[13]
ตอนที่ 13.
นกกลับรัง
[/b]
ในที่สุด…ก็มาถึงสักที
ผมอดไม่ได้ที่จะรู้สึกข่มปร่าในลำคอ อาการตีตื้นของความอ่อนแอเริ่มจู่โจมผมอีกระลอกคล้ายกับมันจะรู้ว่าที่นี่ เป็นที่ที่ความเข้มแข็งอะไรไม่จำเป็นต้องใช้ อยากจะร้องไห้ดังมากเท่าไหร่ก็ทำได้โดยไม่ต้องอาย ผมกำมือเม้มริมฝีปาก สายตาทอดมองบ้านหลังน้อยที่ผมเติบโตมาตั้งแต่เด็กด้วยความคิดถึง สองสามปีที่ผ่านมาผมเอาแต่ทำงานจนไม่ได้กลับมาบ้านเลยสักวัน มากสุดก็เพียงแค่โทรกลับมาคุยให้ชื่นใจเท่านั้น แต่มันก็ไม่เคยเต็มหัวใจของผมเลย
ไม่รู้ว่าพ่อกับแม่จะด่าผมไหม ถ้าผมจะกลับมาพึ่งอาศัยเงินพ่อแม่กินไปก่อนในช่วงนี้ แล้วค่อยๆ หางานทำดูว่าแถวนี้พอจะมีอะไรให้ผมทำได้บ้าง
ผมถอนหายใจก่อนจะสูดลมหายใจเข้าไปใหม่อีกครั้งแล้วเอื้อมมือเปิดประตูรั้วของบ้านออกอย่างเบามือ
ไม่ๆ ผมไม่ได้มาย่องเบาบ้านตัวเอง ผมแค่อยากจะให้พ่อกับแม่ประหลาดใจ
แต่เอ่อ…จะประหลาดหรือลำบากนี่คงต้องดูอีกทีแล้วล่ะครับ
ผมถอดรองเท้าที่ประตูบ้าน แอบย่องเข้าบ้านอย่างที่คิดว่าเบาที่สุด เสียงโทรทัศน์ดังออกมาจนถึงด้านนอกทำให้ผมรู้ได้เลยว่า พ่อผมคงไม่แคล้วนั่งดูมวยอยู่แน่ๆ ผมยกยิ้มแล้วค่อยๆ ก้าวไปจนเห็นแผ่นหลังของพ่ออยู่บนโซฟา แล้วจัดการตะครุบไหล่ทั้งสองข้างของพ่อจนพ่อของผมสะดุ้งโหยงพร้อมกับคำอวยพรสารพัดที่ถูกพ่นออกมา
“แฮร่!”
“พ่อมึ_ตาย ไอ้ฉิบหาย %*&=@-& (&’ ;?
@+@”
“ฮ่าๆ” ผมทรุดตัวลงหลังโซฟาแล้วหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังจนน้ำหูน้ำตาไหล ส่วนพ่อผมกลับยังยืนหัวฟัดหัวเหวี่ยงที่ผมเข้าไปทำให้แกตกใจ สีหน้าดำสลับแดงทำให้ผมพอจะรู้ได้ว่าตอนนี้พ่อกำลังโกรธขนาดไหน
ผมถอดกระเป๋าออกจากหลังแล้ววางมันเอาไว้บนพื้น ก่อนที่จะขยับตัวเข้าไปกอดพ่ออย่างเอาอกเอาใจพร้อมกับยิ้มประจบ แต่พ่อผมกลับสะบัดตัวออกอย่างรังเกียจ (?) ถลึงตาใส่ผมด้วยความไม่พอใจจากการที่โดนผมแกล้งเมื่อครู่
ขี้น้อยใจจังเลยนะพ่อผมเนี่ย
“กลับมาทำไมไอ้เวร!” เดี๋ยวนะ ทำไมการทักทายที่มีต่อลูกถึงเป็นคำถามแบบนี้ล่ะ? หรือมันเป็นเรื่องปกติของทุกบ้าน นั่นสิ ต้องเป็นแบบนั้นแน่อยู่แล้ว พ่อรักผมจะตายไป
“กลับมาเกาะพ่อกินได้ไหมพ่อ ผมกำลังตกงาน ข้าวก็ไม่ได้กิน หิ้ววว หิววว” แอบทำตาปริบๆ เหมือนลูกนกน่าสงสารให้พ่อที่กำลังทำหน้าเหม็นเบื่อใส่ผม
เดี๋ยวสิพ่อ ไอ้หน้าตาแบบนั้นมันไม่ควรทำใส่ลูกรักที่ห่างหายไปกว่าสามปีไหม ไหนความคิดถึง ไหนความเป็นห่วงเป็นใย?? พ่อผมตายด้านเหรอ?
“เรื่องของเอ็ง! ทำงานยังไงให้โดนไล่ออกวะ!” ผมยิ้มเจื่อน เหมือนกับว่ารอยยิ้มที่ติดอยู่บนใบหน้าคือการฝืนมันออกมา แค่นึกถึงมันแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้น ผมก็ออกอาการอีกแล้ว
ไม่ได้สิ จะมาทำตัวน่าห่วงแบบนี้ไม่ได้!
“แหมพ่อ…ลูกพ่อเป็นใคร ทำงานดีเวอร์วังขนาดไหนดูด้วย” พ่อกลอกตาใส่ผมทำไม? ผมพูดความจริงทั้งนั้น
“เรอะ? ถ้าทำงานดีมีเรอะที่เอ็งจะโดนไล่ออกมาแบบนี้” พูดไปพ่อผมจะเข้าใจไหมนะว่าผมลาออกเอง ไม่ใช่โดนไล่ออก ชาตินี้ทั้งชาติผมจะโดนไล่ออกไหมก็ไม่รู้ พอคิดถึงข้อความที่ไอ้ปาส่งมาขู่ผมก็ขนลุกแปลกๆ แต่ปล่อยผ่านไปดีกว่า ผมว่ามันคงส่งมาขู่แค่นั้น คงไม่มีอะไรหรอก อีกอย่างมันคงจะยุ่งวุ่นวายกับคู่หมั้นของมันมากกว่า ของเล่นอย่างผมเดี๋ยวเวลาผ่านไปสักเดือนสองเดือนมันก็คงลืมๆ ไปแล้วก็ได้ ไม่แน่นะครับ ตอนนี้มันอาจจะเจอคนใหม่แล้วก็ได้
“พ่อไม่รู้อะไร ลูกพ่ออินดี้ อยากใช้ชีวิตแบบไม่มีงานทำ กลับบ้านมาเกาะพ่อเกาะแม่กินต่างหาก วู้!” ผมลอยหน้าลอยตาตอบพ่อที่ถลึงตามองจนแทบจะถลนออกมาจากเบ้า
อะไรกัน แค่ลูกชายคนดีกลับมาขอเงินกินแค่นี้ต้องมองแรงขนาดนั้นเลยเหรอ โหดร้ายจริง!
“กลับไปทำงานเลยนะเอ็ง เงินข้า ข้าจะใช้กับเมียข้าสองคน!”
“นี่ลูกไหมพ่อ!!” นี่ลูกนะ ทำไมพูดเหมือนคนอื่นคนไกล อะไรคือเงินใช้กับเมียสองคน คนทั่วไปเขาต้องเอาไว้ให้ลูกใช้สิ! ใช้เองได้ไง!
“ก็ลูกไง หรือเอ็งไม่อยากเป็นแล้ว? เฮ้ย! ได้นะ เดี๋ยวข้าโทรบอกแม่เอ็งก่อน”
“พ่อ!!!” ไม่ได้โว้ยยยยย
ผมรีบทั้งดึงทั้งรั้งแขนขาพ่อผมไง้ ตอนนี้แทบจะกลายร่างเป็นเถาวัลพันพ่อเอาไว้ทั้งตัว เพราะกลัวว่าพ่อจะโทรไปบอกแม่แบบนั้นจริงๆ นี่ผมเริ่มงงแล้วนะครับ การที่ผมกลับบ้านมาพึ่งพิงใบบุญพ่อกับแม่ ทำไมอยู่ๆ กลายเป็นกำลังจะกระเด็นออกจากสถานะลูกไปได้ล่ะ แบบนี้ก็ได้เหรอ นี่ผมต้องเสียใจเรื่องไอ้ปาพร้อมกับต้องบีบน้ำตาร้องไห้อ้อนวอนพ่อไม่ให้ตัดผมออกจากวงศ์ตระกูลใช่ไหม
“ปล่อยขาข้านะไอ้นก ไอ้ลูกเวร!” เรื่องสิ ขืนปล่อยผมก็ต้องระเห็จออกไปนอนข้างถนนน่ะสิ
“ไม่มีทาง พ่อจะมาตัดผมออกจากวงศ์การ์ตูนไม่ได้”
“วงศ์ตระกูลโว้ย วงศ์การ์ตูนบ้านพ่อเอ็งสิวะ!” ผมเงยหน้าแล้วเอียงคอถามอย่างน่ารักน่าชัง
“ใช่สิ ก็บ้านพ่อไง ไม่ใช่บ้านแม่เสียหน่อย บ้านแม่ต้องขับรถไปอีกไกลเลยล่ะ”
โป๊ก!“ไอ้เวร! ช้าด่าเอ็งโว้ยไม่ใช่คำบอกเล่า นี่ไปอยู่กรุงเทพสมองเอ็งไม่ได้พัฒนาขึ้นมาเลยใช่ไหม”
“พัฒนานะพ่อ ตอนนี้ผมสามารถเขียน กอไก่ถึงฮอนกฮูกได้จนจบเลยนะ!”
“ข้าล่ะเพลียกับเอ็ง พอๆ ข้าจะตายเพราะเอ็งแล้ว!” ผมเห็นพ่อทำท่าทางจะล้มลงจริงๆ จึงพยุงพ่อให้ไปนั่งดีๆ ก่อนจะวิ่งเข้าไปหยิบน้ำเย็นๆ มาวางให้พ่อ มองพ่อยกมันขึ้นดื่มแล้วหลับตาลงช้าๆ
เดี๋ยวสิ ถ้าพ่อเกิดตายไปทำไงล่ะ สมบัติผมก็ไม่ได้น่ะสิ ไม่ได้ๆ
“อะไร นี่อะไรของเอ็งอีก?” ผมดึงสมุดเล่มไม่เล็กมากออกมาจากกระเป๋าแล้วส่งให้พ่อพร้อมกับปากกาและรอยยิ้มบนใบหน้าของผม
“ก่อนจะ…ยังไงพ่อก็เขียนพินัยกรรมให้ผมก่อนนะ” พ่อผมอ้าปากค้างไปครู่หนึ่งก่อนจะถลึงตาใส่ผมหนักกว่าเดิมอีก
“ไอ้นก!!!” แต่ก็ยังมีแรงเรียกชื่อผม หรือนี่คือเรี่ยวแรงเฮือกสุดท้าย โธ่พ่อของผม น่าสงสารจริงๆ
“พ่อ อย่าตะโกนสิ เก็บแรงเฮือกสุดท้ายไว้ก่อน เขียนพินัยกรรมให้ผมก่อน ผมไม่เอาอะไรมากเลยพ่อ ผมขอแค่ เงินในบัญชี กับที่ดินที่สุโขทัยกับเชียงใหม่ให้ผมก็พอ อ๋อใช่พ่อ ขอบ้านหลังนี้ด้วยนะ ผมขี้เกียจขนของออก”
“กูยังไม่ได้จะตายโว้ย! ไอ้ลูกเวร!”
เซ็ง ตกลงผมก็ชวดสมบัติน่ะสิ ทำไมพ่อทำแบบนี้ล่ะ ทำไมพ่อต้องโกหก เอาความเป็นความตายมาทำให้ผมดีใจ เอ๊ย มาทำให้ผมตกใจได้ยังไง ดูสิ ผมหรืออุตส่าห์ค้นหาสมุดออกมาให้พ่อเขียนพินัยกรรม มีที่ไหนที่พ่อจะมาทำหน้าตาบึ้งตึงโกรธผมเสียยกใหญ่ ผมทำอะไรผิด ผมเป็นห่วงพ่อนะนี่ กลัวพ่อจะไปไม่หมดห่วง
“แล้วนี่ไอ้แมวไปไหนล่ะพ่อ ทำไมมันปล่อยพ่อให้อยู่บ้านคนเดียว”
แมวคือน้องชายของผมเอง มันเป็นเด็กอายุ22ที่…ค่อนไปทางแปลก แปลกจริงๆ นะ ผมว่าผมแปลกแล้วมันแปลกกว่าผมอีก ที่ผมบอกว่าแปลกคือรสนิยมของมัน ไอ้แมวมันเป็นผู้ชาย แต่กลับชอบคิตตี้สีชมพู ทุกอย่างของมันต้องเป็นคิตตี้เท่านั้น จะผ้าห่มหมอนมุ้งหรือเสื้อผ้าของใช้จุกจิกของมันก็มักจะเป็นลายคิตตี้เสมอ
ขนาดแก้วน้ำมันยังแยกออกไปใช้เองทั้งที่คนอื่นๆ เขาก็ใช้ร่วมกันในบ้าน แต่นี่ไอ้แมวมันกลับยอมเก็บเงินค่าขนมเพื่อที่จะซื้อแก้มน้ำลายแต๋วจ๋าที่มันบอกว่าเป็นสินค้าลิขสิทธิ์มีจำนวนจำกัดและราคาโคตรแพง แต่มันก็ซื้อ! มันบ้าหรือเปล่า ที่จริงเดินไปตลาดหน้าซอยบ้านเอาก็มีขาย แถมถูกกว่าเหมือนได้ฟรี แต่มันก็ไม่เอา ส่ายหน้าจนขนบนหัวแทบจะร่วงปากก็บอกว่ามันเป็นการเหยียดหยามคิตตี้ของมัน
เออ เอากับมันสิ
มีครั้งหนึ่งที่ผมเคยหลอกมัน เอาแก้วราคาไม่กี่ร้อยมาใส่กล่องของขวัญให้มันในวันเกิด พอมันแกะออกมาเห็นก็กรีดร้องสาวแตกจนผมนึกว่ามีน้องสาว แต่พอใช้ไปสองสามครั้งมันก็หลุดลอกตามคุณภาพของมัน พอมันรู้ความจริงผมก็ถูกเฉ่งจนแทบไม่ได้อยู่อย่างเป็นสุขเกือบอาทิตย์ เดือดร้อนผมต้องยอมกัดฟันทุบกระปุกออมสินไปซื้อมาชดใช้ให้มัน นั่นล่ะครับความสงบสุขของผมถึงกลับมา แต่ความทุกข์ก็มาเมื่อพบว่าเงินหมดเกลี้ยง
ผมจึงค้นพบแล้วว่าอย่างไรก็ไม่ควรเอาความชื่นชอบชื่นชมของมันมาล้อเล่น เพราะสุดท้าย คนที่ซวยก็คือผมเอง!!
“ยังไม่กลับหรอก เห็นมันบอกว่าวันนี้มีร้านมาเปิดใหม่ ก็คงเป็นร้านลายแมวต๊องๆ สีชมพูเหมือนเดิมของมันนั่นล่ะ” พ่อผมทำหน้าเซ็ง จะว่าปลงก็ไม่ใช่เสียทีเดียว ไหนจะสีหน้าตอนพูดถึงร้านกับลายโง่ๆ ที่ผมรู้สึกเหมือนพ่อผมกำลังด่าน้องของผมเอง ฟังแล้วมันก็ตลกดีครับ แต่อย่าให้เจ้าตัวมันมาได้ยินนะ เดี๋ยวเรื่องจะยาว
“มันไปตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะพ่อ”
“แหกขี้ตาตื่นตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่เลยมั้ง ทุกวันนี้ข้าก็ยังสงสัยอยู่นะว่ามันเป็นลูกชายหรือลูกสาวข้าวะ ทำไมของมันต้องสีหวานกับลายต๊องๆ แบบนั้นด้วย” ผมเข้าใจพ่อนะ ผมเข้าใจดีเลยล่ะ แต่ผมก็รู้สึกขำเหลือเกินครับกับสีหน้าที่บรรยายออกมาไม่ได้ของพ่อผม
“เอาน่าพ่อ พ่อน่าจะชินได้แล้วนะ มันชอบของมันมาตั้งกี่ปีแล้ว”
“เออ! มันชอบมากี่ปี เอ็งก็คูณจำนวนเงินที่มันปล้นจากข้าไปด้วยเลยไหม!” เนี่ยยยย พ่อผมยั่วง่ายไง ผมขำก๊ากออกมาอย่างอั้นเอาไว้ไม่อยู่ ที่จริงผมรู้ล่ะว่าที่พ่อเคืองนี่ไม่ใช่เพราะมันชอบอะไรแบบนี้หรอก พ่อผมเคืองเพราะมันมาตอดเอาเงินพ่อไปมากกว่า แต่จะเรียกว่าตอดก็ไม่ถูก นิสัยไอ้แมวมันเจ้าเล่ห์ มันชอบแบล็กเมลพ่อประจำ ความลับต้องเก็บไว้ให้เป็นความลับ เพราะถ้าไอ้แมวมันรู้ปั๊บ ความฉิบหายของกระเป๋าสตางค์จะมาเยือนทันทีเลยล่ะ
“แล้วพ่อให้มันไปทำไมล่ะ?”
“ก็ข้า! ...” พ่อทำหน้าตาเลิ่กลั่กจนน่าสงสัย ผมน่ะพอรู้อยู่หรอกว่าพ่อมีความลับ แต่ผมไม่เคยไปสืบไปรื้อไปค้นความเป็นส่วนตัวของพ่อไง แต่ไอ้แมวไม่ใช่ มันต้องหาเงินมาเพื่อน้องคิตตี้ของมันเอง มันดันรู้ไปหมดว่าใครมีความลับอะไร ขนาดผมยังเคยโดนเลย
“ว่าไงพ่อ?” หลุดปากมาสิพ่อ ผมจะได้รู้บ้าง
“ไม่ ไม่มีอะไร ข้าก็แค่สงสารมัน!” จ้าาา เป็นพ่อผู้แสนดีรักลูกขึ้นมาทันทีขนาดนี้ แสดงว่าเรื่องใหญ่ใช้ได้ แบบนี้ความเสือกของไอ้นกยิ่งทำงาน คันคะเยอไปทั้งตัวจนอยากจะเกามาก แต่ไม่รู้จะไปถามจากใคร ไอ้แมวเองก็คงไม่บอกผมหรอก ไม่อย่างนั้นมันคงถูกพ่อริบเงินคืน
โอ๊ย!!! ทำไมผมต้องเป็นคนเดียวที่ไม่รู้ด้วยนะ! ไม่ยุติธรรมเลย!
“อ้าวพี่นก! กลับมาบ้านทำไมล่ะเนี่ย?” ผมอยากจะร้องไห้ ทำไมน้องชายกับพ่อผมถึงมีคำถามแบบนี้ ผมกลับบ้านนี่มันไม่ดีเลยใช่ไหมครับ โฮๆ
“ก็บ้านพี่ไหม ถามเหมือนพี่ไม่ได้กลับบ้านตัวเอง”
“เฮ้ยๆ ข้ายังไม่ตาย บ้านนี้ยังเป็นของข้ากับเมียนะโว้ย ไม่ใช่ของพวกเอ็ง” ถ้าผมกลอกตาใส่พ่อจะบาปมากไหมครับ ทำไมพ่อถึงต้องหวงของอะไรขนาดนี้ล่ะนี่! ทุกอย่างเดี๋ยวมันก็เป็นของผมอยู่แล้ว ขี้งกจริงๆ
“เดี๋ยวมันก็เป็นของผมอยู่แล้ว” พ่อยกสมุดขึ้นมาจะคว้างมาใส่หน้าผม แต่ผมฉลาด ยึดไอ้คิตตี้ตัวใหญ่ที่ไอ้แมวมันอุ้มมา มาใช้เป็นเกาะกำบัง
“เย้ย!! พ่อ!! พ่ออย่านะ อย่าปามานะ!!”
โธ่น้องรัก ผมซึ้งใจจริงๆ ที่มันเป็นห่วงผม น้ำตาแทบจะไหลแล้วครับตอนนี้
“ไอ้แมว…พี่ไม่นึกเลยว่าเอ็งจะเป็นห่วงพี่ กลัวว่าพี่จะเจ็บขนาดนี้” ช่างเป็นน้องชายที่น่ารักอะไรขนาดนี้นะ ผมควรจะซื้อคิตตี้ชุดพิเศษให้มันใช่ไหมครับ
“บ้าเหรอ! ผมจะห่วงพี่ทำไมเล่า!” อ้าว ไอ้เวร…
“ก็เอ็งห้ามพ่อไม่ให้พ่อปาสมุดมาใส่พี่ไม่ใช่หรือไง!” ไอ้แมวเบ้ปากใส่อย่างไม่ค่อยพอใจ สายตาจิกกัดจนผมแทบจะแหว่งไปทั้งร่าง
“ผมห่วงน้องคิตตี้ของผมต่างหาก นั่นมันแพงมากนะ พี่น่ะจะเจ็บจะจุกก็เรื่องของพี่เถอะ! พ่อหยุดมือนะ! อย่าปามา ไม่งั้นผมจะเก็บเงินจากพ่อสองเท่าของราคาเลย!”
ดูเหมือนคำขู่ของไอ้แมวจะได้ผล พ่อมองหน้าผมอย่างแค้นเคืองแต่ก็จำเป็นต้องลดสมุดลงเมื่อสีหน้าไอ้แมวกดดันอยู่ เอ่อ จริงๆ เป็นผมก็ยอมวางนั่นล่ะครับ เพราะขืนให้มันเก็บเงินสองเท่า ผมว่าเป็นผมเองก็คงไม่เอา ไม่ขอเสี่ยงจะดีกว่า ไอ้แมวมีสีหน้าพออกพอใจก่อนจะตวัดสายตาใส่ผมแล้วแย่งเอาน้องคิตตี้ของมันกลับไปกอดเอาไว้อย่างทะนุถนอม อีคิตตี้มันเป็นพี่น้องของมันเหรอ ทำไมน้องชายของผมถึงรักถึงหวงมากกว่าผมที่เป็นพี่ชายอีกเล่า!!
แบบนี้มันได้ที่ไหนกัน! ผมยังเป็นพี่มันอยู่ไหม!
“นี่พี่ยังเป็นพี่ของแกไหมไอ้แมว ทำไมแกห่วงไอ้หน้าหนวดนั่นมากกว่าพี่วะ!” ผมเจ็บปวดมากนะ เจ็บปวดสุดๆ หัวใจผมเหมือนจะพังลงไปเมื่อเห็นน้องชายคนเดียวเอาแต่กอดไอ้ตุ๊กตาหน้าหนวดนั่น! อย่าเผลอก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้นกูเอาไปเผาทิ้งแน่!!
“พี่นก! อย่ามาว่าคิตตี้ของผมนะ หน้าพี่น่ะสิไอ้หน้าหนวด!” ดูสิ...แค่ด่าตุ๊กตามันว่าไอ้หน้าหนวดผมยังโดนมันด่ากลับมาเลย แบบนี้จะเรียกว่าพี่น้องกันได้อีกเหรอครับ ในเมื่อความห่วงใยและความรักน้องชายของผมมันเอาไปให้ไอ้ตุ๊กตาสีชมพูหวานแหววนั่นไปหมดแล้ว แล้วผมจะยังเหลือความสำคัญอะไรอีก!
“ดีๆ แกเห็นมันดีกว่าพี่ใช่ไหม!”
“ใช่!!” ผมโมโหมาก โกรธและน้อยใจจนอยากจะกระอักเลือดออกมาตายๆ ไป แต่ใครจะไปคิดกันล่ะว่าคำตอบจากไอ้แมวจะทำผมจุกได้มากกว่าที่เป็นอยู่
ตอนนี้ผมนึกอยากจะต่อสายหาแม่แล้วถามแม่ว่า สรุปแล้วผมใช่ลูกของแม่หรือเป็นแค่เด็กที่ถูกเก็บมาเลี้ยง
เจ็บจนอยากร้องไห้ น้องผมมันรักไอ้คิตตี้หน้าหนวดนั่นมากกว่าผมเสียอีก! มันทำแบบนี้ได้ยังไง!! ทำไมได้ยังไงกัน!!!
“พ่อ...ไอ้นี่ใช่ลูกชายพ่อแน่นะ ไม่ใช่ว่าตอนคลอดพ่อเอาไปสลับกับลูกของใครสักคนใช่ไหม” ไม่มีความรักพี่รักน้องแบบนี้ ลูกบ้านอื่นแน่ๆ
“ลูกข้านี่ล่ะ เอ็งเห็นไหมล่ะว่ามันเหมือนข้าจะตาย” จ้า เหมือนมากกกก อาการเห่อลูกคนเล็กนี่คือยังไม่หมดไปจากตัวพ่อผมอีกเหรอ คนอื่นเขาควรจะหมดไปตั้งนานแล้วหรือเปล่า ทำไมของพ่อผมมันยังไม่หมดไปสักทีล่ะ
“แล้วผมไม่เหมือนพ่อหรือไง” พ่อหันมามองหน้าผม มองจริงๆ ครับ มองแล้วก็คิด ลูบคางของตัวเองไปมาคล้ายกับคำนวณอยู่ว่าเหมือนไหม
ได้เหรอพ่อ ถ้าจะขนาดนี้ก็ตะโกนออกมาเถอะว่าไม่เหมือนน่ะ
“เอ็งดู...เหมือนแม่เอ็งนะข้าว่า เสียดายก็แต่แม่เอ็งไม่ได้ขี้เหร่เหมือนเอ็งนี่ล่ะ”
อุก...เจ็บสุดกระดองใจก็คำพูดพ่อนี่ล่ะ
ใครต่อใครมากมายว่าผมขี้เหร่นะ บอกว่าผมไม่หล่อบ้าง เหมือนพวกโรคจิตติดตามชาวบ้านเขาบ้างผมยังไม่รู้สึกมากมายเท่ากับที่พ่อบอกว่าผมขี้เหร่แบบอ้อมโลกก็ไม่อ้อม จะตรงก็ไม่ตรงเสียทีเดียว แบบนี้ผมยิ่งเจ็บมากกว่าเดิมเข้าไปอีก จบคำพูดพ่อผมก็ยืนอึ้งจนเรียกว่าใบ้แดกเลยทีเดียว ส่วนไอ้น้องในไส้ที่โผล่มาอยู่นอกไส้ก็หัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังอย่างพึงพอใจมากที่เห็นผมเงียบปากลงไปได้สักที
ที่เงียบนี่ไม่ใช่ว่ากลัวหรืออะไรนะ แต่เป็นเพราะหมดคำจะพูดจริงๆ ครับ จุกมากเลย
เพราะตัวผมก็ดันคิดไปด้วยว่า มันเป็นเพราะแบบนี้หรือเปล่าที่ทำให้ผมกับไอ้ปา เราไม่สามารถเดินไปต่อด้วยกันในทางเดียวกันได้ แต่ไม่ว่าจะเพราะหน้าตาผมหรือเปล่าที่เป็นปัญหา ผมก็ยังหลีกเลี่ยงความจริงที่ว่ามันมีคู่หมั้นอยู่แล้วไปไม่ได้ สิ่งที่เราสองคนต่างกันคงเป็นความจริงใจล่ะนะ เพราะผม...เมื่อยอมรับความรู้สึกแล้วก็จะจริงใจกับมันทั้งหัวใจ แต่กับมัน...คงไม่ใช่ เพราะถ้าหากว่าใช่ เราสองคนคงไม่...
อา ช่างมันเถอะ คิดไปก็มีแต่เจ็บเปล่าๆ ไม่ว่าสาเหตุจะคืออะไร ผมก็แค่ต้องถอยออกมา
“เฮ้ยไอ้นก! เป็นอะไรของเอ็งวะ ข้าพูดแค่นี้เอ็งถึงกับต้องซึมเลยเหรอ”
“พี่นก!! พี่ร้องไห้ทำไม!”
ผมร้องไห้งั้นเหรอ?
ผมเอื้อมมือที่สั่นออกมาแตะบนผิวแก้มของตัวเองเบาๆ สัมผัสความเปียกร้อนที่ไหลอาบผิวแก้มอย่างรวดเร็วด้วยความรู้สึกหลากหลาย ภาพตรงหน้าพร่ามัวไปด้วยหยาดน้ำตาที่คลออยู่ในดวงตา แปลกจริงๆ ทั้งที่ผมเพียงแค่คิด แค่คิดเล่นๆ เท่านั้นตามที่เหตุการณ์มันพาไป แต่ทำไมผมถึงร้องไห้ออกมากันล่ะ ทำไมกัน?
“ไม่...ไม่มีอะไร”
ก็แค่เจ็บ ที่น้ำตาไหลออกมามันก็แค่เจ็บ
เจ็บที่ไปรักคนที่ไม่อาจจะรักได้ เจ็บที่ต้องยอมรับความจริงว่าทุกสิ่งมันก็แค่ความฝันชั่วคราว ที่เขาแบ่งปันมันมาให้ ไม่ใช่โลกทั้งใบอย่างที่ผมเผลอคิดไป
“จะไม่มีอะไรได้ยังไงพี่นก พี่ร้องไห้ แล้วพี่ก็ตัวสั่นด้วย” ผมยกมือขึ้นมาจับแขนของตัวเองเอาไว้ คล้ายกับไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่แมวมันพูดกับผม
แต่มันจริงทุกอย่าง ร่างกายผมกำลังสั่นไปตามแรงสะอื้น ผมควบคุมหัวใจไม่ได้ ตอนนี้ก็ยิ่งควบคุมความรู้สึกและร่างกายของตัวเองไม่ได้ ผมพยายามทุกอย่าง ทั้งที่ผมพยายามยิ้มออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่น้ำตาพวกนี้กลับไม่ยอมหยุดไหลสักที มันเอาแต่ประจานความอ่อนแอของผมออกมาอย่างไม่คิดจะอาย
ต้องกี่ครั้ง อีกกี่ครั้งผมถึงจะชินกับมันเสียที
บอกกูหน่อยสิปา ต้องทำยังไงกูถึงจะหยุดรักมึงได้เสียที!
ตอนนี้ผมอยู่ในห้องของตัวเอง หลังจากที่ได้เข้าไปล้างหน้าล้างตาผมก็ได้เห็นว่าสภาพผมตอนนี้มันน่าเวทนาแค่ไหน ตาบวมไม่พอ จมูกยังแดงและคัดสุดๆ หายใจยากลำบากยิ่งกว่าเป็นหวัด ขอบตาก็แดงระเรื่อเมื่อเพิ่งผ่านการร้องไห้อย่างหนักมา
พ่อเอาแต่โทษตัวเองว่าเป็นคนที่ทำให้ผมต้องร้องไห้ ว่าผมเสียใจกับคำพูดเล่นๆ ที่พ่อพูดออกมา ส่วนไอ้แมวกลับไปที่ห้องแล้วโยนตุ๊กตาไว้บนเตียงโดยไม่คิดจะสนใจอีกเพื่อที่จะรีบลงมาหาผม มันเป็นคนพาผมขึ้นมาบนห้อง เป็นที่คอยถือกระเป๋าของผมขึ้นมาแล้วจัดของเข้าตู้ ผมรู้ว่ามันดูออกว่าผมไม่ได้เสียใจเรื่องที่พ่อพูด แต่มันมีอะไรมากกว่านั้น เพียงแต่มันเลือกที่จะไม่พูด ไม่ถามออกมาก็แค่นั้น
ซึ่งตอนนี้มันดีมากเลยนะ ผมยังไม่พร้อมจะตอบคำถามใดๆ เพราะผมกลัวว่าผมจะต้องร้องไห้ออกมาอีก
“พี่นก...” อา...ผมรู้ครับว่ามันอยากจะถาม สีหน้าของไอ้แมวมีความลังเลอยู่อย่างชัดเจน
รู้ว่ามันเป็นห่วง แต่เพราะรู้ถึงไม่อยากจะให้มันมารับรู้เรื่องที่จบไปแล้วของผม
“ไม่มีอะไรหรอก คงเหนื่อยมากไปล่ะมั้ง”
เหนื่อยมากไปเป็นข้ออ้างที่โคตรไร้สาระ คนเหนื่อยมากที่ไหนเขามานั่งร้องไห้อย่างผม มันไม่เชื่อหรอก แววตาของไอ้แมวไม่มีแม้สักเศษเสี้ยวที่จะเชื่อคำพูดผม มันถอนหายใจออกมาแล้วมองหน้าของผมด้วยแววตาจริงจัง ซึ่งผมทำได้แค่ยิ้มให้มันเท่านั้น บอกกับมีนผ่านรอยยิ้มว่าพี่ชายที่ชื่อนกคนนี้ ไม่เป็นอะไรเลย
“เอาเถอะ เมื่อพี่ไม่อยากจะเล่าผมก็จะไม่ถาม แต่พี่รู้ใช่ไหมว่ายังไงพี่ก็ต้องเล่ามันให้ผมฟัง” ผมเงียบ ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ แต่ผมก็รู้ดีว่ามันเป็นห่วงและผมก็ย่อมต้องทำอย่างที่ไอ้แมวมันพูดกับผม
ใช่...ยังไงผมก็ต้องเล่า
“มันไม่มีอะไรเลย ก็แค่เรื่องโง่ๆ” เรื่องโง่ๆ ของหัวใจผมที่รักคนที่ไม่สมควรจะรัก
ไปรักทั้งๆ ที่เขามีเจ้าของแล้ว
“หึ...ถ้าให้ผมเดา พี่คงอกหักมาล่ะสิ” ผมหันไปมองหน้าน้องชายตัวเองช้าๆ ไม่ผิดหรอกที่มันพูดมา จะเรียกว่าอกหักก็คงได้ ในเมื่อต่อให้ผมไม่ได้เป็นบอกเลิก มันก็คงบอกเลิกผมเองอยู่ดี ผมจะไปยืนอยู่ที่ตรงไหนได้ ในเมื่อข้างๆ มันไม่มีที่ว่างอีกแล้ว
ไม่อยากจะเชื่อว่าสองสามปีที่ผมคบกับมันมาในฐานะเพื่อน ผมจะไม่เคยรับรู้เรื่องนี้เลยว่ามันจะมีคู่หมั้นแล้ว แต่จะว่าไปมันก็คงไม่แปลก เพราะขนาดมันเป็นลูกชายเจ้าของบริษัทผมเองยังไม่เคยรู้เลย นับประสาอะไรกับเรื่องคู่หมั้นมันล่ะจริงไหม ยิ่งคิดถึงก็ยิ่งอยากจะหัวเราะเยาะเย้ยตัวเองที่โง่บัดซบ ปล่อยให้ความรู้สึกครอบงำความคิดจนเผลอลืมความเจ็บปวดที่มันโกหกเอาไว้ไป หลงคิดไปว่ามันจะไม่ทำให้ผมต้องเสียใจอีก
แต่แค่เพียงไม่นาน ไม่นานเท่านั้น...
ผมก็ต้องเจ็บยิ่งกว่าเดิม
“พี่โง่ใช่ไหม บอกแล้วไงว่ามันก็แค่เรื่องโง่ๆ” ผมเหยียดยิ้มออกมาส่งไปให้น้องชาย ทั้งที่พยายามจะเข้มแข็ง แต่ผมกลับไม่สามารถควบคุมความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาได้เลย มันจึงสะท้อนออกมาทางแววตา ทำให้ผมยิ่งดูน่าสมเพชเข้าไปอีก แต่แมวกลับถอนหายใจแทนการซ้ำเติม แววตาของมันมองเหมือนกับผมเป็นคนที่ไม่เคยรู้อะไรเลย
“ถ้ามันเป็นแค่เรื่องโง่ๆ ทำไมพี่ชายผมต้องมานั่งร้องไห้เสียใจกับเรื่องนี้ด้วยล่ะ?” เหตุผลง่ายๆ
“เพราะพี่ชายแกมันโง่ไงแมว”
คนที่ไม่โง่ เขาคงเจ็บแล้วก็จำ ไม่ยอมเดินเข้าไปเจ็บซ้ำอีกทั้งที่มีประสบการณ์มาแล้ว
“พี่นก พี่ไม่ใช่คนโง่หรอก เพราะคนที่โง่น่ะ เขาไม่รู้จักหรอกว่าความรักคืออะไร”
50%น้องงงงงง ไม่เอาไม่ร้องนะคะลูก โธ่ เจ้าปานี่นาตีจริงๆเชียว มาทำให้น้องนกของแม่ร้องไห้ซะได้ ต้องตีๆๆปากินนก