บทที่๑๔
ความหวังเดียวของดวงตะวัน
อาคิราพุ่งตัวตรงเข้ามาหมายจะช่วยขวางร่างน้อยจากอันตราย อาคิราฟาดอุ้งมืออันประดับไปด้วยกรงเล็บแหลมคม ฝังลงบนใบหน้าวิวัสวานออกแรงสะบัดจนร่างของสิงห์หนุ่มลอยละลิ่วห่างออกไปหลายวา ทว่ากลับไม่ทันการณ์ ร่างของพิรัลนลินทรุดกองลงบนพื้นไปเสียแล้ว อุตมางค์หนุ่มรีบเข้าประคองร่างอาบเลือดของพิรัลนลินไว้แนบอก
“พิรัล เจ้าพิรัล” แม้จะร้องเรียกเท่าใดพิรัลนลินก็ยังคงนิ่งงัน ด้วยร่างของมนุษย์ไม่อาจทนรับแรงมหาศาลของราชสีห์ชั้นอุตมางค์ได้ ริมฝีปากสีสดไม่อาจเอื้อนเอ่ยสิ่งใดตอบกลับ มีเพียงลิ่มเลือดที่ไหลทะลักจากอาการช้ำใน
ยามที่จังหวะชีวิตของทุรพลน้อยอ่อนลงจนไม่สามารถรับรู้ได้ถึงลมหายใจ อาคิราคล้ายถูกลั่นดาล สมองเคว้งคว้างมึนเบลอ หูทั้งสองอื้อตึงสดับได้เพียงเสียงหวีดหวิว นัยน์ตาคมคล้ายมืดบอดไปชั่วขณะ...คล้ายโลกดับ ก่อนจะแปลเปลี่ยนเป็นโทสะปะทุเดือด!
“ท่านรวี ข้าฝากพิรัลสักประเดี๋ยว” อาคิราบรรจงวางร่างโอนอ่อนของพิรัลลงบนตักของพี่สาว ที่วิ่งเข้ามาดูอาการของสิงห์น้อยเช่นกัน ร่างสูงสง่างามย่างสามขุมเข้าหาผู้ที่บังอาจทำร้ายยอดดวงใจ อาคิราผู้ถูกเปรียบเป็นหินผาสั่นคลอนกลายสภาพเป็นพายุแห่ง ปรลัย[1] มืดทะมึน
“ท่านอาคิรา ได้โปรดหยุดเถิด หยุดพินิจดูที วิวัสวานวิปลาสไปเสียแล้วหนาท่าน” เสียงหนึ่งดังขึ้น เมื่อเห็นว่าหลังจากประทุษร้ายทุรพลจนสิ้นใจ อุตมางค์ผู้นั้นก็ตาเหลือกกลอกกลับไปมา ซ้ำยังร่ำไห้สลับหัวร่อจนน้ำมูกน้ำตาไหล เกลือกกลิ้งถัดตัวหมดสิ้นราศีจนน่าเวทนา หากแต่ยามโมหะเข้าครอบงำ เสียงที่ได้ฟังนั้นไม่ต่างจากลมแผ่วที่ลอยผ่านหู
“วิปลาสแล้วเยี่ยงไร มิวิปลาสแล้วเยี่ยงไร มันทำร้ายพิรัลของข้า ต่อให้มันพิกลพิการร่วมด้วยข้าก็มิละเว้น! ” อาคิราคำรามลั่นจนคูหาสะเทือนราวกับจะแยกแตกถล่มลง สิงห์วิกลจริตตื่นกลัวกว่าผู้ใดตะเกียกตะกายหันหลังเตรียมวิ่งหนี มีหรือที่อาคิราจะยินยอม ร่างสูงพุ่งทะยานกระชากร่างวิวัสวานให้หันกลับ ตามด้วยการตะปบกรงเล็บพาดยาวลงบนแผ่นอกกว้างนั้นเต็มแรง จนอีกฝ่ายล้มลงบนพื้นอย่างหมดท่า...กระทำเช่นเดียวกับที่พิรัลโดนไม่ให้ผิดเพี้ยน
“เจ็บ ฮื่อ ข้า เจ็บ ฮื่อ”
“มึงจงจำไว้ สลักไว้ให้ถึงดวงจิต มึงถือสิทธิ์ใดมาทำร้ายคู่ของกู! ” กระทืบฝ่าเท้าลงบนอกสิงห์วิปลาสอย่างแรงจนอีกฝ่ายกระอักเลือด อาคิราย่อตัวลงกล่าวเสียงเหี้ยมเกรียมช่วยขนลุก ก่อนกระชากร่างสะบักสะบอมขึ้นมา ขย้ำกรงเล็บลึกลงบนลำคอ
“ฮึก จำแล้ว ข้า...อึก...”
“ค่อยๆ ระลึกไว้ ระลึกไว้จนกว่าจักหมดลมหายใจของมึง” ว่าแล้วจึงผลักร่างปวกเปียกลงสู่พื้น ปล่อยให้ความเจ็บปวดของบาดแผลค่อยๆ พรากลมหายใจของวิวัสวานไปทีละน้อย...
อาคิราไม่ต้องการให้คราบเลือดของสิงห์ชั่วผู้นี้ต้องมาแปดเปื้อนร่างของพิรัลได้แม้เพียงกระผีก อุตมางค์หนุ่มจึงเบี่ยงกายไปล้างคราบเลือดบนตัวจนหมดจดเสียก่อนแล้วกลับมายังร่างของพิรัลอีกครั้ง ไม่ไยดีต่อสายตาหวาดกลัวหรือแม้แต่ร่างหายใจรวยรินของราชสีห์พ่อลูกคู่นั้นแม้หางตาแล ร่างสูงก้มลงรับร่างไร้ลมหายใจของพิรัลมาจากธีมารวี อาคิราโอบอุ้มร่างบอบบางขึ้นแนบอก พาทุรพลน้อยของเขาไปพักผ่อนบนเรือนที่ใกล้ที่สุด ใบหน้าหล่อคมอันนิ่งสงบอยู่เป็นนิจยิ่งเรียบสนิทกว่าเคย คล้ายอุตมางค์หนุ่มได้สร้างปราการแข็งกล้า เพื่อที่จะจมตัวเองอยู่ในโลกจินตนาการที่มีเพียงตนและผู้ที่อยู่ในอ้อมแขนเพียงเท่านั้น จนไม่มีสิงห์ตนใดกล้าเอ่ยคะคาน แม้แต่ผู้ที่อาคิราให้ความนับถือมากที่สุดอย่างธีมารวีเอง
ขณะเดียวกันพันแสงที่ยังไม่สิ้นใจ ได้นางสิงห์รำไพเข้ามาประคองร่างอ่อนแรงของสามีขึ้นหนุนตัก มีลูกชายและหลานๆ เฝ้าขนาบซ้ายขวา
“พันแสงปล่อยวางเสียทีเถิด” แม้ไม่ได้รักใคร่ต่อกัน แต่นางสิงห์ที่ได้เฝ้ามองความเป็นมาของญาติและสามีตนนี้ตั้งแต่ยังเล็ก อดที่จะรู้สึกเวทนาเขาไม่ได้เช่นกัน
พันแสงเองแม้บาดเจ็บหนัก แต่สติรับรู้ยังคงแจ่มชัด นอนพังพาบน้ำตาไหลรินเป็นสายกับความย่อยยับที่เกิดขึ้น ความทรงจำเมื่อครั้นยังเยาว์วูบผ่านเข้ามาในห้วงคำนึง
ยามเป็นลูกสิงห์พันแสงเฝ้ามองมารดาไล่ตามความรักจากสามีทุกลมหายใจ...ลูกเช่นพันแสงเป็นเพียงเครื่องมือที่นางใช้เรียกร้องความสนใจจากสามี เมื่อเขายังเฉยชา จากความรักกลับกลายเป็นความน้อยใจ จนกลายเป็นความเกลียดแค้นชิงชังในที่สุด นางหันมากรอกหูอยู่เสมอว่าเขาต้องยิ่งใหญ่ให้ยิ่งกว่าพ่อ นางเริ่มศึกษาศาสตร์แห่งพิษ ผสมคารมมากเล่ห์ซ่องสุมกำลังรอวันที่เขาเติบใหญ่ เฝ้าตามรังควานทุรพลสิงห์ทุกตนที่เข้าใกล้สามี แล้วกลับมานั่งร่ำไห้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ด้วยนางรู้ว่าหัวใจรักของเขาไม่เคยเป็นของนางที่เป็นคู่ตุนาหงัน พันแสงถูกหล่อหลอมด้วยความบิดเบี้ยวของผู้เป็นแม่ จนกระทั่งนางตายจากด้วยยาพิษของนางเอง จากอุตมางค์ผู้เป็นทายาทสืบคูหา ถูกลดเหลือเพียงลูกสิงห์ที่มีแม่เป็นนางทุรพลใจโฉดให้เหล่าสิงห์ในชุมตราหน้า
เพียงไม่นานพ่อของพันแสงได้ครองรักกับนางสิงห์ผู้มอบใจรักให้สมใจ นางสิงห์ระพีผู้งดงามอ่อนหวาน ต่างจากแม่ของตนผู้ใจร้อนร้ายราวฟ้ากับเหว อหัสกรและระพี มีลูกด้วยกันหนึ่งตนนามว่า พรมัน อุตมางค์สิงห์ผู้เกิดมามีพร้อมทั้งความรักของพ่อและแม่ มากด้วยความสามารถจนเป็นที่รักของเหล่าสิงห์ในชุม รวมถึงตำแหน่ง ทายาท รุ่นต่อไป
ส่วนพันแสง ถูกเลี้ยงดูด้วยเหล่าสิงห์ที่แม่ของเขาทำการซ่องสุมไว้ แม้เขาจะเป็นลูกสิงห์ขี้กลัว และชื่นชอบงานศิลปะ นึกอยากเกิดเป็นสามัญสิงห์ หรือ ทุรพลไปเสีย ทว่าเมื่อถูกกรอกหูซ้ำไปมาถึงความเจ็บช้ำที่แม่ได้รับจากพ่อ ให้เขาต่อสู้เพื่อปณิธานของแม่จนเติบใหญ่ทุกวี่วัน ซ้ำแม้พยายามเฝ้าฝึกฝนตนเองเพียงใด พันแสง ไม่เคยมีสิ่งใดสู้น้องชายของตนได้เลย ได้สั่งสมความคิดร้ายให้กับพันแสงในที่สุด ยิ่งคิด พันแสงโกรธเคืองพ่อ นึกโทษแม่ที่บ้าคลั่งไร้สติ โดยเฉพาะความรู้สึกชิงชังน้องชายจนเต็มหัวใจ น้องชายผู้ได้ครอบครองทุกสิ่งแม้กระทั่งทุรพลสาวที่พันแสงมีใจ เฝ้ามองความสุขที่ห้อมล้อมด้วยความริษยา
จนกระทั่งมีโอกาส ยาพิษที่แม่เก็บไว้ยังอยู่ และครั้งนั้นเป็นพันแสงที่ได้รับชัยชนะเหนือพรมันเป็นคราแรก ทว่าบัลลังก์ที่ได้มากลับว่างเปล่าเย็นเหยียบและเต็มไปด้วยความหวาดระแวง ต้องมีอำนาจขึ้นอีก ต้องครอบครองอุตมางค์ให้มากขึ้น...แต่สุดท้ายพันแสงก็ต้องมาพ่ายแพ้ให้แก่อาคิราลูกของพรมัน
“เหตุใด โชคชะตาจึงมิเข้าข้างข้าบ้าง หามีสักคราเลย เหตุใดจึงเป็นข้าที่ถูกทอดทิ้ง อึก”
“โชคชะตาเข้าข้างท่านแล้ว แม้ท่านไม่สมหวังในรักคราแรก ทว่าอรุณนั้นรักท่านด้วยความจริงใจ ท่านมีลูกชายผู้เข้มแข็งถึงสองตน หากท่านหยุดลงเพียง พรมัน กลับตัวครองตนในศีลธรรม ก่อร่างสร้างชุมให้เข้มแข็ง มีรึที่อาคิราจักสามารถรวบรวมกองกำลังจากสิงห์อื่นมาหนุนหลัง แลมีพลังอำนาจล้มล้างท่านได้เช่นนี้ ’สวรรค์ส่วนหนึ่งตัวท่านนั้นเล่าเป็นส่วนใหญ่‘ ชัยชนะของท่านมิได้ได้มาด้วยความขาวสะอาดแลมีเกียรติ แปลกอันใดที่ต้องถูกเอาคืน”
พันแสงนิ่งเงียบ ราชสีห์ผู้อ่อนล้าเพียงหลับตานิ่งนานปล่อยหยาดน้ำตาหลั่งริน
‘ความเลวร้ายที่ข้ากระทำ ข้ามิขอสมาต่อผู้ใด ข้าพร้อมรับกรรมทุกสถานในปรโลกเพื่อชดใช้ให้หมดสิ้นกัน จักได้มิต้องมีสิ่งใดติดค้างให้ต้องผูกเวรผูกกรรมต่อกันอีกต่อไป’ พันแสงใช้แรงเฮือกสุดท้ายปลดปล่อยความคิดความริษยาที่เป็นโซ่พันธนาการดวงตาและหัวใจ เช่นเดียวกับลมหายใจและจิตวิญญาณ
“พันแสง ข้ารู้ว่าท่านเหนื่อยมานานแสนนาน ภพภูมิอันทุกข์ตรมเช่นนี้จงปล่อยวางเสียเถิด ข้าอโหสิกรรมแก่ท่าน แลจักเฝ้าสวดภาวนาให้ท่านหลุดพ้นแลไปสู่ในภพภูมิที่ดี” รำไพก้มกระซิบข้างหูของผู้มีฐานะสามีเป็นครั้งสุดท้าย ไม่ใช่แค่พันแสง บัดนี้นางก็รู้สึกได้ถึงอิสรภาพอันปลอดโปร่งได้เช่นกัน
“บ่วงปราพก นั้นมีฤทธิ์ทำให้วิปลาสฤๅท่านนิลปารัชญ์” กัญจน์ราชสีห์เอ่ยถาม ขณะที่พวกเขายืนมองความเป็นไปภายในคูหาพันแสง อุตมางค์หนุ่มจดจ้องไปยังรอบคอของสิงห์ที่มีรอยเปลวไฟด้วยความอัศจรรย์และขยาดกลัวในคราเดียว
“หามิได้ บ่วงปราพก มีฤทธิ์แผดเผาร่างกายจากภายในยามที่ผู้สวมใส่คิดการร้ายขึ้น เช่นคราที่เหตุการณ์ผนึกจตุราชสีห์เกิดขึ้นมินาน บ่วงนี้ได้คร่าชีวิตราชสีห์ที่มิยอมรับคำตัดสินไปมิน้อย กระทั่งผู้ต้องบ่วงจักกำหนดละวางความคิดร้ายลง เพลิงผลาญจึงค่อยสงบตาม หากมิสามารถปลดปลงได้ มีเพียงสองสถานที่จักหลุดพ้นคือสิ้นลมหายใจ แลวิปลาสเท่านั้น” ราชสีห์นิลปารัชญ์ก้มลงพิจารณาบ่วงปราพกในมือ ที่ได้คืนจากร่างไร้วิญญาณของวิวัสวาน แล้วเอ่ยต่อ
“หลังจากวิวัสวานสังหารเจ้าพิรัล บ่วงปราพกนั้นคืนสภาพกลับมาสู่มือข้าโดยทันทีทันใด นั่นหมายถึงวิวัสวานนั้นมิได้แสร้งวิกลจริต บ่วงปราพกจึงถอนตัวออกจากร่างเขาเช่นนี้”
“เช่นนั้นจักวิปลาสกะทันหันไปด้วยเหตุใดเล่า”
“ข้าได้รู้มาบ้าง เมื่อคราถ้ำของเจ้าพิรัลโดนทำลาย มีอุตมางค์ตนหนึ่งพลั้งมือสังหารทุรพล จากนั้นอุตมางค์ตนนั้นเกิดอาการฟั่นเฟือน กู่ร้องโหยหวนวิ่งกระเซอะกระเซิงจนตกผาไป ท่านคิดว่ามันสอดคล้องกันฤๅไม่เล่า”
“อุตมางค์ตนนั้น เห็นจักเป็นบุตรตนแรกของพันแสง อืม น่าพิศวงยิ่งนัก”
กริ๊งๆ
“ฤๅแท้จริงแล้ว เหล่าจตุราชสีห์ทั้งมวล จำจดคำสาปแห่งองค์อินทร์มิครบถ้วนกันเล่า ดั่งข้อที่ว่า...อุตมางค์มิสามารถดำรงไว้ซึ่งศักดิ์ ฤทธิ์ แลจิตวิญญาณ หากมาดหมายทำลายทุรพลผู้อ่อนแอ เช่นนี้พวกท่านเห็นเป็นประการใด สมเหตุสมผลดีฤๅไม่” เสียงกระพรวนเท้าดังนำกาย เมื่อเขมอารัณย์เดินกรีดกรายเข้ามาร่วมวง คนธรรพ์หนุ่มเลิกคิ้วคล้ายเกิดความฉงนเสียเต็มประดา เอ่ยขับคำปุจฉาด้วยน้ำเสียงกังวานใส กึกก้องสะท้อนทั่วโถงถ้ำใหญ่
“จตุราชสีห์ เรืองฤทธีนี้แสนร้าย
ปวงสัตว์ม้วยมลาย พาฉิบหายหิมวันต์
กูขอร่ายมนตร์เหล่าสิงห์ หมายท้วงติงแลกวดขัน
สำแดงแปลงฉับพลัน เพื่อลงทัณฑ์มฤคินทร์
กูจักร่ายมนตร์เวท แสนวิเศษทั่วถ้วนถิ่น
เหล่าสิงห์ทั้งธรณิน จงยลยิน สดับฟัง
จากนี้จวบกาลหน้า เหล่าสิงหามีชนชั้น
คัดคานอำนาจกัน แบ่งสามขั้น มิขาดเกิน
‘อุตมางค์’ ยกเป็นหนึ่ง คือผู้ซึ่งถูกสรรเสริญ
สิงห์อื่นมิอาจเมิน หากเผชิญก้มกราบกราน
เว้นเสียแต่เรื่องบุตร เป็นเรื่องสุดแสนสงสาร
ตั้งครรภ์ หาใช่การ จำรอนราญ หาคู่กาย
รองมา ‘สามัญสิงห์’ มีทุกสิ่งดั่งใจหมาย
หากแต่เมื่อเจอะกาย อุตมางค์ต้องจำนน
สุดท้ายมาตาเพศ แสนวิเศษ ‘ทุรพล’
กำลังแสนขัดสน นี้เป็นชนสืบเผ่าพันธุ์
ไม่เว้นแม้ชายหญิง ทดแทนสิ่งที่เปลี่ยนผัน
หากเป็นชั้นสำคัญ ผู้มีครรภ์ กูบันดาล
อุตมางค์แม้นมากฤทธิ์ มิมีสิทธิ์คิดล้างผลาญ
ทุรพลให้วายปราณ ละสังขารตกตามกัน
สติ แลศักดิ์ศรี ต้องราคีเสียชนชั้น
หมดสิ้นในเผ่าพันธุ์ หากดื้อดันย่อมร้าวราน สามชั้นล้วนคล้องสอด ดังพิรอดสอดผสาน
คอยยั้งแลคะคาน มินึกพาล รู้เจียมตน
มีเก่ง มีอ่อนแอ รู้จักแพ้ เสียสักหน
จักได้ประมาณตน แลหลุดพ้นจากสิงห์พาล”
เสียงขับร้องบทกลอนสิ้นสุดลงพร้อมเสียงใสของพิณแก้วสายสุดท้าย ทั่วทั้งคูหากว้างตกอยู่ในความเงียบ เหล่าสิงห์ที่ยังชุมนุมอยู่ ณ ที่นั้น รู้สึกขนลุกขึ้นมาครามครัน ต่างจรดจดจำถ้อยคำข้อนี้ไว้เป็นแม่นมั่น คล้ายดั่งต้องมนต์...แม้ที่ผ่านมาจักเผลอลืมเลือน หากแต่นี้ต่อไปจักจดจำไว้ด้วยจิตวิญาณ แลถ่ายทอดสืบต่อมิให้ต้องถูกหลงลืมไปอีก
“ทุรพลมีทุกข์ของทุรพล อุตมางค์มีทุกข์ของอุตมางค์ มิเว้นแม้แต่สามัญสิงห์ ทุกวรรณะล้วนมีสุขทุกข์ทัดเทียม มีหน้าที่ต่างกันไป ทว่าล้วนเป็นมฤเคนทร์เสมอกันทั้งสิ้น อนิจจา อนิจจา” คนธรรพ์หนุ่มกวาดสายตามองภาพความเสียหายภายในคูหาแก้ว พลางลำพรรณเสียงไม่เบานัก จนกระทั่งครรลองสายตาสบเข้ากับสหายราชสีห์ของตนเอง
“หืม เกิดอันใดขึ้นกันเล่า ข้าได้รับเสียงกระซิบจากพระพายว่าเรื่องราววุ่นวายสงบลงแล้วอย่างน่ายินดี ไยพวกท่านจึ่งมีสีหน้าเครียดขมึงถึงเพียงนี้ ใช่ว่าเพลานี้จักเป็นฤกษ์เฉลิมฉลองดอกรึ” คนธรรพ์แย้มยิ้มกว้างจนตาปิด ว่าความถามไถ่หัวข้อสนทนาอันรื่นรมย์กว่า ราวกับว่าเมื่อครู่ตนมิได้กล่าวสิ่งใดมาก่อน
“อย่าแสร้งว่าเดียงสาท่านเขมอารัณย์ ข้าจับยามสามตาถึงโชคชะตาสิงห์ทุกตนที่จักต้องเข้าร่วมปราบพันแสง แลเจ้าพิรัลนลินยังมิถึงฆาตเป็นแน่ เกิดเหตุใดขึ้น” นิลปารัชญ์หรี่ตามองจ้องคนธรรพ์มากเล่ห์อย่างเอาเรื่อง
“คำทำนายของท่านนิลปารัชญ์ยังคงแม่นยำ สมเป็นผู้ที่ได้รับความเอ็นดูจากองค์พรหมเทพมิแปลงเปลี่ยน”
กัญจน์ราชสีห์ผู้ร่วมวงสนทนารู้สึกขนลุกกับทั้งเขมอารัณย์ และโดยเฉพาะราชสีห์นิลปารัชญ์ ที่คราแรกเขานึกไปว่าอายุอานามใกล้เคียงกัน ต่อมารู้สึกว่ากาฬสีหะตนนี้อาจมีวัยวุฒิเทียบเคียงสิงห์รุ่นพ่อแม่ แต่จากที่อีกฝ่ายบอกเล่า บ่วงปราพก แลเอ่ยอ้างถึง เหตุการณ์ ผนึกจตุราชสีห์ อันเป็นเหตุต้นกำเนิดของวรรณะทั้งสามของเผ่าพันธุ์จากคำสาปขององค์อินทร์ ราวกับตนทันเหตุการณ์ดังกล่าวแล้วนั้น...กัญจน์ราชสีห์เกรงว่าท่านนิลปารัชญ์อาจจะถึงขั้นต้องเรียกว่าท่านผู้เฒ่ามากกว่าอาวุโสแล้วกระมัง
“เล่นลิ้นมากความ จักทำสิ่งใดจงทำเถิด ก่อนอาคิราจักแตกสลายตามพิรัลไปอีกตน” ธีมารวีร้อนใจยิ่งกว่าใคร อดเร่งไม่ได้ เพราะเมื่อครู่ผู้ใดก็เห็นได้ชัดว่าอาคิรานั้นคล้ายหินผาใกล้แตกร้าวมากเพียงใด นางสิงห์กลัวเหลือเกินว่าหินผาจะแตกสลายถล่มถลายอีกไม่ช้านาน
ปึง!
“อาคิรา เจ้าพิรัลเป็นเช่นไรบ้าง” ไม่ทันที่เขมอารัณย์จะกล่าวตอบ อาคิราก็ผลุนผลันออกมาด้วยความเร่งร้อน
“เมื่อครู่ ข้าจับได้ถึงลมหายใจ ทั้งที่คราแรกมันดับหายไปแล้ว ข้ายังมีหวัง ข้าจักไปเตรียมยา” อาคิราคล้ายพูดออกมาโดยไม่ได้คิดเรียบเรียงประโยค สิงห์หนุ่มกระวนกระวายจนเสียอาการเช่นนี้ ธีมารวีที่คุ้นเคยดียังไม่เคยได้พบเห็นเช่นกัน
“ช้าก่อนท่านอาคิรา ท่านจงใช้ยาในโถนี้ป้อนเจ้าพิรัลเสียเถิด ถือเป็นบรรณาการจากข้า แด่ราชสีห์ตนใหม่ผู้นำความสงบสุขคืนสู่หิมวันต์ตะวันออก” เขมอารัณย์ล้วงหยิบโถใบเล็กจากชายพกส่งยื่นให้อาคิราด้วยรอยยิ้ม
“อย่าได้เห็นเป็นเพียงของบรรณาการ หากเจ้าพิรัลฟื้นคืนมาได้ ข้าขอถือมันเป็นพระคุณ”
“เป็นบรรณาการนั้นเพียงพอแล้ว รีบนำไปให้เจ้าพิรัลดื่มเถิด” อาคิรารับโถยานจากเขมอารัณย์ไว้ในมือด้วยความยินดี อุตมางค์หนุ่มไม่รอช้า รีบหันกายวิ่งขึ้นเรือนไปอย่างรวดเร็ว ท่านกลางสายตาเอาใจช่วยของทุกผู้ทุกตน
เมื่อได้ยามาอยู่ในมือ อาคิราค่อยๆ บรรจงป้อนยาวิเศษในโถกระเบื้องแก่พิรัลจนหมด อุตมางค์หนุ่มจับมือทุรพลน้อยไว้แน่นและไม่ยอมผละตัวไปที่ใดอีก ดวงตาที่เคยคมกล้าสงบนิ่งมาตลอดกำลังสั่นไหว พินิจดวงหน้ามนของทุรพลน้อยที่ซีดเซียวไร้สีเลือดด้วยความหวัง ให้ผู้ที่นอนนิ่งเบื้องหน้าฟื้นคืน
ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ อาคิรา ไม่เคยมีความปรารถนาใดเป็นของตนเอง ยามยังเป็นเพียงลูกสิงห์ตัวน้อยของพ่อแม่ เขาถูกคาดหวังให้เป็นผู้นำที่ดีพร้อมสืบต่อจากพ่อ คราเมื่อความวิปโยคมาเยี่ยมเยือน เขามีปณิธานของผู้สูญเสียให้ช่วยทวงแค้นและความยุติธรรมกลับคืน กระทั่งยามพรางตัวเป็นเพียงสามัญสิงห์ ระหกระเหินเซซบขอพึ่งพิงจากท่านอาจารย์อัตรคุปต์ อาคิรายังต้องดำรงตนด้วยปณิธานแห่งผู้ประพฤติดี มีจารีตสมกับเป็นศิษย์เอกของอาจารย์
จนกระทั่งได้มาเจอสิงห์น้อยตัวเล็กจอมดื้อรั้น ที่เข้ามาสร้างความวุ่นวายเสียจนอาคิรานึกเข่นเขี้ยว ทุรพลตัวจ้อยจอมเกเร ผู้มีอ้อมกอดอันอบอุ่น ตนแรกและตนเดียวที่เสียน้ำตาเพื่อเขา...สิงห์น้อยที่ทำให้ได้เขาได้รู้สึกตัว ว่าที่ผ่านมา ‘ดวงอาทิตย์ ‘ เช่นอาคิรา ส่องแสงให้ผู้อื่นด้วยความรู้สึกว่างเปล่ามาเนิ่นนานเพียงใด
พิรัลนลิน สิงห์น้อยจอมดื้อรั้น จนดูคล้ายว่าพร้อมจะวิวาทกับสิงห์ทุกตน คือสิงห์ตนแรกที่อาคิรา ต้องการส่องแสงโอบอุ้มดอกบัวงามดอกนี้ให้อบอุ่นด้วยความรู้สึกที่มาจากตัวเอง...
...เป็นตนแรกที่ฝังใจมาตั้งแต่ห้าปีที่แล้ว และเป็นตนเดียวของหัวใจจวบจนวินาทีนี้...
แม้จะปฏิญาณตนไว้เช่นนั้น เมื่อยามที่ต้องอยู่ในฐานะสามัญสิงห์ อาคิราทำได้เพียงตีตัวออกหาก เพราะภาระของเขานั้นมากมายเสียจนไม่อาจรั้งเอื้อมมือคว้าผู้ใดมาครอบครอง ด้วยเพียงการเอาใจตนเป็นที่ตั้ง สิงห์หนุ่มทำเพียงลอบมองน้องน้อยเติบโตอยู่ไกลๆ ส่งผ้านุ่งมาให้ทุรพลน้อยทุกปี เพียงได้เห็นเจ้าตัวดีในชุดผ้าที่เขาเลือกให้อย่างตั้งใจ อาคิราก็รู้สึกมีความสุขจนล้นปรี่ แม้มันจะแทรกมาด้วยรสขมเฝื่อน เมื่อความจริงอีกด้านที่ว่ายามเขาห่างไกลและอยู่ในฐานะสามัญสิงห์เช่นนี้ ทุรพลน้อยของเขาอาจพบเจอคู่ครองเมื่อใดก็ได้ เพียงเผลอคิดความเจ็บก็พุ่งเสียบจนอกระบม
ผู้ใดจะคิดฝันว่าคืนหนึ่ง พิรัลนลินจะยอมเดินเข้ามาสู่อ้อมแขนของอาคิราด้วยตนเอง เพลานั้นสัญชาตญาณนั้นมีผล ทว่าราชสีห์หนุ่มไม่อาจปฏิเสธได้ว่า มันคือความเห็นแก่ตัวของตนเองที่ยากจะกอดรัด รับร่างแน่งน้อยมาเป็นของตนร่วมอยู่ด้วย สิงห์หนุ่มถึงกับวาดฝันไว้สวยงามว่าเขาจะโอบกอดพิรัลของเขาไว้ในอ้อมอก เป็นความอบอุ่นของกันและกันตราบจนร่างสลายไปตามวัฏสงสาร ได้เฝ้ามองดูลูกๆ เติบโตอย่างเป็นสุข ภายในถ้ำที่ประดับไปด้วยดอกบัวนานาพันธุ์ในแบบที่สิงห์น้อยเคยกล่าวถึง
เพลานี้อาคิราปลดเปลื้องทุกความปรารถนาของผู้อื่นจนลุล่วง...แต่ความปรารถนาเดียวของเขากลับคล้ายกำลังหลุดลอย อุตมางค์หนุ่มไม่เคยขอร้องต่อสิ่งใด ในครั้งนี้ต่อให้ต้องคุกเข่าอ้อนวอน หรือต้องใช้สิ่งใดแลกมา อุตมางค์หนุ่มยินยอมทั้งหมด เพียงเพื่อให้พิรัลฟื้นคืน น้ำตาราชสีห์ค่อยๆ ไหลลงมาหนึ่งสายโดยที่เจ้าของไม่อดกลั้นได้ไหว
“เจ้าพิรัล อย่าทรมานใจพี่อีกเลย ลืมตาตื่นขึ้นมามองพี่สักนิดเถิดทูนหัว”
นิ้วยาวอันสั่นเทาเอื้อมเกลี่ยลงบนสร้อยแพทองรอบคอพิรัล สร้อยที่เขาใส่ให้สิงห์ตัวน้อยเองกับมือ แพทองประดับมรกต สมบัติเดียวที่อาคิราได้รับมันจากผู้เป็นแม่
‘อาคิรา แม่ยกให้ลูก’
‘ลูกจักทำอันใดกับมันได้เล่าท่านแม่ รอยามท่านพ่อแลท่านแม่มีน้องหญิงอีกสักตน เพลานั้นท่านแม่ส่งมอบให้แก่น้องหญิงมิดีฤๅ’
‘มอบให้ลูกนั้นถูกต้องแล้ว สร้อยมรกตนี้มีอำนาจ ส่งผลต่อความรัก ความสมบูรณ์ แลการปกป้องคุ้มครอง ยามที่ลูกมีผู้ที่เป็นที่รัก แม่หมายจักให้ลูกส่งมอบมันต่อ เช่นที่พ่อของเจ้ามอบให้แม่’
ยามนั้นที่รับมาอาคิราไม่เข้าใจนัก ทำเพียงเก็บมันไว้ประหนึ่งของต่างหน้าของแม่ จนกระทั่งได้มาเจอ พิรัลนลิน อาคิราจึงวานให้พวกวิทยาธร ถักทองเพิ่มจนกลายเป็นแพทองเพื่อสวมป้องกันแก่ให้ทุรพลน้อย
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ช่วยคุ้มครองพิรัลด้วย พาน้องกลับมาหาลูกด้วยเถิด”
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------
เชิงอรรถ
^ ความตาย
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สิงหา...ถึงนักอ่าน
ตอนนี้เป็นตอนที่บอกเล่าความหลังของตัวละครเยอะมากๆ
รวมถึงความรู้สึกของพี่อาคิราด้วย แม้จะเคยมีบ้าง
แต่สำหรับตอนนี้น่าจะบอกถึงความรัก ความนึกคิดของพี่อาคิราออกมามากที่สุดแล้ว
เป็นอย่างไรกันบ้างคะ
และเช่นเคย ขอขอบคุณทุกๆ คอมเมนต์ ผู้เขียนตามอ่านทุกความคิดเห็นเลยค่ะ
หากมีคำผิด หรือจุดที่อยากแนะนำ นักอ่านสะกิดเตือนได้เลยค่ะ
ผู้เขียนน้อมรับฟังนักอ่านทุกท่าน ด้วยความขอบคุณ
พบกับตอนใหม่ ในคืนพรุ่งนี้ นะคะ