❤[จีนโบราณ]☆♥โสเภณีเช่นข้า...ท่านอย่าใส่ใจ ตอน19 - P.3 up 06/06/63
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ❤[จีนโบราณ]☆♥โสเภณีเช่นข้า...ท่านอย่าใส่ใจ ตอน19 - P.3 up 06/06/63  (อ่าน 13232 ครั้ง)

ออฟไลน์ patee

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3732
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +276/-3

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
มีความวอแวหวงก้าง :hao3:

ออฟไลน์ krouy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
ติดตามค่และรอตอนต่อไปค่า

ออฟไลน์ PrayTime

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-1
ตอน8 โสเภณีเช่นข้า สหายเก่า



“เจ้าไปบอกคุณชายเว่ย อีกครู่ข้าจะลงไป”

“ไม่ต้อง!.. เจ้าไปบอกคุณชายเว่ยว่าวันนี้เจ้าเรือนของเจ้าอยู่กับแขกคนสำคัญ ไม่ว่างพอต้อนรับเขา”

“อ่ะ-เอ่อ” บ่าวรับใช้ข้าได้แต่นิ่งงัน พลันหันมองมายังข้า เมื่อได้ฟังเสียงที่เน้นหนักของเขา

“ไปสิ!”

     บ่าวรับใช้ข้าลนลานหันมองข้าอีกคราหนึ่ง ข้าจึงพยักหน้า เช่นนี้ก็ดีเหมือนกันเพราะข้าเองก็ยังไม่อยากเจอหน้าคุณชายเว่ยในเวลานี้ เมื่อบ่าวรับใช้จากไป เขาก็มาฉุดข้าให้นั่งลง

“นี่ท่าน!” ข้ายังคงยืนขัดขืน

“หึ ทำไม?... ท่านเจ้าเรือนอย่าเพิ่งเสียใจไป เว่ยกวงนั้นคงมาที่นี่ประจำ วันนี้ท่านก็อยู่ปรนนิบัติข้าสักวันเถอะ”

     คนผู้นี้ข้าหลงคิดว่าเป็นบุรุษผู้ชาญฉลาด ทว่าพอขาดสติกลับมีกริยาโง่งมสิ้นดี แต่ก็ดีเหมือนกันหากเว่ยกวงพบข้าในตอนนี้ อาจยิ่งนำพาปัญหามาสู่ข้าอีกก็เป็นได้



“คุณชายท่านเข้าไปไม่ได้นะขอรับ” เสียงจากด้านนอกดังแว่วมา

“เจ้าหลีกไป ข้าจะขอเข้าไปดูเสียหน่อย”

“ไม่ได้ขอรับคุณชาย...คุณชาย!” จนในที่สุดเขาก็เข้ามาด้านในจนได้

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ข้านึกว่าแขกสำคัญที่ไหนกัน ที่แท้ก็เป็นพี่ห้าวฉายนี่เอง ขออภัย ขออภัย เพียงแต่ว่า..ข้านึกไม่ถึงว่าท่านก็ชื่นชอบสถานที่แบบนี้เช่นกัน...”

 

     ตัวปัญหาได้เข้ามาเพิ่มอีกแล้ว พักนี้ข้าคงดวงไม่ดีจริงๆ มักพบเจออะไรที่เป็นอุปสรรคและขวากหนามอยู่เสมอ คงต้องหายันต์กันภัยมาพกติดตัวไว้เสียแล้ว

     บรรยากาศตอนนี้ไม่ค่อยดีนัก เขาทั้งสองยืนจ้องกันครู่หนึ่ง ข้าก็มิอยากหันไปเผชิญหน้ากับคุณชายเว่ยในตอนนี้เลย ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปข้าเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าควรจะวางตัวเช่นไร มันชวนกระอักกระอ่วนใจนัก พลันร่างของเว่ยกวงก็มายืนตรงหน้าข้าเสียแล้ว เขากระพริบตาถี่มองข้าแล้วนิ่งงัน ลมหายใจเขาดูแผ่วเบายิ่ง

 

“น่ะ-นี่เจ้า...คือ?”

 

     ข้าคงต้องรีบเปลี่ยนบรรยากาศตรงนี้เสียแล้ว “ท่านพี่เว่ย เชิญ ... ข้าคงต้องขออภัยแล้วที่ไม่อาจลงไปต้อนรับท่าน”

     ข้าประคองร่างสูงของเขาหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ ทว่าสายตาที่จ้องมองข้าของคนทั้งสองนั้นช่างต่างกันเสียจริง ‘อึดอัดจริงเชียว!’สายตาสองคู่นี้ทำให้ข้าวางกริยาลำบากนัก

“เจ้าคือ เจ้าของหอคณิกาที่นี่อย่างนั้นหรือ?”

     ข้ายกป้านสุรารินลงจอก พี่เว่ยกระซิบถามข้าด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ข้าทำได้เพียงพยักหน้าตอบไป ทว่าถังห้าวฉายที่จ้องมองข้าทั้งสอง บนใบหน้ามีคิ้วที่ขมวดราวกับมีความไม่พอใจอยู่มากพอควร ข้าทำเพียงแต่เมินเขามิได้สนใจ จนคุณชายเว่ยสังเกตเห็นจึงเอ่ยขึ้น

“ข้ามารบกวนความสุขของพี่ห้าวฉายแล้ว ขออภัยด้วย ขออภัยจริงๆ”

     เขาไม่ได้เอ่ยตอบวาจาใด แต่กลับเดินมาแล้วหย่อนกายลงนั่ง ข้าได้แต่เตือนตนเองว่าอย่าได้ตื่นตระหนกไป เหตุการณ์แบบนี้ เกิดช้าเกิดเร็วอย่างไรเสียมันก็ต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่ว่ามันเร็วไปหรือเปล่า...เร็วจนข้าตั้งตัวไม่ทัน เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วก็อย่าไปวิตกให้มากนัก ถังห้าวฉายเขาจ้องมองมา ข้าจึงยกป้านสุรารินให้เขา

“เชิญท่านทั้งสองดื่มกินกันตามสบาย ในฐานะเจ้าเรือนแห่งนี้ สุราอาหารบนโต๊ะนี้ข้าขอเป็นเจ้ามือเอง”

     เมื่อข้าหันไปมองคุณชายถังเขายังคงไม่แสดงสีหน้าใดๆ พลันคุณชายเว่ยก็มองมายังข้ากับพี่ห้าวฉายแล้วส่งยิ้มมายังข้า พลันมุมปากของถังห้าวฉายก็กระตุกขึ้นน้อยๆ ข้าเห็นจึงคิดเอ่ยเพื่อเข้าเรื่องการสนทนา

“โบราณว่าไว้ คนเราตายช้าย่อมเกิดช้า ตายเร็วก็ย่อมเกิดเร็ว หากเมื่อยังมีชีวิตอยู่เราควรมีช่วงเวลาที่สุขสำราญเร่งรีบใฝ่หาเสีย มิให้ต้องรู้สึกว่าเกิดมาเสียชาติเกิด ท่านพี่ทั้งสองว่าจริงหรือไม่?”

“นั่นสินะ อาเซียนเจ้าพูดถูก พี่ห้าวฉายท่านก็อย่าเคร่งเครียดนักเลย ดูสิอาเซียนเขาดูกังวลเป็นห่วงท่านอยู่นะ รู้หรือไม่” ข้าได้ฟังวาจาของเว่ยกวงเอ่ยออกมานี้ กลับยิ่งทำให้ข้าหนักใจแล้ว พลันเว่ยกวงก็เอ่ยขึ้นอีก

“เอาอย่างนี้ดีไหม? เรื่องอดีตของพวกเรามันก็ผ่านไปแล้ว พูดมากไปก็ไม่เกิดประโยชน์ มิสู้เราทั้งสามมาสนทนาเรื่องใหม่ๆ พร้อมกับหาความสุขสำราญกันไม่ดีกว่าหรือ จริงไหม? อาเซียน พี่ห้าวฉาย..มาดื่มให้กับมิตรภาพที่จะเกิดขึ้นใหม่ของพวกเรากันเถอะ เชิญ!” เว่ยกวงยกสุรากรอกเข้าปากพร้อมกับยิ้มกริ่ม

“อาเซียน เจ้ายังไม่ได้บอกข้าเลยว่าที่ผ่านมา เจ้าไปอยู่ที่ใดมา หรือว่าเจ้าอยู่ในเรือนคณิกานี่ตลอดเลยงั้นรึ?” ข้าพลันส่ายศีรษะ

“เปล่าหรอกพี่ท่าน ข้าเพิ่งกลับมาเมืองนี้ได้ไม่นาน”

“มิน่าล่ะ ข้าสืบหาข่าวของเจ้าไปจนทั่วกลับไม่พบร่องรอยเลย” ข้าฟังจึงได้แต่ยิ้มแล้วเอ่ยสนทนากับเขา “พี่เว่ยท่านล้อข้าเล่นแล้ว ตัวข้ามิได้มีความสำคัญขนาดนั้นหรอก”

“ข้าจะล้อเจ้าเล่นทำไมกัน มันคือเรื่องจริง ว่าแต่ที่ผ่านมาเจ้าไปอยู่ที่ใดมาอย่างนั้นหรือ”

“หลังจากท่านแม่ข้าเสีย ข้าก็อยากท่องเที่ยวไปให้ทั่ว พอนึกถึงบ้านเกิดข้าจึงได้คิดกลับมา”

“เป็นอย่างนี้นี่เอง” ข้ายกสุรารินให้เว่ยกวงอีกคราพร้อมเอ่ยสนทนาต่อ

“วันนี้มีสหายเก่ามาเยี่ยมเยียน พวกท่านดื่มกินกันให้เต็มที่ อย่าได้เกรงใจ” ข้ายิ้มพร้อมยกสุราขึ้นจิบเพียงเล็กน้อย

“พี่ห้าวฉาย ท่านจะไม่กล่าวอะไรกับพวกเราสักหน่อยหรือ?” เสียงของเว่ยกวงหันไปถาม ทว่าคุณชายถังผู้นี้กลับไม่ตอบ พลันลุกขึ้นแล้วลากข้าออกไป

“นี่ท่านจะทำอะไร?”

“พี่ห้าวฉาย...พวกท่านจะไปที่ไหนกัน?” เว่ยกวงเอ่ยขึ้น

“พี่เว่ย...ช่ะ-เชิญตามสบายเถอะนะ...โอ๊ะ!” ข้ายังไม่ทันกล่าวอะไรมากนัก ถังห้าวฉายก็ลากข้าลงมายังชั้นล่างเสียแล้ว

“ท่านจะพาข้าไปไหน?”

     ใบหน้าที่เรียบเฉยของเขาไม่กล่าวคำพูดใดๆ ทำเพียงฉุดรั้งร่างข้าให้เดินตามไปจนโป๋ซีวิ่งเข้ามาขวางทางไว้ “ท่านจะไปที่ใดกัน”

“หลีกไป!”  โป๋ซีมองข้าครู่หนึ่ง ข้าจึงพยักหน้าสั่งให้เขาหลีกทางจนโป๋ซียอมหลีกทางให้

“อาหนิว รถม้า”

“ขอรับคุณชาย”

      ครู่เดียวร่างของข้าก็ถูกเขาพาขึ้นมาบนรถม้า

“เราจะไปที่ไหนกันหรือขอรับคุณชาย”

“เรือนหลังเขา”

 

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ PrayTime

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-1
ตอน9 โสเภณีเช่นข้า เรือนหลังเขา


 “ท่านจะพาข้าไปที่นั่นทำไม?”   

     นี่เขาจะพาข้าไปที่เรือนหลังเขานั่น เหตุใดจึงต้องมาคอยเหยียบย่ำข่มเหงข้าด้วย  เขากระตุกยิ้มเล็กน้อยมองมายังข้า

“ก็ไปหาความสุขสำราญกันในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ยังไงล่ะ”

     ‘พูดยอกย้อนเพื่อเสียดสีข้างั้นรึ’ …พอข้าได้ฟังประโยคเมื่อครู่แล้ว ก็รับรู้ได้ว่าตลอดระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมา ความแค้นในใจเขาที่มีต่อข้าคงมิได้เบาบางลงเลย ในเมื่อเกลียดชังข้านัก แล้วมาวุ่นวายกับคนเช่นข้าทำไม เมื่อได้ครุ่นคิดอย่างละเอียดในที่สุดก็ข้าก็นึกออกว่า เหตุใดเขาจึงลากข้าออกมาจากเรือนน้ำค้างหยก

“คุณชายถัง ท่านสั่งให้อาหนิวหยุดรถเดี๋ยวนี้” แววตาสีหน้าของเขาดูอึมครึมนิ่งเฉยข้าจึงตะโกนบอกกับอาหนิวแทนที่จะคุยกับคนถ่อยเช่นเขา

“อาหนิวหยุดรถ ข้าจะกลับไปหาคุณชายเว่ย”

     พลันสีหน้าของเขากลับเปลี่ยนไป เส้นเลือดที่เต้นตุบๆบนหน้าผากแสดงออกเป็นนัยว่าเขากำลังข่มอารมณ์อย่างยิ่ง หึ!

“ไม่มีคำสั่งข้าห้ามหยุดรถม้า” คนผู้นี้เน้นเสียงหนักสั่งกับอาหนิวในทันที

“ขอรับคุณชาย”

“นี่ท่าน...ต้องการจะทำอะไรกันแน่?” ข้ากล่าวกับเขาด้วยความไม่พอใจ

“แล้วเจ้าล่ะ? คงอยากจะเสนอตัวให้กับเว่ยกวงสินะ?” เมื่อได้ฟังข้าจึงยิ้มแล้วหันไปกล่าวกับเขา

“คุณชายท่านกล่าวผิดแล้ว...ตัวของข้า ...ข้านั้นย่อมมีสิทธิ์ที่จะทำอะไรก็ได้ ทำไมล่ะ? ในเมื่อท่านนั้นรังเกียจคนขายเรือนร่างอย่างข้า หากข้าจะนำกายนี้ปรนนิบัติบุรุษที่สนใจ ข้าคงมิได้ทำอะไรผิดไปหรอกกระมัง... เป็นคุณชายถังเองต่างหากล่ะ...ไยจึงลดตัวมาเกลือกกลั้วกับโสเภณีแผนสูงเช่นข้าเล่า....”

     พอกล่าวจบเขาเงยมองข้า ดวงตาเต็มเปี่ยมแฝงด้วยแววสังหาร ทำให้ข้ารู้สึกตื่นกลัวอยู่บ้าง ทว่าข้าก็เก็บซ่อนมันไว้ภายใต้ใบหน้าที่เรียบเฉยแล้วกล่าวต่อ

“คนชั้นต่ำเช่นข้า มิคู่ควรจะสนทนากับคนสูงค่าเช่นท่าน...คุณชาย..ข้าขอตัวก่อน”

     ในเมื่ออาหนิวไม่หยุดรถม้า ลำพังฝีมือข้าหากจะลงรถที่กำลังวิ่งอยู่ตอนนี้ มันก็มิได้ยากเย็นนัก เมื่อคิดได้ข้าจะกระโดดลงจากรถม้าไปเสียเอง

“จะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น” ทว่าเขากลับใช้มือขวางไว้ ข้าจึงพลิกฝ่ามือปัดแขนเขาออก แต่เขากลับใช้เท้ากั้นขวางข้าไว้อีก

“นี่ท่าน!”

     เขากระตุกยิ้มเล็กน้อย ข้าจึงวาดแขนสกัดปัดขาที่ขวางทางออก แต่เขายังคงไม่หยุดคุกคามใช้มือจับมายังไหล่ ข้าห่อไหล่พลิกตัวตามด้วยการฟาดด้วยพลังฝ่ามือกระทบโดนร่างเขากระเด็นกระแทกดังโครมไปด้านใน ข้ากำลังจะก้าวออกไปก็พลันมีมือมาจับข้อเท้าไว้ ข้าจำต้องหมุนตัวพลิกเท้าอีกข้างฟาดเตะใส่ไป จนปะทะกับท่อนแขนเขาที่กันไว้ จนร่างถังห้าวฉายเซกระแทกเสียงดังตึงอีกครั้ง การต่อสู้ของเขากับข้าทำให้รถม้าที่กำลังวิ่งอยู่โคลงเคลงไปมา

“คุณชาย เกิดอะไรขึ้นขอรับ?” เสียงของอาหนิวตะโกนถาม

“เจ้าบังคับรถม้าไป ไม่ต้องสนใจอะไรทั้งนั้น”

“ข่ะ-ขอรับ”

     ยังมิทันให้เขาได้ตั้งตัว ข้าก็สะบัดขาหลุดมาได้ แต่รองเท้าของข้าติดอยู่ในมือเขาเสียได้ ถังห้าวฉายหมายฉุดตัวข้าเข้าไปด้านใน ข้าจึงพลิกตัวหลีกตามลำดับ พลันตั้งรับการจู่โจม สายตาอันแหลมคมจ้องมามุมปากเขายกขึ้นยิ้มอย่างกระหยิ่มใจ

“ฝีมือดีเหมือนกันนี่..เมื่อครู่ข้ายังออกกำลังไปแค่สามส่วนเท่านั้น” พอข้าฟังจึงเน้นเสียงหนักตอบกลับไป

“ท่านคงอยากเห็นข้าเอาจริงสินะ”

     รอยยิ้มและสายตาที่ดูหมิ่นเช่นนี้ข้าเห็นแล้วทำให้ชังนัก แม้ข้าจะไม่ได้มีฝีมือเก่งกาจแต่พลังภายในของข้าคง ไม่ด้อยไปกว่าเขาเท่าใดนัก เพราะตอนข้าฝึกวิชาได้รับยาบุปผาสวรรค์เสริมพลังภายในจากจ้าวตำหนัก ทำให้การฝึกวิชาของข้ารุดหน้าเร็วไวกว่าคนทั่วไป

“รับมือ!” คลื่นพลังปราณไหลผ่านไปที่ฝ่ามือ ข้าได้ฟาดใส่เขาไป ถังห้าวฉายพลันเบี่ยงตัวหลบ จึงทำให้คลื่นพลังซัดหน้าต่างรถม้าหักกระเด็น

“ฝ่ามือบุปผาหยก!!” เขาดูท่าคงแปลกใจไม่น้อย ถ้าหากเกรงกลัวก็จงปล่อยข้าไปซะตอนนี้จะดีกว่า

“คุณชาย!?!... นั่นพวกท่านกำลังทำอะไรกัน?” เสียงของอาหนิวร้องตะโกนถามด้วยความตื่นตระหนก

“เจ้าบังคับรถม้าไป ไม่ต้องถาม”

“ขอรับ...”

     ยามนี้ฝ่ามือข้ามิต่างจากศิลาแกร่ง ข้าพลิกฝ่ามือจู่โจมใส่อีกครา เขากางแขนอ้าลอยตัวขึ้นไปด้านบนดังวิหคจ้องลงล่าเหยื่อ ข้าสะบัดซัดฝ่ามือไปด้านบนจนหลังคาเก๋งรถม้าหลุดกระเด็นปลิวออกไป ร่างของถังห้าวฉายทะยานขึ้นไปในกลางอากาศตามแรงปะทะ

“ท่านทั้งสองทำอะไรกันเนี่ย!! ลานฝึกยุทธก็มีเหตุใดจึงมาประลองฝีมือกันบนรถม้าเล่า” อาหนิวดูท่าตกใจไม่น้อย

“บังคับรถม้าต่อไป ไม่ต้องสนใจ”

     เขาโผกายด้วยวิชาตัวเบาโถมลงมาสู้กับข้าอีกครั้ง คนผู้นี้ช่างดื้อดึงเสียจริงเหตุใดจึงต้องเปลืองแรงสู้กับข้าด้วย ปล่อยข้าลงรถม้าไปก็หมดเรื่อง

     ครานี้คลื่นพลังปราณเขาเริ่มรุนแรง ข้าจำต้องรีดเร้นลมปราณป้องกันรับการจู่โจม ทว่ากลับมีกระแสลมกรรโชกกดทับใบหน้าข้าขณะที่แขนเสื้อเขาสะบัดมา ตัวของข้าก็รู้สึกมึนชาไปทั้งตัว

“ต่ำช้า! ” ข้าพลาดโดนพิษผนึกลมปราณเขาเสียแล้ว ทุกอย่างจึงสงบลง เขายิ้มเยาะใส่ข้าก่อนสกัดจุดแล้วรั้งร่างของข้านั่งลง “สงบได้เสียที นั่งลงสิ!”

“โอ้... ดีแล้ว ดีแล้วคุณชาย ขืนพวกท่านสู้กันต่อไป รถม้านี้คงได้เหลือแต่ซากกันพอดี” อาหนิว กล่าวกับเขาอย่างโล่งใจ

“ท่านกล้าใช้พิษกับข้า!” เขายิ้มให้เหมือนดูสะใจมากที่สามารถเอาชนะข้าได้ด้วยวิธีสกปรก “ไม่ได้ยินที่อาหนิวบ่นหรือไง หากเราสู้กันต่อไป รถม้านี้คงได้พังกันพอดี หึหึ”

“ต่ำช้าที่สุด!”

     เหตุใดจากทีท่าตอนแรกเหมือนไม่พอใจข้า แล้วทำไมตอนนี้ถึงได้ดูอารมณ์ดีนัก มันทำให้ข้าสับสน หรือเพราะว่าชนะข้าได้ด้วยวิธีสกปรกต่ำช้าอย่างนั้นรึ? ดูท่าสมองของถังห้าวฉายผู้นี้คงมีปัญหาเสียแล้ว

“ถึงแล้วขอรับคุณชาย” เพียงครู่ก็ถึงยังเรือนหลังเขา “อืมรู้แล้ว”

     พอเขากับข้าลงจากรถม้าก็ได้ยินอาหนิวบ่นโวยวายเมื่อเห็นสภาพรถม้า “พวกท่านทั้งสองคงเห็นข้าว่างมากแน่ๆ ถึงได้หางานให้ข้าทำ...พวกท่านช่างหาเรื่องมารังแกกันแท้ๆ”

“ยังบ่นอยู่อีก รีบไปเตรียมของกินมาเร็วเข้า”

“คุณชาย ท่านเพิ่งออกจากเรือนน้ำค้างหยก เหตุใดจึงได้หิวไวนักขอรับ”

“ไม่ต้องถาม ...เร็วๆ!”

“ขอรับ...ข้าจะรีบไปเดี๋ยวนี้”

     ข้าขยับขาก้าวเดินทำให้รู้สึกเจ็บแปลบที่ข้อเท้าทันที เพราะการต่อสู้กับเขาทำให้ข้าบาดเจ็บ ซ้ำยังโดนพิษผนึกพลังภายในจึงทำให้ข้าเหมือนกับคนธรรมดา อาการบาดเจ็บของข้าจึงทำให้เดินลำบากเสียจริง

“เจ้าเดินไหวหรือไม่”

“ข้าไม่เป็นไร”

“ปากแข็ง! …มาขี่หลังเดี๋ยวข้าแบกเจ้าเข้าไปเอง”

“ไม่ต้องรบกวนท่านหรอก ข้าเดินเองได้”

     นี่ท่านเป็นคนแบบไหนกันแน่ พูดจาเสียดสีดูหมิ่นข้า แล้วจู่ๆก็มาพูดดีด้วย “หลีกไป! ทางแค่นี้ข้าเดินไหว..สบายมาก” พลันจู่ๆ เขาก็ยกร่างข้าลอยขึ้นพาเข้าไปด้านใน

“ปล่อยข้าลง.... ก็บอกแล้วไงว่า...ข้าเดินเองได้...ปล่อยข้าลงเดี๋ยวนี้!” เขายังคงอุ้มพาร่างข้าเข้าไปด้านในเรือน

“จะดิ้นทำไม....ใกล้จะถึงแล้ว...ไม่ได้เจอกันห้าปี เหมือนตัวเจ้าจะหนักขึ้นนะ...”

     สมองของท่านคงมีปัญหาใช่ไหม? ก่อนนี้คำพูดของท่านทำให้ข้าเจ็บใจ ข้าไม่มีวันให้อภัยท่านง่ายๆแน่นอน..
....TBC ♥: ...
      ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นต์นะครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-09-2019 20:17:12 โดย PrayTime »

ออฟไลน์ tn

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ทำไมมีแต่คนปากแข็งกันหึ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ PrayTime

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-1
ตอน10 โสเภณีเช่นข้า ... เหตุการณ์บนสะพานหิน

    ข้าในสายตาของเขาข้าอาจเป็นเพียงแค่โสเภณีที่ขายเรือนร่างผู้หนึ่งเพียงเท่านั้น จากเหตุการณ์ในวันนั้น เขาล้วนดูถูกเหยียดหยาม ข้าย่อมรู้ดีว่าตัวข้าต่ำต้อยจึงคิดเจียมตัวเสมอมา  แม้ว่าข้าในตอนนี้ได้ก้าวผ่านอุปสรรคเหล่านั้นมาได้ ข้าอาจจะใช้ชีวิตที่มิได้มีความสุขมากนัก แต่ก็พอจะทำให้ข้าครุ่นคิดถึงเรื่องบางอย่างได้

     การใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ หากเรายังคงยึดถือเกียรติศักดิ์ศรีเอาตัวเองเป็นที่ตั้งเช่นอดีต ไม่วันหนึ่งวันใดก็ย่อมต้องมีวันที่พลิกผันอาภัพอับโชคอยู่ดี หากข้าจะใช้ชีวิตให้รอดปลอดภัยบางคราอาจจะต้องใช้ชั้นเชิงและกลอุบายในการแก้ปัญหาบ้าง เพื่อนำพาตัวของเราผ่านออกจากเรื่องราวที่เป็นอุปสรรค

     ทุกวันคืนที่ผ่านมาล้วนทำให้ข้าตรึกตรอง เฝ้านึกถึงเรื่องราวในครั้งเก่าที่เคยเกิดขึ้น แม้จะมีความรู้สึกเสียใจอยู่บ้างในสิ่งที่ผิดพลาดไป แต่ก็ทำได้เพียงละทิ้งซ่อนงำเก็บไว้เพียงเท่านั้น แต่กับเขาผู้นี้ข้ากลับตัดใจไม่ได้

     เรื่องนี้อาจจะทำให้ตัวเขาและข้าตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากคับขัน หากเขายังพัวพันกับข้าอยู่ ข้าควรทำให้เขาตัดใจและข้าควรหยุดเพ้อฝันในเรื่องที่เป็นไปไม่ได้นี้เสียที ข้าควรคิดถึงเรื่องภาระและหน้าที่ของตนเอง

     ท่านจ้าวตำหนักสั่งการลงมาว่า สกุลเว่ยอาจเกี่ยวข้องกับเรื่องผิดปรกติที่เกิดขึ้นในยุทธภพ ข้าจะทำเช่นไร เพื่อจะได้มีโอกาสสืบข่าวนี้ได้ ช่างมันเถอะหากข้าออกจากเรือนของถังห้าวฉายผู้นี้ได้ ค่อยคิดอ่านแผนการอีกที แต่ในตอนนี้ตัวข้าเหมือนกับคนธรรมดา แล้วจะหาหนทางหนีออกไปได้อย่างไร

     ในห้องโถงภายในบรรยากาศที่เงียบสงบ ข้าทำได้เพียงเดินสำรวจไปรอบๆ ‘เขาและอาหนิวหายไปไหนกันนะ’ เมื่อเวลาผ่านไปพักใหญ่ ยิ่งมองสำรวจห้องโถงนี้ความรู้สึกข้ายิ่งหดหู่เมื่อหวนนึกถึงอดีต

‘ภาพวาดนั่น’ มันคือภาพวาดที่เขาเป็นคนมอบให้กับข้า จนข้าจะเกือบลืมมันไปแล้ว เรื่องราวในอดีตในครั้งนั้น

**

     สำนักบัญฑิต ที่ตั้งอยู่ในหุบเขาจิ่วไจ้โกว สถานที่แห่งนี้มีทัศนียภาพสวยงาม ดุจสวรรค์บนดิน มีป่าไม้หลากหลายสีสัน อีกทั้งทะเลสาบสีฟ้าใสดุจกระจก ความงดงามที่ไม่สามารถพรรณนาออกมาได้หมด ละมุนจิตติดตามิรู้ลืม เมฆหมอกลอยล่องตัดผ่านทิวเขา เมื่อมองลงบนผืนน้ำเห็นภาพสะท้อนที่เกิดซ้อนขึ้นมา จนทำให้ผู้พบเห็นอาจคิดว่านี่คืออุทยานสวรรค์  ไอหมอกขาวปกคลุมไปทั่วบริเวณ

     ในตอนนั้นข้าได้มาศึกษาเล่าเรียนร่วมกับบรรดาลูกหลานตระกูลต่างๆ สถานศึกษาแห่งนี้สำหรับข้าแล้ว กลับคิดว่ามิคู่ควรกับตัวข้าเลย เพราะทุกคนที่มาล้วนแต่เป็นบุตรธิดาของผู้มีชื่อเสียงมีชาติตระกูลลูกเศรษฐีคหบดีผู้มั่งคั่ง แล้วข้าล่ะ ตัวข้าเป็นเพียงลูกของสตรีชาวนาที่ยากจนคนหนึ่ง ใครที่ไหนจะสนใจ ข้าจึงทำได้เพียงตั้งใจศึกษาและทำตัวเหมือนไร้ตัวตน เพื่อที่จะอยู่นอกสายตาของผู้อื่น แม้ข้าจะดูไร้ค่าแต่ว่าข้าก็ไม่ได้คิดสนใจ หากมิใช่เพราะเกิดเหตุการณ์นั้นที่นำพาความยุ่งยากมายังข้า

“เจ้าดูคุณหนูสกุลจูผู้นั้นสิ”

“ทำไมเหรอ?”

“หากเจ้าลองเทียบรูปร่างผิวพรรณของนางกับเจ้านั่นแล้วคิดว่าเป็นอย่างไร?”

     ข้าได้ยินเสียงพูดคุยกันของพวกเขาดังขึ้น เหตุใดกันการสนทนาของพวกเขาจึงได้นำตัวข้าไปเปรียบเทียบกับ จูอี้ซินคุณหนูสกุลจูผู้นั้นด้วย

“ข้าว่านะ หากดูดีๆ รูปร่างหน้าตาของเจ้านั่น ถ้าแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าชั้นดี ก็ดูไม่ออกหรอกว่ามันคือลูกของชาวนา”

“ใช่ไหมล่ะ? ยิ่งดูใบหน้าและผิวพรรณของเจ้านั่นก็มิต่างจากสตรีเลยสักนิด จุ๊ๆ น่าเสียดาย หากมันเป็นหญิงสาวละก็ พวกเจ้าว่ามันจะน่าดูขนาดไหน”

“นั่นสิ หากมันเป็นสตรี ถึงแม้จะเป็นลูกชาวนา ข้าก็จะหาทางเอามันมาเป็นภรรยาของข้าให้ได้ฮ่าๆ”

“ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ” เสียงของพวกมันกลุ่มนั้นสนทนากันเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ

“ถ้าเจ้านั่นเป็นสตรี คุณหนูสกุลจูคงเจอดาวข่มแน่แล้ว”

     เมื่อได้ฟังเขาสนทนาครึกครื้นข้าจึงเดินหนีจากการพูดคุยของคนกลุ่มนี้เสีย ทว่าดันเดินมาพบกับจูอี้ซินกับสาวใช้ของนางเข้าพอดี ข้าหวังว่าบทสนทนาที่ระคายหูนั่น คุณหนูสกุลจูผู้นี้คงไม่ได้ยินน่าจะดีที่สุด ข้าเจอนางจึงทำได้แต่เพียงก้มหน้า หลบทางเดินให้นางเสียเพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหา ข้าได้ยินจากพวกคุณหนูสกุลต่างๆพูดคุยกันว่า จูอี้ซินผู้นี้แม้ภายนอกจะดูนุ่มนวลนิ่งเฉย แต่นางลึกล้ำร้ายกาจนัก ยากแก่การแยกแยะให้ชัดเจนจากการพบเห็นภายนอก ข้าจึงรีบก้าวเท้าจากไป

     หากจูอี้ซินคิดกลั่นแกล้ง ข้าคงยากจะรับมือ เพราะข้าได้ยินมาว่านางให้ความสำคัญกับเกียรติศักดิ์ศรีเป็นที่สุด คนยากจนเช่นข้าถูกนำไปเปรียบเทียบกับนางแบบนี้ หากนางคิดเอาเรื่องข้าขึ้นมาไหนเลยข้าจะอยู่ได้อย่างสงบ

     นับแต่นั้นมา ยิ่งข้าพยายามหลบหน้าจูอี้ซินเท่าไหร่ ก็เหมือนกับว่าข้าต้องพบเจอนางอยู่ในทุกที่ เหมือนกับว่าข้าเป็นเหมือนเงานาง หรือว่านางเป็นเงาข้ากันแน่ มันช่างน่าอึดอัดเสียจริง

“ชุ่ยเหยา เจ้าว่าหยกชิ้นนี้สวยดีหรือไม่?” เสียงของจูอี้ซินคุยกับสาวใช้

“เจ้าค่ะคุณหนู หยกชิ้นนี้สวยงามเป็นที่สุด ยิ่งอยู่ในมือของคุณหนูยิ่งดูสวยงามเจ้าค่ะ”

     ข้าเดินผ่านนางทั้งสองโดยบังเอิญบนสะพานหิน ข้าเจอพวกนางยิ่งต้องเจียมตัวอยู่ให้ห่างไว้เพื่อป้องกันปัญหา จนนางทั้งสองเดินผ่านข้าไปได้ราวสามสี่ก้าว ข้าครุ่นคิดอีกเพียงไม่กี่ก้าวเราก็จะอยู่กันคนละฝั่งแล้ว ข้าพึงเข้าใจคำกล่าวที่ว่า ศัตรูบนทางแคบได้แจ่มชัดก็ครานี้นี่เอง อีกเพียงก้าวข้าก็จะผ่านพ้นสะพาน ข้าพร่ำบอกกับตนเอง

“คุณชายหลี่ โปรดหยุดก่อน” ข้ายังคงก้มหน้าทำเหมือนไม่ได้ยินคิดรีบเดินจากไป จนสาวใช้ของนางมายืนขวางข้าไว้

“เอ๊ะ! เจ้านี่ยังไงกัน คุณหนูข้าเรียกไม่ได้ยินหรือไง?”

“เรียกข้างั้นหรือ?”

“ก็ใช่นะสิ ที่นี่มีแต่เจ้า”

     ข้าเหลือบมองไปยังจูอี้ซิน ใบหน้าของนางตอนนี้เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม “คุณหนูจู เรียกข้าอย่างงั้นหรือ?”

“ใช่แล้ว” นางยิ้มส่งมาให้ข้าด้วยความจริงใจ

“คุณหนูจู มีเรื่องอะไรกับข้าหรือ?......”

“เปล่าหรอก ข้าแค่อยากพูดคุยกับคุณชายหลี่ก็เท่านั้นเอง...ข้าเห็นเจ้าไปไหนมาไหนเพียงคนเดียว เลยคิดอยากทำความรู้จักและสนทนาแลกเปลี่ยนความรู้กับเจ้าบ้าง” คำพูดของนางทำให้ข้ารู้สึกคลายกังวลใจลงไปบ้างพอสมควร

“ข้าเป็นแค่คนธรรมดา ไหนเลยหาญกล้าคิดพูดคุยกับคุณหนูเช่นท่านได้” ข้าทำได้เพียงกล่าวตอบนางไปด้วยความสัจจริง

“นี่เจ้าจะยืนคุยกับคุณหนูของข้าแบบนี้หรือไง หรือจะให้นางเดินย้อนกลับมาคุยกับเจ้าตรงนี้” ข้าลืมไป ด้วยมารยาทก็ไม่ควรทำเช่นนั้น ข้าจึงเดินย้อนขึ้นไปบนสะพาน

     เมื่อเห็นรอยยิ้มของคุณหนูสกุลจู ที่ดูจริงใจของนางข้าคิดว่าหากข้าไม่ได้ทำอะไรผิด พวกนางคงไม่อาจทำอะไรข้าได้ เห็นรอยยิ้มแบบนี้ความกังวลของข้าก็เบาลงไปมาก การได้พูดคุยปรับความเข้าใจกันบางทีนางอาจจะมองข้าดีขึ้นมาก็ได้ ข้าจึงยิ้มตอบนางไปด้วยความจริงใจเช่นกัน

“โอ๊ะ!!”

โครม!!

     จู่ๆขาก็พลันสะดุดสิ่งหนึ่งจนเซถลาไปยังจูอี้ซินที่ยืนอยู่ จนพลั้งมือทำให้ร่างของนางตกลงไปกลางลำน้ำ

“เจ้าผลักคุณหนูข้าทำไม?...เจ้า!!”

“เปล่านะ ข่ะ-ข้า”

“คุณหนู คุณหนูเจ้าค่ะ ช่วยด้วย! ช่วยด้วยมีคนตกน้ำ”

     ข้าตกตะลึงยิ่งนักกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันเร็วมากข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ มือเท้าของข้าสั่นเทาทำอะไรไม่ถูกเหตุการณ์เมื่อครู่ มันเกิดขึ้นไวมาก ความจริงใจของข้า ทำให้เขาเข้าใจผิดเสียแล้ว หากบอกใครต่อใครว่าข้าไม่ได้ทำ ข้าไม่ได้ตั้งใจก็คงไม่มีใครเชื่อ

“หลี่เสี้ยวเซียน เจ้าผลักคุณหนูของข้าทำไม?”

“ข่ะ-ข้า ..เปล่านะ ข้าไม่ได้ทำ”

“ช่วยด้วย! มีคนตกน้ำ” เสียงของชุ่ยเหยาสาวใช้ของจูอี้ซินตะโกนโหวกเหวกเสียงดัง

“เจ้ายังจะมาเถียงอีกเหรอว่าเจ้าไม่ได้ทำ เจ้าเป็นคนผลักคุณหนูข้าตกน้ำชัดๆ”

“เปล่า ข้าเปล่า!!”

“....นี่เจ้า!!...เจ้ายังจะยืนเซ่ออยู่อีกยังไม่ลงไปช่วยคุณหนูข้าอีก” ชุ่ยเหยานางท่าทีลนลานด้วยความเป็นห่วงนาย

“ข้า..อ่ะ-เอ่อ ..ว่ะ-ว่ายน้ำไม่เป็น”

“เจ้าว่ายน้ำไม่เป็น แล้วจะปล่อยให้คุณหนูข้าจมน้ำตายอย่างนั้นหรือ?” คำพูดของชุ่ยเหยากระตุ้นจิตใต้สำนึกของข้า จึงทำให้ข้าไม่อาจทนนิ่งดูดาย จึงได้ตัดสินใจกระโดดลงน้ำตามไป

     อยู่ในน้ำเหมือนตัวข้ามันหนักกว่าอยู่บนพื้นมากนัก  ข้าฮึดพยายามตะกุยตะกายโผล่ขึ้นผิวน้ำหาอากาศหายใจ แล้วจะคว้าตัวของจูอี้ซิน ทว่าข้ากลับถูกนางกดบ่าของข้าลงไปใต้น้ำอีกครั้ง เหตุการณ์นี้มันไวจนสติข้าตั้งรับไม่ทัน ข้าในตอนนี้ทำอะไรไม่ถูก นอกจากพยายามดิ้นรนอย่างสุดกำลัง

“อึก..ฮึก...อึก.” จนสำลักน้ำลงไปในคอมากมาย การตะเกียกตะกายของข้ามันไร้ผลเสียแล้ว เพราะบนบ่าของข้าถูกมือของจูอี้ซินจับกดไว้อยู่เพื่อพยุงร่างของนางไว้ แม้พยายามดิ้นรนเท่าไรก็ไร้ผลเหมือนกับถูกหนีบด้วยเหล็กแข็งจนขยับกายไม่ได้ จนน้ำเข้ามาทั้งปากและจมูก มันแสบขัดทรมาณเหลือเกิน ความพร่ามัวของสติ ไม่มีเรี่ยวแรงขัดขืนดิ้นรน จนในหัวมันเบาโหวงจนสิ้นสติไป ทำไมกัน ทำไมความจริงใจของข้าจึงกลับย้อนมาทำร้ายตัวข้าแบบนี้

 

 

************

คุยกันตอนท้าย

.....มาแล้วนะครับ ขอโทษที่ทำให้คนอ่านรอ พอดีไรท์ติดธุระและมีงานเยอะครับ ไม่ค่อยมีเวลามาพิมพ์และอัพนิยายลงเว็บเลย ถ้ารอนานต้องขอโทษด้วยนะครับ เนื้อเรื่องต่อจากนี้จะเป็นเรื่องราวในอดีตที่ฝังใจ ทำให้อาเซียนไม่เคยลืมแม้ว่าช่วงนั้นจะมีวันเวลาที่สุขและทุกข์พร้อมๆกันแต่มันก็เป็นช่วงเวลาที่ทำให้เขารู้สึกดีและมีความสุข นายเอกของเราจะเป็นคนที่ค่อนข้างมีปมในใจ เพราะว่าฐานะยากจนคือข้อจำกัด จึงทำให้ค่อนข้างเจียมตัว ไม่ทะเยอทะยาน แต่ก็ถือว่าไม่ได้โชคร้าย เพราะข้างกายเขานั้นก็ยังมีคนที่คอยปกป้องและห่วงใยอยู่ไม่น้อย จึงทำให้นายเอกอย่างหลี่เสี้ยวเซียนไม่มีวันลืมช่วงเวลาเหล่านั้นเลย

 

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2

ออฟไลน์ PrayTime

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-1
ตอน11 โสเภณีเช่นข้า ... เหตุการณ์บนสะพานหิน2

“คุณหนูเป็นอย่างไรบ้างเจ้าค่ะ”

“แค่ก แค่ก แค่ก”

     ข้าได้ยินเสียงแว่วในเวลานั้น และเหมือนตัวของข้าถูกโอบอุ้มล่องลอยอยู่ ตอนนี้ข้าคงตายไปแล้วจริงๆสินะ ข้าถามตัวเอง

“ฮึก...” สติที่เหมือนจะพร่าเลือนภาพในหัวของข้ามีแต่สีขาวโพลน “อึก” ก่อนสัมผัสได้ถึงสายลมอุ่นพุ่งผ่านเข้ามาในร่างกาย แล้วพลันก็มีความจุกแน่นที่แผงอกทำให้รู้สึกอึดอัดเหมือนโดนของหนักกดทับเป็นจังหวะอย่างรุนแรง

“ฮึก..ฮึก..” ก่อนที่ข้าจะรู้สึกแสบขัดแล้ว โล่งสบาย การรับรู้ของข้าก็ขาดหายไปอีกครั้ง

**

     ข้าลืมตาขึ้นมาพบว่าตัวข้านอนอยู่บนเตียงหนานุ่ม ผ้าห่มเนื้อดีที่ห่อกายอยู่มันช่างไม่คุ้นตาข้าเลย ‘นี่คือที่ไหนกัน?’ มันคงไม่ใช่ปรโลกใช่ไหม ข้ากรอกตามองดูอีกครั้ง ตอนนี้ร่างกายข้าเจ็บปวดระบมโดยเฉพาะหน้าอกข้า เหมือนเพิ่งผ่านการถูกทุบตีอย่างรุนแรงมา ข้าพยายามพยุงกายขึ้นมาอย่างช้าๆ มองไปด้านข้างก็พบร่างของคนผู้หนึ่งนอนหลับสนิทอยู่บนโต๊ะ

“โอ๊ะ! อูย..”ข้าอุทานกับตัวเองเบาๆเพราะความเจ็บปวด  ร่างของคนผู้นั้นก็พลันตื่นพร้อมกับหันมองมายังข้าที่อยู่บนเตียง

“เจ้าตื่นแล้วหรือ?”

“ที่นี่คือที่ไหน?” ข้าถามเขาอย่างสงสัย

“บ้านข้าเอง เจ้าดื่มน้ำขิงก่อนสิ” เขายกน้ำขิงต้มที่อุ่นเตรียมไว้เทใส่ถ้วยยกมาให้ข้า

“ข้าไม่ได้อยู่ที่สำนักบัณฑิตหรอกหรือ?” ข้าถามเขายิ้มก่อนตอบกับข้า

“บ้านข้าอยู่ด้านหลังของหุบเขา เราอยู่ไม่ไกลจากสำนักบัณฑิตหรอก เจ้าจมน้ำจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ข้าเลยพาเจ้ามานอนพักที่บ้านข้า”

     ข้าพลันเข้าใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่บ้างจึงพยักหน้าตอบอย่างเข้าใจ “อ่ะ เจ้ารีบกินน้ำขิงนี่เสียก่อน มาเดี๋ยวข้าช่วย” เขาพยุงร่างของข้าลุกขึ้นมา

“ขอบคุณ” เขาใช้ช้อนตักน้ำขิงในถ้วยแล้วยื่นมา แต่ว่าตัวข้านั้นไม่ชินกับการถูกคนเอาใจใส่ดูแล

“ไม่เป็นไรคุณชาย ข้ากินเองได้” เขาจึงนำถ้วยน้ำขิงส่งมาให้ข้า พลันข้านึกได้ว่า นอกจากข้าที่จมน้ำแล้วยังมีจูอี้ซินอีกผู้หนึ่ง

“แล้วคุณหนูสกุลจูเป็นอย่างไรบ้าง?”

“นางไม่เป็นอะไร เจ้าห่วงตัวเองเถอะ”

     พอข้าได้รู้ข่าวก็พลันโล่งใจขึ้นมาทันที ดีแล้วที่นางไม่เป็นอะไรไป ข้าดื่มน้ำขิงจนเกือบหมดถ้วยแล้วจึงวางมันไว้ตรงโต๊ะข้างหัวเตียง

“หิวหรือไม่? ข้าสั่งให้คนต้มโจ๊กเตรียมไว้ให้แล้วจะได้ให้เขายกมา” ข้าสั่นศีรษะ

     ชายผู้นี้คือใครกันเหตุใดจึงต้องมาดูแลข้ามากมายเช่นนี้ ดูท่าแล้วเขาคงมิใช่ชาวบ้านชนชั้นธรรมดา เหมือนกับว่าข้าเคยพบหน้าเขาอยู่บ้างที่สำนักบัณฑิต คงเป็นคุณชายตระกูลใดตระกูลหนึ่งอย่างแน่นอน แล้วเหตุใดเขาจึงต้องมาคอยดูแลข้าด้วย ทันทีที่นึกได้ใบหน้าของท่านแม่ก็ลอยเข้ามาในความคิด

“คุณชายตอนนี้ยามไหนแล้ว”

“ยามโหย่ว”

“เช่นนั้นคงเย็นมากแล้ว ข้าคงต้องขอตัวก่อน” ข้ารีบพยุงร่างของตัวเองขึ้น แต่ก็ถูกเขาขวางไว้

“เจ้าจะไปไหน”

“ข้าจะกลับบ้าน ท่านแม่ข้าจะเป็นห่วง” เขายิ้มให้ข้าแล้วกล่าวขึ้น

“วันนี้ เจ้านอนพักผ่อนที่นี่สักคืน ข้าสั่งให้คนไปบอกกับนางแล้ว” ข้าฟังเขาพูดจบจึงได้แต่นิ่งเงียบ

     เมื่อได้พูดคุยกันข้าจึงรู้ว่าเขาคือทายาทสกุลถังที่ยิ่งใหญ่ นามว่า ถังห้าวฉาย สกุลถังเป็นตระกูลหนึ่งที่มีอิทธิพลในเมืองนี้ ‘ข้าติดหนี้ชีวิตคนผู้นี้เสียแล้ว’

..

     ในวันถัดมาที่สำนักบัณฑิต

“เจ้ายังกล้าโผล่หน้ามาที่นี่อีกอย่างนั้นหรือ?” เสียงของชุ่ยเหยาบ่าวรับใช้ของจูอี้ซินโวยวายเมื่อเห็นข้า ตัวข้าทำได้เพียงนิ่งเงียบไม่คิดอยากตอบโต้

“หึ เถียงไม่ออกสินะ เห็นท่าทางใสซื่อไม่คิดเลยนะว่าเจ้าจะใช้วิธีสกปรก ผลักคุณหนูข้าตกน้ำได้”

“ข่ะ-ข้าไม่ได้ตั้งใจ ฝ่ะ-ฝากเจ้าขอโทษคุณหนูของเจ้าด้วย”

“เหอะ! ยังกล้าพูดว่าไม่ได้ตั้งใจอีกรึ เจ้าคิดจะฆ่าคุณหนูข้า”

“ข้าเปล่านะ”

“ยังจะเถียงอีก”

     ทำไมนางจึงคิดปรักปรำข้านัก เรื่องในตอนนั้นข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ข้าจึงคิดเอ่ยตอบนางกลับไป เพราะตอนนี้คนเริ่มให้ความสนใจการสนทนาของข้ากับนาง

“หากข้าคิดฆ่านางแล้วเหตุใดข้าต้องกระโดดลงน้ำไปช่วยนางด้วยล่ะ เจ้าก็รู้ว่าข้าว่ายน้ำไม่เป็น”

“หึ เห็นหน้าตาแบบนี้ เจ้านี่ก็..ตีฝีปากเก่งไม่เบา” นางต่อว่าพร้อมกับเดินวนรอบตัวข้าพร้อมกับด่าทอไม่หยุดจนผู้คนในสำนักบัณฑิตล้วนมามุงดู

“ข้าไม่ได้ตั้งใจ ...ข่ะ-ข้า”

“หึ! ไม่ได้ตั้งใจ แต่ข้าเห็นกับตาว่าเจ้าผลักคุณหนูข้าตกน้ำ”

“ข่ะ-ข้า” ข้าอับจนหนทางที่จะตีฝีปากกับสตรีนางนี้เสียจริง จนจูอี้ซินเดินเข้ามา

“มีอะไรชุ่ยเหยา?”

“คุณหนูคะ ท่านดูเจ้าคนไร้ยางอายคนนี้สิ ยังจะมีหน้ามาที่นี่อีก มันคือคนผลักคุณหนูตกน้ำแท้ๆยังจะมาเถียงข้า ท่านจะไม่ให้ข้าโมโหมันได้ยังไง”

“เราไปกันเถอะชุ่ยเหยาคนมองเราใหญ่แล้ว เรื่องมันผ่านไปแล้วเจ้าไม่อายคนอื่นหรือไง?” คุณหนูสกุลจูผู้นี้ถือว่ายังมีดีอยู่บ้างที่คิดห้ามปรามสาวใช้ ข้าทำได้เพียงก้มหน้าไม่กล้าสบตานาง

“แต่เจ้านี่มันเถียงข้า ว่าตัวมันไม่ได้ทำ แล้วมันก็บอกว่าได้ลงไปช่วยท่านทั้งที่มันว่ายน้ำไม่เป็น กลับผิดเป็นถูกชัดๆ”

     ชุ่ยเหยาบ่าวรับใช้คนนี้นางยังคงไม่หยุดกล่าวหาแล้วด่าทอข้าต่อ จนคุณชายถังที่เดินมากับชายหนุ่มอีกผู้หนึ่ง นางจึงเริ่มเบาเสียงลง

“ข้ารู้นะ ว่าเจ้าอิจฉาคุณหนูข้า เพราะหยกชิ้นนั้น”

“นี่..เจ้าพูดเรื่องอะไร?...เมื่อวานข้าเดินสะดุดอะไรบางอย่าง แล้วบังเอิญโดนร่างคุณหนูจูจึงพลั้งมือทำนางตกน้ำ ข้าไม่ได้ตั้งใจ”

“ยังจะเถียงข้างๆคูๆอีก คนกลับกลอกเช่นเจ้ามันเชื่อถือไม่ได้ เจ้ารู้หรือไม่ หากไม่เพราะเจ้าผลักคุณหนูข้าตกน้ำจนทำมันหายไป หยกชิ้นนั้นคุณหนูข้าตั้งใจจะมอบให้กับคุณชายถัง”

“ข่ะ-ข้าไม่รู้ ข้าไม่รู้จริงๆนะ” ข้าสั่นศีรษะเจอสายตาทุกคนที่มองมา เหมือนกับว่าทุกสายตาไม่ได้เชื่อในตัวของข้าเลย

“ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าไม่รู้..ข่ะ-ข้าขอโทษคุณหนูจูด้วย”

     ตัวข้าในตอนนี้สั่นเทา ทำได้แต่เพียงสั่นศีรษะก้มหน้า หากข้าจะผิดก็ผิดที่พลั้งมือทำนางตกน้ำ เรื่องหยกอะไรนั่น ข้าเองไม่เคยรู้เรื่องมาก่อนเลย ทุกสายตาในตอนนี้คงไม่มีใครเชื่อ ข้ามิรู้ว่าจะตอบโต้แก้ต่างให้ตัวเองอย่างไร

“หึ! คำขอโทษของเจ้านั้น มันมีค่าพอเท่ากับหยกชิ้นนั้นหรือเปล่าล่ะ”



     ข้าตกตะลึงหากพูดถึงมูลค่าหยกนั่น ข้าเป็นเพียงคนยากจน หยกของคุณหนูสกุลจูตระกูลที่ค้าอัญมณี มันคงสูงค่าไม่น้อย แล้วตัวข้าจะมีปัญญาซื้อหาของที่มีมูลค่าเช่นนั้นได้อย่างไร ตัวข้าคงได้แต่ยอมเป็นวัวเป็นควายรับใช้นางแทนเสียแล้ว

"ชุยเหยาพอเถอะ!" จูอี้ซินเอ่ยปรามสาวใช้ พร้อมกับรั้งแขนของนางไว้

“ช้าก่อนคุณหนูจู มีเรื่องอะไรกัน?” จู่ๆ ก็มีเสียงของคนผู้หนึ่งแทรกขึ้นมาเขาคือคนที่เดินมาพร้อมกับคุณชายถังผู้นั้น จูอี้ซินนางนิ่งเงียบไม่พูดจาจนคุณชายผู้นี้เป็นคนเอ่ยขึ้น

“เจ้าว่าเขา เป็นคนผลักคุณหนูเจ้าตกน้ำอย่างนั้นรึ?”

“ใช่เจ้าค่ะ”

“เช่นนั้น เจ้าช่วยเล่าให้ข้าฟังอีกที เล่าให้ละเอียดเลยนะ”

     ข้าเงยหน้ามองดูเขาผู้นี้ สวมแพรพรรณชั้นดีคงมีฐานะไม่ด้อยไปกว่าคุณชายถังผู้นั้นเป็นแน่ แต่ว่ารอยยิ้ม ที่มองมายังข้า เป็นประกายนั่นคืออะไร แล้วเหตุใดเขาจึงต้องให้สาวใช้สกุลจูเล่าเหตุการณ์ให้เขาฟังใหม่ด้วย หรือว่ามีอะไรผิดปรกติ

“คืออย่างนี้เจ้าค่ะ เจ้านี่ ชื่อว่าหลี่เสี้ยวเซียน ข้ากับคุณหนูเดินอยู่บนสะพานแล้วมันก็เดินผ่านสวนทางข้ากับคุณหนูที่กำลังดูหยกชิ้นหนึ่งที่คิดว่าจะมอบให้กับคุณชายถัง” พอพูดถึงตรงนี้จูอี้ซินก็รั้งแขนสาวใช้ของนางด้วยความเขินอาย แต่ชุ่ยเหยานางยังคงเล่าต่อ

“เมื่อคุณหนู เห็นหลี่เสี้ยวเซียนที่มักไปไหนมาไหนคนเดียว ไม่ค่อยพูดจากับใคร จึงคิดอยากพูดคุยสนทนาแลกเปลี่ยนความรู้กัน ไม่คิดว่าขณะที่มันเดินไปหาคุณหนูของข้า จู่ๆมันก็ผลักคุณหนูของข้าตกน้ำไป”

“ฮึก!..” ระหว่างนางเดินเล่าเรื่องไปมาก็เดินมาผลักตัวข้าจนเซถลาเกือบล้มลงกับพื้น ก่อนที่นางจะพูดต่อ

“หากไม่ใช่เพราะคุณชายถังเดินมาพอดี เจ้านี่มันคงไม่กระโดดน้ำลงไปช่วยคุณหนูข้าหรอก” นางกล่าวพร้อมกับหันไปมองหน้าคุณชายถังพร้อมกับคุณชายอีกคน “อ๋อ เรื่องมันช่างประจวบเหมาะเสียจริง”

“ใช่เจ้าค่ะ เรื่องมันก็มีเท่านี้”

“มะ-ไม่ใช่นะ” ข้าได้แต่ร่ำร้องในใจ นางปรักปรำ มันไม่ใช่ความจริงทั้งหมด ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าคงอับจนหนทางเสียแล้ว

“ข้าต้องขอบคุณ คุณชายเว่ยกับคุณชายถัง มิเช่นนั้นคุณหนูของข้าคงตายไปแล้ว”

     นางกล่าวจบก็โผไปหาจูอี้ซิน ด้วยทีท่าเป็นห่วงนาย ‘หลี่เสี้ยวเซียนเอ๋ยหลี่เสี้ยวเซียน ชีวิตเจ้ามันช่างอาภัพนักเหตุการณ์ทุกอย่างที่นางเล่าดูไร้ช่องโหว่ ทุกอย่างมันช่างบังเอิญเสียจริง’ ข้าได้แต่ครุ่นคิดยอมแพ้อย่างไร้ข้อโต้แย้ง

“อืม!”

     คุณชายเว่ยเมื่อฟังสาวใช้สกุลจูผู้นี้กล่าวจบก็เดินวนไปมา “ข้าว่านะ...ที่เจ้าเล่ามานั้น เหมือนจะผิดไปข้อหนึ่ง” ข้าได้ฟังก็ประหลาดใจในทันที แต่เขาเดินคิดวนไปวนมาอีกครั้ง

“ไม่สิ ไม่สิ สองข้อ”

“คุณชายเว่ย ท่านพูดอะไรข้าไม่เข้าใจ” ชุ่ยเหยาสาวใช้นางกล่าวโพล่งวาจาถามออกมา

“ข้อหนึ่ง ที่เจ้าว่าเขาเป็นคนผลักคุณหนูเจ้าตกน้ำนั้นเป็นเรื่องจริง แต่เขาไม่ได้ตั้งใจ” ข้าและทุกคนที่ยืนมุงดูล้วนพาสงสัยกับคำพูดของคุณชายเว่ยผู้นี้ ว่ารู้ได้อย่างไร

“นั่นเป็นเพราะเจ้า!” พลันมือของคุณชายเว่ย ก็ชี้ไปที่ชุ่ยเหยาในทันที

“เพราะข้า?” ชุ่ยเหยาสาวใช้ของจูอี้ซิน นางทำหน้าตื่นตระหนก ข้าเองก็รู้สึกแปลกใจเช่นกัน

“ถูกต้อง เพราะเจ้า.... หากไม่ใช่เพราะเจ้าใช้เท้าเจ้าสกัดขาของเขาจนหกล้ม แล้วล้มไปผลักคุณหนูของเจ้าตกน้ำ เรื่องนี้ก็คงไม่เกิด...เจ้าคงสงสัยสินะข้ารู้ได้อย่างไร นั่นเพราะว่าข้านั่งมองพวกเจ้าอยู่ตรงนั้น”

     คุณชายเว่ยผู้นี้กล่าวพร้อมกับชี้มือไปที่พุ่มไม้หนึ่งที่อยู่อีกด้านริมแม่น้ำ “ตอนนั้นข้าก็เห็นพี่หาวฉายก็กำลังเดินมาพอดี... ข้อสอง...เจ้าเป็นสาวใช้คนสนิทของคุณหนูสกุลจูที่เป็นวรยุทธแล้วเหตุใดเจ้าจึงไม่ลงไปช่วยนาง หรือเจ้ารู้อยู่แล้วว่าคุณหนูของเจ้าว่ายน้ำเป็น จึงไม่คิดห่วงนาง”

“อ่ะ-เอ่อ”

     สาวใช้สกุลจูผู้นี้นางเริ่มกรอกสายตาไปมา พอข้ามองเห็นพลันรู้ได้ทันที หึ! ข้าโดนพวกนางทั้งสองกลั่นแกล้งสินะ

“ข้าอยากถามเจ้า ทำไมเจ้าต้องให้เขากระโดดลงไปช่วยคุณหนูเจ้า ทั้งที่เขาว่ายน้ำไม่เป็น!”

     ชุ่ยเหยานางเจอคำถามของคุณชายเว่ย นางเหมือนคนทรงกายไม่อยู่ จู่ๆจูอี้ซินก็ยกมือขึ้นปาดน้ำตาพลันสีหน้านางก็เปลี่ยนไป พร้อมกับพูดขึ้น

“คุณชายเว่ยท่านพอแค่นี้เถอะ ฮึก...เป็นข้าสั่งสอนบ่าวได้ไม่ดีเอง ฮึก... ในตอนที่ข้าตกน้ำ ตอนนั้นนึกตกใจจึงทำให้มือไม้ไร้เรี่ยวแรง หากไม่ได้ท่านกับพี่ห้าวฉายมาช่วย ข้ากับคุณชายหลี่คงจมน้ำกันทั้งคู่ ฮือ ฮือ.....”

     ข้ามองเห็นท่วงท่าของจูอี้ซินที่ดูบอบบางดั่งบุบผา หากใครเตะต้องคงร่วงโรยของนาง เป็นที่น่าสงสารแก่ผู้พบเห็นยิ่งนัก แต่ข้ากลับคิดว่าสตรีนางนี้ยากแก่การหยั่งถึง

“ข้าละอายใจนักที่สั่งสอนบ่าวไม่ดี ฮือ ฮือ”

“เป็นบ่าวเองที่ไม่ดีค่ะคุณหนู บ่าวผิดไปแล้ว”

     จูอี้ซินสะบัดมือออกจากชุ่ยเหยาสาวใช้พร้อมกับเดินมาตรงหน้าข้าพร้อมคำนับ “คุณชายหลี่ ข้าจูอี้ซินทำให้ท่านเดือดร้อนแล้ว สั่งสอนบ่าวไม่ดี...ขอโทษด้วย ฮึก..”

     ข้านิ่งงันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำได้เพียงพยักหน้ารับคำขอโทษจากนางแล้วรีบเดินหนีจากมาไม่อยากสืบสาวเรื่องราวอันใดอีก ข้าคิดเสมอว่าระวังตัวดีแล้ว แต่ก็ยังพลาด หากไม่ใช่เพราะคุณชายเว่ยผู้นั้น จุดจบข้าจะเป็นเช่นไร

 

 

 

   

 

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3

ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
คุณชายเว่ยกับคุณชายถัง นี่เขามีเรื่องกัยม่ก่อนหนือเปล่านะ ตอนนี้ถึงไม่ถูกกัน หรือว่าเราอ่านข้ามนะ 

ออฟไลน์ bun

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-5
ทั้งคุณชายถัง และคุณชายเว่ยต่องก็ชอบคนเดียวกันหรือเปล่า

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2

ออฟไลน์ PrayTime

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-1
ตอน12 โสเภณีเช่นข้า ... บาดเจ็บ

“เราจะทำอย่างไรดีเจ้าคะคุณหนู” ระหว่างที่ข้าเดินหลบผู้คนตรงเนินเขาข้าบังเอิญได้ยินเสียงของสตรีนางหนึ่ง จึงไม่อยากใส่ใจ จึงคิดเดินผ่านแล้วจากไป

“เพราะเจ้าคนเดียวแท้ๆ ทำให้แผนทุกอย่างที่วางไว้ต้องเสียเปล่า...ยังไงข้าก็ต้องกำจัดมันให้ได้”

     พอได้ฟังเสียงของสตรีที่คุ้นหูอีกนางเอ่ยขึ้นข้าก็จำได้ทันที น่าจะเป็นคุณหนูสกุลจูกับสาวใช้สนทนากัน พอรู้ข้าเองนั้นแม้จะไม่พอใจพวกนางอยู่บ้าง แต่ก็ไม่คิดถือสาใส่ใจในเรื่องที่ผ่านมา เพราะตระหนักดีว่าตัวเองนั้นควรจะทำตัวอย่างไร

“บ่าวผิดไปแล้วเจ้าค่ะ”

“เจ้าดูสิ ตอนนี้ใครๆล้วนมองว่าข้าคือตัวการ มันเลยดูน่าสงสาร...ส่วนข้าเลยกลายเป็นนางมารไปแล้ว”

“เป็นเพราะคุณชายเว่ยแท้ๆ บ่าวก็ไม่คิดว่าคุณชายเว่ยจะเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด”

“เป็นเพราะเจ้ายังไงล่ะ ทำอะไรทำไมไม่ดูให้ดี”

“ขอโทษเจ้าค่ะ คุณหนู บ่าวผิดไปแล้ว”

“หึ ถือว่ามันยังโชคดี ยังไงข้าก็ต้องหาโอกาสกำจัดมัน ให้ออกไปจากที่นี่ให้ได้ ข้าจะไม่ยอมให้มันเสนอหน้าอยู่ให้รกหูรกตาเด็ดขาด”

“ทำไม คุณหนูจึงเกลียดมันนักละเจ้าคะ จริงๆแล้วหลี่เสี้ยวเซียนก็ไม่ได้ทำอะไรให้คุณหนูเลยด้วยซ้ำ”

“นี่แนะ!”

“โอ้ย! คุณหนูตีบ่าวทำไม?”

“วันนั้นเจ้าไม่ได้ยินหรือไง มีคนเอาข้าไปเปรียบเทียบกับคนชั้นต่ำอย่างมัน ข้านึกถึงวันที่เจ้าพวกนั้น เอาข้าไปเปรียบกับคนอย่างมัน ยิ่งทำให้ข้าแค้นใจ ยิ่งเห็นมันก็ยิ่งทำให้รู้สึกรกหูรกตา”

     นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตข้าที่เหลือทนกับพฤติกรรมอันต่ำทรามของคน นางคิดว่าตัวเองอยู่สูงส่งเหนือผู้อื่น แต่นางกลับมีความคิดโสมมนัก มิได้มีความอ่อนโยนนุ่มนวล ละเมียดละไมอ่อนไหวเช่นอิสตรีทั่วไปเลย แม้ภายนอกนางจะเรียบร้อยงดงาม ทว่าเบื้องหลังพฤติกรรมกลับต่ำทรามล้ำลึก เพียงเพราะคำพูดของผู้อื่นนางกลับคิดกลั่นแกล้งข้า เช่นนี้เห็นทีควรระวังตัวและอยู่ให้ไกลจากพวกนางจะดีกว่า เมื่อฟังพวกนางสนทนากันยังไม่ทันจบ ข้าจึงเดินย้อนกลับไปทางเดิม

“หยุดเดี๋ยวนี้!”  ข้ายังไม่ทันเดินถึงห้าก้าว เสียงของสาวใช้จูอี้ซินก็ตวาดไล่หลังมา

“พวกท่านมีอะไร?”

“หึ ไม่มีท่าทีตื่นกลัว ซ้ำยังทำตีสีหน้าเรียบเฉยใสซื่อได้อีก” เสียงของจูอี้ซินเอ่ยขึ้นพร้อมกับก้าวเท้าตามสาวใช้ของนางออกมา

“เจ้าคงได้ยินที่ข้าคุยกันแล้วสินะ”

     ในตอนนี้แม้ข้าจะหวั่นวิตกอยู่บ้าง แต่ก็พยายามนิ่งเงียบ ไม่อยากคิดโต้แย้งกับนางทั้งสอง หากข้ากล่าวอะไรผิดไปจะกลายเป็นว่าหาเรื่องใส่ตัว

“ยังจะยืนบื้ออยู่อีก เจ้าไม่ได้ยินที่คุณหนูข้าถามหรือไง”

“ข่ะ-ข้า เพียงแค่ผ่านมา แล้วเห็นพวกท่านจึงคิดเดินกลับไป หากไม่มีธุระใด ข้าขอตัวก่อน”

“ข้าขอเตือนเจ้า หากเจ้ายังอยากอยู่ในเมืองนี้อย่างสงบ ก็ไม่ควรมาเรียนที่นี่อีก”จูอี้ซินเอ่ยกับข้าอย่างแผ่วเบา

“ท่านจะพูดกับข้าแค่นี้ใช่ไหม ขอตัว”

     ข้ารู้ว่าคำพูดของนางไม่ใช่พูดออกมาเพื่อขู่ให้ข้ากลัวเพียงเท่านั้น แต่หากนางคิดจะทำจริงๆ ข้าก็คงทำอะไรไม่ได้ หากไม่ได้มาเรียนที่นี่ แล้วข้าจะหาทางเชิดหน้าชูตาตามที่มารดาข้าคาดหวังได้อย่างไร

     ข้ารู้ดีว่าอิทธิพลของสกุลจูเป็นเช่นไร ในตอนนี้ทางที่ดีข้าควรหาทางหลีกหนีให้ไกลจากพวกนางในตอนนี้เสียก่อน จึงรีบก้าวเดินผ่านหน้าของจูอี้ซินไปโดยเร็ว

“เจ้าจะรีบไปไหน คุณหนูข้ายังไม่ได้สั่งให้เจ้าไปสักหน่อย” ทันทีที่ข้าเดินผ่านมือของจูอี้ซินก็รั้งกระชากไหล่เต็มแรงให้ข้าหันกลับไป

     ผัวะ!

ใบหน้าของข้าหมุนตามแรงฝ่ามือของจูอี้ซิน จนรู้สึกปวดร้าวใบหน้าไปทั้งแถบ จนต้องเอามือกุมไปที่แก้มอย่างลืมตัว ตอนนี้ข้าทั้งโกรธและไม่อยากทนกับการถูกพวกนางเหยียดหยาม จึงหันมองหน้าพวกนางทั้งสอง

“หึ ดูสายตามันสิเจ้าคะ..... ” ข้าชิงชังพวกนางเหลือเกิน กับเรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้ จูอี้ซินกลับคิดกลั่นแกล้ง ข้าเป็นเพียงคนธรรมดา ไม่ได้คิดจะเป็นศัตรูกับนางเลย

“เจ้ามองคุณหนูข้าแบบนี้ คิดจะทำร้ายนางอย่างนั้นรึ?”

ปึก!

     ยังไม่ทันที่ข้าจะกล่าววาจาใด ก็โดนฝ่ามือของชุ่ยเหยาฟาดใส่ที่ไหล่เต็มกำลังจนถลาล้มลงห่างจากพวกนางวาเศษ

“ฮึก..” ครานี้ข้ารู้สึกจุกแน่นไปทั้งทรวงอกแล้วกระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง สายตาที่ยิ้มเยาะจากพวกนางทั้งสองจ้องมองมา หึ.. พวกเจ้าคงเห็นข้าไม่ต่างจากสุนัขข้างถนนสินะ เพียงเพราะเห็นมันเกะกะขวางตา คิดไล่ทุบตีมันเช่นไรก็ได้ ทั้งๆที่มันไม่ได้มีความผิดอะไรเลย

     หากข้าคิดดึงดันถือสาเอาความกับพวกนาง ก็คงจะนำความเดือดร้อนมาสู่ตัวเสียมากกว่า ข้ายกมือขึ้นเช็ดเลือดที่ไหลออกมาตรงมุมปาก แล้วพยายามพยุงตัวลุกขึ้น ‘เจ็บเหลือเกิน’

“ฮึก...”

     ข้าหลับตาลงครู่หนึ่ง เพราะรู้สึกว่าความเจ็บร้าวมันถูกแผ่ซ่านไปทั้งทรวงอก เหมือนกับไร้เรี่ยวแรงในการทรงกายลุกขึ้น หากแม้ลุกขึ้นทรงกายได้ แต่ก็คงไม่อาจทนต่อความเจ็บปวดได้นาน ‘ข้าต้องรีบออกไปจากที่นี่’ ยิ่งเห็นสายตาของพวกนางที่จ้องมองมาข้ายิ่งต้องพยายาม ความอึดอัดจนหายใจไม่สะดวก ทำให้ข้าตระหนักว่าคงบอบช้ำภายในเอาการอยู่

“เจ้าลงมือหนักไปแล้วชุ่ยเหยา หากใครพบเข้าจะทำเช่นไร”

     เสียงของจูอี้ซินเค้นเสียงลอดริมฝีปากออกมา ข้าทำได้เพียงแต่พยายามยืนหยัดทรงกาย เพื่อมิให้พวกนางเหยียดหยามไปมากกว่านี้ ทว่าแม้พยายามลุกขึ้นมา กลับต้องทรุดกายลงกับพื้นอีกครั้ง

“เช่นนั้นเรารีบไปจากที่นี่กันเถอะเจ้าค่ะ”

“อืม!”

 

     หึ!  เจ้าทั้งสองช่างเหมาะสมเป็นนายบ่าวกันเสียจริง นางทั้งสองจากไปแล้วข้าจึงค่อยพยุงกายของตนลุกขึ้นอย่างช้าๆ พร่ำบอกกับตัวเองว่าให้จำความเจ็บปวดเหล่านี้เอาไว้ให้ดี เพราะโลกใบนี้ล้วนมีแต่ความอยุติธรรมอยู่มากมาย เพราะตัวเรามันต่ำต้อยเกินกว่าใครจะหันมามอง คนไร้ค่าอย่าได้พยายามเรียกร้องหาความยุติธรรม หากคิดสร้างความยุติธรรมก็จงสร้างด้วยมือของตัวเอง

“ฮึก...แค่ก แค่ก”

     ทว่าจูอี้ซินและสาวใช้ก็ย้อนกลับมาดูทีท่าร้อนรน เหตุใดกันพวกนางทั้งสองจึงมีสีหน้าตื่นตระหนกเช่นนั้น

“จะทำยังไงดีคะคุณหนู”

“เจ้ารีบหลบไปก่อน จำไว้อย่าให้ใครเห็นเด็ดขาด...ไปซิรีบไปเร็วเข้า”

“เจ้าค่ะๆ”

     พวกนางทั้งสองดูลนลานนัก เหมือนกับนางไปเจอภูตผีตนใดมา เมื่อสาวใช้จากไปเหลือเพียงจูอี้ซินผู้เดียว นางพลันหันมองมา ทำให้นึกหวั่นใจขึ้นมา เพราะนางค่อยๆเดินช้าๆเข้ามาหาข้าทีละก้าว จึงทำให้ข้าต้องถอยหนีเพื่อให้ห่างจากตัวนางอย่างลืมตัว

“ท่านจะทำอะไร?”

      สตรีนางนี้ทำให้ข้าตื่นกลัวกับการกระทำของนาง ในเวลานี้ยอมรับว่าข้ากลัวนางเหลือเกิน เพราะไม่เคยคิดว่าสตรีที่งดงาม บอบบางเช่นนาง แต่ฉากหลังกลับซ่อนความร้ายกาจยิ่งกว่าอสรพิษ

“เหตุการณ์เมื่อครู่หากเจ้าบอกกับผู้อื่นว่าเป็นฝีมือของข้า เจ้าคงรู้นะว่าจุดจบของเจ้าจะเป็นอย่างไร”

     เสียงอันแผ่วเบาที่เล็ดลอดออกมา จากริมฝีปากบางของนางกล่าวขึ้น แต่สิ่งที่ข้าเห็นและจดจำมันได้อย่างแม่นยำนั่นคือแววตาอำมหิตของนางคู่นี้ ข้าจึงพยักหน้ารับคำของนางอย่างลืมตัว จนนางยิ้มให้ข้าอย่างอ่อนโยน นางยังคงเดินเข้ามาหาข้าอย่างช้าๆ

“โอ๊ะ!”

     จนข้าสะดุดหินก้อนหนึ่งจนตัวเซ เปลี่ยนทิศทาง นางก็เอาตัวมารองรับกายข้าพร้อมกับล้มกลิ้งลงเนินไปด้านล่าง “ฮึก!”

“คุณชายหลี่ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”  นางลุกขึ้นพร้อมกับพยุงร่างของข้า พฤติกรรมของนางในตอนนั้นทำให้ข้างุนงง เพียงครู่ก็ปรากฏร่างของคุณชายสกุลถังยืนอยู่ด้านบน

“คุณชายหลี่ นี่ท่านบาดเจ็บ!” การแสดงละครฉากนี้ของนางช่างสมบทบาทเสียจริง

“พวกเจ้าสองคนเป็นอะไรหรือไม่?”

“พี่ห้าวฉาย ฮึก... เป็นข้าที่ทำให้คุณชายหลี่บาดเจ็บ” จูอี้ซินนางเล่นละครฉากใหญ่ให้ข้าดูอีกแล้ว

“เป็นอะไรมากหรือเปล่า?” คุณชายถังหันไปถามนางที่ยืนสะอึกสะอื้นอยู่ นางสั่นศีรษะตอบ

“เจ้าล่ะ?” ข้าสั่นศีรษะ พยายามจะลุกขึ้น แต่ก็ทรุดกายลงไปอีก

“ฮึก..”

“นี่เจ้าบาดเจ็บ!” เขาเห็นข้าบาดเจ็บจึงได้อุ้มร่างของข้าออกมา

“คุณชายหลี่ บาดเจ็บเพราะข้า ฮึก...หากไม่ได้คุณชายหลี่นำร่างของเขากันร่างข้าไว้ คนที่บาดเจ็บคงเป็นข้า ฮึก...”

     จูอี้ซินแสดงสีหน้าเศร้าสลด ข้าเห็นสตรีมามาก แต่กลับยังไม่เคยพบเจอสตรีที่มีมารยา ตีสองหน้าได้เก่งเช่นนาง ยิ่งเห็นยิ่งสะอิดสะเอือนนัก

“คุณหนู เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ” ไม่นานเสียงของสาวใช้คนสนิทของนางก็โผล่มา ในโลกนี้สตรีที่ข้าเจอ หากกล่าวว่านายบ่าวคู่นี้ชั่วช้าที่สุดก็คงไม่ผิด เพียงครู่ร่างข้าก็ถูกคุณชายถังพยุงขึ้นมา

“พี่ห้าวฉายท่านจะพาคุณชายหลี่ไปที่ไหน?”

“ข้าจะพาเขาไปหาหมอ”

“นี่ก็เย็นมากแล้ว เจ้าควรกลับบ้าน”

“เช่นนั้นข้าขอไปกับท่านด้วย ข้าอยากตอบแทนคุณชายหลี่ที่ช่วยเหลือข้า”

“คุณหนูคะ”

“เจ้ารีบพาคุณหนูเจ้ากลับไปไปได้แล้ว”

“แต่...” ยังไม่ทันที่จูอี้ซินจะเอ่ย คุณชายถังก็นำร่างข้าจากมา

“ฮึก...ท่านจะพาข้าไปไหน?”

“เจ้าบาดเจ็บ ก็ต้องพบหมอน่ะสิ”

“ข้าไม่เป็นไร..พักสักครู่ก็คงหาย”

“อาการหนักขนาดนี้ คิดว่านั่งพักเพียงครู่ก็หายอย่างนั้นหรือ เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นเทพเซียนหรือไง” ร่างของข้าถูกเขาพาขึ้นมาบนรถม้า

“พี่ใหญ่ ผู้นี้คือ?”

“ซือซือ เขาบาดเจ็บเจ้าดูอาการทีว่าเป็นอย่างไรบ้าง” เพียงครู่แม่นางซือซือก็ตรวจอาการ

“เขาโดนใครทำร้ายมา”

“ตกเขา”

“ตกเขา?”

“อืม อาการเขาเป็นอย่างไรบ้าง”

“พี่ใหญ่ หากตกเขาเหตุใดเขาจึงมีอาการบอบช้ำภายในจากการโดนยอดฝีมือทำร้ายด้วยล่ะ?”คุณชายถังเหมือนไม่เชื่อที่แม่นางซือซือกล่าว “ใครทำร้ายเจ้าบาดเจ็บ” ข้าสั่นศีรษะ สติในตอนนี้ของข้าแม้พร่าเลือนแต่ก็พอมีสติอยู่บ้าง และข้ายังจำคำขู่ของคุณหนูสกุลจูได้ดี

“อาหนิวไปเรือนหลังเขา แล้วเจ้าพาคุณหนูกลับบ้านใหญ่ด้วย”

“ขอรับ”

“พี่ใหญ่ แผลภายนอกข้าดูแล้วไม่เป็นไรท่านพาเขาไปพักก่อน ส่วนอาการบาดเจ็บภายใน เมื่อข้าถึงบ้านแล้วจะให้อาหนิวนำยามาให้ท่าน”

“อืม”

     เหตุการณ์ในครั้งนี้ข้าก็ยังคงติดหนี้บุญคุณเขาผู้นี้เช่นเคย ร่างของข้าถูกเขาพยุงเข้ามายังเตียงนอนเดิมเมื่อวันก่อน “ต่อไปนี้หากเจ้ามีอะไร หรือโดนพวกนางรังแกก็บอกข้า”

“ฮึก..ท่านหมายถึงอะไร?”

“เจ้าคิดว่าหลอกข้าได้หรือไง หากเจ้าไม่โดนพวกนางทำร้ายแล้วเจ้าจะบาดเจ็บภายในได้อย่างไร?”

**

     ข้าทอดสายตามองไปนอกหน้าต่าง ก่อนนำมือของตัวเองแตะลากบนโต๊ะพลางสำรวจแล้วนึกถึงเรื่องราวในอดีต นี่ก็ผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว ข้าในตอนนี้คือเซียวหยุนหนิง มิใช่หลี่เสี้ยวเซียนผู้อ่อนแอคนนั้นอีกแล้ว

 

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
ต้องเอาคืนให้สาสม

ออฟไลน์ PrayTime

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-1
ตอน13 โสเภณีเช่นข้า ... ผีเสื้อราตรี

    ข้ารอเขาอยู่ในห้องรับแขกครู่ใหญ่ เหตุใดจึงดูเงียบเชียบนัก เขาต้องการจะทำอะไรกันแน่ การกระทำของเขายิ่งทำให้ข้ารู้สึกสับสน ยิ่งคิดก็ยิ่งทำให้อึดอัดใจจึงได้เดินออกไป

“นั่นท่านจะไปไหน?” พลันเสียงของอาหนิวก็ดังไล่หลังตามมา

“อาหนิว”

“คุณชายหลี่ท่านกำลังจะไปไหนขอรับ” ข้าไม่ได้ตอบไปในทันที สายตาข้ากลับมองหาร่างของเขาว่าอยู่แถวนี้หรือไม่ แต่ก็ยังคงไร้วี่แวว

“ท่านจะไปหาคุณชายหรือขอรับ” ข้าพยักหน้าเบาๆ

“ตอนนี้คุณชายมีธุระด่วน ไม่อยู่ขอรับ เชิญท่านไปด้านในก่อน”

“ไม่อยู่แล้ว? เขาไปไหน” ข้างุนงงกับเหตุการณ์ตรงหน้า ตอนนี้เขาไม่อยู่ แล้วเขาจะพาข้ามาที่นี่ทำไม? คิดจะทำอะไรกันแน่ เห็นข้าเป็นตัวตลกหรือไง พาตัวข้ามาแล้วปล่อยทิ้งข้าไว้แบบนี้ ไร้สาระสิ้นดี

“คุณชายไม่ได้สั่งอะไรข้าน้อยไว้ เพียงแต่ทิ้งสิ่งนี้ไว้ให้ท่าน” อาหนิวหยิบยาขวดเล็กส่งมาให้ข้า มันคงเป็นยาแก้พิษสินะ

“อืม ถ้าเช่นนั้นข้าไปล่ะ” อาหนิวพยักหน้า ข้าก้าวเท้าเดินออกมา

“ตอนนี้ท่านดูไม่เหมือนคุณชายหลี่ในอดีตที่ข้ารู้จักเลย” พอได้ยินคำพูดเมื่อครู่ ทำให้ข้าต้องหยุดฝีเท้า

“ท่านรู้หรือไม่ ตลอดเวลาที่ผ่านมาคุณชายตามหาท่านมาตลอด ในตอนที่เขารู้และเจอท่านอีกครั้ง ดูคุณชายท่านดีใจมาก”

“อย่างนั้นหรือ?” ข้าเอ่ยตอบอาหนิวไป เจอข้าแล้วเขาดีใจอย่างงั้นหรือ หึ! นี่ข้าควรจะดีใจใช่ไหมที่เขาคิดถึงข้า

“คุณชายหลี่ ข้าไม่รู้หรอกนะว่าท่านคิดจะทำอะไร แต่หากท่านคิดจะปั่นหัวคุณชาย ข้าขอร้องท่าน หยุดเสียเถอะ ถือว่าท่านเห็นแก่ไมตรีครั้งเก่าที่เขาเคยดีกับท่าน จะได้หรือไม่”

 “อืม ได้สิ!”

     เจ้าคงเข้าใจอะไรผิดไปแล้วอาหนิว คนที่ใช้คำพูดเหยียดหยามข้าก็คือเขา บางทีก็จริงอย่างเจ้าว่า ตอนนั้นข้าก็คงตัดสินใจทำบางอย่างผิดพลาดไปจริงๆ แต่เจ้าจะมารู้อะไรไปมากกว่าตัวข้ากันล่ะ เขากับเจ้าเป็นนายเป็นบ่าว ก็ย่อมต้องเข้าใจกันดี แต่คงไม่มีใครเข้าใจตัวข้า ว่าตลอดเวลาข้าต้องเผชิญกับอะไร ในใจข้าคิดอะไร ในตอนนั้นข้าสามารถตัดสินใจทำอะไรได้บ้าง

“ข้าไปล่ะ..”

“ดูท่านไม่เหมือนคุณชายหลี่คนเดิมที่ข้าเคยรู้จัก ท่านเปลี่ยนไปมากจริงๆ”

“หึ! เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าจะจำคำที่เจ้าบอก และจะอยู่ให้ห่างจากเขา...”

     ข้ากล่าวทิ้งท้ายก่อนย่างกายออกจากเรือน อาหนิวเอ๋ยเจ้าจะไปรู้อะไร วันๆเจ้ารับใช้อยู่ข้างกายเขาย่อมเห็นว่าเขาดีก็ไม่ผิด คนเราทุกคนย่อมเผชิญปัญหาแตกต่างกัน เมื่อถึงวันหนึ่งก็ต้องเติบโตขึ้นเป็นธรรมดา เจ้าจะให้ข้าเป็นหลี่เสี้ยวเซียนคนเดิมได้อย่างไร เจ้าไม่ต้องห่วงข้ารู้ดี เรื่องคุณชายเจ้ากับข้า ยังไงมันก็คงเป็นไปไม่ได้ ข้าสัญญาว่าจะพยายามหลีกหนีและไม่มีวันทำร้ายเขาอย่างแน่นอน

   

     ระหว่างทางข้าครุ่นคิดเรื่องราวต่างๆเมื่อครั้งแรกตอนที่รู้จักกัน แม้มันเป็นเวลาไม่กี่ปี แต่มันทำให้ข้ามีความสุขและสนุกมากอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน จนตัวข้าลืมมันไม่ลง อาหนิวหากเจ้าจะให้ข้ากลับไปเป็นคนอ่อนแอเช่นเดิม แล้วให้คุณชายของเจ้าคอยดูแลปกป้อง ข้าคงเป็นคนไร้ประโยชน์ที่ใช้การไม่ได้น่ะสิ...ชีวิตคนเราย่อมมีการเปลี่ยนแปลง หากข้าไม่เข้มแข็ง เอาแต่เฝ้ารอคอยความช่วยเหลือจากผู้อื่น ไม่พยายามยืนหยัดด้วยตัวเอง ข้าจะเผชิญอยู่บนโลกที่อยุติธรรมนี้ได้อย่างไร

..

“เร็วเข้า! ข้างหน้านี่แหละ”

     ข้าหยุดชะงักกับเสียงของคนชุดดำกลุ่มหนึ่ง ด้วยพลังฝีมือและฝีเท้าที่แผ่วเบา พวกมันดูเหมือนกำลังมุ่งหน้าไปที่เรือนหลังเขา คนกลุ่มนี้เคลื่อนไหวผิดสังเกต ข้าจึงลอบติดตามพวกมันไปอย่างเงียบๆ พวกมันทะยานกายเข้าไปในเรือน อย่างที่คิดไว้ไม่ผิด

‘พวกมันต้องการจะทำอะไร?’

     ทันใดก็เกิดเสียงการต่อสู้จากภายใน ข้าทะยานกายขึ้นไปบนหลังคาลอบดูเพื่อความแน่ใจ เห็นอาหนิวกำลังต่อสู้กับคนพวกนี้อย่างสุดกำลัง พลันร่างของเขาก็กระเด็นออกมาที่ลานกว้างด้านหน้า

“เจอคนหรือไม่?”

“ไม่เจอ!”

     เสียงพวกมันคุยกัน มันต้องการหาใครกันแน่ หากคนของโป๋ซีส่งมาตามหาข้า เขาคงไม่ใช้วิธีนี้เด็ดขาด

“ฆ่า!!”

     พลันแสงสีเงินจากคมดาบก็ฉายวาบขึ้นมา แย่แล้ว!พวกมันคิดสังหารอาหนิว ข้าจึงเตะแผ่นกระเบื้องพุ่งตรงไปยังคมดาบนั่น

เช้ง!

“คนที่พวกเจ้าตามหาอยู่นั้น ใช่ข้าผู้นี้หรือเปล่าล่ะ?” ข้าปรากฏกายอยู่บนหลังคา ทุกสายตาพวกมันจ้องมา ข้าจึงทะยานกายลงมาตรงหน้าอาหนิว

“เจ้าคือใคร?”

“หึ! ข้าคงทำให้พวกเจ้าผิดหวังสินะ...แย่จริงเชียว!...เช่นนั้นข้าคงไม่ใช่คนที่พวกเจ้ากำลังตามหาแล้ว..”

“อย่าไปพูดกับมันให้เสียเวลา ฆ่า!”

     เสียงหนึ่งในพวกมันเอ่ยขึ้น กลุ่มคนพวกนี้พุ่งตรงเข้ามาหมายจู่โจมข้าในทันที ข้ากวาดตามองพวกมันกลุ่มนี้ จัดเป็นพวกมือดีกลุ่มหนึ่ง มีการเคลื่อนไหวที่ว่องไวรวดเร็ว หากข้าเคลื่อนกายชักช้า เกรงว่าจะเอาชีวิตไม่รอด มันเข้าห้อมล้อมโจมตี ทำให้ข้านึกหวาดหวั่นอยู่บ้าง แม้พวกมันจะมีฝีมือไม่โดดเด่นแต่ก็มีจำนวนมากกว่า ดีที่ว่าข้าฝึกซ้อมวิชากับจ้าวตำหนักมาโดยตรง ทำให้มีประสบการณ์ต่อสู้ที่ช่ำชอง เพียงครู่ก็จัดการพวกมันได้ถึงสองคน

     มีดสั้นในมือข้าพุ่งตรงตั้งรับการจู่โจมของพวกมันด้วยความเร็ว สองสายตาข้าเพ่งมองสังเกตการเคลื่อนไหวพวกมันทุกคนอย่างละเอียด การเคลื่อนไหวข้าตอนนี้ปรับสภาวะไม่ช้าไม่เร็วจนเกินไป พวกมันฮือตวัดดาบเข้ามา ไม่มีเวลาให้ข้าได้หวาดกลัว จึงโถมเข้าหาพลิกวิถีดาบของมันผู้หนึ่ง จนหลุดร่วงออกจากมือ แล้วใช้เท้าเตะด้ามดาบพุ่งเข้าหาพวกมันที่จู่โจมตามเข้ามา พวกมันยิ่งต่อสู้ยิ่งดูร้อนรน เปลี่ยนทีท่าถอยร่นทันที

“พวกเจ้าจัดการมันผู้นี้ เจ้านั่นข้าจัดการเอง” มันคนหนึ่งเอ่ยขึ้นก่อนพุ่งตรงเข้าไปหมายสังหารอาหนิว ข้าจึงจำเป็นต้องซัดอาวุธที่ไม่อยากจะใช้นั้นออกไปในทันที

“ฮึก!”

“ผีเสื้อราตรี!”

“ตำหนักร้อยบุปผา”

“หึ!...นับว่าพวกเจ้าตาถึง”

     ในตอนนี้พวกมันดูลนลานตื่นตระหนก หากมันคิดหนีให้รอดพ้นจากเงื้อมมือข้าในตอนนี้คงสายไปเสียแล้ว ข้าคงไม่ปล่อยให้คนที่รู้จักข้า...มีชีวิตรอดไปเด็ดขาด! พวกมันคิดจะแยกย้ายกันหนี แต่ก็ช้าไปแล้ว เพราะระดับความเร็วของพวกมันยังช้ากว่าการล่าสังหาร จากอาวุธซัดที่ชื่อว่า ผีเสื้อราตรี

..

“อาหนิว เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”

“ฮึก!..คุณชายหลี่ข้าไม่เป็นไร” อาหนิวพยุงกายของตนลุกขึ้นยืน

“คนพวกนี้เป็นใคร?”

     อาหนิวสั่นศีรษะ ข้าคิดว่าคนที่พวกมันตามหาคงจะเป็นถังห้าวฉาย นั่นคือเป้าหมายของพวกมัน เหตุใดคนสั่งการจึงสั่งแค่มือดีชั้นต่ำพวกนี้มาสังหารเขา ช่างประเมินถังห้าวฉายต่ำไปจริงๆ ...หรือว่าพวกมันต้องการ.... ถ่วงเวลา

“อาหนิว รู้หรือไม่คุณชายเจ้า ตอนนี้อยู่ที่ไหน?”

“สำนักสาขาทางทิศใต้ ข่ะ-ขอรับ  ฮึก!”

 

 

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12

ออฟไลน์ LoveAlone

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0

ออฟไลน์ PrayTime

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-1
ตอน14 โสเภณีเช่นข้า ... แตกหัก

     เมื่อครุ่นคิดข้ายิ่งร้อนใจ ผู้อยู่เบื้องหลังคือใครกันถึงได้กล้าลงมือกับคนสกุลถัง คนผู้นี้ย่อมไม่ธรรมดา ข้าสูดลมหายใจพร้อมกับทะยานกายด้วยวิชาตัวเบาออกไปจากเรือนด้วยความเร่งรีบ ไม่นานนักข้าพลันได้ยินเสียงเคลื่อนไหวของยอดฝีมือ ‘มันคือผู้ใด’ ดูเหมือนว่าพวกมันกำลังสะกดรอยตามข้าอยู่ ยิ่งทำให้ข้าต้องระวังตัวมากขึ้น
     สายลมพัดไหวแหวกผ่านอากาศใกล้เข้ามา ข้าจึงตัดสินใจในช่วงเวลาเพียงเสี้ยวเพื่อชิงลงมือจู่โจมพวกมันเสียก่อน ข้ายืดกายม้วนตัวตลบหลังย้อนเปลี่ยนทิศทาง พร้อมกับซัดอาวุธลับแหวกผ่านอากาศไปในทันที
เคว้ง!
     พวกมันพลิกตัวตีลังกาถอยหลบวิถีอาวุธซัดของข้าในทันที “พวกเจ้าคือใคร?”
“คุณชาย”
“ท่านเฮย พี่ไป๋ ท่านมาที่นี่ได้ยังไง?”
“โป๋ซีให้คนมาแจ้งว่าคุณชายถูกจับตัวไป พวกข้าทั้งสองจึงได้รีบตามมา คุณชายท่านเป็นอะไรหรือไม่”
“ข้าไม่เป็นไร”
     เขาทั้งสองมีฉายาว่า อสรพิษขาวกับอสูรดำ จัดเป็นยอดฝีมือที่อยู่คู่กายของจ้าวตำหนัก โดยทั่วไปแล้วเขาทั้งสองมักจะไม่เปิดเผยตัวตนและมักจะทำงานให้กับจ้าวตำหนักเพียงเท่านั้น ข้านึกแปลกใจเหตุใดเขาทั้งสองจึงอยู่ที่นี่ได้ โป๋ซีส่งข่าวให้เขาทั้งสองได้อย่างไร พวกเขาอยู่ที่ไหนมักไม่มีผู้ใดล่วงรู้ เพราะแม้แต่ข้าที่เป็นเจ้าเรือนหัวหน้าสาขายังไม่รู้เลย หรือว่าจ้าวตำหนักไม่ไว้ใจข้าจึงได้ส่งพวกเขามา บางทีอาจจะเป็นเพราะฝีมือข้าอ่อนด้อย จึงได้ให้พวกเขามาคอยช่วยเหลือข้าอีกแรง
“แล้วคุณชายท่านเร่งรีบจะไปที่ใดกัน?”
“ใช่สิ ข้าไม่มีเวลาคุยกับพวกท่าน ขอตัวก่อน”
     ข้ายกมือคำนับกล่าวคำลาพวกเขาทั้งสองก่อนจะทะยานกายออกไป เขาทั้งสองคงเป็นห่วงความปลอดภัยของข้าจึงได้ติดตามข้ามาเช่นกัน
“คุณชายท่านดูนั่น!?!”
“ใครกันที่ลงมืออำมหิตเช่นนี้?”
“ดูเหมือนว่าจะเกิดเหตุไม่ดีขึ้นกับสกุลถังเสียแล้ว”
     ข้ากวาดสายตามองดูศพที่นอนอยู่กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งรอบบริเวณ “นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
“คุณชาย เรื่องนี้มิได้เกี่ยวกับพรรคมารเรา น่าจะเป็นความบาดหมางกันเองของฝ่ายธรรมะข้าว่าพวกเราอย่าเข้าไปยุ่งจะดีกว่า”
“แต่เรื่องนี้ข้าไม่สืบหาความจริงคงไม่ได้!”
“แต่...”
“หากจ้าวตำหนักลงโทษ ข้าจะขอรับโทษเอง”
“เช่นนั้น คุณชายท่านควรจะปิดบังอำพรางตัวตน”
“อืม”
     ข้านำผ้ามามาอำพรางใบหน้าพร้อมกับเดินสำรวจศพต่างๆอย่างละเอียด “คุณชายท่านดูนี่”
“อะไรหรือ?”
“ถังจงฮ่วน”
     ข้ามองไปที่ร่างของเขาที่โชกไปด้วยโลหิต บาดแผลบนร่างเหมือนถูกรุมโจมตีจากยอดฝีมือหลายคน สติข้าในตอนนี้มิกล้าคาดการณ์เหตุการณ์ตรงหน้าได้ เขาในตอนนี้จะเป็นเช่นไร
..

“พวกเจ้าคือใคร?”
     ทันทีก็มีเสียงตวาดตะโกนมาจากด้านหลัง เป็นเสียงของสตรีพร้อมกับคนจำนวนหนึ่ง ท่านเฮยกับพี่ไป๋จำต้องลงมือกับคนที่กรูกันเข้ามาจนเกิดการปะทะกันขึ้น เสียงของคมอาวุธปะทะกันข้านำร่างประมุขตระกูลถังวางลง ด้านหลังข้าก็ปรากฏดวงตาที่แข็งกร้าวคู่หนึ่งจ้องมา แล้วสตรีอีกสองคนก็ไล่หลังตามมา
“ท่านพ่อ!” เสียงของถังซือซือร้องขึ้น
“พี่ห้าวฉาย นั่นบิดาของท่าน!” จูอี้ซินเอ่ยพร้อมกับมองไปที่ถังห้าวฉายสายตาที่ปวดร้าวคู่นั้นจ้องมองมายังข้า
“พวกมันคือคนของพรรคมาร”
     เสียงของจูอี้ซินเอ่ยขึ้น ในเวลานี้ข้าตื่นตระหนก เพราะความคิดในหัวมึนงงไปหมด ความสับสนที่ก่อตัวขึ้นจนไม่รู้ว่าข้าควรทำสิ่งใดก่อนกันแน่ ข้าก้าวเท้าถอยห่างในขณะที่เขาค่อยๆย่างก้าวเข้ามาหาทีละก้าว สายตาที่เจ็บปวดนั่นจ้องมาโดยไม่กระพริบ ข้าสั่นศีรษะอย่างลืมตัว
“ไม่ใช่ข้า ไม่ใช่ฝีมือข้า”
“อย่าปล่อยให้พวกมันหนีไปได้”
     ทันทีปลายกระบี่ของจูอี้ซินก็พุ่งตรงมา ประกายจากแสงกระบี่รั้งสติของข้ากลับคืนมาอีกครั้ง จึงได้หลบหลีกการจู่โจมของนาง ในขณะที่ข้าตั้งรับกระบวนท่าสภาวะกระบี่ของจูอี้ซินที่ถาโถมมา แล้วพลันก็รับรู้ถึงเสียงอาวุธชิ้นเล็กกลุ่มหนึ่งพุ่งตัดอากาศตรงมาคือ เข็มพิษของถังซือซือ มันจวนตัวที่ข้าจะหลีกพลิกตัวหลบจึงได้รั้งมีดสั้นออกมาปัดเข็มพิษพวกนั้นออกไป
     พวกนางทั้งสองโจมตีต่อเนื่องดุจกระแสน้ำที่ไหลหลากถาโถมมายังตัวข้าไม่หยุดหย่อน ข้าทำได้เพียงตั้งรับการโจมตี เพียงคู่ก็ปรากฏเงาร่างหนึ่งพุ่งตรงเข้ามา ข้าจำต้องสกัดการโจมตีของถังซือซือพร้อมกับหลีกหนีวิถีกระบี่ของจูอี้ซิน พร้อมกับใช้เท้าถีบร่างนางจนถอยห่างออกไปหลายวา เพื่อเตรียมรับมือกับบุรุษร่างสูงใหญ่ตรงหน้า
เปรี้ยง!
     เสียงระเบิดเกิดขึ้นทั่วบริเวณเพราะกำลังภายในที่ขับเคลื่อนในร่างข้าปะทะกับเขาโดยตรง ทำให้ร่างของข้ากระเด็นออกมาหลายจั้ง คนผู้นี้ลงมือโดยไม่ลังเลเลยสักนิด ทั้งๆที่น่าจะรู้ว่าคนตรงหน้านั้นคือข้า หลี่เสี้ยวเซียน

“ฮึก...”
     พริบตาร่างของเขาก็พุ่งตรงเข้ามา หากคนผู้นี้กล้าลงมือเหตุใดข้าต้องออมมือ จึงยกมีดสั้นตวัดพุ่งตรงเข้าหามันผู้นี้ในทันที
“ฝ่ามือเมื่อครู่ ช่างไร้ความปราณีจริงๆ”
“เจ้าคือคนของพรรคมาร”
“ก็รู้อยู่แล้วนี่ ว่าวิชาข้าคือของพรรคมาร อึก....”
“หึ ข้าน่าจะรู้ต้องนานแล้วว่าปานรูปผีเสื้อที่ไหล่เจ้า”
“ข้าจะบอกอีกครั้งเรื่องนี้มันไม่ใช่ฝีมือข้า....”
“เฮอะ!”
“หากท่านไม่เชื่อ เช่นนั้นความผิดทั้งหมดในโลกนี้ก็จงโยนมา ข้าจะขอรับไว้เอง...ฮึก”
     ความเจ็บปวดจากการบอบช้ำภายในเมื่อครู่เริ่มออกอาการ ข้าจึงกลั้นใจใช้กำลังที่มีซัดฝ่ามือใส่คนตรงหน้าไปเต็มกำลัง
“แล้วเจ้ามาอยู่ที่นี่กับจ้าวปีศาจขาวดำได้ยังไง?”  ท่านยังคงลังเลไม่คิดจะเชื่อใจข้าเหมือนเช่นเคย
“หึหึ...จงลงมือฆ่าข้าเสียแต่ตอนนี้ เพราะหลังจากนี้คงจะไม่มีโอกาสได้ลงมือแบบนี้อีกแล้ว”
     เขาชะงักไปครู่หนึ่ง หึ!สายตาเจ้าก่อนหน้าไม่มีแม้แต่ความไว้ใจในเมื่อตอนนี้ทางหลบหนีข้าไม่มีอีกแล้ว หากสายตาที่เจ้ามองมา ข้าคือคนพรรคมารที่ต่ำช้าเกินอภัย หลังจากนี้ข้าก็จะต่ำช้าให้เจ้าดู
“ลงมือ!!”
     แม้ร่างของข้าจะบอบช้ำภายใน แต่ข้าก็จะไม่ยอมให้พวกมันลงมือได้ง่ายดายแน่นอน ยังไม่ทันที่ถังห้าวฉายจะขยับกายเข้ามาอสรพิษขาวกับอสูรดำก็จู่โจมเขาเสียก่อน ทันใดก็ปรากฏลำแสงกระบี่สองสายพุ่งตรงมาหาข้า นั่นคือ จูอี้ซินกับชุ่ยเหยาสาวใช้
“เป็นเจ้าสองคนเองรึ ดี!” 
‘ข้าจะขอคิดบัญชีพวกเจ้าคืนในวันนี้ก็แล้วกัน’
“เฮอะ วันนี้พรรคมารอย่างพวกเจ้าหนีไม่รอดหรอก”
“มันก็ต้องดู...ว่าฝีมือพวกเจ้าจะมีความสามารถพอรึเปล่า”
     จูอี้ซินขบริมฝีปากก่อนฟาดกระบี่ใส่มายังข้า นางทั้งสองใช้เพลงกระบี่สอดประสานถาโถมจู่โจมเข้ามา ทำให้ข้าต้องหลีกตั้งรับพร้อมกับหมุนกายยืนหยัดด้วยเท้าซ้ายหลบกระบี่ของสาวใช้สกุลจูก่อนถีบไปที่ด้านหลังของนางจนกระเด็นออกไปหลายวา ข้าเห็นกระบวนท่าของจูอี้ซินถาโถมเข้าหา ทำให้ข้าได้ขบคิดจึงยิ้มให้นางคราหนึ่ง
“คุณหนูระวัง!”
     เหตุการณ์คับขันหากนางจะชักกระบี่กลับคงไม่ทันการณ์ ข้าใช้ความเร็วพลิกหมุนตัวรอบกายนางก่อนหมายคิดใช้มีดสั้นปักลงที่คอ เพื่อสังหารสตรีโฉดชั่วนางนี้ทิ้งเสีย ทันทีก็ปรากฏเงาร่างที่รวดเร็วแทรกอากาศตรงมา
ปึก!
     ร่างของข้าถูกฝ่ามืออันใหญ่หนาฟาดใส่กลางหลังด้วยกำลังภายใน ทำให้ข้าต้องบาดเจ็บเป็นครั้งที่สอง จนผ้าปิดหน้าของข้ากระเด็นหลุดปลิวออกไป
“หลี่เสี้ยวเซียน!” เสียงของจูอี้ซินกับสาวใช้นางอุทานเมื่อได้เห็นใบหน้าของข้าอย่างชัดเจน
“หึ!...ถ่ะ-ถังห้าวฉายฝ่ามือไร้น้ำใจของเจ้านี้ มันทำให้ข้าได้ตาสว่าง.....ฮึก!! อยากจะฆ่าก็เข้ามาได้เลย!”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-09-2019 19:05:18 โดย PrayTime »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด