15 ลมเพลมพัด
ผมจำได้ว่ามีเพลงหนึ่งของพี่ทิที่เขียนเกี่ยวกับความผิดพลาด เป็นเพลงที่เนื้อหาหม่นหมอง ลึกซึ้ง รันทด แต่งดงามคลอด้วยดนตรีเรียบง่าย นิ่ง น้อย และสะเทือนอารมณ์จนไม่อาจสรุปได้ชัดในเนื้อหากระชับเพียงประโยคเดียวได้ว่ามันคือความรู้สึกของอะไร บางทีแล้วอาจเป็นความรู้สึกของยามที่เรามองคนที่ห่วงใยทุกข์ระทมขมขื่นแบบที่ไม่อาจยื่นมือเข้าไปช่วยได้เลย
เมื่อคืนนี้แม้ผมจะชื่นมื่นเต็มตื้นไปด้วยความรู้สึกที่พี่ทิซ่อนไว้ในปลายสาย แต่เมื่อฟ้าเริ่มร้องไห้ และร้องหนักขึ้นเรื่อยๆ ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าผมเองก็ค่อยๆ จมหม่นไปกับรอยน้ำตา และทำได้เพียงยื่นทิชชูให้เพื่อนสนิททีละแผ่นจนลุงเจ้าของร้านน้ำเต้าหู้ไล่กลับบ้านตอนเกือบตีสี่
น้ำเต้าหู้เป็นหมัน เช่นกันกับขนมปังสังขยา มันเพิ่งขายได้ดีตอนเช้าของวันต่อมาที่ไอ้หลานตัวดีโยเยไม่อยากกินข้าวเช้าที่เป็นผัดบวบของแม่มัน
ไอ้อุ้ยโทรหาผมก่อนฟ้าจะตื่นในตอนสาย ท่าทางร้อนรนไม่ต่างกัน ผมไม่เข้าใจความสัมพันธ์ของมันทั้งคู่นัก ทั้งที่รักกันมานานแต่บทจะมีปัญหาก็เกิดเรื่องที่ไม่มีใครเคยเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นมาก่อน
พ่อแม่กีดกันเพราะฟ้าไม่ใช่ไฮซ้อไฮโซอะไรเนี่ยนะ?
โคตรเอเชี่ยนริชเลย
“ฟ้าตื่นหรือยัง น้ำมนต์”
แม่ถามหลังกลับจากตลาด พ่อออกไปเล่นหมากรุกที่บ้านผู้ใหญ่บ้าน มีสมาคมหมากรุกไทยกันอยู่ที่นั่น บรรยากาศของบ้านต่างจังหวัดเหมือนคนละโลกกับในกรุงเทพ บ้านที่ไม่มีความเป็นส่วนตัว ทุกคนเหมือนเครือญาติกันไปหมด เรื่องราวของลูกบ้านหนึ่งไปเป็นเดือดเป็นร้อนของอีกบ้าน โยงใยกันแน่นหนาและขยายกว้างดั่งแชร์แม่มะลิก็ไม่ปาน ส่วนกรุงเทพเรามักรู้จักเฉพาะคนที่เราอยากทำความรู้จักเท่านั้น
“ยังเลยแม่ เมื่อคืนกว่าจะหลับก็เกือบเช้า”
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่า โทรบอกที่บ้านเขายังว่าเอาลูกเขามา เดี๋ยวได้แจ้งความกันเป็นเรื่องราวใหญ่โต”
ผมกำลังจะเล่าว่าโทรบอกพี่ลมแล้ว แต่ไม่ได้คุยกับพี่ลม พี่ทิแย่งสายไปแถมยังดุใส่อีกแต่ก็เงียบไป มีความกังวลใจบางอย่างลอยขุ่นค้าง เป็นต้นว่าความสัมพันธ์ที่อธิบายให้ผู้ใหญ่ฟังยากของผมกับพี่ทิ
ว่ากันว่าเรื่องเพศเป็นเรื่องที่บ้านเราให้การยอมรับแล้ว ผมก็ยังไม่แน่ใจว่าบ้านเราที่ว่าหมายถึงบ้านคนอื่นในประเทศไทย หรือหมายถึงในบ้านที่เป็นของเราจริงๆ
“บอกแล้วครับ ฟ้าทะเลาะกับแฟนนิดหน่อย”
“มีอะไรก็คุยกันดีๆ ไม่น่าหนีมาแบบนี้เลย อันตราย”
“วัยรุ่นน่ะแม่” ผมพูดเหมือนปลงสังวร “อารมณ์พุ่งพล่าน”
“น้ำมนต์เองถ้ามีแฟนก็ใจเย็นๆ หน่อยนะ ทำอะไรคิดถึงความปลอดภัยตัวเองเยอะๆ”
ผมพยักหน้ารับคำ ที่ฟ้าบุ่มบ่ามมาอย่างนี้กลางดึกก็อันตรายจริงๆ นั่นแหละ “แล้วเมื่อไหร่จะพาแฟนมาเที่ยวบ้านบ้างล่ะเรา”
“ผมน่ะเหรอ ยังไม่มี๊” ลากเสียงสูง ถึงแม้จะจูบกันแล้วก็เถอะนะ ความสัมพันธ์ของผมกับพี่ทิก็ไม่ได้ชัดเจนขนาดนั้นเสียหน่อย “แม่ว่าคนที่เป็นแฟนผมจะเป็นคนยังไง”
“ต้องเอาแต่ใจแน่ๆ”
“ทำไมอะ”
” ก็เราน่ะ ติดนิสัยตามใจคนอื่น ไอ้เจ้าโมจะเสียคนเข้าให้ ที่บ้านนะไม่มีใครตามใจหลานเท่าเราแล้ว”
“ผมน่ะนะตามใจ” ผมยังคิดว่าตัวเองเป็นน้าที่ดุและน่าเกรงขามมากๆ จนถึงเมื่อกี๊อยู่เลย “เจ้าโมขอให้ผมซื้อกีตาร์ให้ ผมยังไม่ซื้อให้เลย จะบอกว่าตามใจได้ไง”
“เจ้าโมเป็นเด็กดีไง ถ้าลองตื๊อเข้าหน่อยใจแข็งได้เหรอ”
ผมเถียงไม่ออกเลยครับ
“น้ำมนต์น่ะ เป็นน้องคนเล็กของที่บ้านก็จริง แต่เป็นผู้ใหญ่นะ มีความเป็นผู้นำสูง แม่ก็ไม่รู้ว่าทำไม แต่ตั้งแต่มัธยมแล้วที่เราจะคอยดูแลเพื่อนๆ คนอื่น แม่ยังเคยคุยกับพ่อเลยว่าถ้าน้ำมนต์ลงสมัครนายกอ.บ.ต.คงได้”
ผมทำหน้าแหยงทันที นี่แหละนะเป็นที่มาของคำว่าลูกฉันเป็นคนดีในสายตาแม่ๆ ขนาดผมฟังยังขนลุก
“แม่ก็เวอร์เกิ๊น” ผมน่ะ ตามใจเฉพาะคนที่อยากตามใจเท่านั้นแหละครับ “แต่ว่าสงสัยผมต้องกลับกรุงเทพไวกว่าที่คิดแล้วล่ะ”
“กลับพร้อมฟ้าเลยใช่ไหม ก็ดีนะ เป็นผู้หญิงขับรถคนเดียวอันตราย”
ก็แม่สอนผมอย่างนี้ ให้คิดถึงคนอื่นก่อนตลอดแล้วยังมากล่าวหาว่าผมใจดีเกินเหตุเสียได้
“พาเจ้าโมไปด้วยจะรบกวนฟ้าหรือเปล่า”
“ไม่หรอกครับ”
อยู่ภายในใจเป็นหมื่นล้านคำ ฟ้าเนี่ยตัวกวนผมเลย บ่นในใจยาวสามชาติยังไม่จบ แต่ก็ไม่เคยพูดออกมาหรอก เพราะเป็นเพื่อนนั่นแหละถึงยอมให้กวนทุกเรื่อง ถ้าก่อนหน้านี้ก็เสริมตำแหน่งเพื่อนคนพิเศษให้อีกหน่อยด้วย
“นี่ ถ้าพี่ทิเขาดีขึ้นแล้วอย่าลืมพามาเที่ยวที่บ้านนะ แม่อยากเจอ”
ประโยคนั้นมันฟังดูแปลกๆ ยังไงชอบกล แม่ไม่เคยอยากเจอเพื่อนผมคนไหนแท้ๆ “ถ้าเขาว่างนะแม่ หลังจากนี้ก็ต้องเตรียมงานคอนเสิร์ตสิ้นปี เสียเวลามาเยอะมากแล้ว”
“อื้อ พามาแล้วกัน”
ผมพยักหน้า เดินไปนั่งที่พื้นหน้าโซฟาตัวที่แม่นั่งอยู่ ซบหน้าขาอ้อนๆ อย่างคนสันหลังวะ ทำไมน้ำมนต์ต้องเกิดมาสันหลังหวะกับทุกเรื่องขนาดนี้ครับ ไม่เข้าใจ เหมือนความสามารถเรื่องการปกปิดความจริงของตัวเองนำไปใช้กับเรื่องแอบรักสาวๆ จนหมดโควตาแล้วงั้นแหละ
“น้ำมนต์”
แม่วางมือบนหัวผม ลูบเบาๆ อย่างที่ชอบทำตอนเด็ก ใครบอกว่าผมเป็นผู้ใหญ่ ผมก็เป็นเด็กชายน้ำมนต์คนเดิมของแม่ตลอดนี่ครับ
“รู้ใช่ไหมว่าต่อให้เป็นผู้ชายยังไงก็ต้องป้องกันนะลูก”
เอ๊ะ..?
“เรื่องแบบนี้มันห้ามกันไม่ได้ น้ำมนต์อาจจะมีพี่เขาคนเดียว แต่ไม่ได้หมายความว่าพี่เขาจะมีน้ำมนต์คนเดียวเข้าใจไหม ไม่ว่ายังไงแม่ก็อยากให้น้ำมนต์ดูแลตัวเองให้ดี”
“แม่ ผมกับพี่ทิยังไม่ได้...”
เช็ดครก! ผมเงยหน้าขึ้นมองแม่ทั้งที่หัวใจแข็งค้างเหมือนแช่น้ำแข็งขั้วโลกเหนือ แม่ก็คือแม่ ยิ่งแม่ผมที่ยอมให้เจ้านะโมเกิดขึ้นทั้งที่พี่ปุ้นยังเรียนอยู่ คนที่ยินยอมให้แม่เจ้าโมเลือกเส้นทางตัวเองแม้ว่าไม่เห็นด้วยเมื่อสิบปีก่อน
“เฮ้อ น้ำมนต์พูดอย่างนี้แม่ก็เบาใจ อย่างน้อยก็เตือนได้ทัน”
ผมกลืนน้ำลายข้นเหนียวลงคอ ไม่อาจซ่อนแววตาสับสนได้พ้นทาง “ผมกับพี่ทิยังไม่ได้คบกัน”
“ก็ดีแล้ว แม่ยังไม่ได้บอกเรื่องนี้กับพ่อเขาหรอก ไม่รู้ว่ายอมรับได้มากน้อยแค่ไหน ใช้เวลาหน่อยนะน้ำมนต์ คนรุ่นพ่อรุ่นแม่ไม่ได้เกิดมาในยุคที่เรื่องพวกนี้จะเป็นเรื่องปกติ แต่แม่พยายามเข้าใจหนูนะ น้ำมนต์มีสุขกาย สุขใจ แม่ก็พอแล้วล่ะ”
เกือบซึ้งแล้วครับ ไม่สิ มันเป็นบทสนทนาที่ซึ้งมากๆ สำหรับผมเลยต่างหาก ต่างก็ตรงที่...ตรงที่ผมยังช็อกอยู่
จริงที่ว่าผมกับแม่พูดคุยกันได้ทุกเรื่องอย่างสนิทใจ แต่ว่าเรื่องนี้ผมยังไม่ทันเล่าให้ใครฟังเลยด้วยซ้ำ
ไม่ว่าจะเป็นกอดหรือจูบ...หรือกระทั่งท่าทางหึงหวงของพี่ทิ ความคิดถึงของผม ไม่เคยหลุดปากออกมาเลยแม้แต่น้อย
ผมก้มลงกอดเข่าแม่ไว้ แกล้งร้องฮือๆ ซ่อนความเขินอาย ให้ตายเถอะ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าแกล้งตาลุงตัวโตนั่นไว้เยอะสุดท้ายจะตกม้าตายรู้สึกกระดากอายกับคำพูดธรรมดาๆ ของคนในครอบครัว
“น้ำมนต์ อ๊ะ แม่ สวัสดีค่ะ ขอโทษนะคะเมื่อคืนฟ้ามารบกวนดึกเลย”
แขกคนพิเศษเดินออกมาจากห้องนอน สุดท้ายเมื่อคืนเราก็อยู่ด้วยกันในห้องนั้น แม้ว่าจะบ่ายเบี่ยงสุดกำลังแค่ไหนเมื่อถึงเวลาผมก็ทิ้งให้ฟ้าอยู่คนเดียวไม่ลงจริงๆ ความคิดอกุศลต่างๆ อันตรธานหายไป เหลือเพียงความหม่นเศร้าในโศกนาฏกรรมรักที่ไม่อาจบรรยายออกมาได้เท่านั้นเอง ยิ่งผมเปิดเพลงของพี่ทิคลอไปด้วยฟ้าก็ร้องไห้อย่างกับพี่ลมเสีย วันนี้เลยกลายเป็นสาวน้อยหน้าสดที่ตาบวมเป่งเหมือนกบ เห็นแล้วก็อดขำไม่ได้
“หัวเราะอะไรน้ำมนต์”
“ไม่เคยเห็นฟ้าหน้าสดเลยอะ”
“น้ำโมนนนน” ได้ยินเสียงโหยหวนแบบนี้ก็ใจชื้นขึ้นมาหน่อย อย่างน้อยก็มีรอยยิ้มเซียวๆ ให้เห็นได้
“ตาบวมเป็นเคโระเลยอะ”
“อีน้ำมนต์ ขอโทษค่ะแม่”
“น้ำมนต์อย่าแกล้งเพื่อนสิ” แม่เข้าข้างฟ้า แต่ก็หลุดหัวเราะมาเหมือนกัน สาวน้อยทำหน้างอ แกล้งเดินมาตีไหล่ผมเบาๆ ถ้าเป็นเมื่อก่อนจะเนียนจับมือสักหน่อยหรอก ซึ่งไม่ว่าจะเพราะไม่อยากฉวยโอกาสเล็กๆ น้อยๆ แบบนั้นแล้วหรือเพราะต่อหน้าแม่ ผมก็ได้แต่ส่งยิ้มกลับไป
“แล้วเป็นยังไงจ๊ะ ดีขึ้นมั้ย”
“ค่ะ” ฟ้าไม่ได้มาที่นี่ครั้งแรก แต่ก็นานมาแล้ว ตอนนั้นที่มาเที่ยวบ้านผมตอนอยู่ปีหนึ่งพร้อมไอ้พวกที่เหลือ “บ้านยังจัดน่ารักเหมือนเดิมเลยนะคะ”
“พอน้ำมนต์ไม่อยู่ก็ไม่มีคนทำรกเลย”
“น้ำมนต์เป็นคนทำบ้านรกเหรอเนี่ย”
“โม้” ผมรีบเถียง “ทำบ้านรกแล้วจะไปเก็บห้องพี่ทิได้ไง”
จู่ๆ การพูดถึงพี่ทิต่อหน้าแม่ก็กลายเป็นเรื่องที่ผมประหม่าอาย เหลือบมองคนรู้ทันที่ยิ้มกรุ้มกริ่มแล้วก็ร้อนเห่อบนพวงแก้มทั้งสองข้างจนต้องรีบเปลี่ยนเรื่อง
” อุ้ยมันโทรมานะฟ้า”
หญิงสาวลดมุมปากที่ฉีกยิ้มเมื่อครู่ลงเล็กน้อย พยักหน้ารับรู้ ให้เดาก็คงโทรหาฟ้าแล้วเหมือนกัน “ค่อยๆ คุยกัน ยังไงมันก็รักฟ้าแหละ”
“ไม่รู้ดิน้ำมนต์ เหมือนเราต้องรอให้พ่อแม่อุ้ยตายอะถึงจะได้แต่ง”
“แรงไป๊”
“ไอ้อุ้ยพูดงี้ จริง สาบาน”
ผมหัวเราะร่วนลงคอ คงทะเลาะแล้วประชดประชันกันไปตามประสา มองในมุมของคนนอกแล้วก็คิดว่าไม่นานเดี๋ยวก็ดีกัน
จู่ๆ ผมก็รู้สึกอิ่มใจอย่างบอกไม่ถูก สายตาที่มองฟ้าได้เต็มตา เอาใจช่วยไอ้อุ้ยให้หาทางฟันฝ่าอุปสรรคไปได้เป็นอย่างนี้นี่เอง
“แล้วจะอยู่กี่วัน ไม่ได้เตรียมของมาด้วยนี่”
“อืม คงต้องกลับวันนี้แหละ ไม่อยากให้อุ้ยมาตาม เดี๋ยวโดนผู้ใหญ่บ้านนั้นฉีกอก”
ผมพยักหน้าแล้วหันไปถามแม่ “นะโมไปไหนแล้วครับ ให้เตรียมของไปด้วยกันเลย เดี๋ยวฟ้าอาบน้ำอาบท่า กินข้าวก่อนแล้วแวะไปส่งเราหน่อย”
พอจะพูดว่าไปส่งเราที่ห้องพี่ทิหน่อยต่อหน้าแม่ก็เลิ่กลั่กไปหมด
“อื้อ ขอโทษน้า รบกวนน้ำมนต์เยอะเลย”
ผมได้แต่คิดในใจว่า รู้ตัวแล้วก็หัดรบกวนให้มันน้อยๆ หน่อยสิโว้ย ทว่าท่าทางที่แสดงออกมากลับเป็นยิ้มใจดีดั่งที่ทำมาตลอดสี่ปี
เริ่มคล้อยตามแม่แล้วว่าผมคงเป็นคนขี้ตามใจมากเกินไปอย่างว่าจริงๆ
ผมส่งข้อความไปบอกพี่ทิว่าจะไปหาที่คอนโดค่ำๆ แต่เจ้าตัวคงไม่ได้กดอ่าน หรืออ่านแล้วไม่รู้จะตอบยังไงก็เลยเงียบไป ไม่ติดต่อมา ดีที่ก่อนหน้านี้ผมบอกไปก่อนแล้วว่าจะพาหลานมาอยู่ด้วย เมื่อฟ้าจอดส่งหน้าตึกสูงผมเลยเดินเข้าตึกโดยไม่รู้สึกว่าเป็นผู้บุกรุกเท่าไหร่
“โห อย่างหรูเลยน้ามนต์”
ไอ้ตัวเล็กยังสัมผัสได้ ผมอยากให้มันสูดกลิ่นความไฮโซเข้าปอดลึกๆ เพราะบ้านเราไม่มีวันได้ครอบครองอสังหาริมทรัพย์อย่างนี้แน่แต่ก็วางฟอร์ม ทำเป็นนิ่งทั้งที่ตอนแรกที่ตัวเองมาก็แทบกรี๊ดเหมือนกัน
ใช่ แทบกรี๊ดจริงๆ เพราะหลังประตูที่ดูดีบานนั้นซ่อนเอาความโสมมแบบที่เห็นแล้วนอนฝันร้ายไปได้อีกเกือบเดือน
“อ้าว...พี่ทิล่ะครับ”
เมื่อเปิดบานประตูออกด้วยคีย์การ์ด คนที่นั่งจิบไวน์อยู่ในห้องกับเสียงดนตรีเคล้าบรรยากาศกลับไม่ใช่เจ้าของห้อง นะโมยกมือไหว้พี่ลมตามมารยาทก่อนผมสั่งให้เขาเอาของไปเก็บในห้องนอนเล็กซึ่งพี่ทิยกให้ผมชั่วคราว พี่ลมสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อน กางเกงแสลคพอดีตัว น่าจะเพิ่งกลับจากประชุมเพราะไม่อยู่ในชุดสบายๆ อย่างที่เห็นบ่อยๆ
“ทิอยู่ห้องอัด”
“แล้วพี่?”
“กะทิฝากโทรศัพท์ไว้ที่พี่ตอนทำงานน่ะ” เขาตอบยิ้มๆ ผมเหลือบมองขวดไวน์แล้วหงุดหงิดพิกล เอาแอลกอฮอล์มาไว้ในห้องแบบนี้ถ้าพี่ทิเห็นไม่มือสั่นแย่เหรอ “เลยมารอน้ำมนต์ก่อน”
“ครับ? มีอะไรหรือเปล่า”
“มานั่งนี่สิ”
เขาตบที่นั่งข้างตัว ผมไม่ได้รังเกียจพี่ลมหรอกนะ แต่ว่าที่ว่างตั้งเยอะแยะไม่ใช่หรือไง
“พี่บอกให้มานี่”
เขาไม่ได้พูดด้วยน้ำเสียงใจดีอย่างเคยแล้ว ผมก็เผลอห่อไหล่ลง ขยับไปนั่งข้างชายหนุ่มเงียบๆ แขนยาวยกพาดด้านหลัง โอบให้ผมเอนตัวเบียดกับร่างกายอีกฝ่ายโดยใช่เหตุ ผมเกร็งตัวขึ้นมา เม้มปากเข้าหากัน
“มีอะไรเหรอครับ”
“น้ำมนต์เก่งมากเลยนะที่ทำให้เจ้าทิกลับมาเขียนเพลงได้ทันงานคอนเสิร์ตสิ้นปี”
“พี่ทิตั้งใจจะเลิกเหล้าด้วยครับ ผมก็แค่พาเขาไปปรึกษาคุณหมอ”
“เป็นกำลังใจที่ดีให้กะทิด้วยใช่ไหม”
ผมตอบในใจว่านั่นก็เพราะพี่จ้างผมมาไม่ใช่หรือไง
“น่ารักจังเลยนะ แต่ว่า...ต่อจากนี้น้ำมนต์ไม่ต้องทำงานให้กะทิแล้วแหละ เขาเขียนเพลงเสร็จแล้ว เหลือเชื่อเลยไหม นี่ล่ะกะทิ ทิวากรที่เก่งกาจจนหาตัวจับยาก”
“หมายความว่าไงครับ”
ผมมองหน้าคนพูด ขมวดคิ้วเข้าหากัน “พี่ทิยังอยู่ในช่วงที่หมอติดตามผลนะครับ เขามีโอกาสกลับไปดื่มได้อีกถ้าเจอความเครียดเหมือนก่อนหน้านี้ พี่ลมต้องสนใจเรื่องสุขภาพของพี่ทิมากกว่างานสิครับ”
“สนใจ ใครบอกว่าพี่ไม่สนใจ พี่น่ะสนใจทิทุกอย่างนั่นแหละ พี่เห็นเขามาตั้งแต่ยังเป็นฟรีแลนซ์ ตั้งแต่ยังไม่มีชื่อเสียง น้ำมนต์น่ะ เพิ่งมาตามเขาตอนที่เริ่มดังแล้วไม่ใช่หรือไง”
วงการขิงคนมาก่อนในติ่งนี่มันอยู่ทุกด้อมจริงเว้ย
“แล้วยังไงครับ พี่บอกว่าพี่ชอบพี่ทิก่อนก็เลยเขี่ยผมออกไปเพราะได้ของที่ตัวเองต้องการแล้ว อย่างนี้พี่ยังเรียกว่าสนใจพี่ทิได้เหรอครับ พี่สนแค่ชื่อเสียงแล้วล่ะมั้ง”
“น้ำมนต์ พี่อาจจะดูเหมือนใจร้ายนะ แต่พี่ว่าน้ำมนต์กับกะทิกำลังทำอะไรที่ไม่สมควรทำหรือเปล่า”
ผมเม้มปากเข้าหากัน ที่ไม่สมควรทำนั่นหมายถึงอะไรกันแน่
“น้ำมนต์อยากได้ทิเป็นของตัวเองใช่ไหม”
“ไม่ใช่เรื่องนั้นนะครับ”
“พี่ถามอะไรหน่อยสิ ได้กันหรือยัง”
วันนี้มันวันโป๊ะแตกโลกหรือไงวะ ทำไมทุกคนถึงได้รู้ทั้งที่ผมยังไม่ได้พูดอะไรเลย แม้แต่พี่ทิก็ยังไม่ได้คุยกับผมชัดเจนถึงขั้นนั้นด้วยซ้ำ ผมขยับตัวจะลุกแต่ก็โดนล็อกแขนเอาไว้ บีบจนต้นแขนเจ็บไปหมด
“ไหนเคยบอกพี่ว่าชอบฟ้า แล้วนอนกับกะทิทำไม”
“ผมยัง...” เสียงนั้นหายไปเมื่อสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่ต้นคอ ผมเปลี่ยนมาหันหน้าเผชิญหน้าอีกฝ่าย ใช้สองมือดันหน้าพี่ลมไว้ “อย่าทำแบบนี้เลยครับ หลานผมก็อยู่”
“งั้นปล่อยสิ อยากให้หลานมาเห็นตอนน้าตัวเอง...”
ผมเบิกตากว้าง ไม่คิดว่าจะถูกพูดใส่แบบนี้มาก่อน ถึงจะทโมนตามประสาผู้ชาย ผมก็นับว่าเป็นผู้ชายที่เรียบร้อยและสุภาพกว่าเกณฑ์มาตรฐานมากนะครับ พูดอย่างนี้ได้ยังไง น้ำมนต์ระคายหูมากๆ
“มองหน้าทำไม มีปัญหาเหรอ”
“ไม่เชิงครับ ผมคิดว่าพี่จะเห็นผมเป็นน้องเสียอีก”
การถามตรงไปตรงมาทำให้พี่ลมอึกอัก เขาผ่อนลมหายใจออกเล็กน้อย
“พี่เอ็นดูเรานะ แล้วก็เห็นว่าน้ำมนต์ไม่ได้มีพิษมีภัย ฟ้าเองก็เล่าให้ฟังว่าในกลุ่มก็มีน้ำมนต์นี่แหละที่เป็นผู้เป็นคนที่สุด”
ผมขอบคุณฟ้ามากที่พูดถึงผมแบบนั้น แม้ไม่ได้คิดว่าตัวเองแตกต่างจากคนอื่นสักเท่าไหร่ มุมเป็นคนดีก็มี เพี้ยนก็ใช่ว่าน้อย ถ้าเทียบกับคนอื่นก็อย่างที่ฟ้าว่านั่นล่ะ
“พี่ไว้ใจให้น้ำมนต์มาดูแลทิ เราไม่น่าทำแบบนี้”
“ผมทำอะไรครับ”
ผมสู้นะ จ้องหน้าคนกล่าวหาเขม็ง ขยับตัวรักษาระยะห่างแต่ไม่แสดงทีท่าจะถอย ถ้าคิดว่าผมเป็นคนยอมคนง่ายๆ ล่ะก็ พี่ลมคงคิดผิด ไม่อย่างนั้นคงผมคงถอดใจเหมือนแม่บ้านคนก่อนๆ ที่พี่ลมหามาให้พี่ทิตั้งนานแล้ว
“ผมไม่ได้ทำอะไรผิด”
“น้ำมนต์ก็รู้ว่ากะทิมันเอาใจผูกไวกับความรัก พอโดนทิ้งก็เสียผู้เสียคน บอกตรงๆ พี่น่ะ...ไม่เชื่อหรอกนะว่าเรากับทิจะไปตลอดรอดฝั่ง น้ำมนต์เองก็ยังเด็ก มีอนาคตที่ไกลกว่านี้ แล้วถ้าวันนึงน้ำมนต์ไปแล้วทิมันจะทำยังไง ไม่สงสารมันเหรอ”
“แล้วทำไมผมต้องไปด้วยล่ะครับ”
“มันไม่มีหรอกนะ ความรักจีรังของคนเพศเดียวกันน่ะ อย่างมากก็แค่เซ็กซ์ระยะยาว”
“พี่ไม่เจอ ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีนะครับ”
อีกอย่าง ความรู้สึกข้างในมันไม่ได้ตัดสินกันได้ด้วยเครื่องเพศเสียหน่อย
“พี่ลมใจร้ายมากนะครับที่ตัดสินความรักของคนอื่น แล้วยังห้ามไม่ให้พี่ทิมีความรู้สึกอีก เขาไม่ใช่เครื่องผลิตเพลงนะครับ ถ้าพี่ทิจะล้มบ้าง เสียใจบ้าง มันก็เป็นสิ่งที่มนุษย์คนหนึ่งควรเผชิญกับมันไม่ใช่เหรอครับ พี่น่ะ...ทั้งๆ ที่ชอบพี่ทิ ทำไมถึงทำแบบนั้นกับเขาล่ะครับ”
ผมเผลอเม้มปากเข้าหากันในตอนท้าย ไม่อยากรับปากว่าความสัมพันธ์ของผมกับพี่ทิจะเดินไปที่จุดไหน แต่ว่าต่อให้ผมหรือพี่ทิเสียใจ มันก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรเลี่ยงเสียหน่อย
ผมหนีความรับผิดชอบต่อใจตัวเองมาตลอดชีวิต แม้จะบอกว่าการแอบรักทำให้เราไม่สูญเสีย แต่ขณะเดียวกันก็ไม่มีวันได้มา เมื่อพบความรู้สึกที่มันมากมายจนไม่อาจเย็นชาใส่อีกต่อไปผมก็เดิมพันกับมันด้วยความรู้สึกทั้งหมดที่มี
พี่ลมไม่ได้มีสิทธิ์อะไรในตัวผมและพี่ทิด้วยซ้ำ
“เป็นเด็กที่เด็ดเดี่ยวมากเลยนะ”
ชายหนุ่มถอนหายใจ ท่าทีระรานเมื่อครู่หายไปแล้ว กลายเป็นความรู้สึกเหนื่อยอ่อนและสับสนฉายในแววตา ผมรู้ การที่แอบชอบใครสักคนมาเนิ่นนาน พอเขาต้องหลุดมือไปจริงๆ มันก็กึ่งๆ รู้สึกผิดทีไม่พยายามอย่างที่สุด กึ่งๆ เสียใจที่ความรักนั้นไม่ใช่ของเรา อาการของพี่ลมตอนนี้ก็ไม่ต่างกันกับหมาหวงก้างเท่าไหร่
“ถ้าพี่ไม่ต่อสู้เพื่อมัน พี่ก็ไม่มีสิทธิห้ามคนอื่นนะครับ”
ผมพูดเตือนสติ คงเป็นประโยคที่เปรี้ยวตีนมาก เพราะอีกฝ่ายถึงกับหัวเราะเยาะในลำคอ
“คิดว่าพี่ไม่พยายามเหรอ”
“ถ้าพยายามแล้วยังไม่ได้มา แปลว่าสิ่งนั้นไม่ใช่ของพี่ไงครับ” ไอ้สัด เปรี้ยวตีนอีกแล้ว ไม่ใช่ไม่รู้ว่ามันฟังน่าหมั่นไส้ แต่ต่อให้โดนต่อยก็ต้องบอก “ผมแค่พูดเพราะผมก็เคยทั้งพยายามแล้วไม่ได้มา ทั้งไม่ได้พยายาม ผมเข้าใจพี่ลมนะครับ”
คราวนี้เขาทอดหายใจยาว ยื่นมือหยิกแก้มผมแรงจนเจ็บ
“หมั่นเขี้ยว”
ผมลูบแก้มตัวเองเบาๆ ไม่ออมแรงกันเลย
“ผมขอโทษนะพี่ลม ผมก็บอกไม่ได้หรอกว่าพี่ทิคิดยังไง แล้วผมกับเขาจะไปถึงไหน ทุกอย่างมันเพิ่งเริ่มเอง”
ยังใช้เวลาตีกันมากกว่ารักกันเสียด้วยซ้ำ ต่างตรงที่ความรู้สึกมันชัดสุดๆ เลยต่างหาก
“เรื่องนี้ไม่มีใครผิดหรอก”
ผมพยักหน้าก่อนถาม “แล้วพี่ทิกับแฟนเก่าเจอกันเป็นยังไงบ้างครับ”
“ก็เงียบๆ นะ กะทิเป็นคนไม่ค่อยเล่นกับคนแปลกหน้าอยู่แล้ว พอเทียบกับเมื่อก่อนบรรยากาศเลยเปลี่ยนไป แต่อย่างน้อยก็ร่วมงานกันได้”
“ผมเป็นห่วง ตาลุงนั่นยิ่งทำตัวเป็นเด็กอยู่ด้วย”
“นี่” พี่ลมกอดหมอนอิง ยืดขาเหยียดยาว “กะทิน่ะ จะทำตัวเป็นงอแงแค่กับคนที่ชอบเท่านั้นแหละ คนที่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่อ้อนก็จะได้โอ๋น่ะ ไม่ต้องหึงหรอก”
ผมบ่นอุบอิบในลำคอว่าไม่ได้หึงๆ บอกว่าผมหึงพี่ทิอยู่ได้
จริงๆ แล้ว ความรู้สึกข้างใน
ผมแค่เป็นห่วงเขาเท่านั้นเอง
tbc
ขอโทษที่มาช้ามากค่ะ แงงงง ดอกที่1 คือลืม ทำงานเพลิน ดอกที่2 คือพอวันนี้เปิดคอม จากเมื่อคืนนอนตีสองกว่าๆ คอมแม่งไม่ตื่น ฟื้นไม่มี หนีไม่พ้น นี่เอาคอมพ่อมาลงให้ก่อน แหหะๆๆๆ อีเวนคอมพิวเตอร์มันรู้นะคะว่าถ้างานเราเยอะมันจะทำตัวป่วงๆ โมโหมาก อยากถอยใหม่ใช้เงินแก้ปัญหา ติดอย่างเดียวไม่มีเงิน /ฮืดฮาดๆ
ตอนนี้พระเอกมาน้อย ใช้สอยอย่างประหยัด เจอกันพุธหน้ากั๊บ