O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #12 up06.11.62
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #12 up06.11.62  (อ่าน 13348 ครั้ง)

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่


1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด


3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม


6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม



********************************************************

นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายวาย เนื้อหาเกิดจากจินตนาการของผู้แต่ง
ห้ามคัดลอก ดัดแปลง หรือนำไปลงแหล่งอื่นก่อนได้รับอนุญาติ


ยังไม่มีสัญญากับ สนพ.


OUTSIDE #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง
(แนวท้องได้)




แวนกัสเบื่อการใช้ชีวิตในเมืองหลวงแสนวุ่นวาย ทำงานเก็บเงินแล้วซื้อบ้านบริเวณชายป่าไร้ผู้คน
ใครมาเยี่ยมเยียนต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่ามันสงบเกินไป ผิดกันกับเขาที่มีความสุข
กระทั่งวันหนึ่ง เขารู้สึกตัวตื่นกลางดึก แล้วพบกับผู้มาเยือน
มันตัวใหญ่ สูงสามเมตร ร่างกายกำยำคล้ายมนุษย์ ผิวสีน้ำตาลมีขนสั้นเหมือนวัว
ผมยาวลากพื้นจนเกิดเสียงใบไม้ใบหญ้าที่เสียดสี นัยน์ตาสีแดงวาวโรจน์จ้องเขาผ่านหน้าต่าง



ว่ากันว่าในป่าแห่งนี้มีปีศาจน่ากลัว มันดุร้าย พร้อมจะไล่ผู้บุกรุก และกินคน
แวนกัสไม่ยินยอมที่จะย้าย ในเมื่อเขาซื้อที่นี่แล้วเขาก็ควรจะได้อยู่อาศัย ชายหนุ่มจึงคิดค้นหาวิธีขับไล่
เริ่มต้นด้วยการโรยเกลือไว้ที่ขอบหน้าต่างประตู และราดน้ำผึ้ง แต่แทนที่จะกลัว
ทว่า...
เจ้าปีศาจดุร้ายกลับตอบแทนการไล่ของเขาด้วยการนำของมาฝากอยู่ทุกคืน

   

แล้ว...
เจ้าปิศาจตนนี้ มันดุจริงอย่างที่เขาเล่ากันมาหรือเปล่านี่
แวนกัสเองก็อยากพิสูจน์เหมือนกัน


#ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-11-2019 11:55:14 โดย noonaaRP »

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa


#ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง

Intro

เสียงเครื่องยนต์อีกไม่กี่ไมล์ข้างหน้าเคลื่อนมาหยุดอยู่ข้างหูผู้หลับ ให้รับรู้ว่ามีผู้บุกรุกเข้ามาในเขตแดนของมัน ร่างกายใหญ่ผุดลุกคลานออกจากรังอาศัย ปะหน้ากับแสงจ้าของอาทิตย์ที่ยังไม่ตกดินก็ยกมือปิด ดอมดมได้กลิ่นหอมแปลกอยู่ไม่ไกล ไม่นานเสียงเจี๊ยวจ๊าวของผู้คนก็เริ่มดังขึ้นให้มันรับรู้

ว่ามีมนุษย์อยู่แถวนี้

บริเวณนี้ทั้งป่าเป็นพื้นที่ของมัน เดิมทีได้ยินเสียงการก่อสร้างที่พักตรงชายป่าก็มิได้สนใจ แต่คราวนี้เห็นทีต้องขึ้นไปดูเสียให้รู้แล้วว่าด้านนอกเกิดอะไรขึ้น มันทำเสียงขู่ฮึ่มฮั่มแล้วปีนป่ายต้นไม้ใหญ่ ไม่สนผมยาวรุงรังสีเงินของตัวเองที่เกาะเหล่ากิ่งไม้จนขาดวิ่น

วิ่งผ่านกิ่งไม้หักลำขาแกร่งก็ชะงักกึกเสียเศษดินกระเด็นกระดอน มันดอมดมกิ่งไม้นั้น ทราบที่มาว่าเพราะสัตว์ทำหักจึงจับเส้นผมยาวจรดพื้นของตัวเองไปพันให้มิด ไม่นานกิ่งไม้ที่หักก็พลันแข็งแรงขึ้นมาทันใด แล้วเสร็จก็ออกวิ่งไปด้านนอก ปีนป่ายอย่างชำนวญ แม้มันตัวใหญ่แต่กลับพริ้วไหวว่องไวนัก

ไปถึง เห็นกระท่อมหลังหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ มีผู้คนกำลังช่วยกันขนของเข้าไปด้านใน พูดคุยกันน่ารำคาญ มันชะงักเมื่อเหลือบไปเห็นมนุษย์เพศผู้กำลังไต่เดินอยู่บนโขดหินที่ริมธาร รูปร่างเล็กน้อย ปากสีสดราวเชอรีกำลังอ้าค้างขณะสำรวจรายรอบ ไม่นานดวงตาสีน้ำตาลเข้มสดใสของอีกฝ่ายก็มาสะดุดอยู่ทิศนี้

ก่อนมนุษย์ผู้นั้นจะผละไปสนใจที่อื่น

แน่นอน ไม่มีใครมองเห็นมัน คิดแล้วก็เดินมุ่งเข้าหาอีกฝ่ายหวังจะเตือนภัยผู้บุกรุกให้ย้ายถิ่นฐานไปที่อื่นเสีย หากทว่าเมื่อยิ่งเข้าใกล้เจ้ามนุษย์ตัวจ้อย มันก็ยิ่งเห็นความสวยงามตราตรึง ลูกตากลมเงาเหมือนแมลงเต่า กลีบเล็บเล็กเหมือนกลีบดอกไม้ ผิวขาวสว่างเหมือนขนกระต่าย

น่ากินไปทั้งตัว...มันคิดทั้งดมฟุดฟิดไปทั่วตัวอีกฝ่าย

เจ้ามนุษย์หยุดยืนดูเศษใยแมงมุมที่เกาะอยู่บนต้นไม้ ช่างสังเกต มือขาวแกะมาพินิจดูแล้วกลับมุ่นคิ้วกับตัวเอง ขาน้อย ๆ เดินไต่ไปเก็บอีกสองสามเส้นถือไว้ ก่อนจะชะงักเท้าราวกับรู้ว่านอกเหนือจากตนเองนั้น ยังมีใครอีกคนที่อยู่แถวนั้นด้วย มันชะงักท่าทางดอมตามลำตัวของอีกฝ่าย ทั้งที่รู้แก่ใจว่ามนุษย์ผู้นี่ไม่มีทางเห็น

เพราะหากเห็นมัน อีกฝ่ายอาจกลัวเอาได้

มนุษย์ห้ามเห็นมันเด็ดขาด...

มนุษย์น้อยผู้นั้นไปแล้ว หลงเหลือแต่มันที่ก้มลงตรงโขดหินริมธาร ชะโงกหน้าให้สายน้ำสะท้อน ปรากฏความน่าเกลียดน่ากลัวของตัวเองอย่างชัดเจน เส้นผมสีเงินที่ควรสว่างไสวก็ทึบสกปรก เหตุใดมนุษย์นั่นถึงได้เก็บเส้นผมของมันติดตัวไปด้วยก็ไม่อาจรู้ได้ ภูตยักษ์ตัวใหญ่เอียงคอมองตัวเองในสายน้ำ

กว่าจะรู้ตัวว่าตัวเองอยากรู้อยากเห็น มันก็แอบมาชะเง้อมองในเช้าถัดมาเสียได้ คราวนี้ทุกอย่างกลับมาสงบเงียบไร้เสียงน่ารำคาญแล้ว เหลือเพียงมนุษย์ตัวน้อยผู้เดียวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้อ่านหนังสือ แต่ที่สะดุดตาของมันนั้น ก็คงจะเป็นเส้นผมของมันที่บัดนี้ถูกนำไปขัดล้างเสียเงาวับแล้วถักเป็นสร้อยข้อมือ อยู่ที่แขนของมนุษย์น้อยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

มันเอียงคอมองที่ข้อมือสกปรกของตัวเอง จับเส้นผมที่ปรกหน้าตามาพันดูบ้าง

 

 ตอนที่ ๑

เสียงฝีเท้าสี่คู่เหยียบกิ่งไม้ใบหญ้า ประสานกันในป่าใหญ่อย่างไม่หยุด มองจากเนินเขาทิศนี้ลงไปเห็นบ้านเรือนอยู่หลายหลังตั้งอยู่ แต่ทุกคนบริเวณนี้กลับมุ่งหน้าเข้าไปด้านในป่าไม้กันมากกว่า ไม่นาน ฝีเท้าสี่คู่ก็หยุดอยู่บริเวณโขดหินริมน้ำตกที่มักมากระโดดเล่นตั้งแต่เล็ก ทั้งสี่มองหน้ากันอย่างมีเลศนัย แล้วแยกย้ายต่างคนต่างไป

คนหนึ่งกระโดดลงว่ายน้ำ อีกคนปีนป่ายต้นไม้ใหญ่ไปจนสูงสุดถึงปลายยอด ทอดมองจากทิวเขาลูกเล็กแล้วร้องออกไปด้วยความสุข อีกหนุ่มเกลือกกลิ้งเล่นที่ทุ่งหญ้าอ่อนนุ่ม ส่วนอีกคนวิ่งตามฝูงกระรอก รายรอบป่าเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะคิกคักชอบใจ

สนุกกันได้พักเดียวเท่านั้นเสียงนาฬิกาข้อมือหนึ่งหนุ่มก็ดังขึ้น เจ้าตัวสูงหันขวับไปผิวปากเรียกคนอื่นให้มารวมตัวกันในจุดนัดพบ แล้วรีบบอก “เร็วเข้า ปะป๊าเลิกงานแล้ว อย่าให้ถูกจับได้ว่าเรามาที่นี่”

หนุ่มน้อยคนหนึ่งหน้าเหวอ “จะไม่ถูกจับได้ได้ยังไง ฉันเปียกขนาดนี้”

“นั่นมันเรื่องของนาย ใครใช้ให้นายลงไปเล่นน้ำ”

เจ้าตัวกอดอก “นายเองก็ตัวเต็มไปด้วยเศษดิน คิดเหรอว่าปะป๊าจะไม่รู้”

“พอเถอะน่าไคล์เคล กลับไปก่อนที่จะโดนดุ” พี่ใหญ่พักรบ

“เร็วเข้า ถ้าถูกจับได้พวกเราโดนกักบริเวณแน่”

“ใครไปถึงทีหลังล้างจานให้พวกเราหนึ่งอาทิตย์”

“ดีล!” แล้วทั้งสามก็วิ่งนำไปก่อน หนุ่มน้อยตัวเปียกส่ายหน้าระอา แล้วพุ่งตัววิ่งออกไปจนเกิดเสียงลม ฝุ่นใบไม้ปลิดปลิวไปทั่วทุกสารทิศ เรื่องความรวดเร็วในการวิ่งนี้ เขาถูกบิดาที่เก็บมาเลี้ยงสั่งห้ามทำให้ใครเห็น ดังนั้นในป่าจึงเป็นที่ที่หนุ่มน้อยวัยสิบห้าทั้งสี่เป็นตัวของตัวเองมากที่สุด

พวกเขาเป็นแฝดสี่ที่ถูกเก็บมาเลี้ยง บิดาเล่าว่า เมื่อสิบห้าปีที่แล้ว เห็นพวกเขาถูกวางไว้อยู่หน้าบ้านที่ชายป่าแห่งหนึ่ง เพราะอย่างนั้นกระมัง เด็กหนุ่มจึงชอบใช้ชีวิตในป่ามากกว่าพบเจอเพื่อนที่โรงเรียน เมื่อเข้ามาแล้วกลับมีความรู้สึกอบอุ่นเหมือนกลับมาบ้านทุกครั้ง ไม่แปลกที่หลังเลิกเรียนแล้วมักจะพากันเข้ามาสนุกสนานก่อนกลับบ้าน ผิดกันกับบิดาบุญธรรมที่ไม่ชอบเอาเสียเลย สั่งห้ามด้วยกลัวว่าพวกเขาได้รับอันตราย

แม้จะบอกว่าเขาเป็นลูกที่เก็บมาเลี้ยง แต่ใครต่างก็บอกว่าพวกเขาหน้าตาคล้ายบิดาบุญธรรมอย่างกับมีสายเลือดเดียวกัน อีกทั้งปู่กับย่าเอ็นดูพวกเขาเพราะหน้าตาเหมือนลูกตนเองแทบจะถอดแบบ แม้แต่ลุงเชนผู้เป็นเพื่อนของบิดาก็ยังบอกอยู่ตลอดว่าไม่น่าเชื่อ

ไคล์ เคล วิล และไวน์ เชื่อว่าตัวเองมีความผูกพันกับป่า มันเป็นสัญชาตญาณบางอย่างที่ทั้งสี่ก็ไม่อาจรู้ได้ พวกเขารู้ว่าบิดาห่วงและหวง ไม่อยากให้เข้ามาเที่ยวเตร่กันเองอย่างนี้บ่อยนัก แต่ไม่รู้ทำไม เมื่อเห็นป่า ก็เหมือนมีเสียงหนึ่งเรียกหาให้พวกเขาเข้าไป

ไปถึงชายป่าอันเป็นที่วางกระเป๋าสัมภาระ ทุกคนหยิบเสื้อมาขึ้นสวมให้เรียบร้อยแล้วยกกระเป๋าขึ้นสะพาย พากันเดินข้ามถนนมุ่งเข้าสู่หมู่บ้าน แปลกใจที่เมื่อกลับไปถึงแล้วพบรถยนต์ของลุงเชนจอดอยู่ ทั้งสี่มองหน้ากันว่าจะแก้ตัวอย่างไรดี เพราะหากลุงเชนมาส่งบิดา นั่นแปลว่าท่านมาถึงที่บ้านได้พักหนึ่งแล้ว

“ไปเถลไถลที่ไหนกันมา” คำที่บิดาทักทำเอาทั้งสี่หนุ่มสะดุ้ง ก่อนจะปรากฏชายร่างผอมโปร่งที่กำลังกอดอกปั้นหน้าดุรออยู่ก่อนแล้ว เด็ก ๆ เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าบิดา “รถโรงเรียนเพิ่งมาส่งครับ”

“บอกความจริงฉันมานะวิล” มือยาวเอื้อมมาเขี่ยเศษดินที่แก้มออกให้ ก่อนจะก้มลงมองที่กางเกงขาสั้นลูกชายอีกคนราวกับรู้ทัน ทั้งสี่มองหน้ากันเลิ่กลั่กเพราะถูกจับได้ แก้ตัวกันไม่ออกนอกจากนิ่งฟังคำบ่น “พ่อบอกพวกนายไปหลายครั้งแล้วนี่ ว่าอย่าหนีเข้าไปในป่ากันเองอย่างนี้ ถึงมันจะเป็นป่าเล็ก ๆ ก็เถอะ แต่มันอาจมีสัตว์มีพิษ”

“พวกมันไม่อันตรายครับ” หนุ่มน้อยคนหนึ่งรีบพูด

“นายรู้ได้ยังไงเคล”

“ก็...” เจ้าตัวกำลังจะเล่า หากทว่าอีกสามคนส่งสายตาเอ็ด “ไม่มีอะไรครับ”

เชนที่นั่งฟังยกมือกอดอกบ้าง “พวกนายโกหกไม่เนียนเอาเสียเลย”

“สร้อยคอนายไปไหน” ผู้เป็นบิดาแปลกใจ แหวกคอเสื้อลูกชายคนเล็กดูอย่างนึกเป็นห่วง เจ้าตัวเบิกตาแทบถลน ลูบจับล้วงหาของที่ถูกถามถึงก็เหงื่อแตก ใจหายขึ้นมา “สงสัยมันโดนกิ่งไม้เกาะตอนรีบวิ่งกลับมาน่ะครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้เรากลับไปหากันก็ได้”

“ทำไมไม่รักษาของที่ฉันให้เลยล่ะ สร้อยนั่นเป็นของพ่อที่ให้กำเนิดนายนะ”

คนฟังก้มหน้ารู้สึกผิด “ขอโทษครับปะป๊า”

“มันเป็นของสิ่งเดียวที่พ่อของพวกนายให้ติดตัวมา ดูแลมันให้ดี”

วิลมองน้องที่กำลังเศร้า “พวกเราใช้ทางที่เดิมประจำ เราจะกลับไปหา”

“ยังก่อน” บิดาส่ายหน้า มองออกไปเห็นว่าใกล้ค่ำแล้ว “ออกไปหาพรุ่งนี้ก็ได้ มืดแล้ว ไปอาบน้ำแล้วลงมากินข้าว”

“ครับ” ว่าแล้วทุกคนก็หมุนตัวเดินขึ้นบันได

“เคล”

“ฮะ” เด็กหนุ่มหันกลับมา

คนดอกอกนิ่งไปพักหนึ่งอย่างสุขุม ก่อนจะส่ายหน้าเปลี่ยนเรื่อง “ป้าริโกะทำซูชิมาฝาก รีบลงมากันล่ะ”

“ครับ” เจ้าเด็กดื้อรับคำอย่างแปลกใจ ก่อนจะยอมหมุนตัวเดินตามพี่ ๆ ขึ้นไป หลงเหลือเพียงคนอายุมากทั้งสองที่หันมาสบตากัน ฝ่ายเจ้าของบ้านเดินไปทรุดนั่งตรงกันข้ามกับเพื่อนเพื่อจิบชา สีหน้าไม่ได้บ่งบอกว่าคิดอะไร แต่คนรู้จักกันมาหลายสิบปีกลับรู้ทัน เชนกระแอมก่อนจะเริ่มเรื่อง “ฉันว่านายควรเลิกพะวงห่วงเด็ก ๆ เกินจำเป็นซักที พวกเขาโตเป็นหนุ่มกันหมดแล้ว”

“พวกเขาเป็นลูกฉัน ยังไงก็ยังคงเป็นเด็ก”

“แต่พวกเขาเกิดในป่า ยังไงก็คงจะมีความผูกพันกับป่า”

“นายเลิกพล่ามเรื่องความเชื่อบ้าบออะไรนั่นสักทีเถอะเชน ฉันไม่มีวันปล่อยให้พวกเขาไปทำตัวเหมือนเป็นคนป่า พวกเขาต้องโต ต้องเรียน ต้องทำงานอยู่ที่นี่ ไม่ใช่อาศัยอยู่ในโพรงไม้” คนกล่าวร่ายยาว

เชนส่ายหน้า “ฉันแทบไม่อยากเชื่อว่านายคือแวนกัสคนเดียวกับเมื่อสิบกว่าปีก่อน”

“ฉันยังคงเป็นฉัน” เจ้าตัวยักไหล่

“ทำไมนายถึงเกลียดป่านัก ทั้งที่เมื่อก่อนนายแทบอยากจะอาศัยอยู่ในป่า”

คนฟังถอนหายใจ “เลิกพูดเรื่องอดีตซักที” เจ้าของบ้านวางแก้วลงเสียงดัง “เพราะเมื่อก่อนมันเป็นความคิดที่โง่ไง”

“โอเค ๆ” เชนยกมือยอมแพ้

“แล้วนายก็เลิกเล่าเรื่องที่ฉันอยู่ในป่าให้เด็ก ๆ ฟังได้แล้ว มันไม่ใช่เรื่องสนุก นายอยู่รอก่อนนะ ฉันจะเลี้ยงมื้อเย็น” ชายหนุ่มลุกเดินออกไปจัดอาหารที่เพื่อนสนิทเอามาฝากใส่จานชาม จัดเรียงเป็นสี่ที่ให้ลูกชายทาน หนุ่มน้อยวัยสิบห้าที่กำลังจะลงมาด้านล่างชะงักเท้าหยุดฟังนานแล้ว แล้วเปลี่ยนใจเดินกลับเข้าไปยังห้องนอน อันมีพี่น้องที่กำลังง่วนอยู่กับการแต่งตัว ครุ่นคิดว่าเพราะเหตุใดบิดาบุญธรรมถึงได้อคติกับป่านัก

ทั้งที่เมื่อก่อนตัวเองก็เคยอาศัยอยู่ในนั้นเช่นกัน อยู่แบบมีความสุขมากเสียด้วย ลุงเชนเล่าให้เขาฟัง

ผู้คนต่างชักชวนให้กลับอย่างไรบิดาบุญธรรมก็ไม่ยอม กระทั่งวันหนึ่งท่านเจอพวกเขา ถึงได้ย้ายออกมาจากป่านั้น

“เคล นายเป็นอะไร” วิลหันไปมองน้องชายที่กำลังเกาหน้าผาก

เจ้าตัวมุ่นคิ้วสะบัดผม “ไม่มีอะไร รู้สึกคัน ๆ เหมือนสิวจะขึ้น”

“ฮ่า เคลน้อยของเรากำลังจะเป็นหนุ่มนี่เอง”

“ปล่อยฉันนะ!” เจ้าตัวสะบัดแขนไคล์จอมกวนออก

“เดี๋ยวก่อน” วิลเพ่งสายตามองไปจับที่เรือนผมน้ำตาลช็อกโกแลตของน้องชาย พวกเขามีสีผมและดวงตาเหมือนกันกับพ่อบุญธรรม แต่บัดนี้เหตุใดก็ไม่อาจทราบ ดูเหมือนว่าสีผมของเคลนั้นคล้ายกำลังหงอก มีบางเส้นเปลี่ยนไปเป็นสีขาว “ทำไมผมนายเป็นสีขาวแล้วล่ะ”

“ไม่มั้ง มืดแล้วมันอาจสะท้อนแสงไฟ”

“จริง” คนอื่นเพ่งมองแล้วเห็นด้วย

“ช่างมันเถอะ ลงไปกินมื้อเย็นกัน ก่อนที่ปะป๊าจะดุ”

“นายมาช้าที่สุดต้องล้างจานให้พวกเราหนึ่งอาทิตย์นะ” ว่าแล้วทุกคนก็วิ่งนำกันออกไป เคลถอนหายใจห่อเหี่ยวแล้วเดินตามลงไปอย่างหน่ายเหนื่อย เห็นบิดากำลังจัดจานสเต๊กให้ด้วย ครั้นไปถึงคนอายุมากกว่าก็ส่งยิ้มให้ มือหนาลูบผมลูกชายที่กำลังเดินไปเข้าที่ “ลูกจะเอาสเต๊กด้วยไหม”

“ไม่ฮะ”

คนตัวใหญ่กว่าไม่ได้ฟัง ตักมาวางไว้ให้ตรงหน้า “พ่อรู้ว่าลูกรักสัตว์ แต่ลูกต้องกินเนื้อบ้าง จะได้โตทันคนอื่น”

เคลเงียบแล้วตักทุกอย่างเข้าปากไม่มากพิธี สบตากับลุงเชนที่กำลังมองอยู่ แกยกยิ้มแล้วเอื้อมมาลูบหัว ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเมื่อเห็นอะไร “ลุงก็เพิ่งเห็นว่าผมของนายเป็นสีนี้ ผมนายสว่างกว่าคนอื่นอีกนะ นายเป็นเด็กที่ถูกเก็บมาเลี้ยงตัวจริงเสียงจริงแล้วทีนี้”

เคลยิ้มขัน “ผมควรจะดีใจไหมเนี่ย”

ผู้เป็นพ่อหันมามองครู่เดียว แล้วเปลี่ยนเรื่อง “เรื่องเรียนเป็นยังไงกันบ้าง”

“ไม่ชอบเลยฮะ” วิลตอบหน้าตาย

“เมื่อวานผมอ่านหนังสือประวัติศาสตร์” ไวน์เล่า

“ก็ดี ลูกสนใจประวัติศาสตร์งั้นเหรอ”

“เปล่าครับ ผมว่าจะลองอ่านแล้วมันก็ง่วง ผมเลยเอามาหนุนแทนหมอน เพราะมันหนาดี”

“อุ๊บ...” ลุงเชนกลั้นขำ เหลือบหันมองผู้เป็นบิดาที่กำลังทำหน้าระอาอยู่ในที แล้วพยายามอดกลั้นขำอย่างที่สุดเพราะเกรงใจสายตาดุของเพื่อน

“พวกเราไม่เหมาะกับเรื่องเรียนเลยฮะ ไม่เก่งเหมือนเอลลี่หรอก” วิลพูดถึงลูกสาวของลุงเชน อายุน้อยกว่าพวกเขาหนึ่งปี เธอเป็นสาวน้อยผมดำตาเรียวเล็กเชื้อชาติเอเชีย เอลลี่เป็นเด็กสาวที่ชอบกิจกรรม รักการเรียน ได้ฟังแล้วผู้เป็นลุงก็ยิ้มอย่างพออกพอใจ ผิดกันกับเพื่อนที่นั่งอารมณ์บูดอยู่อีกฝั่ง แต่ที่น่าอิจฉาสำหรับเชนก็คงจะเป็นการมีลูกชายนี่กระมัง เขาอยากมีลูกชายดูสักคน

ขณะแล้วเสร็จมื้อค่ำและลุงเชนกลับไปได้พักหนึ่ง เป็นเคลที่กำลังก้มหน้าก้มตาล้างจานชาม อยู่ในครัวกับบิดาที่กำลังง่วนจัดของ แม้ดูเหมือนว่ากำลังตั้งใจทำงานบ้าน แต่มิวายแอบชำเลืองมองความแปลกไปของเส้นผมลูกชาย “ปกติผมลูกสีน้ำตาลเหมือนพ่อนี่ เขาว่ากันว่าสีผมตอนเด็กกับตอนโตจะแตกต่างกัน แต่ของลูกเปลี่ยนไวดีนะ”

คนฟังพยักหน้า “ครับ ไม่รู้เปลี่ยนไปตอนไหนเหมือนกัน”

“นั่นแปลว่าเดี๋ยวคนอื่นก็มีสีผมเหมือนลูกกันหมด เพียงแต่ว่าพวกเขาเปลี่ยนช้าเท่านั้นเอง”

“ปะป๊าฮะ” เคลหันไปหาคนสุขุมข้างกาย เหมือนมีเรื่องคาใจอยากจะพูด

“...หืม”

“ปะป๊าไม่เคยเจอพ่อของพวกเราจริง ๆ เหรอฮะ”

คนฟังชะงักกับงานที่ทำ “อืม...”

“แต่ปะป๊าพูดเหมือนรู้จักเขาดีเลย”

“ทำไมลูกคิดอย่างนั้น”

“ก็...” เคลลากเสียง “ปะป๊าดูไม่ชอบเขา”

คนฟังนิ่งไป แต่ครู่เดียวที่อยู่ในภวังค์ ผู้ที่อยู่ข้างกายเคลก็ผละมาสบตา “ใช่ เพราะพ่อคิดว่าเขาไม่รู้จักรับผิดชอบ เขาแย่ที่ทิ้งพวกนายไว้ในป่าอย่างนั้น ทั้งที่พวกนายออกจะน่ารักกันขนาดนี้”

คนฟังยิ้มหวานขึ้น “พูดถูกฮะ”

“แต่ก็ต้องขอบคุณเขานะ ไม่อย่างนั้นพ่อก็ไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับพวกนายอย่างนี้” ถ้อยคำแสนอบอุ่นของบิดาทำเอาเคลซาบซึ้งใจ เด็กหนุ่มยกยิ้มแล้วหันกลับมาทำงานตรงหน้าตัวเอง พร่ำบอกอยู่ในใจว่าหากพวกเขาไม่ได้รับการอุปถัมภ์จากชายข้างกาย ป่านนี้ก็คงกลายเป็นอาหารสัตว์ในป่าแถวนั้นแล้วเป็นได้ แม้ว่าเขาจะอยากเจอพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดตัวเองแค่ไหนก็ตาม

 

๑๖ ปีก่อน

แม้ท้องฟ้ามืดดำมีพยับฟ้าพยับฝนแต่ไกล ผู้ออกเดินทางบนรถไม่ได้หวั่นใจเลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มเหลือบออกจากแว่นตากันแดดไปมองสองข้างทางอันเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ เขาเดินทางเข้ามาได้ลึกพอสมควรแล้ว ด้านหน้าเป็นป้ายประกาศว่ามีหมู่บ้าน แต่เอาเข้าจริงก็มีไม่กี่หลังคาเรือนนักเพราะห่างไกลความเจริญเกินไป

ใครจะสน ยิ่งเงียบก็ยิ่งดี

“วู้ว!”

ภายในรถยนต์อัดแน่นไปด้วยเสียงเพลงที่คนขับชื่นชอบ ผิดกันกับแวนกัสที่ยกหูฟังขึ้นมาเสียบไม่ต้องการได้ยิน ชายหนุ่มถอนใจ ยกมือถือขึ้นมากดเพิ่มความดังของเพลงที่ตัวเองฟัง อีกไม่ไกลจะถึงจุดหมายที่เขาวาดหวังไว้แล้ว ซึ่งก็คือที่พักพิงแห่งใหม่ของชายหนุ่มนั่นเอง

“เฮ้ นายจะทำแบบนี้กับฉันไม่ได้นะกัส” เชน หนุ่มหน้าเอเชียหันมาสะกิดขณะโยกตามเพลง ชักชวนให้เพื่อนรักออกสเต็ปด้วย “ฉันอุตส่าห์มาส่งนายแล้วนี่ไง ไม่ต้องเศร้าน่า มาเถอะ”

“ใครบอกว่าฉันเศร้า ฉันดีใจต่างหากที่ได้หนีมาอยู่คนเดียว”

“โธ่ กะอีแค่เลิกกับแฟนคนเดียวไม่เห็นต้องหนีมาทำใจไกลถึงในป่าขนาดนี้เลยนี่นา”

“ใช่เหตุผลนั้นเสียที่ไหน” แวนกัสส่ายหน้า “นายก็รู้ว่าฉันไม่ชอบผู้คนเยอะแยะ”

“เฮ้อ...” เชนส่ายหน้าแล้วหรี่เสียงเพลงลง “เกิดเป็นคุณหนูนี่มันดีจริง ๆ นึกอยากมาตกระกำลำบากก็มาเลย ไอ้คนจนอย่างฉันอยากนอนกระดิกนิ้วสั่งอย่างเดียวก็ทำได้แค่วิ่งเต้นหางานพิเศษทำไม่เว้นวัน” เชนหัวเราะขณะหันไปบังคับรถเคลื่อนไปเบื้องหน้า

“เลิกค่อนขอดฉันเถอะ ฉันเลือกที่นี่แล้ว”

“นายนี่น้า” เชนถอนหายใจ “อายุเพิ่งจะยี่สิบหก นายไม่ปลีกวิเวกไวไปหน่อยเหรอ แล้วอย่างนี้นายจะมีเวลาไปจีบหญิงหรือแต่งงานตอนไหนล่ะกัส นายจะหลบซ่อนตัวอยู่แต่ในนี้ไม่ได้หรอก”

“ก็ไม่ต้องจีบ ฉันอยู่คนเดียวสบายใจกว่า” แวนกัสกอดอก

“ไม่ได้นะ ฉันรู้ว่าเงินของนายมีเยอะจนใช้ไม่หมด แต่นายต้องใช้ชีวิตบ้างสิ”

“ก็นี่แหละชีวิตที่ฉันเลือก นายอย่าเอามาตรฐานความสุขนายมาวัดฉันสิ” แวนกัสหัวเราะหึแล้วชี้นิ้วไปข้างหน้า “โน่น เลี้ยวเข้าไปตรงป้ายนั่น มัวแต่คุยเดี๋ยวก็ขับเลยเหมือนคราวที่แล้วอีก”

“คร้าบ ๆ”

รถยนต์คันเล็กเลี้ยวเข้าไปในป่า คราวนี้สองข้างทางรกกว่าเก่า ถนนไม่ได้ถูกตัดด้วยลาดยาง มีแอ่งน้ำเล็กน้อยเพราะฝนที่เพิ่งตกไปเมื่อคืน ด้วยความที่เลี้ยวเข้ามาด้านในแล้ว จากที่อึมครึมก็ดูมืดลงเพราะใบไม้หนาด้านบนปกคลุม สองข้างทางมีดอกหญ้าบานสะพรั่งสีสันสดใส แวนกัสรีบยกมือถือขึ้นมาถ่ายเก็บภาพ

อย่างที่เชนพูด เขาเป็นคุณหนูร่ำรวยไม่เคยพบเจอความลำบาก ชายหนุ่มมีอาการเจ็บป่วยออด ๆ แอด ๆ บ้างเพราะแพ้อากาศในเมือง หากถามว่าเหตุใดครอบครัวของเขาถึงยอมปล่อยให้ชายหนุ่มมาใช้ชีวิตเพียงคนเดียวที่นี่ ก็คงเป็นเพราะนี่คือความต้องการของเขากระมัง เขาก็แค่ต้องการความสงบ ใช้ชีวิตด้วยตัวเองบ้างสักปีสองปี หากมันยากจริงอย่างที่ทุกคนพูด เขาคงกลับไปเอง

กระท่อมของเขาน่ารักกระจิดริด ไม่กว้างขวางเพราะอาศัยคนเดียว เดิมเป็นบ้านหลังเก่าของป้ามีญ่ากับลุงแซ็คที่กำลังช่วยจัดของรออยู่เบื้องหน้า ไปถึงชายหนุ่มก็เดินไปจับมือกับทั้งคู่ สูดเอาอากาศดีเข้าเต็มปอด ทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว มันเคยเก่าผุพัง ชายหนุ่มจึงจัดการให้คนมาซ่อมแซมเสียใหม่ ตกแต่งเล็กน้อยและซื้อเครื่องใช้มาเพิ่มเติมเท่านั้นเอง

เชนเดินตามหลังมาจับมือกับลุงป้า ก่อนจะหมุนกายมอง “โอ้โห มาคราวนี้น่าอยู่สุด ๆ”

“อยู่ค้างกับฉันก่อนสิ พรุ่งนี้ค่อยกลับ”

เชนพยักหน้ารับ “ได้สิ ให้ความรู้สึกเหมือนบ้านต้นไม้เหมือนกันนะ”

“พูดไปเรื่อยน่า”

“ก็มันจริง ทำเอาฉันอยากรู้เลยว่าตอนเด็ก ๆ พ่อไม่ยอมสร้างบ้านต้นไม้ให้นายรึไง ถึงได้ลงทุนขนาดนี้”

“พ่อไม่ได้สร้าง”

“นั่นไง ว่าแล้วไม่มีผิด”

แวนกัสยกยิ้ม “พ่อฉันจ้างช่างมาทำให้ แต่ฉันก็เห่อปีนขึ้นไปเล่นแค่ไม่กี่วัน”

“โธ่ ไม่สนุกเลย เข้าไปดูข้างในดีกว่า” เจ้าเพื่อนตัวดีหมุนตัวเข้าไปเปิดดูด้านในที่ถูกจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว แวนกัสหยุดคุยกับป้ามีญ่า นางย้ายออกไปอยู่ที่ริมถนนลาดยาง ห่างจากที่นี่ไม่กี่ไมล์นักเพราะมีความสะดวกมากกว่า คนแก่ลูบต้นแขนของแวนกัสด้วยรอยยิ้ม ส่วนอีกฝั่งก็เป็นลุงแซ็คที่กำลังขนของลงให้ “พอตกแต่งเสร็จแล้วชอบไหมจ๊ะ”

“ชอบมากครับ ทุกอย่างสวยไปหมด”

“หลังบ้านมีห้องกระจกสำหรับปลูกพืชผักด้วยนะ” นางบอก “แซ็คทำไว้ให้ จะได้ไม่ต้องออกไปซื้อข้างนอก”

“งั้นดีเลยครับ ขอผมไปดูสักเดี๋ยว”

“จ้ะ เดินระวังด้วยนะ พื้นมันแฉะ”

“ครับ” ชายหนุ่มขานรับ เดินลัดเลาะอ้อมไปทางด้านหลัง ไม่ไกลมีธารน้ำไหลเอื่อยเพราะเป็นปลายน้ำแล้ว แม้จะเป็นหน้าฝนแต่น่าแปลกที่ไม่ค่อยมีน้ำเท่าใดนัก แวนกัสหยุดดูซุ้มกระจกที่ลุงแซ็คคำให้อย่างพอใจ หนำซ้ำแกยังทิ้งพันธุ์ผักไว้ให้อีกหลายชนิด ชายหนุ่มหยุดดูได้ไม่กี่นาทีก็แปลกใจ คล้ายได้ยินเสียงฝีเท้าของใครเดินอยู่ห่าง ๆ

หันมองออกไปยังธารน้ำไหล ไม่มีใคร คราวแรกนึกว่าเชนเดินตามออกมาเสียอีก แวนกัสส่ายหน้าให้กับความบ้าตัวเอง เดินไต่ไปตามโขดหินเล็กน้อยเพื่อสำรวจหาสิ่งที่น่าสนใจ ไม่นานก็เหลือบเห็นแสงอะไรวาววับที่ต้นไม้ต้นหนึ่ง ในตอนแรกชายหนุ่มนึกว่าเป็นใยของแมงมุม ลองพิศดูแล้วดึงมันออกมาจับ น่าแปลกที่เส้นใยนี่แข็งแรงเหมือนผม ทว่ามันสีเงิน เงาวับ บางมุมก็เหมือนจะเลือนหายไปในอากาศได้

“แปลกแฮะ” และก็น่าสนใจอยู่ในที

ชายหนุ่มแกะมันเอามาม้วนกันเป็นระเบียบแล้วยัดใส่กระเป๋าเสื้อ ขณะกำลังเดินหาเส้นอื่นก็รู้สึกว่าขนที่ท้ายทอยกำลังลุกขึ้นชัน เหมือนมีอะไรมาหายใจรดต้นคอของเขา แวนกัสหันขวับมองรายรอบตัว ได้แต่แปลกใจที่สัมได้ว่าถูกจับตามอง ทว่ารายรอบกลับว่างเปล่า

ชายหนุ่มส่ายหน้าสะบัดความรู้สึกนั้นออกไป แล้วมุ่นคิ้วพลัน รู้สึกมีกลิ่นสาบของสัตว์ชนิดหนึ่งบริเวณแถวนี้ลอยเข้าจมูก คิดแล้วก็ถอยกลับเข้าไปในบ้าน อ้อมเดินที่ด้านหลัง แอบมองจากหน้าต่างเห็นเชนกำลังเปิดหาอะไรในครัวไปเรื่อย ขณะที่อีกฝ่ายกำลังปิดประตูตู้ ชายหนุ่มก็แกล้ง “แฮ่!”

“ว้ากกกกก!” เชนหงายท้องเงิบก้นจ้ำเบ้าที่พื้น กุมอกตัวเองเสียหน้าซีดเผือด

“ฮ่า ๆ ๆ”

“กัส! เล่นอะไรของนาย ตกใจหมด”

“ดูนายสิ หน้าซีดไปหมดแล้ว” ชายหนุ่มชี้นิ้วล้อ

“ฉันไม่สนุกด้วยนะ”

“แต่ฉันสนุกนี่”

“กัส...” เชนทำเสียงอ้ำอึ้ง ทั้งที่เมื่อครู่ทำท่าจะโกรธชายหนุ่ม แวนกัสทำเป็นกอดอกรู้ทันว่าเพื่อนรักกำลังจะแกล้งเอาคืนเขาบ้าง อีกฝ่ายชี้นิ้วไปทางด้านหลังให้แวนกัสหันไปมอง ดวงตาของเชนสั่นระริกเหมือนกำลังเจอของน่ากลัว แม้คนทางนี้ไม่เชื่อ

แต่แล้วความรู้สึกเหมือนขนหัวลุกก็พรูเข้ามาอีกครั้ง แวนกัสละรอยยิ้ม เอี้ยวตัวหันไปมองด้านหลัง เจอะเข้ากับร่างหนึ่งที่ยืนอยู่ “เหวอ!”

ชายหนุ่มผวาตัวติดกำแพงบ้าน แล้วพลันเสียงหัวเราะของเชนก็ดังขึ้นอย่างพออกพอใจ “ฉันบอกแล้ว!”

“ลุงแช็ค มาทำไมครับ ผมตกใจหมด”

แกยิ้มแห้งให้ “มีญ่าให้ผมตามมาดูว่าคุณยังโอเคไหม เห็นเดินมานานแล้ว”

“โธ่ คราวหลังเรียกผมก่อนสิครับ” แวนกัสหัวเราะ

“ไหนใครบอกไม่กลัวกันห๊า”

“เป็นนายไม่ตกใจรึไง ไปกันครับ” ท้ายประโยคแวนกัสบอกคนแก่ เดินตามคุณลุงอ้อมไปยังหน้าบ้าน แต่ตลอดเส้นทางเขาก็สอดส่ายสายตามองรอบกายอย่างระแวดระวัง อาจเป็นเพราะบรรยากาศมืดครึ้มจึงทำให้ทุกอย่างสงบเงียบลงไปผิดหูผิดตา ต่างจากช่วงหน้าร้อนที่เขาเคยแวะมาดูก่อนหน้า มันสว่างสดใส แสงแดดสาดไปได้ทั่วทุกพื้นที่

เขามีรถจักรยานสำหรับปั่นออกไปข้างนอก ไฟที่นี่ต่อมาใช้ได้เพียงเล็กน้อย นอกนั้นชายหนุ่มก็ใช้จากเครื่องปั่นไฟที่มีอยู่ก่อนหน้า ส่วนรถยนต์เขาไม่ค่อยได้ขับนัก จะใช้วิธีปั่นจักรยานไปยืมป้ามีญ่า หรือไม่ก็แค่ฝากซื้อของจากในเมืองมาให้เท่านั้นเอง

แวนกัสเป็นหนุ่มวัยยี่สิบหก ผมสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ รักการใช้ชีวิตสันโดษมากกว่าพบปะผู้คุณ

หลังแล้วเสร็จมือค่ำชายหนุ่มก็ปิดล็อกประตู กะว่าจะผลัดผ้าอาบน้ำ ส่วนเชนก็นอนเกลือกกลิ้งเล่นเกมที่พกติดตัวมาอยู่อีกฝั่ง ภายในบ้านมีห้องโถง ห้องส่วนตัวห้องเดียว ห้องน้ำและห้องครัว อุปกรณ์จิปาถะก็เหมือนบ้านอื่นทั่วไปไม่ได้หรูหราอะไรมากมายนัก

ขณะเข้ามาด้านในห้อง ชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงเปาะแปะเหมือนฝนตกทว่าไม่ใช่ มองออกไปพบกับความมืดด้านนอกแล้วชายหนุ่มก็สะบัดหน้า ตั้งใจปลดกระดุมเสื้อเพื่ออาบน้ำล้างตัว มือเรียวสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างอยู่ในกระเป๋า ล้วงออกมาเป็นเส้นใยที่เขาเพิ่งเจอเมื่อตอนบ่าย แวนกัสหมุนตัวไปทรุดอยู่หน้ากระจก ทำความสะอาดให้มันเงาวับเหมือนใหม่ ก่อนจัดเรียงให้มันเป็นเส้นแล้วถักเป็นเปีย ร้อยลูกปัดและด้าย ก่อนจะลองสวมใส่ที่ข้อมือ

มันสวยประหลาด

ชายหนุ่มยกยิ้ม พิศมองของในมือแล้วถอดมันวางไว้ที่หน้ากระจก ก่อนจะละเลียดถอดเสื้อผ้าอย่างไม่เกรงกลัวว่าจะมีใครเห็น เขาอาศัยอยู่ในป่า ไม่คิดว่าจะมีใครมาลอบมองคนเปลื้องผ้าในห้อง

ครั้นเรือนร่างของแวนกัสไร้อาภรณ์แล้ว ชายหนุ่มก็อ้อยอิ่งไปหยิบยกเสื้อคลุมมาสวมทับ เดินเข้าไปในห้องน้ำ หารู้ไม่ว่าทุกอิริยาบถของตัวเองอยู่ในสายตาอะไรบางอย่างในความมืด มันลอบกลืนน้ำลายมองตาม

ถูกแล้วที่ว่าไม่มีคนอยู่แถวนี้

เพราะแถวนี้น่ะ เป็นถิ่นของสิ่งที่ไม่ใช่คนอย่างไรเล่า

มันค้อมหัวลงดอมดมตามกลิ่น เดินวนอยู่รอบบ้านไปเจอรูน้อยนิดของห้องน้ำ ปรากฏภาพร่างมนุษย์น้อยกำลังถอดผ้าออกจากกาย ไร้อาภรณ์ปกปิดกั้นจินตนาการของมันแล้ว มันก็ตั้งอกตั้งใจดูว่าอีกฝ่ายทำอะไรบ้างอยู่ในนั้นอย่างไม่วางตา...



-------------------------------------------------------

#ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง

เปิดมาอีผีมาแอบมองน้องอาบน้ำแบบอีหยังวะมาก ว่าจะเขียนออกมาแบบลึกลับ ทำไมมันมาจบตรงนี้ได้ก็งงเหมือนกันค่ะ เอาเป็นว่ายังไม่อยากบรรยายเรื่องรูปร่างหน้าตาพระเอกมาก รู้แค่นางเป็นยักษ์ เป็นภูต แล้วให้มาลุ้นเรื่องหน้าตาของอีพี่พร้อมกับนายเอกเลยแล้วกัน

เรื่องนี้เขียนทรีตเม้นแล้ว ถึงตอนจบแล้ว ขอเล่าเป็นพาร์ทปัจจุบันกับอดีตสลับกันนะคะ ปัจจุบันคือพาร์ทของเด็กทั้งสี่ค่ะ แล้วเรื่องมันจะมาจรดกันทีหลังช่วงท้าย น้องทั้งสี่มีความสำคัญเป็นอย่างมากนะคะ ห้ามข้าม ห้ามสคิป เพราะคุณจะคุยกับเขาไม่รู้เรื่อง อิอิ

เจอกันตอนหน้าค่าาาา

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa



#ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง

ตอนที่ ๒

กลิ่นมื้อเช้าลอยอบอวลปลุกเด็กหนุ่มทั้งหลายให้สมควรตื่นได้แล้ว หากทว่าก็ยังสายอีกตามเคย แวนกัสตะโกนเรียกเจ้าแสนดื้อให้ตื่นเป็นรอบเท่าไรไม่อาจนับ ชายหนุ่มทอดถอนใจ วางข้าวของในมือแล้วถอดผ้ากันเปื้อน เดินขึ้นบันไดไปชั้นบนด้วยความไม่ได้ดังใจ “สาว ๆ ตื่นกันได้แล้ว ถ้าไม่ออกมาพ่อจะเอาข้าวไปเททิ้ง”

ชายหนุ่มกอดอก ทั้งใจจะหมุนลูกบิดเข้าไปด้านใน หากทว่ามันถูกเปิดจากคนเพิ่งตื่นเสียก่อน แวนกัสมุ่นคิ้วนึกว่าลูกชายกำลังหลับ ที่ไหนได้ทุกคนกำลังเหงื่อแตกมองมาทางเขาด้วยแววพิรุธ เหมือนกำลังลักลอบทำอะไร ชายหนุ่มหรี่ตามองกวาดไปรอบห้อง หาอะไรที่พอจะเป็นมูลข่าวได้ทว่าไม่มี

“ทำอะไรกัน ตื่นแล้วทำไมไม่ลงไปข้างล่าง”

“เดี๋ยวเราลงไปฮะ” วิลรีบตอบ

ชายหนุ่มกวาดมองรอบห้องอยู่ครู่เดียว “ทำความสะอาดกันบ้างนะ”

“ได้ครับเดี๋ยวกลับมาเราจะทำ”

“แล้วเอาผ้าใส่ตะกร้ามาให้พ่อซัก”

“พวกเราทำเองได้แล้วฮะ” ไวน์รีบตอบเสียงสดใส

คนเป็นพ่อหรี่ตา “ไม่ต้องเกรงใจพ่อ พ่อรู้ว่าพวกลูกโตเป็นหนุ่มกันหมดแล้ว มันอาจจะมีคราบ...”

“โธ่! ปะป๊า” ทุกคนเริ่มโวยวาย

“งั้น พวกลูกทำอะไรกันอยู่ รู้ไหมว่าแบบนี้มันแปลก” แวนกัสชะเง้อคอมองเข้าไป แล้วเห็นคนที่ดูท่าจะผิดปกติที่สุดคือเคลที่นั่งซ่อนอยู่ด้านหลัง ปกติเจ้าตัวจะมั่นใจเรื่องใบหน้ารูปหล่อของตัวเอง เหตุใดคราวนี้สวมทั้งหมวกและฮู้ดดี้ทับปกปิด แวนกัสอยากจะถาม แต่ครั้นลงมาก็คงได้เห็นกันอยู่ดี จึงปัดความคิดทิ้งไป “งั้นตามลงไปกินมื้อเช้าได้แล้ว เดี๋ยวรถจะมารับซะก่อน”

“เอ่อคือ...” ไวน์รั้งบิดา เรียกให้ผู้อายุมากที่สุดเอี้ยวตัวกลับไปเลิกคิ้ว ใจจริงก็อยากรู้ แต่ไม่อยากซักไซ้ให้เด็ก ๆ รู้สึกอึดอัดมากเกินไป ทุกคนกำลังไม่สบายใจ แต่แล้วเป็นเคลที่รีบส่ายหน้าไม่ยอม “ไม่มีอะไรครับ ปะป๊าลงไปทำธุระต่อเถอะ เดี๋ยวเราตามลงไป”

“พวกลูกมีอะไรบอกพ่อได้นะ”

“ฮะ ไม่มีปัญหา ได้ทุกเมื่อฮะ”

“นายเงียบน่า!” วิลตัดบทน้องชาย “เราขอเวลาอีกนิดเดียวนะครับ”

“ได้สิ เอาเลย” แวนกัสพยักหน้าให้เด็ก ๆ แล้วปิดประตูลง ชายหนุ่มดอกอกอย่างนึกเป็นห่วงอยู่หน้าประตูพักใหญ่ ใคร่ครวญว่าจะแอบเงี่ยหูฟังดีหรือไม่ แต่แล้วความเป็นพ่อของเขามันมีเอ่อล้นจนไม่อาจทนเมินเฉยไปได้ ชายหนุ่มแอบกระเถิบเข้าไปแนบใบหูกับบานประตู ครู่เดียวก็ได้ยินแล้วว่าทั้งสี่กำลังคุยอะไรกัน

“จะทำยังไงเคล มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไง”

“ฉันก็ไม่รู้ ตื่นมามันก็เป็นแบบนี้เลย” เคลตอบเหล่าพี่

“แล้วฉันจะเป็นเหมือนนายรึเปล่า”

“ก็ฉันบอกว่าไม่รู้ไง”

“ทำไมจู่ ๆ นายถึงเป็นแบบนี้ขึ้นมา ทั้งที่ก่อนหน้านี้เราก็ปกตินี่”

“ก็บอกว่าไม่รู้ไงวะ!”

“เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งตีกัน เราจะรับหน้ากับปะป๊าเรื่องเคลยังไงก่อน”

“เอาอย่างนี้...” เป็นเสียงของไวน์แสนซน จากนั้น เสียงของทุกคนก็เงียบลงไปราวกับกำลังกระซิบกระซาบ แวนกัสกอดอกด้วยความใคร่ทราบว่าภายในเกิดอะไรขึ้น อยากจะเร่งเคาะเรียกให้ออกมา หากทว่าเขาไม่อยากเป็นพ่อที่เอาแต่ใจ ชายหนุ่มเดินลงไปด้านล่าง จัดเตรียมมื้อเช้าให้เด็กจอมดื้อทั้งสี่ด้วยท่าทีดังเดิม ครู่เดียวก็ปรากฏเสียงฝีเท้าเดินตามกันลงมาแล้ว

เป็นไคล์ ไวน์ และวิล ที่เดินมาวางกระเป๋าเป้ลงบนโต๊ะตั้งใจทานมื้อเช้า “อรุณสวัสดิ์ฮะ”

“เคลไม่ลงมาเหรอ” แวนกัสถามทั้งสาม

“เคลบอกว่าไม่สบาย เพราะว่าแอบไปเล่นน้ำเมื่อวานครับ” วิลผู้พี่ตอบ

“ทำไมลูกไม่หายาให้น้องกินด้วยล่ะ”

“เคลกินแล้วครับ แล้วบอกว่าขอนอนพักซักวัน อีกสักพักฝากปะป๊าเอายาขึ้นไปให้เขาด้วยนะ”

“ได้สิ แล้วพ่อจะแวะมาดูอาการตอนเที่ยงด้วย” ชายหนุ่มบอก

ทุกคนพยักหน้ารับโดยไม่มีพิรุธอันใดนัก หรือเขาจะมองลูกชายเป็นตัวร้ายแสนซนเกินไปหนอ ใครต่างก็บอกว่าวัยนี้เป็นวัยต่อต้าน แวนกัสครุ่นคิด มองขึ้นไปยังชั้นบนอันเป็นที่อยู่ของอีกคนอย่างพะวงถึง แล้วเตรียมมื้อเที่ยงวางไว้ให้เจ้าคนป่วยด้วย กว่าจะเสร็จภารกิจยามเช้าแสนวุ่นวายก็ถึงเวลาทำงานแล้ว หากทว่าเพราะท่าทางผิดแปลกของเหล่าลูกชาย ทำให้แวนกัสไม่วางใจ

“พวกลูกอยากให้พ่อไปส่งไหม”

“ได้สิ ได้เลยฮะ” วิลรีบตอบ แล้วพยักเพยิดหน้าให้คนอื่นเออออด้วย หมายความว่าต้องการให้เขาออกจากบ้านอย่างเร็วที่สุดสินะ แวนกัสปัดความระแวงของตัวเองแล้วเดินนำมายังรถยนต์ที่นาน ๆ จะขับเอง บังคับมาจอดอยู่ริมถนนหน้าบ้าน เรียกสามแสบให้ขึ้นมา “ไปเถอะ ถ้าห่วงเคลเดี๋ยวพ่อกลับมาดูอาการให้ พวกลูกจะสาย”

“ครับ” ลูกชายของแวนกัสไม่ใช่เด็กเกเรเอาแต่ใจ แต่ค่อนไปทางรักอิสระ ไม่รู้เอานิสัยหัวขี้เลื่อยมาจากใคร ไม่เคยคิดอยากจะเรียนหนังสือ สิ่งที่เด็กหนุ่มทั้งสี่สนใจคือเรื่องเดียวกัน นั่นก็คือป่า และมันเป็นสิ่งสุดท้ายที่แวนกัสอยากให้เด็ก ๆ เข้าใกล้

แต่ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ นับวันการหลบหนีเขาเข้าไปเที่ยวป่ายิ่งถี่ขึ้น ขอแค่ได้เข้าไปดูชม ได้ไปมองเพียงไม่กี่นาทีทุกคนก็เหมือนถูกต่อชีวิตกลับมา กลายเป็นสดใส ดูมีชีวิตชีวาไม่เศร้าหมอง แวนกัสไม่เข้าใจเลยว่าที่นั่นมีอะไรดี

หลังกลับจากป่าเมื่อวานทำให้เคลมีอาการผิดปกติไปจากเมื่อก่อน แวนกัสไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แล้วเหตุใดเด็ก ๆ ถึงได้ตั้งใจช่วยกันปกปิดเขาด้วย ช่วงเวลาพักเบรกแรกของการเริ่มงาน เขาตัดสินใจขับรถกลับมาที่บ้านเพราะห่วงลูกชายคนเล็ก เกรงว่าไข้จะขึ้นสูง เพราะตั้งแต่เช้าชายหนุ่มยังไม่ได้ดูแลเคลเลย

มือเรียวปลดกุญแจบ้านแล้วหยุดอยู่ที่ห้องครัว มีร่องรอยการทานอาหาร ผู้เป็นพ่อยกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าลูกชายทานจนหมด สงสัยอาการป่วยคงทุเลาไปมากโขแล้ว ถึงได้เจริญอาหารเช่นนี้ หรือไม่อีกฝ่ายก็กำลังแสร้งป่วยการเมืองอยู่เป็นแน่ เห็นดังนั้นจึงมุ่งหน้าขึ้นไปยังชั้นบน จะเปิดประตูเข้าไปว่าไม่สามารถทำได้

“เคล เปิดประตูให้พ่อหน่อย” ชายหนุ่มเคาะเรียก

“มีอะไรฮะ”

“เปล่า พ่อแค่อยากรู้ว่าลูกสบายดีไหม”

“ผมสบายดี”

“สบายดีก็ออกมาหน่อยสิ เปิดประตูหน่อย” แวนกัสนิ่งฟังอย่างต้องการทราบว่าคนข้างในจะตอบอย่างไร เคลเงียบไปพักหนึ่งเท่านั้น ก่อนที่เจ้าตัวจะตัดสินใจเดินมาเปิดประตูแง้มออก ทั้งที่คราวแรกแวนกัสคิดว่าอย่างไรลูกชายก็ไม่ยอมเปิด เคลเป็นเด็กดีกว่าที่ชายหนุ่มคิด “ผมโอเคครับปะป๊า ไม่ต้องห่วง”

“โล่งอกไปที” แวนกัสยกยิ้มให้ มองท่าทางแสนเศร้าแล้วก็นึกเป็นห่วง ไหนจะการสวมฮู้ดและหมวกทับกันนี่อีก “ทำไมลูกอยู่มืด ๆ แบบนั้นล่ะ ไม่เปิดผ้าม่านหรือไฟสักหน่อย ไหนพ่อขอดูหน่อยว่าลูกเป็นยังไงบ้าง”

“มะ...” ลูกชายเบี่ยงหน้าหลบ สร้างความแปลกใจขึ้นมา

“เคล ลูกเป็นอะไร” แวนกัสนึกแปลกใจ

คนถูกถามก้มหน้าก้มตาไม่เงยขึ้นสบ “เปล่าครับ”

“ไหนพ่อขอดู เผื่อพ่อช่วยได้ ไปหาหมอกันไหม”

“หมอช่วยอะไรไม่ได้ฮะ!” เคลปัดมือแวนกัสออกไม่ยินยอม

“ทำไม เกิดอะไรขึ้นกับลูกบอกพ่อหน่อย พ่อรับฟังได้นะ”

“ไม่ อย่าแตะผม!” เคลเสียงดังต่อต้าน แต่เพราะรู้แล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเด็กน้อย ทำให้แวนกัสร้อนใจขึ้นมา ไม่อาจเมินเฉยได้ ชายหนุ่มพยายามจะเปิดหมวกของเคล ในขณะที่เด็กหนุ่มพยายามยื้อไว้ ทั้งสองเยื้อแย่งกันอยู่หน้าประตู ท้ายที่สุดสิ่งที่ถูกปกปิดก็เผยออกมาให้ชายหนุ่มเห็น แวนกัสเบิกตา ยกมือสั่นกุมปิดที่ริมฝีปากของตัวเองอย่างไม่อยากเชื่อ “เคล...”

“อย่ามอง!”

“เคล ลูก...”

“ห้ามมองผม อย่ามอง...” ลูกชายร้องไห้ แม้ในความมืดก็รู้ว่าบิดาเห็นตัวเองอย่างเต็มตาแล้ว ลำขายาวพาตัวเองเดินไปยังหน้าต่างบ้าน คว้าฉับเอาที่ผ้าม่าน แหวกมันออกเสียทีเดียวจนคนเป็นพ่อแสบตา “เคล เคล!”

เขาอยู่ที่นี่กับพ่อบุญธรรมไม่ได้แล้ว

พ่อเก็บตัวประหลาดมาเลี้ยง เก็บลูกของตัวอะไรก็ไม่รู้กลับมา เคลยกหลังมือเช็ดน้ำตาตัวเองอย่างไร้หนทาง รังเกียจความผิดแปลกของตัวเอง และคิดว่าความแตกต่างที่มีอาจทำให้พ่อบุญธรรมนึกเกลียดกลัว เกลียดในความที่เด็กหนุ่มไม่เหมือนคนอื่น

พ่อไม่รักเขาอีกต่อไปแล้ว

“เคล ลูกจะทำอะไร!”

เจ้าเด็กแสนดื้อของแวนกัสคนเดิมนั้นปีนขึ้นไปอยู่ที่ขอบหน้าต่าง แล้วกระโดดลงไปอย่างไม่กลัวขาเจ็บ แวนกัสตกใจวิ่งไปชะโงกดูด้วยความใคร่ทราบ น้ำตาเอ่อขึ้นมา ยังไม่ทันจะได้พูดคุยกันดี ก็เห็นร่างสูงโปร่งของลูกชายคนเล็กในชุดเสื้อฮู้ดสีเขียวและกางเกงยีนส์ขายาวสีอ่อนวิ่งตรงไปยังป่าเนินเขาข้างหน้า โดยไม่หันกลับมาเพียงสักครั้ง หัวใจคนเป็นพ่อเหมือนโดนมีดกรีด

“เดี๋ยวก่อน! เคล...”

ภาพสุดท้ายที่แวนกัสจำได้ คือดวงตาที่แดงก่ำ และเส้นผมสีเงินพราวระยับพลิ้วไหวตามแรงลม

เหมือนใครสักคนที่ยังอยู่ในความทรงจำเมื่อนานมาแล้ว

 

๑๖ ปีก่อน

เชนกลับไปแล้ว คราวนี้เป็นการเริ่มต้นใช้ชีวิตเพียงคนเดียวในป่าของแวนกัส ชายหนุ่มตั้งใจว่าวันนี้จะออกไปทำสวน แต่ครั้นแต่งตัวได้ครู่เดียวฝนก็พรำลงมา สิ่งที่ทำได้ก็เพียงยกหนังสือขึ้นมาอ่านฆ่าเวลาไปก่อน กว่าฝนจะซาก็ช่วงสาย ชายหนุ่มหยิบหาอะไรทานรองท้องไปก่อน ก่อนจะตัดสินใจถืออุปกรณ์ทำสวนออกไป

สวนกระจกอยู่หลังบ้าน ห่างกับลำธารเพียงเล็กน้อยเท่านั้น อ่านจากวิธีการปลูกพืชพันธุ์ก็เริ่มจัดการถางหญ้าปรับหน้าดินเสียก่อน ช่วงเวลาที่ง่วนอยู่กับงานก็ไม่ทันได้สังเกตว่าถูกจับตามอง กระทั่งถึงเวลาพัก แวนกัสรู้สึกเหมือนได้กลิ่นสัตว์ป่าอยู่แถวนี้ มันเป็นกลิ่นสาบที่ไม่รู้ว่ามาจากตัวของสัตว์ชนิดไหน

ร่างโปร่งทรุดตัวนั่งพัก หันขวับไปตามเสียงฝีเท้าบางอย่างอย่างรู้สึกไม่ชอบมาพากล เริ่มคิดขึ้นมาได้ว่าก่อนที่เพื่อนรักกลับนั้น เจ้าตัวได้เล่าอะไรให้ฟัง

‘ป้ามีญ่าบอกว่าในป่านี้มีบิ๊กฟุต’

‘อะไรนะ’ แวนกัสขำแทบสำลักน้ำชา

‘ฉันรู้ว่ามันฟังเหมือนเรื่องตลก แต่เธอบอกว่าที่นี่มีจริง ๆ’

แวนกัสยกยิ้ม กล่าวขณะยังคงสนใจหนังสือ ‘เธอเคยเห็นงั้นสิ’

‘นายเองอยู่คนเดียวก็ระวังตัวด้วย กลางคืนอย่าออกนอกบ้าน’ เชนจริงจัง

‘โธ่ นี่มันปีไหนแล้วนะเชน งั้นช่วยอธิบายมาซิว่ามันรูปร่างหน้าตายังไง ถ้าฉันเจอจะใช้ยาฆ่าแมลงฉีดให้’

‘ไม่เอาน่ากัส นายควรฟังฉันบ้าง’

‘นายนั่นแหละ เลิกพูดจาเหลวไหลสักที’

เพื่อนรักถอนใจ ‘นายไม่รู้เหรอ ในป่ามันเป็นที่ของปิศาจ นายอย่าท้าทายมันสิ เกิดมันมาหักคอนายเข้าจะทำไง’

คนคิดถอนหายใจแล้วสะบัดหน้าไล่ความคิดเหลวไหลออกไป เรื่องพรรค์นั้นจะไปมีได้ยังไงกันเล่า แวนกัสลุกขึ้นหันไปขนข้าวของ ตัดสินใจเดินกลับเข้าที่พัก ระหว่างทางก็เหลือบไปเห็นหน้าต่างห้องนอนของตัวเอง มันปิดสนิทดี แต่ที่ผิดแปลกไปก็คือผิวดินด้านนอกนั้นเละเทะ เหมือนเป็นร่องรอยของการถูกเหยียบย่ำอยู่บ่อยครั้งจนไม่รู้ว่าเป็นรอยเท้าของอะไร

แวนกัสก้มลงสำรวจอย่างไม่อาจเข้าใจ แต่แล้วก็ถึงบางอ้อ อาจเป็นลุงแซ็คที่มาช่วยดูแลซ่อมแซมให้เขาตั้งแต่เมื่อวานก็ได้ คิดแล้วชายหนุ่มก็หัวเราะเยาะตัวเองขึ้นมา เพราะเพียงแค่วันเดียวก็ทำเหมือนตัวเองอยู่มานานจนเป็นบ้าไปแล้ว

กลับเข้ามาในบ้านพักแล้วแวนกัสก็ถอดผ้ากันเปื้อน ถอดอาภรณ์ที่ปกปิดกายลงไปฟุบนอนบนเตียงอย่างสิ้นท่า พักเดียวเขาก็ลุกขึ้นนั่งอย่างคาใจ แล้วเดินไปยังหน้าต่างด้วยต้องการหาความกระจ่างให้ตัวเอง หากเป็นร่องรอยของลุงแซ็คจริง มันควรจะโดนฝนกลบไปตั้งแต่เมื่อเช้านี้แล้วนี่นา!

แวนกัสชะโงกหน้าออกไป แล้วรู้สึกขนลุกไปถึงท้ายทอย เมื่อเห็นว่าเป็นรอยใหม่ที่ยังไม่ผ่านการโดนน้ำฝนชะล้างออกไป มันคือรอยอะไร แล้วสิ่งใดเป็นคนทำ!

ไม่รู้เพราะอะไร แวนกัสนึกไม่พอใจขึ้นมา ชายหนุ่มมุ่ยหน้าแล้วปิดหน้าต่างลงฉับ ไม่ว่าจะเป็นคนหรือผีที่ทำเรื่องแบบนี้ ชายหนุ่มจะไม่ยอมให้อะไรมาทำให้ความต้องการของเขาต้องพังลง อย่างไรเสียเขาต้องอยู่ที่นี่อย่างสบายใจโดยไม่มีอะไรมาขัดขวาง

มือเรียวเปิดค้นหาหนังสือ อะไรที่จะไล่สิ่งเหนือธรรมชาติออกจากบริเวณนี้ได้ชายหนุ่มก็ลองทำไปก่อน อย่างน้อยก็เพื่อความสบายใจ และอย่างน้อยมีต้องมีสักอย่างที่ป้องกันไอ้ ‘บางอย่าง’ ที่ว่านั่นได้

“โรยเกลือ น้ำผึ้ง กับหินกั้นอาณาเขต...” คนอ่านมุ่นคิ้ว มองออกไปนอกหน้าต่างแล้วตัดสินใจเดินเข้าครัว คว้าขนมบังมาคาบที่ปาก มือก็หยิบกระปุกเกลือมาถือ ก่อนจะเดินออกไปดูลาดเลาข้างนอก สีหน้าของเขาบอกได้เป็นอย่างดีว่ากำลังไม่สนุกเอาเสียเลย

“ไม่ว่าแกจะเป็นอะไร เอานี่ไปซะ” คนพูดโรยมันไปด้วยกล่าวกับตัวเองไปด้วย แล้วหันไปมองรอบกายที่ว่างเปล่าราวกับคนบ้า เพียงครู่เดียวก็รีบวิ่งกลับไปอยู่ด้านในบ้านราวกับรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างที่นั่นจริง ๆ ก่อนจะเงี่ยหูฟัง ตั้งใจรับรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองคิดมันมีจริงหรือไม่

หากทว่าว่างเปล่า

แวนกัสถอนหายใจ หรือเขาจะเหงาเกินไปหนอ ชายหนุ่มคิดแล้วเอนหลังพิงพนักโซฟาผิดหวัง

ผิดหวังงั้นหรือ เขาจะมาหวังว่าจะเจอตัวประหลาดอะไรในป่านี้กันเล่า แวนกัสมุ่นคิ้วแล้วเปลี่ยนจุดมุ่งหมายมาใช้ชีวิตของตัวเองอย่างที่ต้องการดังเดิม

โดยที่ไม่รู้เลยว่าท่าทีของตัวเองนั้น อยู่ในสายตาเจ้า ‘บางอย่าง’ นั่น อยู่ตลอดเวลา...

ค่ำมืดดึกดื่นแล้ว ร่างกายใหญ่ของมันก็ซุ่มมาหยุดอยู่ที่เดิมของเมื่อคืนอย่างเงียบเชียบ ในความมืดของจากทั้งด้านนอกด้านในกระท่อม มันมองเห็นได้อย่างสว่างไสวปกติ แสงจากพระจันทร์สาดเข้าไปในหน้าต่างที่ปิดผ้าม่านไม่มิดชิด เห็นคนพริ้มตาหลับใหลอย่างนึกน่าเอ็นดู นัยน์ตาสีแดงวาวของมันจับจ้องไปที่มือเล็กนั้น ที่บนข้อมือยังคงสวมสร้อยเส้นผมของมันอยู่ติดตัวตลอดเวลา

ยักษ์ร้ายเอียงคอ ก้มลงมองรอบกายเต็มไปด้วยผงสีขาวบางอย่าง นิ้วมันลากไล้ขูดไปตามขอบหน้าต่าง แลบลิ้นเลียหลังจากดมฟุดฟิด รสชาติเค็มทำให้เจ้าตัวยักษ์อย่างมันถึงกับหูตาสว่าง เป็นของที่มนุษย์บอกว่ายกให้มันแล้ว คิดได้มันก็ลากลิ้นเลียไปตามผงนั้น ก่อนจะเหลือบไปเห็นอาหารที่ตัวเองชอบอยู่อีกมุม ความสนใจต่อผงสีขาวตรงหน้าจึงถูกกลืนหายไป

มนุษย์น้อยนอนหลับสนิทได้น่ามอง ความงดงามราวถูกบรรจงสร้างนั้นทำเอาหัวใจมันสะท้านไปพักหนึ่ง นึกอยากสัมผัสดูว่าความรู้สึกที่ได้แตะต้องกายมนุษย์เป็นอย่างไร แต่มันทำไม่ได้ ทำได้แค่แอบมองอยู่ที่หน้าต่างอย่างนี้เท่านั้นเอง

มนุษย์จะรู้ว่ามันมีตัวตนไม่ได้เด็ดขาด...

ใบหน้าที่กำลังหลับพลิกหันมาทิศนี้ให้เห็นความสวยสดเต็มตา มันกลืนน้ำลายที่กำลังจะหกเต็มแก่ลงคอ ปัดผมเผ้ารุงรังของตัวเองออกเพื่อเพ่งมองให้ชัดแจ้ง ว่าคนหลับตรงหน้าน่าชิมเพียงไหน แม้หน้าต่างจะคั่นไว้ ทว่ากลิ่นหอมยังคงลอยมาปะทะจมูกอยู่เนือง ๆ เสียมันทนไม่ไหว เปิดบานหน้าต่างยกขึ้น แล้วเอื้อมไปลากนิ้วแตะที่พวงแก้มนั้นอย่างอ่อนแผ่ว

สัมผัสนุ่มหยุ่น และอุ่นร้อนเหมือนแสงแดด

มือมันชะงักกลัว แล้วทรุดลงนั่งกับพื้นดินตรงนั้นจ้องมองที่ปลายนิ้วของตัวเอง อยากชิมรสชาติ อยากสูดดมให้เต็มอิ่ม แต่ที่ทำได้ก็เพียงจ้องมองเท่านั้นเอง

ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น มันก็รู้ตัวว่าอยากกินมนุษย์น้อยเหลือเกิน...

อยากลิ้มลองจนทนไม่ไหวแล้ว

แวนกัสรู้สึกตัวอีกทีในเช้ามืด ชายหนุ่มแปลกใจที่คราวนี้ตัวเองเดินออกมาในป่าสภาพบนกายเปลือยเปล่าได้อย่างไร รอบกายมีหมอกบางเจือจาง ก้มลงมองที่เท้าไม่ได้สวมอะไรเลย ตรงหน้าเป็นลำธารที่กว้างขึ้น หรืออาจจะเป็นต้นน้ำ ในขณะที่ยังมึนเบลอไม่เข้าใจที่มาที่ไป ด้านหน้าก็ปรากฏร่างของผู้ชายตัวสูงคนหนึ่งในสภาพไม่ต่างกัน กำลังยืนนิ่งไร้สติอยู่

เกิดอะไรขึ้นกัน แวนกัสไม่อาจเข้าใจ

ชายหนุ่มเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้า กวาดพิศมองชายแปลกหน้าที่พบเจอด้วยความงุนงง อีกฝ่ายสูงพอ ๆ กัน ผมสีเงินวาววับกำลังพริ้มตาหลับสงบนิ่ง แต่แล้วที่ทำให้ชายหนุ่มตกใจ ก็คงจะเป็นที่อีกฝ่ายลืมตาขึ้นมาอย่างฉับพลันกระมัง แวนกัสสะดุ้งลุกขึ้นนั่ง หัวใจเต้นโครมครามแล้วรำลึกขึ้นมาได้ว่าตอนนี้อยู่บนเตียงนอน นั่นหมายความว่าเมื่อครู่คือความฝัน

เหตุใดถึงเหมือนจริงเช่นนี้เล่า

“บ้าจริง!” เพราะไอ้เรื่องแปลก ๆ เมื่อวานนั่น ทำให้เขาสติแตกจนเก็บเอามาฝันอย่างนี้

คิดแล้วชายหนุ่มก็หยิบเสื้อคลุมมาสวม หันรีหันขวางเดินไปยังหน้าต่างเพื่อเปิดดูว่าจะมีร่องรอยใหม่ขึ้นมาหรือไม่ ครั้นบานหน้าต่างถูกยกขึ้นไป แวนกัสก็ตกใจกับสิ่งที่เกาะอยู่ขอบหน้าต่าง “บ้าฉิบ!” มือเรียวปิดมันลงฉับอย่างนึกผวา เมื่อเหลือบไปเห็นแมงมุมตัวสีดำสองสามตัวนอนหงายแอ้งแม้งอยู่

ทำไมพวกมันมานอนอยู่ที่นี่ ตรงนี้กัน

แวนกัสมือสั่น ตัดสิ้นใจยกบานหน้าต่างขึ้นใหม่ แล้วควานหาอะไรมาเขี่ยให้มันตกลงไปให้หมดอย่างขนลุกขนพอง จะให้คิดว่ามีใครเอามาวางไว้ก็คงจะงมงายเกินไป บางทีแมงมุมพวกนี้อาจมาบังเอิญตายอยู่แถวนี้แล้วลมพัดมาก็เป็นได้

แวนกัสเองก็อยากจะคิดเช่นนั้น หากไม่เหลือบไปเห็นร่องรอยดินโคลนที่พื้น

และบริเวณขอบหน้าต่างของตัวเอง

“หรือจะมีอะไรอย่างที่ป้ามีญ่าพูดจริง ๆ”

แวนกัสทึ้งหัวตัวเองอารมณ์เสีย อยากจะร้องว้ากออกมาเสียรู้แล้วรู้รอด แต่สิ่งที่ชายหนุ่มเลือกทำกลับเป็นสิ่งตรงกันข้าม ขายาวก้าวฉับไปที่ครัวคว้ากระปุกน้ำผึ้งมาถือตั้งแต่ยังไม่ทันได้ล้างหน้าล้างตา เดินดุ่มออกไปยังด้านนอกด้วยอารมณ์ไม่ใคร่ดีนัก “ต้องการแบบนี้ใช่ไหม เดี๋ยวจัดให้”

ว่าแล้วก็จัดการเทราดลงไปเพื่อกั้นอาณาเขต ไม่รู้เป็นความเชื่อของประเทศไหน ก็แค่ได้ลองกันสักตั้ง ครั้นระบายความโมโหของตัวเองด้วยการเทน้ำผึ้งเล่นไปทั้งกระปุกแล้ว แวนกัสถึงคิดได้ ชายหนุ่มเดินกลับเข้ามาในบ้าน แล้วแปลกใจว่าใบหน้าของตัวเองนั้น เหตุใดถึงได้มีเศษดินโคลนติดอยู่ จะว่าตัวเองฉลาดก็ย่อมได้ มันไม่ได้เพิ่งติดมาตอนที่เขาเอาน้ำผึ้งไปเทแน่นอน

เพราะดินมันแห้งและเกาะแน่นเสียอย่างนี้

“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันวะ” ชายหนุ่มบ่นอย่างนึกปลง

แล้วไอ้ตัวที่ว่านั้นมันต้องการอะไร เหตุใดถึงได้คอยมาวนเวียนแถวหน้าต่างห้องนอนของชายหนุ่มด้วย แวนกัสครุ่นคิดอย่างไม่เข้าใจ และยิ่งไม่เข้าใจไปกว่าเดิม คือทุกค่ำคืนเขาจะฝันแปลกประหลาด ฝันว่าตัวเองเที่ยวเดินไปทั่วทั้งป่าด้วยสภาพเปล่าเปลือย กระทั่งไปเจอชายผมสีเงินผู้หนึ่งในที่ต่าง ๆ

ที่น่ากลัว คือชายที่ว่านั้น ก็เหมือนจะรู้ตัวว่าเขามักถูกสิ่งหนึ่งนำพาไปที่นั่นด้วย

แวนกัสพลิกตัวนอนตะแคงในเวลารุ่งเช้า หลังจากตื่น ดูเหมือนชีวิตประจำวันของชายหนุ่มจะต้องลุกขึ้นมาตรวจตราหน้าต่างของตัวเองอยู่ทุกครั้ง ลำขายาวลงแตะพื้น ห่างไม่ถึงหนึ่งเมตรก็เป็นหน้าต่าง มือบางเอื้อมยกเปิดขึ้น วันนี้เป็นหนอนตัวสีเขียวอวบอ้วนหลายตัวอยู่ในใบไม้รองอย่างดี เขาเริ่มจะชาชินกับสิ่งแปลก ๆ นี่แล้ว

“อะไรเนี่ย”

มันไม่เหมือนสิ่งที่สัตว์จะนำมาได้ ไม่ละเมียดละไมเท่าคน แต่ก็ไม่หยาบเหมือนสัตว์

แต่อย่างไรก็น่าขยะแขยงอยู่ดี

แวนกัสหยีหน้า หาอะไรยาว ๆ มาเขี่ยให้ของเหล่านี้ตกลงไปที่พื้นแล้วปิดหน้าต่างฉับลง แม้จะรู้สึกรังเกียจและนึกหวาดระแวง แต่นอกจากตื่นขึ้นมาแล้วเจอของพิลึกเหล่านี้ ดูเหมือนจะไม่มีสิ่งอื่นที่ก่อกวนใจแวนกัสเลย อีกไม่นานชายหนุ่มก็คงชาชินและไม่รู้สึกอะไรกับของที่อยู่ริมหน้าต่างเหล่านั้นแน่นอน และไม่นาน คาดว่าเขาจะกล้าตามหาต้นเหตุด้วย

นานวันเข้า แวนกัสเริ่มค้นชินกับเสียงนกเสียงไม้ เสียงฝนตกยิ่งทำให้ชายหนุ่มมีสมาธิทำงานขึ้นกว่าแต่ก่อน ชายหนุ่มกำลังตั้งใจวาดรูป อยากอยู่กับตัวเองและงานเท่านั้น

ย่ำบ่ายก็แดดออกทำให้โดยรอบสว่างและสวยขึ้น แวนกัสรู้สึกอยากสูดเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดเสียบ้าง ชายหนุ่มเดินออกจากที่พัก ตั้งใจจะลัดเลาะไปตามลำธารสู่ข้างบน ระหว่างที่ผ่านหน้าต่างห้องพักของตัวเองก็ชะงักเท้ามอง ลองชะโงกเข้าไปเขาก็เห็นเตียงนอนชัดเจน แม้จะปิดหน้าต่างและผ้าม่าน

ได้ยินเสียงฝีเท้ากระรอกไต่อยู่ข้างบน มันว่องไวไปยังต้นไม้แถบนี้ ชายหนุ่มคลี่ยิ้มแล้วหมุนตัวเดินไปยังลำธาร น้ำที่ไหลเอื่อยใสแจ๋วน่าเล่น แต่อากาศก็ยังคงเย็นเกินไปสำหรับการเดินในน้ำ ชายหนุ่มจึงตัดสินใจเดินไต่เข้าไปในป่าแทนการลงน้ำ แต่น่าแปลก เมื่อเดินขึ้นมาเขากลับไม่รู้สึกหวิวใจอะไรนัก นอกเสียจากรู้สึกราวกับมาที่นี่เป็นร้อยรอบแล้ว

ลำขายาวหยุดอยู่ที่กอดอกไม้ป่าริมลำธาร ช่วงหน้าฝนดอกของมันบานสะพรั่งเป็นพวง นิ้วเรียวยาวแตะสีสวยสดอยู่เพียงครู่เดียว หยดน้ำที่เกาะก็หลุ่นตุบลงที่หลังมือให้ชุ่มฉ่ำ แวนกัสยกยิ้ม เด็ดยอดน้อย ๆ มาสอดที่ใบหูของตัวเองแล้วเดินเข้าไปอีกนิดเพื่อดูชมธรรมชาติแถวบ้าน

ข้างบนร่มรื่นน่ามานั่งเล่น วาดรูป หรือปิ๊กนิก ไม่ได้รกอย่างที่ชายหนุ่มคิดไว้เลย อาจเป็นเพราะมีก้อนหินเล็กใหญ่เรียงรายรอบไว้ด้วย แวนกัสก้มลงมองน้ำที่เอื่อยไหล นึกตกใจที่จู่ ๆ ลมก็พัด ดอกไม้แสนสวยที่ทัดบนใบหูจึงปลิวตกลงไปในน้ำ ชายหนุ่มพยายามเอื้อมคว้าทว่าไม่ทันเสียแล้ว

มันไหลไปตามแรงน้ำ ครู่เดียวก็หนีมือแวนกัสไปไกล ชายหนุ่มได้แต่มองตามมันด้วยใจที่ห่อเหี่ยว

“โธ่ ดอกไม้ของฉัน”

เมื่อครู่ที่เอื้อมจะคว้า ตัวของเขาเองก็เกือบพลัดตกลงไปในน้ำด้วย

เพลิดเพลินอยู่ในป่าด้านบนครู่เดียวแวนกัสก็เดินเอื่อยเฉื่อยกลับมาบ้านพัก ทำอาหาร นั่งทานข้าวและอาบน้ำ ชีวิตประจำวันของเขาไร้สีสันหากทว่าเต็มไปด้วยความสงบสุขที่ชายหนุ่มต้องการ

แวนกัสก็อยากจะคิดเช่นนั้น หากคืนนี้เขาไม่บังเอิญรู้สึกตัวตื่นขึ้นมากลางดึก แล้วใคร่ครวญว่าลืมปิดผ้าม่านหน้าต่างห้องนอน ขณะที่นอนตะแคงหันหลังให้อยู่นั้น แม้ภายในจะมืดมิด ทว่าก็ยังมีแสงสลัวของพระจันทร์สาดให้เห็นทรงสี่เหลี่ยมของกระจก แล้วปรากฏเงาของสิ่งที่เดินเข้ามายืนอยู่บริเวณนั้น

แวนกัสนอนนิ่งหันหลัง พยายามหายใจให้เป็นปกติแม้หัวใจจะเต้นโครมคราม เขาเห็นร่างกายใหญ่ในเงามืด มันมีแขนขาเหมือนมนุษย์ สูงราวสามเมตร เรือนผมก็ยาวยุ่งเหยิง

มันไม่ได้ส่งเสียงอันใดให้เขาตื่นเพียงนิด แค่จ้องเขม็งมาทางทิศนี้ เป็นเวลาที่แวนกัสอยากจะเผชิญหน้ากับความกลัวของตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มไม่อาจทำได้ ปล่อยให้มันยืนอยู่ตรงนั้นด้วยความใคร่ทราบถึงสิ่งที่มันต้องการ เพราะทุกคืน เขาก็ตื่นขึ้นด้วยความปกติดีทุกอย่าง

เช้าแล้ว

“เหวอ!” แวนกัสสะดุ้งตื่นจากเตียง ไม่รู้ว่าหลับไปตอนไหน ชายหนุ่มก้มลงสำรวจที่ร่างกายของตัวเองก็พบว่ามันปกติดีทุกอย่าง เป็นอย่างทุกวัน ชายหนุ่มผุดวิ่งไปเปิดหน้าต่าง รู้สาเหตุแล้วว่าทำไมถึงได้มีสิ่งของแปลกปลอมมาวางไว้ เพราะตัวประหลาดใหญ่ยักษ์ตัวนี้เอง!

“อะไรวะเนี่ย...” แวนกัสเขาหัว

ทำไมวันนี้ไม่มีแมงมุมยักษ์ ไม่มีหนอน ไม่มีกิ้งก่า ไม่มีหัวเผือกหัวมัน

มีแต่ดอกไม้เล็ก ๆ วางทิ้งไว้เท่านั้น...

ชายหนุ่มนึกแปลกใจ หยิบมันขึ้นมาถือด้วยความไม่เข้าใจว่าของสิ่งนี้ เป็นเจ้าตัวน่าเกลียดนั่นนำมาวางไว้ให้ชายหนุ่มจริงน่ะหรือ ตากลมสีน้ำตาลเข้มชะเง้อมองออกไปด้านนอกอย่างงงวย ความหอมของดอกไม้ลอยลิ่วตามลมมาที่จมูกให้ได้กลิ่นอ่อนนุ่ม ดึงดูดให้อดที่จะเอาเข้ามาดอมดมใกล้กว่าเก่าไม่ได้

หอมจัง

อาจจะเป็นความหอมของสิ่งนี้กระมัง ที่ทำให้อารมณ์ของแวนกัสดีขึ้นมา จนกลายเป็นว่ากำลังยกยิ้ม และไม่รู้ตัวเลยสักนิด ว่ารอยยิ้มของตัวเองกำลังสะกดใจเจ้าของดอกไม้เล็ก ๆ ดอกนั้น ให้จับจ้องอยู่อย่างไม่อาจผละออกไปได้ มันมองแวนกัสอย่างไม่อาจปิดบังความต้องการมิด ก่อนจะเดินแยกออกไปอีกทาง เมื่อเห็นว่ามนุษย์น้อยกำลังพอใจในสิ่งที่มันนำมาให้

ระหว่างทาง มันเจอเข้ากับดอกไม้แสนสวย อดไม่ได้ที่จะลองก้มดอมดมดูบ้าง

มือใหญ่ตะปบปัดทิ้ง เจ้าดอกไม้นี่ หอมไม่ได้ครึ่งมนุษย์น้อยของมันสักนิด!







-------------------------------------------------------------

จงดูวิธีการจีบของพี่ยักษ์เป็นตัวอย่าง จีบแบบให้น้องหลอน จีบยังไงให้ได้ลูกสี่คน อิอิ

พี่ยักษ์เป็นประเภทชอบแบบคลั่งไคล้ ชอบแล้วคือวิญญาณตามติด ตามเฝ้าแทบตลอดเวลา

ส่วนเคล น้องเป็นอะไร จะเริ่มเฉลยมาเรื่อย ๆ แล้วทำไมพี่คนอื่นไม่เป็น น่าจะรู้กันนะคะ

 

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ sang som

  • เจ็บจิต!!
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-6
จีบได้น่ารักมาก555

ออฟไลน์ Funnycoco

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 252
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
น่าติดตามมากๆ  :katai2-1: อยากรู้แล้วว่าได้ลูกมาได้ไงตั้ง4คน :hao6:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
พี่ยักษ์สายเปย์(?) เอาของขวัญ(?)มาให้ทุกคืน ฮุฮุ ว่าแต่ตอนปัจจุบันนี่พี่หายไปไหนหนอ ส่วงเคลนั่นคือคนที่ทำสร้อยหายช่ะ รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
 :pig4: :pig4:สนุกวิธีจีบสุดยอด

ออฟไลน์ Ti0590

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 462
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa


#ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง

ตอนที่ ๓

เสียงฝีเท้าของผู้มาเยือนทำให้คนทางนี้อกสั่น รอบกายเป็นป่าหนาใบพอที่จะหลบซ่อนเรือนร่างจากบิดาที่วิ่งตามออกมาได้ เคลเช็ดน้ำตาของตัวเอง ลอบชะโงกมองออกไปเห็นร่างสูงโปร่งของผู้เป็นพ่อ ท่าทางของอีกฝ่ายแลดูเป็นห่วงเด็กหนุ่มยิ่งนัก หรือเขาจะคิดไปเองว่าท่านจะรังเกียจกันหนอ

“เคล ลูกอยู่แถวนี้ไหม!”

คนถูกขานชื่อตัวสั่น หลบอยู่หลังหินก้อนใหญ่ในพุ่มไม้ เหลือบมองตัวเองผ่านผืนน้ำที่สะท้อนแล้วทำได้เพียงปล่อยให้น้ำตาไหลอาบหน้า เขายังไม่กล้าพอที่จะให้แวนกัสเห็นสภาพไม่เหลือเค้าเดิมของตัวเองตอนนี้

“เคล เคล!”

ลูกชายของเขาอยู่ที่ไหนกัน แวนกัสรู้สึกเหมือนว่าเคลยังอยู่แถวนี้ ในป่าที่อีกฝ่ายคิดว่าจะรู้สึกปลอดภัย ผิดกันกับชายหนุ่มที่หวาดกลัวจนระหวาดระแวงเพียงเสียงลม เสียงใบไม้ปลิว หรือแม้กระทั่งเสียงลมหายใจของตัวเอง “ออกมาเถอะ เราคุยกันได้นะเคล พ่อขอโทษ”

ขอโทษทำไม...

เคลเช็ดใบหน้าแดงก่ำของตัวเอง มองออกไปเห็นใบหน้าซีดเผือดของอีกฝ่ายแล้วใจหาย

“เราน่าจะคุยกันก่อน ก่อนที่ลูกจะหนีออกมาแบบนี้”

จะคุยกันได้ยังไง ให้เด็กหนุ่มอธิบายอย่างนั้นหรือว่าตัวเองเป็นลูกของอสูรกายน่าเกลียดน่ากลัว เด็กหนุ่มคิดแล้วรู้สึกได้ถึงความเสียใจแล่นมาจุกอก อาจเป็นเพราะกลั้นเสียงสะอื้นของตัวเองไม่ไหว ทำให้มันเล็ดรอดออกไปจนคนที่ยืนอยู่อีกฝั่งของป่าได้ยิน ไม่นานเสียงฝีเท้าของบิดาก็ระรัวผ่านใบไม้ใบหญ้ามาทิศนี้

“เคล ลูกรัก!” แวนกัสชะงักเท้า มองความว่างเปล่าหลังพุ่มไม้และหินก้อนใหญ่เบื้องหน้าอย่างใจหวิว น้ำตาเขาไหล ชะเง้อออกไปหาด้วยสายตาวาดหวังแล้วทรุดตัวนั่ง พิงกับก้อนหินก้อนนั้นด้วยความปวดหนึบที่อก “ลูกควรรู้ ว่าตัวเป็นใคร มาจากไหน”

แวนกัสกุมใบหน้าของตัวเองร้องไห้ รู้ว่าในที่สุดมันก็สายเกินไปแล้ว เมื่อลูกมารู้เรื่องทีหลัง

แต่นี่ก็เป็นหนึ่งเรื่อง ที่เขาตั้งใจทำไปเพื่อปกป้องลูก ๆ ทั้งสิ้น

ภาพบิดากำลังนั่งร้องให้อยู่เหนือน้ำทำเอาคนหลบซ่อนน้ำตาไหล แม้ความเย็นจากรอบกายทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกดีขึ้นมาบ้างก็ตาม เคลแหงนมองขึ้นไปอย่างรู้สึกเศร้า เฝ้ามองบิดาที่กำลังร้องไห้อยู่ด้านบน กระทั่งอีกฝ่ายยอมล่าถอยออกไปเอง แต่ถึงอย่างนั้น เด็กหนุ่มก็ไม่อาจขึ้นไปบนผิวน้ำได้ ทำได้เพียงนั่งกอดเข่าตัวเองอยู่ในนั้นด้วยความรู้สึกผิดอยู่ในใจ

แบบนี้คงดีแล้วกระมัง

ตากลมโศกมองเหล่าปลาเวียนว่ายผ่าน ข้างบนได้ยินเสียงกระรอกวิ่งแล่น สายน้ำไหลผ่านไปครั้งแล้วครั้งเล่าจนเกิดเป็นมนต์ขับกล่อมให้คนเศร้าเผลอพริ้มตา ปล่อยให้ความเย็นชะล้างหัวใจและน้ำตาร้อนออกไปอย่างเชื่องช้า

แม้จะเหมือนผ่านไปเพียงชั่ววินาที เคลสะดุ้ง เมื่อถูกมือของใครกระชากดึงเด็กหนุ่มให้โผล่ขึ้นจากน้ำ คราแรกเข้าใจว่าเป็นบิดาบุญธรรมที่ตามหา แต่กลายเป็นไวน์ในชุดแจ็คเก็ตสีแดงที่คว้าดึงคอเสื้อเขาขึ้น เคลหอบหายใจ นึกแปลกที่ทุกคนทำหน้าตกใจเมื่อเห็นเขา “เคล ทำบ้าอะไรของนาย!”

“อะไร” เคลสำลักน้ำ

“นายทำอะไร รู้ไหมปะป๊าห่วงนายแค่ไหน” แม้จะกำลังดุ แต่พี่ชายรองอย่างไคล์กลับถอดเสื้อของตัวเองยื่นให้เด็กหนุ่ม เคลก้มลงมองมันครู่เดียว น้ำตาก็เอ่อขึ้นมาอย่างไม่อาจคุมได้

“ฉันกลัวปะป๊าเสียใจที่เห็นฉันเป็นแบบนี้” เด็กหนุ่มตอบพี่ ๆ

“นายอยู่ในน้ำตั้งแต่เมื่อไหร่” วิลถาม

“เมื่อกี้ แค่จะหลบปะป๊า แต่ว่ารู้สึกง่วงก็เลย...”

“อะไรนะ ในนอนในน้ำเหรอ ไม่กลัวตายรึไง!”

เคลก้มหน้า ถอดเสื้อเปียกมาสวมแจ็คเก็ตที่พี่ชายยกให้ “แค่แป๊บเดียวเอง”

“นายรู้ไหมนี่กี่โมงแล้ว”

เพราะสายตาพี่ ๆ ทำให้เด็กหนุ่มแปลกใจ “อะไร”

“นี่มันเลิกเรียนแล้ว นายนอนอยู่ในนั้นมาครึ่งวัน”

คนฟังส่ายหน้า “พูดเรื่องอะไร อย่ามาอำหน่อยเลย”

“ปะป๊ากลัวว่าเราจะโดดเรียน ก็เลยเดินตามหานายคนเดียว เพิ่งบอกเราเมื่อกี้นี้เอง” สีหน้าของทุกคนบอกเคลได้เป็นอย่างดีว่าไม่มีแววตลกเลยแม้แต่นิด เด็กหนุ่มหันกลับไปมองในน้ำแล้วรู้สึกเหมือนขนลุกวาบ ไม่อาจเข้าใจว่าตัวเองทำอย่างนั้นได้ยังไง รู้แต่ว่าอยู่ในนั้นแล้วเขาปลอดภัย เคลนิ่ง แล้วเดินไปทรุดนั่งกับโขดหินแถวนั้น กอดตัวเองให้ความหนาวคลายลง

“แล้วปะป๊าเป็นยังไงบ้าง”

พี่ชายถอนใจ “ปะป๊าเดินตามหานายทั้งวันอยู่คนเดียว ตอนนี้รู้สึกเหมือนจะไม่สบายแล้ว”

“ทำไมล่ะ”

“ลูกหายไปทั้งคน คิดว่าปะป๊าจะอยู่เฉย ๆ ได้งั้นเหรอเคล”

วิลจับบ่าน้องตัวเองแล้วทรุดลงนั่งข้าง สภาพของเคลตอนนี้ไม่เหมือนน้องชายคนเดิมที่ทั้งสามเคยเจอหน้าทุกวัน แต่อย่างไรแล้วเด็กคนนี้ก็ยังเป็นเคล คนอ่อนไหว เจ้าน้ำตา เด็กหนุ่มมองน้องชายอีกสองคน กล่าวผ่านความเศร้าเพื่อเกลี้ยกล่อมแทนไวน์กับไคล์ว่า “นายกลับไปหาปะป๊าแล้วให้เขาช่วย ดีกว่าหนีออกมาดีกว่าไหม นี่จะสอบแล้วด้วย นายต้องกลับไปนะ”

“ฉันไม่เหมือนเดิมแล้ว นายคิดว่าทุกคนจะยอมรับฉันได้เหรอ”

ไคล์จับมือน้องชาย “อย่างน้อยก็มีพวกเรากับปะป๊าที่รับนายได้ นายเป็นน้องเรา แล้วก็เป็นลูกของปะป๊า”

“ไม่ใช่ ฉันไม่ใช่ลูกของเขา นายคิดว่าเขาจะยอมรับฉันได้จริง ๆ เหรอ” เคลก้มหน้า น้ำตาหยดลง “แล้วฉันก็อาจจะไม่ใช่น้องของพวกนายแล้วก็ได้ พวกนายเป็นมนุษย์ ส่วนฉันน่ะเป็นปิศาจ ไม่เห็นเหรอว่าตอนนี้ฉันเหมือนน้องของพวกนายหรือไง แหกตาดูซะบ้างสิ ฉันเหมือนคนรึไง”

“นายพูดบ้าอะไรของนาย พวกเราเป็นแฝดนะ ถ้านายเป็นปิศาจ เราเองก็ต้องออกมาจากท้องปิศาจเหมือนกัน”

“แต่! ยังไงซะพวกนายก็ดูเหมือนมนุษย์กว่าฉันนี่นา พวกนายไม่เป็นเหมือนฉัน พวกนายไม่เข้าใจ!” เคลร้องไห้ขึ้นมาเสียงดังกว่าเก่า ให้ทั้งสามอดที่จะหันมองกันด้วยความเป็นห่วงไม่ได้ รู้ดีว่าความเศร้าและเสียใจที่เป็นอยู่ตอนนี้เพราะเจ้าตัวกลัวที่จะโดนทุกคนเกลียดในความต่าง ทั้งสามเดินเข้ามาที่เคล สิ่งที่จะปลอบใจกันได้ก็เพียงอ้อมกอดที่มอบให้กันในความเงียบและเสียงร้องไห้เท่านั้น

ยังไงเสีย เคลก็คือน้องที่เกิดมาพร้อมกัน ต่อให้เป็นตัวอะไรพวกเขาก็ยังรัก

“ไม่เห็นต่างตรงไหน นายเหมือนเราอย่างกับแฝด”

คนอื่นหลุดหัวเราะทั้งน้ำตา “ก็แฝดนี่หว่า!”

เสียงฝีเท้าของเหล่าลูกชายทำเอาแวนกัสที่กำลังปวดหัวต้องผุดลุกขึ้นยืน ชายหนุ่มจ้ำอ้าวไปยังประตูหน้าบ้านด้วยความเร่งรีบ เห็นเพียงทั้งสามยืนอยู่เท่านั้น ไร้ร่างของเคลอย่างที่คาดหวัง “พวกลูกหาน้องเจอไหม ทำไมไม่พาน้องกลับมาด้วยล่ะ นี่มันจะค่ำแล้วนะ”

หน้าของบิดาพวกเขาซีดเซียวลง เมื่อไม่เห็นเคล

มันทำให้ทั้งสามไม่อาจปกปิดความจริงได้ “เคลขอเวลาอยู่คนเดียวก่อนครับ”

“ทำไม บอกเขาไหมว่าพ่อรออยู่”

“เขากลัวปะป๊าจะรับเขาไม่ได้ เขาไม่อยากหายไปแบบนี้หรอกฮะ” ไคล์ถอนใจแล้วกอดอก เห็นบิดาเดินมาหยุดดูแล้วก็ยกยิ้มขึ้น เมื่อท่านเห็นอะไรบางอย่างผิดแปลกไป รู้ตัวแล้วคนถูกมองก็ทำตัวไม่ถูกขึ้นมาเสียอย่างนั้น “อะไรฮะ”

แวนกัสยกยิ้มขึ้นทั้งที่ยังเศร้า “ลูกยกเสื้อตัวโปรดให้น้องใส่เหรอ ถ้าเกิดเคลทำสกปรกขึ้นมาจะไม่โกรธน้องใช่ไหม”

ไคล์หลบตา “รู้ได้ยังไงฮะ”

“ก็เมื่อเช้าลูกยังใส่ไปเรียนเลยนี่นา ถ้าไม่ได้ให้น้องแล้วเอาไปไว้ไหนซะล่ะ”

“เอ่อ ผม...” ไคล์หลบตาเหล่าพี่ ๆ แล้วยอมตอบแต่โดยดี “ผมกลัวเคลจะหนาวก็เท่านั้นเอง”

คนฟังกอดยกแล้วยกยิ้มขึ้นมาทั้งน้ำตา พาร่างสูงโปร่งของตัวเองเดินไปทรุดนั่งที่โซฟาอย่างนึกโล่งใจ และยังคงเสียใจอยู่ในที เหมือนคนใกล้จะบ้าเต็มแก่ “พ่อดีใจที่เห็นลูกรักกันนะไคล์ ลูกเป็นพี่เคลแค่สามนาที แต่ก็ทำหน้าที่ของพี่คนหนึ่งได้ดีมากจนน่าตกใจ อาจเป็นเพราะเกิดมาไล่เลี่ยกัน ก็เลยผูกพันกันเป็นพิเศษละมั้งนะ”

คนฟังทั้งหมดแปลกใจ เป็นวิลที่เอ่ยขึ้นมาแทรก “ผมนึกว่าปะป๊ากุเรื่องเวลาเกิดของเราขึ้นมาซะอีก”

แวนกัสเปลี่ยนสีหน้า “เรื่องนั้น...”

“ปะป๊ารู้ได้ยังไงว่าเราเกิดตอนไหน เกิดห่างกันกี่นาที” น้ำตาคนถามคลอเบ้าขึ้นมาโดยไม่ได้บอกกล่าวพี่น้องคนอื่นเลย วิลจ้องตาบิดาที่กำลังหน้าซีด แล้วใช้เสียงแข็งขึ้นมาเพราะมีความคิดหนึ่งผุดขึ้น “อธิบายกับเราหน่อยว่ารู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง ในเมื่อปะป๊าบอกกับเราเองว่าเจอพวกเราถูกทิ้งไว้ตรงหน้าบ้าน”

“ปะป๊า!” ไวน์คิดทันพี่ชายได้แล้ว แล้วสายตาทั้งสามคู่ก็จ้องแวนกัสอย่างใคร่ทราบ

ผู้เป็นพ่อมือสั่น “พ่ออยากรู้ว่าน้องอยู่ไหน เคลอยู่ไหน”

“เราจะไม่บอก ถ้าปะป๊ายังไม่อธิบายเรื่องนี้ให้เราฟัง”

“วิล!”

“คุณเป็นใคร!” ไคล์เสียงดังขึ้น “คุณเกี่ยวข้องอะไรกับพ่อแม่ของเรา”

“หรือคุณรู้จักพวกเขา พวกเขาอยู่ไหน ตอบเรามานะ!”

“เด็ก ๆ ฟังพ่อก่อน” แวนกัสพยายามยกมือปรามไม่ให้ใจร้อน

“คุณไม่ใช่!” วิลกำหมัดแน่น น้ำตานองหน้ากันทั้งหมด “คุณไม่ใช่พ่อของพวกเรา ตอบพวกเรามาว่าทำไมถึงเสียเวลาเลี้ยงเราจนโตมาขนาดนี้ คุณเป็นใคร แล้วพวกเราเป็นใคร ถ้าไม่ตอบ เราก็จะไม่บอกเรื่องเคล แล้วเราก็จะหายไปจากชีวิตของคุณด้วย...”

ได้ยินสิ่งที่ลูกพูด แวนกัสก็อึ้งไป...

นี่มันโชคชะตาอะไรกันหนอ แวนกัสลุกขึ้นยืนทั้งน้ำตา เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าลูกชายทั้งสามด้วยดวงใจที่กำลังจะสลาย จะมีหนทางอื่นที่เขาจะไม่ต้องเสียเหล่าเด็กหนุ่มตรงหน้าไปสักคนไหม ชายหนุ่มคิดแล้วไม่อาจกล่าวเริ่มต้นตั้งแต่ตรงไหนให้เด็กกลุ่มนี้ฟังเลย

หากไม่เล่า เกรงว่าเด็กตรงหน้าเขาจะทำอย่างที่พูดจริง

ถึงเวลานั้น แวนกัสก็จะต้องเสียดวงใจของเขาไปตลอดกาล

“ฮาย...เด็ก ๆ ทำอะไรกันอยู่เอ่ย”

เพราะเสียงของเชนทำให้บรรยากาศตึงเครียดของทุกคนหายไป การมาเยือนของลุงที่ไม่ได้นัดล่วงหน้าทำให้เด็ก ๆ ตัดสินใจเดินตึงตังหนีขึ้นไปชั้นบน แวนกัสขาอ่อนทรุดลงนั่งกับพื้น กุมหน้าเช็ดน้ำตาของตัวเองอย่างไม่อาจทำเป็นเข้มแข็งเช่นตลอดสิบหกปีที่ผ่านมาได้ต่อไปแล้ว

“กัส นายเป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น”

“เคลหายตัวไป” ชายหนุ่มตอบเสียงสั่น

“อะไรนะ หายไปไหน นายดุอะไรเขา” เชนทรุดตัวมาประคองอย่างเดือดเนื้อร้อนใจแทน “เคลไม่ใช่เด็กที่โดนดุแล้วจะขี้น้อยใจจนถึงนั้นหนีออกจากบ้านนี่นา เขาเป็นเด็กดีจะตาย ฉันไม่เข้าใจ”

คนฟังพยักหน้า “ความผิดของฉันเอง ความผิดของฉันที่ไม่บอกความจริงพวกเขา” แวนกัสพูดผ่านเสียงสะอื้น แล้วกุมจับบ่าทั้งสองของเพื่อนรักอย่างสิ้นหนทาง “นายช่วยฉันหน่อยได้ไหม ฉันไม่อยากเสียพวกเขาไป ไม่อยากเสียไปเลยสักคน ลูกของฉัน...ลูกของฉัน...”

“กัส...” เชนหรี่ตามองคนเศร้า “เด็กพวกนั้น เป็นลูกของนายจริง ๆ ใช่ไหม”

ความเงียบกัดกินระหว่างทั้งคู่ไปพักหนึ่ง เมื่อถูกยิงคำถาม

แต่แล้วอย่างไร เวลานี้แวนกัสยอมทำทุกทาง

ชายหนุ่มรีบพยักหน้ารัว “ช่วยฉันที ช่วยให้พวกเขาไม่เกลียดฉันทีได้โปรด...”

“ให้ตายสิกัส นี่มันเกิดอะไรขึ้น”

“ฉันจะเล่าให้นายฟังเอง ทั้งหมดเลย แต่นายต้องช่วยฉันก่อน” ท่าทางละล่ำละลักของแวนกัสทำให้เชนใจอ่อน ตั้งแต่คบกันมา เพื่อนรักเป็นคนสุขุมไม่เคยมีทีท่าร้อนอกร้อนใจอย่างนี้เลย เห็นเช่นนั้นแล้วชายหนุ่มก็จำต้องยอมพยักหน้า ด้วยรู้ดีว่าสิ่งที่แวนกัสทำนั้น ไม่ใช่เรื่องที่จะขัดศีลธรรมจนเขารับไม่ได้อย่างแน่นอน และชายหนุ่มก็อยากได้ยินคำอธิบายอย่างตรงไปตรงมาจากปากเจ้าตัวด้วย

หวังว่าสิ่งที่เขาทำ สถานการณ์ทุกอย่างจะดีขึ้น ไม่ใช่แย่ลง...


(มีต่อ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-09-2019 09:34:22 โดย noonaaRP »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa


ตอนที่ ๓ พาร์ท ๒

(ต่อ)

เชนงุดลงมองที่ลูกบิดห้องพักของเหล่าหลานชายที่ตนรักเสมือนลูก ทอดถอนใจอย่างสิ้นหนทาง ก่อนจะตัดสินใจยกมือขึ้นเคาะประตูเป็นเชิงขออนุญาต ไร้เสียงขานรับ ผู้อาวุโสกว่าจึงหมุนลูกบิดเข้าไป น่าแปลกที่คนข้างในไม่ได้ล็อกประตู กำลังอยู่กันส่วนตัว แต่ละมุมของใครของมัน ไร้เสียงคึกคักเฮฮาเหมือนเมื่อก่อน

บนใบหน้าของทุกคนแลดูเศร้า ไม่ต่างจากผู้ที่อยู่ด้านล่างนัก

“ลุงเชนมีธุระอะไรกับเราฮะ”

เชนกอดอก แล้วเดินไปทรุดนั่งบนเตียงกับพี่ใหญ่อย่างวิล “พวกนายรู้เรื่องพ่อแล้วใช่ไหม”

“ลุงก็รู้ แล้วก็ช่วยเขาปิดความลับงั้นเหรอฮะ” ไวน์หันมาหา

“ไม่ใช่”

“แล้วมันยังไง ทำไมต้องปกปิดเรื่องของเรา ลุงกับเขาเกี่ยวข้องอะไรกับพ่อแม่ของเราฮะ” ไคล์ถาม

“หรือเขา เป็นคนทำให้พ่อแม่ของพวกเราตาย ก็เลยจำใจต้องเลี้ยงเราแทนเพื่อชดใช้ความผิด”

เชนรีบส่ายหน้าทันควัน “พวกนายคิดไปกันใหญ่แล้ว พ่อของพวกนายมีความจำเป็นที่จะต้องโกหก”

“โกหกยังไงก็คือโกหก!” วิลกอดอกจริงจัง “เขาไม่มีสิทธิ์มาปิดบังพวกเรา”

“นี่...” ลุงเชนหยิบกระดาษใบหนึ่งมาให้ วิลมารับมาถือด้วยความใคร่ทราบ เป็นภาพใบเก่าอันมีแวนกัสในวัยรุ่นกำลังนั่งสวมกอดกับหญิงสาวคนหนึ่งสีหน้าระรื่นสุข วิลแปลกใจ นัยหนึ่งคือเหมือนเห็นตัวเองอยู่ในรูปนั้น อีกนัยหนึ่งคือแปลกใจความหมายที่ลุงเชนมอบมันให้ “คืออะไรฮะ รูปนี่...”

“นั่นคือพ่อแม่ของพวกนาย”

สิ้นคำของเชน ไคล์กับไวน์ก็กุลีกุจอมาขอดูรูปด้วย วิลผละไปมองคนนั่งข้างกายอย่างไม่อาจเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ เพราะในนั้นมีแวนกัสกับสตรีคนหนึ่งเท่านั้นเอง “ลุงเชนหมายความว่ายังไง จะบอกว่าจริง ๆ แล้วเขาเป็นพ่อของเราน่ะเหรอครับ”

น้องชายทั้งสองผละมามองที่วิล “ไม่จริง ก็ปะป๊าบอกว่าเจอเราที่หน้าบ้าน”

“ถูกแล้ว แต่มันมีอะไรมากกว่านั้น” เชนกอดอกก่อนจะถอนหายใจ เมื่อรับรู้ถึงเครื่องหมายคำถามจากใบหน้าทั้งสาม จึงกล่าวต่อให้กระจ่างแก่ใจว่า “ตอนนั้นพวกเขายังเด็กกันทั้งคู่ พวกนายก็รู้ว่ากัสเป็นลูกชายคนเดียว พ่อแม่ของเขาก็เลยค่อนข้างเลือกผู้หญิงที่จะต้องแต่งงานให้สักหน่อย พวกเขาโดนกีดกัน จนต้องเลิก ประจวบกับเวลานั้นกัสอยากเข้าป่าไปทำใจ เลยขาดการติดต่อกับเธอ จนสุดท้ายทั้งสองก็แอบมาพบกันอีกครั้ง”

ทั้งสามตั้งใจฟังในสิ่งที่ลุงเชนเล่าอย่างตั้งใจ “ปะป๊าแอบเจอเธออีก ในป่านั่นน่ะเหรอ”

“ช่วงนั้นที่ลุงกลับไปเยี่ยม เขาเหมือนกำลังมีความรักอีกครั้งเลยล่ะ”

“แล้วทำไมมันถึงจบแบบนี้ล่ะ”

เชนยกยิ้มเล็กน้อย “ก็เพราะโดนจับได้ยังไงล่ะ เธอโดนสั่งห้ามให้มาเจอกัสอีก โดยที่ทางครอบครัวกัสไม่รู้เลยว่าเธอกำลังท้อง ส่วนกัสเองก็รอเธอไปพบทุกวันจนกลายเป็นโรคซึมเศร้า จนวันหนึ่งพวกนายก็มาอยู่ที่หน้าบ้านแล้ว”

ทั้งสามมองหน้ากันแล้วรู้สึกเศร้า “อย่างนี้นี่เอง พวกเราเข้าใจปะป๊าผิดไป...”

“ที่ไม่สามารถบอกไปตามตรงได้ว่าพวกนายเป็นลูกชายแท้ ๆ พวกนายคิดว่าพ่ออย่างเขาจะเสียใจไหม ที่ลูกชายทุกคนไม่เคยคิดว่าเขาเป็นพ่อที่รักพวกนายอย่างจริงใจเลย” คำพูดของเชนนั้น ทำเอาคนฟังรู้สึกจุกขึ้นมา วิลน้ำตาไหลแล้วก้มลงมองรูปภาพสีหน้าของบิดาที่กำลังยิ้มกว้างอย่างมีความสุข

เป็นสีหน้าที่พวกเขาจะได้เห็นไม่บ่อยนัก

“เมื่อตอนเย็นฉันพูดอะไรไป...” เด็กหนุ่มร้องไห้ ยกหลังมือเช็ดน้ำตา

“เพราะกลัวว่าพวกนายจะไม่ถูกปู่กับย่ายอมรับ กัสเขาถึงต้องเสียสละ”

“ต่อไปนี้พวกเราจะไม่พูดแบบนั้นอีกแล้วฮะ” ไวน์เช็ดน้ำตา แล้ววิ่งลงไปด้านล่างอย่างไม่ได้บอกกล่าวใคร เห็นดังนั้นวิลกับไคล์ก็สบตากัน จับมือจูงพากันลงไปหาผู้ที่นั่งเศร้ารออยู่ด้านล่าง เชนไม่อาจลุกเดินตามไป ได้ยินเพียงเสียงพูดจากันแว่ว ๆ ก็พอที่จะทำให้รู้สึกสบายใจขึ้นมาแล้ว ว่าแวนกัสจะไม่ต้องเสียลูกชายทั้งหมดไปอย่างเข้าใจผิดอีก แต่สิ่งหนึ่งที่ค้างคาใจคือเขาไม่รู้เลย

ว่าสิ่งเหล่านี่จะอยู่ได้ได้นานสักเท่าไร

เขาอยากฟัง ว่าเหตุใดแวนกัสถึงได้ขอร้องให้ชายหนุ่มทำเช่นนี้ อยากได้ยินคำอธิบายจากปากอีกฝ่ายเต็มแก่แล้ว...


๑๖ ปีก่อน

เสียงเครื่องยนต์อยู่ไม่ไกลได้ปลุกให้ผู้ที่หลับอยู่ต้องตื่นขึ้นอย่างนึกหงุดหงิด มันโผงผางลุกออกจากรังไปวักน้ำมาล้างหน้า ไม่ไกลได้ยินเสียงผู้คนทักทายกันเจื้อยแจ้วที่ชายป่า ความสงสัยใคร่ทราบทำให้มันอดไม่ได้ที่จะมุ่งตรงไปยังกระท่อมหลังเดิมที่เคยมาเป็นกิจวัตร ทุกวันจะต้องมาหยุดดูที่หน้าต่าง

ก่อนจะถึง มันพบต้นไม้กำลังบาดเจ็บจากสัตว์อีกหนหนึ่ง จึงช่วยด้วยวิธีเดิมที่เคยใช้อย่างทุกครั้ง

ไปถึงที่หมาย มันชะโงกมองจากต้นไม้ไกล ๆ เห็นรถยนต์คันหนึ่งจอดอยู่ที่ลานหน้ากระท่อม ไม่ไกลก็เห็นร่างของบุรุษเจ้าของบ้านและแขกนั่งกันอยู่ใต้ชายคา กำลังพูดคุยกัน ไม่อาจทราบว่ามนุษย์เพศผู้ที่มาเยือนผู้นี้เป็นใคร แต่เห็นแล้วมันนึกร้อนใจและหงุดหงิดขึ้นมา

มนุษย์น้อยเป็นของของมัน

และอารมณ์ไม่ดีของมันก็เข้าสู่สายตาของใครสักคนเข้า เจ้ายักษ์ร้ายหันขวับไปด้านหลัง เห็นสตรีนางหนึ่งกำลังหัวเราะคิกคัก แม้ภายนอกจะเป็นหญิงสาวผิวขาวราวหิมะ อายุราวสิบสามสิบสี่ แต่ก็มีอายุมากกว่ามันอยู่หลายสิบเท่านัก เธอสวมเสื้อผ้าสีขาว บนผมหยักศกสีเงินสะอาดมีเขาเสมือนกวางยาวขึ้นสองข้าง

“แหม...” นางหลบอยู่หลังต้นไม้ “เจ้าช่างเป็นภูตที่แสนดีอะไรเช่นนี้”

ไม่รู้พล่ามอะไรนัก มันฟังไม่เข้าหู หันไปส่งเสียงขู่ไล่ด้วยนึกรำคาญ

“เจ้าประสงค์สิ่งใด ข้าหาให้เจ้าได้” นางถามปนหัวเราะ

เจ้ายักษ์หัวฟัดหัวเหวี่ยงด้วยรู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังตั้งใจปั่นหัว ทั้งที่ก็รู้อยู่ว่ามันกำลังหมายปองมนุษย์ตัวน้อยเบื้องหน้า มันทำเสียงหงุดหงิดแล้วทำเป็นมิสนใจสตรีผู้มาก่อกวน ตั้งใจฟังว่าเป้าหมายเบื้องหน้าพูดอะไรกัน นั่นแหละถึงทำให้ผู้แกล้งสนุกนัก

“นี่ อย่าหมางเมินข้าเช่นนั้นซี” ความเร็วของนางเสมือนกับแสง ปราดเปรียวกว่าสิ่งใดบนโลกนี้ ชั่ววินาทีก็มากระซิบใกล้หูของมันอย่างอยากกระเซ้า เจ้ายักษ์เริ่มโกรธ มันส่งเสียงคำรามไล่ให้ออกห่างอย่างไม่อยากสนใจ ถึงอย่างนั้นสิ่งตรงหน้ากลับอารมณ์ดี “ลูกข้า เจ้าช่างอารมณ์ร้ายนัก”

“ข้า ไม่ใช่ ลูกเจ้า!”

คนฟังเบิกตา แล้วหัวเราะ “เจ้าพูดได้ เหตุใดถึงไม่ทักทายมนุษย์น้อยตรงนั้นบ้าง”

“ฮึ่ม...”

“หรือเจ้า...กลัวว่าพวกเขาจะหวาดกลัว”

“ออกไป!”

“ไม่น่ารักกับข้าบ้างเลย” นางยิ้มหวาน “ข้าเอง ก็อยากได้ดอกไม้จากเจ้าเหมือนกัน”

“ไม่ต้อง มาพูด กับข้า!” เสียงยักษ์ร้ายต่ำพร่า พูดจาไม่มีเยื่อใยแล้วหันหลังเดินกลับเข้าสู่ป่า หลงเหลือเพียงสิ่งหนึ่งที่ปรากฏกายในภาพสาวน้อย นางยกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยอย่างเอ็นดูกับความไร้เดียงสานั้น ครู่เดียว ก็แกล้งปัดมือเรียกเถาวัลย์กิ่งใหญ่ไปพันที่ข้อเท้าเจ้ายักษ์ปากร้าย มันล้มคะมำแล้วหันขวับมาร้องขู่ไล่ โมโหใส่อย่างเช่นทุกทีที่พบกันตั้งแต่ยังเป็นยักษ์ตัวน้อย

ผู้มองยกยิ้มขัน แล้วหันไปมองยังกระท่อมที่ชายป่าอันมีร่างของประเด็นที่นางเคยเอ่ยถึง ก่อนจะทอดถอนใจ เปลี่ยนจากเรือนร่างมนุษย์ไปเป็นกวางสีขาวตาแป๋วตัวหนึ่ง บ่นพึมพำกับตัวเอง

“เทพเจ้าเอง ก็ต้องมีเรื่องให้คาดไม่ถึงเหมือนกันสินะ”

ลำขาเรียวกลีบเท้าสวยเดินดุ่มจากออกมา ผ่านหน้าเจ้ายักษ์ที่กำลังแกะเถาวัลย์อยู่ก็ชะงักเท้ามอง มันหลับตาชังใส่นางอย่างนึกไม่พอใจ นั่นได้เรียกความรู้สึกให้เทพเจ้าสีขาวอดตระหนักขึ้นมาไม่ได้ว่า

“พวกเจ้าต่างก็เป็นบุตรที่ข้าลำเอียง...” ที่โชคร้าย เพราะได้รับความรักของนางมากเกินไป “หลังจากนี้ ข้าจะลองทอดทิ้งพวกเจ้าบ้างดีไหมนะ บุตรข้า...” หากลองทอดทิ้งพวกเขา เบื้องบนอาจจะยอมลดความเจ็บปวดที่พวกเขาต้องเผชิญในอนาคตเบื้องหน้าลงบ้างก็เป็นได้

หากนางลองลืมพวกเขา ทั้งสองคน อาจจะไม่ต้องจบเพียงตายจากกันก็ได้

เห็นแล้วกวางน้อยก็ส่ายหน้า แกล้งเพิ่มเถาวัลย์ขึ้นมาพันที่ขาอีกข้าง เมื่อถูกกระทำ ยักษ์ร้ายก็ส่งเสียงคำรามนางอีกครั้งด้วยอารมณ์

เชนลำสักน้ำชา แล้วจู่ ๆ ก็นึกขนลุกขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ ชายหนุ่มมองรายรอบตัวแล้วหันมาจ้องตาเพื่อนด้วยความอยากรู้อยากเห็น “นี่ นายก็อยู่ที่นี่มาได้สักพักแล้ว เจออะไรที่มันไม่ปกติบ้างรึเปล่าล่ะ”

แวนกัสเลิกคิ้ว “นายหมายถึงอะไร ผีเหรอ”

“อย่าพูดเสียงดังซี่”

“เราอยู่กันสองคนนายกลัวอะไรเล่า”

“ถ้าเกิดจริง ๆ แล้วเราไม่ได้อยู่กันสองคนเล่า” เชนทำหน้างอแล้วลูบขนแขนของตัวเอง มองซ้ายแลขวาแล้วขยับเข้ามากระซิบอีกครั้ง “เมื่อกี้นายไม่ได้ยินเหรอ เหมือนมีเสียงตัวอะไรร้องมาจากในป่า นายอยู่คนเดียวอย่างนี้ไม่กลัวรึไง”

“กลัวอะไรล่ะ ฉันอยู่อย่างนี้ไม่เห็นอะไรเลย” แวนกัสยิ้ม แล้วก้มลงมองดอกไม้ป่าในมือ วันนี้เขาเปิดหน้าต่างมาดูตั้งแต่เช้าก็ยังเห็นมันวางไว้อย่างเช่นทุกวัน ร่วมเดือนแล้วที่เจ้าตัวนั้นเอามาวางไว้ให้ชายหนุ่ม โดยไม่แสดงตัวอันใดให้เขารู้เลยว่าใครเป็นคนมอบให้

ดอกไม้ป่าแสนสวยสลับชนิดไปแล้วแต่คนฝากจะเจอ บ้างก็มาเป็นพุ่ม บ้างก็มาเป็นดอกเล็ก ๆ แวนกัสคาดเดาไม่ได้เลยว่าทุกวันจะได้อะไร รู้แต่ว่าเขาจดจ่อกับของขวัญที่ตัวเองจะได้ทุกเช้าไปแล้ว จนกลายเป็นว่าตอนนี้สิ่งแรกที่เขานึกถึงคือดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง จากปิศาจตัวใหญ่ปริศนานั้น

นอกจากจะเฝ้ารอดอกไม้ของอีกฝ่าย ตอนนี้แวนกัสก็พอจะรู้เวลาการมาของเจ้าตัวด้วย เพราะความอยากรู้อยากเห็นทำให้ชายหนุ่มต้องอดนอนติดต่อกันหลายวัน เพื่อดูเวลาว่ามันจะมาเยือนหน้าต่างของเขาเมื่อใด ทุกวันเวลาตีสอง แวนกัสได้ยินฝีเท้าของมัน มาพร้อมกับของฝาก

น่าแปลกที่แวนกัสไม่รู้เลย ว่าจุดประสงค์ของเจ้าตัวประหลาดนั่นคืออะไร มันให้ดอกไม้เขา ยืนจ้องมองชายหนุ่มที่กำลังหลับเพียงอย่างเดียวเท่านั้นเอง นับวันเข้า แวนกัสก็ลืมความเกรงกลัวในวันแรกที่เจอะมันเข้าแล้ว รู้เพียงว่าเจ้าตัวใหญ่นี่ไม่มีพิษมีภัยเอาเสียเลย เก่งเพียงอย่างเดียวคือหลบซ่อน กลัวแวนกัสจะเห็นนัก

แต่หารู้ไม่ ว่าตั้งแต่เขาเห็นมันคืนนั้น ชายหนุ่มก็เห็นมันอยู่ตลอดไม่ว่าจะเวลาไหน

แม้กระทั่งตอนนี้

“ยิ้มอะไรของนายน่ะฮะ ขนลุกเป็นบ้า”

คนถูกถามยิ้มยิ่งกว่าเก่า แล้วก้มลงพิศดอกไม้เบื้องหน้าตัวเอง ก่อนจะนำมันขึ้นมาใส่ในกระเป๋าเสื้อ ครั้นผละไปมองเบื้องหน้า เห็นเชนทำหน้างงกำลังจะยกแก้วชาร้อนขึ้นจิบ แต่ที่ทำให้แวนกัสอดยิ้มไม่ได้นั้น ก็คงจะเป็นเจ้าตัวใหญ่ที่กำลังอยากรู้อยากเห็นอยู่ข้างหลังเพื่อนรักกระมัง

มันดอมดมแก้วชาของเชน แลบลิ้นเลียน้ำในแก้วแล้วทุลักทุเลล้มลงไปเพราะความร้อน แวนกัสเม้มปากกลั้นขำ แล้วทำเป็นมองไม่เห็นอยู่ครู่เดียว ก่อนจะพูดกับเพื่อนว่า “นายจะนอนค้างกับฉันรึเปล่า ฉันคิดถึง มีเรื่องอยากคุยด้วยหลายเรื่อง”

เชนลูบขนแขนตัวเองห่อไหล่ “ก็ได้ แต่นายเลิกทำหน้าน่าขนลุกแบบนั้นสักที ตอบฉันว่านายคือกัสคนเดิม”

คนฟังหน้าตึง แล้วทำตาเหลือกลอย “ไม่ใช่! ฉันเป็นเจ้าของร่างคนใหม่!”

“อ๊ากกกกก!” เชนฟาดเพียะ

“โอ๊ย ฉันเจ็บนะ นายนี่ขี้กลัวไม่เปลี่ยนเลย”

คนถูกแกล้งถอนใจ ทำหน้างอนเป็นเด็ก “ก็ใครใช้ให้นายเล่นแบบนี้น่ะ”

“นายนี่สมเป็นนายจริง ๆ ผีมีจริงเสียที่ไหน” คนพูดอมยิ้ม มองไปยังเจ้ายักษ์ที่ยืนอยู่ด้านหลังเชน ดูเหมือนว่าถูกมนุษย์น้อยจับได้แล้ว มันรู้สึกว่าทั้งคู่ได้สบตากันในวินาทีสั้น ๆ ก่อนที่อีกฝ่ายจะเริ่มกล่าว “แล้วนั่นอะไร”

“อ้อ” เชนนึกขึ้นได้แล้วหันหลังไปหยิบมันมา “ฉันกลัวว่านายจะเหงา ก็เลยซื้อหนังสือในร้านแถวนี้มาให้ เป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับความเชื่อแถบนี้ คุณยายเขาขายให้ฉันยกลังมาในราคาถูกสุด ๆ” เชนเล่าอย่างอารมณ์ดี เมื่อนึกถึงคุณยายเจ้าของร้าน “แต่น่าแปลก ฉันบอกว่ามาเยี่ยมเพื่อน แต่ไม่ได้บอกเธอว่านายอยู่คนเดียว เธอกลับรู้ว่านายจะต้องเหงาเลยยกหนังสือให้ นายว่ามันแปลกไหม”

“อืมแปลก”

“ขนลุก!”

แวนกัสเปิดกล่องขึ้นมาดู แล้วส่ายหน้า “นี่มีแต่หนังสือเรื่องเล่าปรัมปราทั้งนั้น สมกับเป็นนายจริงนะ”

“ฉันบอกแล้ว ว่าไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ยังไงล่ะ”

“ของพวกนี้มีจริงที่ไหน” แวนกัสกล่าวแล้วกวาดมองรอบกาย ทำเป็นไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงท้าท้าย “แน่จริงก็โผล่มาให้ฉันเห็นเลยสิ”

“กัส...” เชนทำเสียงดุ “นายนี่มันคนบ้าชัด ๆ”

“นายนั่นแหละบ้า ไว้เจอแบบจัง ๆ เมื่อไหร่ค่อยมาดุฉัน”

“ไม่คุยด้วยแล้ว ฉันขนของเข้าไปเก็บดีกว่า” ถึงแม้เชนจะเป็นหนุ่มเชื้อสายเอเชีย แต่เจ้าตัวสูงใหญ่และล่ำเกินกว่าจะเป็นพวกขี้กลัว อาจเป็นเพราะประเพณีหรือวัฒนธรรมบางอย่างที่เขาเคยได้ฟังจากปากของเจ้าตัว ทำให้รู้ว่าพวกคนเอเชียเชื่อเรื่องสิ่งลี้ลับกันทั้งนั้น “เอ้านี่ ฉันกลัวนายว่างก็เลยเอาต้นกระบองเพชรมาให้เลี้ยง”

แวนกัสยิ้ม ก้มลงมองของฝากในกระถาง “น่ารักดี มีดอกด้วยนี่นา”

“นายจะตัดต้นมันแบ่งใส่กระถางอันอื่นด้วยก็ได้นะ”

“ฉันชอบนะ แบบนี้เล็กกะจิดริดน่ารักดี”

“ของที่มันเล็กจิ๋วก็น่ารักทั้งนั้นแหละ ไม่มีใครชอบอะไรที่มันใหญ่เกินไปหรอก” เชนว่าขณะขนของมาถือ ก่อนจะหันมายิ้มแล้วพูดด้วยเสียงกระปรี้กระเปร่าว่า “เว้นเสียแต่ว่าจะเป็น...”

“อะไร” แวนกัสทำหน้าไม่ถูก

“หน้าอกกับก้นผู้หญิงไง”

คนฟังส่ายหน้าระอา สะบัดมือไล่ให้เพื่อนเดินเข้าบ้านไปก่อนจะโดนไล่เตะ ชายหนุ่มยกยิ้มแล้วก้มลงพิศของฝากเบื้องหน้าอย่างพออกพอใจ และอาการพออกพอใจของเขาก็ทำให้ยักษ์ใหญ่ถึงกับมีน้ำโห มันหายใจฟึดฟัดแต่ทำอันใดมิได้นอกจากยืนมองแวนกัสกำลังยิ้มอย่างมีความสุขเท่านั้น

คนถูกจ้องก็ยิ่งยิ้ม ทั้งตลกทั้งอยากเมิน ทำได้เพียงนั่งจับจ้องของเบื้องหน้าด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะรู้ตัว ว่าต้นเหตุที่ทำให้ชายหนุ่มยิ้มแทบบ้ายามนี้ ไม่ใช่ของที่เชนเอามาฝาก

แต่เป็นเพราะเจ้ายักษ์ขี้หวงแสนตลกนี่อย่างไรเล่า

เขาไม่เคยรู้ประสงค์ที่มันวนเวียนอยู่แถวนี้มาก่อน จนกระทั่งวันนี้

แวนกัสลอบยิ้ม ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้หันไปลองเปิดลังมาค้นดูหนังสือที่เชนนำมาฝาก หลายเล่มเป็นเรื่องเล่าที่เขาเคยอ่านจากห้องสมุดมาแล้ว กระทั่งนัยน์ตาสีอ่อนเหลือบไปเจอเข้ากับเล่มหนึ่ง แวนกัสชะงัก แล้วหยิบมันมาถือด้วยความใคร่ทราบ กวาดอ่านข้อความบนปกของมันอย่างนึกอยากรู้อยากเห็น

“บุตรของเทพเจ้า”

อย่างนั้นหรือ...





-------------------------------------------------------

อุ๊ย น้องแอ๊บค่ะคุณพี่ขา น้องแอ๊บมองไม่เห็น อิอิ

อยากรู้ว่าน้องจะแอ๊บมองไม่เห็นไปได้นานเท่าไหร่นะคะ ถ้าถึงตอนที่พี่ยักษ์ล่อน้องเข้าไปในป่าอีกรอบ

ยังจะแกล้งมองไม่เห็นอีกมั้ย

ในเรื่องคือพี่ยักษ์เข้าบ้านคนไม่ได้ค่ะ แต่ถ้าน้องไปในป่าถิ่นพี่ยักษ์แล้วล่ะก็... อิอิ

ส่วนเรื่องเด็ก ๆ จะมีอะไรโยงให้น้องตามหาพ่อตัวจริงเจอ มันจะเริ่มผูกกันไปเรื่อย ๆ แล้วปัจุบันพี่ยักษ์หายไปไไหนกันนะ ได้มาแอบดูลูกบ้างมั้ย เดี๋ยวจะค่อย ๆ ได้รู้กันนะ

ฝากคอมเม้นเป็นกำลังใจหนูนาด้วยคนละคอมเม้น ทิ้งไว้เพียงสติ๊กเกอร์ก็ยังดี อิอิ

หรือไม่ก็ฝากรีทวิต ฝากแนะนำเพื่อนด้วย (ขอเยอะไปเหรอ ขอโทษ...55555)

เจอกันตอนหน้าค่าาาาา

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-09-2019 09:36:33 โดย noonaaRP »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
โกหกลูกอีกแล้วสินะ ขั้นกว่าไปอีก

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Funnycoco

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 252
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa


#ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง

ตอนที่ ๔

๑๖ ปีก่อน

ของฝากจากเชนถูกวางไว้ที่ริมหน้าต่างห้องพัก แวนกัสยกยิ้มให้กระถางต้นไม้จิ๋วแสนน่ารักตรงหน้า ชายหนุ่มวางแผนไว้ว่าจะตื่นมารดน้ำมันทุกเช้าเมื่อเปิดหน้าต่างมารับของขวัญจากเจ้าสัตว์ประหลาด นึกถึงของที่ได้รับขึ้นมา กวาดมองรอบห้องอีกทีก็เต็มไปด้วยเหล่าดอกไม้ที่ถูกเหน็บแซมไปตรงโน้นทีตรงนี้ที แลดูสวยดีเหมือนกัน

“นายไปหาดอกไม้พวกนี้มาจากไหนเยอะแยะ” เชนถามแล้วทิ้งตัวลงเอนกายบนเตียง

“จากในป่า”

เพื่อนรักผุดลุกนั่งหน้าเหวอ “ว่าไงนะ นายเข้าป่าไปคนเดียวเหรอ!”

“เอาอีกแล้ว” แวนกัสถอนใจกับความขี้ระแวง

“กัส มันอันตรายนะ”

ผู้ฟังส่ายหน้า “นายน่ะขี้กลัวไม่เข้าเรื่อง ไม่มีอะไรน่ากลัวเท่าคนหรอก”

“ฉันรู้กัส แต่เกิดนายหลงป่าขึ้นมาจะทำยังไงเล่า”

“ฉันไม่หลงหรอก เดินตามธารน้ำขึ้นไป”

“ฉันไม่เข้าใจนายเลยจริง ๆ ว่าขึ้นไปทำไม ในนั้นมันมีอะไรดีถึงได้ชอบไปคนเดียวนัก” เชนยกมือสองข้างพร้อมไหล่ขึ้น แล้วกวาดไล่สายตาดูดอกไม้เหล่านั้นพักหนึ่ง บางดอกก็เริ่มแห้งแล้ว บางดอกแลดูสดใหม่เหมือนเพิ่งโดนเด็ดมา นึกห่วงว่าเพื่อนจะซึมเศร้าเพราะการใช้ชีวิตคนเดียวในป่า “นายเข้าไปเก็บมาทุกวันเลยงั้นเหรอ หรือนายจะเหงาเลยต้องออกไปหาอะไรทำ”

แวนกัสยกยิ้ม หากตอบตามความจริงมีหวังเชนสติแตกแน่ ว่ามีใครเอามาให้ “อืม...ฉันเก็บเอง”

“แล้วในป่ามีอะไรน่าสนใจบ้าง” เพื่อนรักตะล่อมถาม

“ก็น้ำตกไง สวยดีนะ นายน่าจะชอบ”

เชนชี้หน้าตัวเอง “ฉันน่ะเหรอ”

“ใช่ พรุ่งนี้พยากรณ์อากาศบอกว่าจะอากาศดี นายอยากขึ้นไปเดินเล่นกับฉันไหมล่ะ จะได้รู้ว่ามันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่นายคิด รับรองว่าดีสุด ๆ” คนพูดยกนิ้วโป้ง

“ให้มันดีจริงเหอะ” เชนยิ้มแล้วพยักหน้าให้อย่างไม่อยากเชื่อ ก่อนจะเปลี่ยนมาออกความเห็นด้วยสีหน้าสดใสขึ้นมา เมื่อนึกอะไรน่าสนใจออก “ทำของว่างขึ้นไปกินด้วยดีไหม ฉันอยากปิ๊คนิกกับนายพอดีเลย”

แวนกัสเลิกคิ้ว “ดีเลย ฉันจะเอาหนังสือขึ้นไปอ่านด้วย”

ทั้งสองเอื้อมมือแปะกันเป็นการนัดหมาย ฝ่ายเชนเป็นคนลุกขึ้นไปอาบน้ำท่าเตรียมทานมื้อเย็น แวนกัสเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่างเห็นพระอาทิตย์ตกดินแล้วเรียบร้อย ชายหนุ่มชะโงกไปเอื้อมเขี่ยดอกของเจ้าต้นไม้จิ๋วด้วยปลายนิ้วอย่างนึกเอ็นดู แล้วปิดเพียงหน้าต่างห้องพักเท่านั้น ไม่ได้ปิดผ้าม่าน

ตั้งแต่รู้ว่าผู้มาเยือนเป็นใคร แวนกัสเคยชินกับการนอนโดยไม่ต้องปิดบังอันใด ชายหนุ่มยกยิ้ม หันไปสนใจหนังสือที่เพิ่งได้เมื่อตอนสายของวัน เพราะปกที่น่าสนใจได้ดึงดูดชายหนุ่มเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คิดแล้วมือเรียวยาวก็เปิดมันขึ้นมาไล่สายตาอ่านที่ละตัวอักษร

“บุตรของเทพเจ้า คือ...ผู้ที่เกิดจากพรของเทพเจ้า อันเป็นผู้ที่มีความเสียสละในก้นบึ้ง

บุตรของเทพเจ้ามีรูปร่างไม่เหมือนกันนัก เมื่อครั้งอดีตกาลมีอยู่หลายตน ระบุจากเรื่องเล่าสืบต่อกันว่าบุตรของเทพเจ้านั้นงดงามไม่ต่างจากทวยเทพ มีสีผิวขาวราวหิมะ เส้นผมสีเงินหยักศกยาวเท่าความสูงและมีฤทธาสามารถรักษาทุกสิ่งอย่างได้ จุดเด่นอีกอย่างคือรูปร่างใหญ่กว่ามนุษย์สองเท่า พบเห็นบ่อยบริเวณป่าใหญ่ ทำหน้าที่ปกป้องผืนแผ่นดินของป่าที่เทพเจ้านั้นปกครอง...”

แวนกัสเลิกคิ้วเอะใจ เหตุใดยิ่งอ่านแล้วชายหนุ่มดันนึกถึงบางสิ่งที่คอยมาวนเวียนรอบตัวเขา คิดแล้วชายหนุ่มก็สะบัดหน้า ก็อ่านอยู่นี่ไงว่าบุตรของเทพเจ้านั้นงดงามเหมือนเป็นเทพเสียเอง เจ้าตัวประหลาดนั้นผมเผ้ารุงรัง ผิวพรรณก็สีน้ำตาล แถมมีขนเสมือนวัวอีกต่างหาก หาได้ใกล้เคียงคำว่าบุตรของเทพเจ้าสักนิด

“อย่างมากก็เป็นได้แค่ภูตผีปิศาจ เป็นบุตรของเทพไม่ได้หรอก”

ชายหนุ่มก้มลงมองที่ข้อมือตัวเอง เห็นเส้นไหมที่นำมาถักทอเป็นสร้อยแล้วก็นึกติดตลกขึ้นมา ว่านี่อาจเป็นเส้นผมของบุตรเทพเจ้าก็เป็นได้ ทุกวันนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ ขนาดเขายังสามารถมองเห็นเจ้ายักษ์นั่นได้เลย ครุ่นคิดอย่างนึกตลกแล้วแวนกัสก็ขันพลางส่ายหน้าระอาตัวเอง

“นั่นอะไร” เชนถามขึ้น หลังจากเสร็จธุระจากห้องน้ำ

คนถูกซักสะดุ้ง ผละไปสบมองเพื่อน “อ๋อ ก็หนังสือที่นายเอามาฝากไง”

“ไม่ใช่” เพื่อนรักมองที่ข้อมือชายหนุ่ม “ฉันหมายถึงนั่นต่างหากล่ะ”

แวนกัสก้มลงมองที่จุดหมายของเชน “อ๋อ นี่น่ะเหรอ อาจเป็นเส้นผมของบิ๊กฟุตที่นายพูดถึงคราวนั้น”

“เอาอีกแล้วนะกัส”

เจ้าของบ้านยกยิ้ม “ก็ฉันไม่รู้ว่ามันคืออะไรนี่นา บังเอิญเจอ”

“แล้วนายก็เก็บมาสุ่มสี่สุ่มห้าเนี่ยนะ”

“ใช่ ทำไมล่ะ” แวนกัสยักไหล่

เชนทึ้งหัวตัวเอง “ฉันอยากจะบ้า นายไปเก็บของจากป่ามาพกติดตัวอย่างนี้ ไม่กลัวอะไรเดินตามนายมาด้วยรึไง ถอดเอามันไปทิ้งเดี๋ยวนี้เลยนะกัส”

“ไม่เอาล่ะ มันสวยดีนี่นา” คนกล่าวอมยิ้มขณะจ้องมองของที่เพื่อนว่า และหลังจากได้ยินเชนบ่น แวนกัสเองก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า บางทีอาจเป็นเพราะสิ่งนี้ก็ได้ ที่ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของเจ้าตัวใหญ่ข้างนอกนั่น เพราะอันที่จริง แวนกัสยอมรับเลยว่าเขาไม่ใช่คนที่มีสัมผัสพิเศษใดใดมาตั้งแต่เด็ก มันน่าคิด ว่าแต่ตั้งแต่ที่เขาสวมเจ้านี่ก็มองเห็น รับรู้ถึงการมีอยู่ของสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ได้

เส้นสีเงินนี้เป็นของวิเศษ ไม่ผิดแน่

แต่มันมาจากสิ่งไหนล่ะ ของใคร เหตุใดถึงได้กระจัดกระจายเกาะอยู่ตามต้นไม้ และการได้สวมใส่มัน ทำให้แวนกัสรู้สึกอุ่นใจอย่างน่าประหลาด ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วของสิ่งนี้อาจเปิดโลกใบใหม่ให้เขาเห็นสิ่งชั่วร้ายน่ากลัวกว่าเจ้ายักษ์ตัวนั้นก็เป็นได้ แวนกัสไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้มาก่อน

ชายหนุ่มถือตะกร้านำเพื่อนรักเดินไต่ตามก้อนหินขึ้นไปยังธารน้ำด้านบน ในป่ายามนี้กระจ่างแจ้งเพราะเป็นเวลาเกือบเที่ยงวันแล้ว บรรยากาศช่างเป็นใจให้ทั้งคู่มานั่งเล่นเสียจริง

แวนกัสแหงนไปด้านบน ได้ยินเสียงน้ำไหลกับนกร้อง บอกถึงความอุดมสมบูรณ์ของป่า ชายหนุ่มหันไปยิ้มให้เชนที่กำลังถือเสื่อกับเก้าอี้พับได้ตามหลังมา “เฮ้ เดินระวังด้วย”

“รู้แล้ว ฉันน่ะเซียนกว่านายนะ ดูแลตัวเองไปเถอะ”

“ขี้โม้เกินไปแล้วเจ้าบื้อ” แวนกัสอมยิ้ม แกล้งก้มไปวักน้ำใส่แล้ววิ่งหนี “นี่แหนะ”

“อ๊ากกก นายจะเปิดศึกตั้งแต่ตอนนี้ใช่ไหมห๊า!”

“แน่จริงก็มาจัดการฉันสิเจ้าโง่ เดินช้าขนาดนั้นหนักก้นตัวเองล่ะซี่”

“หน็อย กัส!” เชนไม่อยากเชื่อว่าเพื่อนของเขาจะทะเล้นขนาดนี้ หนุ่มตาเรียวเบิกขึ้นเมื่อเห็นเพื่อนตัวขาวแลบลิ้นปลิ้นตาให้แล้วหมุนตัววิ่งไต่ตามหินนำออกไป ลำขายาวก้าวเร็วขึ้นกว่าเก่า ตั้งใจจะจับแวนกัสให้ได้ตามที่ถูกท้า “คอยดูเถอะฉันถึงตัวนายเมื่อไรล่ะคอยดู มานี่ หยุดนะ!”

“ฮ่า มาเร็ว ๆ สิสาวน้อย ว๊าก!”

เชนชะงักเท้า “นั่นไง พ่อคนเก่ง” ยิ้มสมน้ำหน้าเพื่อนที่ล้มคะมำอยู่ตรงหน้า แต่แทนที่เจ้าตัวดีจะห่วงตัวเอง แวนกัสกอดตะกร้ามื้อเที่ยงของทั้งคู่ไว้แน่นด้วยกลัวจะหก เห็นแล้วเพื่อนรักที่ยืนมองก็ทำได้เพียงแค่ส่ายหน้าให้ ทั้งเอ็นดูทั้งสมน้ำหน้า เดินไปดึงข้อพับแขนช่วยพยุงให้ลุกขึ้น “เป็นไงล่ะ”

“อา...หัวเข่าฉัน” แวนกัสโอดพลางเป่าที่แผลถลอกของตัวเอง

“ดื้อไม่เข้าเรื่อง สมน้ำหน้า”

“ฉันไม่ทันได้ดูทางให้ดี เจ็บตัวเลย”

เห็นเพื่อนบ่นแล้วเชนก็ลอบยิ้ม มองรอบกาย “ถ้านายเดินไม่ไหวเรานั่งเล่นแถวนี้ได้เลยนะ”

“อีกนิดเดียวเอง ข้างบนมีที่ให้ปูเสื่อ”

“แล้วขากลับนายจะเดินไหวเหรอ มันไกลนะ ฉันไม่ให้ขี่หลังด้วย” เชนมุ่นคิ้วก้มลงมองที่เข่าเพื่อนรัก พลันสายตาของชายหนุ่มเปลี่ยน เมื่อเห็นทีท่าของแวนกัสต่างไปเล็กน้อยราวกับกำลังทำตัวไม่ถูก ท่าทางราวกับกำลังตื่นกลัวหรือตกใจอะไรบางอย่าง หรือไม่ก็กำลังใจเต้นแรงเพราะความขัดเขิน

“นี่ ค่อย ๆ หายใจ” ชายหนุ่มหันซ้ายแลขวาอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะเอื้อมมือไปอังที่หน้าผากอีกฝ่ายตรวจตรา “นายไม่สบายตรงไหนเหรอ ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ”

ผู้ถูกถามอึกอัก “ปละ..เปล่า รีบไปกันเถอะ”

แล้วก็ลุกเดินกะเผลกนำเชนขึ้นไปราวกับว่าตัวเองไม่ได้เจ็บถึงเพียงนั้น คนมองตามรู้สึกแปลกใจ หากไม่คิดว่าตัวเองกับแวนกัสเติบโตมาด้วยกัน คงคิดว่าอีกฝ่ายแอบตกหลุมรักชายหนุ่มเข้าแล้วแน่ เพราะไอ้ท่าทีทำตัวไม่ถูก หรือสายตาที่คอยงุดมองพื้น และใบหน้าที่แดงไปจนถึงใบหูนั่น มันเหมือนคนกำลังขวยเขินเพราะถูกคนที่ชอบทำอะไรให้บางอย่าง

เชนคิดแล้วส่ายหน้ากับตัวเอง คิดแบบนั้นชายหนุ่มคงบ้าไปแล้วแน่ ๆ ขนลุกตัวเองชะมัด!

“ตรงนี้เหรอ”

“อื้อ” แวนกัสพยักหน้า

ไม่เลวเลยแฮะ เชนหมุนตัวสำรวจคร่าว ๆ ทั้งคู่ขึ้นไปถึงธารน้ำตกชั้นแรก มันไม่ใช่น้ำตกที่สูงชันอะไรมากมายนัก หากทว่าน้ำมีแอ่งที่ลึกพอให้เล่นอยู่บ้าง อากาศวันนี้ก็มีแดดออกกำลังดีเสียด้วย เชนมองรอบกายที่สวยกว่าที่คิด ต้นไม้แถวนี้เริ่มเปลี่ยนสีกันบ้างแล้ว เพราะแดด ป่าที่มันทึบมืดจึงแลดูสว่างขึ้น ให้ชายหนุ่มเห็นความสวยงามของมันได้อย่างชัดเจนกว่าเก่า ไม่แปลกที่แวนกัสจะชอบ

เหลือบไปอีกฝั่งเห็นแวนกัสกำลังปูเสื่อข้างต้นไม้ใหญ่ มันมีลานพอที่จะวางสิ่งของ เก้าอี้ และกระเป๋าเสื้อผ้าที่เชนตั้งใจนำมาเปลี่ยนเพราะอยากเล่นน้ำ ครั้นวางสัมภาระของทั้งคู่ลงแล้ว เชนก็โยนหนังสือให้ “เอ้า นี่ของนาย ฉันว่าจะเดินขึ้นไปดูชั้นบนหน่อย”

“ระวังตัวด้วยล่ะ”

“หา...” เชนขนลุก “นายหมายถึงให้ฉันระวังอะไรนะ”

แวนกัสจิปากถอนใจ “ฉันหมายถึงให้เดินระวัง หินมันลื่น เดี๋ยวได้เจ็บตัวเหมือนฉัน”

เพื่อนรักยิ้มจนตาหยี “งั้นนายรอตรงนี้นะ เดี๋ยวฉันมา ถ้าคิดถึงก็ลองร้องเรียกดู”

“ถ้าร้องเรียกนาย แล้วเกิดไม่ใช่นายที่มาหาฉันล่ะ”

“นายนี่มัน...” เชนชี้นิ้วต่อว่า แต่หมดคำจะพูด “น่ารักจริง ๆ เชียว ไปล่ะ”

“อื้ม...” แวนกัสยิ้มแป้นเพราะรู้ดีว่าเชนไม่ใช่พวกโกรธง่าย แม้จะโดนแกล้งถึงเพียงไหนก็ตาม พยักหน้ารับแล้วทรุดนั่งบนเก้าอี้พับที่เพื่อนถือมาด้วย

มือขาวเปิดหนังสือขึ้นมาอ่านระหว่างรอทานมื้อเที่ยงกับเชน แต่แล้ว...สมาธิของชายหนุ่มกลับถูกทำลายลงไป แม้ดวงตาของเขากำลังกวาดมองหนังสือ แต่หางตาของแวนกัสกลับจดจ่ออยู่ที่บางอย่าง บางอย่างที่โผล่ออกมาจากพุ่มไม้ที่ไหนสักแห่ง ตั้งแต่ตอนที่เขาร้องเสียงดังวินาทีที่หกล้มเมื่อครู่

มันกระโจนออกมาหาเขาทันทีที่ได้ยินเสียงร้อง ขาก็เดินวนดูรอบกายแวนกัสตั้งแต่เห็นเขาบาดเจ็บ แวนกัสไม่เคยคิดเลยว่าเพียงเขาหกล้มเป็นแผลน้อยนิดเท่านี้ จะทำให้มันเสียอาการจนแทบอยู่ไม่สุข หรือเจ้ายักษ์นี่ตั้งใจจะกินเขากันหนอ แวนกัสคิดอยู่ในใจทั้งขยับมือเปลี่ยนหน้ากระดาษ ทำให้ตัวเองดูไม่พิรุธที่สุด แล้วเอื้อมหยิบแคร็กเกอร์เข้าปากเคี้ยวดังกร้วม ๆ ไม่สนใจ

แคร็กเกอร์นี่อร่อยกว่าเนื้อเขาเยอะเลยนะ มันควรได้ลองชิมก่อน

คนคิดสะบัดหน้า ยังไม่มีอะไรรับรองได้ ว่าหากเขาปล่อยให้มันรู้ตัวว่าถูกเห็น จะเกิดอันตรายต่อแวนกัสหรือเปล่า

ผมเผ้าของมันเปื้อนดินโคลนพันกันเป็นก้อนจนไม่รู้เป็นสีอะไร กลิ่นตัวสาปสางแบบเดียวกับสัตว์ชนิดอื่น ความยาวของเส้นผมปรกหน้าตาจนมิดลากลงถึงพื้น เสียงลากกับใบไม้ใบหญ้าแถวนี้ดังแกรก ตัวของมันใหญ่เหลือเกิน กำยำ มีเขาโผล่พ้นเหนือหน้าผากอยู่สองเขา รูปร่างเขานั้นงอแหงนมาทางด้านหน้าเหมือนวัว

“อ๊า...เมื่อไหร่เชนจะมานะ” ชายหนุ่มบ่น อยากจะบ้าเพราะอ่านอะไรไม่เข้าหัวเลย มั้วแต่ระวังตัวเท่านั้น “ไหนบอกว่ากลัวนัก ไปถึงไหนกันละเนี่ย...”

ถึงเจ้านี่ไม่ได้น่ากลัว แต่มันก็เป็นปิศาจ แวนกัสไม่รู้ว่าตัวเองจะได้รับอันตรายอะไรหากอยู่กับมันสองต่อสอง ชายหนุ่มยีหัวตัวเองแล้วแหงนพิงพนักผ่อนปรนความเกร็งของตัวเอง ห้อยคอไปด้านหลังและปกปิดใบหน้าด้วยการกางหนังสือ อย่าให้มันรู้ว่าเขากำลังทำตัวไม่ถูก

ก่อนหน้านั้น มันเอื้อมมาจับขาของเขา มันจับดูว่าเขาได้รับอันตรายหรือไม่

เจ้านี่เป็นตัวอะไรแน่ แวนกัสไม่เข้าใจ เขายังรู้สึกได้ถึงปลายนิ้วสกปรกที่อุ่นร้อนนั้นอยู่เลย

“ฮึก!”

ชายหนุ่มสะดุ้งโหยง รับรู้ได้ถึงมือของใครบางคนกุมจับที่ข้อเท้า แวนกัสกำมือตัวเองแน่น ไม่อาจแยกแยะได้ว่าสัมผัสร้อนที่ลนลาดมาจากเท้าจรดที่หัวเข่าของตนนั้น เป็นของผู้ใดแน่ ชายหนุ่มกลืนน้ำลายในความเงียบ มีเพียงเสียงน้ำไหล นกร้อง และฝีเท้าบางอย่างที่ขยับอยู่ใกล้เขาเท่านั้น

ไม่ใช่เชน ไม่ใช่เชนแน่นอน

ลมร้อนที่กำลังรดตามลำขาของชายหนุ่มนั้น แวนกัสไม่อยากคิดเลยว่าจะออกจากจมูกของเจ้าตัวใหญ่น่ากลัวนั่น และเขาก็ไม่อาจสนองตอบอันใดให้มันรู้ตัวได้ว่าตอนนี้กำลังรู้สึกอะไร ริมฝีปากแดงเม้มแน่น ใบหน้าที่อยู่ใต้หนังสือปกปิดทั้งตกใจและนึกแปลกใจขึ้นมา ไม่คิดว่าเจ้ายักษ์นี่จะกล้าแตะต้องเขา หากมันกล้าจับเขาแล้วอย่างไรเสียก็ต้องกล้าทำอย่างอื่นด้วย

หรือที่ผ่านมามันก็แค่นิ่งดูเชิงเท่านั้น

สัมผัสมือใหญ่ลากไล้ตามหน้าขา แตะปลายนิ้วเท้าของแวนกัสทีละเล็กน้อยราวกับกำลังสำรวจอะไรบางอย่าง ผู้ถูกกระทำลอบกลืนน้ำลาย พยายามอย่างที่สุดที่จะแสร้งทำเป็นไม่รู้สึกตัว รสสัมผัสร้อนหยาบกระด้างปรากฏบริเวณแผลของชายหนุ่มให้สะดุ้งเล็กน้อย แต่ก็แค่นั้น ไม่นานก็มลายหายไป เจ้ายักษ์ไม่ได้ทำอะไรแวนกัสหลังจากที่พ่นลมหายใจดอมดมตามลำขาที่เป็นแผลของเขา

“กัส...”

คนเอนหลังบนพนักชะงัก ความรู้สึกทำตัวไม่ถูกและตกใจเลือนหายไปเมื่อได้ยินเสียงของเพื่อนรักตะโกนเรียก แวนกัสยกหนังสือออกจากใบหน้าตัวเอง หันไปตามเสียง เห็นเชนเดินไต่หินลงมาจากชั้นสองของน้ำตก ทว่า ในหางตาของเขาปรากฏร่างบางสิ่งเดินวนอยู่ใกล้เป็นคำเฉลย

คือมันจริง ๆ ด้วยที่สัมผัสเขา แวนกัสคิดแล้วพรูลมหายใจออกไปอย่างโล่งอกที่ไม่โดนทำอะไร

เชนเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า แล้วก้มลงมองเพื่อนอย่างนึกประหลาด เห็นแวนกัสกำลังหายใจรุนแรงราวกำลังหอบ ไหนจะแก้มที่กำลังสุกปลั่งนั่นอีก “นายเป็นอะไร ทำไมหน้าแดงอย่างนั้นล่ะ ไม่สบายอีกแล้วเหรอ”

แวนกัสยกมือกุมแก้มตัวเอง “น..นายไปถึงไหนมาน่ะ” เปลี่ยนเรื่องไปเสีย

เชนยิ้มแล้วยื่นดอกไม้มาให้ “นี่ สวยไหม”

“สวยจัง” ชายหนุ่มเบิกตาตื่นเต้น

“ฉันเจอมันข้างบน แปลกตาดี เห็นนายชอบ ในห้องมีแต่ดอกไม้ เอ้า...” สมกับที่เป็นเพื่อนรัก เชนยิ้มจนตาหยียื่นดอกไม้ป่าแสนแปลกตามาให้ แวนกัสอ้าปากค้างอย่างปลื้มอกปลื้มใจ “ขอบใจนะ นายนี่มันน่ารักที่สุด ฉันรักนายนะเพื่อน”

ได้เห็นการตอบสนองด้วยคำหวานแล้วเชนทำท่าเหมือนขนลุก แวนกัสหัวเราะคิก กำลังจะเอื้อมมือไปรับของที่เชนนำมาให้ด้วยต้องการชื่นชมใกล้ ทว่าชายหนุ่มเบิกตา เมื่อเห็นสิ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังเชนกำลังเข่นเขี้ยวโมโห มันทำท่าอยากจะขย้ำเชน ทว่าเพียงแค่ขู่คำรามแล้วใช้มือใหญ่สะบัดเป็นลมแรงเท่านั้น ให้ดอกไม้แสนสวยชอกช้ำและหักออกจากช่อในท้ายที่สุด

เชนตาโต ผละของในมือทิ้งลงพื้น “เฮ่ย นะ..นายเห็นเมื่อกี้นี้ไหม!”

“หา เห็นอะไร ก็แค่ลมพัดไง”

“ไม่ใช่ แถวนี้มีลมที่ไหน” เชนทึ้งหัวตัวเองชี้ที่ดอกไม้กับพื้น “มันต้องมีอะไรทำให้ตกแน่”

“...นายเว่อร์ไปแล้ว”

เจ้าคนขี้กลัวลูบขนที่ลุกชันของตัวเองมาเกาะแขนแวนกัส “แถวนี้ต้องมีบางอย่างน่ากลัวแน่”

“พอเถอะน่า เมื่อกี้นายยังกล้าเดินขึ้นไปข้างบนคนเดียวเลย”

คนฟังเบิกตา “ไปคนเดียวฉันรู้สึกว่าไม่มีอะไร แต่ฉันเหมือนสัมผัสได้ ว่ามันต้องอยู่ข้างนาย!”

ได้ยินแล้วแวนกัสก็เลิกคิ้ว ฉุกคิดขึ้นมาว่าขนาดเชนยังรู้เลยว่ามีของประหลาดวนเวียนอยู่แถวตัวเขา แล้วเจ้าตัวใหญ่นั้น ไม่รู้ตัวหรือว่าได้ปล่อยรังสีอำมหิตออกมาจนใครเขาสัมผัสได้กันหมด ทำแบบนี้มันก็ยิ่งชัดเจน ว่าเจ้าสัตว์ประหลาดตัวโตนี่มีเป้าหมายสิ่งเดียว

ซึ่งก็คือแวนกัส

แถมขี้หวงมากเสียด้วย

อยากจะขำอยู่หรอก แต่ก็นึกโกรธที่มันทำท่าจะขย้ำเชนเมื่อครู่ ชายหนุ่มก้มลงเก็บดอกไม้มาถือ แม้จะชอกช้ำและหักพัง ทว่ามันยังสวยอยู่ “ถ้ามันอยู่ข้างฉันตลอดเวลา ป่านนี้ฉันก็ต้องเห็นมันบ้างแล้วสิ หรือไม่มันก็ต้องมาปรากฏตัวต่อหน้าฉันบ้าง ฉันจะได้รู้ว่ามันต้องการอะไรกันแน่”

เชนกอดอก นึกขึ้นได้ว่าพูดมากเกินไปแล้ว “ฉันว่าฉันคิดไปเองน่ะกัส ไม่น่าเผลอพูดให้นายไม่สบายใจเลย”

“ไม่ต้องคิดมาก ฉันไม่กลัวหรอก”

“แต่นายอยู่คนเดียว”

“ช่างเถอะ ยังไงฉันก็ไม่พาตัวเองไปอยู่ในที่ที่มันเสี่ยงอยู่แล้ว”

ใช่...ก็อย่างที่บอกเชนไป เขาไม่มีทางพาตัวเองไปเสี่ยงแน่นอน แวนกัสก็รักชีวิตเหมือนกัน แต่ถึงจะบอกเพื่อนไปเช่นนั้น ภายในหัวของแวนกัสกลับเต็มไปด้วยคำถามมากมายเกี่ยวกับอสูรตัวใหญ่ข้างนอก ตั้งแต่กลับมาถึงบ้าน อาบน้ำ ทานมื้อเย็นกันจนถึงเวลาทิ้งหัวลงบนหมอน ชายหนุ่มก็คิดไม่ตกว่าสาเหตุอะไรแน่ ที่ทำให้มันวนเวียนอยู่รอบตัวเขา หวนให้ชายหนุ่มนึกถึงเมื่อตอนนั้นขึ้นมา

‘กัส นายไม่เจ็บขาแล้วเหรอ’ เชนเอ่ยถามขณะทั้งสองเดินกลับ

เรื่องนี้แวนกัสก็เพิ่งนึกขึ้นมาได้ ชายหนุ่มก้มลงมองที่หัวเข่าของตัวเองอย่างแปลกใจ เขาจำได้ว่ามันมีรอยแผลถลอก มีเลือดไหลซิบออกมานิดหน่อย แต่ครั้นก้มดูอีกครั้ง คราวนี้ไร้ร่องรอยอะไร ‘ไม่เจ็บเลย คงหายแล้ว’

‘หายไวอย่างกับได้ยาผีบอก’ เชนเบ้ปากแล้วเดินต่อ

(มีต่อ)

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa
(ต่อ)

คนนอนบนเตียงถอนใจ หรือสัมผัสจากเจ้าตัวนั้นทำให้เขาหายเจ็บ แม้กระทั่งร่องรอยของแผลก็ไม่มีราวกับชายหนุ่มไม่เคยหกล้มมาก่อน คิดแล้วแวนกัสก็พลิกตัวนอนตะแคง ในความมืดของกลางดึกนั้นมีแสงจันทร์สาดผ่านหน้าต่างเข้ามา เชนนอนบนโซฟาอยู่ข้างนอก และเขาใช้เวลาครุ่นคิดนานเท่าไรไม่ทราบ กระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าของผู้มาเยือนทุกวันแล้ว

“ตีสองแล้วเหรอ” ชายหนุ่มเอ่ยถามตัวเองเบาพร่า แนบใบหน้าขาวซีดกับหมอน กลิ่นหอมของดอกไม้ป่าช่อใหม่ที่วางอยู่บนโต๊ะโคมไฟยังคงลอยอบอวลในห้อง ทว่าคราวนี้ช่อใหม่กว่านั้นได้เดินทางมาถึงหน้าต่างแล้ว

แวนกัสแสร้งพริ้มตาหลับทั้งที่หันหน้าหาบานกระจก เห็นร่างในเงามืดใหญ่กำยำกำลังวางดอกไม้ ใจแวนกัสเต้นตึกเมื่อวางให้แล้วมันมิได้ยืนดูเขาหลับอย่างเช่นทุกวัน หรือวันนี้ยักษ์ใหญ่นอกบ้านจะจัดการเขาแล้ว แวนกัสหรี่ตา เห็นมันกำลังยกบานหน้าต่างขึ้นเปิด แล้วเอื้อมมาแตะปลายนิ้วที่จมูกของเขาหนหนึ่งจนได้กลิ่นสาปสางอ่อน ๆ

แต่เดี๋ยวก่อน ชายหนุ่มคิดขึ้นมาได้ว่าการกระทำแบบนี้ คนเขาทำเฉพาะตอนนึกเอ็นดูของน่ารักมิใช่หรือ อย่างตอนเขาจิ้มดอกของต้นกระบองเพชรเมื่อวานอย่างไรเล่า

อย่าเชียวนะ หรือว่าเจ้ายักษ์นี่มองเห็นเขาเป็นของน่ารัก

แวนกัสมุ่นคิ้วทั้งที่หลับตา ไม่ใช่สักหน่อย...เจ้ายักษ์นี่เป็นอสูรนะ มันจะไปมีความรู้สึกอย่างคนหรือ

ขณะที่ทะเลาะกับตัวเอง ได้ยินมันหายใจรุนแรงขึ้น แวนกัสรู้สึกว่าคงเป็นเพราะเจ้ายักษ์เหลือบไปเห็นดอกไม้ของเชนที่วางอยู่ มันคว้าหมับออกไปทึ้งฉีกเสียกระจุยกระจายอยู่ด้านนอก คนมองอยู่ถึงกับเบิกตาตกใจความอารมณ์ร้ายของมัน ไม่อาจเข้าข้างตัวเองว่าที่ทำเช่นนั้นเพราะมันกำลังหวงเขาที่เป็นของน่ารัก หรือเป็นเพราะเขาเป็นอาหารของมันกันแน่!

ครั้นทำลายข้าวของของเชนจนพอใจแล้ว มันก็หันขวับมาเจอะกับกระถางต้นกระบองเพชร

อย่าเชียวนะ

“ฮึ่ม!” มันกำลังหงุดหงิดเพียงแค่เห็นของคนอื่นวางอยู่ในห้องแวนกัส เจ้ายักษ์ร้ายมองกระถางตรงหน้า ด้วยดวงตาสีแดงลุกท่วมไปด้วยอารมณ์ คว้าหมับกำไปที่ต้นจนกระถางแตกละเอียด “ฮึ่ม!”

นั่นไงเล่า...

มันผละของในมือออกเหมือนกำลังเจ็บ ร้องคำรามใส่กระถางนั้นราวกับไม่รู้ว่าสิ่งตรงหน้าทำร้ายตัวเองได้อย่างไร ไม่ใช่เขาเสียดายต้นไม้น้อย แต่รู้ว่าเจ้าตัวใหญ่กำลังจะโดนหนามทิ่ม ทั้งที่นึกเกรงกลัว ทว่าแวนกัสอดไม่ได้ที่จะยิ้มขันกับความตลกนั้น ยามมันเอียงคอ ยื่นขามาเขี่ยที่กระถางอย่างระวังท่าทีกว่าเก่านั้น ราวกับกลัวต้นไม้น้อย ๆ ทำร้ายซ้ำรอบสอง

ยิ้มของเขากว้างและแอบมองอย่างตรงไปตรงมา จนลืมไปเสียสนิทว่าตัวเองต้องปกปิดท่าที และรอยยิ้มของเขานั้นก็ได้เรียกอสูรร่างยักษ์ให้หันขวับมามอง มันตกใจถอยกรูดหนี ร้องโฮกใหญ่เสียแวนกัสสะดุ้งเพราะถูกจับได้กันทั้งคู่

มันถูกเขามองเห็น ส่วนเจ้าอสูรก็รู้ตัวแล้วว่าเขาเห็นมัน ทันทีที่หันมาเจอะแวนกัสมันก็ตัวสั่น

เจ้าอสูรยักษ์กลัวเขามองเห็นถึงขนาดนั้นเชียวหรือ ชายหนุ่มรีบลุกขึ้นไปเกาะหน้าต่าง “เดี๋ยว...”

เจ้ายักษ์ถอยหนีแวนกัสไปกว่าเก่าทันทีที่แน่ใจว่าชายหนุ่มพูดด้วย

“เดี๋ยวก่อน เดี๋ยว!” นั่นเป็นตัวอะไรกันแน่ เป็นปีศาจที่ต้องการกินเนื้อมนุษย์เป็นอาหารอย่างที่เล่าขานกันมาแน่หรือ แวนกัสเอื้อมแขนอยากรั้งอีกฝ่ายที่กำลังหมุนตัว วิ่งหนีเข้าไปในป่าท่ามกลางความมืดมิด ได้ยินเพียงเสียงฝีเท้ากระทบกับเหล่าแมกไม้เท่านั้น “เดี๋ยวก่อน!”

ทำท่าจะปีนหน้าต่างตามไปพิสูจน์ให้เห็นกับตา ทว่าชายหนุ่มถูกรั้ง “กัส นายเป็นอะไร”

“หา” ชายหนุ่มหันไปหาเชน

“นายละเมอเสียงดัง ทำท่าจะปีนออกไปข้างนอก นายทำให้ฉันกลัวนะ”

แวนกัสปรับสีหน้า หันมองไปยังด้านนอกแล้วทำใจปล่อยให้มันจบลงเช่นนี้ “ขอโทษทีเชน ไปนอนเถอะ”

“นายโอเคนะ”

“อืม” แวนกัสครางในลำคอเป็นการยืนยันให้เพื่อนรักแน่ใจ เดินไปทิ้งตัวลงนอนบนเตียงด้วยความเงียบเชียบ ทำทีเหมือนว่าเพียงครู่เดียวก็หลับลงไปแล้ว หลงเหลือเพียงเชนที่ยืนนิ่งมองอยู่ที่หน้าประตูอย่างนึกห่วง ก่อนจะยอมเดินออกไป ปล่อยให้แวนกัสนอนถอนหายใจ มองออกไปยังด้านนอกด้วยความไม่เข้าใจเสียเลย

สรุปแล้ว เจ้ายักษ์นั่นไม่ดุร้าย แถมยังขี้กลัวมนุษย์เสียด้วย อะไรที่ทำให้มันตัดสินใจมาวนเวียนรอบกายเขากันหนอ คิดแล้วหนุ่มตัวขาวก็ยกข้อมือขึ้นมาดู หรือว่าจะเป็นเจ้าสิ่งนี้กัน


บรรยากาศมื้อเช้าวันนี้ต่างจากเมื่อก่อนไปเล็กน้อย ทุกอย่างเงียบลงไปตั้งแต่เคลไม่อยู่ วิลงุดลงมองมื้อเช้าของตัวเองแล้วหันไปมองบิดาเพราะความจริงที่เพิ่งได้รู้ ความจริงที่เคลยังคงเข้าใจผิดมาโดยตลอดว่าคนที่เลี้ยงมาคือพ่อบุญธรรม พวกเขาต้องบอกให้น้องทราบถึงความจริงนี้ เจ้าตัวจะได้กลับมา เลิกคิดระแวงว่าท่านจะไม่รักได้แล้ว

“ทำไมไม่กินอะไรกันเลยล่ะ” แวนกัสชำเลืองมองลูก ๆ

“วันนี้เราขอไปหาเคลได้ไหมฮะ”

ผู้ใหญ่ที่สุดพยักหน้าหลังฟัง “พ่อรู้ว่าลูกห่วงน้อง”

“เคลกลัวปะป๊าจะไม่รักเขาอีกต่อไปแล้ว น้องคิดว่าปะป๊าเป็นคนอื่น”

“ถึงจะไม่ใช่ลูกจริง ๆ แต่พ่อก็รักพวกนายอยู่แล้ว”

“พวกเรารู้ฮะ แต่พอรู้ว่าเป็นพ่อของเราจริงก็ทำให้พวกเรามั่นใจขึ้นนี่นา” ไคล์รีบตอบ

“มั่นใจอะไร” แวนกัสมุ่นคิ้ว ไม่เข้าใจ

“พวกเรารักปะป๊า แต่ไม่รู้ว่าปะป๊าจะมองเห็นพวกเราเป็นเพียงภาระหรือเปล่า”

“ไม่ใช่สักหน่อย” คนอายุเยอะที่สุดรีบส่ายหน้าบอกเด็ก ๆ “พ่อเคยมองพวกนายเป็นภาระเสียที่ไหน ถึงจะดื้อหรือห้ามไม่ฟังกันบ้าง แต่พวกนายเป็นเด็กดี แล้วก็น่ารักกันทุกคน กลับกันมันทำให้พ่อรู้สึกภูมิใจเสียด้วยซ้ำที่มีลูกอย่างพวกนาย” น้ำเสียงจริงจังของแวนกัสทำให้ทั้งสามถึงกับพูดไม่ออกกันพักหนึ่ง เป็นไวน์ที่นึกคำออกมาได้ เด็กหนุ่มจึงหันไปหาผู้เป็นบิดา

“เพราะอย่างนั้นเราถึงต้องไปหาเคล ไปบอกให้เขากลับบ้านไงฮะ”

แวนกัสยกยิ้มขึ้น นึกโล่งใจ “พ่อฝากพวกนายจัดการได้ใช่มั้ย”

“ได้อยู่แล้ว เชื่อมือพวกเราเลย เราจะพาเคลกลับมาให้ได้”

“อืม เด็กดี พ่อภูมิใจในตัวนายทุกคนนะ” รอยยิ้มของผู้เป็นพ่อที่ยากจะปรากฏให้เห็นนั้นทำเอาเด็กทั้งสามดีใจ ทุกคนหันสบตากันและกันก่อนจะมองตามร่างสูงโปร่งของแวนกัส คนอายุเยอะสุดรีบลุกขึ้น ไปกุลีกุจอทำอะไรสักอย่างที่อีกฝั่งของครัว “ทำเพิ่มอีกหน่อย พวกนายไม่ต้องคิดจะอดมื้อเช้าแล้วเอาไปให้น้อง เดี๋ยวพ่อเตรียมให้ เคลคงหิวเพราะอดตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”

“อื้ม!” วิลขานรับ

ทั้งสามส่งยิ้มให้กันแล้วต่างรีบตักทาน ด้วยต้องการไปพบกับเคลให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ บนเขามีกระท่อมเล็กผุพังแห่งหนึ่ง มันไม่ค่อยน่าอยู่สำหรับเด็กวัยสิบห้านัก โดยเฉพาะใช้เป็นที่สำหรับพักยาวนาน เคลอยู่ที่นั่นได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น และไม่รู้ป่านนี้ การนอนที่อื่นอันไม่ใช่ห้องนอนที่ตัวเองคุ้นชินครั้งแรกของเคลนั้น จะเป็นอย่างไร

เสียงเหล่านกน้อยและสัตว์ป่าตัวเล็กวิ่งไล่กันอยู่ข้างนอก ทำให้คนหลับรู้สึกตัวว่าเช้าแล้ว เคลขยี้ตาตัวเองขณะงัวเงียตื่นหลังจากเพลียหลับลงไปไม่กี่ชั่วโมง เด็กหนุ่มสะดุ้งกอดเสื้อแขนยาวพี่ไคล์ไว้แน่นในอก เมื่อคืนเสื้อฮู้ดตัวสีเขียวขี้ม้าของเขาแห้งแล้ว เคลจึงถอดมาสวมของตัวเองแทน ด้วยเกรงว่าจะทำของพี่ชายเปรอะเปื้อน เขานอนกอดมันไว้ทั้งคืนอย่างคิดถึงทุกคน

กลิ่นของไคล์เป็นเสมือนเพื่อนทำให้เคลหายเหงา ชายหนุ่มยกหลังมือเช็ดน้ำตา เดินออกจากกระท่อมหลังเก่าไปเจอะเข้ากับกวางตัวสีขาว มันมองเขา และคับคล้ายคับคลาว่าเมื่อคืนเคลฝันถึงมันด้วย เป็นฝันที่ดีและอบอุ่นมากเหลือเกิน

“เฮ้...” เด็กหนุ่มไม่รู้สึกเกรงกลัว เหลือบไปเห็นว่ามันกำลังเจ็บขา “นายเดินไม่ไหวใช่มั้ยล่ะ มานี่ฉันช่วย”

น่าแปลกที่ดูเหมือนเจ้ากวางตัวนี้จะฟังคำพูดรู้เรื่อง เด็กหนุ่มทรุดลงช่วยมันด้วยการดึงไม้ที่ทิ่มขาออกให้ แล้วลูบบริเวณขนเป็นการปลอบโยน แหงนมองยังดวงตากลมโตนั้น แล้วจู่ ๆ ภาพฝันก็พรั่งพรูกลับเข้ามาในสมอง ทั้งที่คราแรกเคลลืมไปหมดสิ้นแล้ว

‘เจ้าน่าสงสาร เจ้าน่าสงสาร...’

‘ผมเหรอ’ เคลเช็ดน้ำตาตัวเอง ผละจากเข่าที่กำลังกอด

กวางสีขาวตรงหน้าเดินมาใกล้ ‘เจ้าอยากให้ข้าช่วยรึไม่’

‘ไม่ แค่ช่วยอยู่เป็นเพื่อนผมได้มั้ยฮะ’

‘ข้าให้เจ้าได้มากกว่านั้น เด็กดี’

‘คุณกวาง แค่ความน่ารักของคุณก็เพียงพอแล้วฮะ’ เด็กหนุ่มเขยิบเข้าใกล้ คว้าคอของมันมากอดซบ เจ้ากวางเงียบไปแล้วทรุดตัวลงนอนเบียดกัน เป็นหมอนข้างให้เด็กน้อยแสนเศร้าที่กำลังว้าเหว่ เมื่อรำลึกถึงได้ เด็กหนุ่มยกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยแล้วลุกขึ้นยืน มองเจ้ากวางแสนสวยตรงหน้าวิ่งหนีไปทิศอื่นหลังจากถูกช่วยเหลือ ความรู้สึกที่ตัวเองนอนอิงแอบกับมันยังคงอบอวลอยู่ในอก เหมือนเป็นความจริง

อาจเป็นเพราะความอบอุ่นจากแจ๊คเก็ตของไคล์ ทำให้เคลรู้สึกเหมือนกำลังนอนกอดกวางขนงามอยู่กระมัง

“เคล เคล!”

“เฮ้ ฉันอยู่นี่!” รอยยิ้มสดใสผุดขึ้นบนใบหน้าของเด็กเหงา เคลวิ่งออกไปตามเสียงเรียกของเหล่าพี่ชายที่กำลังวิ่งมาหา ท้ายที่สุดก็มาบรรจบกันอยู่ริมน้ำตกอันเป็นฐานลับของพวกเขา เด็กหนุ่มยิ้มร่าไปกอดวิลราวกับห่างไกลกันนับปี ไม่ต่างจากพวกพี่ ๆ เองเท่าไรนักที่กรูเข้ามากอดกันกลม “เคล ดูนี่สิว่าพวกเราเจออะไร”

เด็กหนุ่มผละมามองแล้วอ้าปากค้าง เป็นของที่บิดาโดยแท้จริงทิ้งไว้ให้ เขาทำมันหลุดหายไปเมื่อหลายวันก่อน เคลยิ้มหน้าบานคว้ามันมาสวมที่คอดังเก่าด้วยความดีใจ “ให้ตายสิฉันนึกว่าจะไม่ได้มันคืนมาซะแล้ว ขอบใจพวกนายมากที่หามาให้ฉัน ทั้งที่นี่มันเป็นของชิ้นเดียวที่พ่อแท้ ๆ ทิ้งไว้ให้ ฉันยังทำมันหายอีก แย่ชะมัดเลยใช่มั้ยล่ะ”

ทุกคนละรอยยิ้มลง “เคล เรื่องนั้นน่ะ”

“ว่าไง”

“นายเข้าใจปะป๊าผิดรู้มั้ย” วิลบอกน้องพลางลูบบ่าให้อย่างอ่อนแผ่ว “เมื่อวานเราเพิ่งรู้ความจริง”

“ความจริงอะไร” เคลย้อนถามตาแป๋ว

“ความจริงที่ว่ายังไงปะป๊าก็ไม่มีทางเกลียดนายยังไงล่ะ” กล่าวจบ วิลก็ล้วงกระเป๋าตัวเอง ยื่นรูปภาพใบนั้นให้กับน้องชายทราบถึงเรื่องที่เอ่ยมาข้างต้น เคลก้มดูมันอยู่ครู่เดียวเท่านั้น ก่อนจะเงยขึ้นสบตาพี่ ๆ เพื่อมองหาตัวช่วยในการอธิบาย ทั้งสามเริ่มต้นด้วยการพาเคลเดินไปทรุดนั่งกันที่โขดหินแถวนั้น

“อาจจะยาวหน่อย นายกินไปด้วยฟังไปด้วยแล้วกัน...”

เด็ก ๆ ออกไปกันได้พักใหญ่แล้ว แวนกัสยังคงเดินวนอยู่ในห้องนั่งเล่นไม่ยอมไปทำงานอย่างนึกห่วงลูก ชายหนุ่มยกนิ้วโป้งมากัดเล็บอย่างกลัดกลุ้ม ไหนจะเรื่องที่เขายอมปอกเปลือกเล่าให้เชนฟังอีก ว่าทุกอย่างเป็นมาอย่างไร แล้วความจริงที่ว่าเหตุใดเด็ก ๆ ทุกคนถึงได้มีเลือดเนื้อของเขาอยู่

เมื่อวาน เขาจำสีหน้าของเชนได้ว่าอึ้งขนาดไหน ทั้งที่เจ้าตัวเป็นพวกเชื่อในสิ่งลี้ลับนัก แต่ครั้นพอเขาเล่าออกไปตามความจริงแล้วนั้นอีกฝ่ายกลับส่ายหน้าไม่เชื่อ หาว่าเขาสติแตกไปแล้ว แวนกัสพ่นลมหายใจทรุดนั่งลงบนโซฟาของตัวเอง คิดว่าหากวันนี้เชนได้เห็นเคลแล้วคงพอจะเข้าใจ ว่าเขาไม่ได้เล่าอะไรเกินจริงแม้แต่น้อย

สิ่งที่เขาเห็นในป่าเมื่อสิบหกปีก่อนนั้น ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันอย่างแน่นอน

จากคนที่ไม่คิดว่าตัวเองตั้งท้องได้ ยังคลอดลูกชายมาได้ถึงสี่คน!

ความเจ็บปวดทรมานคืนนั้นมันตอกย้ำแวนกัสอยู่เสมอ ว่าพ่อโดยแท้ของลูกมีจริง ไม่ใช่สิ่งที่เขาสร้างขึ้นมาด้วยจินตนาการ ไอ้ยักษ์บ้านั่น ตัวที่ทำให้เขาตั้งท้อง แล้วทิ้งให้อยู่คนเดียวในคืนที่ต้องเจ็บปวดเพราะการเบ่งคลอด แวนกัสจะไปลืมมันลงได้อย่างไร!



 

--------------------------------------------------

พี่ยักษ์ก็คือหายไปตั้งแต่คืนที่เมียคลอด จนผ่านมาสิบหกปีแล้ว เมียพาลูกออกมาอยู่ในเมืองแทน

ก็คือคนละเมืองกับป่าใหญ่แถบชนบทที่พี่ยักษ์อยู่นะคะ

พี่กวางคือเทพเจ้าที่รู้อะไรล่วงหน้า อ่านแล้ววิเคราะห์กันเองนะคะ ทั้งความคิด คำพูดของพี่กวาง

ส่วนกวางที่เคลเจอะเป็นใครนะ ตัวเดียวกันเปล่า อิอิ มีข้อมูลเกี่ยวกับบุตรของเทพเจ้าแล้ว แต่พี่ยักษ์เป้นใครน้า ใช่บุตรของเทพเจ้าเปล่า รึว่าน้องเคลน้าาาา ขอหย่อนบอมบ์ไว้เพียงเท่านี้ ฝากคอมเม้นด้วยนะคะ ติชมได้ ด่าก็ได้ค่ะอ่านหมดเลย แล้วจะตอบด้วยค่ะทุกเม้นเลยเด้อ

เจอกันตอนหน้าจ้า จุ๊บบบบบบ



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-10-2019 13:52:52 โดย noonaaRP »

ออฟไลน์ พิศตะวัน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-3
น่าสนใจมากค่ะ
มาต่อไวๆน้าาาาาา

ออฟไลน์ sang som

  • เจ็บจิต!!
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-6
รอจ้า สนุกมาก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
 :katai1: :katai1: อยากอ่านต่อแล้วว

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa

#ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง

ตอนที่ ๕

ค่ำแล้ว แวนกัสเดินไปเปิดประตูทันทีที่ได้ยินฝีเท้าลูกชายใกล้เข้ามา ทุกคนชะงักเมื่อเห็นเขา ผิดกันกับผู้เป็นพ่อที่กำลังรู้สึกดีใจ เพราะเห็นลูกชายกลับมาครบกันทุกคน ชายหนุ่มมองที่ลูกคนเล็ก เจ้าตัวยังคงสวมฮู้ดสีเขียวและกางเกงยีนส์สีฟ้าอ่อน ตัวเดิมที่ใส่วันนั้น และยังคงไม่ยอมให้เขามองเห็นอะไรภายใต้หมวก แม้ว่าจะใจอ่อนยอมกลับมาแล้วก็ตาม

ถึงอย่างนั้นแวนกัสก็โล่งใจ “เคล”

เด็กหนุ่มที่ถูกคว้าดึงไปกอดรู้สึกตัวเกร็งทำอะไรไม่ถูก สิ่งที่ทำได้คือยืนให้ผู้เป็นบิดากอดจนกว่าจะพอใจ เด็กหนุ่มชำเลืองมองเหล่าพี่ชายครู่เดียว ทุกคนพยักเพยิดให้ปรับความเข้าใจ และรับรู้สักทีว่าแวนกัสคือคนสุดท้ายที่จะผลักไสเด็กหนุ่ม

“ผมขอโทษนะปะป๊า ที่ทำให้เป็นห่วง”

คนฟังลูบหัว “ไม่เป็นไร พ่อดีใจที่ลูกยอมกลับมา”

“คือผม...”

“คราวหลังอย่าหนีไปอย่างนี้เข้าใจไหมเคล”

“ฮะ ผมขอโทษจริง ๆ ฮะ เพราะผมกลัวว่าปะป๊าจะไม่รักผมอีกต่อไปแล้ว ถ้าปะป๊าเห็นว่าผมเป็นตัวประหลาด ผมไม่อยากให้ปะป๊าเห็นว่าตอนนี้ผมน่าเกลียดขนาดไหน” เด็กหนุ่มสารภาพเสียงสั่น

“ลูกยังเป็นลูกของพ่อเสมอ ไม่ต้องกลัว ต่อให้ใครว่าลูก พ่อก็จะเป็นคนที่สวนกลับคนพวกนั้นเอง เข้าใจไหม”

เคลผละมาเช็ดน้ำตาตัวเอง “จริงนะฮะ”

แวนกัสพยักหน้า “ขอพ่อดูหน่อยได้ไหม ดูยังไงนายก็ยังเหมือนเดิมนี่”

คำถามของผู้เป็นพ่อทำให้เคลนิ่งไป เด็กหนุ่มก้มลงมองพื้น เดินนำเข้าไปในบ้านไม่ยอมพูดจา ผู้เป็นพ่ออดคิดในใจไม่ได้ว่าบางทีลูกต้องใช้เวลาที่จะยอมรับ ‘ความจริง’ ชายหนุ่มเดินตามเคลเข้าไปในบ้าน เห็นลูกชายยืนทำตัวไม่ถูก ไม่ได้พูดอันใดสักคำนอกจากถอดเสื้อของตัวเองออก

แวนกัสเบิกตาเมื่อเดินไปถึง “เคล ลูก...”

“ผมไม่เหมือนเดิมเลยใช่ไหมฮะ”

“ไม่ใช่ พ่อหมายถึงลูกดูตัวโตขึ้นนะ” ไม่ได้เจอกันเพียงสองวัน แวนกัสเห็นว่าร่างกายของเคลเปลี่ยนไปมากมายนัก เจ้าตัวสูงขึ้น ดวงตาเปลี่ยน เส้นผมเปลี่ยนสีและยาวไวจนประบ่า จากเด็กอายุสิบห้าเมื่อสองสามวันก่อนคราวนี้เหมือนโตเต็มวัยแล้ว ชายหนุ่มยกมือสางเส้นไหมสีเงินที่คุ้นเคยในอดีต สบมองที่เขาสองข้างบริเวณตีนผมของลูกชายอย่างพินิจ

เหมือนพ่อไม่มีผิด

แม้ตอนนี้มองเผิน ๆ เคลจะดูเหมือนมนุษย์เต็มวัยแล้ว แต่สำหรับยักษ์ เด็กตรงหน้ายังโตไม่เต็มวัย ยังแบเบาะนัก

ท่าทีไม่แปลกใจของผู้เป็นพ่อทำให้เคลประหลาดใจ เด็กหนุ่มเอียงหน้ารับฝ่ามืออบอุ่นของบิดาครู่หนึ่ง ซึมทราบความรักที่ท่านมอบให้อย่างเงียบเชียบ “ลูกได้สร้อยคอกลับคืนมาแล้วสินะ”

“ฮะ พวกเขาหามาให้” เคลมองไปทางพี่ ๆ

“เก็บมันไว้ให้ดีนะ มันสำคัญ”

“ครับ” เจ้าตัวพยักหน้า งุดมองที่ดวงตาคาดเดาไม่ได้ของบิดาแล้วรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ท่าทางของแวนกัสนั้นทำให้เคลอดคิดไม่ได้เลยว่า แท้จริงแล้วท่านคุ้นชินกับร่างกายแบบนี้ของเขา ราวกับว่ามันเป็นเรื่องปกติ

เคลอาจคิดผิดไปก็เป็นได้ ว่าท่าทีวันก่อนที่บิดาเห็นเขานั้นคือแววรังเกียจ

“เรื่องที่ลุงเชนเล่าให้ฟัง เป็นเรื่องจริงงั้นเหรอฮะ” เด็กหนุ่มถาม

แวนกัสยกยิ้ม “โกรธพ่อเหรอ ที่โกหก”

“ไม่ ผมเข้าใจว่าปะป๊าอยากปกป้องเรา ผมภูมิใจใจตัวปะป๊านะฮะ”

“ดีมาก ถ้าไม่มีเรื่องขึ้นมา พ่อคงไม่รู้ว่าพวกนายเป็นเด็กดีขนาดนี้” แวนกัสยิ้มขึ้น เขย่าหัวเด็กตัวโตเบื้องหน้าแล้วพยักเพยิดบอก “งั้นขึ้นไปอาบน้ำพักผ่อนกันเถอะ พวกลูกคงเหนื่อยกันน่าดู ใครสอบพรุ่งนี้ก็อ่านหนังสือกันด้วยล่ะ”

“โห่ นึกว่าปะป๊าจะลืมแล้วซะอีก”

“ไม่มีทางซะหรอก อย่างน้อยก็ขอให้ได้บีมาซักตัวเถอะเจ้าพวกบื้อ” ผู้เป็นพ่อกอดอก บนใบหน้ากลับมาเปื้อนยิ้มอีกครั้งอย่างวางใจว่าคราวนี้จะไม่ต้องเสียทุกคนไปจริง ๆ ท่ามกลางเสียงร้องโหยหวนของเจ้าแสนแสบทั้งสาม คนสุดท้ายที่เดินตามพี่ ๆ เป็นน้องเล็ก ที่บัดนี้ตัวโตกว่าพี่แล้ว เจ้าตัวหันมายกยิ้มให้ แล้วเดินขึ้นไปอย่างเงียบเชียบเรียบร้อยเหมือนทุกที

หลังต้อนให้เด็ก ๆ ขึ้นไปด้านบนแล้ว แวนกัสขมวดคิ้วมุ่นยกโทรศัพท์ขึ้นมากดข้อความหาเชน พรุ่งนี้เพื่อนรักต้องมาเห็นด้วยกับตาว่าเขาไม่ได้พูดจาเพ้อเจ้อ เคลเป็นลูกของยักษ์ที่เขาเจอเมื่อสิบหกปีก่อนจริง ๆ หากไม่เชื่อให้มาหาเขาพรุ่งนี้เช้าเพื่อพิสูจน์ได้ คิดแล้วแวนกัสก็ยกยิ้มเปลี่ยนอารมณ์ เพราะจินตนาการได้ว่าเชนจะหน้าเหวอประมาณไหนเมื่อพบกับเคล

ขึ้นไปถึงห้องพัก สิ่งแรกที่ทำเลยคือถอดสร้อยเพื่อเตรียมตัวอาบน้ำท่า วิลวางของสำคัญไว้ในกล่องที่เป็นส่วนของเขา เด็กหนุ่มถอดเสื้อตัวใหญ่แล้วเดินนำเหล่าน้องชายไปจัดการธุระตัวเอง ส่วนผู้อื่นก็ทำอย่างอื่นรอไปก่อน แต่ก่อนจะออกจากห้อง วิลยกยิ้มเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้ เด็กหนุ่มเดินกลับไปที่ชั้นหนังสือของตนเอง ค้นหาบางอย่างแล้วโยนไปให้น้องเล็ก

“เอ้า นี่ของนาย”

เคลที่ล้มนอนอยู่บนเตียงชั้นสองแปลกใจ เห็นเป็นหนังสือเล่มเก่า มีร่องรอยของอายุเต็มไปหมด “อะไรน่ะ”

“หนังสือที่ฉันบังเอิญเห็นในห้องทำงานปะป๊า นายลองอ่านดูสิ”

“บุตรของเทพเจ้า” เคลกวาดสายตามอง

“ลองอ่านดู บางทีนายอาจจะรู้ก็ได้ว่าตัวเองเป็นอะไร”

“หืม...”

“ฉันว่ารูปร่างหน้าตาในหนังสือเล่มนี้มันคล้ายนายนะ” วิลบอกแล้วชะโงกมาคลี่เปิดหน้าหนึ่งในหนังสือให้ดู เป็นรูปอันวาดด้วยพู่กันลาง ๆ ให้เห็น บรรยายรูปร่างของสิ่งนี้ด้วยประโยคที่ว่า “บุตรของเทพเจ้ามีรูปร่างไม่เหมือนกันนัก แต่ที่เห็นกันมาแต่ช้านานนั้นเล่าว่ามีร่างกายใหญ่กว่ามนุษย์สองเท่า ผมสีเงินหยักศกยาวระหง ดวงตาสีแดงฉาน ผิวขาวราวหิมะ และมีเขาสองข้าง...”

เคลกะพริบตาอย่างไม่อยากเชื่อ “เรื่องจริงเหรอเนี่ย”

“นายว่ามันแปลกมั้ย ที่หนังสือนี่อยู่ในห้องทำงานของปะป๊า”

เคลหันมองตาพี่คนโต พยักหน้า “แปลก”

“แต่เราก็ทำอะไรไม่ได้ จนกว่าปะป๊าจะบอกเราเอง” วิลยักไหล่

“นายหมายถึง ปะป๊ายังมีอีกเรื่องที่ไม่ได้บอกเราใช่ไหม”

ผู้พี่เบ้ปาก “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ฉันไม่อยากฉลาดเกินไป ไม่อยากมองปะป๊าในแง่ไม่ดี”

“นั่นสิ”

คนฟังหันกลับมาจ้องหนังสือในมือ ไม่อยากนึกไปต่าง ๆ นานาแล้วส่งผลให้สิ่งที่ผู้เป็นพ่อทำลงไปนั้นสูญเปล่า เคลคิดแล้วก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือที่ได้มาด้วยความตั้งใจ เขาได้รู้ว่าบุตรของเทพเจ้านั้นมีอยู่หลายถิ่นฐานเพราะเทพเจ้ามีหลายตน เทพเจ้าเองก็เป็นบุตรของพระเจ้าอีกที อาศัยอยู่หลายที่ทั่วทั้งผืนโลกไม่ว่าจะเป็นในเมือง ในน้ำ บนอากาศ ป่าไม้ หรือแม้กระทั่งดวงดาว

บุตรของเทพเจ้าเกิดได้ด้วยความรักความเอ็นดูของเทพเจ้า อาจกลายร่างมาจากสัตว์มีที่ความดีความชอบ อาจเกิดจากมนุษย์ที่มีจิตใจบริสุทธิ์ หรือแม้กระทั่งปิศาจที่มีคุณงามความดี ความรักของเทพเจ้าจะทำให้ความปรารถนาของบุตรนั่นเกิดขึ้นจริง

แต่เรื่องของบุตรเทพเจ้านั้นเกิดขึ้นมานานเหลือเกินแล้ว เพราะภายหลังความชั่วทำให้บุตรของเทพเจ้าถือกำเนิดน้อยลง เล่าว่าบางทีบุตรเทพเจ้าในบัจจุบันนี้ไม่มีหลงเหลืออยู่แล้ว เพราะความรักของท่านที่มอบให้ผู้ถือกำเนิดใหม่มีน้อยลงด้วยความจริงที่ว่ามนุษย์ สัตว์ และปิศาจต่างเห็นแก่ตัว

ไม่เว้นแต่บุตรของเทพเจ้าเองก็ด้วย ไม่นาน มันก็ต่างสูญสิ้นลง

กลายเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติไป

“เคล เคลตื่น!” คนหลับคาหนังสือสะดุ้งงัวเงียมองเหล่าพี่ชายด้วยความไม่เข้าใจสถานการณ์ เห็นทั้งสามยิ้มร่ามองมาที่เขาทั้งเขย่าทั้งกระโดดโลดเต้น เด็กหนุ่มงัวเงียลุกนั่งอย่างไม่เข้าใจ ไม่นานก็ได้ยินเสียงของผู้เป็นพ่อตะโกนเรียกจากด้านล่าง

“เด็ก ๆ ลุงเชนมาแล้วนะ ลงมากินมื้อเช้าได้แล้ว เดี๋ยวสาย”

แวนกัสทรุดลงนั่งตรงกันข้ามกับเพื่อนหลังจากวางกาแฟให้ เชนยังคงทำหน้าไม่วางใจเพราะได้รับข้อความเมื่อคืน เรื่องของเคล ที่ว่าอยากให้มาเห็นกับตาว่ารูปร่างของเคลนั้นเหมือนยักษ์จริง ๆ เพราะเด็กคนนั้นเป็นลูกที่เกิดจากแวนกัสกับยักษ์ ชายหนุ่มคิดว่าอย่างไรมันก็มหัศจรรย์เกินไปแล้ว

ผู้ชายตั้งท้องได้ว่าเหลือเชื่อแล้ว แต่แวนกัสบอกเชนว่าเจ้าตัวร่วมหลับนอนกับยักษ์น่ะสิ เพื่อนรักของเชนนั้นกู่ไม่กลับจริง ๆ รู้อย่างนี้เขาน่าจะขยันไปเยี่ยมเจ้าตัวในป่ากว่านี้ จะได้ไม่ต้องเหงาถึงขั้นเพ้อหนัก คิดแล้วเชนก็กระแอม “นี่ ฉันรู้ว่านายน่ะคิดว่าฉันเชื่อเรื่องสิ่งลี้ลับ นายเลยพยายามอยากให้ฉันเชื่อนะ”

“อื้ม”

“แต่ฉันว่าสิ่งลี้ลับก็คือสิ่งลี้ลับไง มันไม่มีทางให้เราเห็นง่าย ๆ หรอกจริงมั้ย”

แวนกัสวางแก้วกาแฟ “ฉันจะให้นายเห็นเดี๋ยวนี้แหละ ถ้าเคลลงมา”

“กัส...” เชนส่ายหน้า “นายต้องไปหาหมอนะรู้มั้ย”

“นายว่าฉันบ้าเหรอ!”

“การพบจิตแพทย์ไม่ใช่เรื่องน่าอายนะเพื่อน”

“เดี๋ยวคอยดูเถอะ ถ้าเคลลงมาแล้วนายจะถอนคำพูด เด็ก ๆ เสร็จรึยัง ลุงเชนมารอนานแล้วนะ!” ว่าแล้วหันไปเร่งให้สี่หนุ่มลงมาสักที เพราะเบื่อที่จะถูกกล่าวหาว่าบ้าเต็มทนแล้ว แวนกัสกอดออกส่ายหน้าระอา ไม่นานด็ได้ยินฝีเท้าระรัวของลูกชายทุกคน นั่นหมายความว่าความจริงจะปรากฏให้เชนรู้สึกทีว่าเรื่องที่เขาพูดนั้นเป็นความจริง สิ่งที่เขาเห็นเมื่อคืนนั้นจะตอกหน้าเพื่อนให้หงายตกเก้าอี้แน่นอน!

“ปะป๊า!” แวนกัสยิ้มร่าเมื่อได้ยินเสียงเคลที่ลงตามมาคนสุดท้าย ทว่ารอยยิ้มของชายหนุ่มละหายไปเสียดื้อ ๆ เมื่อสิ่งที่ชายหนุ่มคิดไม่ได้เป็นเช่นนั้น ร่างกายของเคลกลับมาเป็นมนุษย์ปกติเหมือนเมื่อสามสี่วันก่อนแล้ว

“อะไรน่ะ หมายความว่าไง”

“นั่นสิ หมายความว่าไง” เชนย้อน

“คือ เมื่อคืนลูกยัง...” แวนกัสเดินไปลูบหน้าของลูกชายเสียบี้แบน ทุกอย่างกลับมาอยู่ในสภาพเดิมแล้วเพียงแค่คืนเดียวเท่านั้น มันหมายความว่ายังไงกัน แวนกัสไม่เข้าใจเอาเสียเลย “เป็นไปไม่ได้ เมื่อคืนลูกยัง...”

“แบบนี้แหละเป็นไปได้สุดแล้ว นายนั่นแหละควรไปหาหมอ” เชนยักไหล่

“แต่เคลเปลี่ยนไปจริง ๆ นะ”

เคลฟังแล้วรีบพูด “ผมว่าผมจะออกไปสอบฮะ”

“ไม่ได้ เกิดลูกเปลี่ยนระหว่างอยู่ที่โรงเรียนขึ้นมา ทุกคนจะแตกตื่นกันหมด”

“กินข้าวเลยเคล ลุงจะพาไปเอง ส่วนพ่อของพวกนายลุงจะพาไปหาหมอเองเหมือนกัน ปล่อยให้อยู่คนเดียวแบบนี้ลุงไม่สบายใจเอาเสียเลย”

“เชน!” แวนกัสกระทืบเท้าเสียอาการเหมือนกับเด็ก

“ปะป๊าสบายใจได้ฮะ วันนี้ผมจะไม่ไป” เคลบอกแล้วเดินมาซบกอด จากเด็กตัวน้อยของพี่ ๆ นั้นแลดูโตเหมือนเด็กโข่งเป็นที่สุด หากทว่ายังคงบ่อน้ำตาตื้นและขี้อ้อนเหมือนเดิม แวนกัสลูบหัวลูกน้อยแล้วได้แต่ถอนหายใจ บางทีเรื่องนี้เขาก็ควรปล่อยให้เชนเข้าใจแบบนี้น่ะดีแล้ว ชายหนุ่มจึงพูดว่า “บางทีถ้ามีคนต้องการเห็น มันอาจจะยิ่งหลบซ่อนบิดบังก็ได้นะ ถ้าลูกอยากไปเจอเพื่อนบ้างก็ไปเถอะเคล”

“จริงเหรอฮะ”

“ลูกเอาฮู้ดกับหน้ากากติดตัวไปด้วย ถ้าเกิดฉุกเฉินขึ้นมาก็ใส่ปิดแล้วรีบกลับบ้าน หรือไม่ก็ไปซ่อนตัวในห้องน้ำแล้วโทรหาพ่อ พ่อจะไปรับ เข้าใจมั้ย” ชายหนุ่มวางแผน ท่ามกลางสายตาอันไม่เข้าใจของเพื่อนรัก ท้ายที่สุดก็ยอมปล่อยให้เชนพาทั้งสี่ออกไปจนได้ ก่อนไป เจ้าตัวยังชี้นิ้วออกคำสั่งแวนกัสด้วยว่าวันนี้ อย่างไรเสียก็จะมารับไปพบหมอให้จงได้

นี่เชนคงเข้าใจว่าเขาบ้าไปแล้วจริง ๆ

เชนกลับมาถึงในอีกชั่วโมงต่อมา แวนกัสก็อาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว เพราะหากเชนหมายมั่นปั้นมือไว้เขาก็ปฏิเสธคำของเพื่อนไม่ได้อยู่ดี และบางทีเขาอาจจะป่วยจริง ๆ ก็ได้ ตั้งแต่คืนที่เขาถูกทิ้งไว้ในป่าคนเดียว วันคลอดแฝดสี่ แวนกัสก็เหมือนจะซึมเศร้าขึ้นมาอยู่เหมือนกัน

เขารู้สึกเหมือนชีวิตไร้สีสัน อยู่ไปเพื่อเลี้ยงเหล่าลูกชายให้โตจนดูแลตัวเองได้เท่านั้น

รอยยิ้มของเด็ก ๆ คือสิ่งเดียวที่ทำให้แวนกัสอยากมีชีวิตอยู่ต่อ แม้จะรู้สึกโกรธเกลียดพ่อของลูกก็ตาม โกรธขนาดที่สาบานได้ว่าชีวิตนี้เขาจะไม่มีทางกลับไปเหยียบที่นั่นอีก

“นายโอเคมั้ย” เชนถามขณะที่นั่งอยู่บนรถด้วยกัน

“อืม ก็ดี”

“เห็นมั้ยฉันบอกแล้ว หมอช่วยนายได้”

“ขอบใจนะ ฉันสบายใจขึ้นเยอะเลยที่ได้ปรึกษาหมอ”

“นายน่ะ เศร้าลงตั้งแต่ออกมาจากป่า” เชนว่าขณะที่ชำเลืองมองเพื่อนอีกฝั่งของเบาะ แวนกัสผละมาสบตาราวกับแปลกใจที่ถูกมองออก ในดวงตาเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถามแต่ไม่พูด ปล่อยให้เชนเป็นฝ่ายกล่าว “ถ้าเรื่องที่นายเล่าเป็นความจริง หมายความว่านายก็ซึมเศร้าหลังคลอดน่ะสิ แล้วนายก็ปล่อยให้ตัวเองใช้ชีวิตอย่างนั้นมาสิบห้าปีโดยไม่บอกฉันน่ะเหรอ”

“เชน ไหนนายบอกว่านายไม่เชื่อฉันไงล่ะ” แวนกัสถอนใจ

“ก็ฉันกำลังสมมุติไง”

“ไม่ต้องมาสมมุติเลย ฉันเล่าไปแล้ว นายอยากจะเชื่อรึไม่ก็ตามใจ ฉันไม่ได้กุเรื่องขึ้นมาสักหน่อย”

“งั้น ถ้าพ่อของเด็กพวกนั้นเป็นยักษ์จริง ๆ แล้วมันหายไปไหนซะล่ะ ทำไมปล่อยนายมางี้”

คนถูกถามถอนใจ “ฉันเองก็ไม่รู้ ถึงรู้ฉันก็ไม่พาลูกไปหามันเด็ดขาด” เชนหันมองคนกล่าว อารมณ์ของแวนกัสเหมือนผู้หญิงกำลังงอนสามีอยู่ไม่ผิดเพี้ยน และท่าทีของเพื่อนรักก็ไม่ได้แสร้งอยู่ด้วย “ฉันเกลียดมัน ไอ้ยักษ์เหม็นสาบไร้ความรับผิดชอบ”

เชนต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ ที่คิดขึ้นมาว่ามันอาจจริง “ทำไม นายโกรธที่โดนฟันแล้วทิ้งรึไง”

“ถ้าฉันบอกว่าใช่ล่ะ”

“ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ รึว่านอนกับยักษ์มันแย่ขนาดนั้น”

“แย่สิ ครั้งแรกที่นายโดนผู้ชายด้วยกันทำทางด้านหลัง แถมผู้ชายที่ว่าก็คือไอ้ยักษ์บ้ากามที่ชอบมาแอบดูฉันอาบน้ำ ตัวก็ใหญ่ขนาดนั้นนายรู้มั้ยว่าไอ้นั่นจะใหญ่ขนาดไหน แล้วนายคิดดูสิ ฉันต้องยอมทรมานให้มันทำกับฉันบนกองหญ้าในรังโคตรเหม็นสาปของมัน คิดแล้วฉันก็เวียนหัวอยากอ้วก” คนเล่าใช้อารมณ์ราวกับอัดอั้นมาหลายปี คงใช่...




 

 

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa
(ต่อ)

เชนได้ฟังแล้วก็หยีหน้า

“แย่หน่อยนะ งั้นก็หมายความว่านายโดนมันข่มขืนงั้นสิ ใช่มั้ย” คำถามของเชนทำเอาแวนกัสอึกอักไปพักหนึ่ง เห็นแล้วเพื่อนผู้บังคับรถก็หันหน้าไปหาอย่างไม่อยากเชื่อ “อย่าบอกนะว่านายสมยอม!”

บนใบหน้าของแวนกัสเต็มไปด้วยเลือดฝาดจนเชนจับได้ ชายหนุ่มไม่อาจเดาได้เลยว่าสมองของแวนกัสกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ถึงได้ตามไปที่รังของยักษ์ ปากก็บอกว่าเหม็นสาบและบ่นโน่นนี่นั่น แต่ตัวเองดันบอกว่าเป็นฝ่ายสมยอมไอ้ยักษ์บ้านั่นเสียได้ คิดแล้วเชนก็ยกมือมานวดขมับ

“แต่อย่างน้อยนายก็มีอะไรกับมันแค่ครั้งเดียวเพราะคิดผิดใช่ไหมล่ะ แค่ครั้งนั้นแล้วติดลูกเลย น้ำยาดีเหมือนกันนะนี่ ต้องดีอยู่แล้วแหละถ้าทำผู้ชายท้องได้ขนาดนั้นอะนะ”

เชนบ่นกับตัวเอง แล้วพลันจับสีหน้าของเพื่อนรักอีกรอบได้ว่าแวนกัสกำลังทำตัวไม่ถูก ชายหนุ่มหันไปมองคนนั่งข้างที่กำลังหลบตา ท่าทีเลิ่กลั่กแปลกไปเมื่อได้ยินเขาถาม เห็นแล้วเชนอยากจะบ้า “นี่อย่าบอกนะว่านายนอนกับมันหลายครั้ง!”

แวนกัสห่อไหล่ลง ก้มหน้าก้มตามองตัก “อืม...”

“กัส!”

คนถูกเรียกสะดุ้งโหยง “อะไร...”

“นายบ้าไปแล้วจริง ๆ”

“อะไรเล่า!”

“คำให้การกับการกระทำของนายมันไม่ได้ไปในทิศทางเดียวกันเลยนะ นายเกลียดมันแต่ยอมนอนกับไอ้ยักษ์จู๋ใหญ่นั่นหลายครั้งเนี่ยนะ สรุปนายใช่ผู้เสียหายรึเปล่าฮะ ฉันเริ่มจะคิดขึ้นมาแล้วนะว่าใครกันแน่ที่บ้ากาม นายหรือว่ามัน!”

“ก...ก็ตอนนั้นฉันไม่รู้ว่ามันจะหายหัวไปแบบนี้นี่นา ตอนนั้นฉันกับมันก็ไปด้วยกันได้ดีหมดทุกอย่าง ใครจะไปรู้ว่ามันจะเป็นยักษ์ที่ไร้ความรับผิดชอบ ทิ้งฉันไว้ให้นอนกลัวอยู่ในรังของมันกับลูก!” สิ้นคำของแวนกัสแล้ว เจ้าตัวก็มุ่นคิ้วกอดอกมีอารมณ์หลังจากเล่า จากสีหน้างอนก็เปลี่ยนมาเศร้าอีกครั้ง “นายไม่รู้หรอก ว่าฉันรอมันนานขนาดไหน คิดว่ายังไงมันจะต้องกลับมาหาฉันกับลูกแน่ แต่มันก็ไม่มา เลวสิ้นดี...”

เชนนิ่งไป “นายรอมันนานขนาดไหน”

“เป็นเดือน แม้กระทั่งวันที่นายมาเห็นแล้วชวนให้ฉันพาลูก ๆ ออกมาอยู่ข้างนอก ฉันก็ยังคงรออย่างมีหวัง”

เชนจำวันนั้นได้ วันที่เขากลับไปเยี่ยมแวนกัสในป่าอีกครั้งหลังจากห่างหายไปหลายเดือน เขาเห็นแวนกัสกำลังเลี้ยงเด็กและดูซูบผอมลงไปจากเมื่อก่อน แววตาเพื่อนของเชนกำลังโศก เล่าเพียงว่ามีคนเอาเด็กมาทิ้งไว้ที่หน้าบ้านเท่านั้น และท่าทางของแวนกัสช่วงนั้นก็เหมือนกำลังรอใครสักคนอยู่จริง ๆ

หรือแวนกัสจะไม่ได้โกหกคิดไปเอง แม้แต่วันสุดท้ายที่เจ้าตัวตัดสินใจไปเพราะห่วงเด็ก ๆ เชนยังเห็นแวนกัสชะเง้อคอมมองเข้าไปในป่าอยู่เลย ยามนั้นเขาคิดเพียงว่าเพื่อนเองก็คงผูกพันกับที่นั่น เลยอยากมองเป็นครั้งสุดท้ายเท่านั้นเอง

หากเป็นเช่นแวนกัสเล่าจริง แวนกัสก็คงตรอมตรมมาตลอดสิบหกปี เจ้าตัวเองก็ไม่ได้อยากเกลียดเจ้ายักษ์นั่น เพียงแค่ไม่เข้าใจ ว่าทำไมต้องทิ้งเจ้าตัวกับลูกไว้ในป่าแล้วหนีไปอย่างนั้นกระมัง เชนคิดขณะปล่อยให้คนข้างกายจมดิ่งไปกับความรู้สึกบางอย่างในอก ชายหนุ่มตะปบไฟเลี้ยวมาจอดอยู่ที่บ้านพักของแวนกัสหลังจากพาไปพบจิตแพทย์ กว่าจะมาถึงบ้านก็เวลาบ่ายสามกว่าแล้ว

แวนกัสลงไปอยู่ที่ฟุตบาธ ยกยิ้มให้เพื่อนอย่างรู้ทัน “ขอบใจที่แกล้งเข้าใจคนบ้าอย่างฉันนะเชน นายเป็นเพื่อนที่ดีของฉันเสมอเลย ฉันรักนายนะ”

“เลิกทำตัวน่าขนลุกซักทีเถอะน่า”

“เราน่าจะเกี่ยวดองกันไว้นะ ลูกสาวนายก็น่ารักดี สนใจลูกชายฉันบ้างไหมล่ะ” แวนกัสดอกอก

คนฟังเลิกคิ้วแล้วยิ้ม “ลูกชายนายได้แค่หน้าตาดีไปวัน ๆ”

“นี่ คนหน้าตาดีน่ะมีชัยไปกว่าครึ่งนะ คนสมัยนี้มองที่รูปลักษณ์กันอยู่แล้ว”

“หึ! รอให้ลูกชายนายสอบได้เอสักคนเถอะ”

คนฟังกุมหน้าอก “เป็นคำด่าที่เจ็บปวดที่สุดเลยไอ้เพื่อนบ้า!”

“เอลลี่ชอบคนฉลาดนายก็รู้ ลูกนายไม่ผ่านสักคน”

“แต่ลูกชายฉันหล่อนะ ฉันเองก็ชอบเอลลี่ วิลเองก็คงชอบเหมือนกัน”

เชนยกยิ้ม “ฉันก็ชอบวิล แต่เอลลี่บอกว่าวิลหน้าตาเหมือนกิ้งก่าโดนรถเหยียบ เธอชอบเคลน่ะ”

“พี่ใหญ่อกหักซะแล้วสิ เธอพูดแบบนี้กับคนที่เป็นแฝดได้ลงคอเหรอเนี่ย ใจร้ายแล้วก็ปากร้ายเหมือนนายไม่มีผิด” แวนกัสบ่นจนผู้เป็นเพื่อนต้องยิ้มขันตาม แล้วเลิกคิ้วแปลกใจกับมือถือของแวนกัสที่จู่ ๆ ก็ดังขึ้นมา อีกฝ่ายรีบกดสายเมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์ของเคล คงเกรงว่าจะเกิดเรื่องขึ้นที่โรงเรียน “ว่าไงเคล ลูกเปลี่ยนไปงั้นเหรอ ให้พ่อไปรับมั้ย หา...ที่โรงเรียนงั้นเหรอ!”

ท่าทีของแวนกัสทำให้เชนแปลกใจ “เกิดอะไรขึ้น”

“วิล วิลหายไป”

“อีกแล้วเหรอ!” เชนเสียงดังอย่างไม่เข้าใจ เด็กบ้านนี้เป็นอะไรกันหมด

“เคลบอกว่าที่โรงเรียนเกิดเรื่องแตกตื่นขึ้น เหมือนมีคนเห็นตัวประหลาด ฉันเกรงว่าจะเป็นวิลน่ะสิ”

“อะไรนะ”

“เร็วเข้า นายนำไปที่โรงเรียนก่อน ฉันจะขับตามออกไป” แวนกัสไม่อธิบายอันใดเพิ่มอีกนอกจากหันรีหันขวางไปหารถยนต์ของตัวเอง เห็นเช่นนั้นแล้วเชนก็จำต้องทำตามความต้องการเพื่อนไปก่อน แม้เขาจะแสร้งว่าเข้าใจอย่างที่แวนกัสกล่าวหา แต่อย่างไรเชนก็ยังยืนอยู่ในจุดที่อิงด้วยความเป็นจริงเสมอ

ชายหนุ่มไม่อาจเชื่อได้ จนกว่าจะเห็นกับตา และการมุ่งหน้าไปยังโรงเรียนคือคำตอบที่ดีที่สุด

 

๑๖ ปีก่อน

ตั้งแต่คืนที่ถูกแวนกัสจับได้นั้น เจ้ายักษ์ร้ายก็ไม่มาวนเวียนแถวบ้านพักของชายหนุ่มอีกเลย แต่ถึงอย่างนั้นทุกครั้งที่แวนกัสตื่นขึ้นมาก็ยังมีดอกไม้ป่ามาวางไว้ให้อยู่เสมอ คาดว่ามันน่าจะไหวตัวทัน แล้วเปลี่ยนเวลามาในยามที่แวนกัสหลับลงไปจริง ๆ

“กลับก่อนนะเพื่อน แล้วเจอกัน” เชนโบกมือลาจากบนรถ

“เดินทางปลอดภัยนะ”

“แล้วฉันจะรีบว่างมานะ นายอย่าเหงาไปเลย”

“ไม่เหงาหรอกน่า นายไปฉันดีใจที่สุดเลย”

“หน็อยไอ้เบื๊อกนี่!” เชนตะโกนเอาเรื่องแล้วยิ้ม “เดี๋ยวก็ไม่กลับเลยนี่”

“ฮิฮิ” แวนกัสยิ้มขณะยืมโบกมือลา มองตามรถของเพื่อนรักที่ค่อย ๆ เคลื่อนออกไปตามซอยเล็กอันถูกปกคลุมด้วยดอกหญ้าที่กำลังขึ้นสูงเพราะหน้าฝน ชายหนุ่มก้มลงมองยังดอกหญ้าช่อเล็กในกระเป๋าเสื้อที่ได้รับมาเมื่อเช้า แล้วก็ถอนใจ เพราะอะไรกันที่ทำให้แวนกัสรู้สึกเป็นห่วงเจ้ายักษ์นั่นขึ้นมา ทั้งที่มันใช้ชีวิตอยู่ที่นี่นานกว่าเขาเสียอีก

มันกลัวเขาถึงเพียงนั้นเชียวหรือ เป็นยักษ์ประสาอะไร ตัวก็โตแต่ใจปลาซิวนัก

เมื่อเช้าฝนตกไปรอบหนึ่งแล้ว ทำให้ยามนี้แดดออกจนรายรอบสว่างจ้าขึ้นมา ต้นไม้ใบหญ้ายังคงเปียกแฉะอยู่ไปทั่วทุกสารทิศ แวนกัสเดินไปยังหลังบ้านอย่างไม่อาจรู้ได้ว่าไปทำไม ชายหนุ่มหันซ้ายแลขวาราวกับว่าจะเจอบางสิ่งกำลังซุ่มมองดูเขาเหมือนทุกทีไป หากทว่าว่างเปล่า

ความรู้สึกตัวคนเดียวมันน่ากลัวแฮะ ไม่รู้ทำไม...แวนกัสรู้สึกว่าการถูกเจ้ายักษ์นั่นมองอยู่มันปลอดภัยกว่า ชายหนุ่มคิดแล้วก็ก้มลงมองตัวเองในน้ำ แวนกัสมุ่นคิ้ว คิดว่าตัวเองก็ไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้นนี่นา เหตุใดอสูรตัวใหญ่นั่นถึงได้เกรงกลัวที่จะถูกเขาเห็นนัก ขณะคิดไปเรื่อย ลำขายาวก็ไม่หยุดก้าว และเพราะฝนเพิ่งตกทำให้ก้อนหินเต็มไปด้วยน้ำจนลื่น

“อุ๊ย! อา...เจ็บ ๆ ๆ”

เสียงมนุษย์น้อยอีกฝั่งของป่าดังขึ้นบอกว่ากำลังเจอเข้ากับอันตราย มันผุดตัวลุก พุ่งออกไปด้านนอกจนเกิดเสียงลมหวิวดังตามหลัง แม้จะอยู่อีกฝั่งของป่าทว่าหูของมันดีเกินกว่าสัตว์ชนิดอื่นหลายสิบเท่านัก ไปถึง ยักษ์ใหญ่ได้กลิ่นของเลือดที่กำลังหอมหวน หากทว่ามันไม่อาจหาญพอจะพุ่งเข้าไปช่วยเหมือนคราวก่อน เพราะมนุษย์น้อยมองเห็นมันแล้ว

มนุษย์น้อยมองเห็น และพูดจากับมัน

ด้านหน้าเห็นเป็นอีกฝ่ายกำลังนั่งอยู่บนโขดหิน เนื้อตัวเปียกน้ำเพราะลื่นล้ม ที่ฝ่ามือมีรอยแผลถลอกและเลือดไหลออกมาเล็กน้อย แต่สีหน้าของมนุษย์นั้นกำลังเจ็บปวด ขณะที่ชะโงกมองออกไปจากต้นไม้ใหญ่ อีกฝ่ายก็เหมือนรู้ว่ามันมาที่นี่ ร่างน้อยหันใบหน้าขาวขวับมาทิศนี้อย่างชาญฉลาด มันจึงรีบหลบซ่อนมิยอมให้เห็นเหมือนเก่า

หากถูกมนุษย์เห็นเข้า มันไม่ดี อาจถูกเบื้องบนทำโทษก็เป็นได้

แต่มนุษย์น้อยก็น่าเอ็นดูและน่ากินเกินไปจนอดใจไม่ไหว มันคิดขณะที่หัวใจเต้นไหวราวกำลังจะตายลงไปแล้ว แล้วเลือกที่จะลองชะโงกมองออกไปเพราะมิอาจบังคับหักห้ามใจได้ เพราะทุกคืนก็ทำได้เพียงแค่แอบมองอยู่ไกล ๆ ในความมืดเท่านั้น ด้วยเกรงว่าจะถูกจับได้อีกรอบ

มันกุมหัวใจตัวเองมองออกไปยังลำธารฝั่งตรงข้าม หากทว่าน่าแปลกที่อีกฝ่ายกำลังบาดเจ็บได้หายไปแล้ว เจ้ายักษ์งุนงงไม่เข้าใจ กวาดสายตามองเข้าไปถึงที่บ้านทว่าไร้ร่างของมนุษย์ตัวจ้อย มันผละออกจากต้นไม้ไปยังริมธารเพื่อมองหาอย่างนึกหงุดหงิด

“หาอะไรอยู่เหรอ”

“โฮก!” มันร้องเสียงหลง กระโดดล้มกลิ้งไปในลำธารด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าสิ่งที่ตามหาจะมายืนหยุดอยู่ด้านหลังมันได้ เจ้ายักษ์ตกใจเมื่อเห็นชัดเจนแล้วว่ามนุษย์กำลังยืนกอดอกมองมาที่มัน มันขยับร่างหนีไปหมอบหลบที่โขดหินเว้นระยะห่าง แม้เจ้าก้อนหินจะเล็กกว่าตัวของมันก็ตาม

“นายหาฉันอยู่งั้นเหรอ” คนตรงหน้าถาม

เจ้ายักษ์ไม่ตอบ มันตั้งท่าจะหนีอีกรอบ

เห็นดังนั้นแวนกัสก็รีบดักหน้า “ไม่ต้องกลัว ฉันไม่ทำอะไร นายสบายใจได้”

แวนกัสยกยิ้มให้เจ้าขี้กลัวที่พยายามงุดหน้าซ่อนอยู่หลังโขดหิน ชายหนุ่มค่อย ๆ ขยับก้าวขาไปหยุดอยู่ริมฝั่งของลำธารอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่รู้ว่าตัวเองตัดสินใจถูกหรือเปล่าที่เลือกจะเดินเข้าหายักษ์ตัวใหญ่เบื้องหน้า ไม่นาน คนตัวน้อยก็หยุดอยู่ข้างโขดหิน ลอบมองรูปร่างของมันอย่างถี่ถ้วนว่าเป็นอย่างไรแน่

ตัวของอสูรร่างยักษ์จมน้ำที่สูงเท่าเข่า รอบกายของมันถูกน้ำชะล้างโคลนให้เห็นผิวสีน้ำตาลเข้ม ไม่ใช่ซี...นั่นไม่ใช่สีผิว แต่เป็นสีขนอันสั้นทั้งตัวของมันต่างหาก บนกายสวมเพียงผ้าเตี่ยวขาดวิ่นจนเกือบโป๊ ตามเรือนผมยาวลากดินมีกิ่งไม้หักแซมเกาะไปทั่ว และมีเขาใหญ่แหลมโผล่ขึ้นมา

“ไม่ต้องกลัว” แวนกัสว่า เท่านั้นตัวของยักษ์ก็สั่นหงึกกว่าเก่าทันทีที่ได้ยินเสียงของเขา มันไม่พูดจา บางทีการอาศัยอยู่ในป่าอาจทำให้มันไม่รู้จักภาษาก็เป็นได้ ชายหนุ่มคิดแล้วก้มลงมองที่ดอกไม้ช่อเล็กในกระเป๋าเสื้อของตัวเอง ควักออกมาถือ ก่อนจะถาม “เจ้านี่ นายเป็นคนเอามาให้ฉันใช่มั้ย”

ชายหนุ่มแกว่งมือไปมาให้มันสนใจ และเป็นวิธีที่ใช้ได้เสียด้วย แวนกัสเห็นนัยน์ตาสีแดงเพลิงนั้นช้อนขึ้นมาสบ จ้องกับดอกไม้ที่เขาถือ บนใบหน้าของมันเปื้อนเปรอะด้วยเศษดินจนมองไม่รู้ว่าหน้าตาอย่างไร แต่ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดเลย มันออกจะเหมือนคนมากกว่า คนที่มีเขี้ยวยาวกว่าปกติน่ะนะ...

“นี่...”

เจ้ายักษ์สะดุ้งถอยตัวหนี เมื่อเขาตั้งใจจะก้มไปถามอีกครั้งว่าของสิ่งนี้ มันตั้งใจเอามาให้เขานั้นมีความหมายความอย่างไร แวนกัสไม่เข้าใจเลยว่ามันกลัวมนุษย์ได้อย่างไรทั้งที่ตัวก็โตกว่าเขาถึงสองเท่า

“ไม่ต้องกลัว ฉันสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรนาย” ชายหนุ่มกล่าวเสียงเบา แล้วเอียงคอมองว่าอีกฝ่ายจะตอบสนองอันใด เจ้ายักษ์ไม่ยินยอมที่จะวางใจ หรือนี่ไม่ใช่สิ่งที่มันกลัวกันหนอ ชายหนุ่มคิดแล้วลูบคางตัวเอง ทบทวนว่าเหตุใดมันถึงเอาแต่หลบซ่อนก็ถึงบางอ้อขึ้นมาทันที

เพราะมันกลัวที่จะถูกใครเห็นอย่างไรเล่า...

“เอาเป็นว่าฉันจะไม่บอกใครว่านายมีตัวตน เรื่องนี้ฉันจะรู้แค่คนเดียวเท่านั้น ตกลงไหม”

แวนกัสสะดุ้งถอยกรูด เมื่อทันทีที่ได้ยิน เจ้ายักษ์ก็ยอมโผล่ออกมาพยักหน้าหงึกหงักทันที ชายหนุ่มอ้าปากค้างเพราะทราบแล้วว่ามันไม่ได้เกรงกลัวว่าเขาจะทำร้ายสักเพียงนิด มันแค่ไม่อยากให้ใครรู้ว่ามันมีตัวตนบนโลกใบนี้เท่านั้นเอง

แล้วเขาจะปลอดภัยหรือไม่ เพราะแค่เขาตาย ทุกคนบนโลกใบนี้ก็ไม่รู้ว่ามันมีตัวตนแล้ว มันจะฆ่าเขาปิดปากไหมหนอ คิดแล้วชายหนุ่มก็ตัวแข็ง แหงนมองเจ้ายักษ์ร้ายที่ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงตรงหน้าราวกับสถานการณ์ตอนนี้ตาลปัตรไปเรียบร้อยแล้ว กลายเป็นฝ่ายเขาแล้วที่ต้องกลัวมันทำร้าย...

“อึก” หาเรื่องใส่ตัวแท้ ๆ

แวนกัสกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ จ้องเจ้ายักษ์เบื้องหน้าตาไม่กะพริบ

มือใหญ่เหม็นสาบของมันเปียกน้ำ เสียงหยดติ๋งสะท้อนในประสาตชายหนุ่มดังก้อง แต่ที่ทำได้คือยืนนิ่งมองมือยักษ์ตรงหน้าเอื้อมมาแตะที่ปลายจมูกอย่างเบาที่สุดเท่านั้น ทันทีที่มันถึงผิว แวนกัสก็หลับตาปี๋คิดว่าตัวเองต้องตายแน่ หากทว่าชายหนุ่มคิดผิด เมื่อลืมตาขึ้นมาแล้วเห็นเพียงดวงตาสีเพลิงกำลังมองเขาไม่วางตา และมันก็เป็นประกายกว่าทุกครั้งเสียด้วย

เหมือนคืนนั้นเลย เจ้านี่กำลังมองเขาเป็นของน่ารักน่าเอ็นดูจริง ๆ ด้วย...

บางที ฝ่ายเขาคงคิดมากไปเองกระมัง

บางที...ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่างนั้น ก็อาจจะเป็นของขวัญในการขอผูกมิตรเท่านั้นเองก็เป็นได้

แวนกัสยกยิ้มขึ้น ขณะเป็นฝ่ายเอื้อมมือไปแตะปลายจมูกโด่งของอีกฝ่ายเช่นกัน ความสูงของเขาไม่อาจเอื้อมถึงได้ และที่ทำให้ชายหนุ่มยิ้มกว้างกว่าเก่านั้นก็คงจะเป็นความน่ารักของเจ้าอสูรเบื้องหน้า ที่ยอมค้อมหัวลงมาให้แวนกัสแตะได้ถึงอย่างรู้หน้าที่

อืม คงจะจริง...



-----------------------------------------------------------

จริงๆ แส้นผมของพี่ยักษ์มีความเป็นราพันเซลค่ะ 55555 แค่สีเงินสว่าง คือถ้าพี่ยักษ์ไม่โตมาแบบสมบุกสมบัน นางจะมีความใกล้เคียงเรื่องเล่าในหนังสือมาก คือหล่อรูปงามเหมือนเทพ แต่เดิมทีนางเป็นปิศาจที่เกิดจากความรักของเทพเจ้า ทำให้นางไม่มั่นใจในรูปร่างของตัวเอง บวกกับ......(บางอย่างที่ยังไม่อยากเฉลย) ทำให้นางเกรงกลัวมนุษย์ไปโดยปริยาย

พาร์ทอดีตคือน้องกับพี่ยักษ์กำลังไปได้ดี แต่ว่าพาร์ทปัจจุบันน้านนนนน ก็ดีไม่แพ้กัน อิอิ

เรื่องนี้กวางคือตัวดำเนินเรื่องค่ะ เจอกวางเมื่อไหร่มีเฉลยปมตลอด 55555

เพราะไม่ได้อัพนาน พรุ่งนี้จะอัพติดอีกหนึ่งวันค่ะ ฝากคอมเม้นด้วยเน้อออออ อยากอ่านฟีดแบค

 

ออฟไลน์ shinyface

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
 :hao5:


อ่านแล้วแอบงง ปมเยอะมากกกก ประมาณกี่ตอนจบคะนี่ แอบแง้มๆได้ไหมว่าจบแฮปปี้เอนดิ้งเปล่า??
 :mew2:

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa
:hao5:


อ่านแล้วแอบงง ปมเยอะมากกกก ประมาณกี่ตอนจบคะนี่ แอบแง้มๆได้ไหมว่าจบแฮปปี้เอนดิ้งเปล่า??
 :mew2:

แฮปปี้เอนดิ้งค่ะ น่าจะประมาณยี่สิบห้าตอนจบนะคะ

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa

#ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง

ตอนที่ ๖

๑๖ ปีก่อน

แวนกัสเป็นชายที่สูงตามมาตรฐานสากลและไม่เคยคิดเลยว่าตนเองเป็นของเล็กน้อยน่ารัก ทว่าเมื่อเทียบกับยักษ์ตรงหน้า ความสูงร้อยแปดสิบของเขาไม่เป็นผล แม้ว่าจะยื่นมือขึ้นไปจนสุดแล้วแต่ยังเอื้อมไม่ถึงปลายจมูกของอสูรร่างใหญ่ที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้า มันเอียงคอให้ แล้วจึงยอมโน้มมารับสัมผัสจากนิ้วเขาอย่างไม่เขินอาย

สภาพของมันบ่งบอกชายหนุ่มว่าเติบโตในป่าอย่างไม่ต้องสงสัย สกปรก เหม็นสาบเพราะคงไม่เคยอาบน้ำล้างเนื้อตัว และผมที่ยาวลากพื้น กว่าจะแหวกนิ้วผ่านกลุ่มเส้นผมแข็งเด่เกือบเท่าท่อนไม้นั้นไปแตะจมูกใหญ่ก็ยากพอสมควร

“สวัสดี ฉันชื่อแวนกัส” ชายหนุ่มชี้ที่ตัวเอง จ้องร่างตรงหน้าที่ค้อมลงมาเสมอกับส่วนสูงของชายหนุ่มราวกับกำลังเข้าใจ มันตกใจที่แวนกัสชี้ ถอยห่างไประยะก้าวเดินเท่านั้น “แล้วนาย ชื่ออะไร”

“ฮึ่ม...”

แวนกัสยกยิ้มกับท่าทางลุกลนนั้น แล้วอดขำไม่ได้ “นายฟังเข้าใจใช่มั้ย”

“ฮึ่ม!”

มันฟังเข้าใจแน่ แวนกัสเอื้อมยื่นดอกไม้ที่ถือออกไปให้ “นายชอบมันสินะ”

“ไม่!”

ชายหนุ่มไม่คิดว่าสิ่งตรงหน้าจะเอ่ยออกมาเป็นคำพูด เสียงของเจ้ายักษ์ต่ำและดังกังวานราวกับสัตว์ป่า แวนกัสเบิกตาขึ้นมา นัยหนึ่งคือตกใจและอีกนัยคือคำตอบที่ได้นั้นมันผิดจากที่คาด ชายหนุ่มก้มลงดอมดมดอกไม้สวยในมือแล้วจึงถาม “นายไม่ชอบดอกไม้ แล้วนายมีดอกไม้เยอะแยะได้ยังไง หรือนายสามารถเสกขึ้นมาได้”

มันเอียงคอราวไม่เข้าใจ แล้วตอบเพียงแค่ว่า “มนุษย์ ชอบ!”

“มนุษย์” แวนกัสย้อน แล้วอมยิ้มชี้มาที่ตัวเอง “หมายถึงฉันงั้นเหรอ นายรู้ได้ยังไง แอบมองฉันอยู่ใช่มั้ย”

อาจเป็นเพราะความอยากรู้อยากเห็น แวนกัสเอาแต่ถามอีกฝ่ายในขณะที่มองเจ้ายักษ์ตรงหน้าลุกลี้ลุกลนไม่ยอมจ้องตา มันแก้การประหม่าของตัวเองด้วยการเดินวนไปมาตรงโน้นทีตรงนี้ที ท้ายที่สุดชายหนุ่มก็ดึงเรือนผมแข็งสากนั้น “พอได้แล้ว นายทำฉันเวียนหัวนะ”

“มนุษย์หอม!”

แวนกัสอ้าปากค้าง เจ้ายักษ์นี่สมองช้าเกินกว่าจะถูกเขาไล่ถามได้ ชายหนุ่มจึงปรับอารมณ์ที่อยากรู้ของตัวเองไป ให้เพลาลง แล้วหันไปหายักษ์ใหญ่ที่เดินวนไปมาไม่อยู่สุข “นายชื่ออะไร”

“ไม่มี!”

ชายหนุ่มแปลกใจ “งั้น ทุกคนเรียกนายว่าอะไร”

“ไม่มี ใคร เรียก!”

“น่าเศร้าจัง” ชายหนุ่มเปรยพลางกอดอกนี่อาจจะจริงอย่างที่เจ้าอสูรตรงหน้าตอบก็เป็นได้ เพราะมันเองก็กลัวที่จะถูกมนุษย์เห็นถึงเพียงนี้ คิดแล้วแวนกัสก็เดินไปหยุดยิ้มอยู่ตรงหน้า “นายคงจะเหงาแย่เลยสินะที่ต้องอยู่ตัวคนเดียว นายไม่มีครอบครัวหรือพี่น้องบ้างเลยเหรอ”

“มี!”

“ฮะ” แวนกัสเกิดสนใจขึ้นมา “พวกเขาก็อยู่แถวนี้งั้นเหรอ อยู่ตรงไหน”

มันนิ่งไป เดินลุยน้ำไปนั่งห่อไหล่คอตกบนโขดหิน เงียบไปพักหนึ่ง “ไม่มี ชีวิต!”

“หมายถึงตายกันหมดแล้วงั้นเหรอ” ชายหนุ่มลุยแรงน้ำไปหา “เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา”

“มนุษย์ ทำร้าย!”

ได้ฟังแล้วแวนกัสก็รู้สึกจุกขึ้นมาทันใด ว่ากันว่ามนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวที่สุดในโลกใบนี้คงจะเป็นความจริง แม้กระทั่งปิศาจที่ตัวใหญ่ถึงขนาดนั้นยังเกรงกลัวได้ ชายหนุ่มทอดถอนใจ มองแผ่นหลังใหญ่มอมแมมนั้นกำลังคอตกราวกับเศร้าเมื่อได้กล่าวถึงพ่อแม่พี่น้องที่ต้องตายไปเพราะฝีมือมนุษย์ แต่แล้วแวนกัสก็สะดุ้ง เมื่อจู่ ๆ มือใหญ่ของมันก็ตะครุบอะไรบางอย่างอยู่ตรงหน้า

“ฮึ่ม!” ชายหนุ่มอ้าปากหวอ เมื่อในมือเป็นแมงมุมยักษ์ตัวสีดำที่เคยนอนตายอยู่ริมหน้าต่างของเขา บัดนี้ได้ถูกเจ้ายักษ์กำลังจับยัดเข้าปากทั้งเป็น และท่าทางของมันก็เอร็ดอร่อยเหลือเกิน เศษไส้สีขาวต่างกระจุยกระจายไปทั่วจนชายหนุ่มรู้สึกอยากอาเจียน

“น..นาย!” แวนกัสหยีหน้า “นายกินเจ้าพวกนี้ทุกวันเลยงั้นเหรอ”

มันชะงักกึก ที่ขอบปากยังมีขาของแมงมุมแสนโชคร้ายเกาะอยู่ แล้วก็ยื่นมาแบ่งให้ “ดี!”

“ไม่ดีโว้ย!”

มันเอียงคอคิด “หนอนดี!”

“ไม่ดีเหมือนกัน!”

มันชะงัก แล้วเบิกตาขึ้น “งู!”

“งูก็ไม่ดี!”

“ไส้เดือน...”

“พอแล้ว พอ!” แวนกัสยกมือปรามอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าเจ้าสิ่งตรงหน้านั้นกินอะไรมาบ้าง ชายหนุ่มมุ่ยหน้า ยกนิ้วชี้ออกคำสั่งให้ปล่อยของในมือทิ้ง เจ้ายักษ์ใหญ่อึ้งไปแต่ยอมทำตามแต่โดยดี “ตามฉันมาเดี๋ยวนี้เลย เร็วเข้า ฉันจะบอกว่าอะไรที่นายควรกินหรือไม่ควรกิน”

“กิ่งก่า!”

แม้กระทั่งยามที่แวนกัสบอก เจ้าตัวใหญ่ยังไม่ได้สนใจฟังชายหนุ่มเลย มันทำท่าจะกระโจนไปจับกิ่งก่าที่วิ่งอยู่บนต้นไม่อีกฝั่ง แวนกัสสับขาวิ่งไปกางแขนดักหน้า “ไม่ ๆ ๆ ๆ นายกินของพวกนี้ไม่ได้ นายต้องปล่อยพวกมันไป”

“นก!”

“ไม่ได้ นกก็ไม่ได้” ราวกับว่าแวนกัสกำลังคุยกับเสือดาวตัวใหญ่ ทันทีที่มันเห็นเหยื่อก็ตั้งท่าจะกระโจนจับให้จงได้ แต่ทันทีที่เขาคว้าข้อมือของมันไว้ให้หยุด เจ้าเหม็นสาบตรงหน้าก็ชะงักราวถูกไฟฟ้าช็อตไปทั่วทั้งร่าง มันตัวสั่นแล้วนิ่งราวกับถูกมนต์สะกด จากที่กำลังสนใจเหยื่อพลันหันมาจับจ้องเขาแทน เอ...หรือมันเห็นเขาเป็นเหยื่อแทนแล้ว

ชายหนุ่มรู้สึกแปลกใจที่มันยอมเชื่อฟังเขาราวกับเป็นสัตว์เลี้ยงที่ถูกฝึกมาอย่างดี แต่นอกจากท่าทางใสซื่อนั้นแล้ว ในแววตาสีแดงเพลิงนั้นก็ยังเป็นประกายอยู่เสมอ ยามจับจ้องแวนกัส ชายหนุ่มผละมือที่บังคับจับให้อสูรร้ายหยุดออก แล้วเป็นฝ่ายเดินนำกลับไปยังที่บ้านด้วยความเงียบเชียบ

“เห็นแก่ที่นายไม่มีเพื่อนเลย ฉันจะเป็นเพื่อนให้นายก็ได้” ชายหนุ่มพูด หันไปยังคงเห็นเจ้าตัวใหญ่เดินตามมาเรื่อย ๆ และทั้งที่บอกออกไปเช่นนั้น ฝ่ายแวนกัสเองต่างหากที่กำลังเหงาจนอยากมีใครสักคนให้คุยด้วยบ้าง ชายหนุ่มยกยิ้ม แล้วเดินเข้าไปด้านใน ดูเหมือนจะรู้ว่าตัวเองควรจะไปที่ไหน ทันที่เข้าไปในห้องพัก ชายหนุ่มก็เห็นร่างใหญ่ยืนค้อมหัวอยู่ริมหน้าต่างแล้ว

เจ้านี่มันร้ายกาจไม่เบา แวนกัสคิดแล้วก็เดินกลับไปที่ครัว ชายหนุ่มหยิบซองขนมและแคร็กเกอร์บางส่วนติดมือมาด้วย แล้ววางไว้ที่ขอบหน้าต่าง

“นี่ของนาย” แวนกัสบอก เจ้ายักษ์เอียงคอ มันก้มลงดอมดมฟุดฟิดแล้วจะหยิบเข้าปาก แวนกัสถึงกับเหวอร้องห้าม “เดี๋ยวก่อนซี่ นายต้องแกะมันออกมาก่อน แบบนี้น่ะ...” ชายหนุ่มหยิบมาฉีก เสียงของพลาสติกดังเสียดสีกันทำเอาเจ้ายักษ์ตรงหน้าปิดหูด้วยความหวาดกลัว

“หืม...” เจ้าของบ้านเลิกคิ้ว “นายกลัวเสียงนี่เหรอ”

ยักษ์ใหญ่พยักหน้าหงึกหงักยอมรับ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เจ้านี่ยังไม่คุ้นชิ้น และแวนกัสคิดว่าชายหนุ่มต้องใช้เวลาในการเรียนรู้กับเพื่อนใหม่สักพัก ชายหนุ่มยกยิ้มเล็กน้อยในความน่าเอ็นดูยามมือใหญ่ยกกุมหูทั้งสองข้าง แกะแล้วยื่นให้อีกฝ่ายรับไปถือ ก็แค่คุ้กกี้ที่สอดไส้ช็อกโกแลตธรรมดา แต่แวนกัสมั่นใจแน่ว่าเจ้าตัวใหญ่ตรงหน้าต้องแปลกใจ

ทันทีที่มันเคี้ยวก็อ้าปากเหวอ ปฏิกิริยาน่าขันเสียจนแวนกัสต้องหัวเราะออกมา “นายนี่มันน่ารักเกินไปแล้วนะ ของพวกนี้รสชาติดีกว่าพวกหนอนหรือแมงมุมใช่มั้ยล่ะ”

เจ้ายักษ์ตรงหน้ายอมรับด้วยการผงกหัวอีกครั้ง กำคุ้กกี้เข้าปากเสียทีเดียวอย่างติดใจ

“ถ้านายชอบ ฉันจะแกะไว้ให้นายทุกวันก็แล้วกัน รีบมาเอาก่อนที่มดจะแย่งกินหมดเข้าใจมั้ย” ชายหนุ่มบอกขณะที่มองยักษ์ตรงหน้ามีความสุขกับรสชาติแปลกใหม่ “เพื่อขอบคุณที่นายเอาดอกไม้มาให้ฉันอยู่ทุกวันจนเต็มห้อง แล้วก็ในฐานะที่เราเป็นเพื่อนกันแล้ว นายอย่าแอบมาตอนที่ฉันไม่รู้ตัว ต้องเรียกให้ฉันออกมาต้อนรับด้วยการเรียกชื่อ”

เจ้ายักษ์ชะงัก “มนุษย์...”

“นายจำชื่อฉันไม่ได้รึไง แวนกัสไง แวนกัส...”

“แฟนเกิซ!” มันรีบว่า

“สำเนียงเป๊ะมาก”

“แฟนเกิซ!”

“อย่างนั้นแหละ” ชายหนุ่มยกนิ้วโป้งให้

มันยกนิ้วตาม “แฟนเกิซ!”

“เยี่ยมยอด!” คนฟังปรบมือ ส่วนคนพูดก็กระโดดโลดเต้นอยู่ข้างนอกเสียบริเวณโดยรอบเละเทะไปด้วยรอยเท้าใหญ่ จากสภาพที่มอมแมมอยู่แล้วก็ยิ่งสกปรกไปกว่าเก่า เห็นแล้วแวนกัสก็ทำได้เพียงยิ้มอย่างนึกเอ็นดูมันที่ออกจะอารมณ์ดีเกินไป แล้วจึงเลือกเปลี่ยนเรื่องขึ้นมา “นายเรียกชื่อของฉันได้แล้ว แล้วจะให้ฉันเรียกนายว่าอะไรดีล่ะ ให้เรียกเจ้ายักษ์ก็คงแปลก”

ดูท่ามันก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นอะไร ทันที่ทีเขาเริ่มประเด็น มันก็ชะงักกึกไปในทันที เห็นแล้วแวนกัสก็ยกยิ้ม ลูบคางตัวเองครุ่นคิดพักหนึ่ง “เอ...หรือว่านายจะให้ฉันตั้งชื่อให้นายเอง ดีมั้ย”

มันพยักหน้า “ดี!”

คนฟังยิ้มแล้วยกนิ้วขึ้น “เคลวินน์เป็นไง ฮ่า...ชื่อเหมาะกับนายจริง ๆ นะ”

“เคลฟินน์!” มันชี้ตัวเอง

“ใช่”

มันลิงโลด “เคลฟินน์!”

“อื้ม...” แวนกัสไม่เคยคิดเลยว่าการได้ชื่อจากเขาจะทำให้ยักษ์ตรงหน้าดีใจถึงเพียงนี้ มันร้องโฮกเสียงดัง วิ่งไปมาแสดงออกถึงอาการตื่นเต้นอีกครั้ง ชายหนุ่มทำได้เพียงแค่นั่งเท้าคาง มองตามยักษ์ร่างใหญ่ที่กำลังโลดเต้นอยู่ข้างนอกด้วยรอยยิ้มเท่านั้น

และกลายเป็นว่า การได้นั่งมองเคลวินน์ลองสิ่งใหม่ ๆ ที่เขานำไปให้นั้นเป็นกิจวัตรประจำวันของแวนกัสไปเรียบร้อยแล้ว ทุกเช้า ชายหนุ่มจะต้องรู้สึกตัวเพราะเสียงเคาะกระจก พลิกกายหันไปจะเห็นเงาตะคุ่มของยักษ์ใหญ่กำลังค้อมมาเกาะที่ขอบหน้าต่างราวกับเป็นนาฬิกาปลุก ชายหนุ่มยิ้มแม้เพิ่งจะตื่นนอน ลุกเดินไปที่ครัวแกะขนมยื่นไปให้ทุกที แลกกับดอกไม้แสนสวยที่อีกฝ่ายเอามาให้

เจ้ายักษ์แสร้งดมดอกไม้ที่มันถือ น่าแปลกที่ภาพตรงหน้ามันดูขัดตาแวนกัสแต่กลับทำให้ชายหนุ่มรู้สึกดีประหลาด และเข้าใจโลกได้มากขึ้นกว่าเก่าว่าเขาไม่ควรตัดสินอะไรเพียงแค่ภายนอก ดูเคลวินน์เป็นตัวอย่าง ยักษ์สูงสามเมตร ตัวใหญ่กว่ามนุษย์สองเท่าเบื้องหน้า กำลังก้มดมดอกไม้แสนสวยด้วยท่าทางเบามือ แทนที่จะเห็นแล้วขัน แวนกัสกลับเห็นรังสีอ่อนโยนอยู่ในนั้น

ก่อนที่เจ้ายักษ์จะยื่นมาให้ “ให้แฟนเกิซ”

คนรับยิ้มแล้วยกขึ้นสูดดมบ้าง “อืมหอม นี่ดอกอะไร”

“ดอกแฟนเกิซ”

คนฟังนึกขัน “นายตั้งชื่อดอกนี่ด้วยชื่อของฉันเหรอ”

“ดอกนี้ หอม เหมือน แฟนเกิซ” มันผายมืออธิบาย คนฟังได้ยินแล้วรู้สึกแปลก ไม่รู้เหตุใดเขาถึงนึกภาพสมัยก่อน ยามแสร้งไม่รู้ไม่เห็นร่างของเคลวินน์ เจ้ายักษ์ดอมดมเขาไปทั่วร่างอย่างอยากรู้อยากเห็น ดมไปทุกส่วนจริง ๆ คิดแล้วแวนกัสก็กระแอมแก้เขิน เพราะทุกส่วนที่เขาหมายถึงคือทุกส่วน เจ้ายักษ์ด้านนอกไม่เว้นว่างตรงไหนเลย

“นายห้ามมาดมตัวฉัน ทำแบบนั้นมันเข้าข่ายคุกคามทางเพศนะ รู้มั้ย นายต้องเรียนรู้เรื่องการให้เกียรติเพื่อนร่วมโลกด้วย” ถึงแม้จะรู้ดีว่าอย่างเคลวินน์นั้นไม่ได้พบปะกับใครนัก แต่แวนกัสก็ทำเป็นสอนไปอย่างนั้นเอง ถึงอีกฝ่ายจะซื่อบื้อและหัวช้าเรื่องจดจำ ไหนจะสมาธิสั้น พูดง่าย ๆ ว่าโง่ก็ได้ แต่เกี่ยวกับความรู้สึกของแวนกัสนั้น อีกฝ่ายจดจำได้ดีเลยทีเดียว

ชายหนุ่มไม่ได้อยากเข้าข้างตัวเองนักหรอก แต่เพราะความว่าง่ายของเจ้านี่นั่นแหละ ที่ทำให้แวนกัสสบายใจที่จะพบเจอและอยู่ด้วยได้ตลอด ชายหนุ่มมองตามสารรูปของเคลวินน์แล้วส่ายหน้า เจ้านี่อยู่แบบนี้ไปลงได้ยังไง

“นายชอบกลิ่นหอม ๆ แล้วทำไมไม่รู้จักอาบน้ำซะบ้างล่ะ”

“อาบ น้ำ” มันย้อน

“นี่นายไม่รู้จักการอาบน้ำรึไง”

“แก้ผ้า”

คนฟังถลึงตา “ก็รู้นี่”

“แฟนเกิซ อาบน้ำ ทุกวัน”

“หา!” ชายหนุ่มย้อน “นายรู้...”

มันพยักหน้า “เห็น”

“นายแอบดูฉันอาบน้ำด้วยเหรอ!”

ผู้ถูกถามพยักหน้า แล้วทำท่ายีหัวและถูตามตัวให้ดูอย่างละเอียดราวกับไม่ใช่ครั้งสองครั้งที่แอบดู ชายหนุ่มรู้สึกถึงลมที่วิ่งขึ้นหู อยากจะร้องว้ากใส่หน้าไอ้ยักษ์เหม็นสาบที่ยังทำหน้าแป๋วเกาะหน้าต่าง ก่อนจะกุมที่อกผ่อนปรนอารมณ์ บอกตัวเองว่าเคลวินน์อาจไม่รู้จริง ๆ ก็ได้ว่าปกติคนเขาไม่แอบมองใครอาบน้ำ เพราะมันจะกลายเป็นโรคจิต

ชายหนุ่มยกนิ้วชี้ “ห้าม มาแอบดูฉันอาบน้ำอีกเด็ดขาด”

“ทำไม”

“ยังจะถามอีก ห้ามคือห้าม ไม่อย่างนั้นฉันจะเกลียดนาย เข้าใจไหม”

“เข้าใจ” มันตอบเสียงเศร้า ทั้งที่แวนกัสคิดว่าอีกฝ่ายก็ยังคงไม่เข้าใจอย่างที่บอก เพราะที่ตัวของเจ้ายักษ์นั้นเกือบจะเปลือยแล้วน่ะซี มันคงคิดว่าเป็นเรื่องปกติที่จะเห็นเรือนร่างของอีกฝ่าย ชายหนุ่มเก็บอารมณ์ไม่พอใจของตัวเองลง หลังจากได้ยินคำมั่นของเคลวินน์ ตั้งใจจะเดินไปจัดการธุระส่วนตัวแล้วทำมื้อเช้ากินบ้าง หากทว่าฝีเท้าชายหนุ่มชะงัก เมื่อนึกอะไรสนุกขึ้นมาได้ จึงหมุนตัวกลับไปหา “นี่...”

เคลวินน์เดินกลับมาเกาะที่หน้าต่างอีกครั้งเร็วไว รอคำที่แวนกัสจะพูด

“ฉันจะจัดปาร์ตี้น้ำชาอยู่หลังบ้าน นายอยากแวะมาเป็นแขกของฉันมั้ย”

ได้ฟัง เคลวินน์ก็พยักหน้า “ยาชายาชา!”

“น้ำชาโว้ย” แวนกัสยิ้มกว้างแล้วเดินกลับไปหาอีกฝ่าย ก้มลงมองตั้งแต่หัวจรดเท้า “แต่แขกของฉันจะต้องตัวหอมแล้วก็สะอาดสะอ้านสักหน่อยนะ นายควรอาบน้ำแล้วก็ขัดขี้ไคลก่อนจะกลับมาเจอฉันมื้อเที่ยง ฉันมีของอร่อยให้นายกิน รวมถึง...”

สายตาของชายหนุ่มกวาดมองไปตามลำตัวของอีกฝ่าย ซึ่งจริง ๆ แล้วแวนกัสไม่ได้อยากยัดเยียดวัฒนธรรมของมนุษย์ให้อีกฝ่ายเท่าใดนัก เพราะรู้ดีว่ายักษ์ก็คือยักษ์ แต่อย่างน้อยหากเคลวินน์อยากจะคบค้าสมาคมกับชายหนุ่มนั้น ก็ไม่ควรเปลือยกายจนแทบจะทุกส่วนเช่นนี้ รวมถึงเรื่องความสะอาดด้วย

“นายควรใส่อะไรที่มันมิดชิดกว่านี้หน่อยนะ คิดงั้นมั้ย”


ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa
(ต่อ)

แวนกัสรู้ ว่ากำลังหางานยากเย็นมาให้ตัวเองทำอยู่ แต่ชายหนุ่มไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเลยเพราะหากแลกกับความอยากรู้อยากเห็นของตัวเอง คิดแล้วร่างโปร่งก็เดินไปยังตู้เก็บของ หยิบเอาแชมพู ครีมบำรุงผม หรือแม้กระทั่งครีมอาบน้ำใส่ถุงผ้า กลับไปหาเคลวินน์ที่ยังชะโงกเข้ามาด้วยท่าทีงุนงง

ชายหนุ่มยกของสามอย่างให้อีกฝ่าย ค่อยสอนที่ละอย่าง “อันนี้ ใช้ถูตัว ส่วนอันนี้ใช้สระผมอันแรกให้ผมหอม อันนี้ใช้สระผมอันที่สองจะทำให้ผมสวย นายเอาไปอาบแล้วมาเจอฉันที่หลังบ้าน ตกลงมั้ย” แวนกัสพูดช้า ๆ เคลวินน์พยักหน้ารับบอกว่าเข้าใจ ขณะที่ยื่นให้ ไม่วายทดสอบความจำของอีกฝ่าย “นายลองบอกฉันทีว่าอันไหนใช้ทำอะไร”

เจ้ายักษ์ตัวเปื้อนเปิดถุงหยิบขึ้นมาทำท่าประกอบ “อันนี้ ถู อันนี้ ผมหอม อันนี้ ผมสวย”

คนฟังอมยิ้มกับวิธีการจำของยักษ์เบื้องหน้า “ความจำนายดีใช้ได้ ไม่โง่นี่ ไปอาบน้ำได้แล้ว แล้วเจอกันนะ”

คนพูดเดินแยกไปยังครัว ตั้งใจจะทำอาหารง่าย ๆ ให้เคลวินน์กิน ชายหนุ่มตัดสินใจนำแซลม่อนที่แช่แข็งไว้มาทำสเต็กเพราะง่ายและเร็ว เพิ่มอีกอย่างหนึ่งคือมักกะโรนีอบชีส ส่วนของหวานก็น่าจะเป็นผลแอปเปิ้ลกับชามะนาวเย็น เพราะง่ายที่สุดแล้ว ครั้นทำอาหารและจัดของเข้ากล่องเรียบร้อย แวนกัสก็เดินฮัมเพลงตั้งใจจะเข้าห้องไปอาบน้ำ ทว่า...

“เฮ้ นายมาตั้งแต่เมื่อไหร่” ชายหนุ่มชะงักเท้าเมื่อเดินเข้ามา เห็นยักษ์ตัวใหญ่ถือถุงผ้าอย่างทนุถนอมรออยู่ที่ริมหน้าต่างในสภาพเละเทะกว่าเดิม ไหนจะฟองเต็มตัวนี่อีก เห็นแล้วแวนกัสย่ำเท้าออกไปยืนประจันหน้าด้านนอก สำรวจร่างกายอีกฝ่ายด้วยความปวดประสาท “อ๊ากกกก นายไม่รู้วิธีอาบน้ำรึไง”

มันแยกเขี้ยวยิ้ม ตั้งท่าจะเดินมาจับ “อย่ามาแตะคนอื่นถ้านายยังสกปรกอยู่แบบนี้”

“หอม”

“ไม่เลย ถอยให้ห่างฉันเลย” แวนกัสไม่ทราบว่าการพูดเพียงแค่นี้ จะทำให้เจ้าตัวใหญ่ถึงขั้นเหงาหงอยไปในบัดดลเช่นนี้ ชายหนุ่มกระแอมเกรงว่าตัวเองจะใช้อารมณ์มากเกินไป คิดแล้วก็เดินไปแย่งถุงในมืออีกฝ่ายมาถือ พูดด้วยเสียงจนใจว่า “ก็ได้ ฉันจะช่วยขัดสีฉวีวรรณนายเอง”

พักใหญ่ จากธารน้ำตกหลังบ้านก็กลายเป็นสปาธรรมชาติไปเสียแล้ว แวนกัสถลกเสื้อแขนยาวของตัวเองขึ้นเหนือศอกทั้งสองข้าง เดินลุยน้ำไปยังโขดหินที่มีแอ่งน้ำลึกพอให้ยักษ์นั่ง ชายหนุ่มชี้นิ้วให้เจ้าตัวดีลงไป จากนั้นก็เดินไต่ไปอยู่บนหินที่สูงพอดี ตักน้ำราดให้เด็กโข่งไม่รู้ราว

“จำไว้นะ ฉันจะสอนนายครั้งเดียว” ชายหนุ่มบีบครีมอาบน้ำใส่ฝ่ามือตัวเอง ถูไปตามแขนใหญ่เสียเต็มแรง น่าแปลกที่เนื้อกายนี่แน่นหนั่นไปหมดทั้งตัว “เห็นมั้ย ถูย้ำ ๆ ให้ความสกปรกมันออก ถูแบบนี้ให้ทั่วตัว โดยเฉพาะจุดที่มันอับชื้น ไหนนายลองทำดูซิ”

แวนกัสพยักหน้าพอใจยามเห็นลูกศิษย์เรียนรู้ไวกว่าที่คิด ระหว่างที่เคลวินน์กำลังขัดถูตามตัวของตนเอง ชายหนุ่มก็จะเปิดเผ้าผมยุ่งเหยิงนั่นมาล้างโคลนและเศษไม้ออกให้หายเกะกะลูกตาสักที ทว่าดูเหมือนเจ้าของจะไม่ยอม มันกำข้อมือเขา ส่ายหน้า “ไม่...”

“นายต้องทำความสะอาดผมนายบ้าง”

“ไม่ดู” มันส่ายหน้า “น่ากลัว”

คนฟังเลิกคิ้วแปลกใจ “นายน่ะเหรอน่ากลัว ไม่เลย นายน่ารัก”

“แฟนเกิซ น่ารัก” มันว่า

คนฟังแปลกใจ แล้วพยายามอย่างที่สุดที่จะเก็บซ่อนท่าที ยามนิ้วใหญ่เคลื่อนมาจิ้มที่จมูกอย่างที่เคยทำ อาจเป็นเพราะความเหงาที่ต้องอยู่คนเดียวแน่ถึงทำให้เขารู้สึกหน้าเห่อร้อนขึ้นมา แวนกัสไล่ความผิดแปลกนั้นออกไปด้วยการเปลี่ยนเรื่อง “ถ้านายกลัวฉันเห็นหน้าตาน่ากลัวของนายก็หันหลังมา ฉันจะทำจากด้านหลังให้ ขืนนายอาบน้ำแล้วปล่อยให้ผมอยู่สภาพแบบนี้ ไม่กี่วันคงเน่าเหมือนเดิม”

แวนกัสพกหวีมาด้วย แต่อันดับแรกเขาต้องแกะเศษไม้และสิ่งแปลกปลอมออกจากผมก่อน กว่าจะทำเสร็จคนขัดตัวก็ยุกยิกแล้ว แวนกัสใช้วิธีชวนคุยไปด้วย ทำไปอย่างใจเย็นไปด้วย กว่าจะล้างหัว สระผมอยู่หลายครั้ง ยังดีหน่อยที่แถวบ้านเขามีน้ำที่ไหลเอื่อย ทำให้ตักน้ำมาล้างได้ตลอด และตลอดเวลาที่คุยกันทำให้เขาได้รู้จักเคลวินน์มากยิ่งขึ้นด้วย

“งั้นก็แปลว่ามีคนเลี้ยงนายมาตั้งแต่ยังเด็ก เพราะครอบครัวนายตายกันตั้งแต่นายยังเล็ก ๆ”

เจ้าตัวใหญ่ที่หันหลังให้วักน้ำล้างหน้าตาตัวเอง “ใช่”

“แล้วนายอยู่คนเดียวมาอย่างนี้นานเท่าไหร่แล้วล่ะ”

มันนิ่งพักหนึ่ง “สองร้อย ยี่สิบเอ็ด”

“อะไรนะ”

“แฟนเกิซ ยัง ไม่เกิด ไม่มี เสียงดัง หนวกหู ไม่มีมนุษย์ แถวนี้”

คนฟังรู้สึกห่อเหี่ยวใจขึ้นมาเล็กน้อย คิดได้ว่าการอยู่ในป่าคนเดียวมายาวนานขนาดนั้นคงเหงาน่าดู “แย่จัง นายคงไม่มีเพื่อนจริง ๆ นั่นแหละ งั้นฉันจะเป็นเพื่อนกับนายเอง นายอยู่มานานขนาดนี้ไม่แปลกใจทำไมถึงพูดได้ละนะ” คนบอกใช้เสียงสดใสขึ้น แล้วเปลี่ยนเรื่อง

“ผมนายยาวมากเลย สีก็แปลก ฉันเพิ่งเห็นสีผมนายจริง ๆ ก็วันนี้ มันสวยดีนะ” แวนกัสว่าขณะสางผมที่นวดให้จนเงา แล้วล้างออก กว่าเขาจะถึงขั้นตอนนี้ก็หมดครีมบำรุงผมไปหลายขวด “แล้วต่อไปนี้นายก็ควรอาบน้ำสระผมบ่อย ๆ ด้วยนะ ฉันชอบคนที่มีกลิ่นหอมมากกว่ากลิ่นสาบ”

“จริงเหรอ”

“อื้ม”

“ถ้า ข้า หอม แฟนเกิซ ก็จะ ชอบ!”

“จะว่าแบบนั้นก็ได้” คนนั่งบนโขดหินด้านหลังพยักหน้าไปตามสถานการณ์ หากทว่าต้องตกใจ เมื่อจู่ ๆ เจ้ายักษ์ที่หันหลังให้ก็หมุนตัวขวับมาหาเขาด้วยสีหน้าลิงโลดกว่าลูกหมา มันโน้มหัวมาแนบหน้าผากกับเขาจนรู้สึกได้ถึงความเฉอะแฉะ “สัญญา สัญญา!”

สัญญาอะไร สัญญาว่าจะอาบน้ำทุกวันน่ะเหรอ “อะไรของนายเนี่ย!”

“แฟนเกิซ รัก เคลฟินน์”

“ว่าไงนะ...”

แวนกัสกุมหน้าผากเปียกของตัวเอง มือหนึ่งก็เกาะบ่าใหญ่ของอีกฝ่ายด้วยกลัวว่าจะหงายเงิบไปด้านหลังเพราะถูกหน้าผากพุ่งมาหา แต่ที่ทำให้ชายหนุ่มแปลกใจตัวเอง ก็คงจะเป็นตอนที่ลมหายใจของเจ้ายักษ์ร้ายต่อหน้ามันใกล้เขาเพียงแค่คืบ และเพราะผมที่ปรกถูกสางไปอยู่ด้านหลัง เผยใบหน้าอันไร้ที่ติราวกับพระเจ้าบรรจงสร้างของมันกระมัง ที่ทำให้แวนกัสรู้สึกเหมือนกำลังใจเต้น

ในขณะที่เคลวินน์ผละออกให้เห็นรูปหน้าที่ชัดเจน แวนกัสก็แน่ใจแล้วว่านี่ไม่ใช่อสูร แต่เป็นเทพบุตรอย่างแน่นอน ชายหนุ่มอ้าปากค้าง มองอีกฝ่ายพักเดียวก็จำต้องเก็บอาการของตัวเองอย่างนึกเสียดาย ด้วยกลัวว่าเพื่อนใหม่จะเข้าใจว่าเขานึกเกรงกลัว ไหนจะไอ้นิสัยกลัวมนุษย์เห็นแล้วรังเกียจนี่อีก เขาต้องเปลี่ยนความคิดนั่นเสียใหม่แล้ว

“นาย ไม่น่ากลัวเลย” ชายหนุ่มยกยิ้ม แล้วยื่นผ้าขนหนูให้

“แฟนเกิซ ไม่กลัว คนเดียว”

“อย่าเอาผมปิดหน้า ฉันอยากเห็นหน้าหล่อ ๆ ของนาย”

ผู้ฟังนิ่งไป แล้วยกยิ้มกว้างจนเห็นเขี้ยว แวนกัสเหมือนเห็นเด็กสาวอายุสักยี่สิบกำลังเขินทับซ้อนอยู่ในนั้น ยามมือใหญ่ยกขึ้นลูบที่แก้มของตัวเองอย่างรู้ดีว่าที่เขาหมายถึงนั้น คือคำชม ทำไม...เจ้านี่ถึงได้น่ารักขึ้นทุกวันกันนะ ชายหนุ่มคิดแล้วได้แต่ส่ายหน้าต้านทานความน่าเอ็นดูนั้นอย่างพยายามที่สุด

 

แรงเคาะประตูจากด้านนอก ทำเอาชายหนุ่มที่กำลังง่วนอยู่บนโต๊ะหนังสือต้องถอดหูฟังออก ได้ยินเป็นเสียงหญิงแก่เจ้าของบ้านเคาะเรียกอยู่หลายครั้ง ร่างสูงใหญ่รีบลุกเดินไปเปิดด้วยรอยยิ้มละมุนอ่อน เห็นเธอกำลังถือแก้วชาเดินเข้ามาด้านใน “พักนี้หลานอ่านหนังสือหนักไปแล้วนะวิคเตอร์ ลงไปหาอะไรกินบ้างสิ”

“ขอโทษที่ทำให้ห่วงฮะ” ชายหนุ่มวัยมหาวิทยาลัยหันไปรับถาดของว่างก่อนที่นางจะถึงที่หมาย ก่อนจะอธิบายถึงเรื่องที่ครุ่นคิดมานาน “ผมตัดสินใจแล้วว่าจะตั้งใจเรียน เลิกตามหาเรื่องที่ไม่เป็นความจริงสักที”

คนฟังยกยิ้ม “เดี๋ยวความจริงก็ปรากฏสักวันนั่นแหละ” นางกวาดสายตามองรอบห้อง ตั้งแต่ยังเด็ก หลานชายของนางก็เอาแต่พร่ำพูดว่าได้เจอกับสิ่งมีชีวิตตัวใหญ่ยักษ์ตัวหนึ่ง รู้ตัวอีกที รูปวาดก็ถูกแปะติดเต็มผนังห้องของวิคเตอร์ไปแล้ว แต่มันก็เลือนลางเหมือนความทรงจำของวิคเตอร์นั่นแหละ “บางทีสิ่งที่หลานเห็นอาจมีจริงก็ได้นี่นา เก็บไว้เป็นความทรงจำเถอะ”

“ผมว่ามันอาจจะเป็นแค่ฝันร้ายเท่านั้นแหละ”

นางส่ายหน้า “ป้าว่าเป็นฝันดีมากกว่า หลานจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงมาอยู่ที่หน้าบ้านป้า”

ใครบอกว่าชายหนุ่มลืมกันล่ะ ภาพพ่อแม่ของเขาถูกฆ่าตายต่อหน้า ตั้งแต่วิคเตอร์ยังอายุห้าขวบ แม้จะยังเด็กและความรทรงจำเลือนลาง แต่เขาจำได้ว่าพ่อแม่ของตัวเองถูกฆ่าอย่างโหดร้าย และชายหนุ่มต้องตามหาเจ้าตัวประหลาดในวันนั้นให้เจอ แม้จะผ่านมาสิบหกปีแล้วก็ตาม

“เอ้อ หลานจำเจ้าของบ้านที่ป้าให้ไปตัดหญ้าทำความสะอาดอยู่บ่อย ๆ ได้ใช่มั้ย คาดไม่ถึงเลยว่าเขาจะกลับมาแล้ว ทั้งที่คราวก่อนย้ายออกไปอย่างปุบปับ แล้วก็หายไปเลย” นางเล่าอย่างครุ่นคิด “เจ้าของบ้านน่ารัก นิสัยดี แต่แปลกที่คอยส่งคนมาปรับปรุงอยู่ตลอดเหมือนกำลังรอใครกลับมาอยู่”

วิคเตอร์จำได้ เขามักแอบไปนั่งเล่นบริเวณหลังกระท่อมนั้นเพราะอากาศดี ป่าแถวนี้วิคเตอร์เติบโตมาพร้อมกับมันเสมือนบ้าน บวกกับความเจริญเริ่มเข้ามาถึงแล้ว เริ่มมีคนย้ายออกมาอยู่นอกชานเมืองกันมากขึ้น สิ่งสะดวกสบายก็ตามมา ไม่ว่าจะร้านสะดวกซื้อ ร้านกาแฟสำหรับจุดพักรถ หรือปั๊มน้ำมัน ซึ่งการหลบไปแอบงีบหรือนั่งอ่านหนังสือที่นั่นทำให้รู้สึกดีไม่น้อย

ชายหนุ่มคิดได้แล้วก็พยักหน้า “ผมไปดูหน่อยดีกว่า”

“เดี๋ยวก่อนสิ เอาของฝากไปด้วย น้ำผึ้งเป็นของโปรดเขาเลยล่ะ”

“ฮะ เดี๋ยวผมหยิบเอง”

“บอกว่าป้ามีญ่าฝากมาให้นะ เดี๋ยวป้าจะตามไปเย็น ๆ”

“ได้เลยฮะ!” วิคเตอร์หยิบโหลน้ำผึ้งของดีขึ้นชื่อละแวกนี้ใส่เป้ก่อนจะยกสะพาย หลังขานตอบป้ามีญ่าแล้วชายหนุ่มก็วิ่งออกไปคว้าจักรยานคู่ใจขึ้นปั่น ผ่านบ้านของเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน และเพื่อนบ้านอีกสองหลังก่อนจะถึงแยกที่เป็นดินลูกรัง เขากับลุงแซคมักมาตัดหญ้าแถวนี้ให้เจ้าของบ้านอยู่ตลอด ไม่นานชายหนุ่มก็ไปถึงกระท่อมใกล้ป่านั้น

ตรงหน้ามีรถสองคันจอดอยู่ลานหน้าบ้าน เห็นคนจำนวนหนึ่งกำลังเดินเข้าไป ทันทีที่ได้ยินเสียงจักรยานของเขาจอดก็หันมาทิศนี้อย่างระวังท่าที วิคเตอร์อาจคิดไปเองก็ได้ว่าทุกคนกำลังมีพิรุธ โดยเฉพาะผู้ชายตัวใหญ่ที่กำลังเก็บซ่อนตัวด้วยเสื้อฮู้ดและหลบหลังทุกคน ก่อนจะเดินปลีกหนีเข้าบ้านไป

“ขอโทษฮะ ผมแค่มาทักทาย” ชายหนุ่มกล่าวพลางเปิดกระเป๋า ดวงตาสอดส่ายหาข้อมูลไปพลางเดินดิ่งไปยังผู้ชายตัวสูงโปร่งคนหนึ่ง และอีกคนที่มีเชื้อชาติเอเชีย “ผมวิคเตอร์ฮะ เมื่อกี้ป้ามีญ่าเห็นพวกคุณกลับมาที่บ้าน เธอดีใจมาก เลยฝากน้ำผึ้งมาให้”

“เธอเป็นหลานป้ามีญ่าเหรอ” ชายตัวสูงเอื้อมมือมาจับทำความรู้จัก ก่อนจะรับไปถือ นั่นทำให้วิคเตอร์รู้ว่าคือเจ้าของบ้านหลังนี้ ชายหนุ่มพยักหน้ารับเล็กน้อย “ฮะ อันที่จริงก็ไม่ใช่ซะทีเดียว” วิคเตอร์ตอบ

“ไม่ใช่...” แวนกัสหรี่ตาสงสัย

“ครับ ผมเป็นหลานบุญธรรม”

“ขอโทษที” อีกฝ่ายยกยิ้มจางกล่าว

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรฮะ”

“ฉันแวนกัส ฝากบอกป้ามีญ่ากับลุงแซคด้วยว่าฉันคิดถึง ขอบคุณที่คอยดูแลบ้านให้” วิคเตอร์ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าว่าท่าทีของทุกคนที่นี่เหมือนกำลังลุกลี้ลุกลนและคร่ำเครียดกัน ชายหนุ่มมองตามลุงเชื้อสายเอเชียที่เดินนำเข้าไปในบ้านด้วยความแปลกใจ ก่อนจะหันมาหาแวนกัส

“สภาพในบ้านไม่รู้เป็นยังไงบ้าง ถ้าอยากให้คนไปช่วย เรียกผมได้เลยนะฮะ”

“ขอบใจ ทางนี้เรามีแรงงานเพียบเลยนายไม่ต้องห่วง ถ้าทุกอย่างผุพังก็กะว่าจะขนของเก่า ๆ ทิ้งให้หมดเลยจะได้ไม่ต้องเสียเวลาทำความสะอาด เดี๋ยวของที่ฉันขนมาด้วยก็คงถึงแล้ว” แวนกัสยักไหล่เหมือนกำลังพูดเรื่องง่าย ๆ คนฟังก็พยักหน้าเข้าใจ รู้แล้วว่าคนรวยไม่มีเรื่องให้กลุ้มใจเรื่องเงินเป็นอย่างนี้นี่เอง

แต่ว่า คนรวยอะไรถึงมาอัดอยู่กันในบ้านหลังเล็ก ๆ ที่มีเพียงห้องนอนห้องเดียวอย่างนี้ด้วย ดูจากจำนวนคนที่มาอาศัยแล้วมันไม่สมมาตรกับขนาดของบ้านเลยสักนิด หรือคนบ้านนี้จะกำลังมีความลับอะไรซ่อนอยู่กันหนอ วิคเตอร์คิดอยู่ในใจ

สงสัยคงต้องคอยมาสืบหาความจริงเสียแล้วกระมัง มันน่าสงสัยจริงเชียว

 

 

 -----------------------------------------------

ในที่สุดพวกเขาก็ได้เจอกันแล้วค่ะ กับวิคเตอร์ ตัวละครสุดท้าย อิอิ ทุกคนไม่ต้องห่วงนะคะว่าเรื่องมันจะเดาง่าย ตอนนี้ที่ทุกคนเดา ๆ มา ยังไม่มีใรเดาถูก ที่ถูกคือเด็ก ๆ เป็นลูกพี่ยักษ์อย่างเดียวค่ะ 555555

ขอโทษด้วยที่อัพช้า มันเหนื่อย ไม่มีแรง เพราะหนูนามีงานประจำค่ะ มาถึงก็สลบ

วันนี้ขออัพแบบยังเกลาไม่ดี พรุ่งนี้จะเกลาอีกรอบนะคะ ตอนหน้าจะย้อนไปตอนวิลกลายร่างสักหน่อย ขอสปอยว่าวิควิล หรือจะวิลวิคดีน้าาาาา อิอิ ไปแล้วววว


ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

ออฟไลน์ sang som

  • เจ็บจิต!!
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-6
เจ้ายักษ์น่ารักมาก

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa
เจ้ายักษ์น่ารักมาก
จะน่ารักกว่านี้ได้อีกค่าาา

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด