พิมพ์หน้านี้ - O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #12 up06.11.62

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: noonaaRP ที่ 23-09-2019 21:41:09

หัวข้อ: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #12 up06.11.62
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 23-09-2019 21:41:09
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่


1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด


3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม


6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม



********************************************************

นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายวาย เนื้อหาเกิดจากจินตนาการของผู้แต่ง
ห้ามคัดลอก ดัดแปลง หรือนำไปลงแหล่งอื่นก่อนได้รับอนุญาติ


ยังไม่มีสัญญากับ สนพ.

(https://image.dek-d.com/27/0249/8607/129305449)
OUTSIDE #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง
(แนวท้องได้)


(https://image.dek-d.com/27/0249/8607/t_129305092)

แวนกัสเบื่อการใช้ชีวิตในเมืองหลวงแสนวุ่นวาย ทำงานเก็บเงินแล้วซื้อบ้านบริเวณชายป่าไร้ผู้คน
ใครมาเยี่ยมเยียนต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่ามันสงบเกินไป ผิดกันกับเขาที่มีความสุข
กระทั่งวันหนึ่ง เขารู้สึกตัวตื่นกลางดึก แล้วพบกับผู้มาเยือน
มันตัวใหญ่ สูงสามเมตร ร่างกายกำยำคล้ายมนุษย์ ผิวสีน้ำตาลมีขนสั้นเหมือนวัว
ผมยาวลากพื้นจนเกิดเสียงใบไม้ใบหญ้าที่เสียดสี นัยน์ตาสีแดงวาวโรจน์จ้องเขาผ่านหน้าต่าง

(https://image.dek-d.com/27/0249/8607/129305451)

ว่ากันว่าในป่าแห่งนี้มีปีศาจน่ากลัว มันดุร้าย พร้อมจะไล่ผู้บุกรุก และกินคน
แวนกัสไม่ยินยอมที่จะย้าย ในเมื่อเขาซื้อที่นี่แล้วเขาก็ควรจะได้อยู่อาศัย ชายหนุ่มจึงคิดค้นหาวิธีขับไล่
เริ่มต้นด้วยการโรยเกลือไว้ที่ขอบหน้าต่างประตู และราดน้ำผึ้ง แต่แทนที่จะกลัว
ทว่า...
เจ้าปีศาจดุร้ายกลับตอบแทนการไล่ของเขาด้วยการนำของมาฝากอยู่ทุกคืน

(https://i.pinimg.com/originals/a7/10/3e/a7103ebd04d562da68712a1198439382.jpg)   

แล้ว...
เจ้าปิศาจตนนี้ มันดุจริงอย่างที่เขาเล่ากันมาหรือเปล่านี่
แวนกัสเองก็อยากพิสูจน์เหมือนกัน


#ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง

หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง(Mpreg) #1
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 23-09-2019 21:57:29
(https://i.pinimg.com/originals/2b/2b/8b/2b2b8b66affdd7607e801589ebdb3d46.jpg)

#ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง

Intro

เสียงเครื่องยนต์อีกไม่กี่ไมล์ข้างหน้าเคลื่อนมาหยุดอยู่ข้างหูผู้หลับ ให้รับรู้ว่ามีผู้บุกรุกเข้ามาในเขตแดนของมัน ร่างกายใหญ่ผุดลุกคลานออกจากรังอาศัย ปะหน้ากับแสงจ้าของอาทิตย์ที่ยังไม่ตกดินก็ยกมือปิด ดอมดมได้กลิ่นหอมแปลกอยู่ไม่ไกล ไม่นานเสียงเจี๊ยวจ๊าวของผู้คนก็เริ่มดังขึ้นให้มันรับรู้

ว่ามีมนุษย์อยู่แถวนี้

บริเวณนี้ทั้งป่าเป็นพื้นที่ของมัน เดิมทีได้ยินเสียงการก่อสร้างที่พักตรงชายป่าก็มิได้สนใจ แต่คราวนี้เห็นทีต้องขึ้นไปดูเสียให้รู้แล้วว่าด้านนอกเกิดอะไรขึ้น มันทำเสียงขู่ฮึ่มฮั่มแล้วปีนป่ายต้นไม้ใหญ่ ไม่สนผมยาวรุงรังสีเงินของตัวเองที่เกาะเหล่ากิ่งไม้จนขาดวิ่น

วิ่งผ่านกิ่งไม้หักลำขาแกร่งก็ชะงักกึกเสียเศษดินกระเด็นกระดอน มันดอมดมกิ่งไม้นั้น ทราบที่มาว่าเพราะสัตว์ทำหักจึงจับเส้นผมยาวจรดพื้นของตัวเองไปพันให้มิด ไม่นานกิ่งไม้ที่หักก็พลันแข็งแรงขึ้นมาทันใด แล้วเสร็จก็ออกวิ่งไปด้านนอก ปีนป่ายอย่างชำนวญ แม้มันตัวใหญ่แต่กลับพริ้วไหวว่องไวนัก

ไปถึง เห็นกระท่อมหลังหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ มีผู้คนกำลังช่วยกันขนของเข้าไปด้านใน พูดคุยกันน่ารำคาญ มันชะงักเมื่อเหลือบไปเห็นมนุษย์เพศผู้กำลังไต่เดินอยู่บนโขดหินที่ริมธาร รูปร่างเล็กน้อย ปากสีสดราวเชอรีกำลังอ้าค้างขณะสำรวจรายรอบ ไม่นานดวงตาสีน้ำตาลเข้มสดใสของอีกฝ่ายก็มาสะดุดอยู่ทิศนี้

ก่อนมนุษย์ผู้นั้นจะผละไปสนใจที่อื่น

แน่นอน ไม่มีใครมองเห็นมัน คิดแล้วก็เดินมุ่งเข้าหาอีกฝ่ายหวังจะเตือนภัยผู้บุกรุกให้ย้ายถิ่นฐานไปที่อื่นเสีย หากทว่าเมื่อยิ่งเข้าใกล้เจ้ามนุษย์ตัวจ้อย มันก็ยิ่งเห็นความสวยงามตราตรึง ลูกตากลมเงาเหมือนแมลงเต่า กลีบเล็บเล็กเหมือนกลีบดอกไม้ ผิวขาวสว่างเหมือนขนกระต่าย

น่ากินไปทั้งตัว...มันคิดทั้งดมฟุดฟิดไปทั่วตัวอีกฝ่าย

เจ้ามนุษย์หยุดยืนดูเศษใยแมงมุมที่เกาะอยู่บนต้นไม้ ช่างสังเกต มือขาวแกะมาพินิจดูแล้วกลับมุ่นคิ้วกับตัวเอง ขาน้อย ๆ เดินไต่ไปเก็บอีกสองสามเส้นถือไว้ ก่อนจะชะงักเท้าราวกับรู้ว่านอกเหนือจากตนเองนั้น ยังมีใครอีกคนที่อยู่แถวนั้นด้วย มันชะงักท่าทางดอมตามลำตัวของอีกฝ่าย ทั้งที่รู้แก่ใจว่ามนุษย์ผู้นี่ไม่มีทางเห็น

เพราะหากเห็นมัน อีกฝ่ายอาจกลัวเอาได้

มนุษย์ห้ามเห็นมันเด็ดขาด...

มนุษย์น้อยผู้นั้นไปแล้ว หลงเหลือแต่มันที่ก้มลงตรงโขดหินริมธาร ชะโงกหน้าให้สายน้ำสะท้อน ปรากฏความน่าเกลียดน่ากลัวของตัวเองอย่างชัดเจน เส้นผมสีเงินที่ควรสว่างไสวก็ทึบสกปรก เหตุใดมนุษย์นั่นถึงได้เก็บเส้นผมของมันติดตัวไปด้วยก็ไม่อาจรู้ได้ ภูตยักษ์ตัวใหญ่เอียงคอมองตัวเองในสายน้ำ

กว่าจะรู้ตัวว่าตัวเองอยากรู้อยากเห็น มันก็แอบมาชะเง้อมองในเช้าถัดมาเสียได้ คราวนี้ทุกอย่างกลับมาสงบเงียบไร้เสียงน่ารำคาญแล้ว เหลือเพียงมนุษย์ตัวน้อยผู้เดียวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้อ่านหนังสือ แต่ที่สะดุดตาของมันนั้น ก็คงจะเป็นเส้นผมของมันที่บัดนี้ถูกนำไปขัดล้างเสียเงาวับแล้วถักเป็นสร้อยข้อมือ อยู่ที่แขนของมนุษย์น้อยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

มันเอียงคอมองที่ข้อมือสกปรกของตัวเอง จับเส้นผมที่ปรกหน้าตามาพันดูบ้าง

 

 ตอนที่ ๑

เสียงฝีเท้าสี่คู่เหยียบกิ่งไม้ใบหญ้า ประสานกันในป่าใหญ่อย่างไม่หยุด มองจากเนินเขาทิศนี้ลงไปเห็นบ้านเรือนอยู่หลายหลังตั้งอยู่ แต่ทุกคนบริเวณนี้กลับมุ่งหน้าเข้าไปด้านในป่าไม้กันมากกว่า ไม่นาน ฝีเท้าสี่คู่ก็หยุดอยู่บริเวณโขดหินริมน้ำตกที่มักมากระโดดเล่นตั้งแต่เล็ก ทั้งสี่มองหน้ากันอย่างมีเลศนัย แล้วแยกย้ายต่างคนต่างไป

คนหนึ่งกระโดดลงว่ายน้ำ อีกคนปีนป่ายต้นไม้ใหญ่ไปจนสูงสุดถึงปลายยอด ทอดมองจากทิวเขาลูกเล็กแล้วร้องออกไปด้วยความสุข อีกหนุ่มเกลือกกลิ้งเล่นที่ทุ่งหญ้าอ่อนนุ่ม ส่วนอีกคนวิ่งตามฝูงกระรอก รายรอบป่าเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะคิกคักชอบใจ

สนุกกันได้พักเดียวเท่านั้นเสียงนาฬิกาข้อมือหนึ่งหนุ่มก็ดังขึ้น เจ้าตัวสูงหันขวับไปผิวปากเรียกคนอื่นให้มารวมตัวกันในจุดนัดพบ แล้วรีบบอก “เร็วเข้า ปะป๊าเลิกงานแล้ว อย่าให้ถูกจับได้ว่าเรามาที่นี่”

หนุ่มน้อยคนหนึ่งหน้าเหวอ “จะไม่ถูกจับได้ได้ยังไง ฉันเปียกขนาดนี้”

“นั่นมันเรื่องของนาย ใครใช้ให้นายลงไปเล่นน้ำ”

เจ้าตัวกอดอก “นายเองก็ตัวเต็มไปด้วยเศษดิน คิดเหรอว่าปะป๊าจะไม่รู้”

“พอเถอะน่าไคล์เคล กลับไปก่อนที่จะโดนดุ” พี่ใหญ่พักรบ

“เร็วเข้า ถ้าถูกจับได้พวกเราโดนกักบริเวณแน่”

“ใครไปถึงทีหลังล้างจานให้พวกเราหนึ่งอาทิตย์”

“ดีล!” แล้วทั้งสามก็วิ่งนำไปก่อน หนุ่มน้อยตัวเปียกส่ายหน้าระอา แล้วพุ่งตัววิ่งออกไปจนเกิดเสียงลม ฝุ่นใบไม้ปลิดปลิวไปทั่วทุกสารทิศ เรื่องความรวดเร็วในการวิ่งนี้ เขาถูกบิดาที่เก็บมาเลี้ยงสั่งห้ามทำให้ใครเห็น ดังนั้นในป่าจึงเป็นที่ที่หนุ่มน้อยวัยสิบห้าทั้งสี่เป็นตัวของตัวเองมากที่สุด

พวกเขาเป็นแฝดสี่ที่ถูกเก็บมาเลี้ยง บิดาเล่าว่า เมื่อสิบห้าปีที่แล้ว เห็นพวกเขาถูกวางไว้อยู่หน้าบ้านที่ชายป่าแห่งหนึ่ง เพราะอย่างนั้นกระมัง เด็กหนุ่มจึงชอบใช้ชีวิตในป่ามากกว่าพบเจอเพื่อนที่โรงเรียน เมื่อเข้ามาแล้วกลับมีความรู้สึกอบอุ่นเหมือนกลับมาบ้านทุกครั้ง ไม่แปลกที่หลังเลิกเรียนแล้วมักจะพากันเข้ามาสนุกสนานก่อนกลับบ้าน ผิดกันกับบิดาบุญธรรมที่ไม่ชอบเอาเสียเลย สั่งห้ามด้วยกลัวว่าพวกเขาได้รับอันตราย

แม้จะบอกว่าเขาเป็นลูกที่เก็บมาเลี้ยง แต่ใครต่างก็บอกว่าพวกเขาหน้าตาคล้ายบิดาบุญธรรมอย่างกับมีสายเลือดเดียวกัน อีกทั้งปู่กับย่าเอ็นดูพวกเขาเพราะหน้าตาเหมือนลูกตนเองแทบจะถอดแบบ แม้แต่ลุงเชนผู้เป็นเพื่อนของบิดาก็ยังบอกอยู่ตลอดว่าไม่น่าเชื่อ

ไคล์ เคล วิล และไวน์ เชื่อว่าตัวเองมีความผูกพันกับป่า มันเป็นสัญชาตญาณบางอย่างที่ทั้งสี่ก็ไม่อาจรู้ได้ พวกเขารู้ว่าบิดาห่วงและหวง ไม่อยากให้เข้ามาเที่ยวเตร่กันเองอย่างนี้บ่อยนัก แต่ไม่รู้ทำไม เมื่อเห็นป่า ก็เหมือนมีเสียงหนึ่งเรียกหาให้พวกเขาเข้าไป

ไปถึงชายป่าอันเป็นที่วางกระเป๋าสัมภาระ ทุกคนหยิบเสื้อมาขึ้นสวมให้เรียบร้อยแล้วยกกระเป๋าขึ้นสะพาย พากันเดินข้ามถนนมุ่งเข้าสู่หมู่บ้าน แปลกใจที่เมื่อกลับไปถึงแล้วพบรถยนต์ของลุงเชนจอดอยู่ ทั้งสี่มองหน้ากันว่าจะแก้ตัวอย่างไรดี เพราะหากลุงเชนมาส่งบิดา นั่นแปลว่าท่านมาถึงที่บ้านได้พักหนึ่งแล้ว

“ไปเถลไถลที่ไหนกันมา” คำที่บิดาทักทำเอาทั้งสี่หนุ่มสะดุ้ง ก่อนจะปรากฏชายร่างผอมโปร่งที่กำลังกอดอกปั้นหน้าดุรออยู่ก่อนแล้ว เด็ก ๆ เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าบิดา “รถโรงเรียนเพิ่งมาส่งครับ”

“บอกความจริงฉันมานะวิล” มือยาวเอื้อมมาเขี่ยเศษดินที่แก้มออกให้ ก่อนจะก้มลงมองที่กางเกงขาสั้นลูกชายอีกคนราวกับรู้ทัน ทั้งสี่มองหน้ากันเลิ่กลั่กเพราะถูกจับได้ แก้ตัวกันไม่ออกนอกจากนิ่งฟังคำบ่น “พ่อบอกพวกนายไปหลายครั้งแล้วนี่ ว่าอย่าหนีเข้าไปในป่ากันเองอย่างนี้ ถึงมันจะเป็นป่าเล็ก ๆ ก็เถอะ แต่มันอาจมีสัตว์มีพิษ”

“พวกมันไม่อันตรายครับ” หนุ่มน้อยคนหนึ่งรีบพูด

“นายรู้ได้ยังไงเคล”

“ก็...” เจ้าตัวกำลังจะเล่า หากทว่าอีกสามคนส่งสายตาเอ็ด “ไม่มีอะไรครับ”

เชนที่นั่งฟังยกมือกอดอกบ้าง “พวกนายโกหกไม่เนียนเอาเสียเลย”

“สร้อยคอนายไปไหน” ผู้เป็นบิดาแปลกใจ แหวกคอเสื้อลูกชายคนเล็กดูอย่างนึกเป็นห่วง เจ้าตัวเบิกตาแทบถลน ลูบจับล้วงหาของที่ถูกถามถึงก็เหงื่อแตก ใจหายขึ้นมา “สงสัยมันโดนกิ่งไม้เกาะตอนรีบวิ่งกลับมาน่ะครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้เรากลับไปหากันก็ได้”

“ทำไมไม่รักษาของที่ฉันให้เลยล่ะ สร้อยนั่นเป็นของพ่อที่ให้กำเนิดนายนะ”

คนฟังก้มหน้ารู้สึกผิด “ขอโทษครับปะป๊า”

“มันเป็นของสิ่งเดียวที่พ่อของพวกนายให้ติดตัวมา ดูแลมันให้ดี”

วิลมองน้องที่กำลังเศร้า “พวกเราใช้ทางที่เดิมประจำ เราจะกลับไปหา”

“ยังก่อน” บิดาส่ายหน้า มองออกไปเห็นว่าใกล้ค่ำแล้ว “ออกไปหาพรุ่งนี้ก็ได้ มืดแล้ว ไปอาบน้ำแล้วลงมากินข้าว”

“ครับ” ว่าแล้วทุกคนก็หมุนตัวเดินขึ้นบันได

“เคล”

“ฮะ” เด็กหนุ่มหันกลับมา

คนดอกอกนิ่งไปพักหนึ่งอย่างสุขุม ก่อนจะส่ายหน้าเปลี่ยนเรื่อง “ป้าริโกะทำซูชิมาฝาก รีบลงมากันล่ะ”

“ครับ” เจ้าเด็กดื้อรับคำอย่างแปลกใจ ก่อนจะยอมหมุนตัวเดินตามพี่ ๆ ขึ้นไป หลงเหลือเพียงคนอายุมากทั้งสองที่หันมาสบตากัน ฝ่ายเจ้าของบ้านเดินไปทรุดนั่งตรงกันข้ามกับเพื่อนเพื่อจิบชา สีหน้าไม่ได้บ่งบอกว่าคิดอะไร แต่คนรู้จักกันมาหลายสิบปีกลับรู้ทัน เชนกระแอมก่อนจะเริ่มเรื่อง “ฉันว่านายควรเลิกพะวงห่วงเด็ก ๆ เกินจำเป็นซักที พวกเขาโตเป็นหนุ่มกันหมดแล้ว”

“พวกเขาเป็นลูกฉัน ยังไงก็ยังคงเป็นเด็ก”

“แต่พวกเขาเกิดในป่า ยังไงก็คงจะมีความผูกพันกับป่า”

“นายเลิกพล่ามเรื่องความเชื่อบ้าบออะไรนั่นสักทีเถอะเชน ฉันไม่มีวันปล่อยให้พวกเขาไปทำตัวเหมือนเป็นคนป่า พวกเขาต้องโต ต้องเรียน ต้องทำงานอยู่ที่นี่ ไม่ใช่อาศัยอยู่ในโพรงไม้” คนกล่าวร่ายยาว

เชนส่ายหน้า “ฉันแทบไม่อยากเชื่อว่านายคือแวนกัสคนเดียวกับเมื่อสิบกว่าปีก่อน”

“ฉันยังคงเป็นฉัน” เจ้าตัวยักไหล่

“ทำไมนายถึงเกลียดป่านัก ทั้งที่เมื่อก่อนนายแทบอยากจะอาศัยอยู่ในป่า”

คนฟังถอนหายใจ “เลิกพูดเรื่องอดีตซักที” เจ้าของบ้านวางแก้วลงเสียงดัง “เพราะเมื่อก่อนมันเป็นความคิดที่โง่ไง”

“โอเค ๆ” เชนยกมือยอมแพ้

“แล้วนายก็เลิกเล่าเรื่องที่ฉันอยู่ในป่าให้เด็ก ๆ ฟังได้แล้ว มันไม่ใช่เรื่องสนุก นายอยู่รอก่อนนะ ฉันจะเลี้ยงมื้อเย็น” ชายหนุ่มลุกเดินออกไปจัดอาหารที่เพื่อนสนิทเอามาฝากใส่จานชาม จัดเรียงเป็นสี่ที่ให้ลูกชายทาน หนุ่มน้อยวัยสิบห้าที่กำลังจะลงมาด้านล่างชะงักเท้าหยุดฟังนานแล้ว แล้วเปลี่ยนใจเดินกลับเข้าไปยังห้องนอน อันมีพี่น้องที่กำลังง่วนอยู่กับการแต่งตัว ครุ่นคิดว่าเพราะเหตุใดบิดาบุญธรรมถึงได้อคติกับป่านัก

ทั้งที่เมื่อก่อนตัวเองก็เคยอาศัยอยู่ในนั้นเช่นกัน อยู่แบบมีความสุขมากเสียด้วย ลุงเชนเล่าให้เขาฟัง

ผู้คนต่างชักชวนให้กลับอย่างไรบิดาบุญธรรมก็ไม่ยอม กระทั่งวันหนึ่งท่านเจอพวกเขา ถึงได้ย้ายออกมาจากป่านั้น

“เคล นายเป็นอะไร” วิลหันไปมองน้องชายที่กำลังเกาหน้าผาก

เจ้าตัวมุ่นคิ้วสะบัดผม “ไม่มีอะไร รู้สึกคัน ๆ เหมือนสิวจะขึ้น”

“ฮ่า เคลน้อยของเรากำลังจะเป็นหนุ่มนี่เอง”

“ปล่อยฉันนะ!” เจ้าตัวสะบัดแขนไคล์จอมกวนออก

“เดี๋ยวก่อน” วิลเพ่งสายตามองไปจับที่เรือนผมน้ำตาลช็อกโกแลตของน้องชาย พวกเขามีสีผมและดวงตาเหมือนกันกับพ่อบุญธรรม แต่บัดนี้เหตุใดก็ไม่อาจทราบ ดูเหมือนว่าสีผมของเคลนั้นคล้ายกำลังหงอก มีบางเส้นเปลี่ยนไปเป็นสีขาว “ทำไมผมนายเป็นสีขาวแล้วล่ะ”

“ไม่มั้ง มืดแล้วมันอาจสะท้อนแสงไฟ”

“จริง” คนอื่นเพ่งมองแล้วเห็นด้วย

“ช่างมันเถอะ ลงไปกินมื้อเย็นกัน ก่อนที่ปะป๊าจะดุ”

“นายมาช้าที่สุดต้องล้างจานให้พวกเราหนึ่งอาทิตย์นะ” ว่าแล้วทุกคนก็วิ่งนำกันออกไป เคลถอนหายใจห่อเหี่ยวแล้วเดินตามลงไปอย่างหน่ายเหนื่อย เห็นบิดากำลังจัดจานสเต๊กให้ด้วย ครั้นไปถึงคนอายุมากกว่าก็ส่งยิ้มให้ มือหนาลูบผมลูกชายที่กำลังเดินไปเข้าที่ “ลูกจะเอาสเต๊กด้วยไหม”

“ไม่ฮะ”

คนตัวใหญ่กว่าไม่ได้ฟัง ตักมาวางไว้ให้ตรงหน้า “พ่อรู้ว่าลูกรักสัตว์ แต่ลูกต้องกินเนื้อบ้าง จะได้โตทันคนอื่น”

เคลเงียบแล้วตักทุกอย่างเข้าปากไม่มากพิธี สบตากับลุงเชนที่กำลังมองอยู่ แกยกยิ้มแล้วเอื้อมมาลูบหัว ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเมื่อเห็นอะไร “ลุงก็เพิ่งเห็นว่าผมของนายเป็นสีนี้ ผมนายสว่างกว่าคนอื่นอีกนะ นายเป็นเด็กที่ถูกเก็บมาเลี้ยงตัวจริงเสียงจริงแล้วทีนี้”

เคลยิ้มขัน “ผมควรจะดีใจไหมเนี่ย”

ผู้เป็นพ่อหันมามองครู่เดียว แล้วเปลี่ยนเรื่อง “เรื่องเรียนเป็นยังไงกันบ้าง”

“ไม่ชอบเลยฮะ” วิลตอบหน้าตาย

“เมื่อวานผมอ่านหนังสือประวัติศาสตร์” ไวน์เล่า

“ก็ดี ลูกสนใจประวัติศาสตร์งั้นเหรอ”

“เปล่าครับ ผมว่าจะลองอ่านแล้วมันก็ง่วง ผมเลยเอามาหนุนแทนหมอน เพราะมันหนาดี”

“อุ๊บ...” ลุงเชนกลั้นขำ เหลือบหันมองผู้เป็นบิดาที่กำลังทำหน้าระอาอยู่ในที แล้วพยายามอดกลั้นขำอย่างที่สุดเพราะเกรงใจสายตาดุของเพื่อน

“พวกเราไม่เหมาะกับเรื่องเรียนเลยฮะ ไม่เก่งเหมือนเอลลี่หรอก” วิลพูดถึงลูกสาวของลุงเชน อายุน้อยกว่าพวกเขาหนึ่งปี เธอเป็นสาวน้อยผมดำตาเรียวเล็กเชื้อชาติเอเชีย เอลลี่เป็นเด็กสาวที่ชอบกิจกรรม รักการเรียน ได้ฟังแล้วผู้เป็นลุงก็ยิ้มอย่างพออกพอใจ ผิดกันกับเพื่อนที่นั่งอารมณ์บูดอยู่อีกฝั่ง แต่ที่น่าอิจฉาสำหรับเชนก็คงจะเป็นการมีลูกชายนี่กระมัง เขาอยากมีลูกชายดูสักคน

ขณะแล้วเสร็จมื้อค่ำและลุงเชนกลับไปได้พักหนึ่ง เป็นเคลที่กำลังก้มหน้าก้มตาล้างจานชาม อยู่ในครัวกับบิดาที่กำลังง่วนจัดของ แม้ดูเหมือนว่ากำลังตั้งใจทำงานบ้าน แต่มิวายแอบชำเลืองมองความแปลกไปของเส้นผมลูกชาย “ปกติผมลูกสีน้ำตาลเหมือนพ่อนี่ เขาว่ากันว่าสีผมตอนเด็กกับตอนโตจะแตกต่างกัน แต่ของลูกเปลี่ยนไวดีนะ”

คนฟังพยักหน้า “ครับ ไม่รู้เปลี่ยนไปตอนไหนเหมือนกัน”

“นั่นแปลว่าเดี๋ยวคนอื่นก็มีสีผมเหมือนลูกกันหมด เพียงแต่ว่าพวกเขาเปลี่ยนช้าเท่านั้นเอง”

“ปะป๊าฮะ” เคลหันไปหาคนสุขุมข้างกาย เหมือนมีเรื่องคาใจอยากจะพูด

“...หืม”

“ปะป๊าไม่เคยเจอพ่อของพวกเราจริง ๆ เหรอฮะ”

คนฟังชะงักกับงานที่ทำ “อืม...”

“แต่ปะป๊าพูดเหมือนรู้จักเขาดีเลย”

“ทำไมลูกคิดอย่างนั้น”

“ก็...” เคลลากเสียง “ปะป๊าดูไม่ชอบเขา”

คนฟังนิ่งไป แต่ครู่เดียวที่อยู่ในภวังค์ ผู้ที่อยู่ข้างกายเคลก็ผละมาสบตา “ใช่ เพราะพ่อคิดว่าเขาไม่รู้จักรับผิดชอบ เขาแย่ที่ทิ้งพวกนายไว้ในป่าอย่างนั้น ทั้งที่พวกนายออกจะน่ารักกันขนาดนี้”

คนฟังยิ้มหวานขึ้น “พูดถูกฮะ”

“แต่ก็ต้องขอบคุณเขานะ ไม่อย่างนั้นพ่อก็ไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับพวกนายอย่างนี้” ถ้อยคำแสนอบอุ่นของบิดาทำเอาเคลซาบซึ้งใจ เด็กหนุ่มยกยิ้มแล้วหันกลับมาทำงานตรงหน้าตัวเอง พร่ำบอกอยู่ในใจว่าหากพวกเขาไม่ได้รับการอุปถัมภ์จากชายข้างกาย ป่านนี้ก็คงกลายเป็นอาหารสัตว์ในป่าแถวนั้นแล้วเป็นได้ แม้ว่าเขาจะอยากเจอพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดตัวเองแค่ไหนก็ตาม

 

๑๖ ปีก่อน

แม้ท้องฟ้ามืดดำมีพยับฟ้าพยับฝนแต่ไกล ผู้ออกเดินทางบนรถไม่ได้หวั่นใจเลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มเหลือบออกจากแว่นตากันแดดไปมองสองข้างทางอันเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ เขาเดินทางเข้ามาได้ลึกพอสมควรแล้ว ด้านหน้าเป็นป้ายประกาศว่ามีหมู่บ้าน แต่เอาเข้าจริงก็มีไม่กี่หลังคาเรือนนักเพราะห่างไกลความเจริญเกินไป

ใครจะสน ยิ่งเงียบก็ยิ่งดี

“วู้ว!”

ภายในรถยนต์อัดแน่นไปด้วยเสียงเพลงที่คนขับชื่นชอบ ผิดกันกับแวนกัสที่ยกหูฟังขึ้นมาเสียบไม่ต้องการได้ยิน ชายหนุ่มถอนใจ ยกมือถือขึ้นมากดเพิ่มความดังของเพลงที่ตัวเองฟัง อีกไม่ไกลจะถึงจุดหมายที่เขาวาดหวังไว้แล้ว ซึ่งก็คือที่พักพิงแห่งใหม่ของชายหนุ่มนั่นเอง

“เฮ้ นายจะทำแบบนี้กับฉันไม่ได้นะกัส” เชน หนุ่มหน้าเอเชียหันมาสะกิดขณะโยกตามเพลง ชักชวนให้เพื่อนรักออกสเต็ปด้วย “ฉันอุตส่าห์มาส่งนายแล้วนี่ไง ไม่ต้องเศร้าน่า มาเถอะ”

“ใครบอกว่าฉันเศร้า ฉันดีใจต่างหากที่ได้หนีมาอยู่คนเดียว”

“โธ่ กะอีแค่เลิกกับแฟนคนเดียวไม่เห็นต้องหนีมาทำใจไกลถึงในป่าขนาดนี้เลยนี่นา”

“ใช่เหตุผลนั้นเสียที่ไหน” แวนกัสส่ายหน้า “นายก็รู้ว่าฉันไม่ชอบผู้คนเยอะแยะ”

“เฮ้อ...” เชนส่ายหน้าแล้วหรี่เสียงเพลงลง “เกิดเป็นคุณหนูนี่มันดีจริง ๆ นึกอยากมาตกระกำลำบากก็มาเลย ไอ้คนจนอย่างฉันอยากนอนกระดิกนิ้วสั่งอย่างเดียวก็ทำได้แค่วิ่งเต้นหางานพิเศษทำไม่เว้นวัน” เชนหัวเราะขณะหันไปบังคับรถเคลื่อนไปเบื้องหน้า

“เลิกค่อนขอดฉันเถอะ ฉันเลือกที่นี่แล้ว”

“นายนี่น้า” เชนถอนหายใจ “อายุเพิ่งจะยี่สิบหก นายไม่ปลีกวิเวกไวไปหน่อยเหรอ แล้วอย่างนี้นายจะมีเวลาไปจีบหญิงหรือแต่งงานตอนไหนล่ะกัส นายจะหลบซ่อนตัวอยู่แต่ในนี้ไม่ได้หรอก”

“ก็ไม่ต้องจีบ ฉันอยู่คนเดียวสบายใจกว่า” แวนกัสกอดอก

“ไม่ได้นะ ฉันรู้ว่าเงินของนายมีเยอะจนใช้ไม่หมด แต่นายต้องใช้ชีวิตบ้างสิ”

“ก็นี่แหละชีวิตที่ฉันเลือก นายอย่าเอามาตรฐานความสุขนายมาวัดฉันสิ” แวนกัสหัวเราะหึแล้วชี้นิ้วไปข้างหน้า “โน่น เลี้ยวเข้าไปตรงป้ายนั่น มัวแต่คุยเดี๋ยวก็ขับเลยเหมือนคราวที่แล้วอีก”

“คร้าบ ๆ”

รถยนต์คันเล็กเลี้ยวเข้าไปในป่า คราวนี้สองข้างทางรกกว่าเก่า ถนนไม่ได้ถูกตัดด้วยลาดยาง มีแอ่งน้ำเล็กน้อยเพราะฝนที่เพิ่งตกไปเมื่อคืน ด้วยความที่เลี้ยวเข้ามาด้านในแล้ว จากที่อึมครึมก็ดูมืดลงเพราะใบไม้หนาด้านบนปกคลุม สองข้างทางมีดอกหญ้าบานสะพรั่งสีสันสดใส แวนกัสรีบยกมือถือขึ้นมาถ่ายเก็บภาพ

อย่างที่เชนพูด เขาเป็นคุณหนูร่ำรวยไม่เคยพบเจอความลำบาก ชายหนุ่มมีอาการเจ็บป่วยออด ๆ แอด ๆ บ้างเพราะแพ้อากาศในเมือง หากถามว่าเหตุใดครอบครัวของเขาถึงยอมปล่อยให้ชายหนุ่มมาใช้ชีวิตเพียงคนเดียวที่นี่ ก็คงเป็นเพราะนี่คือความต้องการของเขากระมัง เขาก็แค่ต้องการความสงบ ใช้ชีวิตด้วยตัวเองบ้างสักปีสองปี หากมันยากจริงอย่างที่ทุกคนพูด เขาคงกลับไปเอง

กระท่อมของเขาน่ารักกระจิดริด ไม่กว้างขวางเพราะอาศัยคนเดียว เดิมเป็นบ้านหลังเก่าของป้ามีญ่ากับลุงแซ็คที่กำลังช่วยจัดของรออยู่เบื้องหน้า ไปถึงชายหนุ่มก็เดินไปจับมือกับทั้งคู่ สูดเอาอากาศดีเข้าเต็มปอด ทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว มันเคยเก่าผุพัง ชายหนุ่มจึงจัดการให้คนมาซ่อมแซมเสียใหม่ ตกแต่งเล็กน้อยและซื้อเครื่องใช้มาเพิ่มเติมเท่านั้นเอง

เชนเดินตามหลังมาจับมือกับลุงป้า ก่อนจะหมุนกายมอง “โอ้โห มาคราวนี้น่าอยู่สุด ๆ”

“อยู่ค้างกับฉันก่อนสิ พรุ่งนี้ค่อยกลับ”

เชนพยักหน้ารับ “ได้สิ ให้ความรู้สึกเหมือนบ้านต้นไม้เหมือนกันนะ”

“พูดไปเรื่อยน่า”

“ก็มันจริง ทำเอาฉันอยากรู้เลยว่าตอนเด็ก ๆ พ่อไม่ยอมสร้างบ้านต้นไม้ให้นายรึไง ถึงได้ลงทุนขนาดนี้”

“พ่อไม่ได้สร้าง”

“นั่นไง ว่าแล้วไม่มีผิด”

แวนกัสยกยิ้ม “พ่อฉันจ้างช่างมาทำให้ แต่ฉันก็เห่อปีนขึ้นไปเล่นแค่ไม่กี่วัน”

“โธ่ ไม่สนุกเลย เข้าไปดูข้างในดีกว่า” เจ้าเพื่อนตัวดีหมุนตัวเข้าไปเปิดดูด้านในที่ถูกจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว แวนกัสหยุดคุยกับป้ามีญ่า นางย้ายออกไปอยู่ที่ริมถนนลาดยาง ห่างจากที่นี่ไม่กี่ไมล์นักเพราะมีความสะดวกมากกว่า คนแก่ลูบต้นแขนของแวนกัสด้วยรอยยิ้ม ส่วนอีกฝั่งก็เป็นลุงแซ็คที่กำลังขนของลงให้ “พอตกแต่งเสร็จแล้วชอบไหมจ๊ะ”

“ชอบมากครับ ทุกอย่างสวยไปหมด”

“หลังบ้านมีห้องกระจกสำหรับปลูกพืชผักด้วยนะ” นางบอก “แซ็คทำไว้ให้ จะได้ไม่ต้องออกไปซื้อข้างนอก”

“งั้นดีเลยครับ ขอผมไปดูสักเดี๋ยว”

“จ้ะ เดินระวังด้วยนะ พื้นมันแฉะ”

“ครับ” ชายหนุ่มขานรับ เดินลัดเลาะอ้อมไปทางด้านหลัง ไม่ไกลมีธารน้ำไหลเอื่อยเพราะเป็นปลายน้ำแล้ว แม้จะเป็นหน้าฝนแต่น่าแปลกที่ไม่ค่อยมีน้ำเท่าใดนัก แวนกัสหยุดดูซุ้มกระจกที่ลุงแซ็คคำให้อย่างพอใจ หนำซ้ำแกยังทิ้งพันธุ์ผักไว้ให้อีกหลายชนิด ชายหนุ่มหยุดดูได้ไม่กี่นาทีก็แปลกใจ คล้ายได้ยินเสียงฝีเท้าของใครเดินอยู่ห่าง ๆ

หันมองออกไปยังธารน้ำไหล ไม่มีใคร คราวแรกนึกว่าเชนเดินตามออกมาเสียอีก แวนกัสส่ายหน้าให้กับความบ้าตัวเอง เดินไต่ไปตามโขดหินเล็กน้อยเพื่อสำรวจหาสิ่งที่น่าสนใจ ไม่นานก็เหลือบเห็นแสงอะไรวาววับที่ต้นไม้ต้นหนึ่ง ในตอนแรกชายหนุ่มนึกว่าเป็นใยของแมงมุม ลองพิศดูแล้วดึงมันออกมาจับ น่าแปลกที่เส้นใยนี่แข็งแรงเหมือนผม ทว่ามันสีเงิน เงาวับ บางมุมก็เหมือนจะเลือนหายไปในอากาศได้

“แปลกแฮะ” และก็น่าสนใจอยู่ในที

ชายหนุ่มแกะมันเอามาม้วนกันเป็นระเบียบแล้วยัดใส่กระเป๋าเสื้อ ขณะกำลังเดินหาเส้นอื่นก็รู้สึกว่าขนที่ท้ายทอยกำลังลุกขึ้นชัน เหมือนมีอะไรมาหายใจรดต้นคอของเขา แวนกัสหันขวับมองรายรอบตัว ได้แต่แปลกใจที่สัมได้ว่าถูกจับตามอง ทว่ารายรอบกลับว่างเปล่า

ชายหนุ่มส่ายหน้าสะบัดความรู้สึกนั้นออกไป แล้วมุ่นคิ้วพลัน รู้สึกมีกลิ่นสาบของสัตว์ชนิดหนึ่งบริเวณแถวนี้ลอยเข้าจมูก คิดแล้วก็ถอยกลับเข้าไปในบ้าน อ้อมเดินที่ด้านหลัง แอบมองจากหน้าต่างเห็นเชนกำลังเปิดหาอะไรในครัวไปเรื่อย ขณะที่อีกฝ่ายกำลังปิดประตูตู้ ชายหนุ่มก็แกล้ง “แฮ่!”

“ว้ากกกกก!” เชนหงายท้องเงิบก้นจ้ำเบ้าที่พื้น กุมอกตัวเองเสียหน้าซีดเผือด

“ฮ่า ๆ ๆ”

“กัส! เล่นอะไรของนาย ตกใจหมด”

“ดูนายสิ หน้าซีดไปหมดแล้ว” ชายหนุ่มชี้นิ้วล้อ

“ฉันไม่สนุกด้วยนะ”

“แต่ฉันสนุกนี่”

“กัส...” เชนทำเสียงอ้ำอึ้ง ทั้งที่เมื่อครู่ทำท่าจะโกรธชายหนุ่ม แวนกัสทำเป็นกอดอกรู้ทันว่าเพื่อนรักกำลังจะแกล้งเอาคืนเขาบ้าง อีกฝ่ายชี้นิ้วไปทางด้านหลังให้แวนกัสหันไปมอง ดวงตาของเชนสั่นระริกเหมือนกำลังเจอของน่ากลัว แม้คนทางนี้ไม่เชื่อ

แต่แล้วความรู้สึกเหมือนขนหัวลุกก็พรูเข้ามาอีกครั้ง แวนกัสละรอยยิ้ม เอี้ยวตัวหันไปมองด้านหลัง เจอะเข้ากับร่างหนึ่งที่ยืนอยู่ “เหวอ!”

ชายหนุ่มผวาตัวติดกำแพงบ้าน แล้วพลันเสียงหัวเราะของเชนก็ดังขึ้นอย่างพออกพอใจ “ฉันบอกแล้ว!”

“ลุงแช็ค มาทำไมครับ ผมตกใจหมด”

แกยิ้มแห้งให้ “มีญ่าให้ผมตามมาดูว่าคุณยังโอเคไหม เห็นเดินมานานแล้ว”

“โธ่ คราวหลังเรียกผมก่อนสิครับ” แวนกัสหัวเราะ

“ไหนใครบอกไม่กลัวกันห๊า”

“เป็นนายไม่ตกใจรึไง ไปกันครับ” ท้ายประโยคแวนกัสบอกคนแก่ เดินตามคุณลุงอ้อมไปยังหน้าบ้าน แต่ตลอดเส้นทางเขาก็สอดส่ายสายตามองรอบกายอย่างระแวดระวัง อาจเป็นเพราะบรรยากาศมืดครึ้มจึงทำให้ทุกอย่างสงบเงียบลงไปผิดหูผิดตา ต่างจากช่วงหน้าร้อนที่เขาเคยแวะมาดูก่อนหน้า มันสว่างสดใส แสงแดดสาดไปได้ทั่วทุกพื้นที่

เขามีรถจักรยานสำหรับปั่นออกไปข้างนอก ไฟที่นี่ต่อมาใช้ได้เพียงเล็กน้อย นอกนั้นชายหนุ่มก็ใช้จากเครื่องปั่นไฟที่มีอยู่ก่อนหน้า ส่วนรถยนต์เขาไม่ค่อยได้ขับนัก จะใช้วิธีปั่นจักรยานไปยืมป้ามีญ่า หรือไม่ก็แค่ฝากซื้อของจากในเมืองมาให้เท่านั้นเอง

แวนกัสเป็นหนุ่มวัยยี่สิบหก ผมสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ รักการใช้ชีวิตสันโดษมากกว่าพบปะผู้คุณ

หลังแล้วเสร็จมือค่ำชายหนุ่มก็ปิดล็อกประตู กะว่าจะผลัดผ้าอาบน้ำ ส่วนเชนก็นอนเกลือกกลิ้งเล่นเกมที่พกติดตัวมาอยู่อีกฝั่ง ภายในบ้านมีห้องโถง ห้องส่วนตัวห้องเดียว ห้องน้ำและห้องครัว อุปกรณ์จิปาถะก็เหมือนบ้านอื่นทั่วไปไม่ได้หรูหราอะไรมากมายนัก

ขณะเข้ามาด้านในห้อง ชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงเปาะแปะเหมือนฝนตกทว่าไม่ใช่ มองออกไปพบกับความมืดด้านนอกแล้วชายหนุ่มก็สะบัดหน้า ตั้งใจปลดกระดุมเสื้อเพื่ออาบน้ำล้างตัว มือเรียวสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างอยู่ในกระเป๋า ล้วงออกมาเป็นเส้นใยที่เขาเพิ่งเจอเมื่อตอนบ่าย แวนกัสหมุนตัวไปทรุดอยู่หน้ากระจก ทำความสะอาดให้มันเงาวับเหมือนใหม่ ก่อนจัดเรียงให้มันเป็นเส้นแล้วถักเป็นเปีย ร้อยลูกปัดและด้าย ก่อนจะลองสวมใส่ที่ข้อมือ

มันสวยประหลาด

ชายหนุ่มยกยิ้ม พิศมองของในมือแล้วถอดมันวางไว้ที่หน้ากระจก ก่อนจะละเลียดถอดเสื้อผ้าอย่างไม่เกรงกลัวว่าจะมีใครเห็น เขาอาศัยอยู่ในป่า ไม่คิดว่าจะมีใครมาลอบมองคนเปลื้องผ้าในห้อง

ครั้นเรือนร่างของแวนกัสไร้อาภรณ์แล้ว ชายหนุ่มก็อ้อยอิ่งไปหยิบยกเสื้อคลุมมาสวมทับ เดินเข้าไปในห้องน้ำ หารู้ไม่ว่าทุกอิริยาบถของตัวเองอยู่ในสายตาอะไรบางอย่างในความมืด มันลอบกลืนน้ำลายมองตาม

ถูกแล้วที่ว่าไม่มีคนอยู่แถวนี้

เพราะแถวนี้น่ะ เป็นถิ่นของสิ่งที่ไม่ใช่คนอย่างไรเล่า

มันค้อมหัวลงดอมดมตามกลิ่น เดินวนอยู่รอบบ้านไปเจอรูน้อยนิดของห้องน้ำ ปรากฏภาพร่างมนุษย์น้อยกำลังถอดผ้าออกจากกาย ไร้อาภรณ์ปกปิดกั้นจินตนาการของมันแล้ว มันก็ตั้งอกตั้งใจดูว่าอีกฝ่ายทำอะไรบ้างอยู่ในนั้นอย่างไม่วางตา...



-------------------------------------------------------

#ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง

เปิดมาอีผีมาแอบมองน้องอาบน้ำแบบอีหยังวะมาก ว่าจะเขียนออกมาแบบลึกลับ ทำไมมันมาจบตรงนี้ได้ก็งงเหมือนกันค่ะ เอาเป็นว่ายังไม่อยากบรรยายเรื่องรูปร่างหน้าตาพระเอกมาก รู้แค่นางเป็นยักษ์ เป็นภูต แล้วให้มาลุ้นเรื่องหน้าตาของอีพี่พร้อมกับนายเอกเลยแล้วกัน

เรื่องนี้เขียนทรีตเม้นแล้ว ถึงตอนจบแล้ว ขอเล่าเป็นพาร์ทปัจจุบันกับอดีตสลับกันนะคะ ปัจจุบันคือพาร์ทของเด็กทั้งสี่ค่ะ แล้วเรื่องมันจะมาจรดกันทีหลังช่วงท้าย น้องทั้งสี่มีความสำคัญเป็นอย่างมากนะคะ ห้ามข้าม ห้ามสคิป เพราะคุณจะคุยกับเขาไม่รู้เรื่อง อิอิ

เจอกันตอนหน้าค่าาาา
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #2 up23.9.62
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 23-09-2019 22:13:20


(https://66.media.tumblr.com/tumblr_ly0d852sgu1qbvikso1_1280.jpg)
#ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง

ตอนที่ ๒

กลิ่นมื้อเช้าลอยอบอวลปลุกเด็กหนุ่มทั้งหลายให้สมควรตื่นได้แล้ว หากทว่าก็ยังสายอีกตามเคย แวนกัสตะโกนเรียกเจ้าแสนดื้อให้ตื่นเป็นรอบเท่าไรไม่อาจนับ ชายหนุ่มทอดถอนใจ วางข้าวของในมือแล้วถอดผ้ากันเปื้อน เดินขึ้นบันไดไปชั้นบนด้วยความไม่ได้ดังใจ “สาว ๆ ตื่นกันได้แล้ว ถ้าไม่ออกมาพ่อจะเอาข้าวไปเททิ้ง”

ชายหนุ่มกอดอก ทั้งใจจะหมุนลูกบิดเข้าไปด้านใน หากทว่ามันถูกเปิดจากคนเพิ่งตื่นเสียก่อน แวนกัสมุ่นคิ้วนึกว่าลูกชายกำลังหลับ ที่ไหนได้ทุกคนกำลังเหงื่อแตกมองมาทางเขาด้วยแววพิรุธ เหมือนกำลังลักลอบทำอะไร ชายหนุ่มหรี่ตามองกวาดไปรอบห้อง หาอะไรที่พอจะเป็นมูลข่าวได้ทว่าไม่มี

“ทำอะไรกัน ตื่นแล้วทำไมไม่ลงไปข้างล่าง”

“เดี๋ยวเราลงไปฮะ” วิลรีบตอบ

ชายหนุ่มกวาดมองรอบห้องอยู่ครู่เดียว “ทำความสะอาดกันบ้างนะ”

“ได้ครับเดี๋ยวกลับมาเราจะทำ”

“แล้วเอาผ้าใส่ตะกร้ามาให้พ่อซัก”

“พวกเราทำเองได้แล้วฮะ” ไวน์รีบตอบเสียงสดใส

คนเป็นพ่อหรี่ตา “ไม่ต้องเกรงใจพ่อ พ่อรู้ว่าพวกลูกโตเป็นหนุ่มกันหมดแล้ว มันอาจจะมีคราบ...”

“โธ่! ปะป๊า” ทุกคนเริ่มโวยวาย

“งั้น พวกลูกทำอะไรกันอยู่ รู้ไหมว่าแบบนี้มันแปลก” แวนกัสชะเง้อคอมองเข้าไป แล้วเห็นคนที่ดูท่าจะผิดปกติที่สุดคือเคลที่นั่งซ่อนอยู่ด้านหลัง ปกติเจ้าตัวจะมั่นใจเรื่องใบหน้ารูปหล่อของตัวเอง เหตุใดคราวนี้สวมทั้งหมวกและฮู้ดดี้ทับปกปิด แวนกัสอยากจะถาม แต่ครั้นลงมาก็คงได้เห็นกันอยู่ดี จึงปัดความคิดทิ้งไป “งั้นตามลงไปกินมื้อเช้าได้แล้ว เดี๋ยวรถจะมารับซะก่อน”

“เอ่อคือ...” ไวน์รั้งบิดา เรียกให้ผู้อายุมากที่สุดเอี้ยวตัวกลับไปเลิกคิ้ว ใจจริงก็อยากรู้ แต่ไม่อยากซักไซ้ให้เด็ก ๆ รู้สึกอึดอัดมากเกินไป ทุกคนกำลังไม่สบายใจ แต่แล้วเป็นเคลที่รีบส่ายหน้าไม่ยอม “ไม่มีอะไรครับ ปะป๊าลงไปทำธุระต่อเถอะ เดี๋ยวเราตามลงไป”

“พวกลูกมีอะไรบอกพ่อได้นะ”

“ฮะ ไม่มีปัญหา ได้ทุกเมื่อฮะ”

“นายเงียบน่า!” วิลตัดบทน้องชาย “เราขอเวลาอีกนิดเดียวนะครับ”

“ได้สิ เอาเลย” แวนกัสพยักหน้าให้เด็ก ๆ แล้วปิดประตูลง ชายหนุ่มดอกอกอย่างนึกเป็นห่วงอยู่หน้าประตูพักใหญ่ ใคร่ครวญว่าจะแอบเงี่ยหูฟังดีหรือไม่ แต่แล้วความเป็นพ่อของเขามันมีเอ่อล้นจนไม่อาจทนเมินเฉยไปได้ ชายหนุ่มแอบกระเถิบเข้าไปแนบใบหูกับบานประตู ครู่เดียวก็ได้ยินแล้วว่าทั้งสี่กำลังคุยอะไรกัน

“จะทำยังไงเคล มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไง”

“ฉันก็ไม่รู้ ตื่นมามันก็เป็นแบบนี้เลย” เคลตอบเหล่าพี่

“แล้วฉันจะเป็นเหมือนนายรึเปล่า”

“ก็ฉันบอกว่าไม่รู้ไง”

“ทำไมจู่ ๆ นายถึงเป็นแบบนี้ขึ้นมา ทั้งที่ก่อนหน้านี้เราก็ปกตินี่”

“ก็บอกว่าไม่รู้ไงวะ!”

“เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งตีกัน เราจะรับหน้ากับปะป๊าเรื่องเคลยังไงก่อน”

“เอาอย่างนี้...” เป็นเสียงของไวน์แสนซน จากนั้น เสียงของทุกคนก็เงียบลงไปราวกับกำลังกระซิบกระซาบ แวนกัสกอดอกด้วยความใคร่ทราบว่าภายในเกิดอะไรขึ้น อยากจะเร่งเคาะเรียกให้ออกมา หากทว่าเขาไม่อยากเป็นพ่อที่เอาแต่ใจ ชายหนุ่มเดินลงไปด้านล่าง จัดเตรียมมื้อเช้าให้เด็กจอมดื้อทั้งสี่ด้วยท่าทีดังเดิม ครู่เดียวก็ปรากฏเสียงฝีเท้าเดินตามกันลงมาแล้ว

เป็นไคล์ ไวน์ และวิล ที่เดินมาวางกระเป๋าเป้ลงบนโต๊ะตั้งใจทานมื้อเช้า “อรุณสวัสดิ์ฮะ”

“เคลไม่ลงมาเหรอ” แวนกัสถามทั้งสาม

“เคลบอกว่าไม่สบาย เพราะว่าแอบไปเล่นน้ำเมื่อวานครับ” วิลผู้พี่ตอบ

“ทำไมลูกไม่หายาให้น้องกินด้วยล่ะ”

“เคลกินแล้วครับ แล้วบอกว่าขอนอนพักซักวัน อีกสักพักฝากปะป๊าเอายาขึ้นไปให้เขาด้วยนะ”

“ได้สิ แล้วพ่อจะแวะมาดูอาการตอนเที่ยงด้วย” ชายหนุ่มบอก

ทุกคนพยักหน้ารับโดยไม่มีพิรุธอันใดนัก หรือเขาจะมองลูกชายเป็นตัวร้ายแสนซนเกินไปหนอ ใครต่างก็บอกว่าวัยนี้เป็นวัยต่อต้าน แวนกัสครุ่นคิด มองขึ้นไปยังชั้นบนอันเป็นที่อยู่ของอีกคนอย่างพะวงถึง แล้วเตรียมมื้อเที่ยงวางไว้ให้เจ้าคนป่วยด้วย กว่าจะเสร็จภารกิจยามเช้าแสนวุ่นวายก็ถึงเวลาทำงานแล้ว หากทว่าเพราะท่าทางผิดแปลกของเหล่าลูกชาย ทำให้แวนกัสไม่วางใจ

“พวกลูกอยากให้พ่อไปส่งไหม”

“ได้สิ ได้เลยฮะ” วิลรีบตอบ แล้วพยักเพยิดหน้าให้คนอื่นเออออด้วย หมายความว่าต้องการให้เขาออกจากบ้านอย่างเร็วที่สุดสินะ แวนกัสปัดความระแวงของตัวเองแล้วเดินนำมายังรถยนต์ที่นาน ๆ จะขับเอง บังคับมาจอดอยู่ริมถนนหน้าบ้าน เรียกสามแสบให้ขึ้นมา “ไปเถอะ ถ้าห่วงเคลเดี๋ยวพ่อกลับมาดูอาการให้ พวกลูกจะสาย”

“ครับ” ลูกชายของแวนกัสไม่ใช่เด็กเกเรเอาแต่ใจ แต่ค่อนไปทางรักอิสระ ไม่รู้เอานิสัยหัวขี้เลื่อยมาจากใคร ไม่เคยคิดอยากจะเรียนหนังสือ สิ่งที่เด็กหนุ่มทั้งสี่สนใจคือเรื่องเดียวกัน นั่นก็คือป่า และมันเป็นสิ่งสุดท้ายที่แวนกัสอยากให้เด็ก ๆ เข้าใกล้

แต่ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ นับวันการหลบหนีเขาเข้าไปเที่ยวป่ายิ่งถี่ขึ้น ขอแค่ได้เข้าไปดูชม ได้ไปมองเพียงไม่กี่นาทีทุกคนก็เหมือนถูกต่อชีวิตกลับมา กลายเป็นสดใส ดูมีชีวิตชีวาไม่เศร้าหมอง แวนกัสไม่เข้าใจเลยว่าที่นั่นมีอะไรดี

หลังกลับจากป่าเมื่อวานทำให้เคลมีอาการผิดปกติไปจากเมื่อก่อน แวนกัสไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แล้วเหตุใดเด็ก ๆ ถึงได้ตั้งใจช่วยกันปกปิดเขาด้วย ช่วงเวลาพักเบรกแรกของการเริ่มงาน เขาตัดสินใจขับรถกลับมาที่บ้านเพราะห่วงลูกชายคนเล็ก เกรงว่าไข้จะขึ้นสูง เพราะตั้งแต่เช้าชายหนุ่มยังไม่ได้ดูแลเคลเลย

มือเรียวปลดกุญแจบ้านแล้วหยุดอยู่ที่ห้องครัว มีร่องรอยการทานอาหาร ผู้เป็นพ่อยกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าลูกชายทานจนหมด สงสัยอาการป่วยคงทุเลาไปมากโขแล้ว ถึงได้เจริญอาหารเช่นนี้ หรือไม่อีกฝ่ายก็กำลังแสร้งป่วยการเมืองอยู่เป็นแน่ เห็นดังนั้นจึงมุ่งหน้าขึ้นไปยังชั้นบน จะเปิดประตูเข้าไปว่าไม่สามารถทำได้

“เคล เปิดประตูให้พ่อหน่อย” ชายหนุ่มเคาะเรียก

“มีอะไรฮะ”

“เปล่า พ่อแค่อยากรู้ว่าลูกสบายดีไหม”

“ผมสบายดี”

“สบายดีก็ออกมาหน่อยสิ เปิดประตูหน่อย” แวนกัสนิ่งฟังอย่างต้องการทราบว่าคนข้างในจะตอบอย่างไร เคลเงียบไปพักหนึ่งเท่านั้น ก่อนที่เจ้าตัวจะตัดสินใจเดินมาเปิดประตูแง้มออก ทั้งที่คราวแรกแวนกัสคิดว่าอย่างไรลูกชายก็ไม่ยอมเปิด เคลเป็นเด็กดีกว่าที่ชายหนุ่มคิด “ผมโอเคครับปะป๊า ไม่ต้องห่วง”

“โล่งอกไปที” แวนกัสยกยิ้มให้ มองท่าทางแสนเศร้าแล้วก็นึกเป็นห่วง ไหนจะการสวมฮู้ดและหมวกทับกันนี่อีก “ทำไมลูกอยู่มืด ๆ แบบนั้นล่ะ ไม่เปิดผ้าม่านหรือไฟสักหน่อย ไหนพ่อขอดูหน่อยว่าลูกเป็นยังไงบ้าง”

“มะ...” ลูกชายเบี่ยงหน้าหลบ สร้างความแปลกใจขึ้นมา

“เคล ลูกเป็นอะไร” แวนกัสนึกแปลกใจ

คนถูกถามก้มหน้าก้มตาไม่เงยขึ้นสบ “เปล่าครับ”

“ไหนพ่อขอดู เผื่อพ่อช่วยได้ ไปหาหมอกันไหม”

“หมอช่วยอะไรไม่ได้ฮะ!” เคลปัดมือแวนกัสออกไม่ยินยอม

“ทำไม เกิดอะไรขึ้นกับลูกบอกพ่อหน่อย พ่อรับฟังได้นะ”

“ไม่ อย่าแตะผม!” เคลเสียงดังต่อต้าน แต่เพราะรู้แล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเด็กน้อย ทำให้แวนกัสร้อนใจขึ้นมา ไม่อาจเมินเฉยได้ ชายหนุ่มพยายามจะเปิดหมวกของเคล ในขณะที่เด็กหนุ่มพยายามยื้อไว้ ทั้งสองเยื้อแย่งกันอยู่หน้าประตู ท้ายที่สุดสิ่งที่ถูกปกปิดก็เผยออกมาให้ชายหนุ่มเห็น แวนกัสเบิกตา ยกมือสั่นกุมปิดที่ริมฝีปากของตัวเองอย่างไม่อยากเชื่อ “เคล...”

“อย่ามอง!”

“เคล ลูก...”

“ห้ามมองผม อย่ามอง...” ลูกชายร้องไห้ แม้ในความมืดก็รู้ว่าบิดาเห็นตัวเองอย่างเต็มตาแล้ว ลำขายาวพาตัวเองเดินไปยังหน้าต่างบ้าน คว้าฉับเอาที่ผ้าม่าน แหวกมันออกเสียทีเดียวจนคนเป็นพ่อแสบตา “เคล เคล!”

เขาอยู่ที่นี่กับพ่อบุญธรรมไม่ได้แล้ว

พ่อเก็บตัวประหลาดมาเลี้ยง เก็บลูกของตัวอะไรก็ไม่รู้กลับมา เคลยกหลังมือเช็ดน้ำตาตัวเองอย่างไร้หนทาง รังเกียจความผิดแปลกของตัวเอง และคิดว่าความแตกต่างที่มีอาจทำให้พ่อบุญธรรมนึกเกลียดกลัว เกลียดในความที่เด็กหนุ่มไม่เหมือนคนอื่น

พ่อไม่รักเขาอีกต่อไปแล้ว

“เคล ลูกจะทำอะไร!”

เจ้าเด็กแสนดื้อของแวนกัสคนเดิมนั้นปีนขึ้นไปอยู่ที่ขอบหน้าต่าง แล้วกระโดดลงไปอย่างไม่กลัวขาเจ็บ แวนกัสตกใจวิ่งไปชะโงกดูด้วยความใคร่ทราบ น้ำตาเอ่อขึ้นมา ยังไม่ทันจะได้พูดคุยกันดี ก็เห็นร่างสูงโปร่งของลูกชายคนเล็กในชุดเสื้อฮู้ดสีเขียวและกางเกงยีนส์ขายาวสีอ่อนวิ่งตรงไปยังป่าเนินเขาข้างหน้า โดยไม่หันกลับมาเพียงสักครั้ง หัวใจคนเป็นพ่อเหมือนโดนมีดกรีด

“เดี๋ยวก่อน! เคล...”

ภาพสุดท้ายที่แวนกัสจำได้ คือดวงตาที่แดงก่ำ และเส้นผมสีเงินพราวระยับพลิ้วไหวตามแรงลม

เหมือนใครสักคนที่ยังอยู่ในความทรงจำเมื่อนานมาแล้ว

 

๑๖ ปีก่อน

เชนกลับไปแล้ว คราวนี้เป็นการเริ่มต้นใช้ชีวิตเพียงคนเดียวในป่าของแวนกัส ชายหนุ่มตั้งใจว่าวันนี้จะออกไปทำสวน แต่ครั้นแต่งตัวได้ครู่เดียวฝนก็พรำลงมา สิ่งที่ทำได้ก็เพียงยกหนังสือขึ้นมาอ่านฆ่าเวลาไปก่อน กว่าฝนจะซาก็ช่วงสาย ชายหนุ่มหยิบหาอะไรทานรองท้องไปก่อน ก่อนจะตัดสินใจถืออุปกรณ์ทำสวนออกไป

สวนกระจกอยู่หลังบ้าน ห่างกับลำธารเพียงเล็กน้อยเท่านั้น อ่านจากวิธีการปลูกพืชพันธุ์ก็เริ่มจัดการถางหญ้าปรับหน้าดินเสียก่อน ช่วงเวลาที่ง่วนอยู่กับงานก็ไม่ทันได้สังเกตว่าถูกจับตามอง กระทั่งถึงเวลาพัก แวนกัสรู้สึกเหมือนได้กลิ่นสัตว์ป่าอยู่แถวนี้ มันเป็นกลิ่นสาบที่ไม่รู้ว่ามาจากตัวของสัตว์ชนิดไหน

ร่างโปร่งทรุดตัวนั่งพัก หันขวับไปตามเสียงฝีเท้าบางอย่างอย่างรู้สึกไม่ชอบมาพากล เริ่มคิดขึ้นมาได้ว่าก่อนที่เพื่อนรักกลับนั้น เจ้าตัวได้เล่าอะไรให้ฟัง

‘ป้ามีญ่าบอกว่าในป่านี้มีบิ๊กฟุต’

‘อะไรนะ’ แวนกัสขำแทบสำลักน้ำชา

‘ฉันรู้ว่ามันฟังเหมือนเรื่องตลก แต่เธอบอกว่าที่นี่มีจริง ๆ’

แวนกัสยกยิ้ม กล่าวขณะยังคงสนใจหนังสือ ‘เธอเคยเห็นงั้นสิ’

‘นายเองอยู่คนเดียวก็ระวังตัวด้วย กลางคืนอย่าออกนอกบ้าน’ เชนจริงจัง

‘โธ่ นี่มันปีไหนแล้วนะเชน งั้นช่วยอธิบายมาซิว่ามันรูปร่างหน้าตายังไง ถ้าฉันเจอจะใช้ยาฆ่าแมลงฉีดให้’

‘ไม่เอาน่ากัส นายควรฟังฉันบ้าง’

‘นายนั่นแหละ เลิกพูดจาเหลวไหลสักที’

เพื่อนรักถอนใจ ‘นายไม่รู้เหรอ ในป่ามันเป็นที่ของปิศาจ นายอย่าท้าทายมันสิ เกิดมันมาหักคอนายเข้าจะทำไง’

คนคิดถอนหายใจแล้วสะบัดหน้าไล่ความคิดเหลวไหลออกไป เรื่องพรรค์นั้นจะไปมีได้ยังไงกันเล่า แวนกัสลุกขึ้นหันไปขนข้าวของ ตัดสินใจเดินกลับเข้าที่พัก ระหว่างทางก็เหลือบไปเห็นหน้าต่างห้องนอนของตัวเอง มันปิดสนิทดี แต่ที่ผิดแปลกไปก็คือผิวดินด้านนอกนั้นเละเทะ เหมือนเป็นร่องรอยของการถูกเหยียบย่ำอยู่บ่อยครั้งจนไม่รู้ว่าเป็นรอยเท้าของอะไร

แวนกัสก้มลงสำรวจอย่างไม่อาจเข้าใจ แต่แล้วก็ถึงบางอ้อ อาจเป็นลุงแซ็คที่มาช่วยดูแลซ่อมแซมให้เขาตั้งแต่เมื่อวานก็ได้ คิดแล้วชายหนุ่มก็หัวเราะเยาะตัวเองขึ้นมา เพราะเพียงแค่วันเดียวก็ทำเหมือนตัวเองอยู่มานานจนเป็นบ้าไปแล้ว

กลับเข้ามาในบ้านพักแล้วแวนกัสก็ถอดผ้ากันเปื้อน ถอดอาภรณ์ที่ปกปิดกายลงไปฟุบนอนบนเตียงอย่างสิ้นท่า พักเดียวเขาก็ลุกขึ้นนั่งอย่างคาใจ แล้วเดินไปยังหน้าต่างด้วยต้องการหาความกระจ่างให้ตัวเอง หากเป็นร่องรอยของลุงแซ็คจริง มันควรจะโดนฝนกลบไปตั้งแต่เมื่อเช้านี้แล้วนี่นา!

แวนกัสชะโงกหน้าออกไป แล้วรู้สึกขนลุกไปถึงท้ายทอย เมื่อเห็นว่าเป็นรอยใหม่ที่ยังไม่ผ่านการโดนน้ำฝนชะล้างออกไป มันคือรอยอะไร แล้วสิ่งใดเป็นคนทำ!

ไม่รู้เพราะอะไร แวนกัสนึกไม่พอใจขึ้นมา ชายหนุ่มมุ่ยหน้าแล้วปิดหน้าต่างลงฉับ ไม่ว่าจะเป็นคนหรือผีที่ทำเรื่องแบบนี้ ชายหนุ่มจะไม่ยอมให้อะไรมาทำให้ความต้องการของเขาต้องพังลง อย่างไรเสียเขาต้องอยู่ที่นี่อย่างสบายใจโดยไม่มีอะไรมาขัดขวาง

มือเรียวเปิดค้นหาหนังสือ อะไรที่จะไล่สิ่งเหนือธรรมชาติออกจากบริเวณนี้ได้ชายหนุ่มก็ลองทำไปก่อน อย่างน้อยก็เพื่อความสบายใจ และอย่างน้อยมีต้องมีสักอย่างที่ป้องกันไอ้ ‘บางอย่าง’ ที่ว่านั่นได้

“โรยเกลือ น้ำผึ้ง กับหินกั้นอาณาเขต...” คนอ่านมุ่นคิ้ว มองออกไปนอกหน้าต่างแล้วตัดสินใจเดินเข้าครัว คว้าขนมบังมาคาบที่ปาก มือก็หยิบกระปุกเกลือมาถือ ก่อนจะเดินออกไปดูลาดเลาข้างนอก สีหน้าของเขาบอกได้เป็นอย่างดีว่ากำลังไม่สนุกเอาเสียเลย

“ไม่ว่าแกจะเป็นอะไร เอานี่ไปซะ” คนพูดโรยมันไปด้วยกล่าวกับตัวเองไปด้วย แล้วหันไปมองรอบกายที่ว่างเปล่าราวกับคนบ้า เพียงครู่เดียวก็รีบวิ่งกลับไปอยู่ด้านในบ้านราวกับรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างที่นั่นจริง ๆ ก่อนจะเงี่ยหูฟัง ตั้งใจรับรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองคิดมันมีจริงหรือไม่

หากทว่าว่างเปล่า

แวนกัสถอนหายใจ หรือเขาจะเหงาเกินไปหนอ ชายหนุ่มคิดแล้วเอนหลังพิงพนักโซฟาผิดหวัง

ผิดหวังงั้นหรือ เขาจะมาหวังว่าจะเจอตัวประหลาดอะไรในป่านี้กันเล่า แวนกัสมุ่นคิ้วแล้วเปลี่ยนจุดมุ่งหมายมาใช้ชีวิตของตัวเองอย่างที่ต้องการดังเดิม

โดยที่ไม่รู้เลยว่าท่าทีของตัวเองนั้น อยู่ในสายตาเจ้า ‘บางอย่าง’ นั่น อยู่ตลอดเวลา...

ค่ำมืดดึกดื่นแล้ว ร่างกายใหญ่ของมันก็ซุ่มมาหยุดอยู่ที่เดิมของเมื่อคืนอย่างเงียบเชียบ ในความมืดของจากทั้งด้านนอกด้านในกระท่อม มันมองเห็นได้อย่างสว่างไสวปกติ แสงจากพระจันทร์สาดเข้าไปในหน้าต่างที่ปิดผ้าม่านไม่มิดชิด เห็นคนพริ้มตาหลับใหลอย่างนึกน่าเอ็นดู นัยน์ตาสีแดงวาวของมันจับจ้องไปที่มือเล็กนั้น ที่บนข้อมือยังคงสวมสร้อยเส้นผมของมันอยู่ติดตัวตลอดเวลา

ยักษ์ร้ายเอียงคอ ก้มลงมองรอบกายเต็มไปด้วยผงสีขาวบางอย่าง นิ้วมันลากไล้ขูดไปตามขอบหน้าต่าง แลบลิ้นเลียหลังจากดมฟุดฟิด รสชาติเค็มทำให้เจ้าตัวยักษ์อย่างมันถึงกับหูตาสว่าง เป็นของที่มนุษย์บอกว่ายกให้มันแล้ว คิดได้มันก็ลากลิ้นเลียไปตามผงนั้น ก่อนจะเหลือบไปเห็นอาหารที่ตัวเองชอบอยู่อีกมุม ความสนใจต่อผงสีขาวตรงหน้าจึงถูกกลืนหายไป

มนุษย์น้อยนอนหลับสนิทได้น่ามอง ความงดงามราวถูกบรรจงสร้างนั้นทำเอาหัวใจมันสะท้านไปพักหนึ่ง นึกอยากสัมผัสดูว่าความรู้สึกที่ได้แตะต้องกายมนุษย์เป็นอย่างไร แต่มันทำไม่ได้ ทำได้แค่แอบมองอยู่ที่หน้าต่างอย่างนี้เท่านั้นเอง

มนุษย์จะรู้ว่ามันมีตัวตนไม่ได้เด็ดขาด...

ใบหน้าที่กำลังหลับพลิกหันมาทิศนี้ให้เห็นความสวยสดเต็มตา มันกลืนน้ำลายที่กำลังจะหกเต็มแก่ลงคอ ปัดผมเผ้ารุงรังของตัวเองออกเพื่อเพ่งมองให้ชัดแจ้ง ว่าคนหลับตรงหน้าน่าชิมเพียงไหน แม้หน้าต่างจะคั่นไว้ ทว่ากลิ่นหอมยังคงลอยมาปะทะจมูกอยู่เนือง ๆ เสียมันทนไม่ไหว เปิดบานหน้าต่างยกขึ้น แล้วเอื้อมไปลากนิ้วแตะที่พวงแก้มนั้นอย่างอ่อนแผ่ว

สัมผัสนุ่มหยุ่น และอุ่นร้อนเหมือนแสงแดด

มือมันชะงักกลัว แล้วทรุดลงนั่งกับพื้นดินตรงนั้นจ้องมองที่ปลายนิ้วของตัวเอง อยากชิมรสชาติ อยากสูดดมให้เต็มอิ่ม แต่ที่ทำได้ก็เพียงจ้องมองเท่านั้นเอง

ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น มันก็รู้ตัวว่าอยากกินมนุษย์น้อยเหลือเกิน...

อยากลิ้มลองจนทนไม่ไหวแล้ว

แวนกัสรู้สึกตัวอีกทีในเช้ามืด ชายหนุ่มแปลกใจที่คราวนี้ตัวเองเดินออกมาในป่าสภาพบนกายเปลือยเปล่าได้อย่างไร รอบกายมีหมอกบางเจือจาง ก้มลงมองที่เท้าไม่ได้สวมอะไรเลย ตรงหน้าเป็นลำธารที่กว้างขึ้น หรืออาจจะเป็นต้นน้ำ ในขณะที่ยังมึนเบลอไม่เข้าใจที่มาที่ไป ด้านหน้าก็ปรากฏร่างของผู้ชายตัวสูงคนหนึ่งในสภาพไม่ต่างกัน กำลังยืนนิ่งไร้สติอยู่

เกิดอะไรขึ้นกัน แวนกัสไม่อาจเข้าใจ

ชายหนุ่มเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้า กวาดพิศมองชายแปลกหน้าที่พบเจอด้วยความงุนงง อีกฝ่ายสูงพอ ๆ กัน ผมสีเงินวาววับกำลังพริ้มตาหลับสงบนิ่ง แต่แล้วที่ทำให้ชายหนุ่มตกใจ ก็คงจะเป็นที่อีกฝ่ายลืมตาขึ้นมาอย่างฉับพลันกระมัง แวนกัสสะดุ้งลุกขึ้นนั่ง หัวใจเต้นโครมครามแล้วรำลึกขึ้นมาได้ว่าตอนนี้อยู่บนเตียงนอน นั่นหมายความว่าเมื่อครู่คือความฝัน

เหตุใดถึงเหมือนจริงเช่นนี้เล่า

“บ้าจริง!” เพราะไอ้เรื่องแปลก ๆ เมื่อวานนั่น ทำให้เขาสติแตกจนเก็บเอามาฝันอย่างนี้

คิดแล้วชายหนุ่มก็หยิบเสื้อคลุมมาสวม หันรีหันขวางเดินไปยังหน้าต่างเพื่อเปิดดูว่าจะมีร่องรอยใหม่ขึ้นมาหรือไม่ ครั้นบานหน้าต่างถูกยกขึ้นไป แวนกัสก็ตกใจกับสิ่งที่เกาะอยู่ขอบหน้าต่าง “บ้าฉิบ!” มือเรียวปิดมันลงฉับอย่างนึกผวา เมื่อเหลือบไปเห็นแมงมุมตัวสีดำสองสามตัวนอนหงายแอ้งแม้งอยู่

ทำไมพวกมันมานอนอยู่ที่นี่ ตรงนี้กัน

แวนกัสมือสั่น ตัดสิ้นใจยกบานหน้าต่างขึ้นใหม่ แล้วควานหาอะไรมาเขี่ยให้มันตกลงไปให้หมดอย่างขนลุกขนพอง จะให้คิดว่ามีใครเอามาวางไว้ก็คงจะงมงายเกินไป บางทีแมงมุมพวกนี้อาจมาบังเอิญตายอยู่แถวนี้แล้วลมพัดมาก็เป็นได้

แวนกัสเองก็อยากจะคิดเช่นนั้น หากไม่เหลือบไปเห็นร่องรอยดินโคลนที่พื้น

และบริเวณขอบหน้าต่างของตัวเอง

“หรือจะมีอะไรอย่างที่ป้ามีญ่าพูดจริง ๆ”

แวนกัสทึ้งหัวตัวเองอารมณ์เสีย อยากจะร้องว้ากออกมาเสียรู้แล้วรู้รอด แต่สิ่งที่ชายหนุ่มเลือกทำกลับเป็นสิ่งตรงกันข้าม ขายาวก้าวฉับไปที่ครัวคว้ากระปุกน้ำผึ้งมาถือตั้งแต่ยังไม่ทันได้ล้างหน้าล้างตา เดินดุ่มออกไปยังด้านนอกด้วยอารมณ์ไม่ใคร่ดีนัก “ต้องการแบบนี้ใช่ไหม เดี๋ยวจัดให้”

ว่าแล้วก็จัดการเทราดลงไปเพื่อกั้นอาณาเขต ไม่รู้เป็นความเชื่อของประเทศไหน ก็แค่ได้ลองกันสักตั้ง ครั้นระบายความโมโหของตัวเองด้วยการเทน้ำผึ้งเล่นไปทั้งกระปุกแล้ว แวนกัสถึงคิดได้ ชายหนุ่มเดินกลับเข้ามาในบ้าน แล้วแปลกใจว่าใบหน้าของตัวเองนั้น เหตุใดถึงได้มีเศษดินโคลนติดอยู่ จะว่าตัวเองฉลาดก็ย่อมได้ มันไม่ได้เพิ่งติดมาตอนที่เขาเอาน้ำผึ้งไปเทแน่นอน

เพราะดินมันแห้งและเกาะแน่นเสียอย่างนี้

“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันวะ” ชายหนุ่มบ่นอย่างนึกปลง

แล้วไอ้ตัวที่ว่านั้นมันต้องการอะไร เหตุใดถึงได้คอยมาวนเวียนแถวหน้าต่างห้องนอนของชายหนุ่มด้วย แวนกัสครุ่นคิดอย่างไม่เข้าใจ และยิ่งไม่เข้าใจไปกว่าเดิม คือทุกค่ำคืนเขาจะฝันแปลกประหลาด ฝันว่าตัวเองเที่ยวเดินไปทั่วทั้งป่าด้วยสภาพเปล่าเปลือย กระทั่งไปเจอชายผมสีเงินผู้หนึ่งในที่ต่าง ๆ

ที่น่ากลัว คือชายที่ว่านั้น ก็เหมือนจะรู้ตัวว่าเขามักถูกสิ่งหนึ่งนำพาไปที่นั่นด้วย

แวนกัสพลิกตัวนอนตะแคงในเวลารุ่งเช้า หลังจากตื่น ดูเหมือนชีวิตประจำวันของชายหนุ่มจะต้องลุกขึ้นมาตรวจตราหน้าต่างของตัวเองอยู่ทุกครั้ง ลำขายาวลงแตะพื้น ห่างไม่ถึงหนึ่งเมตรก็เป็นหน้าต่าง มือบางเอื้อมยกเปิดขึ้น วันนี้เป็นหนอนตัวสีเขียวอวบอ้วนหลายตัวอยู่ในใบไม้รองอย่างดี เขาเริ่มจะชาชินกับสิ่งแปลก ๆ นี่แล้ว

“อะไรเนี่ย”

มันไม่เหมือนสิ่งที่สัตว์จะนำมาได้ ไม่ละเมียดละไมเท่าคน แต่ก็ไม่หยาบเหมือนสัตว์

แต่อย่างไรก็น่าขยะแขยงอยู่ดี

แวนกัสหยีหน้า หาอะไรยาว ๆ มาเขี่ยให้ของเหล่านี้ตกลงไปที่พื้นแล้วปิดหน้าต่างฉับลง แม้จะรู้สึกรังเกียจและนึกหวาดระแวง แต่นอกจากตื่นขึ้นมาแล้วเจอของพิลึกเหล่านี้ ดูเหมือนจะไม่มีสิ่งอื่นที่ก่อกวนใจแวนกัสเลย อีกไม่นานชายหนุ่มก็คงชาชินและไม่รู้สึกอะไรกับของที่อยู่ริมหน้าต่างเหล่านั้นแน่นอน และไม่นาน คาดว่าเขาจะกล้าตามหาต้นเหตุด้วย

นานวันเข้า แวนกัสเริ่มค้นชินกับเสียงนกเสียงไม้ เสียงฝนตกยิ่งทำให้ชายหนุ่มมีสมาธิทำงานขึ้นกว่าแต่ก่อน ชายหนุ่มกำลังตั้งใจวาดรูป อยากอยู่กับตัวเองและงานเท่านั้น

ย่ำบ่ายก็แดดออกทำให้โดยรอบสว่างและสวยขึ้น แวนกัสรู้สึกอยากสูดเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดเสียบ้าง ชายหนุ่มเดินออกจากที่พัก ตั้งใจจะลัดเลาะไปตามลำธารสู่ข้างบน ระหว่างที่ผ่านหน้าต่างห้องพักของตัวเองก็ชะงักเท้ามอง ลองชะโงกเข้าไปเขาก็เห็นเตียงนอนชัดเจน แม้จะปิดหน้าต่างและผ้าม่าน

ได้ยินเสียงฝีเท้ากระรอกไต่อยู่ข้างบน มันว่องไวไปยังต้นไม้แถบนี้ ชายหนุ่มคลี่ยิ้มแล้วหมุนตัวเดินไปยังลำธาร น้ำที่ไหลเอื่อยใสแจ๋วน่าเล่น แต่อากาศก็ยังคงเย็นเกินไปสำหรับการเดินในน้ำ ชายหนุ่มจึงตัดสินใจเดินไต่เข้าไปในป่าแทนการลงน้ำ แต่น่าแปลก เมื่อเดินขึ้นมาเขากลับไม่รู้สึกหวิวใจอะไรนัก นอกเสียจากรู้สึกราวกับมาที่นี่เป็นร้อยรอบแล้ว

ลำขายาวหยุดอยู่ที่กอดอกไม้ป่าริมลำธาร ช่วงหน้าฝนดอกของมันบานสะพรั่งเป็นพวง นิ้วเรียวยาวแตะสีสวยสดอยู่เพียงครู่เดียว หยดน้ำที่เกาะก็หลุ่นตุบลงที่หลังมือให้ชุ่มฉ่ำ แวนกัสยกยิ้ม เด็ดยอดน้อย ๆ มาสอดที่ใบหูของตัวเองแล้วเดินเข้าไปอีกนิดเพื่อดูชมธรรมชาติแถวบ้าน

ข้างบนร่มรื่นน่ามานั่งเล่น วาดรูป หรือปิ๊กนิก ไม่ได้รกอย่างที่ชายหนุ่มคิดไว้เลย อาจเป็นเพราะมีก้อนหินเล็กใหญ่เรียงรายรอบไว้ด้วย แวนกัสก้มลงมองน้ำที่เอื่อยไหล นึกตกใจที่จู่ ๆ ลมก็พัด ดอกไม้แสนสวยที่ทัดบนใบหูจึงปลิวตกลงไปในน้ำ ชายหนุ่มพยายามเอื้อมคว้าทว่าไม่ทันเสียแล้ว

มันไหลไปตามแรงน้ำ ครู่เดียวก็หนีมือแวนกัสไปไกล ชายหนุ่มได้แต่มองตามมันด้วยใจที่ห่อเหี่ยว

“โธ่ ดอกไม้ของฉัน”

เมื่อครู่ที่เอื้อมจะคว้า ตัวของเขาเองก็เกือบพลัดตกลงไปในน้ำด้วย

เพลิดเพลินอยู่ในป่าด้านบนครู่เดียวแวนกัสก็เดินเอื่อยเฉื่อยกลับมาบ้านพัก ทำอาหาร นั่งทานข้าวและอาบน้ำ ชีวิตประจำวันของเขาไร้สีสันหากทว่าเต็มไปด้วยความสงบสุขที่ชายหนุ่มต้องการ

แวนกัสก็อยากจะคิดเช่นนั้น หากคืนนี้เขาไม่บังเอิญรู้สึกตัวตื่นขึ้นมากลางดึก แล้วใคร่ครวญว่าลืมปิดผ้าม่านหน้าต่างห้องนอน ขณะที่นอนตะแคงหันหลังให้อยู่นั้น แม้ภายในจะมืดมิด ทว่าก็ยังมีแสงสลัวของพระจันทร์สาดให้เห็นทรงสี่เหลี่ยมของกระจก แล้วปรากฏเงาของสิ่งที่เดินเข้ามายืนอยู่บริเวณนั้น

แวนกัสนอนนิ่งหันหลัง พยายามหายใจให้เป็นปกติแม้หัวใจจะเต้นโครมคราม เขาเห็นร่างกายใหญ่ในเงามืด มันมีแขนขาเหมือนมนุษย์ สูงราวสามเมตร เรือนผมก็ยาวยุ่งเหยิง

มันไม่ได้ส่งเสียงอันใดให้เขาตื่นเพียงนิด แค่จ้องเขม็งมาทางทิศนี้ เป็นเวลาที่แวนกัสอยากจะเผชิญหน้ากับความกลัวของตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มไม่อาจทำได้ ปล่อยให้มันยืนอยู่ตรงนั้นด้วยความใคร่ทราบถึงสิ่งที่มันต้องการ เพราะทุกคืน เขาก็ตื่นขึ้นด้วยความปกติดีทุกอย่าง

เช้าแล้ว

“เหวอ!” แวนกัสสะดุ้งตื่นจากเตียง ไม่รู้ว่าหลับไปตอนไหน ชายหนุ่มก้มลงสำรวจที่ร่างกายของตัวเองก็พบว่ามันปกติดีทุกอย่าง เป็นอย่างทุกวัน ชายหนุ่มผุดวิ่งไปเปิดหน้าต่าง รู้สาเหตุแล้วว่าทำไมถึงได้มีสิ่งของแปลกปลอมมาวางไว้ เพราะตัวประหลาดใหญ่ยักษ์ตัวนี้เอง!

“อะไรวะเนี่ย...” แวนกัสเขาหัว

ทำไมวันนี้ไม่มีแมงมุมยักษ์ ไม่มีหนอน ไม่มีกิ้งก่า ไม่มีหัวเผือกหัวมัน

มีแต่ดอกไม้เล็ก ๆ วางทิ้งไว้เท่านั้น...

ชายหนุ่มนึกแปลกใจ หยิบมันขึ้นมาถือด้วยความไม่เข้าใจว่าของสิ่งนี้ เป็นเจ้าตัวน่าเกลียดนั่นนำมาวางไว้ให้ชายหนุ่มจริงน่ะหรือ ตากลมสีน้ำตาลเข้มชะเง้อมองออกไปด้านนอกอย่างงงวย ความหอมของดอกไม้ลอยลิ่วตามลมมาที่จมูกให้ได้กลิ่นอ่อนนุ่ม ดึงดูดให้อดที่จะเอาเข้ามาดอมดมใกล้กว่าเก่าไม่ได้

หอมจัง

อาจจะเป็นความหอมของสิ่งนี้กระมัง ที่ทำให้อารมณ์ของแวนกัสดีขึ้นมา จนกลายเป็นว่ากำลังยกยิ้ม และไม่รู้ตัวเลยสักนิด ว่ารอยยิ้มของตัวเองกำลังสะกดใจเจ้าของดอกไม้เล็ก ๆ ดอกนั้น ให้จับจ้องอยู่อย่างไม่อาจผละออกไปได้ มันมองแวนกัสอย่างไม่อาจปิดบังความต้องการมิด ก่อนจะเดินแยกออกไปอีกทาง เมื่อเห็นว่ามนุษย์น้อยกำลังพอใจในสิ่งที่มันนำมาให้

ระหว่างทาง มันเจอเข้ากับดอกไม้แสนสวย อดไม่ได้ที่จะลองก้มดอมดมดูบ้าง

มือใหญ่ตะปบปัดทิ้ง เจ้าดอกไม้นี่ หอมไม่ได้ครึ่งมนุษย์น้อยของมันสักนิด!







-------------------------------------------------------------

จงดูวิธีการจีบของพี่ยักษ์เป็นตัวอย่าง จีบแบบให้น้องหลอน จีบยังไงให้ได้ลูกสี่คน อิอิ

พี่ยักษ์เป็นประเภทชอบแบบคลั่งไคล้ ชอบแล้วคือวิญญาณตามติด ตามเฝ้าแทบตลอดเวลา

ส่วนเคล น้องเป็นอะไร จะเริ่มเฉลยมาเรื่อย ๆ แล้วทำไมพี่คนอื่นไม่เป็น น่าจะรู้กันนะคะ

 
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #2 up23.9.62
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 24-09-2019 23:31:16
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #2 up23.9.62
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 25-09-2019 13:46:33
จีบได้น่ารักมาก555
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #2 up23.9.62
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 25-09-2019 16:45:10
น่าติดตามมากๆ  :katai2-1: อยากรู้แล้วว่าได้ลูกมาได้ไงตั้ง4คน :hao6:
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #2 up23.9.62
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 25-09-2019 19:38:25
พี่ยักษ์สายเปย์(?) เอาของขวัญ(?)มาให้ทุกคืน ฮุฮุ ว่าแต่ตอนปัจจุบันนี่พี่หายไปไหนหนอ ส่วงเคลนั่นคือคนที่ทำสร้อยหายช่ะ รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #2 up23.9.62
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 25-09-2019 21:51:34
 :pig4: :pig4:สนุกวิธีจีบสุดยอด
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #2 up23.9.62
เริ่มหัวข้อโดย: Ti0590 ที่ 25-09-2019 23:02:19
 :mew1:
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #3 up30.9.62
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 30-09-2019 09:28:58
(https://pbs.twimg.com/media/EFJauD3U0AE8oiY?format=jpg&name=360x360)

#ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง

ตอนที่ ๓

เสียงฝีเท้าของผู้มาเยือนทำให้คนทางนี้อกสั่น รอบกายเป็นป่าหนาใบพอที่จะหลบซ่อนเรือนร่างจากบิดาที่วิ่งตามออกมาได้ เคลเช็ดน้ำตาของตัวเอง ลอบชะโงกมองออกไปเห็นร่างสูงโปร่งของผู้เป็นพ่อ ท่าทางของอีกฝ่ายแลดูเป็นห่วงเด็กหนุ่มยิ่งนัก หรือเขาจะคิดไปเองว่าท่านจะรังเกียจกันหนอ

“เคล ลูกอยู่แถวนี้ไหม!”

คนถูกขานชื่อตัวสั่น หลบอยู่หลังหินก้อนใหญ่ในพุ่มไม้ เหลือบมองตัวเองผ่านผืนน้ำที่สะท้อนแล้วทำได้เพียงปล่อยให้น้ำตาไหลอาบหน้า เขายังไม่กล้าพอที่จะให้แวนกัสเห็นสภาพไม่เหลือเค้าเดิมของตัวเองตอนนี้

“เคล เคล!”

ลูกชายของเขาอยู่ที่ไหนกัน แวนกัสรู้สึกเหมือนว่าเคลยังอยู่แถวนี้ ในป่าที่อีกฝ่ายคิดว่าจะรู้สึกปลอดภัย ผิดกันกับชายหนุ่มที่หวาดกลัวจนระหวาดระแวงเพียงเสียงลม เสียงใบไม้ปลิว หรือแม้กระทั่งเสียงลมหายใจของตัวเอง “ออกมาเถอะ เราคุยกันได้นะเคล พ่อขอโทษ”

ขอโทษทำไม...

เคลเช็ดใบหน้าแดงก่ำของตัวเอง มองออกไปเห็นใบหน้าซีดเผือดของอีกฝ่ายแล้วใจหาย

“เราน่าจะคุยกันก่อน ก่อนที่ลูกจะหนีออกมาแบบนี้”

จะคุยกันได้ยังไง ให้เด็กหนุ่มอธิบายอย่างนั้นหรือว่าตัวเองเป็นลูกของอสูรกายน่าเกลียดน่ากลัว เด็กหนุ่มคิดแล้วรู้สึกได้ถึงความเสียใจแล่นมาจุกอก อาจเป็นเพราะกลั้นเสียงสะอื้นของตัวเองไม่ไหว ทำให้มันเล็ดรอดออกไปจนคนที่ยืนอยู่อีกฝั่งของป่าได้ยิน ไม่นานเสียงฝีเท้าของบิดาก็ระรัวผ่านใบไม้ใบหญ้ามาทิศนี้

“เคล ลูกรัก!” แวนกัสชะงักเท้า มองความว่างเปล่าหลังพุ่มไม้และหินก้อนใหญ่เบื้องหน้าอย่างใจหวิว น้ำตาเขาไหล ชะเง้อออกไปหาด้วยสายตาวาดหวังแล้วทรุดตัวนั่ง พิงกับก้อนหินก้อนนั้นด้วยความปวดหนึบที่อก “ลูกควรรู้ ว่าตัวเป็นใคร มาจากไหน”

แวนกัสกุมใบหน้าของตัวเองร้องไห้ รู้ว่าในที่สุดมันก็สายเกินไปแล้ว เมื่อลูกมารู้เรื่องทีหลัง

แต่นี่ก็เป็นหนึ่งเรื่อง ที่เขาตั้งใจทำไปเพื่อปกป้องลูก ๆ ทั้งสิ้น

ภาพบิดากำลังนั่งร้องให้อยู่เหนือน้ำทำเอาคนหลบซ่อนน้ำตาไหล แม้ความเย็นจากรอบกายทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกดีขึ้นมาบ้างก็ตาม เคลแหงนมองขึ้นไปอย่างรู้สึกเศร้า เฝ้ามองบิดาที่กำลังร้องไห้อยู่ด้านบน กระทั่งอีกฝ่ายยอมล่าถอยออกไปเอง แต่ถึงอย่างนั้น เด็กหนุ่มก็ไม่อาจขึ้นไปบนผิวน้ำได้ ทำได้เพียงนั่งกอดเข่าตัวเองอยู่ในนั้นด้วยความรู้สึกผิดอยู่ในใจ

แบบนี้คงดีแล้วกระมัง

ตากลมโศกมองเหล่าปลาเวียนว่ายผ่าน ข้างบนได้ยินเสียงกระรอกวิ่งแล่น สายน้ำไหลผ่านไปครั้งแล้วครั้งเล่าจนเกิดเป็นมนต์ขับกล่อมให้คนเศร้าเผลอพริ้มตา ปล่อยให้ความเย็นชะล้างหัวใจและน้ำตาร้อนออกไปอย่างเชื่องช้า

แม้จะเหมือนผ่านไปเพียงชั่ววินาที เคลสะดุ้ง เมื่อถูกมือของใครกระชากดึงเด็กหนุ่มให้โผล่ขึ้นจากน้ำ คราแรกเข้าใจว่าเป็นบิดาบุญธรรมที่ตามหา แต่กลายเป็นไวน์ในชุดแจ็คเก็ตสีแดงที่คว้าดึงคอเสื้อเขาขึ้น เคลหอบหายใจ นึกแปลกที่ทุกคนทำหน้าตกใจเมื่อเห็นเขา “เคล ทำบ้าอะไรของนาย!”

“อะไร” เคลสำลักน้ำ

“นายทำอะไร รู้ไหมปะป๊าห่วงนายแค่ไหน” แม้จะกำลังดุ แต่พี่ชายรองอย่างไคล์กลับถอดเสื้อของตัวเองยื่นให้เด็กหนุ่ม เคลก้มลงมองมันครู่เดียว น้ำตาก็เอ่อขึ้นมาอย่างไม่อาจคุมได้

“ฉันกลัวปะป๊าเสียใจที่เห็นฉันเป็นแบบนี้” เด็กหนุ่มตอบพี่ ๆ

“นายอยู่ในน้ำตั้งแต่เมื่อไหร่” วิลถาม

“เมื่อกี้ แค่จะหลบปะป๊า แต่ว่ารู้สึกง่วงก็เลย...”

“อะไรนะ ในนอนในน้ำเหรอ ไม่กลัวตายรึไง!”

เคลก้มหน้า ถอดเสื้อเปียกมาสวมแจ็คเก็ตที่พี่ชายยกให้ “แค่แป๊บเดียวเอง”

“นายรู้ไหมนี่กี่โมงแล้ว”

เพราะสายตาพี่ ๆ ทำให้เด็กหนุ่มแปลกใจ “อะไร”

“นี่มันเลิกเรียนแล้ว นายนอนอยู่ในนั้นมาครึ่งวัน”

คนฟังส่ายหน้า “พูดเรื่องอะไร อย่ามาอำหน่อยเลย”

“ปะป๊ากลัวว่าเราจะโดดเรียน ก็เลยเดินตามหานายคนเดียว เพิ่งบอกเราเมื่อกี้นี้เอง” สีหน้าของทุกคนบอกเคลได้เป็นอย่างดีว่าไม่มีแววตลกเลยแม้แต่นิด เด็กหนุ่มหันกลับไปมองในน้ำแล้วรู้สึกเหมือนขนลุกวาบ ไม่อาจเข้าใจว่าตัวเองทำอย่างนั้นได้ยังไง รู้แต่ว่าอยู่ในนั้นแล้วเขาปลอดภัย เคลนิ่ง แล้วเดินไปทรุดนั่งกับโขดหินแถวนั้น กอดตัวเองให้ความหนาวคลายลง

“แล้วปะป๊าเป็นยังไงบ้าง”

พี่ชายถอนใจ “ปะป๊าเดินตามหานายทั้งวันอยู่คนเดียว ตอนนี้รู้สึกเหมือนจะไม่สบายแล้ว”

“ทำไมล่ะ”

“ลูกหายไปทั้งคน คิดว่าปะป๊าจะอยู่เฉย ๆ ได้งั้นเหรอเคล”

วิลจับบ่าน้องตัวเองแล้วทรุดลงนั่งข้าง สภาพของเคลตอนนี้ไม่เหมือนน้องชายคนเดิมที่ทั้งสามเคยเจอหน้าทุกวัน แต่อย่างไรแล้วเด็กคนนี้ก็ยังเป็นเคล คนอ่อนไหว เจ้าน้ำตา เด็กหนุ่มมองน้องชายอีกสองคน กล่าวผ่านความเศร้าเพื่อเกลี้ยกล่อมแทนไวน์กับไคล์ว่า “นายกลับไปหาปะป๊าแล้วให้เขาช่วย ดีกว่าหนีออกมาดีกว่าไหม นี่จะสอบแล้วด้วย นายต้องกลับไปนะ”

“ฉันไม่เหมือนเดิมแล้ว นายคิดว่าทุกคนจะยอมรับฉันได้เหรอ”

ไคล์จับมือน้องชาย “อย่างน้อยก็มีพวกเรากับปะป๊าที่รับนายได้ นายเป็นน้องเรา แล้วก็เป็นลูกของปะป๊า”

“ไม่ใช่ ฉันไม่ใช่ลูกของเขา นายคิดว่าเขาจะยอมรับฉันได้จริง ๆ เหรอ” เคลก้มหน้า น้ำตาหยดลง “แล้วฉันก็อาจจะไม่ใช่น้องของพวกนายแล้วก็ได้ พวกนายเป็นมนุษย์ ส่วนฉันน่ะเป็นปิศาจ ไม่เห็นเหรอว่าตอนนี้ฉันเหมือนน้องของพวกนายหรือไง แหกตาดูซะบ้างสิ ฉันเหมือนคนรึไง”

“นายพูดบ้าอะไรของนาย พวกเราเป็นแฝดนะ ถ้านายเป็นปิศาจ เราเองก็ต้องออกมาจากท้องปิศาจเหมือนกัน”

“แต่! ยังไงซะพวกนายก็ดูเหมือนมนุษย์กว่าฉันนี่นา พวกนายไม่เป็นเหมือนฉัน พวกนายไม่เข้าใจ!” เคลร้องไห้ขึ้นมาเสียงดังกว่าเก่า ให้ทั้งสามอดที่จะหันมองกันด้วยความเป็นห่วงไม่ได้ รู้ดีว่าความเศร้าและเสียใจที่เป็นอยู่ตอนนี้เพราะเจ้าตัวกลัวที่จะโดนทุกคนเกลียดในความต่าง ทั้งสามเดินเข้ามาที่เคล สิ่งที่จะปลอบใจกันได้ก็เพียงอ้อมกอดที่มอบให้กันในความเงียบและเสียงร้องไห้เท่านั้น

ยังไงเสีย เคลก็คือน้องที่เกิดมาพร้อมกัน ต่อให้เป็นตัวอะไรพวกเขาก็ยังรัก

“ไม่เห็นต่างตรงไหน นายเหมือนเราอย่างกับแฝด”

คนอื่นหลุดหัวเราะทั้งน้ำตา “ก็แฝดนี่หว่า!”

เสียงฝีเท้าของเหล่าลูกชายทำเอาแวนกัสที่กำลังปวดหัวต้องผุดลุกขึ้นยืน ชายหนุ่มจ้ำอ้าวไปยังประตูหน้าบ้านด้วยความเร่งรีบ เห็นเพียงทั้งสามยืนอยู่เท่านั้น ไร้ร่างของเคลอย่างที่คาดหวัง “พวกลูกหาน้องเจอไหม ทำไมไม่พาน้องกลับมาด้วยล่ะ นี่มันจะค่ำแล้วนะ”

หน้าของบิดาพวกเขาซีดเซียวลง เมื่อไม่เห็นเคล

มันทำให้ทั้งสามไม่อาจปกปิดความจริงได้ “เคลขอเวลาอยู่คนเดียวก่อนครับ”

“ทำไม บอกเขาไหมว่าพ่อรออยู่”

“เขากลัวปะป๊าจะรับเขาไม่ได้ เขาไม่อยากหายไปแบบนี้หรอกฮะ” ไคล์ถอนใจแล้วกอดอก เห็นบิดาเดินมาหยุดดูแล้วก็ยกยิ้มขึ้น เมื่อท่านเห็นอะไรบางอย่างผิดแปลกไป รู้ตัวแล้วคนถูกมองก็ทำตัวไม่ถูกขึ้นมาเสียอย่างนั้น “อะไรฮะ”

แวนกัสยกยิ้มขึ้นทั้งที่ยังเศร้า “ลูกยกเสื้อตัวโปรดให้น้องใส่เหรอ ถ้าเกิดเคลทำสกปรกขึ้นมาจะไม่โกรธน้องใช่ไหม”

ไคล์หลบตา “รู้ได้ยังไงฮะ”

“ก็เมื่อเช้าลูกยังใส่ไปเรียนเลยนี่นา ถ้าไม่ได้ให้น้องแล้วเอาไปไว้ไหนซะล่ะ”

“เอ่อ ผม...” ไคล์หลบตาเหล่าพี่ ๆ แล้วยอมตอบแต่โดยดี “ผมกลัวเคลจะหนาวก็เท่านั้นเอง”

คนฟังกอดยกแล้วยกยิ้มขึ้นมาทั้งน้ำตา พาร่างสูงโปร่งของตัวเองเดินไปทรุดนั่งที่โซฟาอย่างนึกโล่งใจ และยังคงเสียใจอยู่ในที เหมือนคนใกล้จะบ้าเต็มแก่ “พ่อดีใจที่เห็นลูกรักกันนะไคล์ ลูกเป็นพี่เคลแค่สามนาที แต่ก็ทำหน้าที่ของพี่คนหนึ่งได้ดีมากจนน่าตกใจ อาจเป็นเพราะเกิดมาไล่เลี่ยกัน ก็เลยผูกพันกันเป็นพิเศษละมั้งนะ”

คนฟังทั้งหมดแปลกใจ เป็นวิลที่เอ่ยขึ้นมาแทรก “ผมนึกว่าปะป๊ากุเรื่องเวลาเกิดของเราขึ้นมาซะอีก”

แวนกัสเปลี่ยนสีหน้า “เรื่องนั้น...”

“ปะป๊ารู้ได้ยังไงว่าเราเกิดตอนไหน เกิดห่างกันกี่นาที” น้ำตาคนถามคลอเบ้าขึ้นมาโดยไม่ได้บอกกล่าวพี่น้องคนอื่นเลย วิลจ้องตาบิดาที่กำลังหน้าซีด แล้วใช้เสียงแข็งขึ้นมาเพราะมีความคิดหนึ่งผุดขึ้น “อธิบายกับเราหน่อยว่ารู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง ในเมื่อปะป๊าบอกกับเราเองว่าเจอพวกเราถูกทิ้งไว้ตรงหน้าบ้าน”

“ปะป๊า!” ไวน์คิดทันพี่ชายได้แล้ว แล้วสายตาทั้งสามคู่ก็จ้องแวนกัสอย่างใคร่ทราบ

ผู้เป็นพ่อมือสั่น “พ่ออยากรู้ว่าน้องอยู่ไหน เคลอยู่ไหน”

“เราจะไม่บอก ถ้าปะป๊ายังไม่อธิบายเรื่องนี้ให้เราฟัง”

“วิล!”

“คุณเป็นใคร!” ไคล์เสียงดังขึ้น “คุณเกี่ยวข้องอะไรกับพ่อแม่ของเรา”

“หรือคุณรู้จักพวกเขา พวกเขาอยู่ไหน ตอบเรามานะ!”

“เด็ก ๆ ฟังพ่อก่อน” แวนกัสพยายามยกมือปรามไม่ให้ใจร้อน

“คุณไม่ใช่!” วิลกำหมัดแน่น น้ำตานองหน้ากันทั้งหมด “คุณไม่ใช่พ่อของพวกเรา ตอบพวกเรามาว่าทำไมถึงเสียเวลาเลี้ยงเราจนโตมาขนาดนี้ คุณเป็นใคร แล้วพวกเราเป็นใคร ถ้าไม่ตอบ เราก็จะไม่บอกเรื่องเคล แล้วเราก็จะหายไปจากชีวิตของคุณด้วย...”

ได้ยินสิ่งที่ลูกพูด แวนกัสก็อึ้งไป...

นี่มันโชคชะตาอะไรกันหนอ แวนกัสลุกขึ้นยืนทั้งน้ำตา เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าลูกชายทั้งสามด้วยดวงใจที่กำลังจะสลาย จะมีหนทางอื่นที่เขาจะไม่ต้องเสียเหล่าเด็กหนุ่มตรงหน้าไปสักคนไหม ชายหนุ่มคิดแล้วไม่อาจกล่าวเริ่มต้นตั้งแต่ตรงไหนให้เด็กกลุ่มนี้ฟังเลย

หากไม่เล่า เกรงว่าเด็กตรงหน้าเขาจะทำอย่างที่พูดจริง

ถึงเวลานั้น แวนกัสก็จะต้องเสียดวงใจของเขาไปตลอดกาล

“ฮาย...เด็ก ๆ ทำอะไรกันอยู่เอ่ย”

เพราะเสียงของเชนทำให้บรรยากาศตึงเครียดของทุกคนหายไป การมาเยือนของลุงที่ไม่ได้นัดล่วงหน้าทำให้เด็ก ๆ ตัดสินใจเดินตึงตังหนีขึ้นไปชั้นบน แวนกัสขาอ่อนทรุดลงนั่งกับพื้น กุมหน้าเช็ดน้ำตาของตัวเองอย่างไม่อาจทำเป็นเข้มแข็งเช่นตลอดสิบหกปีที่ผ่านมาได้ต่อไปแล้ว

“กัส นายเป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น”

“เคลหายตัวไป” ชายหนุ่มตอบเสียงสั่น

“อะไรนะ หายไปไหน นายดุอะไรเขา” เชนทรุดตัวมาประคองอย่างเดือดเนื้อร้อนใจแทน “เคลไม่ใช่เด็กที่โดนดุแล้วจะขี้น้อยใจจนถึงนั้นหนีออกจากบ้านนี่นา เขาเป็นเด็กดีจะตาย ฉันไม่เข้าใจ”

คนฟังพยักหน้า “ความผิดของฉันเอง ความผิดของฉันที่ไม่บอกความจริงพวกเขา” แวนกัสพูดผ่านเสียงสะอื้น แล้วกุมจับบ่าทั้งสองของเพื่อนรักอย่างสิ้นหนทาง “นายช่วยฉันหน่อยได้ไหม ฉันไม่อยากเสียพวกเขาไป ไม่อยากเสียไปเลยสักคน ลูกของฉัน...ลูกของฉัน...”

“กัส...” เชนหรี่ตามองคนเศร้า “เด็กพวกนั้น เป็นลูกของนายจริง ๆ ใช่ไหม”

ความเงียบกัดกินระหว่างทั้งคู่ไปพักหนึ่ง เมื่อถูกยิงคำถาม

แต่แล้วอย่างไร เวลานี้แวนกัสยอมทำทุกทาง

ชายหนุ่มรีบพยักหน้ารัว “ช่วยฉันที ช่วยให้พวกเขาไม่เกลียดฉันทีได้โปรด...”

“ให้ตายสิกัส นี่มันเกิดอะไรขึ้น”

“ฉันจะเล่าให้นายฟังเอง ทั้งหมดเลย แต่นายต้องช่วยฉันก่อน” ท่าทางละล่ำละลักของแวนกัสทำให้เชนใจอ่อน ตั้งแต่คบกันมา เพื่อนรักเป็นคนสุขุมไม่เคยมีทีท่าร้อนอกร้อนใจอย่างนี้เลย เห็นเช่นนั้นแล้วชายหนุ่มก็จำต้องยอมพยักหน้า ด้วยรู้ดีว่าสิ่งที่แวนกัสทำนั้น ไม่ใช่เรื่องที่จะขัดศีลธรรมจนเขารับไม่ได้อย่างแน่นอน และชายหนุ่มก็อยากได้ยินคำอธิบายอย่างตรงไปตรงมาจากปากเจ้าตัวด้วย

หวังว่าสิ่งที่เขาทำ สถานการณ์ทุกอย่างจะดีขึ้น ไม่ใช่แย่ลง...


(มีต่อ)
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #3 up30.9.62
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 30-09-2019 09:30:07
(https://pbs.twimg.com/media/ED79u_SUEAA22P1?format=jpg&name=large)

ตอนที่ ๓ พาร์ท ๒

(ต่อ)

เชนงุดลงมองที่ลูกบิดห้องพักของเหล่าหลานชายที่ตนรักเสมือนลูก ทอดถอนใจอย่างสิ้นหนทาง ก่อนจะตัดสินใจยกมือขึ้นเคาะประตูเป็นเชิงขออนุญาต ไร้เสียงขานรับ ผู้อาวุโสกว่าจึงหมุนลูกบิดเข้าไป น่าแปลกที่คนข้างในไม่ได้ล็อกประตู กำลังอยู่กันส่วนตัว แต่ละมุมของใครของมัน ไร้เสียงคึกคักเฮฮาเหมือนเมื่อก่อน

บนใบหน้าของทุกคนแลดูเศร้า ไม่ต่างจากผู้ที่อยู่ด้านล่างนัก

“ลุงเชนมีธุระอะไรกับเราฮะ”

เชนกอดอก แล้วเดินไปทรุดนั่งบนเตียงกับพี่ใหญ่อย่างวิล “พวกนายรู้เรื่องพ่อแล้วใช่ไหม”

“ลุงก็รู้ แล้วก็ช่วยเขาปิดความลับงั้นเหรอฮะ” ไวน์หันมาหา

“ไม่ใช่”

“แล้วมันยังไง ทำไมต้องปกปิดเรื่องของเรา ลุงกับเขาเกี่ยวข้องอะไรกับพ่อแม่ของเราฮะ” ไคล์ถาม

“หรือเขา เป็นคนทำให้พ่อแม่ของพวกเราตาย ก็เลยจำใจต้องเลี้ยงเราแทนเพื่อชดใช้ความผิด”

เชนรีบส่ายหน้าทันควัน “พวกนายคิดไปกันใหญ่แล้ว พ่อของพวกนายมีความจำเป็นที่จะต้องโกหก”

“โกหกยังไงก็คือโกหก!” วิลกอดอกจริงจัง “เขาไม่มีสิทธิ์มาปิดบังพวกเรา”

“นี่...” ลุงเชนหยิบกระดาษใบหนึ่งมาให้ วิลมารับมาถือด้วยความใคร่ทราบ เป็นภาพใบเก่าอันมีแวนกัสในวัยรุ่นกำลังนั่งสวมกอดกับหญิงสาวคนหนึ่งสีหน้าระรื่นสุข วิลแปลกใจ นัยหนึ่งคือเหมือนเห็นตัวเองอยู่ในรูปนั้น อีกนัยหนึ่งคือแปลกใจความหมายที่ลุงเชนมอบมันให้ “คืออะไรฮะ รูปนี่...”

“นั่นคือพ่อแม่ของพวกนาย”

สิ้นคำของเชน ไคล์กับไวน์ก็กุลีกุจอมาขอดูรูปด้วย วิลผละไปมองคนนั่งข้างกายอย่างไม่อาจเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ เพราะในนั้นมีแวนกัสกับสตรีคนหนึ่งเท่านั้นเอง “ลุงเชนหมายความว่ายังไง จะบอกว่าจริง ๆ แล้วเขาเป็นพ่อของเราน่ะเหรอครับ”

น้องชายทั้งสองผละมามองที่วิล “ไม่จริง ก็ปะป๊าบอกว่าเจอเราที่หน้าบ้าน”

“ถูกแล้ว แต่มันมีอะไรมากกว่านั้น” เชนกอดอกก่อนจะถอนหายใจ เมื่อรับรู้ถึงเครื่องหมายคำถามจากใบหน้าทั้งสาม จึงกล่าวต่อให้กระจ่างแก่ใจว่า “ตอนนั้นพวกเขายังเด็กกันทั้งคู่ พวกนายก็รู้ว่ากัสเป็นลูกชายคนเดียว พ่อแม่ของเขาก็เลยค่อนข้างเลือกผู้หญิงที่จะต้องแต่งงานให้สักหน่อย พวกเขาโดนกีดกัน จนต้องเลิก ประจวบกับเวลานั้นกัสอยากเข้าป่าไปทำใจ เลยขาดการติดต่อกับเธอ จนสุดท้ายทั้งสองก็แอบมาพบกันอีกครั้ง”

ทั้งสามตั้งใจฟังในสิ่งที่ลุงเชนเล่าอย่างตั้งใจ “ปะป๊าแอบเจอเธออีก ในป่านั่นน่ะเหรอ”

“ช่วงนั้นที่ลุงกลับไปเยี่ยม เขาเหมือนกำลังมีความรักอีกครั้งเลยล่ะ”

“แล้วทำไมมันถึงจบแบบนี้ล่ะ”

เชนยกยิ้มเล็กน้อย “ก็เพราะโดนจับได้ยังไงล่ะ เธอโดนสั่งห้ามให้มาเจอกัสอีก โดยที่ทางครอบครัวกัสไม่รู้เลยว่าเธอกำลังท้อง ส่วนกัสเองก็รอเธอไปพบทุกวันจนกลายเป็นโรคซึมเศร้า จนวันหนึ่งพวกนายก็มาอยู่ที่หน้าบ้านแล้ว”

ทั้งสามมองหน้ากันแล้วรู้สึกเศร้า “อย่างนี้นี่เอง พวกเราเข้าใจปะป๊าผิดไป...”

“ที่ไม่สามารถบอกไปตามตรงได้ว่าพวกนายเป็นลูกชายแท้ ๆ พวกนายคิดว่าพ่ออย่างเขาจะเสียใจไหม ที่ลูกชายทุกคนไม่เคยคิดว่าเขาเป็นพ่อที่รักพวกนายอย่างจริงใจเลย” คำพูดของเชนนั้น ทำเอาคนฟังรู้สึกจุกขึ้นมา วิลน้ำตาไหลแล้วก้มลงมองรูปภาพสีหน้าของบิดาที่กำลังยิ้มกว้างอย่างมีความสุข

เป็นสีหน้าที่พวกเขาจะได้เห็นไม่บ่อยนัก

“เมื่อตอนเย็นฉันพูดอะไรไป...” เด็กหนุ่มร้องไห้ ยกหลังมือเช็ดน้ำตา

“เพราะกลัวว่าพวกนายจะไม่ถูกปู่กับย่ายอมรับ กัสเขาถึงต้องเสียสละ”

“ต่อไปนี้พวกเราจะไม่พูดแบบนั้นอีกแล้วฮะ” ไวน์เช็ดน้ำตา แล้ววิ่งลงไปด้านล่างอย่างไม่ได้บอกกล่าวใคร เห็นดังนั้นวิลกับไคล์ก็สบตากัน จับมือจูงพากันลงไปหาผู้ที่นั่งเศร้ารออยู่ด้านล่าง เชนไม่อาจลุกเดินตามไป ได้ยินเพียงเสียงพูดจากันแว่ว ๆ ก็พอที่จะทำให้รู้สึกสบายใจขึ้นมาแล้ว ว่าแวนกัสจะไม่ต้องเสียลูกชายทั้งหมดไปอย่างเข้าใจผิดอีก แต่สิ่งหนึ่งที่ค้างคาใจคือเขาไม่รู้เลย

ว่าสิ่งเหล่านี่จะอยู่ได้ได้นานสักเท่าไร

เขาอยากฟัง ว่าเหตุใดแวนกัสถึงได้ขอร้องให้ชายหนุ่มทำเช่นนี้ อยากได้ยินคำอธิบายจากปากอีกฝ่ายเต็มแก่แล้ว...


๑๖ ปีก่อน

เสียงเครื่องยนต์อยู่ไม่ไกลได้ปลุกให้ผู้ที่หลับอยู่ต้องตื่นขึ้นอย่างนึกหงุดหงิด มันโผงผางลุกออกจากรังไปวักน้ำมาล้างหน้า ไม่ไกลได้ยินเสียงผู้คนทักทายกันเจื้อยแจ้วที่ชายป่า ความสงสัยใคร่ทราบทำให้มันอดไม่ได้ที่จะมุ่งตรงไปยังกระท่อมหลังเดิมที่เคยมาเป็นกิจวัตร ทุกวันจะต้องมาหยุดดูที่หน้าต่าง

ก่อนจะถึง มันพบต้นไม้กำลังบาดเจ็บจากสัตว์อีกหนหนึ่ง จึงช่วยด้วยวิธีเดิมที่เคยใช้อย่างทุกครั้ง

ไปถึงที่หมาย มันชะโงกมองจากต้นไม้ไกล ๆ เห็นรถยนต์คันหนึ่งจอดอยู่ที่ลานหน้ากระท่อม ไม่ไกลก็เห็นร่างของบุรุษเจ้าของบ้านและแขกนั่งกันอยู่ใต้ชายคา กำลังพูดคุยกัน ไม่อาจทราบว่ามนุษย์เพศผู้ที่มาเยือนผู้นี้เป็นใคร แต่เห็นแล้วมันนึกร้อนใจและหงุดหงิดขึ้นมา

มนุษย์น้อยเป็นของของมัน

และอารมณ์ไม่ดีของมันก็เข้าสู่สายตาของใครสักคนเข้า เจ้ายักษ์ร้ายหันขวับไปด้านหลัง เห็นสตรีนางหนึ่งกำลังหัวเราะคิกคัก แม้ภายนอกจะเป็นหญิงสาวผิวขาวราวหิมะ อายุราวสิบสามสิบสี่ แต่ก็มีอายุมากกว่ามันอยู่หลายสิบเท่านัก เธอสวมเสื้อผ้าสีขาว บนผมหยักศกสีเงินสะอาดมีเขาเสมือนกวางยาวขึ้นสองข้าง

“แหม...” นางหลบอยู่หลังต้นไม้ “เจ้าช่างเป็นภูตที่แสนดีอะไรเช่นนี้”

ไม่รู้พล่ามอะไรนัก มันฟังไม่เข้าหู หันไปส่งเสียงขู่ไล่ด้วยนึกรำคาญ

“เจ้าประสงค์สิ่งใด ข้าหาให้เจ้าได้” นางถามปนหัวเราะ

เจ้ายักษ์หัวฟัดหัวเหวี่ยงด้วยรู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังตั้งใจปั่นหัว ทั้งที่ก็รู้อยู่ว่ามันกำลังหมายปองมนุษย์ตัวน้อยเบื้องหน้า มันทำเสียงหงุดหงิดแล้วทำเป็นมิสนใจสตรีผู้มาก่อกวน ตั้งใจฟังว่าเป้าหมายเบื้องหน้าพูดอะไรกัน นั่นแหละถึงทำให้ผู้แกล้งสนุกนัก

“นี่ อย่าหมางเมินข้าเช่นนั้นซี” ความเร็วของนางเสมือนกับแสง ปราดเปรียวกว่าสิ่งใดบนโลกนี้ ชั่ววินาทีก็มากระซิบใกล้หูของมันอย่างอยากกระเซ้า เจ้ายักษ์เริ่มโกรธ มันส่งเสียงคำรามไล่ให้ออกห่างอย่างไม่อยากสนใจ ถึงอย่างนั้นสิ่งตรงหน้ากลับอารมณ์ดี “ลูกข้า เจ้าช่างอารมณ์ร้ายนัก”

“ข้า ไม่ใช่ ลูกเจ้า!”

คนฟังเบิกตา แล้วหัวเราะ “เจ้าพูดได้ เหตุใดถึงไม่ทักทายมนุษย์น้อยตรงนั้นบ้าง”

“ฮึ่ม...”

“หรือเจ้า...กลัวว่าพวกเขาจะหวาดกลัว”

“ออกไป!”

“ไม่น่ารักกับข้าบ้างเลย” นางยิ้มหวาน “ข้าเอง ก็อยากได้ดอกไม้จากเจ้าเหมือนกัน”

“ไม่ต้อง มาพูด กับข้า!” เสียงยักษ์ร้ายต่ำพร่า พูดจาไม่มีเยื่อใยแล้วหันหลังเดินกลับเข้าสู่ป่า หลงเหลือเพียงสิ่งหนึ่งที่ปรากฏกายในภาพสาวน้อย นางยกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยอย่างเอ็นดูกับความไร้เดียงสานั้น ครู่เดียว ก็แกล้งปัดมือเรียกเถาวัลย์กิ่งใหญ่ไปพันที่ข้อเท้าเจ้ายักษ์ปากร้าย มันล้มคะมำแล้วหันขวับมาร้องขู่ไล่ โมโหใส่อย่างเช่นทุกทีที่พบกันตั้งแต่ยังเป็นยักษ์ตัวน้อย

ผู้มองยกยิ้มขัน แล้วหันไปมองยังกระท่อมที่ชายป่าอันมีร่างของประเด็นที่นางเคยเอ่ยถึง ก่อนจะทอดถอนใจ เปลี่ยนจากเรือนร่างมนุษย์ไปเป็นกวางสีขาวตาแป๋วตัวหนึ่ง บ่นพึมพำกับตัวเอง

“เทพเจ้าเอง ก็ต้องมีเรื่องให้คาดไม่ถึงเหมือนกันสินะ”

ลำขาเรียวกลีบเท้าสวยเดินดุ่มจากออกมา ผ่านหน้าเจ้ายักษ์ที่กำลังแกะเถาวัลย์อยู่ก็ชะงักเท้ามอง มันหลับตาชังใส่นางอย่างนึกไม่พอใจ นั่นได้เรียกความรู้สึกให้เทพเจ้าสีขาวอดตระหนักขึ้นมาไม่ได้ว่า

“พวกเจ้าต่างก็เป็นบุตรที่ข้าลำเอียง...” ที่โชคร้าย เพราะได้รับความรักของนางมากเกินไป “หลังจากนี้ ข้าจะลองทอดทิ้งพวกเจ้าบ้างดีไหมนะ บุตรข้า...” หากลองทอดทิ้งพวกเขา เบื้องบนอาจจะยอมลดความเจ็บปวดที่พวกเขาต้องเผชิญในอนาคตเบื้องหน้าลงบ้างก็เป็นได้

หากนางลองลืมพวกเขา ทั้งสองคน อาจจะไม่ต้องจบเพียงตายจากกันก็ได้

เห็นแล้วกวางน้อยก็ส่ายหน้า แกล้งเพิ่มเถาวัลย์ขึ้นมาพันที่ขาอีกข้าง เมื่อถูกกระทำ ยักษ์ร้ายก็ส่งเสียงคำรามนางอีกครั้งด้วยอารมณ์

เชนลำสักน้ำชา แล้วจู่ ๆ ก็นึกขนลุกขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ ชายหนุ่มมองรายรอบตัวแล้วหันมาจ้องตาเพื่อนด้วยความอยากรู้อยากเห็น “นี่ นายก็อยู่ที่นี่มาได้สักพักแล้ว เจออะไรที่มันไม่ปกติบ้างรึเปล่าล่ะ”

แวนกัสเลิกคิ้ว “นายหมายถึงอะไร ผีเหรอ”

“อย่าพูดเสียงดังซี่”

“เราอยู่กันสองคนนายกลัวอะไรเล่า”

“ถ้าเกิดจริง ๆ แล้วเราไม่ได้อยู่กันสองคนเล่า” เชนทำหน้างอแล้วลูบขนแขนของตัวเอง มองซ้ายแลขวาแล้วขยับเข้ามากระซิบอีกครั้ง “เมื่อกี้นายไม่ได้ยินเหรอ เหมือนมีเสียงตัวอะไรร้องมาจากในป่า นายอยู่คนเดียวอย่างนี้ไม่กลัวรึไง”

“กลัวอะไรล่ะ ฉันอยู่อย่างนี้ไม่เห็นอะไรเลย” แวนกัสยิ้ม แล้วก้มลงมองดอกไม้ป่าในมือ วันนี้เขาเปิดหน้าต่างมาดูตั้งแต่เช้าก็ยังเห็นมันวางไว้อย่างเช่นทุกวัน ร่วมเดือนแล้วที่เจ้าตัวนั้นเอามาวางไว้ให้ชายหนุ่ม โดยไม่แสดงตัวอันใดให้เขารู้เลยว่าใครเป็นคนมอบให้

ดอกไม้ป่าแสนสวยสลับชนิดไปแล้วแต่คนฝากจะเจอ บ้างก็มาเป็นพุ่ม บ้างก็มาเป็นดอกเล็ก ๆ แวนกัสคาดเดาไม่ได้เลยว่าทุกวันจะได้อะไร รู้แต่ว่าเขาจดจ่อกับของขวัญที่ตัวเองจะได้ทุกเช้าไปแล้ว จนกลายเป็นว่าตอนนี้สิ่งแรกที่เขานึกถึงคือดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง จากปิศาจตัวใหญ่ปริศนานั้น

นอกจากจะเฝ้ารอดอกไม้ของอีกฝ่าย ตอนนี้แวนกัสก็พอจะรู้เวลาการมาของเจ้าตัวด้วย เพราะความอยากรู้อยากเห็นทำให้ชายหนุ่มต้องอดนอนติดต่อกันหลายวัน เพื่อดูเวลาว่ามันจะมาเยือนหน้าต่างของเขาเมื่อใด ทุกวันเวลาตีสอง แวนกัสได้ยินฝีเท้าของมัน มาพร้อมกับของฝาก

น่าแปลกที่แวนกัสไม่รู้เลย ว่าจุดประสงค์ของเจ้าตัวประหลาดนั่นคืออะไร มันให้ดอกไม้เขา ยืนจ้องมองชายหนุ่มที่กำลังหลับเพียงอย่างเดียวเท่านั้นเอง นับวันเข้า แวนกัสก็ลืมความเกรงกลัวในวันแรกที่เจอะมันเข้าแล้ว รู้เพียงว่าเจ้าตัวใหญ่นี่ไม่มีพิษมีภัยเอาเสียเลย เก่งเพียงอย่างเดียวคือหลบซ่อน กลัวแวนกัสจะเห็นนัก

แต่หารู้ไม่ ว่าตั้งแต่เขาเห็นมันคืนนั้น ชายหนุ่มก็เห็นมันอยู่ตลอดไม่ว่าจะเวลาไหน

แม้กระทั่งตอนนี้

“ยิ้มอะไรของนายน่ะฮะ ขนลุกเป็นบ้า”

คนถูกถามยิ้มยิ่งกว่าเก่า แล้วก้มลงพิศดอกไม้เบื้องหน้าตัวเอง ก่อนจะนำมันขึ้นมาใส่ในกระเป๋าเสื้อ ครั้นผละไปมองเบื้องหน้า เห็นเชนทำหน้างงกำลังจะยกแก้วชาร้อนขึ้นจิบ แต่ที่ทำให้แวนกัสอดยิ้มไม่ได้นั้น ก็คงจะเป็นเจ้าตัวใหญ่ที่กำลังอยากรู้อยากเห็นอยู่ข้างหลังเพื่อนรักกระมัง

มันดอมดมแก้วชาของเชน แลบลิ้นเลียน้ำในแก้วแล้วทุลักทุเลล้มลงไปเพราะความร้อน แวนกัสเม้มปากกลั้นขำ แล้วทำเป็นมองไม่เห็นอยู่ครู่เดียว ก่อนจะพูดกับเพื่อนว่า “นายจะนอนค้างกับฉันรึเปล่า ฉันคิดถึง มีเรื่องอยากคุยด้วยหลายเรื่อง”

เชนลูบขนแขนตัวเองห่อไหล่ “ก็ได้ แต่นายเลิกทำหน้าน่าขนลุกแบบนั้นสักที ตอบฉันว่านายคือกัสคนเดิม”

คนฟังหน้าตึง แล้วทำตาเหลือกลอย “ไม่ใช่! ฉันเป็นเจ้าของร่างคนใหม่!”

“อ๊ากกกกก!” เชนฟาดเพียะ

“โอ๊ย ฉันเจ็บนะ นายนี่ขี้กลัวไม่เปลี่ยนเลย”

คนถูกแกล้งถอนใจ ทำหน้างอนเป็นเด็ก “ก็ใครใช้ให้นายเล่นแบบนี้น่ะ”

“นายนี่สมเป็นนายจริง ๆ ผีมีจริงเสียที่ไหน” คนพูดอมยิ้ม มองไปยังเจ้ายักษ์ที่ยืนอยู่ด้านหลังเชน ดูเหมือนว่าถูกมนุษย์น้อยจับได้แล้ว มันรู้สึกว่าทั้งคู่ได้สบตากันในวินาทีสั้น ๆ ก่อนที่อีกฝ่ายจะเริ่มกล่าว “แล้วนั่นอะไร”

“อ้อ” เชนนึกขึ้นได้แล้วหันหลังไปหยิบมันมา “ฉันกลัวว่านายจะเหงา ก็เลยซื้อหนังสือในร้านแถวนี้มาให้ เป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับความเชื่อแถบนี้ คุณยายเขาขายให้ฉันยกลังมาในราคาถูกสุด ๆ” เชนเล่าอย่างอารมณ์ดี เมื่อนึกถึงคุณยายเจ้าของร้าน “แต่น่าแปลก ฉันบอกว่ามาเยี่ยมเพื่อน แต่ไม่ได้บอกเธอว่านายอยู่คนเดียว เธอกลับรู้ว่านายจะต้องเหงาเลยยกหนังสือให้ นายว่ามันแปลกไหม”

“อืมแปลก”

“ขนลุก!”

แวนกัสเปิดกล่องขึ้นมาดู แล้วส่ายหน้า “นี่มีแต่หนังสือเรื่องเล่าปรัมปราทั้งนั้น สมกับเป็นนายจริงนะ”

“ฉันบอกแล้ว ว่าไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ยังไงล่ะ”

“ของพวกนี้มีจริงที่ไหน” แวนกัสกล่าวแล้วกวาดมองรอบกาย ทำเป็นไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงท้าท้าย “แน่จริงก็โผล่มาให้ฉันเห็นเลยสิ”

“กัส...” เชนทำเสียงดุ “นายนี่มันคนบ้าชัด ๆ”

“นายนั่นแหละบ้า ไว้เจอแบบจัง ๆ เมื่อไหร่ค่อยมาดุฉัน”

“ไม่คุยด้วยแล้ว ฉันขนของเข้าไปเก็บดีกว่า” ถึงแม้เชนจะเป็นหนุ่มเชื้อสายเอเชีย แต่เจ้าตัวสูงใหญ่และล่ำเกินกว่าจะเป็นพวกขี้กลัว อาจเป็นเพราะประเพณีหรือวัฒนธรรมบางอย่างที่เขาเคยได้ฟังจากปากของเจ้าตัว ทำให้รู้ว่าพวกคนเอเชียเชื่อเรื่องสิ่งลี้ลับกันทั้งนั้น “เอ้านี่ ฉันกลัวนายว่างก็เลยเอาต้นกระบองเพชรมาให้เลี้ยง”

แวนกัสยิ้ม ก้มลงมองของฝากในกระถาง “น่ารักดี มีดอกด้วยนี่นา”

“นายจะตัดต้นมันแบ่งใส่กระถางอันอื่นด้วยก็ได้นะ”

“ฉันชอบนะ แบบนี้เล็กกะจิดริดน่ารักดี”

“ของที่มันเล็กจิ๋วก็น่ารักทั้งนั้นแหละ ไม่มีใครชอบอะไรที่มันใหญ่เกินไปหรอก” เชนว่าขณะขนของมาถือ ก่อนจะหันมายิ้มแล้วพูดด้วยเสียงกระปรี้กระเปร่าว่า “เว้นเสียแต่ว่าจะเป็น...”

“อะไร” แวนกัสทำหน้าไม่ถูก

“หน้าอกกับก้นผู้หญิงไง”

คนฟังส่ายหน้าระอา สะบัดมือไล่ให้เพื่อนเดินเข้าบ้านไปก่อนจะโดนไล่เตะ ชายหนุ่มยกยิ้มแล้วก้มลงพิศของฝากเบื้องหน้าอย่างพออกพอใจ และอาการพออกพอใจของเขาก็ทำให้ยักษ์ใหญ่ถึงกับมีน้ำโห มันหายใจฟึดฟัดแต่ทำอันใดมิได้นอกจากยืนมองแวนกัสกำลังยิ้มอย่างมีความสุขเท่านั้น

คนถูกจ้องก็ยิ่งยิ้ม ทั้งตลกทั้งอยากเมิน ทำได้เพียงนั่งจับจ้องของเบื้องหน้าด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะรู้ตัว ว่าต้นเหตุที่ทำให้ชายหนุ่มยิ้มแทบบ้ายามนี้ ไม่ใช่ของที่เชนเอามาฝาก

แต่เป็นเพราะเจ้ายักษ์ขี้หวงแสนตลกนี่อย่างไรเล่า

เขาไม่เคยรู้ประสงค์ที่มันวนเวียนอยู่แถวนี้มาก่อน จนกระทั่งวันนี้

แวนกัสลอบยิ้ม ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้หันไปลองเปิดลังมาค้นดูหนังสือที่เชนนำมาฝาก หลายเล่มเป็นเรื่องเล่าที่เขาเคยอ่านจากห้องสมุดมาแล้ว กระทั่งนัยน์ตาสีอ่อนเหลือบไปเจอเข้ากับเล่มหนึ่ง แวนกัสชะงัก แล้วหยิบมันมาถือด้วยความใคร่ทราบ กวาดอ่านข้อความบนปกของมันอย่างนึกอยากรู้อยากเห็น

“บุตรของเทพเจ้า”

อย่างนั้นหรือ...





-------------------------------------------------------

อุ๊ย น้องแอ๊บค่ะคุณพี่ขา น้องแอ๊บมองไม่เห็น อิอิ

อยากรู้ว่าน้องจะแอ๊บมองไม่เห็นไปได้นานเท่าไหร่นะคะ ถ้าถึงตอนที่พี่ยักษ์ล่อน้องเข้าไปในป่าอีกรอบ

ยังจะแกล้งมองไม่เห็นอีกมั้ย

ในเรื่องคือพี่ยักษ์เข้าบ้านคนไม่ได้ค่ะ แต่ถ้าน้องไปในป่าถิ่นพี่ยักษ์แล้วล่ะก็... อิอิ

ส่วนเรื่องเด็ก ๆ จะมีอะไรโยงให้น้องตามหาพ่อตัวจริงเจอ มันจะเริ่มผูกกันไปเรื่อย ๆ แล้วปัจุบันพี่ยักษ์หายไปไไหนกันนะ ได้มาแอบดูลูกบ้างมั้ย เดี๋ยวจะค่อย ๆ ได้รู้กันนะ

ฝากคอมเม้นเป็นกำลังใจหนูนาด้วยคนละคอมเม้น ทิ้งไว้เพียงสติ๊กเกอร์ก็ยังดี อิอิ

หรือไม่ก็ฝากรีทวิต ฝากแนะนำเพื่อนด้วย (ขอเยอะไปเหรอ ขอโทษ...55555)

เจอกันตอนหน้าค่าาาาา

หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #3 up30.9.62
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 30-09-2019 09:49:32
โกหกลูกอีกแล้วสินะ ขั้นกว่าไปอีก
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #3 up30.9.62
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 30-09-2019 16:41:31
 :ruready
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #3 up30.9.62
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 30-09-2019 22:57:12
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #3 up30.9.62
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 01-10-2019 01:09:29
 :katai2-1: :ling1: :hao6:
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #3 up30.9.62
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 01-10-2019 17:01:03
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #4 up 1.10.62
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 01-10-2019 21:57:05
(https://pbs.twimg.com/media/EFJauD4U0AAhOV_?format=jpg&name=small)

#ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง

ตอนที่ ๔

๑๖ ปีก่อน

ของฝากจากเชนถูกวางไว้ที่ริมหน้าต่างห้องพัก แวนกัสยกยิ้มให้กระถางต้นไม้จิ๋วแสนน่ารักตรงหน้า ชายหนุ่มวางแผนไว้ว่าจะตื่นมารดน้ำมันทุกเช้าเมื่อเปิดหน้าต่างมารับของขวัญจากเจ้าสัตว์ประหลาด นึกถึงของที่ได้รับขึ้นมา กวาดมองรอบห้องอีกทีก็เต็มไปด้วยเหล่าดอกไม้ที่ถูกเหน็บแซมไปตรงโน้นทีตรงนี้ที แลดูสวยดีเหมือนกัน

“นายไปหาดอกไม้พวกนี้มาจากไหนเยอะแยะ” เชนถามแล้วทิ้งตัวลงเอนกายบนเตียง

“จากในป่า”

เพื่อนรักผุดลุกนั่งหน้าเหวอ “ว่าไงนะ นายเข้าป่าไปคนเดียวเหรอ!”

“เอาอีกแล้ว” แวนกัสถอนใจกับความขี้ระแวง

“กัส มันอันตรายนะ”

ผู้ฟังส่ายหน้า “นายน่ะขี้กลัวไม่เข้าเรื่อง ไม่มีอะไรน่ากลัวเท่าคนหรอก”

“ฉันรู้กัส แต่เกิดนายหลงป่าขึ้นมาจะทำยังไงเล่า”

“ฉันไม่หลงหรอก เดินตามธารน้ำขึ้นไป”

“ฉันไม่เข้าใจนายเลยจริง ๆ ว่าขึ้นไปทำไม ในนั้นมันมีอะไรดีถึงได้ชอบไปคนเดียวนัก” เชนยกมือสองข้างพร้อมไหล่ขึ้น แล้วกวาดไล่สายตาดูดอกไม้เหล่านั้นพักหนึ่ง บางดอกก็เริ่มแห้งแล้ว บางดอกแลดูสดใหม่เหมือนเพิ่งโดนเด็ดมา นึกห่วงว่าเพื่อนจะซึมเศร้าเพราะการใช้ชีวิตคนเดียวในป่า “นายเข้าไปเก็บมาทุกวันเลยงั้นเหรอ หรือนายจะเหงาเลยต้องออกไปหาอะไรทำ”

แวนกัสยกยิ้ม หากตอบตามความจริงมีหวังเชนสติแตกแน่ ว่ามีใครเอามาให้ “อืม...ฉันเก็บเอง”

“แล้วในป่ามีอะไรน่าสนใจบ้าง” เพื่อนรักตะล่อมถาม

“ก็น้ำตกไง สวยดีนะ นายน่าจะชอบ”

เชนชี้หน้าตัวเอง “ฉันน่ะเหรอ”

“ใช่ พรุ่งนี้พยากรณ์อากาศบอกว่าจะอากาศดี นายอยากขึ้นไปเดินเล่นกับฉันไหมล่ะ จะได้รู้ว่ามันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่นายคิด รับรองว่าดีสุด ๆ” คนพูดยกนิ้วโป้ง

“ให้มันดีจริงเหอะ” เชนยิ้มแล้วพยักหน้าให้อย่างไม่อยากเชื่อ ก่อนจะเปลี่ยนมาออกความเห็นด้วยสีหน้าสดใสขึ้นมา เมื่อนึกอะไรน่าสนใจออก “ทำของว่างขึ้นไปกินด้วยดีไหม ฉันอยากปิ๊คนิกกับนายพอดีเลย”

แวนกัสเลิกคิ้ว “ดีเลย ฉันจะเอาหนังสือขึ้นไปอ่านด้วย”

ทั้งสองเอื้อมมือแปะกันเป็นการนัดหมาย ฝ่ายเชนเป็นคนลุกขึ้นไปอาบน้ำท่าเตรียมทานมื้อเย็น แวนกัสเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่างเห็นพระอาทิตย์ตกดินแล้วเรียบร้อย ชายหนุ่มชะโงกไปเอื้อมเขี่ยดอกของเจ้าต้นไม้จิ๋วด้วยปลายนิ้วอย่างนึกเอ็นดู แล้วปิดเพียงหน้าต่างห้องพักเท่านั้น ไม่ได้ปิดผ้าม่าน

ตั้งแต่รู้ว่าผู้มาเยือนเป็นใคร แวนกัสเคยชินกับการนอนโดยไม่ต้องปิดบังอันใด ชายหนุ่มยกยิ้ม หันไปสนใจหนังสือที่เพิ่งได้เมื่อตอนสายของวัน เพราะปกที่น่าสนใจได้ดึงดูดชายหนุ่มเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คิดแล้วมือเรียวยาวก็เปิดมันขึ้นมาไล่สายตาอ่านที่ละตัวอักษร

“บุตรของเทพเจ้า คือ...ผู้ที่เกิดจากพรของเทพเจ้า อันเป็นผู้ที่มีความเสียสละในก้นบึ้ง

บุตรของเทพเจ้ามีรูปร่างไม่เหมือนกันนัก เมื่อครั้งอดีตกาลมีอยู่หลายตน ระบุจากเรื่องเล่าสืบต่อกันว่าบุตรของเทพเจ้านั้นงดงามไม่ต่างจากทวยเทพ มีสีผิวขาวราวหิมะ เส้นผมสีเงินหยักศกยาวเท่าความสูงและมีฤทธาสามารถรักษาทุกสิ่งอย่างได้ จุดเด่นอีกอย่างคือรูปร่างใหญ่กว่ามนุษย์สองเท่า พบเห็นบ่อยบริเวณป่าใหญ่ ทำหน้าที่ปกป้องผืนแผ่นดินของป่าที่เทพเจ้านั้นปกครอง...”

แวนกัสเลิกคิ้วเอะใจ เหตุใดยิ่งอ่านแล้วชายหนุ่มดันนึกถึงบางสิ่งที่คอยมาวนเวียนรอบตัวเขา คิดแล้วชายหนุ่มก็สะบัดหน้า ก็อ่านอยู่นี่ไงว่าบุตรของเทพเจ้านั้นงดงามเหมือนเป็นเทพเสียเอง เจ้าตัวประหลาดนั้นผมเผ้ารุงรัง ผิวพรรณก็สีน้ำตาล แถมมีขนเสมือนวัวอีกต่างหาก หาได้ใกล้เคียงคำว่าบุตรของเทพเจ้าสักนิด

“อย่างมากก็เป็นได้แค่ภูตผีปิศาจ เป็นบุตรของเทพไม่ได้หรอก”

ชายหนุ่มก้มลงมองที่ข้อมือตัวเอง เห็นเส้นไหมที่นำมาถักทอเป็นสร้อยแล้วก็นึกติดตลกขึ้นมา ว่านี่อาจเป็นเส้นผมของบุตรเทพเจ้าก็เป็นได้ ทุกวันนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ ขนาดเขายังสามารถมองเห็นเจ้ายักษ์นั่นได้เลย ครุ่นคิดอย่างนึกตลกแล้วแวนกัสก็ขันพลางส่ายหน้าระอาตัวเอง

“นั่นอะไร” เชนถามขึ้น หลังจากเสร็จธุระจากห้องน้ำ

คนถูกซักสะดุ้ง ผละไปสบมองเพื่อน “อ๋อ ก็หนังสือที่นายเอามาฝากไง”

“ไม่ใช่” เพื่อนรักมองที่ข้อมือชายหนุ่ม “ฉันหมายถึงนั่นต่างหากล่ะ”

แวนกัสก้มลงมองที่จุดหมายของเชน “อ๋อ นี่น่ะเหรอ อาจเป็นเส้นผมของบิ๊กฟุตที่นายพูดถึงคราวนั้น”

“เอาอีกแล้วนะกัส”

เจ้าของบ้านยกยิ้ม “ก็ฉันไม่รู้ว่ามันคืออะไรนี่นา บังเอิญเจอ”

“แล้วนายก็เก็บมาสุ่มสี่สุ่มห้าเนี่ยนะ”

“ใช่ ทำไมล่ะ” แวนกัสยักไหล่

เชนทึ้งหัวตัวเอง “ฉันอยากจะบ้า นายไปเก็บของจากป่ามาพกติดตัวอย่างนี้ ไม่กลัวอะไรเดินตามนายมาด้วยรึไง ถอดเอามันไปทิ้งเดี๋ยวนี้เลยนะกัส”

“ไม่เอาล่ะ มันสวยดีนี่นา” คนกล่าวอมยิ้มขณะจ้องมองของที่เพื่อนว่า และหลังจากได้ยินเชนบ่น แวนกัสเองก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า บางทีอาจเป็นเพราะสิ่งนี้ก็ได้ ที่ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของเจ้าตัวใหญ่ข้างนอกนั่น เพราะอันที่จริง แวนกัสยอมรับเลยว่าเขาไม่ใช่คนที่มีสัมผัสพิเศษใดใดมาตั้งแต่เด็ก มันน่าคิด ว่าแต่ตั้งแต่ที่เขาสวมเจ้านี่ก็มองเห็น รับรู้ถึงการมีอยู่ของสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ได้

เส้นสีเงินนี้เป็นของวิเศษ ไม่ผิดแน่

แต่มันมาจากสิ่งไหนล่ะ ของใคร เหตุใดถึงได้กระจัดกระจายเกาะอยู่ตามต้นไม้ และการได้สวมใส่มัน ทำให้แวนกัสรู้สึกอุ่นใจอย่างน่าประหลาด ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วของสิ่งนี้อาจเปิดโลกใบใหม่ให้เขาเห็นสิ่งชั่วร้ายน่ากลัวกว่าเจ้ายักษ์ตัวนั้นก็เป็นได้ แวนกัสไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้มาก่อน

ชายหนุ่มถือตะกร้านำเพื่อนรักเดินไต่ตามก้อนหินขึ้นไปยังธารน้ำด้านบน ในป่ายามนี้กระจ่างแจ้งเพราะเป็นเวลาเกือบเที่ยงวันแล้ว บรรยากาศช่างเป็นใจให้ทั้งคู่มานั่งเล่นเสียจริง

แวนกัสแหงนไปด้านบน ได้ยินเสียงน้ำไหลกับนกร้อง บอกถึงความอุดมสมบูรณ์ของป่า ชายหนุ่มหันไปยิ้มให้เชนที่กำลังถือเสื่อกับเก้าอี้พับได้ตามหลังมา “เฮ้ เดินระวังด้วย”

“รู้แล้ว ฉันน่ะเซียนกว่านายนะ ดูแลตัวเองไปเถอะ”

“ขี้โม้เกินไปแล้วเจ้าบื้อ” แวนกัสอมยิ้ม แกล้งก้มไปวักน้ำใส่แล้ววิ่งหนี “นี่แหนะ”

“อ๊ากกก นายจะเปิดศึกตั้งแต่ตอนนี้ใช่ไหมห๊า!”

“แน่จริงก็มาจัดการฉันสิเจ้าโง่ เดินช้าขนาดนั้นหนักก้นตัวเองล่ะซี่”

“หน็อย กัส!” เชนไม่อยากเชื่อว่าเพื่อนของเขาจะทะเล้นขนาดนี้ หนุ่มตาเรียวเบิกขึ้นเมื่อเห็นเพื่อนตัวขาวแลบลิ้นปลิ้นตาให้แล้วหมุนตัววิ่งไต่ตามหินนำออกไป ลำขายาวก้าวเร็วขึ้นกว่าเก่า ตั้งใจจะจับแวนกัสให้ได้ตามที่ถูกท้า “คอยดูเถอะฉันถึงตัวนายเมื่อไรล่ะคอยดู มานี่ หยุดนะ!”

“ฮ่า มาเร็ว ๆ สิสาวน้อย ว๊าก!”

เชนชะงักเท้า “นั่นไง พ่อคนเก่ง” ยิ้มสมน้ำหน้าเพื่อนที่ล้มคะมำอยู่ตรงหน้า แต่แทนที่เจ้าตัวดีจะห่วงตัวเอง แวนกัสกอดตะกร้ามื้อเที่ยงของทั้งคู่ไว้แน่นด้วยกลัวจะหก เห็นแล้วเพื่อนรักที่ยืนมองก็ทำได้เพียงแค่ส่ายหน้าให้ ทั้งเอ็นดูทั้งสมน้ำหน้า เดินไปดึงข้อพับแขนช่วยพยุงให้ลุกขึ้น “เป็นไงล่ะ”

“อา...หัวเข่าฉัน” แวนกัสโอดพลางเป่าที่แผลถลอกของตัวเอง

“ดื้อไม่เข้าเรื่อง สมน้ำหน้า”

“ฉันไม่ทันได้ดูทางให้ดี เจ็บตัวเลย”

เห็นเพื่อนบ่นแล้วเชนก็ลอบยิ้ม มองรอบกาย “ถ้านายเดินไม่ไหวเรานั่งเล่นแถวนี้ได้เลยนะ”

“อีกนิดเดียวเอง ข้างบนมีที่ให้ปูเสื่อ”

“แล้วขากลับนายจะเดินไหวเหรอ มันไกลนะ ฉันไม่ให้ขี่หลังด้วย” เชนมุ่นคิ้วก้มลงมองที่เข่าเพื่อนรัก พลันสายตาของชายหนุ่มเปลี่ยน เมื่อเห็นทีท่าของแวนกัสต่างไปเล็กน้อยราวกับกำลังทำตัวไม่ถูก ท่าทางราวกับกำลังตื่นกลัวหรือตกใจอะไรบางอย่าง หรือไม่ก็กำลังใจเต้นแรงเพราะความขัดเขิน

“นี่ ค่อย ๆ หายใจ” ชายหนุ่มหันซ้ายแลขวาอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะเอื้อมมือไปอังที่หน้าผากอีกฝ่ายตรวจตรา “นายไม่สบายตรงไหนเหรอ ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ”

ผู้ถูกถามอึกอัก “ปละ..เปล่า รีบไปกันเถอะ”

แล้วก็ลุกเดินกะเผลกนำเชนขึ้นไปราวกับว่าตัวเองไม่ได้เจ็บถึงเพียงนั้น คนมองตามรู้สึกแปลกใจ หากไม่คิดว่าตัวเองกับแวนกัสเติบโตมาด้วยกัน คงคิดว่าอีกฝ่ายแอบตกหลุมรักชายหนุ่มเข้าแล้วแน่ เพราะไอ้ท่าทีทำตัวไม่ถูก หรือสายตาที่คอยงุดมองพื้น และใบหน้าที่แดงไปจนถึงใบหูนั่น มันเหมือนคนกำลังขวยเขินเพราะถูกคนที่ชอบทำอะไรให้บางอย่าง

เชนคิดแล้วส่ายหน้ากับตัวเอง คิดแบบนั้นชายหนุ่มคงบ้าไปแล้วแน่ ๆ ขนลุกตัวเองชะมัด!

“ตรงนี้เหรอ”

“อื้อ” แวนกัสพยักหน้า

ไม่เลวเลยแฮะ เชนหมุนตัวสำรวจคร่าว ๆ ทั้งคู่ขึ้นไปถึงธารน้ำตกชั้นแรก มันไม่ใช่น้ำตกที่สูงชันอะไรมากมายนัก หากทว่าน้ำมีแอ่งที่ลึกพอให้เล่นอยู่บ้าง อากาศวันนี้ก็มีแดดออกกำลังดีเสียด้วย เชนมองรอบกายที่สวยกว่าที่คิด ต้นไม้แถวนี้เริ่มเปลี่ยนสีกันบ้างแล้ว เพราะแดด ป่าที่มันทึบมืดจึงแลดูสว่างขึ้น ให้ชายหนุ่มเห็นความสวยงามของมันได้อย่างชัดเจนกว่าเก่า ไม่แปลกที่แวนกัสจะชอบ

เหลือบไปอีกฝั่งเห็นแวนกัสกำลังปูเสื่อข้างต้นไม้ใหญ่ มันมีลานพอที่จะวางสิ่งของ เก้าอี้ และกระเป๋าเสื้อผ้าที่เชนตั้งใจนำมาเปลี่ยนเพราะอยากเล่นน้ำ ครั้นวางสัมภาระของทั้งคู่ลงแล้ว เชนก็โยนหนังสือให้ “เอ้า นี่ของนาย ฉันว่าจะเดินขึ้นไปดูชั้นบนหน่อย”

“ระวังตัวด้วยล่ะ”

“หา...” เชนขนลุก “นายหมายถึงให้ฉันระวังอะไรนะ”

แวนกัสจิปากถอนใจ “ฉันหมายถึงให้เดินระวัง หินมันลื่น เดี๋ยวได้เจ็บตัวเหมือนฉัน”

เพื่อนรักยิ้มจนตาหยี “งั้นนายรอตรงนี้นะ เดี๋ยวฉันมา ถ้าคิดถึงก็ลองร้องเรียกดู”

“ถ้าร้องเรียกนาย แล้วเกิดไม่ใช่นายที่มาหาฉันล่ะ”

“นายนี่มัน...” เชนชี้นิ้วต่อว่า แต่หมดคำจะพูด “น่ารักจริง ๆ เชียว ไปล่ะ”

“อื้ม...” แวนกัสยิ้มแป้นเพราะรู้ดีว่าเชนไม่ใช่พวกโกรธง่าย แม้จะโดนแกล้งถึงเพียงไหนก็ตาม พยักหน้ารับแล้วทรุดนั่งบนเก้าอี้พับที่เพื่อนถือมาด้วย

มือขาวเปิดหนังสือขึ้นมาอ่านระหว่างรอทานมื้อเที่ยงกับเชน แต่แล้ว...สมาธิของชายหนุ่มกลับถูกทำลายลงไป แม้ดวงตาของเขากำลังกวาดมองหนังสือ แต่หางตาของแวนกัสกลับจดจ่ออยู่ที่บางอย่าง บางอย่างที่โผล่ออกมาจากพุ่มไม้ที่ไหนสักแห่ง ตั้งแต่ตอนที่เขาร้องเสียงดังวินาทีที่หกล้มเมื่อครู่

มันกระโจนออกมาหาเขาทันทีที่ได้ยินเสียงร้อง ขาก็เดินวนดูรอบกายแวนกัสตั้งแต่เห็นเขาบาดเจ็บ แวนกัสไม่เคยคิดเลยว่าเพียงเขาหกล้มเป็นแผลน้อยนิดเท่านี้ จะทำให้มันเสียอาการจนแทบอยู่ไม่สุข หรือเจ้ายักษ์นี่ตั้งใจจะกินเขากันหนอ แวนกัสคิดอยู่ในใจทั้งขยับมือเปลี่ยนหน้ากระดาษ ทำให้ตัวเองดูไม่พิรุธที่สุด แล้วเอื้อมหยิบแคร็กเกอร์เข้าปากเคี้ยวดังกร้วม ๆ ไม่สนใจ

แคร็กเกอร์นี่อร่อยกว่าเนื้อเขาเยอะเลยนะ มันควรได้ลองชิมก่อน

คนคิดสะบัดหน้า ยังไม่มีอะไรรับรองได้ ว่าหากเขาปล่อยให้มันรู้ตัวว่าถูกเห็น จะเกิดอันตรายต่อแวนกัสหรือเปล่า

ผมเผ้าของมันเปื้อนดินโคลนพันกันเป็นก้อนจนไม่รู้เป็นสีอะไร กลิ่นตัวสาปสางแบบเดียวกับสัตว์ชนิดอื่น ความยาวของเส้นผมปรกหน้าตาจนมิดลากลงถึงพื้น เสียงลากกับใบไม้ใบหญ้าแถวนี้ดังแกรก ตัวของมันใหญ่เหลือเกิน กำยำ มีเขาโผล่พ้นเหนือหน้าผากอยู่สองเขา รูปร่างเขานั้นงอแหงนมาทางด้านหน้าเหมือนวัว

“อ๊า...เมื่อไหร่เชนจะมานะ” ชายหนุ่มบ่น อยากจะบ้าเพราะอ่านอะไรไม่เข้าหัวเลย มั้วแต่ระวังตัวเท่านั้น “ไหนบอกว่ากลัวนัก ไปถึงไหนกันละเนี่ย...”

ถึงเจ้านี่ไม่ได้น่ากลัว แต่มันก็เป็นปิศาจ แวนกัสไม่รู้ว่าตัวเองจะได้รับอันตรายอะไรหากอยู่กับมันสองต่อสอง ชายหนุ่มยีหัวตัวเองแล้วแหงนพิงพนักผ่อนปรนความเกร็งของตัวเอง ห้อยคอไปด้านหลังและปกปิดใบหน้าด้วยการกางหนังสือ อย่าให้มันรู้ว่าเขากำลังทำตัวไม่ถูก

ก่อนหน้านั้น มันเอื้อมมาจับขาของเขา มันจับดูว่าเขาได้รับอันตรายหรือไม่

เจ้านี่เป็นตัวอะไรแน่ แวนกัสไม่เข้าใจ เขายังรู้สึกได้ถึงปลายนิ้วสกปรกที่อุ่นร้อนนั้นอยู่เลย

“ฮึก!”

ชายหนุ่มสะดุ้งโหยง รับรู้ได้ถึงมือของใครบางคนกุมจับที่ข้อเท้า แวนกัสกำมือตัวเองแน่น ไม่อาจแยกแยะได้ว่าสัมผัสร้อนที่ลนลาดมาจากเท้าจรดที่หัวเข่าของตนนั้น เป็นของผู้ใดแน่ ชายหนุ่มกลืนน้ำลายในความเงียบ มีเพียงเสียงน้ำไหล นกร้อง และฝีเท้าบางอย่างที่ขยับอยู่ใกล้เขาเท่านั้น

ไม่ใช่เชน ไม่ใช่เชนแน่นอน

ลมร้อนที่กำลังรดตามลำขาของชายหนุ่มนั้น แวนกัสไม่อยากคิดเลยว่าจะออกจากจมูกของเจ้าตัวใหญ่น่ากลัวนั่น และเขาก็ไม่อาจสนองตอบอันใดให้มันรู้ตัวได้ว่าตอนนี้กำลังรู้สึกอะไร ริมฝีปากแดงเม้มแน่น ใบหน้าที่อยู่ใต้หนังสือปกปิดทั้งตกใจและนึกแปลกใจขึ้นมา ไม่คิดว่าเจ้ายักษ์นี่จะกล้าแตะต้องเขา หากมันกล้าจับเขาแล้วอย่างไรเสียก็ต้องกล้าทำอย่างอื่นด้วย

หรือที่ผ่านมามันก็แค่นิ่งดูเชิงเท่านั้น

สัมผัสมือใหญ่ลากไล้ตามหน้าขา แตะปลายนิ้วเท้าของแวนกัสทีละเล็กน้อยราวกับกำลังสำรวจอะไรบางอย่าง ผู้ถูกกระทำลอบกลืนน้ำลาย พยายามอย่างที่สุดที่จะแสร้งทำเป็นไม่รู้สึกตัว รสสัมผัสร้อนหยาบกระด้างปรากฏบริเวณแผลของชายหนุ่มให้สะดุ้งเล็กน้อย แต่ก็แค่นั้น ไม่นานก็มลายหายไป เจ้ายักษ์ไม่ได้ทำอะไรแวนกัสหลังจากที่พ่นลมหายใจดอมดมตามลำขาที่เป็นแผลของเขา

“กัส...”

คนเอนหลังบนพนักชะงัก ความรู้สึกทำตัวไม่ถูกและตกใจเลือนหายไปเมื่อได้ยินเสียงของเพื่อนรักตะโกนเรียก แวนกัสยกหนังสือออกจากใบหน้าตัวเอง หันไปตามเสียง เห็นเชนเดินไต่หินลงมาจากชั้นสองของน้ำตก ทว่า ในหางตาของเขาปรากฏร่างบางสิ่งเดินวนอยู่ใกล้เป็นคำเฉลย

คือมันจริง ๆ ด้วยที่สัมผัสเขา แวนกัสคิดแล้วพรูลมหายใจออกไปอย่างโล่งอกที่ไม่โดนทำอะไร

เชนเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า แล้วก้มลงมองเพื่อนอย่างนึกประหลาด เห็นแวนกัสกำลังหายใจรุนแรงราวกำลังหอบ ไหนจะแก้มที่กำลังสุกปลั่งนั่นอีก “นายเป็นอะไร ทำไมหน้าแดงอย่างนั้นล่ะ ไม่สบายอีกแล้วเหรอ”

แวนกัสยกมือกุมแก้มตัวเอง “น..นายไปถึงไหนมาน่ะ” เปลี่ยนเรื่องไปเสีย

เชนยิ้มแล้วยื่นดอกไม้มาให้ “นี่ สวยไหม”

“สวยจัง” ชายหนุ่มเบิกตาตื่นเต้น

“ฉันเจอมันข้างบน แปลกตาดี เห็นนายชอบ ในห้องมีแต่ดอกไม้ เอ้า...” สมกับที่เป็นเพื่อนรัก เชนยิ้มจนตาหยียื่นดอกไม้ป่าแสนแปลกตามาให้ แวนกัสอ้าปากค้างอย่างปลื้มอกปลื้มใจ “ขอบใจนะ นายนี่มันน่ารักที่สุด ฉันรักนายนะเพื่อน”

ได้เห็นการตอบสนองด้วยคำหวานแล้วเชนทำท่าเหมือนขนลุก แวนกัสหัวเราะคิก กำลังจะเอื้อมมือไปรับของที่เชนนำมาให้ด้วยต้องการชื่นชมใกล้ ทว่าชายหนุ่มเบิกตา เมื่อเห็นสิ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังเชนกำลังเข่นเขี้ยวโมโห มันทำท่าอยากจะขย้ำเชน ทว่าเพียงแค่ขู่คำรามแล้วใช้มือใหญ่สะบัดเป็นลมแรงเท่านั้น ให้ดอกไม้แสนสวยชอกช้ำและหักออกจากช่อในท้ายที่สุด

เชนตาโต ผละของในมือทิ้งลงพื้น “เฮ่ย นะ..นายเห็นเมื่อกี้นี้ไหม!”

“หา เห็นอะไร ก็แค่ลมพัดไง”

“ไม่ใช่ แถวนี้มีลมที่ไหน” เชนทึ้งหัวตัวเองชี้ที่ดอกไม้กับพื้น “มันต้องมีอะไรทำให้ตกแน่”

“...นายเว่อร์ไปแล้ว”

เจ้าคนขี้กลัวลูบขนที่ลุกชันของตัวเองมาเกาะแขนแวนกัส “แถวนี้ต้องมีบางอย่างน่ากลัวแน่”

“พอเถอะน่า เมื่อกี้นายยังกล้าเดินขึ้นไปข้างบนคนเดียวเลย”

คนฟังเบิกตา “ไปคนเดียวฉันรู้สึกว่าไม่มีอะไร แต่ฉันเหมือนสัมผัสได้ ว่ามันต้องอยู่ข้างนาย!”

ได้ยินแล้วแวนกัสก็เลิกคิ้ว ฉุกคิดขึ้นมาว่าขนาดเชนยังรู้เลยว่ามีของประหลาดวนเวียนอยู่แถวตัวเขา แล้วเจ้าตัวใหญ่นั้น ไม่รู้ตัวหรือว่าได้ปล่อยรังสีอำมหิตออกมาจนใครเขาสัมผัสได้กันหมด ทำแบบนี้มันก็ยิ่งชัดเจน ว่าเจ้าสัตว์ประหลาดตัวโตนี่มีเป้าหมายสิ่งเดียว

ซึ่งก็คือแวนกัส

แถมขี้หวงมากเสียด้วย

อยากจะขำอยู่หรอก แต่ก็นึกโกรธที่มันทำท่าจะขย้ำเชนเมื่อครู่ ชายหนุ่มก้มลงเก็บดอกไม้มาถือ แม้จะชอกช้ำและหักพัง ทว่ามันยังสวยอยู่ “ถ้ามันอยู่ข้างฉันตลอดเวลา ป่านนี้ฉันก็ต้องเห็นมันบ้างแล้วสิ หรือไม่มันก็ต้องมาปรากฏตัวต่อหน้าฉันบ้าง ฉันจะได้รู้ว่ามันต้องการอะไรกันแน่”

เชนกอดอก นึกขึ้นได้ว่าพูดมากเกินไปแล้ว “ฉันว่าฉันคิดไปเองน่ะกัส ไม่น่าเผลอพูดให้นายไม่สบายใจเลย”

“ไม่ต้องคิดมาก ฉันไม่กลัวหรอก”

“แต่นายอยู่คนเดียว”

“ช่างเถอะ ยังไงฉันก็ไม่พาตัวเองไปอยู่ในที่ที่มันเสี่ยงอยู่แล้ว”

ใช่...ก็อย่างที่บอกเชนไป เขาไม่มีทางพาตัวเองไปเสี่ยงแน่นอน แวนกัสก็รักชีวิตเหมือนกัน แต่ถึงจะบอกเพื่อนไปเช่นนั้น ภายในหัวของแวนกัสกลับเต็มไปด้วยคำถามมากมายเกี่ยวกับอสูรตัวใหญ่ข้างนอก ตั้งแต่กลับมาถึงบ้าน อาบน้ำ ทานมื้อเย็นกันจนถึงเวลาทิ้งหัวลงบนหมอน ชายหนุ่มก็คิดไม่ตกว่าสาเหตุอะไรแน่ ที่ทำให้มันวนเวียนอยู่รอบตัวเขา หวนให้ชายหนุ่มนึกถึงเมื่อตอนนั้นขึ้นมา

‘กัส นายไม่เจ็บขาแล้วเหรอ’ เชนเอ่ยถามขณะทั้งสองเดินกลับ

เรื่องนี้แวนกัสก็เพิ่งนึกขึ้นมาได้ ชายหนุ่มก้มลงมองที่หัวเข่าของตัวเองอย่างแปลกใจ เขาจำได้ว่ามันมีรอยแผลถลอก มีเลือดไหลซิบออกมานิดหน่อย แต่ครั้นก้มดูอีกครั้ง คราวนี้ไร้ร่องรอยอะไร ‘ไม่เจ็บเลย คงหายแล้ว’

‘หายไวอย่างกับได้ยาผีบอก’ เชนเบ้ปากแล้วเดินต่อ

(มีต่อ)
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #4 up 1.10.62
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 01-10-2019 21:58:10
(ต่อ)

คนนอนบนเตียงถอนใจ หรือสัมผัสจากเจ้าตัวนั้นทำให้เขาหายเจ็บ แม้กระทั่งร่องรอยของแผลก็ไม่มีราวกับชายหนุ่มไม่เคยหกล้มมาก่อน คิดแล้วแวนกัสก็พลิกตัวนอนตะแคง ในความมืดของกลางดึกนั้นมีแสงจันทร์สาดผ่านหน้าต่างเข้ามา เชนนอนบนโซฟาอยู่ข้างนอก และเขาใช้เวลาครุ่นคิดนานเท่าไรไม่ทราบ กระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าของผู้มาเยือนทุกวันแล้ว

“ตีสองแล้วเหรอ” ชายหนุ่มเอ่ยถามตัวเองเบาพร่า แนบใบหน้าขาวซีดกับหมอน กลิ่นหอมของดอกไม้ป่าช่อใหม่ที่วางอยู่บนโต๊ะโคมไฟยังคงลอยอบอวลในห้อง ทว่าคราวนี้ช่อใหม่กว่านั้นได้เดินทางมาถึงหน้าต่างแล้ว

แวนกัสแสร้งพริ้มตาหลับทั้งที่หันหน้าหาบานกระจก เห็นร่างในเงามืดใหญ่กำยำกำลังวางดอกไม้ ใจแวนกัสเต้นตึกเมื่อวางให้แล้วมันมิได้ยืนดูเขาหลับอย่างเช่นทุกวัน หรือวันนี้ยักษ์ใหญ่นอกบ้านจะจัดการเขาแล้ว แวนกัสหรี่ตา เห็นมันกำลังยกบานหน้าต่างขึ้นเปิด แล้วเอื้อมมาแตะปลายนิ้วที่จมูกของเขาหนหนึ่งจนได้กลิ่นสาปสางอ่อน ๆ

แต่เดี๋ยวก่อน ชายหนุ่มคิดขึ้นมาได้ว่าการกระทำแบบนี้ คนเขาทำเฉพาะตอนนึกเอ็นดูของน่ารักมิใช่หรือ อย่างตอนเขาจิ้มดอกของต้นกระบองเพชรเมื่อวานอย่างไรเล่า

อย่าเชียวนะ หรือว่าเจ้ายักษ์นี่มองเห็นเขาเป็นของน่ารัก

แวนกัสมุ่นคิ้วทั้งที่หลับตา ไม่ใช่สักหน่อย...เจ้ายักษ์นี่เป็นอสูรนะ มันจะไปมีความรู้สึกอย่างคนหรือ

ขณะที่ทะเลาะกับตัวเอง ได้ยินมันหายใจรุนแรงขึ้น แวนกัสรู้สึกว่าคงเป็นเพราะเจ้ายักษ์เหลือบไปเห็นดอกไม้ของเชนที่วางอยู่ มันคว้าหมับออกไปทึ้งฉีกเสียกระจุยกระจายอยู่ด้านนอก คนมองอยู่ถึงกับเบิกตาตกใจความอารมณ์ร้ายของมัน ไม่อาจเข้าข้างตัวเองว่าที่ทำเช่นนั้นเพราะมันกำลังหวงเขาที่เป็นของน่ารัก หรือเป็นเพราะเขาเป็นอาหารของมันกันแน่!

ครั้นทำลายข้าวของของเชนจนพอใจแล้ว มันก็หันขวับมาเจอะกับกระถางต้นกระบองเพชร

อย่าเชียวนะ

“ฮึ่ม!” มันกำลังหงุดหงิดเพียงแค่เห็นของคนอื่นวางอยู่ในห้องแวนกัส เจ้ายักษ์ร้ายมองกระถางตรงหน้า ด้วยดวงตาสีแดงลุกท่วมไปด้วยอารมณ์ คว้าหมับกำไปที่ต้นจนกระถางแตกละเอียด “ฮึ่ม!”

นั่นไงเล่า...

มันผละของในมือออกเหมือนกำลังเจ็บ ร้องคำรามใส่กระถางนั้นราวกับไม่รู้ว่าสิ่งตรงหน้าทำร้ายตัวเองได้อย่างไร ไม่ใช่เขาเสียดายต้นไม้น้อย แต่รู้ว่าเจ้าตัวใหญ่กำลังจะโดนหนามทิ่ม ทั้งที่นึกเกรงกลัว ทว่าแวนกัสอดไม่ได้ที่จะยิ้มขันกับความตลกนั้น ยามมันเอียงคอ ยื่นขามาเขี่ยที่กระถางอย่างระวังท่าทีกว่าเก่านั้น ราวกับกลัวต้นไม้น้อย ๆ ทำร้ายซ้ำรอบสอง

ยิ้มของเขากว้างและแอบมองอย่างตรงไปตรงมา จนลืมไปเสียสนิทว่าตัวเองต้องปกปิดท่าที และรอยยิ้มของเขานั้นก็ได้เรียกอสูรร่างยักษ์ให้หันขวับมามอง มันตกใจถอยกรูดหนี ร้องโฮกใหญ่เสียแวนกัสสะดุ้งเพราะถูกจับได้กันทั้งคู่

มันถูกเขามองเห็น ส่วนเจ้าอสูรก็รู้ตัวแล้วว่าเขาเห็นมัน ทันทีที่หันมาเจอะแวนกัสมันก็ตัวสั่น

เจ้าอสูรยักษ์กลัวเขามองเห็นถึงขนาดนั้นเชียวหรือ ชายหนุ่มรีบลุกขึ้นไปเกาะหน้าต่าง “เดี๋ยว...”

เจ้ายักษ์ถอยหนีแวนกัสไปกว่าเก่าทันทีที่แน่ใจว่าชายหนุ่มพูดด้วย

“เดี๋ยวก่อน เดี๋ยว!” นั่นเป็นตัวอะไรกันแน่ เป็นปีศาจที่ต้องการกินเนื้อมนุษย์เป็นอาหารอย่างที่เล่าขานกันมาแน่หรือ แวนกัสเอื้อมแขนอยากรั้งอีกฝ่ายที่กำลังหมุนตัว วิ่งหนีเข้าไปในป่าท่ามกลางความมืดมิด ได้ยินเพียงเสียงฝีเท้ากระทบกับเหล่าแมกไม้เท่านั้น “เดี๋ยวก่อน!”

ทำท่าจะปีนหน้าต่างตามไปพิสูจน์ให้เห็นกับตา ทว่าชายหนุ่มถูกรั้ง “กัส นายเป็นอะไร”

“หา” ชายหนุ่มหันไปหาเชน

“นายละเมอเสียงดัง ทำท่าจะปีนออกไปข้างนอก นายทำให้ฉันกลัวนะ”

แวนกัสปรับสีหน้า หันมองไปยังด้านนอกแล้วทำใจปล่อยให้มันจบลงเช่นนี้ “ขอโทษทีเชน ไปนอนเถอะ”

“นายโอเคนะ”

“อืม” แวนกัสครางในลำคอเป็นการยืนยันให้เพื่อนรักแน่ใจ เดินไปทิ้งตัวลงนอนบนเตียงด้วยความเงียบเชียบ ทำทีเหมือนว่าเพียงครู่เดียวก็หลับลงไปแล้ว หลงเหลือเพียงเชนที่ยืนนิ่งมองอยู่ที่หน้าประตูอย่างนึกห่วง ก่อนจะยอมเดินออกไป ปล่อยให้แวนกัสนอนถอนหายใจ มองออกไปยังด้านนอกด้วยความไม่เข้าใจเสียเลย

สรุปแล้ว เจ้ายักษ์นั่นไม่ดุร้าย แถมยังขี้กลัวมนุษย์เสียด้วย อะไรที่ทำให้มันตัดสินใจมาวนเวียนรอบกายเขากันหนอ คิดแล้วหนุ่มตัวขาวก็ยกข้อมือขึ้นมาดู หรือว่าจะเป็นเจ้าสิ่งนี้กัน


บรรยากาศมื้อเช้าวันนี้ต่างจากเมื่อก่อนไปเล็กน้อย ทุกอย่างเงียบลงไปตั้งแต่เคลไม่อยู่ วิลงุดลงมองมื้อเช้าของตัวเองแล้วหันไปมองบิดาเพราะความจริงที่เพิ่งได้รู้ ความจริงที่เคลยังคงเข้าใจผิดมาโดยตลอดว่าคนที่เลี้ยงมาคือพ่อบุญธรรม พวกเขาต้องบอกให้น้องทราบถึงความจริงนี้ เจ้าตัวจะได้กลับมา เลิกคิดระแวงว่าท่านจะไม่รักได้แล้ว

“ทำไมไม่กินอะไรกันเลยล่ะ” แวนกัสชำเลืองมองลูก ๆ

“วันนี้เราขอไปหาเคลได้ไหมฮะ”

ผู้ใหญ่ที่สุดพยักหน้าหลังฟัง “พ่อรู้ว่าลูกห่วงน้อง”

“เคลกลัวปะป๊าจะไม่รักเขาอีกต่อไปแล้ว น้องคิดว่าปะป๊าเป็นคนอื่น”

“ถึงจะไม่ใช่ลูกจริง ๆ แต่พ่อก็รักพวกนายอยู่แล้ว”

“พวกเรารู้ฮะ แต่พอรู้ว่าเป็นพ่อของเราจริงก็ทำให้พวกเรามั่นใจขึ้นนี่นา” ไคล์รีบตอบ

“มั่นใจอะไร” แวนกัสมุ่นคิ้ว ไม่เข้าใจ

“พวกเรารักปะป๊า แต่ไม่รู้ว่าปะป๊าจะมองเห็นพวกเราเป็นเพียงภาระหรือเปล่า”

“ไม่ใช่สักหน่อย” คนอายุเยอะที่สุดรีบส่ายหน้าบอกเด็ก ๆ “พ่อเคยมองพวกนายเป็นภาระเสียที่ไหน ถึงจะดื้อหรือห้ามไม่ฟังกันบ้าง แต่พวกนายเป็นเด็กดี แล้วก็น่ารักกันทุกคน กลับกันมันทำให้พ่อรู้สึกภูมิใจเสียด้วยซ้ำที่มีลูกอย่างพวกนาย” น้ำเสียงจริงจังของแวนกัสทำให้ทั้งสามถึงกับพูดไม่ออกกันพักหนึ่ง เป็นไวน์ที่นึกคำออกมาได้ เด็กหนุ่มจึงหันไปหาผู้เป็นบิดา

“เพราะอย่างนั้นเราถึงต้องไปหาเคล ไปบอกให้เขากลับบ้านไงฮะ”

แวนกัสยกยิ้มขึ้น นึกโล่งใจ “พ่อฝากพวกนายจัดการได้ใช่มั้ย”

“ได้อยู่แล้ว เชื่อมือพวกเราเลย เราจะพาเคลกลับมาให้ได้”

“อืม เด็กดี พ่อภูมิใจในตัวนายทุกคนนะ” รอยยิ้มของผู้เป็นพ่อที่ยากจะปรากฏให้เห็นนั้นทำเอาเด็กทั้งสามดีใจ ทุกคนหันสบตากันและกันก่อนจะมองตามร่างสูงโปร่งของแวนกัส คนอายุเยอะสุดรีบลุกขึ้น ไปกุลีกุจอทำอะไรสักอย่างที่อีกฝั่งของครัว “ทำเพิ่มอีกหน่อย พวกนายไม่ต้องคิดจะอดมื้อเช้าแล้วเอาไปให้น้อง เดี๋ยวพ่อเตรียมให้ เคลคงหิวเพราะอดตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”

“อื้ม!” วิลขานรับ

ทั้งสามส่งยิ้มให้กันแล้วต่างรีบตักทาน ด้วยต้องการไปพบกับเคลให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ บนเขามีกระท่อมเล็กผุพังแห่งหนึ่ง มันไม่ค่อยน่าอยู่สำหรับเด็กวัยสิบห้านัก โดยเฉพาะใช้เป็นที่สำหรับพักยาวนาน เคลอยู่ที่นั่นได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น และไม่รู้ป่านนี้ การนอนที่อื่นอันไม่ใช่ห้องนอนที่ตัวเองคุ้นชินครั้งแรกของเคลนั้น จะเป็นอย่างไร

เสียงเหล่านกน้อยและสัตว์ป่าตัวเล็กวิ่งไล่กันอยู่ข้างนอก ทำให้คนหลับรู้สึกตัวว่าเช้าแล้ว เคลขยี้ตาตัวเองขณะงัวเงียตื่นหลังจากเพลียหลับลงไปไม่กี่ชั่วโมง เด็กหนุ่มสะดุ้งกอดเสื้อแขนยาวพี่ไคล์ไว้แน่นในอก เมื่อคืนเสื้อฮู้ดตัวสีเขียวขี้ม้าของเขาแห้งแล้ว เคลจึงถอดมาสวมของตัวเองแทน ด้วยเกรงว่าจะทำของพี่ชายเปรอะเปื้อน เขานอนกอดมันไว้ทั้งคืนอย่างคิดถึงทุกคน

กลิ่นของไคล์เป็นเสมือนเพื่อนทำให้เคลหายเหงา ชายหนุ่มยกหลังมือเช็ดน้ำตา เดินออกจากกระท่อมหลังเก่าไปเจอะเข้ากับกวางตัวสีขาว มันมองเขา และคับคล้ายคับคลาว่าเมื่อคืนเคลฝันถึงมันด้วย เป็นฝันที่ดีและอบอุ่นมากเหลือเกิน

“เฮ้...” เด็กหนุ่มไม่รู้สึกเกรงกลัว เหลือบไปเห็นว่ามันกำลังเจ็บขา “นายเดินไม่ไหวใช่มั้ยล่ะ มานี่ฉันช่วย”

น่าแปลกที่ดูเหมือนเจ้ากวางตัวนี้จะฟังคำพูดรู้เรื่อง เด็กหนุ่มทรุดลงช่วยมันด้วยการดึงไม้ที่ทิ่มขาออกให้ แล้วลูบบริเวณขนเป็นการปลอบโยน แหงนมองยังดวงตากลมโตนั้น แล้วจู่ ๆ ภาพฝันก็พรั่งพรูกลับเข้ามาในสมอง ทั้งที่คราแรกเคลลืมไปหมดสิ้นแล้ว

‘เจ้าน่าสงสาร เจ้าน่าสงสาร...’

‘ผมเหรอ’ เคลเช็ดน้ำตาตัวเอง ผละจากเข่าที่กำลังกอด

กวางสีขาวตรงหน้าเดินมาใกล้ ‘เจ้าอยากให้ข้าช่วยรึไม่’

‘ไม่ แค่ช่วยอยู่เป็นเพื่อนผมได้มั้ยฮะ’

‘ข้าให้เจ้าได้มากกว่านั้น เด็กดี’

‘คุณกวาง แค่ความน่ารักของคุณก็เพียงพอแล้วฮะ’ เด็กหนุ่มเขยิบเข้าใกล้ คว้าคอของมันมากอดซบ เจ้ากวางเงียบไปแล้วทรุดตัวลงนอนเบียดกัน เป็นหมอนข้างให้เด็กน้อยแสนเศร้าที่กำลังว้าเหว่ เมื่อรำลึกถึงได้ เด็กหนุ่มยกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยแล้วลุกขึ้นยืน มองเจ้ากวางแสนสวยตรงหน้าวิ่งหนีไปทิศอื่นหลังจากถูกช่วยเหลือ ความรู้สึกที่ตัวเองนอนอิงแอบกับมันยังคงอบอวลอยู่ในอก เหมือนเป็นความจริง

อาจเป็นเพราะความอบอุ่นจากแจ๊คเก็ตของไคล์ ทำให้เคลรู้สึกเหมือนกำลังนอนกอดกวางขนงามอยู่กระมัง

“เคล เคล!”

“เฮ้ ฉันอยู่นี่!” รอยยิ้มสดใสผุดขึ้นบนใบหน้าของเด็กเหงา เคลวิ่งออกไปตามเสียงเรียกของเหล่าพี่ชายที่กำลังวิ่งมาหา ท้ายที่สุดก็มาบรรจบกันอยู่ริมน้ำตกอันเป็นฐานลับของพวกเขา เด็กหนุ่มยิ้มร่าไปกอดวิลราวกับห่างไกลกันนับปี ไม่ต่างจากพวกพี่ ๆ เองเท่าไรนักที่กรูเข้ามากอดกันกลม “เคล ดูนี่สิว่าพวกเราเจออะไร”

เด็กหนุ่มผละมามองแล้วอ้าปากค้าง เป็นของที่บิดาโดยแท้จริงทิ้งไว้ให้ เขาทำมันหลุดหายไปเมื่อหลายวันก่อน เคลยิ้มหน้าบานคว้ามันมาสวมที่คอดังเก่าด้วยความดีใจ “ให้ตายสิฉันนึกว่าจะไม่ได้มันคืนมาซะแล้ว ขอบใจพวกนายมากที่หามาให้ฉัน ทั้งที่นี่มันเป็นของชิ้นเดียวที่พ่อแท้ ๆ ทิ้งไว้ให้ ฉันยังทำมันหายอีก แย่ชะมัดเลยใช่มั้ยล่ะ”

ทุกคนละรอยยิ้มลง “เคล เรื่องนั้นน่ะ”

“ว่าไง”

“นายเข้าใจปะป๊าผิดรู้มั้ย” วิลบอกน้องพลางลูบบ่าให้อย่างอ่อนแผ่ว “เมื่อวานเราเพิ่งรู้ความจริง”

“ความจริงอะไร” เคลย้อนถามตาแป๋ว

“ความจริงที่ว่ายังไงปะป๊าก็ไม่มีทางเกลียดนายยังไงล่ะ” กล่าวจบ วิลก็ล้วงกระเป๋าตัวเอง ยื่นรูปภาพใบนั้นให้กับน้องชายทราบถึงเรื่องที่เอ่ยมาข้างต้น เคลก้มดูมันอยู่ครู่เดียวเท่านั้น ก่อนจะเงยขึ้นสบตาพี่ ๆ เพื่อมองหาตัวช่วยในการอธิบาย ทั้งสามเริ่มต้นด้วยการพาเคลเดินไปทรุดนั่งกันที่โขดหินแถวนั้น

“อาจจะยาวหน่อย นายกินไปด้วยฟังไปด้วยแล้วกัน...”

เด็ก ๆ ออกไปกันได้พักใหญ่แล้ว แวนกัสยังคงเดินวนอยู่ในห้องนั่งเล่นไม่ยอมไปทำงานอย่างนึกห่วงลูก ชายหนุ่มยกนิ้วโป้งมากัดเล็บอย่างกลัดกลุ้ม ไหนจะเรื่องที่เขายอมปอกเปลือกเล่าให้เชนฟังอีก ว่าทุกอย่างเป็นมาอย่างไร แล้วความจริงที่ว่าเหตุใดเด็ก ๆ ทุกคนถึงได้มีเลือดเนื้อของเขาอยู่

เมื่อวาน เขาจำสีหน้าของเชนได้ว่าอึ้งขนาดไหน ทั้งที่เจ้าตัวเป็นพวกเชื่อในสิ่งลี้ลับนัก แต่ครั้นพอเขาเล่าออกไปตามความจริงแล้วนั้นอีกฝ่ายกลับส่ายหน้าไม่เชื่อ หาว่าเขาสติแตกไปแล้ว แวนกัสพ่นลมหายใจทรุดนั่งลงบนโซฟาของตัวเอง คิดว่าหากวันนี้เชนได้เห็นเคลแล้วคงพอจะเข้าใจ ว่าเขาไม่ได้เล่าอะไรเกินจริงแม้แต่น้อย

สิ่งที่เขาเห็นในป่าเมื่อสิบหกปีก่อนนั้น ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันอย่างแน่นอน

จากคนที่ไม่คิดว่าตัวเองตั้งท้องได้ ยังคลอดลูกชายมาได้ถึงสี่คน!

ความเจ็บปวดทรมานคืนนั้นมันตอกย้ำแวนกัสอยู่เสมอ ว่าพ่อโดยแท้ของลูกมีจริง ไม่ใช่สิ่งที่เขาสร้างขึ้นมาด้วยจินตนาการ ไอ้ยักษ์บ้านั่น ตัวที่ทำให้เขาตั้งท้อง แล้วทิ้งให้อยู่คนเดียวในคืนที่ต้องเจ็บปวดเพราะการเบ่งคลอด แวนกัสจะไปลืมมันลงได้อย่างไร!



 

--------------------------------------------------

พี่ยักษ์ก็คือหายไปตั้งแต่คืนที่เมียคลอด จนผ่านมาสิบหกปีแล้ว เมียพาลูกออกมาอยู่ในเมืองแทน

ก็คือคนละเมืองกับป่าใหญ่แถบชนบทที่พี่ยักษ์อยู่นะคะ

พี่กวางคือเทพเจ้าที่รู้อะไรล่วงหน้า อ่านแล้ววิเคราะห์กันเองนะคะ ทั้งความคิด คำพูดของพี่กวาง

ส่วนกวางที่เคลเจอะเป็นใครนะ ตัวเดียวกันเปล่า อิอิ มีข้อมูลเกี่ยวกับบุตรของเทพเจ้าแล้ว แต่พี่ยักษ์เป้นใครน้า ใช่บุตรของเทพเจ้าเปล่า รึว่าน้องเคลน้าาาา ขอหย่อนบอมบ์ไว้เพียงเท่านี้ ฝากคอมเม้นด้วยนะคะ ติชมได้ ด่าก็ได้ค่ะอ่านหมดเลย แล้วจะตอบด้วยค่ะทุกเม้นเลยเด้อ

เจอกันตอนหน้าจ้า จุ๊บบบบบบ



หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #4 up1.10.62
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 03-10-2019 10:38:59
น่าสนใจมากค่ะ
มาต่อไวๆน้าาาาาา
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #4 up1.10.62
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 04-10-2019 19:54:55
รอจ้า สนุกมาก
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #4 up1.10.62
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 04-10-2019 21:42:40
 :katai1: :katai1: อยากอ่านต่อแล้วว
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #5 up7.10.62
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 07-10-2019 20:46:03
(https://pbs.twimg.com/media/EFJauD4UUAMvmUH?format=jpg&name=small)
#ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง

ตอนที่ ๕

ค่ำแล้ว แวนกัสเดินไปเปิดประตูทันทีที่ได้ยินฝีเท้าลูกชายใกล้เข้ามา ทุกคนชะงักเมื่อเห็นเขา ผิดกันกับผู้เป็นพ่อที่กำลังรู้สึกดีใจ เพราะเห็นลูกชายกลับมาครบกันทุกคน ชายหนุ่มมองที่ลูกคนเล็ก เจ้าตัวยังคงสวมฮู้ดสีเขียวและกางเกงยีนส์สีฟ้าอ่อน ตัวเดิมที่ใส่วันนั้น และยังคงไม่ยอมให้เขามองเห็นอะไรภายใต้หมวก แม้ว่าจะใจอ่อนยอมกลับมาแล้วก็ตาม

ถึงอย่างนั้นแวนกัสก็โล่งใจ “เคล”

เด็กหนุ่มที่ถูกคว้าดึงไปกอดรู้สึกตัวเกร็งทำอะไรไม่ถูก สิ่งที่ทำได้คือยืนให้ผู้เป็นบิดากอดจนกว่าจะพอใจ เด็กหนุ่มชำเลืองมองเหล่าพี่ชายครู่เดียว ทุกคนพยักเพยิดให้ปรับความเข้าใจ และรับรู้สักทีว่าแวนกัสคือคนสุดท้ายที่จะผลักไสเด็กหนุ่ม

“ผมขอโทษนะปะป๊า ที่ทำให้เป็นห่วง”

คนฟังลูบหัว “ไม่เป็นไร พ่อดีใจที่ลูกยอมกลับมา”

“คือผม...”

“คราวหลังอย่าหนีไปอย่างนี้เข้าใจไหมเคล”

“ฮะ ผมขอโทษจริง ๆ ฮะ เพราะผมกลัวว่าปะป๊าจะไม่รักผมอีกต่อไปแล้ว ถ้าปะป๊าเห็นว่าผมเป็นตัวประหลาด ผมไม่อยากให้ปะป๊าเห็นว่าตอนนี้ผมน่าเกลียดขนาดไหน” เด็กหนุ่มสารภาพเสียงสั่น

“ลูกยังเป็นลูกของพ่อเสมอ ไม่ต้องกลัว ต่อให้ใครว่าลูก พ่อก็จะเป็นคนที่สวนกลับคนพวกนั้นเอง เข้าใจไหม”

เคลผละมาเช็ดน้ำตาตัวเอง “จริงนะฮะ”

แวนกัสพยักหน้า “ขอพ่อดูหน่อยได้ไหม ดูยังไงนายก็ยังเหมือนเดิมนี่”

คำถามของผู้เป็นพ่อทำให้เคลนิ่งไป เด็กหนุ่มก้มลงมองพื้น เดินนำเข้าไปในบ้านไม่ยอมพูดจา ผู้เป็นพ่ออดคิดในใจไม่ได้ว่าบางทีลูกต้องใช้เวลาที่จะยอมรับ ‘ความจริง’ ชายหนุ่มเดินตามเคลเข้าไปในบ้าน เห็นลูกชายยืนทำตัวไม่ถูก ไม่ได้พูดอันใดสักคำนอกจากถอดเสื้อของตัวเองออก

แวนกัสเบิกตาเมื่อเดินไปถึง “เคล ลูก...”

“ผมไม่เหมือนเดิมเลยใช่ไหมฮะ”

“ไม่ใช่ พ่อหมายถึงลูกดูตัวโตขึ้นนะ” ไม่ได้เจอกันเพียงสองวัน แวนกัสเห็นว่าร่างกายของเคลเปลี่ยนไปมากมายนัก เจ้าตัวสูงขึ้น ดวงตาเปลี่ยน เส้นผมเปลี่ยนสีและยาวไวจนประบ่า จากเด็กอายุสิบห้าเมื่อสองสามวันก่อนคราวนี้เหมือนโตเต็มวัยแล้ว ชายหนุ่มยกมือสางเส้นไหมสีเงินที่คุ้นเคยในอดีต สบมองที่เขาสองข้างบริเวณตีนผมของลูกชายอย่างพินิจ

เหมือนพ่อไม่มีผิด

แม้ตอนนี้มองเผิน ๆ เคลจะดูเหมือนมนุษย์เต็มวัยแล้ว แต่สำหรับยักษ์ เด็กตรงหน้ายังโตไม่เต็มวัย ยังแบเบาะนัก

ท่าทีไม่แปลกใจของผู้เป็นพ่อทำให้เคลประหลาดใจ เด็กหนุ่มเอียงหน้ารับฝ่ามืออบอุ่นของบิดาครู่หนึ่ง ซึมทราบความรักที่ท่านมอบให้อย่างเงียบเชียบ “ลูกได้สร้อยคอกลับคืนมาแล้วสินะ”

“ฮะ พวกเขาหามาให้” เคลมองไปทางพี่ ๆ

“เก็บมันไว้ให้ดีนะ มันสำคัญ”

“ครับ” เจ้าตัวพยักหน้า งุดมองที่ดวงตาคาดเดาไม่ได้ของบิดาแล้วรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ท่าทางของแวนกัสนั้นทำให้เคลอดคิดไม่ได้เลยว่า แท้จริงแล้วท่านคุ้นชินกับร่างกายแบบนี้ของเขา ราวกับว่ามันเป็นเรื่องปกติ

เคลอาจคิดผิดไปก็เป็นได้ ว่าท่าทีวันก่อนที่บิดาเห็นเขานั้นคือแววรังเกียจ

“เรื่องที่ลุงเชนเล่าให้ฟัง เป็นเรื่องจริงงั้นเหรอฮะ” เด็กหนุ่มถาม

แวนกัสยกยิ้ม “โกรธพ่อเหรอ ที่โกหก”

“ไม่ ผมเข้าใจว่าปะป๊าอยากปกป้องเรา ผมภูมิใจใจตัวปะป๊านะฮะ”

“ดีมาก ถ้าไม่มีเรื่องขึ้นมา พ่อคงไม่รู้ว่าพวกนายเป็นเด็กดีขนาดนี้” แวนกัสยิ้มขึ้น เขย่าหัวเด็กตัวโตเบื้องหน้าแล้วพยักเพยิดบอก “งั้นขึ้นไปอาบน้ำพักผ่อนกันเถอะ พวกลูกคงเหนื่อยกันน่าดู ใครสอบพรุ่งนี้ก็อ่านหนังสือกันด้วยล่ะ”

“โห่ นึกว่าปะป๊าจะลืมแล้วซะอีก”

“ไม่มีทางซะหรอก อย่างน้อยก็ขอให้ได้บีมาซักตัวเถอะเจ้าพวกบื้อ” ผู้เป็นพ่อกอดอก บนใบหน้ากลับมาเปื้อนยิ้มอีกครั้งอย่างวางใจว่าคราวนี้จะไม่ต้องเสียทุกคนไปจริง ๆ ท่ามกลางเสียงร้องโหยหวนของเจ้าแสนแสบทั้งสาม คนสุดท้ายที่เดินตามพี่ ๆ เป็นน้องเล็ก ที่บัดนี้ตัวโตกว่าพี่แล้ว เจ้าตัวหันมายกยิ้มให้ แล้วเดินขึ้นไปอย่างเงียบเชียบเรียบร้อยเหมือนทุกที

หลังต้อนให้เด็ก ๆ ขึ้นไปด้านบนแล้ว แวนกัสขมวดคิ้วมุ่นยกโทรศัพท์ขึ้นมากดข้อความหาเชน พรุ่งนี้เพื่อนรักต้องมาเห็นด้วยกับตาว่าเขาไม่ได้พูดจาเพ้อเจ้อ เคลเป็นลูกของยักษ์ที่เขาเจอเมื่อสิบหกปีก่อนจริง ๆ หากไม่เชื่อให้มาหาเขาพรุ่งนี้เช้าเพื่อพิสูจน์ได้ คิดแล้วแวนกัสก็ยกยิ้มเปลี่ยนอารมณ์ เพราะจินตนาการได้ว่าเชนจะหน้าเหวอประมาณไหนเมื่อพบกับเคล

ขึ้นไปถึงห้องพัก สิ่งแรกที่ทำเลยคือถอดสร้อยเพื่อเตรียมตัวอาบน้ำท่า วิลวางของสำคัญไว้ในกล่องที่เป็นส่วนของเขา เด็กหนุ่มถอดเสื้อตัวใหญ่แล้วเดินนำเหล่าน้องชายไปจัดการธุระตัวเอง ส่วนผู้อื่นก็ทำอย่างอื่นรอไปก่อน แต่ก่อนจะออกจากห้อง วิลยกยิ้มเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้ เด็กหนุ่มเดินกลับไปที่ชั้นหนังสือของตนเอง ค้นหาบางอย่างแล้วโยนไปให้น้องเล็ก

“เอ้า นี่ของนาย”

เคลที่ล้มนอนอยู่บนเตียงชั้นสองแปลกใจ เห็นเป็นหนังสือเล่มเก่า มีร่องรอยของอายุเต็มไปหมด “อะไรน่ะ”

“หนังสือที่ฉันบังเอิญเห็นในห้องทำงานปะป๊า นายลองอ่านดูสิ”

“บุตรของเทพเจ้า” เคลกวาดสายตามอง

“ลองอ่านดู บางทีนายอาจจะรู้ก็ได้ว่าตัวเองเป็นอะไร”

“หืม...”

“ฉันว่ารูปร่างหน้าตาในหนังสือเล่มนี้มันคล้ายนายนะ” วิลบอกแล้วชะโงกมาคลี่เปิดหน้าหนึ่งในหนังสือให้ดู เป็นรูปอันวาดด้วยพู่กันลาง ๆ ให้เห็น บรรยายรูปร่างของสิ่งนี้ด้วยประโยคที่ว่า “บุตรของเทพเจ้ามีรูปร่างไม่เหมือนกันนัก แต่ที่เห็นกันมาแต่ช้านานนั้นเล่าว่ามีร่างกายใหญ่กว่ามนุษย์สองเท่า ผมสีเงินหยักศกยาวระหง ดวงตาสีแดงฉาน ผิวขาวราวหิมะ และมีเขาสองข้าง...”

เคลกะพริบตาอย่างไม่อยากเชื่อ “เรื่องจริงเหรอเนี่ย”

“นายว่ามันแปลกมั้ย ที่หนังสือนี่อยู่ในห้องทำงานของปะป๊า”

เคลหันมองตาพี่คนโต พยักหน้า “แปลก”

“แต่เราก็ทำอะไรไม่ได้ จนกว่าปะป๊าจะบอกเราเอง” วิลยักไหล่

“นายหมายถึง ปะป๊ายังมีอีกเรื่องที่ไม่ได้บอกเราใช่ไหม”

ผู้พี่เบ้ปาก “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ฉันไม่อยากฉลาดเกินไป ไม่อยากมองปะป๊าในแง่ไม่ดี”

“นั่นสิ”

คนฟังหันกลับมาจ้องหนังสือในมือ ไม่อยากนึกไปต่าง ๆ นานาแล้วส่งผลให้สิ่งที่ผู้เป็นพ่อทำลงไปนั้นสูญเปล่า เคลคิดแล้วก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือที่ได้มาด้วยความตั้งใจ เขาได้รู้ว่าบุตรของเทพเจ้านั้นมีอยู่หลายถิ่นฐานเพราะเทพเจ้ามีหลายตน เทพเจ้าเองก็เป็นบุตรของพระเจ้าอีกที อาศัยอยู่หลายที่ทั่วทั้งผืนโลกไม่ว่าจะเป็นในเมือง ในน้ำ บนอากาศ ป่าไม้ หรือแม้กระทั่งดวงดาว

บุตรของเทพเจ้าเกิดได้ด้วยความรักความเอ็นดูของเทพเจ้า อาจกลายร่างมาจากสัตว์มีที่ความดีความชอบ อาจเกิดจากมนุษย์ที่มีจิตใจบริสุทธิ์ หรือแม้กระทั่งปิศาจที่มีคุณงามความดี ความรักของเทพเจ้าจะทำให้ความปรารถนาของบุตรนั่นเกิดขึ้นจริง

แต่เรื่องของบุตรเทพเจ้านั้นเกิดขึ้นมานานเหลือเกินแล้ว เพราะภายหลังความชั่วทำให้บุตรของเทพเจ้าถือกำเนิดน้อยลง เล่าว่าบางทีบุตรเทพเจ้าในบัจจุบันนี้ไม่มีหลงเหลืออยู่แล้ว เพราะความรักของท่านที่มอบให้ผู้ถือกำเนิดใหม่มีน้อยลงด้วยความจริงที่ว่ามนุษย์ สัตว์ และปิศาจต่างเห็นแก่ตัว

ไม่เว้นแต่บุตรของเทพเจ้าเองก็ด้วย ไม่นาน มันก็ต่างสูญสิ้นลง

กลายเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติไป

“เคล เคลตื่น!” คนหลับคาหนังสือสะดุ้งงัวเงียมองเหล่าพี่ชายด้วยความไม่เข้าใจสถานการณ์ เห็นทั้งสามยิ้มร่ามองมาที่เขาทั้งเขย่าทั้งกระโดดโลดเต้น เด็กหนุ่มงัวเงียลุกนั่งอย่างไม่เข้าใจ ไม่นานก็ได้ยินเสียงของผู้เป็นพ่อตะโกนเรียกจากด้านล่าง

“เด็ก ๆ ลุงเชนมาแล้วนะ ลงมากินมื้อเช้าได้แล้ว เดี๋ยวสาย”

แวนกัสทรุดลงนั่งตรงกันข้ามกับเพื่อนหลังจากวางกาแฟให้ เชนยังคงทำหน้าไม่วางใจเพราะได้รับข้อความเมื่อคืน เรื่องของเคล ที่ว่าอยากให้มาเห็นกับตาว่ารูปร่างของเคลนั้นเหมือนยักษ์จริง ๆ เพราะเด็กคนนั้นเป็นลูกที่เกิดจากแวนกัสกับยักษ์ ชายหนุ่มคิดว่าอย่างไรมันก็มหัศจรรย์เกินไปแล้ว

ผู้ชายตั้งท้องได้ว่าเหลือเชื่อแล้ว แต่แวนกัสบอกเชนว่าเจ้าตัวร่วมหลับนอนกับยักษ์น่ะสิ เพื่อนรักของเชนนั้นกู่ไม่กลับจริง ๆ รู้อย่างนี้เขาน่าจะขยันไปเยี่ยมเจ้าตัวในป่ากว่านี้ จะได้ไม่ต้องเหงาถึงขั้นเพ้อหนัก คิดแล้วเชนก็กระแอม “นี่ ฉันรู้ว่านายน่ะคิดว่าฉันเชื่อเรื่องสิ่งลี้ลับ นายเลยพยายามอยากให้ฉันเชื่อนะ”

“อื้ม”

“แต่ฉันว่าสิ่งลี้ลับก็คือสิ่งลี้ลับไง มันไม่มีทางให้เราเห็นง่าย ๆ หรอกจริงมั้ย”

แวนกัสวางแก้วกาแฟ “ฉันจะให้นายเห็นเดี๋ยวนี้แหละ ถ้าเคลลงมา”

“กัส...” เชนส่ายหน้า “นายต้องไปหาหมอนะรู้มั้ย”

“นายว่าฉันบ้าเหรอ!”

“การพบจิตแพทย์ไม่ใช่เรื่องน่าอายนะเพื่อน”

“เดี๋ยวคอยดูเถอะ ถ้าเคลลงมาแล้วนายจะถอนคำพูด เด็ก ๆ เสร็จรึยัง ลุงเชนมารอนานแล้วนะ!” ว่าแล้วหันไปเร่งให้สี่หนุ่มลงมาสักที เพราะเบื่อที่จะถูกกล่าวหาว่าบ้าเต็มทนแล้ว แวนกัสกอดออกส่ายหน้าระอา ไม่นานด็ได้ยินฝีเท้าระรัวของลูกชายทุกคน นั่นหมายความว่าความจริงจะปรากฏให้เชนรู้สึกทีว่าเรื่องที่เขาพูดนั้นเป็นความจริง สิ่งที่เขาเห็นเมื่อคืนนั้นจะตอกหน้าเพื่อนให้หงายตกเก้าอี้แน่นอน!

“ปะป๊า!” แวนกัสยิ้มร่าเมื่อได้ยินเสียงเคลที่ลงตามมาคนสุดท้าย ทว่ารอยยิ้มของชายหนุ่มละหายไปเสียดื้อ ๆ เมื่อสิ่งที่ชายหนุ่มคิดไม่ได้เป็นเช่นนั้น ร่างกายของเคลกลับมาเป็นมนุษย์ปกติเหมือนเมื่อสามสี่วันก่อนแล้ว

“อะไรน่ะ หมายความว่าไง”

“นั่นสิ หมายความว่าไง” เชนย้อน

“คือ เมื่อคืนลูกยัง...” แวนกัสเดินไปลูบหน้าของลูกชายเสียบี้แบน ทุกอย่างกลับมาอยู่ในสภาพเดิมแล้วเพียงแค่คืนเดียวเท่านั้น มันหมายความว่ายังไงกัน แวนกัสไม่เข้าใจเอาเสียเลย “เป็นไปไม่ได้ เมื่อคืนลูกยัง...”

“แบบนี้แหละเป็นไปได้สุดแล้ว นายนั่นแหละควรไปหาหมอ” เชนยักไหล่

“แต่เคลเปลี่ยนไปจริง ๆ นะ”

เคลฟังแล้วรีบพูด “ผมว่าผมจะออกไปสอบฮะ”

“ไม่ได้ เกิดลูกเปลี่ยนระหว่างอยู่ที่โรงเรียนขึ้นมา ทุกคนจะแตกตื่นกันหมด”

“กินข้าวเลยเคล ลุงจะพาไปเอง ส่วนพ่อของพวกนายลุงจะพาไปหาหมอเองเหมือนกัน ปล่อยให้อยู่คนเดียวแบบนี้ลุงไม่สบายใจเอาเสียเลย”

“เชน!” แวนกัสกระทืบเท้าเสียอาการเหมือนกับเด็ก

“ปะป๊าสบายใจได้ฮะ วันนี้ผมจะไม่ไป” เคลบอกแล้วเดินมาซบกอด จากเด็กตัวน้อยของพี่ ๆ นั้นแลดูโตเหมือนเด็กโข่งเป็นที่สุด หากทว่ายังคงบ่อน้ำตาตื้นและขี้อ้อนเหมือนเดิม แวนกัสลูบหัวลูกน้อยแล้วได้แต่ถอนหายใจ บางทีเรื่องนี้เขาก็ควรปล่อยให้เชนเข้าใจแบบนี้น่ะดีแล้ว ชายหนุ่มจึงพูดว่า “บางทีถ้ามีคนต้องการเห็น มันอาจจะยิ่งหลบซ่อนบิดบังก็ได้นะ ถ้าลูกอยากไปเจอเพื่อนบ้างก็ไปเถอะเคล”

“จริงเหรอฮะ”

“ลูกเอาฮู้ดกับหน้ากากติดตัวไปด้วย ถ้าเกิดฉุกเฉินขึ้นมาก็ใส่ปิดแล้วรีบกลับบ้าน หรือไม่ก็ไปซ่อนตัวในห้องน้ำแล้วโทรหาพ่อ พ่อจะไปรับ เข้าใจมั้ย” ชายหนุ่มวางแผน ท่ามกลางสายตาอันไม่เข้าใจของเพื่อนรัก ท้ายที่สุดก็ยอมปล่อยให้เชนพาทั้งสี่ออกไปจนได้ ก่อนไป เจ้าตัวยังชี้นิ้วออกคำสั่งแวนกัสด้วยว่าวันนี้ อย่างไรเสียก็จะมารับไปพบหมอให้จงได้

นี่เชนคงเข้าใจว่าเขาบ้าไปแล้วจริง ๆ

เชนกลับมาถึงในอีกชั่วโมงต่อมา แวนกัสก็อาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว เพราะหากเชนหมายมั่นปั้นมือไว้เขาก็ปฏิเสธคำของเพื่อนไม่ได้อยู่ดี และบางทีเขาอาจจะป่วยจริง ๆ ก็ได้ ตั้งแต่คืนที่เขาถูกทิ้งไว้ในป่าคนเดียว วันคลอดแฝดสี่ แวนกัสก็เหมือนจะซึมเศร้าขึ้นมาอยู่เหมือนกัน

เขารู้สึกเหมือนชีวิตไร้สีสัน อยู่ไปเพื่อเลี้ยงเหล่าลูกชายให้โตจนดูแลตัวเองได้เท่านั้น

รอยยิ้มของเด็ก ๆ คือสิ่งเดียวที่ทำให้แวนกัสอยากมีชีวิตอยู่ต่อ แม้จะรู้สึกโกรธเกลียดพ่อของลูกก็ตาม โกรธขนาดที่สาบานได้ว่าชีวิตนี้เขาจะไม่มีทางกลับไปเหยียบที่นั่นอีก

“นายโอเคมั้ย” เชนถามขณะที่นั่งอยู่บนรถด้วยกัน

“อืม ก็ดี”

“เห็นมั้ยฉันบอกแล้ว หมอช่วยนายได้”

“ขอบใจนะ ฉันสบายใจขึ้นเยอะเลยที่ได้ปรึกษาหมอ”

“นายน่ะ เศร้าลงตั้งแต่ออกมาจากป่า” เชนว่าขณะที่ชำเลืองมองเพื่อนอีกฝั่งของเบาะ แวนกัสผละมาสบตาราวกับแปลกใจที่ถูกมองออก ในดวงตาเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถามแต่ไม่พูด ปล่อยให้เชนเป็นฝ่ายกล่าว “ถ้าเรื่องที่นายเล่าเป็นความจริง หมายความว่านายก็ซึมเศร้าหลังคลอดน่ะสิ แล้วนายก็ปล่อยให้ตัวเองใช้ชีวิตอย่างนั้นมาสิบห้าปีโดยไม่บอกฉันน่ะเหรอ”

“เชน ไหนนายบอกว่านายไม่เชื่อฉันไงล่ะ” แวนกัสถอนใจ

“ก็ฉันกำลังสมมุติไง”

“ไม่ต้องมาสมมุติเลย ฉันเล่าไปแล้ว นายอยากจะเชื่อรึไม่ก็ตามใจ ฉันไม่ได้กุเรื่องขึ้นมาสักหน่อย”

“งั้น ถ้าพ่อของเด็กพวกนั้นเป็นยักษ์จริง ๆ แล้วมันหายไปไหนซะล่ะ ทำไมปล่อยนายมางี้”

คนถูกถามถอนใจ “ฉันเองก็ไม่รู้ ถึงรู้ฉันก็ไม่พาลูกไปหามันเด็ดขาด” เชนหันมองคนกล่าว อารมณ์ของแวนกัสเหมือนผู้หญิงกำลังงอนสามีอยู่ไม่ผิดเพี้ยน และท่าทีของเพื่อนรักก็ไม่ได้แสร้งอยู่ด้วย “ฉันเกลียดมัน ไอ้ยักษ์เหม็นสาบไร้ความรับผิดชอบ”

เชนต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ ที่คิดขึ้นมาว่ามันอาจจริง “ทำไม นายโกรธที่โดนฟันแล้วทิ้งรึไง”

“ถ้าฉันบอกว่าใช่ล่ะ”

“ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ รึว่านอนกับยักษ์มันแย่ขนาดนั้น”

“แย่สิ ครั้งแรกที่นายโดนผู้ชายด้วยกันทำทางด้านหลัง แถมผู้ชายที่ว่าก็คือไอ้ยักษ์บ้ากามที่ชอบมาแอบดูฉันอาบน้ำ ตัวก็ใหญ่ขนาดนั้นนายรู้มั้ยว่าไอ้นั่นจะใหญ่ขนาดไหน แล้วนายคิดดูสิ ฉันต้องยอมทรมานให้มันทำกับฉันบนกองหญ้าในรังโคตรเหม็นสาปของมัน คิดแล้วฉันก็เวียนหัวอยากอ้วก” คนเล่าใช้อารมณ์ราวกับอัดอั้นมาหลายปี คงใช่...




 

 
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #5 up7.10.62
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 07-10-2019 20:51:20
(ต่อ)

เชนได้ฟังแล้วก็หยีหน้า

“แย่หน่อยนะ งั้นก็หมายความว่านายโดนมันข่มขืนงั้นสิ ใช่มั้ย” คำถามของเชนทำเอาแวนกัสอึกอักไปพักหนึ่ง เห็นแล้วเพื่อนผู้บังคับรถก็หันหน้าไปหาอย่างไม่อยากเชื่อ “อย่าบอกนะว่านายสมยอม!”

บนใบหน้าของแวนกัสเต็มไปด้วยเลือดฝาดจนเชนจับได้ ชายหนุ่มไม่อาจเดาได้เลยว่าสมองของแวนกัสกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ถึงได้ตามไปที่รังของยักษ์ ปากก็บอกว่าเหม็นสาบและบ่นโน่นนี่นั่น แต่ตัวเองดันบอกว่าเป็นฝ่ายสมยอมไอ้ยักษ์บ้านั่นเสียได้ คิดแล้วเชนก็ยกมือมานวดขมับ

“แต่อย่างน้อยนายก็มีอะไรกับมันแค่ครั้งเดียวเพราะคิดผิดใช่ไหมล่ะ แค่ครั้งนั้นแล้วติดลูกเลย น้ำยาดีเหมือนกันนะนี่ ต้องดีอยู่แล้วแหละถ้าทำผู้ชายท้องได้ขนาดนั้นอะนะ”

เชนบ่นกับตัวเอง แล้วพลันจับสีหน้าของเพื่อนรักอีกรอบได้ว่าแวนกัสกำลังทำตัวไม่ถูก ชายหนุ่มหันไปมองคนนั่งข้างที่กำลังหลบตา ท่าทีเลิ่กลั่กแปลกไปเมื่อได้ยินเขาถาม เห็นแล้วเชนอยากจะบ้า “นี่อย่าบอกนะว่านายนอนกับมันหลายครั้ง!”

แวนกัสห่อไหล่ลง ก้มหน้าก้มตามองตัก “อืม...”

“กัส!”

คนถูกเรียกสะดุ้งโหยง “อะไร...”

“นายบ้าไปแล้วจริง ๆ”

“อะไรเล่า!”

“คำให้การกับการกระทำของนายมันไม่ได้ไปในทิศทางเดียวกันเลยนะ นายเกลียดมันแต่ยอมนอนกับไอ้ยักษ์จู๋ใหญ่นั่นหลายครั้งเนี่ยนะ สรุปนายใช่ผู้เสียหายรึเปล่าฮะ ฉันเริ่มจะคิดขึ้นมาแล้วนะว่าใครกันแน่ที่บ้ากาม นายหรือว่ามัน!”

“ก...ก็ตอนนั้นฉันไม่รู้ว่ามันจะหายหัวไปแบบนี้นี่นา ตอนนั้นฉันกับมันก็ไปด้วยกันได้ดีหมดทุกอย่าง ใครจะไปรู้ว่ามันจะเป็นยักษ์ที่ไร้ความรับผิดชอบ ทิ้งฉันไว้ให้นอนกลัวอยู่ในรังของมันกับลูก!” สิ้นคำของแวนกัสแล้ว เจ้าตัวก็มุ่นคิ้วกอดอกมีอารมณ์หลังจากเล่า จากสีหน้างอนก็เปลี่ยนมาเศร้าอีกครั้ง “นายไม่รู้หรอก ว่าฉันรอมันนานขนาดไหน คิดว่ายังไงมันจะต้องกลับมาหาฉันกับลูกแน่ แต่มันก็ไม่มา เลวสิ้นดี...”

เชนนิ่งไป “นายรอมันนานขนาดไหน”

“เป็นเดือน แม้กระทั่งวันที่นายมาเห็นแล้วชวนให้ฉันพาลูก ๆ ออกมาอยู่ข้างนอก ฉันก็ยังคงรออย่างมีหวัง”

เชนจำวันนั้นได้ วันที่เขากลับไปเยี่ยมแวนกัสในป่าอีกครั้งหลังจากห่างหายไปหลายเดือน เขาเห็นแวนกัสกำลังเลี้ยงเด็กและดูซูบผอมลงไปจากเมื่อก่อน แววตาเพื่อนของเชนกำลังโศก เล่าเพียงว่ามีคนเอาเด็กมาทิ้งไว้ที่หน้าบ้านเท่านั้น และท่าทางของแวนกัสช่วงนั้นก็เหมือนกำลังรอใครสักคนอยู่จริง ๆ

หรือแวนกัสจะไม่ได้โกหกคิดไปเอง แม้แต่วันสุดท้ายที่เจ้าตัวตัดสินใจไปเพราะห่วงเด็ก ๆ เชนยังเห็นแวนกัสชะเง้อคอมมองเข้าไปในป่าอยู่เลย ยามนั้นเขาคิดเพียงว่าเพื่อนเองก็คงผูกพันกับที่นั่น เลยอยากมองเป็นครั้งสุดท้ายเท่านั้นเอง

หากเป็นเช่นแวนกัสเล่าจริง แวนกัสก็คงตรอมตรมมาตลอดสิบหกปี เจ้าตัวเองก็ไม่ได้อยากเกลียดเจ้ายักษ์นั่น เพียงแค่ไม่เข้าใจ ว่าทำไมต้องทิ้งเจ้าตัวกับลูกไว้ในป่าแล้วหนีไปอย่างนั้นกระมัง เชนคิดขณะปล่อยให้คนข้างกายจมดิ่งไปกับความรู้สึกบางอย่างในอก ชายหนุ่มตะปบไฟเลี้ยวมาจอดอยู่ที่บ้านพักของแวนกัสหลังจากพาไปพบจิตแพทย์ กว่าจะมาถึงบ้านก็เวลาบ่ายสามกว่าแล้ว

แวนกัสลงไปอยู่ที่ฟุตบาธ ยกยิ้มให้เพื่อนอย่างรู้ทัน “ขอบใจที่แกล้งเข้าใจคนบ้าอย่างฉันนะเชน นายเป็นเพื่อนที่ดีของฉันเสมอเลย ฉันรักนายนะ”

“เลิกทำตัวน่าขนลุกซักทีเถอะน่า”

“เราน่าจะเกี่ยวดองกันไว้นะ ลูกสาวนายก็น่ารักดี สนใจลูกชายฉันบ้างไหมล่ะ” แวนกัสดอกอก

คนฟังเลิกคิ้วแล้วยิ้ม “ลูกชายนายได้แค่หน้าตาดีไปวัน ๆ”

“นี่ คนหน้าตาดีน่ะมีชัยไปกว่าครึ่งนะ คนสมัยนี้มองที่รูปลักษณ์กันอยู่แล้ว”

“หึ! รอให้ลูกชายนายสอบได้เอสักคนเถอะ”

คนฟังกุมหน้าอก “เป็นคำด่าที่เจ็บปวดที่สุดเลยไอ้เพื่อนบ้า!”

“เอลลี่ชอบคนฉลาดนายก็รู้ ลูกนายไม่ผ่านสักคน”

“แต่ลูกชายฉันหล่อนะ ฉันเองก็ชอบเอลลี่ วิลเองก็คงชอบเหมือนกัน”

เชนยกยิ้ม “ฉันก็ชอบวิล แต่เอลลี่บอกว่าวิลหน้าตาเหมือนกิ้งก่าโดนรถเหยียบ เธอชอบเคลน่ะ”

“พี่ใหญ่อกหักซะแล้วสิ เธอพูดแบบนี้กับคนที่เป็นแฝดได้ลงคอเหรอเนี่ย ใจร้ายแล้วก็ปากร้ายเหมือนนายไม่มีผิด” แวนกัสบ่นจนผู้เป็นเพื่อนต้องยิ้มขันตาม แล้วเลิกคิ้วแปลกใจกับมือถือของแวนกัสที่จู่ ๆ ก็ดังขึ้นมา อีกฝ่ายรีบกดสายเมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์ของเคล คงเกรงว่าจะเกิดเรื่องขึ้นที่โรงเรียน “ว่าไงเคล ลูกเปลี่ยนไปงั้นเหรอ ให้พ่อไปรับมั้ย หา...ที่โรงเรียนงั้นเหรอ!”

ท่าทีของแวนกัสทำให้เชนแปลกใจ “เกิดอะไรขึ้น”

“วิล วิลหายไป”

“อีกแล้วเหรอ!” เชนเสียงดังอย่างไม่เข้าใจ เด็กบ้านนี้เป็นอะไรกันหมด

“เคลบอกว่าที่โรงเรียนเกิดเรื่องแตกตื่นขึ้น เหมือนมีคนเห็นตัวประหลาด ฉันเกรงว่าจะเป็นวิลน่ะสิ”

“อะไรนะ”

“เร็วเข้า นายนำไปที่โรงเรียนก่อน ฉันจะขับตามออกไป” แวนกัสไม่อธิบายอันใดเพิ่มอีกนอกจากหันรีหันขวางไปหารถยนต์ของตัวเอง เห็นเช่นนั้นแล้วเชนก็จำต้องทำตามความต้องการเพื่อนไปก่อน แม้เขาจะแสร้งว่าเข้าใจอย่างที่แวนกัสกล่าวหา แต่อย่างไรเชนก็ยังยืนอยู่ในจุดที่อิงด้วยความเป็นจริงเสมอ

ชายหนุ่มไม่อาจเชื่อได้ จนกว่าจะเห็นกับตา และการมุ่งหน้าไปยังโรงเรียนคือคำตอบที่ดีที่สุด

 

๑๖ ปีก่อน

ตั้งแต่คืนที่ถูกแวนกัสจับได้นั้น เจ้ายักษ์ร้ายก็ไม่มาวนเวียนแถวบ้านพักของชายหนุ่มอีกเลย แต่ถึงอย่างนั้นทุกครั้งที่แวนกัสตื่นขึ้นมาก็ยังมีดอกไม้ป่ามาวางไว้ให้อยู่เสมอ คาดว่ามันน่าจะไหวตัวทัน แล้วเปลี่ยนเวลามาในยามที่แวนกัสหลับลงไปจริง ๆ

“กลับก่อนนะเพื่อน แล้วเจอกัน” เชนโบกมือลาจากบนรถ

“เดินทางปลอดภัยนะ”

“แล้วฉันจะรีบว่างมานะ นายอย่าเหงาไปเลย”

“ไม่เหงาหรอกน่า นายไปฉันดีใจที่สุดเลย”

“หน็อยไอ้เบื๊อกนี่!” เชนตะโกนเอาเรื่องแล้วยิ้ม “เดี๋ยวก็ไม่กลับเลยนี่”

“ฮิฮิ” แวนกัสยิ้มขณะยืมโบกมือลา มองตามรถของเพื่อนรักที่ค่อย ๆ เคลื่อนออกไปตามซอยเล็กอันถูกปกคลุมด้วยดอกหญ้าที่กำลังขึ้นสูงเพราะหน้าฝน ชายหนุ่มก้มลงมองยังดอกหญ้าช่อเล็กในกระเป๋าเสื้อที่ได้รับมาเมื่อเช้า แล้วก็ถอนใจ เพราะอะไรกันที่ทำให้แวนกัสรู้สึกเป็นห่วงเจ้ายักษ์นั่นขึ้นมา ทั้งที่มันใช้ชีวิตอยู่ที่นี่นานกว่าเขาเสียอีก

มันกลัวเขาถึงเพียงนั้นเชียวหรือ เป็นยักษ์ประสาอะไร ตัวก็โตแต่ใจปลาซิวนัก

เมื่อเช้าฝนตกไปรอบหนึ่งแล้ว ทำให้ยามนี้แดดออกจนรายรอบสว่างจ้าขึ้นมา ต้นไม้ใบหญ้ายังคงเปียกแฉะอยู่ไปทั่วทุกสารทิศ แวนกัสเดินไปยังหลังบ้านอย่างไม่อาจรู้ได้ว่าไปทำไม ชายหนุ่มหันซ้ายแลขวาราวกับว่าจะเจอบางสิ่งกำลังซุ่มมองดูเขาเหมือนทุกทีไป หากทว่าว่างเปล่า

ความรู้สึกตัวคนเดียวมันน่ากลัวแฮะ ไม่รู้ทำไม...แวนกัสรู้สึกว่าการถูกเจ้ายักษ์นั่นมองอยู่มันปลอดภัยกว่า ชายหนุ่มคิดแล้วก็ก้มลงมองตัวเองในน้ำ แวนกัสมุ่นคิ้ว คิดว่าตัวเองก็ไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้นนี่นา เหตุใดอสูรตัวใหญ่นั่นถึงได้เกรงกลัวที่จะถูกเขาเห็นนัก ขณะคิดไปเรื่อย ลำขายาวก็ไม่หยุดก้าว และเพราะฝนเพิ่งตกทำให้ก้อนหินเต็มไปด้วยน้ำจนลื่น

“อุ๊ย! อา...เจ็บ ๆ ๆ”

เสียงมนุษย์น้อยอีกฝั่งของป่าดังขึ้นบอกว่ากำลังเจอเข้ากับอันตราย มันผุดตัวลุก พุ่งออกไปด้านนอกจนเกิดเสียงลมหวิวดังตามหลัง แม้จะอยู่อีกฝั่งของป่าทว่าหูของมันดีเกินกว่าสัตว์ชนิดอื่นหลายสิบเท่านัก ไปถึง ยักษ์ใหญ่ได้กลิ่นของเลือดที่กำลังหอมหวน หากทว่ามันไม่อาจหาญพอจะพุ่งเข้าไปช่วยเหมือนคราวก่อน เพราะมนุษย์น้อยมองเห็นมันแล้ว

มนุษย์น้อยมองเห็น และพูดจากับมัน

ด้านหน้าเห็นเป็นอีกฝ่ายกำลังนั่งอยู่บนโขดหิน เนื้อตัวเปียกน้ำเพราะลื่นล้ม ที่ฝ่ามือมีรอยแผลถลอกและเลือดไหลออกมาเล็กน้อย แต่สีหน้าของมนุษย์นั้นกำลังเจ็บปวด ขณะที่ชะโงกมองออกไปจากต้นไม้ใหญ่ อีกฝ่ายก็เหมือนรู้ว่ามันมาที่นี่ ร่างน้อยหันใบหน้าขาวขวับมาทิศนี้อย่างชาญฉลาด มันจึงรีบหลบซ่อนมิยอมให้เห็นเหมือนเก่า

หากถูกมนุษย์เห็นเข้า มันไม่ดี อาจถูกเบื้องบนทำโทษก็เป็นได้

แต่มนุษย์น้อยก็น่าเอ็นดูและน่ากินเกินไปจนอดใจไม่ไหว มันคิดขณะที่หัวใจเต้นไหวราวกำลังจะตายลงไปแล้ว แล้วเลือกที่จะลองชะโงกมองออกไปเพราะมิอาจบังคับหักห้ามใจได้ เพราะทุกคืนก็ทำได้เพียงแค่แอบมองอยู่ไกล ๆ ในความมืดเท่านั้น ด้วยเกรงว่าจะถูกจับได้อีกรอบ

มันกุมหัวใจตัวเองมองออกไปยังลำธารฝั่งตรงข้าม หากทว่าน่าแปลกที่อีกฝ่ายกำลังบาดเจ็บได้หายไปแล้ว เจ้ายักษ์งุนงงไม่เข้าใจ กวาดสายตามองเข้าไปถึงที่บ้านทว่าไร้ร่างของมนุษย์ตัวจ้อย มันผละออกจากต้นไม้ไปยังริมธารเพื่อมองหาอย่างนึกหงุดหงิด

“หาอะไรอยู่เหรอ”

“โฮก!” มันร้องเสียงหลง กระโดดล้มกลิ้งไปในลำธารด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าสิ่งที่ตามหาจะมายืนหยุดอยู่ด้านหลังมันได้ เจ้ายักษ์ตกใจเมื่อเห็นชัดเจนแล้วว่ามนุษย์กำลังยืนกอดอกมองมาที่มัน มันขยับร่างหนีไปหมอบหลบที่โขดหินเว้นระยะห่าง แม้เจ้าก้อนหินจะเล็กกว่าตัวของมันก็ตาม

“นายหาฉันอยู่งั้นเหรอ” คนตรงหน้าถาม

เจ้ายักษ์ไม่ตอบ มันตั้งท่าจะหนีอีกรอบ

เห็นดังนั้นแวนกัสก็รีบดักหน้า “ไม่ต้องกลัว ฉันไม่ทำอะไร นายสบายใจได้”

แวนกัสยกยิ้มให้เจ้าขี้กลัวที่พยายามงุดหน้าซ่อนอยู่หลังโขดหิน ชายหนุ่มค่อย ๆ ขยับก้าวขาไปหยุดอยู่ริมฝั่งของลำธารอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่รู้ว่าตัวเองตัดสินใจถูกหรือเปล่าที่เลือกจะเดินเข้าหายักษ์ตัวใหญ่เบื้องหน้า ไม่นาน คนตัวน้อยก็หยุดอยู่ข้างโขดหิน ลอบมองรูปร่างของมันอย่างถี่ถ้วนว่าเป็นอย่างไรแน่

ตัวของอสูรร่างยักษ์จมน้ำที่สูงเท่าเข่า รอบกายของมันถูกน้ำชะล้างโคลนให้เห็นผิวสีน้ำตาลเข้ม ไม่ใช่ซี...นั่นไม่ใช่สีผิว แต่เป็นสีขนอันสั้นทั้งตัวของมันต่างหาก บนกายสวมเพียงผ้าเตี่ยวขาดวิ่นจนเกือบโป๊ ตามเรือนผมยาวลากดินมีกิ่งไม้หักแซมเกาะไปทั่ว และมีเขาใหญ่แหลมโผล่ขึ้นมา

“ไม่ต้องกลัว” แวนกัสว่า เท่านั้นตัวของยักษ์ก็สั่นหงึกกว่าเก่าทันทีที่ได้ยินเสียงของเขา มันไม่พูดจา บางทีการอาศัยอยู่ในป่าอาจทำให้มันไม่รู้จักภาษาก็เป็นได้ ชายหนุ่มคิดแล้วก้มลงมองที่ดอกไม้ช่อเล็กในกระเป๋าเสื้อของตัวเอง ควักออกมาถือ ก่อนจะถาม “เจ้านี่ นายเป็นคนเอามาให้ฉันใช่มั้ย”

ชายหนุ่มแกว่งมือไปมาให้มันสนใจ และเป็นวิธีที่ใช้ได้เสียด้วย แวนกัสเห็นนัยน์ตาสีแดงเพลิงนั้นช้อนขึ้นมาสบ จ้องกับดอกไม้ที่เขาถือ บนใบหน้าของมันเปื้อนเปรอะด้วยเศษดินจนมองไม่รู้ว่าหน้าตาอย่างไร แต่ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดเลย มันออกจะเหมือนคนมากกว่า คนที่มีเขี้ยวยาวกว่าปกติน่ะนะ...

“นี่...”

เจ้ายักษ์สะดุ้งถอยตัวหนี เมื่อเขาตั้งใจจะก้มไปถามอีกครั้งว่าของสิ่งนี้ มันตั้งใจเอามาให้เขานั้นมีความหมายความอย่างไร แวนกัสไม่เข้าใจเลยว่ามันกลัวมนุษย์ได้อย่างไรทั้งที่ตัวก็โตกว่าเขาถึงสองเท่า

“ไม่ต้องกลัว ฉันสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรนาย” ชายหนุ่มกล่าวเสียงเบา แล้วเอียงคอมองว่าอีกฝ่ายจะตอบสนองอันใด เจ้ายักษ์ไม่ยินยอมที่จะวางใจ หรือนี่ไม่ใช่สิ่งที่มันกลัวกันหนอ ชายหนุ่มคิดแล้วลูบคางตัวเอง ทบทวนว่าเหตุใดมันถึงเอาแต่หลบซ่อนก็ถึงบางอ้อขึ้นมาทันที

เพราะมันกลัวที่จะถูกใครเห็นอย่างไรเล่า...

“เอาเป็นว่าฉันจะไม่บอกใครว่านายมีตัวตน เรื่องนี้ฉันจะรู้แค่คนเดียวเท่านั้น ตกลงไหม”

แวนกัสสะดุ้งถอยกรูด เมื่อทันทีที่ได้ยิน เจ้ายักษ์ก็ยอมโผล่ออกมาพยักหน้าหงึกหงักทันที ชายหนุ่มอ้าปากค้างเพราะทราบแล้วว่ามันไม่ได้เกรงกลัวว่าเขาจะทำร้ายสักเพียงนิด มันแค่ไม่อยากให้ใครรู้ว่ามันมีตัวตนบนโลกใบนี้เท่านั้นเอง

แล้วเขาจะปลอดภัยหรือไม่ เพราะแค่เขาตาย ทุกคนบนโลกใบนี้ก็ไม่รู้ว่ามันมีตัวตนแล้ว มันจะฆ่าเขาปิดปากไหมหนอ คิดแล้วชายหนุ่มก็ตัวแข็ง แหงนมองเจ้ายักษ์ร้ายที่ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงตรงหน้าราวกับสถานการณ์ตอนนี้ตาลปัตรไปเรียบร้อยแล้ว กลายเป็นฝ่ายเขาแล้วที่ต้องกลัวมันทำร้าย...

“อึก” หาเรื่องใส่ตัวแท้ ๆ

แวนกัสกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ จ้องเจ้ายักษ์เบื้องหน้าตาไม่กะพริบ

มือใหญ่เหม็นสาบของมันเปียกน้ำ เสียงหยดติ๋งสะท้อนในประสาตชายหนุ่มดังก้อง แต่ที่ทำได้คือยืนนิ่งมองมือยักษ์ตรงหน้าเอื้อมมาแตะที่ปลายจมูกอย่างเบาที่สุดเท่านั้น ทันทีที่มันถึงผิว แวนกัสก็หลับตาปี๋คิดว่าตัวเองต้องตายแน่ หากทว่าชายหนุ่มคิดผิด เมื่อลืมตาขึ้นมาแล้วเห็นเพียงดวงตาสีเพลิงกำลังมองเขาไม่วางตา และมันก็เป็นประกายกว่าทุกครั้งเสียด้วย

เหมือนคืนนั้นเลย เจ้านี่กำลังมองเขาเป็นของน่ารักน่าเอ็นดูจริง ๆ ด้วย...

บางที ฝ่ายเขาคงคิดมากไปเองกระมัง

บางที...ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่างนั้น ก็อาจจะเป็นของขวัญในการขอผูกมิตรเท่านั้นเองก็เป็นได้

แวนกัสยกยิ้มขึ้น ขณะเป็นฝ่ายเอื้อมมือไปแตะปลายจมูกโด่งของอีกฝ่ายเช่นกัน ความสูงของเขาไม่อาจเอื้อมถึงได้ และที่ทำให้ชายหนุ่มยิ้มกว้างกว่าเก่านั้นก็คงจะเป็นความน่ารักของเจ้าอสูรเบื้องหน้า ที่ยอมค้อมหัวลงมาให้แวนกัสแตะได้ถึงอย่างรู้หน้าที่

อืม คงจะจริง...



-----------------------------------------------------------

จริงๆ แส้นผมของพี่ยักษ์มีความเป็นราพันเซลค่ะ 55555 แค่สีเงินสว่าง คือถ้าพี่ยักษ์ไม่โตมาแบบสมบุกสมบัน นางจะมีความใกล้เคียงเรื่องเล่าในหนังสือมาก คือหล่อรูปงามเหมือนเทพ แต่เดิมทีนางเป็นปิศาจที่เกิดจากความรักของเทพเจ้า ทำให้นางไม่มั่นใจในรูปร่างของตัวเอง บวกกับ......(บางอย่างที่ยังไม่อยากเฉลย) ทำให้นางเกรงกลัวมนุษย์ไปโดยปริยาย

พาร์ทอดีตคือน้องกับพี่ยักษ์กำลังไปได้ดี แต่ว่าพาร์ทปัจจุบันน้านนนนน ก็ดีไม่แพ้กัน อิอิ

เรื่องนี้กวางคือตัวดำเนินเรื่องค่ะ เจอกวางเมื่อไหร่มีเฉลยปมตลอด 55555

เพราะไม่ได้อัพนาน พรุ่งนี้จะอัพติดอีกหนึ่งวันค่ะ ฝากคอมเม้นด้วยเน้อออออ อยากอ่านฟีดแบค

 
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #5 up7.10.62
เริ่มหัวข้อโดย: shinyface ที่ 07-10-2019 21:16:50
 :hao5:


อ่านแล้วแอบงง ปมเยอะมากกกก ประมาณกี่ตอนจบคะนี่ แอบแง้มๆได้ไหมว่าจบแฮปปี้เอนดิ้งเปล่า??
 :mew2:
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #5 up7.10.62
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 10-10-2019 11:37:02
:hao5:


อ่านแล้วแอบงง ปมเยอะมากกกก ประมาณกี่ตอนจบคะนี่ แอบแง้มๆได้ไหมว่าจบแฮปปี้เอนดิ้งเปล่า??
 :mew2:

แฮปปี้เอนดิ้งค่ะ น่าจะประมาณยี่สิบห้าตอนจบนะคะ
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #6 up10.10.62
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 10-10-2019 22:37:10

#ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง

ตอนที่ ๖

๑๖ ปีก่อน

แวนกัสเป็นชายที่สูงตามมาตรฐานสากลและไม่เคยคิดเลยว่าตนเองเป็นของเล็กน้อยน่ารัก ทว่าเมื่อเทียบกับยักษ์ตรงหน้า ความสูงร้อยแปดสิบของเขาไม่เป็นผล แม้ว่าจะยื่นมือขึ้นไปจนสุดแล้วแต่ยังเอื้อมไม่ถึงปลายจมูกของอสูรร่างใหญ่ที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้า มันเอียงคอให้ แล้วจึงยอมโน้มมารับสัมผัสจากนิ้วเขาอย่างไม่เขินอาย

สภาพของมันบ่งบอกชายหนุ่มว่าเติบโตในป่าอย่างไม่ต้องสงสัย สกปรก เหม็นสาบเพราะคงไม่เคยอาบน้ำล้างเนื้อตัว และผมที่ยาวลากพื้น กว่าจะแหวกนิ้วผ่านกลุ่มเส้นผมแข็งเด่เกือบเท่าท่อนไม้นั้นไปแตะจมูกใหญ่ก็ยากพอสมควร

“สวัสดี ฉันชื่อแวนกัส” ชายหนุ่มชี้ที่ตัวเอง จ้องร่างตรงหน้าที่ค้อมลงมาเสมอกับส่วนสูงของชายหนุ่มราวกับกำลังเข้าใจ มันตกใจที่แวนกัสชี้ ถอยห่างไประยะก้าวเดินเท่านั้น “แล้วนาย ชื่ออะไร”

“ฮึ่ม...”

แวนกัสยกยิ้มกับท่าทางลุกลนนั้น แล้วอดขำไม่ได้ “นายฟังเข้าใจใช่มั้ย”

“ฮึ่ม!”

มันฟังเข้าใจแน่ แวนกัสเอื้อมยื่นดอกไม้ที่ถือออกไปให้ “นายชอบมันสินะ”

“ไม่!”

ชายหนุ่มไม่คิดว่าสิ่งตรงหน้าจะเอ่ยออกมาเป็นคำพูด เสียงของเจ้ายักษ์ต่ำและดังกังวานราวกับสัตว์ป่า แวนกัสเบิกตาขึ้นมา นัยหนึ่งคือตกใจและอีกนัยคือคำตอบที่ได้นั้นมันผิดจากที่คาด ชายหนุ่มก้มลงดอมดมดอกไม้สวยในมือแล้วจึงถาม “นายไม่ชอบดอกไม้ แล้วนายมีดอกไม้เยอะแยะได้ยังไง หรือนายสามารถเสกขึ้นมาได้”

มันเอียงคอราวไม่เข้าใจ แล้วตอบเพียงแค่ว่า “มนุษย์ ชอบ!”

“มนุษย์” แวนกัสย้อน แล้วอมยิ้มชี้มาที่ตัวเอง “หมายถึงฉันงั้นเหรอ นายรู้ได้ยังไง แอบมองฉันอยู่ใช่มั้ย”

อาจเป็นเพราะความอยากรู้อยากเห็น แวนกัสเอาแต่ถามอีกฝ่ายในขณะที่มองเจ้ายักษ์ตรงหน้าลุกลี้ลุกลนไม่ยอมจ้องตา มันแก้การประหม่าของตัวเองด้วยการเดินวนไปมาตรงโน้นทีตรงนี้ที ท้ายที่สุดชายหนุ่มก็ดึงเรือนผมแข็งสากนั้น “พอได้แล้ว นายทำฉันเวียนหัวนะ”

“มนุษย์หอม!”

แวนกัสอ้าปากค้าง เจ้ายักษ์นี่สมองช้าเกินกว่าจะถูกเขาไล่ถามได้ ชายหนุ่มจึงปรับอารมณ์ที่อยากรู้ของตัวเองไป ให้เพลาลง แล้วหันไปหายักษ์ใหญ่ที่เดินวนไปมาไม่อยู่สุข “นายชื่ออะไร”

“ไม่มี!”

ชายหนุ่มแปลกใจ “งั้น ทุกคนเรียกนายว่าอะไร”

“ไม่มี ใคร เรียก!”

“น่าเศร้าจัง” ชายหนุ่มเปรยพลางกอดอกนี่อาจจะจริงอย่างที่เจ้าอสูรตรงหน้าตอบก็เป็นได้ เพราะมันเองก็กลัวที่จะถูกมนุษย์เห็นถึงเพียงนี้ คิดแล้วแวนกัสก็เดินไปหยุดยิ้มอยู่ตรงหน้า “นายคงจะเหงาแย่เลยสินะที่ต้องอยู่ตัวคนเดียว นายไม่มีครอบครัวหรือพี่น้องบ้างเลยเหรอ”

“มี!”

“ฮะ” แวนกัสเกิดสนใจขึ้นมา “พวกเขาก็อยู่แถวนี้งั้นเหรอ อยู่ตรงไหน”

มันนิ่งไป เดินลุยน้ำไปนั่งห่อไหล่คอตกบนโขดหิน เงียบไปพักหนึ่ง “ไม่มี ชีวิต!”

“หมายถึงตายกันหมดแล้วงั้นเหรอ” ชายหนุ่มลุยแรงน้ำไปหา “เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา”

“มนุษย์ ทำร้าย!”

ได้ฟังแล้วแวนกัสก็รู้สึกจุกขึ้นมาทันใด ว่ากันว่ามนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวที่สุดในโลกใบนี้คงจะเป็นความจริง แม้กระทั่งปิศาจที่ตัวใหญ่ถึงขนาดนั้นยังเกรงกลัวได้ ชายหนุ่มทอดถอนใจ มองแผ่นหลังใหญ่มอมแมมนั้นกำลังคอตกราวกับเศร้าเมื่อได้กล่าวถึงพ่อแม่พี่น้องที่ต้องตายไปเพราะฝีมือมนุษย์ แต่แล้วแวนกัสก็สะดุ้ง เมื่อจู่ ๆ มือใหญ่ของมันก็ตะครุบอะไรบางอย่างอยู่ตรงหน้า

“ฮึ่ม!” ชายหนุ่มอ้าปากหวอ เมื่อในมือเป็นแมงมุมยักษ์ตัวสีดำที่เคยนอนตายอยู่ริมหน้าต่างของเขา บัดนี้ได้ถูกเจ้ายักษ์กำลังจับยัดเข้าปากทั้งเป็น และท่าทางของมันก็เอร็ดอร่อยเหลือเกิน เศษไส้สีขาวต่างกระจุยกระจายไปทั่วจนชายหนุ่มรู้สึกอยากอาเจียน

“น..นาย!” แวนกัสหยีหน้า “นายกินเจ้าพวกนี้ทุกวันเลยงั้นเหรอ”

มันชะงักกึก ที่ขอบปากยังมีขาของแมงมุมแสนโชคร้ายเกาะอยู่ แล้วก็ยื่นมาแบ่งให้ “ดี!”

“ไม่ดีโว้ย!”

มันเอียงคอคิด “หนอนดี!”

“ไม่ดีเหมือนกัน!”

มันชะงัก แล้วเบิกตาขึ้น “งู!”

“งูก็ไม่ดี!”

“ไส้เดือน...”

“พอแล้ว พอ!” แวนกัสยกมือปรามอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าเจ้าสิ่งตรงหน้านั้นกินอะไรมาบ้าง ชายหนุ่มมุ่ยหน้า ยกนิ้วชี้ออกคำสั่งให้ปล่อยของในมือทิ้ง เจ้ายักษ์ใหญ่อึ้งไปแต่ยอมทำตามแต่โดยดี “ตามฉันมาเดี๋ยวนี้เลย เร็วเข้า ฉันจะบอกว่าอะไรที่นายควรกินหรือไม่ควรกิน”

“กิ่งก่า!”

แม้กระทั่งยามที่แวนกัสบอก เจ้าตัวใหญ่ยังไม่ได้สนใจฟังชายหนุ่มเลย มันทำท่าจะกระโจนไปจับกิ่งก่าที่วิ่งอยู่บนต้นไม่อีกฝั่ง แวนกัสสับขาวิ่งไปกางแขนดักหน้า “ไม่ ๆ ๆ ๆ นายกินของพวกนี้ไม่ได้ นายต้องปล่อยพวกมันไป”

“นก!”

“ไม่ได้ นกก็ไม่ได้” ราวกับว่าแวนกัสกำลังคุยกับเสือดาวตัวใหญ่ ทันทีที่มันเห็นเหยื่อก็ตั้งท่าจะกระโจนจับให้จงได้ แต่ทันทีที่เขาคว้าข้อมือของมันไว้ให้หยุด เจ้าเหม็นสาบตรงหน้าก็ชะงักราวถูกไฟฟ้าช็อตไปทั่วทั้งร่าง มันตัวสั่นแล้วนิ่งราวกับถูกมนต์สะกด จากที่กำลังสนใจเหยื่อพลันหันมาจับจ้องเขาแทน เอ...หรือมันเห็นเขาเป็นเหยื่อแทนแล้ว

ชายหนุ่มรู้สึกแปลกใจที่มันยอมเชื่อฟังเขาราวกับเป็นสัตว์เลี้ยงที่ถูกฝึกมาอย่างดี แต่นอกจากท่าทางใสซื่อนั้นแล้ว ในแววตาสีแดงเพลิงนั้นก็ยังเป็นประกายอยู่เสมอ ยามจับจ้องแวนกัส ชายหนุ่มผละมือที่บังคับจับให้อสูรร้ายหยุดออก แล้วเป็นฝ่ายเดินนำกลับไปยังที่บ้านด้วยความเงียบเชียบ

“เห็นแก่ที่นายไม่มีเพื่อนเลย ฉันจะเป็นเพื่อนให้นายก็ได้” ชายหนุ่มพูด หันไปยังคงเห็นเจ้าตัวใหญ่เดินตามมาเรื่อย ๆ และทั้งที่บอกออกไปเช่นนั้น ฝ่ายแวนกัสเองต่างหากที่กำลังเหงาจนอยากมีใครสักคนให้คุยด้วยบ้าง ชายหนุ่มยกยิ้ม แล้วเดินเข้าไปด้านใน ดูเหมือนจะรู้ว่าตัวเองควรจะไปที่ไหน ทันที่เข้าไปในห้องพัก ชายหนุ่มก็เห็นร่างใหญ่ยืนค้อมหัวอยู่ริมหน้าต่างแล้ว

เจ้านี่มันร้ายกาจไม่เบา แวนกัสคิดแล้วก็เดินกลับไปที่ครัว ชายหนุ่มหยิบซองขนมและแคร็กเกอร์บางส่วนติดมือมาด้วย แล้ววางไว้ที่ขอบหน้าต่าง

“นี่ของนาย” แวนกัสบอก เจ้ายักษ์เอียงคอ มันก้มลงดอมดมฟุดฟิดแล้วจะหยิบเข้าปาก แวนกัสถึงกับเหวอร้องห้าม “เดี๋ยวก่อนซี่ นายต้องแกะมันออกมาก่อน แบบนี้น่ะ...” ชายหนุ่มหยิบมาฉีก เสียงของพลาสติกดังเสียดสีกันทำเอาเจ้ายักษ์ตรงหน้าปิดหูด้วยความหวาดกลัว

“หืม...” เจ้าของบ้านเลิกคิ้ว “นายกลัวเสียงนี่เหรอ”

ยักษ์ใหญ่พยักหน้าหงึกหงักยอมรับ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เจ้านี่ยังไม่คุ้นชิ้น และแวนกัสคิดว่าชายหนุ่มต้องใช้เวลาในการเรียนรู้กับเพื่อนใหม่สักพัก ชายหนุ่มยกยิ้มเล็กน้อยในความน่าเอ็นดูยามมือใหญ่ยกกุมหูทั้งสองข้าง แกะแล้วยื่นให้อีกฝ่ายรับไปถือ ก็แค่คุ้กกี้ที่สอดไส้ช็อกโกแลตธรรมดา แต่แวนกัสมั่นใจแน่ว่าเจ้าตัวใหญ่ตรงหน้าต้องแปลกใจ

ทันทีที่มันเคี้ยวก็อ้าปากเหวอ ปฏิกิริยาน่าขันเสียจนแวนกัสต้องหัวเราะออกมา “นายนี่มันน่ารักเกินไปแล้วนะ ของพวกนี้รสชาติดีกว่าพวกหนอนหรือแมงมุมใช่มั้ยล่ะ”

เจ้ายักษ์ตรงหน้ายอมรับด้วยการผงกหัวอีกครั้ง กำคุ้กกี้เข้าปากเสียทีเดียวอย่างติดใจ

“ถ้านายชอบ ฉันจะแกะไว้ให้นายทุกวันก็แล้วกัน รีบมาเอาก่อนที่มดจะแย่งกินหมดเข้าใจมั้ย” ชายหนุ่มบอกขณะที่มองยักษ์ตรงหน้ามีความสุขกับรสชาติแปลกใหม่ “เพื่อขอบคุณที่นายเอาดอกไม้มาให้ฉันอยู่ทุกวันจนเต็มห้อง แล้วก็ในฐานะที่เราเป็นเพื่อนกันแล้ว นายอย่าแอบมาตอนที่ฉันไม่รู้ตัว ต้องเรียกให้ฉันออกมาต้อนรับด้วยการเรียกชื่อ”

เจ้ายักษ์ชะงัก “มนุษย์...”

“นายจำชื่อฉันไม่ได้รึไง แวนกัสไง แวนกัส...”

“แฟนเกิซ!” มันรีบว่า

“สำเนียงเป๊ะมาก”

“แฟนเกิซ!”

“อย่างนั้นแหละ” ชายหนุ่มยกนิ้วโป้งให้

มันยกนิ้วตาม “แฟนเกิซ!”

“เยี่ยมยอด!” คนฟังปรบมือ ส่วนคนพูดก็กระโดดโลดเต้นอยู่ข้างนอกเสียบริเวณโดยรอบเละเทะไปด้วยรอยเท้าใหญ่ จากสภาพที่มอมแมมอยู่แล้วก็ยิ่งสกปรกไปกว่าเก่า เห็นแล้วแวนกัสก็ทำได้เพียงยิ้มอย่างนึกเอ็นดูมันที่ออกจะอารมณ์ดีเกินไป แล้วจึงเลือกเปลี่ยนเรื่องขึ้นมา “นายเรียกชื่อของฉันได้แล้ว แล้วจะให้ฉันเรียกนายว่าอะไรดีล่ะ ให้เรียกเจ้ายักษ์ก็คงแปลก”

ดูท่ามันก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นอะไร ทันที่ทีเขาเริ่มประเด็น มันก็ชะงักกึกไปในทันที เห็นแล้วแวนกัสก็ยกยิ้ม ลูบคางตัวเองครุ่นคิดพักหนึ่ง “เอ...หรือว่านายจะให้ฉันตั้งชื่อให้นายเอง ดีมั้ย”

มันพยักหน้า “ดี!”

คนฟังยิ้มแล้วยกนิ้วขึ้น “เคลวินน์เป็นไง ฮ่า...ชื่อเหมาะกับนายจริง ๆ นะ”

“เคลฟินน์!” มันชี้ตัวเอง

“ใช่”

มันลิงโลด “เคลฟินน์!”

“อื้ม...” แวนกัสไม่เคยคิดเลยว่าการได้ชื่อจากเขาจะทำให้ยักษ์ตรงหน้าดีใจถึงเพียงนี้ มันร้องโฮกเสียงดัง วิ่งไปมาแสดงออกถึงอาการตื่นเต้นอีกครั้ง ชายหนุ่มทำได้เพียงแค่นั่งเท้าคาง มองตามยักษ์ร่างใหญ่ที่กำลังโลดเต้นอยู่ข้างนอกด้วยรอยยิ้มเท่านั้น

และกลายเป็นว่า การได้นั่งมองเคลวินน์ลองสิ่งใหม่ ๆ ที่เขานำไปให้นั้นเป็นกิจวัตรประจำวันของแวนกัสไปเรียบร้อยแล้ว ทุกเช้า ชายหนุ่มจะต้องรู้สึกตัวเพราะเสียงเคาะกระจก พลิกกายหันไปจะเห็นเงาตะคุ่มของยักษ์ใหญ่กำลังค้อมมาเกาะที่ขอบหน้าต่างราวกับเป็นนาฬิกาปลุก ชายหนุ่มยิ้มแม้เพิ่งจะตื่นนอน ลุกเดินไปที่ครัวแกะขนมยื่นไปให้ทุกที แลกกับดอกไม้แสนสวยที่อีกฝ่ายเอามาให้

เจ้ายักษ์แสร้งดมดอกไม้ที่มันถือ น่าแปลกที่ภาพตรงหน้ามันดูขัดตาแวนกัสแต่กลับทำให้ชายหนุ่มรู้สึกดีประหลาด และเข้าใจโลกได้มากขึ้นกว่าเก่าว่าเขาไม่ควรตัดสินอะไรเพียงแค่ภายนอก ดูเคลวินน์เป็นตัวอย่าง ยักษ์สูงสามเมตร ตัวใหญ่กว่ามนุษย์สองเท่าเบื้องหน้า กำลังก้มดมดอกไม้แสนสวยด้วยท่าทางเบามือ แทนที่จะเห็นแล้วขัน แวนกัสกลับเห็นรังสีอ่อนโยนอยู่ในนั้น

ก่อนที่เจ้ายักษ์จะยื่นมาให้ “ให้แฟนเกิซ”

คนรับยิ้มแล้วยกขึ้นสูดดมบ้าง “อืมหอม นี่ดอกอะไร”

“ดอกแฟนเกิซ”

คนฟังนึกขัน “นายตั้งชื่อดอกนี่ด้วยชื่อของฉันเหรอ”

“ดอกนี้ หอม เหมือน แฟนเกิซ” มันผายมืออธิบาย คนฟังได้ยินแล้วรู้สึกแปลก ไม่รู้เหตุใดเขาถึงนึกภาพสมัยก่อน ยามแสร้งไม่รู้ไม่เห็นร่างของเคลวินน์ เจ้ายักษ์ดอมดมเขาไปทั่วร่างอย่างอยากรู้อยากเห็น ดมไปทุกส่วนจริง ๆ คิดแล้วแวนกัสก็กระแอมแก้เขิน เพราะทุกส่วนที่เขาหมายถึงคือทุกส่วน เจ้ายักษ์ด้านนอกไม่เว้นว่างตรงไหนเลย

“นายห้ามมาดมตัวฉัน ทำแบบนั้นมันเข้าข่ายคุกคามทางเพศนะ รู้มั้ย นายต้องเรียนรู้เรื่องการให้เกียรติเพื่อนร่วมโลกด้วย” ถึงแม้จะรู้ดีว่าอย่างเคลวินน์นั้นไม่ได้พบปะกับใครนัก แต่แวนกัสก็ทำเป็นสอนไปอย่างนั้นเอง ถึงอีกฝ่ายจะซื่อบื้อและหัวช้าเรื่องจดจำ ไหนจะสมาธิสั้น พูดง่าย ๆ ว่าโง่ก็ได้ แต่เกี่ยวกับความรู้สึกของแวนกัสนั้น อีกฝ่ายจดจำได้ดีเลยทีเดียว

ชายหนุ่มไม่ได้อยากเข้าข้างตัวเองนักหรอก แต่เพราะความว่าง่ายของเจ้านี่นั่นแหละ ที่ทำให้แวนกัสสบายใจที่จะพบเจอและอยู่ด้วยได้ตลอด ชายหนุ่มมองตามสารรูปของเคลวินน์แล้วส่ายหน้า เจ้านี่อยู่แบบนี้ไปลงได้ยังไง

“นายชอบกลิ่นหอม ๆ แล้วทำไมไม่รู้จักอาบน้ำซะบ้างล่ะ”

“อาบ น้ำ” มันย้อน

“นี่นายไม่รู้จักการอาบน้ำรึไง”

“แก้ผ้า”

คนฟังถลึงตา “ก็รู้นี่”

“แฟนเกิซ อาบน้ำ ทุกวัน”

“หา!” ชายหนุ่มย้อน “นายรู้...”

มันพยักหน้า “เห็น”

“นายแอบดูฉันอาบน้ำด้วยเหรอ!”

ผู้ถูกถามพยักหน้า แล้วทำท่ายีหัวและถูตามตัวให้ดูอย่างละเอียดราวกับไม่ใช่ครั้งสองครั้งที่แอบดู ชายหนุ่มรู้สึกถึงลมที่วิ่งขึ้นหู อยากจะร้องว้ากใส่หน้าไอ้ยักษ์เหม็นสาบที่ยังทำหน้าแป๋วเกาะหน้าต่าง ก่อนจะกุมที่อกผ่อนปรนอารมณ์ บอกตัวเองว่าเคลวินน์อาจไม่รู้จริง ๆ ก็ได้ว่าปกติคนเขาไม่แอบมองใครอาบน้ำ เพราะมันจะกลายเป็นโรคจิต

ชายหนุ่มยกนิ้วชี้ “ห้าม มาแอบดูฉันอาบน้ำอีกเด็ดขาด”

“ทำไม”

“ยังจะถามอีก ห้ามคือห้าม ไม่อย่างนั้นฉันจะเกลียดนาย เข้าใจไหม”

“เข้าใจ” มันตอบเสียงเศร้า ทั้งที่แวนกัสคิดว่าอีกฝ่ายก็ยังคงไม่เข้าใจอย่างที่บอก เพราะที่ตัวของเจ้ายักษ์นั้นเกือบจะเปลือยแล้วน่ะซี มันคงคิดว่าเป็นเรื่องปกติที่จะเห็นเรือนร่างของอีกฝ่าย ชายหนุ่มเก็บอารมณ์ไม่พอใจของตัวเองลง หลังจากได้ยินคำมั่นของเคลวินน์ ตั้งใจจะเดินไปจัดการธุระส่วนตัวแล้วทำมื้อเช้ากินบ้าง หากทว่าฝีเท้าชายหนุ่มชะงัก เมื่อนึกอะไรสนุกขึ้นมาได้ จึงหมุนตัวกลับไปหา “นี่...”

เคลวินน์เดินกลับมาเกาะที่หน้าต่างอีกครั้งเร็วไว รอคำที่แวนกัสจะพูด

“ฉันจะจัดปาร์ตี้น้ำชาอยู่หลังบ้าน นายอยากแวะมาเป็นแขกของฉันมั้ย”

ได้ฟัง เคลวินน์ก็พยักหน้า “ยาชายาชา!”

“น้ำชาโว้ย” แวนกัสยิ้มกว้างแล้วเดินกลับไปหาอีกฝ่าย ก้มลงมองตั้งแต่หัวจรดเท้า “แต่แขกของฉันจะต้องตัวหอมแล้วก็สะอาดสะอ้านสักหน่อยนะ นายควรอาบน้ำแล้วก็ขัดขี้ไคลก่อนจะกลับมาเจอฉันมื้อเที่ยง ฉันมีของอร่อยให้นายกิน รวมถึง...”

สายตาของชายหนุ่มกวาดมองไปตามลำตัวของอีกฝ่าย ซึ่งจริง ๆ แล้วแวนกัสไม่ได้อยากยัดเยียดวัฒนธรรมของมนุษย์ให้อีกฝ่ายเท่าใดนัก เพราะรู้ดีว่ายักษ์ก็คือยักษ์ แต่อย่างน้อยหากเคลวินน์อยากจะคบค้าสมาคมกับชายหนุ่มนั้น ก็ไม่ควรเปลือยกายจนแทบจะทุกส่วนเช่นนี้ รวมถึงเรื่องความสะอาดด้วย

“นายควรใส่อะไรที่มันมิดชิดกว่านี้หน่อยนะ คิดงั้นมั้ย”

หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #6 up10.10.62
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 10-10-2019 22:38:05
(ต่อ)

แวนกัสรู้ ว่ากำลังหางานยากเย็นมาให้ตัวเองทำอยู่ แต่ชายหนุ่มไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเลยเพราะหากแลกกับความอยากรู้อยากเห็นของตัวเอง คิดแล้วร่างโปร่งก็เดินไปยังตู้เก็บของ หยิบเอาแชมพู ครีมบำรุงผม หรือแม้กระทั่งครีมอาบน้ำใส่ถุงผ้า กลับไปหาเคลวินน์ที่ยังชะโงกเข้ามาด้วยท่าทีงุนงง

ชายหนุ่มยกของสามอย่างให้อีกฝ่าย ค่อยสอนที่ละอย่าง “อันนี้ ใช้ถูตัว ส่วนอันนี้ใช้สระผมอันแรกให้ผมหอม อันนี้ใช้สระผมอันที่สองจะทำให้ผมสวย นายเอาไปอาบแล้วมาเจอฉันที่หลังบ้าน ตกลงมั้ย” แวนกัสพูดช้า ๆ เคลวินน์พยักหน้ารับบอกว่าเข้าใจ ขณะที่ยื่นให้ ไม่วายทดสอบความจำของอีกฝ่าย “นายลองบอกฉันทีว่าอันไหนใช้ทำอะไร”

เจ้ายักษ์ตัวเปื้อนเปิดถุงหยิบขึ้นมาทำท่าประกอบ “อันนี้ ถู อันนี้ ผมหอม อันนี้ ผมสวย”

คนฟังอมยิ้มกับวิธีการจำของยักษ์เบื้องหน้า “ความจำนายดีใช้ได้ ไม่โง่นี่ ไปอาบน้ำได้แล้ว แล้วเจอกันนะ”

คนพูดเดินแยกไปยังครัว ตั้งใจจะทำอาหารง่าย ๆ ให้เคลวินน์กิน ชายหนุ่มตัดสินใจนำแซลม่อนที่แช่แข็งไว้มาทำสเต็กเพราะง่ายและเร็ว เพิ่มอีกอย่างหนึ่งคือมักกะโรนีอบชีส ส่วนของหวานก็น่าจะเป็นผลแอปเปิ้ลกับชามะนาวเย็น เพราะง่ายที่สุดแล้ว ครั้นทำอาหารและจัดของเข้ากล่องเรียบร้อย แวนกัสก็เดินฮัมเพลงตั้งใจจะเข้าห้องไปอาบน้ำ ทว่า...

“เฮ้ นายมาตั้งแต่เมื่อไหร่” ชายหนุ่มชะงักเท้าเมื่อเดินเข้ามา เห็นยักษ์ตัวใหญ่ถือถุงผ้าอย่างทนุถนอมรออยู่ที่ริมหน้าต่างในสภาพเละเทะกว่าเดิม ไหนจะฟองเต็มตัวนี่อีก เห็นแล้วแวนกัสย่ำเท้าออกไปยืนประจันหน้าด้านนอก สำรวจร่างกายอีกฝ่ายด้วยความปวดประสาท “อ๊ากกกก นายไม่รู้วิธีอาบน้ำรึไง”

มันแยกเขี้ยวยิ้ม ตั้งท่าจะเดินมาจับ “อย่ามาแตะคนอื่นถ้านายยังสกปรกอยู่แบบนี้”

“หอม”

“ไม่เลย ถอยให้ห่างฉันเลย” แวนกัสไม่ทราบว่าการพูดเพียงแค่นี้ จะทำให้เจ้าตัวใหญ่ถึงขั้นเหงาหงอยไปในบัดดลเช่นนี้ ชายหนุ่มกระแอมเกรงว่าตัวเองจะใช้อารมณ์มากเกินไป คิดแล้วก็เดินไปแย่งถุงในมืออีกฝ่ายมาถือ พูดด้วยเสียงจนใจว่า “ก็ได้ ฉันจะช่วยขัดสีฉวีวรรณนายเอง”

พักใหญ่ จากธารน้ำตกหลังบ้านก็กลายเป็นสปาธรรมชาติไปเสียแล้ว แวนกัสถลกเสื้อแขนยาวของตัวเองขึ้นเหนือศอกทั้งสองข้าง เดินลุยน้ำไปยังโขดหินที่มีแอ่งน้ำลึกพอให้ยักษ์นั่ง ชายหนุ่มชี้นิ้วให้เจ้าตัวดีลงไป จากนั้นก็เดินไต่ไปอยู่บนหินที่สูงพอดี ตักน้ำราดให้เด็กโข่งไม่รู้ราว

“จำไว้นะ ฉันจะสอนนายครั้งเดียว” ชายหนุ่มบีบครีมอาบน้ำใส่ฝ่ามือตัวเอง ถูไปตามแขนใหญ่เสียเต็มแรง น่าแปลกที่เนื้อกายนี่แน่นหนั่นไปหมดทั้งตัว “เห็นมั้ย ถูย้ำ ๆ ให้ความสกปรกมันออก ถูแบบนี้ให้ทั่วตัว โดยเฉพาะจุดที่มันอับชื้น ไหนนายลองทำดูซิ”

แวนกัสพยักหน้าพอใจยามเห็นลูกศิษย์เรียนรู้ไวกว่าที่คิด ระหว่างที่เคลวินน์กำลังขัดถูตามตัวของตนเอง ชายหนุ่มก็จะเปิดเผ้าผมยุ่งเหยิงนั่นมาล้างโคลนและเศษไม้ออกให้หายเกะกะลูกตาสักที ทว่าดูเหมือนเจ้าของจะไม่ยอม มันกำข้อมือเขา ส่ายหน้า “ไม่...”

“นายต้องทำความสะอาดผมนายบ้าง”

“ไม่ดู” มันส่ายหน้า “น่ากลัว”

คนฟังเลิกคิ้วแปลกใจ “นายน่ะเหรอน่ากลัว ไม่เลย นายน่ารัก”

“แฟนเกิซ น่ารัก” มันว่า

คนฟังแปลกใจ แล้วพยายามอย่างที่สุดที่จะเก็บซ่อนท่าที ยามนิ้วใหญ่เคลื่อนมาจิ้มที่จมูกอย่างที่เคยทำ อาจเป็นเพราะความเหงาที่ต้องอยู่คนเดียวแน่ถึงทำให้เขารู้สึกหน้าเห่อร้อนขึ้นมา แวนกัสไล่ความผิดแปลกนั้นออกไปด้วยการเปลี่ยนเรื่อง “ถ้านายกลัวฉันเห็นหน้าตาน่ากลัวของนายก็หันหลังมา ฉันจะทำจากด้านหลังให้ ขืนนายอาบน้ำแล้วปล่อยให้ผมอยู่สภาพแบบนี้ ไม่กี่วันคงเน่าเหมือนเดิม”

แวนกัสพกหวีมาด้วย แต่อันดับแรกเขาต้องแกะเศษไม้และสิ่งแปลกปลอมออกจากผมก่อน กว่าจะทำเสร็จคนขัดตัวก็ยุกยิกแล้ว แวนกัสใช้วิธีชวนคุยไปด้วย ทำไปอย่างใจเย็นไปด้วย กว่าจะล้างหัว สระผมอยู่หลายครั้ง ยังดีหน่อยที่แถวบ้านเขามีน้ำที่ไหลเอื่อย ทำให้ตักน้ำมาล้างได้ตลอด และตลอดเวลาที่คุยกันทำให้เขาได้รู้จักเคลวินน์มากยิ่งขึ้นด้วย

“งั้นก็แปลว่ามีคนเลี้ยงนายมาตั้งแต่ยังเด็ก เพราะครอบครัวนายตายกันตั้งแต่นายยังเล็ก ๆ”

เจ้าตัวใหญ่ที่หันหลังให้วักน้ำล้างหน้าตาตัวเอง “ใช่”

“แล้วนายอยู่คนเดียวมาอย่างนี้นานเท่าไหร่แล้วล่ะ”

มันนิ่งพักหนึ่ง “สองร้อย ยี่สิบเอ็ด”

“อะไรนะ”

“แฟนเกิซ ยัง ไม่เกิด ไม่มี เสียงดัง หนวกหู ไม่มีมนุษย์ แถวนี้”

คนฟังรู้สึกห่อเหี่ยวใจขึ้นมาเล็กน้อย คิดได้ว่าการอยู่ในป่าคนเดียวมายาวนานขนาดนั้นคงเหงาน่าดู “แย่จัง นายคงไม่มีเพื่อนจริง ๆ นั่นแหละ งั้นฉันจะเป็นเพื่อนกับนายเอง นายอยู่มานานขนาดนี้ไม่แปลกใจทำไมถึงพูดได้ละนะ” คนบอกใช้เสียงสดใสขึ้น แล้วเปลี่ยนเรื่อง

“ผมนายยาวมากเลย สีก็แปลก ฉันเพิ่งเห็นสีผมนายจริง ๆ ก็วันนี้ มันสวยดีนะ” แวนกัสว่าขณะสางผมที่นวดให้จนเงา แล้วล้างออก กว่าเขาจะถึงขั้นตอนนี้ก็หมดครีมบำรุงผมไปหลายขวด “แล้วต่อไปนี้นายก็ควรอาบน้ำสระผมบ่อย ๆ ด้วยนะ ฉันชอบคนที่มีกลิ่นหอมมากกว่ากลิ่นสาบ”

“จริงเหรอ”

“อื้ม”

“ถ้า ข้า หอม แฟนเกิซ ก็จะ ชอบ!”

“จะว่าแบบนั้นก็ได้” คนนั่งบนโขดหินด้านหลังพยักหน้าไปตามสถานการณ์ หากทว่าต้องตกใจ เมื่อจู่ ๆ เจ้ายักษ์ที่หันหลังให้ก็หมุนตัวขวับมาหาเขาด้วยสีหน้าลิงโลดกว่าลูกหมา มันโน้มหัวมาแนบหน้าผากกับเขาจนรู้สึกได้ถึงความเฉอะแฉะ “สัญญา สัญญา!”

สัญญาอะไร สัญญาว่าจะอาบน้ำทุกวันน่ะเหรอ “อะไรของนายเนี่ย!”

“แฟนเกิซ รัก เคลฟินน์”

“ว่าไงนะ...”

แวนกัสกุมหน้าผากเปียกของตัวเอง มือหนึ่งก็เกาะบ่าใหญ่ของอีกฝ่ายด้วยกลัวว่าจะหงายเงิบไปด้านหลังเพราะถูกหน้าผากพุ่งมาหา แต่ที่ทำให้ชายหนุ่มแปลกใจตัวเอง ก็คงจะเป็นตอนที่ลมหายใจของเจ้ายักษ์ร้ายต่อหน้ามันใกล้เขาเพียงแค่คืบ และเพราะผมที่ปรกถูกสางไปอยู่ด้านหลัง เผยใบหน้าอันไร้ที่ติราวกับพระเจ้าบรรจงสร้างของมันกระมัง ที่ทำให้แวนกัสรู้สึกเหมือนกำลังใจเต้น

ในขณะที่เคลวินน์ผละออกให้เห็นรูปหน้าที่ชัดเจน แวนกัสก็แน่ใจแล้วว่านี่ไม่ใช่อสูร แต่เป็นเทพบุตรอย่างแน่นอน ชายหนุ่มอ้าปากค้าง มองอีกฝ่ายพักเดียวก็จำต้องเก็บอาการของตัวเองอย่างนึกเสียดาย ด้วยกลัวว่าเพื่อนใหม่จะเข้าใจว่าเขานึกเกรงกลัว ไหนจะไอ้นิสัยกลัวมนุษย์เห็นแล้วรังเกียจนี่อีก เขาต้องเปลี่ยนความคิดนั่นเสียใหม่แล้ว

“นาย ไม่น่ากลัวเลย” ชายหนุ่มยกยิ้ม แล้วยื่นผ้าขนหนูให้

“แฟนเกิซ ไม่กลัว คนเดียว”

“อย่าเอาผมปิดหน้า ฉันอยากเห็นหน้าหล่อ ๆ ของนาย”

ผู้ฟังนิ่งไป แล้วยกยิ้มกว้างจนเห็นเขี้ยว แวนกัสเหมือนเห็นเด็กสาวอายุสักยี่สิบกำลังเขินทับซ้อนอยู่ในนั้น ยามมือใหญ่ยกขึ้นลูบที่แก้มของตัวเองอย่างรู้ดีว่าที่เขาหมายถึงนั้น คือคำชม ทำไม...เจ้านี่ถึงได้น่ารักขึ้นทุกวันกันนะ ชายหนุ่มคิดแล้วได้แต่ส่ายหน้าต้านทานความน่าเอ็นดูนั้นอย่างพยายามที่สุด

 

แรงเคาะประตูจากด้านนอก ทำเอาชายหนุ่มที่กำลังง่วนอยู่บนโต๊ะหนังสือต้องถอดหูฟังออก ได้ยินเป็นเสียงหญิงแก่เจ้าของบ้านเคาะเรียกอยู่หลายครั้ง ร่างสูงใหญ่รีบลุกเดินไปเปิดด้วยรอยยิ้มละมุนอ่อน เห็นเธอกำลังถือแก้วชาเดินเข้ามาด้านใน “พักนี้หลานอ่านหนังสือหนักไปแล้วนะวิคเตอร์ ลงไปหาอะไรกินบ้างสิ”

“ขอโทษที่ทำให้ห่วงฮะ” ชายหนุ่มวัยมหาวิทยาลัยหันไปรับถาดของว่างก่อนที่นางจะถึงที่หมาย ก่อนจะอธิบายถึงเรื่องที่ครุ่นคิดมานาน “ผมตัดสินใจแล้วว่าจะตั้งใจเรียน เลิกตามหาเรื่องที่ไม่เป็นความจริงสักที”

คนฟังยกยิ้ม “เดี๋ยวความจริงก็ปรากฏสักวันนั่นแหละ” นางกวาดสายตามองรอบห้อง ตั้งแต่ยังเด็ก หลานชายของนางก็เอาแต่พร่ำพูดว่าได้เจอกับสิ่งมีชีวิตตัวใหญ่ยักษ์ตัวหนึ่ง รู้ตัวอีกที รูปวาดก็ถูกแปะติดเต็มผนังห้องของวิคเตอร์ไปแล้ว แต่มันก็เลือนลางเหมือนความทรงจำของวิคเตอร์นั่นแหละ “บางทีสิ่งที่หลานเห็นอาจมีจริงก็ได้นี่นา เก็บไว้เป็นความทรงจำเถอะ”

“ผมว่ามันอาจจะเป็นแค่ฝันร้ายเท่านั้นแหละ”

นางส่ายหน้า “ป้าว่าเป็นฝันดีมากกว่า หลานจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงมาอยู่ที่หน้าบ้านป้า”

ใครบอกว่าชายหนุ่มลืมกันล่ะ ภาพพ่อแม่ของเขาถูกฆ่าตายต่อหน้า ตั้งแต่วิคเตอร์ยังอายุห้าขวบ แม้จะยังเด็กและความรทรงจำเลือนลาง แต่เขาจำได้ว่าพ่อแม่ของตัวเองถูกฆ่าอย่างโหดร้าย และชายหนุ่มต้องตามหาเจ้าตัวประหลาดในวันนั้นให้เจอ แม้จะผ่านมาสิบหกปีแล้วก็ตาม

“เอ้อ หลานจำเจ้าของบ้านที่ป้าให้ไปตัดหญ้าทำความสะอาดอยู่บ่อย ๆ ได้ใช่มั้ย คาดไม่ถึงเลยว่าเขาจะกลับมาแล้ว ทั้งที่คราวก่อนย้ายออกไปอย่างปุบปับ แล้วก็หายไปเลย” นางเล่าอย่างครุ่นคิด “เจ้าของบ้านน่ารัก นิสัยดี แต่แปลกที่คอยส่งคนมาปรับปรุงอยู่ตลอดเหมือนกำลังรอใครกลับมาอยู่”

วิคเตอร์จำได้ เขามักแอบไปนั่งเล่นบริเวณหลังกระท่อมนั้นเพราะอากาศดี ป่าแถวนี้วิคเตอร์เติบโตมาพร้อมกับมันเสมือนบ้าน บวกกับความเจริญเริ่มเข้ามาถึงแล้ว เริ่มมีคนย้ายออกมาอยู่นอกชานเมืองกันมากขึ้น สิ่งสะดวกสบายก็ตามมา ไม่ว่าจะร้านสะดวกซื้อ ร้านกาแฟสำหรับจุดพักรถ หรือปั๊มน้ำมัน ซึ่งการหลบไปแอบงีบหรือนั่งอ่านหนังสือที่นั่นทำให้รู้สึกดีไม่น้อย

ชายหนุ่มคิดได้แล้วก็พยักหน้า “ผมไปดูหน่อยดีกว่า”

“เดี๋ยวก่อนสิ เอาของฝากไปด้วย น้ำผึ้งเป็นของโปรดเขาเลยล่ะ”

“ฮะ เดี๋ยวผมหยิบเอง”

“บอกว่าป้ามีญ่าฝากมาให้นะ เดี๋ยวป้าจะตามไปเย็น ๆ”

“ได้เลยฮะ!” วิคเตอร์หยิบโหลน้ำผึ้งของดีขึ้นชื่อละแวกนี้ใส่เป้ก่อนจะยกสะพาย หลังขานตอบป้ามีญ่าแล้วชายหนุ่มก็วิ่งออกไปคว้าจักรยานคู่ใจขึ้นปั่น ผ่านบ้านของเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน และเพื่อนบ้านอีกสองหลังก่อนจะถึงแยกที่เป็นดินลูกรัง เขากับลุงแซคมักมาตัดหญ้าแถวนี้ให้เจ้าของบ้านอยู่ตลอด ไม่นานชายหนุ่มก็ไปถึงกระท่อมใกล้ป่านั้น

ตรงหน้ามีรถสองคันจอดอยู่ลานหน้าบ้าน เห็นคนจำนวนหนึ่งกำลังเดินเข้าไป ทันทีที่ได้ยินเสียงจักรยานของเขาจอดก็หันมาทิศนี้อย่างระวังท่าที วิคเตอร์อาจคิดไปเองก็ได้ว่าทุกคนกำลังมีพิรุธ โดยเฉพาะผู้ชายตัวใหญ่ที่กำลังเก็บซ่อนตัวด้วยเสื้อฮู้ดและหลบหลังทุกคน ก่อนจะเดินปลีกหนีเข้าบ้านไป

“ขอโทษฮะ ผมแค่มาทักทาย” ชายหนุ่มกล่าวพลางเปิดกระเป๋า ดวงตาสอดส่ายหาข้อมูลไปพลางเดินดิ่งไปยังผู้ชายตัวสูงโปร่งคนหนึ่ง และอีกคนที่มีเชื้อชาติเอเชีย “ผมวิคเตอร์ฮะ เมื่อกี้ป้ามีญ่าเห็นพวกคุณกลับมาที่บ้าน เธอดีใจมาก เลยฝากน้ำผึ้งมาให้”

“เธอเป็นหลานป้ามีญ่าเหรอ” ชายตัวสูงเอื้อมมือมาจับทำความรู้จัก ก่อนจะรับไปถือ นั่นทำให้วิคเตอร์รู้ว่าคือเจ้าของบ้านหลังนี้ ชายหนุ่มพยักหน้ารับเล็กน้อย “ฮะ อันที่จริงก็ไม่ใช่ซะทีเดียว” วิคเตอร์ตอบ

“ไม่ใช่...” แวนกัสหรี่ตาสงสัย

“ครับ ผมเป็นหลานบุญธรรม”

“ขอโทษที” อีกฝ่ายยกยิ้มจางกล่าว

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรฮะ”

“ฉันแวนกัส ฝากบอกป้ามีญ่ากับลุงแซคด้วยว่าฉันคิดถึง ขอบคุณที่คอยดูแลบ้านให้” วิคเตอร์ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าว่าท่าทีของทุกคนที่นี่เหมือนกำลังลุกลี้ลุกลนและคร่ำเครียดกัน ชายหนุ่มมองตามลุงเชื้อสายเอเชียที่เดินนำเข้าไปในบ้านด้วยความแปลกใจ ก่อนจะหันมาหาแวนกัส

“สภาพในบ้านไม่รู้เป็นยังไงบ้าง ถ้าอยากให้คนไปช่วย เรียกผมได้เลยนะฮะ”

“ขอบใจ ทางนี้เรามีแรงงานเพียบเลยนายไม่ต้องห่วง ถ้าทุกอย่างผุพังก็กะว่าจะขนของเก่า ๆ ทิ้งให้หมดเลยจะได้ไม่ต้องเสียเวลาทำความสะอาด เดี๋ยวของที่ฉันขนมาด้วยก็คงถึงแล้ว” แวนกัสยักไหล่เหมือนกำลังพูดเรื่องง่าย ๆ คนฟังก็พยักหน้าเข้าใจ รู้แล้วว่าคนรวยไม่มีเรื่องให้กลุ้มใจเรื่องเงินเป็นอย่างนี้นี่เอง

แต่ว่า คนรวยอะไรถึงมาอัดอยู่กันในบ้านหลังเล็ก ๆ ที่มีเพียงห้องนอนห้องเดียวอย่างนี้ด้วย ดูจากจำนวนคนที่มาอาศัยแล้วมันไม่สมมาตรกับขนาดของบ้านเลยสักนิด หรือคนบ้านนี้จะกำลังมีความลับอะไรซ่อนอยู่กันหนอ วิคเตอร์คิดอยู่ในใจ

สงสัยคงต้องคอยมาสืบหาความจริงเสียแล้วกระมัง มันน่าสงสัยจริงเชียว

 

 

 -----------------------------------------------

ในที่สุดพวกเขาก็ได้เจอกันแล้วค่ะ กับวิคเตอร์ ตัวละครสุดท้าย อิอิ ทุกคนไม่ต้องห่วงนะคะว่าเรื่องมันจะเดาง่าย ตอนนี้ที่ทุกคนเดา ๆ มา ยังไม่มีใรเดาถูก ที่ถูกคือเด็ก ๆ เป็นลูกพี่ยักษ์อย่างเดียวค่ะ 555555

ขอโทษด้วยที่อัพช้า มันเหนื่อย ไม่มีแรง เพราะหนูนามีงานประจำค่ะ มาถึงก็สลบ

วันนี้ขออัพแบบยังเกลาไม่ดี พรุ่งนี้จะเกลาอีกรอบนะคะ ตอนหน้าจะย้อนไปตอนวิลกลายร่างสักหน่อย ขอสปอยว่าวิควิล หรือจะวิลวิคดีน้าาาาา อิอิ ไปแล้วววว

หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #6 up10.10.62
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 11-10-2019 10:40:39
 :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #6 up10.10.62
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 12-10-2019 08:54:15
เจ้ายักษ์น่ารักมาก
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #6 up10.10.62
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 12-10-2019 11:50:26
เจ้ายักษ์น่ารักมาก
จะน่ารักกว่านี้ได้อีกค่าาา
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #6 up10.10.62
เริ่มหัวข้อโดย: PKT ที่ 13-10-2019 00:31:29
55555น่ารัก อยากอ่านอีก
แวนกัสนี่มาจากแวนโก๊ะรึเปล่า วาดรูปกับบ้านไม้เป็นกระท่อม นี่นึกถึงแวนโก๊ะคนแรก55555
รออ่านต่อออ รีบมาเด้ออ
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #6 up10.10.62
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 13-10-2019 08:23:08
55555น่ารัก อยากอ่านอีก
แวนกัสนี่มาจากแวนโก๊ะรึเปล่า วาดรูปกับบ้านไม้เป็นกระท่อม นี่นึกถึงแวนโก๊ะคนแรก55555
รออ่านต่อออ รีบมาเด้ออ
ในที่สุดก็มีคนพูดถึงชื่อน้องแล้ว เราตั้งใจให้คนนึกถึงแวนโก๊ะเอง 55555
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #7 up 13.10.62
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 13-10-2019 09:02:56
(https://pbs.twimg.com/media/EGk2zDtUYAAupGh?format=jpg&name=medium)

#ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง

ตอนที่ ๗

รถบรรทุกข้าวของเครื่องใช้ใหม่ ๆ ตามมาในอีกหนึ่งวันให้หลัง ขณะที่ยืนกอดอกมองเหล่าพนักงานจัดเรียงให้เข้าที่อยู่นั้น เชนก็รีบปรี่ไปหาเพื่อนรักที่กำลังออกมาจากกระท่อม หลังจากที่เขาเจอะกับตาแล้วว่าวิลที่เคยเห็นมาตั้งแต่เล็กน้อยนั้นเปลี่ยนไป ราวกับเป็นคนละคน

“นายจะเอายังไงต่อ ตอนนี้ทุกคนแตกตื่นกันไปหมดแล้ว ฉันมัวแต่คิดเรื่องของลูก ๆ นายจนนอนไม่หลับ ตอนนี้คลิปที่ถ่ายวิลตอนที่อยู่ในร่างนั้นว่อนไปทั่วอินเตอร์เน็ตแล้วด้วย ดูนี่...” ชายหนุ่มยื่นสมาร์ทโฟนไปให้แวนกัสดู “ยอดวิวส์ไม่ใช่น้อย ๆ เลยด้วย”

“ฉันถึงพาพวกเขาหนีมาอยู่ในป่าอย่างนี้ไง”

“พวกนายต้องซ่อนตัว”

“ฉันรู้เชน ฉันรู้วิธีซ่อนพวกเขาแล้ว” แวนกัสตอบ น่าแปลกที่เชนเห็นว่าเจ้าตัวไม่แตกตื่นเลยทั้งที่เรื่องของลูกกำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันไปหมดแล้ว “เดี๋ยวอีกหน่อยเรื่องก็ซาไปเอง”

“นายแน่ใจนะว่าจะเอาอยู่”

“เชื่อใจฉันเถอะ เรามาไกลขนาดนี้ไม่มีใครรู้ตัวตนของพวกเขาหรอก”

“นายไม่รู้อะไร ตอนนี้มีพวกบ้าที่มันกำลังออกไล่ล่าสิ่งเหนือธรรมชาติอยู่” เชนเล่า

“อะไร”

“พวกนั้นมันจ้องจะหาผลประโยชน์จากความอยากรู้อยากเห็นของคนอื่นเพื่อเงินไงล่ะ ฉันเกรงว่าพวกมันจะได้กลิ่นครอบครัวนายแล้วตามมาจนเจอ” เชนทำหน้าไม่สบายใจ แล้วฉุกนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวาน เขาขับรถนำแวนกัสไปที่โรงเรียนก่อน เห็นเหล่าคนกำลังถือโทรศัพท์ถ่ายผู้ชายตัวโตคนหนึ่งที่พยายามอย่างที่สุดที่จะหลบซ่อนอยู่หลังเหล่าน้อง ๆ

เป็นเคลที่กันผู้คนออกจากพี่ชายให้เพราะตัวที่โตไล่เลี่ยกันกับพี่ เห็นแล้วเชนก็ร้องเรียกให้เคลพาพี่ ๆ มาทางทิศนี้ กว่าจะฝ่าฝูงนักเรียนที่กำลังแตกตื่นแวนกัสก็มาถึงพอดี ชายหนุ่มช่วยต้อนลูกและกันผู้คนออกจากรถ แล้วพากันบึ่งกลับมาเก็บข้าวของที่จำเป็นขึ้นรถมาก่อน ซึ่งในเวลานั้นเองเป็นตอนที่เชนได้เห็นวิลครั้งแรก ท่าทางของวิลไม่ได้ดูตื่นกลัวหรืออะไร นอกจากมีความกังวลเรื่องย้ายบ้านเท่านั้นเอง

วินาทีที่เชนเห็นวิล จำได้ว่าชายหนุ่มตกใจจนค้าง วิลตัวโตขึ้นเยอะ เส้นผมสีเงินสว่าง มีเขาและเขี้ยว รวมถึงนัยน์ตาที่เป็นสีแดงกำลังจ้องมองมาที่เขา นั่นทำให้ลำขาของเชนต้องชะงักเพราะไม่อาจมองสิ่งมีชีวิตตรงหน้าเป็นหลานชายได้อีกต่อไปแล้ว แต่ก็เป็นความคิดแค่ช่วงวินาทีสั้น ๆ เท่านั้นเอง

‘ลุงเชน’

เขาได้ยินวิลเรียกชื่อ แม้เสียงเจ้าตัวจะต่ำพร่า แต่นั่นก็บอกเชนได้ว่าตรงหน้าคือวิล

“ขอถามหน่อย” เชนหรี่ตามองเพื่อนรัก “ก่อนหน้านี้นายบอกฉันว่าเคลเองก็เปลี่ยนร่างได้ งั้นร่างที่เราเห็นอยู่ตอนนี้ยังไม่ใช่ร่างจริงของเด็ก ๆ งั้นสิ”

“อืม” แวนกัสหันไปมองเหล่าคนงานที่กำลังยกของ

“งั้นอะไรเป็นตัวแปรที่ทำให้พวกเขาเปลี่ยนร่าง”

ผู้ถูกถามทำเป็นกระแอม ไม่อยากตอบ “มันมีอยู่”

“แล้วถ้าเด็ก ๆ อยู่ในร่างที่สมบูรณ์แล้ว พวกเขาจะเปลี่ยนไปมั้ย”

“หืม...” แวนกัสทำเป็นหรี่ตามองเพื่อนกลับบ้าง “นายกลัวเหรอ กลัวหลานตัวเองที่เลี้ยงมาตั้งแต่ไข่เล็กเท่านกกระทา จนโตมาเท่าไข่นกกระจอกเทศ นายกลัวพวกเขาลงเหรอ”

“เปล๊า...กลัวเกลอที่ไหน ฉันก็แค่อยากรู้” เชนยักไหล่

“งั้น...คืนนี้ก็ระวังตัวให้ดีล่ะ”

“อะ...อะไร!” เชนถลึงตาถามอย่างเอาจริง บนใบหน้ามีแววหวาดระแวง

“ก็ระวังเด็ก ๆ จะลุกขึ้นมา หักคอนาย แล้วก็จับกินไงล่ะ!”

“อ้ากกกก กัส!” ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าแวนกัสตั้งใจจะพูดยั่วอารมณ์เพราะอยากแกล้งไปเท่านั้นเอง เชนก็พุ่งตัวกอดแขนเพื่อนเสมือนวัยเด็กเพิ่งผ่านมาไม่นาน ทั้งที่ตอนนี้ต่างคนต่างมีลูกโตเป็นหนุ่มสาวกันหมดแล้ว ชายหนุ่มยังทำเป็นเด็ก เดินตามติดแวนกัสไม่ยอมให้ห่าง “เด็ก ๆ ไม่มีทางทำร้ายว่าที่พ่อตาได้ลงคอหรอก ฉันรู้จักพวกเขาดี”

“เฮอะ ก็ไม่แน่ ถ้าได้รู้ว่านายปฏิเสธพวกเขา แถมด่าว่าโง่อีกต่างหาก”

“ใครพูด ฉันไม่ได้ว่าลูกนายอย่างนั้นเลย ฉันหมายถึงอยากให้พวกเขาได้เอจริง ๆ”

“นายนี่ตลกชะมัด” แวนกัสหัวเราะคิกเมื่อแกล้งเพื่อนได้สำเร็จ “ทำดีกับฉันไว้ถ้านายยังรักชีวิต โอเค๊”

“โอ้ ลูกเขย ทำอะไรกันอยู่” ผู้เป็นพ่อกอดอกยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย มองตามเพื่อนเบี่ยงประเด็นไปหาไคล์กับไวน์ที่กำลังดวลเกมกันอยู่บนโซฟาอีกมุม ยังดีหน่อยที่ไฟฟ้ามาถึงที่นี่กันถ้วนหน้าแล้ว ขณะที่หันไปจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายกับพนักงานส่งของ แวนกัสก็เพิ่งมานึกได้ว่าลูกชายคนโตกับคนเล็กไม่ได้อยู่แถวนี้

คิดได้ดังนั้นแวนกัสก็เดินวนรอบบ้าน ไร้ร่างของวิลกับเคล ชายหนุ่มมองออกไปยังหลังบ้านอันเป็นบริเวณที่เคยคุ้นชิน เห็นธารน้ำไหลเอื่อย หากทว่าไร้ร่างของลูกชายที่คิดว่ากำลังสำรวจแถวนี้ หรือจะเดินเข้าไปในป่ากันแล้ว เพราะเห็นว่าที่นี่เป็นป่าที่เขาเคยอยู่

เด็กดื้อ!

“ฮัดชิ้ว!” เคลยกหลังมือถูที่จมูกของตัวเอง รู้สึกเหมือนโดนใครต่อว่าหรือนินทา ขณะพากันเดินไต่ขึ้นไปตามธารชั้นที่สองเพื่อสำรวจป่า หัวใจของสองพี่น้องตื่นเต้นจนแทบจะหลุดจากอกเพราะความกว้าง ความอุดมสมบูรณ์บริเวณนี้มันน่าวิ่งเล่น ไหนจะเหล่าสัตว์ที่หลากหลายกว่าเขาลูกน้อยที่เคยวิ่งเล่นเมื่อสมัยยังเด็ก

“ดูสิเคล ตรงหน้ามีน้ำตกเล็ก ๆ แถวนี้น่ามานอนเล่นนะ ว่ามั้ย”

“อยากพาไคล์กับไวน์มาด้วย ปะป๊าก็ด้วย”

“นายคิดว่าปะป๊าไม่เคยมารึไง ใกล้บ้านออก” วิลที่สวมฮู้ดยิ้มหน้าบาน ไม่ได้กังวลเรื่องร่างกายของตัวเองเลยเพราะรู้ดีว่าจะไม่มีใครเห็น พวกเขาอพยพหนีผู้คนมาอยู่ในป่า และนี่ก็ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนฝันและเป็นอิสระกว่าทุกครั้ง “ทำไมฉันรู้สึกสบายใจอย่างนี้นะเคล ฉันอยากอยู่ที่นี่ตลอดไปเลย”

“ฉันก็ด้วย” น้องว่า แล้วหน้าเศร้า “แต่ปะป๊าคงไม่ยอม ถ้าเรื่องซาลงไปเมื่อไหร่เราคงต้องย้ายกลับไปอยู่ในเมืองอยู่ดี ฉันไม่อยากย้ายเลยจริง ๆ”

“งั้นฉันก็จะไม่กลับคืนร่างเหมือนนาย” วิลว่า

ผู้เป็นน้องตาโต “ไม่ได้ ปะป๊าโกรธแน่”

“ฉันจะแกล้งไม่รู้วิธีคืนร่างเดิมไง”

เคลได้ฟังแล้วก็นึกขัน “นายไม่รู้จริง ๆ ก็บอกมาเถอะ ขนาดทำไมพวกเราถึงกลายร่างเป็นแบบนี้นายเองก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเพราะอะไร ถูกมั้ย” คนกล่าวเดินลงไปจุ่มเท้าในน้ำเล่น ซึ่งคำพูดเหล่านั้นทำให้วิลรู้สึกใจแป้วลง

“บางทีคนที่รู้ทุกอย่างน่ะ อาจจะเป็นปะป๊าก็ได้”

“ฉันก็คิดเหมือนกัน” เคลตอบ แล้วเบิกตาขึ้น “แต่ตอนที่ฉันเปลี่ยนร่าง ฉันฝันเห็นกวางตัวสีขาว”

วิลแปลกใจ “นายก็ฝันเหรอ ฉันฝันว่าเขาเรียกฉันว่าเด็กที่น่าสงสาร” เด็กหนุ่มเล่า ได้ยินผู้พี่บอก เคลก็พยักหน้ารับฟังต่อ “แล้วเขาก็ถามฉันว่าอยากได้อะไร ฉันตอบไปว่าอยากเจอแม่ กวางตัวนั้นก็ตอบมาว่ายินดีที่จะให้ฉันเจอแม่อย่างที่ฉันหวัง ฉันจำได้ว่ามันเหมือนจริงมาก แล้วฉันก็เห็นน้ำตาจากกวางตัวนั้น ให้ตายสิ...มันชักจะแปลกกันไปทุกทีแล้ว”

“ในหนังสือ ฉันอ่านถึงหน้าที่เล่ารูปพรรณสัณฐานร่างแยกของเทพเจ้า ว่าเป็นกวางตัวสีขาวทรงสง่างาม แต่มันก็เป็นแค่เรื่องเล่า แล้วเรื่องที่เราฝันก็แค่อุปทานหมู่ มันอาจจะบังเอิญก็ได้” เคลสะบัดมือไล่น้ำออกจากตัว เห็นน้ำทีไรเด็กหนุ่มต้องลงมาเล่นทุกทีไป

“เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ถึงขั้นฉันเปลี่ยนร่างขนาดนี้นายจะว่ามันเป็นอุปทานหมู่ได้ยังไงไอ้บ้า”

“ชู่...”

“อะไร” วิลระงับอารมณ์ของตัวเองเมื่อถูกเคลปราม เด็กหนุ่มผละหันไปมองตามสัญชาตญาณ เห็นร่างสูงของผู้ชายคนหนึ่งชะโงกมองมาที่พวกเขาพอดี วิลรีบยกฮู้ดปกปิดตัวเองแล้วเดินหลบอยู่หลังน้องชาย ในขณะที่จุดหมายกำลังเดินไต่โขดหินข้ามมาหาพวกเขาทันทีที่เห็น “เฮ้ พวกนายคือคนที่ย้ายมาเมื่อวานสินะ”

บนมือคนถามถือสมุดสเก็ตภาพติดมาด้วย คาดว่าจะมานั่งวาดรูปอยู่ที่นี่ได้พักใหญ่แล้ว เคลกลืนน้ำลายมองผู้มาใกล้แล้วทำได้เพียงยกยิ้มเล็กน้อยพอเป็นพิธี ยิ่งเห็นว่าคนที่ทักทายเป็นรุ่นพี่แล้วก็ได้เพียงแค่มองโดยที่ทำตัวไม่ถูก มาถึง อีกฝ่ายก็ยื่นมือมาจับ “ฉันวิคเตอร์ อยู่บ้านป้ามีญ่า เธอสนิทกับพ่อของพวกนายนะ”

คนฟังเลิกคิ้ว “พวกเขาสนิทกันเหรอ”

“ใช่” วิคเตอร์ลอบสำรวจคนที่ยืนหลบอยู่ข้างหลัง แล้วมองคู่สนทนา “ดูท่านายจะรุ่นเดียวกับฉันนะ เรียนที่ไหน  สาขาอะไร ฉันวิคเตอร์นะ ยินดีที่ได้รู้จัก แต่ดูเหมือนคนข้างหลังนายจะไม่ค่อยยินดีเท่าไหร่ ถูกมั้ย”

“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ฉันเคลนะ ใช่...เราน่าจะอายุเท่า ๆ กันแหละดูท่าแล้ว แล้วเอ่อฉันไม่ได้เรียนล่ะตอนนี้ ดรอปอยู่ แบบว่าเรากำลังมีปัญหาอะนะ แต่ไม่ใช่เรื่องเงิน แบบว่าเรื่องส่วนตัว เป็นเรื่องยากที่จะเล่าให้ใครฟังได้เลยขออุบไว้ดีกว่า”

เคลตอบไปบางส่วนอย่างจำใจ ด้วยสภาพร่างกายตอนนี้บอกไปใครจะเชื่อว่าพวกเขาอายุเพียงสิบห้าเท่านั้น เด็กหนุ่มยักไหล่แล้วรีบพูดต่อ “เอ่อ ส่วนข้างหลังฉัน...ไม่ใช่ว่าเขาไม่ยินดีที่ได้รู้จักนายหรอกนะ วิลน่ะเป็นพวกเขาถึงยาก เขาไม่ค่อยชินกับการพบปะผู้คนเท่าไหร่ แต่นายไม่ต้องห่วงหรอกนะ นายเห็นหน้าฉันก็เหมือนได้เห็นหน้าวิลแล้วล่ะ”

วิคเตอร์ยิ้มขึ้น “อะไรของพวกนาย”

“ก็เราเป็นแฝดไง หน้าเราเหมือนกัน” เคลชี้ที่หน้าตัวเอง

“อ๋อ งั้นก็ไม่เห็นต้องปิดหน้าปิดตาขนาดนั้นเลยนี่ถ้าเหมือนนาย”

“เขาคงไม่อยากให้นายเห็นคนหล่อแบบคูณสองไง”

คนฟังกอดอก แล้วส่ายหน้า “เขาควรจะมั่นหน้าเหมือนนายบ้างซักนิด”

“ใช่ บายนะ” เคลยิ้มรับแล้วมองตามร่างสูงของอีกฝ่ายจนหายลับไป ครั้นสิ้นร่างของวิคเตอร์แล้วผู้น้องก็ถูกตีมาฉาดหนึ่งเพราะคำพูดน่าอายที่เผลอพูดไป “นายพูดบ้าอะไรของนาย น่าอายชะมัด”

“อะไร เมื่อกี้วิคเตอร์ยังชมอยู่เลยว่าฉันมั่นใจในตัวเอง”

“โง่ เขาหมายถึงนายหลงตัวเองต่างหาก” วิลพูดจบก็เดินนำต่อไป

“เฮ้ นายอย่ามาทำตัวเป็นคนฉลาดหน่อยเลย ใคร ๆ ก็บอกว่าฉันหล่อทั้งนั้น”

“หุบปากไปเลยเคล”

เสียงสองพี่น้องที่กำลังไต่เดินไปยังต้นน้ำดังก้องอยู่ในป่า วิคเตอร์ที่เดินแยกมาชะงักฝีเท้า มองกลับไปเห็นทั้งสองกำลังกึ่งทะเลาะกึ่งกระเซ้ากันอยู่อีกฝั่ง วิคเตอร์ส่ายหน้าเมื่อเห็นแล้วว่าท่าทางของเคลกับวิลดูไม่ได้แปลกอะไรมากมายนัก หนำซ้ำยังออกจะซื่อบื้อเสียด้วย บางทีเขาเองก็ควรจะเข้าหาสองคนนั้นเพื่อที่จะได้รู้จักแวนกัสมากขึ้น

แล้วชายหนุ่มจะได้ลองถามไถ่แวนกัสดู ว่าเคยพบเจอเรื่องประหลาดในป่าหรือไม่ อย่างเช่นเรื่องยักษ์ตัวใหญ่ผมยาว ตัวที่เขาเคยพบเจอคืนนั้น คืนที่วิคเตอร์ต้องเสียพ่อกับแม่ไป

เดินขึ้นมาได้พักใหญ่แล้ว ธารน้ำดูเหมือนจะลึกและไหลเชี่ยวกรากแรงขึ้นด้วย เคลเช็ดเหงื่อบนหน้าผากของตัวเองพักหนึ่ง รับรู้ได้ว่าจะถึงน้ำตกใหญ่อยู่ไม่ไกลจากนี้ เมื่อได้ยินเสียงน้ำกระทบหิน ทั้งสองก็มองหน้ากันด้วยรอยยิ้ม เป็นเด็กหนุ่มที่กำลังตื่นเต้นจนอดไม่ไหวที่จะวิ่งนำไปก่อน “ต้องสวยมากแน่ ไปละ”

“เฮ้ นายนี่มันเห็นน้ำไม่ได้เลย!” วิลวิ่งตามน้องชาย ทั้งสองหัวเราะคิกคักผ่านต้นไม้ใบหญ้าว่องไวอย่างที่เคยทำ แล้วไปหยุดกึกอยู่ที่โขดหินใหญ่ตรงหน้าน้ำตกสูง ด้านบนมีต้นไม้มหึมา น่าปีนขึ้นไปเล่นยิ่งนัก ไม่ว่าอย่างไรที่นี่มันก็มหัศจรรย์กว่าที่สองพี่น้องคิด “เจ๋งโคตร! ฉันว่าที่นี่อย่างกับดินแดนมหัศจรรย์แหนะ ดูรากต้นไม้นั่นสิใหญ่กว่าตัวเราอีก โน่นตรงโน้นมีรูปปั้นคนด้วย!”

“นายมั่วแล้ว ก็แค่หินรูปร่างเหมือนคน” เคลยิ้มแล้วถอดเสื้อเตรียมจะกระโดดลงน้ำลึก อยากจะเล่นน้ำเต็มแก่ ครั้นเหลือบไปเห็นวิลกำลังด้อม ๆ มอง ๆ แถวรากไม้ เด็กหนุ่มก็ดิ่งลงน้ำ

ด้านใต้เป็นน้ำลึกพอสมควร เสียงน้ำที่ตกจากด้านบนยังสะท้อนถึงในนี้ ขณะที่มองตามเหล่าฝูงปลาแหวกว่าย รู้สึกเหมือนมีแสงวิบวับอะไรแยงมาที่ตา เคลหรี่มองที่ผืนดินใต้น้ำ เขาเห็นเหมือนลูกแก้วดวงหนึ่งกำลังล่อให้เด็กหนุ่มดำลงไปหยิบขึ้นมาดู มันสวย มีหลายหลากสีเหมือนห้วงอวกาศ ขณะจะเอาขึ้นไปอวดพี่ชายเด็กหนุ่มก็ผวา เมื่อหันไปเจอะเขากับรูปปั้นหนึ่งอยู่ด้านหลัง

หน้าตามันน่ากลัวเพราะตะไคร่น้ำ เคลตกใจขวัญหาย แม้เจ้ารูปปั้นนั้นจะอยู่เฉย ๆ แต่มันก็น่ากลัวประหลาด มันตัวใหญ่เกินจะเป็นรูปปั้นคน เด็กหนุ่มรีบว่ายขึ้นไปด้านบนอย่างนึกตกใจ “ข้างล่างมีรูปปั้นเหมือนกัน ฉันตกใจหมดเลย!”

“ไหนบอกว่าฉันคิดไปเองไง นี่...อยู่นี่อีกตัวนึง ถูกดินโคลนทับมาครึ่งตัวแล้ว เหมือนว่าเรากำลังมาเจออารยธรรมของอะไรเข้าสักอย่างแล้วล่ะ ดูสิ ทางนั้นมีทางให้เราเดินเข้าไปด้วย นายอยากจะไปมั้ย”

“รึว่านี่จะเป็นเมืองยักษ์ เมืองบิ๊กฟุต หรือเมืองลับแล” เคลย้อน

“เหลวไหล”

“นายจะเอายังไงแน่ เมื่อกี้นายยังบอกอยู่เลยว่าไม่ใช่อุปทานหมู่ อย่าทำเป็นฉลาดหน่อยเลย!”

วิลบุ้ยปากแล้วพยักเพยิดให้มองไปยังรากไม้ “จะเข้าไปมั้ย”

“อะไร”

“ก็ข้างในนั้นไง เหมือนมันเป็นถ้ำอะไรสักอย่าง บางทีเข้าไปแล้วเราอาจเจอสมบัติก็ได้”

“เหลวไหล ฉันว่ารังสัตว์ป่าธรรมดามากกว่า” เคลว่าแล้วเดินนำไปด้อมมองแถวใต้ต้นไม้ใหญ่ น่าแปลกที่มองดูจากภายนอกมันเหมือนจะเข้าไปได้ยากเย็น หากทว่าเมื่อลองมุดเดินเข้าไปแล้วกลับพอดีตัวอย่างประหลาด “ตามเข้ามาซี่ นายป๊อดรึไง แค่เห็นความมืดก็ขาสั่นแล้วเหรอน้องสาว”

“นายไม่ว่ามันแปลกรึไง รังสัตว์ตัวไหนถึงได้ใหญ่กว้างแบบนี้” วิลสำรวจปากทางเข้า “ดูนี่นะ มีดินที่ถูกน้ำซัดมาเกาะขอบทางเข้ากว่าครึ่ง พอเดินเข้ามามันกว้างมาก แสดงว่าเจ้าของถ้ำนี่ต้องตัวใหญ่ขนาดไหน แล้วทำไมปากทางเข้าถึงถูกกลบด้วยดิน ก็เพราะว่าเจ้าของไม่ได้อยู่ดูแลป้องกันแน่นอน”

“ก็ดีสิ เราจะได้ยึดที่นี่เป็นฐานลับของเราไง”

“เราจะมาหลบในนี้ ถ้าเกิดมีใครเห็นเรา ตกลงไหมเคล”

“อา...อยากชวนไคล์กับไวน์มาดูจัง โอ้ถึงแล้ว...” เดินมาได้สักพักทั้งสองก็เจอเข้ากับโถงกว้าง แต่ที่น่าแปลกก็คือมีแสงสว่างสาดเข้ามาทั้งที่เคลกับวิลเดินเข้ามาลึกพอควร ทั้งสองมองหน้ากัน ด้านหน้าเห็นเป็นม่านเครือไม้ปกคลุม เป็นเคลที่ใจกล้าเดินไปแหวกออกให้ความสว่างเพิ่มขึ้นอีกนิด หากทว่าใจเด็กหนุ่มหลุดวูบ เมื่อเปิดม่านเหล่านั้นแหวกกว้างออกให้เห็นภาพเบื้องหน้า

“อา...นี่มันสวรรค์รึไง”

“อะไร ขอดูด้วยหน่อย” วิลตามไปหยุดยืนข้าง

“ระวังตก” ผู้น้องเอื้อมแขนมาปราม ทำให้วิลต้องใจเย็นลงแล้วสำรวจว่าที่พวกเขายืนอยู่คือริมขอบผาที่มีม่านเครือไม้ปกคลุม ด้านนอกมองเห็นทิวทัศน์ทั้งป่า ไกลสุดลูกหูลูกตา และเมื่อความสว่างสาดเข้ามาด้านใน ทำให้วิลต้องแปลกใจอีกครั้ง เมื่อพบว่านี่ไม่ใช่รังของสัตว์แต่อย่างใด มันมีร่องรอยของมนุษย์อาศัยอยู่ไม่ผิดแน่

“เคล เราเจอบางอย่าง”

วิลกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็นนัก เมื่อเดินสำรวจภายในพบฟูกนอน หมอน เสื้อผ้า รวมไปถึงของใช้จิปาถะของมนุษย์เพศชายคนหนึ่ง แม้มันจะดูเก่ากรังไปหมดแล้วก็ตาม นิ้วมือเรียวหยิบจับวิทยุเครื่องหนึ่งขึ้นมาพิศ ความเก่าของมันน่าจะบ่งบอกได้ กระทั่งเหลือบไปเห็นถุงช็อกโกแลตที่ยังไม่ถูกแกะวางทิ้งไว้อยู่ ตัวเลขที่ระบุบอกเด็กหนุ่มแล้วว่าของเหล่านี่มาจากยุคไหน

“เคล ช็อกโกแลตนี่ผลิตตั้งแต่สิบหกปีก่อน”

“วิล ฉันเจอบางอย่างที่มันแปลก”

“มีอะไรแปลกว่านี้อีกเหรอ” วิลหมุนตัวไปมองผู้น้อง แล้วเด็กหนุ่มก็จำต้องตัวชาไปเสียดื้อ ๆ เมื่อเห็นในมือของเคลถืออะไรบางอย่างอยู่ มันเหมือนกับสิ่งที่พวกเขาสวมไว้ตั้งแต่จำความได้ บิดาบอกพวกเขาว่าเป็นของสำคัญที่ควรพกติดตัวไว้ตลอดเวลา

วิลกับน้องชายมองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจ หรือมนุษย์เจ้าของถ้ำใหญ่นี้เป็นแวนกัสบิดาของพวกเขากันหนอ วิลกับเคลคิดขณะที่ก้มมองสร้อยนั้นอย่างไม่วางตา มันมีอยู่หลายเส้นห้อยทับกันบนผนัง เหตุใดแวนกัสถึงบอกพวกเขาว่าของพวกนี้มีแค่สี่ชิ้น และพ่อแท้ ๆ ของพวกเขาเป็นคนทิ้งไว้ให้

มันไม่ชอบมาพากลแล้ว แล้วสรุปพวกเขาเป็นใคร

บางที...คำตอบอาจจะอยู่กับแม่ของพวกเขาก็เป็นได้

หรือเขาควรไปตีสนิทกับวิคเตอร์เพื่อหลอกถามป้ามีญ่า ว่ารู้เห็นแวนกัสแปลกไปในช่วงที่มาอาศัยหรือเปล่า เพราะหากคาดเดาไม่ผิด ของพวกนี้อยู่ที่นี่ก่อนที่พวกเขาจะเกิดด้วยซ้ำ วิลกับเคลอยากรู้เหลือเกิน ว่าอะไรเปลี่ยนใจบิดาที่ชอบป่าไม้ให้พาพวกเขาหนีออกไปอยู่ในเมืองกัน

พวกเขาจะต้องหาคำตอบให้จงได้

 

หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #7 up13.10.62
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 13-10-2019 09:04:03

(ต่อ)

๑๖ ปีก่อน

อาจเป็นเพราะรูปร่างหน้าตาของเคลวินน์ดูสะอาดสะอ้านกว่าแต่ก่อนมาก ทำให้แวนกัสรู้สึกภาคภูมิใจในฝีมือของตัวเองอยู่ไม่น้อย ผิดกันกับผู้ที่ถูกจับล้างเนื้อล้างตัว มันก้มลงดอมดมที่ผมตัวเองฟุดฟิดอยู่ตลอด ก่อนจะยกผมยาวของตัวเองมาจับสัมผัส

“นายคงไม่คิดว่าผมตัวเองจะนุ่มขนาดนั้นล่ะสิ”

เคลวินน์ยิ้มจนเห็นเขี้ยวยาว “หอม เหมือน แฟนเกิซ”

“อาใช่ ก็เราใช้แชมพูยี่ห้อเดียวกันนี่นา”

“แต่ แฟนเกิซ น่ากิน กว่า”

“หืม อะไรนะ” ชายหนุ่มกอดอก รู้สึกถึงความร้อนผะผ่าวที่แก้ม

ยังไงก็ยังไม่ชิน ยามที่นิ้วใหญ่เอื้อมมาจิ้มจมูกเขาแสดงถึงความเอ็นดู “แฟนเกิซ ดี ที่สุด”

“นายเป็นปิศาจที่ปากหวานที่สุดเลยนะ”

“ปาก หวาน” มันเอียงคอ

“ขี้เกียจอธิบายแล้ว ไปหาอะไรกินกันเถอะ” มนุษย์น้อยปัดสีหน้าเขินที่ถูกชมทิ้งไป แล้วเปลี่ยนเรื่องด้วยการเก็บข้าวของใส่ถุงผ้าเดินกลับไปยังที่บ้านพัก โดยมีเจ้าตัวใหญ่เดินตามหลังต้อยไม่ยอมห่าง ระหว่างทาง แวนกัสแอบเห็นเจ้ายักษ์ร้ายแวะหยุดดูต้นไม้ที่มีรอยหัก ตั้งใจจะปล่อยให้อีกฝ่ายอยู่ในเวลาส่วนตัวสักครู่ หากทว่าเห็นวิธีการที่เคลวินน์ทำกับเจ้าต้นไม้นั้นเสียก่อน

อสูรกายยักษ์ใหญ่ค้อมลงต่ำ จับปอยผมม้วนรอบที่บริเวณกิ่งไม้นั้น ครู่เดียวก็เกิดแสงเรืองรองขึ้นมาฉับพลัน กิ่งที่หักก็ต่อติดได้ดังเดิมราวเสกมนต์ แวนกัสเบิกตาด้วยความทึ่ง แล้วยกกำไลข้อมือที่ตัวเองใส่ขึ้นมาดูครู่หนึ่ง

“จริงด้วย เหมือนเส้นผมของเคลวินน์” ชายหนุ่มลูบมันอยู่เช่นนั้น ขณะมองยักษ์ที่เสร็จกิจก็ยิ้มแฉ่ง วิ่งไม่สนขนาดตัวของตนเองด้วยรอยยิ้มสดใสปรี่มาหาเขาราวกับสัตว์เลี้ยงแสนอ้อน แวนกัสเองก็เพิ่งทราบ ว่าที่เขาไม่มีอาการเจ็บป่วยที่เคยเป็นอยู่ก่อนหน้า ก็เพราะเส้นผมของเคลวินน์นี่เอง

“นายเท่จัง”

“เท่” มันโพล่ง

“ใช่ นายช่วยเหลือต้นไม้ นายดูแลป่านี้ทั้งหมดเลยงั้นเหรอ”

“ไม่” เคลวินน์ส่ายหน้า “ไม่ได้ ดูแล”

“อ้าว แล้วทำไมนายถึงต้องทำ มีใครสั่งให้นายทำด้วยงั้นเหรอ”

“บ้าน ต้อง รักษา”

“อ้อ” แวนกัสดีดนิ้วเข้าใจ “ที่นายทำไม่ใช่หน้าที่ แต่เพราะอาศัยอยู่ที่นี่นายก็เลยดูแลเพราะมันคือบ้านของนาย ฉันนี่มันโง่จริง ๆ คนเรามีบ้านก็ต้องคอยทำความสะอาดเช็ดถูตลอดเหมือนกัน ฉันพูดถูกมั้ย ถ้าถูกก็มาไฮไฟว์กันหน่อยสิ” ชายหนุ่มยกมือให้แตะ เจ้ายักษ์ทำหน้างงเสียแวนกัสเริ่มรู้สึกว่ามีมุมน่ารักเพิ่มขึ้นอยู่เรื่อยแล้ว ชายหนุ่มคลี่ยิ้มขัน จับมือหนาของเคลวินน์มาแปะตอบตัวเอง “แบบนี้ไง”

“แบบนี้ ไฮฟาบฟ์”

“ฉันล่ะชอบสำเนียงนายจริง ๆ” แวนกัสส่ายหน้า

“ข้า ก็ชอบ แฟนเกิซ ที่สุด”

“ชอบฉันตรงไหนล่ะ ตอบได้รึเปล่า”

ผู้ถูกถามพยักหน้า “พูดกับข้า รู้เรื่อง”

“ฮ่า...” คนฟังหัวเราะ “หรือฉันจะเป็นบ้า ถึงพูดจากับนายรู้เรื่อง”

“ไม่ แฟนเกิซเก่ง ข้ารัก แฟนเกิซ!” แวนกัสรู้สึกเหมือนกำลังถูกลวนลามทางสายตามากกว่าการถูกแตะต้อง หลังจากที่เจ้านี่พูดออกมาอย่างหน้าตาเฉยแล้วนั้นก็เอื้อมมาแตะที่ตัวของเขา ด้วยฝ่ามือที่วางไว้บริเวณสะโพก ไม่ได้ลูบคลำ ไม่ได้ตั้งใจจับต้องไปมากกว่าวางไว้เช่นนั้น แต่แวนกัสกลับรู้สึกประหลาดและรับรู้ว่าที่มันกำลังกล่าวนั้นเหมือนจะเอาจริง

ชายหนุ่มอึกอัก “น..นายพูดอะไร เข้าใจรึไงว่ารักคืออะไร”

“เข้าใจ!”

“เข้าใจอะไรของนาย”

“แฟนกัส จับคู่ กับข้า”

“หา...” ชายหนุ่มย้อน “นายพูดอะไรของนาย”

“ข้า รัก แฟนเกิซ”

“เดี๋ยว...” แวนกัสยกมือปราม “มันคนละประเด็นนะ ฉันว่านายอาจจะเข้าใจผิด ฉันเป็นผู้ชายนะโอเค๊ เราสองคนรักกันไม่ได้ แล้วฉันก็ไม่ได้อยากจับคู่กับนายเลยด้วย เราเป็นได้แค่เพื่อนกันนะเข้าใจมั้ย”

“เข้าใจ”

“ดีมาก”

“จับคู่ กับข้า”

“ไม่ ก็บอกแล้วไงว่าฉันเป็นผู้ชายเข้าใจมั้ย”

“เข้าใจ” มันพยักหน้า แล้วยิ้มกว้าง “จับคู่ กับข้า”

“อ๊ากกกก ไอ้ยักษ์บ้า พูดไม่รู้เรื่องรึไง ฉันไม่มีทางจับคู่กับนายโอเค๊”

“โอเค จับคู่กัน” เคลวินน์ยิ้มเผล่เดินตามต้อย

แวนกัสทึ้งหัวตัวเองเดินหนีเข้ามาในบ้าน ปล่อยให้เจ้ายักษ์หัวดื้อยืนเก้กังรออยู่ข้างนอกเช่นนั้นพักหนึ่งอย่างตั้งใจจะเอาคืน ข้อหาพูดจาไม่รู้เรื่อง แต่แล้วอาจเป็นเพราะนิสัยขี้ใจอ่อน แวนกัสลุกไปหยิบข้าวของที่เตรียมไว้พักใหญ่ก่อนหน้านั้นมาถือ เดินซังกะตายออกไป เคลวินน์ยังคงสดใสวิ่งมาหาเขาดังเก่า ไม่รู้ว่าตัวเองได้สร้างความปวดประสาทแก่แวนกัสเท่าไร

“น้ำชา น้ำชา”

“จำได้ด้วยเหรอ” แวนกัสถามขณะปูเสื่อ อดจะยิ้มทั้งที่หงุดหงิดไม่ได้ ชายหนุ่มเปิดกล่องสเต๊กแซลมอนไปวางไว้ให้อีกฝ่าย ก่อนจะตบที่เสื่อเรียกให้เคลวินน์มานั่งด้วยกัน เจ้ายักษ์เอียงคอ ค่อย ๆ คลานมาทรุดนั่งแล้วมีสีหน้าชอบใจกับความอ่อนนุ่ม มันกระโดดดึ๋งบนเสื่อจนเศษผ้าที่ปกปิดแทบจะปลิวหายไปจากเอว

“นายเอานี่ไปคลุมสิ” ผ้าขนหนูผืนเก่าที่เขาเคยใช้ ชายหนุ่มยื่นให้ แต่ที่ทำให้แวนกัสตกใจคือเจ้ายักษ์เจ้าเล่ห์มันหยิบขึ้นไปสูดดมต่อหน้าต่อตาเขา “อ๊ะ ห้ามทำแบบนั้น นายจะเลิกคุกคามทางเพศฉันเมื่อไหร่น่ะหา!”

“หอม”

ทั้งที่โดนดุแต่เคลวินน์กลับลอยหน้าลอยตา มันไม่ได้กลัวชายหนุ่มจริง ๆ ด้วย บางทีชายหนุ่มก็คิดว่าเจ้ายักษ์ร้ายนี่อาจไม่ประสีประสาแท้ก็เป็นได้ แต่ถึงอย่างนั้นแวนกัสก็ไม่ได้มองในแง่ร้าย ชายหนุ่มไม่ใช่คนอ่อนต่อโลกถึงขนาดจะมองอะไรไม่ออก คิดแล้วก็ยกยิ้ม ยามเคลวินน์หยิบชิ้นปลาขึ้นกัดอย่างเต็มปากเต็มคำจนเลอะแก้ม ท่าทางของมันแลดูอร่อยจนคนทำอดภูมิใจไม่ได้

“ถึงนายจะแข็งแรงกว่าฉัน กินอะไรก็ไม่เจ็บไม่ป่วย แล้วนายก็กินของพวกนั้นมาตั้งแต่นายจำความได้ แต่อย่างน้อยเวลาอยู่ต่อหน้าฉัน นายก็อย่ากินพวกมันเลยนะ สัตว์พวกนั้นไม่เหมาะสำหรับเป็นอาหารหรอก”

“ดี ปลาดี” เคลวินน์แทบจะพ่นเนื้อปลาออกมาใส่หน้าแวนกัสอยู่แล้ว

“นี่ เวลากินใครเขาอ้าปากพูดกัน”

“อ้า...”

“ก็บอกว่าไม่ให้ทำไง นายอายุสองร้อยกว่าปีจริงมั้ยเนี่ย”

“จริง”

“เอ หรือว่านายยังไม่โตเต็มวัย สายพันธุ์ของนายอายุเท่าไหร่ถึงเป็นหนุ่มเต็มตัวกันนะ”

“ข้า โตแล้ว” ไม่ว่าเปล่า มันยกผ้าขนหนูที่ควรวางคลุมตักขึ้นมาให้เห็น

“อ๊าก! ฉันเชื่อแล้ว วางลงเถอะวางลง” แวนกัสเอามือปิดหน้าตัวเองอย่างตกใจ ไม่ใช่ว่ายกขึ้นแล้วชายหนุ่มจะไม่เห็น คนถูกแกล้งหน้าร้อนผ่าว ผิดกันกับเคลวินน์ที่หัวเราะคิกคักพอใจ มันกินมูมมามสมกับความอยาก ครู่เดียวก็นั่งเรอเอิ้กใหญ่ แล้วก้มลงมองที่มือเปื้อน ๆ ของตัวเอง “ไม่ดี สกปรก!”

“ใช่ นายควรล้างมือทุกครั้งนะรู้มั้ย”

“ไม่สะอาด แฟนเกิซ ไม่รัก” มันยิ้มเผล่

“ฉันจะพูดกับนายยังไงดีวะ ฉันไม่ชอบ ผู้ชายด้วยกัน โอเค๊”

“โอเค” เคลวินน์ตอบจริงจังด้วยการยกนิ้วชี้แตะปลายนิ้วโป้งอย่างที่แวนกัสทำ และดูท่าทางคราวนี้เหมือนเจ้าตัวจะเข้าใจ หากทว่าเหมือนหางตาของเจ้ายักษ์ใหญ่ไปเจอะกับอะไรเข้า มันเดินไปค้อมตัวดอมดมดอกไม้ป่าที่ขึ้นริมธาร แวนกัสแปลกใจ เป็นภาพที่แลดูเหนือจินตนาการอีกขั้นหนึ่งก็ว่าได้ ยักษ์ตัวใหญ่รูปงาม ผมเงินยาวกำลังปลิวไสวตามแรงลม ก้มงุดลงดอมดมดอกไม้

ขนอันสั้นของเคลวินน์สีน้ำตาล อาจเป็นเพราะเจ้านี่ทำให้กลิ่นของอีกฝ่ายมีความสาบสางเหมือนสัตว์ป่า แต่เมื่อได้ทำความสะอาดแล้ว มันเงาและดูสวยงามน่าลูบประหลาด

นี่เขา...นึกอยากลูบขนยักษ์อย่างนั้นหรือ แวนกัสหลุบตามองตักเมื่อถูกจับได้ว่ากำลังมอง เคลวินน์ฉีกยิ้มจนเห็นเขี้ยวทั้งสอง มันเด็ดยอดดอกไม้เล็ก ๆ นั้นมุ่งตรงมายื่นให้อย่างเคย “ให้ แฟนเกิซ”

“ให้ทำไม” คนรับมาถือแปลกใจ

“ขอบคุณ”

แวนกัสถึงกับยิ้มออก ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะพูดขึ้นมา “อา นายนี่น่ารักเป็นบ้า”

“จับคู่ กับข้า”

“ฉันกำลังจะอารมณ์ดีอยู่แล้วเชียว ไอ้ยักษ์บ้า”

“แฟนเกิซบ้า”

“นี่นายว่าฉันเรอะ!”

“ฮิฮิ” อีกนานเท่าไรไม่รู้ที่แวนกัสจะเคยชินกับการถูกเอื้อมมาจิ้มที่ปลายจมูก ก็คงจะเป็นเร็ว ๆ นี้กระมัง ชายหนุ่มคิดด้วยร้อยยิ้มพราว ยามเอื้อมไปแตะกับอีกฝ่ายตอบกลับไปบ้าง เจ้ายักษ์ค้อมหัวมารับ ให้ชายหนุ่มได้รับรู้ว่าสองเขาที่ตีนผมนั้นใหญ่ไม่หยอก ด้วยความอยากรู้อยากเห็น มือยาวจึงเคลื่อนไปแตะ สัมผัสดูว่ามันแข็งแรงถึงเพียงไหน

เจ้ายักษ์เข่าทรุดขึ้นมาเสียเฉย ๆ มันเอียงคอรับสัมผัสของเขาเงียบเชียบเท่านั้น

“อะไร นายเป็นอะไร”

“ดี”

“เมื่อกี้นายคราง นายรู้สึกด้วยเหรอ” คนถามผละมือออก กลับกันที่ถูกเจ้ายักษ์จับมือไปลูบใหม่

“เอาอีก”

“ไม่เอา มันแปลก”

“แฟนเกิซ ชอบ เขา ของข้า”

“ไม่ได้ชอบ นายพูดเรื่องอะไรของนายน่ะหา!”

“แฟนเกิซ ชอบ เรา จับคู่” คนฟังเบิกตา เมื่อเห็นอะไรภายใต้ผ้าเตี่ยวโผล่ขึ้นมาเป็นรูปร่างยาวเหยียด มันใหญ่ยิ่งกว่าท่อนแขนของเขา ทั้งที่ก่อนหน้าเคลวินน์ไม่ได้มีอาการเช่นนี้ ร่างโปร่งถูกตะครุบให้นอนหงายบนอยู่เสื่อที่ยังไม่ได้จัดเก็บจานชามหรือเศษอาหาร ใบหน้าของเคลวินน์ฟุบลงที่เป้ากางเกงของชายหนุ่ม ดอมดมสำรวจ และกำลังงับบางอย่างในนั้นจนแวนกัสสะดุ้ง

“เฮือก นาย!"”

นึกเข้าใจขึ้นมาแล้วว่าไอ้การจับคู่ที่เคลวินน์กล่าวอยู่บ่อยครั้งนั้น หมายความว่าอย่างไร มันไม่ใช่การขอแต่งงานหรือขอใช้ชีวิตร่วมกันอย่างคนรัก ที่เคลวินน์พูดมาตลอดทั้งวันนั้น มันก็แค่อยากจะขอมีอะไรกับเขาอย่างเดียวด้วยสัญชาตญาณของสัตว์เท่านั้นเอง

“หยุด เคลวินน์”

“แฟนเกิซ ลูบ เขาข้า” เจ้ายักษ์ตัวใหญ่กั้นอาณาเขตไม่ยอมให้แวนกัสหนีไปได้ด้วยลำแขน ชายหนุ่มตาเหลือกเท่าไข่ห่าน ไม่เข้าใจว่าตัวเองมาตกอยู่ในสถานการณ์อย่างนี้ได้อย่างไร มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่

“เคลวินน์ ถ้านายชอบฉันจะลูบเขาให้นายอีกก็ได้ ปล่อยฉันก่อน”

มันส่ายหน้า “จับคู่”

“ไม่ ก็บอกว่าไม่ไง” ชายหนุ่มเสียงดัง

“แต่ แฟนเกิซ ลูบ เขาข้า!”

“ลูบแล้วมันยังไงเล่า ก็แค่ลูบเขาเองมันจะเป็นไร ถอยไป!”

เสียงเคลวินน์ต่ำลง “ต้อง จับคู่”

“นายพูดไม่รู้เรื่องรึไง ฉันไม่มีทางจับคู่กับนายเข้าใจมั้ย ถอยไป!” เจ้ายักษ์ถอยกรูดเพราะแรงผลัก อาจไม่ใช่ว่าแวนกัสแข็งแรง แต่ฝ่ายมันต่างหากที่ยอมปล่อยชายหนุ่มออกจากเงื้อมมือทันทีที่รู้ว่าชายหนุ่มกำลังไม่พอใจ เมื่อได้อิสระแล้วแวนกัสก็ลุกขึ้นยืนอย่างนึกโมโห “ขืนนายยังเอาแต่คิดจะจับคู่กับฉันโดยไม่สนใจอะไรเลย ฉันจะไม่ออกมาเจอนายอีก แล้วฉันก็จะไปจากที่นี่เพราะนายทำตัวน่ารำคาญ เข้าใจมั้ย”

“แต่...”

“ปล่อย ห้ามมาแตะตัวฉันอีก”

“ข้า...”

“นายล้ำเส้นเกินไปแล้วนะ!”

แวนกัสถอยออกห่างไม่ยอมให้จับอย่างเอาจริง คิดว่าควรเด็ดขาดกับเจ้ายักษ์ตรงหน้า ดูเหมือนเคลวินน์จะซึมลงไปทันทีที่เขาใช้เสียงดัง และเว้นระยะห่าง ไหล่ของมันตกและเงียบเสียงไป ระหว่างที่จ้องตากัน แวนกัสได้ยินเหมือนเสียงรถยนต์ของเชนอยู่ที่หน้าบ้านพักพอดี จึงไม่ทันได้พูดคุยอะไรต่อให้เข้าใจ หยิบจับข้าวของแล้วย่ำเดินออกมาเลย ได้ยินเสียงของเคลวินน์เรียกอยู่เบา ๆ

“แฟน..”

“ไม่ต้องตามฉันมา อย่ามากวนฉันตอนรับแขก”

นั่นแหละ คือคำสุดท้ายที่เขาพูดกับเคลวินน์ และเพราะเชนมาเยี่ยม ชายหนุ่มจึงต้องคอยเอาใจใส่เพื่อนจนลืมไปเสียสนิทว่าตัวเองเคืองใจเจ้ายักษ์ร้ายถึงเพียงไหนที่ถูกจู่โจม ใช่...วินาทีนั้นแวนกัสคิดว่าตัวเองจะไม่รอด แต่แล้วเมื่อใจเย็นลง ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าบางทีตัวเองอาจมีส่วนผิดที่ทำให้เคลวินน์เข้าใจผิดไปก็ได้

หรือไอ้การลูบเขาของยักษ์มันจะมีความหมายแฝง ชายหนุ่มครุ่นคิด พลิกตัวนอนหงายในเวลารุ่งสาง ได้ยินเหมือนฝีเท้าของเคลวินน์อยู่แถวหน้าต่าง เดินไปดูดอกไม้ที่ถูกวางทิ้งไว้แล้วก็มุ่นคิ้ว ชะเง้อออกไปก็ไร้ร่างใหญ่ของอีกฝ่ายแล้ว

สามสี่วันแล้วที่เคลวินน์ยอมทำตามคำสั่ง ไม่เดินมากวนเขากับเชน หายไปเหมือนไม่มีตัวตน หลงเหลือไว้เพียงดอกไม้ป่าที่ยังคงวางอยู่ริมหน้าต่าง ยืนยันกับแวนกัสว่าอีกฝ่ายนั้นยังคงอยู่แถวนี้ และยังคงยึดมั่นในสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่ตลอด

แวนกัสไม่อยากคิดเลย ว่าดอกไม้พวกนี้ที่เคลวินน์หามาให้ จะมีความหมายอยู่ด้วย

แล้วมันคงไม่ได้หมายความว่าอยากจับคู่กับเขาหรอกนะ ไอ้ยักษ์หื่น



--------------------------------------------------

ทุกคนอ่านแล้วคงเข้าใจความหมายของการลูบเขาพี่ยักษ์แล้วแหละ

ทำไงอะ ช่วยด้วยน้องผิดผีแต่ไม่รับผิดชอบพี่ยักษ์ ทำพี่ยักษ์ระทวยแบบไม่รู้ตัว อิอิ

อธิบายว่าเขาพี่ยักษ์ก็คือใหญ่ ยาว แข็งแรง เอาไว้อวดสาว ความสำคัญของมันไม่ได้มีแค่นั้นนะคะ ถ้าให้เปรียบกับร่างกายผู้หญิงก็คือเหมือนหัวนมค่ะ 5555 มันสามารถกระตุ้นอารมณ์ทางเพศเวลาโดนลูบได้ ละอิคนน้องก็มือบอนไง 5555

ขอโทษที่หายไปนานนะคะ บ้านเพิ่งเสร็จและย้ายของเรียบร้อย หลังจากนี้คือมีเวลาอัพแล้ว

เจอกันตอนหน้าจ้า
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #7 up13.10.62
เริ่มหัวข้อโดย: คุณซี ที่ 13-10-2019 11:42:04
แง้เด็กๆได้กลับบ้านแล้ววววว เมื่อไรจะเจอคูมพ่อ
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #7 up13.10.62
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 13-10-2019 13:55:40
จุดอ่อนไหวอยู่ที่เขาสินะ ผิดผีแล้ว รับผิดชอบด้วย!!!
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #7 up13.10.62
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 13-10-2019 18:49:10
แง้เด็กๆได้กลับบ้านแล้ววววว เมื่อไรจะเจอคูมพ่อ
อาจเป็นตอนหน้าก็ได้นะคะ อิอิ
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #7 up13.10.62
เริ่มหัวข้อโดย: PKT ที่ 13-10-2019 19:30:36
55555แวนโก๊ะจริงด้วยย ตอนนึกชื่อนี้คือตลกมาก จับเขาขนาดนี้แล้ว ต้องช่วยแล้วป่ะะ อิๆ
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #7 up13.10.62
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 13-10-2019 21:00:17
55555แวนโก๊ะจริงด้วยย ตอนนึกชื่อนี้คือตลกมาก จับเขาขนาดนี้แล้ว ต้องช่วยแล้วป่ะะ อิๆ
รอดูตอนหน้าก่อนนนนน อิอิ
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #7 up13.10.62
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 13-10-2019 22:26:58
 :katai1: รอค่ะ
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #7 up13.10.62
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 14-10-2019 00:19:00
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #7 up13.10.62
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 14-10-2019 11:23:21
:katai2-1: :katai2-1:
:mew3: :mew3: :katai4:
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #7 up13.10.62
เริ่มหัวข้อโดย: Fuzz ที่ 14-10-2019 12:04:42
อยากให้เจอคุณพ่อแง้ววว
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #7 up13.10.62
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 15-10-2019 11:48:17
อยากให้เจอคุณพ่อแง้ววว
แน่ใจหรอว่ายังไม่ได้เจอ อิอิ
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #8 up16.10.62
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 16-10-2019 12:19:43

#ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง

ตอนที่ 8

เสียงเปาะแปะจากด้านนอกทำเอาคนสวมหูฟังต้องผละหันไปยังด้านหลัง วิคเตอร์ผุดลุกจากโต๊ะหนังสือเดินวนไปแหวกผ้าม่านออกดู น่าแปลกที่เห็นเป็นเคลกับน้องชายกำลังยืนแหงนหน้า กวักมือเรียกชายหนุ่มให้ลงไปหา หรือไม่ก็ขอขึ้นมาด้านบนด้วย

ทำไมเหยื่อถึงได้เสนอตัวมาถึงที่กันได้เสียเล่า วิคเตอร์คิดแล้วยิ้ม เดินกึ่งวิ่งตั้งใจไปเปิดประตูหาด้านล่าง ระหว่างทางเจอเข้ากับป้ามีญ่า “อ้าว จะออกไปไหนเสียล่ะวิค”

“เปล่าฮะ ผมนัดกับเคลไว้”

“เคล” นางย้อน

“ลูกของคุณแวนกัสที่ย้ายมาเมื่อวันก่อนไงฮะ”

คนฟังยิ้มกว้าง “หลานสนิทกับพวกเขาไวดีนี่ ว่าง ๆ ชวนมาเล่นที่บ้านสิ”

“ได้ฮะ” คนขานรับรีบตอบแล้วเปิดประตู

“ดูแลตัวเองด้วยล่ะ อย่าชวนกันซนนัก”

“ผมไม่ใช่เด็กแล้วนะ” เสียงไล่หลังด้วยความห่วงใยของป้ามีญ่าทำเอาชายหนุ่มยิ้มขัน รีบก้าวเท้าวนออกไปยังหลังบ้านบริเวณที่เคลกับน้องชายรออยู่ ไปถึง วิคเตอร์รู้สึกแปลกใจกับสองพี่น้องนี้ที่แลดูเหมือนเป็นแฝดเสียมากกว่า หรือจะเป็นวิล “ไงเคล นั่นวิลใช่มั้ย วันนี้เขาดูตัวเล็กลงนะ”

“ไม่ใช่ นี่ไคล์ต่างหาก เขาก็เป็นแฝดของฉัน”

“แฝดเหรอ พวกนายมีแฝดกี่คนกันเนี่ย”

“สี่คน นายยังไม่ได้เจอกับไวน์ เดี๋ยวคงได้เจอ”

คนฟังส่ายหน้า “ฉันว่าเข้าเรื่องเลยดีกว่า พวกนายมาหาฉันมีเรื่องอะไร”

“นายอยากไปเที่ยวบ้านพวกฉันมั้ย”

คนฟังแปลกใจ “เที่ยวบ้านนาย หมายถึงกระท่อมหลังนั้นน่ะเหรอ”

“เย็นนี้เรามีปาร์ตี้ ถ้านายอยากไปก็ไปได้เลย” เคลบอก

“แล้วคนอื่น ๆ ล่ะ”

“คนอื่น” ไคล์รีบแทรก แล้วส่ายหน้า “เราไม่ได้ชวนคนอื่น”

“ฮะ!”

“เราหมายถึง เรารู้จักแค่นาย ก็เลยมาชวนแค่นายน่ะ” เคลรีบว่า “แล้วตกลงนายจะมามั้ย ฉันจะไปบอกปะป๊าว่านายจะมา เราจะเตรียมมื้อเย็นเผื่อ นายไม่คิดว่านี่จะเป็นโอกาสที่ดีที่เราจะได้รู้จักกันมากขึ้นเหรอ” เคลถามด้วยรอยยิ้มพราวและยังไม่ทิ้งลายหน้าตาซื่อบื้อ

วิคเตอร์กอดอก ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหน แต่สิ่งที่พูดก็ไม่เลว ชายหนุ่มจะหาเวลาเหมาะเจาะที่ไหนเท่าตอนนี้อีกเล่า กับการตีสนิทเข้าหาแวนกัส คิดแล้ววิคเตอร์ก็ยกยิ้มขึ้น “ตกลง ทำไมจะไม่ไปล่ะพวกนายมาชวนขนาดนี้ ว่าแต่...พวกนายรู้จักบ้านฉันได้ยังไง”

“เรื่องนั้น”

“ก็นั่นไง จักรยานของนาย” ไคล์ยื่นปากไปยังอีกฝั่ง

“แล้วพวกนายรู้ได้ยังไงว่านั่นจักรยานของฉัน ไหนจะห้องข้างบนอีก”

สองพี่น้องมองหน้ากัน “ฉันว่า พวกเราหายมานานแล้ว เดี๋ยวปะป๊าถามหา”

“เฮ้ เดี๋ยว...”

“เจอกันตอนเย็นนะพวก” ว่าแล้วเคลก็รีบออกตัววิ่ง ขืนอยู่ต่อมีหวังได้หลุดปากออกไปแน่ว่าพวกเขาแอบมองแล้วก็สืบดูอยู่ตลอดว่าวิคเตอร์ทำอะไรที่ไหนบ้าง ตั้งแต่เจอของน่าสงสัยในถ้ำใต้ต้นไม้ ทั้งสี่ก็พากันแอบมาวิ่งเล่นและใช้ที่นั่นเป็นฐานลับกัน รวมถึง มีจุดมุ่งหมายคือการสอบถามป้ามีญ่าด้วยว่าสมัยสิบหกปีก่อนนั้น แวนกัสทำตัวอย่างไร แต่ก่อนจะได้พูดคุยกับนาง

พวกเขาต้องตีสนิทกับวิคเตอร์ก่อน

กลับมาถึงบ้าน เคลก็ไปนั่งรวมกับพี่น้อง บอกเล่าว่าวิคเตอร์ยอมมาที่บ้านตามแผน ท่าทางการซุบซิบพูดจานั้นอยู่ในสายตาของแวนกัสอยู่ตลอด ชายหนุ่มกระแอม เรียกให้ทั้งสี่ต้องรีบผละออกจากกัน แลดูมีพิรุธกันที่สุด คิดแล้วผู้เป็นพ่อก็เดินวนไปทรุดนั่งร่วมวงด้วย “พวกลูกกำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่”

“อ๋อ” เคลรีบออกตัว “พวกเราชวนวิคเตอร์มาที่บ้านฮะ ปะป๊าช่วยทำสเต็กเนื้อเผื่อเขาทีได้มั้ย”

“วิคเตอร์ หลานป้ามีญ่าน่ะเหรอ” แวนกัสหรี่ตา “พวกลูกไปสนิทกันตอนไหน”

“เราบังเอิญเจอเขาที่ธารหลังบ้าน เลยได้ทักทายกัน เขาคุยสนุกดี”

“พวกลูกไม่กลัวเขาจะเห็นวิลรึไง”

วิลยักไหล่ “ผมซ่อนตัวก็ได้ฮะ”

“แต่เคลบอกไปแล้วว่าเราเป็นแฝดสี่ ถ้าวิลหายตัวไปไม่ผิดสังเกตแย่เหรอ” ไคล์รีบแย้ง

“คงไม่เป็นไร วิคเตอร์เคยเห็นผมแล้วฮะ” วิลว่า “เขาเข้าใจว่าผมค่อนข้างเก็บตัว ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร”

“เอางั้นเหรอ” แวนกัสมองลูกชายคนโตอย่างไม่ค่อยไว้ใจ

“เราย้ายมาอยู่ที่นี่ เรามีเพื่อนได้ใช่มั้ยฮะ”

คำถามของลูกชายทำเอาแวนกัสรู้สึกห่อเหี่ยวขึ้นมาทันใด อดคิดไม่ได้ว่าที่ทุกคนต้องสูญเสียชีวิตวัยรุ่นไปเป็นเพราะตนเองไม่ยอมบอกความจริงกับลูก ความรู้สึกผิดเล่นงานชายหนุ่มทันทีทันใด “งั้นก็ได้ ลูกสามารถมีเพื่อนกันได้เท่าที่อยากมี เราจะอยู่ที่นี่อย่างน้อยก็สองสามปี จนกว่าไอ้วิดีโอที่แพร่อยู่บนอินเตอร์เน็ตนั่นจะถูกลืมไป หรือจนกว่าทุกคนจะมองเรื่องนั้นว่าเป็นเรื่องไร้สาระหลอกลวง”

“ผมอยากอยู่ที่นี่ตลอดไป” วิลออกความเห็น

“ทำไมลูกพูดอย่างนั้นล่ะ”

“ไม่รู้เหมือนกันฮะ” ลูกชายคนโตตอบด้วยเสียงอ่อนลง “เหมือนที่นี่เป็นสิ่งที่ผมรอคอยมาทั้งชีวิต”

“วิล ลูกแค่กำลังเห่อเท่านั้นเอง พ่อก็เคยเป็น ไม่นานลูกก็เบื่อแล้ว”

“ไม่จริงฮะ ผมไม่เคยเบื่อเลย ผมอยากอยู่ที่นี่จริง ๆ” คนกล่าวก้มหน้าลง “ผมรู้สึกว่าที่นี่เป็นบ้าน”

พี่น้องทุกคนเงียบไป อาจเป็นเพราะคำพูดที่อยากเอ่ยออกไปวิลทำให้ทั้งหมดแล้ว ผู้ฟังอย่างบิดารู้สึกใจหาย ทำได้เพียงขยับไปนั่งข้าง สวมกอดทั้งสี่ในความเงียบงันเท่านั้นเอง “พ่อขอโทษที่ทำให้ลูกคิดแบบนั้น” แวนกัสกล่าวเสียงเบา ไม่รู้เขาขอโทษทำไม รู้เพียงว่าควรพูดอะไรออกไปบ้างให้ตัวเองไม่รู้สึกผิดไปมากกว่านี้

ขอโทษ ที่ช่วงชิงชีวิตของพวกเขา ขอโทษ ที่เห็นแก่ตัวห่วงเพียงแค่ความรู้สึกของตัวเอง

ขอโทษ ที่ไม่เคยเล่าความจริงอะไรให้ฟัง ขอโทษ ที่ไม่เคยทำหน้าที่พ่อที่ดีอย่างที่ควร

“ปะป๊าทำดีที่สุดแล้วฮะ” คำปลอบโยนของลูกชาย ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกมีความหวัง แวนกัสยกยิ้ม ขยี้หัวคนกล่าวอยู่สองสามที ไม่อยากร้องไห้หรือแสดงความอ่อนแอให้เด็ก ๆ เห็นไปมากกว่านี้ ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน ปล่อยให้ทั้งสี่อยู่ด้วยกันต่อ แล้วเดินแยกออกไปทำธุระส่วนตัวในห้องครั้วอีกฝั่ง

ครั้นร่างของบิดาห่างออกไปแล้ว เป็นไคล์ที่เริ่มกระซิบกระซาบ “ฉันว่าปะป๊ามีเรื่องปิดบังเราจริง ๆ”

“เห็นด้วย”

“เขาดูเศร้าที่เล่าให้เราฟังไม่ได้” เคลมุ่นคิ้ว “เราพักเรื่องนี้กันก่อนดีมั้ย ฉันไม่อยากเห็นปะป๊าเศร้าเลย ยิ่งเราพูดเรื่องอดีตเท่าไหร่ ปะป๊าก็ยิ่งดูเศร้ามากขึ้นเท่านั้น มันจะดีจริง ๆ เหรอถ้าเราได้รู้ความจริง”

“ฉันว่าที่ปะป๊าไม่ยอมบอก ก็คงเพราะปกป้องเรา” วิลว่า

“งั้นเราจะสืบหาความจริงกันทำไม แกล้งไม่รู้ไม่ชี้ต่อไปไม่ได้เหรอ”

“เพราะเราจะเป็นฝ่ายปกป้องปะป๊าบ้างยังไงล่ะ”

เคลงุดหน้ามองตักตัวเอง “แน่ใจนะ ว่านี่คือการปกป้องปะป๊า ไม่ใช่ทำร้าย”

“ฉันไม่อยากให้ปะป๊าจมอยู่กับอดีต”

“ฉันเข้าใจเคลนะ นายคงกลัวว่าถ้าปะป๊าโดนสะกิดแผลเก่า ปะป๊าจะเจ็บปวด” ไวน์ลูบบ่าน้อง

“ฉันเข้าใจนายนะเคล” วิลออกความเห็น “แต่เรื่องนี้เราจำเป็นต้องรู้ ถ้าไม่อยากให้ปะป๊าเจ็บปวด เราก็แกล้งไม่รู้ในสิ่งที่ปะป๊าปกปิดก็ได้นี่นา ฉันว่าอาจจะมีวันที่เขาพร้อมเล่าให้เราฟังก็ได้ ว่าสุดท้ายแล้วพวกเราคือใคร ทำไมเราถึงไม่เหมือนมนุษย์คนอื่น รวมถึง ทำไมเขาถึงได้ไปอาศัยอยู่ในโพรงไม้นั่น เขาอยู่กับใคร แล้วทำไมถึงปกปิดที่มาที่ไปของพวกเราด้วย”

“ฉันไม่อยากรู้ความจริงเลย” เคลส่ายหน้า “ฉันกลัวว่าฉันจะไม่ใช่ลูกปะป๊า ถ้าเราเป็นลูกคนอื่นจะทำยังไงล่ะ ฉันรักปะป๊าแล้ว ฉันไม่อยากตัดใจจากเขานี่นา”

“ไม่เห็นต้องทำอย่างนั้นเลย เราเป็นลูกเขา ฉันเชื่อว่าเราเป็นลูกของเขานั่นแหละ”

แต่กับใครกันล่ะ กับมารดาที่อยู่ในรูปใบนั้นน่ะหรือ วิลครุ่นคิดแล้วก็ลูบบ่าน้องเล็กที่ตัวไม่เล็กเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เพราะเห็นว่าน้องชายพากันทำหน้าซึมลงไป เด็กหนุ่มก็ผุดลุกขึ้นยืนเปลี่ยนเรื่อง “เราออกไปวิ่งเล่นข้างนอกกันมั้ย เลิกทำหน้าซังกะตายแบบนั้นเถอะน่า”

ไคล์พยักหน้า “ดีเหมือนกัน ฉันอยากไปที่น้ำตกอีก ไปฐานลับของเรากัน”

“ไปเถอะ เผื่อจะเจอข้อมูลอะไรเพิ่ม”

“ไปเคล โถ่...เลิกทำหน้าเป็นหมาหงอยได้แล้วพวก” วิลหัวเราะ โยกหัวคนตัวโตเท่า

“ใครถึงคนสุดท้ายวันนี้ล้างจานนะ”

เคลเบิกตา วันนี้มีปาร์ตี้ คงมีจานพะเนินเทินทึกให้เขาล้างหากเด็กหนุ่มแพ้ “งั้นฉันไปล่ะ”

“ได้ไง ขี้โกงนี่นา!” ทั้งสามประสานเสียงกันเมื่อเห็นน้องสุดท้องวิ่งนำไปแล้ว ไม่นานบ้านที่มีเสียงหนุ่ม ๆ ก็เงียบลงไป ไม่เหลือความวุ่นวายในบรรยากาศเหมือนก่อนหน้า

ท่ามกลางเสียงหัวใจและแรงสะอื้นของพ่อที่ยืนเงียบฟังอยู่อีกฝั่งของกำแพง แวนกัสเช็ดน้ำตา ไม่คิดเลยว่าความผิดของตัวเองจะร้ายแรงถึงขนาดทำให้ลูกชายเป็นห่วงกันขนาดนั้น

“เด็ก ๆ พวกนายไม่ได้ซื่อบื้อเหมือนพ่อเลยนี่นา” มือยาวเอื้อมเกาะกำแพงเพราะรู้สึกยืนไม่ไหว เดินกลับออกมาทั้งน้ำตา รับรู้ว่าเหล่าลูกชายนั้นกำลังห่วงและทำเพื่อตนขนาดไหน “ไอ้ยักษ์เลว ทิ้งลูก ๆ ที่น่ารักได้ลงคอ ฉันจะให้พวกเขารู้ยังไงว่าเป็นลูกยักษ์อย่างนาย”

พ่อที่ไม่มีความรับผิดชอบ พ่อที่ทอดทิ้งลูกน้อยอย่างไม่ใยดี ให้เขารออยู่ที่โพรงไม้นั่นอยู่คนเดียวในคืนเบ่งคลอด ชายหนุ่มต่อว่าอีกฝ่ายอยู่ในใจ แต่แล้วแวนกัสก็ชะงักมือที่เช็ดน้ำตา ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าเมื่อครู่เขาได้ยิน ว่าเด็ก ๆ เจอโพรงไม้นั่นแล้ว แล้วก็รู้ว่าเขาอยู่ที่นั่นเมื่อสิบหกปีก่อน

“เด็ก ๆ” กลับมาก่อน “รอพ่อด้วย...”

เขาไม่อยากให้หนุ่ม ๆ รู้ความจริงด้วยตัวเอง แวนกัสจะเป็นฝ่ายเล่าทั้งหมด

อีกไม่นาน เหล่าลูกชายก็คงรู้ว่าตัวเองเป็นใครจริง ๆ แน่ และเขาก็ไม่อยากถูกเกลียด คิดแล้วร่างโปร่งก็ผุดลุกขึ้นยืน เช็ดน้ำตา เดินไปหยิบเสื้อคลุมมาสวมแล้วรีบเดินตามออกไปยังหลังบ้าน โดยไม่รู้ตัวเลยว่า ท่าทางรีบร้อนของตนนั้น อยู่ในสายตาของวิคเตอร์ที่เพิ่งมาถึงพอดิบพอดี

“รีบร้อนไปไหนของเขา” ชายหนุ่มจอดจักรยานของตัวเอง คิดว่าเคลหรือพี่น้องยังคงอยู่ในบ้านก็ตรงไปเคาะประตู หากทว่าทุกอย่างเงียบกริบ ไร้การตอบรับ หรือจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกัน เห็นแล้วมือใหญ่ก็ลองหมุนลูกบิดเปิดดูด้วยความใคร่ทราบ และน่าแปลกที่มันไม่ได้ล็อกไว้

“มีใครอยู่มั้ย” ชายหนุ่มหยั่งเชิง ชะโงกหน้าเข้าไปด้านใน “เฮ้ เคล นายอยู่ข้างในรึเปล่า วิล...ไคล์...”

ทุกอย่างเงียบกริบ ไม่มีเสียงใครตอบรับ

วิคเตอร์พ่นลมหายใจ จะเป็นอะไรหรือไม่ ถ้าเขาจะลองเข้าไปสำรวจภายในว่ามีความลับอะไรอยู่...

สบโอกาสถึงเพียงนี้แล้ว คงไม่เป็นไรมั้ง

เพราะความรวดเร็วที่มีกันอยู่ทำให้ถึงที่หมายกันได้ภายในไม่กี่นาที เคลมาถึงก่อนพี่ ๆ แล้วกระโดดโลดเต้นดีใจที่วันนี้ชนะ ลืมอารมณ์เศร้าเมื่อก่อนหน้านี้ไปแล้ว ทั้งสามหัวเราะท่าทางนั้นแล้วพากันถอดเสื้อผ้าเพราะอยากเล่นน้ำ ด้วยความที่อยู่กันเฉพาะหนุ่ม ๆ ทำให้ไม่อายในการสวมเพียงชั้นในกันเท่านั้น ไม่นาน ละแวกนี้ก็ได้ยินเสียงเสียงน้ำดังตูมตามกันยกใหญ่

“ดูท่ากระโดดของฉันซะก่อน” วิลปีนอยู่บนรูปปั้นตัวใหญ่ที่นอนแอ้งแม้งจมดินริมตลิ่งไปครึ่งตัว แล้วหมุนตีลังกาลงน้ำ น้อง ๆ เห็นแล้วต่างพากันทำตามเสียยกใหญ่ เอาเสียตะใคร่น้ำที่เกาะหลุดลุ่ยเปลี่ยนมาสะอาดตา

เสียงหัวเราะคิกคักในป่าของทั้งสี่ ทำให้อะไรบางอย่างที่กำลังมองอยู่รู้สึกถึงได้ วิลถอดชั้นในของตัวเองหลังจากพอใจกับการเล่นน้ำจนเหนื่อยแล้ว เอาไปพาดฝากที่หัวรูปปั้นหินตัวนั้น “ขอตากกางเกงในหน่อยน้า เดี๋ยวมาเอาคืน”

“วิล นายอยากขึ้นไปดูวิวข้างบนกับเรามั้ย” พี่น้องทั้งสามชี้ที่ยอดต้นไม้ใหญ่

“ไม่ล่ะ ฉันขอนอนพักอยู่ตรงนี้ก่อน”

“เดี๋ยวเรากลับมานะ”

“โอเค” เด็กหนุ่มยกมือสะบัดไล่แล้วเอนหลังพิงโคนต้นไม้ใหญ่ แหงนมองออกไปเห็นท้องฟ้ากำลังมีเมฆครึ้มแล้วนึกถึงประโยคในหนังสือบุตรของเทพเจ้าที่ว่า บุตรของเทพเจ้านั้นสามารถบันดาลลมและฝน รวมถึงมีอิทธิฤทธิ์ในการรักษาด้วย ทั้งที่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะมีพลังอันแรงกล้าจากความดี แต่มีอิทธิฤทธิ์เหมือนเทพ ช่างน่าอิจฉา...

คิดแล้วเด็กหนุ่มก็ยกยิ้ม “อยากเป็นแบบนั้นบ้างจัง ฉันอยากมีพลังทำให้ปะป๊ามีแต่ความสุข”

ไม่รู้ว่าตัวเองเผลอหลับไปตอนไหน วิลรู้สึกงัวเงียตื่นเพราะรู้สึกได้ถึงสัมผัสเหนอะหนะของอะไรบางอย่างที่กำลังเลียหน้า ครั้นรู้สึกตัวดี เด็กหนุ่มก็อ้าปากหวอเมื่อเห็นเป็นเจ้ากวางตัวเดิมที่เคยมาหาในความฝันคราวก่อน “นายอีกแล้วเหรอ นายมาได้ยังไง”

“ข้าอยู่กับเจ้าตลอด” เจ้ากวางตาแป๋วตอบ

เด็กหนุ่มลูบขนสีขาวนั้น ยกยิ้มหวาน “นายเป็นเทพเจ้าใช่มั้ย”

“เด็กน้อย เทพเจ้าไม่ปรากฏตัวง่าย ๆ หรอก ยกเว้นในกรณีพิเศษ”

“ฉันเชื่อในเทพเจ้าและพระเจ้านะ อย่ามาโกหกเสียให้ยาก”

“ข้าไม่ได้โกหก” เจ้ากวางเลียหน้าของเด็กหนุ่มเสียหยาดเยิ้ม “ข้าไม่ใช่เทพเจ้า”

“งั้นนายจะให้พรกับฉันได้ยังไง”

เจ้ากวางสบตาวิลวินาทีหนึ่ง กล่าวด้วยเสียงเบาว่า “เพราะเจ้าน่าสงสาร...”

“เดี๋ยวก่อน หมายความว่านายจะให้ฉันเจอแม่จริง ๆ ใช่มั้ย” วิลร้องถาม เมื่อเจ้ากวางที่เขากำลังลูบขนให้หมุนตัวเหมือนตั้งใจจะเดินไปไหนสักที่ “นายตอบได้มั้ยคุณกวาง ว่าพวกเราเป็นอะไร นายมาหาเราเพราะนายรู้ใช่มั้ย”

“เด็กน้อย อีกไม่นานหรอกพวกเจ้าจะรู้คำตอบที่ถามข้าวันนี้ รอก่อน”

“จริงนะ”

“ข้าไม่โกหก”

“ทำไมถึงบอกตอนนี้ไม่ได้” วิลร้องตาม

“เพราะมันผิดกฎ”

“กฎ กฎอะไร...” วิลตั้งใจจะลุกขึ้นเดินตามไป หากทว่าเด็กหนุ่มกลับสะดุ้งตื่นเสียก่อน แปลกใจที่เห็นน้องชายทั้งสามลุมล้อมเขาไว้ หน้าตาต่างฉงนงุนงงกันเป็นแถบ ราวกับเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นมา “พวกนาย...”

“นายโอเคมั้ย พวกเราเรียกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมตื่น ตกใจหมดเลย นึกว่าจะนอนจมรากไม้ไปแล้ว”

“พูดเรื่องเหลวไหลอะไรกัน” ทำท่าจะลุกก็รู้สึกเจ็บหนังหัวปลาบขึ้นมา เกิดอะไรขึ้น วิลไม่อาจทราบได้ พยายามจะลุกขึ้นนั่งก็รู้สึกเหมือนมีอะไรฉุดรั้งหนังหัวไว้ ท้ายที่สุดเคลก็บอกเล่าว่า “ก็ดูผมนายสิ ผมนายมีต้นไม้ดอกไม้เกิดเต็มไปหมดแล้ว ขืนพวกเรากลับมาช้ากว่านี้ นายได้กลายเป็นมนุษย์ต้นไม้เดินได้แน่ ฮึบ!”

“เด็ก ๆ ทำอะไรกันอยู่” ขณะช่วยกันถอนต้นไม้เล็ก ๆ ออกจากหัวพี่ชาย ทั้งสี่ได้ยินเสียงของบิดาขึ้นมาเสียก่อน ไม่รู้ว่าแวนกัสทราบได้อย่างไรว่าพวกเขาอยู่ที่นี่ “ปะป๊า มาได้ยังไงฮะ ที่นี่ไกลนะ”

“ก็พวกลูกหายไปนี่” แวนกัสเดินปนหอบไปหา

“เราแค่ออกมาวิ่งเล่นกันน่ะ”

“วิลล่ะ”

“อยู่นี่ฮะ” คนกล่าวผุดลุกขึ้น บนหัวเต็มไปด้วยต้นไม้ดอกไม้อ่อน ๆ เกาะแซมอยู่ตามเรือนไหมสีเงิน แม้จะเจ็บหนังหัวเพราะเส้นผมที่ขาดวิ่นเกาะแน่นอยู่บนดิน แต่เด็กหนุ่มกลัวว่าบิดาจะเป็นห่วงมากกว่า อีกอย่างคือ พวกเขาไม่คิดว่าไกลขนาดนี้บิดาจะกล้าเดินตามมา

ราวกับรู้ว่าแถวนี้มีที่แบบนี้อยู่ก่อนแล้ว ราวกับคุ้นชินเส้นทางเป็นอย่างดี พวกเขาวิ่งมาไม่กี่นาที แต่คนธรรมดาอย่างแวนกัสใช้เวลาเป็นชั่วโมง

เส้นทางนี้มันไกล หากไม่รู้จุดหมาย ก็คงไม่มีใครรู้ว่าที่นี่มีจริง

วิลมั่นใจแล้ว ว่าเจ้าของโพรงไม้นั่น คือแวนกัสไม่ผิดแน่



หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #8 up16.10.62
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 16-10-2019 12:20:41

(ต่อ)

๑๖ ปีก่อน

เชนกลับไปได้สองวันแล้ว แต่เคลวินน์ยังไม่กล้าออกมาเจอชายหนุ่มอย่างเคย แวนกัสรู้สึกตัวตื่นเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของอีกฝ่ายเดินอยู่บริเวณหน้าต่าง ลำขายาวรัวก้าวออกไปเกาะชะเง้อมอง ไม่ได้สนใจดอกไม้ที่วางอยู่เลย สนแค่ว่าเจ้าของของมันอยู่ไหน เห็นแผ่นหลังและเส้นผมสีเงินยาวของอีกฝ่ายอยู่ลิบ ๆ ไม่รู้เหตุใดเขาถึงได้ร้อนอกร้อนใจนัก

“เคลวินน์!”

ชายหนุ่มตะโกนเรียก เห็นอีกฝ่ายชะงักเท้า แล้วก็หมุนตัวกลับมา สีหน้าของมันยังคงหม่นหมองรู้สึกผิดอยู่เลย เช่นนั้นแวนกัสเองก็ใจหาย รู้สึกผิดที่เผลอใช้อารมณ์กับอีกฝ่ายไป

“นายกลับมาได้แล้ว” ชายหนุ่มบอก “เพื่อนฉันกลับไปแล้ว”

แวนกัสเห็นชัดเจนว่าอีกฝ่ายกลับมาสงบเสงี่ยมเหมือนช่วงเจอกันใหม่ ๆ หนำซ้ำบนใบหน้าก็ยังคงมีความระแวงว่าตัวเองจะทำให้เขาโกรธอีก ชายหนุ่มเดินไปหยิบของที่เชนนำมา ยื่นให้เจ้ายักษ์เกือบเปลือยด้านนอก “เอ้า เอากางเกงพวกนี้ไปใส่สิ”

“ไม่เอา”

คนฟังแปลกใจ “ทำไมล่ะ”

“ไม่ใช่ ของ แฟนเกิซ”

“ของเพื่อนฉันไง ฉันอุตส่าห์ให้เขาซื้อมาฝากนายนะ”

“ข้า ไม่ชอบ กลิ่น”

“เหม็นเหรอ แต่มันยังใหม่ ๆ อยู่เลยนะ” ชายหนุ่มก้มลงดมให้ดูเป็นตัวอย่าง

“อย่าดม!”

“อ๊ะ” เจ้ายักษ์นิสัยไม่ดี แวนกัสกระเถิบหลบฝ่ามือตั้งใจจะปัดกางเกงที่เขาถือทิ้ง “นายทำอะไรของนาย!”

“มันมี กลิ่น คนอื่น!”

“ก็แค่กลิ่นที่มาจากมอลล์นี่นา เอาไปใช้นะ กางเกงพวกนี้สวมสบายกว่าเศษผ้านั่นตั้งเยอะ”

“ไม่ จะเอา ของ แฟนเกิซ!”

“ก็นี่ไง” แวนกัสยื่นให้ “นี่ก็ของฉันเหมือนกัน”

“ไม่!”

“เคลวินน์ นายเป็นยักษ์งี่เง่ารู้ตัวมั้ย” แวนกัสถอนใจ

“แฟนเกิซ งี่เง่า!”

“เอ๊ะ! ไอ้ยักษ์นี่ยอกย้อนเก่งจังเลยนะ” ชายหนุ่มเสียงดัง “จะเอารึไม่เอา”

“ไม่เอา!” มันตอบเสียงต่ำกังวานบอกอารมณ์เช่นกัน พร้อมทั้งปัดกางเกงวอร์มขาสั้นไซซ์ใหญ่พิเศษที่เขาถือลงพื้นโคลน เท่านั้นยังไม่พอ มันยังกระทืบย่ำให้เปรอะเปื้อนไปกับโคลนกว่าเก่าอีกด้วย เห็นแล้วแวนกัสก็ตาถลน ความโมโหพุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุด วิ่งออกไปหาอีกฝ่าย

“นายทำบ้าอะไรของนายน่ะหา!” คนเขาอุตส่าห์ซื้อมาให้

“ไม่เอา!” มันร้องตอบ “จะเอา ของ แฟนเกิซ!”

“ก็นี่ไง ฉันฝากเชนซื้อมาให้นายไง”

“ไม่เอา จะเอาของ แฟนเกิซ!”

“ไอ้ยักษ์โง่ พูดจาไม่รู้เรื่อง”

“แฟนเกิซโง่!” ไม่พูดเปล่า มันเหยียบที่ผ้าซ้ำตามอารมณ์ตัวเองอีกด้วย

แวนกัสร้องว้าก ผลักมันออกแล้วทุบเป็นกระท้อนอย่างนึกโมโห “ฉันหมดความอดทนกับนายแล้วนะเคลวินน์ ไม่เอาก็ไม่ต้องเอา จะไปไหนก็ไป!”

“ข้า จะอยู่ กับแฟนเกิซ” เจ้ายักษ์รีบว่า “จับคู่ กับข้า!”

“ไม่ เลิกพล่ามเรื่องจับคู่ เรื่องกลิ่นอะไรของนายสักที ฉันจะบ้าตาย”

“แฟนเกิซ รัก ข้า!”

“ไปให้พ้นเลยนะเคลวินน์ ฉันรู้ว่านายกำลังกวนโมโหฉัน” ชายหนุ่มพยายามอย่างที่สุดที่จะไม่อารมณ์ร้อนกับเจ้ายักษ์ซื่อบื้อ แต่บางทีก็เหลืออดเหลือทน “ตั้งแต่ไอ้ลูบเขาบ้า ๆ นั่นแล้วนะ แค่ฉันแตะนายก็จู่โจมฉัน ไม่เชื่อฟังฉันแล้ว ฉันจะไปรู้ได้ยังไงว่าฉันทำอะไรผิดลงไปถ้านายไม่เล่า หรือบางทีเราจะไม่ควรรู้จักกันตั้งแต่แรกวะ”

ได้ฟัง เจ้ายักษ์ก็คอตก สงบเสงี่ยมกว่าเก่า “แฟนเกิซ ไม่รู้ ลูบเขา คือ จับคู่”

“พอเถอะเลิกพล่ามภาษาต่างดาวของนายได้แล้ว กลับเข้าป่าไปเลย!”

“ไม่!”

“นายไม่ไปฉันไปเอง”

“เคลฟินน์ ขอโทษ” นิ้วมือยาวตั้งใจจะเอื้อมมาจิ้มที่ปลายจมูกของเขาอย่างเคย แวนกัสไม่รู้ว่าทำไมถึงเลือกจะถอยหนี แต่ครั้นทำลงไปแล้วก็รู้สึกได้ว่าไม่ควรเลย เมื่อเห็นว่าสีหน้าของเคลวินน์ดูเศร้าลงไปอย่างฉับพลัน มันห่อไหล่ คอตก ใบหน้ารูปหล่อนั้นมุ่นหมองที่เขาปฏิบัติต่อมันไม่เหมือนก่อน

ที่เขาทำ อาจจะเป็นการปฏิเสธกระมัง “เคลวินน์ มนุษย์ซับซ้อนนะ นายไม่เข้าใจหรอก”

“เข้าใจ” มันตอบเสียงพร่าต่ำ “ข้า รัก แฟนเกิซ”

“ทำไมถึงรัก ทำไมถึงเข้าใจ เพราะแค่พูดออกมานายยังพูดไม่รู้เรื่องเลย นายจะมั่นใจได้ยังไงว่าความรู้สึกของนายที่มีต่อฉันคือความรัก” ชายหนุ่มย้อน “อธิบายมาสิ ความรู้สึกของนายที่นายมีต่อฉัน เดี๋ยวฉันจะตัดสินใจเองว่ามันคือความรักรึเปล่า”

อยากรู้ว่าคำตอบจากยักษ์ที่โตมาในป่านั้น จะสรรค์หาคำไหนมาอธิบายกับเขาได้ ครั้นได้ฟัง สีหน้าของเจ้ายักษ์ก็เปลี่ยนไป มันอึกอักราวกับอยากจะพูดเป็นร้อยเป็นพันคำ แต่สุดท้ายก็คอตกลงไป “ข้าพูด ไม่เป็น”

“หึ...” ไม่รู้ทำไมแวนกัสถึงหัวเราะขึ้นมา อาจเป็นเพราะเขารู้อยู่ก่อนแล้วกระมังว่าเจ้ายักษ์ตัวใหญ่ตรงหน้านั้นจะตอบเช่นนี้ “เพราะงั้นนายไม่มีทางได้จับคู่กับฉันหรอก ความคิดของฉันซับซ้อน นายไม่มีทางเข้าใจ”

เคลวินน์หน้าเศร้า “ข้ารัก...”

“นายอย่าดื้อ กลับไปในป่าได้แล้ว”

“ไม่ ข้าจะหา ดอกไม้ มาให้ อีก”

“ต่อให้นายหามาหมดทั้งป่า ฉันก็ไม่รักนายหรอก”

“เคลฟินน์จะหา ดอกไม้ ที่หอม ที่สุด” วินาทีที่บอกอีกฝ่ายไป แวนกัสรู้สึกผิดขึ้นมา แต่เมื่อได้ยินคำตอบนี้ เขาควรจะขอบคุณในความซื่อบื้อของอีกฝ่ายดีไหมหนอที่ยังไม่รู้สึกเจ็บ และยึดมั่นในความต้องการของตัวเองโดยไม่สนคำพูดร้ายกาจที่เขากล่าว เพราะหากเขาลองได้ยินคำพูดนี้จากปากของคนที่ตัวเองรักบ้าง ป่านนี้คงวิ่งหนีเข้าห้อง นอนร้องไห้ขี้มูกโป่งอยู่เป็นแน่

ชายหนุ่มกระแอม “ไอ้ยักษ์โง่” เก็บผ้าที่เปื้อนแล้วเดินหนีกลับเข้ามาในบ้าน

นายน่ะสิโง่...

แวนกัสต่อว่าตัวเองที่ดันเข้าใจความรู้สึกอสูรร้ายไปเสียได้ แต่ทั้ง ๆ ที่ทำเหมือนกำลังโกรธอีกฝ่ายมากเพียงไหน สิ่งที่ทำกลับเป็นตรงกันข้าม ชายหนุ่มเดินมาหยุดที่เครื่องซักผ้า ล้างทำความสะอาดดินโคลนออก แล้วจัดการซัก กว่าจะแล้วเสร็จก็ไม่เห็นอีกฝ่ายอยู่แถวนี้แล้ว แล้วจึงทำทีเดินออกไปตากผ้า เผื่อว่าเจ้ายักษ์หัวรั้นจะยังอยู่แถวนี้ หากมันเห็นเขาคงจะรีบวิ่งมาคอยตามต้อย ๆ อย่างเคย

หากทว่าเคลวินน์ไม่ได้อยู่แถวนี้

หรือจะกลับเข้าไปในป่าอย่างที่เขาไล่ไปแล้วจริง ๆ แวนกัสคิดแล้วชะเง้อคอจนยาว

“ช่างสิ ใครง้อกันล่ะ” นิสัยเสียถึงเพียงนั้น

ชายหนุ่มเดินกลับเข้าบ้านพัก ตั้งใจทำงาน วินาที่ที่นั่งลงสีใส่แผ่นกระดาษ หัวของแวนกัสไม่แล่นเอาเสียเลย เขาปล่อยให้เวลากินไปอย่างว่างเปล่ากว่าสามชั่วโมง ท้ายที่สุดชายหนุ่มก็ทึ้งหัวตัวเอง เอาแต่ครุ่นคิดว่าที่พูดออกไปมันรุนแรงเกินไปหรือเปล่า ไหนจะเผลอไปตีเคลวินน์อีก

ต่อให้อีกฝ่ายเป็นอสูร แต่ดูเหมือนเจ้านั่นจะมีหัวใจ มีความรู้สึกไม่ต่างจากมนุษย์อย่างเขา คิดแล้วแวนกัสก็วางพู่กัน เดินออกไปบิดขี้เกียจอยู่ด้านนอก เห็นกางเกงของอีกฝ่ายที่อุตส่าห์ซื้อให้แห้งแล้วก็เดินไปเก็บพับ ไหนจะผ้าขนหนูผืนเก่าที่เขาเตรียมไว้ให้อีก

ไปหาเคลวินน์ดีไหมนะ ไปขอโทษแล้วก็ลองใจเย็นดูก่อน

แวนกัสสะบัดหน้า ทำไมเขาถึงได้ใส่ใจความรู้สึกเจ้านั่นขนาดนี้กัน ถ้าเป็นเชน เขาคงจะรีบไปขอโทษตั้งแต่วินาทีที่รู้ตัวว่าปากไม่ดีแล้ว แต่นี่ก็แค่อสูรที่เพิ่งรู้จักได้ไม่กี่เดือนเท่านั้นเอง

ก็แค่อสูร...

อสูรที่พักนี้ทำให้ชีวิตของเขามีสีสัน มีรอยยิ้มขึ้นอย่างปฏิเสธไม่ได้

เฮ้อ เขาล่ะเกลียดความเป็นคนดีของตัวเองเหลือเกิน!

ตั้งแต่โดนแวนกัสดุแล้วหนีหายเข้าไปในบ้าน เจ้ายักษ์ตัวใหญ่ยืนรออยู่ครู่หนึ่ง คิดขึ้นมาได้ว่าหากยังอยู่เช่นนี้แวนกัสจะไม่ออกมาหาเหมือนเมื่อหลายวันก่อนแน่ ต้องหลบมาสำนึกผิดอยู่คนเดียวแล้วรอให้อีกฝ่ายเรียกหา เวลาผ่านไปแต่ละนาทีเหมือนเป็นปี มันนอนตะแคงอยู่บนกองหญ้าแห้งในรังของตัวเอง นอนอยู่เช่นนั้นราวกับถูกสาป

แวนกัสบอกว่ามันไม่เข้าใจความรัก มันปฏิเสธอย่างที่สุดว่าไม่จริง จนถึงวินาทีที่อีกฝ่ายยอมฟังเหตุผลที่มันรู้สึกรัก กลับเป็นมันเสียเองที่หาคำตอบไม่ได้ เจ้ายักษ์ร้องฮึ่มฮั่ม จิกทึ้งตัวเองอย่างนึกหงุดหงิด ไม่ว่าจะนอนหาคำพูดเท่าใดก็ไม่สามารถเอ่ยออกไปได้

หากมันตอบไปได้ ไม่แน่...มนุษย์น้อยของมันอาจยอมตกลงจับคู่ด้วย

มันอุตส่าห์หลงดีใจ ที่มือน้อย ๆ ลูบมาที่เขา แต่กลับเป็นว่าแวนกัสไม่เข้าใจเอาเสียเลย ว่าลูบเขาของมันนั้น หมายความว่าได้ตกลงจับคู่กับมันเรียบร้อยแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น เคลวินน์ก็ยังจะรอจนกว่ามนุษย์น้อยจะเข้าใจ แล้วได้จับคู่กันจริง ๆ สักที

“เคลวินน์ เคลวินน์ ช่วยด้วย อ๊ากกกก!”

เจ้ายักษ์ตัวใหญ่ลุกนั่งราวกับเป็นสัญชาติญาณ มันได้ยินเสียงของแวนกัสอยู่แถวนี้ จะเป็นไปได้อย่างไรกัน ในเมื่อที่พักของมนุษย์น้อยอยู่อีกฝั่งฟากของป่า “เคลวินน์ ช่วยด้วย!”

“แฟนเกิซ แฟนเกิซ!”

ไม่ผิดแล้ว เป็นเสียงมนุษย์น้อยของมันที่กำลังได้รับอันตราย!

“เคลวินน์ เคลวินน์!”

รู้แน่แล้วว่าแวนกัสอยู่ที่ไหน มันกระโจนไปหาไวสุดชีวิต เห็นมนุษย์น้อยกำลังนั่งตัวสั่นอยู่ต่อหน้าเสือดำตัวใหญ่ ยักษ์ร้ายมุ่งไปขวางทางนั้นด้วยร่างของตัวเอง ส่งเสียงขู่คำรามใส่ศัตรูตัวสีดำตรงหน้าอย่างไม่ยินยอม ยิ่งยามมือน้อยเกาะหลังเขาแนบแน่นเท่าไร เคลวินน์ก็ส่งเสียงดังให้เจ้าเสือร้ายเกรงกลัวมากขึ้นเท่านั้น

ศัตรูตรงหน้าเป็นเสือที่เคลวินน์ไม่เคยเจอในป่านี้มาก่อน ท้ายที่สุดนัยน์ตาสีเหลืองทองของมันก็หลบหนี ยินยอมกับความน่าเกรงขามของยักษ์ตัวใหญ่ เสือดำส่งเสียงขู่เล็กน้อยอย่างไม่อาจยอมแพ้โดยง่าย แต่แล้วท่าทางก็เปลี่ยนไป “แฮ่ ฮะ ฮะ ฮ่า...”

เสียงหัวเราะงั้นหรือ

เคลวินน์เบิกตากว้าง เมื่อรับรู้ว่าเจ้าเสือดำที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนตัวนี้มาจากไหน เจ้าตัวสีดำหัวเราะ ยกมือโบกลาอย่างอารมณ์ดี แล้วจู่ ๆ ก็สลายหายไปกับสายลม หลงเหลือเพียงร่างใหญ่ของเคลวินน์ และมนุษย์ที่กำลังฟุบหลบซ่อนอยู่ข้างหลัง เกาะกอดมันเสียแนบแน่นด้วยตัวสั่นเทาเหมือนลูกนก

ที่แท้ก็นางนี่เอง ที่ออกมากลั่นแกล้งมนุษย์ตัวน้อยของเขาให้กลัวเสียตัวสั่นอย่างนี้

นางที่คอยดูแลมันตั้งแต่ยังเป็นยักษ์น้อย ทำไมถึงได้ทำอย่างนี้กับแวนกัส ยักษ์หนุ่มตัวใหญ่เชื่อว่าต้องมีเหตุผลบางอย่างเป็นแน่



---------------------------------------------------

ดูเหมือนกำลังมีคนหวั่นไหวแต่ไม่ยอมรับนะเคอะ อิอิ

ส่วนพี่ยักษ์น้านนน น่ารักจังเล้ยยย อยากได้น้องทำเมียจะแย่แต่น้องไม่รู้บ้างเลย

ตอนหน้า เด็ก ๆ จะรู้มั้ยน้าว่าพ่อเป็นพี่ยักษ์ รออ่านด้วยเน้อ แล้วเจอกันจ้า

ฝากคอมเม้นเป็นกำลังใจด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #8 up16.10.62
เริ่มหัวข้อโดย: tanatmm ที่ 16-10-2019 19:09:46
แงงงง สนุกมาเลยมาต่อไวๆนะคะ
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #8 up16.10.62
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 16-10-2019 20:51:40
พ่อยักษ์โดนลงโทษให้กลายเป็นรูปปั้นเหรอ?
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #8 up16.10.62
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 17-10-2019 11:20:31
พ่อยักษ์โดนลงโทษให้กลายเป็นรูปปั้นเหรอ?

 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #8 up16.10.62
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 17-10-2019 11:32:38
 :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #8 up16.10.62
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 17-10-2019 12:40:55
น้องวิลพาดกางเกงในบนหัวพ่อใช่ไหมนั่น  :laugh:
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #8 up16.10.62
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 17-10-2019 14:11:45
น้องวิลพาดกางเกงในบนหัวพ่อใช่ไหมนั่น  :laugh:

 :hao3: :hao3: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #9 up18.10.62
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 18-10-2019 15:38:36

#ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง

ตอนที่ ๙

แวนกัสไม่อาจเข้าใจได้ว่าเขาเกรงกลัวอะไร เหตุใดถึงไม่ยอมบอกความจริงว่าลูกชายทั้งหมดนั้นเป็นใครมาจากไหน กระทั่งเริ่มรู้สึกว่าหากเขาไม่ยอมบอกอะไรเด็ก ๆ แล้วปล่อยให้ทุกคนรู้ความจริงเอง มันจะสายไป แล้วชายหนุ่มจะต้องเสียเหล่าลูกชายไปอย่างแน่นอน

แวนกัสเดินไปหาทั้งสี่ที่กำลังสนุกสนาน ระหว่างทางเขารู้สึกประหม่าและกลัว คิดไปต่าง ๆ นานาว่าหากเล่าความจริงแล้วสายตาของลูกจะเปลี่ยนไป เขาจะเป็นผู้ชายแบบไหนกันหนอ หากทุกคนทราบว่าจริง ๆ แล้วพ่อของเจ้าตัวไม่ใช่มนุษย์ และแวนกัสไม่ใช่พ่อ แต่เป็นคนเบ่งคลอดต่างหาก

เรื่องที่เขาเคยรัก เคยร่วมหลับนอนกับอมนุษย์เป็นความจริงที่น่าละอาย แม้นช่วงเวลาเหล่านั้นแวนกัสมีความสุข เป็นความสุขที่ไม่เคยวาดฝันเลยว่าจะได้เจอะปัญหาเช่นนี้ แต่เขาก็ต้องก้มหน้ายอมรับไปว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้น

ในรอบสิบหกปีที่ผ่านมา แวนกัสได้กลับมาเหยียบที่แห่งนี้อีกครั้ง คราวนี้โดยรอบไม่เหมือนก่อนโดยสิ้นเชิง รังที่เคยเงียบสนิทมีเสียงหัวเราะของเหล่าลูกน้อย น้ำตกที่เขากับยักษ์ตนนั้นแหวกว่ายหยอกเย้า บัดนี้เต็มไปด้วยร่างของเด็ก ๆ กำลังสนุกสนาน

ไม่รู้เพราะเหตุใด แวนกัสรู้สึกว่าขาดเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่แห่งคงสมบูรณ์แบบ แบบที่เขาเคยฝันถึง

ภาพตรงหน้า เป็นภาพความสุขที่เขาวาดฝันในคืนนั้น เขาวาดฝันว่าบริเวณรังแห่งนี้จะต้องเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะสนุกสนานของเหล่าลูก และเขากับพ่อของเด็ก ๆ จะต้องอยู่กันอย่างมีความสุขมากกว่าครอบครัวไหน

แวนกัสไม่เคยคิดมาก่อนเลย ว่าเคลวินน์จะหายไป จะทอดทิ้งเขา คำสัตย์สาบานที่อีกฝ่ายมีให้ก็เพียงแค่ลมปากเท่านั้นเอง คิดแล้วอกให้หนุ่มเจ็บ ก้มลงมองที่ข้อมือต่อว่าตัวเองที่ไม่ยอมลบอีกฝ่ายทิ้งได้สักที

“ปะป๊า พักก่อนฮะ” ไวน์มาหา พาแวนกัสเดินไปทรุดนั่งที่รูปปั้นหิน “ทำไมถึงได้กล้าเดินมาคนเดียวล่ะ”

“หรือว่าปะป๊าเคยมาที่นี่แล้ว” วิลถาม

“ใช่ พ่อเคยมาที่นี่ เมื่อสมัยที่พวกลูกยังไม่เกิด”

ทุกคนหันขวับมาจ้อง “จริงเหรอฮะ”

“เป็นอย่างที่คิดเลย ฉันบอกแล้ว” วิลทำหน้าดีใจได้ครู่เดียวเท่านั้น เมื่อเห็นสายตาของเหล่าน้องที่กำลังจับจ้องบิดา พวกเขาเห็นว่าแวนกัสไม่แปลกใจหรือตกใจที่พวกเขารู้เรื่องนี้ เห็นเช่นนั้นวิลก็ไม่เข้าใจ “ปะป๊า ไม่ตกใจที่พวกเรารู้เหรอ”

แวนกัสยักไหล่ “ไม่ พ่อได้ยินที่พวกลูกพูดกันหมดแล้ว”

“พวกนายพูดเสียงดัง”

“นายนั่นแหละเคล มัวแต่งอแงเป็นเด็ก”

“ไม่ใช่ซักหน่อย!” เคลกอดอกทำหน้ามุ่ย “ฉันเป็นห่วงปะป๊าก็เท่านั้นเอง”

“เด็ก ๆ” แวนกัสคั่นบทสนทนาระหว่างทั้งสี่ เรียกให้หันมามองว่าตอนนี้ชายหนุ่มกำลังคิดหนักถึงเพียงไหน แต่หากยิ่งเก็บงำเอาไว้ มีแต่ผู้เป็นพ่อเท่านั้นจะต้องเสียใจ

“ลูกคงรู้แล้วว่าพ่อเคยอาศัยอยู่ในนั้น” ชายหนุ่มพยักเพยิดเข้าไปทางปากถ้ำ ที่บัดนี้รก เต็มไปด้วยต้นหญ้าแซมขึ้น แล้วกล่าวต่อ “คงสับสนกันไปหมดว่าทำไมพ่อถึงเคยอยู่ที่นี่ แล้วทำไมพวกนายถึงไม่เหมือนคนธรรมดา พวกนายพิเศษกว่ามนุษย์คนอื่น ๆ”

วิลกระเถิบมานั่งตรงกันข้าม “ปะป๊า พวกเราจะอยู่ข้างปะป๊าเอง”

“วิล หนังสือที่ลูกเอาให้น้องอ่านน่ะ” ผู้เป็นพ่อโยกหัวพี่ใหญ่ “พ่อรู้จักกับเขานะ”

“ใครฮะ หมายถึงบุตรของเทพเจ้าน่ะเหรอ” เด็กหนุ่มย้อนถาม “ผมนึกว่านั่นหมายถึงพวกเราซะอีก”

แวนกัสยกยิ้มน้อย ๆ “ไม่ใช่ นั่นหมายถึงพ่อของพวกนายต่างหาก”

“ไม่จริง” เคลส่ายหน้า น้ำตาหยดแหมะ “หมายความว่าเราไม่ใช่ลูกปะป๊าใช่มั้ยฮะ”

“เอาอีกแล้ว ไม่เห็นต้องแคร์เลยว่าเราใช่ลูกปะป๊ารึเปล่า เพราะยังไงเราก็ยังรักปะป๊าเหมือนเดิม ขอบคุณที่เลี้ยงดูพวกเรามาอย่างดีนะฮะ ผมรักปะป๊าที่สุด จะตอบแทนปะป๊าทุกอย่างเลยยกเว้นตั้งใจเรียน” ไวน์คุกเข่าตรงหน้า ซบแก้มกับตักผู้เป็นพ่อหาความอบอุ่น เห็นแล้วผู้ถูกกระทำก็รู้สึกร้อนที่กรอบดวงตา ส่ายหน้าให้กับความใสซื่อของเหล่าลูกชายทั้งสี่

“แล้วใครบอกว่าพ่อไม่ใช่พ่อของพวกนายกันล่ะเด็กโง่”

ทั้งหมดแหงนมาสบตา มีแต่เครื่องหมายคำถามเต็มไปหมด “พวกเราไม่เข้าใจ ก็ไหน...”

“พ่อหมายถึง...” แวนกัสพยายามอย่างที่สุดที่จะไม่รู้สึกกระดากอาย เล่าให้ลูกชายฟังออกไปว่า “หมายถึงว่าเขากับพ่อ มีพวกนายด้วยกัน”

“หา”

“ทำไมถึงไม่เข้าใจล่ะ” แวนกัสย้อน “วัยลูกน่าจะเข้าใจอะไรแบบนี้แล้วนะ”

“ยังไงฮะ”

อาวุโสสุดรู้สึกอึดอัดใจที่จะเล่า “ก็นั่นไง แบบที่คนอื่นเขาทำกันนั่นแหละ”

“หมายถึง มีเซ็กส์กันแล้วก็ท้อง...”

แวนกัสยกมือกุมหน้าตัวเอง “พ่ออุตส่าห์พูดอ้อม ๆ แล้วนะ”

“อ้าว งั้น ปะป๊ากับเขาทำ...”

“อ่า รู้แค่ว่าพวกนายเกิดขึ้นมาจากความรักของเราก็พอแล้ว พ่อว่าอย่าไปลงลึกถึงเรื่องพวกนั้นเลยนะ ไม่ได้สำคัญอะไรหรอก พวกนายคงอยากรู้มากกว่าว่าตัวเองเป็นอะไรกันแน่” แวนกัสกระแอม ทำเป็นเปลี่ยนเรื่องท่ามกลางสายตางุนงงสี่คู่

“เดี๋ยวก่อน ในเมื่อเป็นพ่อกันทั้งคู่ แล้วสรุปใครเป็นคนคลอดพวกเราล่ะฮะ”

คนถูกซักรู้สึกร้อนที่หน้า “พ่อว่าเรื่องนั้นเราค่อยคุยดีกว่ามั้ย”

“อย่าบอกนะว่าเป็นปะป๊า ปะป๊าคลอดเราใช่มั้ยฮะ” ไคล์อ้าปากหวอ

“เด็ก ๆ คือว่าพ่อ...”

“ฮื่อ ทำไมไม่บอกเราตรง ๆ ล่ะ เราทำปะป๊าเจ็บมากมั้ย”

ทั้งสี่กระโดดกอดแวนกัสราวลูกแมวตัวน้อยกระโจนหาแม่เพราะหิว ชายหนุ่มเบิกตา ตัวโยนเยนเพราะแรงมหาศาลของลูกชายที่กำลังรุมทึ้งให้ความรัก ความรู้สึกผิดต่าง ๆ หายไป พร้อมกับน้ำตาที่รินไหลอย่างไม่รู้ตัว “รู้มั้ย พอมารู้อย่างนี้แล้วพวกเราเป็นลูกที่แย่มากเลย เอาแต่พูดว่าตัวเองไม่ใช่ลูกของปะป๊า พูดจาทำร้ายจิตใจปะป๊าตลอด”

“พ่อไม่โกรธเลย เพราะพ่อผิดเองที่ไม่กล้าบอก”

“ยังไงเราก็ผิด” วิลจับมือแวนกัสแน่น แหงนมาสบตาด้วยภาพลักษณ์เดียวกันกับบิดาตัวโต “ไม่ต้องกลัวว่าเราจะไม่รักปะป๊านะฮะ ปะป๊าเก่งที่สุดเลยที่เลี้ยงพวกเรามา ช่วยเล่าได้มั้ยว่าพ่อของเราหน้าตายังไง เขาใจดีมั้ย”

นั่นเป็นความปรารถนาของลูก แวนกัสไม่อยากขัด “เขาก็เหมือนอย่างที่พวกลูกอ่านนั่นแหละ”

เคลรีบออกความเห็น “งั้นก็ต้องหล่อมากน่ะสิ ในหนังสือบอกว่าหล่อเหมือนเทวดา”

“ใช่ เขาหล่อมาก”

“แล้วอะไรอีกฮะ” ไวน์ตั้งใจฟัง

“เขาค่อนข้างไปทางซื่อ แล้วก็มีเซ้นส์ตลก เหมือนลูก ๆ ไม่มีผิดเลย”

“ปะป๊าฮะ” เคลเอ่ยเสียงอ่อนลง คิดว่าจะถามไม่ถามดี “ปะป๊าคิดถึงเขามั้ย ทำไมถึงพาพวกเราย้ายหนีไปละฮะ ปะป๊าไม่รักพ่อของพวกเราแล้วเหรอ”

คำถามของเคลทำผู้เป็นพ่อถึงกับนิ่งไป แม้ว่าแวนกัสกำลังยกยิ้ม หากทว่าดวงตาเลื่อนลอย จิตวิญญาณเลือนหายไปที่ไหนสักแห่งไม่อาจกู่กลับได้ ครั้นเห็นท่าทางเปลี่ยนไปของบิดาแล้วนั้น ทั้งสี่ก็หันสบตากัน ทราบแล้วว่าเพราะอะไรคนเป็นพ่อถึงไม่อยากเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น

เด็ก ๆ ทราบดีว่าตอนนี้ แม้จะผ่านมาสิบหกปีแล้ว หัวใจของแวนกัสยังไม่เคยได้รับการเยียวยาเลย ทั้งสี่ทำอะไรไม่ได้ นอกจากกระเถิบไปกอด ให้ตัวเองเป็นยาชนิดหนึ่งที่มอบความรักให้แวนกัส แทนพ่อที่แท้จริงของพวกเขา

“ปะป๊ายังมีพวกเรานะ”

“อืม มีแค่พวกนายพ่อก็พอใจแล้ว”

“บอกเราได้มั้ย ว่าเกิดอะไรขึ้น”

ผู้ถูกรุมกอดยกยิ้ม “คืนนั้น พ่ออยู่กับพวกนายจนเช้า รอให้เขากลับมา”

“เขาไปไหนฮะ”

“ไม่รู้ บอกแค่ว่ามีคนเรียกให้ออกไป” แวนกัสก้มหน้าลงมองตัก “เขาผูกพันกับป่าแห่งนี้มาก เขาดูแลทุกอย่าง ก็แค่ออกไปทำเหมือนทุกวัน คืนนั้นพระจันทร์เต็มดวง ท้องของพ่อเริ่มหนักขึ้นจนเดินไม่ไหว พวกลูกอยากออกมาลืมตาดูโลก แต่แล้วพ่อก็ได้ยินเสียงดังปังจากอีกฟากของป่าสองครั้ง พ่อสะดุ้ง แล้วก็ปวดท้องขึ้นมาเหมือนกำลังจะตาย”

แวนกัสสูดลมหายใจ นึกย้อนกลับไปคืนนั้นแล้วจำได้ทุกวินาทีว่ามันผ่านยากขนาดไหน ชายหนุ่มปวดท้องหนักจนยืนไม่อยู่ ไม่มีแรงแม้กระทั่งเปล่งเสียงเรียกให้เคลวินน์มาช่วย มือควานหาของยึดเหนี่ยวได้ก็เกาะแน่น ตัวสั่น เหงื่อออกเป็นยางตาย ท้ายที่สุดในรังของพวกเขาก็เต็มไปด้วยเสียงเด็กร้องระงม

ชายหนุ่มรู้สึกกลัว ภายนอกได้ยินเสียงฝีเท้าของสัตว์ เขาหวาดระแวงทั้งคืนว่าจะมีสิ่งอื่นเข้ามา มิใช่พ่อของเหล่าลูกน้อย เขาจะทำอย่างไรดี ไม่อาจหาญจะทิ้งลูกแล้วออกไปตามหาเคลวินน์ ไหนจะต้องให้นมทั้งสี่และคอยดูแลยุงไม่ให้ไต่ ไม่ให้แมลงชนิดไหนกล้าเข้าใกล้

จำได้ว่าแวนกัสดูแลเด็ก ๆ เพียงคนเดียวในรังอยู่หลายวัน กระทั่งอาหารที่เคลวินน์หามาให้หมดแล้ว ชายหนุ่มจึงนำลูกใส่ตะกร้า หอบขนทั้งสี่กลับมาที่กระท่อม ระหว่างทางเขากลัวว่าจะเจอกับสัตว์ร้าย ระเเวงไปหมด ไหนจะร่างกายเจ็บปวดจากการคลอดอีก

เพราะความวุ่นวายกับการต้องเลี้ยงลูกคนเดียวสี่คน ทำให้แวนกัสลืมความเคืองใจต่ออีกฝ่ายไป

รู้แต่ว่าหลังจากนี้ เขาจะมีแค่ลุกชายทั้งสี่เท่านั้น

ปิศาจก็คือปิศาจ มันจะรู้สึกรักหรือผูกพันจริง ๆ ได้อย่างไร เขาไม่เชื่ออีกต่อไปแล้ว

“ที่ปะป๊าเล่ามา หมายความว่าเขาทิ้งพวกเรางั้นเหรอ”

แวนกัสนิ่งไป “พ่อไม่ได้อยากให้ลูกเกลียดเขาหรอกนะ”

“เขาไม่มีความรับผิดชอบอย่างที่ปะป๊าพูดจริง ๆ ด้วย ทั้งที่ปะป๊ากำลังท้องแก่ ทำไมถึงได้กล้าทิ้งให้ปะป๊าอยู่ที่นี่คนเดียว มันมีอะไรสำคัญกว่าลูกเมียตัวเองหรือไง ยักษ์เลว” วิลบ่น แล้วประโยคที่ว่านั้นทำเอาแวนกัสไม่ชินสักที

“เขาเป็นพ่อลูกนะ”

“ผมไม่สนแล้ว ต่อไปนี้พวกเราจะใช้ชีวิต เลิกสนใจที่จะตามหาความจริงแล้วฮะ” ไวน์ว่า

“เห็นด้วย พวกลูกควรโฟกัสเรื่องเรียนมากกว่า”

“ปะป๊า เราลองเข้าไปในถ้ำกันดีมั้ยฮะ ปะป๊าอยากเห็นมั้ยว่ามันยังเหมือนเมื่อก่อนรึเปล่า”

“อื้ม ไปสิ”

แม้จะรู้ทันว่าเจ้าตัวดีกำลังตั้งใจเปลี่ยนเรื่อง หากทว่าแวนกัสก็ยินยอมที่จะทำตามใจ ชายหนุ่มลุกขึ้นเดินตามแรงจูงของเหล่าลูกชาย สถานการณ์ตอนนี้ เป็นสิ่งหนึ่งที่เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้เจอหลังบอกเล่าความจริงกับเด็ก ๆ ออกไป อาจเป็นเพราะเขาบอกลูกได้ถูกเวลาด้วยกระมัง เพราะตอนนี้ทุกคนโตขึ้นและพร้อมรับฟังกันหมดแล้ว

มีแต่เขาเองที่ย่ำอยู่กับที่ จมอยู่แต่กับความโกรธ

ทุกอย่างดำเนินไปด้วยดีอย่างน่าเหลือเชื่อ หลังจากที่ลูกชายรู้แล้วว่าตัวเองเป็นใครมากจากไหน ภาพที่แวนกัสเห็นก็คือเด็กหนุ่มทั้งสี่กำลังนั่งสุมหัวกันอ่านหนังสือเล่มนั้นอย่างตั้งอกตั้งใจ แม้จะบอกว่าไม่อยากเจอพ่อที่แท้จริงแล้ว แต่ทว่าการกระทำกลับตรงกันข้าม

แวนกัสยกยิ้ม มองลูกชายอย่างนึกเอ็นดู ชายหนุ่มไม่เคยคิดอยากให้ทั้งสี่เกลียดพ่อของพวกเขาเลย ก็แค่ความรู้สึกของเขาเองเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องให้ลูกรู้สึกด้วย หนุ่ม ๆ โตกันพอจะคิดเองได้แล้ว

เช้าวันนี้แวนกัสได้ยินเสียงลูกชายตื่นกันแต่เช้า เห็นบอกเขาว่าอยากไปทำความสะอาดที่ฐานลับนั้นอีกครั้ง ไม่รู้เพราะอะไร อาจเป็นความหวังน้อยนิดจากเหล่าลูกชายก็ได้ที่คิดว่าพ่อตัวเองจะกลับมา แวนกัสถอนใจ เขาไม่ห้ามหากลูกจะทำเช่นนั้น แต่คิดแค่ว่าหากเจ้ายักษ์นั่นจะกลับมา คงไม่ปล่อยให้นานถึงสิบหกปี

เขาไม่คิดว่าเคลวินน์ตาย เคลวินน์เป็นอสูรที่อายุยืน อาวุธของมนุษย์ไม่สามารถทำร้ายร่างกายของมันได้ ไหนจะมีเส้นผมแสนวิเศษที่สามารถรักษาทุกอย่างได้ด้วยเพียงวินาทีสั้น ๆ อีก หนำซ้ำ ฤทธิ์ของเส้นผมนั้นยังอยู่ได้นานแสนนานอีกด้วย เขาถึงได้ให้ลูกชายใส่ไว้อย่างนี้

แค่พลังของเส้นผม ยังกดพลังที่แอบซ่อนของเด็ก ๆ ได้ถึงเพียงนี้ ไม่มีอะไรฆ่าให้เคลวินน์ตายได้อย่างแน่นอน เว้นเสียแต่ว่าจะเป็นฝีมือของพวกเดียวกัน และผู้ที่มีพลังเหนือกว่า

เขาครุ่นคิดมาตลอดสิบหกปี อย่างไรก็ไม่ใช่ฝีมือเทพที่ให้กำเนิดแน่นอน ไม่ใช่แน่นอน

เคลวินน์ต้องอยู่ที่ไหนสักที่บนโลกใบนี้แน่ ๆ

ลำขายาวก้าวไปหยุดอยู่ที่ริมหน้าต่าง น่าแปลกที่เมื่อคืนเขากลับมาฝันอย่างเดิมอีกครั้ง ฝันเห็นตัวเองเดินร่างเปลือยเปล่าไปทั่วป่า แล้วไปหยุดอยู่ตรงหน้าชายผมสีเงินสั้นผู้หนึ่งที่กำลังหลับใหล และท้ายที่สุดอีกฝ่ายก็ลืมตา แต่คราวนี้แปลกกว่าทุกครั้ง อีกฝ่ายพุ่งมาจับตัวเขา เขย่ารุนแรงพร้อมทั้งตะโกนต่อว่า

“เจ้าทิ้งข้า เจ้าพาลูก ๆ หนีไปจากข้า

เอาหัวใจของข้าคืนมา เอาลูกที่น่าสงสารของข้าคืนมา!”

น่าแปลกที่คราวนี้แวนกัสเห็นหน้าค่าตา และจำได้ชัดเจนว่าอีกฝ่ายเหมือนใคร มันเหมือนกับตัวเขาเองในสภาพเศร้าโศกระทมทุกข์ ชายหนุ่มรู้สึกหวิวไหวในอกเมื่อนึกถึงความฝันที่ผ่านมา เดินกลับเข้ามาด้านในของห้อง ยกเปิดหน้าต่างตั้งใจจะสูดอากาศให้ความรู้สึกแปลก ๆ เหล่านี้จางไป

หากทว่าหางตาเหลือบไปเห็นดอกไม้ป่าช่อหนึ่ง ที่วางไว้ริมหน้าต่าง หัวใจคนมองระทึกไหว สิ่งที่ทำต่อไปคือรีบชะโงกมองหาเจ้าของของมันทั้งน้ำตา คิดว่านี่ไม่ใช่แค่เพียงลมพัดเท่านั้น ต้องมีใครสักคนตั้งใจเอามาวางไว้ให้แวนกัส เหมือนสมัยก่อนไม่ผิดแน่...

นายเหรอ นายกลับมาแล้วเหรอ...

 

 

 

 
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #9 up18.10.62
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 18-10-2019 15:40:19
(ต่อ)

๑๖ ปีก่อน

ไม่คิดว่าในป่าลึกจะอันตรายถึงขนาดนี้ แวนกัสกอดถุงผ้าของตัวเองแน่นหลังจากถูกช่วยชีวิตอย่างหวุดหวิด รอบกายเป็นป่าหนาใบ ธารน้ำที่เริ่มเชี่ยวกรากขึ้น เดินขึ้นมาตามรอยน้ำไหลด้วยเกรงว่าหากหาเคลวินน์ไม่เจอ จะเดินกลับไปตามลำธารได้ แต่ไม่เคยคิดเลยว่าจะเจอเข้ากับเสือดำตัวใหญ่ และตัวเองจะมาไกลถึงเพียงนี้

ดูนาฬิกาที่ข้อมือบอกเวลาบ่ายแก่แล้ว แวนกัสกลืนน้ำลายลงคอ รู้สึกเจ็บแผลที่เกิดขึ้นระหว่างวิ่งหนีเสือ หกขะล้มเกลือกกลิ้ง ชายหนุ่มก้มลงมองที่ร่างกายตัวเอง ตามฝ่ามือมีรอยหนามขีดข่วน หัวเข่าแตกจนเลือดอาบถึงข้อเท้า

ไม่รู้ว่าตัวเองกลัวขนาดไหน แต่ถึงขนาดตัวสั่นและเกาะเคลวินน์แน่นขนาดนี้ แวนกัสยอมรับเลยว่าตัวเองแทบจะฉี่ราดอยู่รอมร่อ ซึ่งหมายความว่าเขากลัวตายสุด ๆ “น..นายอยู่แถวนี้เหรอ”

“ตรงโน้น” มันชี้ไปที่ด้านหลังแวนกัส

“ไกลมั้ย ฉันอยากพัก” อยู่แถวนี้คงไม่ปลอดภัยนัก แวนกัสอยากไปจากที่นี่เต็มแก่

“ไม่ไกล ข้า พาไป”

“บ้านของนายเป็นยังไง ไม่สิ น่าจะเป็นถ้ำ”

“รัง ของข้า วิเศษมาก” คนฟังเบิกตา ดูเหมือนเคลวินน์จะรู้ว่าตอนนี้เขากลัวจนยืนไม่ไหว มันจับเขาขึ้นอุ้มอย่างง่ายดายราวกับอุ้มเด็กคนหนึ่งด้วยแขนข้างเดียว แวนกัสผวาเกาะบ่าใหญ่นั้นในทันที แล้วรู้สึกโล่งใจขึ้นมา ว่าเจ้ายักษ์นี่แข็งแรงพอที่จะสามารถอุ้มเขาไปส่งที่บ้านได้

แต่ไอ้รังที่อีกฝ่ายจะพาไป มันเป็นยังไงล่ะหนอ

“ฉันเอากางเกงมาให้นายด้วยนะ” คนถูกอุ้มด้วยท่าอุ้มเด็กแหงนมองภาพรอบกาย เห็นต้นไม้และน้ำตก ไม่นานเคลวินน์ก็หยุดอยู่หน้าต้นไม้ขนาดมหึมาต้นหนึ่ง อย่าบอกแวนกัสว่าเจ้าตัวอาศัยอยู่ที่แสนวิเศษเช่นนี้ ชายหนุ่มคิดแล้วอ้าปากหวออย่างตื่นตาตื่นใจ “ไหนล่ะ บ้านของนาย ฉันอยากเห็นจะแย่”

เขาถูกพาเดินเข้าไปมุดอยู่ใต้รากไม้ต้นนั้น ข้างน้ำตกที่ดูเหมือนไม่มีรูอะไร ภายในมืดสนิทไม่เห็นอันใดนอกจากนัยน์ตาสีแดงเพลิงของเคลวินน์ ทว่าอาจเป็นเพราะมากับเจ้านี่นั่นแหละ ทำให้ชายหนุ่มไม่รู้สึกกลัว

ทั้งสองมาถึงโถงขนาดใหญ่ ด้านบนเป็นรากไม้พันกันเป็นทรงคล้ายผลิตภัณต์จักสานรูปโดมกว้าง ด้านล่างเป็นพื้นโล่ง มีก้อนหินให้นั่งเสมือนเก้าอี้ มีเศษเขาของสัตว์ที่ตายจนแห้งแต่งผนัง ติดกับพวงผลไม้ห้อยอยู่หลายชนิด อีกฟากมีกองฟางขนาดใหญ่กองอยู่ และร่างของเขาก็ถูกวางไว้ตรงนั้น

ในความสลัวมืด เขาเห็นเคลวินน์เดินไปอีกฝั่งที่มีแสงจากด้านนอกส่องมา มีใบไม้สีเขียวและเถาวัลย์สาดมาปิดเสมือนเป็นหน้าต่าง สามารถมองออกไปเห็นทิวทัศน์ด้านนอกได้กว้างนัก

แวนกัสอ้าปากค้าง ดูภาพเบื้องหน้าอย่างอดที่จะตะลึงไม่ได้ “นายอยู่ที่นี่ ได้มองภาพพวกนี้ทุกวันเลยเหรอ”

เคลวินน์เดินมาทรุดคุกเข่าอยู่ตรงหน้า “ทุกวัน”

“น่าอิจฉานายจัง”

“แฟนเกิซ มาอยู่ กับข้า” เจ้ายักษ์ว่า จับมือเขาไปดอมดมเสมือนเป็นดอกไม้

“นายไม่เข้าใจรึไง ว่าฉันทำแบบนั้นไม่ได้”

“ทำไม”

“ก็นายเป็นยักษ์ ฉันเป็นคน”

เคลวินน์ส่ายหน้า ยิ้มขึ้น “ข้ารัก แฟนเกิซ” ก้มดมตามลำแขนของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า “จับคู่ กับข้า”

“ไม่ได้”

ผู้ฟังหน้าเศร้า “แฟนเกิซ กลัวข้า”

“ไม่ใช่ นายไม่น่ากลัวเลย นายหล่อจะตายไป”

“จับคู่ กับข้า” หากฟังไม่ผิด น้ำเสียงของเคลวินน์อ่อนโอนและเว้าวอนนัก “ได้โปรด”

“เคลวินน์ นายไม่เข้าใจว่าเรื่องของเราเป็นไปไม่ได้ มีคนที่ไหนเขาแต่งงานอยู่กินกับยักษ์บ้าง เอ้อ...” ชายหนุ่มดึงมือที่ถูกจับอยู่ออก แล้วฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ หรือนัยน์หนึ่งก็แค่หาเรื่องเฉไฉไปคุยกันเรื่องอื่น มือยาวจับกระเป๋าผ้าที่สะพายมาด้วยของตัวเองขึ้นเปิด หยิบผ้าขนหนูยื่นให้เคลวินน์ด้วยรอยยิ้ม “นี่ผ้าขนหนู นายเอาไว้เช็ดตัวเวลาอาบน้ำ เช็ดผมให้แห้งด้วยนะ”

เจ้ายักษ์ตรงหน้าขยับมาสูดดมผ้าที่ถือ มันยิ้มกว้างพออกพอใจ “ของ แฟนเกิซ!”

“อันนี้ด้วย” กางเกงวอร์มสองสามตัวที่เขาเอาไปซัก แล้วใช้ผลิตภัณฑ์เดียวกันกับตัวเองจนเป็นกลิ่นเดียวกัน เพราะรู้ว่าอย่างไรเสียเจ้ายักษ์หื่นนี่จะต้องลองดมที่ผ้าก่อนแน่ อย่างที่คิดไว้ เคลวินน์ดมกางเกงในมืออย่างละเอียดก่อนจะยิ้มร่า “หอม เหมือน แฟนเกิซ!”

รู้อย่างนี้ซักก่อนให้ก็ดี จะได้ไม่เถียงกันให้ต้องถ่อสังขารมาถึงที่นี่ จนเกือบเป็นอาหารเสือไปแล้ว ชายหนุ่มคิดแล้วยกยิ้มขึ้น มองเจ้ายักษ์กำลังลองสวมกางเกงผ้านิ่มนั้นได้พอดิบพอดี มันทำท่าอึดอัดจะถอด หากทว่าชายหนุ่มไม่ยอม “ใส่ไปเถอะเคลวินน์ เดียวก็ชินเอง เหมือนฉันเลย”

เจ้ายักษ์เพ่งมองที่กางเกงชายหนุ่ม เพ่งเสียคนถูกมองรู้สึกแปลก

“แฟนเกิซ ไม่ต้อง ใส่”

“หา” ชายหนุ่มย้อน

“ไม่ใส่ ดีกว่า”

“เลิกทำตัวหื่นกับฉันซักทีเถอะน่า!”

“แฟนเกิซ แก้ผ้า ดีกว่า”

“หยุดพูดเลยนะไอ้ยักษ์ทะลึ่ง”

เจ้ายักษ์ตัวใหญ่ทำท่าขยับของกางเกง ส่ายหน้า “ไม่ดี”

“ดี แค่ถอดผ้าเตี่ยวนั่นออก” ชายหนุ่มชี้

“ถอด ไม่ได้” เคลวินน์ส่ายหน้าอีกครั้ง อยากจะมีมีดหรือกรรไกรเสียเหลือเกิน แวนกัสจะได้ตัดให้มันขาด เจ้ายักษ์ร้ายตรงหน้าจะได้ไม่ต้องหยิบผ้าชิ้นนี้ขึ้นมาสวมอีก ชายหนุ่มคิดแล้วก็ยื่นมือบอก “มานี่ ฉันจะช่วยเอง”

“แวนกัส ถอด ตัวเอง ข้าจะถอด ของข้า”

คนฟังชะงัก “ถ..ถอดของฉันทำไม” พูดจาไม่น่าไว้ใจเอาเสียเลย ยิ่งอยู่กันสองต่อสอง

“นอน ไม่ต้องใส่”

หูคนฟังรู้สึกร้อนจนไม่อาจสบตากับเคลวินน์ได้ “ใครบอกฉันอยากจะนอนที่นี่ล่ะ เนี่ย...เสร็จธุระแล้วฉันก็จะกลับบ้านเหมือนกัน”

“หือ...” เจ้ายักษ์ย้อนเสียงหลง “แฟนกัส มา รังข้า”

“มาแล้วยังไงล่ะ ก็แค่แวะมาเยี่ยมบ้านเพื่อนไม่ได้รึไง”

“จับคู่กับข้า จับคู่กัน”

“ไม่ บอกว่าไม่ไงเคลวินน์” ตั้งใจจะลุก พลันรู้สึกเจ็บแผลขึ้นมา “อูย..นายไปส่งฉันเลย ฉันจะกลับบ้านแล้ว ไม่อยากอยู่เถียงกับไอ้ยักษ์สมองฝ่ออย่างนาย พูดไม่รู้เรื่อง เอะอะก็ขอนอนด้วย” คนพูดลุกขึ้นยืนเอาจริงเพราะหมดธุระแล้ว แม้จะเจ็บแผลก็ตามที แต่แล้วเมื่อพูดถึงการกลับบ้าน ไม่รู้เพราะเหตุใดเสียงน้ำก็ดังเปาะแปะ ไม่นานห่าฝนก็สาดลงจากท้องฟ้าเสียยกใหญ่ ทั้งที่ก่อนหน้าฟ้ายังโปร่งใส มีแดดออกจนแสบตา แวนกัสไม่เข้าใจเอาเสียเลย

“ฝนตกเนี่ยนะ!” ชายหนุ่มกอดอก ทรุดลงนั่งที่กองฟางอย่างเดิมด้วยความหงุดหงิด

“ไปส่ง ไม่ได้ แล้ว” เจ้ายักษ์ว่าเสียงอ่อนลง ก้มหน้าก้มตามองพื้นรู้สึกผิด

“ไม่ได้ก็ไม่ได้สิ ทำไมทำหน้าเหมือนเป็นความผิดของนายด้วย เดี๋ยวอีกหน่อยฝนก็ซาแล้ว” แวนกัสยักไหล่ เบิกตาเล็กน้อยเมื่อเห็นเคลวินน์ก้มลง ถดร่างกายหนีเมื่อยักษ์ใหญ่เดินมาทรุดกายนั่งตรงหน้า จับมือของเขาไปดอมดม แล้วใช้วิธีการที่เขาเคยเห็นอีกฝ่ายทำกับต้นไม้ นำผมยาวมาพันรอบขา

ไม่นาน แสงเรืองรองก็โผล่วาบขึ้น ให้เห็นใบหน้ารูปงามที่กำลังงุดมองแผลเขาในระยะใกล้

หัวใจแวนกัสเต้นตึก รู้สึกถึงความอันตรายแปลก ๆ ความอันตรายของหัวใจตัวเอง

เมื่อไรกันหนอฝนจะหยุดตกสักที เขาไม่อยากอยู่ในนี้สองต่อสองกับเคลวินน์อีกต่อไปแล้ว เจ้าบ้านี่ทำตัวน่ารักกับเขาขึ้นทุกวัน แล้วหัวใจของเขาก็เริ่มแกว่งมากขึ้นทุกวันด้วย

“หายเจ็บ” มันช้อนดวงตาสีแดงเพลิงมาสบกับแวนกัส

ทำไมรู้สึกดี กับการที่ถูกเจ้ายักษ์ร้ายตรงหน้าปฏิบัติดูแลกันนัก แวนกัสคิด ขณะมองที่ดวงตาแดงของอีกฝ่าย แต่ไม่นานที่เจ้ายักษ์ใหญ่หลุบมองที่แผลเขา ความเจ็บปวดบริเวณขาของชายหนุ่มหายไป “อือ หายแล้ว”

“ดี”

“นายเก่งที่สุดเลย” คำชมเพียงแค่กล่าวมาแก้เก้อของเขา ทำเคลวินน์ยิ้มจนเห็นเขี้ยวทั้งสอง แต่กลับกัน คนทางนี้หัวใจเต้นระส่ำขึ้นมากมายกว่าเก่า โดยเฉพาะยามที่เคลวินน์ผละมาสบด้วยสายตาหยาดเยิ้มตรงหน้า มองว่าเขาเป็นของน่ารักอย่างเคย

ไม่รู้อะไรดลใจ ให้มือยาวของชายหนุ่มเอื้อมไปแตะที่เขาใหญ่ของอีกฝ่าย ลูบจับมันอย่างแผ่วอ่อนทั้งที่รู้ว่าไม่ควร

“ฮือ...”

เคลวินน์เอียงคอรับอย่างพอใจ ดวงตาคมพริ้มรับราวกำลังรู้สึกดีที่ถูกแตะต้อง ลมหายใจของมันสะดุดจนร่างใหญ่โอนเอนมาซบที่ซอกคอของเขาราวกับลูกแมวน้อย แวนกัสรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะบ้า อาจเป็นเพราะความเงียบและเสียงฝนก็ได้ที่ทำให้เขาไม่เป็นตัวของตัวเอง มือชายหนุ่มอีกข้างเกาะลำคอแกร่งของยักษ์ตรงหน้า ยามมันพ่นลมหายใจเข้าออกฟืดฟาดรดอกเขา

หัวใจของมนุษย์น้อยกำลังสั่นไหว เต้นรุนแรงจนยักษ์ใหญ่ที่ซบกอดสัมผัสได้ มันดอมดมตามอกแวนกัส สูดเอากลิ่นกายหอมกว่าดอกไม้ป่าทุกชนิดที่เคยดม ลากมือใหญ่สัมผัสใต้สาบเสื้ออย่างจงใจสำรวจ

เสียงมนุษย์น้อยหอบเฮือกยามมือมันแตะ ทว่าไม่มีเสียงปรามอันใด นอกจากมือเล็กที่คล้องกอดคอมันแน่น แต่ท้ายที่สุดเคลวินน์ก็เอียงหัวหลบไป ลุกขึ้นไปทรุดตัวนั่งอยู่อีกมุมของรังอย่างไม่พูดไม่จาราวกับรู้ดีว่า การยับยั้งชั่งใจนั้นควรทำอย่างไร

เจ้ายักษ์ใหญ่ไม่เป็นตัวของตัวเอง ไหล่ของมันตก และท่าทางราวกับเศร้าหนัก

“เคลวินน์” แวนกัสกลืนน้ำลายลงคออย่างงุนงง อารมณ์หวามไหวในท้องน้อยยังคงหลงเหลือ

สรุปแล้วเขาเข้าใจเคลวินน์ผิดไปหรอกหรือ

เจ้านี่ ไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาจับคู่กับเขาเพียงเพราะแค่อยากผสมพันธุ์เหมือนสัตว์ตัวอื่น ๆ แล้วเมื่อครู่แวนกัสเป็นบ้าอะไร เหตุใดถึงเป็นฝ่ายเริ่มก่อนทั้งที่รู้อยู่ว่าอีกฝ่ายเป็นยักษ์ ไม่ใช่มนุษย์

“ฉันขอโทษ เมื่อกี้ฉันไม่ได้ตั้งใจ” ชายหนุ่มกล่าวฝ่าความเงียบ “ฉันแค่อยากรู้”

“แฟนเกิซ ไม่รัก ข้า” อีกฝ่ายตอบ “ไม่รัก ก็อย่า ลูบเขา”

คนฟังรู้สึกผิดไปยิ่งกว่าเก่า รีบแก้ตัว “ฉันไม่รู้ว่ามันจะส่งผลต่อจิตใจนายด้วย ฉันขอโทษ ฉันไม่รู้ว่าการลูบเขาของนายมันหมายความว่ายังไง ต่อไปฉันจะไม่แตะสุ่มสี่สุ่มห้าอีก ฉันสาบานเลย” ชายหนุ่มยกมือให้คำสัตย์กับอีกฝ่าย บรรยากาศตอนนี้ทำให้ชายหนุ่มรำลึกถึงตอนที่ตัวเองต่อว่าเคลวินน์ในความไม่รู้เรื่องนั้น ผิดกันกับเขาที่ไม่ถูกอีกฝ่ายตำหนิอันใดเลยเมื่อทำผิด

แวนกัสยกมือสางผม เดินไปหยุดยืนอยู่ข้างคนงอนที่กำลังนั่งคอตกในมุมมืด “ไม่เอาน่า ฉันขอโทษที่ทำตัวแย่ ๆ กับนาย เคลวินน์ หันมาคุยกันหน่อย”

“ข้า กำลังคิด”

“คิดอะไร”

“ที่ แฟนเกิซ ถาม” เคลวินน์ยอมหันมาสบตากันแล้ว ด้วยสีหน้าที่กำลังโศก “ถามว่า ข้าจะบอก ความรู้สึก ที่มี ต่อ แฟนเกิซ ยังไง”

“นายพูดยาว ๆ ได้นี่นา”

“ข้า...” เจ้ายักษ์มองมนุษย์น้อยตรงหน้า เอื้อมจับมือของแวนกัสไปหอมครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วยอมเอ่ยปากบอกความคิดของตนเองออกมา ท่ามกลางเสียงห่าฝน “แฟนเกิซน่ารัก ข้าอยากเห็น แฟนเกิซ มีความสุข ข้าอยากปกป้อง ให้แฟนเกิซปลอดภัย ข้าไม่อยาก อยู่ห่าง จากแฟนเกิซสักนาที ความรู้สึกของข้า คืออยากให้ แฟนเกิซ มาอยู่กับข้า ตลอดไป อยากเห็นแฟนเกิซ ตั้งแต่รุ่งสาง จนตะวันลับก็ยังได้เห็น”

คนฟังนิ่งไป ทำได้เพียงแค่กะพริบตาไล่ความร้อนออกไป ไม่คิดว่า เคลวินน์จะเอ่ยคำเหล่านี้ออกมา เจ้าตัวคงใช้ความพยายามมากมายเพื่อให้เขาเข้าใจ

“แฟนเกิซ คิดว่า สิ่งที่ข้ารู้สึก เรียกว่า ข้ารักแฟนเกิซ หรือไม่”

แล้วทำไมถึงพูดเก่งเป็นต่อยหอยเลยเล่า

ไม่รู้เพราะความหนาวเย็นของฝน หรือเพราะกำลังประหม่ากันแน่ ทำให้แวนกัสต้องกอดอกตัวเอง ขณะที่ยังสบตากับเจ้ายักษ์ตรงหน้า และไม่รู้ว่าห่าฝนจะหยุดตกลงเมื่อใด เพราะยามนี้ท้องฟ้าเริ่มมืดลงไปแล้ว ชายหนุ่มอยากจะหนีคำถามของเคลวินน์ไปเสียเหลือเกิน ไม่อยากตอบออกไปตามตรงว่าอีกฝ่ายนั้นเข้าใจคำที่เอ่ยกับเขามาตลอดจริง ๆ

มีแต่เขาเท่านั้น ที่เข้าใจไปเองว่าเคลวินน์ไม่ประสีประสา

“น..นายเข้าใจถูก” ชายหนุ่มบอก

เจ้าตัวใหญ่ยกยิ้มขึ้น “แฟนเกิซ จะ จับคู่ กับข้า!”

“ไม่ใช่ ใครบอกว่าฉันจะจับคู่กับนาย ยังก่อน...”

เจ้าตัวใหญ่ไหล่ตกอีกรอบ “โกหก ไม่ดี”

“ฉันไม่เคยพูดเลยนะว่าฉันจะจับคู่กับนาย แล้วฝนบ้านี่เมื่อไหร่จะหยุดตกสักที ฉันอยากกลับบ้านจะแย่อยู่แล้ว” ชายหนุ่มเดินวนอยู่ในโถงอย่างนึกอึดอัด “นายช่วยออกไปส่งฉันทั้งที่ฝนตกได้มั้ย”

“กลางคืน มี สัตว์ป่า”

หน้าคนฟังถอดสี “อา...” แวนกัสพยักหน้า เดินกลับไปทรุดนั่งบนกองฟาง “ฉันว่าค้างที่บ้านนายก็ไม่เลว เดินทางกลางคืนมืด ๆ ไม่ค่อยดีเท่าไหร่เนอะ”

เจ้ายักษ์ลอบยิ้ม รู้ทันว่ามนุษย์เกรงกลัวสัตว์ตัวใหญ่ถึงเพียงไหน มันเอียงคอ มองร่างน้อยเอนตัวลงนอน หนุนกองผ้าที่ตนเองพกมาอย่างไม่นึกรังเกียจกองฟางของมัน เป็นภาพที่เคลวินน์จินตนาการไว้แล้วเกิดขึ้นจริงอย่างไม่น่าเชื่อ ว่าภายในรังของมัน บนกองฟางที่มันเคยนอนอยู่ทุกวี่วัน จะมีเรือนร่างบอบบางของมนุษย์ที่มันรัก นอนอยู่

“แฟนเกิซ กอด เคลฟินน์”

คนนอนเบ้ปาก ไม่อยากยอมรับ “เมื่อกี้ฉันไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น นายกำลังล่อลวงฉัน นายใช้เวทมนต์กับฉันแน่ ๆ”

“เคลฟินน์ ไม่มี”

“นายโกหก เมื่อกี้ฉันไม่รู้ตัวเลย นายต้องใช้เวทมนต์กับฉันแน่ ๆ”

เจ้ายักษ์ส่ายหน้า “เคลฟินน์ ไม่มี ถ้ามี คงทำให้ แวนกัสรัก ตั้งแต่แรก”

“เฮอะ” คนฟังนอนกอดอก ทำเป็นหลับตา “เถียงเก่งขึ้นนะเรา”

มนุษย์น้อยรู้ว่าเถียงคืนไม่ได้เลยทำเป็นง่วงนอนเสียแล้ว เจ้ายักษ์ยกยิ้มเล็กน้อย นิ้วมือยาวจิ้มลงที่ปลายจมูกเล็กอย่างนึกหวงแหน ไม่นานคนที่พริ้มตาหลับก็ลืมขึ้นมาสบกัน วินาทีที่ดวงตาทั้งคู่สบประสาน เคลวินน์ก็ยกยิ้มให้ร่างน้อยเบื้องหน้า สัมผัสแตะหลังมือเรียวเล็กที่วางพาดบนกองฟางนั้นอย่างต้องการสำรวจ “แฟนเกิซ นอน”

“ฉันนอนยังไม่หลับหรอก แค่เอนหลังพักเฉย ๆ ดวงอาทิตย์เพิ่งตกเอง”

“แฟนเกิซหิว” เจ้าตัวใหญ่เดินไปหยิบผลไม้มากองให้ ท่าทางการเอาอกเอาใจนั้นแลดูน่ารักจนต้องผุดยิ้มขึ้นมา ชายหนุ่มขยับตัวลุกขึ้นนั่ง หยิบขึ้นมาพิศดูแล้วยอมกัดกิน เพียงเห็นเขางับไปคำเดียว ท่าทางของเคลวินน์แลดูภูมิใจมากที่ได้หาอาหารมาให้เขากินประทังชีวิต ดู ๆ ก็เหมือนผัวกำลังดูแลเมียอยู่เหมือนกัน

“อืม อร่อย” ชายหนุ่มพยักหน้า ยกแขนกอดอกเพราะรู้สึกว่าอากาศเย็นขึ้นยามฝนตก

“ปลาของแฟนเกิซ อร่อย!”

“ฉันจะทำให้นายกินอีก โอเค๊”

เจ้าตัวใหญ่พยักหน้า “ดี!”

“นายก็จับปลามาให้ฉันบ้างสิ นายจับปลาเป็นรึเปล่า”

“ข้าจะ จับปลาให้แฟนเกิซ ทั้งหมด”

“ไม่เอาหรอก เอาทีละตัวสองตัวสิ” ชายหนุ่มยกยิ้ม “เอามาเยอะขนาดนั้นบ้านฉันไม่มีที่เก็บหรอก”

“ข้าจะ กินให้หมด”

“ไอ้ยักษ์ตะกละเอ๊ย”

“แฟนเกิซตะกละ!”

“อีกแล้วนะ ยอกย้อนเก่งจริงเชียว”

“ฮิฮิ” มันหัวเราะคิกคักชอบใจ เป็นเสียงหัวเราะที่สดใส ผิดกันกับเจ้ายักษ์ร้ายแสนมืดมนที่เอาแต่คอยมองแวนกัสฝ่ายเดียวเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง ชายหนุ่มละรอยยิ้ม ยิ่งอยู่ด้วยกันก็ยิ่งเห็นความน่ารักของอีกฝ่าย บางที่เขากำลังอาจจะใจอ่อนให้กับยักษ์จอมตื๊อตรงหน้าไปแล้วก็เป็นได้ แค่ยังไม่ยอมรับตัวเองเท่านั้น

เป็นใครก็ต้องเสียศูนย์กันทั้งนั้น เคลวินน์น่ารักและทรงสเน่ห์ออกปานนี้

ชายหนุ่มละรอยยิ้มของตัวเองลง ทำยังไงดีล่ะ หรือจะยอมรับดีหนอ “นี่...”

ผู้ฟังเลิกคิ้ว “แฟนเกิซ หนาว ฝนตก”

“อืม หนาวนิดหน่อย” คนตอบตกใจ ทันทีที่ยอมรับ ฝ่าเท้าของชายหนุ่มก็ถูกมือใหญ่ยกขึ้นไปกอบกุม ภาพฝ่าเท้าเล็ก ๆ ของเขาในอุ้งมือสองข้างนั้นทำเอาหัวใจแวนกัสเต้นไหวแรงขึ้น หนักกว่านั้นคือใบหน้ารูปหล่อของอีกฝ่าย เคลื่อนมาจรดที่เท้าของเขา แล้วเป่าลมอุ่นให้อย่างบรรจงประคบประหงมอยู่เช่นนั้น

ในอนาคต เขาอาจไม่ได้เจอคนแบบนี้อีกก็ได้ คนที่คอยดูแลเขาอย่างกับไข่ในหิน ราวกับเขาเป็นสิ่งที่มีค่าสิ่งเดียวของอีกฝ่าย “เห็นนายพยายามอย่างนี้ ฉันให้โอกาสนายซักหน่อยก็ได้”

คนฟังเอียงคอ “อุ่น”

“ไม่” แวนกัสส่ายหน้า “นายต้องนอนกอดฉันสิ ฉันถึงจะอุ่นกว่านี้”

เท้าน้อย ๆ หล่นปุลงพื้น เมื่อมือเจ้ายักษ์เหมือนจะอ่อนแรงขึ้นมาเสียเฉย ๆ หลังได้ยิน ดูเหมือนประโยคก่อนหน้านั้น มันจะไม่เข้าใจถึงความหมายของ ‘โอกาส’ ที่แวนกัสหมายถึง

“ฉันหนาว กอดฉันหน่อย” ชายหนุ่มจึงเลือกจะใช้คำพูดที่ฟังง่ายกว่านั้น ระหว่างที่สองคู่สายตาสบกัน ไม่นานเจ้ายักษ์ไม่เดียงสากระกระเถิบขึ้นมานอนอยู่บนกองฟางเดียวกัน ทันทีที่เห็นแวนกัสเอนหลังนอนเปิดโอกาสให้ มันโอบกอดเขาไว้ทั้งตัว มือสั่น ๆ ลูบจับตามลำตัวของเขาราวกับไม่เชื่อ

แบบนี้น่ารักดี

แวนกัสหนุนต้นแขนใหญ่ เขารองหัวของตัวเองด้วยย่ามผ้าที่ถือติดมือมา น่าประหลาดที่ตะวันเพิ่งตกลงดินได้ไม่นาน แต่ทั้งสองกลับไม่อยากลุกออกจากกัน อาจเป็นเพราะความเย็นชื้นเพราะฝนตก อาจเป็นเพราะรอบกายมีแต่เสียงหยาดน้ำ อาจเป็นเพราะแสงจันทร์ที่สาดผ่านม่านแมกไม้เข้ามาให้ได้เห็นหน้ากัน หรือเป็นเพราะความน่าหลงใหลของใบหน้าฝ่ายตรงข้าม ทำให้อดไม่ได้ที่จะอยากกระเถิบเข้าหากัน

นิ้วมือเรียวยาวน้อยแตะที่ริมฝีปากอันมีเขี้ยว มันงับนิ้วของชายหนุ่มเล่นขณะที่นอนจ้องตากัน ส่วนมือใหญ่ของเคลวินน์เองก็สำรวจเรือนร่างของแวนกัสด้วย ต่างฝ่ายต่างอยากรู้จักร่างกายฝ่ายตรงข้าม แวนกัสพริ้มตา เมื่อเจ้ายักษ์ตรงหน้าไม่อยากใช้มือสำรวจอีกต่อไปแล้ว มันก้มลงลากลิ้นเลียตามไหปลาร้า ชิมรสชาติที่แก้มของเขา แล้วเลิกสาบเสื้อขึ้น

ให้ตายซี เมื่อกี้เขาบอกว่าหนาว ไหงเจ้ายักษ์เจ้าเล่ห์ถึงได้เลิกเสื้อเขาขึ้นเช่นนี้กัน ไม่ยุติธรรมเลย

คนถูกกระทำพริ้มตา ยกหลังมือพาดที่หน้าผากราวกับคิดหนัก ยามลมหายใจร้อนของยักษ์ตัวใหญ่ไล่ไปตามหน้าท้อง มันขูดลากเขี้ยวเล็กทั้งสองลากลงต่ำผ่านหน้าท้องจนคนนอนตัวโก่งงอ อารมณ์วาบไหวแล่นปราดไปทั่ว ลมหายใจติดขัดจนต้องเกาะกุมไหล่ใหญ่นั้นไว้ ท้ายที่สุดกางเกงแวนกัสก็หลุดลอยไป

นัยน์ตาสีแดงเพลิงช้อนขึ้นมาสบเป็นเชิงขออนุญาต แวนกัสรู้สึกเหมือนตัวเองเริ่มจะมียางอาย ชายหนุ่มเอียงหน้าหลบ ได้ยินเสียงสากของกองฟาง แต่ความรู้สึกอยากรู้อยากเห็นมีมากกว่า ยกขาอ้าออก ยินยอมให้เคลวินน์เรียนรู้ร่างกายอย่างง่ายดายขึ้นกว่าเก่า

“อือ...”

เพราะความเหงาที่ถูกเคลวินน์มาแทนที่ ทำให้แวนกัสไม่คิดหน้าคิดหลัง หรือเพราะการกระทำที่อีกฝ่ายปฏิบัติต่อชายหนุ่มอย่างดีนั้นทำให้ใจอ่อน จนต้องยอมเสพสังวาสกับสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์ แวนกัสไม่สน ชายหนุ่มจิกเท้าของตัวเองยามความรู้สึกแปลกใหม่สาดซัดเข้ามา สัมผัสลิ้นสากรุมร้อนจนไม่แน่ใจแล้วว่าตัวเองกำลังไข้ขึ้นหรือไม่

แวนกัสส่งเสียงครวญลั่นท่ามกลางฝนพรำ ไม่อายดินฟ้า ลำขาขาวยกขึ้นแตะที่เขายาวของอีกฝ่ายอย่างจงใจ ได้ยินเสียงครางฮึ่มฮั่มขู่ หรือไม่ก็กำลังแสดงออกว่ามันรู้สึกดี ลิ้นขนาดยาวก็เพิ่มน้ำหนักไล้อวัยวะซ่อนเร้นของชายหนุ่มกว่าเก่า ได้ยินเสียงชื้นแฉะน่าเกลียดแต่กลับยิ่งเร้าอารมณ์แปลก ๆ

เสียงสากของกองฟางขยับตามสองร่างที่เคลื่อนไหว คนนอนอ้าขารู้สึกเหมือนกำลังจะตาย สบเข้ากับท่อนไม้แข็งขึงในกางเกงที่เพิ่งเห็นอีกฝ่ายใส่ชี้เด่ออกมา เดี๋ยวก่อน หากจะทำกันถึงขั้นนั้นเขากับเคลวินน์ควรตกลงกันก่อน มนุษย์น้อยกลืนน้ำลายส่ายหน้า

ร่างใหญ่บดเบียดก่ายเกยบนตัวชายหนุ่ม สัมผัสได้ถึงความแข็งขึงใหญ่โตนั้น ไม่นานสิ่งที่เร้นซ่อนในกางเกงของเคลวินน์ก็ถูกควักดึงออกมาให้เห็น แม้จะกลัวว่าตัวเองเจ็บ แม้จะคิดว่าการร่วมหลับนอนกับยักษ์เป็นสิ่งที่ไม่น่ายอมรับ แต่ในหัวของแวนกัสก็ท้วงเถียงว่าใครกันที่เขียนกฏขึ้นมาว่ามนุษย์ไม่มีสิทธิ์ ชายหนุ่มพริ้มหลับตา เป็นฝ่ายเปิดไฟเขียวให้ยักษ์ใหญ่ตรงหน้าด้วยการขยับขากว้าง ลูบจับสิ่งนั้นให้นำเข้ามา

ลมหายใจของเคลลวินน์พ่นผ่านหู มันจูบคางเขา ลากไล้มาจูบแลกลิ้นราวกับกลัวว่าเขาจะส่งเสียงร้องปราม ทั้งสองประสานลมหายใจขณะไม่ปล่อยให้ริมฝีปากเป็นอิสระ วินาทีนั้นความเจ็บรื้นก็เคลื่อนชำแรกเข้ามาอย่างยากเย็น รู้สึกได้ถึงการฉีกขาดบริเวณปากทางทีละเล็กน้อย

“ฮ้า...เจ็บ ๆ ๆ” แวนกัสร้องเสียงดัง ขาที่ว่าอ้าก็หุบกั้นฉับอย่างเป็นสัญชาตญาณ สองมือจิกทึ้งเส้นฟางแน่นจนสั่นไหว เจ้ายักษ์ใหญ่ชะงัก เห็นสีหน้าของแวนกัสแล้วหยุดการกระทำทุกอย่างอย่างนึกห่วงใย มันก้มลงมาจูบหอมที่หน้าผากของชายหนุ่ม ซาบซับความเจ็บปวด “แฟนเกิซ ไม่เป็นไร”

“อะ..อือ”

“ข้าหยุด” เคลวินน์ผละออก มันกลัวว่าเขาจะเจ็บจนตัดสินใจหยุดไป แล้วทิ้งตัวลงกอดก่ายกันโดยไม่สวมอาภรณ์ใดปิด ท่อนไม้ใหญ่กว่าแขนพาดเด่แข็งขึงไม่ยอมลดทอนลง

น่าเสียดาย...

ทุกอย่างพังเพราะความปอดแหกของเขา ชายหนุ่มคิดแล้วทำได้เพียงแค่ยิ้มแห้ง แม้บรรยากาศสุดแสนโรแมนติกจะหายไปแล้ว ในท้องของแวนกัสยังหลงเหลือมวลความรู้สึกนั้นอยู่ ราวกับในนั้นได้มีดอกไม้ป่าหลายร้อยดอกกำลังเบ่งบานออกสวยงาม พร้อมผีเสื้อเป็นหมื่นแสนบินฉวัดเฉวียน

แวนกัสยังติดอยู่ในห้วงอารมณ์หวามไหวนั้น ลากนิ้วตามหน้าท้องร่างใหญ่ที่นอนก่ายกอดกัน ยังคงสำรวจต่อไปอย่างไม่อยากหยุด “รอตอนฉันพร้อม” ซึ่งไม่รู้ว่าเมื่อไร ทั้งที่คิดว่าวันนี้ตัวเองพร้อมที่สุดแล้วแวนกัสยังเกิดป๊อดขึ้นมาเสียได้ “นายรอได้ใช่มั้ย”

เจ้ายักษ์พยักหน้า “เคลฟินน์รอ”

“นายวิเศษมากเลยรู้มั้ยเคลวินน์” คนกล่าวสบตา ขยับมือทั้งสองไปแนบกันให้เห็นขนาดที่ต่างถึงสองเท่า

“แฟนเกิซ วิเศษที่สุด”

“นอกจากจะน่ารักแล้ว ปากนายก็หวาน”

“แฟนเกิซ ร่างกาย หวาน”

เจ้ายักษ์ร้าย ร้ายสมชื่อ ในเมื่อคุ้นชินกับปลายนิ้วที่เอื้อมมาจิ้มจมูกของแวนกัสได้แล้ว จากนี้ไป ชายหนุ่มคงต้องทำตัวให้เคยชินกับคำพูดจาตรงเถรเกินไปเช่นนี้ด้วยกระมัง แวนกัสยกยิ้ม แล้วทำเป็นเอียงตัวหันหลังให้ ไม่อาจเก็บงำความรู้สึกขัดเขินภายในใจได้ต่อไปแล้ว

เจ้ายักษ์ข้างกายของเขานั้น มีพลังทำลายล้างสูงเกินไป ใครจะไปทนไหวกัน...



-------------------------------------------------------

มีใครจับคนเจ้าเล่ห์ได้มั้ยน้าาาาา ไม่อยากให้เค้ากลับบ้านอะเนอะ อิอิฝนตกเฉย

เกือบได้กันแล้ว ล่ะอิพี่ด้วยความโตมาตัวเดียว ต่างคนต่างไม่เคยทำ ก็เลยล่มก่อน นอนจับมือกันไปก่อนนะคะ ส่วนอิคนน้อง เอ๊ะๆ อ่อยเก่ง

แบบนี้ถือว่ายังไม่ NC สำหรับเรา ไว้คราวหน้าละกัน ส่วนฉากที่เรทมาก ๆ เราจะตัดไปลงบล็อกให้ แล้วก็จะใส่ลิงค์ให้ด้วยนะคะ ไปฟอลทวิตหรือเเฟนเพจรอเลย ฝากทุกคนช่วยคอมเม้น ช่วยดันนิยายด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ

ปล. เรื่องให้นมลูกเราตั้งใจเขียนให้น้องสามารถให้นมลูกเองได้ค่ะ ความท้องได้อะเนอะ แต่หลังจากที่กลับมาอยู่กระท่อมกัสก็เลือกที่จะให้นมผงเพราะต้องปิดบังความจริง แล้วนมมันก็ฝ่อไปเอง

 
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #9 up18.10.62
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 18-10-2019 19:00:00
 :L2: :pig4: :pig4: :pig4: :L2:


 o13
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #9 up18.10.62
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 18-10-2019 22:38:24
:L2: :pig4: :pig4: :pig4: :L2:


 o13
ขอบคุณค่าาาา
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #9 up18.10.62
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 18-10-2019 23:48:51
ฟินนนนน
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #9 up18.10.62
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 19-10-2019 12:27:28
ฟินนนนน
ตอนหน้าฟินกว่านี้อีกกกก
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #9 up18.10.62
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 20-10-2019 03:26:22
รอบหน้าแฟนเกิชต้องเตรียมเควายไว้นะ  :hao6: :haun4:
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #9 up18.10.62
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 20-10-2019 15:45:26
รอบหน้าแฟนเกิชต้องเตรียมเควายไว้นะ  :hao6: :haun4:
555555 สงสัยคงต้องทำแบบนั้นแหละค่ะ
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #9 up18.10.62
เริ่มหัวข้อโดย: NaunaeZaa ที่ 20-10-2019 17:42:23
แงงง สนุกมากเลยค่ะ :sad4:
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #9 up18.10.62
เริ่มหัวข้อโดย: คุณซี ที่ 20-10-2019 20:38:20
เคลฟินร้ายยยย หนีน้องไปทัมมัยกลับมามั่ยมีเหตุผลต้องโดนตีให้ตูดลาย
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #9 up18.10.62
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 21-10-2019 00:40:32
เคลฟินร้ายยยย หนีน้องไปทัมมัยกลับมามั่ยมีเหตุผลต้องโดนตีให้ตูดลาย
แม่ๆน้องใจร้ายตีพี่ยักษ์ได้ลงคอ 55555
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #9 up18.10.62
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 21-10-2019 18:49:34
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #9 up18.10.62
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 21-10-2019 20:39:43
:pig4:
 :3123:
:katai3: :-[ :-[
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #10 up23.10.62
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 23-10-2019 20:55:30

#ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง

ตอนที่ ๑๐

๑๖ ปีก่อน

การได้ตื่นมาพบเจ้ายักษ์ตัวใหญ่อยู่ริมหน้าต่างทุกวันทำให้จิตใจของแวนกัสรู้สึกถึงความห่วงหาของอีกฝ่ายง่ายดายขึ้น และชายหนุ่มก็อยากเก็บความรู้สึกนั้นด้วยการวาด ความรู้สึกของการถูกใครสักคนมองด้วยความคิดถึง เอ็นดู และเทิดทูนเป็นของสำคัญ คงเป็นเคลวินน์คนเดียวที่มอบให้แวนกัสได้ นั่นกระมังที่ทำให้ชายหนุ่มคิดจะลองเปิดใจ

บ่ายแก่ที่สดใสวันหนึ่ง ชายหนุ่มเก็บสมุดสเก็ทภาพของตัวเองใส่ลิ้นชักในห้องพัก เพราะได้ยินฝีเท้าหนักแน่นจากป่ามุ่งหน้ามา จากที่เคยขับไล่ กลายเป็นว่าต้องลุกขึ้นไปต้อนรับอยู่ทุกวี่วัน เจอกันยามเช้ามิพอ ต้องเจอยามบ่ายอีกด้วย

“มาแล้วเหรอ”

เจ้ายักษ์ที่เคยงกเงิ่น อยู่กับมนุษย์จนชินแล้ว “เมื่อคืน เคลฟินน์ ฝัน ถึง แฟนเกิซ”

“พูดจริงเหรอ”

“พูดจริง”

คนฟังยกยิ้ม “ฝันว่าอะไร”

“เราจับคู่กัน...” เจ้ายักษ์ใช้นิ้วชี้สองข้างมาแนบกันให้ดู

“โธ่...” ชายหนุ่มส่ายหน้า “หนีไม่พ้นเรื่องนี้เลยสิน่า”

“พูด จริง ๆ”

“ทำไม ถ้าฉันไม่จับคู่กับนาย เราจะไม่เป็นเพื่อนกันอย่างนั้นเหรอ”

“ไม่ใช่” เจ้ายักษ์เอื้อมมาจิ้มนิ้วจุดที่มันเคยชิน “ข้ารัก เหมือนเดิม”

“อืม...” คนฟังลากเสียงคลอ ทำเป็นแก้กระดากอายด้วยการหมุนตัวไปแกะช็อกโกแลตให้ “เอ้า ของนาย”

มือใหญ่ทำท่าจะเอื้อมมารับไปกิน หากทว่าคนทางนี้นึกอยากจะแกล้งให้ไม่ได้ดังใจ แวนกัสลอบยิ้ม ขณะที่เห็นเจ้ายักษ์ตัวใหญ่พยายามคว้าตาม หากทว่าท้ายที่สุดมือน้อยของฝ่ายมนุษย์ก็ถูกกระตุกดึง อุ้มเสียตัวลอยออกจากบ้านไปหายักษ์พลังเหลือ “แฟนเกิซ ขี้โกง”

“นายนั่นแหละขี้โกง ตัวเองตัวใหญ่กว่าฉันแล้วคิดจะใช้พละกำลังอะไรก็ได้งั้นเหรอ” ชายหนุ่มคว้าเกาะคออีกฝ่ายกลัวตก ถูกอุ้มพาเดินเล่นที่ธารหลังบ้าน เจ้ายักษ์ไม่ได้ตอบ มันพาชายหนุ่มเดินวนอยู่แถวนั้น ไม่ยอมวางลงสักที ราวกำลังอุ้มเพียงตุ๊กตาเล็กเบามือ

“พาออกมาทำไม”

“ข้างใน อุดอู้ ไม่สบาย”

“ฉันสบาย นายนั่นแหละไม่สบาย ทำมาเป็นบอกว่าอุดอู้” ชายหนุ่มยกนิ้วแซว “อยากอุ้มฉันล่ะสิ”

เคลวินน์ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ “ไม่จริง”

“โกหกไม่เนียนเลย ขอกันตรง ๆ ก็ได้”

“ขอได้...” มันเอียงคอ หันดวงตาซื่อมาสบราวกับมีแผน “ออกไปข้างนอกกับข้า”

ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนกวาดมองใบหน้าเจ้ายักษ์ ใบหน้าไร้ที่ตินั้นดูชมอย่างไรก็ไม่มีทางเบื่อ ตั้งแต่คืนที่แวนกัสถูกพาไปยังรังของอีกฝ่าย แล้วได้ใช้ช่วงเวลาโรแมนติกด้วยกัน นับแต่นั้นมา ดูเหมือนเคลวินน์จะยังตั้งตารอคอยให้เขาเปิดใจกว่านี้

และที่มันน่าอาย ก็คงจะเป็นเขาที่มองอีกฝ่ายไร้เดียงสาไม่ได้อีกต่อไปแล้ว แม้ท่าทางของเคลวินน์จะเป็นเช่นนั้นก็ตาม

“อา ฉันไม่ได้สวมรองเท้า จะเดินเล่นกับนายยังไง” แวนกัสถูกวางไว้ที่โขดหินในสภาพชุดทำงาน เขาสวมเสื้อเชิ้ตตัวโคร่งสีขาวกับกางเกงห้าส่วนสีขี้ม้า ครั้นวางเขาได้แล้ว คนพามาก็ทรุดนั่งเรียงกันราวกับตั้งใจที่จะทำเช่นนี้ตั้งแต่มาถึง มันงับมายังมือที่ถือช็อกโกแลตของเขาไปเคี้ยวกร้วมอย่างพอใจ ในขณะที่แวนกัสกำลังสนใจรอบกาย

“ฉันอยากเดินแต่พื้นมันเฉอะแฉะนะ นายลักพาตัวฉันมาทั้งที่ไม่ได้ใส่รองเท้ารู้มั้ย”

“เคลฟินน์ไม่ได้ใส่” มันเหยียดขาอวดบ้าง

“ใครจะไปหนังเหนียวเหมือนนายกันล่ะ นายเป็นยักษ์ ฉันเป็นคน”

“งั้น” เจ้ายักษ์ฉีกยิ้ม “ข้าจะอุ้ม ตลอดเวลา”

“ไม่ล่ะ ฉันก็มีขา”

“แฟนเกิซ ใช้ข้าได้”

คนฟังฉุกคิดขึ้นมา ว่าคงจะดีเหมือนกันที่อีกฝ่ายยอมอย่างนี้ “งั้น นายจะพาฉันไปเที่ยวทั่วทั้งป่าได้มั้ย ที่สวย ๆ เหมือนบ้านของนายน่ะ”

“ได้”

“ไม่เหนื่อยนะ ถ้าต้องอุ้มฉันนาน ๆ”

“ข้าอยากอุ้ม แฟนเกิซ ทุกนาที”

“พูดอะไรของนาย จะทำคะแนนเหรอ” อย่าคิดว่าแวนกัสไม่รู้ทัน ได้ฟัง เจ้ายักษ์ตัวใหญ่เอียงคอไม่เข้าใจขณะที่สบตากัน แวนกัสนึกขัน สายตาพลันเหลือบไปเห็นที่คออีกฝ่ายว่ามีร่องรอยอะไรบางอย่าง “นี่ เคลวินน์นายเป็นเรื้อนเหรอ ดูขนตรงนี้ของนายมันร่วงเป็นวง ๆ หมดแล้ว”

“ขนร่วง” มันย้อนพลางจับที่คอน่าเกลียดของตัวเอง

“นั่นไง ฉันเตือนนายแล้วว่าให้อาบน้ำทุกวัน ไหนดูซิ” แววตาเป็นห่วงเป็นใยของแวนกัสทำเอาอสูรตัวใหญ่รู้สึกกระดากอายที่จะถูกมอง มันกระเถิบหนีไม่ยินยอมให้มนุษย์เห็นสิ่งน่าอายของมัน “ไม่ได้”

“อะไร นายอายรึไง” แวนกัสยิ้มขัน “อายอะไร นายควรอายตอนตัวเองแก้ผ้าเดินโทงเทงสิถึงจะถูก มานี่มา”

“ไม่”

“เฮ้ ที่แขนนายก็มี วงกว้างน่าดูเลย นายไปทำอะไรมาเนี่ย” แวนกัสอยากดูให้แน่ว่าเกิดอะไรขึ้น หากป่วยเป็นเรื้อนเพราะความสกปรกจริงเขาจะได้ช่วยรักษาให้ ชายหนุ่มผละมองที่เสื้อของตัวเอง เห็นขนมากมายสีน้ำตาลเกาะเป็นอณุเล็ก ๆ อยู่ “อา ขนนายร่วงเต็มเสื้อผ้าฉันเลย รู้สึกคันแฮะ ยิ่งอากาศร้อนอยู่ด้วย หน้าร้อนคงมาถึงแล้วสินะ”

“หน้าร้อน” เคลวินน์โพล่ง

“อะไร”

“หน้าร้อน ขนร่วง”

คนฟังส่ายหน้า “นายเป็นหมารึไง”

“เป็นเคลฟินน์!”

“เหรอ นึกว่าเป็นยักษ์ขี้เรื้อนขนกระหยอมกระแหยม”

“เป็นเคลฟินน์!”

คนล้อสนุกสนานกว่าเก่า “จริงเหรอ ยักษ์สกปรก ยักษ์ไม่ยอมอาบน้ำอ๊ะ..”

โดนตะครุบเข้าแล้ว “อาบน้ำ ไป อาบน้ำกับเคลฟินน์”

“ไม่อาบ!”

“อาบ” เจ้ายักษ์ยกแวนกัสตัวลอย

“ไม่อาบ”

“อาบ!”

“งั้น ขอไปเอาเสื้อผ้ามาเปลี่ยนก่อน” แวนกัสใช้ข้ออ้างหลอกให้อีกฝ่ายพากลับบ้าน แล้วทีนี้เขาจะแอบหนีเข้าไปแล้วไม่ยอมออกมา คราวนี้เจ้ายักษ์ก็จะบังคับให้เขาไปอาบน้ำกับมันไม่ได้แล้ว คนกล่าวยกยิ้มเหนือกว่า หากทว่าต้องอ้าปากค้างเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่วิ่งไปด้วยความรวดเร็ว ไม่นานก็ได้ชุดของแวนกัสติดมือกลับมา “ได้ เสื้อผ้า”

ให้ตาย ไม่น่าซักผ้าวันนี้เพราะแดดดีเลย

“ทำไมวันนี้อยากอาบน้ำขึ้นมาละฮะ ทุกวันบังคับให้อาบจนปากเปียกปากแฉะก็ไม่ยอม จนต้องโมโหถึงจะไป อ๊ะ...อย่ามาอุ้มฉันโดยไม่ขอสิ เคลวินน์ เคลวินน์!” ชายหนุ่มดิ้นแด่ว

“แฟนเกิซ ไม่ชอบ สกปรก”

“มันก็ใช่ แต่นายจะมาบังคับให้ฉันอาบน้ำด้วยได้ไง”

“แฟนเกิซสกปรก” แวนกัสอยากจะบ้าตาย นับวันเคลวินน์ก็พูดเก่งขึ้น เรียนรู้ไว้ขึ้น คนถูกอุ้มทำได้เพียงกลอกตามองบนอย่างรู้สึกหน่ายที่จะเอาชนะ ชายหนุ่มจึงทำได้เพียงยินยอมให้อีกฝ่ายพาไปยังที่หมายแต่โดยง่าย รู้อย่างนี้ไม่สอนก็ดี

เพราะเข้าฤดูร้อนอย่างที่แวนกัสว่า ทุกวัน จากที่เคยโดนบังคับ บริเวณน้ำตกหน้ารังของเคลวินน์กลับเต็มไปด้วยเสียงของพวกเขาเล่นน้ำด้วยกัน ชายหนุ่มเคยชินกับการกระโดดลงน้ำ ดำผุดดำว่ายไปพร้อมกับยักษ์ตัวใหญ่ที่ยังคงมีเสน่ห์เหลือล้นยามยิ้มจนเห็นเขี้ยวทั้งสองข้าง แม้จะอยู่ใต้น้ำกันก็ตาม

แต่ที่ดูผิดหูผิดตาไป ก็คงจะเป็นขนของเจ้าตัวที่ร่วงออกจนเป็นวง เขาชี้นิ้วล้อให้มันอายอยู่ทุกวี่วัน เจ้ายักษ์ตัวใหญ่ก็แสนงอน มันทำหน้าบู้แล้วเถียงว่ามันไม่ได้ป่วยเป็นอะไร จนกระทั่งขนของมันหล่นออกไปหมด หลงเหลือเพียงผิวสีขาวซีดที่เคยโดนปกปิดให้ชายหนุ่มเห็น

“เคลวินน์ ขนหนา ๆ ของนายหลุดออกหมดแล้ว ผิวนายเหมือนมนุษย์เลย” รวมถึงยังสว่างจ้าจนแวนกัสรู้สึกแสบตา เขาคิดว่าตัวเองผิวขาวซีดเพราะไม่ค่อยออกจากบ้านอยู่แล้ว แต่ผิวของเคลวินน์คล้ายหิมะ ขาวไปทั่วทั้งตัว ครั้นพูดถึงผิวของอีกฝ่าย ก็นึกอะไรขึ้นมาได้

“นี่ สงสัยคนเขียนหนังสือเล่มนั้น คงจะไปเห็นบรรพบุรุษของนายช่วงขนร่วงพอดีล่ะสิท่า” ชายหนุ่มกุมปากขำ

รู้ว่าคนฟังกำลังรู้สึกว่าตัวเองโป๊เปลือยเพราะร่างกายล่อนจ้อนไร้ขนปกปิด ซึ่งมันก็น่ารัก ยามเคลวินน์หน้าแดงไม่พูดไม่จา ขณะมือยาวของชายหนุ่มก็เป็นฝ่ายช่วยนำหวีสางผมยาว ๆ ให้ “คงน่าอายน่าดูเลย ร้อยวันพันปีไม่เคยโดนมนุษย์จับได้ แต่ดันมาเห็นช่วงโป๊ ในหนังสือถึงบรรยายว่าพวกนายผิวขาว รูปหล่อเหมือนเทพ ไม่สวมเสื้อผ้าอะไร”

“แฟนเกิซ เห็นข้า ตอนนี้”

“เห็นแล้วยังไง ก็แค่ขนร่วง นายก็ยังหล่อเหมือนเดิมนั่นแหละ”

เจ้ายักษ์งุดหน้าลงมองตัก ปล่อยให้มนุษย์น้อยสางผมให้ ฟังเสียงน้ำตกและหมู่นกร้องเก็บอาการขัดเขินของตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นคนชมก็ยังรู้ทัน “ตอนนี้นายก็ดูสะอาดสะอ้านดีกว่าตอนมีขนตั้งเยอะ ไม่ต้องอาย”

“ข้าเห็น แฟนเกิซ ไม่มีขนแล้ว”

“หา”

“เราหายกัน”

“ตอนไหน”

เคลวินน์หันมาสบตา “คืนนั้น ข้ากับแฟนเกิซ ร่วม หลับนอน”

“ไม่ใช่!” คนฟังตาถลนเถียง “ใครให้ใช้คำนั้นกันเล่า แค่ไปค้างคืนก็แค่นั้นแหละ”

“เหมือนกัน”

“ไม่เหมือน เกิดใครได้ยินก็คงเข้าใจผิดไปหมดว่าฉันกับนายมีอะไรกันไปแล้ว”

“ไม่มีใคร ได้ยิน นอกจาก แฟนเกิซ”

คนฟังยกมือกุมหน้าร้อนของตัวเอง “ช่างมันเถอะ”

“แต่ข้า ชิม ร่างกายแฟนเกิซ”

“หยุดเลย หยุดพูดนะไอ้ยักษ์บ้า”

“ข้าพูด ความจริ..” ถ้อยคำทุกอย่างหายลงคอไป ยามมือของมนุษย์น้อยถลามากุมปิดให้มันหุบปากฉับลง เจ้ายักษ์ร้ายงุนงงเล็กน้อย ดวงตาคมเห็นบนแก้มของเจ้าของมือน้อยนี้ ที่กำลังแดงปลั่งราวผลไม้สุกงอม ไหนจะริมฝีปากสีแดงน่าชิมน่าลอง และเพราะความงดงามของแวนกัส ทำให้อสูรที่เคยซื่อบื้อเผลอนึกคิดแผนร้ายขึ้นมา แผนที่จะได้ใช้เวลาชิมผลไม้ที่ว่านั่นอย่างเอร็ดอร่อยหนำใจ

“อะไรน่ะ ฝนตกเหรอ” แวนกัสชะงัก แหงนมองท้องฟ้าอย่างไม่เข้าใจ “เป็นไปไม่ได้ ท้องฟ้าปลอดโปร่งจะตาย หนีสิรออะไร” ไม่พูดเปล่า เจ้าตัววิ่งนำเคลวินน์มุดหนีเข้าไปในรังของมันแล้ว โดยไม่ต้องให้เจ้ายักษ์เอ่ยปากบอก “เฮ้ รีบตามเข้ามาสิเดี๋ยวนายก็เปียกอีกหรอก ผมนายกว่าจะแห้งไม่ใช่เรื่องง่ายนะ”


 
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #10 up23.10.62
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 23-10-2019 20:56:20

(ต่อ)

เป็นเรื่องง่ายที่จะต้อนมนุษย์น้อยป่วยง่ายเข้าถ้ำยักษ์

อสูรร้ายยกยิ้มขึ้น เดินตามไปเห็นอีกฝ่ายกำลังนั่งอยู่บนกองฟางเช็ดเนื้อตัวที่เปียก เคลวินน์หัวใจเต้นตึก ยามมนุษย์น้อยไม่รู้เรื่องราว หันมายกยิ้มหวานจูงเขาไปนั่งด้วย แล้วเป็นฝ่ายช่วยเช็ดน้ำที่เกาะบนผิวให้ “นายเองก็จะไม่สบายได้นะ ไม่มีขนเหมือนเมื่อก่อนแล้ว”

“ข้า ไม่เจ็บป่วย”

“อา” แวนกัสพยักหน้า “ดีจัง”

“แฟนเกิซหิว ข้าให้นี่” เจ้ายักษ์ลุกไปยกผลไม้มาให้ทั้งพวง ค่อย ๆ แกะป้อนทีละคำ ราวกับดูแลลูกน้อยจนอิ่ม คนถูกเอาใจทำได้เพียงยินยอมการปรนนิบัตินี้อย่างขัดเขิน เพราะฝนที่ตกทำให้บรรยากาศครึ้มลง บวกกับอากาศที่ไม่ร้อนอบอ้าวเหมือนแต่ก่อนทำให้แวนกัสรู้สึกสบายตัว ชายหนุ่มยกขาตั้งใจกระเถิบขึ้นไปเอนหลังนอน หากทว่าเท้าถูกกระตุกกลับ

“ฮื่อ นายทำอะไร” ชายหนุ่มผุดนั่ง

“สกปรก” เคลวินน์จับเท้าของแวนกัสไปปัดเช็ดให้อย่างเบามือ ก่อนจะยินยอมปล่อยให้ชายหนุ่มได้นอนแต่โดยดี คนมองรู้สึกเขิน แต่ก็เริ่มเคยชินกับการถูกดูแลอย่างดีเช่นนี้แล้ว “ขอบใจนะ”

“วันนี้ข้า...” เจ้ายักษ์ทำหน้ารู้สึกผิดครู่หนึ่ง ก่อนมันจะอึกอักไม่กล้าเอ่ย

“หือ”

“ข้า อยากนอนกอด แฟนเกิซอีกครั้ง”

คนฟังหน้าร้อน พยายามอย่างที่สุดที่จะกลั้นยิ้มตนเอง “ไม่ให้”

“ข้ารู้ มันยากที่แฟนเกิซ จะยอม”

“ฉันกลัว ถ้าเกิดฉันให้นายนอนกอดขึ้นมา แล้วบรรยากาศมันจะพาไปทำให้เราต้องเกินเลยกันอีก คราวนี้ฉันคงห้ามใจตัวเองไม่ไหว แล้วทำให้นายต้องลำบาก” มนุษย์น้อยพูดไปพลางยิ้มไปพลาง ยามเห็นสีหน้าผิดหวังของเจ้ายักษ์ไร้ขนตรงหน้า

“ข้าไม่ลำบาก”

ผู้ฟังนอนตะแคง หันหนี “นายควบคุมตัวเองได้งั้นเหรอ”

“ได้...” มันพยักหน้ารัว

“นายจะไม่ทำฉันแหลกคามือนายใช่มั้ย”

“แฟนเกิซ คือชีวิตของข้า” เจ้ายักษ์ไม่ได้ฟังคำขออนุญาตจากชายหนุ่มเลย แวนกัสยกยิ้ม ยามเจ้าของร่างใหญ่ป่ายขึ้นมาบนกองฟางด้วยกันจนได้ยินเสียงสากเพราะแรงเสียดสีของชิ้นฟาง วางมือไว้ที่ต้นแขนของเขาลูบราวกับปลอบเด็กตัวน้อย “ข้าจะปกป้องแฟนเกิซ ไม่เคยคิดทำลาย ข้าจะ...รักเจ้าอย่างอ่อนโยน”

“ฮื่อ...” ทำตัวเสมอเขาแล้ว ยังไม่ทันได้ตกลงเป็นอะไรกันแท้ ๆ แวนกัสหลับตาแน่นสนิท ยามเจ้ายักษ์ตัวใหญ่โน้มลงมาแสดงออกถึงความห่วงหาอาวรณ์เขา ด้วยการหอมที่แก้มเสียได้ยินเสียงลมฟอดใหญ่ “นายเรียกฉันว่าอะไรนะ”

ฝ่ายมนุษย์พลิกตัวมานอนหงายให้ได้สบตากับมัน บนแก้มยังคงเปื้อนยิ้มอยู่

“เจ้าตัวน้อยของข้า” นิ้วชี้ใหญ่จิ้มลงที่ปลายจมูกเล็กนั้น เขี่ยสางเส้นผมสีสวยที่มันไม่คุ้นตาออกจากหน้าให้ ผู้ถูกกระทำทั้งเขินอายทั้งพร้อมใจที่จะถูกมันกอดหอม ร่างน้อยไม่เคยที่จะผลักไสมันเพียงสักครั้ง

แวนกัสยกนิ้วจิ้มมาที่จมูกของมันคืนบ้าง “ยักษ์ใหญ่ของฉัน”

“ข้าเป็นของเจ้า” เจ้ายักษ์โถมตัวเข้าไปกอด “ข้าปรารถนาทุกนาทีที่จะเป็นของเจ้า...”

“คำพูดของนายฟังดูเจ้าชู้จังเลยรู้ตัวมั้ย” แวนกัสยกมือสวมกอดคืน แม้ว่าลำแขนน้อยของเขาจะกอดเคลวินน์ไม่มิดก็ตาม “ถ้านายไม่ได้เกิดมาใช้ชีวิตในป่าตัวคนเดียว ฉันคงคิดว่านายเจ้าเล่ห์ ไม่ได้ใส่ซื่อเหมือนที่พูด”

“ข้าไม่โกหก” ยักษ์ใหญ่ส่ายหน้า “ข้าต้องการเพียงมนุษย์น้อยของข้า”

มันไม่ได้สบตายามกล่าว ก็เพราะมีส่วนที่มันเจ้าเล่ห์อยู่บ้าง แต่มันทำไปเพราะอยากสมหวังกับแวนกัสก็เท่านั้น ไม่ได้โกหกหลอกลวงอันใดเพื่อความสุขประเดี๋ยวประด๋าว มันหวังที่จะครองรักกับมนุษย์ในอกไปจนชั่วกัปชั่วกัลป์ ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่อาจพรากมันไปจากแวนกัสได้ “ได้โปรด...”

“นายมากอดฉัน ทั้งที่ฉันยังไม่อนุญาตเลยนะเคลวินน์” แวนกัสทำเป็นแกล้ง

“ข้าจะ หักห้ามใจ”

“หักห้ามใจอะไร”

“ไม่ทำเจ้า มากกว่านอนกอด”

น่าเสียดาย แวนกัสนึกว่าจะทำมากกว่านี้เสียอีก “อืม...” พ่อคนดีของเขา

ชายหนุ่มพริ้มตา ซบอยู่ในอกนั้นอย่างไม่นึกเกรงว่าจะถูกทำร้าย ในเมื่อตนเองอยู่ในอ้อมกอดอบอุ่นของผู้ที่จะปกป้องเขาได้อยู่ ตามร่างกายแน่นหนั่นของเคลวินน์นุ่ม มีกลิ่นสาบความเป็นชายอันหนักแน่น แต่ไม่รู้เหตุใด เขาถึงได้คุ้นชินกับมันได้ง่ายดายนัก

“แฟนเกิซ...” เจ้ายักษ์ใช้เสียงอ่อน “จับคู่กับข้า ได้โปรด...”

“สัญญากับฉันก่อน”

เจ้ายักษ์งุดมองร่างน้อยในอก “ข้าจะสัญญา”

“นายจะดูแลฉันอย่างนี้ไปตลอด ทำได้มั้ย”

นึกว่าอะไร เคลวินน์ยิ้มกว้างขึ้น “ข้าสัญญา”

“อืม...” คนฟังม้วนเส้นผมงามสีเงินของเคลวินน์เล่นไปพลาง “ทำได้แน่นะ”

“ทำได้”

“แล้วถ้าฉันตกอยู่ในอันตราย นายจะต้องรีบมาช่วย”

“ข้าจะไป เร็วที่สุด”

คนฟังยกยิ้ม “สัญญาว่าจะอาบน้ำแปรงฟันทุกวัน”

“ฮื่อ...” เจ้ายักษ์ส่ายหน้า

“แค่นี้เอง ตัวจะได้หอม เนี่ย...นายไม่ยอมอาบน้ำทุกวัน ตัวนายก็จะเหม็น แถมขนก็ร่วง” นิ้วมือเรียวจิ้มที่อกเจ้ายักษ์ที่นอนตะแคงตั้งใจฟัง มันพอใจกับเสียงน้อย ๆ เวลานอนคุยกันวันนี้ มากกว่าตอนที่ได้ยินแวนกัสแว้ดใส่เวลาโกรธ รู้แล้วว่าการตามใจเป็นสิ่งที่มนุษย์น้อยต้องการ “ข้าจะอาบน้ำ พร้อมกับ แฟนเกิซอย่างนี้”

“อา...” คนฟังกลอกตา “นายนี่หนีไม่พ้นเรื่องคุกคามฉันเลยนะ”

“ไม่โกรธ”

“เปล่า ฉันไม่ได้โกรธ” คนฟังส่ายหน้า “แต่ถ้าหากเราจับคู่กันแล้วฉันโกรธขึ้นมานายจะง้อฉันยังไงล่ะ”

เจ้ายักษ์เผยรอยยิ้ม “ข้าจะทำตามใจ แฟนเกิซ ทุกอย่าง”

“ฉันอยากถามนายอีกซักคำถาม” แวนกัสว่า เคลวินน์มุ่นคิ้ว เกรงว่าคำถามอาจจะทำให้มนุษย์น้อยในอกของมันเปลี่ยนใจขึ้นมา ขนาดนอนเรียงกันอยู่อย่างนี้มันยังคิดว่าเป็นความฝัน เบื้องบนได้โปรดอย่าทำให้มันกลายเป็นยักษ์โชคร้ายกว่านี้ คิดแล้วเจ้าของร่างใหญ่ก็กระเถิบเข้าหา เก็บเอาความรู้สึกมีความสุขให้มากขึ้นอีกด้วยการกอดแน่นขึ้น

“ทำไมนายถึงรักฉันล่ะ”

เจ้ายักษ์รู้สึกพูดไม่ถูก มันอึกอักพักหนึ่ง ก่อนจะจิ้มที่ปลายจมูกเล็กนั้นตอบ “ตัวน้อย น่ารัก”

คนฟังรู้สึกถึงเลือดที่แล่นขึ้นมา แล้วหลบสายตาไป “อือ นายก็เอาแต่บอกว่าฉันน่ารัก ทำไมยังต้องถามอีก”

“แฟนเกิซ ชอบข้า ที่ไหน”

อา...ทำไมถึงมาอยากรู้ได้เล่า

คนฟังยกยิ้ม แสร้งหลับไปเสียดื้อ ๆ ครั้นเห็นเขาหลับตา เจ้ายักษ์ก็ผุดลุกมาสะกิดให้ชายหนุ่มลืมตาราวกับรู้ทันว่าคราวนี้ตั้งใจที่จะไม่ตอบ ชายหนุ่มหลุดหัวเราะ เพราะปลายนิ้วของยักษ์จิ้มบริเวณที่เขาจักจี้ เจ้ายักษ์พึงพอใจที่ได้แกล้งเขาแล้วตะครุบบังคับกอดหอม บนกองฟางเต็มไปด้วยเสียงของสองร่างที่กลิ้งหยอกเย้ากันไปมามีความสุข ท่ามกลางเสียงฝนที่เคลวินน์ไม่อยากให้หยุด

เสียงเหล่าลูกกำลังมีความสุข ทำเอาผู้ที่ฟังอยู่ยกยิ้มขึ้นตาม

“อ๊ะ” คนถูกบังคับกอดชะงัก ตาเบิกกว้างยามเห็นอีกฝ่ายมันเขี้ยวเขา งับจูบที่ปลายเท้าราวกับเอ็นดูเต็มแก่ แต่ไม่นานที่เห็นแวนกัสตกใจ มันก็ยอมผละออก นอนจ้องตากันในความสลัวของรัง

ชายหนุ่มยกยิ้ม ยามเอื้อมไปแตะที่เขี้ยวใหญ่แต่กลับไร้พิษสง ลากขึ้นไปจับเขายักษ์ใหญ่โค้งงอนน่ากลัวอันมีไว้เพียงโอ้อวดคนอื่น สำรวจด้วยสายตาและนิ้วมือน้อย

เคลวินน์พริ้มตายามถูกจับ แล้วยิ้มเมื่อเห็นเขาชะงักมือ ราวกับรู้แล้วว่าแวนกัสกลัวจะปลุกปั่นมันเข้า ชายหนุ่มเอื้อมจับเส้นผมสีเงินยาวมาสาง ลูบตามเนื้อตัวที่สะอาดสะอ้าน รวมถึงดวงตาสีแดงวาวโรจน์ไร้เดียงสาเบื้องหน้า ไม่อยากจะเชื่อว่าสิ่งตรงหน้าของตัวเองนั้นเป็นของจริง

งดงาม...

“ฉันชอบทุกอย่างที่เป็นนาย...”

เอื้อมดึงมือใหญ่แข็งแรงมาจับ จูบซับที่หลังมือนั้นแผ่วอ่อน

“ฉันอยากตกเป็นมนุษย์น้อยของนาย เคลวินน์” ชายหนุ่มกระซิบ ชะโงกหน้าเข้าไปหาอีกฝ่ายที่กำลังตั้งใจฟัง แนบปากไว้ที่อวัยวะเดียวกัน ชิมรสชาติที่เขาเอาแต่มองมาโดยตลอดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถึงได้ยอมกล่าวผ่านหัวใจที่เต้นตึกออกไปว่า

“ทำให้ฉันตกเป็นของนายสิ ก่อนที่ฉันจะเปลี่ยนใจ”

ครั้นได้ฟังประโยคที่ว่า เจ้ายักษ์ก็ตาเหลือก ผุดลุกนั่ง ถอยกรูดไปยืนหลังติดกำแพงอย่างไม่เข้าใจ

“ข้าฝัน...” มันละล่ำละลักพูดเสียงดัง “ตรงหน้า เป็นมายา!”

“หา!” แวนกัสเกาหัว ไหงจบที่ตรงนี้ได้กัน จำได้ว่าเมื่อครู่เขาบิ๊วอารมณ์ตั้งนาน “ไม่ใช่โว้ย”

“ไม่จริง ไม่ใช่ความจริง”

ตัวของอสูรสั่นราวกับเจ้าเข้ายามทอดมองร่างของมนุษย์ที่นอนอยู่บนกองฟาง สิ่งที่มันได้ยินได้ฟังเมื่อครู่นั้นเป็นเรื่องที่มันไม่ได้คาดหมายไว้ เจ้ายักษ์กลืนน้ำลาย จ้องร่างนั้นที่ยังคงนอนมองมันอยู่ด้วยสายตาไม่เข้าใจ

ที่มันใช้กลอุบายนำพาแวนกัสเข้ามา ก็แค่เพราะอยากนอนกอดร่างน้อย ๆ นุ่มนิ่มไว้ในอกทั้งคืนก็เท่านั้นเอง

ไม่ได้คิดว่าแวนกัสจะยินยอมจับคู่จริง ๆ รวมถึงยอมสมสู่กับมันในฐานะคนรัก เจ้ายักษ์คิดอย่างไม่อาจเอื้อม ทั้งที่ภายในหัวของมันไปถึงไหนต่อไหนแล้ว

 

เพราะทำความสะอาดที่รังเก่าของบิดาทั้งคู่แล้วเสร็จ รวมถึงนำของจิปาถะเช่นตู้วางของอันเล็ก เก้าอี้ ฟูกอันใหม่มาวางให้เสมือนเป็นที่อยู่ของคน ทำให้รู้สึกร้อนและเหนื่อย เด็กทั้งสี่ก็พากันถอดผ้ากระโดดเล่นน้ำแถวนั้นแก้ร้อน ก่อนจะถอดผ้าเปียกไปพาดตากไว้ที่รูปปั้น นั่งพิงที่โขดหินนั้นสุมหัวกันอ่านหนังสืออย่างตั้งใจ

พวกเขาไม่ได้เกลียดบิดาที่เป็นยักษ์ แค่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงได้หายไป และการอ่านหนังสือนี้ทำให้ทุกคนได้รู้จักพ่อของตัวเองมากขึ้น แม้จะไม่รู้ว่าเป็นความจริงมากน้อยเพียงใดก็ตาม วิลมุ่นคิ้ว เมื่ออ่านไปถึงย่อหน้าหนึ่ง

“ดูตรงนี้ เขียนว่าบุตรของเทพเจ้ามีสิ่งต้องห้ามกระทำ คือห้ามให้มนุษย์พบเห็น ห้ามทำร้ายมนุษย์ ห้ามมีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้ แต่ก็มีข้อแม้อยู่ว่าการถูกมนุษย์พบเห็นจะสามารถอ้อนวอนเทพเจ้าให้บิดเบือนความจริงได้” เด็กหนุ่มหันไปหาน้อง

“หรือเขาจะโดนลงโทษที่ถูกเห็น” เคลออกความเห็น

“ฉันว่าเขาต้องฆ่ามนุษย์แน่”

“นายหมายถึงพ่อของพวกเราเป็นฆาตรกรงั้นเหรอ”

ทุกคนสบตากัน เป็นวิลที่ส่ายหน้า “ก่อนที่พวกนายจะคิดถึงขั้นนั้น ลองมานึกดูก่อนมั้ยว่าใครกันที่เป็นคนเขียนหนังสือเล่มนี้ ทั้งที่มีกฎว่าห้ามมนุษย์เห็น แล้วอย่างนั้นมนุษย์จะไปเอาข้อมูลพวกนี้มาจากไหน”

“หมายความว่าหนังสือนี่ก็แค่เรื่องแต่ง”

เคลยักไหล่ “อาจผสมกัน”

“หรือไม่ คนที่เขียนเรื่องพวกนี้ก็ต้องไม่ใช่คนธรรมดา” วิลคิดแล้วพยายามพลิกหาข้อมูลของผู้เขียน “ฉันว่าต้องมีมนุษย์ที่ตกหลุมรักกับบุตรของเทพเจ้าคนอื่นก่อนหน้าปะป๊า เขาจะให้คำตอบเราได้ว่าพ่อของเราตอนนี้หายไปไหน”

“เยี่ยม!” เคลยิ้มร่า “นายเก่งที่สุดเลยวิล”

แต่แล้วทุกอย่างต้องพังทลาย เมื่อหาอย่างไรก็หาไม่เจอ “แต่ฉันลืมไปว่าใครเขาจะกล้าเปิดเผยตัว”

“นี่ แต่นี่เป็นหนังสือที่มีในละแวกนี้เท่านั้น หมายความว่าคนเขียนอาจจะอาศัยอยู่แถวนี้ก็ได้”

“อา ฉันเหนื่อยแล้วนะ” ไคล์งอแงเอนหลังบิดขี้เกียจ

“เอาน่า เดี๋ยวเราก็ไขปัญหาทุกอย่างได้”

“หายไปไหนของเขา ทำให้ปะป๊าเศร้าทุกวันไม่รู้ตัวรึไง ทำไมเป็นคนนิสัยแย่แบบนี้” เด็กหนุ่มโอด

“เขาคงยัง...ไม่ตายหรอกนะ” เคลลากเสียงเศร้า ไม่อาจคิดในแง่ร้ายแต่ก็อดไม่ได้ “คงน่าเศร้า ถ้าเขาตายโดยที่ปะป๊ายังรอเขาอยู่อย่างนี้ จากไปโดยที่ไม่ได้พูดลาอะไรสักคำ ฟัง ๆ ดูแล้วเขาก็รักปะป๊ามากนี่นา”

“นายเข้าข้างเขารึไง” ไวน์ใช้เสียงเบื่อ

“เปล่า ฉันพูดในมุมที่เผื่อพวกเราไม่รู้”

ผู้พี่พยายามอย่างที่สุดที่จะเข้มแข็ง เมื่อเห็นน้องเล็กงุดหน้าลงมองพื้นดิน ทำได้เพียงแค่เอนหลังพิงรูปปั้นนั้นเก็บงำสีหน้าเศร้าของตัวเอง ให้เรือนผมเส้นสีเงินแนบอยู่กับวัตถุนั้น แต่แล้วต้องสะดุ้ง เมื่อสัมผัสได้ว่าด้านหลังที่เคยแข็งแรงนั้นเปราะลงจนเกิดเสียงโครมคราม วิลหงายหลัง แหงนขึ้นไปเห็นแขนที่ยังคงมีตะไคร่น้ำเกาะยกลอยขึ้นเหนือฟ้า

“อ๊ากกกกกก!”

มีตัวประหลาดโผล่ขึ้นมาจากดินเสียงดังครืน เด็กหนุ่มผุดลุกขึ้นถอยกรูดกันออกห่าง ไม่ใช่ตัวประหลาดที่ไหน แต่เป็นรูปปั้นตัวที่พวกเขาใช้เป็นเก้าอี้ ใช้ตากกางเกงใน และใช้เป็นที่กระโดดน้ำนั่นกำลังลุกขึ้นยืนเต็มตัว ให้เห็นว่าใหญ่เพียงไหน

เจ้ารูปปั้นทำเอาฝุ่นแถวนี้ตลบอบอวลไปหมดแล้ว

“วิล วิล!”

วิลตาค้างมองมันที่กำลังสะบัดไล่เศษหินที่เกาะตัวออก เสียงลมหายใจฟืดของเจ้าสิ่งตรงหน้าบอกเด็กหนุ่มว่ามีชีวิต จนลืมที่จะก้าวเท้าหนี ในขณะที่อสูรตัวใหญ่ตรงหน้าเหลือบมาเห็นเขา ก็ก้าวเข้ามาใกล้ “วิล วิ่ง!”

เด็กหนุ่มกลืนน้ำลาย รู้สึกขาแข็งขึ้นมาฉับพลัน

“วิล หนีเร็ว มันจะจับนายกินแล้ว!”

เสียงเรียกของไคล์กับไวน์ทำให้เจ้ายักษ์ตัวใหญ่ตรงหน้าหันไปเจอะ แต่แล้วจุดหมายของมันก็เปลี่ยนไปทันทีที่เห็น มันออกตัววิ่งตาม เนื้อตัวที่อยู่ใต้ดินมาไม่รู้นานเท่าไรถูกเกาะไปด้วยดินและต้นไม้ “อ๊ากกกก มันมาแล้ว หนีแล้วไคล์”

วิลกับเคลแปลกใจ “ทำไงดี มันตามคนตัวเล็กซะด้วย”

“วิล เคล ช่วยด้วย!” เพราะตัวเล็กกว่าพวกเขาทำให้ไคล์กับไวน์ถูกจับได้ง่าย และเจ้าตัวใหญ่น่ากลัวนั้นก็ว่องไวกว่าพวกเขาเป็นสองเท่า วิลวิ่งตามไปหา คว้าก้อนหินปาไปที่แผ่นหลังใหญ่นั้นทั้งที่ตัวเองขาสั่น “ย..หยุดนะ ปล่อยน้องของเราเดี๋ยวนี้ ไอ้ยักษ์น่าเกลียด!”

เจ้ายักษ์หายใจฟืดฟาด สองมือหิ้วเด็กหนุ่มทั้งสองไว้ใต้รักแร้ราวกับยกหมอนข้าง หันมาหาทางนี้

“ปล่อยพวกเขา ไม่งั้นเราจะจัดการแกแน่ แกรู้มั้ยว่าฉันลูกใคร!”

มันยังคงจ้องมาที่พวกเขา ท่ามกลางไวน์กับไคล์ร้องโหวกเหวก “วิล เคล ช่วยด้วย!”

“แกคงโกรธที่พวกฉันไปเสียงดัง แต่น้อง ๆ ของฉันเป็นเด็กดี แล้วก็ไม่อร่อยหรอก”

ตัวประหลาดยังคงนิ่ง ไม่ยอมปล่อย

“ก็บอกให้ปล่อยพวกเขาไง!”

เจ้ายักษ์เอียงคอ ส่งเสียงคำรามฮึมฮั่มทุ้มต่ำ มุ่งหน้าเดินมาหาในสภาพเละเทะเปล่าเปลือย ท้ายที่สุดก็ยอมวางร่างของน้อง ๆ ไว้ที่ตรงหน้าแต่โดยดีโดยไม่ทันได้ทำอะไร วิลเหงื่อแตกจับพาทั้งสองถอยให้อยู่ในระยะที่ปลอดภัย พยายามอย่างที่สุดที่จะเข้มแข็งปกป้องเหล่าน้องชาย “ถือว่าแกฉลาดที่เลือกจะยอมแพ้ ไม่อย่างนั้นฉันฉีกเนื้อแกแน่ ถอยไป!”

เจ้าตัวใหญ่ชะงัก ถอยกรูดยามเด็กหนุ่มยิงเขี้ยวน้อย ๆ ที่เพิ่งเกิดให้ดูเป็นการขู่ และไม่น่าเชื่อว่ามันได้ผล สิ่งประหลาดตรงหน้ายกมือกุมที่ปากตัวเอง ล่าถอยแล้วยอมค้อมหัวต่ำ หลบไปอยู่หลังพุ่มไม้อย่างยอมแพ้ ท่ามกลางเสียงเชียร์ของเหล่าน้องชายที่เห็นเขาเป็นฮีโร่

นึกว่าจะไม่รอดเสียแล้ว...

“นายเจ๋งที่สุดเลยพวก ฉันอยากเปลี่ยนร่างเหมือนนายบ้าง” ไวน์กระโดด

วิลเกาหัว ยิ้มแห้ง “อืม ฉันก็เพิ่งจะรู้ข้อดีของมันก็วันนี้”

เคลหันไปมองคนอยากเปลี่ยนร่าง แล้วประคองแก้มทั้งสองข้างของพี่ด้วยอุ้งมือ “แต่ข้อดีของพวกนายคือเหมือนปะป๊า”

“อะไรของนาย” ไวน์มุ่นคิ้ว

“น่ารักไง”

“ฉันไม่ได้อยากน่ารัก ฉันอยากปกป้องทุกคนได้”

“พูดแบบนี้ไม่กลัวปะป๊าเสียใจรึไง ฉันอยากเป็นลูกชายที่เหมือนปะป๊า ไม่อยากเหมือนยักษ์”

“ไม่ใช่แบบนั้น ฉันอยากเหมือนปะป๊าแล้วก็มีพลังด้วย อย่างน้อยก็จะได้ดูแลทุกคน” ไวน์แก้ตัวเสียงเล็กเสียงน้อย

“อ้อเหรอ” เด็กหนุ่มย้อนล้อพี่ แล้วพากันเดินกลับบ้านกันในสภาพสวมเพียงแค่บ็อกเซอร์ตัวเดียว เพราะเกรงว่าหากกลับไปที่น้ำตกแล้วจะไปเจอเจ้าอสูรตัวใหญ่นั่นเข้า จะไม่โชคดีเช่นนี้ เพราะบางทีคราวนี้มันอาจจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญ หรือมันขี้เกียจที่จะต่อสู้กับเด็กตัวน้อยอย่างพวกเขาก็เป็นได้ เคลไม่ได้เชื่อเรื่องฝีมือของวิลขนาดนั้น

ไปกันหมดแล้ว

เจ้ายักษ์ชะโงกหัวออกไป นึกถึงเขี้ยวน้อย ๆ นั้นน่าเอ็นดูจนทนมองไม่ไหว ยามพยายามทำขู่เพื่อปกป้องพี่น้อง สิ่งมีชีวิตที่ซุ่มอยู่ด้านหลังป่าไม้รกพยายามอย่างที่สุดที่จะไม่ไล่ตาม ยามเห็นลูกครึ่งยักษ์ทั้งสี่วิ่งหนี แต่ครั้นเห็นสองตนที่มีใบหน้าคล้ายกับมนุษย์ที่มันฝันหา ลำขาใหญ่ก็พาให้มันขยับไปอย่างอัตโนมัติอย่างไม่คิดว่าอีกฝ่ายเกรงกลัว

ท้ายที่สุดก็มารำลึกได้ ว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์ในตัวเจ้ายักษ์ตัวน้อยทั้งสี่ในยามนี้

เพราะไม่ได้ทำหน้าที่ที่ตัวเองควรทำต่ออีกฝ่ายมาตั้งแต่เกิด

มันคิด ขณะที่พาร่างของตัวเองเดินลงไปยังน้ำตกลึก ชำระล้างความสกปรกที่สั่งสมมาตลอดสิบหกปีบนร่างกายที่ถูกสาปให้ขยับไม่ได้...



---------------------------------------------------

คุณพ่อเพิ่งมาขยับตัวได้เพราะอะไร แล้วในเมื่อเพิ่งขยับตัวได้ ใครเป็นคนเอาดอกไม้ไปให้แวนกัสก่อนหน้านี้

ความพี่ยักษ์จีบน้องขอความรักในตอนนี้ กับความน้องที่ทำเป็นเล่นตัวแต่รุกแรงจนพี่ไม่ทันตั้งตัว อันไหนน่าจับตีกว่ากัน ส่วนตอนหน้า เตรียมอ่านฉากอัศจรรย์ได้เลย อิอิ

นี่ชอบฉากลูกทำยิงเขี้ยวน่ากลัวใส่พ่อมาก แต่อิพ่อเห็นว่าเป็นแงวน้อยขู่ ทำไมตะรักขนาดนี้ลูกกก แกล้งถอยหลบทำเป็นกลัวให้เอ้า จะได้ไม่อายน้อง 555555
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #10 up23.10.62
เริ่มหัวข้อโดย: NaunaeZaa ที่ 23-10-2019 23:17:15
ขยับได้ซักทีนะขุ่นพ่อ55555 นี่รอฉากเจอกันเลยย
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #10 up23.10.62
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 23-10-2019 23:25:05
ในที่สุดก็ขยับได้แล้ววววววววว จะได้เจอกันไหมมม
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #10 up23.10.62
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 24-10-2019 13:03:28
ขยับได้ซักทีนะขุ่นพ่อ55555 นี่รอฉากเจอกันเลยย
อีกนานอยู่นะกว่าจะได้เจอกัน อุอิ
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #10 up23.10.62
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 24-10-2019 16:04:10
 :katai2-1: :pig4:  :katai2-1:

เขียนได้น่าติดตามมากครับ... o13
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #10 up23.10.62
เริ่มหัวข้อโดย: PKT ที่ 24-10-2019 21:03:11
ฮืออออ ทำไมตัดบท16ปีก่อนชับๆเลยยย แงงงง อุตส่าตั้งตารอเค้าได้กัน อิๆ
เยยย่ อย่างน้อยคนพ่อก็ฟื้นแน้ววว
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #10 up23.10.62
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 25-10-2019 14:23:57
คูมพ่อ ขยับได้ซักที!!
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #11 up29.10.62
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 29-10-2019 10:19:25

#ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง

ตอนที่ ๑๑

ช่อดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่างของแวนกัส ทำให้ชายหนุ่มร้อนอกร้อนใจต้องเดินออกไปตามหา มือขาวถือสิ่งที่เพิ่งได้รับ ของขวัญที่สูญหายไปตลอดสิบหกปีสั่นไหว ย่างเดินไปยังหลังบ้านด้วยต้องการพบเจ้าของของมัน เขาอยากถาม อยากต่อว่า อยากให้เจ้ายักษ์เลวได้รู้เสียบ้างว่าชายหนุ่มต้องผ่านอะไรมาตัวคนเดียว

ลำธารที่เขาคิดว่ามีใครสักคนรออยู่นั้นว่างเปล่า มีเพียงเสียงสายน้ำไหลหลากไปตามแรงโน้มถ่วงและเหล่านกน้อยร้องจิบ ๆ ลมหายใจแวนกัสหอบลึกเพราะหัวใจที่เต้นรัว ไม่มีเคลวินน์ที่รออยู่ แล้วผู้ใดที่เอาของพวกนี้มาให้เขากัน ชายหนุ่มเบิกตา ได้ยินเสียงฝีเท้าผู้เดินมาด้านหลังก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมา “นายมาแล้วเหรอ”

คนกล่าวหันขวับกลับไป แต่สิ่งที่เขาคาดหวังนั้นกลับไม่ใช่

“คุณถามถึงใครครับ”

แวนกัสมุ่นคิ้ว “วิคเตอร์ นายมาทำอะไรที่บ้านฉัน” ผ่อนปรนอารมณ์อันตื่นเต้นของตัวเองให้ดูสุขมลง ไม่อยากแสดงอาการผิดแปลกให้เด็กตรงหน้าเดาออกว่ากำลังประหม่า สายตาของคู่สนทนางุดลงมองที่ดอกไม้ในมือ แล้วยกยิ้มเล็กน้อย “ชอบดอกไม้นั่นมั้ยครับ”

“อะไร” แวนกัสนำของที่ว่าไปซ่อนที่หลัง

“ดอกไม้นั่นไง” คนถามชี้ “ผมว่าคุณชอบแน่นอน”

หรือว่า...แวนกัสเบิกตา เอื้อมมายื่นให้อีกฝ่ายเห็น “นี่...ฝีมือนายหรอกเหรอ ทำไปทำไม!”

“โว้ว คุณเสียงดังเกินไปแล้วนะ” วิคเตอร์กระตุกยิ้ม ยกมือปราม “ทำไมต้องโมโหขนาดนี้ด้วยล่ะ”

“ฉันถามว่านายทำแบบนี้ไปทำไมวิคเตอร์!”

“ใจเย็นก่อน ผมแค่เอามาวางไว้ให้เพราะพวกคุณไม่อยู่ แค่แสดงความยินดีที่คุณจัดบ้านเสร็จแล้ว”

“ทำไมต้องเอาไปวางไว้ตรงนั้น นายมีแผนอะไร”

คนฟังหัวเราะหึ “ผมต้องถามคุณมากกว่าว่าเป็นอะไร ผมผิดนักรึไงที่ไปวางดอกไม้ตรงนั้น”

“เลิกมากวนโมโหฉันได้แล้ว” แวนกัสโยนของในมือให้

“โว้ว อารมณ์คุณร้ายจัง ผมอุตส่าห์เดินหาเจ้านี่ไปทั่วทั้งป่า ปวดขาจะตาย” วิคเตอร์ก้มลงเก็บของที่ว่า

“ฉันจะถามเป็นรอบสุดท้าย นายต้องการอะไรจากครอบครัวฉัน” แวนกัสใช้เสียงทุ้มต่ำลง จ้องเด็กตรงหน้าเพราะอยากจะเอาเรื่องคนเล่นไม่รู้จักกาลเทศะ แต่ก็คิดขึ้นมาได้ว่าตนเองไม่อาจทำอย่างนั้นได้ เขาจะไปจัดการวิคเตอร์เพียงเพราะอีกฝ่ายเอาดอกไม้มาให้มันก็จะดูแปลกอย่างไรอยู่

คนถูกถามถอนใจ “ไม่รู้ผมคิดไปเองรึเปล่าว่าคุณกำลังร้อนอกร้อนใจ คุณตามหาใครอยู่อย่างนั้นเหรอ”

“นั่นไม่ใช่เรื่องของนาย ถ้าจะไม่ตอบคำถามฉันก็กลับไปซะ”

วิคเตอร์มองสีหน้าที่เปลี่ยนไปของอีกฝ่าย “ไม่แน่ เราอาจจะตามหาคนคนเดียวกันอยู่ก็ได้”

“ไม่มีทาง”

“ทำไมคิดงั้น”

“คนที่ฉันตามหาไม่มีตัวตนบนโลกใบนี้ นายไม่มีทางตามหาคนคนเดียวกันกับฉันได้”

“อ้อ...” คนฟังพยักหน้า ก่อนจะยกยิ้มกวน “ผมเข้าใจ แต่ผมว่าผมน่าจะตามหาคนคนนั้นเหมือนกันกับคุณนะ คนที่ไม่มีตัวตน” เจ้าตัวเปรย แวนกัสมุ่นคิ้ว มองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ ก่อนที่วิคเตอร์จะเลือกหมุนตัวเดินจากไปพร้อมกับทิ้งท้ายให้สงสัยไว้ว่า “ต่อให้คุณปิดบังผม ผมก็จะหาเขาให้เจอให้ได้ ถ้าจะปิดบัง ผมก็จะยิ่งตามหาจนกว่าจะเจอ”

สิ่งที่วิคเตอร์พูดออกมานั้น ทำให้แวนกัสฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า หรือเจ้าตัวรู้เรื่องระหว่างเขากับเคลวินน์เข้าแล้ว เด็กนั่นเป็นพวกสอดรู้สอดเห็น ไม่แน่อาจนำภัยมาสู่แวนกัสกับลูกทีหลังก็เป็นได้ ชายหนุ่มถอนใจ แล้วพยายามนึกว่าวิคเตอร์ไปรู้จักเคลวินน์เมื่อไร เหตุใดถึงต้องตามหาเจ้ายักษ์นั่นอย่างมั่นอกมั่นใจด้วยว่ามีอยู่จริง

แวนกัสเบิกตา นึกสังหรณ์ใจว่าบางทีเขาอาจทำความลับรั่วไหลแล้วก็เป็นได้ สองขาไวเท่าความคิด รีบเดินไปยังห้องพักของตัวเองที่แม้กระทั่งเด็ก ๆ ก็ไม่ค่อยเข้ามารบกวน เปิดลิ้นชักหาของส่วนตัวด้วยหัวใจเต้นตึก แต่แล้วชายหนุ่มก็พรูลมหายใจออกอย่างนึกโล่งอกที่สมุดสเก็ทภาพกับไดอารี่ของตัวเองไม่ได้หายไป

คิดว่าวันนั้นต้องมีคนแอบเข้ามาในบ้านของพวกเขาแน่ วันที่เขาตามลูกเข้าไปในป่า

แต่เดี๋ยวก่อน ของสำคัญของเขาไม่ได้หายไป แต่ใช่ว่ามันจะไม่รั่วไหล สมัยนี้มีทั้งกล้องและมือถือที่บันทึกภาพได้อย่างคมชัด ถ่ายไว้เพียงครู่เดียวแล้วไปซูมอ่านทีละหน้าก็ยังได้ ไหนจะรูปวาดที่เขาวาดเคลวินน์ที่ยืนอยู่ริมหน้าต่าง พร้อมดอกไม้ที่นำมาฝากเขาอีก

วิคเตอร์รู้ความลับของเขาแล้ว! “ไอ้เด็กเวร”

ชายหนุ่มสบถ ไม่ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรเขาก็จะไม่ปล่อยมันไว้แน่ คิดแล้วแวนกัสก็เดินดุ่มออกไปนอกบ้าน จุดมุ่งหมายคือที่พักของป้ามีญ่ากับลุงแซ็ค ทั้งคู่ต้องทราบวีรกรรมแสนแย่ของเจ้าหลานขี้ขโมยนี่ แวนกัสคิดขณะกดออดอยู่ที่ประตูบ้านของนาง อารมณ์กำลังเดือดได้ที่

“อ้าว คุณแวนกัส” นางยิ้มร่า โผเข้ากอดชายหนุ่มที่ไปเยือน

ทั้งที่ฝ่ายเขาตั้งใจจะไปเอาเรื่องหลานนิสัยแย่ของนางแท้ ๆ “ป้ามีญ่า”

“ไปยังไงมายังไงคะ ทำไมถึงมาโผล่ที่นี่”

“ขอผมเข้าไปข้างในนะครับ”

“อา ได้สิ ตามสบายเลย” นางยิ้มหวานพลางขยับตัวให้เดิน “ตามสบายนะคะ เอาชาหรือกาแฟดี”

“ชาฮะ” ชายหนุ่มทรุดนั่งลงที่โซฟาเพราะคงคุยกันยาว กวาดมองรอบบ้านอันเรียบร้อยของนางไปเห็นรูปคู่สมัยยังสาวกับสามี ชายหนุ่มยกยิ้มเล็กน้อย ด้วยความใคร่ทราบจึงตะโกนไปถามคนในครัวอย่างไม่รู้ “แล้วลุงแซ็คไปไหนครับ ปกติเวลาอย่างนี้เขาจะออกไปทำงานช่างข้างนอกนี่ครับ อยากชวนออกไปทำสวนด้วยกันจังเลย”

ไม่มีเสียงตอบอันใด มีเพียงความเงียบ ไม่นานก็แทนที่ด้วยร่างท้วมของเจ้าของบ้านที่เดินกลับออกมา และสีหน้าของนางที่ดูเศร้าลงไป “แซ็คล้มป่วยกะทันหัน เส้นเลือดในสมองแตกจนขยับตัวไม่ได้ ตอนนี้นอนอยู่อีกห้อง ตั้งแต่คุณไม่อยู่ก็เกิดเรื่องขึ้นตั้งมากมาย”

คนฟังก้มหน้า “อ่า..ผมเสียใจด้วยนะครับ”

“ไม่หรอก ชีวิตคนเรามันก็อย่างนี้แหละค่ะ” นางยื่นแก้วชาให้ด้วยไมตรีจิตที่ดี ก่อนจะทรุดนั่งที่ตรงกันข้าม “นี่ถ้าฉันไม่ได้มีวิคเตอร์ก็คงจะเป็นยายแก่งกเงิ่นทำอะไรไม่ได้ มีเขาก็ช่วยงานบ้านงานช่างได้เยอะ ว่าแต่ที่บ้านมีอะไรหักพังก็ให้เด็ก ๆ มาเรียกเขาไปซ่อมให้ได้นะคะ หลานฉันคนนี้เก่งที่สุด ทำได้หมดทุกอย่าง” นางยิ้มมีความสุข ยามได้พูดถึงหลานชาย

หลานที่เขาตั้งใจจะมาเล่นงานนั่นแหละ ได้ฟัง แวนกัสก็เกาหัวแล้วเม้มปากแน่น “คือว่า เรื่องของวิคเตอร์”

คนฟังงุดหน้ามองแก้วของตัวเอง “เขาไปรบกวนคุณใช่มั้ยคะ”

อ้าว นางรู้อยู่แล้วหรอกหรือ “ผมเพิ่งทราบมาว่าเขาบุกรุกเข้าไปในบ้านตอนที่ผมไม่อยู่”

“ขอโทษแทนเด็กคนนั้นด้วย เขาเหมือนเด็กที่กำลังหลงทาง...” คนกล่าวยังคงไม่ได้แสดงออกอันใดนอกจากทีท่าที่สุขุมนิ่ง เห็นเช่นนั้นแวนกัสก็แปลกใจ

“หลงทาง” ชายหนุ่มย้อน

“วิคเตอร์หมกมุ่นกับสิ่งที่เขาตามหามาตลอดสิบหกปีที่เขาอาศัยอยู่ที่นี่ สิ่งนั้นที่เขาเจอ ในคืนที่พ่อแม่ของเด็กคนนั้นตายคงมีคำตอบให้ เขาต้องตามหาสิ่งนั้นเพื่อหาคำตอบว่าสุดท้ายแล้วเกิดอะไรขึ้นกับพ่อแม่ของเขา ทำไมถึงตาย” นางเล่า แล้วยกน้ำชาขึ้นจิบในความเงียบ

“เกิดอะไรขึ้นกับเขา”

คนแก่ยกยิ้มเล็กน้อย ยามรำลึกความหลัง “คุณคงรู้แล้วว่าเขาไม่ใช่หลานแท้ ๆ ของฉัน ฉันเจอเขาตอนสี่ห้าขวบสภาพตัวเต็มไปด้วยเลือด เขายืนตัวสั่นอยู่ที่หน้าบ้านเวลากลางดึก ช็อก ไม่พูดไม่จาอยู่หลายวัน ต้องหาจิตแพทย์รักษาจนหายถึงได้กลับมาใช้ชีวิตปกติได้ เพราะอาการช็อกนั่นทำให้เขาจำไม่ได้ว่าคืนนั้นตัวเองเจออะไรมาบ้าง”

แวนกัสก้มหน้า เกาะกุมมือของตัวเองแน่น “ถ้าบอกว่าจำไม่ได้ แล้วทำไมเขาถึงจำสิ่งนั้นได้ ป้ามีญ่าก็รู้ว่าเขาต้องหาจิตแพทย์ เป็นไปได้ว่าสิ่งนั้นอาจเป็นภาพหลอนที่เขาสร้างขึ้นมาเอง”

“ฉันก็ไม่รู้หรอกค่ะ เพราะงั้น ฉันถึงอยากให้เขาตามหาด้วยตัวเอง”

“แต่เขาใช้วิธีที่ผิดอยู่นะครับ เขาบุกรุกบ้านคนอื่น” ชายหนุ่มเอนหลังพิงพนักเพราะอึดอัด

ผู้ฟังเองก็เช่นกัน “ช่วยให้คำตอบกับเขา ให้เขาเลิกหมกมุ่นกับมันสักทีสิคะ”

หน้าแวนกัสรู้สึกชาขึ้นมา เพราะความอยากรู้อยากเห็นของเด็กบ้าคนหนึ่งทำให้เขาต้องถูกบุกรุกที่พัก ไม่น่าเชื่อว่านางจะตอบกลับเขามาด้วยการโบ้ยให้เขาจัดการเองเสียได้ “ผมไม่มีอะไรจะตอบเขาหรอกครับป้ามีญ่า แค่จะมาเตือนว่าถ้าเขายังทำแบบนี้อยู่ ผมคงจะต้องแจ้งตำรวจ”

“ขอโทษจริง ๆ ค่ะ” นางถอนใจ

“ที่ผมยังไม่เอาเรื่องเพราะเขาเป็นหลานของคุณนะครับ”

นางเอื้อมมาแตะที่หลังมือเขา “ฉันยังยืนยันว่าวิคเตอร์เป็นเด็กดีนะคะ”

จะให้แวนกัสเชื่ออย่างที่นางพูดได้อย่างไรกัน ในเมื่อเขาเพิ่งจะถูกเด็กนั่นปั่นหัวว่าเคลวินน์กลับมาแล้ว ชายหนุ่มทอดถอนใจอย่างเห็นใจคนแก่ รู้ดีว่าการเอาเรื่องพวกนี้มาบอกมันไม่ใช่สิ่งที่ดีนัก แต่เขาสุดจะทนกับวิคเตอร์แล้ว รวมถึง...สิ่งที่นางเล่านั้นทำให้ชายหนุ่มเริ่มจะปะติดปะต่ออะไรขึ้นมาได้เล็กน้อย

หรือที่เคลวินน์หายไป จะเป็นเพราะพ่อแม่ของวิคเตอร์ที่ตายคืนนั้น

แต่เกิดอะไรขึ้นกัน เขาเองก็อยากรู้ไม่ต่างจากวิคเตอร์นักหรอก

ถึงจะอยากเห็นแก่ตัวเองเช่นนั้น หากทว่าแวนกัสกลับต้องเดินกลับบ้านด้วยความรู้สึกผิดที่ทำให้ป้ามีญ่าต้องเป็นกังวล ระหว่างที่จะเปิดประตูเข้าบ้าน เหลือบไปมองที่ธารน้ำเห็นเหล่าลูกชายวิ่งกันมาหน้าตื่น ในสภาพสวมเพียงบ็อกเซอร์ตัวบางกันเท่านั้น เห็นแล้วผู้เป็นพ่อก็ส่ายหน้า “เฮ้! พวกลูกเล่นอะไรกัน”

คำทักของบิดาทำเอาสี่หนุ่มหน้าเหวอ วิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าสภาพเละทะดินทรายเกาะ

“เกิดอะไรขึ้น ทำไมสวมแค่กางเกงในวิ่งกลับมาบ้าน ก็ไหนลูกบอกว่าจะไปทำความสะอาดที่ถ้ำนั่น” ชายหนุ่มกวาดสายตามองทั้งสี่อย่างไม่เข้าใจ เป็นวิลที่หันไปหาเหล่าน้อง แล้วตัดสินใจเล่าให้ฟังอย่างละล่ำละลักว่า “รูปปั้น รูปปั้นที่น้ำตกมันขยับได้”

“หา” แวนกัสย้อน เดี๋ยวก่อน...

“จริงนะฮะ มันจับไวน์กับไคล์ไปเป็นตัวประกันด้วย”

“เฮ้ นี่พวกลูกกำลังเล่นดื้ออะไรกันน่ะหืม” ผู้เป็นพ่อส่ายหน้าให้ “พ่อไม่ตลกด้วย เอาเรื่องที่มันฟังขึ้นมาอ้างเถอะ”

“เราพูดจริงนะฮะ มันวิ่งไล่จับพวกเรา แต่เราหนีมาได้”

“แถวนี้ไม่มีรูปปั้นเดินได้อะไรทั้งนั้นแหละ เพ้อเจ้อ” พ่อส่ายหน้าอีกครั้ง

“ปะป๊าต้องเชื่อเรานะ” เคลพยายามบอก “เห็นเราเป็นเด็กเลี้ยงแกะรึไง!”

เพราะคำคำนี้ แล่นเข้ามาตีกลางแสกหน้าของชายหนุ่มอย่างจัง เทียบกับวิคเตอร์แล้วเหล่าลูกชายของแวนกัสกลายเป็นเด็กอ่อนต่อโลกขึ้นมาทันทีทันใด

ชายหนุ่มถอนใจยกมือกุมหน้าผากอย่างปวดประสาท “ก็ได้ ๆ พ่อเชื่อแล้ว เดี๋ยวตอนเย็นพ่อจะเดินขึ้นไปดูว่ามีจริงรึเปล่า ไปอาบน้ำกินมื้อเที่ยงกันได้แล้วไป” แวนกัสบอก เห็นเหล่าลูกชายทำหน้างอที่เขายังไม่ยอมฟัง พากันเดินนำเข้าไปด้านในก่อน ทว่าคนที่อยู่สุดท้ายเช่นไคล์ชะงักเท้า จ้องตาเขาแล้วพูดด้วยเสียงใจเย็นลง แต่ฟังแล้วน่าขนลุกประหลาด

“ปะป๊าไปที่นั่นไม่ได้อีกแล้ว มันอันตราย”

“หือ”

“ผมพูดความจริงนะฮะ มันจับผม จะกินผมกับไวน์ ต้องเชื่อเรานะ”

คนฟังยิ้ม ยกมือโยกหัวทุยอย่างนึกเอ็นดู “โอเค พ่อเชื่อแล้ว” แวนกัสตัดปัญหาด้วยการยอมรับ แล้วเดินเข้าไปจัดการอาหารให้เหล่าลูกชายอย่างที่ทำทุกวัน เขาตอบรับคำพูดของเหล่าลูกน้อยไปอย่างนั้นเอง ด้วยความที่รู้อยู่ก่อนแล้วว่าแถวนี้ไม่มีรูปปั้นผีสิงอะไรที่ว่านั่นอย่างแน่นอน ไม่มีทางเป็นไปได้ เด็กดื้อก็แค่อาจนอนหลับแล้วบังเอิญฝันอะไรแปลก ๆ เข้าเท่านั้นกระมัง

ใจจริงชายหนุ่มแอบคิดว่าลูกชายอาจกำลังตั้งใจวางแผนทำอะไรบางอย่าง แล้วกุเรื่องผีรูปปั้นเพื่อกันไม่ยอมให้เขาไปยังรังของเคลวินน์เสียด้วยซ้ำ แต่จนแล้วจนรอด ผ่านมาสองวันแล้วที่ทั้งสี่ไม่ยอมออกห่างจากบ้าน ซึ่งมันก็แปลกพอควร ปกติเวลานี้เหล่าเจ้าลิงทั้งสี่ต้องออกจากบ้านแล้วแท้ ๆ แวนกัสรู้สึกแปลกใจ

“พวกลูกไม่ออกไปวิ่งเล่นกันเหรอ”

หนุ่มน้อยทั้งหมดผละมามองพ่อ “เราบอกแล้วไงฮะว่าข้างนอกมันอันตราย”

“ไม่มีหรอก อย่างมากก็สัตว์ป่า พวกลูกวิ่งเร็วกว่ามันอยู่แล้วนี่”

“โธ่...มีตัวที่วิ่งเร็วกว่าเรานะฮะ มันจะจับเราไปฉีกแขนขากินทั้งเป็น” เคลพยายามเล่า

“ไหนบอกมาซิว่ารูปร่างหน้าตามันเป็นยังไง” แวนกัสกอดอก

“เละเทะ ตัวมันใหญ่ หน้าตาทุเรศมีก้อนหินตะปุ่มตะป่ำเต็มตัว อัปลักษณ์น่าเกลียดมากฮะ แบบว่าไม่เคยเห็นตัวอะไรทุเรศอย่างนี้มาก่อน อี๋...” วิลสาธยายให้ฟัง ได้ยินแล้วแวนกัสก็ไม่ได้กระจ่างแจ้งอะไรนัก เพราะที่ลูกชายเล่าก็ไม่ได้ใกล้เคียงอะไรเลย “แต่ดวงตาของมันสีแดงน่ากลัวมากเลย สีแดงสว่างเหมือนดวงไฟ”

ดวงตาสีแดง...คนฟังรู้สึกแปลก ไม่อยากคิดเป็นสิ่งที่ตัวเองนึกนัก เพราะเกรงว่าเหล่าลูกชายจะรู้ทันว่าตอนนี้เขายังก้าวเดินต่อไปไม่ได้ ยังคงย่ำอยู่กับความเจ็บปวดเก่า “ลูกเห็นเขาของมันมั้ย พ่อหมายถึง...เจ้าตัวนั้นมีเขารึเปล่า”

“ไม่มีฮะ แต่ผมไม่แน่ใจ”

“ไม่มี ผมจำได้ว่ามันไม่มีเขา” ไวน์ที่เคยถูกจับตัวยืนยันอีกเสียง ให้ความหวังสุดท้ายของแวนกัสพังทลายลงไป ชายหนุ่มพยักหน้าอือออเพียงครู่เดียวเท่านั้น พยายามเก็บงำความผิดหวังให้พ้นจากสีหน้า ยอมเป็นฝ่ายถอยออกมา ปล่อยให้ลูกชายได้ใช้เวลาเป็นส่วนตัวกันเช่นเดิม กลับมายังห้องพักด้วยความรู้สึกฝันสลายเป็นรอบที่ร้อย

ไม่ใช่หรอก ยักษ์นั่นมีเขาที่สวยและใหญ่

มีเอาไว้อวดตัวเมีย...แล้วก็ให้แวนกัสลูบ

เสียงลมพัดผ้าม่านดังปึกปักบอกชายหนุ่มว่ามันกำลังถูกเปิดทิ้งไว้ แวนกัสรู้สึกแปลกใจ ชายหนุ่มจำได้ว่าตัวเองไม่ได้เป็นคนเปิดมันไว้อย่างแน่นอน ลำขายาวก้าวไวเท่าความสับสน ไปหยุดอยู่ที่หน้าต่างแสนคุ้นชินอย่างไม่อยากหวังอีกต่อไปแล้ว แต่แล้วเหมือนโชคชะตากำลังล้อเล่นกับความรู้สึกชายหนุ่มอีกครั้ง ให้บางสิ่งบางอย่างปลิวลอยเข้ามาตกที่เตียงนอนของชายหนุ่ม

แวนกัสเบิกตา คราวนี้ดอกไม้ช่อเล็กแสนสวยนี่ เป็นของใครกัน

“นี่ดอกอะไร”

“ดอกแฟนเกิซ”

“นายตั้งชื่อดอกไม้นี่ด้วยชื่อฉันงั้นเหรอ”

“เพราะข้ารัก แฟนเกิซ...” ดอกไม้ดอกนี้ ทำให้รำลึกถึงช่วงเวลาที่หอมหวาน นิ้วมือของแวนกัสสั่น สิ่งที่ทำอย่างต่อไปคือสัญชาตญาณความโง่เง่าของตัวเองก็เท่านั้น วิ่งผ่านร่างลูกชายออกไปยังหลังบ้าน มุ่งหน้าสู่รังของเคลวินน์ด้วยต้องการพิสูจน์ให้แน่ชัดว่าเจ้าของของสิ่งนี้ คือคนที่เขารอคอยมาตลอดจริงหรือไม่

โดยไม่สนคำทัดทานด้วยความกลัวของเหล่าลูกชายเลยสักคำ

 

มีต่อ
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #11 up29.10.62
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 29-10-2019 10:22:04
๑๖ ปีก่อน

เพราะบรรยากาศที่ดีทำให้เผลอพูดคำน่าอายออกไป แต่การตอบสนองของเคลวินน์หน้าหมั่นไส้เสียจนแวนกัสต้องลุกขึ้นไปแกล้งอีกฝ่ายด้วยการปลดกระดุมเสื้อของตัวเอง เอาให้อกแตกตายไปข้าง รอยยิ้มมุมปากของชายหนุ่มปรากกฎขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อเห็นนัยน์ตาสีแดงวาวโรจน์ของเจ้ายักษ์ซื่อบื้อเหลือกถลนกว่าเก่า

“ไม่ แฟนเกิซทำอะไร!” มันส่ายหน้าไม่เข้าใจ

ฝ่ายที่กำลังแกล้งก้มลงมองตัวเอง เก็บงำรอยยิ้ม “ก็นี่ไง นายจะไม่ทำเหรอ”

“ทำอะไร”

“ที่นายขอฉันจับคู่ ฉันก็ยอมแล้ว”

“เคลฟินน์ อยากนอนกอดเท่านั้น”

“อ้าว”

“ใส่คืนเข้าไป ห้าม...”

“ไหนนายบอกว่าฉันเหมาะกับการถอดผ้าถอดผ่อนมากกว่า เนี่ย ดูซะให้เต็มตา จะได้ไม่ต้องมาแอบมอง” คนถามทำเป็นเชิดคอเดินเข้าใกล้ แทบจะหลุดขำเมื่อเห็นอสูรตัวใหญ่ยืนหลังชิดกำแพง ตัวแข็งจ้องเขาราวกับเป็นสิ่งที่กลัวที่สุดในชีวิต ยามหัวไหล่ขาวนวลของชายหนุ่มโผล่พ้นจากคอเสื้อแล้ว ทั้งที่ก่อนหน้านี้เจ้ายักษ์ตัวใหญ่เคยเห็นมากกว่านี้แท้ ๆ “มาเถอะน่า นายอายอะไร”

แวนกัสเป็นอะไรไป เคลวินน์ไม่เข้าใจ

เสียงฟ้าฝนที่ตกกระหน่ำหยุดลงไปเสียดื้อ ๆ เจ้ายักษ์เดินออกห่างแวนกัสไปอีกฝั่งอย่างระวังท่าที หยุดอยู่ที่ปากทางเข้าถ้ำแล้วหันหน้างกเงิ่นมาหามนุษย์ที่ยังคงสวมเสื้อผ้าไม่เรียบร้อย กล่าวด้วยความอึดอัดออกไปว่า “ฝนหยุดตก ข้าจะไปส่ง”

“ไม่เอา”

เจ้ายักษ์ตาเหลือกกว่าเก่า “ทำไม”

“จะทำไมซะอีก นายก็รู้ ๆ กันอยู่” แวนกัสยักษ์ไหล่ “ฉันอยากนอนกับนาย”

“ข้าไม่เก่ง ยังไม่พร้อม ที่จะทำให้เจ้ามีความสุขในตอนนี้” เจ้ายักษ์ใช้เสียงอ่อน มันก้มหน้าก้มตาตัวเองยามยอมบอกถึงความจริง ได้ยินแล้วฝ่ายแวนกัสจึงหลุดหัวเราะจนตัวงอ เพราะไอ้นอนที่ว่าไม่ได้หมายถึงเรื่องอย่างว่าเลยสักนิด มือขาวหยิบจับเสื้อผ้าของตัวเองมาสวมด้วยความที่รู้อยู่แล้วว่าท่าทางของเคลวินน์จะตลก แต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะตลกถึงเพียงนี้ สงสัยในหัวคงจะคิดแต่เรื่องลามกทั้งวันแน่

“นี่ ฉันคิดว่านายจะรีบทำซะอีก เห็นคอยตามตื๊อให้ฉันตกลงอยู่วันละร้อยรอบ พอเอาจริงขึ้นมา ไหงมาทำตาเป็นลูกหมาไร้เดียงสาใส่ฉันได้ล่ะ ยักษ์หื่นที่คอยแต่จะคุกคามฉันหายไปไหนแล้ว” คนกล่าวเช็ดน้ำหูน้ำตา ไม่ได้รีบร้อนจะเดินตามอีกฝ่ายออกไปด้านนอก ทำทีไปหยุดมองตรงโน้นทีตรงนี้ที ราวกับว่ายังไม่อยากกลับบ้านตนเองอย่างที่พูดไปข้างต้น

เจ้ายักษ์มองร่างมนุษย์น้อยของมันเดินวนอยู่ในรังพักหนึ่ง จึงยอมกลับไปนั่งบนโขดหิน นึกโกรธตัวเองที่ใจเสาะเมื่อถึงเวลาเอาเข้าจริง ทั้งที่ก่อนหน้ามันหมายมั่นปั้นมือว่าจะจับมนุษย์ทำเมียให้จงได้ อยากกลืนกินอีกฝ่ายทั้งตัวตั้งแต่เห็นกันครั้งแรก

“แฟนเกิซ จะมืดแล้ว”

คนฟังหันไปสบแล้วยิ้ม “มืดแล้วทำไม”

“ต้องกลับ”

“ฉันบอกแล้วว่ายังไม่อยากกลับ”

“ทำไมไม่อยากกลับ” มันเอียงคอ

“เพราะฉันอยากอยู่กับนายนาน ๆ” คนกล่าวก้มลงมองดอกไม้ป่าแสนสวยในกระเป๋าเสื้อตัวเอง หยิบยกมันขึ้นมาสูดดมก่อนจะหันไปเห็นผู้ฟังที่กำลังพอใจกับคำบอกกล่าว เคลวินน์ลุกเดินมาหา ย้อนถามให้แน่ใจ “แฟนเกิซ ไม่โกหกข้า”

“ฉันจะโกหกทำไม อยู่กับนายฉันสบายใจ แล้วก็ปลอดภัย”

“ข้าดีใจ” เคลวินน์ยิ้มกว้าง “ข้าจะปกป้อง มนุษย์น้อยของข้า”

ตัวของแวนกัสลอยขึ้นเพราะแรงอุ้มของยักษ์ที่ยืนอยู่ตรงกันข้าม ขณะที่ดวงตาสองคู่สบประสานในความมืดสลัวของรังขนาดใหญ่ มือยาวคว้าเกาะกอดที่ต้นคอของเจ้ายักษ์ตรงหน้าด้วยเกรงกลัวตก แต่ครั้นเห็นรอยยิ้มของเคลวินน์ แวนกัสรู้สึกได้เลยว่าตั้งแต่นี้ไปไม่มีอะไรจะทำร้ายเขาได้ เจ้าสิ่งตรงหน้าจะดูแลเขาอย่างแน่นอน

ฝนพรำลงมาอีกครั้ง ยามร่างของแวนกัสถูกวางลงบนกองฟางของยักษ์ตัวใหญ่ด้วยความละมุนละม่อม มนุษย์ร้ายกาจ ลำแขนน้อยไม่ยอมปล่อยออกจากคอเจ้ายักษ์ขี้กลัวให้มันได้ลุกนั่งอย่างดี ลมหายใจของมันเหือดหาย พยายามอย่างที่สุดที่จะไม่พ่นรดใบหน้าขาวผ่องที่ใกล้กันแค่คืบ หรือสูดดมเอาความหอมอันปลุกปั่นอารมณ์คึกคะนองของตัวเอง

นัยน์ตาสีแดงวาวจับจ้องที่ริมฝีปากสีสวย อันเคยมอบรสชาติแสนหวานให้ แต่ครั้นยามที่แวนกัสยกยิ้มขึ้นขณะยังสบตากันผ่านความเงียบ เจ้ายักษ์คิดได้ว่ามนุษย์กำลังแกล้งมันอีกเช่นเคย “แฟนเกิซ อย่ารังแกข้า”

“อะไร ตัวเล็ก ๆ อย่างฉันจะทำอะไรนายได้” เสียงสดใสย้อนกลับ

“ปล่อย”

“หวงตัวเหรอเดี๋ยวนี้”

“ไม่หวง ข้ากลัวว่าจะอดกลั้น ไม่ไหว” มันหลบตาไปที่อื่น

“ดูซิจะเก่งไปได้กี่น้ำ เอาซี้...” คนด้านใต้ท้าทาย เจ้ายักษ์พ่นพรูลมหายใจยามแวนกัสกระชับกอด ตัวก็มีแค่นั้นยังบังคับมันได้ เอาเสียร่างใหญ่สามเมตรของมันอ่อนแรงไม่กล้าขืนแม้แต่น้อย อยู่ในท่าคุกเข่าคร่อมนี้จนเหน็บจะกินเข้าแล้ว และหากไม่ทำอะไรบางอย่างคงได้อยู่แบบนี้กับมนุษย์จอมวางแผนทั้งคืนเป็นแน่

“ความคิดของข้า ไม่ค่อยดี” เจ้ายักษ์สารภาพ

“หือ”

“ในสมองของข้า คิดแต่จะจับคู่กับแฟนเกิซ”

“นายคิดเรื่องลามกกับฉันงั้นสิ คิดว่าอะไร”

เจ้ายักษ์พยักหน้ายอมรับ “ทุกครั้งที่ เจ้านอนอยู่บนนี้” มันตบพื้นว่างบนกองฟางดังปุอธิบายเสียงต่ำพร่า กลืนน้ำลายอย่างพยายามที่สุดที่จะอดทนให้ทุกนาทีผ่านพ้นไป “ข้าอยากให้ตัวน้อย ๆ ของเจ้าทำหน้าที่คู่ของข้า ส่งเสียงร้องยามสมสู่กันในรังของข้า นัยหนึ่งข้า อยากจะทำแทบขาดใจ นัยหนึ่ง ข้าก็อยากทนุถนอม กอดเจ้าเท่านั้น”

คนฟังยกยิ้ม “ไม่แปลกหรอก ฉันเองก็อยากฟัดนายเหมือนกัน”

“ฟัด” เจ้ายักษ์ย้อน จิตใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อตัว

“ไม่เห็นต้องกลัวอะไรเลยนี่นา ก็แค่ใช้สัญชาตญาณเหมือนคราวที่แล้ว”

“ไม่พอ” เจ้ายักษ์ส่ายหน้า “ทำแบบคราวที่แล้ว แฟนเกิซ จะบาดเจ็บ”

“นายรักฉัน นายจะทำไปอย่างรู้ว่าแบบไหนฉันถึงไม่เจ็บ” ตั้งใจพูดแบบนี้ เจ้ายักษ์ฉลาดเกินไปหรือไม่ที่อดจะคิดไม่ได้ว่ามนุษย์น้อยของมันกำลังเชิญชวน มือใหญ่ขยับสางผมคนนอนด้านใต้อย่างอ่อนโยน พยักหน้ายอมรับว่าที่แวนกัสพูดนั้นถูกต้อง ความรักของมันจะทำให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี “ข้ารัก แฟนเกิซ”

“พิสูจน์สิ” มนุษย์ใช้เสียงเบาบอก ลากไล้ฝ่ามือกับต้นคอของมัน “ทำกับฉัน แบบที่นายต้องการทำ แบบที่นายคิดลามกจินตนาการถึงฉันทุกคืน ทำจนกว่าฉันจะขอร้องให้นายหยุด เคลวินน์”

“เจ้า...”



--------------------------------------------------------

CUT หากรู้รหัสแล้วให้กด   https://writernoonaa.blogspot.com/2019/10/blog-post.html (https://writernoonaa.blogspot.com/2019/10/blog-post.html)


ตามหารหัสได้ที่แฟนเพจ ทวิตเตอร์ของหนูนา และแท็กนิยาย #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง

----------------------------------------------------



“ฉ...ฉัน” ทำอะไรลงไป

ความรู้สึกแสนมีความสุขเมื่อครู่มันเกิดอย่างหุนหันพลันแล่นนัก แต่มันก็ดีเหลือเกิน

“แฟนเกิซ” เจ้ายักษ์ทรุดมาคุกเข่าตรงหน้า “เจ็บหรือ”

“อือ เจ็บ”

“ข้าขอโทษ ข้าอ่อนหัดนัก”

“ที่เจ็บกว่านั้นคือฉันทำบ้าอะไรลงไป เคลวินน์ เรื่องแบบนี้ไม่น่าเกิดขึ้นเลย ฮึก!”

เจ้ายักษ์เอียงคอไม่เข้าใจ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยกชายหนุ่มในสภาพเสื้อผ้าหลุดลุ่ยไปกอดปลอบ จูบซับ และเพราะความอบอุ่นนั้นก็ยิ่งทำให้คนเพิ่งเสียเอกราชร้องไห้ไปกว่าเก่า สองแขนยาวกอดคอเจ้ายักษ์แน่น ซุกหน้าปล่อยโฮราวกับคนบ้าอย่างไม่รู้ว่าตนเองกำลังหลงทางอยู่แห่งหนไหน ร้องจนคอแหบแห้งก็ไม่อาจห้ามน้ำตาได้

นานเท่าไรไม่อาจทราบที่เคลวินน์ปลอบชายหนุ่ม พายุฝนเคลื่อนผ่านไป หลงเหลือเพียงหยดน้ำที่ค้างบนใบไม้ตกเปาะแปะมาทีละเล็กน้อย เหมือนคนที่ยังนอนซบเรียงกันอยู่บนกองฟาง ยังคงหลงเหลืออารมณ์โหยหา เจ้ายักษ์เคลื่อนมาจูบหอมที่เรือนผมแวนกัส ลากนิ้วใหญ่จากหน้าผากมาจิ้มปลายจมูกอย่างเคย

“อารมณ์ฉันมันขึ้น ๆ ลง ๆ แปลกไป”

แวนกัสกล่าวขณะที่นอนสบตากัน แล้วจู่ ๆ ความร้อนก็แล่นขึ้นดวงตาอีกครั้งเมื่อนึกถึงยามที่ตัวเองร้องไห้โฮขึ้นมาก่อนหน้า “ในขณะที่ฉันชอบนายมากขึ้น ฉันกลัวว่าวันนึงที่ฉันรักนายสุดหัวใจ แล้วทุกอย่างมันเกิดเปลี่ยนไปแบบไม่รู้ตัวฉันคงรับไม่ไหว แค่คิดฉันก็รู้สึกเศร้า แล้วก็คิดขึ้นมาว่าไม่น่าทำอย่างนี้เลย ถ้าไม่ปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นฉันก็จะไม่เสียใจ”

“อะไรที่เปลี่ยน หัวใจข้าไม่เปลี่ยน”

“นายจะไม่เจ็บป่วย ไม่ตายก่อนฉันใช่มั้ยเคลวินน์” นิ้วมือเรียวแตะโครงหน้ารูปงามอย่างนึกหวง

“ไม่ ข้าแข็งแกร่ง”

“แล้วนายเคยคิดถึงวันที่ฉันจะตายมั้ย”

“ไม่” เจ้ายักษ์ยกนิ้วชี้จรดที่ริมฝีปากของแวนกัสให้หยุด ในตาคมนั้นมีแววไหวหวั่น

“แบบนั้นฉันก็ไม่กล้าตายน่ะสิ ถ้าฉันตาย...”

“ไม่”

“เคลวินน์ มนุษย์อายุยืนยาวที่สุดได้แค่ร้อยปีนะ นายรู้เรื่องนี้ดี” คนกล่าวยกยิ้มหวานให้ แตะที่เขี้ยวยาวทั้งสองข้างอย่างนึกเอ็นดูคนฟัง “พอคิดขึ้นมาได้ ฉันก็อยากใช้ทุกเวลาอยู่กับนายให้นานที่สุด อยากอยู่กับนายทุกนาที ไม่อยากกลับบ้าน อยากจับคู่แล้วก็เป็นของนาย ให้นายเลี้ยงฉันจนแก่ไปเลย”

เพราะอย่างนั้น แวนกัสถึงได้ตั้งใจเชิญชวนมันสินะ เจ้ายักษ์ทำหน้าเศร้ายามรับฟังสิ่งที่จะเกิดในอนาคต เรื่องนั้นยักษ์ใหญ่ไม่ได้คิดว่าจะพานพบ รู้แค่ว่าความรักของตัวเองกำลังงอกงามไปพร้อมกับดอกไม้ป่าที่นำเอาไปยื่นไว้ให้ หัวใจของมันเรียกร้องให้ทำโดยไม่ได้คิดถึงสิ่งใดอื่นเลย

“อย่าเศร้า” เจ้ายักษ์กระเถิบมาแนบหน้าผาก “ข้าจะรอพบเจ้าอีกครั้ง และอีกครั้ง”

“นายไม่กลัวเหรอ ว่าฉันจะได้ไปเกิดใหม่เป็นงู เป็นกิ้งก่า”

“ไม่ แวนกัสไม่เกิดเป็นอาหาร”

“อา เลิกคิดว่าพวกนั้นเป็นอาหารได้แล้ว” มนุษย์ส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้ม “ถ้าหิวก็กินฉันแทน”

“ข้าจะกิน” เจ้ายักษ์จุมพิตข้างหู “จะค่อย ๆ กินจนอิ่ม”

เสียงกระซาบของมันทำเอามนุษย์ที่กำลังอยู่ในอารมณ์หดหู่ดีขึ้นเมื่อได้นอนคุยกัน ต่อให้ต้องสรรค์หาคำคุยหรือปลอบใจจนรุ่งสางเจ้ายักษ์ก็ไม่มีวันหน่าย มันตระกองกอดคนที่นอนคุยกันจนม่อยกลับคาอก ขยับตัวให้ได้นอนในท่าสบาย เพ่งมองสิ่งเล็กน้อยน่ารักตรงหน้าอย่างไม่อาจปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างไร้ความหมาย

อายุของมนุษย์สั้นนัก ดังนั้นมันจะทำทุกอย่างเพื่อให้แวนกัสมีความสุข มันให้คำมั่นกับคนหลับเพียงเบาพร่า แล้วบรรจงจุมพิตอย่างอ่อนแผ่วด้วยเกรงว่าคนเพิ่งหลับจะรู้สึกตัวตื่น





-------------------------------------------------------------------



พี่ยักษ์ตกเป็นของน้องแล้ว แล้วน้องก็หลงซะมีอย่างหนักมาก มองมุมไหนก็หล่ออะเนาะ

ขอโทษสำหรับฉากอัศจรรย์ที่ค่อนข้างหยาบนะคะ หรือไม่หยาบนะ ถูกใจกันรึเปล่าไม่รู้ แต่สูบพลังมาก เอาอีกรึไม่เอาตอบมาให้ชื่นใจคนเขียนก่อนนนนนนนน

ส่วนพาร์ทปัจจุบัน คาดว่าน้องน่าจะใช้เวลาวิ่งไปหาอีพี่อีกถึงสามสี่ตอนโน่นแหละ กว่าจะรู้ว่าผัวกลับมาแล้ว 555555 ช่วงเวลานี้ขอย้อนไปพาร์ทอินเลิฟ กับตั้งครรภ์ไปก่อนซักสองสามตอน ดูซิพ่อแม่มือใหม่เขาทำอะไรกันบ้าง อิคนน้องจะแพ้ท้องมั้ย แล้วเจอกันตอนหน้าจ้า
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #11 up29.10.62
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 29-10-2019 11:21:24
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #11 up29.10.62
เริ่มหัวข้อโดย: Januarysky ที่ 30-10-2019 14:05:52
รักแฟนเกิซ! รักเคลฟินน์
คุณพ่อรีเทิร์นแว้วววว ลูก 4 คงดีใจน่าดู
จะมีก็เรื่องของวิคเตอร์ ขออย่ามีเรื่องร้ายๆ เลย
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #11 up29.10.62
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 30-10-2019 18:51:33
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #11 up29.10.62
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 30-10-2019 22:36:36
สนุกมากๆค่ะ
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #11 up29.10.62
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 31-10-2019 04:10:42
 :pig4:  :pig4:
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #11 up29.10.62
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 31-10-2019 20:07:56
รักแฟนเกิซ! รักเคลฟินน์
คุณพ่อรีเทิร์นแว้วววว ลูก 4 คงดีใจน่าดู
จะมีก็เรื่องของวิคเตอร์ ขออย่ามีเรื่องร้ายๆ เลย

ขอบคุรนะคะ
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #11 up29.10.62
เริ่มหัวข้อโดย: PKT ที่ 03-11-2019 01:33:56
เย่ยยยยยยย ได้กันแน้ว
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #11 up29.10.62
เริ่มหัวข้อโดย: NaunaeZaa ที่ 03-11-2019 21:39:01
 บะลั่กบะลั่กอักอัก :jul1: :jul1: :jul1:
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #11 up29.10.62
เริ่มหัวข้อโดย: nrbtst1997 ที่ 05-11-2019 15:48:05
สนุกมากๆเลย ไปตามอ่านตอนต่อไปที่อีกเว็ปมาแล้ว ดีใจที่ได้อ่านที่เล้าเห็นนิยายที่เล้าขอบคุณ​ที่เอามาลงในนี้ :mew1:
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #11 up29.10.62
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 06-11-2019 02:25:58
ติดตามจ้า  :L2:
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #12 up06.11.62
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 06-11-2019 11:51:32


#ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง

ตอนที่ ๑๒

๑๖ ปีก่อน

แสงอาทิตย์ทอดสาดมาได้พักใหญ่ให้รู้ว่าตอนนี้สายแล้ว เคลวินน์ยังคงมีความสุขกับการค่อย ๆ มองเห็นใบหน้าสวยงามของมนุษย์น้อยคู่ครองของมัน ที่ชัดเจนขึ้นจนสว่างคาตาเช่นนี้ มันฝังจมูกดอมดมแวนกัสอยู่บ่อยครั้ง และอีกฝ่ายก็สลบปางตายหลังจากที่ร่วมใช้ช่วงเวลาแห่งความสุขด้วยกัน ทั้งที่ฝ่ายมันยังคงไม่เพียงพอแค่หนเดียว

แต่ถึงอย่างนั้น แวนกัส คือคู่ครองของมันโดยแท้แล้ว

ระหว่างที่อิ่มเอมใจกับการนอนมองของรัก เสียงของอะไรบางอย่างจากอีกฟากฝั่งของป่าแล่นเข้าหูเจ้ายักษ์ มันคุ้นชินกับเครื่องยนต์ของสิ่งนั้นอย่างรู้ดีว่าเป็นอะไร พาหนะของสหายที่มักแวะเวียนมาหาแวนกัสอยู่ทุกเดือนกำลังแล่นตรงมา คราวแรกมันตั้งใจจะเมินเฉย ปล่อยให้มนุษย์ผู้นั้นตามหาแวนกัสไม่เจอแล้วกลับไปเอง

แต่อสูรตัวใหญ่ก็มานึกได้ว่า หากเจ้ามนุษย์เพศผู้ผู้นั้นทำให้เป็นเรื่องใหญ่ แล้วพาคนออกมาตามหาแวนกัสถึงในป่า ทุกอย่างมันจะวุ่นวายมากขึ้น ทั้งที่ยังอารมณ์ดี อยากกอดร่างนุ่มนิ่มให้อยู่ในอกนี้ทั้งวันทั้งคืน มันจำต้องสะกิดเรียกให้แวนกัสตื่นจากพักผ่อนแล้ว “แฟนเกิซ มีมนุษย์มาหาเจ้า”

คนนอนในอกงัวเงีย “อือ”

“มีมนุษย์มาหาเจ้า”

“ใคร” คนถามไม่ได้ตั้งใจฟังนัก แต่แลน่าเอ็นดูประหลาด

“สหายของเจ้า”

“เชนเหรอ อืม...”

“ต้องกลับ”

“ไม่อยากกลับเลย” อีกฝ่ายตอบเสียงเครือ เจ้ายักษ์พอใจจนอดที่จะฟัดจูบไม่ได้

“ต้องกลับ ไม่อย่างนั้นสหายของเจ้าคงร้อนใจ”

“ช่างมัน ฉันอยากอยู่ที่นี่”

“แฟนเกิซ ข้าจะออกไปส่งให้ไวที่สุด” มนุษย์นั่นจะได้ไม่รู้สึกแปลกที่หาแวนกัสไม่เจอ

“นายไม่รักฉันแล้วเหรอ ทำไมไล่คนที่นายเพิ่งพรากความบริสุทธิ์ให้กลับบ้านได้ลงคอ” เสียงงอแงของมนุษย์น่าเอ็นดูราวสัตว์ตัวน้อยที่หยอกเย้ากับแม่ของมัน เจ้ายักษ์อดจะจิ้มปลายจมูกนั้นไม่ได้ ครั้นถูกทำ เจ้าตัวก็ยกหัวฟูและดวงตาที่ยังคงปิดแน่นขึ้นมาบ่นว่า “ขอฉันอยู่กับนายที่นี่ไม่ได้เหรอ นะเคลวินน์ ขาฉันปวดระบมยืนไม่ไหว แถมตรงนั้นน่ะแสบเหมือนจะตายอยู่แล้ว”

เจ้ายักษ์ตบปุที่ก้นกลมอย่างปลอบใจ “ข้าจะรักษา”

“หือ อะไรนะ”

“ข้ารักษาได้” มันว่า

“มะ..ไม่ต้อง ไม่เป็นไร ฉันหายแล้ว” แวนกัสรีบลุกนั่ง ความอายแล่นเข้าสู่หน้าอย่างเร็วไวเมื่อรู้ว่าจะถูกอีกฝ่ายทำอะไรด้วยเส้นผมแสนสวยสีเงิน ชายหนุ่มขยี้ตาตัวเอง ทำทีไม่รู้ไม่ชี้เอื้อมหยิบกางเกงที่ถูกถอดทิ้งไว้แถวนั้นมาสวม ไม่น่าเชื่อว่าจะกล้านอนในสภาพตัวเปล่าเล่าเปลือยบนกองฟางนี้ได้ลงคอ ใบหน้าของชายหนุ่มแดง เมื่อตามขายังมีรอยคราบที่ทำกันอย่างสกปรก

มันแย่ ที่เขาเหมือนโดนดูดพลังจนไม่ได้ลุกไปทำความสะอาดตัวเอง

“ฉันพร้อมแล้ว ไปส่งฉัน...”

เจ้ายักษ์ดึงคนตัวน้อยเข้าหา ฝังจูบที่ริมฝีปากอยู่ครู่หนึ่ง

“นาย” คนถูกทำตาค้าง “นายรู้จักมอร์นิ่งคิสด้วยเหรอ นี่มันวัฒธรรมของมนุษย์นะ”

“ข้ารู้มาก กว่าที่มนุษย์น้อยของข้ารู้”

“ไม่ต้องมาขิงกันหรอก” แวนกัสเบ้ปากยักไหล่ หันมาพึมพำกับตัวเอง “ขนาดเมื่อคืนยังต้องให้สอน ยักษ์โง่”

“ข้าได้ยิน”

ตัวของแวนกัสลอยไปนั่งอยู่บนหน้าขาของผู้กระทำ ชายหนุ่มเบิกตาตกใจ แต่ก็ทำได้เพียงเท่านั้น ความขวยเขินเพราะสิ่งที่ร่วมกันทำเมื่อคืนมันดึงความสนใจเขาไปหมดสิ้นแล้ว เจ้ายักษ์เล่นงานแวนกัสด้วยการสบตา เมื่อได้เห็นความร้อนแรงในนั้น มนุษย์น้อยก็เหมือนโดนหลอมละลายให้ตัวอ่อนปวกเปียก ซ่อนหน้าแดงกับอกแน่นหนั่นของอีกฝ่าย ไม่รู้ทำไมตอนนี้แค่สบตา ชายหนุ่มก็ตื่นเต้น

“หลังจากนี้ ไม่ต้องสอนข้า” มันกระซาบ แล้วลามเลียที่ใบหูจนชายหนุ่มขนลุกซู่ “ข้าจะทำจนกว่าเจ้า จะขอร้องให้ข้าหยุด แล้วอย่ามาบ่น ว่าข้าเก่งกาจเกินไปล่ะ”

“อ่า...โอเค” ไม่อยากจะเถียง เพราะเมื่อคืนเขาแอบบ่นอยู่ในใจเสียแล้วสิ แวนกัสคิด

“เราจับคู่อย่างดี”

“ใช่ ดีมากซะด้วย”

มือยักษ์จับมือน้อยเขาพิต แวนกัสรู้ว่ามันกำลังเอ็นดูเขา “เจ้าสุขสมรึไม่”

ทำไมถามชายหนุ่มอย่างตรงเถรอย่างนั้นเล่า “ก็...ไม่ได้แย่ ฉันหมายถึงดี ดี...เลยล่ะ”

“สำหรับข้า แฟนเกิซวิเศษนัก ข้าอ่อนหัด กายเจ้าทำข้าร้อนรุ่มไปหมด...”

“พอแล้ว พูดอะไรก็ไม่รู้” อายจะแย่แล้ว

“ข้าเพียง ยอมรับความจริง”

“นายพูดภาษามนุษย์คล่องขึ้นนะ มันทำให้นายดู...เซ็กซี่” คนกล่าวพยายามอย่างที่สุดที่จะเก็บงำความรู้สึกขัดเขิน ยามที่จะ ‘ยอมรับความจริง’ อย่างที่อีกฝ่ายบอก “นายรู้วิธีใช้คำพูดมากกว่าฉันซะอีก”

“ข้าอายุมากกว่าแฟนเกิซ” เคลวินน์บอก “รู้มากหลายภาษา เพียงแต่ไม่ได้ใช้กับใคร”

“ฉันมีคู่ที่เก่งถึงขนาดนี้เลยเหรอ”

เจ้ายักษ์ตัวใหญ่ยิ้มพอใจกับคำชม “เจ้ารู้นานแล้ว มนุษย์น้อยของข้า”

บ้า...ยักษ์บ้าที่เอาแต่คุกคามเขา ขยันทำให้แวนกัสเขินอายนักเชียว

ความว่องไวของเคลวินน์ทำให้แวนกัสไปถึงกระท่อมของตัวเองในอีกไม่กี่นาทีต่อมา แต่เพราะอ้อยอิ่งไม่อยากห่างจากกัน ทำให้เชนมาถึงก่อนแล้วพักหนึ่ง ร่างของมนุษย์ถูกวางไว้ที่โขดหินริมฝั่งธาร ให้แวนกัสเดินข้ามไปเองด้วยกลัวว่าจะเป็นพิรุธ วินาทีที่ต้องผละจากกัน ชายหนุ่มก็เหมือนตัวเองกำลังอกหัก แต่ภายในใจก็ยังคงมีดอกไม้เบ่งบานเพราะความรัก ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรเช่นกัน

“ขอบใจที่มาส่ง” แวนกัสจิ้มจมูกใหญ่

“ข้าจะกลับมา เมื่อเจ้าเรียก”

“อื้อ” แวนกัสยิ้มพลางพยักหน้า มองเจ้ายักษ์ใหญ่หมุนตัววิ่งเข้าไปในป่าจนหายลับไป ใบหน้าที่กำลังยิ้มปรากฏความเศร้าขึ้นมาเมื่อต้องจากกันแล้ว “เคลวินน์!”

คนรอรู้สึกหงอยเหงา เขี่ยเท้ากับพื้นดิน ไม่นานเจ้ายักษ์ใหญ่ก็วิ่งกลับมาหยุดตรงหน้า “บาดเจ็บตรงไหน”

“คือฉันจะบอกว่า คืนนี้มาหาฉันด้วยนะ”

“ข้าตั้งใจจะมา อยู่แล้ว” มันตอบ

“แล้ว...” คนกล่าวลากเสียง แก้ขัดเขิน “คืนต่อ ๆ ไป”

“ข้าก็จะมา ข้าจะมาดังเดิมไม่เปลี่ยนแปลง”

“สัญญานะ”

“สัญญาด้วยชีวิต” มันก้มลงมาแนบหน้าผาก เวลาจากกันก็เวียนมาถึงอีกครั้ง แล้วเจ้าอสูรก็วิ่งกลับเข้าไปในป่าท่ามกลางรอยยิ้มของคนที่ชื่นใจขึ้นมา แต่เมื่อตรงหน้าไม่มีเจ้ายักษ์ที่นอนกอดทั้งคืน ไม่มีกลิ่นสาบของเพศผู้ที่เคยดอมดม แวนกัสรู้สึกโหวง อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากเรียก “เคลวินน์!”

“อะไร” มันมาไวกว่าที่คิด หรือไม่ก็แอบดูเขาอยู่ไม่ไกลแถวนี้เพราะรู้ทัน

“เปล่า ฉันแค่ลองเรียกดู” ชายหนุ่มยิ้มขึ้น

“แฟนเกิซ เพื่อนมนุษย์ของเจ้ารออยู่”

“ใช่สิ นายได้ฉันแล้วนี่” ชายหนุ่มกอดอก “นายถึงไม่ได้อยากอยู่ใกล้ฉันแล้ว”

“ข้าจะทำอย่างไร มนุษย์น้อยของข้าถึงจะพอใจ” ไม่รู้เพราะอะไร เจ้ายักษ์ตรงหน้าถึงดูมีสติสัมปชัญญะและมีความเป็นผู้นำขึ้นมาอย่างนี้ ให้อารมณ์ความรู้สึกของเพศผู้ที่อยู่เหนือเพศผู้ขึ้นมาอีกที หรือตั้งแต่เขาตกเป็นเมียของมันแล้วกันหนอ แวนกัสคิดแล้วมองใบหน้ารูปหล่อน่าหวงแหนของอีกฝ่าย ก่อนจะยกยิ้มขึ้นมา “ก็ฉันไม่อยากห่างนายนี่นา”

“ข้าก็เช่นกัน...”

ความห่วงหาของแวนกัสนั้นเป็นสิ่งที่ยักษ์ตัวใหญ่ฝันถึงมาโดยตลอด รอยยิ้มมันผุดขึ้นจนเห็นเขี้ยวทั้งสองข้าง ยามเดินตามหลังคู่ครองของมันตรงไปยังกระท่อม น่าขันตรงตลอดการเดินทางนั้นสายตาคู่สวยเทียวแต่หันมามอง ตรวจดูอย่างสม่ำเสมอว่ามันยังคงตามอยู่หรือไม่ อย่างไม่ไว้วางใจที่จะต้องถูกทอดทิ้ง แต่เป็นความไม่ไว้วางใจที่มันรู้สึกเอ็นดูที่สุด

มนุษย์ของมันน่ารักตัวน้อย แถมยังขี้เหงา เรียกร้องขอความรักเก่งนัก

“เฮ้ นายหายไปไหนมา ฉันร้องเรียกตั้งนาน” เชนถามผู้ที่เดินออกมาจากป่าด้วยสีหน้าไม่แสดงออกอันใด แวนกัสทำเป็นกระแอมเอาพลังสู่ลำคอ แต่ถึงอย่างนั้นเสียงก็ฟังดูแหบอยู่ดี

“ฉันออกไปเดินเล่นมา อากาศตอนเช้าในป่าสดชื่นดี” ไม่น่าร้องดังขนาดนั้นเลย เจ็บคอไปหมดแล้ว

“งั้นเหรอ”

“อือ” เจ้าบ้านบอกพลางเปิดประตูให้เพื่อนเข้าสู่ด้านในพร้อมกับตัวเอง

“แต่หน้านายดูเหมือนเพิ่งจะตื่น ทรงผมด้วย”

“ฉันไปเผลองีบหลับที่น้ำตกน่ะสิ อากาศตอนเช้ามันพอดีจนง่วง”

คนฟังตาถลน “หา!” ย้อนเสียงดัง “นายไปเผลอหลับไปในป่าได้ยังไงกัส”

“ทำไมจะไม่ได้ นี่มันแถวบ้านฉันนะ ไม่มีอะไรต้องกลัว” คนบอกเดินไปเปิดตู้เย็นหาอะไรหยิบเข้าปากเพราะสายแล้ว ในขณะที่ผู้เป็นเพื่อนสนิทยังคงมองตามด้วยสายตาไม่เข้าใจความคิด เชนเดินมาหยุดอยู่ด้านหลัง แปลกใจที่เห็นบริเวณลำคอของแวนกัสมีร่องรอยแปลก ๆ เหมือนรอยจูบ ซึ่งแวนกัสไม่น่าจะได้มีเวลานอนหรือมีเซ็กส์กับใครที่ไหนนัก “เฮ้ ที่คอของนายมีรอย”

แวนกัสผละของที่ถือจนหล่น รีบหันมาหา “รอย รอยอะไรนะ”

“ที่คอ ตรงนั้น” เชนชี้

“คงโดนแมลงต่อยตอนหลับแน่ ฉันหลับลึกไม่รู้เรื่องเลย ขอไปล้างหน้าล้างตาก่อนนะ”

“อย่าลืมทายาด้วยล่ะ”

“อืม ขอบใจเพื่อน”

“นายรู้ข่าวนี่รึเปล่า” เชนถามพลางเดินตามไปยังห้องนอน ทรุดนั่งลงบนเตียงของเพื่อนที่กำลังง่วนอยู่กับการหยิบผ้าเช็ดตัวเตรียมอาบน้ำ “เมื่อวันก่อน มีข่าวคนโดนลักพาตัวมาที่ป่าแถวนี้เพื่อเรียกค่าไถ่ เพิ่งเจอเป็นศพไปเมื่อวันก่อน พ่อแม่ของนายรู้ข่าวก็เลยใช้ฉันให้แวะมาดูว่านายโอเคมั้ย”

“อ๋อ ได้ยินมาบ้าง” แวนกัสหลบตา

“แถวนี้ถึงมันจะสงบก็จริง แต่มันก็ห่างไกลความเจริญ เป็นพื้นที่ที่เกิดอาชญากรรมได้ง่าย”

“อือ ฉันเข้าใจ”

“นายอยู่คนเดียวไม่กลัวใช่มั้ย”

อันที่จริงเขาไม่ได้ตามข่าวข้างนอกมาสักพักแล้ว ตั้งแต่รู้จักกับเคลวินน์ ทุกวันชายหนุ่มเอาแต่พูดคุย เที่ยวเล่นกับเจ้ายักษ์ตัวใหญ่จนลืมไปว่าตัวเองเป็นคน รวมถึงเขาไม่กลัวอันตรายอันใดอีกต่อไปแล้ว เพราะมีคู่ครองที่สามารถปกป้องชายหนุ่มจากเสือดำตัวใหญ่ได้ด้วยเพียงแค่ส่งเสียงคำราม “ฉันแค่ได้ยินข่าว แต่ฉันไม่ได้สนใจอะไร ที่นี่ฉันอยู่ได้แบบสบายเลยเพื่อน”

“นายควรระวังตัวนะรู้มั้ย”

“ฉันรู้เชน นายกับพ่อแม่ห่วงฉัน จะระวังให้มากโอเคมั้ย”

“นายอยู่ที่นี่ก็หลายเดือนแล้ว ไม่รู้สึกเหงาบ้างเลยรึไง”

คนฟังยกยิ้ม ส่ายหน้าเป็นคำตอบ “ไม่เลย ฉันมีความสุข แล้วก็สนุกมาก”

คำตอบของมนุษย์น้อยที่บอกกล่าวสหายด้วยรอยยิ้มหวาน ทำเอาหัวใจของเจ้ายักษ์ใหญ่ที่ยืนอยู่ริมหน้าต่างฟังอยู่ตลอดเต้นไหวขึ้นมา ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนผละไปมองเพียงเสียววินาที แล้วก็หมุนตัวเดินเข้าไปในห้องน้ำทำธุระส่วนตัว เพียงไม่กี่วินาทีที่แวนกัสเข้าห้องน้ำ ลมก็พัดผ่านหน้าต่างเข้ามาหวิวไหว เชนรู้สึกขนลุกจนต้องลูบแขนให้คลายลง

อยู่กับแวนกัสแล้วต้องรู้สึกอย่างนี้ทุกที เขาไม่โอเคเลย

การกลับมาเยี่ยมแวนกัสคราวนี้เชนสัมผัสได้ว่าเพื่อนรักสดใสขึ้นราวเป็นคนละคน ไม่น่าเชื่อว่าการใช้ชีวิตอยู่ในป่าเพียงคนเดียวจะเปลี่ยนแวนกัสได้มากมายขนาดนี้ ชายหนุ่มลอบสังเกตเพื่อนรักที่นั่งมองออกไปยังหน้าต่าง บนใบหน้าที่สดใสนั้นแต้มไปด้วยรอยยิ้มอยู่ตลอด หรือสติของเพื่อนรักจะฟั่นเฟือนไปแล้ว

“เฮ้ นายนั่งยิ้มให้หน้าต่างพักใหญ่แล้วนะเพื่อน โอเคมั้ย”

“หา” แวนกัสผละมามอง “โอ้ โอเคเลย นายมีอะไรสงสัยเหรอ”

“ไม่ นายแปลกนะแวนกัส อยากออกไปหาหมอหน่อยมั้ย”

“ฮะ!” เจ้าของบ้านมุ่นคิ้ว “หาหมอทำไม”

“ก็นายร่าเริงผิดปกตินี่นา”

“เชน นายกังวลเรื่องของฉันมากเกินไปแล้วพวก มัวแต่หมกมุ่นเรื่องของฉัน นายไม่มีแฟนเลยรึไง” แวนกัสหันมาสบตาในขณะที่ถาม สีหน้าแสดงออกว่านึกตลกกับการเอาใจใส่เกินไปของเพื่อน คนฟังยักไหล่ “ฉันมาอยู่กับนายวันที่สองแล้วเพื่อน นายเพิ่งจะสนใจถามสารทุกข์สุกดิบฉันตอนนี้ ดูเหมือนนายจะอยู่กับตัวเองมากเกินไป ฉันชักไม่โอเคกับนายตอนนี้ซะแล้ว”

“เชน...” แวนกัสส่ายหน้า ละรอยยิ้มลงเมื่อเห็นว่าคนฟังไม่สนุกด้วย “นายมีแฟนแล้วเหรอ”

“ฉันมีตั้งแต่เดือนที่แล้วแล้ว ฉันพยายามจะบอกนาย แต่นายไม่สนใจฉัน นายไม่ใช่กัสคนที่ฉันเคยรู้จัก”

“เชน เดี๋ยว...” แวนกัสมองตามเพื่อนที่จู่ ๆ ก็หมุนตัวเดินไปข้างนอก แวนกัสเองก็เพิ่งจะรำลึกได้ว่าตัวเองทำนิสัยแย่กับเพื่อนที่ใส่ใจตัวเองมาโดยตลอดถึงเพียงไหน เชนต้องขับรถกี่ร้อยไมล์มาหาเขาทุกเดือน ไม่เคยปริปากบ่นสักคำเพราะเป็นห่วง แต่ชายหนุ่มกลับตอบรับความรักของเพื่อนด้วยการเมิน ด้วยการเอาแต่อี๋อ๋อกับลมฟ้าอากาศ

“เชน ฉันขอโทษ เฮ้...” แวนกัสกระตุกมือดึงเพื่อนรักอยู่หน้าบ้านให้กลับมา เห็นว่าหน้าของเชนไม่โอเคเอาเสียเลย เห็นดังนั้นแวนกัสก็ยิ่งรู้สึกผิด “ฉันขอโทษที่เมินนายนะเพื่อน ทั้งที่นายแคร์ฉัน ฉันแย่กับนายตั้งกี่ครั้งแต่นายก็ทนกับฉันมาโดยตลอด อย่าโกรธกันเลยนะ”

คนฟังส่ายหน้า “นายมีอะไรทำไมถึงไม่บอกฉัน”

“ฉันเปล่า”

“กัส ฉันรู้จักนายมาตั้งแต่เด็กนะเพื่อน ฉันรู้ว่านี่ไม่ใช่นาย”

“ฉันก่อนหน้านี้มันเป็นแบบไหน”

“นายใส่ใจคนอื่น นายรับฟัง นายกระด้างแค่ภายนอกแต่นายอบอุ่นข้างใน” คำพูดของเชนทำเอาแวนกัสจุกไปพักหนึ่ง ชายหนุ่มก้มหน้าลงพื้น เขาอยากเล่าว่าตัวเองเจออะไรขณะที่อาศัยอยู่ที่นี่ เพียงแต่ว่าเคลวินน์ไม่ยินยอมที่จะให้ความลับถูกเปิดเผย และเขาก็รับปากอีกฝ่ายไปแล้วด้วยว่าจะไม่บอกใคร แต่นั่นก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่เขาจะปฏิบัติตัวแย่กับเพื่อนที่รักตนมากขนาดนี้

ร่างโปร่งขยับไปสวมกอดเพื่อน “เชน ฉันยังคงเป็นแบบนั้น ฉันรู้ว่านายห่วงฉันมากจนรู้สึกโกรธ แต่ฉันไม่ได้เป็นอะไรจริง ๆ นะ ฉันก็แค่มีความสุขกับการใช้ชีวิตของฉันเท่านั้นเอง เข้าใจฉันเถอะ”

“งั้นนายก็ใช้ชีวิตของนายไปเถอะ”

“ไม่นะเพื่อน ฉันแคร์นาย อย่าโกรธกันเลยขอร้อง”

คนที่ถูกกอดพ่นลมหายใจ ยกมือสวมกอดคืนอย่างเสียไม่ได้ “ให้ตายสิ นายจะแคร์อะไรกับคนที่คอยเป็นลูกไล่ให้นายมาตลอดอย่างฉันห๊ะ ที่ฉันมาก็แค่เพราะพ่อแม่นายจ้างมา ไม่ใช่ว่าฉันห่วงอะไรนายนักหนาหรอก!”

“เอาเลย พูดแรง ๆ กับฉันอีก”

“ไอ้เพื่อนโง่” สิ้นคำต่อว่าของเชนแล้ว เจ้าตัวใหญ่คิดคำด่าแวนกัสไม่ออกและไม่ได้เป็นฝ่ายผลักไส ปล่อยให้ความเงียบดำเนินต่อไปราวกับรู้ดีว่าเพื่อนสำนึกผิดจริงอย่างที่พูด ไม่อย่างนั้นคงจะหัวเสียเถียงกันเหมือนทุกครั้งที่ทะเลาะ

“ด่าฉันเสร็จแล้ว ก็ช่วยเล่าให้ฉันฟังด้วยว่าเธอเป็นใครมาจากไหน แล้วงานที่นายไปสัมภาษณ์คราวที่แล้วผ่านรึเปล่า”

แวนกัสลืมแยกแยะไปเสียสนิทจนเกือบเสียเพื่อนที่ดีไปแล้ว ขณะที่ยังสวมกอดเพื่อนรัก แม้จะเห็นว่าเจ้ายักษ์ตัวใหญ่กำลังโมโหฟึดฟัดถึงเพียงไหน แวนกัสก็ยังคงตัดสินใจบอกให้อีกฝ่ายกลับไปที่รัง เขาจะอยู่กับเพื่อน อยู่กับสังคมของมนุษย์อย่างไม่ลืมว่าตัวเองเป็นใครมาก่อน แม้ว่าตอนนี้ เขาจะมีฐานะของคู่ยักษ์พ่วงเพิ่มอีกตำแหน่ง

เชนเล่าให้เขาฟังว่า ตนได้พบรักกับสาวเชื้อสายญี่ปุ่นคนหนึ่งในที่ทำงานใหม่ที่สัมภาษณ์ผ่าน ให้ชายหนุ่มรำลึกได้ว่านอกจากต้องพยายามฟังสำเนียงของยักษ์อายุสองร้อยกว่าปีให้เข้าใจแล้ว เขาก็มีความสุขกับการที่ได้พูดคุยกับคนที่มีความชอบคล้ายเคียงกัน เขากับเชนยังคงพูดคุยกันจนดึกดื่นอย่างออกรส จนกระเพื่อนหลับไปแล้วเวลากลางดึก ชายหนุ่มก็พยายามลุกออกจาเตียงให้เบาที่สุด ชะโงกออกไปนอกหน้าต่างกล่าวเรียก

“เคลวินน์ นายได้ยินฉันมั้ย”

เขารู้ว่ามันผิด ที่จะแอบนัดเจอกับคนรักยามดึกดื่น แต่ตลอดทั้งวันแวนกัสไม่ได้รับการกอดหอมอย่างทนุถนอมจากเจ้ายักษ์ตัวใหญ่เลยสักครั้ง ชายหนุ่มพ่นลมหายใจอย่างนึกเสียดาย ดูเหมือนเจ้าอสูรตัวใหญ่จะหลับไปแล้ว

แต่ไม่นาน ร่างสูงใหญ่ก็โผล่พ้นพุ่มไม้มาหยุดที่หน้าต่าง เคลวินน์ทำหน้าน้อยใจใส่ชายหนุ่มราวกับต้องการให้รู้ว่าตอนนี้ยังคงงอน ที่เขากอดกับชายอื่น “เรียกข้า มีธุระอะไร”

“ตอนนี้ต้องมีธุระแล้วเหรอถึงจะเรียกนายได้”

“นึกว่าแฟนเกิซหลับไปแล้ว”

“นายสัญญากับฉันว่าถ้าฉันเรียก นายจะรีบมาให้เร็วที่สุด นายผิดสัญญา” แวนกัสกอดอกทำเป็นโกรธคืนบ้าง ซึ่งดูเหมือนเจ้ายักษ์ตัวใหญ่จะยิ่งงอนที่เขาไม่ง้อ มันใช้ลมหายใจเสียงดังฮึ่มฮั่ม “แฟนเกิซ สัมผัสกายผู้อื่น”

“ก็ได้ ถ้าฉันมีมลทินเพราะถูกเนื้อต้องตัวกับใคร เรามายกเลิกการจับคู่อ๊ะ...” คนกล่าวตาเหลือกถลน เกือบร้องออกไปเสียงดังด้วยความตกใจ ทันทีที่เขาพูดเช่นนั่นเจ้ายักษ์ก็คว้าดึงแวนกัสอุ้มออกจากหน้าต่าง วิ่งพาเข้ามาในป่าอย่างไม่บอกกล่าว ท่ามกลางความมืดมิดยามราตรี “เคลวินน์ เคลวินน์!”

“ข้าไม่ยกเลิก”

เขาก็แค่พูดเล่นเท่านั้นเอง “นี่มันกลางคืนนะ พาฉันออกมาทำไม”

“ข้าไม่ยกเลิก แฟนเกิซคือคู่ของข้า”

“รู้แล้ว ฉันไม่ได้พูดจริง ๆ ซักหน่อย” จริงจังไปได้ ยิ่งเห็นก็ยิ่งน่าแกล้ง

แวนกัสเกาะคอของอีกฝ่ายแน่นอย่างนึกตกใจ ไม่คิดว่าเคลวินน์วิ่งเร็วถึงเพียงนี้ มันผ่านต้นไม้ใบหญ้าว่องไวนัก ไม่นานก็หยุดที่น้ำตกเสียงดังหน้ารังของเคลวินน์ แต่ที่แปลกไปก็คงเป็นเพราะชายหนุ่มได้มาดูด้านนอกตอนกลางคืนเป็นครั้งแรก แวนกัสอ้าปากหวอยามถูกวางให้ยืนบนโขดหิน แสงวาววับของน้ำตกสะท้อนแสงจันทร์ แล้วเหตุใด มันถึงเรืองแสงเป็นสีมรกตน่าหลงใหลเช่นนี้กัน

หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #12 up06.11.62
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 06-11-2019 11:53:52
เคลวินน์มีสระว่ายน้ำส่วนตัวที่สวยกว่ามหาเศรษฐีทุกคนบนโลกใบนี้ แวนกัสคิดแล้วก้มลงใช้เท้าหย่อนลงในน้ำ เพราะฤดูร้อนทำให้น้ำอุ่นจนรู้สึกสบาย ไหนจะมีแสงของหิ่งห้อยหลายร้อยตัวบินออกมาต้อนรับชายหนุ่มอีก “นายอยู่ในที่แบบนี้มาตลอดสองร้อยกว่าปีเหรอ ไม่แย่เลยนะ”

“หิ่งห้อยจะมีนาน ๆ ครั้ง” ยักษ์ข้างกายบอก “แฟนเกิซโชคดีที่ได้เห็น”

“ลางบอกเหตุที่ดี คงบอกว่าต่อไปนี้ฉันจะมีความสุขกับนายตลอดไปสินะ ฮิฮิ”

“เจ้าจะมีความสุขกับข้า” เคลวินน์โน้มตัวใหญ่ลงมาใกล้ ให้ได้สัมผัสถึงความอุ่นร้อนของลมหายใจ ราวกับรู้ว่าตัวเองจะถูกทำอะไร และด้วยบรรยากาศที่เอื้ออำนวยทำให้แวนกัสอดไม่ได้ที่จะยืดคอไปหา แล้วพริ้มตารับจูบของเคลวินน์ในความเงียบ

แสงของพระจันทร์ทำให้ทุกอย่างสว่างขึ้นมา แต่ใบหน้าของยักษ์รูปหล่อที่ผละออกจากกันยามจูบแล้ว แวนกัสรู้สึกเหมือนมันส่องสว่างไสวกว่าดวงจันทร์เสียอีก สงสัยเพราะอานุภาพความรักที่เขามีต่ออีกฝ่ายแน่ ๆ ชายหนุ่มยกยิ้ม ยามนิ้วหัวแม่มือใหญ่ลากไล้ริมฝีปากเขาอย่างอ่อนโยนหลงใหล “รสชาติของปากเจ้า หอมหวาน”

“นายจูบฉันแบบนี้ เลิกกินแมงมุมแล้วเหรอ” ชายหนุ่มมองที่ริมฝีปากของยักษ์ตรงหน้าราวกับติดใจไม่ต่างกัน รสชาติของจูบจากยักษ์แปลกที่ตรงมีเขี้ยวให้ได้สัมผัสกดทับริมฝีปาก ยามบดเบียดดูดดุนมันสร้างอารมณ์ได้ดีนัก

เจ้ายักษ์หัวเราะ “ข้าทำความสะอาด แฟนเกิซไม่รังเกียจข้า”

“ฉันไม่อยากห้ามนายกินของที่นายชอบ”

“ข้าไม่ชอบสิ่งที่แฟนเกิซไม่ชอบ”

“รักฉันขนาดนั้นเลยเหรอ” แวนกัสกุมจับมือใหญ่ แกว่งไกวขาของตัวเองในน้ำที่เรืองแสงจากด้านใต้ เป็นสีมรกตสวย เจ้ายักษ์พยักหน้ายามสบตายอมรับ แสงของแผ่นน้ำ สาดมาให้เห็นโครงหน้ารูปงามที่แวนกัสหลงใหลให้ดูดีขึ้นหลายเท่านั้น เห็นแล้วชายหนุ่มก็ยกยิ้มอย่างนึกสนุกขึ้นมา กุลีกุจอลุกขึ้นปลดกระดุมเสื้อนอนของตัวเองออกตั้งใจจะว่ายน้ำ

ครั้นเสื้อตัวบางร่วงลงกองบนพื้น เจ้ายักษ์ก็ใจเต้น

“แฟนเกิซร่างกายอ่อนแอ” มันลุกขึ้นยืน มองมนุษย์น้อยยักไหล่หลังถอดกางเกงจนเหลือร่างเปลือยเปล่า ยามที่แวนกัสไร้อาภรณ์ปกปิดทำเอายักษ์ตัวใหญ่เลือดลมวิ่งพล่าน มันกลืนน้ำลายรู้สึกหิว มองตามเรือนร่างขาวสะอ้านค่อย ๆ เดินลงน้ำไปจนลึกถึงคอ แต่แม้ร่างจะจมลงไปแล้ว ความใสทำให้มันก็ยังเห็นความเปลือยเปล่าของอีกฝ่ายอยู่ดี

ช่างชั่วยวนชวนให้กำหนัดดีแท้ มนุษย์น้อย

“เคลวินน์” เจ้ายักษ์มองคู่ครองที่เพิ่งจะได้ลิ้มลองไปเพียงครั้งเดียวร้องเรียก อีกฝ่ายมองตาเขาในความสลัวยามค่ำคืน ก่อนจะอ้าแขนเรียกให้มันถอดผ้าผ่อนตามลงไป “เล่นน้ำกัน”

หรือแวนกัสตั้งใจเชิญชวนมันอีกครั้งกันหนอ เจ้ายักษ์ครุ่นคิดแล้วปลดกางเกงอย่างไม่ต้องคิดให้เสียเวลา “รอข้าครู่เดียวแฟนเกิซ ข้ากำลังไป”

ไม่นาน เจ้ายักษ์ตัวใหญ่ก็ลงตามไปหาในนั้น มนุษย์ลอยตุบป่องด้วยรอยยิ้มหวานพิฆาตอารมณ์มันนัก เอื้อมมือน้อยเกาะตัวให้มันช่วยพยุงพากันไปลอยคอบริเวณกลางบ่อ ทั้งที่เคยเล่นน้ำด้วยกันมาคลายครั้งหลายครา แต่เจ้ายักษ์กลับทำตัวไม่ถูกเอาเสียเลย ฝ่ายมนุษย์จับได้ก็ยิ้มร่าอย่างนึกขัน “นายเกร็งขนาดนั้นเลยเหรอ”

“ข้าไม่คุ้นที่เจ้าไม่สวมอันใดต่อหน้าข้า”

“ทำไม” แวนกัสหรี่ตาล้อ “นายเกิดอารมณ์งั้นสิ ยักษ์ทะลึ่ง”

“เป็นเรื่องยากที่จะต้องอดกลั้น เพราะรู้ว่าเมื่อคืนมันยอดเยี่ยมเพียงไหน” ยักษ์ร้ายดึงมนุษย์เข้าห้าให้ใกล้กว่าเก่า “ครั้งก่อนข้าได้ทำเพียงแค่น้อยนิด เพราะเกรงว่ามนุษย์ของข้าจะบุบสลาย”

“งั้นเหรอ แย่จัง”

“ไม่อยากให้แฟนเกิซบาดเจ็บเพราะสมสู่กับข้า”

คนฟังก้มหน้า ซุกแก้มร้อนของตัวเองกับอกเจ้ายักษ์อย่างเหนียมอาย

“งั้น...คราวนี้ก็อย่าทำแรงกับฉันนักนะ ตัวฉันเล็ก”

อสูรตัวใหญ่เบิกตากับประโยคที่ได้ยิน ดูเหมือนว่าแวนกัสจะอยากร่วมใช้ช่วงเวลากับมันอย่างคุ่มค่าสมคำบอกกล่าว เจ้ายักษ์พยักหน้าให้คำมั่น โน้มลงไปมอบหวามไหวให้อีกฝ่ายด้วยจูบเบาอ่อน สองมือประคองเอวน้อยที่ลอยตัวบนน้ำเพราะขาไม่ถึงอย่างนึกรักและต้องการมากกว่าจูบ

ตัวใหญ่ประคองอุ้มร่างน้อย ทั้งคู่เปียกโชกไปด้วยหยดใสของน้ำ พากันขึ้นฝั่งในสภาพเปล่าเปลือยกันทั่งคู่ เสียงหยดน้ำเปาะแปะกระทบกับโขดหินอยู่หลายคราจนหายไปแล้ว แล้วคนโดนอุ้มก็หน้าแดงขึ้นมา แปลกใจที่จุดหมายของเคลวินน์ไม่ใช่รังของยักษ์อย่างที่คิดไว้ แต่เป็นทุ่งหญ้าอ่อนแถวนั้น ที่มีขนาดกว้างเหมาะเจาะสำหรับทำกิจกามเสียจนชายหนุ่มนึกกระดาก

“น..นายจะทำตรงนี้เหรอ”

“ไม่ได้หรือ” เจ้ายักษ์ย้อนด้วยคำถาม

“ม..มีแมลงหรือพวกงูรึเปล่า ฉันกลัวโดนกัด”

“ไม่ต้องกลัว พวกมันรู้ว่าข้าอยู่แถวนี้” เจ้ายักษ์โน้มลงวางแวนกัสไว้ที่พื้นหญ้า ความเย็นเยียบทำชายหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อย เกาะกอดคอใหญ่ให้ไม่ยอมห่างหายไปไกล เห็นเคลวินน์ยกยิ้ม สายตาคมสีแดงเพลิงสำรวจมองเขาไร้เสื้อผ้าอย่างพึงพอใจ “เจ้างดงามมาก คู่ของข้า”

คนฟังยกยิ้ม “ฉันดูดีขนาดไหนในสายตานาย”

“กว่าทุกสิ่งบนโลกใบนี้” คำหวานของเคลวินน์เป็นสิ่งที่ทำให้แวนกัสรู้สึกราวกับฝัน ใช่ว่าคนทุกคนจะพูดคำเหล่านี้ออกมาแล้วจะยังน่าฟัง ชายหนุ่มพริ้มตารับความสุขที่อีกฝ่ายมอบให้ สิ่งทำได้คือครวญคราง จิกเท้าไว้กับพื้นหญ้าอย่างไม่อาจบังคับกายตัวเองได้



----------------------------------------

CUT สำหรับคนที่รู้รหัสแล้วให้กด  https://writernoonaa.blogspot.com/2019/10/nc.html (https://writernoonaa.blogspot.com/2019/10/nc.html)

ใครที่ยังไม่รู้รหัสให้ไปหาที่แฟนเพจ แท็กนิยาย #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง

---------------------------------------



“แฟนเกิซ”

ยักษ์ที่ยังคงเปลือยในบ่อน้ำตกร้องเรียกผ่านเสียงน้ำไหล ขณะที่มองร่างน้อยหยิบเสื้อผ้าชุดนอนขึ้นสวมทับหลังจากล้างเนื้อล้างกันเสร็จแล้ว อยู่บนโขดหิน แวนกัสผละไปส่งยิ้มหวานให้ยักษ์ที่ร้องเรียก “ว่าไง หรือว่า...นายติดใจฉันจนไม่อยากให้กลับ”

“เจ้าพูดถูกมนุษย์น้อยของข้า” เคลวินน์เดินขึ้นมาหยุดอยู่ตรงหน้า ประคองใบหน้าเล็กอย่างเอ็นดู “ข้าลุ่มหลงเจ้า”

“งั้นก็จงลุ่มหลงให้มากกว่านี้ เพี้ยง!” คนตัวน้อยร่ายมนต์ใส่เสียงสดใส

“แต่ข้าคาดหวังที่จะสืบพันธุ์”

คนฟังละสีหน้าลง แล้วรอยยิ้มก็หายไป “แล้วไง นายจะบอกว่าฉันเป็นคู่ครองที่บกพร่องเหรอ ฉันทำหน้าที่เมียให้นายไม่ดีหรือไง เมื่อกี้ฉันก็ทำให้นายมีความสุขน้อยไปเหรอ หรือเพราะฉันด่านายที่ทำท่านั้นนายเลยไม่พอใจ...ต่อไปฉันจะไม่ว่านายอีกแล้วก็ได้”

“ข้าหมายถึงอยากมีลูก”

“ก็นั่นแหละ” แวนกัสลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แสดงออกถึงความไม่พอใจ “นายอยากจะไปมีเมียเป็นมนุษย์ที่เป็นผู้หญิงล่ะสิ เพราะฉันไม่สามารถมีลูกให้นายได้ ให้ตายสิ...” คนกล่าวกอดอกเสียงดังขึ้นเพราะความอารมณ์เสีย ทั้งที่ก่อนหน้านั้นยังมีความสุขอยู่ด้วยกันอย่างถึงอกถึงใจแท้ ๆ แต่มาพูดเรื่องลูกอะไรไร้สาระอยู่ได้

“ข้า...”

“งั้นถือว่าเรื่องของเราเป็นโมฆะก็แล้วกัน เรายกเลิกเรื่องจับคู่ นายจะไปมีเมียคนใหม่ที่ไหนก็ไป”

“แฟนเกิซ” เจ้ายักษ์เหมือนจะมีอารมณ์น้อยใจ แต่แล้วก็ฉุกคิดได้ขึ้นมาว่าที่มนุษย์กำลังอารมณ์เสียและเสียงดังใส่เป็นเพราะอะไร มันเดินตรงไปหา สวมกอดร่างนุ่มนิ่มไว้ในอก เมื่อเห็นมันกระทำเช่นนี้ มนุษย์ตัวน้อยของมันที่กำลังพยายามเข็มแข็งที่สุดนั้น ก็อ่อนไหวขึ้นมาอีกครั้ง น้ำตาหล่นแหมะราวกับฝนสั่งได้ของมันในระหว่างที่ถูกกอด

“ฉันไม่ได้เสียใจหรอก นายจะไปหาใครก็เชิญ”

“แฟนเกิซ ได้โปรดฟังข้าก่อน” มันจับคนกอดผละออกมาสบตา ประคองไว้อย่างหวงแหน “ข้าไม่เคยคิดมองมนุษย์ผู้อื่น ข้ารักเจ้ากว่าชีวิตของข้า เหตุใดข้าต้องไปจับคู่กับผู้อื่น ทั้งที่คู่ของข้างดงามกว่าอะไรทั้งโลก”

“แต่นายก็รู้ว่าฉันเป็นผู้ชาย ฉันให้อย่างที่นายหวังไม่ได้”

“ข้ารู้” เคลวินน์จูบเรือนผมคนเศร้า “ข้าขอโทษที่ไม่ได้พูดให้เข้าใจ ข้าหมายถึงต้องการมีลูกกับมนุษย์น้อยของข้าเท่านั้น ไม่ได้หมายถึงมนุษย์ที่ไหนอีก”

“ฉันเองก็ไม่ได้อยากให้นายหมายถึงใครที่ไหน นายเป็นของฉัน”

“ข้าเป็นของเจ้าผู้เดียว แฟนเกิซ ชีวิตของข้าเป็นของเจ้า” เคลวินน์ยังคงยืนยันคำเดิม ฝังริมฝีปากไว้ที่หน้าผากมนุษย์ตัวน้อยที่กำลังหวาดกลัวให้วางใจ แวนกัสถูกอุ้มให้นั่งตัก ปลอบประโลมกอดหอมเอาใจ พร่ำบอกว่าหัวใจของเคลวินน์เป็นเพียงของมนุษย์ผู้นี้เท่านั้น

สองมือต่างขนาดกุมจับกันด้วยความหวงแหน ความเศร้าเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มได้เพียงแค่ไม่กี่ประโยค แม้ในความมืดของค่ำคืนไม่ได้ทำให้แวนกัสรู้สึกหวาดกลัวได้อีก ยามถูกอุ้มพาเดินกันไปทั่วทั้งป่า พูดคุย จีบกันด้วยคำพูดหวานจนพอใจ ก่อนเคลวินน์จะพาชายหนุ่มกลับมายังที่พัก แวนกัสพยายามอย่างที่สุดที่จะไม่ให้คนหลับรู้สึกตัวตื่นในความมืด ยามที่เขาสอดแทรกตัวเข้าไปในผ้าห่มเดียวกันกับเชนที่กำลังหลับ

ทุกอย่างผ่านพ้นไปด้วยดี พร้อมความรักของเขาที่เบ่งบานส่งกลิ่นหอมราวเกสรดอกไม้

ระหว่างที่เชนยังอยู่ การลักลอบพบกันยามค่ำคืนด้วยความคิดถึงของทั้งคู่เกิดขึ้นอยู่ทุกวัน ยิ่งตอกย้ำภายในหัวใจว่าความรู้สึกของสองชีวิตต่างสายพันธุ์แน่นแฟ้นต่อกันมากเพียงไหน แวนกัสรู้สึกว่าตัวเองโหยหา อยากได้รับไออุ่นจากยักษ์ตัวใหญ่ คุ้นชินกับกลิ่นสาบสางความเป็นตัวผู้ของอีกฝ่ายราวกับเป็นสารเสพติดเข้าให้แล้ว

เคลวินน์ไม่ต่างกันนักชายหนุ่มรู้ พบเจอกันบ่อยเข้า แวนกัสไม่จำเป็นต้องเป็นฝ่ายเชิญชวนเจ้าอสูรอีกต่อไปแล้ว กลับกันเป็นฝ่ายชายหนุ่มเสียอีกที่ต้องห้ามปรามให้มันอยู่ในขอบเขตบ้าง เคลวินน์พยายามจะจับคู่กับเขาแทบจะตลอดเวลา ทุกที่ในป่า เป็นยักษ์หนุ่มกลัดมันที่หมกมุ่นกับร่างกายมนุษย์ผู้เป็นคู่ครองของมันอย่างไม่เคยหน่าย และนั่น ก็ทำให้แวนกัสรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกเติมเต็ม

เชนกลับไปแล้ว วินาทีที่เพื่อนรักกลับไป แวนกัสตัดสินใจเรียกให้เคลวินน์มาหา เขาขนข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นของมนุษย์ออกมาวางกองไว้ ส่วนมากจะเป็นของที่เก่าแล้ว และเขาสามารถเอาไปใช้เป็นของสำรองเมื่ออาศัยอยู่ในรังของเคลวินน์ได้ “แฟนเกิซ ของมากมายนี่”

มันก้มลงมองฟูกนอน โต๊ะน้อยสำหรับวางของจิปาถะ กล่องจานชามและถุงผ้าผ่อนส่วนหนึ่งที่ชายหนุ่มวางไว้ให้อย่างงุนงงไม่เข้าใจ

“ขนไปที่รังนายสิ”

“ขนไปที่รังข้า” ยักษ์เอียงคอไม่เข้าใจ ครุ่นคิดแล้วฉีกยิ้มกว้าง “เจ้าจะไปอยู่ในรังกับข้า!”

“แต่รังของนายทำให้เมียนายไม่สบายตัวซะเลย เลยต้องใช้ของพวกนี้ด้วย”

“เมียข้า” เคลวินน์ย้อนสีหน้าลิงโลด ไม่รู้จะดีใจกับคำไหนดีระหว่างที่แวนกัสตัดสินใจตามมาอยู่ที่รังด้วย หรือยามที่อีกฝ่ายแทนตัวเองด้วยคำว่าเมีย มันเดินตรงมาหา กกกอดแวนกัสย้ำกับสิ่งที่ได้ฟัง “เมียของข้า”

คนฟังยกยิ้ม ยังไม่ยักชิน “ในที่สุดนายก็หลอกล่อให้ฉันตกเป็นของนายจนได้”

“ข้าไม่ได้...” มันเถียง แล้วยกอุ้ม “เจ้าต่างหาก ที่หลอกล่อ”

“ใช่ซะที่ไหน ฉันไม่เห็นรู้เรื่อง”

“หรือข้าคิดไปเอง เพราะเรือนร่างของเจ้าเชิญชวนข้าจนทนไม่ไหว” เจ้ายักษ์งุดมองคนในอก คนฟังทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ราวกับไม่เข้าใจในสิ่งที่ยักษ์พูด ทั้งที่ตัวเองเข้าใจไปหมดเสียตั้งแต่ครั้งแรกที่ถูกเจ้ายักษ์ถามแล้ว ชายหนุ่มซุกแก้มกับบ่าใหญ่ ทำทีเป็นเปลี่ยนเรื่องไป “นายเคยขอให้ฉันไปอยู่กับนาย แต่ฉันเป็นคนที่รักสบาย เพราะงั้นนายจะดูแลฉันได้มั้ยนะ”

“ข้าดูแลได้”

“สัญญาแล้วนะ”

“ไปอยู่ร่วมชีวิตกับข้า เป็นคู่ของข้าตลอดไป” เจ้ายักษ์ใช้คำพูดหวานจีบเขาอีกแล้ว แวนกัสยกยิ้มยามได้ฟัง แก้ขัดเขินด้วยการพยักหน้าตอบกลับไปเท่านั้นอย่างเป็นสุข

แต่ถึงจะพูดเช่นนั้น ทั้งสองก็ได้อยู่กันเพียงเป็นพักเท่านั้น แวนกัสของต้องกลับมาที่กระท่อมทำความสะอาดอยู่บ้างสองสามวันครั้งหนึ่ง เกรงว่าผู้คนจะสงสัยว่าเขาหายไปไหน ไหนจะเชนที่เทียวเดินทางมาเยี่ยมเขาเพราะพ่อแม่ของแวนกัสคอยกำชับให้แวะมาอีกด้วย

กี่เดือนไม่รู้ที่ไป ๆ มา ๆ ระหว่างบ้านกับรังของอสูรผู้ที่พ่วงตำแหน่งคนรัก แต่แวนกัสกลับไม่รู้สึกเหนื่อยเลย

เขาเคยชินกับการเดินถอดผ้าผ่อนในรังยามกลางวัน ลงเล่นน้ำ วิ่งไล่จับกัน ความรักของทั้งคู่งอกงามจนไม่รู้ตัวสักนิดเลยว่าดอกไม้ที่เบ่งบานแสนสวย บริเวณเกสรตัวเมียของตนนั้นผสมติดแล้ว มีบางอย่างกำลังเจริญพันธุ์อยู่ในท้องของชายหนุ่มทีละเล็กน้อยอย่างไม่ผิดสังเกตอันใด ทั้งสองยังคงพอใจกับการสมสู่นับครั้งไม่ถ้วนด้วยความรัก อย่างไม่รู้เรื่องอันใดเลยสักนิดเดียว

จนกระทั่งเช้าวันหนึ่ง แวนกัสตื่นขึ้นมาด้วยอาการวิงเวียนเสียยกใหญ่

เจ้าเมล็ดพันธุ์น้อย ๆ เหล่านั้น กำลังจะบอกอะไรบางอย่างให้ชายหนุ่มรับรู้เข้าแล้ว

ทั้งคู่ กำลังจะเป็นพ่อแม่ของเจ้าลูกครึ่งยักษ์ตัวน้อย...





-----------------------------------------------------

กรี๊ดดดด เป็นตอนที่เขียนแล้วมีความสุขมาก ไม่รู้ทำไม ชอบความรักและความอิสระของคู่นี้มากเลยแง้ อยากใช้เวลาด้วยกันทุกวินาที แต่แล้วโชคชะตาก็ทำให้ต้องเสียเวลาไปตั้งสิบหกปี คนเมียก็รอ คนผัวก็อยากไปแต่ไปไม่ได้ แง...

อ่านแล้วฝากคอมเม้นคนละ 12345678910 คอมเม้นด้วยนะคะ 55555 เอาแบบคนงงว่าเม้นอะไรเยอะแยะ เฟบไม่ขึ้นไม่เป็นไร แบบคนเขียนไม่จริงจัง ขอเม้นอลังการไว้ก่อน // กราบเบญจางคประดิษฐ์ 55555555555

หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #12 up06.11.62
เริ่มหัวข้อโดย: Januarysky ที่ 06-11-2019 18:33:45
ชอบตอนเคลฟินน์ใช้เวลาอยู่กับเฟนกัซที่ซู๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดด
ถนอมยิ่งกว่าดอกไม้กลีบบอบเบา
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #12 up06.11.62
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 07-11-2019 04:14:55
 :ruready :ruready บรรยากาศดีจริงๆ ได้กันกลางป่า :hao3:
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #12 up06.11.62
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 07-11-2019 09:37:44
ติดตามจ้า~
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #12 up06.11.62
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 07-11-2019 14:34:59
:ruready :ruready บรรยากาศดีจริงๆ ได้กันกลางป่า :hao3:
เป็นใจมากอะเนอะ อิอิ
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #12 up06.11.62
เริ่มหัวข้อโดย: vy0Cik ที่ 27-12-2019 23:41:00
แง  ภาษาดีมากเลย เจ้ายักษ์น่ารักมากกกกก อยากให้พวกเขาเจอกันแล้ว รอค่าาาา
หัวข้อ: Re: O U T S I D E #ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง (Mpreg) #12 up06.11.62
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 01-11-2021 08:13:45
แง หายไปไหนคะ รอให้มาอัพนานมากแล้ว :hao5: