บทที่ ๒
สู่คูหาสรรพยา
การเดินของคณะสิงห์หมอยาและลูกสิงห์ทุรพลทางเป็นไปอย่างราบรื่น ทั้งหมดใช้เวลาเดินทางเพียงสองวัน ยามเพลาชาย
[1]แดดอ่อนลงจึงมองเห็นปากถ้ำแก้ว อันเป็นอาณาเขตแห่งราชสีห์อัตรคุปต์ เมื่อเหล่ามฤเคนทร์พากันเดินผ่านเขตอาคมที่กางกั้นปากถ้ำเอาไว้ พิรัลนลินผู้ไม่เคยพบเห็นอาณาจักรอื่นใดนอกจากคูหาของพ่อที่ตนถือกำเนิดถึงกับตื่นตะลึง เพราะภายในถ้ำแห่งนี้กว้างขวางโอ่อ่ามากกว่าบ้านเกิดของตนจนไม่อาจเทียบเคียง บ้านเรือนที่เรียงรายล้อมรอบล้วนงดงาม โดยจุดสนใจที่ดึงสายตาของผู้มาเยือนคือโรงเรือนขนาดใหญ่แปลกตาไปจากเรือนของตนหลายส่วน
ดวงตากลมเหลือบซ้ายแลขวาคอยสอดส่องสถานที่รอบกาย ทั้งกลิ่นเครื่องยาที่อวลอยู่ในอากาศ และเหล่ามนุษย์สิงห์ผู้มีผิวกายหลากหลายเดินกันขวักไขว่ ด้วยแม้จำยอมเดินตามแต่ความหวาดระแวงจากเหตุร้ายที่เพิ่งเผชิญ ทำให้ลูกสิงห์น้อยขยับขืนตัวเพื่อจะให้แขนของตนหลุดจากการจับกุมของสิงห์หนุ่มแปลกหน้าอยู่ตลอดเวลา
“เหตุใดพวกเอ็งจึงกระทำการยื้อยุดเช่นนั้น”
“ท่านอาจารย์ ขอสมาในความมิสำรวมเถิดขอรับ สิงห์น้อยตนนี้พวกข้าเจอที่กลางป่า จักปล่อยไว้พวกข้าเกรงว่ามันจักตกตายตามพ่อแม่เอาเสีย จึงเก็บมาฝากฝังท่านอาจารย์ช่วยขัดเกลาเสียที่นี่ขอรับ” สิงห์หนุ่มหนึ่งในกลุ่มคณะเดินทางยกมือไหว้ พลางตอบคำติเตียนของสิงห์เฒ่าด้วยความนอบน้อม
“เอาล่ะ หยุดพยศดื้อดึงเสียก่อนเจ้าสิงห์น้อย ที่แห่งนี้เป็นเขตอภัยทาน หามีผู้ใดทำร้ายเจ้าดอก” เมื่อได้ยินน้ำเสียงนุ่มเย็น เจ้าลูกสิงห์จึงยอมหยุดขัดขืน ดวงตากลมโตแหงนเงยขึ้นจ้องมองไปยังใบหน้าของสิงห์ชราเจ้าของเสียง ผู้สวมผ้านุ่งปล่อยชายสีขาว เช่นเดียวกับผ้าคล้องไหล่ตัดผิวสีดินแดง ผมยาวขาวโพลนถูกมวยเก็บด้านไว้หลังอย่างเป็นระเบียบ และแววตาหลังใบหน้าที่ปรากฏร่องรอยเหี่ยวย่นเต็มไปด้วยความเมตตา ทำให้ลูกสิงห์พลัดถิ่นรู้สึกวางใจและเคารพเลื่อมใสทันที เจ้าสิงห์น้อยจึงยกมือประนมขึ้นท่วมหัวด้วยท่าทางนอบน้อม เรียกรอยยิ้มเอ็นดูแก่ผู้มากอาวุโสตามมา
“เออแน่ะ ดูทีจักมีสติปัญญาอยู่หนาเจ้า มีชื่อฤๅไม่เล่า”
“พิรัล”
“เจ้าพิรัลเอ๋ย พอจักบอกกล่าวข้าได้ฤๅไม่ เรื่องราวที่เจ้าประสบพบเจอมา” ลูกสิงห์ตัวน้อยกัดริมฝีปากแน่น คิดตรึกตรองเพียงครู่จึงยอมพยักหน้าตกลงโดยดี
“ชุมของพ่อข้าน้อยเป็นชุมเล็ก มีเพียงสามัญสิงห์แลทุรพล ยามที่พวกข้าน้อยกำลังหลับนอน ราชสีห์กลุ่มหนึ่งได้บุกเข้ามา หมายฉุดคร่าทุรพลสิงห์ในชุมข้าน้อย แต่ข้าน้อยได้แม่ แลพี่พาหนีหมายใจจักมาพึ่งใบบุญท่านอัตรคุปต์ ทว่ามิทันกาลแม่เลยซ่อนข้าน้อยไว้ในป่าหญ้า ข้าน้อยจึ่งรอดมาได้เพียงตนเดียวจ้ะ”
“ผู้ที่หนีมามีเพียงทุรพล แลนางสิงห์ พวกมันยังมิละเว้น ภายในคูหายามกลับไปนั้น ถูกรื้อเผาจนมิเหลือดี ข้าได้ยินมาบ้าง ว่ามีกลุ่มราชสีห์ต้องการสร้างสิงห์ชั้นอุตมางค์ให้มากเข้า เพื่อจักได้มีอำนาจกลืนสิงห์ชุมอื่น เหตุนี้จึงเที่ยวฉุดคร่าไล่ต้อน ทุรพล จากชุมอื่นไปเข้ากลุ่มเพื่อให้กำเนิดลูกอุตมางค์ เห็นทีจักเป็นเรื่องจริงเสียแล้วท่านอาจารย์”
“เลวร้ายเหลือเกิน” เมื่อได้ฟังความและเห็นสภาพบอบช้ำของลูกสิงห์ตัวจ้อย จึงเกิดเสียงสาปแช่ง ก่นด่า ดังระงมไปทั่วทั้งลาน จากบรรดาสิงห์ที่มุงดูอยู่โดยรอบที่ล้วนโกรธแค้น และสะเทือนใจเป็นอย่างยิ่ง
“เอาล่ะ รอดพ้นมาแล้ว ต่อแต่นี้จงมาอยู่ด้วยกันเสียที่นี่เถิด” สิงห์ชราทอดมองทุรพลน้อยด้วยความสงสาร ยอมรับลูกสิงห์ตนนี้ให้อยู่ในความดูแลของตน ด้วยความสงสารชะตากรรมของลูกสิงห์ตนนี้
“ขอบพระคุณที่เมตตาจ้ะ” สิงห์น้อยก้มลมกราบสิงห์ราชาผู้อารี ด้วยความตื้นตัน ฝ่ามือใหญ่จากผู้ครองคูหาเอื้อมลงมาวางนิ่งลงบนกระหม่อมลูกมฤคินทร์น้อยแผ่วเบาเป็นการรับรู้
“พวกเจ้าจงพาน้องน้อยของพวกเจ้าไปอาบน้ำอาบท่า แลหาผลหมากรากไม้มาเลี้ยงเสียให้อิ่มหนำ” สิ้นคำผู้ครองคูหา เหล่านางสิงห์ที่คอยท่าอยู่ ไม่รีรอที่จะช่วยกันมารุมดูแลเจ้าสิงห์น้อยพลัดถิ่นด้วยความเต็มใจ เนื่องด้วยพวกนางนึกสงสารชะตากรรมที่มันพบเจอเสียจนใจสะท้าน
“เจ้ามั่นตามข้าไปเรือนอักษร ข้าจักส่งสารถึงท่านนิลปารัชญ์ เจ้ามิ่งจงตามอาคิรามาพบข้าโดยไว” เมื่อพิรัลนลินถูกพาตัวไปดูแล ราชสีห์ชราจึงหันมาสั่งการลูกศิษย์ข้ากายต่อด้วยสีหน้าเป็นกังวล
…ต่อจากนี้จักเกิดเหตุการณ์วุ่นวายถึงเพียงใดหนอ
ลูกสิงห์น้อยเมื่อได้ชำระล้างคราบไคลขะมุกขะมอมอันเกิดจากฝุ่นดินและการรอนแรมมานานวัน เผยผิวเนียนละเอียดแดง ระเรื่ออ่อนบางราวกลีบจงกล บงบอกถึงชาติพันธุ์ต้นกำเนิดกลับมาเฉิดฉายอีกครา ดวงหน้ากอปรกับเรือนร่างบางเล็กในอาภรณ์สะอาดสะอ้านทำให้ลูกสิงห์พลัดถิ่นดูงาม ‘พิรัล’ สมชื่อ ทว่านัยน์ตากลมโตชวนมองกลับไร้ซึ่งความสดใส ซ้ำยังติดจะก้าวร้าวแข็งกระด้างในที ทำให้ไม่มีใครกล้าเสนอตัวเข้าไปคลุกคลีเล่นหัวกับเจ้าลูกสิงห์ตัวน้อยมากนัก แม้มีผู้นึกเอ็นดูอยู่มากมาย
เมื่อช่วยกันจับแต่งตัวแล้วเสร็จ นางสิงห์เผ่าติณสีหะซึ่งเป็นมังสวิรัติเช่นกันจึงแยกไปจัดเตรียมสำรับลูกไม้ตามช่วงฤดู ทั้งผลอัมพรา
[2] ลูกหว้า และกล้วย มารับรองลูกสิงห์น้อยเสียมากมายจนอิ่มหนำ แล้วพาจับจูงพามาพบเจ้าของเรือนอีกคราตามคำสั่ง
“เจ้าพิรัล เข้ามาสิเจ้า “
“จากนี้ต่อไปข้ารับเจ้าเป็นศิษย์ แลผู้นี้คือ ‘อาคิรา’ ศิษย์เอกของข้า แลถือเป็นศิษย์ผู้พี่ของเจ้า” ‘อาคิรา’ ที่ด้านหลังอาจารย์เป็นเพียงสิงห์รุ่นกระทง
[3]ใบหน้าคมขำงดงาม ผิวกายขาวดั่งเปลือกสังข์บ่งบอกได้ว่าศิษย์ผู้พี่ตนนี้มีเชื้อสายของไกรสรสีหะ ผมยาวประบ่าดำขลับถูกรวบไว้ครึ่งศีรษะอย่างเรียบร้อย เช่นเดียวกับท่วงท่าการนั่งนั่งพับเพียบหลังไหล่ยืดตรง ทั้งดวงตาแน่วนิ่ง ทำเอาเจ้าตัวเล็กเผลอเม้มปากกลั้นหายใจ ด้วยรู้สึกกริ่งเกรงอย่างหาที่มาไม่ได้
“ข้าฝากฝังเจ้าไว้ให้เขาช่วยดูแล อย่าได้ดื้อรั้นนักหนาเจ้า“ ราชสีห์เฒ่า กล่าวกำชับกับลูกสิงห์อาภัพ หลังฝากฝังมันไว้กับศิษย์เอกเป็นที่เรียบร้อย ด้วยสังเกตแล้วว่าเจ้าสิงห์น้อยผู้นี้ดื้อรั้นไม่เอาใครมากโข แลเพลานี้ราชสีห์อัตรคุปต์จำต้องเข้าฌานภาวนาจึงนึกห่วงมันอยู่มาก เมื่อมองไม่เห็นใคร จึงยกหน้าที่นี้ให้ศิษย์คนโปรด แม้ไกรสรสีหะตนนี้จักมีวัยเพียงสิบสี่ปี แต่เจ้าลูกสามัญสิงห์ตนนี้กลับเฉลียวฉลาด อีกทั้งกิริยามารยาทที่เพียบพร้อมได้ดังใจตนนัก จนคิดจะให้ศิษย์เอกผู้นี้สืบอำนาจดูแลคูหาสรรพยาแห่งนี้ต่อจากตน แม้จักยากลำบากสักหน่อยสำหรับสิงห์ที่ไม่ใช่อุตมางค์ก็ตาม
“จ้ะ”
“เอาล่ะ พาน้องเจ้าเที่ยวดูอาณาเขตของเราเสียให้เคยคุ้น”
“ขอรับอาจารย์” อาคิรา รับคำผู้เป็นอาจารย์เสียงเรียบ หากแต่ไม่กระด้างแข็ง ดั่งเช่นท่าทางของตน...สงบนิ่งสง่างาม มิแข็งกร้าว
ด้วยอาคิราที่อยู่กับผู้เป็นอาจารย์มาเนิ่นนานรู้ดีว่า ราชสีห์อัตรคุปต์ยังมีกิจการให้สะสางอีกมาก สองลูกสิงห์ศิษย์พี่ ศิษย์น้องจึงล่ำลาผู้เป็นอาจารย์ทันทีที่รับฟังคำสั่งเสียเรียบร้อย อาคิราก้มหน้าลงมองลูกสิงห์น้อยในความดูแลของตน แล้วตัดสินใจเอ่ยถามความเห็นออกไปก่อน
“เจ้าหมายจักไปที่ใดก่อนฤๅ เจ้าพิรัล”
“ไปข้างนอกนั่น”
“ข้าจักพาเจ้าไป หากเจ้ามิร้องขอด้วยน้ำเสียงกระด้างเยี่ยงนี้”
“...” หากเป็นผู้อื่นพิรัลคงเถียงนำไปก่อนด้วยความไม่ยอม แต่เมื่อเป็นสิงห์ตรงหน้า ด้วยบุคลิกเรียบนิ่ง แนวตาคมกล้าสบตรงมาไม่หลุกหลิก ทำให้สิงห์น้อยอดนึกเกรงใจขึ้นมาครามครันไม่ได้ จึงเลือกที่จะเงียบเสีย
“ตรองดูเถิด หากมีผู้ใดขอร้องเจ้าด้วยน้ำเสียง แลสำนวนวาจาเช่นนี้เจ้าจักยินดีช่วยฤๅไม่เจ้าพิรัล” น้ำเสียงทอดอ่อนไม่ดุว่า แต่เป็นเจ้าสิงห์น้อยเองที่รู้สึกตีรวน จนเผยความรู้สึกของตนจนหมดเปลือก
“แต่ข้ามิได้อ่อนแอ! นอกจากท่านอาจารย์ที่มีพระคุณต่อข้า ข้ามิเห็นว่าเหตุใดต้องทำตัวลู่ลมน้อมนอบผู้ใด”
“กล่าววาจาอ่อนน้อม แลปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความอ่อนโยน มิได้หมายถึงความอ่อนแอฉันใด ความเข้มแข็งนั้น หาได้รวมถึงความแข็งกระด้างฉันนั้น เจ้าตรองดูท่าทางของท่านอาจารย์ที่เจ้าเคารพ แลตอบข้าทีเจ้าเห็นท่านอ่อนแอฤๅไม่”
ลูกสิงห์น้อยอารมณ์ร้อนชะงักนิ่ง ใช้เวลาคิดตามเพียงชั่วครู่จึงให้คำตอบแก่ตัวเองได้ว่าสิ่งที่อาคิรากล่าวมานั้นเป็นความจริง จึงขยับปากงุบงิบกล่าวร้องขอเป็นประโยคใหม่ โดยที่มือเล็กทั้งสองกำชายโจงกระเบนไว้แน่น พร้อมกับใบหู และพวงแก้มทั้งสองข้างขึ้นสีแดงปลั่ง
“พะ พี่อาคิรา ข้าต้องการไปด้านนอกเรือน พี่ท่านช่วยพาข้าไปได้ฤๅไม่ จะ จ้ะ”
สิงห์น้อยรู้สึกขลาดเขินมิใช่เพราะต้องพูดจาไพเราะ เพราะความจริงแล้วก่อนหน้า ยามที่ยังอยู่บ้านเกิด พิรัลนลินนั้นถูกแม่สอนให้พูดจาจ๊ะจ๋า และมือไม้อ่อนต่อสิงห์ทุกผู้ทุกตนเป็นนิจ ทว่าความเข้าใจผิดเพียงชั่วครู่จนเผลอกระทำกิริยากระด้างออกไปจนถูกติเช่นนี้มากกว่าที่ทำให้เจ้าสิงห์น้อยนึกอับอาย
“เช่นนี้ดีแล้ว เราไปเดินดูด้านนอกกันเถิด ข้าจักแนะที่ทางให้” อาคิราพยักหน้าให้กำลังใจน้องน้อย ก่อนจับจูงมือเล็กให้เดินตาม พลางบอกเล่าหน้าที่ความสำคัญของเรือนต่างๆ ภายในคูหาสรรพยาแห่งนี้ ให้เจ้าตัวน้อยรู้จักคุ้นชิน
“ด้านนี้คือเรือนยา เราจักเก็บสมุนไพรเครื่องยาไว้ที่นี่ ส่วนเรือนที่ใกล้กันนั้นเป็นห้องเก็บตำรา อาจารย์ใช้เก็บตำรับยาเป็นส่วนใหญ่”
“ส่วนเรือนกระโน้น เรือนระวังไข้ ให้ผู้เป็นไข้นอนพักรักษา จตุราชสีห์มิได้มีการเจ็บไข้มากนัก โดยมากจักเป็นพวกสัตว์เล็กสัตว์น้อยเสียมาก พวกเรามีหมอยาร่วมสิบตน บ้างอยู่เฝ้าถ้ำ บางออกไปรักษาตามที่ห่างไกล”
“จากนี้เจ้าจักต้องหัดอ่านเขียน แลช่วยข้าเตรียมสมุนไพร แม้นเป็นทุรพล หากอาจารย์ท่านก็อยากให้เจ้ามีความรู้ติดตัว”
“จ้ะ”
ด้วยกว่าลูกสิงห์น้อยจักมาถึงคูหาสรรพยาได้นั้นเวลาได้ล่วงเลยไปช่วงบ่าย จับอาบน้ำผลัดผ้าจนถูกพามาส่งให้แก่อาคิราเวลาจึงได้ล่วงเลยไปจนย่ำค่ำ การพาลูกสิงห์พลัดถิ่นทำความรู้จัก ‘บ้าน‘ หลังใหม่จึงดำเนินไปได้เพียงครู่ เพราะถึงเวลาส่งสิงห์วัยเยาว์เข้าเรือนนอน กระทั่งยามนี้ดวงดารายกตัวขึ้นสูงเกือบครึ่งฟ้า แสงเทียนในเรือนนอนของลูกทุรพลยังคงส่องรอดออกมาด้านนอกทำให้ผู้ได้รับหน้าที่ช่วยดูแลอดไม่ได้ ถือวิสาสะเปิดเข้าไปดูน้องน้อยให้คลายกังวลใจ
พลันภาพที่เข้าสู่ครรลองสายตานั้น ทำให้อาคิรารู้สึกดีใจที่ตนไม่ละเลย เจ้าศิษย์ผู้น้องตัวจ้อยนั้นยังไม่ได้นอนหลับดังที่เขาคาด ซ้ำเจ้าตัวเล็กยังกำลังนั่งคุดคู้ร้องไห้จนตัวสั่นอยู่ที่มุมเรือนนอนนั้นเอง
“เจ้าพิรัล” เสียงเรียกขานแม้ไม่ได้ดังมากมาย ทว่าเจ้าของชื่อกลับสะดุ้งตกใจ มือเล็กทั้งสองข้างรีบยกขึ้นมาปัดป่ายน้ำตาจากใบหน้าลวกๆ สูดน้ำมูกฟืดฟาด พยายามยืดตัวยืดอกขึ้นวางท่าว่าเข้มแข็งเต็มประดา เสียจนอาคิราลอบส่ายหน้า
“ยามข้ามาที่แห่งนี้คราแรก ข้าแอบร้องไห้เป็นแรมเดือนเชียวหนา เรื่องนี้จักเป็นความลับระหว่างเรามิแพร่งพรายออกไป”
อาคิราไม่ได้โกหก เขาเข้าใจความรู้สึกของพิรัลนลินเป็นอย่างดี ทั้งหวาดกลัว ว้าเหว่ โหยหา และ คิดถึง ความรู้สึกเหล่านี้มักเข้าจู่โจมในยามราตรีเสมอ บางทีความรู้สึกเหล่านี้อาจคงอยู่มาตลอด เพียงแต่ยามกลางวันที่แสงแดดจัดจ้าและมีกิจธุระมากมายให้ต้องสะสางมากลบทับ ทว่าในยามที่ต้องอยู่ตนเดียวกับความเงียบและความเดียวดาย ไร้ซึ่งสิ่งช่วยหันเหความสนใจเช่นนี้ ทำให้มันกลับชัดเจนขึ้นมา ชัดเจน เสียจนต้องระบายความทุกข์ทรมานเหล่านี้ด้วยหยาดน้ำตา
“ฮึก จริง ฮึก นะ”
“ข้ารับปาก เช่นนั้นจงมานอนเสีย ข้าจักอยู่เป็นเพื่อน” เมื่อได้รับคำยืนยัน พิรัลน้อยจึงยอมทำตามแต่โดยดี ร่างเล็กๆ เดินกลับมาล้มตัวนอนลงบนตั่ง ตะแคงตัวหันเข้าหาผู้เป็นพี่ พร้อมกับเอื้อมมือน้อยมาจับชายผ้านุ่งของอาคิราไว้มั่น
ไม่รู้ว่าเพราะรู้สึกสบายใจจริงๆ หรือ เป็นความอ่อนเพลียจากการร้องไห้ ผ่านไปเพียงชั่วครู่เจ้าสิงห์น้อยก็ผล็อยหลับไป เหลือเพียงเสียงงึมงำและคราบน้ำตาบนขนตายาวเท่านั้น
“ฮึกๆ แม่จ๋า...”
พิรัลใช้ชีวิตอยู่ภายในการดูแลของอาคิราเข้าเดือนที่สอง วันเวลาที่ผ่านเลยมา ลูกสิงห์น้อยได้อาคิราคอยบอกกล่าวให้ทำความรู้จักทุกซอกทุกมุมของถ้ำสรรพยาแห่งนี้จนถ้วนทั่ว นอกจากสอนอ่านเขียนดังที่เคยบอกกล่าวแล้ว ผู้เป็นพี่ยังให้สิงห์น้อยคอยช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ อันได้แก่ การคัดสมุนไพร เพื่อนำไปตากแห้ง และเก็บแยกเข้าเรือนยา ซึ่งใดๆ ล้วนไม่ใช่สิ่งที่พิรัลนลินนึกชอบใจเลยสักนิด
“เป็นอันใดเจ้าพิรัล ใยหน้าบูดบึ้งนัก“
“ข้าหมายจักไปฝึกกำลังมากกว่า มานั่งเตรียมเครื่องยาเช่นนี้จ้ะ“ ลูกสิงห์น้อยยู่ปากด้วยความเบื่อหน่ายใส่ผู้พี่ สิงห์ตนเดียวที่เจ้าพิรัล ‘ผู้น่ารัก’ ยอมแสดงกิริยาออดอ้อนใส่ ด้วยความวางใจจนเผลอแสดงตัวตนเช่นยามที่อยู่กับแม่ออกมา
ถ้ำสรรพยาแห่งนี้นอกจากเป็นสถานที่เล่าเรียนตำรายาและเปิดให้การรักษาแล้ว ยังเปิดกว้างต้อนรับสิงห์ทุกผู้ทุกตน โดยมีกฎเพียงหนึ่งเดียวคือ ไม่มีกายทำร้ายฆ่าฟันกันในอาณาเขตแห่งนี้เป็นอันขาด จึงมีสิงห์มากมายหลายเผ่าพันธุ์เดินทางมาจากทั่วทุกหัวระแหงรวมกลุ่ม แบ่งปันทั้งเครื่องยา สรรพความรู้ต่างๆ รวมไปถึงศาสตร์แห่งการต่อสู้ เช่นนี้บริเวณลานกลางคูหากว้างใหญ่ จึงมีราวไม้ขัดกั้นเป็นสัดส่วน เพื่อใช้เป็นลานฝึกการต่อสู้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
“ฝึกกำลังไปทำอันใดเล่า ทำเช่นไรเจ้านั้นหาสู้กำลังผู้ใดได้ดอก ดูแขนขาเจ้าแลพวกข้าซี โดนผลักทีเดียวคงกระเด็นไกลไปหลายโยชน์ “อินทุหนึ่งในลูกมือเตรียมยา สัพยอกใส่ด้วยอดมันเขี้ยวเจ้าลูกสิงห์ตนนี้ไม่ได้
“ข้าเกลียดตัวเองยิ่งนัก “เรียวปากอิ่มเม้มแน่น ใบหน้าของลูกสิงห์ยิ่งยับย่น ไม่ใช่ความโกรธเคือง แต่ด้วยกำลังน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตาเหลือคณา
“เจ้านี่มันพิลึกจริง “อินทุออกปากว่าทิ้งท้าย ด้วยตนไม่เข้าใจความนึกคิดอันพิลึกพิลั่นของลูกสิงห์ผิวแดงสักนิด
...เป็นทุรพลเช่นเราได้ทำสิ่งอื่นนอกจาก ถูกจับวางถวายแก่อุตมางค์นั้นนับว่าประเสริฐมากแล้วมิใช่ฤๅ
“พิรัล เจ้าลองดมสิ่งนี้ดูที “แม้ยังคงอารมณ์ไม่ใคร่ดี แต่เมื่อพี่อาคิราของตนบอกให้ทำ เจ้าสิงห์น้อยพิรัลจึงไม่อิดออด ยอมยื่นจมูกเล็กๆ ลงไปดมรากไม้ในมือผู้พี่โดยดี
“แล้วสิ่งนี้เล่า เจ้าแยกมันออกฤๅไม่ “ อาคิราถามต่อพลางยื่นไม้ยาอีกมือหนึ่งไปให้
“ออกซี แม้หน้าตาจักเหมือน แต่กลิ่นต่างกันมากโข“
“อืม ทว่าข้ามิรู้สึกเลย จำต้องพิจารณาอย่างดียิ่งแยกได้ “ ผู้พี่พยักหน้า พร้อมกล่าวสารภาพความลับให้เจ้าตัวเล็กฟัง
“ลางที พี่หาใช่มังสวิรัติเช่นข้ากระมัง เป็นข้าแม้มันอยู่ใต้ดิน หากมิลึกเกินไปนักย่อมได้กลิ่น “
“เก่งจริงหนาเจ้า “ศิษย์ผู้พี่เอ่ยชมด้วยรอยยิ้มบาง แล้วจ้องมองใบหน้าเล็กที่ยังคงมีพวงแก้มนุ่มประดับอยู่อย่างน่ารักน่าชัง ก่อนเอ่ยต่อ
“เจ้ารู้ฤๅไม่ว่าสมุนไพรพวกนี้ เมื่อนำมารวมกันตามตำรับ จักมีทั้งคุณนับอนันต์เจ้ามีแรงน้อย หากเอาจุดด้อยเข้าสู้ เจ้าว่าจะชำนะได้เทียว “ทุรพลน้อยหยุดนิ่ง คิ้วที่ขมวดมุ่นค่อยๆ คลายตัวออก ยืนหน้าเข้าใกล้ผู้พี่ด้วยความกระตือรือร้นเพื่อฟังต่อ
“วิธีที่จักต่อสู้มีอีกมากมาย มิใช่เพียงพละกำลังแลอิทธิฤทธิ์ สิงห์เหล่านั้นมีพรสวรรค์ของเขา แลเจ้านั้นมีของเจ้า อย่าได้นึกเกลียดตัวเองเลยหนา “
“ข้าเข้าใจแล้ว “แม้เข้าใจแต่ใช่ว่าจะถอดใจ มือคัดเปลือกมะเกลือลงหีบ หากตานั้นเหลือบมองการประลองกำลังบนลานเพื่อลักจำท่วงท่าพวกนั้นไม่ขาด
ภายหลังจากที่ถ้ำของพิรัลนลินถูกทำลายนั้น ยังมีสิงห์ถูกทำร้ายเข้ามาขอความช่วยเหลือถึงหน้าปากถ้ำสรรพยาอยู่เนืองๆ ยิ่งคืนวันผ่านพ้นจำนวนยิ่งมากขึ้น เช่นในวันนี้ที่สิงห์ประจำเรือนผู้ไข้ทั้งเรือนต่างวิ่งกันวุ่นตลอดทั้งคืนจวบจนฟ้าสาง เพื่อช่วยยื้อชีวิตบัณฑูรสีหะที่ต่อสู้ปกป้องลูกสาวทุรพลของตนจนชีวาแทบหาไม่ เสียงร้องคำรามด้วยความเจ็บปวดหัวใจก้องสะท้อนทั่วโถงถ้ำ พาให้เจ้าสิงห์ตัวน้อยที่แอบเมียงมองอยู่ไกลๆ น้ำตาไหลพราก มือเล็กกำเข้าหากันแน่น เช่นเดียวกับฟันคมที่ขบกัดลงบนริมฝีปากจนได้เลือด ภายในอกเดือดปะทุดั่งลาวาร้อนเร่าทั้งเคียดแค้นชิงชัง ผสมกับความน้อยเนื้อต่ำใจในฤทธากำลังที่แสนอ่อนด้อยในตัวตนเสียจนตัวสั่นสะท้าน
“ได้เลือดแล้วหนาเจ้าตัวดี” อาคิราที่มาพบเข้า ยกมือขึ้นลูบริมฝีปากของน้องน้อยไปมา หมายให้พิรัลนลิน คลายแรงขบกัดของตนเองลง
“ข้าเกลียดพวกมันนัก เหตุใดผู้ชั่วช้าจึ่งได้มีพลังกำลังในการข่มเหงผู้อื่นเล่า มิยุติธรรมเอาเสียเลย” เสียงเล็กกดต่ำสั่นเครือ ยามเอ่ยไถ่ถาม
“สักวันพวกมันต้องได้รับผลกรรมอย่างแน่นอน เพลานี้เจ้าทำอันใดมิได้ มิได้หมายความถึงกาลหน้ามิใช่รึ”
“ข้าเป็นทุรพลจักทำเช่นไรได้เล่า ฮึก พี่มิได้เป็นข้า พี่มิรู้ดอกการทำได้เพียงมองดูนั้นเจ็บปวดเพียงใด”
“เจ้าล่วงรู้ได้เยี่ยงไร พ่อแม่ข้านั้นถูกเข่นฆ่าเช่นกัน ต่อหน้าต่อตาข้าเอง ...มิได้ทุรนทุราย หาได้หมายความว่ามิรู้สึกหนา”
“...”
“...”
“ขะ ขอสมาเถิดจ้ะ ข้ามิได้ตั้งใจ ฮึก” เมื่อล่วงรู้ความจริง ทุรพลน้อยถึงกับยกมือพนมไหว้ขมาผู้เป็นพี่ น้ำตาใสหลั่งไหลออกมาเป็นทาง อาคิราจึงยกมือขึ้นเกลี่ยน้ำตาให้ลูกสิงห์ขี้แยแผ่วเบา แล้วจึงคว้าฝ่ามือน้อยที่เต็มไปด้วยรอยเล็บขึ้นมาพิจารณา
“ทุรนทุรายไปแล้วทำอันใดได้ เจ็บตัวเองเช่นนี้สู้เก็บเกี่ยวความสามารถรอวันสุกงอมมิดีกว่าฤๅเจ้าพิรัล อดทนไว้หนาเจ้า ข้านั้นก็อดทนอยู่เช่นกัน...”
หมับ!
โดยไม่ทันได้ระวังตัว ร่างน้อยของพิรัลนลินโถมกายเข้ากอดสิงห์ผู้พี่ไว้แน่น วงแขนแม้โอบรอบกายที่ใหญ่โตกว่าแทบไม่เต็มกอด หากมือน้อยยังคงพยายามอย่างยิ่งที่จะลูบปลอบประโลม ดังที่แม่บุษบันเคยทำยามที่พิรัลเล่นซนจนได้แผลร้องไห้กลับเข้าเรือน
“โอ๋ พี่อาคิรามิเป็นไรนะ มิเป็นไร พิรัลอยู่กับพี่หนา พิรัลอยู่นี่”
“อันใดของเจ้า เจ้าพิรัล” แม้จะงงกับท่าทีของน้อง ที่โผเข้ากอด ทั้งยังพูดคล้ายปลอบขวัญ และยังคงร้องไห้จนน้ำมูกน้ำตาไหลเปรอะอกพี่จนเลอะไปหมด แต่อาคิรายังคงยืนนิ่งให้พิรัลนลินทำตามใจ
“เวลาข้าเสียใจท่านแม่มักกอดข้าเช่นนี้ ฮึก แล้วกำลังข้าพลันกลับมาเลยเทียว ท่านมิร้องไห้ออกมา แต่ข้ารู้ดีว่าท่านต้องกำลังเจ็บปวดในหัวใจเช่นเดียวกับข้าเป็นแน่ ฮื่อ”
“โอ๋ โอ๋ เจ้าพิรัลมิเป็นไรนะ มิเป็นไร พี่อยู่กับเจ้า พี่อยู่นี่” เมื่อได้ฟังเหตุผลของน้องน้อย วงแขนของอาคิราจึงกระชับกอดร่างเล็กเข้าไว้บ้าง เลียนแบบประโยคปลอบโยนของพิรัลนลินพร้อมโยกตัวแผ่วเบาไปมา ราวกับทั้งคู่กำลังปลอบประโลมซึ่งกันและกัน
“ฮื่อ ฮึกๆ”
หลังจากผ่านเหตุการณ์กอดปลอบซึ่งกันและกัน พิรัลนลินก็ดูคล้ายจะยิ่งติดศิษย์ผู้พี่ของตนมากขึ้น จนเป็นที่รู้กันภายในคูหาว่า เมื่อพบอาคิรายามใดย่อมได้เห็นลูกสิงห์น้อยหน้าตาจิ้มลิ้มเดินตามเป็นเงายามนั้น เพราะเจ้าสิงห์น้อยถือว่าอาคิราคือผู้ร่วมชะตากรรม หากในคูหาสรรพยาแห่งนี้จักมีผู้เข้าอกเข้าใจตนได้ดีแล้วนั้น คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากศิษย์พี่อาคิราของตนผู้นี้ เพลานี้อาคิราคือผู้ที่ พิรัลนลินรู้สึกอุ่นใจและสนิทใจด้วยเป็นที่สุด
“ข้าจักออกไปเก็บสมุนไพรใกล้ๆ นี้ เจ้าจักตามไปด้วยฤๅไม่ “
“ไปจ้ะ “
“ป่าภายนอกถ้ำ แม้มิได้ห่างไกลทว่ายังอันตรายนัก เจ้าจงอย่าได้ซนจนพลัดหลงเสีย เข้าใจฤๅไม่”
“เข้าใจจ้ะ” ทุรพลตัวน้อยรับคำด้วยรอยยิ้มกว้าง ดวงตากลมโตเป็นประกายระยิบระยับ ด้วยความดีใจที่จะได้ออกเที่ยวนอกถ้ำ เป็นคราแรกในชีวิต หากไม่นับเหตุการณ์หนีตายที่ผ่านมา ซึ่งพิรัลนลินไม่ได้มีกะจิตกะใจจะชื่นชมหรือจดจำบรรยากาศรอบกายนัก
ภายในขบวนเก็บยาในครานี้ ประกอบไปด้วยสามัญสิงห์เพศเมียสามตน อาคิราและพิรัล สิงห์ทุกตนแต่งชุดอย่างรัดกุมด้วยเสื้อแขนกระบอกและโจงกระเบนสีเข้มเพื่อความคล่องตัว เสริมด้วยกระบุงแบกสำหรับใส่สมุนไพรติดหลัง
เมื่อเข้าสู่เขตป่า พิรัลถึงกับเผยยิ้มเต็มแก้มด้วยความรู้สึกตื่นเต้น การออกนอกถ้ำหนนี้ นับเป็นครั้งแรกที่สิงห์น้อยก้าวออกมาด้วยความสบายใจ จนสามารถมองทุกสรรพสิ่งได้อย่างเต็มตา ลูกสิงห์ค่อยๆ ซึมซับโลกภายนอกไว้ในความทรงจำให้ได้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเสียงสรรพสัตว์แห่งหิมวันต์ หรือกลิ่นหอมของดอกไม้ ใบไม้ที่อวลอยู่ในอากาศ ล้วนแต่ทำให้เจ้าพิรัลนลินรู้สึกยินดีทั้งสิ้น
“เจ้าพิรัล ต้นนี้มีชื่อเรียกเช่นไร” อาคิรา หยุดเดินชี้ไปที่ต้นไม้ลำต้นสูงใหญ่
ต้นไม้ใหญ่ตั้งต้นตรงที่ปลายนิ้วของผู้ถาม มีลักษณะเปลือกต้นมีสีดำแตกเป็นสะเก็ดเป็นเอกลักษณ์ พิรัลนลินที่จดจำได้แม่นยำจึงตอบเสียงดังฟังชัดเต็มไปด้วยมั่นใจ
“หมากเกลือจ้ะ”
“มีคุณอันใดรู้ฤๅไม่”
“เข้าเครื่องยา แก้ซางตาน แล...แล”
“ใช้เข้าเครื่องยา แก้ซางตาน แก้กระษัย เจ้าจงใช้เพียงผลดิบเขียว ต้มแล้วรีบป้อนผู้ไข้โดยทันที” เมื่อดูท่าว่าเจ้าตัวเล็กจะยังจดจำไม่ได้ อาคิราจึงต่อความให้ ด้วยน้ำเสียงอาทร
“ทิ้งไว้มิได้ฤๅจ๊ะ”
“มิได้ หากทิ้งไว้ยาดีจักกลายเป็นร้าย ถึงขั้นเสียตาเทียวหนาเจ้า”
“น่ากลัวนัก”
“เป็นเช่นนั้น เจ้าจงระวังอย่าได้ประมาท สมุนไพรทุกชนิด แม้จักมีสรรพคุณดีงามอักโข ทว่ามากไปหรือผิดวิธี โทษที่ได้อาจเกินคณานับ” อาคิรา สำทับด้วยท่าทีจริงจัง เพื่อให้สิงห์ผู้น้องจดจำสิ่งนี้ไว้ให้แม่นมั่น ด้วยหมอยานั้นนอกจากรู้จักคุณ สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือต้องระวังโทษ
“จ้ะ ข้าจักระวัง” ปากตอบรับ ส่วนในใจของสิงห์น้อยราวกับได้พบทางสว่าง หมายมาดกับตัวเองอย่างแน่วแน่ แม้จะแปลกประหลาดและเป็นที่น่าพรั่นพรึงไปสักหน่อย ทว่าทุรพลน้อยอยากลองดูสักครา...
“ดีแล้ว ต้นนี้เล่า” อาคิราชี้ไปยังต้นไม้ใหญ่ ที่ขึ้นขัดไป ต้นนี้มีเรือนยอดแผ่กว้าง ปลายกิ่งโค้งลงสู่พื้นดิน พิจารณาลงไล่ตามแนวจนถึงปลายกิ่งอ่อนมีใบลักษณะเรียงตัวกระจุกอยู่ และแอบซ่อนหนามคมไว้ตามซอก บนต้นมีผลกลมเป็นพวงเล็กๆ ตามกิ่งก้านสลับเขียวแดงทั้งต้น
“ต้นนี้ข้ามิเคยพบจ้ะ”
“เรียกว่า ตะขบป่า ใช้เป็นยาได้ทุกส่วน เช่นใบแห้งกินเป็นยาฝาดสมาน เปลือกใช้ตำรวมกับน้ำมัน ใช้ทาถูนวด แก้ปวดท้อง แก้คัน อมกลั้วคอแก้เจ็บคอ”
“จ้ะ”
“ลูกแก่มีสีแดงกินสดได้ เจ้าลองดูที เขาว่ามีรสดีนัก” อาคิราเอื้อมปลิดลูกไม้สีแดงสวยส่งให้ พิรัลนลินได้ลองลิ้ม เจ้าตัวเล็กที่ดำรงชีวิตด้วยผลหมากรากไม้อยู่แล้ว จึงไม่โยกโย้มากท่า รับผลไม้ในมีใหญ่มากินชิมโดยไว ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“รสหวานอมฝาดชุ่มคอเทียวจ้ะ” ลูกสิงห์น้อยได้ลิ้มรสผลไม้รสดีจึงเผยยิ้มจนแก้มปริ การออกมาเก็บสมุนไพรคราวนี้ยิ่งน่ารื่นรมย์เป็นเท่าทวี
เหล่าสิงห์จากถ้ำสรรพยายังคงขะมักเขม้นเก็บสมุนไพรไปไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย จนเวลาเคลื่อนคล้อยถึงยามบ่าย ส่วนเจ้าพิรัลที่เล็กกว่าเพื่อน มีหน้าที่เพียงเรียนรู้สิ่งที่อาคิราสอนไปพลางเจอลูกไม้รสอร่อยก็แวะเก็บกินตามทางไปพลาง ยิ่งเมื่อได้เจอะลูกจันของโปรด ติณสิงห์น้อยไม่รอช้าที่จะตรงเข้าไปเลือกเก็บผลไม้ที่ชื่นชอบ
“อ๊ะ ลูกจัน พี่อาคิราข้าชอบลูกจันนัก!”
พิรัลนลินตรงรี่เข้าไปเลือกลูกกลมแป้น ที่ย้อยลงมาจากกิ่งต่ำพอที่ร่างเล็กๆ ของตนเอื้อมถึง อุ้งมือเล็กนวดคลึงผลไปมาจนรู้สึกนิ่มมือ แล้วจัดการฉีกผลออกเพื่อลิ้มรสเนื้ออันหอมหวานชุ่มฉ่ำด้านใน ลูกสิงห์น้อยทั้งเก็บกินและเก็บเผื่อใส่กระบุงแบกด้านหลังหวังจะนำไปวางมุมเรือนนอนเพื่อรับกลิ่นหอมที่จะฟุ้ง เช่นที่แม่เคยทำอย่างเพลิดเพลิน จนกระทั่งเมื่อรู้สึกตัวอีกที พิรัลก็ยืนโดดเดี่ยวเพียงผู้เดียวเสียแล้ว
+++++++++++++++++++++++++++++++++
* เชิงอรรถ
1. เวลาบ่าย
2. ผลมะม่วง
3. วัยกำลังแตกเนื้อหนุ่ม
++++++++++++++++++++++++++++++++
สิงหา...ถึงนักอ่าน
สัปดาห์นี้สามารถลงได้ ๒ ตอน เพราะฉะนั้นเราไปต่อตอนต่อไปกันเลยค่ะ ~