ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๖ ปัจฉิมบท {ตอนจบ /๑๙/๑๐/๖๒}
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๖ ปัจฉิมบท {ตอนจบ /๑๙/๑๐/๖๒}  (อ่าน 30249 ครั้ง)

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
อยู่ทีมไหนดี พี่อาคิรา  หรือ ท่านกัญจน์

ออฟไลน์ พิศตะวัน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-3

ออฟไลน์ สิงหา

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 121
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
บทที่ ๗
ขันอาสา







                    พิรัลนลินใช้ชีวิตอยู่ในคูหาแห่งใหม่ได้ราวเจ็ดวันแล้ว ทุรพลน้อยสามารถปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมในถ้ำแก้วแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี ทั้งยังสนิทสนมกับพี่ศศินมากขึ้นด้วย เนื่องจากการงานที่ต้องทำเป็นกิจวัตรยามอยู่เรือนสรรพยาเมื่อมาถึงที่แห่งนี้นั้นกลับไม่จำเป็นต้องทำอีกต่อไป เช่นในยามบ่ายในวันนี้ทุรพลทั้งสองพากันมาขลุกตัวอยู่ในหอตำรา อันเป็นสถานที่ประจำของศศิน เพื่อใช้ในการนั่งคัดลอกตำรา บนตั่งเขียนประจำตำแหน่งของทุรพลหนุ่มพร้อมสรรพไปด้วยอุปกรณ์การเขียนที่ถูกจักวางไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย มือเรียวตวัดก้านขนไก่ฟ้าที่เต็มไปด้วยน้ำหมึกสีดำสนิท ได้จากเขม่าไฟผสมกับยางมะขวิด จนเป็นลายลักษณ์อักษรสวยงามลงบนแผ่นข่อย โดยมีตำราเก่าโบราณอีกหนึ่งเล่มไว้เทียบเคียง


ด้วยศศินนั้นโชคดีได้รับการสอนให้อ่านเขียนตั้งแต่ยังเล็ก เมื่อเติบใหญ่จึงรับหน้าที่เป็นอาลักษณ์ประจำอยู่ในหอเก็บตำราใหญ่ของเหล่าฤษีนักบวช ในครานั้นทุรพลหนุ่มทำหน้าที่จดบันทึกเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในหิมพานต์ รวมไปถึงคัดลอกตำราส่งต่อยามมีผู้ร้องขอ ยามตกลงปลงใจเป็นคู่ชีวิตกับราชสีห์ ‘ธีมารวี’ จึงต้องออกมาพำนักอยู่ในคูหาแห่งนี้ กระนั้นศศินไม่อาจวางเฉยต่อตำรับตำราและตัวอักษรได้ ทุรพลหนุ่มจึงมักขอตำราจากหอตำราใหญ่มาคัดลอกเป็นสำเนาเก็บไว้เป็นส่วนตัวเสมอ ด้วยความหวังว่า เมื่อยามดินแดนสีหมุขแห่งนี้กลับมาสงบสุขอีกครั้ง เขาจะเปิดคูหาเพื่อสอนเขียนอ่านให้แก่ลูกมฤเคนทร์ทั้งหลาย โดยไม่แบ่งชั้นวรรณะ


ทางด้านพิรัลนลินนั้นเพียงพออ่านออกเขียนได้ ลายมือไม่ได้วิจิตรบรรจงนัก เลือกหยิบจับตำราทุรพลที่ศศินมอบให้ไว้ ขึ้นมาอ่านอย่างละเอียดทุกตัวอักษร หวังใจเล็กๆ ที่จะพบเจอทางสว่างให้กับตนเอง แม้ตำราเล่มนี้จะบันทึกครอบคลุมทุกรายละเอียดแห่งการเป็น ทุรพล ทว่ายิ่งอ่านทุรพลน้อยกลับยิ่งท้อใจถึงความลำบากยุ่งยาก มีบ้างที่เป็นความรู้ใหม่เช่นว่า ‘หากทุรพลมีสัมพันธ์กับอุตมางค์แล้ว แม้ไม่ผูกสัญญา ความรุนแรงของความต้องการเมื่อยามถึงฤดูผสมพันธุ์จะเบาลงกว่ายามที่ยังบริสุทธิ์ กลิ่นกายอันเย้ายวนนั้นย่อมไม่แรงเท่าเมื่อมีคู่’ หรือแม้แต่ความเชื่อที่ว่า ’ ทุรพลสามารถตั้งครรภ์ได้ เมื่อมีสัมพันธ์กับอุตมางค์ในช่วงฤดูที่สองของชีวิตนั้น หากไม่ทำการผูกพันธะด้วยการฝั่งรอยแสดงตัวตน ไม่ว่าจะมีสัมพันธ์กันกี่ฤดูทุรพลจักไม่ตั้งท้อง ‘ แต่สิ่งที่พิรัลนลินต้องการกลับไม่มีกล่าวถึง ...วิธียับยั้งการเกิดฤดูนั้นไม่มี


“ทุกสิ่งล้วนมีทิศทางของมัน บางสิ่งบางอย่างหนทางหลุดพ้นนั้นหาใช่การแก้ปัญหา ทว่ากลับเป็นการยอมรับมัน” ศศินวางมือจากตำรา เดินเข้ามาลูบหัวน้องน้อยที่บัดนี้ใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าหมองแผ่วเบา ทุรพลหนุ่มเข้าใจดี เพราะเมื่อนึกย้อนไปถึงตนเองก่อนหน้านั้น ศศินเองพยายามอย่างถึงที่สุดที่จะวิ่งหนีตัวตนแห่งทุรพลเช่นกัน หากสิงห์หนุ่มนั้นโชคดีได้ผูกวิญญาณกับผู้ที่ตนรัก แต่ยังมีทุรพลอีกมากที่ไม่โชคดีเช่นเขา ซ้ำยังเหมือนตกนรกทั้งเป็นจากผู้เป็นอีกครึ่งของจิตวิญญาณ สิงห์หนุ่มหวังเพียงว่า พิรัล จักโชคดีเช่นตน


ทั้งเรือนตำราตกอยู่ในความเงียบ ด้วยทุรพลทั้งสองต่างจมจ่อมอยู่ในห้วงคำนึงของตัวเอง ทำให้เสียงร้องตะโกนอย่างร้อนรนที่ดังขึ้นบริเวณหน้าปากถ้ำทำให้ทั้งคู่สะดุ้งสุดตัว เมื่อถูกปลุกจากภวังค์ทั้งสองจึงรีบดึงสติรับรู้ของตนกลับมา แล้ววิ่งตรงไปยังต้นเสียงด้วยหัวใจหวาดผวาไม่ต่างกัน ...เสียงร้องเช่นนี้ พิรัลนลินที่อยู่ในคูหาสรรพยาได้ยินบ่อย เสียจนแทบจะคาดเดาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ราวกับตาเห็น




ไกรสรสิงห์หนุ่มเจ้าของเสียงร้องทรุดร่างลงบนพื้นถ้ำ ตามลำตัวอาบด้วยเลือดแดงฉาน อ่อนแรงราวกับพวกเขาได้ใช้แรงเฮือกสุดท้ายเพื่อพาตัวเองกลับมายังคูหาแห่งนี้ไปแล้วจนหมดสิ้น พิรัลนลินไม่เคยพบมฤเคนทร์ในสภาพร่างกายย่ำแย่เช่นนี้มาก่อน


“ท่านรวีเล่า! ” ศศินร้องถามหาผู้เป็นที่รักเสียงสั่น หมดแล้วซึ่งความสงบนิ่งในท่าที


“ท่าน ท่านธีมารวี มิได้อยู่กับพวกข้าขอรับ อึก พวกข้าเข้าช่วย อึก ไว้มิสำเร็จ เหลือเพียงข้าที่รอดมาส่งข่าว”


“ขอข้ารักษาเขาเสียก่อน อาการดีขึ้นค่อยรั้งมาไถ่ถามกัน พิรัล มาช่วยข้า” พิรัลนลินพยักหน้ารับทันทีที่อาคิราเอ่ยปากเรียก สองมือยกขึ้นรวบกลุ่มผมเป็นมวยอย่างลวกๆ เพื่อความคล่องตัว ขณะวิ่งตามอาคิราเข้าเรือนรักษาอย่างรวดเร็ว


“ต้องห้ามโลหิตเสียก่อน ระหว่างข้าเตรียมยาเจ้าจงกดแผลไว้ให้แน่น”


“จ้ะ”


“พะ พี่ท่านแข็งใจไว้หนา แข็งใจไว้นะจ๊ะ” ยามที่วางมือกดลงไปที่บาดแผลเพื่อห้ามเลือด พิรัลรู้สึกตัวโดยทันทีว่าตนกำลังสั่น ความรู้สึกเย็นยะเยือกพุ่งตรงเข้ามาจับที่หัวใจจนแทบประคองสติไว้ไม่ไหว ที่ผ่านมายามอาศัยอยู่ในความคุ้มครองของอาจารย์ สิงห์น้อยไม่เคยเฉียดใกล้เรือนรักษายามมีผู้บาดเจ็บสาหัสเช่นนี้มาก่อน พิรัลมักอยู่ภายในเรือนยา จัดเตรียมสมุนไพรไปตามสั่ง เมื่อครั้งกลุ่มของท่านกัญจน์นั้นยังไม่มีบาดแผลฉกรรจ์ถึงขนาดนี้ ทว่าครั้งนี้เมื่อได้ชิดใกล้ และรับรู้ถึงที่มาของบาดแผลลึกจนอาจพรากชีวีของราชสีห์เบื้องหน้านี้ได้ ผสมทั้งกลิ่นคาวเลือด ทำให้ภาพเหตุการณ์การสูญเสียอันเลวร้ายเมื่อหนหลังถูกฉุดกระตุ้นจนกลับมาเด่นชัดอีกครา


“แข็งใจไว้นะจ๊ะ” เพื่อกลับไปช่วยเหลือผู้เป็นที่รักของท่าน แลโอบประคองสภาพจิตใจของข้าไว้ ได้โปรดแข็งใจไว้นะจ๊ะ


“อึก อึก” คำร้องขอของทุรพลน้อยไม่ทันการณ์สิงห์ผู้โชคร้ายหายใจกระตุกหนัก ร่างกายสูงใหญ่หนัดแน่นกระตุกเกร็งเพียงสองสามครั้ง แล้วแน่นิ่งไป โดยที่ดวงตากล้าแกร่งยังเบิกค้างดั่งผู้ที่ยังมีห่วงอยู่เต็มหัวใจ


“พะ พี่ท่าน” เสียงหวานแหบโหยเมื่อเอ่ยเรียก มือเล็กยังคงพยายามกดปิดปากแผลไม่ละ แม้สมองรับรู้แล้วว่า ร่างเบื้องหน้านี้ได้ละทิ้งลมหายใจของตนไปแล้ว แต่ภายในจิตใจของพิรัลนลินกลับไม่ยอมรับมัน...ไม่อาจยอมรับได้


“เจ้าพิรัล...”


“เจ้าพิรัล...” มือหนาจับกุมมือเล็กไว้มั่น ยื้อให้สิงห์น้อยหลุดจากการกอบกุมร่างไร้ลมหายใจเสีย ตัวตากลมโตไร้แววราวกับเจ้าตัวล่องลอยไปไกลแสนไกลสู่ห้วงแห่งอันธการไปเสียแล้ว


“เจ้าพิรัล พอเถิด” ฝ่ามือใหญ่จับข้อมือเล็กไว้แน่น อาคิรารู้สึกได้ว่ามันกำลังสั่น สิงห์หนุ่มตัดสินใจจับจูงร่างน้อยมาตักน้ำจากตุ่มเก็บน้ำหลังเรือน เพื่อชำระล้างคราบโลหิตจากมือเรียวเล็ก แล้วพามุ่งไปยังหลังเรือนยา เมื่อดูว่ารอบตัวปลอดโปร่งมิมีผู้ใดสามารถนำสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นไปเที่ยวโพนทะนาให้ร่างน้อยเบื้องหน้าเสียหาย วงแขนแกร่งจึงยกประคองสองข้างแก้ม บรรจงใช้นิ้วหัวแม่มือลูบไปมาแผ่วเบา


“เจ้าพิรัล สิ่งใดที่สุดมือเกินคว้าเจ้าจำต้องหักใจปล่อยไปเสีย หากเจ้าทุ่มทำมันจนสุดความสามารถของเจ้าแล้ว อย่าได้เสียใจ เจ้ามิสามารถโอบอุ้มทุกความประสงค์ให้เป็นจริงได้”


“แต่ข้ามิอยากให้มันเกิดขึ้น เหมือนพ่อ แม่ ชุมของข้า ข้ามิอยากให้สิงห์ตนใดต้องพบเจอมันอีก” เสียงที่เอ่ยตอบเนิบช้าใบหน้างามไม่แสดงอารมณ์ใด ทว่าหยาดน้ำตารินไหลไม่หยุด นี่คือครั้งที่สองในชีวิตที่มีการตายเกิดขึ้นเบื้องหน้าตัวเอง ความตายที่เกิดขึ้นโดยที่พิรัลนลินไม่สามารถช่วยเหลือสิ่งใดได้เลย


อาคิราไม่พูดต่อความ ใช้นิ้วเช็ดน้ำตาให้ผู้เป็นน้องแผ่วเบา สองแขนโอบกอดร่างแน่งน้อยเข้าอก ฝ่ามืออุ่นลูบลงบนเส้นผมนุ่มลื่นเงียบๆ เมื่อความอบอุ่นปลอบโยนห่อหุ้มร่าง หยาดน้ำตาอุ่นที่ถูกเช็ดไปกลับไหลลงอีกครั้ง ไม่มีเสียงร้องคร่ำครวญสะอื้นให้ แต่ความเปียกชื้นบนอก และร่างเล็กที่สั่นเทา ที่ทำให้อาคิราเข้าใจดีว่าน้องน้อยในอ้อมกอดโศกเศร้าสะเทือนใจมากเพียงใด


“หากยังคงจมอยู่ในความโศกเศร้า จักมีชุมสิงห์อีกมากที่ต้องสูญเสีย นั่นจึงเป็นหน้าที่ของพวกเรา พวกเราจักต้องหยุดยั้งมันเสียที่ต้นตอ” แววตาเลื่อนลอยพลันกลับมาฉายแววอีกครั้ง เมื่อสติถูกฉุดรั้งให้กลับมาด้วยคำพูดของอาคิรา ที่พิรัลนลินเผลอลืมไปด้วยความสะเทือนใจ


“พวกเราจักต้องลากสิงห์ชั่วเหล่านั้นมาสำเร็จโทษให้จงได้ อดทนอีกสักนิดหนาเจ้า”


“ข้าจักช่วยพี่ ต่อให้พี่ปฏิเสธข้า ข้าก็จักช่วย” นัยน์ตากลมโตกลับมาสะท้อนความเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวอีกครา


“พี่มิห้ามดอก ต่อให้อยากห้ามก็เห็นว่าคงจักมิสำเร็จกระมัง เจ้าตัวดื้อรั้น” แม้น้ำตายังคงเกาะพราวบนแพขนตาหนาแต่ ’ เจ้าตัวดื้อรั้น ‘ สามารถกลับมายู่หน้าใส่ได้แล้วเช่นนี้ อาคิราจึงรู้สึกเบาใจ จนเผยยิ้มบางเบาติดริมฝีปาก...เขาได้พิรัลนลินกลับมาแล้ว


“เอาล่ะ เราไปร่วมส่งวิญญาณผู้เสียสละสู่สุคติกันเถิดหนา” พิรัลพยักหน้ารับ จมูกเชิดขึ้นสูดลมหายใจเข้าปอดเข้าลึก เพื่อเก็บกลืนก้อนสะอื้น ก่อนเดินตามแผ่นหลังใหญ่ออกไปยังลานกว้าง


เหล่าสิงห์หนุ่มภายในคูหาช่วยกันยกแบกร่างไร้ลมหายใจที่ถูกอาคิราและพิรัลเช็ดทำความสะอาดร่างกายเรียบร้อยมุ่งออกไปยังด้านนอกถ้ำ โดยมีนิลปารัชญ์เป็นผู้นำคบเพลิงวางลงข้างร่างไร้ลมหายใจที่นอนสงบนิ่งบนกองฟอน เรียวปากกระจับพึมพำเพียงครู่เกิดเป็นเปลวไฟลุกโหมอาบท่วมไปทั่วทั้งร่าง เพียงไม่กี่อึดใจเพลิงผลาญก็มอดลงเหลือเพียงเถ้าถ่านแห่งความโศกา ท่ามกลางความโศกสลดยังมีความเคียดแค้นตีคู่กันมา เหล่าสิงห์ที่มาร่วมชุมนุมยืนสงบนิ่งส่งนักรบผู้สละชีพเป็นครั้งสุดท้ายต่างกล่าวปฏิญาณเจตจำนงของตนอย่างแข็งขัน...


ไม่ว่าจักยากลำบากเพียงไร พวกเขาต้องหยุดสิงห์ทรราชพวกนั้นให้จงได้!




หลังการเก็บเถ้าอัฐิเป็นที่เรียบร้อย มฤเคนทร์ทุกตนต่างแยกย้ายกลับไปทำหน้าที่ของตนเอง พิรัลนลินยืนนิ่งจนกระทั่งพิธีการจบสิ้น หลับตาลงพร้อมยกมือขึ้นประนมทำความเคารพสิงห์ผู้วายชนม์อีกครั้งด้วยสภาพจิตใจที่ยังไม่มั่นคงนัก ครั้นเมื่อลืมตาตื่นกลับเหลือเพียงอาคิราที่ยืนอยู่เคียงข้าง ศิษย์ผู้พี่พินิจน้องน้อยของตนเพียงครู่ แล้วเอ่ยปากเรียก


“พิรัลตามข้ามา” ร่างสูงใหญ่เกือบสี่ศอก[๑] บ่ายหน้าไปยังทิศทางด้านนอก หาได้เดินกลับเข้าสู่คูหาแก้วดังที่พิรัลนลินคาด แม้ยังไม่รู้ถึงเจตนา แต่เพราะเป็นพี่อาคิรา ทุรพลน้อยจึงเดินตามติดไปโดยไม่คิดถามไถ่ให้มากความ


มฤเคนทร์ทั้งสองเดินเคียงกันเลียบแนวคูหาที่อาศัยไปยังด้านหลัง รอบข้างแวดล้อมไปด้วยแมกไม้หนาเป็นร่มครึ้ม ยิ่งเดินสองข้างทางยิ่งรกชัฏ ราวกับเส้นทางนี้ไม่มีผู้ใดใช้สัญจรมาก่อน อาคิราเร่งฝีเท้าขยับเป็นฝ่ายเดินนำ เพื่อใช้ร่างสูงใหญ่ของตนคอยแหวกทางให้สิงห์ร่างเล็กสามารถเดินตามได้โดยสะดวก ทั้งสองเดินผ่านป่าพงมาพักใหญ่ แผ่นหลังกว้างของอาคิราจึงหยุดลง เสียงทุ้มต่ำเป็นเอกลักษณ์เอ่ยกำชับราบเรียบ


“ข้ามิอนุญาตให้เจ้ามาผู้เดียวหนา ป่าแห่งนี้ออกนอกเขตของท่านธีมารวี หากเจ้าจักมาต้องมากับข้าเท่านั้น”


“จ้ะ” เมื่อน้องน้อยยอมรับคำ อาคิราจึงเบี่ยงตัวหลบให้เจ้าตัวเล็กด้านหลังได้ทัศนาทิวทัศน์เบื้องหน้าได้เต็มตา



ภาพที่ปรากฏสู่ครรลองสายตานั้นทำให้ทุรพลน้อยนิ่งงัน สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยบุพชาติหลากหลายชนิดบานสะพรั่งอวดโฉมล้อมรอบสระน้ำใสกระจ่างจนเห็นตัวปลาแหวกว่ายอยู่ด้านล่าง คลื่นน้ำพลิ้วกระเพื่อมสะท้อนแสงแดดยามบ่ายเป็นประกายส้มทองสกาวราวเกล็ดอัญมณี ยามทอดสายตาไปด้านบนเหล่าวิหคน้อยใหญ่จับจองเคล้าคลอเคลียคู่กันบนกิ่งไม้ ที่ขึ้นเบียดเสียดกันราวเป็นปราการล้อมรอบสระน้ำแห่งนี้ไว้เป็นความลับ เมื่อพินิจโดยละเอียดในทุ่งดอกไม้กลิ่นหอมยังมีหมู่ภมรภู่ผึ้ง และผีเสื้อปีกสวยบินล้อฉวัดเฉวียนไปตามกลีบบุปผางาม คล้ายพวกมันกำลังเริงระบำไปตามทำนองสายลมพัดแผ่ว ผสานเสียงคลื่นน้ำยามกระทบริมตลิ่ง นอกจากพิรัลนลินและอาคิราฝั่งตรงข้ามยังมีฝูงสกุณไกรสร[๒] และไกรสรปักษา[๓]ก้มลงกินน้ำ บ้างลงแช่สลัดปีกขนไล่น้ำเป็นละอองเกิดเป็นริ้วรุ้งงดงามตระการตา


พิรัลนลินเผยแย้มยิ้มจนเต็มแก้ม ลืมเลือนเรื่องทุกข์ใจไปชั่วขณะ ดวงตากลมโตเปล่งประกายระยิบระยิบกับทิวทัศน์ทัศน์ในครรลองสายตา เจ้าสิงห์น้อยไม่มีโอกาสออกมานอกถ้ำมากนักตั้งแต่แรกเกิด ทุรพลตัวน้อยเคยชินอยู่เพียงบริเวณเขตถ้ำที่เต็มไปด้วยป่าไม้และสมุนไพรเสียมาก หิมพานต์ที่ใครต่างชื่นชมว่างามวิจิตรนั้นเป็นเช่นไร พิรัลเพิ่งเคยยลเป็นครั้งแรก ....คล้ายดั่งหลงเข้ามาอยู่ในความฝันไม่ปาน


“ชอบฤๅไม่”


“ชอบจ้ะ ชอบมาก” ร่างบอบบางยอบตัวลงนั่ง นิ้วเรียวแตะลูบลงบนกลีบดอกไม้แผ่วเบา ก่อนก้มหน้าดอมดมกลิ่นหอมหวานนั้นจนเต็มปอด


“จักเก็บไปประดับห้องสักกำมือฤๅไม่เล่า”


“ข้าคิดว่า พวกมันคงเป็นสุขมากว่าหากอยู่ที่นี่จ้ะ เพียงได้มาชื่นชมเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว” พิรัลส่ายไปมาเมื่อตอบปฏิเสธ นัยน์ตากลมลอบมองดวงหน้างามคมเข้มของพี่ แล้วลอบถอนหายใจแผ่วเบา


...เดิมพิรัลอยากเข้าไปพูดคุยกับอาคิราเหลือเกินว่าเพราะเหตุใด ‘พี่อาคิราของเขา’ ถึงเปลี่ยนไป แต่พิรัลเองกลับมีความหวาดกลัวมากกว่าความอยากรู้ เขากลัวว่าคำตอบของพี่จะเป็นว่า’ รังเกียจทุรพลเช่นเจ้า ‘ไปเสีย


หากเป็นเช่นนั้น พิรัลนลินเองคงพังทลาย ทว่ายามนี้ทุรพลน้อยแน่ใจแล้วว่า ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใด พี่อาคิรา ไม่ได้นึกรังเกียจตนเป็นแน่ เพราะความใจดีของพี่ยังคงส่งมาถึงตนไม่เปลี่ยน เท่านี้เพียงพอแล้ว...


...ของบางสิ่งจักสวยงามยิ่งกว่า หากปล่อยไว้เช่นนั้น โดยมิเอื้อมคว้ามาครอบครอง





                    สองพี่น้องดื่มด่ำกับธรรมชาติจนกระทั่งดวงตะวันคล้อยลงต่ำ จึงตัดใจกลับเข้าสู่คูหาแก้ว ทว่ามฤเคนทร์ทั้งสองยังไม่ทันที่ได้ก้าวขึ้นเรือน เกิดเสียงคำรามจากภายนอกถ้ำดังลั่นตามหลังจนทั้งถ้ำสั่นสะเทือนจนสิ่งทุกผู้รู้สึกได้ พิรัลนลินสะดุ้งผวากระโดดเข้าเกาะแขนของผู้เป็นพี่ไว้มั่น


โฮก!


“กะ เกิดอันใดขึ้นจ๊ะ” พิรัลนลินละล่ำละลักถามทรุพลหนุ่มที่กำลังรีบเร่งลงจากเรือนมาพอดี


“อย่าได้ใส่ใจ เสียงนี้เกิดแต่อุตมางค์ราชสีห์ตนหนึ่ง พวกสามัญสิงห์หาได้มีฤทธามากเช่นนี้ดอก” แม้ปากกล่าวว่าไม่ต้องสนใจ ทว่ามุมปากของศศินกลับยกยิ้ม


“ใสหัวไปให้ห่างข้าบัดเดี๋ยวนี้ เจ้าคนธรรพ์” เสียงกังวานของสตรีดังก้องไปทั่วโถงถ้ำ ก่อนปรากฏกายนางสิงห์สาวรูปร่างสง่างาม เจ้าของผิวขาวดั่งน้ำนมบริสุทธิ์ ผมยาวถูกถักเป็นเปียกเกาะติดหนังศีรษะ ผ้าพันอกที่ควรเป็นผ้าแพรเนื้อบางสีหวาน ถูกแทนที่ด้วยเกราะหนังบุลาย ส่วนผ้านุ่งนั้นเป็นโจงกระเบนนุ่งสั้นเหนือเข่า พร้อมเกราะหนังครอบทั้งขาแขน ทะมัดทะแมงผิดแผกจากนางสิงห์ทั่วไปนั้น เสริมให้นางดูน่าเกรงขามเปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจเป็นที่ยิ่ง เลยไปด้านหลังคือไกรสรสีหะวัยฉกรรจ์สองตนประกบอารักขาไม่ห่าง ส่วนด้านข้างคือ ‘ท่านเขมอารัณย์’ คนธรรพ์หนุ่มเจ้าสำราญ เจ้าตัวกำลังยกยิ้มตีหน้าทะเล้น คงยั่วเย้าปั่นอารมณ์ของนางดั่งที่พิรัลนลินเคยประสบ


เมื่อเห็นว่าคนถูกไล่ไม่ยอมขยับตัวทั้งยังส่งยิ้มแต้ไม่รับรู้สึกกระแสอารมณ์อันเดือดดาลที่นางมี อุตมางค์สาวจึงขยับท่าเตรียมออกปากใส่อีกครา


“ท่านรวี” ไม่ทันได้สาดอารมณ์ดังใจนึก เสียงเรียกขานชื่อกลับดังขึ้นขัด...เป็นน้ำเสียงของผู้มีอิทธิพลต่อใจนางทั้งดวง


เพียงสิงห์สาวบ่ายหน้าตามเสียง ศศินที่ยืนคอยท่าก็ยกแขนทั้งสองข้างอ้างออกด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ท่านรวีของเขาจึงไม่รอช้า สาวเท้าเข้ามาสวมกอดร่างสูงโปร่งของศศินจนเต็มกอด ซุกซบหน้างามคมขำลงบนลาดไหล่หมดสิ้นภาพนางสิงห์ผู้ห้าวหาญเมื่อครู่เสียสิ้น


“ข้าคะนึงถึงท่านทุกเพลาศศิน”


“ข้าเป็นห่วงท่านเช่นกัน เมื่อย่ำบ่ายนักรบของท่านกลับมาสิ้นใจในคูหา ข้าใจคอไม่ใคร่ดีเลย”


“ข้ารู้แล้ว แลขึ้นไปไหว้อัฐิที่เรือนวีรชนมาแล้ว ท่านศศินจงวางใจ ข้าจักมิยอมเป็นอันใดหากข้ายังมีท่านเฝ้ารออยู่เช่นนี้ทูนหัว” ธีมารวีผละจากอ้อมกอดกลีบปากบางคลี่ยิ้มกว้าง เขย่งยกตัวขึ้นจุมพิตลงบนข้างแก้มสามี พาให้ผู้ที่รายล้อมคนทั้งคู่ต่างหน้าเห่อร้อนเป็นทิวแถว โดยเฉพาะเหล่าสิงห์ที่ยังไม่ผ่านการจับคู่ทั้งหลาย


“สำรวมสักนิดเถิดท่านรวี”


“เหตุใดเล่า ข้าจักแสดงความรักต่อคู่ครอง มีสิ่งใดมิดีกันเล่า” ธีมารวีเลิกคิ้วถามคล้ายไม่เข้าใจ มือเรียวยกขึ้นไล้บริเวณหลังคอสามีผู้สำรวมกิริยา ที่ประดับไปด้วยร่องรอยของนางไปมาอย่างหยอกเย้า


“อะแฮ่ม ท่านรวี ข้ายินดีเหลือเกินที่ได้พบท่าน แลได้เป็นพยานรักของท่านทั้งคู่ หากแต่ข้าใคร่เจรจาพูดคุยถึงเหตุร้ายที่กำลังเกิดขึ้น รบกวนท่านขึ้นเรือนใหญ่เพื่อหาลือกันเสียทีเถิด” ราชสีห์กัญจน์เป็นผู้รวบรวมความกล้าหาญเอ่ยแทรกขึ้น ด้านหลังมี เขมอารัณย์ และ อาคิรา คอยท่า เท่านั้นการแสดงความรักของผู้ครองคูหาจึงจบลง พร้อมด้วยคณะราชสีห์พากันเดินขบวนขึ้นเรือนมุ่งหน้าไปยังหอกลางเพื่อทำการประชุมกันโดยทันที


“มาเถิดเจ้าพิรัล” ศศินที่เห็นทุรพลน้อยยังยืนนิ่ง จึงเป็นฝ่ายหันกลับมาเรียกพิรัลนลินให้เดินตามมาด้วยกัน




“สิงห์ของข้าเข้าปะทะกับพวกมัน ทว่าพวกมันมากเล่ห์นัก จึงไม่อาจช่วยทุรพลตนนั้นมิได้ซ้ำยังถูกทำร้ายจนบาดเจ็บล้มตาย ข้าที่ตามไปหนุนกำลังได้ไล่ตามรอยพวกมันจนทุกทางทว่าข้าเจอแหล่งกบดานแท้จริงของมันแล้ว...เจ้าต้องประหลาดใจเทียวเจ้าอาคิรา” ธีมารวีแสดงสีหน้าหน้าจริงจัง ผิดกับเมื่อครั้งที่แสดงการพลอดรักศศินเมื่อครู่ ราวกับเป็นสิงห์คนละตน ภาพของธีมารวีในเวลานี้คือนางสิงห์ผู้องอาจจริงจัง สมฐานะเจ้าของชุมรั้งด้วยตำแหน่งหัวหน้ากองกำลังเป็นอย่างยิ่ง


“พวกท่านพอรู้ชื่อ ไกรสรราชสีห์พันแสง ท่านอาของข้า บ้างฤๅไม่เล่า” ธีมารวีเผยยิ้มเหี้ยมเกรียมเมื่อเอ่ยถึงผู้เป็นหัวหน้า


“ฮึ มันจักเป็นผู้ใดมิสำคัญ เมื่อรู้ตัวเช่นนี้แล้วมิสู้ เราบุกล้างบางพวกมันเสียเลยเล่า เพลานี้อุตมางค์เรามีถึงสามตน แลสิงห์ในครอบครองเราหามีน้อยไม่” กัญจน์ขบกรามกรอด อยากจะพาตัวออกไปรบพุ่งใส่สิงห์เลวพวกนั้นเสียให้สิ้นกันไป ด้วยอารมณ์ความสูญเสียอันคับแค้นเมื่อยามบ่ายยังคงอัดแน่นไม่จางไป


“มิง่ายเช่นนั้นดอกท่านกัญจน์ บริเวณหน้าถ้ำนั้นลงอาคมไว้แกร่งกล้านัก หากมิได้สิงห์จากข้างในคูหาเป็นผู้นำทางเข้าไปแล้ว แม้แต่คนธรรพ์เช่นข้า ยังมิอาจเข้าไปเหยียบย่างได้แม้ครึ่งก้าว”


“เท่าที่ข้ารู้พวกมันเตรียมการมานับสิบปี เกรงว่าเพลานี้อุตมางค์รุ่นกระทงคงมีมิน้อย ส่วนเหล่าสิงห์ที่เรามีนั้นล้วนมิได้เป็นนักรบ หากลงสู้กันจริงแล้ว ข้าเกรงว่าเราจักหาใช่ฝ่ายกำชัยดั่งหวัง เหตุการณ์ภายในข้ามิสามารถล่วงรู้ได้เลย บุกไปเช่นนี้มิต่างจากตาบอดเข้าพนาดอก” ธีมารวีแย้งด้วยสีหน้าเคร่งเครียด


“เจ็บใจนัก! ”


“หากทำลายด้านนอกมิได้ จำต้องทำลายมันจากข้างใน...เราต้องมีนกต่อ ช่วยเปิดประตูรับเราจากภายใน” อาคิราที่นิ่งเงียบมาตลอด นึกคาดคำนวณถึงความเป็นไปได้ก่อนออกความเห็นสู่ที่ประชุม


“แล้วผู้ใดเล่า หากลองได้ร่ายอาคมกำกับเสียเช่นนั้น มันคงระแวดระวังตัวมิใช่น้อย”


“ทุรพลอย่างไรเล่า พวกมันต้องการทุรพล เช่นนั้นจักเป็นการง่ายถ้าเราจักส่งทุรพลเข้าไป” ศศินเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาบ้าง แม้จะเสี่ยงอย่างมาก แต่นี่เป็นหนทางเดียวที่เป็นไปได้มากที่สุด


“อยากนัก จะมีผู้ใด...”


“เช่นนั้นข้าขออาสาจ้ะ”


“มิได้! ” หลายเสียงประสานกันลั่น เมื่อพิรัลนลินออกปากขันอาสาอย่างง่ายดาย โดยเฉพาะอาคิรา นัยน์ตาคมเรียบนิ่งนั้นมีประกายความไม่พอใจสะท้อนออกมาจนเห็นได้ชัดเจน


“นอกจากข้า จักมีผู้ใดเหมาะสมฤๅจ๊ะ” คิ้วของพิรัลขมวดเข้าหากันจนเป็นปม ยามร้องถามกลับเหล่าราชสีห์ที่พร้อมใจกันออกปากปฏิเสธตนรวดเร็ว


“สิ่งใดทำให้เจ้ามั่นใจเช่นนั้นฤๅ ทุรพลน้อย” ธมารวีเอ่ยถามทุรพลน้อยที่ตนเพิ่งมีโอกาสได้พบหน้าเป็นครั้งแรก


“ประการแรก ข้ายังมิได้จับคู่ ตรงตามที่พวกมันต้องการ ประการที่สองข้าพอมีวิธีเอาตัวรอดได้จากความรู้ที่พอติดตัว” เจ้าพิรัลนลินแจกแจงคุณสมบัติส่วนตนออกเป็นข้อ ตากลมสบมองพี่อาคิราของตนแน่วนิ่งอย่างสื่อความนัย ก่อนกล่าวต่อ


“ประการที่สามหากข้าพลาดพลั้งไป ก็หามีครอบครัวเบื้องหลังให้ต้องทุกข์โศกอีกแล้ว” ...ในเมื่อพิรัลนลินสูญเสียไปหมดสิ้นแล้ว กับเหตุการณ์นี้


“แลประการสุดท้าย ข้าต้องการล้างแค้นให้แก่ครอบครัวของข้า ได้โปรดให้ข้าทำหน้าที่นี้ด้วยเถิดนะจ๊ะ” พิรัลทิ้งเข่าลงกับพื้น สองมือยกประนมด้วยความเว้าวอน พานให้สิงห์ทุกตนต่างหนักใจเป็นอย่างมาก


ความเงียบนิ่งเข้าปกคลุมจนคล้ายเวลาถูกหยุดนิ่งไว้ มีเพียงสายลมหอบหนึ่งวูบผ่านมาพร้อมการปรากฏกายของ ราชสีห์นิลปารัชญ์ ในชุดสีขาวพิสุทธิ์ตลอดกาย ที่เด่นชัดคือบริเวณกลางหน้าผากของสิงห์หนุ่ม มีการแต้มจุดชาดมองคล้ายดั่งดวงตาที่สามไว้อย่างเด่นชัด


“เป็นพิรัลนั้นแลเหมาะสม แม้ภายภาคหน้าจักสาหัสสากันอยู่บ้าง ทว่าความประสงค์นั้นย่อมลุล่วงดั่งความมั่นหมายเป็นแน่” นัยน์ตาสีอำพัน ยามกล่าววาจาพลันสว่างเรืองรองดังแสงทองจากฟากฟ้า เคลื่อนมาจับจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตากลมโตของพิรัลนลินชั่วขณะหนึ่ง แล้วจึงกลับเป็นสีกาฬดังเดิม


“ขอสมาหากข้าทำให้เจ้าหวาดกลัว ยามต้องจับนิมิตข้ามิสามารถเก็บซ่อนอากัปกิริยาเช่นนี้ไว้ได้ อย่าได้ถือโทษเลยหนา” นิลปารัชญ์ที่กลับมาเป็นปกติ ส่งยิ้มบางให้ทุรพลตัวน้อยพลางค้อมตัวเล็กน้อย ก่อนจะเข้ามานั่งร่วมวงด้วยท่าทีสงบเงียบ มฤเคนทร์ทั้งสี่ เมื่อได้ราชสีห์นิลปารัชญ์ช่วยชี้ขาดเช่นนี้ ทุกตนจึงต้องจำยอมรับการเสนอตัวของทุรพลน้อยแต่โดยดี...


เพราะนิลปารัชญ์ อุตมางคสิงห์แห่งเผ่าพันธุ์กาฬสีหะผู้มีญาณทิพย์อันวิเศษนั้น มิเคยมีนิมิตใดที่ผิดพลาดแม้สักเพียงครั้ง


“เอาล่ะ ถึงเช่นนั้นเราจักยังมิส่งพิรัลไปในเร็ววัน การนี้เสี่ยงนัก เราจำเป็นต้องเตรียมพร้อม แลวางกลศึกอย่างรัดกุมที่สุด จากวันนี้ ท่านกัญจน์แลข้าจักลงฝึกซ้อมการต่อสู้ให้แก่เหล่าสิงห์ทุกตน เมื่อถึงยามนั้นเราจักต้องมิพ่ายแพ้ ข้าจักมิยอมให้เจ้าเอาตัวเข้าเสี่ยงอย่างเสียเปล่าเจ้าพิรัล” ธีมารวีเป็นผู้สรุปความในท้ายที่สุด ก่อนสิงห์ทุกตนจะแยกย้ายไปตระเตรียมการในส่วนของตนต่อไป




วันรุ่งขึ้นหลังจากประชุมของเหล่าผู้เป็นหัวหน้าจบลง ลานโล่งด้านหน้าเรือนกลางได้ถูกเปลี่ยนจากเพื่อใช้ชุมนุมสังสรรค์ มาเป็นลานฝึกร่างกายเพียงชั่วข้ามคืน โดยมีท่านธีมารวี และ ท่านกัญจน์สองอุตมางค์ราชสีห์เป็นผู้ควบคุม เพื่อสร้างความแข็งแกร่งและทักษะทางด้านร่างกาย รวมถึงกลยุทธ์ ในการต่อสู้ โดยมีไกรสรสิงห์ในความปกครองของธีมารวีที่พอมีวิชากลุ่มหนึ่งคอยช่วยควบคุมดูแลอีกทอด


ด้วยจตุราชสีนั้นมีกำลังวังชาและฤทธาอำนาจมากล้น ไม่เว้นแม้กระทั่งตระกูลราชสีห์มังสวิรัติ อย่าง ติณสิงห์ และ  กาฬสีหะ จตุราชสีห์เหล่านี้แม้เพียงเสียงคำราม ยังสามารถทำให้สัตว์ที่มีชนชั้นอ่อนด้อยกว่าบาดเจ็บได้ มฤคินทร์ทั้งสี่เผ่าพันธุ์จึงใช้ชีวิตรวมไปถึงการต่อสู้ โดยร่างมนุษย์จำแลงเสมอมา เหล่าสิงห์หนุ่มบนลานกว้างถูกฝึกฝนสมรรถนะร่างกาย และทักษะการต่อสู้อย่างเข้มข้น การต่อสู้ของมฤเคนทร์ในร่างมนุษย์นั้นเป็นการต่อสู้มือเปล่า ด้วยสิงห์ทั้งหลายต่างภาคภูมิใจในเขี้ยวเล็บแลพละกำลังของเผ่าพันธุ์เป็นอย่างมาก จึงใช้เพียงการหวนกลับร่างสิงห์บางส่วน เช่นฝ่ามือ หรือคมเขี้ยว เพื่อเข้าทำการต่อสู้ห้ำหั่นแทนการใช้อาวุธกันซึ่งหน้าเพียงเท่านั้น การใช้วิธีลอบกัดนอกเหนือจากนี้ถือว่าไร้เกียรติไร้ ศักดิ์ศรีแห่งชาติกำเนิดเป็นอย่างมาก


สิงห์หนุ่มในลานฝึกเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่เคยผ่านการสู้รบมามากนัก นอกจากการล่าสัตว์และละเล่นประลองกำลัง เพื่อคลายความเบื่อหน่ายระหว่างวัน ทว่าในเวลานี้สิงห์ทุกผู้ทุกตนต่างตั้งใจฝึกซ้อมอย่างแข็งขัน ภายในแววตาคมกล้าต่างมุ่งมั่นไม่ย่อท้อ แม้เหงื่อโทรมกาย บางรายเริ่มมีร่องรอยความฟกช้ำก็ไม่ปริปาก ด้วยความมุ่งหวังล้างแค้น และช่วงชิงผู้เป็นที่รักของพวกเขากลับมาให้จงได้



++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เชิงอรรถ

๑. ๑ ศอก (ไทย) เท่ากับ ๕๐ เซนติเมตร
๒. สกุณไกรสร สิงห์ผสม ผิวกายสีน้ำตาล ส่วนหัวเป็นนก ส่วนตัวเป็นสิงห์ ไม่มีปีก
๓. ไกรสรปักษา มีกายสีเขียวอ่อน หัวเป็นพญาอินทรีและ มีปีกเหมือนนก ตัวเป็นราชสีห์ มีเกล็ดคลุม




++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

สิงหา...ถึงนักอ่าน

ขอขอบคุณทุกๆ คอมเมนต์นะคะ

หากมีคำผิด หรือจุดที่อยากแนะนำ นักอ่านสะกิดเตือนได้เลยนะคะ

ผู้เขียนน้อมรับฟังนักอ่านทุกท่าน ด้วยความขอบคุณ

พบกันใหม่ใน คืนวันพรุ่งนี้ นะคะ











ออฟไลน์ Kanni

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
สนุกมากเลยคะ เป็นกำลังใจให้นะคะ

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
 :pig4:ใครคือพระเอกกันนะ :pig4:เนื้อคู่ตัวจริงของน้องพิรัลนลิน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-09-2019 22:13:21 โดย Chompoo reangkarn »

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2

ออฟไลน์ สิงหา

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 121
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
บทที่๘

ความลับ






                    ในคืนค่ำยามดวงจันทร์โคจรถึงกลางฟ้า บรรดามฤเคนทร์ในเรือนธีมารวีต่างพากันหลับนอนจนเกือบหมด ยังเหลืออยู่บ้างคือกลุ่มสิงห์ที่เตรียมออกลาดตระเวน ตามที่เหล่าราชสีห์ได้วางแบบแผนไว้ เพราะสารท้ารบของราชสีห์ธีมารวีถูกราชสีห์พันแสงปัดทิ้งอย่างไม่ไยดี คณะสีหราชจึงจำต้องหยิบแผน’ ตัวล่อ ‘มาใช้ในที่สุดด้วยเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้พวกเขาเข้าต่อสู้กับพันแสงได้ในระหว่างที่พันแสงไม่ยอมเคลื่อนไหว เหล่าสิงห์ใต้การนำของธีมารวีจึงจำเป็นต้องออกลาดตระเวนซุ่มดูความเคลื่อนไหว และแฝงตัวไปตามชุมสิงห์อื่นๆ เพื่อช่วยป้องกันและบีบคั้นให้พันแสงเลือกบุกชุมที่พวกตนจะแฝงพิรัลเข้าไป เมื่อสบโอกาส


นอกจากสิงห์วัยฉกรรจ์ที่เตรียมตัวออกนอกถ้ำ ยังมีพิรัลนลินที่ไม่ยังอาจข่มตาให้หลับลงได้ ทุรพลน้อยเริ่มรู้สึกถึงอาการ ‘เข้าฤดู’ ของตนได้อีกครั้ง หลังจากที่ติณสิงห์น้อยเคยประสบมาแล้วหลายครั้งจนเจ้าตัวเริ่มรู้เท่าทัน คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันแน่น เพราะนอกจากความร้อนรุ่มในอกแล้ว ทั่วสรรพางค์กายนั้นก็ดูคล้ายจะอ่อนไหวต่อทุกสัมผัส ภายในหูรับเสียงดังชัดแม้กระทั่งเสียงหอบหายใจผสมกับเสียงหัวใจเต้นอันดังก้อง กระทั่งจมูกปลายเชิดรั้นก็รับรู้ถึงกลิ่นต่างๆ ที่อวลในอากาศอย่างชัดเจนยิ่งกว่าที่เป็น สิ่งเร้าที่ร่างกายรับมายิ่งกระตุ้นให้ร่างกายรู้สึกร้อนรนกระสับกระส่าย ดูเหมือนอาการครั้งนี้จะรุนแรงกว่าที่แล้วมา...


พิรัลนลินทิ้งกายลงบนตั่งนอนด้วยอาการทุรนทุราย ร่างบอบบางพยายามปิดเปลือกตาไว้แน่น บังคับตัวเองให้หายใจเข้าออกลึกยาว เพื่อประคองสติให้กลับคืนมา มือเรียวเอื้อมหยิบคนโทที่ตนย้ายจากมุมห้องมาไว้ใกล้มือ เทราดน้ำลงบนใบหน้าและลำตัวเพื่อลดความร้อนดั่งเคย อนิจจาสำหรับครั้งนี้น้ำเพียงหนึ่งคนโทกลับไม่เพียงพอ ทุรพลน้อยรู้สึกราวกับว่าน้ำที่ตนราดรดลงมา ได้ระเหยเป็นไอทันทียามตกต้องผิวกายผ่าวร้อนของตนรวดเร็วเสียจนแทบไม่รู้สึกถึงความเย็นฉ่ำได้เลย


“ต้องใช้น้ำมากกว่านี้”


สิงห์น้อยขบกัดริมฝีปากตัวเองแรงๆ เพื่อใช้ความเจ็บเรียกสติ กลั้นใจพาร่างอันสั่นเทาของตนโซซัดโซเซไปยังท่าน้ำหลังเรือน แม้จะเป็นบ่อน้ำสำหรับใช้ชำระร่างกายเฉพาะเรือนใหญ่ปีกขาว ซึ่งในเวลานี้คงมีเพียงตนเท่านั้นที่เป็นผู้ครอบครอง แต่ในใจของพิรัลนลินก็อดที่จะหวั่นกลัวไม่ได้...ไม่อยากให้ใครมาเห็น โดยเฉพาะพวกอุตมางค์ แต่จะให้เก็บตัวอยู่ภายในเรือน พิรัลนลินเกรงว่าตนจะขาดใจตายด้วยอาการกระสันอยากไปเสียก่อน จึงได้แต่ตั้งจิตภาวนาขออย่าได้มีสิงห์ตนใดเข้ามาพบเจอ


เมื่อประคองตัวจนถึงที่หมาย พิรัลนลินไม่รอช้า สิงห์น้อยรีบพาตัวเองลงแช่ในน้ำเย็นจัดกลางราตรี กดจมตัวเองลงไปใต้ผืนน้ำจนมิดหัว ใช้ความเย็นชุ่มโอบอุ้มร่างกายเพื่อดับไฟราคะให้มอดดับ พร้อมด้วยหยาดน้ำตาที่กลั่นออกมาด้วยความคับแค้นใจ เนิ่นนานจนหมดเรี่ยวแรง...




ดวงตากลมโตเปิดปรือขึ้นอย่างช้าๆ ใช้เวลาปรับสายตาเพียงครู่ จึงนึกรู้ได้ว่าภาพเบื้องหน้านั้นคือหลังคาเรือน หาใช่ทิวทัศน์ของท่าอาบน้ำดังสติสุดท้ายของตนจดจำได้ พอเหลือบมองข้างกายจึงพบทุรพลผู้พี่นั่งเฝ้าตนอยู่ไม่ห่างด้วยสีหน้าร้อนรน


“เจ้าพิรัล ฟื้นเสียทีหนา” น้ำเสียงของศศินเจือไปด้วยความเป็นห่วงกังวล อย่างที่พิรัลไม่เคยพบเห็นมาก่อนจากผู้ที่วางท่าทีเรียบร้อยเช่นศศิน


“ขะ ข้า มาอยู่ที่นี่ได้เช่นไรจ๊ะ”


“อาคิรากำลังจักออกลาดตระเวน พบหยดน้ำบนพื้นรู้สึกผิดสังเกต แลเห็นว่ามาจากในเรือนเจ้า จึงมาแจ้งพี่กับท่านรวี พวกเราตามรอยน้ำไป จนเจอเจ้านอนหมดสติในสระน้ำ ได้ท่านธีมารวีอุ้มเจ้ากลับเรือนมา”


“ขอบพระคุณพี่ศศิน แลท่านรวีจ้ะ ข้าเพียงต้องการดับร้อน มิคิดว่าจักถึงขั้นหมดสติไปจนสร้างความเดือดร้อนเยี่ยงนี้” พิรัลนลินหน้าสลดวูบ เมื่อรู้สึกว่าตนสร้างความวุ่นวาย


“มิใช่เรื่องที่จักถือเป็นบุญคุณต่อกันดอกหนาเจ้าพิรัล” ธีมารวีเอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง ด้วยเพราะนางสิงห์นั้นผ่านการเข้าคู่ผูกวิญญาณไปแล้ว ทุรพลยามใกล้เข้าฤดูเช่นพิรัลนลินจึงไม่ส่งผลใดต่อนางอีก


“กระชั้นเข้ามาแล้วหนา ลางทีมิเกินรอบหน้าเป็นแน่” ศศินเอ่ยเตือนพิรัลด้วยความเป็นห่วงจับใจ ทุรพลเช่นเขานั้นเคยผ่านมันมาแล้วย่อมรู้ซึ้งถึงความทุกข์ทรมานได้ดีที่สุด


“ท่านกัญจน์ แจ้งข้ามาเช่นกันว่ากลิ่นกายเจ้าเย้ายวนรุนแรงเหลือเกิน จนตนแลท่านนิลปารัชญ์ต้องหลีกเจ้าด้วยกลัวใจตัวเอง” ยิ่งธีมารวีกล่าวสำทับ พิรัลนลินยิ่งรู้สึกกดดัน จนเผลอกัดปากแน่น


“หากฤดูมาถึง ข้าคงส่งเจ้าไปทำภารกิจมิได้” ธีมารวีมองร่างบอบบางบนตั่งนอน ก่อนยื่นคำขาดออกมา แม้จะเห็นใจในชะตากรรมที่สิงห์น้อยพบเจอและยากร้างแค้นมากเท่าใด แต่ความปลอดภัยของพิรัลย่อมสำคัญเช่นกัน นางไม่อาจปล่อยพิรัลในสภาพสุ่มเสี่ยงเช่นนี้ออกไปให้ถูกคนของพันแสงปู้ยี่ปู้ยำเป็นอันขาด


“จนกว่าจักถึงเพลานั้น ขอโอกาสให้ข้าหาหนทางก่อนเถิดนะจ๊ะ”


“พิรัล เจ้ามิคิดถึงชีวิตข้างหน้ารึ เจ้าอายุยังน้อยชีวิตยังอีกยาวไกล หากพลาดพลั้งถูกพวกมันย่ำยี ชีวิตคู่เจ้าเท่ากับดับสูญฤๅ” ศศินวางมือบนไหล่ของน้องทั้งสองข้าง ตาคู่กับจ้องสบทอแววห่วงกังวลและเว้าวอน


“คู่รักฤๅจ๊ะ ข้ามิคิดมีคู่ดอกจ้ะ” แทนที่สิงห์น้อยจะรู้สึกตระหนักรู้ เจ้าตัวดีกลับไม่นำพา


“ว่ามิได้หนาเจ้าดูอย่างพี่ศศินของเจ้าเสีย สุดท้ายหนีข้ามิพ้นอยู่ดี เรื่องในภายภาคหน้าผู้ใดเล่าจักล่วงรู้ มิสู้รักษาเนื้อรักษาตัวไว้เล่าเจ้า” ธีมารวีกล่าวเสริม


“ข้ามั่นใจจ้ะ” ทว่าสิงห์น้อยยืนยันหนักแน่นเช่นนี้ ไม่ใช่ด้วยไร้เดียงสาไม่เคยมีความรู้สึกรักใคร่ ทุรพลน้อยมีหัวใจรัก และความรักเดียวของพิรัลไม่อาจเป็นไปได้ตั้งแต่เริ่มต้น ต่อให้ตนรอดปลอดภัยก็ไม่สามารถมอบหัวใจรักให้ผู้ใดได้อีก...เช่นนั้นจึงไม่ใช่เรื่องพี่พิรัลเป็นกังวลแต่อย่างใด


ธีมารวีถอนหายใจหนัก เมื่อเห็นว่าพิรัลนลินยังคงดื้อรั้นอย่างแน่วแน่ แม้สุดท้ายนางจะยอมพยักหน้าแสดงความยินยอม แต่ภายในใจกลับคิดหาทางออกอื่นไว้สรตะ




                    ยามแสงแห่งอรุโณทัยสาดส่องบนเส้นขอบฟ้า พิรัลนลินฟื้นตัวดีแล้ว ตัดสินใจลงจากเรือนเพื่อพิสูจน์สถานการณ์ของตัวเองยังลานฝึกหน้าเรือนใหญ่ แล้วก็เป็นดังที่ธีมารวีบอกไว้ไม่มีผิด ทุรพลน้อยนั้นรู้สึกได้ว่าทั้งราชสีห์กัญจน์ และ ราชสีห์นิลปารัชญ์ คอยหลบเลี่ยงหนีห่างทันที เมื่อความรู้สึกของพวกเขาจับการมาถึงของพิรัลได้ สิงห์น้อยจึงตัดสินใจเก็บซ่อนตัวเองเพียงในเรือนนอน หรือเรือนยาเพียงเท่านั้น กระนั้นแล้วเมื่อจำต้องมีการชุมนุมเพื่อวางแผนการต่างๆ พิรัลนลินที่ไม่สามารถเข้าร่วมกลุ่มได้เช่นเคยต้องอาศัยศศินคอยบอกต่อความให้อีกทอด สร้างความยุ่งยากไม่น้อย จนเจ้าพิรัลนลินยิ่งรู้สึกเครียดกับหนทางที่เป็นดั่งทางตันไร้แสงสว่างเช่นนี้


“มฤคินทร์น้อยหมองเศร้าไปไยเจ้า”


“ท่านเขมอารัณย์”


“ว่าอย่างไรเล่า มีสิ่งใดในฤทัย ข้าพร้อมรับฟังหนา” คนธรรพ์หนุ่มแย้มยิ้มกว้าง จนเผยลักยิ้มสองข้างแก้ม ล้มตัวลงนั่งเหยียดขา ยันแขนทั้งสองข้างไว้ด้านหลัง ด้วยท่าทางผ่อนคลาย


“ความทุกข์ของข้า เกรงว่าแม้แต่ท่านนั้นยังมิอาจช่วยได้จ้ะ” พิรัลนลินไม่มีอารมณ์ต่อปากต่อคำด้วยเอ่ยตัดความ


เขมอารัณย์สบมองใบหน้าหวานที่แสดงความเครียดวิตกอย่างชัดเจนนิ่ง ตั้งแต่พบเจอทุรพลตนนี้มิมีสักคราที่เขาจะเห็นพิรัลหัวร่อสดใสดังเช่นสิงห์ในวัยเดียวกัน ด้วยเหตุการณ์ที่ประสบอยู่นั้นมิใช่สถานการณ์ที่ผู้ใดจักอารมณ์รื่นเริง เพียงแต่มฤคินทร์เบื้องหน้านี้ดูเคร่งขรึมเติบโตเกินวัยไปโข


...อายุเพียงไม่กี่ขวบปี ไยจึงต้องแบกรับโชคชะตาหนักหนาถึงเพียงนี้หนอ


“เหวยๆ เจ้าสิงห์น้อย ชะรอยจักมิรู้ความ ข้านี้แหละหนาช่วยเจ้าได้ มิใช่เพียงสีหมุข ทั่วแคว้นแดนหิมวันต์ จวบจนสวรรค์ชั้นฟ้า ข้าล้วนตระเวนจนเจนจบ ศาสตร์ความรู้ใดล้วนพอลักจำมาได้มิน้อยหนา” โอ้อวดตนด้วยรอยยิ้มกว้าง พรางเลิกคิ้วขึ้นวางท่ามั่นใจเสียจนผู้ถูกโอ้อวดใส่ คล้ายโอนอ่อนใคร่รู้ตาม


“อย่างไรจ๊ะ”


“ข้าจักเล่าความลับให้เจ้าฟัง ฮึฮึ อันบนเมืองสวรรค์นั้นนอกจากสุราเมรัย ระบำรำฟ้อนอันวิจิตรแล้วไซร้ ชาวฟ้ายังมีความงามพิสดารจนเป็นที่เรื่องลือ งามรูป งามทรง จนถึงกลิ่นกายนั้นย่อมต้องจรุงอบอวล ประการสุดท้ายสำมะคัญนัก ใช่ว่าทุกผู้จักมีได้ จำต้องปรุงแต่งกันขึ้นมาก็มาก” คนธรรพ์หนุ่มเล่าไปเรื่อยเปื่อยราวกับเล่านิทาน หากนัยความนั้นแสนสำคัญยิ่ง จนพิรัลนลินอดไม่ได้ที่จะจับจ้องด้วยความจดจ่อ ท่าทางดังนั้นของทุรพลน้อยสร้างรอยยิ้มติดมุมปากให้แก่ผู้เล่า


“นางไม้นั้นมิเท่าใด นางอัปสรนี่ล่ะตัวสำคัญ เมื่อร่ำสุราจนชื่นจิต จักเข้าเฝ้านายเหนือหัวแต่ละที จำต้องหาเครื่องหอม น้ำปรุงมาประโคมลงตัวกันจนวุ่น ดับกลิ่นสาบที่ตนเผลอเข้าเกลือกกลั้ว ชาวฟ้ากายหอมนั้นแท้จริงเพียงสร้างมาเพื่อกลบกิเลสเสียเท่านั้น เจ้าคิดเห็นเช่นไรเล่าพิรัล” เขมอารัณย์ขยิบตาใส่ พิรัลนลินที่ยังนิ่งอึ้ง จนกระทั่งในหัวสามารถเท่าทันถึงความนัยนั้นได้ เรียวปากอิ่มจึงเผยยิ้มกว้าง พิรัลนลินรู้แล้วว่าจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร แม้จะไม่ใช่ที่ต้นเหตุแต่ สิงห์น้อยคิดว่า ’แบบนี้‘ ก็ช่วยได้มากโข


“ขอบพระคุณจ้ะท่านเขม ขอบพระคุณจ้ะ”


“แล้วหากข้าต้องการจักชะลอ...มันไปสักหน่อย ท่านพอมีหนทางบ้างฤๅไม่จ๊ะ ขอบเขตในความรู้ที่ข้าพอหาได้นั้นสิ้นหวังนัก”


“เช่นเจ้าว่าข้าหามีคำตอบให้ได้ดอก เพลานี้แก้เพียงเรื่องที่ได้ก่อนเถิด”


“จ้ะ”


“หากหยุดมิได้ข้าเชื่อว่าต้องมีทางเบี่ยงเลี่ยงอยู่ ข้าขออวยพรให้เจ้าจงค้นพบมัน”




เมื่อได้คำแนะนำที่เห็นถึงความเป็นไปได้ สิงห์น้อยจึงไม่อาจรอช้าตรงดิ่งไปยังเรือนยาในทันที พิรัลนลินไม่มีน้ำอบน้ำปรุง ดั่งนางสวรรค์ ทว่ามีสมุนไพรบางอย่างที่เจ้าตัวคิดเอาไว้ว่าจะใช้การได้ ลงมือค้นหาอยู่เพียงครู่ก็ได้มาซึ่งภาชนะดินเผาใบเล็ก เมื่อลงมือดึงจุกฝาออก ปรากฏกลิ่นหอมหวานลอยระเหยออกมาอย่างเข้มข้น ‘น้ำมันกฤษณา’ ปกติแล้วมักนำมาใช้บรรเทาอาการท้องอืดท้องเฟ้อ มาบัดนี้พิรัลนลินค้นพบประโยชน์จากมันอีกประการแล้ว


ทุรพลน้อยเม้มริมฝีปากแน่น ใช้นิ้วอุดปากโถแล้วพลิกคว่ำให้น้ำมันภายในไหลลงมา ปลายนิ้วเรียวค่อยๆ แตะแต้มน้ำมันลงไปตามร่างกายจนหอมฟุ้ง


“หวังว่าจักได้ผล”


กลีบปากอิ่มเผยยิ้มบางเบาเมื่อยามกลิ่นกฤษณาเจือจางเคล้าอากาศเช่นนี้ทำให้ พิรัลอดคิดถึงพี่อาคิราไม่ได้ สามัญสิงห์ผู้นั้นขลุกอยู่ในเรือนยาทั้งวันจนกลิ่นหอมจากสมุนไพรอบอวลทั่วตัวอยู่ตลอดเวลา แม้หลับตาลงยังสามารถรู้ได้ว่าพี่อาคิราเข้ามาใกล้ กลิ่นเหล่านี้คล้ายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของพี่อาคิราไปเสียแล้ว...




“เจ้าพิรัลกลิ่นอันใดรึ หอมนัก” สิงห์ตนแรกที่เข้ามาทักคือบัณฑูรสิงห์หนุ่ม คราแรกกัญจน์ราชสีห์เกือบทิ้งมาดวิ่งหนีทุรพลน้อยไปเสีย หากไม่ติดว่าความยั่วยวนของกลิ่นกายทุรพลน้อยนั้นเปลี่ยนไป...หอมหวาน ทว่าไม่ยั่วเย้าสัญชาตญาณเช่นเดิม เลยตัดสินใจหยุดทักทายในระยะพอสมควร...ยังไม่กล้าเข้าประชิดร่างบอบบางมากเกินไปนัก


“น้ำมันไม้กฤษณาจ้ะ ข้าลองใช้เพื่อพรางกลิ่น เช่นนี้ท่านยังรู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่ฤๅไม่จ๊ะ”


“แม้ว่าข้าจักปักใจกลิ่นหอมจากเจ้ามากกว่า ทว่ากลิ่นกฤษณาเช่นนี้ย่อมปลอดภัยต่อเจ้ามากกว่า” กัญจน์ราชสีห์สารภาพเสียงแผ่ว ใบหูทั้งสองแดงก่ำ เมื่อกล่าวแฝงความนัย


“ดีจริง เป็นเช่นนี้ได้ข้าค่อยสบายใจ จักได้มิต้องวุ่นวายวิ่งเลาะวิ่งวนกันอีก” เมื่อความต้องการของตนสัมฤทธิผลรอยยิ้มงามจึงปรากฏ ไม่ได้คิดให้ความสนใจ ต่อความหมายแฝงในถ้อยคำที่อีกฝ่ายฝากฝังไว้แม้แต่น้อย ทุรพลน้อยรีบขอตัวลาเข้าไปรายงานผลต่อศศิน และ ธีมารวีด้วยความลิงโลด ทิ้งให้อีกฝ่ายมองตามตาละห้อย




                    ณ เรือนใหญ่ ธีมารวีและศศินนั่งมองหน้ากันนิ่งนาน ด้วยทั้งสองต่างคาดว่า พิรัลนลิน ย่อมยอมแพ้ต่อโชคชะตาของตนเองไปแล้ว แต่เจ้าตัวกลับนั่งยกยิ้มยืนยันเจตนารมณ์ของตนไม่เปลี่ยนแปลง


“เอาเถิด เป็นเช่นนี้ดีแล้ว แผนการเดิมของเราจักได้มิต้องเปลี่ยนแปลงคลาดเคลื่อนไปอีก เป็นเช่นนี้จักได้บอกเล่ากันเสียทีเดียว” ธีมารวี ยืดแผ่นหลังตั้งตรงแสดงทีท่าจริงจัง พร้อมกับยื่นแผ่นหนังวางลงบนตั่งกลางวง


“ข้ามิแน่แก่ใจนัก ว่าบัดนี้ถ้ำแห่งนั้นได้เปลี่ยนแปลงไปประการใด หวังใจว่าจักมิแปลกไปมากนัก” ด้วยความทรงจำในวัยเยาว์ของธีมารวี สถานที่แห่งนั้นช่างอุดมไปด้วยความสุขยิ่ง เมื่อมีเหตุให้ต้องแยกจากมา สิงห์สาวจึงเนรมิตถ้ำแห่งตนให้ใกล้เคียง ‘บ้านเกิด’ ให้มากที่สุด


“คูหาแห่งนี้ ข้าสร้างให้ใกล้เคียงกับคูหาอันเป็นที่เกิดแห่งนั้นทุกกระพี้ หากแต่มิได้ซับซ้อนเท่า ผังคูหาแผ่นนี้ข้าแลอาคิราช่วยกันเขียนไว้เมื่อครั้งยังเล็ก เพื่อเอาไว้เล่นซุกซนมิคิดว่าจักได้นำมาใช้ เจ้าจดจำแผนผังนี้ไว้เถิด เผื่อจักเป็นประโยชน์ ยามเข้าไปอยู่ที่นั่นจักได้รู้ทางหนีทีไล่”


“จ้ะ” พิรัลนลินรับแผ่นหนังเก่าเหลืองมาไว้ในมือ ภายในใจรู้สึกฮึกเหิมเมื่อคิดว่า ทุรพล เช่นตนนั้นสามารถทำประโยชน์อยู่ได้บ้างไม่น้อย




                    กาลเวลาหมุนผ่านครบสัปดาห์ บัดนี้อาคิรากลับจากการลาดตระเวน เผื่อผลัดเปลี่ยนกับกัญจน์ราชสีห์ ไปตามพื้นที่ใกล้เคียง อาคิราในยามนี้ร่างกายซูบเซียวลงอย่างเห็นได้ชัดจนพิรัลนลินนึกเป็นห่วง


“พี่อาคิราอ่อนล้ามากฤๅจ๊ะ เช่นนั้นข้าไปต้มยำบำรุงให้ดีฤๅไม่จ๊ะ”


“มิต้องดอก ข้าหาได้เป็นอันใดไม่” คำปฏิเสธไม่อาจสั่นสะเทือนหัวใจของเจ้าสิงห์น้อยได้เท่า และท่าทีตีตัวออกหากมากกว่าเดิมได้เลย แม้ใจรู้สึกร่ำๆ อยากโพล่งถาม ทว่าสุดท้ายพิรัลนลินยังไม่มีความกล้าพอ สิงห์น้อยจึงเพียงทำตัวรู้อยู่ ไม่เข้าไปยุ่มย่ามกับอาคิราให้มากความ จนกลายเป็นว่า เมื่ออาคิราวนซ้าย พิรัลนลินก็เลือกที่จะวนขวาให้คลาดกันอยู่ร่ำไป




เจ้าสิงห์น้อยเลือกหันเหความสนใจของตัวเองจากอาคิรามาลงกับตำราและแผนที่คูหาพันแสงที่ได้มา พิรัลนลินพยายามตั้งสมาธิจดจำถึงขั้นทดลองวาดแผนผังตาม เพื่อให้มั่นใจว่าตนเองไม่ตกหล่นส่วนใดไป ในหัวของสิงห์น้อยเต็มไปด้วยภาพแผนที่และวิธีการเอาตัวรอดมากมายในหัว ไม่เว้นกระทั่งยามกิน หรือยามอาบน้ำ


ดังเช่นในขณะนี้ ที่ทุรพลน้อยกำลังจะขึ้นจากอาบน้ำจัดเครื่องแต่งกายให้เข้าที่ไป ในใจก็เกิดนึกครึ้มใจเมื่อคิดไพร่ไปถึงแผนภาพที่ได้มาบ้านเรือนจัดเรียงละม้ายคล้ายจับวาง หากตรงผนังถ้ำมีขีดลากยาวประหลาด เมื่อไปขอศศินดูแผนที่ฉบับคัดลอกมา กลับไม่มี ในคราแรกสิงห์น้อยคิดว่าอาจเกิดจากความพลาดพลั้งของสองสิงห์ที่ยังเยาว์ ทว่าเมื่อพินิจจากรอยขีดด้วยน้ำหนักมือมั่นคงเช่นนี้ คล้ายไม่ใช่ด้วยพลาดพลั้ง และมันช่างติดค้างในใจเหลือเกิน


ใบหน้าสวยหันรีหันขวางพลางนึกถึงแผนภาพที่ตนจดจำไว้ เท้าเล็กเดินลัดเลาะไปตามแนวถ้ำ ลากไล้มือลงบนผนังแก้ว เมื่อคาดว่าบริเวณนี้นั้นตรงกับรอยที่ถูกขีดไว้บนแผนที่ แล้วก็ต้องสะดุ้งจนสุดตัวเมื่อพื้นผิวคูหาที่ควรเรียบเย็นเกิดประกายแสงบางเบา จนแทบไม่สังเกตได้ แล้วเลือนหายไป หากไม่นึกติดใจมาก่อนแล้ว คงไม่พ้นเดินผ่านเลยไปเป็นแน่


กลีบปากอิ่มสีระเรื่อยกยิ้มซน เมื่อในหัวรู้สึกสนุกระคนตื่นเต้นกับสิ่งที่ตนจะได้พบเจอ ความเยาว์วัยแสนซนเมื่อครั้งเป็นลูกสิงห์น้อยกลับมาเยือนพิรัลนลินอีกครา เจ้าสิงห์น้อยออกแรงผลักเพียงแผ่วเบา แผ่นผนังกระด้างหนักก็อ่อนยวบแล้วดูดร่างบอบบางเข้าไปด้านใน จนพิรัลนลินที่ไม่ทันตั้งตัวเซถลาหวิดหน้าคะมำลงทาบพื้น ดวงตากลมเบิกกว้างด้วยความตื่นตะลึง...มีสถานที่แอบซ่อนไว้จริงๆ ด้วย


ตากลมโตมองสำรวจรอบกาย ภายในเรือนลึกลับแห่งนี้มิได้แตกต่างจากเรือนนอนทั่วไปในเรือนใหญ่มากนัก คงมีไว้สำหรับหลบซ่อนตัวชั่วครู่ชั่วคราวกระมัง


“เจ้าเข้ามาได้เช่นไร!”


ยังไม่ทันได้สำรวจตรวจตราให้ครบครัน พลันบังเกิดเสียงทุ้มตวาดกร้าวจนพิรัลนลินสะดุ้งผวา ด้วยไม่ทันคิดว่าภายในเรือนนี้อาจจะมีใครอีกนอกจากตน


เจ้าของเสียงคำราม จ้องมองผู้บุกรุกด้วยแววตาวาววับ จนผู้รุกล้ำเผลอกลั้นหายใจ ร่างทั้งร่างรู้สึกเย็นเหยียบไปถึงขั้วหัวใจ...ทั้งตกใจ และไม่คาดคิด สิงห์ที่ปรากฏเบื้องหน้านี้ ไม่ใช่ผู้ที่พิรัลนลินคาดคิดว่าจะต้องพบเจอในสถานที่นี้แม้แต่น้อย




+++++++++++++++++++++++++++++++++++++

สิงหา...ถึงนักอ่าน

มาถึงตอนที่ ๘ กันแล้ว ตอนนี้สิงหาพานักอ่านทุกท่านมาถึง กลางเรื่อง แล้วนะคะ

เป็นอย่างไรกันบ้างคะ รออ่านความคิดเห็นจากทุก ๆ คนอยู่นะคะ

สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณทุกๆ คอมเมนต์นะคะ

หากมีคำผิด หรือจุดที่อยากแนะนำ นักอ่านสะกิดเตือนได้เลยค่ะ

ผู้เขียนน้อมรับฟังนักอ่านทุกท่าน ด้วยความขอบคุณ


เพื่อชดเชยอาทิตย์ที่แล้ว ตอนที่ ๙ จะมาลงต่อใน คืนวันพรุ่งนี้ นะคะ









ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
น้องพิรัลเจอใครล่ะเนี่ย จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ สู้ๆค่ะ

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
ใครเนี่ย ลุ้นจนเกร็งแล้วววว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ สิงหา

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 121
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
บทที่๙
ร่วมคู่









“พะ พี่อาคิรา...”


“ออกไป!” เสียงทุ้มต่ำตวาดก้องจนคล้ายคำราม หากเป็นยามปกติพิรัลนลินคงวิ่งหนีไปเสียนานแล้ว แต่บัดนี้สิงห์น้อย กลับก้าวขาไม่ออก แข้งขาอ่อนแรงจนแทบทรุดลงไปกองกับพื้น...นี่มันเกิดอะไรขึ้น


ดวงตาคมปลาบจ้องมองมาทำให้ทุรพลสั่นสะท้านไปทั้งสรรพางค์กาย เพราะเหตุนี้เล่า พี่อาคิราจึงมิยอมสบตา คอยหลบเลี่ยงเบี่ยงมองเอาเสียทุกครา แท้แล้วเพื่อหลบซ่อนแววตาเรืองไปด้วยอำนาจแห่ง ‘อุตมางค์’ บัดนี้พิรัลนลินเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว ว่าเหตุใดพี่อาคิราจึงต้องหลบหายบ่อยครั้ง เหตุใดกลิ่นกายของสิงห์หนุ่มจึงอบอวลไปด้วยเปลือกไม้หอม และเหตุใดอาคิราจึงตีตัวออกหากเหลือเกิน


“พี่อาคิรา ...อุตมางค์! ”


“เจ้าพิรัล ออกไปให้พ้นข้าเสีย” เสียงของอาคิราสั่นพร่า ฟันกรามขบกันแน่นจนขึ้นเป็นสันนูน เมื่อเขากำลังยับยั้งหักห้ามตัวเองอย่างหนัก


ราชสีห์เบื้องหน้านี้คือผู้ใด พี่อาคิราที่พิรัลนลินมั่นใจหนักหนาว่ารู้จักรู้ใจกันดี เพลานี้กลับเหมือนผู้ที่ตนไม่เคยรู้จัก...แค่คิดถึงตรงนี้ภายในอกพลันปวดแปลบเสียดแสบไปหมด


มือใหญ่กำแน่นสั่นเทิ้ม ไอร้อนในกายพาเอากลิ่นหอมหวานเอียนลอยคลุ้งทั่วทั้งร่าง ใบหน้าหล่อคมบิดเบี้ยวบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าอุตมางค์เมื่อยามถึงฤดูแล้วนั้น ทรมานมิแพ้ทุรพล


“เจ้าพิรัล! ออกไปบัดเดี๋ยวนี้” เรียกย้ำเมื่อน้องน้อยยังไม่ยอมขยับกาย ซ้ำกลิ่นกายหอมระรวยกรุ่นที่ร่างบอบบางกำจายคลุ้งรอบกาย ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น จนอาคิราแทบประคองสติยับยั้งตัวตนดิบเถื่อนเอาไว้ไม่ไหว


พิรัลนลินรู้สึกกำลังกายหดหาย ภายในร่างกายของทุรพลน้อยแผดเสียงลั่นถึงความต้องการ


พรึ่บ!


พริบตาเดียวร่างสูงโปล่งของอาคิรากระโจนพุ่งขึ้นคร่อม ใช้สองแขนแน่นหนัดกางกักกันร่างบอบบางไว้ใต้อาณัติ ลมหายใจพ่นออกจนเกิดเสียงฟืดฟาด


“เจ้า...พิ...รัล...หนี...หนี” ดวงตาคมแกร่งกล้าหลับแน่น ร่างทั้งร่างสั่นเทาเมื่อสิงห์หนุ่มรีดเค้นกำลังในทุกส่วนเพื่อต่อสู้กับสัญชาตญาณสัตว์ป่าของตัวเอง


“ข้า ขอสมาเกิดจ้ะ ข้าหนีไม่ไหว ร่างกายข้าไร้กำลังเสียแล้ว...ควบคุมมิได้” ทุรพลน้อยยกมือขึ้นหว่างอกกล่าวขอโทษ จนผู้ร้อนรนขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ ฉับพลันจึงเปลี่ยนเป็นความตะลึงลานเมื่อกลิ่นกายหอมกำจายฟุ้งจนอาคิรารู้สึกหน้ามืด ทุรพลน้อยไม่หยุด ซ้ำยังค่อยๆ เคลื่อนกายเข้าหาร่างสูงใหญ่ของผู้พี่ด้วยร่างกายอันสั่นเทา เพียงนัยน์ตากลมที่คลอเคลือบไปด้วยหยาดน้ำเงยสบ อาคิราก็สติหาดสะบั้นเอื้อมมือคว้าร่างบอบบางเข้าหากายทันที


ร่างทั้งร่างของพิรัลนลินถูกพลิกกลับโถมทับอย่างแรงจนล้มนอนลงบนตั่งไม้ ขณะที่เจ้าตัวยังคงตั้งตัวไม่ติดนั้น แขนทั้งของข้างกลับถูกมือหนาบีบตรึงไว้แน่นดั่งต้องตรวน เมื่อปลายจมูกของผู้บุกรุกกดฝังลงบนซอกคอ สติการรับรู้ของสิงห์น้อยจึงค่อยกลับมา แม้เตรียมใจและเป็นฝ่ายเสนอตัวเอง ทว่าภาพฝันร้ายแผลเป็นเก่าครั้งก่อน ถูกสะกิดจนเปิดกว้าง สองครั้งสองคราในชีวิตที่พบเจอนั้นหนักหนาเกินกว่าที่พิรัลนลินรู้ตัว


ขณะนี้ความหวาดกลัวแทรกเข้ามาจนแทบสิ้นสติ ร่างแบบบางนิ่งค้าง นัยน์ตากลมโตเบิกกว้าง กลิ้งกลอกไปมาด้วยความเร็ว สภาวะการดิ้นรนเอาตัวรอดทำให้พิรัลสดับรับฟังทุกเสียงอย่างชัดเจน แม้แต่เสียงหัวใจที่เต้นแรงจนแทบแตกแยกออกเป็นเสี่ยง หรือเสียงสูดลมหายใจเข้าของอีกฝ่าย ยามดอมดมผิวเนื้อของตัวเองก็ดังก้องสะท้อนในทุกโสตการรับรู้

...น่ากลัว


มือเท้าเล็กพยายามยื้อยุด แต่มือใหญ่ที่จับยึดตนไว้ทำให้ไม่สามารถขยับเขยื้อนดิ้นรนได้ดั่งใจคิด กระนั้นทุรพลน้อยที่ตกอยู่ในห้วงฝันร้ายไม่ยอมจำนนใบหน้าพยายามส่ายสะบัด เพื่อหลีกหนีการคุกคามให้ได้มากที่สุด สติไม่อาจรับรู้ได้แล้วว่าผู้ที่อยู่เบื้องบนตัวเองนั้นคือผู้ใด

...อนิจจา นอกจากไม่สามารถหลุดพ้นจากพันธนาการที่รัดรึงได้แล้ว ทั้งเนื้อทั้งตัวนั้นดูเหมือนจะถูกอีกฝ่ายทาบประทับจนไม่หลงเหลือที่ว่าง


มือหนาของผู้รุกราน ลูกไล้ผิวเนื้ออ่อน เลาะเลี้ยวเค้นคลึงตั้งแต่เอวบางระเรื่อยล่องมาจนถึงแผ่นอก บรรจบลงบนสร้อยคอแพทองที่ร่างบางสวมใส่ติดกาย ปลายนิ้วแกร่งเพียงออกแรงเกี่ยวเบาๆ แพทองบนลำคอเล็กก็หลุดออกมาอย่างง่ายดาย ไหลลงจากรอบคอระหงตกกระทบสู่พื้นตั่ง ทำให้แสงจากมรกตเม็ดน้อยกระทบเข้ากับแสงสีทองจากเปลวเพลิงปลายเทียนจนสว่างเรืองเปล่งแสงสีเขียวจ้า กระทบเข้านัยน์ตาของผู้ที่ปลดมันออก พลันราชสีห์ร่างใหญ่คล้ายได้สติ ผละจากร่างหอมระรวย เงยหน้าขึ้นมาจนทำให้ทั้งสองได้สบตากันอีกคราหลัง หลังจากต่างฝ่ายต่างมัวเมาในความรู้สึกของตนอย่างไร้สติสัมปชัญญะ


เพียงนัยน์ประสานกัน พิรัลนลินที่แรงกำลังถดถอยลงไปแล้วก็ยิ่งเหือดหายไม่มีเหลือ อวัยวะทุกส่วนในร่างกายของเจ้าสิงห์น้อยราวกับมีกระแสไฟฟ้าแล่นราม แล้วอ่อนยวบดั่งขี้ผึ้งถูกไฟลน ดวงตากลมที่เบิกกว้างกลับปิดลงพร้อมหยาดน้ำตาที่ไหลอาบราวทำนบพัง เลือดในกายเย็นเหยียบทั้งเนื้อตัวสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุม ราวกับร่างกายนี้มิใช่ของตนอีกต่อไป ทุรพลน้อยเพิ่งรู้จักความหวาดกลัวจากจิตวิญญาณเป็นครั้งแรกในชีวิต ยอมศิโรราบด้วยสัญชาตญาณโดยสมบูรณ์ ให้กับผู้มีความแข็งแกร่งที่มากกว่า ต่างกับเมื่อครั้ง คีรี อย่างไม่อาจเทียบเคียง


...นี่สิหนา อำนาจเหนือมฤคินทร์ทั้งปวงของ อุตมางค์ อำนาจที่ทุรพลเช่นตนมิอาจต่อต้านทานได้แม้เพียงน้อย


ขณะที่ร่างน้อยยอมจำนนต่อโชคชะตาและสัญชาตญาณส่วนลึกในตัวเอง แรงกดทับบนร่างกายกลับหายไปอย่างฉับพลัน ขณะเดียวกันสิงห์น้อยได้กลิ่นคาวเลือดลอยคลุ้ง ตามมาด้วยเสียงคำรามลั่นของผู้ที่อยู่บนร่าง


“พิรัล ข้า ข้ามิได้ตั้งใจจักข่มเหงเจ้า” ริมฝีปากหยักปากอาบท่วมไปด้วยโลหิต เมื่อสิงห์หนุ่มปลุกสติตัวเองด้วยการฝังคมเขี้ยวลงบนท่อนแขนของตนจนเป็นแผลลึก ใช้ให้ความเจ็บปวดเป็นตัวปลุกและควบคุมตัวตนมิให้หลงมัวเมาไหลเรื่อยไปตามสัญชาตญาณแห่งพันธุ์เผ่า มืออีกข้างเอื้อมแตะผิวแก้มเนียนแผ่วเบาเพื่อเกลี่ยหยาดน้ำตา เพียงปลายนิ้วแตะต้องร่างกายกลับร้อนรุ่มขึ้นมาอีกครา เลือดในกายหนุ่มเดือดพล่าน พร้อมทะยานพุ่งตัวฝังรักสู่กายบางเบื้องล่างจนเกินควบคุม...ไม่สามารถหยุดได้แล้ว


“เจ้าพิรัลอย่าได้กลัวข้า...อย่ากลัวพี่เลย” เสียงทุ้มกระซิบพร่า แม้นอยากข่มเหง หากแต่เจ้าตัวน้อยยังคงร่ำไห้ อาคิราก็ไม่อาจใจแข็งได้ลง


พิรัลถอนสะอื้น สบตาเว้าวอนของผู้ที่อยู่บนกายนิ่งนาน เป็นแววตาของ ‘พี่อาคิรา’ คนเดิม...ที่พิรัลนลินคิดถึงเหลือเกิน ทุรพลน้อยยกมือสั่นเทาขึ้นทาบกรอบหน้างดงามแผ่วเบา พิรัลนลินยังหลับตานิ่ง สูดลมหายใจเข้าเต็มปอดเมื่อตัดสินใจได้ในที่สุด มือเรียวเกี่ยวผืนแพรคล้องไหล่ที่เจ้าตัวใช้ปกปิดร่างกายส่วนบนให้หลุดร่วงลงสู่พื้น ก่อนพยักหน้ารับแม้ความหวาดกลัวจะยังคงอยู่ หากสิงห์ตนนี้เป็นพี่อาคิราของพิรัลแล้ว พิรัลนลินก็ยินดี


แม้ร่างกายกระสันอยาก สัญชาตญาณดิบพร้อมจู่จ้วงทะลวงออกมา ด้วยกลิ่นกายหอมหวนลวงจิตให้พร่าเลื่อน หากร่างกายสั่นสะท้านของน้องทำเอาอกสิงห์หนุ่มสะท้อนสงสาร มือใหญ่ปัดเกลี่ยพวงแก้มนุ่มละมุนปลอบโยนไล้ขึ้นสูงดึงปิ่นบัวตูมสยายผมยาวสลวยลงปรกหมอน สอดปลายนิ้วสางเส้นไหมนุ่มมือจนสุดปลายด้วยความอ่อนโยน


ก่อนยกมือเล็กที่กำแน่นข้างลำตัวขึ้นมากดจูบละเลื่อยไล่จากปลายนิ้วไปจนถึงฝ่ามือ พร่ำเรียกชื่อน้องน้อยในลืมตาขึ้นสบมอง


“เจ้าพิรัล”


ตาสบตายิ่งพาให้ใจสั่น เรียวปากมักขึงตึงอยู่เป็นนิจคลี่ยิ้มอ่อนหวาน น้อมตัวลงกดจุมพิตลงบนหน้าผากมนนิ่งนาน พาให้ผู้รับสัมผัสเม้มปากแน่นเข้าหากัน เมื่อความขลาดเขินเข้ามาแทรกแซงรุกไล่ความหวาดกลัวมากขึ้นทุกที


จากหน้าผาก สู่ปลายจมูก เลาะลงสู่ข้างแก้มซ้ายขวา ไม่เว้นแม้แต่ปลายคาง ราวจงใจจักตีตราจองดวงหน้าหวานไว้เพียงตน ยิ่งจุมพิตดอมดมกลิ่นหอมอวลยิ่งทวีความรุนแรง จนผู้เคล้าคลึงเนื้อนวลสีกลีบบัวรู้สึกดั่งต้องมนต์สะกด


...ดอกบัวมีมนต์เช่นนี้เล่า เหล่าผึ้งภมรจึงชื่นชมดอมดมมิยอมห่าง

...แลบัวดอกนี้เห็นทีจักมีมนต์ร้ายแรงกว่าดอกใด ภมร เช่นอาคิราถึงรู้สึกมัวเมาได้มากมายเช่นนี้


จมูกโด่งติดกับกลิ่นหอมจากดอกบัวเข้าอย่างจัง ยิ่งดอมดมยิ่งรู้สึก...ไม่พอเพียง...ต้องการมากขึ้น และหวงแหนไว้เพียงผู้เดียว ริมฝีปากร้อนฝั่งลึกเล็มไล่ลงมาจนถึงลำคอ ล่องไหลไล่เรื่อยลงมาถึงแผ่นอกเปลือยเปล่า เคล้าคลึงหยอกล้อจนดอกบัวออกเสียงครางเครือ ยามลากปลายนิ้ว เข้าต้องแตะผิวสีระเรื่อแดงยิ่งแดงจัดจ้าราวต้องของร้อน มือหนาลงน้ำหนักฟอนเฟ้นเค้นคลึงผิวเนื้อนุ่มเนียนเหมาะเจาะทุกส่วนสัดพานให้รู้สึกร้อนวาบไปถึงทรวงอก อาคิรารั้งตัวขึ้นมาประกบจุมพิตลงบนกลีบปากนุ่ม ราชสีห์หนุ่มกดย้ำซ้ำๆ จนผู้รับมึนเมา นัยน์ตาส่วนปริ่มน้ำด้วยความกระสันอยากจากสัญชาตญาณภายในที่ถูกปลุกขึ้นมาเช่นกัน สิงห์หนุ่มเคล้าเคลียดวงหน้าหวานหลอกล่อเบี่ยงเบนน้องน้อยให้มัวเมาไปด้วยรสจูบ อาศัยความไม่ระวังตัวปลดปมผ้านุ่งผืนสวยให้หลุดร่วงเปิดทาง ก่อนแทรกเรียวนิ้วชำแรกเข้าสู่ภายใน ความอึดอัดแปลบแปลกจนผวาเฮือกสวมกอดผู้พี่ไม่ยอมปล่อย


ด้วยสรีระแห่งทุรพล เพียงไม่นานความเจ็บเสียดจึงจางหายเหลือไว้เพียงกำหนัดราคะ ร่างน้อยบิดเร่าด้วยอารมณ์พลุ่งพล่าน เหงื่อกายผุดพลาย เช่นเดียวกับช่องทางที่เริ่มฉ่ำเยิ้มเพื่อส่งสัญญาณแก่ผู้ที่เป็นคู่ของตน อาคิราประคองดวงหน้าหวานพลางกดจูบอีกครา ก่อนจู่จ้วงโหนกายชำแรกสู่กายแบบบางแนบกระชับเบียดบดจนไร้ช่องว่างระหว่างกัน ยามสิงห์หนุ่มควบขย่มดุนดันหยอกเย้า เจ้าบัวดอกงามก็ออกเสียงครางหวานแว่ว พร้อมด้วยมือเล็กฝังเล็บครูดข่วนไปตามแนวบ่าให้รู้สึกแสบเจ็บ เรือนกายใหญ่โตกว่าจับจูงร่างแบบบางขับเคลื่อนไหวโยนโยกบรรเลงสอดประสานอย่างร้อนแรงจนเหงื่อซึมไหลหยดหลอมรวมจนไม่อาจแยก ความรู้สึกเสียวซ่านหวามวาบแทบขาดใจ จวบจนท้ายบทเพลงร่างทั้งร่างคล้ายถูกฉุดลอยขึ้นสูงแล้วแตกกระจายคล้ายผืนน้ำซ่านเซ็น ช่องท้องแบบราบของทุรพลอุ่นร้อนเช่นเดียวกับร่างใหญ่โตของอาคิรากระตุกสั่น จบบทเพลงแห่งราคะและกามารมณ์ด้วยความรู้สึกสุขสมเมื่อได้ถูกเติมเต็ม ...ทว่าสำหรับมฤคินทร์ทั้งสอง สิ่งที่มากล้นยิ่งกว่าคือความรู้สึกเต็มตื้นจากการผูกสัมพันธ์ของกันและกัน...


สิงห์หนุ่มเป็นสุขจนแทบกระอัก เช่นเดียวกับความหวงห่วงร่างน้อยในวงแขนนั้นมีมากขึ้นเป็นลำดับ อาคิราจำต้องขบกรามกรอด เมื่อความต้องการส่วนลึกสั่งให้เขาฝังคมเขี้ยวลงบนลำคอขาวผ่องของพิรัลเสีย


...เพียงคราเดียว พิรัลจักเป็นของเขาตลอดกาล ทว่าในความเป็นจริงแล้วนั้น ไม่อาจทำได้ดั่งใจนึก


ท่าทีการฝืนข่มตนเองของร่างสูงใหญ่ที่โอบทับ ไม่อาจรอดพ้นดวงตากลมชื้นน้ำไปได้ เมื่อสบตากันอีกครั้ง มฤคินทร์ทั้งสองจึงทำเพียงโอบกอดกันและกันแนบแน่น ข่มตาหลับลงเพื่อบังคับตัวเองให้สนใจเพียงความสุขสมเบื้องหน้า...ยามนี้ยังเป็นสุข หากสุขนั้นผสมความขมเข้ามาเสียหลายส่วน




                    ยามรุ่งสาง อาคิรารู้สึกตัวด้วยถึงเวลาที่ตนรุกจากนิทราเป็นนิจ จนร่างกายจดจำแม่นยำเที่ยงตรง ข้างกายพิรัลนลินยังคงหลับพริ้ม มือหนาเอื้อมลูบกลุ่มผมสลวยแผ่วเบา...


เพราะจมอยู่ในความคิดแห่งตน สิงห์หนุ่มจึงไม่ได้สังเกตเลยว่าผู้ที่นิทราอยู่นั้นลืมตาตื่นขึ้นมาแล้ว สีหน้าที่ผู้พี่แสดงออกทำเอาคนน้องเจ็บแปลบ ลนลานพยุงตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว สองมือน้อยยกประนมขึ้นหว่างอกด้วยน้ำตานองหน้า


“ฮึก พี่อาคิรา ข้าขอสมาเถิดนะจ๊ะ”


“เจ้าพิรัล...อย่าร่ำไห้เลยหนา” แม้จักพูดทัดทานแต่พิรัลนลินดูเหมือนไม่ได้รับฟัง ร่างน้อยก้มลงกราบขออภัยผู้พี่แทบตัก จนอีกฝ่ายต้องรีบรองมือหนารับไว้แล้วกุมมั่น


“มิเป็นไรเลยเจ้าพิรัล หากเจ้าผิดพี่ก็ผิดที่มิคิดหักห้ามตัว”


“ข้ารู้ตัวว่าหน้ามิมียางอาย ฮึก แต่ข้าขอพี่อาคิราอย่าได้รังเกียจข้าเลยนะจ๊ะ ที่ข้าทำไป ฮึก มิได้ต้องการให้พี่ต้องมารับอุ้มชูตัวข้าแต่อย่างใด”


“เจ้าพิรัล พอเถิด พี่หาได้คิดรังเกียจเจ้าแม้เพียงน้อย หากพี่รังเกียจเจ้า พี่คงไม่แคล้วรังเกียจตัวเองด้วย” สองแขนแกร่งรวบร่างน้อยที่ยังคงสะอื้นไห้เข้ามาไว้ในอ้อมอก ตั้งแต่รู้จักกันมา อาคิราไม่เคยแม้สักครั้งที่จะเห็นเจ้าตัวดีร้องไห้มากมายถึงเพียงนี้...แค่คิดว่าพิรัลเสียใจ ด้วยเพราะไม่อยากให้ตนรังเกียจ ก้อนเนื้อในอกก็พลันเต้นกระหน่ำอย่างรุนแรงด้วยความเปรมปรีดิ์


“พี่อาคิรา ฮึก ข้ามิได้ต้องการให้พี่ต้องมารับผิดชอบข้า ฮึก เมื่อคืนขอให้ถือเป็นผลประโยชน์ของเราได้ฤๅไม่จ้ะ”


“เช่นนั้นเจ้าบอกพี่ได้ฤๅไม่เล่า ว่าเหตุว่าผลกลใดเจ้าจึ่งกระทำเยี่ยงนี้” แม้พอจะเดาได้ แต่อุตมางค์หนุ่มอยากได้ยินจากปาก เพื่อที่เขาจะได้จัดการกับความรู้สึกของตัวเองให้เป็นในแบบที่เจ้าตัวน้อยในอ้อมอกวาดหวังไว้


“ทุรพล เมื่อมีสัมพันธ์แล้ว แม้ไม่ผูกวิญญาณ ความรุนแรงเมื่อยามถึงฤดูจักเบาลงกว่ายามที่ยังบริสุทธิ์ กลิ่นกายนั้นหาได้แรงเท่า ข้าพอรู้มาว่าอุตมางค์นั้นมิต่างกัน แลข้าพบว่าพี่อาคิราเป็น...อุตมางค์ ข้าจึงนึกได้ว่าท่านคงต้องการซ่อนอาการของตนเช่นกัน แม้ข้าจักมินึกรู้เหตุผลของพี่ หากเราทั้งคู่ล้วนแต่ได้ประโยชน์ ข้าจึง...”


“มันน่านัก เจ้าตัวดี หากมิใช่พี่เล่า เจ้าจักทำเช่นไร” ...หากเป็นผู้อื่นที่มิใช่พี่ พี่จักรวดร้าวเพียงใดเจ้าพิรัล


“ข้า ข้ามิได้เจตนา ฮึก เพลานั้นด้วยความคิด แลด้วยช่วงฤดูของข้า ข้า ฮึก ข้าขอสมา”


“มิต้องขอสมาพี่แล้วพิรัล เจ้าว่ามานั้นจริงแท้เราทั้งคู่ล้วนได้ ที่เสียหายนั้นเป็นเจ้ามาเสียยิ่งกว่าพี่ มิต้องร่ำไห้แล้วหนา ดูซีตาบวมช้ำเสียแล้วเจ้า” เช็ดน้ำตาพลางโอบกอดร่างแบบบางเข้าสู่อ้อมอก มืออุ่นลูบแผ่นหลังแผ่วเบาให้น้องน้อยที่ยังสะเทือนใจและสับสนสงบลง


... ‘หากเจ้าเป็นดอกบัวงาม บัดนี้กลีบบางคงชอกช้ำเพราะน้ำมือพี่เสียแล้ว น่าขันนัก เมื่อเป็นผู้เด็ดเจ้ามาดอมดม ทว่ากลับมิใช่พี่ที่เป็นผู้ได้ครอบครอง’ อาคิราหน้าขื่นเมื่อต้องย้ำเตือนตนเองให้ตระหนัก เหตุใดอาคิราจะไม่ล่วงรู้ถึงเหตุผลที่น้องน้อยยอมพลีกายให้ตนเมื่อยามค่ำคืน ความกระสันที่จะแก้แค้นของพิรัลนั้นมีอยู่เต็มอก อาคิรารู้ดีกว่าผู้ใด


อาคิราประคองกอดน้องน้อยไว้จวบจนกระทั่งพิรัลนลินร้องไห้จนหมดสิ้นกับสิ่งที่เก็บกลั้น ความเข้มแข็งของความรู้สึกเริ่มกลับมาจนร่างกายสามารถหยัดยืนได้ดังเดิม อาคิราที่สำรวจตรวจตราร่างบอบบางอยู่ก่อนหน้าจึงลองถามอาการของอีกฝ่ายเพื่อความแน่ใจ


“เจ้าพอลุกไหวฤๅไม่พิรัล” พิรัลพยักหน้า ลองลุกขึ้นยืนตามที่ถูกถาม แม้จะรู้สึกเสียดขัดอยู่บ้าง


“จักไปที่ใดกันจ๊ะ”


“พี่จักพาเจ้าไปอาบน้ำ”


“มะ มิ มิต้อง มิต้องดอกจ้ะ มิต้อง ข้า ข้าอาบเองได้จ้ะ” พวงแก้มใสขึ้นสีแดงจัด มือไม้ยืนขึ้นบอกไปมาอย่างเงอะงะด้วยความเขินอาย


“มิได้ดอก รุกได้ หากเดินเองคงขัดมากนัก แล ฮึ่ม ในกายเจ้านั้น เจ้าทำได้รึ” ผู้ถามตะกุกตะกัก ด้านคนฟังนั้นก็อายจนหน้าแดงซ่าน


“พี่ขออภัยหนาเจ้าพิรัล” เมื่อต่างฝ่ายต่างยังกระดากอาย จนท่าทางงกเงิ่นเช่นนี้อาจรอนานจนตะวันฉาย อาคิราเกรงว่าคงไม่ดีนักเมื่อเพลานั้นสิงห์ตนอื่นในชุมจะเริ่มพลุกพล่าน สิงห์จึงตัดสินใจรวบช้อนร่างน้อยของพิรัลนลินขึ้น เพื่อมุ่งหน้าไปยังท่าน้ำไม่ให้เสียเวลานาน




เมื่อถึงท่าอาบน้ำก็ไม่รอช้า ร่างสูงใหญ่ก้าวย่างหย่อนกายลงสู่ผืนน้ำ ปล่อยร่างแน่งน้อยลงจากอ้อมแขน มือหนาวักน้ำขึ้นมาลูบตามผิวเนื้อนวลแผ่วเบา เมื่อพิรัลนลินดูจะยังคงยืนนิ่งงันคล้ายสติหลุดลอยไปแสนไกล


“พะ พี่อาคิรา หยุดเถิด ข้า ข้า อาย” เสียงพิรัลสั่นเครือ ดูคล้ายจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ


“ฮึๆ ได้เห็นเจ้าตัวดีแสนดื้อรั้นเยี่ยงเจ้า สะท้านอายได้เช่นนี้ นับว่าพี่มีบุญนัก เจ้าว่าจริงฤๅไม่” ’ เจ้าตัวดีแสนดื้อรั้น’ ไม่ยอมตอบ ทำเพียงเม้มปากแน่นจนเป็นเส้นตรง หัวคิ้วนั้นมุ่นขมวดให้ผู้หยอกนึกรู้ว่า น้องน้อยของตนเริ่มกลับมามีฤทธิ์มีเดชเช่นเดิมแล้ว


“อ๊ะ” ส่วนอาคิรานั้นหมายใจที่จะชมพวงแก้มแดงๆ นั้นอีกสักหน่อย มือเกร็งจึงรั้งร่างบอบบางเบื้องหน้าเข้าสู่อ้อมอก


“พี่จักชำระในกายให้เจ้าแล้วหนา หากขลาดเขินมากนักจงหลับตาเสีย” วงแขนซ้ายโอบตระกองรอบเอว ส่วนอีกข้างสอดเข้าใต้ผ้านุ่งผืนบางลูบไล้เนินเนื้อนุ่มแผ่วเบา ก่อนแทรกเรียวนิ้วเข้าสู่ด้านในช้าๆ เพื่อผลักดันของเหลวที่คั่งค้างในกายบางออกมา

…ดูเอาเถิด ผู้ที่บุกขึ้นไปเสนอตัวให้ตนเมื่อค่ำคืน บัดนี้กลับตัวสั่นเกร็งเสียจนน่าสงสาร


“เอาล่ะเรียบร้อยดีแล้ว ไหนของพี่พิศแก้มแดงๆ ของเจ้าตัวดีที” สองมือใหญ่จับยึดไหล่มนทั้งสองข้างเพื่อดันตัวเล็กออกมาเพื่อดูใบหน้าจอมเขินอายให้เต็มตา


“พะ พี่อาคิรา อย่าได้กลั่นแกล้งข้าอีกเลย”


“เช่นนั้น เรากลับกันเถิด หากช้านานกว่านี้ สิงห์ตนอื่นตื่นขึ้นมาจักขวักไขว่มากความ”


“ช้า ช้าก่อน มิใช่ว่าข้ากลับเข้าเรือนข้าฤๅ” เมื่ออาคิราทำท่าจับจูงตนกลับไปยังเรือนลับ หลังจากทั้งคู่ผลัดเปลี่ยนผ้านุ่งใหม่เรียบร้อย ทุรพลน้อยถึงกับหน้าตื่น กระตุกรั้นแขนจากการก่อกุมด้วยไม่เข้าใจ


“หึหึ เจ้าไร้เดียงสา”


“หากเจ้ายังมิรู้ตัวหนา อุตมางค์นั้นยามเข้าฤดูมีคู่เคียงกาย แม้นยังมิสร้างพันธะวิญญาณ มันก็ยังคงหวงคู่มากนัก เจ้ามิอาจแยกจาก จนกว่าจักสิ้นสุดช่วงเข้าฤดูของเรา” นิ้วชี้ยาวเกี่ยวปอยผมยาวของ’ คู่’ ขึ้นไปทัดข้างใบหู พาให้แสงอรุโณทัยที่รอดบานบังไม้เข้ามา จับส่องดวงหน้ามนพาให้พวงแก้มอิ่มแดงก่ำราวผลไม้สุกแดง หากเมื่อราตรีที่พ้นผ่านอาคิราเป็นภมรหนุ่มหลงดอกบัวงาม ยาวอรุณฉายเช่นเพลานี้อาคิราคงแปลงเปลี่ยนเป็นตัวกระแต หลงใหลในพวงผลสีระเรื่อ


“หน้าผากนี้เป็นของพี่ แก้มแดงทั้งสองข้างนี้เช่นกัน แลปากช่างเจรจานี้ย่อมมิละเว้น พิรัลนลินเป็นของพี่” ว่าจบร่างสูงใหญ่ก็โน้มเข้าใกล้ แตะแต้มจูบลงไปบนใบหน้าหวานราวกับจารึกตัวตนลงมาดั่งปากว่า ก่อนจะจบลงด้วยการกดจมูกสูดรับกลิ่นหอมละรวยของผลไม้นาม พิรัลนลิน เข้าจนเต็มปอด


“แลอีกประการ สิงห์นั้นเมื่อเข้าฤดูแล้ว มิเร็วไปกว่าเจ็ดวันเก้าวันดอก เจ้าพิรัล” พิรัลตาโต อ้าปากค้าง ให้สัตย์สาบานว่า ตนเห็นรอยยิ้มร้ายกาจจากอาคิรา พี่ผู้แสนดีของตนเต็มตาจนขนลุกเกรียวไปทั้งตัว

...ขอแค่ในยามนี้หนาเจ้าพิรัล ขอแค่ยามช่วงเข้าฤดูนี้ ให้พี่ได้เห็นแก่ตัวครอบครองเจ้า...พิรัลของพี่






++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

สิงหา...ถึงนักอ่าน

เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับตอนนี้
รู้แล้วนะคะว่าพระเอกของเราคือใคร (จริงๆแล้วไม่ได้ตั้งใจทำให้ไขว้เขวเลยนะคะ)
ส่วนบทอัศจรรย์เราอยากให้มีความรุ่มรวยไม่เปิดเผยมากนัก
...พอได้มาเขียนเองแล้วรู้สึกยากมากเลยค่ะ
ไม่รู้ว่าจะถูกใจกันไหม รออ่านความคิดเห็นจากทุก ๆ คนอยู่นะคะ



สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณทุกๆ คอมเมนต์นะคะ
หากมีคำผิด หรือจุดที่อยากแนะนำ นักอ่านสะกิดเตือนได้เลยค่ะ
ผู้เขียนน้อมรับฟังนักอ่านทุกท่าน ด้วยความขอบคุณ

พบกันใหม่ใน คืนวันเสาร์หน้า นะคะ









ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
พี่อาคิราต้องทำใจน้องมันคนซื่ิอ555

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ตงิดๆพี่อาคิรานิดหน่อยแต่ไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้ เดาทางไม่ถูกเลยค่ะ คิดมาตลอดว่าพระเอกจะยังไม่ออก อาจจะเป็นตัวละครลับร้ายๆที่ต้องให้น้องไปปราบ ที่ไหนได้ อยู่ข้างตัว 5555555555 เขียนดีมากเลยค่ะ ภาษาสวยมาก ประทับใจมากเลย หานิยายแบบนี้อ่านยากมาก นานๆจะเจอของดี และคุณคือหนึ่งในนั้นค่ะ ขอบคุณมากนะคะ รอตอนต่อไปและจะติดตามผลงานต่อไปเรื่อยๆค่ะ  :L2:

ออฟไลน์ Januarysky

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 507
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
ตงิดๆพี่อาคิรานิดหน่อยแต่ไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้ เดาทางไม่ถูกเลยค่ะ คิดมาตลอดว่าพระเอกจะยังไม่ออก อาจจะเป็นตัวละครลับร้ายๆที่ต้องให้น้องไปปราบ ที่ไหนได้ อยู่ข้างตัว 5555555555 เขียนดีมากเลยค่ะ ภาษาสวยมาก ประทับใจมากเลย หานิยายแบบนี้อ่านยากมาก นานๆจะเจอของดี และคุณคือหนึ่งในนั้นค่ะ ขอบคุณมากนะคะ รอตอนต่อไปและจะติดตามผลงานต่อไปเรื่อยๆค่ะ  :L2:

คิดแบบเดียวกันเด๊ะ
เดาๆ ไว้ว่าพระเอกน่าจะเป็นตัวร้ายตัวพ่อ ที่น้องต้องไปลำบากลำบน ตบจูบ ต่อสู้เพื่อเอาชนะหัวใจพญามารไรงี้
ประโยคทิ้งท้ายตอนเมื่อกี้ยังว่า เอาล่ะเหวย จะได้มาเจอกันล่ะ
พอตอนนี้เฉลยเป็นพี่อาคิรา...เค้าเงิบเบย
ติดตามๆๆ

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
ตงิดๆพี่อาคิรานิดหน่อยแต่ไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้ เดาทางไม่ถูกเลยค่ะ คิดมาตลอดว่าพระเอกจะยังไม่ออก อาจจะเป็นตัวละครลับร้ายๆที่ต้องให้น้องไปปราบ ที่ไหนได้ อยู่ข้างตัว 5555555555 เขียนดีมากเลยค่ะ ภาษาสวยมาก ประทับใจมากเลย หานิยายแบบนี้อ่านยากมาก นานๆจะเจอของดี และคุณคือหนึ่งในนั้นค่ะ ขอบคุณมากนะคะ รอตอนต่อไปและจะติดตามผลงานต่อไปเรื่อยๆค่ะ  :L2:

คิดแบบเดียวกันเด๊ะ
เดาๆ ไว้ว่าพระเอกน่าจะเป็นตัวร้ายตัวพ่อ ที่น้องต้องไปลำบากลำบน ตบจูบ ต่อสู้เพื่อเอาชนะหัวใจพญามารไรงี้
ประโยคทิ้งท้ายตอนเมื่อกี้ยังว่า เอาล่ะเหวย จะได้มาเจอกันล่ะ
พอตอนนี้เฉลยเป็นพี่อาคิรา...เค้าเงิบเบย
ติดตามๆๆ

คิดเหมือนกันเลย5555

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12

ออฟไลน์ สิงหา

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 121
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
บทที่ ๑๐

ตัวตนที่แท้จริง







“เจ้าพิรัล หากพี่ขอผูกพันธนาการเจ้าด้วยคำรัก เจ้าจักยินยอม ฤๅพานให้เจ้าอึดอัดใจกันหนา เจ้าตัวยุ่ง”
เสียงกระซิบดังแว่วเข้าหู ไม่ได้ทำให้ผู้ที่เหนื่อยอ่อนฟื้นคืนจากนิทรารมณ์ เสียงทุ้มแผ่วข้างหูกลับยิ่งทำให้ยิ่งดำดิ่งลึกอย่างเป็นสุข...


พิรัลนลินยังคงหลับใหลด้วยความล้าจนเลยเวลาตื่นของตนในยามปกติไปหลายชั่วยาม นานจนกระทั่งแสงแดดอ่อนส่องกระทบตกต้องลงบนผิวกายและเสียงเอะอะจากด้านนอก จึงสามารถทำให้สัมพันธ์น้อยหลุดออกมาจากนิทรา


“พี่อาคิรา...ฝันไปหรอกรึ”


“ไอ้ อาคิรา ไอ้ระยำ! ” พิรัลนลินที่เพิ่งลืมตาตื่นสะดุ้งกับเสียงคำรามลั่น และจะไม่ฝืนตัวเองออกวิ่งทุลักทุเลออกมาด้านนอกเลย หากผู้ที่เกี่ยวพัดรัดรึงจวบจนฟ้าสางไม่อยู่ข้างกาย ซ้ำยังถูกเรียกขานด้วยน้ำเสียงโกรธาเช่นนี้


สองขาพาร่างวิ่งไปยังต้นเสียง แม้ร่างกายในยามนี้ไม่มีแรงกำลังมากนัก ทว่าใจที่ห่วงใยจนเต็มล้น ไม่อาจทำให้พิรัลนลินนิ่งเฉยอยู่ได้


“หยุด ท่านกัญจน์ ได้โปรดเถิดจ้ะ เหตุใดจึงต้องทำร้ายกันถึงเพียงนี้” กลับภาพเบื้องหน้าคือ กัญจน์ราชสีห์กำลังขึ้นคร่อมสาวหมัดหนัก ลงบนร่างไกรสรราชสีห์หนุ่มที่ไม่แม้จะยกมือขึ้นปัดป้อง อยากจะเข้าไปช่วย แต่ถูกศศินที่เห็นเข้ารั้งไว้ไม่ปล่อย สิงห์น้อยจึงทำได้เพียงส่งเสียงร้องห้าม


ฉึบ!


ทันใดนั้นหอกไม้ก็พุ่งแหวกอากาศเฉียดใบหน้าของสองสิงห์หนุ่มที่กำลังโรมรันพันตูให้ผละตัวแยกจากกันได้สำเร็จ


“มีเรื่องอันใดกัน ถึงกับลงไม้ลงมือกัดกันเองเช่นนี้” เสียงทรงอำนาจของธีมารวีตวาดก้อง นางสิงห์สาวยืนจังก้าพร้อมหอกไม้ ที่นางถอนออกมาจากเสาล้อมลานฝึกยังอยู่ในมืออีกข้าง พร้อมที่จะพุ่งใส่อีกครา หากทั้งราชสีห์ทั้งสองยังไม่ยอมสงบลง ตามติดมาด้วยนิลปารัชญ์ และ เขมอารัณย์


“ไอ้สารเลว อาคิรา มันปิดบังตัวตน ซ้ำยังใช้การนี้ข่มเหงเจ้าพิรัล! ” ราชสีห์กัญจน์แม้ถูกแยก ยังไม่วายผลักอกร่างสูงใหญ่ของคู่อริ กล่าวเบิกความด้วยน้ำเสียงเจ็บแค้น มือหนากำแน่นระบายลมหายใจทิ้งเมื่อความเดือดดาลคับอก ไม่อาจจางหายไปได้โดยง่าย


“ทะ ท่านได้ยิน” ศศินเอ่ยเสียงแผ่ว มือที่จับร่างของพิรัลนลินไว้ยิ่งออกแรงกระชับ


“ข้าจักขึ้นไปตามท่านรวีพอดี มิเช่นนั้นคงหารู้ไม่ว่าไอ้สิงห์ระยำตนนี้มันกระทำสิ่งใดต่อเจ้าพิรัล”


“มิใช่จ้ะ! พี่อาคิรามิได้ข่มเหงข้า แต่เป็นข้าเอง เป็นข้าเองที่เสนอตัว ยั่ว...” พิรัลนลินรู้ชาไปทั้งตัว เหนือสิ่งอื่นใด ทุรพลน้อยไม่อาจยินยอมให้ผู้ใดมากล่าวหาว่าร้ายอาคิราได้ ในเมื่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพราะตนเองทั้งสิ้น


“เงียบปากเสียพิรัล” อาคิราเสียงดังข่ม ระงับการพูดของพิรัลนลินไว้โดยเร็ว


“เจ้าพิรัล ไยปกป้องมันเล่า” กัญจน์สีหะไม่ยอมแพ้ เพลานี้สิงห์หนุ่มทั้งเจ็บใจ และเสียใจคล้ายดวงใจถูกมีดกรีดเป็นแผลช้ำ ทุรพลน้อยตนนี้เขาคิดปักใจด้วยตั้งแต่พานพบเพียงคราแรก กลับโดนพรากไปหน้าตาเฉย โดยสิงห์ที่ตนไม่คิดระแวดระวัง อดีตสามัญสิงห์หนุ่มผู้นิ่งแข็งดั่งผาหินตนนั้น


“พี่อาคิราหาได้มีความผิด หากจักหาผู้ผิด นั้นเป็นข้าเองที่ไร้ยางอาย”


“เจ้าพิรัล พี่บอกให้เจ้าเงียบปาก ท่านศศินข้าวานพาเจ้าพิรัลไปเสียเถิด ส่วนท่านกัญจน์มีสิ่งใดจักพูดจักบอกกัน จงไปพูดกันบนเรือน”


“สงบใจก่อนท่านกัญจน์ อย่าได้ให้ความใจร้อนมุทะลุมาทำลายพวกเดียวกันเอง เชิญบนเรือนเถิด” ธีมารวีรีบสำทับคำของอาคิรา เมื่อรอบกายพวกเขา เริ่มสิงห์ตนอื่นในค่ายเริ่มออกมามุงดูไกลๆ


“เจ้าพิรัลมากับพี่เถิด”


“ข้า” พิรัลไม่รอช้าเตรียมเอ่ยปากช่วยแก้ต่าง ยิ่งเห็นบาดแผลบนใบหน้าของอาคิราความรู้สึกผิดตีตื้นขึ้นมาจนเต็มหัวใจ


“เจ้ามิต้องเอ่ยสิ่งใดอีกพิรัล”


“แต่ว่า...”


“ข้าเห็นตามอาคิรา ยิ่งพูดไปมีแต่จักยิ่งเสื่อมเสีย หากเจ้าทั้งคู่เต็มใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย ก็มิต้องว่าสิ่งใดกันอีก”


“แลท่านกัญจน์ ข้าเห็นว่าท่านนั้นมุทะลุจนเกินไป หากก็ด้วยความประสงค์อันดี ขอให้เลิกแล้วต่อกันเสีย ได้ฤๅไม่เล่า”


“ถ้าเจ้าพิรัลยืนยันดังนี้ ข้าจักมิติดใจ แลต้องขอสมาท่านด้วยอาคิรา” กัญจน์สายตาเจ็บร้าว ใครต่างรู้ว่าเขามีใจให้แก่ทุรพลน้อยอย่างชัดแจ้ง


“เจ้าพิรัลมากับพี่” เมื่อเรื่องราวบาดหมางคล้ายจะเบาบางลง รวมทั้งสายตาคาดคั้นจากอาคิราที่ส่งมา ทำให้ทุรพลน้อยยอมผ่อนตัว เดินตามการจับจูงของศศินไปแต่โดยดี




                    เมื่อศศินพาพิรัลนลินแยกตัวออกไป เหล่าอุตมางค์ทั้งสี่ตนกับอีกหนึ่งคนธรรพ์ ก็พากันขึ้นเรือนเพื่อเจรจาปรับความเข้าใจกันให้กระจ่าง ด้วยการศึกที่จ่อรออยู่นั้นต้องอาศัยความเชื่อใจและความสมัครสมานสามัคคี ธีมารวีไม่อาจวางใจได้หากราชสีห์ภายในกลุ่มจะยังมีความแคลงใจต่อกันแม้เพียงน้อยนิด


“เชิญทุกท่าน” เจ้าของเรือนผายมือเป็นการเชิญให้ผู้ร่วมรบทุกตนนั่งบนเรือนกลาง สำหรับใช้ในการประชุมเช่นทุกคราที่ผ่านมา เมื่อเห็นว่าทุกตนนั่งกันพร้อมหน้าแล้วนางสิงห์จึงหันไปถามความสมัครใจกับราชสีห์ผู้น้องของตนก่อน


“เรื่องความลับของอาคิรานั้น เจ้าจักบอกเองฤๅไม่”


“ได้” อาคิราพยักหน้ารับ


“ก่อนอื่นใด ข้าจำต้องขอสมาทุกท่าน ที่บังอาจปิดบังซ่อนเร้นตัวตน ทว่าข้ากระทำด้วยความจำเป็นหาได้ต้องการหมิ่นเกียรติพวกท่านแต่อย่างใด ขอพวกท่านโปรดอภัย” น้ำเสียงทุ้มกล่าวราบเรียบ ไกรสรสิงห์หนุ่มกวาดสายตาคมกล้าแห่งวรรณะอุตมางค์ ที่มักเก็บซ่อนไว้ด้วยการไม่ยอมสบตาผู้ใดโดยตรงมาตลอด ไปยังผู้ร่วมรบทุกตน ไหล่หลังที่เคยตรงสง่าครานี้กลับยิ่งดูผึ่งผาย จนผู้เฝ้ามองใจสะดุดเมื่อรับรู้ได้ว่า อุตมางค์ตนนี้เก็บซ่อนตัวตนไว้มากมายเพียงใด


“ราชสีห์พันแสงนั้น นอกจากมีสัมพันธ์เป็นน้าของท่านธีมารวี แท้แล้วยังเป็นลุงของข้าเช่นกัน เดิมทีชุมแห่งพันแสงนั้นเป็นของท่านพ่อข้า ‘ราชสีห์พรมัน’ ด้วยเล่ห์เลวทรามของพันแสง ทำให้พ่อข้าถูกยึดอำนาจ ข้าโชคดีที่พ่อของท่านรวีช่วยพาข้าออกมาได้ แลนำข้าไปฝากชีวิตไว้กับท่านอาจารย์อัตรคุปต์ เพื่อมิให้พันแสงรู้ว่าข้ามีชีวิตอยู่ ข้าจำต้องปลอมตัวเป็นสามัญสิงห์ รอวันกอบกู้สิทธิอันชอบธรรมกลับคืน”


“พออาคิราเติบโตจนเข้ารุ่นกระทง ข้าจึงพาเขามาฝึกวิชา แลซ่องสุมกำลังพลไว้ที่นี่ ประจวบกับมีเหตุฉุดคร่าทุรพล พวกเราจึงได้ทีรวบรวมกำลังพลให้มากขึ้น เท่ากับจัดการคราเดียว ได้ประโยชน์สองต่อ” ธีมารวีช่วยเสริม


“เช่นนั้นเหตุใดพันแสง จึงยังต้องกระทำต่ำทรามด้วยการฉุดคร่าทุรพลเพื่อสร้างกองทัพอุตมางค์ขึ้นมาอีกเล่า ในเมื่อทุกสิ่งล้วนแต่อยู่ในกำมือแล้วเช่นนี้” กัญจน์ราชสีห์ยังคงไม่เข้าใจเหตุผลของราชสีห์ตนนั้นแม้แต่น้อย


“เป็นเพราะพันแสงเกรงกลัวคำทำนาย ยามเมื่ออาคิราถือกำเนิด ท่านพรมันได้ส่งสารเทียบเชิญไปยังชุมกาฬสีหะของข้า เพื่อมาร่วมทายทักอนาคตของบุตรชาย ยามนั้นแม้จักเป็นการให้คำทำนายเป็นส่วนตัว ข้าเกรงว่า เรื่องคงรู้ไปถึงหูของพันแสงเป็นแน่...” ท่ามกลางความเงียบงันด้วยทุกตนต่างจนหนทางที่จะหาคำตอบ ราชสีห์นิลปารัชญ์ที่เอ่ยขึ้น


“คำทำนายรึ” ราชสีห์ทุกตนไม่เว้นแม้แต่ต้นเรื่องอย่างอาคิรา และ ธีมารวี ล้วนหันมองกาฬสีหะหนุ่มด้วยความพิศวง


“สุริยาดวงใหม่จักแผดเผา ดับดวงเก่าชำระผู้ทรยศหมดสิ้น...แม้ผู้ทำนายมิได้เอ่ยนาม ข้าคิดว่าพันแสงเพลานั้นย่อมรู้ดีว่าผู้ทำนายหมายถึงตนเอง เช่นนั้นแล้วแม้นพันแสงจักได้ครอบครองชุมของท่านพรมัน แลพันแสงคิดว่าท่านอาคิราสิ้นชีพไปแล้ว ทว่าคำทำนายของกาฬสีหะมิเคยผิดพลาด การครอบครองนั้นจึงเต็มไปด้วยความหวาดระแวงยิ่ง”


“นี่ท่าน มิใช่ว่าท่าน” เขมอารัณย์อ้าปากค้าง ชี้มือชี้มือใส่ จนกาฬสีหะถอนหายใจเหนื่อยเอือมขยายความ


“ผู้ทำนายหาใช่ข้าไม่ ข้าเพียงจำต้องบันทึกคำทำนายตาม ’กฎแห่งกาฬสีหะ‘ ในเพลานั้น”


“ท่านนิลปารัชญ์ ข้าขอเสียมารยาทเถิด ท่านอายุเท่าใดกัน” กัญจน์ราชสีห์ที่คิดว่า นิลปารัชญ์อายุอานามไม่มากน้อยกว่าตนนักยอมทิ้งมารยาทเอ่ยถามให้หายคาใจ...สิงห์หนุ่มสังเกตมาหลายครา ยามเคารพไหว้ท่านอัตรคุปต์ ราชสีห์ทั้งคู่ประณตไหว้เพียงระดับปากเท่าเทียมกันเสมอ!


“ความข้อนี้หากบอกกล่าวออกไปเกรงว่าจักพานให้ปฏิบัติตนต่อกันได้อยากลำบากนัก คิดเสียว่าข้าเป็นสหายผู้หนึ่งเถิด” นิลปารัชญ์ยิ้มบางเลี่ยงตอบ หากผู้ถามนั้นเชื่อเสียจนเต็มหัวใจว่าเขาสามารถเรียก กาฬสีหะตนนี้ว่า ’ผู้อาวุโส‘ ได้เป็นแน่


“ด้วยสัตย์แห่งมฤเคนทร์ เดิมทีข้าต้องการปิดบังตนเองจนกว่าพวกเราจักเตรียมพร้อม เพื่อมิให้พันแสงไหวตัวทันใช้เล่ห์ร้ายดั่งเก่าก่อน ด้วยสิงห์ผู้นั้นคิดว่าข้าวายวอดไปพร้อมกับท่านแม่ คิดไว้เพียงเมื่อจัดเตรียมทัพแล้วเสร็จ จักเผยความจริงแก่พวกท่านด้วยตนเอง”


“มิต้องดอก ตามท่านรวีว่า แม้มิช่วยท่านพวกข้าก็ต้องบุกเข้าช่วยคนของข้าอยู่ดี เช่นนี้แล้วเราร่วมกันย่อมดีกว่า” กัญจน์ราชสีห์เอ่ยออกมาในที่สุดหลังจากเงียบไปนานจนผิดวิสัย อุตมางค์หนุ่มกดเก็บความเสียใจของตนไว้ในอกแม้จะชื่นชอบพิรัลนลินมาก ทว่าเหตุการณ์ที่เผชิญในฐานะหัวหน้าชุมย่อมสำคัญกว่าความรู้สึกส่วนตน


“เพลานี้พวกมันยังนิ่งนัก ข้าหวังว่าพวกมันจักยังมิเคลื่อนไหวอันใด จนกว่าท่านแลพิรัลจักหมดฤดู มิเช่นนั้นแผนการของพวกเราคงต้องล่าช้าลงไป” เขมอารัณย์กล่าวอย่างหวั่นใจ แม้เป็นคนธรรพ์เจ้าสำราญ ทว่าเรื่องคอขาดบาดตายอันมีหลายชีวิตเป็นเดิมพันเช่นนี้ เขมอารัณย์ไม่อาจทำทีเป็นเล่นได้


“อีกมิกี่เพลานักดอก พวกท่านจงตระเตรียมตัวให้พร้อมเถิด” นิลปารัชญ์เงยหน้าขึ้นมองฟากฟ้าดวงตาเรืองประกายแวววาว กล่าวด้วยเสียงราบเรียบ พาให้เหล่าสิงห์ทั้งหลายกลับรู้สึกราวถูกกระตุ้นจนร่างกายตื่นตัว





“เจ้าพิรัลบอกพี่ตามตรงเถิด เจ้าเต็มใจฤๅไม่” ศศินถามด้วยความเป็นห่วง ทุรพลผู้พี่ไม่อาจแน่ใจได้เลยว่าพี่พิรัลกล่าวปกป้องอุตมางค์หนุ่มเมื่อครู่นี้เป็นจริงมากน้อยเพียงใด ในเมื่อที่เขาได้คลุกคลีทุรพลตนนี้มา เห็นได้ว่าเจ้าตัวนั้นเคารพเทิดทูนศิษย์ผู้พี่ของตนเป็นอย่างมาก ส่วนอาคิรานั้นแสนเย็นชาและไว้ตัว จนศศินนึกภาพไม่ออกเช่นกันว่าผู้มีกำแพงสูงลิบลิ่วตรงทื่อเช่นนั้นจักมีสัมพันธ์รวดเร็วเช่นนี้


“มิได้จ้ะ ข้าสาบาน เป็นข้าที่เข้าหาพี่อาคิรา ตามที่ข้ากล่าวกับท่านกัญจน์ข้ามิได้โป้ปดจ้ะ”


“เหตุใดเจ้าถึงได้ยอมเสียสละตัวถึงเพียงนี้เล่าพิรัล ความแค้นเคืองของเจ้ารุนแรงถึงเพียงนี้เทียว”


“พี่ศศินจ๊ะ ข้าหาได้เสียสละดั่งพี่คิดดอกจ้ะ แม้ข้าอยากเป็นกำลังให้พวกพี่ แลต้องการแก้แค้นเพียงใด หากคืนนั้นอุตมางค์ตนนั้นหาใช่พี่อาคิรา ข้ามิมีวันยอมแลกตัวเองเช่นนี้เป็นอันขาด”


“เจ้าพิรัล เจ้ารัก...ฤๅ” ศศินเอ่ยเสียงขาดห้วง


“ข้าถึงได้บอกอย่างไรเล่าจ๊ะ ว่าข้านั้นไร้ยางอาย เป็นเพียงทุรพลไร้ยางอายตนหนึ่งเท่านั้น” นัยน์ตากลมทอแววเศร้า แม้ไม่มีหยาดน้ำตาไหลริน ศศินก็รู้สึกได้ว่าภายในน้องน้อยของเขาชอกช้ำเพียงใด


“อาคิราแม้จักทื่อมะลื่อไปบ้าง พี่ว่ามิได้ใจร้าย หากเจ้ากล่าวความในใจออกไป...” ศศินเชื่อว่าอุตมางค์ตนนั้น หาได้รังเกียจทุรพลน้อยตนนี้แม้แต่น้อย เพราะเท่าที่ผ่านมาพิรัลนั้นคือผู้ที่ก้าวข้ามกำแพงของอาคิราได้มากที่สุด คล้ายกับผู้ที่ได้รับการยกเว้นจากอาคิรา...มิแน่ว่ามฤคินทร์ทั้งสองนั้นอาจมีหัวใจที่ตรงกัน ศศินไม่อยากเห็นผู้ใดต้องเจ็บปวด โดยเฉพาะทุรพลด้วยกัน ที่แค่ใช้ชีวิตอยู่นั้นก็ช่างยากลำบากหัวใจมากแล้วยิ่งมีความรักที่ต้องเก็บซ่อนหนาวเหน็บเช่นนี้อีก...ต้องทนทุกข์ทรมานเพียงใดหนอ


“พี่อาคิราจิตใจดี ข้าเชื่อว่าหากข้าต้องการ พี่อาคิราย่อมรับข้าเป็นคู่แน่แท้ ทว่าใจข้าจักมีความสุขได้ฤๅจ๊ะ ในเมื่อข้าได้พี่อาคิราเพียงเพราะความไร้ยางอายแลใช้ความดีของพี่อาคิราเป็นเครื่องมือเช่นนี้”


“แม้ว่าเจ้าจักต้องไร้คู่ไปตลอดชีวิตฤๅ” ความห่วงที่มีทำให้ทุรพลผู้พี่ต้องกล่าวออกไป อุตมางค์นั้นแม้มีสัมพันธ์กับนางและนายสิงห์มากมายย่อมไม่มีผู้ใดนึกติดใจ กลับกันเมื่อเป็นทุรพลแล้ว...มีอุตมางค์สักกี่ตนที่ยอมรับทุรพลมีตำหนิ


แม้ศศินเองเคยตั้งปณิธานอยู่ครองพรหมจรรย์จวบจนสิ้นอายุขัยก่อนเขาได้พบเจอกับธีมารวี เช่นนั้นศศินจะถูกจัดวางไว้เป็นสิงห์ผู้บริสุทธิ์ไร้มลทิน ต่างจากทุรพลที่ผ่านการจับคู่โดยไร้การสร้างพันธะอย่างสิ้นเชิง ทุรพลเหล่านั้นแม้แต่ทุรพลด้วยกันเองย่อมไม่อาจมองอย่างให้ค่าให้เกียรติ คล้ายกับเป็นเพียงสิ่งของที่ถูกทิ้งขว้าง โชคชะตาในอนาคตมืดมนเกินกว่าที่ศศินจะปล่อยวางไม่เป็นห่วงเป็นใยไปได้


“สุดท้ายเมื่อจบเรื่อง ข้าคงกลับไปช่วยงานท่านอาจารย์ที่คูหาสรรพยาอยู่ภายในเรือนยา มิได้พบเจอผู้ใดมากนักดอกจ้ะ” รอยยิ้มฝืดเฝื่อนที่ส่งมา ทำผู้มองใจสะท้านภาวนาขอให้ใจรักของทั้งคู่นั้นตรงกัน ทุรพลน้อยตนนี้พบพานเรื่องราวร้ายมามากมายเหลือเกินแล้ว ขอโชคชะตาอย่าได้ทำร้ายติณสิงห์ร่างบอบบางตนนี้อีกเลย


“เจ้าพิรัล เจ้า...” หลังจากพูดคุยสะสางกับเหล่าราชสีห์เรียบร้อย ธีมารวีจึงรีบลงมาหาทุรพลทั้งสองด้านล่าง เดิมนางสิงห์คิดไปว่าพิรัลนลินคงร่ำไห้ แม้อาคิราไม่ยอมปริปากเรื่องราวที่เกิดขึ้น ทว่านางเองพอนึกเดาได้ว่าทั้งคู่ไม่ได้สมัครใจเข้าคู่กันตั้งแต่ต้น ทำให้เป็นห่วงทุรพลน้อยขึ้นมาครามครัน ผู้ใดจะนึกว่านอกจากไม่เสียน้ำตา เจ้าสิงห์น้อยยังหันมาส่งยิ้มให้นางเสียได้...แม้ว่าจะเป็นรอยยิ้มที่ไม่ส่งไปถึงดวงตาก็ตาม


“ข้าหาได้เป็นอันใดจ้ะ ขอบพระคุณท่านรวีที่เป็นห่วง แล้วพี่อาคิราเล่าจ๊ะ”


“ลงเรือนมาก่อนข้าหนา เอ...ยืนอยู่นั่นปะไร” ธีมารวีหันซ้ายแลขวาเพียงครู่ ก่อนยกนิ้วชี้ไปยังทางเดินข้างลานฝึก


“เช่นนั้นข้าลานะจ๊ะ” พิรัลนลินรีบขอตัวจากสิงห์ทั้งสองตน เพลานี้ภายในใจของสิงห์น้อยเต็มไปด้วยคำถามต่ออาคิรามากมายนัก




                    หลังจากทั้งคู่กลับเข้าสู่เรือนลับของอาคิรา เจ้าพิรัลนลินไม่รอช้าเอ่ยปากถามผู้พี่ด้วยความร้อนใจ


“พี่อาคิราไยถึงเป็นเช่นนี้เล่าจ๊ะ”


“เจ้าแลพี่พากันหายหน้าไปหลายวัน เกรงจักทำให้สิงห์ตนอื่นเป็นห่วงแลวุ่นวาย พี่จึงต้องขึ้นมาบอกกล่าวแก่พี่รวีไว้”


“มิใช่จ้ะ ข้าหมายถึง พี่ออกรับแทนข้า ทั้งที่ความจริงแล้ว...” มือเล็กกำผ้านุ่งของตนจนแน่น พิรัลไม่ต้องการแม้สักนิดที่จะให้อาคิราออกหน้ารับแทน หรือรับผิดชอบตน เพียงที่เป็นอยู่นี้ พิรัลนลินก็รู้สึกผิดต่อศิษย์ผู้พี่ตนนี้ของตนจะแย่อยู่แล้ว


... ‘ได้โปรดอย่าดีต่อข้าเช่นนี้เลย อย่าให้ข้ายิ่งรู้สึกเกลียดตัวเองไปมากกว่านี้เลยนะจ๊ะ ‘


“พิรัลพี่จักมิยอมให้เจ้าต้องถูกใครนำไปว่าร้าย แลทุรพลนั้นเสื่อมเสียมากกว่าอุตมางค์ เจ้าเข้าใจข้อนี้ดีฤๅไม่เล่า อีกทั้งความจริงแล้วทั้งพี่แลเจ้า ต่างมิได้มีผู้ใดบังคับข่มเหงกัน” มือใหญ่จับไหล่เล็กทั้งสองของน้องน้อยไว้มั่น เพื่อให้เจ้าทุรพลจอมดื้อได้สบตามองหน้าแล้วเห็นถึงความเต็มใจของเขาบ้าง


“แต่ว่าข้าเป็นผู้เริ่ม แล้ว...” เมื่อยังเถียงไม่ลดละ อาคิราจึงจำเป็นที่จะต้องพูดตามตรง แม้มันอาจจะทำให้เจ้าตัวน้อยของเขาอับอาย


“แล้วพี่เป็นผู้สนอง แต่ภายหลังพี่นั้นเอาเปรียบเจ้าก่อนทุกที พี่กล่าวเท็จฤๅ”


“เอ๊ะ” พิรัลนลินที่ไม่ได้คาดคิดว่าผู้พี่จักสามารถกล่าวประโยคเช่นนี้ออกมาได้ ตกใจจนแทบหาเสียงตัวเองไม่เจอ ทุรพลน้อยทั้งฉิวทั้งเขินจนทำได้เพียงเม้มปากแน่น


“เจ้าพิรัล... พี่เจ็บนัก เจ้าจักมีน้ำใจ ช่วยทายาให้พี่ได้ฤๅไม่” เมื่อเห็นพิรัลหาทางออกไม่ได้ อาคิราจึงหันความสนใจไปที่ตลับใส่ยา ที่ตนหยิบติดมือมาจากเรือนนอกมาส่งยื่นให้ พิรัลได้ทีเอาคืน สิงห์น้อยป้ายนิ้วลงตลับยาแล้ว เน้นเขี้ยวเน้นฟันจิ้มลงบนมุมปากช้ำเลือดของผู้พี่โดยไม่ออมแรง หวังได้ยินเสียงร้องไห้สาแก่ใจที่โดนทำขัดเขินเสียจนพูดไม่ออก


“หากเจ้าทำพี่เจ็บ พี่จักเอาคืนหนา เจ้าตัวดี” อาคิรานอกจากไม่ร้องออกมา กระทั่งใบหน้าหล่อเหล่ายังราวไม่รู้สึก ทว่าคำขู่ที่กระซิบลอดไรฟันออกมานั้น ทำให้พิรัลนลินตาโตค้างยิ่งกว่าเดิม


“มิคิดเลยว่าพี่อาคิราจักมีแง่มุมนี้”


“อย่างไรเล่า”


“ช่างหยอกล้อ ต่อคำเช่นนี้น่ะสิจ๊ะ ราวกับมิใช่หินผาดั่งที่ใครพูดกัน”


“พี่มีอีกหลากหลายมุมที่เจ้ายังมิรู้ ทว่าเจ้ามิต้องรีบร้อนดูพี่นักดอก พี่ให้เวลาเจ้าพิจารณานิสัยของพี่จนกว่าเจ้าจักพอใจ” ปากกระจับคลี่ยิ้มบางเบา ในตาคมกล้าที่จับจ้องมานั้นส่องประกายฉายเพียงใบหน้าของตนนั้น ทำให้นิ้วที่ยังคงแตะแต้มบนใบหน้างามรู้สึกร้อนวูบ แล้วล่ามไล่ไปทั้งกายจนใบพวงแก้มแดงปลั่ง


“ชะ เช่นนั้น ข้า ข้า พี่อาคิราอยู่นิ่งๆ สิจ๊ะ ข้า ข้าทายาให้ไม่ใคร่ถนัด” อาคิราอมยิ้มขำ เมื่อเจ้าตัวน้อยคล้ายขลาดเขินจนทนไม่ไหวอีกต่อไป ยอมละเลิกการหยอกล้อ นั่งนิ่งเฉยให้น้องน้อยทายาแต่โดยดี






                    ด้านหน้าปากทางเข้าคูหา เขมอารัณย์ผุดลุกยืนจนเต็มความสูง เยื้องย่างกายออกมายังด้านนอกถ้ำ ชูแขนขึ้นสูง เพียงครู่นกตัวจ้อยสีเขียวกลมกลืนกับใบไม้ก็โผลงมาเกาะบนมือผู้เป็นนาย ดวงตากลมโตสบนิ่งถ่ายทอดเรื่องราวที่พบเจอมาแก่นายหนุ่ม


“ทำดีมาก” คนธรรพ์หนุ่มเอ่ยชมลูกสมุนตัวน้อย นิ้วชี้ยาวยกเกลี่ยลงบริเวณสีแดงสดที่หน้าผากอันเป็นเอกลักษณ์ของ นกโพระดกคางเหลืองเบาๆ จนเจ้าตัวน้อยในมือหลับตาพริ้มเคลิบเคลิ้มเมื่อโดนเอาใจ ก่อนผละบินจากไป


เขมอารัณย์กลับขึ้นมายังเรือนใหญ่ที่ถูกแวดล้อมด้วยอุตมางค์มากหน้าหลายตา ด้วยเมื่อรู้ว่าธีมารวีกำลังจัดรวบรวมไพร่พลเพื่อเข้าต่อสู้กับพันแสง เหล่าอุตมางค์ผู้ได้รับผลกระทบและบางตนที่ยึดมั่นในคุณธรรมต่างตบเท้าเข้าร่วมกันอย่างมากมาย


“ท่านรวี พวกพันแสงเริ่มตระเตรียมกำลังอีกครั้ง ข้าเกรงว่าพวกมันคงออกตามล่าทุรพลอีกคราในไม่ช้านานนี้”


“คงเป็นเพราะสารท้ารบจากอาคิราที่เราส่งไป แลข่าวการมาเข้าร่วมจากอุตมางค์ชุมอื่นเป็นแน่ มันคงลำพองใจว่าคูหาที่พำนักนั้นไร้ทางที่ผู้ใดจักบุกเข้าได้ จึงหมายสร้างกองทัพอุตมางค์อยู่เช่นนี้” นางสิงห์ที่ได้รับยกให้เป็นหัวหน้ากองกำลังในครานี้วิเคราะห์เหตุการณ์ด้วยท่าทีเรียบเฉย ไร้ซึ่งความร้อนรน... ความประมาทย่อมเป็นหนทางแห่งความพ่าย เห็นทีพันแสงคงสิ้นชื่อในอีกไม่กี่เพลานี้เป็นแน่!


“ยังคงขี้ขลาดตาขาว มิยอมรับคำท้าเราอยู่ร่ำไป” กัญจน์ราชสีห์กระทืบเท้าอย่างแรง ตามนิสัยผู้มีความมุทะลุ กล้าได้กล้าเสีย ย่อมรังเกียจสิงห์เช่นพันแสงเป็นที่สุด


“ดี เช่นนั้นหลังจากเจ้าพิรัลแลอาคิราหมดฤดู เราจักได้เริ่มแผนให้จบเรื่องจบราวกันไปเสียที” นางว่าเสียงเหี้ยม เดินออกมายังชานเรือน สั่งการเหล่าสิงห์ที่กำลังซักซ้อมร่างกายบนลาน เสียงดังก้อง


“พวกท่านเร่งจงเตรียมตัว อีกมิช้านานเราจะบุกไปชิงตัวลูกหลานของเรากลับมา! ”






++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

สิงหา...ถึงนักอ่าน

ในที่สุดก็ได้รู้ความลับของพี่อาคิราอีกข้อแล้วนะคะ

เป็นอย่างไรบ้างคะ รอฟังทุกความคิดเห็นอยู่นะคะ

สุดท้ายขอขอบคุณทุกๆ คอมเมนต์ ผู้เขียนตามอ่านทุกความคิดเห็นเลยค่ะ

หากมีคำผิด หรือจุดที่อยากแนะนำ นักอ่านสะกิดเตือนได้เลยค่ะ

ผู้เขียนน้อมรับฟังนักอ่านทุกท่าน ด้วยความขอบคุณ

พบกับตอนใหม่ ในคืนพรุ่งนี้ นะคะ






ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ สิงหา

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 121
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
บทที่ ๑๑

นกต่อ





                    หลังจากประกาศตัวเป็นปรปักษ์ต่อพันแสง สิงห์จากชุมต่างๆ จึงเริ่มเข้ามาร่วมมากขึ้น รวมถึง ‘ท่านภานุ ‘ ญาติผู้ใหญ่ของอาคิรา และธีมารวีด้วย สิงห์ภานุตนนี้แม้เป็นเพียงสามัญสิงห์ทว่าเป็นผู้ช่วยอาคิราออกมาจากเงื้อมมือของพันแสงในยามที่อาคิรายังเล็ก เปรียบเป็นทั้งญาติผู้ใหญ่และผู้มีพระคุณอย่างยิ่งของอาคิรา


“ช่วยน้องด้วยหนาอาคิรา” นัยน์ตาคมกล้าของสิงห์มกวัยทองประกายหม่นเศร้า เมื่อนึกถึงความปลอดภัยของลูกที่ถูกจับตัวไป ลูกที่เขาเฝ้ากล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดู ประคบประหงมราวไข่ในหิน


“ขอรับ”


“เจ้ามั่นใจฤๅว่าทุรพลเช่นนี้จักกระทำได้” ยามมาถึงภานุได้รับฟังแผนการจากหลานสาวมาแล้ว เขาที่มีลูกทุรพลนั้นอดรู้สึกกังวลใจมิได้ ...ทุรพลนั้นอ่อนแอ บอบบางยิ่ง เช่นเจ้ามะลุลี


“ข้ามั่นใจ แลขอรับรองว่าเจ้าพิรัลจักทำสำเร็จขอรับ ท่านอาโปรดวางใจ ทุรพลมิใช่แก้วเจียระไนพร้อมแตกหักทุกเพลา พวกเขาเป็นหนึ่งในจตุราชสีห์เช่นกัน”


“ถ้าอาคิรารับรองเช่นนี้อาก็เบาใจ” ภานุยกยิ้มบางพยักหน้ารับคำหลาน หากในใจของสิงห์ผู้นี้ไม่อาจวางใจได้มากนัก






“เจ้าพิรัล” เสียงทุ้มเอ่ยเรียกเมื่อเห็นพิรัลนลินออกมาจากเรือนนอน ค่ำคืนนี้เป็นคืนก่อนที่พิรัลนลินต้องออกเดินทางไปเดินทางถ้ำอื่นตามแผนการที่วางไว้ หลังจากสิงห์น้อยและอาคิราหมดช่วงฤดูแล้วเกือบสองสัปดาห์


เพราะวันพรุ่งต้องเดินทางโดยที่ทุรพลน้อยรู้อยู่แก่ใจว่าตนต้องพบเจอสิ่งใด พิรัลนลินจึงอดที่จะรู้สึกกระวนกระวายไม่ได้ สิงห์น้อยตั้งใจลงมาเก็บดอกสายหยุดมาไว้ข้างเตียงหวังให้กลิ่นหอมช่วยทำให้จิตใจผ่อนคลาย คิดไม่ถึงว่ายามเปิดประตูเรือนนอนออกมาจะพบอาคิรายืนจนจ้องอยู่ก่อนแล้ว


“พะ พี่อาคิรา มีเรื่องอันใดจ๊ะ” ทุรพลน้อยทักกลับติดขัด ด้วยเพราะหลังจากหมดฤดูตนและอาคิราต่างยุ่งวุ่นวายกับแผนการบุกเข้าชุมพันแสงเสียจนมีโอกาสเพียงสบตากับเท่านั้น เมื่อต้องมาพบกันอย่างไม่คาดคิดเช่นนี้ทำให้พิรัลนลินรู้สึกเคอะเขินไม่น้อย


“พี่ขอเข้าไปได้ฤาไม่” อาคิราไม่พูดสิ่งใดพร่ำออกปากของ พร้อมเบี่ยงตัวเข้ามาในเรือนของพิรัล แล้วปิดประตูลงสลักเรียบร้อยรวดเร็วเสียจนเจ้าของห้องตามไม่ทัน


“วันพรุ่ง เจ้าจักไปแล้ว พี่ขอเอาเปรียบนอนกอดเจ้าอีกสักคืนเถิดนะเจ้าพิรัล” ผิวที่พิรัลนลินได้เฉียดสัมผัสเมื่อครู่เย็นเหยียบนั้น
ทำให้สิงห์น้อยรู้ได้ว่า พี่อาคิราของตนนั้นยืนอยู่นอกเรือนนอนเขามาเนิ่นนาน...


ยิ่งได้มองลึกลงไปในดวงตาของราชสีห์อาคิราผู้เงียบขรึม ที่บัดนี้นัยน์ดวงตาคู่คมกลับกำลังสั่นไหววอนขอ หากเข้าไม่เปิกประตูออกมาอุตมางค์ผู้นี้จักรอคอยอีกนานเพียงใดเสียใจผู้มองไม่อาจปฏิเสธออกมาได้


“จ้ะ” เพียงคำตอบรับแผ่วเบาราวเสียงสายลมแผ่ว วงแขนของผู้ที่รอคอยก็เข้าโอบกอดร่างบอบบางไว้แนบอก มฤคินทร์ทั้งสองหลับตาแน่นซึมซาบตัวตนของกันและกันนิ่งนาน ทั้งคู่ต่างรู้ในค่ำคืนนี้ยังคงมีเพียง ‘เรา’ นัยน์ตาของทั้งคู่ยังคงส่องสะท้อนเพียงกันและกัน กอดตระกองกันไว้จนแนบแน่น...

หากผ่านคืนนี้ไปอาจไม่เหมือนเดิม...

หากจบศึกครั้งนี้ไป ‘เรา’ อาจไม่เป็นของกันและกันอีก...


ยิ่งคิดวงแขนยิ่งรัดกระชับ อาคิราอยากกล่าวห้ามทัดทานทุกคราที่ได้สบตากัน หากราชสีห์หนุ่มก็รู้แน่แก่ใจว่าไม่เป็นผล เจ้าสิงห์น้อยของเขารอที่จะปลดแอกตัวเองออกจากความแค้นมานานแสนนาน ยอมแม้กระทั่งสละทิ้งซึ่งพรหมจรรย์อันเป็นสิ่งหวงแหนของทุรพลทุกตนเพื่อการนี้ เขาเข้าใจเป็นอย่างดี เพราะตนนั้นติดอยู่ในบ่วงนี้ไม่ต่างกัน นอกเหนือจากนี้หากพวกเขาล้มพันแสงลงได้เหล่าสิงห์ที่ถูกคุกคามอยู่นั้นคงได้อยู่กันอย่างสงบสุขเสียที …ไม่ว่าจะมองด้วยเรื่องส่วนรวม หรือกิจส่วนตน อาคิราก็มีแต่ต้องจำยอมเท่านั้น


อาคิราเคยมั่นใจว่าเขาสามารถแลกชีวิตกับพันแสงได้ เพื่อล้างแค้นให้แก่พ่อและแม่ที่ถูกทรยศอย่างเจ็บแสบ ทว่าในเวลานี้อาคิรากลับเพิ่งรู้สึกตัว เมื่อยามมีร่างน้อยในอ้อมแขนนี้ อาคิรามีความหวาดกลัว...เขายังคงมีกิเลส มีความเห็นแก่ตัวอยู่มากมาย


อุ้งมืออุ่นประคองใบหน้าหวานของน้องน้อยขึ้นมาบรรจงจุมพิตลงบนหน้าผาก ฝากความห่วงใยลงบนสองปรางอิ่ม ความโหยหาอาวรณ์ชักพาให้สองร่างแนบชิด ตวัดเกี่ยวกอดโยงใยเชื่อมต่อถ่ายทอดความรู้สึกมากมายที่ต่างอัดแน่นภายในใจกันและกันบนตั่งเตียง...


ไกรสรราชสีห์หนุ่มโอบกอดร่างของทุรพลน้อยไว้ทั้งคืนจวบจนกระทั่งแว่วเสียงสกุณายามใกล้ฟ้าสาง แววตาคู่สวยยังคงหลับพริ้ม อาคิรารู้ดีก่อนหน้านี้มันสะท้อนทั้งความรู้สึกผิด และหวาดหวั่นภายใต้ความเด็ดเดี่ยวไว้มากมายเพียงใด ลูกสิงห์จอมดื้อดึงตัวน้อย บัดนี้เติบใหญ่ขึ้นอย่างงดงามเข้มแข็ง เบ่งบานแย้มกลีบเย้ายวนเสียจนราชสีห์หนุ่มนึกหวงห่วงจนในอกร้อนรุ่มไปหมด ยามทำได้เพียงเฝ้ามองและรักษาระยะห่างแก่กันไว้ว่าแย่แล้ว เมื่อยามเมื่อได้ครอบครองไว้แล้วทั้งเนื้อทั้งตัว ความหวงหึงห่วงหากลับมากขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ


นิ้วมือแกร่งเกี่ยวกระตุกสร้อยแพทองบนลำคอระหงให้คลายออก บรรจงจุมพิตหนักแน่นฝังลึกลงบนฐานคอระหงเนิ่นนานก่อนผละออก แล้วค่อยสวมแพทองเส้นน้อยกลับเข้าไปพร้อมกำกับคาถาเข้าไปอีกหลายบท หลังจำต้องตัดใจจากเป็นครั้งสุดท้าย


“พิรัลรุ่งสางแล้ว ตื่นเถิดหนา”




                    การเดินทางของทุรพลน้อยในครั้งนี้เป็นไปอย่างเงียบเชียบ มีเพียงสิงห์นักรบของธีมารวีคอยคุ้มกันซ้ายขวาสองตนเท่านั้น

“เจ้าพิรัล พี่จะไปรับเจ้ากลับ จงรักษาตัวให้ดี จำใส่ใจว่าเจ้ายังมีพี่รอคอยอยู่เบื้องหลัง” การล่ำลาไม่มีการกอดลา หรือจุมพิตใด มีเพียงสายตาคมกล้าจ้องมองอย่างเว้าวอน จนหัวใจดวงน้อยสั่นไหว...และอบอุ่น


“จ้ะ” หากการเข้าสู้เงื้อมือพันแสงเป็นดั่งการย่ำเท้าเข้าสู่หนทางอันมืดมน พิรัลนลินจะยึดพี่อาคิราเป็นแสงสว่างนำทาง...






                    คูหาติณสีหะที่พิรัลนลินมาเยือนแห่งนี้ เป็นเพียงชุมเล็กๆ ของสิงห์เพียงสามครอบครัว เรือนอาศัยถูกเนรมิตขึ้นมาอย่างเรียบง่าย ตามประสาของชุมที่ไร้อุตมางค์...ยิ่งมองดูยิ่งคล้ายคลึง ถ้ำแห่งสิงห์ไกรรพ สถานที่อันเป็นบ้านเกิดของพิรัลนลิน ความรู้สึกคุ้นเคยผ่านครรลองจักษุ พาให้สิงห์น้อยรู้สึกวูบไหวหม่นเศร้าภายในอก


“เป็นบุญคุณเหลือเกินพ่อคุณเอ๋ย” นางสิงห์หนึ่งในเจ้าของถ้ำ ตรงเข้ามากุมมือทุรพลผู้มาเยือนด้วยมืออันสั่นเทา นัยน์ตาฝ้าฟางเคลือบคลอไปด้วยหยาดน้ำตาแห่งความตื้นตัน


“เอ็งจักมิเป็นอันใดแน่รึ” ตามด้วยผู้เป็นหัวหน้าชุม แม้จะดีใจที่ลูกสาวของตนพ้นภัย แต่ก็อดที่จะเป็นห่วงผู้มาแทนไม่ได้ ในเมื่อสิงห์น้อยเบื้องหน้านั้นช่างดูบอบบางเปราะบาง ‘สมวรรณะชาติกำเนิด’ เสียเหลือเกิน จักมีข้อที่ดูโดดเด่นเสียหน่อยเห็นจะเป็นท่าทางคล่องแคล่ว และแววตาแน่วนิ่งแน่นหนัก เพียงเท่านี้จักเพียงพอแน่หรือ ในเมื่อทุรพลตนใดที่ถูกต้อนไปแล้วนั้น ไม่เคยได้กลับมาทั้งที่ยังมีลมหายใจเลยสักตน


“ลุงท่านวางใจเถิดจ้ะ ท่านรวีแลพวกพ้องล้วนตระเตรียมการไว้เป็นอย่างดี ความโหดร้ายที่พวกเราเผชิญต้องจบลงภายในกาลนี้เป็นแน่จ้ะ” เพราะหากพลาดพลั้ง พิรัลนลินก็นึกไม่ออกเอาเสียเลยว่าจะหาทางใด เข้าจู่โจมหยุดยั้งพันแสงได้อีก


“บุญรักษาหนาเอ็ง พวกข้านับถือน้ำจิตน้ำใจเอ็งนัก เจ้าสิงห์น้อย” เหล่าสิงห์ผู้อาศัยในชุมกล่าวขึ้นด้วยความจริงใจ ระคนเป็นห่วง




พิรัลอาศัยอยู่ร่วมกับติณสีหะแห่งนี้ล่วงเข้าวันที่สาม กิจวัตรของเหยื่อล่อมีเพียงออกไปเดินเตร่กับสิงห์ในชุมตนสองตน เพื่อไม่ให้ดูเป็นการจงใจมากนัก สิงห์น้อยทำทีไปหาเก็บสมุนไพรใกล้ๆ ถ้ำที่อยู่อย่างชะล่าใจจนเย็นย่ำ พิรัลนลินเฝ้าภาวนาขอทวยเทพบนชั้นฟ้าเมตตา ให้ตนถูกจับไปในช่วงที่ยังอยู่ด้านนอกถ้ำเสียดีกว่าโดนบุกเข้าชิงเช่นคูหาอื่นๆ ที่ผ่านมา ทุรพลน้อยไม่อยากให้สิงห์ผู้บริสุทธิ์ต้องเลือดตกยางออกแม้แต่ตนเดียว


สวบ

บัดนี้ดูทีเทพยดาคงเห็นใจ ยอมรับคำอ้อนวอนโดยเมตตา เมื่อบริเวณรอบข้างเกิดเสียงสวบสาบจากฝีเท้าจำนวนหนึ่งเหยียบย่ำใบไม้ดังแว่วขึ้นในทิศทางตรงข้าม กลิ่นสาบจางบ่งบอกถึงเผ่าพันธุ์อวลขึ้นในชั้นบรรยากาศ พาให้เหล่าสิงห์กินพืชตื่นตัว...วกมันคงเพิ่งเสร็จสิ้นจากการออกล่า


มือเรียวที่กำลังเอื้อมปลิดใบไม้ชะงักงัน เพียงชั่วหยัดตัวขึ้นยืนตรงเพื่อมองหาต้นตอของเสียง ไกรสรสิงห์วัยฉกรรจ์สามตน ก็ปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้า ด้วยรอยยิ้มแสยะเหี้ยมเกรียม ขาทั้งสองของพิรัลนลินแข็งค้างไม่อาจวิ่งหนีไปไหนได้ แม้จะรู้สึกได้ว่าสหายผู้มาร่วมเก็บสมุนไพรกับตนขลาดกลัวจนวิ่งหนีเอาตัวรอด ทิ้งทุรพลน้อยไปเสียแล้ว


“ยะ อยากได้มันก็เอาไป เอาไปเลย ยะ อย่าทำร้ายพวกข้า พวกข้ายอมแล้ว เอามันไปเลย! ”


“ฮึ ตาขาวจนเสียชาติเกิด ดี! จักได้มิเสียแรงเหนื่อย ไปกับข้าเถิดทุรพลน้อย”


“ข้ามิไป ปล่อยข้า ปล่อยข้า” ทุรพลน้อยร้องลั่นด้วยความตื่นกลัว แขนเล็กสะบัดเต็มที่จนหลุดพ้นจากการจับกุม สองเท้าออกตัววิ่งหนีสุดชีวิต ไกรสรสีหะโตเต็มวัยเหยียดยิ้มมองเหยื่อตัวน้อยพยายามหนีด้วยความปรีดา เขาชมชอบที่จะได้เห็นความพยายามหนีตายของเหยื่อที่ตัวเองเป็นผู้ล่ามากที่สุด ยิ่งเหยื่อที่หมายตาเป็นเผ่าพันธุ์สิงห์เฉกเช่นเดียวกันแล้ว ยิ่งรู้สึกปรีดิ์เปรม เพราะมันทำให้เขารู้สึกยิ่งใหญ่และเหนือกว่า ซึ่งไม่อาจรู้สึกได้เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอุตมางค์ โดยเฉพาะ ‘ราชสีห์พันแสง’ และบุตรเอก ‘วิวัสวาน’ ผู้อยู่เหนือมฤเคนทร์ทั้งมวล ไม่เว้นแม้แต่อุตมางค์ด้วยกันเอง ฉะนั้นเวลาที่ออกล่าทุรพล สามัญสิงห์เช่นตนจึงชื่นมื่นกระปรี้กระเปร่าอย่างสุดแสน ด้วยมีเพียงเวลาเช่นนี้ ที่สิงห์เช่นตนจะรู้สึกเหนือกว่าได้บ้าง

...วิ่งเข้าไป วิ่งเข้าไป วิ่งให้สุดชีวิต แล้วสยบยอมแทบเท้าข้าเจ้าทุรพลน้อย!


“พามันกลับมาเสีย อย่าให้ช้านาน ข้ามิอยากต้องทัณฑ์ร่วมไปกับเอ็ง” เพื่อนร่วมกลุ่มตนหนึ่งเอ่ยเตือนเสียงแข็ง เมื่อมองบนฟ้าตะวันเริ่มคล้อยลงต่ำ ไม่อาจเถลไถลได้อีก


“เออ! ”


เพียงพริบตา เบื้องหน้ากลับมีสามัญสิงห์ที่ตนต้องใช้กำลังทั้งหมดที่มีเพื่อหลีกหนี ยืนจังก้าขวางทางไว้อย่างง่ายดาย ราวกับความพยายามที่ใช้แรงกำลังทั้งหมดในการวิ่งหนี ของตนนั้นสูญเปล่าอย่างโง่งมน่าหัวร่อ


“มากับข้า เจ้างามหนักหนาเช่นนี้คงจักอยู่ดีมีสุขอยู่ดอก อย่าได้หวาดกลัวไปเลย” ปากว่าไวแล้วไซร้ มือกลับถึงเร็วยิ่งกว่า ฝ่ามือหยาบหนาคว้าหมับเข้าที่ข้อมือเล็กพร้อมกัน


“เดินตามแต่โดยดี อย่าดีดดิ้นพิรี้พิไรมากนัก มิเช่นนั้นพวกข้าจักย้อนกลับไปล้างชุมของเอ็งเสียให้สิ้น! ” ปากข่มขู่ มือรวบทั้งแขนสองข้างของเหยื่อเข้าด้วยกัน แล้วจัดการผูกเชือกเส้นหนาใหญ่จนแน่น จับปลายเชือกอีกฝั่งออกแรงกระตุกเป็นสัญญาณ ให้ร่างแน่งน้อยของผู้ถูกจับกุมเดินตาม...กระทำกันอย่างหยามเหยียด ราวกับมิใช่เผ่าพงศ์เดียวกัน




การเดินทางไม่ได้มีความลำบากมากจนเกินไปนัก ด้วยกำลังกายแห่งมฤเคนทร์วันฉกรรจ์ทำให้การเดินเท้าลุล่วงผ่านแนวป่าไปได้อย่างรวดเร็ว แม้พิรัลนลินจะไม่ขัดขืนยื้อยุด แต่ประการใดหากความต่างกันของพละกำลังเมื่อยามย่างเดิน ทำให้ทุรพลคล้ายถูกกระชากลากถูไปตามทาง จนผิวชมพูนวลปรากฏร่องรอยจากเชือกที่ขูดข่วนจนรู้สึกเจ็บแสบ แต่สิงห์น้อยก็อดทน ด้วยใจนึกอยากถึงที่หมายโดยไว้เช่นกัน


พิรัลนลินถูกลากจูงมาได้พักใหญ่ความแตกต่างของทิวทัศน์พนาไพรรอบกายเริ่มเปลี่ยนแปลง เช่นเดียวกับทิศทางของดวงตะวันที่เคลื่อนคล้อยใกล้บรรจบลงขอบฟ้าเข้าไปทุกที พิรัลแอบกระหยิ่มยิ้มในใจ เมื่อเจ้าสิงห์น้อยสังเกตเห็นนกแซงแซวบินวนระยอดไม้เหนือหัว... วิหกของท่านเขมอารัณย์ปรากฏตัว เช่นนี้แสดงว่าพี่อาคิราแลท่านรวีรู้เรื่องแล้ว มิหนำซ้ำอาจเคลื่อนทัพตามมาแล้วก็เป็นได้


เมื่อถึงเขตถ้ำพันแสงสีหราชนั้นตะวันก็ยอแสงหลบเลี่ยง ปันพื้นท้องนภาให้แก่ดวงดาราได้อวดอ้างขับแสงระยิบระยับ พิรัลกวาดสายตามองไปยังบรรยากาศรอบกาย พยายามเก็บเกี่ยวทัศนียภาพนี้ไว้ให้ได้มากที่สุด


ถ้ำของราชสีห์พันแสงคล้ายคลึงกับถ้ำของท่านธีมารวีดังคาด จะต่างออกไปสักหน่อยก็เพียงเป็นเรือนกลางถ้ำอันเป็นที่พักของผู้เป็นหัวหน้าชุมนั้นใหญ่โตโอ่อ่ากว่าเรือนของนางสิงห์ธีมารวีอยู่มากโข ผู้ที่อาศัยรายล้อมอยู่โดยรอบนั้นต่างรูปร่างแข็งแรงล่ำสัน แววตาแข็งกระด้างจนคลับคล้ายนักรบเสียมากกว่าชาวบ้านทั่วไป


“มากันได้เสียทีนะพวกเอ็ง” เสียงทรงอำนาจดังขึ้นจากชานเรือนพาให้กลุ่มผู้มาถึงพร้อมใจเงยหน้าขึ้นมองตามต้นเสียง ปรากฏร่างสูงใหญ่หนัดแน่นแกร่งกล้า ผมดำสลวยถูกถักเกาะเก็บมัดรวบไว้ด้านหลังทำให้ยิ่งดูคล่องแคล่วราวนักรบชาญศึก ผิวเนื้อสีน้ำนมอัตลักษณ์แห่งชาติพันธุ์ขับส่งให้บุรุษราชสีห์ตนนี้ดุจทวยเทพบนชั้นฟ้า เช่นเดียวกับอีกสองมฤเคนทร์ข้างกายซ้ายขวา ที่มีความละม้ายคล้ายกันอยู่หลายส่วน ดวงตาคมเข้มนิ่งแน่วผนวกกับแนวคิ้วเข้มหนา ยิ่งส่งให้สิงห์ทั้งสามน่ายำเกรง โดยเฉพาะรอยยิ้มยกมุมปากที่ส่งมาจากอุตมางค์ด้านขวาถึงตนนั้นร้อนร้าย จนทุรพลน้อยอดที่จะครั่นคร้ามในใจไม่ได้


เหล่าจตุราชสีห์นั้นมีอายุยาวนานและอิทธิฤทธิ์ติดกาย ดังนั้นเมื่อถึงคราเติบโตบริบูรณ์แล้ว ร่างจะหยุดนิ่งคงไว้ด้วยกายนี้จวบจนหมดสิ้นอายุขัย เว้นเสียแต่บางตนยึดถือความแปรผันในธรรมชาติ มุ่งเจริญภาวนา ละมั่นถือมั่นในอัตตา ขอปลดปลงในสังขาร จึ่งละร่างทิพย์ปล่อยกายเปลี่ยนผันหย่อนคล้อยไปตามกาล ดั่งอาจารย์อัตรคุปต์นั้นพอมีบ้างเป็นส่วนน้อย แม้กายภายนอกดูแทบมิแตกต่าง แต่บารมีของราชสีห์ผู้ผ่านโลกมาอย่างช่ำชองย่อมมากกว่า ทำให้ไม่ใช่เรื่องยากหากจะนึกรู้ได้ว่าราชสีห์ผู้ยืนหน้าสุดนี้คงไม่พ้น ราชสีห์พันแสง และบุตรชายอีกสองตนที่คาดว่าอายุคงไม่ห่างกันนัก


“ตนเดียวเองรึ”


“ขอรับ ชุมอื่นมันหนีไปพึ่งใบบุญราชสีห์อัตรคุปต์กันเสียสิ้นขอรับ”


ปึง!

“พวกมันคงคิดว่าหนีไปที่แห่งนั้นแล้ว ข้าจักทำอันใดมิได้! ” ฝ่ามือใหญ่ตบลงบนเชิงระเบียงดังลั่น ก่อนออกคำสั่งเสียงเหี้ยม


“พวกเอ็งจงป่าวประกาศไปให้ถ้วนถั่ว ไอ้อีทุรพลตนใดที่ไปหลบซ่อนตัวยังถ้ำอัตรคุปต์ ให้มันแสดงตัวแลเดินทางออกมาหาข้าแต่โดยดี มิเช่นนั้น ข้าจักตามล้างโคตรพ่อแม่พี่น้องมันให้สิ้นไป! ”


พิรัลตัวชาคล้ายโดนอสนีบาตพุ่งเข้าฟาดฟัน ความหวาดกลัวแล่นริ้วไปทั่วสรรพางค์กาย... ช้านานอีกมิได้แล้ว


“แล้วตนนี้เจ้าถูกใจรึไม่เล่าวิวัสวาน” เมื่อเห็นลูกน้องรับคำสั่งแล้ว พันแสงหันไปถามต่อบุตรชายทางด้านขวามือต่อ


“ขอรับท่านพ่อ” วิวัสวานจับจ้องมองทุรพลตนใหม่อย่างจาบจ้วง ท่าทีคล้ายกลัดมันนั้นทำทุรพลน้อยขนลุกขนชันด้วยความรังเกียจ


“ดี มึงพามันไปอาบน้ำอาบท่าเสีย เมื่อวันเข้าฤดูมาถึงมันจักเป็นคู่ของวิวัสวาน” เสียงประกาศกังวานก้อง สามัญสิงห์ที่รายล้อมยอบกายเคารพนอบน้อม เมื่อราชสีห์ทั้งสามหมุนตัวกลับเข้าเรือนพิรัลนลินถึงสังเกตได้ว่า ด้านหลังของราชสีห์ทั้งสามยังมีสิงห์อุตมางค์รุ่นกระทงอยู่อีกถึงห้าตน!



----------> ต่อด้านล่างค่ะ

ออฟไลน์ สิงหา

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 121
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
ต่อ


หลังจบคำประกาสิทธิ์จากผู้ครองคูหา พิรัลนลินถูกนางสิงห์รีบเข้ามารุมล้อมเพื่อพามาอาบน้ำ นางสิงห์สองตนประกบซ้ายขวา เนื้อตัวถูกขัดจนสะอาดเอี่ยม อีกสามตนช่วยจัดแจงแต่งกายคล่องแคล่ว นางสิงห์ตนหนึ่งพาดผ้าคล้องไหล่สีกลีบบัวเบื้องบดบังเนินเนื้อ ทิ้งชายด้านหลังยาวจรดบั้นเอว อีกตนจัดแจงลงหวีบนเส้นผมสีนิลจนพลิ้วสยาย รอบเอวเล็กถูกนุ่งพันด้วยแพรสีเขียวก้านมะลิยาวกรอมเท้า ทำให้ยามเยื้องย่างดูพลิ้วไหวราวร่างบอบบางของพิรัลนลินกำลังละล่องลอยเหนือหมู่เมฆา แล้วเสร็จจึงพามาส่งยังปีกขวาของเรือนใหญ่ในเวลาที่ดวงดาราส่องเด่นแทนแสงตะวัน


“เจ้าราวกับ...ดอกบัวบัวสวรรค์” วิวัสวานยิ้มพลาย แรกพบว่าจับตาแล้ว ยามถูกล้างเนื้อตัวนุ่งผ้าอย่างประณีตเช่นนี้ ยิ่งจับใจ จนใคร่อยากเคล้าคลอ เด็ดกลีบบัวงามให้มาเป็นของตนเสียทั้งเนื้อทั้งตัว เมื่อนึกได้มือแกร่งก็ไม่รอช้าตรงเข้าดึงรั้งร่างบอบบางเข้าเกยตักเร็วเท่าความคิด


“นามเอ็งเล่า”


“พิรัลนลินจ้ะ” ...เสียงนั้นช่างหวานใสนุ่มนวลราววิหคตัวน้อย


“ฮึ สมกายเจ้านัก เจ้าบัวดอกงาม” วิวัสวานเชยใบหน้าหวานขึ้นพินิจอีกคราก่อนจรดปลายจมูกลงบนแก้วนวล หวังจะดอมดมกลิ่นหอมจากเนื้ออุ่น ให้สมแก่ความพิศวาสที่ตนมีให้ ครั้นเมื่อได้รับกลิ่นเข้ามาแล้ว อุตมางค์สิงห์กลับออกแรงผลักทุรพลบนตักล่วงลงพื้นราวถูกของร้อน


“นี่เอ็งไปเกลือกกลั้วกับไอ้สิงห์ตนใดมาหา! ” กลิ่นเนื้อนวลที่ควรหอมหวานชวนลุ่มหลง กลับแฝงไปด้วยกลิ่นสาบฉุนจนราชสีห์หนุ่มไม่อาจทานทนไหว การที่ทุรพลมีกลิ่นเช่นนี้ได้ มีเพียงเหตุผลเดียวนั่นคือทุรพลได้ผ่านการมีคู่มาแล้ว!


“ข้า มีคู่แล้วจ้ะ เช่นนั้น เช่นนั้นปล่อยข้าไปเถิด” พิรัลนลินแสร้งบีบน้ำตา หลุบตามองลงต่ำให้ยิ่งคล้ายหวั่นกลัวจนสุดใจ


“เอ็งพร่ำเพ้อสิ่งใดอยู่ แพรทองเช่นนี้คงเพียงแต่คลอเคล้าพะเน้าพะนออยู่นั่นแล้ว ฮึ ข้าหาถือความมากมายอันใด ถึงกลิ่นมันจักแรงกว่าที่ข้าเคยพบ ทว่าเพียงเจ็ดทิวาก็หายสิ้น พอเหมาะพอดีกับช่วงฤดูของข้าเทียวหนา ถ้าเอ็งจักโทษก็โทษไอ้สิงห์โง่เง่าตนนั้นเถิดที่มัวชักช้าพิรี้พิไร เฮ้ย พวกมึงมาพามันกลับไปเรือนทุรพลเสีย แล้วสับเอาอีแขมาให้กู! ”


“ส่วนเอ็งรอมิช้านานดอกหนา แลข้าจักยกตำแหน่งแม่ของลูกให้ เจ้าพิรัลนลิน” มือแกร่งบีบลงบนข้างแก้มนุ่มไม่คิดผ่อนแรง ความกรุ่นโกรธปะทุจนอยากอาละวาดกวาดทำลายร่างน้อยให้แดดิ้น เป็นอุตมางค์ตนอื่นคงมิพ้นไสส่งไปแล้วด้วยความรังเกียจ เพราะยามร่างทุรพลปรากฏกลิ่นอายของราชสีห์ตนอื่น ความกระสันอยากของอุตมางค์ด้วยกันย่อมลดฮวบเหือดหายจนหมดสิ้น แต่กับวิวัสวานผู้ ’ต้องได้ ‘ ในทุกสิ่ง ความอยากเอาชนะย่อมมีมากกว่าความรู้สึกอื่นใด...ยิ่งพิรัลนลินเป็นเช่นนี้ เขายิ่งอยากครอบครัว ไว้เย้ยหยันไอ้อุตมางค์ตนนั้น แล้วค่อยเขี่ยทิ้งทีหลังย่อมทำได้


“ตามข้ามา” สิงห์รับใช้ที่วิ่งเข้ามารับคำบัญชา กระตุกเสียงสั่งทุรพลที่ยังคงนั่งกองบนพื้นเสียงห้วน ไม่รู้ว่าควรยินดี หรือเวทนาทุรพลตนนี้เลยได้




พิรัลนลินถูกสิงห์รับใช้ร่างใหญ่พามาส่งยังเรือนสำหรับทุรพล เรือนไม้หลังนี้ปลูกซ้อนอยู่ทางด้านหลังเรือนใหญ่ แม้ขนาดไม่กว้างใหญ่โอ่อ่าเท่าเรือนผู้ครองคูหา แต่ก็ไม่เล็กไปเสียทีเดียว บนเรือนแบ่งแยกห้องหับเป็นสัดส่วนอีกมากมาย บ่งบอกได้ว่าเรือนแห่งนี้คงมีไว้ใช้กักขังเหล่าทุรพลเป็นแน่แท้ ยามเดินตามผู้นำทาง พิรัลนลินพยายามเพ่งมองจับทิศทางภายในชุมแห่งนี้ เพื่อเปรียบเทียบกับถ้ำของธีมารวีไว้ให้มากที่สุด ด้วยความหวังว่าจะได้ใช้มันไว้เป็นทางหนีทีไล่ เมื่อยามจำเป็น


สิงห์ผู้นำทางหยุดยืน ยังหน้าเรือนนอนด้านริมสุด ร่างหนาเบี่ยงตัวเปิดทางให้แก่ทุรพลผู้มาใหญ่ เป็นเชิงบอกว่าต่อจากนี้ห้องนี้จะเป็นที่พำนักของตน เมื่ออย่างเท้าเข้ามาด้านในเป็นส่วนตัวแล้ว ทุรพลน้อยก็แทบจะประคองสติตัวเองไว้ไม่อยู่ ด้วยเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางเจ้าสิงห์พลัดถิ่นก็เข้าสู่ห้วงนิทราไปแทบจะในทันที และคงจะฟื้นคืนมาได้เมื่อจวบจนแสงแห่งดวงสุริยันสาดส่องเข้ามาลูบไล้เนื้อตัวจนรู้สึกร้อน ถ้าหากไม่สะดุ้งตื่นเพราะเสียงกรีดร้องจากข้างห้องขึ้นมาเสียก่อน


กรี๊ด!

พิรัลผุดลุกขึ้นตั้งใจจับที่มาของเสียงอยู่เพียงครู่ เมื่อได้ยินเสียงร่ำไห้ยังคงดังประสานกันอยู่ไม่คลาย สิงห์น้อยตัดสินใจก้าวเดินไปตามหาต้นต่อของเสียงให้รู้ความ


“ฮึก เจ้าแขเหตุใดเจ้าจึ่งทำเยี่ยงนี้ ฮื่อ” เสียงร่ำไห้ปานขาดใจเป็นของเหล่าทุรพลทั้งสี่ตน ที่พากันกอดร่างหนึ่งไว้ในอ้อมอก ทั้งหมดตกอยู่ในความโศกาจนไม่อาจรู้สึกตัว แม้พิรัลนลินจะกระทำอุกอาจก้าวเข้ามาภายในเรือนของพวกตน จนกระทั่งยอบตัวนั่งลงข้างกายพวกเขาแล้วก็ตาม


“เกิดอันใดขึ้นฤๅพวกท่าน”


“เจ้า เจ้าคือทุรพลที่เข้ามาวันนี้รึ” ทุรพลตนหนึ่งได้สติจากเสียงร้องถามของพิรัล เป็นฝ่ายต่อความด้วยทั้งน้ำตา


“จ้ะ จ้ะ อย่าได้ว่าความอันใดเลยแม่ท่าน เพลานี้เราต้องรักษานางก่อนนะจ๊ะ” พิรัลเพ่งมองรอยเลือดบนลำคอระหงของนางสิงห์ด้วยความร้อนใจ แผลบนลำคอระหงนั้นเปิดออกกว้างเลือดไหลเป็นลิ่ม จนใบหน้าหวานล้ำซีดขาว


“มะ มิต้องดอก ข้า ข้าอยากตาย อึก มันย่ำยีข้า ฮึก ข้ามิเหลือสิ่งใดอีกแล้ว สู้ข้าตายเสียยังดีกว่าให้มันใช้เป็นเครื่องมือ ประหัตประหารทำลายสิงห์ตนอื่น” ทว่าสิงห์ได้รับบาดเจ็บกลับไม่ยินยอม นางหลับตาคล้ายรอเวลาที่จิตวิญญาณจะได้ถูกปลดเปลื้องไปด้วยความยินดี


“มิได้นะจ๊ะ ข้ามาที่แห่งนี้เพื่อช่วยเหลือพวกท่าน ภายนอกเหล่าสิงห์ที่โดนฉุดคร่าทุรพลมากำลังรวมตัวกันเพื่อหยุดยั้งราชสีห์พันแสง แลหวังจักพาพวกพี่กลับบ้าน อย่าทำให้พวกเขาเสียแรงเปล่าเลยนะจ๊ะ” พิรัลนลินไม่ยอมแพ้ แม้พอรู้ว่าทุรพลเหล่านี้ต้องเจ็บช้ำตรอมตรมเพียงใด แต่ความพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะได้เข้ามาช่วยพวกเขานั้นก็ไม่อาจละเลยไปได้ เพลานี้สิงห์ทุกตนต่างมีความหวัง พิรัลนลินไม่ปรารถนาที่จะให้ผู้ใดต้องมาผิดหวังอีกแล้ว


“แต่ข้าไม่...”


“ถึงแม้เราจักมิได้บริสุทธิ์ผุดผ่อง แต่ข้าเชื่อว่าทุรพลเราหาได้มีค่าเพียงเท่านี้ พี่เชื่อข้านะจ๊ะ ยอมให้ข้ารักษาพี่เถิด”


“มันคงมิทัน พวกมันมิยอมมารักษาทุรพลเช่นเราดอก” สิงห์หนุ่มเจ้าของผิวสีจำปาเอ่ยขัดด้วยสีหน้าแค้นเคือง แม้ในตาคู่สวยยังคงแดงก่ำ


“ข้า ข้ารักษาได้จ้ะ ระหว่างที่ถูกพากลับมา ข้าเห็นดงสาบเสืออยู่ข้างเรือน ข้า ข้าจักไปเก็บมาให้นะจ๊ะ พี่อดทนสักหน่อยนะพี่นะ” พิรัลนลินไม่รอช้ารีบบ่ายหน้าลงจากเรือนโดยเร็วไว หวังในใจขอให้บาดแผลที่ลำคอนั้นจักไม่หนักหนาเสียจนเกินเยียวยาได้ไหว


“นั่นเอ็งจักไปที่ใดทุรพล! ”


“ด้านบนมีทุรพลได้รับบาดเจ็บบาดแผลฉกรรจ์นัก ข้าเห็นพุ่มสาบเสือใกล้ๆ นี้ พี่ท่านกรุณาให้ข้าไปเก็บมันเถิดนะจ๊ะ” สองมือยกขึ้นประนมไหว้เพื่อขอความเห็นใจจากสิงห์ตระเวนยามที่เข้ามาขัดขวางทุรพลน้อยเอาไว้


“มารยาเท่านั้น คิดว่าที่ผ่านมามีทุรพลกี่ตนใช้มารยาลักลอบหนีไปกันเล่า กลับเข้าเรือนไปเสีย! ”


“ข้ามิได้มารยานะจ๊ะ หากพี่ท่านมิคิดไว้ใจ เช่นนั้นพี่ท่านจักเมตตาเก็บมาให้ข้าได้ฤๅไม่เล่า เมตตาด้วยเถิดจ้ะ” พิรัลนลินอ้อนวอนจนแทบจะลงไปกราบกราน ในใจร้อนรุ่มจนแทบยืนไม่อยู่ ด้วยทุรพลสาวตนนั้นคล้ายกะลาเจาะรูบนธารน้ำ ยิ่งใช้เวลานานกะลายิ่งจมดิ่งจนสุดคว้า พิรัลนลินไม่ต้องการให้เวลาผ่านเลยไปโดยเปล่าแม้สักเศษเสี้ยว


“อย่าร่ำไร กลับขึ้นเรือนเอ็งไปเสีย! ”


“ให้มันไป เลือดเปรอะเปื้อนเช่นนี้คงมิได้ปลด แลเอ็งจงคอยคุมมันไว้อย่าให้คลาดสายตา แค่ทุรพลตนเดียวคงไม่เหลือบ่ากว่าแรงพวกเอ็งกระมัง” ราวกับได้รับพรจากแดนสรวง จากเสียงที่ดังขึ้นขัดของอุตมางค์รุ่นตนหนึ่ง ที่คล้ายจะเป็นหัวหน้าของสิงห์ลาดตระเวนคู่นี้อีกที


“ขอรับท่านกลินท์”


“ขอบพระคุณจ้ะ ขอบพระคุณ”


ด้วยความรีบร้อนพิรัลนลินไม่มีเวลาที่จะพิจารณาได้มากนัก สิงห์น้อยก้าววิ่งสุดกำลัง เพราะภาพของนางสิงห์จมกองเลือดนั้นทำให้พิรัลไม่อาจชักช้าได้ มุ่งเก็บใบสาบเสือมาจนเต็มกำมือ แพรพันที่เคยงดงามกลับเปื้อนเปรอะคราบดินจนหมดราศี...ทุรพลนางนั้น ทั้งแรงการแรงใจบอบช้ำจนดูราวจักปลิดปลิวไปได้เพียงเผลอพริบตา


“ฮื่อ แข แข ลืมตาขึ้นมาเถิดแข ฮื่อ” เสียงร่ำไห้ดังออกมาจากในเรือน พาให้พิรัลนลินตัวชา ใบสาบเสือที่กอบกำไว้ในมือร่วงกระจายลงสู่พื้นเรือน เมื่อมือเจ้าตัวหมดซึ่งเรี่ยวแรงที่จะถือได้อีกต่อไป เสียงร่ำไห้สะท้อนก้องอยู่ภายในหัวจนสมองขาวโพลนไม่อาจนึกคิดสิ่งใดได้อีก ไม่รู้ตัวแม้กระทั่งยามร่างของตนถูกผลักจนล้ม โดยสิงห์เฝ้ายามที่ผลุนผลันวิ่งขึ้นมาตามเสียงร้อง พวกเขายื่นมืออังที่ปลายจมูกนางสิงห์ครู่ใหญ่ จนแน่แก่ใจว่าสิงห์สาวเบื้องหน้าสิ้นลมเป็นที่แน่นอนแล้ว จึงอุ้มช้อนร่างอ่อนปวกเปียกแล้วพาลงไปจากเรือนไปด้วยท่าทางคุ้นชิน


“มิต้องห่วง ข้าจักเป็นธุระให้” อุตมางค์หนุ่มน้อยบอกกล่าวเพียงเท่านั้น แล้วหันหลังลงจากเรือนตามลูกน้องไป เหลือเพียงทุรพลที่กำลังเสียใจ และสายตาหนึ่งที่ทอดมองตามด้วยความช้ำชอกยิ่งกว่า




+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


สิงหา...ถึงนักอ่าน

เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับตอนนี้ เริ่มเข้าสู่ช่วงต่อสู้กันแล้ว (ซึ่งมีไม่เยอะนะคะ แฮะๆ)
ตัวละครก็มีเพิ่มขึ้นมาเยอะเลย หวังว่าจะไม่ทำให้งงกันนะคะ

สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณทุกๆ คอมเมนต์นะคะ
หากมีคำผิด หรือจุดที่อยากแนะนำ นักอ่านสะกิดเตือนได้เลยค่ะ
ผู้เขียนน้อมรับฟังนักอ่านทุกท่าน ด้วยความขอบคุณ
พบกันใหม่ใน คืนวันเสาร์หน้า นะคะ







ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
พี่อาคิรารีบมาช่วยน้องนะ พิรัลก็ระวังตัวด้วยนะ

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
ใจตรงกัน แต่ปากแข็งทั้งคู่

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ระยะปลอดภัยไม่เกิน 7 วัน!

ออฟไลน์ พิศตะวัน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-3
สนุกมากค่ะ
มาต่อไวๆน้าาาา :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

ออฟไลน์ สิงหา

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 121
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
บทที่ ๑๒

แผนการ








                   




                    แม้เวลาจักเคลื่อนผ่านจนเกือบพ้นยามราตรี เหล่าทุรพลยังคงเกาะกุมโอบประคองกันและกันกันภายในเรือนนอน การจากไปของ ‘แม่แข’ สร้างความโศกสลดให้แก้ทุรพลทุกตนในที่นี้...ทั้งโศกาและหวาดกลัวจนร่างกายสั่นสะท้านอย่างหากไม่อยู่


“ต่อไปคงมิพ้นข้า” นางสิงห์ติณสีหะหนึ่งในเรือนกล่าวด้วยน้ำเสียงโกรธ ดวงตาคู่สวยสะท้อนแรงแค้นราวมีเปลวเพลิงรุกท่วม


“จักมิเป็นเช่นนั้นจ้ะ” พิรัลโพล่งออกมา หลังจากเผลอปล่อยตัวเองให้จมจ่อมลงในห้วงอารมณ์แห่งความอาดูร พิรัลนลินสูดหายใจเข้าลึก กดเก็บความเศร้าสะเทือนใจไว้ภายใน เพื่อประคองสติและอารมณ์ของตนให้คงมั่น ลุกขึ้นตรงไปยังประตู หน้าต่างจัดการปิดงับลงดาลจนสิ้น หลังเจ้าตัวมองซ้ายขวาจนแน่ใจว่าไม่มีสิงห์ตนใดอยู่ใกล้บริเวณเรือน


“ต่อแต่นี้จักหามีทุรพลตนใดต้องสูญเสีย ข้าจักพาพวกท่านออกไปให้ได้จ้ะ” แม้เสียงแผ่วเบาด้วยการกระซิบพูด ทว่าแววตาที่ส่งต่อไปยังทุรพลตนอื่นหนักแน่นไม่มีความหวั่นไหวแม้เพียงน้อย


“อย่างไรเล่า”


“เพลานี้มีกลุ่มอุตมางค์แลสามัญสิงห์หลายตนเตรียมพร้อมจักเข้ามากำราบพันแสง หากคูหาแห่งนี้ลงอาคมแกร่งกล้ามิหามารถบุกทะลวงเข้ามาได้ ข้าขึงอาสาเข้ามาเป็นนกต่อจ้ะ”


“เจ้าอาสาเข้ามารึ” ทุรพลทุกตนพากันตื่นตะลึงในความกล้าหาญของสิงห์น้อยเบื้องหน้า


วรรณะ ’ ทุรพล’ นั้น มีความหมายในตัวเอง อ่อนแอ ไร้แรงกำลัง คือสิ่งที่สิงห์วรรณะนี้มี ไม่ต้องให้สิงห์วรรณะใดมาชี้หน้า ผู้เกิดมาเป็นทุรพลล้วนรู้ตัวดี พวกเขาทำได้แต่เก็บซ่อนตัวใช้ชีวิตอย่างประมาณตนมาตลอด แม้ยามเอื้อนเอ่ยออกเสียงยังไม่อาจดังไปกว่าเสียงกระซิบ ไม่คิดว่าวันนี้จะมีทุรพลตนใดกล้ากระทำการเสี่ยงอันตรายเช่นนี้...


“ด้วยเมื่อครั้งข้ายังเยาว์ ครอบครัวข้าโดนพันแสงรุกรานทำร้ายมิต่างกัน เดิมทีข้าจักต้องส่งสัญญาณออกไปเมื่อเข้าสู่โถงถ้ำแห่งนี้ได้สำเร็จ ทว่าเมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้... ข้าคิดจักพาพวกท่านหลบซ่อนกายเสียก่อนจ้ะ” พิรัลนลินตัดสินใจ ปรับเปลี่ยนแผนการด้วยตนเอง เพราะพันแสงที่ตนได้รับรู้และประจักษ์แจ้งแก่สายตานั้น สกปรกไร้ศักดิ์ศรีมากกว่าที่คาดคิดไว้


“หากเป็นจริงดั่งเจ้าว่า ข้าหาได้กลัวเกรงสิ่งใดอีกแล้ว มิต้องการหลบซ่อนดอก เจ้ารีบส่งสัญญาณของเจ้าออกไปเสียเถิด” ทุรพลไกรสรเอ่ยค้าน ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้ตนไม่นึกเกรงกลัวสิ่งใดอีกต่อไปแล้ว


“เรามิอาจช่วยเหลือพวกเขาได้ เช่นนั้นจงอย่าได้กระทำตัวเป็นภาระให้พวกเขาต้องพะว้าพะวังอีกเลยจ้ะ ข้าได้เห็นแล้ว สิงห์เช่นพันแสงนั้น พร้อมจักกระทำทุกอย่างเพื่อชัยชำนะ แม้ใช้วิถีอันต่ำสกปรก สิงห์ตนนั้นย่อมพร้อมกระทำเป็นแน่ ข้ามิต้องการให้มันใช้เราเป็นสิ่งต่อรองจ้ะ”


“จริงของเจ้าสิงห์น้อย อย่าได้หุนหันพลันแล่นให้เสียการนักเลยเจ้ามะลุลี” นางสิงห์รำไพกล่าวเตือนสติทุรพลน้อยเสียงอ่อน ทำให้ไกรสรสีหะที่กำลังถูกความเจ็บแค้นครอบงำคล้ายได้สติยั้งคิดขึ้นมา


“ประการแรกข้าต้องรู้แน่เสียก่อน ว่านอกจากพวกท่านยังมีทุรพลตนอื่นอีกฤๅไม่จ๊ะ”


“หามีไม่แล้วเจ้า มีเพียงพวกเราเท่านี้แล” ทุรพลหนุ่มเจ้าของผิวสีจำปาตอบด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย


“แต่...ราชสีห์พันแสงทำการรวบรวมทุรพลมาหลายเพลา น่าจักมีโขกว่านี้นี่จ๊ะ” พิรัลขมวดคิ้ว เขารู้ว่าพันแสงเริ่มรวบรวมทุรพลมายาวนานร่วมสิบปี แต่ทุรพลเบื้องหน้าเขานั้นนับรวมเช่นไรก็มีเพียงห้าตนเท่านั้น ทั้งแต่ละตนดูอายุอานามมิได้มากมายกว่าพิรัลนลินไปเสียเท่าไร


“ทำอัตวินิบาตกรรมตนเองเสียจนสิ้น หากมิตั้งท้องเสียก่อน ข้าคงมิแคล้วกัน เพียงคราเดียวหลังเข้าฤดูแรกเท่านั้น เบื้องบนมิได้เมตตามอบทางเลือกแก่ข้าเลย” สิงห์สาวยกมือลูบท้องของตนไปมา น้ำเสียงหวานเอื้อนเอ่ยสั่นเครือด้วยกลั้นสะอื้น


“โดนกระทำย่ำยียังมิเจ็บปวดเท่าเห็นลูกของตัวเองกระทำผิดคิดชั่ว ข้าเองหากมิต้องการรั้งพันแสงไว้ เพื่อมิให้ไปผูกกรรม กับทุรพลตนอื่นอีก คงมิฝืนทนเช่นกัน” นางสิงห์รำไพผู้มีวัยวุฒสูงสุดในเรือนกล่าวเสริม ในตางามเหม่อมองไปไกลสุดหยั่งถึงเรื่องราวเมื่อหนหลัง


นางเป็นเมียตนที่สองของพันแสง เมื่อ ’นางสิงห์สุริยง’ เมียแรกตรอมใจตายจากไป หลังสูญเสียลูกชายตนแรกอย่างไม่มีวันหวนกลับ ด้วยสิงห์หนุ่มอาสาพ่อออกไปฉุดทุรพลตนหนึ่ง แม้จะเสียลูกไปราชสีห์พันแสงยังไม่คิดหยุดยั้ง มิหนำซ้ำยิ่งแสดงความโหดเหี้ยมมากขึ้นจนเกินรับไหว ทิ้งไว้เพียง วิวัสวาน บุตรชายคนรองผู้สืบทอด’ ความเป็นพันแสง ‘มาทุกกระเบียดนิ้วไว้แทนตน


คราแรกรำไพคิดดับชีวิตตนเองไปเสียหลังหมดจากการร่วมฤดูกับพันแสง อนิจจาไม่ว่ากรงเล็บหรืออาวุธร้ายเพียงใดก็ไม่อาจกล้ำกรายนางได้ ด้วยนางกำลังตั้งครรภ์อุตมางค์น้อยให้แก่พันแสงเสียแล้ว รำไพมีบุตรอุตมางค์ให้พันแสงสองตน ‘ภาสกร‘ ผู้พี่ และ ‘กลินท์’ ผู้น้อง ด้วยรำไพมีสภาพจิตใจย่ำแย่พาให้ร่างกายอ่อนแอ กลินท์จึงเป็นลูกตนสุดท้ายที่นางสามารถมีให้แก่พันแสงได้ เมื่อรู้ถึงความจริงข้อนี้คราแรกพันแสงอยากกำจัดนางไปเสีย ด้วยต้องการมีทุรพลตนใหม่มาแทนที่เพื่อมีทายาทให้มากมาเป็นกำลังแก่ตนเอง แต่รำไพกลับไม่ยินยอมนางยังสู้ทนมีชีวิตอยู่เพื่อขัดขวางพันแสงให้ถึงที่สุด แม้นางได้เลี้ยงดูอุ้มชูกลินท์จนรู้ความสุดท้ายไม่พ้นถูกผู้เป็นพ่อพรากไป เพื่อฝึกปรือไว้ใช้เป็นมือเท้าเคียงคู่กับพี่ชายทั้งสอง นางรำไพได้แต่พยายามกราบไหว้เทพเทวาทุกค่ำคืนให้ลูกชายตนหนึ่งตนใดมีความเมตตาต่อนาง ต่อทุรพลตนอื่นบ้าง


กระนั้นวิวัสวานเมื่อเติบใหญ่กลับช่วยพ่อสืบเจตนารมณ์ไม่มีตกหล่น อุตมางค์ตนนั้นให้กำเนิดทายาทอุตมางค์อายุวัยไล่เลี่ยกับ เจ้ากลินท์ อีกสี่ตน โดยเมียทุรพลของเขานั้นตรอมใจปลิดชีพตัวเองไปสิ้น การกำเนิดอุตมางค์เลยเว้นว่างไปได้หลายครา เพราะแม้จะจับทุรพลกลับมาได้ ก็หามีตนใดยินยอมเป็นเครื่องมือก่อกรรมอีก


“เพลานี้ยังคงสลัวราง สิงห์ตนอื่นมิทันตื่นมาเคลื่อนไหวมากนัก ข้าจัก ทำทีไปอาบน้ำ เพื่อขอออกไปสำรวจที่ทาง ท่านรำไพคิดเห็นประการใดจ๊ะ” พิรัลนลินแง้มบานหน้าต่างมองออกไปยังผืนฟ้ายามใกล้รุ่ง สลับก้มมองเนื้อตัวเปรอะเปื้อนคราบดินคราบเลือด แล้วขอความเห็น


“เจ้าจักทำการสิ่งใด มีหนทางแล้วรึ”


“จ้ะ หากเป็นดั่งข้าหวัง เราจักมีที่พำนักที่ปลอดภัย” เมื่อเห็นสิงห์น้อยผู้มาใหม่พยักหน้ารับแข็งขัน รำไพนิ่งตรองเพียงครู่ค่อยพยักหน้าเป็นการสนับสนุน


“เหมาะดีเทียว ข้าจักไปเป็นเพื่อนเจ้า หากเดินท่อมๆ ไปผู้เดียวนั้นแลผิดสังเกตนัก” มะลุลีขันอาสาช่วยพิรัลนลินอีกทาง เมื่อเห็นทุรพลตนนี้เข้มแข็งกล้าหาญเพียงนี้ และผู้มีอาวุโสเห็นดีเห็นงาม มะลุลีก็ให้รู้สึกมีกำลังใจ กล้าที่จะคิดทำสิ่งต่างๆ ตามมา... อย่างที่ทั้งชีวิตทุรพลน้อยไม่เคยเป็นมาก่อน


“กระทำสิ่งใดจงรอบคอบ หูตาจงว่องไว ระมัดระวังตัวให้มากเล่า”


“จ้ะ” หลังรับคำ ทุรพลทั้งคู่ต่างพากันแยกย้ายไปจัดเตรียมผ้าผ่อนเพื่อลงท่าน้ำให้สมจริงสมจัง เดินเคียงคู่กันไปยังท่าอาบน้ำสำหรับทุรพลโดยพยายามไม่ทำตัวให้เป็นพิรุธ


“มะลุลี เจ้ารอข้าที่ท่าน้ำนี้หนา หากเกิดมีผู้ใดพบเข้า ค่อยทำทีว่าเราผลัดกัน”


“ระวังตัวด้วย” พิรัลกระชับผ้าคลุมเมื่อรู้สึกถึงกระแสอากาศลมเย็นเฉียบกระทบกาย สิงห์น้อยเลือกพันห่อร่างกายด้วยแพรย้อมมะเกลือสีเข้มกลืนไปกับบรรยากาศแวดล้อม ค่อยๆ สืบเท้าเดินเลาะผ่านท่าอาบน้ำเดินเลียบไปตามแนวถ้ำ เช่นเดียวกับที่ตนเคยทำมาแล้วหนหนึ่ง แม้บ้านเรือนและเครื่องตกแต่งภายในคูหาแห่งพันแสงจะมีความแตกต่างไปบ้าง แต่พิรัลภาวนาให้ ‘สถานที่แห่งนั้น’ ยังคงอยู่


เมื่อเดินล่วงเข้ามาถึงด้านท้ายคูหา ฝ่ามือเล็กค่อยๆ ลูบละไล้บนผนังถ้ำ จนกระทั่งนัยน์ตากลมสังเกตเห็นผนังจุดหนึ่งเกิดเป็นแสงระยิบระยับ พิรัลเผลอยกยิ้มด้วยความดีใจ กระนั้นสิงห์น้อยยังไม่ลืมหันกลับไปมองซ้ายแลขวารอบกายด้วยความระแวงระวัง แล้วค่อยเร้นกายเข้าสู้เรือนลับหลังผนังถ้ำอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าปลอดโปร่งไร้เงาสิงห์ตนอื่น


ยามอย่างก้าวเข้ามา ภายในเรือนเล็กแห่งนี้ช่างคล้ายคลึงกับ ‘อีกที่’ ราวจับวาง ไม่มีสิ่งใดผิดเพี้ยนไปแม้กระผีก...คล้ายกันมากเสียจนทำให้ความรู้สึกกระดากอายของพิรัลนลินตีรวนขึ้นมาในอกเป็นระลอก


ทุรพลน้อยรีบสะบัดหน้าไล่ความคิดว่อกแว่กออกจากหัว กวาดสายตาสำรวจภายในอย่างละเอียดลออ หากไม่มีร่องรอยของการหยิบจับใช้สอยสิ่งของอื่นใด บ่งบอกว่าเรือนแห่งนี้ยังคงเป็นความลับ พิรัลยิ้มยินดีอีกครั้ง ก่อนจะรีบพาตัวเองกลับออกมาก่อนแสงอรุโณทัยสาดส่องจนสิงห์ตนอื่นๆ ตื่นขึ้นมาดำเนินชีวิตกันให้วุ่นวายอยากต่อการหลบซ่อน


“ทุรพล! ไยเจ้ามาเพ่นพ่านแถวนี้” แม้พิรัลจะระมัดระวัง กลับยังไม่อาจพ้นสายตาของอุตมางค์ผู้เดินเวรยามได้


 'กลินท์' นามนี้พิรัลได้ยินเหล่าสามัญสิงห์เรียกขานเมื่อคราพบกันครั้งแรก คะเนจากสายตาสิงห์หนุ่มผู้นี้ อ่อนวัยกว่าพิรัลไม่มากนัก แม้ร่างกายยังไม่เติบโตเต็มที่ แต่ลักษณะนั้นองอาจทรงอำนาจเสียจนทุรพลนึกเกรง ค่ำคืนจวบจนจวนฟ้าสางพิรัลปะหน้าอุตมางค์ตนนี้ถึงสองครา...หรือจักถูกจับตามองเข้าเสียแล้ว


“ข้าลงมาอาบน้ำจ้ะ แลเห็นพุ่มสมุนไพรด้านนี้ ข้าเลยขอมะลุลีออกมาดู เมื่อยามคิดกลับ กลับหลงลืมทิศทาง”


“เจ้าพิรัล เจ้าพิรัล เฮ้อ ข้าตามหาเจ้าเสียทั่ว กะอยู่เทียวว่าจักต้องหลง ท่านกลินท์ โปรดอย่าหาความจากมันเลยนะจ๊ะ” มะลุลีเห็นสิงห์หนุ่มน้อยเดินผ่านท่าอาบน้ำที่ตนเฝ้าอยู่ เขาเลยตัดสินใจรีบเดินติดตามมา ช่วยพูดตามแผนที่ได้เตรียมไว้ และดูเหมือนโชคชะตาจะกลับมาเข้าข้างทุรพลเช่นพวกตนบ้าง เมื่อกลินท์พยักหน้าไล่ส่งทุรพลทั้งสองให้กลับเรือนอย่างง่ายดาย หลังเพ่งมองใบหน้าพิรัลนลินนิ่งนานจนทุรพลทั้งสองนึกหวั่น


“เจ้าจงระมัดระวังตัวให้มากขึ้น หากคราหน้าหาใช่ข้า เจ้าจักเดือดร้อน” เสียงที่เพิ่งเริ่มทุ้มตามช่วงวัยกล่าวไล่หลัง ทำให้พิรัลนลินนิ่งงัน ทุรพลหันกลับไปมองอุตมางค์น้อยอีกครา สองสายตาสบกันนิ่งนาน


“จ้ะ ข้าจักระวัง ทว่าข้านั้นโง่งมนัก หากพลั้งเผลอพลาดผิดประการใด ขอท่านกลินท์กรุณาข้าด้วยนะจ๊ะ” ไกรสรสีหะน้อยไม่เอ่ยสิ่งใดออกมา เขาเพียงกดใบหน้าลงหนึ่งครั้ง เป็นการแสดงท่าทางยอมรับคำแล้วเดินจากไป


“ท่านกลินท์เป็นลูกของราชสีห์พันแสงแลท่านรำไพ ท่านกลินท์เป็นลูกสุดท้องได้อยู่กับอกท่านรำไพนานพอดู อาจเพราะใกล้ชิดแม่มากกระมัง ถึงเข้าอกเข้าใจทุรพลเช่นเรามากกว่าตนอื่น” เมื่อเห็นว่าพ้นเขตการได้ยิน มะลุลีก็รีบกระซิบบอก


“ลางที หนทางแห่งการหลุดพ้นของพวกเรา คงราบรื่นมากกว่าที่หวังกระมัง” พิรัลนลินยิ้มบางเบา ขอให้สัญชาตญาณของเขาแม่นยำด้วยเถิด




“เหตุใดต่อเงินต่อทองของเจ้าพิรัลยังมิออกมา” อาคิราบ่นสบถกับตนเองงึมงำ สีหราชหนุ่มรู้สึกร้อนรุ่มในอกจนแทบกระอักออกมาผลาญพนาให้มอดไหม้เป็นจุณ เพลานี้อุตมางค์หนุ่มทั้งห่วง ทั้งหวง ‘นกต่อ’ ของเขา จนไม่อาจนิ่งเฉยได้ เมื่อยามนี้พิรัลนลินควรส่งสัญญาณกลับออกมาจากภายในถ้ำแห่งนั้นได้แล้ว กลับยังไร้วี่แวว

...ไวเถิดเจ้าพิรัล อย่ารังแกใจพี่ให้มากนักเลย


“ข้ารู้ว่าท่านห่วงใยเจ้าสิงห์น้อยปานใด เฮ้อ ...อาคิราเจ้าพิรัลนั้นไหวพริบดีมิน้อย แลท่านนิลปารัชญ์ทำนายไว้แล้วว่าพวกเราจักสำเร็จลุล่วงด้วยดี จงสงบจิตสงบใจลงเสียเถิด” ธีมารวีตบบ่าแกร่งของน้องชายหนักๆ ความห่วงหาในผู้เป็นที่รักยามห่างไกล ซ้ำยังตกอยู่ในสถานที่เสี่ยงอันตรายรู้สึกเช่นไร นางที่มอบใจรักให้แก่ศศินไปแล้วเช่นกันย่อมเข้าใจอาคิราดีที่สุด


“หากวันพรุ่งเจ้าพิรัลยังมิส่งสัญญาณใดออกมา ข้าจักทำทุกวิถีทางเพื่อบุกเข้าไป” แม้เสียงทุ้มยามกล่าวออกมานั้นฟังดูสงบราบเรียบ แต่ธีมารวีรู้ดีว่าภายในของราชสีห์หนุ่มผู้นี้กำลังร้อนรุ่มมากเพียงใด
 

แต่เมื่อคราต้องทำหน้าที่ความรู้สึกอื่นใดที่จะมีผลต่อสมาธิและสติยามพุ่งรบเข้าฟาดฟันศัตรู ผู้เป็นนักรบย่อมต้องตัดให้ขาด หรืออย่างน้อยควรเก็บกดมันไว้ให้ลึกสุดหยั่งเพียงเท่านั้น นี่คือสิ่งที่นางทำมาเสมอเพื่อจะได้พาตัวเองกลับไปหาศศินที่รอคอยนางอยู่ ...นางสิงห์ถอนหายใจหนัก หวังว่าน้องชายผู้ครองความสงบนิ่งมาเนิ่นนานจักไม่ตกม้าตายยามนี้




                    เพลานี้ดวงตะวันพ้นขอบฟ้าจนเต็มดวง แสงสว่างอุ่นร้อนฉายส่องทั่วถ้วนพสุธาไม่อาจสร้างหยาดเหงื่อได้อีก เมื่อมีสายลมเย็นเยือกพัดกรูเกรียวส่งสัญญาณให้เหล่าสิงห์ที่ยังไม่มีตบะญาณแก่กล้าตระเตรียมผ้าห่มไว้คลุมกายรับเหมันต์ฤดู


“ใกล้เข้าเหมันต์เช่นนี้ ยามตระเวนรอบดึกอากาศเย็นนัก ข้าเลยเตรียมนี่ไว้ให้พวกเอ็ง” สิงห์วัยฉกรรจ์ป้องปากกระซิบเพื่อน กันพวกสอดรู้


“เหวย เอ็งมันหาเรื่องนัก ประเดี๋ยวจักโดนทัณฑ์กันทั้งหมดทั้งสิ้น”


“หาได้ดื่มกินเสียเมามาย เพียงคนละนิดละหน่อยพอเป็นกระสายให้คลายหนาวเท่านั้น แบ่งวนจนครบหมู่จักมากมายได้เช่นไร รึเอ็งจักมิร่วมด้วย ข้าหาได้โกรธเคืองนา ลาภปากข้าเสียมิว่า”


“หากมิถึงขั้นเมามายข้ามิเกี่ยงดอก ยามค่ำมันเย็นเนื้อเย็นหนังดังเอ็งว่า”


“ฮะๆ นั่นปะไร เอ้า ซ่อนไว้ใต้ถุนนี่แล พวกทุรพลมันมิเข้ามายุ่มย่ามนัก ไปๆ ประเดี๋ยวท่านกลินท์มาพบเข้า”


เป็นโชคของทุรพลอีกครั้ง เมื่อพิรัลนลินบังเอิญได้ยินเสียงคล้ายกระซิบกระซาบเข้าพอดี เจ้าสิงห์น้อยได้ทีแนบหูลงกับช่องว่างพื้นเรือน เพื่อให้ได้ยินหัวข้อสนทนานั้นได้ชัดเจน ปากมีหูประตูมีช่อง ร่องเรือนก็เช่นกัน ริมฝีปากอิ่มยิ้มกริ่มกับบทสนทนาที่ได้ยิน ...ดี ค่ำคืนนี้พวกข้าจักได้หลบหนีสะดวกขึ้น แลได้แก้แค้นพวกเจ้าที่ใช้วิธีสกปรกต่อชุมท่านกัญจน์เสียในคราวเดียว


“เจ้าพิรัล ทำอันใดนั่น! แม้จักมีเพียงทุรพลด้วยกัน ก็จงระวังกิริยาให้อยู่ในความสำรวมสักนิดเถิด” มะลุลีหยุดมองมิตรใหม่ นอนคุดคู้แนบใบหน้าลงพื้นเรือนจนก้นโด่ง ทุรพลผู้ได้รับการอบรมกิริยามาอย่างเคร่งครัด อดออกปากตำหนิเสียไม่ได้


“ข้ากำลังหาวิถีทางให้พวกเราไปยังที่หลบซ่อนได้สะดวกอย่างไรเล่า”


“ด้วยการนอนท่าทางประหลาดเยี่ยงนี้รึ”


“หาใช่ไม่ มานี้ๆ มะลุลี เจ้าลงไปเบื้องล่างกับข้าสักประเดี๋ยวเถิด” พิรัลนลินรู้สึกราวกับได้กลับไปเป็นลูกสิงห์อีกครา สิงห์น้อยรีบกลับไปยังเรือนนอนประจำตัว นำผ้านุ่งผืนเก่าของตนออกมาคลี่ขอบชายพกที่ตนพับทบไว้ออก ปรากฏห่อสมุนไพรเล็กๆ สามสี่ห่อแอบซ่อนไว้ ทุรพลหนุ่มเลือกหยิบมาหนึ่งห่อ ภายในห่อผ้านี้เป็นผลจากความดื้อดึงของพิรัลนลิน ทุรพลน้อยไม่ยอมละทิ้งมัน เพราะพิรัลยังคงตั้งมั่นในปณิธานตั้งแต่ครั้งยังเยาว์ว่าจะ 'ไม่คิดงอมืองอเท้าให้โดนเอาเปรียบ ไม่รอคอยโชคชะตาให้ผู้ได้เวทนามาปกป้อง'


พิรัลนลินระลึกเสมอว่าตนจะต้องปกป้องตัวเองให้ได้แม้เพียงน้อยนิด ด้วยการแอบศึกษาพืชพิษนานับชนิดพร้อมๆ กับการศึกษาคุณประโยชน์ในการรักษา เพื่อพลิกใช้มันเป็นอาวุธ แม้การกระทำเช่นนี้เสี่ยงต่อการถูกลงโทษ และอาจถึงขั้นโดนรังเกียจหากความลับนี้ถูกเผยออกมาก็ตาม


ดังเช่นผงลูกดาราพรายในห่อผ้าบนมือพิรัลนลินห่อนี้ พืชชนิดนี้มีคุณนับอนันต์ ไม่ว่าจะเป็นราก แก่น ใบ ดอก หรือผล ทว่าในประโยชน์อันมากมี กลับซ่อนโทษร้ายแรงเอาไว้ คือเนื้อในเมล็ดดาราพรายนั้น หากผู้ใดเผลอกินเข้าไปเพียงน้อยนิด ผู้นั้นจักมีอาการวิงเวียนศีรษะ ตกอยู่ในห่วงอารมณ์เคลิ้มฝัน พูดจาไม่รู้ความราวกับกำลังมึนเมาสุรา ไปจนทำให้ถึงแก่ความตาย หากใช้ในปริมาณมากขึ้น


เมื่อได้ของที่ต้องการแล้ว ทุรพลน้อยไม่รอช้า มือข้างหนึ่งคว้าหยิบตะกร้าสานติดมือ ส่วนอีกข้างก็จับจูงข้อมือมะลุลี ที่ยังคงยืนงุนงงให้เดินตาม พลางกระซิบกระซาบนัดแนะแผนการที่ตนคิดได้ไปด้วย


“ข้าจักวางยามึนพวกตระเวนเรือนในคืนนี้ ข้าได้ยินว่าพวกมันจักแอบมาดื่มสุราที่นี่ เจ้าดูต้นทางที หากมีผู้ใดใกล้เข้ามา ให้ทำทีว่าเราลงมาเด็ดดอกมะลิเสีย”


“ได้ แต่อย่าชักช้าหนาเจ้าพิรัล ข้ากลัวถูกจับได้จนมือไม้สั่นไปเสียหมด” มะลุลีพยักหน้ารับ แม้จะต้องกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ด้วยใบหน้าซีดขาวก็ตาม


“ตั้งสติ หายใจเข้าลึกๆ มะลุลี ข้าจักรีบทำโดยไว”


พิรัลนลินอ้อมเข้าไปยังใต้ถุนเรือน กวาดตามองรอบๆ จนพบเข้ากับไหสุราใบย่อมถูกวางแอบไว้ใกล้เสาเรือนต้นหนึ่งข้างพุ่มแก้ว ทุรพลน้อยค่อยๆ แกะเชือกเพื่อเปิดผ้าปิดปากไหออกมา พาให้กลิ่นสุราลอยฟุ้งจนเจ้าตัวเบ้หน้า สิงห์น้อยค่อยๆ นำห่อผงดาราพรายออกมาจากชายพก ระวังระไวจนถึงกับกลั้นหายใจ เพื่อให้น้ำหนักมือแม่นยำ ด้วยพิรัลนลินเพียงต้องการให้ผู้ดื่มมึนเบลอช่วงครู่ พอให้พวกเขาหนีไปยังที่หลบภัยได้โดยสะดวกเท่านั้น มิได้ต้องการให้ถึงแก่ความตายแต่อย่างใด เพราะเขาได้สลักคำสัตย์เมื่อวันวานไว้ด้วยหัวใจเอาไว้ ทุรพลน้อยจึงไม่คิดบิดพลิ้วแม้เพียงนิด ไม่อยากก่อบาป และ ไม่ต้องการเห็นความผิดหวังในดวงตาของอาคิราที่มีต่อตนอีกเป็นครั้งที่สอง




                    อาทิตย์ยอแสงเตรียมจมลงพื้นธรณีใกล้เข้าสู่ราตรีกาล เดิมเป็นช่วงเวลาที่เคยทำให้ทุรพลทุกตนอกสั่นขวัญแขวนไม่เว้นวันคืน เฝ้าสวดภาวนาให้ผู้ที่จับตนมาไม่นึกอยากเรียกร้องหาตนใดตนหนึ่งไปบำรุงบำเรอกามารมณ์ ให้ต้องอกตรมข่มขื่นทั้งกายใจ ใรเพลานี้กลับต่างออกไป เหล่าทุรพลทั้งหกนั่งรวมกลุ่มกันด้วยความลุ้นระทึก รอคอยการมาถึงของดวงดาราและความมืดมิดด้วยใจจดจ่อ ต่างเตรียมพร้อมตัวเองด้วยการผลัดเปลี่ยนจากผ้านุ่งยาวพลิ้ว เป็นโจงกระเบนและผ้าคลุมตัวสีทึบทึม ทั้งยังช่วยกันหยิบหาผ้าผ่อนมาผูกต่อกันคล้ายเชือกเส้นใหญ่ไว้เตรียมพร้อมตั้งแต่ช่วงบ่ายของวัน


พลันเมื่อดวงจันทร์เสี้ยวขึ้นถึงกลางหัว เสียงกลุ่มฝีเท้าแผ่วเบาผสานเสียงซุบซิบดังขึ้นบริเวณใต้ถุนเรือน กลุ่มทุรพลผู้รอคอยหันมองหน้ากันด้วยดวงตาอันเป็นประกาย พากันยกยิ้มกริ่มเงี่ยหูคอยฟังเสียงความเป็นไปอย่างตื่นตัว ความหวังใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว เพียงแค่รอคอย ให้สุราสูตรพิเศษของพิรัลนลินออกฤทธิ์


“ไปกัน” รอเพียงครึ่งก้านธูป พิรัลนลินอาสาย่องลงไปดูลาดเลาด้านล่างก็เดินลิ่วกลับมา นั่นหมายถึงเหล่าสิงห์ตระเวนยามผู้โชคร้าย ได้เข้าสู้ห้วงมายาไปเป็นที่เรียบร้อย วาริน ทุรพลบัณฑูรสีหะไม่รอช้า เร่งผูกชายผ้าที่ช่วยกันต่อไว้เข้ากับเสาเรือนแน่นหนา ทิ้งชายผ้าอีกฝั่งลงจากหน้าต่างเรือนลงสู่พื้นดินเบื้องล่าง แล้วอาสาโหนตัวลงไปยังด้านล่างก่อน เพื่อรอรับทุรพลตนที่เหลือ


“แม่จำปา แลท่านรำไพ ไหวฤๅไม่จ้ะ”


“ไหวเช่นไรก็ไหว เจ้าอย่าได้กังวลไปเจ้าพิรัล ในท้องข้าคืออุตมางค์เขาจักคุ้มครองแม่ของเขามิให้เป็นอันตราย”


“ข้าเองนั้นมิได้แก่ชราถึงเพียงนั้น เทียบกับที่ข้ารอคอย หนทางเพียงเท่านี้มิได้เหลือบ่ากว่าแรงดอก”


แม้จะทุลักทุเลด้วยต่างไม่เคยกระทำการอันผาดโผนใดๆ มาก่อน แต่หัวจิตหัวใจมีความกระสันอยากเป็นอิสรภาพจากบ่วงพันธนาการอันขื่นขม ทำให้ทุรพลทุกตนกัดฟันพาตัวเองโรยตัวสู่พื้นดินด้านล่างได้สำเร็จ โดยมีพิรัลนลินคอยปิดท้าย


เมื่อผ่านปราการแรกได้ครบทุกตนแล้ว สิงห์น้อยผู้รับบทบาทหัวหน้าคณะก็ไม่ลืมใช้ง่ามไม้ยาวเกี่ยวชายผ้าที่ตนใช้เป็นเครื่องมือช่วยหลบนี้กลับเข้าไปในเรือน เพื่อกลบล่องลอยให้มั่นใจ ว่าตนจักพาพวกพ้องหนีไปยังที่หลบภัยได้ก่อนถูกพบเจอ เมื่อเรียบร้อยสิงห์ร่างบอบบางทุกตนจึงย่องเดินอย่างเงียบเชียบตามพิรัลนลินไปติดๆ ด้วยความระแวงระวัง จนเกือบลืมหายใจ แม้พวกเขาจะกำจัดสิงห์ตระเวนยามไปได้แล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะราบรื่น เมื่อภายในถ้ำแห่งนี้ยังมีสิงห์อีกหลายตน ที่ล้วนแล้วแต่ไม่คิดเอื้ออาทรต่อพวกตนทั้งสิ้น


ขณะออกเดินเท้าเยื้องย่างไปด้านหน้า มือของทุรพลน้อยกลับจรดลงบนชายพกล้วงหยิบตลับใส่สีผึ้งขึ้นมาเปิดออก ภายในปรากฏเป็นตัวต่อสีเงินและสีทองคู่หนึ่งที่ท่านเขมอารัณย์ส่งมอบให้ไว้ก่อนจากมา


“เจ้าพิรัล ต่อเงินต่อทองคู่นี้มีเส้นใยโยงเชื่อมต่อกัน ยามถึงที่หมายเจ้าจงนำตัวหนึ่งขึ้นมากำหนดจิตถึงผู้ที่จักส่งมันไปถึง แลอีกตัวนั้นจงเก็บไว้ข้างกาย เส้นใยแห่งต่อคู่นี้จักนำพาอาคิรามาพบเจ้า เข้าใจถ่องแท้ดีฤๅไม่”


“จ้ะ“


“ประเสริฐนัก จงใช้งานให้สมกับที่ข้าจำต้องเสียสละน้ำโสม แลลดตัวออกแรงร้องลำนำขับกล่อมแก่พวกวิทยาธรเสียหลายราตรี หมดกำลังไปมากโขเสียด้วยเล่า”


“ขอบพระคุณจ้ะ ขอบพระคุณที่ท่านเขมอารัณย์ยอมช่วยเหลือพวกเรา”


“เฮ้อ เช่นไรข้าก็เปรียบดั่งเกลอของราชสีห์ทั้งสี่ ซ้ำเมื่อมารับรู้ความชั่วของพันแสงเช่นนี้แล้วผู้ใดจักดูดายลงเล่า ครั้นจักออกหน้าช่วยพวกเจ้ารบ ข้ามิสามารถล้ำเส้นถึงกระนั้นได้ จึ่งช่วยพวกเจ้าได้เพียงเท่านี้ อย่างไรข้าขออวยพรหนา”


“จ้ะ ท่านเขมอารัณย์อย่าได้กังวล ข้าจักกระทำอย่างรอบคอบ มิยอมให้เกิดข้อผิดพลาดเป็นแน่”

...เพราะพวกเขาสูญเสียมามากมายเกินกว่าจะยอมล้มเหลว


พิรัลนลินหยิบตัวต่อทองขึ้นมาไว้ในฝ่ามือ ตั้งจิตอธิษฐานไปถึงราชสีห์อาคิราผู้ที่คงรอคอยอยู่ด้านนอก พลันต่อทองสลักขยับขาไปมาคล้ายมีชีวิต สีทองอันโดดเด่นแปลงเปลี่ยนเป็นสีดำตามแบบตัวต่อในธรรมชาติ แมลงตัวจิ๋วขยับปีกเล็กๆ กระพือสองสามครั้งยืดเส้นสาย ก่อนโผบินสู่ท้องนภามุ่งตรงไปยังทิศทางด้านนอกถ้ำทันที พิรัลนลินมองตามตัวต่อไปจนสุดสายตา เมื่อหันกลับมามองทางข้างหน้า ทุรพลน้อยถึงกับสะดุ้งตกใจ รู้สึกชาวาบไปทั้งสรรพางค์กาย เมื่อรู้สึกว่าตนได้มองสบกับอุตมางค์รุ่นหนุ่ม กำลังยืนมือไพล่หลังมองตรงมาจากบนเรือนอีกฝั่งถ้ำ!


สองสายตาสบมองอุตมางค์รุ่นตนนั้นนิ่งนานผ่านม่านความมืด ไม่กล้าจะขยับก้าวต่อ ด้วยกลัวว่าความเคลื่อนไหวเพียงน้อยของตนจะทำให้กลินท์ขยับตาม จนพานให้เหล่าทุรพลผู้ติดตามด้านหลังหยุดชะงักไปด้วย พิรัลนลินกลืนน้ำลายอย่างฝืดเฝื่อน ในใจกู่ร้องขอความเมตตาต่อทวยเทพ ให้สิงห์หนุ่มน้อยตนนั้นกำลังทอดสายตาไปไกลเกินกว่าจะสังเกตเห็นเงาร่างของพวกตน


“กลินท์ลูก” นางสิงห์รำไพครวญเสียงแผ่ว


อุตมางค์น้อยตนนั้นคล้ายถอนหายใจหนักพร้อมกับนัยน์ตาคมหลับนิ่งราวอึดใจ เจ้าตัวจึงหันกายกลับเข้าสู่เรือนด้านในไป พาให้ทุรพลทั้งหกถึงกับพรูลมหายใจออกมาหอบใหญ่


“ขอบพระคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพยดา วิญญาณบรรพบุรุษที่ช่วยบังตา“ ลำดวน นางสิงห์เชื้อสายบัณฑูรสีหะ ยกมือประนมท่วมหัวกระซิบฝากคำขอบคุณไปกับลมฟ้า แต่พิรัลนลินกลับรู้สึกแคลงใจเป็นล้นพ้น เมื่อสิงห์น้อยหวนนึกไปถึงเหตุการณ์ยามตนมีโอกาสเจอะเจอมฤคินทร์น้อยตนนั้นทั้งยามไปเก็บใบสาบเสือ และเมื่อครั้งท่าน้ำ...

แน่ฤๅ ที่ท่านกลินท์จักมิเห็นพวกเรา สายตาของราชสีห์ฤๅจักพ่ายแพ้ต่อรัตติกาล มิเห็นฤๅทำเป็นมิเห็นกันแน่หนา...


ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็แล้วแต่ เมื่อเหล่าทุรพลยังปลอดภัย พิรัลนลินไม่อาจรั้งรอ ติณสีหะผู้นำกลุ่มรีบจ้ำพาพวกพ้องลัดเลาะแฝงตัวผ่านความอันธการยามราตรีมุ่งสู่ที่หมายโดยเร็ว ด้วยกลัวว่าความโชคดีที่ได้รับมานั้นจะไม่คอยท่าอยู่ช้านาน...






+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



สิงหา...ถึงนักอ่าน

พี่อาคิราของเราค่าตัวแพงอีกแล้วนะคะสำหรับบทนี้...

และเช่นเคย ขอขอบคุณทุกๆ คอมเมนต์ ผู้เขียนตามอ่านทุกความคิดเห็นเลยค่ะ

หากมีคำผิด หรือจุดที่อยากแนะนำ นักอ่านสะกิดเตือนได้เลยค่ะ

ผู้เขียนน้อมรับฟังนักอ่านทุกท่าน ด้วยความขอบคุณ

พบกับตอนใหม่ ในคืนพรุ่งนี้ นะคะ












« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-10-2019 21:14:37 โดย สิงหา »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด