บทที่ 1
วันแรกหลังแต่งงาน พบพานความย่ำแย่
ด้วยการตกลงของทั้งสองครอบครัวที่มีมาตั้งแต่ก่อนแต่งงาน เรือนหอของทั้งคู่จึงอยู่ในเขตรั้วของตระกูลฝ่ายเจ้าสาว บ้านเก่าที่คุณปู่กับคุณย่าของพุทธชาดอาศัยอยู่นับตั้งแต่เกิดจนตาย นั่นเป็นสิ่งที่ชายหนุ่มค่อนข้างพอใจ เพราะแค่ต้องเปลี่ยนไปใช้นามสกุลผู้เป็นสามีเขาก็กล้ำกลืนเต็มทนแล้ว หากต้องย้ายไปอยู่ในตระกูลชัยพัฒน์พิมาน พุทธชาดคงได้รู้สึกแย่เกินจะรับไหว
เช้าวันนี้พวกเขาตื่นขึ้นมาโดยที่เมื่อคืนเพียงแค่นอนข้างกันและหลับไปเพราะความเหนื่อยอ่อน สิ่งที่ตั้งใจว่าจะทำหลังคืนแต่งงานเป็นอันต้องยกเลิกไป เนื่องจากพ่อบ้านมารอที่ห้องอาหารพร้อมตั๋วฮันนีมูนบนเกาะส่วนตัวทางตอนใต้ของประเทศ กับคำสั่งกรายๆ ให้พุทธชาดหยุดงานเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ ขณะที่กัลปพฤกษ์เพียงหัวเราะขบขัน ยักไหล่เป็นเชิงบอกว่ายังไงก็ได้
สุดท้ายพุทธชาดก็จำต้องยอมหยุดงานและออกเดินทางไปฮันนีมูนกับผู้เป็นสามี ตลอดทางไปสนามบินพวกเขาไม่ได้พูดอะไรกันสักคำ บรรยากาศค่อนข้างเงียบเชียบและน่าอึดอัด...ในความคิดของคนขับรถ
หากให้ใครอื่นมามองก็คงพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าทั้งสองไม่เหมือนคู่แต่งงานข้าวใหม่ปลามัน บอกว่าไม่ถูกกันยังจะเข้าเค้าเสียมากกว่า แม้กระทั่งตอนที่ลงจากรถก็ทำเพียงหิ้วกระเป๋าของใครของมันไปจนถึงเครื่องบินส่วนตัว หรือตอนที่เครื่องบินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า พุทธชาดก็เลือกที่จะเมินเฉยต่อทุกการกระทำของกัลปพฤกษ์ ไม่นำพาแม้กระทั่งเสียงสนทนานัดหมายโอเมก้าในสังกัดมาปรนนิบัติพัดวีทันทีที่ถึงเกาะส่วนตัว
ชายหนุ่มกดตามองใบหน้าด้านข้างของผู้เป็นสามีอย่างเหยียดหยามในใจ ผู้ชายเจ้าชู้ สักวันก็คงต้องตายคาอกโอเมก้าสักคนในสภาพอเน็จอนาจดูไม่ได้ และก็คงไม่พ้นกลายเป็นข่าวหน้าหนึ่ง ถูกวิจารณ์แม้กระทั่งตอนที่ตายไปแล้ว แต่ก็อย่าหวังเช่นกันว่าเขาจะยอมให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้น หากกัลปพฤกษ์ตายแบบนั้นจริงๆ พุทธชาดจะทำให้แน่ใจว่าข่าวที่หลุดออกไปคือการตายที่ไม่ทุเรศนักเวลาอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์ เพราะเขาไม่อยากถูกมองว่าเป็นภรรยาของผู้ชายที่ใช้ชีวิตได้ห่วยแตกแบบนี้
เบือนสายตามองออกนอกหน้าต่างเครื่องบินพลางคิดว่าเมื่อไปถึงเกาะเขาจะทำอะไรดี ในเมื่อได้พักร้อนแม้จะแค่สัปดาห์เดียว แต่คนที่ใช้ทุกวินาทีอย่างมีค่าเสมออย่างพุทธชาดจะทำให้การพักร้อนครั้งนี้มีค่า
ลืมเรื่องฮันนีมูนให้สมกับเป็นคู่แต่งงานใหม่ไปได้เลย แค่คิดว่าต้องอี๋อ๋อกับกัลปพฤกษ์เขาก็รับไม่ได้แล้ว
“คุณจะลองทำดูบ้างก็ได้นะ”
“ครับ?” เหลือบกลับมามองคนพูดอย่างไม่เข้าใจ
กัลปพฤกษ์ไหวไหล่ มุมปากเหยียดยิ้มเจ้าเล่ห์ “นัดโอเมก้ามาคอยดูแลคุณสักสามสี่คน ผมจะได้สบายใจว่าไม่ได้ปล่อยให้คุณอยู่คนเดียว ไม่งั้นอย่างนั้นผมคงดูเป็นสามีที่แย่มาก”
“เชิญคุณมีความสุขกับโอเมก้าพวกนั้นไปเถอะ ไม่มีความจำเป็นต้องมายุ่งกับผม”
“แหม คุณนี่เย็นชาตลอดเลยนะ ผมก็แค่เป็นห่วง”
“เก็บความเป็นห่วงของคุณไปเถอะ” พุทธชาดหันหน้าหนีแล้วตบท้ายว่า “ผมไม่ต้องการ”
คนฟังเลิกคิ้ว เลิกสนใจภรรยาผู้แสนหยิ่งยโสของตัวเอง เพราะเอาเข้าจริงเขาก็ไม่ได้ใส่ใจนักหรอกว่าพุทธชาดจะทำอะไรเมื่อไปถึงเกาะ ตัวเขามีสิ่งที่อยากจะทำแล้ว และมันต้องสนุกมากแน่ๆ : )
เกาะส่วนตัวเป็นสมบัติของตระกูลสิทธาพิวัฒน์ นานๆ ครั้งคนในครอบครัวถึงจะมาพักผ่อนที่นี่ หากแต่พุทธชาดเป็นเพียงคนเดียวที่ไม่ค่อยได้มานัก เพราะเขางานยุ่งแทบจะตลอดเวลา นับตั้งแต่ขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานบริษัทเมื่อห้าปีก่อน
ทันทีที่ถึงบ้านพัก กัลปพฤกษ์ก็หิ้วกระเป๋าเดินเข้าห้องนอนใหญ่ไปในทันที พุทธชาดจึงเลือกที่จะเข้าห้องพักแขกแทน เขายอมนอนในห้องที่เล็กกว่า เนื่องจากที่นี่ไม่ใช่บ้านใหญ่หรือเรือนหอซึ่งมีผู้คนมากมายมองเห็นทุกการเคลื่อนไหวของพวกเขา ลองคิดดูว่าถ้าเราแยกห้องนอนกัน...คงไม่พ้นเหล่าพ่อบ้านแม่บ้านได้เอาไปนินทาจนเข้าหูคุณพ่อกับคุณแม่ แต่กับที่นี่ซึ่งไม่มีใครอื่นนอกจากเขากับผู้เป็นสามี ดังนั้นการแยกห้องนอนจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
แต่เพียงแค่ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตที่ใส่อยู่ออกสองเม็ดบน ประตูห้องนอนของเขาก็ถูกเปิดเข้ามาอย่างถือวิสาสะ พร้อมเสียงทุ้มนุ่มที่ไม่ว่าจะได้ยินกี่ครั้งก็ทำให้ชายหนุ่มรำคาญเสมอ
“ทำไมมานอนห้องนี้เสียล่ะ เมื่อคืนก็นอนกับผมแท้ๆ”
“เชิญคุณกับโอเมก้าของคุณตามสบายครับ”
“โอ๊ะโอ อย่าบอกนะว่าคุณแก้วหึงผม : )”
พุทธชาดถอนหายใจแผ่วเบา เงยหน้าจากการรื้อกระเป๋าเสื้อผ้าเพื่อมองคู่ชีวิตหมาดๆ ก่อนจะว่า “สำคัญตัวผิดไปแล้วล่ะครับ อย่างคุณกัลป์...ไม่มีอะไรให้ผมต้องหึงแม้แต่นิดเดียว”
“เย็นชาตลอดเลยแฮะ”
“หมดธุระหรือยังครับ?” ราชนิกูลหนุ่มมองไปที่ประตูเป็นเชิงขับไล่กรายๆ กัลปพฤกษ์จึงยอมเดินออกจากห้อง แต่ยังไม่ทันปิดประตู เสียงนุ่มหากแต่เรียบนิ่งก็ดังขึ้นอีกว่า “จริงสิ ครั้งหน้า...”
“..?”
“อย่าเข้าห้องคนอื่นโดยไม่ขออนุญาตอีกนะครับ มันไร้มารยาท”
ได้ยินอัลฟ่าหนุ่มผิวเข้มหัวเราะ “คุณแก้วนี่ปากร้ายเหลือทน ไม่แปลกใจที่ไม่มีใครอยากเข้าใกล้”
ปัง
ประตูปิดไปแล้ว แต่คำพูดทิ้งท้ายของสามีก็ทำให้คนฟังนิ่งงันไปชั่วขณะหนึ่ง พุทธชาดหวนนึกถึงบางอย่างที่ไม่อยากจำ แต่ก็รีบขับไล่มันออกไปจากสมองแล้วจัดเรียงเสื้อผ้าเข้าตู้จนเสร็จ จากนั้นเขาก็ใช้เวลาที่เหลือทั้งบ่ายไปกับการนอนพักผ่อนอย่างที่ไม่ค่อยได้ทำนัก
ไม่รู้ว่าผล็อยหลับไปตอนไหน รู้ตัวอีกทีก็เป็นตอนที่ความหิวเรียกให้ชายหนุ่มตื่นขึ้น เหลือบมองหน้าต่างก็พบว่าตอนนี้เย็นมากแล้ว แสงอาทิตย์รำไรเริ่มจางลงบ่งบอกว่าอีกไม่นานคงจะมืดลงในที่สุด
พุทธชาดไม่ได้กินข้าวกลางวัน ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เขาจะหิวจัด แต่เพราะความเป็นผู้ดีในสายเลือด ชายหนุ่มเพียงพาตัวเองลุกขึ้นแล้วเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตา ออกมาด้วยสภาพที่เนี้ยบทุกกระเบียดนิ้วแม้ใส่เสื้อผ้าสบายๆ เช็กความเรียบร้อยทิ้งท้ายหน้ากระจกก่อนก้าวออกจากห้อง
แต่เพียงแค่เปิดประตูออกมาอัลฟ่าหนุ่มชั้นสูงก็ต้องชะงัก ดวงตามองเห็นภาพไม่น่าพิสมัยที่โถงกลางบ้าน เวลานี้โซฟาตัวยาวมีร่างกายกำยำของสามีเขานั่งอยู่ โดยที่ทั้งสองข้างขนาบด้วยชายหญิงฝั่งละสองคน
โอเมก้าสี่คนงั้นเหรอ เหอะ! ทุเรศสิ้นดี
“อ้าว คุณตื่นแล้วเหรอ”
พุทธชาดไม่ตอบ เขาแค่มองหน้าสามีหมาดๆ ด้วยแววตาเหยียดหยันเหมือนเช่นทุกครั้ง ก่อนหมุนตัวเดินไปทางห้องครัว ถึงจะมีคนทำอาหารให้กินตลอด แต่ใช่ว่าชายหนุ่มจะทำอาหารไม่เป็น การไปเรียนต่างประเทศหลายปีทำให้เขาต้องฝึกไว้บ้างเพื่อความอยู่รอด แม้จะเดินออกไปนั่งกินในร้านอาหารหรูๆ ได้ทุกมื้อแต่พุทธชาดกลับเลือกที่จะไม่ทำ
“ผมก็อยากจะเรียกคุณออกมากินข้าวอยู่หรอกนะ แต่เคาะตั้งหลายทีคุณกลับไม่ตอบ แล้วคุณก็บอกเอาไว้ว่าห้ามเข้าห้องก่อนได้รับอนุญาต ผมเลยต้องปล่อยให้คุณนอนต่อไป”
บางทีพุทธชาดก็คิดนะว่ากัลปพฤกษ์กำลังกวนประสาทเขาอยู่หรือเปล่า ผู้ชายคนนี้นอกจากเจ้าชู้กับน่ารำคาญ แล้วยังตีหน้ามึนพูดหน้าซื่อได้อีกด้วยงั้นเหรอ? ชายหนุ่มไม่อยากจะคิดเลยว่าหากต้องทนอยู่กับคนแบบนี้ไปจนแก่ตาย เขาจะรับมือไหวหรือไม่ แต่จะให้หย่าก็กลัวว่าจะเป็นที่ครหาของคนในวงสังคม
ใช่ การหย่าไม่เคยอยู่ในความคิดของพุทธชาด เพราะมันคือมลทินของชีวิตหากเขาทำแบบนั้น เขาไม่แคร์เรื่องความรักตั้งแต่แรกอยู่แล้ว มันก็แค่เรื่องของคำสัญญากับความสัมพันธ์ที่สองตระกูลมีให้กันมาอย่างยาวนาน ยิ่งเรื่องคู่แท้แห่งโชคชะตาเขายิ่งไม่เชื่อ ไม่ใช่เพราะมันยังไม่เกิดขึ้นกับเขา แต่เป็นเพราะเขาถูกกำหนดมาตั้งแต่เกิดแล้วว่าต้องเดินไปในเส้นทางแบบไหน พุทธชาดจึงไม่เคยคิดถึงเรื่องเพ้อฝันซึ่งหาได้ไม่ถึงสิบเปอร์เซ็นต์จากคนทั้งหมดบนโลกใบนี้
การหย่าหมายถึงชีวิตคู่ที่ล้มเหลว และเชื่อเถอะว่านอกจากจะทำให้สองตระกูลผิดใจกันแล้ว ยังต้องตกเป็นขี้ปากให้คนในชนชั้นสูงและแวดวงธุรกิจวิพากย์วิจารณ์ไม่จบไม่สิ้นอีกด้วย สิทธาพิวัฒน์จะเสื่อมเสียชื่อเสียงมากแค่ไหนจากการหย่าของเขากับกัลปพฤกษ์
ไม่ได้เด็ดขาด จนกระทั่งเขาตายชื่อเสียงและเกียรติยศก็จะต้องดำรงอยู่ตลอดไป เขาจะไม่มีวันหย่า ต่อให้ผู้เป็นสามีจะชั่วช้าสารเลวมากแค่ไหนก็ตาม ก็แค่ต่างคนต่างอยู่ และดูให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะไม่ทำเรื่องเดือดร้อนมาสู่เราทั้งสองครอบครัว นอกเหนือจากนั้นอยากจะใช้ชีวิตแบบไหนก็เชิญ เขาเองก็จะใช้ชีวิตในแบบของเขาเหมือนกัน
“ขอบคุณในความมีมารยาทนะครับ เชิญคุณกัลป์ไปมั่วสุม...อ้อ ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าเชิญคุณสังสรรค์กับโอเมก้าของคุณต่อไปเถอะ ผมไม่รบกวน”
“ก็ดี”
กัลปพฤกษ์ตอบรับเพียงเท่านั้นแล้วหันมาพูดคุยหยอกล้อกับเด็กๆ ข้างกายเขาต่อ เสียงหัวเราะคิกคักชวนบาดหูคนฟัง พุทธชาดนิ่วหน้าเล็กน้อย เร่งมือทำอาหารมื้อง่ายๆ อย่างข้าวผัดแล้วจากนั้นชายหนุ่มก็เดินกลับเข้าห้องนอนอีกครั้ง เขายอมเสียมารยาทอันพึงมีกินข้าวในห้องนอน ดีกว่านั่งข้างนอกแล้วทนเห็นเรื่องอุจาดตาต่อไปแม้เพียงแค่ไม่กี่นาที
หลังจัดการมื้อเย็นเสร็จอัลฟ่าหนุ่มก็หยิบเอาแท็บเล็ตซึ่งพกพามาด้วยเพื่ออ่านอีเมลและเคลียร์งานทางไกล แม้จะได้พักร้อนและพ่อของเขาเข้าทำหน้าที่แทนชั่วคราว แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่วางใจเนื่องจากบางอย่างก็เป็นสิ่งที่เขาต้องตรวจสอบด้วยตัวเอง
บริษัทของเขาเป็นเจ้าของกิจการด้านอสังหาริมทรัพย์ ไม่ว่าจะโรงแรม รีสอร์ต หรือว่าคอนโดฯ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นธุรกิจใหญ่ที่ต้องดูแลให้ดีและทั่วถึง นอกจากคุณพ่อแล้วเขาก็ไม่ไว้ใจใครให้ดูเอกสารสำคัญของบริษัททั้งนั้น เขาก็เลยต้องทำงานอย่างหนักอยู่เสมอ
ส่วนคู่ชีวิตของเขาน่ะเหรอ? ความจริงแล้วพุทธชาดไม่ค่อยอยากจะยอมรับนัก แต่ผู้ชายนิสัยแย่คนนั้นเป็นนักธุรกิจที่เก่งกาจคนหนึ่งของวงสังคม กิจการด้านอาหารหลากหลายประเภทเป็นไปได้ด้วยดีเสมอมา ผลประกอบการเพิ่มมากขึ้นด้วยซ้ำนับตั้งแต่ที่อีกฝ่ายขึ้นเป็นประธานบริษัทในเวลาไล่เลี่ยกันกับเขา
เช็กงานของวันนี้จนเสร็จเรียบร้อยจึงหยิบเอาจานอาหารออกไปล้าง แต่ก็เหมือนภาพซ้ำเกิดขึ้นอีกครั้ง สองเท้าของอัลฟ่าหนุ่มราชนิกูลเป็นอันต้องชะงัก นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนจดจ้องไปที่ชายหญิงห้าคนบนโซฟาบุผ้าเนื้อดี หนึ่งในโอเมก้าซึ่งเป็นผู้ชายตัวเล็กที่สุดกำลังถ่ายคลิปที่กัลปพฤกษ์นัวเนียกับโอเมก้าหญิงแสนเซ็กซี่อยู่
เร็วเท่าความคิดพุทธชาดตรงเข้าไปแย่งโทรศัพท์เครื่องนั้นมาก่อนกดลบคลิปทิ้งโดยไม่สนเสียงร้องอุทานเพราะความตกใจของเจ้าของ เขาเบือนหน้าไปสบตาผู้เป็นสามีก่อนมุ่นคิ้วรับไม่ได้กับปากของอีกฝ่ายซึ่งเปรอะเลอะไปด้วยคราบลิปสติก
ทุเรศสิ้นดี
“ผมเคยเตือนคุณไปแล้วก่อนเราจะแต่งงานกัน ว่าห้ามมีภาพหรือคลิปใดๆ ก็ตามหลุดออกไปจนถึงหูตาของนักข่าว ซึ่งคุณก็รับปากผมเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้วด้วย แต่นี่มันอะไรครับ?”
“อ่า ก็แค่ถ่ายเล่นเองน่า”
ได้ฟังดังนั้นชายหนุ่มก็แทบกลั้นความกรุ่นโกรธในอกเอาไว้ไม่อยู่ แต่เพราะเขาเก็บงำความรู้สึกได้ค่อนข้างดี สิ่งที่ทำจึงมีเพียงแค่ลอบสูดหายใจเข้าลึก ก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเรียบขึงยิ่งกว่าเดิม
“คุณไม่ใช่คนโง่ กัลปพฤกษ์ เพราะถ้าโง่ก็คงมีแต่แกล้งโง่เท่านั้น”
“...”
“นี่เป็นคำเตือนครั้งสุดท้าย ถ้ายังมีการถ่ายรูปหรือคลิปอีก” พุทธชาดชูโทรศัพท์ในมือขึ้น ก่อนปามันออกไปกระแทกอกสามีอัลฟ่าเต็มแรง กดเสียงต่ำลงจนดูเยือกเย็นน่าขนลุก “อย่าหาว่าผมไม่เตือน”
และใช่...คนฟังได้รับสาส์นที่ผู้เป็นภรรยาต้องการจะสื่อแล้ว ชั่ววินาทีหนึ่งกัลปพฤกษ์แปลกใจมากกว่าที่ได้เห็นพุทธชาดโกรธออกอาการ ก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะโดนเขาปั่นหัวหรือแกล้งกี่ครั้ง อีกฝ่ายก็มีวิธีโต้ตอบเขาได้อย่างไม่ยอมพ่ายแพ้ แต่กลับครั้งนี้ดูท่าจะไม่พอใจจริงๆ ดวงตาคู่คมสีน้ำตาลอ่อนเป็นประกายเหมือนผู้ล่ายามจ้องตะปบเหยื่อไม่มีผิด
อัลฟ่าหนุ่มผิวแทนยกสองมือขึ้นเป็นเชิงบอกว่ายอมแพ้
“ก็ได้ๆ ผมจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้วครับคุณภรรยาที่รัก”
“แล้วผมจะรอดู”
“แต่พูดก็พูดเถอะนะ แทนที่คุณจะเอาเวลามานั่งควบคุมความประพฤติผม สู้คุณมาร่วมสังสรรค์กับผมจะดีเสียกว่า ไหนๆ เราก็มาฮันนีมูนด้วยกันทั้งที” กัลปพฤกษ์เอ่ยปากชวน ชายหนุ่มลูบไหล่ของโอเมก้าสาวข้างกาย ขณะที่อีกมือไล้ข้างแก้มของโอเมก้าหนุ่ม หากแต่ตาจ้องไปยังคู่ชีวิตของตน
พุทธชาดไม่แสดงอารมณ์อื่นใด ชายหนุ่มเพียงเหยียดตามองเหมือนกำลังมองเหลือบไร “ผมจะทำในสิ่งที่ผมอยากทำ ส่วนคุณอยากทำอะไรก็ทำแต่อย่าให้เสื่อมเสียชื่อเสียงของเราทั้งสองตระกูล”
“พูดแต่เรื่องชื่อเสียงน่ารำคาญอยู่ได้ นอกจากคุณแก้วจะไม่น่าเข้าใกล้แล้วยังน่าเบื่ออีกหรือเนี่ย”
คำพูดนั้นมีผลกับใจคนฟังมากเกินกว่าที่ใครจะรู้นอกจากตัวของพุทธชาดเอง
หากแต่ยังไม่ทันที่พุทธชาดจะได้ตอกกลับ โอเมก้าที่เขาแย่งโทรศัพท์มาก็โผเข้ามากอดแขนเขาเอาไว้ ใช้สายตายั่วยวนออดอ้อนช้อนขึ้นสบ ริมฝีปากฉ่ำแย้มยิ้มหวาน ดวงตาเป็นประกาย เหนือสิ่งอื่นใดคือกลิ่นหอมอันแสนประหลาดที่โชยมาจากตัวของโอเมก้าคนนี้
เขารู้ได้ในทันทีว่ามันคือกลิ่นฟีโรโมน แม้จะไม่มากพอให้เรียกว่าอาการฮีท แต่ก็มากพอที่จะทำให้อัลฟ่าที่ได้กลิ่นรู้สึกดี...วูบหนึ่งพุทธชาดเกือบหลงไปกับกลิ่นหอมนั้น แต่เพียงไม่นานชายหนุ่มก็ได้สติกลับมาแล้วสะบัดแขนออกจากการเกาะกุม
“อย่ามาแตะต้องตัวฉัน”
โอเมก้าคนนั้นสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อเห็นดวงตาแข็งกร้าวก็รีบถอยห่างจากเขาอย่างรวดเร็ว ขณะที่กัลปพฤกษ์ซึ่งมองอยู่ตลอดเลิกคิ้ว เอ่ยกระเซ้าเย้าแหย่
“คุณทำท่าเหมือนรังเกียจโอเมก้า...”
“ผมไม่ได้รังเกียจ” พุทธชาดกล่าวปฏิเสธ “ออกจะเห็นใจพวกเขาด้วยซ้ำที่ต้องเกิดมาเป็นเพศซึ่งถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม ถูกทำราวกับเป็นแค่เซ็กซ์ทอยชิ้นหนึ่งเหมือนอย่างที่คุณกำลังทำ หากจะถามว่าใครกันแน่ที่ทำให้พวกเขาตกต่ำ...”
“...”
ทั้งสองสบตากัน กัลปพฤกษ์รู้ในวินาต่อมาว่าเขาคงไม่อาจเถียงผู้เป็นภรรยาชนะ
“คำตอบก็คือคุณ” อัลฟ่าสายเลือดหม่อมหลวงเชิดใบหน้าขึ้น “คุณนั่นล่ะที่ทำให้โอเมก้าดูแย่กว่าเดิม เพราะความสำส่อนและใช้พวกเขาเป็นเครื่องมือระบายความไม่รู้จักพอของตัวเอง”
คนถูกปรามาสสะบัดตัวหลุดจากมือของโอเมก้าที่นั่งมองสงครามน้ำลายระหว่างพวกเขาอยู่เงียบๆ ร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับผู้เป็นภรรยา ความสูงที่ไล่เลี่ยกันทำให้ดวงตาสองคู่สบกันอย่างตรงไปตรงมา น้ำเสียงของกัลปพฤกษ์กดต่ำไม่ต่างจากพุทธชาด
“ผมจะทำอะไรมันก็เรื่องของผม คุณไม่มีสิทธ์วิจารณ์ต่อให้คุณจะเป็นภรรยาของผมก็ตาม”
“ผม...คือภรรยาของคุณ” พุทธชาดกอดอก ไม่กลัวต่อโทนเสียงที่เปลี่ยนไปของคนตรงหน้า “ต่อให้คุณไม่มีเกียรติมากแค่ไหน แต่สิ่งที่คุณควรมีให้ผมคือการให้เกียรติผมในฐานะภรรยา”
“เราไม่ได้แต่งกันเพราะรักตั้งแต่แรกอยู่แล้วนี่ เรื่องพวกนี้จะแคร์ทำไม”
“ต้องแคร์สิเพราะผมจะไม่ยอมให้ความสำส่อนของคุณสร้างความเสียหายให้คำว่าชีวิตคู่ของเราสองคน”
“คุณมันก็ห่วงแต่ชื่อเสียง”
“ถูกต้อง ผมห่วงชื่อเสียง เพราะถ้าให้ผมห่วงคุณผมยอมตายจะดีกว่า” พุทธชาดตอกกลับอย่างไม่ไว้หน้า และไม่คิดจะใช้คำพูดถนอมน้ำใจใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อคิดได้ว่ากัลปพฤกษ์เองก็ใช้คำพูดไม่ถนอมน้ำใจเขาก่อน “อย่างที่บอก คุณอยากทำอะไรก็เชิญ แต่ต้องไม่มีเรื่องเสื่อมเสียเกิดขึ้น ข่าวฉาวของคุณต้องถูกกลบจนมิด ผมไล่กลบความเละเทะของคุณได้ แต่จะดีมากถ้าคุณให้ความร่วมมือตั้งแต่แรก”
“...”
“หมดธุระของผมแล้ว หวังว่าที่ผมพูดไปทั้งหมดจะซึมเข้าหัวของคุณบ้าง ส่วนคืนนี้ก็ช่วยเบาเสียงหน่อยแล้วกัน เพราะผมคงนอนไม่หลับแน่หากได้ยินเสียงคุณครวญครางเหมือน...สุนัข”
“คุณแก้ว!”
พุทธชาดหมุนตัวเดินหนีออกมาทันที ไม่สนใจเสียงคำรามเรียกชื่อจากผู้เป็นสามีอีกตามเคย เขาเพียงยกยิ้มหยัน พาตัวเองกลับเข้าห้องนอนและล็อกลูกบิดอย่างแน่นหน้ากันไม่ให้ใครเข้ามารบกวน แต่เมื่ออยู่ตามลำพังอัลฟ่าหนุ่มชั้นสูงก็อดที่จะถอนหายใจไม่ได้
เพียงคืนแรกของการฮันนีมูนก็ทำให้เขาเหนื่อยมากขนาดนี้แล้ว หากต้องอยู่จนกว่าจะครบเจ็ดคืนเขาไม่ต้องปวดหัวเพราะผู้ชายที่ชื่อกัลปพฤกษ์ทุกวันหรอกหรือ
ชายหนุ่มยังคงยืนยันคำเดิม...
เขาเกลียดกัลปพฤกษ์มากจริงๆ
______________________________
คอนเซ็ปต์พระเอกเรื่องนี้คือชั่วให้สุดแล้วหยุดที่กราบเมีย ข่อมค่า!
ช่วงนี้เรายังติดต้นฉบับอยู่ กลับมาอัปแต่ก็คงหายไปหลายวันอีก แง แต่จะพยายามมาให้ไวที่สุดนะคะ เราวางทรีตเมนต์เรื่องนี้ไปได้หน่อยหนึ่งก็รู้สึกว่าอยากจะเขียนให้ทุกคนมาร่วมเกลียดกัลปพฤกษ์ด้วยกันจริงๆ ห่างหายจากความตื่นเต้นสุดๆ ตอนเขียนนิยายมานาน ตอนนี้คิดอะไรได้ก็อยากเขียนไปหมด แง แทบจะแต่งจบในหัวแล้วค่ะ สนุกมาก จริงๆ นี่พูดเลย สนุกจัดจัด!