[17]
ตอนที่ 17.
นกกับการพิสูจน์ความจริง
กระเป๋าถูกเก็บจนเรียบร้อยทันทีที่ตกลงใจได้ว่าจะตามไอ้ปามันกลับกรุงเทพฯ ผมเดินเข้าไปบอกพ่อกับแม่เพื่อจะลาท่านทั้งสอง แต่พอผมอ้าปากบอกว่าจะไป พ่อก็ตะเบ็งเสียงใส่ สั่งห้ามไม่ยอมให้ผมกลับไปอย่างเด็ดขาดด้วยเสียงเข้มๆ ผมจำได้นะว่าตอนผมกลับมาพ่อยังไล่ผมให้กลับไปอยู่เลย พอตอนนี้ที่ผมตกลงจะกลับพ่อผมดันไม่ยอมให้กลับเสียอย่างนั้น สรุปแล้วพ่อจะเอายังไงกับปมกันแน่
แต่ถึงพ่อจะไม่ยอมให้ผมไป แม่ของผมกลับยิ้มแล้วถือกระเป๋าลงมาส่งผมเองกับมือ พ่อที่หงุดหงิดงุ่นง่านเป็นคนวัยทองก็ได้แต่ฮึดฮัดเดินตามมาด้วยสีหน้าไม่พอใจ สายตาวาวโรจน์จ้องไปที่ไอ้ปาไม่วางตา เพียงแต่ไอ้ปาไม่ได้รู้สึกถึงสายตาของพ่อผมเลยสักนิด เพราะตัวมันเอาแต่คุยโทรศัพท์มาพักหนึ่งแล้ว
“ครับ…ใช่ครับคุณแม่ ได้แบบนั้นก็จะดีมากเลยครับ โอเคครับ ครับ สวัสดีครับ”
“คุยกับแม่เหรอ” ผมถามเมื่อมันวางสายแล้วเดินกลับมายืนอยู่ข้างๆ ผม
“ใช่ เดี๋ยวรอรถจากที่บ้านกูก่อน แม่กูส่งลุงโชคมารับแล้ว อีกสักพักก็คงมาถึง” ผมเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย
“พี่ชายพ่อมึง?” แต่ไอ้ปากลับกลอกตาใส่ราวกับว่าเบื่อความโง่ของผม
ทำไมมีแต่คนชอบด่าผมทางสายตา นกไม่เข้าใจ ฮือๆ
“คนขับรถที่บ้านกู มึงนี่ก็นะ”
“อ๊ะๆ อย่านะมึง” ผมรีบใช้มือปกป้องศีรษะตัวเองเอาไว้เมื่อไว้ปายกมือขึ้นมาแล้วมีท่าทีจะเขกลงไปบนหัวของผม
ไอ้ปาส่ายหน้ากับความบ้าบอและเล่นไม่ดูเวลาของผม แม่ผมเองก็หัวเราะกับความสนิทกันของเราทั้งสองคน แต่ที่ผมอยากบอกแม่คือนี่ไม่ใช่การเล่นกันนะแม่ ถ้าแม่กับพ่อไม่อยู่ตรงนี้รับรองเลยว่ามือมันเขกลงบนหัวผมแน่ๆ ผมกล้าเอาหัวเป็นประกันเลย ไอ้ปามันร้ายยยย
“เฮอะ!” ก็มีแต่พ่อผมนี่ล่ะที่ไม่สบอารมณ์กว่าชาวบ้านเขา ผมเหลือบตามองพ่อที่ยืนกอดอกกระดิกเท้าผินหน้าหนีไปทางอื่นก็รู้ได้เลยว่านี่คืออาการงอนของพ่อ
จริงๆ เลยพ่อผมเนี่ย ปากแข็งที่หนึ่ง ทำมึนก็เก่ง แถมยังขี้งอนสุดๆ ด้วย
“โธ่พ่อครับ…อย่าโกรธเลยนะ” แต่พ่อก็ยังเมินใส่จนแม่ต้องตีแขนแรงๆ พ่อถึงยอมหันมาหาผม
“เดี๋ยวเถอะพี่นุ ลูกจะกลับกรุงเทพฯ นะคะ ไม่ได้ไปประเทศอื่น” ใช่ๆ ไปแค่กรุงเทพฯ นะครับ ไม่ได้จะไปไหนไกลเสียหน่อย คิดถึงก็มาหา ไม่ได้ยุ่งยากเหมือนผมไปอยู่เมืองนอกนะ
“ไม่รู้จะกลับไปทำไม!” ตอนมาก็ไม่อยากให้มา พอจะกลับก็ไม่อยากให้กลับ อะไรของพ่อผมครับเนี่ย!!
“เดี๋ยวผมจะพานกมาเยี่ยมบ่อยๆ แน่นอนครับคุณอา” ไอ้ปาโอบไหล่ผมไว้แล้วบอกกับพ่อผม แต่แทนที่พ่อจะยินดีที่ได้ยิน กลับแยกเขี้ยวใส่ ตั้งท่าจะกัดไอ้ปาให้ตายไปเลย
ดีนะแม่ผมอยู่ ไม่งั้นคงมีมวยอีกแน่ๆ
“แง่งงงง” มีขู่ๆ
“พี่นุ!!!” หงอย หงอยไปเลยจ้าาา พ่อผมที่ยืดตัวพองขนขู่ตั้งท่าจะบวกเต็มที เจอแม่เรียกเสียงเข้มทีเดียวร้องเหมียวๆ เลี้ยวกลับแทบไม่ทัน
“ก็พี่ไม่อยากให้ลูกเราไปนี่คะหนู” แม่ผมส่ายหน้ากับอาการหวงลูกอย่างหนักของพ่อ
อย่าคิดมากเลยแม่ โรคนี้สงสัยรักษาไม่หายแล้วล่ะ ฮ่าๆ
“ถึงอย่างนั้นก็ควรทำตัวดีๆ หน่อยสิคะ พี่เป็นพ่อคนแล้วนะไม่ใช่เด็กๆ”
“แม่ครับ แน่ใจนะว่าพ่อโตแล้ว?” พ่อหันขวับมาหาผมแทบจะทันทีตามด้วยเสียงเรียกชื่อผม
“ไอ้นก! ไอ้ลูกเวร!”
“แม่มีผัวชื่อเวรเหรอครับ เอ้านี่ผมคิดมาตลอดนะว่าเป็นลูกพ่อนุ สงสัยต้องไปเช็กข้อมูลใหม่ซะแล้วสิ” พ่อผมหายใจแรงแทบจะโมโหตาย ส่วนแม่ผมยืนหัวเราะคิกคักอย่างอารมณ์ดีที่เห็นพ่อผมเถียงไม่ออก
แน่ล่ะ จะมาเถียงสู้ผมได้ยังไงเล่า นี่ใครครับ ดูด้วยนะครับ หึๆ
“เอ็งจะไปไหนก็ไปๆ ดีเสียอีกข้าจะได้พาเมียข้าไปเที่ยวได้อย่างสบายใจ”
“คร้าบๆ” อยากกลอกตาใส่พ่อจัง หายใจเข้าออกก็มีแต่เมีย เมีย เมีย ไม่มีหรอกลูกน่ะ เฮอะ!
เพียงแต่ว่า…พ่อเป็นสามีที่ดีของแม่ เป็นพ่อที่ เอ่อ ดีไหมวะ ก็ดีแหละ เอาเป็นว่าดีของพ่อผมไอ้แมวแล้วกัน
ไอ้แมวเองมันก็ไม่ค่อยพอใจนะที่ผมเลือกจะกลับไปกับไอ้ปา ผมเข้าใจความรู้สึกมัน มันอาจจะเป็นผมเองที่งี่เง่าเลือกที่จะร้องไห้แสดงความอ่อนแอออกมาให้น้องชายของผมเห็น จึงทำให้มันออกอาการต่อต้านและผิดหวังในตัวผมอยู่ไม่น้อย ผมไม่ได้เลือกจะไปเพราะว่าเห็นมันสำคัญ
แต่ที่ผมเลือกจะไปเพราะผมอยากจะเคลียร์ปัญหาทุกอย่างให้จบ
อยากมั่นใจว่าครั้งนี้ผมไม่ได้เลือกผิด มันไม่ได้โกหก สิ่งที่ค้างคาใจของผมได้ถูกกำจัดไปหมดแล้วจริงๆ ความสัมพันธ์ที่ดำเนินไปด้วยความรู้สึกคลุมเครือ มันไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น ไม่ได้ทำให้ผมกับไอ้ปารักกันมากขึ้นหรือผูกพันกันมากขึ้น แต่มันจะเป็นตัวบั่นทอนความรู้สึกของเรา ให้ความรักของเราค่อยๆ ลดลง
เพราะฉะนั้นผมจึงเลือกที่จะเดินต่อ เลือกที่จะกลับไปกรุงเทพฯ กับมัน
“เป็นอะไร โกรธพี่เหรอ?” ผมถามน้องชายที่ยืนหน้าบึ้งตึงอยู่ตรงหน้า แต่น้องชายผมกลับสะบัดหน้าใส่ยังไม่สนใจ รอบนี้ผมต้องง้อแบบไหนละเนี่ย ต้องใช้เงินส่วนตัวไปซื้อเจ้าคิตตี้บ้านั่นมาให้มันอีกแล้วใช่ไหม ช่างเป็นน้องชายที่ละลายทรัพย์กูได้ดีจริงๆ
ยัง ยังจะมางอนกูอีก ยังไม่พูดกับกูอีก กูพี่มึงนะไอ้แมว
“คิตตี้…” แหม ทีอย่างนี้ล่ะหันมาได้ ถ้าไม่มีชื่อลูกรักนี่มันจะหันมาหาผมไหม
เอาเถอะ อย่างน้อยก็ถือว่าซื้อมาง้อน้อง ใครใช้ให้มันเกิดมาเป็นน้องชายผมกันล่ะ มีน้องชายคนเดียวก็ต้องเอาอกเอาใจมันหน่อย ให้งอนมากๆ ไม่ได้หรอก พี่ชายมันอย่างผมปวดใจ รู้ว่ามันเป็นห่วงและผมก็เข้าใจที่มันจะโกรธหรือว่างอนผม แต่ด้วยความที่เป็นพี่มันเพราะงั้นผมจึงรู้ดีว่าจะต้องง้อด้วยวิธีไหน
“ไว้พี่จะซื้อมาให้ รับรองว่าไม่ลืมแน่นอน” ผมยิ้มวางมือบนหัวน้องชายตัวเองแล้วโยกเบาๆ ด้วยความรู้สึกเอ็นดู
“หายงอนพี่ได้แล้วไอ้แมวต๊อง” ดูเหมือนมันจะไม่ค่อยชอบเท่าไหร่เพราะมันปัดมือผมออก แววตายังคงมีร่องรอยของความขัดเคืองอยู่ไม่น้อยเลย แต่มันกลับเม้มปากใส่ผม
อะไร??? ทำไมตัวน่ารักแบบนี้มันจะเอาอะไรอีก ซื้อให้สองเท่าไม่ไหวนะบอกก่อน กูก็จนอยู่!
“พี่แม่ง…ไม่เคยจำอะไรเลย!!” เอ้า! อะไรวะ? เหวี่ยงกูเฉย
“ใจเย็นๆ โกรธอะไรขนาดนั้นวะแมว” ผมเริ่มงงกับน้องตัวเองแล้ว นี่ผมแค่กลับกรุงเทพฯ หรือเปล่าวะ?
“ไม่ต้องมาพูดเลย! พี่แม่ง…ฮึ่ย!!”
น้องผมมันไม่ปกติหรือผมเองที่โง่ ผมยืนงงเป็นไก่ตาแตกโดยมีพ่อแม่และไอ้ปายืนมองอยู่ ไอ้แมวเองก็มีทีท่าฮึดฮัดๆ ไม่ต่างจากท่าทีของพ่อเท่าไหร่ นิสัยเหมือนกันจริงๆ ดูสิ ยังจะส่งสายตาโกรธมาทางนี้อีก คิตตี้ไม่พอหรือยังไงหว่า??
“เอาที่พี่เข้าใจด้วย พูดแล้วเข้าใจคนเดียวไม่ต้องพูด” ผมถอนหายใจแต่หัวคิ้วยังไม่คลายออก ไม่ชอบให้น้องโกรธ ผมแหย่มันได้ แซ็วมันเล่นอะไรๆ แบบนี้ได้ แต่ไม่ชอบครับถ้าเราสองคนต้องมาทะเลาะกัน
“พี่นกแม่งโง่ไง! เจ็บแล้วทำไมไม่จำ กลับไปให้มันทำพี่ร้องไห้อีกเหรอ!” ผมกลอกตาไปมา สรุปที่โกรธคือโกรธที่ผมรีบกลับกรุงเทพฯ ใช่ไหม แบบนั้นจริงๆ พูดตรงๆ มาก็ได้ว่าไม่อยากให้ไป
อ้อมโลกกันจริงๆ
“ก็…ถ้าร้องไห้อีกก็จะกลับมาอีกไง” ผมพูดติดตลก แต่เหมือนไอ้แมวจะไม่ขำด้วย
“ไม่ต้องมาเลย! ไม่ต้อนรับแล้ว บินโง่ๆ เข้าป่าไปเลยไป!!”
เอ่อ…ถึงกูจะชื่อนกแต่ไม่ได้แปลว่ากูมีปีกนะมึง
“ก็ได้งั้นพี่จะไปร้องไห้คนเดียวแล้วกัน เฮ้อ…” ผมแกล้งถอนหายใจพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ ดูท่าทีไอ้น้องชายตัวดีว่ามันจะทำยังไง แล้วก็ได้ผล ไอ้แมวที่เดิมทีโกรธอยู่นั้นเริ่มร้อนใจ สายตาจ้องมองผมอย่างสับสนว่าจะโกรธต่อหรือง้อผมดี
น่ารักว่ะ น้องใครวะ
“ก็ ก็ได้! พี่กลับมาก็ได้! แต่ไม่ต้องเอามันกลับมาด้วยนะ คนที่ทำพี่ร้องไห้ผมไม่ชอบ”
อยากจะยิ้มให้แก้มปริเมื่อได้ยินแบบนั้น รู้สึกได้เลยว่าหัวใจฟูจนคับอก หน้าบานกว่ากระด้งแล้วครับตอนนี้ น้องผมมันซึนเดเระใช่ไหม ทำไมทำตัวน่าดึงเข้ามากอดแล้วหอมแก้มแรงๆ จังเลย แบบนี้จะมีผู้หญิงที่ไหนมาเป็นแฟนมันได้วะ นิสัยมันเป็นแบบนี้ดูๆ แล้วคงไม่พ้นมีผู้ชายมาจีบแน่ๆ
“ไม่รับปากนะ แต่ถ้าพี่ไม่ร้องไห้ พี่ขอพามันกลับมาด้วยได้ไหม?” ไอ้แมวเม้มริมฝีปากก่อนจะเชิดหน้าไปอีกทาง
“ถะ ถ้าพี่นกยิ้มกลับมา จะพามาเป็นของแถมผมก็ไม่ว่าหรอก”
หมับ!!“น่ารักว่ะไอ้น้องงงงงง” ผมกอดมันเข้าเต็มอกเลย กอดแน่นๆ ทั้งที่ปากยังฉีกยิ้ม
น่ารัก น่ารัก น่ารัก
ทำไมน้องชายปมน่ารักแบบนี้วะเนี่ยยยย
“ปล่อยเลยนะโว้ย! พี่นกปล่อยๆๆๆ อย่ามากอดผมนะ!” มันดิ้นแง้วๆ เหมือนแมวดิ้นไปมาไม่ยอมให้กอด นอกจากจะชื่อแมวชอบแมวโง่สีชมพูแล้วยังนิสัยเหมือนแมวอีก
“ฮ่าๆ พี่รักแกชะมัดเลยไอ้แมว” มันชะงักไปแป๊บหนึ่งก่อนจะดันผมให้ตัวมันเองหลุดออกจากอ้อมกอดผม
“เออ! เรื่องของพี่เถอะ แล้วก็อย่าลืมคิตตี้ของผมด้วยล่ะ ห้ามซื้อของปลอม ของตลาดราคาถูกๆ ก็ไม่เอา อีกอย่าง…ถ้าผมจับได้ว่าพี่ทำเหมือนวันเกิดผมตอนนั้น ผมจะปรับพี่ให้ซื้อของนอกให้ซะเลย”
“เห็นใจเงินในกระเป๋าพี่บ้างเถอะ ขอร้องล่ะ” เหมือนเห็นภาพเงินสุดที่รักปลิวหายออกไปจากกระเป๋าแล้วหันมาโบกมือลากลายๆ
“ถ้างั้นพี่ก็อย่าลืมซื้อสิ อย่าลืมเอามาให้ผม! อย่าลืม…กลับมานะ” ผมรู้สึกว่ากระบอกตามันร้อนผ่าว มองความฉ่ำวาวในดวงตาของน้องอย่างตื้นตันใจ
ไอ้แมวมันเป็นห่วงผม มันกำลังบีบบังคับ ใช้ทุกอย่างเพื่อให้ผมกลับมาที่บ้านอีก
อา ไม่อยากไปแล้วสิแบบนี้
“กลับสิ กลับมาแน่นอน” ครอบครัวอยู่ที่นี่ ผมจะไม่กลับมาได้ยังไงกัน ไอ้แมวมันหันหลังให้ผม มือยกขึ้นมาที่ใบหน้าเองแล้วถูแรงๆ สองสามครั้งแล้ววิ่งเข้าบ้านไปโดยมีผมตะโกนตามหลัง
“พี่จะกลับมาแน่นอน! จะเอาไอ้คิตตี้มาฝากด้วย!!”
นั่นคือคำสัญญาที่ผมมีให้น้อง มันจะไม่มีวันเปลี่ยน ผมจะกลับมาหาน้องอีกแน่ๆ ถึงยังไงผมก็ไปแค่ยืนยันทุกอย่างเท่านั้น ไม่ใช่ไปอยู่ที่นั่นถาวรเสียหน่อย ผมกะพริบตาถี่ๆ เพื่อไล่ความร้อนที่หัวตาออกไป กลืนความรู้สึกจุกที่ลำคอให้มันลงไปในอกอีกครั้ง มองพื้นดินหน้าบ้านด้วยความรู้สึกหวิวๆ ในใจ
“ไม่เป็นไรหรอกนก เดี๋ยวแม่ดูน้องให้เอง” ผมเงยหน้าขึ้นมามองรอยยิ้มของแม่ คิดถึง ผมอยากอยู่ต่อแต่ตอนนี้ยังไงก็ต้องไป บางอย่างให้มันชัดเจนตั้งแต่ตอนดีกว่าที่จะปล่อยเวลาให้มันผ่านไปเรื่อยๆ แล้วต้องมาอยู่กับความค้างคาใจ
“นก…ต้องไปแล้ว” ผมหันไปมองไอ้ปาที่ส่งสายตาไปให้ดูรถหรูสีดำที่เข้ามาจอดเทียบรออยู่แล้ว
“ผมต้องไปแล้วครับแม่”
“ไปเถอะลูก โทรมาบ้างนะคะ” แม่ยังคงยิ้มให้ผม มองด้วยแววตาอ่อนโยนเหมือนทุกครั้งไม่เคยเปลี่ยน เมื่อครั้งที่ผมไปเรียนที่กรุงเทพฯ แม่ก็พูดแบบนี้ สุดท้ายผมก็ไม่มีเวลาที่จะได้ติดต่อมา
มันคิดถึง โหยหา และรู้สึกยึดติดจนไม่อยากไป
เหมือนกับว่าตรงนี้คือพื้นที่ที่ผมสามารถจะทำอะไรก็ได้ เสียใจแค่ไหนก็ได้ มีความสุขยังไงก็ได้ มีทุกคนอยู่ข้างๆ เป็นบ้านที่แสนสุขของผมเอง
“พ่อ!” พ่อยังคงตีสีหน้าเรียบเฉย แววตาเต็มไปด้วยร่องรอยความห่วงหา
“อะไรของเอ็งอีก!” ถึงแม้ว่าพ่อจะทำสีหน้าติดรำคาญใส่ผม แต่ผมก็รู้ว่าพ่อรักผมมาก
“ผมไปแล้วนะครับ”
“ก็ไปสิวะ ข้าห้ามเอ็งได้เรอะ!” ปากแข็งตลอดเลยนะพ่อ แต่เพราะพ่อเป็นแบบนี้ล่ะผมถึงได้ไม่เศร้ามากนัก
“สวัสดีครับแม่ สวัสดีครับพ่อ แล้วผม…จะซื้อของกลับมาฝากนะครับ ถ้าหางานใหม่ได้แล้ว”
“จ้ะ ไหนมาแม่กอดหน่อยสิ” แม่ดึงผมเข้าไปกอดแล้วลูบผมของผมอย่างเอ็นดู
“ผมรักแม่นะครับ”
พอผละออกจากอ้อมกอดแม่ผมก็รู้สึกหวิวๆ ขึ้นมา พ่อหันหลังให้ผมกับไอ้ปาทันที ทำทีว่าจะเดินกลับเข้าไปในบ้านแต่ผมรวบพ่อเข้ามากอดเอาไว้ทางด้านหลังเสียก่อน ใช้แขนออกแรงรัดตัวพ่อจนแน่น นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่ได้กอดพ่อแบบนี้ มันนานมากแล้วจริงๆ
“นกรักพ่อนะ” เสียงผมอู้อี้เมื่อใบหน้าซุกอยู่กับแผ่นหลังของพ่อ
“อะ เออ! ข้ารู้แล้ว!” ผมปล่อยพ่อออกทันที ไม่อยากให้พ่ออึดอัดมาก เพราะรู้ว่าพ่อไม่ค่อยชอบการแสดงความรักแบบนี้สักเท่าไหร่
“ถ้างั้นผมลานะครับคุณน้า คุณอา สวัสดีครับ”
“จ้ะ” ไอ้ปายกมือไหว้แม่ผม แม่ผมก็รับไหว้ด้วยรอยยิ้มอย่างดี แต่พ่อผมสิ ไม่ยอมหันกลับมามองด้วยซ้ำไป ผมและไอ้ปาจูงมือกันหันหลังจะเดินจากไปแต่ก็ต้องชะงักกับเสียงเรียกที่คุ้นหู พร้อมกับคำพูดที่ทำให้ผมแทบจะไม่อยากก้าวขึ้นรถไปเลย
“ถ้าเอ็งทำลูกข้าเสียใจอีกครั้ง อีกแค่ครั้งเดียวข้าจะไปพามันกลับ และจะไม่มีวันส่งมือมันไปให้เอ็งจับอีก จำเอาไว้ให้ดี!”
พ่อ…“ไม่มีวันนั้นแน่นอนครับคุณอา ผมสัญญา” ไอ้ปากุมมือผมแน่น รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้ายามมองหน้าผม ความอ่อนโยนของมันถ่ายทอดออกมาทางแววตาจนผมสามารถรับรู้ได้อย่างดี แต่น้ำเสียงที่เอ่ยตอบพ่อผมกลับเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นราวกับต้องการยืนยันให้พ่อผมได้มั่นใจ
“หึ! ข้าจะรอดู”
“เอาล่ะๆ เสียเวลามามากแล้ว นกกับปารีบไปเถอะลูก”
“ครับ งั้นผมกับนกไปก่อนนะครับ”
“เดินทางปลอดภัยนะลูก”
ผมโบกมือให้แม่ ส่วนพ่อเดินกลับเข้าไปในบ้านแล้วตอนนี้เหลือเพียงแค่แม่เท่านั้นที่ยืนส่งพวกเราอยู่ ลุงโชคคนขับรถของแม่ไอ้ปาเอากระเป๋าของผมและไอ้ปาใส่ท้ายรถก่อนจะมาเปิดประตูให้ผมกับไอ้ปาเข้าไปนั่งด้านใน ลุงโชคดูแก่กว่าพ่อผมนิดหน่อย ท่าทีที่มีต่อไอ้ปาเรียกได้ว่านอบน้อมมากๆ จนผมทำตัวไม่ถูก
ภายในรถเงียบมาก ไอ้ปาเองก็แทบไม่พูดอะไรเลย บรรยากาศเลยชวนให้อึดอัดไม่น้อย ผมเองก็ไม่กล้าพูดอะไรออกไป เอาจริงๆ ผมไม่รู้จะพูดอะไรมากกว่า
“หิวไหม?”
“อะ ห๊ะ? อ๋อ นิดหน่อยไม่เป็นไรๆ” จู่ๆ ไอ้ปาก็หันมาถามผมจนผมตั้งตัวไม่ทัน
“อืม…งั้นกินขนมก่อนแล้วกัน แม่กูฝากมาให้กินระหว่างทางอยู่แล้ว”
“โอเค ได้กินหน่อยก็ดีเหมือนกัน”
ไอ้ปาเอื้อมมือไปทางด้านหน้า หยิบเอาถุงกระดาษที่มีขนมหลายอย่างอยู่ในนั้นออกมาให้ผมกิน ส่วนตัวมันเองก็กินไปไม่กี่ชิ้น ส่วนใหญ่จึงกลายเป็นผมเสียมากกว่าที่กิน อย่างน้อยก็เติมพลังก่อนออกรบ เพราะยังไม่รู้ว่าถึงกรุงเทพฯ แล้วจะต้องเจออะไรบ้าง เตรียมพร้อมไว้ก่อนคงดีที่สุด
เฮ้อ…หวังว่าคงไม่มีปัญหาอะไรมาให้ปวดหัวอีกหรอกนะ
แล้วผมกับไอ้ปาก็มาถึงกรุงเทพฯ เสียที ผมเพิ่งจะรู้ว่าเวลาอยู่ต่อหน้าคนของมัน (คนที่ทำงานให้) ไอ้ปามันจะวางท่ามากๆ เหมือนคุณชายที่อยู่ในละครไม่มีผิดเพี้ยน แบบนี้ผมก็ยิ่งวางตัวยากเข้าไปอีก ชนชั้นวรรณะที่แตกต่างแบบนี้ชวนให้รู้สึกแย่ไม่น้อยเหมือนผมเป็นซินเดอเรลล่ายังไงไม่รู้
ตัวมันยังเคร่งเครียดกับคนขับรถขนาดนี้ เข้าไปไหว้แม่มันถึงบ้านผมจะถูกมองเป็นเด็กเก็บกระเป๋าไหมครับ
แล้วดูตอนนี้สิ ลงจากรถแล้วคุณชายปรมะก็ยังวางท่าเป็นคุณชายผู้เคร่งขรึมไม่เลิก ส่วนลุงโชคแกก็ชินกับท่าทางการวางตัวของไอ้ปา เหมือนว่านี่คือตัวตนที่มีมาตั้งแต่เกิด น่าอิจฉาจริงๆ เลยพวกคนรวยเนี่ย ผมไม่รวยบ้างให้มันรู้ไป ฮึ!
“คุณชายจะให้ผมขนขึ้นไปไว้ให้บนห้องไหมครับ” คะ คุณชาย ผมแอบตาโตกับสรรพนามที่ไอ้ปาถูกเรียก
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมเอาขึ้นไปเอง ลุงกลับไปที่บ้านเถอะ” การสนทนาที่ไร้ความตะขิดตะขวงใจช่างเป็นอะไรที่ทำให้สติของไอ้นก หลุดลอยหายไปกับอากาศเหลือเกิน จริงๆ มันต้องไอ้ปาที่อายุน้อยกว่าจ้องเป็นคนที่มีท่าทีนอบน้อม เคารพกับคนรุ่นพ่ออย่างลุงโชคสิ นี่อะไรกัน คนรุ่นพ่อกลับต้องมามีท่าทางนอบน้อมและเคารพต่อไอ้ปาแทน เป็นผมนะอึดอัดแย่เลยล่ะ
“คุณผู้หญิงให้ถามคุณชายก่อนกลับด้วยครับว่าจะเข้าไปพบท่านเมื่อไหร่” ไอ้ปามองผมอยู่ครู่หนึ่ง ไม่ใช่การมองแบบถามความเห็น เพราะถ้าใช่มันคงรอให้ผมตอบแล้วล่ะ ไม่ใช่การหันไปตอบเองแบบนี้
แล้วมึงจะมองหน้ากูทำไม!!!
“บอกคุณแม่ว่าอีกสองวันผมจะเข้าไปทานข้าวเย็นด้วย แล้วก็จะค้างที่บ้านเลย ฝากลุงบอกนมชื่นให้ด้วยนะครับว่าช่วยจัดห้องของผมให้หน่อย” ลุงโชคยิ้มแล้วก้มตัวลงเล็กน้อย
“ได้ครับคุณชาย นมชื่นต้องเตรียมของโปรดของคุณชายไว้รอแน่ๆ ครับ ถ้างั้นผมกลับก่อนนะครับ”
“ครับ”
“อะ เอ่อ ขอบคุณนะครับที่ขับรถมาส่งผมกับปา” เพราะเห็นว่าลุงโชคกำลังจะหลับแล้ว และผมไม่อยากเสียมารยาทที่นั่งรถมาแล้วไม่เอ่ยคำขอบคุณต่อผู้ใหญ่ออกไป ผมจึงเลือกที่จะก้าวออกมาข้างหน้าเล็กน้อยและพูดคำขอบคุณออกไปอย่างชัดเจน
ลุงโชคยิ้มให้ผมปากก็บอกว่าเป็นเรื่องที่แกต้องทำอยู่แล้วยิ่งทำให้ผมทำตัวไม่ถูกเข้าไปอีก ส่วนใหญ่เคยแต่นั่งแท็กซี่ที่ต้องจ่ายเงิน ขึ้นรถเมย์ที่ต้องจ่ายค่าตั๋ว ไม่เคยมานั่งสบายตูดเป็นคุณชายแบบนี้ แถมรถหรู เบาะกว้างแอร์เย็นแบบนี้ ที่สำคัญเงินสักบาทก็ไม่กระเด็นออกจากกระเป๋า ถึงปากจะติดเกรงใจแต่ในใจผมโคตรชอบเลยครับ
อยากนั่งอีก อยากมีบ้าง ทำไมพ่อไม่รวยยยยยยย
“ปะ…” ปะ? ปะอะไร?
“…?? ...”
“ขึ้นห้องสิ จะทำหน้างงอะไรของมึงเนี่ยนก หน้าปกติก็โง่อยู่แล้ว เวลามึงงงหน้ามึงโง่กว่าเดิมหลายเท่าเลย” ไอ้เวร! นี่คือคำพูดของคนที่เป็นแฟนกันเรอะ!! รู้สึกได้เลยว่าตีนกระตุกจนอยากจะยกขึ้นมาถีบคน
“ไอ้เหี้ย!”
แต่แทนที่มันจะเจ็บหรืออะไร ไม่เลยครับ! มันหัวเราะเสียงดังเหมือนกับว่าชอบใจที่ผมเรียกมันด้วยชื่อของสัตว์ตัวน้อยที่ลิ้นสองแฉกแบบนั้น มันไม่ปกติใช่ไหม นี่คืออาการของคนใกล้บ้าที่ถูกด่าแล้วหัวเราะชอบใจเหรอ? หรือว่าผมควรจะด่ามันเยอะๆ ด่าอะไรก็ได้มันไม่โกรธหรอก เอ…แบบนี้ก็น่าลองเหมือนกันนะครับผมว่า
เราสองคนเดินขึ้นลิฟต์มา ผมเดินตัวปลิวเชียวล่ะเพราะไอ้ปาทำหน้าที่แฟนได้ดีมาก แย่งกระเป๋าของผมไปถือเองเสร็จสรรพ ไม่มีการเกี่ยงงอนว่าใครจะถือ มีแต่แย่งดันด้วยซ้ำ เพราะผมไม่ชอบหรอกนะที่มันทำเหมือนผมเป็นผู้หญิงอ่อนแอ แค่กระเป๋าก็ถือเองไม่ได้ แต่แล้วไอ้ปาก็ปล่อยคำพูดที่ทำเอาผมต้องยอมปล่อยมือ เลิกยื้อยุดฉุดกระชากกับมันไปเลย มันบอกผมว่า
ไม่ใช่เพราะเห็นเป็นผู้หญิง แค่เห็นว่าเป็นหน้าที่แฟน กูเลยอยากจะทำเนี่ยยยย เนี่ยยยยย แล้วผมจะไปปฏิเสธได้ยังไงกันเล่าาาาา
50%ปลื้มปริ่มประหนึ่งได้ส่งลูกไปถึงห้องหอ อะ อ้าว ยังเหรอคะ ขอโทษๆ แหมแมวดีใจมากไปหน่อยปากินนก