั้นเจ้าช่วยข้า หาสิ่งเหล่านี้ที่ร้านยามาให้ครบตามจำนวน”
   เป็นจริงดังที่ท่านผู้เฒ่าชราพูด คำของเซียนหลี่เถียไกว่ไม่เคยโป้ปด เพียงข้าพินิจดูอาการของท่านแม่ใหญ่ชั่วครู่ พลันในหัวก็เกิดแสงสว่าง รับรู้ว่าต้องรักษาอย่างไร จึงเขียนใบสั่งซื้อรายการให้อาตงรีบไปหามาทันที
   พิษเหมันต์สามฤดูเป็นพิษร้ายแรงทางตอนเหนือจากคำให้การของแม่ใหญ่ที่เพิ่งฟื้นขึ้นมา ยืนยันได้ว่าในสกุลโหวนั้นไม่ได้มีผู้ใดคิดปองร้าย เพียงแต่ว่าหลายวันก่อนนายหญิงใหญ่ออกไปหาข่าวคราวของข้า หรือก็คือโหวเฉียนเฉิงที่ตกลงไปในแม่น้ำฉางเจียง บังเอิญได้พบคนของพระนางอู่เข้า ที่นางรู้เพราะคนผู้นั้นบอกเองว่าเป็นนางกำนัลจากฝ่ายใน พวกนางร่วมสนทนากันชั่วครู่ พิษไม่ได้ออกฤทธิ์ทันที ขึ้นชื่อว่าพิษเหมันต์สามฤดู พิษชนิดนี้จะออกฤทธิ์ตามฤดูการสามฤดู คือฤดูใบไม้ผลิ ใบไม้ร่วง และฤดูร้อน แต่มีเงื่อนไขคือเมื่อถึงวันพระจันทร์เต็มดวงในสามฤดู พิษจึงจะออกฤทธิ์ตามความเข้มของแสงจันทร์ ว่ากันว่าพิษชนิดนี้เป็นพิษที่ถูกคิดค้นโดยชนเผ่าเซียนเปยทางตอนใต้
   เมื่อรักษาท่านแม่ใหญ่ได้ ไม่มีผู้ใดคิดสงสัยในตัวข้า กลับยิ่งชื่นชมยินดีที่วิชาแพทย์ที่ข้าเคยเรียนก่อนหน้านี้ประสบผลสำเร็จ นั่นเป็นการตอกย้ำว่า ความตั้งใจเดิมของข้าที่จะไปเรียนต่อวิชาแพทย์ที่เมืองลั่วหยางประตูย่อมถูกเปิดออกไปกว่าครึ่งบานแล้ว ที่เหลือก็เพียงแต่ให้ท่านพ่ออนุญาต
   “ลูกเฉียนของเราโตแล้วจริงๆนะท่านพี่”
   ท่านแม่ของข้ากล่าวชมข้าให้ท่านแม่ใหญ่ฟัง ขณะเราสี่คนแม่ลูกนั่งชื่นชมบรรยากาศฤดูใบไม้ผลิยังสวนในจวนเสนาธิการโหว
   “ฟางเชียนดีใจยิ่งนัก ท่านพี่มีวาสนา มีลูกที่เก่งกาจเช่นนี้” ท่านแม่เล็กกล่าวชมสำทับจยข้าเกือบลอยขึ้นฟ้า
   “ลูกของเราต่างหากน้องเชียนฟาง”
   ข้าดีใจเหลือเกินที่ได้เห็นภาพความรักใคร่ปรองดองต่อกันเช่นนี้ ที่ถ้าข้ายังอยู่ในสกุลเดิมคงไม่มีวันได้เห็น
   “ท่านพี่ เป็นอะไรเดินหน้าเครียดมาเชียว”
   ท่านแม่ใหญ่ที่เห็นท่านพ่อเดินมาก่อนใครเอ่ยทักขึ้น จนทุกคนมองตามไป
   “ท่านหานซิ่นมา หารือเรื่องลอบวางยาพิษเจ้า”
   “ตายจริงท่านพี่ ใยไม่บอกท่านแม่ทัพว่ามิใช่เรื่องใหญ่อะไร”
   “ไม่ได้หรอกฮวนอิ๋ง นางกำนัลพวกนั้นกำเริบเสิบสาน เอาเถอะนี่เป็นเรื่องการเมือง เจ้ารู้ไว้เพียงเท่านี้ก็พอ เฉียนเอ๋อร์ มากับพ่อ”
   ข้าเบิกตากว้าง
   “ไปพบท่านแม่ทัพหานซิ่น”
   ว่ากันว่าเมืองหลวงใกล้กันแค่นี้ ไม่แปลกใจที่ข้าจะต้องพบสามีเก่าในเร็ววัน
หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทแรก : วิชาของเซียนเฒ่า {04-11-2019}
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 04-11-2019 23:47:36
จะได้ป่ะหน้าปัวเก่าแล้ว ดีใจ หรือ เสียใจ กันแน่นะ  :hao3:
หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทสอง : อยากหนี แต่หนีไม่ {05-11-2019}
เริ่มหัวข้อโดย: MewSN ที่ 05-11-2019 14:20:39
บทสอง
อยากหนี แต่หนีไม่รอด

   “ท่านเสนาธิการ อาเฉียน”
   แม่ทัพหานซิ่นคารวะเสนาธิการโหว แล้วหันมาทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับข้า นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน จะว่าแม่ทัพผู้นี้มีตา เห็นว่าข้านั้นแท้จริงคืออนุภรรยาที่ตายไปก็หาใช่ไม่ เช่นนั้นแม่ทัพหานผู้นี้คงเป็นเซียนที่สิงสู่อยู่ในร่างมนุษย์หล่อเหลานามว่าหานซิ่นกระมัง
   “อาเฉียนเจ้าอย่าก่อเรื่อง ให้เจ้ามาฟังครานี้ เพราะเป็นเรื่องใหญ่ ภายหน้าเจ้าจะได้จัดการได้”
   ข้ามึนงงไปหมด ข้าจะก่อเรื่องอันใดกัน ฟังจากสรรพนามเรียกขานระหว่างตัวข้าคนเดิมกับท่านแม่ทัพ เดาว่าทั้งสองคงรู้จักกันเป็นอย่างดี ไม่งั้นคงไม่เรียกว่าอาเฉียนหรอก
   แต่เหตุที่ข้าจะก่อเรื่อง มันคืออันใดกัน
   “เข้าเรื่องเลยเถอะท่านโหว เช้านี้มีคนมาแจ้งข้าว่าฮูหยินของท่านถูกคนของพระนางอู่ลอบวางยารึ”
   แม่ทัพหานซิ่นไม่รีรอ เข้าเรื่องตรงประเด็นโผงผาง เสนาธิการโหวเองก็ถอนหายใจ พลางพยักหน้ายืนยันว่าเป็นเรื่องจริง เวลานี้ทั่วเมืองหลวงต่างเล่าลือ แต่ในพระราชวังนั้นข่าวคราวมิได้ไปถึงพระเนตรพระกรรณของจักรพรรดิอย่างแน่นอน เนื่องจากขันทีคนสนิทที่คอยปรนนิบัติฮ่องเต้ เป็นพวกของพระนางอู่
   “เทียนโฮ่วใจดำอำมหิตถึงเพียงนี้ ใต้จมูกท่านโหว ข้าต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่ง”
   แม่ท่านหานซิ่นกล่าวอย่างจริงใจ ข้ามองกิริยาอาการคุกเข่าคำนับขอโทษด้วยความอึ้ง ตลอดเวลาข้ามิเคยเห็นเวลาสามีเป็นงานเป็นการเช่นนี้มาก่อน เพราะข้าเอาแต่อยู่ในเรือนหลังเล็ก อยู่ในที่ของตน ได้ยินก็แต่คนอื่นเล่าคนอื่นลือ สามีข้าช่างเป็นผู้น่าเลื่อมใสเสียจริง
   จะว่าให้ถูก ก็อดีตสามีไปแล้ว
   “เรื่องนี้เหตุใดท่านจึงผิดกัน ลุกขึ้นเถิดท่านแม่ทัพ ด้วยตำแหน่งของท่านนั้นสูงกว่าข้านัก”
   “ในเขตเมืองหลวงเป็นหน้าที่ของกรมทหาร ตัวข้าเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ย่อมมีความผิด อีกอย่างข้ามิได้คุกเข่าขอโทษในฐานะท่านแม่ทัพ แต่คุกเข่าขอโทษในฐานะสหายที่มิอาจปกป้องภรรยาของสหายสนิทได้”
   คำของหานซิ่นยิ่งทำให้ข้านิ่งอึ้ง สามี ท่านดีขนาดนี้เชียวหรือ
   นั่นยิ่งทำให้ข้ามั่นใจมากไปอีกว่า ท่านไม่มีวันร่วมสมรู้ร่วมคิดกับจินหรูอันวางยาข้าเป็นแน่
   “เฉียนเอ๋อร์ เจ้ารีบประคองท่านหานซิ่นให้ลุกขึ้นเถอะ”
   ทำไมเป็นข้าล่ะท่านพ่อ ข้าผู้กำลังถูกท่านแม่ทัพมองด้วยสายตาประหลาดยิ่ง ทั้งขยะแขยงปนจำใจ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ความสัมพันธ์ระหว่างข้าคนเดิมก่อนตายกับหานซิ่นนับว่าแย่ ข้าเป็นหมาก เขาย่อมมองข้าว่าข้าสมรู้ร่วมคิด รู้เห็นเป็นใจกับขุนนางคหบดีจิ่วเหมียนชงสมคบคิดกับพระนางอู่ร่วมกันทำลายชื่อเสียง แต่นี่มันอะไรกันอีก ข้ามาเกิดในร่างใหม่ ยังต้องมีความสัมพันธ์ด้านลบกับเขาอยู่อีกหรือ สวรรค์ลงโทษข้าเถอะ
   ข้าจำเป็นต้องเข้าไปประคองอย่างมิอาจขัดขืนได้ ท่านแม่ทัพสะบัดชายเสื้อทีหนึ่ง ข้าจึงรีบปล่อยมือเขาอย่างรวดเร็ว ไม่นึกว่าจะทำให้หานซิ่นย่นคิ้วประหลาดใจ
   อะไรกัน ข้าทำอะไรผิดอีกเหรอ
   ไม่นึกว่าท่านพ่อเองก็มองด้วยสายตาอันแปลกประหลาดยิ่ง พลางกระแอมทีหนึ่ง
   “เอาล่ะ ท่านแม่ทัพ ข่าวร้ายก็ผ่านพ้นไปแล้ว ข้าว่าท่านมิได้มาด้วยเรื่องฮูหยินข้าเรื่องเดียวเป็นแน่”
   ข้าขมวดคิ้วมุ่น ทำไมบรรยากาศจึงตึงเครียดขึ้นมากะทันหันเช่นนี้เล่า
   แม่ทัพหานซิ่นชำเลืองมองข้าครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวว่า
   “ข้าถูกย้ายไปประจำการที่ลั่วหยาง ด้วยคำสั่งของพระจักรพรรดิย่อมไม่อาจปฏิเสธได้ เมื่อเช้าในวังเกิดการแต่งตั้งตำแหน่งนายกรมทหารม้าคนใหม่ เป็นคนของพระนางอู่”
   เพียงเท่านี้ทุกคนก็รับรู้แล้ว การโยกย้ายท่านแม่ทัพแม้จะอ้างอำนาจจักรพรรดิแต่ว่าเวลานี้พระเจ้าถังเกาจงแทบไม่มีอำนาจควบคุมฝ่ายทหาร แน่นอนว่าขั้วอำนาจที่ทำให้หานซิ่นผู้นี้จำต้องย้ายประจำการต้องเป็นฝั่งของพระนางอู่เป็นแน่ แต่ใช่ว่าแม่ทัพหานซิ่นในราชสำนักจะไม่มีคนสนับสนุน เพียงแต่ว่าไม่กี่วันก่อนพระนางอู่ได้จัดประชุมราชสำนักขึ้น เรียกว่าประชุมแต่ไม่ครบองค์ประชุม เพราะขุนนางตำแหน่งเสนาบดีส่วนใหญ่ที่สนับสนุนแม่ทัพหานซิ่นนั้น จำต้องเดินทางไปปฏิบัติภารกิจนอกเมืองหลวง ทำให้การประชุมครั้งนี้เหลือเพียงขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายพระนางอู่เท่านั้น เท่ากับว่าเทียนโฮ่วกุมอำนาจ การประชุมจบเป็นวาระๆไป เพราะฉะนั้นวาระไหนถูกยกขึ้นมาและชนะองค์ประชุม วาระนั้นจำต้องปฏิบัติตาม
   และเรื่องก็เป็นดังนี้ พระนางอู่เสนอให้หานซิ่นไปประจำการที่ลั่วหยาง ไม่มีผู้ใดคัดค้าน องค์ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ แม่ทัพหานซิ่นเลี่ยงมิได้
   “กำเริบเสิบสานแล้ว!”
   เสนาธิการโหวได้แต่เพียงอุทานออกมาเท่านั้น
   “วาระยืนยันแล้ว ฮ่องเต้ทรงออกพระราชโองการ ข้าก็หมดหนทางปฏิเสธแล้ว เรื่องในวังหลวง ต้องฝากท่านดูแล เป็นหูเป็นตาให้”
   เรื่องมาถึงขั้นนี้ เป็นถึงเสนาธิการก็ทำอะไรไม่ได้ ทุกวันนี้ในวังมีแต่คนชั่วช้า แอบอ้างราชโองการ เพียงประทับตราทองคำของจักรพรรดิ ก็ถือว่ามีอำนาจสูงสุดแล้ว
   “จริงสิ ท่านไปลั่วหยาง เฉียนเอ๋อร์ เจ้าก็ติดรถท่านแม่ทัพไปด้วยแล้วกัน”
   ข้าถลึงตามองท่านพ่อ
   “วันที่แปดเดือนแปดยามเหม่า(05.00 - 06.59 น.) ข้าจะออกเดินทาง ชักช้าไม่ได้นี่เป็นราชโองการของฮ่องเต้”
   “ดีๆ ขอให้ท่านเดินทางปลอดภัย”
   แล้วทำไมจึงเป็นข้าที่ต้องไปกับเขาเล่าท่านพ่อ
   “เฉียนเอ๋อร์ เจ้ายังไม่ขอบคุณแม่ทัพหานอีก”
   “ขอบคุณขอรับ ท่านหานซิ่น”
   ข้ากล่าวขอบคุณพลางคารวะ แต่ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นมากลับพบกับดวงตาปูดโปนของท่านพ่อที่แทบถลนออกมาจากเบ้า
   “มีอะไรหรือขอรับท่านพ่อ”
   “แค่กๆ ไม่มี ไม่มีอะไร เจ้าไปพักผ่อนได้แล้ว ขออภัยท่านแม่ทัพ ลูกฆ่าหายไปหลายวัน กลับมาบ้านอย่างปลอดภัยนับว่าสวรรค์ยังมีเมตตา ท่านอย่าได้ถือสาเขาเลย”
   ข้าถูกท่านพ่อขับไล่ไสส่งออกมาจากศาลา ไม่รู้จะไปที่ใดจากเที่ยวเตร่ชมนกชมไม้ในจวนเสียเลย
   จวนของตระกูลจิ่วไม่ใหญ่เท่าจวนตระกูลโหว กลับกันจวนตระกูลโหวกลับให้ความรู้สึกสัมผัสกับธรรมชาติ ได้มากกว่าจวนของตระกูลจิ่วที่หรูหราฟุ่มเฟือย ทุกอย่างเป็นสีแดงราวกับอยู่ในวังหลวง ข้าคิดว่าดีเหลือเกินที่ได้มาอยู่ในร่างนี้ หากแต่เฉียนเฉิงผู้นี้ ชะตาอาภัพ ช่างน่าสงสารนัก
   แต่ตัวข้าเองก็น่าสงสารไม่แพ้เขาเลย บางทีข้ากับเขาอาจสลับชะตากรรมกันก็เป็นได้
   “นายน้อยขอรับ”
   “ว่าไงอาตง”
   “ข้อเรียกนายน้อยตั้งนาน ทำไมท่านเดินใจลอยเช่นนี้ขอรับ”
   เป็นเจ้าต่างหากที่เรียกเบาเกินไป ข้าอยากจะถามเหลือเกินว่าจวนแห่งนี้ห้ามเสียงดังหรือ แต่ก็ปัดคำถามไร้สาระทิ้งไป
   “อาตง ข้ากับแม่ทัพหานเกี่ยวข้องกันอย่างไร”
   ดีเลย มีคนมาให้เค้นถามถึงที่ อาตงขมวดคิ้วมองเขาด้วยความมึนงง แล้วอ้าปากเจื้อยแจ้วบอกว่า
   “คุณชายน้อย เมื่อก่อนท่านเอาแต่เรียกว่า พี่หานๆไม่หยุดปาก พอท่านแม่ทัพมาทีไร ท่านก็จะเข้าไปเกาะแขนเกาะขา วุ่นวายจนพลอยให้ถูกตำหนิจากท่านพ่อเรื่อยไป ท่านจำไม่ได้หรือ”
   ข้าฟังไปก็อยากกระอักเลือดตายไปครั้งละหลายหนเหลือเกิน นั้นเท่ากับว่าเมื่อครู่ ข้าทำตัวปล่อยไก่ไปเสียหลายเล้าเลยล่ะ
   “แล้วยังไงอีก”
   “อะไรหรือขอรับ”
   “ก็ความสัมพันธ์ของข้ากับพี่หานไง”
   โอ คำนั้นข้าที่เป็นจิ่วฉือเหนียงอยากเรียกเขามานานแล้วเหลือเกิน พอเรียกแล้วรู้สึกแปลกๆเหมือนกันนะ ข้ามั่นใจได้ว่า เฉียนเฉิงคนเก่าย่อมมีใจให้แม่ทัพหานซิ่นสามีเก่าข้าเป็นแน่ ไม่เช่นนั้นท่านแม่ทัพจะทำท่ารังเกียจข้าไปทำไมกัน เดิมทีหานซิ่นเป็นผู้ชาย เขาไม่ได้ชอบบุรุษอยู่แล้ว แต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธคำขอของพ่อข้า เห็นได้ชัดว่าท่านพ่อรู้เห็นเป็นใจร่วมด้วยช่วยลูกชายตามฉบับของท่านจริงๆ
   “ท่านก็มักแวะเวียนไปหาท่านหานซิ่นบ่อยๆ มีครั้งนึงท่านมาร้องห่มร้องไห้บอกว่าท่านหานซิ่นแต่งอนุเป็นผู้ชาย แต่ไม่ยอมแต่งงานกับท่าน”
   ข้าคนเดิมนี่ช่างกล้ากำเริบแท้ๆ อุตส่าห์ว่าได้ออกมาจากจวนตระกูลหานแล้วแท้ๆ มีเค้าลางว่าเฉียนเฉิงผู้นี้ กำลังนำหายนะมาให้ข้าชัดๆ
   ข้าไม่แปลกใจเลยที่ข้าไม่เคยเห็นเฉียนเฉิงผู้นี้ เพราะว่าวันๆข้าเอาแต่หมกตัวอยู่ในเรือนหลังเล็ก คุยกับสาวใช้เหมยฮวาแก้เหงา จะว่าไปข้าตายเช่นนี้ นางจะเป็นอย่างไรกันนะ
   “อาตง เราไปบ้านสกุลหานกัน”
   “หา!!!”
   ไปเวลานี้ หานซิ่นอาจจะคุยกับท่านพ่อยังไม่กลับ ข้าก็แค่อ้างว่ามาหาหานซิ่น แอบเข้าไปดูเหมยฮวา บอกตรงๆว่าข้ารู้สึกผูกพันกับนางเหลือเกิน การที่ข้าต้องมาตายเช่นนี้ ไม่มีเวลาห่วงหน้าห่วงหลัง ไม่รู้ป่านนี้นางจะไปเป็นคนใช้ของผู้ใดในเรือนสกุลหาน
   “ไปเถอะ อย่าช้า!”
   อาตงผู้ถูกข้าลากมาด้วยไม่มีโอกาสได้ขัดขืนอีกต่อไป

   เป็นดังคาด ข้ามา แม่ทัพหานยังไม่กลับ สาวใช้เรือนใหญ่จึงไปเรียนฮูหยินผู้เฒ่าของบ้าน หวังจื่อซิ่น นางเป็นผู้จงเกลียดจงชังข้าเข้ากระดูกดำ แต่ข้าไม่ยักรู้ว่านางเอ็นดูเฉียนเฉิงอย่างยิ่ง แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าเฉียนเฉิงชอบแม่ทัพหานอย่างนั้นหรือ บ้านสกุลนี้ตรรกะช่างแปลกยิ่งนัก
   ฮูหยินผู้เฒ่าออกมาทักทายข้าตามประสา แล้วบอกให้ไปเที่ยวเล่นในจวนได้ตามสบาย ข้าจึงสบโอกาสทิ้งอาตงให้คุยจ้อกับสาวใช้ในเรือนใหญ่ ซึ่งคิดว่าทั้งสองคงสนิทกันเนื่องจากเฉียนเฉิงน่าจะมาบ่อยไม่น้อยเลย ข้าตามหาเหมยฮวาทั่วจวนก็ไม่พบ จึงเดินกลับมาที่เรือนใหญ่ หนึ่งสาวใช้หนึ่งนายบ่าวก็ยังคุยกันไม่จบสิ้น
   “จริงสิแม่นางเวิ่นชิง ข้าไม่ยักเห็นเหมยฮวาวันนี้เลย”
   อาตง เจ้าช่างยอดเยี่ยมเสียจริง เจ้าถามตรงใจข้าเหลือเกิน
   “นี่พี่ไม่รู้หรือ ว่าเหมยฮวาถูกไถ่ตัวเป็นอิสระแล้ว”
   “ข้าดีใจด้วย แม่นางเหมยฮวาคงพบเจอคนรักเสียที”
   เรื่องเป็นเช่นนี้เองสินะ ข้าค่อยโล่งใจหน่อย แต่ทว่า…
   “ใช่ที่ไหนกันพี่ นายหญิงจินหรูอันบอกว่าเหมยฮวาไม่เอาไหน เลยขับไล่ไสส่งบังคับนางให้เป็นอิสระ ป่านนี้นางไม่รู้ไปพึ่งพิงใคร หลังนายน้อยจิ่ว…”
   แม่นางเวิ่นชิงพูดมาถึงตรงนี้ก็หยุดชะงัก
   “อะไรของเจ้า ว่าต่อสิ”
   “ช่างเถอะๆ”
   ดูเหมือนว่าเรื่องของข้าจะถูกปิดเงียบไม่ให้ใครพูดถึงอีก เอาเถอะ เวลานี้ข้าร้อนใจเรื่องของเหมยฮวายิ่งนัก ทำอย่างไรดี
   “แล้วเจ้ารู้หรือไม่ ว่านางจะไปที่ใด”
   “นายน้อยเฉียน ข้าทราบว่านางมีญาติอยู่ที่ชานเมือง นางคงไปพึ่งพิงอยู่อาศัยที่นั่น”
   “แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่า…”
   “แล้วเจ้าจะถามเรื่องของเหมยฮวาไปเพื่อเหตุใดกัน”
   !!!
   ข้าเบิกตากว้าง หันไปมองต้นเสียงเบื้องหลัง
   แม่ทัพหานซิ่นยืนขมวดคิ้วเคร่งเครียดอยู่
   “ไม่มีอะไร ท่าน เอ่อ พี่หานซิ่น”
   “เจ้ากลับมาเรียกข้าอย่างเดิมแล้วหรือ”
   ก็ใช่น่ะสิ ข้ามันไม่รู้ความ โปรดปล่อยข้าไปเถอะท่านพี่หานซิ่น
   “คนใช้บอกว่าเจ้ามาหาข้า ข้าแปลกใจนักว่าเราเพิ่งเจอกันเมื่อครู่ ที่จวนของพ่อเจ้า”
   ข้าอ้าปากพะงาบๆ ไม่มีสิ่งใดจะโต้แย้ง
   “ข้า ข้าหมดธุระแล้ว ขอลาล่ะท่านพี่”
   ข้าบุ้ยใบ้ปากให้อาตงรีบตามมา แต่ตัวข้ากลับนิ่งค้างอยู่กับที่ เมื่อท่านแม่ทัพคว้าข้อมือข้าไว้แล้วกำแน่น
   “เจ้ามาหาข้า ข้ามาแล้ว เจ้าจะกลับเลยรึ”
   “ก็ ข้าเจอท่านแล้วนี่ไง ข้ามาเพราะคิดถึง บัดนี้พบกันแล้ว ข้าขอลา”
   ข้าพยายามแกะมือของอีกฝ่ายออกไป แต่ไม่เป็นผล
   “ทำไมเจ้าจึงกลับมาเรียกข้าว่าพี่หาน ทำไมจึงไม่เรียก…”
   ข้าเบิกตากว้าง
   “ท่านหานซิ่น”
   ท่านหมายความว่าอย่างไรกัน ที่ท่านพูดหมายถึงการที่ข้าเรียกท่านที่ศาลาในจวนสกุลโหว หรือการที่ข้าเรียกท่านเช่นนั้นมาตลอดสามปีที่แต่งงานกัน ข้าจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีดำขลับ แต่ไร้คำตอบ
   แม่ทัพผู้นี้ น่ากลัวจริงๆ
หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทสอง : อยากหนี แต่หนีไม่รอด {05-11-2019}
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 05-11-2019 23:07:09
โดนจับผิดเข้าแล้วไง  :ruready
หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทสาม : สิ่งที่ติดค้างในใจ {07-11-2019}
เริ่มหัวข้อโดย: MewSN ที่ 07-11-2019 14:42:45
บทสาม
สิ่งที่ติดค้างในใจ

   ข้าอ้ำอึ้งอยู่นานไม่รู้จะมีอันใดให้พูด ได้แต่กะพริบตาปริบๆมองแม่ทัพหานซิ่นอดีตสามีที่เหมือนรู้มากผู้นี้
   “เอาเถอะ ข้าไม่รั้งเจ้าแล้ว”
   ครั้นจะปล่อยก็ปล่อยโดยง่าย ช่างเดาใจยากเหลือเกิน
   “อาตง รีบไป…”
   “ก็นึกว่าใคร ที่แท้ก็คุณชายน้อยจากสกุลโหวนี่เอง”
   ข้ายังไม่ทันพูดจบประโยค จินหรูอันก็เดินนวยนาดออกมาจากประตูบานใหญ่ ท่าทางราวกับนางพญานี้เป็นท่าประจำของนางอยู่แล้ว ข้าไม่แปลกใจอะไร
   “ข้าน้อยเสียมารยาท คารวะแม่นางหรูอัน”
   จินหรูอันหน้าถอดสี อันที่จริงตำแหน่งคุณชายสกุลโหวถือว่าสูงศักดิ์กว่าภรรยาเอกของหานซิ่นนัก ไม่แปลกที่การที่ข้าทำแบบนี้จะทำให้นางอยู่ไม่สุข จำต้องก้มหัวคารวะข้าตอบ
   จินหรูอันครุ่นคิด วันนี้คุณชายต้วนซิ่ว(พวกชอบไม้ป่าเดียวกัน)ผู้นี้จะมาไม้ไหน
   “พอดีเฉียงเฉิงมีธุระ คงอยู่สนทนาด้วยมิได้”
   หานซิ่นแปลกใจที่วันนี้เฉียนเฉิงไม่ต่อล้อต่อเถียงกับภรรยาเอกของตน แต่ก็ได้แต่เก็บงำความไม่ชอบมาพากลนี้ไว้ในใจ
   อาตงเองก็มึนงง ว่าวันนี้คุณชายน้อยกินยาอันใดที่ทำให้สงบเสงี่ยมเช่นนี้ได้กันนะ เขาจะได้ซื้อมาเตรียมไว้ยามต้องมาจวนสกุลหานก็ให้นายน้อยกิน
   “ขอตัวก่อน แม่นางหรูอัน ท่านหานซิ่น”
   ในเมื่ออีกฝ่ายอยากให้เรียกท่านหานซิ่นนัก ข้าก็จะเรียกเช่นนี้ไปตลอดเสียเลย
   ไม่รู้ตาฝาดไปเองหรือเปล่า ที่เห็นคิ้วท่านแม่ทัพใหญ่กระตุก
   “ไปกันเถอะ อาตง”
   “ขอรับ นายน้อย”
   เมื่อเดินห่างออกมา จนแน่ใจว่าไม่มีคนตามมาแล้ว ข้าจึงถามที่อยู่เหมยฮวากับอาตง เนื่องจากข้าเป็นคนที่ค่อนข้างเก็บตัว แปลกกว่าเด็กทั่วๆไป ตอนเด็กๆไม่ใคร่จะสนใจเที่ยวชมเมืองเท่าใดนัก ตอนมาเป็นภรรยาเขาก็ยิ่งเก็บตัวเข้าไปอีก ข้าจึงมิรู้ที่ทางในเมืองหลวงมากนัก แม้เป็นคนในพื้นที่ ก็จำต้องให้อาตงนำทางไป ไม่นานพวกเราก็มาถึงกระท่อมหลังเล็กซอมซ่อแห่งหนึ่ง
   “แม่นางเหมยฮวา ท่านอยู่หรือไม่”
   อาตงร้องเรียกไปหนึ่งครั้ง ประตูบ้านจึงเปิดออก
   “พี่ตงเซี่ย กลับไปเสีย อย่ามาที่นี่อีก”
   เหมยฮวามีสีหน้าอิดโรย ความสดใสในวันวานได้หายไปจากใบหน้าของนางแทบหมดสิ้น
   “สีหน้าเจ้าไม่ค่อยดีนัก มีเรื่องทุกข์ใจอันใดหรือแม่นาง”
   ข้าเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง ปกติเหมยฮวาเป็นคนสดใสร่าเริง นางกินเก่งและคุยจ้อไม่หยุด เรื่องนี้ข้ารู้ดีกว่าใครๆ นางเป็นเหมือนนักเล่านิทานยามข้าเหงา เป็นเพื่อนยามข้าโดดเดี่ยว เป็นพี่สาวคอยปลอบโยนยามข้าอ้างว้าง เหตุใด เรื่องราวใดกันที่พรากความสดใสไปจากนาง
   “นายน้อยเฉียน โปรดกลับไปเถอะเจ้าค่ะ”
   นางปากแข็ง เบือนหน้าหนี คล้ายกับไม่อยากให้ข้ายุ่งในเรื่องนี้ ข้าเองก็จำใจ สุดท้ายจึงกล่าวว่า
   “เช่นนั้นขอให้แม่นางรักษาสุขภาพด้วย”
   พอออกมาจากกระท่อมหลังนั้นข้ากับอาตงก็ไม่ได้ตรงกลับจวนสกุลโหวทีเดียว เพียงเที่ยวเตร่อยู่กลางเมืองอีกสักหน่อย รอฟ้ามืดค่อยกลับไป
   “นายน้อยดูนี่สิขอรับ พัดลายนกกระเรียนที่นายหญิงใหญ่ชอบ”
   อาตงชักชวนเขาให้ดูพัดด้ามจิ้วที่วางขายเกลื่อนตามท้องถนน แต่ร้านนี้เขียนลายได้งดงามยิ่ง จนเขาอดจะเดินเข้าไปดูไม่ได้
   ข้าหยิบพัดลายนกกระเรียนขึ้นมาพินิจดูลวดลายอ่อนช้อยสวยงาม คนทำทำด้วยใจ
   “พวกเราจะเอายังไงกับเหมยชี ยัยแก่คนนั้นเป็นโรคระบาด ปล่อยไว้พาลจะมาติดพวกเราเสียเปล่า”
   หูของข้าพลันได้ยินแม้ค้าปากตลาดพูดคุยกับเซ็งแซ่ แซ่เหมยหรือ
   “เหมยฮวาก็เหลือเกิน รักยายมากไป ไม่สนฟ้าดิน อย่างนี้ไม่กี่วันคงติดโรคไปด้วยแน่ๆ น่าเสียดาย ยังสาวยังสวย ไม่น่าตายเพราะโรคระบาดเลย”
   “ท่านป้าท่านนี้ ท่านยายเหมยชี นางป่วยเป็นโรคอันใดหรือ ป่วยมานานแล้วหรือยัง”
   “นายน้อย ข้าเองก็ไม่รู้สาเหตุหรอก แต่แม่เฒ่าผู้นี้ป่วยกระเสาะกระแสะมาหลายเดือนแล้ว ไปหาหมอก็หลายที่ แต่ไม่มีผู้ใดกล้ารักษา ท่านหมอได้แต่บ่นว่า โรคระบาดเช่นนี้ไม่มีทางรักษาให้หายใด พวกข้าก็กลัวโรคจะพาลมาติด เลยเสนอให้แม่นางเหมยฮวาปล่อยยายแก่คนนี้ให้อดข้าวตายไปเสีย ไม่นึกว่านางจะเห็นแก่ความเป็นหลาน ไม่สนว่าตัวเองจะติดโรคหรือไม่ คอยปรนนิบัตินาง ให้ข้าวให้น้ำ น่าเสียดาย ช่างน่าเสียดาย ยังสาวยังสวย ไม่น่ามาตายด้วยโรคระบาดเช่นนี้เลย”
   แม่ค้าอีกคนที่ขายของอยู่อีกฝั่งตะโกนมา
   “ข้าได้ยินมาอีกว่า ไม่มีร้านยาร้านไหนกล้าขายยาให้แม่นางเหมยฮวาไปรักษายายแก่เหมยชี คนเป็นโรคระบาด รีบตายรีบฝัง จะได้ไม่แพร่เชื้อไปหาคนอื่น”
   ข้าลุกขึ้น ไม่อยู่ฟังต่ออีก พลางเรียกอาตง
   “อาตง เจ้ากลับไปก่อน ไปบอกท่านพ่อว่าคืนนี้ข้าไม่กลับบ้าน”
   “อะไรนะขอรับคุณชาย”
   ข้าไม่อยู่รอให้อาตงตกใจ ชักฝีเท้าไปทางกระท่อมหลังเดิมที่จากมา

   “ท่านกลับมาทำไมอีกนายน้อยเฉียน เดี๋ยวก็ได้…”
   “พาลติดโรคระบาดใช่หรือไม่”
   เขาต่อประโยคให้แม่นางเหมยฮวาจนจบ นางจนใจไม่มีคำใดจะพูดอีก
   “ข้าพอมีวิชาด้านการแพทย์ ข้าช่วยตรวจดูอาการของท่านยายได้”
   “เปล่าประโยชน์ หมอคนไหนก็บอกว่ายายของข้าใกล้ตายแล้ว”
   เหมยฮวายิ่งพูด ความสดใสในดวงตาของนางก็ยิ่งดับลงไปเรื่อยๆ ข้าเดินเข้าไปหานาง แล้วแตะไหล่ปลอบโยน
   “เชื่อข้าสิ แล้วเจ้าจะกลับมายิ้มอีกครั้ง”
   เหมยฮวานิ่งอึ้ง พลันนางจับมือเขาโดยไม่รู้ตัวก่อนจะรีบปล่อยทันที
   “ขออภัยนายน้อย เพียงแต่เมื่อครู่คำพูดของท่านคล้ายกับคนที่ข้ารู้จัก”
   ใช่แล้วล่ะ นั่นเป็นคำพูดของข้าเอง จิ่วฉือเหนียง
   ไม่ต้องรอให้นางอนุญาต ข้าเปิดประตูบ้านเข้าไป ข้างในคับแคบกว่าที่คิด ข้าเห็นร่างยายแก่คนเหมยชีนอนหายใจรวยริน
   “ท่านหมอ ท่านเป็นหมอหรือเจ้าคะ”
   “ใช่แล้ว ข้าเป็นหมอ ท่านยาย ให้ข้าตรวจดูอาการหน่อยเถิด”
   ข้าจับชีพจรของนางเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงเริ่มตรวจหาความผิดปกติ แขนของนางซูบผอมจนผิวหนังที่เหี่ยวย่นติดกับกระดูก ข้าตรวจให้ถี่ถ้วนดูอีกครั้ง ซักถามนางไปสองสามประโยคเพราะนางไม่มีแรงตอบ แต่เพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
   “เหมยฮวา ข้าว่าท่านยายของเจ้าโดนพิษเข้าแล้ว”
   “จะเป็นไปได้อย่างไร ก็ตอนที่ข้าถูกไล่ออกมาจากจวนสกุลหาน ข้า…”
   นางหยุดพูดไป เหมือนเพิ่งครุ่นคิดอะไรในหัวออก
   “ใช่แล้ว วันนั้นนางกินผลพุทราจีนที่ข้านำติดตัวมา มันเป็นของขวัญอำลาของนังชั่วจินหรูอัน ข้าว่าแล้วเชียว ข้าเห็นมีรอยกัดที่ผลพุทราจึงถามนาง นางตอบว่าหนูกระมัง ไม่นึกเลยว่านางจะแอบกิน ท่านยายนะท่านยาย ข้าจะทำเช่นไรดี ไม่แน่ นางอาจสิ้นชีวิตเหมือนกับนายน้อยจิ่ว”
   นางกังวลจนลืมตัวพูดความคิดออกมาผสมกับความจริง
   “พิษนี้ไม่ร้ายแรง ขอเพียงเจ้าเอาพุทราลูกนั้นมาให้ข้าดู ร่องรอยของพิษต้องตกค้างอยู่แน่ๆ”
   “ข้า ข้าเก็บมันไว้ในห้องครัว”
   เหมยฮวารีบร้อนเข้าไปในกระท่อม ชั่วครู่นางก็กลับมาพร้อมกับผลพุทราที่เน่าแล้ว
   ข้าไม่รังเกียจ หยิบมาจากมือนางเอามาดมพิสูจน์กลิ่น
   “เป็นอย่างที่ข้าคิด เจ้าไปซื้อยาตามนี้ได้หรือไม่”
   เขาหยิบใบสั่งยาให้แม่นางเหมยฮวา อันที่จริงวิชาการแพทย์ที่เทพเซียนหลี่เถียไกว่มอบให้เขานั้น มองปราดเดียวก็รู้ว่าคือพิษอะไร เพียงแต่เขาอยากแน่ใจและไม่ผิดพลาดจึงต้องมาตรวจสอบกับผลพุทราอีกรอบ ใบสั่งยา เขาเขียนไว้ตั้งแต่อยู่ในกระท่อมนานแล้ว
   “ขอบคุณนายน้อยเฉียน”
   เหมยฮวารีบร้อนออกไปทันที
   พอนางจากไป คิ้วของข้าก็ขมวดมุ่นเข้าหากัน จินหรูอัน คุณหนูตระกูลจิน นางช่างเป็นหญิงที่น่ากลัว รอบรู้เรื่องพิษทำร้ายคนมากเกินไปแล้ว
   
   แม่นางเหมยฮวายังไม่กลับ ข้านั่งรอมาครึ่งชั่วยาม จนอาทิตย์ตกดินเข้าสู่ยามสลัว ยังไม่เห็นแม้เงาของหลานสาวเจ้าของบ้านหลังนี้กลับมาเลย เกิดอะไรขึ้นกัน
   รออีกครึ่งชั่วยาม ข้าจึงตัดสินใจออกตามหานางตามร้านขายยาที่ข้าพอรู้จัก
   จึงไปพบนางยืนคุกเข่าหน้าร้านขายยาอยู่ร้านหนึ่ง
   “เถ้าแก่ เห็นแก่ท่านยายข้าเถอะเจ้าค่ะ ข้าต้องการยาตัวนี้จริงๆ”
   นางพูดทั้งน้ำตา เป็นภาพที่เห็นแล้วสะเทือนใจยิ่ง
   ข้าเดินเข้าไปหานาง
   “เถ้าแก่ เหตุใดจึงไม่จัดยาให้นางเล่า นางมีเงิน ท่านย่อมขายให้”
   “นายน้อยเฉียนขอรับ นางมีเงินก็จริง เพียงแต่ยาของข้า ใช้สิ้นเปลืองกับอาการป่วยของยายนางมามากพอแล้ว”
   ข้าหน้าตึง พูดเสียงกร้าว
   “แล้วถ้าครั้งนี้ยาของท่านช่วยชีวิตคนเล่า”
   “เป็นไปไม่ได้ๆ เหมยชีนางป่วยใกล้ตายแล้ว อีกอย่าง คนพูดกันว่านางเป็นโรคระบาด”
   ข้ากำลังจะเถียง แต่แม่นางเหมยฮวาเร็วกว่า
   “ยายข้าถูกพิษ นางกำลังจะหายดี”
   “ไม่ขาย ยังไงข้าก็ไม่ขาย ไปเสียเหมยฮวา เห็นแก่เจ้าเป็นคนน่ารัก จริงใจ ข้าจึงไม่ได้ให้เด็กในร้านขับไล่ไสส่ง เพียงแต่เจ้าชักจะกระทำมากเกินไปแล้ว”
   เถ้าแก่จิตใจคับแคบ ยังยืนยันจะไม่ขายยาให้นาง
   “แล้วถ้าข้าจะซื้อ ท่านจะขายหรือไม่ เก้าแก่”
   สิ้นเสียงทรงอำนาจ ท่านแม่ทัพหานซิ่นก็ปรากฏตัว คราวนี้เถ้าแก่หน้าถอดสี
   “ว่าอย่างไร หลี่หยวนจาง เจ้าจะขายยาให้ข้าหรือไม่”
   “ขะ ขายๆ ขายสิขอรับ”
   “ขอบคุณเจ้าค่ะนายท่าน ขอบคุณนายท่านๆ”
   เหมยฮวาคารวะหานซิ่นอยู่เช่นนั้น จนข้าต้องเอ่ยเตือนสตินาง
   “เจ้าไปเอายามา ข้าจะได้ทำการรักษา”
   “ไม่ยักรู้นะ ว่าวิชาแพทย์ของเจ้าก้าวหน้าเช่นนี้” แม่ทัพหานซิ่นเริ่มหาเรื่องข้าแล้ว ข้าต้องรีบหนีแล้ว
   “คนเราพัฒนากันได้ ขอเพียงท่านเปิดใจ”
   ข้าเบือนหน้าหนี ไม่นึกว่าเขาจะพูดต่อว่า
   “นั่นสิ ขนาดคำสรรพนามเรียกข้าของเจ้ายังเปลี่ยนจากพี่หาน เป็นท่านหานซิ่นเลย”
   เช่นนั้นมันเกี่ยวอย่างไรกับท่านเล่า ข้าคันปากอยากพูดนัก แต่รู้ว่าไม่ควรพูดจึงได้แต่เงียบ
   
   “ท่านยาย!”
   แต่คนดีฟ้าดินไม่เคยเห็นใจ น่าเศร้านักที่เมื่อข้ากลับมาพร้อมเหมยฮวานั้นช้าเกินไป ยายแก่เหมยชีสิ้นใจก่อนหน้าได้ไม่นาน
   เหมยฮวาเล่าว่านางและเหมยชีมิใช่ยายหลานกันอย่างแท้จริง เมื่อสิบแปดปีก่อนยายแก่เหมยชีและหวนฟังสามีของนางเก็บเหมยฮวามาเลี้ยง เด็กทารกน้อยที่ถูกทิ้งอยู่ในป่า ถ้าไม่ได้เหมยชี ป่านนี้นางคงไม่อยู่มาได้จนถึงตอนนี้ น่ากลัวว่าจะถูกสัตว์ป่ากินไปเสียแล้ว หลังจากเติบโตได้อายุสิบหกปี เนื่องจากชีวิตของสองตายายแร้นแค้นนัก เหมยฮวาสงสารท่านทั้งสอง จึงตัดสินใจใช้ตัวเองขายตัวไปเป็นทาสสกุลหาน หานฮูเสีย บิดาของหานฟังนายท่านผู้เฒ่าของบ้านรับนางไว้ ถูกขายเป็นทาส ไม่มีโอกาสได้กลับบ้าน เหมยฮวาปลอบใจตัวเองว่า แม้มิได้อยู่ดูแลตอบแทนบุญคุณ เงินก้อนใหญ่จากการขายตัวนางคงทำให้สองสามีภรรยาอยู่กินสบายได้พักหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าหลังจากขายตัวเป็นทาส จู่ๆหวนฟังก็ล้มป่วยด้วยโรคร้าย เงินทั้งหมดยายแก่เหมยชีเอาไปใช้รักษาสามีจนสิ้นเนื้อประดาตัว สุดท้ายนางเองก็อยู่อย่างอดๆอยากๆ จนเมื่อหลานสาวที่เก็บมาเลี้ยงถูกปล่อยให้เป็นอิสระ เหมยฮวานำพุทราติดตัวมาด้วย วันนั้นนางไม่รับ แต่เป็นบ่าวมิอาจปฏิเสธน้ำใจของจินหรูอันได้ จึงต้องยอมรับมา นึกไม่ถึงว่ายายแก่เหมยชีจะใช้ชีวิตหิวโหยมานมนาน หยิบฉวยอะไรกินได้ก็กิน ไม่ใช่ว่าไม่รู้ เดิมเหมยฮวาตั้งใจจะแอบเอาพุทราป่าเหล่านี้ไปทิ้ง แต่ไม่ทันการณ์ ยายแก่กลับกัดกินไปกว่าครึ่งผลแล้วอ้างว่าหนูกิน จึงล้มป่วยอยู่นานเป็นอาทิตย์
   “นางถูกพิษย์ของเหล็กในผึ้ง พิษชนิดนี้สมาคมลับเทียนกว่าเหรินเป็นผู้คิดค้น เดิมเหล็กไนผึ้งมีพิษร้ายแรงก็แค่ทำให้เกิดอาการปวดและบวมตามเนื้อตัว แต่เมื่อผสมกับน้ำผึ้งเดือนห้าจะมีพิษร้ายกาจ สามารถแผ่ซ่านตามเส้นลมปราณของคนที่กินเข้าไปได้ เส้นลมปราณเหล่านี้ล้วนติดต่อกับหัวใจ พิษเหล็กในผึ้งเป็นพิษที่ค่อยๆแทรกซึมอย่างช้าๆ ถ้าข้ามาเร็วกว่านี้ ท่านยายของเจ้าคงไม่ตายเช่นนี้”
   ข้าเหม่อมองบนท้องฟ้า ยามนี้ราตรีถูกเมฆหมอกบดบัง ไร้แสงดาวเดือน ดูแล้วเศร้าสลดหดหู่ใจนัก
   ทำไมจินหรูอันถึงจิตใจโหดเหี้ยมได้ถึงเพียงนี้ ฆ่าข้าให้ตายแล้วยังไม่สมใจ ยังคิดจะฆ่าคนที่ใกล้ชิดกับข้าทุกคนเลยหรือ บัดนี้ข้าตายไปแล้วเหมือนเป็นอิสระ แต่ผู้อื่นต้องมารับกรรมแทน เช่นนั้นข้าไปแล้วพวกเขาเล่า จะอยู่อย่างไร
   “เจ้ามิใช่คนผิด”
   ไม่รู้ทำไม ในเวลานี้คำพูดของหานซิ่นดูมีน้ำหนักที่สุด คนเราทุกคนก็อยากได้รับการปลอบโยนว่าไม่ได้ทำผิด แต่ในใจของข้ารู้ดีที่สุด ว่ามันไม่ใช่เช่นนั้น

   “เจ้าจะเอาอย่างไรต่อเหมยฮวา”
   แม่ทัพหานซิ่นเป็นคนดีมีน้ำใจ เขาย่อมยื่นมือเข้าช่วยเหลือ อีกอย่างเหมยฮวาเป็นสาวใช้ในบ้านเขามานาน ซ้ำเขายังรู้สึกผิดที่ไม่อาจห้ามปรามจินหรูอันให้ขับไล่ไสส่งนางได้ รู้ทั้งรู้ว่านางไม่มีที่ไป แต่เขาก็มิอาจขัดใจจินหรูอันได้
   “ข้าว่าจะขายตัวเป็นทาสให้สกุลอื่นเจ้าค่ะ อย่างน้อยข้าก็ไม่มีญาติที่ไหนแล้ว เลี้ยงปากเลี้ยงท้องไปวันๆก็พอใจแล้วเจ้าค่ะ”
   คำพูดนี้นางมิได้ประชดหานซิ่นแต่อย่างใด เพียงแต่ชีวิตคนจนในเมืองหลวงก็เป็นเช่นนี้ คนรวยรวยล้นฟ้า คนจนต่ำต้อยติดดิน เพียงแค่มีกินมีอยู่ก็นับว่าได้ใช้ชีวิตให้คุ้มค่าแล้ว
   เพียงแต่ว่าหากนางไปอยู่ในเรือนที่มีแต่ผู้รังแกนางเล่า ดังนั้นข้าจึงกล่าวว่า
   “ต่อไปนี้เจ้าก็ไปอยู่กับข้าแล้วกัน”
   “ไม่ดี สกุลโหวกับสกุลหานมีสัมพันธ์ฉันท์มิตร คนจะว่ากล่าวเอาได้ว่าขี้ข้าเลือกที่รักมักที่ชัง”
   หานซิ่นคัดค้าน เรื่องนี้ย่อมเป็นขี้ปากชาวบ้านท้องตลาดได้โดยง่าย เผลอๆจะลือกันว่าสองสกุลแตกหักกันขนาดแย่งข้าทาสบริวารกันเอง แม้เหมยฮวาจะถูกขับไล่ไสสงให้ถอนตัวเป็นอิสระ แต่ตั้งแต่โบราณกาลนานมาแล้วที่ถือเป็นประเพณี ไม่รับทาสที่เคยเป็นของมิตรสหาย ดังนั้นหานซิ่นจึงคัดค้านข้าอย่างหนัก
   “ถ้ากลับไปบ้านท่าน ก็ต้องถูกจินหรูอันรังแกอีก ดีไม่ดี นางอาจถูกใช้ไปหาบน้ำผ่าฟืนเหมือนอย่าง…”
   ข้าเริ่มรู้สึกตัวว่าพูดมากไปแล้วจึงเงียบปาก
   “เหมือนอย่างอะไร” แต่ท่านแม่ทัพผู้นี้พยายามคาดคั้นเอาคำตอบ
   “ช่างเถอะๆ แล้วท่านจะให้ข้าทำเช่นไร แม่นางเหมยฮวาไร้ญาติขาดมิตร ข้าไม่ได้ดูถูกน้ำใจนางนะ เพียงแต่ข้ากลัวจะมีผู้คนชักชวนไปในทางเสื่อมเสีย”
   เวลานี้การค้าทาสยิ่งหนักหน่วง ทางการไม่เข้มงวด แน่ล่ะ บ้านไหนเรือนไหนก็อยากได้ทาส ทาสผู้ชายพอช่วยงานได้ ทาสผู้หญิงหน้าตาดีเข้าหน่อย ถูกขายให้หอนางโลมล้วนมีมากมาย เหมยฮวาแม้ไม่ใช่คนสวยสะพรั่งแต่นับว่าหน้าตาดี หญิงสาวเช่นนี้ถ้าไม่อับจนหนทางเองไปขายตัวที่หอนางโลม ก็ถูกพวกค้าทาสจับไปขายได้ราคางาม
   “เป็นท่านนั่นแหละ ที่ไม่ดูแลคนใช้ในบ้านให้ดี”
   ข้าขอตัดพ้อท่านอีกหนึ่งประโยคแล้วกันท่านพี่หานซิ่น
   “งานการข้าก็มี คนในบ้านให้ฝ่ายในดูแล”
   “เช่นนั้นท่านจึงปล่อยปละละเลยคนอื่นๆสินะ”
   เดิมทีข้าอยากกระแนะกระแหนเขาให้กระอักเลือดตายไปข้าง แต่จู่ๆก็มีคำพูดหนึ่งที่ทำให้ข้าพูดไม่ออก
   “ข้าขอโทษ”
   แววตาของท่านแม่ทัพเศร้าสร้อย แสดงความรู้สึกผิดอย่างจริงใจ ข้ามองแล้วรู้สึกแปลกพิกล หานซิ่นผู้นี้ต้องการสื่อเจตนาอันใดมาที่ตัวข้ากัน
   “เช่นนั้นก็ให้นางไปอยู่กับข้าได้หรือไม่”
   แม้จะรู้สึกพิกล แต่เวลานี้หานซิ่นดูหัวอ่อนชักจูงง่ายที่สุดแล้ว ข้าขอโทษที่หลอกใช้ความเศร้าสร้อยของท่านแล้วกัน ขอท่านแม่ทัพโปรดอย่าถือสาหาความภายหลัง
   “เช่นนั้นก็แล้วแต่เจ้าเถอะ”
   บทจะยอม ก็ยอมง่ายเหลือเกิน
   ไม่รู้ทำไม ข้าจึงรู้สึกว่าท่านเหมือนพยายามคืนสิ่งที่ติดค้างข้าอยู่
   
   
หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทสาม : สิ่งที่ติดค้างในใจ {07-11-2019}
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 07-11-2019 22:48:35
พฤติกรรมของท่านแม่ทัพ 2 ขั้วจริง ๆ  :katai1:
หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทสาม : สิ่งที่ติดค้างในใจ {07-11-2019}
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 08-11-2019 09:11:33
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทสี่ : ข้าย่อมไม่ผิด {08-11-2019}
เริ่มหัวข้อโดย: MewSN ที่ 08-11-2019 19:34:12
บทสี่
ข้าย่อมไม่ผิด

   “ไม่ได้!”
   แม่ทัพหานซิ่นอุตส่าห์แง้มประตูเปิดให้ครึ่งบาน แต่เสนาธิการโหวอันเล่อกลับปิดมันใส่หน้าข้าดังปัง
   “เหมยฮวาเคยเป็นทาสของสกุลหาน เจ้าอย่ามาบังคับพ่อเจ้า ข้ากับหานฮูเสียนับถือกันเป็นสหายสนิท เจ้าทำเช่นนี้ ข้าจะมีหน้าไปพบหานฮูเสียได้อย่างไร”
   ข้าได้แต่กะพริบตาปริบๆ
   “ท่านพี่ ลูกเฉียนใจดีมีเมตตา แต่ท่านกลับมาขัดขวาง ภายภาคหน้าแทนที่คนจะลือกันว่าน้ำใจยิ่งใหญ่กว่ามหาสุมทร น่ากลัวว่าถูกท่านขัดขวางวันนี้คงไม่มีเสียงเล่าลือดังมาถึงจวนโหว”
   ข้าขอคารวะท่านแม่ใหญ่ในใจ ท่านช่วยออกหน้าพูดแทนให้ ข้าปริ่มใจนัก
   “นั่นสิท่านพี่ เดิมทีเหมยฮวาคนนี้ถูกขับไล่ไสส่งออกมาใครเลยจะไม่รู้ ฮูหยินจินจิตใจคับแคบ จงเกลียดจงชังอนุภรรยาสมรสพระราชทานไม่พอ กลับขับไล่ไสส่งคนใช้ของเขาออกมาหลังเขาฆ่าตัวตาย”
   “ระวังปากเจ้าหน่อยฟางเชียน”
   ข้าฆ่าตัวตายเองเช่นนั้นหรือ หึ ก็สมเหตุสมผลสำหรับคนเก็บตัวเช่นข้าแล้ว ไม่มีผู้ใดสืบสาวราวเรื่อง ใครบ้างไม่รู้ว่าหานซิ่นกล้ำกลืนฝืนทนรับข้าเป็นอนุในสมรสพระราชทาน ไม่แปลกที่ข้าจะไม่ได้รับความรัก แถมยังถูกเย็นชาและเกลียดชัง ข้าฆ้าตัวตายเพราะทนอยู่แบบนี้ไม่ได้ ช่างเป็นความสมเหตุสมผลที่น่าขันเหลือเกิน
   “เอาเถอะท่านพี่ อย่างไรเสียข้าก็ไม่เห็นว่าเฉียนเอ๋อร์รับนางจะเป็นเรื่องผิดแปลกอันใด หานฮูเสียไม่ต้องการนางแล้ว เช่นนั้นเราชุบเลี้ยงนางในสกุลโหว ถึงเวลานั้นท่านหานคงไม่แล้งน้ำใจตัดญาติขาดมิตรกับท่านหรอก”
   ข้าเริ่มเห็นแววใจอ่อนในดวงตาของท่านพ่อ
   “เช่นนั้นก็แล้วแต่เจ้าเถอะ”
   “ขอบคุณขอรับท่านพ่อ”
   ข้าตั้งใจคารวะงามๆให้ท่านพ่อไปหนึ่ง ทีก่อนจะหันตัวออกจากเรือนใหญ่ แต่ถูกคำของบิดารั้งไว้เสียก่อน
   “เฉียนเอ๋อร์ เจ้าคงมิคิดแต่งนางเป็นอนุใช่หรือไม่ เช่นนั้นแม่ทัพหานซิ่นคงเสียใจ”
   ข้าก้าวเท้าผิดไปหนึ่งข้าง!
   ฟังแล้วช่างน่ากลัวนัก เสนาธิการโหวอันเล่ผู้นี้ น่ากลัวจะมิใช่พ่อสื่อธรรมดาเสียแล้ว
   
   “ขอบพระคุณคุณชายเฉียนเจ้าค่ะ”
   พอออกมาจากเรือนใหญ่ ข้าก็ตรงไปบอกข่าวดีให้เหมยฮวาทราบถึงที่กระท่อม บัดนี้ข้ารับเลี้ยงนาง สรรพนามใช้เรียกข้าก็ต้องเปลี่ยนจากนายน้อยเป็นคุณชายตามศักดิ์ในจวนโหว เหมยฮวาย่อมมีท่าทีเคารพนบนอบ อ่อนน้อมถ่อมตนกับนายคนใหม่ เดิมทีนางก็เป็นคนมีสัมมาคารวะอยู่แล้ว ใครเห็นก็เอ็นดูนาง เพียงแต่ในจวนเก่า นางชอบเข้าหาข้า มาเป็นเพื่อนเล่นยามข้าเหงา พูดคุยช่วยให้ข้าสบายใจ คนทั้งจวนเกลียดข้า ชิงชังข้า พลอยทำให้นางติดร่างแหโดนเกลียดไปด้วย ข้ายังนึกเสียใจ ที่เป็นต้นเหตุให้ญาติคนเดียวที่เหลือของนางต้องได้รับความเดือดร้อนถึงแก่ความตายเช่นนี้ แม้มิใช่ญาติแท้ๆแต่นางก็ผูกพันยิ่งนัก สังเกตจากก่อนจากมา นางมองกระท่อมซอมซ่อหลังนั้นเป็นหนสุดท้าย น้ำตารื้นขึ้นที่ดวงตา ก่อนจะตัดสินใจหันหลังไม่หันกลับ ข้านับถือจิตใจอันเด็ดเดี่ยวของแม่นางจริงๆ
   ระหว่างนั่งในรถม้า ข้าเห็นนางทำปากขยุบขยิบ ไม่แปลกใจอันใด ด้วยนิสัยเดิมของนางนั้นเป็นคนช่างพูด เพียงแต่หลายวันมานี้ไม่เหมาะเพราะอยู่ในอารมณ์เศร้าสร้อย เวลานี้นางออกมาเปิดหูเปิดตาในเมืองหลวง ย่อมต้องมีเรื่องอยากพูดเป็นธรรมดา ข้าแอบยิ้มอยู่ในใจ เหมยฮวาเจ้าไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ
   “เจ้าว่าร้านเกี๊ยวร้านนั้นเป็นอย่างไร”
   เมื่อก่อนเวลานางติดตามหัวหน้าแม่ครัวออกไปจ่ายตลาดนางมักกลับมาเล่าเรื่องของกินในตลาดให้ข้าฟังได้เป็นวรรคเป็นเวร จนข้านึกภาพร้านแผงลอยเหล่านั้นออก ดังนั้นร้านเกี๊ยวร้านนั้นที่ข้าชี้ไม้ชี้มือไป ต้องเป็นร้านเกี๊ยวแสนอร่อย ที่นางเล่าไปกลืนน้ำลายสูดปากไปให้ข้าฟังบ่อยๆเป็นแน่
   “คุณชายเจ้าคะ ร้านเกี๊ยวร้านนั้นอยู่มาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตาทวด สูตรน้ำซุปของร้านนั้นเป็นสูตรลับที่ไม่เคยมีผู้ใดล่วงรู้ เถ้าแก่บอกข้าว่าเขาต้องตื่นตั้งแต่ยามเหม่าเพื่อมาต้มน้ำซุบขาหมู เขี้ยวให้ละเอียดด้วยผักใบเขียว ข้าฟังแล้วน้ำลายสอยิ่งนักเจ้าค่ะ แถมร้านนี้ขึ้นชื่อเกี๊ยวไส้หมูมากๆเลยเจ้าค่ะ เนื้อหมูหอมนุ่ม กัดได้เต็มคำ กินประกอบกับน้ำซุป บอกเลยว่าเป็นร้านข้างทางที่เลิศรสอันดับหนึ่ง”
   สูตรลับที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ กลายเป็นว่าเถ้าแก่เอามาบอกเหมยฮวาเสียเอง
   “งั้นเจ้าอยากกินหรือไม่”
   แต่ก่อนข้าได้แต่ฟังนางเล่า ครั้นอยากจะซื้อหามาตอบแทนน้ำใจนางข้าก็ไม่ได้มีโอกาสได้ออกไปหามาให้ บัดนี้มาถึงที่แล้ว ถือว่าตอบแทนนางเมื่อครั้งก่อนยังไม่สาย
   “เอ่อ บ่าวมิกล้าเจ้าค่ะ”
   “อาตงหยุดรถม้า ข้าจะกินเกี๊ยวร้านนี้”
   ข้าสั่งการให้อาตงหยุด ไม่รอช้ารีบลากเหมยฮวาลงมา เมื่อมาถึงที่ร้านโต๊ะก็ว่างหนึ่งที่พอดี เป็นไปตามที่อาตงบอก เกี๊ยวร้านนี้ลือชื่อ คนไม่ขาด โต๊ะว่างยากจริงๆ
   “เจ้าอยากสั่งอะไร ก็สั่งตามใจเจ้า!”
   เมื่อคำพูดของข้าเป็นใบเบิกทาง แม่นางเหมยฮวาก็ไม่เกรงใจอีกต่อไป ไม่นานเกี๊ยวไส้หมู เกี๊ยวผักกาด เกี๊ยวหน่อไม้ เกี๊ยวบะหมี่ ก็มาอยู่จนเต็มโต๊ะ ส่งกลิ่นหอมฉุนแตะจมูก ข้าสูดมันเข้าไปเต็มปอด แล้วจ้วงกินอย่างหิวกระหาย โปรดเข้าใจด้วยว่าแม้อยากกินอย่างตะกละเพียงใดแต่ข้าก็แบกหน้าของสกุลโหวเอาไว้ เช่นนั้นความมูมมามของข้าจึงพ่ายแพ้เหมยฮวาและอาตงทั้งสิ้น
   “ก็ว่าใครลดตัวมานั่งร้านราค้าขายข้างตลาดเช่นนี้ เป็นคุณชายน้อยตระกูลโหวนั่นเอง”
   เสียงหวานหยดย้อยพร้อมร่างอรชรของจินหรูอันที่เดินทางมาหาเรื่องข้าถึงที่โต๊ะ!
   ให้ข้าเดาเฉียนเฉิงคนนี้มื่อก่อนคงมีเรื่องขัดหูขัดใจกับจินหรูอันไม่น้อย แน่นอนล่ะอิสตรีที่ไหนจะทนให้สามีตนเองถูกคนอื่นป้อยอเอาอย่างไม่คิดตอบโต้ ข้าคนก่อนต้องไปตามตอแยหานซิ่นจนทำให้ถังน้ำส้มของแม่นางจินหรูอันผู้นี้แตกเป็นแน่แท้ นับว่าเฉียนเฉิงเป็นศัตรูที่สมน้ำสมเนื้อกับนางมากกว่าตัวข้าคนเก่าเสียอีก
   ช่วยไม่ได้ ในเมื่อข้าไม่ใช่จิ่วฉือเหนียง แถมเฉียนเฉิงผู้นี้ยังมีพระคุณมอบร่างกายให้กับข้า ใยข้าจะไม่ปกป้องเขาเล่า ข้าลุกขึ้นคารวะแม่นางจินหรูอัน
   “คารวะฮูหยิน”
   อยู่จวนสกุลหานนับว่าบ่าวไพร่คนใช้เป็นของนาง แต่นี่อยู่นอกจวน ข้าผู้เป็นถึงคุณชายน้อยของเสนาธิการโหวอันเล่อ คารวะแม่นางจินหรูอัน ที่ยิ่งใหญ่แค่ไหนก็เป็นเพียงสตรี ผู้คนในร้านย่อมไม่เงียบปากเช่นคนใช้บ้านสกุลหาน เกิดเสียงเซ็งแซ่ขึ้นท่านที
   “ผู้ใดกัน เสียมารยาทให้คุณชายตระกูลโหวคารวะก่อน”
   “ทำตัวราวกับเป็นสตรีในราชวงศ์ ถ้าใช่ก็ว่าไปอย่าง”
   “กำเริบนัก ไร้มารยาท”
   แม่นางจินหรูอันหน้าถอดสียิ่งกว่าตอนอยู่ในจวน แต่เดิมนางตั้งใจมาหาเรื่องต้วนซิ่วเฉียนเฉิง นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะใช้เล่ห์เพทุบาย ทำให้นางขายหน้าเช่นนี้ได้
   “เสียมารยาทแล้วเจ้าค่ะ คุณชายน้อยโปรดให้อภัย ข้ารู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว วันนี้จึงขอลา”
   บทตัวร้าย อยู่ได้ไม่นานหรอก ข้าไม่ยิ้ม แต่เหมยฮวากับอาตงยิ้มไม่หุบ พอนางลับสายตาพวกเราไปเท่านั้นล่ะ
   “คุณชายท่านเก่งมากขอรับ ปกติท่านเป็นฝ่ายถูกนางไล่ต้อนอยู่ร่ำไปจนโมโห บัดนี้ท่านสามารถโต้ตอบนางได้ ข้าดีใจยิ่งนัก” อาตงนี่เท่ากับว่าเจ้าสนับสนุนข้าแย่งสามีชาวบ้านมาตั้งแต่หนก่อนแล้วหรือ
   “นางอสรพิษผู้นี้ วางยาได้แม้กระทั่งอนุจิ่ว ข้าจงเกลียดจงชังนัก”
   “เหมยฮวา เจ้าระวังปากหน่อย อนุจิ่วฆ่าตัวตายเองหาใช่นางทำไม่”
   เขาพูดเสียงแข็ง เหมยฮวาทำท่าจะกล่าวต่อไป แต่นางย่อมรู้สถานการณ์ไม่ใช่คนโง่ จึงรับคำข้า
   “เจ้าค่ะ เป็นอย่างที่คุณชายน้อยพูด”

   “จะเดินทางวันที่แปด เจ้ายังเอ้อระเหยนั่งกินเกี๊ยวอยู่ที่นี่”
   โบราณว่าหนีเสือปะจระเข้ ภรรยาไปแล้ว สามีก็มาหาเรื่องข้าอีกคน คนตระกูลหานนี่เหลือทนเหลือเกิน
   “เช่นนั้นแล้วท่านเล่า มาเอ้อระเหยลอยชายอะไรอยู่ที่เดียวกับข้า”
   แน่นอนว่าข้าไม่ใช่จิ่วฉือเหนียงคนเงียบอีกต่อไปแล้ว ทุกคำพูดของข้าเป็นอิสระจากตัวหมาก
   “ข้ามาหาซื้อเสบียง ไม่ยักรู้ว่าจะได้เจอเจ้าในที่…แบบนี้”
   “ข้าเองก็ไม่ยักรู้ ว่าท่านแม่ทัพไม่โปรดร้านราข้างถนน”
   หานซิ่นหนอหานซิ่น เจ้ามันเป็นคนดีที่ไม่เคยติดดินจริงๆ
   “หาไม่แล้วอาเฉียน นี่เป็นร้านโปรดของข้าเลยต่างหาก เพียงแต่เมื่อหนก่อนข้าเคยชวนเจ้าร่วมโต๊ะ แต่เจ้าปฏิเสธเพียงเพราะว่าร้านนี้เป็นร้านข้างถนน เจ้าจำไม่ได้หรือ หรือสติเลอะเลือนหลังจากหายออกจากบ้านหลายวันยังไม่หายกัน”
   แม่ทัพผู้นี้ คารมช่างคมคายยิ่งนัก
   “เช่นนั้นท่านก็มากิน เชิญท่านตามสบาย ท่านหานซิ่น”
   ข้าผายมือ เป็นนัยขับไล่ไสส่ง
   “โต๊ะเต็มแล้ว คงมีแต่โต๊ะของเจ้าที่…”
   “โต๊ะข้าเต็มแล้วพี่หาน” ไม่ปล่อยให้เขาพูดจบ ข้าชิงตัดบทพูดขึ้นก่อน หานซิ่นยิ้มมุมปากข้าเพิ่งเคยเห็น เขาผายมือแล้วกล่าว
   “อาเล่อ เอาเก้าอี้มาเพิ่มที่โต๊ะนี้หนึ่งตัว”
   ชั่วครู่เก้าอี้ก็ถูกเสกมาวางไว้ข้างตัวข้า หน้าหนายิ่งนักแม่ทัพหานซิ่น คนเขาไล่แล้วยังไม่ไป ข้าก็จำใจด้วยต้องรักษาน้ำใจและมารยาท
   “อาหารจืดชืด ข้าสั่งมานานแล้ว เกรงว่าท่านแม่ทัพไม่นิยมกินของเหลือ”
   “ของเหลือที่ใดกิน ข้ากินแล้วจึงว่าของเหลือ ของพวกนี้ยังมิใช่ของเหลือ”
   ทำไมวาจาท่านเอาแต่ย้ำว่าของเหลือๆอยู่นั่นเล่า
   “สั่งเพิ่มหรือไม่”
   จนในที่สุดข้าเห็นเขาจ้วงเอาๆอย่างไม่นึกรังเกียจจึงใจอ่อน ไม่กล้าแกล้งคนอีกต่อไป เห็นเขาหิวจริง ข้าจึงกล่าวถาม
   “สั่งเพิ่มแล้วเจ้าเลี้ยงหรือไม่”
   “เงินเดือนของข้าที่ได้จากจวนโหว หรือจะสู้เบี้ยหวัดประจำปีของท่านแม่ทัพหานซิ่นได้”
   แน่นอนว่าข้าย่อมไม่อาจข่มใจไม่กัดเขาไปหนึ่งประโยคเต็มๆได้ แต่เพียงสร้างความขบขันในแววตาของท่านแม่ทัพเท่านั้น
   “อีกหน่อยข้าก็ถูกลดเงินเดือนแล้วเมื่อไปประจำการที่ลั่วหยาง เช่นนั้นก็คงเลี้ยงเจ้าไม่ได้แล้ว”
   “เอ๊ะ แล้วท่านจะมาเลี้ยงข้าทำไม”
   ข้ามีท่านพ่อผู้เป็นถึงเสนาธิการโหวคอยเลี้ยงดูอยู่แล้ว
   “เมื่อก่อนข้านึกว่าเจ้าอยากให้ข้ารับเจ้าเป็นอนุ”
   แม่ทัพผู้นี้ใยพูดเรื่องน่าอายแบบนี้ออกมาได้ ข้าเป็นบุรุษเขาเป็นบุรุษ แล้วอาตงกับเหมยฮวา ทำไมเจ้าทั้งสองถึงยังไม่หุบยิ้มเล่า
   “เป็นเพียงอนุ ข้าจึงเปลี่ยนใจแล้ว ท่านก็อย่าถือสาหาความกับความโง่งมของข้าในยามก่อนเลย”
   “มิได้ ก็เจ้าชมชอบข้าหนักขนาดนั้น”
   แม่ทัพผู้นี้หลงตัวเองยิ่งนัก ข้ากัดเกี๊ยวไส้หมูอย่างทำอะไรเขามิได้
   “จริงสิ ท่านไปหนนี้ อย่าลืมยารักษาโรคติดตัวไปล่ะ”
   เดิมทีข้าตั้งใจจะเปลี่ยนเรื่องเลยพูดเรื่องยาซึ่งเป็นสิ่งที่ข้าถนัดขึ้นมาเพียงชั่วข้ามคืนอย่างอัศจรรย์ แต่ไม่รู้ความกลายเป็นเรื่องนี้ที่ย้อมกลับมาทำร้ายตัวข้าเสียเอง
   “ยังเลย ข้าไม่เชี่ยวชาญเรื่องหยูกยา ดีที่วันนี้เจอเจ้า รบกวนอาเฉียนแล้ว”
   “รบกวนอันใดท่านพี่หาน”
   “ช่วยข้าหาหยูกยาในตลาดทีเถิด”
   เจ้า!

   “เหมยฮวา เจ้าเป็นหญิงสาวย่อมเหนื่อยง่าย เดินมามากเช่นนี้ ข้าว่าเรากลับจวนโหวกันเถอะ”
   ข้าพยายามหาเรื่องพาตัวเองกลับจวน แต่ไม่นึกว่าสาวใช้ผู้นี้จะไม่ยอมให้ความร่วมมือ
   “ไม่เลยเจ้าค่ะ คุณชายน้อยไม่เหนื่อย เหมยฮวาก็ไม่เหนื่อยเจ้าค่ะ”
   เจ้า… ข้าจะพูดได้อย่างไรว่าข้าไม่เหนื่อย
   “ยานี้ขายอย่างไรท่านผู้เฒ่า”
   หูข้าได้ยินเสียงถามไถ่ราคาของแม่ทัพหานซิ่นมาแต่ไกล
   “ตัวยาทำจากโสมพันปีขอรับไต้เท้า หายากในแดนเหนือ ทางใต้มักส่งมาปีละครั้ง ข้าจึงต้องขายในราคาห่อละห้าร้อยตำลึง”
   ข้ารีบเดินเข้าไปดู หยิบตัวยาที่ผู้เฒ่าผู้นี้อ้างว่าทำมาจากโสมพันปีแดนใต้ ดมกลิ่นชั่วครู่ก็วางมันลง
   “ไม่กระมังท่านผู้เฒ่า ถึงแม้ท่านแม่ทัพจะรับราชการ แต่มิได้มีเบี้ยหวัดมากมายนัก ท่านลดให้ได้หรือไม่”
   “จะลดได้อย่างไรขอรับ ข้า…”
   ข้าแกล้งหยิบโสมขาวจากแผงลอยของท่านผู้เฒ่าออกมาดูเล่น
   “เช่นนั้นลดได้ เช่นนั้นลดได้”
   หึ ตาแก่มักมาก ริอาจเอาโสมขาวมาหลอกเป็นสมพันปี เจ้าดูถูกจมูกและความรอบรู้ของข้าเกินไปแล้ว
   ในที่สุดแม่ทัพหานก็ไม่ถูกหลอก แถมยังได้ตัวยานั้นมาในราคาร้อยตำลึง นับว่าสมราคาวัตถุดิบ
   “ใยเจ้าไม่บอกว่ามันคือโสมขาว”
   แม่ทัพหานซิ่นเป็นคนฉลาด ตั้งแต่เขาเห็นข้าหยิบโสมขาวขึ้นมาเล่น เขาก็รู้ได้ทันทีเลยว่า วัตถุดิบที่เอามาทำย่อมเป็นโสมขาว
   “โสมขาวไม่ใช่ตัวยาที่ไม่ดี รักษาโรคได้ สรรพคุณมิได้หลอกลวง โสมพันปีเองก็สามารถนำมาทำยาชนิดนี้ได้ เพียงแต่พ่อค้าเฒ่าผู้นั้นอยากโก่งราคา ข้าบอกออกไปเขาถูกทางการจับ ความแค้นสร้างง่าย บุญคุณชำระยาก ข้าเพียงมิอยากมีความแค้นกับผู้ใด”
   แม่ทัพหานซิ่นพ่นลมหายใจ
   “เช่นนั้นเจ้าบอกข้าหรือไม่ ว่าเจ้าไม่ได้ทำผิดอะไร”
   ถ้าเขาหมายถึงการที่ข้าไม่บอกกล่าวให้ผู้ใดรู้เรื่องวัตถุดิบที่พ่อค้าเฒ่าผู้นั้นจงใจหลอกขาย ข้าย่อมไม่ผิด ข้ามิได้มีส่วนได้ส่วนเสีย ข้าย่อมไม่ผิด
   แต่ถ้าท่านแม่ทัพหมายถึงเรื่องบางเรื่อง ตัวหมากอย่างข้านั้นเป็นเพียงตัวหมาก ข้าไม่ร่วมคิดก็ร่วมกระทำ ดังนั้นข้าจึงตอบตรงๆไม่ได้ว่า ข้าย่อมไม่ผิด
   
หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทสี่ : ข้าย่อมไม่ผิด {08-11-2019}
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 08-11-2019 21:04:57
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทสี่ : ข้าย่อมไม่ผิด {08-11-2019}
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 09-11-2019 12:15:36
อิแม่ทัพนี่ก็เหมือนไบโพล่าร์
หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทห้า : ลางร้ายในจวนสกุลหาน {09-11-2019}
เริ่มหัวข้อโดย: MewSN ที่ 09-11-2019 14:53:28
บทห้า
ลางร้ายในจวนสกุลหาน
   “ท่านหานซิ่นหรือ!”
   “คารวะฮูหยินรอง”
   ท่านแม่รองมีแววตาแปลกใจที่คนที่ตามข้าเข้ามาคือแม่ทัพหานซิ่น ร้อยวันพันปีนางไม่เคยพบเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน ใยแม่ทัพหนุ่มผู้ผลักไสลูกชายนาง บัดนี้เดินตามกันมาเข้าจวนสกุลโหวอย่างง่ายดาย ช่างเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก
   “วันนี้ข้ารบกวนอาเฉียนช่วยหายารักษาโรคเป็นเสบียงติดตัวยามข้าไปประจำการที่ลั่วหยาง อาเฉียนรอบรู้เรื่องยาจนแตกฉาน นึกไม่ถึงว่านอกจากจะช่วยข้าให้หายาครบถ้วนไม่ขาดไม่เกิน กลับช่วยข้ามิให้ตกเป็นเหยื่อของผู้มากด้วยเล่ห์กล”
   ท่านแม่รองกล่าวถามอย่างสงสัย “เรื่องเป็นมาอย่างไรกันเจ้าคะ”
   “ท่านแม่ ข้าว่าพาท่านแม่ทัพไปเรือนรับรองก่อนเถอะขอรับ”
   ครั้นจะมายืนซักไซ้ไล่หาความกันเอาหน้าเรือนใหญ่ก็ใช่ที่ นายหญิงรองของบ้านเหมือนจะรู้ตัวว่ายามนี้ได้เสียมารยามไปเสียแล้ว รีบผายมือกล่าวเชิญท่านแม่ทัพ
   “คารวะฮูหยินใหญ่”
   ท่านแม่ใหญ่มีศักดิ์ในจวนสูงกว่าหานซิ่นเนื่องจากเป็นภรรยาเอกจึงต้องเคารพก่อน แต่ความจริงแล้วไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป ท่านแม่ทัพมิต้องเคารพฮูหยินเสียก็ได้ เพราะตามธรรมเนียมของสังคมจีนนั้นค่อนข้างให้ความสำคัญกับสตรีน้อยมาก เช่นนั้นแม่ตำแหน่งจะสูงศักดิ์เพียงใด มิใช่สตรีในราชวงศ์ แม้ขุนนางขั้นหกก็ไม่จำเป็นต้องเคารพท่านแม่ใหญ่ก็ได้ จากนั้นจึงตามมาด้วยท่านแม่เล็กคารวะแม่ทัพ ทุกคนกล่าวทักทายกันตามมารยาท แล้วท่านพ่อก็มาถึง
   “เฉียนเอ๋อร์ เจ้าไปนั่งข้างท่านหานซิ่น!”
   มาถึงก็ทำหน้าที่พ่อสื่อเลยนะตาแก่ ข้าจำต้องก้มหัวโค้งคำนับปลกๆ แล้วเคลื่อนตัวไปนั่งข้างแม่ทัพหานซิ่นผู้เผยแววตายิ้มขันส่งมาให้ข้าอย่างจงใจ
   ข้าได้แต่สาปแช่งก่นด่าเขาในใจ
   “ท่านแม่ทัพมาถึงจวนข้าเวลานี้ เช่นนั้นก็อยู่ทานข้าวเย็นเสียหน่อยเถิด เราไม่ได้พบปะพูดคุยเรื่องธรรมดาทั่วไปกันมานานมากแล้ว อีกทั้งทางหานฮูเสียข้าก็มิเคยได้ว่างไปเยี่ยมเยือน ตาเฒ่าผู้นั้นคงโกรธข้าเป็นฟืนเป็นไฟแน่แล้ว”
   “ท่านเสนาธิการกล่าวผิดแล้ว เป็นบิดาข้าเสียอีกที่ละอายใจกล่าวว่าไร้มารยาทต่อท่านที่หลายปีมานี้ด้วยวัยอันล่วงเลยจึงมิได้มีโอกาสมาเยี่ยมท่านถึงจวน”
   ข้าเบื่อจะฟังเรื่องรักษามารยาทหรือเรื่องทำเสียมารยาทพวกนี้เต็มทนแล้ว แต่ก็ไม่สามารถลุกไปไหนได้
   “จริงสิ แม่ทัพหานซิ่น เวลานี้อาการของฮูหยินผู้เฒ่าเป็นอย่างไรบ้าง”
   ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหาน แม่ของหานซิ่นอย่างนั้นหรือ ไม่กี่วันก่อนข้าไปที่จวนสกุลหาน นางยังมีสีหน้าผ่องใสอยู่เลยนี่ ดูๆแล้วมิน่าล้มป่วยกะทันหันเช่นนี้
   “สามวันดีสี่วันไข้ ข้าก็จนใจไม่สามารถทำเช่นไรได้”
   “เช่นนั้นให้เฉียนเอ๋อร์ไปตรวจอาการดูดีหรือไม่” ท่านแม่รอง ท่านหาเรื่องมาให้ข้าเสียแล้ว
   “เสียมารยาท! เฉียนเอ๋อร์มิได้เป็นหมออาชีพเพียงร่ำเรียนวิชาแพทย์จนแตกฉาน ใช่ว่าจะรู้ดีไปกว่าหมอคนอื่นๆ”
   ท่านพ่อพูดถูกแล้ว เวลานี้ท่านพูดถูกใจข้ายิ่งนัก
   “ดีเหมือนกันท่านเสนาธิการ ถ้าเช่นนั้น…”
   “…”
   “อาเฉียนโปรดเมตตา”
   ปากข้ากระตุก ได้แต่สาปแช่งท่านแม่ทัพผู้นี้ในใจ ข้าอยากหนีออกมาจากสกุลหานใจจะขาด บัดนี้ยังหนีไม่พ้น ต้องวนเวียนกลับไปดั่งวัฏจักรไม่รู้จบสิ้น ท่านพ่อแม้ตอนแรกจะคัดค้านแต่เมื่อเห็นท่านแม่ทัพไม่ว่าอย่างไร จึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย พลางกล่าวว่า
   “พรุ่งนี้เช้าเจ้าก็ไปช่วยตรวจดูอาการฮูหยินผู้เฒ่าหน่อยเถิด จงระวังกิริยามารยาท ท่านแม่ทัพวางใจเจ้า อย่าทำให้ผิดหวัง ทราบหรือไม่อาเฉียน”
   “ขอรับท่านพ่อ”
   ข้ารับคำอย่างจำยอม
   
   “มาแล้วหรือ”
   เป็นไปตามคำท่านพ่อ เมื่อเสนาธิการโหวอันเล่อสั่งการมาแล้ว ลูกในไส้เช่นข้าไยจะปฏิเสธได้ จำต้องเดินทางมายังจวนสกุลหานอย่างฝืนทน เดิมทีข้านึกว่าผู้มาเปิดประตูจวนให้จะเป็นคนใช้ในบ้าน แต่นึกไม่ถึงกลับเป็นแม่ทัพหานซิ่นผู้สูงศักดิ์ในชุดผ้าแพรธรรมดาไม่สวมเกราะดังเช่นทุกวัน บอกให้ข้ารู้ว่าแม่ทัพผู้นี้ก็มีวันธรรมดาอย่างใครเขาเช่นเดียวกัน
   “ฮูหยินผู้เฒ่าอยู่ในสวน”
   “…”
   “เวลานี้นางอาการไม่สู้ดีนัก เจ้าไปดูเอาเถอะ”
   ท่านแม่ทัพบอกเล่าระหว่างที่เรากำลังเดินไปยังจุดหมาย
   “คารวะฮูหยินผู้เฒ่า”
   เมื่อไปถึงข้าแสดงความเคารพต่อฮูหยินผู้เฒ่า นางไม่ตอบคำเอาแต่นั่งเหม่อลอยมองสระบัวตรงหน้า
   “ขออภัยด้วย ท่านแม่ข้ามักเป็นเช่นนี้บ่อยๆ”
   ข้าพยักหน้าเข้าใจ พลางเดินเข้าไปหานาง นั่งคุกเข้าลงหวังจะเข้าไปขอตรวจดูชีพจรและอาการต่างๆ แต่ทันใดมืออันเหี่ยวย่นของนางกลับจับแขนของข้าไว้ แล้วกล่าวคำพูดอันบางเบาที่ได้ยินเพียงข้ากับนาง
   “จิ่วฉือเหนียง ข้าผิดไปแล้ว”
   ข้านิ่งอึ้ง ชั่วครู่นึกว่านางพูดกับตัวข้า แต่ไม่ได้เป็นเช่นนั้น นางกำลังพูดกับภาพมายาที่นางสร้างขึ้นในภวังค์ของตัวนางเอง
   “ท่านป้า”
   คำของข้าทำให้นางได้สติ หันมามอง
   “อาเฉียนหรือ”
   “ขอรับท่านป้า”
   “หานเอ๋อร์”
   “ขอรับท่านแม่”
   นางเรียกข้าและอาซิ่น ราวกับจะให้แน่ใจว่าพวกเราทั้งสองคนยังอยู่ตรงนี้
   “เจ้าไปตามจิ่วฉือเหนียงมาพบข้าหน่อยเถอะ”
   !!!
   ประโยคต่อมาของนาง ทำให้ทั้งข้าและหานซิ่นเบิกตากว้าง
   “ท่านแม่ขอรับ จิ่วฉือเหนียงตายไปแล้ว”
   เป็นแม่ทัพหานซิ่นที่ได้สติก่อนข้า จึงกล่าวบอกกับนางตามความจริง
   ใช่แล้ว จิ่วฉือเหนียงตายไปแล้ว เวลาข้าอยู่พวกท่านจงเกลียดจงชังข้า เวลานี้ข้าตายไปแล้วพวกท่านจะถามหาข้าให้ได้ประโยชน์อันใดขึ้นมา
   ไม่มีคำตอบจากฮูหยินเฒ่า นางเพียงเหม่อมองไปยังกอดอกบัวในสระเบื้องหน้า แล้วน้ำตาก็ไหลอาบสองแก้ม

   “ขอโทษด้วย ที่ต้องให้เจ้ามารับรู้เรื่องเช่นนี้”
   แม่ทัพหานซิ่นกล่าวขอโทษข้าด้วยน้ำเสียงอ่อนลงกว่าปกติ ข้าพยักหน้าเข้าใจพลางกล่าวว่า “ฮูหยินเป็นไข้ใจ โรคนี้สามวันดีสี่วันไข้ ในเมื่อเรามิอาจหาคนผู้นั้นกลับมาได้แล้ว ก็ต้องขึ้นอยู่กับตัวฮูหยินเอง ข้าได้แต่หวังว่านางจะทำใจได้ในเร็ววัน”
   ความแค้นในครั้งก่อน ข้าขออโหสิกรรมให้นับแต่วันนี้ ผู้ใดเกลียดข้า ข้าไม่เกลียดตอบ ตายแล้วเกิดใหม่เรื่องราวบุณคุณความแค้นถือเป็นที่สิ้นสุด
   “เช่นนั้นข้าขอเที่ยวชมสวนของสกุลท่านสักครู่ก่อนกลับได้หรือไม่”
   แม่ทัพหานซิ่นกล่าวว่าตามสบาย ก่อนเขาจะผละไปเพราะมีคนมาพบ ข้าไม่รู้ว่าเรื่องอะไรแต่คงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะหลังจากมีคนใช้มาเรียก เขาก็หุนหันจากไป ข้าเดินเที่ยวเตร่ไปเรื่อยๆ ไม่รู้ด้วยความเคยชินหรืออะไร ไม่นานเท้าทั้งสองของข้าก็พาตัวเองมาถึงเรือนหลังเล็ก
   เรือนที่ข้าเคยอาศัยอยู่มาสามปี
   
   ภายในเรือนยังคงงดงามดังเดิม ความงดงามสำหรับข้าคือของตกแต่งน้อยชิ้น แม้ข้าจะเป็นคุณชายจากสกุลร่ำรวยแต่ก็ไม่ใฝ่หาของหรูหราฟุ่มเฟือย สิ่งที่ข้าหามาตกแต่งห้องมีเพียงแจกันหยกสองใบ ลวดลายของแจกันเป็นนกกระเรียนคู่ ข้าจำได้ว่าหามาได้จากร้านข้างถนนในราคาไม่กี่ร้อยตำลึง โต๊ะเขียนหนังสือของข้ายังวางไว้ที่เดิม ห้องนี้น่าจะได้รับการทำความสะอาดทุกวัน เมื่อครู่ข้าลองใช้มือกวาดไปมาบนโต๊ะเครื่องแป้งแล้วแทบไม่มีฝุ่นจับ
   ข้านึกขึ้นได้จึงตรงไปที่ตู้เก็บหนังสือ หยิบตำราเล่มหนึ่งออกมาจากชั้นวาง มันเป็นบทกลอนที่ข้าเขียนทิ้งเอาไว้ก่อนตายแต่ไม่มีบุญวาสนาได้เขียนต่อจนจบ เพราะขณะนั้นข้าที่กำลังดื่มด่ำกับบรรยากาศในสวน คนของจินหรูอันก็มาเรียกข้าไปพบ จากนั้นข้าก็กินน้ำแกงถ้วยนั้นจนถึงแก่ความตาย ไม่มีโอกาสได้สานต่อบทกลอนบทนี้ เดิมทีมันเป็นของของข้า คงไม่แปลกอันใดหากว่าข้าจะเก็บเอาไปเขียนต่อที่จวนสกุลโหว ว่าแล้วก็ยัดตำราบทกลอนเล่มนี้ใส่ไว้ในสาบเสื้อ
   ของของคนตายก็คือของของข้า เพราะคนที่ตายก็เป็นข้าเอง เช่นนั้นจึงไม่อาจเรียกว่าขโมย
   “เจ้าอย่าได้เสียงดัง จงตามข้ามา”
   พลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้นในห้อง ตามมาด้วยเสียงประตูปิดลง บอกให้รู้ว่ามีใครบางคนเข้ามาในเรือนหลังเล็กนี้ ข้าซึ่งอยู่ในห้องหนังสือรีบไปหลบหลังตู้เก็บหนังสือตามสัญชาตญาณ ก่อนจะชะโงกหน้าออกมาแอบดูผู้มาเยือน
   จินหรูอัน กับใครบางคนที่ข้าไม่เห็นหน้าเพราะถูกขอบตู้เก็บหนังสือบดบังจนมิด
   นางยืนกระสับกระส่ายร้อนรน
   “ข้าน้อยทำตามที่ท่านบอกแล้ว แต่คนของท่านน่ะสิเจ้าคะ ทำเสียเรื่อง”
   “บัดนี้เทียนโฮ่วทรงกริ้วมาก เกรงว่าถ้าภารกิจต่อไปไม่สำเร็จ นางจะไม่หยุดลงโทษเพียงเท่านี้ ครั้งต่อไปถ้าเจ้าพลาด มันจะเป็นหัวของเจ้าเอง”
   ข้าปิดปากตัวเองแน่น เสียงนี้แม้ข้าไม่ได้ยินมานานเกือบสามปีแต่คุ้นหูเป็นความเคยชิน
   เสียงของพี่ใหญ่ข้า จิ่วกงเล่อ
   “เทียนโฮ่วกรุณาเมตตา จิตใจสูงส่งยิ่ง”
   “ทำภารกิจให้สำเร็จ แล้วเจ้าจะได้รางวัลจากพระนาง”
   “…”
   “หรือไม่เช่นนั้น เจ้าล้มเหลว รางวัลก็คือความตายของเจ้าเอง”
   จินหรูอันรีบคุกเข่า ก้มหัวปลกๆอย่างเกรงกลัวต่อฟ้าดิน
   “ข้าน้อยทราบแล้วๆ”
   “ดี ไป!”
   พวกเขาเร่งรีบออกไปกลัวจะมีคนมาเห็น ข้ายังยืนหลบอยู่หลังตู้เก็บหนังสือที่เดิม ในใจสับสนวุ่นวาย ในหัวเค้นความคิด
   นี่มันเรื่องอะไรกัน…

   ภารกิจอันใดที่เทียนโฮ่วสั่งให้ทำ จินหรูอันเป็นคนของพระนางอู่เช่นนั้นหรือ แต่นางก็ยังเป็นคนที่หานซิ่นรัก สกุลจินแม้ไม่มีอำนาจบารมีเทียบเท่าสกุลโหว แต่ก็สนับสนุนหานซิ่น เรื่องนี้ข้าจนปัญญาคิดแล้วจริงๆ
   เพราะมัวแต่ใจลอย จึงมิรู้ว่าเบื้องหน้ามีปราการแข็งแกร่งขวางกั้นอยู่ เช่นนั้นข้าจึงเดินไปชนเข้าอย่างจัง เป็นท่านแม่ทัพหานซิ่นนี่เองที่มายืนทำตัวเป็นเสาไม้ขวางเส้นทางเดินของข้าอยู่
   “เป็นอะไรไปอาเฉียน ข้าไม่อยู่เพียงครึ่งชั่วยามเจ้าก็เอาแต่ใจลอยคิดถึงข้าแล้วรึ”
   “ระวังปากท่านเถอะ ข้าคิดเรื่องอื่นอยู่ ใยท่านแน่ใจว่าเป็นเรื่องของท่าน”
   แม้ข้าจะสะอึกว่ามันเป็นเรื่องของท่านจริงๆ แต่ข้าก็แกล้งข่มความสะอึกนี้ลงได้
   “เมื่อก่อนเจ้าก็เอาแต่คิดถึงข้า มาบัดนี้จะให้ข้าเชื่อว่าเจ้าตัดใจได้ลงแล้วหรือ”
   “หึ ท่านหรือจะชมชอบข้า ข้าเป็นบุรุษบัดนี้ข้ารู้ตัวว่าเรื่องระหว่างเราเป็นไปไม่ได้แล้ว ข้าถอยหนึ่งก้าว ท่านก็ถอยไปแล้วสองก้าว เราต่างถอยคนละก้าว ไม่ดีหรือ”
   อีกอย่างท่านรีบๆถอยออกห่างข้าไปเสียทีเถอะ ข้าก็ถอยไปหนึ่งก้าวแล้วท่านจะก้าวตามมาติดๆอีกทำไม
   “ใครบอกว่าข้ามิชมชอบบุรุษ”
   “ฟ้าดินมีตา ถึงไม่มีใครบอก ข้าย่อมรู้ได้”
   ใครจะรู้ ว่าข้านั้นช่างไม่รู้อะไรเสียเลย ได้แต่เหมารวมไปว่าในเมื่อท่านเกลียดข้าที่เป็นอนุภรรยาจากสมรสพระราชทาน เช่นนั้นท่านก็ไม่นิยมชมชอบบุรุษเท่าใดนัก หากแต่ข้าพยายามละเลยความชั่วของตัวข้าเอง มองข้ามเหตุผลที่ว่าข้ามิเพียงเป็นบุรุษ แต่อีกเหตุผลที่ท่านแม่ทัพทำตัวห่างเหินกับข้านั้นคือข้าเป็นตัวหมากให้กับจิ่วเหมียนชง เพื่อคอยทำลายชื่อเสียงของเขา
   “เช่นนั้นเจ้าจะยอมแพ้”
   “ข้ามิได้ยอมแพ้ แต่ข้าถอยหนึ่งก้าว ท่านถอยสองก้าว ต่อให้ข้าก้าวไปตามท่านข้าก็ก้าวไม่ทันเพราะท่านก้าวหนีข้าทีละสองก้าว”
   “เช่นนั้นข้าก้าวมาอย่างนี้ดีหรือไม่”
   เป็นบ้าหรือไง ท่านก้าวมาหาข้าเช่นนี้ข้าก็เสียหลัก…
   “เฮ้ย!”
   เพราะแรงของท่านแม่ทัพที่มีมากกว่าเมื่อก้าวเข้ามาหาปะทะชนข้าตรงๆ ไฉนเลยข้าที่ผอมแห้งแรงน้อยแขนขาง่อยเปลี้ย ไม่ได้เป็นนักรบเช่นนี้จะยืนทรงตัวอยู่ได้ ย่อมเสียหลักเอนหลังจะล้มเตรียมหัวฟาดพื้น ข้าจึงหลับตาปี๋จนใจยอมรับความเจ็บปวด
   ทว่าความรู้สึกเจ็บกลับไม่ถาโถมเข้ามา ข้าจึงลืมตาขึ้น พบว่าตนเองยามนี้ตกอยู่ในอ้อมกอดของท่านแม่ทัพเสียแล้ว
   “ท่าน!!!”
   ข้ารีบยันตัวลุกขึ้นยืนตรง ชี้หน้าหานซิ่นอย่างลืมมารยาท
   “ท่านแกล้งข้า สนุกหรือไรแกล้งคนไม่มีกำลัง”
   “สนุกสิ” แม่ทัพกล่าวหน้าตาเฉย คนผู้นี้หน้าหนายิ่งนัก แกล้งผู้อื่นแล้วยังยืนยิ้มปะทะคารมอยู่ได้
   “ท่าน!!!”
   เจ้ามันแม่ทัพผู้เหลืออด ข้าไม่รู้จะก่นด่าสาปแช่งเจ้าอย่างไรแล้ว ได้แต่สะบัดชายเสื้อแล้วหันหน้าหนีไปอีกทา
 ขาก็ก้าวเดินเพียงแต่คิดว่าไปให้พ้นๆจวนของคนขี้แกล้งผู้นี้เสียที
   “อย่าไปฟ้องท่านโหวล่ะเจ้า” เขาตะโกนไล่หลังมา
   “เรื่องเล็กเช่นนี้ ใครเขาทำกัน”
   ข้ารีบหลับหูหลับตาเดินออกมาด้วยความอับอายที่ถูกหยอกล้อ มีเสียงหัวเราะร่วนดังตามหลังมาติดๆ
   ฝากไว้ก่อนเถอะ แม่ทัพหานซิ่น
   
   
หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทห้า : ลางร้ายในจวนสกุลหาน {09-11-2019}
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 09-11-2019 16:01:14
หรูอัน นังอสรพิษ
หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทห้า : ลางร้ายในจวนสกุลหาน {09-11-2019}
เริ่มหัวข้อโดย: bigbeeboom ที่ 09-11-2019 16:45:11
น่าติดตามมากจ้า สนุกมากอ่านรวดเดียว โอยลุ้นๆ
หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทห้า : ลางร้ายในจวนสกุลหาน {09-11-2019}
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 09-11-2019 17:26:04
แม่ทัพหานนี่ดูท่าคิดยังไงๆ กับคุณชายเฉียนซะละ   :impress2:
หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทห้า : ลางร้ายในจวนสกุลหาน {09-11-2019}
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 09-11-2019 23:40:50
ท่านแม่ทัพเนี่ยมีอะไรที่ไม่ชอบอนุที่ตายไป แล้วมีอะไรที่ชอบเตาะคุณชายเสียจริง อยากรู้จริง ๆ เลย  :katai1:
หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทหก : เมื่อเทพเซียนมาเยือนข้า 10-11-2019
เริ่มหัวข้อโดย: MewSN ที่ 10-11-2019 13:57:37
บทหก
เมื่อเทพเซียนมาเยือนข้า
   ข้ากลับมาจวนสกุลโหวด้วยใบหน้าไม่สบอารมณ์ ไม่มีคนใช้ผู้ใดกล้าเข้าใกล้ข้า
   “นายน้อยเจ้าคะ ดื่มชาให้ผ่อนคลายอารมณ์หน่อยเถอะ”
   ยกเว้นเหมยฮวาที่ทำใจดีสู้เสือเข้ามาหาข้า ข้าสูดกลิ่นชาผสมน้ำผึ้งมะนาวแล้วให้คลายความหงุดหงิดลง ยกถ้วยชาขึ้นดื่ม เพียงลิ้นสัมผัสความเปรี้ยวหวาน ก็ทำให้ใจคลายทุกข์ได้ ความกังวลที่มีมาตลอดระยะทางกลับจวนหลังไปได้ยินได้ฟังเรื่องไม่ควรรู้เข้าก็ค่อยๆบรรเทาลง
   “จริงสินายน้อยเจ้าคะ เมื่อครู่นายหญิงใหญ่มาหาท่านแต่ไม่พบ บอกว่าเมื่อคุณชายกลับมาให้แจ้งท่านด้วยว่าให้ไปหานางที่เรือนรับรอง”
   “ด้วยเหตุอันใด”
   “ไม่ทราบเจ้าค่ะคุณชาย นางเพียงแต่ให้ข้าเรียนท่านเช่นนี้”
   ข้าพยักหน้าเข้าใจ
   
   “คารวะท่านแม่ใหญ่”
   “ตามสบายเฉียนเอ๋อร์ เจ้ามาหาแม่นี่มา”
   ข้าขยับตัวเปลี่ยนตำแหน่งไปนั่งใกล้ๆนาง นางวางมือบนหัวทุยๆของข้า แล้วลูบเส้นผมยาวสลวยเงางามของข้าไปมา
   “คราวนี้เจ้าไปนานเป็นปี หวังจะไปศึกษาวิชาแพทย์เพิ่มเติมดั่งคำเจ้าว่าครั้งก่อน ข้าเลยตั้งใจจะมอบของไว้ดูต่างหน้า ยามเจ้านึกถึงบ้าน นึกถึงท่านแม่ เจ้าก็นำปิ่นปักผมเล่มนี้ออกมาดูให้หายคิดถึงเถิด”
   ท่านแม่ล้วงมือลงไปในหีบเล็กข้างกายนาง แล้วหยิบปิ่นหยกขึ้นมาเมื่อมองดูใกล้ๆจึงมองเห็นอักษรจีนประณีตงดงามสลักเป็นชื่อของข้า
   “ขอบคุณขอรับท่านแม่ ข้าจะรักษามันไว้อย่างดี”
   ที่แท้ท่านแม่ใหญ่ก็กลัวจะทนคิดถึงข้าไม่ได้ ความจริงที่นางอ้างว่าให้ของแทนใจ ให้ข้าเอาออกมาดูยามคิดถึงนาง แท้จริงนางได้ซื้อปิ่นหยกคู่ที่เหมือนกันมาไว้แล้ว ชิ้นหนึ่งให้ข้า อีกชิ้นนางเก็บเอาไว้เป็นของดูต่างหน้าข้า ยามเมื่อนางเองก็คิดถึงข้าเช่นกัน
   ข้าสวมกอดนางแน่น ท่านแม่น้ำตารื้นขึ้นมา ก่อนนางจะลูบหน้าลบน้ำตา แล้วกล่าวว่า “เจ้าไปครานี้ ไปไกลถึงลั่วหยาง มีอะไรก็อดทนนะลูกแม่ หนักนิดเบาหน่อยก็อย่าได้ท้อถอย ตั้งใจเรียนให้แตกฉานในวิชาการแพทย์ วันหน้าแม้เจ้าไม่เดินเส้นทางสายขุนนางแม่ก็ไม่ว่าอะไร ส่วนพ่อเจ้าไม่ต้องกังวล ไม่มีพ่อแม่คนไหนที่ไม่อยากให้ลูกประสบความสำเร็จ ความมีหน้ามีตา มิสู้เป็นคนดีหรอกลูกแม่”
   เห็นได้ชัดว่านางช่างเป็นสตรีที่มีใจกว้างขวางดั่งแม่น้ำหวงเหอจริงๆ
   ข้าสวมกอดนางจากใจจริง หลายคนคงเวทนาเฉียนเฉิงคนก่อนหากไม่ตายตกไปเสียก่อนก็ควรจะได้รับความรักความอบอุ่นเช่นนี้อยู่ร่ำไป เพียงแต่ข้าไม่คิดเช่นนั้น แม้เป็นความโชคร้ายของเขา แต่กลับเป็นโชคดีของข้า บัดนี้เขาตายมิได้หมายความว่าเป็นเพราะข้า ทุกอย่างล้วนถูกกำหนดโดยสวรรค์ เมื่อสิ้นวาสนาต่อกัน คนก็ต้องจากไป
   ข้าทั้งมิได้ยินดีเกินงาม และมิได้อาลัยอาวรณ์เขาเกินไปเช่นเดียวกัน
   “มาๆลูกเฉียน ข้านี่ไม่เอาไหน พลอยทำให้ลูกชายมีห่วงเสียได้ ข้าว่าจะไม่ร้องไหแล้วนะ”
   ข้ากับท่านแม่ใหญ่ผละออกจากอ้อมกอดกันและกัน ก่อนที่นางจะผายมือให้ข้ากลับมานั่งตรงข้ามดังเดิม
   “คารวะท่านพี่หญิง”
   “คารวะท่านแม่รอง”
   ข้าลุกขึ้นเคารพท่านแม่รอง นางทรุดนั่งลงข้างกายข้า
   “นี่คงเป็นปิ่นหยกแท้ ที่พี่หญิงมอบให้เจ้าสินะ วันนี้แม่ก็มีของดูต่างหน้ามามอบให้เจ้าเช่นเดียวกัน”
   “เช่นนั้นอย่าให้น้อยหน้าข้าล่ะ น้องเหวินเฉียน”
   เกิดการข่มขวัญกันระหว่างท่านแม่ทั้งสองขึ้นแล้ว แต่ก็เพียงเป็นการหยอกล้อกันเล่นตามประสาพี่น้องเท่านั้น คนในสกุลย่อมโหวรู้ดีกว่าใคร ว่าความรักใคร่ปรองดองระหว่างสามภรรยาของท่านโหวนั้นแน่นแฟ้นยิ่งนัก มีหรือจะกัดกันเป็นจริงเป็นจังไปได้
   “ของๆข้า สู้ปิ่นหยกท่านพี่ฮวนอิ๋งมิได้หรอก นี่เป็นถุงเงินที่แม่ถักให้เจ้าเองกับมือ เจ้านำติดตัวไปไว้เถิด”
   ข้ารับถุงเงินลายนกกระเรียนคู่มาไว้ในมือ ข้าเริ่มมั่นใจแล้วว่ารสนิยมของเฉียนเฉิงคนก่อนคงชื่นชอบลายนกกะเรียนคู่เป็นแน่ ซึ่งตรงกับรสนิยมของข้า ที่ของตกแต่งเรือนนั้นย่อมมีแต่ลายนกกระเรียนคู่ บุรุษอย่างข้าเกิดมาชะตาอาภัพรัก ได้แต่หวังดูลายนกกะเรียนคู่ไว้ปลอบประโลมจิตใจ วันใดได้เจอเนื้อคู่ ย่อมเป็นฟ้าลิขิต หากไม่มี ก็ย่อมเป็นฟ้าลิขิตอีกเช่นเดียวกัน
   บนถุงเงินสลักอักษรจีนงดงามอ่อนช้อยเป็นชื่อของข้า เช่นเดียวกับปิ่นหยกของท่านแม่ใหญ่
   “ปิ่นหยกข้ารึจะสู้ฝีมือเย็บปักถักร้อยของน้องหญิงได้ ถ่อมตัวเกินไปแล้ว ปิ่นหยกราคาแพงล้วนหาง่าย แต่ความจริงใจในผลงานที่ใส่เข้าไปในถุงเงินนี้ของเจ้าต่ออาเฉียนนั้นย่อมมีเพียงสิ่งเดียวในโลก”
   “ขอบคุณท่านพี่หญิงที่ชื่นชม”
   ท่านแม่รองคำนับท่านแม่ใหญ่เป็นการขอบคุณ
   “เอาเถอะ หวังว่าน้องเล็กคงมิได้เอาของอันใดที่เหนือกว่าของพวกเรามาหรอกนะ”
   คำพูดเหล่านี้เป็นเพียงการหยอกล้อกันของพวกท่านแม่เท่านั้น ไม่ได้มีจิตริษยาแฝงอยู่ในเนื้อคำแม้แต่น้อย
   “น้องมาแล้วเจ้าค่ะท่านพี่ทั้งสอง คารวะท่านพี่ทั้งสอง”
   “คารวะท่านแม่เล็กขอรับ”
   ท่านแม่เล็กเดินเข้ามาหาข้า “ไม่ต้องมากพิธี ดูซิ อาฉียนของแม่โตเป็นหนุ่มเสียแล้ว”
   ข้ายิ้มเขิน พลางคิดในใจว่า ท่านแม่เล็กผู้นี้กล่าวชมข้าเกินไปแล้ว
   “ไหนน้องฟางเชียน เจ้าเตรียมอะไรมาให้เฉียนเอ๋อร์”
   “ข้ามิรู้จะช่วยอันใดเฉียนเอ๋อร์ได้ เรื่องเย็บปักถักร้อยข้าหรือจะสู้ท่านพี่รองได้ หนำซ้ำสมบัติข้าช่างน้อยนิดนักเมื่อเทียบกับท่านพี่ใหญ่ ข้าจึงขอมอบตำราให้ลูกของเรา นี่เป็นตำราทางการแพทย์ทั้งหมดของฉางอาน หวังว่าจะพอช่วยเจ้าได้ยามต้องไปศึกษาต่อที่ลั่วหยางได้นะเฉียนเอ๋อร์”
   “ขอบพระคุณขอรับท่านแม่เล็ก”
   “เอาเถอะ เจ้ากล่าวว่าปิ่นของข้าราคาแพง ตำราเจ้าที่หายากก็มีมิใช่น้อย แถมราคาในตลาดมืดช่างสูงลิ่ว เห็นทีคงควักสมบัติทั้งหมดของเจ้ามาจ่ายแล้วกระมัง”
   นี่ก็เป็นเพียงคำพูดหยอกล้อกันตามประสาพี่น้องของภรรยาทั้งสามของท่านพ่อเท่านั้น ข้าย่อมยิ้มไม่หุบกับความรักใคร่ปรองดองเหนียวแน่น ภาพเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นในจวนสกุลจิ่ว
   “ข้าผิดไปแล้วท่านพี่ ท่านอย่าลงโทษข้าเลย”
   ท่านแม่เล็กออดอ้อนท่านแม่ใหญ่ เป็นภาพที่พบเห็นได้ยากยิ่ง นั่นยิ่งทำให้ข้าฉีกยิ้มกว้าง คนใช้นายบ่าวต่างเห็นภาพเหล่านี้แล้วพลอยหุบยิ้มไม่ลงไปตามๆกัน
   “เอ๊ะ เจ้านี่ ทำเหมือนข้าเป็นภรรยาเอกใจจืดใจจำ ดูสิน้องเหวินเฉียน ดูนางทำเข้า คนไม่รู้พลอยจะคิดว่าข้ารังแกนางเข้าล่ะสิ”
   “ถ้าเช่นนั้นให้ข้าลงโทษดีหรือไม่”
   ท่านแม่รองก็ร่วมผสมโรงเล่นละครกันสนุกสนาน
   “ถ้าท่านพี่ทั้งสองรุมแกล้งข้าเช่นนี้ ข้าจะเอาอาเฉียนเป็นเกราะกำบัง”
   ว่าแล้วท่านแม่เล็กก็กระโจนเข้ามาหลบหลังข้า
   ภาพเหล่านี้เหล่าบ่าวไพร่คนเก่าคนแก่มองแล้วก็พลันให้นึกถึงย้อนไปเมื่อวันวานตอนคุณหนูของพวกเขาพวกเธอยังเป็นเด็ก ครั้งนั้นเฉียนเฉิงในวัยสิบขวบวิ่งโร่มาฟ้องท่านแม่ทั้งสามว่าถูกท่านพ่อดุด่า พวกนางมิรู้จะทำเช่นไรให้เด็กน้อยหยุดร้องไห้ จึงเล่นละครด่ากันไปมา โทษว่าเป็นความผิดของน้องรองบ้าง น้องเล็กบ้าง พี่ใหญ่บ้าง ที่ทำให้เฉียนเอ๋อร์ถูกเสนาบดีต่อว่า จนเฉียนเอ๋อร์ตัวน้อยรู้ความ ก็กล่าวว่า ข้าจะไม่น้อยใจเช่นนี้อีก สุดท้ายทุกคนจึงปรองดองกัน รวมทั้งท่านพ่อก็ถูกเด็กน้อยให้อภัยด้วย
   “กำบังอะไรเจ้าได้ อาเฉียนเชื่อฟังคำแม่ใหญ่ ส่งตัวนางมา”
   “ไม่นะขอรับท่านแม่ ท่านแม่เล็กน่าสงสารออกเช่นนี้ ข้าว่าควรงดข้าวท่านแม่เล็กขอรับ”
   เมื่อข้ากล่าวเช่นนี้ กลับกลายเป็นว่าท่านแม่ทั้งสามร่วมสามัคคีกันเปล่งคำว่า “อาเฉียน!!!” ซึ่งเป็นชื่อของข้าออกมาดังๆ
   ก่อนจะปรองดองกันรุมด่าข้า เท่ากับว่าสายลมหวนกลับ
   “ดูซิกล้าอดข้าวท่านแม่เล็กได้ลงคอ เด็กคนนี้โตมานิสัยใจคอไม่ดี” ท่านแม่ใหญ่เล่นละครต่อว่าข้า พลอยทำให้บ่าวไพร่หัวเราะสนุกสนาน
   “ข้าขอโทษขอรับ อาเฉียนผิดไปแล้ว”
   ไม่รู้จะถามหาความสมเหตุสมผลจากที่ใดกัน จากแต่เดิมนั้นท่านแม่เล็กผิด ถูกท่านแม่ทั้งสองกล่าวว่า แต่ตอนนี้กลายเป็นเมื่อข้าเข้าข้างท่านแม่ทั้งสอง ท่านแม่ทั้งสามคนกลับเข้าข้างกันแล้วมารุมข้า
   จนคนที่ผิด สุดท้ายก็กลายเป็นข้าไปเสียอย่างนั้น
   “เช่นนั้นวันนี้เจ้าต้องเป็นเด็กดี เชื่อฟังวาจาท่านแม่ทั้งสาม คอยอยู่ปรนนิบัติพัดวีให้หายคิดถึงก่อนจะจากกันไปแรมปี”
   ท่านแม่ใหญ่สรุปความผิดและบทกำหนดโทษของข้าเสร็จสรรพ พวกนางก็หันไปยิ้มให้กันเมื่อแกล้งข้าเป็นผลสำเร็จ
   “ขอรับๆ ไม่มีหญิงใดงามเท่าท่านแม่ทั้งสามของข้าแล้ว เฉียนเอ๋อร์มิกล้าไปปรนนิบัติพัดวีให้หญิงใดหรอกขอรับ”
   “วาจาไพเราะเสียจริงลูกของข้า ดี!”
   ท่านแม่รองกล่าวชมข้า
   “น่าเศร้านักน้องเหวินเฉียน เจ้าช่างถูกความใสซื่อของเฉียนเอ๋อร์หลอกไปแล้วเต็มๆ”
   “ท่านแม่ใหญ่ของข้าจิตใจกว้างขวาง เป็นโชคดีของบิดาที่แต่งงานกับหญิงงามเช่นท่าน”
   “เฉียนเอ๋อร์มาให้ท่านแม่ใหญ่ของเจ้ากอดเร็ว”
   แล้วเมื่อครู่ผู้ใดบอกกันว่าอย่าหลงคารมคมคายของข้า ใช่ท่านแม่ใหญ่ที่กำลังกอดข้าอย่างรักใคร่หรือไม่ขอรับ
   ข้ากำลังจะตายเพราะสำลักความสุขจากอ้อมกอดของหญิงงามทั้งสามเสียแล้ว
   “พวกเราต้องคิดถึงเจ้ามากแน่ๆ เฉียนเอ๋อร์ลูกรัก”
   ข้าก็จะคิดถึงพวกท่าน ข้าจะคิดถึงพวกท่านทุกๆคน…

   “เจ้าหนูนี่หลับลึกตื่นยากเสียจริง ข้าปลุกเท่าไหร่ก็มิยอมขยับเขยื้อนกาย หลงจมอยู่ในห้วงฝัน”
   ข้าได้ยินเสียงแหบแห้งของชายผู้หนึ่งดังขึ้นใกล้ๆตัว จึงค่อยๆลืมตาตื่นขึ้น หรี่ตาเพื่อปรับแสงในความมืดจึงพบว่าข้างเตียงข้า มีเฒ่าชรากับอีกหนึ่งหนุ่มเจ้าสำอางยืนอยู่
   ผู้เฒ่าพกน้ำเต้าคือเทพเซียนหลี่เถียไกว่ ส่วนอีกหนึ่งนั้น ข้าดูไม่ออก แต่ย่อมเป็นเซียน
   ข้ารีบลุกขึ้นมาคารวะเทพเซียนทั้งสอง
   “ตื่นเสียที ข้าเคาะกระบี่เรียกเจ้าตั้งนาน พลอยจะทำให้คนตื่นทั้งจวนแล้วเจ้าก็ไม่ลุกขึ้นมา ข้าอยากรู้นักว่าในฝันเจ้าฝันถึงสิ่งใดกัน”
   “เอาเถอะท่านลื่อทงปิน บัดนี้เวลาไม่รอท่า ความเป็นความตายของผู้ที่ท่านคอยคุ้มครองขึ้นอยู่กับเขาผู้นี้”
   เมื่อได้ยินท่านผู้เฒ่าหลี่เถียไกว่พูดชื่อของเขาออกมา ข้าก็นึกออก ในตำราเทพเซียนโบราณของจีน หลี่ว์ต้งปิน จัดเป็นเซียนที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุด เขาคือหนึ่งในปาเซียน*(โป๊ยเซียน)ลำดับที่สาม ทางลัทธิเต๋าเทิดทูนท่านเป็น ‘ฉุนหยางจู่ซือ’ มักปรากฏกายในร่างของหนุ่มรูปงามเจ้าสำอางรอยยิ้มกรุ่มกริ่ม แต่มีความองอาจห้าวหาญจนเป็นที่เลื่องลือ ในยามปกติจะสะพายกระบี่ไว้กลางหลัง และออกท่องเที่ยวไปทั่วแว่นแคว้น ซึ่งเมื่อครู่ข้าก็ประจักษ์แล้วว่า เขาได้ใช้กระบี่เล่มนั้นเคาะข้าให้ตื่นจากฝันจริงๆ
   ตามตำนานเล่าขานกันว่าหลี่ว์ต้งปินเกิดในสมัยของพระปฐมจักรพรรดิของราชวงศ์ถัง เป็นเซียนอายุน้อย มีชื่อเดิมว่า ‘หลี่ว์เอี๋ยน’ เคยไปสอบขุนนางเพื่อรับราชการในตำแหน่งจิ้นซื่อ แต่สอบตกสร้างความเสียอกเสียใจให้แก่ท่านเป็นอย่างมาก จึงได้ออกเดินทางร่อนเร่พเนจรไปเรื่อยๆ จนได้มาพบกับจงหลีเฉวียน(หนึ่งในเทพเซียนเช่นเดียวกัน) จึงได้ปรับทุกข์ให้ฟังถึงความอาภัพอับโชค จงหลีเฉวียนได้ยินได้ฟังก็ไม่ว่ากระไร และยังได้ต้มข้าวหวงเหลียง พร้อมทั้งส่งหมอนให้แก่หลี่ว์ต้งปินนอนหลับพักผ่อนเสียก่อน ในระหว่างห้วงแห่งความฝันนั้นเอง หลี่ว์ต้งปินได้ฝันเห็นตนเองประสบความสำเร็จ สามารถสอบได้เป็นจิ้นซื่อสมปรารถนา และเรื่องราวต่างๆในความฝันก็ต่อเนื่องกันมา สอบรับราชการได้สำเร็จ มีชีวิตที่รุ่งเรือง มีหน้าที่การงานที่มั่นคง แต่งงานมีครอบครัว ถูกปรักปรำให้ร้าย ถูกปลดจากตำแหน่ง ต้องโทษจำคุก สุดท้ายบ้านแตกสาแหรกขาด ทันใดนั้นเอง หลี่ว์ต้งปินก็สะดุ้งตื่นขึ้น พบว่าข้าวหวงเหลียงยังไม่ทันสุกดีเลย จงหลีเฉวียนหัวร่อพร้อมกับกล่าวทักทายในความฝันเหล่านั้น ทำให้หลี่ว์ต้งปินบังเกิดความสะทกสะท้อนใจและปลงกับสัจธรรมแห่งชีวิต จึงได้กราบจงหลีเฉวียนเป็นอาจารย์ และพากันไปบำเพ็ญเพียรภาวนาที่เขาหนานซาน จนกระทั่งสามารถบรรลุมรรคผลกลายเป็นเซียนในที่สุด
   สัญลักษณ์ประจำตัวของหลี่ว์ต้งปิน คือกระบี่วิเศษณ์ กล่าวกันว่ากระบี่เล่มนี้มิใช่ธรรมดา แต่เป็นกระบี่ที่มีฤทธาอันยิ่งใหญ่ สามารถกำราบพิชิตมารร้ายได้
   ซึ่งกระบี่เล่มนี้ วันนี้เขาได้นำมันมาเพื่อเคาะให้ข้าตื่นจากฝัน อา…วิเศษณ์สมชื่อจริงๆ
   “เจ้าตามข้ามา”
   ข้าไม่ทันได้ถามอะไรต่อ ร่างของเซียนทั้งสองก็ล่องลอยออกไปทางประตูหน้าต่าง ข้ารีบลุกขึ้นแต่งตัวอย่างลวกๆ แล้วรีบไล่ตามพวกเขาทั้งสองไป
   เทพเซียนทั้งสองล่องลอยไปตามถนนหนทางในเมืองหลวง บัดนี้ข้าวิ่งตามมาไกลห่างจากจวนสกุลโหวมากแล้ว แต่ท่านทั้งสองก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลย
   ข้าตามพวกเขาไปจนกระทั่งถึงกระท่อมทรุดโทรมหลังหนึ่ง ตั้งอยู่ปลายสุดของถนนที่ทอดตรงสู่เมืองหลวง เท่ากับว่าเวลานี้ ข้าได้ถูกนำพามานอกเมืองไม่ไกลนัก มองจากตรงนี้ ยังเห็นประตูเมืองหลวงอยู่รำไร เพราะเป็นเทศกาลในฤดูใบไม้ผลิ จึงไม่ต้องแปลกใจที่เมืองหลวงจะเปิดประตูต้อนรับอาคันตุกะตลอดทั้งคืน เพียงแต่พลทหารเหล่านั้น บัดนี้ไม่รู้หายไปอยู่ที่ใด ข้าจึงออกจากประตูเมืองมาได้โดยง่าย
   “เขาอยู่ที่นี่แหละ หลี่เถียไกว่เจ้าเชี่ยวชาญด้านการแพทย์ จงใช้วิชาเซียนของเจ้า ช่วยเขาเถิด”
   “เจ้าเข้าไปดู”
   หลี่เถียไกว่ผายมือให้ข้าเข้าประตูกระท่อมไป
   “น่าขำยิ่งนัก เจ้าฝากฝังวิชาแพทย์อันมหัศจรรย์กับมนุษย์อ่อนแอผู้นี้ เจ้ามันคงเป็นตาแก่เลอะเลือนดั่งอาจารย์ข้ากล่าวหาแล้ว”
   หลี่เถียไกว่มิกล่าวสิ่งใด เขามีเพียงสีหน้าราบเรียบราวห้วงน้ำลึกมอบให้เท่านั้น
   ประตูกระท่อมถูกเปิดออกมาอีกรอบ หลังจากโหวเฉียนเฉิงเข้าไปแล้วเมื่อครู่ และเป็นโหวเฉียนเฉิงอีกนั่นแหละที่รีบเร่งออกมา
   “นี่มันเรื่องอันใดกันขอรับ เหตุใดท่านแม่ทัพหานซิ่นจึงนอนครึ่งเป็นครึ่งตายอยู่เช่นนี้!!!”

ขอขอบคุณข้อมูลของเทพเซียนหลี่ว์ต้งปินจากบทความ “หลี่ว์ต้งปิน” จากเว็บไซต์ : http://www.jiewfudao.com
*ปาเซียน หรือ โป๊ยเซียน คือเซียนแปดองค์ ตามความเชื่อในลัทธิเต๋าของจีน เป็นเทพเจ้าที่ชาวจีนนับถือมาช้านาน นับเป็นหนึ่งในบรรดาเซียนนับร้อย ๆ องค์ของจีน แต่เซียนทั้งแปดนี้ นับว่าเป็นที่รู้จักดีและได้รับการนับถืออย่างกว้างขวางมาก ในศาลเจ้าตามของหมู่บ้านชาวจีน มักจะมีแท่นบูชาที่ปูด้วยผ้า มีภาพวาดเซียนทั้งแปดรวมเป็นกลุ่ม บ้างก็เป็นภาพเซียนนั่งเรือกลับจากการไปงานเลี้ยงของพระนางไซอ๋องโบ้ (งานเลี้ยงของทวยเทพและเซียนต่าง ๆ) สมาชิกทั้ง ๘ ในกลุ่มของโป๊ยเซียนนั้นแตกต่างกันไปตามยุคสมัย {ข้อมูลจากเว็บไซต์ : http://www.thaicine.org}

   
   
หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทหก : เมื่อเทพเซียนมาเยือนข้า 10-11-2019
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 10-11-2019 15:27:34
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทหก : เมื่อเทพเซียนมาเยือนข้า 10-11-2019
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 11-11-2019 00:05:25
แม่ทัพไปโดนอะไรมาล่ะนั่น
หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทหก : เมื่อเทพเซียนมาเยือนข้า 10-11-2019
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 11-11-2019 12:06:01
สนุก..........  :katai2-1:
ไรท์มาต่อไวๆนะ   :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทเจ็ด : ความวุ่นวายในเมืองหลวง ภาคต้น
เริ่มหัวข้อโดย: MewSN ที่ 12-11-2019 20:54:09
บทเจ็ด
ความวุ่นวายในเมืองหลวง ภาคต้น

   หานซิ่นลุกจากที่นอนในยามโฉ่ว(01.00 - 02.59 น.)เมื่อได้ยินเสียงดังวุ่นวายขึ้นในจวน เขารีบเร่งเปิดประตูเรือนออกไปทันที ไม่นานเงาร่างหนึ่งก็มาโผล่ตรงหน้า เป็นหัวหน้าองครักษ์ชิงชิวนั่นเอง หัวหน้าองครักษ์ย่อมต้องอยู่ข้างกายฝ่าบาท บัดนี้มาปรากฏตัวด้วยชุดดำอำพรางกายตรงหน้าเขา น่ากลัวว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับฮ่องเต้เสียแล้ว
   “ชิงชิวคารวะท่านแม่ทัพ”
   “เกิดเรื่องอันใดขึ้นท่านหัวหน้าองครักษ์”
   พรึบ!
   ยังไม่ทันได้ซักไซ้ไล่ความ ร่างทั้งร่างของท่านหัวหน้าองครักษ์ก็ล้มลงตรงหน้าหานซิ่น
   “นายน้อยขอรับ”
   พอดีกับที่พ่อบ้านหลี่ พ่อบ้านชราที่คอยรับใช้ตระกูลหานมานาน มาถึงพอดี เมื่อครู่เขาได้ยินเสียงคนเคลื่อนไหวภายนอกจวน พ่อบ้านผู้นี้แม้อายุมากแล้วแต่ความสามารถกลับไม่ถดถอยตามสังขาร ยังคงหูตาว่องไว ยามนี้ย่อมรู้ว่าในจวนมีผู้แปลกหน้าเข้ามาแล้ว
   “พ่อบ้านหลี่ ไปตามหมอมาให้ข้า”
   “ขอรับ”
   พ่อบ้านชรารับคำ ก่อนจากไปด้วยความเร่งรีบ
   ส่วนหานซิ่นนั้นประคองร่างหัวหน้าองครักษ์เข้าไปนอนบนเตียงในเรือน ตรวจดูร่างกายของอีกฝ่ายจึงรู้ว่ามีบาดแผลเป็นรูเล็กๆบนไหล่ขวาเหมือนรอยงูกัดสองรู
   ลมเย็นตีผ่านหน้าต่าง พาให้ผ้าม่านปลิวไสว หานซิ่นจับกระบี่ข้างกายขึ้นมาเตรียมไว้
   “คารวะท่านแม่ทัพ”
   “ผู้ใดกัน!”
   บุคคลที่มามิได้แสดงตัวในทันที เขาค่อยๆก้าวออกมาจากเงามืด
   “ซุนฉื่อหรือ”
   หัวหน้าขันทีซุนฉื่อ ขันทีประจำกายของพระเจ้าถังเกาจงอย่างนั้นหรือ
   “เวลาไม่รอท่าแล้วท่านแม่ทัพ ฝ่าบาทกำลังตกอยู่ในอันตราย รีบตามข้าเข้าวังหลวงยามนี้เถอะ”
   ไม่มีเวลาให้คิด เพียงเอ่ยว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับความเป็นความตายของฝ่าบาท แม่ทัพหนุ่มก็รีบเร่งคว้าเสื้อนอกมาสวมใส่อย่างลวกๆ ไม่ต้องพูดถึงชุดเกราะเพราะย่อมไม่มีเวลาให้หยิบมาสวม
   “ตามข้ามาทางนี้!”
   
   เมื่อพ่อบ้านหลี่นำหมอมาถึงเรือนพักของนายน้อย ท่านแม่ทัพหานซิ่นก็ไม่อยู่เสียแล้ว
   “เชิญท่านหมอทางนี้ขอรับ”
   เขาผายมือให้หมอไปตรวจดูอาการของคนที่นอนอยู่บนเตียง ด้วยสายตาอันว่องไว พ่อบ้านหลี่สังเกตเห็นอะไรบางอย่างในมือของอีกฝ่ายที่กำแน่น
   เมื่อคลายออกมาก็พบกับกระดาษสีขาว ที่บรรจงเขียนด้วยรอยเลือด
   “แย่แล้ว!”
   นายน้อยของเขาอยู่ที่ใดกัน

   ระหว่างเส้นทางลัดเลาะเข้าวังหลวง แม่ทัพหานซิ่นจิตใจกระวนกระวาย
   “เรื่องเป็นมาอย่างไรกันท่านหัวหน้าขันที”
   ซุนฉื่อไม่หยุดฝีเท้า ยังก้าวเดินต่อไป
   “เมื่อตอนเย็นฝ่าบาททรงเสด็จไปตำหนักพระนางอู่ ร่วมทานอาหารมื้อค่ำ จิบสุราเลิศรสที่ได้มาจากแดนใต้ พูดคุยกันเรื่องสัพเพเหระไม่สลักสำคัญใดๆ เพียงแต่ว่า นึกไม่ถึงจู่ๆเทียนโฮ่วก็ท่องบทกวีบทหนึ่ง เพียงได้ฟังสีพระพักต์ของฝ่าบาทก็ซีดเผือด ข้าน้อยอยู่ไกลจึงมิรู้ว่าบทกวีที่พระนางอู่ท่องนั้นมีเนื้อความว่าอย่างไร จนสังเกตอาการผิดปกติของฮ่องเต้ได้ ข้าจึงไต่ถาม ได้ความว่า บทกวีที่นางท่องคือบทกวีของเจ้าจวิ้น”
   หานซิ่นแม้เป็นแม่ทัพ แต่มิได้แข็งทื่อใช้เป็นแต่เพียงกำลัง
   “ฟ้าดินดับแสง ดวงอาทิตย์มอด ดวงใหม่เจิดจ้า”
   !!!
   “ฮ่องเต้ทรงเรียกหัวหน้าองครักษ์เข้าพบ แต่สายไปเสียแล้วที่จะวางแผนป้องกันตนเอง เมื่อถึงยามจื่อ (23.00 - 24.59 น.) กองกำลังจากตำหนักเทียนโฮ่วก็ได้ล้อมบริเวณตำหนักของพระองค์เสียแล้ว หัวหน้าองครักษ์พยายามฝ่าวงล้อมออกไป อีกทางก็ให้ข้าแอบออกมาอย่างเงียบเชียบ นึกไม่ถึงว่าทางฝั่งของเขานั้นจะเจอปัญหาที่ใหญ่กว่าข้า”
   เช่นนั้นเขาจึงได้รับบาดเจ็บ หานซิ่นจึงเข้าใจเหตุการณ์ทั้งหมด
   “ดังนั้นเมื่อข้าออกมาได้ จึงมาที่จวนของท่าน ในยามนี้แม้ท่านเกณฑ์ไพร่พลก็ไม่ทันการณ์แล้ว ข้ายังพอมีกองกำลังทหารรับจ้างอาศัยปะปนอยู่เป็นยามเฝ้าประตู ถ้าเราเข้าวังไปรวบรวมพวกเขาแล้วไปช่วยฮ่องเต้ ยังอาจมีทางรอด ความเป็นตายของพระองค์ขึ้นอยู่กับท่านแล้ว”
   หานซิ่นได้ฟังน่ากลัวว่าจะช้ากว่านี้ไม่ได้แล้ว

   พ่อบ้านหลี่รีบนำสาส์นที่เขาได้มันมาจากมือของหัวหน้าองครักษ์ไปให้หานฮูเสียดู เมื่อนายใหญ่ของจวนสกุลหานอ่านมันซ้ำไปซ้ำมาอย่างละเอียด แม้ตัวอักษรจะเขียนไว้เพียงแค่สี่คำ
   “นี่มันเรื่องใหญ่แล้ว หานซิ่นไปที่ใดกันพ่อบ้านหลี่” หานฮูเสียถามถึงลูกชายตน
   “ข้าน้อยมิทราบขอรับ คุณชายให้ข้าไปตามหมอ พอกลับมาก็ไม่พบกันแล้ว”
   หานฮูเสียได้ฟังพลันความวิตกกังวลก็ถาโถมเข้ามา เขามองออกไปนอกผ้าม่าน ดวงจันทร์วันนี้มืดดับไปแล้วครึ่งเสี้ยว
   “รีบแต่งตัวให้ข้า ส่งคนไปตามท่านเสนาธิการโหวมาที่จวนของเรา”
   หานฮูเสียสั่งการ มือกวักเรียกบ่าวรับใช้เข้ามา
   “พวกเจ้าไปปลุกฮูหยินข้าให้ตื่น บอกทุกคนมารวมตัวกันที่นี่ให้หมด”
   บ่าวรับใช้รับคำแล้วรีบเร่งออกไปทันที
   “อ๊าก!!!”
   แต่ไปไม่ถึงไหน ร่างของเขาก็ล้มลงตรงหน้าประตูเรือน อกซ้ายถูกลูกธนูปัก
   “คุ้มครองท่านหาน!”
   พ่อบ้านหลี่ไหวพริบว่องไว ตะโกนส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากทหารในจวน แต่ทว่าสายไปเสียแล้ว เมื่อเสียงต่อมาคือเสียงร้องโหยหวนของทหารในจวนที่ต้องศรธนู!

   “ถึงแล้วท่านแม่ทัพ โปรดรออยู่ที่นี่”
   หานซิ่นย่อมรู้ที่ทางในวังหลวง เขาเป็นถึงขุนนางทหารตำแหน่งสูง ย่อมเข้านอกออกวังได้เป็นว่าเล่น ที่นี่คือหลังตำหนักเย็น ตำหนักที่ใช้ลงโทษผู้คนของฝ่ายใน
   แผ่นหลังของหัวหน้าขันทีซุนฉื่อหายลับไปในเงามืด
   รอไม่ถึงหนึ่งเค่อ* หัวหน้าขันทีก็เดินกลับมา
   “รอนานหรือไม่ ท่านแม่ทัพใหญ่”
   หานซิ่นเบิกตากว้าง เมื่อคนที่อยู่เบื้องหลังซุนฉื่อ เผยตัวท่ามกลางแสงจันทร์

   สายลมพัดหวีดหวิวในยามดึก ยามนี้ยามอิ๋น (03.00 - 04.59 น.) แล้ว ผู้คนต่างเอนกายนอนหลับพักผ่อนจมไปกับห้วงแห่งฝันอันรื่นรมย์ แต่ทว่าภายในจวนสกุลหานกลับเกิดความโกลาหลวุ่นวาย เสียงกระบี่กระทบกันไม่จบสิ้น เพลิงไหม้เผาผลาญทุกสรรพสิ่ง ลามจากเรือนนั้นไปเรือนนี้ ผู้คนล้มตายไปจำนวนมาก ส่วนที่เหลือก็ยังคงสู้เอาชีวิตรอด เสียงโหยหวนดังปะปนกันมิรู้ฝ่ายใดเป็นฝ่ายใด ในคืนนี้มีร่างใครบ้างที่ล้มลง และมีผู้ใดบ้างที่ต้องพลีชีพสังเวย
   เมื่อผ่านพ้นไปถึงยามเหม่า (05.00 - 06.59 น.) แม่ทัพหานซิ่นก็กลับมา เขามองสภาพภายในจวนด้วยความตะลึงลาน ยามนี้ในจวนสกุลหาน ไม่มีผู้ใดรอดชีวิต ศพกองพะเนินเป็นภูเขาขนาดย่อม ในจำนวนนั้นมีศพสองศพที่แยกออกมานั่นคือท่านอดีตเสนาบดีหานและภรรยา หานซิ่นทิ้งตัวลงคุกเข่าไร้เรี่ยวแรง บาดแผลรอบกายราวกับไม่เจ็บปวดเท่ากับภาพเบื้องหน้า น้ำตาลูกผู้ชายไหลอาบสองข้างแก้ม กระบี่ถูกทิ้งลงพื้นอย่างไม่ไยดี
   
   “พระนางอู่”
   หานซิ่นก้มหัวคารวะฮองเฮา ถึงเป็นฮองเฮาแต่มีศักดิ์เทียบเท่าฮ่องเต้ จากพระนามของพระนางที่ถึงกับได้รับการเรียกขานว่าเทียนโฮ่ว
   “แม่ทัพหานซิ่นช่างมีน้ำใจ พอได้ยินว่ามีคนปองร้ายต่อฮ่องเต้ ก็ไม่คิดหน้าคิดหลัง ไตร่ตรองให้รอบคอบ ตามขันทีคนสนิทของพระองค์เข้าวังหลวงมาแต่เพียงผู้เดียว นี่หรือแม่ทัพผู้ชาญฉลาด กรำศึกสงครามนอกด่านมายาวนาน บัดนี้ลืมเลือนเหลี่ยมเล่ห์เพทุบายในวังหลวงจนหมดสิ้น จึงมาติดกับเทียนโฮ่วอย่างข้าถึงที่ ประเสริฐยิ่งนัก วันนี้ข้าล่อหนูตัวใหญ่เข้ากรงทองได้แล้วซุนฉื่อ”
   “พะยะค่ะเทียนโฮ่ว”
   หานซิ่นกำหมัดแน่น เพียงคำของเทียนโฮ่วก็ทำให้รู้แล้วว่า เขาได้หลงกลแผนชั่วของพระนางอู่เข้าให้แล้ว
   “เช่นนั้นพรุ่งนี้มีประกาศออกไปว่า แม่ทัพหานซิ่นลอบปลงพระชนม์ฝ่าบาท ถูกข้าเทียนโฮ่วขัดขวาง ปกป้องฮ่องเต้ จึงกระทำการสังหารคนชั่ว ผดุงความยุติธรรมให้บ้านเมือง เช่นนี้ดีหรือไม่”
   เห็นได้ชัดว่าสตรีนางนี้ช่างชั่วช้ายิ่งนัก
   “แล้วแต่พระนางอู่จะกรุณา” หานซิ่นตอบคำสีหน้าเรียบเฉยปกปิดความกลัว
   “ข้าจะกรุณาเจ้าเป็นอย่างดี ซุนฉื่อ…”
   “…”
   “ฆ่า!”
   ทันใดเหล่าทหารที่ซุ่มอยู่ก่อนแล้วตามเงามืดก็ถือดาบพุ่งออกมา หานซิ่นรับการโจมตี ท่วงท่าสง่างาม รวดเร็วว่องไว สมเป็นแม่ทัพ แต่ทว่าแค่เพียงจำนวนคนก็ไม่อาจชนะได้แล้ว อีกทั้งเหล่าทหารพวกนี้ก็มากด้วยฝีมือ นับว่าเทียนโฮ่วผู้นี้กระทำการรอบคอบไม่ประเมินฝีมือเขาต่ำนัก จึงจัดยอดคนมาสังหารเขาโดยเฉพาะ
   ไม่นานการตั้งรับก็เริ่มไร้ผล เมื่อเหล่าทหารพวกนี้รู้กระบวนท่าของหานซิ่น ก็สามารถจับทางได้ ปลายดาบเฉือนเอาเลือดเนื้อเขาไปมากขึ้นเรื่อยๆ ตามร่างกายของหานซิ่นเริ่มมีแผลจากคมดาบศัตรู พระนางอู่ยืนมองภาพอันน่าอภิรมย์อย่างใจเย็นพร้อมขันทีคนสนิทของจักพรรดิ ผู้สมรู้ร่วมคิดแผนชั่วข้างกาย
   “ดิ้นรนไปก็เปล่าประโยชน์ วันนี้ฟ้าดินเข้าข้างข้า เป็นใจให้ข้าล้วงก้างชิ้นใหญ่ออกจากคอ!”
   สิ้นคำของพระนาง ปลายดาบก็ตรงเข้ามาหาเขา ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ที่เขาติดพันกับดาบอีกเล่มของศัตรู ย่อมปัดคมดาบนี้ไม่พ้นตัว
   ทว่า สายลมพัดมาจากไหนไม่รู้ทิศ รุนแรงและหนักหน่วง ปัดคมดาบไม่สามารถทำอันตรายต่อหานซิ่นได้ สายลมพาฝุ่นละอองมาด้วย ปลิวเข้าตาเหล่าทหารไปมาก ที่เหลือต่างยกมือขึ้นป้องกันดวงตา ไม่ก็หลับตากันพัลวัน ยอดฝีมือเมื่อเผชิญสถานการณ์เช่นนี้ก็ได้แต่จนปัญญา
   แต่หานซิ่นไหวพริบรวดเร็ว อาศัยช่วงเวลานี้ พุ่งตัวออกมาจากดงดาบนับสิบเล่ม แม้แขนขาตามลำตัวจะถูกคมดาบเฉือนไป เขากัดฟันทะยานออกตัวไปดั่งสายลม
   “ตามไป!!!”
   “…”
   “อย่าให้หนีรอด!”
   ซุนฉื่อสั่งการเหล่าทหารไม่ได้ความพวกนี้
   “ไม่เห็นต้องใจร้อนเลยซุนฉื่อ บัดนี้ยังมีที่ใดให้ท่านแม่ทัพผู้นั้นไปหลบซ่อนอยู่อีกหรือ”
   ซุนฉื่อลอบมองพระเนตรของเทียนโฮ่ว แล้วกล่าวว่า
   “ไม่มี”
   รอยยิ้มหวานหยาดหยดแต่ล้วนเต็มไปด้วยอสรพิษคลี่ออก

   “เจ้าหนุ่มนี่อึดจริงๆ”
   หลังหนึ่งฮองเฮาหนึ่งขันทีจากไป บนหลังคาของตำหนักเย็นก็ปรากฏเงาร่างสองร่างขึ้นมา
   ร่างหนึ่งอ้อนแอ้นอรชรดั่งสตรี แต่มีกระบี่พาดบ่า อีกร่างเป็นชายชราเครายาว มีน้ำเต้าอยู่ที่เอว
   “ข้าถูกชะตา จะรับไว้เป็นศิษย์ ดวงเจ้านั่นยังไม่ถึงฆาต เช่นนั้นเป็นการช่วยเล็กๆน้อยๆ”
   หลี่ว์ต้งปินกล่าว เฒ่าชราหลี่เถียไกว่ลูบเครายาวสลวย
   “เป็นเช่นนั้นๆ”
   “น่าเศร้านัก ปกติเซียนอย่างเรามิยุ่งกับโลกมนุษย์ แต่ทว่าครั้งนี้ไม่ยุ่งไม่ได้ เทียนโฮ่วผู้นี้เดิมใจดำอำมหิตไม่เท่าไหร่ แต่ริอาจสมคบคิดกับมารชั่ว ก่อความวุ่นวายในภพมนุษย์”
   “ธรรมชาติในจิตใจของมนุษย์ย่อมมีดีเลว ขึ้นอยู่กับว่าใครดีมากกว่า ใครเลวร้ายกว่า ความชั่วชักชวนง่าย กระทำง่าย สิ่งเหล่านี้เป็นหนทางที่มารจะหลอกใช้จิตใจของมนุษย์”
   เฒ่าชราหลับตากล่าวสัจธรรมของโลก
   “แต่จนแล้วจนรอด มารตัวใดก็มิปรากฏ เอาแต่หดหัวอยู่ในกระดองเต่า”
   หลี่ว์ต้งปินกอดอกเชิดหน้า ปากเผยอขึ้นเล็กน้อยเมื่อกล่าวถึงเรื่องที่ทำให้หงุดหงิดใจ
   “บัดนี้โลกมนุษย์มีเซียนมากมายที่แฝงตัวปะปนไปกับผู้คน ข้ามั่นใจว่าไม่ช้าก็เร็ว เราต้องหาต้นสายปลายเหตุของปราณมารบนเขาหนานซานได้อย่างแน่นอน”
   “เอาเถอะๆ ข้ามันคนหนุ่มเลือดร้อน ท่านเป็นคนแก่ใจเย็น ข้าเชื่อท่านก็แล้วกัน”
   หลี่ว์ต้งปินครั้นไม่อยากกล่าวอะไรยืดยาวอีก เขาดึงกระบี่ที่สะพายหลังออกมาจากด้าม แล้วขึ้นขี่เร้นกายหายไปในเงามืดที่แสงจันทร์มิอาจสาดถึง
   หลี่เถียไกว่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นสักพัก แล้วร่างของเขาก็ค่อยๆกลายเป็นเถ้าธุลีหายไป

*เค่อ (刻:kè)
1 เค่อ เทียบเท่ากับ 15 นาทีโดยประมาณตามเวลาสากล ในหนึ่งวันมีทั้งหมด 100 เค่อ ในแต่ละชั่วยามมีทั้งหมด 8 เค่อ เมื่อหมดวันน้ำจะลดถึงก้นถัง รอเติมน้ำจนเต็มเพื่อนับเวลาในวันถัดไป {ข้อมูลจากเพจเฟซบุ๊ก : สำนักพิมพ์สุรีย์พร}
   
   
หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทเจ็ด #อัพ 10-11-2019
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 12-11-2019 22:56:20
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทเจ็ด #อัพ 10-11-2019
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 12-11-2019 23:48:13
 เขียนได้น่าติดตามมากครับ.. o13

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทเจ็ด #อัพ 10-11-2019
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 13-11-2019 14:04:21
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทเจ็ด #อัพ 10-11-2019
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 13-11-2019 18:18:53
ลุ้นกับอะไรไม่รู้ ไม่อยากเดาอะไรเลย กลัวผิดค่ะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทเจ็ด #อัพ 10-11-2019
เริ่มหัวข้อโดย: gumrai3 ที่ 13-11-2019 19:17:45
ลุ้นและน่าติดมากคะ อยากทุบๆๆๆๆพระเอก
หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทเจ็ด #อัพ 10-11-2019
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าอ้วงงง ที่ 14-11-2019 01:35:51
รอค่ะ สนุกๆๆๆๆ  :sad4:
หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทเจ็ด #อัพ 10-11-2019
เริ่มหัวข้อโดย: Maxshu ที่ 14-11-2019 03:01:53
รอค่าา โดยรวมถือว่าดีค่ะ แต่คำผิดมีเยอะอยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทเจ็ด #อัพ 10-11-2019
เริ่มหัวข้อโดย: valenna yy ที่ 14-11-2019 17:14:58
รออ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทเจ็ด #อัพ 10-11-2019
เริ่มหัวข้อโดย: pktherabbit ที่ 14-11-2019 21:05:08
เปิดเรื่อง​มา​จนถึง​ 7​ ตอน
สนุกมาก​ รออ่านต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทเจ็ด #อัพ 10-11-2019
เริ่มหัวข้อโดย: iamtsubame ที่ 15-11-2019 16:17:26
กำลังมันเลยจ้าาาา
ขอบคุณค่ะ :3123:

หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทแปด #อัพ 17-11-2019
เริ่มหัวข้อโดย: MewSN ที่ 17-11-2019 22:31:05
บทแปด
ความวุ่นวายในเมืองหลวง ภาคปลาย
   หลังจากข้าทำแผลให้หานซิ่นเรียบร้อยแล้ว ก็ได้แต่มานั่งมองเขาหายใจรวยริน เป็นตายอย่างละครึ่ง หากเป็นเพียงบาดแผลธรรมดาก็ว่าไปอย่าง พรุ่งนี้เช้าคงลุกขึ้นมาเดินเหินได้ง่ายดายเพราะเขานั้นเป็นถึงแม่ทัพผู้กรำศึกมาอย่างหนักหน่วง ร่างกายย่อมปรับตัวอย่างรวดเร็ว แต่ทว่าบาดแผลนี้ร้ายลึกยิ่งนัก คมดาบที่กรีดเฉือนเนื้อของอีกฝายลึกเสียจนข้ายังต้องขยาดแทน ผ้าพันแผลสีขาวสะอาดที่มาจากเสื้อผ้าตัวนอกของข้าเองบัดนี้ถูกเลือดสีแดงฉานย้อมจนมิรู้มาก่อนว่ามันเคยขาวสะอาดสะอ้านเพียงใด เมื่อโดนพิษร้ายข้ายังพอตรวจอาการและรีบขับไล่มันออกไปได้ แต่นี่คือบาดแผลที่ต้องคมดาบ ได้แต่เพียงทำแผลแล้วใส่ยาสมาน รอให้มันหายไปเองเพียงเท่านั้น
   น่ากลัวว่าแผลสาหัสเช่นนี้คงกลายเป็นแผลเป็นน่ารังเกียจติดตัวท่านแม่ทัพไปตลอดกาล แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น สิ่งที่ข้าวิตกกังวลอยู่ตอนนี้คือ ชีวิตของหานซิ่นผู้นี้ อาจไม่รอดไปถึงพรุ่งนี้เช้าต่างหาก
   “เรียนถามท่านผู้เฒ่าหลี่ เราเพียงได้แต่รอให้เขาฟื้นขึ้นมาเช่นหรือขอรับ”
   ท่านเซียนเข้าใจนัยสำคัญในประโยคคำถามของข้า เซียนเฒ่าเพียงพยักหน้าตอบบ่งบอกว่าไร้ซึ่งหนทางอื่นแล้ว
   “ที่จริงก็ยังพอมีวิธี”
   “หลี่ว์ต้งปิน เจ้าหยุดวาจานั้นเสีย”
   พลันน้ำเสียงของหลี่เถียไกว่ก็กระด้างไม่น่าฟัง เขาจ้องเขม็งปรามเซียนหนุ่มเลือดร้อน
   “ความเป็นตายอยู่เบื้องหน้าท่าน ไม่ยักรู้ว่าเซียนเฒ่าผู้เชียวชาญวิชาแพทย์จะมองข้ามชีวิตเล็กๆนี้ไปได้”
   “เจ้าอยากได้เขาเป็นศิษย์ แต่เจ้าไม่อาจฝืนลิขิตสวรรค์ได้”
   “หลี่เถียไกว่ข้าขอเตือนเจ้า อย่าใช้ความมากประสบการณ์มาสอนข้า สิ่งใดถูกผิดข้าตัดสินเองได้ เดิมทีท่านเองก็ทำผิดกฎเซียนหากบรรพตหนานซานรู้เรื่องนี้เข้า เป็นท่านก็เถอะ ถูกจองจำนับพันปี”
   ข้าได้แต่นิ่งฟังอยู่เงียบๆ เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องของภพเซียน ไม่มีช่องคำพูดให้ข้าแทรก สายตาก็จดจ้องแผ่นอกของหานซิ่นที่บัดนี้กระเพื่อมเคลื่อนขึ้นลงอย่างเชื่องช้าเพราะหายใจแผ่วเต็มที
   “ข้าขอบังอาจขอร้องท่านเซียนทั้งสอง ช่วยสามีข้าทีเถอะ”
   ไม่รู้สิ่งใดดลใจให้ข้าพูดเช่นนั้น แถมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนคุกเข่าขอร้องอ้อนวอนให้ช่วยชีวิตคนผู้นี้ ที่ไม่เคยเหลียวแลข้าเลยแม้แต่น้อยไปทำไมกัน
   แต่มาบัดนี้ ชีวิตคนอยู่เบื้องหน้าข้า นับว่าข้าทำสิ่งที่ถูกต้อง
   “ดี!”
   “…”
   “เพียงแต่สิ่งนี้อาจทำให้เจ้าลำบากใจ”
   เซียนเฒ่าหลี่เถี่ยไกว่ส่ายหน้า จนปัญญาที่จะห้ามข้าได้ เขาส่ายหน้าหนึ่งทีเมื่อไม่อาจขัดขวางจึงไม่มีธุระที่นี่แล้ว เขาหมุนตัวสลายกลายเป็นเฒ่าธุลี บัดนี้เหลือเพียงข้ากับหลี่ว์ต้งปิน และร่างของหานซิ่นที่หายใจรวยรินลงทุกที
   “ขอผู้อาวุโสโปรดชี้แจง” ข้าประสานมือ
   “สิ่งที่จะช่วยชีวิตชายผู้นี้ได้คือสัญญาเลือด”
   ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน “มันคือสิ่งใดหรือขอรับ”
   “ข้าได้ยินมาว่า เจ้านั้นเมื่อก่อนเคยเป็นอนุภรรยาของหานซิ่น จำใจแต่งเพราะเหตุผลทางการเมือง เมื่อตายไปแล้วหวังเป็นอิสระจากเขา แต่บัดนี้เจ้าอยากจะช่วยชีวิตเขา มีเพียงสัญญาเลือดนี้เท่านั้นที่จะดึงดวงวิญญาณของผู้ที่ตกลงสู่ความตายกลับคืนมาได้ หากแต่มันต้องแลกกับการที่เจ้าต้องถูกจองจำอยู่ข้างกายเขาไปตลอดกาล”
   “…”
   “เมื่อสัญญาเลือดมีผล ข้าจะสามารถถ่ายพลังชีวิตครึ่งหนึ่งของเจ้าไปให้กับหานซิ่นเพื่อฟื้นฟูร่างกายได้ เพียงแต่ว่านับจากนี้ ถึงเจ้าอยากจะไปจากเขามากเพียงใด เจ้าก็กระทำมิได้แล้ว”
   “…”
   “เจ้ายังอยากจะช่วยชีวิตเขาอยู่หรือไม่”
   ข้านิ่งอึ้งไปเมื่อฟังจบ พลันย้อนกลับมาถามตัวเองว่าตลอดเวลาข้าติดค้างสิ่งใดกับหานซิ่นหรือไม่ แม้ว่าดูเหมือนจะไม่มีอะไรเลย แต่คำตอบคือข้าติดค้างเขาอยู่ หากเวลานั้นข้าใจแข็งสักหน่อย มีกำลังตัดสินใจมากกว่านี้ ข้าก็คงไม่ต้องถูกท่านพ่อวางตัวให้เป็นหมากในกระดานทางการเมือง หานซิ่นก็คงมิต้องกล้ำกลืนฝืนทนรับข้ามาเป็นอนุทำให้สูญเสียชื่อเสียงไปครึ่งหนึ่ง ข้าก็คงไม่ถูกเขาเกลียด แม้ทั้งหมดจะมิใช่ความอ่อนแอของข้าที่ก่อให้เกิด แต่ก็เป็นข้าที่มีส่วนทำให้มันเกิดขึ้น ไม่อาจไม่ยอมรับได้
   ไม่แปลกที่หานซิ่นจะไม่เคยมาเยี่ยมเยือนเขาที่เรือนหลังเล็กเลย ตลอดระยะเวลาสามปีที่ข้าอาศัยอยู่ในจวนสกุลหาน
   แต่เรื่องนั้นก็ส่วนเรื่องนั้น เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ข้าถามตัวเองว่าจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องทำขนาดนี้เพื่อช่วยชีวิตคนผู้นี้
   คำตอบของข้าคือ…
   “ข้าอยากช่วยชีวิตเขาขอรับ!”
   “ดี!”
   เป็นไปตามคำที่ท่านเซียนหลี่ว์ต้งปินบอกข้า ในขณะที่ลมปราณชีวิตของข้ากำลังถูกถ่ายทอดให้กับหานซิ่น ข้าจะเห็นความทรงจำของอีกฝ่ายได้อย่างเลือนลางราวกับร่างของข้ากับเขาประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน
   ‘กลับมาแล้วอย่างนั้นหรือหานเอ๋อร์’
   ฮูหยินผู้เฒ่าที่ยืนรอลูกชายอยู่หน้าจวนกล่าวต้อนรับเขาด้วยความยินดี แม่ทัพหานซิ่นในเวลานั้นซึ่งกลับมาจากสงครามกับชนเผ่าเซียนเปยทางตะวันออกมีสีหน้าอิดโรย ก่อนกลับเข้าจวนเขายังต้องแวะปรึกษาหารือกับเสนาธิการโหว อันเล่อเรื่องการเมือง พลอยทำให้ยิ่งเหน็ดเหนื่อยอีกเท่าตัว
   ‘อนุภรรยาเจ้าล้มป่วย จะไปเยี่ยมไข้นางที่เรือนหลังเล็กหรือไม่’
   หูข้าราวกับได้ยินคำที่ผิดแปลกพิกลพ่นออกมาจากปากฮูหยินผู้เฒ่า ข้าจำได้แล้วเหตุการณ์ในวันนั้นก็คือวันที่แปดเดือนแปดของปีรัชศกเชิงหยวนปีที่สิบ หลังจากข้าแต่งงานเข้าเป็นอนุของแม่ทัพหานซิ่น พระเจ้าถังเกาจงก็มีบัญชาให้สามีของข้าเกณฑ์ไพร่พลไปรับมือกับชนเผ่าเซียนเปยที่แข็งข้อขึ้นทางตะวันออก เมื่อเขากลับมาข้าก็ล้มป่วย เวลานั้นรู้เพียงว่าข้าปิดข่าวเอาไว้ ไม่ให้เหมยฮวาบอกผู้ใด เหตุใดฮูหยินผู้เฒ่าที่ร้อยวันพันปีไม่เคยสนใจเรื่องของข้าถึงได้กล่าววาจาเช่นนี้ออกมาได้
   วาจาที่แสดงความห่วงใย แค่ดูจากสีหน้านางข้าก็มั่นใจได้ว่า นางห่วงข้าอย่างจริงใจ
   ‘ข้าแต่งเขามาเป็นอนุ แต่เป็นสามีที่ใช้ไม่ได้ แม้แต่ยามล้มป่วย ข้าก็ไม่สามารถไปเยี่ยมไข้เขาได้ เมื่อครู่ท่านโหวเพิ่งกำชับข้ามาว่า ช่วงนี้จิ่วเหมียนชงกำลังเคลื่อนไหวทางการเมือง ราชสำนักกำลังปั่นป่วน อย่าได้กระทำสิ่งใดที่จะทำให้เขาตลบหลังข้าได้’
   ‘แม่รู้ แต่อาเหนียงมิใช่…’
   ‘มิใช่ แต่ก็เป็นคนของสกุลจิ่ว’
   
   หมอกควันสีขาวก่อตัวขึ้นเบื้องหน้าข้า แล้วภาพทั้งหมดก็หมุนวนเป็นคลื่นลม มลายหายไปเป็นเถ้าธุลี แล้วก่อตัวเป็นอีกฉากหนึ่งในสวนสระบัว
   แม่ทัพหานซิ่นกำลังยืนหลบมุมหลังต้นไม้ใหญ่ แอบมองข้ากับเหมยฮวาที่คุยเล่นกันไม่รู้ตัว
   ‘นายน้อยเจ้าคะ นี่เป็นดอกหมู่ตาน*ที่ข้าไปเก็บมาได้จากสวนใกล้เรือนของฮูหยินผู้เฒ่า กลีบดอกสวยงาม ส่งกลิ่นหอม ท่านลองดมดู’
   ข้าในเวลานั้นเบิกตากว้าง หยิบตะกร้าดอกไม้คืนกลับให้เหมยฮวา
   ‘เหมยฮวา เจ้าไปเอาของๆฮูหยินผู้เฒ่ามาได้อย่างไร เดี๋ยวนางก็ลงโทษข้าหรอก เวลานี้ท่านหานซิ่นผู้นั้นเพิ่งกลับมาจากศึกสงคราม ข้ามิอยากก่อเรื่องอันใดให้เขารำคาญใจ’
   ในเวลานี้ข้าช่างอายตัวเองยิ่งนัก วิชาพรางตัวของท่านแม่ทัพหานซิ่นไร้ที่ติจริงๆ ข้ายังคุยเจื้อยแจ้วต่อถึงหานซิ่นผู้นั้น หานซิ่นผู้นี้ไม่หยุด ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตอนนั้นถูกแอบดูแอบฟังอยู่
   ภาพตัดไปอีกแล้ว ข้าลอยเคว้งคว้างอยู่ในมิติความมืดชั่วครู่ ก่อนจะปรากฏตัวอีกครั้งที่เรือนหลังใหญ่ซึ่งเป็นเรือนของฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหาน
   ในเรือนมีเหมยฮวานั่งอยู่
   ‘เหมยฮวา ดอกหมู่ตานที่ข้าฝากให้อาเหนียงเป็นอย่างไรบ้าง’
   ‘เรียนฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าคะ เหตุเพราะท่านบอกให้ข้าบอกว่าข้าเก็บมันมาจากสวนของท่าน นายน้อยเลยมิกล้าแตะเจ้าค่ะ’
   ฮูหยินผู้เฒ่าได้ฟังแล้วเพียงคลี่ยิ้มไม่แสดงสีหน้าไม่พอใจแต่อย่างใด นางเพียงแต่รำพันว่า
   ‘จิ่วฉือเหนียงหนอ เจ้าช่างเป็นคนขี้เกรงใจเสียจริงๆ’
   ‘นายหญิงเจ้าคะ เหมยฮวาไร้ปัญญา ไม่เข้าใจว่าเวลาอยู่ต่อหน้านายน้อย ท่านจริงจังเคร่งครัด พลอยทำให้นายน้อยเกรงกลัว แต่เวลาลับหลังกลับให้สิ่งของต่างๆมากมาย’
   ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ถือโทษโกรธเหมยฮวาที่ถามซักไซ้ไล่ความ เดิมทีบ่าวถามนายมิใช่สิ่งที่ควร
   ‘เหมยฮวา โลกนี้กว้างใหญ่นัก เจ้ายังต้องเรียนรู้อีกมาก การเมืองเป็นเรื่องที่แม้ห่างไกลสตรีเช่นเรา แต่ไม่ควรไม่ปฏิบัติตาม’
   เหมยฮวาฟังแล้วขมวดคิ้วมุ่น เพียงมีเรื่องหนึ่งที่นางพอจะเข้าใจได้ นั่นคือ ต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าทำเป็นเย็นชาใส่นายน้อยของเธอ แต่ลับหลังนั้นกลับรักใคร่เอ็นดู สิ่งเหล่านี้นางล้วนดูออก
   
   ภาพตัดวูบอีกครา คราวนี้ข้ามายืนอยู่ตรงหน้าระหว่างคนสองคนที่กำลังทุ่มเถียงกัน หนึ่งคือท่านแม่ทัพใหญ่ อีกหนึ่งคือคุณหนูตระกูลจิน จินหรูอัน
   ‘ข้ามีภรรยาแล้ว ขอโทษด้วยแม่นางจิน’
   ‘กาลเวลาผ่านพ้น รักย่อมหมดไป’
   หานซิ่นมิโต้ตอบสิ่งใด จินหรูอันเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามราตรี พลันน้ำตาของนางก็ไหลอาบแก้ม แต่แม่ทัพใหญ่ใจแข็ง เพียงมองภาพเหล่านั้นอย่างนิ่งเฉย
   ‘ท่านทำให้ข้าผิดหวังนักพี่หาน’
   ‘แม่นางจินโปรดระวังคำพูด บัดนี้ข้าย่อมไม่ใช่พี่หานของแม่นางอีกต่อไปแล้ว ข้าเป็นเพียงแม่ทัพหานซิ่น เราสองต่างก็จำเป็นต้องถอยหลังให้กับความสัมพันธ์เช่นนี้คนละก้าว’
   ‘นั่นสินะ’
    ภาพของคนทั้งคู่สลายหายไปราวกับมีใครใช้น้ำหยดลงบนภาพสี ต่อมาข้าพบว่าตัวเองกลับมายังจวนสกุลหานอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้ ภายในจวนกลับลุกไหม้ เสียงผู้คนกรีดร้องโหยหวน เสียงคมดาบปะทะกันดังไปทั่วจวน ภาพตรงหน้าทำให้ข้าเบิกตากว้าง ร่างไร้วิญญาณของฮูหยินผู้เฒ่าและนายท่านแห่งจวนสกุลหานถูกแทงด้วยดาบหลายสิบเล่ม นอนกอดก่ายกันที่พื้น
   เฮือก!
   “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
   ข้าลืมตาอีกครั้ง พบว่าข้ากลับมาอยู่ข้างในกระท่อมหลังเดิม
   “ไม่เป็นอะไรขอรับ เขาเป็นอย่างไรบ้าง” ข้าถามท่านเซียนกลับ
   หลี่ว์ต้งปินกล่าว “ตอนนี้บาดแผลสมานเข้าหากันจนหมดแล้วด้วยพลังปราณชีวิตของเจ้า แต่ร่างกายและจิตใจของแม่ทัพผู้นี้ได้รับความบอบช้ำมาอย่างหนัก ที่เหลือก็ต้องปล่อยไปตามฟ้าดินกำหนด จะฟื้นไม่ฟื้นขึ้นอยู่กับเขาแล้ว”
   ข้าพยักหน้าเข้าใจ สิ่งที่กระทบจิตใจถึงขนาดทำให้แม่ทัพหานซิ่นบอบช้ำ สิ่งเหล่านั้นข้าเห็นมันมาด้วยสองตาของข้าเอง ข้าไม่พูดอะไร เพียงแต่ก้มมองหานซิ่นที่ยังนอนหลับตาไม่ตื่น แต่สีหน้าคลายความเจ็บปวดไปมากแล้ว
   “ต่อจากนี้เจ้าจะเอาอย่างไรต่อ”
   ข้าส่ายหน้าไม่อาจบอกได้ การตัดสินใจเช่นนี้คงต้องให้หานซิ่นที่หลับอยู่ฟื้นขึ้นมาเสียก่อน
   เพียงแต่ว่า ต่อจากนี้ไปชีวิตข้าคงไม่สามารถเป็นอิสระจากเขาได้อย่างแท้จริง
   “มีคนมา!”
   พลันข้างนอกมีเสียงฝีเท้าม้า ฟังแล้วนับสิบตัว ข้าเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ศัตรูของท่านแม่ทัพตามมาแล้วหรือ
   ไม่มีเวลาให้ได้ครุ่นคิด พอจะหลบก็สายไปเสียแล้ว ประตูกระท่อมเปิดออก คนชุดดำนับสิบกรูกันเข้ามาข้างใน
   พอข้าหันมาหลี่ว์ต้งปินก็หายไปแล้ว
   เหล่าชายชุดดำชี้กระบี่นับสิบมาตรงหน้าข้า ปลายกระบี่ใกล้เพียงเอื้อมมือแตะ
   “หยุดมือ!”
   มีคนผู้หนึ่งก้าวออกมาจากกลุ่มคนที่ลุมร้อมข้าอยู่ แล้วถอดผ้าปิดหน้าออก
   “ท่านพ่อ”
   เป็นเสนาธิการโหวอันเล่อนั่นเอง
   แต่ต่อมาสิ่งที่ทำให้ข้าเบิกตากว้างกว่าเดิมก็ตามมา
   “เฉียนเอ๋อร์! เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
   ชายชุดดำอีกสามคนที่ข้าคิดว่าเป็นบุรุษนั้นหาใช่ไม่ หากแต่เป็นมารดาทั้งสามของข้าเอง นี่มันเรื่องอะไรกัน
   “ท่านแม่ใหญ่ ท่านแม่รอง ท่านแม่เล็ก และท่านพ่อ เหตุใดพวกท่านจึงมาอยู่ที่นี่ขอรับ”
   “จวนสกุลหานถูกทำลายแล้ว เป็นฝีมือของเทียนโฮ่ว  บัดนี้ไม่มีเวลาอธิบายให้มากความ เจ้าต้องพาท่านแม่ทัพลี้ภัยไปเมืองลั่วหยางคืนนี้ก่อนฟ้าสาง”
   ข้าอยากจะกล่าวถามให้มากกว่านี้ แต่รู้ว่าเวลานี้ไม่ควร จึงพยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจแล้ว
   “เฉียนเอ๋อร์ เจ้าไปแล้วหากได้ยินข่าวคราวใดในเมืองหลวง เจ้าจงอย่ากลับมาที่นี่อีก” ท่านแม่ใหญ่กล่าว
   “อย่าพูดให้มากความฮูหยิน”
   ข้าไม่ทันได้ถามเอาความให้กระจ่าง ท่านพ่อก็กล่าวว่า “ไป! รถม้ารอเจ้าอยู่ข้างนอก”
   ท่านพ่อผายมือให้คนชุดดำที่เหลืออุ้มท่านแม่ทัพออกไป ข้าเดินตามไปด้วยจิตใจว้าวุ่น
   “ไปแล้วอย่าได้กลับมา!”
   สิ้นคำท่านพ่อ รถม้าก็เคลื่อนตัวทันที



*ดอกโบตั๋น หรือ หมู่ตาน (牡丹花; Peony) เป็นดอกไม้ที่สวยงาม สีสันสดใส และมีกลิ่นหอม เป็นดอกไม้ที่นิยมใช้ในงานศิลปะมายาวนาน และเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ประจำชาติของจีน คนจีนยกให้เป็นดอกไม้ของจักรพรรดิ ถือเป็นดอกไม้แห่งเกียรติยศและความร่ำรวยอีกด้วย
   

หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทแปด #อัพ 17-11-2019
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 17-11-2019 23:14:01
สลับซับซ้อนดีจริงๆ
หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทแปด #อัพ 17-11-2019
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 17-11-2019 23:21:52
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทแปด #อัพ 17-11-2019
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 18-11-2019 06:01:40
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทแปด #อัพ 17-11-2019
เริ่มหัวข้อโดย: alien24 ที่ 18-11-2019 20:41:43
ปมเนอะดีรอคุณนักเขียนมาต่อค่ะ ยังใช้้้้้้้้เล้าไม่เป็นเพิ่งสมัครเอง
หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทเก้า #อัพ 19-11-2019
เริ่มหัวข้อโดย: MewSN ที่ 19-11-2019 13:15:15
บทเก้า
เขาคือหานซิ่น

   หลังจากที่รถม้ามาถึงเมืองลั่วหยางก็สามวันเข้าให้แล้ว แต่ทว่าแม่ทัพหานซิ่นยังไม่ตื่นจากฝันร้าย หลังจากเดินทางมาไกล ข้าก็ไม่ได้ข่าวคราวจากเมืองหลวงอีกเลย ครั้นย่างเข้าวันที่สี่ ข่าวร้ายก็มาเยือน
   “เล่าลือกันว่าที่เมืองหลวงเกิดความวุ่นวายครานี้ เป็นฝีมือของท่านแม่ทัพใหญ่ที่ไม่พอใจที่ตนต้องย้ายไปประจำการที่ลั่วหยาง สมรู้ร่วมคิดกับเสนาธิการโหวอันเล่อลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้ แต่ไม่สำเร็จ เคราะห์ดีบ้านเมืองเรามีหยกคู่บรรลังก์ พระนางอู่ล้วงรู้แผนร้ายนี้เข้า จึงสั่งปราบปรามได้ทันการณ์ เพียงชั่วข้ามคืน สกุลหานและสกุลโหวก็พินาศสิ้นบารมี”
   ข้าที่แอบฟังเถ้าแก่ร้านขายยาคุยจ้อกับนักเดินทางแล้วแทบผงะ อะไรกันนี่ หลังจากปิดหูปิดตามาสามวัน ข่าวร้ายช่างเป็นข่าวที่ร้ายแรงจริงๆ
   เมื่อรู้ว่าสกุลโหวเองก็ถูกทำลาย ข้ากลับไม่ได้รู้สึกเสียใจขนาดร้องไห้ฟูมฟาย เพียงแต่ว่าจะปฏิเสธว่าไม่ได้รู้สึกอะไรเลยคงเป็นไปไม่ได้ เมื่อหลายวันก่อนท่านแม่ทั้งสามต่างดีกับข้า ท่านพ่อคนใหม่ผู้นี้แม้เป็นคนเคร่งครัด แต่ดูปราดเดียวก็รู้ว่ารักเฉียนเฉิงเพียงใด ของดูต่างหน้าที่พวกนางให้ข้า ยังอยู่ในจวนไม่ได้นำสิ่งใดติดมือมาเนื่องจากการเดินเร่งรีบ
   น่าแปลก พอรู้ว่าบัดนี้ข้าอยู่ตัวคนเดียวก็ให้รู้สึกว่าใจหาย ไม่รู้สิ เดิมทีข้าไม่ได้รู้สึกผูกพันธ์อันใดกับตระกูลจิ่ว ที่มีก็เพียงพันธะติดหนี้บุญคุณที่เลี้ยงดูข้ามา แต่บัดนี้ข้ามาเกิดใหม่ในร่างของเฉียนเฉิงผู้นี้ มันกลับพาให้ความรู้สึกอ้างว้างถาโถมเข้ามาเมื่อได้รู้ข่าว
   “ว่ากันว่าฆาตกรยังลอยนวล หานซิ่นแม่ทัพใหญ่ถูกปลดออกจากตำแหน่ง เป็นตายร้ายดีก็ถูกทางการไล่ล่าอยู่ จับยังไม่ได้ในเร็ววันนี้ น่ากลัวว่าจะหนีมากบดานที่นี่”
   ข้าสะดุ้งในคำคาดการณ์ที่ช่างตรงเผงของเถ้าแก่ร้านขายยา พลางรีบเลือกซื้อห่อยา ไปจ่ายเงินแล้วรีบกลับโรงเตี๊ยมน่าจะเป็นการดีที่สุด
   แต่ไม่ทันระวัง เร่งรีบเกินไปจนเผลอตัวไปชนนักเดินทางที่กำลังยืนคุยกับเถ้าแก่เข้า
   “ขออภัยนายท่าน”
   บัดนี้ข้าย่อมรู้สถานการณ์ เป็นชาวบ้านธรรมดาดีกว่าเป็นคุณชายสูงศักดิ์สกุลโหว ปลอมตัวไว้เป็นการเอาตัวรอดที่ดี
   “ไม่เป็นไรๆ เอ่อ…”
   นักเดินทางชะงักมองข้าชั่วครู่
   ข้าไม่รีรอให้เขาคิดสิ่งใดออก เวลานี้สถานการณ์ล่อแหลม ต้องรีบกลับโรงเตี๊ยมเพื่อคิดหาทางออก ได้แต่ควักเงินจ่ายส่งๆไป ไม่รอเงินทอน ตรงดิ่งออกมาจากร้านขายยา
   กึก!
   นึกไม่ถึง ว่าคนของทางการจะรออยู่ก่อนแล้ว ไม่ใช่มารอจับตัวข้า แต่เพราะนี่เป็นเวลาตรวจราชการ ร้านขายยาทุกแห่งต้องถูกตรวจสอบว่าไม่มียาพิษและไม่ใช้วัตถุหวงห้ามในการทำยา เช่นนั้นข้าจึงมาพบเข้าโดยบังเอิญ แต่ความบังเอิญของข้า ไม่ใช่เรื่องดีเลยจริงๆ
   หางตาข้าแอบเห็นทหารผู้ใต้บังคับบัญชากระซิบกระซาบกับนายกอง เท่านั้นล่ะข้าก็ไม่รอช้า ออกตัววิ่งทันที
   “จับมันผู้นั้นไว้ นั่นคือโหวเฉียนเฉิงลูกกบฏ!”
   เป็นจริงดังข้าคาดการณ์ ทหารเหล่านั้นล้วนต้องรู้จักข้า เพราะจี้สีแดงที่ห้อยเอวอยู่บอกสถานะว่าเป็นทหารใต้บังคับบัญชาของหานซิ่น และข้าผู้ที่ชอบไปมาหาสู่เขาบ่อยๆ เหตุใดเล่าเหล่าทหารพวกนี้จะจำไม่ได้
   ข้าพยายามหลบหนี ระหว่างทางชนแผงลอยร้านรวงข้างทางไปมาก ได้รับคำก่นด่า แต่เอาเถอะ สามปีกับคำสาปแช่ง ข้าชินชาเสียจนไม่รู้สึกอะไร ชนแผงลอยล้มระเนระนาด คว้าได้สิ่งของก็ขว้างปาใส่เหล่าทหาร เพราะอยู่กลางเมือง ที่เป็นตลาด เหล่าทหารจึงไม่กล้าหยิบอาวุธ ได้แต่วิ่งไล่ตามข้ามา ข้าเลี้ยวลดคดเคี้ยวตามซอย วิ่งไปมั่วซั่ว จนในที่สุดก็สลัดเหล่าทหารทิ้งไปได้ แต่ตอนนี้มิรู้ว่าอยู่ที่ใดแห่งใดในเมือง
   ที่ข้ายืนอยู่ คือตรอกซอยไร้ผู้คน เงียบเชียบพาลทำให้ขนลุกทั้งที่เป็นเวลากลางวัน
   “เจ้าคิดว่าเจ้ารอดแล้วเช่นนั้นหรือ โหวเฉียนเฉิง”
   มีคนผู้หนึ่งอยู่บนหลังคาบ้าน ข้าแหงนมองก็พบสตรีทาปากแดง ดวงตากราดเกรี้ยวน่ากลัว ข้างกายพกกระบี่ไว้
   ในใจข้าสังหรณ์ นางไม่ได้มาดีแน่!
   “ตอนนี้ราชสำนักไม่ได้เป็นเพียงผู้เดียวที่ต้องการตัวเจ้า ถ้าไม่อยากตายก็บอกที่ซ่อนตัวของหานซิ่นมาซะ”
   นางบอกจุดประสงค์ชัดเจนว่ามาเพื่อเอาตัวหานซิ่นไป!
   ข้าภาวนาในใจ ตัวข้าไร้วรยุทธ์ แต่ช่วงเวลาคับขันเช่นนี้ ท่านเซียนทั้งสองโปรดปรากฏตัวมาช่วยข้าทีเถอะ
   แต่ภาวนาไปก็มีเพียงความเงียบงัน… ข้าถูกทอดทิ้งเสียแล้ว
   “ข้าจะนับหนึ่งถึงสาม จงบอกมา!!!”
   ข้ากัดฟันแน่นไร้ทางหนี ยามนี้คือหมาจนตรอก
   “หนึ่ง!”
   นางเริ่มนับเลข
   “สอง!”
   ข้าจะทำเช่นไรดี
   “ในเมื่อเจ้าเลือกที่จะตาย…”
   วี้ดดดดดดดดดดดด
   เสียงกระบี่แหวกผ่านสายลม ข้าหลับตาพลันคิดในใจว่าต้องตายแน่ นึกไม่ถึงจะได้ยินเสียงกระบี่ถูกปัด ข้าลืมตาขึ้น
   นักเดินทางที่ร้านขายยาผู้นั้น ปัดกระบี่ของสตรีปากแดงให้พ้นตัวข้าไปได้ นางถูกพลังลมปราณสะท้อนกระอักเลือดอึกใหญ่แล้วเซถอยหลังไป
   “เจ้า!”
   “โผล่ออกมาเสียที นางมารหยาดโลหิต กายหยาบนั่นคงใช้งานอีกไม่ได้นาน เตรียมเข้ามาอยู่ในถุงเฉียนคุน(ถุงกำราบมาร) ของข้าเสีย”
   ที่แท้สตรีที่ทาปากแดงนั่นก็คือเหล่ามารที่ข้าเคยอ่านในตำรา ส่วนบุรุษผู้นี้คือ…
   “ใครจะไปอยากอยู่ในที่มืดๆแคบๆพรรค์นั้น ฝากไว้ก่อนแล้วกัน ถังรุ่ย เจ้ากับข้าสักวันต้องได้ประมือกัน”
   นางปัดมือไปมา เกิดสายลมขนาดย่อมพัดรอบกาย นักเดินทางถังรุ่ยจะเข้าไปขวางการหนี แต่ก็ไม่ทันการณ์ ร่างของนางหายไปแล้ว
   “ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
   “ขอขอบคุณท่านถังรุ่ย ข้าน้อยเสียมารยาทที่ร้านขายยา ไม่นึกว่าท่านคือเทพเซียน”
   ถังรุ่ยได้ฟังก็หัวเราะร่วน
   “คุณชายท่านนี้ ข้าเป็นเพียงเหล่าสานุศิษย์ของบรรพตหนานซานเท่านั้น ยังไม่อาจเรียกว่าเซียน”
   ข้าขมวดคิ้วไม่เข้าใจ แต่ถังรุ่ยผู้นี้ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด
   “ท่านอาจารย์ของข้า หลี่เถียไกว่ฝากฝังพวกท่านกับข้า จึงส่งข้ามาคุ้มกัน ระหว่างที่ท่านแม่ทัพยังไม่หายดี”
   เช่นนั้นที่ร้านขายยาเมื่อครู่ ที่เขาคลับคล้ายคลับคลาว่าจะรู้จักข้าก็ด้วยเหตุนี้เองสินะ พอได้ยินว่าหลี่เถียไกว่เป็นอาจารย์ของเขา ข้าก็วางใจในตัวชายผู้นี้ไปเปราะหนึ่ง พลางกล่าวว่า
   “บัดนี้ท่านแม่ทัพยังมิฟื้นเลย ข้าไม่รู้จะทำเช่นไร ได้แต่รักษาตามอาการที่ปรากฏ”
   “นางมารหยาดโลหิตปรากฏตัวเช่นนี้ไม่ดีแน่ ข้าว่าเรารีบกลับที่พำนักของพวกท่านกันเถอะ”
   ข้าพยักหน้า แล้วนำทางเขาไป
   ข้าลัดเลาะพยายามคลำทางจนหาทางออกมาจากตรอกซอยพร้อมกับถังรุ่ยศิษย์ของบรรพตหนาซาน ถังรุ่ยกล่าวเล่าเรื่องราวของตนอย่างคร่าวๆ ว่าได้ฝากตัวเป็นศิษย์ของท่านเซียนหลี่เถียไกว่ตั้งแต่วัยเยาว์ เนื่องจากตนนั้นเป็นเด็กจรจัดข้างถนน ถูกบิดามารดาที่เกิดมาก็ไม่เห็นหน้าค่าตากันแล้วทิ้งอย่างไม่ไยดี วันหนึ่งตนหิวโซจนทนไม่ไหว จำต้องฝืนใจกระทำการลักขโมยซาลาเปาของร้านค้าข้างตลาด เถ้าแก่เจ้าของร้านโกรธมาก ปล่อยสุนัขล่าเนื้อที่เลี้ยงไว้ตามถังรุ่ยมาติดๆ หวังให้มันกัดเจ้าเด็กเหลือขอผู้นี้ คราวหลังจะได้ไม่กล้าคิดเป็นขโมยอีก ถังรุ่ยหนีมาจนสุดทางซึ่งเป็นทางตันไม่มีที่ให้หนีอีก เขาคุดคู้อยู่ติดกำแพง มือเล็กกำซาลาเปาในมือแน่น แม้กลัวแต่เพราะความหิว ไม่กินก็ตาย สู้กินเสียแล้วค่อยตายยังดีกว่าอีก หมาล่าเนื้อย่างสามขุมเข้ามาใกล้ มันแยกเขี้ยวเห็นฟันซี่ใหญ่ชัดเจน พอใกล้ระยะมันก็กระโจนเข้ามา หวังกัดเด็กน้อย ถังร่ยหลับตาปี๋กลัวตายขึ้นมาในบัดดล แต่ทว่าคมเขี้ยวสุนัขไม่อาจทำร้ายเด็กน้อยได้อีกต่อไป
   ลมสายหนึ่งพัดเข้าปะทะพาให้มันกระเด็นกระดอนไปไกล บรรยากาศรอบตัวโอบล้อมถังร่ยราวกับเขาอยู่ใจกลางของพายุที่เรียกว่าตาพายุอย่างไรอย่างนั้น พลันฝุ่นควันรายล้อมก็ก่อตัวเป็นร่างของชายชราใจดี ซึ่งนั้นก็คือหลี่เถียไกว่นั่นเอง
   เล่ามาถึงตรงนี้แล้วข้าก็ต้องพยักหน้า อืมๆ เซียนเฒ่าผู้นี้มิเพียงยุ่งแค่กับข้า แต่ก่อนหน้านั้นเขายังเที่ยวช่วยคนยากคนจนมากมาย สมกับคำร่ำรือในตำนาน ว่าหลี่เถียไกว่ผู้ชุบชีวิตมารดาของเอี้ยวจื้อ
   พอผ่านช่วงมรสุมของชีวิตมาได้ ชายหนุ่มผู้นี้ก็เติบโตมากลายเป็นศิษย์สำนักบรรพตหนานซานอันดับต้นๆวรยุทธ์ล้ำลึกร้ายกาจ แม้เขาจะถ่อมตัวว่าหาเป็นเช่นนั้นไม่ แต่ข้าก็ได้เห็นกับตาเมื่อครู่ที่เขาต่อสู้กับนางมารหยาดโลหิตไปแล้ว นางมารหยาดโลหิต แม้ข้าจะไม่เคยเห็นตัว แต่ตำราจีนโบราณที่กล่าวถึงภพมารกับภพเซียน นางมารหยาดโลหิตถือเป็นขุนพลปีศาจอันดับต้นๆ ของราชวงศ์ปีศาจจากทางเหนือ ว่ากันว่าภพมารแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ใต้เราเรียกว่าเหล่ามาร แต่ทางเหนือกลับเรียกขานตนเองว่าเป็นปีศาจ ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่ามารทางใต้นั้นมีรูปร่างเป็นมนุษย์ ไม่อาจแปลงกายเป็นสัตว์ประหลาดนานาชนิดได้ จึงได้ถูกแบ่งแยกจากเหล่าปีศาจทางเหนือ แต่ทั้งสองนั้นภพมนุษย์ต่างก็เรียกขานว่าผู้ฝึกวิชามาร
   นางมารหยาดโลหิตว่ากันว่านางสามารถแปลงกายเป็นสัตว์อสูรได้หลายชนิด ซ้ำยังใช้กายหยาบของศพมนุษย์คอยทำให้นางสามารถดำรงอยู่ในภพของมนุษย์ได้ชั่วเวลาหนึ่ง กล่าวกันว่าที่โลกมนุษย์สงบสุขนั้น ครึ่งหนึ่งเป็นเพราะมีเหล่าเทพเซียนคอยคุ้มครอง อีกครึ่งนั้นคือบรรยากาศในภพมนุษย์เป็นอันตรายต่อมารในระดับหนึ่ง เพียงแต่ว่าผู้มีสายเลือดมารในราชวงศ์นั้นแข็งแกร่งจึงเป็นข้อยกเว้น หากแต่ก็ไม่เคยมีปรากฏว่าราชามารได้มาเยือนภพมนุษย์แม้สักครั้งในประวัติศาสตร์
   เมื่อถังรุ่ยเล่าจนจบ พวกเราก็มาถึงโรงเตี๊ยมเสียนหยาง ซึ่งต่อไปนี้ข้าสามารถเรียกได้เต็มปากเต็มคำว่าคือสถานที่กบดานของข้าและหานซิ่น พวกเราถูกทางการหมายหัวเสียแล้ว
   ตอนนั้นก็เซียน ตอนนี้ก็มาร ข้าจับต้นชนปลายไม่ถูกแล้ว
   พอข้ากับถังรุ่ยเดินเข้ามาภายในโรงเตี๊ยม เถ้าแก่เจ้าของก็รีบเร่งเข้ามาหาพลางกล่าวว่า
   “คุณชายมาพอดีเลย เมื่อครู่คนที่ท่านพามาด้วยจู่ๆก็ตื่นขึ้นมา แล้วอาละวาดจนข้าวของในห้องเละเทะ บัดนี้ข้าไม่รู้จะทำเช่นไร จึงได้แต่ขังเขาไว้ในห้อง”
   ข้าไม่อยู่รอฟังว่าเถ้าแก่จะพูดอะไรต่อ รีบขึ้นไปชั้นสองของโรงเตี๊ยม ซึ่งเป็นห้องพักที่ข้าจ่ายไว้เป็นที่พักฟื้นร่างกายของหานซิ่น ก่อนจะผลักประตูเปิดออก
   ก็พบว่า…
   ข้าวของในห้องเละเทะไม่มีชิ้นดีอย่างเถ้าแก่ว่า แต่คนนิ่งไปแล้ว ที่มุมหนึ่งของห้อง หานซิ่นกำลังอ่านม้วนตำราบนโต๊ะอย่างขะมักเขม้น
   “ท่านฟื้นแล้วหรือ เมื่อกี้เถ้าแก่บอกข้าว่าท่านอาละวาดจนข้าวของเสียหาย ไม่ทราบว่าท่านยังเจ็บแผลอยู่หรือไม่”
   ข้าตรงเข้าไปนั่งข้างเขา ก่อนที่ถังรุ่ยจะเดินเข้ามาพอดี
   “นี่คือท่านถังรุ่ย เมื่อครู่นี้ช่วยข้าจากเรื่องลำบาก ท่านถังรุ่ยนี่คือท่านแม่ทัพหานซิ่น”
   แม้ตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ของเขาจะถูกปลดไปแล้ว แต่ข้าก็ยังกล่าวแนะนำเขากับถังรุ่ยเช่นนั้น เป็นนัยว่าสักวันแม่ทัพตกอับผู้นี้ต้องชิงตำแหน่งนั้นคืนมาได้อย่างแน่นอน ไม่รู้ข้าเอาอะไรมามั่นใจ
   “คารวะแม่ทัพหานซิ่น ชื่อเสียงของท่านดังไปไกลถึงบรรพตหนานซาน วันนี้ได้พบตัวจริง นับว่าเป็นวาสนาของถังรุ่ยแล้ว”
   ชั่วครู่ข้านึกว่าแม่ทัพจะวางตำราลง แต่หานซิ่นไม่เพียงไม่ตอบกลับ ยังก้มหน้าก้มตาอ่านตำราสารพัดเรื่องนั้นต่อไป ราวกับพวกข้าไร้ตัวตน
   ข้าจึงรู้สึกได้ถึงความพิกลแปลกๆนี้
   “แม่ทัพหานซิ่น ท่านได้รับความกระทบกระเทือนทางหูหรือ”
   ข้าใช้เสียงที่ดังกว่าเดิมถามเขา น่าแปลก ข้าตรวจดูทุกซอกมุมของร่างกายหานซิ่นเพื่อให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้รับอันตรายที่ใดอีกและหูของเขาไม่มีบาดแผลใดๆเลย แต่ก็ไม่อาจวางใจได้ เขาอาจจะได้รับความกระทบกระเทือนภายในก็เป็นได้
   คราวนี้แม่ทัพหานซิ่นวางตำราลง จ้องมองพวกข้าเขม็ง คิ้วของเขาขมวดมุ่น ก่อนเอ่ยวาจา ที่ทำให้ข้ากับถังรุ่ยเบิกตากว้างแทบผงะหงายหลัง
   “เมื่อครู่นี้พวกเจ้าเอาแต่เรียกหานซิ่นๆ หานซิ่นนั้น มันผู้ใดกันหรือ”
   !!!
   ข้าพลันหมดคำพูด
   น่ากลัวว่าแม่ทัพใหญ่ตกอับผู้นี้ จะไม่ได้หูหนวก แต่ความจำเสื่อมเสียแล้ว
   นี่มันเรื่องอะไรกัน!
   
   “ท่านเซียนหลี่เถียไกว่ เป็นอย่างไรบ้างขอรับ”
   เรื่องนี้หนักหนาสาหัสเกินกว่ากำลังของข้าจะทานไหว จึงขอร้องให้ถังรุ่ยจุดพลุสัญญาณเรียกเทพเซียนหลี่เถียไกว่มาตรวจดู ยามนี้ต้องพึ่งพลังของเทพเซียนอย่างเขาแล้ว
   เมื่อครู่หานซิ่นก็โวยวายขึ้นอีกรอบ แต่ถูกข้าโปะยาสลบเพื่อเปิดทางให้เซียนเฒ่าตรวจร่างกายเขาอย่างละเอียด ตอนนี้ร่างคนนอนหลับตาพริ้ม แผ่นอกไหวกระเพื่อมตามแรงอารมณ์ที่สงบลง
   “เป็นเช่นนี้ไปก็ได้แต่รอเวลาแล้วล่ะ เดิมทีอาจเป็นเพราะจิตใจของเขาได้รับความกระทบกระเทือนอย่างหนักจากหลากหลายเรื่องราวที่ประเดประดังเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว ให้เวลาเขาหน่อย ระหว่างนั้นพวกเจ้าก็คอยหลบซ่อนตัวอยู่ที่เมืองนี้ไปก่อน หากว่าความทรงจำของเขาไม่กลับมาแล้วจริงๆ เช่นนั้นก็ถึงเวลาที่เจ้าจะเป็นคนตัดสินใจ”
   เดิมทีข้าอยู่ที่นี่เพื่อรอให้ท่านแม่ทัพหานซิ่นฟื้นจากอาการบาดเจ็บ ไหนๆก็ถูกผูกไว้ด้วยกันด้วยสัญญาเลือดแล้ว ข้าก็จำเป็นจะต้องถามความเห็นของท่านแม่ทัพผู้นี้เสียก่อน
   “ถังรุ่ยเจ้าก็อยู่ที่นี่คอยคุ้มกันคุณชายเฉียนเฉิง ในระหว่างนี้ข้าจะไม่อยู่สักพัก”
   “ท่านจะไปไหน”
   ถังรุ่ยท่านถามได้ตรงใจข้ายิ่งนัก บัดนี้เกิดเรื่อง ท่านยังจะทิ้งพวกเราไปอีกหรือ
   “เกรงว่าบรรพตหนานซานจะมีปัญหาเสียแล้ว”
   ผู้เฒ่าไม่รอให้พวกเราซักไซ้ไล่ความ ร่างของเขาก็กลายเป็นฝุ่นผงหายไปในอากาศ
   นึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไป
   ข้าได้แต่มองสบตากับถังรุ่ย
   “เช่นนั้นรบกวนท่านเซียนซือ*แล้ว”
   ถังรุ่ยท่านลืมทางไปบรรพตหนานซานเสียเถอะ บัดนี้ท่านต้องช่วยข้าอยู่ดูแลแม่ทัพหานซิ่นแทนอาจารย์ของท่าน

*เซียนซือ คือคำที่ใช้เรียกผู้ฝึกวิชาเซียน ไม่จำเป็นต้องเป็นเทพเซียน
   

หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทเก้า #อัพ 19-11-2019
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 19-11-2019 15:20:45
 :L2: :pig4: :L2:       
หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทเก้า #อัพ 19-11-2019
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 20-11-2019 00:42:38
ความจำเสื่อมไปอีกกกก
หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทสิบ #อัพ 20-11-2019
เริ่มหัวข้อโดย: MewSN ที่ 20-11-2019 17:51:16
บทสิบ
ข้าคือจิ่วฉือเหนียง เป็นภรรยาที่ท่านรักมาก

   “ถวายพระพร เทียนโฮ่ว!”
   วังกงกงที่เฝ้าอยู่หน้าตำหนักพระจักรพรรดิ รีบเร่งเข้าไปแสดงความเคารพต่อสตรีสูงศักดิ์ที่บัดนี้อำนาจในวังหลวงของนางช่างมากมายมหาศาลนัก เมื่อไม่มีก้างขวางคออย่างสกุลหานและสกุลโหวอีกต่อไป นับว่าอำนาจในพระราชสำนักบัดนี้เหล่าขุนนางชั้นสูงล้วนเป็นคนของพระนางอู่เกือบทั้งสิ้น ขุนนางที่คอยสนับสนุนแม่ทัพใหญ่ผู้ตกอับ แถมถูกยัดเยียดข้อหาลอบปลงพระชนม์ฝ่าบาทหลายคนถูกย้ายไปประจำการต่างถิ่น ที่ยังอยู่ในเมืองหลวงได้ก็จำเป็นต้องเร้นกายหายตัวเงียบ ไม่เคลื่อนไหวอันใดอีก วังกงกงเป็นขันทีข้างกายพระเจ้าถังเกาจงมานาน ย่อมรู้สถานการณ์ในตอนนี้ดี เขาจึงต้องยอมโอนอ่อนต่ออำนาจของพระนางอู่
   ชาวบ้านร่ำลือ หูตามืดบอด เชื่อราชโองการปรักปรำปลิ้นปล้อนของเทียนโฮ่ว แต่ผู้คนที่มีชีวิตอยู่ในวังมานานอย่างวังกงกงย่อมรู้ดีว่าสิ่งใดเป็นสิ่งใด บัดนี้เท่ากับว่าไร้อำนาจแม่ทัพใหญ่หานซิ่น ฝ่าบาทก็คล้ายจะอยู่ในกำมือนาง พระนางอู่จะบีบให้ตาย จะคลายก็รอด เป็นชั้นนั้นจริงๆ
   “ไม่ต้องมากพิธีวังกงกง พระอาการฝ่าบาทเป็นอย่างไรบ้าง”
   เคราะห์ไม่ดี เวลานี้ฮ่องเต้เองก็มาล้มป่วยกะทันหัน เดิมทีก่อนพระองค์จะขึ้นครองราชย์ก็มีโรคประจำตัวอยู่แล้ว เพราะทรงอ่อนแอขี้โรคแต่เด็ก ด้วยสาเหตุนี้จึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้อำนาจของพระองค์อ่อนแอ ไม่อาจบริหารบ้านเมืองติดต่อกันเป็นเวลานาน จำเป็นต้องมีผู้ช่วยอย่างพระนางอู่คอยช่วยเหลือ เริ่มแรกก็ดีอยู่หรอก สองพระองค์ร่วมกันบริหารบ้านเมืองเป็นหยกคู่ในรัชสมัยต้าถัง ผู้คนล้วนสรรเสริญยินดี แต่นานวันเข้า เทียนโฮ่วที่ฉลาดปราดเปรื่องอยู่แล้วก็เข้าก้าวก่ายอำนาจในส่วนต่างๆมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็เป็นอย่างที่เห็น บัดนี้ไม่มีผู้ใดขวางทางนางได้อีกแล้ว
   “ทูลเทียนโฮ่ว ฝ่าบาททรงเสวยยาที่หมอหลวงจัดเตรียมให้ ตอนนี้บรรทมไปแล้วพะยะค่ะ”
   เทียนโฮ่วเผยรอยยิ้ม วังกงกงรู้สึกร้อนหนาวสันหลังเป็นที่ยิ่ง เป็นเหตุให้ขันทีเฒ่าไม่กล้าสบตากับพระนางอู่โดยตรง เขาเผลอก้าวถอยหลังไปเล็กน้อย
   “เช่นนั้นก็ดีแล้ว วังกงกงโปรดดูแลพระอาการของฝ่าบาทอย่างใกล้ชิด เรื่องในพระราชสำนัก ข้าจะจัดการเอง”
   “รับด้วยเกล้าพะยะค่ะ”
   ถอยหนึ่งก้าวแล้วจึงรอด แต่กับเทียนโฮ่วผู้นี้ วังกงกงจำต้องถอยไปเสียหลายก้าว
   “สั่งการออกไป ฝ่าบาทประชวรหนัก ข้าจำเป็นต้องว่าราชการแทนพระองค์…”
   “…”
   “จนกว่าพระอาการจะดีขึ้น!”
   “รบกวนเทียนโฮ่วแล้ว”
   
   “ทูลเทียนโฮ่ว พวกเขามากันแล้วพะยะค่ะ”
   ฉุนกงกงเดินเข้ามาแจ้งให้พระนางอู่ทราบ ว่าบัดนี้อาคันตุกะที่พระนางกำลังรออยู่ได้มาถึงแล้ว เทียนโฮ่วโบกพระหัตถ์ แล้วกล่าวว่า “เข้ามาได้!”
   “ซีหยางจื่อ ถวายพระพรเทียนโฮ่ว”
   “จ้าวจือหลาง ถวายพระพรเทียนโฮ่ว”
   เป็นหนึ่งบุรุษกับหนึ่งสตรีที่เดินเข้ามาถวายความเคารพหน้าพระพักตร์ เทียนโฮ่วยกยิ้ม
   “ท่านทั้งสองไม่ต้องเกรงใจ เรื่องที่ข้าสั่งให้พวกท่านไปทำ เป็นอย่างไรบ้าง”
   ซีหยางจื่อลอบสบตากับพี่ชายร่วมสาบานของนางจ้าวจือหลางก่อนจะกล่าวว่า
   “ทูลเทียนโฮ่ว ข้าน้อยไร้ความสามารถ มุกราตรีทมิฬอยู่ในความคุ้มครองของบรรพตหนานซาน เกรงว่าจะ…”
   “ถึงอย่างไรก็ต้องนำมันมาให้ข้าให้ได้!!!”
   “…”
   “ไม่ต้องอ้างเหตุผล เจ้าไปทำงาน นำของมา เช่นนั้นข้อตกลงระหว่างเจ้ากับข้าก็จะได้รับความเห็นชอบจากต้าถัง”
   ซีหยางจื่อกัดฟัน ก้มหน้าไม่กล้ามองสบตาเทียนโฮ่ว รู้ได้ในทันทีว่าพระนางอู่เริ่มไม่สบพระทัยเสียแล้ว
   “ถ้าเจ้าอยากได้ของ เจ้าก็ต้องนำของมาแลก”
   เทียนโฮ่วถอนหายใจผ่อนคลายอารมณ์ นางกล่าวต่อไปว่า
   “ฉุนกงกงเข้ามาหาข้า!”
   กงกงเฒ่ารีบเร่งเข้ามายืนเบื้องหน้าพระพักตร์
   “พะยะค่ะเทียนโฮ่ว”
   “ร่างกายนี้คงใช้การไม่ได้แล้ว จงพาอาคันตุกะของข้าทั้งสองผู้นี้ ไปดูภาชนะบรรจุใหม่”
   ซีอยางจื่อและจ้าวจือหลางเบิกตากว้าง
   “ขอบพระทัยเทียนโฮ่วที่เมตตา”
   “ทำการใหญ่ให้ลุล่วง แล้วพวกเจ้าจะได้ในสิ่งที่ต้องการ”
   
   “หานซิ่น ท่านฟื้นแล้วหรือ”
   ข้างัวเงียตื่นขึ้นมาก็พบว่าตนเผลอฟุบหลับไปข้างเตียงคนป่วย บัดนี้คนที่หลับไปเมื่อครู่เพราะยานอนหลับ ลุกขึ้นมานั่งจ้องข้าเขม็งแล้ว
   ถังรุ่ยที่นำอาหารเข้ามากล่าวว่า “ทานอาหารเสียหน่อยเถิดท่านแม่ทัพ ร่างกายจะได้ฟื้นฟูเร็วขึ้น”
   ข้าลุกออกไปแต่งเนื้อแต่งตัว ปัดผมเผ้าให้เข้าที่เข้าทาง ถังรุ่ยหันมาหาข้า
   “ท่านก็กินเสียหน่อยเถอะนะ จะได้มีแรง”
   “ขอบคุณท่านมาก”
   ข้าโค้งคำนับเขา บุรุษผู้นี้นอกจากร่ำเรียนวิชาเซียนติดตัวแล้ว ยังมีมารยาทไม่อวดเบ่งดั่งยอดยุทธคนอื่นๆ น่านับถือๆ
   “ไม่ต้องเกรง… อ๊ากกกกก”
   เรื่องราวเกิดขึ้นกะทันหัน เมื่อคนป่วยที่อยู่บนเตียงก้าวลงมา มือคว้าจับได้ม้วนตำราปึกหนา ฟาดศีรษะถังรุ่ยเข้าเต็มแรง ครั้นข้าจะร้องห้ามก็ไม่ทันเสียแล้ว ศิษย์ของท่านหลี่เถียไกว่ผู้นี้ สลบเหมือดสิ้นท่าเสียแล้ว
   “หานซิ่น ท่านทำอะไร”
   “คิดว่าข้าจะไว้ใจพวกเจ้าหรือ พวกเจ้าเป็นใครก็ไม่รู้ ญาติข้ารึก็ไม่ใช่ กักขังตัวข้าไว้ที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้ น่ากลัวจะเป็นพวกค้าทาส”
   นี่จิตใจท่านคิดไปถึงไหนเนี่ย ท่านแม่ทัพ หรือว่าอาการความจำเสื่อมของท่านในครั้งนี้จะทำให้ท่านกลายเป็นคนขี้ระแวงไปแล้ว
   “ข้า ข้าไม่ให้ท่านไป”
   ไม่มีเวลามัวมาคิดหน้าคิดหลังแล้ว หานซิ่นรีบเร่งไปที่ประตูห้อง แต่ถูกข้าหยุดไว้ได้ทันก่อนเขาจะผลักประตูเปิดออก ข้าดึงเขาออกมาเค้นแรงทั้งหมดที่มีก็ดึงเขาออกมาห่างจากบานประตูได้แค่ไม่กี่คืบ อนาถยิ่งนักวรยุทธของข้า
   “ข้าบอกท่านแล้วว่าพวกเรากำลังช่วยเหลือท่านอยู่ ท่านความจำเสื่อม จำอะไรไม่ได้ พวกเราคือมิตรไม่ใช่ศัตรูของท่าน”
   หานซิ่นขมวดคิ้วมุ่น แววตาสั่นระริกสับสน ชั่วครู่ก็เปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว ดึงดันจะไปที่ประตูให้ได้ ข้าจึงต้องเอาตัวมาขวางระหว่างเขากัคั่นประตู แต่ไม่คิดว่าจะกันเขาได้หรอก แค่หานซิ่นผลักข้าก็ได้พุ่งพรวดถลาออกนอกห้องพร้อมกับบานประตูที่เปิดโผงเป็นแน่ ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจอย่างรวดเร็ว
   ฝ่ามือของหานซิ่นพุ่งมาเร็วมาก ไม่สนใจว่ามีข้าอยู่ตรงหน้า ตั้งใจจะผลักข้าออกไปพร้อมกับบานประตู
   ข้าหลับตาปี๋ เปล่งวาจาที่ทำให้ทุกอย่างหยุดชะงักราวกับเวลาหยุดนิ่ง
   “สามี ท่านจะไปจากภรรยาอย่างข้าไม่ได้นะ!!!”
   เดิมทีเป็นข้าอยากมีอิสระ แต่บัดนี้ด้วยสัญญาเลือด ท่านก็ต้องผูกมัดอยู่กับข้าไปจนตายนี่แหละหานซิ่น

   “อูยยยยย ท่านแม่ทัพมือหนักยิ่งขอรับ”
   ข้าที่ช่วยถังรุ่ยประคบร้อนอยู่พลันรู้สึกผิดไปด้วย ถ้าข้าเอ่ยเตือนทันเขาก็คงไม่ถูกตีจนสลบไปแบบนี้ ผู้เรียนวิชาเซียนนับว่าร่างกายทรหด ถ้าฝีมือท่านแม่ทัพไม่ยอดเยี่ยมจริง คาดว่าคงไม่ทำให้ถังรุ่ยผู้นี้ถึงกับสลบไสลไปแบบนี้เป็นแน่ และที่สำคัญ ถ้าถังรุ่ยไม่สลบเหมือดไป ข้าก็คงไม่ต้องใช้ไม้ตายสุดท้าย เอ่ยว่าเป็นภรรยาเพื่อผูกมัดเขาไว้กับข้าเช่นนี้หรอก ทุกอย่างโทษตัวข้าผู้เดียวเท่านั้น
   ส่วนตัวการก่อเรื่องทั้งหมดขึ้นนั้น หนีไปนั่งอีกมุมหนึ่งของห้อง แล้วเอาแต่จ้องมองข้า พลันก็ขมวดคิ้วมุ่น พลันก็เขม็งเกร็ง ข้าจึงไม่กล้าหันกลับไปมองเขาเท่าใดนัก เพียงแต่ทำทีเป็นตั้งใจประคบร้อนให้ถังรุ่ยไป
   “สรุปว่าข้าก็คือมีนามว่าหานซิ่น ตำแหน่งแม่ทัพใหญ่แห่งต้าถังหรือ”
   ในที่สุดเขาก็ยอมเปิดปาก ไม่ต้องรอให้ข้าพยักหน้าตอบ เป็นถังรุ่ยที่ชิงตอบขึ้นมาก่อน
   “ถูกต้องๆ เดิมทีท่านมีตำแหน่งเป็นแม่ทัพใหญ่”
   “เดิมทีหรือ” หานซิ่นขมวดคิ้วไม่เข้าใจ
   ข้าจึงอธิบายต่อจากถังรุ่ยว่า “บัดนี้ท่านถูกปลดเพราะข้อหาลอบปลงพระชนม์พระจักรพรรดิ ข้าพาท่านที่บาดเจ็บหนีมาที่ลั่วหยางนี้ เท่ากับว่าเราทั้งคู่ลงเรือลำเดียวกันแล้ว”
   ข้าไม่อธิบายอันใดต่อ เรื่องราวในส่วนอื่นๆนั้น ย่อมให้เขาต้องรับรู้ด้วยตนเอง มิใช่กงการใดของข้าที่จะบอกกล่าว
   ข้าวางผ้าประคบลง แล้วหยิบถ้วยชามาริน ยกขึ้นดื่ม ก่อนจะ…
   “แล้วเจ้า … เป็นภรรยาข้าจริงๆหรือ”
   แค่กๆ สำลักชาพร้อมกับเบิกตาแทบถลน ไม่ใช่ข้าคนเดียวนะ ถังรุ่ยก็ด้วย เดิมทีถังรุ่ยรู้แค่ว่าข้านั้นถูกเทพเซียนหลี่เถียไกว่ชุบชีวิตขึ้นมา ส่วนพื้นเพเบื้องลึกเบื้องหลัง ข้าว่าเซียนเฒ่ามิได้เอ่ยบอกเล่าเรื่องราวใดแก่เขาเลย
   “อย่างไรกันล่ะเนี่ย” ถังรุ่ยเสียสติไปแล้ว
   “ไม่อย่างไรทั้งนั้น ข้าเป็นผู้ที่ฝ่าบาทเลือกให้สมรสพระราชทานกับท่านแม่ทัพหานซิ่น แต่งงานรักใคร่ปรองดอง อยู่กินกันมาได้สามปีแล้ว”
   แค่กๆ พูดเองก็สำลักความโป้ปดของตัวเองไป ข้าขอโทษนะท่านแม่ทัพหานซิ่น ข้าจำเป็นต้องรั้งท่านไว้ด้วยเหตุผลเหล่านั้นจริงๆ
   “เจ้า” เขาชี้ที่ตัวข้า แล้วชี้ที่ตัวเขาอย่างไม่อยากเชื่อเท่าใดนัก “กับข้าหรือที่รักกันปานจะกลืนกิน” ไม่เชื่อเจ้าก็ต้องเชื่อ เพียงแต่เจ้าจะแต่งคำเสริมมาอีกทำไม
   ข้าพยักหน้ายืนยัน
   “ท่านยังกล่าวเลยว่า ชั่วชีวิตนี้จะมิพรากจากกัน”
   หานซิ่นคล้ายไม่เชื่อ แต่ข้าหาได้สนใจไม่ เขาเปิดปากพูดอีกรอบ
   “เจ้า… ชื่ออะไรนะ”
   บัดซบ!
   “ข้ามีนามว่าจิ่วฉือเหนียง เป็นภรรยาที่ท่านรักมากๆ”
   สถานการณ์เช่นนี้ หยิบยืมชื่อคนตายไปก่อน ใช้โหวเฉียนเฉิงคงไม่เป็นการดีแน่
   
   “เจ้าจะไปไหน”
   ดึกดื่นค่อนคืนแล้ว หลังจากพวกข้าสั่งอาหารขึ้นมากินบนนี้ เหตุผลเพราะข้างล่างมีคนพลุกพล่าน แม้จะไม่บังเอิญเจอคนที่จำข้าได้ทุกเมื่อ แต่กันไว้ดีกว่าแก้ บัดนี้ถังรุ่ยออกไปพำนักยังห้องฝั่งซ้ายที่ข้าไปแจ้งแก่เถ้าแก่เจ้าของโรงเตี๊ยมเมื่อเช้าว่าขอเพิ่มห้องแล้ว ส่วนข้าเองก็ต้องกลับห้องของตัวเองเหมือนกัน
   “กลับห้องสิขอรับ ท่านมีอะไรให้ข้ารับใช้อีกหรือไม่”
   “เจ้าเป็นภรรยาข้าจริงๆหรือ”
   เอาอีกแล้ว ก็ข้าบอกว่าข้าเป็น…
   “เช่นนั้นเจ้าก็ต้องนอนร่วมเตียงเดียวกันกับข้า”
   ข้าไม่เป็นแล้วได้หรือไม่ ภรรยาเจ้าน่ะ ร้อยวันพันปี ข้าเคยแต่งงานกับเจ้ามากสุดสามปี ก่อนตายข้าไม่เคยร่วมเรียงเคียงหมอน ครองพรหมจรรย์แม้มิได้ตั้งใจมาเนิ่นนาน
   ล้อเล่นกับข้าหรือ จะให้นอนร่วมเตียงเดียวกับท่านแม่ทัพ ข้าย่อมปฏิเสธ
   “ไม่งามๆ ข้าเป็นภรรยาท่านก็จริง แต่ท่านมักให้เกียรติ ไม่เคยบังคับข่มเหง ให้ข้าต้องร่วมหลับนอนกับท่านเลย”
   แม่ทัพหานซิ่นขมวดคิ้ว
   “เช่นนั้นเจ้าก็ยังพรหมจรรย์”
   ข้ากำลังจะพยักหน้าตอบว่าใช่ ก็ชะงักค้างกลางอากาศ พลันในหัวก็ประมวลผลอย่างรวดเร็ว ถ้าเขารู้ว่าเราเป็นสามีภรรยาแต่มิเคยร่วมเรียงเคียงหมอน อย่างนี้เท่ากับว่าเส้นด้ายบางๆที่ผูกมัดความสัมพันธ์ระหว่างเขากับข้าก็มีเพียงน้อยนิดไม่มั่นคงเช่นนั้นหรือ
   ไม่มั่นคง จากกันไปได้ทุกเมื่อ ย่อมไม่ได้
   “ท่านทำข้าทุกคืน!”
   สวรรค์โปรดลงโทษข้าเถอะ นี่ข้าพูดเรื่องหน้าอายอันใดออกไป
   แม่ทัพหานซิ่นและข้าต่างพร้อมใจกันเสมองไปทางอื่น บัดซบนัก
   “เอ่อ ข้า ข้าหมายความว่า…”
   ข้าไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไร หานซิ่นกลับมาจ้องคาดคั้นเอาคำตอบจากข้าอีกแล้ว เอาเถอะ ยังไงข้าก็เป็นบุรุษมิเสียหาย หวงเนื้อหวงตัวอย่างกับสตรีแรกแย้ม พลอยอับอายศักดิ์ศรียิ่งนัก
   “เช่นนั้นท่านขยับไปหน่อย ข้าอ่อนเพลียนักวันนี้ จะเข้านอนแล้ว”
   ท่านแม่ทัพหานซิ่นขยับเว้นที่ว่างให้ข้า พลางตบเตียงปุๆน่าหมั่นไส้ยิ่งนัก
   ข้าล้มตัวลงนอนตะแคงไม่ยอมหันหน้าไปหาหานซิ่น ไม่ลืมเป่าตะเกียงให้ดับแสง กำลังจะหลับตาพลันก็สะดุ้งโหยง เพราะแขนแข็งแกร่งของคนด้านหลังที่ซุกซนอยู่ที่เอวของข้า
   “ทะ ท่านนอนดีๆได้หรือไม่”
   “อืม ข้าขอกอดภรรยาไม่ได้หรือ”
   ในความมืดข้ากลอกตาไปมาอย่างหมดคำพูดใดจะโต้แย้ง จึงได้ปล่อยเลยตามเลย
   “เช่นนั้นก็แล้วแต่ท่านเถอะ”
   
   
หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทสิบ #อัพ 20-11-2019
เริ่มหัวข้อโดย: toeytoey ที่ 20-11-2019 19:58:56
ท่านแม่ทัพแกล้งความจำเสื่อมปะเนี่ย
หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทสิบ #อัพ 20-11-2019
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 20-11-2019 22:12:37
ไม่ชอบมาพากล :hao3:
หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทสิบ #อัพ 20-11-2019
เริ่มหัวข้อโดย: Quatree ที่ 21-11-2019 23:13:25
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทสิบ #อัพ 20-11-2019
เริ่มหัวข้อโดย: Jiraapp ที่ 22-11-2019 00:07:33
โอ๊ยยยยสนุกมากกกก ท่านหานซิ่นนี่ไม่ได้แกล้งความจำเสื่อมใช่ป่ะ ฉือเหนียงลูกเสริมเติมแต่งจนเข้าตัวแล้วเนี่ยจากที่เป็นเมียในนามมาสามปีจนตายแล้วมาอยู่ในร่างใหม่ดูท่าจะไม่ได้เป็นแค่ในนามแล้วแหละ ><
หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทสิบเอ็ด #อัพ 23-11-2019
เริ่มหัวข้อโดย: MewSN ที่ 23-11-2019 21:45:27
บทสิบเอ็ด
วรยุทธหวนคืน
   ผ่านพ้นไปแล้วสามวันความทรงจำของท่านแม่ทัพก็ไม่มีทีท่าว่าจะกลับมาให้เห็น อย่างไรก็ตามเซียนเฒ่าเองก็ไม่ปรากฏตัว ข้ากับถังรุ่ยจึงไม่สามารถกระทำการใดได้นอกจากรอ
   “อาเหนียง เมื่อกี้ข้าออกไปข้างนอกมา ชาวบ้านพากันแขวนโคมต้อนรับเทศกาลหยวนเซียวแล้ว”
   จริงสิ หลายวันมานี้ข้าค่อนข้างยุ่งวุ่นวายไม่รับรู้ความเป็นไปของเหตุการณ์ภายนอก วันๆก็จำต้องป้อนความทรงจำเก่าๆที่ข้าพอจะรู้เกี่ยวกับตัวแม่ทัพผู้นี้ให้กับตัวเขาเอง แต่ก็ช่างน้อยนิดเหลือเกิน ฟังดูแปลกพิกลแต่ก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ข้าพยายามทำให้ท่านแม่ทัพนึกอะไรออกได้ง่ายๆด้วยการบอกกล่าวถึงอดีตที่ผ่านมาของเขา เขามีผลงานมากมาย เป็นถึงแม่ทัพใหญ่แห่งต้าถัง ก่อนหน้านั้นเลื่อนขั้นอย่างรวดเร็วปานก้าวกระโดด แต่ไม่ว่าจะใส่ข้อมูลความทรงจำไปให้มากเพียงใด หานซิ่นก็ยังขมวดคิ้วมุ่นอยู่ดี
   อีกอย่างความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับอารุ่ยก็ค่อนข้างพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว บัดนี้ได้ใช้สรรพนามเรียกขานกันอย่างสนิทสนม สาเหตุที่ข้ากับเขาเป็นสหายสนิทกันได้เร็วปานนี้คงเพราะต้องรับภาระอย่างหานซิ่นและลงเรือลำเดียวกันไปแล้วอย่างช่วยไม่ได้
   เอาเข้าจริงนี่ก็ปาไปแล้วหกวัน ยังไม่เห็นวี่แววของเซียนเฒ่าที่บอกเล่าเก้าสิบว่าวันที่สามเขาจะกลับมา ก่อนหน้านั้นเมืองลั่วหยางจัดเทศกาลตรุษจีนต้อนรับปีใหม่กันอย่างคึกคัก ข้ามิได้ออกไปไหน ซ้ำยังต้องบังคับให้หานซิ่นอยู่ในห้องให้ได้ แม่ทัพผู้นี้ดึงดันอยากจะไปร่วมเทศกาล แต่จนแล้วจนรอดอย่างไรก็ให้ออกไปไม่ได้ คนของทางการมากมาย ชื่อเสียงของเขาไม่เหมือนเช่นข้า เป็นถึงแม่ทัพใหญ่ รู้หน้าค่าตากันหมดทั้งกองทัพ ขืนให้ออกไปมีหวังเกิดเรื่องวุ่นวายเป็นแน่
   “เทศกาลหยวนเซียวหรือ”
   ข้าพึมพำ ถังรุ่ยยิ้ม “ใช่ๆๆๆ คราวนี้เห็นว่าจักรพรรดิทรงมีบัญชา ให้เจ้าเมืองลั่วหยางจัดงานเทศกาลอย่างยิ่งใหญ่ เท่าเทียมนครฉางอานเมืองหลวงเลยทีเดียว”
   ข้าไม่แปลกใจ เดิมทีนครลั่วหยางแห่งนี้เป็นเมืองหลวงเก่าของราชวงศ์สุยซึ่งเป็นราชวงศ์ก่อนหน้า ครั้นถึงสมัยราชวงส์ถังได้ทำการย้ายเมืองหลวงไปยังนครฉางอาน ความเจริญรุ่งเรืองจนได้เคลื่อนย้ายตาม แต่ถึงอย่างไรนครลั่วหยางก็ได้ชื่อว่ามีความรุ่งเรืองเทียบเท่ากับมหานครแห่งต้าถังอย่างเมืองฉางอาน เทศกาลหยวนเซียวที่จัดขึ้นทุกๆปีที่เมืองหลวง เมืองลั่วหยางเองก็จัดขึ้นเช่นเดียวกัน และคึกคักไม่แพ้ฉางอานเลยทีเดียว
   เทศกาลโคมไฟ หรือ วันหยวนเซียว คือวันที่สิบห้าของเดือนหนึ่ง ตามปฏิทินจันทรคติ หรือที่เรียกกันว่า ชูสืออู่ นั่นเอง คำว่า หยวน มีความหมายว่า แรก ส่วนเซียว แปลว่า กลางคืน จึงใช้เรียกคืนที่พระจันทร์เต็มดวงครั้งแรกในรอบปีหลังผ่านพ้นตรุษจีน คล้ายกับเป็นวันตบท้ายเทศกาลตรุษจีน สำหรับคืนสำคัญนี้ มีประเพณีว่า ชาวบ้านจะต้องรับประทานบัวลอยกันในครอบครัวและออกไปชมโคมไฟที่จะนำมาประดับประดากันอย่างสวยงามตามท้องถนนหนทาง ดังนั้น เทศกาลนี้จึงถูกเรียกอีกชื่อว่า เทศกาลโคมไฟ
   ประเพณีการชมโคมไฟนี้ เริ่มต้นขึ้นเมื่อสองพันกว่าปีก่อนในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตก จนมาถึงราชวงศ์ถังประเพณีนี้ยิ่งมีความพิถีพิถันมากขึ้น ภายในพระราชวังหรือตามท้องถนน ทุกหนทุกแห่ง ล้วนมีการแขวนโคมไฟ และยังพัฒนาไปเป็นหอโคมไฟ ต้นไม้โคมไฟ หรือวงล้อโคมไฟ
   วันหยวนเซียวได้รับการสืบทอดเรื่อยมา จนกระทั่งถึงสมัยต้าถังนี้ที่จักรพรรดิทรงให้ความสำคัญกับเทศกาลโคมไฟ และกิจกรรมต่างๆ ในเทศกาลดังกล่าวก็ยิ่งคึกคัก รวมทั้งมีการฉลองติดต่อกันถึงห้าวัน นอกจากนี้ รูปแบบของโคมไฟที่ประดับประดาก็ยิ่งหลายหลากมากขึ้นด้วย
   พูดถึงเทศกาลหยวนเซียวแล้วก็พาให้ความทรงจำในวัยเด็กของข้ากลับคืนมา สมัยข้ายังเป็นคุณชายรองตระกูลจิ่วและท่านแม่ยังอยู่ ข้ามักออดอ้อนให้นางพาออกไปชมโคมไฟที่แขวนเรียงรายเต็มสองข้างทางถนนในเมืองหลวง ท่านแม่แม้รู้ว่าตัวเองร่างกายอ่อนแอป่วยกระเสาะกระแสะง่ายแต่ก็ไม่อาจปฏิเสธคำขอของข้าได้ลง สุดท้ายจำต้องแอบท่านพ่อพาข้าออกไปเที่ยวชม พอหลังจากนั้นก็ล้มป่วยอยู่นาน ท่านแม่ไม่สามารถมาเล่นกับข้าได้เป็นเดือนๆ
   “เหนียงเหนียง เจ้าเป็นอะไรไป”
   คำเรียกขานของแม่ทัพหานซิ่นทำให้ข้าหลุดจากภวังค์ เมื่อไม่กี่วันก่อนหลังมื้ออาหารเย็น จู่ๆท่านแม่ทัพผู้นี้ก็เรียกข้าขึ้นมาด้วยชื้อนี้ พลันทำให้ชาที่ถังรุ่ยดื่มไปครึ่งแก้วเกือบกระฉอกออกมาจากปากเขา ส่วนข้านั้นเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อหู เขาบอกกับข้าว่า สามีภรรยา ประดิษฐ์สรรพนามเรียกขานกันมิใช่เรื่องแปลกอันใด ข้าจึงต้องยอมถูกเขาเรียกเช่นนี้นับแต่นั้นมา
   “อาซิ่น…” แค่กๆ ข้าสำลัก ไม่เพียงสรรพนามเรียกตัวข้าที่เปลี่ยนไปเท่านั้น เวลาข้าเรียกเขา ก็ต้องเรียกเขาว่าอาซิ่น นั่นเป็นข้อตกลงระหว่างเรา
   “เจ้าอยากออกไปเที่ยวชมเทศกาลหรือไม่”
   ข้าเห็นว่าแม่ทัพเอาแต่อุดอู้อยู่ที่โรงเตี๊ยมคงไม่เป็นการดี แม้คนของทางการจะมากมายขนาดเดินชนกระทบไหล่ได้ตามท้องถนน แต่ถ้าปลอมตัวออกไปก็คงไม่มีปัญหา อีกอย่างบรรยากาศปลอดโปร่ง อาจดีต่อการฟื้นคืนความทรงจำ เมื่อครู่ข้าได้ยินเทศกาลหยวนเซียวแล้วหวนคิดถึงวัยเด็ก บางทีมันอาจจะได้ผลกับท่านแม่ทัพก็เป็นได้
   “ถึงข้าอยากออกเพียงใด เจ้าก็ไม่ให้ข้าไปอยู่ดี”
   “แล้วถ้าเกิดข้าให้ท่านไปได้เล่า”
   นัยน์ตาของหานซิ่นราวกับมีประกายวาววับ
   “แต่ย่อมมีเงื่อนไข”
   คนของกองทัพย่อมรู้จักใบหน้าของหานซิ่น ฉะนั้นเงื่อนไขสำหรับเขาจึงมีมากกว่าข้า
   “เจ้าต้องปลอมตัว!”
   หานซิ่นพยักหน้า แม้ไม่อาจรู้ได้ว่าหายนะกำลังรอตนอยู่เบื้องหน้า
   “ทาปากแดงเช่นนี้ พอแล้วหรือยัง”
   เสียงหงุดหงิดของท่านแม่ทัพคล้ายอยากต่อว่าข้า แต่ก็ต้องยอมจำนนด้วยเหตุผลที่ข้ายกขึ้นมาอ้าง
   “ท่านต้องดัดเสียงให้อ่อนหวานกว่านี้ เป็นสตรีห้ามแข็งกระด้าง”
   ข้ากอดอกชื่นชมผลงานการแปลงโฉมของตัวเอง บัดนี้แม่ทัพหานซิ่นผู้ยิ่งใหญ่ ได้มาอยู่ในร่างของสาวงามที่พร้อมออกเที่ยวชมเทศกาลหยวนเซียวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แม้จะไม่ใช่ในแบบที่ข้าหวังไว้ เพราะรูปร่างสูงใหญ่ อกผายไหล่ผึ่ง หน่วยก้านของบุรุษในกองทัพเช่นนี้ แทนที่จะได้ความอรชรกลับกลายเป็นความบึกบึนไปเสีย แต่เช่นไรข้าก็ยกยิ้มอย่างพอใจ ไม่เลวๆ
   “แล้วทำไมข้าต้องแต่งกับท่านแม่ทัพด้วย”
   ถังรุ่ยผู้ประสบชะตากรรมเดียวกันกับท่านแม่ทัพร้องโอดโอย
   “อารุ่ย เจ้าเองก็เป็นผู้มีชื่อเสียง กันไว้ดีกว่าแก้ ข้าไม่อยากให้มีปัญหาในภายหลัง อยากให้ทุกคนเที่ยวชมเทศกาลอย่างสนุกสนาน”
   ทั้งๆที่ถังรุ่ยอยากจะเถียงเหลือเกินว่า เขามีชื่อเสียงแล้วอย่างไรเล่า ไม่ได้มีป้ายเขียนติดไว้ว่าได้ลงเรือลำเดียว พากันพายหนีทางการกับพวกเจ้าเสียหน่อย เขาเป็นคนของยุทธภพ ไม่มีใครคิดหรอกว่าจะมาสมรู้ร่วมคิดช่วยกันซ่อนตัวหานซิ่นจากทางการ
   ถังรุ่ยค่อนข้างมั่นใจว่าคุณชายน้อยผู้นี้ต้องแกล้งเขาแน่ๆ
   “เอาเถอะๆ ทุกท่านโปรดอย่าเสียใจไป ความปลอดภัยย่อมมาอันดับหนึ่ง ไม่เสียสละชัยชนะไม่เกิด!”

   ในที่สุด ข้าและสาวงามอีกสองนาง(?)จึงได้ออกมาเที่ยวชมเทศกาลแขวนโคมไฟ ตอนนี้ท้องถนนเรียงรายไปด้วยโคมไฟสีส้มนวล รูปทรงแตกต่างหลากหลาย บางรูปทำเป็นโคมไฟปลา บางรูปทำเป็นสี่เหลี่ยม ประดับประดาด้วยลวดลายอันวิจิตรตระการตา อาจพูดได้เลยว่าเทศกาลหยวนเซียวที่นครลั่วหยางแห่งนี้ ยิ่งใหญ่ไม่แพ้มหานครฉางอานเลยทีเดียว
   “ถังรุ่ย เมื่อครู่ก่อนออกมาเจ้าบอกข้าว่ามีของบางสิ่งที่ต้องการซื้อ” หานซิ่นกล่าว ข้าขมวดคิ้ว ของอันใดกัน แต่เอาเถอะ มิใช่กงการอะไรของข้า
   ถังรุ่ยเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ “ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัว เจอกันที่โรงเตี๊ยมหลังเทศกาลนะขอรับ”
   ความจริงเทศกาลหยวนเซียวนี้มีกำหนดจัดงานถึงห้าวัน แต่ละวันเพื่อไม่ให้เกิดเหตุร้ายจึงต้องกำหนดเวลาสิ้นสุดไว้ อีกอย่างทางการเองก็ต้องให้เหล่าขุนนางลาดตระเวนได้พักผ่อนจึงเป็นเช่นนี้ นับว่าปล่อยให้เหล่าขุนนางผู้ทำหน้าที่ดูแลประชาราษฎรได้ผักผ่อนอย่างเต็มอิ่ม แต่ในความเป็นจริงจะมีสักกี่คนกัน ที่เสียสละตัวเองเพื่อชาติบ้านเมืองอย่างแท้จริงและไม่หวังอำนาจ
   เอาเถอะ เรื่องของการเมืองไม่เกี่ยวข้องกับข้า
   “ภรรยา คืนนี้เจ้าอยากได้สิ่งใดหรือไม่”
   แค่กๆ ข้าสำลัก แม่ทัพผู้นี้ทำโรคน่ากลัวของข้ากำเริบอีกแล้ว ข้าถอยห่างจากเขามาหนึ่งก้าว พลางมองด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ
   “ข้าไม่เคยพูดคำหวานหูเช่นนี้กับเจ้าเลยหรือ”
   ไม่เคยน่ะสิท่านถามมาได้ แต่ข้าไม่รู้จะตอบอย่างไร จึงเบี่ยงประเด็นไปเรื่องอื่น
   “ตรงนั้นมีถังหูลู่ขาย”
   ข้าตรงไปหาคนขายถังหูลู่* ถังหูลู่เป็นของกินขึ้นชื่อของทางเหนือ โดยเฉพาะในเป่ยจิง นานๆครั้งจึงจะเห็นมีคนนำมาขายในงานเทศกาลที่นครฉางอาน สมัยเป็นเด็กข้าชื่นชอบยิ่งนัก รสหวานของน้ำตาลผสมกับความเปรี้ยวพอดี กัดเข้าไปทีลิ้นก็รับรู้ถึงความรู้สึกสดชื่น
   “เอากี่ไม้ดีขอรับ คุณชายท่านนี้”
   ข้าเหลือบมองหานซิ่นที่ตามมา พลางกล่าวกับคนขายว่า “ขอสองไม้ ไม้นี้ของข้า อีกไม้สำหรับภรรยาข้า”
   หานซิ่นจ้องข้าเขม็ง แต่ข้าหาได้สนใจไม่ ยื่นถังหูลู่ให้เขาไปหนึ่งไม้
   “อร่อยนะท่าน ลองชิมดู”
   “ดีๆ ฮูหยินมีสามีเช่นคุณชายนับว่าเป็นโชคดี ขอให้รักกันนานนานๆ”
   ข้านิ่งอึ้ง ไม่คิดว่าคนขายจะอวยพรเช่นนี้ เดิมทีความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับหานซิ่นเมื่อเป็นจิ่วฉือเหนียงช่างห่างไกลคำว่ารักใคร่กลมเกลียว มาตอนนี้พอได้ยินมันเลยแปลกพิกล ไม่เคยชิน
   แต่กับท่านแม่ทัพกลับยิ้มรับหน้าตาเฉย พร้อมกล่าวว่า
   “ท่านพูดถูกใจข้ายิ่งนัก ขอเพิ่มอีกห้าไม้”
   “…”
   “เป็นของรางวัลแด่สามีที่คอยดูแลภรรยาเช่นข้า”
   หานซิ่นนะหานซิ่น ข้าพลันหมดคำพูด กัดถังหูลู่จนฉีกขาดด้วยหาที่ลงไม่ได้
   คนขายเมื่อได้ยินดังนั้น จึงรีบกล่าวอวยพรประจบประแจง
   “ขอให้รักกันจนตราบสิ้นฟ้าดิน”
   ข้านั้นกระอักความหงุดหงิดไปหลายอึกแล้ว
   ปึก!
   พลันมีคนชนข้า ด้วยไม่ระวังจนเกือบล้มหงายหลังเคราะห์ดีที่ได้ภรรยา(?)อย่างแม่ทัพหานซิ่นคอยรับไว้
   ภรรยาที่ดี…
   ทว่า!!! พอข้าเงยหน้าขึ้นมอง คนที่ชนเมื่อครู่คือคนของทางการ ข้ารีบยันกายลุกขึ้นยืนด้วยสองขา ก่อนจะหันหน้าหลบ
   “คารวะไต้เท้า ท่านมาตรวจสินค้าใช่หรือไม่”
   คนขายรีบเข้าไปทักทายคนของทางการ ข้านึกว่าพวกเราจะรอดแล้วแต่…
   “คุณชายท่านนี้…”
   ข้าไม่เคยรู้จักหน้าค่าตาเจ้ามาก่อน เช่นนั้นข้าภาวนาขอให้เจ้าอย่าได้มารู้จักข้าเลย
   ใต้เท้าผู้นี้มองต่ำลงไปที่เอวของข้า พลันข้าเบิกตากว้าง บัดซบ! ข้าพกหยกของจวนสกุลโหวออกมา ลืมถอดเก็บเอาไว้เสียได้ สะเพร่าแล้ว
   “ทหารใครอยู่แถวนี้ จับกบฏโค้นล้มบรรลังก์!!!”
   ข้ารีบคว้าข้อมือท่านแม่ทัพพลางกล่าวว่า “ไป!”
   ไม่รอให้ข้าพูดมากกว่านี้ เราทั้งคู่ก็รีบออกวิ่งทันที พร้อมกับขบวนทหารที่ตามมาข้างหลัง
   “เข้าไปหลบที่ตรอกนั้นก่อน”
   แต่ทว่านับเป็นความโชคดีอีกหน ที่ท่ามกลางงานเทศกาลผู้คนมากมายสัญจรขวักไขว่บนท้องถนน ทหารของทางการย่อมปฏิบัติภารกิจลำบาก เดิมทีมีหน่วยลาดตระเวนก็เพื่อรักษาความปลอดภัยภายในงานเท่านั้น อาทิ เรื่องเข้าใจผิดเกิดเหตุชกต่อยเล็กๆน้อยๆ กับเรื่องไม่เป็นเรื่อง การต้องมาไล่จับตัวกบฏอย่างพวกเขาเช่นนี้ ย่อมเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายทั้งสิ้น
   ข้ากับท่านแม่ทัพจึงสามารถหลบหนีคนของทางการมาได้อย่างปลอดภัย
   “เหยื่อมาติดกับดักเองเสียแล้ว”
   ทว่าเหตุการณ์กลับซ้ำรอยประวัติศาสตร์เสียได้
   นางมารหยาดโลหิตหัวเราะร่วน พลางชี้กระบี่มาทางพวกข้า
   “คราวที่แล้วข้าถามหาเขาเจ้าไม่ตอบ คราวนี้เจ้าพาเขามาพบข้าด้วยตนเอง ดีๆ”
   ข้าไม่ได้ตั้งใจพาเขามาพบเจ้าเสียหน่อย ข้าหลบหนีมาต่างหาก
   “แม่ทัพหานซิ่น เทียนโฮ่วมีบัญชา ลงโทษกบฏ ปกป้องบรรลังก์ เจ้ากระทำการกำเริบเสิบสาน มีความผิดโทษประหารชีวิต”
   “…”
   “จงไปสำนึกความผิดของตัวเองในนรกเถอะ”
   วี๊ด
   ไม่พูดต่อให้มากความ เสียงกระบี่ตัดผ่านสายลมตรงเข้าหาหานซิ่น บัดนี้เขาหลงลืมวรยุทธย่อมไม่มีทางประมือกับนางมารตนนี้ได้ ซีหยางจื่อกระหยิ่มยิ้มย่อง ภาชนะบรรจุใหม่ของสตรีที่ตายแล้วคนนี้ทำให้นางมีพละกำลังมากมายเหลือล้น ต้องขอบพระทัยเทียนโฮ่วที่เมตตา
   “ต่อให้ข้าต้องตาย เจ้าก็อย่าหวังดึงเขาลงนรก”
   ข้าตะโกนสุดเสียง พลันตัดสินใจอย่างรวดเร็ว เอาตัวเข้าขวางคมกระบี่ที่ที่พุ่งมาหาท่านแม่ทัพ
   สามี ท่านต้องไม่เป็นอะไร ในใจข้าภาวนาให้ถังรุ่ยปรากฏตัว
    ข้าหลับตา เตรียมรับความเจ็บปวด
   ทว่า…
   เจ็บ ข้ารู้สึกเจ็บ แต่เจ็บเพียงที่ไหล่เท่านั้น คมกระบี่เฉียดไหล่ข้าสร้างบาดแผลโฉบเฉี่ยว
   หานซิ่นจับตัวข้าหมุนย้อนกลับ ทันทีก็กลายเป็นว่าข้าถูกปราการแข็งแกร่งคอยปกป้องไว้เสียแล้ว กระบี่ที่ไม่รู้ว่ามาจากที่ใดในมือหานซิ่น ปัดกระบี่ของนางมารหยาดโลหิตให้พ้นทาง ราวกับเหตุการณ์ซ้ำรอยอีกรอบ นางมารกระเด็นถอยหลัง กระอักเลือดไปหลายอึก เมื่อปะทะกับปราณที่แข็งแกร่งกว่า
   ท่านแม่ทัพ วรยุทธท่านกลับมาแล้ว!
   ข้าดีใจเพียงชั่วครู่ พลันต้องเบิกตากว้างกับคำกล่าวต่อมาของหานซิ่น
   “ตกลงเจ้าคือโหวเฉียนเฉิง หรือจิ่วฉือเหนียงอนุภรรยาของข้า”
   ไม่เพียงแต่ความสามารถเท่านั้นที่กลับมา ความทรงจำของแม่ทัพหานผู้นี้ก็กลับมาด้วย

*ถังหูลู่
   ในภาษาจีนแปลว่า น้ำเต้าเคลือบน้ำตาล แต่เดิมเขาจะใช้ ซานจา แค่ 2 ลูก มาเสียบไม้ โดยเสียบให้ลูกเล็กอยู่ด้านบน ส่วนลูกใหญ่อยู่ข้างล่าง ทำให้รูปร่างคล้ายน้ำเต้า จึงเรียกชนมชนิดนี้ว่า ถังหูลู่ ภายหลัง มีการเพิ่มจำนวนของถังหูลู่ ขึ้นเป็น 4-8 ลูก ในปัจจุบัน มีการนำผลไม้ชนิดอื่นเข้ามาดัดแปลง ให้มีความหลายหลากมากขึ้น เช่น สตรอว์เบอร์รี่ สับปะรด แคนตาลูป องุ่น และ ส้ม
   ตามความเชื่อของชาวปักกิ่ง ถังหูลู่ ถือเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นสิริมงคล และ เป็นพระเอกของงานวัด ที่จัดขึ้นในช่วง เทศกาลตรุษจีน ในเมืองปักกิ่ง อีกด้วย คนส่วนใหญ่มักจะซื้อ แต่ไม่กิน จะนำกลับบ้านเพื่อเป็นของสิริมงคลแทน โดยเชื่อว่า ถังหูลู่ จะนำ โชคดี โชคลาภ และความมั่งคั่ง มาสู่ครอบครัวในวันปีใหม่
   {ข้อมูลจากเว็บไซต์ : https://specialfood.co.th}

   
   
หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทสิบเอ็ด #อัพ 23-11-2019
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 24-11-2019 06:28:14
สนุกมากๆเลยค่ะ ท่านแม่ทัพความทรงจำกลับมาแล้วจะเป็นยังไงต่อ :katai1:
หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทสิบเอ็ด #อัพ 23-11-2019
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 24-11-2019 08:42:35
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทสิบเอ็ด #อัพ 23-11-2019
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 24-11-2019 10:05:31
โป๊ะแล้วไง
หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทสิบเอ็ด #อัพ 23-11-2019
เริ่มหัวข้อโดย: Quatree ที่ 24-11-2019 10:21:55
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทสิบเอ็ด #อัพ 23-11-2019
เริ่มหัวข้อโดย: bigbeeboom ที่ 24-11-2019 13:44:34
โอย ลุ้นนนน สนุกมากๆ มาลุ้นต่อว่าจับความจริงได้หรือยัง ตอนหน้าจ้า
หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทสิบเอ็ด #อัพ 23-11-2019
เริ่มหัวข้อโดย: JanTi ที่ 24-11-2019 17:02:17
 :z1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทสิบเอ็ด #อัพ 23-11-2019
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 24-11-2019 17:31:12
รู้ว่าหยกพกทำให้เกิดปัญหา  :เฮ้อ:
ก็ยังจะพกคิดตัวอยู่นั่นแหละ สมองมีปัญหาและ   :z3:
หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทสิบเอ็ด #อัพ 23-11-2019
เริ่มหัวข้อโดย: toeytoey ที่ 25-11-2019 14:04:22
 :katai4: อย่าใจร้ายกะนายเอกมากเลย นางน่าสงสารนะท่านแม่ทัพ
หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทสิบเอ็ด #อัพ 23-11-2019
เริ่มหัวข้อโดย: Jiraapp ที่ 25-11-2019 15:10:25
เหนียงเหนียง อาซิ่น แหม ๆๆๆๆ หนีพวกทหารมาได้ยังมาเจอนางมารอีกกกก
หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทสิบเอ็ด #อัพ 23-11-2019
เริ่มหัวข้อโดย: mokha ที่ 29-11-2019 00:18:36
มาต่อเหอะน้าาาาาาาาา
หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทสิบสอง #อัพ 01-12-2019
เริ่มหัวข้อโดย: MewSN ที่ 01-12-2019 11:16:10
บทสิบสอง
ข้าได้เลื่อนตำแหน่ง
   วังกงกงไล้มือไปตามสันหนังสือ เวลานี้ขันทีเฒ่าอยู่ในห้องทรงพระอักษรของฮ่องเต้ กำลังมองหาอะไรสักอย่างที่ชั้นหนังสือ พระเจ้าถังเกาจงประชวรมาหลายวันแล้ว แม้เทียนโฮ่วจะทรงมีพระทัยใส่ใจในการบ้านการเมือง แต่ทว่าม้วนฎีกาที่กองพะเนินบนโต๊ะทรงพระอักษรเหล่านี้กลับไม่ได้รับการชำระ นั่นเพียงเพราะว่าฎีกาไม่ได้ถูกถวายในท้องพระโรง ซึ่งแน่นอนว่าผู้รับและตรวจทานจะต้องเป็นเทียนโฮ่ว ฉะนั้นเพื่อให้แน่ใจว่าฎีกาจะถึงมือฝ่าบาท เหล่าขุนนางจึงต้องมายื่นให้กับวังกงกงขันทีผู้รับใช้ข้างกายฮ่องเต้ด้วยตนเอง เรื่องนี้มิใช่ไม่รู้ถึงหูเทียนโฮ่ว แต่พระนางไม่อยากปิดประตูเมืองหลวงไปทุกบาน เหลือช่องทางไว้ให้ศัตรูได้หายใจ เป็นการทำให้ตายใจก่อนลงมือเชือด เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ทุกอย่างย่อมเป็นไปตามพระประสงค์ของเทียนโฮ่ว
   วังกงกงรู้เรื่องนี้ดี จึงมิอาจปล่อยเวลาให้ผ่านไป ระหว่างที่ฝ่าบาททรงประชวร เขาจำต้องทำอะไรสักอย่าง เดิมทีเป็นขันทีถูกขุนนางฝ่ายพลเรือนกล่าวหาว่าประจบประแจง วันๆเอาแต่เที่ยวจับผิดผู้อื่น แต่วังกงกงผู้นี้มิเคยเป็นเช่นนั้น เขาเข้ามาเป็นขันทีตั้งแต่ยังหนุ่มแน่น ไม่เคยประพฤติผิดกฎข้อใดในพระราชวัง ดำรงตนอยู่ในกฎระเบียบของขันทีอย่างเคร่งครัด ขันทีคนอื่นๆเห็นดังนั้นจึงกล่าวเตือนเขาว่า ไม่ประจบสอพลอ หน้าที่การงานก็ไม่ก้าวหน้า แต่วังกงกงก็มิเคยเสแสร้งแกล้งทำให้ผู้อื่นพอใจ หน้าที่เขาก็มีเพียงแต่เป็นขันทีประจำอยู่ที่หอตำรา คอยจัดการกับม้วนตำรามหาศาลที่ถูกส่งมาจากฝ่ายอื่นๆในวังหลวงให้เป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่เสมอ
   แต่วันหนึ่งเหมือนสวรรค์มีตา เบื้องบนเห็นความดีของวังกงกง พระเจ้าถังเกาจงในวัยสิบแปดชันษาจู่ๆก็นึกอยากจะมาเที่ยวเล่นที่หอตำรา มิใช่มาอ่าน แต่พระองค์เพียงหลบหนีการเครี่ยวกรำฝึกฝนอย่างเคร่งครัดของพระอาจารย์หวัง หรือก็คือแม่ทัพหวังมู่จินซึ่งมีศักดิ์เป็นพระเจ้าอาของพระองค์ จื้อหนูพระนามก่อนที่พระองค์จะเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ องค์ชายจื้อหนูในวัยสิบแปดปี เมื่อมาเห็นขันทีวังกงกงแม้ตำแหน่งน้อยนิด กำลังจัดการกับม้วนตำราอย่างขะมักเขม้นเป็นการเป็นงาน ก็นึกสะท้อนใจ พระองค์เป็นถึงองค์รัชทายาทซึ่งในอนาคตอันใกล้ไม่ช้าก็เร็วจะขึ้นเป็นฮ่องเต้ของแผ่นดินต้าถัง ไม่ร่ำเรียนวิชา เอาแต่หลบหนีไปเที่ยวเล่นเตร็ดเตร่ เหตุนี้จะเป็นราชาผู้ทรงพระปรีชาสามารถของประชาชนได้อย่างไร
   ‘ขันทีผู้นี้ เจ้ามีนามว่าอะไร’
   วังกงกงซึ่งบัดนี้ด้วยวัยเกือบสี่สิบปีก็ยังคงทำงานอยู่หอตำรามิได้เลื่อนขั้นไปที่ใดกล่าวตอบอย่างนอบน้อม
   ‘ทูลองค์ชาย หม่อมฉันขันทีวังแห่งหอตำรามู่อิ๋นพะยะค่ะ’
   ‘นับแต่นี้เจ้าเป็นขันทีประจำกายข้า ให้เลื่อนตำแหน่งเป็นกงกง’
   ขันทีวังรีบคุกเข่า ละล่ำลักทำความเคารพ
   ‘เป็นพระกรุณายิ่งพะยะค่ะ ข้าน้อยจะทำอย่างสุดความสามรถ’
   เป็นขันทีเรื่องที่ควรเกรงใจย่อมกล่าวปัด เรื่องที่ไม่ควรเกรงใจย่อมไม่ควรเกรงใจ
   “อา เจอแล้ว”
   นัยน์ตาฝ้าฟางของขันทีเฒ่ามีประกายความหวัง ก่อนจะดึงตำราม้วนหนึ่งออกมาจากตู้หนังสือ
   พลันหูได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวเข้ามา วังกงกงเก็บตำรายัดใส่ช่องเดิมอย่างรวดเร็ว ก่อนหันตัวไปหาผู้มาเยือน
   ฉุนกงกง ขันทีประจำกายเทียนโฮ่ว รูปร่างอ้วนท้วนทั้งตัวและสมอง กล่าวกันว่าความฉลาดของขันทีผู้นี้จึงเป็นที่พอพระทัยของเทียนโฮ่ว
   “ฉุนกงกง”
   “วังกงกง”
   สองขันทียศเสมอกันกล่าวทักทาย
   “เวลานี้ฝ่าบาทประชวรหนัก เหตุใดวังกงกงจึงทิ้งพระองค์ มาอยู่ที่นี่ล่ะ”
   วังกงกงไม่แสดงพิรุธ เพียงยิ้มอย่างเป็นมิตรแล้วกล่าวว่า
   “ข้ารับหน้าที่ให้มาตรวจสอบจำนวนฎีกาที่เหล่าขุนนางยื่นถวายในวันนี้”
   “นั่นสิๆ ลำบากวังกงกงแล้ว แต่อีกหน่อยคงมิต้องลำบากฮ่องเต้แล้ว หน้าที่นั้นเทียนโฮ่วทรงกล่าวว่าจะจัดการด้วยตนเอง”
   “หามิได้ เทียนโฮ่วทรงมีน้ำพระทัย ใส่ใจกิจการบ้านเมือง ไม่นานเมื่อฝ่าบาททรงพระวรกายแข็งแรง คงได้ร่วมด้วยช่วยกันบริหารราชกิจ”
   พลันดวงตาของฉุนกงกงปรากฏความแข็งกร้าว ชั่วครู่เขาก็ขจัดมันทิ้งไป
   “เช่นนั้นก็ดี”
   “ปลีกตัวมานาน ข้าต้องขอตัวกลับตำหนักฮ่องเต้แล้ว”
   “เชิญ!”
   วังกงกงไม่รอช้า รีบก้าวเดินออกจากห้อง คล้อยหลังไปได้ไม่นาน ฉุนกงกงก็กำมือแน่น สบถวาจา
   “อีกไม่นานดวงอาทิตย์ของท่านก็จะดับแสงลง วังกงกง”
   
   แม้วังกงกงจะได้เห็นเนื้อหาในม้วนตำราในเวลากระชั้นชิด แต่เขาก็ได้อ่านเนื้อความจนหมดแล้ว หน้าที่ขันทีประจำหอตำราทำให้เขามีความจำเป็นเลิศ เวลานี้รีบกลับตำหนักจักรพรรดิไปทูลให้ทรงทราบจะเป็นการดี
   “วังกงกง”
   “ซุนกงกง”
   ซุนฉื่อ หัวหน้าขันที เมื่อก่อนทำหน้าที่เป็นขันทีข้างกายพระเจ้าถังเกาจง ก่อนที่วังกงกงจะได้เลื่อนตำแหน่ง พอวังกงกงเข้ามาช่วยงาน ซุนฉื่อที่มีหน้าที่อีกตำแหน่งคือหัวหน้าขันที คอยดูแลขันทีทุกคนในพระราชวังก็ปลีกตัวไปดูแลทางนั้นมากกว่า งานดูแลพระเจ้าถังเกาจงส่วนใหญ่จึงมาตกอยู่ที่วังกงกง แต่ซุนฉื่อก็ยังคอยแวะเวียนมาปฏิบัติหน้าที่เดิมอยู่เสมอ
   “วังกงกงมาพอดีเลย เมื่อครู่ข้าไปที่ตำหนัก พระองค์ฟื้นจากบรรทมแล้วทรงเรียกหา”
   “ขอบคุณซุนฉื่อกงกง ถ้างั้นข้าขอตัว”
   วังกงกงทำท่าจะก้าวเดินต่อ แต่ถูกซุนฉื่อกงกงรั้งไว้
   “เดี๋ยววังกงกง ท่านคิดว่าบ้านเมืองทุกวันนี้วุ่นวายหรือไม่”
   กงกงเฒ่าได้ฟังคำหัวหน้าขันทีก็รับรู้โดยนัยน์
   “ข้าเป็นเพียงขันทีข้างกายฮ่องเต้ เรื่องอันใดที่พระองค์ไม่รู้ข้าย่อมไม่รู้”
   ซุนฉื่อกงกงยกยิ้ม “ถ้าเช่นนั้นก็ดี เรื่องไหนที่มิควรรู้ ท่านก็อย่ารู้เลย”
   หัวหน้าขันทีพูดทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้น แล้วเดินจากไป

   “ซีหยางจื่อเจ้าตอบมา เทียนโฮ่วกับเจ้า มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร”
   หลังจากท่านแม่ทัพใหญ่กลับมาเป็นคนเดิม วรยุทธกล้าแข็ง สามารถเอาชนะและจับตัวนางมารหยาดโลหิตกลับมาที่โรงเตี๊ยมได้ ตอนแรกหานซิ่นต้องพันธนาการแขนขานางไว้ด้วยมือของตนเอง เพราะไม่ว่ามัดมือนางด้วยเชือกอะไรนางก็สามารถรวบรวมพละกำลังจนทำให้เชือกที่รัดแน่นขาดกระจุยกระจายได้ นี่แหละคือพลังของมาร จนเมื่อถังรุ่ยกลับมา และนำเชือกมัดเซียนมามัดนางไว้ เช่นนั้นสุดท้ายนางจึงไม่มีทางหนีไปไหนได้อีก ยิ่งนางออกแรงพยายามทำให้เชือกขาดมากเท่าไหร่ เชือกมัดเซียนยิ่งรัดแน่นเป็นเท่าตัว สร้างความเจ็บปวดให้ตัวนางเอง
   นางมารหยาดโลหิตผู้นี้มีนามว่าซีหยางจื่อ เป็นหนึ่งในขุนพลลำดับต้นๆแถวหน้าของภพมารทางฝั่งเหนือ สามารถอาศัยอยู่ในภพมนุษย์ด้วยการอาศัยร่างภาชนะบรรจุของศพมนุษย์ที่ตายแล้ว เพราะเป็นขุนพลมารแข็งแกร่ง ร่างภาชนะจึงสามารถรักษาไว้ได้นานกว่ามารปลายแถวที่เข้าสิงซากศพไม่กี่วันศพก็เน่าเปื่อย
   “เจ้าสมคบคิดกับพระนางอู่ กระทำการใด”
   แม่ทัพหานซิ่นยังคงคาดคั้นเอาคำตอบจากนาง แม้ว่าทำเช่นนั้นมาหนึ่งชั่วยามก็ยังไม่ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์สักเท่าไรนัก
   “บอกไปคาดว่าก็ไม่ทันการณ์ที่เจ้าจะป้องกันได้เสียแล้ว”
   นางว่า แล้วหัวเราะร้ายกาจ ก่อนจะต้องหุบปากเพราะปลายกระบี่ของท่านแม่ทัพได้จ่อลงที่ลำคอนางเสียแล้ว
   “เอาสิ ฆ่าข้าเลย เพราะยังไง เจ้าก็จะไม่ได้ในสิ่งที่เจ้าต้องการหรอก”
   เมื่อนางมารสบถถ้อยคำจนสาแก่ใจ พลันเบื้องหน้าของพวกเราก็ปรากฏกระแสลมหมุนวน ร่างของท่านเซียนหลี่เถียไกว่ค่อยๆก่อตัวขึ้นมาจากฝุ่นละออง
   “เสียเวลาเปล่าๆที่จะมานั่งสนทนากับมาร”
   เซียนเฒ่าตรงเข้าไปบีบคอนาง จนซีหยางจื่อหายใจไม่ออก จำต้องอ้าปากเพื่อสูดอากาศเข้า ข้านึกว่าหลี่เถียไกว่จะฆ่านางให้ตายด้วยวิธีโหดเหี้ยมเช่นนี้เสียแล้ว เพียงแต่ว่าเมื่อปากของนางอ้าออก เขาก็กรอกยาผงสีขาวลงไปจำนวนหนึ่ง แล้วคลายมือที่บีบคอนาง
   “เจ้าเซียนเฒ่า เจ้าเอาอะไรให้ข้ากิน”
   “ยาที่ข้าให้เจ้ากินมีชื่อว่ายาคืนสัจจะ ด้วยฤทธิ์ของยานี้จะทำให้เจ้าพูดความจริงออกมา”
   ซีหยางจื่อพลันหน้าซีดเผือด ความลับระหว่างนางกับเทียนโฮ่วนั้นมีมากมาย หากผู้อื่นล่วงรู้ น่ากลัวว่าในวันหน้าจะเป็นหลักฐานมัดตัวพระนางอู่อย่างแน่นหนา
   “อีกสักพักยาใกล้จะออกฤทธิ์แล้ว” เซียนเฒ่าว่า ข้ากับหานซิ่นหันมาจ้องตากันโดยมิได้นัดหมาย พลันเป็นข้าที่เสมองไปทางอื่น
   “เจ้ามีนามว่าอะไร” หลี่เถียไกว่ถามนางมาร
   “ข้า ซีหยางจื่อ ขุนพลลำดับสิบสองแห่งพรรคมารไท่ผิง”
   ยาได้ผลจริง เช่นนั้นเซียนเฒ่าจึงพยักหน้าย้ายหน้าที่ให้แม่ทัพหานซิ่นเชิญถามต่อได้
   “เจ้ากับเทียนโฮ่ว…”
   ฉึก!
   “แล้วกัน!”
   ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็ว ศรธนูดอกหนึ่งพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วทางหน้าต่างที่เปิดอ้า ก่อนจะปักลงตรงจุดหมายที่เจ้าของเล็งเอาไว้
   ที่ลำคอของซีหยางจื่อ คมศรทะลุหลอดลม นางมารสิ้นใจทันที
   แม่ทัพหานซิ่นคว้ากระบี่แล้วรีบไล่ตามผู้ลงมือ
   “ถังรุ่ยเจ้าจัดการเผาศพมารตนนี้เสีย” หลี่เถียไกว่ถอนหายใจ “อีกนิดเดียวแท้ๆ”
   ก่อนร่างเขาจะค่อยๆหายไปพร้อมฝุ่นละอองปลิวว่อนในอากาศ
   นึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไปอีกแล้ว ข้าชินชาเสียแล้วล่ะ

   แม่ทัพหานซิ่นกลับมาพร้อมข่าวร้าย จับตัวนักฆ่ากลับมาไม่ได้ เท่ากับว่าทุกอย่างคว้าน้ำเหลว คืนนี้จำต้องเลิกรากันไป ถังรุ่ยขอตัว ข้าเองตอนแรกก็ตั้งใจจะกลับไปพักยังห้องเดิมของข้า เพราะแม่ทัพผู้นี้ความทรงจำกลับมาทั้งหมดแล้ว ไม่จำเป็นต้องเล่นละครฉากใหญ่อีกต่อไป นึกไม่ถึงว่าขากำลังจะก้าวออกจากห้องไป เขาก็เรียกให้ข้าหยุด
   “เจ้าจะไปไหน”
   “กลับห้องขอรับ”
   ข้ากล่าวบอก “กลับห้องอันใด เจ้าอย่าทำเป็นลืมเรื่องที่ข้าถามเจ้าที่ตรอกเมื่อครู่”
   ข้าขมวดคิ้วมุ่น ข้าลืมไปแล้วจริงๆ
   “ตกลงเจ้าคือผู้ใด โหวเฉียนเฉิง หรือว่าจิ่วฉือเหนียง”
   เรื่องนี้เองเหรอ ข้าแค่นยิ้ม พลางกล่าว “ท่านจะอยากรู้ไปทำไมกัน หรือถ้าข้าเป็นจิ่วฉือเหนียง ท่านจะไม่ไว้ใจข้าเช่นนั้นหรือ”
   เดิมทีข้าเป็นคนสกุลจิ่ว สกุลจิ่วได้ชื่อว่าเป็นสุนัขรับใช้ฮองเฮา แถมฐานะข้านั้นยังเป็นตัวหมากช่วยบิดาให้ทำลายชื่อเสียงของแม่ทัพหานซิ่นผู้นี้จนป่นปี้ เขาย่อมระแวงในตัวข้าไม่แปลก
   “ถ้าเป็นเช่นนั้นท่านมิต้องระแวงสงสัยอันใดในตัวข้า ขอท่านโปรดเชื่อใจข้า ข้าอยู่ในร่างของโหวเฉียนเฉิงนับเป็นคนสกุลโหว เรื่องราวในอดีตลืมเลือนไปเสีย…”
   หมับ!
   ข้าเอ่ยยังไม่ทันจบ ร่างทั้งร่างก็ถูกดึงเข้าไปหาท่านแม่ทัพ
   หานซิ่นสวมกอดข้าไว้แนบแน่น ความอบอุ่นในตัวท่านแม่ทัพแผ่ซ่านเข้ามา พาให้ความรู้สึกของข้าผิดแปลกไป
   “ข้าขอโทษเจ้า จิ่วฉือเหนียง”
   แม้มิรู้ว่าหานซิ่นกล่าวขอโทษข้าเรื่องใดบ้าง แต่บัดนี้ใจข้าได้ยกโทษให้เขาไปหมดสิ้นแล้ว
   โดยไม่รู้ตัว ข้าโอบกอดร่างสูงใหญ่ตอบ

   “เจ้าจะไปไหน!”
   หลังจากทำความเข้าใจเรื่องราวต่างๆกันอยู่นาน ข้าบอกเล่าเรื่องราวมหัศจรรย์ต่างๆที่ข้าได้พานพบ แต่มิได้บอกไปว่าข้าตายอย่างไร ถึงยังไงจินหรูอันก็เป็นนางในดวงใจของหานซิ่น เขาย่อมมิอาจเชื่อได้ลงว่านางจะกระทำการโหดเหี้ยมเช่นนี้ได้หรอก เรื่องที่ควรเล่าข้าก็เล่าไปหมดสิ้นแล้ว ข้าจึงถามเขากลับไปว่าคืนนั้นได้เกิดเหตุการณ์ใดขึ้น แม้ข้าจะรู้อยู่เต็มอกว่าเรื่องราวเป็นเช่นไร แต่ข้าก็ตั้งใจถามเพื่อหยั่งเชิงดูว่าหานซิ่นยังคงเศร้าเสียใจกับเรื่องของฮูหยินผู้เฒ่าและอดีตเสนาบดีหานอยู่หรือไม่ ผลปรากฏว่าแม่ทัพผู้นี้ซ่อนความรู้สึกเก่งจนข้าเกือบเชื่อไปแล้วว่าเขาไม่รู้สึกรู้สาอะไร เพียงแต่ว่าจิตใจคนแข็งนอกอ่อนใน อย่างไรเสีย ข้าก็เพียงให้แน่ใจว่าเขาจะไม่จมปรักอยู่กับเรื่องนี้จนพลอยทำให้ไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งผลที่ข้าเดาเอาเองก็เป็นที่พอใจของข้าแล้ว
   ส่วนเรื่องสัญญาเลือด ข้าว่าไม่บอกเขาจะเป็นการดีที่สุด
   “ข้าจะกลับห้องขอรับ”
   “ใยเจ้าต้องพูดว่าขอรับๆ ข้ารำคาญหูยิ่งนัก เจ้าเป็นภรรยาข้า ควรใช้คำอย่างไรกับสามีเจ้าย่อมรู้”
   ข้าเบิกตากว้าง นี่ท่านกล่าวอันใดอยู่ท่านแม่ทัพใหญ่
   “มานี่”
   เมื่อเห็นว่าข้านิ่งอึ้งอยู่หน้าประตู เขาก็เป็นฝ่ายเดินมาลากข้าเข้าไปหา
   “ไป ไปที่ใดกัน”
   “คืนนี้เจ้าปรนนิบัติข้าอาบน้ำ”
   !!!
   เรื่องอันใดกัน!
   
   
   
   
   
หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทสิบสอง #อัพ 01-12-2019
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 01-12-2019 11:44:44
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทสิบสอง #อัพ 01-12-2019
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 01-12-2019 11:46:34
 :pig4:
 o13
หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทสิบสาม #อัพ 02-12-2019
เริ่มหัวข้อโดย: MewSN ที่ 02-12-2019 01:45:53
บทสิบสาม
บุญคุณ หนี้แค้น
   “ซีหยางจื่อตายแล้ว”
   จ้าวจือหลางเบิกตากว้าง กล่าวละล่ำละลักถามเทียนโฮ่ว หวังให้คำที่ออกมาจากปากของพระนางไม่เป็นเรื่องจริง
   “น้องสาวร่วมสาบานของเจ้า ทำงานล้มเหลว ถูกฝ่ายศัตรูจับได้ ข้าจึงไม่มีทางเลือกจำต้องสังหารนางปิดปาก ถ้าเจ้าจะคิดแค้น ก็จงแค้นผู้ที่จับตัวน้องเจ้าได้เถอะ”
   จ้าวจือหลางมิอาจตัดสินเทียนโฮ่วได้อยู่แล้ว จึงได้แต่ก้มหน้ายอมรับต่อชะตากรรมของน้องสาวร่วมสาบาน พลันมือที่ถือกระบี่ก็ยิ่งกำแน่นเข้าไปอีกด้วยความแค้นสุมอก
   “มันเป็นผู้ใดขอรับ”
   พระนางอู่ไม่ได้ตอบคำ เป็นฉุนกงกงที่ยืนอยู่ข้างกายเทียนโฮ่วตอบแทน
   “แม่ทัพหานซิ่น”
   เทียนโฮ่วเห็นร่างของจ้าวจือหลางสั่นกระตุกด้วยความเครียดเกร็งก็ยิ่งโหมกระแสลมเติมเชื้อเพลิงกล่าวว่า
   “เดิมทีคนผู้นี้รอดพ้นจากการจับกุมของข้าไป นึกไม่ถึงว่าจะยังมีชีวิตอยู่”
   จ้าวจือหลางพลันหยัดกายลุกขึ้น
   “ทูลเทียนโฮ่ว แม่ทัพหานซิ่นผู้นี้ ข้าจะนำหัวของเขามาให้พระนาง”
   “ดี!!!”
   ฉุนกงกงกับพระนางอู่ลอบสบตากัน พลันทั้งคู่ก็เผยยิ้มร้าย
   จุดจบของหานซิ่น เป็นใคร ใครก็อยากชม

   “ถวายพระพรเทียนโฮ่ว”
   จิ่วเหมียนชงไม่ทราบด้วยเหตุใดตนจึงถูกเรียกมาเข้าเฝ้าพระนางอู่ยามดึกเช่นนี้ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็คงไม่ใช่เรื่องดีแน่ เพราะเขาเหลือบเห็นหน้าพระพักตร์ของเทียนโฮ่วยามนี้ ดูไม่สบอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง จึงได้รีบกล่าวประจบเอาใจอย่างที่ทำจนเคยชิน
   “เทียนโฮ่วทรงมีเรื่องใดให้ข้าน้อยรับใช้หรือขอรับ”
   เป็นถึงขุนนางตำแหน่งเสนาบดี แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าสตรีผู้นี้ เขากลับต้องแทนตัวว่าข้าน้อย รู้ถึงไหน อับอายถึงนั่น
   “จิ่วเหมียนชงนะจิ่วเหมียนชง ลูกชายเจ้าเพิ่งตายได้ไม่นาน ข้าได้ข่าวว่าบ้านเจ้าก็จัดงานเฉลิมฉลองเทศกาลหยวนเซียวอย่างอึกทึกครึกโครมเสียแล้ว”
   “ทูลเทียนโฮ่ว ข้าน้อยกับจิ่วกงเล่อลูกชายคนโตนั้นเสียใจอย่างยิ่งต่อการจากไปของลูกชายคนรอง แต่ทว่ามิเท่าเสียใจที่ลูกชายคนรองผู้นี้ ไม่อาจทำประโยชน์ให้กับพระองค์ได้อีกต่อไป”
   เสนาบดีผู้นี้นับว่าเลือดเย็นยิ่งนัก แม้ลูกชายในไส้ตายไปทั้งคน ไม่อาจเทียบเท่ากับการได้ประจบเทียนโฮ่ว ความเสียใจที่มีล้วนเป็นการเสแสร้งแกล้งทำทั้งสิ้น
   “เจ้าทราบหรือไม่ ว่าแม่ทัพหานซิ่นหนีไปกบดานยังเมืองลั่วหยาง”
   เทียนโฮ่วเอ่ยถาม
   “ทูลเทียนโฮ่ว ข้าเพิ่งทราบข่าวเมื่อเร็วๆนี้”
   “เขาหนีไปพร้อมกับลูกชายของเสนาธิการโหวอันเล่อ ว่ากันว่าโหวเฉียนเฉิงผู้นี้หายออกจากบ้านไปสามวันสองคืนไม่กลับ วันเดียวกับที่ลูกของเจ้ากระโดดน้ำตาย คนหายมิใช่คนตาย เมื่อเขากลับมาได้ทว่านิสัยกลับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เจ้าคิดเห็นว่าอย่างไร”
   “ทูลเทียนโฮ่ว โหวเฉียนเฉิงผู้นี้อาจสำนึกตนได้ แต่ข้าไม่เข้าใจว่าเขาเกี่ยวข้องกันอย่างไรกับเรื่องนี้”
   เทียนโฮ่วทรงพระสรวล
   “พูดได้ดีๆ ในบรรดาข้ารับใช้ของข้า เจ้าฉลาดที่สุดจิ่วเหมียนชง”
   “…”
   “ที่บรรพตหนานซาน มีเซียนผู้หนึ่งนามว่าหลี่เถียไกว่ เชี่ยวชาญวิชาการแพทย์ รักษาผู้คนด้วยวิชาแปลกใหม่พิสดาร ทว่าล้วนเต็มไปด้วยความอัศจรรย์ ว่ากันว่า เขาสามารถชุบชีวิตคนตาย พลิกฟื้นคนเป็น ถ้าข้าบอกว่าลูกของเจ้าบัดนี้ได้เข้าไปสิงอยู่ในร่างของโหวเฉียนเฉิง เจ้าจะว่าอย่างไร”
   “เป็นไปไม่ได้ๆ”
   เรื่องเหนือธรรมชาติเช่นนี้ เช่นนั้นคนตายวันนี้ อีกวันฟื้นคืนไม่เกลื่อนกลาดพบเห็นได้ทั่วไปหรอกหรือ
   “ลูกของเจ้าเกิดปีนักษัตรฉลู ธาตุดิน ใช่หรือไม่”
   “ใช่ขอรับ”
   “พลังธาตุสัมพันธ์กับนักษัตร นักพรตจากแดนใต้นามเหยียนจู่อันทำนายไว้ว่าพลังชีวิตที่กล้าแข็งเช่นนี้ ฆ่าไม่ตาย ถึงตายก็จะฟื้นคืนกลับมาใหม่ เดิมทีข้าไม่เชื่อ แต่หลายวันมานี้ข้าได้ให้คนจับตาดูคุณชายผู้นี้อยู่ห่างๆ ระหว่างเดินตลาดในเมืองลั่วหยาง เขาได้ทำสิ่งนี้ตกไว้ เจ้าดูเอา”
   เทียนโฮ่วยื่นสิ่งนั้นให้เขาดู
   “หยกตระกูลจิ่ว!”
   “ไม่ใช่หยกของตระกูลจิ่วธรรมดาทั่วไปใช่หรือไม่”
   เป็นตามคำของเทียนโฮ่วพูด หยกตระกูลจิ่วหรืออีกความหมายหนึ่งคือป้ายผ่านทางอันนี้ย่อมไม่เหมือนหยกของตระกูลจิ่วทั่วไปที่คนในจวนพกพา เมื่อเพ่งมองจะเห็นตัวอักษรจีนลวดลายงดงาม สลักชื่อของเจ้าของเอาไว้
   เหมียนเยว่…
   ชื่อของภรรยาอันเป็นที่รักของจิ่วเหมียนชง ก่อนตายนางได้มอบหยกชิ้นนี้ให้กับจิ่วฉือเหนียง ลูกชายคนรองของเขาให้ดูแล
   “ข้าคิดว่าท่านจิ่วคงมีคำตอบให้ข้าในใจแล้ว ว่าหยกชิ้นนี้ไปอยู่กับคุณชายตระกูลโหวได้อย่างไร”
   
   “เจ้าว่าเขาจะเชื่อที่ข้าพูดหรือไม่”
   พระนางอู่เอ่ยถามฉุนกงกงที่เดินข้างกายอยู่ไม่ห่าง ขันทีเฒ่ากล่าวว่า “ท่านจิ่วมิใช่คนโง่ เพียงแต่ขี้ประจบมากไป ดังนั้นเขาย่อมคิดได้พะยะค่ะ”
   เทียนโฮ่วพยักหน้า
   “เม่ยเหนียง”
   นานแล้วที่พระนางไม่ได้ยินผู้ใดเรียกขานเช่นนี้ ยกเว้นแต่…
   “จื้อหนู”
   พระเจ้าถังเกาจงพร้อมขันทีคนสนิทวังกงกงปรากฏกายขึ้น
   “ฝ่าบาททรงประชวร ไม่ทราบว่าหายดีแล้วหรือเพคะ”
   “เหตุใดกล่าววาจาห่างเหินกับข้าเช่นนี้ เรียกสรรพนามตามเดิมเถอะ ไป เดินชมจันทร์กันสักหน่อย”
   วันนี้นับว่าพระจันทร์เป็นใจ ทั่วท้องฟ้าสว่างจ้าไปด้วยแสงนวลของจันทร์วันเพ็ญ
   “ข้าล้มป่วยหนนี้ เจ้าคงลำบากแย่ งานบ้านงานเมืองข้าก็โยนให้เจ้าทำ”
   “ไม่หรอก ข้าเต็มใจช่วยท่าน” เทียนโฮ่วเมื่ออยู่ต่อหน้าโอรสสวรรค์ผู้นี้ที่แตกต่าง จึงไม่ไว้ยศไว้นามอีกต่อไป
   “นานแล้วนะ ที่พวกเรามิได้มาเดินเล่นชมจันทร์กันเช่นนี้”
   “ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว จื้อหนู เจ้ากับข้าก็ย่อมไม่เหมือนเดิม”
   ฮ่องเต้ทรงเหม่อมองท้องฟ้าแล้วได้แต่ทอดถอนพระทัย
   คำพูดของเทียนโฮ่ว เป็นเช่นนั้นจริงๆ

   “บัดซบสิ้นดี ไหนเจ้าบอกว่าวางยาฆ่ามันไปแล้วมิใช่หรือ”
   จิ่วกงเล่อสะบัดแขนเสื้อด้วยความหงุดหงิด เขาจ้องจินหรูอันเขม็ง เมื่อครู่ท่านพ่อเรียกเขาไปพบที่เรือนใหญ่ ตอนแรกจิ่วกงเล่อได้ยินมาว่าจิ่วเหมียนชงถูกเรียกตัวเข้าวัง มิแคล้วจะได้รางวัลใหญ่จากเทียนโฮ่ว แต่กาลกลับไม่เป็นเช่นนั้น ท่านพ่อถูกเรียกไปด้วยเรื่องของคุณชายรองที่ยังไม่ตาย หนำซ้ำมันยังถูกเซียนแห่งบรรพตหนานซานอะไรนั่นช่วยดึงดวงวิญญาณกลับมาเกิดใหม่ เรื่องมหัศจรรย์เช่นนี้ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เดิมคราวที่ท่านแม่คลอดมันออกมา มันก็นอนแน่นิ่งไม่หายใจ แต่สามวันต่อมาก่อนที่ท่านแม่จะตัดสินใจทิ้งมันลง มันกลับลืมตาตื่นขึ้นมา มาแย่งความรักใคร่เอ็นดูของท่านแม่ไปจากเขาทั้งหมด นับแต่นั้นเป็นต้นมา ท่านแม่ก็เอาแต่รักแต่หลงมัน ไม่เหลียวแลใยดีลูกชายคนโตเช่นเขา เขาแค้นมันยิ่งนัก
   “ข้าน้อยเห็นกับตาตัวเองเจ้าค่ะคุณชาย”
   จินหรูอันโผเข้ามากอดแข้งกอดขาจิ่วกงเล่อ ร้องไห้ฟูมฟายกลัวว่าอีกฝ่ายจะกระทำเรื่องโหดร้ายกับตน เดิมทีชีวิตคุณหนูตระกูลจินรุ่งเรืองรุ่งโรจน์ เติบโตขึ้นมาเป็นสาวงามสะพรั่ง แต่ถ้าไม่เพราะท่านพ่อของนาง จินอันเมี่ยนหลงผิดไปให้การสนับสนุนกับหานซิ่นจนตระกูลถูกเพ่งเล็งจากเทียนโฮ่ว และในที่สุดก็ถูกคำสั่งลับของพระนางอู่ ที่บัญชาให้ตระกูลจิ่วทำการกำจัดเสี้ยนหนามอย่างตระกูลจินไปเสีย เวลานั้นท่านแม่ทัพหานซิ่นทำศึกยังชายแดนใต้ อยู่ห่างไกลออกไป ไม่มีตระกูลไหนกล้ายื่นมือเข้ามาช่วย จิ่วเหมียนชงจับพ่อและแม่ของนางเป็นตัวประกัน เช่นนั้นคุณหนูจินหรูอันจึงกลายเป็นหมากอีกตัวของเทียนโฮ่ว แต่งเข้าเป็นภรรยาเอกของแม่ทัพหานซิ่น คอยแทรกแซงเป็นหูเป็นตาให้กับเทียนโฮ่วในจวนสกุลหาน
   แต่ทว่าการวางยาพิษคุณชายรองอนุภรรยาของหานซิ่นครั้งนี้เหนือความคาดหมาย นางถึงแม้จะถือโทษโกรธเคืองจิ่วฉือเหนียงว่าแย่งคนรักอย่างหน้าไม่อาย เดิมทีถ้าก่อนหน้านี้นางถูกแต่งเข้าไปเป็นภรรยาเอกของแม่ทัพหานซิ่น แน่นอนว่าเทียนโฮ่วคงมิอาจแตะต้องตระกูลจินได้อีกต่อไป เรื่องราวเป็นเช่นนี้นางย่อมแค้นฝังใจจิ่วฉือเหนียง แต่ทว่าความแค้นของสตรีอย่างนางเพียงน้อยนิดไม่อาจเทียบกับความแค้นของพี่ชายของจิ่วฉือเหนียงอย่างจิ่วกงเล่อ แผนลอบวางยาพิษทั้งหมดเป็นจิ่วกงเล่อที่เป็นเจ้าของแผนการ แม่ทัพหานซิ่นเป็นคนฉลาด แม้เขาไม่พูดแต่นางก็รู้ว่าเขาไม่มีทางเชื่อว่าจิ่วฉือเหนียงผู้นั้นจะกระโดดสระบัวฆ่าตัวตายดังคำจินหรูอันบอก หรือเขาอาจจะดีใจเสียด้วยซ้ำที่จิ่วฉือเหนียงต้นเหตุแห่งความอัปยศของตนถูกกำจัดไปนางก็ไม่อาจคาดเดาได้ เรื่องราวของจิ่วฉือเหนียงจบลงเพียงสองคำสั้นๆ ‘ช่างเถอะ’ ก่อนท่านแม่ทัพจะไม่กล่าวอะไรอีกเลย
   แต่กับฮูหยินผู้เฒ่า นังแก่หนังเหี่ยวนั่นไม่เพียงร้องไห้ฟูมฟายเป็นบ้าเป็นหลัง กลับล้มป่วยกะทันหันเพราะทนคิดถึงจิ่วฉือเหนียงไม่ได้ จินหรูอันรู้ความเป็นไปทุกเรื่องของตระกูลหาน ซ้ำยังรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่านั้นต่อหน้าทำร้ายกาจกับจิ่วฉือเหนียง แต่ความจริงรักใคร่เอ็นดูยิ่งกว่าใครๆ ทว่าแม้รู้ทุกเรื่องนางก็ไม่ได้โง่ กล่าวพูดกับเทียนโฮ่วทุกเรื่อง หลายคนยืมมือนางเพื่อทำลายตระกูลหาน นางเองก็จะยืมมือคนสองฝ่ายนี้ฆ่ากันเองเช่นกัน
   แต่นึกไม่ถึงว่าอีกสามวันต่อมา เทียนโฮ่วจะมีบัญชาให้กำจัดตระกูลหาน
   ตอนแรกจินหรูอันคิดว่าเป็นไปไม่ได้ แต่บัดนี้นางรู้ซึ้งถึงอำนาจของสตรีสูงศักดิ์ผู้นั้นแล้ว ผ่านไปเพียงชั่วข้ามคืน ตระกูลหานทั้งตระกูลก็ถูกฆ่าล้างโคตรอย่างโหดเหี้ยม โดยก่อนตายยังถูกใส่ร้ายอย่างไม่เป็นธรรมด้วยข้อหากบฏ
   “เอาเถอะ รีบไปเตรียมตัว ท่านพ่อมีงานใหญ่ให้พวกเราทำ”
   จิ่วกงเล่อผลักจินหรูอันออกไปอย่างไม่ไยดี
   “เรื่องของมัน ข้าจะขึ้นบัญชีไว้ก่อน”
   
   “ท่านหานซิ่น…” ข้าจำต้องหุบปากแล้วเปลี่ยนสรรพนามใหม่เมื่อท่านแม่ทัพที่ก้มหน้าก้มตาเขียนตำราเงยหน้าขึ้นมาจ้องเขม็ง “ท่านพี่” เรียกเองก็กระอักน้ำลายตัวเอง เสียงข้าจะหวานหยดไปไหนกัน
   เวลานี้ข้าถูกแม่ทัพหานซิ่นคนชั่วบังคับให้มานั่งฝนหมึกให้เขาเขียนตำรา ข้าอยากจะกู่ร้องเสียงดังใส่หน้าเขาเหลือเกินว่า ข้าไม่อยากทำๆ แต่ก็ทำได้เพียงนั่งฝนหมึกหน้าจ๋อย ข้าไปที่ใดไม่ได้ อิสระของข้าโบยบินไปไกลลับตาแล้ว
   “ข้าเมื่อย ขอพักได้หรือไม่”
   “ไม่ได้!” ข้าอ้าปากค้างพะงาบๆ
   “ท่านเป็นแม่ทัพนะ ทหารต้องฝึกวิชาดาบ หาใช่มานั่งเขียนตำรานี่ไม่”
   ข้าเอาข้อเท็จจริงเข้าสู้ ข้าเติบโตในจวนเสนาบดีนะ วันๆไม่เห็นทหารฝึกวิชาดาบ ก็เห็นฝึกวรยุทธ ไม่มีผู้ใดมานั่งใจเย็นเขียนตำราอยู่เช่นแม่ทัพผู้นี้หรอก วิชาถดถอยกันพอดี
   “ข้าให้เจ้าพูดความจริง”
   ข้าหน้างอง้ำ แม่ทัพผู้นี้น่ากลัวว่าจะอ่านใจข้าออกจนทะลุปรุโปร่ง
   “ข้าเบื่อ ข้าอยากออกไปข้างนอก ได้หรือไม่ท่านพี่”
   “…”
   เมื่อเห็นว่าเขาไม่ตอบ ข้าจึงคิดว่าน้ำเสียงออดอ้อนของตัวเองได้ผล จึงตรงเข้าไปเกาะแขนเขาเขย่าไปมา โดยหารู้ตัวไม่ว่า ได้เข้าไปใกล้ชิดมากเกินไปเสียแล้ว
   “ได้หรือไม่ ท่านพี่ ข้า…อื้อ”
   !!!
   ต่อมาข้าก็ได้รับรู้ถึงสัมผัสแปลกประหลาดที่เจือด้วยไออุ่นนิดๆแต่แฝงด้วยความเย็นที่ริมฝีปาก
   พลันเสียงข้าปลาสนาการหายไป พูดไม่ออก เพราะบัดนี้ริมฝีปากของข้าได้ถูกผนึกไว้โดยท่านแม่ทัพผู้นี้เสียแล้ว ข้าพยายามดิ้นให้หลุดแต่ไม่เป็นผล มือใหญ่ของหานซิ่นจับมือข้าตรึงไว้ที่พื้น ส่วนริมฝีปากของเขาก็ตักตวงเอาความหวานไปจากข้าไม่จบสิ้น สุดท้ายข้าทำอะไรไม่ได้ ได้แต่อ่อนยวบยาบหลงใหลในสัมผัสดุดันทว่านุ่มนวลนั่นไป
   ท่านแม่ทัพถอนริมฝีปากอย่างอ้อยอิ่ง ออกมาจ้องหน้าข้าด้วยสีหน้าจริงจัง ตอนแรกข้านึกว่าข้าจะเป็นอิสระแล้ว แต่ทว่า “เจ้ายั่วยวนข้าหรือ”
   “ข้าไม่…อื้อ”
   ริมฝีปากของข้าถูกผนึกอีกครั้ง แม่ทัพทำเช่นนี้วนไปวนมาอยู่ซ้ำๆ ผนึกแล้วก็คลายออก จ้องหน้าข้า แล้วก็ผนึกอีกไม่เลิกรา
   “ปากข้าบวมเจ่อไปหมดแล้ว”
   ข้าปาดริมฝีปากอย่างเอียงอาย หานซิ่นยิ้มนัยน์ตาก่อนจะเคลื่อนใบหน้าเข้ามาอีกครั้ง ข้ารีบตะครุบเอามือปิดที่ริมฝีปากเขาไว้อย่างใจกล้า
   “พอแล้วได้หรือไม่ เช่นนั้นข้าจะหมดแรงแล้วนะ”
   ถ้าข้าไม่รู้สึกแบบนั้นจริง ข้าย่อมไม่มีวันพูดมันออกมาแน่ แม่ทัพผู้นี้ช่ำชองการดูดพลังจากผู้อื่นยิ่งนัก
   “ถ้าเช่นนั้น เจ้ายังเบื่ออยู่หรือไม่”
   แขนแกร่งเลื้อยพันรอบเอวข้า กระชับแน่นให้ร่างของเราทั้งคู่ยิ่งใกล้กันเข้าไปอีก ข้าขืนตัวไว้แต่ไม่เป็นผล สุดท้ายอะไรต่อมิอะไรใต้เสื้อคลุมก็แนบชิดกันไปหมด
   ข้าเบือนหน้าหนีแล้วกล่าวว่า
   “ไม่เบื่อแล้ว”
หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทสิบสาม #อัพ 02-12-2019
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 02-12-2019 09:00:47
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทสิบสาม #อัพ 02-12-2019
เริ่มหัวข้อโดย: toeytoey ที่ 02-12-2019 15:37:36
เขาจูบกันสักทีๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

:ruready
หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทสิบสาม #อัพ 02-12-2019
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 06-12-2019 15:07:40
หืมมม  พัฒนาไวมาก
หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทสิบสาม #อัพ 02-12-2019
เริ่มหัวข้อโดย: toeytoey ที่ 08-12-2019 15:56:45
หายไปนานจังเลยคิดถึงมาต่อเร็วๆน้า :call:
หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทสิบสี่ #อัพ 14-12-2019
เริ่มหัวข้อโดย: MewSN ที่ 14-12-2019 19:10:01
บทสิบสี่
แกว่งเท้าหาเสี้ยน
   ข้าสังเกตหานซิ่นมาหลายวันแล้ว ถูกทางการตามล่า เมื่อไม่กี่วันก่อนเหตุเพราะข้ากับหานซิ่นไปเที่ยวชมงานเทศกาลหยวนเซียว โชคไม่ดีเจอกับคนของทางการ เวลานี้ทั่วทั้งเมืองลั่วหยางทหารเดินเพ่นพ่าน พวกข้าจึงมิกล้าออกไปไหนในตอนกลางวัน ครั้นกลางคืนสบโอกาสหนี เพราะในขณะนี้งานรื่นเริงก็ยังไม่จบลง เพราะฉะนั้นไม่ว่าเหล่าทหารพวกนี้จะอยากปิดเมืองล้อมจับพวกข้ามากเพียงใด ก็ทำมิได้ เหตุเพราะทางราชวังได้ออกกฎในระยะเวลาห้าวันของเทศกาลหยวนเซียวนี้ ประตูเมืองทุกแห่งจะต้องเปิดตลอดเวลา เช่นนั้นก็เป็นโอกาสดีใช่หรือไม่ สบโอกาสเช่นนี้พวกเราย่อมหนีออกจากเมืองนี้ไปกบดานที่อื่นยามกลางคืน ทว่าแม่ทัพผู้นี้ไม่เพียงไม่หนี วันๆยังเอาแต่ขีดเขียนม้วนตำราอะไรสักอย่าง
   ข้าไม่ได้โง่ ข้าว่าหานซิ่นกำลังรอใครสักคนอยู่ แต่เป็นผู้ใดนั้น ข้าก็มิอาจรู้ได้
   “ถังรุ่ย เจ้าคิดเหมือนข้าหรือไม่”
   ระหว่างที่เขาปล่อยตัวข้าให้เป็นอิสระจากการฝนหมึก ข้ากับถังรุ่ยจึงได้มีโอกาสสนทนากัน
   “คิดอันใด อาเฉียน” ข้ามองเขา “ข้าว่าท่านแม่ทัพกำลังรอผู้ใดอยู่ เจ้าว่าผู้ใดกัน”
   ข้าจนปัญญาอย่างแท้จริง ขนาดว่าคิดแล้วคิดอีกก็คิดไม่ออก เวลานี้จวนสกุลหานกับจวนสกุลโหวแตกพ่าย เท่ากับว่าข้าและหานซิ่นไร้ญาติขาดมิตร ขุนนางที่เคยสนับสนุนเขาก็เร้นกายหายตัวเงียบเพราะเกรงกลัวจะติดร่างแหข้อหากบฏตามไปด้วย เช่นนั้นยังเหลือผู้ใดได้อีก
   “เจ้าว่า…”
   “…”
   “เขากำลังรอหลี่ว์ต้งปินอยู่หรือไม่”
   เมื่อวันที่ข้าเจอหลี่ว์ต้งปินหนแรก เขาก็พูดออกตัวแล้วว่าอยากได้แม่ทัพผู้นี้เป็นศิษย์ประจำสำนัก หรือสองคนนี้จะลักลอบติดต่อกันอย่างลับๆ แล้วเหตุใดต้องเป็นความลับด้วย
   “เป็นไปไม่ได้ๆ” ถังลุ่ยโบกไม้โบกมือเป็นพัลวัน พลางกล่าวต่อว่า
   “เวลานี้ท่านเซียนหลี่ว์ต้งปินกำลังติดพันอยู่กับภารกิจที่บรรพตหนานซาน อาจารย์หลี่ได้บอกกล่าวไว้ก่อนไป”
   ข้าขมวดคิ้วมุ่น ตาเฒ่านั่นจะมาก็มาจะไปก็ไป มีเวลาบอกกล่าวเรื่องราวใดกับศิษย์ตนอีกหรือ แต่ช่างเถอะ ไม่ว่าท่านแม่ทัพหานซิ่นจะรออะไรอยู่ ข้าก็จำเป็นต้องอดรนทนรอไปกับเขาด้วยอยู่แล้ว เพราะสัญญาเลือดทำให้ข้ามีเรืออยู่หนึ่งลำ จะพายไปก็พายไม่ได้ เพราะติดที่เรืออีกลำไม่ไปด้วยกันนี่สิ
   ข้ายังจำคำของหลี่ว์ต้งปินได้ดี “ห่างกันร้อยลี้ เจ้าสิ้นลมหายใจ”
   ด้วยพลังพันธนาการของสัญญาเลือด อาจทำให้ชีวิตของข้าสูญสิ้นทันทีเมื่อออกห่างจากตัวท่านแม่ทัพเกินร้อยลี้!
   เพราะสิ่งนี้ข้าไม่อาจไปจากเขาได้ อย่างไรก็ตามข้าก็ไม่อาจบอกความจริงกับเขาได้เช่นเดียวกัน
   น่ากลัวว่าหากสักวันท่านแม่ทัพคิดละทิ้งข้า ข้าคงต้องยอมทิ้งศักดิ์ศรีเกาะแข้งเกาะขาอ้อนวอนตามเขาไปให้จงได้ ชีวิตข้าล้วนอยู่ในกำมือของท่านแม่ทัพ เขาจะบีบก็ตาย เขาจะคลายข้าก็ไปไหนไม่ได้อยู่ดี เช่นนี้หากบอกเรื่องนี้เข้าไปอีก ไม่แน่ว่าสักวันท่านแม่ทัพอาจใช้เงื่อนไขเหล่านี้สร้างความยุ่งยากให้กับข้าก็เป็นได้ ขอเพียงเรื่องนี้สงบลง ข้าอาจได้อิสระไม่เกินร้อยลี้นี้กลับมาอยู่บ้าง
   “ถังรุ่ย ข้าว่าเอาแต่หลบซ่อนอยู่ในนี้ไปก็ไม่ได้เรื่องอันใด หลายวันมานี้เมืองหลวงมีข่าวคราวใดบ้าง พวกเราไปสืบหน่อยเถอะ”
   ลั่วหยางแม้อยู่ห่างไกลจากเมืองหลวง แต่นับว่าไม่มาก ผู้คนยังไปมาหาสู่กันได้ เช่นนั้นกระแสข่าวก็ย่อมพัดพาตามการนำมาของนักเดินทางเหล่านี้ หากต้องการรู้ข่าวคราวในเมืองหลวง ข้าย่อมรู้ว่าต้องไปที่ใด
   ถังรุ่ยหน้าซีดเผือด พลางละล่ำละลักกล่าวกับข้าว่า
   “คุณชาย ข้าไม่ปลอมตัวเช่นนั้นอีกแล้วได้หรือไม่”
   โธ่เอ๋ยถังรุ่ยหนอถังรุ่ย เจ้าช่างไร้เดียงสานัก!
   “ย่อมไม่ได้!”
   ข้ามองสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของถังลุ่ยแล้วได้แต่ยิ้มขำในใจ

   เอาเข้าจริงข้าไม่ต้องไปเดินหาเหล่านักเดินทางให้ไกลเลย ข้างล่างของโรงเตี๊ยมเสียนหยางที่พวกข้าพักอาศัยเป็นแหล่งรวมเส้นทางโคจรมาพบปะพูดคุยกันของเหล่าผู้ท่องยุทธภพ เคราะห์ดีที่ข้าบังคับให้ถังรุ่ยปลอมตัวเป็นสตรีอีกครั้ง ไม่เช่นนั้นคนมากมายย่อมต้องจำเขาได้แน่ เพราะตั้งแต่ลงมานั่งที่มุมหนึ่งของห้องถังรุ่ยก็ชี้ไม้ชี้มือบอกกล่าวชื่อแซ่ของผู้คนเหล่านั้นได้อย่างแม่นยำไปหลายคนแล้ว เขาบอกว่าหลายคนที่นี่มีบางคนที่เป็นศิษย์จากบรรพตหนานซาน ด้วยภารกิจบางอย่างที่ทำให้ท่านผู้ท่องยุทธภพเหล่านั้นจำต้องปลอมตัว แต่ถังรุ่ยก็ยังคงจำเค้าโครงใบหน้าได้ ข้าฟังเช่นนั้นแล้วนึกภูมิใจยิ่งที่ไม่มีผู้ใดสามารถจดจำถังรุ่ยได้แม้แต่ผู้เดียว นั่นย่อมหมายความว่า ฝีมือการแปลงกายของข้าเข้าขั้นระดับสุดยอด
   “ใต้เท้า ข้าทราบมาว่า ท่านเสนาบดีจิ่วเหมียนชงกับคุณชายใหญ่จิ่วกงเล่อ เดินทางมายังเมืองลั่วหยางใช่หรือไม่”
   เป็นไปตามคาด ไม่นานข่าวที่เข้าหูพอฟังได้ก็ดังมาจากโต๊ะข้างๆไม่ไกลจากโต๊ะของข้า นี่ไม่ใช่แค่ข่าวเล็กๆแล้ว แต่เป็นข่าวที่สำคัญอย่างมากเลยล่ะ
   จิ่วเหมียนชงพ่อของข้า มาที่เมืองลั่วหยางเช่นนั้นหรือ
   “ถังรุ่ย วันนี้วันอะไร วันที่เท่าไหร่ เดือนอะไรแล้ว”
   “วันนี้วันที่หนึ่งเดือนหนึ่ง ท่านถามทำไมหรือ”
   ข้าลืมไปเสียสนิท เหตุเพราะความวุ่นวายหลายวันก่อน
   อีกสามวัน วันที่สี่เดือนหนึ่ง เป็นวันครบรอบวันตายของท่านแม่ข้า
   เดิมทีท่านแม่เป็นคนลั่วหยาง เดินทางไปค้าขายยังนครฉางอัน จึงได้พบรักกับท่านพ่อที่เวลานั้นยังเป็นเพียงขุนนางขั้นหก ไม่ได้มีตำแหน่งเป็นเสนาบดีผู้สูงศักดิ์อย่างเช่นทุกวันนี้ เรื่องราวเหล่านี้ท่านแม่เคยเล่าให้ข้าฟังสมัยที่ข้ายังเป็นเพียงคุณชายรองตัวน้อยๆ
   เวลานี้ ที่ท่านพ่อเดินทางมายังเมืองลั่วหยางก็เพื่อกระทำพิธีจัดงานครบรอบวันตายของท่านแม่ขึ้นที่บ้านเกิดของนาง หลังจากท่านแม่จากไปก็แปดปีเข้าให้แล้ว ข้าเคยเดินทางมาจัดงานให้นางที่นี่อยู่สองครั้งก่อนแต่งเข้าจวนสกุลหานและไม่ได้มาอีกเลย
   ข้าคิดถึงนางเหลือเกิน ท่านแม่คือคนผู้เดียวที่รักข้าอย่างแท้จริง
   บัดนี้แม้วันครบรอบวันตาย ข้าก็ไม่อาจเข้าร่วมได้เสียแล้ว
   “คุณชาย สีหน้าท่านดูไม่ดีนัก เป็นอะไรไปหรือ” ถังรุ่ยเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง ข้าส่ายหน้าบอกไม่มีอันใด
   “เปล่าๆ ช้าว่าเรากลับขึ้นข้างบนกันเถอะ”
   “แต่เราเพิ่งมาไม่นานนะท่าน”
   “เอาเถอะ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว”
   แม้ถังรุ่ยจะไม่เข้าใจในคำพูดของข้า แต่เขาก็ไม่กล่าวโต้แย้งอันใดอีก ตามข้าขึ้นไปบนห้องเงียบๆ
   “เจ้าไปไหนมา อาเฉียน”
   พอเข้าไปในห้องก็พบท่านแม่ทัพยืนทำหน้าตาถมึงทึงจ้องมาทางข้า
   “ท่านพี่ ถ้าจะให้ข้าช่วยฝนหมึก ข้าคงต้องวานถังรุ่ยเสียแล้ว อาถังข้ารบกวนเจ้าด้วย”
   เวลานี้ข้าเหนื่อยเกินจะสามารถทำสิ่งใดได้ กำลังจะปลีกตัวไปอีกทางก็ถูกมือท่านแม่ทัพคว้าข้อมือของตัวเองไว้
   “เจ้าเป็นอะไร สีหน้าดูไม่ดีนัก”
   “เปล่าหรอก ข้าแค่เหนื่อยๆน่ะท่านพี่ ข้าขอพักเสียหน่อยเถิด”
   แม่ทัพหานซิ่นเห็นข้าไม่มีท่าทีอยากต่อล้อต่อเถียงของเขาก็ขมวดคิ้วมุ่น เพียงแต่ยังไม่ปล่อยข้อมือของข้าให้ไปไหน
   “ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากังวลเรื่องใด…”
   “…”
   “เพียงแต่ อย่าเป็นเช่นนี้เลย”
   พรึบ!
   ข้าที่ถูกท่านแม่ทัพหานซิ่นกระทำการอุกอาจดึงเข้าไปกอดไม่สามารถขัดขืนแรงกายที่เหนือกว่าตัวเองได้ พลันความรู้สึกอุ่นซ่านในใจก็วาบขึ้นมา ข้าไม่อาจปฏิเสธอ้อมกอดนี้ของหานซิ่นซึ่งเป็นยาชั้นดีที่กำลังปลอบประโลมจิตใจที่อ่อนแอของข้าในเวลานี้ได้เลย รู้สึกดีเหลือเกิน ข้าหลับตาลง สัมผัสความรู้สึกนุ่มนวล ซ้ำไม่สนใจด้วยว่าในเวลานี้ถังรุ่ยซึ่งก็อยู่ในห้องนี้จะกำลังมามาหรือไม่ อ้อมกอดของท่านแม่ทัพ ช่างอบอุ่นเหลือเกิน
   คืนนั้นข้าฝันเห็นท่านแม่ในห้วงนิทรา ท่านเพียงมาปลอบโยนหัวใจอันบอบช้ำของข้า แล้วก็หายไป

   เช้าวันต่อมาคนที่ท่านแม่ทัพรอคอยก็ปรากฏตัว
   เป็นภรรยาเอกของหานซิ่น จินหรูอันนั่นเอง ข้าแค่นยิ้มในใจ หลายวันมานี้ที่ท่านรอคอยก็คือนางผู้เป็นนางในดวงใจของท่านตลอดกาลผู้นี้เองสินะ
   “ฮือ ท่านพี่ ข้าเศร้าเสียใจยิ่งนัก ที่เป็นข้าเพียงผู้เดียวที่หลบหนีออกมาได้ วันนั้นท่านพ่อเรียกตัวข้าไปพบพอดี ไม่แน่หากข้าอยู่ที่จวน ยังพอช่วยอะไรได้”
   นางร้องห่มร้องไห้น่าสงสารยิ่ง หานซิ่นเข้าไปกอดปลอบโยนนาง แม่ทัพผู้นี้ช่างมากอ้อมกอดเสียจริง เมื่อวานกอดข้า วันนี้กอดอีกคน ข้ามองภาพตรงหน้าด้วยสีหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดๆแต่ในใจเหมือนมีพายุตั้งเค้า เหตุใดกัน ข้าว้าวุ่นใจเหลือเกิน เมื่อก่อนไม่เป็นเช่นนี้
   “เรื่องผ่านมาแล้ว ปล่อยวางเสียเถอะ อีกอย่างเจ้าเป็นเพียงหญิงตัวเล็กๆ ไม่สามารถกระทำการใดได้ เคราะห์ดีเหลือเกินที่เจ้าปลอดภัย”
   ข้าแค่นยิ้ม ภาพท่านแม่ทัพลูบหัวนางเหตุใดจึงทำให้ข้าหงุดหงิดถึงเพียงนี้กัน
   “เจ้าตื่นแล้วหรือ”
   ข้ายืนเป็นตอไม้อยู่ตั้งนาน ท่านเพิ่งสังเกตเห็นข้าหรือ
   “ข้าจะออกไปข้างนอกเสียหน่อย เชิญพวกท่านปลอบโยนกันให้หายกลัวเสียเถอะ!”
   ข้าไม่รู้เลยว่า เสียงของตนช่างกระโชกโฮกฮากแค่ไหน แล้วสะบัดตัวเดินออกมาจากห้องนั้นทันที
   “อ้าว คุณชาย…”
   “ถังรุ่ย ไปหาข่าวกัน!”
   ถังรุ่ยที่ยิ้มทักทายพลันหุบลงฉับ
   “อีกแล้วหรือ ข้าต้องแต่งเป็นสตรีอีกแล้วหรือ”

   ข้าดินเตะฝุ่นเตะลมเตร็ดเตร่ไปตามทางเดินในตลาด ออกมาครึ่งชั่วยามแล้วจิตใจก็ยังไม่สงบลง ในหัวเอาแต่คิดไปว่าสองสามีภรรยาที่โรงเตี๊ยมเสียนหยางนั่นจะกระทำการใดปลอบใจกันไปแล้วบ้าง แต่นั่นก็หาใช่กงการใดของข้าไม่ คิดไปก็เปล่าประโยชน์ ผ่านมาครึ่งชั่วยามเพราะเอาแต่คิดเรื่องบ้าๆนั่น อย่าว่าแต่สืบหาข่าวคราวอันใดได้เลย ข้อมูลสักประโยคก็ยังไม่มี
   แต่เหมือนสวรรค์จะเห็นใจข้าอยู่บ้าง ห่างไปไม่ไกลนักพอให้สายตาข้ามองเห็นใบหน้าอันคุ้ยเคยของใครบางคน
   นั่น… จิ่วกงเล่อ ท่านพี่ใหญ่
   “ใต้เท้าจิ่ว เหตุใดจึงมาเยือนร้านราข้างถนนของข้าได้ขอรับ”
   พ่อค้าเจ้าของร้านเข้าไปประจบประแจง ในแววตาเขาราวกับเห็นบุญวาสนามากองอยู่เบื้องหน้า ข้าเดินเข้าไปใกล้กว่านี้อย่างระวังตัว ไม่ให้อีกฝ่ายมองเห็น
   “ท่านแม่ข้าโปรดของเช่นนี้ เจ้าแนะนำข้าได้หรือไม่”
   ที่จิ่วกงเล่อกล่าวนั้นเป็นความจริง ท่านแม่โปรดปรานจี้หยกปลอมเป็นที่สุด สมัยข้ายังเด็กเคยเข้าไปเล่นซนในห้องหับของท่าน นึกไม่ถึงด้วยความซนของตัวเองข้าจะเผลอไปเหยียบจี้หยกปลอมเข้า เพราะเป็นของปลอม โดนแรงข้าเหยียบไปจี้หยกก็แตก ท่านแม่แม้ไม่แสดงอาการเสียใจแต่ข้ารู้ว่าของสิ่งนั้นท่านรักมันมาก ภายหลังข้าจึงรู้ว่า จี้หยกปลอมอันนั้นเป็นของแทนใจของท่านพ่อที่มอบให้ท่านแม่ยามแรกพบกัน
   เหราะเหตุนี้ ชั่วชีวิตนางแม้มีเงินทองมากมายกลับไม่ได้หลงใหลในหยกแท้ หากเป็นของปลอมเสียอีกที่นางพึงใจ
   แม้พ่อค้าจะรู้สึกสงสัยว่าเหตุใดคุณชายตระกูลสูงศักดิ์ รวยล้นฟ้าเช่นนี้มาหาซื้อของปลอมอย่างจี้หยก แต่เขาก็ไม่รอช้ารีบประจบประแจงทันที
   ข้าเฝ้ามองจิ่วกงเล่อหาซื้อจี้หยกอยู่ห่างๆ
   ไม่นานเขาก็ได้ในสิ่งที่ต้องการ แล้วออกก้าวเดินไปอีกทาง ข้าตามไป ถังรุ่ยเอ่ยปากจะห้ามแต่ข้าส่งสายตาบอกให้เขาเงียบเสียง พวกเราตามจิ่วกงเล่อไปเงียบๆ
   ไม่ช้าเขาก็หยุดยืนอยู่หน้าสถานที่แห่งหนึ่ง จวนชั่วคราวของสกุลจิ่ว ข้าเคยมาพักที่นี้อยู่สองครั้ง จวนแห่งนี้แม้ไม่ได้รักษาความปลอดภัยมากมาย แต่ป้ายผ่านทางย่อมยังคงเป็นจี้หยกประจำตระกูลจิ่ว ข้ารอให้จิ่วกงเล่อเข้าไปก่อน เขาหยุดคุยกับผู้เฝ้าประตูชั่วครู่ จากนั้นก็เดินตัวลอยเข้าไปในจวน
   ข้าได้โอกาส ปรี่เข้าไปหาผู้คุม
   “ผู้คุมท่านนี้ ข้าเป็นสหายของคุณชายจิ่วที่เมืองลั่วหยาง จะขอเข้าพบคุณชาย”
   “เรียนคุณชาย ย่อมต้องมีป้ายผ่านทางขอรับ”
   ข้ากระหยิ่มยิ้มย่อง ข้าเป็นคนของสกุลจิ่ว ย่อมต้องมีป้ายผ่านทางของสกุลจิ่ว อีกอย่างป้ายผ่านทางของข้าก็พิเศษกว่าป้ายผ่านทางทั่วไป เพราะมันเป็นจี้หยกของท่านแม่ที่มอบไว้ให้ข้าก่อนตาย ข้าล้วงมือเข้าไปควานหาป้ายผ่านทางที่นำติดตัวมาในอกเสื้อ
   “เจ้ามีป้ายผ่านทางหรืออาเฉียน” ถังรุ่ยกระซิบกระซาบ
   “ย่อมมี ข้าพกไว้ติดตัว ในนี้…”
   ข้าควานหา แต่ทว่าหาอย่างไรก็ไม่เจอ ข้าขมวดคิ้ว ตบไปทั่วตัวของข้า ไม่มี จี้หยกของข้าหายไปไหนกัน!
   “ท่านมีป้ายผ่านทางหรือไม่ขอรับ คุณชาย”
   “ข้ามีๆ รอชั่วครู่”
   ข้าล้วงหาจี้หยกอีกรอบ ผลเป็นดังเดิม ไม่มี ไม่มีจี้หยกตระกูลจิ่วในเสื้อของข้า หรือลืมไว้ที่โรงเตี๊ยมเสียนหยาง
   “ผู้คุม ข้าคงจะลืมไว้ที่พัก เช่นนั้นข้าขอตัวกลับไป…”
   “คุณชายโหวเฉียนเฉิง”
   ข้าไม่ทันบอกกล่าวจบประโยคดี พลันก็มีเสียงเรียกชื่อข้า
   จิ่วกงเล่อที่ควรเข้าไปในจวนตั้งนานแล้วกลับมาปรากฏกายอยู่ตรงนี้
หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทสิบสี่ #อัพ 14-12-2019
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 14-12-2019 21:07:07
 :L2: :pig4:  :L2:
หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทสิบสี่ #อัพ 14-12-2019
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 19-12-2019 12:12:13
งานงอกแน่ๆ
หัวข้อ: Re: ข้าตายแล้ว ท่านเป็นอิสระ {จีนโบราณ} - บทสิบสี่ #อัพ 14-12-2019
เริ่มหัวข้อโดย: ursleepingxd ที่ 02-02-2020 10:47:50
อ้านถึงตอนล่าสุดแล้ววว ค้างมากกก มาต่อเถอะค่าาา ; - ;