ตะวันพิงภพ บทที่ 18 หน้า 3 {อัพ 14.08.20}
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ตะวันพิงภพ บทที่ 18 หน้า 3 {อัพ 14.08.20}  (อ่าน 10561 ครั้ง)

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
ตะวันพิงภพ บทที่ 6

เสียงนกร้องและเสียงแตรรถจากถนนปลุกพิงภพให้รู้สึกตัวตื่น เขามองพื้นที่ข้างตัวแล้วขยี้ตา ความว่างเปล่าทำให้สับสนว่าเหตุการณ์เมื่อคืนเกิดขึ้นจริง หรือแค่ละเมอไปเองว่าภาณุกรตามมาที่ห้อง

ชายหนุ่มลุกขึ้นนั่งแล้วคว้าโทรศัพท์มาดูเวลา ...หกโมงครึ่ง ขณะที่กำลังนั่งงัวเงีย ประตูห้องน้ำก็เปิดออกจนสะดุ้ง

“อ้าว ตื่นแล้ว กำลังคิดอยู่เลยว่าจะปลุกพุธกี่โมงดี”

พิงภพเหลียวไปตามเสียง พยายามไม่เบิกตาโตเมื่อเห็นภาณุกรใส่กางเกงบ็อกเซอร์แนบเนื้อตัวเดียว ดูเหมือนช่วงนี้เขาจะได้เห็นภาพแนวนี้บ่อยจนชักตงิดว่าควรไปทำบุญสะเดาะเคราะห์ดีไหม

“วันที่ทำงานก็ตื่นเช้าแบบนี้ประจำแหละ เว้นว่านอนผิดเวลามากจริงๆ ถึงจะตื่นสาย”

“อ่าฮะ”

หนุ่มลูกครึ่งหยิบเสื้อผ้าขึ้นสวม พิงภพจำได้ว่านั่นคือชุดที่เจ้าตัวใส่เมื่อวาน เป็นไปได้ว่าเมื่อคืนนี้ก็ใส่แค่กางเกงบ็อกเซอร์นอน เขาเผลอคลำเสื้อบนตัวให้แน่ใจว่ายังอยู่ดี แต่พอเห็นภาณุกรมองมายิ้มๆ ก็รู้สึกร้อนผิวหน้า

“ไม่ต้องห่วง ไม่ได้แอบลักหลับแน่นอน เมื่อคืนก็ไม่ได้กลิ้งไปหาพุธเลย”

“โวะ ก็ยังไม่ได้หาว่าทำอะไรเลยสักคำ ร้อนตัว”

พิงภพบ่นแล้วรีบก้าวเข้าห้องน้ำ กระทั่งปิดประตูแล้วถึงหายใจโล่งขึ้น เขามองหน้าตาที่ยับเป็นรอยปลอกหมอนและผมที่ยุ่งเหยิงในกระจกแล้วก็ย่นจมูก แต่ไหนๆ วันนี้ก็ต้องพานักเรียนลงสระอยู่แล้ว เลยแค่ล้างหน้าแปรงฟัน ใช้มือเปียกสางผมนิดหน่อยก่อนจะเดินออกจากห้องน้ำ

“ขอเปลี่ยนเสื้อผ้าแป๊บนึง แล้วเดี๋ยวออกไปกันเลย”

“ได้ ที่จริงก็เหลือของที่ต้องเก็บลงประเป๋าอีกไม่เยอะหรอก”

ภาณุกรซึ่งกำลังนั่งดูโทรทัศน์หันมาตอบ พิงภพปรายตามองโต๊ะญี่ปุ่น แล้วก็เห็นว่าขยะเมื่อคืนถูกเก็บกวาดใส่ถุงแล้ว เลยรีบหยิบเสื้อผ้าชุดใหม่มาเปลี่ยน

“เสร็จแล้ว ไปกันเถอะ ขยะพวกนี้เดี๋ยวเอาลงไปทิ้งข้างล่างเลย มดจะได้ไม่เข้าห้อง”

พวกเขาช่วยกันถือถุงขยะออกไปทิ้งที่หน้าอพาร์ตเมนต์ พิงภพสังเกตเห็นว่ามอเตอร์ไซค์ของคนข้างห้องไม่อยู่ อดสงสัยไม่ได้ว่าเจ้าคนที่ชอบตื่นสายนั่นรีบออกไปไหนแต่หัววัน

อากาศยามรุ่งอรุณเย็นฉ่ำ ตามพื้นยังคงมีน้ำขังจากพายุฝนเมื่อคืน แต่ถึงจะขับรถช้าอย่างไรพิงภพก็พาภาณุกรมาถึงบลูแซนด์ภายในเจ็ดโมงครึ่ง เขาเดินคู่อีกฝ่ายไปจนถึงอาคารที่พัก แต่แล้วก็หยุดฝีเท้าลงจนภาณุกรหยุดตาม

หนุ่มลูกครึ่งเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม แต่พิงภพรู้ดึว่าถึงจะอิดออดเพียงไร เวลาที่พวกเขาจะได้ใช้ด้วยกันก็หมดลงแล้ว

“ถ้างั้นแยกกันตรงนี้เลยนะ พอดีวันนี้ต้องสอนนักเรียนทั้งวัน คงไม่ได้ออกไปลาตอนที่จะเช็กเอาต์”

ความเสียดายฉายชัดในดวงตาสีน้ำตาล พิงภพพยายามไม่สบตาคู่นั้นเพราะกลัวจะแสดงอาการเดียวกันออกไป

“โอเค...น่าเสียดายที่คราวนี้ได้มาแค่ไม่กี่วัน รู้สึกเหมือนยังไม่ได้ดูอะไรอีกเยอะเลย”

“อ้าว? ก็เมื่อวานบอกเองว่าได้ถ่ายโฆษณาจนเห็นวิวทั้งเกาะไปแล้วนี่?”

พิงภพทัก เขาไม่ใช่คนความจำสั้นจนจะลืมคำพูดเหล่านี้ง่ายๆ แต่ภาณุกรยิ้มแล้วส่ายหน้า

“ได้เห็นวิวเพราะทำงานมันไม่เหมือนเวลาได้เที่ยวกับคนที่อยากไปด้วย อีกอย่างครั้งนี้ไม่นึกว่าจะได้เจอพุธจริงๆ ไม่อย่างนั้นคงขออยู่ต่อให้นานกว่านี้”

หัวใจของพิงภพเร่งจังหวะขึ้น วูบหนึ่งที่เกือบหลุดปากว่า ‘คราวหน้าก็มาอยู่นานๆ สิ’ ไม่รู้เพราะความเหงาที่อยู่ห่างไกลบ้าน หรือเป็นเพราะโหยหาอดีตจากเพื่อนที่เคยเล่นหัวกันทุกวัน แต่เหตุการณ์เมื่อคืนช่วยให้เขาตระหนักถึงความจริงข้อหนึ่ง

ทั้งเขาและภาณุกรล้วนไม่ใช่เด็กหนุ่มอีกแล้ว ช่วงเวลาหลายปีที่ห่างไกลกันทำให้แต่ละคนเติบโตในเส้นทางของตัวเอง ถึงแม้ว่าความรู้สึกของอีกฝ่ายจะยังไม่เปลี่ยน แต่ไม่มีอะไรการันตีว่ามันไม่ใช่ความตื่นเต้นชั่ววูบจากการที่ได้พบกัน และสำหรับตัวเขาเอง...กับคำถามที่ยังไม่มีคำตอบตั้งแต่เก้าปีก่อน ความรู้สึกขัดแย้งในใจวันนี้ก็ยังคงเหมือนเดิม

อยากหล่อเลี้ยงความรู้สึกอ่อนหวานนี้ไว้ แต่ก็หวงแหนมิตรภาพจนไม่อยากทำลายมันลงกับมือ

“ไว้ถ้ามาอีกจะพาเที่ยวก็แล้วกัน ถ้าไม่ใช่ช่วงไฮซีซันคงมีเวลาว่างมากกว่านี้”

“งั้นเหรอ..งั้นถ้าได้มาอีกจะบอกก่อน ว่าแล้วขอไลน์ของพุธหน่อยสิ หลังจากนี้จะได้คุยกันง่ายๆ”

ภาณุกรหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมา พิงภพเลยเปิดคิวอาร์โค้ดให้แสกน หลังแอดไลน์เสร็จแล้วก็มองหน้ากันอีกครั้ง

“แล้วไว้เจอกันใหม่นะ พุธ”

“อื้ม”

ถึงจะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ หรือจะเป็นแค่สัญญาลมๆ แล้งๆ หรือเปล่าก็เถอะ...

พิงภพคิด เขาเลิกคิ้วเมื่อภาณุกรยื่นมือขวามาข้างหน้า แต่ก็ยกมือไปเชคแฮนด์ตอบโดยไม่คิดอะไร ใครจะรู้ว่าจะถูกคนตัวสูงกว่าออกแรงดึงเข้าไปหอมแก้ม

“เฮ้ย! ไอ้คนฉวยโอกาส!”

“ไม่ทำแบบนี้ก็อดสิ ลงบัญชีไว้ด้วยล่ะ พอเจอกันคราวหน้าจะให้พุธเอาคืน”

ภาณุกรหัวเราะก่อนจะเดินเร็วๆ เข้าไปในอาคาร พิงภพได้แต่ยืนชี้หน้าคนที่หันมามองเป็นระยะอย่างเอาเรื่อง ต่อให้ไม่ส่องกระจกก็รู้ว่าตอนนี้หน้าตัวเองคงแดงเถือก แต่ที่ทำให้หัวใจพองโตและโกรธจริงจังไม่ลง ก็คงเป็นผิวแก้มแดงๆ ของเจ้าหนุ่มลูกครึ่งที่หันมายิ้มทะเล้นให้

ช่างยั่วช่างแหย่ดีนัก ถ้าได้เจอกันคราวหน้าจะเอาคืนยังไงดีล่ะเนี่ย...

มุมปากทำท่าจะยกสูงจนพิงภพต้องยกมือปิด ถึงไม่มีใครเห็นก็ยังรู้สึกเขินตัวเอง เขารอจนภาณุกรเดินหายไปหลังชานพักบันได จากนั้นก็สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วผ่อนออกทางปาก

เอาล่ะ ทีนี้ก็ได้เวลาเริ่มวันใหม่ของเขาเองเสียที...

ชายหนุ่มเดินต่อไปที่ห้องสำนักงาน เขาต้องเบิกข้อสอบข้อเขียนกับหนังสือหลักสูตรซึ่งใช้ต่อๆ กันมาจนกระดาษนิ่มไปหมด พอเปิดประตูเข้าไปก็เห็นบุณฑริกนั่งอยู่ที่โต๊ะแล้ว แถมกำลังคุยโทรศัพท์ติดพันอยู่ด้วย

“รู้แล้วพี่บู๊ ถ้าเจอบุ๋มจะจับมาตีเลย เจ้าเด็กดื้อนี่ไม่คิดบ้างว่าผู้ใหญ่จะเป็นห่วง โอเคค่ะ ถ้าเขามาแล้วบุ๋มจะรีบบอก แล้วเมื่อไหร่พี่บู๊จะกลับมาเยี่ยมมั่งล่ะ ไม่เจอนานๆ เดี๋ยวพวกลูกน้องก็ลืมหน้ากันพอดี”

พิงภพได้ฟังก็รู้ว่าไม่ควรขัดการสนทนา อีกอย่างเขาก็รู้อยู่แล้วว่าเอกสารถูกเก็บไว้ตรงไหน หลังเปิดหาจากชั้นวางของก็หยิบออกมานั่งรอบนเก้าอี้

“ค่ะๆ แล้วค่อยคุยกันใหม่ ว่าไงพุธ จะลงเวลาเข้างานกับยืมเท็กซ์บุ๊คใช่ไหม?”

บุณฑริกหันมาเอ่ยพร้อมกับตัดสายโดยไม่ขาดช่วง บางทีเขาก็ทึ่งกับความสามารถแยกประสาทการรับรู้ของรุ่นพี่ เธอหันไปหยิบสมุดเล่มใหญ่ออกจากชั้นด้านหลังแล้วยื่นให้เขา

“เอ้านี่ เซ็นซะ”

“พี่บู๊จะกลับมาเหรอพี่บุ๋ม?”

พิงภพคุ้นเคยกับบูรพาผู้เป็นเจ้าของบลูแซนด์แต่ไม่ถึงกับสนิท เพราะว่าพี่ชายของบุณฑริกมีกิจการหลายอย่างทั้งในไทยและต่างประเทศ ดังนั้นตลอดปีจึงเดินทางไปโน่นมานี่ไม่หยุด ปีหนึ่งๆ จะมาเยี่ยมบลูแซนด์แน่นอนก็คือช่วงฉลองปีใหม่กับพนักงานเท่านั้น

“เปล่า พี่ก็อยากให้มาอยู่เหมือนกัน พอดีเขาโทรมาบอกเรื่องหลานชาย...ไม่ใช่หลานแท้ๆ หรอก เป็นลูกของเพื่อนที่เคยช่วยดูแลที่เมลเบิร์นว่ากลับมาเมืองไทยแล้ว แต่ไม่ได้ทำงานประจำก็เลยจะให้มาช่วยงานที่นี่ เห็นว่าเจ้าตัวอาจจะแอบมาเกาะเต่าได้สักพักละ แต่ไม่รู้ไปซ่อนอยู่ไหนถึงไม่มารายงานตัวสักที”

“ลูกของเพื่อนที่เมลเบิร์น? เป็นฝรั่งเหรอ?”

พิงภพเซ็นชื่อพลางถามไปพลาง บุณฑริกโบกมือก่อนจะร่ายยาว

“คนไทยนี่แหละ พ่อของเขาเป็นเพื่อนตั้งแต่สมัยเด็กของพี่บู๊ คือเพื่อนคนนี้น่ะเคยแต่งงานมีลูกชายกับเมียคนแรกก่อนจะไปแต่งงานใหม่ พอเมียคนแรกเสียก็เลยรับลูกไปอยู่ด้วย แต่เด็กคนนี้เข้ากับแม่เลี้ยงไม่ได้ก็เลยถูกส่งไปเรียนที่เมลเบิร์นตั้งแต่อายุสิบสามสิบสี่ พี่บู๊อยู่ที่โน่นก็เลยช่วยดูแล แกคงถูกชะตาก็เลยเอ็นดูเหมือนเป็นลูกของตัวเองเลย เมื่อก่อนพี่บินไปหาบ่อยก็เลยได้เจอหลานคนนี้เหมือนกัน หลังเรียนจบเขาก็ออกมาช่วยงานพี่บู๊ เด็กคนนี้มีหัวด้านธุรกิจมากนะ แล้วก็มีสัมมาคารวะกับผู้ใหญ่ถึงจะหน้าตาไม่ค่อยยิ้มแย้มก็เถอะ”

พิงภพได้แต่คิดว่าอย่างกับพล็อตละครหลังข่าว แต่ปากกลับถามอีกอย่าง

“แล้วถ้าเขามาจะให้มาช่วยงานส่วนไหนอะ?”

“ยังไม่รู้เหมือนกัน คงแล้วแต่ว่าเจ้าตัวอยากทำอะไร เขาน่าจะอายุราวๆ พุธนี่แหละมั้ง พี่ชอบชื่อจริงเขามากเลย ชื่ออทิตยะ เห็นว่าแม่ตั้งให้ จะได้เข้ากับชื่อแม่ว่ารัตติกาล”

“อืม...แต่ถ้าไม่รู้ว่าเขาอยู่ไหนบนเกาะ พี่บุ๋มก็ไปตามตัวไม่ถูกน่ะสิ?”

“นั่นแหละปัญหา เกาะเราไม่ได้ใหญ่แต่มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาตลอด จะไปไล่ถามชาวบ้านก็ใช่เรื่อง เดี๋ยวโดนระแวงว่าเป็นผู้ร้ายหนีคดีไปซะอีก ถึงหน้าตาจะดูคล้ายๆ พระเอกซีรีส์ Prison Break ที่พี่เคยชอบดูก็เถอะ”

บุณฑริกเอ่ยแล้วหัวเราะร่วน พิงภพรู้สึกเหมือนมีบางอย่างสะกิดใจ แต่ก็บอกไม่ถูกว่าเพราะอะไร

“โอเค ขอให้เจอเร็วๆ ก็แล้วกัน งั้นผมไปเตรียมตัวสอนก่อนล่ะ”

“จ้า ว่าแต่ถ้าเจอใครท่าทางแปลกๆ ก็มาบอกด้วยนะ เผื่อจะใช่คนที่กำลังตามตัวกันอยู่”

“ได้ ถ้าเจอคนแบบนั้นผมจะรีบบอก”

พิงภพตอบกลั้วหัวเราะก่อนจะไปที่ห้องครัวพนักงาน หลังกินขนมปังปิ้งง่ายๆ กับกาแฟร้อนก็เดินต่อไปที่ห้องซึ่งจัดไว้สำหรับสอนทฤษฎีดำน้ำ เมื่อเริ่มทำการสอนก็ลืมเรื่องที่คุยกับบุณฑริกโดยสิ้นเชิง

 

++------++

 

อทิตยะยกข้อมือที่พันผ้าบัฟขึ้นเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก นึกรำคาญหนังตาที่กระตุกเป็นระยะตั้งแต่หลายนาทีก่อน เมื่อเช้าเขาลุกมาเข้าห้องน้ำตอนหกโมงเพราะได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจากห้องข้างๆ แล้วไม่อยากนอนต่อก็เลยขับมอเตอร์ไซค์ออกมาจอดแถวท่าเรือ จากนั้นก็วิ่งจ็อกกิ้งเลียบทางขึ้นเขา กระทั่งสุดถนนก็วนลงมาทางเดิมเพื่อกินมื้อเช้าก่อนจะกลับ

ร่างสูงสะบัดมือและขาเพื่อคลายกล้ามเนื้อ สายลมยามเช้าช่วยคลายความร้อนหลังวิ่งจนเหงื่อโชก ข้อดีของการอยู่บนเกาะที่ขึ้นชื่อเรื่องวิถีฮิปปี้คือรอยสักเต็มตัวของเขาไม่ใช่เรื่องแปลก แถมด้วยวิถีการใช้ชีวิตที่ไม่ซับซ้อน...เขาคิดว่าตัวเองถูกใจที่นี่มากกว่ากรุงเทพฯ มันทำให้นึกถึงวัยเด็กที่อยู่กับแม่สองคนที่ลำปาง ตื่นเช้าขึ้นมาก็เดินไปตลาดซื้อของและตักบาตรด้วยกัน เวลาเบื่อๆ ก็ปั่นจักรยานข้ามสะพานไปนั่งริมแม่น้ำ ถ้าไม่ใช่เพราะแม่จากไปด้วยปัญหาสุขภาพจนพ่อต้องรับไปอยู่ด้วย...ตอนนี้เขาก็อาจจะยังมีความสุขกับชีวิตสมถะแบบนั้นอยู่

แววตาของอทิตยะกร้าวขึ้นเมื่อคิดถึงตรงนี้ ตอนเด็กเขาแทบไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับพ่อ รู้แค่ว่าผู้ชายคนนั้นทิ้งเขากับแม่ไปตั้งแต่ก่อนเข้าอนุบาล ส่วนแม่ก็ไม่แต่งงานใหม่ทั้งที่มีผู้ชายดีๆ มาเสนอตัวมากมาย หลังแม่เสียแล้วญาติที่ลำปางไม่ออกตัวรับเขาไปดูแลสักคน พ่อเลยมารับไปอยู่ด้วยทั้งที่ตัวเองแต่งงานใหม่แล้ว แต่เขากลับไม่รู้สึกซาบซึ้งสักนิด ถ้าจะบอกว่าผู้ชายคนนั้นมีพระคุณอยู่บ้าง ก็คงเป็นเรื่องที่ส่งไปอยู่กับบูรพาที่ออสเตรเลีย ถ้าไม่ได้บูรพาซึ่งเขาเรียกอย่างสนิทสนมว่าป๋าคอยอบรมสั่งสอน ป่านนี้เขาอาจเลือกเส้นทางชีวิตผิดไปแล้วก็ได้

บรรยากาศที่ท่าเรือยามเช้าจอแจเพราะเรือเฟอร์รี่ลำใหญ่กำลังจะเข้าเทียบ เขารู้ว่าอีกสักพักบริเวณนี้จะเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวที่เพิ่งข้ามมาจากชุมพร เช่นเดียวกับนักท่องเที่ยวที่จะขึ้นเรือเพื่อกลับฝั่ง ความคึกคักซึ่งเกิดขึ้นทุกวันช่วยพยุงธุรกิจบนเกาะและสร้างชื่อเสียงให้คนรู้จักไปทั่วโลก

อทิตยะเดินเข้าไปนั่งในร้านอาหารตามสั่งใกล้ท่าเรือ จากนั้นก็สั่งข้าวราดแกงง่ายๆ มากิน การใช้ชีวิตกับบูรพาซึ่งชอบทำอาหารใต้รสจัดทำให้เขาเคยชินกับอาหารเผ็ดร้อน ระหว่างที่นั่งกินข้าวก็มองดูผู้คนเดินสวนกันไปมาบนสะพานไม้ แต่เมื่อเห็นใบหน้าคุ้นตาท่ามกลางกลุ่มคนที่กำลังเดินไปขึ้นเรือก็เลิกคิ้ว

เจ้าหนุ่มลูกครึ่งนั่น...จะกลับฝั่งวันนี้รึ

กลุ่มคนที่ผู้ชายคนนั้นเดินด้วยต่างหอบหิ้วกระเป๋าขนาดใหญ่ อทิตยะไม่ค่อยสนใจดูโทรทัศน์ของเมืองไทย แต่ก็พอจะเดาได้จากอุปกรณ์ที่เห็นว่าน่าจะเกี่ยวกับการถ่ายทำรายการ

พอนึกถึงการเจอกันเมื่อคืนแล้วก็พานให้นึกถึงคนข้างห้อง เขารู้ตัวว่าอายุน้อยกว่า แต่ท่าทางเก้ๆ กังๆ ของทั้งสองคนทำให้อยากหัวเราะ เพราะเห็นแล้วชวนให้นึกถึงเด็กวัยรุ่นที่ชอบกันแต่ไม่รู้ว่าต้องเริ่มต้นอย่างไร พอถูกแซวเข้าหน่อยก็โกรธ ทำเอาเขาซึ่งไม่ใช่มือใหม่กับเรื่องนี้อดจะแหย่เล่นไม่ได้

แต่การที่ไม่ได้ยินเสียงน่ารำคาญเมื่อคืน...แสดงว่าสุดท้ายก็ไม่ได้ทำอะไรเกินเลยกว่า ‘เพื่อน’ อยู่ดีสินะ

อทิตยะเผลอหัวเราะเมื่อนึกถึงสีหน้าของคนที่มาดันประตูห้องเพียงเพื่อจะบอกว่าไม่ได้เป็นอะไรกับคนที่พามา ถ้าไม่ติดว่ายังไม่ค่อยสนิทกัน เขาจะให้พาสเวิร์ดไปดูหนังจากเว็บที่เขาเป็นสมาชิก จะได้ศึกษาแล้วหัดทำตามซะให้สิ้นเรื่อง

“อ้าว ทำไมวันนี้นายมานั่งกินข้าวแถวนี้ล่ะ?”

เสียงอันคุ้นเคยเรียกความสนใจของอทิตยะ เขามองเอมี่ที่นั่งลงฝั่งตรงข้ามในชุดเสื้อยืดเอวลอยกับกางเกงขาสั้น บนใบหน้าสวมแว่นกันแดดกรอบใหญ่ แต่ที่ทำให้เขามุ่นคิ้วคือกระเป๋าล้อเลื่อนที่วางอยู่ข้างๆ

“เธอนั่นแหละ จะไปไหน?”

“ฉันก็มีงานต้องกลับไปทำสิจ๊ะ มาเที่ยวตั้งหลายวันแล้ว ขอโทษค่ะ ขอน้ำสัปปะรดปั่นแก้วนึง”

ท้ายประโยคหญิงสาวหันไปยื่นแก้วเก็บความเย็นให้เจ้าของร้าน จากนั้นก็เลื่อนแว่นกันแดดขึ้นคาดผมแล้วยิ้มหวาน

“อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ ตอนนี้ได้เพื่อนใหม่แล้วไม่ใช่เหรอ ไม่ต้องกลัวว่าจะเหงาหรอกน่า”

“ใครเป็นเพื่อนใหม่ ก็บอกแล้วว่าแค่อยู่ห้องติดกันเฉยๆ”

“แหม ขนาดไม่เอ่ยชื่อยังรู้ว่าหมายถึงใคร อย่างนี้ฉันไม่ต้องช่วยยุก็ได้มั้ง”

“เอมี่...”

“รู้แล้วๆ ไม่แซวแล้วก็ได้ นายนี่นะ ปิดโอกาสตัวเองชะมัดเลย”

“หมอนั่นไม่ใช่สเป็กฉัน อีกอย่างเขาก็มีแฟนอยู่แล้ว ฉันไม่มีรสนิยมชอบแย่งของจากคนอื่น”

เอมี่หลิ่วตาอย่างล้อเลียนกับประโยคแรก ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเลิกคิ้วสูงกับประโยคหลัง

“ฮ้า? ไม่จริงน่ะ!? วันพุธมีแฟนแล้วเหรอ? ผู้ชายหรือผู้หญิง?”

“จะผู้ชายหรือผู้หญิงแล้วต่างกันตรงไหน? มีแฟนแล้วก็คือมีแฟนแล้ว เมื่อคืนเขาก็พาขึ้นไปนอนบนห้องด้วยกัน”

“หึ ตอบเฉไฉแบบนี้แสดงว่าผู้ชาย ถ้างั้นนายก็ยังมีความหวัง อีกอย่างฉันก็เคยนอนเตียงเดียวกับนายตั้งหลายหน เคยได้มีอะไรกันสักครั้งไหมล่ะ?”

“ริคได้ต่อยฉันตายพอดี อีกอย่างแค่คิดว่าจะให้มีอะไรกับเธอฉันก็หมดอารมณ์แล้ว”

“แหม หุ่นฉันออกจะแซ่บขนาดนี้ มีแต่นายคนเดียวนี่แหละที่ตาไม่ถึง”

“ไปตัดนมกับต่อข้างล่างแล้วค่อยว่ากัน ไว้ตอนนั้นจะลองคิดดู”

คำพูดขวานผ่าซากทำเอาคนฟังระเบิดหัวเราะดังลั่น แต่อทิตยะกลับตักข้าวเข้าปากอย่างไม่ยี่หระสายตางุนงงจากโต๊ะอื่น เอมี่รับน้ำสัปปะรดปั่นจากพนักงานก่อนจะใช้ปลายนิ้วกรีดหางตา

“โอ๊ยตาย คนที่ทำฉันขำจนน้ำตาเล็ดได้ก็มีแต่นายนี่แหละ กลับเมลเบิร์นเมื่อไหร่คงคิดถึงนายน่าดู”

ถ้าไม่พูดก็แล้วไป แต่พอได้ยินแล้วอทิตยะก็รู้ว่าเขาคงคิดถึงเพื่อนสนิทคนนี้เหมือนกัน เอมี่เป็นลูกสาวของหุ้นส่วนธุรกิจของบูรพา ดังนั้นตอนที่อทิตยะไปอยู่ที่นั่นใหม่ๆ ยังไม่ค่อยเข้าใจภาษาอังกฤษและไม่มีเพื่อน เอมี่คือคนแรกที่ช่วยให้เขาไม่คิดถึงบ้าน เธอช่วยสอนภาษารวมทั้งแนะนำเพื่อนๆ ให้ จะบอกว่าเป็นเหมือนพี่สาวที่อทิตยะไม่เคยมีก็ว่าได้

“ก็ชวนริคมาเที่ยวสิ ถึงเป็นซีอีโอก็ลางานได้นี่”

“ไว้จะลองดู แต่นายก็รู้ว่าเขาห่วงบริษัทพอๆ กับนายนั่นแหละ โอ๊ะ ถึงเวลาฉันต้องขึ้นเรือแล้วล่ะ ขืนช้าเดี๋ยวไม่มีที่นั่ง”

เอมี่เอ่ยเมื่อเสียงเตือนดังขึ้นจากโทรศัพท์มือถือ พวกเขาจ่ายเงินแล้วเดินออกจากร้าน พอถึงทางเข้าท่าเรือ เอมี่ก็หันมากอดแล้วเขย่งตัวขึ้นหอมแก้ม

“งั้นค่อยเจอกันใหม่นะ ระหว่างฉันไม่อยู่ก็ทำตัวดีๆ ล่ะ ไม่แน่วันพุธอาจถูกใจนายขึ้นมาบ้างก็ได้”

“ถ้าชอบขนาดนั้นก็ไปจีบเองเลยไหม?”

“ฉันมีแฟนแล้วจะต้องเหนื่อยทำไม อีกอย่างฉันว่าเขาน่าจะเข้าทางนายมากกว่า ซิกซ์เซนส์มันบอก”

“ถ้าซิกซ์เซนส์แรงขนาดนั้นก็น่าจะลาออกมาเป็นแม่หมอซะให้สิ้นเรื่อง”

“ยังจะเล่นมุกอีก ไม่เอาละ ขืนต่อปากต่อคำกับนายฉันได้ตกเรือพอดี เดี๋ยวกลับถึงกรุงเทพฯ จะไลน์มาหานะ เทคแคร์ด้วยล่ะ”

“โอเค ฝากสวัสดีริคด้วย”

เอมี่ส่งจูบให้ก่อนจะลากกระเป๋าไปขึ้นเรือ ในสายตาคนรอบข้างอาจดูเหมือนคู่รักที่มาส่งอีกฝ่ายออกเดินทาง แต่พวกเขาต่างรู้ดีว่าไม่ใช่และไม่มีทางเป็นไปได้ เอมี่คือคนที่เข้าใจตัวตนของอทิตยะก่อนที่เขาจะแน่ใจตัวเองด้วยซ้ำ เขารู้ว่าเธอยังรู้สึกผิดกับเรื่องในอดีต ถึงได้พยายามนักหนาที่จะจับคู่ให้

แต่อทิตยะก็รู้ด้วยว่าจุดด่างพร้อยในอดีตของเขาไม่ได้เกิดจากเอมี่ และเพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย อทิตยะก็ให้คำมั่นกับตัวเองว่าจะไม่มีวันเผลอใจให้คนข้างห้องอย่างเด็ดขาด


++---TBC---++

 

A/N: ถ้าวันพุธของเรารู้ตัวว่ามีคนพูดถึงขนาดนี้จะรู้สึกยังไงน้า แล้วมาติดตามกันใหม่สัปดาห์หน้านะคะ :)

 


ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
ปมในใจของเต็มนอกจากเรื่องครอบครัวแล้วยังมีเรื่องอื่นอีกเหรอ
แล้วแบบนี้กว่าซันจะกลับมาที่เกาะอีกครั้งความสัมพันธ์ของเต็มกับวันพุธจะพัฒนาขึ้นบ้างไหมเนี่ย

 :pig4:

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
บทที่ 7

 

การฝึกทักษะเพิ่มเติมและสอบข้อเขียนผ่านไปด้วยดี พิงภพโล่งอกที่นักเรียนทุกคนทำทุกอย่างที่สอนในสระน้ำได้ ไม่ว่าจะเป็นท่ากระโดดลงน้ำที่ถูกต้อง การถอดหน้ากากแล้วสวมใหม่ใต้น้ำ การขอแบ่งอากาศจากเพื่อน รวมถึงทักษะอื่นๆ ที่ต้องสอบใต้ทะเลจริงในวันรุ่งขึ้น

“พรุ่งนี้เรือจะออกตอนเจ็ดโมงครึ่ง ดังนั้นสักเจ็ดโมงนิดๆ ให้ไปเจอกันที่ห้องอาหารหน้าหาดนะครับ สำหรับตอนนี้ก็ยกกระเป๋าอุปกรณ์ไปวางหน้าห้องเก็บของได้เลย แล้วจำเลขที่ติดอยู่บนกระเป๋าของตัวเองด้วย พรุ่งนี้มาถึงจะได้หยิบลงเรือง่ายๆ”

พิงภพเอ่ยตบท้าย หลังจบการสอนประจำวันก็เดินไปที่ห้องสำนักงาน เขียนชื่อกลุ่มตัวเองบนไวท์บอร์ดสำหรับเช็กชื่อบนเรือวันรุ่งขึ้น ลงชื่อเลิกงานแล้วก็เดินออกไปที่ห้องอาหาร

เหล่านักดำน้ำและแขกของรีสอร์ตกำลังนั่งกินมื้อเย็นกันแน่นขนัด พิงภพเห็นสเวนนั่งอยู่คนเดียวก็เลยเข้าไปนั่งด้วย

“ขอฉันนั่งด้วยนะ แล้วมาริอุสกับลีล่ะ?”

“ไปหลีดกลุ่มที่ลงไนต์ไดฟ์กันอยู่ อีกสักพักคงกลับมา”

สเวนตอบพลางตักอาหารเข้าปาก พิงภพก็เลยเรียกพนักงานมาสั่งข้าวผัดหมู ราวครึ่งชั่วโมงถัดมาเหล่านักดำน้ำภาคกลางคืนก็กลับเข้าฝั่ง เขาเอ่ยปากถามทันทีที่เห็นมาริอุสกับลีเดินมาที่โต๊ะ

“เป็นไงมั่ง ไนต์ไดฟ์คืนนี้?”

“ไม่ไหว คลื่นแรง น้ำขุ่น มีแต่ตะกอนทราย”

“กลุ่มฉันยังดีหน่อยที่ได้เจอปลากระเบน แต่ก็น้ำขุ่นจนแทบไม่เห็นอะไรจริงๆ แหละ”

“คืนนี้ข้างขึ้น คลื่นก็เลยสูงแถมลมแรงด้วย ต้องทำใจล่ะนะ”

สเวนเอ่ย เป็นเรื่องปกติที่นักดำน้ำประสบการณ์สูงจะต้องรู้หลักการน้ำขึ้นน้ำลง รวมถึงวิธีอ่านกระแสคลื่นเพื่อความปลอดภัย ถึงจะไม่ชำนาญเท่าชาวประมงที่ใช้เวลาทั้งวันในทะเล แต่ก็เป็นความรู้พื้นฐานเพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่หลีกเลี่ยงได้

ลีกับมาริอุสมองตากันแล้วยิ้มซุกซน ก่อนที่มาริอุสจะชี้นิ้วหมุนเป็นวงมาทางสเวน

“แต่ถึงไม่เห็นอะไรดีๆ ใต้น้ำ ก็มีคนเห็นอะไรดีๆ บนบกนี่นา ใช่ไหมสเวน?”

“อย่าไปแซวพุธน่า”

พิงภพเลิกคิ้วเมื่อจู่ๆ เป้าการสนทนาก็พุ่งมาหาตัวเอง เขามองรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของเพื่อนทั้งสามแล้วมุ่นคิ้ว

“อะไรอีกล่ะพวกนาย เกี่ยวอะไรกับฉัน? สเวน วันนี้นายไม่ได้ออกไปดำน้ำตั้งแต่เช้าเหรอ?”

“เมื่อเช้าฉันเป็นเวรเฝ้าห้องเก็บของ พอดีทุกคนมาเบิกอุปกรณ์กันเร็วก็เลยว่าง กะจะออกไปซื้อกาแฟเสียหน่อย แต่พอดีผ่านไปทางอาคารที่พักของแขก ก็เลยได้เห็นเรื่องเซอร์ไพรส์เข้า”

สเวนเอ่ยเสียงเนิบตามสไตล์ แต่พิงภพร้อนหน้าวูบทันทีเพราะเดาได้ว่าเพื่อนเห็นอะไร ลีมองหน้าเขาแล้วก็หัวเราะ

“โหพุธ! ฉันเพิ่งเคยเห็นนายหน้าแดงเป็นลูกมะเขือเทศก็ครั้งนี้แหละ!”

  “เมื่อวานก็ไม่เห็นบอกสักคำว่าเป็นคนพิเศษ ไอ้เราก็นึกว่าเพื่อนเฉยๆ”

มาริอุสพูดแล้วหัวเราะบ้าง ส่วนสเวนเพียงแต่ยิ้มอ่อนๆ จนพิงภพหมั่นไส้ ถึงจะพูดน้อยกว่าใครในกลุ่ม แต่เจ้าหมอนี่แหละที่มักรู้ข่าวสารทุกอย่างเป็นคนแรก

“ก็เป็นเพื่อนกันจริงๆ รู้จักกันมาตั้งแต่ ม.ต้น ถึงจะไม่ได้เจอกันนานแล้วก็ยังเป็นเพื่อนกันอยู่”

พิงภพรีบแก้ตัวเป็นพัลวัน เขาไม่ได้พูดปดเลยสักคำ ภาณุกรจะคิดอย่างไรเขาไม่รู้ แต่สำหรับพิงภพแล้วการใช้คำอื่นบรรยายความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขามันจั๊กจี้พิกล

เพื่อนต่างชาติทั้งสามมองหน้ากัน จากนั้นก็หันมามองพิงภพเป็นตาเดียว

“นี่ นายกลัวพวกฉันรับไม่ได้เหรอ?”

“กับเจ๊เพ็ชชี่พวกฉันยังไม่มีปัญหาเลย อีกอย่างพวกเราไม่ได้ใจแคบแบบนั้นซะหน่อย ไม่ต้องห่วงหรอกพุธ”

‘เจ๊เพ็ชชี่’ หรือชื่อเล่นจริงๆ ว่าเพชรเป็นครูสอนดำน้ำอาวุโสที่มีประสบการณ์ร่วมยี่สิบปี และเป็นครูคนเดียวของบลูแซนด์ที่เป็นสาวข้ามเพศอย่างเปิดเผย ทว่าด้วยนิสัยโผงผางร่าเริงแบบเจ๊ใหญ่ ทำให้เป็นที่เลื่องลือจนนักเรียนใหม่หลายคนเจาะจงว่าอยากเรียนกับครูคนนี้

“เจ๊เพ็ชชี่กับฉันไม่เหมือนกัน ฉันแค่...ไม่ได้กลัวพวกนายรับไม่ได้หรอก แต่ฉันกับซันไม่ได้เป็นอะไรกันมากกว่าเพื่อนจริงๆ”

“แต่สเวนบอกว่าเห็นหมอนั่นหอมแก้มนาย เพื่อนผู้ชายที่นี่เขาไม่ทำแบบนั้นกันไม่ใช่เหรอ? ที่ประเทศฉันก็ไม่ทำนะ”

มาริอุสถามหน้าตายจนพิงภพอยากจะมุดหัวลงใต้โต๊ะ “นั่นมัน เอ่อ...ไม่มีความหมายอะไรหรอก ก็แค่หยอกกันเล่น แถมวันนี้หมอนั่นก็กลับกรุงเทพฯ ไปแล้ว อาจจะไม่ได้เจอกันอีกก็ได้”

พอพูดไปแล้วก็ใจหาย จริงอยู่ที่ความสับสนในใจยังหนักหน่วง แต่อาจจะดีกว่าถ้าเขากับภาณุกรคงความทรงจำที่ดีระหว่างกันไว้ในการจากลาเมื่อเช้า ทั้งสองไม่ใช่เด็กวัยรุ่นที่อารมณ์แปรผันตามฮอร์โมนอีกแล้ว และอย่างน้อยครั้งนี้เขาก็ไม่ได้วิ่งหนีอย่างขี้ขลาด

ทั้งโต๊ะเงียบไปเหมือนกำลังพิจารณาคำพูดของเขา ก่อนสเวนจะยกมือขึ้นตบบ่าพิงภพดังปุ

“งั้นก็ช่างเถอะ นายจะตัดสินใจเรื่องนี้ยังไงก็ตาม แต่ลูกผู้ชายยุคนี้เขาเลิกเหยียดรสนิยมของคนอื่นกันแล้ว เอาเป็นว่าพวกฉันอยู่ข้างนาย ไม่ต้องห่วง”

“โว่ว นี่ครั้งแรกเลยนะที่ฉันได้ยินสเวนออกความเห็นเรื่องของเพื่อนยาวขนาดนี้ นายเก่งมากพุธ”

น้ำเสียงชื่นชมของมาริอุสเรียกเสียงหัวเราะจากพิงภพกับลี รวมทั้งสายตาเอือมระอาจากสเวนได้พร้อมกัน บรรยากาศชวนอิหลักอิเหลื่อพลันสลายไป สตาฟรุ่นพี่ที่กินข้าวเสร็จแล้วเรียกพวกเขาให้ไปร่วมวง จากนั้นก็มีคนเปิดหัวข้อเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมไปดำน้ำที่ต่างจังหวัด เนื้อหาที่เกี่ยวกับทุกคนช่วยให้พวกเขาเบนความสนใจจากเรื่องของพิงภพได้ในเวลาอันสั้น 

               

++------++

 

คืนนั้นพิงภพกลับถึงอพาร์ตเมนต์เกือบสี่ทุ่ม เขาเลื่อนมอเตอร์ไซค์เข้าจอดใต้หลังคาด้วยความโล่งอกที่เห็นไฟชั้นสองสว่างไสว เพราะคืนนี้อากาศร้อนอบอ้าว ถ้าหากไฟดับเหมือนเมื่อคืนคงนอนไม่หลับแน่

ที่จริงน่าจะขอเบอร์โทรหรือไลน์ของเต็มไว้ ยังไงก็อยู่ห้องติดกัน เผื่อมีเรื่องแบบนี้อีกจะได้โทรถามหรือเตือนหมอนั่นได้...

ชายหนุ่มคิดขณะเดินขึ้นห้อง ความมืดจากช่องใต้ประตูห้องข้างๆ ทำให้ไม่รู้ว่าเจ้าของห้องหลับแล้วหรือยังไม่กลับ แต่ถ้ายังไม่กลับก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะสภาพที่เมาเละเมื่อเช้าวันก่อนแสดงว่าคงปาร์ตี้เก่งใช่ย่อย

“ตั้บๆๆๆ ตุ๊กแก...ตุ๊กแก”

พิงภพสะดุ้งกับเสียงที่จู่ๆ ก็ดังทะลุความเงียบ เขาไม่แน่ใจว่าต้นเสียงอยู่ไหนและไม่อยากจะเห็นด้วย หลังไขกุญแจเข้าห้องก็เลยรีบเปิดไฟ หลังดูจนแน่ใจว่าไม่เห็นเจ้าสัตว์เลื้อยคลานน่ารังเกียจถึงหายใจโล่งขึ้น

คืนนี้อากาศร้อนอ้าวมากจริงๆ หลังอาบน้ำแล้วพิงภพเลยใส่แค่กางเกงขาสั้นโดยไม่ใส่เสื้อ แล้วก็ไขเปิดหน้าต่างบานเกล็ดและประตูหลังห้องโดยปิดแค่มุ้งลวดกันยุง ความจริงห้องของเขาก็มีแอร์ แต่เพราะมันเสียงดังและเปลืองค่าไฟ ดังนั้นถ้าไม่ร้อนจนสุดทนจริงๆ ก็จะเปิดแค่พัดลมเท่านั้น

ชายหนุ่มเอนตัวพิงหมอนที่ตั้งขึ้นแล้วหยิบโทรศัพท์มากดโทรออก หลังฟังเพลง I Know You Want Me ของ Pitbull ซึ่งเป็นเพลงรอสายสักครู่ เจ้าพี่ชายของเขาก็รับสาย

“โหล?”

“เฮีย พุธนะ ทำไมซันกลับมาแล้วไม่บอกกันวะ?”

“อ้าวเฮ้ย! ไม่ได้คุยกันตั้งนาน แกโทรมาเพื่อถามเรื่องเนี้ยนะ?”

พีรัชถามแล้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดี พิงภพได้แต่กลอกตาขณะเอนพิงหมอนมากขึ้น

“หลักๆ ก็เรื่องนี้แหละ นี่ถ้าซันไม่บอกเองก็คงไม่รู้ว่าแอบไปเจอเฮียมา”

“อ้าว? ตกลงได้เจอกันด้วยเหรอ? ซันก็มาหาที่ร้านจริงๆ แต่เฮียไม่รู้เลยนะว่าเขาจะไปหาแกต่อ”

เสียงของพีรัชแสดงความแปลกใจอย่างจริงจัง พอรู้ว่าเจ้าตัวไม่รู้เห็นเรื่องที่ภาณุกรจะมาเกาะเต่า น้ำเสียงของพิงภพก็อ่อนลงนิดหน่อย

“ซันได้เป็นพระเอกโฆษณาสินค้า แล้วกองถ่ายเขาบังเอิญมาถ่ายทำที่นี่ก็เลยได้เจอกัน ซันบอกว่าถามเฮียมาก่อนแล้วว่าพุธทำงานอยู่ที่ไหน ทำไมไม่โทรหรือไลน์มาบอกอะว่าได้เจอ อย่างน้อยก็จะได้รู้ก่อนว่าซันกลับมาไทยแล้ว”

“เฮ้อ รู้หรือไม่รู้แล้วจะเป็นยังไง ก่อนจะมาว่าเฮีย แกลองนึกดูนะ แกโกรธซันมากเมื่อตอน ม.ปลายที่จะย้ายไปแคนาดา หลังจากนั้นก็ไม่เคยติดต่อหรือพูดถึงเขาสักคำ ตอนซันมาหาเฮียแล้วถามว่าแกทำงานอยู่ที่ไหน เฮียก็เล่าให้ฟังเพราะไม่ใช่ความลับ แต่ที่เฮียไม่โทรบอกเพราะนึกว่าแกยังโกรธเขาอยู่ สมมติว่าเฮียโทรไปบอกจริงๆ แล้วแกอารมณ์เสีย มาวีนใส่เฮียว่าไม่ได้อยากรู้ เฮียก็ผิดอยู่ดีไหมวะ?”

มีเสียงผู้หญิงดังลอดสายมาแว่วๆ ว่า ‘อย่าไปดุน้องสิ’ พิงภพรู้ทันทีว่านั่นคือเสียงของอรดี พี่สะใภ้ของเขาเอง ชายหนุ่มเริ่มละอายเพราะพี่ชายพูดมีเหตุผล เก้าปีมานี้เขาทำเหมือนไม่เคยรู้จักคนชื่อภาณุกร ไม่แปลกถ้าคนรอบตัวจะนึกว่าเขายังไม่หายโกรธเรื่องสมัยวัยรุ่น

“ก็...เรื่องมันผ่านมาตั้งนานแล้ว เลิกโกรธไปนานแล้วด้วย ถึงเฮียโทรมาบอกก็ไม่หงุดหงิดหรอกน่า”

“เฮอะ ใครมันจะไปรู้ล่ะ เออๆ ผ่านไปแล้วก็ช่างมัน แล้วเป็นไงล่ะ ได้เจอกันแล้วนี่”

เป็นไงเหรอ... พิงภพรู้ตัวทันทีว่าที่หน้าร้อนไม่ใช่เพราะอากาศอบอ้าว แต่จะให้บอกได้ยังไงว่าโดนเจ้าเพื่อนลูกครึ่งตอดเล็กตอดน้อยไปตั้งหลายที

“ก็ตกใจเพราะไม่นึกว่าจะเจอ แต่ห่างกันไปหลายปีก็เลยคุยกันแบบไม่ค่อยสนิทเหมือนเมื่อก่อน แต่อย่างน้อยก็คุยกันดีๆ นะ ไม่ได้ทะเลาะกันสักคำ”

มีเสียงคราง ‘หืมมม’ จากปลายสายควบกับเสียงหัวเราะของอรดี ทำเอาพิงภพนึกสงสัยว่าพี่ชายของเขากำลังทำหน้าแบบไหนอยู่

“ถ้างั้นก็ดีแล้ว ตอนบอกว่าเจอกันเฮียก็ตกใจว่าจะมีวางมวยหรือเปล่า เพราะตอน ม.ปลายนั่นแกดูโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงมาก”

“ทำไมเฮียมองน้องตัวเองในแง่ร้ายจังวะ ใครมันจะไปต่อยเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันตั้งนาน แถมซันตัวใหญ่กว่าพุธตั้งเยอะ เอาเถอะ ถือว่าจบเรื่องนี้ก็แล้วกัน แล้วช่วงนี้ยิหวาเป็นไงมั่ง”

“จะเป็นไง ก็ซนเป็นลิงเหมือนเดิม แต่ไม่นานนี้เพิ่งบอกว่าอยากหัดสักบ้าง เฮียเลยบอกให้ตั้งใจเรียน ถ้าสอบแล้วได้เกรดดีจะซื้อหนังเทียมให้ลองสัก ก็ดีนะ เหมือนเห็นตัวเองตอนเด็กๆ ที่อ้อนพ่อให้สอนเรา”

พิงภพยิ้มเมื่อนึกถึงเรื่องในวันเก่าก่อน เขาคุยกับพีรัชอีกนิดหน่อยก่อนจะคุยกับอรดีบ้าง แต่น่าเสียดายที่ยิหวาหลับแล้วก็เลยไม่ได้คุยด้วย ก่อนวางสายก็กำชับไปอีกครั้ง

“ช่วงนี้ไฮซีซันก็เลยงานยุ่งหน่อย แต่ถ้าเฮียว่างก็พากันมาเยี่ยมมั่งสิ ห้องของบลูแซนด์ที่ไม่แพงก็มีนะ โอเค...ถ้าจะมาก็บอกแล้วกัน...ฝากหวัดดีแม่ด้วย แล้วค่อยคุยกันใหม่ บาย”

พิงภพกดตัดสาย พอกำลังจะปิดไฟนอนก็ได้ยินเสียงเคาะประตู เขานั่งนิ่งเพราะนึกว่าหูฝาด แต่แล้วเสียงเคาะก็ดังอีกเลยเดินไปดูที่ช่องตาแมว แล้วก็ยิ่งแปลกใจมากขึ้นเมื่อเห็นว่าเป็นใคร

“ว่าไงเต็ม มีอะไรเหรอ?”

เขาเอ่ยถามหลังเปิดประตูให้ คนเคาะทำท่าชะงักนิดหนึ่ง แต่ก็นิดเดียวจริงๆ จนพิงภพไม่แน่ใจว่าตาฝาดหรือเปล่า

“ขอโทษ ไม่รู้ว่ากำลังจะอาบน้ำ”

“หา? ไม่ใช่ๆ นี่กำลังจะนอนแล้ว พอดีอากาศร้อนก็เลยไม่ได้ใส่เสื้อ”

พิงภพอธิบายเมื่อเห็นอีกฝ่ายเข้าใจผิด ขณะที่กำลังจะถามซ้ำว่ามีธุระอะไรก็ได้ยินเสียงอื่นตัดหน้า

“ตั้บๆๆๆ ตุ๊กแก”

ทั้งสองยืนตัวแข็ง แต่ครั้งนี้พิงภพเดาได้ว่าต้นเสียงอยู่ไหนเพราะมันดังใกล้มาก เขาทำตาโตพร้อมกับชี้ไปทางห้องข้างๆ

“นี่ อย่าบอกนะว่าตุ๊กแกมัน...”

“เกาะอยู่หลังประตู เมื่อกี้เปิดเข้าไปก็เจอเลย ไม่รู้ว่าเข้าไปได้ยังไงเหมือนกัน”

คนตัวสูงกว่าตอบพร้อมกับทำหน้ามุ่ย พิงภพเดาเหตุผลที่เจ้าตัวมาเคาะประตูแล้วก็ผงะ

“เฮ้ย! เดี๋ยว เราก็ไม่ไหวเหมือนกันนะเว่ย!”

“ฮะ? ไม่ไหวเรื่องอะไร?”

“จะอะไรล่ะ ที่มาเคาะนี่ไม่ใช่จะให้ไปช่วยจับเหรอ บอกก่อนว่าเราก็ไม่ถูกกับสัตว์เลื้อยคลานเหมือนกัน นี่แค่ได้ยินว่ามันซ่อนอยู่หลังประตูยังขนลุกเลย”

เขาพูดพลางบิดต้นแขนให้ดูว่าขนลุกจริงๆ แต่อีกฝ่ายกลับหลับตาเหมือนกำลังใช้ความอดทน

“ไม่ได้จะมาขอให้ไปช่วยจับ ตัวมันใหญ่เป็นฟุตคงไม่มีคนอยากยุ่งหรอก ที่จริงเราโทรหาเจ้าของหอแล้วแต่เขาไม่รับ ก็เลยจะมาถามว่าถ้าคืนนี้ขอรบกวนนอนด้วย...จะสะดวกหรือเปล่า”

คำขออันเหนือความคาดหมายทำเอาพิงภพอึ้ง แต่แล้วก็นึกได้ว่าตัวเองก็เคยรบกวนอีกฝ่ายมาก่อน เลยถอยเข้าห้องแล้วอ้าประตูค้างไว้ให้

“ได้ๆ เข้ามาสิ”

“ตุ๊กแก...ตุ๊กแก....”

เสียงที่ดังมาอีกเหมือนเป็นตัวเร่งให้ทั้งคู่รีบเข้าห้อง พิงภพปิดประตูใส่กลอนแล้วพ่นลมหายใจ

“หลังไฟดับก็ตุ๊กแกบุกเหรอเนี่ย หอนี้ต้องทำพิธีปัดรังควานซะละมั้ง เอ่อ...ห้องเล็กหน่อยนะ”

พิงภพเอ่ยเมื่อเห็นอีกฝ่ายกวาดตามองไปรอบห้อง ถ้าแม่เขามาเห็นคงดุว่าไว้ใจคนง่ายเกินไป แต่พิงภพไม่เห็นว่ามีอะไรน่าขโมยสักอย่าง สมบัติราคาแพงที่สุดของเขาคืออุปกรณ์ดำน้ำที่คืนนี้ฝากไว้ที่รีสอร์ต ส่วนของอีกอย่างที่ไร้ราคาแต่มีคุณค่าทางใจ...ก็ไม่รู้ไปซุ่มซ่ามทำตกหายที่ไหนแล้ว

“ห้องเราก็ไซส์เท่าห้องคุณนั่นแหละ ขอโทษด้วยที่มากวนตอนกำลังจะนอน”

หลังมองไปรอบห้องแล้วคนตัวใหญ่กว่าก็หันมาบอก พิงภพรู้สึกเหมือนอีกฝ่ายเลี่ยงการสบตาเขาตรงๆ แต่ก็ไม่อยากจะคิดมาก

“ไม่เป็นไร ว่าแต่ยังไม่ได้เข้าห้องก็คงยังไม่ได้อาบน้ำล่ะสิ เดี๋ยวอาบแล้วใส่เสื้อผ้าของเราไปก่อนแล้วกัน ฟรีไซส์ทุกตัว ใส่ได้อยู่แล้วล่ะ”

ชายหนุ่มหยิบเสื้อกางเกงและผ้าขนหนูที่เพิ่งซักออกมายื่นให้ อีกฝ่ายรับไปเงียบๆ ก่อนจะกระแอม

“แล้ว...มีฟูกสำรองหรือเปล่า? ไม่งั้นเดี๋ยวใช้ผ้าขนหนูปูรองพื้นเอาก็ได้”

“หา? จะไปนอนพื้นทำไม เตียงเรานอนสองคนได้ เมื่อคืนเรากับซันยังนอนได้เลย เดี๋ยวอาบน้ำเสร็จก็ปิดไฟให้ด้วยแล้วกัน พอดีพรุ่งนี้เราต้องตื่นแต่เช้า คงต้องขอนอนก่อน”

พิงภพตบที่ว่างข้างตัวเหมือนจะเน้นว่าเตียงกว้างพอจริงๆ หลังอึดใจหนึ่งคู่สนทนาก็พยักหน้า

“ก็ได้ งั้นนอนก่อนได้เลย ขอบคุณมาก”

ร่างสูงเอ่ยก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำ พิงภพอดคิดไม่ได้ว่าถึงหมอนี่จะหน้าตาไม่รับแขก แต่ก็นับว่ามีสัมมาคารวะผิดคาด

เอ๊ะ? แล้วทำไมเขาดันนึกถึงคำว่ามีสัมมาคารวะแทนที่จะเป็นมารยาทล่ะ? นี่เขาได้ยินคำนี้จนติดหูมาจากใครหรือเปล่านะ?

พิงภพนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก สุดท้ายก็คิดว่าสิ้นเปลืองเวลาโดยใช่เหตุ เขาหันไปหยิบที่ปิดตามาคาดแล้วเอนตัวลงนอน ไม่ช้าความเหน็ดเหนื่อยก็ปิดกั้นการรับรู้จากทุกสรรพเสียงรอบตัว

               

++------++

 

หลับแล้วสินะ...ค่อยยังชั่ว...

อทิตยะคิดหลังออกมาจากห้องน้ำ เขามองคนที่กำลังนอนตะแคงและส่งเสียงกรนขึ้นจมูกเบาๆ อากาศคืนนี้ร้อนมากจริงๆ แต่เจ้าของห้องกลับเปิดแค่พัดลม ครั้นเขาจะถือวิสาสะเปิดแอร์ก็ใช่เรื่อง เพราะหมอนี่ดันไม่ยอมใส่เสื้อนอน ขืนให้ตากแอร์เดี๋ยวจะไม่สบายไปอีก

สายตาของชายหนุ่มกวาดมองร่างที่หลับไม่รู้เรื่อง เมื่อครู่เขาอึ้งจริงๆ ตอนเห็นพิงภพเปิดประตูให้โดยไม่ใส่เสื้อ ถึงแม้จะรูปร่างค่อนข้างผอม สีผิวใต้ร่มผ้ากับแขนขาก็คล้ำไม่เท่ากัน แต่คงเพราะทำงานที่ต้องออกแรงสม่ำเสมอก็เลยมีกล้ามเนื้อที่ควรมี ไม่ว่าจะบนหัวไหล่ ต้นแขน ปลีน่อง เนินอกที่ไม่ถึงกับแบนเป็นแผ่นกระดาษ แล้วยังเนินสะโพกงอนที่พอเขาเห็นแล้วต้องรีบบอกตัวเองให้ ‘เก็บอาการ’ อีก

พอคิดถึงตรงนี้อทิตยะก็แทบคำราม พิงภพคงไม่รู้ตัวว่าอากัปกริยาก้มๆ เงยๆ หยิบของ หรือแม้แต่คำพูดเชิญชวนโดยไร้ความหมายแฝงนั้นให้ผลตรงกันข้าม ยังดีที่เขาไม่ใช่ผู้ร้ายหื่นกาม แล้วหมอนี่ก็คงไม่ได้ตั้งใจยั่วเพราะไม่รู้ว่าเขาเป็นเกย์ อย่างน้อยนั่นก็เป็นสิ่งที่หลายคนบอกหลังรู้รสนิยมของเขา ขนาดเอมี่ที่ชอบอวดนักหนาว่ามีซิกส์เซนส์ยังเคยพูดว่าถ้าไม่ได้รู้จักกันตั้งแต่เด็กก็คงคาดไม่ถึง

จะอย่างไรก็แล้วแต่...คืนนี้พวกเขาคงต้องนอนร่วมเตียงกันเพราะไม่มีทางเลือก

หลังใช้ผ้าขนหนูซับผมจนหมาด อทิตยะก็ผึ่งผ้าบนราวหน้าห้องน้ำแล้วปิดไฟ เขาเดินกลับไปบนเตียงแล้วล้มตัวหันหลังให้คนที่ตะแคงหันมาหา อย่างน้อยถ้าอีกฝ่ายเผลอตื่นกลางดึก ได้เห็นแผ่นหลังเขาก็คงตกใจน้อยกว่าเห็นหน้า

เสียงตุ๊กแกดังขึ้นมาอีก อทิตยะได้แต่นึกสาปแช่งในใจ ขณะคิดว่าพรุ่งนี้ต้องหาทางไล่มันออกจากห้องให้ได้ คนที่นอนข้างๆ ก็ขยับจนเตียงยวบแล้วมาซุกหน้าบนแผ่นหลังของเขา

อทิตยะแทบกลั้นหายใจ เสียงหัวใจเต้นรัวตึกตักถี่ขึ้นจนหนวกหู เขารีบหลับตาแล้วผ่อนลมหายใจยาวๆ พยายามบอกตัวเองว่าพิงภพคงละเมอ แต่แล้วก็ได้ยินเสียงงึมงำจนต้องเงี่ยหูฟัง

“...ไม่เอาน่ะ...ซัน พอแล้ว...”

ประโยคนั้นเหมือนน้ำเย็นที่สาดลงบนตัว ชายหนุ่มลืมตาโพลง เสียงงึมงำถูกแทนที่ด้วยเสียงหายใจขึ้นจมูก แต่เขารู้ว่าถึงข่มตานอนต่อก็ไม่มีทางหลับลง

ถึงเมื่อคืนจะไม่ได้ยินเสียงอะไรแล้วยังไง ไม่ได้แปลว่าสองคนนี้ไม่ได้ทำอะไรกันเสียหน่อย...

ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนกำลังนอนทับที่ของคนอื่น เขายันตัวลุกจากเตียงแล้วเอนตัวนอนบนพื้น ถึงจะไม่สบายนักแต่ก็ยังดีกว่าขโมยที่ของใคร หลังปิดเปลือกตาก็พยายามบอกตัวเองให้หลับ

                               

++------++

 

เสียงนาฬิกาปลุกเรียกพิงภพให้สะดุ้งตื่น เขารีบกดปิดเสียงที่ตั้งไว้ในมือถือ พอมองไปข้างๆ ก็รู้สึกเดจาวู เพราะเตียงว่างเปล่าอีกแล้ว

“อ้าวเฮ้ย! เต็ม ทำไมลงไปนอนบนพื้นล่ะ?”

พิงภพเลิกคิ้วเมื่อเห็นคนที่นอนตะแคงอยู่ข้างเตียง เขายื่นแขนลงไปแล้วเขย่าไหล่หนา

“เต็ม มานอนบนเตียงเถอะ ไม่เมื่อยรึไงไปนอนตรงนั้น”

มีเสียงคำรามในคอก่อนอีกฝ่ายจะหยีตา แต่พอเห็นเขาก็ตะแคงหนีไปอีกทาง ดูท่าทางคงจะไม่ยอมลุกขึ้นจากพื้น พิงภพไม่รู้จะทำยังไง ก็เลยเอาผ้าแพรคลุมให้และเบี่ยงพัดลมไปหา

ยังไงเราก็ต้องรีบไปทำงาน ถ้าหมอนี่ตื่นมาแล้วอยากนอนต่อก็คงขึ้นไปบนเตียงเองล่ะมั้ง...

ชายหนุ่มคิดพลางคว้าเสื้อกับผ้าขนหนูเข้าห้องน้ำ หลังเดินออกมาเห็นคนที่ยังนอนท่าเดิมก็เลยเขียนโน้ตแล้วใช้แม่กุญแจทับไว้บนโต๊ะ หวังว่าเมื่ออีกฝ่ายตื่นมาอ่านก็คงรู้เองว่าต้องทำอย่างไรต่อ

วันนี้แดดแย้มหน้าออกมาหลังเมฆตั้งแต่เช้า ผืนทะเลราบเรียบไร้คลื่นลูกใหญ่ การสอบภาคปฏิบัติของนักเรียนในกลุ่มจึงผ่านไปด้วยดี พอกลับเข้าฝั่งและคืนอุปกรณ์ที่ห้องเก็บของในช่วงเย็น พิงภพก็แจกสมุดบันทึกการดำน้ำให้ทุกคน

“เดี๋ยวทุกคนจดรายละเอียดตามที่ผมบอกนะ แล้วถ้าต่อไปคิดว่าจะดำน้ำบ่อยๆ ขอแนะนำว่าให้ซื้อไดฟ์คอมพิวเตอร์เป็นอย่างแรก ส่วนอย่างอื่นซื้อมือสองหรือเช่าเอาก็ได้ เว้นว่าอยากได้รุ่นคูลๆ เท่ๆ ก็จัดไปตามที่ชอบเลย”

พิงภพอธิบายพลางชี้ไดฟ์คอมพิวเตอร์บนข้อมือ รูปร่างของมันดูเผินๆ คล้ายนาฬิกา แต่มีจุดเด่นตรงหน้าจอที่ใหญ่กว่า และแสดงตัวเลขบอกความลึกและคำนวณเวลาที่ปลอดภัยสำหรับดำน้ำโดยเฉพาะ หลังจดสมุดบันทึกกันเสร็จเขาก็เซ็นชื่อและประทับตราโรงเรียนให้แต่ละคน

“หิวข้าวชะมัด ไม่นึกว่าดำน้ำจะใช้พลังงานเยอะแบบนี้นะเนี่ย”

“หิวเหมือนกัน เย็นนี้อยากจัดหนักๆ ครูพุธมีร้านแนะนำมั้ยครับ จะให้ดีไปด้วยกันเลยดีกว่า จะได้ถือว่าฉลองให้พวกผมด้วย”

นักเรียนอีกคนหันมาถาม คนที่เหลือก็พยักเพยิดตาม พิงภพเห็นว่าน่าสนุกดีจึงตอบรับ

“ก็ได้นะ ผมมีร้านหมูกระทะเจ้าเด็ดที่ต้องขับมอเตอร์ไซค์ไปหน่อยนึง เดี๋ยวทุกคนไปรอที่ร้านก่อนก็ได้ ผมขอทำธุระแป๊บแล้วจะตามไป”

“ห้ามเทพวกผมนะครู ถ้าไม่ตามมาจะไลน์จิกรัวๆ เลย”

สมาชิกกลุ่มที่ดูเป็นหัวโจกที่สุดแกล้งขู่ พิงภพหัวเราะก่อนจะส่งจีพีเอสของร้านให้ พอเหล่านักเรียนไปกันแล้วถึงค่อยเดินไปห้องสำนักงาน

“อ้าว? ทำไมวันนี้พี่บุ๋มอยู่เฝ้าออฟฟิศคนเดียวล่ะ?”

“วันนี้ร้านพี่ขจรจัดโปรเครื่องดื่มหนึ่งแถมหนึ่ง พวกเด็กๆ ก็เลยขอไปซื้อกัน แต่เดี๋ยวก็คงกลับมาแล้วมั้ง”

หญิงสาวรุ่นพี่เอ่ยขณะยื่นสมุดลงเวลาให้ พิงภพเซ็นชื่อเสร็จแล้วก็หันไปดูตารางบนกระดานไวท์บอร์ด

“พรุ่งนี้ผมมีหลีดกลุ่มฟันไดฟ์ทั้งวันเหรอ?”

“ใช่ มีกลุ่มใหญ่มาลง เรือคงเต็มทั้งสองลำ”

ชายหนุ่มพยักหน้าพลางเรียบเรียงเอกสารเพื่อขอบัตรนักดำน้ำให้นักเรียน บุณฑริกนั่งขยับเมาส์ไปมาครู่หนึ่งก็ยกแขนขึ้นบิดขี้เกียจ

“เย็นนี้กินข้าวด้วยกันมั้ยพุธ? พี่นั่งเช็กบุ๊คกิ้งมาตั้งแต่บ่ายจนไม่ได้กินอะไรเลย หิวไส้จะขาดแล้วเนี่ย”

“อ้าว พอดีผมนัดพวกนักเรียนไว้ที่ร้านเจ๊แอ๋วอะ แต่พี่บุ๋มจะไปด้วยกันก็ได้ ซ้อนรถผมไปนี่แหละ เดี๋ยวกินเสร็จแล้วขับมาส่ง”

“ร้านเจ๊แอ๋ว...ที่เป็นหมูกระทะเหรอ? อืม...แต่นานๆ ทีคงไม่เป็นไร ไดเอ็ตจนหน้าจะเหี่ยวอยู่แล้ว เดี๋ยวพี่โทรถามพวกเด็กๆ ก่อนว่าใกล้จะกลับมารึยัง แน่ะ...พูดถึงก็มาพอดี อายุยืนกันจริงจริ๊ง”

“อะไรพี่บุ๋ม กลับมาปุ๊บก็ให้พรกันเลย”

เหล่าพนักงานฝั่งรีสอร์ตทยอยเดินเข้าออฟฟิศพร้อมเครื่องดื่มและขนม บุณฑริกสั่งงานแล้วเดินตามพิงภพไปขึ้นมอเตอร์ไซค์ที่หน้ารีสอร์ต พอถึงร้านก็เห็นเหล่าเด็กนักเรียนของเขากำลังล้อมวงกินหมูกระทะกันอยู่

“ครูพุธมาแล้ว ทางนี้เลยครับ”

“โทษทีที่ให้รอ ผมพาพี่บุ๋มมาด้วย ทุกคนคงเจอตอนสมัครเรียนไปแล้วเนอะ คนนี้แหละขาใหญ่ของบลูแซนด์”

“นี่จะยกย่องหรือแอบกัดว่าฉันขาใหญ่ยะ…เฮ้ย! นั่นมัน!” 

พิงภพสะดุ้งเมื่อจู่ๆ หญิงสาวรุ่นพี่ก็ลุกพรวดจากเก้าอี้ และยิ่งตกใจเมื่อเธอวิ่งข้ามถนนไปยังร้านโชห่วยอีกฝั่ง พอมองตามก็เห็นบุณฑริกโผเข้ากอดชายหนุ่มคนหนึ่งก่อนจะถอยออกตีแขน แต่ที่ทำให้พิงภพเซอร์ไพรส์หนักกว่าก็คือผู้ชายคนนั้นเป็นคนที่เขาคุ้นหน้ามาหลายวัน แถมเมื่อเช้ายังทำหน้ามุ่ยใส่ตอนโดนปลุกอยู่เลย

เหมือนอะไรบางอย่างคลิกในหัว เขามองบุณฑริกควงแขนผู้ชายคนนั้นแน่นเหมือนกลัวหนี หลังรอจนไม่มีรถวิ่งผ่านก็ดึงอีกฝ่ายข้ามถนนมาด้วย ใบหน้าของเธอยิ้มแย้ม ขัดกับคนข้างๆ ซึ่งคิ้วขมวดมุ่น ดูอย่างไรก็ไม่เต็มใจอย่างสิ้นเชิง

หรือว่าหมอนี่จะเป็น...

“โชคดีจริงๆ ที่ตามพุธมา จำเรื่องหลานของพี่บู๊ที่เคยเล่าให้ฟังได้ไหม นี่ไงพ่อเต็มจอมดื้อ ในที่สุดก็เจอตัวสักที รู้จักกันไว้สิ”

 

++---TBC---++

 

A/N: ตุ๊กแกหนอตุ๊กแก จะบอกว่ามาได้จังหวะดีหรือเปล่าหนอ แล้วมาติดตามว่าเต็มจะถูกแนะนำตัวอย่างเป็นทางการยังไงในตอนหน้านะคะ

 :mew1: :katai2-1: :really2:

 

 

 


ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
เต็มนี่น่าเอ็นดูจริงๆคิดไปเองแล้วก็น้อยใจไปเอง โธ่
ตุ๊กแกรีบเรียกพ่อแม่พี่น้องเพื่อนฝูงมายึดห้องเต็มเถอะ
เขาจะได้นอนด้วยกันอีกหลายๆคืน  :hao3:

 :pig4:

ออฟไลน์ MyLavenderLand

  • ฉันสุขใจ เมื่อได้ Log in เล้า
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1582
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
ตุ๊กแกสื่อรัก แต่เต็มมโนงอลไปก่อน ยังไม่คืบหน้าเลย แถมมาโป๊ะเปิดตัวว่าที่นิวบอสก่อนเวลาด้วย จะจีบง่ายหรือยากกว่าเดิมหล่ะทีนี้คุณเต็ม

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
บทที่ 8



จังหวะแย่ชะมัด...

อทิตยะเห็นสีหน้าประหลาดใจของพิงภพ รวมถึงเหล่าเด็กหนุ่มที่ทำหน้าพิศวงรอบโต๊ะแล้วก็ยิ่งไม่สบอารมณ์ เขาแค่เดินออกมาซื้อบุหรี่เพราะร้านนี้อยู่ไม่ไกลจากอพาร์ตเมนต์ ไม่นึกเลยว่าจะเจอบุณฑริก เขาไม่ได้โกรธที่โดนป่าวประกาศการเจอตัวเหมือนเป็นของหายาก แต่เพราะไม่คิดว่าจะถูกเปิดตัวกับคนข้างห้องแบบนี้ก็เลยหงุดหงิด

“อ้อ คนนี้เหรอที่พี่บุ๋มเคยพูดถึง สวัสดีครับ ผมชื่อพุธ เป็นครูสอนดำน้ำที่บลูแซนด์”

คำทักทายเหนือคาดทำเอาอทิตยะเลิกคิ้ว เขามองรอยยิ้มของพิงภพอย่างไม่ไว้ใจ จะบอกว่าระแวงมากไปก็ได้ แต่นัยน์ตาของอีกฝ่ายดูซุกซนชอบกล

“ทั้งสองคนน่าจะอายุไล่เลี่ยกันเนอะ พอดีเลย เต็มจะได้มีเพื่อนตอนไปเริ่มงาน ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว มานั่งกินหมูกระทะด้วยกันดีกว่า”

“ไม่เป็นไรครับน้าบุ๋ม...”

“ดีครับ จะได้ทำความคุ้นเคยกันไว้ ให้เต็มมานั่งข้างผมก็ได้ นี่เก้าอี้ว่าง”

ไม่พูดเปล่า พิงภพถึงกับหันไปหยิบเก้าอี้จากโต๊ะข้างๆ มาแทรกให้ ส่วนเหล่าเด็กหนุ่มที่ไม่รู้อะไรก็ขยับเก้าอี้ตามกันเหมือนนกกระจอกบนสายไฟฟ้า อทิตยะถอนหายใจแล้วทรุดนั่งแต่โดยดี

“เต็มอยากดื่มอะไรครับ? น้ำเปล่า? น้ำอัดลม? เบียร์? ชาไข่มุก? อ้อ ลืมไป อย่างสุดท้ายนี่ที่ร้านนี้ไม่มีนะ”

ทั้งโต๊ะพากันหัวเราะกับมุกของพิงภพ แต่อทิตยะหรี่ตา เริ่มจะเดาได้เลาๆ ว่ากำลังถูกอีกฝ่าย ‘ตีรวน’

“ขอแค่น้ำเปล่าก็พอ ขอบคุณ”

“ได้เลย น้องครับ พี่ขอแก้วน้ำแข็งแล้วก็จานชามให้พี่คนนี้ชุดนึง จริงสิ เต็มอายุเท่าไหร่ครับ? น่าจะเด็กกว่าผมแน่เลย ถ้างั้นเรียกผมว่าพี่ก็ได้นะ”

คำถามนั้นทำเอาทุกคนมองเขาอย่างใคร่รู้ไปด้วย อทิตยะมองพิงภพที่ทำหน้าซื่อตาใส แกล้งตะล่อมให้เขาเรียกเจ้าตัวว่าพี่ต่อหน้าคนอื่นแล้วนึกอยากตีก้นให้รู้แล้วรู้รอด

“พอดีเราโตเมืองนอก ไม่ถนัดเรียกคนอายุไล่เลี่ยกันว่าพี่ คุณคงแก่กว่าเราไม่เยอะหรอก เรียกชื่อเฉยๆ ก็ได้”

คำตอบของเขาทำเอาพิงภพทำปากยื่นนิดๆ แต่ภาพนั้นกลับทำให้อทิตยะอารมณ์ดีขึ้น เขายกแก้วน้ำขึ้นดื่มเป็นเชิงตัดบท อีกฝ่ายมองเขาแล้วก็หันไปบอกบุณฑริก

“งั้นพี่บุ๋มคุยกับหลานแล้วก็เด็กๆ ไปก่อนนะ เดี๋ยวผมไปตักอาหารให้ มีใครอยากเติมอะไรกันหรือเปล่า?”

“เดี๋ยวผมไปช่วยถือครับครูพุธ กำลังอยากเติมหมูหมักอยู่พอดี”

เด็กหนุ่มคนหนึ่งรีบขันอาสา พิงภพตบไหล่อีกฝ่ายแล้วเดินนำ แต่อทิตยะทันเห็นรอยยิ้มเขินๆ ของคนที่เดินตาม พอเบนสายตากลับมาก็เห็นเพื่อนๆ ของเจ้าตัวอมยิ้มมองกันอย่างรู้ทัน

ไอ้พวกเด็กแก่แดดนี่ หนวดยังไม่ค่อยจะขึ้นก็ริจีบคนแก่กว่าแล้วรึ...

ชายหนุ่มคิดพลางโบกมือเรียกพนักงานมาสั่งเบียร์ ในเมื่อปลีกตัวไม่ได้ก็กินให้อร่อยดีกว่า ถึงโดยปกติเขาจะไม่ค่อยชอบอาหารปิ้งย่างรมควันแบบนี้ก็เถอะ

วงหมูกระทะกินกันไปคุยกันไปอย่างออกรส แต่แน่นอนว่าอทิตยะส่งเสียงแทบไม่ถึงห้าประโยค เวลาล่วงเลยไปจนสามทุ่ม กลุ่มของพิงภพเริ่มอิ่มจึงเรียกพนักงานมาคิดเงิน

“ครูพุธ ไปหาร้านนั่งกันต่อไหมครับ พรุ่งนี้พวกผมก็กลับแล้ว คงไม่ได้มาเกาะเต่าอีกนานเลย”

คำถามนั้นมาจากเด็กหนุ่มที่อาสาลุกไปช่วยพิงภพถืออาหาร ตอนนั้นพวกเขากำลังรอเงินทอน อทิตยะแสร้งทำเป็นไม่สนใจแต่ก็รอฟังคำตอบ

“คงไม่ไหวละ ทุกคนไปกันเถอะ พอดีพรุ่งนี้ผมต้องหลีดกลุ่มฟันไดฟ์ตั้งแต่เช้า กลัวดื่มแล้วเดี๋ยวจะแฮงก์”

มีเสียง “ว้า” จากเหล่าสมาชิก หลังได้เงินทอนแล้วทุกคนก็ลุกจากโต๊ะ อทิตยะได้ยินเด็กหนุ่มคนเดิมถามพิงภพว่าขอไลน์มาถามเรื่องดำน้ำได้ไหม เขาได้แต่กลอกตาและหวังว่าตัวเองจะไม่เคยตื๊อใครแบบนี้

“ไปกันเถอะพี่บุ๋ม เดี๋ยวผมขับรถไปส่ง”

หลังบอกลากันและพวกเด็กๆ ขับมอเตอร์ไซค์แยกไปแล้ว พิงภพก็หันมาบอกบุณฑริก แต่หญิงสาวกลับหันมาหาอทิตยะ

“เต็มล่ะ? นี่พักอยู่ที่ไหน? ความจริงที่บลูแซนด์ก็มีห้องพักสำหรับสตาฟว่างอยู่ จะไปนอนที่นั่นก็ได้นะ”

“โหย ดีจัง ทำไมครูสอนดำน้ำไม่ได้ห้องพักฟรีมั่งล่ะพี่บุ๋ม?”

“แหม ก็นี่เขาหลานพี่บู๊ อีกอย่างรายได้เธอก็ไม่ใช่น้อยๆ จะบ่นทำไม หอที่เธอเช่าอยู่น่ะคุ้มที่สุดบนเกาะแล้ว”

“แต่หอนี้มีตุ๊กแกนะด้วยพี่บุ๋ม แล้วเมื่อวันก่อนก็เพิ่งจะไฟดับทั้งคืน ผมว่าจะไปบ่นกับเจ้าของอยู่เนี่ย”

“ตุ๊กแก?? บรื๋อ ไม่ไหวๆ แค่คิดก็สยองแล้ว ถ้าเจอเจ้าของก็รีบบอกเขาแล้วกัน ไม่งั้นเจอแบบนี้บ่อยๆ ลูกค้าที่ไหนจะกล้าเช่าระยะยาว”

“ใช่เลย เต็มก็คิดเหมือนเราใช่ไหม ตุ๊กแกมันน่าขยะแขยงออกเนอะ”

อทิตยะหรี่ตามองคนที่แสร้งทำหน้าซื่อ นี่ถ้าสนิทกันเขาจะอุ้มหมอนี่โยนลงทะเลสักที

“ถ้าเจ้าของหอรู้คงไม่ปล่อยไว้หรอก ป่านนี้เขาอาจจับมันไปทิ้งแล้วก็ได้”

ชายหนุ่มตอบเสียงไม่สื่ออารมณ์ พอเห็นพิงภพยิ้มตาวาวก็ยกมือขึ้นกอดอก ไม่รู้ทำไมนัยน์ตาของอีกฝ่ายดูจะยิ่งฉายประกายสดใสมากกว่าเดิม

“ถ้างั้นก็ดีแล้วล่ะ เพราะเราก็ไม่ชอบตุ๊กแกเหมือนกัน”

“เดี๋ยวนะ ทำไมพวกเราถึงคุยกันเรื่องตุ๊กแกได้เนี่ย เมื่อกี้น้าแค่จะถามเต็มว่าพักอยู่ที่ไหนนี่นา”

บุณฑริกเอ่ยอย่างงุนงง อทิตยะเองก็พลอยลืมไปด้วยว่ายังไม่ได้ให้คำตอบ

“ผมเช่าห้องอยู่แถวนี้แหละครับน้าบุ๋ม ระยะขับรถก็ไม่ได้ไกลจากบลูแซนด์เท่าไหร่”

“เหรอ... แต่แถวนี้ก็สะดวกดีเพราะใกล้ตลาด หอของพุธก็อยู่แถวนี้นี่นา? บังเอิญจัง งั้นวันหลังไม่ต้องต่างคนต่างขับมอเตอร์ไซค์ นัดเจอกันแล้วซ้อนรถไปทำงานด้วยกันก็ยังได้”

“นั่นสิฮะ น่าจะประหยัดไปได้ตั้งเยอะ”

พิงภพพยักหน้าพร้อมยิ้มยิงฟัน ส่วนอทิตยะไม่ออกความเห็น เขาตอบคำถามของบุณฑริกอีกนิดหน่อยและให้เบอร์โทรศัพท์เมื่อถูกขอ หลังมองพิงภพขับมอเตอร์ไซค์จากไปโดยมีบุณฑริกซ้อนท้าย ชายหนุ่มก็เดินขึ้นเนินเพื่อกลับอพาร์ตเมนต์

ดูท่าทาง...คืนนี้คงไม่ได้นอนง่ายๆ แน่



++------++



พิงภพขับรถไปส่งบุณฑริกที่บลูแซนด์เพราะว่าเธอพักที่นั่น บังเอิญเจอพวกเพื่อนๆ กำลังนั่งคุยกันที่ห้องอาหารก็เลยเข้าไปร่วมวง กระทั่งเกือบจะเที่ยงคืนแต่ละคนถึงแยกย้ายกันกลับ

หวังว่าตุ๊กแกจะโดนจับไปทิ้งแล้วจริงๆ นะ...

ชายหนุ่มขับมอเตอร์ไซค์พลางนึกถึงคนข้างห้อง ตลอดมื้อเย็นนั้นอทิตยะดูไม่เต็มใจที่จะนั่งกับพวกเขาสักนิด บุณฑริกก็คงดูออกแต่แกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้ เขาเสียอีกต้องหาสารพันมุกมาเล่นเพื่อไม่ให้บรรยากาศกร่อยจนนักเรียนของเขากินข้าวไม่ลง แต่พอคิดถึงสีหน้าของเจ้าพวกนั้นตอนแอบมองอทิตยะอย่างกล้าๆ กลัวๆ ก็นึกขำ เจ้าตัวก็ดันชอบทำหน้าดุเสียด้วย พอรวมกับหุ่นแบบนักกีฬาและรอยสักเต็มตัวเลยชวนให้คนไม่รู้จักขยาดเข้าไปใหญ่

บนระเบียงทางเดินชั้นสองของอพาร์ตเมนต์มีเงาคน พิงภพมองขึ้นไปเห็นควันที่ลอยออกมาเป็นระยะก็แปลกใจ หลังจอดรถแล้วเดินขึ้นไปก็พบว่าคนข้างห้องกำลังยืนสูบบุหรี่อยู่จริงๆ

“ยังไม่นอนอีกเหรอเต็ม ดึกแล้วนะ”

“คุณก็เพิ่งกลับเหมือนกัน ไหนบอกว่าพรุ่งนี้ต้องทำงานแต่เช้า”

จำที่เขาพูดกับพวกนักเรียนได้ด้วยแฮะ... พิงภพคิดขณะมองอีกฝ่ายหันไปพ่นควันออกนอกระเบียง ถึงจะชอบทำหน้าไม่รับแขก แต่พิงภพยังจำภาพที่อทิตยะขยี้ผมเอมี่หลังไปหาซื้อโรตีให้ รวมทั้งความสุภาพเวลาคุยกับบุณฑริกเมื่อเย็นได้ดี ถ้าการเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ไม่ค่อยเหมือนคนอื่นได้สอนอะไรเขาบ้าง ก็คงเป็นเรื่องที่เราตัดสินใครจากภาพลักษณ์ภายนอกไม่ได้เลย

“พอดีส่งพี่บุ๋มเสร็จแล้วเจอเพื่อนๆ ก็เลยนั่งคุยกัน ว่าแต่ที่ยังไม่นอนนี่...หรือว่าตุ๊กแกยังอยู่ในห้อง?”

“ไม่อยู่แล้วสิ โทรบอกให้เจ้าของหอมาจับไปทิ้งตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว”

“แล้วไป ถ้างั้นทำไมถึงออกมายืนสูบบุหรี่ตรงนี้ล่ะ? อย่าบอกนะว่ารอเราอยู่?”

ตอนแรกพิงภพแค่จะแหย่เล่น แต่พอเห็นคิ้วที่มุ่นนิดๆ ก็ชะงักเพราะรู้ว่าจี้ถูกจุด นี่เขาเริ่มอ่านสีหน้าท่าทางของหมอนี่ออกตั้งแต่เมื่อไหร่

“ทำไมเมื่อเย็นถึงแกล้งทำเป็นไม่รู้จักกัน?”

พิงภพได้ยินคำถามก็เลิกคิ้ว “เมื่อเย็น? เอ้า ก็ตอนนั้นเต็มทำหน้าเหมือนไม่ได้อยากมานั่งด้วย อีกอย่างพี่บุ๋มเคยพูดถึงเต็มให้ฟังก็จริง แต่เราไม่รู้นี่ว่าเป็นคนเดียวกับคนข้างห้อง ขืนแสดงตัวว่ารู้จักกันก็ต้องบอกว่าเพราะอะไร แต่ในเมื่อเต็มแอบมาอยู่ที่เกาะเงียบๆ ตั้งนานก็แสดงว่ายังไม่อยากให้ใครรู้ใช่ไหมล่ะ ถ้าเราแกล้งทำเป็นไม่รู้จักก็จะได้ไม่โดนถามเยอะทั้งคู่ไง”

ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอย่างไรกับคำตอบ แต่อทิตยะยืนมองเขานิ่ง ครู่หนึ่งก็ขยี้ก้นบุหรี่ใส่ที่เขี่ยแล้วหยิบบางอย่างออกจากกระเป๋ากางเกง

“นี่กุญแจของคุณ เมื่อเช้าเราล็อกห้องให้แล้วก่อนโทรหาเจ้าของหอเรื่องตุ๊กแก”

“โอ๊ะ ขอบคุณ แสดงว่าเห็นโน้ตที่เราเขียนไว้ให้สินะ ว่าแต่ตุ๊กแกมันจะไม่กลับมาอีกใช่ไหม?”

“จะไปรู้ได้ไง ถ้ามาอีกก็ขอให้ไปโผล่ที่ห้องอื่นก็แล้วกัน”

พิงภพหัวเราะขณะรับกุญแจคืน ยิ่งมองคนที่เล่นมุกหน้าตายก็ยิ่งรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้มีแต่เรื่อง ‘เหนือคาด’ มากขึ้นเรื่อยๆ

“นี่...ขอถามอะไรหน่อยสิ”

“หือ?”

คนที่กำลังจะก้าวเข้าห้องหันกลับมา พิงภพมองลูกกุญแจในมืออย่างชั่งใจ สุดท้ายก็ตัดสินใจถาม

“ขอโทษที่ละลาบละล้วงนะ แต่ที่พี่บุ๋มบอกว่ามีห้องพักที่บลูแซนด์ว่างน่ะ คิดว่าจะย้ายไปที่นั่นหรือเปล่า?”

อันที่จริงแล้วอทิตยะจะไปอยู่ไหนก็เป็นสิทธิ์ของเจ้าตัว เขาเองถ้าได้ห้องพักฟรีคงรีบย้ายออกแทบไม่ทัน แต่พอคิดว่าถ้าหมอนี่ไม่อยู่แล้วเขาจะกลายเป็นผู้อาศัยหนึ่งเดียวบนชั้นนี้ก็รู้สึกโหวงชอบกล

“ทำไม? อยากให้ไปเหรอ?”

“ไม่ได้พูดอย่างนั้นสักหน่อย แค่ถามดูเฉยๆ”

เอาอีกแล้ว ไอ้รอยยิ้มมุมปากที่ดูแทบไม่ออกว่ายิ้ม แต่อย่างน้อยแววตาที่มองเขาก็ไม่ได้ไร้อารมณ์เท่าเมื่อครู่

“เราจ่ายค่าเช่าล่วงหน้าไปแล้ว คงยังไม่ย้ายออกเร็วๆ นี้หรอก เว้นว่าคนข้างห้องทำตัวไม่น่ารักก็อาจจะคิดใหม่”

“หา? เราไปเกี่ยวตรงไหนล่ะ?ทั้งเกาะเนี่ยหาคนน่ารัก นิสัยก็ดี แถมช่างเทคแคร์ขนาดนี้ไม่เจอแล้ว”

“หลงตัวเองให้น้อยๆ หน่อยเถอะ ดึกแล้วขี้เกียจคุย กู๊ดไนต์”

พิงภพมองประตูห้องที่งับปิดก่อนจะทันได้โต้ เขาไม่ได้หลงตัวเองสักหน่อย ก็แค่เล่นมุกตามน้ำ ไม่นึกว่าจะโดนคนอายุน้อยกว่าตอกกลับเอาแบบนี้

แต่ว่ารอยยิ้มเมื่อครู่...ถ้าเขาเล่นมุกถล่มตัวเองแล้วได้เห็นเจ้าหนุ่มหน้าดุนี่ยิ้มบ่อยขึ้น...ก็นับว่าไม่เลวร้ายเท่าไหร่นะ

รอยยิ้มของพิงภพขยายกว้าง เขายกมือตบประตูห้องข้างๆ อย่างมันเขี้ยวก่อนจะเดินต่อไปที่ห้องของตัวเอง แต่พอจะใส่ลูกกุญแจที่ได้คืนกลับเข้าพวงกุญแจ อารมณ์ที่รื่นรมย์เมื่อครู่ก็พลันห่อเหี่ยวลง

สายห้อยตุ๊กตากัปตันอเมริกายังคงอยู่ แต่ไม่รู้ว่าตัวตุ๊กตาหายไปไหน เขาเคยชินกับการลูบคลำมันมาตลอดหลายปี ความว่างเปล่าในมือทำให้รู้สึกเหมือนส่วนหนึ่งของชีวิตหายไปอย่างช่วยไม่ได้

ชายหนุ่มถอนใจพลางก้าวเข้าห้อง หลังล็อกประตูแล้วก็เดินไปเสียบสายชาร์จโทรศัพท์ ในรายชื่อเพื่อนทางไลน์นั้นมีชื่อของภาณุกรขึ้นว่าเป็นเพื่อนใหม่ แต่ว่ายังไม่มีข้อความใดส่งมาทั้งสิ้น

ปลายนิ้วเลื่อนไปที่แถบส่งสติกเกอร์ แต่แล้วพิงภพก็เปลี่ยนใจ ดึกป่านนี้ภาณุกรคงหลับแล้ว อีกอย่างเขาเองที่ตั้งใจว่าอยากให้ทั้งคู่จากกันด้วยความทรงจำที่ดี จู่ๆ จะมาเรียกร้องความสนใจหลังเจ้าตัวกลับไปแค่ไม่กี่วันคงไม่เหมาะ

บางที...ซันเองก็อาจจะอยากให้เรื่องเมื่อไม่กี่วันก่อนเป็นแค่ความทรงจำเหมือนกัน...

พิงภพตัดใจปิดหน้าจอแล้วคว่ำโทรศัพท์ลง จากนั้นก็พยายามไม่คิดถึงมันอีกขณะลุกขึ้นถอดเสื้อผ้าเพื่ออาบน้ำก่อนนอน



++------++



กิจวัตรของครูสอนดำน้ำอาจไม่ตายตัวเหมือนพนักงานบริษัท แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเอ้อระเหยได้ตามใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันที่ต้องดูแลลูกค้าตั้งแต่เช้า พิงภพตื่นตามเสียงนาฬิกาปลุกตอนหกโมง ล้างหน้าแปรงฟัน เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วหยิบเป้ใบเล็กขึ้นสะพาย ช่วงไหนที่ทำงานหลายวันติดกันเขาจะฝากอุปกรณ์ไว้ที่รีสอร์ต ดังนั้นจึงต้องไปถึงสำนักงานเร็วหน่อยเพื่อตรวจเช็กความเรียบร้อยก่อนลงน้ำ

หลังตรวจดูว่าปิดไฟหมดแล้วพิงภพก็ออกจากห้อง สวมรองเท้าแตะหนีบราคาถูกแล้วล็อกประตู พอลงไปถึงชั้นล่างก็เลิกคิ้วที่เห็นอทิตยะกำลังทำท่ายืดเส้นอยู่ในลานจอดรถ

“ตื่นเช้าจัง ว่าแต่วันนี้เต็มไม่ไปบลูแซนด์เหรอ?”

พิงภพถามเพราะเห็นอทิตยะใส่เสื้อกล้าม กางเกงขาสั้นและรองเท้าผ้าใบสำหรับวิ่งโดยเฉพาะ ดูจากสภาพแล้วเจ้าของรองเท้าคงใช้งานมันอย่างสมบุกสมบันทีเดียว

“ไป แต่น้าบุ๋มบอกแล้วว่าไปเก้าโมงก็ได้ เลยกะว่าจะออกไปวิ่งแถวๆ นี้ก่อน”

“อ้อ...แหม ไม่งั้นจะได้ประหยัดค่าน้ำมันตามที่พี่บุ๋มบอก ซ้อนรถไปด้วยกันทีเดียว”

“อย่าดีกว่า เดี๋ยวคนอื่นเห็นแล้วจะพากันเข้าใจผิด”

อทิตยะตอบพลางหยิบผ้าบัฟขึ้นมาพันข้อมือ พิงภพกะพริบตาอย่างไม่เข้าใจ แต่พอจะเดินไปที่มอเตอร์ไซค์ของตัวเองก็ได้ยินเสียง ‘ปึ้ด’ ก่อนที่สายหนีบรองเท้าข้างหนึ่งจะขาด เนื่องจากเป็นจังหวะก้าวขาพอดี ร่างกายก็เลยโผไปข้างหน้าอย่างหยุดไม่ได้

“เฮ้ย!”

มือข้างหนึ่งยื่นมาดึงแขนเขาและรั้งให้ยืนตรงก่อนจะจูบพื้น พอพิงภพเอี้ยวคอไปมองก็เห็นเจ้าของมือทำหน้ายุ่ง

“เป็นอะไรหรือเปล่า? ทำไมจู่ๆ ก็ล้ม?”

“เปล่าๆ พอดีสายรองเท้ามันขาด ขาดได้จังหวะชะมัดเลย”

พิงภพก้มลงหยิบรองเท้าแตะข้างนั้นขึ้นมาดู ก่อนจะตระหนักได้ว่ามือที่จับแขนเขายังกุมแน่น พอเหลือบตาขึ้นมอง เจ้าของมือก็ผละออกพร้อมกับถอยห่างนิดหนึ่ง

“แล้วมีรองเท้าเปลี่ยนหรือเปล่า?”

ท่าทางหลีกเลี่ยงการมองเขาตรงๆ ชวนให้นึกถึงคืนที่อทิตยะมาขอค้างด้วยเพราะตุ๊กแกอีกครั้ง แต่พิงภพพยายามไม่คิดมากขณะมองรองเท้าในมือ

“อันที่จริงพอถึงรีสอร์ตก็ต้องถอดรองเท้ายันเย็น ดังนั้นช่างมันเถอะ ขี้เกียจวิ่งขึ้นไปเอาคู่ใหม่บนห้อง”

พิงภพเอ่ยพลางถอดรองเท้าอีกข้างแล้วทิ้งลงถังขยะ จึงไม่ทันเห็นสีหน้าไม่อยากเชื่อของอทิตยะที่มองเขาจูงมอเตอร์ไซค์ออกจากที่จอด

“เดี๋ยว คุณจะขับรถเท้าเปล่าเพราะขี้เกียจขึ้นไปเอารองเท้าเนี่ยนะ?”

“อื้อ แค่วันเดียวไม่เป็นไรหรอก อยากรีบไปแล้วด้วย เดี๋ยวไม่มีเวลากินมื้อเช้ากับเช็กอุปกรณ์ให้ลูกทีม”

“อย่าเพิ่งไป เอ้า!ถ้าขี้เกียจขึ้นห้องนักก็ใส่คู่นี้”

“หา?”

ชายหนุ่มมองคนที่ไขกุญแจเปิดอานรถของตัวเอง จากนั้นก็หยิบรองเท้าแตะแบบสวมสีชมพู สายคาดเป็นลายหัวยูนิคอร์นประดับลูกตุ้มหลากสีมายื่นให้ ความหวานแหววของมันทำให้เขาอึ้งจนอทิตยะมุ่นคิ้ว

“ไม่ใช่ของเรา เอมี่ลืมทิ้งไว้ตอนมาค้างที่ห้อง คุณกับเอมี่ตัวสูงพอๆ กัน ไซส์รองเท้าน่าจะพอใส่ด้วยกันได้”

“แต่ว่า...ถ้าเอมี่รู้เข้าคงไม่ดีมั้ง”

“ยายนั่นมีรองเท้าเป็นร้อยคู่ แค่นี้ไม่ถือสาหรอก ถ้าไม่อยากขึ้นไปเอารองเท้าของตัวเองก็ใส่ซะ”

ดุจังวุ้ย...พิงภพมองอีกฝ่ายวางรองเท้าบนพื้น ความที่ขี้เกียจเถียงก็เลยยอมใส่ สีสันลูกกวาดอันแสนจะตัดกับผิวเท้าเกรียมแดดทำเอาเขาขนลุก

“อ่า...งั้นฝากบอกเอมี่ว่าขอยืมก่อนก็แล้วกัน ขอบคุณนะ”

“ป่านนี้ยายนั่นคงลืมแล้วว่าเคยมีรองเท้าคู่นี้ ไว้เขามาที่เกาะอีกรอบค่อยไปขอบคุณเองเถอะ”

“อ้าว? เอมี่กลับไปแล้วเหรอ?”

“ไปได้สองสามวันแล้ว ไหนเมื่อกี้บอกว่าจะรีบไปทำงานไง?”

พิงภพยู่ปากเมื่อโดนย้อนถาม แต่ก็จริงว่าเขาโอ้เอ้มาหลายนาที เลยเสียบกุญแจสตาร์ทรถแล้วหันไปตบบ่าคนที่กำลังยืนกอดอก

“งั้นเราไปก่อนนะ แล้วเจอกันที่บลูแซนด์ อย่าเบี้ยวนัดพี่บุ๋มล่ะ”

“สัญญาไปแล้วไม่เบี้ยวหรอกน่ะ คุณขับรถดีๆ ก็แล้วกัน”

“ครับคุณพ่อ ว่าแต่จะไม่ให้ค่าขนมด้วยเหรอ?”

พิงภพแกล้งแบมือขอ พออีกฝ่ายหรี่ตาก็หัวเราะแล้วขับรถออกจากลานจอด จึงไม่ทันเห็นมุมปากที่หยักขึ้นของคนที่มองตาม ก่อนเจ้าตัวจะบ่ายหน้าแล้วออกวิ่งไปอีกทาง



++---TBC---++



A/N: ตั้งแต่ตอนหน้าเป็นต้นไปอาจต้องขอทิ้งช่วงเป็นสองสัปดาห์ต่อหนึ่งตอนนะคะ เนื่องจากตอนเนื้อหาในสต็อกเริ่มร่อยหรอ + ต้องขนของย้ายบ้านครั้งใหญ่ ยังไงจะคอยอัพเดทว่าโพสต์ตอนใหม่เมื่อไหร่ที่เพจ ถ้ายังไม่ติดตามก็ไป follow ได้เลยค่ะ www.facebook.com/BellbombNovels

 

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-11-2019 20:59:23 โดย bellbomb »

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ nut2557

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
พุธสเน่ห์แรงนะ

ออฟไลน์ MyLavenderLand

  • ฉันสุขใจ เมื่อได้ Log in เล้า
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1582
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
ครูพุธใส่แตะชมพูยูนิคอร์น~~ ทำไปด๊ายยย  :jul3:

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
ตะวันพิงภพ บทที่ 9


ครึ่งปีก่อน...

อทิตยะมองแผ่นกระดาษที่เพิ่งเอาใส่กรอบ เขาวางมันบนที่ว่างเหนือชั้นหนังสือแล้วถอยออกดูอีกครั้ง ก่อนจะหันไปด้านหลังเมื่อมีมือตบลงบนบ่า

“ยินดีด้วยนะเต็ม ในที่สุดก็เรียนจบแล้ว”

“ขอบคุณครับป๋า”

อทิตยะไหว้ขอบคุณญาติผู้ใหญ่ซึ่งไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด ความภาคภูมิใจฉายชัดในแววตาของบูรพา ชายหนุ่มรู้ว่าเมื่อยี่สิบปีก่อนอีกฝ่ายสูญเสียลูกชายที่ยังไม่เกิดเพราะภรรยาครรภ์เป็นพิษ เหตุการณ์นั้นทำให้ชีวิตคู่เปราะบางจนนำไปสู่การหย่าร้าง และอาจเป็นเหตุผลที่บูรพาเอาใจใส่ลูกชายที่เพื่อนฝากฝังราวกับเป็นลูกบังเกิดเกล้า

สิบปีผ่านไปตั้งแต่เขามาอยู่ที่นี่ ถ้าไม่ใช่เพราะบูรพาคะยั้นคะยอให้เรียนต่อระดับอุดมศึกษา อทิตยะก็คงเลิกเรียนตั้งแต่จบมัธยมปลายแล้ว เพราะเขาช่วยงานอีกฝ่ายทั้งในร้านอาหารและค่ายมวยไทยมาตลอด จึงถนัดการลงมือทำให้เห็นผลมากกว่านั่งถกทฤษฎีไปวันๆ

ชายหนุ่มเดินไปทิ้งตัวนั่งบนเตียงพลางระบายลมหายใจยาว บูรพาดึงเก้าอี้มานั่งตรงหน้า หลังสังเกตเขาครู่หนึ่งก็ถาม

“เป็นอะไร? ทำไมหน้าตาดูไม่ดีใจเลย?”

อทิตยะยกมือข้างหนึ่งเท้าคางบนเข่าพลางยิ้มแกนๆ “ไม่รู้สิ ใจหนึ่งผมก็ดีใจที่เรียนจบ อีกใจก็คงนึกเสียดายที่ไม่มีเป้าหมายให้พุ่งชนแล้วล่ะมั้ง”

“ทั้งที่มีงานของป๋าให้ช่วยทำ แล้วก็กิจการที่หุ้นกับเพื่อนด้วยน่ะเหรอ?”

“ผมก็แค่ช่วยออกไอเดียกับเป็นที่ปรึกษา คนที่ลงทุนลงแรงจริงๆ คือริคต่างหาก”

อทิตยะตอบ ริคเป็นเพื่อนที่เขารู้จักตอนเรียนมหาวิทยาลัย แต่ฝ่ายนั้นอายุมากกว่าเพราะหลังจบมัธยมก็ทำงานจิปาถะหลายปีก่อนตัดสินใจเรียนต่อ ทั้งคู่คุยกันถูกคอเพราะความสนใจคล้ายกัน ตอนที่อทิตยะเสนอความคิดที่จะทำธุรกิจด้านแอปพลิเคชัน ริคคือคนที่ผลักดันให้ไปจดทะเบียนตั้งแต่เรียนอยู่ปีสอง แล้วก็เป็นเขาอีกที่ทำให้ริคได้คบหากับเอมี่ ถึงแม้ว่าตอนที่แนะนำทั้งคู่ให้รู้จักกันจะไม่ได้ตั้งใจเล่นบทกามเทพ

“ถึงยังไงก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเต็มคือหัวแรงสำคัญ เพราะถึงริคจะเป็นคนที่ออกหน้าก็ยังต้องมาปรึกษาเต็มก่อน ทำไมไม่ไปช่วยบริหารให้เต็มตัวซะเลยล่ะ ป๋าได้ยินว่าริคกำลังจะกู้เงินธนาคารมาขยายบริษัทด้วยนี่”

“เรื่องขยายบริษัทนี่เคยคุยกันไว้นานแล้ว แต่ผมไม่ถนัดงานบริหาร ผมชอบคิดหาไอเดียแล้วเสนอไปเรื่อยๆ มากกว่า อีกอย่างพอเป็นผู้บริหารก็ต้องรับผิดชอบหลายอย่าง คงไม่เหมาะกับคนขวางโลกอย่างผมเท่าไหร่”

ชายหนุ่มเหลือบมองรอยสักบนสองแขนที่โผล่พ้นเสื้อแขนสั้น เขาเริ่มเข้าร้านสักครั้งแรกตอนอายุสิบแปด ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่เริ่มสนใจการแข่งมอเตอร์ไซค์แบบมืออาชีพ แต่เพิ่งจะหยุดไปเมี่อปีที่แล้วเพราะต้องช่วยริคดูแลธุรกิจประกอบกับอยากรีบเรียนให้จบ

“เพราะเรื่องตั้งแต่ตอนนั้น ก็เลยจะแอนตี้โซเชียลไปเรื่อยๆ อย่างนี้เหรอ หือ? เต็ม?”

คำพูดแทงใจแต่เปี่ยมด้วยความอาทรคือเอกลักษณ์ของบูรพา ถึงแม้จะไม่เห็นด้วยกับบางสิ่งที่เขาทำ แต่ก็ไม่เคยใช้น้ำเสียงต่อว่าหรือดูแคลน และนั่นทำให้เขาต้องหยุดคิดคำตอบแทนที่จะเถียงกลับโดยอัตโนมัติทุกครั้ง

“ไม่ใช่หรอกครับ ป๋าก็รู้ว่าผมเข้าสังคมไม่เก่งมาแต่ไหนแต่ไร”

“ไม่เก่งกับเลือกที่จะไม่ทำมันคนละเรื่อง ตอนยังแข่งรถป๋าก็เห็นเต็มไปมาหาสู่กับเพื่อนๆ นี่ ถ้าเต็มอยากทำอะไรก็ทำได้ทั้งนั้นแหละ แต่เพราะเราขีดลิมิตให้ตัวเอง ถึงได้ยังติดอยู่กับป๋าแบบนี้ไง”

ชายสูงวัยเอ่ยกลั้วหัวเราะ แต่อทิตยะเพียงยิ้มอ่อนๆ เพราะรู้ว่าที่อีกฝ่ายพูดก็ไม่ผิด

“ถึงติดอยู่กับป๋าก็ไม่เห็นเป็นไร มีงานให้ผมได้ทำตั้งเยอะ”

“นั่นมันก็จริง แต่นานๆ ไปป๋ากลัวเราจะไม่ได้ออกไปเจอใครเลยน่ะสิ เอางี้! ไหนๆ ก็เรียนจบแล้ว กลับบ้านสักทีก็ดีนะ”

“ป๋าหมายความว่า...”

อทิตยะมือเย็นเฉียบกะทันหัน สีหน้าของเขาคงดูตกใจมากเพราะคู่สนทนารีบกล่าวเสริม

“เฮ่ย! ป๋าไม่ได้จะไล่ออกจากบ้าน! แค่เสนอให้กลับไปเยี่ยมเฉยๆ ป๋ารู้ว่าที่เมืองไทยคงไม่มีอะไรดึงดูดเต็มให้อยากกลับ แต่ถึงยังไงพ่อเขาก็อยู่ที่นั่น ใจคอจะไม่ไปเยี่ยมบ้างหรือไง ฮึ?”

“เขาก็ไม่เคยมาเยี่ยมผมนี่ครับ มีแค่ตอนที่มาส่งครั้งเดียวตอนแรกสุดนั่นแหละ”

นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่อทิตยะได้เห็นหน้าพ่อ หลังจากนั้นฝ่ายนั้นก็โทรมาคุยบ้าง แต่เพราะเขาถูกถามคำก็ตอบคำ สุดท้ายก็เลยต้องสื่อสารกันผ่านบูรพาแทน

“เขาก็คงรู้ว่าถ้ามาหาจะเจอการต้อนรับแบบไหน ป๋าเข้าใจเต็มนะ แต่พ่อเขาก็เป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง ทำความผิดพลาดได้เหมือนคนทั่วไปนั่นแหละ”

“ถ้าเขาไม่ใช่พ่อผม ผมก็คงไม่สนหรอกว่าเขาเคยทำอะไรผิดพลาดมาบ้าง”

อทิตยะแค่นยิ้ม มือหนึ่งลูบไปตามรอยสักบนแขนอีกข้าง บูรพามองเขาก่อนจะถอนหายใจ

“เอาอย่างนี้ กลับไปเยี่ยมเมืองไทยสักพัก ถ้ากลัวว่าจะไม่มีอะไรทำก็ไปหาบุ๋มที่เกาะเต่า จำได้ใช่ไหมว่าป๋าเปิดรีสอร์ตที่นั่น ไปช่วยเขาทำงานแก้เบื่อก็ได้ ถือซะว่าเป็นของขวัญวันเกิดให้ป๋าก็แล้วกัน”

ชายหนุ่มเบิกตากว้างเหมือนไม่อยากเชื่อหู บูรพาเห็นเข้าก็ยิ้มชอบใจ

“ป๋า...”

“อย่ามางอแง โตเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ต้องออกไปเจอโลกกว้าง จะเอาแต่ขลุกอยู่แต่ที่ร้านกับค่ายมวยได้ยังไง ดูเอมี่สิ ขานั้นยังบินไปบินมาเป็นว่าเล่นเลย”

“ก็ผมกับเอมี่ไม่เหมือนกัน”

“ถ้าเหมือนกันป๋าคงปวดหัว เอาเป็นว่าเช็กตั๋วเครื่องบินดู เดี๋ยวป๋าจ่ายขาไปให้เอง ลองไปอยู่ให้ได้สักสองสามเดือน ถ้ามันอึดอัดจนทนไม่ไหวค่อยว่ากัน ส่วนตั๋วขากลับค่อยซื้อทีหลังก็ได้ แต่อย่างน้อยก็ไปให้พ่อเขาเห็นหน้าหน่อย”

“คงจะเป็นการรียูเนียนที่อบอุ่นมากเลยล่ะครับ”

“ช่างประชดจริง เอาน่า พยายามทำหัวให้เย็นๆ แล้วคุยกันดีๆ พ่อเขาไม่ใช่คนเลวร้าย แค่มีปัญหาในการสื่อสารเท่านั้นเอง บางทีกลับบ้านครั้งนี้เต็มอาจได้เจออะไรดีๆ ก็ได้นะ”

บูรพาเอ่ยก่อนจะตบบ่าเขา อทิตยะมองตามหลังผู้สูงวัยที่เดินออกจากห้อง จากนั้นก็เอนตัวนอนแผ่บนเตียงอย่างหมดแรง

กลับเมืองไทยหลังใช้ชีวิตในต่างบ้านต่างเมืองเป็นสิบปีน่ะหรือ มันยังจะเหลืออะไรดีๆ ให้เขาได้เจอกัน...

 


++------++

 

               

อทิตยะวิ่งเลียบถนนไปเรื่อยๆ กระทั่งดูเวลาว่าพอสมควรก็กลับอพาร์ตเมนต์ อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า กินมื้อเช้าในตลาดแล้วขับมอเตอร์ไซค์ไปที่รีสอร์ต เหตุผลหนึ่งที่เขามาเกาะเต่าโดยไม่บอกใครก็เพราะอยากดูลาดเลาก่อน อีกอย่างบูรพาก็แค่เสนอที่นี่เป็นทางเลือก ดังนั้นถ้าเขาอยากจะถอนตัวเมื่อไรก็ย่อมได้

ชายหนุ่มจอดรถที่ลานหน้ารีสอร์ต ตั้งแต่มาถึงวันแรกเขาก็เช่ามอเตอร์ไซค์ขับสำรวจไปทั่วเกาะ ที่บลูแซนด์นี่ก็เคยเข้ามานั่งกินข้าวด้วยซ้ำ โชคดีที่วันนั้นไม่เจอบุณฑริก ไม่อย่างนั้นคงถูกเรียกให้เข้ามาที่นี่ตั้งแต่ก่อนหน้านี้

ร่างสูงเดินตามป้ายชี้บอกทางไปสำนักงาน พอเข้าไปถึงและเลื่อนประตูออก บุณฑริกซึ่งกำลังนั่งทำงานก็ยิ้มกว้าง

“มาแล้วๆ น้าก็นึกว่าต้องโทรไปเตือนซะอีก”

“ผมไม่เบี้ยวนัดน้าบุ๋มหรอกครับ”

“ใครจะไปรู้ล่ะ หนุ่มๆ สมัยนี้ยิ่งชอบเทกันอยู่ด้วย มาๆ นั่งตรงนี้ก่อน เดี๋ยวน้าเอาน้ำดื่มให้”

อทิตยะทรุดตัวนั่งบนโซฟา เขารับแก้วน้ำที่บุณฑริกกดจากคูลเลอร์มาให้แล้วถามอย่างสงสัย

“วันนี้คนอื่นไม่มาทำงานเหรอครับ?”   

“คนอื่น? อ๋อ วันนี้ฝั่งรีเซปชันลาป่วยสองคนน้าก็เลยให้ลูกน้องฝั่งนี้ไปช่วย แต่ส่วนมากช่วงเช้าก็จะมีแต่น้านี่แหละที่นั่งเฝ้าห้องนี้”

ชายหนุ่มพยักหน้ารับรู้ เขากวาดตามองรอบสำนักงาน บนชั้นวางของข้างแฟ้มเอกสารมีหนังสือเกี่ยวกับการดำน้ำเรียงเป็นตับ บนผนังอีกด้านก็ขึงธงของสถาบันดำน้ำที่บลูแซนด์เป็นตัวแทนอยู่ วูบหนึ่งที่เขานึกถึงคนข้างห้องเพราะชอบสวมเสื้อยืดสกรีนโลโก้ของรีสอร์ตและสถาบันดำน้ำคู่กัน

“ตอนที่ป๋าเล่าว่ามีกิจการรีสอร์ตควบโรงเรียนสอนดำน้ำ ผมยังนึกไม่ออกเลยว่าเป็นยังไง เพราะไม่เคยเห็นป๋าดำน้ำเองสักที”

“แปลกดีใช่ไหมล่ะ? ความจริงตอนแรกเขาแค่อยากทำรีสอร์ต แต่มีคนรู้จักแนะนำครูสอนดำน้ำที่อยากเปิดโรงเรียนที่นี่ พอคุยกันถูกคอก็เลยหุ้นกันทำธุรกิจซะเลย”

“ก็สมเป็นป๋าดีครับ”

อทิตยะตอบ ถึงแม้จะไม่แสดงออกทางน้ำเสียงหรือสีหน้า แต่เขาก็ชื่นชมบูรพาที่กล้าเริ่มธุรกิจใหม่ๆ ทั้งที่ตัวเองไม่มีพื้นฐานโดยตรง อย่างค่ายมวยและร้านอาหารที่เมลเบิร์นซึ่งเปิดกับพ่อของเอมี่ก็เหมือนกัน บางทีนั่นอาจเป็นแรงบันดาลใจให้เขาอยากทำธุรกิจบ้าง และโชคดีที่ได้รู้จักริคซึ่งพร้อมจะนำไอเดียของเขาไปขยายให้เป็นรูปธรรม

“เอาล่ะ ทีนี้มาคุยกันเรื่องของเต็มบ้างดีกว่า”

ชายหนุ่มเบนสายตาจากถ้วยรางวัลบนชั้น แล้วก็เห็นบุณฑริกทำหน้ายิ้มแย้ม

“ครับ?”

“อันที่จริงพี่บู๊บอกแค่ว่าเต็มอาจจะมาหา แล้วก็บอกว่าถ้าตกลงจะอยู่ช่วยงานก็ให้เลือกเองว่าอยากทำอะไร น้ารู้ว่าเรามีประสบการณ์เยอะจากเมลเบิร์น ดังนั้นถ้าอยากทำอย่างอื่นที่ไม่เคยทำก็ได้นะ จะได้ไม่เบื่อ”

“น้าบุ๋มไม่มีงานส่วนไหนที่ต้องการคนช่วยเป็นพิเศษเลยเหรอ?”

“อืม...ช่วงไฮซีซันก็มีบ้างที่อยากได้แม่บ้านหรือคนสวนเพิ่ม แต่เต็มน่าจะโอเวอร์ควอลิฟายด์ น้าว่าเลือกทำอย่างอื่นดีกว่า”

หญิงสาวหัวเราะพลางตบบ่าเขา สิ่งที่ทำให้เขาค่อนข้างสบายใจเวลาอยู่กับบูรพาและบุณฑริกก็คงเพราะไม่รู้สึกเหมือนถูกจับผิดอยู่ตลอดเวลา

“ที่บลูแซนด์ไม่มีฟิตเนส ส่วนห้องอาหารก็พนักงานเยอะแล้ว ผมขอเป็นผู้ช่วยน้าบุ๋มก็ได้ เพราะยังไม่รู้เลยว่าจะอยู่ที่นี่นานแค่ไหน”

“อ้าว มีคนที่ต้องรีบกลับไปหาที่เมลเบิร์นเหรอ?”

“เปล่าครับ ผมแค่ยังไม่อยากแพลนอะไรตายตัว”

อทิตยะตอบพลางยกแก้วน้ำขึ้นจิบ บุณฑริกไม่รู้เรื่องที่ทะเบียนประวัติของเขาด่างพร้อยตอนอายุสิบแปด คนที่รู้มีเพียงบูรพา ครอบครัวของเอมี่ แล้วก็คู่กรณีรวมถึงเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องที่เมลเบิร์น กระทั่งพ่อของเขาก็ไม่เคยได้รับฟังรายละเอียดเชิงลึก

“จะว่าไป น้าได้ยินมาว่าเต็มทำธุรกิจสตาร์ทอัพกับเพื่อนใช่ไหม มันเป็นธุรกิจแบบไหนเหรอ?”

“เป็นแอปพลิเคชันมือถือครับ คล้ายๆ ทินเดอร์แต่ไม่ใช่หาคู่เดท เป็นแอปสำหรับคนที่ต้องการคำปรึกษาจากคนที่รู้จริงในเรื่องที่สนใจ คนที่ดาวน์โหลดแอปจะเลือกดูคุณสมบัติของผู้เชี่ยวชาญในลิสต์ก่อนจะทักไปหา เราเก็บค่าลงทะเบียนและตรวจสอบประวัติด้วยเพื่อป้องกันมิจฉาชีพในระดับหนึ่ง”

“สุดยอด! วิทยาการยุคใหม่นี่มันดีจริงๆ เนอะ ไม่เหมือนสมัยน้า แค่จะกู้ธนาคารมาเปิดร้านขายของยังยาก”

น้ำเสียงของบุณฑริกแสดงความชื่นชม ชายหนุ่มโล่งอกขึ้นที่หัวข้อสนทนาเป็นเรื่องที่เขาสามารถคุยได้อย่างเปิดเผย

“ตอนนี้แอปของผมยังจำกัดพื้นที่ใช้งาน แต่กำลังวางแผนกันว่าจะขยายให้ใช้ได้ทั่วออสเตรเลีย ไม่แน่ในอนาคตก็อาจขยายให้ใช้งานได้ทั่วโลก”

คราวนี้หญิงสาวอ้าปากค้าง เธอมองเขานิ่งหลายวินาทีก่อนจะเอ่ยคำออกมาได้

“เต็ม! นี่มันไม่ใช่งานเล็กๆ นะ! แล้วมัวมาทำอะไรที่นี่แทนที่จะไปช่วยเพื่อนทำธุรกิจ ฮึ!?”

“ใจเย็นๆ ครับน้าบุ๋ม นี่เป็นโครงการระยะยาว อีกอย่างผมแค่ออกไอเดีย ส่วนเพื่อนผมก็มีทีมงานคอยช่วยแล้ว ดังนั้นตัวผมจะอยู่ไหนก็ได้ เวลาจะประชุมค่อยคอนเฟอเรนซ์คอล”

อทิตยะอธิบายอย่างใจเย็น การเป็นสตาร์ทอัพไม่ใช่งานง่ายเลยจริงๆ หลังทำกันไปได้ระยะหนึ่งเขาถึงบอกริคว่าขอทำงานเบื้องหลังเพื่อจะได้ใช้ความคิดได้เต็มที่ โชคดีที่ริคเข้าใจและไม่กดดันให้ออกหน้า

“เฮ้อ ไม่อยากจะเชื่อว่าเจ้าเด็กดื้อที่เจอกันตั้งแต่ยังตัวเล็กๆ ตอนนี้จะทำอะไรยิ่งใหญ่ขนาดนี้ พ่อเราคงภูมิใจน่าดูเลยนะเนี่ย”

“เรื่องนั้นผมไม่รู้ เพราะไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่”

ประเด็นเรื่องพ่อทำให้น้ำเสียงของอทิตยะแข็งขึ้นโดยอัตโนมัติ บุณฑริกมองเขาพลางทำหน้าปลง จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปหยิบของที่โต๊ะ

“ไหนๆ ก็จะมาเป็นผู้ช่วยน้าแล้ว งั้นไปแนะนำตัวกับเดินดูรอบรีสอร์ตกันดีกว่า พวกพนักงานจะได้ไม่นึกว่าน้าจ้างยากุซ่ามาควงแก้เหงา”

น้ำเสียงหยอกเย้าช่วยให้อทิตยะผ่อนคลายลง เขาพยักหน้าก่อนจะดื่มน้ำจนหมดแก้ว จากนั้นก็เดินออกจากสำนักงานตามบุณฑริกโดยไม่อิดออด

 


++------++

 

 

ช่วงพักกลางวันบนเรือ หลังทุกคนกินข้าวเสร็จและรอลงดำน้ำรอบบ่าย พิงภพก็เรียกสมาชิกในกลุ่มมารวมกันแล้วเปิดแผนที่ของจุดดำน้ำให้ดู

“กัปตันบอกผมว่าบ่ายนี้เราจะไปดำน้ำที่หินสามกอง ถ้าโชคดีหน่อยอาจได้เจอปลากระเบน นอกนั้นก็คงมีปลาสิงโต ปลาผีเสื้อ แล้วก็ตัวจิ๋วๆ อย่างม้าน้ำ ส่วนปลาวัวนี่ถ้าเจอก็อย่าเข้าใกล้แล้วกัน”

“จะได้เจอเต่าไหมคะ?”

“บางทีก็เจอ บางทีก็ไม่เจอครับ ไม่กี่วันก่อนมีคนบอกว่าเห็นแถวๆ นั้น วันนี้มันอาจมาอีกก็ได้”

เหล่าสมาชิกพากันส่งเสียงตื่นเต้น ระหว่างคุยกันก็มีคนเอามือมาตบไหล่เขา พอพิงภพหันไปก็เห็นว่าเป็นลี

“มีอะไรเหรอ?”

“นายอ่านไลน์จากพี่บุ๋มหรือยัง?”

“หือ? ไลน์อะไร ฉันยังไม่ได้ดูมือถือเลยตั้งแต่เช้า”

พิงภพขอตัวกับสมาชิกกลุ่มแล้วลุกตามเพื่อนออกมา ลียื่นโทรศัพท์มือถือของตัวเองให้ดู

“New staff welcome party tonight...อ๋อ หมายถึงเต็มล่ะมั้ง”

“อ้าว นายรู้จักด้วยเหรอ?”

ลีทำหน้าแปลกใจ พิงภพยิ้มพลางนึกเสียดายที่วันนี้สเวนกับมาริอุสอยู่บนเรืออีกลำ ไม่อย่างนั้นจะได้อวดเสียหน่อยว่าเขารู้เรื่องนี้ก่อน

“เห็นว่าเป็นหลานของพี่บู๊ที่เป็นเจ้าของบลูแซนด์น่ะ เพิ่งกลับจากเมลเบิร์นก็เลยจะมาช่วยงานที่รีสอร์ต แต่ยังไม่รู้ว่าจะมาทำส่วนไหน”

“งั้นเหรอ ก็ดีนะ ไม่มีพนักงานใหม่เข้ามาตั้งนานแล้ว ฉันล่ะอยากให้หมอนี่มาช่วยประสานงานกับเรือแทนพวกเราที่ต้องคอยผลัดเวรกันชะมัด”

“เอ้า ช่วยไม่ได้นี่ พวกที่ยังเป็นแค่ไดฟ์มาสเตอร์อย่างสเวนก็ต้องหัดประสานงานกับเรือเหมือนกัน ที่ผลัดกันทำก็ถูกแล้ว”

“แต่เดี๋ยวพอสอบได้ใบประกาศก็เลื่อนเป็นครูสอนกันหมด เผลอๆ บางคนอาจจะย้ายไปทำงานที่อื่นด้วย เอาเถอะ ถ้าหมอนี่ไม่มีพื้นฐานการดำน้ำก็คงไม่สนหรอกมั้ง”

ลีบ่นงึมงำก่อนจะเดินกลับกลุ่มของตัวเอง พิงภพได้แต่นึกภาพตาม ถึงอทิตยะจะรูปร่างแบบนักกีฬาก็ไม่ได้หมายความว่าจะสนใจกีฬาทางน้ำ แถมหน้าตาไม่ค่อยจะรับแขกแบบนั้น...ถ้าต้องทำงานกับกัปตัน ลูกเรือ ครูสอนดำน้ำและเหล่านักเรียนคงสนุกพิลึก

“เดี๋ยวอีกสิบห้านาทีจะถึงจุดดำน้ำ บอกพวกนักเรียนให้เตรียมตัวได้แล้วนะพุธ”

“ได้ครับน้าแคน”

พิงภพตอบกัปตันที่เดินผ่านมาพอดี เขาเหลียวมองที่ตั้งของบลูแซนด์รีสอร์ตซึ่งเห็นได้จากบนเรือ มุมปากกระตุกยิ้มเมื่อคิดว่าเย็นนี้จะได้เห็นสีหน้าแบบไหนของเจ้าหนุ่มข้างห้องในงานปาร์ตี้

 


++------++


ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
“ทุกคน คืนนี้กินดื่มกันตามสบายนะ แต่พรุ่งนี้ใครต้องทำงานแต่เช้าก็ยั้งๆ ไว้หน่อย ฝากต้อนรับเต็มกันด้วยนะจ๊ะ”

เสียงปรบมือและเป่าปากดังขึ้นทันทีที่บุณฑริกพูดจบ ตอนนี้พวกเขาอยู่บนชั้นสองของห้องอาหารริมหาดซึ่งไม่มีหลังคา พระอาทิตย์กำลังจะตก แสงยามโพล้เพล้ดึงดูดให้ลูกค้าหลายคนขึ้นมานั่งดูวิว พอคนเหล่านี้ได้ยินบุณฑริกก็พากันส่งเสียงเฮฮาไปด้วย

อทิตยะพยายามไม่ทำหน้า ‘หงิก’ ให้มากนัก ปกติเวลาไปร่วมงานปาร์ตี้ที่เมลเบิร์นเขามักจะนั่งดื่มเงียบๆ พอต้องมาเป็นดาวเด่นของงานก็เลยไม่ค่อยชอบ ถึงจะรู้ว่านี่เป็นวิธีทำให้ทุกคนรู้จักเขาได้เร็วที่สุดก็เถอะ

“โอ๊ะ พวกที่จะออกไปดำน้ำกลางคืนกำลังจะลงเรือกันล่ะ”

อทิตยะได้ยินเสียงของลูกค้ากำลังชี้ชวนกันดูด้านล่าง ก็เลยเดินไปที่ระเบียงแล้วมองลงไปบ้าง เรือเล็กที่หน้าตาเหมือนแพยางกำลังจอดรอเหล่านักดำน้ำที่ทยอยก้าวเข้าไปนั่ง เขาเห็นชายหนุ่มผมยุ่งเหยิงในชุทเว็ทสูทเข้ารูปก้าวขึ้นเรือเป็นคนสุดท้าย ชายคนนั้นนั่งลงเมื่อคนขับเริ่มดันเรือออกจากหาด แล้วจู่ๆ ก็เงยหน้าขึ้นมาเหมือนรู้ว่าถูกมอง สายตาของทั้งคู่ประสานกันอย่างจัง ก่อนที่ฝ่ายนั้นจะยิ้มยิงฟันแล้วโบกมือให้เขา คนอื่นในเรือเลยมองตามจนอทิตยะต้องถอยกลับเข้าด้านใน

เป็นคนเฟรนด์ลี่ซะจริง...แล้วทำไมเขาจะต้องจำรูปร่างหมอนั่นได้ถึงจะเห็นแค่ด้านหลังด้วยนะ

ชายหนุ่มพยายามไม่คิดมากเรื่องไม่เป็นเรื่อง เขาเดินไปหยิบเบียร์ที่มุมเครื่องดื่มซึ่งจัดไว้เป็นพิเศษสำหรับพนักงาน ถึงจะบอกว่าเป็นงานเลี้ยงแต่ก็ไม่เป็นทางการนัก ใครว่างก็เดินมาหยิบแก้วเครื่องดื่มได้เลย บางคนอาจจะขอชนแก้วกับเขาและชวนคุยบ้าง แต่อทิตยะไม่ใช่คนช่างพูด แต่ละคนจึงคุยกับเขาไม่นานแล้วก็ไปหาที่นั่งคุยกันเอง

หลังจากที่กลุ่มดำน้ำกลางคืนออกไปได้ชั่วโมงกว่าก็กลับมา เสียงปรบมือของคนในแพยางขณะแล่นเข้าฝั่งลอยขึ้นมาให้ได้ยิน บุณฑริกเดินมาหาอทิตยะที่กำลังนั่งสูบบุหรี่เงียบๆ ที่โต๊ะข้างกำแพง

“อีกเดี๋ยวพวกที่ออกไปไนต์ไดฟ์ก็คงขึ้นมา หลายคนยังไม่ได้เจอเต็มเลยตั้งแต่เช้า เดี๋ยวน้าค่อยมาแนะนำให้อีกทีนะ”

“โอเคครับ”

อทิตยะรับคำอย่างไม่กระตือรือร้น เขามองบุณฑริกที่ผละไปคุยกับลูกค้าแล้วก็หันไปสูบบุหรี่ต่อ อึดใจใหญ่ต่อมาก็ได้ยินเสียงเฮฮาของกลุ่มคนที่เดินขึ้นบันได

“อ๊ะ นั่นไง คนที่ฉันพูดถึง”

เสียงอันคุ้นเคยแต่เป็นภาษาอังกฤษดึงความสนใจของอทิตยะ เขาเลิกคิ้วเมื่อเห็นพิงภพยิ้มกว้างเดินเข้ามาหา ด้านหลังมีกลุ่มชาวต่างชาติตามมาอีกห้าหกคน แต่ละคนล้วนมองเขาด้วยความสนใจ

“โชคดีที่มาทันงานเลี้ยงรับน้องใหม่ เป็นไงบ้างเต็ม? พี่บุ๋มพาไปโชว์ตัวทั่วรีสอร์ตแล้วสิ”

คราวนี้พิงภพเปลี่ยนมาใช้ภาษาไทยกับเขาพร้อมน้ำเสียงหยอกเย้า อทิตยะอัดควันเข้าปอดก่อนเคาะเถ้าบุหรี่บนที่เขี่ย

“ก็ทำนองนั้น แต่น้าบุ๋มบอกว่ามีฝั่งโรงเรียนดำน้ำที่ยังไม่ได้เจออีกหลายคน”

“แหงสิ วันนี้หลายคนลงเรือกันตั้งแต่เช้า งั้นขอแนะนำพวกเพื่อนๆ เราก่อนแล้วกัน ส่วนคนอื่นที่ยังคุยกับนักเรียนอยู่คงทยอยตามกันขึ้นมา”

พิงภพเอ่ยก่อนจะหันไปแนะนำเพื่อนทีละคน ความจริงแล้วมีครูสอนดำน้ำของรีสอร์ตหลายคนที่เป็นคนไทย แต่ดูเหมือนคนที่เจ้าตัวสนิทด้วยส่วนมากจะเป็นต่างชาติ แต่ละคนทักทายเขาแล้วก็ผละไปตักอาหาร พิงภพที่ยังรั้งท้ายหันมาถาม

“ตรงนี้มีใครนั่งหรือยัง?”

“ไม่มี เรานั่งอยู่คนเดียว”

“พอดีเลย งั้นขอจองที่ไว้ก่อนนะ”

พูดจบพิงภพก็วางเป้แล้วเดินไปตักอาหาร อทิตยะมองตามก่อนจะหันไปมองวิวทะเลอีกครั้ง บนเส้นขอบฟ้าเต็มไปด้วยแสงจากเรือหาปลาเป็นจุดๆ เขารู้ว่าที่พิงภพให้ความเอาใจใส่เป็นพิเศษก็เพราะว่าเขาไม่รู้จักใคร แต่ไม่รู้ทำไมถึงได้หงุดหงิดพิกล

“มาแล้วๆ หิวเป็นบ้า ดีนะที่มีปาร์ตี้เลยได้กินฟรี”

เสียงสดใสของคนที่นั่งลงฝั่งตรงข้ามดึงความสนใจของอทิตยะกลับมา แล้วก็อึ้งเมื่อเห็นปอเปี๊ยะ ไส้กรอกทอดและเฟรนช์ฟรายส์กองพูนเต็มจาน พิงภพใช้ส้อมจิ้มอาหารกินด้วยท่าทางหิวโหยจนเขาต้องถาม

“กินหมดนั่นไหวเหรอ?”

“ไหวดิ ดำน้ำนี่ใช้แรงเยอะนะ ขึ้นๆ ลงๆ กลางทะเลวันนึงตั้งหลายรอบ น่าจะเบิร์นไปร่วมพันแคลได้มั้ง”

อทิตยะไม่แน่ใจเรื่องตัวเลข แต่ค่อนข้างมั่นใจว่าระบบเผาผลาญของพิงภพต้องดีมาก เพราะถ้าเขากินอาหารทอดมันๆ แบบนี้ทุกเย็นคงยากที่จะรักษารูปร่างได้

“กินด้วยกันมั้ย? เดี๋ยวหมดแล้วค่อยไปตักเพิ่ม”

“ไม่เป็นไร เห็นคุณกินเหมือนอดอยากขนาดนี้แล้วไม่กล้าแย่ง”

มีเสียงขลุกขลักในคอจากคู่สนทนา พิงภพรีบยกแก้วน้ำขึ้นดื่มก่อนจะหัวเราะ

“เต็มนี่ชอบเล่นมุกหน้าตายนะเนี่ย แต่แบบนี้ก็มีเอกลักษณ์ดี ชอบๆ”

พูดเสร็จเจ้าตัวก็ยื่นมือมาตบบ่าเขา อทิตยะอัดบุหรี่อึกสุดท้ายเข้าปอดแล้วขยี้บนที่เขี่ย

“เราจะไปเอาเบียร์ คุณอยากได้อะไรเพิ่มหรือเปล่า?”

“เอ...ถ้าเขามาเติมไก่ทอดก็ฝากหยิบให้หน่อยแล้วกัน พอดีเมื่อกี้มันหมด แต๊งกิ้ว”

อทิตยะพยักหน้าก่อนจะเดินไปตักอาหารและหยิบเบียร์จากเคาน์เตอร์ เมื่อกลับมาที่โต๊ะก็พบว่าอาหารในจานพร่องอย่างรวดเร็ว ถ้าเอมี่มาเห็นคงกรี๊ดใส่พิงภพเพราะเธอใส่ใจเรื่องโภชนาการมาก จะยกเว้นก็เฉพาะช่วงนั้นของเดือนที่โหยหาของหวานของทอด

“พอดีเอามาได้แค่นี้แหละ ที่เหลือคนอื่นหยิบไปหมดแล้ว”

“หูย ขอบคุณ ห้าปีกนี่ก็เยอะละ ขืนกินมากกว่านี้เดี๋ยวอืดจนนอนไม่หลับ”

“ดูคุณไม่น่าจะเป็นคนนอนหลับยากเลยนะ”

หลักฐานง่ายๆ ก็คืนที่เขาไปขอนอนด้วยเพราะตุ๊กแกนั่นไง พิงภพคงรู้ตัวเลยยิ้มยิงฟัน พลันเสียงกรี๊ดกร๊าดจากชายหาดก็เรียกความสนใจของพวกเขา พอยื่นหน้าออกไปดูก็เห็นว่าต้นเสียงคือกลุ่มคนที่กำลังเล่นเกมลอดเชือก เสียงร้องเชียร์ดังคละเคล้ากับเสียงดนตรีที่ดังสนั่นจากลำโพง

“ที่นี่มีบีชปาร์ตี้ทุกวันเหรอ?”

“ก็แทบทุกวันนะ เพราะนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มาอยู่ไม่นานก็เลยอยากสนุกให้เต็มที่ ถ้าตรงกับวันพระใหญ่ที่ห้ามขายแอลกอฮอลล์ก็จะเงียบหน่อย แต่ช่วงไหนมีเทศกาลอย่างสงกรานต์ ปีใหม่หรือฟูลมูนล่ะก็ไม่ได้นอนกันยันเช้านั่นล่ะ”

อทิตยะพยักหน้ารับรู้ขณะจิบเบียร์ พิงภพใช้มือหนึ่งเท้าคางแล้วชิ้นิ้วมาหา

“เต็มถนัดซ้ายสินะ ตอนแรกไม่แน่ใจเพราะเห็นสูบบุหรี่มือขวา แต่เพิ่งสังเกตว่าเวลาหยิบอะไรหนักๆ หน่อยจะชอบใช้มือซ้าย”

“ก็ไม่เชิง ความจริงเราถนัดทั้งสองข้าง แต่ส่วนมากจะใช้ข้างซ้ายมากกว่าเพราะเคยชิน”

ชายหนุ่มนึกแปลกใจที่พิงภพดูออก ปกติแล้วไม่ค่อยมีคนรู้ว่าเขาถนัดซ้ายถ้าไม่ตั้งใจสังเกต

“โคตรเท่เลยอะ พ่อเราก็ถนัดซ้าย ตอนเด็กเรากับพี่ชายเคยพยายามจะเลียนแบบ แต่มันไม่ถนัดก็เลยต้องใช้มือขวาเหมือนเดิม”

“ท่าทางคุณคงสนิทกับพี่สินะ”             

“อื้อ ถึงจะแก่กว่าห้าปีก็เถอะ เขารับช่วงร้านสักต่อจากพ่อ นี่เราก็เพิ่งยุให้พาครอบครัวมาเยี่ยมอยู่เนี่ย”

ครอบครัว...อทิตยะฟังแล้วนึกอยากสูบบุหรี่อีก แต่ก็พยายามข่มใจเพราะวันนี้สูบไปมากกว่าหนึ่งซองแล้ว ขณะที่ยังไม่มีใครพูดอะไรต่อ เพื่อนๆ ของพิงภพก็พากันเดินเข้ามาล้อมโต๊ะ

“นี่ ทำไมมานั่งหลบมุมกันตรงนี้ จะไม่ให้พนักงานใหม่เขาสังสรรค์กับคนอื่นเลยหรือไงพุธ”

“อะไรเล่า อยากคุยก็เข้ามาสิ นี่ไงคนที่เอารองเท้ายูนิคอร์นให้ฉันยืมจนโดนเจ๊เพ็ชชี่แซวเมื่อเช้า”

พิงภพตอบพลางแนะนำคนที่เพิ่งมาให้อทิตยะรู้จัก เสียงครื้นเครงของพวกเขาเรียกบุณฑริกที่กำลังเดินดูความเรียบร้อยให้เข้ามาร่วมวง

“เป็นไงบ้าง? วงนี้รู้จักกันครบแล้วใช่ไหม?”

“พุธช่วยแนะนำแล้วครับ พี่บุ๋มนี่หลานโตขนาดนี้แต่ยังดูสาวอยู่เลยนะเนี่ย” 

“อ๊ะ ก็คนมันยีนดีนี่จ๊ะ อายุก็เลยทำร้ายพี่ไม่ได้”

บุณฑริกตอบกลั้วหัวเราะ เธอนั่งร่วมวงครู่หนึ่งก่อนจะปลีกตัวไปชั้นล่าง พอคล้อยหลังหญิงสาวทุกคนก็หันมาชวนอทิตยะคุย เริ่มจากประเด็นว่าเคยทำงานอะไรและเล่นกีฬาแบบไหนที่เมลเบิร์น

“ก็ชกมวยบ้างเพราะได้ช่วยงานที่ค่ายมวยตั้งแต่เด็ก บางทีก็เป็นเทรนเนอร์ให้ลูกค้าใหม่”

“มิน่ากล้ามแน่นเชียว จริงสิ ไหนๆ คืนนี้ก็อยู่กันพร้อมหน้า เรามาเล่นเกมรับน้องใหม่กันดีกว่า”

มาริอุสเอ่ยพลางดีดนิ้ว ทุกคนในวงมองหน้ากันอย่างงงๆ จนเจ้าตัวโวย

“อะไรกันพวกนาย ก็ให้น้องใหม่งัดข้อกับรุ่นพี่ให้ครบทุกคนไง ถ้าใครแพ้ตาไหนต้องดื่มเบียร์หมดแก้ว คืนนี้ฟรีโฟลวซะด้วย เข้าทางเลย”

“จะดีเร้อ ถ้าพี่บุ๋มรู้เข้าก็มาว่าเอาหรอก”

หนึ่งในสมาชิกแย้ง แต่อทิตยะกลับคิดว่าเป็นไอเดียที่ดี ถึงยังไงคืนนี้เขาก็ไม่มีอย่างอื่นทำ แถมการแข่งขันด้านกำลังก็เป็นเรื่องที่ถนัดมาแต่ไหนแต่ไร

“ไม่ต้องห่วง ถ้าน้าบุ๋มว่าก็บอกเลยว่าเราอยากเล่นเอง”

“แมนโคตร มันต้องอย่างนี้สิน้องใหม่”

ลีตบบ่าเขาพร้อมกับหัวเราะชอบใจ พิงภพกวาดตามองรอบวงก่อนจะหันมาทำตาโต

“เดี๋ยว ขืนให้งัดข้อกับทั้งวงหมอนี่ได้เมาแอ๋พอดี เอางี้ ถ้าหากเต็มแพ้งวดไหนเราจะช่วยดื่มเบียร์แทนให้”

“วันนี้มาแปลก ไม่ใช่ว่าอยากดื่มเบียร์ฟรีเหรอพุธ?”

เพื่อนๆ พากันกระเซ้า แต่อทิตยะหรี่ตาใส่คนที่อาสาจะรับโทษแทน

“คุณคิดว่าเราจะแพ้ง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ?”

“ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ดูสิว่าพวกนี้มีกันกี่คน แถมวันนั้นที่เต็มเมากลับมา...ช่างเหอะ เอาเป็นว่าเราช่วยในฐานะเพื่อนร่วมหอก็แล้วกัน”

คำตอบอันคลุมเครือชวนให้เลิกคิ้ว อทิตยะยอมรับว่าลืมทุกอย่างในเช้าวันที่เมากลับอพาร์ตเมนต์ แต่นี่ไม่ใช่เวลาจะถามก็เลยตั้งศอกข้างหนึ่งขึ้นบนโต๊ะ

“งั้นก็เริ่มจากคุณก่อนเลย เดี๋ยวต้องงัดกับอีกหลายคน เผื่อเราแพ้ตาไหนคุณจะได้ช่วยดื่มอย่างเดียว”

เหล่าคนที่รุมล้อมส่งเสียงเฮเมื่อเห็นพิงภพทำหน้ามุ่ย สเวนอาสาไปยกเบียร์ใส่ถาดมาให้ ส่วนลีลุกไปบอกเพื่อนๆ คนอื่นว่าถ้าใครอยากร่วมวงก็มาได้

“เร็วพุธ เพื่อนๆ เชียร์นายอยู่นะ”

“ขอบใจ”

พิงภพขึงตาใส่มาริอุสก่อนจะหันมาตั้งศอกขึ้น อทิตยะยิ้ม โชคดีว่ากำลังแขนสองข้างของเขาไม่ต่างกันมาก ดังนั้นถึงต้องใช้มือขวางัดข้อกับพิงภพก็ไม่มีปัญหา

“โห แค่ขนาดแขนยังต่างกันขนาดนี้ ไม่ต้องแข่งก็รู้ผลแล้วมั้ง”

“เงียบไปเลยแจ็กกี้ มา เต็ม เราพร้อมละ”

อทิตยะมองแววตาที่จ้องตอบอย่างมุ่งมั่นขณะประกบฝ่ามือเข้าหา เขารู้ว่าพิงภพผอมกว่ามาก แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้สัมผัสกันโดยตรง นิ้วเรียวยาวในอุ้งมือราวจะเปราะแตกถ้าเขาบีบแรงสักหน่อย ความคิดนั้นทำให้ไขว้เขวไปชั่วครู่

“เฮ้ยพุธ! เล่นทีเผลอนี่นา!”

“เผลอตรงไหน ก็ฉันบอกแล้วว่าพร้อม หมอนี่ยอมให้เองต่างหาก”

พิงภพหันไปยักคิ้วให้เพื่อนๆ อทิตยะมองมือที่โดนกดท่ามกลางสายตาไม่อยากเชื่อของคนรอบข้าง ความพ่ายแพ้นั้นรวดเร็วจนเขางงมากกว่าจะเสียหน้า พอเหลือบตาขึ้นเห็นรอยยิ้มกระหยิ่มใจของพิงภพ...ก็ยิ่งรู้สึกมันเขี้ยวแทนที่จะโมโห

“อย่าลืมก็แล้วกันว่าถ้าเราแพ้ คุณต้องดื่มเบียร์ตามที่บอกไว้”

อทิตยะเอ่ยอย่างเหนือกว่า สเวนผิวปากขณะที่คนอื่นพากันหัวเราะชอบใจ ลีรีบยื่นเบียร์ให้จนคนที่ต้องดื่มทำหน้างอ

“ชิ ช่วยไม่ได้ ลูกผู้ชายพูดแล้วไม่คืนคำ ดื่มก็ดื่ม”

พิงภพยกเบียร์ขึ้นดื่มโดยไม่ปล่อยมือที่ยังประกบกัน เป็นอทิตยะที่ชักมือออกก่อน แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้ใส่ใจเพราะหลังดื่มเบียร์หมดก็วาดมือไปรอบโต๊ะ

“เอ้า ทีนี้ก็ตาคนอื่นละ ใครจะงัดข้อต่อก็มานั่งตรงนี้ อย่ารุมแกล้งน้องใหม่กันให้มากนักนะ”

               


++---TBC---++



A/N: ไม่เจอสองอาทิตย์คิดถึงกันไหม ^^ หลังจากนี้วันพุธของเรากับเต็มคงมีเรื่องให้ต้องมายุ่งกันอีกเยอะเลย แล้วก็...ขอสารภาพว่าเนื้อหาที่ลงเว็บเริ่มไล่ทันกับสต็อกที่เขียนไว้ หลังจากนี้คงขออัพเดททุกสองสัปดาห์เป็นมาตรฐานนะคะ แล้วเจอกันใหม่ตอนที่ 10 ค่า  :L2:

 

 


ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
ป๋าเท่จังพูดดีสอนดี  :m1:
พี่พุธดูแลน้องเต็มดีจัง เขินนะ
เดี๋ยวรอดูเลยว่าใครจะเมาให้ใครดูแลก่อน ฮา

 :pig4:

ออฟไลน์ sailom_orn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
จับคู่เต็มกับพุธ ชอบบรรยากาศ

ออฟไลน์ Kfc_Pizza

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
ตะวันพิงภพ บทที่ 10

 

ทำไมถึงไม่มีแรงอย่างนี้นะ...

พิงภพคิดเมื่อพยายามจะยกศีรษะแต่ไม่สำเร็จ แขนขาก็ขยับไม่ไหว แต่น่าแปลกที่กลับรู้สึกว่าร่างกายกำลังล่องลอยดุจไร้น้ำหนัก

ความรู้สึกนี้เหมือนเวลาที่กำลังดำน้ำเลย...

“เมาเละเชียว...ฝากดูแลด้วยนะ”

“เฮ้ย! ขอฉันถ่ายรูปเก็บไว้ก่อน นานๆ จะได้เห็นหมอนี่หมดสภาพ ฮ่าๆๆ”

หูแว่วถ้อยคำภาษาอังกฤษแบบขาดๆ หายๆ พิงภพส่งเสียงคำรามในคอโดยไม่ลืมตา แต่กลับได้ยินเสียงหัวเราะร่วนจากรอบตัว

“ดึกมากแล้ว เดี๋ยวฉันพาเขากลับก่อนก็แล้วกัน”

“โอเค ว่าแต่จะไม่พากันมาค้างห้องฉันจริงๆ เหรอ อย่างน้อยก็น่าจะปลอดภัยกว่าขับมอเตอร์ไซค์กลับ”

“ไม่เป็นไร ฉันดื่มไปแค่นิดเดียว แล้วเจอกันพรุ่งนี้”

เสียงอำลาและเสียงฝีเท้าแผ่วหาย พิงภพรู้สึกว่ากำลังเคลื่อนที่ทั้งไม่ได้ขยับตัว ก่อนจะถูกวางลงให้นั่งคร่อมอะไรบางอย่าง มือสองข้างรับรู้ถึงความรู้สึกอบอุ่นที่กุมมือเขาไว้ ท่ามกลางเสียงลมอู้อี้ที่พัดผ่านหูและความรู้สึกหนาวจนต้องห่อไหล่ เขารู้แค่ว่าอยากล้มตัวนอนให้เร็วที่สุด

ชายหนุ่มรู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อถูกเขย่าไหล่ เขาครางประท้วงพลางปรือตาขึ้น แสงจากหลอดไฟทำเอาตาพร่าไปชั่วครู่

“...ปลุกทำไม...กำลังหลับอยู่ดีๆ”

“ถ้าอยากหลับต่อก็ขึ้นไปที่ห้อง เราไม่แบกคุณขึ้นชั้นสองเหมือนตอนที่แบกขึ้นมอเตอร์ไซค์หรอกนะ”

“เหอ?...แบกทำไม...?”

พิงภพหัวหมุนทันทีที่โดนลากกึ่งอุ้มลงจากมอเตอร์ไซค์ แขนข้างหนึ่งถูกดึงไปพาดไหล่คนตัวสูงกว่า ถึงจะเมาจนความคิดไม่เป็นกระบวน แต่ภาพของรอยสักเต็มแขนก็ช่วยให้รู้ว่าคู่สนทนาคือใคร

“...เต็มเหรอ?...”

“ใช่ เสียใจด้วยที่ไม่ใช่คนอื่น เดินดีๆ สิ”

“คนอื่น...คนอื่นที่ไหนอะ...ไม่เห็นจะมี...”

เขาพยายามยกศีรษะเพื่อมองไปรอบตัว แต่ก็ทำได้แค่มองเลยปลายเท้าเล็กน้อย ดูเหมือนแอลกอฮอล์ในเลือดจะทำให้กระดูกในตัวอ่อนยวบจนคร้านจะก้าวเดิน

“ตัวเราหนัก...ปล่อยให้นอนตรงนี้เหอะ...”

“ทำได้ที่ไหนเล่า ยุงได้หามกันพอดี อย่าเพิ่งงอแง เหลือบันไดอีกไม่กี่ขั้นแล้ว”

ถึงจะเวียนหัวจนประมวลคำพูดไม่ทัน แต่น้ำเสียงตำหนิก็เพียงพอจะทำให้พิงภพทำปากยื่น เขาพยายามชักแขนกลับอย่างไร้ผล

“ทำไมต้องทำเสียงดุด้วยอะ...ซันยังไม่เคยดุเราเลยนะ...”

ฝีเท้าของคนข้างตัวหยุดกึก แต่อึดใจเดียวก็ลากให้เดินต่อจนพิงภพเกือบคะมำ

“แหงสิ หมอนั่นเป็นแฟนคุณนี่ สงสัยคงคงโอ๋กันน่าดูสิท่า”

“...แฟนที่ไหน...ก็บอกว่าเพื่อน...”

“ใครเชื่อก็โง่แล้ว”

ราวกับหูได้ยินเสียง “หึ” ช่วงท้ายประโยค พิงภพส่งเสียง “โอ๊ะ” เมื่อจู่ๆ แขนที่ประคองก็หดกลับ พอขาดหลักยึดกะทันหันก็เลยล้มนั่งแปะกับพื้น

“เชื่อเขาเลย ถ้าคออ่อนขนาดนี้จะดื่มทำไมตั้งเยอะแยะ?”

เงาที่ยืนบังแสงไฟหายไปก่อนจะมีมือตบเบาๆ บนแก้ม พอพิงภพฝืนลืมตาก็เห็นอทิตยะนั่งยองๆ ตรงหน้า เลยยกมือขึ้นปัดมืออีกฝ่ายอย่างอ่อนแรง

“ไม่ได้คออ่อน...แค่ไม่ได้ดื่มบ่อย...”

“Whatever ถึงห้องคุณแล้ว กุญแจห้องอยู่ไหน?”

“เอ่ออ...ในกระเป๋ากางเกงง...สักกระเป๋าแหละ...ล้วงดูดิ...”

พิงภพเอ่ยพลางหลับตาด้วยความง่วง เขารู้สึกถึงมือที่สอดเข้ามาในกระเป๋าทั้งสองด้าน แล้วก็หัวเราะคิกเมื่อโดนพลิกตัวก่อนกระเป๋าหลังจะถูกล้วงบ้าง

“เจอซักที คุณโชคดีนะที่มากับเรา ถ้าเป็นคนอื่นคงนึกว่ากำลังโดนอ่อยไปแล้ว”

“ก็มันจั๊กจี๋อ้ะ...เพิ่งรู้ว่าโดนลูบก้นแล้วสยิวแบบนี้...”

อาการหนักหัวช่างเหมือนกับมีมือที่มองไม่เห็นกำลังบี้สมองอยู่ข้างใน เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพูดอะไรออกไปบ้าง รู้แต่ว่าขัดใจเมื่อโดนเขย่าไหล่อีกครั้ง

“ลุก เข้าไปนอนในห้อง”

“...ทำเสียงดุอีกแล้ว...ทำไมชอบดุจัง...”

“ดุแทนแฟนคุณน่ะสิ ไอ้คำพูดเมื่อกี้น่ะไม่ต้องไปพูดกับใครอีกเลยนะ...You’re such a pain.”

มือใหญ่สองข้างหิ้วปีกเขาขึ้นแล้วพาเข้าห้อง การเปลี่ยนอิริยาบถกะทันหันทำเอาพิงภพตาลาย คว้าจับแขนเสื้ออีกฝ่ายแน่นเมื่อโดนเหวี่ยงลงบนเตียง

“อุ๊บ!”

“เฮ้ย!เป็นอะไรรึเปล่า? พุธ!?”

“หนักก...อื้ออ...”

ชายหนุ่มครางเพราะโดนน้ำหนักเจ็ดสิบกว่ากิโลทับเข้าเต็มๆ คนที่อยู่ด้านบนรีบดันตัวขึ้นทันที

“จะไม่หนักได้ไงเล่า! คุณเล่นดึงเสื้อเราไม่ปล่อยนี่ อย่าเกร็งนิ้วสิ”

ปลายนิ้วแข็งแรงแงะนิ้วเขาออกจากเสื้อทีละนิ้ว พิงภพหรี่ตาขึ้น ฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้ภาพตรงหน้าพร่าเบลอ วูบหนึ่งที่ใบหน้าซึ่งมองกลับมาคือภาณุกร แต่จิตใต้สำนึกบอกว่าไม่ใช่

เพราะซันไม่มีทางอยู่ที่นี่กับเขาในเวลานี้...

“เต็ม...??...”

“ก็ใช่น่ะสิ”

“…โทษที...นึกว่าซัน...”

พิงภพหัวเราะพลางพลิกตัวตะแคงข้าง นึกภูมิใจที่ยังแยกแยะเพื่อนกับคนข้างห้องออกทั้งที่เมาจนลิ้นพันกัน คู่สนทนาเงียบไปอึดใจหนึ่ง

“คิดถึงเขามากหรือไง?”

“...ซันเหรอ?...คิดถึงสิ ...ไม่ได้เจอกันตั้งหลายปี..ซันเคยซื้อพวงกุญแจกัปตันอเมริกาให้เราด้วย...เราชอบมากนะ...พกติดตัวตลอดเลย...แต่ไม่กี่วันก่อนมันหายไป...หาที่ไหนก็ไม่เจอ...”

มือข้างหนึ่งยื่นมาลูบผม นอกจากพ่อกับแม่ก็ไม่เคยมีใครทำแบบนี้กับเขา พิงภพหลับตาลง ไม่รู้เพราะความง่วงหรือเพราะสัมผัสที่ทำให้ผ่อนคลาย เรื่องที่ไม่เคยบอกใครจึงพรั่งพรูจากปาก

“ซันเคยสารภาพรักเรา...แต่ตอนนั้นเรายังเด็กก็เลยวิ่งหนี...พอได้เจอกันอีกทีก็ทำตัวไม่ถูก...”

“นั่นผ่านมากี่ปีแล้วล่ะ? ทั้งคุณทั้งเขาไม่ใช่เด็กแล้ว ถ้ายังชอบกันอยู่ก็ไม่มีเหตุผลจะต้องปฏิเสธแล้วนี่”

“...แต่ถ้าเป็นแฟนกันมันเลิกได้...เป็นเพื่อนไม่มีวันเลิกนี่นา...”

มือที่ลูบผมทำท่าจะผละไป พิงภพคว้าจับมือข้างนั้นแล้วถูหน้าเข้าหา ความทรงจำบอกว่าตอนเด็กเขาก็ชอบเล่นกับพ่อแบบนี้เวลาถูกกล่อมนอน แต่สองตาที่ปิดสนิททำให้ไม่เห็นว่าเจ้าของมือกำลังแสดงสีหน้าอย่างไร

“...ขนาดตุ๊กตากัปตันยังหาย...สักวันซันก็อาจหายไปอีกก็ได้...เราไม่อยากรู้สึกแบบตอนนั้นแล้ว...”

หลังจากนั้นการรับรู้ของพิงภพเริ่มรางเลือน ไม่รู้ตัวว่าพูดอะไรอีกหรือเปล่าเพราะง่วงเต็มทน รู้เพียงแค่สัมผัสอบอุ่นที่แนบบนแก้มยังคงอยู่ก่อนที่ทุกอย่างจะมืดสนิท



++------++



เอ๊ะ...ที่นี่มัน...

พิงภพกวาดตามองห้องสี่เหลี่ยมที่มีโต๊ะเก้าอี้เรียงราย หน้าห้องแขวนกระดานดำซึ่งผ่านการใช้งานมาหลายปี แสงอาทิตย์ยามบ่ายส่องลอดหน้าต่างเข้ามาสะท้อนฝุ่นชอล์กจนระยิบระยับ เมื่อหันกลับมาที่เดิมก็เห็นเด็กผู้ชายสองคนกำลังนั่งคุยกันอย่างสนิทสนม

ทุกอย่างดูคุ้นเคยเหลือเกิน นี่คงเป็นภาพที่เพื่อนๆ เห็นเวลามองเขากับภาณุกรช่วงมัธยม แต่คงไม่ใช่หลังเหตุการณ์ที่ทำให้พวกเขาเลิกคุยกันแน่ เพราะนับแต่นั้นเขาก็ไม่เคยโอบไหล่เจ้าเพื่อนตัวสูงกว่าอีกเลย

“พุธ เจอตัวสักที”

เสียงนั้นดึงสายตาของพิงภพไปยังประตูหน้าห้อง ภาณุกรซึ่งเป็นชายหนุ่มเต็มตัว ไม่ใช่เด็กหนุ่มสูงเก้งก้างอีกแล้วยืนอยู่ตรงนั้น รอยยิ้มที่ส่งมาช่างอบอุ่นชวนหวั่นไหว คำพูดเมื่อครู่ราวจะบอกว่ารอคอยวันที่จะได้เจอเขามาเนิ่นนาน

ชายหนุ่มก้าวเท้าไปข้างหน้า แต่ก็ชะงักเพราะเสียงที่ดังจากประตูด้านหลัง พอจะหันไปดูว่าเป็นใครก็ได้ยินเสียงดนตรีขัดจังหวะเสียก่อน

“หือ...?”

ทำนองอินโทรอันแสนเร้าใจของเพลง It’s My Life ทำเอาพิงภพสะดุ้งตื่น เสียงกลองและเบสที่เสียดแทงโสตประสาททำให้ต้องรีบเอื้อมหยิบโทรศัพท์มารับสาย

“...ว่าไงฮะพี่บุ๋ม?”

“ยังไม่ตื่นสิเนี่ย เสียงงัวเงียเชียว เมื่อคืนเมาหนักใช่ไหม? เห็นว่าเต็มขับรถไปส่งใช่หรือเปล่า?”

ชายหนุ่มยกมือถูหน้า รู้สึกไม่พร้อมตอบคำถามหลายข้อในเวลานี้ แต่ยังจำได้รางเลือนว่าอทิตยะยังไม่อยากให้ใครรู้ว่าทั้งคู่อยู่อพาร์ตเมนต์เดียวกัน

“น่าจะใช่นะ เมื่อคืนผมเมาจนไม่ค่อยรู้เรื่องซะด้วยสิ”

“ย่ะ พี่เชื่อ โชคดีนะว่าวันนี้ไม่มีงานตอนเช้า แต่อย่าลืมล่ะว่าบ่ายนี้มีสอนทฤษฎีให้นักเรียนใหม่ พี่จะโทรมาเตือนเท่านี้แหละ”

“โอเค เอ้อ...เต็มอยู่ที่รีสอร์ตใช่ไหมพี่บุ๋ม?”

“อยู่สิ นั่งช่วยพี่ทำงานอยู่เนี่ย จะคุยด้วยไหมล่ะ?”

“ไม่ต้องๆ แค่ถามดูเฉยๆ งั้นบ่ายนี้เจอกันฮะ”

พิงภพวางสายแล้วก็รีบล้างหน้าแปรงฟัน เมื่อคืนเขาดื่มหนักมากจริงๆ ส่วนที่อาสาดื่มแทนอทิตยะยังไม่เท่าไหร่เพราะหมอนั่นงัดข้อแพ้แค่ไม่กี่ตา แต่ที่ต้องดื่มเพราะแพ้ไพ่อูโน่กับโดนเพื่อนฝูงรินให้นี่แทบนับแก้วไม่ถูก

หรือเพราะเขาวางใจว่าต่อให้เมาแค่ไหนก็มีคนพากลับนะ...

พิงภพพยายามคิดถึงงานเลี้ยงเมื่อคืน นานทีปีหนเขาถึงจะปล่อยให้ตัวเองเมาจนสติหลุดแบบนั้น ถึงจะรู้สึกตัวตอนอทิตยะพามาส่ง แต่ก็จำไม่ได้ว่าระหว่างนั้นเผลอพูดหรือทำอะไรน่าขายหน้าไปบ้าง นี่ถ้าฝ่ายนั้นเป็นพวกชอบแบล็คเมลล่ะก็แย่แน่

ชายหนุ่มเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วหันไปหยิบเป้ใบเล็ก แต่พอเห็นสิ่งที่วางอยู่บนโต๊ะญี่ปุ่นก็ชะงัก มันเป็นของที่เขาคิดว่าเคยทำหายและคงไม่ได้เห็นอีกแล้ว เพราะไม่ว่าจะรอยเปื้อนกระดำกระด่างหรือสีที่หลุดล่อนเป็นบางจุด...มันก็คือกัปตันอเมริกาที่เขาพกติดตัวมาตลอดชัดๆ

“ทำไมมาอยู่ตรงนี้ล่ะ...”

พิงภพรีบหยิบมันขึ้นเหมือนกลัวจะหายไปอีก เขาอาจจำเรื่องเมื่อคืนไม่ค่อยได้ แต่ก็มั่นใจว่าก่อนออกไปทำงานนั้นไม่เห็นอะไรบนโต๊ะแน่ๆ ดังนั้นก็มีความเป็นไปได้แค่อย่างเดียว...คืออทิตยะพบมันแล้วเอามาคืนให้



++------++



ความจริงยังมีเวลาหลายชั่วโมงก่อนจะเริ่มสอนนักเรียนใหม่ แต่พิงภพก็รีบออกไปโบกรถสองแถวเพื่อไปที่บลูแซนด์ ขณะนั้นเป็นเวลาสิบเอ็ดโมงกว่า เขาเดินลิ่วไปยังห้องสำนักงาน แล้วก็เกือบจะชนเข้ากับคนที่เลื่อนประตูกระจก

“เต็ม!กำลังอยากเจอพอดีเลย”

“หือ?”

อทิตยะเลิกคิ้ว พิงภพรีบคว้าข้อมืออีกฝ่ายแล้วจูงให้เดินตาม พอไปถึงบริเวณสำหรับสูบบุหรี่ข้างอาคารถึงปล่อยมือ โชคดีที่ตอนนี้ไม่มีใครอยู่เพราะเรือดำน้ำรอบเช้ายังไม่กลับ

“มีอะไร? เอาเถอะ เรากำลังจะออกมาสูบบุหรี่พอดี”

คนที่ถูกลากมาหยิบบุหรี่ขึ้นจุด กลิ่นเมนทอลอ่อนจางลอยพลิ้วในสายลม พิงภพมองสีหน้าด้านข้างของอทิตยะแล้วเพิ่งตระหนักว่าผู้ชายคนนี้ดูเป็นผู้ใหญ่กว่าเขาเสียอีก

“ว่าไง?”

พอโดนถามซ้ำพิงภพเลยนึกขึ้นได้ เขาหยิบพวงกุญแจกัปตันอเมริกาออกจากกระเป๋าแล้วชูขึ้น อทิตยะเพียงแต่มองเขาเงียบๆ ผ่านควันบุหรี่เหมือนรอให้อธิบาย

“ไอ้นี่น่ะ เต็มเป็นคนเจอใช่ไหม?”

“ทำไมถึงคิดว่าเป็นเรา?”

คนโดนย้อนถามอึ้งไปนิด แต่ก็มั่นใจว่านอกจากอทิตยะแล้วไม่มีทางเป็นคนอื่น

“ก็เมื่อคืนเต็มพาเราไปส่งที่ห้องไม่ใช่เหรอ? แล้วเมื่อวานเช้าเราก็ไม่เห็นมันบนโต๊ะ แสดงว่าเป็นเต็มนั่นแหละที่เอามาวางให้ ขอบคุณมากนะ”

“เราก็แค่เจอมันตกอยู่ในห้องเช้าวันที่เราเมากลับไป ตอนแรกก็ไม่รู้หรอกว่าของคุณ พอได้ยินพูดถึงกัปตันอเมริกาเมื่อคืนถึงนึกได้”

อทิตยะเอ่ยก่อนจะยกบุหรี่ขึ้นจรดริมฝีปาก ท่วงท่านั้นดูแล้วน่าหมั่นไส้เหลือกำลัง แต่ประโยคสุดท้ายทำเอาพิงภพหน้าร้อนฉ่า

“เอ่อ...เมื่อคืนเรา...พูดอะไรไปบ้าง?”

“อยากให้บอกเรื่องไหนก่อนล่ะ? พอคุณเมาแล้วพล่ามไม่หยุดเลย”

“เดี๋ยวๆๆ ถึงเวลาเมาหนักแล้วจะไม่ค่อยรู้ตัว แต่เราว่าเราไม่ใช่คนพูดมากขนาดนั้นนะ”

รอยยิ้มเล็กๆ ผุดบนมุมปากของคู่สนทนา พิงภพเห็นแล้วให้นึกอยากเข้าไปดึงแก้ม จะได้รู้ว่าเวลาหมอนี่ยิ้มเต็มที่แล้วเป็นอย่างไรดูสักที

“ก็ไม่มีอะไรมาก แค่เรื่องคิดถึงซัน เรื่องที่เคยโดนสารภาพรักแล้ววิ่งหนี เรื่องที่กลัวคบเป็นแฟนแล้วจะต้องเลิกกัน เรื่องตุ๊กตากัปตันอเมริกาที่ตั้งแต่ได้ก็พกมาตลอด แต่พอมันหายก็นึกว่าซันคงจะหายไปด้วย”

อทิตยะเอ่ยด้วยเสียงเรื่อยๆ ขณะเหน็บบุหรี่ไว้มุมปาก พิงภพฟังแล้วอยากหันไปโขกหัวกับกำแพง ตายละวา นี่เขาพล่ามทุกอย่างเกี่ยวกับภาณุกรให้คนไม่สนิทกันฟังหรือนี่

“ขอโทษนะ เมื่อคืนได้ยินอะไรก็ลืมๆ มันไปเถอะ เรื่องไร้สาระทั้งนั้น”

พิงภพเกือบตบท้ายว่า “เดี๋ยวพาไปเลี้ยงเหล้า” แต่โชคดีที่หยุดปากทันเพราะมันดูขุดหลุมฝังตัวเองพิกล เขามองอทิตยะหันไปเคาะเถ้าบุหรี่ก่อนจะยกขึ้นสูบอีกครั้ง แววตาเย็นชาที่เบนกลับมาทำให้รู้สึกกระวนกระวาย

“เราคิดว่าคุณกำลังทำตัวเหมือนเด็กไม่รู้จักโต ไม่รู้หรอกนะว่าตอนที่หมอนั่นสารภาพรักแล้วคุณวิ่งหนีนั่นต่างคนต่างอายุเท่าไหร่ แต่นี่ก็เรียนจบจนทำงานแล้ว คนอายุเท่าคุณบางคนกำลังวางแผนอนาคตให้ลูกหรือแผนเกษียณอายุแล้วด้วยซ้ำ จะเอาแต่กลัวว่าอนาคตจะเลิกกันทำไม ถ้าหากเราเป็นหมอนั่น เราคงผิดหวังเพราะคนที่ชอบขี้ขลาดจนไม่กล้าแม้แต่จะลองคบกันดูก่อน”

คำพูดแต่ละคำทั้งตรงและบาดลึก พิงภพเผยอริมฝีปากแต่ไม่มีเสียงหลุดออกมา ได้แต่จ้องคู่สนทนาด้วยสีหน้าอ้ำอึ้ง

ทุกประโยคที่อทิตยะเอ่ยล้วนเป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ ที่ผ่านมาเขาพยายามชักเหตุผลร้อยแปดมาอ้างเพื่อบ่ายเบี่ยงการให้คำตอบกับภาณุกรจริง แต่ไม่เคยคิดในมุมกลับจากสายตาของฝ่ายนั้นเลยสักครั้ง

ซัน...ก็อาจจะคิดว่าเราขี้ขลาดงั้นเหรอ...

เสียงฝีเท้าและเสียงหัวเราะลอยมาจากหน้าหาด บ่งบอกว่าเรือรอบเช้ากลับเข้าฝั่งแล้ว พิงภพนึกละอายกับตัวตนที่ถูกดูออกอย่างทะลุปรุโปร่ง ได้แต่ทำปากขมุบขมิบว่า “ขอตัวนะ” แล้วรีบเดินหนี จากที่ตอนแรกฝืนตัวเองให้เดินช้าๆ ก็แทบจะกลายเป็นวิ่งออกมาจากข้างอาคาร

นี่เขาเป็นคนตาขาวแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ กลายเป็นคนโลเลไม่กล้าตัดสินใจจนถูกคนที่เพิ่งเจอกันไม่นานตักเตือน ถึงขนาดนี้แล้วยังจะกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นลูกผู้ชายอยู่อีกหรือ...

 

++------++


ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
มื้อเที่ยงวันนั้นพิงภพนั่งกินข้าวกับพวกเพื่อนๆ โดยไม่รู้รสอาหาร ยังดีที่การได้แนะนำนักเรียนใหม่เกี่ยวกับการดำน้ำช่วยดึงสติกลับมาบ้าง แต่พอถึงตอนที่เปิดวิดีโอให้พวกนักเรียนนั่งดู ใจเขาก็ลอยกลับไปหาบทสนทนาเมื่อกลางวันอีก

เกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ชะมัด...

หลังจบการเรียนการสอนในห้อง พิงภพก็พานักเรียนไปเบิกอุปกรณ์สำหรับภาคปฏิบัติ เขาให้แต่ละคนเอาอุปกรณ์ที่เลือกไซส์แล้วใส่กระเป๋าและจดหมายเลข นัดเวลาสำหรับเช้าวันรุ่งขึ้นแล้วก็แยกย้าย ขณะนั้นเรือของพวกที่ออกไปดำน้ำช่วงบ่ายยังไม่กลับมา ถ้าเป็นเวลาปกติเขาคงเดินไปคุยกับบุณฑริกที่ห้องสำนักงาน แต่เพราะรู้ว่าอทิตยะก็อยู่ที่นั่น เลยตัดสินใจเดินออกจากรีสอร์ตไปที่อื่นแทน

“โหยย ทำไมเพิ่งจะมาเอาป่านนี้ ช้าไปแล้วคร้าบคุณพุธ”

“อ้าว? พี่จะปิดร้านแล้วเหรอ ขอโทษๆ งั้นผมกลับก็ได้”

“เฮ้ย! ไม่ใช่โว้ย! เพิ่งจะหมดแฮปปี้อาวร์ต่างหาก มานี่ๆ จะสั่งอะไร เพิ่งเลยเวลามาสามนาที เดี๋ยวยืดเวลาให้”

ขจรเดินออกจากหลังเคาน์เตอร์พร้อมกับใช้ผ้าเช็ดโต๊ะตัวหนึ่ง พิงภพนั่งลงบนเบาะแล้วสั่งกาแฟใส่น้ำมะพร้าวที่ดื่มประจำ พอมองไปข้างนอกก็เห็นท้องฟ้าแจ่มใสเป็นพิเศษ ผิดกับจิตใจอันหม่นหมองจนไม่นึกอิจฉาเพื่อนๆ ที่กำลังดำน้ำสักนิด

“วันนี้ทำไมหน้าตาเหี่ยวเฉาจัง ถูกหวยแดกหรือไง?”

“เง้อ...ผมเคยเล่นหวยที่ไหนล่ะพี่ขจร พูดซะผมเสียเลย”

พิงภพโอดครวญขณะยื่นมือไปรับแก้วกาแฟ ขจรหัวเราะร่วนแล้วนั่งลงฝั่งตรงข้าม ทำให้เขาเพิ่งสังเกตว่าในร้านตอนนี้ไม่มีลูกค้าคนอื่น บางทีอาจเป็นเพราะไม่มีใครอยากดื่มกาแฟในตอนเย็น แถมขจรไม่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทำให้ขาดโอกาสเพิ่มรายได้ทั้งที่ร้านตั้งอยู่ในทำเลดีมาก

“พี่ขจร ผมเคยถามหรือเปล่าว่าทำไมไม่ขายเหล้า ทั้งที่น่าจะได้ลูกค้าเยอะกว่าขายแค่กาแฟกับน้ำปั่น”

คำถามของพิงภพคงสร้างความแปลกใจไม่น้อย เพราะชายสูงวัยกว่าเลิกคิ้วขณะเทน้ำเย็นใส่แก้ว

“ไม่เคย อันที่จริงก็ไม่ได้มีเหตุผลซับซ้อนนะ แค่พี่เคยติดเหล้าจนเมียทิ้งไปมีคนอื่น ก็เลยไม่อยากผิดศีลข้อห้าอีกแค่นั้นแหละ”

“อ้าว? พี่ขจรเคยแต่งงาน?”

นี่เป็นข้อมูลใหม่เอี่ยมสำหรับพิงภพ ขจรหัวเราะก่อนจะลุกไปหยิบโถคุกกี้จากเคาน์เตอร์แล้วมานั่งลงอีกครั้ง

“มา ไหนๆ วันนี้ก็มีลูกค้าแค่คนเดียว นั่งเม้าท์แบบแมนๆ กันหน่อยดีกว่า คุกกี้นี่ของพี่เอง กินตามสบาย”

พิงภพหยิบคุกกี้ช็อกโกแลตชิปขึ้นกิน มันทั้งแห้งร่วนและหวานเจี๊ยบแบบคุกกี้ปี๊บราคาถูก แต่เขาก็ชินกับรสชาติแบบนี้เพราะของว่างบนเรือก็เป็นคุกกี้ปี๊บเหมือนกัน

“พี่ขจรแต่งงานตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอ? แล้วมีลูกด้วยหรือเปล่า?”

“ไม่มี อาจเป็นเหตุผลที่เมียพี่ตัดใจไปหาคนอื่นง่ายๆ อันที่จริงพี่กับเขาก็แค่อยู่กินกันแต่ไม่ได้ทำพิธี เขาเป็นคนไต้หวัน เจอกันตอนพี่ไปทำงานเป็นผู้ช่วยดูแลเกสต์เฮ้าส์ที่ไทเป น่าจะอยู่ด้วยกันสองปีได้มั้ง แต่หลังแยกกันก็ผ่านมาจะยี่สิบปีแล้ว ถ้าตอนนี้เขามีลูกก็คงเรียน ม.ปลายแล้วล่ะ”

“...คนอายุเท่าคุณบางคนกำลังวางแผนอนาคตให้ลูกหรือแผนเกษียณอายุแล้วด้วยซ้ำ”

ถ้อยคำบาดหูสะท้อนในโสตประสาทอีกครั้ง พิงภพเดาว่าขจรน่าจะอายุสี่สิบปลายๆ แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเรื่องที่อทิตยะพูดก็เป็นความจริง เพราะเพื่อนของเขาบางคนก็เริ่มคุยกันเรื่องโรงเรียนอนุบาลสำหรับลูก

“ความสัมพันธ์ของคนเรามันไม่เที่ยงจริงๆ เนอะพี่”

“วันนี้มาแปลก ทะเลาะกับแฟนมาหรือไง? ว่าแต่ไปแอบมีแฟนตอนไหน ทำไมไม่พามาให้เจอมั่ง”

“ไม่ใช่แฟนหรอกฮะ แค่บังเอิญคุยกับเพื่อนแล้วนึกถึงประเด็นนี้ขึ้นมา”

“โฮ่...โทษที พี่สูบบุหรี่ได้มั้ย?”

“เอาเลยพี่ ตามสบาย”

พิงภพเอ่ยพลางหยิบกาแฟเย็นขึ้นดูด เหตุผลหนึ่งที่เขาชอบร้านของขจรก็เพราะเป็นไม่กี่ร้านบนเกาะที่เสิร์ฟเครื่องดื่มด้วยหลอดกระดาษ ไม่เหมือนอีกหลายร้านที่ยังใช้หลอดพลาสติก

“อันที่จริงเรื่องความสัมพันธ์เที่ยงไม่เที่ยงมันอยู่ที่คนเราทำทั้งนั้นแหละ ไม่ใช่ว่ามีโชคชะตากำกับอะไรหรอก ก็เหมือนที่เมียพี่ไปมีคนอื่นเพราะพี่ติดเหล้า ถ้าหากตอนนั้นเขาห้ามพี่อย่างจริงจัง หรือพี่สังเกตเขาเสียหน่อยแล้วปรับตัว ตอนนี้ก็อาจยังใช้ชีวิตคู่กันดีอยู่”

“พี่ขจรเคยนึกเสียใจไหมที่เลิกกัน?”

พอถามแล้วพิงภพถึงค่อยรู้สึกว่ามันเป็นคำถามที่โง่เง่าสิ้นดี มีหรือที่คนเคยใช้ชีวิตคู่ร่วมกันจะไม่เสียใจเมื่อเลิก แต่ขจรใช้เวลาสูดควันบุหรี่พร้อมกับทำหน้าครุ่นคิดอยู่นาน

“ไม่เชิงเสียใจนะ ไม่รู้สิ ตอนเลิกใหม่ๆ ก็เสียดาย แต่อีกใจก็โล่ง คนเราพอคบกันมันมีความคาดหวังไง พี่เคยคาดหวังว่าเขาคงรับเราได้ทุกอย่าง เขาก็คงคาดหวังว่าสักวันพี่จะปรับตัว พอเลิกกันมันก็เลยเหมือนยกภูเขาออกจากอก ว่าเออ...กูได้เป็นตัวของตัวเองสักที ถึงจะเหงาเพราะคนที่เคยอยู่ข้างๆ มันหายไปก็เถอะ”

“ถ้าผมถามพี่ขจรด้วยคำถามนี้ตอนเพิ่งเลิกกันใหม่ๆ พี่คิดว่าจะตอบแบบนี้หรือเปล่า?”

“ไม่มีทาง ฮ่าๆๆ ถ้าถามตอนเพิ่งเลิกกันกูคงก่นด่าไอ้ผู้ชายคนนั้นว่าแย่งเมียกู แต่ตอนนี้ผ่านมาหลายปีมันก็ยอมรับความจริงได้แล้วไง ตัวเองเหี้ยเองก็เลยโดนเขาทิ้ง เขาก็เลือกถูกแล้ว พออยู่คนเดียวนานเข้าพี่ว่ามันก็สบายดี วันๆ ก็รับผิดชอบแค่ปากท้องของตัวเอง จะตายเมื่อไหร่ก็ไม่ต้องห่วงคนข้างหลัง ถ้ามีเมียมีลูกคงทำแค่ร้านกาแฟชิลๆ แบบนี้ไม่ได้หรอก นี่ทรัพย์สินอะไรที่พอมีพี่ก็เขียนพินัยกรรมแล้วนะว่าจะยกให้วัด”

ชายสูงวัยกว่าเอ่ยจบก็หัวเราะเสียงดัง พิงภพฟังแล้วได้แต่ยิ้มบางๆ เขายอมรับบุหรี่มวนใหม่ที่อีกฝ่ายจุดยื่นให้แม้ว่าปกติจะไม่สูบ ทั้งสองเปลี่ยนประเด็นไปคุยเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับชีวิตส่วนตัว พอฟ้าเริ่มมืดก็เดินไปกินข้าวเย็นในตลาดด้วยกัน หลังจากนั้นพิงภพก็ตรงกลับอพาร์ตเมนต์เพราะไม่มีเหตุผลต้องอยู่รอกินข้าวเย็นกับเพื่อนๆ อีก



++------++



เช้าวันถัดมาพิงภพรีบออกจากห้องแต่เช้า ไปลงชื่อที่ห้องสำนักงานเสร็จก็ทักทายบุณฑริกก่อนจะไปนั่งเล่นมือถือรอนักเรียนที่ข้างสระ เมื่อทุกคนมาครบก็เริ่มสอน ตกเย็นก็แวะไปหาขจรเพื่อกินข้าวด้วยเหมือนเมื่อวาน วันถัดมาก็ยังคงทำแบบเดียวกัน โดยไม่ตระหนักเลยว่าพฤติกรรมของตัวเองทำให้คนรอบข้างผิดสังเกต

“ช่วงนี้พุธแปลกๆ เนอะ เขาได้มาบ่นอะไรให้เต็มฟังมั่งหรือเปล่า?”

“ทำไมน้าบุ๋มมาถามผมล่ะ?”

ในช่วงเย็นหลังพิงภพเงียบหายต่อเนื่องเป็นวันที่สาม บุณฑริกก็หันมาถามอทิตยะจนชายหนุ่มมุ่นคิ้ว

“อ้าว ก็เห็นว่าหออยู่ใกล้กัน คืนที่มีงานเลี้ยงต้อนรับเต็มก็ได้พุธช่วยแนะนำพวกเพื่อนๆ แถมยังพาเขากลับเพราะเมาด้วยไม่ใช่เหรอ? น้าก็นึกว่าคงสนิทกันจนเจ้าเด็กนั่นปรับทุกข์ให้ฟังน่ะสิ”

“เด็กของน้าบุ๋มอายุมากกว่าผมอีก ไม่นับว่าเด็กแล้วนะครับ”

“ก็จริงอยู่ แต่ใครที่อายุน้อยกว่าสี่สิบน้าก็ถือว่ายังเด็กทั้งนั้นล่ะ อีกอย่างนะ เวลาเต็มคุยกับพุธแล้วไม่รู้สึกเหรอว่าบางทีเจ้านั่นก็ยังกับวัยรุ่น บางเรื่องนี่อ่อนต่อโลกซะจนน้าเป็นห่วงเลย”

ก็เพราะอ่อนต่อโลกยังกับเด็กวัยรุ่นนี่แหละ ตอนนี้เขาถึงได้รู้สึกผิดอยู่นี่ไง...

อทิตยะไม่ตอบขณะช่วยพิมพ์ข้อมูลที่บุณฑริกไหว้วานใส่ไฟล์เอ็กเซล บทสนทนาเมื่อไม่กี่วันก่อนยังแจ่มชัดในความทรงจำ ปกติเขาไม่ใช่คนพูดมาก เรียกว่าไม่เคยใส่ใจคนอื่นมากพอจะออกความเห็นเรื่องส่วนตัวดีกว่า แต่ไม่รู้ทำไมพิงภพถึงเป็นข้อยกเว้น ไอ้เรื่องที่อยู่ห้องติดกันและมีเหตุจำเป็นให้ต้องรบกวนกันไปมาก็เรื่องหนึ่ง แต่เรื่องที่หงุดหงิดกับอีกฝ่ายในประเด็นที่ไม่ได้เกี่ยวกับเขา...มันทำให้เขาพานหงุดหงิดตัวเองตามไปด้วย

“ปกติหลังเลิกงานพุธเขาจะมาลงเวลาแล้วแวะคุยกับน้าก่อนทุกที แต่ไม่กี่วันนี้ดันโผล่มาเฉพาะช่วงเช้า ตอนเย็นก็ไม่อยู่กินข้าวกับพวกเพื่อนๆ พอถามก็ไม่มีใครรู้ว่าพุธเป็นอะไร พวกฝรั่งเขาไม่ค่อยละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวกันซะด้วยสิ”

ยิ่งฟังอทิตยะก็ยิ่งหงุดหงิดมากขึ้น อย่าว่าแต่พวกเพื่อนๆ ของพิงภพเลย กระทั่งเขาที่อยู่ห้องข้างกันยังไม่เจอหมอนั่นมาจะสามวันแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าคนที่ปกติจะวนเวียนมาแสดงตัวในสายตาเขาตลอด บทจะหายเข้ากลีบเมฆก็ซ่อนตัวได้สนิทจนน่าโมโห

อทิตยะปิดไฟล์หลังทำงานเสร็จ แต่พอกำลังจะลุกออกไปสูบบุหรี่ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดัง เขาเห็นบุณฑริกกำลังคุยติดพันอยู่อีกสาย จึงยกหูโทรศัพท์เครื่องนั้นขึ้นอย่างเสียไม่ได้

“Hi, this is Blue Sand Resort. How may I help you?”

“เอ่อ...อ่า...แคน ยู สปี๊ก ไท้?”

“ได้ครับ”

ชายหนุ่มเปลี่ยนกลับมาใช้ภาษาไทย ลูกค้าของบลูแซนด์จำนวนไม่น้อยที่โทรเข้ามาเป็นชาวต่างชาติ เขาเลยชินกับการตอบรับเป็นภาษาอังกฤษไปก่อนโดยอัตโนมัติ

“อยากจองห้องแฟมิลี่สำหรับสามคนช่วงเสาร์อาทิตย์นี้สองคืนครับ ผู้ใหญ่สองเด็กหนึ่ง ไม่รู้ว่ามีห้องว่างหรือเปล่า?”

“ถ้าห้องแฟมิลี่จะมีแบบพูลวิลล่ากับโอเชียนสวีท สนใจแบบไหนครับ?”

เขาอธิบายราคาและความแตกต่างของห้องทั้งสองประเภท จากนั้นก็ยืนยันการจองและแจ้งค่ามัดจำ ก่อนจะเลิกคิ้วเมื่อได้ยิน “สเปเชียลรีเควสต์” เมื่อวางสายก็พบว่าบุณฑริกคุยเสร็จแล้ว

“มีคนโทรมาจองห้องพูลวิลล่าวันเสาร์นี้ ผมจดชื่อไว้ให้แล้ว เดี๋ยวขอออกไปเบรกก่อนนะครับ”

“โอเคจ้า หือ...อุ๊ยตายแล้ว ครอบครัวนี้เหรอ สเปเชียลรีเควสต์น่ารักจัง”

บุณฑริกอ่านรายละเอียดในกระดาษแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ อทิตยะเลื่อนประตูแล้วเดินออกจากห้องสำนักงาน ขณะนั้นเรือยางเพิ่งพานักดำน้ำรอบค่ำกลับมา เสียงจ้อกแจ้กจอแจดังไปทั่วหน้าหาด

“น่าเสียดายชะมัดเลยพุธ! ปลากระเบนตัวเบ้อเริ่มเลยซ่อนอยู่บนพื้นทราย! ปกติไม่ค่อยเจอเวลาลงไนต์ไดฟ์นะเนี่ย”

“ใช่ซี้ พวกนายมันมากับดวง ไว้ให้ฉันพานักเรียนใหม่ลงสอบในทะเลก่อนเหอะน่า”

เสียงคุ้นหูดึงอทิตยะให้เลี้ยวไปทางห้องเก็บของ เหล่านักดำน้ำกำลังทยอยล้างอุปกรณ์ดำน้ำเพื่อคืนเจ้าหน้าที่ และคนที่ทำตัวล่องหนมาหลายวันก็กำลังยืนคุยอยู่ท่ามกลางพวกเพื่อนๆ

ไม่ว่านิสัยคล้ายวัยรุ่นของพิงภพจะเป็นข้อดีหรือเสีย เขาก็ต้องยอมรับว่านั่นคงเป็นคุณสมบัติที่ดึงดูดให้คนรอบตัวเอ็นดูและอยากเข้าหา

“แล้วคืนนี้ว่าไง? จะอยู่กินข้าวด้วยกันไหม? นายหายหน้าไปหลายวันแล้วนะ”

“เอาไว้วันหลังก็แล้วกัน พอดีฉันเพิ่งนึกได้ว่าคืนนี้มีธุระ ขอตัวกลับก่อนล่ะ”

พูดจบชายหนุ่มก็กระโดดลงจากระเบียงไปบนหาดแล้ววิ่งเหยาะๆ จากไป อทิตยะหน้าตึงทันที เมื่อครู่นี้เขามั่นใจว่าอีกฝ่ายเห็นเขาแน่ๆ ดังนั้นการปลีกตัวจากเพื่อนฝูงอย่างรีบร้อนต้องเป็นเพราะกำลังหลบหน้าโดยไม่ต้องสงสัย

“อ้าวเต็ม มีอะไรเหรอ?”

ลีหันมาเห็นก็เอ่ยทัก อทิตยะตอบเสียงนิ่งอย่างพยายามควบคุมอารมณ์

“เปล่า แค่เดินผ่านมาเฉยๆ”

สเวนกับมาริอุสมองหน้ากัน ก่อนสเวนจะบุ้ยคางไปทางที่พิงภพเพิ่งวิ่งออกไป

“ถ้าจะมาหาพุธล่ะก็ หมอนั่นเพิ่งกลับไปเมื่อกี้”

“ฉันเห็นแล้ว ช่างเขาเถอะ”

ร่างสูงหมุนตัวจะเดินกลับ แต่ยังทันได้ยินลีร้องบอกว่า “ถ้าทะเลาะกันก็รีบดีกันซะนะ” อารมณ์ที่กรุ่นอยู่แล้วเลยยิ่งขุ่นคลั่กขึ้นไปอีก

ถ้าคิดว่าจะหนีหน้ากันได้ตลอดก็โลกสวยเกินไปแล้ว...

อทิตยะเดินไปสูบบุหรี่ที่ข้างสำนักงาน จากนั้นก็เดินไปกินมื้อเย็นที่ห้องอาหาร ราวสองทุ่มครึ่งก็ไลน์บอกบุณฑริกว่าจะกลับหอ เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าขับมอเตอร์ไซค์เร็วเกินจนเกือบแฉลบตรงหัวโค้งถึงค่อยผ่อนความเร็วลง หลังผ่านขึ้นเนินสุดท้ายและจอดรถในโรงจอด เขาก็วิ่งขึ้นบันไดทีละสองขั้นแล้วสาวเท้าไปเคาะประตูห้องด้านในสุด

ครั้งที่สี่...ครั้งที่ห้า...ครั้งที่หก ถึงจะไม่เห็นแสงไฟลอดออกมา แต่อทิตยะมั่นใจว่าคนข้างในได้ยินเสียงเคาะประตูแน่ เขาไม่สนหรอกว่าพิงภพอาจจะหลับแล้ว ถ้าคืนนี้ไม่คุยกันให้เคลียร์เขาคงนอนไม่หลับ และถ้าเขาไม่หลับก็อย่าหวังว่าตัวต้นเหตุจะได้นอนสบายเลย

“ได้ยินแล้ว...จะเคาะไปถึงไหน”

อทิตยะหยุดมือเมื่อประตูแง้มเปิดพร้อมเสียงพึมพำ พิงภพไม่ได้เปิดไฟในห้อง แต่แสงไฟตรงระเบียงก็เผยให้เห็นว่าใส่แค่กางเกงขาสั้นตัวเดียว นัยน์ตาที่แจ่มใสบ่งบอกว่ายังไม่ทันได้หลับก็ถูกปลุกเสียก่อน

“คุณหลบหน้าเราอยู่ใช่ไหม?”

ชายหนุ่มยิงคำถามโดยไม่อ้อมค้อม พิงภพเม้มปากนิดหนึ่ง นัยน์ตาดำขลับหลีกเลี่ยงการสบตานับตั้งแต่วินาทีที่เปิดประตูให้

“ไม่ได้หลบ ไม่เห็นต้องหลบสักหน่อย พรุ่งนี้เราต้องตื่นไปลงเรือแต่เช้า ขอนอนก่อนนะ”

“เดี๋ยวก่อน! โอ๊ย!”

“เฮ้ย! เป็นอะไรรึเปล่า!?”

อทิตยะคำรามลอดไรฟันเพราะดันไปจับขอบประตูตอนที่ถูกดึงปิด พิงภพรีบผลักบานประตูออกแล้วคว้ามือของเขาไปดูอย่างลนลาน

“ขอโทษๆ เราไม่ได้ตั้งใจ มีเลือดออกไหม?”

ชายหนุ่มเลิกคิ้วเมื่อถูกยกมือขึ้นไปเป่า นั่นคงเป็นปฏิกิริยาที่พิงภพทำโดยไม่ทันคิดเพราะอีกฝ่ายชะงักไปแทบจะทันที แต่เขาก็รีบกุมมือไว้ก่อนจะถูกปล่อย

“เดี๋ยวก่อน มาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน”

“มือไม่เจ็บแล้วไม่ใช่เหรอ มีอะไรค่อยคุยกันวันหลังก็ได้”

“ใครบอกว่าไม่เจ็บ ทั้งบวมทั้งแดงเนี่ยไม่เห็นหรือไง?”

อทิตยะตั้งใจจะยั่วโมโห แล้วก็ได้ผลเพราะพิงภพช้อนตามองเขาอย่างเคืองๆ แต่ก็แค่แวบเดียวก่อนที่จะหลบตาและพยายามดึงมือกลับไปอีก

“ปล่อย”

“ไม่ปล่อย เรารู้ว่าพูดตอนนี้อาจไม่ได้ช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้น แต่สำหรับเรื่องที่คุยกันวันนั้นแล้วเราเผลอว่าคุณ เราขอโทษ”

แพขนตาของพิงภพวูบไหว แต่แทนที่จะมองเขากลับยิ่งก้มหน้าต่ำกว่าเดิม และอทิตยะก็ยังต้องออกแรงดึงมือที่เจ้าตัวพยายามจะยื้อกลับเหมือนเดิม

“ถ้าหากไม่รู้ก็ขอบอกไว้...ไม่มีใครชอบเวลาถูกคนอื่นจี้จุดอ่อนตรงๆ หรอกนะ”

“เรารู้ เราถึงมาขอโทษคุณอยู่นี่ไง”

อทิตยะเริ่มกระวนกระวาย เขามองพิงภพที่ยังก้มหน้านิ่ง แต่พอได้ยินเสียงสูดน้ำมูกที่เจ้าตัวพยายามจะอดกลั้น ความสุขุมก็พลันหายไปทันที

“ขอโทษ เราไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายจิตใจคุณ ถ้าโกรธก็ด่าหรือต่อยเราก็ได้”

ชายหนุ่มพูดใส่กระหม่อมของคนที่ยืนตัวแข็งทื่อ เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงดึงพิงภพมากอด รู้แค่ว่าทนเห็นท่าทางเมื่อครู่ไม่ได้ ยิ่งรู้ว่าใครคือต้นเหตุทำให้อีกฝ่ายหม่นหมองก็ยิ่งโมโหตัวเอง

นี่ไงล่ะ...เหตุผลที่เขาไม่อยากทำความรู้จักหรือสนิทสนมกับคนแปลกหน้า เพราะสุดท้ายแล้วก็จะห้ามตัวเองไม่ให้หลุดคำแสลงหูไม่ได้ ทั้งที่รู้ว่าหากพูดไปแล้วจะทำให้โดนเกลียด

“อุ๊บ”

กำปั้นที่ทุบลงบนหลังไม่หนักแต่ก็ไม่เบา อย่างน้อยก็ทำเอาอทิตยะจุกจนลืมความเจ็บที่มือ พิงภพสูดน้ำมูกอีก แต่เสียงที่เอ่ยในประโยคถัดมาไม่สั่นแล้ว

“วันนั้นน่ะ เราโกรธมากเลยนะ”

“เราเข้าใจ ก็สมควรที่คุณจะโกรธ”

“เราโกรธเต็ม แต่ก็โกรธตัวเองด้วย เพราะเต็มพูดถูกทุกคำ เราเป็นคนขี้ขลาดอย่างที่โดนว่าจริงๆ พอสำเหนียกได้แล้วก็ไม่อยากคุยกับเต็มอีก เราไม่รู้ว่าจะถูกเห็นข้อเสียอื่นแล้วพูดจี้จุดกันอีกหรือเปล่า”

อทิตยะฟังแล้วได้แต่ถอนหายใจ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเสียใจกับคำพูดหรือการกระทำของตัวเอง แต่เพราะหลีกเลี่ยงการเอาตัวเข้าไปในวงโคจรของคนอื่นมานาน ความรู้สึกสำนึกผิดนี้จึงทิ่มแทงจิตใจมากกว่าที่คิด

“เราไม่มีข้อแก้ตัว คุณจะตัดสินใจเรื่องของหมอนั่นยังไงก็ไม่ใช่ธุระของเรา เราไม่มีสิทธิ์ไปสั่งสอนคุณแบบนั้น ขอโทษด้วย”

“ไม่ยกโทษให้”

อทิตยะใจหายวูบ เขาดันตัวพิงภพออก พอก้มลงจะมองหน้าให้ชัดๆ ก็ยิ่งโดนก้มหนี

“เราเข้าใจถ้าคุณไม่ยกโทษให้ง่ายๆ แต่อย่างน้อยก็ไม่ควรหลบหน้าเราจนทำให้เพื่อนๆ กับน้าบุ๋มเป็นห่วง”

ถ้อยคำนั้นคงเตือนให้พิงภพตระหนักถึงพฤติกรรมของตัวเองขึ้นมาบ้าง เพราะในที่สุดก็ยอมเงยหน้ามองเขาพร้อมกับสีหน้าครุ่นคิด

“ถ้าหาก...จะให้เรายกโทษให้แล้วกลับไปคุยกันเหมือนเดิมก็ได้ แต่ต้องมีข้อแม้”

“ข้อแม้? ข้อแม้อะไร?”

“เต็มต้องขอพี่บุ๋มย้ายมาทำหน้าที่ดีลกับเรือสองอาทิตย์”

“หา?”

อทิตยะอุทานอย่างงุนงง สีหน้าของเขาคงตลกมากเพราะพิงภพถึงกับหลุดหัวเราะ

“เดี๋ยววีคหน้าสเวนกับครูสอนดำน้ำอีกสองคนจะลากลับบ้านที่ยุโรป คนที่ต้องทำหน้าที่ประสานงานกับเรือก็จะลดลง ไหนคนที่เหลือจะต้องช่วยกันดูแลลูกค้าอีก เรามองว่าเต็มน่าจะช่วยในส่วนนี้ได้ อย่างน้อยก็จนกว่าสามคนนั้นจะกลับมา”

“โธ่เอ๊ย แค่นั้นเองเหรอ ถ้างั้นก็ไม่มีปัญหา เราไม่เคยทำงานในเรือมาก่อน แต่ถ้าไม่ต้องใช้สกิลพิเศษก็พอไหว”

“สกิลพิเศษไม่จำเป็นหรอก มันแค่มีเรื่องจุกจิกที่ต้องปรับตามสถานการณ์ ขอแค่ไม่ใช่คนเมาเรือหรือกลัวน้ำก็พอ”

“ได้ งั้นพรุ่งนี้เราจะบอกน้าบุ๋มเองว่าขอย้ายไปช่วยงานส่วนนั้นสักสองอาทิตย์ แบบนี้โอเคไหม?”

พิงภพพยักหน้าขณะใช้หลังมือเช็ดจมูก แต่หลังเห็นคราบน้ำมูกก็เบ้ปาก เงยหน้าขึ้นมองอทิตยะ ก่อนจะทำเอาเขาร้อง “เฮ่ย!” เพราะถูกดึงชายเสื้อไปสั่งน้ำมูกดังปื้ด

“คิดซะว่าเป็นส่วนหนึ่งของการขอขมาก็แล้วกัน น้ำมูกแค่นี้ซักนิดเดียวก็ออก”

คนพูดเงยหน้าขึ้นยิ้มสะใจทั้งที่ปลายจมูกแดงช้ำ อทิตยะเห็นแล้วรู้สึกบอกไม่ถูก เขาเผลอไล้นิ้วโป้งไปบนหลังมือในอุ้งมือเบาๆ ก่อนจะเพิ่งรู้สึกตัวว่าไม่ได้ปล่อยมือข้างนั้นเลยตั้งแต่ต้น

“เอ่อ...ดึกแล้ว พรุ่งนี้เราต้องพานักเรียนลงสอบในทะเลแต่เช้า”

ดูเหมือนเจ้าของมือก็คงเพิ่งรู้ตัวเหมือนกัน แต่อทิตยะแสร้งทำไม่รู้ไม่ชี้แถมกุมมือแน่นเข้า

“ได้ยินแล้ว ตอนที่คุณบอกเพื่อนๆ ก่อนจะหนีกลับมาเมื่อหัวค่ำ”

ถึงคำพูดจะกระแนะกระแหน แต่น้ำเสียงของเขามีกังวานหยอกล้อจนอทิตยะนึกแปลกใจตัวเอง พิงภพย่นจมูกโดยไม่โต้ตอบ ต่างคนต่างยืนรีๆ รอๆ ท่ามกลางเสียงหรีดหริ่งของแมลงกลางคืน

“เห็นว่าพรุ่งนี้คุณต้องตื่นแต่เช้าใช่ไหม ถ้างั้นก็ไปนอนเถอะ”

“ก็ใช่...แต่ความจริงนี่เพิ่งจะสามทุ่มกว่า ถึงกลับไปนอนก็คงไม่หลับ”

มือในอุ้งมือของอทิตยะแกว่งเบาๆ กริยานั้นเหมือนเด็กที่อยากชวนเพื่อนไปวิ่งเล่น แต่สำหรับคนที่โตแล้ว...มันแทบไม่ต่างจากการออดอ้อน

อันที่จริงธุระของอทิตยะจบแล้ว เขาได้ขอโทษและปรับความเข้าใจกับพิงภพ ค่ำคืนนี้ควรจะจบลงเท่านี้ แต่การที่นึกอยากยืดเวลาออกไป...ทำให้นึกสงสัยว่าบางทีเขาก็คงยัง ‘เด็ก’ อยู่เหมือนกัน

“เอ่อ...”

“หือ?”

พิงภพยืนนิ่งมองเขา ปลายจมูกกับขอบตาที่ยังแดงเรื่อทำเอาอทิตยะต้องกระแอมก่อนจะกระชับมือที่กุมไว้แน่นขึ้นหนึ่งที

“ถ้างั้น...ไปใส่เสื้อแล้วออกไปเดินเล่นกันก่อนไหม?”



++---TBC---++

 

A/N: กลับมาพบกันใหม่ทุกสองสัปดาห์ เรื่องนี้ช่างชิลเหมือนอารมณ์ของคนเขียนจริงๆ ฮา แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ  :katai2-1:
 


ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
พุธเมาแล้วความน่ารักเพิ่มขึ้นไปอีกเท่าตัว อ้อแอ้น่าเอ็นดูเหลือเกิน
ตอนไปคุยกับเต็มเนี่ยรู้สึกว่าพุธเหมือนเด็กจริงๆนะ
ให้อารมณ์เหมือนน้องชายวัยกำลังหัดรักเลย
อ่านแล้วรู้สึกฟีลพี่สาวมาเต็มมากอยากพูดอยากสอนแล้วก็ให้กำลังใจไปด้วย

ตอนเต็มจับมือพุธแล้วลูบเบาๆเนี่ยเขินมากไม่ไหว
บอกพุธว่าอย่าหนีแล้วก็บอกตัวเองด้วยสิ!

ชอบตอนนี้จังเลยค่ะรู้สึกถึงทะเลในวันเรื่อยๆลมพัดเบาๆนั่งฟังเรื่องเล่าของพี่ขจร
พร้อมกับติดตามดูรอยแตกเล็กๆระหว่างพุธกับเต็ม
ที่พอเข้าใจกันแล้วก็ทำให้ใกล้ชิดกันยิ่งกว่าเดิม

อยากรู้ว่าเขาสองคนไปเดินเล่นกันถึงไหน
แล้วจะจับมือกันไปตลอดไหมแล้วสิคะ
 :m13:

 :pig4:

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
พุธน่ารักนะ

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
ตะวันพิงภพ บทที่ 11


สายลมยามดึกพัดแรงแต่เย็นสบายมากกว่าหนาว พิงภพฟังเสียงคลื่นกระทบหาดทรายและท้องเรือที่จอดทอดสมอด้วยความรู้สึกปลอดโปร่ง ถึงจะได้ยินเสียงนี้มาตลอดสามปีก็ไม่เคยเบื่อ แต่สิ่งที่ทำให้คืนนี้ต่างจากคืนอื่นๆ คือการออกมาเดินเล่นบนหาดซึ่งเงียบสงบห่างจากบลูแซนด์ และยิ่งไปกว่านั้น...คือการเดินจูงมือกับผู้ชายที่เมื่อไม่กี่อาทิตย์ก่อนยังเป็นคนแปลกหน้า

ถ้าหากไปบอกใครคงไม่มีคนเชื่อ ขนาดพิงภพก็ยังไม่ค่อยแน่ใจว่าไม่ได้ละเมอ แต่ไออุ่นจากนิ้วมือที่เกาะเกี่ยวกันตอกย้ำว่าเขากำลังจูงมือกับผู้ชายที่ชอบทำหน้าไม่รับแขก พูดน้อย รอยสักเต็มตัว แถมเพิ่งจะวิจารณ์เขาจนเสียศูนย์เมื่อไม่กี่วันก่อน แต่วันนี้กลับทำตัวเป็นคนดี นอกจากจะมาขอโทษถึงห้อง ยังนึกคึกอะไรไม่รู้ถึงชวนมาเดินเล่นเอาดึกดื่นแบบนี้

จะอย่างไรก็ตาม คนที่บ้าบอยิ่งกว่าคงจะเป็นเขาที่ตอบรับโดยไม่เสียเวลาคิด แถมตอนลงจากมอเตอร์ไซค์ก็ยังจะยื่นมือไปให้จูง อย่างกับย้อนไปเป็นเด็กห้าขวบที่เวลาไปไหนต้องจับมือใครสักคน พีรัชยังเคยแซวว่าเขาติดคนอื่นง่ายเพราะเป็นลูกคนสุดท้อง ครั้นจะเถียงก็ไม่เต็มปากในเมื่อเขาเป็นน้องเล็กของบ้านจริงๆ

“เอาหน่อยไหม?”

เสียงของคนข้างตัวดึงพิงภพให้หันไปหา เขามองขวดเบียร์ที่ถูกยื่นให้แล้วก็ช้อนตาขึ้นมองอทิตยะ

“ขออึกเดียวแล้วกัน ก่อนวันที่จะต้องดำน้ำตอนเช้าไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์เยอะ”

พิงภพรับขวดเบียร์มาจิบแล้วส่งคืนโดยไม่หยุดเดิน สองมือที่กุมกันของพวกเขาเป็นเพียงการเกี่ยวนิ้วหลวมๆ แต่ความรู้สึกอุ่นใจทำให้ไม่อยากปล่อยมือ

หมอนี่ก็จะคิดว่าเขาเป็นพวกขี้อ้อนเหมือนที่เฮียเคยแซวไหมเนี่ย...

“หือ...ดาวตก”

“หา? ไหนๆ”

“เมื่อกี้เห็นแว้บๆ ตรงขอบฟ้าทางโน้น เดี๋ยวก็มีอีกมั้ง”

อทิตยะตอบพลางใช้มือข้างที่ถือขวดเบียร์ชี้ไปบนฟ้า ทั้งสองต่างหยุดฝีเท้าแล้วยืนรอ สายลมปะทะหน้าและเสื้อจนลู่ไปกับตัว บนผืนน้ำไกลออกไปมีแสงของเรือประมงสว่างเป็นจุดๆ เสียงดนตรีคึกคักจากหาดอื่นลอยคลอเคลียมากับเสียงลม

จะว่าไป...เขาก็ไม่ได้เดินเล่นริมทะเลกับใครบางคนมานานแล้วนี่นะ...

พิงภพคิดพลางเหลือบมองคนข้างๆ เมื่อหันกลับไปมองท้องฟ้าอีกครั้งก็เขย่ามืออย่างตื่นเต้นเพราะเห็นดาวตกสองดวงติดต่อกัน หลังผ่านไปครู่หนึ่งอทิตยะก็เปรยขึ้นมา

“นี่...ขอถามอะไรหน่อยได้ไหม?”

“อื้อ?”

พิงภพตอบรับ แต่คนถามกลับเงียบไปอึดใจใหญ่ก่อนจะเปิดปากอีกครั้ง

“คุณเคยมีแฟนมาก่อนหรือเปล่า?”

มันเป็นคำถามที่สุดแสนจะพื้นฐาน แต่พิงภพกลับร้อนหน้าอย่างไม่มีสาเหตุ เขาเผลอแกว่งมือที่กุมกันเบาๆ แล้วก็รีบหยุดเมื่อรู้ตัว

“เคยมีคนนึง สมัยเรียนมหา’ ลัย”

“ผู้หญิง?”

“ผู้หญิงสิ แต่ว่า...แมนมากนะ จนใครๆ พากันนึกว่าเป็นทอม”

พิงภพนึกถึงอดีตแฟนแล้วหัวเราะ สาวน้อยที่เขาเคยคบนั้นนอกจากเครื่องแบบนักศึกษาแล้วก็ไม่เคยสวมกระโปรง เวลาออกเดทก็ไม่เคยทำตัวหวานแหววหรือโพสต์ท่าสวยให้ถ่ายรูป บางทีเหตุผลที่พวกเขาเข้ากันได้ดีเพราะต่างคนต่างก็ไม่ชอบเรียกร้องความสนใจ

“แล้วทำไมถึงเลิกกันล่ะ?”

“ทำไมเหรอ ก็...มันถึงจุดที่คบกันแบบเพื่อนแล้วสบายใจกว่า อีกอย่างหลังเรียนจบก็สมัครงานคนละจังหวัด ดูท่าอนาคตคงเป็นเส้นขนานก็เลยเลิก แต่นานๆ ทีก็ยังโทรคุยกันอยู่นะ ว่าแต่ถามทำไมเนี่ย?”

เพราะอทิตยะดูไม่ใช่คนที่น่าจะสนใจเรื่องของคนอื่นเลย คนถูกถามยกมือที่จับกันขึ้นมาแล้วเขย่าเบาๆ

“แค่อยากรู้ ว่าคุณเคยพาแฟนไปเดินเล่นจูงมือแบบนี้หรือเปล่า?”

“หา? เคยดิ แต่เขาชอบบอกว่าตัวเองเหงื่อออกง่าย จับมือกันแล้วเหนอะหนะก็เลยแค่เดินด้วยกันเฉยๆ มากกว่า”

“แสดงว่าไม่เคยทำมากกว่าจับมือสินะ”

อทิตยะพูดต่อด้วยเสียงไม่สื่ออารมณ์ พิงภพไม่แน่ใจว่าจำเป็นต้องตอบไหม แต่ที่แน่ๆ อาการร้อนหน้ากลับมาอีกแล้ว

“ขอโทษด้วยถ้าถามเรื่องส่วนตัวมากไป”

“ไม่เป็นไร มันก็ไม่ได้เป็นความลับขนาดนั้น พวกเพื่อนสมัยเรียนยังเคยทักว่าพวกเราเหมือนพี่น้องกันมากกว่าแฟน”

พิงภพตอบ กับภาณุกรก็เหมือนกัน พวกเขาเคยสนิทกันมากจนพ่อกับแม่แซวว่ามีลูกชายอีกคน เขาเองก็เคยคล้อยตามคำพูดนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะเกิดเหตุหลังเลิกเรียนในวันนั้นขึ้นมา...

“แล้วกับซันล่ะ? ที่คุณบอกว่าห่างกันไปนานก่อนกลับมาเจอกันใหม่นี่กี่ปี?”

พิงภพแทบสะดุ้งเพราะนึกว่าโดนอ่านใจได้ เขาเหลือบมองอทิตยะแต่อีกฝ่ายยังทอดตามองเรือในทะเล หลังชั่งใจครู่หนึ่งก็คิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่ต้องปิดบัง

“เรากับซันเรียนห้องเดียวกันตั้งแต่ ม.1 ก็อย่างที่เห็นว่าหมอนั่นเป็นลูกครึ่ง พ่อเป็นคนแคนาดา ตอน ม.5 ปู่ของซันเสียแล้วเหลือย่าอยู่คนเดียว พ่อก็เลยตัดสินใจพาครอบครัวย้ายไปอยู่ที่โน่น ซัน...สารภาพรักกับเราตอนนั้นแหละ ก็ผ่านมาเกือบจะสิบปีแล้ว”

จากเด็กหนุ่มสองคนก็เติบโตเป็นชายหนุ่มสองคน เพียงแต่ความรู้สึกของฝ่ายหนึ่งยังมั่นคง ในขณะที่อีกฝ่ายซึ่งก็คือเขา...ยังคงสับสนและกลัวการให้คำตอบมาจนถึงวันนี้

“ที่คุณไม่ตอบรับเพื่อนคุณ เพราะแค่ไม่อยากเสียเพื่อน หรือเพราะว่าจริงๆ แล้วไม่ได้ชอบผู้ชาย?”

“หา...เอ่อ...เราไม่เคยคิดเรื่องชอบหรือไม่ชอบผู้ชาย ยังไงดี...ที่เราคิดมากเพราะอีกฝ่ายคือซัน ต่อให้ซันเป็นผู้หญิง แต่ถ้าพวกเราสนิทกันมาตั้งแต่เด็ก เราก็คงลังเลที่จะให้คำตอบอยู่ดีแหละ”

คำถามของอทิตยะทำให้พิงภพตระหนักว่าเขาไม่เคยสนใจประเด็นนี้ ทั้งที่พวกสเวนกับมาริอุสก็เคยทักเรื่องนี้หลังได้พบภาณุกร หรือเขาจะเป็นคนคิดอะไรตื้นเขินเกินไปนะ?

“เท่าที่ฟังมา เหมือนคุณไม่ได้จำกัดตัวเองว่าจะต้องคบแค่ผู้ชายหรือผู้หญิงใช่ไหม? เพียงแต่ถ้าคบด้วยแล้วสบายใจก็ไม่เกี่ยง”

“เราไม่เคยนั่งวิเคราะห์ตัวเองแบบนั้น แต่อาจใช่ก็ได้มั้ง...จะแขวะว่าใจง่ายล่ะสิ”

“ยังไม่ได้พูดแบบนั้นสักคำ แต่ถ้าใจง่ายแล้วไม่ปิดโอกาสตัวเองก็ถือว่าเป็นความหมายที่โพสิทีฟ เราก็มีเพื่อนหลายคนที่ไม่จำกัดว่าต้องคบแต่เพศตรงข้าม บางทีเพศเดียวกันก็เข้ากันได้ทั้งนิสัยและเซ็กซ์มากกว่า”

พิงภพมั่นใจว่าถ้าหน้าเขายังร้อนกว่านี้อีกมันคงระเบิดแน่ ไม่รู้ว่าพื้นฐานอทิตยะเป็นคนพูดตรงอยู่แล้วหรือเพราะถูกสภาพแวดล้อมในต่างประเทศหล่อหลอม ถึงได้แสดงความคิดเห็นโจ่งแจ้งจนคนฟังกระดากแทน

“เต็มพูดแต่ละอย่าง เรารู้สึกยังกับตัวเองเป็นพวกอ่อนต่อโลกไปเลย”

“ก็อ่อนจริงๆ ไม่ใช่เหรอ ไม่ต้องน้อยอกน้อยใจหรอก”

“ไม่ได้น้อยใจเว่ย! ไอ้บ้า จะปลอบกันหน่อยก็ไม่ได้ ดันมาเห็นด้วยอีก”

ชายหนุ่มบ่นกระปอดกระแปด ไม่น่าเชื่อว่าไม่กี่วันก่อนเขายังนึกหมั่นไส้สีหน้าไร้อารมณ์ของหมอนี่อยู่เลย มาวันนี้กลับได้เห็นทั้งรอยยิ้มและได้ยินเสียงหัวเราะ มันน่าถ่ายคลิปไว้ไปอวดคนอื่นชะมัด

“เคยจินตนาการว่าถ้าคุณคบกับหมอนั่นจริงๆ จะเป็นยังไงบ้างไหม?”

จู่ๆ อทิตยะก็วกประเด็นกลับมาที่ภาณุกร พิงภพย่นจมูก เผลอแกว่งมือที่กุมอยู่โดยไม่รู้ตัวอีกครั้ง

“ไม่เคย จะว่าไงดี สมัยมัธยมเราสนิทกับซันมาก วันหยุดก็ไปเล่นเกมที่บ้านหรือไปดูหนังด้วยกันตลอด เลยนึกไม่ออกว่าถ้าคบกันแล้วมันจะต่างออกไปยังไง...”

ไม่สิ...พิงภพพลันนึกถึงคืนที่ภาณุกรมาค้างด้วยที่ห้อง ความตั้งใจของอีกฝ่ายชัดเจนไม่ว่าจะเป็นตอนที่จูบมุมปากหรือหอมแก้ม แต่อาจเพราะสมองเขารับจินตนาการที่เตลิดกว่านั้นกับอดีตเพื่อนสนิทไม่ไหว มันเลยชัตดาวน์ก่อนจะออกนอกลู่นอกทางทุกที

“คิดไปถึงไหนแล้ว เราแค่หมายถึงเรื่องทั่วๆ ไป อย่างดินเนอร์ ออกเดท หรือแค่เดินจูงมือกันต่างหาก ทะลึ่งเหมือนกันนี่เรา”

“เดี๋ยวๆ ใครกันแน่ที่มาพูดให้คิด ถ้าแค่เดินจูงมือตอนนี้ก็ทำอยู่นี่ไง”

พิงภพสวนกลับพร้อมกับชูมือที่กุมกันขึ้น ก่อนจะชะงักเพราะตระหนักถึงสิ่งที่พวกเขากำลังทำ รวมถึงบทสนทนาในตอนนี้ด้วย

ก็นี่มัน...เป็นสิ่งที่ปกติแฟนกันถึงจะทำนี่นา? ไม่งั้นเพื่อนผู้ชายที่ไหนจะมาเดินจูงมือกันริมทะเลตอนกลางค่ำกลางคืน นี่เขาโดนหมอนี่วิจารณ์จนสมองลัดวงจรหรือไงนะ?

“เอ่อ...”

ชายหนุ่มอ้ำอึ้ง มองมือที่กุมกันอยู่เหมือนกำลังมองผ่านสายตาบุคคลที่สาม แล้วก็นึกสงสัยว่าถ้าคนอื่นมาเห็นจะอ่านสถานการณ์นี้ว่าอย่างไร

“อยากทดสอบดูก่อนจะไปเจอหมอนั่นอีกครั้งไหมล่ะ?”

“หา? ...”

คืนนี้ดูเหมือนเขาจะส่งเสียงอุทานอย่างเซ่อซ่าหลายรอบแล้ว และพิงภพมั่นใจว่าคงไม่ใช่ครั้งสุดท้ายขณะมุ่นคิ้วมองอทิตยะ

“บางทีนอกจากเรื่องที่ไม่อยากเสียเพื่อน อีกเหตุผลที่คุณยังไม่กล้าตัดสินใจก็เพราะไม่รู้ว่าผู้ชายคบกันแล้วเป็นยังไง เวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นจะโดนมองแบบไหน ถ้าได้ทดลองก่อน คุณอาจมั่นใจมากขึ้นว่าจะตอบเยสหรือโนก็ได้”

“เรื่องนั้น...แต่ว่า...เราไม่มีคนที่จะคบด้วยแบบนั้นนี่”

นอกจากเจ๊เพ็ชชี่ที่แปลงเพศไปแล้ว...เขาก็ไม่สนิทกับใครที่เป็นเกย์สักคน จะชวนหนึ่งในพวกเพื่อนๆ ให้ลองคบกันก็คงดูประหลาด จะให้สมัครแอปหาคู่ก็ไม่ใช่แนวอีก

“ก็ยืนอยู่ตรงนี้คนนึงไง”

“ว้อท? ...ยืนอยู่ตรงนี้? หมายถึง...แล้วเอมี่ล่ะ?”

“เอมี่รู้จักกับเราตั้งแต่เด็กเหมือนคุณกับซันนั่นแหละ ยายนั่นคือคนแรกที่รู้ว่าเราเป็นเกย์ด้วยซ้ำ”

พิงภพฟังแล้วอ้าปากค้าง เขาพยายามทบทวนความทรงจำช่วงที่เห็นอทิตยะกับเอมี่อยู่ด้วยกัน จะว่าไป...ตอนนั้นเขาก็ไม่แน่ใจว่าสองคนนี้เป็นคนรักหรือแค่เพื่อนสนิทจริงๆ แต่เรื่องที่อทิตยะเป็นเกย์...ทำเอาพิงภพนึกถึงนิยาม ‘คนเราดูแค่ภายนอกไม่ได้’ ขึ้นมาทันที

“แต่น่าจะไม่ดีมั้ง...เต็มเป็นหลานเจ้าของรีสอร์ท ถึงจะบอกว่าคบกันเล่นๆ แต่มันดูเหมือนเราใช้ประโยชน์จากเต็มเพื่อให้ได้อภิสิทธิ์กว่าคนอื่นยังไงไม่รู้”

“ป๋ากับน้าบุ๋มแค่เรียกเราเป็นหลานเพราะเอ็นดู แต่เราไม่ได้มีส่วนได้เสียอะไรกับบลูแซนด์ ถ้าใครหาว่าคุณคบเราหวังผลก็ตอบตามนี้ได้เลย เว้นว่าจะไม่อยากเพราะคิดว่าอยู่ใกล้เราอาจทำให้โดนมองว่าไม่ดีตามไปด้วย”

จู่ๆ บรรยากาศรอบตัวก็เปลี่ยนไป พิงภพมองรอยยิ้มที่เปลี่ยนเป็นรอยเหยียดมุมปากแล้วหัวใจกระตุก รีบกระชับมือที่กุมกันเพราะรู้ว่าอทิตยะกำลังจะปล่อย

“ไม่ใช่นะ แล้วทำไมเราต้องกลัวจะโดนมองว่าไม่ดีด้วยล่ะ ถ้าเรื่องรอยสักเต็มตัวล่ะก็เดี๋ยวนี้ก็มีคนสักกันเยอะแยะ เต็มก็แค่ชอบทำหน้าดุ พูดตรงจนไม่เข้าหู แต่ความจริงเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบ รู้ตัวว่าพูดไม่ดีกับเราก็มาขอโทษ ตอนที่ยังไม่สนิทกันก็อุตส่าห์ตื่นมาขับรถไปส่งที่ทำงานกับเก็บเสื้อผ้าที่ตากไว้ให้ คนไม่ดีที่ไหนเขาจะทำเรื่องแบบนี้ให้คนอื่น”

มืออีกข้างของเขาวางทับมือที่กุมกันอยู่ พิงภพจ้องตาของอทิตยะเพื่อย้ำคำพูด ถึงเขาจะไม่ชอบคิดอะไรซับซ้อนแต่ก็เชื่อสัญชาตญาณว่าไม่เคยมองคนผิด อึดใจใหญ่อทิตยะก็หัวเราะออกมา

“เราเริ่มเข้าใจความรู้สึกของหมอนั่นแล้วสิ จะบอกว่าโชคดีหรือโชคร้ายดีล่ะเนี่ย”

พิงภพค่อยโล่งอกที่บรรยากาศน่าอึดอัดสลายไป แต่กลับงงเพราะคำพูดเมื่อครู่แทน

“หมายความว่าไง?”

“ไม่มีอะไร เราบ่นกับตัวเองเฉยๆ ...แล้วตกลงเอาไง สนใจจะลองคบกันดูหรือเปล่า?”

พิงภพสบตาคนถาม ตั้งแต่จูงมือเดินเล่นกันก็น่าจะครึ่งชั่วโมงแล้ว เขาไม่นึกรังเกียจสัมผัสนี้ แล้วก็ไม่ได้รังเกียจอทิตยะแม้จะไม่แน่ใจกับการเปลี่ยนสถานะจากคนข้างห้อง แต่ที่สำคัญยิ่งกว่า...มันจะช่วยให้เขาได้คำตอบสำหรับภาณุกรจริงหรือ?

“สมมติว่า แค่สมมติเฉยๆ นะว่าตกลงจะลองคบด้วย...แล้วเราต้องทำอะไรบ้าง?”

“ก็ทำเหมือนตอนที่คุณคบแฟนเก่า อันไหนฝืนใจก็ไม่ต้องทำ ถ้าตอนไหนคุณคิดว่าเบื่อแล้ว หรือว่าได้คำตอบให้ตัวเองแล้วก็บอกเลิกได้ตลอดเวลา”

“ง่ายขนาดนั้นเลย? แล้วเต็มจะได้อะไรล่ะ? นี่เหมือนมีแต่เราที่ได้ประโยชน์อยู่คนเดียวเลยนี่”

พิงภพถามอย่างระแวง เขาไม่ได้โลกสวยถึงขั้นจะเชื่อว่ามีคนยอมยื่นข้อเสนอที่ตัวเองขาดทุนให้คนอื่น ยิ่งเห็นรอยยิ้มน่าหมั่นไส้ก็ยิ่งมั่นใจว่าคิดถูก

“ได้ฆ่าเวลาล่ะมั้ง จะบอกให้รู้ก็แล้วกัน ที่เรามาทำงานที่บลูแซนด์ก็เพราะป๋าขอให้กลับมาเยี่ยมเมืองไทยบ้าง ไม่แน่แค่เดือนสองเดือนเราก็คงกลับเมลเบิร์นแล้ว ที่นี่เราไม่มีเพื่อน อย่างน้อยถ้าคบกับคุณเราก็จะได้มีคนคุยด้วย ยังไงก็ดีกว่าช่วยงานน้าบุ๋มไปวันๆ ใช่ไหมล่ะ?”

“นั่นก็...คงจะใช่”

คำตอบของอทิตยะช่วยให้พิงภพสบายใจขึ้น แม้จะรู้สึกโหวงๆ เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะอยู่ที่เกาะเพียงชั่วคราว แต่บางทีเขาควรจะโล่งอกว่า ‘การทดลอง’ นี้จะไม่กินเวลานานเกินกว่าที่จำเป็น

“สรุปว่าไง คุณโอเคกับข้อเสนอนี้หรือเปล่า? เราขี้เกียจทึกทักคำตอบเองคนเดียว”

“ถ้าหาก...ตกลง เต็มยืนยันว่าจะไม่ทำอะไรที่เราไม่ชอบใช่ไหม?”

“วางใจได้ เราเกลียดการฝืนใจคนอื่นที่สุด”

“ถ้างั้นก็...ลองดูก็แล้วกัน...”

พิงภพหลุบตามองมือที่ยังกุมกันอยู่ ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะหลีกเลี่ยงการให้คำตอบกับภาณุกรมาเกือบสิบปี แต่กลับตอบตกลงคำชวนของอทิตยะที่ให้ทดลองคบกันในเวลาไม่กี่อึดใจ ความที่มัวแต่สับสนกับความลักลั่นของตัวเอง เขาเลยสะดุ้งเมื่อจู่ๆ อีกฝ่ายโน้มตัวเข้าหา

“เดี๋ยวๆๆ จะทำอะไร!? ไหนว่าเกลียดการฝืนใจคนอื่นไง!”

“ก็แค่จะทำสัญญาว่าตกลงคบกัน ไม่งั้นมันก็ไม่ต่างอะไรกับคบเป็นเพื่อนเฉยๆ สิ”

“เดี๊ยว! แต่นี่มันข้ามขั้นปั๊ย! เราเพิ่งตอบตกลงเมื่อกี้เอง อย่าเพิ่งทำให้ช็อกได้ไหม?”

พิงภพพูดพลางยันอกคนตัวสูงกว่า เขาหลับตาปี๋เมื่ออีกฝ่ายยิ้มแล้วก้มลงมาอีก ก่อนจะค่อยลืมตาเมื่อรับรู้ว่าส่วนที่ถูกประทับจูบคือหน้าผาก

ความรู้สึกจั๊กจี้แบบนี้มัน...จะว่ายังไงดีล่ะ....

“งั้นแค่นี้พอ เอาเป็นว่าการทดลองของพวกเราเริ่มตั้งแต่คืนนี้ นี่ก็ดึกมากแล้ว เดี๋ยวเราพาคุณไปส่งที่ห้อง”

“ทำเป็นพูดดี ได้ข่าวว่าตัวเองก็ต้องกลับไปที่เดียวกัน”

“ก็พูดให้ดูดีไว้ก่อนไง ตกลงว่าจะกลับด้วยไหมล่ะ?”

พิงภพเอามือลูบหน้าผากที่เพิ่งโดนจูบ มองสีหน้ายียวนของคนถามแล้วรู้สึกอยากหยิกขึ้นมาติดหมัด “กลับสิ ไม่ได้เอารถตัวเองมานี่นา พรุ่งนี้ก็ต้องตื่นแต่เช้าอีก”

อทิตยะหัวเราะหึๆ พลางจูงมือเขากลับไปที่รถ พิงภพมองคนเดินนำก่อนจะเบนสายตาขึ้นมองท้องฟ้า คืนนี้ดวงดาวทอแสงระยับ แต่มันก็คือดาวที่ฉายแสงอยู่ทุกคืน เกาะก็ยังเป็นเกาะเดิม กระทั่งเรือประมงที่เห็นอยู่ไกลลิบก็คงเป็นลำเดิม แต่สิ่งที่ต่างไปคือเขาเพิ่งตกลงจะ ‘ลองคบ’ กับเจ้าหนุ่มข้างห้องที่อายุน้อยกว่าสองปีคนนี้ไปหมาดๆ

หวังว่า...เขาจะไม่ได้กำลังขุดหลุมฝังตัวเองอยู่ก็แล้วกันนะ



++------++



เสียงเคาะประตูดังตั้งแต่เช้า พิงภพที่กำลังแปรงฟันมุ่นคิ้วแล้วเดินไปดูที่ช่องตาแมว พอเห็นว่าเป็นใครก็เปิดประตูให้

“เต็ม? มีอะไร?”

“มารอรับไง ต้องไปลงเรือรอบเจ็ดครึ่งไม่ใช่เหรอ ไม่รีบเดี๋ยวก็สายหรอก”

พิงภพกะพริบตามองคนที่แต่งตัวพร้อมไปทำงาน ซึ่งกับรีสอร์ทบนเกาะก็คือเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้น เขามุ่นคิ้วแล้วเดินกลับไปบ้วนปากในห้องน้ำ

“ปกติเต็มไม่ได้ไปแต่เช้าไม่ใช่เหรอ ทำไมวันนี้ต้องรีบด้วยล่ะ?”

“อะไรกัน แค่ข้ามคืนก็ลืมแล้วเหรอ ในเมื่อตกลงว่าจะเป็นแฟนกันเราก็ต้องขับรถไปส่งไง ไหนๆ ก็ทำงานที่เดียวกันอยู่แล้ว จะขับคนละคันให้เปลืองน้ำมันทำไมล่ะ”

พิงภพได้ยินก็เกือบทำแก้วน้ำหล่น จริงด้วย เขาลืมไปสนิทว่าตกลงจะคบกับหมอนี่ แต่ไม่นึกว่าภารกิจของแฟนจะเริ่มตั้งแต่ไก่โห่แบบนี้

“เอ่อ...ก็ได้ งั้นรอแป๊บนึง”

“จะให้รอในห้อง หรือให้ไปรอที่รถ?”

คนที่ยืนอยู่หน้าประตูถามอีก พิงภพปรายตามอง ก่อนหน้านี้ที่อทิตยะมาขอนอนด้วยเพราะตุ๊กแกนั่นเขาไม่ได้คิดอะไร แต่ตอนนี้เป็นแฟนกันแล้ว พอคิดว่าจะให้นั่งบนเตียงที่เคยนอนด้วยกันก็รู้สึกจั๊กจี้

“ข้างล่างก็แล้วกัน เดี๋ยวเก็บของแล้วจะรีบลงไป”

“กลัวอดใจไม่ไหวสินะ งั้นรีบมาล่ะ ถ้าช้าจะขึ้นมาตามเอง”

อทิตยะแกล้งทำเสียงเดาะลิ้นก่อนจะเดินจากไป ทิ้งให้พิงภพหมั่นไส้จนอยากเขวี้ยงหมอนตาม

ก็เป็นซะแบบนี้ พอตอบรับเป็นแฟนก็ทะลึ่งเลย ถ้าเขาบอกว่าขอเลิกคบตั้งแต่ตอนนี้จะเร็วไปไหมเนี่ย?

หลังหยิบกระเป๋าสตางค์และโทรศัพท์แล้วพิงภพก็ออกจากห้อง เขาชะงักเมื่อเห็นตุ๊กตากัปตันอเมริกาที่ห้อยอยู่บนพวงกุญแจ แต่ก็รีบล็อกประตูแล้ววิ่งลงไปข้างล่าง

ไม่มีประโยชน์ที่จะคิดถึงซันตอนนี้...

“มาแล้วๆ ไม่ต้องบีบแตรเรียกก็ได้ คนต้องไปเช้าเองยังไม่รีบเลย”

“ก็จะได้มีเวลากินมื้อเช้าก่อนไง วันๆ คุณกับเราทำงานคนละส่วน ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าน้าบุ๋มจะให้ไปช่วยประสานงานกับเรือเมื่อไหร่ ก็ต้องใช้เวลาด้วยกันให้มากที่สุดใช่ไหมล่ะ?”

อทิตยะตอบแล้วสตาร์ทรถ พิงภพที่กำลังซ้อนท้ายถึงนึกขึ้นได้ เวรละ เขาเองที่เป็นคนบอกจะทำโทษหมอนี่ด้วยการให้ไปช่วยงานที่เรือ แต่ในเมื่อตอนนี้คบกันแล้ว เท่ากับหลังจากนี้พวกเขาก็จะอยู่ด้วยกันแทบยี่สิบสี่ชั่วโมงน่ะสิ แล้วถ้าพวกเพื่อนๆ รู้จะไม่แซวกันสนุกเหรอเนี่ย

พิงภพคำรามในคอแต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากกว่านั้น พวกเขาแวะกินข้าวในตลาดก่อนจะเข้าไปที่ห้องสำนักงาน บุณฑริกกำลังเปิดสมุดให้พนักงานลงเวลา พอเห็นเขากับอทิตยะก็ทักทาย

“วันนี้เต็มมาเช้าแฮะ นี่มาพร้อมกับพุธเลยเหรอ?”

บุณฑริกเอ่ยอย่างแปลกใจ พิงภพได้แต่ยิ้มแห้งขณะรับสมุดมาลงเวลาบ้าง ต่างจากคนที่มาพร้อมกันซึ่งตอบเสียงฉะฉาน

“ใช่ครับ เพราะผมรอรับให้มาด้วยกัน”

เหล่าครูสอนดำน้ำที่เป็นคนไทยรวมทั้งบุณฑริกมองพวกเขาอย่างมีคำถาม ส่วนพวกที่ฟังภาษาไทยไม่ออกก็ทำหน้าฉงนกับท่าทีของพวกแรก พิงภพก้มหน้าแล้วได้แต่ลงชื่อเข้างานให้เร็วที่สุด

“เอ๋? รถเสียอีกแล้วเหรอพุธ?”

“ไม่ใช่ครับพี่บุ๋ม เอ่อ...”

ชายหนุ่มตอบเสียงอ้ำอึ้ง ท่าทางของเขาคงไม่เป็นที่สบอารมณ์เพราะอทิตยะเข้ามายืนข้างๆ แล้วโอบไหล่

“รถพุธไม่ได้เสียหรอกครับ แต่เราเพิ่งตกลงว่าจะคบกัน ดังนั้นตั้งแต่วันนี้พวกเราก็เลยจะมาและกลับพร้อมกันครับ”

“หา!?!”

เสียงนั้นดังมาจากทุกคนที่ฟังภาษาไทยออก ส่วนเจ้าพวกที่ฟังไม่ออกก็คงเดาจากภาษากายของอทิตยะแล้วพากันยิ้มจนพิงภพชูนิ้วกลางให้ บุณฑริกอ้าปากหวอก่อนจะนึกได้ว่าพวกเขาต้องลงเรือเลยรีบไล่ออกจากห้อง อทิตยะก้มลงกดจมูกบนขมับเขาหนักๆ แล้วโบกมือบ๊ายบาย แต่พิงภพมั่นใจว่าหมอนี่จงใจทำให้ทุกคนเห็นแน่ๆ

“พุธธธธธ ว้อทแฮปเป้นนนน”

“เงียบไปเลยพวกนาย ฉันไม่เล่าอะไรทั้งนั้น!”

พิงภพไล่เพื่อนๆ ที่พากันเข้ามารุมล้อมขณะแบกกระเป๋าอุปกรณ์ไปที่เรือ แต่ดันกลายเป็นว่ายิ่งไล่ยิ่งทำให้ทุกคนสนใจมากกว่าเก่า

“วันนี้นายโดนถามไม่เลิกแน่ เตรียมตอบคำถามทั้งวันได้เลย ฮ่าๆๆๆ”



++------++



อทิตยะออกมายืนมองความครื้นเครงที่หน้าหาด ก่อนจะยิ้มมุมปากแล้วเดินกลับห้องสำนักงาน บุณฑริกเพิ่งจะวางสายโทรศัพท์พอดี พอเห็นเขาก็รีบโบกมือให้นั่งลง

“เต็ม! เมื่อกี้มันอะไรเนี่ย? อำน้าเล่นหรือเปล่า?”

สีหน้าของบุณฑริกสะท้อนความอัศจรรย์ใจเต็มที่ อทิตยะเพียงยิ้มอ่อนๆ แต่กลับแทนคำยืนยันจนหญิงสาวทิ้งตัวพิงพนัก

“ตกลงว่าคบกันจริงสินะ...แม่เจ้า...นี่ไปล่อลวงอีท่าไหนพุธถึงตอบตกลงได้?”

“อ้าว ทำไมน้าบุ๋มไม่คิดว่าฝ่ายโน้นอาจจะล่อลวงผมบ้างล่ะ?”

“เพราะมันเป็นไปไม่ได้ อิมพอสสิเบิลล้านเปอร์เซ็นต์ แถมเมื่อวานเราเพิ่งคุยกันเรื่องที่พุธอ่อนต่อโลก จู่ๆ วันนี้มาบอกว่าคบกับเต็ม น้าก็ต้องสงสัยเราอยู่แล้วสิ”

“แหม ผมไม่ทำให้ลูกน้องของน้าบุ๋มเสียคนหรอก แค่พอดีพวกเราคุยกันแล้วคลิก ผมก็เลยชวนให้คบกันดูเท่านั้นเอง”

หญิงสาวค้อนปะหลับปะเหลือก “คลิกเนี่ยนะ เฮ้อ...ตามวัยรุ่นสมัยนี้ไม่ทันจริงๆ วันก่อนสาวๆ ฝั่งรีเซปชั่นยังมาถามอยู่เลยว่าเต็มมีแฟนไหม ถ้ารู้ว่าโดนพุธที่เป็นผู้ชายตัดหน้าคงพากันกรี๊ด”

“ถึงพุธไม่ตัดหน้า ผมก็ไม่มองพวกสาวๆ อยู่ดี”

บุณฑริกซึ่งเมื่อครู่ใช้มือกุมศีรษะตวัดสายตาขึ้น อทิตยะสบตาโดยไม่หลบ เธอมองเขาครู่หนึ่งก็ถอนหายใจ

“อย่างนั้นหรอกเหรอ พี่บู๊เขารู้อยู่แล้วใช่ไหม? แล้วเอมี่ล่ะ?”

“ถ้าทุกคนที่ออสก็รู้กันหมดแล้ว ป๋าคงคิดว่าไม่จำเป็นต้องบอกน้าบุ๋มก็เลยไม่ได้พูด ส่วนผมเองก็ไม่รู้จะบอกตอนไหน แต่ไม่เคยตั้งใจจะปิดบัง”

“น้าเข้าใจ มันใช่เรื่องที่จู่ๆ จะต้องเดินมาบอกซะที่ไหน เอาเถอะ น้ายังไม่ช็อกเรื่องที่เต็มเป็นเกย์เท่าเรื่องที่บอกว่าคบกับพุธเลย ถ้าหากเป็นคนอื่นก็ว่าไปอย่าง”

คำตัดพ้อของบุณฑริกทำให้อทิตยะนึกขำ ดูเหมือนสำหรับคนรอบข้างแล้วพิงภพจะเปรียบดังผ้าขาวที่ไม่ควรแปดเปื้อน ช่างต่างกับเขาที่ใครๆ ชอบคิดว่าคุ้นเคยกับอบายมุขทุกรูปแบบราวฟ้ากับเหว

“ผมรับรองได้ว่าพวกเราคุยและตกลงคบกันแบบผู้ใหญ่ที่มีสติครบถ้วน ผมไม่ได้มอมเหล้าแล้วบังคับให้พุธตอบตกลงแน่นอน ไม่เชื่อก็เรียกเจ้าตัวมาถามได้เลย”

“เฮ้ย! น้าไม่ได้บอกว่าเราทำแบบนั้น! ถ้าอยากจะคบกันก็คบไปเถอะ ขอเวลาให้น้าหายช็อกแป๊บนึง เดี๋ยวเจอพุธอีกทีก็คงแซวได้คล่องแล้วล่ะ ป่านนี้พวกบนเรือก็คงรุมยิงคำถามจนพรุนแล้วมั้ง”

อทิตยะนึกภาพตามแล้วอมยิ้ม ก่อนจะนึกขึ้นได้ถึงเรื่องที่ตกลงกับพิงภพไว้ก่อนจะไปเดินเล่นกันเมื่อคืน แต่เขาตัดสินใจบอกกับบุณฑริกแค่ว่าอยากลองศึกษางานในเรือแทนที่จะเล่าเหตุผลที่แท้จริง

“หืมมมม ถ้างั้นเต็มก็จะได้อยู่กับพุธวันละหลายชั่วโมงเลยสิ ข้าวใหม่ปลามันจริงนะเรา”

“ก็ไม่เชิง ผมแค่อยากลองทำหลายๆ อย่างระหว่างอยู่ที่นี่ บังเอิญจังหวะมันได้ก็เท่านั้นเอง”

“ย่ะพ่อคุณ แต่จังหวะดีจริงๆ นั่นแหละเพราะทิตย์หน้าจะมีครูลาพักร้อนหลายคน ไว้พวกนั้นกลับมาเย็นนี้แล้วน้าจะบอกให้ใครสักคนช่วยสอนงานเต็มก็แล้วกัน”

“ขอบคุณครับ”

“จ้า แล้วก็...เมื่อคืนคุณธาตรีโทรมาคุยกับน้า”

ชื่อที่เขาไม่อยากได้ยินทำให้รอยยิ้มเลือนหาย อทิตยะหลุบตาเพื่อซ่อนประกายกร้าวแล้วถามเสียงเรียบ

“คุยกันว่าไงครับ?”

“เอ่อ...ก็ถามทั่วไปว่ากิจการเป็นไงบ้าง แล้วก็ถามว่าเต็มอยู่ที่นี่ใช่ไหม เข้ากับทุกคนได้ดีหรือเปล่า”

“เขาคงไม่คิดว่าผมจะมีเพื่อนฝูงละมั้ง”

“อย่าเพิ่งคิดในแง่ลบสิ พ่อเขาก็แค่เป็นห่วง น้าเข้าใจว่าเต็มยังไม่หายโกรธ แต่เรื่องที่ผ่านมาหลายปีแล้วก็ควรปล่อยวางบ้าง พวกผู้ใหญ่เขาไม่ได้อยู่กับเราตลอดไปนะ”

ลมหายใจของอทิตยะรัวเร็วขึ้น แต่เขาพยายามกดอารมณ์ไว้ หลังผ่านไปครู่หนึ่งก็เลื่อนเก้าอี้ออก

“นี่ยังเช้าอยู่ ผมขอตัวไปสูบบุหรี่แป๊บนึง เดี๋ยวจะกลับมาช่วยงานต่อ”

“โอเคจ้ะ”

บุณฑริกเอนพิงเก้าอี้พลางตอบด้วยน้ำเสียงปลงๆ อทิตยะเดินออกจากห้องสำนักงานไปยังบริเวณที่สูบบุหรี่ มือที่ล้วงลงในกระเป๋าสั่นจนซองบุหรี่เกือบร่วงจากมือ เขาสบถก่อนจะต่อยกำปั้นข้างนั้นเข้ากับผนังปูนอย่างแรง

ใจเย็นไว้ อย่าปล่อยให้อารมณ์เป็นใหญ่ขึ้นมาอีก เขาเคยทำผิดอย่างไม่น่าให้อภัยมาแล้ว ดังนั้นจะถอยหลังไปสู่จุดตกต่ำแบบนั้นไม่ได้อีกเป็นอันขาด...



++---TBC---++



A/N: ถือโอกาสฤกษ์ดีวันปีใหม่ 1 เดือน 1 อัพเดทตอนที่ 11 เสียเลย เผื่อจะช่วยกระตุ้นให้ปี 2020 นี้เขียน+โพสต์นิยายได้สม่ำเสมอขึ้น หวังว่าจะไม่ทิ้งช่วงนานเกินไปนะคะ หลังจากนี้เราคงได้เห็นแง่มุมใหม่ๆ ของทั้งพุธและเต็มมากขึ้น แล้วมาคอยติดตามพัฒนาการของทั้งคู่กันนะ จะพยายามลงตอนใหม่ให้ได้ทุกสองสัปดาห์ สำหรับวันนี้ก็ขอสวัสดีปีใหม่อีกทีค่ะ  :mew1:




ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
ขำความเต็มพุธทำตัวเป็นแฟนกันก่อนจะตกลงเป็นแฟนกันสะอีก
ตอนจับมือกันไปเดินเล่นคุยเรื่องนู้นเรื่องนี้กัน อ่านแล้วหยุดเขินไม่ได้เลย :-[
ยิ่งตอนที่เต็มจะปล่อยแล้วพุธจับมือให้แน่นขึ้น มันอบอุ่นหัวใจมากๆ

เป็นแฟนกันแล้วเต็มรุกหนักมากทั้งไปรับไปส่ง
ทั้งบอกตรงๆว่าอยากใช้เวลาด้วยกันให้เยอะที่สุด
ยังหอมหน้าผากแสดงความเป็นเจ้าของอีก
โอ่ย แค่วันแรกก็เขินไม่ไหวแล้ว ไม่อยากให้เป็นแค่การทดลองระยะสั้นเลย :hao5:

สวัสดีปีใหม่ค่ะ จะคอยติดตามพัฒนาการของทั้งสองคนไปเรื่อยๆนะคะ :3123:

 :pig4:

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
คุณ tasteurr ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์แรกรับปีใหม่ค่ะ จะพยายามพาพุธกับเต็มมาเจออย่างสม่ำเสมอค่า  :3123:

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
ตะวันพิงภพ บทที่ 12


วันนี้เป็นวันแรกของการสอบภาคปฏิบัติให้นักเรียนใหม่ในทะเล นักเรียนของพิงภพมีสี่คนและต่างสอบผ่านอย่างราบรื่น หลังการสอบเสร็จสิ้นและเรือเล็กพานักดำน้ำกลับฝั่งในช่วงบ่าย เขาขออยู่บนเรือใหญ่เพื่อรอดำน้ำรอบค่ำแทนที่จะกลับไปกินข้าวเย็น โชคดีว่าบนเรือมีมาม่าคัพให้ชงน้ำร้อนพอประทังความหิว

“แหม คืนนี้ไม่ต้องหลีดกรุ๊ปยังจะลงไนต์ไดฟ์อีก ไม่รีบกลับไปดินเนอร์กับสวีตฮาร์ตเหรอพุธ?”

พอฟ้าเริ่มโพล้เพล้ เหล่านักดำน้ำรอบค่ำก็นั่งเรือเล็กมาขึ้นเรือใหญ่ มาริอุสเห็นพิงภพนั่งเล่นอยู่ท้ายเรือก็เดินมาแซวจนเขาทำตาเขม่น

“ใครเป็นสวีตฮาร์ต อย่าพูดให้ฉันคลื่นไส้น่ะมาริอุส”

“เพื่อนเรานี่ขี้อายจัง แต่เพิ่งเปิดตัวว่าคบกันใหม่ๆ ก็แบบนี้แหละ ฉันเข้าใจ”

ลีตบบ่าเขาแล้วหัวเราะ ส่วนสเวนซึ่งก้มลงหยิบอุปกรณ์ออกจากกระเป๋าเพียงแค่อมยิ้ม พิงภพเหล่มองอย่างหมั่นไส้เพราะมั่นใจว่าหมอนี่คงกำลังเก็บข้อมูลอย่างไม่กระโตกกระตาก เขาไม่รู้ว่าควรจะปลาบปลื้มหรือเวทนาตัวเองที่เพื่อนฝูงเอาใจใส่ขนาดนี้ ต่อให้การคบกับอทิตยะจะไม่ได้มีพื้นฐานจากความโรแมนติกเหมือนที่ทุกคนคิดก็ตาม

“พุธธธธ”

เสียงหวานแต่ติดกังวานแหบต่ำดังมาจากด้านหลัง พิงภพสูดหายใจเฮือกเมื่อเรียวนิ้วที่ทาเล็บสีม่วงเข้ม

วางลงบนไหล่ เขาหันไปยิ้มแห้งๆ ให้หญิงสาวสองคนที่เดินมาหา แม้ว่าหนึ่งในนั้นจะไม่ได้เป็นผู้หญิงมาแต่อ้อนแต่ออก

“เจ๊เพ็ชชี่ แก้ม วันนี้ลงไนต์ไดฟ์กันด้วยเหรอ?”

“ก็มีลูกค้าอยากลงเลยต้องมาหลีด ว่าไงจ๊ะ เมื่อเช้าเจ๊พลาดเรื่องเด็ดที่ออฟฟิศไปใช่ไหม?”

เพ็ชรัตน์หรือเจ๊เพ็ชชี่ สาวข้ามเพศและหนึ่งในครูสอนดำน้ำที่อยู่กับบลูแซนด์มานานขยิบตาให้พิงภพ ส่วนณัฐกมลซึ่งอายุสามสิบแล้วแต่ไม่ชอบให้เขาเรียกพี่ก็แสร้งโบกมือกรีดกราย

“แก้มเสียดายมากเลยเจ๊ที่ไม่ได้ถ่ายคลิปเมื่อเช้าไว้ เต็มสวีตกับพุธต่อหน้าทุกคนเลย เล่นเอาช็อกกันทั้งออฟฟิศ”

“บรรยายซะเว่อร์ หมอนั่นก็แค่แกล้งจุ๊บเราตรงนี้ก่อนจะมาลงเรือ ไม่เห็นจะสวีตตรงไหน”

พิงภพชี้นิ้วไปที่ขมับ แต่พอเห็นรอยยิ้มของสองสาวรวมทั้งเพื่อนๆ ต่างชาติที่เดาหัวข้อสนทนาได้ก็ร้อนหน้า เพ็ชรัตน์หัวเราะเสียงดังแล้วตบบ่าเขาดังเพียะ

“ต๊ายตาย ดูไม่ออกเลยนะว่าเต็มเขามาทางนี้ ขนาดเกย์ด้าร์ของเจ๊ออกจะแรงยังพลาด”

“อุ้ย ผู้ชายสมัยนี้ดูยากออกเจ๊ ลูกพี่ลูกน้องของแก้มคนนึงเป็นไอทีโคตรเนิร์ด วันหยุดก็เอาแต่เล่นเกม ไม่ชอบแต่งเนื้อแต่งตัว ยังมีแฟนเป็นผู้ชายเลย”

“เดี๋ยวนี้มันมีอยู่ในทุกวงการนั่นแหละ เจ๊แค่ไม่นึกว่ากระทั่งเด็กของเจ๊ก็โดนคอนเวิร์ตไปด้วย ขอเตือนเลยนะพุธ ระวังพวกสาวๆ ที่รีสอร์ตจะหมั่นไส้ไว้ด้วยล่ะ”

“โหยเจ๊ อย่าทำให้ผมรู้สึกว่าคิดผิดมากกว่านี้ได้ไหม?”

พิงภพโอดครวญท่ามกลางเสียงหัวเราะ อันที่จริงก็คิดอยู่แล้วว่าหลังตกลงคบกับอทิตยะจะต้องกลายเป็นหัวข้อสนทนา แต่คาดไม่ถึงว่าหมอนั่นเพิ่งมาทำงานได้ไม่กี่วันก็ฮอตซะแล้ว

ว่าแต่ตอนนี้...หมอนั่นจะกำลังรอกินข้าวพร้อมเราหรือเปล่านะ...

พิงภพเหลียวมองไปทางชายฝั่ง โรงแรมและร้านอาหารต่างทยอยเปิดไฟท่ามกลางท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้ม ภาพที่เห็นชวนให้นึกถึงความแตกต่างระหว่างชีวิตบนเกาะกับกรุงเทพฯ และนั่นทำให้เขาพานคิดไปถึงใครอีกคนที่นั่น

ป่านนี้ซันจะทำอะไรอยู่...ทำไมถึงไม่เคยทักมาทั้งที่แอดไลน์กันแล้ว หรือเขาต่างหากที่ทึกทักไปเองว่าอีกฝ่ายน่าจะยังรอเขา

ตั้งแต่ภาณุกรกลับกรุงเทพก็ผ่านมาพักใหญ่ ไม่มีอะไรการันตีว่าความรู้สึกของฝ่ายนั้นจะไม่เปลี่ยนหลังเข้าทำงานในวงการบันเทิงเต็มตัว และถ้าเป็นอย่างนั้นจริง...ไม่เท่ากับว่าทั้งเขาและอทิตยะกำลังเสียเวลากันโดยเปล่าประโยชน์หรือ...

“ทุกคน อีกเดี๋ยวเรือจะทอดสมอแล้ว ใครจะลงไดฟ์นี้ก็รีบเตรียมตัวซะ”

“โอเคครับ”

ทุกคนส่งเสียงตอบกัปตัน ต่างคนต่างรีบแต่งตัวและเข้าประจำที่ พิงภพตรวจความเรียบร้อยของอุปกรณ์ และพยายามปัดเรื่องกวนใจทิ้งขณะกระโดดลงสู่โลกใต้น้ำ

 

++------++

 

สองทุ่มกว่าแล้ว อทิตยะนั่งคลิกอ่านบทความในอินเทอร์เน็ตไปเรื่อยๆ ก่อนจะถูกเสียงเลื่อนบานประตูเรียกความสนใจ

“กลับมาแล้วครับ”

พิงภพคือคนแรกที่ก้าวเข้ามาในสำนักงาน ตามด้วยบรรดาครูสอนดำน้ำคนอื่นๆ อทิตยะปิดหน้าจอก่อนจะหันไปหยิบสมุดเซ็นชื่อส่งให้

“อ้าว...บุ๋มไม่อยู่เหรอ? ทำไมปล่อยให้เด็กใหม่เฝ้าออฟฟิศคนเดียวล่ะ?”

หนึ่งในครูสอนดำน้ำที่วัยเดียวกับบุณฑริกถาม อทิตยะยักไหล่

“เห็นว่ามีนัดน่ะครับ อีกอย่างคืนนี้ก็เหลือแค่รอให้ครูสอนดำน้ำมาเซ็นชื่อ ผมเลยอาสาอยู่ปิดออฟฟิศให้”

“จะได้รอหมอนี่ด้วยสินะ ต้องมาและกลับด้วยกันนี่นา”

ลีเอ่ยพลางกระทุ้งศอกใส่พิงภพอย่างหยอกเย้า อทิตยะอมยิ้มน้อยๆ ขณะมองเจ้าตัวกลอกตา

“คนนี้เจ๊รักและเป็นห่วงมากนะเต็ม ถึงจะน่าแกล้งยังไงก็อย่าแรงนักนะ”

“เจ๊เพ็ชชี่! ผมไม่ใช่เด็กแล้วนะ!”

“ไม่ได้หรอก เจ๊มีหน้าที่ช่วยดูแลน้องๆ พุธเองถ้าโดนแกล้งก็ต้องรีบมาฟ้อง เจ๊จะได้ช่วยจัดการ”

ทุกคนหัวเราะเสียงดังขณะเพ็ชรัตน์ขยิบตาให้เขา อทิตยะยิ้มเนือยๆ และยกสองนิ้วขึ้นแตะขมับเป็นเชิงรับทราบ

“ผมไม่กล้าแกล้งพุธหรอกครับ น่ากลัวว่าพุธจะแกล้งผมมากกว่า”

“อู๊ยยย ฉันละหมั่นไส้วัยรุ่น ไปกันเถอะพวกเรา อย่ากวนเวลาคู่รักเขาดีกว่า”

ท้ายประโยคเจ๊ใหญ่ของรีสอร์ทหันไปเอ่ยเป็นภาษาอังกฤษกับเหล่าครูสอนดำน้ำต่างชาติ มาริอุสหันมาตบบ่าพิงภพก่อนจะเดินตามคนอื่นออกจากห้อง

“ถ้างั้นพวกฉันไม่อยู่เป็น กขค.ละ อย่ากลับกันดึกนักล่ะ”

“นี่ถ้าไม่ใช่เพราะอายุเท่ากัน ฉันคงนึกว่านายเป็นพ่อฉันแล้วนะเนี่ย”

พิงภพเอ่ยไล่หลังท่ามกลางเสียงหัวเราะของเพื่อนๆ หลังประตูห้องปิดแล้วอทิตยะก็ลุกออกจากโต๊ะ

“ถ้าคุณอยากไปกินข้าวกับพวกเพื่อนๆ ก็ได้นะ”

“หือ?”

“เคยบอกแล้วไง ถึงคบกันก็ไม่ต้องทำอะไรที่ไม่ชอบ ถ้าคุณฝืนตัวเองมากไปจะเหนื่อยซะเปล่าๆ”

พูดจบอทิตยะก็หมุนตัวไปอีกทาง แต่มือที่คว้าจับชายเสื้อไว้ทำให้ชะงัก พอหันกลับไปก็เห็นพิงภพทำหน้าปุเลี่ยนๆ

“วันนี้ไม่กินกับเจ้าพวกนั้นสักวันไม่เป็นไรหรอก เราโดนแซวจนเอียนจะแย่ ถ้าอยู่ด้วยกันต่อสงสัยคงได้ทะเลาะกัน”

“ขนาดนั้นเชียว แสดงว่าพวกเพื่อนๆ รักคุณน่าดู”

“รักมากจนตอนนี้อยากหักคอเลยล่ะ แล้วตกลงเต็มกินข้าวหรือยัง? ถ้ายังก็ไปหาอะไรกินกัน หิวจะแย่แล้ว”

พิงภพพูดพลางเอามือลูบท้อง หน้าตาน่าสงสารจนอทิตยะเผลอยิ้ม

“เอาสิ เราก็ยังไม่ได้กินเหมือนกัน คุณอยากกินอะไรล่ะ?”

พิงภพยู่ปากพลางหรี่ตา อทิตยะเพิ่งสังเกตว่าเวลาที่อีกฝ่ายใช้ความคิดจะแสดงสีหน้าไร้การป้องกันตัวแบบนี้ แต่ปกติก็ดูจะไม่เคยสนใจว่ามีคนมองหรือเปล่าอยู่แล้ว

ไม่แปลกหรอกที่จะถูกมองว่าเหมือนเด็ก...

“พิซซ่าก็แล้วกัน ไม่ได้ไปร้านของเปาโลมาตั้งนาน ที่นี่ทำพิซซ่าอร่อยที่สุดบนเกาะเลยนะ ผักโขมอบชีสก็ดี ถ้ารีบหน่อยก็น่าจะทันแฮปปี้อาวร์”

น้ำเสียงกระตือรือร้นทำให้อทิตยะเริ่มสนใจ อันที่จริงตอนกลางวันเขากินข้าวไม่ค่อยลงหลังบุณฑริกบอกว่าพ่อโทรมา พอตอนนี้อารมณ์ดีขึ้นถึงค่อยตระหนักว่าไม่มีอาหารลงท้องมาหลายชั่วโมง

“งั้นเดี๋ยวขอหยิบกุญแจมาล็อกห้องก่อน Shit!”

“เต็ม? เป็นอะไร?”

“เปล่า ไม่มีอะไร เราซุ่มซ่ามปัดมือไปชนขอบโต๊ะเอง”

ชายหนุ่มสูดปากพลางสะบัดมือซ้ายด้วยความเจ็บ พอเห็นสีหน้าตกใจของพิงภพถึงนึกได้ว่าซ่อนไม่ทันแล้ว

“เฮ้ย! ทำไมมันถลอกปอกเปิกอย่างนั้นล่ะ!? แค่ชนขอบโต๊ะจะเป็นแผลขนาดนี้ได้ไง?”

พิงภพคว้ามือเขาไปดูแต่อทิตยะปัดออก นัยน์ตาที่มองเขาเบิกกว้างขึ้นเหมือนตกใจ อทิตยะรีบหยิบกุญแจออกจากลิ้นชักแล้วดันมันปิดอย่างเดิม

“แผลจิ๊บจ๊อยแค่นี้ไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็หาย”

“...โอเค...ถ้าพูดแบบนั้นล่ะก็”


ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
พิงภพนิ่งไปนิดหนึ่งก่อนจะหยิบเป้แล้วเดินออกจากห้อง อทิตยะรีบใช้กุญแจล็อกประตูแล้วสาวเท้ายาวๆ ตาม

“เดี๋ยวก่อน ต้องขับรถไปหรือเปล่า?”

“ไม่ต้อง อยู่แค่หัวมุมนี่เอง เดินไปจะได้ไม่เปลืองน้ำมัน”

เสียงท้ายประโยคกระแทกนิดหน่อย อทิตยะไม่แน่ใจว่าเขากำลังโดนย้อนที่พูดเรื่องเปลืองน้ำมันรถเมื่อเช้าหรือเปล่า แต่ก็คร้านจะต่อคำขณะมองอีกฝ่ายจ้ำอ้าวนำหน้า

แค่เริ่มคบกันวันแรกก็เหนื่อยแล้ว...เมื่อคืนเขาไม่น่าปากพล่อยชวนให้มาคบกันเลย

คืนนี้ร้านของเปาโลมีลูกค้าคึกคัก พนักงานเดินนำพวกเขาไปยังโต๊ะข้างผนังแล้วส่งเมนูให้ ต่างคนต่างนั่งอ่านเมนูเงียบๆ แต่แล้วเสียงฝีเท้าที่เดินมาหาก็ดึงสายตาของทั้งคู่ขึ้น

“ว่าไงพุธ ไม่เจอตั้งนาน วันนี้มากับเพื่อนแค่สองคนเหรอ?”

“สวัสดีครับเปาโล นี่...เต็ม เพิ่งมาเริ่มงานที่บลูแซนด์”

“ยินดีต้อนรับสู่เกาะเต่า คุณก็เป็นครูสอนดำน้ำเหมือนพุธสินะ?”

“เปล่าครับ ผมมาช่วยงานฝั่งรีสอร์ต”

อทิตยะจับมือที่เปาโลยื่นส่งให้ ชายชาวอิตาเลียนสูงวัยมีรูปร่างผอมแกร็น ผมบนศีรษะเป็นสีขาวและเริ่มบาง แต่นัยน์ตายังสดใสและท่าเดินก็ยังแข็งแรง เขาเห็นแล้วนึกถึงตาข้างบ้านที่เคยใจดีแบ่งผักให้เขากับแม่บ่อยๆ สมัยยังเด็ก

“ตอนนี้พวกเราคบกันอยู่ครับ”

เปาโลเลิกคิ้วแล้วหันไปมองพิงภพ อทิตยะเองก็เหมือนกัน แสงไฟในร้านค่อนข้างสลัว แต่อทิตยะก็ดูออกว่าผู้สูงวัยกำลังยิ้มอย่างเอ็นดู

“โฮ่...ถ้างั้นก็ยิ่งเป็นเกียรติที่ได้รู้จัก คืนนี้ฉันขอเลี้ยงไวน์แก้วแรกให้ทั้งคู่ก็แล้วกัน”

“ขอบคุณครับเปาโล ถ้างั้นผมขอสั่งพิซซ่าเป๊ปเปอโรนีกับผักโขมอบชีสด้วย”

“พิเศษเพิ่มชีสทั้งสองอย่างใช่ไหม? ได้สิ เดี๋ยวฉันบอกเชฟให้”

พิงภพยิ้มขอบคุณ เปาโลตบบ่าพวกเขาก่อนจะเดินกลับไปที่เคาน์เตอร์ หลังยกไวน์มาเสิร์ฟก็เดินไปทักทายลูกค้าโต๊ะอื่น

อทิตยะยกไวน์ขึ้นจิบ เขามองพิงภพที่กำลังนั่งเท้าคางมองไปทางอื่นแล้วก็ยื่นปลายเท้าไปเขี่ยเบาๆ อีกฝ่ายมุ่นคิ้วก่อนจะหันมาหา

“อะไร?”

“ไม่นึกว่าคุณจะกล้าบอกเปาโลว่ากำลังคบกับเรา ทีเมื่อเช้ายังดูไม่อยากบอกเพื่อนๆ อยู่เลย”

เขาพูดแล้วยกไวน์ขึ้นจิบอีกอึก พิงภพยักไหล่ขณะใช้นิ้วชี้ลูบฐานแก้วไวน์ของตัวเอง

“ก็เต็มพูดเองว่าให้ทำเหมือนกำลังคบกันจริงๆ จะได้ชินกับสายตาคนอื่น ถึงยังไงทุกคนที่รีสอร์ตก็รู้แล้ว ถึงจะบอกให้คนนอกรู้เพิ่มก็ไม่ต่างกันหรอก”

พนักงานเสิร์ฟยกตะกร้าขนมปังกับน้ำมันมะกอกมาให้ก่อน ไม่ช้าผักโขมอบชีสกับพิซซ่าก็ตามมา อาหารของที่นี่อร่อยจริงอย่างที่พิงภพอวดไว้ แต่ระหว่างมื้อกลับไม่มีใครคุยกันสักคำ อทิตยะรอจนอาหารบนโต๊ะหมดแล้วก็กวักมือเรียกพนักงาน

“มื้อนี้เราจ่ายเอง”

“ไม่ต้อง...”

“ถือซะว่าแทนคำขอโทษ ไม่รู้หรอกว่าเราทำอะไรให้ไม่พอใจ แต่ไว้มื้ออื่นคุณค่อยจ่ายก็ได้”

อทิตยะเอ่ยพลางใช้โทรศัพท์มือถือโอนเงินค่าอาหาร เมื่อเสร็จแล้วก็พากันเดินกลับไปที่ลานจอดรถของบลูแซนด์ เขาตวัดขาขึ้นนั่งคร่อมเบาะแล้วก็เลิกคิ้วเมื่อเห็นพิงภพยังยืนนิ่ง

“ลืมของเหรอ?”

“เปล่า แต่คืนนี้เราอยากไปเดินเล่นริมทะเลอีก ได้หรือเปล่า?”

คำขอนั้นช่างเหนือคาด แต่อทิตยะพยักหน้าโดยไม่เซ้าซี้ หลังพิงภพขึ้นซ้อนท้ายเขาก็ขับรถมุ่งไปยังหาดที่เพิ่งไปกันเมื่อคืน วันนี้มันยังคงเงียบสงบเพราะมีนักท่องเที่ยวบางตาเช่นเคย

ทั้งคู่ถอดรองเท้าไว้ข้างรถก่อนออกเดินบนพื้นทราย อทิตยะหยิบบุหรี่ออกมาจุดสูบ เขาเลิกคิ้วเมื่อพิงภพดึงบุหรี่ออกจากปากเขาแล้วเอาไปสูบแทน สายตาที่มองมาเหมือนจะท้าว่ามีปัญหาไหม เขาเลยยักไหล่แล้วจุดใหม่อีกมวน

“มือ”

“หือ?”

“ข้างที่ไม่เจ็บน่ะ ส่งมา”

น้ำเสียงของพิงภพเด็ดขาด อทิตยะยิ่งแปลกใจขึ้นเรื่อยๆ กับแง่มุมที่ไม่นึกว่าจะได้เห็น เขาเปลี่ยนไปถือบุหรี่ด้วยมือซ้ายก่อนจะยื่นมือขวาให้ พิงภพจับมือเขา จากนั้นก็จูงเดินโดยที่สูบบุหรี่ไปด้วย

การเป็นฝ่ายถูกจูงนับเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับอทิตยะ อาจเพราะที่ผ่านมาเขาชินกับการเป็นคนที่ทำอะไรก่อนคนอื่นเสมอ พอเป็นฝ่ายที่ต้องคาดเดาการกระทำของคนอื่นจึงไม่คุ้นเคย ภาพลักษณ์ของพิงภพที่เคยคิดไว้ก็พลอยเปลี่ยนไปด้วย

มีแง่มุมแมนๆ เหมือนกันนี่...เริ่มไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมสมัยเรียนถึงมีสาวน้อยมาขอคบ

ทั้งสองเดินไปบนหาดช้าๆ ขณะฟังเสียงคลื่นและเสียงดนตรีที่ลอยมาจากหาดอื่น ภาพของชายหนุ่มสองคนที่สูบบุหรี่จูงมือกันคงดูแปลกสำหรับคนที่เดินสวนมา แต่ก็ไม่มีใครให้ความสนใจพวกเขามากนัก

“แวะนั่งบนขอนไม้ตรงนั้นกันก่อนไหม?”

“ก็ได้”

อทิตยะตอบแล้วเดินตาม คืนนี้เขารู้สึกเนือยจนไม่อยากเป็นฝ่ายเจ้ากี้เจ้าการ อีกอย่างการได้รอดูว่าพิงภพจะทำอะไรต่อก็เพลินดี ทั้งสองหย่อนตัวลงนั่งแล้วเหยียดขาไปบนพื้น คืนนี้ลมไม่แรงเท่าคืนก่อน แต่เมฆหนาจนบังดวงดาวเกือบหมด

“สงสัยดึกๆ คืนนี้ฝนจะตก”

“ก็เป็นไปได้”

พิงภพตอบ มือของพวกเขายังกุมกันอยู่ ในสายตาคนอื่นคงคิดว่าเป็นความหวานแหววของคู่รัก แต่อทิตยะมั่นใจว่าเหตุผลที่แท้จริงคือป้องกันไม่ให้เขาลุกหนี

“วันนี้น่ะ...ตอนที่อยู่บนเรือ...”

“ตอนที่อยู่บนเรือ?”

อทิตยะทวนคำ เขามองพิงภพอัดควันเข้าปอดอึกใหญ่ก่อนเจ้าตัวจะพูดต่อ

“ตอนที่อยู่บนเรือ...เราสงสัยว่าการที่ตกลงคบกับเต็มนี่มันดีหรือเปล่า ในเมื่อพวกเราไม่ได้ชอบกันสักหน่อย”

“อ้อ...จะว่าไปก็จริงอยู่”

“แค่นั้นเหรอ?”

“แล้วจะให้เราตอบว่าอะไรล่ะ? ในเมื่อเราเป็นคนบอกเองว่าอยากยกเลิกเมื่อไหร่ก็ได้”

เขาตอบแล้วยกบุหรี่ขึ้นสูบบ้าง พิงภพเงียบไปนานก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

“เหตุผลที่เราเกิดคำถาม...เพราะเราไม่รู้ว่าซันยังรอเราจริงไหม มันมีตัวแปรหลายอย่างที่ชวนให้คิดว่าซันอาจเปลี่ยนใจแล้ว ถ้างั้นที่พวกเราทดลองคบกันก็จะเสียเวลาเปล่า บางทีอาจมีคนอื่นบนเกาะนี้ที่น่าจะถูกสเป็กและเข้ากับเต็มได้ดีกว่า”

“ถ้าเรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ก่อนหน้านี้เราสำรวจไปทั่วเกาะแล้ว นอกจากคุณก็ไม่มีใครที่ถูกสเป็กเราอีกแล้วล่ะ”

คำตอบของเขาทำเอาพิงภพหันขวับ อทิตยะเห็นบุหรี่ของอีกฝ่ายไหม้เกือบหมดแล้วก็เลยหยิบมาขยี้ใส่กล่องเก็บก้นบุหรี่ ท่าทางไม่ยี่หระของเขาคงสร้างความสับสนเพราะคนข้างๆ ขมวดคิ้วแน่น

“เมื่อกี้เล่นมุกหรือเปล่า? ดูยังไงก็ไม่เห็นเหมือนว่าเต็มจะชอบเราเลย”

“ถูกสเป็กกับชอบไม่จำเป็นต้องมาคู่กัน สมมติมีคนบอกคุณว่าผู้หญิงในสเป็กคือนักร้องวงไอดอลเกาหลี เขาก็ต้องคบนักร้องเกาหลีเหรอ?”

“เอ่อ...”

อทิตยะจงใจตอบอย่างกำกวม และดูเหมือนจะได้ผลเพราะพิงภพทำหน้าเหมือนเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ เขามองอีกฝ่ายชักมือกลับไปกอดเข่าแล้วก็ถามบ้าง

“ทำไมคุณถึงไม่ติดต่อไปหาหมอนั่นเองล่ะ? ถ้าเขายังไม่ติดต่อมาล่ะก็”

อทิตยะถามพลางขยี้ก้นบุหรี่ทิ้งบ้าง พิงภพระบายลมหายใจยาวขณะหย่อนนิ้วลงเขี่ยพื้นทราย

“เรากำลังเดิมพัน มันอาจจะฟังแล้วงี่เง่า แต่ถ้าหากเคยโดนเราปฏิเสธไปตอนมัธยมแล้วซันยังชอบเราอยู่ เราก็อยากจะรู้ว่าครั้งที่สองนี่ซันจะพยายามแค่ไหน”

“หา โอ้โห คุณนี่มัน...”

“อะไร? หัวเราะทำไม?”

พิงภพหันมาทำเสียงแว้ดใส่ อทิตยะเลยยิ่งหัวเราะดังขึ้น ดูเหมือนคืนนี้พิงภพจะมีแต่เรื่องเซอร์ไพรส์เขาไม่จบสิ้น

“ไม่น่าเชื่อว่าคุณจะร้ายขนาดนี้น่ะสิ หมายความว่าที่ยังไม่ให้คำตอบหมอนั่นก็เพราะจะแกล้งให้เขาแสดงความพยายามเนี่ยนะ?”

“ไม่ได้แกล้ง ก็บอกอยู่ว่าเราอยากรู้ว่าซันจริงจังหรือเปล่า หมอนั่นเป็นคนเซนสิทีฟมาตั้งแต่เด็ก บางทีอาจจะสับสนระหว่างความชอบกับความติดเพื่อนก็ได้”

“แต่ถ้าอย่างนั้น คุณเองก็อาจจะสับสนเหมือนกันไม่ใช่หรือไง?”

อทิตยะจงใจจี้จุดอีก ต่างฝ่ายต่างเงียบ ก่อนที่พิงภพจะผลุนผลันลุกออกไปวิ่งตะโกน “ว้ากกกก!!!!” เสียงดังหน้าหาดจนคนแถวนั้นพากันมองอย่างตกใจ อทิตยะรีบลุกแล้วสาวเท้าเร็วๆ ไปหา

“นี่! เป็นอะไรน่ะ เครียดจนสติแตกแล้วเหรอ!?”

“ไม่ใช่!นี่แค่ระบายอารมณ์เฉยๆ มานี่...กลับไปนั่งคุยกันให้จบ”

ชายหนุ่มคว้าข้อมืออทิตยะแล้วลากกลับไปที่เดิม พอได้นั่งลงบนขอนไม้อีกครั้งก็หันมาหาทั้งตัวพร้อมสีหน้าจริงจัง

“เอาล่ะ เมื่อเย็นเราตั้งคำถามแบบนั้นก็จริง แต่ตอนนี้เราตัดสินใจแล้ว เราจะทดลองคบกับเต็มต่อ ฟังให้จบ...นี่ไม่เกี่ยวกับซันแล้วเพราะเป็นความอยากรู้อยากเห็นของเราเอง ไหนๆ เต็มก็พูดถูกว่าถ้าไม่ลองจะรู้ได้ยังไงว่าเราโอเคกับผู้ชายหรือเปล่า ในอนาคตเราอาจเจอคนที่อยากคบด้วยโดยไม่สนเพศของเขาก็ได้ ดังนั้นระหว่างนี้พวกเราก็ควรทำตัวแบบที่คนคบกันเขาทำจริงๆ มีอะไรก็ควรบอกกัน ไม่มีความลับต่อกัน ที่พูดมานี่ถูกไหม?”

น้ำเสียงของพิงภพจริงจังจนอทิตยะพูดไม่ออก จริงอยู่ว่าเมื่อคืนเขาคือคนที่บอกว่าถ้าอยากลองก็ต้องทำทุกอย่างให้สมจริง แต่ไม่นึกว่าจะโดนตีความไปลึกซึ้งขนาดนี้

“คุณแน่ใจเหรอว่าจะลองคบกับเราต่อ? ทั้งที่แค่เริ่มวันแรกนี่ก็ทะเลาะกันแล้ว”

“แน่ใจ ยังไงการทดลองก็ต้องมีล้มเหลวบ้าง อีกอย่างเมื่อกี้เต็มบอกว่าถูกสเป็กเราใช่ไหม เราก็ไม่รู้จักคนอื่นที่น่าจะคบแล้วไม่ตะขิดตะขวงใจเหมือนกัน แสดงว่าเคมีพื้นฐานของพวกเราเข้ากันได้ เดี๋ยวลองคบกันไปสักพักก็คงเข้าที่เองแหละ”

ไม่รู้ว่า “สักพัก” ในบริบทนี้คือกี่วัน แต่ที่อทิตยะอึ้งกว่าคือความเถรตรงอย่างเหนือคาดของพิงภพ เขายกมือหนึ่งขึ้นปิดหน้าแล้วหัวเราะ จากที่ตอนแรกคิดว่าลองคบกันคงสนุกดีเพราะจะได้คอยดูท่าทางทำอะไรไม่ถูกของอีกฝ่าย แต่ดูเหมือนตอนนี้เขาเองก็ถูกทำให้หัวหมุนไปด้วย

ทำไมถึงเป็นคนที่ไม่น่าปล่อยให้ห่างสายตาแบบนี้นะ

“นั่นสินะ...อีกสักพักอาจจะเข้าที่ก็ได้”

ชายหนุ่มเลื่อนมือไปทาบบนบั้นเอวผอม พิงภพตัวแข็งทื่อ สองตาจับจ้องเขาเขม็ง

“อย่าลืมที่เคยพูดไว้นะว่าไม่ชอบฝืนใจคนอื่น”

“จำได้อยู่แล้ว ไม่เห็นเหรอว่าเรายังไม่ได้บังคับอะไรคุณสักอย่าง”

อทิตยะยิ้มชอบใจเมื่อนัยน์ตาดำขลับมองเขาอย่างระแวง แต่แล้วจู่ๆ ลมหอบใหญ่ก็พัดมา พอเงยหน้าขึ้นก็รู้สึกว่ามีหยดน้ำเล็กจิ๋วตกลงบนแก้ม

“ฝนเริ่มลงเม็ดแล้วสิ จะกลับห้องกันไหม?”

“จริงด้วย เฮ้ย!เริ่มตกหนักแล้ว วิ่งเร็ว!”

พิงภพรีบคว้ามืออทิตยะวิ่งกลับไปที่รถ แสงฟ้าแลบและเสียงฟ้าร้องกัมปนาทช่างไม่ต่างจากภาพยนตร์แนววันสิ้นโลก แถมหาดนี้ไม่มีที่ให้หลบฝนเสียอีก

“จะเปลี่ยนให้เราขับไหม? ขากลับทางน่าจะลื่น”

“อย่าดูถูกกันสิ ตอนอยู่ที่ออสเราเป็นสมาชิกทีมแข่งโมโตครอสนะ”

อทิตยะเอ่ยแล้วก้าวขึ้นคร่อมเบาะ พิงภพเลิกคิ้วขณะกอดเอวคนตรงหน้าแน่นเพื่อให้ศูนย์ถ่วงเสถียร อันที่จริงหลังได้ซ้อนรถหลายครั้งก็พอจะรู้ว่าหมอนี่ขับมอเตอร์ไซค์แข็ง แต่นึกไม่ถึงว่าจะเคยผ่านการแข่งแบบแอดเวนเจอร์มาแล้ว

ถนนที่ลาดชันและคดเคี้ยวทำให้ต้องขับรถอย่างระมัดระวัง กว่าพวกเขาจะกลับถึงอพาร์ตเมนต์ก็เสื้อผ้าเปียกโชก ต่างคนต่างแยกย้ายเข้าห้องของตัวเอง พายุยิ่งพัดโหมรุนแรงขึ้นแต่โชคดีที่ไฟไม่ดับ พิงภพหยิบเสื้อยืดแขนยาวกับกางเกงขาสั้นมาสวมหลังอาบน้ำเสร็จ เขาทิ้งตัวนอนมองเพดานเงียบๆ ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจหยิบกล่องยาแล้วเดินไปเคาะประตูห้องข้างๆ

เมื่อกี้ยังได้ยินเสียงกุกกักอยู่เลย คงยังไม่หลับหรอกนะ...

พิงภพคิดขณะมองสายฟ้าที่แลบแปลบปลาบ เขาหันกลับเมื่อได้ยินเสียงประตูเปิดก่อนจะชะงัก

“มีอะไรหรือเปล่า? นึกว่าคุณจะนอนแล้ว”

“โทษที ไม่นึกว่ายังอาบน้ำอยู่”

“ไม่เป็นไร เราอาบเสร็จสักพักแล้วแต่ยังไม่ได้แต่งตัวเฉยๆ จะเข้ามาไหม?”

พิงภพพยักหน้าแล้วก้าวเข้าไปในห้อง เขาพยายามไม่สนใจคนที่พันแค่ผ้าขนหนูรอบเอวซึ่งกำลังเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า แต่ในเมื่อห้องนี้ไม่มีอะไรให้ดูเยอะนักก็หลีกเลี่ยงการมองไม่ได้

เออ...ยอมรับก็ได้ว่าหมอนี่หุ่นดี ตัวก็สูง ไหล่ก็กว้าง ทำไมเป็นผู้ชายเหมือนกันแต่ตระกูลเขาไม่ถ่ายทอดหุ่นแบบนี้มา

ให้มั่งนะ

“จ้องตาเป็นมันเชียว ถ้าอยากดูขนาดนั้นก็บอก เดี๋ยวเปิดให้”

“เว้ยยย! ไม่ต้อง!! รีบๆ แต่งตัวให้เสร็จแล้วมานั่งตรงนี้เร็วๆ”

พิงภพรีบยกมือหนึ่งปิดตาแล้วหันหนี หน้าร้อนขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ที่ถูกจับได้ว่าแอบมอง เขาพยายามไม่หันกลับไปอีกจึงสะดุ้งเมื่อถูกสะกิด

“เสร็จแล้ว ว่าไง อยากต่อจากที่หาดเมื่อกี้เหรอ?”

อทิตยะถามพลางยิ้มยียวน แต่พิงภพเริ่มจะชินกับความกวนประสาทนี้แล้ว ก็เลยดึงแขนอีกฝ่ายให้นั่งบนเตียงด้วยกันแล้วแบมือหนึ่งไปข้างหน้า

“มือข้างที่เจ็บน่ะ ขอดูหน่อย”

ประกายหยอกเย้าในแววตาของอทิตยะหายวับ แต่พิงภพคาดการณ์ไว้แล้วก็เลยไม่แปลกใจ เขาแบมือรอจนอีกฝ่ายยอมส่งมือให้แบบไม่เต็มใจนัก

“เวลาคุณทำตัวจู้จี้นี่น่ารำคาญเป็นบ้าเลย รู้ตัวไหม?”

“ก็เพิ่งจะมีคนพูดแบบนี้นี่แหละ ปกติเราก็ไม่ชอบจู้จี้คนอื่นหรอก”

พิงภพตอบพลางพิจารณาแผลตรงหน้า รอยแตกบนข้อนิ้วไม่แดงจนน่ากลัวเท่าครั้งแรกที่เห็น แต่ก็ยังดูออกว่าน่าจะเกิดจากการกำหมัดกระแทกอย่างรุนแรง แถมนี่เป็นมือข้างซ้ายที่เจ้าตัวถนัดด้วย

หมอนี่ต้องโมโหแค่ไหนถึงเผลอทำตัวเองเจ็บได้ขนาดนี้...

“ไม่ถามเหรอว่าเราได้แผลมายังไง?”

เสียงของอทิตยะไม่สื่ออารมณ์ พิงภพยักไหล่แล้วหันไปเปิดกล่องยา

“พอจะเดาได้ แต่ถ้าไม่อยากบอกก็ไม่ต้อง”

“คุณเพิ่งพูดเองว่าคบกันแล้วควรจะเปิดอก ไม่มีความลับต่อกันไม่ใช่เหรอ? หรือแค่พูดไปอย่างนั้นเอง?”

พิงภพเตือนตัวเองว่าให้ใจเย็น เขาหยิบสำลีชุบเบตาดีนเช็ดบนแผลทีละนิ้วขณะตอบเสียงเรียบ

“เราหมายความตามที่พูดนั่นแหละ แต่ทุกอย่างมีข้อยกเว้น ถ้าหากไม่พร้อมหรือคิดว่าเล่าแล้วไม่เกิดผลดีกับความสัมพันธ์ งั้นการไม่พูดอะไรเลยอาจจะดีกว่า”

พิงภพยอมรับว่าในฐานะที่คบกันแล้ว โอเค...แม้แต่ในฐานะเพื่อนเขาก็ย่อมอยากรู้จักอทิตยะให้มากขึ้น แต่ก็เข้าใจว่าบางเรื่องอาจละเอียดอ่อนเกินกว่าจะเปิดเผยเพราะยังไม่สนิทกัน อย่างน้อยเขาก็ได้สื่อสารแล้วว่าพร้อมรับฟังถ้ามีเรื่องไม่สบายใจ เมื่อสามปีก่อนเขาก็เคยเป็นคนแปลกหน้าของเกาะนี้ ย่อมเข้าใจว่าความเหงาที่ไม่มีคนให้ปรับทุกข์ด้วยมันเปล่าเปลี่ยวแค่ไหน

อทิตยะไม่ตอบ แต่แล้วก็ทำให้พิงภพเกือบสะดุ้งเพราะจู่ๆ ก็ยื่นหน้ามาหอมแก้ม เขามองตาคนที่จ้องเขาในระยะห่างเพียงคืบ ไม่มีประกายของความโรแมนติกในแววตาที่กำลังสบกัน ราวกับเมื่อครู่เป็นแค่การทดลองเพื่อดูปฏิกิริยาโต้ตอบ

“ทำอะไรน่ะ?”

“แสดงความขอบคุณแบบแฟนไง ไม่เคยทำกับแฟนเก่าเหรอ? อ้อ ลืมไปว่าคุณไม่เคยทำมากกว่าจับมือ”

พิงภพดันหน้าอีกฝ่ายออกอย่างหงุดหงิด แต่อทิตยะกลับหัวเราะแล้วคว้ามือเขาไปแนบริมฝีปาก ภาพนั้นทำให้เขามุ่นคิ้วพร้อมกับรู้สึกจั๊กจี้ไปพร้อมกัน

เอาล่ะ เขาเริ่มเดาได้แล้วว่าหมอนี่ชอบจู่โจมแบบไม่ให้ตั้งตัว แต่ทำแบบนี้กับคนที่เพิ่งเริ่มคบก็นับว่าหน้าหนาไม่ใช่เล่น

“มือคุณกร้านจัง”

นอกจากจะหน้าหนาแล้วยังปากเสียด้วย!“ถ้าอยากได้ความนุ่มนิ่มนวลเนียนก็เสียใจด้วย บังเอิญเราเป็นพวกทำงานใช้แรงงาน หนังมือก็จะด้านๆ กร้านๆ เหมือนหนังเท้าแบบนี้แหละ”

“ว่าไปนั่น เปรียบเทียบซะหมดมู้ดเลย” ยังอีก...ขนาดหมดมู้ดก็ยังจะถูหน้าตัวเองกับมือเขาอีก “เราชอบนะ มันให้ความรู้สึกว่าคุณเป็นคนทุ่มเทดี คนแบบนี้สิที่น่าจะจิตใจมั่นคงไม่โลเลง่ายๆ”

คำพูดนั้นคล้ายซุกซ่อนความนัยไว้ พิงภพนิ่งอึ้งเพราะรู้สึกราวกับได้เห็นความอ่อนแอที่อีกฝ่ายไม่ตั้งใจจะเปิดเผย แต่แล้วก็ต้องรีบชักมือกลับเพราะโดนแลบลิ้นเลียนิ้ว

“เฮ้ย! ไอ้ทะลึ่ง!”

“อ้าว เป็นแฟนกันแล้วก็ทะลึ่งได้สิ ถ้าตอนนี้ไม่ให้ทะลึ่งกับคุณแล้วเราจะไปทะลึ่งกับใครล่ะ?”

พิงภพเช็ดมือที่เลอะน้ำลายบนเสื้ออย่างฉุนๆ ยิ่งเห็นอีกฝ่ายเอนตัวนอนตะแคงและยิ้มยียวนให้ก็ยิ่งนึกเสียดายว่าไม่น่าหลวมตัวคบด้วยเลย

“พูดถึงเรื่องลำบาก อย่าลืมล่ะว่าพอมาทำงานบนเรือแล้วต้องออกไปตากแดดทุกวัน ไม่ได้นั่งในห้องแอร์เย็นฉ่ำเหมือนที่ทำอยู่ทุกวันนี้หรอกนะ”

“รู้น่า ตอนน้าบุ๋มได้ยินว่าเราขอทำงานบนเรือยังแซวเลยเพราะนึกว่าอยากอยู่กับคุณยี่สิบสี่ชั่วโมง”

“หึ ไม่น่าเชื่อว่าคนอื่นจะนึกว่าพวกเราหวานแหววกันขนาดนั้น”

“อยากจะซ้อมเพิ่มความหวานก็ได้นะ คืนนี้อากาศออกจะเป็นใจ เตียงเราก็ใหญ่พอสำหรับสองคนด้วยสิ”

พูดไปอทิตยะก็ใช้มือหนึ่งตบที่ว่างข้างตัว พิงภพกลอกตาก่อนจะดันตัวลุกขึ้น

“ฝันไปเหอะ เรากลับไปนอนดีกว่า”

“น่าเสียดาย”

พิงภพคร้านจะต่อปากต่อคำเลยคว้ากล่องยาเดินไปที่ประตู แต่ก็ยังช้ากว่าเจ้าของห้องที่ก้าวยาวๆ มาบังไว้ เขาได้แต่ถอนหายใจแล้วเงยหน้าขึ้นถาม

“ทำไม? มีอะไรอีก?”

“ขอบคุณนะที่อุตส่าห์มาใส่ยาให้ แล้วก็...กู๊ดไนต์”

แสงจากหลอดไฟตรงทางเดินมืดไปอึดใจหนึ่ง พิงภพเบิกตากว้างเมื่ออทิตยะถอยออกยิ้มๆ ก่อนจะดันเขาออกจากห้อง ฝนยังคงตกไม่หยุดจนละอองน้ำกระเซ็นมาโดนตัว แต่เมื่อกี้ไม่ผิดแน่ หมอนั่นเพิ่งขโมยจูบเขาไปหยกๆ

“เฮ้ย! นี่เล่นทีเผลออีกแล้วเหรอ!?”

กว่าพิงภพจะหันกลับไป แสงไฟที่ลอดจากใต้ประตูห้องของอทิตยะก็ดับไปแล้ว

 

++---TBC---++

 

A/N: อัพตอนใหม่แล้วน้า ขอให้อ่านกันอย่างมีความสุขค่า ^^

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด