(Omegaverse) พุทธชาดหยาดรัก :: ตอนที่ 16 [14-07-2021]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: (Omegaverse) พุทธชาดหยาดรัก :: ตอนที่ 16 [14-07-2021]  (อ่าน 9880 ครั้ง)

ออฟไลน์ lolli_candy99

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ตัดจบได้ลุ้นมากค่ะะะ สนุกมากเลย เป็นกำลังใจให้คนแต่งนะคะะ ติดตามค่ะ

ออฟไลน์ Hazel_nut

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-3

บทที่ 7

สถานการณ์บังคับ ปรับเปลี่ยนความคิด




“ตามอาหมอมา ด่วน!”

พุทธชาดออกคำสั่งเป็นอย่างแรกเมื่อมาถึงบ้าน เขาพยุงกัลปพฤกษ์ข้างหนึ่ง อีกข้างมีคนขับรถช่วย แต่สุดท้ายเจ้าตัวที่เป็นเบต้าธรรมดาก็ถูกผลักออกไป นอกจากอัลฟ่าด้วยกันก็ไม่มีใครจะจับอัลฟ่าที่กำลังรัทได้อยู่หมัดหรอก งานหนักจึงตกมาอยู่ที่พุทธชาดเข้าเต็มๆ

สามีของเขาแทบจะไร้สติโดยสิ้นเชิง มือหนาบีบหนักๆ เข้ากับหัวไหล่ของราชนิกูลหนุ่มจนคนถูกบีบนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ เขาลากร่างสูงให้ก้าวขึ้นชั้นบนด้วยตัวคนเดียว ไม่ลืมออกคำสั่งกับแม่บ้านที่เพิ่งโทรศัพท์เสร็จและวิ่งตามมาช่วยเปิดประตูห้องนอนให้

“อย่าให้โอเมก้าแม้แต่คนเดียวเข้ามาในบ้านเด็ดขาด”

“ค่ะคุณแก้ว”

“อาหมอจะมาหรือยัง”

“คุณขจรออกไปธุระที่ต่างจังหวัด ไม่แน่ใจว่าจะกลับมาถึงกี่โมงค่ะ แต่ดิฉันแจ้งกับท่านแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ท่านบอกว่าจะรีบมาค่ะ”

สีหน้าของพุทธชาดเคร่งเครียดขึ้นมาทันที หากเป็นจังหวัดใกล้ๆ ก็คงสักชั่วโมงน่าจะมาถึง แต่ถ้าไกลกว่านั้นคงอีกหลายชั่วโมง แล้วเขาควรทำยังไงกับกัลปพฤกษ์ที่กำลังรัทดีล่ะ หากไม่ได้ปลดปล่อยหรือได้รับยาระงับอีกฝ่ายก็จะทรมานอยู่อย่างนี้ไปทั้งคืน ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่นอน

ถึงจะเกลียดกัลปพฤกษ์มากแค่ไหน แต่พุทธชาดก็ไม่ใช่คนใจร้ายถึงขนาดจะปล่อยให้สามีต้องทนเจ็บปวดเพราะอาการรัท แม้ตัวเขาจะไม่เคยรัทมาก่อนแต่ก็พอจะรู้มาบ้างว่าความรู้สึกมันเป็นอย่างไร แย่หน่อยที่เขาประมาทเกินไปที่ไม่เก็บยาระงับรัทเอาไว้บ้าง ตอนนี้ก็เลยได้แต่รอให้อาหมอมาถึงไวๆ หรือไม่อีกทางหนึ่งก็มีแต่ต้องใช้ตัวเองช่วยผู้เป็นสามีเท่านั้น

ซึ่งนั่นเป็นหนทางสุดท้ายที่พุทธชาดจะใช้ ตอนนี้เขาจะรออาหมอก่อน ไม่แน่บ้านใหญ่อาจจมียาอยู่บ้าง...คิดได้ดังนั้นชายหนุ่มก็หันไปสั่งแม่บ้านเก่าแก่อย่างเร่งรีบ

“ไปหายาระงับอาการรัทมา ถ้าบ้านนี้ไม่มีก็ลองไปดูที่บ้านใหญ่ เร็วเข้า!”

“ค่ะๆ คุณแก้ว ดิฉันจะรีบมาค่ะ”

คล้อยหลังแม่บ้านวัยกลางคนไป ราชนิกูลหนุ่มก็หันกลับมามองสภาพอันแสนย่ำแย่ของผู้เป็นสามี กัลปพฤกษ์คำรามเสียงต่ำในลำคอ อัลฟ่าหนุ่มนอนดิ้นกระสับกระส่าย จิกทึ้งผ้าปูที่นอน หมอนและผ้าห่มจนยับยู่ สุดท้ายร่างสูงก็กระชากเสื้อที่ตัวเองใส่อยู่ออกจนกระดุมขาดทั้งแผง พอสลัดเสื้อทิ้งไปได้ก็ตามด้วยถอดกางเกงทั้งที่มือสั่นเทา

พุทธชาดมองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างตกตะลึงไปชั่วขณะ แต่อัลฟ่าหนุ่มก็ตั้งสติกลับมาได้อย่างรวดเร็ว เขาขยับเข้าไปช่วยถอดเสื้อผ้าออกให้ ความเปลือยเปล่าที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อนทำให้รู้สึกประดักประเดิดไม่น้อยเวลามอง แต่ชายหนุ่มเลือกตัดเรื่องนั้นออกไปจากใจ เวลานี้เขาควรช่วยให้กัลปพฤกษ์ได้ผ่อนคลายลงมากกว่าจะมาสนใจเรื่องหยุมหยิมพวกนี้

“บัดซบ!”

กัลปพฤกษ์สบถออกมาอีกหลายคำ กำส่วนกลางลำตัวของตนเองเอาไว้ในอุ้งมือ รูดรั้งไม่กี่ทีก็ปลดปล่อยความต้องการที่อดกลั้นเอาไว้มาพักใหญ่ออกไป แต่เท่านี้มันยังไม่พอ ชายหนุ่มหอบหายใจอย่างหนัก ดวงตาแดงก่ำเหลือบมองใบหน้าตกตะลึงของผู้เป็นภรรยา แม้สติจะไม่มั่นคงนักแต่ก็ยังรับรู้เหตุการณ์รอบตัวได้ดี และนั่นทำให้เขาอดรู้สึกสมเพชตัวเองไม่ได้ที่ต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้ต่อหน้าคุณแก้ว

“กำลังสมเพช...ฮ้า!” เขาหอบอากาศเข้าปอดเฮือกใหญ่ก่อนจะพูดต่อ “...ผมอยู่ใช่ไหมล่ะ!? เห็นผมเป็นแบบนี้คุณคงดีใจสินะ!”

“คุณกัลป์ คุณเป็นบ้าไปแล้วหรือไง เห็นคุณทรมานแบบนี้ผมจะไปดีใจได้ยังไง” พุทธชาดอดต่อว่าไม่ได้ “ลดอคติของคุณลงแล้วพูดกันดีๆ บ้างเถอะ ตอนนี้คุณไม่พร้อมจะต่อปากต่อคำกับผมหรอก”

“เหอะ!” กัลปพฤกษ์แค่นเสียงขึ้นจมูก ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น สลับกับสบถด่าโดยที่มือยังคงกำรูดความเป็นชายของตัวเองไม่หยุด “ทำไม? อึก! คุณอยากช่วยผมมากหรือไง?”

“แน่นอนอยู่แล้ว การที่คุณรัทมันเป็นเหตุสุดวิสัย ถึงผมจะเกลียดคุณแต่ก็ไม่ได้อยากให้คุณตกอยู่ในสภาพนี้หรอกนะ” อัลฟ่าราชนิกูลถอนหายใจ พยายามจับสายตาเอาไว้ที่ใบหน้าของผู้เป็นสามีเท่านั้น “ผมตามอาหมอแล้ว แต่คุณอาจต้องรอนานหน่อยเพราะเขาไม่อยู่”

“ผมรู้! แต่มัน...ฉิบ! มันจะง่ายกว่านี้ถ้าคุณจะกรุณา อึก! หาโอเมก้ามาให้ผมสักคน!”

“ไม่ได้!” พุทธชาดปฏิเสธโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด “มีโอกาสสูงมากที่คุณจะทำโอเมก้าท้อง”

“ไม่ดีหรือไง จะได้...” กัลปพฤกษ์กัดฟันข่มกลั้นความรู้สึกวูบวาบในกายอยู่พักหนึ่งแล้วจึงพูดต่อ “เอาเด็กคนนั้นมาเป็นลูกของเรา หึ!”

“ผมไม่มีทางทำอย่างนั้นแน่” น้ำเสียงของพุทธชาดเด็ดขาดมั่นคง กลิ่นอายความเป็นอัลฟ่าแผ่ออกจากตัวกดดันให้อัลฟ่าอีกคนรับรู้ได้ หากแต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้พูดคุยอะไรกันต่อ เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้นเสียก่อนพร้อมเสียงเรียกของแม่บ้านที่ดังตามหลัง

“คุณแก้วคะ”

“ไม่ต้องเข้ามา!” อัลฟ่าหนุ่มตะโกนบอก เขาเดินไปเปิดประตูแล้วยืนคุยหน้าห้อง “ได้ยาไหม”

สีหน้าของแม่บ้านสลดลง “ไม่มีเลยค่ะคุณแก้ว คุณท่านทั้งสองไม่เคยมีอาการรัทจึงไม่ได้ซื้อเก็บไว้ อีกทั้งมีคุณขจรอยู่ไม่ไกลเลยคิดว่าไม่จำเป็น”

พุทธชาดอยากต่อว่าที่ทุกคนมองเรื่องนี้เป็นเรื่องไม่จำเป็น ทั้งที่ควรรู้ว่าแม้ไม่เคยมีใครเกิดอาการก็ใช่ว่าจะไม่มีทางเกิดขึ้น แต่เขาก็พูดอย่างนั้นได้ไม่เต็มปาก เนื่องด้วยตั้งแต่แรกชายหนุ่มเองก็ไม่เคยรับรู้ว่าในบ้านมีหรือไม่มีอะไรบ้าง หากจะต่อว่าใครก็คงต้องเป็นตัวเขาเองคนแรกที่ไม่ตรวจสอบข้าวของเครื่องใช้ในบ้านให้ดี

ราชนิกูลหนุ่มเม้มปากตัวเองด้วยความเคร่งเครียด ปกติที่มักจะเก็บอารมณ์ไว้ได้ดีตอนนี้กลับเผยทุกความกังวลออกมาอย่างที่นานๆ ครั้งจะเป็น พุทธชาดครุ่นคิดอย่างหนักโดยมีแม่บ้านวัยกลางคนยืนรอรับคำสั่งเงียบๆ กระทั่งเสียงครวญครางสลับสบถด่าของกัลปพฤกษ์ดังขึ้นอีกครั้ง อัลฟ่าหนุ่มจึงได้สติและตัดสินใจได้ในที่สุด

“โทร. บอกอาหมอไม่ต้องรีบกลับมาแล้ว”

“คะ?”

“แล้วก็...” พุทธชาดถอนหายใจยาว ในใจรู้สึกหวั่นเกรงแต่ก็รีบสลัดมันทิ้งไป มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะช่วยผู้เป็นสามีได้ ที่สำคัญเขาเป็นภรรยาของอีกฝ่ายอยู่แล้ว ถือซะว่านี่คืออีกหนึ่งหน้าที่ของคนเป็นภรรยาก็แล้วกัน มันไม่ได้เสียหายอะไรหากเขาเต็มใจจะทำมันด้วยตัวเอง “อย่าให้ใครขึ้นมารบกวนเด็ดขาด ถ้าฉันไม่ได้เรียกก็ห้ามใครขึ้นมา ต่อให้จะเลยเวลามื้ออาหารไปแล้วก็ตาม”

คนฟังหน้าแดงก่ำ เข้าใจได้ในทันทีว่าเจ้านายผู้สูงศักดิ์ต้องการจะทำอะไร เธอรีบรับคำแล้วก้าวไวๆ จากไปทันที...คล้อยหลังแม่บ้านอาวุโส พุทธชาดกลับเข้าห้อง เขากดล็อกลูกบิดประตู หมุนตัวเดินกลับไปหาสามีที่ยังคงพยายามอดทนอดกลั้น ปรนเปรอตัวเองไปถึงฝั่งฝันเพื่อบรรเทาความต้องการในตัวแม้รู้ว่ามันไม่มีทางหายง่ายๆ เพียงแค่ชั่วตัวเองสองสามครั้งเท่านั้น

อัลฟ่าสายเลือดสูงศักดิ์ถอนหายใจอีกครั้ง เขาถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกจนร่างกายเปลือยเปล่า กัลปพฤกษ์มองการกระทำของผู้เป็นภรรยาตาค้าง ไม่ต้องพูดออกมาก็เดาได้ว่าคุณแก้วคิดจะทำอะไร

“คุณแก้ว!”

“ครับ”

กัลปพฤกษ์ตกใจจนหยุดมือที่กำลังปลุกปั่นความร้อนผ่าวกลางกายตัวเองไปชั่วขณะ อัลฟ่าผิวแทนไม่ทันตั้งตัวในตอนที่ภรรยาปากร้ายของตนคว้าเอาเนกไทที่ปลดทิ้งไปกลับขึ้นมา ใช้มันมัดข้อมือทั้งสองข้างของเขาเอาไว้แน่นจนแทบขยับไม่ได้

“นี่คุณคิดจะทำอะไร?!”

พุทธชาดตอบหน้าตาย “ช่วยคุณไงครับ”

“ช่วยผม? ยังไง ด้วยการนอนกับผมงั้นสิ?!” น้ำเสียงทุ้มต่ำแทบจะกลายเป็นตวาด ก่อนจะเปลี่ยนเป็นหัวเราะหยามเหยียดขึ้นมาอีกครั้ง “คนที่ทระนงว่าตัวเองสูงส่งอย่างคุณแก้วน่ะเหรอจะยอมทำหน้าที่ภรรยาให้ผม นึกว่าเราแค่แต่งงานกันในนามซะอีก”

“ผมไม่ได้อยากทำ แต่ในฐานะภรรยาอย่างที่คุณพูด และในฐานะเพื่อนมนุษย์ที่ยังมีความเมตตาต่อ ‘สัตว์’ เหลืออยู่” พุทธชาดเน้นคำบางคำเป็นพิเศษ มองเห็นความไม่พอใจฉายชัดในแววตาของคนฟังแต่เขาไม่ได้สนใจ ยังคงพูดต่อไปและพยายามยื้อยุดกับมือของกัลปพฤกษ์ ไม่ให้อีกฝ่ายหลุดออกจากการควบคุมของเขา “ผมจะช่วยให้คุณบรรเทาความทรมานลง แต่คุณต้องไม่แตะตัวผมโดยที่ผมไม่อนุญาต”

“มีน้ำใจเหลือเกินนะ แต่ผมไม่ต้องการ! ออกไป!” กัลปพฤกษ์ตวาดลั่น สะบัดมือของพุทธชาดออกเต็มแรง

คนเป็นภรรยาเริ่มหมดความอดทน เขาต้องใช้ความกล้าในตัดสินใจเรื่องสำคัญขนาดนี้เพื่อช่วยอีกฝ่าย แต่สามีจอมสำส่อนของเขากลับถือทิฐิชวนให้น่าโมโหเป็นไหนๆ สุดท้ายพุทธชาดก็เลือกที่จะตบหน้าเรียกสติอีกฝ่ายจนใบหน้าหล่อเหลามีเสน่ห์นั่นหันไปตามแรง

เกิดความเงียบขึ้นหลังจากนั้น

“ผมรู้ว่าคุณไม่ต้องการร่างกายของผม ผมเป็นอัลฟ่าที่ไม่ได้มีกลิ่นฟีโรโมนหอมๆ เหมือนพวกโอเมก้าอย่างที่คุณชอบ แต่นี่มันสถานการณ์ฉุกเฉิน คุณช่วยฝืนทำมันด้วยกันหน่อย มันคงไม่ยากเกินความสามารถของคุณหรอกมั้ง” ราชนิกูลหนุ่มสบดวงตาสีดำคู่สวยที่มองมาอย่างจริงจัง “มันทรมานมากไม่ใช่เหรอ แล้วถ้าคุณไม่ทำคุณจะทนไหวไปได้อีกนานแค่ไหน แน่นอนว่าการเอาโอเมก้ามานอนด้วยน่ะคุณเลิกคิดไปได้เลย ผมไม่ยอมให้คุณทำใครท้องแล้วกลายเป็นข่าวฉาวเด็ดขาด”

“หึ คุณก็ห่วงแต่ชื่อเสียงเหมือนเดิม”

“เพราะมันคือส่วนหนึ่งของชีวิตผม ฉะนั้นถ้าคุณจะกรุณาก็ให้ความร่วมมือกับผมหน่อย”

“ทำอะไรล่ะ?” กัลปพฤกษ์แกล้งถามทั้งที่เข้าใจความหมายที่ภรรยาปากร้ายพูดทุกอย่าง ท่าทางยียวนกวนประสาททั้งที่เหงื่อไหลซึมไปทั่วร่าง ขอบตาแดงระเรื่อ อาการรัทไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย

“ทำเรื่องที่สามีภรรยาเขาทำกัน” พุทธชาดตอบ หากเป็นเวลาอื่นคงต่อว่าอีกฝ่ายด้วยคำพูดเจ็บๆ ไปแล้ว แต่วันนี้เขาเหนื่อยหน่ายใจเกินกว่าจะทำอย่างนั้นได้ลง

เวลาผ่านไปไม่กี่นาทีแต่เหมือนนานหลายชั่วโมง พุทธชาดไม่ได้คาดหวังว่าสามีหนุ่มจะยอมรับง่ายๆ เขารู้ตัวดีว่าไม่ได้ดึงดูดใจหรือเย้ายวนคุณกัลป์มากพอ แต่ก็อย่างที่บอกว่านี่มันเหตุการณ์ฉุกเฉิน อะไรที่พอทำได้ก็ต้องทำ ถ้าหากคุณกัลป์ไม่รับข้อเสนอ ก็มีแต่ต้องรอให้อาหมอมาถึงเท่านั้น ซึ่ง...เขาให้แม่บ้านโทร. ไปบอกแล้วเสียด้วยสิว่าไม่ต้องรีบแล้ว แต่ถ้าสามีงี่เง่าของเขาอยากจะรอก็ตามใจแล้วกัน พุทธชาดถือว่าเขาพยายามโปรดสัตว์แล้ว แต่สัตว์ไม่ต้องการก็ช่วยไม่ได้

ท้ายที่สุดคำตอบที่รออยู่ก็มาถึง

“ก็ได้ แต่ผมบอกไว้ก่อนเลยนะว่ามันจะเป็นแค่เซ็กซ์เพื่อปลดปล่อยให้ผ่านไปเท่านั้น ผมไม่ได้รักใคร่หรืออยากมีอะไรกับคุณแม้แต่นิดเดียว...คุณแก้ว”



เมื่อตกลงกันได้แล้ว พุทธชาดก็หยิบเอาอุปกรณ์ที่ต้องใช้เวลามีเพศสัมพันธ์ออกมา เขาไม่เคยทำกับใครมาก่อน เรียกว่าทั้งชีวิตอัลฟ่าสายเลือดหม่อมราชวงศ์อย่างเขาไม่เห็นว่าเรื่องพวกนี้จำเป็นมากไปกว่างาน หากอยากผ่อนคลายก็แค่ช่วยตัวเองเท่านั้นโดยไม่คิดจะนอนกับใคร ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาทำไม่เป็นอย่างแน่นอน แต่ที่มีของพวกนี้ครบและรู้ขั้นตอนการทำอยู่บ้างเพราะเคยศึกษามาเหมือนอ่านหนังสือให้ความรู้ทั่วๆ ไป ท่าทางของชายหนุ่มจึงไม่ได้ดูงกๆ เงิ่นๆ แต่อย่างใด

“จะไม่ปล่อยมือผมจริงๆ เหรอครับคุณแก้ว ให้ผมช่วยน่าจะดีกว่านะ หึ” กัลปพฤกษ์ข่มความต้องการที่ยังคุกรุ่นเอาไว้ สีหน้าบิดเบี้ยวในบางครั้งเพราะอยากปลดปล่อยเต็มที

“อยู่เฉยๆ ไปเถอะ ผมบอกแล้วไงว่าห้ามคุณแตะต้องตัวผมเด็ดขาดหากผมไม่อนุญาต”

“น่าเบื่ออีกแล้ว คุณนี่มันไม่มีแรงดึงดูดทางเพศเลยจริงๆ เป็นถึงอัลฟ่าแท้ๆ นี่ถ้าเป็นเวลาอื่นผมคงไม่มีทางทำอะไรคุณได้ลงแน่ๆ ไอ้หนูของผมคงไม่แข็งขึ้นมาหากเจอกับความจืดชืดของคุณ”

พุทธชาดนิ่วหน้า อยากจะต่อว่าที่อีกฝ่ายพูดจาหยาบคายใส่เขา แต่ชายหนุ่มก็เลือกที่จะเงียบไปแล้วทำการปลุกเร้ารวมไปถึงขยับขยายให้ตัวเองแทน

ช่องทางด้านหลังของอัลฟ่าไม่เหมือนโอเมก้ายามฮีท มันไม่มีน้ำหล่อลื่นช่วย ดังนั้นเขาจึงต้องทำมันด้วยตัวเอง จะปล่อยผู้เป็นสามีมาทำให้ก็ไม่น่าอภิรมย์เท่าไหร่นัก พอคิดว่านิ้วของผู้ชายตรงหน้ากำลังสอดเข้ามาในร่างกาย ชายหนุ่มก็รู้สึกรับไม่ได้แล้ว อัลฟ่าราชนิกูลเม้มปากแน่นในระหว่างที่กลั้นใจสอดปลายนิ้วชุ่มเจลหล่อลื่นเข้าไปในร่างกายตัวเอง

“อึก...”

ใบหน้าหล่อเหลาขาวซีดลงเล็กน้อยเพราะความเจ็บเสียด พุทธชาดกัดฟันแน่นโดยไม่รู้ตัว พยายามขยับขยายให้ตัวเองพรั่งพร้อมพอที่จะรองรับความต้องการของสามีหน้าไม่อาย ที่เวลานี้กำลังจ้องมองทุกการกระทำของภรรยาอย่างเขาตาไม่กะพริบ

หากเป็นไปได้พุทธชาดก็ไม่อยากตกอยู่ในท่าทางน่าอายเช่นนี้ เขานั่งเอนตัวไปด้านหลังเล็กน้อย แยกขาทั้งสองข้างออกกว้าง เปิดเผยร่างกายขาวจัดให้กัลปพฤกษ์ได้เห็นจนหมด แผ่นอกกว้าง หน้าท้องที่มีกล้ามเนื้ออ่อนๆ เรียงตัวสวย ไม่ได้หนาแน่นกำยำเหมือนกับผู้เป็นสามี แต่ก็น่ามองไปอีกแบบ

ความเป็นชายของพุทธชาดเริ่มมีปฏิกิริยาไปตามแรงอารมณ์ซึ่งถูกปลุกเร้า ใบหน้าหล่อเหลาที่มักเรียบเฉยหรือแสดงสีหน้าดูแคลนออกมาเวลาอยู่กับสามีไม่ได้เรื่อง ยามนี้กลับแฝงความเจ็บปวดเอาไว้จางๆ กัลปพฤกษ์ที่มองอยู่นานเดาได้ไม่อยากว่าอีกฝ่ายไม่ใคร่จะพอใจนักกับการที่ต้องมาทำอะไรแบบนี้ แน่ล่ะก็คุณแก้วผู้สูงส่งทำอย่างขอไปที เหมือนกับว่าแค่อยากให้มันจบๆ ไปเท่านั้น พออารมณ์ร่วมมันไม่เกิดมากพอก็ต้องเจ็บเป็นธรรมดา

กัลปพฤกษ์อยากจะหัวเราะเย้ยหยันให้กับคนตรงหน้า คนที่ทำตัวเหมือนอยู่บนยอดพีรามิดเสมอ เวลานี้กลับกำลังเตรียมตัวเองให้พร้อมเพื่อเขา น่าตลกขบขันซะจนแทบทนไม่ไหว แต่ก็รู้สึกนับถืออยู่นิดๆ ที่อีกฝ่ายยอมลงให้เขาถึงเพียงนี้ ทั้งที่ตลอดมาไม่เคยยอมพ่ายแพ้เลยด้วยซ้ำ มีแต่กัลปพฤกษ์เท่านั้นที่มักแพ้อยู่เสมอ

มันน่าอายนะที่อัลฟ่าอย่างกัลปพฤกษ์ ชัยพัฒน์พิมานผู้เก่งกาจ ดันมีคนที่ไม่อาจสู้ฝีปากได้เป็นภรรยา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้อีกเช่นกันว่าการได้เย้าแหย่คนปากร้ายอย่างคุณแก้วมันทำให้เขาสนุกไม่น้อย

ผ่านไปไม่นานพุทธชาดก็ขยับเข้ามาใกล้ผู้เป็นสามี เขามองส่วนกลางลำตัวของกัลปพฤกษ์ที่กำลังผงาดสู้สายตา ความองอาจนั้นทำให้อัลฟ่าราชนิกูลลังเลใจเล็กน้อย แต่แล้วเขาก็เลือกที่จะสัมผัสมัน เพราะถ้าหากเขาอยากเป็นฝ่ายควบคุม เขาก็ต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง

ทันทีที่มือนุ่มอย่างคนไม่ได้ทำงานหนักแตะลงมา ร่างกายของอัลฟ่าผิวแทนก็กระตุกขึ้นมาเบาๆ ความรู้สึกหวามไหวแล่นพล่านไปทั่วร่าง ความต้องการเอ่อล้น อึดอัดจนอยากจะระบายมันออกมาเต็มทนแล้ว กัลปพฤกษ์ทนกับอาการรัทได้จนถึงขนาดนี้ก็ถือว่าเขาใช้ความอดทนหมดไปครึ่งชีวิตแล้วมั้ง

“เลิกจับเฉยๆ แล้วทำอะไรกับมันสักทีคุณแก้ว! ผมทนมามากเกินพอแล้วนะ! คุณจะช่วยผมหรือแกล้งให้ผมอยากจนตายกันแน่วะ!”

“เลิกหยาบคายแล้วพูดกับผมดีๆ ให้ได้เสียก่อน เพราะถึงผมเป็นคนเสนอตัวจะช่วยคุณเอง แต่ก็ไม่ปฏิเสธหรอกนะหากทำให้คุณดิ้นพล่านได้” พุทธชาดสวนกลับอย่างรวดเร็ว เล่นเอาคนฟังกัดฟันกรอด ส่งสายตาคมดุอย่างอยากจะกินเลือดกินเนื้อมาให้

กัลปพฤกษ์กัดฟันกรอด เอ่ยเสียงรอดไรฟันออกมาว่า “ให้ผมยัดไอ้หนูเข้าไปในตัวคุณได้หรือยัง”

คำพูดคำจาหยาบโลนจนพุทธชาดหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันที ชายหนุ่มพยายามเก็บสีหน้า เคลื่อนกายขึ้นนั่งคร่อมตักแกร่งเอาไว้ เขาสูดหายใจเข้าลึก พยายามผ่อนอาการเกร็งตามข้อมูลที่ได้เคยศึกษามา มือขาวจับความเป็นชายของผู้เป็นสามีให้อยู่นิ่ง แล้วกอดสอดมันผ่านช่องทางคับแคบของตัวเอง

“อึก เจ็บ...” น้ำเสียงทุ้มนุ่มหลุดปากออกมาเบาๆ แต่เพราะอยู่ใกล้กันมากกัลปพฤกษ์จึงได้ยินชัดเจน

อัลฟ่าผิวแทนคำรามเบาๆ ในลำคอ ความอุ่นร้อนรัดแน่นที่กลางกายของเขาจนทำให้เจ็บไปหมด เข้าใจดีว่าผู้เป็นภรรยาไม่เคยทำแบบนี้กับใครจึงออกอาการเกร็งอย่างเห็นได้ชัด แม้จะไม่ได้พิศวาสแต่ถ้าอีกคนยังเจ็บอยู่ เซ็กซ์ครั้งนี้คงผ่านไปได้ยาก

กัลปพฤกษ์มีนโยบายส่วนตัวคือจะไม่ทำให้คู่นอนเจ็บโดยไม่จำเป็น กับโอเมก้าก็แค่ช่วยนิดๆ หน่อยเพราะร่างกายพร้อมรับการมีเพศสัมพันธ์มากกว่าเพศอื่นอยู่แล้ว แต่กับอัลฟ่าด้วยกันแม้ไม่เคยนอนด้วยแต่คิดว่าน่าจะต้องทำให้ผ่อนคลายกว่านี้

“คุณแก้วอย่าเกร็ง ที่คุณรัดผมมันทำให้ผมเจ็บไปด้วย”

“ไม่ต้องอธิบายขนาดนั้น อะ...ผมไม่ได้อยากฟัง” พุทธชาดรีบแย้ง แค่บอกให้เขาไม่เกร็งก็เกินพอแล้ว บีบๆ รัดๆ นั่นจะพูดออกมาทำไมกัน น่าไม่อายเลยสักนิด!

“นี่ คุณควรรู้ไว้นะว่านี่มันคำพูดปกติของคนที่กำลังมีอะไรกัน และนี่ผมก็กำลังช่วยให้คุณไม่ต้องเจ็บด้วย” พูดจบกัลปพฤกษ์ก็สบถออกมายกใหญ่เมื่อแรงบีบรัดมีแต่จะกระตุ้นให้เขาอยากกระแทกเข้าใส่อีกฝ่ายแรงๆ แต่จำต้องฝืนเอาไว้

“ผมไม่สนใจ เพราะงั้นช่วยเงียบสักทีเถอะ”

กัลปพฤกษ์หงุดหงิดซะจนอยากเอาคืน ความคิดที่จะรอให้ภรรยาปากร้ายผ่อนคลายลงมากกว่านี้ปลิวหายไปจากสมอง อัลฟ่าหนุ่มยกสะโพกกระแทกสวนขึ้นไปโดยที่พุทธชาดไม่ทันตั้งตัว ทำให้แก่นกายของเขาจากที่ฝังเข้าไปในตัวภรรยาได้เพียงครึ่งเดียว...ถูกดันเข้าไปจนหมด

“คุณกัลป์!” ใบหน้าของพุทธชาดเหยเกเพราะความเจ็บกับความรู้สึกแปลกประหลาดที่แล่นพล่านไปทั่วร่าง เขาเจ็บ...เจ็บมาก แต่ในความเจ็บก็มีความวูบวาบเกิดขึ้นด้วยเช่นกัน มันเป็นความรู้สึกที่ราชนิกูลหนุ่มไม่เคยสัมผัสมาก่อน

“เป็นอัลฟ่าแท้ๆ แต่กลับไม่เคยเอาใครมาก่อน คุณเป็นอัลฟ่าที่เสียของมากเลยรู้ไหม”

“ผมบอกให้เงียบไง!”

เสียงกึ่งตวาดนั้นสั่นพร่าจนคนฟังรู้สึกได้ กัลปพฤกษ์อยากจะแกล้งภรรยาปากร้ายอีกสักนิด แต่ตัวเขาเองก็เกินจุดที่จะทนต่อได้ไหวแล้วเหมือนกัน ท้ายที่สุดอัลฟ่าหนุ่มผิวแทนจึงสั่งให้พุทธชาดเป็นฝ่ายนอนลงไป เพื่อที่เขาจะได้เป็นคนควบคุมจังหวะสอดประสานเอง

“นอนลงไปซะ ผมจะขยับเอง”

“ไม่”

“คุณแก้ว คุณทำไม่เป็น ครั้งแรกก็คิดจะออนท็อปให้ผม คุณมั่นใจแค่ไหนว่าจะไม่ทำของผมหัก”

พุทธชาดหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้ง คำพูดน่าอายเหล่านี้หลุดออกมาจากปากของกัลปพฤกษ์ได้อย่างไม่ยากเย็น ผิดกับเขาลิบลับที่คงไม่มีวันพูดมันออกมาได้แน่...ชายหนุ่มเข้าใจที่สามีบอก จึงยอมเอนกายลงนอนราบไปกับเตียงโดยที่มีร่างสูงกำยำของอัลฟ่าอีกคนโน้มตัวลงตาม การปรับเปลี่ยนท่าทางนี้เป็นไปโดยที่ความร้อนผ่าวไม่ได้หลุดออกจากช่องทางคับแน่นเลยแม้แต่นิดเดียว

“จะดีมากถ้าคุณยอมให้ผมปลดไอ้เนกไทบ้าๆ นี่ออกไปด้วย มันทำให้ผมขยับไม่ถนัด”

“ไม่ ผมไม่ไว้ใจคุณ มือหนักอย่างคุณคงได้เผลอทำให้ร่างกายผมเป็นรอยช้ำ”

ได้ฟังอย่างนั้นร่างสูงก็กลอกตาใส่ทันที “ให้ตายเถอะคุณแก้ว หวงเนื้อหวงอะไรนักหนา น่ารำคาญชะมัด”

“คุณหยุดบ่นแล้วขยับสักทีเถอะ ผม...ผมอึดอัด”

แม้จะขัดใจแต่กัลปพฤกษ์จำต้องสอบสะโพกเข้าหาคนใต้ร่างทั้งที่มือยังถูกมัดอยู่อย่างนั้น เสียงผิวเนื้อกระทบกันเบาๆ ในตอนแรกค่อยๆ ทวีความดังขึ้นเรื่อยๆ เมื่ออัลฟ่าผิวแทนจับจังหวะได้อย่างรื่นไหลแล้ว เขากระแทกกระทั้นโดยไม่ยั้งแรง ไม่สนว่าพุทธชาดจะรู้สึกยังไง เวลานี้เขาต้องการปลดปล่อยความต้องการออกมาให้ได้มากที่สุด อาการรัทครั้งแรกของชีวิตเล่นงานเขาเสียจนแทบคลั่งตาย

“อึก เบาลงหน่อย มันเจ็บ”

คำร้องขอจากภรรยาปากเก่งทำให้คนเป็นสามียอมเบาแรงให้แม้จะไม่ชอบใจก็ตาม กัลปพฤกษ์เผลอมองใบหน้าหล่อเหลาของอัลฟ่าผู้สูงส่งอย่างเผลอไผล เขาไม่เคยเห็นคุณแก้วที่กำลังทำสีหน้าแบบนี้มาก่อน มันไม่ได้ยั่วยวนเหมือนโอเมก้าที่เขาเคยนอนด้วย ไม่ได้ชวนมองและเร้าอารมณ์เท่า แต่ดวงตาที่ฉ่ำเพราะหยาดน้ำตานั่น ริมฝีปากที่กัดเม้มเพื่อกลั้นเสียงนั่น อีกทั้งร่างกายที่เต็มไปด้วยความแข็งแกร่งอย่างอัลฟ่า กลับให้ความรู้สึกน่าตื่นเต้นต่อชายหนุ่มเสียอย่างนั้น

กัลปพฤกษ์โน้มหน้าลงหวังกดจูบที่ปากของผู้เป็นภรรยา มันน่าสนใจอย่างน่าประหลาดซะจนเขาอยากลองลิ้มรสปากของคุณแก้วขึ้นมาซะเฉยๆ แต่พุทธชาดกลับเบี่ยงหน้าหนี แม้ไม่พูดออกมาก็ทำให้คนมองเข้าใจได้ว่านี่คือการปฏิเสธ เห็นดังนั้นคนที่กำลังอยู่ในอาการรัทจึงยอมตัดใจ เปลี่ยนเป็นซุกหน้าเข้ากับซอกคอขาวแทน

ทั้งที่คิดว่าคงไม่ได้กลิ่นอะไร ก็ในเมื่ออัลฟ่าไม่ได้มีฟีโรโมนหอมๆ เหมือนพวกโอเมก้า แต่น่าแปลกอีกแล้วที่กัลปพฤกษ์กลับได้กลิ่นหอมจากตัวอีกฝ่าย มันคงเป็นกลิ่นน้ำหอมผสมกับกลิ่นของครีมอาบน้ำที่ยังหลงเหลืออยู่ก่อนออกไปงานคืนสู่เหย้า

เป็นกลิ่นหอมที่ชายหนุ่มไม่เคยได้กลิ่นที่ไหนมาก่อน เป็นความหอมเฉพาะตัวอย่างไม่ต้องสงสัย

“คุณแก้ว ที่จริงคุณก็ตัวหอมได้เหมือนโอเมก้าเลยนี่”

“ผมไม่ใช่โอเมก้า” น้ำเสียงทุ้มนุ่มพูดขึ้นเสียงแข็ง

“แต่การที่คุณนอนให้ผมสอดใส่เข้าไปก็ไม่ต่างจากโอเมก้าเท่าไหร่เลยนะ”

ดวงตาของราชนิกูลหนุ่มวาววับ ยื่นมือไปจิกทึ้งเส้นผมสีดำสนิทของผู้เป็นสามีเต็มแรงจนคนถูกดึงนิ่วหน้าและร้องออกมาด้วยความเจ็บ หากแต่ยังไม่ทันที่กัลปพฤกษ์จะได้พูดอะไร ผู้เป็นภรรยาก็เอ่ยขึ้นมาเสียก่อน

“ผมเป็นอัลฟ่า...อย่าเอาผมไปเทียบกับบรรดาเด็กๆ โอเมก้าของคุณ!”

“ครับๆ ยอมแล้วทูนหัว หึๆ”

สะโพกสอบกระทั้นกายหนักๆ จนทำให้คนใต้ร่างที่มัวแต่โกรธไม่ทันตั้งตัว หลุดเสียงร้องครางออกมาเบาๆ แต่เพียงแค่นั้นก็ทำให้หัวใจของสามีหนุ่มเต้นระรัวขึ้นมาอย่างน่าแปลก พอมองดูดีๆ แล้วทั้งหมดทั้งมวลที่คุณแก้วกำลังแสดงออกให้เขาเห็นอยู่ใต้ร่างเขามันก็น่ามองดีไม่น้อย กัลปพฤกษ์เพิ่งรู้ตัวเอาในตอนนี้เองว่าภรรยาอัลฟ่าของเขา...

แท้จริงไม่ได้จืดชืดอย่างที่ชายหนุ่มเคยสบประมาทเอาไว้

.

.

.

ได้กันเพราะจำเป็น แต่มีคนถูกใจเขาเฉยเลยค่าาาา โถๆๆ ไอ้คนสำส่อน! 555555555555


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-03-2021 15:06:57 โดย Hazel_nut »

ออฟไลน์ lolli_candy99

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
รอดูคนปากดีค่ะ 555555555555

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
รอดูคนปากดีเสียฟอร์ม  เป็นฉากที่นึกไม่ถึงจริงๆ ไม่รู้จะอารมณ์ไหนดีระหว่างฟินจิกหมอน หรือฟังโต้วาที  :laugh:

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ PooriPong

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
คุณแก้วของน้องงงงงงงง

ออฟไลน์ Hazel_nut

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-3

บทที่ 8

ทำได้เพียงแค่คิด ไม่มีสิทธิ์แตะต้อง




พุทธชาดตื่นขึ้นเองตามเวลาปกติ ราวกับว่าเขาฝังนาฬิกาปลุกไว้ในเซลล์ของร่างกาย แม้จะเหนื่อยล้าหรือนอนดึกมากแค่ไหน แต่อัลฟ่าหนุ่มก็มักจะตื่นขึ้นมาในเวลานี้เสมอไม่เว้นแม้กระทั่งวันหยุด หรือแม้แต่ตอนนี้...ที่เขาเพิ่งจะผ่านค่ำคืนอันแสนหนักหน่วงเป็นครั้งแรกมา เหตุเพราะสามีของเขาเกิดอาการรัทขึ้นอย่างกะทันหัน

ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเปิดปรือขึ้น ใช้เวลาหลายนาทีอยู่เหมือนกันกว่าที่พุทธชาดจะเรียกสติของตัวเองมาได้ และสิ่งแรกที่เขาสัมผัสถึงมันได้...ก็คือท่อนแขนหนักๆ ซึ่งพาดทับอยู่บนเอวของชายหนุ่ม

ราชนิกูลหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาก้มมองสภาพของตัวเองที่ตอนนี้เปลือยเปล่าไร้เสื้อผ้าปกปิด จากนั้นพุทธชาดก็รู้สึกได้ถึงความเปรอะเปื้อนเหนียวเหนอะบนร่างกาย เมื่อคืนเขาเป็นที่รองรับอารมณ์ให้กับกัลปพฤกษ์จนหมดสติไปตอนไหนก็จำไม่ค่อยได้นัก ชายหนุ่มจำได้เพียงว่าเขาไปถึงปลายทางของอารมณ์ตามกลไกของร่างกายอยู่สองสามครั้ง

แน่นอนว่าเขาจะไม่พูดถึงความคิดหรือความรู้สึกของตัวเองออกมาให้ใครรู้เด็ดขาด สิ่งเดียวที่เขาจะพูดออกมามีเพียงแค่...ทุกอย่างนั้นเกิดจากความจำเป็น เขาไม่ได้ต้องการมันแต่ทำเพราะโปรดสัตว์เท่านั้น

อัลฟ่าหนุ่มดึงแขนของสามีออกจากตัว เขาตั้งท่าจะลุกลงจากเตียง แต่ยังไม่ทันได้ขยับกายไปไหนก็ถูกแขนแกร่งข้างเดิมกอดรั้งเอาไว้ซะก่อน ไม่นานหลังจากนั้นเสียงทุ้มหากแต่แหบพร่าก็ดังขึ้นจากด้านหลัง

“จะรีบลุกไปไหนกันล่ะครับคุณแก้ว กว่าจะได้นอนก็เกือบเช้าเลยนะ”

“ผมจะไปอาบน้ำ” พุทธชาดเพิ่งรู้ตัวเอาตอนที่พูดออกมาว่าเสียงของเขาเองก็แหบแห้งไม่ต่างกัน เขารู้สึกหิวน้ำขึ้นมาทันที “คุณกัลป์ ปล่อยผมได้แล้ว”

“น่าๆ อย่าเพิ่งสิ มาทำกันอีกสักรอบแล้วค่อยลุกก็ยังไม่สายนะ”

เรียวคิ้วของอัลฟ่าราชนิกูลขมวดเข้าหากันยิ่งกว่าเดิม “ผมคิดว่าเราควรคุยกัน”

“เรื่อง?”

พุทธชาดไม่ได้ตอบในทันที ร่างสูงสง่าสะบัดแขนของผู้เป็นสามีออกไปอีกครั้งแล้วรีบลุกจากเตียง เขายืนอยู่ข้างเตียงพลางกอดอกมองอัลฟ่าหนุ่มผิวแทนบนเตียง ไม่นำพาต่อร่างกายที่ไร้สิ่งใดปิดบัง ปล่อยให้กัลปพฤกษ์ใช้สายตากรุ้มกริ่มมองต่อไป แม้เขาจะรู้สึกไม่ค่อยชอบใจสายตาของอีกฝ่ายเท่าไหร่ก็ตาม

“เมื่อคืนเป็นเหตุสุดวิสัย ผมไม่ได้ต้องการมีอะไรกับคุณ แต่ที่ผมยอมให้คุณทำก็เพราะผมไม่ต้องการให้คุณไปนอนกับโอเมก้าที่ไหนแล้วพลาดพลั้งทำอีกฝ่ายท้องขึ้นมา” พุทธชาดเชิดใบหน้าขึ้นอีกนิดแล้วกดดวงตาลงมองต่ำ เขาทำเหมือนอย่างทุกครั้ง...สายตาที่ใช้มองสิ่งมีชีวิตน่าสมเพชสักชนิดอยู่ “ผมถือว่าผมทำทานโปรดสัตว์”

“คุณหาว่าผมเป็นสัตว์งั้นเหรอ!?”

กัลปพฤกษ์ฟังอย่างสงบมาตลอด แต่พอโดนด่าก็ถึงกับตื่นเต็มตา เขาลุกขึ้นมาเผชิญหน้ากับภรรยาจอมปากร้าย เอื้อมมือไปกอบกุมต้นแขนของอีกฝ่ายแล้วบีบมันแน่นเพื่อระบายความโกรธ

คนโดนบีบไม่สะท้านสะเทือนใดๆ ทั้งสิ้น ราชนิกูลหนุ่มสูดหายใจเข้าลึกพลางแกะมือข้างนั้นออกจากแขนตนเอง แน่นอนว่าสามีของเขาไม่ยอมปล่อยเช่นกัน หลังยื้อยุดกันพักใหญ่ ในที่สุดพุทธชาดก็สามารถเอาชนะได้และก้าวถอยหลังออกไปหลายก้าว

“ถอยออกไปให้ห่างจากผมนะคุณกัลป์!”

“ทำไม? เอาก็เอากันแล้ว แต่ตัวอีกนิดอีกหน่อยคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง”

“อย่าใช้คำพูดคำจาหยาบคายกับผม!”

กัลปพฤกษ์แค่นเสียงหัวเราะขึ้นจมูก สองเท้าก้าวเข้าไปใกล้ผู้เป็นภรรยามากขึ้น ไล่ต้อนจนแผ่นหลังของพุทธชาดจนมุมชนเข้ากับผนังห้อง เห็นดังนั้นอัลฟ่าผิวแทนก็รีบคร่อมแขนทับเอาไว้ กั้นไม่ให้อีกฝ่ายได้หนีไป...ดวงตาของทั้งคู่สบกันในระยะประชิด

“ก็แค่คำว่า ‘เอา’ เองนะคุณภรรยา ทำเป็นรับฟังไม่ได้งั้นเหรอ? แล้วถ้าผมใช้คำที่มันรุนแรงกว่านี้ล่ะ คุณจะอกแตกตายหรือเปล่า?”

“กัลปพฤกษ์! ถอยออกไปให้ห่างจากผมเดี๋ยวนี้” พุทธชาดเอ่ยเสียงหนัก ย้ำคำพูดเดิมอีกครั้ง “แล้วก็กลับไปห้องของคุณได้แล้ว”

“นี่ก็ห้องผมเหมือนกัน ห้องหอของเราแท้ๆ แถมเมื่อคืนเรายังเข้าหอด้วยกันไปแล้วด้วย ทำไมคุณยังคิดจะไล่ผมไปอีก” อัลฟ่าผิวแทนยื่นหน้าเข้าไปใกล้ใบหน้างดงามราวรูปสลักของภรรยาที่เขาคิดมาตลอดว่าน้ำราญ แต่แท้ที่จริงภายใต้ความน่ารำคาญนั้นก็ยังเต็มไปด้วยความน่าหลงใหล ชายหนุ่มกระซิบแผ่วเบา “แค่คิดถึงเสียงครางของคุณเมื่อคืนผมก็แทบจะแข็งขึ้นมาอีกรอบแล้วสิ”

พุทธชาดทนฟังไม่ได้อีกต่อไป อัลฟ่าหนุ่มสวนหมัดซัดเข้าหน้าท้องของสามีจอมหยาบคายเต็มแรง เล่นเอาคนถูกต่อยจุกจนเซถอยหลังและกุมท้องงอตัวลง ใบหน้าหล่อเหลาของอัลฟ่าผิวแทนบิดเบี้ยวจนดูไม่ได้

“ผมเตือนแล้วนะว่าให้ถอยออกไป”

“คุณแก้ว! คุณจะเล่นตัวอะไรนักหนา อึก...” ตวาดเสียงใส่ภรรยาเสร็จก็กลับไปกลั้นหายใจหวังลดทอนความเจ็บปวดลง แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ค่อยได้ผลนัก กัลปพฤกษ์ต้องหายใจเข้าออกช้าๆ อยู่ชั่วครู่กว่าจะพูดออกมาได้อีกครั้ง “เราเป็นผัวเมียกัน มีเซ็กซ์กันแล้ว เรื่องแบบนี้มันผิดตรงไหน!?”

“คุณลืมไปแล้วหรือเปล่าว่าเราแต่งกันเพราะความจำเป็น ผมไม่ได้ต้องการเป็นอะไรกับคุณมากไปกว่าสามีภรรยาแค่ในนาม และต้องให้ผมย้ำอีกงั้นเหรอว่าเมื่อคืนผมเสียสละตัวเองช่วยคุณก็เพราะมันจำเป็น” พุทธชาดอธิบายอย่างใจเย็น ชายหนุ่มก้าวเท้าเร็วๆ ไปคว้าเอาชุดคลุมอาบน้ำมาใส่ มัดเชือกเสร็จก็คว้าผ้าเช็ดตัวที่ยังไม่ได้ใช้โยนไปให้ผู้เป็นสามี “สวมปิดท่อนล่างที่น่ารังเกียจของคุณซะแล้วออกไปจากห้องของผม”

“ถึงจะน่ารังเกียจแต่ก็ทำให้คุณครางจนเสียงแหบเสียงแห้งได้แล้วกัน”

พุทธชาดอยากจะขว้างปาของใส่อีกฝ่ายเป็นการระบายอารมณ์เคืองโกรธนัก แต่นั่นไม่ใช่นิสัยของเขา สุดท้ายอัลฟ่าราชนิกูลจึงทำเพียงแค่เก็บงำความรู้สึกเหมือนเช่นทักครั้ง แล้วเอ่ยย้ำอีกรอบ...

“มันจะไม่มีครั้งต่อไปแน่คุณกัลป์”

“งั้นเหรอ?” อัลฟ่าหนุ่มผิวแทนเลิกคิ้ว เหยียดยิ้มเย้ยหยัน “แล้วผมจะรอดูว่าคุณจะต่อต้านผมได้นานแค่ไหน”

“ออกไป”

พอโดนย้ำเป็นครั้งที่สาม กัลปพฤกษ์ก็ยอมล่าถอยไปได้สักที คล้อยหลังบานประตูห้องนอนที่ปิดลง พุทธชาดที่ทนยืนอยู่นานก็พาตัวเองทรุดลงนั่งบนเตียง เขาเม้มปากสะกดกลั้นความเจ็บเสียดที่ด้านหลัง ก่อนจะผ่อนลมหายใจยาวและได้แต่คิดสงสัยว่าสามีจอมสำส่อนของเขาได้รับความกระทบกระเทือนทางสมองหรืออย่างไร ถึงได้ทำเหมือนอยากจะมีอะไรกับเขาอีกครั้ง ทั้งที่เป็นคนบอกเองไม่ใช่หรือไงว่าเขาจืดชืดแถมยังน่าเบื่อ หรือการได้เหยียบย่ำศักดิ์ศรีของเขามันทำให้อีกฝ่ายสนุกมากจนอยากจะทำซ้ำสอง

ถ้าเป็นอย่างที่เขาคิด...กัลปพฤกษ์ในสายตาเขาก็เป็นผู้ชายน่ารังเกียจโดยสมบูรณ์แล้ว
.
.
.
ตลอดทั้งวันพุทธชาดอยู่แต่ในห้องทำงาน แม้ไม่ได้ไปบริษัทแต่เขาก็ยังมีงานอีกมากมายให้ต้องรับผิดชอบ โชคดีที่กัลปพฤกษ์เองก็จำต้องออกไปทำงานเร่งด่วนบางอย่าง ทั้งบ้านจึงเหลือแค่เขาเพียงคนเดียวเท่านั้น แน่นอนว่านี่เป็นอะไรที่ชายหนุ่มพึงพอใจอย่างมาก

เขาทำงานแทบไม่ได้พัก นิสัยบ้างานแก้เท่าไหร่ก็ไม่หายและมีแต่จะเพิ่มมากขึ้นด้วยซ้ำ หากพ่อกับแม่กลับมาแล้วเห็นว่าเขาเป็นแบบนี้ คงได้เรียกไปว่ากล่าวตักเตือนยกใหญ่ อาจลามไปจนถึงไล่ให้เขากับกัลปพฤกษ์ไปฮันนีมูนกันอีกรอบ เหตุเพราะเห็นว่าเขาให้ความสำคัญกับงานมากกว่าการเอาใจใส่ผู้เป็นสามี แค่คิดพุทธชาดก็เผลอถอนหายใจออกมาเบาๆ ด้วยความเหนื่อยหน่ายใจเสียแล้ว

อัลฟ่าราชนิกูลทิ้งแผ่นหลังพิงพนักเก้าอี้ เพราะอยู่คนเดียวจึงไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครมาเห็นท่าทางไม่สง่างามของตัวเอง หลังจากทำงานมาทั้งวันโดยที่เขาพักทานมื้อเที่ยงไปนิดเดียวเท่านั้น ไหนจะเมื่อคืนที่ใช้ร่างกายไปกับการช่วยเหลือสามีจอมสำส่อนนั่น ตอนนี้ร่างกายจึงเริ่มออกอาการประท้วงว่าเหนื่อยล้าเกินกว่าจะทนไหวแล้ว

พุทธชาดเป็นอัลฟ่า และอัลฟ่ามีความแข็งแกร่งกว่าเพศรองอื่นๆ อยู่หลายส่วน แต่ยังไงซะไม่ว่าอัลฟ่า เบต้า หรือโอเมก้าก็ล้วนแล้วแต่เป็นมนุษย์ เมื่อถึงจุดๆ หนึ่งที่โหมใช้พลังงานชีวิตของตนเองมากเกินไป ก็มีสิทธิ์ที่จะป่วยได้ไม่ว่าจะเป็นเพศไหนก็ตาม

ขมับที่ปวดตุบๆ กำลังบอกชายหนุ่มว่าเขาเข้าใกล้คำว่าไม่สบายเข้าไปทุกที และมันถึงเวลาที่อัลฟ่าหนุ่มต้องหยุดทุกอย่างเพื่อไปทานมื้อเย็น รวมไปถึงการกินยาแก้ไข้และเข้านอนก่อนเวลาปกติสักเล็กน้อย...นั่นคือแผนการทั้งหมดที่พุทธชาดคิดเอาไว้

มันคงจะเป็นไปตามนี้หากไม่ใช่เพราะผู้เป็นสามีของเขากลับมาบ้านในตอนหัวค่ำ หลังเขาจัดการมื้อเย็นและยาที่แม่บ้านจัดหามาให้เสร็จพอดี เมื่อกัลปพฤกษ์เห็นเขา อีกฝ่ายก็เอ่ยทักอย่างอารมณ์ดี ใบหน้าหล่อเหลานั้นเผยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม...ในแบบที่ทำให้พุทธชาดรู้สึกว่ามันน่าประหลาด

ปกติสามีของเขามักจะมีแต่รอยยิ้มยียวนกวนประสาทไม่ก็เยาะหยันให้เขามากกว่า วันนี้เกิดอะไรขึ้นกับอีกฝ่าย ทำไมถึงได้มีท่าทีแปลกไปอย่างนี้ล่ะ?

“ไงคุณภรรยา ทานข้าวไม่รอผมเลยนะครับ”

กัลปพฤกษ์พูดขึ้น อัลฟ่าผิวแทนก้าวเท้าไวๆ เข้ามาหา แต่ยังไม่ทันได้เข้าใกล้พุทธชาดในระยะหนึ่งเมตรเลยด้วยซ้ำ ภรรยาจอมเย็นชาของเขาก็เดินหนีไปเสียก่อน โดยไม่แม้แต่จะกล่าวทักทายกลับมาแม้แต่คำเดียว และนั่นทำให้คนโดนเมินไม่พอใจ ถึงอย่างนั้นวันนี้ชายหนุ่มก็อารมณ์ดีเกินกว่าจะอยากหาเรื่องทะเลาะ ดังนั้นเขาจึงทำเพียงก้าวเท้าไวๆ ตามไปรั้งข้อศอกของภรรยาอัลฟ่าเอาไว้ ด้วยน้ำหนักมือที่ไม่หนักแต่ก็ไม่เบาจนเกินไป

ความอ่อนโยนเพียงเล็กน้อยที่ทำให้พุทธชาดยิ่งไม่เข้าใจและสงสัยเข้าไปใหญ่ ปกติกัลปพฤกษ์ต้องกระชากเขาแรงๆ แล้วสิ ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกับอีกฝ่ายกันแน่

“คุณกัลป์ คุณเมาหรือเปล่า?”

คนถูกถามเลิกคิ้ว “ผมดูเหมือนคนเมางั้นเหรอ?”

“ไม่ แต่คุณดูไม่เหมือนทุกครั้ง”

“ยังไงครับ”

พุทธชาดลอบถอนหายใจเบาๆ กวาดสายตามองสามีหนุ่ม มองมือที่ยังจับข้อศอกของเขาเอาไว้นานกว่าเล็กน้อย ก่อนสุดท้ายจะวกกลับขึ้นมาสบดวงตาคมกริบสีดำสนิท ที่ตอนนี้มันเต็มไปด้วยประกายระยับเหมือนกำลังสนุกในอะไรสักอย่างอยู่ เป็นสายตาในแบบที่พุทธชาดไม่ไว้วางใจ และรู้สึกว่าแบบนี้ต่างหากที่เรียกว่า ‘เป็นปกติ’ ของอีกฝ่าย

“วันนี้คุณไม่หาเรื่องผม”

“เพราะวันนี้ผมอารมณ์ดีล่ะมั้ง” กัลปพฤกษ์หัวเราะ เขาขยับเข้ามาใกล้ผู้เป็นภรรยามากกว่าเดิม โน้มใบหน้าลงเหมือนว่าจะจูบแก้ม แต่พุทธชาดเบี่ยงหน้าหลบพลางถอยหนีก่อนที่เขาจะทันได้แตะปลายจมูกโดนแก้มขาวด้วยซ้ำ เห็นดังนั้นอัลฟ่าผิวแทนก็เคลื่อนใบหน้าไปกระซิบข้างใบหูแทน “คืนนี้ผมนอนด้วยได้หรือเปล่าที่รัก”

คนฟังมุ่นคิ้ว เมื่อเช้าเพิ่งจะทะเลาะกันไปแถมเขายังไล่อีกฝ่ายออกจากห้องด้วย แต่ตกเย็นกลับมาขอนอนด้วย อะไรทำให้สามีจอมเจ้าชู้ของเขาอารมณ์ดีจนทำพฤติกรรมประหลาดได้ขนาดนี้

ถึงจะสงสัย แต่พุทธชาดก็ไม่ได้อยากก้าวก่ายเรื่องของกัลปพฤกษ์ เรื่องเดียวที่เขาจะคาดคั้นเอาความจากเจ้าตัว ก็คือเรื่องใดๆ ก็ตามที่อาจส่งผลต่อชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลเท่านั้น

“ไม่ครับ”

“ไม่เอาน่า เมื่อคืนเราก็นอนด้วยกันแท้ๆ” กัลปพฤกษ์ยิ้มกรุ้มกริ่ม “นอนแบบแนบชิดสนิทกันจนเป็นหนึ่งเดียวเลยนะ คืนนี้เรามานอนแบบนั้นกันอีกดีกว่า คุณแก้วไม่อยากเหรอ”

พุทธชาดเข้าใจความหมายของคำว่านอนที่สามีอัลฟ่าของเขาพูดถึงแล้ว และนั่นปลุกเอาความขุ่นเคืองให้เกิดขึ้นในใจชายหนุ่มทันที เขาผลักร่างที่มีขนาดตัวพอๆ กับเขาให้ถอยห่างออกไป ข่มกลั้นอารมณ์ที่ปะทุเหมือนลูกไฟอยู่ในอกแล้วตอบเสียงเรียบเฉยเย็นชาเหมือนเช่นทุกครั้ง

“ถ้าคุณอยากหาคนมานอนด้วยแก้เหงา ก็ไปหาที่อื่น ผมไม่ใช่เหยื่อปลดปล่อยอารมณ์ใคร่ของคุณ”

“แต่คุณเป็นภรรยาผม และนี่ก็ถือเป็นหน้าที่ของภรรยาเหมือนกัน”

“การสำเร็จความใคร่ให้คนมักมากอย่างคุณ เห็นทีผมคงทำหน้าที่นั่นได้ไม่ดีพอหรอกครับ” ราชนิกูลหนุ่มยังคงเอ่ยปฏิเสธอย่างใจเย็น “ผมยังยืนยันคำเดิมว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเป็นเพราะสถานการณ์บังคับ และมันจะไม่มีครั้งต่อไปอีก”

“แล้วถ้าเกิดผมรัทขึ้นมาอีกล่ะ คุณจะให้ผมไประบายกับโอเมก้ารึไง บอกเองแท้ๆ ว่าไม่อยากให้ผมเผลอไปทำใครท้องเข้า แต่พอผมจะ ‘เอา’ คุณแทน คุณกลับปฏิเสธซะอย่างนั้น” กัลปพฤกษ์เริ่มไม่สบอารมณ์ขึ้นมาบ้างแล้ว

คู่สามีภรรยายืนมองหน้ากันอยู่นาน ท่ามกลางความเงียบที่ล้อมรอบตัวของพวกเขาเอาไว้ ไม่มีใครพูดอะไรราวกับจะหยั่งเชิงกันและกัน พุทธชาดไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าสามีจอมสำส่อนของเขาเกิดเป็นบ้าอะไรขึ้นมาถึงได้ทำเหมือนอยากจะนอนกับเขานัก

ที่สุดแล้วอัลฟ่าชนชั้นสูงก็พูดขึ้น “ถ้าคุณอยากนัก ทำไมไม่ไปหาโอเมก้าที่คุณเก็บๆ เอาไว้ล่ะครับ ตอนนี้คุณไม่ได้รัทแล้ว ไม่เห็นความจำเป็นที่ผมจะต้องช่วยคุณแต่อย่างใด”

“เพราะผมไม่ได้อยากเอาโอเมก้าน่ะสิ!” กัลปพฤกษ์โพล่งขึ้นเสียงดัง ดวงตาคู่คมจ้องใบหน้าขาวเนียนของภรรยาอัลฟ่าแล้วเน้นถ่อยคำต่อจากนี้ชัดๆ “ผมอยากเอากับคุณแก้วต่างหาก!”

คนฟังอยากจะเอาน้ำล้างหูเหลือเกิน จะมีสักครั้งไหมที่สามีของเขาจะไม่พูดจาหยาบคายหรือหยาบโลนแบบนี้ ทุเรศสิ้นดี ในตัวของกัลปพฤกษ์มีอะไรดีๆ บ้างไหมนอกจากหน้าตา ฐานะ และความรู้ความสามารถ พฤติกรรมย่ำแย่ เอาแต่ใจและเห็นแก่ตัว มั่วซั่วสำส่อนเกินจะทนรับไหวจริงๆ

ต่อว่าต่อขานอีกฝ่ายในใจเสร็จ พุทธชาดก็กอดอกพลางถอนหายใจแล้วเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “คุณเคยบอกว่าชอบกลิ่นหอมๆ ของพวกโอเมก้า”

“แล้วยังไง?”

“คุณเคยบอกว่าไม่มีทางนอนกับผมเพราะผมไม่ได้มีกลิ่นหอมเหมือนพวกเขา” คนเป็นภรรยายังคงพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉยราวกับไม่รู้สึกรู้สาอะไรในสิ่งที่พูดออกมา “คุณบอกเองว่าผมจืดชืด น่าเบื่อ น่ารำคาญ แล้วทำไมตอนนี้คุณกลับกำลังทำเหมือนอยากได้ผมนักหนา”

กัลปพฤกษ์ถึงกับนิ่งงันไปเมื่อได้ยินคำถาม เขาสบตากับภรรยาที่เคยย้ำอยู่หลายครั้งหลายหนว่าอีกฝ่ายไร้เสน่ห์ดึงดูดใจมากแค่ไหน แต่ตอนนี้...ตอนนี้เขากลับอยากได้โอกาสในการลิ้มรสชาติหอมหวานบนเตียงกับคุณแก้วอีกสักครั้ง เรื่องนี้วนเวียนอยู่ในหัวสมองของอัลฟ่าหนุ่มมาตลอดแทบทั้งวัน และเพราะเขาปรารถนามันอย่างแรงกล้า เขาถึงต้องมายืนต่อล้อต่อเถียงกับคุณแก้วอยู่แบบนี้

ชายหนุ่มเพียงนึกเสียดายขึ้นยามเมื่อคิดได้ว่าแท้จริงแล้วเขามีของดีอยู่ใกล้ตัว แม้ภรรยาของเขาจะไม่มีกลิ่นหอมของฟีโรโมนอันน่าหลงใหล แต่ก็มีกลิ่นกายที่ชวนให้ติดตรึงใจ ไหนจะท่าทางที่ไร้เดียงสาแต่กลับตอบรับเขาทุกจังหวะยามร่างกายของเราสอดประสานกัน

ความแข็งแกร่งแบบอัลฟ่าเข้ามาแทนที่ความอ่อนนุ่มของโอเมก้า ร่างกายที่มีขนาดตัวพอๆ กัน พละกำลังใกล้เคียงกัน มัน...ให้ความรู้สึกแตกต่างกันเป็นอย่างมาก หากจะให้กัลปพฤกษ์หาคำนิยามมาบอกเล่าความต้องการของชายหนุ่มในตอนนี้ เห็นทีจะมีแค่เหตุผลเดียวเท่านั้นที่ทำให้เขาอยากมีเซ็กซ์กับพุทธชาดอีก

นั่นก็เพราะมันแปลกใหม่จนอยากได้ลองอีกครั้ง หรืออย่างน้อยก็จนกว่าเขาจะเบื่อ

หากพุทธชาดได้รับรู้ความคิดของผู้เป็นสามี คงไม่พ้นด่าว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ชายสำส่อนน่ารังเกียจอีกแน่

“คุณกัลป์ ผมคิดว่าคุณควรกลับไปพักผ่อนแล้วคิดทบทวนการกระทำของตัวเองดีกว่านะครับ คุณน่ะเหรอจะอยากมีอะไรกับภรรยาที่ไม่ชอบหน้าอย่างผม...”

“แล้วถ้าผมบอกว่าใช่ล่ะ”

กึก

พุทธชาดที่กำลังพูดเพื่อตัดบทเป็นอันต้องชะงักงันกับคำตอบที่ไม่ได้คาดคิดว่าจะได้รับ เขามองใบหน้าหล่อเหลาของอัลฟ่าหนุ่มผิวแทนนิ่ง จะอย่างไรเขาก็ไม่เข้าใจสิ่งที่กัลปพฤกษ์คิดในตอนนี้เลยแม้แต่นิดเดียว จากที่ทำท่าว่าไม่ชอบเขา ไม่มีทางทำอะไรเขาได้ลง แต่แค่เขาช่วยเหลือให้ผ่านอาการรัทไปเพียงคืนเดียวก็อยากจะมีอะไรกับเขาขึ้นมางั้นเหรอ?

สามีของเขาใช้ชีวิตอยู่ได้ด้วยการขับเคลื่อนของอารมณ์ทางเพศหรือยังไง

“สมองคุณต้องมีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้นแน่ๆ คุณกัลป์”

“ผมรู้ตัวดีว่าผมต้องการอะไร สมองของผมยังปกติอยู่”

“วันนี้นอกจากคุณจะไม่ชวนผมทะเลาะ หรือพูดจาหยาบคายเหยียบย่ำความรู้สึกของผมแล้ว ยังมาพูดจาซื่อตรงจริงใจเพียงเพราะต้องการมีอะไรกับผม ไม่คิดเหรอว่าที่คุณทำอยู่ตอนนี้มันไม่ใช่ตัวคุณเลย” พุทธชาดยังคงไม่ยอมแพ้ที่จะชี้ให้ผู้ชายตรงหน้าเห็นว่าตัวเองผิดปกติที่ตรงไหน

แต่กัลปพฤกษ์เองก็ยังยืนยันคำเดิม “ผมก็แค่อยากนอนกับคุณอีก จนกว่าผมจะเบื่อก็ได้”

คำพูดนั้นทำให้พุทธชาดนิ่งค้าง อัลฟ่าราชนิกูลผู้สูงศักดิ์สูดหายใจเข้าลึก แท้จริงแล้วสามีไม่ได้เรื่องของเขาก็แค่ต้องการแก้เบื่อด้วยของแปลกใหม่อย่างเขาก็เท่านั้น...เท่านั้นเองจริงๆ ดังนั้นถึงได้พยายามทู่ซี้ไม่เลิกอย่างนี้

แม้จะเดาได้แต่แรก แต่การได้ยินคำยืนยันชัดๆ จากปากของร่างสูง ก็ทำให้พุทธชาดไม่ชอบใจอยู่ดี

“จำเอาไว้นะครับคุณกัลป์ ว่ามันจะไม่มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นกับเราอีก ครั้งหน้าหากคุณรัทผมก็จะทำเพียงแค่ฉีดยาระงับอาการให้คุณ แล้วปล่อยให้คุณทุรนทุรายไปจนกว่ายาจะออกฤทธิ์ หรือจนกว่าอาการรัทของคุณจะหายไปเอง”

“นี่คุณแก้ว มันไม่เกินไปหน่อย...”

“ผมไม่ใช่ของเล่นแก้เบื่อของคุณ เพราะฉะนั้นคุณทำได้แค่คิดเท่านั้นครับ”

“...”

“คุณไม่มีสิทธิ์ได้แตะต้องผมแบบเมื่อคืนอีกแน่”

พูดจบพุทธชาดก็เดินหนีกลับขึ้นห้องนอนทันที ทิ้งให้กัลปพฤกษ์ยืนอยู่ที่เดิมนานหลายนาที กว่าที่อัลฟ่าหนุ่มผิวแทนจะได้สติกลับมา แผ่นหลังมั่นคงของผู้เป็นภรรยาก็หายลับไปเสียแล้ว ชายหนุ่มพ่นลมหายใจแรงอย่างหงุดหงิด เขากำมือแน่นก่อนจะหันไปทุบผนังใกล้ๆ เต็มแรงจนแทบเรียกเลือด

เขาเพิ่งค้นพบว่าเจอของดีอยู่ใกล้ตัว ของดีที่เขาปรามาสมาตลอดว่าไม่มีวันทำให้เขามีความสุขได้ แต่เมื่อคืนเขาได้พิสูจน์แล้วว่าความคิดที่ผ่านมาของเขามันผิด และเขาต้องการอีกฝ่ายมาร่วมเตียงด้วยอีกครั้ง แต่เขาไม่อาจทำได้อย่างที่ใจคิด มันไม่ง่ายดายเอาซะเลย

คุณแก้วไม่ใช่โอเมก้า อีกฝ่ายเป็นอัลฟ่าที่มีสัญชาตญาณแข็งแกร่งเหมือนกันกับเขา กัลปพฤกษ์ไม่อาจบงการเจ้าตัวได้เหมือนที่ทำกับโอเมก้าเหล่านั้น ตอนนี้ชายหนุ่มจึงได้แต่รู้สึกเสียดาย

“โธ่เว้ย!”

มีของดีใกล้ตัวแต่รู้ตัวช้าไป การจะได้มาคงไม่ง่ายดายเอาเสียเลย

แต่เขาไม่มีทางยอมแพ้หรอก...ไม่มีวัน!





_____________

ย้ำคำพูดในใจของคุณแก้วที่มีต่อสามีอีกครั้ง...

'สามีของเขาใช้ชีวิตอยู่ได้ด้วยการขับเคลื่อนของอารมณ์ทางเพศหรือยังไง'

55555555555555555555555555555555555555555555555555




ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ lolli_candy99

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
คุณแก้วใจแข็งมากกกก

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
สมน้ำหน้า สบประมาทคุณแก้วเอาไว้เยอะนัก โดนตอกหน้าหงายไปเลย  :laugh:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Hazel_nut

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-3

บทที่ 9

ไม่มีวันจะรักกัน ไม่มีทางเป็นอย่างนั้น




จู่ๆ คุณพ่อกับคุณแม่ก็กลับจากไปเที่ยวโดยไม่บอกล่วงหน้า ทำเอาพุทธชาดตั้งตัวไม่ทัน ดีที่พวกท่านโทร. มาบอกเขาตอนที่ลงจากเครื่องแล้ว ทำให้อัลฟ่าหนุ่มยังพอมีเวลาสั่งแม่บ้านให้ย้ายข้าวของของผู้เป็นสามี กลับมาที่ห้องนอนของเขาตามเดิม

กัลปพฤกษ์ถึงกับหัวเราะด้วยความชอบใจ เขารู้ว่ายังไงซะก็ต้องได้กลับมานอนกับผู้เป็นภรรยาไม่วันใดก็วันหนึ่ง แต่การได้เห็นสีหน้าไม่พอใจของคุณแก้วแล้วเขาก็อดที่จะบันเทิงใจไม่ได้ การได้เห็นคนสมบูรณ์แบบมีเรื่องที่ไม่อาจหาทางออกได้ก็เป็นอะไรที่สะใจไม่น้อย

แต่ในความสะใจก็มีความสมใจอยากอยู่ด้วย กัลปพฤกษ์ตั้งใจแล้วว่าเขาจะหาทางลากคุณภรรยาขึ้นเตียงอย่างเต็มใจให้ได้ และการนอนห้องเดียวกันก็เป็นขั้นเริ่มต้นที่ดี

“เราควรจู๋จี๋กันให้พวกท่านเห็นสักนิดสักหน่อยนะคุณแก้ว”

“ไม่จำเป็นครับ...คุณกัลป์!” พุทธชาดแทบจะตวาดออกไปเมื่อจู่ๆ ถูกดึงเข้าไปกอด พยายามดิ้นหนีก็ถูกรัดแน่นมากขึ้น

“อย่าดิ้นสิครับ พ่อแม่คุณอาจจะมาเห็นเข้าก็ได้นะ”

“อย่าฉวยโอกาสกับผมแบบนี้”

“ผมไม่ได้ทำอะไรนอกจากกอดภรรยา แบบนี้เรียกว่าฉวยโอกาสงั้นเหรอครับ?”

กัลปพฤกษ์ถามหน้าซื่อ อัลฟ่าผิวแทนโน้มใบหน้าเข้าใกล้คนในอ้อมกอดมากขึ้นจนปลายจมูกแทบแตะกัน และพุทธชาดก็พยายามเอียงใบหน้าหนีสุดกำลัง เขาหันไปมองทางอื่นแทนที่จะสบดวงตาคู่คมสีดำนั้น แต่นั่นกลับเป็นการเปิดโอกาสให้สามีจอมสำส่อนได้หอมแก้มเขา

“หอมจังครับ”

“คุณกัลป์!” เสียงทุ้มนุ่มกดต่ำ ใบหน้าขาวกระจ่างหันกลับมามองกัลปพฤกษ์ด้วยดวงตาวาววับ พุทธชาดต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากในการไม่กำหมัดทุบหัวผู้เป็นสามี

อีกฝ่ายยิ่งได้แกล้งภรรยาแล้วก็ยิ่งสุขใจ ชายหนุ่มล็อกลำคอของคุณแก้วเอาไว้ด้วยแรงมือไม่หนักแต่ก็ไม่เบาจนเกินไป ยื่นหน้าเข้าไปคลอเคลียใกล้ๆ พลางกระซิบเสียงเบา

“แม่คุณมาถึงแล้ว และท่านกำลังมองเราอยู่”

พุทธชาดชะงัก ชายหนุ่มเอียงหน้าไปมองทางระเบียงเล็กน้อย ด้วยเพราะตอนนี้พวกเขาอยู่ที่สวนดอกไม้ แต่เพียงแค่ได้เห็นร่างโปร่งบางของหญิงสาวผู้เป็นแม่ ชายหนุ่มก็ถูกจูบโดยไม่ทันตั้งตัว

“อื้อ!”

ริมฝีปากถูกครอบครองจนแนบสนิท ความนุ่มนิ่มและเปียกชื้นเคลือบผิวปากอ่อนบางตามแรงขยับของฝ่ายชักนำ กัลปพฤกษ์ดูดดุนเรียวปากของภรรยาเบาๆ เขาบีบสะโพกของพุทธชาดและนั่นทำให้คนถูกกระทำตกใจจนเผลออ้าปากประท้วง แต่นั่นกลับเป็นการเปิดโอกาสให้ปลายลิ้นร้อนผ่าวได้แทรกผ่านเข้ามาภายใน ตวัดหยอกล้อลิ้นของเขาจนเกิดเสียงน่าอาย

“อุ้ย!”

ได้ยินเสียงอุทานของผู้เป็นมารดากระทบเข้าสู่โสตประสาท พุทธชาดออกแรงผลักแผ่นอกแกร่งจนถอยห่างออกไป เขาสูดหายใจเข้าลึก กล่อมตัวเองไม่ให้เผลอยกมือขึ้นเช็ดริมฝีปากอย่างโกรธเคือง ด้วยกลัวว่าคุณแม่ที่มองมาจะรู้สึกผิดสังเกตเอาได้ แต่พอชายหนุ่มหันไปมองยังตำแหน่งระเบียงบ้านอีกครั้ง ร่างโปร่งบางของเธอก็ไม่ได้อยู่ตรงนั้นเสียแล้ว

เช็กจนแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ในระยะการมองเห็นหรือได้ยินพวกเขา ราชนิกุลหนุ่มจึงหันมาต่อว่าสามีจอมฉวยโอกาสของเขาทันที

“คุณกัลป์! คืนนั้นที่ผมปฏิเสธจูบจากคุณ มันก็ชัดเจนแล้วไม่ใช่เหรอว่าผมไม่ต้องการจูบกับคุณ!”

“คุณไม่ได้สั่งห้ามผมทำเป็นคำพูดนี่ครับ” กัลปพฤกษ์แบสองมือออกไปข้างหน้าพลางยักไหล่

ท่าทางยียวนกระประสาทนั้นทำเอาพุทธชาดกรุ่นโกรธขึ้นมาไม่น้อย แต่ก็เหมือนทุกครั้งที่อัลฟ่าผู้สูงศักดิ์พยายามข่มกลั้นอารมณ์ เขาเชิดใบหน้าขึ้นพลางกดดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมองผู้เป็นสามี กลิ่นอายความเป็นอัลฟ่าแผ่ออกมากดดันฝ่ายตรงข้าม แต่นอกจากกัลปพฤกษ์จะไม่สะทกสะท้านแล้ว ยังปล่อยกลิ่นอายอัลฟ่าของตัวเองออกมาต่อต้านอีกต่างหาก

“ผมต้องบอกคุณทุกอย่างเลยหรือไงครับ การที่ผมบอกว่าคุณไม่มีสิทธิ์แตะต้องผม มันยังครอบคลุมไม่พออีกเหรอครับ? สมองของคุณประมวลผลสิ่งที่ควรหรือไม่ควรทำไม่ได้เลยสินะ”

“คุณกำลังด่าผมว่าโง่อยู่หรือเปล่า”

“ถ้าคุณจะคิดอย่างนั้น”

วินาทีแรกดวงตาของกัลปพฤกษ์วาวโรจน์ แต่เพียงไม่นานก็กลับมาเป็นประกายระยับราวกับกำลังเจอเรื่องสนุก อัลฟ่าหนุ่มขยับเข้ามาใกล้ภรรยาของเขาอีกครั้ง ยื่นหน้าเข้าไปหาแต่ไม่ได้ดึงมากอดรั้งเอาไว้เหมือนที่ทำก่อนหน้านี้ กระนั้นพุทธชาดก็ยังมีท่าทีระวังระไว หากสามีที่น่ารำคาญของเขายื่นมือออกมาแม้แต่นิดเดียว เขาจะได้ถอยหนีได้อย่างทันท่วงที

“นี่ คุณภรรยาครับ ยังไงคุณก็หนีผมไม่พ้นหรอก คืนนี้คุณกับผมต้องนอนด้วยกัน จำได้มั้ย?” ร่างสูงกระตุกยิ้มมุมปาก “อ้อ มีอีกอย่างที่ผมอยากบอกคุณ”

“อะไรครับ?” พุทธชาดมุ่นคิ้วด้วยความไม่ไว้วางใจ ไม่รู้ว่าเขาจะต้องทนฟังคำพูดไม่เข้าหูอะไรอีกคราวนี้

“ผมแค่อยากจะบอกว่านอกจากแก้มของคุณจะหอมแล้ว” กัลปพฤกษ์ยืดตัวกลับไปยืนตรง กล่าวทิ้งท้ายให้ใจคนฟังเต้นแรง...หากแต่เป็นการเต้นแรงเพราะความโกรธมากกว่าจะตื่นเต้น ดีใจ หรือเขินอาย “ปากของคุณยังหวานมากอีกด้วย เหมือนโอเมก้าเลยนะ”

แผ่นหลังกว้างของสามีจอมสำส่อนเดินหายลับกลับเข้าบ้านไปอีกแล้ว พุทธชาดแต่ได้กำหมัดแน่นพลางสูดหายใจเข้าลึก ข่มกลั้นความรู้สึกคุกรุ่นเอาไว้ กดมันให้ฝังลึกไม่เผยตัวออกมา ผู้ชายคนนั้นหายใจเข้าออกก็เป็นกลิ่นหอมของโอเมก้า แต่กลับบอกว่าอัลฟ่าอย่างเขาเหมือนโอเมก้างั้นเหรอ...

“คนน่ารังเกียจ”

ในหัวคิดแต่เรื่องต่ำกว่าใต้สะดือ ผู้ชายมักมากแบบนี้ควรหมดไปจากโลกได้แล้ว



บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเป็นไปด้วยความปกติสุข พุทธชาดยิ้มทุกครั้งที่ถูกถามไถ่สารทุกข์สุขดิบจากผู้เป็นพ่อและแม่ แสร้งทำเหมือนว่าชีวิตรักของเขากับกัลปพฤกษ์เป็นไปได้ด้วยดี พวกเขารักกันหวานชื่นในทุกๆ วัน ไม่ได้ทะเลาะจนเลือดตกยางออกหรือแยกห้องนอนกันแต่อย่างใด ซึ่งกัลปพฤกษ์ก็ไม่ได้หักหน้าเขาด้วยการพูดความจริงออกมา อัลฟ่าผิวแทนแย้มยิ้มกว้าง สร้างเรื่องเท็จออกมาเล่าให้ผู้ใหญ่ทั้งสองฟังเป็นเรื่องเป็นราวจนพุทธชาดเองแทบไม่อยากจะเชื่อ

สามีของเขาโกหกได้แนบเนียนและเก่งมากเหลือเกิน

“พวกลูกไปด้วยกันได้ดีก็ดีแล้ว ตอนแรกแม่ก็กังวลว่าจะรักกันไม่มากพอ เพราะถึงจะรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก แต่พวกลูกดูไม่ค่อยสนิทกันนัก ตอนแต่งงานก็เป็นการตัดสินใจที่กะทันหันมากเสียด้วย”

“ถึงจะกะทันหัน แต่ผมกับคุณกัลป์ก็รู้เรื่องข้อตกลงของทั้งสองตระกูลอยู่ก่อนแล้ว เพราะงั้นไม่ใช่เรื่องที่คุณแม่จะต้องกังวลหรอกครับ” ราชนิกุลหนุ่มบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“ได้ยินแบบนั้นแม่ก็เบาใจ ใช่ไหมคะคุณ” หญิงวัยกลางคนหากแต่ใบหน้ายังคงงดงามหันไปขอความเห็นสามี

บิดาของพุทธชาดพยักหน้าเห็นด้วย “แค่เห็นพวกลูกรักกันพ่อก็พอใจแล้ว ส่วนเรื่องทายาทไม่ต้องคิดมากหรอกนะ ถึงไม่มีสายเลือดโดยตรงสืบทอด แต่เราก็ยังมีลูกหลานของญาติพี่น้องคนอื่นๆ มารับช่วงต่อได้”

พอเรื่องเกี่ยวกับทายาทถูกหยิบยกขึ้นมาพูด คู่แต่งงานใหม่ต่างชะงักไปพร้อมๆ กัน พวกเขาไม่เคยคิดถึงเรื่องทายาทมาก่อนเลย อัลฟ่าเพศชายแต่งงานกันไม่มีทางมีบุตรได้...นั่นคือความเป็นจริง พอคิดอย่างนั้นแล้วก็รู้สึกว่ามันแปลกที่ครอบครัวของพวกเขายังอยากจะให้พวกเขาแต่งงานกัน ทั้งที่สัญญาของคุณปู่ก็มีแค่ให้ทายาทรุ่นใดก็ได้แต่งงานกันสักรุ่นก็เท่านั้น และไม่ได้กำหนดว่าจะต้องเป็นเพศอะไรด้วย

หากคุณพ่อคุณแม่ของทั้งเขาและคุณกัลป์คิดมากเรื่องทายาทสืบสกุล ก็คงขอเลื่อนการแต่งงานออกไปเป็นรุ่นถัดจากนี้ได้ แต่นี่กลับยอมทำตามข้อตกลง ทั้งที่พวกเขาเป็นทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลในรุ่นนี้...พุทธชาดเข้าใจว่าพ่อแม่ของเขาไม่เป็นห่วงเรื่องทายาท แต่กับครอบครัวของกัลปพฤกษ์นั้นไม่เหมือนกัน ราชนิกุลหนุ่มรู้มาว่าคุณลุงราชพฤกษ์กับคุณป้าราชาวดียึดถือเรื่องทายาทสายตรงมากเสียยิ่งกว่าตระกูลที่เป็นผู้ดีเก่าอย่างตระกูลของเขาด้วยซ้ำ

แต่...ทำไมถึงยอมให้ลูกชายคนเดียวมาแต่งงานกับอัลฟ่าอย่างเขากันล่ะ?

พุทธชาดไม่เคยเอะใจในเรื่องนี้เลย นั่นคือสิ่งที่เขาพลาดไป...หรือแท้จริงแล้วการแต่งงานในครั้งนี้ไม่ได้มีแค่เงื่อนไขของคำสัญญาที่ให้แก่กันเอาไว้ มันต้องมีอะไรมากกว่านั้น

อัลฟ่าผู้สูงศักดิ์เงยหน้าขึ้นสบตาสามีซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เป็นอีกครั้งที่พุทธชาดชะงักไป เมื่อกัลปพฤกษ์หลบเลี่ยงสายตาของเขาไปมองทางอื่น และกลบเกลื่อนด้วยการหัวเราะน้อยๆ ซึ่งฟังแล้วดูเป็นการหัวเราะที่แห้งแล้งเหลือเกิน ไหนจะการชวนพ่อแม่ของเขาเปลี่ยนเรื่องคุยนั่นอีก

แปลกเกินไป

แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่พุทธชาดต้องรีบหาคำตอบ อัลฟ่าหนุ่มเข้าร่วมบทสนทนากับทุกคนอีกเล็กน้อย ก่อนเขากับสามีจะขอตัวกลับบ้าน ให้พ่อแม่ได้พักผ่อนหลังจากเดินทางไกลมาหลายชั่วโมง

ทันทีที่กลับมาถึงพุทธชาดก็สั่งให้แม่บ้านที่มารออยู่ก่อนแล้ว นำชาร้อนสักแก้วขึ้นไปให้บนห้องทำงาน ชายหนุ่มตั้งใจว่าจะอาบน้ำก่อนแล้วค่อยไปเคลียร์งานที่ค้างคา ส่วนกัลปพฤกษ์...ผู้ชายคนนั้นอยากทำอะไรก็ไม่ใช่ธุระกงการที่เขาต้องใส่ใจ อยู่ในบ้านแบบนี้ผู้เป็นสามีของเขาคงไม่อาจสร้างเรื่องเสียๆ หายๆ ได้หรอก

“คุณแก้ว...คุณเคยคิดเรื่องความรักบ้างหรือเปล่า”

คำถามนั้นเรียกให้เจ้าของชื่อหยุดฝีเท้าที่กำลังจะก้าวขึ้นบันได พุทธชาดหันกลับมามองคนถาม ค่อนข้างแปลกใจด้วยไม่คิดว่าจะได้ยินคำถามเช่นนี้ หลุดออกมาจากปากของผู้ชายที่ใช้ชีวิตมากตัณหามากกว่าจะคิดรักใครจริง ถึงอย่างนั้นราชนิกุลหนุ่มก็ยังตอบกลับไป

ไม่มีเหตุผลที่จะตั้งแง่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้เล่นแง่กับเขาก่อน ในเมื่อถามมาดีๆ เขาก็จะตอบดีๆ

“ไม่เคยครับ”

“คุณเคยรักใครไหม?”

พุทธชาดนิ่งงันเมื่อเจอคำถามนี้ เขาจ้องตาสีดำสนิทคู่นั้น พยายามบังคับตัวเองไม่ให้หลบเลี่ยงมัน “ไม่เคยครับ”

“กับผมที่แต่งงานด้วยกัน คุณก็ไม่คิดว่าสักวันจะรักผมได้งั้นเหรอ?” กัลปพฤกษ์เลิกคิ้ว คำถามของเขาเป็นเชิงล้อเล่นมากกว่าจะจริงจัง

“ผมขอถามคุณกลับไปเหมือนกันว่าคุณล่ะ เคยคิดว่าจะรักผมได้ในสักวันไหม”

เกิดความเงียบขึ้นระหว่างพวกเขา ต่างฝ่ายต่างตกอยู่ในความคิดของตัวเอง การแต่งงานครั้งนี้มันเริ่มมาจากคำสัญญาของคุณปู่ พวกเราไม่ได้รัก และไม่เคยคิดเลยสักครั้งว่าจะรักกันได้ พุทธชาดเคยบอกไว้แล้วว่าจะไม่มีการหย่าร้างกันเกิดขึ้น ต่อให้เขาจะไม่ได้รักผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าก็ตาม

แต่เขาลืมไปเสียสนิท...เขาลืมถามอีกฝ่ายว่าถ้าหากกัลปพฤกษ์ได้เจอกับคนที่เขารักได้อย่างเต็มหัวใจ เจ้าตัวจะเรียกร้องการหย่าร้างหรือไม่ เพราะใครๆ ก็ย่อมอยากอยู่กับคนที่ตัวเองรัก มากกว่าจะอยู่กับคนที่ไม่ได้เต็มใจแต่งงานด้วยตั้งแต่แรก

“ผมไม่เคยคิด” พุทธชาดเป็นฝ่ายตอบคำถามนั้นก่อน เรียกดวงตาคู่คมของอัลฟ่าผิวแทนให้กลับมามองใบหน้างดงามราวรูปสลักอีกครั้ง “ผมรู้ดีว่าระหว่างเราไม่มีทางรักกันได้หรอก”

“แล้วถ้าวันหนึ่งคุณมีคนที่รักขึ้นมาล่ะ?”

น่าแปลกที่นั่นเป็นคำถามที่อัลฟ่าผู้สูงศักดิ์มีต่อผู้เป็นสามีเช่นกัน

“ผมไม่คิดว่าชีวิตนี้ผมจะรักใครได้หรอก เพราะผมไม่เคยสนใจเรื่องความรักมาตั้งแต่แรกแล้ว”

“คุณอาจจะเจอคนที่ใช่ในสักวันก็ได้”

“ไม่หรอก ไม่มีทาง” พุทธชาดส่ายหน้า ที่เขามั่นใจมากขนาดนี้มันเป็นเพราะว่าเขา...ช่างมันเถอะ ความรักของเขาไม่สำคัญเท่าเรื่องของธุรกิจและชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล เขาได้เลือกเส้นทางของการถูกผูกมัดเอาไว้ตลอดชีวิตแล้ว ไม่อาจถอยหลังกลับได้อีกต่อไป “คุณเองก็เหมือนกัน ถ้าหากมีคนที่รักขึ้นมาในสักวัน คุณจะหย่ากับผมใช่หรือเปล่า”

คนถูกย้อนถามหลุดหัวเราะออกมา แต่น้ำเสียงนั้นกลับแปร่งปร่า เหมือนอีกฝ่ายต้องการหัวเราะเยาะเย้ยอะไรสักอย่าง กัลปพฤกษ์เหยียดยิ้มหยันพลางตอบ

“เรื่องความรักมันก็แค่เรื่องไร้สาระสำหรับผม คุณแก้วเถอะครับ อย่าหลงรักผมเข้าล่ะ ไม่ใช่ว่าสร้างภาพทำเหมือนว่ารักผมมาก แล้วเผลอใจรักผมเข้าให้หรอกนะ”

พุทธชาดแทบเก็บสีหน้ารังเกียจเอาไว้ไม่อยู่ สามีของเขาหลงตัวเองมากเกินไปแล้ว

“เราไม่มีทางรักกันได้ และมันจะเป็นอย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลง”

“ก็ดี เพราะผมคงทำตัวไม่ถูกแน่ถ้าได้เห็นสายตารักใคร่จากคุณ” กัลปพฤกษ์ขยับเท้าก้าวเดินเข้ามาใกล้ผู้เป็นภรรยา จนระยะห่างของพวกเขาลดเหลือเพียงครึ่งช่วงแขน “แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว กับเรื่องเซ็กซ์มันเป็นคนละเรื่องกัน ถึงไม่รักก็เอากันได้”

“นี่คุณ...”

เรียวปากของพุทธชาดถูกปลายนิ้วของอัลฟ่าผิวแทนแตะไว้เบาๆ เป็นเชิงบอกไม่ให้พูด ดวงตาสีรัตติกาลเป็นประกายวาววับและเต็มไปด้วยความคาดหวัง

“ร่างกายเราเข้ากันได้ดี คุณเองก็มีประสบการณ์แล้ว ไม่คิดจะสานต่อกับผมอีกสักครั้ง...หรือหลายๆ ครั้งหน่อยเหรอครับ คุณภรรยา”

“ไม่” พุทธชาดปัดมือของกัลปพฤกษ์ออกไป สีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง บ่งบอกว่าเขาไม่ได้ปฏิเสธเล่นๆ แต่อย่างใด

“ไม่เอาน่า ถ้าคุณยอมนอนกับผม ผมจะไม่ไปหาโอเมก้าคนอื่นสักพัก ทีนี้คุณก็จะได้สบายใจว่าผมจะไม่ไปทำใครท้องหรือกลายเป็นข่าวฉาวลงสื่อ ไม่ดีเหรอ?”

แวบแรกพุทธชาดรู้สึกว่าข้อเสนอนี้น่าสนใจ แต่พอคิดว่าคนมักมากในกามอย่างกัลปพฤกษ์คงอยากนอนกับเขาแค่ไม่กี่ครั้ง สุดท้ายแล้วอีกฝ่ายก็จะกลับไปหาเด็กในสังกัดพวกนั้น และการเอาตัวเข้าไปแลกกับข้อเสนอแบบนี้ดูไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย ดังนั้นราชนิกุลหนุ่มจึงปฏิเสธอีกครั้งอย่างไร้เยื่อใย

“ไม่ ผมไม่ต้องการเป็นคู่นอนแก้ใคร่ของคุณครับ”

“โอ๊ะโอ พูดแบบนี้แล้วดูเหมือนคุณกำลังน้อยใจผมอยู่เลยแฮะ”

“คุณจินตนาการเกินจริงมากไปแล้วครับ” อัลฟ่าผู้สูงศักดิ์ถอนหายใจ “ผมขอตัว”

“เดี๋ยวสิ...”

กัลปพฤกษ์รั้งผู้เป็นภรรยาเอาไว้อีกครั้ง ชายหนุ่มคว้าแขนของอีกฝ่ายดึงเข้าหาตัว ทำให้คนที่ไม่ทันตั้งตัวเซไปตามแรงนั้น แต่ก่อนที่จะได้ทันต่อว่าต่อขานหรือขัดขืน ริมฝีปากของพุทธชาดก็โดนประกบปิดด้วยเรียวปากของผู้เป็นสามีเข้าเสียก่อน

แรงบดขยี้นั้นแตกต่างจากเมื่อตอนบ่ายโดยสิ้นเชิง ครั้งนี้กัลปพฤกษ์ทำอย่างรุนแรงและดุดันกว่ามาก ชายหนุ่มบีบแก้มขาวเนียนพอให้คนโดนกระทำเจ็บจนเผลออ้าปาก เปิดทางให้ปลายลิ้นร้อนได้สอดแทรกเข้าไปหยอกเย้าเคล้าเคลีย แต่พุทธชาดไม่ได้ตกใจจนคิดอะไรไม่ทันเหมือนครั้งก่อนแล้ว อัลฟ่าหนุ่มอาศัยทีเผลอกัดลิ้นของสามีจอมสำส่อนด้วยน้ำหนักที่พอจะทำให้เจ็บแต่ไม่เสียเลือด

เพียงแค่นั้นกัลปพฤกษ์ก็สะดุ้งจนเผลอถอยหนีแล้ว

“คุณกัดผมทำไมเนี่ย!?”

“คุณล่วงเกินผมก่อน โดนแค่นั้นยังน้อยไป”

“เจ้าคิดเจ้าแค้นมากกว่าที่ผมคิดนะครับ” อัลฟ่าผิวแทนผ่อนลมหายใจยาว เขาดุนลิ้นกับเพดานปาก รู้สึกแสบตรงที่โดนกัดเล็กน้อยแต่เพราะไม่รับรู้ถึงรสชาติของเลือดจึงไม่ได้กังวลใจอะไรนัก “เป็นหมาหรือยังไงถึงได้กัดผม”

“คุณน่ะสิเป็นหมา หมาในช่วงติดสัดเสียด้วย”

“เฮ้! คุณว่าผมเป็นหมาอีกแล้วนะ ที่เกาะนั่นก็ทีหนึ่งแล้ว”

“ก็ถ้าคุณไม่ใช่แล้วจะเดือดเนื้อร้อนใจทำไมครับ?” พุทธชาดกล่าวถามหน้าตาเฉย “คราวหน้าถ้าคุณยังกล้าฉวยโอกาสลวนลามผมอีก ผมจะทำหนักกว่านี้แน่”

พูดจบก็หมุนตัวเดินขึ้นบันไดหนีไปทันที ทิ้งสามีอัลฟ่าให้ยืนเดาะลิ้นไม่พอใจไว้ที่เดิม

คนถูกทำร้ายร่างกายสบถเบาๆ อย่างไม่สบอารมณ์ แต่เขาไม่มีทางยอมแพ้แน่ ยังไงก็ต้องหลอกล่อให้อีกฝ่ายตอบตกลงยอมนอนกับเขาให้ได้ เขาไม่ได้รักใคร่อะไรคุณแก้วทั้งนั้น เขาต้องการแค่ความสุขชั่วครั้งชั่วคราว ความรักเป็นเรื่องงี่เง่าและจอมปลอมที่สุด ฝันไปเถอะว่าเขาจะรักพุทธชาดได้ลง

และไม่ว่าใคร...เขาก็ไม่คิดจะมอบความรักให้ทั้งนั้น

ไม่อีกแล้ว

.

.

.

พาคุณแก้วมาเสิร์ฟแบบเต็มตอนไปเลยยย เมื่อวานขอโทษที่ขำนะคะ แต่มีคนเมนต์ใช่ปะว่าคุณแก้วเป็นลูกเมียน้อย เพราะคนเขียนไม่ยอมอัปสักที คืออยากบอกว่าไม่ใช่แค่คุณแก้วหรอกค่ะ นิยายเรื่องอื่นๆ ของเราก็เป็นลูกเมียน้อยเหมือนกันเพราะเราไม่ยอมอัปทั้งนั้น 55555555555555 แต่เราก็พยายามอยู่นะ แง อากาศมันร้อนมากจนเราไม่ค่อยมีสมาธิเขียนเลยค่ะ ไหนหน้าฝนที่กรมอุตุบอกเอาไว้ ไหนนน

แต่จะว่าไปแล้วคุณแก้วก็เป็นลูก...แค่กๆๆ มาต่อที่คุณกัลป์นะคะ มีใครอยากสาปส่งนางอีกไหม จัดไปอย่าให้เสียชื่อตัวร้ายของเรื่องที่ตอแหลว่าเป็นพระเอกค่ะ 55555 แล้วเจอกันตอนหน้านะคะทุกคนนน






ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
คู่นี้จะมีจุดบรรจบกันไหมนะ  :laugh:

ออฟไลน์ Hazel_nut

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-3


บทที่ 10

ถึงคราวป่วยไข้ จำใจดูแล




พุทธชาดทอดสายตามองสายฝนที่ตกลงมาผ่านหน้าต่าง เขาทำงานที่คั่งค้างเอาไว้จนลืมเวลาเหมือนอย่างเคย อัลฟ่าหนุ่มถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะปิดแฟ้มเอกสารที่เพิ่งอ่านจบไปโดยไม่ได้หยิบปากกามาเซ็น ด้วยเพราะเขาเห็นว่าบางอย่างในนั้นควรได้รับการแก้ไขเสียก่อน

พอได้พักจากงานสมองของพุทธชาดก็เปลี่ยนไปคิดเรื่องอื่นแทน...นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้นั่งมองฝนพรำแบบนี้ คงตั้งแต่ที่เรียนจบแล้วเข้ามาช่วยงานในบริษัทเต็มตัว กระทั่งปัจจุบันได้ขึ้นเป็นผู้บริหารแล้ว ยิ่งเติบโตและอายุมากขึ้นก็ยิ่งมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบมากมายซะจนเขาไม่อาจทำตัวผ่อนคลายได้บ่อยๆ

เหม่อมองความมืดด้านนอก ฟังเสียงฝนที่ตกแรงขึ้นเรื่อยๆ บรรยากาศรอบกายเงียบสงบ หากแต่มันก็เคล้าไปด้วยความเงียบเหงาไม่ต่างกัน จู่ๆ พุทธชาดบังเกิดความสงสัยขึ้นมาอีกครั้งว่าเวลาว่างเขาทำอะไรนอกจากงานบ้าง อันที่จริง...ควรใช้คำว่าเขา ‘เคย’ ทำอะไรตอนที่ไม่ได้ทำงานถึงจะถูก ครั้งสุดท้ายที่เขาผ่อนคลายที่สุดคงเป็นตอนที่จำใจต้องบินไปฮันนีมูนกับผู้เป็นสามีที่ทะเล ซึ่งนั่นก็ผ่านมาเป็นเดือนๆ แล้ว

บางทีพุทธชาดคิดว่าควรหาโอกาสไปเที่ยวดูอีกสักครั้ง ทำแต่งานแถมยังต้องสู้รบตบมือกับกัลปพฤกษ์แทบทุกวัน ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนตัวเองค่อยๆ แก่ลงไปวันละสิบปีเห็นจะได้

พูดถึงสามีผู้ไม่ได้เรื่องแล้วพุทธชาดก็ชะงักไป นับตั้งแต่วันที่อีกฝ่ายย้ายกลับมานอนห้องเดียวกับเขา แต่แทนที่จะหาเรื่องกวนประสาทกลับสงบเสงี่ยมนิ่งเฉยอย่างไม่เคยเป็น ไม่พูดจายั่วโมโหหรือก่อร่างสร้างปัญหาให้เขาเลยแม้แต่นิดเดียว ท่าทีของกัลปพฤกษ์เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน

เสียงเคาะประตูดังขึ้น ปลุกพุทธชาดให้หลุดจากภวังค์ เขาเอ่ยอนุญาตสั้นๆ หลังจากนั้นไม่นานบานประตูก็ถูกเปิดเข้ามา ตามด้วยร่างของแม่บ้านเก่าแก่ที่ถือถาดใส่แก้วนมอุ่นมาให้ด้วย

“คุณแก้วต้องการอะไรอีกไหมคะ”

“ไม่ล่ะครับ ป้าดาไปพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวอีกสักพักผมก็จะไปนอนแล้ว”

“เข้าใจแล้วค่ะ” หญิงวัยกลางคนค้อมหัวเล็กน้อยเป็นเชิงตอบรับ แต่แทนที่จะเดินออกไปเหมือนอย่างทุกครั้ง เธอกลับมีสีหน้าลังเลปนกังวลใจและเอ่ยขึ้นมาด้วยท่าทางละล้าละลัง “เอ่อ คือว่าคุณกัลป์...กลับมาแล้วนะคะ เพิ่งมาถึงเมื่อสักครู่นี่เองค่ะ”

“ครับ แล้วมีอะไรผิดปกติงั้นเหรอ?” อัลฟ่าหนุ่มถามอย่างไม่เข้าใจ ปกติกัลปพฤกษ์ก็กลับบ้านดึกอยู่บ่อยๆ แต่ก็ไม่เคยมีใครมารายงานเขาทั้งนั้น ยกเว้นก็แต่ว่าเขาจะเป็นฝ่ายเอ่ยถามเอง...การที่ป้าแม่บ้านพูดขึ้นก่อนแบบนี้ แสดงว่าต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับผู้ชายคนนั้นแน่ๆ

“ไม่รู้คุณกัลป์ไปทำอะไรมา ปากแตกแถมยังเปียกฝนมาทั้งตัวเลยค่ะ”

“ปากแตก?” พุทธชาดทวนถาม ชายหนุ่มมุ่นคิ้วก่อนจะพยักหน้ารับ “เดี๋ยวผมจัดการเอง ไปนอนเถอะครับ”

คล้อยหลังแม่บ้านคนสนิท พุทธชาดก็ยกนมขึ้นดื่มจนหมด จากนั้นจึงกลับไปยังห้องนอนที่ตอนนี้ใครอีกคนน่าจะกำลังอาบน้ำอยู่ ราชนิกุลหนุ่มก้าวเข้าห้องพลางกวาดสายตามองโดยรอบ แต่เสียงน้ำที่ดังมาจากในห้องน้ำทำให้เขาผ่อนคลายลงได้เล็กน้อย เพราะนั่นหมายความว่าเรื่องที่เขาเดาเอาไว้นั้นถูกต้อง

พุทธชาดครุ่นคิดถึงคำบอกเล่าของแม่บ้านก่อนหน้านี้อีกครั้ง ปากแตก...ก็หมายความว่ากัลปพฤกษ์อาจจะไปมีเรื่องกับใครสักคนมา เพราะคนอย่างนั้นคงไม่โง่ถึงขนาดที่จะเอาปากไปกระแทกกับเสาไฟหรืออะไรสักอย่างจนแตกหรอก ดังนั้นความเป็นไปได้เดียวก็คือเจ้าตัวน่าจะมีเรื่องชกต่อยกับคนอื่นมา

คิดได้ดังนั้นคนเป็นภรรยาก็เริ่มกังวลใจขึ้นมา ไม่รู้ว่าไปมีเรื่องกับใครที่ไหน ถ้าเกิดกลายเป็นข่าวขึ้นมาอีกล่ะก็...ไม่ได้การ เขาควรถามอีกฝ่ายให้ชัดเจนแล้วรีบสั่งการให้เลขาฯ ของตนปิดข่าวให้ไวที่สุด

กำลังจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทร. ออก แต่ร่างสูงกำยำที่เดินออกมาจากห้องน้ำก็ทำให้พุทธชาดชะงักมือเสียก่อน มองมุมปากที่ช้ำเล็กน้อยนั่นแล้วจึงเลื่อนขึ้นมาสบดวงตาสีรัตติกาล แล้วทั้งสองก็ตกอยู่ในความเงียบงัน...นานเท่าไหร่ไม่แน่ใจนัก แต่ในที่สุดพุทธชาดก็เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน

“คุณไปมีเรื่องกับใครมาครับ”

คนถูกถามเลิกคิ้วเมื่อได้ยินคำถามนั้น เขาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะตอบ “คุณแก้วคงไม่ได้ถามเพราะเป็นห่วงผมใช่ไหมครับเนี่ย”

คำพูดกวนประสาทพวกนี้มันกลับมาแล้ว เป็นการการันตีได้ว่านิสัยแย่ๆ ของสามีจอมสำส่อนไม่ได้หายไปไหนเลยแม้แต่นิดเดียว ช่วงที่ดูสงบเสงี่ยมขึ้นมันก็แค่ชั่วคราวเท่านั้น

“ผมถามเพราะจะได้รู้ว่าต้องรีบปิดข่าวทะเลาะวิวาทของคุณหรือเปล่า”

“ชื่อเสียงอีกล่ะสิ เรื่องเดิมๆ”

พุทธชาดเลือกที่จะไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ เขาก้าวพลางล้มตัวลงนอนหันหลังให้ผู้เป็นสามีเหมือนเช่นทุกครั้ง โดยไม่ลืมกล่าวทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนจะพยายามข่มตาตัวเองให้หลับลง

“ถ้าไม่ใช่เรื่องใหญ่ก็ดีไปครับ แต่ถ้าใช่ก็แจ้งกับเลขาฯ ของผมด้วย เขาจะได้รีบปิดข่าว”

ชายหนุ่มไม่อาจรู้ได้เลยว่าสีหน้าของกัลปพฤกษ์เป็นยังไงหลังจากนั้น เพราะถ้าเขาจะหันไปมองสักนิด คงได้เห็นความโกรธเคืองและเจ็บใจเหลือแสนในดวงตาคู่นั้นแล้ว

และพุทธชาดคงต้องสงสัยไปอีกนานว่าอะไร...ที่ทำให้อีกฝ่ายมีสีหน้าแบบนั้น



ฝนตกตลอดทั้งคืน อากาศที่ควรเย็นสบายกลับไม่เป็นอย่างนั้น เมื่อพุทธชาดสัมผัสได้ถึงไอร้อนที่ผิดปกติจากผู้เป็นสามี เพราะแขนที่แนบเข้าหากันโดยไม่ตั้งใจ...อัลฟ่าหนุ่มลุกขึ้นนั่ง แม้เพิ่งตื่นนอนโดยไม่เต็มใจ แต่สีหน้าท่าทางของเขาก็ยังคงดูสง่างามไร้ที่ติเหมือนเคย

ราชนิกุลหนุ่มขมวดคิ้ว ด้วยไม่แน่ใจว่าควรจะยื่นมือไปหากัลปพฤกษ์ดีหรือไม่ แต่สุดท้ายท่าทางกระสับกระส่าย ไหนจะใบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดซึมขึ้นมาตามกรอบหน้าของสามี ก็ทำให้พุทธชาดตัดสินใจต้องยื่นมือไปวัดไข้จากอีกฝ่ายอย่างช่วยไม่ได้ และความร้อนที่หลังมือก็บ่งบอกได้เป็นอย่างดีแล้วว่ากัลปพฤกษ์กำลังไม่สบายจริงๆ

“ทำไมไข้ขึ้นขนาดนี้” ประโยคนี้พุทธชาดถามขึ้นโดยไม่คิดจะให้อีกคนลืมตาขึ้นมาตอบ “หรือเป็นเพราะบาดเจ็บมาแถมยังตากฝน”

นั่นไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด แค่แผลปากแตกและตัวเปียกฝนไม่น่าจะทำอะไรอัลฟ่าอย่างกัลปพฤกษ์ได้เลยด้วยซ้ำ ยกเว้นก็แต่ว่าอีกฝ่ายโดนทำร้ายมามากกว่าที่เขาเห็น...คิดได้ดังนั้นพุทธชาดก็ถือวิสาสะปลดกระดุมเสื้อนอนสีเข้มออก และเพียงแค่สาบเสื้อแยกจากกันเขาก็ได้เห็นร่องรอยฟกช้ำบนตัวของสามี

สิ่งที่เขาคาดเดาเอาไว้นั้นถูกต้อง มันไม่ใช่แค่เรื่องชกต่อยเล็กๆ น้อยๆ นี่เรียกว่าการทำร้ายร่างกายกันได้เลยด้วยซ้ำ ดูเหมือนว่าเขาต้องเค้นคอถามอีกฝ่ายให้ได้เสียแล้วว่าไปทำอะไรมา ทำไมบาดเจ็บขนาดนี้แล้วไม่ไปหาหมอ แถมยังตากฝนกลับบ้านมาจนไข้ขึ้นสูงอีก

พุทธชาดถอนหายใจ เขาตัดสินใจปลุกคนป่วยให้ตื่นขึ้น “คุณกัลป์ คุณกัลป์ครับ”

“ฮื่อ...” คนถูกเรียกขมวดคิ้วแน่นหากแต่ยังไม่ยอมลืมตา

“คุณกัลป์ ตื่นขึ้นมาก่อนครับ”

ลองเรียกอีกสองสามครั้งแต่กัลปพฤกษ์ไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมา เขาดูจะทรมานเพราะไข้ที่ขึ้นสูงไม่หยุด พุทธชาดจึงผละออกแล้วก้าวเท้าไวๆ เข้าไปในห้องน้ำ นำอ่างแก้วใบเล็กออกมาใส่น้ำตามด้วยหยิบเอาผ้าขนหนูผืนเล็กใส่ลงไปสองผืน ร่างสูงสง่าถือมันออกมาวางข้างเตียง จับผู้เป็นสามีขึ้นนั่งเพื่อถอดเสื้อออกก่อนจะนำผ้าผืนหนึ่งบิดหมาดๆ แล้วพับวางพาดเอาไว้บนหน้าผากคนป่วย จากนั้นจึงค่อยใช้ผ้าอีกผืนเช็ดตัวไปตามขั้นตอนที่เคยได้เรียนมา

ที่จริงเขาจะไปเรียกแม่บ้านสักคนมาทำให้ก็ได้ แต่เวลานี้ดึกมากเกินกว่าพุทธชาดจะทำแบบนั้นได้ลง ชายหนุ่มจึงต้องทำมันด้วยตัวเอง นั่นรวมไปถึงการหาหยูกยามาให้กัลปพฤกษ์ด้วย...หลังจากเช็ดตัวให้อีกฝ่ายเสร็จ ราชนิกุลหนุ่มก็ก้าวลงจากห้องไปยังตู้ยาสามัญประจำบ้าน เขารื้อหายาแก้ปวดหัวลดไข้ รวมไปถึงยาทาแผลฟกช้ำและแผลแตก ไม่ลืมหยิบเอาปรอทวัดไข้มาด้วย

กลับขึ้นมาบนห้องอีกครั้งก็พบว่าคนไม่สบายกำลังปรือตามองไปรอบๆ มือสีแทนข้างหนึ่งหยิบเอาผ้าบนหน้าผากขึ้นมามอง เห็นดังนั้นพุทธชาดก็วางของทั้งหมดที่ถือมาลงบนเตียงก่อนจะคว้ามืออีกฝ่ายเอาไว้แล้วดึงผ้ากลับมาวางลงบนหน้าผากกัลปพฤกษ์ตามเดิม

“อย่าซน”

“ผมไม่สบายเหรอ...” น้ำเสียงคนป่วยแหบแห้งอย่างเห็นได้ชัด เรียวคิ้วขมวดแน่น “ปวดหัว”

“ครับ คุณบาดเจ็บมาแถมยังตากฝน ต่อให้เป็นอัลฟ่าก็ล้มได้เหมือนกัน” พุทธชาดตอบพลางหันไปหยิบปรอทวัดไข้มาทำความสะอาดก่อนยื่นใส่ปากของกัลปพฤกษ์ โดยไม่ลืมจัดตำแหน่งให้มันอยู่ในจุดที่ถูกต้อง ซึ่งก็คือใต้ลิ้นของอีกฝ่าย “อมเอาไว้นะครับ ผมจะดูว่าคุณไข้สูงแค่ไหน ถ้ามันมากเกินไปจะได้เรียกอาหมอมาดู ผมไม่อยากให้คุณตัวร้อนจนช็อกหมดสติที่นี่”

“กลัวผมตายกลายเป็นผีบนเตียงของคุณเหรอครับ”

อัลฟ่าราชนิกุลไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเวลาแบบนี้สามีของเขายังจะพูดจากวนโมโหใส่กันได้อีก เขาถอนหายใจเบาๆ แล้วเอ่ยย้ำอีกครั้ง

“ก็บอกว่าให้อมไว้เฉยๆ ไงครับ ในสามนาทีนี้ห้ามพูดอะไรเด็ดขาด”

คราวนี้คนฟังให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี แม้จะมีคำถามมากมายแต่กัลปพฤกษ์ยอมที่จะรออีกสามนาทีแล้วค่อยเอ่ยถาม ดวงตาสีดำสนิทมองตามความเคลื่อนไหวของคนเป็นภรรยาไปด้วย พุทธชาดหันไปจัดเตรียมยาแก้ปวดลดไข้พร้อมน้ำเปล่า เสร็จแล้วก็หยิบเอายาทาแก้ฟกช้ำมาทาบนหน้าท้องของสามี

กัลปพฤกษ์เผลอเกร็งหน้าท้องเล็กน้อย แต่สัมผัสที่แผ่วเบาและอ่อนโยนเกลี่ยยาไปตามรอยช้ำเขียว ชายหนุ่มก็ผ่อนคลายลง อดจะชมคุณแก้วในใจไม่ได้ว่ามือเบา เขานึกว่าอีกฝ่ายจะใช้โอกาสนี้ทำให้เขาเจ็บยิ่งกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ ดูเหมือนคนที่คิดอะไรเป็นเด็กๆ จะกลายเป็นเขาฝ่ายเดียวไปซะแล้ว

หลังจากทายาเสร็จพุทธชาดก็ลุกไปล้างมือก่อนจะกลับมาอีกครั้ง เมื่อเหลือบมองนาฬิกาก็พบว่าครบเวลาสามนาทีที่ว่าแล้ว อัลฟ่าหนุ่มหยิบเอาปรอทออกมาจากปากคนป่วย

“สามสิบแปดจุดหกองศา ถือว่าไม่มาก ลองกินยาแก้ไข้กับเช็ดตัวไปก่อน ถ้าไม่ดีขึ้นพรุ่งนี้เช้าค่อยขอให้อาหมอมาดูอาการนะครับ”

“ทำไมคุณถึงไม่เรียกแม่บ้านมาดูแลผมแทนล่ะ” นี่คือคำถามแรกที่คนเป็นสามีเอ่ยถามหลังจากปากว่างแล้ว

คนถูกถามชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะตอบ “มันดึกมากแล้ว ผมไม่อยากรบกวนป้าดาหรือใครทั้งนั้น”

“แต่คุณกลับมาคอยดูแลผมเองเนี่ยนะ? ผมนึกว่าคุณจะปล่อยให้ผมไข้ขึ้นต่อไปไม่ดูดำดูดีกันซะอีก”

“ก็อยากทำอย่างนั้นอยู่หรอกครับ แต่ผมมีน้ำใจมากพอที่จะไม่ทำ และถึงจะต้องจำใจดูแลคุณแต่ผมจะถือว่ามันคือหน้าที่ที่ผมในฐานะภรรยาพึงกระทำ...ก็เท่านั้นครับ”

“ชมตัวเองน่ะกระดากปากบ้างไหม” กัลปพฤกษ์ยังคงหาเรื่องมาเย้าแหย่ไม่เลิก เขาเห็นสีหน้าหงุดหงิดใจของผู้เป็นภรรยาแวยหนึ่ง ก่อนมันจะกลับมาเรียบเฉยอีกครั้ง แต่เพียงแค่นั้นก็มากพอแล้ว อัลฟ่าผิวแทนไม่ได้เห็นคนอย่างคุณแก้วเสียอาการมาสักพักใหญ่ พอได้เห็นบ้างก็ทำให้รู้สึกสนุกดีพิกล

“ลุกขึ้นมากินยาครับ” พุทธชาดไม่ตอบคำถามนั้นแต่ออกคำสั่งแทน และกัลปพฤกษ์ก็ยอมทำตามอย่างว่าง่ายเสียจนน่าแปลกใจ แต่ก็ดีแล้ว เขาจะได้ไม่ต้องเสียเวลาบังคับขู่เข็ญหรือยัดยากรอกน้ำใส่ปากของอีกฝ่ายให้เปลืองแรง “คุณอยากทำแผลที่ปากหรือเปล่า”

คนถูกถามยกปลายนิ้วขึ้นแตะมุมปากของตัวเองแล้วก็นิ่วหน้า มันเป็นแค่แผลแตกเล็กๆ ถึงจะเจ็บไปบ้างเวลาอ้าปากพูดหรือไปแตะโดนมันแต่ก็ไม่ได้มากมายอะไร ถึงอย่างนั้นกัลปพฤกษ์ก็ไม่อยากให้คนเป็นภรรยาเสียน้ำใจ ชายหนุ่มพยักหน้ารับพลางว่า

“รบกวนคุณหน่อยแล้วกัน”

พุทธชาดพยักหน้ารับ เขาลงมือทำแผลให้โดยที่ต่างฝ่ายต่างไม่พูดอะไร กระทั่งการทำแผลเสร็จสิ้นพร้อมกับคำขอบคุณแผ่วเบาจากกัลปพฤกษ์ที่ดังมาเข้าหู มันทำให้ร่างสูงสง่าชะงักลงอีกครั้ง เงยหน้าขึ้นสบดวงตาสีรัตติกาลที่แสนมีเสน่ห์แล้วเอ่ยขึ้นอย่างจนใจ

“ผมไม่ชินกับคุณที่เป็นแบบนี้เลยคุณกัลป์”

“แบบไหนครับ?”

“พูดจาสุภาพและรู้จักขอบคุณผมจากใจจริง” ราชนิกุลหนุ่มทำมือเป็นสัญญาณว่าให้อีกฝ่ายนอนลงซะ แน่นอนว่านี่เป็นอีกครั้งที่สามีของเขาทำตัวเชื่อฟังยอมล้มตัวลงนอนทันที “ถ้าคุณหัดขอโทษอย่างจริงใจแบบนี้บ้างเวลาสร้างปัญหาให้ผมต้องตามแก้ก็คงจะดี”

“อ้าว”

“ไม่สิ ถ้าคุณเลิกสร้างเรื่องให้ผมปวดหัวถึงจะดีที่สุดต่างหาก”

“ตกลงคุณจะชมหรือด่าผมกันแน่ครับ คุณภรรยา”

กัลปพฤกษ์ทั้งขำทั้งฉิว เขาจับผ้ากลับขึ้นไปโปะหน้าผากอีกครั้ง แต่พุทธชาดแย่งมาแล้วลุกหายเข้าห้องน้ำไปพร้อมอ่างแก้วโดยไม่พูดอะไร กลับมาอีกครั้งพร้อมน้ำอ่างใหม่และผ้าที่ชุบน้ำบิดหมาดวางลงบนหน้าผากของร่างสูงอีกครั้ง ตามด้วยผ้าอีกผืนที่นำมาเช็ดแขนและลำคอให้

“แล้วแต่คุณจะคิด”

“ครับ?” คนฟังมุ่นคิ้วเมื่อจู่ๆ ภรรยาอัลฟ่าของเขาก็พูดขึ้น

พุทธชาดเช็ดมือเรียวยาวของสามีแล้วกล่าวขยายความ “ที่คุณถามก่อนหน้านี้ไงครับ ว่าผมด่าหรือชมกันแน่”

“จริงๆ แล้วคุณแก้วเป็นคนตลกหน้าตายสินะครับ”

“แล้วแต่คุณจะคิด”

“ตอบคำตอบอื่นบ้างก็ได้” กัลปพฤกษ์ถึงกับถอนหายใจ เขาปล่อยให้อัลฟ่าผู้สูงศักดิ์ติดกระดุมเสื้อนอนให้ตามเดิม รวมไปถึงยอมให้คุณแก้วจับผ้าห่มขึ้นมาห่มให้เขาจนถึงคอด้วย อัลฟ่าผิวแทนอดคิดไม่ได้ว่าที่จริงแล้วภรรยาของเขาก็ทำอะไรน่ารักๆ แบบนี้ได้นี่นา “ถ้าคุณทำตัวน่ารักๆ แบบนี้กับผมอีกบ่อยๆ ก็คงดี”

“ถ้าคุณไม่ก่อเรื่องให้ผมตามแก้กก็คงดีเหมือนกันครับ”

“พอทีเถอะน่า เพิ่งหลอกด่าผมไปเมื่อกี้นี้เอง ยังจะขุดขึ้นมาย้ำอีก ผมเบื่อจะฟังแล้ว”

พุทธชาดอยากจะบอกเหมือนกันว่าเขาเองก็เบื่อที่ต้องมาปวดหัวกับเรื่องของอีกฝ่าย แต่สิ่งที่เขาพูดออกไปคือ “คุณไปทะเลาะกับใครมาครับ”

“...”

“ผมคิดว่าคุณควรบอกผม ผมจะได้รู้ว่าต้องจัดการยังไง”

“ไม่ต้อง” น้ำเสียงของกัลปพฤกษ์เปลี่ยนไปจากเดิม มันแข็งกระด้างมากขึ้นและนั่นรวมไปถึงดวงตาคู่คมที่เป็นประกายวาวโรจน์ราวกับกำลังโมโหใครสักคนอยู่ “ผมจัดการเองได้และจัดการไปแล้วด้วย คุณไม่ต้องมายุ่งเรื่องนี้”

“ผมต้องยุ่งแน่ถ้าเรื่องนี้มันเกี่ยวกับชื่อเสียงของเรา”

คนเป็นสามีทำหน้าเหม็นเบื่อทันที “เลิกพูดเรื่องชื่อเสียงด้วย มันน่ารำคาญ”

“งั้นคุณก็บอกผมมาว่าไปมีเรื่องกับใครถึงขั้นต้องทำร้ายร่างกายกัน มีคนเห็นเหตุการณ์มากน้อยแค่ไหน...”

“เอาเป็นว่าผมจัดการปิดข่าวหมดแล้ว โอเคมั้ย!?” กัลปพฤกษ์แทบจะตวาดออกมา แต่เพราะน้ำเสียงของเขามันแหบแห้งเนื่องจากพิษไข้ที่กำลังรุมเร้า ไหนจะอาการปวดตุบๆ ที่ศีรษะ พอเขาโมโหขึ้นมาเลยยิ่งไปกระตุ้นให้ร่างกายรู้สึกแย่ลงกว่าเดิม สุดท้ายอัลฟ่าผิวแทนก็ตัดบทด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดใจ “ส่วนผมทะเลาะกับใครนั่นก็ไม่ใช่เรื่องของคุณ ผมรักษาชื่อเสียงให้กับตระกูลของเราแล้ว เรื่องนอกเหนือจากนั้นเป็นเรื่องของผม คนนอกไม่เกี่ยว!”

คนนอก

พุทธชาดนิ่งงัน เขามองใบหน้าหล่อเหลาหากแต่ยามนี้กลับซีดเซียวเพราะไม่สบายอีกเล็กน้อย จากนั้นจึงพยักหน้ารับแล้วยอมถอยให้ตามที่กัลปพฤกษ์เรียกร้อง

“ก็ได้ ผมจะไม่ยุ่งกับเรื่องนี้อีก”

“ดี”

“แต่ถ้าสุดท้ายแล้วยังมีข่าวเสียๆ หายๆ ของคุณหลุดออกไปอีกล่ะก็ ผมจะถือว่าคุณไม่มีความสามารถในการจัดการมันอย่างดีพอ และผมจะเข้าไปจัดการต่อให้เรียบร้อยเอง”

“คุณแก้ว!”

“ถึงเวลานั้นก็หวังว่าคุณจะเปิดปากคายเรื่องโสมมของคุณออกมาให้หมดล่ะครับ”

คนนอกไม่เกี่ยวสินะ

ใช่...ท่องเอาไว้สิพุทธชาดว่าตัวเองเป็นแค่คนนอก

.

.

.

ออฟไลน์ aukuzt

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 107
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
คิดถึงงง อย่าหายไปนานเลยนะคะ อยากรู้จังว่าพระเอกของเราไปต่อยตีกับใครมา มีภรรยาเป็นสาเหตุไหมมม รอตอนต่อไปไม่ไหวแล้ว

ออฟไลน์ Hazel_nut

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-3


บทที่ 11

อันความเชื่อใจ ลองให้สักครั้ง




ในวันหยุดของสัปดาห์ที่เก้าหลังจากพวกเขาแต่งงานกัน ทั้งสองตระกูลก็ได้นัดหมายออกไปทานข้าวมื้อเย็นด้วยกันที่ภัตตาคารหรูแห่งหนึ่ง นับว่าเป็นการพบปะแบบเป็นทางการครั้งแรกหลังพิธีแต่งงานเสร็จสิ้นไป พุทธชาดเริ่มเคยชินกับการมีสถานะ ‘สมรสแล้ว’ พ่วงติดตัว และเขาเริ่มชินแล้วกับการใช้ชีวิตร่วมกับกัลปพฤกษ์

นับตั้งแต่วันที่อีกฝ่ายไม่สบายจวบจนเวลาผ่านมาอีกเดือนกว่า แม้จะไม่มีข่าวฉาวหลุดออกไปในหน้าสื่อว่าสามีของเขาไปมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับใครที่ไหน ซึ่งก็นับว่าอีกฝ่ายทำตามที่รับปากกับเขาเอาไว้ได้ตามที่พูด แต่หลังจากนั้นกัลปพฤกษ์กลับทำตัวดีขึ้นอย่างน่าประหลาด...อีกแล้ว

จากที่ชอบหาเรื่องก็ไม่ค่อยทำ แต่เรื่องปากเสียพูดจาไม่รักษาน้ำใจบางครั้งยังมีอยู่ ส่วนการไปมั่วเซ็กซ์กับพวกโอเมก้าที่เลี้ยงไว้ก็ไม่มีคลิปหลุดใดๆ โผล่มาให้เห็น ไม่มีข่าวฉาวลงในสื่อสิ่งพิมพ์หรือสื่อออนไลน์ แม้บางครั้งจะกลับบ้านเอาตอนดึกดื่นหรือเช้าตรู่พร้อมกลิ่นฟีโรโมนที่ติดตัวจนฉุนกึก แต่โดยรวมแล้วสามีของเขาก็ทำตัวดีขึ้นเป็นอย่างมาก

ไม่ได้ทำตัวเป็นสามีที่ดีเลิศอะไร...แต่ก็ไม่ก่อร่างสร้างปัญหาให้พุทธชาดปวดหัว นั่นนับว่าเป็นเรื่องดี

ที่จริงราชนิกุลหนุ่มรู้สึกว่ากัลปพฤกษ์มีหลายอย่างเปลี่ยนไปตั้งแต่ก่อนหน้านั้นแล้วด้วยซ้ำ หากลองคิดดูดีๆ ก็คงจะตั้งแต่วันที่เราคุยกันเรื่องความรัก...ซึ่งเป็นบทสนทนาที่ดูไร้สาระที่สุดในชีวิตของเขา แต่ก็เป็นบทสนทนาที่จริงจังที่สุดสำหรับเราทั้งคู่เช่นกัน

พอนึกย้อนไปถึงคำพูดในวันนั้น อัลฟ่าหนุ่มยังคงย้ำเตือนตัวเองอยู่เสมอว่าเขากำลังโกหก และมันจะเป็นคำโกหกที่เขาจะเก็บไว้กับตัวตลอดไปด้วย ความสัมพันธ์ของเขากับกัลปพฤกษ์ไม่ดีมาตั้งแต่แรก อีกทั้งมันคงไม่มีทางดีขึ้นไปมากกว่านี้ได้ ดังนั้นความจริงในใจของเขาจึงไม่จำเป็นต่ออีกฝ่าย

ถึงอย่างนั้นท่าทีที่เปลี่ยนไปของผู้เป็นสามีก็ยังทำให้เขากังวลใจอยู่ดี บางครั้งยามเห็นสีหน้าราวกับมีเรื่องให้คิดไม่ตกเสียที พุทธชาดก็อยากเอ่ยปากถามปัญหาของอีกฝ่าย หากเขาช่วยอะไรได้ก็อยากจะช่วย ยังไงเสียเราก็เป็นสามีภรรยากันตามกฎหมาย และการแบ่งเบาภาระหรือช่วยเหลือค้ำจุนกันก็เป็นเรื่องปกติธรรมดา

แม้พุทธชาดอยากทำอย่างนั้น แต่เพียงแค่นึกถึงประโยคที่อีกฝ่ายบอกว่าเขาเป็นคนนอก ปากที่อ้าขึ้นเพื่อจะเอ่ยถามก็ปิดฉับลงทุกครั้งไป มุมมองของเราสองคนต่างกัน...ในขณะที่เขามองอีกฝ่ายเป็นสามีแม้ไม่ได้เต็มใจแต่ง แต่กัลปพฤกษ์มองเขาเป็นเพียงคนนอกเท่านั้น คำเรียกภรรยาที่เจ้าตัวใช้กับเขา เป็นเพียงแค่การหาเรื่องพูดจากวนประสาทกันก็เท่านั้นเอง

ไม่ใช่ไม่รู้ตัวว่าตนเองเองมีอคติกับผู้เป็นสามีไม่น้อยเลย เราต่างฝ่ายต่างทำร้ายจิตใจกันและกันเท่าที่จะทำได้เลยด้วยซ้ำ...ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม แต่ในขณะเดียวกันพุทธชาดก็รู้ตัวดีว่าเขานั่นแหละที่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ฉากหน้าเขาอาจจะกล่าวคำต่อว่าอีกฝ่ายได้หน้าตาเฉย แต่หัวใจของเขาไม่ได้เป็นไปตามคำพูดที่เอ่ยออกไป

อัลฟ่าหนุ่มเคยได้ยินคำพูดหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว คำพูดที่ว่า...คนที่รู้สึกก่อนก็คือผู้แพ้

“แก้ว...ตาแก้ว?”

คนถูกเรียกพลันได้สติ พึงรู้ตัวว่าเผลอเหม่อลอยต่อหน้าผู้ใหญ่เข้าซะแล้ว “ขอโทษครับ ผมเสียมารยาทแล้ว”

“ไม่เป็นไรจ้ะ เห็นนิ่งไปก็เลยเรียกน่ะ” มารดาของสามีเป็นฝ่ายพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มใจดี ก่อนจะเอ่ยถามอีกประโยคด้วยน้ำเสียงห่วงใย “ว่าแต่คิดมากเรื่องอะไรจ้ะเนี่ย หรือว่าตากัลป์ทำอะไรให้เครียด...”

“อ้าว แม่ครับ ทำไมโทษผมก่อนเลยล่ะ” อัลฟ่าผิวแทนที่นั่งอยู่ข้างกันพูดขึ้น ใบหน้าหล่อเหลาแสร้งกะพริบตาปริบๆ ราวกับกำลังจะบอกว่าตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์ “ผมออกจะเป็นเด็กดี”

คำพูดนั้นเรียกเสียงหัวเราะให้กับทุกคนบนโต๊ะอาหาร แม้แต่พุทธชาดเองยังชะงักไปเล็กน้อย เกือบหลุดยิ้มออกมาแล้วด้วยซ้ำหากแต่ก็ควบคุมสีหน้าตัวเองเอาไว้ได้ทัน...เด็กดีงั้นเหรอ? อีกฝ่ายห่างไกลจากคำๆ นั้นอยู่มากโขเลยทีเดียว

“เราน่ะเหรอเด็กดี ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก” คุณราชพฤกษ์หรือก็คือบิดาของกัลปพฤกษ์ส่ายหน้า

คนเป็นลูกชายรีบหาแนวร่วมด้วยการหันมามองหน้าภรรยาอัลฟ่าพลางแย้มยิ้ม...ในแบบที่พุทธชาดไม่เคยเห็นมาก่อน เพราะมันเป็นรอยยิ้มหวานเชื่อมซะจนน่าขนลุก แต่คนได้รับก็รู้สึกใจเต้นผิดจังหวะชั่วขณะหนึ่งเช่นกัน หากไม่ใช่เพราะบรรดาพ่อแม่มองอยู่ ราชนิกุลหนุ่มคงหันหน้าหนีไปแล้ว

น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามเขา “คุณแก้ว บอกพวกท่านสิครับว่าผมเป็นเด็กดีของคุณมากแค่ไหน”

ดวงตาสองคู่ต่างสีสบกันในระยะห่างเพียงครึ่งช่วงแขน สายตาของสามีอัลฟ่าเป็นประกายกรุ้มกริ่มแฝงความท้าทายเอาไว้ คงกำลังคิดว่าเขาจะตอบอย่างไร จะโกหกหรือบอกความจริงว่าที่ผ่านมาตลอดสองเดือนกว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้างระหว่างเรา

หากเป็นก่อนหน้านี้พุทธชาดคงจะโกหกออกไปว่ากัลปพฤกษ์เป็นสามีที่ดี ไม่ได้ทำให้เขาลำบากใจอะไร แต่หลังจากได้รับสายตาแบบนั้น ราชนิกุลหนุ่มก็รู้แล้วว่าจะตอบพ่อสามีว่าอะไร

เขายังเลือกที่จะโกหกเหมือนเดิม แต่ไม่ใช่การกล่าวชมเชยเพื่อให้ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายสบายใจ

“ที่จริงแล้วคุณกัลป์ดื้อมากเลยครับ”

“...!” กัลปพฤกษ์เบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย เขาอึ้งงันด้วยไม่คิดว่าผู้เป็นภรรยาจะตอบแบบนั้น

พุทธชาดเบือนสายตาไปมองพ่อแม่ของอีกฝ่ายก่อนจะยิ้มน้อยๆ พลางว่า “เขาทำงานแล้วกลับดึกบ่อยมาก ชอบทำให้ผมเป็นห่วงอยู่เรื่อยเลยครับ พอผมขอให้เขาอย่าหักโหมทำงานหนักเขาก็ไม่ค่อยจะฟังกัน บางทีถ้าคุณพ่อคุณแม่เป็นฝ่ายพูด เขาอาจจะฟังขึ้นมาบ้างก็ได้นะครับ”

เกิดความเงียบขึ้นเล็กน้อย แต่เพียงไม่นานพ่อแม่ของพุทธชาดก็หัวเราะออกมาเบาๆ แล้วบอกให้สามีของลูกชายทำงานหนักให้น้อยลง พอๆ กับฝากฝังให้กัลปพฤกษ์ช่วยดูแลไม่ให้ลูกชายของตนทำงานหนักเช่นกัน แม้นั่นจะส่งผลให้พุทธชาดทำหน้าไม่ถูกไปชั่วขณะด้วยเพราะเขาเองก็เป็นคนบ้างานคนหนึ่งเหมือนกัน แต่ก็ไม่เท่าความสำราญใจเล็กๆ ยามเมื่อเขาสังเกตเห็นสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของคุณลุงพฤกษ์กับคุณป้าวดี...ถึงจะเป็นเวลาแค่เสี้ยวนาทีก็ตาม

ไม่ต้องพูดออกมาราชนิกุลหนุ่มย่อมรู้ดีว่าพวกท่านเข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อ คนเป็นพ่อเป็นแม่ทำไมจะไม่รู้ว่าลูกชายตัวเองเป็นยังไง ต่อให้ไม่ได้รับรู้ทุกเรื่องก็ตาม แต่เรื่องที่กัลปพฤกษ์ทำตัวเสเพลกับโอเมก้ามากหน้าหลายตาน่ะ...มีหรือที่พวกท่านจะไม่รู้เห็น

“ได้ยินไหมตากัลป์ ทำภรรยาเป็นห่วงน่ะใช้ไม่ได้เลย”

“ขอโทษครับแม่” กัลปพฤกษ์ตอบรับอย่างเสียงไม่ได้

พุทธชาดหันกลับมาสบตาคนเป็นสามีอีกครั้ง จ้องมองใบหน้าบึ้งตึงและสบดวงตาคาดโทษของอีกฝ่าย พอเห็นสีหน้าเหมือนอยากจะกินเลือดกินเนื้อเขาแล้ว อัลฟ่าผู้สูงศักดิ์ก็เผลอยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิมในแบบที่ไม่เคยยิ้มให้ใครมาก่อน และนั่นสร้างความประหลาดใจให้กัลปพฤกษ์จนเผลอมองหน้าภรรยาตาค้าง

ปฏิกิริยาเหล่านั้นทำให้พุทธชาดได้สติ เขาหุบยิ้มลงพลางหันไปก้มหน้าก้มตาทานอาหารต่อ ไม่ได้สนใจต่อสายตาของคนข้างกายที่ยังมองมาไม่เลิก บรรยากาศชวนให้กระอักกระอ่วนทำตัวไม่ถูกขึ้นมาเสียเฉยๆ แต่ในที่สุดมันก็หายไปเมื่อพ่อของเขาเอ่ยปากชวนพ่อของผู้เป็นสามีคุย เช่นเดียวกับบรรดาแม่ๆ ที่หันไปคุยกันเอง

พุทธชาดไม่ได้รู้ตัวเลยว่าเขาทำให้กัลปพฤกษ์ลืมหายใจไปชั่วขณะหนึ่งเลยทีเดียว



มื้อเย็นจบลงแล้ว แต่เพราะถูกคะยั้นคะยอให้ไปเดินเที่ยวเล่นด้วยกันบ้าง เวลานี้พุทธชาดกับกัลปพฤกษ์จึงต้องเปลี่ยนจากทานข้าวในภัตตาคารหรูเป็นจิบไวน์อยู่บนดาดฟ้าของเรือล่องแม่น้ำที่พวกผู้ใหญ่เตรียมไว้ให้ สองร่างนั่งอยู่ตรงข้ามกัน บนโต๊ะมีแจกันใส่ดอกกุหลาบแดงกับแก้วไวน์แดงที่พร่องไปนิดเดียว

รอบตัวของพวกเขามีเพียงความเงียบ พนักงานที่ให้การดูแลไม่ได้เข้ามาขัดจังหวะหรือเป็นส่วนเกิน แสงไฟจากสองริมฝั่งแม่น้ำสว่างไสว มองดูทั้งสวยและยุ่งเหยิงนัยน์ตา กระนั้นลมเย็นๆ ที่พัดผ่านมาก็พอจะทำให้รู้สึกดีได้บ้าง

กัลปพฤกษ์ถอดเสื้อสูทสีเทาออก ตามด้วยเนกไท กระดุมสองเม็ดแรกและกระดุมข้อมือ จากนั้นอัลฟ่าผิวแทนก็พับแขนเสื้อทั้งสองข้างขึ้นจนถึงข้อศอก เขาผ่อนลมหายใจแต่ไม่ได้ฟังดูเหมือนเบื่อหน่ายอย่างเช่นทุกครั้ง มันดูผ่อนคลายเสียมากกว่า

“แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”

“ครับ?” พุทธชาดมุ่นคิ้วอย่างไม่เข้าใจ เมื่อจู่ๆ อีกฝ่ายก็โพล่งขึ้นมา

อัลฟ่าผิวแทนโคลงแก้วไวน์ในมือเล่น เขาสบตาสีน้ำตาลอ่อนก่อนจะเบือนไปมองท้องฟ้าแล้วตอบ “ได้มาจิบไวน์บนเรือล่องแม่น้ำแบบนี้ไง คุณไม่คิดว่ามันก็ดีเหรอ?”

“อืม”

“อืมนี่คือ?”

พุทธชาดค่อนข้างงุนงง ทำไมกัลปพฤกษ์ถึงเป็นฝ่ายชวนเขาคุยก่อน แถมยังไม่ใส่คำพูดค่อนแขะหรือจิกกัดลงไปในประโยคด้วย ที่อัลฟ่าหนุ่มรู้สึกว่าสามีเปลี่ยนไปเขาไม่ได้คิดไปเองเลยสักนิด ถึงจะไม่ได้เปลี่ยนไปในทางที่ดีร้อยเปอร์เซ็นต์ก็เถอะ แต่ก็อย่างที่เขาบอกก่อนหน้านี้...กัลปพฤกษ์ทำตัวดีขึ้นจริงๆ

“ผมก็คิดว่าดี”

“เราควรไปเที่ยวด้วยกันอีกสักครั้ง”

“ครับ?!” น้ำเสียงของราชนิกุลหนุ่มสูงขึ้นอีกระดับ ถ้าการชวนคุยประหลาดแล้ว การชวนไปเที่ยวไม่ยิ่งกว่าประหลาดหรือไงกัน “คุณป่วยหรือเปล่าคุณกัลป์ หรือเอาหัวไปกระแทกอะไรมาครับ?”

“คุณนี่ยังปากร้ายไม่เปลี่ยนเลยแฮะ” กัลปพฤกษ์บ่นเหมือนเคย แต่น้ำเสียงของเขากลับไม่ได้เป็นไปตามสิ่งที่พูด มันเอื่อยเฉื่อยราวกับเขาเพียงแค่บ่นเรื่องดินฟ้าอากาศ

“แต่คุณดูเปลี่ยนไป”

คำพูดนั้นเรียกให้อัลฟ่าผิวแทนหันกลับมามองคนเป็นภรรยาอีกครั้ง และนั่นทำให้ความลังเลใจที่มีมาตลอดทั้งเดือนของพุทธชาดหายไป แม้รู้ดีว่าอาจจะโดนกันออกเป็นคนนอกอีกครั้ง แต่เขาก็ทนความอยากรู้ของตนเองไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว

“ยังไงเหรอครับ?” กัลปพฤกษ์กล่าวถาม เขาวางแก้วไวน์ที่ไม่ได้ดื่มสักหยดลงแล้วยกแขนขึ้นกอดอก สีหน้าไร้ความรื่นรมย์โดยสิ้นเชิง

พุทธชาดลอบสูดหายใจเข้าลึกเป็นการเรียกกำลังใจให้ตัวเอง “ตั้งแต่ที่คุณไม่สบายคุณก็ดูแปลกไป เกิดอะไรขึ้นกับคุณกันแน่ มีเรื่องอะไรไม่สบายใจงั้นเหรอครับ คุณดูไม่ปกติเอาเสียเลย”

พอได้โอกาสถามเขาก็ถามซะหมดเปลือก น้ำเสียงดูร้อนรนกว่าปกติเล็กน้อยจนต้องพยายามระงับตัวเองให้มีสติและใจเย็นเอาไว้ ไม่บ่อยนักที่ชายหนุ่มจะควบคุมตัวเองไม่ได้หรือรู้สึกเสียศูนย์แบบที่เป็นอยู่ตอนนี้

คนถูกถามไม่ตอบ ดวงตาสีดำคู่นั้นหลุบลงไม่สบตา ความเงียบกลับมาล้อมรอบกายของพวกเขาเอาไว้อีกครั้ง เป็นความเงียบที่ยาวนานซะจนราชนิกุลหนุ่มทำใจแล้วว่าเขาคงไม่ได้รับคำตอบ แต่อย่างน้อยก็ดีที่เขาไม่โดนคำพูดร้ายกาจสาดใส่เหมือนครั้งนั้น

แต่ในขณะที่เรือจอดนิ่งอยู่กลางแม่น้ำ สายลมหอบใหญ่พัดผ่านก่อนที่คำตอบจะดังขึ้นหลังเวลาผ่านไปพักใหญ่ น้ำเสียงคนพูดดูทั้งอยากและไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ แต่สุดท้ายก็ยังพูดออกมาแม้จะเป็นคำตอบที่คลุมเครือก็ตาม

“ผม...มีปัญหาบางอย่างที่ยังแก้ไขไม่ได้ แต่ผมพยายามแก้มันอยู่”

นับเป็นครั้งแรกที่กัลปพฤกษ์ยอมบอกเรื่องของตัวเองออกมา และพุทธชาดรู้สึกว่านี่คือการหันหน้าเข้าหากันในฐานะสามีภรรยาเป็นครั้งแรกเช่นกัน เขาไม่ปฏิเสธว่ามันให้ความรู้สึกดีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน อดคาดหวังไม่ได้ว่ามันจะมีครั้งต่อไปหรือไม่

“คุณไม่อยากบอกผมสินะครับว่ามันคือปัญหาอะไร”

สามีของเขาส่ายหน้าพลางถอนหายใจ ท่าทางของเขาดูเหนื่อยอ่อนจนพุทธชาดเกิดความเห็นใจขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ บางทีมันอาจจะเป็นเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัวอะไรสักอย่าง แต่อัลฟ่าหนุ่มไม่คิดว่ามันจะเกี่ยวกับโอเมก้าที่อีกฝ่ายเก็บสะสมเอาไว้หรอก เพราะเขานึกภาพผู้ชายสำส่อนที่ปวดหัวเพราะควบคุมเด็กๆ พวกนั้นไม่ได้ไม่ออกเลย ในเมื่อเท่าที่ชายหนุ่มทราบมา...อีกฝ่ายพร้อมสลัดโอเมก้าที่สร้างปัญหาให้ตนเองทิ้งได้โดยไม่เหลือเยื่อใยเลยทีเดียว

“คุณไม่ต้องใส่ใจหรอก แต่ถ้าคุณห่วงเรื่องชื่อเสียงวงศ์ตระกูลอะไรพวกนั้นก็หายห่วงไปได้เลย ผมไม่สร้างปัญหาให้คุณปวดหัวหรอกน่า”

“ผมก็อยากจะเชื่อใจคุณอยู่หรอกนะ แต่คุณไม่เคยทำให้ผมเชื่อใจได้เลย แทบทุกคืนคุณกลับมาพร้อมกลิ่นฟีโรโมนติดตัวเหม็นฟุ้งไปหมด วันไหนจะมีคลิปหลุดออกมาอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้ แบบนี้คิดว่าผมยังไว้ใจคุณได้อีกเหรอครับ?”

ไม่ได้ตั้งใจให้บทสนทนาออกมาเป็นแบบนี้ แต่สุดท้ายแล้วความกังวลใจเล็กๆ ที่เขามีต่อกัลปพฤกษ์กลับไม่เคยเลือนหายไป แม้ว่าตลอดเดือนที่ผ่านมาอีกฝ่ายจะสงบเสงี่ยมมากแค่ไหนก็ตาม

คนโดนต่อว่าหัวเราะออกมาเบาๆ แต่น้ำเสียงกลับดูแห้งเหือดไร้ชีวิตชีวาเหลือเกิน วูบหนึ่งใบหน้านั้นดูเหนื่อยล้า แต่เพียงพริบตามันก็กลับมาเรียบเฉยดังเดิม พร้อมประโยคคำพูดเอื้อยเฉื่อยไร้อารมณ์

“จี้ใจดำชะมัดเลย ผมคงขออะไรจากคุณไม่ได้มากไปกว่าขอให้อดทนกับผมหน่อยแล้วกันนะครับ คุณภรรยา”

“ช่างเถอะ”

“...” จู่ๆ ก็โดนคำว่าช่างเถอะกระแทกเข้าสู่โสตประสาทหลังจากตัวเองพูดยังไม่ทันจบดีด้วยซ้ำ กัลปพฤกษ์เลิกคิ้ว มองใบหน้าหล่อเหลาสูงส่งของคุณแก้วอย่างไม่เข้าใจ

พุทธชาดถอนหายใจแผ่วเบาก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกว่า “ครั้งนี้ผมจะเชื่อใจคุณก็แล้วกัน”

“คุณแก้ว...”

“อย่าทำให้ผมผิดหวังนะครับ”

ดูเหมือนวันนี้เราทั้งคู่จะอ่อนข้อให้กันและกันโดยไม่ได้นัดหมาย พุทธชาดได้แต่หวังว่าสามีของตนจะเป็นแบบนี้ไปอีกนานๆ และในเมื่ออีกฝ่ายขอให้เขาเชื่อใจ เขาก็หวังว่าการให้ความเชื่อใจกับอีกฝ่ายไปในครั้งนี้จะไม่เสียเปล่า เพราะถ้ามันเสียเปล่าล่ะก็...

ต่อให้รู้สึกกับอีกฝ่ายมากแค่ไหน แต่เขาก็ยังพูดคำว่าเกลียดได้เต็มปากเช่นกัน

.

.

.

ออฟไลน์ Hazel_nut

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-3
บทที่ 12

คำพูดอันหวานหู ฟังดูไม่น่าเชื่อ



พุทธชาดไม่แน่ใจนักว่ากัลปพฤกษ์ดื่มไวน์ไปกี่แก้ว เขาจำได้แค่ว่าอีกฝ่ายดื่มไปเยอะมาก แรก ๆ ก็ทีละแก้ว แต่ตอนหลังขอให้เด็กเสิร์ฟยกขวดมาให้แทน แล้วเจ้าตัวก็ดื่มเอา ๆ อยู่คนเดียว ต่างจากชายหนุ่มที่ดื่มไปเพียงสามสี่แก้วเท่านั้น และแม้ว่าตามหน้าที่ภรรยาแล้วเขาควรห้ามไม่ให้ผู้เป็นสามีดื่มมากจนเกินไป แต่กลับกันพุทธชาดปล่อยให้อีกฝ่ายดื่มจนเมามายได้อย่างเต็มที่ แม้สุดท้ายเขาต้องเป็นคนหิ้วอีกฝ่ายกลับบ้านก็ตาม

ยังไงคืนนี้กัลปพฤกษ์ก็อยู่กับเขา ไม่ได้ไปเมาหัวราน้ำเอาหน้าซุกอกโอเมก้าที่ไหน

“เดินดี ๆ คุณกัลป์” พุทธชาดเอ่ยกับคนที่เขาพยุงอยู่

“อือ...”

กัลปพฤกษ์ไม่ถึงกับเมาจนไร้สติอย่างที่เข้าใจ เทียบกับวันนั้นที่โดนพุทธชาดกระแทกเข่าใส่ท้องแล้วเหมือนจะดูดีมากกว่าด้วยซ้ำ อัลฟ่าผิวแทนก้าวเท้าตามการนำทางของคนที่พยุงเขาเอาไว้ โซเซไปบ้างแต่โดยรวมแล้วก็ไม่ถึงกับทำให้ภรรยาต้องลำบาก

“ให้ดิฉันช่วย...”

“ไม่ต้องหรอกครับ รบกวนป้าดาเตรียมน้ำกับผ้าไว้เช็ดตัวให้เขาก็พอ สภาพแบบนี้คงอาบน้ำไม่ได้” ปรายตามองอัลฟ่าผู้เป็นสามีพลางถอนหายใจ ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงรู้สึกหยามเหยียดคนคนนี้ไปแล้ว แต่ตอนนี้รู้ดีว่าอีกฝ่ายอยู่ในอารมณ์ที่ไม่ปกติ เขาจึงปล่อยผ่านแล้วเลือกที่จะช่วยดูแลแทน “อ้อ ขอน้ำเปล่าด้วยนะครับ”

“ได้ค่ะคุณแก้ว รอสักครู่นะคะ”

ป้าแม่บ้านวิ่งนำขึ้นไปเพื่อเตรียมน้ำและผ้าให้ หลังจากจัดเตรียมของที่เจ้านายต้องการเรียบร้อยแล้วเธอก็กลับลงไปทันที ทิ้งให้คุณแก้วดูแลสามีด้วยตนเองตามที่อีกฝ่ายต้องการ...หลังจากประตูปิดลงพุทธชาดก็เริ่มจากช่วยถอดเสื้อผ้าของกัลปพฤกษ์ออก แต่เพียงแค่ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตมือหนาก็คว้าข้อมือของเขาแล้วจับยึดเอาไว้

“ผม...จะอาบน้ำ”

“เดินยังไม่ตรง ถ้าเข้าไปอาบน้ำคุณคงได้ล้มหัวฟาดพื้น ผมไม่อยากหามคุณส่งโรงพยาบาลในเวลาดึกดื่นแบบนี้หรอกนะครับ” ราชนิกุลหนุ่มเอ่ยหน้าตาย เรียกเสียงหัวเราะจากอัลฟ่าผิวแทนได้ในทันที

“จะแช่งให้ผมตายหรือไงครับ”

“ผมไม่ได้พูดแบบนั้น”

“ผมไหวน่า” กัลปพฤกษ์ว่าพลางลุกขึ้นนั่งอย่างดื้อดึง

อัลฟ่าผู้ดีเก่าถอนหายใจอย่างยอมแพ้ “ตามใจครับ แต่ถ้าไม่ไหวก็เรียกแล้วกัน”

“ถ้าคุณเป็นห่วงนักก็เข้าไปอาบน้ำกับผมเลยสิ”

“ไม่ล่ะครับ” พุทธชาดปลดกระดุมแขนเสื้อออกทั้งที่ยังสบตาสามีอยู่ ท่วงท่านั้นสง่างามสมกับที่เป็นอัลฟ่าชนชั้นสูง เล่นเอาคนเมาเผลอมองค้าง แต่สีหน้าของคุณแก้วที่แสนเรียบเฉยไร้อารมณ์ยามพูดต่อมาอีกประโยคก็ทำให้กัลปพฤกษ์ถูกดึงกลับสู่ความเป็นจริง “อัลฟ่าอย่างคุณไม่เร้าใจผมมากพอ”

ประโยคนี้ฟังดูคุ้น ๆ นะ

กัลปพฤกษ์นิ่งคิด แม้จะเลือนรางแต่ในที่สุดเขาก็คิดออกว่ามันคือคำพูดเดียวกันกับที่เขาเคยพูดในคืนเข้าหอ ตอนนั้นชายหนุ่มแค่อยากจะหยอกล้อภรรยาเล่น แต่ไม่คิดว่ามันจะกลายเป็นคำพูดฝังใจของคุณแก้วไปซะได้...ก็ถ้าไม่ฝังใจอีกฝ่าย เจ้าตัวคงไม่หยิบยกมันมาตอกกลับเขาเอาในวันนี้หรอก

อัลฟ่าผิวแทนหัวเราะแผ่วเบา เขายกสองมือขึ้นเป็นเชิงยอมแพ้ “โอเค ผมเคยพูดแบบนั้นกับคุณแก้ว มันคงไม่แปลกที่คุณแก้วจะเอาคืนผมด้วยคำพูดเดียวกัน”

พุทธชาดไม่ได้ตอบอะไร ชายหนุ่มเพียงบอกให้ร่างสูงไปอาบน้ำเสีย เขาจะได้อาบบ้างเพราะอยากพักผ่อนเต็มทีแล้ว และกัลปพฤกษ์ก็ทำตัวว่าง่าย ไม่ออกอาการหัวฟัดหัวเหวี่ยงเมื่อถูกไล่ ร่างสูงพาตัวเองเดินเข้าห้องน้ำไป กระนั้นก็ไม่วายทิ้งประโยคหนึ่งเอาไว้ว่า...

“ผมขอถอนคำพูดได้ไหม เพราะตอนนี้คุณแก้วโคตรจะเร้าใจผมเลย”

ราชนิกุลหนุ่มขมวดคิ้วทันใด ใบหน้าหล่อเหลาฉายความระอาผสมความเหนื่อยล้าออกมาอย่างที่ไม่มีทางทำต่อหน้าคนอื่น เขาได้แต่คิดว่าผู้ชายคนนี้ต้องการอะไรจากเขากันแน่ จู่ ๆ ก็พูดจาเหมือนจะ...

ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก คงหวังจะได้นอนกับเขาอีกครั้งเสียมากกว่า

คิดได้ดังนั้นก็สบายใจมากขึ้น แม้ในขณะเดียวกันจะรู้สึกหน่วงในอกเล็กน้อยก็ตาม อีกทั้งเมื่อลองมานั่งคิดดูดี ๆ แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะกัลปพฤกษ์กำลังตกอยู่ในช่วงเวลาที่อ่อนแออยู่ มีหรือจะไม่หาเรื่องยั่วอารมณ์โกรธของเขา พุทธชาดมั่นใจเลยว่าไม่มีทางเป็นอย่างนั้นแน่หากสามีของเขาอยู่ในสภาวะปกติ

ร่างสูงสง่าผ่อนลมหายใจยาวอีกครั้ง เขาไล่คำพูดเหล่านั้นของผู้เป็นสามีออกไปจากสมอง ปลดนาฬิกาข้อมือวางลงบนโต๊ะ ตามด้วยแหวนแต่งงานที่จะหยิบมาใส่แค่ตอนออกจากบ้านหรืออยู่ต่อหน้าคนอื่นเท่านั้น ถึงแม้มันจะเป็นแค่แหวนที่จำต้องใส่ แต่อัลฟ่าหนุ่มก็เก็บรักษามันไว้อย่างดีเสมอ

จ้องมองแหวนแต่งงานอยู่นานเท่าไรไม่รู้ ตกอยู่ในภวังค์ความคิดสะเปะสะปะเรื่อยเปื่อยไปไกล รู้ตัวอีกทีก็มีร่างสูงกำยำมายืนซ้อนอยู่ด้านหลัง ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดข้างแก้มยามเมื่อกัลปพฤกษ์ชะโงกหน้าเข้าหา มือข้างหนึ่งจับเอวของพุทธชาดเอาไว้เบา ๆ ขณะที่อีกมือเอื้อมจับแหวนในมือของภรรยา ก่อนจะสวมมันกลับเข้าไปในนิ้วนางข้างซ้ายเหมือนเดิม

น้ำเสียงทุ้มต่ำและไร้ซึ่งอาการเมามายเอ่ยขึ้น พร้อมกันนั้นกลิ่นลมหายใจเย็น ๆ คล้ายกลิ่นมิ้นต์ก็ลอยมาแตะจมูกของราชนิกุลหนุ่ม

“แหวนแต่งงานไม่ควรถอดออกนะครับ”

“คุณเคร่งครัดเรื่องพวกนี้ด้วยเหรอครับ?” พุทธชาดถามขึ้น

อัลฟ่าหนุ่มยังคงยืนนิ่งแม้ตอนนี้ตัวเองกำลังตกอยู่ในอ้อมกอดของสามีก็ตาม หลายครั้งที่เราสองคนต้องแนบชิดกันด้วยความจำเป็นหรือเพราะกัลปพฤกษ์จงใจหาเรื่องเขา แต่มีเพียงครั้งนี้เท่านั้นที่บรรยากาศระหว่างเราไม่ได้เต็มไปด้วยความโกรธเคืองหรืออึดอัดใจ

“ผมไม่เคยคิดเรื่องนั้นเลยแฮะ ผมก็แค่ไม่เคยถอดมันออกก็เท่านั้น”

คำตอบที่ได้รับทำให้หัวใจของพุทธชาดเต้นผิดจังหวะ แต่คนที่ควบคุมตัวเองได้ดีเสมอยังคงรักษาสีหน้าเอาไว้ได้อยู่หมัด และไม่นานก็กำกับจังหวะการเต้นของสิ่งที่อยู่ในอกให้กลับมาเป็นจังหวะเดิม รวดเร็วเสียจนคนด้านหลังไม่ทันรู้ตัว

“ผมนึกว่าคุณไม่ชอบ ยังไงซะมันก็เป็นแหวนที่เราทั้งคู่ไม่ได้อยากสวมมันตั้งแต่แรก”

ราชนิกุลหนุ่มยังคงพูดต่อไปโดยที่ไม่ได้ขยับร่างกายไปไหน เขาเงยหน้าขึ้นเพื่อสบตากับกัลปพฤกษ์ผ่านบานกระจก มองรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม ดวงตาสีรัตติกาลเป็นประกาย และมองทุกการเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย ยามเมื่อสามีตัวดีโน้มหน้าลงเพื่อกดจูบที่ข้างลำคอของเขาเบา ๆ

สัมผัสที่ได้รับทำให้ร่างกายชาหนึบไปชั่วขณะ ราวกับมีกระแสไฟฟ้าแล่นพล่านไปทั่วตั้งแต่หัวจรดเท้า เขาไม่เคยได้รับความอ่อนโยนแบบนี้จากคนเป็นสามีมาก่อน แม้แต่ในคืนนั้นที่มีอะไรกันครั้งแรกกัลปพฤกษ์จะพยายามอ่อนโยนกับเขามากแค่ไหน แต่มันก็ไม่ได้นุ่มนวลและดูอ่อนหวานเหมือนอย่างตอนนี้

พุทธชาดอดคิดไม่ได้ว่าที่อีกฝ่ายกำลังมองและสัมผัสเขาอยู่ตอนนี้ เจ้าตัวมองเห็นเขาที่เป็นเขา...หรือเห็นเขาเป็นตัวแทนของโอเมก้ากลิ่นหอมหวานที่อยากได้มาโอบกอดกันแน่

“คุณแก้ว” นอกจากจะไม่ตอบคำถามของเขาแล้ว กัลปพฤกษ์ยังเอ่ยเรียกเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยเป็น พร้อมกันนั้นอ้อมแขนแกร่งก็กอดรัดรอบเอวของพุทธชาดเอาไว้แน่นขึ้น

คนถูกกอดยังคงนิ่ง แม้ใจจะไม่นิ่งตาม ถึงอย่างนั้นน้ำเสียงที่เอ่ยถามออกไปก็ยังเรียบเฉยไม่ไหวสั่น “ที่ทำแบบนี้...ต้องการอะไรจากผมครับ”

“ผมต้องการคุณ”

คำพูดตรงไปตรงมานั้นถูกฝังเข้าสู่โสตประสาทการรับรู้ของพุทธชาด แต่ในขณะเดียวกันมันก็ให้ความคลุมเครือต่อคนฟัง ต้องการงั้นเหรอ? ความต้องการของกัลปพฤกษ์เป็นแบบไหนล่ะ จะใช่ความต้องการในแบบเดียวกันกับพุทธชาดหรือเปล่า ถ้าให้เดาก็คงไม่...

“แต่ผมไม่ต้องการ”

กล่าวจบอัลฟ่าผู้สูงศักดิ์ก็ดึงแขนที่กอดตนเองอยู่ออก เขาหมุนตัวดันสามีให้ถอยห่าง ไม่สบตาแม้แต่นิดเดียวในตอนที่เดินหนีเข้าห้องน้ำ หลังจากปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกหมดแล้วจึงเพิ่งเห็นว่าอ่างอาบน้ำยังคงมีน้ำอยู่ และก่อนที่จะปล่อยให้มันไหลทิ้งไปพร้อมคำบ่นในใจที่มีต่อกัลปพฤกษ์ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะเสียก่อน ตามด้วยเสียงของคนด้านนอก

“น้ำนั่นผมใส่ไว้ให้เอง ไม่ต้องห่วงว่ามันจะเป็นน้ำที่ผมอาบหรอกนะครับ ผมไม่ได้เป็นคนทุเรศอย่างหนักจนถึงกับจะแกล้งคุณแบบนั้น”

ราชนิกุลหนุ่มเกือบตอบโต้กลับไปแล้วว่าเขาเห็นอีกฝ่ายทุเรศได้ถึงขนาดนั้นเลยด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยออกไปแม้เพียงครึ่งคำ กระนั้นมือที่จะดึงเอาที่กั้นน้ำออกก็ผละห่างมา ชายหนุ่มล้างเนื้อล้างตัวจนสะอาดแล้วจึงหย่อนกายนอนแช่น้ำในอ่าง แม้ตอนแรกไม่ได้คิดที่จะทำแบบนี้ แต่ในเมื่อผู้ชายคนนั้นอุตส่าห์ทำอะไรดี ๆ ให้ พุทธชาดก็ไม่อยากหักหาญน้ำใจอีกฝ่ายนัก

มาคิดดูแล้วก็อดสมเพชตัวเองไม่ได้ กลัวสามีไม่ได้เรื่องคนนั้นเสียความรู้สึก ทั้งที่กัลปพฤกษ์ทำให้เขาเสียความรู้สึกมานับครั้งไม่ถ้วน ถึงอย่างนั้น...ต่อให้เขาจะพยายามเกลียดอีกฝ่ายมากแค่ไหน แต่ความรู้สึกที่ตรงข้ามกับคำว่าเกลียดก็มีอานุภาพมากพอ ๆ กัน และเขาไม่เคยเอาชนะมันได้เลย

เขาแพ้ให้กับใจตัวเอง

ชายหนุ่มถอนหายใจพลางลุกขึ้นจากอ่าง คว้าผ้ามาเช็ดตัวก่อนจะสวมเสื้อคลุมอาบน้ำและเดินทะลุไปยังห้องแต่งตัว เมื่อสวมใส่ชุดนอนเรียบร้อยก็จำต้องยืนตั้งสติอีกเล็กน้อย ครุ่นคิดว่าจะทำสีหน้ายังไงหรือควรแสดงออกยังไงเมื่อออกไป ก่อนจะตระหนักได้ว่าเขาไม่จำเป็นต้องทำอะไรทั้งนั้น ก็แค่ทำตัวตามปกติ...เหมือนที่ผ่านมา

ก้าวออกจากห้องแล้วตรงไปยังเตียงนอนที่มีร่างสูงใหญ่ของผู้เป็นสามีนอนอยู่ก่อนแล้ว พุทธชาดไม่รู้ว่าอีกฝ่ายหลับไปหรือยังไง แต่เขาไม่คิดจะถาม อัลฟ่าราชนิกุลสอดตัวเองเข้าใต้ผ้าห่ม เอื้อมมือไปกดปิดสวิตช์ไฟที่อยู่ตรงหัวเตียง และทันทีที่แสงสว่างดับหายไป เรียวแขนแกร่งก็โอบกอดเขาจากทางด้านหลัง

พุทธชาดชะงัก เขาถอนหายใจให้คนด้านหลังเห็นชัด ๆ โดยไม่คิดเก็บอารมณ์เอาไว้ว่ากำลังเอือมระอามากแค่ไหน ทั้งที่เคยบอกกัลปพฤกษ์แล้วว่าห้ามแตะต้องตัวเขาโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่อีกฝ่ายก็ยังฝืนข้อห้ามของเขาอยู่ดี

“คุณเลิกพยายามเถอะครับ ผมไม่นอนกับคุณเด็ดขาด”

“คืนนี้ผมก็ไม่ได้ต้องการจะมีเซ็กซ์กับคุณแก้วอยู่แล้ว”

เป็นอีกครั้งที่คำตอบของคนเป็นสามีทำให้ชายหนุ่มพูดไม่ออก เขาเงียบไปพักใหญ่ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ “แต่คุณบอกว่าต้องการ...”

“ผมแค่ต้องการกอดคุณเท่านั้น”

ไม่เข้าใจ...มีแต่เรื่องที่ทำให้ไม่เข้าใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“คุณเป็นอะไรกันแน่ คุณกัลป์?” ราชนิกุลหนุ่มถามเสียงเบา “เกิดอะไรขึ้นกับคุณ”

เสียงถอนหายใจดังขึ้น พร้อมกันนั้นพุทธชาดก็รู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่น ๆ ที่เป่ารดโดนต้นคอพอดี มันให้ความรู้สึกประหลาดและขนลุกในเวลาเดียวกัน สุดท้ายชายหนุ่มก็ทนกับความเงียบอันแสนน่าอึดอัดนี้ไม่ไหว เขาขยับไปกดเปิดโคมไฟแล้วหันหน้าเข้าหากัลปพฤกษ์

ดวงตาสองคู่สบกันท่ามกลางความสว่างอันสลัวราง เนิ่นนานราวกับจะไร้ที่สิ้นสุด อัลฟ่าผิวแทนกวาดสายตามองใบหน้าหล่อเหลาราวกับรูปสลักประติมากรรมชั้นเลิศ ได้ลองจ้องมองภรรยาอย่างตั้งใจแล้วกัลปพฤกษ์ก็พบว่าอีกฝ่ายสง่างามและมีเสน่ห์ สมกับที่เป็นอัลฟ่าในตระกูลผู้ดีเก่า

ปลายนิ้วแตะที่เส้นผมข้างขมับของพุทธชาด เกี่ยวขึ้นมาเล่นก่อนจะเปลี่ยนเป้าหมายเป็นลูบที่รอยแผลเล็ก ๆ ที่ถ้าไม่สังเกตก็คงมองไม่เห็น และอีกไม่นานมันก็จะหายไป ไม่ต้องถามไถ่ร่างสูงก็จำได้ว่ามันคือแผลที่เกิดจากอะไร

“ตอนนั้น...ผมขอโทษคุณไปหรือยัง”

คนถูกถามกะพริบตาเร็วขึ้นเล็กน้อย หัวคิ้วเกือบมุ่นเข้าหากันแต่ก็คลายออก อัลฟ่าผู้สูงศักดิ์เอ่ยตอบ “ผมจำไม่ได้ ที่จริงก็ไม่ได้คาดหวังคำขอโทษจากคนไร้จิตสำนึกแบบคุณหรอกครับ”

“วันไหนไม่ได้ด่าผมจะนอนไม่หลับหรือเปล่า” กัลปพฤกษ์หัวเราะออกมาเบา ๆ ใบหน้าของเขาดูผ่อนคลายและจริงใจจนไม่น่าเชื่อ รอยยิ้มที่ติดอยู่มุมปากนั้นก็ดูไม่ได้ร้ายกาจหรือเย้ยหยันกันเหมือนอย่างทุกที

ทุกอย่างที่สามีของพุทธชาดแสดงออกดูไม่น่าไว้ใจ แต่ก็ชวนให้อบอุ่นใจจนเขารู้สึกเหมือนกำลังตกอยู่ในความฝัน เป็นฝันดีที่ราชนิกุลหนุ่มไม่อยากตื่นขึ้นมาเลยด้วยซ้ำ

“ผมมากกว่าที่ต้องถามคุณ ไม่หาเรื่องผมคุณมีความสุขดีหรือเปล่าครับ”

ยิ่งต่อล้อต่อเถียงกันก็ยิ่งเรียกเสียงหัวเราะขบขันจากอัลฟ่าผิวแทนได้เป็นอย่างดี จนกัลปพฤกษ์เองยังสงสัยเลยว่าตัวเขานั้นหัวเราะด้วยความผ่อนคลายจริง ๆ แบบนี้ครั้งสุดท้ายคือตอนไหน เพราะที่ผ่านมานับตั้งแต่เกิดเรื่องครั้งนั้น ชายหนุ่มก็ไม่อาจมีความสุขจากใจจริงได้อีกเลย

“ผมขอโทษ”

“ครับ?” พุทธชาดเกือบจะหลุดเสียงตะโกนขึ้นมาด้วยซ้ำ สีหน้าที่มักเรียบเฉยและมองกัลปพฤกษ์ด้วยความเหยียดหยามดูงุนงงอย่างเห็นได้ชัด

“ไม่ว่าผมจะพูดไปแล้วหรือไม่ แต่ผมอยากบอกคุณอีกครั้ง” คนเป็นสามีลูบรอยแผลเล็ก ๆ นั้นพลางเอ่ยต่อว่า “ขอโทษที่วันนั้นผมทำให้คุณเจ็บตัว”

“ผมจะรับไว้”

คราวนี้เป็นกัลปพฤกษ์เสียเองที่แปลกใจ ด้วยไม่คิดว่าภรรยาที่แสนเย่อหยิ่งและเกลียดชังเขายิ่งกว่าอะไรจะยอมให้อภัยกันง่าย ๆ แบบนี้ เราทั้งคู่ต่างไม่ได้รักใคร่ชอบพอกันตั้งแต่แรก ออกจะชังน้ำหน้าและหาเรื่องทะเลาะกันแทบทุกครั้งที่เจอหน้าเลยด้วยซ้ำ

โอเค เป็นเขาที่ชอบแหย่คุณแก้วมากกว่า แต่ก็นั่นล่ะ...เราทั้งสองต่างฝ่ายต่างปะทะอารมณ์กันอย่างไม่มีใครยอมใคร และการขอโทษกับการให้อภัยก็ราวกับเป็นเรื่องที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ กระนั้นตอนนี้มันก็เกิดขึ้นแล้ว

ความอบอุ่นสายหนึ่งแล่นจากหัวใจและกระจายไปทั่วร่างกาย ประหนึ่งว่ามันคือกระแสไฟฟ้าเบาบางที่เพิ่มพลังงานให้กับกัลปพฤกษ์ ไม่ใช่กระแสไฟฟ้ารุนแรงที่เผาไหม้ความรู้สึกของเขาให้มอดเป็นเถ้าถ่าน

“แต่ขอย้ำเหมือนเดิมว่าอย่าสร้างเรื่องให้ผมแก้อีกจะดีมากครับ” พุทธชาดเอ่ยสำทับอีกประโยค

“ที่จริงคุณเป็นคนย้ำคิดย้ำทำใช่ไหมคุณแก้ว”

ได้ยินคำถามแล้วคนเป็นภรรยาก็ถอนหายใจเบา ๆ ทันที เขาปัดมือของกัลปพฤกษ์ออกแล้วตั้งท่าจะพลิกตัวนอนหันหลังให้ แต่ยังไม่ทันได้ทำแบบนั้นร่างสูงกำยำก็ขยับเข้ามาแนบชิดมากขึ้นพลางซุกหน้าเข้ากับแผ่นอกของภรรยาอัลฟ่า มิหนำซ้ำแขนแกร่งยังพาดทับเอวของพุทธชาดเอาไว้ด้วย

“คุณกัลป์!”

“ผมบอกแล้วไงว่าคืนนี้ขอนอนกอดหน่อย”

พุทธชาดไม่รู้จะพูดกับผู้ชายคนนี้ยังไงดี เดือนก่อนยังทำตัวไม่ดีใส่เขาอยู่เลย แต่ตอนนี้กลับมาขอกอด กับออดอ้อนราวเด็กตัวน้อย ๆ ที่เหงาหรือเศร้าแล้วต้องการการปลอบโยนเพราะไม่อยากอยู่คนเดียว

ออดอ้อนงั้นเหรอ?

เป็นความคิดที่โลกสวยจนน่าขำ ราชนิกุลหนุ่มถึงกับเผลอส่ายหน้าเบา ๆ ให้กับความคิดไร้เดียงสาของตัวเอง สามีของเขาไม่มีทางเป็นเด็กแบบนั้นไปได้หรอก ยิ่งกับคำว่าออดอ้อนแล้วดูเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่

“คุณจะบอกผมได้หรือยังว่าคุณเป็นอะไร” อัลฟ่าหนุ่มลองหยั่งเชิงถามอีกครั้ง

คนถูกถามผ่อนลมหายใจเป็นจังหวะเนิบช้า กระซิบตอบเสียงเบาโดยที่คำพูดนั้นไม่ได้ช่วยตอบคำถามแต่อย่างใด มันดูเหมือนเป็นคำกล่าวเลื่อนลอยในเชิงบอกเล่าเสียมากกว่า แต่คำพูดเหล่านั้นกระตุกใจคนฟังจนพุทธชาดเผลอกลั้นหายใจไปชั่วขณะ

“รู้อะไรมั้ย? ตอนนี้ผมอดคิดไม่ได้ว่าถ้าเรารักกันตั้งแต่แรก” กัลปพฤกษ์หลับตาลง เขาแนบหูฟังเสียงหัวใจที่เต้นด้วยจังหวะมั่นคงเหมือนผู้เป็นเจ้าของมันที่ดูเหมือนจะไม่เคยสั่นคลอนให้กับหน้าที่ของตัวเอง “ผมคงมีความสุขไปทั้งชีวิต”

พุทธชาดห้ามเสียงหัวใจของตัวเองไม่ได้ เขาควบคุมไม่ให้มันเต้นไม่ได้เลย และชายหนุ่มได้แต่กลัวจับใจว่ากัลปพฤกษ์จะสงสัยเมื่อได้ยินเสียงของมันที่เต้นผิดจังหวะ แต่นอกจากอีกฝ่ายจะไม่ทักไม่ถามแล้ว ยังนอนแนบหูกับหน้าอกของเขาแล้วหลับไปทั้งอย่างนั้น

ความเจ็บปวดแล่นลิ่วอยู่ในอก น้ำเสียงทุ้มต่ำที่กล่าวถ้อยคำเหล่านั้นออกมายังดังก้องอยู่ในหัว

ถ้าหากว่าเรารักกันแต่แรกคงทำให้มีความสุขงั้นเหรอ...

คำพูดที่ฟังดูหวานหูจากอีกฝ่าย อาจทำให้เขารู้สึกดีได้ แต่ยังไงก็ไม่น่าเชื่อถืออยู่ดี


.
.
.

ออฟไลน์ PoyPay

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 270
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
แอบตามอยู่ห่างๆจนถึงตอนนี้เริ่มจะมโนเองไปแล้วว่าคุณแก้วดูน่าสงสารจัง...
คุณสามี+ครอบครัวคงมีเรื่องที่ปิดบังคุณแก้วไว้ แล้วคงเป็นเรื่องที่จะทำให้คุณแก้วต้องยิ่งน่าสงสารขึ้นไปอีกแน่ๆเลย...  :กอด1:

ปล. แอบอยากยุให้คุณแก้วขอหย่าไปเลยก็น่าจะดีนะคะ... หึหึหึ...
ปล.2 อ่านมาจนถึงตอนนี้เริ่มอยากรู้จริงจังว่า เรื่องนี้ Happy ending ใช่มัยคะ รบกวนสปอยนิดจะเป็นพระคุณมากค่ะ... - -" ...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-07-2021 02:36:20 โดย PoyPay »

ออฟไลน์ Hazel_nut

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-3

บทที่ 13

คำพูดแฝงนัย ถึงใครบางคน




กัลปพฤกษ์จดจ่ออยู่กับงาน สลัดภาพอัลฟ่าเสเพลออกไปจนราวกับเป็นคนละคน เขาอ่านเอกสารเกี่ยวกับงบประมาณในไตรมาศสามอย่างตั้งใจ ถึงจะมีฝ่ายบัญชีที่ไว้ใจได้ แต่เรื่องเงินล้วนไม่เข้าใครออกใคร ดังนั้นทุก ๆ ไตรมาศอัลฟ่าหนุ่มจึงมักตรวจสอบทุกอย่างด้วยตนเอง

บอร์ดบริหารต้องไม่ชอบใจแน่ถ้ารู้ว่าเขาจับได้ซะแล้ว...ว่ามีคนแอบยักยอกเงินบริษัท ถึงจะเป็นจำนวนแค่ไม่กี่ล้านบ้านก็ตาม แต่คนอย่างกัลปพฤกษ์ ชัยพัฒน์พิมานไม่คิดจะปล่อยหนูสกปรกเอาไว้ ต่อให้ถือหุ้นมากกว่าสิบเปอร์เซนต์เขาก็ไม่เอามันไว้ให้รกหูรกตาหรอก

กระบวนการคิดของชายหนุ่มหยุดชะงักเมื่อโทรศัพท์ภายในดังขึ้น เมื่อกดรับเสียงของเลขาฯ สาวหน้าห้องก็ดังมา “ท่านประธานคะ คุณราชพฤกษ์ขอเข้าพบค่ะ”

“ให้เข้ามาเลยครับ”

ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นประตูห้องทำงานก็ถูกเปิดออก ตามมาด้วยร่างสูงใหญ่ไม่ต่างจากเขาที่ก้าวเท้าเข้ามาอย่างสง่าผ่าเผย สีหน้าติดรอยยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปาก แต่ทันทีที่บานประตูปิดลงและพวกเขาอยู่กันตามลำพัง คนเป็นบิดาก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นบึ้งตึง น้ำเสียงเองก็ห้วนสั้นแสดงความไม่พอใจเป็นอย่างมาก

“เดี๋ยวนี้ฉันจะเข้ามาพบลูกชายยังต้องรอการอนุญาตจากแกก่อนด้วยหรือไง”

“ผมแจ้งไว้เองแหละครับว่าใครมาหาต้องโทร. เข้ามาแจ้งผมก่อน เกิดเปิดประตูเข้ามาเจอผมกำลังฟัดกับโอเมก้าสักคนโดยใช้โต๊ะทำงานต่างเตียง แขกที่มาเยือนอาจจะหัวใจวายตายเอาก็ได้นะครับคุณพ่อ” ร่างสูงเอ่ยหน้าตาย ปิดแฟ้มที่ยังไม่ผ่านการเซ็นอนุมัติลงแล้วยืนขึ้น เขาผายมือไปทางโซฟารับแขกพลางก้าวเท้านำ ไม่นำพาต่อเสียงตวาดที่ดังตามมา

“กัลป์พฤกษ์!”

“ผมว่าคุณพ่อมานั่งลงแล้วคุยกันดีกว่านะครับ ในเมื่อคุณพ่อมาแล้วก็ดีเลย ผมจะได้ปรึกษาเรื่องบอร์ดบริหารที่ยักยอกเงิน”

คำพูดเป็นการเป็นงานนั้นทำให้อดีตประธานบริษัทถึงกับชะงักไป ดวงตาคู่คมกริบเต็มไปด้วยอำนาจไม่ต่างจากผู้เป็นลูกชายวาวโรจน์ ธุระที่คิดจะมาพูดด้วยถูกจัดให้อยู่ทีหลังทัน...คุณราชพฤกษ์นั่งลงก่อนจะเริ่มการปรึกษาหารืออย่างจริงจัง

ผ่านไปครึ่งชั่วโมงก็ได้ข้อสรุปว่ากัลปพฤกษ์จะทำการเปิดโหวตให้ปลดผู้ถือหุ้นคนนั้นออกและฟ้องศาลในคดีฉ้อโกงโดยไวที่สุด และเมื่อธุระเรื่องงานจบลงแล้ว กัลปพฤกษ์ก็ได้โอกาสกล่าวถามธุระที่ทำให้พ่อของเขาต้องถ่อมาหาถึงที่นี่

“พ่อมาหาผมมีอะไรหรือเปล่าครับ คงไม่ได้มาเพราะคิดถึงหรอกใช่มั้ย?”

คุณราชพฤกษ์ถอนหายใจ “ทำไมแกไม่แวะไปที่บ้านบ้าง”

“ผมงานยุ่ง” ตอบอย่างไม่ใส่ใจ อัลฟ่าผิวแทนเสมองไปทางอื่น ไม่คิดจะสบตาบิดาบังเกิดเกล้าเพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายต้องการจะพูดเรื่องอะไร

“อย่าใช้ข้ออ้างโง่ ๆ กับฉัน แค่เจียดเวลาไปกินข้าวเย็นกับที่บ้านบ้างสัปดาห์ละสองสามครั้ง เมียแกคงไม่ว่าอะไรหรอกมั้ง หรือถ้าแกกลัวเมียจะต้องกินข้าวคนเดียวก็ชวนไปด้วยกันซะก็สิ้นเรื่อง”

“พ่ออย่าคิดว่าผมไม่รู้...ว่าพ่อต้องการให้ผมทำอะไร” กัลปพฤกษ์พูดขึ้นอย่างเหลืออด อัลฟ่าผิวแทนเบือนหน้ามาสบตาคู่สนทนาด้วยแววตาแข็งกร้าว “อยากให้ผมเอาภรรยาไปประกาศกลางโต๊ะกินข้าว เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจให้คุณอาว่าผมจะไม่แย่งเธอมาใช่ไหมล่ะ?”

“ไอ้กัลป์...”

“รู้อะไรมั้ยพ่อ? กับคนบางคนต่อให้ผมไม่อยากแย่ง แต่บางทีอีกฝ่ายอาจจะอยากมาหาผมเองก็ได้ ขนาดวันนั้นผมไม่ได้ทำอะไร เธอยังแอบมาหาผมเองเลย” ร่างสูงยกยิ้มเย้ยหยัน แต่ทั้งคำพูดและสีหน้าล้วนกระตุ้นให้คุณราชพฤกษ์ยิ่งโมโห เขาไม่วายย้ำถึงเหตุการณ์วันนั้นอีกว่า “ถึงจะได้แผลมาสามสี่แผล แต่มันก็คุ้มนะกับกอดของเธอ”

“มันจะมากเกินไปแล้วนะ! เธอเป็น...”

ก่อนจะคุณราชพฤกษ์จะได้ทันพูดจนจบ เสียงโทรศัพท์ภายในก็ดังขึ้นอีกครั้งเป็นการขัดจังหวะ กัลปพฤกษ์แค่นเสียงหัวเราะก่อนจะเดินไปกดรับสาย เลขาฯ ของเขาแจ้งว่ามีแขกมาพบอีกท่าน หากแต่ครั้งนี้เป็นแขกที่อัลฟ่าผิวแทนไม่คาดคิดว่าจะมาหาเขาถึงที่นี่

เพราะปกติเขาไม่เคยไปหาคุณแก้วที่บริษัทของอีกฝ่าย และอีกฝ่ายก็ไม่เคยมาหาเขาถึงที่ทำงานเหมือนกัน

“ให้เขาเข้ามาได้เลย”

ไม่นานร่างสูงสง่าในชุดสูทสีเทาเข้มก็ก้าวเข้ามา ทันทีที่พุทธชาดเห็นพ่อของสามี ชายหนุ่มก็ยกมือไหว้พลางกล่าวทักทายทันที

“สวัสดีครับคุณพ่อ ผมไม่ทราบว่าคุณพ่อก็อยู่ที่นี่ เลยไม่ได้ซื้ออะไรติดไม้ติดมือมาฝาก”

“ไม่เป็นหรอกตาแก้ว ลุงเองก็มาเพราะมีธุระน่ะ แล้วนี่มาหาตากัลป์เหรอ?”

“ครับ พอดีว่า...” พุทธชาดหันไปมองหน้าผู้เป็นสามี ที่ยามนี้ยืนกอดอกพิงสะโพกกับโต๊ะทำงานมองดูภรรยากับพ่อตนเองคุยกัน “จะชวนคุณกัลป์ไปทำธุระที่ต่างจังหวัดน่ะครับ เป็นธุระเร่งด่วนที่อยากให้เขาไปด้วยกันหน่อย”

กัลปพฤกษ์เลิกคิ้ว แปลกใจไม่น้อยที่ภรรยาผู้สูงส่งถึงกับดั้นด้นมาหาเขาและอยากให้ไปด้วยกัน ธุระที่ว่านั้นนอกจากจะเร่งด่วนมากแล้ว เขาคิดว่ามันต้องเกี่ยวกับเรื่องชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลอะไรเทือก ๆ นั่นด้วยเป็นแน่ ไม่งั้นอีกฝ่ายจะถ่อมาหาเขาทั้งที่เกลียดขี้หน้าเขาอย่างกับอะไรดีเหรอ

“ได้สิครับ ผมพร้อมไปกับคุณทุก ๆ ที่นั่นล่ะ” อัลฟ่าผิวแทนขยับเข้ามาโอบไหล่พุทธชาด หันไปยิ้มหวานให้ก่อนจะกล่าวต่อ “เอาเป็นว่าวันนี้ผมไม่ว่างแล้วนะครับพ่อ มีนัดกับภรรยาที่รักแล้วน่ะ”

“วันไหนว่างก็ไปกินข้าวที่บ้านพ่อบ้างนะตาแก้ว”

“คุณแก้วของผมคงไม่ว่างหรอกครับ เพราะลำพังแค่กินข้าวกับผมทุกวันก็มีความสุขมากพอแล้ว” ยังไม่ทันที่ราชนิกุลหนุ่มจะได้ตอบรับคำเชิญชวนของพ่อสามี คนเป็นลูกชายก็โพล่งขัดขึ้นซะก่อน ดวงตาสีรัตติกาลเป็นประกายระยับแฝงความสนุกสนานและเย้ยหยันเอาไว้เต็มเปี่ยม จนพุทธชาดที่เหลือบมองยังเข้าใจได้ แล้วมีหรือที่คุณราชพฤกษ์จะมองไม่ออก

ทะเลาะกันก่อนเขาจะมางั้นเหรอ

พุทธชาดครุ่นคิด แต่ไม่ได้ทำอะไรนอกจากส่งยิ้มบางเบาให้คุณลุงพฤกษ์และทำทีเหมือนไม่เข้าใจบรรยากาศมาคุระหว่างสองพ่อลูก เขาไม่พูดอะไรและปล่อยให้ทั้งสองได้คุยกันเอง

“เอาเถอะ ว่างเมื่อไหร่ก็นึกถึงพ่อกับแม่บ้างแล้วกัน”

“ผมก็นึกถึงตลอดนะครับ อ้อ นึกถึงคุณอากับเธอด้วย” กัลปพฤกษ์ยิ้มหยันอีกครั้ง “นึกถึงทุกคืนเลยล่ะ”

หากไม่มีพุทธชาดอยู่ คุณราชพฤกษ์คงได้ตวาดลูกชายเพียงคนเดียวจนห้องทำงานแตกไปแล้ว แต่เพราะยังต้องรักษาภาพลักษณ์และไม่อยากให้ลูกสะใภ้รู้เรื่องภายในครอบครัว อัลฟ่าวัยกลางคนจึงเพียงแค่พยักหน้ารับแล้วกล่าวคำอำลาก่อนกลับไป

คล้อยหลังบานประตูที่ปิดลง กัลปพฤกษ์ก็ถอนหายใจออกมาทันที เขาปล่อยมือจากไหล่ของภรรยาอัลฟ่า หันไปหยิบโทรศัพท์และกระเป๋าสตางค์ก่อนจะเอ่ยถาม

“จะไปทำอะไรเหรอครับ ต่างจังหวัดที่ว่า”

น้ำเสียงอ่อนระโหยเหมือนคนเหนื่อยจัดของกัลปพฤกษ์ เรียกเรียวคิ้วมนให้ขมวดเข้าหากัน เขารับรู้ได้ว่าต้องเกิดอะไรขึ้นกับบ้านชัยพัฒน์พิมานแน่ ๆ แต่เขาก็ไม่ได้เสียมารยาทมากพอที่จะเอ่ยถาม แม้จะติดใจกับคำว่า ‘เธอ’ ที่ผู้เป็นสามีเอ่ยเสียงเข้มราวกับตั้งใจจะเน้นย้ำก็ตาม

“ไปรับเด็กน่ะครับ”

“เด็ก?”

พุทธชาดพยักหน้ารับก่อนจะตอบ “หลานของผมเอง”


“หลาน? คุณมีหลานด้วยเหรอครับ ไม่เคยรู้มาก่อนเลย” กัลปพฤกษ์ชวนคุยในระหว่างที่เดินออกจากห้องทำงาน แต่แล้วเขาก็หันไปกล่าวกับเลขาฯ ของตนก่อนที่พุทธชาดจะทันได้ตอบ “ครั้งหน้าถ้าภรรยาของผมมาอีก ก็ให้เขาเข้าไปได้เลยไม่ต้องขออนุญาตผม แค่เขาคนเดียวเท่านั้นนะครับ”

“เข้าใจแล้วค่ะบอส”

“ครับ คุณเองก็กลับบ้านเถอะ ได้เวลาเลิกงานแล้ว”

ราชนิกุลหนุ่มมองผู้เป็นสามีอย่างแปลกใจอีกครั้ง ท่าทีของอีกฝ่ายต่างจากก่อนหน้านี้ราวพลิกฝ่ามือ ไหนจะคำพูดแสนอ่อนโยนกับเลขาฯ ของตัวเองนั่นอีก เขาไม่เคยเห็นกัลปพฤกษ์ในภาพลักษณ์แบบนี้มาก่อน บางทีช่วงเวลาที่เจ้าตัวทำงานอาจจะเป็นคนละแบบกับตอนที่อยู่กับเขาก็ได้ล่ะมั้ง

แล้วไหนจะการกำชับกับเลขาฯ ให้ปล่อยเขาเข้าห้องทำงานของตัวเองได้เลยโดยไม่ต้องขออนุญาต คิดจะตบหัวแล้วลูบหลังกันหรือยังไง ก่อนหน้านี้สร้างเรื่องไว้ให้เขาปวดหัวตั้งหลายเรื่อง มาตอนนี้กลับคิดจะทำความดีกลบเกลื่อนหรือยังไงกัน

“ผมคงไม่ได้มาหาคุณบ่อยนักหรอกครับ” พุทธชาดบอกกล่าวกับอีกฝ่าย

คนฟังกระตุกบยิ้มมุมปากพลางว่า “ผมกำลังทำให้ทุกคนรู้อยู่นะว่าคุณเป็นภรรยาที่ผมรักใคร่ขนาดไหน”

ราชนิกุลหนุ่มได้ฟังอย่างนั้นก็ไร้ซึ่งคำจะโต้เถียง เขาเลือกที่จะไม่พูดเรื่องนี้อีกแล้วเอ่ยเปลี่ยนเรื่อง “เลขาฯ ของคุณ เธอเป็นเบต้านี่ครับ”

“ก็ใช่” อัลฟ่าผิวแทนตอบรับ เขาหันมาสบตาผู้เป็นภรรยาพลางเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่าสงสัยอะไรงั้นเหรอ

“คุณไม่ได้ชอบแต่โอเมก้าหรอกเหรอ”

เพียงเท่านั้นกัลปพฤกษ์ก็เข้าใจ สีหน้าของร่างสูงตกตะลึงไปชั่วขณะหนึ่ง แล้วเปลี่ยนเป็นสีหน้าประมาณว่าไม่รู้จะทำอย่างไรกับคู่สนทนาดี ก่อนสุดท้ายจะกลายเป็นการหัวเราะออกมาเต็มเสียง หัวเราะในแบบที่ไม่ใช่การเย้ยหยันหรือตั้งใจกวนประสาทกันเหมือนอย่างทุกครั้ง

เสียงหัวเราะที่ทำให้คนที่เดินผ่านไปมาแถวนั้นถึงกับหันมามอง และพุทธชาดออกจะรู้สึกว่านี่มันน่าอายไปหน่อยนะ แต่เขาก็ไม่ได้ห้ามสามี ปล่อยอีกฝ่ายหัวเราะไปจนกว่าจะพอใจแล้วเอ่ยถามเสียแทน

“มีอะไรให้น่าหัวเราะกันครับ”

“นี่ คุณภรรยาครับ ถึงผมจะชอบสะสมโอเมก้า แต่ผมไม่ใช่พวกกินไม่เลือกนะ ยังไงที่นี่ก็เป็นที่ทำงานของผม แม้ภาพลักษณ์ของผมจะไม่ค่อยดีนักในสายตาคุณ แต่ผมไม่เคยเอาใครมาฟัดในห้องทำงาน อีกอย่างเลขาฯ ผมก็มีครอบครัวแล้วด้วย” กัลปพฤกษ์พูดทั้งที่น้ำเสียงยังติดขำอยู่เล็กน้อย “ส่วนเรื่องที่ว่าผมชอบแต่โอเมก้า อืม...ที่จริงเมื่อก่อนก็เป็นแบบนั้นนะครับ แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว”

“ยังไงครับ?” พุทธชาดถามออกไปอย่างรวดเร็วตามที่ใจนึก ก่อนจะมาระลึกได้ว่าเขาไม่ควรจะไปอยากรู้เรื่องของสามีจอมกวนประสาท ถ้าไม่อยากได้รับคำตอบที่ทำให้กรุ่นโกรธกลับมา

แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ทันแล้ว เพราะเมื่อคำถามถูกยิงออกไป คนรับซึ่งเป็นดั่งเป้ากระดาษมีชีวิตก็ตอบกลับมาว่า...

“ตอนนี้ผมเริ่มสนใจอัลฟ่าบ้างแล้วเหมือนกัน”

“...”

“อ้อ ผมหมายถึงคุณนั่นล่ะครับ”

นิสัยเสีย

อัลฟ่าราชนิกุลได้แต่ก่นด่าในใจ เพราะทันทีที่กัลปพฤกษ์พูดจบเจ้าตัวก็เดินนำลิ่ว ๆ ไปที่รถซึ่งจอดรออยู่หน้าบริษัท อีกฝ่ายเปิดประตูก่อนจะหันมาผายมือเชิญให้เขาเข้าไปก่อน และแน่นอนว่าคนเป็นภรรยามีแต่ต้องก้าวขึ้นไปนั่ง แม้ในใจจะอยากพูดออกไปว่าเขามีมือเปิดปิดประตูรถเองได้ก็ตาม

ทันทีที่รถเคลื่อนออกสู่ท้องถนน กัลปพฤกษ์ก็หยิบคำถามที่ยังไม่ได้รับคำตอบขึ้นมาถามอีกครั้ง “ตกลงคุณมีหลานตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”

“คุณจำที่คุณพ่อคุณแม่ของผมพูดถึงไม่ได้เหรอครับ เรื่องทายาทที่มาจากบรรดาญาติๆ ของสิทธาพิวัฒน์”

“อ้อ” คนฟังชะงักไป แต่ก็กลบเกลื่อนด้วยการถามอีกว่า “คุณกำลังจะไปรับหลานคนนั้นมาเป็นลูกบุญธรรมของเราสองคนงั้นเหรอ?”

“นั่นเป็นเรื่องที่ผมอยากจะปรึกษาคุณในภายหลัง เพราะยังไงซะการรับเด็กมาเลี้ยงเราต้องตัดสินใจร่วมกันในฐานะสามีภรรยา แต่วันนี้ผมแค่ไปรับพวกแกมาดูแลชั่วคราวเท่านั้น แม่ของพวกแก...อาการไม่ค่อยดีเท่าไหร่”

แค่คำว่าอาการ กัลปพฤกษ์ก็พอจะเดาได้ว่าแม่ของเด็ก ๆ ที่ว่านั่นอาจจะกำลังป่วยหนักหรืออะไรทำนองนั้นอยู่ และไม่มีกำลังมากพอจะดูแลลูก ดังนั้นคนเป็นญาติอย่างคุณแก้วจึงต้องให้ความช่วยเหลือ

“คุณมีหลานกี่คนกันเนี่ย”

“สองครับ คนโตเป็นผู้ชายอายุแปดขวบ อีกคนเป็นผู้หญิงอายุหกขวบ”

“ว้าว แต่งกับคุณได้ไม่กี่เดือนผมก็กำลังจะมีลูกกับคุณแล้วหรือเนี่ย”

กัลปพฤกษ์แกล้งทำน้ำเสียงตื่นเต้น เรียกคิ้วมนของพุทธชาดให้ขมวดเข้าหากัน อดคิดไม่ได้ว่ายังไงซะการพูดจากวนโมโหเขาก็ยังเป็นเรื่องที่อีกฝ่ายถนัดและไม่คิดเลิกทำอยู่ดีนั่นล่ะ ต่อให้เดี๋ยวนี้จะสงบเสงี่ยมไม่สร้างเรื่องให้เขาตามแก้มากขึ้นก็ตาม

ราชนิกุลหนุ่มเลือกที่จะไม่ต่อล้อต่อเถียง เขาหวนนึกไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้าแล้วก็เป็นฝ่ายเอ่ยถามขึ้นเสียแทน “คุณทะเลาะกับคุณลุงพฤกษ์หรือเปล่า”

“คุณสนใจด้วยหรือไง” กัลปพฤกษ์ย้อนถาม และนั่นทำให้พุทธชาดตระหนักได้ว่าเขาไม่ควรถามเพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัวในครอบครัวของคนเป็นสามี

“ขอโทษครับ มันเป็นเรื่องของครอบครัวคุณ ผมไม่ควรยุ่ง”

อัลฟ่าผิวแทนถอนหายใจ ชายหนุ่มทิ้งหัวลงพิงกับเบาะ ดวงตาสีรัตติกาลทอดมองออกไปเบื้องหน้า ไม่ได้โฟกัสที่จุดไหนเป็นพิเศษ ข่วงเดือนสองเดือนมานี้มีเรื่องหนักหนาสาหัสกับเขาหลายเรื่องซะจนเขาไม่มีอารมณ์จะหาเรื่องกวนโมโหภรรยาเหมือนอย่างที่ผ่าน ๆ มา

“พ่อก็แค่อยากให้ผมไปเยี่ยมบ้านบ้าง แต่ผมไม่ว่าง เพิ่งจับได้ว่ามีผู้ถือหุ้นยักยอกเงินบริษัท ไหนจะต้องใช้เวลาดูแลภรรยาในทุก ๆ วันอีก ผมจะเอาเวลาว่างที่ไหนกลับบ้านไปทานข้าวกับพวกเขา”

“เหตุผลข้อหลังเป็นข้ออ้างที่แย่มากครับ คุณน่ะเหรอดูแลผม” พุทธชาดอดไม่ได้ต้องเอ่ยค่อนแขวะ เรียกเสียงหัวเราะจากสามีอัลฟ่าให้ดังขึ้นอีกครั้ง

“ต้องบอกว่าผมเอาตัวเองมาให้คุณภรรยาดูแลมากกว่าสินะ จะว่าไปสองสามวันมานี้ต้องขอบคุณเลยนะครับเนี่ย ที่ทำให้ผมนอนหลับสนิทได้”

“คุณนอนไม่หลับงั้นเหรอ?”

น้ำเสียงของคนเป็นภรรยาแฝงความห่วงใยเอาไว้เจือจาง แต่มีหรือที่กัลปพฤกษ์จะรับรู้ไม่ได้ ความเป็นห่วงที่ได้รับจากคุณแก้วให้ความรู้สึกดีอย่างน่าประหลาด หมู่นี้เขารู้สึกว่าการได้พูดคุยกับคุณแก้วก่อเกิดความสบายใจให้กับตัวเขาเป็นอย่างมาก

“เพราะมีเรื่องเครียดนิดหน่อยเท่านั้น ผมยังสบายดี คุณไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”

“ผมไม่ได้ห่วง ผมอยากให้คุณเป็นแบบนี้ไปตลอดเลยด้วยซ้ำ จะได้ไม่ออกไปสร้างเรื่องเสื่อมเสียมาให้ผมตามปิดตามแก้” พุทธชาดเอ่ยเสียงเรียบติดเย็นชาเสียด้วยซ้ำ ใบหน้าหล่อเหลางดงามดั่งรูปสลักจากจิตรกรมือหนึ่งของโลกเบือนไปมองนอกกระจกรถ

กัลปพฤกษ์โคลงศีรษะไปมาพลางยิ้มบาง ๆ แต่ไม่ได้พูดอะไร หากเป็นเมื่อเดือนก่อนเขาคงสรรหาคำพูดมาโต้ตอบให้อีกฝ่ายเจ็บใจเล่นไปแล้ว แต่ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์อยากจะทำแบบนั้นเลยสักนิด แต่แล้วก็พลันผุดความคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

หรือเขาควรจะทำตามที่พ่อต้องการ ไม่สิ...ตามที่ทุกคนที่บ้านของเขาต้องการต่างหาก

ชวนภรรยาไปดินเนอร์กับคุณอาและ...เธอ

เธอที่เขาทั้งอยากเจอและไม่อยากเจอ เธอ...ที่เขาคิดมาตลอดว่าเกือบสิบปีผ่านไป เขาคงไม่หลงเหลือความรู้สึกอะไรให้อีกแล้ว แต่ยามที่ได้เจอหน้า ยามที่ได้สบตา เห็นแววอาวรณ์คิดถึงที่ส่งผ่านมาทางสายตาคู่นั้น ชายหนุ่มก็รู้สึกราวกับว่าข้อมือของเขายังถูกล่ามเอาไว้ด้วยโซ่เส้นบาง ๆ

เขาดีใจที่ได้เจอเธอ แต่ในเวลาต่อมาก็โกรธเคืองจนอยากจะบดขยี้ผู้ชายคนนั้นที่แย่งเธอไปจากเขา

กัลปพฤกษ์หลับตาลง เขาผ่อนลมหายใจยาว ครุ่นคิดอีกพักใหญ่ก่อนสุดท้ายจะเอ่ยขึ้นกับคนที่นั่งอยู่ข้างกาย...

“วันไหนคุณว่างบ้างครับ ผมจะชวนไปกินข้าวที่บ้านผม”

พุทธชาดหันกลับมามองใบหน้าด้านข้างของคนที่ยกแขนขึ้นกอดอกพลางหลับตานิ่ง นึกถึงตารางงานเล็กน้อยก่อนจะให้คำตอบกับผู้เป็นสามี

“ถ้าเป็นมื้อเย็นผมสะดวกวันมะรืนนี้ครับ”

“ลงตารางงานของคุณไว้แล้วกันนะครับว่ามีดินเนอร์กับครอบครัวของผม” อัลฟ่าผิวแทนลืมตาขึ้นมาสบตาผู้เป็นภรรยา “ผมจะพาคุณไปทำความรู้จักกับคุณอาและอาสะใภ้ของผมที่เพิ่งกลับมาจากเมืองนอก”

อยากให้เขาพาภรรยาไปประกาศตัวกลางโต๊ะกินข้าวงั้นเหรอ?

ได้...อยากให้เขาทำแบบนั้นเขาก็จะทำให้

.

.

.

เรื่องนี้จบแฮปปี้แน่นอนค่าาา



ออฟไลน์ PoyPay

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 270
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
2-3 วันนี้เค้านอนกันยังไงอะคะ ทำไมคุณสามีถึงหลับสนิทได้อะ... คุคุคุ...  :-[

ปล. ขอบคุณสำหรับสปอยนะคะ...  :mew1:

ปล.2 เหมือนจะไม่ได้แก้วันที่ลงตอนล่าสุดหรือป่าวคะ แบบว่าจำไม่ได้ว่าตอนที่เท่าไหร่ดูแต่วันอัฟอย่างเดียว นี่ก็เห็นชื่อคนโพสล่าสุดคุ้นๆเลยเข้ามาดูอะคะ... คิคิ...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-07-2021 23:03:46 โดย PoyPay »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Hazel_nut

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-3
บทที่ 14

ค่ำคืนแสนสุขสันต์ เคียงกันดั่งครอบครัว




‘เรื่องนี้จะหลุดออกไปให้ใครรู้ไม่ได้เด็ดขาด แก้วเข้าใจพ่อใช่ไหม?’

‘เพื่อชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลเรา ลูกต้องเก็บมันเป็นความลับ’

“คุณแก้ว...”

พุทธชาดลืมตาขึ้นช้า ๆ ประโยคเหล่านั้นที่ดังอยู่ในห้วงแห่งความฝัน ถูกเสียงเรียกของกัลปพฤกษ์แทรกผ่าน ปลุกเขาให้ตื่นขึ้นหลังจากเผลอหลับไป ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนปรือปรอยอย่างคนที่ยังไม่ตื่นดี แต่เมื่อได้สบดวงตาสีดำสนิทของผู้เป็นสามีที่โน้มหน้าลงมามองเขา อัลฟ่าหนุ่มก็กะพริบตาเรียกสติแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่ง

จำไม่ได้ว่าเขาเผลอหลับไปตอนไหน แถมยังหลับสนิทเสียจนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังนอนหนุนตักสามีอยู่ น่าขายหน้า...และยังเป็นเรื่องประหลาดอีกด้วยที่กัลปพฤกษ์ให้เขานอนหนุนต่างหมอนแบบนี้ ผู้ชายคนนี้ดูไม่ใช่คนอ่อนโยนอะไรในสายตาเขา แต่พักหลังมานี้กลับแสดงความอ่อนโยนต่อภรรยาจำเป็นมากขึ้น

ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ พุทธชาดสับสนเหลือเกิน

“ผมหลับไปนานแค่ไหนครับ”

“ราว ๆ หนึ่งชั่วโมงได้ ที่ผมปลุกเพราะคนขับรถบอกว่าเรากำลังจะถึงบ้านญาติของคุณแล้ว” กัลปพฤกษ์ยื่นมือมาเกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าผากของภรรยาอัลฟ่า แต่คนโดนช่วยเหลือไม่ทันตั้งตัวถึงกับผงะถอยหลัง ท่าทางกระอักกระอ่วนเหล่านั้นทำให้ร่างสูงยอมถอยออกมาแล้วเอ่ยถามอีกว่า “ผมลืมถามไปเลยว่าทำไมเราต้องรีบมารับเด็ก ๆ วันนี้ด้วย กว่าจะกลับถึงบ้านคงดึกน่าดู”

“แม่ของแกถูกส่งตัวไปที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ แล้วน่ะสิครับ ตอนนี้มีแค่แม่บ้านคอยดูแลเด็ก ๆ อยู่ ผมเป็นห่วงก็เลยไม่อยากรอนาน รีบมารับไปน่าจะดีกว่า”

“งั้นเหรอครับ”

“คุณ...เหนื่อยหรือเปล่า” พุทธชาดเป็นฝ่ายถามบ้าง หลังจากเขาจัดระเบียบร่างกายตัวเองให้กลับมาเรียบร้อยและเนี้ยบกริบทุกกระเบียดนิ้วแล้ว “ถ้าคุณไม่รีบ เราอาจจะนอนค้างที่นี่สักคืนแล้วค่อยกลับตอนเช้า”

“เป็นความคิดที่ดีนะครับ แต่เราไม่มีเสื้อผ้าติดตัวมาด้วยนี่”

“ถ้าคุณไม่ถือสามารถใส่เสื้อผ้าของพี่เขยผมได้ เขาขนาดตัวพอ ๆ กับเราสองคน”

คนฟังไหวไหล่ “ไม่มีปัญหา”

เท่ากับว่าคืนนี้พวกเขาจะค้างกันที่นี่ ดังนั้นพุทธชาดจึงโทร. บอกกับป้าดาและฝากให้แจ้งไปยังพ่อบ้านใหญ่ด้วย เพื่อที่ว่าในตอนเช้าพ่อแม่ของเขาจะได้ไม่ต้องรอทานอาหารด้วยกัน...หลังวางสายรถยนต์คันหรูก็มาถึงคฤหาสน์หลังหนึ่ง แม้ไม่ใหญ่โตเท่าบ้านสิทธาพิวัฒน์ แต่ดูก็รู้ว่าเป็นบ้านของคนมีฐานะ

รอไม่นานรั้วบ้านก็เปิดออกให้รถของพวกเขาได้เคลื่อนผ่านเข้าไป ตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่มกว่าแล้ว พอลงจากรถพุทธชาดก็ก้าวเท้าเดินนำเข้าไปยังส่วนรับแขกทันที ปากก็เอ่ยถามแม่บ้านที่ออกมาต้อนรับไปด้วย

“พวกเขาอยู่ที่ไหนครับ”

“ห้องรับรองแขกค่ะ รอคุณแก้วมาตั้งแต่เย็นแล้ว”

ได้ยินแบบนั้นราชนิกุลหนุ่มก็ยิ่งเร่งฝีเท้า ลืมไปชั่วขณะว่าเขามากับผู้เป็นสามี ถึงอย่างนั้นกัลปพฤกษ์ก็ไม่ได้ว่าอะไร อัลฟ่าผิวแทนเพียงเดินตามไปทีหลัง จนกระทั่งได้พบกับเด็กชายและเด็กหญิงที่นั่งอิงแอบซบกันอยู่บนโซฟา พวกเขากำลังดูการ์ตูนกันอยู่

“เด็ก ๆ ครับ” พุทธชาดเอ่ยเรียก

เด็กทั้งสองหันมามองตามเสียงเรียก ก่อนจะพากันวิ่งโผเข้าหา ทำให้อัลฟ่าผู้สูงศักดิ์ต้องรีบนั่งยอง ๆ แล้วกางแขนออกกว้างมากพอให้พวกเขาเข้ามาสวมกอดได้โดยง่าย...เด็กชายไม่ได้พูดอะไร แต่เด็กหญิงถึงกับร้องไห้ออกมาทันที

“น้าแก้วมาแล้ว ตานนึกว่าน้าแก้วจะไม่มา”

“มาสิครับ น้าบอกว่าจะมาก็ต้องมา”

กัลปพฤกษ์ได้แต่ยืนมองด้วยความแปลกใจ น้ำเสียงของคุณแก้วอ่อนโยนอย่างที่ชายหนุ่มไม่เคยได้ยินมาก่อน ปกติมักจะทำเสียงเรียบเฉยเย็นชาใส่เขา นาน ๆ ทีจะตวาดออกมาด้วยความโมโห พอได้มาเห็นมุมนี้แล้วเขาก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายดู...น่ารักดีล่ะมั้ง

อ่อนโยนแต่กับเด็กสินะ

หลังปลอบไม่ให้เด็กหญิงตัวน้อยร้องไห้มากไปกว่านี้ได้สำเร็จ พุทธชาดก็พลันระลึกได้ว่ามีกัลปพฤกษ์มาด้วย เขาลุกขึ้นยืนแล้วจับเด็ก ๆ หันหน้าไปหาสามีหนุ่ม ก่อนจะเอ่ยแนะนำให้พวกแกได้รู้จัก

“นี่คุณน้ากัลป์ เป็น...สามีของน้าเอง สวัสดีเขาสิครับ”

เด็กทั้งสองยกมือไหว้ทันที “สวัสดีครับ”

“สะ...สวัสดีค่ะคุณน้ากัลป์”

“สวัสดีครับ ชื่ออะไรกันบ้างเอ่ย แนะนำตัวกับน้าหน่อยสิครับ” อัลฟ่าผิวแทนเข้าหาเด็ก ๆ ด้วยรอยยิ้มใจดี ถึงจะไม่ได้คลุกคลีกับเด็กอายุราว ๆ นี้สักเท่าไหร่ แต่ใช่ว่าเขาจะเข้าหาไม่เป็น...ดวงตาคู่คมเหลือบขึ้นสบกับภรรยา อีกฝ่ายมองเขาอยู่ก่อนแล้ว ในดวงตาคู่นั้นฉายความประหลาดใจอย่างไม่คิดปิดบัง คงไม่คิดว่าเขาจะใจดีกับเด็กได้ล่ะมั้ง

“ผมพุดบูรพาครับ เรียกพุดเฉย ๆ ก็ได้ ส่วนนี่น้องสาวผม ชื่อพุดตาน”

“ยินดีที่ได้รู้จักนะเด็ก ๆ ว่าแต่พุดตานร้องไห้ทำไมครับ ไหนขอน้าอุ้มหน่อยได้หรือเปล่า”

เพียงนั่งยอง ๆ ลงแล้วอ้าแขน เด็กหญิงพุดตานก็เดินเข้ามาสวมกอดโดยไม่คิดอิดออด ใบหน้าน่ารักเปรอะเปื้อนคราบน้ำตาจนคนมองอย่างกัลปพฤกษ์ต้องเช็ดออกให้อย่างเบามือ เขาอุ้มหนูน้อยขึ้นแล้วยื่นมืออีกข้างไปลูบหัวเด็กชายวัยแปดขวบที่ดูเรียบร้อย อีกทั้งยังดูสุมขุมเยือกเย็น มองไปมองมาเหมือนได้เห็นคุณแก้วเมื่อสิบกว่าปีก่อนไม่มีผิด

เด็กที่ทำตัวโตเกินวัยนึกว่าจะมีแค่ภรรยาของเขาคนเดียวเสียอีก ดูท่าว่าเชื้ออาจจะไม่ทิ้งแถวล่ะมั้ง ถึงจะเป็นน้าหลานกันแต่ก็โขลกภาพลักษณ์ออกมาราวกับก็อปปี้ประหนึ่งเป็นพ่อลูกไม่มีผิด คิดแล้วก็ตลกดี

“น้องตานคิดถึงคุณแม่”

“ไม่เป็นไรนะ ตอนนี้มีน้าแก้วกับน้ากัลป์มาอยู่เป็นเพื่อนแล้ว เดี๋ยวจะเล่นกับน้องตานแทนคุณแม่เองนะครับ”

พุทธชาดมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาที่อ่อนลงกว่าเดิม เขาไม่คิดเลยจริง ๆ ว่าจะได้เห็นกัลปพฤกษ์ที่เป็นแบบนี้ ผู้ชายร้ายกาจที่ชอบพูดจาหยาบคาย ทำตัวไม่ให้เกียรติเขาแถมยังบ้ากาม...ไม่น่าเชื่อว่าจะมีมุมที่อ่อนโยนใจดีกับเด็กได้

แต่พอมาลองคิดดูแล้ว เมื่อก่อนอีกฝ่ายก็ไม่ได้ทำตัวแย่จนน่ารังเกียจเหมือนอย่างทุกวันนี้ พุทธชาดจำได้ว่าช่วงเรียนมัธยมต้น...ช่วงเวลาที่หนักหนาสาหัสครั้งหนึ่งในชีวิตของราชนิกุลหนุ่ม เขาได้คนคนนี้ช่วยเหลือเอาไว้ไม่น้อยเลยทีเดียว ตอนนั้นกัลปพฤกษ์ใจดีกับเขามากจริง ๆ

“ได้เวลานอนของเด็ก ๆ หรือยังครับ” น้ำเสียงทุ้มนุ่มของสามีอัลฟ่าดังแทรกความนึกคิดของพุทธชาดอีกครั้ง แม่บ้านที่ยืนอยู่ไม่ไกลตอบรับด้วยการพยักหน้า เห็นอย่างนั้นชายหนุ่มก็หันมามองภรรยาพลางว่า “ถ้างั้นพาเด็ก ๆ ไปเข้านอนกันเถอะครับ เราสองคนจะได้พักผ่อนด้วย”

“คืนนี้น้องตานขอนอนกับคุณน้าได้ไหมคะ”

คำร้องขอของเด็กหญิงทำให้ฝีเท้าของผู้ใหญ่ทั้งสองชะงักไป ด้วยไม่คาดคิดว่าจะโดนขอร้องอะไรแบบนี้ ขณะที่คนเป็นพี่ชายอย่างพุดบูรพาเอ่ยปรามน้องทันใด

“อย่ารบกวนคุณน้าเลยน้องตาน คืนนี้เดี๋ยวพี่ไปนอนเป็นเพื่อนเอง”

“ไม่เป็นไรหรอก” กัลปพฤกษ์เอ่ยแทรก เขายิ้มให้เด็กทั้งสอง “นอนด้วยกันก็ได้ แต่ขอพวกน้าอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะ แล้วเดี๋ยวจะไปรับมานอนด้วยกัน ดีไหมครับ?”

“จะไม่รบกวนคุณน้าเหรอครับ” เด็กชายยังคงถามอย่างไม่แน่ใจ

“ว่าไงครับคุณแก้ว คุณโอเคหรือเปล่า?” คนเป็นสามีหันไปถามความเห็นภรรยา พุทธชาดอยากจะสวนกลับไปนักว่าตัดสินใจพูดออกไปแบบนั้นแล้วยังต้องการความเห็นจากเขาอีกงั้นเหรอ แล้วเขาจะไปตอบดับความหวังเด็ก ๆ ได้ยังไงกันล่ะ

สุดท้ายอัลฟ่าราชนิกุลก็ตอบไปว่า “ตกลงครับ”

สามีของเขาทำเหมือนว่าตอนนี้เรากำลังเล่นพ่อแม่ลูกกันอย่างนั้นล่ะ


พวกเขาผลัดกันอาบน้ำเปลี่ยนเป็นชุดนอน พุทธชาดที่อาบก่อนและนั่งรออยู่บนเตียงขยับลุกขึ้นยืนทันที เขามุ่นคิ้วก่อนจะเอ่ยถามผู้เป็นสามียามเมื่ออีกฝ่ายเดินออกมาจากห้องน้ำ

“ชุดใส่ได้ไหมครับ”

“สบายมาก แล้วเอาชุดพี่เขยคุณมาใส่แบบนี้ เขาจะไม่ว่าเอาเหรอ” กัลปพฤกษ์ย้อนถาม

“ไม่ว่าหรอกครับ เขาทิ้งมันไว้นานแล้ว”

“ทิ้งไว้นานแล้ว?” คนฟังเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจ

“เขาหนีหายไปกับผู้หญิงคนใหม่ตั้งแต่เมื่อปีก่อนน่ะครับ”

อ่า...มีเมียน้อยแล้วก็ทิ้งลูกเมียไปว่างั้นเถอะ เพราะแบบนั้นเลยไม่มีคนดูแลเด็ก ๆ แถมคนเป็นแม่ยังมาป่วยอีก ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมคุณแก้วถึงได้รีบเร่งมาหา เผลอ ๆ ก่อนหน้านี้คงจะคอยติดตามอาการของญาติสาวมาโดยตลอด นั่นรวมไปถึงความเป็นไปของเด็กทั้งสองด้วย เพียงแต่ภรรยาของเขาไม่ได้เล่าให้ใครฟัง พอเกิดปัญหาขึ้นถึงได้รีบเร่งมาก่อนเป็นอย่างแรก

“ทำไมคุณถึงชวนผมมาด้วย” จู่ ๆ กัลปพฤกษ์ก็เกิดสงสัยขึ้น ดูเหมือนจะช้าไปหน่อยแต่ก็ไม่เกินกว่าที่จะถามหาเหตุผลเอาตอนนี้ และคนถูกถามก็เต็มใจตอบเป็นอย่างมาก เพราะคิดไว้แล้วว่ายังไงสามีของตนก็คงต้องถาม

“ผมก็แค่อยากให้คุณได้เจอพวกแก ก่อนที่จะย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านของเรา” พุทธชาดผ่อนลมหายใจเล้กน้อยแล้วว่าต่อ “ผมคิดว่าพวกแกน่าจะอุ่นใจกว่าถ้าได้เห็นว่าคุณมารับด้วย มันเหมือน...คุณยินดีต้อนรับพวกเขา”

“...”

“บางทีผมอาจจะคิดเยอะมากเกินไปก็ได้ ขอโทษที่ไม่ได้อธิบายก่อนแล้วพาคุณมาเลยนะครับ”

“ไม่ ผมเข้าใจที่คุณต้องการทำอย่างนั้น และผมว่ามันก็เป็นความคิดที่ดี” กัลปพฤกษ์ส่ายหน้าเบา ๆ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกดีอย่างน่าประหลาด “เมื่อกี้คุณบอกว่าบ้าน...บ้านของเราเหรอ?”

คราวนี้เป็นพุทธชาดบ้างแล้วที่ไม่เข้าใจท่าทีของคนเป็นสามี “ครับ ทำไม...”

“ผมนึกขึ้นได้ว่าคุณเคยพูดเอาไว้ว่านั่นเป็นบ้านของคุณ แต่ตอนนี้คุณกลับบอกว่ามันคือบ้านของเรา” ร่างสูงยกยิ้มกว้างมากกว่าเดิม รอยยิ้มที่ดูจริงใจปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าหล่อเหลาของเขาอีกครั้ง ต่อหน้าต่อตาพุทธชาด “ผมชอบคำนี้นะ บ้านของเราเนี่ย”

“มันคือเรือนหอของเรา ก็ต้องเป็นบ้านของเราถูกต้องแล้วนี่ครับ” ราชนิกุลหนุ่มเสสายตาไปมองทางอื่น ก่อนจะรีบเอ่ยเปลี่ยนเรื่อง เพราะตอนนี้หัวใจของเขาเต้นผิดจังหวะเพราะการกระทำของกัลปพฤกษ์อีกแล้ว “ผมว่าเราไปรับเด็ก ๆ กันเถอะครับ ไม่รู้ป่านนี้หลับไปหรือยัง”

สองร่างเดินเคียงข้างกันไปที่ห้องนอนของเด็กหญิงพุดตาน จากที่คิดว่าบางทีเธออาจจะหลับไปแล้ว แต่กลับกลายเป็นว่าหนูน้อยยังคงนอนตาแป๋วอยู่บนเตียง โดยมีพี่ชายของเธอนั่งอยู่ข้างกัน...ทันทีที่เห็นพวกเขา เด็กทั้งสองก็แย้มยิ้มขึ้นมาทันใด พุดตานแทบจะวิ่งลงมาหาด้วยซ้ำ

“คุณน้า”

“ไงครับคนสวย พร้อมจะไปนอนแล้วหรือยัง” กัลปพฤกษ์เอ่ยถาม เขารับอาสาอุ้มเด็กหญิงวัยหกขวบขึ้น ในขณะที่พุดบูรพาเป็นเด็กชายที่โตเกินกว่าจะถูกอุ้มแล้ว พุทธชาดจึงทำเพียงแค่โอบไหล่เล็กเอาไว้แล้วพากันเดินกลับไปที่ห้องนอนแขก

“น้ากัลป์เล่านิทานให้น้องตานฟังได้ไหมคะ”

“เล่านิทานเหรอ อืม...” อัลฟ่าร่างสูงทำหน้าไม่ถูกไปชั่วขณะ เขาไม่เคยเล่านิทานให้ใครฟังมาก่อน ตอนเด็ก ๆ ก็ไม่เคยมีใครมาเล่านิทานให้เขาฟังก่อนนอนด้วยเหมือนกัน ดังนั้นเลยไม่แน่ใจนักว่าตนเองจะทำหน้าที่นี้ได้ สุดท้ายจึงตัดสินใจโยนหน้าที่นี้ให้กับน้าแท้ ๆ แทน “ให้น้าแก้วเล่าดีกว่า น้ากัลป์เล่านิทานไม่เก่งครับ”

พุทธชาดไม่รู้จะทำสีหน้าอย่างไรดี เขาเกือบจะกลอกตาแล้วด้วยซ้ำแต่ก็เปลี่ยนเป็นยิ้มบาง ๆ แล้วพูดขึ้น “น้าเองก็เล่าไม่ค่อยเก่ง แต่น้าจะพยายามนะครับ”

สองเด็กน้อยนอนตรงกลางโดยมีพุทธชาดและกัลปพฤกษ์นอนขนาบข้างอยู่ริมเตียง เตียงหลังนี้ใหญ่พอให้อัลฟ่าตัวโต ๆ นอนด้วยกันได้อย่างไม่อึดอัด แต่พอมีเด็ก ๆ มีนอนด้วยเตียงเลยแคบลงไปถนัดตาจนต้องนอนเบียดกันเล็กน้อย ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครบ่นออกมา

ราชนิกุลหนุ่มเริ่มต้นเล่านิทานก่อนนอนตามที่เขาเคยฟังเมื่อตอนที่ยังเด็ก เป็นนิทานที่เขามักจะขอให้ใครคนหนึ่งเล่ามันซ้ำ ๆ ราวกับไม่รู้จักเบื่อหน่าย น้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนหวานยังติดอยู่ในความทรงจำของเขา เป็นไม่มีกี่อย่างที่ชายหนุ่มไม่เคยลืมเลือนไม่ว่าจะผ่านมานานกี่ปีก็ตาม

กระทั่งเล่าจบอัลฟ่าผู้สูงศักดิ์จึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าเด็กน้อยทั้งสองหลับไปแล้ว มือเล็ก ๆ ของพุดตานกำที่อกเสื้อของพุดบูรพาเอาไว้หลวม ๆ ขณะที่คนเป็นพี่ชายเองก็นอนซบแก้มกับศีรษะของน้องสาว พาดแขนกอดเอวเอาไว้เช่นกัน...ท่าทางน่ารัก น่าเอ็นดูเสียจนเรียกรอยยิ้มให้เกิดขึ้นบนใบหน้าของพุทธชาดทันที

“คุณเล่านิทานเก่งนะครับ”

เสียงของกัลปพฤกษ์ดึงราชนิกุลหนุ่มให้หันไปมอง และพบว่าผู้เป็นสามีกำลังมองมาที่เขานานเท่าไหร่แล้วก็ไม่อาจทราบได้ รอยยิ้มบางที่ประดับอยู่บนเรียวปากของอีกฝ่ายทำให้พุทธชาดรู้สึกแปลกประหลาดอีกครั้งแล้ว

“เพราะมีคนที่เล่านิทานเก่งมาก ๆ เคยเล่าให้ผมฟังเมื่อตอนที่ผมยังเด็กน่ะครับ”

“ผมถามได้ไหมว่าใคร ใช่คุณป้าบุศย์หรือเปล่า”

“ไม่...ไม่ใช่แม่หรอกครับ” คนเป็นภรรยาส่ายหน้า เม้มปากเล็กน้อยเหมือนไม่อยากจะพูดถึงนัก แต่สุดท้ายก็เอ่ยออกมา “คุณน้าของผมน่ะครับ เธอช่วยดูแลผมตั้งแต่ที่ผมยังเด็ก จนกระทั่งเธอจากไปเพราะป่วยหนัก”

“คุณคงรักเธอมาก” กัลปพฤกษ์พูดไปอย่างนั้น ไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นสีหน้าสุขใจของพุทธชาด เขาถึงกับชะงักไปในทันที แต่แล้วรอยยิ้มอ่อนหวานก็เลือนหายไป นั่นทำให้อัลฟ่าผิวแทนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “ผมถามได้ไหมว่าคุณน้าของคุณเสียไปตอนไหน”

พุทธชาดหลุบสายตาลงต่ำ เขาเอื้อมมือไปเกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าของพุดตานก่อนเอ่ยตอบเสียงเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน หากไม่ใช่เพราะเวลานี้พวกเขาอยู่ใกล้กันมากและทั้งห้องก็เงียบจนอาจได้ยินแม้กระทั่งเสียงเข็มหล่น

“ประมาณหกขวบได้ล่ะมั้ง”

“งั้นตอนที่เราเจอกันครั้งแรก...”

กัลปพฤกษ์หยุดพูดไปในทันที แม้จะนานมากแล้วแต่เขายังจำสีหน้าอมทุกข์ของเด็กชายพุทธชาดได้ อีกทั้งเมื่อไม่กี่เดือนก่อนภาพความทรงจำตอนเราพบกันครั้งแรกยังปรากฏขึ้นในความฝันของเขาโดยไร้ที่มาอีกด้วย นั่นเลยทำให้อัลฟ่าผิวแทนนึกออกได้อย่างง่ายดาย

พุทธชาดเองก็เช่นกัน เพราะนั่นคือครั้งแรกที่เขาได้เจอกับคุณกัลป์ เป็นครั้งแรกที่เขาโดนพูดจาไม่ดีใส่โดยคนที่เพิ่งเคยพบหน้า ประโยคที่ว่าเขาน่าเบื่อน่ารำคาญฝังอยู่ในสมองไม่เคยลืม ยิ่งหลังจากนั้นกัลปพฤกษ์เจอหน้าเขาทีไรก็ชอบบ่นเขาด้วยคำเหล่านี้ ราชนิกุลหนุ่มก็เลยยิ่งจำได้ไม่เคยลืม

เขาบอกแล้วไงว่าบางอย่างเขาก็จำได้แม่นแม้จะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม

“ให้ตายเถอะ ตอนนั้นผม...” กัลปพฤกษ์ถึงกับลูบหน้าเรียกสติ เพราะตอนนี้เขารู้แล้วว่าตัวเองทำอะไรลงไป เขาเติบโตพอที่จะระลึกได้ว่าสิ่งใดในอดีตที่เขาทำแล้วมันไม่ดีบ้าง และการต่อว่าคนที่เพิ่งจะสูญเสียญาติอันเป็นที่รักไปด้วยถ้อยคำรุนแรง ก็ไม่ใช่สิ่งที่สมควรทำเลยจริง ๆ “ผมขอโทษที่พูดไม่ดีกับคุณในตอนนั้น”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ถึงจะรู้สึกแย่แต่ตอนนั้นคุณยังเด็ก ผมเองก็ด้วย” พุทธชาดผ่อนลมหายใจก่อนจะเอ่ยต่อ “แต่ตอนที่คุณโตขึ้นมาจนอายุเกือบสามสิบ แล้วยังเอาคำพูดพวกนั้นมาพูดกับผมอยู่บ่อย ๆ นี่สิ ที่ฟังดูหยาบคายและไร้มารยาทมากกว่าตอนนั้น”

กัลปพฤกษ์โดนภรรยาต่อว่าต่อขานอีกแล้วคราวนี้ ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มก็ไม่มีอารมณ์จะต่อปากต่อคำแต่อย่างใด เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วกล่าวต่อ

“เสียใจด้วยนะครับ เสียดายที่ผมไม่ทันได้เจอคุณน้าของคุณ”

“...ขอบคุณ”

เกิดความเงียบขึ้นหลังจากนั้น ต่างฝ่ายต่างตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเอง พุทธชาดนั้นกำลังคิดว่ากัลปพฤกษ์ที่รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไปในอดีต เป็นภาพลักษณ์ที่เขาไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นอีกหนึ่งอย่างเสียแล้ว หากว่าเขาลองลิสต์การกระทำต่าง ๆ ของผู้เป็นสามีใส่กระดาษ แล้วแยกประเภทว่าอันไหนน่ารังเกียจ อันไหนดูไม่น่าเชื่อ เขาคงลิสต์ได้เป็นกระบุง

“ดึกมากแล้ว ผมคิดว่าเราควรนอนได้แล้วล่ะ”

“ผมก็คิดอย่างนั้น แต่ถ้านอนเบียดกันแบบนี้ทั้งคืนคงเมื่อยแย่” อัลฟ่าราชนิกุลลุกขึ้นนั่ง โดยพยายามระวังไม่ทำให้หลานทั้งสองคนตื่น “ผมจะไปเอาฟูกมาปูนอนที่พื้น มีสำรองอยู่ในตู้”

“ถ้างั้นผมลงไปนอนกับคุณด้วย”

“หา?” พุทธชาดชะงัก เขามุ่นคิ้วมองหน้าผู้เป็นสามีอย่างไม่เข้าใจ และนั่นทำให้กัลปพฤกษ์เลิกคิ้ว

“อะไร คุณคงไม่คิดจะให้ผมนอนเบียดกับเด็ก ๆ หรือไล่ผมไปนอนห้องอื่นหรอกใช่มั้ย?”

“เปล่าครับ แต่...” เขากำลังจะหาคำมาโต้แย้ง แต่ก็ค้นพบว่าไม่มีอะไรที่เขาจะแย้งได้เลย ดังนั้นะพุทธชาดจึงต้องพยักหน้ารับอย่างช่วยไม่ได้ “เอาเถอะครับ แค่ย้ายจากเตียงไปนอนฟูก”

“คืนนี้ผมขอนอนกอดคุณอีกได้ไหม”

“ครับ?”

“ก็นอนกอดคุณแล้วผมหลับสบายนี่นา”

พุทธชาดได้แต่สงสัยว่าผู้ชายคนนี้เป็นบ้าอะไรอีกแล้ว ทำไมถึงขยันทำให้เขารับมือไม่ถูกอยู่เรื่อย มันก็ดีที่เดี๋ยวนี้ไม่ก่อร่างสร้างปัญหาให้เขาต้องตามแก้ แต่กลับไปกวนประสาทเหมือนเดิมยังจะทำให้อัลฟ่าหนุ่มรับมือได้ง่ายกว่าเสียอีก

เป็นแบบนี้แล้วเขาจะควบคุมตัวเองไม่ให้รู้สึกดีได้ยังไงกัน


.

.

.






ออฟไลน์ PoyPay

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 270
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
คุณแก้วเหมือนจะโดนตกทั้งๆที่คนตกไม่ตั้งใจป่าวเอ่ย...
หรือจริงๆคิดมาแล้วว่าจะตกให้ได้... คุคุคุ...

ออฟไลน์ 2pmui

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1510
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-6
พึ่งเห็นว่ามีมาลงในนี้ด้วย

ออฟไลน์ Hazel_nut

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-3
บทที่ 15

เป็นข้อตกลง ที่เห็นตรงกัน



พวกเขาเดินทางกลับในเช้าวันถัดมา เด็ก ๆ ทั้งสองดูตื่นเต้นเป็นอย่างมากเมื่อพุทธชาดบอกว่าจะพาไปเยี่ยมคุณแม่ ตั้งแต่พี่พุดชมพู...ลูกพี่ลูกน้องทางฝั่งแม่ของเขาเข้าโรงพยาบาลเพราะอาการป่วยที่ทรุดหนัก เด็กทั้งสองกับผู้เป็นแม่ก็ไม่ได้เจอหน้ากันเลยมาร่วมเดือนแล้ว

เธอเป็นคนยื่นเจตจำนงเองว่าไม่อยากให้ลูกไปเห็นเธอที่สภาพทรุดโทรม แต่เมื่อวานก่อนจะย้ายการรักษามาที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ พุดชมพูโทร. หาเขาเพื่อขอให้ไปรับหลานมาดูแล และขอให้พาไปหาเธอเพราะเธอเริ่มทนไม่ไหวแล้ว เธออยากจะเจอหน้าลูกและคุยเรื่อง...สิทธิ์ในการเลี้ยงดูเด็กหลังจากเธอไม่อยู่แล้ว

ราชนิกุลหนุ่มเข้าใจเป็นอย่างดีแม้ญาติสาวจะไม่ได้พูดออกมาตรง ๆ ก็ตาม ชายหนุ่มลูบหัวพุดตานกับพุดบูรพา ก่อนจะหันไปสบตากัลปพฤกษ์ที่มองมาอยู่ก่อนแล้ว

“เดี๋ยวผมให้คนขับรถวนรถไปส่งคุณที่บริษัทก่อนแล้วกันนะครับ”

“ไม่ต้องหรอก” อัลฟ่าผิวแทนส่ายหน้า “ผมจะไปโรงพยาบาลกับคุณด้วย”

ดวงตาสองสีมองกันและกันโดยไม่มีใครพูดอะไรอยู่พักใหญ่ จากนั้นพุทธชาดก็พยักหน้ารับว่าเข้าใจ แล้วเสียงพูดคุยของเด็กน้อยทั้งสองก็ดังขึ้น สลับกับเสียงถามไถ่ของเขากับผู้เป็นสามี ไม่ถึงสองชั่วโมงรถยนต์คันหรูก็แล่นมาถึงโรงพยาบาลที่ญาติสาวพักรักษาตัวอยู่

คู่สามีภรรยาอัลฟ่าแบ่งกันจับจูงหลาน กัลปพฤกษ์อาสาอุ้มเด็กหญิงพุดตาน ขณะที่พุทธชาดโอบไหล่พุดบูรพาแล้วก้าวเดินไปด้วยกัน ท่ามกลางสายตาของคนหลายคนที่มองมาด้วยความสนใจ แน่นอนว่าอัลฟ่าสองคนที่โดดเด่นทั้งทางหน้าตาและบุคลิก ไหนจะความเป็นอัลฟ่าที่แผ่ประกายออกมา ล้วนดึงดูดสายตาได้อย่างไม่ยากเย็น

“ผมแปลกใจอยู่นะที่เห็นคุณใส่ชุดสูทตัวเดิมได้โดยไม่ยี้”

“ทำไมผมต้องยี้ด้วยล่ะครับ?” พุทธชาดมุ่นคิ้วอย่างไม่เข้าใจนัก

“ก็มันเป็นชุดของเมื่อวานนี่ครับ ผมนึกว่าคุณจะรักสะอาดจนไม่กล้าใส่เสื้อผ้าซ้ำเสียอีก” น้ำเสียงนุ่มทุ้มแฝงประกายหยอกเย้า เรียกสีหน้าเอือมระอาของผู้เป็นภรรยาได้ในทันที แต่เพียงเสี้ยววินาทีเดียวพุทธชาดก็กลับไปทำหน้านิ่งเฉยตามเดิม เห็นดังนั้นกัลปพฤกษ์ก็หลุดขำเล็กน้อยพลางเอ่ยอีกประโยค “ยังเก็บสีหน้าได้ดีเหมือนเคยเลยนะครับคุณภรรยา”

“กลับมากวนประสาทผมได้แล้วเหรอครับ”

“คุณน้าอย่าทะเลาะกันเลยนะคะ น้องตานอยากให้รักกัน ๆ มากกว่า”

คำพูดของเด็กหญิงตัวน้อยที่เอ่ยแทรกขึ้นกลางปล้อง ทำเอาสองผู้ใหญ่ชะงัก พุดบูรพาเงยหน้ามองคุณน้าทั้งสองก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ เป็นเชิงเห็นด้วย

“นั่นสิครับ อย่าเถียงกันเลยนะครับ”

“พวกน้าแค่หยอกล้อกันเท่านั้น น้องตานกับน้องพุดไม่ต้องกลัวหรอกครับ” พุทธชาดเป็นคนเอ่ยแก้ไขความเข้าใจผิดนี้ แม้ความจริงแล้วจะเรียกการโต้เถียงของเขากับสามีนิสัยเสียว่ากึ่งทะเลาะกันได้ก็ตาม

“ใช่ครับเด็ก ๆ พวกน้ารักกันมาก ไม่ทะเลาะกันหรอกครับ”

คำเน้นย้ำของกัลปพฤกษ์ทำให้ราชนิกุลหนุ่มเกือบชะงักเท้าที่ก้าวเดินไปจังหวะหนึ่ง แต่ก็กลับมาเดินตามปกติได้อย่างรวดเร็ว ในใจต่อว่าสามีอัลฟ่าอย่างอดไม่ได้ที่พูดเล่นไม่เข้าเรื่อง เรื่องพูดไม่คิดน่ะแก้ยังไงก็คงแก้ไม่หายสินะ

สอบถามห้องพักของพุดชมพูเรียบร้อยก็มุ่งหน้าไปที่นั่นทันที พุทธชาดเคาะประตูเป็นสัญญาณบอกคนด้านใน รออยู่ไม่นานบานประตูก็ถูกเปิดด้วยมือของแม่บ้านเก่าแก่ที่คอยดูแลญาติสาวของเขามาตั้งแต่เธอยังเด็ก...พุดบูรพาวิ่งเข้าไปทันที ขณะที่พุดตานดิ้นจะลงออกจากอ้อมแขนของกัลปพฤกษ์ ร้อนให้ชายหนุ่มต้องรีบวางเธอลง

ทันทีที่ไปถึงขอบเตียงเด็กทั้งสองก็ร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ เด็กชายแม้จะมีน้ำตาไหลอาบแก้มแต่ก็ไม่หลุดเสียงสะอื้นแม้แต่นิดเดียว ต่างจากน้องสาวที่ปล่อยโฮออกมาเสียงดัง พุดชมพูมองลูก ๆ ของเธอด้วยรอยยิ้ม เอื้อมมือมาลูบหัวลูกชายก่อนจะเลื่อนไปลูบแก้มลูกสาว

“ร้องไห้ทำไมคะคนเก่งของแม่ ไม่เอาไม่ร้องนะ แม่อยากเห็นพวกหนูยิ้มให้แม่มากกว่านะคะ”

แค่คำพูดไม่กี่คำเด็กน้อยทั้งสองก็กลั้นเสียงสะอื้นให้แล้วยิ้มกว้างให้มารดาทันที สามแม่ลูกพูดคุยกันอยู่หลายนาที พุทธชาดมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาอ่อนโยน เขาไม่ได้เข้าไปใกล้เพราะยังไม่อยากขัดจังหวะ ส่วนกัลปพฤกษ์เองก็มองความอบอุ่นตรงหน้าโดยไม่พูดอะไร แต่เสี้ยวหนึ่งในใจเขาอดคิดไม่ได้ว่าถ้าครอบครัวของเขาเป็นแบบนี้บ้างก็คงดี

อบอุ่น อ่อนโยน มีรอยยิ้มอันสวยงามให้กันเสมอ

หลังจากนั้นพุดชมพูถึงได้หันมามองแขกทั้งสอง เธอขอให้แม่บ้านที่คอยดูแลเธอตั้งแต่เข้าโรงพยาบาล ช่วยพาเด็ก ๆ ไปนั่งทานขนมห่างออกไปก่อน ด้วยเพราะเธอมีเรื่องต้องพูดคุยกับญาติผู้น้องอย่างพุทธชาด...คล้อยหลังพวกเขาที่แยกไปนั่งยังอีฟากของห้องพิเศษระดับวีไอพีนี้ ราชนิกุลหนุ่มก็ขยับเข้าไปนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียงคนป่วย โดยมีกัลปพฤกษ์ยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง อัลฟ่าผิวแทนกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม

“สวัสดีครับ”

“สวัสดีค่ะ ฉันเห็นคุณอยู่บ้างในข่าวสังคม แต่เพิ่งเคยเจอกันครั้งแรก ยินดีที่ได้พบนะคะ” พุดชมพูพูดจบก็ไอออกมาเล็กน้อย พุทธชาดจึงเอื้อมไปเทน้ำมาให้เธอจิบ พอเธอโล่งคอมากขึ้นก็พูดต่ออีกว่า “ขอโทษที่ไม่ได้ไปร่วมแสดงความยินดีในงานแต่งนะคะ ช่วงนั้นฉันเริ่มป่วยออด ๆ แอด ๆ ไปไหนไม่ค่อยไหวซะแล้ว”

“ไม่เป็นไรเลยครับ แสดงความยินดีตอนนี้ก็ไม่ได้ช้าไปหรอก”

“ถ้าอย่างนั้นคงต้องขอโทษคุณอีกเรื่องแล้วล่ะค่ะ เพราะเรื่องนี้ฉันเคยคุยกับแก้วเอาไว้แล้ว เพียงแต่เขาบอกว่าต้องถามความสมัครใจของคุณกัลป์ด้วย” พุดชมพูพูดไปก็มองสีหน้าของผู้ฟังไปด้วย ไม่รู้ว่าญาติผู้น้องของเธอบอกอะไรกับสามีไปบ้าง แต่ยังไงเธอก็ต้องเป็นฝ่ายพูดความตั้งใจของเธอเองอีกครั้งอยู่ดี “เรื่อง...สิทธิ์ในการเลี้ยงดูลูก ๆ ของฉัน ในฐานะพ่อแม่บุญธรรม”

กัลปพฤกษ์ไม่ได้พูดอะไรในตอนแรก เขาก้มลงเพื่อสบตากับภรรยาที่หันมามองเขาพอดี จากนั้นร่างสูงจึงตอบคำถามของหญิงสาวโดยไม่ได้ละสายตาไปจากใบหน้าหล่อเหลาของคุณแก้ว

“ผมพอจะเดาได้ คุณแก้วเองก็เคยเกริ่นเอาไว้”

“คุณยินดีที่จะรับเป็นพ่อบุญธรรมให้พวกแกไหมคะ ฉันคงอยู่ได้อีกไม่นาน อยากให้พวกเขาได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด โดยคนที่ฉันไว้ใจที่สุด” พุดชมพูไออีกครั้ง เธอหอบหายใจเล็กน้อยและได้พุทธชาดคอยลูบหลังลูบไหล่ สักพักใหญ่กว่าจะกลับมาพูดได้ “ฉันกลัวว่าวันหนึ่งถ้าพ่อไร้ความรับผิดชอบของพวกแกกลับมา มันคง...”

“ผมเข้าใจครับ และผมไม่มีปัญหา” กัลปพฤกษ์โพล่งบอกโดยไม่แม้แต่จะเสียเวลาคิดให้ถ้วน เรียกสีหน้าตกตะลึงของอัลฟ่าราชนิกุลในทันที

พุทธชาดไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะตอบรับง่ายดายขนาดนี้ คุณกัลป์...ไม่คิดจะเก็บเอาไปไตร่ตรองเลยหรือยังไง

“นี่ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ นะคุณกัลป์ บอกผมสิว่าคุณไม่ได้กำลังหาเรื่องเล่นสงครามประสาทกับผมอีก การรับเป็นพ่อบุญธรรมของเด็กสองคนไม่ใช่เรื่องเล่นสนุกขำ ๆ ถ้าคุณคิดจะรับหน้าที่นี้เพราะความสนุก คุณควรหยุด...”

“เฮ้ เห็นผมเป็นคนยังไงเนี่ย” อัลฟ่าผิวแทนรีบขัดก่อนจะโดนต่อว่าไปมากกว่านี้ “เชื่อเถอะว่าผมรู้ดีว่ากำลังทำอะไร โอเคมั้ย? ดังนั้นถ้าคุณคิดจะรับพวกแกเป็นลูกบุญธรรม ในฐานะสามีผมก็ต้องยอมรับการตัดสินใจของคุณ และผมเต็มใจเสียยิ่งกว่าเต็มใจซะอีก”

“คุณชอบเด็กงั้นเหรอ?”

“ไม่รู้สิ ผมไม่เคยคลุกคลีกับเด็ก แต่ผมก็ชอบนะที่ได้เล่นกับพวกเขา” ร่างสูงไหวไหล่พลางกล่าวต่อ “อีกอย่างก็ถือว่าพวกเขาเป็นทายาทของเรา ตระกูลของเราจะได้ไม่ขาดผู้สืบทอด คุณเป็นคนพูดเองไม่ใช่เหรอว่าพ่อแม่ของคุณก็คิดจะรับหลานมาเป็นผู้สืบทอดกิจการน่ะ”

เกิดความเงียบขึ้นหลังจากนั้น แต่ไม่นานพุทธชาดก็ลุกขึ้นยืนแล้วบอกกับหญิงสาว “ไว้ผมจะกลับไปปรึกษากันอีกที ต้องบอกพ่อกับแม่ด้วย พี่ชมพูดูแลตัวเองให้ดีนะครับ ไม่ต้องห่วงอะไร ส่วนคุณ...”

กัลปพฤกษ์เลิกคิ้ว “ครับ?”

“เรื่องนี้เราต้องคุยกันอย่างจริงจัง วันนี้คุณต้องเข้าบริษัทไหมครับ”

“ผมโทร. สั่งงานเลขาฯ ไว้แล้ว ไม่จำเป็นต้องเข้าก็ได้ เพราะงั้น...เรากลับไปคุยเรื่องนี้ที่บ้านแล้วกันครับ”

พุทธชาดพยักหน้ารับว่าเห็นด้วย


พวกเขาเลือกที่จะกลับมากันแค่สองคนแล้วปล่อยหลาน ๆ ให้ได้ใช้เวลากับผู้เป็นแม่ โดยบอกว่าจะมารับกลับในตอนเย็น...หลังจากมาถึงบ้านก็แยกย้ายกันไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนจะมาเจอกันอีกครั้งที่ห้องทำงานของพุทธชาด

“ผมจะไม่อ้อมค้อมให้เสียเวลานะครับ” อัลฟ่าราชนิกุลพูดขึ้นทันที ท่าทางจริงจังจนดูราวกับกำลังคุยธุรกิจ ทำเอากัลปพฤกษ์หลุดขำออกมาอย่างช่วยไม่ได้

“คุณแก้วทำเหมือนกับว่านี่คือการติดต่อเรื่องธุรกิจงั้นล่ะ”

“ถึงไม่ใช่แต่ก็ไม่ต่างหรอกครับ” พุทธชาดถอนหายใจ “เข้าเรื่องเถอะ ทำไมคุณถึงยินดีรับเด็ก ๆ เป็นลูกบุญธรรมง่ายดายอย่างนั้น คุณไม่คิดจะไตร่ตรองดูก่อน หรือไปปรึกษาครอบครัวของคุณหน่อยเหรอครับ?”

“ไม่จำเป็น” ใบหน้าหล่อเหลาของอัลฟ่าผิวแทนแข็งกร้าวขึ้นมาทันที “ไม่ว่าผมจะทำอะไรก็ตาม นั่นขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผม ไม่เกี่ยวกับคนอื่น อีกอย่าง...ยังไงผมก็ไม่คิดจะให้หลานของคุณไปสืบทอดบริษัทของผมอยู่แล้วด้วย ทายาทคนต่อไปของชัยพัฒน์พิมานมีอยู่แล้ว”

คำว่า ‘คนอื่น’ ทำให้คนฟังชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง...พุทธชาดอดคิดไม่ได้ว่าสามีของเขาชอบกันทุกคนรอบตัวให้อยู่ในหมวดคนอื่นหรืออย่างไร ทั้ง ๆ ที่คนที่พวกเขากำลังพูดถึงกันอยู่นี้เป็นคนในครอบครัวของอีกฝ่ายแท้ ๆ ที่ชายหนุ่มเคยสงสัยว่าอาจจะมีอะไรเกิดขึ้นกับบ้านชัยพัฒน์พิมาน ซึ่งเกี่ยวพันกับการแต่งงานของพวกเขา...เห็นทีคงเป็นเรื่องจริง

“คุณกัลป์ คุณมีปัญหาอะไรกับครอบครัวของคุณหรือเปล่า”

ดวงตาสีรัตติกาลเบือนมาสบนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อน ประกายเย็นชาแผ่ซ่านออกมาพร้อมแรงกดดันของอัลฟ่า แต่ก็เพียงเจือจางก่อนมันจะค่อย ๆ สลายไป กัลปพฤกษ์เบือนหน้าไปมองทางอื่นอีกครั้งก่อนจะตอบ

“ไม่ใช่เรื่องที่คุณจำเป็นต้องรู้หรอก”

“ถ้ามันเกี่ยวข้องกับการแต่งงานของเรา ผมก็ควรจะรู้หรือเปล่าครับ” ราชนิกุลหนุ่มกล่าวสวนกลับ และนั่นทำให้ผู้เป็นสามีชะงัก เขาจึงรีบพูดต่อก่อนจะโดนบ่ายเบี่ยง “ถ้าเกิดว่าเรื่องที่คุณจงใจปกปิดผมอยู่ ส่งผลต่อชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลเราในอนาคต ผมคิดว่าผมควรได้รับรู้เอาไว้เพื่อหาทางป้องกันก่อนจะเกิดอะไรขึ้น”

กัลปพฤกษ์ได้ฟังดังนั้นก็แค่นหัวเราะขึ้นมาทันที “ผมสงสัยนะว่าลมหายใจของคุณแก้วเนี่ย เข้าออกก็มีแต่เรื่องชื่อเสียงวงศ์ตระกูลหรือยังไง คุณเคยคิดถึงอย่างอื่นบ้างมั้ย? อย่างเช่น...ความรู้สึกของผม?”

ประหนึ่งมีเข็มนับร้อยนับพันเล่มทิ่มแทงในอก พุทธชาดเผลอกลั้นหายใจเพียงเพราะได้เห็นแววตาท้อแท้จากคนตรงหน้า ไหนจะน้ำเสียงที่ราวกับจะเย้ยหยันคนทั้งโลก ทว่าก็แฝงไว้ด้วยความเจ็บปวดเจือจาง ก่อนทุกอย่างจะเลือนหายไปในพริบตา คงไว้แค่สีหน้ากระด้างตามเดิม

พุทธชาดคิดว่า....ไม่ใช่เขาคนเดียวหรอกที่เก็บสีหน้าได้อย่างรวดเร็ว

แต่ก่อนที่อัลฟ่าหนุ่มจะได้ตอบอะไรกลับไป บานประตูห้องทำงานก็ถูกเคาะก่อนตามด้วยเสียงของป้าดา “คุณแก้วคะ คุณผู้หญิงมาขอพบค่ะ”

“ตอนนี้คุณแม่อยู่ที่ไหนครับ” ชายหนุ่มนิ่งไปเล็กน้อย ด้วยไม่คิดว่าคุณแม่จะมาหาไวขนาดนี้ และเรื่องที่จะคุยกับเขาก็คงไม่พ้นเรื่องของพุดชมพูกับหลานทั้งสอง

“ห้องรับแขกค่ะ”

“ผมจะรีบลงไป” กล่าวจบร่างสูงสง่าก็ลุกขึ้นยืน แม้จะอยู่ในเสื้อผ้าสบาย ๆ แต่เขาก็ยังจัดระเบียบให้เรียบร้อยก่อนลงไปพบคุณแม่อยู่ดี ชายหนุ่มหันไปเอ่ยถามผู้เป็นสามี “คุณจะลงไปด้วยกันไหมครับ?”

“คุณลงไปก่อนเถอะ เดี๋ยวผมตามลงไป”

“เข้าใจแล้วครับ”

แม้จะยังคุยกันไม่จบ แต่ในเวลานี้เมื่อผู้เป็นมารดามาหาถึงที่บ้าน พุทธชาดก็ควรลงไปพบท่านก่อนเป็นอย่างแรก ร่างสูงสง่าเอ่ยทักทายยามเมื่อเขานั่งลงตรงข้ามหญิงสาววัยกลางคนที่แม้อายุจะเข้าเลขห้ามานานแล้ว แต่ก็ยังคงงดงามสวยสะพรั่ง เป็นอัลฟ่าที่สง่างามเหมือนเดิม

“สวัสดีครับคุณแม่”

“อืม แม่ได้ยินมาว่าเมื่อวานลูกไปบ้านยัยชมพูมา” คุณพุดน้ำบุศย์เข้าเรื่องที่ทำให้เธอต้องมาหาลูกชายถึงที่โดยไม่คิดอ้อมคอมแต่อย่างใด ใบหน้าที่มักยิ้มแย้มอย่างอ่อนโยน เวลานี้กลับเรียบเฉยไร้อารมณ์ ไม่สิ...มันมีอารมณ์ไม่พอใจแฝงอยู่ต่างหาก

“ครับ” อัลฟ่าราชนิกุลลอบถอนหายใจแล้วพูดต่อ “ไปรับหลาน ๆ มาอยู่ด้วยน่ะครับ”

“อาการของเธอแย่มากเลยเหรอ?”

“ก็ทรงตัวน่ะครับ ไม่ดีขึ้นแต่ก็ไม่ได้แย่ลง ตอนนี้ย้ายมารักษาต่อในกรุงเทพฯ แล้ว” พุทธชาดตอบไปตามที่ผู้เป็นแม่ต้องการจะรู้ เขาลังเลเล็กน้อย...กระนั้นสุดท้ายก็ตัดสินใจบอกออกไป “ผมคิดว่าจะรับเด็กสองคนนั้นเป็นลูกบุญธรรม”

“แม่ไม่เห็นด้วย!”

เพียงเอ่ยความต้องการของตนเองออกไป พุทธชาดก็ได้รับน้ำเสียงเกรี้ยวกราดตอบกลับมาทันที เขาพอจะเดาได้ว่าปฏิกิริยาของคุณแม่ต้องเป็นแบบนี้ ถึงอย่างนั้นอัลฟ่าหนุ่มก็ยังยึดมั่นในการตัดสินใจเดิม

“ผมตัดสินใจแล้วครับคุณแม่ เพราะพี่ชมพูไว้ใจผมให้ดูแลพวกแก ผมจึงต้องทำ”

“แล้วสามีลูกยอมได้หรือยังไง ตาแก้ว!”

“เรากำลังคุยเรื่องนี้กันอยู่พอดีครับ คุณกัลป์ไม่มีปัญหาอะไร แต่ผมก็อยากให้เขาไปคิดดูดี ๆ ก่อน เพราะถ้าผมรับเลี้ยงเด็ก ๆ เขาเองก็จะมีสถานะเป็นพ่อบุญธรรมไปด้วย”

“บ้าไปกันใหญ่แล้ว! ที่พ่อกับแม่บอกว่าให้เอาลูกหลานของญาติเรามาสืบทอดกิจการของสิทธาพิวัฒน์ได้ แต่นั่นหมายถึงญาติทางฝั่งพ่อของลูกต่างหาก ไม่ใช่ญาติทางฝั่งแม่นะตาแก้ว!” คุณพุดน้ำบุศย์เริ่มเสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ แต่พุทธชาดไม่ได้คิดจะห้ามปราม ไม่บ่อยนักที่เขาจะขัดใจคุณพ่อคุณแม่ พูดให้ถูกคือไม่เคยเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นการโดนตะคอกใส่ก็ถือว่าเขาสมควรได้รับมันแล้ว

“ผมก็ไม่ได้บอกว่าจะให้พวกแกมาเป็นทายาทของตระกูลเรานี่ครับ ผมรู้ดีว่ายังไงประธานบริษัทของเราก็ต้องเป็นคนที่มีสายเลือดของหม่อมราชวงศ์ที่เป็นต้นตระกูลของคุณพ่อ”

“ลูกกำลังประชดแม่หรือเปล่า” น้ำเสียงของคุณหญิงพุดน้ำบุศย์เข้มขึ้น กลิ่นอายความเป็นอัลฟ่าแผ่กระจาย กดดันอัลฟ่าด้วยกันอย่างพุทธชาด หากเป็นคนอื่นชายหนุ่มคงใช้ความเป็นอัลฟ่าของตัวเองกดข่มกลับไปแล้ว แต่เธอคือมารดาของเขา ดังนั้นจึงทำได้แค่รับแรงกดดันนี้อยู่ฝ่ายเดียวเท่านั้น

“ผมไม่ได้ประชดครับ ผมเข้าใจถึงความต้องการของคุณพ่อคุณแม่เป็นอย่างดี ทายาทของสิทธาพิวัฒน์จะยังเป็นคนในตระกูลนี้เหมือนเดิม ส่วนพุดบูรพากับพุดตานจะไม่ได้แตะต้องงานในบริษัทเด็ดขาด”

“ยังไงแม่ก็ไม่เห็นด้วย ตาแก้ว เด็กสองคนนั้นเกิดจากพ่อที่มาจากชนชั้นกลางดาษดื่น เพราะยัยชมพูดันโง่ไปรักผู้ชายไม่ได้เรื่องแบบนั้น มันเกาะเอาเงินไปถลุงตั้งเท่าไหร่ แล้วเป็นไง? สุดท้ายมันก็หอบเงินก้อนโตหนีไปอยู่กับเมียน้อย!”

พุทธชาดถอนหายใจอย่างไม่คิดปิดบังแล้วคราวนี้ “พี่เขยผิดที่หนีไปก็จริง แต่ตอนที่อยู่กับพี่ชมพูจนมีลูกด้วยกันมาหลายปี ก็เพราะตอนนั้นพวกเขารักกันจริง ๆ นะครับแม่”

“แล้วความรักมันทำให้มีชื่อเสียง มีเงินทองหรือยังไง!?”

“แค่เพราะคุณแม่โดนบังคับให้แต่งงานกับคุณพ่อ แค่เพราะผมต้องแต่งงานกับคุณกัลป์ ไม่ได้หมายความว่าเราจะบงการชีวิตใครให้รักใครได้หรอกนะครับ”

“ตาแก้ว! ลูกกล้ายอกย้อนแม่งั้นเหรอ!?” คุณผู้หญิงของบ้านลุกขึ้นพร้อมเสียงตะโกนดังลั่น “ลูกไม่เคยเถียงแม่แบบนี้ ไม่เคย...ไม่เคยแข็งข้อกับแม่แบบนี้!”

พุทธชาดหลุบตาลงต่ำ แม้จะเหนื่อยทั้งใจและกาย กระนั้นอัลฟ่าหนุ่มก็ยังคงนั่งหลังตรงอย่างสง่าผ่าเผย บ่ากว้างยืดตึง ท่าทางเคารพนอบน้อมกับผู้เป็นแม่เช่นเดิม ถึงแม้คำพูดที่เอ่ยออกมาจะเป็นการโต้เถียงอย่างที่เขาไม่เคยทำมาก่อนก็ตาม

“ผมกำลังเลือกในสิ่งที่ตัวเองต้องการจากใจจริงครับคุณแม่”

“แต่ความต้องการของลูกจะทำให้ครอบครัวเราเสื่อมเสียเกียรติ การรับเด็กที่ไม่เอาไหนเหมือนพ่อเหมือนแม่มันมาเลี้ยงไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเลยสักนิด! นี่ไม่ใช่การเลือกที่ถูกต้อง”

“แล้วผมต้องเลือกแบบที่คุณแม่ต้องการเท่านั้นไปอีกนานแค่ไหนครับ” พุทธชาดลุกขึ้นเผชิญหน้ากับมารดา “เหมือนกับที่คุณแม่เลือกที่จะปิดบังผมเรื่องคุณน้ามาตลอด และคิดจะปิดไปตลอดทั้งชีวิตน่ะเหรอครับ?”

สีหน้าของหญิงวัยกลางคนแข็งค้าง ดวงตาเบิกกว้าง “ลูก...ลูกพูดถึงพุดพิชญาทำไม?! ลูกไปรู้อะไรมา!”

พุทธชาดหลับตาลง เขาเม้มปากแน่น สีหน้าที่แสดงออกมีแต่ความเจ็บปวดรวดร้าวโดยไม่คิดปิดบัง นี่เป็นความลับที่อยู่ในใจเขามาเนิ่นนาน ความลับที่พ่อเคยขอเขาไว้ไม่ให้บอกกับใคร ด้วยไม่อยากให้เรื่องนี้หลุดออกไปเป็นข่าว เพราะถ้ามันหลุดออกไปล่ะก็ ชื่อเสียงของสิทธาพิวัฒน์จะต้องมัวหมองแน่นอน

แต่ตอนนี้เขาคิดว่าตนเองไม่อาจทนเก็บมันไว้ได้อีกต่อไปแล้ว พุทธชาดโดนบีบให้เลือกในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ต้องการจากใจจริงมาโดยตลอด เพียงเพราะถูกปลูกฝังให้ทำทุกอย่างเพื่อชื่อเสียงของครอบครัว ครั้งนี้เขาขอได้เลือกเองบ้างเถอะ

คำพูดของกัลปพฤกษ์ดังขึ้นในห้วงความคิด...

‘คุณเคยคิดถึงอย่างอื่นบ้างมั้ย? อย่างเช่น...ความรู้สึกของผม?’

น่าตลกที่คนที่พูดประโยคนี้กับเขา ก็ไม่เคยนึกถึงความรู้สึกของเขาเหมือนกัน แต่คำพูดเหล่านั้นกลับปลดล็อกโซ่ที่ล่ามหัวใจของราชนิกุลหนุ่มเอาไว้ มันทำให้เขามีความกล้ามากขึ้น...อย่างที่ไม่เคยเป็น

“ผมเป็นลูกของคุณแม่ นั่นคือความจริง” ราชนิกุลหนุ่มลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ สบเข้ากับแววตาตื่นตระหนกของคนเป็นมารดา “แต่ผมก็รู้เช่นกันว่าคนที่อุ้มท้องผมจนคลอดออกมาได้...ก็คือคุณน้าพิช”

“...!”

“และเพราะคลอดผม เธอถึงต้องจากไป”

ไม่รู้ว่าระหว่างสองแม่ลูกเกิดความเงียบเนิ่นนานเพียงใด มันจะแค่ไม่กี่นาทีแต่ให้ความรู้สึกเหมือนนานแสนนาน คุณพุดน้ำบุศย์ตกใจจนพูดอะไรไม่ออก เธอหันหลังก้าวเท้าฉับ ๆ เดินหนีออกจากเรือนหอของลูกชายไป ทิ้งพุทธชาดให้ยืนอยู่ตรงนั้น โดดเดี่ยวลำพัง

แต่เพียงไม่นานร่างสูงใหญ่ของผู้เป็นสามีก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า ราวกับรอจังหวะเวลานี้อยู่นานแล้ว พุทธชาดเลื่อนสายตาไปมองกัลปพฤกษ์ เขาไม่ได้ผลักไสหรือห้ามปรามยามที่อีกฝ่ายโอบร่างเขาเข้าไปกอดเอาไว้หลวม ๆ ชายหนุ่มทำเพียงเอนหน้าผากพิงกับบ่าแกร่ง ปล่อยให้ไหล่ลู่ลงเล็กน้อย แสดงความอ่อนแอออกมาทั้งที่ไม่เคยคิดจะให้ใครเห็น น้ำเสียงทุ้มหากแต่แหบพร่าเอ่ยกับผู้เป็นสามีเบา ๆ

“คุณได้ยินแล้วใช่ไหม”

“...อืม”

“เพราะแบบนี้ผมถึงต้องการให้คุณคิดให้ดีเรื่องรับเด็ก ๆ มาเป็นลูกบุญธรรมของเรา อย่างน้อยถ้าคุณอยากรับหน้าที่เป็นพ่อให้กับพวกแกจริง ๆ ผมจะได้สบายใจ” พุทธชาดยกสองแขนขึ้นมากอดแผ่นหลังแกร่งเอาไว้หลวม ๆ ก่อนจะเอ่ยต่อ “ว่าผมไม่ได้เลือกผิดทาง”

“ผมบอกแล้วไงว่าผมเต็มใจ และไม่ว่าคุณแก้วจะถามอีกสักกี่ครั้ง ผมก็จะตอบว่าผมยินดี”

“...”

“เชื่อเถอะว่าผมคิดมาดีแล้วจริง ๆ”

พุทธชาดถอนหายใจอีกครั้ง นับเป็นครั้งที่เท่าไหร่เขาเองก็จำไม่ได้แล้ว แต่ครั้งนี้เป็นการถอนหายใจด้วยความโล่งอกเสียมากกว่าจะหนักใจ แม้กัลปพฤกษ์จะไม่ค่อยน่าเชื่อถือสักเท่าไหร่นัก แต่อีกสักครั้ง...เขาอยากปล่อยตัวเองให้เชื่อใจคนที่เคยปลอบโยนเขาจากฝันร้ายเมื่อนานมาแล้วด้วยความอ่อนโยนคนนี้อีกสักครั้ง


.

.

.



ออฟไลน์ PoyPay

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 270
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ตอนนี้คุณแก้วก็ยังคงน่าสงสารอยู่ดี...  :กอด1: ...
เข้าใจว่าคุณสามีก็คงมีเรื่อง(ชู้สาว?)ที่น่าเห็นใจ แต่ยังไงก็ยังยกให้คุณแก้วเป็นที่1 โอ๋ๆคุณแก้วนะคะ...  :กอด1:

ออฟไลน์ Hazel_nut

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-3

บทที่ 16

เมื่อเริ่มเปิดใจ จึงได้ใกล้ชิด



“ดื่มหน่อยมั้ยคุณแก้ว?”

กัลปพฤกษ์พูดขึ้น หลังจากพวกเขากลับมาที่ห้องทำงานอีกครั้ง แต่ทุกอย่างกลับอยู่ในความเงียบเพราะเจ้าของห้องเอาแต่ยืนเหม่ออยู่ริมหน้าต่าง แน่นอนว่าคนที่ไม่ชอบบรรยากาศอึมครึมอย่างเขาย่อมต้องหาทางทำลายมัน และอะไรจะดีไปกว่าการได้ดื่มเวลามีเรื่องเครียดกันล่ะ

พุทธชาดหันกลับมาหาผู้เป็นสามี หากเป็นเวลาอื่นเขาคงมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเหยียดหยาม ตอนนี้เพิ่งจะบ่ายกว่า ๆ ไม่ใช่เวลาที่จะดื่มแอลกอฮอล์เลยสักนิด แต่สภาพอารมณ์ที่ยังไม่ปกติดีของอัลฟ่าหนุ่ม ทำให้คำปฏิเสธเปลี่ยนเป็นการพยักหน้ารับ

“ก็ดีครับ”

กัลปพฤกษ์เป็นฝ่ายชะงักเสียเอง ด้วยไม่คิดว่าภรรยาผู้ใช้ชีวิตอยู่กับความเป็นระเบียบเสมอจะตอบรับอย่างง่ายดายแบบนี้ นับว่าน่ายินดีที่คุณแก้วไม่ได้จืดชืดเหมือนอย่างที่เขาเคยปรามาสเอาไว้เมื่อก่อน อ่า...ดูเหมือนชายหนุ่มจะมองอีกฝ่ายผิดไปหลายอย่างเลยทีเดียว

“เดี๋ยวผมมา” อัลฟ่าผิวแทนขยิบตาให้ “ขอไปรื้อคลังเหล้าของคุณก่อน”

คล้อยหลังร่างสูงกำยำที่ก้าวออกไป พุทธชาดหลุดยิ้มขึ้นมาบางเบา ความรู้สึกหม่นหมองก่อนหน้านี้ราวกับถูกลมพัดปลิวหายไปชั่วขณะ เพียงเพราะท่าทางขี้เล่นและคำพูดหยอกเย้าไม่กี่คำจากสามีของเขา เพราะกัลปพฤกษ์เองก็มีมุมแบบนี้...เมื่อก่อนอีกฝ่ายไม่ได้ร้ายกาจเหมือนตอนที่พวกเขากลับมาเจอกันอีกครั้ง ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องยากเลยที่ราชนิกุลหนุ่มจะตกหลุมรัก

สิบนาทีต่อมาสามีอัลฟ่าของเขาก็กลับมาพร้อมขวดเหล้าราคาแพงในมือ อีกฝ่ายนั่งลงที่โซฟากลางห้อง วางของที่ถือมาลงบนโต๊ะตัวเล็กแล้วพยักพเยิดหน้าเรียกเจ้าของห้องให้มานั่งลงข้างกัน

“มาสิครับ ไม่ต้องกลัวจะเมาหรอกนะ ผมไม่ได้เอาตัวที่แรงที่สุดมา”

“ผมต้องขอบคุณคุณหรือเปล่าที่ไม่คิดจะมอมเหล้ากัน”

กัลปพฤกษ์หัวเราะ ใบหน้าของชายหนุ่มผ่อนคลายเป็นอย่างมาก “ผมไม่คิดจะมอมเหล้าคุณแก้วหรอกน่า ตอนเย็นยังต้องไปรับเด็ก ๆ อีก แล้วก็...”

“แล้วก็อะไรครับ?” เพราะอีกฝ่ายทิ้งช่วงคำพูดไปนาน พุทธชาดที่อดรนทนไม่ไหวจึงต้องถามย้ำ แต่คำตอบที่ได้กลับทำให้เขาแสดงสีหน้าไม่ถูกเสียแทน

“ผมไม่คิดจะมีเซ็กซ์กับคุณทั้งที่คุณเมาหรอกนะ”

“ใครจะทำเรื่องแบบนั้นกับคุณกันครับ ผมเคยบอกแล้วนี่ว่ามันจะไม่มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นอีก” อัลฟ่าราชนิกุลกล่าวเสียงแข็งขึ้นมาทันที อดคิดไม่ได้ว่าในหัวของผู้เป็นสามีก็ยังไม่พ้นคิดแต่เรื่องบนเตียง

“ผมก็แค่พูดไว้ เกิดคุณมีเมตตาอยากทำให้ผมอีกสักครั้ง”

ฝันไปเถอะครับ

พุทธชาดเลือกที่จะเอ่ยในใจแทน เพราะเขาไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับกัลปพฤกษ์ด้วยหัวข้อนี้อีกแล้ว ชายหนุ่มมองมือเรียวยาวที่เทเครื่องดื่มสีอำพันใส่ลงในแก้ว ก่อนจะยื่นมาให้โดยที่ในมือตัวเองก็ถืออีกแก้วเอาไว้ พอเขารับมาสามีหนุ่มก็เอาแก้วตัวเองมาชนกับแก้วของเขา

“ดื่มให้กับเรื่องเฮงซวยที่แวะเวียนเข้ามาในชีวิตครับ”

พุทธชาดไม่รู้จะขำหรือเอือมระอากับคำพูดขวานผ่าซากนั้นดี เขาถอนหายใจแผ่วเบาพลางยกแก้วขึ้นจรดริมฝีปาก ตอนแรกก็แค่จิบมันทีละเล็กละน้อย ต่างจากกัลปพฤกษ์ที่กระดกรวดเดียวหมด จนกระทั่งอีกฝ่ายดื่มไปแล้วสองแก้ว อัลฟ่าผู้สูงศักดิ์จึงดื่มของตัวเองหมดแก้วเช่นกัน

ไม่มีบทสนทนาใด ๆ เกิดขึ้นระหว่างพวกเขา มีเพียงความเงียบและเสียงของแอลกอฮอล์ยามมันถูกรินใส่แก้วก็เท่านั้น กระทั่งมันไปครึ่งขวดโดยใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมง กัลปพฤกษ์ก็เอ่ยทำลายความเงียบขึ้น

“ผมถามได้หรือเปล่า”

“เรื่องอะไรครับ” พุทธชาดย้อนถามกลับมา ร่างสูงสง่าปลดกระดุมเสื้อตัวเองออกสองเม็ดบน จนเผยให้เห็นแผ่นอกขาวเนียน เรียกสายตาของกัลปพฤกษ์ให้เผลอมองอยู่นาน

อัลฟ่าผิวแทนกระแอมไอเล็กน้อยก่อนจะตอบ “เรื่องที่คุณแก้วคุยกับคุณแม่”

ความเงียบเป็นสิ่งแรกที่ได้รับกลับมา สีหน้าของพุทธชาดมีความลังเลอย่างเห็นได้ชัด และกัลปพฤกษ์ก็รู้ดีว่ามันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมากเกินกว่าจะเล่าออกมาได้โดยไม่ตะขิดตะขวงใจ ทุกครอบครัวล้วนมีปัญหา และทุกคนย่อมมีความลับด้วยกันทั้งนั้น

ตัวเขาเองก็มีความลับที่ไม่คิดอยากบอกกับคุณแก้วเช่นกัน

“ช่างเถอะ ถึงคุณไม่เล่าแต่ผมก็พอจะเดาได้” กัลปพฤกษ์โบกมือส่ง ๆ แล้วว่าต่อ “ผมไม่คิดจะยุ่งเรื่องของคุณหรอก มันเป็นเรื่องในครอบครัวของคุณ ไม่เกี่ยวอะไรกับผม”

“บางทีผมก็อยากเป็นคนที่คิดอะไรง่าย ๆ แบบคุณดูบ้างเหมือนกัน” พุทธชาดถอนหายใจ เขาเห็นว่าผู้เป็นสามีหรี่ตามองตอบกลับมา

“กำลังด่าว่าผมเป็นพวกไม่มีหัวคิดหรือเปล่าครับ”

“ผมชมต่างหากครับ”

“ไม่ค่อยดีใจเท่าไหร่ที่ได้รับคำชมแบบนั้นนะครับ”

นับเป็นอีกครั้งที่ราชนิกุลหนุ่มหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ ความลังเลใจก่อนหน้านี้หายไปเพียงเพราะได้คุยไร้สาระกับกัลปพฤกษ์ อัลฟ่าหนุ่มสูดหายใจเข้าลึก ไม่ทันได้เห็นประกายตาชอบใจที่กัลปพฤกษ์มองมาหลังจากได้ยินเสียงหัวเราะของเขา

พุทธชาดตัดสินใจเปิดเผยความลับที่เก็บมาเนิ่นนาน

“ผมเป็นลูกของคุณพ่อกับคุณแม่จริง ๆ ครับ แต่คนที่อุ้มท้องผมคือคุณน้าพุดพิชญา”

“คุณจะบอกว่าคุณน้าของคุณรับอุ้มบุญงั้นเหรอ?” อัลฟ่าผิวแทนเลิกคิ้ว เขาแปลกใจ...แต่ไม่ได้รู้สึกว่าเรื่องนี้มันประหลาดที่ตรงไหน “เพราะแบบนั้นคุณถึงได้รักคุณน้ามาก ตอนเธอเสียไปคุณเลยอมทุกข์ใส่ทุกคน”

“ไม่หรอกครับ” พุทธชาดส่ายหน้า “ตอนคุณน้าเสียผมยังไม่รู้ความจริง ผมเพียงแต่ผูกพันกับเธอมาก คุณลองคิดดูสิ...ตั้งแต่จำความได้ก็เจอคนคนนี้คอยดูแลเอาใจใส่ ให้เวลากับเรามากกว่าพ่อแม่แท้ ๆ ที่มีงานรัดตัว เธอที่แม้จะไม่สบายบ่อย เจ็บออด ๆ แอด ๆ แต่ก็พยายามจะดูแลเราให้ดีที่สุดเสมอ”

“ผมพอจะเข้าใจนะ”

“นั่นล่ะครับ เพราะคุณน้าทำให้ผมยังมีช่วงเวลาที่สามารถผ่อนคลายได้ ผมถึงได้รักเธอมาก” ราชนิกุลหนุ่มถอนหายใจอีกครั้ง เขาดื่มของเหลวรสเข้มจนหมดแก้วแล้วยื่นให้กัลปพฤกษ์รินเพิ่ม และผู้เป็นสามีก็ผันตัวเองไปเป็นเด็กรินเหล้าอย่างเต็มใจ

“แล้วคุณรู้ความจริงตอนไหนครับ?” แม้จะไม่ได้อยากรู้มากมายอะไรนัก แต่พอได้ฟังแล้วกัลปพฤกษ์ก็อดที่จะสนใจไม่ได้ เขาถามโดยไม่คิดเผื่อเลยสักนิดว่าภรรยาจะไม่อยากตอบ

“ตอนมัธยมต้น” อัลฟ่าผู้สูงศักดิ์ปรายตาสบกับดวงตาสีรัตติกาลที่ยามนี้มองตรงมาที่เขา มือที่ถือแก้วเหล้าของกัลปพฤกษ์ชะงักค้าง สีหน้าของร่างสูงบ่งบอกชัดว่าเขาจำได้แล้ว

“ตอนที่ผมเจอคุณแอบไปนั่งร้องไห้อยู่ในสวนพฤกษศาสตร์ของโรงเรียน อย่าบอกนะว่าคุณร้องไห้เพราะเรื่องนี้?”

“ช่วยอย่าพูดถึงเหตุการณ์ในวันนั้นจะได้ไหมครับ มันน่าอาย”

“ขอโทษที ผมแค่คิดถึงตอนที่ผมนั่งปลอบคุณ เชื่อไหมว่าตอนนั้นผมคิดว่าคุณก็น่ารักดีนะเวลาร้องไห้ มันเหมือนกับว่าผมได้เห็นคนที่ปกติมักจะเพอร์เฟ็กต์และไร้อารมณ์อยู่เสมอ ที่จริงแล้วก็มีมุมที่แสดงความรู้สึกได้เหมือนกับมนุษย์ทั่ว ๆ ไป” อัลฟ่าผิวแทนเป็นฝ่ายถอนหายใจบ้างแล้วคราวนี้ “ถ้าผมรู้ว่าตอนนั้นคุณกำลังเสียใจ ผมจะปลอบคุณให้ดีกว่านั้น เพราะถ้าผมเป็นคุณ...ผมก็คงรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบมันถล่มลงมาใส่บ่าของเรา”

คำว่า ‘น่ารัก’ ดูไม่ใช่คำที่พุทธชาดคิดว่าจะมีใครใช้มันเอ่ยถึงเขาเลย แต่ในขณะเดียวกันคำพูดที่ราวกับเข้าอกเข้าใจนั้นก็ดูขัดแย้งกับภาพลักษณ์ของกัลปพฤกษ์ไม่น้อย ถึงอย่างนั้นมันก็ฟังดูจริงใจซะจนพุทธชาดรู้สึกอุ่นวาบในอก


“ตอนนั้นผมไม่คิดว่าคุณจะปลอบผม ทั้งที่คุณแสดงออกว่าไม่ชอบผมมาตั้งแต่ที่เราเจอกันครั้งแรกเลยด้วยซ้ำ” อัลฟ่าหนุ่มหัวเราะเบา ๆ ยามนึกถึงอดีต ก่อนจะดื่มจนหมดไปอีกแก้วแล้วเอนหลังพิงพนักโซฟา เขาปล่อยร่างกายให้ผ่อนคลาย ถึงอย่างนั้นท่วงท่าทุกอย่างก็ยังสง่างามดูสูงส่งเหมือนเดิม “ทุกครั้งที่ผมหลบไปนั่งที่นั่น คุณมักจะปรากฏตัวมานั่งข้าง ๆ ผม หาเรื่องนั้นเรื่องนี้มาเล่าให้ผมฟัง”

“ผมเคยทำแบบนั้นด้วยเหรอ?”

พุทธชาดยิ้มบาง “คุณอาจจะลืม แต่ผมไม่เคยลืมเลยนะ เพราะความใจดีของคุณในตอนนั้น มันทำให้ผมกลับมาเข้มแข็งขึ้นและยังก้าวต่อไปได้อย่างมั่นคง”

ไม่รู้อะไรดลใจให้พูด แต่ชายหนุ่มก็พูดความรู้สึกของตัวเองอย่างตรงไปตรงมา บางทีอาจจะเป็นเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ที่มีประสิทธิภาพในการกร่อนสติสัมปชัญญะ หรือไม่ก็เพราะจิตใจของเขาตกอยู่ในภาวะอ่อนแอเกินไป และอาจจะเป็นเพราะ...ความอ่อนโยนที่ได้รับจากผู้เป็นสามีก็ได้ล่ะมั้ง

ในเวลาเดียวกันนั้นคนฟังก็ถึงกับชะงักไป...ความรู้สึกยินดีเอ่อท้นขึ้นมาในใจ กัลปพฤกษ์ทั้งแปลกใจและชอบใจไปพร้อม ๆ กันเลยทีเดียว ชายหนุ่มไม่คาดคิดว่าภรรยาอัลฟ่าผู้เย่อหยิ่งของเขาจะเอ่ยปากชมกัน ทั้งที่ปกติมักจะต่อว่าต่อขานด้วยคำพูดเจ็บแสบแท้ ๆ

“คุณต้องเมาแล้วแน่ ๆ คุณแก้ว”

“ก็คงอย่างนั้นมั้งครับ”

พุทธชาดผ่อนลมหายใจยาว อัลฟ่าหนุ่มขยับเปลี่ยนท่า จากที่นั่งก็นอนราบไปตามความยาวของโซฟาแทน แต่ยังคงหันหน้ามาทางผู้เป็นสามี พอลองคิดดูแล้วเขาไม่เคยปล่อยตัวให้อยู่ในสภาพผ่อนคลายมากขนาดนี้ต่อหน้ากัลปพฤกษ์มาก่อนเลย

“จะหลับแล้วเหรอครับ?” อัลฟ่าผิวแทนเลิกคิ้วถาม

คนเป็นภรรยาส่ายหน้าเบา ๆ แทนคำตอบ เขามองใบหน้าหล่อเหลาของสามีพลางหวนคิดไปถึงเรื่องราวในอดีตเท่าที่สมองของเขายังคงจดจำมันได้...ตอนเราเจอกันครั้งแรก กัลปพฤกษ์พูดจาใจร้ายกับเขามาก แต่นั่นก็เป็นเพราะเรายังเด็กและอีกฝ่ายก็เอาแต่ใจตัวเอง ต่างจากพุทธชาดที่เก็บอารมณ์เก่ง นั่นเพราะเราทั้งคู่ต่างถูกเลี้ยงดูสั่งสอนมาไม่เหมือนกัน

เขาอยู่กับความเข้มงวด ถูกปลูกฝังให้นึกถึงชื่อเสียงวงศ์ตระกูลมาเป็นอันดับหนึ่ง หากไม่มีน้าพิช ราชนิกุลหนุ่มอาจกลายเป็นคนไร้หัวใจไปแล้วก็ได้ ในขณะที่สามีอัลฟ่าของเขาได้รับอิสระมากกว่า ถูกเลี้ยงดูให้สามารถทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ แม้จะโดนคาดหวังให้เป็นประธานบริษัทของชัยพัฒน์พิมาน แต่ก็ไม่ได้ถูกเข้มงวดกวดขันเสมอเหมือนอย่างเขา

ความสัมพันธ์ของพวกเขาในตอนนั้น...ต่อหน้าคนอื่นก็ทำเหมือนสนิทสนมกันดี แต่ความจริงกัลปพฤกษ์มักโกรธพุทธชาดอยู่เสมอ มาคิดดูแล้วก็ไม่ใช่ความผิดของอีกฝ่ายเสียทีเดียวหรอก พุทธชาดเองก็มีส่วนผิดที่ไม่รู้จักทำตัวให้เป็นมิตรมากกว่านี้

กระนั้นตอนมัธยมต้นกัลปพฤกษ์ก็เคยใจดีกับเขามากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ในวันที่พุทธชาดเสียใจแทบบ้า ร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับน้ำตาไม่มีวันหมด ก็เป็นอีกฝ่ายที่มาเจอเขาโดยบังเอิญแล้วเลือกที่จะนั่งเป็นเพื่อน ปลอบโยนโดยไม่ถามสักคำว่าเกิดอะไรขึ้น แวะเวียนมาหาอยู่บ่อยครั้งทั้งที่ไม่เคยนัดเจอกันเป็นกิจจะลักษณะ สวนพฤกษศาสตร์ของโรงเรียนคือหนึ่งในสถานที่แห่งความทรงจำอันดีของพุทธชาด

และเป็นสถานที่แรกที่เขาได้รู้จักกับคำว่า ‘ตกหลุมรัก’ ใครสักคน

แต่หลังจากนั้นอีกฝ่ายกลับเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน ปีสุดท้ายของการเรียนในชั้นมัธยมปลาย กัลปพฤกษ์กลายเป็นคนเกรี้ยวกราดไปได้อย่างไรก็ไม่รู้ จากที่มักจะมาพบกับเขาที่สวนก็ไม่มาอีกเลย พอได้รู้เรื่องหมั้นหมายระหว่างสองตระกูลกลับยิ่งโกรธเข้าไปใหญ่ ถึงกับพูดจาเหยียดหยามเขาอย่างรุนแรง ตอนนั้นเขาโกรธแต่ก็ใช้ความอดกลั้นเป็นอย่างมากในการตอบโต้อีกฝ่าย

“คุณรู้สึกยังไงในตอนที่ผมไปหาเพื่อขอให้หมั้นกัน”

จู่ ๆ ราชนิกุลหนุ่มก็เกิดความสงสัยขึ้นมา ในตอนนั้นเขาคิดแค่ว่าเขาอยากทำให้พ่อกับแม่พอใจ เมื่อพวกท่านบอกว่าอยากให้เขาเป็นคนทำตามสัญญาของคุณปู่ แต่งงานกับทายาทของตระกูลชัยพัฒน์พิมาน เกี่ยวดองสองตระกูลเข้าด้วยกันแม้รู้ดีว่าทั้งเขาและกัลปพฤกษ์เป็นอัลฟ่าเพศชายทั้งคู่ก็ตาม

“ตอนนั้นเหรอ?” กัลปพฤกษ์ทวนถาม ชายหนุ่มหลุบตาลงมองน้ำสีอำพันในขวดแก้ว จากที่ตอนแรกรินมันใส่แก้วทีละนิด แต่ครั้งนี้เขากลับรินมันจนเกินครึ่งแก้วแล้วกระดกดื่มรวดเดียวหมดโดยไม่กลัวเมามายแม้แต่น้อย ดวงตาคู่คมเหลือบขึ้นสบกับนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อน “ไม่รู้สิ มันนานมากแล้ว อาจจะเป็นความโกรธล่ะมั้ง”

“เหรอครับ...”

“มีหลายเรื่องเกิดขึ้นกับผมในตอนนั้น และการโดนจับหมั้นกับคุณก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ผมไม่พอใจ แต่สุดท้ายผมก็ตัดสินใจรับข้อเสนอของคุณ และกลายมาเป็นสามีของคุณในตอนนี้ไง”

“ทำไมถึงยอมแต่งกับผมล่ะครับ ความจริงผมคิดว่าคุณจะถอนหมั้นหลังจากที่เราเรียนจบกลับมาจากเมืองนอกแล้วด้วยซ้ำ” พุทธชาดกลายร่างเป็นคนช่างถามไปเสียแล้ว เขาถามสิ่งที่ลึก ๆ แล้วมันติดอยู่ในใจมาโดยตลอด โดยไม่ได้คำนึงถึงคำตอบที่อาจจะทำให้รู้สึกแย่กว่าเดิม

“คุณอย่ารู้เลย เชื่อเถอะว่าคุณไม่อยากฟังหรอก”

“ไม่ลองพูดออกมาก่อนล่ะครับ”

กัลปพฤกษ์ส่ายหน้า เขาไม่มีทางพูดมันออกไปแน่ อัลฟ่าผิวแทนแน่ใจว่าหากพูดออกไป เขาต้องกลายเป็นคนใจร้ายในสายของผู้เป็นภรรยามากยิ่งกว่าเดิมเสียอีก ในตอนนี้ชายหนุ่มคิดไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว...การกลับมาของผู้หญิงคนนั้นทำให้เขาไขว้เขว แต่ในขณะเดียวกันคำพูดของคุณอาในคืนนั้นก็ทำให้เขาได้คิด

‘เลิกหวังที่จะได้เธอคืนกลับไปได้แล้วไอ้กัลป์! คนที่แกควรใส่ใจดูแลให้มากที่สุดในตอนนี้...ก็คือภรรยาของแกต่างหาก!’

นั่นทำให้ร่างสูงฉุกใจคิดขึ้นมาได้...ถ้าหากว่าเขาลองปรับตัวเข้าหาคุณแก้วล่ะ? ไหน ๆ ก็เลือกที่จะแต่งงานและใช้ชีวิตกับคนคนนี้แล้ว แม้จะทำไปเพราะมีเหตุผลที่บอกไม่ได้ก็ตาม และถ้าชายหนุ่มสามารถ ‘รัก’ ผู้เป็นภรรยาได้ ปัญหาที่คาราคาซังมานานระหว่างเขากับคุณอาก็จะได้จบไปสักที

ก็แค่รักเองนี่...กัลปพฤกษ์เคยรักเธอมาก แค่เปลี่ยนมารักคนที่เป็นภรรยาอย่างถูกต้องตามทำนองคลองธรรม มันไม่น่าจะยากเย็นอะไรนักหรอก และบางทีการรักคุณแก้วอาจจะดีกว่าที่คิดก็ได้ เพราะคนคนนี้เป็นของเขาอย่างแท้จริงไม่ว่าจะทางกฎหมายหรือว่าร่างกายก็ตาม

อัลฟ่าผิวแทนหวังว่าเขาจะรักอีกฝ่ายได้ในสักวัน ส่วนเรื่องเซ็กซ์...ยังไม่รักก็ทำกันได้ เขาก็แค่ต้องทำให้คุณแก้วยอมอย่างเต็มใจก็เท่านั้น

“แล้วคุณล่ะ? ทำไมถึงยอมหมั้นตามความต้องการของพวกผู้ใหญ่?” ร่างสูงเป็นฝ่ายถามบ้าง

พุทธชาดแย้มยิ้มที่ผสมความเย้ยหยันเล็ก ๆ เอาไว้ออกมา เขาเหม่อมองไปเรื่อยเปื่อยในขณะตอบคำถาม “ผมก็แค่ทำตามที่คุณพ่อคุณแม่ต้องการก็เท่านั้น”

“เป็นเด็กดีตลอดเวลา คุณแก้วไม่เหนื่อยบ้างเหรอครับ”

ราวกับคำถามนี้เป็นเหมือนมีดที่ปักลงกลางใจราชนิกุลหนุ่ม พุทธชาดหลุบตาลงต่ำ สีหน้ายังคงเรียบเฉยหากแต่แววตาเต็มไปด้วยประกายรวดร้าวราวกับแก้วที่ใกล้จะแตกสลาย

“ผมเลยจุดนั้นมานานแล้ว”

ไม่มีบทสนทนาใด ๆ ต่อจากนั้นอีก แต่กัลปพฤกษ์กลับลุกขึ้นยืนแล้วก้าวเข้ามาหาร่างสูงสง่าก่อนจะคุกเข่าลงนั่งที่พื้นข้างโซฟาแทน ร่างสูงกระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าข้อมือของผู้เป็นภรรยาเอาไว้ทั้งสองข้าง แล้วโน้มใบหน้าไปใกล้จนลมหายใจอุ่น ๆ เป่ารดกัน

สีหน้าของพุทธชาดยังคงเรียบเฉย น้ำเสียงทุ้มนุ่มกล่าวถาม “คิดจะทำอะไรครับคุณกัลป์”

“จูบภรรยาน่ะสิ”

“...”

“ไม่ได้เหรอ? นี่ผมอุตส่าห์นั่งฟังคุณปรับทุกข์เลยนะ”

มันเป็นข้ออ้าง แท้จริงแล้วจู่ ๆ กัลปพฤกษ์ก็แค่อยากจูบอีกฝ่ายขึ้นมาก็เท่านั้น

“ผมบอกแล้วไงว่าไม่ใช่ที่ระบายความใคร่ของคุณ”

อัลฟ่าราชนิกุลหรี่ตาลงเล็กน้อย แต่ไม่ได้ออกแรงผลักไส เขายอมรับว่าเขาเองก็อยากได้รับสัมผัสจากผู้เป็นสามี แต่อีกใจก็รู้สึกว่ามันคงไร้ค่าไม่น้อยที่เขายอมให้อีกฝ่ายสัมผัส ทั้งที่เคยประกาศเอาไว้ว่าห้ามผู้เป็นสามีแตะต้องตัวเขาเด็ดขาดแท้ ๆ

“ตอนนี้ผมก็แค่อยากจูบคุณ”

ดวงตาสอดประสาน ลมหายใจร้อนผ่าเจือกลิ่นของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กัลปพฤกษ์ไม่ได้ทำอะไรต่อ เขาเพียงค้างอยู่ในท่านั้นนิ่ง ๆ และคอยเวลาที่เหมาะสม ซึ่งผลตอบแทนของการรอคอยก็คือ...ริมฝีปากที่เขาเคยได้สัมผัสมันอยู่สองสามครั้ง และยังตราตรึงอยู่ในใจมาโดยตลอด

พุทธชาดเป็นฝ่ายยื่นหน้าเข้ามาแนบริมฝีปากเข้าหาก่อน หลังจากนั้นพวกเขาก็จูบกันเพียงแผ่วเบานุ่มนวล แต่แค่นี้กัลปพฤกษ์ก็รู้สึกดีมากเกินไปแล้ว มาก...จนไม่ทันรู้ตัวเลยว่าหัวใจของตัวเองเต้นผิดจังหวะไปตอนไหน





ออฟไลน์ PoyPay

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 270
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ยิ่งอ่านก็ยิ่งสงสารคุณแก้วค่ะ...
แอบมโนข้ามไปตอนที่ถ้าคุณแก้วรู้ความจริงทุกอย่างของคุณสามี... ¥0¥ ...
ส่วนคุณสามีคนนั้นอะ ตั้งแต่อ่านมายังไม่มีตอนไหนที่ทำให้รู้สึกอยากยกคุณแก้วให้เลยยยยยยยยยย... นึกถึงแล้วอารมณ์เสีย...  :z6: ...

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
แหม่ ทีเรื่องคุณแก้วถามเอาๆ แต่เรื่องของตัวเองเก็บงำไว้ซะงั้น

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด