ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๖ ปัจฉิมบท {ตอนจบ /๑๙/๑๐/๖๒}
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๖ ปัจฉิมบท {ตอนจบ /๑๙/๑๐/๖๒}  (อ่าน 30250 ครั้ง)

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
จะถูกพบไหมนะ รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ พิศตะวัน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-3

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
พี่อาคิราเขาหวงน้องจนอกจะแตกแล้ว

ออฟไลน์ สิงหา

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 121
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
บทที่ ๑๓
สุดเอื้อมมือคว้า







                    ใกล้รุ่งแล้วอาคิรายังคงข่มตาหลับไม่ลง ราชสีห์หนุ่มแม้จะเก็บอาการภายนอกไว้มิดชิดด้วยหน้ากากแห่งความนิ่งเฉย แต่ตัวเขาเองนั้นรู้ดี ว่าภายในอกนั้นร้อนรุ่มกระสับกระส่ายด้วยความห่วงเจ้าพิรัลมากเพียงใด แม้สายใยบางเบาของเขาและสิงห์น้อยที่แอบสร้างขึ้นยังไม่ร้องเตือนถึงอันตรายที่ทุรพลตนนั้นได้รับ ทว่าอาคิราก็ยังคงกลัว เป็นความกลัวไม่กี่ครั้งในชีวิตของมฤเคนทร์หนุ่ม...


อาคิรากังวลเหลือเกินว่าหากพิรัลเกิดอันตรายขึ้นมายามนี้ แล้วเขาจักช่วยน้องได้เช่นไร ในเมื่อพิรัลอยู่ในที่อันตรายซ้ำยังไกลเกินหูเกินตา ไกลจนสุดเอื้อมมือคว้าของเขาเช่นนี้


อาคิราหลับตาลง พลางกำหนดลมหายใจเข้าออกลึกยาวอันเป็นการเข้าสู่สมาธิ ทำการสะกดอารมณ์ตัวเองมิให้ผลุนผลันจนเสียการ กระทั่งบริเวณฝ่ามือถูกกระทบเข้ากับบางสิ่งแผ่วเบาหลายครั้ง อุตมางค์หนุ่มจำต้องออกจากฌานเพื่อเพ่งมองสิ่งที่เข้ามารบกวน ครรลองสายตาปรากฏต่อตัวหนึ่งกำลังบินวนชนเข้ากับมือใหญ่ของตนซ้ำๆ อย่างผิดธรรมชาติ จนราชสีห์หนุ่มเผยยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกลิงโลด ‘ตัวต่อของเจ้าพิรัล’ เมื่อคิดได้ฝ่ามือกว้างจึงแบบออกรับแมลงพิษเข้ามาสู่อุ้งมือ แล้วรุกขึ้นเพื่อประกาศเคลื่อนทัพโดยไว


“เหล่าพี่น้องสิงห์ทั้งหลาย ข้าได้รับสัญญาณจากเจ้าพิรัลแล้ว ทุกตนจงเตรียมตัว พวกเราจักบุกถ้ำพันแสงแลกำราบมันเสียให้สิ้นไป! ”


“โฮกกก” เสียงราชสีห์ทั้งกองทัพพร้อมใจส่งเสียงร้องคำรามลั่นด้วยความฮึกเหิม พร้อมใจมุ่งหน้าต่อสู้เพื่อชิงตัวผู้เป็นที่รัก และแก้แค้นให้แก่ผู้ที่สูญเสียไปอย่างเต็มกำลัง


ด้วยเพราะกองกำลังแอบซุ่มรออยู่ไม่ไกลจากคูหาที่หมายนัก เมื่อแสงแรกสาดส่องไล่หลัง กองทัพสิงห์นำโดยราชสีห์ธีมารวีก็เข้าถึงปากคูหาพันแสงราชสีห์ โดยมีต่อตัวน้อยบินนำพากองทัพแห่งผู้สูญเสียเดินทางเข้าสู่โถงถ้ำอย่างง่ายดาย เมื่อประตูมนตราถูกเจาะทำลายด้วยเส้นใยเชื่อมต่อนำทางจากด้านในคูหา


“โฮก! ” ธีมารวีผู้นำทัพเปล่งเสียงคำราม ประกาศตัวบ่งบอกการมาถึงของตนทันทีที่เท้าเหยียบย่างเข้ามายังเขตด้านในได้สำเร็จ แม้อีกฝั่งจะกระทำการลอบกัดสกปรกมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ราชสีห์สาวไม่คิดลดตัวลงต่ำกระทำตนเช่นนั้นตามไปให้เสียเกียรติ


เสียงคำรามก้องคูหาแก้ว และการสลายตัวของประตูมนต์ทำให้เหล่าสิงห์ที่อาศัยอยู่ด้านในสะดุ้งกลัว นางสิงห์และสิงห์วัยเยาว์พากันวิ่งวุ่นเพื่อหลบภัย ส่วนสิงห์เพศผู้วันฉกรรจ์ต่างปลุกสัญชาตญาณแห่งนักล่าเพื่อเตรียมพร้อม แม้หวั่นเกรงในอำนาจแห่งอุตมางค์เจ้าของเสียง หากครอบครัวของพวกตนนั้นสำคัญยิ่งว่า จึงพากันพุ่งทะยานไปยังต้นเสียงเร็วรี่


“ท่านกลินท์ พวกข้าได้ยินเสียงคำราม มีผู้บุกรุกรึท่าน” เหล่าสิงห์หนุ่มร้องถามกับผู้ทำหน้าที่ตรวจตราคูหาเสียงตื่น


“ถูกแล้ว เกรงว่าพวกเขาจักมาทวงผู้เป็นที่รักกลับคืน พวกเจ้าจงอยู่เฉยสักพักเถิด จักได้มิต้องเสียเลือดเสียเนื้อ เห็นแก่ที่พวกเราทำบาปทำกรรมแก่พวกเขาไว้มาก” อุตมางค์น้อยก้าวออกมาดักหน้าสามัญสิงห์ทั้งกลุ่ม เอ่ยบอกเสียงเรียบ พร้อมด้วยอุตมางค์รุ่นกระทงอีกสามตนด้านหลัง ที่ต่างยืนปักหลักนิ่งเรียงหน้ากระดานคล้ายกำแพงกางกั้นสามัญสิงห์เอาไว้ แม้สิงห์น้อยทั้งสี่ตนยังไม่โตเต็มที่แต่วรรณะอุตมางค์ เช่นไรสามัญสิงห์ก็มิอาจหาญกล้าต่อต้าน


“เจ้ากลินท์ เจ้ากล่าวสิ่งใดออกมา! พวกเจ้าเช่นกัน ทำเช่นนี้มิได้หมายถึง พวกเจ้าทรยศต่อท่านพ่อรึ” ผู้เป็นพี่ร้องถามเหล่าน้องของตนด้วยความไม่พอใจ เมื่อภาสกรที่กำลังมุ่งหน้าไปยังที่เกิดเหตุเช่นกัน ผ่านมาพบเข้าพอดี


“ท่านพี่ ผู้กตัญญูต่อพ่อท่านนั้นมากมาย น้องขอเป็นผู้กตัญญูต่อแม่ท่านเถิด เหล่าทุรพลแลท่านแม่ทุกข์ทนมาแสนนาน พ่อแม่พี่น้องพวกเขาถูกประหัตประหาร ต่างหวาดกลัวมิแพ้พวกเราในครานี้ ท่านพ่อสมควรหยุดเสียที”


“ท่านอาโปรดเห็นใจพวกหลานที่ต้องมองแม่ปลิดชีพตายจากไปต่อหน้าเช่นพวกข้าด้วยเถิด” อุตมางค์อีกสามตนกล่าวอ้อนวอนกันพร้อมเพรียง พวกเขาเหล่านี้เป็นลูกของวิวัสวาน ที่เฝ้ามองผู้เป็นแม่จมน้ำตาทุกเมื่อเชื่อวันจนตายจาก ส่วนผู้เป็นพ่อนั้นก็เห็นพวกตนเป็นเพียงเครื่องมือสร้างอำนาจแก่ท่านปู่เท่านั้น


ซ้ำยังต้องทนมองวรรณะทุรพลเช่นเดียวกับแม่ของพวกตนโดนกระทำซ้ำรอยมาเนิ่นนานเกินทนไหว ยุวอุตมางค์จึงรวมกลุ่มกันเพื่อรอวันได้ปลดปล่อยทุรพลเหล่านี้มาเนิ่นนาน


ในคราแรกพวกเขาคิดว่าต้องกักเก็บความคิดนี้ไว้จนกว่าจะเติบใหญ่ ไม่คิดว่าหนทางแห่งความหวังจะมาถึงเร็วเพียงนี้ เมื่อเห็นช่องทาง อุตมางค์น้อยทั้งสี่คิดไม่รีรอยื่นมือเข้ามาช่วยแม้แต่น้อย


“...ข้าเข้าใจพวกเจ้า พ่อพันแสงแลพี่วิวัสวานมิยอมหยุดยั้ง ส่วนข้านั้นได้รับความเมตตาจากท่านทั้งสองมิน้อย จึงมิอาจทนเห็นพวกท่านต่อสู้เพียงลำพังได้ เช่นนั้นผู้ใดเห็นควรจำยอมก็จงอยู่กับเจ้ากลินท์ ส่วนผู้ใดยึดมั่นต่อท่านพันแสง จงตามข้ามา แต่จงจำไว้ หากสิ้นศึกนี้เราชำนะ ข้าจักมิเว้นหัวผู้ที่ดูดายไว้แม้แต่ผู้เดียว รวมถึงเจ้าด้วยกลินท์” ภาสกรเดินเข้ามายืนประจันหน้ากับน้องชายร่วมอุทรที่สูงเพียงช่วงอกของตน ด้วยความรู้สึกหลากหลาย หนึ่งในนั้นคือความภาคภูมิใจในตัวอุตมางค์น้อยเหลือเกิน มือหยาบจากการกรำศึกวางมั่นบนไหล่น้อง ตาดุคมสบมองแน่วนิ่ง ก่อนโน้มตัวกระซิบแผ่วให้ได้ยินเพียงสอง แล้วบ่ายหน้าออกไปรอเผชิญกับผู้บุกรุกด้วยท่าทีองอาจ เพื่อเข้าไปสมทบกับผู้เป็นพ่อ และพี่ชายอีกตนด้านหน้าเรือน


“หากพี่พ่ายแพ้ พี่ฝากเจ้าจำปาแลหลานในท้องของนางด้วยหนาเจ้ากลินท์”




                    ด้านหน้าเรือนใหญ่บริเวณกลางโถงถ้ำ สองกองกำลังเผชิญหน้ากันส่งความรู้สึกกดดันลอยฟุ้งจนสิงห์ตัวเล็กตัวน้อยสะท้านกลัวหลบเร้นซ่อนกายจนตัวสั่น


“หลานกลับมาเยี่ยมเยือนท่านอา หวังว่าจักมิเอิกเกริกจนทำให้ท่านอาตกอกตกใจจนเกินไปนัก” ธีมารวีทักทายเจ้าของคูหาผู้มีศักดิ์เป็นอาของตนด้วยรอยยิ้มบางเบา ไร้การประณตไหว้อย่างที่ควรเป็น


“ธีมารวีเจ้ากล้าดีเช่นไร ถึงได้บุกรุกคูหาแห่งข้าเยี่ยงนี้ เช่นนี้มิหมายถึงเจ้าหยามเกียรติอารึ” ท่าทีของนางสิงห์สาวนั้นแสดงออกชัดเจน จนไม่ต้องเสแสร้งพูดดีให้เสียเวลา


“ขอสมาเถิดท่านอา ข้าเพียงกระทำดั่งที่ท่านอากระทำมาตลอด เพลานี้ข้าแลพวกพ้องร้อนใจ เนื่องจากต้องการรับลูกหลานกลับคืน จนลืมเลือนเรื่องมารยาทเสียสิ้น ท่านอาโปรดเห็นใจพวกข้าด้วยเถิด”


“พวกมึงอย่าได้ยืนโง่งม ขับไล่พวกมันไปเสีย” วิวัสวานหันสั่งลูกน้องเสียกร้าว แต่กลับต้องขมวดคิ้วจนเป็นปม เมื่อสามัญสิงห์ที่ควรมีมากมายบัดนี้ในทัพกลับเหลือเพียงหยิบมือเท่านั้น ไม่เว้นแม้แต่อุตมางค์รุ่นเยาว์อย่างน้องคนละแม่และลูกทั้งสามของตนล้วนหายหน้ากันไปหมด


“เกิดเหตุใดขึ้น ลูกข้าหลานข้าแลเพื่อนพ้องพวกมึงหายไปที่ใด”


“พวกมันต่างยอมศิโรราบเสียสิ้นแล้ว เหลือเพียงเท่านี้ พ่อท่าน ข้าขออาสาขับไล่พวกมันเองขอรับ” ภาสกรตอบพี่ชาย และขอเป็นผู้อาสาจากพ่อ


“พ่อฝากเจ้าด้วย”


ภาสกรพากลุ่มสิงห์ที่เหลือเดินมาประจันหน้าผู้บุกรุกอย่างไม่ยำเกรง พาให้วิวัสวานที่คิดชิงดีกับภาสกรอยู่เนืองๆ ไม่รอช้าแปลงมือทั้งสองกลับเป็นอุ้งมือสิงห์ กระโดดลงเข้าร่วมวงปะทะด้วยทันที ภาสกรประจันหน้าเข้ากับกัญจน์ราชสีห์ซึ่งคอยท่าอยู่ก่อนแล้ว ส่วนธีมารวีนั้นปักหลักรอเข้ารับการโจมตีจากวิวัสวาน โดยมีนิลปารัชญ์และอาคิรารอคุมเชิงอยู่ด้านหลังไม่ห่าง ทั้งยังมีอุตมางค์จากชุมอื่นอีกสามตนคอยตั้งท่าสกัดมิให้ฝ่ายพันแสงเข้าไปทำร้ายทัพหลังของตนได้


บรรดาสิงห์หนุ่มผู้บุกรุกนั้น ได้รับการฝึกฝนจากราชสีห์ผู้มากฝีมือทำให้พวกเขาแข็งแกร่ง มิได้เป็นสิงห์ชาวบ้านอ่อนหัดยอมให้ผู้ใดมาขยี้ลงได้โดยง่ายเช่นในวันวาน ผนวกกับแต่ละตัวล้วนถูกขับเคลื่อนผลักดันด้วยไฟแห่งความแค้นและโทสะ การห้ำหั่นจึงเต็มไปด้วยความรุนแรง ถาโถมจนกองทัพสิงห์แห่งพันแสงส่อแววเพลี่ยงพล้ำ ถอยร่นในเวลาไม่ช้านาน


“หยุด! พวกเจ้ากระทำการอุกอาจเช่นนี้ มิคิดฤๅว่าข้าจักมิยอมปล่อยให้ตัวเสนียดอย่างทุรพลที่พวกเจ้ามาขอคืนได้มีลมหายใจอยู่อีก ในเมื่อมันเป็นต้นเหตุให้เรือนของข้าลุกเป็นไฟเช่นนี้! ” เมื่อเห็นท่าไม่ดี พันแสงจึงส่งเสียงคำรามกัมปนาทจนสะท้อนทั่วโถงถ้ำ พาให้สิงห์ที่กำลังโรมรันพันตูพากันชะงักงัน


“มึงไปลากไอ้อีทุรพลมาจากเรือนบัดเดี๋ยวนี้”


“หาได้ไม่ขอรับท่านพันแสง สิงห์ตระเวนยามเข้ามาแจ้งว่า พวกมันหายไปกันหมดแล้วขอรับ”


“ระยำ! มันจักหนีหายไปที่ใดได้” พันแสงรู้สึกเหงื่อซึม ในใจราชสีห์ผู้ขลาดกลัวหวิวไหวจนแทบยืนไม่อยู่ ผิดกับบรรดาราชสีห์ฝั่งธีมารวี พวกเขานั้นต่างพรูลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก...ดีมากเจ้าพิรัล


“ท่านพันแสงดูเอาเถิด เหล่าสิงห์ของพวกเราล้วนบาดเจ็บ หากยังฝืนสู้กันบ้านเรือนมิแคล้วถูกทำลายจนหมดเป็นแน่ เช่นนั้นข้ามีขอเสนอ ท่านสนใจฤๅไม่เล่า” น้ำเสียงทุ้มเรียบราบ ร้องต่อรองดังขึ้นมาจากฝูงสิงห์ ทำให้วิวัสวานไม่พอใจ รู้สึกถูกหยามเกียรติเมื่อทั้งใจคิดเพียงว่าบิดาตนนั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าสิงห์จักเอ่ยอ้าปากเช่นนี้ได้


“เจ้าเป็นผู้ใดไยบังอาจต่อรองกับพ่อข้า”


“ข้ารึ ข้าอาคิราบุตรแห่งราชสีห์พรมัน สิทธิ์ในการต่อรองย่อมมีเต็มขั้น”


“ท่านลุงพันแสง ข้าขอท้าชิงอำนาจที่ท่านปล้นจากท่านพ่อของข้าคืน ท่านจักให้เกียรติลงมาต่อสู้กับข้าให้สมศักดิ์ศรีอุตมางค์ ตามครรลองอันถูกต้องในชีวิตของท่านสักครั้งได้ฤๅไม่เล่า”  ร่างสูงใหญ่ผึ่งผายก้าวเท้าแหวกเหล่าสิงห์ในกองทัพออกมายืนเบื้องหน้านั้น ทำให้พันแสงตัวแข็งค้าง...ไม่ผิดแน่ เมื่อสิงห์หนุ่มตนนี้ถอดผู้เป็นบิดามาแทบทุกกระเบียดนิ้ว


“ทะ ท่านอาคิรา บุตรของท่านพรมันยังมีชีวิตอยู่ ผู้มีสิทธิ์โดยชอบยังอยู่! ”


“เจ้า! ถ้ายังเห็นข้าเป็นพ่อจงหยุดต่อสู้บัดเดี๋ยวนี้” สิงห์มีอายุหลายตนเมื่อพบอาคิรา แววตาพลันเกิดปีติ ไม่กลัวตายวิ่งออกจากที่หลบภัยออกร้องสั่งลูกชายของตนให้สยบยอมเสียงลั่น ราวกับไม่นึกเห็นหัวพันแสงเสียแล้ว


วิวัสวานแม้พลาดพลั้งแก่ธีมารวีถึงขั้นได้เลือด ยังมีแรงกำลังหันฝ่ามือเข้าตะปบสิงห์เฒ่าตนนั้นจนล้มลงหายใจรวยรินด้วยความโมโห อนิจจาแทนที่จะทำให้สิงห์ในปกครองเกรงกลัว กลับยิ่งยั่วยุให้พวกมันกระด้างกระเดื่อง จนกลายเป็นการเพิ่มจำนวนสิงห์ที่ยอมจำนน จนแทบไม่มีตัวใดหยัดยืนข้างพันแสงอีก


“ได้” ราชสีห์พันแสงกวาดสายตาไปรอบกาย แล้วตัดสินใจยอมรับคำท้าอย่างไม่มีทางเลือกอื่น คำท้าชิงนั้นถือเป็นคำประกาศิต สิงห์ตนใดไม่ยอมรับย่อมหมายถึงสิงห์ตนนั้นไม่มีศักดิ์ศรีใดหลงเหลืออยู่ ทั้งอีกฝั่งยังมีจำนวนมากกว่าตนเป็นเท่าตัว พันแสงราชสีห์ไม่อาจบ่ายเบี่ยงได้อีก แม้ในใจกำลังหวาดกลัวคำทำนายขึ้นมาครามครัน




การท้าสู้ชิงตำแหน่งตัวต่อตัวนั้น จตุราชสีห์ทุกตนล้วนถือเป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์ เมื่อการต่อสู้ยังไม่รู้ผล ไม่ว่าผู้ใดล้วนไม่มีสิทธิ์ยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยว และเมื่อหลังจบการต่อสู้ ผลแพ้ชนะย่อมเป็นไปตามนั้นไม่มีบิดพลิ้วโต้แย้ง สิงห์ทั้งสองฝ่ายที่ยืนจังก้าเตรียมเข้าฟาดฟันต่างพากันแหวกทาง มายืนล้อมรอบราชสีห์ผู้ท้าชิงตำแหน่งทั้งสอง จนคล้ายลานประลองขนาดย่อม โดยมีนิลปารัชญ์ก้าวเข้ามากลางวงล้อมคั่นระหว่างราชสีห์ผู้ประลองทั้งสอง กาฬสีหะพึมพำคาถา แล้ววาดมือบนอากาศ เกิดเป็นผนังแก้วโปร่งใสล้อมสิงห์ทั้งสอง เพื่อป้องกันความเสียหายจากการต่อสู้ไว้อีกชั้น


เมื่อที่ทางพร้อมสรรพ พันแสงไม่รอช้ากลายกลับร่างราชสีห์เต็มตัว เช่นเดียวกับอาคิราที่คอยท่าอยู่ก่อน ทั้งสองยืนประจันหน้ากันด้วยร่างเดรัจฉาน รูปลักษณ์สูงใหญ่สง่างามอัดแน่นด้วยพลังอำนาจ เรือนขนทั่วกายขาวบริสุทธิ์ราวเปลือกหอยสังข์นั้น เปล่งประกายเจิดจ้าเทียมดวงสุริยาบนฟากฟ้า ตัดด้วยลายผ่านกลางกาย ริมฝีปาก เล็บ และปลายหางสีแดงราวกับทาด้วยครั่ง แผงคอหนาสลวยสีชาดเสริมให้ไกรสรสีหะทั้งสองตนยิ่งน่าเกรงขาม เสียงคำรามประสานกันจนโถงถ้ำสั่นสะเทือน ราชสีห์ทั้งสองต่างจ้องมองกันเพื่อข่มขวัญ ก่อนต่างฝ่ายจะวิ่งโหนกระโจนเข้าปะทะ โรมรันด้วยกรงเล็บและคมเขี้ยว สิงห์ทั้งสองผลัดสลับหาจังหวะเพื่อใช้เล็บแหลมคมตบอีกฝ่ายอย่างไม่มีใครยอมใคร


กระทั่งแรงโน้มถ่วงดึงร่างของทั้งคู่ลงสู่พื้นดิน ในจังหวะนั้นพันแสงผู้มากประสบการณ์มากกว่า อาศัยจังหวะอ้าปากกว้างขยำเข้าใบหน้าสิงห์หนุ่มผู้คิดลองดี หากความเยาว์วัยและประสาทสัมผัสที่ถูกเคี่ยวกรำมาไม่น้อย ทำให้อาคิรารู้ตัวเบี่ยงหน้าหลบได้ทันท่วงที คมเขี้ยวจึงฝั่งเข้าแผงคอแทนใบหน้า พันแสงไม่ทันได้ตั้งตัวจากความผิดพลาดจนเสียจังหวะ เมื่อเงยหน้าหมายซ้ำกลบความพลั้งพลาด กลับโดนอุ้งมือแกร่งของหลานตะปบเข้าใส่จนหน้าสะบัดเสียหลักล้มหงาย อาคิราได้จังหวะนั้นโถมกายพลิกกลับมาคร่อมข่มพันแสงไว้ได้บ้าง สิงห์หนุ่มไม่รอช้าใช้ความได้เปรียบนี้ก้มลงขย้ำฟัดครึ่งปากครึ่งจมูกของอีกฝ่ายจนกลิ่นเลือดคาวคลุ้ง อาคิราฝังเขี้ยวย้ำซ้ำจนพันแสงตัวอ่อนหายใจรวยริน สิงห์หนุ่มจึงผละออกตะปบฝ่ามือลงบนอก ส่งเสียงคำรามลั่นประกาศชัยชนะของตนเหนือศัตรู แผงคอสีชาดที่เคยฟูแน่นพลันส่องประกายแสงเจิดจ้าขึ้นส่งให้มฤเคนทร์หนุ่มยิ่งดูสง่างามเรืองอำนาจ...เป็นสัญลักษณ์ผู้ชนะ สัญลักษณ์แห่งจ่าฝูงที่แท้จริง


“โฮกกก! ”


“บัดนี้พันแสงพ่ายแพ้แก่ข้า อาคิราบุตรของราชสีห์พรมัน ของให้ผู้แพ้ทุกตนคงไว้ซึ่งศักดิ์ศรียอมศิโรราบต่อข้าแต่โดยดี” อาคิราประกาศกร้าว เมื่อกลับคืนสู่ร่างมนุษย์อีกครั้ง


เสียงเฮละโลดังลั่นคูหาด้วยความยินดี ไม่เว้นแม้แต่สิงห์เจ้าบ้านบางตนที่ถึงกับปล่อยโฮร้องไห้สะอื้น เมื่อความอัดอั้นตันใจที่ต้องฝืนทำชั่วมานานได้มลายหายไป


หลังการต่อสู้จบลงสิงห์ในชุมของพันแสงถูกรวบมารวมไว้ยังลานกลางถ้ำ เพื่อชำระโทษเป็นลำดับต่อไป โดยอาคิรา และธีมารวี มอบหน้าที่นี้ให้แก่ นิลปารัชญ์และพวกพ้องจตุราชสีห์ฝั่งมังสวิรัติเป็นผู้จัดการ


“สิ่งนี้คือบ่วงปราพก สืบทอดมานานตั้งแต่เหตุการณ์ ‘ผนึกจตุราชสีห์’ บ่วงนี้จักจองจำพวกเจ้าไปตลอดชีวิต เพื่อกำกับมิให้พวกเจ้ากระทำการเลวร้ายได้อีก หากผู้ใดฝ่าฝืนจักร้อนรนราวไฟผลาญจนมอดม้วย เพราะฉะนั้นพวกเจ้าจงละความแค้นแลสำนึกถึงความผิดของตัวเองเสีย” ทันทีที่บ่วงถูกสวมเข้าลำคอ จากเชือกสีแดงฉานกลับกลายกลืนเข้าไปกับผิวเนื้อ เกิดรอยปานแดงลักษณะคล้ายเปลวไฟบริเวณรอบคอ ราวกับเป็นการประจานไปด้วยในที จนครบทุกตน ไม่เว้นแม้แต่สิงห์ชั้นอุตมางค์อย่าง ภาสกร และ วิวัสวาน


“ข้าฝากทางนี้ด้วยท่านรวี ข้าจักไปรับเจ้าพิรัล”


อาคิรากล่าวกับพี่สาว พลางปล่อยตัวต่อออกมาอีกครั้ง เพื่อให้แมลงตัวน้อยได้ทำหน้าที่นำทางเขาไปหาคนที่เป็นห่วงสุดหัวใจ เมื่อเป็นอิสระอีกครั้ง แมลงพิษบินฉวัดเฉวียนแหวกผ่านอากาศจนมาหยุดที่กำแพงถ้ำแก้ว ปีกเล็กกระพือรัวเร็วพาร่างของมันบินวนอยู่อย่างนั้นไม่ไปไหน ขณะที่อาคิรานั้นรีบก้าวเท้าเข้าสู่เรือนลับอันคุ้นเคย หลังเหยียดยิ้มกับความมากเล่ห์ของพิรัลนลิน


“เจ้าตัวยุ่ง”


ร่างสูงตระหง่านก้าวเข้าสู่เรือนหลังถ้ำคราแรก ทำเอาทุรพลที่หลบซ่อนด้วยความหวั่นวิตก ส่งเสียงร้องลั่น จนกระทั่งพิรัลนลินเอ่ยชื่อผู้มาเยือนขึ้นมาด้วยเสียงสั่นเครือ ทุรพลตนอื่นถึงค่อยๆ ได้สติขึ้นมา


“พี่อาคิรา... พี่อาคิรา” พิรัลนลินทั้งดีใจและโล่งใจ ทุรพลน้อยวิ่งโผกอดผู้มาถึงไว้ทั้งตัว เพราะยามอยู่ภายในเรือนลับแห่งนี้แม้ไม่อาจเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่พวกเขายังคงได้ยินเสียงคำรามและเสียงกระทบกระทั่งจากการต่อสู้ ทำให้เจ้าสิงห์น้อยรู้สึกห่วงอุตมางค์ในอ้อมแขนจนอยากจะร้องไห้ออกมาเสีย


แต่ขณะนี้เมื่อได้รับอ้อมกอดอบอุ่นแนบแน่นจนได้กลิ่นเปลือกไม้หอมจากเรือนกายใหญ่ พร้อมเสียงทุ้มแผ่วอีกครั้ง ทำให้ความเข้มแข็งที่พิรัลสะกดเอาไว้พังทลายลงสิ้น ทุรพลน้อยไม่เคยรู้ตัวเลยว่ากำลังฝืนตัวเองมากมายเท่าไร จนกระทั่งเมื่ออาคิราปรากฏตัวขึ้นมาเบื้องหน้า


“ฮึก พี่อาคิรา”

...เคยกล่าวไว้ว่าหากตายก็มิเป็นไร หากตายก็หามีใครคอยเบื้องหลังนั้นมิใช่เลย ยามเสี่ยงอันตรายอย่างแท้จริง พิรัลนลินกลับสวดภาวนาในใจให้ทั้งตัวเองและพี่อาคิรารอดปลอดภัย เพราะความจริงแล้ว...พิรัลมีความกลัว...พิรัลยังอยากได้โอกาส...พิรัลยังอยากพบพี่อาคิรา...


“จบลงแล้ว มิมีเรื่องร้ายใดแล้ว เจ้าทำได้แล้ว เราทำได้แล้วหนาเจ้าพิรัล พี่มารับเจ้าแล้ว”


“ฮึก”


“ข้าขอเชิญพวกท่านออกไปด้านนอกเถิด เพลานี้ญาติพี่น้องของพวกท่านกำลังรอพวกอยู่” ทุรพลทุกตนต่างขอบคุณอุตมางค์หนุ่มปากคอสั่น รีบจับจูงพากันออกไปยังลานกลางถ้ำด้วยหัวใจแช่มชื่นจนรู้สึกราวกับมีปีกบิน


บรรยากาศแวดล้อมเดิมๆ ไม่ชวนหดหู่สิ้นหวังอีกต่อไป ท้องฟ้าผ่านม่านแก้วนั้นก็สดสวย แม้แต่อากาศยามที่ได้หายใจเข้านั้นช่างปลอดโปร่งเสียจนอดที่จะหยุดหายใจเข้าเต็มปอด ยิ่งใบหน้าของผู้ที่ห่วงคิดถึงปรากฏในครรลองสายตา น้ำตาแห่งความปีติจึงไม่อาจสะกดกลั้นได้...ความหวังที่ถูกเติมเต็ม ความรู้สึกที่มีอิสรภาพนั้นเป็นเช่นนี้เองหนอ




“แม่ ลูกขอสมาท่าน ลูกอ่อนแอ ที่ผ่านมาลูกไม่สามารถช่วยเหลือแม่ ปล่อยให้แม่ต้องทนทุกข์มานานเหลือเกิน” กลินท์ถลาเข้าหาแม่ของตนแล้วก้มกราบแทบเท้า ไม่เว้นแม้แต่ภาสกรที่ถูกจองจำ


...ภาสกรเป็นบุตรตนที่สองของพันแสง เมื่อแรกเกิดเขาถูกเลี้ยงดูโดยนางสิงห์แม่นม และถูกสั่งสอนโดยพันแสง ถูกสอนให้กตัญญูต่อผู้เป็นพ่อ และสั่งให้เห็นแม่เป็นเพียงผู้ทำหน้าที่ให้อาศัยครรภ์เกิดเท่านั้น แม้จะอยากผูกสัมพันธ์กับแม่บ้าง ก็ถูกกีดกันอยู่ร่ำไป จนรู้สึกเหินห่าง และภักดีกับผู้เป็นพ่อมากกว่า ผิดกับกลินท์ผู้น้องเกิดมาไม่สามารถดื่มน้ำนมนางสิงห์ตนอื่นได้ อาจด้วยคำอธิษฐานของนางรำไพ กลินท์น้อยจึงได้คลุกคลีกับผู้เป็นแม่จวบจนวัยหย่านม


“แม่มิถือโทษโกรธลูก ซ้ำยังตื้นตันนักหนาที่ลูกเห็นแก่แม่ทุรพลตนนี้ ลูกด้วยหนาภาสกร บนคอเจ้านี้เจ็บมาไหมลูก” นางสิงห์รวบกอดลูกชายทั้งสองของตนแน่น นี่เป็นครั้งแรกที่ภาสกร และ กลินท์ ได้เห็นผู้เป็นแม่ยิ้มได้เต็มแก้มเช่นนี้...ยามแย้มยิ้มท่านแม่งดงามเป็นที่สุด


“จำปา...ข้า ข้าขอสมาเจ้าด้วย” ภาสกรผละจากอ้อมอกของแม่ หันมาเอ่ยกับคู่ของตนด้วยความเศร้า ตาคมกล้ามองจดจ้องไปที่ท้องนูนแล้วยิ่งรู้สึกละอายใจ


“ข้ายกให้ ถือเสียว่าอย่างน้อย ท่านยังให้เกียรติข้ามากพอดู เท่าที่ท่านจักกระทำได้ ข้ามิติดใจอันใด” จำปาเชิดหน้าขึ้น ใจหนึ่งไม่อยากแม้แต่จะปรายตามองผู้เป็นสามี แต่อีกใจกลับโอนอ่อนลงอย่างน่าเจ็บใจ แม้ภาสกรจะไม่ได้ดูแลตน ทว่าก็พูดไม่ได้ว่ากระทำการร้ายกาจใด ยิ่งถ้าเทียบกับวิวัสวานที่กระทำต่อทุรพลตนอื่น จำปาถือว่านางยังมีบุญอยู่มาก


“เช่นนั้น ข้าขอดูแลเจ้าแลลูกได้ฤๅไม่ ขอให้ข้าได้ทดแทนเจ้าในวันคืนที่ผ่านมา”


“...”


“ข้าคงขอมากไป... ขอสมาเจ้าอีกสักคราเถิด” ภาสกรกล่าวกับตนเองเสียงแผ่ว หมดคราบราชสีห์ผู้องอาจเสียสิ้น


นางสิงห์จำปาเม้มปากนิ่งชั่งใจ มือเรียวงามยกขึ้นลูบลงบนหน้าท้องแผ่วเบาอย่างใช้ความคิดครู่ใหญ่ จึงเอ่ยปากเสียงเรียบ


“จักลองสัมผัสดูฤๅไม่เล่า...ลูกท่านในครรภ์ของข้า” ภาสกรนิ่งค้าง จนกระทั่งผู้เป็นแม่แตะตัวเรียกสติ ฝ่ามือหนาหยาบสั่นเทาถึงค่อยๆ เอื้อมสัมผัสลงบนท้องนูน อุตมางค์หนุ่มพยายามอย่างสุดชีวิตที่จะสัมผัสให้แผ่วเบาและนุ่มนวลที่สุด เท่าที่สิงห์ผู้เป็นนักรบตนหนึ่งจักทำได้


...เมื่อได้สัมผัส คราที่ลูกน้อยในอุทรออกแรงถีบเบาๆ จนรู้สึกได้ ภาสกรตัดสินใจในวินาทีนั้น ปฏิญาณในใจว่าเขาจะสั่งสอนลูกของเขาให้ดี เจ้าสิงห์น้อยตนนี้ต้องไม่โตมาบิดเบี้ยวเช่นเดียวกับเขาเป็นอันขาด




ขณะที่ความสุขกำลังฉาบไปทั่วทั้งโถงถ้ำ ทุรพลน้อยก้าวตรงไปยังอุตมางค์สิงห์อดีตผู้ครองคูหา ที่ยังคงนอนนิ่งจมกองเลือดบนพื้นหมดสง่าราศีโดยไร้ผู้ใดแลเหลียว


“ครานี้ท่านคงจักรู้แจ้งแล้วถึงความสูญเสียที่ชุมข้า แลทุรพลทุกตนได้รับ กอบโกยมากแล้วเช่นไร ครอบครองยิ่งใหญ่แล้วเช่นไร สุดท้ายหนทางไปมิต่างกัน ข้าหมดแล้วซึ่งความอาฆาตแค้นต่อท่าน ข้าถือว่าที่เป็นอยู่นี้ท่านได้ชดใช้ต่อข้าแล้ว ข้าอโหสิกรรม” พิรัลนลินกล่าวเสียงเรียบเรื่อย ทอดมองร่างครึ่งเป็นครึ่งตายนิ่งนานหมดแล้วซึ่งความแค้นเคือง ทุรพลน้อยรู้สึกราวกับจิตวิญญาณของตนราวกับได้รับการปลดแอก กล่าวเพียงเท่านั้นแล้วหันหลังให้ไม่คิดเหลียวมองกลับไปอีก


หลังจากนั้นทั้งอาคิราและพิรัลซึ่งมีวิชาการรักษา ต่างแยกย้ายกันเข้าปฐมพยาบาลเหล่าสิงห์ที่ได้รับบาดเจ็บทันที


ทว่าขณะง่วนอยู่กับการปฐมพยาบาลจนไม่ทันระวังตัวนั้น วิวัสวานที่ความเจ็บแค้นอัดแน่นระอุในอกมากเสียจนสามารถกลบกลืนความร้อนของไฟผลาญในร่าง อาศัยความชะล่าใจของสิงห์ตนอื่น กระชากเชือกพันธนาการของตนออก


“ไอ้ทุรพลจัญไร มึงมันตัวฉิบหาย! ” อุตมางค์ผู้มีความแค้นแน่นอกพุ่งเข้าตะปบร่างบอบบางของทุรพลที่หันกลับมาตามเสียงตะโกน อย่างไม่ระมัดระวังเต็มร่าง กรงเล็บคมกรีดลึกสร้างบาดแผลฉกรรจ์จนร่างของพิรัลนลินล้มลงไปนอนกองกับพื้น มือน้อยของทุรพลค่อยๆ โอบกอดกลางลำตัวของตนเองแน่น ขณะเลือดสีแดงฉานค่อย ๆ ไหลอาบย้อมไปทั้งร่าง ดวงตากลมโตพลันปิดลง เช่นเดียวกับลมหายใจที่ปลิดปลิว...







++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

สิงหา...ถึงนักอ่าน

ขออนุญาตตัดฉับแบบละครนะคะ
เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับตอนนี้
สำหรับตอนนี้มีการเขียนฉากต่อสู้ของราชสีห์ ซึ่งเราหาข้อมูลประกอบจากสารคดี
พยายามจับท่าทางการสู้กันให้มากที่สุด ซึ่งสิงโตจริงๆเขาสู้กันแป๊บเดียวเองค่ะ
ดูแล้วดูอีก พยายามแล้วเขียนได้เท่านี้จริงๆค่ะ แฮ่ๆ
ส่วนดราม่าช่วงท้าย สัญญาว่าหน่วงนิดเดียวค่ะ ฮึบเดียวจริงๆ


สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณทุกๆ คอมเมนต์นะคะ
หากมีคำผิด หรือจุดที่อยากแนะนำ นักอ่านสะกิดเตือนได้เลยค่ะ
ผู้เขียนน้อมรับฟังนักอ่านทุกท่าน ด้วยความขอบคุณ
พบกันใหม่ใน คืนวันเสาร์หน้า นะคะ







ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
แงงงง น้องพิรัลยังตายไม่ได้นะ ขอให้น้องปลอดภัย
 :sad4: :sad4: :sad4:

ออฟไลน์ พิศตะวัน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-3

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
รวดเดียวจบ ไหงเป็นงั้นอะ

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

ออฟไลน์ oilzaza001

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1

ออฟไลน์ Kanni

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
รออยู่นะ จะลงแดงตายแล้วววว :hao5:

ออฟไลน์ unicorncolour

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1001
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1

ออฟไลน์ สิงหา

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 121
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
บทที่๑๔
ความหวังเดียวของดวงตะวัน







                    อาคิราพุ่งตัวตรงเข้ามาหมายจะช่วยขวางร่างน้อยจากอันตราย อาคิราฟาดอุ้งมืออันประดับไปด้วยกรงเล็บแหลมคม ฝังลงบนใบหน้าวิวัสวานออกแรงสะบัดจนร่างของสิงห์หนุ่มลอยละลิ่วห่างออกไปหลายวา ทว่ากลับไม่ทันการณ์ ร่างของพิรัลนลินทรุดกองลงบนพื้นไปเสียแล้ว อุตมางค์หนุ่มรีบเข้าประคองร่างอาบเลือดของพิรัลนลินไว้แนบอก


“พิรัล เจ้าพิรัล” แม้จะร้องเรียกเท่าใดพิรัลนลินก็ยังคงนิ่งงัน ด้วยร่างของมนุษย์ไม่อาจทนรับแรงมหาศาลของราชสีห์ชั้นอุตมางค์ได้ ริมฝีปากสีสดไม่อาจเอื้อนเอ่ยสิ่งใดตอบกลับ มีเพียงลิ่มเลือดที่ไหลทะลักจากอาการช้ำใน


ยามที่จังหวะชีวิตของทุรพลน้อยอ่อนลงจนไม่สามารถรับรู้ได้ถึงลมหายใจ อาคิราคล้ายถูกลั่นดาล สมองเคว้งคว้างมึนเบลอ หูทั้งสองอื้อตึงสดับได้เพียงเสียงหวีดหวิว นัยน์ตาคมคล้ายมืดบอดไปชั่วขณะ...คล้ายโลกดับ ก่อนจะแปลเปลี่ยนเป็นโทสะปะทุเดือด!


“ท่านรวี ข้าฝากพิรัลสักประเดี๋ยว” อาคิราบรรจงวางร่างโอนอ่อนของพิรัลลงบนตักของพี่สาว ที่วิ่งเข้ามาดูอาการของสิงห์น้อยเช่นกัน ร่างสูงสง่างามย่างสามขุมเข้าหาผู้ที่บังอาจทำร้ายยอดดวงใจ อาคิราผู้ถูกเปรียบเป็นหินผาสั่นคลอนกลายสภาพเป็นพายุแห่ง  ปรลัย[1] มืดทะมึน


“ท่านอาคิรา ได้โปรดหยุดเถิด หยุดพินิจดูที วิวัสวานวิปลาสไปเสียแล้วหนาท่าน” เสียงหนึ่งดังขึ้น เมื่อเห็นว่าหลังจากประทุษร้ายทุรพลจนสิ้นใจ อุตมางค์ผู้นั้นก็ตาเหลือกกลอกกลับไปมา ซ้ำยังร่ำไห้สลับหัวร่อจนน้ำมูกน้ำตาไหล เกลือกกลิ้งถัดตัวหมดสิ้นราศีจนน่าเวทนา หากแต่ยามโมหะเข้าครอบงำ เสียงที่ได้ฟังนั้นไม่ต่างจากลมแผ่วที่ลอยผ่านหู


“วิปลาสแล้วเยี่ยงไร มิวิปลาสแล้วเยี่ยงไร มันทำร้ายพิรัลของข้า ต่อให้มันพิกลพิการร่วมด้วยข้าก็มิละเว้น! ” อาคิราคำรามลั่นจนคูหาสะเทือนราวกับจะแยกแตกถล่มลง สิงห์วิกลจริตตื่นกลัวกว่าผู้ใดตะเกียกตะกายหันหลังเตรียมวิ่งหนี มีหรือที่อาคิราจะยินยอม ร่างสูงพุ่งทะยานกระชากร่างวิวัสวานให้หันกลับ ตามด้วยการตะปบกรงเล็บพาดยาวลงบนแผ่นอกกว้างนั้นเต็มแรง จนอีกฝ่ายล้มลงบนพื้นอย่างหมดท่า...กระทำเช่นเดียวกับที่พิรัลโดนไม่ให้ผิดเพี้ยน


“เจ็บ ฮื่อ ข้า เจ็บ ฮื่อ”


“มึงจงจำไว้ สลักไว้ให้ถึงดวงจิต มึงถือสิทธิ์ใดมาทำร้ายคู่ของกู! ” กระทืบฝ่าเท้าลงบนอกสิงห์วิปลาสอย่างแรงจนอีกฝ่ายกระอักเลือด อาคิราย่อตัวลงกล่าวเสียงเหี้ยมเกรียมช่วยขนลุก ก่อนกระชากร่างสะบักสะบอมขึ้นมา ขย้ำกรงเล็บลึกลงบนลำคอ


“ฮึก จำแล้ว ข้า...อึก...”


“ค่อยๆ ระลึกไว้ ระลึกไว้จนกว่าจักหมดลมหายใจของมึง” ว่าแล้วจึงผลักร่างปวกเปียกลงสู่พื้น ปล่อยให้ความเจ็บปวดของบาดแผลค่อยๆ พรากลมหายใจของวิวัสวานไปทีละน้อย...




                     อาคิราไม่ต้องการให้คราบเลือดของสิงห์ชั่วผู้นี้ต้องมาแปดเปื้อนร่างของพิรัลได้แม้เพียงกระผีก อุตมางค์หนุ่มจึงเบี่ยงกายไปล้างคราบเลือดบนตัวจนหมดจดเสียก่อนแล้วกลับมายังร่างของพิรัลอีกครั้ง ไม่ไยดีต่อสายตาหวาดกลัวหรือแม้แต่ร่างหายใจรวยรินของราชสีห์พ่อลูกคู่นั้นแม้หางตาแล ร่างสูงก้มลงรับร่างไร้ลมหายใจของพิรัลมาจากธีมารวี อาคิราโอบอุ้มร่างบอบบางขึ้นแนบอก พาทุรพลน้อยของเขาไปพักผ่อนบนเรือนที่ใกล้ที่สุด ใบหน้าหล่อคมอันนิ่งสงบอยู่เป็นนิจยิ่งเรียบสนิทกว่าเคย คล้ายอุตมางค์หนุ่มได้สร้างปราการแข็งกล้า เพื่อที่จะจมตัวเองอยู่ในโลกจินตนาการที่มีเพียงตนและผู้ที่อยู่ในอ้อมแขนเพียงเท่านั้น จนไม่มีสิงห์ตนใดกล้าเอ่ยคะคาน แม้แต่ผู้ที่อาคิราให้ความนับถือมากที่สุดอย่างธีมารวีเอง






ขณะเดียวกันพันแสงที่ยังไม่สิ้นใจ ได้นางสิงห์รำไพเข้ามาประคองร่างอ่อนแรงของสามีขึ้นหนุนตัก มีลูกชายและหลานๆ เฝ้าขนาบซ้ายขวา


“พันแสงปล่อยวางเสียทีเถิด” แม้ไม่ได้รักใคร่ต่อกัน แต่นางสิงห์ที่ได้เฝ้ามองความเป็นมาของญาติและสามีตนนี้ตั้งแต่ยังเล็ก อดที่จะรู้สึกเวทนาเขาไม่ได้เช่นกัน


พันแสงเองแม้บาดเจ็บหนัก แต่สติรับรู้ยังคงแจ่มชัด นอนพังพาบน้ำตาไหลรินเป็นสายกับความย่อยยับที่เกิดขึ้น ความทรงจำเมื่อครั้นยังเยาว์วูบผ่านเข้ามาในห้วงคำนึง


ยามเป็นลูกสิงห์พันแสงเฝ้ามองมารดาไล่ตามความรักจากสามีทุกลมหายใจ...ลูกเช่นพันแสงเป็นเพียงเครื่องมือที่นางใช้เรียกร้องความสนใจจากสามี เมื่อเขายังเฉยชา จากความรักกลับกลายเป็นความน้อยใจ จนกลายเป็นความเกลียดแค้นชิงชังในที่สุด นางหันมากรอกหูอยู่เสมอว่าเขาต้องยิ่งใหญ่ให้ยิ่งกว่าพ่อ นางเริ่มศึกษาศาสตร์แห่งพิษ ผสมคารมมากเล่ห์ซ่องสุมกำลังรอวันที่เขาเติบใหญ่ เฝ้าตามรังควานทุรพลสิงห์ทุกตนที่เข้าใกล้สามี แล้วกลับมานั่งร่ำไห้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ด้วยนางรู้ว่าหัวใจรักของเขาไม่เคยเป็นของนางที่เป็นคู่ตุนาหงัน พันแสงถูกหล่อหลอมด้วยความบิดเบี้ยวของผู้เป็นแม่ จนกระทั่งนางตายจากด้วยยาพิษของนางเอง จากอุตมางค์ผู้เป็นทายาทสืบคูหา ถูกลดเหลือเพียงลูกสิงห์ที่มีแม่เป็นนางทุรพลใจโฉดให้เหล่าสิงห์ในชุมตราหน้า


เพียงไม่นานพ่อของพันแสงได้ครองรักกับนางสิงห์ผู้มอบใจรักให้สมใจ นางสิงห์ระพีผู้งดงามอ่อนหวาน ต่างจากแม่ของตนผู้ใจร้อนร้ายราวฟ้ากับเหว อหัสกรและระพี มีลูกด้วยกันหนึ่งตนนามว่า พรมัน อุตมางค์สิงห์ผู้เกิดมามีพร้อมทั้งความรักของพ่อและแม่ มากด้วยความสามารถจนเป็นที่รักของเหล่าสิงห์ในชุม รวมถึงตำแหน่ง ทายาท รุ่นต่อไป


ส่วนพันแสง ถูกเลี้ยงดูด้วยเหล่าสิงห์ที่แม่ของเขาทำการซ่องสุมไว้ แม้เขาจะเป็นลูกสิงห์ขี้กลัว และชื่นชอบงานศิลปะ นึกอยากเกิดเป็นสามัญสิงห์ หรือ ทุรพลไปเสีย ทว่าเมื่อถูกกรอกหูซ้ำไปมาถึงความเจ็บช้ำที่แม่ได้รับจากพ่อ ให้เขาต่อสู้เพื่อปณิธานของแม่จนเติบใหญ่ทุกวี่วัน ซ้ำแม้พยายามเฝ้าฝึกฝนตนเองเพียงใด พันแสง ไม่เคยมีสิ่งใดสู้น้องชายของตนได้เลย ได้สั่งสมความคิดร้ายให้กับพันแสงในที่สุด ยิ่งคิด พันแสงโกรธเคืองพ่อ นึกโทษแม่ที่บ้าคลั่งไร้สติ โดยเฉพาะความรู้สึกชิงชังน้องชายจนเต็มหัวใจ น้องชายผู้ได้ครอบครองทุกสิ่งแม้กระทั่งทุรพลสาวที่พันแสงมีใจ เฝ้ามองความสุขที่ห้อมล้อมด้วยความริษยา


จนกระทั่งมีโอกาส ยาพิษที่แม่เก็บไว้ยังอยู่ และครั้งนั้นเป็นพันแสงที่ได้รับชัยชนะเหนือพรมันเป็นคราแรก ทว่าบัลลังก์ที่ได้มากลับว่างเปล่าเย็นเหยียบและเต็มไปด้วยความหวาดระแวง ต้องมีอำนาจขึ้นอีก ต้องครอบครองอุตมางค์ให้มากขึ้น...แต่สุดท้ายพันแสงก็ต้องมาพ่ายแพ้ให้แก่อาคิราลูกของพรมัน


“เหตุใด โชคชะตาจึงมิเข้าข้างข้าบ้าง หามีสักคราเลย เหตุใดจึงเป็นข้าที่ถูกทอดทิ้ง อึก”


“โชคชะตาเข้าข้างท่านแล้ว แม้ท่านไม่สมหวังในรักคราแรก ทว่าอรุณนั้นรักท่านด้วยความจริงใจ ท่านมีลูกชายผู้เข้มแข็งถึงสองตน หากท่านหยุดลงเพียง พรมัน กลับตัวครองตนในศีลธรรม ก่อร่างสร้างชุมให้เข้มแข็ง มีรึที่อาคิราจักสามารถรวบรวมกองกำลังจากสิงห์อื่นมาหนุนหลัง แลมีพลังอำนาจล้มล้างท่านได้เช่นนี้ ’สวรรค์ส่วนหนึ่งตัวท่านนั้นเล่าเป็นส่วนใหญ่‘ ชัยชนะของท่านมิได้ได้มาด้วยความขาวสะอาดแลมีเกียรติ แปลกอันใดที่ต้องถูกเอาคืน”


พันแสงนิ่งเงียบ ราชสีห์ผู้อ่อนล้าเพียงหลับตานิ่งนานปล่อยหยาดน้ำตาหลั่งริน


‘ความเลวร้ายที่ข้ากระทำ ข้ามิขอสมาต่อผู้ใด ข้าพร้อมรับกรรมทุกสถานในปรโลกเพื่อชดใช้ให้หมดสิ้นกัน จักได้มิต้องมีสิ่งใดติดค้างให้ต้องผูกเวรผูกกรรมต่อกันอีกต่อไป’ พันแสงใช้แรงเฮือกสุดท้ายปลดปล่อยความคิดความริษยาที่เป็นโซ่พันธนาการดวงตาและหัวใจ เช่นเดียวกับลมหายใจและจิตวิญญาณ


“พันแสง ข้ารู้ว่าท่านเหนื่อยมานานแสนนาน ภพภูมิอันทุกข์ตรมเช่นนี้จงปล่อยวางเสียเถิด ข้าอโหสิกรรมแก่ท่าน แลจักเฝ้าสวดภาวนาให้ท่านหลุดพ้นแลไปสู่ในภพภูมิที่ดี” รำไพก้มกระซิบข้างหูของผู้มีฐานะสามีเป็นครั้งสุดท้าย ไม่ใช่แค่พันแสง บัดนี้นางก็รู้สึกได้ถึงอิสรภาพอันปลอดโปร่งได้เช่นกัน






“บ่วงปราพก นั้นมีฤทธิ์ทำให้วิปลาสฤๅท่านนิลปารัชญ์” กัญจน์ราชสีห์เอ่ยถาม ขณะที่พวกเขายืนมองความเป็นไปภายในคูหาพันแสง อุตมางค์หนุ่มจดจ้องไปยังรอบคอของสิงห์ที่มีรอยเปลวไฟด้วยความอัศจรรย์และขยาดกลัวในคราเดียว


“หามิได้ บ่วงปราพก มีฤทธิ์แผดเผาร่างกายจากภายในยามที่ผู้สวมใส่คิดการร้ายขึ้น เช่นคราที่เหตุการณ์ผนึกจตุราชสีห์เกิดขึ้นมินาน บ่วงนี้ได้คร่าชีวิตราชสีห์ที่มิยอมรับคำตัดสินไปมิน้อย กระทั่งผู้ต้องบ่วงจักกำหนดละวางความคิดร้ายลง เพลิงผลาญจึงค่อยสงบตาม หากมิสามารถปลดปลงได้ มีเพียงสองสถานที่จักหลุดพ้นคือสิ้นลมหายใจ แลวิปลาสเท่านั้น” ราชสีห์นิลปารัชญ์ก้มลงพิจารณาบ่วงปราพกในมือ ที่ได้คืนจากร่างไร้วิญญาณของวิวัสวาน แล้วเอ่ยต่อ


“หลังจากวิวัสวานสังหารเจ้าพิรัล บ่วงปราพกนั้นคืนสภาพกลับมาสู่มือข้าโดยทันทีทันใด นั่นหมายถึงวิวัสวานนั้นมิได้แสร้งวิกลจริต บ่วงปราพกจึงถอนตัวออกจากร่างเขาเช่นนี้”


“เช่นนั้นจักวิปลาสกะทันหันไปด้วยเหตุใดเล่า”


“ข้าได้รู้มาบ้าง เมื่อคราถ้ำของเจ้าพิรัลโดนทำลาย มีอุตมางค์ตนหนึ่งพลั้งมือสังหารทุรพล จากนั้นอุตมางค์ตนนั้นเกิดอาการฟั่นเฟือน กู่ร้องโหยหวนวิ่งกระเซอะกระเซิงจนตกผาไป ท่านคิดว่ามันสอดคล้องกันฤๅไม่เล่า”


“อุตมางค์ตนนั้น เห็นจักเป็นบุตรตนแรกของพันแสง อืม น่าพิศวงยิ่งนัก”


กริ๊งๆ

“ฤๅแท้จริงแล้ว เหล่าจตุราชสีห์ทั้งมวล จำจดคำสาปแห่งองค์อินทร์มิครบถ้วนกันเล่า ดั่งข้อที่ว่า...อุตมางค์มิสามารถดำรงไว้ซึ่งศักดิ์ ฤทธิ์ แลจิตวิญญาณ หากมาดหมายทำลายทุรพลผู้อ่อนแอ เช่นนี้พวกท่านเห็นเป็นประการใด สมเหตุสมผลดีฤๅไม่” เสียงกระพรวนเท้าดังนำกาย เมื่อเขมอารัณย์เดินกรีดกรายเข้ามาร่วมวง คนธรรพ์หนุ่มเลิกคิ้วคล้ายเกิดความฉงนเสียเต็มประดา เอ่ยขับคำปุจฉาด้วยน้ำเสียงกังวานใส กึกก้องสะท้อนทั่วโถงถ้ำใหญ่


                    “จตุราชสีห์                                                       เรืองฤทธีนี้แสนร้าย

                     ปวงสัตว์ม้วยมลาย                                              พาฉิบหายหิมวันต์

                     กูขอร่ายมนตร์เหล่าสิงห์                                       หมายท้วงติงแลกวดขัน

                     สำแดงแปลงฉับพลัน                                           เพื่อลงทัณฑ์มฤคินทร์

                     กูจักร่ายมนตร์เวท                                               แสนวิเศษทั่วถ้วนถิ่น

                     เหล่าสิงห์ทั้งธรณิน                                              จงยลยิน สดับฟัง

                     จากนี้จวบกาลหน้า                                               เหล่าสิงหามีชนชั้น

                     คัดคานอำนาจกัน                                                 แบ่งสามขั้น มิขาดเกิน

                    ‘อุตมางค์’ ยกเป็นหนึ่ง                                            คือผู้ซึ่งถูกสรรเสริญ

                    สิงห์อื่นมิอาจเมิน                                                  หากเผชิญก้มกราบกราน

                    เว้นเสียแต่เรื่องบุตร                                               เป็นเรื่องสุดแสนสงสาร

                    ตั้งครรภ์ หาใช่การ                                                 จำรอนราญ หาคู่กาย

                    รองมา ‘สามัญสิงห์’                                                มีทุกสิ่งดั่งใจหมาย

                    หากแต่เมื่อเจอะกาย                                               อุตมางค์ต้องจำนน

                    สุดท้ายมาตาเพศ                                                   แสนวิเศษ ‘ทุรพล’

                    กำลังแสนขัดสน                                                    นี้เป็นชนสืบเผ่าพันธุ์

                    ไม่เว้นแม้ชายหญิง                                                 ทดแทนสิ่งที่เปลี่ยนผัน

                    หากเป็นชั้นสำคัญ                                                  ผู้มีครรภ์ กูบันดาล

                    อุตมางค์แม้นมากฤทธิ์                                          มิมีสิทธิ์คิดล้างผลาญ

                    ทุรพลให้วายปราณ                                                 ละสังขารตกตามกัน

                    สติ แลศักดิ์ศรี                                                       ต้องราคีเสียชนชั้น

                    หมดสิ้นในเผ่าพันธุ์                                                  หากดื้อดันย่อมร้าวราน


                    สามชั้นล้วนคล้องสอด                                              ดังพิรอดสอดผสาน

                    คอยยั้งแลคะคาน                                                     มินึกพาล รู้เจียมตน

                    มีเก่ง มีอ่อนแอ                                                        รู้จักแพ้ เสียสักหน

                   จักได้ประมาณตน                                                     แลหลุดพ้นจากสิงห์พาล”



เสียงขับร้องบทกลอนสิ้นสุดลงพร้อมเสียงใสของพิณแก้วสายสุดท้าย ทั่วทั้งคูหากว้างตกอยู่ในความเงียบ เหล่าสิงห์ที่ยังชุมนุมอยู่ ณ ที่นั้น รู้สึกขนลุกขึ้นมาครามครัน ต่างจรดจดจำถ้อยคำข้อนี้ไว้เป็นแม่นมั่น คล้ายดั่งต้องมนต์...แม้ที่ผ่านมาจักเผลอลืมเลือน หากแต่นี้ต่อไปจักจดจำไว้ด้วยจิตวิญาณ แลถ่ายทอดสืบต่อมิให้ต้องถูกหลงลืมไปอีก


“ทุรพลมีทุกข์ของทุรพล อุตมางค์มีทุกข์ของอุตมางค์ มิเว้นแม้แต่สามัญสิงห์ ทุกวรรณะล้วนมีสุขทุกข์ทัดเทียม มีหน้าที่ต่างกันไป ทว่าล้วนเป็นมฤเคนทร์เสมอกันทั้งสิ้น อนิจจา อนิจจา” คนธรรพ์หนุ่มกวาดสายตามองภาพความเสียหายภายในคูหาแก้ว พลางลำพรรณเสียงไม่เบานัก จนกระทั่งครรลองสายตาสบเข้ากับสหายราชสีห์ของตนเอง


“หืม เกิดอันใดขึ้นกันเล่า ข้าได้รับเสียงกระซิบจากพระพายว่าเรื่องราววุ่นวายสงบลงแล้วอย่างน่ายินดี ไยพวกท่านจึ่งมีสีหน้าเครียดขมึงถึงเพียงนี้ ใช่ว่าเพลานี้จักเป็นฤกษ์เฉลิมฉลองดอกรึ” คนธรรพ์แย้มยิ้มกว้างจนตาปิด ว่าความถามไถ่หัวข้อสนทนาอันรื่นรมย์กว่า ราวกับว่าเมื่อครู่ตนมิได้กล่าวสิ่งใดมาก่อน


“อย่าแสร้งว่าเดียงสาท่านเขมอารัณย์ ข้าจับยามสามตาถึงโชคชะตาสิงห์ทุกตนที่จักต้องเข้าร่วมปราบพันแสง แลเจ้าพิรัลนลินยังมิถึงฆาตเป็นแน่ เกิดเหตุใดขึ้น” นิลปารัชญ์หรี่ตามองจ้องคนธรรพ์มากเล่ห์อย่างเอาเรื่อง


“คำทำนายของท่านนิลปารัชญ์ยังคงแม่นยำ สมเป็นผู้ที่ได้รับความเอ็นดูจากองค์พรหมเทพมิแปลงเปลี่ยน”


กัญจน์ราชสีห์ผู้ร่วมวงสนทนารู้สึกขนลุกกับทั้งเขมอารัณย์ และโดยเฉพาะราชสีห์นิลปารัชญ์ ที่คราแรกเขานึกไปว่าอายุอานามใกล้เคียงกัน ต่อมารู้สึกว่ากาฬสีหะตนนี้อาจมีวัยวุฒิเทียบเคียงสิงห์รุ่นพ่อแม่ แต่จากที่อีกฝ่ายบอกเล่า บ่วงปราพก แลเอ่ยอ้างถึง เหตุการณ์ ผนึกจตุราชสีห์ อันเป็นเหตุต้นกำเนิดของวรรณะทั้งสามของเผ่าพันธุ์จากคำสาปขององค์อินทร์ ราวกับตนทันเหตุการณ์ดังกล่าวแล้วนั้น...กัญจน์ราชสีห์เกรงว่าท่านนิลปารัชญ์อาจจะถึงขั้นต้องเรียกว่าท่านผู้เฒ่ามากกว่าอาวุโสแล้วกระมัง


“เล่นลิ้นมากความ จักทำสิ่งใดจงทำเถิด ก่อนอาคิราจักแตกสลายตามพิรัลไปอีกตน” ธีมารวีร้อนใจยิ่งกว่าใคร อดเร่งไม่ได้ เพราะเมื่อครู่ผู้ใดก็เห็นได้ชัดว่าอาคิรานั้นคล้ายหินผาใกล้แตกร้าวมากเพียงใด นางสิงห์กลัวเหลือเกินว่าหินผาจะแตกสลายถล่มถลายอีกไม่ช้านาน


ปึง!

“อาคิรา เจ้าพิรัลเป็นเช่นไรบ้าง” ไม่ทันที่เขมอารัณย์จะกล่าวตอบ อาคิราก็ผลุนผลันออกมาด้วยความเร่งร้อน


“เมื่อครู่ ข้าจับได้ถึงลมหายใจ ทั้งที่คราแรกมันดับหายไปแล้ว ข้ายังมีหวัง ข้าจักไปเตรียมยา” อาคิราคล้ายพูดออกมาโดยไม่ได้คิดเรียบเรียงประโยค สิงห์หนุ่มกระวนกระวายจนเสียอาการเช่นนี้ ธีมารวีที่คุ้นเคยดียังไม่เคยได้พบเห็นเช่นกัน


“ช้าก่อนท่านอาคิรา ท่านจงใช้ยาในโถนี้ป้อนเจ้าพิรัลเสียเถิด ถือเป็นบรรณาการจากข้า แด่ราชสีห์ตนใหม่ผู้นำความสงบสุขคืนสู่หิมวันต์ตะวันออก” เขมอารัณย์ล้วงหยิบโถใบเล็กจากชายพกส่งยื่นให้อาคิราด้วยรอยยิ้ม


“อย่าได้เห็นเป็นเพียงของบรรณาการ หากเจ้าพิรัลฟื้นคืนมาได้ ข้าขอถือมันเป็นพระคุณ”


“เป็นบรรณาการนั้นเพียงพอแล้ว รีบนำไปให้เจ้าพิรัลดื่มเถิด” อาคิรารับโถยานจากเขมอารัณย์ไว้ในมือด้วยความยินดี อุตมางค์หนุ่มไม่รอช้า รีบหันกายวิ่งขึ้นเรือนไปอย่างรวดเร็ว ท่านกลางสายตาเอาใจช่วยของทุกผู้ทุกตน




                     เมื่อได้ยามาอยู่ในมือ อาคิราค่อยๆ บรรจงป้อนยาวิเศษในโถกระเบื้องแก่พิรัลจนหมด อุตมางค์หนุ่มจับมือทุรพลน้อยไว้แน่นและไม่ยอมผละตัวไปที่ใดอีก ดวงตาที่เคยคมกล้าสงบนิ่งมาตลอดกำลังสั่นไหว พินิจดวงหน้ามนของทุรพลน้อยที่ซีดเซียวไร้สีเลือดด้วยความหวัง ให้ผู้ที่นอนนิ่งเบื้องหน้าฟื้นคืน


ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ อาคิรา ไม่เคยมีความปรารถนาใดเป็นของตนเอง ยามยังเป็นเพียงลูกสิงห์ตัวน้อยของพ่อแม่ เขาถูกคาดหวังให้เป็นผู้นำที่ดีพร้อมสืบต่อจากพ่อ คราเมื่อความวิปโยคมาเยี่ยมเยือน เขามีปณิธานของผู้สูญเสียให้ช่วยทวงแค้นและความยุติธรรมกลับคืน กระทั่งยามพรางตัวเป็นเพียงสามัญสิงห์ ระหกระเหินเซซบขอพึ่งพิงจากท่านอาจารย์อัตรคุปต์ อาคิรายังต้องดำรงตนด้วยปณิธานแห่งผู้ประพฤติดี มีจารีตสมกับเป็นศิษย์เอกของอาจารย์


จนกระทั่งได้มาเจอสิงห์น้อยตัวเล็กจอมดื้อรั้น ที่เข้ามาสร้างความวุ่นวายเสียจนอาคิรานึกเข่นเขี้ยว ทุรพลตัวจ้อยจอมเกเร ผู้มีอ้อมกอดอันอบอุ่น ตนแรกและตนเดียวที่เสียน้ำตาเพื่อเขา...สิงห์น้อยที่ทำให้ได้เขาได้รู้สึกตัว ว่าที่ผ่านมา ‘ดวงอาทิตย์ ‘ เช่นอาคิรา ส่องแสงให้ผู้อื่นด้วยความรู้สึกว่างเปล่ามาเนิ่นนานเพียงใด


พิรัลนลิน สิงห์น้อยจอมดื้อรั้น จนดูคล้ายว่าพร้อมจะวิวาทกับสิงห์ทุกตน คือสิงห์ตนแรกที่อาคิรา ต้องการส่องแสงโอบอุ้มดอกบัวงามดอกนี้ให้อบอุ่นด้วยความรู้สึกที่มาจากตัวเอง...


...เป็นตนแรกที่ฝังใจมาตั้งแต่ห้าปีที่แล้ว และเป็นตนเดียวของหัวใจจวบจนวินาทีนี้...


แม้จะปฏิญาณตนไว้เช่นนั้น เมื่อยามที่ต้องอยู่ในฐานะสามัญสิงห์ อาคิราทำได้เพียงตีตัวออกหาก เพราะภาระของเขานั้นมากมายเสียจนไม่อาจรั้งเอื้อมมือคว้าผู้ใดมาครอบครอง ด้วยเพียงการเอาใจตนเป็นที่ตั้ง สิงห์หนุ่มทำเพียงลอบมองน้องน้อยเติบโตอยู่ไกลๆ ส่งผ้านุ่งมาให้ทุรพลน้อยทุกปี เพียงได้เห็นเจ้าตัวดีในชุดผ้าที่เขาเลือกให้อย่างตั้งใจ อาคิราก็รู้สึกมีความสุขจนล้นปรี่ แม้มันจะแทรกมาด้วยรสขมเฝื่อน เมื่อความจริงอีกด้านที่ว่ายามเขาห่างไกลและอยู่ในฐานะสามัญสิงห์เช่นนี้ ทุรพลน้อยของเขาอาจพบเจอคู่ครองเมื่อใดก็ได้ เพียงเผลอคิดความเจ็บก็พุ่งเสียบจนอกระบม


ผู้ใดจะคิดฝันว่าคืนหนึ่ง พิรัลนลินจะยอมเดินเข้ามาสู่อ้อมแขนของอาคิราด้วยตนเอง เพลานั้นสัญชาตญาณนั้นมีผล ทว่าราชสีห์หนุ่มไม่อาจปฏิเสธได้ว่า มันคือความเห็นแก่ตัวของตนเองที่ยากจะกอดรัด รับร่างแน่งน้อยมาเป็นของตนร่วมอยู่ด้วย สิงห์หนุ่มถึงกับวาดฝันไว้สวยงามว่าเขาจะโอบกอดพิรัลของเขาไว้ในอ้อมอก เป็นความอบอุ่นของกันและกันตราบจนร่างสลายไปตามวัฏสงสาร ได้เฝ้ามองดูลูกๆ เติบโตอย่างเป็นสุข ภายในถ้ำที่ประดับไปด้วยดอกบัวนานาพันธุ์ในแบบที่สิงห์น้อยเคยกล่าวถึง


เพลานี้อาคิราปลดเปลื้องทุกความปรารถนาของผู้อื่นจนลุล่วง...แต่ความปรารถนาเดียวของเขากลับคล้ายกำลังหลุดลอย อุตมางค์หนุ่มไม่เคยขอร้องต่อสิ่งใด ในครั้งนี้ต่อให้ต้องคุกเข่าอ้อนวอน หรือต้องใช้สิ่งใดแลกมา อุตมางค์หนุ่มยินยอมทั้งหมด เพียงเพื่อให้พิรัลฟื้นคืน น้ำตาราชสีห์ค่อยๆ ไหลลงมาหนึ่งสายโดยที่เจ้าของไม่อดกลั้นได้ไหว


“เจ้าพิรัล อย่าทรมานใจพี่อีกเลย ลืมตาตื่นขึ้นมามองพี่สักนิดเถิดทูนหัว”


นิ้วยาวอันสั่นเทาเอื้อมเกลี่ยลงบนสร้อยแพทองรอบคอพิรัล สร้อยที่เขาใส่ให้สิงห์ตัวน้อยเองกับมือ แพทองประดับมรกต สมบัติเดียวที่อาคิราได้รับมันจากผู้เป็นแม่


‘อาคิรา แม่ยกให้ลูก’


‘ลูกจักทำอันใดกับมันได้เล่าท่านแม่ รอยามท่านพ่อแลท่านแม่มีน้องหญิงอีกสักตน เพลานั้นท่านแม่ส่งมอบให้แก่น้องหญิงมิดีฤๅ’


‘มอบให้ลูกนั้นถูกต้องแล้ว สร้อยมรกตนี้มีอำนาจ ส่งผลต่อความรัก ความสมบูรณ์ แลการปกป้องคุ้มครอง ยามที่ลูกมีผู้ที่เป็นที่รัก แม่หมายจักให้ลูกส่งมอบมันต่อ เช่นที่พ่อของเจ้ามอบให้แม่’



ยามนั้นที่รับมาอาคิราไม่เข้าใจนัก ทำเพียงเก็บมันไว้ประหนึ่งของต่างหน้าของแม่ จนกระทั่งได้มาเจอ พิรัลนลิน อาคิราจึงวานให้พวกวิทยาธร ถักทองเพิ่มจนกลายเป็นแพทองเพื่อสวมป้องกันแก่ให้ทุรพลน้อย


“ท่านพ่อ ท่านแม่ ช่วยคุ้มครองพิรัลด้วย พาน้องกลับมาหาลูกด้วยเถิด”




-----------------------------------------------------------------------------------------------------------
เชิงอรรถ

^ ความตาย



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

สิงหา...ถึงนักอ่าน

ตอนนี้เป็นตอนที่บอกเล่าความหลังของตัวละครเยอะมากๆ

รวมถึงความรู้สึกของพี่อาคิราด้วย แม้จะเคยมีบ้าง

แต่สำหรับตอนนี้น่าจะบอกถึงความรัก ความนึกคิดของพี่อาคิราออกมามากที่สุดแล้ว

เป็นอย่างไรกันบ้างคะ



และเช่นเคย ขอขอบคุณทุกๆ คอมเมนต์ ผู้เขียนตามอ่านทุกความคิดเห็นเลยค่ะ

หากมีคำผิด หรือจุดที่อยากแนะนำ นักอ่านสะกิดเตือนได้เลยค่ะ

ผู้เขียนน้อมรับฟังนักอ่านทุกท่าน ด้วยความขอบคุณ

พบกับตอนใหม่ ในคืนพรุ่งนี้ นะคะ










« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-10-2019 14:05:54 โดย สิงหา »

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ขอให้น้องพิรัลฟื้นตัวไวๆนะ
จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ ไรท์สู้ๆ

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
พิรัลต้องรอดสิ

ออฟไลน์ สิงหา

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 121
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
บทที่ ๑๕

คู่ตุนาหงัน






                    อาคิรานั่งเฝ้าพิรัลนลินอยู่ไม่ห่าง ราชสีห์หนุ่มไม่กินไม่นอนติดต่อกันหลายวันคืน จนผู้ที่สังเกตการณ์จากภายนอกนึกเป็นห่วงทั้งคู่กันถ้วนทั่ว ไม่เว้นแม้แต่ศศิน ทันทีที่ทราบข่าว ทุรพลหนุ่มอดลนทนไม่ไหวที่จะตามมาดูอาการพิรัลนลินด้วยตนเอง


“ท่านอาคิรา เจ้าพิรัลเป็นเยี่ยงไรบ้างเล่า”


“ท่านศศิน อาการทางกายหลังจากได้รับยาจากท่านเขมอารัณย์ จึงดีขึ้นตามลำดับ บาดแผลภายนอกนั้นปิดสนิทดีแล้ว เหลือ
เพียงฟื้นคืนสติมาเท่านั้น”
 

“ข้าจักช่วยภาวนาให้เจ้าพิรัลฟื้นขึ้นมาโดยเร็ว ยามข้ารู้ข่าวคราแรก เห็นว่าเจ้าพิรัลหยุดหายใจไปเสียแล้ว ข้อนี้จริงรึ”


“เป็นเช่นนั้น หากเพียงมินานข้ากลับจับถึงสัญญาณชีพได้อยู่แผ่วเบา ครั้นพอได้รับยาจากท่านเขมอารัณย์ การฟื้นตัวนั้นจึงรวดเร็วขึ้น ให้พอคลายกังวล”

 
“สัญญาณชีพขาดไปแล้ว กลับฟื้นคืนขึ้นมาได้ ช่างน่าอัศจรรย์แท้” ศศินครางแผ่ว มองร่างบอบบางบนตั่งนอนด้วยความพิศวง


“อัศจรรย์ดั่งเจ้าว่า หลังเจ้าพิรัลนั้นขาดใจทำให้วิวัสวานนั้นถึงกับวิปลาส ท่านเขมอารัณย์ไขว่าเป็นคำสาปองค์อินทร์เมื่อครั้งบรรพกาล เช่นนั้นคำสาปทุรพลจักมีผลต่ออุตมางค์ได้ ทุรพลต้องถูกทำร้ายจนสิ้นชีพเท่านั้น” ธีมารวีเอ่ยเสริมเพลานี้นางทั้งเข้าใจแลสับสนผสมกัน ...เหตุใดเจ้าพิรัลจึงฟื้นคืน ฤๅยังมีเหตุผลบางประการที่เหล่าจตุราชสีห์หลงลืมไป


“เพราะเหตุใดกัน...รึว่า ท่านอาคิรา ข้าขอดูอาการเจ้าพิรัลสักประเดี๋ยวเถิด” ศศินขบคิดเพียงครู่ ก็คล้ายกับได้พบทางสว่าง


“เชิญ”


เมื่อได้รับอนุญาต ศศินไม่รอช้ารีบเข้ามาพิจารณาเจ้าสิงห์น้อยโดยไว มือเรียววางลงบนแพทองรอบลำคอระหง ค่อยๆ สอดนิ้วเข้าไปลูบบริเวณลำคอแผ่วเบา ก่อนจะเบิกตากว้าง ใบหน้าคมตวัดหันกลับมามองหน้าอุตมางค์หนุ่มรูปงามผู้ถูกกล่าวลับหลังว่า’ ช่างทื่อมะลื่อ‘ ตาโต



“ข้าคิดว่า ข้าพอจักรู้สาเหตุของความอัศจรรย์นี้แล้ว เพื่อความมั่นใจ ข้าขอรบกวนพูดคุยกับท่านอาคิราสักครู่ได้ฤๅไม่”


“ไว้หลังจากเจ้าพิรัลฟื้นคืนมาเถิด” ธีมารวีร้องปราม


“เจ้าพิรัลจักมิเป็นอันใด หากสิ่งที่ข้าคิดนั้นได้เกิดขึ้นจริง เจ้าพิรัลนั้นชะตาขาดไปแล้วนั้นเป็นแน่แท้ จึงใช้เพลาในการฟื้นตัวมากโข ข้าจักกล้ายืนยันได้หนักแน่นขึ้นหากได้ฟังคำยืนยันจากท่านอาคิรา”

 
“เช่นนั้น ข้ายินดี”


ศศินรั้งอาคิรามาซักถามเป็นการส่วนตัวดังปากว่า แม้กระทั่งธีมารวีผู้เป็นภรรยาก็ไม่เว้น ใช้เวลาเพียงไม่นานการพูดคุยก็ผ่านพ้น หลังจากนั้นอาคิรากลับมีสีหน้าแช่มชื่นขึ้น ผิดกับศศิน ทุรพลสิงห์หนุ่มโมโหหน้าดำหน้าแดงจนธีมารวีต้องรีบเข้ามาลูบเนื้อลูบตัวสามีเป็นพัลวัน


“ข้ามิได้เห็นทูนหัวของข้าโมโหเป็นฟืนไฟเช่นนี้มานานนัก เจ้าทำอันใดกันอาคิรา” ธีมารวีแล่นเข้ามาเค้นคอน้องชายเสียงเขียว หลังนางพาสามีออกไปนั่งพักด้านนอกเพื่อระงับอารมณ์


“เมื่อถึงเพลานั้นท่านจักรู้เอง”


“มิใช่เรื่องเล็กน้อยเป็นแน่” นางสิงห์ไม่อยากยอมจำนนนัก แต่สิงห์ที่นางรุกไล่อยู่นี้คืออาคิรา เมื่อหินผามิยอมเอ่ยปาก ธีมารวีมิต่างกับตะโกนใส่กำแพง...เหนื่อยเพียงฝ่ายเดียวเช่นนี้จักทำสิ่งใดนอกจากรอคอย


“ท่านรวี ข้าจักพาเจ้าพิรัลกลับวันพรุ่ง ท่านจักแยกกลับเลยฤๅไม่”


“จักกลับไปที่ใด แลพิรัลเองยังมิฟื้นมิใช่รึ” นางสิงห์เลิกคิ้วถามน้องด้วยความฉงนสนเท่ห์


“ข้าตระเตรียมที่ทางสำหรับพวกเราไว้แล้ว จึงหมายจักให้เจ้าพิรัลฟื้นขึ้นมาพบแต่ความร่มรื่นสบายใจ”


“ดี ข้าอยากพักผ่อนเต็มทน ก่อนไปเจ้าจงจัดการทางนี้เสียให้เรียบร้อย เพลานี้เจ้าถือเป็นผู้นำพวกเขาแล้ว” อาคิรายามนี้เติบโตเต็มตัว ซ้ำยังเป็นถึงผู้ครองคูหา นางจึงไม่คิดขัดความต้องการอื่นใด เพียงเตือนในบางข้อที่ดูเหมือนน้องชายจักไม่ให้ความสนใจเกินไปเท่านั้น


“เช่นนั้นเราออกไปพบพวกเขาเถิด ข้าต้องการปลดเปลื้องภาระนี้ให้หมดสิ้นไปเสียที” อาคิรากล่าวกับผู้เป็นพี่สาว หลังไหล่เหยียดตรงองอาจ ก้าวเดินออกไปยังชานเรือน ด้วยท่วงท่าสง่างามให้ธีมารวีได้ยกยิ้มภูมิใจ


บัดนี้อดีตไกรสรสีหะในความครอบครองของพันแสง ถูกรวบรวมมาไว้ที่กลางลานโล่ง โดยมีสิงห์จากชุมอื่นๆ ยืนควบคุมอย่างสงบเรียบร้อย


อาคิรากวาดตามองสิงห์เหล่านั้นเรียบนิ่ง ไม่แสดงอารมณ์อื่นใดเพียงครู่ จึงกล่าวออกมาด้วยเสียงอันดังก้อง


“ข้ามีความปรารถนาเดียวคือล้างเลือดให้แก่พ่อแลแม่เท่านั้น มิได้หมายเข้ามาปกครองที่นี่แต่อย่างใด”

 
“แต่ท่านคือผู้มีสิทธิ์ เต็มสิทธิ์ พวกข้าน้อมรับท่านขึ้นเป็นผู้นำ” สิงห์ชราหนึ่งในกลุ่มเอ่ยขึ้น ด้วยแววตาแห่งความปีติยินดี เรียกเสียงโห่ร้องเห็นด้วยขึ้นมาได้ระลอกหนึ่ง


“เป็นข้าเองที่หาได้สะดวกใจ แม้คูหาแห่งนี้จักเป็นที่เกิด ทว่าเหตุการณ์อันเลวร้ายนั้นฝังใจข้าเช่นกัน จึงขอให้พวกท่านปกครองกันเองตามเห็นสมควร แลระลึกไว้เสมอว่าเหตุใดพวกท่านจึงถูกจองจำจนชั่วชีวิตเช่นนี้ อย่าได้ผิดพลาดอีก”

 
อาคิรากล่าวต่อหลังสิงห์หนุ่มรอให้เสียงโห่ร้องสงบลง แม้ไม่แสดงท่าทีข่มขู่ให้หวาดกลัว หากนัยน์ตาคมกล้ากลับแน่วแน่เสียจนไม่มีผู้ใดกล้ากล่าวขัด หลังจากเหล่าไกรสรสิงห์ได้หารือกันแล้วจึงตกลงกันว่า ควรเป็นภาสกรที่ได้ขึ้นเป็นผู้นำ แม้ได้รับการแต่งตั้ง แต่ภาสกรกลับยอมเพียงควบคุมให้คูหาแห่งนี้อยู่ในความสงบเรียบร้อยเท่านั้น สิงห์หนุ่มกล่าวว่าสิทธิ์การครอบครองยังคงเป็นของอาคิรา กฎแห่งการท้าชิงอำนาจของราชสีห์ไม่อาจลบล้างได้ จนกว่าตนจะต่อสู้ชนะอาคิราได้ ซึ่งเช่นนั้นภาสกรรู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ สิงห์ทั้งสองจึงยินยอมถอยให้กันครึ่งทาง เพื่อไม่ให้ยุ่งวุ่นวายไปมากกว่าที่เป็น

เมื่อหาผู้ครอบครองดูแลคูหาแห่งนี้ได้เป็นอันเสร็จสิ้น อาคิราและธีมารวีไม่ลืมที่จะไล่กล่าวขอบคุณมิตรสหายทุกตนที่ได้เข้ามาร่วมรบด้วยมิตรไมตรีก่อนแยกจาก


“ข้าขอขอบน้ำใจพวกท่าน ข้ายินดียิ่งที่ได้สู้รบร่วมกัน”


“ข้าขอขอบน้ำใจทุกท่านเช่นกัน แลขอสมาหากความมุทะลุของข้าทำให้เกิดความหมองใจ” กัญจน์ราชสีห์เป็นผู้กล่าวต่อ บัดนี้เขาสามารถมองอาคิราได้อย่างเต็มตาแล้ว กระทั่งมีความคิดที่จะไปเยี่ยมเยือนอาคิราอีกสักคราหากเจ้าพิรัลกลับมาแข็งแรงมากพอ พิรัลนั้นคือรักปักใจ ทว่ายังไม่ทันได้ลงลึกมากนัก ยามเสียไปนั้นแน่นอนว่าเจ็บแสบ ทว่ากัญจน์ราชสีห์ทนพิษบาดแผลได้ไหว แลแผลที่เกิดนั้นสมานตัวกันได้ไวพอตัว ซ้ำยังรู้สึกโชคดีที่ตนยังไม่ถลำลึกลงมากนัก เพราะบัดนี้ราชสีห์หนุ่มรู้ซึ้งแล้วว่าเช่นไร ตนก็ไม่อาจแทรกกลางระหว่างสิงห์ทั้งคู่ได้เลย


“ข้าขออวยพรทุกท่านพบพานแต่สิ่งอันประเสริฐ ข้ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมศึกกับพวกท่าน แลต้องขอตัวลาไปก่อน” นิลปารัชญ์ยิ้มบาง กาฬสีหะหนุ่มมาเพียงตนเดียวจึงไม่ต้องรั้งรอรวบรวมไพร่พลเช่นราชสีห์ตนอื่น เมื่อไม่เห็นความยุ่งยากใด ราชสีห์หนุ่มผู้เก็บตัวจึงขอแยกจากเป็นตนแรก


“ท่านออกเดินทางพร้อมข้าเถิด คูหาข้าเป็นทางผ่าน เช่นไรขอข้าต้อนรับท่านสักครา” กัญจน์สิงห์เอ่ยรั้งด้วยนิลปารัชญ์นั้นช่างลึกลับ จึงอยากสนทนาพาทีสักครา


“มิได้ดอกท่านกัญจน์ ท่านนิลปารัชญ์มีผู้ที่รอคอยอยู่” เขมอารัณย์ตบบ่าสิงห์หนุ่มด้วยรอยยิ้มหยอกล้อ จนราชสีห์กัญจน์ที่ไม่รู้ความเข้าใจผิดไปไกล


“ท่านมีคู่แล้วฤๅ”


“หาใช่ไม่ เป็นเพียง ‘ความยุ่งยาก’ ที่ท่านเขมอารัณย์ยัดเยียดให้เท่านั้น ป่านนี้มิรู้ว่าคูหาข้าจักย่อยยับเพียงใดแล้ว จึงมิอาจรั้งรอได้นาน”


“เช่นนั้นข้ามิมีหน้ารั้งท่านไว้แล้ว เดินทางปลอดภัยเถิด”

 
“ท่านอาคิรา อาขอฝากเจ้ามะลุลีเดินทางไปด้วยหนา หลังบูรณะคูหาแล้วเสร็จอาจักไปรับน้องกลับด้วยตัวเอง”

 
“ขอรับ ข้าจักจัดสรรเรือนพักเจ้ามะลุลีให้สมฐานะ แลเหมาะสม มิให้ต้องเป็นที่ติฉิน เสื่อมเสียแม้เพียงน้อย ยามท่านอาไปรับกลับ ข้าขอให้คำมั่นด้วยเกียรติของข้า”


“ขอบน้ำใจเจ้านัก ได้ฟังเช่นนี้อายิ่งเบาใจ” ราชสีห์ภานุส่งยิ้มฝืด เมื่อถูกอาคิราพูดกล่าวตัดความหวัง เดิมเขาสืบเชื้อสายตระกูลเดียวกับพรมัน ในยามที่อาคิรายังเล็ก ภรรยาของเขาเพิ่งตั้งครรภ์เมื่อนักทำนายแจ้งว่าลูกตนนี้ของเขาจักเป็น ทุรพล มฤเคนทร์เฒ่าในชุมจึงได้มีการผูกคู่ตุนาหงันระหว่างมะลุลี และ อาคิราไว้ตั้งแต่บัดนั้น ตามประเพณีที่ปฏิบัติตามกันมาอย่างยาวนาน ด้วยต้องการให้ลูกหลานอุตมางค์ที่จะขึ้นมาเป็นจ่าฝูงในอนาคตเกิดจากทุรพลที่ดีพร้อม

และในยามนี้ที่อาคิราเติบโตอย่างสง่างาม ทั้งอุปนิสัยอันอบอุ่นอ่อนโยนทำให้ภานุนึกดีใจในวาสนาของลูกและตัวเขาเองที่เป็นพ่อตา...แต่ภานุอยากลองเสี่ยงกับความหวังสุดท้าย ความใกล้ชิดอาจสามารถผูกเชื่อมความสัมพันธ์พรหมลิขิตขึ้นได้ใหม่



เมื่อส่งเหล่าราชสีห์ทุกตนกลับไปยังถิ่นฐานครบหมดแล้ว จึงถึงคราที่อาคิราจะได้ทำตามประสงค์ของตนเสียที ราชสีห์หนุ่มอุ้มร่างพิรัลที่ยังไม่ได้สติลงมานอนบนเกวียนเทียมวัวแก้วที่เขมอารัณย์ตระเตรียมไว้ให้ ขบวนเดินทางของราชสีห์อาคิราประกอบด้วย ทุรพลสิงห์สามตน เหตุเพราะศศินดึงดันที่จะติดตามมาด้วยนั่งขนาบข้างกับมะลุลี ครอบครัวสามัญสิงห์สี่ตนขอติดตาม ด้วยทั้งหมดเป็นข้าเก่าแต่ครั้งพ่อแม่ของอาคิรา ทั้งหมดมุ่งหน้าเดินสวนทางน้ำขึ้นไปยังต้นปากแม่น้ำสีหมุข อันเป็นที่พักอาศัยแห่งใหม่ของราชสีห์อาคิรา


การเดินทางด้วยเกวียนวิเศษ และคำสั่งของอาคิราที่ให้ผู้ร่วมขบวนแปลงกายกลับเป็นร่างสิงห์ที่สามารถย่างก้าวได้เร็วไว ทำให้การเดินทางล่นเวลาเหลือเพียงวันถ้วนเท่านั้น จากเดิมทีการเดินทางด้วยร่างมนุษย์แล้วกว่าจะถึงที่หมายจำต้องใช้เวลาถึงสามทิวาราตรี


อาคิราพบเจอพื้นที่แห่งนี้จากการเดินเดินทางบำเพ็ญเพียรรักษาผู้ป่วย ได้ถือโอกาสท่องเที่ยวหาพืชสมุนไพรไปด้วย ยามแรกพบอาคิราถูกใจในความสงบเงียบสวยงามของมัน อุตมางค์หนุ่มจึงตั้งจิตเนรมิตคูหาแก้วของตนขึ้นมา หวังใช้พักอาศัยยามที่ตนปลดเปลื้องทุกพันธนาการหมดสิ้นแล้ว และได้กลับมาสร้างเพิ่มเติมหลังพบเจอเจ้าพิรัลนลินยามเติบโต...เพลานั้นอาคิรามิได้หวังว่าเจ้าสิงห์น้อยมาอยู่เคียงกาย เขาเพียงต้องการให้พิรัลได้แย้มยิ้ม ยามจำเป็นต้องมาค้างอ้างแรมบ้างบางคราเมื่อออกท่องรักษาโรคเท่านั้น


บริเวณกึ่งกลางถ้ำแก้วมีสระบัวขนาดใหญ่ออกดอกงดงามส่งกลิ่นหอมจรุงอบอวลทั่วคูหา เลยไปด้านหลังสระบัวจึงเป็นเรือนพักอาศัยขนาดกลางหันหน้าเข้าสู่บึงน้ำ ยามอยู่บนเรือนหลังนี้ไม่ว่ามองจากส่วนใดก็สามารถเห็นดอกบัวงามในสระได้ทุกที่ ถัดมาด้านขวาจากเรือนใหญ่ มีเรือนหลังเล็กสำหรับรับรองสิงห์ผู้มาเยือนสามสี่หลัง ส่วนพื้นที่ด้านซ้ายเต็มไปด้วยสมุนไพรนานาชนิดขึ้นอยู่อย่างเป็นระเบียบ ทำให้ถ้ำของอาคิรานั้นให้ความรู้สึกสงบนิ่ง ฉ่ำเย็น คล้ายบุคลิกของผู้ครองเรือนอย่างยิ่ง

...อาคิราได้แต่หวังให้สิงห์น้อยขี้เซารีบลืมตาตื่นขึ้นมาร่วมชื่นชมในเร็ววัน




                    ผ่านไปกว่าสามราตรี เปลือกตาที่หลับพริ้มขยับยุบยิบก่อนจะค่อยๆ เปิดปรือขึ้น ในหัวของผู้ที่เพิ่งฟื้นยังคงมึนเบลอ ภายในลำคอนั้นแห้งผากเจ็บแสบจนไม่สามารถเอื้อนเอ่ยคำให้ออกมา พิรัลนลินจดจำได้เพียงเหตุการณ์ที่ตนกำลังป้อนน้ำใบรางจืด เพื่อขับพิษแก่สามัญสิงห์ตระเวนยาม เมื่อหันกลับไปยังเสียงเรียกดุดัน ฉับพลันเกิดเป็นความเจ็บแปลบแล่นริ้วทั่วร่างจากนั้นสิงห์น้อยก็ไม่สามารถมีสติจดจำสิ่งใดได้อีก...พิรัลค่อยๆ ลำดับความคิดอ่าน นิ่งสำรวจความรู้สึกทางร่างกาย แต่กลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ส่วนใด นอกจากอุ้งมือถูกความอบอุ่นเกาะกุมไว้


“เจ้าพิรัล ตื่นแล้วรึ” เสียงทุ้มนุ่มสั่นเครือที่กระซิบถาม ทำให้หัวใจรู้สึกอุ่นจนหยาดน้ำตาไหลซึม...ใช่แล้ว เมื่อฟื้นคืนขึ้นมา พิรัลถึงเพิ่งรู้ตัว ชั่วเวลาที่ลมหายใจกำลังถูกปลิดทิ้งพิรัลรู้สึกกลัว กลัวที่จะต้องตายจากอาคิรามากแค่ไหน


“กระหายน้ำฤๅไม่ จิบน้ำสักนิดหนาพิรัล”


เมื่อลำคอได้รับความชุ่มชื้น ดวงตาและจิตใจพลันแจ่มใสขึ้นมาทันที พิรัลพินิจใบหน้าของอาคิราอย่างเต็มตา ให้สมกับที่ตนสามารถฟื้นคืนกลับมาได้อีกครั้ง แต่เป็นอาคิราที่ตรงเข้ารวบร่างบอบบางของพิรัลเข้ามาไว้ในอ้อมอก ใบหน้าหล่อเหลาซุกซบลงกับไหล่บอบบางนิ่งนาน ไหล่กว้างและอ้อมกอดอุ่นสั่นไหวรุนแรง


“พี่คิดว่าจักต้องเสียเจ้าไปเสียแล้ว พี่ดีใจเหลือเกินที่เจ้ากลับมา ต่อไปนี้จักมิมีเรื่องร้ายใดเข้ามากล้ำกรายเจ้าได้อีก พี่จักมิยอมให้ผู้ใดมาแตะต้องพิรัลของพี่อีกแม้ปลายเล็บ”

 
“ข้ากลับมาแล้ว พิรัลกลับมาแล้วจ้ะ” เสียงหวานใสยังคงแหบแห้ง สองแขนบอบบางโอบกอดรอบแผ่นหลังกว้างตอบเพื่อถ่ายทอดทุกความรู้สึกส่งผ่านไปยังเรือนกายใหญ่เช่นกัน


“เจ้าเจ็บปวดที่ใดฤๅไม่”


“ข้าหาได้รู้สึกเจ็บปวดที่ใด นอกจากที่ท้องเพราะความหิวเลยจ้ะ” พิรัลนลินนิ่งคิดเพียงครู่ ก่อนจะย่นจมูกตอบผู้เป็นพี่พร้อมรอยยิ้มแสนซน จนผู้ทำหน้าเป็นใส่อดยกนิ้วชี้ขึ้นมาเคาะลงบนเชิดเบาๆ เป็นการลงโทษไม่ได้


“เจ้าตัวร้าย พี่จักจัดหาลูกไม้มาให้ เจ้ารอสักประเดี๋ยวเถิด”



หลังจากอิ่มหนำกับผลไม้ที่อาคิราจักหามาให้แล้ว เรือนนอนของพิรัลก็ไม่ว่างเว้นอีกเลย ด้วยมีศศินและมะลุลีค่อยเข้ามาอยู่เป็นเพื่อน และอาคิราที่คอยดูแลเรื่องกินยาอยู่ตลอดทั้งวัน โดยเฉพาะศศิน ทุรพลรุ่นพี่ที่ตั้งแต่พิรัลฟื้นเจ้าตัวก็เอาแต่คอยดูแลประคับประคองทุรพลน้อยไม่ห่าง กระทั่งยามนอนแม้แต่ธีมารวีผู้เป็นภรรยายังไม่อาจขัดได้ ทว่าสิงห์น้อยแม้จะฟื้นคืนมา แต่ยังคงไม่ปกติ เมื่อเจ้าตัวรู้สึกง่วงหาวอยู่เนืองๆ ทำให้ส่วนมากพิรัลนลินจะตื่นเพียงเพื่อดื่มยา กินอาหาร แล้วหลับไปอยู่ตลอดเวลา จนแทบไม่ได้พูดจาพาทีกับผู้ใดได้เลย


จนกระทั่งเข้าสู่วันที่สี่เมื่อพิรัลนลินไม่มีอาการง่วงงุน หรืออาการอื่นใดอีก ทุรพลน้อยลงจากเรือนเพื่อเดินยืดเส้นสายได้บ้าง พิรัลจึงถือโอกาสชวนมะลุลีออกมาชมดอกบัวในบึงใกล้ๆ เป็นครั้งแรก หลังจากทำได้เพียงเห็นมันจากหน้าต่างบนเรือนนอนมาหลายวัน


“ท่านศศินอย่าได้เคืองข้านักเลย ข้าก้าวก่ายได้เสียเมื่อไร อาคิราปลอดโปร่งเจ้ามะลุลีนั้นถูกผูกหมายมั่นหมายกันไว้เสียตั้งแต่ยังมิรู้ประสา อาคิราเองได้ออกตัวบอกปัดท่านภานุไปแล้ว กระนั้นอาภานุนั้นมีบุญคุณต่ออาคิราอยู่ออกปากร้องขอเองเช่นนี้จักบอกปัดได้เช่นไรเล่า เห็นใจข้าแลอาคิราสักนิดเถิด”

 
“ข้าเข้าใจ แต่เพลานี้จิตใจข้ามิอาจทำให้สงบได้ จนกว่าเรื่องนี้จักได้รับการสะสาง”

 
“โถ่ ทูนหัว เรื่องนี้หาใช่เรื่องที่เราจักสอดมือยุ่งได้หนา”


“แต่เจ้า พิรัลกำลัง...เอาเถิด ถือว่าข้าเชื่อใจท่านอาคิรา”


สิ่งที่ได้ยินทำให้พิรัลรู้สึกตัวเย็นเฉียบ แม้สิงห์ทั้งสองตนจักไม่ได้เอ่ยเสียงดัง หากไม่พ้นการได้ยินไปได้เมื่อรอบกายนั้นเงียบนิ่ง เช่นเดียวกับทุรพลข้างกาย


“เจ้าพิรัล ข้า...” มะลุลีเอื้อมมือมากุมมือเรียวของเพื่อนไว้มั่น สีหน้าของมะลุลียามนี้ตื่นกังวลเสียจนคล้ายว่าจะร่ำไห้ออกมา จนพิรัลนลินต้องเอ่ยปลอบ


“เจ้าอย่าได้คิดกังวล เจ้าเป็นคู่ตุนาหงันนั้นสำคัญยิ่ง ตัวข้านั้น...เป็นเพียงความจำเป็นเท่านั้น”


“สำคัญสิเจ้า หากท่านอาคิรามีเจ้าเป็นที่รักในดวงใจ คู่ตุนาหงันย่อมควรต้องสิ้นสุดไปเสีย”


“มิเป็นเยี่ยงนั้นดอก”

 
“ข้าได้ยินเสียงเล่าอ้างกัน ว่าเจ้ากับท่านอาคิราเอ่อ...”


“เป็นข้าที่หน้าด้านฝืนใจท่านอาคิราเอง เหตุเพื่อภารกิจล้มล้างพันแสงแลช่วยทุรพลเท่านั้น มะลุลีอย่าได้กังวลไป หากข้าหายป่วยไข้ดีแล้ว ข้าจักกลับถ้ำสรรพยาทันที”

 
“เช่นนั้นฤๅ”

 
“จ้ะ” พิรัลรับคำ กลีบปากบางฝืนยิ้มสำทับ พลางพินิจทุรพลข้างกาย ยามนึกไปถึง เมื่อได้เห็นอาคิรายืนเคียงกับมะลุลี นั้นดูช่างเหมาะสมกัน เสียจนพิรัลรู้สึกแปลบยอกในอก...มะลุลีทั้งงดงาม อ่อนหวาน ส่วนข้านั้น ทั้งกระโดกกระเดก และหน้าไม่อาย
...ที่ผ่านมา เพราะพี่อาคิราใจดี แม้พิรัลจะดึงดันใช้สัญชาตญาณแห่งเดียรัจฉานมาเป็นเครื่องมือ เป็นผู้อื่นอาจโกรธเคืองถึงขั้นทำร้ายทำลาย แต่เพราะเป็นอาคิราผู้แสนดี นอกจากไม่ด่าทอให้อับอาย เจ้าตัวยังคงดูแลพิรัลเป็นอย่างดี ดีเสียจนทุรพลน้อยหลงระเริงไปมากมาย คิดถึงเพียงความสุขของตนเป็นที่ตั้ง แต่เพลานี้จักเอาความใจดีนั้นมาผูกรั้งอาคิราไว้คงไม่ได้ เท่านี้ทุรพลน้อยก็นึกละอายตัวเองมากพอแล้ว




-------> ต่อด้านล่าง







ออฟไลน์ สิงหา

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 121
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0

--------------> ต่อ


เพราะเข้าสู่ช่วงเหมันต์พิรัลที่เพิ่งฟื้นคืนย่อมไม่ได้รับอนุญาตให้ออกมาตากลมได้นานนัก เมื่อศศินออกมาตามทุรพลทั้งสองจึงไม่อาจอิดออดได้ เมื่อกลับขึ้นเรือนมะลุลีใช้โอกาสช่วงที่เพื่อนดื่มยาบำรุงแล้วนอนพัก กลั้นใจเดินเข้าไปหาคู่ตุนาหงันของตนเป็นครั้งแรก เมื่อเห็นอุตมางค์หนุ่มยืนมองบึงบัวอยู่บริเวณชานเรือนเพียงผู้เดียว


“ท่านอาคิรา ดูจักชมชอบดอกบัวนะจ๊ะ”


“เจ้าเข้าใจถูกแล้วมะลุลี... นอกจากความสวยงาม มีกลิ่นหอมสะอาดเย็นใจแล้ว ข้าก็นึกรักในความเข้มแข็งอดทนที่สู้เพียรพาตนเองจากโคลนตมสกปรก กระแสน้ำ แลปากหอยปากปู ขึ้นมาชูช่อดอกงดงาม ไม่ว่าด้วยประการใดข้าล้วนชมชอบดอกบัวเสียหมดสิ้น” ยามเอ่ยถึงดอกบัว  ’ที่รักชอบ’ ดวงตาคมกล้ากลับทอดอ่อน กระทั่งเรียวปากบางยังเผลอยกยิ้มบาง เสียจนผู้จับสังเกตลอบยิ้มตามในใจ...ท่านอาคิรารูปงาม ทั้งยังสง่าองอาจ แต่ความอบอุ่นอ่อนโยนเช่นนี้คงมิใช่ทุกผู้ทุกตนจักได้รับมัน


“เช่นนี้ท่านคงมีดอกบัวจนเต็มหัวใจ มินึกชำเลืองแลดอกไม้อื่นกระมังจ๊ะ” …ดังเช่นดอกมะลุลีดอกนี้


“ย่อมเป็นเช่นนั้น”

 
“ท่านอาคิรา... เรื่องของพ่อข้านั้น ข้าต้องขออภัยที่ถือวิสาสะ ข้าจักส่งสารไปยับยั้งไว้ แลข้าเห็นควรว่าจักเดินทางกลับพร้อมท่านธีมารวีเสียทีเดียวจ้ะ”

 
“เป็นเช่นนั้น เจ้าจักเกิดปัญหาหนามะลุลี” อาคิราบ่ายหน้าจากบึงบัวกลับมาขัด ด้วยความเป็นห่วงจากใจจริง


“ท่านอาคิราช่างมีเมตตา ทว่าครานี้ข้าขออนุญาตบอกกล่าวเจตจำนงของข้าเองเถิดจ้ะ นี้เป็นคราแรกที่ข้าคิดอยากมีปากมีเสียง มีความนึกคิดเป็นของตนเองบ้าง” มะลุลีส่ายหน้าปฏิเสธ นัยน์ตาแววหวานสบนิ่งพยายามถ่ายทอดความแน่วแน่ออกมาให้มากที่สุดเท่าที่ทุรพลน้อยสามารถทำได้


“เช่นนั้นข้ามิขัด แลขอบน้ำใจเจ้ามาก หากเกิดปัญหาสาหัสจงส่งข่าวกลับมา ข้าจักส่งสารถึงท่านภานุด้วยตนเองอีกครา”


“จ้ะ”


“ท่านอาคิรา ข้าขอสอดปากสักเรื่องได้ฤๅไม่จ๊ะ”

 
“เชิญเถิด”


“เพลานี้ดอกบัวของท่าน ข้าเกรงว่ากำลังเหี่ยวเฉาเพราะความทึกทักไปเอง ข้าเห็นว่าท่านควรเร่งเข้าไปดูแลนะจ๊ะ”


“เฮ้อ ดอกบัวนี้แม้จักเข้มแข็ง ทว่ากับบางเรื่องกลับกลีบบาง ใสซื่อ แลดื้อรั้นเสียจนน่าตี... ขอบน้ำใจเจ้าหนามะลุลี” อาคิราส่งยิ้มบางเบาให้ทุรพลน้อย ร่างสูงใหญ่หันกลับเดินไปยังเรือนนอนของเจ้าดอกบัวของเขาไม่ปล่อยเวลาให้ช้านาน


ที่ผ่านมาอาคิราเห็นว่าพิรัลกำลังอยู่ในภวังค์นิทรา และเพิ่งฟื้นคืน ทว่าในเมื่อมีเรี่ยวแรงทึกทักเอาเองได้ปานนี้ อาคิราเห็นทีว่าเจ้าตัวดีคงมีแรงพอจะรับความจริงที่จะพันธนาการตนเองไว้กับเขาได้เสียที



มะลุลีที่เห็นดังนั้นจึงยกยิ้มรับ แล้วถอนหายใจออกยืดยาวด้วยความปลอดโปร่ง


“สิ่งที่ข้าสมควรกระทำ ข้าได้กระทำแล้ว นอกเหนือจากนี้เป็นหน้าที่ของพวกท่านแล้วหนา”


มะลุลียอมรับว่าตั้งแต่จำความได้ มะลุลีได้ยินผู้เป็นพ่อกล่าวถึงคู่ตุนาหงันของตนเนืองๆ ยามได้พบหน้าคร่าตาด้วยบุคลิกอันสุขุมสง่างาม ทั้งยังอ่อนโยนให้เกียรติผู้อื่นอยู่ในที หากต้องให้มะลุลีออกเรือนด้วย ทุรพลหนุ่มย่อมยินดีและคงรู้สึกว่าตัวเองโชคดีอย่างยิ่ง เมื่อตนได้มีโอกาสพบอุตมางค์แสนร้ายกาจเช่น กลุ่มของพันแสง กระนั้นผู้ใดได้อยู่ในเหตุการณ์ที่พิรัลถูกทำร้ายแล้วดูไม่ออก ว่าอุตมางค์ผู้นี้มีใจรักให้แก่พิรัลมากเพียงใด ย่อมเป็นผู้หูหนวก ตาบอด เป็นแน่แท้

 
มะลุลีรู้สึกภูมิใจในการตัดสินใจของตัวเอง และต้องยกความดีให้แก่พิรัลนลินด้วย การมาของทุรพลผู้นี้ทำให้ความคิดต่อตนเองเปลี่ยนไป ไกรสรสิงห์น้อยเกิดและเติบโตด้วยการปลูกฝังความคิดที่ต้องรอวันออกเรือน ดูแลลูกและผู้ที่จะมาเป็นสามี แม้ตนจักเป็นสิงห์ตัวผู้แต่ด้วยวรรณะทุรพล ทำให้มะลุลีถูกปฏิบัติราวกับนางสิงห์ ไม่เคยมีความคิดอ่านใดมากกว่าการปฏิบัติตนให้มีกิริยาอ่อนหวาน เพียบพร้อมรอคู่หมาย แต่พิรัลทำให้มะลุลีหรือแม้แต่ทุรพลตนอื่นตระหนักได้ว่าการเป็น ทุรพลหาใช่ขีดจำกัด แม้จะไม่อาจเทียบเคียงอุตมางค์ หรือสามัญสิงห์ แต่ทุรพลนั้นยังสามารถกระทำสิ่งใดได้มากกว่าการเป็นคู่ครอง เป็นแม่
เช่นขณะนี้ มะลุลี รู้จักที่จะปฏิเสธด้วยความต้องการของตัวเองเป็นครั้งแรกในชีวิต นอกจากเพื่อความรักพิรัลและอาคิรา ยังเป็นการปลดพันธนาการของตัวมะลุลีเองด้วย ถึงยังไม่รู้ว่าตนทำสิ่งใดได้ดี และดูเป็นการกระทำเล็กน้อยเมื่อเทียบกับพิรัล หากทุรพลน้อยกลับภาคภูมิใจในตัวอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ความฟูฟ่องในอกนี้ทำให้มะลุลีไม่นึกหวาดกลัวที่จะค้นหาตัวตนอีกต่อไป...




                    ขณะเดียวกันพิรัลที่หลับในเรือนนอนเพียงลำพัง กลับลืมตาตื่นขึ้น ทุรพลน้อยยันตัวขึ้นมาทอดสายตามองเหม่อรอบเรือนนอนของตน


“เจ้าชอบที่นี่ฤๅไม่” อาคิราเอ่ยทักเมื่อเข้ามาเห็นตนนั่งเท้าคางมองลงไปยังบึงบัว


“จ้ะ ที่นี่ราวกับเป็นภาพฝัน หากที่แห่งนี้มิมีพี่อาคิรา พี่ศศิน ท่านธีมารวี แลทุกตน ข้าต้องคิดว่าได้ละทิ้งกายหยาบขึ้นมาอยู่บนสรวงสวรรค์เป็นแน่”

 
“หากที่แห่งนี้เป็นสรวงสวรรค์ ฤๅภพภูมิใด ยามเจ้าลืมตาตื่นเจ้าย่อมเจอพี่ เช่นนั้นเจ้าจักใช้พี่เป็นมาตราชี้วัดได้เล่า” สิงห์หนุ่มพูดราวกับจะติดตามไปทุกหนแห่ง

 
“เจ้าพิรัล ตากลมนานไปแล้วหนา เจ้ายังมีเพลาอีกมากนานที่จักชื่นชมพวกมัน...นานเท่าที่เจ้าต้องการ มารับยาเสียก่อน”
แต่จะเป็นไปได้เช่นไร ในเมื่ออีกไม่ช้านานย่อมต้องแยกจาก...ต่อไปพื้นที่ข้างกายของพี่อาคิราจะไม่ใช่ของเขาอีกต่อไป



ทุรพลน้อยถอดถอนหายใจหนัก พยายามบังคับใจตัวเองไม่ให้เศร้าโศกมากนัก เดิมทีสิงห์น้อยตั้งใจที่จะลงมือพับผ้าผ่อนที่สิงห์รับใช้ของธีมารวีเป็นธุระนำมาให้จากคูหาเดิม แต่เพราะรู้สึกวิงเวียน จึงต้องหยุดมือเพื่อพักร่างกาย ความเศร้าเสียใจจากความรักนั้นมีท่วมท้น แต่ความผิดปกติของร่างกายนั้นน่าแคลงใจไม่แพ้กัน


หลังจากฟื้นตื่นขึ้นมา ร่างกายของเขาขัดแย้งตีรวนไปหมด แม้รู้สึกอ่อนเพลียง่ายแต่กลับรู้สึกหิวถี่ขึ้นในช่วงวัน ทั้งยังกินจุมากเป็นเท่าตัว มือเรียวสำรวจบาดแผลที่ช่วงอก เพลานี้ไม่มีร่องรอยเหลือไว้อีกแล้ว เมื่อถามไถ่ถึงโอสถตัวแรกที่รับนั้น เป็นโอสถทิพย์จากท่านเขมอารัญอันมีส่วนผสมของน้ำจากสระอโนดาต สระน้ำที่ขึ้นชื่อเรื่องการเยียวยาจึงไม่น่ามีอาการอ่อนล้ายาวนานข้ามวันคืนเช่นนี้


เมื่อความวิงเวียนคลายลง แม้จะเชื่อใจอาคิราที่เป็นหมอยามากความรู้ยิ่งกว่าตน แต่ลางสังหรณ์บางประการสะกิดเตือนในใจ จนพิรัลตัดสินใจตรงไปยังเรือนยา ที่อยู่ทางปีกขวา เพื่อดูตัวยาบำรุงที่ตนได้ดื่มหลังจากฟื้นขึ้นมา



หากเป็นเรือนราชสีห์ทั่วไปมักไม่มีเรือนครัว ด้วยยามกินอาหารจตุราชสีห์โดยเฉพาะ บัณฑูรสีหะ และ ไกรสรสีหะ ซึ่งเป็นสิงห์กินเนื้อ แต่คูหาของอาคิราและอาจารย์อัตรคุปต์จำเป็นต้องมี เพื่อใช้ปรุงยาในการรักษาผู้ป่วยไข้ บริเวณเตาไฟใกล้ระเบียงยังมีหม้อต้มยาตั้งอยู่ ทุรพลน้อยบรรจงเปิดหม้อยา หยิบตัวยาก้นหม้อขึ้นมาพินิจดู ส่วนประกอบพร้อมรื้อความทรงจำอยู่เพียงครู่ ความแคลงใจยิ่งชัดขึ้น


เพราะสมุนไพรภายในหมอยาไม่ใช่ตัวยา ในตำรับยาหอม เพื่อปรับสมดุลร่างกายหลังป่วยไข้ แต่กลับเป็น ตำรับ ‘พิกัดเกสรทั้งห้า‘ อันได้แก่ดอกมะลิ ดอกพิกุล ดอกบุนนาค ดอกสารภี และเกสรบัวหลวง ซึ่งมีรสและกลิ่นคล้ายยาหอม หากแต่มีส่วนผสมน้อยกว่า และสรรพคุณต่างกันหลายประการ แต่สิ่งที่ประจักษ์นั้นเหนือการคาดคิดไปไกลโข ทำให้ความมั่นใจของพิรัลนั้นมีไม่มากพอจักเชื่อได้ แม้สัญชาตญาณภายในกายร้องบอกว่ามันเป็นความจริง...



ร่างเล็กไม่รอช้า ด้วยความร้อนใจ มุ่งหน้าไปยังหอตำรา ที่อาคิราใช้เก็บสมุนไพร และตำราอยู่ถัดจากเรือนครัวเพียงฝากั้น เพื่อหาข้อยืนยันแก่ตนเองทันที เพราะเรือนนี้มิใช่เรือนเปิดเป็นสาธารณะเช่นเรือนของอาจารย์ บานประตูจึงไม่มีการขัดดาลแน่นหนาและโอ่อ่าเท่า เมื่อก้าวเข้ามาตากลมโตกวาดสายตารอบเดียวก็พบตำราตำรับยาวางเรียงไว้เป็นระเบียบบนตั่งไม้ อีกฟากเต็มไปด้วยกลักและล่วมยาสมุนไพร พิรัลยอบตัวลงกรีดนิ้วไล่หาตำรับยาที่ต้องการ โชคดีที่มันคงเพิ่งถูกหยิบมาใช้เมื่อไม่นานมานี้ สิ่งที่ทุรพลน้อยต้องการจึงอยู่ด้านบนของกองตำรานับสิบ ไม่ต้องเสียเวลารื้อหาให้นานนัก



พิรัลใจเต้นรัวยามไล้ปลายนิ้วเพื่ออ่านอักขระบนใบลานเบื้องหน้า ด้วยแม้ทุรพลน้อยจะได้รับการศึกษามาบ้าง แต่ก็ไม่ถึงขั้นแตกฉานจนคล่องแคล่วดั่งอุตมางค์ผู้มากความสามารถเช่นอาคิรา


พลันเมื่ออ่านจบเลือดในกายกลับรู้สึกเย็นเหยียบจนชาดิก หัวสมองคว้างลอยคล้ายจะเป็นลมจนต้องหยุดพัก เพื่อปรับลมหายใจและรวบรวมสติสัมปชัญญะอีกรอบ มือเรียวสั่นเทาผละจากตำราค่อยๆ ลูบไล้หน้าท้องของตัวเองแผ่วเบา ทั้งที่ยังไม่อยากยอมรับ...


’จะเป็นไปได้เช่นไร หามีทางจักเป็นเช่นนั้นได้ไม่ ในเมื่อข้ายังมิได้’ คิดไปสรตะมือเรียวเผลอยกลูบฐานคอไปมาตามความคิด ไม่ทันรู้ตัวว่า ประตูเรือนได้ถูกผละออกด้วยฝีมือของผู้ที่ทำให้ว้าวุ่นใจ


“เจ้าพิรัล เข้ามาที่นี่ด้วยเหตุใด แล้วนั่นเจ้าเป็นอันใด ลมจับรึ”

 
“ข้า...” อาคิราที่เห็นน้องหน้าซีดขาว ไม่รอฟังเสียงตรงเข้ามาช้อนอุ้มพิรัลนลินกลับเรือนนอนอย่างรวดเร็ว







++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

สิงหา...ถึงนักอ่าน
เอาล่ะค่ะถึงเวลาที่พี่อาคิราจะไม่อ่อนโยนกับน้องอีกต่อไป!
และถึงเวลาที่จะแจ้งว่า ลำนำมฤคินทร์ มาถึงโค้งสุดท้ายแล้วนะคะ
น่าจะจบภายในอาทิตย์หน้านี้แล้วนะคะ (ถ้าไม่วันเสาร์ ก็คือวันอาทิตย์แน่นอน)

สุดท้าย ขอขอบคุณทุกๆ คอมเมนต์นะคะ
หากมีคำผิด หรือจุดที่อยากแนะนำ หรือไม่เข้าใจ นักอ่านสะกิดเตือนได้เลยค่ะ
ผู้เขียนน้อมรับฟังนักอ่านทุกท่าน ด้วยความขอบคุณ
พบกันใหม่ใน คืนวันเสาร์หน้า นะคะ












ออฟไลน์ พิศตะวัน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-3

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3

ออฟไลน์ สิงหา

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 121
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
บทที่ ๑๖
[/size]

ปัจฉิมบท





                    อาคิราอุ้มพิรัลนลินเข้ามายังเรือนพักของเจ้าตัว ค่อยๆ บรรจงวางร่างน้อยไว้บนประการนอน พลันหางตาก็เหลือบไปเห็นกองผ้าที่เคยพับเก็บไว้ในหีบ ถูกนำออกมามัดรวมไว้ในห่อผ้า เพื่อใช้ในการเดินทาง คิ้วเข้มหนาเลิกขึ้นก่อนถอนหายใจหนัก เรือนกายสูงใหญ่ หันตัวกลับไปยังประตูลงมือขัดดาลป้องกันถูกขัดจังหวะ แล้วกลับมายอบตัวลงนั่งคุกเข่าประจันหน้ากับเจ้าตัวยุ่ง


“เจ้าพิรัล...นี่ถึงกับตระเตรียมเก็บข้าวของเทียวฤๅ”


“จ้ะ ข้าขอรบกวนพี่อาคิราอีกเพียงสองสามทิวา เพลานั้นร่างกายข้าคงพร้อมเดินทางกลับเสียที” พิรัลฝืนใจพูดได้เท่านี้ เคยนึกว่าตนจะแข็งแกร่งมากพอ แต่ในตอนนี้เรี่ยวแรงกลับเหือดหาย มือเล็กเผลอกำผ้านุ่งของตนจนข้อขาวเพื่อเก็บกลั้นน้ำตา...ทำตัวเอง


“เช่นนั้นฤๅ...แล้วเจ้าไปเรือนยาด้วยเหตุใดเล่า หาสิ่งใดอยู่ พี่จักจัดการให้”


“หาได้ต้องการสิ่งใดดอกจ้ะ ข้าเพียงแต่...อยากรู้ตัวยาที่ดื่มอยู่ เผื่อกลับไปแล้วจักได้ต้มดื่มให้ต่อเนื่องจ้ะ” ทุรพลน้อยตอบอึกอัก ตากลมโตเสมองไปทางอื่นยามเอ่ยคำโกหก


“เช่นนั้นเจ้าคงรู้ตัวยาที่ดื่มกินไปแล้วกระมัง” ผู้พี่แสร้งว่าจับไม่ได้ เงยหน้าขึ้นมองสบสิงห์น้อยที่นั่งสูงกว่าส่งยิ้มถามต่อ


“เป็นยาตำรับ...เกสรห้าชนิดจ้ะ” พิรัลยังคงตอบเสียงแผ่ว มือเท้ารู้สึกเย็นเหยียบทั้งที่เม็ดเหงื่อกลับเริ่มผุดพราย


“สรรพคุณเล่า เกสรห้าชนิดนี้ ต่างจากยาหอมบำรุงกำลังหลังฟื้นตัวตามที่ควรเป็น เยี่ยงไร”


“เกสรทั้งห้า ตัดตัวสมุนไพรบางชนิดที่อาจมีผลต่อหญิงตั้งครรภ์ จึงมีสรรพคุณบำรุงหัวใจ แก้วิงเวียน แล...บำรุงครรภ์ พะ พี่อาคิราเรื่องเช่นนี้ ปะ เป็นไปมิได้” พิรัลส่ายหน้าดิก เอ่ยถามพี่อาคิราของตนจนปากคอสั่น


“เสียใจด้วยหนาพิรัล’ เรื่องเช่นนี้’ นั้นได้เกิดขึ้นแล้ว เจ้ามิรู้สึกตัวจริงรึ” อาคิรายืดตัวขึ้นจนใบหน้าของทั้งคู่อยู่ในระดับเดียวกัน ทั้งยังขยับเท้าแขนแกร่งของตนไว้กับตั่งนอนกักกัน ทุรพลน้อยที่กำลังตื่นตระหนกไม่สามารถลุกหนีไปได้


เมื่อเห็นว่าเจ้าตัวดีไม่มีทีท่าจะหลบลี้ มือหนาจึงเอื้อมปลดสร้อยแพทองบนลำคอระหงออก ก่อนจะดันกระจกทองเหลืองใกล้มือขึ้นมา ปลายนิ้วเรียวไล้เบาๆ ลงบนฐานลำคอ ที่ถูกกระจกทองเหลืองสะท้อนไปรอยแผลเป็นเล็กๆ ที่แม้แต่เจ้าของร่างก็ไม่ทันสังเกตเห็น


“พะ พี่อาคิรา เหตุใดพี่... ทำเช่นนี้ ท่าน ท่านมีคู่ตุนาหงัน แล...แล...ท่านไม่จำเป็นต้อง”


“ชู่...เจ้าฟังพี่” นิ้วชี้เรียวรีบแตะลงบนกลีบปากอิ่มของพิรัลเป็นการปราม...หมดเวลาแล้วที่เจ้าตัวยุ่งจะเล่นวิ่งไล่จับกับเขาแล้ว


“เจ้าเป็นฝ่ายเข้ามาผูกรั้งพี่เอง เมื่อหมดเรื่องแล้วจักถีบส่งพี่รึเจ้า... เพลานี้ถึงทีพี่บ้าง พี่จักผูกรั้งให้เจ้าอยู่กับพี่ ไปตลอดชีวิตของเจ้า สมน้ำมะหน้าเจ้าตัวร้าย” อาคิราแกล้งยกยิ้มมุมปากอย่างผู้ร้าย พาให้ผู้ถูกเอาคืนหน้าตื่นคล้ายจะร้องไห้ออกมารอมร่อ


“ข้า... ไฉนพี่ว่ามิได้โกรธเคือง”


“เฮ้อ เจ้าพิรัล พี่มิได้โกรธเคือง พี่เพียงรักเจ้า เช่นเดียวกับที่เจ้าลอบบอกรักพี่กับท่านศศินเช่นไรเล่าเจ้าตัวดี”


“ฮึก พี่...ข้าฤๅ พี่อาคิรา พี่นั้นฤๅ เป็นไปได้เยี่ยงไร ฮึก ข้ายังคงอยู่ในห้วงนิทราเป็นแน่แท้” เพียงคำว่ารักที่ถูกปล่อยออกมาก็ทำให้พิรัลนลินถึงกับร้องไห้โฮ เจ้าสิงห์น้อยไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังตกใจ หรือดีกันกันแน่


“โอ๋ นิ่งเสียพิรัลของพี่ พี่ขออภัยต่อเจ้า ที่กระทำไปโดยมิถามความเต็มใจ แลพี่รู้สึกโชคดีที่พี่กระทำไป คราแรกพี่หวังเพียงผูกพันธะเพื่อให้เจ้ารอดพ้นจากอุตมางค์ทุกตน ที่จักเข้าหายามเจ้าแฝงตัวเข้าไปยังถ้ำพันแสง หลังจากพี่ได้ยินเจ้าพูดความในใจแต่หนนั้น มิได้หมายใจจักให้มีครรภ์ ด้วยหากพี่รู้พี่คงมิอาจปล่อยเจ้าไปเช่นนั้น” ตาคมเข้มจ้องลึกลงไปนัยน์ตากลมโต เพื่อถ่ายทอดทุกความรู้สึกออกมา


“...สุดท้ายกลับเป็นเพราะลูกเจ้าถึงรอดพ้นจากเงื้อมมือมัจจุราชกลับมาหาพี่” อุตมางค์หนุ่มเอื้อมมือเกลี่ยน้ำตาออกจากแก้มเนียน บอกเล่าด้วยเสียงสั่นเครือ เมื่อหวนคิดไปถึงยามที่พิรัลถูกทำร้ายจนหมดลมหายใจไปต่อหน้า


“ในตำราบันทึกไว้ คราแรกยามฝังเขี้ยวมิอาจทำให้ทุรพลตั้งครรภ์ได้ นั้นเป็นอีกเรื่องที่ชาวสิงห์เราเข้าใจคลาดเคลื่อน จากคำบอกเล่าของท่านศศิน แลนางสิงห์รำไพ และจำปาแล้ว เห็นทีเจ้าคงตั้งครรภ์ในคืนที่เราร่วมหอก่อนออกเดินทางไปคูหาติณสีหะนั่นแล้ว แลด้วยฤทธาแห่งอุตมางค์ในครรภ์ ทำให้มิสามารถมีผู้ใดคราชีวิตเจ้าได้ ขอบน้ำใจที่ช่วยแม่เจ้าไว้ลูกพ่อ” อาคิราลูบมือลงบนหน้าท้องที่ยังคงแบนราบ แล้วกดจูบลงไปแผ่วเบา


“พี่อาคิรา ท่านช่างร้ายกาจ” พิรัลนลินเม้มปากเข้าหากันแน่ ในเวลานี้ทุรพลน้อยความรู้สึกตีกันไม่สามารถเอ่ยออกมาได้ว่าตนกำลังรู้สึกเช่นใด ที่มากสักหน่อยเห็นจะเป็นความรู้สึกเข่นเขี้ยวอุตมางค์หนุ่มที่นั่งกอดซบเอวตนอยู่เวลานี้


“เจ้าเล่า เก่งกล้า หูตาไวไปเสียทุกเรื่อง ไยมาไร้เดียงสากับเรื่องพี่นัก ช่างทึกทักไปเอง ซ้ำยังผลักไสพี่ให้ผู้อื่น รอยบนคอนั้นพี่ตั้งใจจักบอกเจ้า ทว่าเจ้านั้นเอาแต่บ่ายเบี่ยง คำหนึ่งเพื่อหน้าที่ คำสองพี่ไม่ต้องรับผิดชอบเจ้า เสียจนพี่มีน้ำโห คิดจับมัดเจ้าให้รู้แล้วรู้รอดไป”


“....”


“เจ้าพิรัล พี่นั้นมิได้มีใจอารีกับสิงห์ทั่วทุกผู้ทุกตน บางตนถึงกับมองพี่ว่าเย็นชาร้ายกาจ เจ้าเห็นว่าพี่ใจดีนั้นเป็นเพราะสิงห์ตนนั้นคือเจ้า เพราะพี่รัก พี่ถึงคอยเอาใจ เฝ้าทะนุถนอมเจ้าถึงเพียงนี้ พี่พูดเช่นนี้เจ้าเข้าใจพี่ฤๅไม่ จักยอมรับรู้ถึงหัวใจพี่ แลยอมอยู่เคียงคู่สิงห์ร้ายกาจเช่นพี่ได้ฤๅไม่”


“แล้วมะลุลีเล่าจ๊ะ”


“เจ้ามะลุลีหาเกี่ยวข้องอันใด พี่ออกปากบอกปัดท่านภานุผู้พ่อเสียก่อนพาเจ้ากลับ แลเจ้ามะลุลีนั้นมีใจตรงกับพี่ในการสิ้นสุดข้อผูกมัดใดๆ ต่อกัน ทีนี้เจ้าจักอ้างผู้ใดอีกฤๅไม่”


“พี่อาคิรากล่าวว่าจักผูกมัดข้า เช่นนี้แล้วข้าจักไปที่ใดได้อีกเล่า” เมื่อทุกข้อหากระจ่างชัด เจ้าทุรพลน้อยไม่อาจหาข้ออ้างใดหลีกเลี่ยงหัวใจตัวเองได้อีกต่อไป ทว่าความเขินอายที่มากล้นทำให้พิรัลนลินอ้อมแอ้มตอบรับในที่สุด


“หากพี่มิผูกมัด แลเพียงวอนขอด้วยใจรักเท่านั้นเล่า” แต่เหมือนอาคิรายังไม่พอใจ สิงห์หนุ่มยังคงรุกไล่ทอดเสียงอ่อนถามต่อด้วยสีหน้าวอนขอ พาให้ใจดวงน้อยของพิรัลเต้นกระหน่ำจนแทบทะลุออกมานอกทรวงอก


“เช่นนั้นข้าจักอยู่ด้วยใจรักของข้าที่มีต่อพี่อาคิราเช่นกัน” พิรัลกลั้นใจเอ่ยปากเป็นข้อความที่ตรงกับหัวใจออกไปเป็นผลให้เจ้าสิงห์น้อยได้อ้อมกอดพร้อมจังหวะหัวใจที่เต้นแรงเร็วไม่แพ้กันของอาคิรากลับมา


อ้อมกอดอันอบอุ่นอ่อนหวานที่สุดของมฤคินทร์ทั้งคู่


อ้อมกอดที่ถูกสอดผสานด้วยหัวใจรักลึกซึ้งต้องตรงกัน


อาคิราประคองกอดอิงแอบร่างบอบบางของพิรัลนลินจวบจนรุ่งเช้าด้วยหัวใจอันแช่มชื่น และจักมอบอ้อมกอดนี้ให้แก่เจ้าดอกบัวของเขาตราบจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต...




                   แสงอุ่นส่องรอดบานหน้าต่างเข้ามาปะทะใบหน้าอ่อนหวานที่ยังคงหลับพริ้ม อุตมางค์หนุ่มผู้ลืมตาขึ้นจากนิทรารมณ์เฝ้ามองด้วยดวงตาทอดอ่อน มือแกร่งยกขึ้นปัดเกลี่ยเส้นผมยาวสลวยออกจากดวงหน้าหวาน ไล้เรื่อยลงมาแก้มเนียนเบามือ

...ผิวพิรัลยามนี้อุ่น ไม่เย็นเฉียบเหมือนครานั้น

...รอยยิ้มของน้องน้อยยามลืมตาตื่น อ่อนหวานเสียจนทำให้ใจสั่น

...ตากลมโตเป็นประกายฉายชัดเพียงเข้า...พิรัลนลินผู้นี้เป็นของเขาทั้งตัวและหัวใจ เพียงคิดถึงตรงนี้ความรู้สึกเป็นสุขก็อาบล้นไปทั่วร่างจนไม่อาบบรรยาย หรือกระทำสิ่งใดได้นอกจากเผยยิ้มกว้างที่สุด แล้วดึงร่างแบบบางนั้นมาโอบกอดไว้ให้แน่นที่สุด ทว่าเจ้าตัวดีกลับยกผ้าห่มขึ้นมาคลุมหัวคลุมตัวปิดบังร่างตัวเองไว้เสียจนมิด


“พะ พี่อาคิรา”


“เจ้าเป็นอันใด”


“ฮื่อ ข้า ข้าอาย” เสียงแว่วออกมาจากในโปงผ้าแผ่วเบา เรียกรอยยิ้มเอ็นดูระคนมันเขี้ยวแก่อาคิราขึ้นมาติดหมัด


“เขินอายอันใด มิใช่ว่าเราเคยนอนร่วมเตียงกันมาแล้วดอกรึ”


“ก็ ก็เพลานั้นข้าลืมคิดนี่จ๊ะ ทว่า ทว่าตอนนี้ต่างออกไป ข้า ข้า...”


“ครานั้นเจ้าเห็นพี่เป็นเพียงเครื่องมือ เพลานี้เจ้าเห็นพี่เป็นสามีเจ้าเต็มเนื้อเต็มตัวแล้ว พี่เข้าใจถูกฤๅไม่” เมื่อกล่าวจบก้อนผ้าข้างกายคล้ายจะยิ่งหดเล็กลง


“เจ้าพิรัล...เจ้า...” อาคิราถึงกับขำออกมา วงแขนแกร่งรวบดักแด้น้อยเข้ามาไว้ในอ้อมกอด จุมพิตเจ้าตัวร้ายผ่านผืนผ้าเนินนานจนเจ้าตัวดียอมนิ่งในอ้อมกอด จึงค่อยๆ เลื่อนผ้าห่มออกเผยให้เห็นพวงแก้มแดงปลั่งน่าฟัด


“พี่ดีใจที่เรามีวันนี้ ดีใจที่เจ้ากลับมาหาพี่”


“ข้ามีความสุขเช่นกันที่ได้กลับมาหาพี่อาคิรา...ข้ามิได้อยู่ในห้วงฝันใช่ฤๅไม่จ๊ะ” นิ้วน้อยค่อยๆ เอื้อมสัมผัสใบหน้าคมเข้มของผู้พี่แผ่วเบา เพื่อยืนยันกับตัวเอง เพราะในเวลานี้พิรัลนลินมีความสุขเสียจนไม่อยากเชื่อตัวเอง


“เป็นฝัน ฤๅความจริง ท้องนภา ฤๅห้วงมหานทีสีทันดร มิว่าภพใดหากที่แห่งนั้นมีเจ้า พี่ย่อมติดตามไป เช่นนั้นมิสำคัญว่าเพลานี้จักเป็นเพียงฝันฤๅไม่” อาคิราประคองมือน้อยที่ข้างแก้มขึ้นมาจรดจูบนิ่งนาน


“หากอาการวิงเวียนบรรเทาลง พี่จักพาเจ้าไปเยี่ยมพ่อแม่ของเจ้าดีฤๅไม่”


“ขอบน้ำใจจ้ะ” เช้าแรกของการเป็นคู่ชีวิตอย่างเต็มตัว เต็มไปด้วยรอยยิ้มและหัวใจที่เป็นสุข






                    กาลเวลาพ้นผ่านไปด้วยความสงบราบรื่น ไม่มีอีกแล้วความหวานกลัวและความคับแค้นที่เป็นประการคอยฉุดรั้ง ทุกชีวิตต่างแยกย้ายไปดำเนินชีวิตในเส้นทางของตัวเองในเป้าหมายและความวาดหวังแห่งใหม่ ธีมารวีและศศินได้เปิดคูหาของตนให้การศึกษาแก่จตุราชสีห์โดยเปิดกว้างไม่แบ่งแยก มีมะลุลีคอยช่วยเหลือกิจการงานต่างๆ โดยมีกัญจน์ราชสีห์คอยวนเวียนไปมาหาสู่ไม่ขาด เหตุการณ์ที่พิรัลนลินเสี่ยงเอาตัวเข้าไปเป็นนกต่อของพันแสง และการเปิดสอนตำราโดยทุรพล ได้ปลุกความตระหนักรู้ในตัวของทุรพลตนอื่นๆ ขึ้นมา แม้การแบ่งวรรณะชนชั้นยังคงไม่อาจทำลายลงได้ในทันทีทันใด แต่การมีผู้เริ่มต้นนั้นย่อมถือเป็นนิมิตหมายอันดี


เช่นเดียวกับอาคิราและพิรัลนลิน เวลาผ่านพ้นเข้าเดือนที่สอง ท้องของทุรพลน้อยเริ่มนูนขึ้นมาจนเห็นได้ชัด เพราะอีกเพียงเดือนเศษลูกสิงห์น้อยจะได้ลืมตาออกมาดูโลก เช่นเดียวกับทรวงอกที่ขยายนูนขึ้นเป็นกระเปาะ ผมยาวสีดำขลับถูกอาคิราหวีจนเปล่าทิ้งตัวลงคลอเคลียบั้นเอว ผ้านุ่งถูกโอบพันสูงขึ้นจากยามปกติเพื่อให้ช่วงท้องไม่โล้นโล่งเช่นเดิม มือเรียวเล็กเลือกหยิบผ้าคล้องไหล่สีกาบหมากเช่นเดียวกับตัวเอง ขึ้นคล้องบ่าให้ผู้เป็นสามีหยิบจัดเพียงครู่ก็ได้รับจุมพิตที่แก้มทั้งสองข้างเป็นรางวัลเช่นทุกเช้า


“ไปกันเถิด พ่อแลแม่คงชะเง้อคอยแล้ว” อาคิรากล่าวด้วยรอยยิ้มบาง มือใหญ่โอบประคองร่างน้อยๆ พาเดินลงจากเรือน เพื่อไปสมทบกับขณะเดินทางที่จัดเตรียมไว้เพื่อเดินทาง



                    ถ้ำไกรรพในเวลานี้ถูกบูรณะใหม่ ไม่หลงเหลือคราบเลือดคราบเขม่าควันเช่นครั้งก่อน บึงบัวแห้งแร้งกลับมาใสสะอาดเต็มไปด้วยดอกบัวคอยชูช่อบานสะพรั่งเต็มสระ พื้นที่ที่เคยเป็นบ้านเรือนถูกแทนที่ด้วยหลักหินขนาดย่อมเรียงราย สถานที่แห่งนี้กลายเป็น อนุสรสถานรวมอัฐิเหล่าสิงห์ผู้วายชนม์ให้ได้อยู่ร่วมกันอย่างสงบเป็นครั้งสุดท้าย


เมื่อทั้งหมดก้าวเข้าสู่โถงถ้ำ กลับพบครอบครัวกีหมีเฝ้าอยู่ ประกอบด้วยคู่กีหมีตัวผู้ตัวเมียและลูกเล็กอีกสามตัว กีหมีตัวพ่อเมื่อเห็นพิรัลนลินก็ไม่รอช้า มันวิ่งตื๋อหมายกระโจนเข้าใส่สิงห์น้อยด้วยความคิดถึง ติดที่มีอาคิราใช้ตัวเองเข้ามาบังไว้ มิยอมให้กีหมีหนุ่มเข้าถึงตัวพิรัลนลินได้ดังที่มันคิด


“เจ้าจันอิน ทำเยี่ยงนี้มิได้ นายเอ็งกำลังท้องไส้อยู่หนา” อาคิราเอ็ดกีหมีหนุ่มจนมันยอมสงบนิ่ง ก่อนจะเบี่ยงตัวหลบ ยกมือขึ้นลูบท้องนูนนั้นให้เจ้าจันอินรับรู้ กีหมีตัวโตจดจ้องเอียงคอไปมาเพียงครู่ ค่อยเปลี่ยนท่าที มันค่อยๆ เดินเข้าหาพิรัล แล้วใช้หัวดุนดันมือเล็กของผู้เป็นนายแผ่วเบาแทนการกระโจนเข้าใส่อย่างเคย


“เจ้าจันอิน ข้าคิดถึงเจ้าแลยินดีกับครอบครัวของเจ้าหนาเพื่อนยาก” พิรัลนลินน้ำตารื้น ยอบตัวลงกอดกีหมีโตตัวด้วยความคิดถึง เผื่อแผ่ไปถึงครอบครัวของมันที่นั่งหมอบรออยู่เบื้องหลัง...มิใช่แค่เจ้าที่เติบโต ข้าเองก็เช่นกัน ข้าดีใจที่เจ้ามีความสุขแลชีวิตที่ดีเช่นเดียวกับข้าหนาเจ้าจันอิน


“เมื่อครั้งที่เราเดินทางพี่จับได้ว่ามันแอบซุ่มตามขบวนเรามา เพลานั้นพี่เกรงมันจักเป็นอันตรายแลทำเจ้าพะวักพะวน พี่จึงให้สิงห์รับใช้ของพี่ธีมารวีพาเจ้าจันอินมาไว้ที่นี่ก่อน จากนี้สุดแล้วแต่มาเจ้าจันอินจักติดตามเรากลับไป ฤๅปักหลักอยู่ที่นี่”


“ข้าขอบพระคุณแทนเจ้าจันอินนะจ๊ะ”


“เพราะเจ้าจันอินเป็นสหายเจ้าดอก”




หลังผละจากครอบครัวกีหมี อาคิราพาพิรัลมาไหว้ศิลาของพ่อและแม่ตนก่อนจะพาสิงห์น้อยมายังบริเวณที่พิรัลเคยฝั่งเถ้าอัฐิของพ่อแม่พี่น้องไว้


พิรัลนลินค่อยๆ ลงนั่งลงกับพื้นโดยมีอาคิราคอยประคับประคองไม่ห่างกาย สองมือน้อยกระพุ่มมืออภิวาทลงหน้าศิลาของพ่อแม่พี่น้อง พร้อมหยาดน้ำตา


’ แม่จ๋า พ่อจ๋า ลูกทำสำเร็จแล้วนะจ๊ะ พันแสงผู้นั้นมิอาจสร้างความเดือดร้อนแก่ผู้ใดได้อีก แลเพลานี้ลูกมีสามีที่ดี แลกำลังมีหลานตายายที่น่ารัก ลูกรักระลึกถึงพ่อแม่พี่น้องเสมอแลจักสลักพวกท่านไว้ในหัวใจตลอดกาล พวกท่านมิต้องห่วงกังวลสิ่งใดแล้วนะจ๊ะ ‘พิรัลก้มกราบอีกครั้ง คลายได้ปลดเปลื้องทุกสิ่งอย่างแท้จริง จนจิตใจรู้สึกปลอดโปร่งไปหมด


เมื่อเงยหน้าขึ้นจึงเห็นอาคิรายังคงสงบนิ่ง ทิ้งเวลาถึงอึดใจ อุตมางค์ค่อยลืมตาขึ้นแล้วก้มกราบ ก่อนจะหันกลับมายังทุรพลข้างกาย เพื่อยกมือขึ้นเช็ดหยาดน้ำตาที่ยังคงค้างบนแก้มนวลให้อย่างเบามือ


เมื่อพากันกราบไหว้เยี่ยมเยือนผู้วายชนม์แล้วเสร็จ คณะสิงห์กลับออกมายังหน้าคูหา โดยมีครอบครัวกีหมีเดินตามรั้งท้ายขบวน พิรัลนลินจึงเอ่ยปากถามไปเรื่อย หมายให้การเดินทางไม่เงียบจนเกินไปนัก


“พี่อาคิราพูดสิ่งใดกับพ่อแม่ข้าฤๅจ้ะ นานกว่าข้าเสียอีก”


“พี่ขอดูแลเจ้าแทนพ่อแม่ท่าน แล...ขอสมาที่พี่ชิงสุกก่อนห่าม พาเจ้ามากราบท่านพร้อมกับลูกในท้องเยี่ยงนี้”

เพียะ !

มือน้อยฟาดลงบนแขนแกร่งของพี่ไม่เบาแรง ดวงตากลมโตขึงดุ ปากอิ่มเม้มเข้าหากันแน่น พิรัลนลินยามนี้ทั้งฉิวทั้งเขิน จนอยากตีอุตมางค์หน้าไม่อายให้เนื้อเขียว ทว่ามีหรือแรงตีจากมือน้อยๆ เช่นนี้จักทำให้นำพา เรือนการใหญ่เอียงมากระซิบข้างหูเจ้าตัวร้ายหมายให้ได้ยินเพียงสอง


“ทำร้ายพี่เยี่ยงนี้ พี่มิว่าแต่ยามลับตาพ่อแม่เมื่อใด พี่จักขอคืนทบต้นทบดอกหนาเจ้าตัวดี”


เป็นผลให้พิรัลยิ่งเข่นเขี้ยวหนัก ทุรพลน้อยคว้าจับมือใหญ่ขึ้นมางับอีกครั้งให้สาแก่ใจ...พี่อาคิราผู้แสนสุภาพไปไหนเสียแล้ว!


“ฮึๆ ออกฤทธิ์ออกเดชได้แล้วหนาพิรัล ไปเถิดจักได้ถึงคูหามิค่ำมืดนัก”


“พี่อาคิรา...ขอบพระคุณนะจ๊ะ ข้าโชคดีเหลือเกินที่มีพี่อยู่ข้างกายเช่นนี้”



“พี่เช่นกัน พี่รู้สึกโชคดีเหลือเกินที่ได้พบเจ้า โชคดีเหลือเกินที่เราพบกัน โชคดีที่ได้เจ้ามาเป็นหัวใจรักของพี่”


มือของมฤคินทร์ทั้งสองสอดกระชับกันแน่น ออกเดินเคียงข้างกันไปด้วยรอยยิ้มและหัวใจอันอบอุ่น มือจะจับกันไว้แม้ยามทุกข์โศก หรือยามเป็นสุข โอบประคองและเป็นกำลังให้กันและกันไปจนสุดทาง




เรื่องราวของราชสีห์ที่ช่วยกันร่วมต่อสู้กับพันแสง และทุรพลน้อยผู้แสนกล้าหาญถูกนำมาแต่งเป็น ลำนำ ละเล่นขับร้องจนคล้ายเป็นตำนานอีกบทแห่งดินแดนสีหมุข ทว่าคำสรรเสริญ แซ่ซ้อง หรือ ชื่อเสียงหาได้มีความสำคัญไปกว่าความรักที่ทั้งสองมีให้กัน ลำนำแห่งจตุราชสีห์อาจเล่าขานถึงความเสียสละ อาจหาญ เก่งกาจ ทว่าลำนำของอาคิราและพิรัลนลินจะกล่าวถึงเพียงความรัก ความเข้าใจ เอื้ออาทร และเป็นลมหายใจของกันและกันตราบจนลมหายใจสุดท้ายของทั้งคู่มอดดับลง...





จบบริบูรณ์







++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

สิงหา...ถึงนักอ่าน

หากให้เราเปรียบเทียบตัวเองเป็นใครในเรื่อง เราว่าเราใส่ความรู้สึกของเราไปที่ตัว มะลุลีค่ะ เรารู้สึกขอบคุณลำนำมฤคินทร์ที่ทำให้เราเอาชนะตัวเอง ได้กล้าที่จะลองก้าวเล็กๆลงมาในถนนเส้นนี้ (จากเดิมเป็นนักอ่าน และแต่งจบในหัวมากตลอด)

เราว่าการเขียนนิยายเหมือนการขึ้นเขานะคะ ระหว่างทางเจอปัญหาบ้าง ขลุกขลักบ้าง แต่ก็เต็มไปด้วยประการ เราว่าเราได้อะไรจากการเขียนเยอะมาก แล้วพอถึงวันที่ได้ขึ้นมาอยู่บนยอดเขาแล้วมันรู้สึกดีจริงๆ ค่ะ

และที่ขาดไปไม่ได้เลย เราต้องขอบคุณทุกความคิดเห็นของทุกคนจริง ๆ ค่ะ ถ้าการเขียนนิยายคือการเดินขึ้นเขา ความคิดเห็นของพวกคุณก็เปรียบเสมือนธงบนยอดเขา ทำให้เราได้รู้ว่ามีคนรออยู่บนนั้นนะ เพราะฉะนั้นต้องพยายามไปให้ถึงนะ พวกคุณรออยู่ประมาณนี้ค่ะ

ส่วนความคิดเห็นที่คอยท้วงเรื่องคำผิดต่างๆ ก็ทำให้เรารู้ว่านิยายเรื่องนี้ ตัวอักษรที่เราพิมพ์ไปนี้มีคนใส่ใจนะ เห็นอยู่นะ มันมีความหมายและถือเป็นกำลังใจของเราจริงๆ เพราะฉะนั้นขอบคุณนะคะ ขอบคุณจากใจจริงๆ ค่ะ

แล้วพบกันใหม่ในเรื่องหน้ากับการขึ้นเขาลูกต่อไปของเราในทิวทัศน์ที่แตกต่าง หวังว่าจะได้ร่วมทางกับพวกคุณอีกครั้งนะคะ




สิงหา




++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ปล.๑.จบเรื่องโดยสมบูรณ์แล้วเรายังรออ่านรีวิวจากทุกคนนะคะ

ปล.๒.สำหรับตอนพิเศษเรายังไม่ได้แต่งเลยค่ะ (สารภาพตรงๆ) เพราะฉะนั้นนักอ่านสามารถเสนอมาได้นะคะ

ปล.๓.แต่คิดว่าจะมีตอนแยก (spin off) เป็นเรื่องสั้นน่าจะสัก ๒-๓ จบ ลงในหมวดเรื่องสั้น ซึ่งน่าจะลง
        ได้ประมาณ เดือนพฤศจิกา (สารภาพอีกแต่งไปในหัวไว้นานแล้วยังไม่ได้เรียบเรียงค่ะ) จะเป็นเรื่องราวของใครลอง                                  เดากันดูได้นะคะ









ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
 :katai2-1: :katai2-1: สนุกมากค่ะ
  :3123:ขอบคุณค่ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด