☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ บทส่งท้าย.นกไม่นกแล้วนะ [จบ] up. 09/02/63
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ บทส่งท้าย.นกไม่นกแล้วนะ [จบ] up. 09/02/63  (อ่าน 14914 ครั้ง)

ออฟไลน์ llมว_น้oe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-4
[10]

ตอนที่10.

นกกับตำแหน่งใหม่ 

ให้ตายสิ ใครจะไปรู้ว่าการที่ผมตกปากรับคำ ยอมไปนอนค้างบ้านของมันเพราะเห็นแก่อ่างอาบน้ำใบใหญ่ของมัน จะเป็นการทำร้ายตัวเองแบบนี้ เมื่อคืนตอนผมอาบน้ำอย่างสบายตัวนั้น จู่ๆ ไอ้ปาก็แล่นเข้ามาบอกผมว่าจะขออาบด้วยเพราะมีแค่ห้องเดียว ผมแทบจะถีบมันออกไปด้วยสองเท้าเลยล่ะ แต่ติดที่ผมกำลังโป๊ทั้งตัวนี่สิ ผมจึงได้ทำได้แค่ขู่มันไปว่าถ้าหากมันจะอาบพร้อมผม ผมก็จะกลับไปนอนที่บ้าน ยังดีที่มันพอจะพูดด้วยภาษาคนรู้เรื่องบ้าง มันจึงยอมออกไปด้วยท่าทางที่โคตรเต็มใจ

ผมรู้ว่านี่อ่างมัน แต่ผมอาบอยู่ไง จะมาอาบด้วยกงด้วยกันได้ยังไง! สาวๆ ยังไม่เคยอาบกับผมเลยนะ นี่มันเป็นแค่เพื่อนจะมาอาบกับผมได้ยังไงเล่า

อ้อ…ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าอดีตเพื่อนต่างหาก

คิดถึงตรงนี้แล้วก็หงุดหงิด แต่เดี๋ยวก่อน…ยังไม่จบแค่นั้น

กลางคืนห้องไอ้ปาโคตรหนาว ไม่รู้ว่าแอร์ห้องมันส่งตรงมาจากขั้วโลกเหนือหรือเปล่า ถึงได้ทำเอาผมนอนสั่นแทบจะทั้งคืน ต้องซุกตัวเข้าไปหาไอ้ปาอย่างไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ผ้าห่มก็ผืนเล็กเหลือเกิ๊นนนน ไม่รู้ว่างกอะไรหนักหนา ทั้งที่รวยแท้ๆ แต่ผ้าห่มหนาๆ ใหญ่ๆ สักผืนก็ซื้อไม่ได้หรือไง แต่ก็บ่นอะไรไม่ได้หรอกครับ ทำได้แค่นอนรับชะตากรรมร่วมกันไป พอผมดึงผ้าห่มมาทางผมมากหน่อย ไอ้ปาก็ตัวสั่นจนผมต้องยอมขยับเข้าไปนอนใกล้ๆ แบ่งๆ กันใช้ไป

น่ารักแล้วยังใจดีไม่มีใครอีกแล้วนอกจากนกเอง~

พอลืมตาตื่นเช้ามา สิ่งที่ผมเห็นตอนส่องกระจกคือ รอยแดงครับ รอยแดงเต็มคอเลย!

ตัวเหี้ยอะไรกัดกูวะแม่งเอ๊ย!

เห็นแบบนั้นผมอึ้งนะครับ ใครจะคิดว่าห้องที่ดูแพงฉิบหายวายวอดจะเลี้ยงเพลี้ย เลี้ยงยุงเอาไว้ล่ะ ถ้าผมรู้ก่อนหน้านี้ผมคงไม่ยอมนอนห้องมันแน่ แดงเถือกเหมือนโดนรุมกัดทั้งฝูงแบบนี้ เดินไปไหนก็อายคนครับ หรือว่าจะให้ผมใส่ผ้าพันคอ

ไม่ไหวๆ แบบนั้นคงน่าสงสัยกว่าเดิมอีกมั้งครับ

“เฮ้อ…” เอาเถอะ ใส่กระดุมจนเม็ดบนสุด เดินก้มๆ หน้าลงหน่อยคงไม่มีใครเห็นหรอก อีกอย่างคนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เห็นผมอยู่ในสายตาอยู่แล้วด้วย เพราะงั้นไม่น่าจะมีอะไรให้ห่วง

พอคิดแบบนั้น จากความกังวลก็เปลี่ยนเป็นสบายใจทันที ผมนั่งทำงานตามปกติโดยไม่ได้สนใจใครรอบข้างคนไหนอีก ยุ่งกับคนอื่นให้น้อย งานก็จะไม่มาก เรื่องวุ่นวายก็ไม่ดี ชีวิตก็จะดีขึ้นมาเอง~ แน่นอนว่าผมเพิ่งจะถือคตินี้ ไม่ต้องถามนะครับว่าเพราะใคร

ก็ไอ้คนที่มันลากผมไปแดกเหล้าแต่ดันทิ้งผมไว้ร้านเหล้าแถมยังให้ไอ้ปามาลากคอผมกลับห้องมันอีก

ครับ…ไอ้พี่หนูนั่นล่ะ

หลังจากที่มันทิ้งผมไว้ ส่วนตัวเองก็กลับบ้านไปอย่างสบายใจ ผมก็ได้รับโทรศัพท์สายพิเศษจากพี่มันที่ถามด้วยน้ำเสียงโคตรกวนส้นตีนว่า

‘ไงมึง…โดนเอาไปกี่ที’

พ่อมันสิโดนเอา!

ผมกับไอ้ปาแค่เพื่อนกันธรรมดาไหม ถามมาแบบนี้ก็ย่อมต้องโดนผมด่ากลับไปอยู่แล้วครับ ไม่เหลือรอดหรอก แต่ผมที่ยังบ่นไม่อิ่ทกลับต้องถูกไอ้ปา ไอ้เพื่อนสารเลวกระชากเอาโทรศัพท์ไปคุยเองหน้าตาเฉย มันทำเหมือนกับว่าโทรศัพท์ผมเป็นของมัน พอคุยจบแทนที่มันจะคืนมาให้ผม มันกลับทั้งค้น ทั้งหา ทั้งรื้อจนแทบจะทุกซอกทุกมุมของโทรศัพท์เลยทีเดียว บางทีผมก็อยากจะบอกมันเหมือนกันว่าเอาไปใช้เลยไหม กูยกให้ เฮอะ!

“อ้าว…ไอ้นก มาทำงานแต่เช้าเลยนะมึง” ผมอยากจะกลอกตาใส่สักเจ็ดสิบรอบ เอาให้ลูกตาทั้งขาวดำปั่นรวมกันไปเลยได้ยิ่งดี นี่พี่มันกวนผมในโทรศัพท์เมื่อวานไม่พอใช่ไหม น้ำเสียงที่ใช้ทักทายผมถึงได้ดูกวนเบื้องล่างขนาดนี้

“ยังมั้งพี่ ที่เห็นนี่คงเป็นโฮโลแกรม”

ป้าบ

นั่นไง! กูว่าแล้ว

“พี่แม่ง! ตบหัวผมทำไมวะเนี่ย!” เจ็บฉิบหาย แรงที่ตบลงมาก็ไม่ใช่เบาๆ พี่หนูมันควรจะรู้ได้แล้วนะว่าพี่มันแรงควาย แม่ง…ถ้าผมฉี่ใส่ที่นอนใครจะซักวะ!

“ตบหัวมึงอ่ะดีแล้ว เกิดกูตบตูดมึง เดี๋ยวจะระบมเปล่า” ไอ้ท่าทางมั่นอกมั่นใจกับสีหน้าคล้ายๆ ล้อเลียนคืออะไร ทำไมผมตีความไม่ออก ผมเลยทำหน้าโง่ๆ เอียงคอเล็กน้อยด้วยความบ้องแบ๊วกลับไป

“ระบม??” พี่หนูมันคิ้วกระตุกก่อนจะขยับเข้ามาใกล้ๆ โน้มตัวลงมากระซิบกระซาบกับผมราวกับว่าเรื่องที่จะพูดต่อไปนี้เป็นความลับระดับชาติ ที่ถ้าหากมีใครได้ยินขึ้นมาจะถูกพาไปปรับทัศนคติ แค่กๆ

“อย่าบอกนะว่า มึงยังซิง” ผมขมวดคิ้ว ผมซิงทำไมต้องกระซิบ แต่คิดไปคิดมา ควรจริงๆ นั่นล่ะ สาวๆ ไม่ปลื้มผู้ชายไร้ประสบการณ์

“ซิงดิพี่ ผมมีแฟนที่ไหนล่ะ สาวๆ แม่งไม่แลแม้แต่หางตา”

พูดแล้วเศร้า อยากแดกเหล้าอีกแล้วอ่ะ

“เฮ้ย! นี่มึงยังไม่ถูกไอ้ปาจับแดกหรือวะ! เป็นไปได้ไง!” พี่หนูมันตาโตจนแทบจะถลนออกมากองอยู่ข้างนอก สีหน้าพี่มันดูอึ้งๆ เหมือนไม่อยากจะเชื่อเท่าไหร่

“แล้วทำไมผมต้องโดนมันกินด้วยวะพี่ ผมไม่ใช่พิซซ่านะ!”

แดกได้ที่ไหนกัน เฮอะ!

พี่หนูมันกลอกตาใส่ผม สีหน้าเหมือนกับรำคาญผมจนถึงจุดที่เรียกได้ว่าเอือมระอา ทั้งที่ผมว่าผมออกจะนิสัยดี นิสัยน่ารัก ใครๆ เห็นก็ควรจะต้องหลงรักผม ยกเว้นสาวๆ ที่แม้ว่าผมจะน่ารักแค่ไหนก็จะมองผมด้วยสายตาแบบ ยี๋ ขยะแขยง

“ไอ้นก ไอ้ควาย ไอ้โง่ ไอ้ตัวบรมโง่ ในนั้นมึงมีสิ่งที่เรียกว่าสมองไหม หา!”

“มีดิพี่ คนเราต้องมีสมองสองซีกอยู่แล้ว พี่ก็ถามอะไรโง่ๆ เนอะ” ถามอะไรไม่คิด ถามเหมือนที่โรงเรียนไม่สอน ไม่ไหวๆ ผมไม่อยากคุยกับพี่หนูเลย กลัวติดเชื้อความโง่กลับมา สงสัยจังว่าพี่มันจบจากที่ไหนมา ผมจะได้บอกน้องบอกลูกๆ หล่นๆ ไม่ให้ไปเรียน สงสารเยาวชนของชาติจริงๆ เฮ้ออ…

“ไอ้เหี้ย! โอ๊ย กูต้องด่ามึงแบบไหนให้มึฉลาดขึ้นมาได้บ้างวะ แม่งเอ๊ย!!!”

เออ สงสัยจะวัยทอง คนบ้าอะไรอารมณ์เสียได้แม้แต่เรื่องด่าคน นี่พี่มันอารมณ์แปรปรวนขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ สงสารพี่หนูจัง ถ้าผมมียาปรับสภาพอารมณ์จะจัดให้พี่มันสักเม็ด

“พี่เป็นไรวะ เป็นบ้าหรือวะ ทำไมวันนี้พี่แม่งเหวี่ยงๆ วีนๆ แปลกๆ” ผมหรี่ตามองพี่หนูที่ชะงักอย่างจับผิด เนี่ยยยย มันต้องมีอะไรแน่ๆ พี่มันต้องปิดบังอะไรไว้แน่ๆ เห็นไหมครับ ผมฉลาดจะตาย ไม่ได้โง่อย่างที่พี่หนูมันพูดเสียหน่อย ไอ้พี่หนูมันนั่นล่ะที่โง่ เฮอะ!

“อะไร? ใครเหวี่ยง? ใครวีนนนน” เออ แล้วแต่พี่มึงเถอะครับ เอาที่พี่มึงสลายใจเลย ผมได้แต่โยกศีรษะไปมาอย่างปลงตกในความปากแข็งของพี่มัน

“พี่หนู! ทำไมพี่ทิ้งให้ผมกลับกับไอ้ปาวะ!” เนี่ยยย อารมณ์ผมขึ้นเลย หงุดหงิดมาก แทนที่พี่มันจะเก็บเด็กหลงทางอย่างผมไปปล่อยไว้ที่บ้านพี่มันสักตัวไม่มีหรอก ทิ้งกูแล้วสะบัดตูดหนีกูไปเฉยเลย ฮึมมม คิดแล้วโมโห

ผมนั่งจ้องหน้าพี่มันด้วยสายตาคาดคั้นความจริง สองมือกอดอกเหมือนเวลาที่คุณครูกำลังรีดเค้นความจริงจากเด็กนักเรียน มาสิ! แก้ตัวมา ไม่เข้าหูเมื่อไหร่ผมจะแหกปากให้ลั่นบริษัทแม่เลย! คนพี่เห็นแก่ตัว!!!

“อะไร๊…กูไม่ได้ทิ้งมึงเถอะนก” แล้วหลบตากูทำซากเห็ดอะไรวะ

“เหรอออออออ” ฟังจากน้ำเสียงเอาเถอะว่าผมเชื่อไหม

“เออดิวะ นั่นกูแค่…แค่…”

“แค่นานเนอะ แค่พี่นี่แม่งยาวถึงเชียงใหม่แล้วล่ะ”

“แค่ไปส่งไอ้อาร์ตไง เออใช่ๆ กูคิดว่าไปส่งอาร์ตมันเสร็จก็จะมารับมึง”

พี่คุยกับตัวเองให้มั่นใจก่อนไหมวะพี่หนู ฟังแล้วตัวพี่มันเองแม่งยังไม่มั่นใจในคำตอบของมันเองเลย แล้วผมจะเอาอะไรไปเชื่อออ อยากจะด่าพี่มันอีกสักรอบแต่ก็สงสารสีข้างที่แถไปเมื่อกี้ ท่าทางแผลน่าจะลึกใช้ได้เลยนะนั่น ว่าแต่ทำไมพี่หนูมันต้องหน้าแดงวะ แถมรอยยิ้มกรุ้มกริ่มอีก นี่มีอะไรที่พี่มันไม่ยอมเล่าให้ผมฟังใช่ไหม!!

ต่อมเสือกทำงานเลยคร้าบบบบ

“ผมเชื่อ…ถ้าพี่ยอมเล่าว่าคืนนั้นเกิดอะไรขึ้น” พี่หนูมันผงะทันทีที่ผมลุกขึ้นไปจ้องหน้าพี่มันในระยะประชิด ชิดมากครับ ชิดจริงๆ กลัวพี่มันบ่ายเบี่ยงไง

“เกิดอะไรของมึง!!” เสียงสูงทำไม…

“แน่ใจ?”

“แน่!!” แน่…แต่หลบตาแถมหน้าแดงเข้าไปอีก พี่หนู พี่แม่งเนียนมาก เนียนกว่าพี่ก็เด็กอนุบาลแล้วล่ะครับ

อยากกุมขมับแล้วเครียดตายจริงๆ

“แล้วพี่จะหน้าแดงทำไมวะถ้ามันไม่มีอะไร” พี่หนูมันจับหน้าตัวเอง ขึงตาใส่ผมแล้วถามว่า

“ใคร…ใครหน้าแดง” กูมั้ง กลอกตาได้ไหม เบื่อคนไม่เนียน

“ขอความจริงดิวะพี่” พี่หนูมันชะงักก่อนที่สายตามันจะหยุดนิ่งอยู่กับที่ด้วยความตกตะลึงครู่หนึ่ง ก่อนที่มันจะเปลี่ยนเป็นเจ้าเล่ห์ ดวงตาพี่หนูแม่งโคตรวิบวับ

“กูจะเล่า…ถ้ามึงบอกว่ารอยที่คอมึงได้มายังไง” ผมสะดุ้งกับปลายนิ้วพี่มันที่จิ้มมาที่บริเวณลำคอของผม แม่ง…นั่นจุดอ่อนเลยนะ

“เอาดิ…” แค่รอยแมลงกัดทำไมจะเล่าไม่ได้ โธ่เอ๊ย

“มึงเล่ามาก่อน”

“พี่นึกว่าผมโง่หรือ ผมเล่าก่อนพี่ด็ไม่เล่าดิ พี่นั่นล่ะเล่ามา!” ผมได้ยินเสียงพี่หนูมันจิ๊ปากอย่างขัดใจ ช่างดิ ไม่สนใจหรอก ผมขอแค่ได้เสือกก็พอ

“เล่าดิ!!” ผมเร่งเมื่อเห็นว่าพี่มันอ้อยอิ่งตีฉิ่งกับแมวอยู่นาน

“กูพามันไปส่งบ้าน…กู แค่นั้น” ห๊ะ? แค่นี้ แค่นี้! แค่นี้แล้วจะหน้าแดงหาพระแสงอะไรเล่าโว้ย!!!!!

นอกจากหงุดหงิดจนแทบจะเรียกว่าเกือบระเบิดแล้ว ผมยังรู้สึกว่ามีอะไรมากกว่านั้นแต่พี่มันไม่ยอมเล่าไง โธ่เอ๊ย! มาทำให้อยากแล้วจากไป ไอ้พี่หนู! ไอ้คนนิสัยไม่ดี!!

“ตามึงแล้ว เล่ามา รอยบนคอมึงล่ะ” ผมชักสีหน้าอย่างไม่ชอบใจ กระแทกเสียงตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว

ขี้โกงฉิบหายเลยวะ

“ตัวเหี้ยอะไรไม่รู้กัด!”

พรืด

“ฮ่าๆ มึงโกหกไม่เนียนเลยไอ้นก รอยแบบนี้ใช่รอยแมลงกัดที่ไหน ฮ่าๆ” ผมมองพี่หนูด้วยความสงสัย แน่ล่ะไม่สงสัยสิครับแปลก ถ้าไม่ใช่รอยกัดจากแมลง แล้วมันจะเป็นรอยอะไรไปได้ล่ะจริงไหม?

“เฮ้ย ผมพูดจริงนะพี่ ห้องไอ้ปาแม่งไม่รู้เลี้ยงตัวเหี้ยอะไรไว้ กัดผมได้กัดผมดี นี่สงสัยมันคงอาศัยตอนผมกำลังหลับสบายมากัดผมแน่ๆ พูดแล้วมันน่าหาอะไรไปฉีดให้ตายจริงๆ”

“หืม ไอ้นก มึงไม่รู้จริงดิ?” พี่หนูมันหรี่ตามองผมอย่างต้องการจะจับผิด ส่วนผมก็นั่งงงไปสิว่าพี่มันจับผิดอะไร ก็ผมมีอะไรให้จับผิดที่ไหนกัน ผมพูดความจริงล้วนๆ

“รู้อะไรวะพี่ พี่ชักเริ่มจะแปลกๆ แล้วนะ”

“ช่างมันเถอะ งั้นกูถามหน่อย เวลามึงไปนอนห้องไอ้ปา มีรอยแบบนี้บ่อยไหมวะ?” เวลาไปนอนห้องไอ้ปาหรือ อืม….

“คราวก่อนก็ไม่เป็นนะพี่ รอบนี้สงสัยว่ามันจะไม่ได้ทำความสะอาดมั้ง ทำไมเหรอพี่?” พี่หนูมันยักไหล่ แต่แววตาวาววับราวกับว่ารู้อะไรบางอย่าง

“ก็เปล่า…กูแค่ถามดู” เฮอะ! เชื่อพี่ผมก็ออกลูกเป็นควายแล้วล่ะ

“ว่าแต่พี่เถอะ เมื่อคืนพี่คุยอะไรกับมันวะ ไอ้ปาแม่งแทบจะแดกหัวผมเข้าไป ดีนะมันไม่จับผมยัดส้วมแล้วกดทิ้ง” ยังสยองจากสายตาของไอ้ปาเมื่อคืนไม่หาย คนอะไรโกรธโทรศัพท์แต่มาจ้องผม

“ก็ไม่มีอะไรมาก กูก็แค่แกล้งแหย่มันนิดๆ หน่อยๆ เอง” ผมตวัดสายตามองพี่หนูที่มันทำท่าทางสนุกสนานด้วยแววตาโกรธแค้นทันที เพราะพี่มันนี่เองที่ทำให้ผมเกือบถูกฆ่าตายในห้อง ฮึ่มมมม!

“ที่แท้ก็พี่นี่เอง ตายซะ!!”

“ดะ เดี๋ยวๆ เฮ้ยยยย”

ผมไม่ฟงไม่ฟังอะไรอีก รีบโถมตัวเข้าไปขย้ำไอ้พี่หนูมัน หวังจะเอาเล็บกุมๆ กับตัวผอมๆ ฆ่าพี่หนูมันให้ตาย เอาให้มันตายอนาถจนขายขี้หน้ายมบาลในนรกเลย ข้อหาทำให้ผมเดือดร้อน นอนผวาไอ้ปากลัวมันจะลุกขึ้นมาฆ่า แม้ว่าสุดท้ายผมจะหลับสนิทชนิดที่ใครปลุกก็ไม่ลุกก็ตาม

“เฮ้ย/โอ๊ย!”

จากการฆ่ากัน กลับกลายเป็นฉากรักโรแมนติก ถุ้ย ไม่ใช่สิต้องบอกว่ามันเกิดความผิดพลาดขึ้นมาเพราะผมดันกระโดดโถมตัวเข้าไปแบบนั้น จังหวะที่พี่หนูมันถอยหลบดันมีผมที่เข้าไปถึงตัวพอดี การทรงตัวที่ไม่มั่นคงเลยทำให้ผมล้มทับไอ้พี่หนูจนหน้าเราห่างกันแค่คืบเดียว

แต่เจ็บชะมัดเลยโว้ย

ผมรู้นะว่าผมผิดที่กระโจนเข้าใส่พี่มันแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ แต่การที่เราสองคนล้มลงไปแถมผมยังทับพี่มันอยุ่มันก็คืออุบัติเหตุไหมครับ แล้วอะไรที่ทำให้พี่หนูมันต้องหยิกเอวย้วยๆ ของผมแบบนี้ด้วยวะ บิดเฉยๆ เบาๆ แบบการตักเตือนก็ไม่ได้ เพราะไอ้พี่หนูมันดันบิดชนิดที่เรียกว่าไม่ห่วงถ้ามันจะหลุดติดมือมา ผมนิ่วหน้ากัดริมฝีปากแน่นไม่ยอมร้องออกมา ขณะที่ขอร้องพี่มันทางสายตาว่าให้ปล่อยไขมันน้อยๆ ของกูไปเถอะ มันจะขาดอยู่แล้ว แต่สายตาไอ้พี่หนูมันดันเต้มไปด้วยความ…

สะใจครับ ไม่ใช่สงสารหรือเห็นใจใดๆ สะใจพี่มันล้วนๆ

ไอ้พี่เวร!

“นก!!”

“ไอ้นก!!!” เสียงเรียกชื่อผมของคนสองคนที่ยืนห่างอยู่ไม่ไกลเรียกให้ผมต้องหันไปมอง ไอ้ปากับพี่อาร์ตมองผมกับไอ้พี่หนูด้วยแววตาตื่นตะลึง นั่นคือแววตาของพี่อาร์ตนะครับ ส่วนไอ้ปา…ตามันโคตรน่ากลัว ไอ้ปาค่อยๆ เดินเข้ามาหาผมกับพี่หนูช้าๆ ไม่รู้พี่หนูมันเฮี้ยนอะไรขึ้นมา พอเห็นว่าไอ้ปาขยับตัวเดินมาหา มือที่หยิกเอวผมอยู่ก็เปลี่ยนเป็นลูบมันเล่นแทบ ทำเอาขนผมลุกแทบจะทั้งตัว

“อ๊ะ!” ยังไม่ทันที่ขนบนล่างจะกลับลงไปนั่ง ตัวผมก็ถูกดึงกระชากจนร่างกายของผมปลิวขึ้นไปยืนอยู่ในอ้อมแขนไอ้ปาอย่างงงๆ สมควรงงไหมล่ะ มีแต่คนถูกดึงแล้วล้มลงไปนั่งกับพื้น ผมนี่รู้สึกได้เลยว่าเท้าลอยจากพื้น แต่เสือกยืนด้วยท่าโคตรสวย นักกีฬาเห็นยังอายเลยครับ

“ทำอะไรกัน!” ไอ้ปาจ้องหน้าผมอย่างคาดคั้น ผมหันหลบไม่อยากตอบมัน แต่ทั้งหมดที่ผมทำไปก็เพราะความมึนล้วนๆ ครับ ไม่ได้มีเจตนาที่จะยั่วโมโหมัน แต่กลับกลายเป็นผมที่ถูกมือหนาบีบต้นแขนที่ถูกโอบไหล่ไว้อย่างแรง

เจ็บเอวจากไอ้พี่หนูไม่พอ นี่แขนกูก็จะช้ำเพราะไอ้ปาอีกหรือ

ชีวิตนกๆ นี่บัดซบเอาเรื่องเหมือนกันนะ

“กูถาม!” ได้ยินเสียงมันกัดฟันกรอดดังลอดออกมาแล้วรู้สึกน่ากลัวพิลึก

“ไม่ได้ทำ” ผมตอบเสียงอ่อย ไม่ๆ ไม่ได้อ่อยมันนะ ผมไม่ได้กลัวด้วย จริงๆ นะ!

“ไม่ได้ทำแล้วไปนอนทับบนตัวมันทำไม! ชอบมันหรือไง หา!!” ผมตวัดสายตาใส่ มองด้วยแววตาแข็งๆ ด้วยความไม่พอใจ ดูมันพูดกับผมนะ ดูมันพูด ไหนจะสายตาคาดคั้นที่เหมือนผมเป็นนักโทษของมันอีก ผมเป็นเพื่อน…หมายถึงอดีตเพื่อนของมันนะ! พูดจากเหมือนหลุดออกมาจากตูดควายแบบนี้ สมควรกลับไปเป็นเพื่อนด้วยไหม!

“เสือก!” เห็นไหม ปากผมมันก็ไวแบบนี้ล่ะ ใครใช้ให้มันมาพูดจาเหมือนหมาเห่ากับผมแบบนี้ล่ะ ผมไม่ชอบ!

“ไอ้นก!”

“ไอ้ปา!!” เอาสิ! คิดว่าตะโกนเป็นเดียวหรือไง เฮอะ!

“ลุกได้แล้วมึงน่ะ จะนอนเป็นพรมเช็ดตีนอีกนานไหม กูจะได้หาคนมาแทนตำแหน่งมึง” ในขณะที่ผมกับไอ้ปายังคงยืนจ้องหน้ากัน พี่อาร์ตก็เดินเข้าไปจ้องไอ้คนที่ยังไม่ยอมลุกด้วยแววตาที่เรียกได้ว่า เกลียดขี้หน้ากันมาสักสิบชาติก็ไม่ปาน ตกลงแล้วคืนนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ พี่อาร์ตถึงได้มองพี่หนูประหนึ่งกองขี้ที่ติดฝ่าเท้า

เอ๊ะ? ผมเปรียบถูกไหมนะ??

พี่หนูลุกขึ้นด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ ที่ดังออกมาจากลำคอ ตอนที่ยืนขึ้นมานั้น สายตาของพี่หนูก็จับจ้องมองโต้ตอบกับไอ้ปาที่หันไปมองหน้าพี่มันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ อยากจะจับพี่มันมาเฉือนมาสับให้เป็นชิ้นๆ

อะไร! ผมไม่ได้ใส่อารมณ์ส่วนตัวเลยนะ! นี่ตามสายตาของไอ้ปาจริงๆ! เชื่อผมสิ!

“มีปัญหาอะไรครับ ท่านประธาน” ผมสะอึก หลงลืมไปว่าแท้จริงแล้วไอ้คนที่มันยืนข้างๆ ผมตอนนี้เป็นถึงลูกชายเจ้าของบริษัทเป็นท่านประธานของทุกคน

แล้วผมเป็นใครถึงกล้าไปขึ้นเสียง

เป็นแค่พนักงานแท้ๆ มิน่าล่ะ ทุกคนถึงทำหน้าตาไม่พอใจที่ผมยืนเถียงกับไอ้ปา

“ขอโทษด้วยครับท่านประธาน ผมเสียมารยาทแล้ว” ก่อนที่จะเกิดสงครามระหว่างพี่หนูกับไอ้ปามัน ผมต้องรีบขอโทษไปก่อน จะได้ไม่เกิดเรื่องอะไรร้ายๆ ตามมา อย่างน้อยก็ลดสายตาที่จับจ้องมาทางมไปได้บ้าง

ไอ้ปาขมวดคิ้วเหมือนกับเวลาที่มันไม่พอใจและไม่ชอบใจมากๆ และผมก็รู้…ว่ามันเป็นเพราะอะไร มันเป็นเพราะผมเรียกมันแบบนั้น ใช้คำว่าท่านประธานทำให้มันและผมอยู่กันคนละชั้น ให้มันรู้ว่าผมไม่อาจเอื้อมไปต่อล้อต่อเถียง ยอมก้มหัวให้กับฐานะที่กุมชะตาเอาไว้ และนั่น…ยิ่งทำให้เราสองคน ยิ่งห่างกันออกไปไกลเหลือเกิน

สายตาของมันสะท้อนหลายสิ่งหลายอย่างมากมาย ผมคงจะโกหกถ้าจะบอกว่าผมมองไม่เห็นและไม่เข้าใจมัน รู้ดีว่าตัวเองแค่งี่เง่าเอาเรื่องนี้มาทำให้มันถอยห่างออกไปจากผม แต่ใครไม่เป็นผมไม่มีทางเข้าใจ ว่าผมเองก็เจ็บปวดไม่ต่างกัน ทั้งที่คนตรงหน้าเป็นเพื่อนที่ผมรักมาก แต่มันกลับทำร้ายผมด้วยความเห็นแก่ตัวของมัน ทำให้ผมต้องเป็นไอ้โง่มานานหลายปี โดยไม่เคยคิดจะบอกความจริงให้ผมได้รู้

เป็นธรรมดา มันคงคิดว่าผมจะมาเกาะมัน จะมาปีนป่ายขาของมันจนน่ารำคาญถ้าผมรู้ว่ามันเป็นใคร

“หึ…” ไอ้ปาปรายตาไปมองพี่หนูที่ยืนอยู่ด้านหลังด้วยแววตาเข้มขึ้นจนน่ากลัว แต่อาจจะเพราะผมตอนนี้กำลังน้อยใจ กำลังเสียใจถึงได้กลัวมันน้อยลง

“ไอ้นก…มึงไปกับกู!”

“ไม่ไป” ผมขืนแรงที่กำลังจับจูงผมไปไหนก็ไม่รู้ เรื่องอะไรผมต้องไปด้วยล่ะ เป็นเจ้านายแล้วยังไง นี่ก็เวลาทำงานไหม จะมาลากผมไปไหนมาไหนแบบนี้ไม่ได้หรอก

“ไอ้นก!”

“นี่เวลางานครับเจ้านาย ผมต้องทำงาน ผมยังต้องคุยงานกับพี่หนูอีก ไม่ว่างไปเป็นเพื่อนเล่นกับคุณหรอก” สีหน้าของไอ้ปาย่ำแย่ แต่มือที่จับข้อมือของผมอยู่นั้นไม่มีท่าทีว่าจะปล่อย หนำซ้ำมันยังเพิ่มแรงขึ้นอีก สะบัดออกก็ไม่ได้ด้วย ลำบากกว่าผมมีอีกไหมครับ

“คุยงาน…ท่าไหนดีล่ะ อย่างเมื่อกี้งั้นหรือครับคุณอินทรีย์” สายตาของมันมองไล่ตัวผมตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างดูแคลน รอยยิ้มเยาะเย้ยปรากฏขึ้นมุมปาก

“ไม่เสือกดิวะ ไม่ใช่เรื่องของมึง”

ไม่ๆ ไม่ใช่ผม ไม่ใช่เสียงผมมมมมมมม ตอนแรกผมคิดจะตอกกลับไปเหมือนกันแต่ช้ากว่าอีกคนมาก ปากไวจนผมอยากจะร้องไห้ด้วยความรักใคร่ชื่นชม ไม่เคยมีสักวันที่ผมจะรู้สึกว่า พี่หนูมันพูดได้ดีมาก ดีจนผมอยากกระโดดเข้าไปกอดเข้าไปหอม พี่หนู! ปากพี่นี่หมาจริงๆ ว่ะ หมาแบบโคตรหมา ฟาร์มหมาชัดๆ เลยพี่!

นี่ชมนะ ชมจริงๆ

“ไอ้…” ยังไม่ทันได้ออกปากด่า พี่อาร์ตคงรู้สถานการณ์ถึงได้ลากไอ้พี่หนูมันไป สภาพเหมือนแม่แมวมาคาบลูกกลับไปในรังของมัน แต่คงเป็นไปไม่ได้หรอกครับ ก็ลูกแมวที่ไหนเขาตัวใหญ่กว่าแม่บ้างวะ พี่อาร์ตเองคงทุลักทุเลมากแน่ๆ ที่ต้องดึงคอเสื้อไอ้พี่หนูมันจากด้านหลัง แต่เดี๋ยวนะ แล้วกูล่ะเฮ้ย! กูเล่า!!!!

อยากจะทิ้งตัวแง้วๆ ร้องงอแงตีขาด้วยความไม่พอใจจากการถูกทิ้ง พี่ทั้งสองจะไปไหนกันก็ได้ครับ แต่จะทิ้งน้องนกแบบนี้ไม่ได้!!!

“ปล่อย…ครับ” โว้ย พูดยากพูดเย็น ไม่เข้าใจหรือไงว่ากูไม่อยากอยู่ใกล้มึงน่ะ หา!!

“ไปกับกู! เร็วๆ!”

พ่อมึงเถอะไอ้สัตว์! บอกให้เร็วแต่ช่วยดูความยาวขากูกับมึงด้วย มึงก้าวหนึ่งก้าวกูต้องก้าวหนึ่งก้าวครึ่ง จะเอาตรงไหนไปเร็ว ให้กูติดเทอร์โบหรือติดปีกบินไปเลยไหม ไอ้ที่ลากๆ อยู่นี่สาบานว่าแรงคน กระชากทีไขมันหลุดทิ้งเป็นดาวเคราะห์น้อยที่ลอยอยู่ในจักรวาล จะให้เอาที่ไหนไปเร็วครับพี่ ก่อนอื่นพี่มึงควรใจเย็นแล้วให้กูเดินดีๆ ก่อนไหม อย่างน้อยมึงควรอายสายตาชาวบ้านที่มองมาเหมือนประหนึ่งเรื่องผัวเมีย ณ บริษัทสิโว้ย!





50%



นกลูกกกก นั่นรอยจูบค่ะลูก นังปามันลักหลับหนู หนูไม่ได้โดนอะไรกัด! โธ่...วงวารสมองอันน้อยนิดของหนูจริงจริ๊งงงง แล้วพบกันใหม่กับครึ่งหลังนะคะ 

ปากินนก

ออฟไลน์ sompong

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 355
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
นกนี้จะว่ายังไงดีกวนได้กวรดีเนาะ

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
นกนี่ซื่อจนหยดสุดท้ายเลยนะ
พี่อาร์ต ก็จัดการกับพี่หนูให้ดีๆ ละ อย่าได้ไปแกล้งคนอื่นมากนัก
 :hao3: :hao3:

ออฟไลน์ llมว_น้oe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-4
ผมถูกไอ้ปาลากมายังห้องทำงานใหญ่ของมัน ใช่…ของมันนั่นล่ะ ในเมื่อตอนนี้มันเป็นท่านประธานใหญ่แห่งบริษัทธนากรุ๊ป มันคงไปเป็นกรรมกรแบกหามไม่ได้ เสียชื่อลูกชายเจ้าของบริษัทหมด แต่พอคิดถึงตรงนี้ก็อดทึ่งกับความทุ่มเทในการปิดบังของมันไม่ได้ นี่ไม่อยากให้ผมรู้ขนาดที่ต้องโยกย้ายตัวเองลงมาเป็นพนักงานระดับล่างเลยหรือ เป็นปีๆ เสียด้วย เฮอะ! ใครไม่เชื่อมันแบบผมก็เทพทรูแล้วล่ะ

สาวสวยหน้าห้องมองผมที่ถูกกระชากปลิวไปตามแรงควายๆ ด้วยความอึ้ง มองเห็นผมทันถึงสามวินี่คือพี่มีสายตาไวกว่าชาวบ้านแล้วครับ ผมจะยิ้มให้พี่เขาริมฝีปากยังไม่ทันจะพ้นจากไรฟัน หน้าพี่เขาก็หายไปแล้ว เจอแต่กำแพงสีขาวกับการตกแต่งหรูๆ ที่ดูยังไงผมก็ไม่มีปัญญาหามาชดใช้แน่นอนถ้าเผลอไปทำอะไรพัง

บุญตีนขนาดไหนได้เข้าห้องท่านประธานแบบนี้

“ปล่อยได้แล้ว!” ผมสะบัดแขนออกจากมือมันทันทีที่ได้สติ ไม่รู้จะจับอะไรหนักหนา แขนคนนะ…ไม่ใช่ของศักดิ์สิทธิ์

“สะดีดสะดิ้งจริงนะกับแค่กูแตะนิดแตะหน่อย” ผมยักไหล่ด้วยท่าทางกวนๆ สีหน้าบ่งบอกเลยว่ามันเข้าใจถูกแล้วล่ะ แต่ไอ้ปาพอเห็นท่าทางแบบนั้นของผมมันก็ยิ่งไม่พอใจ สายตานี่ดุยิ่งกว่าหมาเวลาแย่งอาณาเขต

“ทำไม? ต้องเป็นไอ้พี่หนูมันคนเดียวหรือไงถึงจะมีสิทธิ์จับมึง!” ผมกลอหตาไปมาอย่างเบื่อหน่าย ไม่เข้าใจว่าจะลากพี่หนูมาเกี่ยวข้องทำไมในเมื่อพี่มันไม่รู้เรื่องอะไรด้วย

“เรื่องที่มะ เอ่อ ที่คุณจะพูดมีแค่นี้ใช่ไหมครับ? ผมจะได้กลับไปทำงานของผมสักที” อยู่ใกล้มันแล้วหายใจลำบากยังไงก็ไม่รู้ อึดอัดแปลกๆ

“ไอ้นก! อย่ายั่วโมโหกู!” ผมถอนหายใจอย่างแรง เอาให้เห็นกับโต้งๆ เลยว่าเบื่อจะพูดแล้ว

“ท่านประธานครับ คุณควรจะหัดควบคุมอารมณ์ตัวเองหน่อยนะครับ” ยิ่งมันทำตัวแบบนี้ผมยิ่งรู้สึกว่าตัวเองมีสิทธิ์จะกลับไปเป็นเพื่อนมันอีก อยากทำลายความหวังทั้งหมดทิ้งไป ผมจะได้เลิกบ้าบอไปวันๆ แบบนี้ แค่มันพาผมไปค้างห้องตัวมันเอง ไม่ได้หมายความว่า เราสองคนจะหลับไปเป็นเหมือนเดิม

เพราะฐานะเราสองคนมันต่างกัน

“เป็นถึงประธานบริษัทแต่การควบคุมตัวเองเท่ากับศูนย์ ลูกน้องคนอื่นรู้เข้าคงหัวเราะเยาะ” นี่คือคำเตือนของอดีตเพื่อนอย่างผมที่ให้มันได้ เพราะไม่อยากให้มันต้องขายหน้า ต้องมาตกต่ำเพราะคำนินทา แม้ว่าผมจะโกรธจะน้อยใจมันมากแค่ไหน ไม่ว่ามันจะทำร้ายความเป็นเพื่อนสักเท่าไหร่แต่ความหวังดีผมก็ยังมีให้มัน แต่คงในฐานะที่เคยเป็นเพื่อนกันเท่านั้น

“กูไม่เคยควบคุมตัวเองไม่ได้”

“แต่ที่ผมยังเห็นอยู่…คือคุณที่ไม่พอใจก็แสดงออกมาโดยไม่คิดจะควบคุม นั่นมันเหมือนกับเด็กคนหนึ่งนะครับ ไม่ใช่ท่านประธาน” อยากให้มันรู้ ให้มันจำว่าตัวเองกำลังดำรงตำแหน่งสำคัญ เป็นใหญ่เหนือคนอื่น

“นั่นเพราะมึงต่างหาก!!”

ปึง!

ผมถูกกักตัวเอาไว้กับผนังห้องด้วยสองแขนของไอ้ปาที่มันทุบกำปั้นตัวเองลงกับผนังอย่างแรง ตัวเราห่างกันเพียงเล็กน้อย ผมรู้สึกได้ว่ามันกำลังโมโหจนเจียนคลั่ง กำลังเก็บอารมณ์โมโหที่มีอยู่ไม่ได้ แววตาที่จับจ้องผมคล้ายกับสัตว์ร้ายที่กำลังกดดันเหยื่อที่กำลังหนี บรรยากาศรอบตัวชวนให้ขนลุกและตัวสั่นอย่างช่วยไม่ได้

ใช่…ผมกำลังกลัว และกลัวมากเสียด้วย

ไม่ว่ากี่ครั้งที่มันโมโห มันไม่เคยเป็นแบบนี้ มันอาจจะตะคอกผม ใช้น้ำเสียงและคำพูดเหี้ยๆ กับผม แต่ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่มันโกรธถึงขีดสุดอย่างครั้งนี้ ผมรู้สึกได้เลยว่าถ้าผมจะถูกมันทำร้ายก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ไอ้ปาในตอนนี้ดูจะหยุดยั้งความน่ากลัวของตัวเองเอาไว้ไม่ได้ ปล่อยให้ความกดดันออกมาบีบคั้นให้ผมเกือบขาดอากาศตายเพราะไม่กล้าหายใจ

มันจะต่อยผมไหม จะทำร้ายผมหรือเปล่า

ผมไม่รู้ แต่สิ่งที่รู้คือตอนนี้ ไอ้ปาน่ากลัวเกินไป เหมือนผมต้องรอความตายที่กำลังจะก้าวเข้ามา

“ผะ ผมไม่ได้ทำอะไร”

“คิดว่ากูตาบอดหรือไง…มึงตั้งใจลงไปทับมัน ทำหน้าตายั่วมัน มึงชอบให้มันลูบตัวมึงใช่ไหม!”

“มันเป็นอุบัติเหตุต่างหาก! ไม่มีใครเขาคิดเรื่องแบบนี้เหมือนคุณหรอก! โอ๊ย!” ไอ้ปาใช้มือใหญ่ของมันบีบคางของผมแน่น ดวงตาฉายแววอันตรายจนผมแทบจะทรุดกายลงไปนั่งกับพื้น

“อุบัติเหตุโง่ๆ ที่มึงหรือมันตั้งใจทำล่ะ ถ้าชอบแบบนั้นทำไมไม่บอกวะ กูทำให้มึงได้มากกว่าเสียอีก”

“ปล่อยนะโว้ย!” ในตอนนี้ผมคงไม่สนใจแล้วว่ามันจะเป็นประธานบริษัทหรืออะไร แค่โดนไล่ออก ผมออกไปหางานใหม่ก็ได้ ต่อให้ต้องทำร้ายมัน ผมก็จะต้องหลุดออกจากการคุกคามที่น่าอึดอัดนี้ให้ได้ ผมทั้งผลัก ทั้งดัน แต่ก็ไม่ได้ผล ไม่ว่าจะดิ้นออกจากพันธนาการของมันเท่าไหร่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะหลุดพ้น

“จะดีดดิ้นทำไมวะ มึงชอบไม่ใช่เหรอฉากแบบละคร กูก็ทำได้เหมือนกัน!”

“อะ อื้อ!!”

ผมเบิกตากว้างขึ้นทันทีที่มันก้มลงมาปิดปากของผมด้วยปากของมันเอง มันดูดดึงริมฝีปากล่างของผมอย่างแรงโดยไม่สนใจว่ามันจะเป็นยังไง บดเบียดแสดงความต้องการออกมาอย่างไม่คิดปิดบังใดๆ ปลายลิ้นไล่เลียไปตามรอยแยกของริมฝีปาก หวังให้ผมเผยอปากออกรับปลายลิ้นชื้นนั่นเข้ามา ผมพยายามหันหน้าหนี แต่ก็ถูกมือใหญ่ที่ยึดคางเอาไว้บีบจนเจ็บ น้ำตาผมคลออยู่ที่ดวงตาเมื่อความเจ็บที่ปลายคางกำลังทำให้ผมต้องเปิดริมฝีปากออกรับสิ่งที่ลุกล้ำเข้ามา

ไอ้ปากกวาดต้อนปลายลิ้นเข้ามาในโพรงปากอย่างรวดเร็ว รุกไล่เอาแต่ใจจนผมที่เลือกจะพาปลายลิ้นของตัวเองหนียังไม่อาจจะหนีพ้นไปได้ เพียงแค่ปลายลิ้นของผมและมันสัมผัสกัน ร่างทั้งร่างของผมก็คล้ายกับถูกกระแสไฟฟ้าช็อตจนอ่อนแรง หูอื้อตาลายและมึนเบลอไปหมด เรี่ยวแรงเหือดหายไปจนต้องอาศัยอ้อมแขนของผมเป็นที่พักพิง พร้อมกับปล่อยให้มันชิมความหวานจนกว่าจะพอใจ

ผมไม่รู้ว่าเวลาที่เราจูบกันมันผ่านไปนานแค่ไหน รู้แค่ว่าจากจูบที่เร่าร้อนรุนแรงในครั้งแรกที่คล้ายกับการลงโทษ ในตอนนี้มันกลับเป็นจูบที่อ่อนหวาน เอาใจ ราวกับว่าผมคือคนสำคัญที่ต้องทะนุถนอมเอาไว้ไม่ให้แตกสลาย รสชาติหวานล้ำที่ถูกส่งมาทางปลายลิ้นทำให้ผมหลงมัวเมาไปกับมันไม่ยากเย็น อดไม่ได้ที่จะขยับปลายลิ้นไปเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นของไอ้ปาเพื่อรับรสหวานล้ำนี้อีก

ติดใจ ตราตรึง หลอมละลายจนร่างทั้งร่างเหมือนไม่ใช่ตัวผมเอง

“อึก แฮ่กๆ อื้ม” เพราะกลัวผมจะขาดใจตาย ริมฝีปากของมันจึงยินยอมถอยห่างให้ผมได้รับเอาอากาศเข้าไปแล้วประกบทับลงมาใหม่ ไม่ปล่อยให้เสียเวลาแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว เราจูบกันเนิ่นนานจนไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากระดุมเสื้อของผมถูกปลดลงไปกว่าสี่เม็ด มันหมิ่นเหม่จนน่าหวาดกลัว แต่สติของผมตอนนี้ถูกจูบหวานๆ ทำให้ไม่ได้สนใจกับอันตรายตรงนี้แม้แต่น้อย

“อ๊ะ! ขอโทษค่ะ” ผมได้สติทันทีแทบจะผลักมันออก แต่ไอ้ปายึดเอวของผมเอาไว้ กดศีรษะของผมลงกับอกของมัน แล้วตวัดสายตาดุใส่พี่ฝ้ายที่เข้ามาโดยพลการทันที

“ทำไมไม่เคาะประตู!” ผมเหลือบมองพี่ฝ้ายเห็นเธอหน้าเจื่อนก็อดสงสารไม่ได้ แต่จะให้ขยับออกจากตัวไอ้ปาตอนนี้ผมก็ไม่กล้า สภาพของผมมันชวนให้เข้าใจผิดมากเกินไป

“ขอโทษค่ะน้องปา แต่พี่เคาะแล้วนะคะ” พี่ฝ้ายเหลือบมองผมแล้วส่งยิ้มขอโทษขอโพยให้โดนที่ผมอยากจะบอกเหลือเกินว่า ดีแล้วครับพี่ที่เข้ามา ไม่อย่างนั้นผมคง… ไม่อยากจะคิดเลย

“เอาล่ะ พี่มีอะไรครับ” ถึงแม้จะตีหน้าขรึม แต่ผมรู้ว่ามันอ่อนลงมาก คงรู้ว่าเป็นความผิดมันไม่ใช่คนอื่น ผมเองก็พยายามติดกระดุมเสื้อที่ถูกปลดออก

“คือว่า…เมื่อกี้นี้พี่ได้รับโทรศัพท์จากอาร์ต เขาต้องการตัวนกกลับไปทำงานค่ะ” ผมเริ่มขยับตัวเมื่อได้ยินว่าพี่อาร์ตโทรมาตามตัวผมกลับไปทำงาน ผมว่าคงเป็นพี่หนูบอกให้พี่อาร์ตโทรมามากกว่า อย่างน้อยพี่มันก็ยังเห็นใจผมอยู่

“ปล่อย…จะไปทำงาน!” ไอ้ปาไม่เพียงไม่ปล่อย กลับยิ่งกระชับอ้อมกอดมากขึ้นไปอีก

“กูเป็นเจ้านายมึงหรือเปล่าไอ้นก กูสั่งให้มึงไปแล้วหรือไง?” ผมกัดริมฝีปากที่บวมเจ่อจากจูบเร่าร้อนเมื่อครู่ ใครจะไปปฏิเสธได้กันล่ะ ในเมื่อมันเป็นประธานนั่นก็หมายถึงมันคือเจ้านายของผมด้วยเหมือนกัน

“ผมรบกวนพี่ฝ้ายติดต่อกลับไปหาคุณอาร์ตด้วยว่า ตั้งแต่นี้ไป นกจะไม่ไปทำงานที่แผนกของเขาอีกแล้ว” ผมตัวชาวาบทั้งตัว นึกไม่ถึงว่ามันจะไล่ผมออกจากงานง่ายๆ แบบนี้ ผมรู้สึกว่าน้ำตากำลังจะไหลออกมา แต่ไม่ได้หรอก ผมจะมาอ่อนแอกับเรื่องแค่นี้ไม่ได้ มันอยากไล่ออกก็ไล่ไป ผมหางานใหม่ที่อื่นก็ได้เหมือนกัน แบบนี้สิดี จะได้ตัดขาดความเป็นเพื่อนกันไปเลย จะได้ลบความหวังทั้งหมดออกไป

ดีแล้ว! แบบนี้ดีแล้ว!

“ตะ แต่…”

“คำสั่งผม! พี่ขัดได้หรือครับ?” พี่ฝ้ายลังเลเล็กน้อย ในแววตาฉายชัดถึงความสงสารที่มีต่อผม ผมเองก็สงสารตัวเองเหมือนหันครับ แต่ไม่เป็นไร แค่นี้ทำอะไรผมไม่ได้หรอก ผมกลืนก้อนสะอื้นที่จุกอยู่ในลำคอลงท้อง สกัดกั้นความอ่อนแอเก็บเอาไว้ภายในไม่ยินยอมให้ออกมาแสดงตัวให้ใครเห็น ผมเริ่มดิ้น เริ่มไม่ยอมให้เขากอด

ในเมื่อไม่ได้เป็นพนักงานของที่นี่อีกต่อไป ผมก็คงไม่ต้องเกรงใจอะไรหรอกมั้งครับ

“ปล่อย!” ไอ้ปาจ้องใบหน้าของผมในขณะที่พี่ฝ้ายเดินออกไปพร้อมกับปิดประตูลงอย่างไม่หันกลับอีก ผมเองก็จ้องประสานสายตากับไอ้ปาอย่างไม่เกรงกลัว พยายามผลักมันเพื่อให้ตัวเองออกจากอ้อมแขนของมันให้ได้

“กูบอกให้ปล่อย!”

“ไม่ปล่อย…” สายตาของมันจับจ้องมาที่ดวงตาเลื่อนลงมาที่จมูกก่อนจะหยุดลงที่ริมฝีปากของผม ผมเห็นใบหน้าของมันค่อยๆ โน้มลงมาช้าๆ แต่ผมก็ไม่คิดจะพลาดเป็นครั้งที่สองเหมือนกัน!

จูบน่ะ เขามีไว้ให้คนที่รัก! ไม่ใช่คนที่เกลียด!

ผลัวะ!

“ซี๊ด…” ผมปล่อยหมัดออกไปกระทบใบหน้าหล่อเหลาของมันจนผงะ เผลอปล่อยแรงโอบรัดออกจนผมสามารถดิ้นรนออกมาจากพันธนาการของมันได้ ผมไม่คิดจะอยู่ต่อเพื่อขอโทษหรือทำเรื่องไร้สาระอะไรอีก ตอนนี้หมดสถานภาพการเป็นพนักงานของบริษัทของมันแล้ว ผมก็คงไม่จำเป็นต้องกลัวเกรงอะไรมันอีก

จบก็คือจบ

เจ็บแค่ไหนก็ต้องถอยห่าง ในเมื่อมันเลือกที่จะไล่ผมออก ก็แล้วแต่มัน แต่ผมจะไม่อยู่รองรับอารมณ์ของมันอีกเช่นกัน ผมหันหลังเดินออกมาทันที แต่เพียงแค่มือเท่านั้นที่เอื้อมถึงประตู ร่างของผมก็ถูกกระชากกลับไปทางด้านหลังจนแผ่นหลังสัมผัสกับแผ่นอกของมัน รับรู้ถึงอัตราการเต้นของหัวใจที่สะท้อนอยู่ในอก

“อ๊ะ! ปล่อย!”

“มึงจะไปไหนนก มึงกำลังคิดจะไปไหน” น้ำเสียงที่กระซิบอยู่ข้างหูเต็มไปด้วยความไม่พอใจ แขนที่รักอยู่ที่เอวของผมก็ยิ่งรัดแน่นขึ้นจนผมรู้สึกหายใจไม่ออก

“ปล่อย! มึงไล่กูออกแล้ว กูก็ไม่จำเป็นต้องอยู่มี่นี่อีก! ปล่อยกู!”

“นก…มึงต้องฟังกู”

“เฮอะ! กูไม่มีอะไรต้องฟังมึงอีก ปล่อยกูสิวะ ไอ้เหี้ย!” ผมทั้งดิ้น ทั้งแกะมือของมันออก แต่ไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่ได้ผล ตรงกันข้าม มันกลับยิ่งเพิ่มแรงมากขึ้นไปอีก

“นก! ทำไมมึงดื้อแบบนี้วะ! กูบอกให้ฟังกูก่อนไง!”

“มึงคิดจะให้กูฟังเหี้ยอะไรอีก ในเมื่อมึงไล่กูออกไปแล้ว กูก็กำลังจะไปให้พ้นๆ มึงนั่นล่ะที่ต้องปล่อยกู ปล่อยกูสักที!!” ไอ้ปาหน้าตึง นัยน์ตาเริ่มวาวโรจน์ด้วยโทสะ ผมเองก็โกรธไม่ต่างจากทัน อย่าคิดว่าจ้องหน้าผมแบบนั้นแล้วผมจะกลัว

ไม่มีทาง!

“ถ้ามึงยังดิ้น ยังแหกปากให้กูปล่อยมึงอีก…กูจะไม่หยุดแค่จูบ และสาบานเลยว่าต่อให้ไอ้หน้าไหนมันเดินเข้ามา กูก็จะไม่หยุดจนกว่ากูจะพอใจ!”

“มะ มึง!” ผมหยุดดิ้นแทบจะทันทีที่ได้ยินคำขู่ มันหอบหายใจถี่ๆ เหมือนกำลังระงับอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน ผมเองก็ไม่กล้าทำอะไรเพราะรู้ดีว่ามันไม่ได้แค่ขู่ผมเล่นๆ แน่ คนอย่างไอ้ปา ถ้ามันบ้า ใครก็หยุดความบ้าของมันไม่ได้!

“จะเอายังไง จะฟังกูหรือจะให้กูทำอย่างที่กูพูด” ผมเบนสายตาหนี ไม่กล้าสบตากับมัน ถามมาได้ว่าจะเอายังไง ทำเหมือนผมมีทางเลือกมากมาย ถ้าผมเลือกอย่างหลังก็ควายเต็มทนแล้ว

“จะพูดห่าเหวอะไรมึงก็พูดมา แต่ปล่อยกูด้วย กูไม่ชอบ!”

ฟอด!

“อะ ไอ้เหี้ย!” มันหอมแก้มผม! มันหอมแก้มของผม!!!!

ผมตวัดสายตาปานจะเชือดเฉือนมันให้ตายทั้งที่ยังยืนอยู่ตรงนั้น แต่ยังดีที่มันยอมปล่อยผม ไม่ยืนกอดอยู่เหมือนเมื่อกี้ ผมถูกมันจับลากมานั่งที่โซฟา ส่วนมันเองก็นั่งข้างๆ ผมโดยที่ยังคงจับมือเอาไว้ไม่ยอมปล่อย นิ้วโป้งของมันคลึงหลังมือผมเล่น แววตาที่ทอดมองก็หยาดเยิ้มจนผมทำตัวลำบาก

ไม่รู้มันจะมองอะไรหนักหนา

“มีอะไรก็รีบพูด จะมองให้มันได้อะไรขึ้นมาวะ” ไอ้ปามองผมด้วยสายตาเอ็นดู ใบหน้าหล่อเหลาส่ายไปมาอย่างระอาในตัวผม

“กูไม่ได้จะไล่มึงออกนะนก”

“เรอะ…” กูควรเชื่องั้นสิ?

“กูคิดจะย้ายมึงต่างหาก” ย้าย? ย้ายผมนี่นะ?

“ย้ายทำไม กูทำที่เดิมก็ดีอยู่แล้ว ทำไมกูต้องย้ายด้วย!” ผมอยู่ตรงนั้นมีทั้งพี่หนู ทั้งพี่อาร์ต มันสนุกและมีความสุขดีแล้ว ทำไมผมต้องย้ายไปอยู่จุดอื่นที่ทำให้ผมต้องไปเริ่มใหม่ ผมอยากอยู่ที่ที่ผมมีความสุข

“หน้าที่ใหม่ ตำแหน่งใหญ่และเงินเดือนดีกว่า มึงไม่สนใจเหรอ?” เงินเดือนดีหรือ หน้าที่และตำแหน่งใหญ่ขึ้น มันก็ชวนให้ผมคิดหนักได้เหมือนกันนะ แต่…มันเองก็เป็นคนทำให้ผมพลาดตำแหน่งใหญ่นี่! ถ้ามันไม่ทำแบบนั้นลงไป ผมเองป่านนี้ก็เป็นหัวหน้าคนไปแล้วเหมือนกัน

เดี๋ยวสิ แบบนั้นก็กลายเป็นว่าพี่หนูก็อดน่ะสิ อ๊ากกกก ทำไมผมต้องมานั่งเครียดกับเรื่องนี้ด้วยล่ะ?

ผมดึงมือออกมาจากมือของไอ้ปาทันที ประสบการณ์ที่ผ่านมามันดันทำให้ผมเกิดการระแวดระวังเอาไว้ก่อน กลัวว่าเมื่อดีใจไปแล้วจะมานั่งเสียใจอีกครั้งทีหลัง ซึ่งผมบอกตรงๆ เลยว่า ใจของผมค่อนข้างจะบอบบาง รับความผิดหวังหนักๆ อีกไม่ได้แล้ว เพราะถ้าหากผมโดนทำร้ายอีกครั้ง ผมคงทนต่อไปไม่ไหว คงไม่สามารถมองหน้าไอ้ปาได้อย่างเต็มตา

“นก…มึงไม่เชื่อกูเหรอ” ผมเชื่อไม่ลง กล้าพูดเลยว่าบาดแผลในใจมันพาลให้ผมเชื่อใจไอ้ปาไม่ลง ผมมองสบตาของไอ้ปาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดแล้วต้องหลบสายตาออกไป ไม่ใช่ผมไม่กล้าสู้สายตา แต่ผมแค่รู้สึกว่า…ตัวเองจะใจอ่อนกับสายตาของมัน

“ไม่ใช่กูไม่เชื่อ” แต่แค่เชื่อไม่ได้…

“ถ้างั้นก็ตกลงสิ ตกลงแล้วมาทำงานเป็นเลขาของกู อยู่ใกล้ๆ กูไงล่ะ”

มือของไอ้ปาเอื้อมมาจับใบหน้าของผมให้หันไปสบสายตาของมัน แววตาที่จริงจังมันทำให้ผมพูดอะไรไม่ออก ได้แต่พยักหน้ารับแทนการตอบคำถามไป ไอ้ปาดีใจจนดึงตัวผมเข้าไปกอดจนแน่น ทั้งปากทั้งตายิ้มกว้างจนผมเห็นแล้วอดที่จะอ่อนใจกับมันไม่ได้ ผมรู้ว่ามันพยายามอย่างมากมายในการง้องอนผม แต่ตัวผมเองที่ปิดกั้นทุกอย่างไม่ยอมรับรู้สิ่งที่มันทำ

คนเราทำผิดพลาดกันเป็นเรื่องธรรมดา เพียงแต่ผมใจไม่แข็งพอที่จะรับความผิดหวังอีกครั้ง จึงต้องดึงตัวเองออกมาจากจุดนั้น ในตอนนี้ความสัมพันธ์ของไอ้ปากับผมมันไกลกว่าคำว่าเพื่อนไปมากมายแล้ว เพราะคนที่เป็นเพื่อนกันเขาไม่มีวันจูบกัน เขาไม่มีวันกอดกันเหมือนที่ผมกำลังโดนมันกอดเอาไว้ คนที่เขาเป็นเพื่อนกัน เขาคงไม่มองกันอย่างที่ไอ้ปามันใช้มองผมในทุกวันนี้

ไอ้ปามันมักจะบอกผมเสมอว่ามันรักผม เป็นความรักที่ผมเองก็นึกว่าเรารักกันเพราะเป็นเพื่อนกัน แต่สิ่งที่ไอ้ปาแสดงออกมาในช่วงหลังๆ นี้ มันเกินกว่าที่เพื่อนเขาจะทำต่อกัน

บางทีผมเองก็อาจจะรู้สึกไม่ต่างจากตัวมันเองก็ได้ ไม่อย่างงั้น…ผมคงจะถีบมันออกไปจากชีวิตตั้งนานแล้ว

หรือบางทีอาจจะเป็นตัวผมเองที่ขาดไอ้ปาไม่ได้ ทุกอย่างที่ผมรู้สึก ทุกความผิดหวังและเสียใจในสิ่งที่มันทำ อาจจะเป็นเพราะความรู้สึกของผมที่มีต่อมันมากเกินกว่าคำว่าเพื่อน เพียงแค่เพราะผมรู้ความจริงจากผู้หญิงของมัน ผมถึงได้เสียใจเป็นบ้าเป็นหลัง เสียใจจนไม่สามารถฟังคำอธิบายจากมันได้ อาจจะเป็นเพราะผมเองที่ทำใจฟังมันทำร้ายหัวใจของผมมากไปกว่านี้ไม่ได้มากกว่า

ใช่…ทุกสิ่งเป็นเพราะความกลัวของผมเอง

เพราะผมกลัวที่จะเสียใจ และหวาดกลัวที่จะไม่มีมันอยู่ในชีวิตอีกต่อไปนั่นเอง







TBC





ไหนใครอยากด่าน้องนกกด1 

อยากตีหัวปากด2

อยากเป็นเมียพี่หนูกด3

อยากตบแมวกด4 ได้เลยค่ะ คิกๆ


​​​​​​​ปากินนก

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
รุ้สึกว่าปาเป็นโรคจิตอ่ะ สงสารนกแล้วนะวันๆต้องเจอกับอะไรไม่รุ้เนี่ยะ

ออฟไลน์ sompong

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 355
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
เริ่มเบื่อนกล่ะ เข้าใจเถอะ จะได้ไปตอนถัดไป

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
อยากดูพี่อาร์ตตบพี่หนูมากกว่า อยากรู้ว่าพี่หนูจะกลัวไหม อิอิอิ
 :z2: :z2:

ออฟไลน์ Funnycoco

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 252
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
น้องนกรู้ตัวว่ารักแค่กลัวผิดหวังเลยปิดกั้นทุกอย่างใช่ม่ายยยยยยยยย

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ llมว_น้oe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-4
[11]

ตอนที่ 11.

นกกับความจริงที่เพิ่งรู้



“เดี๋ยว! มึงบอกให้กูเป็นเลขามึงใช่ไหม” ผมผลักมันออกห่างแล้วจ้องหน้ามันอย่างจริงจัง จนไอ้ปาที่กำลังดีใจเพราะผมตอบตกลงพยักหน้าให้อย่างงงๆ

“ใช่”

“แล้วพี่ฝ้ายล่ะ พี่ฝ้ายเป็นเลขามึงมาตั้งแต่ต้นนะ มึงจะไล่เขาออกเหรอ?” เพราะถ้าเป็นแบบนั้นผมยอมออกไปหางานอื่นทำเองยังดีกว่า พี่ฝ้ายทำงานที่นี่มานานแค่ไหน จู่ๆ ผมเข้ามาแย่งงานของพี่ฝ้ายไปมันใช่เรื่องหรือครับ ผมไม่ได้เลวบัดซบแบบนั้น!

“พี่ฝ้ายก็พี่ฝ้ายสิ มึงเป็นเลขาส่วนตัวของกู มันจะไปเกี่ยวกับพี่ฝ้ายตรงไหน?” หมายความว่าไง ทำไมผมฟังแล้วงงหนักมาก มันต่างกันตรงไหนล่ะนี่

“กูไม่เข้าใจ มึงอธิบายเพิ่มสิ?”

“พี่ฝ้ายจะทำงาน ประสานงานให้กู คอยจดทุกอย่างเวลาเข้าประชุมให้กูอะไรแบบนี้ พี่ฝ้ายจะทำจำพวกนั้นทั้งหมด”

“อ้าวแล้วกูล่ะทำอะไร หน้าที่ไม่ใช่ว่าเหมือนๆ กันเหรอ?” ความสงสัยมันชวนให้ผมต้องหาคำตอบจริงๆ เพราะผมกำลังมึนหนักมากถึงต้องเอ่ยถามออกมาแบบนี้

“มึงก็แค่ไปกินข้าวกับกู นั่งทำงานในห้องกับกู”

ไอ้ปาใช้ปลายนิ้วปัดเส้นผมที่ปรกหน้าผมออก ก่อนที่ปลายนิ้วที่แสนร้อนจะไล้ไปเบาๆ บนผิวแก้มเบาๆ มันทำให้ผมเผลอมองรอยยิ้มที่หล่อเหลาของไอ้ปาอย่างไม่รู้ตัว คล้ายกับว่าถูกดึงเข้าไปในจุดที่น่าหลงใหล ชวนให้ผมต้องลุ่มหลงง่ายๆ

“คอยอยู่ใกล้ๆ กูแค่นั้นก็พอ” ผมเม้มริมฝีปากตัวเองลง เบนสายตาของตัวเองออกจากใบหน้าของไอ้ปาทันทีที่ได้ยินสิ่งที่ผมต้องทำ ผิวแก้มร้อนผะผ่าวราวกับถูกลวก เมื่อปลายจมูกของไอ้ปากดลงมาอย่างแผ่วเบา ก่อนจะใช้ริมฝีปากแตะบริเวณเดียวกัน

ผมเอียงหน้าหลบ แต่ก็ไม่พ้นถูกจับให้หันกลับมารับริมฝีปากและความหวานจากจูบอันร้อนแรง ไอ้ปาใช้ปลายลิ้นไล่เลียกลีบปากของผม ก่อนจะดูดดึงปากบนล่างของผมราวกับต้องการหยอกเย้าผมให้ต้องการมันมากยิ่งขึ้น ผมตัวสั่นระริกกับสิ่งที่มันมอบให้ ในหัวขาวโพลนจนไม่สามารถคิดอะไรได้ เสียงที่ได้ยินมีเพียงแค่เสียงชื้นแฉะยามที่ลิ้นของผมกับไอ้ปาเกี่ยวกระหวัดกันไปมา ยิ่งในห้องเงียบเท่าไหร่เสียงที่แสนวาบหวามยิ่งดังมากเท่านั้น

“พะ พอ” ผมดันร่างของไอ้ปาออก หอบหายใจเอาอากาศเข้าปอดอย่างรวดเร็วจนแทบจะสำลัก เพียงแค่จูบเดียวยังทำให้ผมแทบจะขาดใจตายได้ขนาดนี้ ไม่ต้องพูดเลยว่านับจากนี้ผมยังต้องเจอกับจูบของมันอีกกี่จูบ

ทำไมถึงรู้สึกเปลืองตัวแบบนี้วะนี่

“กูยังไม่พอเลย มึงก็น่าจะรู้…” มองเสียตาเยิ้มขนาดนั้นไม่รู้ก็โง่เป็นควายแล้วล่ะ แต่จะให้มันจูบไปเรื่อยๆ ก็ไม่ใช่ไหม ผมกับมันตอนนี้สถานะเองก็ยังไม่ชัดเจน

“ไอ้ปา…ตอนนี้เรายังเป็นเพื่อนกันหรือเปล่าวะ?”

มันเป็นประโยคที่ผมควรจะถาม ผมค้างคาถึงสถานะของพวกเราในตอนนี้ เพราะผมไม่รู้ว่าควรวางตัวเองไว้เป็นแบบไหน ถ้าหากคำตอบที่ไอ้ปาตอบมาคือคำว่าเพื่อน ผมก็จะยืนอยู่ในโซนของเพื่อนเหมือนที่ผ่านมา ต่อให้ในตอนนี้ หัวใจของผมมันจะคิดกับไอ้ปาและรู้สึกกับมันไปไกลกว่าคำว่าเพื่อนก็ตาม แต่หากว่าคำตอบของมันคือเรารักกัน ผมก็จะสามารถรักมันได้เต็มหัวใจ สามารถมีมันได้อย่างเต็มที่

ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับคำตอบจากปากของไอ้ปาเท่านั้น

ผมมองสายตาคู่นั้นของมันอย่างเฝ้ารอและค้นหา ยิ่งมันเงียบผมยิ่งรู้สึกใจฝ่อจนต้องกลั้นหายใจ ระยะห่างไม่กี่วินาทีมันก็สามารถทรมานผม สามารถทำให้ผมคิดฟุ้งซ่านไปมากมาย ในหัววนเวียนคิดถึงสิ่งที่ควรจะทำยามถูกปฏิเสธ ผมคิด…ถ้าหากมันไม่รักผม มันเลือกจะวางผมในจุดที่เรียกว่าเพื่อน ผมจะยังยิ้ม ยังสามารถสนุกเฮฮากับมันได้อีกไหม เพราะแค่มันเงียบลงผมก็อยากวิ่งออกไป ไม่กลับเข้ามาอีก แต่แล้วไอ้ปาก็ยิ้มออกมาราวกับคำถามของผมมันชวนให้ขำเหลือเกิน

“นก…เพื่อนสำหรับมึง เพื่อนมันจูบกันด้วยเหรอ” ผมชะงักค้าง แล้วส่ายหน้าตอบมันไป เพื่อนที่ไหนเขาจูบกัน อย่างน้อยๆ เพื่อน (คนอื่น) ในมหา’ ลัยก็ไม่มีทางจูบกันแน่ๆ ไอ้ปาหัวเราะในลำคอก่อนที่ฝ่ามือของมันจะวางลงบนหัวของผมแล้วโยกไปมาเหมือนผมเป็นเด็ก

“ถ้างั้นแล้วมึงรู้ไหมว่าตอนนี้เราเป็นอะไรกัน?”

ผมก็ยังคงส่ายหน้าอีกครั้ง ผมไม่สามารถตอบได้หรอกว่าเราเป็นอะไรกัน ถ้าไม่ได้ยินจากปากของมันเอง

“ตอนนี้…กูเป็นคนที่กำลังจีบมึงอยู่ แต่ถ้ามึงยอมรับรักกู จากคนที่กำลังจีบก็จะกลายเป็นแฟนมึงไง”

“แฟน…” ผมพึมพำบ่นคำที่มันบอกออกมาอย่างเหม่อลอยกับสัมผัสที่ถูกมือของไอ้ปาลูบศีรษะของผมอย่างเอ็นดู

“ใช่…นก แฟน มึงอยากให้กูอยู่ในสถานะไหน คราวนี้คือสิ่งที่มึงต้องเลือกให้กูแล้ว”

ผมก้มหน้าลงซ่อนความเขินอายที่กำลังแล่นขึ้นมาบนใบหน้าไม่ให้มันได้เห็น มันบอกว่าให้ผมเลือก แต่ผมควรเลือกอะไรล่ะ ผมอยากเป็นแฟนมันหรือเปล่า…แน่นอนว่าใช่ ในเมื่อตอนนี้ผมยอมรับแล้วว่าผมชอบมันในแบบที่คนคนหนึ่งชอบใครสักคนหนึ่ง ผมย่อมอยากได้รับสถานะแฟนอย่างแน่นอน

แต่คำว่าแฟนสำหรับผมมันคือความทรงจำที่เจ็บปวด ครั้งหนึ่งที่ผมเคยมีแฟน หลินก็ทำให้ผมเจ็บปวดมาก หากว่าผมยอมรับสถานะแฟนกับไอ้ปา ผม…จะต้องกลับไปทรมานแบบนั้นอีกหรือเปล่า

ผมกลัวจริงๆ

“กู…” ผมควรเลือกอะไร

“นก มึงกังวลอะไรอยู่?”

ผมเม้มปาก ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามองสบตากับมัน มันพูดถูก ผมกลัว และความกลัวมันไม่ใช่สิ่งที่ลบออกไปง่ายๆ

“กู ไอ้ปา คือกู…”

“นกมึงมองหน้ากูสิ! มึงเห็นอะไรไหม เห็นไหมว่าในสายตาของกูมันมีมึงอยู่ในนั้นแค่คนเดียว” ผมถูกจับให้มองใบหน้าของไอ้ปา สายตาของมันเต็มไปด้วยความจริงจัง ไม่มีแม้แต่แววตาที่เคยขี้เล่นอย่างเมื่อก่อน และนั่น…มันกำลังสั่นคลอนความหวาดกลัวในใจของผม มันกำลังทำให้ผมเกิดความโลภที่จะอยากได้ อยากครอบครองสถานะที่จะนำพาแต่ความเจ็บปวด

ทั้งๆ ที่รู้ ผมก็ยังปรารถนาจะได้มัน

“บอกกูสิ…พูดกับกูว่ามึงก็รักกูเหมือนที่กูรักมึง ใช่ไหมนก” เสียงของมันสั่นเครือ คล้ายกับว่าตัวของมันกำลังเจ็บปวดจนใกล้จะแตกสลายลงไปเต็มทีแล้ว หากผมเอ่ยปากปฏิเสธมันออกไป มันจะไม่สามารถเป็นมันคนเดิมได้อีก มันทำแบบนี้…กำลังทำให้ผมต้องยอมรับใช่ไหม

กำลังจะบอกว่าทั้งชีวิต มันขาดผมไม่ได้เหมือนกันกับผมใช่ไหม

“กูรักมึง…ปา”

มันคงไม่ผิดใช่ไหมที่ผมจะคว้าเอาสถานะที่มีแต่ความเจ็บปวดมาสักครั้ง

คงไม่ผิดใช่ไหมครับ ถ้าผมอยากจะลองเชื่อใจคนที่ผมรักดู











หลังจากเมื่อวานนี้ที่ผมยอมรับรักมัน สถานะของผมและไอ้ปาก็เลื่อนจากเพื่อนรัก กลายมาเป็นแฟนอย่างไม่ยากเย็น ทุกอย่างไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปมากมาย ผมก็ยังคงเป็นผมเหมือนเดิมที่มันรู้จักมาตลอด ส่วนไอ้ปาก็แค่กอดผมมากขึ้น จับมือผมบ่อยขึ้น มองผมทุกครั้งที่ผมเผลอ แต่ที่สำคัญคือเราสองคนยิ้มให้กันมากกว่าเดิม ถ้าถามว่าเขินไหม ผมยอมรับเลยว่าเขินมาก ทำตัวไม่ถูกไปพักใหญ่

ดีหน่อยที่พี่ฝ้ายเอาเอกสารมาให้ไอ้ปามันเซ็น มันเลยยุ่งวุ่นวาย ปล่อยให้ผมนั่งตาแอร์กินโกโก้เย็นกับขนมเล่น สรุปแล้วคือวันนั้นผมไม่ได้ทำงานอะไรเลยสักงาน นั่งเล่นๆ ในห้องประธานก็เท่านั้น พอพักเที่ยงผมกับมันก็พากันออกไปกินข้าว แน่นอนว่าคนอย่างผมไม่ใช่คนที่สนใจราคาอาหาร เพราะพอออกมาจากบริษัทมันก็คล้ายกิจวัตรประจำวันของเราที่จะไปกินข้าวกันทั่วๆ ไป แม้ว่าตอนนี้มันจะมีตำแหน่งใหญ่โต แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมกับมันจะต้องติดหรูไปด้วย

ความเคยชินมันทำให้ผมวางตัวไม่ยากนัก

สิ่งที่แตกต่างก็คงเป็นมือของเราสองคนที่จับกันไม่ยอมปล่อย

ตอนนี้ก็เช่นกัน มือของเราทั้งสองคนก็ยังจับกุมกันเอาไว้แน่น ผมดีใจที่มันแสดงออกมาโดยไม่ปิดบัง ไม่อับอายที่มีผมเป็นแฟน ใบหน้าของผมเต็มไปด้วยรอยยิ้ม รอยยิ้มที่เรียกได้ว่ายินดีอย่างที่สุดก็ว่าได้

มันยากจะอธิบาย แต่ผมที่เป็นแบบนี้ไม่มีหรอกนะที่ใครจะกล้าเดินจับมือกับผม แต่ตอนนี้ผู้ชายที่ครั้งหนึ่งเราเคยเป็นเพื่อนกัน และตอนนี้เรากำลังอยู่ในสถานะแฟนเขายอมจับมือของผมโดยไม่สนใจสายตาของใครสักคนที่มองมา ไอ้ปามักจะหันมามองผมเป็นระยะ ส่งรอยยิ้มที่บ่งบอกได้ถึงความสุขในใจมาให้อย่างไม่คิดปกปิด นั่นยิ่งทำให้หัวใจของผมเต้นแรง

อา…ผมเขินจนไม่รู้จะเขินยังไงแล้ว

“ร้อนไหม” ผมยิ้มแล้วส่ายหน้าเบาๆ

“ไม่หรอก แดดแค่นี้ มึงก็รู้ผิวกูหนาจะตายไป” กวนตีนกันเหมือนเดิม เพียงแค่เราสองคนไม่คิดจะปล่อยมือเท่านั้น ต่างก็แค่คราวนี้ไอ้ปาหยุดเดินแล้วหันมาหาผม ก่อนที่มือของมันจะหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาแล้วใช้ซับเอาเหงื่อของผมออกจากใบหน้าและไรผมอย่างเอาใจใส่

แล้วแบบนี้…จะไม่ให้ผมใจสั่นได้ยังไงกัน

เราเดินผ่านพนักงานหลายคน ไม่ว่าจะเป็นที่เราคุ้นเคยดีหรือที่เราไม่สนิทก็ตาม ข่าวที่ว่าไอ้ปาคือประธานแพร่ไปจนทั่วทั้งบริษัท ยิ่งทำให้สาวๆ จับจ้องมันตาเป็นมันเข้าไปใหญ่ ผมเองก็กังวลนะ ใช่ว่าเมื่อก่อนมันจะไม่เคยยุ่งกับสาวคนไหนเสียเมื่อไหร่ บางทีผมก็อดคิดไม่ได้ว่าตัวเองยืนอยู่ตรงนี้มันดีแล้วจริงๆ หรือเปล่า ไอ้ปาพาผมเดินเข้าไปในร้านอาหารตามสั่งธรรมดาๆ ไม่ได้ติดองติดแอร์หรือหรูหราฟู่ฟ่าอะไร แต่ผมว่าแบบนี้มันดีแล้ว ผมยังจำวันที่ตัวเองไปกินร้านของชายได้อยู่เลย ผมน่ะ…เกือบจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะต้องเริ่มกินยังไง เห็นได้ชัดถึงความแตกต่างของเราทั้งคู่ แค่คิดผมก็ต้องถอนหายใจออกมาแล้ว

จะว่าไป…ช่วงนี้ไม่เจอชายเลย

“ปา…ช่วงนี้มึงได้คุยกับชายบ้างไหมวะ” มือที่กำลังถือช้อนอยู่หยุดชะงัก บรรยากาศรอบตัวมันเริ่มแผ่กระจายความไม่พอใจออกมาเงียบๆ

“ถามหามันทำไม?” น้ำเสียงห้วนๆ แบบนี้นี่คงไม่พ้นหึงอีกแน่นอน ผมได้แต่กลอกตาไปมากับอาการที่มันแสดงออก แม้ว่าจริงๆ ลึกๆ แล้วผมจะดีใจก็ตาม

“กูก็แค่สงสัย ที่ชายมันหายไปเลยก็แค่นั้น” ผมบริสุทธิ์ใจนะ ต่อให้ทันหรี่ตาหรือหาเครื่องจับเท็จมาตรวจผมก็ยังยืนยันว่าตัวเองไม่ได้คิดอะไรกับชาย ชายเป็นเพื่อนมันนั่นย่อมหมายถึงเป็นเพื่อนผมเช่นกัน และผมรู้สึกสนิทใจที่จะมีชายเป็นเพื่อน ชีวิตของผม…การมีเพื่อนมันยากนะ

เพราะคนปกติส่วนมากเขาไม่ค่อยจะคบผมไง ฮ่าๆ

“คงยุ่งมั้ง”

เสียงมันตอบเหมือนไม่แยแส อาการแบบที่เรียกว่าไม่คิดจะสนใจมากกว่า ผมติดใจสงสัย อยากจะถามมันเพิ่มหลายๆ อย่างเกี่ยวกับชาย แต่สุดท้ายผมก็ต้องเงียบปากลงแล้วจัดการกับอาหารตรงหน้าของตัวเองแทน ระหว่างนั่งทานผมก็ลอบมองหน้ามันเป็นระยะ ไอ้ปามันนิ่งมาก ไม่มีวี่แววไม่พอใจอะไรอยู่เลย แต่การที่มันนิ่งไปแบบนี้มันทำให้ผมกังวลมากกว่าที่มันโวยวายหรือโกรธผมเสียอีก

มองไปมองมาก็คงไม่ได้คำตอบอะไร ผมจึงเลือกจะถอนสายตาออกจากใบหน้าของมันแล้วมองออกไปข้างนอกแทน แต่แล้วแทนที่ผมจะได้ทอดสายตาแล้วเหม่อลอย กลับพบกับใครบางคนที่คุ้นตาซึ่งเดินตรงมาที่ผมนั่งอยู่ด้วยสีหน้าติดรอยยิ้มที่แสนจะโคตรกวนตีนเลย คิ้วผมกระตุกยิกๆ อยากจะคว้ามือไอ้ปาแล้วพากันวิ่งออกหลังร้านไป แต่ก็ทำไม่ได้จึงต้องนั่งนิ่งๆ ทำทีเป็นไม่ได้สนใจรอยยิ้มที่ส่งมาเท่านั้น

ใครจุดธูปเรียกวะ! แม่ง!

“โอ๊ะโอ…ไม่คิดนะเนี่ยว่าจะได้มีบุญมาเจอท่านประธานนั่งแดก ไม่สิๆ นั่งทานข้าวกับพนักงานของตัวเอง” คำพูดคำจาแดกดันเรียกตีนประทับใบหน้า แถมท่าทางการยกมือทาบอกที่คล้ายกับจะบอกว่าไม่อยากจะเชื่อก็ชวนให้หงุดหงิด แต่แน่นอนครับว่าไม่ใช่ผมแน่นอนที่หงุดหงิด

ไอ้ปาแม้จะมีทีท่าไม่สนใจการก่อกวนของพี่หนู แต่ผมเห็นนะว่าในแววตาของมันเต็มไปด้วยความไม่พอใจและไม่ชอบใจอย่างมาก ผมที่เป็นคนกลางได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ ให้กับพี่หนูก่อนจะยกน้ำเปล่าขึ้นมาดื่มทั้งแก้วเพื่อดับร้อน แม้ว่ามันจะไม่ค่อยจะช่วยเท่าไหร่ก็ตาม

มาคุเหลือเกิน อากาศยังร้อนไม่พอใช่ไหมครับ กัดกันอีกแล้ว

“ผมนี่ปลื้มใจแทนทุกคนจริงๆ” เออ เอาเข้าไป อยากจะกลอกตาใส่พี่หนูแล้วลากพี่มันไปเก็บเหลือเกิน อยู่ดีไม่ว่าดี หาเรื่องไอ้ปามันทำม้ายยยยย

“หึ…แค่มาทานข้าวกับแฟน คงไม่ถึงกับต้องให้คุณมาปลื้มใจแทนแฟนผมหรอกนะครับ” พี่หนูชะงักเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะปรายตามาแล้วยกคิ้วขึ้นถามผม ซึ่งผมเองก็พยักหน้าตอบกลับไป จะโกหกไปทำไมในเมื่อมันคือความจริง

“โอ้…ยินดีด้วยครับที่เขารับรักสักที จากที่อยู่ในเฟรนด์โซนมาน้านนาน” ผมจุกแทนยังไงไม่รู้สิ รู้สึกเจ็บๆ จุกๆ แทนไอ้ปาหน่อยๆ ปากพี่หนูนี่อมหมาไว้ทั้งฟาร์มเลยหรือยังไง ทำไมกัดเก่ง กัดไม่ปล่อยเลย

ก่อนที่ปัญหาจะเกิดขึ้นมาจนมีเรื่องบานปลาย ร่างของพี่อาร์ตก็เข้ามาแล้วตบหัวพี่หนูไปหนึ่งทีเต็มๆ อย่างแรงด้วย ผมได้ยินเสียงสมองพี่หนูไหลไปรวมกันอยู่ทาด้านหน้าเลยครับ ไม่ได้เยอะอะไรเลย แค่พี่มันมึนไปหลายนาทีอยู่

แต่จะว่าไปสะใจเหมือนกันนะครับ สมน้ำหน้า โดนเสียบ้าง ฮึ!

“ลามปาม!” พี่หนูที่ยังมึนๆ หันไปมองข้างหลังอย่างงงๆ ผมเองก็สงสารนะ แต่ท่าทางมึนๆ นั่นโคตรทำให้ผมรู้สึกสนุกสุดๆ ไปเลย ผมเลยเผลอยกมือถือขึ้นมาถ่ายคลิปเอาไว้ กะว่าคืนนี้จะส่งไปแกล้งพี่หนูมันเสียหน่อย

จะหัวเราะออกมาก็เกรงใจพี่มันนิดหน่อย ฮ่าๆ

“…” พี่หนูเหลือบมองหน้าของพี่อาร์ตแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ซึ่งผมมองว่ามันผิดปกตินะ รอบนี้พี่หนูมันแค่ยกยิ้มน้อยๆ ปล่อยให้พี่อาร์ตข่มจนพอใจไปเองนั่นล่ะ

เดี๋ยวสิ สองคนนี้มันเกิดอะไรขึ้นล่ะครับนี่?

“ขอโทษด้วยครับ ตามสบายเลยนะครับท่านประธาน ส่วนมึง…ไปได้แล้ว” ผมยังไม่ทันจะหายสงสัย ร่างอันสูงใหญ่ของพี่หนูก็ถูกพี่อาร์ตลากไปเก็บ เอ๊ย ผมหมายถึงพาออกไปจากโต๊ะผมกับไอ้ปาทันที ไอ้ผมก็ได้แต่นั่งมองตาปริบๆ ได้แต่สงสัยว่า ตกลงพี่มันเดินเข้ามาทำไมวะ?

“สนใจอะไรมันหนักหนา!” ผมสะดุ้งเมื่อไอ้ปาถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยอารมณ์ไม่พอใจ แต่เรื่องอะไรล่ะ? หรือโกรธพี่หนูแล้วพาลผมอีกแล้ว คิดได้แบบนั้นผมก็ต้องถอนหายใจออกมา

“กูเคยเตือนมึงแล้วนะปา ว่ามึงต้องหัดรู้จักควบคุมอารมณ์บ้าง มึงเป็นประธานนะปา ไม่ใช่พนักงานแบบกู” ผมพูดจริงนะ ถ้ามันยังเป็นแบบนี้ มันจะมีปัญหาเพราะการไม่รู้จักควบคุมอารมณ์ของมันเอง

“บ้าเอ๊ย! คิดเงินครับ!”

ไอ้ปาสบถออกมาแต่ไม่คิดจะตอบรับผม สีหน้าของมันเต็มไปด้วยความหงุดหงิดทั้งที่ก่อนหน้านี้ตอนถูกพี่หนูยั่วโมโห มันก็ยังไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย เก็บอารมณ์เก่งจริงๆ ต่อหน้าศัตรู แต่พอแต่หน้ากูนี่บึ้งตลอด แล้วแบบนี้ผมจะวางใจมันได้ไหม เกิดมันบ้าดีเดือดพุ่งเข้ามาต่อยผมตอนเราทะเลาะกันแบบนั้นผมก็ไม่เอานะ ถึงผมจะเคยมวยกับไอ้พี่หนูมันมาก่อน แต่ผมเป็นพวกรักสงบ ไม่คิดชกต่อยอะไรเลย แค่วันนั้นมันโมโหจนขาดสติจริงๆ

ไอ้ปาลุกขึ้นจากเก้าอี้โดยที่มือของมันลากผมไปด้วยติดๆ ยิ่งใกล้เวลาเข้างานช่วงบ่าย บริเวณหน้าบริษัทยิ่งเต็มไปด้วยพนักงาน ผมเห็นรินกับวอลล์เปเปอร์ยมองมาทางไอ้ปาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรัก แต่ไอ้ปามันกลับไม่ได้สนใจสายตาของน้องเลย มันเอาแต่ทำหน้าบูดบึ้งลากพาผมไปอยู่อย่างนั้น ทั้งๆ ที่รอบข้างต่างมองผมคล้ายกับว่าผมเป็นคนแปลกหน้า แต่ช่างเถอะ ถึงอย่างไรถ้าไม่ใช่เพราะผมมีประโยชน์ต่อพวกเขา ผมก็แค่คนแปลกหน้าอยู่ดีนั่นล่ะ

ว่าแต่มันจะลากผมไปถึงไหน ข้อมือจะหลุดอยู่แล้ว

“ไอ้ปา ปล่อยก่อนได้ไหม กูเดินเองได้” ไอ้ปาหยุดเดินแล้วหันมามองหน้าผมแต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยมืออยู่ดี

“กลัวมันมาเห็นหรือไง?”

มัน? มันไหน? ใครวะ?

“มึงพูดถึงใคร? อ๊ะ เดี๋ยวดิวะ!” มันฟังที่ไหน มันยังคงตั้งหน้าตั้งตาลากผมอยู่แบบนั้นล่ะ ต่อให้ใครมองก็ช่างไอ้ปาไม่แคร์ แน่ล่ะสิ มันจะแคร์ทำไม มันเป็นใครล่ะ เฮอะ!

สุดท้ายผมก็ถูกลากกลับห้อง ผมหมายถึงห้องทำงานของไอ้ปา หรือก็คือห้องทำงานของผมด้วยนั่นล่ะ เพราะโต๊ะของเลขาส่วนตัวที่ไอ้ปาว่ามานี่ ก็คือส่วนตัวจริงๆ ครับ เก็บไว้ส่วนตัวชัดๆ ไม่คิดจะให้ผมขยับขาก้าวออกจากห้องหรอก ถ้าไม่ใช่เวลาเลิกงานเพื่อกลับบ้าน ผมรู้สึกยังไง ก็ดี แอร์เย็น ห้องเงียบ เสียอย่างเดียวไม่ค่อยมีอะไรให้ผมทำมันเลยกลายเป็นว่าผมง่วงบ่อยๆ มันเบื่อนี่นา เบื่อมากๆ ด้วย แต่บอกไอ้ปาไม่ได้หรอก วิธีแก้เบื่อของมันไม่เหมือนชาวบ้านเขาหรอก

ผมว่าพวกคุณเดาได้นะว่าวิธีไหน หึ!

“อะไร? ทำไมต้องมองกูแบบนั้นด้วยวะ” มาถึงแทนที่จะบอกว่าเป็นอะไร หรือขอโทษสักคำที่ลากผมมาเหมือนผมเป็นตุ๊กตา มันกลับเอาแต่จ้องผมไม่กะพริบตา นั่งข้างๆ กันแท้ๆ แต่กลับรู้สึกชวนให้เสียวสันหลังแปลกๆ

“ตอนนี้เราเป็นอะไรกันนก” เดี๋ยวนะ จำได้ว่าวันก่อนผมเป็นคนถามไป แล้วไหงวันนี้ถึงเป็นมันล่ะที่ถามผมออกมา ผมเอียงคอมองอย่างไม่เข้าใจ คิ้วขมวดเข้าหากันอย่างงงงวย แต่ก็ยอมตอบออกไปอยู่ดี

“ก็ ก็แฟนไง” พูดเองก็เขินเองได้ ผมนี่ล่ะไม่ใช่ใครหรอก ไอ้ปาเหมือนจะผ่อนคลายลงไปแต่ก็ยังไม่ปกติอยู่ดี

“แล้ว…กับไอ้พี่หนูล่ะ มึง…คิดยังไงกับพี่มัน” พี่หนูเหรอ ผมพยายามตีความหมายความรู้สึกของตัวเองอยู่ในหัว

“อืม…ว่าไงดี พี่หนูมันช่วยกูไว้หลายเรื่อง เวลากูเสียใจพี่มันก็อยู่กับกูตลอด สงสัยคงกลัวกูคิดสั้นฆ่าตัวตายมั้ง” ผมพูดติดตลก แต่ไอ้คนฟังมันกลับไม่ยอมตลกด้วย สีหน้ามันกลับยิ่งแข็งขึ้นทันตา ในแววตามีร่องรอยความดุร้ายแผ่ซ่านออกมา ข้อมือก็ถูกบีบอย่างแรงจนเจ็บ

“กูถามว่ามึงคิดยังไง ไม่ใช่ให้มึงมาสรรเสริญเยินยอให้กูฟัง!” ผมแทบจะหัวหดกับน้ำเสียงของมันแล้วเริ่มตอบให้ตรงคำถามเสียที

“ก็…ไม่ได้คิดอะไร พี่มันก็เหมือนพี่ชายกู คอยช่วยกู ดูแลกู” ไอ้ปาได้ยินคำตอบแล้วก็เอนหลังลงพิงกับโซฟา มือที่บีบข้อมือผมก็ค่อยๆ ผ่อนแรงออกจนเกือบจะปล่อย แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อย

“ถ้าเป็นแบบนั้น มึงจะแอบถ่ายรูปมันไปทำไม?” ผมย่นคิ้วลง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตอนที่อยู่ในร้านผมแอบถ่ายรูปพี่หนูมันไว้จริงๆ

ผมจึงบิดข้อมือออกจากการเกาะกุมของมัน ก่อนจะล้วงเอาโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงออกมา เลื่อนๆ ก่อนจะยื่นให้ไอ้ปาได้ดูว่าที่จริงแล้วผมแอบถ่ายพี่มันไปทำไมกันแน่ ไอ้ปาที่รับไปด้วยสีหน้าไม่ชอบใจ พอเห็นภาพที่ผมถ่ายออกมาไอ้ปามันก็หลุดรอยยิ้มมุมปากออกมาครู่หนึ่ง จริงๆ ตอนถ่ายรูปผมก็คิดว่ามันตลกดี อยากจะเอาไปข่มขู่ขอของกินอร่อยๆ แพงๆ สักมื้อ แต่เจอความโกรธจนแทบจะฆ่าให้ตายแบบนี้ ผมไม่เสี่ยงตีนออกไปกินข้าวกับพี่มันดีกว่า เดี๋ยวตายฟรี

“สบายใจแล้วสินะ” ไอ้ปาเหลือบมองผมก่อนจะกระตุกยิ้มเล็กน้อย ผมล่ะอยากจะกลอกตาใส่มันเหลือเกิน วางท่าดีจริงๆ

“ตลกดี…” แน่ล่ะ ไม่อย่างนั้นผมจะถ่ายพี่มันไปทำไม

“ใช่ไหมล่ะ กูเห็นว่ามันตลกไง ถึงได้ถ่ายไว้ คิดเอาไว้ว่าจะส่งไปเย้ยพี่มันคืนนี้พอดี เฮ้ย!!” ไอ้ปาเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ มันวาดแขนมาดึงรั้งเอวของผมจนตัวผมปลิวขึ้นมานั่งซ้อนอยู่บนตักของมัน

“ทำไมอะไรของมึงเนี่ยปา!” ผมพยายามจะดิ้นลงจากตักของมันให้ได้ ส่วนมันก็กอดผมเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย อีกมือก็วุ่นวายกับการกดโทรศัพท์ของผม จนเมื่อเห็นว่ามือที่มันยื่นออกมากำลังอยู่ในหน้าต่างกล้อง ผมจึงได้หยุดดิ้นลง

“อยากถ่ายรูป ก็ต้องถ่ายกับแฟน ห้ามถ่ายคนอื่น” ริมฝีปากของมันร้อนมาก เมื่อมันมากระซิบอยู่ที่ลำคอของผม การสะท้อนภาพจากกล้องทำให้ผมเห็นได้เลยว่ามันกำลังซุกใบหน้าลงกับลำคอของผมทางด้านหลัง แต่สายตากลับเหลือบขึ้นมาจ้องตากับผมผ่านทางกล้องโทรศัพท์

แม่งโคตรน่าอายเลยจริงๆ นะ! มันกำลังทำให้หัวใจของผมเต้นแรงและทำงานหนักมาก

“กูอนุญาตให้โทรศัพท์ของมึงมีแค่รูปมึงกับกูเท่านั้น คนอื่นกูไม่อนุญาตให้มันสะเออะแทรกเข้ามา จำไว้ด้วยนะนก” ผมกลืนน้ำลายเมื่อดวงตาที่ส่งผ่านมาทางกล้องช่างร้อนแรงจนอุณหภูมิของห้องเริ่มสูงจนแทบจะเดือด มันหวิวๆ รู้สึกพลุ่งพล่านแปลกๆ แต่ก็ต้องระงับเอาไว้







50%



นก : ปา กูว่ารูปเราสองคนมีอะไรแปลกๆว่ะ

ปา : อะไรวะที่ว่าแปลก

นก :มีใครไม่รู้ติดมาในรูปด้วย ทั้งที่เราถ่ายกันสองคน

ปา : เฮ้ย จริงด้วย! ใครวะ ยืนยิ้มเหมือนใครเชิญมันมาเข้ากล้อง

แมว : เก๊าเองงงงงงง

นก / ปา : .... (ลบรูปโดยมิได้นัดหมาย)



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
ปานี่ก็หึงไม่เข้าเรื่อง ถ้านึกดีๆ ก็คงจะนึกออกว่าพี่หนูกับพี่อาร์ตจูบกันในบ้านร้างน่าจะพอเข้าใจนะ
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:

ออฟไลน์ llมว_น้oe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-4
“กูอนุญาตให้โทรศัพท์ของมึงมีแค่รูปมึงกับกูเท่านั้น คนอื่นกูไม่อนุญาตให้มันสะเออะแทรกเข้ามา จำไว้ด้วยนะนก” ผมกลืนน้ำลายเมื่อดวงตาที่ส่งผ่านมาทางกล้องช่างร้อนแรงจนอุณหภูมิของห้องเริ่มสูงจนแทบจะเดือด มันหวิวๆ รู้สึกพลุ่งพล่านแปลกๆ แต่ก็ต้องระงับเอาไว้

“มึง เอ่อ ปล่อยกูก่อนดีไหม” แต่มันกลับไม่ยอมปล่อย ยังคงยึดเอวของผมเอาไว้แน่น ก่อนที่มันจะวางคางของมันไว้บนไหล่ผม จนแก้มของเราสองคนแนบกัน

ผมหน้าร้อนผ่าว ไม่กล้ามองสบตากับมันในกล้องสักวินาทีเดียว กลัวว่าตัวเองจะอ่อนระทวยเพียงเพราะสัมผัสที่ใกล้ชิดและดวงตาหวานฉ่ำที่กำลังมองผมอยู่ ผมก้มลงมองพื้นด้วยความอาย รู้ได้เลยว่าแก้มของผมแดงขนาดไหน ทำไมผมรู้สึกว่านับวันผมยิ่งเหมือนสาวน้อยขึ้นทุกที เหมือนเด็กสาวที่กำลังมีรักผลิบาน แต่เดี๋ยวสิ! ผมเป็นผู้ชายต่างหาก มาองมาอายแบบนี้โคตรเสียงเชิงเลย ไม่ได้สิ! ผมต้องเงยหน้าขึ้นมองมัน

ใช่! ผมทำได้แน่! ก็แค่จ้องตาจะไปยากอะไร!

ตึกตัก ตึกตัก

อ๊าก!!! ยาก! มันยากมากด้วย! ผมสู้สายตามันไม่ได้ ไม่ได้จริงๆ น้าาาา

“ถ่ายรูปกันเถอะ” ผมเม้มปากหน้าแดงก่ำแต่ก็ยังคงพยักหน้าตอบรับคำชวนของมัน

ไอ้ปากยกกล้องขึ้นสูงจนเห็นใบหน้าของเราสองคน มันยิ้มอย่างมีความสุขส่วนผมยังคงเขินอยู่เลยได้แต่ปล่อยสายตาให้จ้องใบหน้าที่แนบอยู่กับแก้มของผมแทน แต่เพียงแค่มองได้ไม่ทันจะถึงนาที ไอ้ปาก็กดริมฝีปากลงกับแก้มของผมจนจมหายลงไป ผมเบิกตากว้างนั่งเอ๋ออยู่อย่างนั้นไม่กล้าขยับไปไหน ตัวแข็งทื่อไม่ต่างจากหิน ในขณะที่ไอ้ปากลับชอบใจจนได้ยินเสียงกดถ่ายหลายรูป

“กะ แก้มกูช้ำหมดแล้ว!” มันเป็นการโวยวายกลบเกลื่อน ไม่อย่างนั้นผมจะทำตัวไม่ถูก หรืออาจจะถึงขนาดที่ลืมวิธีหายใจไปเลยก็ได้ แต่ไอ้ปากลับหัวเราะในลำคออย่างอารมณ์ดี กระชับอ้อมกอดดึงผมเข้าไปใกล้มากกว่าเดิมเสียอีก

“ถ้างั้นเปลี่ยนที่ได้ไหม ขอเป็นตรงนี้แทน”

ตรงนี้ของมันที่ว่า ไอ้ปาใช้ปลายนิ้วลูบเบาๆ ที่ริมฝีปากผมเพื่อสื่อความหมายว่าตรงนี้คือตรงไหน ส่วนผมที่ตอนนี้กำลังเขินหนักเข้าไปอีกก็เริ่มทำอะไรไม่ถูก ในสมองมันไม่มีแม้แต่ความคิดใดๆ หลงเหลือ มันว่างเปล่าจนผมนึกว่าตัวเองโง่ไปแล้วจริงๆ ผมสบตามันครู่เดียวก่อนจะหลบตาลงมามองมือของมันที่ยังไม่ยอมหยุดไล้ริมฝีปากของผม มันลูบไล้ส่วนผม…เผลอเผยอริมฝีปากออกอย่างไม่รู้ตัว

แชะ!

“อื้อ…” ทันทีที่ริมฝีปากร้อนประกบลงมามอบจูบร้อนแรงให้ผมก็ได้ยินเสียงกดถ่ายภาพรัวๆ จนผมกลัวเหลือเกินว่าความจำมันจะเต็มไปเสียก่อน

จากที่ผมต้องพยายามหันหน้าไปรับจูบของมัน ในตอนนี้ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองหันหน้าเข้าหามันเมื่อไหร่ สภาพของผมตอนนี้อยู่ในท่าที่ดูไม่ดีนัก เพราะผมกำลังนั่งคร่อมตักของไอ้ปาอยู่ โดยที่มีมือของมันลูบไล้อยู่ที่เอวบางของผมไปมา มืออีกข้างของมันประคองใบหน้าของผมเอาไว้ให้รับจูบร้อนแรงได้อย่างถนัดถนี่ รสหวานถูกปลายลิ้นร้อนส่งเข้ามาให้ผมได้ลิ้มรสชาติ หยอกเย้าและล่อลวงให้ผมต้องหลงมัวเมาไปกับมัน ตวัดปลายลิ้นเกี่ยวกระหวัดตอบสนองความต้องการจนไอ้ปาครางแผ่วอยู่ในลำคอ

มือทั้งสองข้างของผมโอบรอบลำคอของไอ้ปา เผลอยกสะโพกขึ้นสูงเมื่อจูบที่ดูดดื่มนั้นเพิ่มความร้อนแรงยิ่งขึ้น ความเร่าร้อนและรสชาติหวานๆ ที่ติดปลายลิ้นก็ยิ่งเพิ่มทวีคูณขึ้นตาม มือหนาของไอ้ปาเลื่อนลงมายังสะโพกของผม ก่อนที่มันจะบีบและขยำมันอย่างเมามัน ผมที่กำลังถูกสูบวิญญาณและสติไปกับจูบที่ไอ้ปามอบให้ไม่อาจจะรู้เลยว่าในตอนนี้ตัวเองกำลังอยู่ในความเย้ายวนมากเพียงใด

“อา…” ผมและไอ้ปาผละออกจากกันอย่างอ้อยอิ่ง อาวรณ์ความหวานที่ได้ลิ้มลองอย่างแสนเสียดาย

“มึงหวาน…” ปลายนิ้วของไอ้ปาไล้ไปตามริมฝีปากของผมที่ฉ่ำวาวและแดงระเรื่อ แววตาร้อนแรงจับจ้องมันราวกับอยากจะกลืนกินมันเข้าไปอีกครั้ง ผมหลบสายตาพยายามจะลงไปนั่งที่โซฟาดีๆ เพราะท่าทางตอนนี้มันออกจะน่าอายเกินไป แต่มันไม่ยอมปล่อยผมลงกลับกอดผมแน่นยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

“ปา กูจะลงไปนั่งดีๆ ปล่อยกูก่อน” ไอ้ปายิ้ม แต่ไม่ยอมปล่อย

“นั่งแบบนี้ก็ได้”

“ไม่เอา…เดี๋ยวมึงหนัก” ผมพยายามให้เหตุผลแต่ไม่กล้าสบตา

“ไม่หนักหรอก ตัวมึงผอมนิดเดียว กูไม่หนักหรอกนก”

โอ๊ย! ทำไมพูดยากพูดเย็นแบบนี้ แล้วมือนั่นน่ะ ทำไมต้องเอาลงไปต่ำขนาดนั้น นั่นมัน…ก้นของผมนะ อ๊ากกกก

“ปา มือมึงน่ะ เอาออกไปเลยนะ!” ผมรีบใช้เสียงข่มทันทีที่เริ่มรับรู้ว่ามือของมันตอนนี้อยู่ตำแหน่งไหน

“ทำไมวะ ก็พอดีมือกูดีออกนี่” ไอ้ปามันพูดกลั้วหัวเราะ ถะ แถมมันยังบีบก้นผมเล่นอีกต่างหาก บ้าจริง!

“ไอ้ปา!!”

“ครับๆ ปล่อยแล้วครับคุณแฟน” มันยกมือขึ้นสองข้างอย่างยอมแพ้ ส่วนผมได้แต่เม้มปากหน้าแดงก่ำกับคำเรียกขานที่มันใช้เรียกผม ก่อนที่จะลงมานั่งบนโซฟาดีๆ แทน ไอ้ปาขยับเข้ามาใกล้ผม ส่วนผมก็นั่งอยู่เฉยๆ นั่นล่ะ ขยับหนีไปก็ใช่ว่าจะรอด ดีไม่ดีอาจถูกจับขึ้นไปนั่งบนตักมันอีกก็ได้ ผมไม่เสี่ยงดีกว่า

“มึงกูสิ รูปของเรา” ผมเหลือบมองหน้ามันที่ตอนนี้ยังคงจับจ้องไปที่รูปในโทรศัพท์อย่างพึงพอใจ ริมฝีปากยังคงติดรอยยิ้มยิ่งทำให้หน้าของมันดูหล่อขึ้นไปอีก ดวงตาของมันเป็นประกายจนใจผมเต้นแรง

ผมสบายใจมากนะที่ได้อยู่กับมันแบบนี้ ใช้เวลาแบบนี้แม้ว่ามันจะมีการเข้าใจผิดบ้าง มีการโกรธกันบ้างทะเลาะกันบ้าง แม้ไอ้ปาที่นิสัยเหมือนเด็ก ควบคุมอารมณ์ไม่ได้จะทำให้ผมปวดหัวอยู่บ้าง แต่ผมว่ามันก็มีความสุขดีอีกแบบหนึ่ง มันแตกต่างกับตอนที่เราเป็นเพื่อนกัน ผมว่าไอ้ปาเอาใจใส่ผม ผมแคร์ความรู้สึกผมมากขึ้น ซึ่ง…ผมรู้สึกดีนะครับ

เพราะมันหมายความว่าผมสำคัญมาก

“ถ่ายยังไงวะ กูไม่เห็นหล่อเลย” ผมยิ้มแซ็วเมื่อเห็นภาพที่ออกมามีแต่ไอ้ปาที่หล่อ ส่วนผมก็ยังหน้าตาเหมือนเด็กแถวบ้านทั่วไป รัศมีเทียบชั้นคุณชายอย่างมันไม่ได้จริงๆ

“ก็ดีแล้วนี่ ถ้าคนอื่นเห็นว่ามึงหล่อ กูก็มีคู่แข่งเยอะน่ะสิ” ผมส่ายหน้ากับความคิดของมัน นี่มันคิดได้ไงครับว่าจะมีคนมาแข่งกับมัน ผมก็แค่ไอ้นกที่บนหน้ามีแต่แว่น วันๆ ก็ทำงานงกๆ ไม่เคยดูแลตัวเอง ขี้งกก็เป็นที่หนึ่ง แบบนี้ใครเขาจะมาสนใจผมกัน

“คงไม่มีใครตาบอดมาชอบกูเหมือนมึงแล้วล่ะ”

“พูดแบบนี้มากูก็ไม่ได้สบายใจขึ้นหรอกนะ” ผมกลอกตาไปมากับคำตอบของมัน

“แล้วมึงจะให้กูทำไงวะ?” ไอ้ปามันยิ้ม ยื่นหน้าเข้ามากระซิบข้างหูด้วยเสียงที่แหบพร่าจนผมหน้าแดง

“ถ้างั้นคืนนี้ไปนอนกับกูนะ”

















เฮอะ! ใครบอกกันว่าผมจะไปนอนกับไอ้ปา ไม่มีทางอยู่แล้ว เมื่อคืนผมรีบกลับบ้านด้วยตัวเองไม่ต้องรอให้ไอ้ปาไปส่งอะไรหรอก เพราะขืนให้มันไปส่งผมมีหวังไปจบที่ห้องของมันแน่ๆ ยิ่งช่วงนี้เป็นแฟนกันใหม่ๆ ไอ้ปาก็เล่นแสดงความต้องการจนออกนอกหน้าแบบนั้น ผมคงไม่มีทางยอมกลับกันมันแน่ๆ ผมไม่ยังอยากเสียตัวหรอกนะครับ

แต่ก็ใช่ว่าจะหนีหน้ามันเสียเมื่อไหร่ ผมเองก็ส่งข้อความบอกมันก่อนอยู่แล้ว เหมือนที่มันเองก็ส่งข้อความบอกผมว่าฝันดีอยู่ทุกวัน ผมเองก็ทำแบบนั้นเหมือนกัน รู้สึกเหมือนหลับไปเป็นเด็กที่ต้องส่งข้อความหาแฟนสมัยที่ยังเรียนอยู่มัธยม

เมื่อคืนนี้ผมนอนยิ้มกับภาพที่อยู่ในโทรศัพท์ทั้งคืน ยิ่งดูก็ยิ่งเขิน แต่ถึงจะเขินผมก็ชอบอยู่ดี ผมจึงได้จัดการตั้งเป็นวอลล์เปเปอร์โทรศัพท์ตัวเอง แน่นอนครับว่าไม่ใช่รูปจูบหรอก มันต้องเป็นรูปที่ผมถูกมันกอดแล้วแก้มเราชิดกันอยู่แล้ว จะว่าไปผมเองก็ไม่ได้ขี้เหร่เท่าไหร่นะ ดูๆ ไปก็น่ารักดี ยิ่งอยู่ในอ้อมกอดของไอ้ปา มันก็ยิ่งทำให้ผมที่กำลังเหลือบมองมันแล้วหน้าแดงยิ่งดูน่ามองขึ้นไปอีก

กว่าจะข่มตานอนหลับไปได้ก็นานเอาการ ถึงขนาดลืมชาร์จแบตตัวเองแล้วหลับไปด้วยซ้ำ เพราะตอนที่ผมมีแฟน ตอนที่ผมคบกับหลินมันไม่ใช่แบบนี้ หลินไม่ชอบถ่ายรูปกับผม ไม่เคยอยากจะถ่ายด้วยซ้ำ

แต่ไอ้ปากลับเป็นคนเอ่ยปาก เป็นมันที่ถือกล้องแล้วถ่ายรูปของเราออกมา มันจึงทำให้ผมดีใจมากจนเก็บความดีใจเอาไว้แทบไม่ไหว หัวใจของผมยิ่งทำงานหนัก เผลอแค่แป๊บเดียวผมก็รักไอ้ปามากกว่าเดิมเสียแล้ว คนที่ไม่เคยมีใครมองเห็นตัวตน ดันเป็นคนที่ถูกรักขึ้นมาแบบนี้ ผมจึงวางตัวไม่ถูก ทำอะไรไม่ค่อยจะเป็นอย่างคนอื่นเขา

ผมคิดไปต่างๆ นานา หากว่าผมทำให้มันเป็นที่อับอายล่ะ ถ้าหากว่าการที่มันคบกับผมทำให้ชีวิตมันแย่ลงล่ะ มันดีจริงๆ น่ะหรือที่เราสองคนเป็นอยู่ในตอนนี้ สถานะแฟนที่มั่นคงและเป็นผมที่ไม่อาย แต่คนรอบข้างจะมองไอ้ปาแบบไหน จะรังเกียจเพราะมันคบกับผู้ชายด้วยกันอย่างผมหรือเปล่า ยิ่งผมเป็นแค่ไอ้นกที่ไม่มีอะไรดี ชีวิตนี้แค่จะปฏิเสธใครสักคนยังทำไม่ได้ มีอะไรดีที่ทำให้ไอ้ปามันภาคภูมิใจ เดินจับมือกับมันจะถูกคนมองเหยียดหยามไหม ผมจินตนาการไปต่างๆ นานา

ยิ่งคิดไปถึงวันข้างหน้า ถ้าหากวันนั้นไอ้ปาพบคนที่มันอยากจะอยู่ด้วย หากว่ามันรู้ตัวว่าไม่ได้รักผมจริงๆ เป็นแค่ความรู้สึกชั่ววูบที่เกิดขึ้นผมจะทำยังไง จะสามารถยืนยิ้มแล้วปล่อยมือจากมันไปได้หรือเปล่า จะสามารถใช้ชีวิตอยู่โดยที่ไม่มีมันได้หรือ แล้วถ้าหากว่าผมทำไม่ได้ล่ะ ถ้าผมเกิดชินที่มีมันอยู่เคียงข้าง ผมจะทำยังไงในวันที่ผมไม่มีมันแล้ว

ไม่ได้สิ! ผมจะมาคิดเองเออเองคนเดียวแบบนี้ได้ยังไงกัน ในเมื่อเรื่องมันยังมาไม่ถึงเสียหน่อย ใช่ว่าเหตุการณ์ที่ผมคิดไว้มันจะเป็นจริงเสมอไปเสียเมื่อไหร่ บางที…มันอาจจะไม่มีวันเกิดขึ้นก็ได้ ในเมื่อตอนนี้ทั้งผมและมันต่างก็มีความสุขที่ได้มีกันและกันอยู่ เราจะไปคิดมากถึงจุดที่ยังมาไม่ถึงทำไม

ผมส่ายหน้าสะบัดไล่ความคิดบ้าๆ ออกจากหัวไปให้หมด เดอนหน้าไปยังประตูใหญ่ที่เป็นห้องทำงานของประธานอย่างไอ้ปา และก็คือห้องทำงานของผม แต่ทำไมประตูถึงปิดไม่สนิทล่ะ หรือว่าไอ้ปาจะมาแล้ว อาจจะเป็นไปได้ ผมตั้งท่าว่าจะเคาะประตูแต่กลับต้องหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงพูดคุยลอดออกมาจากภายในห้อง

"ได้ยินว่ามึงคบกับนกแล้วเหรอวะ" เสียงชาย เสียงนี้ผมจำได้ดี แต่ชายมาทำอะไรที่นี่ล่ะ?

"ใช่..."

"หึ สักทีนะมึง เห็นตามมานาน กูยังคิดอยู่เลยว่าจะได้กินหรือเปล่า"

ผมเหรอ? พวกเขากำลังพูดถึงผมใช่ไหม ผมแอบเสียมารยาทแอบลอบมองเข้าไปที่ช่องว่างของประตู เห็นไอ้ปานั่งอยู่ที่เก้าอี้ประจำตำแหน่งของมัน ส่วนชายกำลังพิงตู้ที่ข้างผนังด้วยท่าทางสบายๆ สีหน้าของชายเหยียดยิ้มออกมาอย่างล้อเลียน ส่วนไอ้ปา…รอยยิ้มของมันทำให้ผมตีความหมายไม่ออกจริงๆ

"ระดับกู...ไม่มีพลาดหรอก มึงก็รู้ดี"

"เออ...กูรู้" ชายเดินมานั่งที่เก้าอี้แล้วทิ้งตัวลง สองมือกอดอกเอาไว้แต่ใบหน้ากลับจับจ้องไปที่ไอ้ปาอย่างไม่วางตา ไอ้ปาเองก็เช่นกัน มันไม่มีท่าทีทุกข์ร้อนอะไร กลับสบายๆ เสียมากกว่าที่ถูกมองแบบนั้น

"แล้วนี่มึงจะทำไงต่อ? "

"เรื่องอะไรล่ะ"

"เรื่องน้องเบญของมึงไง มึงจะไม่บอกไอ้นกเหรอ"

บอกเหรอ? บอกอะไรผมล่ะ? ยังมีเรื่องปิดบังผมอีกงั้นเหรอ…

"บอกทำไม..." น้ำเสียงของไอ้ปาดูไม่แยแสสักนิด สีหน้าเรียบเฉยราวกับว่ามันไม่สำคัญอะไรเลย

"ก็น้องเบญเป็นคู่หมั้นมึง มึงทำแบบนี้ถ้าไอ้นกรู้มันจะเสียใจนะโว้ย" คะ คู่หมั้น! น้องเบญคือคู่หมั้นของไอ้ปาเหรอ ทำไมล่ะ ทำไมมันถึงไม่ยอมบอกผมเรื่องนี้

"หึ...ก็แค่อย่าให้รู้ก่อนมันก็จบไหม" แค่อย่าให้รู้ ทำไมมันพูดเหมือนกับว่าการปกปิดความจริงกับผมเอาไว้มันง่ายดาย เหมือนกับว่าผมโง่เหลือเกิน

"แล้วอีกนานแค่ไหนมึงถึงจะจบเรื่องนี้วะ"

"ไม่นานหรอก กูกำลังจะจบแล้วล่ะ มึงไม่ต้องห่วง"

ผมอดทนฟังต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว ผมรู้สึกเหมือนร่างกายกำลังไร้เรี่ยวแรงลงไปเรื่อยๆ รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะล้มลงไปนั่งกับพื้น อยากร้องไห้เหลือเกินแต่ผมก็ไม่สามารถปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาประจานความโง่งมของผมได้ ผมต้องเก็บมันเอาไว้ กล้ำกลืนฝืนมันไม่ให้ไหลออกมาในตอนนี้ ผมเหมือนคนโง่ที่เพิ่งหูตาสว่าง คำพูดและสีหน้าของไอ้ปามันเต็มไปด้วยความเฉยชา ชัดเจนแล้วว่ามันแค่แกล้งผมก็เท่านั้น

ผมก็แค่ของเล่นของมัน ไม่ใช่คนรักอย่างที่ผมคิดว่าเราเป็น

ขาทั้งสองข้างสั่นจนแทบจะยืนไม่อยู่ สองมือไร้ซึ่งเรี่ยวแรงจะยึดเกาะอะไรไว้พยุงร่างกายแล้วในตอนนี้ ผมเพียงแค่ก้าวออกไป ก้าวออกไปจากตรงนั้น ก้าวออกไปเรื่อยๆ จนผมมาถึงฝ่ายบุคคลเมื่อไหร่ก็ไม่อาจรู้ได้

เพราะวันนี้ผมมาเช้าเกินไป ทุกคนถึงได้ยังมากันไม่ครบ ผมพยายามสูดลมหายใจแล้วเดินก้าวไปหาร่างท้วมของคนที่ผมไม่สนิทใดๆ และเขาเองก็ไม่ได้รู้จักผมเป็นการส่วนตัว ซึ่งแบบนี้ดีแล้วครับ สิ่งที่ผมจะทำจะได้ไม่เป็นที่สงสัยจนไปถึงหูไอ้ปา

ผมกำมือที่สั่นระริกเอาไว้แน่น ต้องห้ามตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าอย่าร้องไห้ ทั้งที่ก้อนสะอื้นตีตื้นขึ้นมาจนจุกลำคอ แต่ผมก็จำต้องกลืนมันลงไป แม้ว่านั่นจะเป็นความเสียใจที่ถาโถมมา ผมก็จะต้องกักเก็บมันเอาไว้ไม่ให้ออกมา ผมยิ้มให้เขาอย่างปกติ พยายามควบคุมน้ำเสียงไม่ให้มันสั่นจนสังเกตเห็น

“พี่เป้ครับ พอดีไอ้ปา เอ่อ ผมหมายถึงท่านประธานให้ผมมาเอาใบลาออกจากพี่หนึ่งใบครับ” พี่เป้มองหน้าผมอย่างฉงนใจ ซึ่งมันก็ไม่แปลกเลยที่เขาจะติดใจสงสัยในคำพูดผม

“คุณปรมะเหรอ แล้วคุณปรมะจะเอาใบลาออกนี่ไปทำไมกันล่ะ?” ผมหยุดชะงัก รอยยิ้มที่มีแข็งค้างไปหลายวินาที ผมลืมไป ผมลืมไปว่าการที่ประธานมาขอใบลาออกมันจะดูแปลกๆ ใช่ มันแปลกจริงๆ นั่นล่ะ

ทำไงดีล่ะ แบบนี้มีหวังเรื่องถึงหูไอ้ปาอย่างแน่นอน

ไม่ได้นะ! ไอ้ปาจะรู้เรื่องนี้ไม่ได้

“เอ่อ อันนี้ผมไม่รู้นะพี่เป้ พี่เป้คงต้องถามไอ้ปาเองแล้วล่ะครับ” อย่าสั่นสิ ต้องพยายามทำให้พี่เป้เห็นว่าผมไม่มีอาการผิดปกติใดๆ อย่างน้อยพี่เป้ก็คงไม่กล้าพอจะไปเอ่ยถามกับประธานอย่างไอ้ปาเองหรอก

และดูเหมือนผมจะคิดถูก พี่เป้แม้จะติดใจสงสัยแต่ก็ยินยอมยื่นใบลาออกมาให้ผมแต่โดยดี ผมขอบคุณพี่เป้ด้วยรอยยิ้มที่ปกติที่สุด ก่อนจะเดินออกมาอย่างช้าๆ ไม่เร็วจนผิดสังเกต เมื่อพ้นจากสายตาของพี่เป้แล้ว ผมจึงเอากระดาษแผ่นนั้นใส่ลงไปในกระเป๋าตัวเองโดยไม่ลืมที่จะพับมันเอาไว้ อย่างไรก็ต้องทำ จะอยู่ต่อไปเพื่ออะไร ในเมื่อทุกสิ่งเป็นแค่ภาพลวงตา เมื่อถึงเวลามันก็จะจางหายไป

ความรักที่ผมมีให้ไอ้ปาเป็นของจริง เพียงแต่ความรักที่ผมคิดว่าได้มาครอบครองนั้นเป็นเพียงลมที่พัดไปมา เป็นแค่อากาศเพียงน้อยนิดที่ช่วยต่อลมหายใจให้ผมได้ยืนยาวขึ้นเท่านั้น

ผมพาตัวเองกลับมาที่ห้องทำงานของไอ้ปาอีกครั้ง ครั้งนี้ผมไม่ได้ยินเสียงไอ้ชายอีกแล้ว ประตูที่เปิดแง้มเอาไว้ก็ปิดสนิท และพี่ฝ้ายเองก็มาถึงแล้วด้วยเช่นกัน ผมเก็บความร้าวรานในแววตา ลบมันให้หายไปทันทีที่พี่ฝ้ายหันหน้ามาหาผมแล้วยิ้มให้

“พี่ฝ้ายสวัสดีครับ มาแต่เช้าเลยนะครับพี่”

“จ้า ต้องรีบมาเคลียร์งานที่ค้างอยู่ ว่าแต่นกเถอะ เพิ่งมาเหรอ” ลมหายใจของผมสะดุดลง ก่อนจะมองสบตากับพี่ฝ้ายเพื่อค้นหาความผิดปกติจากดวงตาคู่สวยคู่นั้น แต่เมื่อไม่พบอะไรผมจึงยังคงยิ้มตอบออกไปเช่นเดิม

“ครับพี่ พอดีเมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับน่ะครับ เลยตื่นสายไปหน่อย”

“เป็นอะไรมากไหม เอากาแฟไหมคะพี่จะไปชงให้” ผมยิ้มบางๆ แล้วส่ายหน้าปฏิเสธ ในตอนนี้ทั้งกระเพาะ ทั้งลำคอของผมมันไม่รับอาหารอะไรเลยสักอย่าง เพราะมันกินความเสียใจจนเต็มท้องไปหมด ยังไม่ได้นับการระบายออกมาถึงได้อึดอัดขนาดนี้

ถ้าหาก…ถ้าหากไม่ติดว่าผมจะวางใบลาออกไว้ในวันนี้ ผมคงเลือกที่จะกลับบ้านไปแล้ว

“ถ้างั้นเข้าไปข้างในเถอะค่ะ น้องปามานานแล้วคงรอน้องนกอยู่” ผมพยักหน้าแล้วยิ้มให้พี่ฝ้ายก่อนจะเดินเข้าไปอย่างที่พี่ฝ้ายบอก

เพียงแค่เอื้อมมือไปจับประตู มือของผมก็สั่นจนแทบจะคุมเอาไว้ไม่อยู่ ผมต้องใช้มืออีกข้างกุมมันเอาไว้ ทำทีท่าว่ากำลังออกแรงผลักประตูให้เปิดออกเพื่อไม่ให้ดูผิดปกติ

ไอ้ปาเงยหน้าขึ้นจากเอกสารที่กำลังอ่าน มันเห็นว่าผมเดินเข้าไปหามันก็ยิ้มออกมาอย่างดีใจ แต่ผมกลับยิ่งเจ็บ…ทุกครั้งที่ต้องมองหน้าของมัน มองรอยยิ้มหวานที่มันส่งมาให้ ทั้งที่ผมรู้ความจริงแล้วแต่กลับไม่สามารถพูดอะไรได้ ผมต้องฝืนความรู้สึก เก็บน้ำตาให้อยู่ลึกลงไปจนยากจะออกมา ก่อนจะยิ้มออกไปให้มันเหมือนทุกๆ วันที่ผมมาทำงาน

เหมือนทุกวัน แต่ก็ไม่เหมือนอีกแล้วเช่นกัน

“ทำไมวันนี้มาช้าจัง มีอะไรหรือเปล่า?” สีหน้าและแววตาสื่อความห่วงใยออกมาได้ดีจนผมเกือบจะหลงเชื่ออีกแล้ว แต่เมื่อนึกถึงคำพูดของมัน ผมก็เชื่อไม่ลงว่าสิ่งที่มันทำอยู่กับผมในตอนนี้คือความจริงใจ

ผม…ทำใจเชื่อมันไม่ลง

“เปล่าหรอก เมื่อคืนแค่ไม่ได้นอน เลยตื่นสายน่ะ” ไอ้ปาเดินมาหาผม ใช้มือจับไปตามหน้าผากและลำคอ คล้ายกับตรวจหาอุณหภูมิร่างกายของผมว่าผิดปกติหรือเปล่า ผมปล่อยให้มันทำ ปล่อยให้ความอบอุ่นจากร่างกายของมันถ่ายเทมาที่ผม

ผมเป็นคนโลภ จึงได้หวังว่าก่อนที่ผมจะไป อยากจะขอกักเก็บทุกอย่างของมันเอาไว้ในใจ ให้ร่างกายได้จดจำว่าคนตรงหน้าคือคนที่ผมรักมากขนาดไหน เป็นคนที่ทำให้ผมต้องเจ็บมากเช่นกัน ผมอยากจะจดจำมันเอาไว้ ก่อนที่ทุกอย่างจะกลายเป็นเพียงความฝันหนึ่งคืน ความฝันที่ผมหลงละเมอเพ้อพก...ว่ามันคือความจริง

“ตัวก็ไม่ร้อนนี่ แล้วมึงเป็นอะไรล่ะถึงไม่ได้นอน”

“นั่นสิ คงเพราะกู…กลัวความฝันล่ะมั้ง” ไอ้ปาขมวดคิ้ว มองหน้าผมที่ยิ้มออกมาอย่างไม่เข้าใจ

“กลัวความฝัน ทำไมต้องกลัวด้วยวะ มันเป็นฝันร้ายเหรอ” ไม่เลยปา มันไม่ใช่ฝันร้าย ผมได้แต่ส่ายหน้าปฏิเสธออกไป

“เปล่า…มันเป็นฝันดี ฝันที่ดีมากๆ” ฝันดีจนกูไม่อยากจะตื่นขึ้นมาเชียวล่ะ มึงรู้ไหม

“เอ้า ก็ถ้ามันเป็นฝันดีแล้วมึงจะกลัวมันทำไมวะนก” มึงคงไม่เข้าใจหรอกปา คนที่สร้างฝันอย่างมึง ไม่มีทางเข้าใจคนที่ต้องอยู่ในความฝันนั้นหรอก

“เพราะเป็นฝันดีน่ะสิถึงน่ากลัว มึงรู้ไหมว่าความฝันที่น่ากลัวจริงๆ แล้วไม่ใช่ฝันร้ายหรอกนะ แต่เป็นฝันดีต่างหาก”

“คือยังไงวะ กูฟังแล้วไม่เข้าใจเลย” ไอ้ปาถามอย่างอารมณ์ดี น้ำเสียงที่ใช้ถามยังเต็มไปด้วยความขบขัน

“เพราะฝันร้าย…เราก็แค่ตื่นขึ้นมามันก็จบจริงไหม”

ไอ้ปาพยักหน้า มันรอฟังคำพูดของผมอย่างตั้งใจ ดวงตาของมันจับจ้องผมอย่างไม่ละสายตา ทุกอย่างที่ทำล้วนแสดงออกว่าผมสำคัญ ถ้าหากว่ามันจริงนะ

“แต่สำหรับฝันดี…ต่อให้ถึงเวลาที่จะตื่น เราก็ไม่ยอมที่จะตื่นหรอก และบางครั้งฝันดีนั้นอาจจะทำให้เรา…ไม่อยากจะตื่นขึ้นมาเจอความจริงเลยก็ได้ มึงคิดเหมือนกูไหมล่ะ” ไอ้ปาหัวเราะออกมาในที่สุด เสียงหัวเราะของมันก้องไปทั้งห้อง มือหนาของมันวางลงบนศีรษะของผมแล้วโยกไปมาอย่างที่เคยทำ

ความเคยชินนี่น่ากลัวจริงๆ ผมเกือบจะยิ้มและหลงใหลไปกับมันอีกรอบเสียแล้วสิ อันตรายเหลือเกิน ความฝันตรงหน้าของผมตอนนี้

“มึงคิดมากไปแล้วนก ความฝันสำหรับกูนะ จะดีจะร้ายกูก็จะตื่นขึ้นมาอยู่ดี เพราะมันเป็นแค่ฝัน มันไม่ใช่สิ่งที่กูต้องการจริงๆ”

นั่นสินะ เพราะคนสร้างฝันอย่างมึงไม่มีทางจมไปกับความฝันนั้นอย่างแน่นอน

คนที่จะจมลงไปกับความฝันที่บางคนสร้างขึ้นมันคือคนที่เป็นเหยื่อ คือคนที่อ่อนแอและโง่กว่ายังไงล่ะ ผมนี่ไงหลักฐานสำคัญที่จะยืนยันได้ เพราะถ้าหากผมฉลาดสักนิด ผมคงไม่เลือกที่จะกลับมายืนข้างมัน ผมคงเลือกที่จะหันหลังแล้วเดินออกไปตั้งแต่ครั้งนั้น ครั้งที่ผมยังไม่ยอมรับว่ารักมัน ครั้งที่หัวใจของผมยังไม่บอบช้ำถึงขนาดนี้ แต่ครั้งนี้…เพราะผมมั่นใจในตัวเองมากเกินไป ผมถึงได้ถูกความฝันที่แสนสวยดูดกลืนเข้าไปจนไม่อยากจะตื่นขึ้นมาพบความจริง

แต่สุดท้าย…ผมก็หนีความจริงไม่พ้น สุดท้ายผมก็ต้องลืมตาตื่นขึ้นมา ไม่ใช่เอาแต่หลับตาแล้วฝันต่อไป

ใช่แล้วปา…ความฝันที่แสนสวยงามที่มึงสร้างให้กู มันน่ากลัวจริงๆ มันดีจนกูไม่อยากจะตื่นเลยล่ะ ถ้าหากเป็นไปได้ กูอยากจะหลับตาแล้วฝันต่อไป ไม่ต้องตื่นขึ้นมาเจอความโหดร้าย ไม่อยากตื่นขึ้นมาพบว่าทุกอย่างเป็นเพียงแค่สิ่งที่มึงสร้างขึ้นมา เป็นแค่ภาพมายาที่ไม่มีจริง กูไม่อยากตื่นขึ้นมาจริงๆ นะปา ถ้าเป็นไปได้…กูไม่อยากตื่นขึ้นมาเลย





TBC





วิ่งหลบบรรดาหม้อไหและรองเท้าทั้งหลายแหล่ ดราม่ายังไม่หมดอีกเหรอ!!!!! บอกเลยค่ะว่า ยัง!!! ฮ่าๆ แต่จะหมดแล้วจริงๆจ้า อดทนกับนังปาและน้องน้องกันหน่อยนะคะ อย่าเพิ่งเทน้องนกเพราะความซื่อ ความโง่ ความกะล่องก๊องที่เหมือนในหัวมีแต่ขี้เลิ่อยของนางเลยค่ะ อยู่กับแมวจนถึงบทสุดท้ายเถอะนะคะ เรื่องนี้มันคอมเมดี้จริงจริ้งงงง แมวไม่ได้โกหกเล๊ยยยยย

ปากินนก

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
เราเห็นใจนกนะ เพราะการได้เชื่อใจใครสักคนแล้วย่อมเทหมดใจ
พอรู้ว่า เขาไม่ได้บอกหมด ซึ่งก็ไม่ใช่ความผิดของปา ซึ่งปาคงแก้ไขเอง
แต่นก ก็คิดมากไปแล้ว ความน้อยใจเข้ามาบดบังเหตุผลทั้งหมด
ก็นะ สู้ๆ ทุกคน
 :ruready :เฮ้อ: :เฮ้อ:

ออฟไลน์ Funnycoco

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 252
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
มาเจอคำพูดอน่างนี้ก็จุกเหมือนกัน ถึงนกจะเขาใจผิดไป แต่คำพูดปาทำร้ายมาก

ออฟไลน์ llมว_น้oe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-4
[12]

ตอนที่ 12.

 นกที่บาดเจ็บ 
[/b]

ผมเตรียมตัวกับตัวเองเอาไว้ เพราะผมต้องวางแผนครั้งใหญ่เพื่อจะอยู่รอดให้ได้ ไอ้ปาคือผู้ชายที่ผมรัก แต่ก็นั่นล่ะ ในเมื่อมันไม่ได้รักผม ผมจะไปทำอะไรได้นอกจากจะยอมรับความจริง ผมไม่คิดจะถามหรอกครับ ไม่คิดจะถามความจริงกับมัน ไม่คิดจะรอฟังคำตอบที่มันอาจจะทำให้ผมหมดแรงแม้แต่จะหายใจแม้แต่น้อย

ยอมรับว่าขี้ขลาด มันชัดเจนอยู่แล้วนี่ครับว่าผมกลัว

ผมไม่ใช่คนเข้มแข็ง ไม่ใช่คนที่จะยืนหยัดขึ้นมาได้ถ้าหากว่าเจ็บ สำหรับความเจ็บปวดที่ตอนนี้มีอยู่เต็มหัวใจจนแทบกระอักเลือด มันไม่สามารถทำให้ผมยืนขึ้นมาได้หรอก มันไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น ผมเหนื่อยนะ ท้อมากด้วย บางทีผมก็แอบคิดว่าตัวเองอาจจะถูกสาปให้กลายเป็นคนที่ไม่มีทางสมหวังในความรัก

ผมอาจจะเป็นนกเหมือนชื่อของผมก็ได้

เพราะเป็นอิสระ ถึงไม่เคยผูกพันกับใครได้นาน

ผมได้แต่ยิ้มเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ พ่อผมบอกว่าอยากให้ผมมีอิสระ ไร้สิ่งใดมากีดกันจากความเป็นอิสระของผม แต่พ่ออาจจะไม่รู้เลยว่า อิสระที่ผมแสนจะโหยหา แต่มันช่างโดดเดี่ยวและหนาวเหน็บเหลือเกิน

อา…ต้องเป็นโสดอีกแล้ว

ผมหัวเราะเยาะเย้ยตัวเองเบาๆ คนอื่นอาจจะมองว่าผมบ้า แต่ผมเปล่าเลย ผมแค่สมเพชตัวเองเท่านั้นที่ดันหลงใหลไปกับความฝันบ้าบอ หลงคิดว่าตัวเองมีดีมากพอให้ยืนเคียงข้าง

ปา…ก็เหมือนฝูงปลาในสายน้ำ ที่จะแหวกว่ายไปตามลำน้ำใหญ่น้อยอย่างสนุกสนาน

ส่วนผมมันก็แค่นก ที่ต้องบอกไปมา ระหว่างเราสองคนมันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

แล้วผมคิดได้ยังไงกันนะว่าจะสามารถก้าวเข้าไปอยู่ในโลกของมันได้ ในเมื่อเราสองคนต่างเหมือนอยู่กันคนละโลก เป็นเหมือนฟ้าที่สูงและกว้างใหญ่กับเหวลึกที่ต่ำเตี้ย ไม่มีคำว่าคู่ควร ไม่ควรที่จะหวังเอาไว้สูงขนาดนั้น เพราะแบบนี้ไงล่ะ เพราะแบบนี้ผมถึงเจ็บมาก เพราะยิ่งคาดหวังและเพ้อฝันไปสูงแค่ไหน เวลาที่ผิดหวังก็มักจะเจ็บมากเท่านั้นเช่นกัน

“นก…มีอะไรหรือเปล่า” อาจจะเพราะผมเผลอปล่อยให้ความเศร้าครอบงำ สีหน้าและแววตาคงเผลอแสดงออกมาให้ไอ้ปาได้เห็น มันถึงได้ถามผมแบบนั้น ผมหันไปมองแล้วเก็บกักความรู้สึกเอาไว้ ให้มันได้เห็นเพียงแค่ว่าผมไม่ได้เป็นอะไร

“กูเหรอ? ไม่นี่ เป็นอะไรวะ?” ผมพูดกลั้วหัวเราะให้มันรู้สึกผ่อนคลาย แต่การฝืนหัวเราะแห้งออกมาบางทีมันก็เหมือนการบังคับตัวเองให้แสดงความเข้มแข็งออกมา ซึ่งผมไม่ได้มีมันเลยสักนิดเดียว

อย่าอ่อนแอนะ ยังไม่ใช่ตอนนี้

ไอ้ปาถอนหายใจแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจผมมากมายนัก ผมยิ้มขืน รู้สึกเจ็บจนแทบจะตาย มันชัดเจนแล้วนี่ว่าผมไม่ได้สำคัญ ไอ้ปาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าผมผิดปกติ ว่าผมกำลังทรมานแค่ไหน เพราะมันไม่ได้สนใจจะมองผมตั้งแต่แรก ผมเป็นแค่คนธรรมดา มีอะไรไปต้องใจท่านประธานที่แสนหล่อเหลา คนที่เป็นที่ถูกใจใครต่อใคร ต่อให้ไม่ใช่ผม…ก็คงมีคนอีกมากมายที่พร้อมจะเข้ามาหามัน

แล้วผมเป็นใครล่ะ พิเศษกว่าคนพวกนั้นตรงไหน?

ไม่มีเลยด้วยซ้ำ หน้าตาธรรมดาบ้านไม่ได้ร่ำรวย แถมผมยังขี้งกแบบนี้อีกใครที่ไหนเขาจะมาสนใจ อยากหัวเราะตัวเองที่โง่ ไม่เคยใช้สมองคิดให้ดีๆ ว่าคำว่ารักที่มันพูดออกมามันมีความจริงอยู่มากแค่ไหน ถ้าผมคิดสักนิด เจียมตัวอีกสักหน่อยก็คงไม่ต้องมาทรมานหัวใจตัวเองแบบนี้ ผมหลบสายตาลงมองซองขาวในมือ มันสั่นเพราะผมกำลังจะสกัดกั้นความอ่อนแอเอาไว้ไม่ไหว อยากไปให้พ้นจากที่นี่ อยากจะไปในที่ที่มองไม่เห็นมันอีก เพราะบางทีผมอาจจะทำใจขึ้นมาได้บ้าง

ผมไม่รู้ว่าตัวเองนั่งเหม่อแบบนั้นอยู่นานแค่ไหน แต่คงนานมากเพราะภายนอกที่เคยสว่างในตอนนี้เริ่มเป็นสีส้มที่บ่งบอกช่วงเวลาได้อย่างดี ผมรู้สึกตัวขึ้นมาก็ในตอนที่ไอ้ปามันกำลังลุกขึ้นจากเก้าอี้ ผมถึงได้สะดุ้งและรีบซ่อนซองสีขาวในมือตัวเองไว้ในลิ้นชัก ยังไม่ถึงเวลาที่จะให้มันได้เห็น ตอนนี้มันเป็นเพียงช่วงเวลาที่ควรตักตวงให้ได้มากที่สุด กักเก็บความสุขที่แสนปวดร้าวเอาไว้ ก่อนที่ผม…จะเลือกเดินจากมันไป ก่อนที่เราจะไม่ได้เจอกันอีก

“กลับกันเถอะ เลิกงานแล้ว” มันยิ้มให้ผม มองผมด้วยสายตาที่แสนรักใคร่

อา…เจ็บชะมัดเลย เพราะผมรู้ว่ามันไม่ใช่ของจริง

เพราะผมรู้…ผมถึงได้เจ็บจนเจียนตาย

“มึงเสร็จงานแล้วเหรอ?” อย่าเพิ่งนะ อย่าเพิ่งอ่อนแอเลยนะ…

“ใช่ ไปกันเถอะ กูหิวแล้วด้วยสิ” ผมพยักหน้าก่อนจะหยิบเอากระเป๋ามาถือไว้ ในตอนที่ไอ้ปาหันหลังเดิน ช่วงเวลาที่มันหันหลังให้ผม ผมก็เอาซองสีขาวที่เตรียมเอาไว้ออกมาวางไว้บนโต๊ะตัวเอง หวังไว้ว่าพรุ่งนี้…มันจะเห็น

รู้ว่าระเบียบของบริษัทจะต้องบอกกล่าวล่วงหน้า แต่ผมไม่คิดจะกลับมาอีกแล้ว คงไม่ต้องทำตามระเบียบอะไร เงินเดือนที่มีเหลืออยู่ในกระเป๋าตอนนี้ก็เพียงพอให้ผมใช้จ่ายได้ ผมทอดสายตามองรอบห้องเพื่อจดจำเอาไว้ว่าครั้งหนึ่งผมเคยถูกใส่ใจจนได้เข้ามาอยู่ในห้องนี้ เคยได้รับความรักที่แม้มันจะเป็นเพียงของปลอมแต่ผมก็มีความสุขกับมันมาก มากจนผมเองก็ไม่อยากจะเสียมันไป แต่ผมเลือกอะไรไม่ได้ ผมทำได้เพียงแค่ยอมรับมันแล้วเดินออกมา ปล่อยให้โชคชะตานำทางผมไป

ผมเดินตามไอ้ปาออกไป เราแวะพูดคุยกับพี่ฝ้ายอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ผมและไอ้ปาจะขอตัวออกมา พี่ฝ้ายก็ยิ้มแล้วโบกมือลาให้เราสองคน ผมเองก็ยกมือขึ้นโบกกลับไปเช่นกัน เพราะอย่างน้อยตอนนี้ยังมีเวลาบอกลา หากถึงเวลาพรุ่งนี้ ผมคงไม่มีเวลาบอกลาพี่ฝ้ายอีกแล้ว ไม่แน่ว่าผมเองก็อาจจะไม่ได้เจอพี่ฝ้ายอีกแล้วเช่นกัน

ผมพยายามยืนให้ไร้ตัวตนที่สุด ผมจำสายตาของทุกคนได้ดีเมื่อครั้งที่ผมได้ถูกเสนอชื่อมันเป็นสายตาที่ร่วมยินดีผสมไปด้วยความอิจฉา แต่ในวันที่ได้รู้ว่าไม่ใช่ผมที่ได้รับตำแหน่งนั้น มันต่างกันราวฟ้ากับเหว สายตาทุกคนมันคล้ายคนเยาะเย้ย ถากถางแม้จะไม่ได้พูดออกมาแต่ผมก็สามารถอ่านมันได้จากสีหน้าของพวกเขา ใครจะไปรู้…บางทีผมอาจจะถูกนินทาลับหลังไปแล้วก็ได้ และครั้งนี้ผมเองก็ไม่อยากจะถูกหัวเราะเยาะหรือสมน้ำหน้าหรอกนะ

ผมขยับตัวเองให้ยืนชิดผนังลิฟต์ให้มากที่สุด ปล่อยให้พื้นที่ส่วนใหญ่ถูกสาวๆ และคนอื่นๆ ยึดครอง ผมไม่มีเรี่ยวแรงและกำลังใจจากที่ไหนไปแย่งชิงกับพวกเขาหรอก ผมตอนนี้กำลังบาดเจ็บหนักจนเรียกได้ว่าใกล้จะตาย เสียงพูดคุยเอ่ยทักทายกับไอ้ปาดังขึ้นมาตลอด ผมเพียงแค่ไม่คิดจะสนใจ เพียงแค่ปล่อยสายตาตัวเองให้โฟกัสไปกับตัวเลขที่ระบุชั้นเท่านั้น ใครอยากจะทำอะไรก็ปล่อยเขาไป ผมไม่ใช่เจ้าของไอ้ปา ไม่ใช่คนที่มีสิทธิ์ไปหวงหรือหึงมัน ไม่สามารถเป็นอะไรได้เลยนอกจาก…เพื่อนคนหนึ่ง

หรือบางที…เราอาจจะไม่เคยเป็นเพื่อนกันเลย

นั่นสินะ ไอ้ปาก็เคยบอกผมว่ามันไม่เคยคิดว่าผมเป็นเพื่อนของมันมาตั้งแต่แรก

เจ็บชะมัด เจ็บจนแทบจะตายลงไปให้มันรู้แล้วรู้รอด

แต่อยู่ๆ มือของผมก็รู้สึกได้ถึงไอร้อนจนต้องหันไปมอง ไอ้ปามันกุมมือผมเอาไว้แน่น กระชับราวกับไม่อยากจะปล่อย แผ่ความร้อนจากฝ่ามือมันมาให้ผมจนหัวตาร้อนผ่าว ทั้งๆ ที่ใบหน้ายังคงยิ้มแย้มพูดคุยกับคนอื่นๆ อยู่เหมือนเมื่อกี้ แต่ฝ่ามือกลับกุมมือของผมเอาไว้อย่างหวงแหน มันจะรู้ไหมว่ายิ่งทำแบบนี้ผมยิ่งเจ็บ มันยิ่งทำให้ผมตัดใจไม่ได้ ทั้งๆ ที่มือเรากุมกันอยู่แต่สายตาของมันและรอยยิ้มกลับมอบให้คนอื่น ผม…เป็นอะไรสำหรับมันกันแน่ ทำไมต้องทำให้ผมสับสนแบบนี้ ผมไม่เข้าใจ

เมื่อประตูลิฟต์เปิดออก พวกพนักงานคนอื่นๆ ก็ออกไปกันหมดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มโดยไม่เห็นหัวผมเหมือนเคย ไอ้ปาจูงมือของผมเดินออกจากลิฟต์อย่างไม่รีบร้อน มันเป็นคนเดินนำหน้า ส่วนผมเดินตามหลังมันโดยมีมือของเราสองคนที่เชื่อมกันอยู่ แผ่นหลังของคนที่ผมรัก มันกว้างและดูอบอุ่นมาก ไม่เคยอยากนึกอิจฉาคนที่จะได้ครอบครองหัวใจของมัน แต่ในตอนนี้ที่ผมยอมรับทั้งหัวใจแล้วว่ารักมัน ผมก็อิจฉาทุกอย่าง อิจฉาคนที่ได้รับรอยยิ้มจากมัน อิจฉาคนที่ได้พูดคุยกับมัน อิจฉาคนที่อยู่ในสายตามัน และอิจฉาผู้หญิงคนนั้นที่กำลังจะได้เป็นเจ้าของมัน

รสชาติความรักที่ผมเคยได้รู้มันหอมหวานและน่าลิ้มลอง หากได้กัดกินมันสักครั้งจะไม่สามารถหยุดวิ่งตามหารสชาตินี้ไปได้อีก แต่รสชาติความรักของผมมันกลับขมปร่าผสมกับรสชาติหวานๆ ที่คล้ายยาพิษ ผลไม้ที่ชื่อว่าความรักมันกำลังค่อยๆ ฆ่าผมอย่างช้าๆ ไม่น่าเชื่อเลยว่าคนอย่างผมจะเจ็บหนักเพราะความรักครั้งนี้ ไม่ใช่ความรักที่เคยได้จากหลิน มันต่างกันมาก มากเสียจนผมไม่สามารถอธิบายได้เลยว่ามันต่างกันอย่างไร เพียงแต่ความเจ็บปวดที่ผมได้รับจากไอ้ปากลับมากกว่าที่ได้จากหลินเสียอีก

“อยากไปกินที่ไหนหรือเปล่านก” ผมละสายตาจากถนนหันมามองไอ้ปาที่เอ่ยถามทั้งที่ยังคงจดจ่อสมาธิอยู่กับท้องถนน

“ที่ไหนก็ได้ มึงเลือกเถอะ เอาแถวๆ นี้ก็ได้นะ จะได้ไม่ต้องไปไกล” ผมอยากรีบกลับ ความเข้มแข็งที่แทบไม่มีอยู่ของผมมันกำลังใกล้จะหมดลงเต็มที

“มึงเป็นอะไรหรือเปล่า กูเห็นมึงดูแปลกๆ ทั้งวันเลย” ผมหลบสายตาแต่ก็ยังยอมพยักหน้าให้ กลัวว่ายิ่งเห็นแววตาของมันที่เต็มไปด้วยความห่วงใย ผมจะยิ่งคิดเข้าข้างตัวเองมันพานแต่จะทำให้ผมตัดใจไม่ได้เสียเปล่าๆ

“เปล่าหรอก กูแค่รู้สึกปวดหัวเหมือนจะไม่สบายน่ะ” แค่เจ็บที่หัวใจ แค่คนที่ไม่สำคัญ มึงไม่ต้องเป็นห่วงเป็นใยนักก็ได้ ยิ่งทำแบบนี้กูก็ยิ่งเจ็บ ยิ่งทำแบบนี้กูก็ยิ่งรักมึงนะปา มึงทำไมไม่เข้าใจ

แต่แล้วมันกลับวางมือลงบนหน้าฝากของผม สัมผัสหาความร้อนที่ผิดปกติจากร่างกายของผมตามคำบอก กำแพงที่ผมสร้างเอาไว้ทั้งวันกำลังพังทลาย หัวตาร้อนผ่าวพร้อมกับน้ำตาที่กำลังไหลรินลงมาอาบแก้ม นั่นคือความเข้มแข็งและความอดทนทั้งหมดของผม มันหมดแล้ว มันพังทลายแล้วทุกสิ่ง เพียงแค่สัมผัสแผ่วเบาจากคนที่เป็นเจ้าของหัวใจของผม มันก็ทำให้ผมปล่อยความอ่อนแอออกมาอย่างไม่อาย

“นก…”

อย่า ขอร้องเถอะ อย่าเรียกกูแบบนั้น อย่าทำเหมือนห่วงใยกูอีกเลย กูเจ็บจนแทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว

“มึงร้องไห้ทำไม…บอกกูสิ”

“ฮึก…” จะบอกได้ยังไง บอกได้ยังไงว่าผมเจ็บตรงนี้ ที่อกซ้ายตรงที่มันเป็นคนเหยียบย่ำจนไม่เหลือชิ้นดี หัวใจของผมที่มันล้อเล่นราวกับมันไม่มีชีวิต

“เป็นอะไร บอกกูสินก ใครทำมึงร้องไห้” ผมทอดสายตามองมัน จับจ้องเข้าไปในแววตาคมที่สะท้อนความห่วงใยจนผมยิ่งร้องไห้มากขึ้น

ทำไม ทำไมต้องทำเหมือนรักทั้งๆ ที่ไม่ได้รัก ทำไปทำไม สนุกนักหรือ

“มะ ไม่ ฮึก ไม่มี กูแค่ปวดหัว ปวดมากๆ ” ปวดจนใจแทบจะสลาย มึงคงไม่มีวันเข้าใจสินะ

“ปวดมากเหรอ ไปหาหมอไหม กูจะพามึงไปโรงพยาบาลนะ ทนหน่อยนะ” ผมจับมือไอ้ปาเอาไว้ บีบมือมันเบาๆ อย่างห้ามตัวเองไม่ได้

“ไม่ต้องหรอก กูอาจจะแค่นอนน้อยเลยปวดหัว ไปกินข้าวกันเถอะนะ นะปา กูอยากกินข้าวกับมึง”

ครั้งสุดท้าย

ไอ้ปายังคงนิ่ง มันเงียบไปเกือบนาทีก่อนจะพยักหน้าตกลงแล้วขับรถพาผมไปจอดร้านก๋วยเตี๋ยว ผมกับมันลงจากรถไปนั่งที่โต๊ะ มือของผมปาดไล่น้ำตาพยายามสูดลมหายใจเรียกเอาความเข้มแข็งที่พังลงไปขึ้นมาอีกครั้ง ตอนนี้…ยังสามารถครอบครองได้ก็ครอบครอง พอถึงพรุ่งนี้ก็ไม่สามารถครอบครองได้แล้ว เวลามันสั้นผมควรใช้มันให้คุ้ม แม้ว่าเวลาที่มีความสุขในตอนนี้จะมีความเจ็บปวดอยู่ด้วยก็ตาม

“พี่ครับ เอาเล็กแห้งต้มยำพิเศษหนึ่งที่ แล้วมึงเอาอะไรล่ะนก”

“เหมือนมึงก็ได้” ไอ้ปาเงียบ ก่อนจะหันไปสั่งให้ผม

“อีกที่เอาเส้นเล็กน้ำใสครับ”

“รอแป๊บนะไอ้น้อง” พี่เจ้าของร้านเขาหันมาตะโกนบอกผมกับไอ้ปา แต่ที่ผมสงสัยคือทำไมผมถึงกินแบบมันไม่ได้ ทำไมต้องเปลี่ยนเมนูด้วยล่ะ?

“มึงบอกเองว่าไม่สบาย อย่ากินรสจัดเลยวะ กินของอ่อนๆ ก็พอ” ใส่ใจอีกแล้ว ผมเงียบแล้วพยักหน้ารับ ทั้งที่มือทั้งสองข้างกำแน่นจนเจ็บไปหมด ผมกำลังอ่อนแออีกแล้ว ทำไมไอ้ปาถึงชอบทำให้ใจของผมอ่อนไหวตลอดเลย ทำไมมันไม่ทำร้าย พูดจาร้ายๆ บ้าง อย่างน้อยถ้ามันทำร้ายผมไม่ว่าจะคำพูดหรือการกระทำ ผมอาจจะตัดใจจากมันได้ง่ายยิ่งกว่านี้ ไม่ใช่อาการเดี๋ยวใจเต้น เดี๋ยวเจ็บแปลบ

ผมกับไอ้ปาก้มหน้ากินกันอย่างเงียบๆ ไม่นานก็หมด ไอ้ปาก็ลุกขึ้นไปจ่ายเงินพาผมขึ้นรถแล้วขับออกไป

สายตาของผมมองถนน แต่สมองกลับคิดไปต่างๆ นานา ผมเอาแต่คิดถึงพรุ่งนี้ พรุ่งนี้ที่จะไม่มีมัน พรุ่งนี้ที่ผมจะต้องเดินคนเดียว ไม่มีสายตาอ่อนโยน ไม่มีแววตาห่วงใย ไม่มีรอยยิ้มที่ยินดีเมื่อผมเดินเข้าไปในห้องทำงาน ไม่มีใบหน้าของมันให้ผมได้เห็นอีก

และจะเป็นพรุ่งนี้ไปทุกๆ วัน ผมยังไม่รู้เลยว่าพรุ่งนี้ผมจะร้องไห้อีกแค่ไหน เพราะแค่วันนี้ ผมยังไม่สามารถเข้มแข็งได้นาน

รถจอดลงหน้าแมนชั่นที่ผมพัก ไอ้ปาดับเครื่องยนต์แล้วหันมาหาผม ผมที่กำลังปลดเข็มขัดนิรภัยอยู่นั้นถูกขับมือไปกุมไว้ก็ชะงักลง หันไปมองหน้าไอ้ปาอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ได้ดึงออกหรือแสดงท่าทีที่ชวนให้สงสัย ผมยิ้มให้มัน เป็นรอยยิ้มเจื่อนๆ ที่ผมสามารถจะให้ได้ ไอ้ปายกมือของผมขึ้นมาจุมพิต ทั้งหลังมือและฝ่ามือถูกริมฝีปากร้อนกดจูบจนรู้สึกได้ถึงริมฝีปากนุ่ม

“นก…” มันเรียกผมเสียงแผ่วเมื่อผมลูบแก้มของมันเบาๆ อยากสัมผัสใบหน้านี้แล้วจดจำทุกรายละเอียดเข้าสู่สมอง

“กูไม่เป็นไรหรอกนะปา ก็แค่ปวดหัว เดี๋ยวมันก็หาย” ใช่แล้ว แค่ปวดใจเดี๋ยวเดียวมันก็หายไป อย่ากังวลกับคนที่ไม่ได้รัก อย่าทำเหมือนกับว่าเรื่องของกูทำให้มึงคิดหนักเลยนะปา มันยิ่งทรมาน

“กูเป็นห่วงมึง อยากดูแลมึงให้ดีที่สุด” ผมฝืนกลืนก้อนสะอื้นลงคอไปอย่างยากลำบาก ไม่อาจจะร้องไห้ออกมาได้อีกแล้ว สิ่งที่มันพูดผมจะจดจำเอาไว้ในใจ เก็บเอาไว้เป็นความฝันที่ดี อย่างน้อยๆ ก็ได้ฝันดีกับเขาบ้าง

“มึงดูแลกูดีแล้วปา มันดีมากจนกูไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้กูจะได้รับมันจากใคร” มันดีมากแล้ว เท่านี้ก็ดีมากแล้วจริงๆ

“กูรักมึงนะนก” รัก…นั่นสินะ เพราะคำนี้นี่ล่ะที่ทำให้ผมต้องตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ เพราะคำคำนี้ถึงทำให้ผมเจ็บจนแทบขาดใจ ผมใช้มือที่สั่นกุมใบหน้าของมันเอาไว้ มองใบหน้าหล่อเหลาที่อยู่ตรงหน้าให้เต็มตา ส่งยิ้มที่ออกมาจากใจให้มันด้วยความรู้สึกทั้งหมด

“กูรู้…กูก็รักมึง รักมึงมากๆ นะ” และจะรักมึงตลอดไป

“นก…จูบได้ไหม” ผมยิ้ม ยิ้มให้กับมันอย่างที่หัวใจผมมีความสุขที่สุด

“ได้ดิวะ ก็เรา…เป็นแฟนกันนี่”

ไอ้ปาประคองใบหน้าของผมขึ้น ผมจับจ้องดวงตาสีดำที่ค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาหาอย่างช้าๆ ก่อนที่ผมจะหลับตาลง รอรับจุมพิตหวานๆ จากริมฝีปากของมัน จูบสำหรับคนรักที่ยังคงเป็นคนรัก ผมไม่กล้าถามว่าเราเป็นแฟนกันใช่ไหม เพราะถึงแม้จะถามไปก็คงไม่มีประโยชน์อะไร ผมเอียงใบหน้าปรับองศาให้ได้มุมที่อีกฝ่ายจะดูดดึงริมฝีปากของผมอย่างถนัด ผมรู้สึกได้ว่าลิ้นของมันกำลังถูกสอดแทรกเข้ามา

เสียงครางต่ำดังขึ้นมาเมื่อผมเปิดปากออกตอบรับปลายลิ้นที่รุกคืบเข้ามาอย่างเอาอกเอาใจ ปล่อยให้ความร้อนแรงแผดเผาเราทั้งสอง รวมทั้งหัวใจของผม

น้ำตาหยดเล็กๆ หล่นลงจากหางตา ใบสมองพร่าเบลอด้วยความรู้สึกวาบหวาม เพียงถูกลิ้นของมันชักนำให้เกี่ยวกระหวัดตามความต้องการก็แทบจะหายใจไม่ออกแล้ว ผมปรือตาขึ้นมองไอ้ปา มองหน้าผู้ชายที่ผมรักอย่างสุดหัวใจด้วยความรู้สึกหลากหลาย เสียใจ เจ็บปวด และรักมาก ทุกความรู้สึกถูกกระตุ้นด้วยคำว่ารักที่ออกมาจากปากของมันเอง

เรารักกันจริงไหม ไม่รู้หรอกครับ แต่ที่ผมรู้คือตอนนี้ โลกของผมมีมันอยู่ข้างใน โลกที่มีเราเพียงแค่สองคน โลกที่ไม่มีจริง มันก็คือโลกของความฝัน ถึงเวลาต้องตื่นแล้วใช่ไหม มันถึงเวลาที่ต้องยอมรับความจริงเสียที

โลกที่กูต้องอยู่ให้ได้โดยไม่มีมึง













ปัง!

“ฮึก ฮือ” ผมทรุดตัวลงอย่างหมดเรี่ยวแรง ผมอดทนไม่ร้องไห้ พยายามพาร่างของตัวเองขึ้นมายังห้องให้ได้ แต่เพียงแค่ปิดประตูลง ความอ่อนแอของผมก็จู่โจมอย่างรวดเร็ว น้ำตาไหลลงมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ผมยกมือขึ้นปิดปาก ไม่ให้เสียงสะอื้นไห้ต้องดังไปรบกวนห้องอื่น

ไอ้ปากลับไปแล้ว เราแยกกันข้างล่าง มันบอกผมว่ามีเรื่องต้องรีบกลับไปจัดการ

ผมไม่เซ้าซี้ เพราะรู้ดีว่าตัวมันเองคงต้องยุ่งกับการจัดการงานหมั้นและวางแผนแต่งงานเอาไว้ ผมเข้าใจ แต่เพราะเข้าใจถึงได้เจ็บอยู่ในตอนนี้ เสียงของมัน สัมผัสของมันยังคงชัดเจน จูบที่เรามอบให้กันมันยังคงฝังลึกลงไปในหัวใจของผม ผมไม่ได้อยากทำร้ายใคร ผมบอกแล้วว่าจะเป็นคนเดินออกมา จะไม่ไปรบกวนชีวิตที่ดีกว่าของไอ้ปาเด็ดขาด จะยืนอวยพรอยู่ห่างๆ จะยินดีกับมันด้วยหัวใจ ไม่ต่อว่าหรือโทษมัน

ผมรู้ว่าความรักมันบังคับกันไม่ได้ ผมแพ้แล้ว แพ้แล้วทุกอย่าง ผมไม่ใช่คนที่ครอบครองหัวใจของไอ้ปา ไม่ใช่คนที่ควรยืนอกแล้วบอกว่าแฟน ไม่ใช่

ผมมันก็แค่อดีตเพื่อนสนิท แค่พนักงานคนหนึ่งที่เกิดหวั่นไหวกับเจ้านายตัวเอง ผมผิดเองทั้งหมด ถ้าหากวันนั้นผมไม่ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นในใจ ผมคงไม่ต้องมานั่งร้องไห้อยู่อย่างนี้ ทรมานมากมายจนอยากจะตาย แต่ก็ทำไม่ได้เพราะผมไม่แข็งแกร่งเพียงพอ ผมทำไก้เพียงเดินหนีออกมา ก่อนที่ความเจ็บปวดมันจะยิ่งมากขึ้นไปกว่านี้ ไม่ว่าเหตุผลที่ไอ้ปาล้อเล่นกับหัวใจผมจะเป็นอะไร ผมอโหสิกรรมให้

ผมค่อยๆ พยุงตัวขึ้นจากเพื่อนอย่างอ่อนแรง ผมกวาดสายตามองไปรอบห้องตัวเอง มองทุกสิ่งทุกอย่างให้เต็มตาแล้วเดินไปที่เตียง ผมหันหน้าเข้าหาตู้เสื้อผ้า หยิบเอากระเป๋าใบใหญ่ออกมาแล้วยัดเสื้อผ้าลงไปด้วยมือที่สั่น น้ำตายังคงหยดลงบนหลังมืออย่างต่อเนื่อง สายตาพร่ามัวไปหมดเพราะหยาดน้ำตาที่เอ่อนองอยู่จนล้น แต่ผมก็ยังคงกัดฟัน รีบเอาของลงกระเป๋าอย่างรวดเร็ว เก็บเพียงแค่ของที่ผมต้องใช้จริงๆ เท่านั้น เมื่อไม่คิดจะกลับมาอีก ก็ไม่จำเป็นต้องเสียดาย ยังไงเสีย…ของพวกนี้ก็แค่หาซื้อใหม่ รอผมหางานได้ค่อยหาซื้ออีกที

ส่วนตู้เย็น…คงต้องฝากให้ป้าหม่อนเอาไว้ ยังไงถ้าผมไม่ไปทำงาน ไอ้ปาก็คงจะต้องมาที่นี่อย่างแน่นอน ถึงตอนนั้น…แค่ให้ป้าหม่อนช่วยบอกมัน ให้มันมายกคืนไปก็คงหมดเรื่อง

ส่วนเรื่องโทรศัพท์ ผมคงต้องเปลี่ยนเบอร์ใหม่ ยังไงก็คงไม่มีความจำเป็นต้องใช้เบอร์เดิมอีกแล้ว แต่ผมก็ยังตัดใจเปลี่ยนมันไม่ได้ ผมยังคงติดอยู่ระหว่างสองโลก ระหว่างความฝันละความเป็นจริง ยังคงหลอกตัวเองด้วยไออุ่นที่ไอ้ปาเจียดมาแบ่งปันให้กับผม ติดอยู่กับรสจูบที่หวานล้ำ ความอ่อนโยนที่ทำราวกับเราคือคนรักกัน มันช่างเป็นความฝันที่ทำให้ผมไม่อยากจะตื่นขึ้นมาเสียจริง

ครืด ครืด

ผมจ้องแสงไฟหน้าจอโทรศัพท์ที่สว่างขึ้น มือที่ยื่นออกไปชะงักอยู่กลางอากาศ เพราะผมกลัวที่จะหยิบมันขึ้นมาดู กลัวที่จะต้องเห็นเนื้อหาภายในที่ถูกส่งมา กลัว…ผมกลัวไปหมด ทั้งที่ไม่ควรสักนิด ผมควรตัดใจได้แล้ว แต่ทำไมล่ะ ทำไมร่างกายถึงไม่ฟังคำสั่งของผม ทำไมสายตาต้องเอาแต่จับจ้องที่โทรศัพท์ราวกับไม่สามารถละสายตาจากมันไปได้ ขาที่พานแต่จะก้าวเข้าไปใกล้เพื่อเอื้ออำนวยให้มือทั้งสองข้างได้คว้ามันขึ้นมาดู

สุดท้ายผมก็แพ้ใจตัวเอง ยังคงอยากจะรู้ในทุกสิ่งที่เป็นมันเสมอ

…ฝันดีนะครับ ที่รัก…

ผมกัดริมฝีปากที่สั่นระริก คำถามที่ถูกตั้งขึ้นมาในหัวคือมันส่งให้ใคร ใช่ผมหรือเปล่า หรือจริงๆ มันแค่อยากจะส่งให้คนที่มันรักจริงๆ ซึ่งไม่ใช่ผมอย่างแน่นอน อีกแล้ว ผมกำลังเจ็บปวดอีกแล้ว หัวใจที่แรกเริ่มเต็มไปด้วยความทรมาน ในตอนนี้แทบจะแหลกสลายเพียงเพราะข้อความที่ไม่ชัดเจน ผมต้องเจ็บอีกมากมายแค่ไหน ต้องทรมานและขาดใจไปมากเท่าไหร่ ผมจึงจะสามารถหยุดรัก หยุดความรู้สึกที่มีต่อมันได้สักที ผมทิ้งตัวลงนอนบนเตียง ปล่อยให้มือถือดับแสงไปอย่างไม่คิดจะสนใจมันอีก ดวงตาว่างเปล่าของผมจับจ้องไปเพียงเพดานสีขาว ปล่อยให้หยดน้ำตาไหลลงมาเรื่อยๆ

เพราะบางทีมันอาจจะสามารถลดความปวดร้าวในใจผมลงไปได้บ้าง ผมหลับตาลงอย่างช้าๆ แต่เมื่อความมืดมิดโอบล้อมตัวผมไว้ ผมกลับมองเห็นภาพของไอ้ปาที่กำลังยิ้มให้ผมอยู่

“ไอ้ปา…”

ภาพมันชัดเจนเหลือเกิน ราวกับว่าหากเพียงผมเอื้อมมือออกไปคว้ามันมา ผมก็จะสามารถมีมันอยู่ต่อไปได้ แต่ทว่าความจริงเพียงปค่ผมเอื้อมมือออกไปก็สัมผัสได้เพียงอากาศเท่านั้น หัวใจที่ปวดร้าวยิ่งทุกข์ทรมาน แค่ภาพลวงตาผมยังเจ็บได้ขนาดนี้ แต่สุดท้ายผมก็ทำได้เพียงปล่อยให้น้ำตาระบายความทรมานในใจออกมา

ผมยกมือขึ้นปิดดวงตาเอาไว้ ทว่ากลับไม่สามารถปิดกั้นให้น้ำตาหยุดไหลได้ ผมปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับภาพความทรงจำที่แสนสุข แม้ว่าใจจะเจ็บปวดมากก็ตามที่ต้องนึกถึงภาพเหล่านั้น แต่สมองกลับยังคงฉายซ้ำภาพความทรงจำระหว่างผมกับไอ้ปา รอยยิ้มของเราทั้งสองคน คำพูดที่พวกเราใช้โต้ตอบกัน หรือแท้แต่วันเวลาที่พวกเราใช้มันด้วยกัน ผมจำมันได้ดีทุกๆ อย่าง และมันยิ่งชัดขึ้นเมื่อผมหลับตา ราวกับว่าผมยังคงติดอยู่ในวันเวลาเหล่านั้น







50%



แจกจ่ายผ้าเช็ดหน้าคนละผืนนะคะ อภินันทนาการจากแมวเอง สงสารน้องนก ไม่เก่งอะไรเลยค่ะลูกหนูน่ะ นอกจากคิดไปเองนี่ล่ะ เก่งมาก แต่คุณปาก็น่าตีจริงๆเชียว มาทำให้น้องยอมรับว่ารักแล้วทำร้ายน้องแบบรี้ได้ยังไงคะ แม่เหลาไม้เรียวรอแล้วค่ะ ยื่นก้นมาเสียดีๆ อย่าเพิ่งหายไปไหนกันนะคะ รอดูบทสรุปของทั้งสองคนกับแมวก่อน~ ลัฟยูววว

ปากินนก

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
นกคิดมากไปแล้วนะ

ออฟไลน์ llมว_น้oe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-4
ผมดันร่างให้ลุกขึ้นมาเก็บข้าวของต่อ ผมรวบรวมทุกอย่างไว้ในกระเป๋าเดียว พยายามเอาไปให้น้อยที่สุดเพราะมันจะลำบากผมเองที่ต้องแบกมันไป ผมจึงต้องตัดใจทิ้งของส่วนใหญ่ แต่เอาเถอะ ยังไงก็คงไม่ได้ใช้อีก ถือเสียว่าให้ป้าหม่อนไว้ใช้ ทีวีก็เป็นของมือสองที่ซื้อมาใช้ดูแก้เบื่อแก้เครียด ราคาไม่ได้แพงเพราะงั้นไม่มีอะไรให้ต้องเสียดาย ผมพอจะทำใจทิ้งได้ ผมปิดกระเป๋าลงเมื่อของทุกอย่างที่จำเป็นเก็บลงจนหมดแล้ว

ผมดันร่างให้ลุกขึ้นมาเก็บข้าวของต่อ ผมรวบรวมทุกอย่างไว้ในกระเป๋าเดียว พยายามเอาไปให้น้อยที่สุดเพราะมันจะลำบากผมเองที่ต้องแบกมันไป ผมจึงต้องตัดใจทิ้งของส่วนใหญ่ แต่เอาเถอะ ยังไงก็คงไม่ได้ใช้อีก ถือเสียว่าให้ป้าหม่อนไว้ใช้ ทีวีก็เป็นของมือสองที่ซื้อมาใช้ดูแก้เบื่อแก้เครียด ราคาไม่ได้แพงเพราะงั้นไม่มีอะไรให้ต้องเสียดาย ผมพอจะทำใจทิ้งได้ ผมปิดกระเป๋าลงเมื่อของทุกอย่างที่จำเป็นเก็บลงจนหมดแล้ว

แต่นั่นสินะ ผมอาจจะกังวลเกินไปก็ได้ บางทีไอ้ปาอาจจะไม่ออกตามหาผมหรอก ก็ผมไม่สำคัญนี่นา

ผมสะพายกระเป๋าขึ้นบนหลังเปิดประตูออกแล้วปิดมันลงอย่างเบามือ ไม่อยากจะรบกวนใครให้ต้องตื่นขึ้นมาเพียงเพราะผมกำลังจะไป ผมเดินลงบันไดมาจนถึงชั้นล่าง พอพ้นออกมาจากตัวแมนชั่นมันก็ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมอง อยู่มาสองสามปีจะรู้สึกแปลกๆ ตอนจะไปก็คงเป็นเรื่องปกติ ใช่…ผมรู้ มันไม่ได้แปลกอะไร เป็นผมเองที่กำลังไม่อยากจะไป ไม่อยากจะไปจากที่นี่ และไม่อยากจะไปจากมัน เพราะผมกลัวว่าจะอยู่ไม่ได้ ผมขาดมัน…ไม่ได้

ทำไมต้องเป็นแบบนี้ทุกที ทำไมผมต้องเป็นคนที่ต้องเจ็บทุกครั้ง

ทำไมกัน ผมไม่เข้าใจ ผมทำผิดอะไรหรือที่ต้องพบเจอแต่ความเจ็บปวด ไม่ว่าจะกี่ครั้งที่ผมรักใคร ผมก็จะต้องเป็นฝ่ายเสียใจเสมอ ทั้งๆ ที่ผมเลือกเองว่าจะเดินออกมา ไม่ใช่ไอ้ปาบอกเลิกหรือทิ้งผมไป แต่ผมก็เป็นคนที่เสียใจ เจ็บปวดจนเจียนตาย หรือเพราะผมเป็นคนที่เหมาะสมกับความผิดหวัง มันจึงต้องเป็นผมที่ต้องรู้สึก หรือเพราะผมรักมากกว่า ถึงต้องเจ็บกว่าคนที่ไม่ได้รัก

ผมนั่งรถเมย์ที่มีน้อยนิดไปลงที่ขนส่ง ถนนโล่งๆ กับลมเย็นๆ ที่ตีเข้าหน้าทำให้ผมปลดปล่อยความคิดออกไปไกลแสนไกล ถึงแม้ว่าจะคนจะน้อยแต่ผมก็รู้ว่าไม่ควรปล่อยตัวเองจมอยู่กับความเศร้าจนร้องไห้ มันคงดูไม่ดีนักหรอกหากมันเป็นแบบนั้น ผมเป็นผู้ชาย ทั้งที่มันก็แค่อกหักไม่ถึงตาย แต่มานั่งร้องไห้เป็นเด็กๆ ก็ต้องดูแย่อยู่แล้ว ผมดันแว่นตาขึ้นไปเมื่อมันใกล้จะร่วงลงมา ทอดสายตามองแสงไฟตามทางและจากรถคันอื่นๆ อย่างเหม่อลอย แต่ก็ยอมรับเลยว่ามันทำให้ผมฟุ้งซ่านได้ดีกว่าอยู่ที่ห้องจริงๆ อาจจะเป็นเพราะความเงียบบนท้องถนนและบรรยากาศยามเช้าที่ยังไม่สว่างก็เป็นได้ที่ทำให้ผมจมกับความรู้สึกได้ง่าย

จวบจนรถจอดลงที่จุดหมาย ผมก็ลงจากรถและเดินเข้าไปที่นั่น ผ่านตาหลายสิ่งหลายอย่าง แม้แต่ผู้คนมากมายที่มาที่นี่ เดินสวนกันไปมาก็ไม่ได้ทำให้ผมสนใจจะมองได้ ผมเดินเข้าไปซื้อตั๋ว จุดหมายของผมก็คือบ้าน บ้านที่มีพ่อมีแม่และมีน้องชายของผมอยู่ เพราะผมเองก็ไม่รู้ว่าควรจะไปที่ไหน อย่างน้อยๆ ก็มีบ้านให้ผมได้กลับไป ถึงยังไงคนที่บ้านก็ไม่ใช่คนอื่น ย่อมเป็นแหล่งพักพิงหัวใจให้ผมได้อย่างแน่นอน

แต่นี่ตี4 กว่าจะถึงเวลารถออกก็อีกหลายชั่วโมง ผมจึงต้องหาที่นั่งรอเวลาขึ้นรถ ตอนนี้อากาศหนาวกว่าทุกวัน ผมเองก็รู้สึกได้ แม้จะไม่ได้หนาวจนสั่นแต่ก็ไม่ร้อนเหมือนช่วงเวลากลางวัน ผมเดินไปนั่งแล้วหยิบเอามือถือขึ้นมากดเล่นเกมในเครื่องแก้เบื่อ เล่นจนสุดท้ายจากการแก้เบื่อก็กลับกลายเป็นความเบื่อที่มากขึ้นไปอีก สุดท้ายผมจึงเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าไป ผมนั่งมองผู้คนเดินไปเดินมาอย่างไม่รู้จักเบื่อ มองคนอื่นๆ ที่หลับไปบ้าง ตื่นบ้างด้วยความเฉยชา แปลกนะ ทั้งที่ผมไม่ได้นอน ทั้งที่ผ่านการร้องไห้มา ผมกลับไม่รู้สึกถึงความง่วงแม้แต่นิดเดียว ผมกลับอยากให้ถึงเวลาที่รถออกเร็วๆ

อยากกลับไปกอดแม่ ไปกอดพ่อ ไปกอดน้องชายคนเดียวของผม

ไปพักใจที่บ้านของเรา ให้ผมได้เติมความเข้มแข็งเข้ามาในหัวใจ ก่อนที่มันจะแหลกสลายจนไม่สามารถเยียวยาได้อีก

ไอ้ปา ปรมะ เทียบสินธนากุล ผู้ชายที่ทำให้ผมรู้ว่าความรักของเราไม่จำกัดเพศใดๆ เป็นผู้ชายที่ผมรู้สึกว่ารักได้ทั้งใจ และเป็นผู้ชายที่ทำให้ผม เจ็บจนแทบจะขาดใจเช่นกัน

ไม่รู้ว่าผมปล่อยความคิดไปนานแค่ไหน บ่อยแค่ไหนที่ต้องเงยหน้าขึ้นเพื่อกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้มันไหลออกมา แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไร มันก็ทำให้ผมหลงลืมเวลาไปจนถึงตอนที่อาทิตย์ขึ้น แสงสว่างสาดส่องไปจนทั่วนั่นล่ะครับ ผมถึงได้รู้ตัวว่าตอนนี้…มันเช้าแล้ว ผมเหลือบมิงนาฬิกาอีกครั้ง และมันก็บอกว่าผมเหลือเวลาอีกไม่นานรถก็จะออกแล้ว ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินไปยังจุดที่ผมจะต้องขึ้นรถ ในตอนนี้คนเริ่มทยอยขึ้นรถไปบ้างแล้ว และผมก็เช่นเดียวกัน ผมกำลังจะก้าวขึ้นไป แต่ใจก็ลังเลอยู่เล็กน้อยว่าอย่างน้อยผมก็ควรจะโทรไปลาพี่หนูกับพี่อาร์ตก่อนดีไหม

อย่าน้อยๆ พี่หนูกับพี่อาร์ตก็คือคนที่หวังดีกับผมมากทั้งคู่

และผมคงรู้สึกแย่ถ้าจะหายไปจากทั้งคู่เฉยๆ

ผมถอนหายใจ ก่อนจะหยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกง กดเบอร์โทรที่ขึ้นอยู่ในรายชื่อผู้ติดต่อ ฟังสัญญาณที่บ่งบอกว่ารออีกฝ้ายรับสายอยู่เงียบๆ ตอนนี้เช้าแล้ว มันจะมารอผมหน้าตึกไหมนะ ใช่สิ ผมลืมโทรบอกป้าหม่อนไปเลย เอาเถอะ ขอคุยกับพี่หนูก่อนแล้วกัน แล้วค่อยโทรไปหาป้าหม่อนอีกที ยังไงผมก็คงต้องบอกแกเอาไว้ก่อน

‘ฮัลโหล ว่าไงไอ้นก’

“พี่…” บ้าจริง ทำไมถึงพูดไม่ออกนะ น้ำตาก็มีทีท่าว่าจะไหลออกมาอีกรอบแล้วด้วย จะอ่อนแอไปถึงไหนไอ้นก!

‘มีอะไรหรือเปล่าวะ? ทำไมมึงเงียบไป’

“เปล่าพี่ ผมสบายดี ผมแค่…จะโทรมาลาพี่” ผมยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่บิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดและความเสียใจ อย่างน้อยพี่หนูก็ไม่เห็น ว่าสีหน้าของผมในตอนนี้มันย่ำแย่แค่ไหน

‘มึงจะไปไหนนก? ทำไมต้องลา?’

นั่นสิ ทำไมต้องลา จะไปไหน ผมคงบอกออกไปไม่ได้ ผมกลืนน้ำลาย พยายามไล่ความอ่อนแอที่มากระจุกอยู่ตรงหัวตาให้ออกไปกะพริบตาถี่ๆ เพื่อขับไล่หยาดน้ำตาที่พยายามจะเอ่อล้นออกมาให้หายไป

“สักทีวะพี่ ที่ไหนสักที่หนึ่ง”

‘มึงมีเรื่องอะไรวะ มึงมาหากูสิ มึงจะไปที่อื่นทำไม’

“ไม่ได้…ไปหาพี่ไม่ได้ มันจะหาผมเจอ”

‘มันไหน! ไอ้ปาใช่ไหม! มันทำอะไรมึง!’ ผมข่มเสียงสั่นๆ ที่มักจะแสดงออกถึงความอ่อนแอในตอนที่มีใครสักคนกำลังเป็นห่วงเป็นใยผม แต่ผมเลือกแล้ว เลือกที่จะจากมาแล้ว

“ไม่หรอกพี่หนู มันไม่ได้ทำอะไร พี่…ฮึก…อย่าไปว่ามันเลยนะ” ผมกลั้นเอาไว้ไม่ไหว ไม่ไหวอีกแล้ว ผมต้องร้องไห้อีกแล้วใช่ไหม ทำไมต้องอ่อนแอขนาดนี้ด้วยนะ จะทำให้พี่หนูเป็นห่วงมึงไปถึงไหนวะนก

‘เกิดอะไรขึ้น มึงพูดมา! กูไม่อนุญาตให้มึงวางสาย!!’ น้ำเสียงของพี่หนูเด็ดขาดและเต็มไปด้วยความหงุดหงิดมากๆ ผมรู้แต่ก็ยังคงเงียบ ไม่ใช่เพราะไม่อยากจะพูดถึง แต่ตอนนี้ผมกำลังอ่อนแอสุดๆ ตัวสั่น เสียงสั่น สะอื้นจนน่าอาย

“มัน…มีคู่หมั้น ฮึก แล้วพี่ มันไม่ได้รักผม ฮือๆ ไม่ได้รักผมเลย”

‘นก…มึงอยู่ที่ไหน ตอนนี้มึงอยู่ที่ไหน กูจะไปหามึง บอกกูมา’ ผมส่ายหน้า ใช้มือพยายามปกปิดเสียงร้องไห้อันน่าเวทนาของตัวเองไว้ โชคดีที่จุดที่ผมออกมาโทรศัพท์ไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่ ดีที่ไม่มีสายตาสมเพชส่งมาให้ผม

“ผะ ผม ฮึก ผมต้องไปแล้วครับพี่ ฝากพี่ลาพี่อาร์ตด้วย ถ้า ฮืออ ถ้ามีโอกาส เราคงได้เจอกันอีก ขอบคุณครับพี่ สำหรับทุกๆ อย่าง ขอบคุณมากนะครับ พี่ชาย”

‘นก!’

ผมกดวางทันทีที่ตัวเองพูดจบ ไม่อยากจะให้พี่หนูเซ้าซี้มากไปกว่านี้ ผมกลัว ไม่ใช่กลัวว่าพี่หนูจะรู้ว่าอยู่ที่ไหน ผมกลัวแค่ว่าตัวเองจะอ่อนแอและกลับไปพึ่งพิงพี่หนูเหมือนตอนนั้น มันดีนะครับที่มีคนห่วงใยเรา แต่ผมไม่อยากเป็นภาระให้ใครอีกแล้ว หัวใจของผม ผมควรจะรักษามันเอง ไม่ใช่ให้คนอื่นมารักษามัน สิ่งที่ผมกำลังหนีคือความเจ็บปวดที่กำลังจะเข้ามาหา ผมเลือกที่จะเจ็บเพียงแค่นี้ ดีกว่าหลอกตัวเองกับความรักที่มันหยิบยื่นมาให้แล้วเจ็บจนตายในวันที่มันปลุกให้ตื่น ผมคงทนไม่ได้เมื่อวันนั้นมาถึง

ผมกดมือถือตัวเองอีกครั้งเพื่อโทรหาป้าหม่อน รอไม่นานนักแกก็รับสายผม

“ขอโทษที่โทรมาแต่เช้านะครับป้า พอดีผมมีเรื่องอยากจะรบกวนป้าหม่อนหน่อยน่ะครับ”

‘หนูนก เพื่อนหนูเขามาหาแต่เช้าแล้วนะคะ คุยกับเขาหน่อยนะคะ’ ผมชะงักกับเรื่องที่ป้าหม่อนบอก ยอมรับว่าช็อกไปครู่หนึ่งถึงจะได้สติ เลยรีบเพื่อจะปฏิเสธไป

“ป้าครับผมไม่…”

‘นก…’ แต่มันก็ไม่ทัน เสียงไอ้ปาที่ผมได้ยินจากปลายสาย มันยังเหมือนเดิม ไอ้ปายังเป็นไอ้ปาเหมือนทุกวันที่ผมรู้จัก แต่ไม่รู้ทำไม ทำไมผมถึงเจ็บขนาดนี้เพียงแค่ได้ยินเสียงของมัน เพียงแค่มันเรียกชื่อของผม

“…”

‘นก…มึงอยู่ไหน กูมารับมึงไปทำงานแล้วนะ’ ผมไม่รู้ว่ามันจะรู้หรือเปล่าว่าผมกำลังจะไปจากมัน แต่เสียงที่มันพูดกับผม มันคล้ายคำอ้อนวอน คล้ายคนที่พยายามเหนี่ยวรั้งผมเอาไว้ให้อยู่กับมัน แต่ผมอาจจะเพียงแค่คิดไปเองก็ได้

“ปา…ตู้เย็นในห้องกูที่มึงเคยซื้อให้ มึงเอากลับไปเถอะนะ”

ต้องตัดใจ จะใจอ่อนไม่ได้ ไม่อยากเจ็บมากกว่านี้

‘นั่นเป็นของมึงไงนก กูซื้อให้มึง มึงบอกว่าจะทำอาหารให้กูกินไม่ใช่เหรอ’ ผมเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ได้แต่ยิ้มบางๆ กับสายลมที่พัดผ่านไป

“กูคง…ไม่ได้ทำให้มึงกินแล้วล่ะขอโทษนะ” ขอโทษที่อยู่ข้างๆ มึงต่อไปไม่ได้ กูมันอ่อนแอเกินไป

‘มึงหมายถึงอะไร มึงจะไปไหนนก?’

“มัน…ไม่เกี่ยวกับมึง” ผมพูดแบบนั้นออกไป ไม่ได้ต้องการทำร้ายจิตใจใคร หรืออวดดีว่าอยู่เหนือกว่า แต่ผม…ไม่รู้ว่าควรจะพูดคำไหนออกไป รู้สึกแย่หลังพูดมันก็เท่านั้น แก้ไขอะไรไม่ได้ ไอ้ปาเงียบลงไป ผมไม่รู้ว่ามันอึ้งหรืออะไรถึงได้เงียบลงไปแบบนั้น แต่ผม…รู้สึกไม่ดีเลยสักนิด

‘มึงโกรธกูเรื่องอะไร ทำไมถึงพูดแบบนั้นวะ ทำไมพูดว่าไม่เกี่ยวกับกู! เราสองคนเป็นแฟนกันไม่ใช่หรือไง!!’ ผมหลับตา กำมือแน่นเมื่อได้เสียงของไอ้ปาตะคอกกลับมาทางโทรศัพท์ มันเจ็บ มันสะท้าน มันทรมานจนอยากจะจบมันเสียที แต่อีกใจก็ยังโหยหา ยังปรารถนาจะได้ยินเสียงของมันมากกว่านี้ ให้ได้คุยกันมากกว่านี้อีกสักนาทีก็ยังดี

“ถ้า…ฮึก…ถ้าหากว่ามันทำให้มึงลำบาก งั้นเราสองคน…เลิกกันเถอะนะ” เลิกกันตั้งแต่ตอนนี้ เพื่อที่มึงจะได้รักเขาจนหมดหัวใจ หยุดล้อเล่นกับความรู้สึกของกู แล้วเราก็จากกันด้วยดี

เพล้ง!

ผมสะดุ้ง แม้จะเป็นแค่เสียงที่ลอยมาจากปลายสายแต่ใจก็อดเป็นห่วงมันไม่ได้

‘ทำไม…ทำไมต้องพูดว่าเลิกกันด้วยวะ!’

“มึงทำอะไร เสียงเมื่อกี้คืออะไร”

‘ฮึ! มึงจะสนใจทำไม กูจะเจ็บตรงไหน จะตายยังไงมึงจะสนใจทำไมในเมื่อมึงกำลังจะทิ้งกู!!’ ทำไมล่ะ มันควรจะดีใจไม่ใช่เหรอ มันควรจะต้องยินดี และรู้สึกดีที่ผมกำลังจะไปสิ หรือเพราะผมเป็นคนพูด ไอ้ปาเลยรู้สึกเหมือนเสียศักดิ์ศรี

“ถ้างั้นมึงเป็นคนบอกเลิกกูก็ได้นะ กูเป็นคนถูกมึงทิ้งก็ดะ…”

‘กูไม่มีวันทิ้งมึง! อย่ามาพูดแบบนี้นะไอ้นก!’ มันพูดจริงเหรอ? ไม่ ไม่สิ อย่าใจอ่อน อย่าหวั่นไหว มึงลืมคำพูดของมันไปแล้วหรือไง

"เรื่องน้องเบญของมึงไง มึงจะไม่บอกไอ้นกเหรอ"

"บอกทำไม..."

"กูน้องเบญเป็นคู่หมั้นมึง มึงทำแบบนี้ถ้าไอ้นกรู้มันจะเสียใจนะโว้ย"

"หึ...ก็แค่อย่าให้รู้ก่อนมันก็จบไหม"

"แล้วอีกนานแค่ไหนมึงถึงจะจบเรื่องนี้วะ"

"ไม่นานหรอก กูกำลังจะจบแล้วล่ะ มึงไม่ต้องห่วง"


“ปา กูรู้แล้วนะ เรื่องคู่หมั้นของมึง”

‘นก…’ ปฏิเสธไม่ออกสินะ ผมยิ้มเย้ยหยันให้กับความโง่ของตัวเอง สุดท้ายมันก็เป็นอย่างที่คิด ไอ้ปามันก็แค่สนุกที่ได้เล่นกับความรู้สึกของผม ผมมันใจง่ายไปรักมันง่ายๆ เองจะไปโทษใครได้

“เพราะงั้นมึง…ปล่อยกูไปเถอะนะ ขอร้องล่ะ” ให้กูไปเถอะ สงสารกูทีได้ไหม อย่าทำร้ายกูอีกเลย

‘นก มึงโกรธเรื่องนี้ใช่ไหม มึงกลับมาหากูนะ เดี๋ยวกูจะอธิบายให้ฟังเอง หรือ หรือมึงอยู่ที่ไหน เดี๋ยวกูรีบไปรับ บอกกูมาสิ’

“กูกลับไปไม่ได้อีกแล้วปา กูบอกมึงแล้วไง ปล่อยกูไปเถอะ” ผมอ้อนวอนมันด้วยน้ำเสียงที่น่าสงสาร พยายามให้มันเห็นใจที่กำลังจะแตกสลายไปของผมสักที ผมไม่อยากฟังคำอธิบาย ไม่ได้อยากรู้ว่ามันรักกันแค่ไหนหรือเหตุผลเพราะอะไร คนขี้ขลาดอย่างผมแค่อยากหยุดความเจ็บปวดที่ทรมานนี้สักที

‘กูไม่ยอม! ไม่ยอมหรอกนก กูไม่เลิก ไม่ปลงไม่ปล่อยเหี้ยอะไรทั้งนั้น!! มึงเป็นแฟนกู เป็นของกูได้ยินไหม!!’

“ไม่เป็นไร…ถ้างั้นแต่งงานเมื่อไหร่ บอกข่าวกูบ้างนะ”

‘เหี้ย แม่งเอ๊ย!! ไอ้นกมึงจะทำแบบนี้จริงๆ ใช่ไหม! มึงจะเอาแบบนี้ใช่ไหม!!’ ผมไม่อยากจะสนใจว่ามันโวยวายหรืออะไร พยายามปิดหูไม่ฟังคำพูดของมันเพราะกลัวว่าจะหวั่นไหวแล้วยอมกลับไปเจ็บอีก

“กูรักมึงนะปา ฝากบอกป้าหม่อนด้วยว่ากูขอย้ายออก ของในห้องถ้าป้าหม่อนอยากได้อันไหนก็เอาไปเถอะ ส่วนตู้เย็น มึงก็ยกกลับไปเถอะนะ ขอบคุณมากสำหรับทุกอย่าง ฮึก”

‘หยุดพูด! กูบอกให้มึงหยุดพูด!! บอกกูมาเดี๋ยวนี้ มึงอยู่ที่ไหน! '

“กูจะเก็บความทรงจำดีๆ เอาไว้นะ ขอบคุณมากๆ ที่มึงทำให้ครั้งหนึ่งกูได้หลับฝันดี ลาก่อนนะ กูรักมึง”

ผมกดวางสายทันทีที่ตัวเองพูดจบ ทรุดตัวลงร้องไห้อย่างหนักกับอาการปวดหนึบที่หัวใจของตัวเอง ทั้งๆ ที่อยากจะไปเงียบๆ แท้ๆ ไม่คิดเลยว่า…ผมจะได้คุยกับมันเป็นครั้งสุดท้าย ดีเหลือเกิน อย่างน้อยผมก็ได้บอกลามันแล้ว อย่างน้อยๆ ผมก็ไม่ติดค้างอะไรกับมันอีก จะได้เก็บเอาเศษเสี้ยวหัวใจพังๆ ไปรักษา ดีใจที่มันยังคงยึดติดกับผม แต่ไม่นานหรอก ไม่นานมันก็จะลืมผมไป ผมก็แค่ของใกล้มือที่มันคว้าขึ้นมาเล่นเวลาที่เหงา พอมันได้แต่งงานมันก็คงจะหยุดคิดถึงของเล่นชิ้นนี้

ดีแล้ว…ดีแล้วจริงๆ ที่ได้คุยกัน

ครืด ครืด

‘กูไม่เลิก ไม่ปล่อยอะไรทั้งนั้น!’

ข้อความง่ายๆ ที่แสดงถึงความเอาแต่ใจของมันเหมือนเดิม แต่กลับเรียกน้ำตาของผมมากขึ้นไปอีก ทั้งๆ ที่มันเป็นเพียงข้อความที่ดูเหมือนกำลังข่มขู่ผม แต่ผมกลับรู้สึกมีความสุขกับมัน ผมคงบ้าไปแล้วแน่ๆ แต่แล้วข้อความต่อมาก็ถูกส่งมาที่ผมอีกครั้ง

‘อย่าให้กูหามึงเจอ! เราจะได้เห็นดีกัน!’

ยอมรับว่าขนลุก ไม่ใช่เพราะรังเกียจหรือขยะแขยง เพียงแค่สัญชาตญาณของผมมันร้องเตือนว่านี่ไม่ใช่แค่การขู่ แต่มันเอาจริงอย่างแน่นอน ผมสะบัดไล่ความคิดนั้นออกไป ถอดซิมออกจากเครื่องแล้วเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกงอีกครั้ง ก่อนจะปาดน้ำตาออกจากใบหน้าแล้วเดินไปขึ้นรถ ได้เวลากลับไปรักษาแผลให้หายแล้ว

ผมไม่รู้หรอกว่าไอ้ปาตอนนี้จะเป็นยังไง รู้สึกยังไงหรือจะทำหน้าตายังไง แต่ผมตอนนี้รู้สึกดีและไม่ดีตีกันให้วุ่นวาย ทั้งความรู้สึกเจ็บปวดที่ต้องไปจากคนที่ผมรัก หรือความรู้สึกโล่งใจที่ได้บอกกล่าวต่อพี่หนูและไอ้ปาเอง อย่างน้อยๆ ผมก็ได้พูดออกไป การตัดความสัมพันธ์ที่เงียบหายไปมันดูจะใจร้าย ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้จริงจัง แต่ด้วยนิสัยของผมไม่ชอบหรอกครับการหายไปเฉยๆ มันทำให้ใจเคว้งคว้าง ตัดสินใจเดินหน้าไม่ได้ ถอยหลังก็ลำบาก เพราะงั้นการที่ผมได้พูดกับไอ้ปามันถือเป็นเรื่องที่ดีแล้ว แบบนี้ดีที่สุด

รถเคลื่อนตัวออกไปอย่างช้าๆ ขับผ่านเส้นทางหลากหลายทิวทัศน์ให้ผมได้มอง แต่เมื่อเริ่มรู้สึกดีและสบายใจ ผมก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองง่วงเหลือเกินจนต้องพักสายตาให้หลับไป บางทีหากได้พักผ่อนผมอาจจะดีขึ้นมาบ้าง ผมร้องไห้มากเกินไปแล้วในวันนี้ ร่างกายอาจจะถึงจุดที่ต้องพักผ่อนเพื่อฟื้นกำลังกายและกำลังใจ เผื่อว่าการหลับตาฝันอาจจะทำให้ผมได้พบกับไอ้ปา ได้ใช้เวลาด้วยกัน ใช้ชีวิตด้วยกันในแบบที่ความเป็นจริงนั้นมันไม่มีวันเกิดขึ้นมา

ผมอาจจะมีความสุขกว่าตอนนี้ อาจจะรู้สึกดีถ้าได้มีโอกาสฝันหวานแบบนั้น

แต่ความจริงแล้วคือไม่ว่าจะความจริงหรือความฝัน เราก็ไม่สามารถบังคับมันได้อยู่ดี แม้ว่าจะรู้ตัวว่าเรากำลังจมอยู่ในห้วงแห่งความฝัน แต่ก็ไม่สามารถถอนตัวออกมาได้ง่ายๆ ไม่สามารถบังคับให้ความฝันเป็นไปตามที่เราต้องการได้ ไม่สามารถปลุกตัวเองให้ตื่นได้แม้ว่าจะต้องการแค่ไหน ความฝันคือความฝัน เช่นเดียวกับความเป็นจริงที่ไม่มีทางที่เราจะบังคับให้มันเป็นไปตามที่เราต้องการ ไม่ว่าจะความคิด หัวใจ ความรัก หรือความรู้สึก ขนาดความรู้สึกของผมเอง ผมยังควบคุมมันไม่ได้ บังคับให้มันเลิกรักใครคนนั้นยังไม่ได้เลย เช่นเดียวกับที่ผมไม่สามารถห้ามความเจ็บปวดที่กัดกินหัวใจอยู่ในตอนนี้ให้หายไปได้ มันไม่มีทางหรอก ต่อให้พยายามมากมายแค่ไหน ความเจ็บปวดก็จะยังคงอยู่ไม่มีวันหายไปอยู่ดี

แม้ว่าผมจะปิดกั้นหัวใจ หักห้ามความรู้สึกก็ตาม

เพราะงั้นขอเถอะครับ แค่ความฝันก็ยังดี ช่วยให้ผมกับมันได้รักกันที ได้โปรดเถอะครับ เห็นใจผมที่กำลังจะขาดใจตายด้วยเถอะ ผมขอร้อง







TBC



แจกจ่ายผ้าเช็ดหน้าคนละโหลค่ะ เอาเลย เอาให้พอกับน้ำตาที่ต้องเสียไป~ ไหนคะความคอมเมดี้ ไหนนนนนน อุก อั๊ก พูดแล้วเจ็บปวด แต่เดี๋ยวมรสุมก็จะหายไป ฟ้าใหม่ก็จะเปิดออก แล้วความสุขจะมาหาเราเอง //หลบรองเท้า 

ปากินนก

ออฟไลน์ sompong

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 355
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
นี้เข้าใจนกมากเลยนะ ความไม่รู้ทำให้คิดไปเองได้ไกลมาก ส่วนปาเป็นห่วงความรู้สึกจึงไม่บอก

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
นก ไปหาที่สงบพักใจสักนิดนะ คิดมากไป เดี๋ยวเป็นบ้า อารมณ์ตอนนี้ไม่ฟังเหตุผลอะไรแล้ว
คิดได้อย่างเดียวคือ หนีไปให้ไกลก่อน เวลาเท่านั้นที่จะช่วยเยียวยาได้นะ
ว่าแต่ บอกพี่หนูไปลาพี่อาร์ตทำไม ป่านนี้ไม่โดนพี่อาร์ตตบจนช้ำไปแล้วเหรอ อิอิอิ

ออฟไลน์ llมว_น้oe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-4
[13]


ตอนที่ 13.

 นกกลับรัง
[/b] 

ในที่สุด…ก็มาถึงสักที

ผมอดไม่ได้ที่จะรู้สึกข่มปร่าในลำคอ อาการตีตื้นของความอ่อนแอเริ่มจู่โจมผมอีกระลอกคล้ายกับมันจะรู้ว่าที่นี่ เป็นที่ที่ความเข้มแข็งอะไรไม่จำเป็นต้องใช้ อยากจะร้องไห้ดังมากเท่าไหร่ก็ทำได้โดยไม่ต้องอาย ผมกำมือเม้มริมฝีปาก สายตาทอดมองบ้านหลังน้อยที่ผมเติบโตมาตั้งแต่เด็กด้วยความคิดถึง สองสามปีที่ผ่านมาผมเอาแต่ทำงานจนไม่ได้กลับมาบ้านเลยสักวัน มากสุดก็เพียงแค่โทรกลับมาคุยให้ชื่นใจเท่านั้น แต่มันก็ไม่เคยเต็มหัวใจของผมเลย

ไม่รู้ว่าพ่อกับแม่จะด่าผมไหม ถ้าผมจะกลับมาพึ่งอาศัยเงินพ่อแม่กินไปก่อนในช่วงนี้ แล้วค่อยๆ หางานทำดูว่าแถวนี้พอจะมีอะไรให้ผมทำได้บ้าง

ผมถอนหายใจก่อนจะสูดลมหายใจเข้าไปใหม่อีกครั้งแล้วเอื้อมมือเปิดประตูรั้วของบ้านออกอย่างเบามือ

ไม่ๆ ผมไม่ได้มาย่องเบาบ้านตัวเอง ผมแค่อยากจะให้พ่อกับแม่ประหลาดใจ

แต่เอ่อ…จะประหลาดหรือลำบากนี่คงต้องดูอีกทีแล้วล่ะครับ

ผมถอดรองเท้าที่ประตูบ้าน แอบย่องเข้าบ้านอย่างที่คิดว่าเบาที่สุด เสียงโทรทัศน์ดังออกมาจนถึงด้านนอกทำให้ผมรู้ได้เลยว่า พ่อผมคงไม่แคล้วนั่งดูมวยอยู่แน่ๆ ผมยกยิ้มแล้วค่อยๆ ก้าวไปจนเห็นแผ่นหลังของพ่ออยู่บนโซฟา แล้วจัดการตะครุบไหล่ทั้งสองข้างของพ่อจนพ่อของผมสะดุ้งโหยงพร้อมกับคำอวยพรสารพัดที่ถูกพ่นออกมา

“แฮร่!”

“พ่อมึ_ตาย ไอ้ฉิบหาย %*&=@-& (&’ ;? :) @+@”

“ฮ่าๆ” ผมทรุดตัวลงหลังโซฟาแล้วหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังจนน้ำหูน้ำตาไหล ส่วนพ่อผมกลับยังยืนหัวฟัดหัวเหวี่ยงที่ผมเข้าไปทำให้แกตกใจ สีหน้าดำสลับแดงทำให้ผมพอจะรู้ได้ว่าตอนนี้พ่อกำลังโกรธขนาดไหน

ผมถอดกระเป๋าออกจากหลังแล้ววางมันเอาไว้บนพื้น ก่อนที่จะขยับตัวเข้าไปกอดพ่ออย่างเอาอกเอาใจพร้อมกับยิ้มประจบ แต่พ่อผมกลับสะบัดตัวออกอย่างรังเกียจ (?) ถลึงตาใส่ผมด้วยความไม่พอใจจากการที่โดนผมแกล้งเมื่อครู่

ขี้น้อยใจจังเลยนะพ่อผมเนี่ย

“กลับมาทำไมไอ้เวร!” เดี๋ยวนะ ทำไมการทักทายที่มีต่อลูกถึงเป็นคำถามแบบนี้ล่ะ? หรือมันเป็นเรื่องปกติของทุกบ้าน นั่นสิ ต้องเป็นแบบนั้นแน่อยู่แล้ว พ่อรักผมจะตายไป

“กลับมาเกาะพ่อกินได้ไหมพ่อ ผมกำลังตกงาน ข้าวก็ไม่ได้กิน หิ้ววว หิววว” แอบทำตาปริบๆ เหมือนลูกนกน่าสงสารให้พ่อที่กำลังทำหน้าเหม็นเบื่อใส่ผม

เดี๋ยวสิพ่อ ไอ้หน้าตาแบบนั้นมันไม่ควรทำใส่ลูกรักที่ห่างหายไปกว่าสามปีไหม ไหนความคิดถึง ไหนความเป็นห่วงเป็นใย?? พ่อผมตายด้านเหรอ?

“เรื่องของเอ็ง! ทำงานยังไงให้โดนไล่ออกวะ!” ผมยิ้มเจื่อน เหมือนกับว่ารอยยิ้มที่ติดอยู่บนใบหน้าคือการฝืนมันออกมา แค่นึกถึงมันแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้น ผมก็ออกอาการอีกแล้ว

ไม่ได้สิ จะมาทำตัวน่าห่วงแบบนี้ไม่ได้!

“แหมพ่อ…ลูกพ่อเป็นใคร ทำงานดีเวอร์วังขนาดไหนดูด้วย” พ่อกลอกตาใส่ผมทำไม? ผมพูดความจริงทั้งนั้น

“เรอะ? ถ้าทำงานดีมีเรอะที่เอ็งจะโดนไล่ออกมาแบบนี้” พูดไปพ่อผมจะเข้าใจไหมนะว่าผมลาออกเอง ไม่ใช่โดนไล่ออก ชาตินี้ทั้งชาติผมจะโดนไล่ออกไหมก็ไม่รู้ พอคิดถึงข้อความที่ไอ้ปาส่งมาขู่ผมก็ขนลุกแปลกๆ แต่ปล่อยผ่านไปดีกว่า ผมว่ามันคงส่งมาขู่แค่นั้น คงไม่มีอะไรหรอก อีกอย่างมันคงจะยุ่งวุ่นวายกับคู่หมั้นของมันมากกว่า ของเล่นอย่างผมเดี๋ยวเวลาผ่านไปสักเดือนสองเดือนมันก็คงลืมๆ ไปแล้วก็ได้ ไม่แน่นะครับ ตอนนี้มันอาจจะเจอคนใหม่แล้วก็ได้

“พ่อไม่รู้อะไร ลูกพ่ออินดี้ อยากใช้ชีวิตแบบไม่มีงานทำ กลับบ้านมาเกาะพ่อเกาะแม่กินต่างหาก วู้!” ผมลอยหน้าลอยตาตอบพ่อที่ถลึงตามองจนแทบจะถลนออกมาจากเบ้า

อะไรกัน แค่ลูกชายคนดีกลับมาขอเงินกินแค่นี้ต้องมองแรงขนาดนั้นเลยเหรอ โหดร้ายจริง!

“กลับไปทำงานเลยนะเอ็ง เงินข้า ข้าจะใช้กับเมียข้าสองคน!”

“นี่ลูกไหมพ่อ!!” นี่ลูกนะ ทำไมพูดเหมือนคนอื่นคนไกล อะไรคือเงินใช้กับเมียสองคน คนทั่วไปเขาต้องเอาไว้ให้ลูกใช้สิ! ใช้เองได้ไง!

“ก็ลูกไง หรือเอ็งไม่อยากเป็นแล้ว? เฮ้ย! ได้นะ เดี๋ยวข้าโทรบอกแม่เอ็งก่อน”

“พ่อ!!!” ไม่ได้โว้ยยยยย

ผมรีบทั้งดึงทั้งรั้งแขนขาพ่อผมไง้ ตอนนี้แทบจะกลายร่างเป็นเถาวัลพันพ่อเอาไว้ทั้งตัว เพราะกลัวว่าพ่อจะโทรไปบอกแม่แบบนั้นจริงๆ นี่ผมเริ่มงงแล้วนะครับ การที่ผมกลับบ้านมาพึ่งพิงใบบุญพ่อกับแม่ ทำไมอยู่ๆ กลายเป็นกำลังจะกระเด็นออกจากสถานะลูกไปได้ล่ะ แบบนี้ก็ได้เหรอ นี่ผมต้องเสียใจเรื่องไอ้ปาพร้อมกับต้องบีบน้ำตาร้องไห้อ้อนวอนพ่อไม่ให้ตัดผมออกจากวงศ์ตระกูลใช่ไหม

“ปล่อยขาข้านะไอ้นก ไอ้ลูกเวร!” เรื่องสิ ขืนปล่อยผมก็ต้องระเห็จออกไปนอนข้างถนนน่ะสิ

“ไม่มีทาง พ่อจะมาตัดผมออกจากวงศ์การ์ตูนไม่ได้”

“วงศ์ตระกูลโว้ย วงศ์การ์ตูนบ้านพ่อเอ็งสิวะ!” ผมเงยหน้าแล้วเอียงคอถามอย่างน่ารักน่าชัง

“ใช่สิ ก็บ้านพ่อไง ไม่ใช่บ้านแม่เสียหน่อย บ้านแม่ต้องขับรถไปอีกไกลเลยล่ะ”

โป๊ก!

“ไอ้เวร! ช้าด่าเอ็งโว้ยไม่ใช่คำบอกเล่า นี่ไปอยู่กรุงเทพสมองเอ็งไม่ได้พัฒนาขึ้นมาเลยใช่ไหม”

“พัฒนานะพ่อ ตอนนี้ผมสามารถเขียน กอไก่ถึงฮอนกฮูกได้จนจบเลยนะ!”

“ข้าล่ะเพลียกับเอ็ง พอๆ ข้าจะตายเพราะเอ็งแล้ว!” ผมเห็นพ่อทำท่าทางจะล้มลงจริงๆ จึงพยุงพ่อให้ไปนั่งดีๆ ก่อนจะวิ่งเข้าไปหยิบน้ำเย็นๆ มาวางให้พ่อ มองพ่อยกมันขึ้นดื่มแล้วหลับตาลงช้าๆ

เดี๋ยวสิ ถ้าพ่อเกิดตายไปทำไงล่ะ สมบัติผมก็ไม่ได้น่ะสิ ไม่ได้ๆ

“อะไร นี่อะไรของเอ็งอีก?” ผมดึงสมุดเล่มไม่เล็กมากออกมาจากกระเป๋าแล้วส่งให้พ่อพร้อมกับปากกาและรอยยิ้มบนใบหน้าของผม

“ก่อนจะ…ยังไงพ่อก็เขียนพินัยกรรมให้ผมก่อนนะ” พ่อผมอ้าปากค้างไปครู่หนึ่งก่อนจะถลึงตาใส่ผมหนักกว่าเดิมอีก

“ไอ้นก!!!” แต่ก็ยังมีแรงเรียกชื่อผม หรือนี่คือเรี่ยวแรงเฮือกสุดท้าย โธ่พ่อของผม น่าสงสารจริงๆ

“พ่อ อย่าตะโกนสิ เก็บแรงเฮือกสุดท้ายไว้ก่อน เขียนพินัยกรรมให้ผมก่อน ผมไม่เอาอะไรมากเลยพ่อ ผมขอแค่ เงินในบัญชี กับที่ดินที่สุโขทัยกับเชียงใหม่ให้ผมก็พอ อ๋อใช่พ่อ ขอบ้านหลังนี้ด้วยนะ ผมขี้เกียจขนของออก”

“กูยังไม่ได้จะตายโว้ย! ไอ้ลูกเวร!”

เซ็ง ตกลงผมก็ชวดสมบัติน่ะสิ ทำไมพ่อทำแบบนี้ล่ะ ทำไมพ่อต้องโกหก เอาความเป็นความตายมาทำให้ผมดีใจ เอ๊ย มาทำให้ผมตกใจได้ยังไง ดูสิ ผมหรืออุตส่าห์ค้นหาสมุดออกมาให้พ่อเขียนพินัยกรรม มีที่ไหนที่พ่อจะมาทำหน้าตาบึ้งตึงโกรธผมเสียยกใหญ่ ผมทำอะไรผิด ผมเป็นห่วงพ่อนะนี่ กลัวพ่อจะไปไม่หมดห่วง

“แล้วนี่ไอ้แมวไปไหนล่ะพ่อ ทำไมมันปล่อยพ่อให้อยู่บ้านคนเดียว”

แมวคือน้องชายของผมเอง มันเป็นเด็กอายุ22ที่…ค่อนไปทางแปลก แปลกจริงๆ นะ ผมว่าผมแปลกแล้วมันแปลกกว่าผมอีก ที่ผมบอกว่าแปลกคือรสนิยมของมัน ไอ้แมวมันเป็นผู้ชาย แต่กลับชอบคิตตี้สีชมพู ทุกอย่างของมันต้องเป็นคิตตี้เท่านั้น จะผ้าห่มหมอนมุ้งหรือเสื้อผ้าของใช้จุกจิกของมันก็มักจะเป็นลายคิตตี้เสมอ

ขนาดแก้วน้ำมันยังแยกออกไปใช้เองทั้งที่คนอื่นๆ เขาก็ใช้ร่วมกันในบ้าน แต่นี่ไอ้แมวมันกลับยอมเก็บเงินค่าขนมเพื่อที่จะซื้อแก้มน้ำลายแต๋วจ๋าที่มันบอกว่าเป็นสินค้าลิขสิทธิ์มีจำนวนจำกัดและราคาโคตรแพง แต่มันก็ซื้อ! มันบ้าหรือเปล่า ที่จริงเดินไปตลาดหน้าซอยบ้านเอาก็มีขาย แถมถูกกว่าเหมือนได้ฟรี แต่มันก็ไม่เอา ส่ายหน้าจนขนบนหัวแทบจะร่วงปากก็บอกว่ามันเป็นการเหยียดหยามคิตตี้ของมัน

เออ เอากับมันสิ

มีครั้งหนึ่งที่ผมเคยหลอกมัน เอาแก้วราคาไม่กี่ร้อยมาใส่กล่องของขวัญให้มันในวันเกิด พอมันแกะออกมาเห็นก็กรีดร้องสาวแตกจนผมนึกว่ามีน้องสาว แต่พอใช้ไปสองสามครั้งมันก็หลุดลอกตามคุณภาพของมัน พอมันรู้ความจริงผมก็ถูกเฉ่งจนแทบไม่ได้อยู่อย่างเป็นสุขเกือบอาทิตย์ เดือดร้อนผมต้องยอมกัดฟันทุบกระปุกออมสินไปซื้อมาชดใช้ให้มัน นั่นล่ะครับความสงบสุขของผมถึงกลับมา แต่ความทุกข์ก็มาเมื่อพบว่าเงินหมดเกลี้ยง

ผมจึงค้นพบแล้วว่าอย่างไรก็ไม่ควรเอาความชื่นชอบชื่นชมของมันมาล้อเล่น เพราะสุดท้าย คนที่ซวยก็คือผมเอง!!

“ยังไม่กลับหรอก เห็นมันบอกว่าวันนี้มีร้านมาเปิดใหม่ ก็คงเป็นร้านลายแมวต๊องๆ สีชมพูเหมือนเดิมของมันนั่นล่ะ” พ่อผมทำหน้าเซ็ง จะว่าปลงก็ไม่ใช่เสียทีเดียว ไหนจะสีหน้าตอนพูดถึงร้านกับลายโง่ๆ ที่ผมรู้สึกเหมือนพ่อผมกำลังด่าน้องของผมเอง ฟังแล้วมันก็ตลกดีครับ แต่อย่าให้เจ้าตัวมันมาได้ยินนะ เดี๋ยวเรื่องจะยาว

“มันไปตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะพ่อ”

“แหกขี้ตาตื่นตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่เลยมั้ง ทุกวันนี้ข้าก็ยังสงสัยอยู่นะว่ามันเป็นลูกชายหรือลูกสาวข้าวะ ทำไมของมันต้องสีหวานกับลายต๊องๆ แบบนั้นด้วย” ผมเข้าใจพ่อนะ ผมเข้าใจดีเลยล่ะ แต่ผมก็รู้สึกขำเหลือเกินครับกับสีหน้าที่บรรยายออกมาไม่ได้ของพ่อผม

“เอาน่าพ่อ พ่อน่าจะชินได้แล้วนะ มันชอบของมันมาตั้งกี่ปีแล้ว”

“เออ! มันชอบมากี่ปี เอ็งก็คูณจำนวนเงินที่มันปล้นจากข้าไปด้วยเลยไหม!” เนี่ยยยย พ่อผมยั่วง่ายไง ผมขำก๊ากออกมาอย่างอั้นเอาไว้ไม่อยู่ ที่จริงผมรู้ล่ะว่าที่พ่อเคืองนี่ไม่ใช่เพราะมันชอบอะไรแบบนี้หรอก พ่อผมเคืองเพราะมันมาตอดเอาเงินพ่อไปมากกว่า แต่จะเรียกว่าตอดก็ไม่ถูก นิสัยไอ้แมวมันเจ้าเล่ห์ มันชอบแบล็กเมลพ่อประจำ ความลับต้องเก็บไว้ให้เป็นความลับ เพราะถ้าไอ้แมวมันรู้ปั๊บ ความฉิบหายของกระเป๋าสตางค์จะมาเยือนทันทีเลยล่ะ

“แล้วพ่อให้มันไปทำไมล่ะ?”

“ก็ข้า! ...” พ่อทำหน้าตาเลิ่กลั่กจนน่าสงสัย ผมน่ะพอรู้อยู่หรอกว่าพ่อมีความลับ แต่ผมไม่เคยไปสืบไปรื้อไปค้นความเป็นส่วนตัวของพ่อไง แต่ไอ้แมวไม่ใช่ มันต้องหาเงินมาเพื่อน้องคิตตี้ของมันเอง มันดันรู้ไปหมดว่าใครมีความลับอะไร ขนาดผมยังเคยโดนเลย

“ว่าไงพ่อ?” หลุดปากมาสิพ่อ ผมจะได้รู้บ้าง

“ไม่ ไม่มีอะไร ข้าก็แค่สงสารมัน!” จ้าาา เป็นพ่อผู้แสนดีรักลูกขึ้นมาทันทีขนาดนี้ แสดงว่าเรื่องใหญ่ใช้ได้ แบบนี้ความเสือกของไอ้นกยิ่งทำงาน คันคะเยอไปทั้งตัวจนอยากจะเกามาก แต่ไม่รู้จะไปถามจากใคร ไอ้แมวเองก็คงไม่บอกผมหรอก ไม่อย่างนั้นมันคงถูกพ่อริบเงินคืน

โอ๊ย!!! ทำไมผมต้องเป็นคนเดียวที่ไม่รู้ด้วยนะ! ไม่ยุติธรรมเลย!

“อ้าวพี่นก! กลับมาบ้านทำไมล่ะเนี่ย?” ผมอยากจะร้องไห้ ทำไมน้องชายกับพ่อผมถึงมีคำถามแบบนี้ ผมกลับบ้านนี่มันไม่ดีเลยใช่ไหมครับ โฮๆ

“ก็บ้านพี่ไหม ถามเหมือนพี่ไม่ได้กลับบ้านตัวเอง”

“เฮ้ยๆ ข้ายังไม่ตาย บ้านนี้ยังเป็นของข้ากับเมียนะโว้ย ไม่ใช่ของพวกเอ็ง” ถ้าผมกลอกตาใส่พ่อจะบาปมากไหมครับ ทำไมพ่อถึงต้องหวงของอะไรขนาดนี้ล่ะนี่! ทุกอย่างเดี๋ยวมันก็เป็นของผมอยู่แล้ว ขี้งกจริงๆ

“เดี๋ยวมันก็เป็นของผมอยู่แล้ว” พ่อยกสมุดขึ้นมาจะคว้างมาใส่หน้าผม แต่ผมฉลาด ยึดไอ้คิตตี้ตัวใหญ่ที่ไอ้แมวมันอุ้มมา มาใช้เป็นเกาะกำบัง

“เย้ย!! พ่อ!! พ่ออย่านะ อย่าปามานะ!!”

โธ่น้องรัก ผมซึ้งใจจริงๆ ที่มันเป็นห่วงผม น้ำตาแทบจะไหลแล้วครับตอนนี้

“ไอ้แมว…พี่ไม่นึกเลยว่าเอ็งจะเป็นห่วงพี่ กลัวว่าพี่จะเจ็บขนาดนี้” ช่างเป็นน้องชายที่น่ารักอะไรขนาดนี้นะ ผมควรจะซื้อคิตตี้ชุดพิเศษให้มันใช่ไหมครับ

“บ้าเหรอ! ผมจะห่วงพี่ทำไมเล่า!” อ้าว ไอ้เวร…

“ก็เอ็งห้ามพ่อไม่ให้พ่อปาสมุดมาใส่พี่ไม่ใช่หรือไง!” ไอ้แมวเบ้ปากใส่อย่างไม่ค่อยพอใจ สายตาจิกกัดจนผมแทบจะแหว่งไปทั้งร่าง

“ผมห่วงน้องคิตตี้ของผมต่างหาก นั่นมันแพงมากนะ พี่น่ะจะเจ็บจะจุกก็เรื่องของพี่เถอะ! พ่อหยุดมือนะ! อย่าปามา ไม่งั้นผมจะเก็บเงินจากพ่อสองเท่าของราคาเลย!”

ดูเหมือนคำขู่ของไอ้แมวจะได้ผล พ่อมองหน้าผมอย่างแค้นเคืองแต่ก็จำเป็นต้องลดสมุดลงเมื่อสีหน้าไอ้แมวกดดันอยู่ เอ่อ จริงๆ เป็นผมก็ยอมวางนั่นล่ะครับ เพราะขืนให้มันเก็บเงินสองเท่า ผมว่าเป็นผมเองก็คงไม่เอา ไม่ขอเสี่ยงจะดีกว่า ไอ้แมวมีสีหน้าพออกพอใจก่อนจะตวัดสายตาใส่ผมแล้วแย่งเอาน้องคิตตี้ของมันกลับไปกอดเอาไว้อย่างทะนุถนอม อีคิตตี้มันเป็นพี่น้องของมันเหรอ ทำไมน้องชายของผมถึงรักถึงหวงมากกว่าผมที่เป็นพี่ชายอีกเล่า!!

แบบนี้มันได้ที่ไหนกัน! ผมยังเป็นพี่มันอยู่ไหม!

“นี่พี่ยังเป็นพี่ของแกไหมไอ้แมว ทำไมแกห่วงไอ้หน้าหนวดนั่นมากกว่าพี่วะ!” ผมเจ็บปวดมากนะ เจ็บปวดสุดๆ หัวใจผมเหมือนจะพังลงไปเมื่อเห็นน้องชายคนเดียวเอาแต่กอดไอ้ตุ๊กตาหน้าหนวดนั่น! อย่าเผลอก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้นกูเอาไปเผาทิ้งแน่!!

“พี่นก! อย่ามาว่าคิตตี้ของผมนะ หน้าพี่น่ะสิไอ้หน้าหนวด!” ดูสิ...แค่ด่าตุ๊กตามันว่าไอ้หน้าหนวดผมยังโดนมันด่ากลับมาเลย แบบนี้จะเรียกว่าพี่น้องกันได้อีกเหรอครับ ในเมื่อความห่วงใยและความรักน้องชายของผมมันเอาไปให้ไอ้ตุ๊กตาสีชมพูหวานแหววนั่นไปหมดแล้ว แล้วผมจะยังเหลือความสำคัญอะไรอีก!

“ดีๆ แกเห็นมันดีกว่าพี่ใช่ไหม!”

“ใช่!!” ผมโมโหมาก โกรธและน้อยใจจนอยากจะกระอักเลือดออกมาตายๆ ไป แต่ใครจะไปคิดกันล่ะว่าคำตอบจากไอ้แมวจะทำผมจุกได้มากกว่าที่เป็นอยู่

ตอนนี้ผมนึกอยากจะต่อสายหาแม่แล้วถามแม่ว่า สรุปแล้วผมใช่ลูกของแม่หรือเป็นแค่เด็กที่ถูกเก็บมาเลี้ยง

เจ็บจนอยากร้องไห้ น้องผมมันรักไอ้คิตตี้หน้าหนวดนั่นมากกว่าผมเสียอีก! มันทำแบบนี้ได้ยังไง!! ทำไมได้ยังไงกัน!!!

“พ่อ...ไอ้นี่ใช่ลูกชายพ่อแน่นะ ไม่ใช่ว่าตอนคลอดพ่อเอาไปสลับกับลูกของใครสักคนใช่ไหม” ไม่มีความรักพี่รักน้องแบบนี้ ลูกบ้านอื่นแน่ๆ

“ลูกข้านี่ล่ะ เอ็งเห็นไหมล่ะว่ามันเหมือนข้าจะตาย” จ้า เหมือนมากกกก อาการเห่อลูกคนเล็กนี่คือยังไม่หมดไปจากตัวพ่อผมอีกเหรอ คนอื่นเขาควรจะหมดไปตั้งนานแล้วหรือเปล่า ทำไมของพ่อผมมันยังไม่หมดไปสักทีล่ะ

“แล้วผมไม่เหมือนพ่อหรือไง” พ่อหันมามองหน้าผม มองจริงๆ ครับ มองแล้วก็คิด ลูบคางของตัวเองไปมาคล้ายกับคำนวณอยู่ว่าเหมือนไหม

ได้เหรอพ่อ ถ้าจะขนาดนี้ก็ตะโกนออกมาเถอะว่าไม่เหมือนน่ะ

“เอ็งดู...เหมือนแม่เอ็งนะข้าว่า เสียดายก็แต่แม่เอ็งไม่ได้ขี้เหร่เหมือนเอ็งนี่ล่ะ”

อุก...เจ็บสุดกระดองใจก็คำพูดพ่อนี่ล่ะ

ใครต่อใครมากมายว่าผมขี้เหร่นะ บอกว่าผมไม่หล่อบ้าง เหมือนพวกโรคจิตติดตามชาวบ้านเขาบ้างผมยังไม่รู้สึกมากมายเท่ากับที่พ่อบอกว่าผมขี้เหร่แบบอ้อมโลกก็ไม่อ้อม จะตรงก็ไม่ตรงเสียทีเดียว แบบนี้ผมยิ่งเจ็บมากกว่าเดิมเข้าไปอีก จบคำพูดพ่อผมก็ยืนอึ้งจนเรียกว่าใบ้แดกเลยทีเดียว ส่วนไอ้น้องในไส้ที่โผล่มาอยู่นอกไส้ก็หัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังอย่างพึงพอใจมากที่เห็นผมเงียบปากลงไปได้สักที

ที่เงียบนี่ไม่ใช่ว่ากลัวหรืออะไรนะ แต่เป็นเพราะหมดคำจะพูดจริงๆ ครับ จุกมากเลย

เพราะตัวผมก็ดันคิดไปด้วยว่า มันเป็นเพราะแบบนี้หรือเปล่าที่ทำให้ผมกับไอ้ปา เราไม่สามารถเดินไปต่อด้วยกันในทางเดียวกันได้ แต่ไม่ว่าจะเพราะหน้าตาผมหรือเปล่าที่เป็นปัญหา ผมก็ยังหลีกเลี่ยงความจริงที่ว่ามันมีคู่หมั้นอยู่แล้วไปไม่ได้ สิ่งที่เราสองคนต่างกันคงเป็นความจริงใจล่ะนะ เพราะผม...เมื่อยอมรับความรู้สึกแล้วก็จะจริงใจกับมันทั้งหัวใจ แต่กับมัน...คงไม่ใช่ เพราะถ้าหากว่าใช่ เราสองคนคงไม่...

อา ช่างมันเถอะ คิดไปก็มีแต่เจ็บเปล่าๆ ไม่ว่าสาเหตุจะคืออะไร ผมก็แค่ต้องถอยออกมา

“เฮ้ยไอ้นก! เป็นอะไรของเอ็งวะ ข้าพูดแค่นี้เอ็งถึงกับต้องซึมเลยเหรอ”

“พี่นก!! พี่ร้องไห้ทำไม!”

ผมร้องไห้งั้นเหรอ?

ผมเอื้อมมือที่สั่นออกมาแตะบนผิวแก้มของตัวเองเบาๆ สัมผัสความเปียกร้อนที่ไหลอาบผิวแก้มอย่างรวดเร็วด้วยความรู้สึกหลากหลาย ภาพตรงหน้าพร่ามัวไปด้วยหยาดน้ำตาที่คลออยู่ในดวงตา แปลกจริงๆ ทั้งที่ผมเพียงแค่คิด แค่คิดเล่นๆ เท่านั้นตามที่เหตุการณ์มันพาไป แต่ทำไมผมถึงร้องไห้ออกมากันล่ะ ทำไมกัน?

“ไม่...ไม่มีอะไร”

ก็แค่เจ็บ ที่น้ำตาไหลออกมามันก็แค่เจ็บ

เจ็บที่ไปรักคนที่ไม่อาจจะรักได้ เจ็บที่ต้องยอมรับความจริงว่าทุกสิ่งมันก็แค่ความฝันชั่วคราว ที่เขาแบ่งปันมันมาให้ ไม่ใช่โลกทั้งใบอย่างที่ผมเผลอคิดไป

“จะไม่มีอะไรได้ยังไงพี่นก พี่ร้องไห้ แล้วพี่ก็ตัวสั่นด้วย” ผมยกมือขึ้นมาจับแขนของตัวเองเอาไว้ คล้ายกับไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่แมวมันพูดกับผม

แต่มันจริงทุกอย่าง ร่างกายผมกำลังสั่นไปตามแรงสะอื้น ผมควบคุมหัวใจไม่ได้ ตอนนี้ก็ยิ่งควบคุมความรู้สึกและร่างกายของตัวเองไม่ได้ ผมพยายามทุกอย่าง ทั้งที่ผมพยายามยิ้มออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่น้ำตาพวกนี้กลับไม่ยอมหยุดไหลสักที มันเอาแต่ประจานความอ่อนแอของผมออกมาอย่างไม่คิดจะอาย

ต้องกี่ครั้ง อีกกี่ครั้งผมถึงจะชินกับมันเสียที

บอกกูหน่อยสิปา ต้องทำยังไงกูถึงจะหยุดรักมึงได้เสียที!











ตอนนี้ผมอยู่ในห้องของตัวเอง หลังจากที่ได้เข้าไปล้างหน้าล้างตาผมก็ได้เห็นว่าสภาพผมตอนนี้มันน่าเวทนาแค่ไหน ตาบวมไม่พอ จมูกยังแดงและคัดสุดๆ หายใจยากลำบากยิ่งกว่าเป็นหวัด ขอบตาก็แดงระเรื่อเมื่อเพิ่งผ่านการร้องไห้อย่างหนักมา

พ่อเอาแต่โทษตัวเองว่าเป็นคนที่ทำให้ผมต้องร้องไห้ ว่าผมเสียใจกับคำพูดเล่นๆ ที่พ่อพูดออกมา ส่วนไอ้แมวกลับไปที่ห้องแล้วโยนตุ๊กตาไว้บนเตียงโดยไม่คิดจะสนใจอีกเพื่อที่จะรีบลงมาหาผม มันเป็นคนพาผมขึ้นมาบนห้อง เป็นที่คอยถือกระเป๋าของผมขึ้นมาแล้วจัดของเข้าตู้ ผมรู้ว่ามันดูออกว่าผมไม่ได้เสียใจเรื่องที่พ่อพูด แต่มันมีอะไรมากกว่านั้น เพียงแต่มันเลือกที่จะไม่พูด ไม่ถามออกมาก็แค่นั้น

ซึ่งตอนนี้มันดีมากเลยนะ ผมยังไม่พร้อมจะตอบคำถามใดๆ เพราะผมกลัวว่าผมจะต้องร้องไห้ออกมาอีก

“พี่นก...” อา...ผมรู้ครับว่ามันอยากจะถาม สีหน้าของไอ้แมวมีความลังเลอยู่อย่างชัดเจน

รู้ว่ามันเป็นห่วง แต่เพราะรู้ถึงไม่อยากจะให้มันมารับรู้เรื่องที่จบไปแล้วของผม

“ไม่มีอะไรหรอก คงเหนื่อยมากไปล่ะมั้ง”

เหนื่อยมากไปเป็นข้ออ้างที่โคตรไร้สาระ คนเหนื่อยมากที่ไหนเขามานั่งร้องไห้อย่างผม มันไม่เชื่อหรอก แววตาของไอ้แมวไม่มีแม้สักเศษเสี้ยวที่จะเชื่อคำพูดผม มันถอนหายใจออกมาแล้วมองหน้าของผมด้วยแววตาจริงจัง ซึ่งผมทำได้แค่ยิ้มให้มันเท่านั้น บอกกับมีนผ่านรอยยิ้มว่าพี่ชายที่ชื่อนกคนนี้ ไม่เป็นอะไรเลย

“เอาเถอะ เมื่อพี่ไม่อยากจะเล่าผมก็จะไม่ถาม แต่พี่รู้ใช่ไหมว่ายังไงพี่ก็ต้องเล่ามันให้ผมฟัง” ผมเงียบ ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ แต่ผมก็รู้ดีว่ามันเป็นห่วงและผมก็ย่อมต้องทำอย่างที่ไอ้แมวมันพูดกับผม

ใช่...ยังไงผมก็ต้องเล่า

“มันไม่มีอะไรเลย ก็แค่เรื่องโง่ๆ” เรื่องโง่ๆ ของหัวใจผมที่รักคนที่ไม่สมควรจะรัก

ไปรักทั้งๆ ที่เขามีเจ้าของแล้ว

“หึ...ถ้าให้ผมเดา พี่คงอกหักมาล่ะสิ” ผมหันไปมองหน้าน้องชายตัวเองช้าๆ ไม่ผิดหรอกที่มันพูดมา จะเรียกว่าอกหักก็คงได้ ในเมื่อต่อให้ผมไม่ได้เป็นบอกเลิก มันก็คงบอกเลิกผมเองอยู่ดี ผมจะไปยืนอยู่ที่ตรงไหนได้ ในเมื่อข้างๆ มันไม่มีที่ว่างอีกแล้ว

ไม่อยากจะเชื่อว่าสองสามปีที่ผมคบกับมันมาในฐานะเพื่อน ผมจะไม่เคยรับรู้เรื่องนี้เลยว่ามันจะมีคู่หมั้นแล้ว แต่จะว่าไปมันก็คงไม่แปลก เพราะขนาดมันเป็นลูกชายเจ้าของบริษัทผมเองยังไม่เคยรู้เลย นับประสาอะไรกับเรื่องคู่หมั้นมันล่ะจริงไหม ยิ่งคิดถึงก็ยิ่งอยากจะหัวเราะเยาะเย้ยตัวเองที่โง่บัดซบ ปล่อยให้ความรู้สึกครอบงำความคิดจนเผลอลืมความเจ็บปวดที่มันโกหกเอาไว้ไป หลงคิดไปว่ามันจะไม่ทำให้ผมต้องเสียใจอีก

แต่แค่เพียงไม่นาน ไม่นานเท่านั้น...

ผมก็ต้องเจ็บยิ่งกว่าเดิม

“พี่โง่ใช่ไหม บอกแล้วไงว่ามันก็แค่เรื่องโง่ๆ” ผมเหยียดยิ้มออกมาส่งไปให้น้องชาย ทั้งที่พยายามจะเข้มแข็ง แต่ผมกลับไม่สามารถควบคุมความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาได้เลย มันจึงสะท้อนออกมาทางแววตา ทำให้ผมยิ่งดูน่าสมเพชเข้าไปอีก แต่แมวกลับถอนหายใจแทนการซ้ำเติม แววตาของมันมองเหมือนกับผมเป็นคนที่ไม่เคยรู้อะไรเลย

“ถ้ามันเป็นแค่เรื่องโง่ๆ ทำไมพี่ชายผมต้องมานั่งร้องไห้เสียใจกับเรื่องนี้ด้วยล่ะ?” เหตุผลง่ายๆ

“เพราะพี่ชายแกมันโง่ไงแมว”

คนที่ไม่โง่ เขาคงเจ็บแล้วก็จำ ไม่ยอมเดินเข้าไปเจ็บซ้ำอีกทั้งที่มีประสบการณ์มาแล้ว

“พี่นก พี่ไม่ใช่คนโง่หรอก เพราะคนที่โง่น่ะ เขาไม่รู้จักหรอกว่าความรักคืออะไร”





50%



น้องงงงงง ไม่เอาไม่ร้องนะคะลูก โธ่ เจ้าปานี่นาตีจริงๆเชียว มาทำให้น้องนกของแม่ร้องไห้ซะได้ ต้องตีๆๆ

ปากินนก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ sompong

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 355
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
บ้านนี้ในความเป็นจริง ถ้าไม่มีเรื่องสะเทือนใจ ตลกกันทั้งบ้านเลยหรือ
เอาน่านก อยู่กับพ่อแม่น้อง ก็คงดีขึ้นนะ อยู่กับตัวเองเดี๋ยวบ้า
สู้ๆ น้า

ออฟไลน์ llมว_น้oe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-4
“พี่นก พี่ไม่ใช่คนโง่หรอก เพราะคนที่โง่น่ะ เขาไม่รู้จักหรอกว่าความรักคืออะไร”

“...”

“พี่เป็นคนฉลาด ฉลาดที่เลือกจะเรียนรู้ความเจ็บปวด ความสุข และสิ่งที่จะได้รับกลับมาเมื่อมีรัก”

“ฮึก...” ผมปล่อยให้น้ำตาไหล ปล่อยให้ไอ้แมวมันเดินเข้านั่งข้างๆ บนเตียงแล้วลูบหลังของผมเบาๆ

“และเพราะพี่ฉลาด พี่ถึงเข้าใจมันและรู้สึกกับมันมากยังไงล่ะ”

“แมว ฮือๆ” ผมเอนศีรษะลงซบกับไหล่ของน้องชาย ทั้งๆ ที่มันก็ไม่ได้ตัวใหญ่ไปกว่าผม ไม่ได้สูงไปกว่าผม แต่แค่ผมได้พักพิงลงบนตัวมัน ผมกลับรู้สึกว่า นี่ล่ะคือความสบายใจ ผมสามารถอ่อนแอแค่ไหนก็ได้ มันจะไม่เหยียบผมซ้ำ แต่จะคอยพยุงผมขึ้นมาแล้วผลักดันให้ผมเดินต่อไป

“พี่ชายผมไม่ใช่คนโง่ คนที่สอนเรื่องพวกนี้ให้พี่ต่างหากที่โง่ยิ่งกว่า”

“ฮึก ฮือๆ”

“เพราะเขาทำให้พี่เรียนรู้จนจบและสามารถเริ่มใหม่ได้อย่างระวังตัว เขาต่างหากที่พลาด พลาดที่ปล่อยให้พี่เดินจากมา ทั้งที่พี่ชายของผมน่ะ...น่ารักขนากนี้” ผมถูกน้องชายตัวเองดึงแก้มทั้งสองข้างแล้วยิ้มกว้าง ส่วนผมได้แต่ตัวสั่นจากแรงสะอื้นมองใบหน้าของน้องด้วยความรู้สึกขอบคุณ มีแค่มันที่ทำให้ผมขนาดนี้ ทำให้ผมไม่ต้องรู้สึกแย่และโง่ลงไปมากกว่าเดิม

แม้ว่ามันจะติดตุ๊กตาติงต๊อง ชอบสีหวานแหววขนาดไหน แม้ใครๆ ต่างมองว่ามันเป็นตุ๊ด

แต่น้องชายผมในวันนี้...โคตรแมน

“พี่อยากลืม ฮึก อยากจะให้หัวใจพี่เลิกเจ็บสักทีที่ไปคิดถึงมัน” อยากหยุดรักมันให้ได้ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะทำได้ในเวลาเพียงแค่วันสองวัน

“ลืมไปทำไมล่ะพี่นก จำมันให้ขึ้นใจเวลามันตกลงมาตายพี่จะได้สมน้ำหน้ามันได้อย่างสะใจ ไม่ดีกว่าเหรอ” เดี๋ยวนะ ทำไมคำพูดมันเริ่มแปลกๆ ผมเช็ดน้ำหูน้ำตาออกแล้วมองหน้ามันดีๆ อีกครั้ง ผมอดขนลุกกับรอยยิ้มของมันไม่ได้ นี่คือน้องชายบ้าๆ บอๆ ที่ชอบถือตุ๊กตาตัวเท่าควายสีชมพูจ๋าอยู่ในบ้านคนนั้นเหรอ?

“นี่แกไม่ได้คิดจะใช้พี่ไปจับมันโยนลงมาจากตึกสูง หรือพามันขึ้นเครื่องบินแล้วผลักมันตกลงมาหรือว่า...” ยังพูดไม่ทันจบไอ้แมวก็ยกมือขึ้นห้ามความคิดเลยเถิดของผม

“เดี๋ยวๆ ผมว่ามันช่างไปกันใหญ่แล้วล่ะ ผมไม่ได้คิดให้พี่ไปทำแบบนั้นเสียหน่อย” อ้าว...ก็นึกว่าใช่ พูดเสียน่าคิดเชียว

“ไม่ใช่หรอกเหรอวะ”

“ก็ไม่ใช่น่ะสิ! ผมไม่ได้โง่ให้พี่ไปทำแล้วติดคุกหรอกนะ ขืนพี่ติดคุกพ่อแม่ก็แย่สิ”

“แมว...แกเป็นห่วงพี่” ผมรู้สึกซ้ำใจ มองใบหน้าของน้องชายด้วยความซาบซึ้งอย่างสุดใจ

“ที่ไหนกัน ผมแค่กลัวว่าจะต้องทำงานหนักแทนพี่ไปทั้งปีทั้งชาติต่างหาก!”

“ไอ้แมว! ไอ้เด็กบ้าตุ๊กตา!” ไอ้น้องเวร!

“ฮ่าๆ ไม่เอาน่าพี่นก อย่าไปเครียดดิ ผมก็แค่พูดไปอย่างงั้นเอง”

“ให้มันจริงเถอะ!” คงไม่ใช่ว่าปากพูดในใจคิดหรอกนะ เฮอะ! ซึ้งใจได้ไม่ถึงนาที โดนความกวนตีนของมันเบรคเสียหัวทิ่มหัวตำเลย

“ฮึบ! ผมไปนอนดีกว่า พี่เองเถอะ รีบนอนได้แล้ว” ไอ้แมวลุกขึ้นจากเตียงของผมแล้วบิดขี้เกียจเล็กน้อย

“ได้ แกก็อย่านอนดึกล่ะ”

“รู้แล้วครับ”

ผมเดินมาหน้าประตูเพื่อจะได้ล็อกห้องในตอนที่ไอ้แมวออกไปแล้ว แต่กลับต้องชะงักเมื่อไอ้แมวหันกลับมาหาผมด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ดวงตาวาววับแปลกๆ ชวนให้ไม่น่าไว้ใจสักนิด

“อะ อะไร?” สายตาไม่น่าไว้ใจ สายตาไม่น่าไว้ใจเลย

“ผู้ชายคนนั้น...”

“คนไหน?”

“คนที่มันทำพี่ร้องไห้อยู่ตอนนี้ไง” เอ๊ะ? เดี๋ยว มันรู้งั้นเหรอ

“ไอ้แมว แกพูดถึงใคร” ไม่ได้ ไม่จริงหรอก มันจะรู้ได้ไง

“หรือต้องให้ผมเรียกมันว่าแฟนพี่?” แม่ง...มันรู้จริงๆ ด้วย ผมหลบตามันกัดริมฝีปากจนแน่นระงับอาการสั่นของตัวเองเอาไว้

“แกรู้...” ไอ้แมวยักไหล่ สีหน้าคล้ายกับไม่ใช่เรื่องยากเย็น

“ทำไมจะไม่รู้ล่ะ พี่พูดถึงแต่มัน อยากลืมมัน ไม่อยากเจ็บเพราะมัน มีใครที่ไหนจิกเรียกผู้หญิงที่เป็นแฟนตัวเองว่ามันวะ” ผมใบ้แดกกับความผิดพลาดของตัวเอง นี่กลายเป็นว่าผมเปิดเผยความลับให้มันรู้ด้วยปากของผมเองงั้นเหรอ เจ็บใจชะมัดเลยแบบนี้

“เอาเถอะ ผมไม่คิดจะยุ่งหรอก แต่บอกไว้ก่อน เจอเมื่อไหร่ผมซัดไม่เลี้ยงแน่!”

“อุบ ฮ่าๆ” ผมเห็นท่าทางชวนหาเรื่องของไอ้แมวแล้วมันก็อดขำไม่ได้ ตัวมันก็เท่าผม รูปร่างก็ไม่ต่างกัน จะไปต่อยตีกับไอ้ปาผมว่าคงยาก ลักษณะเลยคล้ายกับลูกแมวตัวเล็กๆ ที่ขู่ฟ่อ พองขน โก่งตัวขึ้นขู่คำรามใส่ราชสีห์ นึกภาพออกมาแบบนั้นผมเองก็หยุดขำไม่ได้ แต่เห็นสายตาที่น้องชายแสนดีของผมส่งมาให้ผมก็เอามือปิดปากไว้ทั้งๆ ที่ยังคงขำไม่หยุด แล้วพยักหน้ารับให้ว่าไม่ขำอีกแล้ว มันถึงยอมเดินกลับไปห้องนอนตัวเอง

จะว่าไปน้องผมก็น่ารักนะครับ เวลาแบบนี้ ถ้าหากผมไม่เสียใจ วันนี้ไม่ร้องไห้ ไม่รู้ว่าตัวผมเองจะมีวันได้เห็นความน่ารักจากมันแบบนี้ไหม หรือผมควรจะขอบคุณไอ้ปาดี

ไม่สิ จะไปขอบคุณมันทำไมกัน

สงสัยว่าผมควรจะเข้านอนได้แล้วสินะ จะได้เลิกคิดฟุ้งซ่านเสียที

ผมล็อกประตูเรียบร้อยก็กลับเข้ามาที่เตียง ทิ้งตัวลงนอนอย่างแรงโดยไม่กลัวว่าจะเจ็บเลยสักนิดเดียว ในตอนนี้ไม่มีที่จะทำให้ผมเจ็บได้เท่ากับอาการตกค้างในหัวใจอีกแล้ว ตราบเท่าที่ผมยังไม่สามารถลบความเจ็บปวดที่มีอยู่ในหัวใจให้ออกไปได้จนหมด ความเจ็บไหนๆ ผมก็ไม่เคยนึกกลัว

ผมหยิบเอามือถือออกมาจากกระเป๋า มองแสงจอที่สว่างจนเห็นรูปคู่ที่ถูกตั้งเอาไว้เป็นภาพหน้าจอ รูปที่ผมกับมันถ่ายเอาไว้ก่อนที่เราจะหยุดความสัมพันธ์ลงไป ผมอดไล่ปลายนิ้วลงไปบนรูปหน้าของไอ้ปาไม่ได้ อดใจหายกับสายตาที่อยู่ในรูปตอนนี้ไม่ได้เลยสักนิด

แปลกนะ ทั้งที่เรารู้ดีว่าสิ่งไหนที่ทำให้เราเจ็บมากขึ้น หรือสิ่งไหนที่จะทำให้เราหลุดพ้นจากมันได้ แต่คนเราก็มักจะเลือกทำในสิ่งที่เจ็บ อย่างผมเอง...ทั้งๆ ที่ผมเองก็รู้ว่าการที่ผมเอาโทรศัพท์ออกมาจะต้องเห็นรูปของเรา แต่ผมก็ทำ ทั้งๆ ที่รู้ว่าตัวผมรับมันไม่ไหว ทั้งๆ ที่ผมรู้ดีว่าตัวเองจะต้องเสียน้ำตาอีก แต่ผมก็ยังอยากจะเห็นหน้ามัน ผมไม่สามารถ...หยุดรักมันได้จริงๆ

ไอ้ปาเป็นผู้ชายคนแรกและคนเดียวที่สามารถทำให้ผมรักมันได้ขนาดนี้ และเป็นคนเดียวที่สามารถทำให้ผมเจ็บได้ขนาดนี้เช่นกัน ตัวของมันเองก็คงไม่รู้หรอกว่าผมเจ็บมากแค่ไหน คิดถึงมันมากเท่าไหร่ ต้องทนทรมานกับความรักที่มันเอามาเล่นกับผม เอามาทำให้ผมกลายเป็นคนที่อยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีมัน

มันเก่งจริงๆ ทั้งที่ผมไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะรู้สึกกับใครได้มากมายขนาดนี้

เก่งเหลือเกินที่ทำให้ผมรู้สึกทรมานจนเหมือนคนใกล้ตายได้

ไอ้ปา...มึงแม่งเก่งจริงๆ วะ เก่งมากจนกูทนแทบไม่ไหวแล้ว

การที่มันทำให้ผมตกลงรับรักกับมันได้ ทำให้ผมยอมรับในตัวมันและเริ่มก้าวไปข้างหน้าอีกครั้งได้ มันไม่ง่ายเลย ผมเป็นคนที่ฝังใจ เป็นคนที่โดยปกติผมจะหวาดกลัวถ้าหากคนคนนั้นเคยทำให้ผมเจ็บมาก่อน ผมจะดึงตัวเองออกมาห่างๆ ไม่ยอมเข้าไปใกล้อย่างที่ผมไว้ใจมัน ไม่เคยเลยสักครั้ง ผมจึงได้เจ็บมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว เพราะผมเป็นคนเลือกเองว่าจะเชื่อใจ แล้วผลสุดท้ายก็กลายเป็นผมเองที่เจ็บซ้ำๆ ไม่เคยคิดจะจำ

ใช่สินะ ผมไม่ได้โง่เสียหน่อย

“ฮึก...กูไม่ใช่คนโง่ ไอ้นกคนนี้ ฮือ ไม่ใช่คนโง่”

ผมไม่ใช่ และไม่มีวันใช่

“มึง ฮึก ต่างหาก ฮือๆ ที่โง่ มึงมันโง่ไอ้ปา”

ผมปล่อยให้ตัวเองร้องไห้ไปเรื่อยๆ ให้ความรู้สึกกลั่นกรองออกมาเป็นหยาดน้ำตา ดีกว่ากลายเป็นแผลกัดกินหัวใจของผมจนไม่เหลือชิ้นดี เสียงของไอ้แมวดังอยู่ในหัวของผมตลอด ราวกับเป็นสิ่งที่กำลังปลอบประโลมผมไม่ให้เจ็บไปมากกว่านี้ หัวใจของผมเหมือนถูกมือบอบบางที่มองไม่เห็นค่อยๆ ประคองเศษเสี้ยวที่แตกละเอียดขึ้นมาช้าๆ ค่อยๆ เป่าความเจ็บปวดให้ผมแล้วถามผมว่า

เจ็บมากไหม ไม่เป็นไรนะ

ทั้งๆ ที่มันคือความเจ็บปวด ทั้งๆ ที่เพียงแค่มองภาพรอยยิ้มของเราสองคนที่หน้าจอมันก็ยิ่งทำให้ผมเจ็บ แต่ผมกลับรู้สึกว่า มันก็แค่ความรู้สึกเท่านั้นที่เจ็บปวด เป็นการสั่งการของหัวใจที่ส่งไปยังสมองให้ผมต้องทรมานกับความเจ็บนี้ ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงแล้ว ผมไม่ได้มีบาดแผลใดๆ เลย

แล้วผมจะเจ็บขนาดนั้นได้ยังไงกัน

มันก็แค่ความเจ็บปวดที่ไม่มีตัวตน ไม่มีบาดแผลเป็นเครื่องยืนยัน

มันคงไม่น่าจะนานเท่าไหร่...ที่ผมจะได้หายดี















ผ่านไปไม่นานผมก็อยู่ที่นี่มาเกือบจะเดือนหนึ่งแล้ว แต่ผมก็ยังรู้สึกว่าตัวเองเพิ่งจะกลับมาได้ไม่นานเท่าไหร่ เหมือนมันเพิ่งจะผ่านมาสองสามวันเท่านั้น นี่ก็เท่ากับว่าผมกับไอ้ปาไม่ได้ติดต่อกันมาเกือบจะหนึ่งเดือนแล้วสินะ มิน่าล่ะ ผมถึงได้หน่วงๆ ในหัวใจแปลกๆ เพราะเหมือนกับว่าตัวผมไม่มีความสำคัญกับมันมากพอที่มันจะหาวิธีติดต่อผมนี่เอง แต่ถึงอย่างไรผมเองก็ไม่ได้อยากให้มันติดต่อมาอยู่แล้ว

ใช่สิ ผมไม่ได้ต้องการให้มันติดต่อผมมาเสียหน่อย

ไม่ได้ต้องการเลยสักนิด

ผมถอนหายใจ การทะเลาะกับตัวเองมันดูบ้าบอคอแตกจนอดคิดไม่ได้ว่าหรือทุกวันนี้ผมจะเสียใจเพราะมันจนกำลังจะเป็นบ้าไปแล้ว

“เฮ้อ...” รอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ แต่ผมก็ยังรู้สึกว่า

“เฮ้ออ...” ผมควรถอนหายใจต่อไป

ทำไงได้ล่ะครับก็อารมณ์ผมมันไม่ได้อยู่ในช่วงที่ปกตินี่นา ตอนนี้ถึงได้มานั่งถอนหายใจเป็นบ้าเป็นหลังอยู่แบบนี้ไงล่ะ ใครจะปลอบผมด้วยคำพูดสวยหรูแค่ไหนมันก็ใช้ได้เพียงแค่ช่วงแรกๆ เท่านั้นล่ะ หลังจากนั้นมันก็ไม่ต่างกับสายลมที่พัดผ่านไปมาไม่มีตัวตน ไม่ได้ซึมซับเข้าไปในหัวใจสักนิด อาการของผมในตอนนี้ถ้าจะเรียกสวยหรูก็คือไข้ใจ

เรียกแบบบ้านๆ ก็คือ คิดถึงจนแทบบ้า เพราะไม่ได้พบไม่ได้เจอถึงได้เหงาหงอยเป็นแมวถูกทิ้งอยู่แบบนี้

อา ไม่ได้สิ ยังไงๆ แมวมันก็น้องผม ทิ้งไม่ได้หรอก (แม้ว่าจะอยากก็ตามที)

“พี่นกเป็นอะไรวะเชี่ยแมว?”

เสียงใคร ใครถาม??

“เป็นบ้า มึงไม่ต้องไปสนใจหรอก เดี๋ยวพี่นกมันเลิกบ้ามันก็หายเอง”

อ๋อ เสียงเพื่อนน้องผมนี่เอง

“เฮ้อออ...” ผมก็ยังคงทอดถอนใจต่อไปอย่างไม่แคร์สื่อ ในสายตาของไอ้พวกเด็กน้อยทั้งหลายนั่นจะมองยังไงก็ช่างมันเถอะ ตอนนี้ผมทำได้แค่ถอนหายใจนี่จะทำไงได้ คงต้องถอนหายใจต่อไปเผื่อว่าบางทีมันอาจจะรู้สึกดีขึ้นมาบ้างก็ได้

“กูว่าพี่มึงอาการหนักแล้วนะ ไม่พาไปหาหมอวะ” ไอ้แมวปรายตามาหาผม ก่อนจะทำสีหน้าเซ็งจิตสุดๆ

“หมอที่ไหนก็ช่วยไม่ได้หรอก ถ้าไม่ใช่ไอ้หมอนั่น” คำสุดท้ายไอ้แมวมันพูดเสียงเบาหวิวจนแทบไม่ได้ยิน

“หือ? มึงว่าอะไรนั่นๆ นะ?” แต่เพื่อนมันเสือกหูดี ได้ยินทีก็ไม่เต็มประโยค

“เปล่าๆ เอ้า ทำๆ อย่าหยุดมือสิวะ จะรอให้อาจารย์มาแดกหัวตอนงานไม่เสร็จเหรอ” ผมรู้น้องกำลังเหนื่อย กำลังเร่งปั่นงาน แต่ผมก็ไม่มีกะจิตกะใจจะไปช่วยใครเลยตอนนี้ ถ้าให้ไปช่วยคงไม่แคล้วทำงานมันพัง ไม่ก็ไปเป็นภาระให้มันทำงานหนักกว่าเดิมแน่ๆ

“ห่า...กูเครียดกับงานแล้วยังต้องมานั่งเครียดกับพี่ตัวเองอีก ชีวิตไอ้แมวจะมีเรื่องดีๆ บ้างไหมวะ”

“มีพี่เป็นพี่นี่ไงเรื่องดีๆ ของแก”

มันอดไม่ได้จริงๆ ครับ ว่าจะนั่งถอนหายใจต่ออยู่หรอก แต่ดูมันพูดสิ ไอ้แมวเบ้ปาก กลอกตาไปมาราวกับว่าสิ่งที่ผมพูดมันไม่จริงเลย

มันออกจะจริง ใครที่ไหนจะมีพี่ชายแสนดีอย่างผม ไม่มีหรอกนะ หาไม่ได้อีกแล้ว

“มีพี่เป็นพี่นี่สิถึงจะเรียกว่าเรื่องซวยๆ” ผมฉุนมาก ฉุนสุดๆ จนต้องลุกขึ้นยืน

“ซวยตรงไหน หา!! พูดดีๆ นะไอ้แมว” พูดไม่ดีโดดตีปากแน่ๆ งานนี้รับรองว่ามีเจ็บ!

“จะเอาตรงไหนดีล่ะ แทนที่เป็นพี่เขาจะปลอบน้อง ช่วยน้อง นี่อะไร อกหักมาทีผมต้องเป็นคนปลอบ เฮอะ!” พวกเพื่อนมันตาโตแทบจะถลนออกมา แล้วหันมามองหน้าผมสลับกับไอ้แมวอย่างสงสัย

อย่าสงสัยมาก ไม่ใช่เรื่องของพวกเอ็งเลยสักคน ทีเรื่องของคนอื่นนี่หูผึ่งกันเหลือเกินนะ

“ใครอกหักวะ ไม่มีเสียหน่อย!” ผมเชิดหน้าหนีไม่สนใจสายตาทั้งหลายแหล่ของเพื่อนมัน ไม่อยากจะต้องยอมจำนนแม้จะจนด้วยหลักฐานก็ตามที ผมยังคงตีเนียนว่าเป็นคนปกติ ดีๆ ชิวๆ ไม่ได้อกหักอะไรกับใครเขา

“เหรออออ ไอ้คนที่มันร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลังอยู่วันก่อนนี่ใครวะพี่นก ใครวะ” กูนี่ล่ะ จะใครอีก แต่ให้ยอมรับเหรอ? ไม่ล่ะ ไม่ใช่ผมหรอก

“จะไปรู้แกเรอะ แกอาจจะไปฟันสาวที่ไหนแล้วเขามาร้องไห้ก็ได้ ใครจะไปรู้”

โยนความผิดให้น้องคืองานถนัดของผมเอง

เป็นไง ผมหล่อไหมล่ะ

“เฮ้อ...ไอ้เพี้ยน! พี่เพียวยังอยู่ที่บ้านไหมวะ” ไอ้แมวมันหันไปถามตะเพียน เพื่อนของมันถึงพี่สาวที่บ้าน

“ก็ยังอยู่ ทำไมวะ?”

“กูจะเอาพี่ชายไปบริจาก เผื่อพี่มึงอยากแดกนกขึ้นมา” อะ ไอ้น้องเวรตะไล นี่มันจะเอาผมไปให้คนอื่นทอดกรอบราดน้ำจิ้มชุ่มๆ กินเหรอ ชั่วช้าที่สุดดดดดดดด

“เดี๋ยวนะไอ้แมว พี่กูเป็นมัง ไม่แดกเนื้อสัตว์ อย่าว่าแต่นกเลย มดพี่กูก็ไม่แดก” เดี๋ยวนะน้องเพียน สีหน้ารังเกียจเดียดฉันท์ปานนั้น นี่พี่เคยไปขี้บนหลังคาบ้านน้องเหรอครับ

กูเริ่มงงแล้วว่านี่เพื่อนน้องชายหรือศัตรูแต่ชาติปางก่อน

“งั้นพี่มึงล่ะไอ้พาบ”

“พี่กุ้งของกูเป้นสัตว์น้ำ แดกเฉพาะพวกหน้าตาน่าฟัดวะ” ตะพาบหันมามองหน้าผมแล้วก็ถอนหายใจพร้อมกับส่ายหน้าราวกับจะบอกว่าไม่ไหวหรอก

ความหมายของน้องคือพี่หน้าเหี้ยสินะ

“พี่นก! พี่ควรจะสำรวจตัวเองได้แล้วนะว่าตอนนี้พี่เป็นยังไง พี่คิดดูนะว่าเพื่อนผมทุกคนแม่งไม่มีใครอยากเอาพี่กลับบ้านสักคนเลย นี่ถ้าผมยกพี่ให้พวกมันไปไม่แน่ว่ามันคงเอาพี่ไปโยนทิ้งเป็นก้อนขี้หมาอยู่หน้าปากซอยก็ได้!!”

เพื่อนมันด่ายังไม่รู้สึกเท่าไหร่ ทำไมคำพูดน้องผมที่พูดมารู้สึกรับไม่ได้ยังไงไม่รู้ รู้สึกเหมือนถูกจับตีหัวแต่ไม่สลบแล้วพาไปฝังดินทั้งที่ยังตื่นอยู่ ผมควรจะรู้สึกยังไงครับ เพราะความรู้สึกของผมตอนนี้ มันเลยคำว่าจุกไปไกลแล้ว ไกลขนาดที่ว่านั่งเครื่องบินหารอบโลกแม่งก็หาไม่เจอหรอก

” ก่อนหน้านั้นก็ขอถามมึงหน่อย พวกมึงมีชื่อกลุ่มกันไหม?” พวกมันสามคนหันไปมองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจ ตอนแรกคุยๆ กันอยู่ก็เรื่องผมอยู่หรอก แต่ผมดันพาเบี่ยงประเด็นไปทางเรื่องชื่อกลุ่มพวกมันเสียย่างนั้น

จริงๆ ก็ไม่ได้อะไรหรอกนะ แต่เห็นชื่อพวกมันแต่ละคนแล้วเกิดความคิดชั่วๆ เอ๊ย หมายถึงชั่ววูบขึ้นมาเท่านั้น

“ไม่มีหรอก มีไปทำไมวะพี่นก นี่พวกผมไม่ใช่เด็กสามขวบที่คิดชื่อแก๊งไปตีกับเด็กข้างบ้านนะเว้ย” ไอ้แมวมองผมด้วยสายตาประหลาด ประมาณว่ากูโตแล้วนะ ทำไมถามอะไรปัญญาอ่อนออกมาไม่อายหนังหน้าตัวเองบ้าง

เดี๋ยวสิ ทำไมผมแปลภาษาจากสายตาของมันออกมาแล้วเจ็บแบบนี้ล่ะ ถ้าจะขนาดนี้ ด่ามาตรงๆ เถอะ กูยังเจ็บน้อยกว่ามานั่งแปลเองเลย

“พวกแกก็ควรมีไหมล่ะ ชื่อกลุ่มมันออกจะเท่นะ ไม่อยากมีบ้างเหรอ” พวกมันสามคนพร้อมใจกันส่ายหน้ามาก ไม่คิดจะฟังสักนิดว่าผมคิดชื่ออะไรไว้ให้

“ไม่ล่ะ ขอบคุณมาก แต่พี่เก็บเอาไว้ตั้งกลุ่มพี่เถอะวะ” พูดแบบนี้คิ้วผมก็กระตุกยิกๆ เผลอนึกถึงพี่หนูกับพี่อาร์ตไปเสียได้ แต่ก็ใช่ว่าผมจะมาโดยไม่ล่ำลาเสียหน่อยนี่เนอะ ยังไงก็จากกันด้วยคำลาไปแล้ว คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง พี่หนูกับพี่อาร์ตคงไม่โกรธหรอก ฮะๆ

“สักนิด...พี่อุตส่าห์คิดให้แล้ว” สักนิดเถอะ อย่าให้ชื่อกูต้องเป็นหม้ายคันปากเลยนะ

“ไม่เอา! พี่แม่งไว้ใจได้ที่ไหน ดูแต่ละชื่อที่พี่คิดให้ไอ้พวกลูกแมวที่โรงเรียนตอนเป็นเด็กดิวะ” ทำไมวะ ผมลองนึกๆ แล้วมันก็ไม่ได้แย่นะ

“พวกมันก็ออกจะชอบใจมากนี่” ไอ้แมวกลอกตาไปมา แล้วย้อนความทรงจำให้ผม

“ชอบดิพี่นก ชอบฉิบหายเลย วันต่อมาแม่งเลยกระโดดให้รถชนตายห่ายกคอกเลยไง”

“...”

“...”

เออวะ...มีเรื่องแบบนั้นด้วยนี่เนอะ ตอนนั้นจำได้ว่าหลังจากที่ผมตั้งชื่อให้พวกมัน วันต่อมาก็ได้ยินว่ามันพร้อมใจกันกระโดดให้รถชนตายยกคอก ผมยังเสียใจไม่หาย เลยอดเรียกชื่อที่แสนไพเราะของพวกมันเลย

“เดี๋ยวนะ พี่นกพี่ตั้งชื่อพวกมันว่าอะไรกันแน่วะ” ไอ้ตะเพียนมีสีหน้าหวาดๆ แต่ก็ยังอยากรู้ ซึ่งผมบอกได้เลยว่า...

“ลืมไปแล้วล่ะ ชื่ออะไรก็ไม่รู้ นึกไม่ออก” ผมลืมไปจริงๆ นะ ไม่ได้โกหก มันเหมือนติดอยู่ที่ปากแต่ไม่สามารถพูดออกมาได้

“เดี๋ยวกูบอกเอง พี่นกมันตั้งว่า ไอ้ลูกเหม็น ลูกเห็บ ไอ้ฉี่หมา ตัวสุดท้ายนี่คือเหม็นหึ่ง”

“...”

“...”

ทำไมเงียบกริบ ชื่อก็ออกจะดูดีนะ ไม่ได้แย่อะไรถึงขนาดต้องมากระโดดให้รถชนตายเสียหน่อย

“กูเข้าใจล่ะ...” พาบมันถอนหายใจแล้วพยักหน้าเหมือนเข้าใจอะไรบางอย่าง

“เข้าใจแล้วใช่ไหมว่าทำไมกูไม่อยากได้ชื่อจากพี่นก” ชื่อออกจะดี

“เออ...ถ้าเป็นกูยอมตายตั้งแต่พี่มึงตั้งล่ะ ไม่รอให้เช้าหรอก ชื่อแม่งโคตรเหี้ย!” ไอ้แมวกับไอ้เพียนทำสีหน้าปลงตก เห็นพวกมันแล้วผมก็หมั่นไส้ไม่ได้ ชื่อของผมออกจะดูดี พวกมันหูไม่ถึงไงถึงไม่เข้าใจความคลาสสิกของชื่อพวกนี้

เฮอะ! ไอ้น้องทรยศ

เชิญพวกมึงนั่งเป็นแก๊งสัตว์โลกผู้น่ารักต่อไปเถอะโว้ย!





TBC



โถๆๆ วงวารน้องนกเหลือเกินลูก คนพวกนั้นจิตใจทำด้วยอะไรถึงมาว่าน้องนกของแม่แบบนี้ แต่เอ่อ ลูกคะ แม่ว่าชื่อมันก็แปลกไปนิดนึงนะคะลูก ดึงดราม่ามากไปไม่ได้ ต้องแทรกไปด้วยเสียงหัวเราะ เอาแบบร้ำไห้พร้อมกับหัวเราะไปเลย!! (คนบ้าอะไร) รักนก หลงนก เพี้ยงๆๆ

ปากินนก

ออฟไลน์ sompong

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 355
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
นกเอ๋ย จงนกต่อไปเถอะ ขนาดเพื่อนๆน้อง ยังส่ายหน้ากันทุกคนเลย
 :m20: :m20:

ออฟไลน์ llมว_น้oe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-4
[14]

ตอนที่ 14.

 นกกับชายที่อยู่ข้างบ้าน 

หลังจากที่อารมณ์เสียกับน้องชายตัวดีและพวกเพื่อนๆ ของมันไปแล้วหลายนาที ผมก็กลับมานั่งอยู่จุดเดิม มุมเดิมแล้วเหม่อลอยอีกครั้ง แปลกที่ผมควรจะเลิกปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับเรื่องในอดีต ควรจะทำให้ตัวเองไม่ว่างพอจะต้องมานั่งนึกย้อนเรื่องอะไรก็ตามที่มันบั่นทอนจิตใจ แต่หัวใจคนเรามันบังคับยากเหลือเกิน เพราะเพียงแค่ครู่เดียว เรื่องราวของผมกับไอ้ปาก็ย้อนกลับเข้ามาฉายใหม่ซ้ำๆ ทั้งสุข ทุกข์และเศร้า มันเวียนวนกลับมาไม่จบไม่สิ้นจริงๆ

พ่อเดินเข้ามาในบ้านพร้อมกับของสดมากมาย มันนานมากแล้วที่ผมไม่ได้เห็นพ่อซื้อของสดเข้ามาในบ้านแบบนี้ มันเป็นเพราะผมเองที่ไปทำงานไกลบ้าน แม้จะคิดถึงแต่ก็กลับมาไม่ได้ แต่วันนี้พ่อเดินถือของสดมากมายเข้ามา ใบหน้าแสดงออกถึงความใจดีที่ผมไม่ค่อยได้เห็น เพราะส่วนใหญ่พ่อของผมจะตีหน้าเข้ม ดึงอารมณ์ให้ดุเข้าไว้ก่อนเสียมากกว่า ครั้งนี้คงมีเรื่องอะไรพิเศษเกิดขึ้นแน่ๆ

เอ๊ะ! หรือแม่กำลังจะกลับจากบ้านคุณยาย

หรือเจ้าแมวมันได้A+

หรือว่าพ่อผมถูกหวยแล้วกลายเป็นเศรษฐี

ไม่ได้! ถ้าพ่อผมถูกหวยอย่างน้อยมันต้องมีส่วนแบ่ง แต่ตอนนี้ต้องหาคำตอบให้ได้ก่อนว่าพ่อผมเป็นอะไร

“พ่อ ซื้ออะไรมาเยอะแยะขนาดนั้น จะเลี้ยงคนทั้งหมู่บ้านเหรอ บ้านเรามีกันแค่สามคนเองนะ” ผมหรี่ตามองการกระทำของพ่อผม ที่ดูเหมือนว่าจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ

“ใครบอกว่าข้าจะทำให้เอ็งกบไอ้แมวกินกันวะ” อ้าว...แบบนี้ยิ่งน่าสงสัย

หรือพ่อจะถูกหวยจริงๆ โอ้ไม่นะ นี่ผมกำลังจะรวยเหรอ!

“พ่อ! พ่อรีบบอกมาเลย มาบอกเลยนะว่าพ่อถูกหวยใช่ไหม!!” พ่อผมอ้าปากค้างกับสิ่งที่ผมถามก่อนจะได้สติจึงถลึงตาใส่ผมแทน

ผมพูดอะไรผิด หรือผมจะออกนอกหน้ามากเกินไป?

งั้นเอาใหม่...

“พ่อจ๋า พ่อคนดี๊คนดี สามีสุดหล่อของแม่ บอกนกสิครับว่าพ่อถูกหวยรางวัลไหน นะๆ เดี๋ยวนกบีบนวดให้” แต่พ่อกลับทำท่าทางรังเกียจใส่ผม ประหนึ่งว่าผมคือก้อนขี้ที่ติดรองเท้ามา

นี่ลูกไง พ่อจะมารังเกียจผมแบบนี้ไม่ได้!!

“ถูกรางวัลบ้านเอ็งสิ ถ้าข้าถูกรางวัลจริง เอ็งคงไม่เห็นข้าเดินเข้าบ้านมาแบบนี้หรอก ข้าหอบเสื้อผ้าพาแม่เอ็งหนีไปนานแล้ว” ใช่เหรอพ่อ ไอ้สองหน่อนี่ก็ลูกไหมครับ หอบเมียหนีเขาใช่กับเหตุการณ์ที่พ่อตาไม่ยอมให้แต่งงานไม่ใช่เอามาใช้กับลูก

ทำไมผมปวดหัวกับพ่อผมที่เริ่มอาการติดเมียและหวงเมียหนักขึ้นทุกๆ วันล่ะครับ

ผมควรเครียดเรื่องอื่นบ้างนะ ไม่ควรจะมารับรู้เรื่องรักๆ ของพ่อกับแม่

“แล้วนี่ตกลงว่าพ่อเอาของพวกนี้มาทำอาหารเลี้ยงใคร?” ก่อนที่จะรู้สึกว่าอาหารที่กินไปเมื่อตอนเที่ยงเริ่มเป็นพิษผมจึงต้องทำภารกิจ สืบเสาะ (เสือก) เรื่องของพ่อต่อไป

พ่อผมถอนหายใจมองผมที่ตั้งหน้าตั้งตาสืบสาว (เสือก) อย่างไม่ลดละ แถมมองตาใสด้วยอาการตื่นเต้นประหนึ่งว่านี่คือเหตุการณ์ที่ไม่สามารถพลาดไปได้ เพราะถ้าหากพลาดมันไปผมอาจจะตายได้

ทำไมช่วงนี้แปลสายตาใครรู้สึกเหมือนโดนด่าแรงๆ ทุกทีเลย

นกไม่เข้าใจ นกทำอะไรผิด กระซิกๆ

“ว่าไงล่ะพ่อ สรุปซื้อมาเลี้ยงใคร” ถึงแม้จะโดนด่า ผมก็ยังไม่หยุดความอยากรู้ ยังคง...ต่อไป

“คนข้างบ้าน” อันนี้คือคำตอบที่พ่อกวนตี- ไม่ๆ ผมหมายถึงพ่อแกล้งผมหรือเปล่าต่างหาก อ่านผิดแล้ว อ่านใหม่ๆ

“เอาจริงๆ ดิพ่อ เลี้ยงใคร”

“ก็ข้าบอกเอ็งอยู่นี่ไงว่าเลี้ยงคนข้างบ้าน!”

เดี๋ยวสิ...ไม่ใช่ว่าข้างบ้านผมมันไม่มีคนอยู่หรอกเหรอ ผมจำความได้ไอ้บ้านที่ว่านั่นเขาก็ย้ายเข้ากรุงเทพฯ ไปกันหมด แม้ว่าจะไม่ได้ทิ้งให้มันร้างแต่ผมก็ไม่เห็นแม้แต่หมาสักตัวที่เดินข้าออกบ้านหลังนั้นเลยนะ ถึงแม้ว่าบางครั้งจะมีแมวหลงเข้าไปแต่นั่นก็ไม่ได้นับว่าเป็นเจ้าของบ้านไหมล่ะ

ระ หรือว่า ว่าผมจะเอาไปเลี้ยงผี!

“ละ ล้อเล่นแล้วพ่อ ข้างบ้านเรามีคะ คนอยู่ที่ไหนเล่า!” พ่อต้องแกล้งผมเล่นแน่ๆ ก็รู้อยู่ว่าผมกลัวผี

พูดถึงผีก็นึกถึงครั้งนั้นขึ้นมาได้ เพราะผีนี่ล่ะที่ทำให้ผมเกือบจะตกลงมาจากคอนโดไอ้ปาตายห่าแล้ว ดีหน่อยที่แหกปากลืมตาตื่นขึ้นมาทัน ถ้าเกิดว่าตอนนั้นผมยังหลับต่อไปก็ไม่รู้ว่าร่างผมจะเละขนาดไหน ต้องเป็นผีที่นกเรื่องความรักไม่พอยังหิวโหยเพราะกินไม่อิ่มอีก น่าอนาถเหลือเกินชีวิตนกๆ ฮือๆ

“มีสิวะ ก็ข้ายังไปยืนคุยกับมันอยู่เลย!” แง! แม่จ๋า พ่อคุยกับผี

“นกจะฟ้องแม่ นกจะฟ้องแม่ว่าพ่อโกหก เอาเรื่องผีมาหลอกนกกกกกก” ตอนนี้ผมกลายร่างเป็นเด็กสามขวบแล้ว เรื่องผีอย่าเอาความเข้มแข็งเข้าสู้ จงทำตัวให้ดูน่าสงสารแล้วคุณจะชนะ! ขึ้นชื่อว่าแม่ มักศักดิ์สิทธิ์เสมอกับคนเป็นพ่อ

โป๊ก!

แต่ไม่ได้คิดว่าจะมาในรูปแบบขันใบใหญ่ที่บินเข้ามาโดนหัวผมแบบนี้โว้ย!!

“ผีพ่- เปลี่ยนใหม่ ผีม่ะ- ไม่ได้ๆ นั่นก็เมียข้าอีก”

เอ่อ พ่อไปตกลงกับตัวเองก่อนไหมว่าจะด่าคำไหนกันแน่ ฟังแล้วผมปวดหัวแทนยังไงไม่รู้ จะด่าพ่อก็เหมือนเข้าตัวเอง จะด่าแม่ก็ห่วงเมีย แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ผมจะได้ไม่ต้องโดนด่า ดีเสียอีก ไม่ต้องด่าเลยผมยิ่งชอบ

“ช่างเถอะๆ ข้าไม่อยากจะด่าเอ็งแล้ว สรุปง่ายๆ ก็คือไอ้หนุ่มข้างบ้านมันเพิ่งจะซื้อบ้านต่อมาจากเจ้าของคนเก่า ชื่ออะไรก็ไม่รู้ข้าลืมไปแล้ว เมื่อกี้ยืนคุยกันข้าก็เห็นว่ามันอัธยาศัยดี ข้าเลยว่าจะทำกับข้าวแล้วให้เอ็งเอาไปให้มันเสียหน่อย ถือเสียว่าต้อนรับเพื่อนบ้านใหม่” ทีกับลูกล่ะไม่เคยได้กินของดี กับคนย้ายมาอยู่ใหม่ที่พ่อไม่ได้รู้จักนี่แทบจะเอาของดีๆ ใส่พานให้มันกิน

เฮอะ! น่าโมโหชะมัด

“แล้วผมกับไอ้แมวล่ะ จะได้กินไหม” พ่อไม่สนใจผมอีกนับตั้งแต่นั้น หันไปสนใจการจัดของเข้าตู้เย็นแทนเสียอย่างนั้น

“รอเหลือจากให้ไอ้หนุ่มข้างบ้านก่อน พวกเอ็งค่อยกิน ถ้าไม่เหลือก็ไม่ต้องกิน ไปหากินเอาข้างนอก!”

“พ่อ! นี่ผมลูกพ่อนะ!” นี่คือพ่อผมเหรอ เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าตกลงผมกับไอ้แมวเป็นลูกชายพ่อหรือไอ้ข้างบ้านกันแน่! ผมกลับมาจากกรุงเทพฯ เคยได้กินของดีๆ ที่ไหน ไม่มีหรอก!

แต่ไอ้หมอนั่น! มันเป็นใครกัน! จู่ๆ จะมาแย่งความรักจากพ่อบังเกิดเกล้าของผมได้ยังไงกัน! ผมไม่ยอมหรอก!

ไม่ยอม!!

“ก็ใช่ไง! เพราะพวกเอ็งสองคนเป็นลูกข้าไงล่ะ ข้าถึงบอกให้ไปกินข้างนอก หัดเสียสละบ้างสิวะ!” เสียสละมาทั้งชีวิตแล้วนะเนี่ย พวกผมสองคนแทบจะไม่เคยได้แตะหรอก ของดีของพ่อ นึกแล้วก็น้อยใจชะมัดเลย ไอ้บ้านั่นมันเป็นใครกัน! ใหญ่มาจากไหนถึงทำให้พ่อผมมองมันเป็นคนสำคัญได้

คอยดูเถอะ! ตอนเอาอาหารไปให้ ผมจะด่าให้เสียหมาเลยคอยดู!!

“พี่นก…เป็นอะไรพี่ ทำหน้าตาเหมือนอยากจะฆ่าใครแบบนั้นทำไมกัน?” ผมหันไปมองไอ้แมวที่กำลังถอดรองเท้าจากการไปส่งไอ้เพื่อนสองตัวของมันกลับบ้านมา สีหน้าสบายอกสบายใจนี่คือยังไม่รู้เรื่องรู้ราวสินะ ดีๆ เดี๋ยวรู้แล้วหน้าตาผมกับมันก็คงไม่ต่างกันหรอก

“แกเห็นหน้าไอ้คนข้างบ้านหรือยังวะ?” ไอ้แมวสะดุ้งโหยงก่อนจะหันมามองผมด้วยสายตากดดัน

“อย่ามาพูดเล่นนะ! พี่ก็รู้ว่าผมกลัวผี!” กูก็กลัวไหมวะ!

“ไม่ใช่ผี! คนนี่ล่ะ!” หน้าตาไอ้แมวคือต่อมความเสือกเหมือนไปขึ้นอยู่บนหน้ามันเลยครับตอนนี้ หนักกว่าตอนที่ผมสืบสาวราวเรื่อง (เสือก) จากพ่ออีก

“เฮ้ยพี่ มีคนย้ายมาจริงดิ หล่อไหมๆ หรือเป็นสาวสวย โอ๊ย อยากเห็นจัง~” ไอ้น้องเวร!

“อยากเห็นเหรอวะ?” ไอ้แมวพยักหน้าอย่างแรงไม่กลัวว่าเหาบนหัวจะหล่นลงมาสักนิด

“อยากดิๆ พี่มีวิธีเหรอ?” วิธีน่ะง่ายมากเลยล่ะนะไอ้น้อง

“เดี๋ยวพ่อทำอาหารเสร็จแกก็ยกไปให้บ้านนั้นสิ ได้เห็นแน่ๆ” กำลังขี้เกียจพอดี กลัวว่าเห็นหน้าแล้วอยากจะฆ่าคนเปล่าๆ

“ผมสั่งให้ผมเอาไปให้เหรอพี่นก” ผมส่ายหน้าทำหน้าตาเหม็นเบื่อสุดๆ

“เปล่า…ใช้พี่เอง”

“อ้าว! แบบนี้พี่จะมาใช้ผมทำได้ยังไงกัน! ผมไม่ไปหรอก! ไม่อยากเห็นหน้าแล้ว ฮึ!” น้องชายผมมันกอดอกแล้วเชิดหน้าขึ้นอย่างงอนๆ ซึ่งคงไม่ได้งอนผมหรอกคนับ คิดว่าคงเป็นเพราะพ่อให้ความสำคัญกันคนข้างบ้านมากเกินไปประหนึ่งว่านั่นคือลูกในไส้แท้ๆ แต่พวกผมนี่คือเก็บมาเลี้ยง

พอนึกๆ ดูแล้วก็น่าสงสัยเหมือนกันนะครับ หรือพ่อผมจะไปไข่ทิ้งไว้จริงๆ

“ก็พี่เห็นแกบอกว่าอยากจะไปเจอ พี่ถึงได้เปิดทางให้ไปดูหน้าหมอนั่นง่ายๆ ไง” ผมผิดตรงไหน ดูสิว่าผมออกจะเป็นคนดี แต่ไอ้แมวกลับทำหน้าตาราวกับว่าผมสำรอกเอาสิ่งน่ารังเกียจออกมาจากปาก เดี๋ยวสิ ทำไมช่วงนี้คนชอบด่าผมเจ็บๆ ทางสายตา รู้ไหมว่าคนแปลมันเจ็บปวดนะ!

“ไม่ไปหรอก อย่านึกว่าผมไม่รู้นะว่าพี่แค่ขี้เกียจจะเดินไป”

ทำไมรู้ทัน…

“ใคร๊! มีที่ไหน ไม่มีหรอก! แค่ข้างบ้านเองพี่จะขี้เกียจไปได้ยังไงเล่า!” ทำไมหน้าตาดูไม่มีความเชื่อในตัวผมสักนิดเลยล่ะ สักนิดเถอะนะ นี่พี่ชายไง ไม่ใช่คนอื่น!

“เฮอะ! ผมเชื่อพี่เขาผมก็งอกออกมาจากหัวแล้วล่ะ” ผมเลยยิ้มแล้วจับหัวของมันมาดู

“ไหน! ดูสิมีงอกหรือยัง” ไอ้แมวมันขึงหน้าขึงตาใส่ แถมยังสะบัดตัวออกจากผมอย่างรุนแรงด้วย

“พี่นก! พี่แม่งนิสัยไม่ดี! ขอให้ไอ้ผู้ชายข้างบ้านมันลากพี่ไปทำเมีย!”

“อ้าว ไอ้น้องเวร” ทำไมมันปากหมาแบบนี้วะ ใครสอนให้มันพูดจากับพี่อย่างผมแบบนี้! ถึงผมจะชอบผู้ชายแต่ไม่ได้หมายความว่าผมง่ายนะ

พออ้าปากจะด่ามันเพิ่มเติม ไอ้แมวก็วิ่งหนีขึ้นห้องปิดประตูเสียงดังโครมครามจนผมแทบสะดุ้ง นี่ตกลงแล้วผมต้องเดินเอาอาหารแสนน่ากินแต่กินไม่ได้ไปให้ผู้ชายที่พ่อผมเห็นว่าดีกว่าลูกชายงั้นเหรอ! ผมทำใจไม่ได้ ไม่อยากไปเลย ไม่อยากไปสักนิด กลัวว่าเห็นหน้าแล้วจะยิ่งพานเกลียดเสียเปล่าๆ แย่งข้าวที่แสนหาได้ยากจากพ่อผมไม่พอ ยังมาแย่งตำแหน่งสำคัญอย่างลูกชายสุดที่รักไปอีก! ฮึ่มมมมม มันเป็นใครมาจากไหนวะ!!!

“ไอ้นก! ไอ้นกโว้ย!” ยังไม่ทันที่จะคิดอะไรมากมายไปกว่านั้น เสียงของพ่อผมก็ดังออกมาจากทางด้านในห้องครัว ผมจึงได้ตะเบ็งเสียงตอบกลับไปเช่นกัน

“คร้าบบบบบ”

“เข้ามานี่มา” ผมได้แต่พ่นลมหายใจออกจากปากตัวเอง เป่าผมที่ปรกหน้าตัวเองอยู่อย่างเซ็งๆ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าให้ผมเข้าไปทำไม อย่าไปหวังเลยว่าจะได้ชงได้ชิมหรือได้กินอะไรที่พ่อผมทำ สิ่งที่รอผมอยู่คงไม่พ้น…

“ครับ?” ผมเดินเข้าไปหาพ่อที่ยืนหันหลังให้ผมอยู่ พอได้ยินเสียงผมที่พูดอยู่ด้านหลังแกคงรู้แล้วว่าผมมาแล้วตอนนี้ จึงได้หันกลับมาพร้อมกับของน่ากินในจานสองจาน หูย…น้ำลายแทบไหล แต่น้ำตาไหลแทน

ทำไมผมไม่ได้กินล่ะ โฮๆ

“เอานี่ไปให้ไอ้หนุ่มข้างบ้าน” พ่อผมส่งจานในมือซ้ายมาให้ ปลาตัวโตๆ ที่ถูกนึ่งร้อนๆ กลิ่นหอมๆ ก็ทำให้ผมแทบจะก้มหน้าลงไปกัด อยากกินจัง หิวจัง พ่อใจร้าย!

“อีกจานล่ะพ่อ” พ่อผมปรายตามองสายตาละห้อยของผมที่ยังจับจ้องปลานึ่งตัวมหึมาในจานไม่ยอมวางตา ก็ได้แต่ส่ายหน้าให้ผมอย่างระอา

“อีกจานก็ข้าวเย็นไงวะ หรือเอ็งจะไม่กิน” ผมตาโตแล้วรีบร้อนพยักหน้าระรัวโดยไม่กลัวว่าหัวจะหลุดออกมา ขอแค่ได้กิน อะไรก็ได้ ผมยอมมมมม

“กินๆ ผมกินนนนนนน”

“เออ! ถ้าจะกินเอ็งก็เอาไปวางที่โต๊ะก่อน เดี๋ยวข้าจะทำอีกสองสามอย่าง แล้วก็เอาปลานึ่งมะนาวนี่ไปให้ไอ้หนุ่มนั่นเสียด้วย!” ผมฉีกยิ้มกว้างจนตาหยีอยู่ใต้แว่นตาทันที

“รับทราบครับท่าน! กระผมจะทำตามอย่างแน่นอนครับ!”

พ่อเหมือนจะรำคาญกับท่าทางบ้าๆ บอๆ ของผมจึงโบกมือไล่ให้ผมเอากับข้าวสองจานนี้ออกไป ผมเองก็มีความสุขจนหุบยิ้มไม่ได้ พอมาถึงโต๊ะอาหารก็รีบวางปลาสามรสลงบนโต๊ะ เสียดายนิดหน่อยที่ปลานึ่งนี่ไม่ได้อยู่บนโต๊ะด้วย ไม่อย่างนั้นคงอร่อยน่าดู

แต่ผมก็เลิกสนใจ ช่างมันเถอะ อย่างน้อยก็ยังมีอีกสองสามอย่างที่พ่อกำลังเร่งทำอยู่ กับข้าววันนี้ต้องน่ากินมากๆ แน่ๆ เจียดเอาปลาเน่าๆ นี่ไปให้หมอนั่นหน่อยคงไม่เป็นไร ถือเสียว่าทำบุญทำทานให้คนไม่มีจะกิน เฮอะ!

ผมยังคงจิกกัดไอ้คนข้างบ้านอย่างไม่คิดจะหยุด เพราะมันทำให้ความโปรดปรานของผมกับน้องกลายเป็นคนนอกส่วนมันคือลูกรัก มันทำให้พ่อผมลงทุนทำกับข้าวให้มันกิน! ผมแค้นมาก! ไม่ชอบขี้หน้าแม้ว่าจะยังไม่เห็นหน้าก็ตาม แต่ภาวนาให้มันขี้เหร่ ขาเป๋ ปากเบี้ยว อะไรก็ได้ที่ทำให้มันน่าเกลียดผมสาปแช่งมันในใจตลอด

ผมเดินออกจากบ้านตัวเองมาทั้งที่สีหน้าโคตรจะไม่เต็มใจ แต่สุดท้ายก็หมุนตัวเดินไปที่ข้างบ้านของตัวเองอย่างช่วยไม่ได้ ประตูรั้วถูกปิดอยู่ ผมเลยต้องกดกริ่ง แต่กดไปแล้วหนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง ก็ไม่มีวี่แววว่าจะมีคนมาเปิดประตูให้ ผมชะเง้อคอมอง ไม่มีเงาคนสักคน

นี่พ่อผมแน่ใจใช่ไหมว่าคุยกับคนข้างบ้านจริงๆ ไม่ใช่เจ้าที่เจ้าทาง

“ขอโทษครับ! มีใครอยู่บ้างไหมครับ!”

ไม่มีเสียงตอบกลับมา แต่ผมเห็นว่าประตูบ้านเปิดอยู่ จะว่าไปมองดีๆ บ้านหลังนี้ก็ถูกดูแลมาอย่างดีใช้ได้เลยครับ ภายนอกไม่มีคราบอะไร ไม่มีความรกร้างจากการทิ้งเอาไว้เป็นเวลานาน ลักษณะแบบนี้คงจะมีคนย้ายมาจริงๆ นั่นล่ะ ถูกเก็บกวาดเสียเรียบร้อยขนาดนี้

ผมเอื้อมมือไปเปิดประตูรั้วออก ไม่ได้คิดจะรุกล้ำหรือว่าอะไร เจตนาของผมคือมือกูจะพองแล้ว! ไอ้เจ้าของบ้านแม่งก็ไปตายห่าอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ยังดีที่ประตูบ้านมันไม่ได้ล็อกเอาไว้ เปิดง่าย ผมจึงได้เปิดประตูเข้าไปด้านในได้

แต่จะว่าไป หมอนี่ไม่ค่อยระวังตัวเลยนะ ประตูไม่ล็อกแบบนี้มันเชิญชวนให้พวกขโมยมันเข้ามาทำการย้ายข้าวของในบ้านเป็นว่าเล่น แต่ก็นั่นล่ะ ไม่ใช่บ้านผมนี่ ผมไม่สนใจหรอก

ผมเดินผ่านประตูบ้านเข้าไปถึงด้านใน ภายในบ้านถูกจัดเอาไว้อย่างดี มีของมากมายที่ถูกจัดเข้าที่เป็นทางเรียบร้อย ภายในบ้านก็ให้ความรู้สึกเย็นๆ สบายๆ ทั้งที่ไม่ได้เปิดแอร์ แต่อาจจะเพราะประตูเปิดโล่งเอาไว้ลมเลยสามารถพัดเข้ามาได้ดี ผมเดินผ่านห้องนั่งเล่นไป สายตาก็กวาดหาโต๊ะสักตัวให้ผมได้วางไอ้ปลาเน่าที่ร้อนมือนี่ลงสักที จนในที่สุดก็เข้ามาถึงด้านใน ผมจึงได้เห็นโต๊ะทานอาหารจึงได้รีบวางมันลง

ฟู่…ร้อนเป็นบ้าเลย

ไฟในบ้านก็ไม่ได้เปิด ดีหน่อยที่ยังพอมีแสงรำไรให้ได้มองเห็นทางอยู่บ้าง แต่จังหวะที่ผมหันหลังจะเดินกลับไป ตัวของผมก็ต้องแข็งทื่อไปกับสิ่งที่ได้เห็น ใบหน้าของผมซีดเผือดไร้สีเลือด ดวงตาเบิกกว้างอย่างแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง สิ่งที่ผมได้เห็นไม่ใช่ภูตผีหรือปีศาจตนไหนเลย ไม่ใช่เจ้าที่เจ้าทางหรือเทวดาที่ไหน

แตาเป็นคนที่ผมไม่อยากเจอที่สุดต่างหาก

ใช่! เป็นมัน!

“มะ มึง” ผมเห็น เห็นว่ามันสาวเท้าเข้ามาใกล้ เห็นว่าดวงตาคู่นั้นมันเรียบเฉยจนน่ากลัวขนาดไหน แต่ใบหน้าของมันกลับมีรอยยิ้มประดับอยู่ รอยยิ้มที่ทำให้ผมขนลุกไปทั้งตัว

รอยยิ้มที่ทำให้สัญญาณอันตรายในร่างร้องเตือนราวกับสัญญาณไฟไหม้

“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ ไอ้นก”

“ทะ ทำไมถึง…”

ทำไมล่ะ ทำไมมันถึงอยู่ที่นี่!

ผมหวาดหวั่นกับรอยยิ้มบนใบหน้า มันเอียงองศาของหน้าไปทางซ้ายคล้ายกับกำลังสงสัยในคำพูดของผม แสงจากภายนอกเริ่มเบาบางลง ความมืดเริ่มเข้ามาแทนที่จนผมเริ่มมองไม่เห็นแววตาของมัน เริ่มมองไม่เห็นรอยยิ้มหรือแม้กระทั่งว่าตอนนี้สีหน้าของมันเป็นยังไงผมก็มองแทบจะไม่เห็นแล้ว แต่ในขณะที่ทุกอย่างเริ่มมืดลงนั้น ความกลัวที่ผมมีต่อมันกลับชัดเจนขึ้น

“ทำไมถึงอะไรล่ะ ทำไมกูถึงมาอยู่ที่นี่ หรือทำไมเป็นกูที่อยู่ข้างบ้านมึง” หูของผมได้ยินชัดเจน ร่องรอยความไม่พอใจมันเด่นชัดออกมาจากน้ำเสียงที่ถูกถ่ายทอดออกมาให้ได้ยิน ตัวผมกำลังสั่น มือที่ยึดขอบโต๊ะเอาไว้สั่นไหวไปหมด ไม่รู้ว่าเพราะความหวาดกลัวกับท่าทีที่มันมีให้ผมหรือเพราะกำลังกลัวใจตัวเองกันแน่

ต้องหนี! มันคือสิ่งที่สมองของผมสั่งการมาอย่างรวดเร็ว การเผชิญหน้ากับไอ้ปาตอนนี้ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง ใช่! มันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง ผมจะต้องออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด

เมื่อตัดสินใจได้แล้วผมจึงจับแขนตัวเองเอาไว้จนแน่นเพื่อบังคับร่างกายให้หยุดสั่น ปลอบตัวเองเบาๆ ให้ใจเย็นๆ เพื่อหลอกล่อมันให้หลบไปจนพ้นทาง

“มะ ไม่ใช่อยู่แล้ว กูต้องดีใจสิที่มึงมา มึงมาได้ไง มากับใครเหรอ” ผมฉีกยิ้มฝืนๆ สายตาเหลือบมองด้านหลังของมันตลอดเวลาเพื่อรอโอกาสที่จะหนีไป

“ดีใจ? มึงแน่ใจเหรอวะ สิ่งที่กูเห็นตอนนี้…มันห่างไกลกับคำว่าดีใจไปมากเลยล่ะ” ใบหน้าของผมเริ่มซีดอีกครั้ง ร่างกายก็กลับมาสั่นอย่างไม่อาจควบคุม ไม่ได้ผล ไอ้ปาไม่เคยตกหลุมพราง มันเป็นคนนำเกมเสมอ เป็นผมที่โง่เง่าคิดว่าวิธีนี้จะใช้หลอกล่อมันได้

“ปะ ปา กู กูต้อง อึก! ต้องปะ ไปดูพ่อ ต้องกลับแล้ว งะ งั้นไว้ ไว้คุยกันใหม่นะ” ผมลนลานอย่างที่ไม่เคยเป็น พยายามพูดดีๆ กับมันเพื่อไม่ให้มันโกรธไปมากกว่านี้ แต่มันโกรธผมเพราะอะไรล่ะ ผมทำผิดตรงไหน ผมก็แค่เลือกที่จะเดินออกมาจากเส้นทางที่มันเป็นแค่ฝัน เลือกที่จะตื่นขึ้นมารับรู้ความจริงว่ามันไม่เคยเป็นเรามาตั้งแต่แรก แล้วผมทำผิดอะไร

ผมก้มหน้าลงซ่อนร่องรอยแห่งความคิดถึงและความเจ็บปวดเอาไว้ ไม่อยากให้มันต้องมาเห็นว่าคนอย่างผมไม่สามารถลืมมันไปได้แม้ว่าจะเป็นคนเดินออกมา อีกไม่นานมันก็จะแต่งงาน หรือบ้านหลังนี้จะเป็นสถานที่ที่มันเลือกไว้สำหรับฮันนีมูน ถ้าเป็นแบบนั้นผมคง…ต้องทนเห็นมันมีความสุขกับคนอื่นอีกสินะ ไม่ว่าผมจะหนีความเสียใจยังไงก็ไม่เคยหนีไปได้พ้นเลย สุดท้ายความเสียใจนั้นก็ย้อนกลับมาหาผมอยู่ดี ต่อให้ผมโยนมันไปไกลแค่ไหนก็ตาม

แต่จังหวะที่ผมกำลังจะเดินผ่านตัวมันเพื่อจะออกไปจากบ้านหลังนี้ แขนของผมกลับถูกไอ้ปายึดเอาไว้แน่น แล้วออกแรงกระชากผมเข้าไปจนชนเข้ากับอกของมัน ไอ้ปากักขังผมเอาไว้ในอ้อมแขนที่ผมคุ้นเคย ไม่ยอมปล่อยให้ผมออกไปจากมันง่ายๆ มือของมันโอบรัดเอวของผมเอาไว้จนไม่เหลือช่องว่างระหว่างผมกับมัน ผมจึงทำได้เพียงแค่ยกมือขึ้นมาดันหน้าอกของมันเอาไว้แทนด้วยความตกใจ

“ทะ ทำอะไร! ปล่อยกูนะ!” ผมทั้งตกใจทั้งอับอาย สถานการณ์ตอนนี้ไม่สู้ดีเลยสักนิด มันกักตัวผมเอาไว้แบบนี้ผมก็กลับบ้านไม่ได้น่ะสิ

“จะรีบไปไหนวะ กูอุตส่าห์มาถึงนี้ มึงไม่คิดจะ…ค้างกับกูสักคืนเหรอ”

“ไอ้ปา กูไม่เล่น ปล่อยกู!” ผมเริ่มไม่พอใจขึ้นมาบ้างแล้ว มันพูดเหมือนผมเป็นอะไรสักอย่างที่ไม่จำเป็นต้องสนใจไยดีอะไรกับความรู้สึกของผม

“มึงจะดิ้นทำไมวะ! กูแค่กอดนิดๆ หน่อยๆ มันจะทำไมหนักหนา! ลืมไปแล้วเหรอว่ากูกับมึงเราเป็นแฟนกันนะ!” ผมหยุดดิ้น แค่นยิ้มออกมาอย่างเย้ยหยัน

“แฟนเหรอ จะไปลืมได้ยังไงกัน แฟนที่เป็นแค่ของเล่น ใครมันจะไปลืมได้ลง” ไอ้ปาออกแรงแขนที่โอบรัดเอวของผมแรงขึ้นจนเจ็บ แต่ผมก็ยังคงฝืนยิ้มอยู่อย่างนั้น มองแววตาคมที่ดุดันวาววับไปด้วยร่องรอยของความไม่พอใจ

“มึงพูดเหี้ยอะไรไอ้นก! ของเล่นอะไร!” เฮอะ! โมโหกลบเกลื่อนเป็นแบบนี้เอง ผมไม่ได้นึกสนใจน้ำเสียงที่ไม่พอใจของมัน ผมค่อยๆ สูดลมหายใจเข้าปอด แล้วปรับอารมณ์ลง ในตอนนี้ ผมเองก็เริ่มโกรธบ้างแล้วนะ ผมไม่ใช่พระพุทธเจ้าที่จะได้ไม่มีความโกรธอยู่ในตัวเอง

“ก็มึงไง ทุกอย่างทุกสถานะที่มึงให้กู มันก็แค่สิ่งที่มึงเอาไว้สนุกเพื่อฆ่าเวลา รอเวลาที่จะได้แต่งงาน กูพูดอะไรผิดล่ะ?” ผมจ้องตามันตอบ เชิดหน้าขึ้นท้าทายเมื่อสิ่งที่ผมพูดไปล้วนแต่เป็นความจริงทั้งนั้น

“ไอ้นก! มึงกำลังจะทำให้กูโกรธแล้วนะ!” รู้! ผมรู้ดีเลยล่ะ ยิ่งมันออกแรงกอดเอวผมมากเท่าไหร่นั่นหมายความว่าความอดทนมันก็เริ่มจะหมดลงไปเช่นกัน

แต่แล้วยังไงเล่า! ผมเองก็โกรธเป็นนะ!





50%



ใช่! แฟนที่ไหนกัน เมียต่างหาก อะ อ้าว...ยังไม่ใช่เหรอคะ ขอโทษค่ะๆ แมวรีบเกินไปหน่อย ฮ่าๆ ว่าแต่คุณปาขา มาถึงก็รุนแรงเลยนะคะ รู้ค่ะว่าโกรธที่น้องหนีมา แต่อ่อนโยนบ้างก็ได้ น้องช้ำหมดแย้ววววว 

ปากินนก

ออฟไลน์ Funnycoco

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 252
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
นกหยุดเพ้อเจ้อเถอะ ปาก็บอกๆไปได้ละ อยู่กันมาตั้งนานก็น่าจะรู้ว่ากับนกมันต้องพูดตรงๆไม่ไงนางไม่เข้าใจหรอกกกก

ออฟไลน์ llมว_น้oe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-4
[14]

“มึงคิดว่ามึงโกรธเป็นคนเดียวงั้นเหรอ!! กูนี่! กูต่างหาก! กูต่างหากที่ควรโมโห! ควรเสียใจในสิ่งที่มึงทำลงไป!!” ผมใช้แรงพลักมันออกทันที ทั้งโกรธ ทั้งโมโห ทั้งเสียใจจนระงับความเจ็บปวดเอาไว้ไม่ได้ ทุกอย่างมันทำให้ความกล้าของผมออกมาแทนที่ความหวาดกลัว ผมได้แต่หอบหายใจแรงๆ เมื่อความโกรธของตัวเองกำลังพุ่งขึ้นสูงจนแทบจะทะลุ

ไอ้ปามันเงียบ แต่แววตาที่แข็งกร้าวกลับไม่ได้มีทีท่าว่าจะหายไป

“มึงมันก็แค่ไอ้คนเห็นแก่ตัว ทั้งที่มึงมีคนของมึงอยู่แล้ว แต่มึงก็ยังมาล้อเล่นกับความรู้สึกกู มันสนุกมากเลยใช่ไหม? ไอ้โง่ที่ชื่อนกคนนี้มันเล่นด้วยแล้วสนุกมากใช่ไหมไอ้ปา มึงถึงได้ไม่สนใจว่ากูจะเสียใจมากแค่ไหน!!”

ทั้งๆ ที่ผมอยากจะหนีไปให้ไกล ปล่อยให้ทุกอย่างมันคาราคาซังอยู่แบบนี้ เพื่อสักวันหนึ่งผมจะสามารถลืมสิ่งที่มันทำเอาไว้ ลืมทุกอย่างที่มันเคยทำ สักวันหนึ่งนั้น…ผมอาจจะพอยิ้มแล้วทักทายกับมันได้บ้าง

“กูทิ้งมึงมา มันทำให้มึงเสียหน้ามากสินะ มึงถึงต้องตามมาระรานกูถึงนี่ เอาสิ! มึงพูดเลย บอกเลิกกูเองกับปากของมึง มันจะได้จบๆ สักที”

“หยุด!”

“บอกเลิกสิปา” ผมเขย่าแขนของมัน หวังให้มันทำตามที่ผมพูด

“กูบอกให้หยุดพูด!”

“บอกเลิกกูมาแล้วปล่อยกูไปสักที!”

ไอ้ปาจ้องหน้าผมไม่หลบสายตา มันกัดฟันด้วยความไม่พอใจแต่กลับไม่ยอมพูดในสิ่งที่ผมร้องขอ มันนิ่งเฉยราวกับว่ากำลังระงับความโกรธของตัวเองอยู่

“ขอร้อง กูขอร้อง แค่กูคนเดียว ปล่อยกูไปได้ไหม มึงเอง อะ อีกไม่นานก็คงจะแต่งงานแล้ว เพราะงั้น…ปล่อยกูไปเถอะ มึงทิ้งของเล่นชิ้นนี้ได้ไหมวะ กูขอร้อง” เสียงของผมเต็มไปด้วยการร้องขอ เป็นครั้งแรกที่ผมร้องขออ้อนวอนต่อมัน ขอให้มันเห็นแก่อะไรก็ได้ จะความเป็นเพื่อนที่เราเคยมีต่อกันมา หรือความรู้สึกดีๆ แม้จะเพียงเสี้ยวเดียวก็ตาม ไม่เป็นไรเลย แค่ทำให้มันยอมปล่อยผมไป จะอะไรก็ได้ทั้งนั้น

“เลิกบ้าสักที! เลิกห่าเหวอะไรไม่มีทางหรอก มึงฝันไปเถอะ กูไม่มีวันปล่อยมึงไปแน่!!” ไอ้ปายึดแขนของผมเอาไว้ทั้งสองข้าง บีบจนกระดูกแขนแทบจะแหลกละเอียด

“ปล่อย! ปล่อยกู!!”

“ขอเล่นงั้นเหรอ เฮอะ! มึงดูถูกกูเหลือเกินนะนก มึงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าของเล่นจริงๆ แล้วมันเป็นยังไง แต่ไม่ต้องห่วง กูจะทำให้มึงรู้สึกจนมึงเสียใจที่พูดคำคำนี้เลยล่ะ มานี่!” ไอ้ปาลากผมที่พยายามขัดขืนมันขึ้นบันไดไป ไม่เอาแล้ว ผมไม่อยากไป ผมอยากกลับบ้าน

“ปล่อย ปล่อยกูนะ ปล่อยยยย”

แต่ไม่ว่าจะพยายามดิ้นรนมากมายแค่ไหน ไอ้ปาก็ไม่ยอมปล่อยผมไปอยู่ดี แขนของมันทั้งดึงทั้งลากผมที่เกาะราวบันไดขึ้นไปให้ได้ มันไม่สนใจสักนิดว่าผมจะอยากไปหรือเปล่า สิ่งที่มันทำอยู่คือความเอาแต่ใจ ไม่สนใจความรู้สึกของผม ผมทั้งเสียใจทั้งเจ็บปวด แต่ความเจ็บปวดทางร่างกายไม่เท่ากับจิตใจ

ผมเจ็บ ทำไมมันไม่เข้าใจ

ผมทรมานจนอยากจะหยุดทุกอย่าง ทำไมมันไม่ยอมปล่อยผมไปเสียที

ผมพร่ำขอร้องให้มันปล่อยผม ให้มันเห็นใจและสงสารผมบ้างสักนิด แต่ไม่เลย ไอ้ปาไม่มีสักนิดเดียวที่จะเหลือเศษเสี้ยวความเห็นใจให้กับผม น้ำตาที่ไหลนองใบหน้าไม่ได้เป็นสิ่งที่ใช้เรียกร้องความสงสารจากมัน แต่มันคือความอัดอั้นและปวดร้าวเหลือเกินจนล้นทะลักออกมา

ประตูห้องถูกมือของมันเปิดออก ทันทีที่ก้าวเข้าไปร่างของผมก็ถูกเหวี่ยงลงไปบนเตียง ผมถูกกระแทกจากแรงเหวี่ยงจนเจ็บ ได้แต่นิ่วหน้ากัดฟันอดทนเอาไว้ ใช้แววตาตัดพ้อมองไอ้ปาที่กำลังปลดกระดุมเสื้อสีขาวออกอย่างช้าๆ

“มะ มึง มึงจะทำอะไร” ผมขยับตัวหนี สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นกับท่าทางแสนคุกคามของมัน ผมพยายามหนี มองหาทางรอดให้กับตัวเองแต่กลับมืดมนไปหมด แม้ว่าไฟในห้องจะถูกเปิดจนสว่างก็ตาม

“กูเหรอ? ก็กำลังจะทำให้มึงรู้จักไงว่า ของเล่นน่ะ มันเป็นกันแบบไหน” เสื้อสีขาวถูกโยนออกไปโดยที่มันไม่สนใจด้วยซ้ำว่าจะไปตกหล่นอยู่มุมไหน มันขยับเข้ามาใกล้ผมก็ยิ่งถอยห่าง เตียงที่แสนกว้างกลับเหมือนหลุมกับดักที่น่ากลัวที่สุดสำหรับผม

“ไอ้ปาอย่าทำแบบนี้เลยนะ” มันโมโหถลาร่างเข้ามาหาผมอย่างรวดเร็วจนผมหนีไปไหนไม่ได้ แขนทั้งสองข้างถูกมันกดลงบนเตียง ช่วงลำตัวก็ถูกมันทาบทับเอาไว้จนแทบจะขยับตัวไม่ได้ ผมได้ขัดขืน พยายามดึงแขนของตัวเองออกจากมือของมัน

“มึงรู้ไหมว่าของเล่น…มันเป็นยังไง” มันเลื่อนมือที่จับผมเอาไว้ขึ้นไปเหนือศีรษะ ก่อนจะรวบข้อมือทั้งสองข้างเอาไว้ด้วยกันด้วยมือเพียงข้างเดียว แววตาของไอ้ปาเต็มไปด้วยความหิวกระหาย เพียงแค่ได้มองร่างของผมก็สั่นสะท้านไปหมด

“อยะ อย่านะ!”

มือของไอ้ปาที่ว่างอยู่จับขอบกางเกงและชั้นในของผมเอาไว้แน่นแล้วกระชากมันออกไปทันที แม้แต่เสียงร้องห้ามของผมเองมันยังไม่ยอมฟัง ตอนนี้ร่างกายท่อนล่างว่างเปล่าไร้สิ่งใดปกปิด ของต้องห้ามถูกเปิดเผยให้มันเห็นจนเต็มตา ผมพยายามหนีบขาของตัวเองเอาไว้บิดกายเอนตัวหนีไปไม่ให้มันมองเห็น แต่กลับเป็นการกระทำที่ผิด มันกลับยิ่งอำนวยความสะดวกให้ไอ้ปาทำเรื่องบ้าๆ นี่กับผมมากขึ้น

“ยะ หยุดนะ! อย่าทำกับกูแบบนี้! หยุด!!”

“ทำไม? เป็นของเล่นกูไม่ใช่เหรอ ก็อยู่นิ่งสิวะ ให้กูเล่นมึงหน่อยสักรอบสองรอบจะเป็นอะไรไป!”

“อย่า อ๊าก!!” นิ้วมือถูกสอดเข้ามาอย่างแรงโดยไม่มีความเปียกชื้นใดๆ มีเพียงการฝืดฝืนกดมันเข้ามาย้ำๆ แล้วดึงเข้าออกอยู่อย่างนั้นราวกับจะกลั่นแกล้ง ผมดิ้นไปมากับความเจ็บปวดและอึดอัด กรีดร้องแทบบ้าแต่มันกลับไม่สนใจผมเลยสักนิด มันยังคงกระทำเรื่องเลวร้ายต่ออย่างไม่คิดปรานี

“แค่นิ้วกูมึงก็ดีดดิ้นจะเป็นจะตาย ร้องห่มร้องไห้ว่าเจ็บ? ของเล่นน่ะ ไม่มีใครเขามาเตรียมความพร้อมให้หรอกนะ ถ้ามึงเป็นของเล่นของกู กูจะเอาของกูยัดลงไปแล้วกระแทกแรงๆ จนมึงจมเตียงไปนานแล้ว!!”

“อะ ฮึก!” นิ้วของไอ้ปาถูกดึงออกทันทีที่จบประโยค ผมตัวสั่นร้องไห้จนตัวโยนราวกับเด็กๆ ทั้งเจ็บปวดช่องทางด้านหลังที่ถูกนิ้วเรียวของมันบังคับฝืนรั้งเข้ามา ทั้งปวดใจที่มันทำกับผมเหมือนไม่มีความรู้สึก

แต่แม้ว่ามันจะพูดแบบนั้น แม้มันจะพยายามบอกว่าผมไม่ใช่ของเล่น แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธความจริงที่ว่ามันมีคนของมันอยู่แล้ว

ถ้าไม่ใช่ของเล่นแล้วผมเป็นตัวอะไรสำหรับมันกันล่ะ ในเมื่อตัวมันเองก็มีตัวจริงอยู่แล้ว

“มึงจะเอาแต่ร้องไห้เหรอนก?”

“ละ แล้ว ฮึก มึงจะให้กูพูดอะไรอีก ฮือๆ” อยากจะฟังอะไรอีกในเมื่อความจริงผมกับมันควรหยุดทุกอย่างลงไปได้แล้ว

“ทำไมมึงไม่คิดจะฟัง จะถามอะไรกูบ้างวะ! มึงมันขี้ขลาด! เอาแต่หนี!”

“เออ! กูมันขี้ขลาด! กูเอาแต่หนี! แล้วยังไงล่ะ ต่อให้มึงจะบอกว่ากูไม่ใข่ของเล่นแล้วมันเปลี่ยนแปลงอะไรได้วะ สุดท้ายมึงก็แค่ผู้ชายเห็นแก่ตัวที่มีคนรักอยู่แล้วแต่มาหลอก อื้อ!!”

ผมเบิกตากว้างเมื่อไม่ทันที่จะพูดได้จบประโยคก็ถูกมันกดริมฝีปากลงมาปิดปากของผมอย่างแรง พยายามจะสอดแทรกปลายลิ้นเข้ามาแต่ผมก็ปิดปากตัวเองเอาไว้ ไม่ยินยอมให้มันทำได้ตามใจ ไอ้ปายิ่งบดเบียดจูบที่รุนแรงลงมาอีกเมื่อรับรู้ได้ถึงแรงขัดขืน ความไม่โอนอ่อนผ่อนตามยิ่งทำให้ไอ้ปาแทบบ้าคลั่ง กระชากเสื้อของผมออกจากร่างในทันที

“อื้อ! อ่า อื้ม!” ผมร้องห้ามด้วยความตกใจ แต่กลับถูกปลายลิ้นสอดเข้ามาเกี่ยวกระหวัดและช่วงชิงลมหายใจของผมไปจนแทบจะหมดสิ้น

แววตาตื่นตระหนกของผมเบิกกว้าง ส่ายหน้าเพื่อจะหนีให้พ้นแต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย เมื่อมือหนาบีบคางของผมจนเจ็บ บังคับให้หันหน้ากลับมายอมรับจูบที่แสนรุนแรงและเอาแต่ใจ และอาจจะเพราะการดิ้นขัดขืนของผมยิ่งโหมกระพือความโกรธของไอ้ปาให้มากขึ้น มันจึงได้ลงโทษผมด้วยการกัดริมฝีปากจนรับรู้ถึงรสคาวของเลือด

เจ็บ…

แต่แม้จะเจ็บกลับไม่เท่าที่หัวใจ

ผมปล่อยแรงขัดขืนออกไป ยินยอมให้มันโรมรันความกักขฬะลงมาบนริมฝีปากอย่างจำใจ ดวงตาของผมค่อยๆ หลับลงช้าๆ หยาดน้ำตาที่เอ่อล้นค่อยๆ ไหลรินลงมาคล้ายกับการปลงแล้วในทุกสิ่ง หัวใจถูกย่ำยีจนเป็นแผลเหวอะหวะไร้หนทางจะรักษา ต้องก้มหน้ากัดฟันทนความปวดร้าวที่ค่อยๆ มากขึ้นอยู่อย่างนั้น

มันจะรู้ไหม จะเข้าใจความเจ็บปวดที่ผมมีบ้างไหม

หรือว่าความจริงแล้ว ความรู้สึกของผมไม่ได้มีค่าอะไรเลยสำหรับมัน

ในตอนที่ผมยินยอมรับในทุกความเลวร้ายที่จะเกิดขึ้น ไอ้ปากลับถอนริมฝีปากออกอย่างเชื่องช้าและอ้อยอิ่ง เหมือนกับเสียดายจนไม่อยากจะละออกไป แววตาของมันจับจ้องมาที่กลีบปากของผมที่ตอนนี้คงบวมช้ำและมีร่องรอยปริแตกจนได้เลือดอย่างหลงใหล ใช้ปลายนิ้วเช็ดเบาๆ ผมจึงได้ลืมตาขึ้นมามองมันอีกครั้ง

“…”

“…”

เราสองคนต่างไม่ได้พูดสิ่งใดออกมา ทั้งความอึดอัดและเหนื่อยล้าเกิดขึ้นมาในใจของผมอย่างห้ามไม่ได้ ผู้ชายที่กำลังทำร้ายผมในตอนนี้ คืออดีตเพื่อนที่ผมมีอยู่เพียงหยิบมือ และคืออดีตคนรักเพียงคนเดียวที่ผมรักมากและเจ็บปวดกับมันมากเช่นกัน ทว่าในตอนนี้เราสองคนกลับไม่ได้อยู่ในความสัมพันธ์นั้นแล้ว มันมีคนของมันและผมไม่ควรเข้าไปแทรกกลาง เพียงแต่มันกลับไม่ยอมปล่อยมือจากผม ทั้งที่ผมเลือกจะเป็นฝ่ายปล่อยมันไปแล้ว ปล่อยให้ตัวเองเดินออกมาจากจุดนั้น สุดท้ายคือมันกลับมาดึงรั้งผมเอาไว้ ไม่ยินยอมให้ผมไปไหน

“อย่าทำ ฮึก แบบนี้เลย” ทั้งที่มันก็มีเขาอยู่แล้ว ทั้งที่เราสองคนควรลาจากกันแล้วตั้งแต่วันนั้น แล้วทำไม…

ทำไมไม่ปล่อยให้ผมใช้เวลาเพื่อลืม

“ปล่อยกูไปเถอะ นะปา” ให้กูหลุดพ้นจากความรักที่ผูกมัดเราเอาไว้สักที

“ไม่ได้…มึงเป็นแฟนกูแล้ว กูจะปล่อยมึงไปได้ยังไง” มันยังคงเป็นมัน ยังคงไม่ยอมรับฟังคำขอของผม ผมอยากจะหัวเราะนะ อยากจะหัวเราะออกมาเหมือนที่เคยทำ แต่ผมกลับไม่มีแม้แต่รอยยิ้ม มีเพียงแค่หยดน้ำตาที่ยังไหลลงมาไม่มีหยุด

“มึงมีแค่สองมือนะปา สุดท้ายมึงก็ต้องปล่อยไป ไม่กูก็เขา” ไม่มีใครสามารถยึดจับอะไรเอาไว้ได้ทั้งสองอย่าง ไม่มีความเห็นแก่ตัวไหนที่ไม่มีความสูญเสีย เพียงแค่วันนี้ผมเลือกจะเป็นฝ่ายเดินออกมา ให้มันได้มีชีวิตที่ดี ครอบครัวที่อบอุ่นกับคนของมัน

แต่ไอ้ปา…ไม่เคยยอมเสียอะไร ไม่เคย

“เพราะงั้นนะ ฮึก ให้กูเป็นคนที่เดินออกมาเองเถอะ นะปา ฮึก มึงไม่สงสารกูเหรอ ฮือๆ ไม่สงสารกูที่ต้องทนดูมึงกับเขามีความสุขกันถ้าวันนั้นมาถึงเหรอ ไม่คิดถึงใจกูบ้างเลยเหรอว่ากูจะเจ็บปวดมากแค่ไหน ฮึก ในวันที่มันต้องเดินยิ้มจูงมือเขาเข้าห้องหอ แล้วกูล่ะ? ฮือ กูจะเป็นยังไง ปล่อยให้กูเจ็บตั้งแต่ตรงนี้ได้ไหม มึงปล่อยกูไปเถอะนะ” ผมขอร้องอ้อนวอนให้มันเข้าใจ ว่าตอนนี้ผมไม่ใช่ไม่รักมัน เพียงแต่เรารักกันต่อไปไม่ได้อีกแล้ว ความรักที่เริ่มต้นผิดเวลา มันไม่คู่ควรให้มาเสียเวลาด้วย ผมยอมรับและพร้อมจะเดินออกไป ขอแค่มันเข้าใจผมสักนิด ยอมรับการตัดสินใจของผม

แต่ผมคงหวังมากเกินไปสินะ

“มึงไม่เข้าใจไอ้นก มึงไม่เข้าใจ กูปล่อยมึงไปไม่ได้ กูรักมึง กูมีแค่มึง แค่มึงเท่านั้น ขอร้อง” สายตาของมันเต็มไปด้วยความร้าวรานจนผมต้องผินหน้าหนี เพียงแค่เห็นมันเจ็บปวดผมก็แทบจะตายแล้ว แล้วมันล่ะ ผมเจ็บปวดขนาดนี้ ไม่รู้สึกอะไรบ้างเหรอ

“แล้วมึงจะให้กูไปอยู่ตรงไหนวะปา ในเมื่อมึงมีน้องเบญอยู่แล้ว มึงจะให้กูไปอยู่ตรงไหน!!” มันเรียกร้อง อ้อนวอนขอให้ผมอยู่ ทั้งที่จริงแล้วผมไม่มีจุดยืนของตัวเองด้วยซ้ำ ข้างกายของมัน…ไม่ได้ว่างให้ผมยืนอีกแล้ว แล้วจะมีผมไปทำไมกัน จะให้ผมเข้าไปในชีวิตมันในฐานะอะไร

“กูไม่ได้มีใครนะนก ไม่ได้มีใครทั้งนั้น” โกหก มันกำลังโกหก

“ก็กูได้ยินกับหู!! มึงจะมาโกหกกูเพื่ออะไร! จะต้องให้กูทรมานอีกแค่ไหนปา อีกแค่ไหน! ฮึก ฮือๆ” ผมดิ้นหนี พยายามจะไปให้พ้นจากมัน ไม่อยากเห็นหน้า ไม่อยากมองตา ไม่อยากฟังเสียงมันที่พร่ำบอกแต่คำโกหก

ไม่มีใครงั้นเหรอ มันเห็นผมเป็นควายหรือไง

“ไม่ๆ นก มึงฟังกูก่อน อย่าดิ้นสิ ฟังกูก่อน ฟังกูบ้างสิ!!”

“ฮือๆ ปล่อยกูนะ ฮือๆ”

“กูไม่ได้โกหกมึงนะนก กูไม่ได้มีใครจริงๆ กูยอมรับว่ากูหมั้นกับน้องเบญ ไม่ เดี๋ยว นิ่งๆ สิ!”

“ปล่อยกู ปล่อย!!” มันยอมรับแล้ว มันยอมรับออกมาแล้ว ความเสียใจที่มีมากเกินไปเริ่มทำให้ผมทนฟังเรื่องบ้าๆ นี่อีกไม่ไหว อยากจะกลับบ้าน ผมอยากกลับไปอยู่ในที่ของผม ลืมทุกอย่าง ลบมันออกไปจากใจ ขังตัวเองเอาไว้จนกว่าจะสามารถลืมมันได้

ให้ความเจ็บปวดในหัวใจที่มากมายจนล้นใจตอนนี้ ได้หายไปเสียก่อน

“ฟังกู! มึงต้องฟังกูนก!” ผมยกมือขึ้นมาปิดหูตัวเองเอาไว้ ไม่อยากฟัง ไม่อยากได้ยิน คนโกหก มันโกหก

“ไม่ ไม่ฟังๆๆ ไม่อยากฟัง!!!” ไอ้ปาดึงมือผมออกกดเอาไว้ข้างลำตัว

“ต้องฟัง! กูยอมรับว่าหมั้น แต่มึงต้องรู้ด้วยว่าแค่เคยเท่านั้น! ตอนนี้กูถอนหมั้นแล้ว กูไม่ได้มีใคร กูมีแค่มึง แค่มึงคนเดียว!” ผมชะงัก แต่เพียงพริบตาเดียวสมองของผมก็สั่งการว่าอย่าไปเชื่อคำลวง มันกำลังโกหกผม กำลังหลอกลวงผมอีกแล้ว

“โกหก! มึงโกหก!” โกหกทั้งหมด รวมหัวกันหลอกผมที่โง่ไปหลงเชื่อมัน ผมคงง่าย คงดูจะหัวอ่อนจนต้องเชื่อคำพูดของมัน มันคิดผิดแล้ว ผมไม่ใช่ ไม่ใช่คนที่โง่เง่าคนนั้นอีกแล้ว ไม่ใช่อีกแล้ว

“มันคือความจริง ก่อนหน้านี้กูแค่ไม่อยากให้มึงต้องมาเสียใจ แต่กูคิดจะจัดการกับการหมั้นที่ผู้ใหญ่จัดให้อยู่แล้ว กูรักแค่มึง มีแค่มึง มึงไม่เคยรู้เลยหรือไงวะนก กูไม่เคยแสดงออกบ้างเลยเหรอ กูทำให้มึงเชื่อไม่ลงเลยเหรอว่ากูรักมึง มีแค่มึงจริงๆ” ผมหลบตาของมัน ไม่อยากจะมองสายตาตัดพ้อที่มันส่งมาให้ ยอมรับว่าผมดีใจ ดีใจมากๆ เลยเสียด้วยซ้ำไปที่ได้ยินแบบนั้น แต่มันจะจริงงั้นเหรอ จะเป็นไปได้เหรอ

“…” ผมไม่กล้าเชื่อ แต่ก็อดใจเต้นไม่ได้ อดคาดหวังความหวังลมๆ แล้งๆ ที่ถูกส่งมาให้ไม่ได้

“มึงเชื่อกูเถอะนะ เชื่อกูได้ไหม กูมีแค่มึงจริงๆ อย่าทิ้งกูไปเลยนะ”

อย่าทิ้งกูไปเลยนะ มันช่างเป็นคำพูดที่ทำเอาใจของผมอ่อนยวบ น้ำเสียงสั่นเครือกับแววตาอ้อนวอนของมัน หรือแม้แต่การที่มันใบหน้ามาซบลงกับไหล่ของผมราวกับว่าหมดสิ้นเรี่ยวแรงยิ่งทำให้ผม…ปวดร้าวในใจ

มันเจ็บ ผมเจ็บ เราทั้งสองคนต่างก็เจ็บไม่ต่างกัน แม้จะไม่สามารถบอกได้ว่าใครที่เจ็บมากกว่ากัน แต่เราต่างก็พยายามในแบบของเรา ผมพยายามเดินออกมาเพื่อชีวิตที่ดีกว่าของมัน ส่วนมันก็พยายามเหนี่ยวรั้งผมเอาไว้ ไม่ให้หายไปจากสายตา

“คิดถึง…กูคิดถึงมึงนก คิดถึงมึงที่สุด” ผมเม้มปาก ยกมือขึ้นมากอดมันเอาไว้ ลูบแผ่นหลังด้วยฝ่ามือที่สั่นไหวตามอารมณ์ ผมก็ติดถึงมัน อยากเจอมันทุกวัน แต่เพราะรู้ดีว่าไม่ควร จึงได้แต่คิดถึงมัน

“มึงเชื่อกูแล้วใช่ไหมนก! เชื่อกูใช่ไหม” น้ำเสียงอ่อนล้าแต่กลับเต็มไปด้วยความคาดหวังยิ่งทำให้ผมจุกไปหมด

“จะให้กูเชื่อมึง…ได้ยังไง กู กูไม่รู้ว่าจะเชื่อมึงได้ยังไงแล้ว ตอนนี้…กูสับสน” ถ้าหาก…ถ้าหากมันโกหก หรือถ้าหากว่าครั้งนี้มันพูดความจริง ผม…จะเชื่อมันดีไหม? แต่ว่า มันไม่มีอะไรมายืนยัน

“ไม่เป็นไร ไม่เป็นเลยนก ตอนนี้มึงอาจจะเกิดความสงสัย อาจจะคลางแคลงใจในตัวกู นั่นไม่ใช่ปัญหาเลย” ไอ้ปายิ้ม จับมือของผมขึ้นมาวางไว้บนอกข้างซ้ายของมัน ให้ได้รับรู้ถึงหัวใจที่เต้นแรง

“…”

“แค่ตอนนี้มึงยังยอมฟังกู ยอมอยู่ข้างๆ กู ต่อให้มึงจะสงสัยในตัวกูแค่ไหน กูก็พร้อมจะพิสูจน์ พร้อมจะทำให้มึงมั่นใจว่าหัวใจที่กำลังเต้นแรงอยู่ตอนนี้ มันเต้นได้เพียงแค่กับมึงคนเดียว”

กับผม ผมคนเดียวเหรอ

“กูเหรอ แค่กับกู…จริงๆ เหรอ” อยากเชื่อ แต่ก็ลังเลใจ อยากจะเชื่อมั่น แต่ก็ทำไม่ได้ แม้ว่าหัวใจจะเต้นแรง ดีใจไปกับคำหวานที่มันป้อนให้แต่ส่วนหนึ่งของหัวใจผมก็ร้องเตือนกระตุกหัวใจจนเจ็บแปลบ เรียกสติที่กำลังจะหายไปให้กลับมา

“แค่กับมึงนก หัวใจของปา…เต้นได้แค่กับนกคนเดียวเท่านั้นครับ”

ใบหน้าของผมเห่อร้อน ผิวแก้มกำลังแดงก่ำไปด้วยเลือดฝาด แววตาของไอ้ปา มันมั่นคง มั่นคงจนผมสับสนว่านี่คือคำลวงที่หบอกล่อให้ผมต้องกลับไปจมอยู่ในความฝัน หรือมันคือความจริงที่ผมกำลังจะได้รับมันมา คำหวานที่มันพูดมานั้นผมไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าหวั่นไหวจนใจสั่นไปกับคำพูดของมัน

ไม่อยากจะเชื่อ แต่ก็เชื่อไปแล้วกว่าครึ่งใจ

ไม่อยากรัก แต่ก็รักไปแล้วหมดทั้งใจ

ไม่อยากหวั่นไหวกับคำพูดของมัน แต่ก็ไม่อาจทำให้หัวใจของผมสงบลงไปได้

เก่งเหลือเกินกับการทำให้ผมหลงรักมันอีกครั้ง ตอนนี้ผมไม่แน่ใจแล้วว่าตัวเองกำลังลังเลหรืออะไรกันแน่ เพราะหัวใจของผมกำลังเต้นแรงยิ่งกว่าเสียงกลอง สองหูแทบจะได้ยินเสียงของหัวใจตัวเองด้วยซ้ำ มันไม่เคยเต้นแรงขนาดนี้มากก่อน ไม่เคยแม้แต่กับหลินแฟนเก่าผม แต่แค่ไอ้ปา แค่ไอ้ปามันพูดกับผม มองตาผม ผมก็แทบจะห้ามตัวเองไม่ได้ ห้ามหัวใจเอาไว้ไม่ได้อีกเลย ผมควรทำยังไงดี?

“มึงหน้าแดง” ไอ้ปายิ้ม ผมชิ่งเขินเข้าไปใหญ่

“อะ อากาศร้อน” แค่ร้อน ร้อนจนอยากจะบ้าตาย

“ตัวมึงก็แดง” สายตาของมันกวาดลงมามองผมทั้งตัว และนั่น…ก็ทำให้ผมนึกขึ้นมาได้ว่า…

“เชี่ย! ไอ้ปา ปล่อยๆๆ โอ๊ย อย่ามองกูนะ!!” ผมพลิกตัวหนีสายตาที่วิบวับของมัน ให้ตายนี่ผมลืมไปได้ยังไงว่าโดนมันถอดออกไปแล้วทั้งตัว เท่ากับว่าตอนนี้ผมกำลังโป๊ แถมต่อหน้าต่อตามันด้วย ผมรีบคว้าผ้าห่มมาปกปิดร่างกายเอาไว้ ไม่ใช่เหนียมอายเป็นผู้หญิง ผมเป็นผู้ชาย แต่ลองถูกจ้องด้วยแววตาของคนรักดูสิครับ เป็นใครก็ต้องเขินอยู่แล้ว ผมมั่นใจเลยว่าไม่ใช่แค่ผมคนเดียวแน่นอนที่อาย!

“มึงจะรีบปิดทำไมวะ?” ถามโง่ๆ

“จะเปิดจองบัตรเข้ามาชมกูโป๊เลยไหมล่ะ อย่าดึงสิวะไอ้ปา หยุดเลยนะมึง! จิ๊!” ผมถลึงตาใส่มันที่ทำหน้าตาทะเล้นทะลึ่ง แกล้งดึงผ้าห่มเอาไว้ไม่ยอมปล่อย ไอ้บ้านี่พอรู้ว่าผมอายก็แกล้งใหญ่เชียวนะ! มันน่านักเชียว!

“ถ้ามึงจองบัตรจริงๆ กูจะเหมา แต่ต้องถอดให้กูดูคนเดียว บนเตียงในห้องกูนะ”

อะ ไอ้ ไอ้คนหน้าด้าน!

ใครจะไปยอมถอดวะ เออ...แต่ความจริงตอนนี้ผมก็ถอดอยู่นะ แถมบนเตียงมันด้วย แต่แบบนี้ไม่นับได้ไหม มันบังคับผมถอดต่างหาก ผมไม่นับนะ ไม่นับบบบบบ!!!





TBC



เปิดจองบัตรชมเรือนร่างน้องนก รายได้เข้าการกุศล (กระเป๋าน้องนกเอง) ใครสนใจโอนเงินได้ที่บัญชี 11xx333xx ชื่อบัญชี น้องนก ผู้นกตลอดกาล ธ.ดึกดำได สาขากุ้งกิ้งกั้งก้าย โอนกันเข้ามาเยอะๆน้าาา 

ปากินนก

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
จะรอดไหมเนี่ย นก นก นก

ออฟไลน์ sompong

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 355
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
นกเป็นคนกลัวคำนอบบ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด