บทที่ ๑๒
แผนการ
แม้เวลาจักเคลื่อนผ่านจนเกือบพ้นยามราตรี เหล่าทุรพลยังคงเกาะกุมโอบประคองกันและกันกันภายในเรือนนอน การจากไปของ ‘แม่แข’ สร้างความโศกสลดให้แก้ทุรพลทุกตนในที่นี้...ทั้งโศกาและหวาดกลัวจนร่างกายสั่นสะท้านอย่างหากไม่อยู่
“ต่อไปคงมิพ้นข้า” นางสิงห์ติณสีหะหนึ่งในเรือนกล่าวด้วยน้ำเสียงโกรธ ดวงตาคู่สวยสะท้อนแรงแค้นราวมีเปลวเพลิงรุกท่วม
“จักมิเป็นเช่นนั้นจ้ะ” พิรัลโพล่งออกมา หลังจากเผลอปล่อยตัวเองให้จมจ่อมลงในห้วงอารมณ์แห่งความอาดูร พิรัลนลินสูดหายใจเข้าลึก กดเก็บความเศร้าสะเทือนใจไว้ภายใน เพื่อประคองสติและอารมณ์ของตนให้คงมั่น ลุกขึ้นตรงไปยังประตู หน้าต่างจัดการปิดงับลงดาลจนสิ้น หลังเจ้าตัวมองซ้ายขวาจนแน่ใจว่าไม่มีสิงห์ตนใดอยู่ใกล้บริเวณเรือน
“ต่อแต่นี้จักหามีทุรพลตนใดต้องสูญเสีย ข้าจักพาพวกท่านออกไปให้ได้จ้ะ” แม้เสียงแผ่วเบาด้วยการกระซิบพูด ทว่าแววตาที่ส่งต่อไปยังทุรพลตนอื่นหนักแน่นไม่มีความหวั่นไหวแม้เพียงน้อย
“อย่างไรเล่า”
“เพลานี้มีกลุ่มอุตมางค์แลสามัญสิงห์หลายตนเตรียมพร้อมจักเข้ามากำราบพันแสง หากคูหาแห่งนี้ลงอาคมแกร่งกล้ามิหามารถบุกทะลวงเข้ามาได้ ข้าขึงอาสาเข้ามาเป็นนกต่อจ้ะ”
“เจ้าอาสาเข้ามารึ” ทุรพลทุกตนพากันตื่นตะลึงในความกล้าหาญของสิงห์น้อยเบื้องหน้า
วรรณะ ’ ทุรพล’ นั้น มีความหมายในตัวเอง อ่อนแอ ไร้แรงกำลัง คือสิ่งที่สิงห์วรรณะนี้มี ไม่ต้องให้สิงห์วรรณะใดมาชี้หน้า ผู้เกิดมาเป็นทุรพลล้วนรู้ตัวดี พวกเขาทำได้แต่เก็บซ่อนตัวใช้ชีวิตอย่างประมาณตนมาตลอด แม้ยามเอื้อนเอ่ยออกเสียงยังไม่อาจดังไปกว่าเสียงกระซิบ ไม่คิดว่าวันนี้จะมีทุรพลตนใดกล้ากระทำการเสี่ยงอันตรายเช่นนี้...
“ด้วยเมื่อครั้งข้ายังเยาว์ ครอบครัวข้าโดนพันแสงรุกรานทำร้ายมิต่างกัน เดิมทีข้าจักต้องส่งสัญญาณออกไปเมื่อเข้าสู่โถงถ้ำแห่งนี้ได้สำเร็จ ทว่าเมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้... ข้าคิดจักพาพวกท่านหลบซ่อนกายเสียก่อนจ้ะ” พิรัลนลินตัดสินใจ ปรับเปลี่ยนแผนการด้วยตนเอง เพราะพันแสงที่ตนได้รับรู้และประจักษ์แจ้งแก่สายตานั้น สกปรกไร้ศักดิ์ศรีมากกว่าที่คาดคิดไว้
“หากเป็นจริงดั่งเจ้าว่า ข้าหาได้กลัวเกรงสิ่งใดอีกแล้ว มิต้องการหลบซ่อนดอก เจ้ารีบส่งสัญญาณของเจ้าออกไปเสียเถิด” ทุรพลไกรสรเอ่ยค้าน ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้ตนไม่นึกเกรงกลัวสิ่งใดอีกต่อไปแล้ว
“เรามิอาจช่วยเหลือพวกเขาได้ เช่นนั้นจงอย่าได้กระทำตัวเป็นภาระให้พวกเขาต้องพะว้าพะวังอีกเลยจ้ะ ข้าได้เห็นแล้ว สิงห์เช่นพันแสงนั้น พร้อมจักกระทำทุกอย่างเพื่อชัยชำนะ แม้ใช้วิถีอันต่ำสกปรก สิงห์ตนนั้นย่อมพร้อมกระทำเป็นแน่ ข้ามิต้องการให้มันใช้เราเป็นสิ่งต่อรองจ้ะ”
“จริงของเจ้าสิงห์น้อย อย่าได้หุนหันพลันแล่นให้เสียการนักเลยเจ้ามะลุลี” นางสิงห์รำไพกล่าวเตือนสติทุรพลน้อยเสียงอ่อน ทำให้ไกรสรสีหะที่กำลังถูกความเจ็บแค้นครอบงำคล้ายได้สติยั้งคิดขึ้นมา
“ประการแรกข้าต้องรู้แน่เสียก่อน ว่านอกจากพวกท่านยังมีทุรพลตนอื่นอีกฤๅไม่จ๊ะ”
“หามีไม่แล้วเจ้า มีเพียงพวกเราเท่านี้แล” ทุรพลหนุ่มเจ้าของผิวสีจำปาตอบด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย
“แต่...ราชสีห์พันแสงทำการรวบรวมทุรพลมาหลายเพลา น่าจักมีโขกว่านี้นี่จ๊ะ” พิรัลขมวดคิ้ว เขารู้ว่าพันแสงเริ่มรวบรวมทุรพลมายาวนานร่วมสิบปี แต่ทุรพลเบื้องหน้าเขานั้นนับรวมเช่นไรก็มีเพียงห้าตนเท่านั้น ทั้งแต่ละตนดูอายุอานามมิได้มากมายกว่าพิรัลนลินไปเสียเท่าไร
“ทำอัตวินิบาตกรรมตนเองเสียจนสิ้น หากมิตั้งท้องเสียก่อน ข้าคงมิแคล้วกัน เพียงคราเดียวหลังเข้าฤดูแรกเท่านั้น เบื้องบนมิได้เมตตามอบทางเลือกแก่ข้าเลย” สิงห์สาวยกมือลูบท้องของตนไปมา น้ำเสียงหวานเอื้อนเอ่ยสั่นเครือด้วยกลั้นสะอื้น
“โดนกระทำย่ำยียังมิเจ็บปวดเท่าเห็นลูกของตัวเองกระทำผิดคิดชั่ว ข้าเองหากมิต้องการรั้งพันแสงไว้ เพื่อมิให้ไปผูกกรรม กับทุรพลตนอื่นอีก คงมิฝืนทนเช่นกัน” นางสิงห์รำไพผู้มีวัยวุฒสูงสุดในเรือนกล่าวเสริม ในตางามเหม่อมองไปไกลสุดหยั่งถึงเรื่องราวเมื่อหนหลัง
นางเป็นเมียตนที่สองของพันแสง เมื่อ ’นางสิงห์สุริยง’ เมียแรกตรอมใจตายจากไป หลังสูญเสียลูกชายตนแรกอย่างไม่มีวันหวนกลับ ด้วยสิงห์หนุ่มอาสาพ่อออกไปฉุดทุรพลตนหนึ่ง แม้จะเสียลูกไปราชสีห์พันแสงยังไม่คิดหยุดยั้ง มิหนำซ้ำยิ่งแสดงความโหดเหี้ยมมากขึ้นจนเกินรับไหว ทิ้งไว้เพียง วิวัสวาน บุตรชายคนรองผู้สืบทอด’ ความเป็นพันแสง ‘มาทุกกระเบียดนิ้วไว้แทนตน
คราแรกรำไพคิดดับชีวิตตนเองไปเสียหลังหมดจากการร่วมฤดูกับพันแสง อนิจจาไม่ว่ากรงเล็บหรืออาวุธร้ายเพียงใดก็ไม่อาจกล้ำกรายนางได้ ด้วยนางกำลังตั้งครรภ์อุตมางค์น้อยให้แก่พันแสงเสียแล้ว รำไพมีบุตรอุตมางค์ให้พันแสงสองตน ‘ภาสกร‘ ผู้พี่ และ ‘กลินท์’ ผู้น้อง ด้วยรำไพมีสภาพจิตใจย่ำแย่พาให้ร่างกายอ่อนแอ กลินท์จึงเป็นลูกตนสุดท้ายที่นางสามารถมีให้แก่พันแสงได้ เมื่อรู้ถึงความจริงข้อนี้คราแรกพันแสงอยากกำจัดนางไปเสีย ด้วยต้องการมีทุรพลตนใหม่มาแทนที่เพื่อมีทายาทให้มากมาเป็นกำลังแก่ตนเอง แต่รำไพกลับไม่ยินยอมนางยังสู้ทนมีชีวิตอยู่เพื่อขัดขวางพันแสงให้ถึงที่สุด แม้นางได้เลี้ยงดูอุ้มชูกลินท์จนรู้ความสุดท้ายไม่พ้นถูกผู้เป็นพ่อพรากไป เพื่อฝึกปรือไว้ใช้เป็นมือเท้าเคียงคู่กับพี่ชายทั้งสอง นางรำไพได้แต่พยายามกราบไหว้เทพเทวาทุกค่ำคืนให้ลูกชายตนหนึ่งตนใดมีความเมตตาต่อนาง ต่อทุรพลตนอื่นบ้าง
กระนั้นวิวัสวานเมื่อเติบใหญ่กลับช่วยพ่อสืบเจตนารมณ์ไม่มีตกหล่น อุตมางค์ตนนั้นให้กำเนิดทายาทอุตมางค์อายุวัยไล่เลี่ยกับ เจ้ากลินท์ อีกสี่ตน โดยเมียทุรพลของเขานั้นตรอมใจปลิดชีพตัวเองไปสิ้น การกำเนิดอุตมางค์เลยเว้นว่างไปได้หลายครา เพราะแม้จะจับทุรพลกลับมาได้ ก็หามีตนใดยินยอมเป็นเครื่องมือก่อกรรมอีก
“เพลานี้ยังคงสลัวราง สิงห์ตนอื่นมิทันตื่นมาเคลื่อนไหวมากนัก ข้าจัก ทำทีไปอาบน้ำ เพื่อขอออกไปสำรวจที่ทาง ท่านรำไพคิดเห็นประการใดจ๊ะ” พิรัลนลินแง้มบานหน้าต่างมองออกไปยังผืนฟ้ายามใกล้รุ่ง สลับก้มมองเนื้อตัวเปรอะเปื้อนคราบดินคราบเลือด แล้วขอความเห็น
“เจ้าจักทำการสิ่งใด มีหนทางแล้วรึ”
“จ้ะ หากเป็นดั่งข้าหวัง เราจักมีที่พำนักที่ปลอดภัย” เมื่อเห็นสิงห์น้อยผู้มาใหม่พยักหน้ารับแข็งขัน รำไพนิ่งตรองเพียงครู่ค่อยพยักหน้าเป็นการสนับสนุน
“เหมาะดีเทียว ข้าจักไปเป็นเพื่อนเจ้า หากเดินท่อมๆ ไปผู้เดียวนั้นแลผิดสังเกตนัก” มะลุลีขันอาสาช่วยพิรัลนลินอีกทาง เมื่อเห็นทุรพลตนนี้เข้มแข็งกล้าหาญเพียงนี้ และผู้มีอาวุโสเห็นดีเห็นงาม มะลุลีก็ให้รู้สึกมีกำลังใจ กล้าที่จะคิดทำสิ่งต่างๆ ตามมา... อย่างที่ทั้งชีวิตทุรพลน้อยไม่เคยเป็นมาก่อน
“กระทำสิ่งใดจงรอบคอบ หูตาจงว่องไว ระมัดระวังตัวให้มากเล่า”
“จ้ะ” หลังรับคำ ทุรพลทั้งคู่ต่างพากันแยกย้ายไปจัดเตรียมผ้าผ่อนเพื่อลงท่าน้ำให้สมจริงสมจัง เดินเคียงคู่กันไปยังท่าอาบน้ำสำหรับทุรพลโดยพยายามไม่ทำตัวให้เป็นพิรุธ
“มะลุลี เจ้ารอข้าที่ท่าน้ำนี้หนา หากเกิดมีผู้ใดพบเข้า ค่อยทำทีว่าเราผลัดกัน”
“ระวังตัวด้วย” พิรัลกระชับผ้าคลุมเมื่อรู้สึกถึงกระแสอากาศลมเย็นเฉียบกระทบกาย สิงห์น้อยเลือกพันห่อร่างกายด้วยแพรย้อมมะเกลือสีเข้มกลืนไปกับบรรยากาศแวดล้อม ค่อยๆ สืบเท้าเดินเลาะผ่านท่าอาบน้ำเดินเลียบไปตามแนวถ้ำ เช่นเดียวกับที่ตนเคยทำมาแล้วหนหนึ่ง แม้บ้านเรือนและเครื่องตกแต่งภายในคูหาแห่งพันแสงจะมีความแตกต่างไปบ้าง แต่พิรัลภาวนาให้ ‘สถานที่แห่งนั้น’ ยังคงอยู่
เมื่อเดินล่วงเข้ามาถึงด้านท้ายคูหา ฝ่ามือเล็กค่อยๆ ลูบละไล้บนผนังถ้ำ จนกระทั่งนัยน์ตากลมสังเกตเห็นผนังจุดหนึ่งเกิดเป็นแสงระยิบระยับ พิรัลเผลอยกยิ้มด้วยความดีใจ กระนั้นสิงห์น้อยยังไม่ลืมหันกลับไปมองซ้ายแลขวารอบกายด้วยความระแวงระวัง แล้วค่อยเร้นกายเข้าสู้เรือนลับหลังผนังถ้ำอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าปลอดโปร่งไร้เงาสิงห์ตนอื่น
ยามอย่างก้าวเข้ามา ภายในเรือนเล็กแห่งนี้ช่างคล้ายคลึงกับ ‘อีกที่’ ราวจับวาง ไม่มีสิ่งใดผิดเพี้ยนไปแม้กระผีก...คล้ายกันมากเสียจนทำให้ความรู้สึกกระดากอายของพิรัลนลินตีรวนขึ้นมาในอกเป็นระลอก
ทุรพลน้อยรีบสะบัดหน้าไล่ความคิดว่อกแว่กออกจากหัว กวาดสายตาสำรวจภายในอย่างละเอียดลออ หากไม่มีร่องรอยของการหยิบจับใช้สอยสิ่งของอื่นใด บ่งบอกว่าเรือนแห่งนี้ยังคงเป็นความลับ พิรัลยิ้มยินดีอีกครั้ง ก่อนจะรีบพาตัวเองกลับออกมาก่อนแสงอรุโณทัยสาดส่องจนสิงห์ตนอื่นๆ ตื่นขึ้นมาดำเนินชีวิตกันให้วุ่นวายอยากต่อการหลบซ่อน
“ทุรพล! ไยเจ้ามาเพ่นพ่านแถวนี้” แม้พิรัลจะระมัดระวัง กลับยังไม่อาจพ้นสายตาของอุตมางค์ผู้เดินเวรยามได้
'กลินท์' นามนี้พิรัลได้ยินเหล่าสามัญสิงห์เรียกขานเมื่อคราพบกันครั้งแรก คะเนจากสายตาสิงห์หนุ่มผู้นี้ อ่อนวัยกว่าพิรัลไม่มากนัก แม้ร่างกายยังไม่เติบโตเต็มที่ แต่ลักษณะนั้นองอาจทรงอำนาจเสียจนทุรพลนึกเกรง ค่ำคืนจวบจนจวนฟ้าสางพิรัลปะหน้าอุตมางค์ตนนี้ถึงสองครา...หรือจักถูกจับตามองเข้าเสียแล้ว
“ข้าลงมาอาบน้ำจ้ะ แลเห็นพุ่มสมุนไพรด้านนี้ ข้าเลยขอมะลุลีออกมาดู เมื่อยามคิดกลับ กลับหลงลืมทิศทาง”
“เจ้าพิรัล เจ้าพิรัล เฮ้อ ข้าตามหาเจ้าเสียทั่ว กะอยู่เทียวว่าจักต้องหลง ท่านกลินท์ โปรดอย่าหาความจากมันเลยนะจ๊ะ” มะลุลีเห็นสิงห์หนุ่มน้อยเดินผ่านท่าอาบน้ำที่ตนเฝ้าอยู่ เขาเลยตัดสินใจรีบเดินติดตามมา ช่วยพูดตามแผนที่ได้เตรียมไว้ และดูเหมือนโชคชะตาจะกลับมาเข้าข้างทุรพลเช่นพวกตนบ้าง เมื่อกลินท์พยักหน้าไล่ส่งทุรพลทั้งสองให้กลับเรือนอย่างง่ายดาย หลังเพ่งมองใบหน้าพิรัลนลินนิ่งนานจนทุรพลทั้งสองนึกหวั่น
“เจ้าจงระมัดระวังตัวให้มากขึ้น หากคราหน้าหาใช่ข้า เจ้าจักเดือดร้อน” เสียงที่เพิ่งเริ่มทุ้มตามช่วงวัยกล่าวไล่หลัง ทำให้พิรัลนลินนิ่งงัน ทุรพลหันกลับไปมองอุตมางค์น้อยอีกครา สองสายตาสบกันนิ่งนาน
“จ้ะ ข้าจักระวัง ทว่าข้านั้นโง่งมนัก หากพลั้งเผลอพลาดผิดประการใด ขอท่านกลินท์กรุณาข้าด้วยนะจ๊ะ” ไกรสรสีหะน้อยไม่เอ่ยสิ่งใดออกมา เขาเพียงกดใบหน้าลงหนึ่งครั้ง เป็นการแสดงท่าทางยอมรับคำแล้วเดินจากไป
“ท่านกลินท์เป็นลูกของราชสีห์พันแสงแลท่านรำไพ ท่านกลินท์เป็นลูกสุดท้องได้อยู่กับอกท่านรำไพนานพอดู อาจเพราะใกล้ชิดแม่มากกระมัง ถึงเข้าอกเข้าใจทุรพลเช่นเรามากกว่าตนอื่น” เมื่อเห็นว่าพ้นเขตการได้ยิน มะลุลีก็รีบกระซิบบอก
“ลางที หนทางแห่งการหลุดพ้นของพวกเรา คงราบรื่นมากกว่าที่หวังกระมัง” พิรัลนลินยิ้มบางเบา ขอให้สัญชาตญาณของเขาแม่นยำด้วยเถิด
“เหตุใดต่อเงินต่อทองของเจ้าพิรัลยังมิออกมา” อาคิราบ่นสบถกับตนเองงึมงำ สีหราชหนุ่มรู้สึกร้อนรุ่มในอกจนแทบกระอักออกมาผลาญพนาให้มอดไหม้เป็นจุณ เพลานี้อุตมางค์หนุ่มทั้งห่วง ทั้งหวง ‘นกต่อ’ ของเขา จนไม่อาจนิ่งเฉยได้ เมื่อยามนี้พิรัลนลินควรส่งสัญญาณกลับออกมาจากภายในถ้ำแห่งนั้นได้แล้ว กลับยังไร้วี่แวว
...ไวเถิดเจ้าพิรัล อย่ารังแกใจพี่ให้มากนักเลย
“ข้ารู้ว่าท่านห่วงใยเจ้าสิงห์น้อยปานใด เฮ้อ ...อาคิราเจ้าพิรัลนั้นไหวพริบดีมิน้อย แลท่านนิลปารัชญ์ทำนายไว้แล้วว่าพวกเราจักสำเร็จลุล่วงด้วยดี จงสงบจิตสงบใจลงเสียเถิด” ธีมารวีตบบ่าแกร่งของน้องชายหนักๆ ความห่วงหาในผู้เป็นที่รักยามห่างไกล ซ้ำยังตกอยู่ในสถานที่เสี่ยงอันตรายรู้สึกเช่นไร นางที่มอบใจรักให้แก่ศศินไปแล้วเช่นกันย่อมเข้าใจอาคิราดีที่สุด
“หากวันพรุ่งเจ้าพิรัลยังมิส่งสัญญาณใดออกมา ข้าจักทำทุกวิถีทางเพื่อบุกเข้าไป” แม้เสียงทุ้มยามกล่าวออกมานั้นฟังดูสงบราบเรียบ แต่ธีมารวีรู้ดีว่าภายในของราชสีห์หนุ่มผู้นี้กำลังร้อนรุ่มมากเพียงใด
แต่เมื่อคราต้องทำหน้าที่ความรู้สึกอื่นใดที่จะมีผลต่อสมาธิและสติยามพุ่งรบเข้าฟาดฟันศัตรู ผู้เป็นนักรบย่อมต้องตัดให้ขาด หรืออย่างน้อยควรเก็บกดมันไว้ให้ลึกสุดหยั่งเพียงเท่านั้น นี่คือสิ่งที่นางทำมาเสมอเพื่อจะได้พาตัวเองกลับไปหาศศินที่รอคอยนางอยู่ ...นางสิงห์ถอนหายใจหนัก หวังว่าน้องชายผู้ครองความสงบนิ่งมาเนิ่นนานจักไม่ตกม้าตายยามนี้
เพลานี้ดวงตะวันพ้นขอบฟ้าจนเต็มดวง แสงสว่างอุ่นร้อนฉายส่องทั่วถ้วนพสุธาไม่อาจสร้างหยาดเหงื่อได้อีก เมื่อมีสายลมเย็นเยือกพัดกรูเกรียวส่งสัญญาณให้เหล่าสิงห์ที่ยังไม่มีตบะญาณแก่กล้าตระเตรียมผ้าห่มไว้คลุมกายรับเหมันต์ฤดู
“ใกล้เข้าเหมันต์เช่นนี้ ยามตระเวนรอบดึกอากาศเย็นนัก ข้าเลยเตรียมนี่ไว้ให้พวกเอ็ง” สิงห์วัยฉกรรจ์ป้องปากกระซิบเพื่อน กันพวกสอดรู้
“เหวย เอ็งมันหาเรื่องนัก ประเดี๋ยวจักโดนทัณฑ์กันทั้งหมดทั้งสิ้น”
“หาได้ดื่มกินเสียเมามาย เพียงคนละนิดละหน่อยพอเป็นกระสายให้คลายหนาวเท่านั้น แบ่งวนจนครบหมู่จักมากมายได้เช่นไร รึเอ็งจักมิร่วมด้วย ข้าหาได้โกรธเคืองนา ลาภปากข้าเสียมิว่า”
“หากมิถึงขั้นเมามายข้ามิเกี่ยงดอก ยามค่ำมันเย็นเนื้อเย็นหนังดังเอ็งว่า”
“ฮะๆ นั่นปะไร เอ้า ซ่อนไว้ใต้ถุนนี่แล พวกทุรพลมันมิเข้ามายุ่มย่ามนัก ไปๆ ประเดี๋ยวท่านกลินท์มาพบเข้า”
เป็นโชคของทุรพลอีกครั้ง เมื่อพิรัลนลินบังเอิญได้ยินเสียงคล้ายกระซิบกระซาบเข้าพอดี เจ้าสิงห์น้อยได้ทีแนบหูลงกับช่องว่างพื้นเรือน เพื่อให้ได้ยินหัวข้อสนทนานั้นได้ชัดเจน ปากมีหูประตูมีช่อง ร่องเรือนก็เช่นกัน ริมฝีปากอิ่มยิ้มกริ่มกับบทสนทนาที่ได้ยิน ...ดี ค่ำคืนนี้พวกข้าจักได้หลบหนีสะดวกขึ้น แลได้แก้แค้นพวกเจ้าที่ใช้วิธีสกปรกต่อชุมท่านกัญจน์เสียในคราวเดียว
“เจ้าพิรัล ทำอันใดนั่น! แม้จักมีเพียงทุรพลด้วยกัน ก็จงระวังกิริยาให้อยู่ในความสำรวมสักนิดเถิด” มะลุลีหยุดมองมิตรใหม่ นอนคุดคู้แนบใบหน้าลงพื้นเรือนจนก้นโด่ง ทุรพลผู้ได้รับการอบรมกิริยามาอย่างเคร่งครัด อดออกปากตำหนิเสียไม่ได้
“ข้ากำลังหาวิถีทางให้พวกเราไปยังที่หลบซ่อนได้สะดวกอย่างไรเล่า”
“ด้วยการนอนท่าทางประหลาดเยี่ยงนี้รึ”
“หาใช่ไม่ มานี้ๆ มะลุลี เจ้าลงไปเบื้องล่างกับข้าสักประเดี๋ยวเถิด” พิรัลนลินรู้สึกราวกับได้กลับไปเป็นลูกสิงห์อีกครา สิงห์น้อยรีบกลับไปยังเรือนนอนประจำตัว นำผ้านุ่งผืนเก่าของตนออกมาคลี่ขอบชายพกที่ตนพับทบไว้ออก ปรากฏห่อสมุนไพรเล็กๆ สามสี่ห่อแอบซ่อนไว้ ทุรพลหนุ่มเลือกหยิบมาหนึ่งห่อ ภายในห่อผ้านี้เป็นผลจากความดื้อดึงของพิรัลนลิน ทุรพลน้อยไม่ยอมละทิ้งมัน เพราะพิรัลยังคงตั้งมั่นในปณิธานตั้งแต่ครั้งยังเยาว์ว่าจะ 'ไม่คิดงอมืองอเท้าให้โดนเอาเปรียบ ไม่รอคอยโชคชะตาให้ผู้ได้เวทนามาปกป้อง'
พิรัลนลินระลึกเสมอว่าตนจะต้องปกป้องตัวเองให้ได้แม้เพียงน้อยนิด ด้วยการแอบศึกษาพืชพิษนานับชนิดพร้อมๆ กับการศึกษาคุณประโยชน์ในการรักษา เพื่อพลิกใช้มันเป็นอาวุธ แม้การกระทำเช่นนี้เสี่ยงต่อการถูกลงโทษ และอาจถึงขั้นโดนรังเกียจหากความลับนี้ถูกเผยออกมาก็ตาม
ดังเช่นผงลูกดาราพรายในห่อผ้าบนมือพิรัลนลินห่อนี้ พืชชนิดนี้มีคุณนับอนันต์ ไม่ว่าจะเป็นราก แก่น ใบ ดอก หรือผล ทว่าในประโยชน์อันมากมี กลับซ่อนโทษร้ายแรงเอาไว้ คือเนื้อในเมล็ดดาราพรายนั้น หากผู้ใดเผลอกินเข้าไปเพียงน้อยนิด ผู้นั้นจักมีอาการวิงเวียนศีรษะ ตกอยู่ในห่วงอารมณ์เคลิ้มฝัน พูดจาไม่รู้ความราวกับกำลังมึนเมาสุรา ไปจนทำให้ถึงแก่ความตาย หากใช้ในปริมาณมากขึ้น
เมื่อได้ของที่ต้องการแล้ว ทุรพลน้อยไม่รอช้า มือข้างหนึ่งคว้าหยิบตะกร้าสานติดมือ ส่วนอีกข้างก็จับจูงข้อมือมะลุลี ที่ยังคงยืนงุนงงให้เดินตาม พลางกระซิบกระซาบนัดแนะแผนการที่ตนคิดได้ไปด้วย
“ข้าจักวางยามึนพวกตระเวนเรือนในคืนนี้ ข้าได้ยินว่าพวกมันจักแอบมาดื่มสุราที่นี่ เจ้าดูต้นทางที หากมีผู้ใดใกล้เข้ามา ให้ทำทีว่าเราลงมาเด็ดดอกมะลิเสีย”
“ได้ แต่อย่าชักช้าหนาเจ้าพิรัล ข้ากลัวถูกจับได้จนมือไม้สั่นไปเสียหมด” มะลุลีพยักหน้ารับ แม้จะต้องกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ด้วยใบหน้าซีดขาวก็ตาม
“ตั้งสติ หายใจเข้าลึกๆ มะลุลี ข้าจักรีบทำโดยไว”
พิรัลนลินอ้อมเข้าไปยังใต้ถุนเรือน กวาดตามองรอบๆ จนพบเข้ากับไหสุราใบย่อมถูกวางแอบไว้ใกล้เสาเรือนต้นหนึ่งข้างพุ่มแก้ว ทุรพลน้อยค่อยๆ แกะเชือกเพื่อเปิดผ้าปิดปากไหออกมา พาให้กลิ่นสุราลอยฟุ้งจนเจ้าตัวเบ้หน้า สิงห์น้อยค่อยๆ นำห่อผงดาราพรายออกมาจากชายพก ระวังระไวจนถึงกับกลั้นหายใจ เพื่อให้น้ำหนักมือแม่นยำ ด้วยพิรัลนลินเพียงต้องการให้ผู้ดื่มมึนเบลอช่วงครู่ พอให้พวกเขาหนีไปยังที่หลบภัยได้โดยสะดวกเท่านั้น มิได้ต้องการให้ถึงแก่ความตายแต่อย่างใด เพราะเขาได้สลักคำสัตย์เมื่อวันวานไว้ด้วยหัวใจเอาไว้ ทุรพลน้อยจึงไม่คิดบิดพลิ้วแม้เพียงนิด ไม่อยากก่อบาป และ ไม่ต้องการเห็นความผิดหวังในดวงตาของอาคิราที่มีต่อตนอีกเป็นครั้งที่สอง
อาทิตย์ยอแสงเตรียมจมลงพื้นธรณีใกล้เข้าสู่ราตรีกาล เดิมเป็นช่วงเวลาที่เคยทำให้ทุรพลทุกตนอกสั่นขวัญแขวนไม่เว้นวันคืน เฝ้าสวดภาวนาให้ผู้ที่จับตนมาไม่นึกอยากเรียกร้องหาตนใดตนหนึ่งไปบำรุงบำเรอกามารมณ์ ให้ต้องอกตรมข่มขื่นทั้งกายใจ ใรเพลานี้กลับต่างออกไป เหล่าทุรพลทั้งหกนั่งรวมกลุ่มกันด้วยความลุ้นระทึก รอคอยการมาถึงของดวงดาราและความมืดมิดด้วยใจจดจ่อ ต่างเตรียมพร้อมตัวเองด้วยการผลัดเปลี่ยนจากผ้านุ่งยาวพลิ้ว เป็นโจงกระเบนและผ้าคลุมตัวสีทึบทึม ทั้งยังช่วยกันหยิบหาผ้าผ่อนมาผูกต่อกันคล้ายเชือกเส้นใหญ่ไว้เตรียมพร้อมตั้งแต่ช่วงบ่ายของวัน
พลันเมื่อดวงจันทร์เสี้ยวขึ้นถึงกลางหัว เสียงกลุ่มฝีเท้าแผ่วเบาผสานเสียงซุบซิบดังขึ้นบริเวณใต้ถุนเรือน กลุ่มทุรพลผู้รอคอยหันมองหน้ากันด้วยดวงตาอันเป็นประกาย พากันยกยิ้มกริ่มเงี่ยหูคอยฟังเสียงความเป็นไปอย่างตื่นตัว ความหวังใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว เพียงแค่รอคอย ให้สุราสูตรพิเศษของพิรัลนลินออกฤทธิ์
“ไปกัน” รอเพียงครึ่งก้านธูป พิรัลนลินอาสาย่องลงไปดูลาดเลาด้านล่างก็เดินลิ่วกลับมา นั่นหมายถึงเหล่าสิงห์ตระเวนยามผู้โชคร้าย ได้เข้าสู้ห้วงมายาไปเป็นที่เรียบร้อย วาริน ทุรพลบัณฑูรสีหะไม่รอช้า เร่งผูกชายผ้าที่ช่วยกันต่อไว้เข้ากับเสาเรือนแน่นหนา ทิ้งชายผ้าอีกฝั่งลงจากหน้าต่างเรือนลงสู่พื้นดินเบื้องล่าง แล้วอาสาโหนตัวลงไปยังด้านล่างก่อน เพื่อรอรับทุรพลตนที่เหลือ
“แม่จำปา แลท่านรำไพ ไหวฤๅไม่จ้ะ”
“ไหวเช่นไรก็ไหว เจ้าอย่าได้กังวลไปเจ้าพิรัล ในท้องข้าคืออุตมางค์เขาจักคุ้มครองแม่ของเขามิให้เป็นอันตราย”
“ข้าเองนั้นมิได้แก่ชราถึงเพียงนั้น เทียบกับที่ข้ารอคอย หนทางเพียงเท่านี้มิได้เหลือบ่ากว่าแรงดอก”
แม้จะทุลักทุเลด้วยต่างไม่เคยกระทำการอันผาดโผนใดๆ มาก่อน แต่หัวจิตหัวใจมีความกระสันอยากเป็นอิสรภาพจากบ่วงพันธนาการอันขื่นขม ทำให้ทุรพลทุกตนกัดฟันพาตัวเองโรยตัวสู่พื้นดินด้านล่างได้สำเร็จ โดยมีพิรัลนลินคอยปิดท้าย
เมื่อผ่านปราการแรกได้ครบทุกตนแล้ว สิงห์น้อยผู้รับบทบาทหัวหน้าคณะก็ไม่ลืมใช้ง่ามไม้ยาวเกี่ยวชายผ้าที่ตนใช้เป็นเครื่องมือช่วยหลบนี้กลับเข้าไปในเรือน เพื่อกลบล่องลอยให้มั่นใจ ว่าตนจักพาพวกพ้องหนีไปยังที่หลบภัยได้ก่อนถูกพบเจอ เมื่อเรียบร้อยสิงห์ร่างบอบบางทุกตนจึงย่องเดินอย่างเงียบเชียบตามพิรัลนลินไปติดๆ ด้วยความระแวงระวัง จนเกือบลืมหายใจ แม้พวกเขาจะกำจัดสิงห์ตระเวนยามไปได้แล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะราบรื่น เมื่อภายในถ้ำแห่งนี้ยังมีสิงห์อีกหลายตน ที่ล้วนแล้วแต่ไม่คิดเอื้ออาทรต่อพวกตนทั้งสิ้น
ขณะออกเดินเท้าเยื้องย่างไปด้านหน้า มือของทุรพลน้อยกลับจรดลงบนชายพกล้วงหยิบตลับใส่สีผึ้งขึ้นมาเปิดออก ภายในปรากฏเป็นตัวต่อสีเงินและสีทองคู่หนึ่งที่ท่านเขมอารัณย์ส่งมอบให้ไว้ก่อนจากมา
“เจ้าพิรัล ต่อเงินต่อทองคู่นี้มีเส้นใยโยงเชื่อมต่อกัน ยามถึงที่หมายเจ้าจงนำตัวหนึ่งขึ้นมากำหนดจิตถึงผู้ที่จักส่งมันไปถึง แลอีกตัวนั้นจงเก็บไว้ข้างกาย เส้นใยแห่งต่อคู่นี้จักนำพาอาคิรามาพบเจ้า เข้าใจถ่องแท้ดีฤๅไม่”
“จ้ะ“
“ประเสริฐนัก จงใช้งานให้สมกับที่ข้าจำต้องเสียสละน้ำโสม แลลดตัวออกแรงร้องลำนำขับกล่อมแก่พวกวิทยาธรเสียหลายราตรี หมดกำลังไปมากโขเสียด้วยเล่า”
“ขอบพระคุณจ้ะ ขอบพระคุณที่ท่านเขมอารัณย์ยอมช่วยเหลือพวกเรา”
“เฮ้อ เช่นไรข้าก็เปรียบดั่งเกลอของราชสีห์ทั้งสี่ ซ้ำเมื่อมารับรู้ความชั่วของพันแสงเช่นนี้แล้วผู้ใดจักดูดายลงเล่า ครั้นจักออกหน้าช่วยพวกเจ้ารบ ข้ามิสามารถล้ำเส้นถึงกระนั้นได้ จึ่งช่วยพวกเจ้าได้เพียงเท่านี้ อย่างไรข้าขออวยพรหนา”
“จ้ะ ท่านเขมอารัณย์อย่าได้กังวล ข้าจักกระทำอย่างรอบคอบ มิยอมให้เกิดข้อผิดพลาดเป็นแน่”
...เพราะพวกเขาสูญเสียมามากมายเกินกว่าจะยอมล้มเหลว
พิรัลนลินหยิบตัวต่อทองขึ้นมาไว้ในฝ่ามือ ตั้งจิตอธิษฐานไปถึงราชสีห์อาคิราผู้ที่คงรอคอยอยู่ด้านนอก พลันต่อทองสลักขยับขาไปมาคล้ายมีชีวิต สีทองอันโดดเด่นแปลงเปลี่ยนเป็นสีดำตามแบบตัวต่อในธรรมชาติ แมลงตัวจิ๋วขยับปีกเล็กๆ กระพือสองสามครั้งยืดเส้นสาย ก่อนโผบินสู่ท้องนภามุ่งตรงไปยังทิศทางด้านนอกถ้ำทันที พิรัลนลินมองตามตัวต่อไปจนสุดสายตา เมื่อหันกลับมามองทางข้างหน้า ทุรพลน้อยถึงกับสะดุ้งตกใจ รู้สึกชาวาบไปทั้งสรรพางค์กาย เมื่อรู้สึกว่าตนได้มองสบกับอุตมางค์รุ่นหนุ่ม กำลังยืนมือไพล่หลังมองตรงมาจากบนเรือนอีกฝั่งถ้ำ!
สองสายตาสบมองอุตมางค์รุ่นตนนั้นนิ่งนานผ่านม่านความมืด ไม่กล้าจะขยับก้าวต่อ ด้วยกลัวว่าความเคลื่อนไหวเพียงน้อยของตนจะทำให้กลินท์ขยับตาม จนพานให้เหล่าทุรพลผู้ติดตามด้านหลังหยุดชะงักไปด้วย พิรัลนลินกลืนน้ำลายอย่างฝืดเฝื่อน ในใจกู่ร้องขอความเมตตาต่อทวยเทพ ให้สิงห์หนุ่มน้อยตนนั้นกำลังทอดสายตาไปไกลเกินกว่าจะสังเกตเห็นเงาร่างของพวกตน
“กลินท์ลูก” นางสิงห์รำไพครวญเสียงแผ่ว
อุตมางค์น้อยตนนั้นคล้ายถอนหายใจหนักพร้อมกับนัยน์ตาคมหลับนิ่งราวอึดใจ เจ้าตัวจึงหันกายกลับเข้าสู่เรือนด้านในไป พาให้ทุรพลทั้งหกถึงกับพรูลมหายใจออกมาหอบใหญ่
“ขอบพระคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพยดา วิญญาณบรรพบุรุษที่ช่วยบังตา“ ลำดวน นางสิงห์เชื้อสายบัณฑูรสีหะ ยกมือประนมท่วมหัวกระซิบฝากคำขอบคุณไปกับลมฟ้า แต่พิรัลนลินกลับรู้สึกแคลงใจเป็นล้นพ้น เมื่อสิงห์น้อยหวนนึกไปถึงเหตุการณ์ยามตนมีโอกาสเจอะเจอมฤคินทร์น้อยตนนั้นทั้งยามไปเก็บใบสาบเสือ และเมื่อครั้งท่าน้ำ...
แน่ฤๅ ที่ท่านกลินท์จักมิเห็นพวกเรา สายตาของราชสีห์ฤๅจักพ่ายแพ้ต่อรัตติกาล มิเห็นฤๅทำเป็นมิเห็นกันแน่หนา...
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็แล้วแต่ เมื่อเหล่าทุรพลยังปลอดภัย พิรัลนลินไม่อาจรั้งรอ ติณสีหะผู้นำกลุ่มรีบจ้ำพาพวกพ้องลัดเลาะแฝงตัวผ่านความอันธการยามราตรีมุ่งสู่ที่หมายโดยเร็ว ด้วยกลัวว่าความโชคดีที่ได้รับมานั้นจะไม่คอยท่าอยู่ช้านาน...
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สิงหา...ถึงนักอ่าน
พี่อาคิราของเราค่าตัวแพงอีกแล้วนะคะสำหรับบทนี้...
และเช่นเคย ขอขอบคุณทุกๆ คอมเมนต์ ผู้เขียนตามอ่านทุกความคิดเห็นเลยค่ะ
หากมีคำผิด หรือจุดที่อยากแนะนำ นักอ่านสะกิดเตือนได้เลยค่ะ
ผู้เขียนน้อมรับฟังนักอ่านทุกท่าน ด้วยความขอบคุณ
พบกับตอนใหม่ ในคืนพรุ่งนี้ นะคะ