คุณพี่ชายนายนกผี! My brother is the barn owl! บทส่งท้าย : คนของใจ 29/10/19
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: คุณพี่ชายนายนกผี! My brother is the barn owl! บทส่งท้าย : คนของใจ 29/10/19  (อ่าน 22453 ครั้ง)

ออฟไลน์ Timid Lily

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้


1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



++++++++++++++++


"พิน" ชายหนุ่มอายุ 22 ปีที่กำลังจะเรียนจบ ครอบครัวของเขาเพิ่งผ่านเหตุการณ์เลวร้ายซึ่ง...

"พิมพ์" พี่ชายของเขาได้ถูกช่วยขึ้นมาจากน้ำเนื่องจากพยายามฆ่าตัวตายโดยทิ้งจดหมายไว้เพียงฉบับเดียว นับว่ายังเป็นโชคดีของครอบครัวที่พิมพ์ฟื้นขึ้นมาในสภาพความจำเสื่อม

ทว่า...ในความเป็นจริงแล้ว มีบางสิ่งแอบแฝงอยู่ในร่างของพิมพ์ สิ่งที่จะนำพาพินไปสู่เงื่อนงำความจริงของการจบชีวิตของพี่ชายของเขา

ความจริงที่ทำให้ชีวิตอันแสนเรียบง่ายของพิน

ต้องแปรเปลี่ยนไปตลอดกาล



๐ อัพทุกวันศุกร์กับจันทร์นะคะ ๐


สารบัญ

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-10-2019 09:50:56 โดย Timid Lily »

ออฟไลน์ Timid Lily

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0
บทนำ : วิหค

          ท่ามกลางความโกลาหนภายในห้องฉุกเฉินเย็นเยียบของโรงพยาบาล แม้จะเป็นกลางดึกแล้วแต่สถานที่แห่งนี้กลับไม่เคยได้พักผ่อน ร่างซีดเซียวหมดสติของชายหนุ่มที่เส้นผมยังคงเปียกชื้นนอนราบอยู่บนเตียงผู้ป่วย นายแพทย์ท่าทางคล่องแคล่วจับจ้องไปยังหน้าจอของเครื่องตรวจวัดการเต้นหัวใจ ทว่ากลับไม่ปรากฏสัญญาณชีพใด

          “เตรียมทำ CPR”

          มือแข็งแรงทาบฝ่ามือลงพลางสอดล็อกนิ้วบนหลังมืออีกข้าง แพทย์ฉุกเฉินใช้ส้นมือกดลงบนแผ่นกระดูกกลางอกอย่างรุนแรงเป็นจังหวะเพื่อหวังว่าผู้ป่วยซึ่งยังนอนไม่ได้สติจะมีสัญญาณชีพกลับคืนมาอีกครั้ง



          “แซ่ก” เสียงคนลากเท้าไปตามพงหญ้ารกชัฏ ในมือถือปืนลูกซองกระบอกยาวไปอย่างทุลักทุเล ชายวัยกลางคนกำลังมุ่งตรงไปตามเสียงร้องแผดของนกน่าขนลุกโดยที่มีหญิงวัยกลางคนเดินถือไฟฉายส่องตามหลังมาติดๆ

          “นั่นไง มันอยู่ตรงนั้น”

          นกแสกหน้าขาวดวงตาดำสนิทแวววาวกำลังไซ้ขนอยู่บนต้นไม้ไม่ไกลไปจากตัวโรงพยาบาลนัก ที่โรงพยาบาลแห่งนี้ตั้งห่างออกมาจากตัวจังหวัดอยู่ไม่น้อย บริเวณใกล้เคียงยังคงเป็นบึงและพงหญ้ารกร้างอุดมสมบูรณ์ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีสัตว์นานาชนิดเพ่นพ่านอยู่แถวนี้ ซึ่งชาวบ้านก็ไม่ได้รังเกียจอะไรหากมันไม่ใช่สัตว์กาลกิณีตามความเชื่อเช่นนกชนิดนี้

          “ไอ้นกผีนี่มาร้องเป็นลางอยู่ได้สองสามวันแล้ว เห็นทีคงจะปล่อยไว้ไม่ได้ ไม่งั้นลูกสาวของเราคงไม่มีวันหายได้ออกไปใช้ชีวิตเหมือนเดิมแน่ๆ”

          “พ่อเอ๊ย...แต่เราจำเป็นถึงกับจะต้องฆ่าต้องแกงมันเลยจริงๆหรอ? แค่ไล่มันไปก็พอแล้วมั้ง”

          “แล้วถ้ามันกลับมาอีกล่ะ? ไอ้นกเวรนี่มันอยู่ผิดที่ผิดทาง บินไปเกาะบ้านใครเขาก็ฉิบหายกันหมด ไม่ต้องไปสงสารมันหรอก”

          พูดจบเขาก็ไม่รอช้า เล็งลำกล้องปืนไปยังนกน้อยที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ทว่าหญิงผู้นั้นส่องไฟฉายไปทางเจ้านกพอดี ทำให้มันตกใจกางปีกบินถลาขึ้นสู้ท้องฟ้าอันมืดมิด

          “ปัง” เสียงปืนดังลั่นขึ้น นกผู้โชคร้ายไม่อาจหลีกเลี่ยงคราวเคราะห์ของมันได้ กระสุนพุ่งทะลุลำตัวสิ่งมีชีวิตที่น่าสงสารขนกระจุยฟุ้งเลือดสาดกระเซ็น ร่างที่โบยบินอยู่เมื่อครู่ค่อยๆร่วงหล่นลง

          ‘นี่เรากำลังจะตายจริงๆหรอ?’

          ร่างที่เคยเบาหวิวกลับหนักอึ้ง สติของนกน้อยกำลังเลือนรางออกไป

          ‘ไม่...เรายังอยากมีชีวิตอยู่...!’

          กระสุนเพียงนัดเดียวทว่าพลังทำลายล้างกลับรุนแรงแรง บัดนี้ได้คร่าชีวิตของสัตว์โลกผู้น่าสงสารไปอย่างไม่มีวันหวนคืน ชายหญิงสองคนเดินออกจากที่ตรงนั้นไป เหลือทิ้งไว้เพียงเลือดแดงฉานที่ย้อมร่างไร้วิญญาณของเจ้านกน้อยท่ามกลางพงหญ้ารกร้างเปลี่ยวเปล่า...



          แพทย์หนุ่มโถมร่างกดนวดหัวใจให้ชายหนุ่มที่นอนแน่นิ่งอย่างไม่ยอมแพ้ ถึงแม้ว่าเขาจะทำการช่วยเหลือมานานหลายนาทีจนเริ่มอ่อนล้าแล้วก็ตาม พลันเสียงหนึ่งดังเตือนขึ้น บนหน้าจอปรากฏสัญญาณชีพกลับมาแล้ว นับเป็นข่าวดีที่ทำให้นางพยาบาลที่ร่วมปฏิบัติการอยู่นั้นต้องรีบแจ้งโดยทันที

          “คุณหมอคะ สัญญาณชีพกลับมาแล้วค่ะ”



          หญิงสาวผิวน้ำผึ้งใบหน้าสวยหวานท่าทางกระวนกระวายนั่งกุมมือเย็นเฉียบของตนอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน หลังจากที่ได้ข่าวว่าสามีของเธอถูกช่วยเหลือขึ้นมาจากบึงไม่ไกลโรงพยาบาล ตอนนี้เวลาก็ผ่านไปนับชั่วโมงแล้วที่เธอยังไม่ได้ข่าวคราวใด สิ่งเดียวที่เธอทำได้เวลานี้ก็คือรอ...รอจนกว่าจะมีใครสักคนออกมาเรียกหาเธอ

          ‘Rrrrrrr’

          เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เธอรีบกดรับสายโดยพลัน ปลายสายเป็นเสียงทุกข์ใจของหญิงวัยกลางคน เสียงนั้นพูดขึ้นพลางสะอื้นไห้ไปด้วย

          [ชิชา...จดหมายลาตายนี่มันอะไรกัน แล้วพิมพ์เป็นยังไงบ้าง?]

          “คุณแม่...ตอนนี้พิมพ์ยังอยู่ในห้องฉุกเฉินค่ะ...”

เธอตอบไปด้วยน้ำเสียงกังวลใจไม่แพ้คนคู่สนทนา ตอนนี้เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าชายหนุ่มที่อยู่ภายในจะเป็นตายร้ายดียังไง

          [แม่ใจจะขาดแล้วชิชา แม่จะต้องรออีกนานแค่ไหนถึงจะรู้ข่าวคราว]

          “ใจเย็นๆนะคะคุณแม่ หนูเชื่อว่าพิมพ์จะปลอดภัยค่ะ คุณแม่เชื่อมั่นในตัวพิมพ์นะคะ”

          เสียงประตูห้องฉุกเฉินเปิดออกขัดจังหวะบทสนทนา พยาบาลสาวเดินออกมาด้วยท่าทางอ่อนล้าพลางเอ่ยถามหญิงสาวที่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่

          “คุณชิชา ภรรยาของคุณพิชาธรใช่มั้ยคะ?”

          ชิชาผละออกจากสายพลางมองสบตาคู่สนทนา รอยยิ้มสุภาพถูกส่งกลับมาหา

          “สามีของคุณปลอดภัยแล้วค่ะ”



++++++++++++++++



          สวัสดีค่าทุกคน ขอฝากเนื้อฝากตัวใครก็แล้วแต่ที่หลงเข้ามาอ่านนิยายเรื่องนี้ด้วยนะคะ นี่เป็นผลงานเรื่องที่สองของเรา ซึ่งโทนของเรื่องนี้จะมีความลึกลับเหนือธรรมชาติปนอยู่เล็กๆ เราพยายามจะเขียนออกมาให้ซับซ้อนขึ้น อ่านได้ไหลลื่นขึ้น หวังว่าทุกท่านจะรู้สึกสนุกไปกับเนื้อเรื่องและตัวละครของเราไม่มากก็น้อยนะคะ ถ้ามีข้อติชมอะไรก็คอมเม้นทิ้งไว้ได้เลย

          พูดถึงเจ้านกแสกกันซักนิด หลายๆคงจะเคยได้ยินชื่อเสียงของเจ้านกแสกกันมาบ้างแล้วใช่มั้ยคะว่าเป็นนกผีที่คนโบร่ำโบราณหรือผู้หลักผู้ใหญ่หลายๆท่านในปัจจุบันยังมีความเชื่อที่ว่าถ้าเจ้านกแสกไปเกาะบ้านใครบ้านหลังนั้นจะมีคนตาย (อัปมงคลที่สุด) ทำให้เจ้านกชนิดนี้ถูกยิงตายกันไปเยอะเลยทีเดียวค่ะ (น่าสงสารแท้ T T)

          แต่จริงๆแล้วน้องนกแสกเนี่ยมีประโยชน์ในการกำจัดหนูมากๆเลยนะคะ ทำให้ถึงกับมีหน่วยงานสนับสนุนให้ชาวสวนเลี้ยงเจ้านกนี่ไว้กันเลยทีเดียว เอาเป็นว่าก่อนที่ช่วงคุยเล่นของเราจะกลายเป็นสารคดีไปซะเราควรจะต้องขอตัวไปก่อนดีกว่า แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-07-2019 22:01:09 โดย Timid Lily »

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11

ออฟไลน์ lovenine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 250
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
น่าสนุก รอๆ ยุจร้า

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Timid Lily

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0
บทที่ 1 : เปิดตา

          รถยนต์คันสีขาวขนาดย่อมที่มีฝุ่นจับเล็กน้อยวิ่งลัดเลาะไปตามถนนใหญ่ เวลาเย็นที่มีรถแน่นขนัดเช่นนี้ทำให้คนขับต้องคอยแทรกเปลี่ยนเลนทุกครั้งที่มีช่องว่างให้ไป ในขณะที่คนหลังพวงมาลัยตั้งสมาธิอยู่กับการขับรถ ดูเหมือนว่าคนที่โดยสารมาด้วยกันจะไม่ได้ใส่ใจบรรยากาศตึงเครียดบนท้องถนน หญิงสาวตัวเล็กผมประบ่าท่าทางสดใสบนเบาะหลังกำลังแหกปากร้องเพลงไม่ตรงจังหวะพลางสะบัดหน้าม้าของเธอตามเสียงเพลงไปด้วย

          “อีกั้งเบาๆหน่อย สงสารไอ้พินมัน ขับรถไม่รู้เรื่องแล้วเนี่ย ร้องก็ไม่ได้เป็นเพลงเลย”

          สาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มผมยาวสยายอีกคนที่นั่งข้างคนขับเอ่ยขึ้นอย่างรำคาญหู ในขณะที่คนที่น่าจะเดือดร้อนได้แต่ขำขึ้นอย่างไม่ถือสา

          “ไม่เป็นไรม่อน ปล่อยกั้งมันร้องไป ตลกดี”

          ชายหนุ่มร่างผอมบางหลังพวงมาลัยขับรถต่อไปอย่างสบายอารมณ์ โดยที่ไม่ได้ใส่ใจกับพฤติกรรมพิลึกๆของเพื่อนสาวของเขา

          “โอ้ มะ มะ มาย โอ้ มะ มะ มาย”

          “กั้งๆขอขัดแป๊บนึง เดี๋ยวแยกข้างหน้านี่จะต้องเลี้ยวซ้ายหรือขวาวะ?”

          “ห๊ะ! อ๋อเลี้ยวซ้ายเลยพิน ใกล้จะถึงละ”

          “กั้ง...แกจะพาพวกชั้นไปไหนวะ? เมื่อไหร่จะยอมบอกซักที”

          ม่อนเอ่ยถามขึ้นหลังจากที่ทั้งสามเดินทางมาด้วยกันโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจุดหมายปลายทางของพวกเขาอยู่ที่ไหน

          “ชั้นไม่บอกพวกแกหรอก เซอร์ไพรส์เว้ย!”

          พูดจบกั้งก็โยกตัวยุกยิกไปตามจังหวะดนตรีต่อ สายตาก็มองอาคารบ้านเรือนที่รถวิ่งผ่านไปพลาง จนกระทั่งเห็นเป้าหมายเบื้องหน้า

          “ไอ้พินๆเห็นบ้านรั้วสีขาวตรงนั้นป่ะ เดี๋ยวแกจอดหน้าบ้านเลย”

          ชายหนุ่มคนเดียวของกลุ่มจอดรถดับเครื่องจากนั้นจึงก้าวเท้าลงมาอย่างเชื่องช้า เขาปิดประตูรถพลางมองสำรวจบ้านหลังตรงหน้าไปด้วย บ้านหลังนี้ไม่มีต้นไม้แม้แต่ต้นเดียว อีกทั้งยังถูกทาด้วยสีขาวสว่างไปทั้งหลัง รอบๆบ้านประดับประดาไปด้วยกระดิ่งลมส่งเสียงดังกรุ๊งกริ๊งไปทั่วบริเวณ พินหันไปถามเพื่อนสาวของเขาด้วยความสงสัย

          “บ้านใครวะกั้ง? แกชวนพวกเรามาทำอะไรเนี่ย?”

          กั้งหรี่ตามองพินรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม ในขณะที่ม่อนเดินตามหลังมาด้วยความสงสัยไม่แพ้กัน

          “ที่นี่เป็นบ้านคนทรงเว้ยไอ้พิน และวันนี้ชั้นจะพาแกมาทำพิธีมหาเสน่ห์”

          “ห๊ะ! พิธีบ้าบออะไรของแกวะไอ้กั้ง เราไม่ทำ เราจะกลับ”

          พินโวยขึ้นอย่างไม่เข้าใจ ถึงเขาจะรู้ดีว่าเพื่อนสาวของเขาเป็นคนบ้าๆบอๆ แต่ก็ไม่น่าจะลากเขาเข้ามาพัวพันกับของแบบนี้ด้วย ที่สำคัญที่สุดคือพินเป็นคนที่ไม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติอะไรพวกนี้เลย

          “อ้าว! ก็ชั้นเห็นแกไม่มีแฟนซักที หน้าตาก็ดีแต่เสือกทำตัวเป็นสมบัติเอกไทยของเราอยู่ได้”

          “กั้งแกเอาดีๆ อย่าไปแกล้งไอ้พินมัน”

          ม่อนเอ็ดขึ้นเมื่อเห็นว่าเพื่อนของเธอชักจะเล่นเลยเถิด กั้งเห็นทีท่าของทั้งสองก็ส่ายหัวพลางขำแล้วสารภาพความจริงออกมา

          “เออ! ชั้นล้อเล่น! ความจริงคือชั้นแค่อยากจะมาดูดวงเฉยๆ เผื่อแม่หมอเค้าจะชี้ทางสว่างให้กลุ่มเราผ่านโปรเจคจบได้ซักที”

          “แกสิ้นหวังขนาดนั้นเลยหรอวะ? ถึงต้องมาพึ่งพาไสยศาสตร์แบบเนี้ย?”

          ชายหนุ่มย่นคิ้วมองหญิงสาวที่ยืนพูดเจื้อยแจ้วอยู่หน้าประตูอย่างไม่เข้าใจ โปรเจคกลุ่มที่พวกเขาสามคนทำด้วยกันอาจจะถูกอาจารย์สั่งแก้ให้ทำใหม่มาหลายต่อหลายครั้งแล้วก็จริง แต่พินก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันเหลือบ่ากว่าแรงอะไร อาจเป็นเพราะกั้งเป็นผู้หญิงที่ออกจะใจร้อนไปสักหน่อย ทำให้เธอเหนื่อยหน่ายที่จะต้องมาแก้งานซ้ำๆซากๆอยู่แบบนี้

          “เออ! ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ก็ต้องเอาด้วยคาถา”

          “อีกั้ง! แกจำแม่แกมาพูดหรอ?”

          ม่อนพูดขัดขึ้นกวนประโยคเชยๆของเพื่อนพูดมาก ทำเอากั้งสะบัดขวับมาจิกหน้าใส่เพื่อนสาวคอแทบเคล็ด

          “เอ๊ะอีม่อน! ไปๆ รีบเข้าไปข้างในได้ละ เดี๋ยวจะเย็นไปกว่านี้”

          “เอ่อ...เราขอรอที่รถได้มั้ยวะ?”

          พินเอ่ยขึ้นต่อรอง ยังไงเขาก็รู้สึกว่าการนั่งๆนอนๆรอในรถก็คงสบายใจกว่าการที่จะต้องเข้าไปในสถานที่ๆเขาไม่ถูกจริตด้วยเป็นไหนๆ

          “ไม่ต้องเลยพิน แกไปเป็นเพื่อนชั้นก่อน! มาๆ”

          โดยไม่รอให้พินปฏิเสธ กั้งลากแขนผอมๆของเพื่อนพลางเปิดประตูรั้วเดินเข้าไปด้านใน เด็กหนุ่มท่าทางง่วงซึมผู้หนึ่งเดินออกมาต้อนรับคนทั้งสามอย่างเฉื่อยชา และเชื้อเชิญให้เข้าไปรอด้านใน

          “นั่งรอตรงนี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวผมจะไปเชิญอาจารย์มาให้”

          เด็กหนุ่มเดินนวยนาดจากไป ทิ้งคนสามคนในชุดนักศึกษาที่กำลังทำหน้าเหลอหลาไว้ในห้องสี่เหลี่ยมสีขาวที่เต็มไปด้วยธูปและเทียนหอม มีเพียงโต๊ะตัวเตี้ยและเบาะรองนั่งเอาไว้รับรองแขก

          “นี่คือบ้านของพวกคนทรงหมอผีอะไรพวกนี้หรอวะ? ไม่เห็นเหมือนในละครเลย”

          พินเอ่ยขึ้นพลางกวาดตามองไปรอบๆ ทุกสิ่งที่อยู่ภายในห้องดูเรียบง่ายกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้

          “นั่นดิ ตอนแรกม่อนก็คิดไว้เหมือนกันว่าเข้ามาจะต้องมีรูปปั้นเทพเทวดา ชุดโต๊ะหมู่บูชาเต็มไปหมด”

          สิ้นเสียงของหญิงสาว ร่างๆหนึ่งในชุดกระโปรงทรงตรงหลวมสีขาวเดินเข้ามาในห้องพลางถือเชิงเทียนที่มีเทียนหอมจุดเอาไว้ สตรีนัยน์ตาเศร้ามองตรงมาทางคนทั้งสามพร้อมรอยยิ้มเป็นมิตร

          “เชิญนั่งก่อนสิจ๊ะ”

          ไม่ทันขาดคำ กั้งก็ไถลตัวลงไปนั่งพับเพียบอยู่กับพื้นพลางพนมมือขึ้นไหว้หญิงในชุดขาวเบื้องหน้าโดยที่ไม่ได้สนใจว่ากระโปรงทรงสอบตัวจิ๋วผ่าข้างของเธอจะแหวกให้เห็นเนื้อหนังไปถึงไหนต่อไหน พินเห็นดังนั้นก็ได้แต่ถอนใจพลางนำกระเป๋าที่เขาสะพายเอาไว้มาวางปิดให้อย่างเสียไม่ได้

          “อาจารย์คะ หนูมีเรื่องอยากจะถามน่ะค่ะ เกี่ยวกับเรื่องเรียนของหนู”

          หญิงท่าทางลึกลับวางเชิงเทียนลงบนโต๊ะเล็ก เธอได้ยินสิ่งที่หญิงสาวเอ่ยถามทุกประการ ทว่าคนที่ดึงดูดความสนใจของเธอกลับเป็นเพื่อนหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆ

          “เราน่ะ เข้ามาใกล้ๆหน่อยสิ”

          “ผมหรอครับ?”

          “ใช่...เรานั่นแหละ”

          พินชี้นิ้วเข้าหาตัวด้วยความงุนงง จากนั้นก็ขยับตัวเข้าไปใกล้หญิงคนนั้นอย่างว่าง่าย

          “เกิดปีชวดงั้นหรอ...”

          “ครับ?”

          สตรีที่นั่งอยู่ตรงข้ามส่งรอยยิ้มชวนพิศวงมาให้ พินรู้สึกประหลาดใจไม่น้อยที่เธอรู้ว่าเขาเกิดปีอะไร แต่มันก็ไม่น่าจะเดาได้ยาก หากจะกะเกณฑ์เอาจากวัยของคนรุ่นราวคราวเดียวกับเขา

          “ที่บ้านของเธอน่ะ...มีสิ่งอัปมงคลอยู่รู้รึเปล่า?”

          พินนิ่งฟังโดยไม่โต้ตอบ ในขณะที่กั้งกับม่อนมีทีท่าสนอกสนใจเรื่องของเพื่อนมากในตอนนี้

          “สิ่งๆนั้นจะนำพาเอาความทุกข์แสนสาหัสมาให้กับเธอ หากเธออยากจะกำจัดมันออกไป ให้เธอกลับมาหาชั้นเมื่อเธอพบแล้วว่าสิ่งนั้นคืออะไร...”

          “แล้วเพื่อนหนูมันจะรู้ได้ยังไงล่ะคะอาจารย์?”

          กั้งถามแทรกขึ้นมาด้วยความกระตือรือร้น หญิงในชุดขาวหยิบกระถางที่มีกำยานหอมซึ่งถูกเผาเป็นเถ้าขึ้นวางบนโต๊ะ เธอเอานิ้วแต้มลงบนเถ้าสีขุ่นนั้นก่อนจะยกนิ้วขึ้นปาดลงบนเปลือกตาโตคมของชายหนุ่ม พินผงะตัวออกด้วยความตกใจ เขาหยีตาพลางเอามือขยี้เนื่องจากระคายเคือง

          “ไอ้ม่อน...เค้าเอาอะไรมาป้ายตาเราวะ?”

          พินเอ่ยขึ้นน้ำเสียงกระซิบกระซาบถามเพื่อนสาวอีกคนที่นั่งอยู่ด้านหลัง ม่อนเองก็ได้แต่ส่ายหัวดิกอย่างไม่เข้าใจ

          “คิดให้ดีๆนะว่าจะทำยังไงกับสิ่งนั้น จากนี้ไปชีวิตของเธออาจจะไม่สงบสุขดังเดิม...”

          พูดจบเธอก็ลุกขึ้นยืนโดยไม่ลืมที่จะหยิบเชิงเทียนติดมือไปด้วย ส่วนกั้งที่นั่งพับเพียบรอมานานจนเหน็บกินก็รีบเอ่ยถามก่อนที่หญิงผู้นั้นจะเดินจากไป

          “อาจารย์คะ แล้วเรื่องที่หนูจะถามล่ะคะ? อาจารย์ยังไม่ได้ตอบหนูเลย”

          ใบหน้าหมองเศร้าอ่อนล้ามองมาที่หญิงสาว เธอยิ้มอีกครั้งก่อนจะเอ่ยขึ้นน้ำเสียงเรียบ

          “เรื่องของเธอไม่ได้ติดปัญหาอะไรทั้งนั้น ตั้งใจทำมันต่อไปแล้วทุกอย่างจะดีเอง”

          สตรีผู้น่าพิศวงเดินหายลับผ่านม่านกั้นไป ทิ้งคนทั้งสามไว้กับความสับสน คนที่ตั้งอกตั้งใจมาหากลับไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร กั้งได้แต่ทำหน้าเหวออ้าปากค้างอยู่อย่างนั้น ส่วนพินเองรีบลุกขึ้นยืนพลางร้องเรียกให้เพื่อนๆของเขาเตรียมตัวกลับ

          “กั้ง ม่อน กลับเหอะว่ะเย็นมากแล้ว เดี๋ยวเราจะรีบขับรถไปส่งพวกแกที่หอ”

          ม่อนส่งมือให้กั้งพลางฉุดเพื่อนสาวของเธอลุกขึ้นยืน คนทั้งสามเดินออกจากบ้านสีขาวหลังนั้นไป สำหรับกั้งตอนนี้เธอยังรู้สึกคาใจกับสิ่งที่แม่หมอคนนั้นพูดกับพินไม่หาย

          “พิน! ที่บ้านแกมันมีอะไรที่ต่างไปจากเดิมรึเปล่าวะ?”

          “ไม่มีหรอก ทุกอย่างก็ปกติดี ทำไมวะ?”

          “เอ้า! ก็อาจารย์เค้าทักแกขนาดนั้นไม่กลัวเลยหรอวะ?”

          “งมงายน่ะอีกั้ง! แกก็รู้ว่าพินมันไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ วันหลังไม่ต้องชวนมันมาแล้วนะ ถ้าอยากจะมาเดี๋ยวม่อนมาเป็นเพื่อนเอง”

          ม่อนเอ่ยแทรกตัดบทขึ้นมาเมื่อเห็นพินมีทีท่าอึดอัดไม่อยากฟัง ตอนนี้คนทั้งสามได้กลับมานั่งอยู่บนรถแล้ว ฟ้าเริ่มมืดครึ้มลง บรรยากาศที่คึกคักเมื่อตอนขามาบัดนี้เปลี่ยนเป็นเงียบสงัดเสียอย่างนั้น

          “เออพิน...แล้วพี่ชายแกเป็นไงบ้างอ่ะ?”

          ม่อนเอ่ยถามทำลายความเงียบ พินที่กำลังมองตรงไปตามเส้นทางข้างหน้าตอบกลับด้วยทีท่าสงบนิ่ง

          “พี่พิมพ์ออกจากโรงพยาบาลที่ต่างจังหวัดกลับมาพักฟื้นที่บ้านได้สองอาทิตย์แล้ว ตอนนี้ก็ยังจำอะไรไม่ได้เหมือนเดิม ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา แล้วที่ตลกนะคือพี่พิมพ์เค้าใส่แต่เสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงยีนทุกวันเลย ไม่เปลี่ยนไปใส่เสื้อผ้าแบบอื่นเลยเว้ย”

          พูดจบพินก็ยิ้มขึ้นน้อยๆเมื่อนึกถึงพฤติกรรมสุดประหลาดของพี่ชายความจำเสื่อมของเขา พินเป็นลูกหลงที่อายุห่างกับพี่ชายสิบปี ในวัยเด็กเขาถูกส่งไปอยู่กับตายายที่สวนมะลิต่างจังหวัดจนเรียนจบมัธยมต้น กว่าจะได้กลับมาใช้ชีวิตกับพี่ชายของเขาอีกที เพียงไม่กี่ปีหลังจากนั้นพิมพ์ก็ได้แต่งงานและย้ายออกไปใช้ชีวิตอยู่กับภรรยาแล้ว

          “แล้ว...ทำไมพี่แกต้องพยายามฆ่าตัวตายด้วยวะ?”

          “อีกั้ง!!!”

          ม่อนรีบพูดปรามเมื่อเห็นว่ากั้งเริ่มตั้งคำถามไม่เข้าท่า ในขณะที่พินเองก็มีสีหน้าเศร้าลง

          “เอาจริงๆนะ เราเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน...”

          เหตุการณ์นี้ทำให้ชายหนุ่มตระหนักได้ว่าเขาเองแทบจะไม่รู้เรื่องราวอะไรเกี่ยวกับพี่ชายที่เขานับถือเลย ภาพของพิมพ์ในสายตาพินคือทนายหนุ่มผู้เอาการเอางาน เป็นคนเก่งอนาคตไกล เป็นความภาคภูมิใจของพ่อแม่และของเขาด้วยเช่นเดียวกัน

          “ชั้นขอโทษนะแก...ที่ถามอะไรไม่เข้าเรื่อง...”

          กั้งสลดลงเมื่อเห็นเพื่อนรักของเธอดูซึมไป แต่พินกลับส่งยิ้มให้อย่างไม่ติดใจ

          “ไม่เป็นไร พวกแกเป็นเพื่อนรักของเรา เราเล่าให้ฟังได้อยู่แล้ว”

          หญิงสาวทั้งสองฉีกยิ้มสดใสให้เพื่อนหนุ่มของพวกเธอ ส่วนพินเองก็ยิ้มตอบกลับไปอย่างมีความสุข ถึงแม้ว่าครอบครัวของพินจะเพิ่งผ่านเรื่องราวหนักหนามา ทว่ากำลังใจจากเพื่อนรักทั้งสองก็เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยค้ำจุนจิตใจของชายหนุ่มให้แข็งแรงพร้อมเผชิญกับทุกเรื่องราว...

          ที่กำลังจะผ่านเข้ามาในชีวิตของเขา...





          ชายหนุ่มเปิดประตูไม้เนื้อดีก่อนจะงับปิดลงอย่างเบามือ พินถอดรองเท้าผ้าใบออกเก็บเข้าชั้นที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ ชายวัยกลางคนบนโซฟาเรียกถามหาเขาเมื่อได้ยินเสียงคนเข้ามาในบ้านโดยที่สายตาก็ยังคงไม่ละไปจากรายการแข่งกีฬาบนจอโทรทัศน์

          “กลับมาแล้วหรอเจ้าพิน กินอะไรมาแล้วยัง ดึกแล้วถ้าหิวก็สั่งเอาเองแล้วกันนะ”

          “กินมาแล้วครับพ่อ พอดีกั้งกับม่อนชวนไปกินหมูกระทะมา อิ่มจนจุกอยู่ที่คอละเนี่ย”

          พินตอบกลับพลางเดินเข้าไปภายใน เขาเดินผ่านด้านหลังโซฟาที่พ่อกับพี่ชายกำลังนั่งอยู่ตรงไปทางบันได ทว่าสายตาพลันไปสะดุดเข้ากับคนที่นั่งอยู่ข้างๆผู้เป็นพ่อ

          คนที่เขาเข้าใจว่าเป็นพี่ชายกลับกลายเป็นชายหนุ่มร่างสูงใบหน้าสุกใสผิวขาวผุดผ่อง ดวงตาสวยหวาน จมูกโด่งรับกับริมฝีปากอิ่ม กำลังตั้งอกตั้งใจมองจอไม่ต่างจากชายวัยกลางคนที่นั่งข้างๆ

          “พ่อ...เรามีแขกหรอ?”

          “แขกอะไรของแก?”

          “ก็...คนที่นั่งข้างๆพ่อไง”

          พูดจบชายสองคนบนโซฟาก็หันมามองชายหนุ่มที่กำลังยืนจับราวบันไดโดยพร้อมเพรียง พินไม่รอช้ารีบยกมือไหว้ทักทายชายแปลกหน้าอย่างอ่อนน้อม

          “สวัสดีครับ...”

          “อะไรของแกเจ้าพิน? นี่เจ้าพิมพ์ พี่ชายแกไง”

          คนเป็นพ่อรีบพูดสวนมาทันควันเมื่อเห็นท่าทีพิลึกพิลั่นของลูกชายคนเล็ก ส่วนพินเองก็ได้แต่ยกมือขึ้นเกาหัวด้วยความงุนงง พินรู้สึกว่าวันนี้เขาเหนื่อยมากแล้ว ท่าทางจะเบลอจัด กินก็เยอะจนหนังตาเริ่มหย่อน ไหนจะเจอคนทรงพิลึกๆที่เอาอะไรก็ไม่รู้มาป้ายตาจนแสบเคืองไปหมด ทางที่ดีเขาควรจะรีบไปพักผ่อน

          “งั้น...พินขึ้นห้องอาบน้ำนอนก่อนนะพ่อ”

          พูดจบชายหนุ่มก็ก้าวเท้าหนักๆพาร่างกายอันเหนื่อยล้าและสมองที่เฉื่อยชาของตนขึ้นบันไดไป โดยที่ไม่รู้สึกตัวเลยว่าชายอีกคนที่นั่งอยู่ข้างล่างกำลังจ้องมองตามแผ่นหลังของเขาไปแทบไม่ละสายตา



          กลางดึกเงียบสงัด อุณหภูมิเย็นสบายจากเครื่องปรับอากาศภายในห้อง ทำให้ชายหนุ่มร่างกายบอบบางซุกตัวหลับอยู่ใต้ผ้าห่มอย่างมีความสุข พินขยับตัวเล็กน้อยปากก็เคี้ยวหยับๆไปด้วย พลันความรู้สึกหนักๆกดทับโถมลงบนร่างของเขา ความอึดอัดทำให้ชายหนุ่มรู้สึกตัวตื่นขึ้น ดวงตาที่ปิดสนิทอยู่เมื่อครู่ปรือเปิดขึ้นช้าๆ เมื่อเห็นว่าเงาดำของร่างๆหนึ่งกำลังคร่อมทับร่างของเขาอยู่ก็ทำให้สติของเขาตื่นขึ้นถึงขีดสุด ดวงตาคมเบิกโตกว้างด้วยความตกใจกลัว ปากหยักได้รูปกำลังจะเปิดออกส่งเสียงร้องทว่ากลับถูกฝ่ามือใหญ่ตะครุบปิดไว้

          “อื้อ!!!!”

          พินพยายามส่งเสียงร้องพลางดิ้นสุดแรงแต่ท่อนแขนที่แข็งแรงกว่ารวบแขนทั้งสองข้างของเขาเอาไว้แน่น ส่วนขาก็ถูกกดทับไว้ด้วยท่อนขาแกร่งทั้งสองข้างของร่างที่อยู่ด้านบน เมื่อพินปรับสายตาเข้ากับความมืดได้แล้วก็พบว่า...

          ร่างที่กำลังคร่อมเขาอยู่...คือชายแปลกหน้าที่เขาเห็นบนโซฟาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้นั่นเอง



++++++++++++++++

          ตอนที่หนึ่งมาแล้วค่า มาถึงน้องพินของเราก็ถูกคุกคามกันเลยทีเดียว ในตอนหน้าเราจะได้รู้กันซักทีนะคะว่า สิ่งแปลกปลอมที่อยู่ในร่างของพี่พิมพ์คือะไรยังไงกันแน่ ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านเช่นเคยนะคะ แล้วถ้ามีอะไรคอมเม้นแนะนำก็ฝากกันไว้ได้เล้ย

          พูดถึงชื่อของพี่น้องพิมพ์พินกันซักนิด ชื่อเล่นพี่พิมพ์นี่ชัดเจนอยู่แล้วนะคะว่าหมายถึงแม่พิมพ์ ซึ่งเป็นภาษาไทย แต่ชื่อพินคนน้องดันเป็นชื่อภาษาอังกฤษซะงั้น ซึ่งก็คือ PIN ที่หมายถึงเข็มหมุดหรือเข็มกลัดนั่นเองค่า

          ก่อนจะบอกลากันมีใครพอจะเดาออกมั้ยคะว่าเพื่อนกั้งร้องเพลงอะไร? อิอิ วันนี้คุยเล็กๆน้อยๆพอหอมปากหอมคอพอ แล้วพบกันใหม่ตอนหน้านะคะ ^^

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-07-2019 09:53:04 โดย Timid Lily »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ค้างงงงงงงงงงงงงง  :z3: :z3: :z3:

ออฟไลน์ Timid Lily

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0
บทที่2 : มะลิ

          ร่างกายผอมบางที่ถูกกดทับอยู่เบื้องล่างพยายามดิ้นขัดขืน แต่เขาก็ไม่อาจสู้แรงของชายหนุ่มร่างสูงใหญ่กว่าตนได้ เหงื่อเย็นซึมออกตามไรผม ดวงตาเบิกกว้างค้างไว้ไม่กะพริบ พินหายใจถี่ชีพจรเต้นแรงด้วยความตื่นตระหนก

          “อึก...ฮือ...อื้อ!!!”

          พินยังคงไม่ละความพยายามที่จะส่งเสียงร้องออกไป แต่ก็ไม่เป็นผล ชายหนุ่มใบหน้าอ่อนหวานทว่าสายตากราดกร้าวหลุบตามองลงพลางเหยียดยิ้มขึ้น

          “ชู่ว...อย่าส่งเสียง อย่าขัดขืน อยู่นิ่งๆ แล้วเราจะไม่ทำอะไรแก”

          พินพยายามสงบสติอารมณ์ เขานิ่งลงแต่สายตาก็ยังไม่ละออกไปจากชายหนุ่มตรงหน้า

          “แกรู้แล้วใช่มั้ยว่าเราไม่ใช่พี่ชายของแก?”

          ชายหนุ่มที่ยังถูกปิดปากอยู่พยักหน้าสองสามที ตอนนี้พินทำอะไรไม่ถูก เขาเกร็งไปทั้งตัว ดวงตาสวยสั่นระริกมองตอบชายแปลกหน้ากลับไป

          “แกรู้มั้ยว่าตั้งแต่ที่แกกลับเข้าบ้านมา เราก็ได้กลิ่นหอมน่ากินโชยมาจากตัวแก มันหอมมากจนเราทนไม่ไหว ทำให้สัญชาตญาณที่พยายามสะกดไว้ถูกกระตุ้นให้ตื่นขึ้นมา”

          พูดจบเขาก็ยื่นใบหน้าขาวสุกสว่างเข้าไปใกล้ พินปิดตาแน่นด้วยความกลัว ตอนนี้เขาได้แต่ภาวนาว่าจะมีใครสักคนโผล่เข้ามาช่วย จมูกโด่งสูดกลิ่นหอมที่โชยออกมาจากร่างของคนที่กำลังตื่นกลัวเข้าเต็มปอด ชายแปลกหน้ายิ้มขึ้นอย่างพอใจเมื่อได้สิ่งที่ต้องการ เมื่อเห็นท่าทางของคนไร้ทางสู้จึงตัดสินใจปล่อยมือออกจากริมฝีปากที่ถูกปิดไว้ ทว่ามือก็ยังคงจับยึดตรึงแขนไว้แน่น

          “แกไปทำอะไรมา? ตอนที่เจอแกครั้งแรกเราไม่เห็นได้กลิ่นหอมพวกนี้จากตัวแกเลย”

          พินนิ่งไป ตอนนี้เขากำลังนึกถึงเรื่องที่คนทรงสุดประหลาดคนนั้นบอกกับเขา เขาแทบไม่อยากจะเชื่อว่าเรื่องบ้าๆพวกนี้จะเป็นเรื่องจริง สิ่งเดียวที่เขามั่นใจคือ เพราะการกระทำของแม่หมอบ้าๆนั่นทำให้เขาต้องมาเผชิญกับชายผู้แสนน่ากลัวคนนี้

          “นะ...นายเป็นใคร? แล้ว...คืออะไร? ต้องการอะไรจากชั้น?”

          พินละล่ำละลักถามกลับไปด้วยความหวาดระแวง แขนของเขาที่ถูกรวบกดไว้เจ็บไปหมด ใช่ว่าคนที่อยู่บนร่างของเขาจะมีพละกำลังเหนือมนุษย์ หากแต่เป็นเขาเองที่ผอมแห้งไร้เรี่ยวแรง ตอนนี้พินกำลังนึกเสียใจที่ไม่ค่อยหมั่นออกกำลังเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรงสมกับวัยหนุ่มของเขา

          “เราคืออมนุษย์นกแสก เรามาขออาศัยร่างของพี่ชายแก”

          “ขออาศัย? หมายความว่ายังไง?”

          ได้ฟังดังนั้นนกหนุ่มก็หัวเราะขึ้นในลำคอ เขาจ้องลึกลงไปในดวงตาของพินก่อนจะให้คำตอบ

          “ก็หมายความว่าพี่ชายของแก...ตายไปแล้วยังไงล่ะ”

          “ตาย” เมื่อคำๆนี้ถูกเปล่งออกมาทำเอาคนฟังใจสลาย น้ำตารื้นขึ้นคลอดวงตาสวย หากพินเข้าใจไม่ผิดพี่ชายของเขาคงจะเสียชีวิตไปตั้งแต่ที่จมน้ำในบึงแล้ว และเจ้าอมนุษย์น่ากลัวตนนี้ก็ได้มายึดครองร่างนี้แทน

          ที่สำคัญกว่านั้นเขาคงเป็นคนเดียวที่มองเห็นว่าคนที่ควรจะเป็นพี่ชายของเขากลับกลายเป็นชายแปลกหน้า ทั้งรูปร่างหน้าตา กลิ่น เสียง เป็นบุคคลอื่นโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าจะทำยังไงก็คงไม่มีโอกาสได้กลับไปเห็นร่างของพี่ชายที่ตนเคารพรักได้อีกแล้ว

          “ทำไม...ทำไมชั้นจะต้องมองเห็นอะไรบ้าๆแบบนายด้วย? สู้ปล่อยให้นายหลอกชั้นต่อไปยังจะดีซะกว่า!”

          พูดจบน้ำตาที่ชายหนุ่มพยายามสะกดกลั้นไว้ก็พรั่งพรูออกมา ตอนนี้พินทั้งเสียใจที่ได้รู้ความจริงว่าพิมพ์ได้จากเขาไปอย่างไม่มีวันกลับ ทั้งสับสน ทั้งหวาดกลัว ความรู้สึกปนเปกันไปหมด

          “หึ...ถ้าอย่างนั้นเราจะช่วยควักลูกตาของแกทิ้งไปดีมั้ย? จะได้ไม่ต้องมาเห็นเราอีก”

          นกหนุ่มเอ่ยน้ำเสียงเย็นเยือก ดวงตาดำสนิทจ้องเขม็งตรงเข้ามาอย่างเอาจริง พินนิ่งไป น้ำตาที่ไหลอยู่เมื่อครู่ราวกับถูกสั่งให้หยุด ความหวาดกลัวแล่นขึ้นกัดกินจิตใจ ลมหายใจขัดสะดุดไม่กล้าเคลื่อนไหว แม้จะพยายามเปล่งเสียงออกไปก็ยังลำบาก

          “กลัวเรางั้นหรอมนุษย์? เราจะบอกอะไรให้นะ...เราไม่ได้ต้องการอะไรจากพวกแก เราแค่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปก็เท่านั้น ไม่ว่าจะในฐานะอะไรก็ตาม”

          พินได้ฟังดังนั้นก็เกิดคำถามขึ้นในใจ เขาทำใจกล้าเอ่ยถามคนตรงหน้า

          “แล้วถ้าไม่ต้องการอะไรจริงๆ ทำไมนายถึงต้องทำตัวคุกคามมุ่งร้ายชั้นด้วย?”

          “เราทนไม่ไหว!”

          นกหนุ่มคลายมือที่รวบแขนของคนที่ถูกคร่อมอยู่ออก ทีท่าของเขาอ่อนลงเมื่อเห็นคู่สนทนาลดการระวังตัว พินขมวดคิ้วถามอย่างไม่เข้าใจ

          “ทนอะไรไม่ไหว?”

          “กลิ่นวิญญาณหนู”

          ‘อะไรอีกล่ะวะเนี่ย?’

          พินยันตัวลุกขึ้นนั่ง ผมเผ้ายุ่งกระเซอะกระเซิง ตอนนี้มีแต่คำถามเต็มหัวเขาไปหมด และสิ่งที่อธิบายได้กลับเป็นเรื่องเหลือเชื่อเสียอย่างนั้น

          “แล้ววิญญาณหนูคืออะไร?”

          “เราเป็นสัตว์นักล่า...หนูเป็นอาหารโปรดของเรา และแกก็มีกลิ่นวิญญาณหนู เราก็เลยรู้สึกกระหายขึ้นมาก็เท่านั้น”

          ถ้าจะให้พินปะติดปะต่อเอาเอง เขาคิดว่ามันคงเป็นเพราะเขาเกิดปีชวดแน่ๆ เขานึกถึงตอนที่คนทรงทักเขาเอาไว้

          “แล้วนายคิดจะกินชั้นงั้นหรอ? !”

          มาถึงขั้นนี้แล้ว พินขอเลือกถามไปตรงๆเลยดีกว่า ตอนนี้หากเขาจะต้องถูกผีร้ายตนนี้จับกินก็คงไม่มีทางรอดแล้วจริงๆ อย่างมากเขาคงจะลองพยายามอ้อนวอนขอความเห็นใจจากมันดู

          “หึ! มนุษย์หน้าโง่ไม่ใช่อาหารของเรา...เราไม่กินแกหรอก”

          พินยังคงระแวงไม่หาย เขาขยับตัวหนีออกจากคนตรงหน้าเล็กน้อยพลางหยิบหมอนข้างขึ้นมากอดกระชับกับตัว นกหนุ่มเห็นทีท่าโง่เง่าก็คว้าหมอนออกจากมือคนที่กำลังกอดแล้วโยนทิ้งไป

          “มนุษย์! ถ้าเราจะทำอะไรแกจริงๆ ไอ้ของแบบนี้ปกป้องอะไรแกไม่ได้หรอก”

          “ก็นายมันไม่น่าไว้ใจนี่!”

          “ก็แล้วแต่...ถ้าแกไม่ไว้ใจเราแกจะหาวิธีไล่เราออกจากร่างนี้ไปก็ได้ อย่างมากเราก็แค่ไปหาร่างอาศัยใหม่ แล้วก็ทิ้งศพพี่ชายแกเอาไว้ให้พ่อกับแม่ดูต่างหน้า”

          พินรู้สึกสะเทือนใจขึ้นมา วันนั้นที่ครอบครัวรู้ข่าวว่าพี่ชายของเขาพยายามฆ่าตัวตาย เขารู้ดีว่าพ่อกับแม่ต้องเศร้าโศกเสียใจขนาดไหน การที่พี่ชายของเขาฟื้นคืนกลับมาเป็นความสุขสูงสุดอย่างหนึ่งของครอบครัว หากพ่อกับแม่ต้องมารู้ความจริงเข้า คงจะรู้สึกเสียใจจนแทบทนไม่ได้

          “นาย...ออกไปจากห้องชั้นได้แล้ว!”

          พินเอ่ยขึ้นเสียงเครือดวงตาแดงฉ่ำ ในใจเต็มไปด้วยความลังเลและเจ็บปวด เขาผลักอกนกหนุ่มเบาๆเป็นเชิงไล่ ร่างสูงผุดลุกขึ้นพลางเลิกคิ้วเหยียดยิ้มส่งกลับมาก่อนที่จะเดินออกจากห้องไป เหลือเพียงชายหนุ่มที่ทิ้งตัวลงบนที่นอน เขากอดซุกผ้าห่มแน่นน้ำตาไหล สะอื้นร้องไห้คนเดียวเงียบเชียบ...เดียวดาย...





          “พ่อแน่ใจนะว่าไม่ต้องให้พินขับรถไปส่งที่สนามบิน?”

          ชายหนุ่มดวงตาบวมช้ำจากการเสียน้ำตาอย่างหนักหน่วงเมื่อคืนเอ่ยถามผู้เป็นพ่อที่กำลังขะมักเขม้นเก็บข้าวของเตรียมตัวออกเดินทาง พ่อของเขาเป็นวิศวกรร่วมทำโครงการพิเศษอยู่ที่ประเทศอินเดีย ตั้งแต่เกิดเหตุกับพิมพ์ พ่อก็ได้ลางานมาอยู่ดูแลลูกชายคนโตกว่าสองสัปดาห์แล้ว ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ชายวัยกลางคนจะต้องกลับไปรับผิดชอบหน้าที่ของตนเสียที

          “ไม่เป็นไรหรอก พ่อเรียกรถไว้แล้ว แกอยู่บ้านนี่แหละคอยดูแลเจ้าพิมพ์ไว้หน่อยก็ดี ความจำยังไม่กลับมาอาจจะป้ำๆเป๋อๆ ทำอะไรไม่ระวังเอาได้”

          เมื่อผู้เป็นพ่อเอ่ยถึงพี่ชายของเขาขึ้นมา พินก็หน้าง้ำลงพลางนึกถึงเหตุการณ์ที่ทำเอาเขาใจหายใจคว่ำเมื่อคืน

          “แล้วถ้ามีอะไรพินต้องรีบโทรไปบอกแม่เค้าทันทีรู้มั้ย”

          “ครับพ่อ...”

          แม่ของเขาอยู่ที่สวนมะลิกับยายที่ต่างจังหวัด เธอเกษียณออกจากข้าราชการครูก่อนกำหนดเพื่อมาดูแลยายที่กำลังป่วยเป็นมะเร็ง ทำให้แบ่งเวลาปลีกตัวมาดูแลลูกที่กำลังป่วยอีกคนได้อย่างยากลำบาก

          “แต่เท่าที่พ่อเห็นพี่แกก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงนักหรอก นอกจากจำอะไรไม่ได้อย่างอื่นก็ดูปกติดี สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ อาการซึมเศร้าอะไรก็ไม่มี”

          พินนิ่งฟังพลางพยักหน้าเล็กน้อย ในขณะที่ผู้เป็นพ่อมองจอโทรศัพท์มือถือก่อนจะเอ่ยขึ้น

          “รถมาแล้ว พ่อไปก่อนนะ ดูแลกันดีๆล่ะ”

          “ครับพ่อ มา...เดี๋ยวพินช่วยยกกระเป๋าให้”

          คนผอมบางลำเลียงกระเป๋าขึ้นท้ายรถ พินปิดกระโปรงหลังลงพลางเดินไปเปิดประตูให้กับพ่อของเขา

          “เดินทางปลอดภัยนะพ่อ”

          “เออ ไว้เจอกันนะเจ้าพิน ดูแลเจ้าพิมพ์ให้ดีๆล่ะ”

          ผู้เป็นพ่อเอ่ยย้ำกำชับอีกครั้งก่อนที่รถจะเคลื่อนตัวออกไป เวลานี้เจ้านกผีนั่นยังคงนอนไม่ตื่น อย่างว่าสัตว์หากินกลางคืนเช่นนั้นคงไม่ได้อยู่ๆจะลุกขึ้นมาเปลี่ยนวิถีชีวิตตัวเองให้เป็นเหมือนมนุษย์ปกติธรรมดาได้ง่ายๆ

          พินหมุนตัวกำลังจะเดินกลับเข้าบ้าน พลันคนที่อยู่ตรงหน้าทำเอาเขาตกใจสะดุ้งโหยง

          “เหวอ! นะ...นาย! ไม่ได้หลับอยู่หรอกหรอ?”

          “ตื่นแล้วนี่ไง”

          นกหนุ่มเอ่ยตอบพลางยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ทำเอาพินต้องเดินถอยหลังหนีไปน้อยๆ

          “มะ..มีอะไร?”

          “เราอยากได้กลิ่นแก”

          พูดจบร่างสูงก็ค้อมตัวลงสูดกลิ่นเฮือกใหญ่ไล่จากหน้าอกขึ้นไปจรดเส้นผม ดวงตาสวยหวานดำสนิทจ้องสะกดคนตรงหน้าไว้ ทำเอาพินยืนเกร็งแข็งทื่อไปทั้งตัว

          “เป็นอะไรเจ้ามนุษย์ ทำหน้าเหยเกน่าเกลียดสิ้นดี”

          “นี่นาย! เลิกเรียกชั้นว่ามนุษย์ซักที ชั้นมีชื่อก็เรียกชื่อสิ”

          คนหน้าเหยเกฉุนขึ้นที่ถูกเรียกประหลาดๆว่าแกบ้างมนุษย์บ้าง ในขณะที่นกหนุ่มส่งยิ้มยียวนกลับไป

          “พิน...เราเรียกถูกมั้ย?”

          น่าประหลาดที่อมนุษย์ตนนี้ยามยิ้มช่างดูน่าโอนอ่อนคล้อยตาม อาจเป็นเพราะใบหน้าอ่อนหวานนั่นที่ขัดกับนิสัยประหลาดสุดก้าวร้าวเกินจะบรรยาย

          “ละ...แล้วนายชื่ออะไรหรอ?”

          พินเอ่ยถามขึ้นบ้าง จะว่าไปเขาเองก็เอาแต่เรียกวิญญาณนกผีตนนี้ว่านายๆอยู่ตลอดเหมือนกัน

          “นกป่าอย่างเราไม่มีชื่อหรอก...ถ้าอยากจะเรียกเรา แก...ไม่สิ พินก็เรียกเราว่าพิมพ์ก็ได้ เหมือนที่คนอื่นๆ เค้าเรียกกัน”

          “ไม่เอาด้วยหรอก ชั้นไม่มีทางเรียกนายด้วยชื่อของพี่ชายชั้นแน่ๆ!”

          พินกลอกตามองนกหนุ่ม เขาไม่มีทางที่จะเอาพี่ชายของเขาไปปะปนกับสิ่งมีชีวิตประหลาดให้มากไปกว่านี้อีกแล้ว

          “ถ้าอย่างนั้นชั้นจะตั้งชื่อให้นายก็แล้วกัน”

          ชายร่างสูงทำท่าครุ่นคิด ความจริงแล้วเขาเองก็ไม่ได้ใส่ใจนักว่าพวกมนุษย์จะเรียกเขาว่าอะไร

          “ชื่อเฮดวิกดีมั้ย?”

          คนที่ดูไม่ใส่ใจเมื่อครู่ สบตามองคนที่พยายามตั้งชื่อให้เขาพลางทำหน้าหงิกคิ้วขมวดตาขวางอย่างไม่พอใจ

          “ภาษาอะไรของแก? น่าเกลียดพิลึก!”

          “ไม่เห็นจะน่าเกลียดตรงไหนเลย! ชื่อนี้เป็นชื่อนกฮูกของพระเอกนิยายที่ชั้นชอบมาก”

          “เราไม่ใช่นกฮูก!!! เราเป็นนกแสก!!!”

          นกหนุ่มขึ้นเสียงใส่อย่างไม่พอใจ พินได้แต่งงว่าทำไมสิ่งมีชีวิตประเภทนี้ถึงได้คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องไม่เป็นเรื่องพวกนี้นัก

          “อ้าว! งั้นจะให้ชั้นเรียกนายว่าอะไรล่ะ?!”

          “เอาชื่ออื่น!”

          ชายไร้นามกระฟัดกระเฟียดอย่างไม่พอใจ ทำเอาคนฟังเอาใจไม่ถูกว่าควรจะเรียกเจ้าตัวประหลาดนี่ว่าอะไรดี

          “งั้น...ชื่อจิ๊บๆดีมั้ย?”

          “เราไม่ได้ร้องจิ๊บๆ!”

          พินที่ไม่ได้ตั้งใจกวนดูเหมือนจะทำให้คนฟังหงุดหงิดขึ้นกว่าเดิม ส่วนตัวเขาเองก็ชักจะรำคาญจึงเริ่มร่ายชื่อบ้าบอคอแตกอะไรก็ตามแต่ที่เขาพอจะนึกออกมายาวเหยียด

          “หรือจะเอาชื่อ ทวิตตี้ พี่แสกโซโล แองกรี้เบิร์ด ปีปี้...”

          ไม่รู้ทำไมยิ่งฟังนกหนุ่มกลับยิ่งรู้สึกหัวเสีย แต่เขาก็ยังอดทนฟังคนที่ตัวเล็กกว่าพล่ามต่อไป

          “นำโชค มีตังค์ บุญรอด มะลิ ลำไย”

          “เดี๋ยว...หยุด!”

          พินหยุดปากเมื่อคนแปลกหน้าเอ่ยปราม ดูท่าแต่ละชื่อที่เขาสรรหามาคงจะไม่รื่นหูชายหนุ่มตรงหน้าเท่าไหร่นัก

          “เอาชื่อที่แกพูดเมื่อกี้”     

          “หา? ลำไยน่ะหรอ?”

          “ไม่ใช่ ก่อนหน้านั้น”

          “อ๋อ...มะลิ! อยากให้ชั้นเรียกนายว่ามะลิหรอ?”

          “อืม...มะลิเป็นดอกไม้ที่มีกลิ่นหอม เราชอบ”

          นกหนุ่มยิ้มขึ้นอย่างพอใจ เขาตัดสินใจแล้วว่าต่อไปนี้เขาจะใช้ชื่อว่า “มะลิ” ทั้งๆที่ผ่านมาอมนุษย์เช่นเขาไม่เคยเห็นความสำคัญว่าใครจะเรียกเขาว่าอะไร แต่พอมีชื่อเป็นของตนเองขึ้นมา มันกลับทำให้รู้สึกว่าเขาเองก็มีตัวตนอยู่บนโลกนี้เช่นกัน

          “งั้นต่อไปนี้ชั้นจะเรียกนายว่ามะลิ ส่วนนายก็ต้องเรียกชื่อชั้น อย่ามาเรียกแบบจิกๆว่าแก หรือเรียกว่ามนุษย์อีกเข้าใจรึเปล่า?”

          “เข้าใจแล้วพิน”

          น่าตกใจที่พอเขาตั้งชื่อให้ เจ้านกนี่กลับมีท่าทีเชื่องขึ้นมาเสียอย่างนั้น พินรู้สึกสบายใจขึ้นนิดหน่อย เมื่อได้สัมผัสว่า “มะลิ” ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด อาจจะไม่ใช่เรื่องยากหากเขาต้องใช้ชีวิตร่วมกับนกหนุ่มตนนี้ พินจะขอเชื่อมะลิดูเพื่อไม่ให้ครอบครัวของเขาต้องเสียใจ

          “มะลิ...ชั้นตัดสินใจแล้วนะว่าชั้นจะยอมให้นายเข้ามาเป็นหนึ่งในสมาชิกของครอบครัว”

          เมื่อได้ฟังดังนั้นมะลิก็ฉีกยิ้มกว้างไร้เดียงสาให้คนตรงหน้าเห็น เป็นรอยยิ้มที่ประดับไปด้วยรอยบุ๋มๆบนแก้ม ทำเอาพินชะงักทำตัวไม่ถูก เขาตกใจตัวเองที่รู้สึกเอ็นดูเจ้านกผีตนนี้ขึ้นมา

          “ตะ...แต่ว่าถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลชั้นจะทำทุกวิถีทางเพื่อกำจัดนายออกไป...เข้าใจรึเปล่า?”

          มะลิพยักหน้ารับด้วยใบหน้าสดชื่นก่อนจะตอบกลับไป

          “ตอนนี้เราไม่ได้ต้องการอะไร สิ่งเดียวที่ทำให้เราพอใจในตอนนี้ก็คือการได้อยู่ใกล้ชิดพิน เพราะพลังวิญญาณหนูของพินทำให้เราสดชื่น...มีความสุข”

          ‘เราคิดดีแล้วใช่มั้ยวะเนี่ย…?’

          พินชักไม่มั่นใจในสิ่งที่เขาตัดสินใจลงไป เพราะดูเหมือนว่าเป้าหมายของเจ้านกมะลิจะเปลี่ยนมาเป็นเขาแทน ยังไงก็คงต้องลองดูสักตั้ง การใช้ชีวิตร่วมกับวิญญาณนกตนนี้อาจจะไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เขาคิดก็เป็นได้


++++++++++++++++


          ในที่สุดเราก็ได้รู้กันแล้วนะคะว่าตัวตนที่แท้จริงของพระเอกของเรามันคืออะไรกันแน่ ^^ ที่สำคัญชื่อของเค้าน้องพินก็เป็นคนตั้งให้เองเลยด้วย (ชื่อแบบสัตว์เลี้ยงสุดๆ)

          ถึงชื่อของมะลิอาจจะดูนุ่มนิ่มวันแม่ไปซักนิด แต่รู้มั้ยคะว่าภาษาดอกไม้ของเจ้าดอกมะลิทางฝั่งตะวันตกเนี่ยน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะมันถูกขนานนามว่าเป็น King of flowers  (ส่วนควีนก็คือกุหลาบอย่างที่หลายๆคนคุ้นเคยกันดีอยู่แล้วนะคะ) ด้วยคุณสมบัติของกลิ่นมะลิที่มีความสามารถในการกระตุ้นอารมณ์โรแมนติก เพราะมีกลิ่นหอมแรงเย้ายวน มีความเป็นผู้ชายสูงก็เลยได้มงราชาแห่งดอกไม้ไปครองนั่นเองค่ะ

          ถ้าใครที่อ่านมาถึงตรงนี้ก็คงพอจะมองเห็นภาพมะลิเป็นเมะแบบแมนๆเจ้าเสน่ห์กันได้ไม่ยากแล้วใช่มั้ยล่ะค่ะ ยังไงเราก็ขอฝากมะลิเมะผู้เกรี้ยวกราดสุดติงต๊องกับน้องพินคนดีแสนนุ่มนิ่มไว้ในอ้อมอกอ้อมใจทุกคนด้วยนะคะ ขอบคุณค่า

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
เพื่งรูว่า มะลิ เป็น King of flowers   :katai2-1:
รู้แต่ควีน ว่าคือกุหลาบ  :hao3:
   

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ lovenine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 250
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
มะลิไม่ได้เลวร้าย อาจจะเป็น คู่ของ พิน  กะได้ รออัฟ ตอนต่อไป ขอบคุณ ผู้ แต่ง ^^

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Timid Lily

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0
บทที่3 : เพื่อนสนิท

         เสียงนกร้องรื่นหูเป็นสัญญาณบ่งบอกว่ายามเช้าได้มาถึงแล้ว แสงอาทิตย์ที่ลอดผ่านม่านสีสว่างเข้ามา ทำให้คนที่นอนคุดคู้อยู่ใต้ผ้าห่มรู้สึกตัวตื่นขึ้นทีละน้อย พินขยับตัวพลางบิดขี้เกียจโดยที่ตาของเขายังคงหลับพริ้มอยู่ แขนก็เหยียดยืดออกไปจนสุด

          “ปั้ก!” เสียงมือของเขาเหมือนกับจะกระแทกอะไรแข็งๆเข้าสักอย่าง

          “เราเจ็บนะพิน...”

          สิ้นเสียง ทำเอาคนที่กำลังบิดขี้เกียจอย่างสบายใจเมื่อครู่ถึงกับตัวแข็งทื่อขึ้นมา ตาที่หลับพริ้มอยู่ก่อนหน้านี้ก็เบิกโพลงขึ้น พินหันหน้าขวับไปตามเสียงๆนั้น

          “อรุณสวัสดิ์”

          ภาพตรงหน้าคือชายหนุ่มร่างสูงกำลังนอนลูบหน้าผากที่มีรอยแดงป้อยๆอยู่ข้างเขา มะลิฉีกยิ้มกว้างก่อนจะโฉบจมูกโด่งเข้าหอมซอกคอพินไปฟอดใหญ่

          “ว้าก!”

          เสียงชายหนุ่มแหกปากร้องลั่นด้วยความตกใจ พินรีบผุดลุกผุดนั่งท่าทางเลิ่กลั่ก เขาพยายามทำตัวลีบติดกำแพงสุดชีวิตในขณะที่นกมะลิได้แต่มองสีหน้าตลกๆนั่นก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นพลางขำ

          “มะลิ! นะ...นายจะทำอะไร? แล้วเข้ามาในห้องนี้ได้ยังไง?”

          “เรามาสูดกลิ่นพิน...เราเข้ามาในห้องพินได้เพราะเราขอกุญแจของทุกห้องในบ้านหลังนี้จากพ่อเอาไว้”

          มะลิลอยหน้าลอยตาตอบกลับไปแบบไม่รู้สึกรู้สา ในขณะที่พินกำลังรู้สึกว่าสวัสดิภาพทางร่างกายและจิตใจของเขากำลังถูกคุกคาม

          ‘โอ๊ย! พ่อนะพ่อ! ให้กุญแจไอ้นกบ้านี่ไปทำไมกันเนี่ย!’

          ถึงจะนึกโทษผู้เป็นพ่อของเขาก็คงจะไม่ได้อะไรขึ้นมา ทางที่ดีเขาควรจะทวงคืนกุญแจบ้านชุดนั้นจากมะลิกลับมามากกว่า

          “มะลิ! คืนกุญแจมาให้ชั้นเดี๋ยวนี้!”

          “ใครจะไปโง่คืนให้กันล่ะ”

          พูดจบมะลิก็ยื่นหน้าเข้าไปใกล้จนจมูกของทั้งสองแทบจะชนกัน นกหนุ่มสูดหายใจเข้าจนฉ่ำปอดก่อนจะรีบลุกออกจากเตียงและเดินหนีไปทางประตูอย่างรวดเร็ว

          “พินหอม...เราชอบ”

          มะลิส่งยิ้มกวนให้ก่อนจะเดินออกจากห้องไป ทิ้งคนที่กำลังอึ้งไว้กับใบหน้าร้อนฉ่า

          ‘หัวใจจะวาย...ถ้าต้องมาเจออะไรแบบนี้ทุกวันเราจะไหวมั้ยเนี่ย...?’





          บรรยากาศแสนจอแจของตลาดในร่มไม่ไกลจากบ้าน อยู่ในระยะที่เดินไปได้ บรรดาพ่อค้าแม่ขายต่างเอ่ยเชิญชวนผู้คนที่เดินผ่านไปมาให้เลือกจับจ่ายซื้อหาสินค้าของตน ชายหนุ่มร่างผอมบางมองซ้ายทีขวาทีพลางพิจารณาว่าอะไรที่เขาควรจะซื้อไว้เป็นอาหารในมื้อต่อๆไป

          “พวกมนุษย์ออกหาอาหารกันที่นี่หรอ?”

          มะลิที่กำลังเดินตามหลังพินต้อยๆเอ่ยขึ้น เขาตาวาวด้วยความตื่นเต้นที่ได้ออกมานอกบ้าน เพราะตั้งแต่ที่เข้าสิงร่างของพิมพ์ เขาก็ไม่เคยได้ออกไปไหนเลยนอกจากบ้านกับโรงพยาบาล

          ‘ไอ้นกนี่มันไม่ต้องนอนตอนกลางวันหรอกหรอวะ?’

          พินที่กำลังเดินนำมะลิอยู่ไม่สบอารมณ์นักที่ถูกเกาะแจมาถึงที่นี่ ที่สำคัญนกหนุ่มปรับตัวได้เร็วเกินคาด นอกจากพฤติกรรมนอนดึกตื่นสายของมะลิแล้ว กลับกลายเป็นว่าแม้แต่ในตอนกลางวันมะลิดูจะสดชื่นไม่มีความง่วงหงอยแม้แต่นิด

          มะลิมองไปรอบๆ บ้างก็มือซนไปหยิบจับของซื้อของขายจนพินเดินอย่างไม่มีความสุขต้องคอยหันกลับมาเอ็ดมาคอยระวังอยู่ร่ำไป พลันสิ่งหนึ่งหยุดมะลิที่กำลังกระตือรือร้นให้นิ่งลง ตรงหน้าของเขาคือซุ้มขายไก่ย่างกลิ่นหอมหวน

          “พวกแกช่างเป็นสัตว์ปีกที่น่าอัปยศอดสู...เพราะความโง่เง่าและอ่อนแอถึงต้องกลายมาเป็นอาหารของมนุษย์!”

          มะลิบ่นพึมพำขึ้นพลางมองเหยียดหยามไก่ย่างที่ถูกหมุนปิ้งเสียบอยู่ ป้าแม่ค้าเห็นชายหนุ่มที่หยุดจ้องมองไก่ย่างของเธออยู่นานจึงเอ่ยเชิญชวน

          “ไก่ย่างร้อนๆมั้ยพ่อหนุ่ม ป้าย่างใหม่ๆ เนื้อเหนียวนุ่มอร่อย”

          คนได้ฟังถึงกับทำหน้าถมึงทึง คิ้วของเขาแทบจะผูกกันเป็นปม มะลิเอ่ยตอบกลับไปด้วยทีท่ารังเกียจ

          “ของน่าสมเพชแบบนี้เรากินไม่ลงหรอก!”

          มือที่กำลังกำมีดอีโต้สั่นไปหมด รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมฉายขึ้นบนใบหน้าของคุณป้าขายไก่ พินที่เดินเลยไปไม่ไกลเห็นมะลิหายไปจึงรีบวิ่งแจ้นกลับมาและได้เห็นว่าไอ้นกบ้านี่ได้ก่อเรื่องให้เขาซะแล้ว

          “ขอโทษด้วยนะครับคุณป้า พอดีพี่ผมเค้าไม่สบาย เค้ามีอาการทางสมองน่ะครับ คุณป้าอย่าถือสาพี่ชายผมเลยนะครับ”

          พินรีบพนมมือไหว้หญิงวัยกลางคนปลกๆ เมื่อเธอเห็นทีท่าของชายหนุ่มอารมณ์ก็เริ่มเย็นลง และเอ่ยขึ้นอย่างเห็นใจ

          “ไม่เป็นไรหนู ป้าไม่ถือสาคนป่วยหรอก หายเร็วๆล่ะพ่อหนุ่ม”

          “เราไม่ได้ปะ...”

          พินไม่เปิดโอกาสให้มะลิต่อปากต่อคำ เขารีบลากแขนร่างสูงออกมาพลางบ่นไม่หยุดปาก

          “นี่มะลิ! คิดอะไรอยู่ก็ไม่ต้องพูดออกมาทุกเรื่องก็ได้นะ แล้วชั้นอุตส่าห์ใจดียอมให้นายตามมา ยังจะมาก่อเรื่องอีก ทำตัวให้เหมือนคนปกติหน่อยไม่ได้รึไง?”

          “ก็มนุษย์คนนั้นชวนให้เรากินไก่นี่!”

          “คนปกติเค้าก็กินไก่กันทั้งนั้นแหละ ถ้าไม่กินไก่แล้วนายอยากจะกินอะไร?”

          จบคำถามของพิน มะลิก็สูดกลิ่นขึ้นในอากาศจากนั้นจึงเป็นฝ่ายลากแขนพินเดินตามตนมาบ้าง เขาเดินเรื่อยมาจนถึงแผงขายสัตว์น้ำ พินที่เห็นซุ้มกุ้งเผาข้างๆสบตามะลิอย่างเข้าใจ

          “อ๋อ...อยากกินกุ้งเผาก็ไม่บอก”

          “เปล่าซักหน่อย...”

          พูดจบมะลิก็ชี้นิ้วไปยังแผงข้างๆ ท่ามกลางกุ้งหอยปูปลาสดๆ ตรงนั้นมีกบที่ถูกผ่าท้องนอนหงายน่าขนลุกอยู่ด้วย

          “กบก็เป็นของโปรดเราด้วยเหมือนกัน”

          สีหน้าเหยเกขยะแขยงปรากฏขึ้นให้คู่สนทนาเห็น สำหรับพินกบในยามปกติก็ชวนสยองอยู่แล้ว และเมื่อมันอยู่ในสภาพนี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึง

          “มะลิ! นายเป็นคนก็ต้องกินอาหารเหมือนคน จะมากินของแบบนี้ไม่ได้”

          “แต่เราเห็นมนุษย์คนอื่นก็ซื้อไปเหมือนกันนี่?”

          “ชั้นไม่ให้นายกิน!”

          “พิน!”

          มะลิขึ้นเสียงอย่างโอดครวญ เขารู้สึกว่าสิ่งที่ทรงอำนาจของมนุษย์ก็คือ “เงิน” ดังนั้น ถึงแม้ว่าเขาจะมีกุญแจของทุกห้องในบ้านก็ไม่อาจช่วยให้เขาใช้ชีวิตตามใจอยากได้ มะลิมองซากกบตาละห้อย เขาเดินตามพินออกมาจากนั้นก็พลันเหลือบไปเห็นชายคนหนึ่งกำลังกำหยิบหนอนทอดตัวจิ๋วเข้าใส่ปาก

          “พิน แล้วถ้าเป็นแมลงล่ะ เรากินได้มั้ย?”

          พินหรี่ตามองเจ้านกอย่างไม่เข้าใจ แต่ละอย่างที่สิ่งมีชีวิตสุดพิลึกนี้ต้องการจะกินช่างหาความปกติธรรมดาไม่ได้เลยสักนิด

          “มันใช่อาหารหรอมะลิ?”

          “แต่มนุษย์คนนั้นก็กินเหมือนกันนี่”

          มะลิชี้นิ้วไปทางชายหนุ่มที่กำลังจกหนอนทอดกินอย่างเพลิดเพลินซึ่งกำลังเดินอยู่ไม่ไกลจากร้านขายแมลงทอดนัก

          ‘อ๋อ...รถด่วนนี่เอง’

          “ซื้อให้เรากินเถอะนะ...พิน”

          มะลิที่มักจะก้าวร้าวในยามปกติก็รู้จักอ้อนเป็นเหมือนกัน ดวงตาดำสนิทแวววาวจ้องมองพินไม่กะพริบ มือหนึ่งก็จับแขนของเขาเอาไว้อย่างเบามือ ปากอิ่มเม้มลงเล็กน้อย ไม่รู้ทำไมพินถึงได้แพ้สายตาของนกหนุ่มตนนี้เสียทุกที เขาพ่นลมถอนใจก่อนจะพยักหน้า

          “เออ...ซื้อให้ก็ได้ แต่นายก็ต้องฝึกกินอาหารแบบที่คนทั่วไปเค้ากินกันด้วยล่ะ เข้าใจรึเปล่า?”

          มะลิพยักหน้าไปพร้อมกับรอยยิ้มดีใจ ไม่รู้มันเป็นอะไรเวลาพินเห็นรอยยิ้มแบบนี้ทีไรมันทำให้ใจเขากระตุกวูบได้ทุกครั้งไป

          ครู่เดียวแมลงทอดถุงเล็กๆก็ได้มาอยู่ในมือของมะลิ ชายหนุ่มเดินไปกินไปอย่างมีความสุข ในขณะที่พินเองก็ได้เสบียงมาพอสมควรแล้ว พวกเขาเดินมุ่งตรงไปตามเส้นทางกลับบ้าน แต่พินก็ต้องชะงักลงเมื่อมีสิ่งมีชีวิตนุ่มนิ่มดำๆมาคลอเคลียอยู่ที่ขา

          “เหมียว”

          “อ้าว! แกนี่เอง ปกติเวลาจะเข้าไปเล่นด้วยก็วิ่งหนีตลอดเลย ทำไมวันนี้แปลกจัง?”

          พินเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มเอ็นดูเจ้าแมวตัวดำ ดวงตาสองสีของมันช่างสวยงามน่าพิศวง ข้างหนึ่งเป็นสีฟ้าเพทายสุกใส อีกข้างหนึ่งเป็นสีเหลืองอำพันเปล่งประกาย เขาย่อตัวลงพลางลูบไล้เกาคอให้เจ้าเหมียวเคลิบเคลิ้ม แมวน้อยถูไถตัวของมันจนเส้นขนสีนิลนั้นติดเต็มกางเกงไปหมด

          มะลิหยุดมือจากการกิน ทว่าปากก็ยังเคี้ยวอยู่ เขาหลุบตามองสิ่งมีชีวิตที่กำลังออดอ้อนคนข้างๆสีหน้านิ่งสงบเย็นชา

          “พิน! รีบกลับได้แล้ว”

          “เอ๊ะ!?”

          พูดจบมะลิก็ไม่รอช้ากระชากแขนพินออกมาจนเซ ทิ้งแมวดำตัวน้อยไว้เบื้องหลัง เขาเดินลากชายหนุ่มตัวบางถูลู่ถูกังออกมา มือจับกระชับแขนผอมๆแน่นจนคนถูกลากเริ่มเจ็บไปหมด

          “เดี๋ยวๆๆ อะไรเนี่ยมะลิ? ชั้นเจ็บนะ”

          มะลิไม่สนใจที่จะตอบ เขาสะบัดมือออกอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นก็กลับไปสนใจแมลงทอดตัวจิ๋วในถุงต่อ

          ‘เป็นอะไรของมันวะเนี่ย? ผีเข้าผีออก...’



          ชายทั้งสองเดินเรื่อยมาจนถึงหน้าบ้าน ระหว่างที่พินกำลังหยิบกุญแจขึ้นไขประตูรั้ว รถยนต์สีบรอนซ์คันหนึ่งวิ่งช้าๆเข้ามาเทียบอยู่หน้าประตู หญิงสาวผมยาวประบ่าที่อยู่ภายในลดกระจกลงก่อนจะเอ่ยเรียกทักทาย

          “ไงสองพี่น้อง ขอไปข้างในด้วยคนนะ”



          ภาพเด็กสาวในชุดนักเรียนมัธยมปลายตัวสูงรูปร่างสมส่วน ผิวพรรณกระจ่าง ดวงตาสดใสไม่กลมโตนัก ฉายขึ้นในหัวของมะลิ จุดเด่นของเธอคือริมฝีปากบางที่ยามฉีกยิ้มกว้างดวงตาจะหยีลงจนคนเห็นแทบจะอดยิ้มตามไม่ได้

          “ไหม ทำไมแกไม่มีแฟนซักทีวะ?”

          พิมพ์เอ่ยขึ้นพลางใช้ส้อมจิ้มขนมปังเนยนมขึ้นมาก่อนจะยัดใส่ปาก ส่วนคนที่นั่งตรงข้ามยกนมเย็นสีชมพูหวานขึ้นดื่ม ริมฝีปากบางปล่อยออกจากหลอดช้าๆก่อนจะยิ้มกรุ้มกริ่มมองตอบเพื่อนชายของเธอกลับไป



          ‘ไหม?’

          ความคุ้นเคยก่อตัวขึ้นในความรู้สึกของมะลิ ถึงแม้เขาจะไม่เคยพบกับหญิงสาวคนนี้มาก่อน แต่ความทรงจำนี้บอกได้ว่าไหมและพิมพ์ต้องเป็นคนที่มีความสนิทชิดเชื้อต่อกันไม่น้อยเลยทีเดียว

          “มนุษย์คนนี้เป็นใครหรอพิน?”

          มะลิเอ่ยถาม พลางมองหญิงสาวที่กำลังเปิดประตูรถออกมา

          “พี่เค้าชื่อไหม เป็นเพื่อนสนิทพี่พิมพ์ตั้งแต่สมัยมัธยม ตอนนี้เป็นศัลยแพทย์อยู่ที่โรงพยาบาลเดียวกับที่นายรักษาตัวเมื่อสองอาทิตย์ก่อน นายไม่เคยเจอเค้ามาก่อนเลยหรอ?”

          มะลิมองไหมโดยที่ไม่ละสายตาไปไหนพลางส่ายหน้าเป็นคำตอบ

          “พิมพ์เป็นยังไงบ้าง คราวก่อนเราไปเยี่ยมที่โรงพยาบาลแต่พิมพ์หลับอยู่เลยไม่ได้มีโอกาสได้คุยด้วยซักที”

          ไหมเดินเข้ามาใกล้พลางส่งยิ้มให้กับเพื่อนของเธอ พินรีบยกมือไหว้ทักทายหญิงสาว เธอรับไหว้กลับอย่างสุภาพน่ารัก

          “พิมพ์...จำเราได้รึเปล่า?”

          เธอเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นทีท่าเฉยเมยของชายหนุ่ม ซึ่งแน่นอนมะลิก็ได้แต่ส่ายหน้าอีกครั้ง

          “พี่พิมพ์เค้ายังจำอะไรไม่ได้เลยครับพี่ไหม แต่ตอนนี้แข็งแรงดีแล้วครับ”

          พินเอ่ยขึ้นตอบแทน ไหมมองชายหนุ่มอายุน้อยกว่าด้วยความเอ็นดูแล้วจึงถามต่อ

          “นี่ลืมทุกอย่างเลยจริงๆหรอเนี่ย ลำบากแย่”

          “พี่พิมพ์ยังช่วยเหลือตัวเองได้ตามปกติครับ สภาพจิตใจก็ดี แต่อาจจะเพี้ยนๆแปลกๆหน่อย...”

          พินพูดดักไว้เผื่อมะลิจะเผลอทำตัวพิลึกพิลั่นใส่ไหม เขายิ้มแห้งในขณะที่นกหนุ่มทำตาขวางขมวดคิ้วมองมาเมื่อได้ยินคำพูดไม่เข้าหู

          “เอ่อ...พี่ไหมรีบเข้าไปข้างในบ้านก่อนดีกว่าครับ ข้างนอกมันร้อน...”

          พินรีบเชิญแพทย์สาวเข้าไปด้านใน จริงอยู่ที่ข้างนอกอากาศร้อน แต่สิ่งที่ทำให้เขาร้อนยิ่งกว่าคือสายตาดุดันของเจ้านกขี้หงุดหงิด



          พินยกน้ำเย็นใส่แก้วมาวางให้กับแขกอย่างกระตือรือร้น ไหมนั่งเรียบร้อยอยู่บนโซฟา ในขณะที่นกหนุ่มนั่งเอกเขนกไม่สนใจโลกอยู่ข้างๆ

          “พี่ไหมกลับมาเยี่ยมบ้านหรอครับ?”

          “ใช่จ้ะ ถึงจะไม่มีใครอยู่ก็ต้องกลับมาดูความเรียบร้อยบ้าง แล้วก็ถือโอกาสมาเยี่ยมพิมพ์ด้วย เดี๋ยวเย็นนี้พี่ก็ขับรถกลับละ พรุ่งนี้ต้องขึ้นวอร์ดแต่เช้า”

          มะลิยังคงนั่งเฉยเหม่อลอยไม่สนใจและปล่อยให้พินกับไหมคุยกัน จนหญิงสาวถึงกับต้องหันไปชวนคุย

          “พิมพ์...อาทิตย์หน้าจะมีวิ่งมาราธอน เราลงแบบสิบกิโลไปด้วยนะ ถ้าพิมพ์แข็งแรงดีเราสองคนคงได้ไปวิ่งด้วยกันเหมือนเคยแล้วเนอะ”

          “มาราธอนคืออะไร?”

          แค่ได้ยินไหมก็ถึงกับหัวเราะออกมา เธอเกือบจะลืมไปว่าเพื่อนของเธอจำความอะไรไม่ได้

          “ช่างเถอะ ไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร พิมพ์ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรแบบนี้ก็ให้ความรู้สึกตลกไปอีกแบบดีเหมือนกัน”

          “เราตลกตรงไหน?!”

          ‘ก็ตลกทุกตรงนั่นแหละ...’

          พินขำขึ้นในใจ ทว่าตอนนี้นกมะลิกลับทำหน้าบูดขึ้นอีกครั้ง ทางที่ดีพวกเขาควรจะปล่อยเจ้านกไว้เงียบๆไม่ไปกวนอารมณ์ของมันจะดีกว่า

          “เราง่วง เราขอตัวไปงีบก่อนนะ”

          พูดจบมะลิก็ลุกพรวดขึ้นจากโซฟาแล้วเดินขึ้นบันไดไป ทิ้งพินกับคนที่มาเยี่ยมตนเอาไว้เสียอย่างนั้น

          “เอ่อ...ผมขอโทษแทนพี่พิมพ์ด้วยนะครับพี่ไหม”

          “ไม่เป็นไรๆ ก็พิมพ์มันป่วยอยู่นี่นา”

          ไหมยิ้มหัวเราะขึ้นอย่างอารมณ์ดี ในเมื่อคนที่เธอตั้งใจมาเยี่ยมหนีไปนอนกลางวันเสียแล้วเธอก็ไม่รู้ว่าจะเสียเวลาอยู่ต่อไปทำไม

          “งั้นเดี๋ยวพี่กลับเลยดีกว่า ไม่กวนละ”

          “เดี๋ยวผมเดินไปส่งครับ”

          พินลุกขึ้นเดินนำหญิงสาวไปที่ประตู เขาเปิดประตูออกให้กับไหม เธอเอ่ยขอบใจพลางฉีกยิ้มกว้างให้ก่อนจะเอ่ยถาม

          “พินเรียนใกล้จะจบแล้วใช่มั้ย?”

          “ใช่ครับเทอมนี้เทอมสุดท้ายแล้ว”

          “เวลาผ่านไปเร็วจังเลยเนอะ พี่ยังจำพินตัวผอมๆสมัยอยู่ม.ต้นได้อยู่เลย ยังดีที่ตอนนี้พอจะเริ่มมีเนื้อมีหนังกับเค้าขึ้นมาบ้าง ดูสิแป๊บเดียวพินกลายเป็นหนุ่มส่วนพี่ก็อายุปาเข้าไปสามสิบกว่าแล้ว”

          “พี่ไหมยังหน้าเด็กอยู่เลยครับ สวยไม่เปลี่ยน”

          “ปากหวานนะเรา เดี๋ยววันหลังพี่ซื้อขนมมาฝาก”

          คนทั้งสองหัวเราะคิกคักใส่กัน พวกเขาเดินเรื่อยมาจนถึงประตูรั้วหน้าบ้าน ขณะที่ไหมกำลังเปิดประตูรถออกพินก็เอ่ยถามสิ่งที่ค้างคาใจของเขาอยู่ออกมา

          “พี่ไหมครับ...ทำไมพี่ชิชาถึงไม่ค่อยมาเยี่ยมพี่พิมพ์บ้างเลย”

          สีหน้าสดชื่นเมื่อครู่ของหญิงสาวแปรเปลี่ยนนิ่งงัน แววตาแข็งขึ้นจนสังเกตได้แม้ว่าเธอกำลังพยายามจะซ่อนมันเอาไว้ก็ตาม

          “ชิชาน่ะหรอ...ไม่เห็นจะแปลก...”

          “พี่ชิชาเค้าบินเยอะหรอครับ? ปกติพี่เค้ากลับมาไทยทุกๆ สิบห้าวันอยู่แล้ว หรือว่าพี่เค้าจะเหนื่อยจนไม่มีเวลา...?”

          พินเอ่ยถามพลางสังเกตสีหน้าของไหมไปด้วย เธอดูไม่ยินดีนักเมื่อเอ่ยถึงภรรยาสาวของพี่ชายเขาคนนี้ ชิชาทำงานเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินของสายการบินต่างประเทศแห่งหนึ่ง จะได้กลับมาอยู่บ้านแค่ทุกๆสิบห้าวัน แต่ถึงอย่างนั้น พินก็รู้สึกว่าชิชาขาดการติดต่อมานานเกินไปแล้ว

          “ไหนๆก็ไหนๆแล้ว...พี่คงต้องบอกพิน...”

          ไหมถอนหายใจพลางสบตากับชายหนุ่ม

          “พิมพ์กับชิชาเค้าห่างๆกันมาซักพักแล้วล่ะ แต่พิมพ์ไม่ยอมเล่าให้คนที่บ้านฟัง”

          ไม่น่าเชื่อว่าพี่ชายของเขากำลังมีปัญหาครอบครัว ความรู้สึกสงสัยวิตกกังวลกัดกินความคิดของพิน มีเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับพี่ชายที่เขาไม่เคยรู้ และดูเหมือนว่าพี่ชายของเขาก็คงไม่อยากให้ใครรับรู้ด้วยเช่นกัน

          “พี่ขอตัวก่อนนะ...”

          พูดจบไหมก็ขึ้นรถไป ตอนนี้ชายหนุ่มได้แต่นึกเสียใจที่เขาและครอบครัวไม่อาจเป็นที่พึ่งทางใจให้กับพี่ชายเขาได้ เขายอมรับว่าเขาดูไม่ออกเลยจริงๆว่าพี่ชายของเขาจะมีอาการซึมเศร้าและตัดสินใจจบชีวิตของตนลง โดยทิ้งไว้เพียงความสูญเสียที่มีแต่ “พิน” คนเดียวเท่านั้นที่ได้รับรู้


++++++++++++++++



          สวัสดีอีกครั้งนะคะทุกท่าน ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้น ทุกบวก และทุกคนที่กดเข้ามาอ่านกันนะคะ ในตอนนี้มะลิก็ยังคงทำตัวพิลึกเหมือนเคย แต่ก็เป็นลักษณะเด่นของพระเอกคนนี้เค้าแหละค่ะ

          พูดถึงรูปร่างหน้าตาของมะลิที่เป็นผู้ชายหน้าหวานๆ ที่สำคัญมีลักยิ้มน่ารักด้วยนะคะ ซึ่งผิดกับนิสัยไปคนละโยชน์ ในขณะที่พินจะเป็นผู้ชายหน้าคมๆตาสวยๆ ในแบบที่มองได้หลายแนวว่าจะหล่อหรือจะสวยก็ได้ค่ะ (ถ้าจะเปรียบเทียบกับพี่พิมพ์ที่หน้าตาคล้ายกันพี่พิมพ์เค้าจะดูหล่อคมแมนๆค่ะ ส่วนน้องพินจะดูออกไปทางสวยคมละมุนกว่านั่นเอง) ถ้าใครมีอิมเมจในใจก็ใส่เข้าไปตามใจชอบได้เลยนะคะ

          ก่อนจะบอกลากันตรงนี้ขอพูดถึงนกมะลิอีกซักนิด ความจริงแล้วนกแสกเป็นสัตว์กินเนื้อที่กินอะไรก็ได้ทั้งนั้นนะคะ แต่ที่มะลิทำเป็นยี้ไก่ย่างก็เพราะอคติส่วนตัว แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-07-2019 12:55:12 โดย Timid Lily »

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11

ออฟไลน์ Timid Lily

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0
บทที่4 : แมวดำ


         ชายหนุ่มที่เพิ่งลุกจากเตียงหัวยุ่งเหยิงกำลังพับผ้าห่มอย่างบรรจง เขาขยี้ตาเล็กน้อยไล่ความงัวเงีย มือหนึ่งคว้าผ้าขนหนูผืนเล็กจากนั้นจึงเดินออกจากห้องนอนไป พินเปิดประตูห้องน้ำ หยิบแปรงสีฟันขึ้นมาบีบยาสีฟันเนื้อใสกลิ่นสดชื่นก่อนจะแปรงฟันด้วยใบหน้าง่วงซึม ถึงแม้ว่าวันนี้เขาจะมีเรียนในช่วงบ่าย แต่ก็ไม่วายต้องรีบแหกขี้ตาตื่นขึ้นมาดูแลความสงบเรียบร้อยภายในบ้าน

          โดยไม่ทันตั้งตัว ร่างสูงโปร่งสวมกอดพินจากทางด้านหลัง เงาที่สะท้อนในกระจกอ่างล้างหน้าคือชายหนุ่มใบหน้าอ่อนหวานผุดผ่องกำลังจรดจมูกโด่งลงบนเส้นผมสลวยของเขาพลางหอมฟอดใหญ่ชื่นใจ

          “เหวอ! แค่กๆๆ”

          พินแหกปากร้องด้วยความตกใจ ในปากที่เต็มไปด้วยฟองทำเอาเขาสำลักจนตัวโยน ทว่าคนที่กอดเขาอยู่ด้านหลังก็ไม่ได้สนใจ ยังคงเกาะติดคนผอมบางแน่นอยู่อย่างนั้น

          “มะลิ! ออกไปเดี๋ยวนี้นะ!”

          พูดจบพินก็ยันตัวออกจากอ้อมกอด เขาบ้วนปากเร็วๆ จากนั้นจึงหันมาต่อว่าเจ้านกหนุ่มต่อ

          “นายจะเข้ามาในห้องน้ำแบบนี้ไม่ได้นะ โรคจิตรึไง?!”

          “เราโรคจิตยังไง? เราแค่มาสูดกลิ่นพิน...”

          มะลิถามกลับอย่างไม่เข้าใจ เขาไม่รู้หรอกว่าการบุกรุกเข้าไปหาพินทั้งในห้องนอน ห้องน้ำ หรือจะที่ไหนๆ อีกทั้งพฤติกรรมที่เขาทำ ทั้งกอด ทั้งหอม จับกดบ้าง นี่แหละที่เรียกว่า “โรคจิต”

          “ก็นิสัยแบบนี้แหละที่เรียกว่าโรคจิต! อยู่ๆก็ชอบรุกเข้ามาถึงเนื้อถึงตัว ทำให้ตกใจขนลุกอยู่เรื่อย!”

          “ก็เราอยากอยู่ใกล้ชิดพิน...”

          พินกลอกตาขวางมองมะลิ แค่ได้อยู่บ้านเดียวกันมันยังชิดไม่พออีกหรือไง

          “ออกไปจากห้องน้ำเดี๋ยวนี้!”

          “ไม่!”

          มะลิปฏิเสธอย่างดื้อด้านก่อนจะยื่นข้อเสนอ

          “เราจะไม่ไปไหนทั้งนั้น จนกว่าพินจะยอมให้เรานอนห้องเดียวกันกับพิน!”

          “ห๊ะ? ! อย่าเลอะเทอะน่ะมะลิ”

          มะลิจ้องเขม็งมาทางพิน สายตาเอาจริงแน่วแน่ นกหนุ่มขยับตัวเข้ามาใกล้ทีละนิด จนตอนนี้พินตัวลีบติดกำแพง เขาไม่รู้จะหนีไปทางไหนจึงต้องรีบตอบรับส่งๆไป

          “อะ...เออ...ก็ได้ ยอมแล้ว ให้นอนด้วยก็ได้ ออกไปได้แล้ว...”

          มะลิตาวาวด้วยความดีใจอีกครั้ง ก่อนจะผละตัวออกจากพินไปก็ไม่วายส่งริมฝีปากอิ่มเข้าไปใกล้ใบหน้า แต่คนรู้ทันรีบยกมือขึ้นมาบังจนมะลิต้องชะงักไป

          “ยังไม่ไปอีก!”

          มะลิยิ้มขึ้นมุมปาก เขาจูบลงบนฝ่ามือเรียวบางของคนตรงหน้าก่อนจะก้าวเท้าเร็วๆออกไปอย่างมีความสุข ส่วนเจ้าของมือที่ถูกจูบตอนนี้กำลังทำหน้าหน้าตาบูดเบี้ยว…

          ...ทว่าเรื่อแดงจัดยิ่งกว่าสีของไฟจราจร

          ‘ไอ้นกบ้า...’



          มือเรียวกลัดกระดุมเสื้อสีขาว ดวงหน้าคมสวยเพ่งมองอย่างตั้งใจ เส้นผมดำสนิทเปียกชื้นน้อยๆโดยที่มีผ้าขนหนูผืนเล็กคลุมเอาไว้ พินยัดชายเสื้อเข้าในกางเกงแสลคสีดำพลางรูดซิปขึ้น พลันสายตาเหลือบไปเห็นเงาเล็กๆเงาหนึ่งผ่านม่านสีสว่างที่ปิดคลุมประตูกระจกซึ่งนำไปสู่ระเบียงด้านนอก กำลังเยื้องย่างก่อนจะหยุดลงตะกุยรางประตูพลางส่งเสียงไปด้วย

          “แง้ว”

          ชายหนุ่มที่กำลังใช้ผ้าขนหนูขยี้เช็ดผมชะงักมองก่อนจะเดินไปเปิดม่าน แมวดำตาสองสีน่าเอ็นดูกำลังแหงนหน้ามองเขาอยู่ พินไม่รอช้าเลื่อนเปิดประตูกระจกออกจากนั้นจึงยิ้มร่าทักทายเจ้าแมวน้อย

          “แกนี่เอง นี่รู้จักบ้านชั้นด้วยหรอ? แสนรู้จริงๆ นะเนี่ย”

          แมวน้อยไม่รอช้าเข้าคลอเคลียชายหนุ่ม พินยิ้มหัวเราะมีความสุขและอุ้มเจ้าแมวเข้ามาในห้อง

          “น่ารักจัง...แกไม่มีเจ้าของหรอ?”

          เขาเอ่ยคุยกับเจ้าแมวดำไปมือก็ปัดเส้นขนที่ติดเต็มชุดนักศึกษาไปพลาง พลันเสียงเปิดประตูดังขึ้น พินหันหลังขวับไปก็พบว่ามีผู้บุกรุกเข้ามาอีกแล้ว

          “พินของสิ่งนี้คืออะไร? มันทั้งร้องทั้งสั่นน่ารำคาญ เราจะจัดการกับมันยังไงดี? ช่วยเราหน่อย”

          มะลิโผล่พรวดเข้ามาในห้องพร้อมกับโทรศัพท์มือถือพลางบ่นกระปอดกระแปด ภาพตรงหน้านกหนุ่มคือเจ้าแมวดำตาสองสีตัวนั้นที่เขาเจอที่ตลาด กำลังคลอเคลียถูไถตัวอยู่บนตักของชายหนุ่มที่มะลิถือว่าเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของตน

          “แก!”

          เขากัดฟันกรอดเกรี้ยวกราด นกหัวร้อนพุ่งตัวเข้าไปหมายจะตะครุบเจ้าก้อนขนสีดำตัวนั้น ทว่าร่างที่ปราดเปรียวกว่ากระโดดหลบอย่างแคล่วคล่อง

          “เป็นอะไรเนี่ยมะลิ? !”

          พินที่ไม่เข้าใจได้แต่มองชายหนุ่มส่งสายตาอาฆาตไปทางเจ้าแมวน้อยที่กำลังนั่งเลียอุ้งเท้าแต่งหน้าแต่งตาราวกับเย้ยหยัน มะลิกราดเสียงแข็งดังขึ้น

          “ไอ้แมวชั่ว! เลิกตีหน้าซื่อแล้วเผยตัวตนของแกออกมาเดี๋ยวนี้!”

          เพียงชั่วพริบตาแมวดำน่าพิศวงตัวนั้นได้กลับกลายเป็นเด็กหนุ่มผิวเข้มรูปร่างสันทัด แววตาซุกซนท่าทางคล่องแคล่ว เขาเอียงคอมองนกหนุ่ม ก่อนจะหัวเราะออกมา

          “สภาพแกนี่มัน...น่าอนาถจริงๆ”

          แค่คำพูดประโยคเดียวทำเอามะลิโมโหแทบบ้า เขารู้ตัวดีว่าตัวเขาดูแย่แค่ไหนที่ไม่มีแม้กระทั่งร่างเป็นของตนเองไม่ต่างจากพวกวิญญาณเร่ร่อน

          “หุบปากไปเลย! แกนี่มัน...”

          “เดี๋ยวๆ ๆ นี่มันอะไรกัน? ช่วยอธิบายหน่อยเถอะ ชั้นงงไปหมดแล้ว”

          พินพูดขึ้นขัดคนกำลังจะตีกัน ตอนนี้เขาทั้งงงทั้งตกใจไปหมด อะไรคือการที่จู่ๆก็มีแมวมาหาเขาที่บ้านแล้วยังจะมาแปลงร่างเป็นคนให้ดูอีก

          “สวัสดีพิน เราคืออมนุษย์แมว ยินดีที่ได้รู้จัก”

          ‘อมนุษย์แมว...สิ่งมีชีวิตประเภทเดียวกับมะลิสินะ...’

          ตอนนี้ไม่ว่าจะเจอสิ่งประหลาดอะไรในโลกพินก็คงจะไม่ตกใจไปกว่านี้อีกแล้ว ถ้าเจ้าตัวพิลึกเหล่านี้สามารถอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์ ป่านนี้เขาคงได้เป็นผู้คนพบสิ่งมีชีวิตชื่อดังคนหนึ่งของโลก

          “แล้วนายมาหาชั้นถึงที่นี่ต้องการอะไร?”

          พินเอ่ยถามด้วยความหวั่นใจ แต่เท่าที่ดูเจ้าแมวหนุ่มตนนี้ไม่ได้มีนิสัยก้าวร้าวเหมือนมะลิ ดูจะรู้ดีด้วยซ้ำว่าควรจะปฏิบัติกับมนุษย์อย่างไร

          “เราได้กลิ่นวิญญาณหนู เราเลยตามมา”

          ‘อีกแล้วหรอวะ...?’

          พินทำหน้าม่อยละเหี่ยใจ ดูเหมือนว่าพลังของเขาที่ตื่นขึ้นมาจะสร้างปัญหาไม่ใช่น้อย

          “แก! ห้ามมายุ่งกับพินของเรา!”

          ‘แล้วเราไปเป็นของไอ้เจ้านกเวรนี่ตั้งแต่เมื่อไหร่วะเนี่ย...?’

          ช่างน่าปวดหัวที่จู่ๆเขาก็เป็นที่นิยมในหมู่สิ่งมีชีวิตพิศวง การที่มีผู้ชายสองคนมาเถียงกันแย่งเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเขามันช่างเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ที่พินไม่เคยต้องการให้มันเกิดขึ้นในชีวิต

          “พินเห็นใจแมวจรจัดอย่างเราเถอะนะ เราขอแค่แวะเวียนมาหา มารับไอวิญญาณหนูเล็กๆน้อยๆให้พอกระชุ่มกระชวย เราสัญญาว่าเราจะไม่สร้างปัญหาอะไรให้กับพิน...นะ...”

          แมวหนุ่มน้อยพูดจาออดอ้อนพลางคลอเคลียพินไปด้วย มะลิเห็นก็ได้แต่หงุดหงิดรำคาญ นกหนุ่มพุ่งตัวเข้าไปหวังจะกระชากตัวเด็กหนุ่มออกให้ห่างจากสมบัติของเขา แต่คนที่ว่องไวกว่ารีบก้มงุดไปหลบอยู่หลังชายร่างบาง

          “แล้วถ้าชั้นให้พลังไอวิญญาณอะไรนั่นกับพวกนายไปเยอะๆ มันจะมีผลเสียอะไรกับชั้นรึเปล่า”

          “ไม่มีหรอก ไอวิญญาณก็คือพลังงานที่แผ่ออกมาตัวพินนั่นแหละ มันไม่มีวันสูญสลายหรือลดลงตราบใดที่พินยังมีชีวิตอยู่”

          หลังจากที่ถามไปอย่างซื่อๆ ชายหนุ่มก็ดูเหมือนจะเข้าใจตัวเองมากขึ้น ถ้าอย่างนั้นคงไม่เป็นไรถ้าเขาจะแบ่งปันไอวิญญาณอะไรนี่ให้กับเจ้าแมวขี้อ้อนสักนิด

          “งั้นก็เอาสิ”

          “อย่าไปยอมมันนะพิน!”

          มะลิเอ่ยขึ้นขัดเสียงแข็งพลางดึงกระชากร่างชายหนุ่มเข้ามาแนบชิดกับตัว

          “อย่าขี้งกไปหน่อยเลยน่าเจ้านกแสก...หัดมีน้ำใจซะบ้าง ตอนนี้แกเข้ามาอยู่ในสังคมมนุษย์แล้วนะ แกต้องหัดรู้จักแบ่งปัน เข้าใจรึเปล่า?”

          แมวน้อยเอ่ยสั่งสอนมะลิ ทว่ามะลิไม่สนใจเขากอดพินแน่นปากก็โต้เถียงกลับไป

          “ไม่! พินเป็นของเรา! เราจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาแตะต้องพินทั้งนั้น!”

          “พอเลยมะลิ...ไม่ต้องมาเดือดร้อนแทนชั้นเลย เอาเป็นว่าชั้นไม่ห้ามก็แล้วกัน”

          “พิน!”

          พินบอกกับแมวน้อยพลางยันตัวออกจากอ้อมกอดของมะลิ สำหรับเขาไม่มีใครที่ควรจะต้องระวังเท่ากับไอ้นกบ้านี่อีกแล้ว

          “อมนุษย์แมว นายชื่ออะไรหรอ?”

          “เราเป็นแมวจรที่มีหลายนาม ที่อู่ซ่อมรถเรียกเราว่าอีดำ ป้าเมี้ยนขายไก่ย่างเรียกเราว่าสีนิล ลุงยามปากซอยเรียกเราว่านำโชค แก๊งเด็กที่ชอบปั่นจักรยานหลังเลิกเรียนเรียกเราว่าไมเคิล แล้วก็ยังมี...”

          ‘อะไรฟะ?’

          พินที่กำลังฟังคนสาธยายชื่อไม่จบได้แต่เกาหัวในความเยอะ เขากลัวว่าวันนี้เขาอาจจะต้องฟังมหากาพย์ชื่อแมวดำทั้งวันจึงรีบเอ่ยตัดบท

          “เอาอย่างนี้นะ...นายอยากให้ชั้นเรียกนายว่าอะไรก็เลือกมาซักชื่อนึงแล้วกัน”

          เด็กหนุ่มได้ฟังดังนั้นก็นิ่งคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยตอบ

          “นินจา...เรียกเราว่านินจา”

          “นินจางั้นหรอ?”

          “อืม...”

          รอยยิ้มอบอุ่นชื่นใจปรากฏขึ้นบนใบหน้า เห็นได้ชัดว่าเจ้าแมวน้อยดูมีความสุขยามได้ยินคนเรียกเขาด้วยชื่อนั้น

          “ขอบใจมากนะพิน วันนี้เราพอใจมากแล้ว เราควรจะกลับ วันหลังเราจะมาเยี่ยมใหม่ เราไปก่อนนะ”

          เด็กหนุ่มกลับร่างเป็นแมวดำน่าเอ็นดูดังเดิม จากนั้นก็กระโดดแผล็วออกจากห้องไป พินยังไม่อาจละทิ้งความสงสัยไปได้ จึงหันไปถามคนที่ทำคิ้วผูกโบอยู่ข้างๆ

          “มะลิ”

          “อะไร?”

          “ไอ้วิญญาณหนูมันมีดียังไง? ทำไมพวกนายถึงชอบกันนัก?”

          “มีแต่พวกที่ล่าหนูเป็นอาหารเท่านั้นแหละที่ชอบ การได้สัมผัสไอวิญญาณก็เหมือนอาหารเสริม ถึงจะไม่ได้รับก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าได้ก็จะทำให้ร่างกายสดชื่นยามอ่อนล้าก็ช่วยให้ฟื้นฟูพลังได้เร็ว”

          พินตั้งใจฟังพลางพยักหน้าไปด้วย ตอนนี้เขาพยายามไล่เรียงดูว่าบนโลกนี้มีตัวอะไรบ้างที่กินหนูเป็นอาหาร แล้วจะมีตัวประหลาดอะไรมาตามหาเขาอีกรึเปล่า ชายหนุ่มที่มัวแต่คิดไม่ได้สังเกตเลยว่า ตอนนี้นกมะลิขยับตัวเข้ามาจนชิดร่างเขาอีกครั้ง จากนั้นไม่รอช้าผลักคนไม่ระวังล้มลงบนเตียงนุ่ม

          “เฮ้ยมะลิ คิดจะทำอะไร!?”

          พินโวยวายไม่ทันขาดคำ คนทะเล้นก็รีบขึ้นคร่อมร่างกายผ่ายผอม แถมยังทิ้งตัวหนักๆลงมาทับจนเขาหายใจแทบไม่ออก

          “มะ...ลิ...หนักนะเว้ย...”

          หน้าอกที่ถูกกดทับอยู่ทำให้เขาเปล่งเสียงออกมาได้อย่างยากลำบาก ส่วนคนที่ทับอยู่ได้แต่ยิ้มอย่างพอใจพลางจ้องใบหน้าสวยๆตาเป็นมัน

          “เราชอบอยู่ใกล้ชิดพิน มันทำให้เราสดชื่น”

          “ระ...รู้แล้ว...หะ...หายใจไม่ออก”

          พินฝืนยันตัวออกสุดแรงจนมะลิกลิ้งออกไปนอนอยู่ข้างๆ แต่นกหนุ่มไม่ยอมแพ้รวบเอวคนตัวบางหมุนขึ้นมาทับบนร่างของตนพลางกอดรัดไว้แน่น

          “....”

          ดวงตาสวยหวานสบจ้องคนที่กำลังหน้าแดงอยู่บนอ้อมอก ริมฝีปากอิ่มยิ้มหัวเราะน้อยๆตอนนี้ทั้งเสื้อผ้าหน้าผมของพินยับยุ่งไปหมดจากการเล่นหยอกเย้า เขาไม่รู้จะทำหน้ายังไงกับความน่าอายที่ต้องมาตกอยู่ในสภาพแบบนี้

          “ปล่อย...”

          “ปล่อยก็โง่สิ!”

          พูดจบเจ้านกก็กอดรัดแน่นยิ่งกว่าเดิม มะลิกดศีรษะของพินเข้ากับซอกคอขาวของเขาแน่น จมูกโด่งกดลงหอมบนเส้นผมสลวยฟอดเบ้อเริ่ม ทว่าพินที่ตอนนี้หัวไปซุกใกล้ไรผมของนกหนุ่มก็ได้กลิ่นอับๆเข้าจนต้องรีบยันตัวออกก่อนจะขาดอากาศตาย

          “มะลิ! นายสระผมครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่?”

          “เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เราไม่ชอบให้เส้นขนโดนน้ำ”

          ได้ฟังดังนั้นคนมือไวก็รีบปลดกระดุมเสื้อของนกหนุ่มออก เขาฉุดลากแขนแข็งแรงให้ลุกขึ้นเดินตามมาอย่างรวดเร็ว และเดินออกจากห้องไป

          “พินจะพาเราไปไหน?”

          ชายหนุ่มที่ร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่าล่อนจ้อนเอ่ยถามแต่กลับไม่ได้รับคำตอบ พินเปิดประตูห้องน้ำอย่างรวดเร็วจากนั้นจึงผลักมะลิไปยืนใต้ฝักบัว กว่ามะลิจะรู้ตัวว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับเขาก็สายไปเสียแล้ว

          “ไม่! พิน! อย่า!”

          “ซ่า” เสียงน้ำไหลกลบเสียงร้องโวยวายของชายหนุ่มที่ยืนสั่นแหง่กๆ เมื่อถูกราดด้วยน้ำเย็น จู่ๆมะลิก็รู้สึกอึดอัด หายใจไม่ออก ความทรงจำหนึ่งของพิมพ์ฉายวาบขึ้นมาในหัว



          ร่างที่สติค่อยๆรางเลือนถูกใครบางคนลากพยุงถูลู่ถูกังไปอย่างยากลำบาก เขาถูกทิ้งลงในน้ำเย็นเฉียบมืดสนิท พิมพ์ค่อยๆจมลง อากาศเริ่มหมดไป เหลือทิ้งไว้เพียงร่างไร้วิญญาณล่องลอยในสายน้ำนิ่ง



          “มะลิ!”

          พินร้องเรียกพลางเขย่าตัวชายหนุ่มที่อยู่ๆก็นิ่งชะงักไป มะลิรู้สึกตัวขึ้นพลางจับมือพินแน่น เขาหน้าเสียซีดเซียวมองคนตรงหน้า ก่อนจะเอ่ยขึ้นน้ำเสียงสั่น

          “พิมพ์ไม่ได้ฆ่าตัวตาย”



++++++++++++++++



          ในที่สุดเราก็ได้รู้กันแล้วนะคะว่าเจ้าเหมียวคืออะไรกันแน่ ที่สำคัญเราก็ได้รู้เพิ่มไปอีกเรื่องว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่พิมพ์นะคะ ก่อนอื่นเราจะขอชี้แจงไว้ตรงนี้เลยว่าเรื่องนี้ไม่ได้เป็นแนวสืบสวนมากมายอะไร เรื่องราวต่างๆจะค่อยๆคลี่คลายไปจากการปะติดปะต่อเรื่องราวของตัวเอกของเรา จะออกแนวลึกลับมีเงื่อนงำซะมากกว่า และความเหนือธรรมชาติเล็กๆก็จะมีผลต่อเนื้อเรื่องด้วย ยังไงก็ฝากติดตามกันต่อไปด้วยนะคะ

          ก่อนจะไปขอพูดถึงแมวตาสองสีกันซักนิด เพื่อนๆอาจจะคุ้นเคยกับแมวตาสองสีตัวขาวปลอดอย่างแมวไทยพันธ์ุขาวมณีผู้โด่งดังกันอยู่แล้วใช่มั้ยล่ะคะ แต่เท่าที่เราขุดคุ้ยมาเจ้าแมวดำอย่างนินจาก็มีอยู่จริงนะเออ บ่อยครั้งที่พบว่าแมวตาสองสีจะมีลักษณะหูหนวกข้างเดียว แต่นินจาอาจจะโชคดีเลยปกติดีค่า (จริงๆการที่แปลงร่างได้นี่ก็ไม่ปกติมากพอแล้วเน้อ) แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ ^^


ออฟไลน์ lovenine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 250
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
ดี ออกนะมีทั้ง แมว นก เป็นเพื่อน รอลุ้น เริ่องของ พิมพ์ ต่อ ^^

ออฟไลน์ Timid Lily

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0
ดี ออกนะมีทั้ง แมว นก เป็นเพื่อน รอลุ้น เริ่องของ พิมพ์ ต่อ ^^

แมวนี่น่าจะเป็นเพื่อนแน่ๆแหละค่ะ แต่นกนี่อาจจะไม่ คิคิ ^^

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Timid Lily

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0
บทที่5 : ภรรยา

     ร่างกายชื้นน้ำที่มีผ้าขนหนูผืนโตปกคลุมอยู่นั่งนิ่งงันเงียบสนิทอยู่บนที่นอน ส่วนพินเองที่นั่งอยู่ข้างๆก็พูดอะไรไม่ออกเหมือนกัน ความวิตกกังวลกัดกินจิตใจของนกหนุ่ม เขารู้สึกว่าตอนนี้ชีวิตของเขาไม่ปลอดภัย เพราะตัวเขาเองที่เป็นคนทำให้พิมพ์ยังอยู่ในสภาพที่ยัง “มีชีวิต” อยู่

     “ใครกัน...แล้วทำไมต้องทำแบบนี้กับพี่พิมพ์ด้วย...”

     พินเอ่ยขึ้นเสียงสั่นเครือ ดวงตาร้อนผะผ่าวแดงขึ้น การที่เขาได้รู้ว่าพี่ชายจากโลกนี้ไปแล้วมันก็เจ็บปวดมากพอแล้ว ยิ่งเมื่อได้รู้ว่าการสูญเสียนี้เกิดขึ้นจากฝีมือของใครบางคนมันทำให้ปวดร้าวในใจหนักหนากว่า

     “เราไม่เห็นหน้าคนร้ายหรอก...แต่ในเมื่อเราทำให้ร่างนี้ยังมีชีวิตอยู่ ก็เป็นไปได้ว่าคนร้ายอาจจะกลับมาลงมือ...”

     พินหน้าซีดเมื่อได้ยินดังนั้น ตอนนี้เขาได้แต่หวังว่ามะลิจะนึกออกให้เร็วที่สุดว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่ชายของเขา ไม่อย่างนั้น มะลิเองก็อาจจะต้องตกอยู่ในอันตรายไปอีกคน

     “เรารู้สึกได้ว่าในสมองของพิมพ์พยายามจะบอกอะไรกับเรา แต่มันขาดไปเป็นห้วงๆ คงต้องใช้เวลามากกว่านี้ถึงจะเอามาปะติดปะต่อกันได้”

     “อืม...มะลิก็ระมัดระวังตัวให้ดีล่ะ”

     “อื้ม! เราต้องรู้ให้ได้ว่าใครเป็นคนทำและมันเกิดอะไรขึ้น ไม่อย่างนั้นความหวังของเราที่อยากจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขคงไม่มีวันได้เป็นจริง”

     นกน้อยเอ่ยขึ้นพลางนึกถึงวันที่เขาถูกยิงตาย มะลิกลัวว่าชีวิตของเขาจะถูกคุกคามและเขาจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง

     “ชั้นจะช่วยด้วยอีกแรงนะมะลิ ชั้นเองก็อยากรู้เหมือนกัน อย่างน้อยก็เพื่อความปลอดภัยของนาย...”

     ดวงตาสวยคมมองสบไปยังใบหน้าสุกสว่างอย่างห่วงใย มะลิสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นห่วงหาที่คนตรงหน้าส่งมาให้ เขาส่งยิ้มจางๆ พลางประคองมือบอบบางมากุมไว้

     “ขอบคุณนะพิน...พินเป็นคนที่จิตใจดีจริงๆ”

      ริมฝีปากหยักส่งยิ้มอ่อนหวานกลับไปก่อนจะเอ่ย

     “แน่นอน...ก็พวกเราคือครอบครัวเดียวกันนี่นา”

     สายตาเอื้ออาทรถูกส่งให้แก่กัน มือที่กอบกุมกันอยู่นั้นอุ่นขึ้นจนร้อน พินหลบสายตาไปจากมะลิเมื่อรู้สึกตัวว่าตนกำลังถูกนกหนุ่มจ้องจนแทบทะลุ เขารู้สึกตัวได้ว่าในความรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยตอนนี้เหมือนมีอะไรมากกว่านั้นหลบซ่อนอยู่...

     ลึกสุดใจ





     บ่ายแก่ๆอันแสนเงียบเชียบ เวลาที่ผู้คนทั่วไปยังคงต้องทำภาระหน้าที่ของตนอยู่ข้างนอก ชายหนุ่มสูงโปร่งผู้โดดเดี่ยวนอนกลิ้งเกลือกอยู่บนโซฟา ตอนนี้มะลิไม่ง่วงนอนตอนกลางวันอีกต่อไปแล้ว นับเป็นเรื่องดีที่เขาสามารถปรับตัวมาใช้ชีวิตปกติอย่างมนุษย์ได้อย่างรวดเร็ว ทว่าก็เป็นเรื่องน่าเศร้าในขณะเดียวกันที่คนว่างอย่างเขาต้องมานั่งๆนอนๆหงอยเหงาลำพังยามกลางวัน

     “ครืด ครืด” เสียงโทรศัพท์มือถือกำลังสั่น ถึงแม้ว่ามะลิจะหาทางปิดเสียงร้องน่ารำคาญของมันได้สำเร็จแล้ว แต่พินก็ไม่อนุญาตให้เขาปิดเครื่องและสั่งให้ตั้งระบบสั่นไว้ นกหนุ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นดูพลางทำหน้ายุ่งอย่างรำคาญ

     ‘อย่าลืมจ่ายค่าที่จอดรถ’

     เขาอ่านบันทึกเตือนความจำในโทรศัพท์มือถือของพิมพ์แล้วรีบวางลงอย่างไม่ใส่ใจ ตั้งแต่ที่เขาใช้ชีวิตเป็นทนายหนุ่มคนนี้ อะไรก็ตามที่เคยเป็นของพิมพ์ มะลิก็มีหน้าที่ๆจะต้องดูแลรับผิดชอบด้วย พินพยายามสอนให้เขาหัดใช้โทรศัพท์ ดูแลข้าวของส่วนตัวเล็กๆน้อยๆ

     ‘แต่มันจะว่างเกินไปรึเปล่า?’

     มะลิพยายามใช้ความคิดว่าอมนุษย์เช่นเขาจะสามารถทำอะไรได้บ้าง อย่างน้อยเขาก็ไม่อยากถูกเจ้าของบ้านตราหน้าว่าเป็นกาฝาก สิ่งที่เขาพอจะนึกออกคือ เขาล่าหนูเก่ง หมุนคอได้สามร้อยหกสิบองศา ร้องเสียงน่ากลัว แล้วก็บินได้ แต่เอาเข้าจริงความสามารถพวกนี้มันดูจะไม่ค่อยมีประโยชน์ แถมยังไม่สามารถทำได้ในร่างมนุษย์อีกต่างหาก

     คนที่ยังคงนอนกลิ้งไปเกลือกมาได้ยินเสียงกุกกักมาจากประตู เขารีบลุกพรวดขึ้นไปตามเสียง และไปยืนรออย่างตื่นเต้นกระตือรือร้น

     “พิน!”

     มะลิเอ่ยเรียกเมื่อประตูเปิดออกและพบคนที่เขากำลังรออยู่ปรากฏตัวขึ้น เขาฉีกยิ้มร่าพลางโผเข้าหา ทว่ากลับถูกปรามไว้

     “หยุด! อย่ารุ่มร่าม...”

     มะลิหยุดมองและพบว่า หญิงสาวผิวสีน้ำผึ้งที่ใบหน้าแต่งแต้มไปด้วยเครื่องสำอางสวยเดินตามหลังพินเข้ามาในบ้าน เธอสบตามะลิครู่หนึ่งก่อนจะทักทายด้วยน้ำเสียงเรียบ

     “พิมพ์...เป็นยังไงบ้าง?”

     ‘ใคร?’



     ภาพหญิงสาวผู้นี้แล่นวาบเขามาในโสตประสาทของมะลิ ในความทรงจำเธอกำลังเอ่ยพูดกับพิมพ์อย่างจริงจัง

     “พิมพ์...คือ...ชิชาจะขอยืมเงินพิมพ์ซักก้อนนึงได้มั้ย? ตอนนี้ธุรกิจที่ชิชาหุ้นกับเพื่อนต้องการเงินมาหมุนเวียน ไม่อย่างนั้นต้องล่มแน่ๆ นะ...ชิชาขอร้องล่ะพิมพ์”



     ‘ชิชางั้นหรอ?’

     เมื่อมะลิดึงสติกลับมาก็พบว่าคนเอ่ยถามไม่ได้หยุดฟังคำตอบ เธอนั่งลงบนโซฟา พลางหยิบเอกสารต่างๆออกมาวางไว้บนโต๊ะ

     “ชิชาขอโทษด้วยที่ไม่ได้มาเยี่ยมพิมพ์เลย ชิชาบินหนักเลยทำหน้าที่ของภรรยาได้ไม่ค่อยดีนัก”

     ‘เป็นภรรยาของพิมพ์นี่เอง’

     ถึงหญิงสาวจะพูดเช่นนั้นแต่มะลิกลับไม่ได้รู้สึกว่าเธอจะใส่ใจในสิ่งที่เอ่ยออกมานัก เหมือนกับพูดไปส่งๆแค่นั้น
 
     “น้ำครับพี่ชิชา”

     “ขอบใจจ๊ะ”

     พินที่ยกน้ำออกมาให้ผู้มาเยือนนั่งลงข้างๆนกหนุ่ม ขณะนี้บรรยากาศดูอึดอัดพิกล ชิชาหยิบสมุดบัญชีหลายเล่มส่งให้มะลิ

     “อ่ะ...สมุดบัญชีของพิมพ์ ชิชาเอามาให้ เผื่อว่าพิมพ์จำเป็นต้องใช้”

     มะลิรับสมุดมาไว้ในมือ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าของสิ่งนี้เอาไว้ใช้ทำอะไร เมื่อเปิดออกดูก็มีแค่ตัวเลขยุ่บยั่บเต็มไปหมด สีหน้าฉงนฉายให้คนเป็นภรรยาเห็น ชิชาจึงเอ่ยขึ้นอาสา

     “ถ้าพิมพ์ไม่สะดวก อยากให้ชิชาช่วยจัดการเรื่องการเงินของพิมพ์ก็ได้นะ พิมพ์มอบอำนาจมาให้ชิชาก็พอ เดี๋ยวชิชาจะดูแลให้เอง”

     มะลิที่ยังไม่เข้าใจอยู่หันไปสบตากับพิน พินเองก็ไม่อยู่ในจุดที่จะพูดอะไรได้จึงนิ่งเงียบอยู่อย่างนั้น มะลิจึงตัดสินใจปฏิเสธกลับไป

     “ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราให้พินช่วยจัดการให้เอง”

     สีหน้าเรียบเฉยเมื่อครู่ของหญิงสาวแข็งขึ้นเล็กน้อย เธอสบตาชายหนุ่มพลางพ่นลมออกมาอย่างไม่ได้ดังใจนัก

     “ก็ตามใจพิมพ์แล้วกัน...”

     ความเงียบเข้าปกคลุมคนทั้งสามอีกครั้ง ชิชาจึงตัดสินใจเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมา

     “ความจริงชิชากลับมาได้หลายวันแล้วล่ะ แต่พอดียุ่งๆเลยไม่ได้แวะมาหา ชิชาจะยังอยู่ที่ไทยอีกสองสามวัน พิมพ์จะกลับไปอยู่คอนโดด้วยกันรึเปล่า?”

     ถึงหญิงสาวจะถามเช่นนั้นแต่เธอกลับดูสนใจโทรศัพท์มือถือมากกว่าคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีเสียอีก และแน่นอนว่ามะลิเอ่ยปฏิเสธอีกครั้ง

     “ไม่ดีกว่า เราขออยู่ที่บ้านนี้แหละ สบายใจกว่า”

     ชิชาละสายตาออกจากจอโทรศัพท์ในมือพลางจ้องมาทางมะลิด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่ใส่ใจ จากนั้นจึงรวบเอากระเป๋าถือใบน้อยดูมีราคาแนบเข้ากับตัว

     “ถ้าอย่างนั้นวันนี้ก็หมดธุระของชิชาแล้ว ชิชาขอตัวก่อนแล้วกันนะพิมพ์”

     หญิงสาวลุกขึ้นจากโซฟาอย่างรวดเร็ว พินเห็นทีท่าเช่นนั้นจึงรีบลุกตาม

     “เอ่อ...พี่ชิชาครับ เดี๋ยวพินเดินไปส่ง”

     “ไม่ต้องลำบากหรอกค่ะน้องพิน ขอบใจมากนะ”

     เธอหยุดนิ่งครู่หนึ่งก่อนหันมาตอบ จากนั้นจึงเดินฉับๆออกจากบ้านไป พินรู้สึกได้ทันทีว่าสามีภรรยาคู่นี้คงห่างเหินกันมากจริงๆ แต่เขาก็ไม่รู้ว่าเรื่องราวมันเริ่มขึ้นจากใคร แต่อย่างน้อยพินก็ไม่อยากให้ความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ย่ำแย่ลงไปกว่านี้

      “มะลิ! พี่ชิชาเค้าเป็นภรรยาของพี่พิมพ์นะ มะลิต้องสนใจพี่เค้าให้มากกว่านี้ เข้าใจรึเปล่า? ดูสิเนี่ย พี่ชิชาเค้าต้องโกรธพี่พิมพ์แล้วแน่ๆ หนีกลับไปเฉยเลย”

      พินเอ่ยขึ้นพลางส่งสายตาตำหนิใส่ มะลิเองก็ไม่ได้พอใจที่ตนถูกกล่าวว่าเช่นนั้นจึงรีบเถียงกลับไป

     “พินดูดีๆ เราไม่เห็นจะรู้สึกถึงความรักจากผู้หญิงคนนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว ถ้าจะโกรธก็น่าจะเป็นเรื่องอื่นมากกว่า...”

     ขนาดนกซื่อๆอย่างมะลิยังสัมผัสได้ แน่นอนว่าพินเองก็ดูออกเช่นกัน เพียงแต่เขาพยายามจะหลอกตัวเองว่ามันไม่ได้เป็นแบบนั้น

     “สำหรับเรา...คนๆเดียวที่รู้สึกว่าห่วงใยและเอาใจใส่เราจริงๆมีแค่พิน...ไม่มีใครอื่น...”

     สายตาเว้าวอนน่าเห็นใจถูกส่งมาทางพิน ใบหน้าที่เจือความเศร้าของมะลิทำให้เขาหวั่นไหว ความรู้สึกแปลกๆตีขึ้นเต็มอกของชายหนุ่ม ทั้งเอ็นดู ทั้งสงสาร ทั้งห่วงใย ความเดียวดายว้าเหว่ของมะลิกระตุ้นความรู้สึกอยากปลอบอยากให้กำลังใจ ทำไมกับคนที่รู้จักเพียงไม่นานกลับทำให้เขามีอารมณ์ร่วมได้ถึงขนาดนี้

     “พิน...”

     “อ่ะ...ห๊ะ?”

     พินที่สติกำลังจะหลุดลอยไปกับความฟุ้งซ่านของตัวเองถูกมะลิเรียกกลับมา นกหนุ่มส่งสมุดบัญชีให้พลางเอ่ยถาม

     “สิ่งนี้คืออะไรหรอ? แล้วมันจำเป็นกับเรายังไง?”

     พินรับสมุดบัญชีมาพลางเปิดออกดู แล้วก็ต้องตกใจกับตัวเลขจำนวนมหาศาลที่ถูกแสดงอยู่ในสมุดเล่มแล้วเล่มเล่า เขาและครอบครัวไม่เคยรับรู้มาก่อนว่าพี่ชายของเขาจะทำรายได้สูงถึงขนาดนี้ คงมีเพียงพิมพ์กับชิชาเท่านั้นที่รู้ ยอดเงินโอนเข้าในแต่ละครั้งสะสมกันจนพินรู้สึกกลัว...กลัวว่าจำนวนเงินมากมายเหล่านี้อาจจะเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของพิมพ์

     “มีอะไรรึเปล่าพิน?”

     พินส่งสายตาอึกอักลังเลไปทางมะลิก่อนจะตอบ

     “ชั้นชักจะหวั่นใจขึ้นมาแล้วล่ะมะลิ ว่าการตายของพี่ชายชั้นอาจจะเกี่ยวข้องกับเงินพวกนี้...พี่พิมพ์มีเงินในบัญชีเยอะมาก...มากจนน่ากลัว...”

     “อำนาจของมนุษย์ก็คือเงินนี่แหละนะ...ครอบครองเท่าไหร่ก็ไม่มีวันพอ ยิ่งได้มายิ่งต้องการ...”

     เสียงๆหนึ่งเอ่ยขึ้น แมวดำตัวเปรียวเดินย่องออกมาจากมุมหนึ่งของบ้าน นินจากระโจนขึ้นนั่งบนตักของพินพลางคลอเคลียไม่หยุด

     “แก! ไอ้แมว! เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่?”

     มะลิเสียงแข็งขึ้นเมื่อเห็นแขกไม่ได้รับเชิญ แต่นินจาเองไม่ได้สนใจ เขานอนออดอ้อนพินอย่างมีความสุข

     “ก็เข้ามาตั้งแต่ที่พินกลับมา แต่เราไม่คิดว่าที่บ้านจะมีแขก เราก็เลยแอบอยู่จนผู้หญิงคนนั้นกลับไป”

     “หมายความว่านินจาได้ยินเรื่องที่พวกเราคุยกันทั้งหมดเลยหรอ”

     “ใช่”

     เมื่อได้ยินดังนั้นพินก็เกิดความคิด บางทีอาจจะไม่ใช่เรื่องแย่ที่จะมีใครอีกสักคนมาช่วยพวกเค้าแบกรับเรื่องราวเหล่านี้ แม้ว่าคนๆนั้นจะไม่ใช่มนุษย์ก็ตาม

     “ไหนๆนินจาก็รู้เรื่องถึงขนาดนี้แล้ว จะเป็นอะไรมั้ย...ถ้าชั้นจะขอให้นินจาคอยสอดส่องเป็นหูเป็นตาดูแลมะลิเวลาที่ชั้นไม่อยู่?”

     “พินขออะไรเรา เราก็เต็มใจช่วยทั้งนั้นแหละ”

     เจ้าแมวตอบตกลงพลางเลียเนื้อเลียตัวไปด้วย ส่วนมะลิเองรู้สึกขัดใจจึงรีบปฏิเสธเสียงแข็ง

     “ไม่จำเป็น เราดูแลตัวเองได้!”

     “อย่าเล่นตัวไปเลยน่า...เรารู้นะว่าร่างๆนี้ไม่ได้ตายแบบปกติ ถึงนกแสกอย่างแกจะมองเห็นลางมรณะของคนอื่นได้ แต่อย่าลืมสิว่าแกจะไม่มีวันเห็นลางของตัวเอง”

     “ลางมรณะ? มันคืออะไรหรอ?”

     ความสงสัยก่อตัวขึ้นจนพินอดถามไม่ได้

     “เราสามารถมองเห็นได้น่ะว่าใครกำลังจะตาย...”

     จากที่ฟังก็พอจะเข้าใจได้ว่าอมนุษย์นกแสกอย่างมะลิสามารถล่วงรู้ได้ว่าใครใกล้จะถึงฆาต ยกเว้นแค่ตัวเขาเอง ตอนนี้สิ่งเดียวที่เขาพอจะทำเพื่อปกป้องร่างของพี่ชายเขา ปกป้องมะลิก็ทำได้เพียงช่วยกันเป็นหูเป็นตาสอดส่องแทนนกหนุ่มอีกแรง

     “อย่าดื้อเลยนะมะลิ...ชั้นขอร้อง...”

     พินเอ่ยขึ้นเสียงอ่อน

     “อืม...”

     มะลิที่ดื้อดึงอยู่เมื่อครู่อ่อนลงเมื่อได้ยินชายหนุ่มอ้อนวอนเขาเช่นนั้น เห็นได้ชัดว่าพินรู้สึกกลัวขนาดไหน ใบหน้าที่มักจะมีรอยยิ้มสดใสบัดนี้เต็มไปด้วยความกังวล แววตาหมองลงอย่างเห็นได้ชัด ท่าทางแบบนี้ของพินทำให้มะลิเองรู้สึกทุกข์ใจไปด้วย

     “เราจะไม่ไปไหนไกลจากบ้านหลังนี้แล้วกัน ถ้ามีอะไรแค่ร้องเรียกเราดังๆแล้วเราจะมาหา”

     “ขอบใจมากนะนินจา”

     “...ขอแค่มื้อเย็นเป็นการตอบแทนก็พอ”

     เจ้าแมวขยิบหยีตาให้กับพินน้อยๆก่อนจะเดินนวยนาดไปทางนกหนุ่ม

     “ส่วนแกเจ้านกแสก! แกเลิกต่อต้านเราจะดีกว่า เราเป็นมิตรกับแกๆควรจะดีใจและรับความหวังดีของเราเอาไว้ ยังไงอมนุษย์อย่างเราก็เป็นพวกเดียวกัน อย่าลืมซะล่ะ”

     มะลิไม่โต้ตอบอะไรเป็นการยอมรับกลายๆ เขาเองก็ต้องยอมรับความจริงอย่างหนึ่งว่า ตอนนี้อาศัยแค่ตัวเขาเองเพียงลำพังก็ไม่มีปัญญาจะเอาตัวรอดในโลกมนุษย์อันแสนโหดร้ายนี้ได้อยู่แล้ว หากมีคนประสงค์ร้ายกับเขาขึ้นมาจริงๆยิ่งไม่ต้องพูดถึง

     “ตอนนี้สิ่งนึงที่ชั้นอยากจะรู้ให้ได้ก็คือเงินพวกนี้ถูกโอนมาจากไหนกัน...พรุ่งนี้ชั้นจะลองตรวจสอบดู”

     อย่างน้อยถ้าพวกเขาได้รู้อะไรเกี่ยวกับพิมพ์มากขึ้นอีกนิด สาเหตุการเสียชีวิตและฆาตกรตัวจริงอาจจะถูกเผยออกมาในที่สุดก็เป็นได้


++++++++++++++++


     สวัสดีอีกครั้งนะคะ ขอบคุณสำหรับกาารติดตามเช่นเคย อย่างน้อยเราหวังว่านิยายเรื่องนี้จะทำให้รีดรู้สึกสนุกบ้างไม่มากก็น้อยนะคะ

     ในที่สุดชิชาที่หายตัวไปตั้งแต่บทนำก็ได้กลับมาแล้วนะคะ เรื่องราวหลังจากนี้จะมีความวุ่นวายยุ่งเหยิงรออยู่ค่ะ ฝากติดตามกันต่อไปด้วยน้า

     ในบทนี้เราเอ่ยถึงเสียงร้องของนกแสกไว้ จะบอกว่ามันฟังดูน่ากลัวจริงๆค่ะซึ่งเราเองก็ไม่รู้ว่าจะเขียนบรรยายออกมาว่ายังไง ถ้าใครอยากรู้ว่าน้องร้องน่ากลัวขนาดไหนลองกูเกิ้ลดูนะคะ ^^"






ออฟไลน์ ซีเนียร์

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Timid Lily

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0

บทที่6 : แพทย์หญิง


          “ครับ...งั้นผมรบกวนช่วยส่งมาให้ทางอีเมลทีนะครับ”

          พินที่กำลังหนีบโทรศัพท์มือถือเข้ากับหูพูดคุยโต้ตอบกับปลายสาย โดยที่มือข้างหนึ่งก็เปิดเอกสารไปพลาง อีกมือก็ใช้คอมพิวเตอร์แลปท็อปไปพลาง

          “ขอบคุณมากนะครับ...สวัสดีครับ”

          เขากดวางสายไป ตอนนี้อีเมลที่พินขอให้พนักงานที่สำนักงานทนายความส่งมาให้มาถึงอย่างรวดเร็ว ในนั้นเป็นรายชื่อลูกความของพิมพ์ ซึ่งตรงกับรายชื่อของคนที่โอนเงินเข้ามา และรายชื่อล่าสุดนั้นกลับเป็นชื่อที่คุ้นเคย

          ‘ญานิสา พัชรณุกูล’

          “มีอะไรหรอพิน?”

          มะลิที่นั่งอยู่ข้างๆเอ่ยถามเมื่อเห็นสีหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนไป พินไม่เคยรู้มาก่อนว่า “ไหม” จะเป็นลูกความของพี่ชายเขาด้วย และที่สำคัญคือเธอเพิ่งจะโอนเงินเข้ามาให้กับพี่ชายเขาก่อนที่จะเสียชีวิตได้ไม่นาน

          “ชื่อนี้เป็นชื่อจริงของพี่ไหม...ดูเหมือนว่าพี่ไหมจะเป็นลูกความของพี่พิมพ์ด้วยเหมือนกัน แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคดีอะไร”

          ‘Rrrrrr’     

          เสียงโทรศัพท์มือถือของพินดังขึ้นจนทำให้เขาที่กำลังใช้ความคิดถึงกับสะดุ้งโหยง ในหน้าจอแสดงชื่อคนโทรเข้าเป็นหญิงสาวที่พวกเขากำลังพูดถึงอยู่

          “ฮัลโหล มีอะไรรึเปล่าครับพี่ไหม?”

          [พินช่วยออกมาเปิดประตูบ้านให้พี่หน่อยสิ พี่แวะมาหาก่อนจะกลับไปทำงานน่ะ]

          ‘พี่ไหมมา!?’

          พินรีบกุลีกุจอเก็บเอกสารที่กระจัดกระจายเต็มโต๊ะ ปิดคอมพิวเตอร์แล้ววิ่งตึงตังเอาของไปเก็บไว้ที่ห้องนอน ส่วนมะลิทำได้แค่เพียงมองตามอย่างคนไม่รู้เรื่องรู้ราว

          “แป๊บนึงนะครับพี่ไหม”

          เขารีบตาลีตาเหลือกวิ่งไปที่ประตูบ้าน เมื่อเปิดประตูออกก็เห็นรอยยิ้มชวนหัวของหญิงสาวผู้มาเยือน

          “ไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้พิน พี่รอได้ ดูสิวิ่งมาซะหอบเลย”

          พินยิ้มแห้งกลับไปพลางเอามือเขี่ยผมที่กำลังยุ่งเหยิง ไหมยื่นถุงขนมให้กับหนุ่มน้อยพลางยิ้มสดใสขึ้น

          “พี่ซื้อขนมมาฝากตามสัญญา”

          “ขอบคุณครับ”

          พินรีบเอ่ยขอบคุณด้วยความเกรงใจ เมื่อไหมเดินเข้ามาในบ้านเห็นมะลิที่กำลังงงๆอยู่ก็รีบเอ่ยทัก

          “ไงพิมพ์ เราแวะมาเยี่ยมก่อนจะกลับไปทำงาน พิมพ์เริ่มจำเราได้บ้างรึยัง?”

          “ก็คุ้นๆนิดหน่อย...”

          ความจริงแล้วจะใช้คำว่าจำได้ก็อาจจะไม่ถูกต้องสำหรับมะลินัก ใช้คำว่าเริ่มรู้จักน่าจะใช่มากกว่า

          “งั้นหรอ? แล้วจำเราได้ว่ายังไงบ้าง?”

          “จำได้ว่าไหมเป็นลูกความของเรา แต่จำไม่ได้ว่าคดีอะไร”

          มะลิโพล่งออกไปตรงๆ ทำให้ทั้งไหมทั้งพินถึงกับตกใจนิ่งไป พินไม่คิดว่ามะลิจะหุนหันพูดออกไปแบบนั้น ส่วนไหมคงจะตกใจมากกว่าที่เพื่อนของเธอเอ่ยถึงสิ่งที่ไม่อยากนึกถึง

          “ไหมเล่าให้เราฟังหน่อยได้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้น?”

          หญิงสาวเงียบไปอึดใจหนึ่งก่อนจะตอบ

          “ได้สิ...เราก็ไม่ได้มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องปิดบังทนายของเราอยู่แล้วนี่”

          ใบหน้าสดใสเมื่อครู่เซื่องซึมไป ไหมทอดสายตาออกไปก่อนจะเริ่มเอ่ยถึงเรื่องราวที่ทำให้เธอต้องมีสีหน้าเจ็บปวดเช่นนี้

          “เราถูกฟ้องร้องเรื่องทำให้คนไข้ถึงแก่ความตาย...”



          ศัลยแพทย์หญิงในชุดกาวน์สีขาวที่ถูกรุ่นพี่ตามตัวด่วนมาช่วยงานในห้องฉุกเฉิน เดินออกมาด้วยด้วยสีหน้าอ่อนล้า คืนนี้ในตัวจังหวัดมีการจัดคอนเสิร์ตงานใหญ่คึกคัก วัยรุ่นจากทั่วทุกสารทิศต่างมารวมตัวกันในงาน แต่ก็ไม่วายตีกันมาหัวร้างข้างแตกจนเธอต้องเย็บไปหลายแผล ยังไม่รวมพวกคนที่กระดูกกระเดี้ยวหักและแผลเล็กๆน้อยๆอีก แค่นี้หมออย่างเธอก็เหนื่อยแทบจะเป็นลมไปอีกคนแล้ว

          ในขณะที่ไหมกำลังจะยกกาแฟขึ้นดื่มเพื่อเติมพลังงานพลางหย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้ บุรุษพยาบาลก็รีบวิ่งหน้าตาตื่นมาตาม

          “หมอไหมครับ มีคนไข้ปวดท้องหนักมาก ช่วยไปดูทีครับ”

          กาแฟที่ยังเต็มแก้วอยู่ถูกวางทิ้งไว้โดยที่หมอหญิงรีบเดินจ้ำอ้าวตามไป ในห้องฉุกเฉิน ชายชราวัยหกสิบกว่าๆนอนโอดโอยร้องอยู่บนเตียง มือบอบบางกดคลำไปตามจุดต่างๆของช่องท้อง จนมาถึงบริเวณล่างขวาชายผู้ชราก็ร้องเจ็บหนัก

          “คนไข้มีไข้แล้วก็อาเจียนมาด้วยใช่มั้ย? หมอขออัลตร้าซาวน์หน่อยดีกว่า น่าจะเป็นไส้ติ่งอักเสบ”



          ทุกฝ่ายช่วยกันปฏิบัติหน้าที่อย่างรวดเร็ว เพียงครู่เดียวผลอัลตร้าซาวด์ก็ออกมาว่าผู้ป่วยเป็นไส้ติ่งอักเสบจริงๆ

          “เตรียมห้องผ่าตัดด่วน!”

          “ไหม...ไหมส่งตัวคนไข้ไปโรงพยาบาลโรงพยาบาลอื่นไม่ดีกว่าหรอ? ตอนนี้วิสัญญีแพทย์ของเราลางานอยู่นะ”

          แพทย์ฉุกเฉินอีกคนหนึ่งเอ่ยท้วง แต่ด้วยจรรยาบรรณของเธอทำให้ไม่อาจละทิ้งผู้ป่วยไปได้

          “พี่หมอ ไหมเสี่ยงให้เสียเวลาส่งตัวคนไข้ไปไม่ได้จริงๆ ไหมกลัวว่ามันจะช้าเกินไป”

          เธอไม่สนใจคำทักท้วงของแพทย์หนุ่มอีกคน ไหมเดินตรงไปยังห้องผ่าตัด ปากก็พลางถามพยาบาลที่เดินตามมาติดๆ

          “คนไข้มีญาติมาด้วยกันรึเปล่า ให้เค้าเซ็นเอกสารยินยอมการผ่าตัดแล้วรึยัง?”

          “คุณลุงแกมาคนเดียวค่ะ นั่งแท็กซี่มา”

          “ไม่มีเอกสารยินยอมจากทางผู้ป่วย” ไหมรู้ดีว่าตัวเธอเองก็เสี่ยงเหมือนกัน แต่เพื่อรักษาชีวิตของคนไข้เธอจึงจำเป็นต้องตัดสินใจลงมือผ่าตัด

          โดยที่ไม่รู้เลยว่าการตัดสินใจครั้งนั้น...จะมีผลให้ผู้ป่วยช็อคยาชาจนถึงแก่ชีวิต



          “ลูกชายของผู้ป่วยที่อยู่ต่างประเทศรู้เรื่องเข้าก็เลยฟ้อง แล้วพิมพ์ก็มาเป็นทนายให้กับเรานี่แหละ”

          มะลินั่งนิ่งฟังอย่างตั้งใจ ในขณะที่พินรู้สึกสงสารไหมจับใจ แพทย์ที่มีอุดมการณ์แรงกล้าทำหน้าที่อย่างเต็มที่หวังจะช่วยรักษาชีวิตผู้ป่วยอย่างเธอไม่สมควรที่จะต้องมาเจอกับเรื่องอะไรแบบนี้

          “พี่ไหมทำดีที่สุดแล้วครับ พินเข้าใจ...น่าเสียดายที่พี่พิมพ์ไม่ได้อยู่ในสภาพที่จะช่วยพี่ไหมต่อไปได้ เพราะพินเชื่อว่าพี่พิมพ์จะต้องช่วยพี่ไหมจนสุดความสามารถแน่ๆ”

          หญิงสาวยิ้มให้ชายหนุ่มอย่างอ่อนโยน เธอรู้สึกดีที่อย่างน้อยคนรอบข้างก็เข้าใจเธอ เสียงประตูบ้านเปิดขึ้นกะทันหัน จนคนทั้งสามต้องหันขวับไปมองพร้อมกัน หญิงสาวรูปร่างอ้อนแอ้นเดินเข้ามาโดยไม่ต้องรอให้เจ้าของบ้านเชื้อเชิญ เป็นชิชานั่นเอง

          “ขอโทษที่ถือวิสาสะเข้ามาเองแบบนี้ พอดีชิชาเห็นรถของไหมจอดอยู่หน้าบ้าน มาทำอะไรที่นี่หรอไหม?”

          ชิชาวางถุงขนมที่ตั้งใจเอามาฝากคนบ้านนี้ลงบนโต๊ะ เธอยืนกอดอกเลิกคิ้วพลางมองเหยียดมาทางหญิงสาวที่กำลังนั่งนิ่งอยู่บนโซฟา

          “พิมพ์ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีของไหมอีกต่อไปแล้วนะ พิมพ์วางมือไปแล้ว ไหมจะมาที่นี่อีกเพื่ออะไร?”

          บรรยากาศแห่งความขัดแย้งนี้เหมือนมะลิจะจำมันได้ ความทรงจำบางอย่างค่อยๆ ชัดเจนขึ้น เป็นชิชากำลังกระฟัดกระเฟียดเดินหนีไปในขณะที่พิมพ์กำลังเอ่ยพูดขึ้นกับไหม

          “ไหม! แกกลับไปก่อนเถอะ”



          ‘หรือจะเป็นเพราะไหมที่ให้พิมพ์กับชิชามีปัญหาขัดแย้งกัน?’

          มะลิที่กำลังพยายามเรียบเรียงความทรงจำถูกรบกวนจากเสียงของไหมที่แข็งขึ้นตอบโต้ชิชากลับไป

          “ถึงพิมพ์จะไม่เกี่ยวข้องกับคดีแล้วแต่ยังไงเราก็เป็นเพื่อนสนิทกับพิมพ์ ชิชามากกว่าที่ไม่ควรจะมาที่นี่ ถ้าไม่ได้อยากจะดูแลก็ไม่เห็นจะต้องฝืน!”

          เป็นครั้งแรกที่พินได้เห็นหญิงสาวทั้งสองเผชิญหน้ากัน เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าทั้งคู่จะไม่ถูกกันขนาดนี้ สถานการณ์แบบนี้ทำให้เขาทำตัวไม่ถูก รู้แค่ว่าตอนนี้เขาควรจะปิดปากให้สนิท และเป็นฝ่ายสังเกตการณ์เมื่อเห็นท่าไม่ดีจะได้ยับยั้งทัน

          “ถึงยังไงชิชาก็ต้องมาดูแลคนของชิชามาทำหน้าที่ของภรรยา วันนี้ก็แค่ต้องการจะแวะมาลาก่อนที่จะไปบินและจะไม่ได้มาเยี่ยมอีกนาน”

          ชิชาตวัดเสียงใส่ เธอจ้องขึงใส่หมอหญิง จากนั้นจึงพยายามปรับสีหน้าและน้ำเสียงหันมาพูดกับมะลิ

          “ชิชาเอาขนมจากเกาหลีมาฝาก ชิชาจะกลับแล้ว ขอตัวก่อนนะ”

          หญิงสาวยัดถุงขนมใส่มือชายหนุ่มจากนั้นก็สะบัดตัวเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดี ไหมที่นั่งกำมือแน่นอยู่บนโซฟาเอ่ยขึ้นเสียงอ่อนด้วยความรู้สึกผิด

          “เราขอโทษนะพิมพ์ ที่สร้างปัญหาให้อยู่เรื่อย...”

          มะลิไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เพราะเขารู้สึกว่าหญิงสาวทั้งสองกำลังสร้างปัญหาอยู่จริงๆ ปัญหาของพิมพ์ซึ่งไม่ใช่ปัญหาของเขา ความอึดอัดนี้ทำให้นกหนุ่มอดไม่ได้ที่จะตีสีหน้ายุ่งขึ้นมา พินที่เห็นท่าทางของทั้งคู่เป็นแบบนั้นจึงรีบพูดแทรก

          “เอ่อ...ไม่เป็นไรครับพี่ไหม เรื่องเล็กน้อยน่ะ อย่าคิดมากเลยนะครับ”

          “ขอโทษน้องพินด้วยเหมือนกันนะ...พี่ว่าพี่กลับดีกว่า ไม่อยู่รบกวนแล้วล่ะ”

          พินพูดอะไรไม่ออก หญิงสาวลุกขึ้นเดินจากไป ทิ้งชายทั้งสองไว้กับความเงียบน่าอึดอัด มะลินั่งนิ่งคิ้วขมวดอย่างไม่สบายใจ ดูเหมือนว่าพิมพ์จะมีปัญหารอบตัวมากมายเรื้อรัง ความทรงจำเล็กๆน้อยๆที่แทรกเข้ามาก็ยังไม่มากพอที่จะให้เขาเอามาจับต้นชนปลายกันได้ การใช้ชีวิตเป็นชายคนนี้กำลังกลายเป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับมะลิ

          พินเห็นสีหน้าไม่มีความสุขของนกหนุ่ม จึงพยายามจะช่วยให้บรรยากาศดีขึ้น เขาทำทีร่าเริงพลางรื้อค้นขนมที่หญิงสาวทั้งสองนำมาฝาก

          “ไหนดูซิว่าพี่ไหมเอาอะไรมาฝาก...เค้กชิฟฟ่อน! กินมั้ยมะลิ?”

          มะลิปล่อยให้พินพูดคนเดียว เขายังนั่งจมกับความคิดของตนต่อไปโดยที่ไม่ได้สนใจชายหนุ่มที่ดูกระตือรือร้นเริงร่า พินไม่ยอมแพ้คราวนี้ลองเปิดขนมถุงที่ชิชาเอามาให้

          “เฮ้ยอันนี้! เดี๋ยวนะมันเรียกว่าอะไรนะ...ตัลกี...ต๊อกๆอะไรซักอย่าง เอาเป็นว่าชั้นชอบกินมาก”

          พูดจบพินก็ไม่รอช้ารีบแกะขนมออกจากซองยัดใส่ปากอย่างรวดเร็ว รสชาติหอมหวานของสตรอเบอรี่เข้ากันได้ดีกับแป้งเนื้อหนุบที่หุ้มอยู่ด้านนอก พินเคี้ยวตุ้ยอย่างมีความสุขพลางส่งขนมอีกชิ้นไปทางนกหนุ่ม

          “มะลิ มากินเร็ว! อร่อยจริงๆนะ มาชั้นป้อนให้ก็ได้”

          ชายที่นั่งเครียดอยู่เมื่อครู่หันมามองก้อนขนมนุ่มหยุ่นสีขาวที่อยู่ในมือของคนที่ยังเคี้ยวไม่หยุด ดวงตาสุกใสเปลี่ยนไปมองจ้องแก้มตุ่ยๆที่กำลังเคี้ยวหนุบหนับแถมยังมีคราบแป้งเลอะจางๆติดอยู่บนริมฝีปาก

          มือแกร่งกระชากแขนผอมๆจนตัวของพินโน้มถลาเข้าหา ปากอิ่มโฉบบดลงกับกลีบปากหยักกระจับ ลิ้นอุ่นดุลแทรกเข้าไปพลางชิมรสหวานอมเปรี้ยวที่ยังหอมอบอวลอยู่ภายใน ดวงตาสวยคมเบิกโพลงขึ้นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบปิดตาแน่นโดยที่ก้อนเนื้อในอกกำลังเต้นแรงเหมือนหัวใจจะระเบิดแตกออกมา ขนมที่อยู่ในมือของเขาเมื่อครู่ ตอนนี้ร่วงลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่ที่พื้นเรียบร้อยแล้ว

          “อื๊อ!!!”

          คนที่ถูกล่วงเกินตอนนี้สั่นเทาไปทั้งตัว แขนขาเริ่มไร้เรี่ยวแรงจะต่อต้าน ร่างสูงละเลียดริมฝีปากสัมผัสความนุ่มนิ่มผะแผ่วอ่อนโยน เขาลากลิ้นไล้สัมผัสทิ้งท้ายไว้ก่อนจะถอนออก

          “อร่อยดี...”

          นกหนุ่มแลบเลียริมฝีปากของตนน้อยๆ ก่อนจะยิ้มขึ้นอย่างพอใจพลางมองคนตรงหน้าที่ยืนเอามือปิดปากแน่นหน้าแดงร้อนจนแทบไหม้แถมยังสั่นไปทั้งตัว

          “อ่ะ...ทะ...ทำอะไร?”

          “ก็พินบอกว่าจะป้อนขนมให้เรา เราก็รับไว้ไง...”

          ‘ป้อน?!’

          คนที่สติแทบไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเหมือนจะคิดขึ้นได้ว่าพวกนกป้อนอาหารกันด้วยปาก เป็นความผิดของพินเองที่ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท ตอนนี้เขาอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปมุดอยู่ที่ไหน ขาก็แข็งจนก้าวแทบไม่ออก

          “พิน? เป็นอะไร?”

          “เอ่อ...”

          สายตาของชายหนุ่มเผลอจับจ้องไปยังริมฝีปากอิ่มที่เขาเพิ่งได้ลิ้มรสเมื่อครู่ ตอนนี้ในสมองมันชาไปหมด เลือดที่สูบฉีดขึ้นทำให้รู้ได้ในทันทีว่าใบหน้าของเขากำลังร้อนจัด

          “มะ...ไม่มีอะไร”

          โดยไม่ต้องคิด พินรีบพาตัวเองขึ้นชั้นสองไปอย่างรวดเร็ว มะลิที่มองตามไปรีบเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

          “พิน! ไม่สบายหรอ? ให้เราช่วยอะไรมั้ย?”

          “เปล่า...ห้ามตามมานะ!”

          เสียงของชายหนุ่มจากชั้นสองตะโกนลงมา นกหนุ่มไม่มีทีท่าจะขัดคำสั่ง เขาทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาตามเดิมพลางหยิบขนมหยุ่นๆ ยัดเข้าใส่ปากเคี้ยวถอนหายใจอย่างไม่มีความสุขนัก



++++++++++++++++


          ขนมที่พินป้อนให้มะลิมีชื่อเรียกว่า "ตัลกี ชับซัลต๊อก" นะคะ หรือก็คือไดฟุกุสตรอเบอรี่ของญี่ปุ่นนั่นเองค่า ซึ่งชื่อของเกาหลีออกจะจำยากไปซักนิด แต่ที่พินพยายามเรียกแบบนี้ก็เพราะชิชาหิ้วมันมาจากเกาหลีนั่นเองค่า

          ขอบคุณสำหรับการติดตามเช่นเคย หากใครมีข้อแนะนำอะไรทิ้งคอมเมนต์ไว้ได้เลยนะคะ โดยเฉพาะข้อมูลทางการแพทย์ถ้าใครเห็นว่ามีจุดไหนไม่ถูกต้องเราจะรีบแก้ไขเลยนะคะ แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าค่า


ออฟไลน์ Timid Lily

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0
บทที่ 7 : ชิงช้าสวรรค์

          ชายหนุ่มในชุดนักศึกษาไขประตูบ้านเข้ามาพบกับความเงียบและมืดสนิท ที่ห้องนั่งเล่นแสนเหงาไม่มีสัญญาณของสิ่งมีชีวิตใดๆ พินเปิดไฟเพิ่มความสว่างในบ้าน จากนั้นจึงเรียกหาใครบางคน

          “มะลิ?”

          มีเพียงความเงียบตอบกลับมา เขาจึงลากร่างกายอันอ่อนล้าขึ้นบันไดไป เมื่อเปิดประตูห้องออกก็พบว่า คนที่เขามองหากำลังยืนอยู่ตรงระเบียง

          “คิดอะไรอยู่หรอมะลิ?”

          เขาเอ่ยถามเมื่อเห็นคนที่ยืนข้างๆเหม่อลอยมองท้องฟ้าพราวดาว พินเหลือบมองเสี้ยวหน้าขาวสุกสว่างของชายหนุ่ม สายตาหมองเศร้าลอยล่องทอดออกไป มะลิถอนหายใจก่อนจะตอบกลับมา

          “เราคิดถึงท้องฟ้า...คิดถึงวันที่เราเคยโบยบินอย่างอิสระ”

          มะลิตอบโดยที่ไม่ได้สบตาคนถาม สายตายังคงมองทอดออกไปเหมือนไม่มีจุดสิ้นสุด

          “แล้วทำไมมะลิไม่แปลงร่างเป็นนกบ้างล่ะ? เหมือนที่นินจาแปลงร่างเป็นแมวไง”

          คราวนี้มะลิหันมาสบตากับพิน เขายิ้มขึ้นจางๆก่อนจะตอบกลับไป

          “เราทำไม่ได้...ร่างนกของเราถูกมนุษย์ยิงตายไปแล้ว...”

          พินรู้สึกสะเทือนใจที่ได้ยินแบบนั้น จะว่าไปแล้วเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นกับมะลิ ถึงทำให้นกหนุ่มตัดสินใจที่จะมาอาศัยอยู่ในร่างของพี่ชายเขาเช่นนี้

          “มะลิ...ชั้นถามได้รึเปล่า...ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนาย?”

          คนฟังนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นเสียงเศร้า

          “นกแสกอย่างเราเป็นที่รังเกียจของมนุษย์...พินก็รู้ไม่ใช่หรอ?”

          พินรู้ดีเกี่ยวกับความเชื่อที่ว่าเมื่อนกแสกไปเกาะบ้านใคร บ้านหลังนั้นจะมีคนตาย แต่ที่รู้ดียิ่งกว่านั้นคือมันไม่ใช่เรื่องจริง

          “มันเป็นแค่ความเชื่องมงาย พวกนายเป็นสัตว์ตามธรรมชาติ ไม่ได้เป็นตัวกาลกิณีอย่างที่เค้าว่ากันซักหน่อย”

          “แต่ใช่ว่ามนุษย์ทุกคนจะคิดแบบพินนี่...”

          ก็จริงอย่างที่มะลิว่า ยิ่งชาวบ้านตามต่างจังหวัดที่วิถีชีวิตยังผูกพันกับเรื่องความเชื่ออยู่มากด้วยแล้ว นกแสกอย่างมะลิคงไม่เป็นที่ต้อนรับนัก ตัวไหนโชคดีอย่างมากก็อาจจะแค่โดนไล่ไป ตัวไหนโชคร้ายหน่อยก็คงจะต้องมีจุดจบแบบมะลิไม่ต่างกัน...

          “เราแค่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่ตอนนี้เราอาจจะคิดผิด เราดิ้นรนเข้ามาใช้ชีวิตในฐานะของมนุษย์คนอื่น แต่เรากลับไม่มีปัญญารับมือกับปัญหาอย่างมนุษย์ทั่วไป...บางทีเราอาจจะสมควรตายไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้วก็ได้”

          “ฟังนะมะลิ...บนโลกนี้ไม่มีใครสมควรตายหรอก ถึงแม้ว่าตอนแรกชั้นจะไม่ได้พอใจนักที่นายมาสิงร่างพี่ชายชั้น แต่จริงๆแล้วชั้นรู้สึกประทับใจมากนะ ที่มะลิพยายามจะมีชีวิตอยู่”

          พินพูดขึ้นพลางสบตาคู่สนทนาอย่างจริงจัง ดวงตาสีดำงดงามมองตอบกลับมาโดยที่สะท้อนภาพคนตรงหน้าให้เห็น คำพูดของพินทำให้มะลิรู้สึกเจ็บหน่วงทว่าตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก

          “อย่าท้อแท้...แล้วใช้ชีวิตที่เหลือเผื่อพี่ชายชั้นด้วยเถอะนะ”

          น้ำอุ่นใสๆคลอขึ้นในดวงตาจากนั้นจึงไหลอาบใบหน้าผุดผ่องของนกหนุ่มโดยไม่รู้ตัว มะลิยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้าของตน เขาปาดเช็ดหยดน้ำนั้นก่อนจะเอ่ยถาม

          “พิน...นี่เรา...ร้องไห้งั้นหรอ?”

          “อืม...ก็มะลิเป็นคนเหมือนกันนี่นา...”

          สิ้นเสียงของพินน้ำตาก็ร่วงลงพรั่งพรูไม่หยุด หยดน้ำใสที่อาบใบหน้าขาวกระจ่างของชายหนุ่ม ไม่ต่างจากสายฝนในตอนกลางวัน ทั้งสว่างไสวทั้งสวยงาม พินเอื้อมมือขึ้นช่วยปาดซับน้ำตาให้กับมะลิ ในใจเศร้าสะท้อน....ทว่า

          กลับเต็มไปด้วยความใหลหลง...



          “พินจะพาเราไปไหนหรอ?”

          พินในชุดนักศึกษากำลังเดินจูงมือนกหนุ่มให้เดินตามเขามา สถานที่แห่งนี้อยู่ติดริมแม่น้ำสายใหญ่ เป็นพื้นที่ๆเต็มไปด้วยร้านค้าและร้านอาหารในบริเวณเปิดโล่ง ยามเย็นที่ตะวันคล้อยไปทำให้อากาศดีไม่ร้อนนัก สายลมโชยเอื่อยจนเห็นได้ชัดว่าเส้นผมดำสนิทของคนที่เดินนำอยู่กำลังพลิ้วไหว

          คนทั้งคู่มาหยุดยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่ที่กำลังหมุนส่งกระเช้าใสตู้แล้วตู้เล่าขึ้นสู่จุดสูงสุด มะลิเงยหน้ามองตาวาวด้วยความตื่นเต้น

          “เราเคยเห็นสิ่งนี้ แต่เราไม่เคยเห็นอันที่ใหญ่ขนาดนี้”

          “มะลิรู้จักชิงช้าสวรรค์ด้วยหรอ?”

          “เรียกว่าชิงช้าสวรรค์งั้นหรอ? เราเคยเห็นอันที่เล็กกว่านี้ในงานวัด เป็นกรงเล็กๆที่ใส่มนุษย์เข้าไปได้คนสองคน”

          พินฟังคำอธิบายของมะลิก็ยิ้มขำขึ้นมา เขาเดินตรงไปซื้อตั๋วสำหรับสองคนจากนั้นจึงเดินไปต่อแถว

          “ถึงมะลิจะบินไม่ได้แล้ว แต่ชั้นก็หวังว่าชิงช้าสวรรค์จะช่วยพามะลิขึ้นไปดูท้องฟ้าให้พอหายคิดถึงได้บ้างนะ”

          มะลิยิ้มกว้างเมื่อได้รับรู้ว่าสิ่งที่พินพยายามทำก็เพื่อให้เขามีความสุข สำหรับมะลิทุกครั้งที่เขาได้อยู่ใกล้ชิดพิน มันทำให้เขาสดชื่นอบอุ่นใจไม่ว่าพินจะเป็นวิญญาณหนูหรือไม่ก็ตาม

          “ถึงตาเราแล้ว เข้าไปข้างในเร็ว”

          พินดันตัวมะลิที่กำลังยืนเก้ๆกังๆเข้าไปในกระเช้าใส ครู่หนึ่งคนทั้งคู่ก็ถูกยกส่งให้ลอยขึ้น มะลิยืนเอามือแนบกระจกแน่นพลางมองชื่นชมทิวทัศน์ภายนอกดวงตาเป็นประกาย

          “พิน! บ้านของพวกเราอยู่ตรงไหน?”

          “ไม่รู้สิ...มันเล็กมากชั้นเองก็มองไม่เห็น แต่น่าจะเป็นแถวๆนู้นน่ะ”

          พินยิ้มเอ็นดูเมื่อได้ยินคำถามไร้เดียงสาของมะลิ มือข้างหนึ่งก็ชี้ไปทางที่เขาคิดว่าน่าจะเป็นที่ตั้งของบ้าน ตอนนี้ใบหน้าที่ฉายรอยยิ้มสว่างไสวของนกหนุ่มได้สะกดสายตาของพินไว้ไม่อาจละไปไหน รอยบุ๋มๆน่ารักบนแก้มขาวมองแล้วทำให้เขาคันไม้คันมืออยากจะเอานิ้วจิ้มลงไปยังไงไม่รู้

          “ขอบคุณนะพิน เรามีความสุขมากเลย”

          “เอ๊ะ...! อ๋อ...อื้ม มะลิชอบชั้นก็ดีใจ”

          เสียงของมะลิสะกิดให้คนที่กำลังมันเขี้ยวกลับออกมาจากภวังค์ พินเขินน้อยๆเมื่อรู้สึกตัวว่าเขาเผลอเคลิ้มให้กับรอยยิ้มแบบนั้นอีกแล้ว ยิ่งพิจารณาดูพินก็ยิ่งรู้สึกว่ามะลิดูไม่ได้แตกต่างไปจากมนุษย์ปกติธรรมดาเลยแม้แต่น้อย ถึงจะดูเพี้ยนๆไปบ้างแต่ก็คงเป็นเพราะเขาเป็นนกป่า ถ้าได้เกิดและเติบโตในเมือง มะลิก็คงรู้ประสาไม่ต่างไปจากนินจาเลยสักนิด

          “นี่มะลิ...นายเคยเป็นคนมาก่อนรึเปล่า?”

          “เคยสิ...เราถึงได้มีสองวิญญาณไง แต่เราจำเรื่องตอนเป็นคนไม่ได้หรอก”

          “หมายความว่ายังไง?”

          “เรารู้แค่ว่าอมนุษย์อย่างเราเกิดจากการที่คนและสัตว์ชนิดนั้นมีความผูกพันหรือก่อกรรมร่วมกันมาพอตายไปเลยได้มาผูกวิญญาณไว้ด้วยกัน แล้วก็ใช้กายหยาบเดียวกันแต่แปลงได้สองร่าง”

          “แปลว่าร่างกายกับวิญญาณนกของมะลิไม่อยู่แล้วหรอ”

          “ใช่...”

          ‘ถึงว่า...ก็ดูเหมือนคนปกติดี แค่สับสนนิดหน่อยเท่านั้นเอง...’

          เมื่อนึกถึงพฤติกรรมเยี่ยงมนุษย์ผสมกับนกของมะลิขึ้นมา จู่ๆพินก็นึกถึงจูบของเขาทั้งสอง ใบหน้าเนียนร้อนวูบขึ้นมาเสียอย่างนั้น

          “พินเป็นอะไรทำไมหน้าแดงจัง?”

          “ห๊ะ...? อ๋อ...ชั้นร้อนน่ะ”

          คนเขินรีบพูดขึ้นมั่วซั่ว พลางสะบัดคอเสื้อให้ลมถ่ายเทเข้ามา มะลิไม่รอช้าส่งมือขาวไปแนบแก้มชายหนุ่มเบาๆก่อนจะเอ่ยขึ้น

          “ร้อนจริงๆด้วย”

          ใบหน้าที่แดงจัดอยู่แล้วยิ่งแดงไปกว่าเดิม พินผละใบหน้าออกจากมือเย็นๆของนกหนุ่มก่อนจะก้มหน้างุดไปอีกทาง

          ส่วนหัวใจ...ถ้ามันพูดได้คงจะตะโกนว่า “มันเต้นรัวจนแทบจะหมดแรงอยู่แล้ว”



          ชายสองคนที่กำลังเดินเล่นกินลมอยู่ใกล้กับจุดขายอาหาร ถูกกลิ่นหอมๆชักนำให้คล้อยตาม คนตัวสูงกว่าชี้นิ้วไปตามทิศทางของกลิ่นพลางเอ่ยขึ้นอย่างกระตือรือร้น

          “พินเราหิว ซื้อสิ่งนั้นให้เรากินหน่อยได้มั้ย?”

          พินมองตามมือที่ชี้ไปก็พบว่า “สิ่งนั้น” ของมะลิคือ “ไก่ทอด” เขาเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะเอ่ยถาม

          “มะลิ...นายไม่กินไก่ไม่ใช่หรอ?”

          “กินสิ! ทำไมจะไม่กินล่ะ?”

          นกหนุ่มเอ่ยตอบพลางจ้องคนตรงหน้าตาแป๋ว ส่วนคนฟังแทบจะเกาหัวแกรก

          ‘อะไรของมันวะ? เดี๋ยวกินเดี๋ยวไม่กิน...’

          “เราเองก็เป็นคนเหมือนกัน เพราะฉะนั้นคนกินอะไร เราก็กินอย่างนั้นแหละ”

          มะลิยิ้มกว้างสดใสส่งไปให้ชายหนุ่มอีกครั้ง คราวนี้พินดูจะเข้าใจแล้วว่าเจ้านกก็แค่พยายามทำตัวให้เหมือนมนุษย์ปกติเท่านั้นเอง

          “เข้าใจแล้ว ถ้างั้นมะลิรอตรงนี้แป๊บนึงนะ เดี๋ยวชั้นไปซื้อมาให้”

          พูดจบพินก็ผละตัวไป พลันของสิ่งหนึ่งในกระเป๋ากางเกงสั่นสะเทือนขึ้นจนมะลิแทบจะสะดุ้ง เขาไม่รอช้าหยิบขึ้นมาและพบว่ามีใครคนหนึ่งโทรเข้ามา

          ‘สินทร?’

          ชายหนุ่มอ่านชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอก่อนจะรับสาย

          “สวัสดีครับ...”

          [สวัสดีครับคุณพิชาธร...เรื่องคดีที่เราตกลงกันไว้ ไปถึงไหนแล้วครับ?]

          ‘คดี?’

          มะลิได้ฟังก็เงียบไป หากพูดถึงเรื่องส่วนตัวของพิมพ์ เขามีข้อมูลเพียงน้อยนิดเท่านั้น แล้วนี่ยังจะมีใครอีกคนที่เขาไม่รู้จักโผล่มา นกหนุ่มก็ปะติดปะต่ออะไรไม่ถูกอยู่เหมือนกัน

          “...เอ่อ”

          มะลิอึกอัก ทำให้เสียงเข้มๆปลายสายรีบพูดขึ้น

          [ถ้าไม่สะดวกคุยตอนนี้ เอาเป็นว่านัดเจอกันก็ได้ครับ]

          สีหน้าที่ละล้าละลังเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นตื่นตัว นี่อาจจะเป็นโอกาสดีที่เขาจะได้รู้เรื่องราวของพิมพ์มากขึ้นถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าคู่สนทนาของเขาเป็นใครก็ตาม ถึงรู้ว่าต้องเสี่ยง แต่ก็ยังดีเสียกว่าใช้ชีวิตอย่างมืดบอดไร้หนทางเช่นนี้

          “ได้ครับ คุณสินทรสะดวกที่ไหนเวลาไหนครับ ช่วงนี้ผมว่างตลอด”



          ทางด้านพินตอนนี้ไก่กรอบๆในซอสแดงเยิ้มได้มาอยู่ในมือเขาแล้ว เขาเดินออกมาจากซุ้มพลางมองหามะลิ แล้วก็เห็นว่านกหนุ่มกำลังคุยโทรศัพท์อยู่     

          “ครับ...ได้ครับ สวัสดีครับ...”

          “มะลิ?”

          พินเอ่ยเรียกคนที่กำลังกดวางสาย ชายหนุ่มท่าทางลุกลนหันมามองคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง

          “มะลิคุยกับใครหรอ?”

          พินถามพลางส่งไก่ทอดให้กับมะลิ เห็นได้ชัดว่าเจ้านกกำลังใช้ความคิดอย่างหนักก่อนจะเอ่ยตอบออกไป

          “อะ...อ๋อ...มีคนโทรมาชวนให้เราซื้อประกันน่ะ!”

          พินตาโตเมื่อได้ยินคำว่า “ประกัน” เขาเผลอถามออกไปเสียงดัง

          “ห๊ะ! แล้วมะลิตอบตกลงไปรึเปล่า? ชั้นแอบได้ยินนายพูดว่าได้ๆอะไรซักอย่าง”

          “อ๋อ เปล่าหรอก เราบอกเค้าไปว่าเราไม่มีเงินน่ะ...”

          “ก็แล้วไป....”

          ชายหนุ่มท่าทางโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด เขากลัวว่านกน้อยไม่รู้ประสาจะตกเป็นเหยื่อของพวกขายของทางโทรศัพท์ ไหนจะพวกมิจฉาชีพร้อยแปดบนโลกอันแสนโหดร้ายของมนุษย์อีก โดยที่ไม่ได้รู้ตัวเลยว่า พินต่างหากที่ถูกมะลิปกปิดความจริงเอาไว้ ความจริงที่ว่ามะลิกำลังจะไปพบกับใครคนหนึ่งที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพิมพ์ ซึ่งเขาเองก็ไม่รู้ว่าชายคนนี้จะวางใจได้มากน้อยแค่ไหน และที่สำคัญเขาไม่ต้องการให้พินมาพัวพันกับเรื่องนี้

          เพราะ...หากเกิดอะไรขึ้น เขาคงไม่สามารถยกโทษให้ตัวเองได้ตลอดชีวิต...





          “มะลิเป็นอะไรทำไมวันนี้ตื่นไวจัง?”

          พินในชุดนักศึกษายืนจับลูกบิดพลางมองคนที่ยืนยิ้มระรื่นท่าทางน่าสงสัย

          “ก็วันนี้พินจะไปสอบใช่มั้ยล่ะ? เราก็เลยรีบตื่นมาส่ง มาเป็นกำลังใจให้พินก่อนไป”

          ‘มันรู้หรอวะว่าการสอบคืออะไร...?’

          พินเกาแก้มแกรกอย่างสงสัย พลางช้อนตาหรี่มองคนตรงหน้า

          “เออ...ชั้นรีบไปก่อน ส่วนนาย! อย่าคิดจะเล่นอะไรพิเรนทร์ๆเชียวนะ”

          พูดจบพินก็ขยับลูกบิดแง้มประตูออก จมูกโด่งแตะบริเวณกกหูของนักศึกษาหนุ่มผะแผ่วพลางสูดหายใจเข้าน้อยๆ เขากระซิบเสียงค่อยอ่อนหวาน

          “โชคดีนะพิน”

          ใบหน้าฉาบไปด้วยสีแดงร้อนฉ่า คนเขินรีบเดินจ้ำอ้าวออกจากบ้านปิดประตูปัง ส่วนคนที่ทำทะเล้นอยู่เมื่อครู่นั้นรีบเดินตึงตังขึ้นไปบนชั้นสอง พลางตะโกนเสียงดังอยู่ตรงระเบียงห้อง

          “นินจา!”

          นกหนุ่มเหลียวซ้ายมองขวาก็ไม่มีเสียงใครตอบรับ เขาจึงไม่ยอมแพ้ตะโกนดังขึ้นอีกจนคนแถวนั้นสะดุ้งเกรียวกราวมองมาเป็นตาเดียว

          “นินจา! แกอยู่ที่ไหน? ออกมาหาเราหน่อย!”

          “ชู่ว...ไม่ต้องเรียกดังขนาดนี้ก็ได้ ชาวบ้านเค้าแตกตื่นกันหมด”

          เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลังของชายหนุ่ม เมื่อหันกลับมาดูก็เห็นแมวดำเส้นขนเงางามกำลังนั่งเลียหน้าเลียตาอยู่

          “เรียกเรามามีอะไรให้ช่วยงั้นหรือเจ้านกแสก?”

          “นินจา...ช่วยพาเราไปที่ๆนึงที”





          ในอาคารสูงโอ่โถงติดเครื่องปรับอากาศเย็นสบายที่เต็มไปด้วยร้านค้า ช่วงเวลาหลังจากห้างเปิดได้ไม่นานแบบนี้ทำให้ภายในไม่แออัดนัก หญิงสาวตัวเล็กท่าทางคึกคักเดินควงแขนเข้ากับชายหนุ่มทีท่าสงบตรงข้ามกับเธอโดยสิ้นเชิง กั้งอิงศีรษะเข้ากับไหล่แคบๆ ของเพื่อน พลางเหลือบตามองหน้าจอมือถือที่เขากำลังสนใจอยู่ตอนนี้อย่างอยากรู้อยากเห็น

          “พิน...แกคุยกับใครอ่ะ?”

          “อ๋อ เราไลน์หาพี่พิมพ์น่ะ แต่ไม่เห็นตอบซักที”

          พินสอบเสร็จแล้ว เขาส่งข้อความหามะลิเพื่อจะถามว่านกหนุ่มมีอะไรอยากกินเป็นพิเศษรึเปล่า เขาจะได้ซื้อกลับไปให้

          “เราไปกินขนมกันมั้ย ฉลองสอบเสร็จ”

          ม่อนที่เดินอยู่ข้างพินเอ่ยขึ้นอย่างร่าเริง ทำเอากั้งที่เกาะแกะเพื่อนชายอยู่หันไปยิ้มกวนก่อนจะแซว

          “กินขนมอีกแล้วหรอม่อน ปกติแฟนก็ทำให้กินอยู่แล้วนี่ ตัวจะแตกอยู่ละ?”

          “แล้วไง? ม่อนก็อยากจะกินของที่อื่นมั่งป่ะ ไม่ใช่กินแต่ของที่แฟนม่อนทำ”

          ถึงแฟนหนุ่มหน้าตาดีประจำคณะคหกรรมศาสตร์จะขยันทำขนมหวานมาให้ม่อนกินเป็นประจำ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความอยากน้ำตาลของสาวน้อยลดลงไปเลย

          “ไปสิ ม่อนอยากกินร้านไหนล่ะ? เลือกเลย”

          ท่ามกลางร้านค้าน่ารักที่เรียงราย คนทั้งสามเดินมองซ้ายมองขวา เบื้องหน้าเป็นคาเฟ่สีหวานที่ทำให้หญิงสาวทั้งสองรีบตรงรี่เข้าไป

          “พินๆไปกินร้านนั้นกัน”

          ม่อนรีบจูงแขนเพื่อนหนุ่มของเธอตรงไปโดยที่กั้งเองก็รีบเกาะตามไปติดๆ พลันสายตาของพินเหลือบไปเห็นร่างคุ้นตาในร้านกาแฟฝั่งตรงข้ามจนทำให้เขาต้องหยุดชะงัก

          ‘นั่นมัน...มะลิกับนินจานี่!’

          พินชักไม่สบายใจที่เห็นคนทั้งสองแอบออกมาโดยไม่บอกตน เขาตัดสินใจแล้วว่าต้องไปถามให้รู้เรื่อง ว่าทั้งคู่คิดจะเล่นอะไรแผลงๆกันรึเปล่า

          “กั้ง ม่อน พวกแกไปสั่งก่อนเลย เดี๋ยวเรามา”

          พูดจบพินก็รีบเดินพรวดพราดออกมาโดยไม่ได้เปิดโอกาสให้เพื่อนตั้งคำถาม เขาเดินเข้าไปในร้านกาแฟทว่าเมื่อจะตรงดิ่งเข้าไปหาชายทั้งสอง พินก็พบว่าเบื้องหน้าของคนที่เขาคุ้นเคยดีกลับมีชายแปลกหน้านั่งอยู่ตรงข้าม พินจึงตัดสินใจนั่งลงเงียบๆที่โต๊ะว่างห่างออกไปในระยะที่ไม่เป็นที่สังเกตแทน



          หนุ่มใหญ่ท่าทางภูมิฐานยกกาแฟขึ้นจิบก่อนจะสบตาคู่สนทนา เขานั่งเอนหลังพลางไขว่ห้างสบายๆจากนั้นจึงเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงตั้งคำถาม

          ความทรงจำหนึ่งฉายขึ้นอีกครั้ง เป็นพิมพ์ที่กำลังคุยโทรศัพท์กับใครบางคน

          “ผมตัดสินใจแล้ว ผมจะยอมรับข้อเสนอ”



          “คุณพิชาธร”

          “คะ...ครับ”

          นกหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อถูกเรียกด้วยชื่อของใครอีกคน สีหน้าครุ่นคิดสับสนฉายขึ้นจนคนมองจับสังเกตได้

          “ตั้งแต่ที่คุณตอบตกลงเรื่องที่เราคุยกันไว้ คุณก็ไม่ติดต่อมาอีกเลย ตอนนี้ก็ผ่านมาเกือบสองเดือนแล้ว ไม่ทราบว่าเรื่องคดีไปถึงไหนแล้วครับ?”

          มะลิกลอกตาไปมาอย่างใช้ความคิด ทว่าหัวสมองที่ว่างเปล่าทำให้เขาไม่สามารถที่จะตอบอะไรออกไปได้แม้แต่คำเดียว

          “ผมขอโทษนะครับที่ต้องถาม แต่ผมจำไม่ได้จริงๆ ว่าเราเคยตกลงอะไรกันไว้...”

          แววตาเกรี้ยวกราดถูกส่งมา มะลิเองก็จ้องขึงกลับไปอย่างไม่กลัวเกรง

          “คุณอย่ามาทำเป็นเล่นตลกกับผมนะ”

          “ขอโทษนะครับที่ต้องขัดจังหวะ”

          นินจาเอ่ยแทรกขึ้นเมื่อเห็นสถานการณ์ไม่ค่อยจะสู้ดี แมวหนุ่มสบตามะลิก่อนจะพูดต่อ

          “คุณพิชาธรประสบอุบัติเหตุจมน้ำเมื่อสองเดือนก่อน ทำให้ความทรงจำหายไปครับ”

          ได้ยินดังนั้น สินทรจึงเลิกคิ้วขึ้นพลางเหยียดยิ้มให้คู่สนทนา

          “พูดจริงหรอ? คงไม่ได้เปลี่ยนใจอยากจะกลับไปช่วยเพื่อนอย่างนั้นหรอกหรอ?”

          “คุณพูดเรื่องอะไร?”

          มะลิตอบโต้ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ หากใครมองก็คงดูออกว่าเขาไม่ได้พูดโกหก

          “คุณสัญญากับผมแล้วไง ว่าคุณจะทำให้เพื่อนหมอของคุณแพ้คดี”

          ‘พี่พิมพ์จะทำให้พี่ไหมแพ้คดี?!’

          ไม่ใช่แค่ชายหนุ่มสองคนที่ตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน แต่พินเองที่นั่งฟังอยู่ไกลๆกลับตกใจยิ่งกว่า พี่ชายของเขาที่ทำหน้าที่เป็นทนายว่าความให้แพทย์สาวเพื่อนสนิท กลับมีความคิดที่จะหักหลังกันได้ลง ความเคลือบแคลงผิดหวังถาโถมเข้าใส่ความรู้สึกของชายหนุ่ม ที่ร้ายกว่านั้นพินกลับมีความรู้สึกว่าพี่ชายที่เขารู้จัก

          อาจไม่ได้เป็นคนดีอย่างที่คิด...


++++++++++++++++



          พูดถึงกั้งกับม่อนกันซักนิด เพื่อนสาวคนสนิททั้งสองของพินมีคาแรคเตอร์ที่ต่างกันมากเลยนะคะ ที่สำคัญความรู้สึกที่พินมีต่อทั้งคู่ก็จะต่างกันเล็กน้อย สำหรับพินกั้งเหมือนเป็นสีสัน คอยสร้างบรรยากาศสนุกสนานในหมู่เพื่อน เป็นพลังงานกระตุ้นให้คึกคัก พร้อมลุยดะกับทุกปัญหาค่ะ พูดง่ายๆคือสู้ตายเพื่อเพื่อนได้เลย ส่วนม่อนจะเป็นเหมือนคุณแม่ที่คอยดูแลพิน ปรามยัยกั้ง มีอะไรสามารถขอคำปรึกษาให้คำแนะนำได้  หรือถ้าแค่ได้อยู่ข้างๆก็สบายใจแม้จะไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลยก็ตาม เทียบแล้วก็คล้ายๆกับนักรบกับกุนซืออะไรประมาณนี้ สำหรับวันนี้คุยกันเล็กๆพอหอมปากหอมคอ ขอบคุณสำหรับการติดตามเช่นเคยนะคะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-07-2019 09:26:41 โดย Timid Lily »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Timid Lily

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0

บทที่8 : จดหมายลาตาย

         เช้าสายที่แสงแดดจ้าสาดลอดม่านเข้ามา ชายหนุ่มร่างผอมบางนอนคุดคู้ลืมตานิ่งไม่ไหวติงอยู่บนเตียง ถึงพินจะตื่นนอนมาได้สักพักแล้ว แต่เขาก็ไม่มีกะจิตกะใจจะลุกขึ้นมาทำอะไร สิ่งที่ได้รับรู้มาเมื่อวานยังคงรบกวนจิตใจไม่หาย พี่ชายที่เคารพรักเป็นคนแบบไหนกันแน่ มีเรื่องราวตื้นลึกหนาบางมากมายที่พินไม่เข้าใจ และมันทำให้เขา “กลัว”

          เสียงเปิดประตูห้องดังขึ้น ชายหนุ่มร่างสูงเดินหัวเปียกตัวหอมฉุยเข้ามาในห้อง มะลิเอาผ้าขนหนูคลุมศีรษะซับน้ำเอาไว้ พลางมองจ้องคนที่ยังนอนอยู่ไม่วางตา

          “พินเราสะอาดแล้ว ตาพินไปอาบน้ำได้แล้ว”

          นกหนุ่มเอ่ยเรียกพลางหย่อนตัวนั่งลงบนเตียงแบบไม่เกรงใจ จนที่นอนยุบยวบลงไปแถมตัวผอมๆของคนที่นอนคู้อยู่ก็ถูกแรงดึงจนกลิ้งเข้ามาใกล้

          “พินลุกขึ้นได้แล้ว ไปหาข้าวกินกัน”

          ไม่มีเสียงตอบรับจากคนที่ถูกเรียก มะลิที่ไม่ได้รับความสนใจจากคนที่กำลังเหม่อลอยอยู่จึงสะบัดผมชื้นน้ำจนเปียกไปทั่ว

          “มะลิ...”

          ปฏิกิริยาผิดคาด พินได้แค่แค่นเสียงเอ็ดขึ้นมาน้อยๆพลางจ้องขึงมา จากนั้นจึงนอนกลิ้งหันหนีไปอีกทาง ท่าทางเช่นนี้ของพิน ทำให้มะลิจับความรู้สึกได้ว่า คนที่กำลังนอนหน้าหงอยอยู่นั้นคงมีเรื่องไม่สบายใจ

          “พินเป็นอะไรรึเปล่า?”

          มะลิเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน มือขาวก็ไล้สัมผัสเส้นผมดำสลวยเบามือ

          “พิน...?”

          นกหนุ่มได้แต่เอ่ยเรียกซ้ำอีกครั้งเมื่อไม่ได้รับคำตอบ หนนี้คนที่นอนอยู่หันกลับมามองสบตาเขาน้อยๆแล้วเอ่ยขึ้นเสียงค่อย

          “ทำไมนายถึงไม่บอกชั้น...?”

          “บอกอะไรหรอ?”

          มะลิถามกลับหน้าซื่อ

          “เมื่อวาน...ชั้นแอบตามนายไปที่ร้านกาแฟนั่น...”

          ชายหนุ่มนิ่งงันไป ไม่ง่ายเลยจริงๆที่คิดจะปิดบังอะไรจากคนๆนี้

          “ทำไมถึงไม่ชวนชั้นไปด้วย? ทำไมถึงตัดสินใจทำอะไรเพียงลำพัง...เราเป็นครอบครัวเดียวกันไม่ใช่หรอ?”

          มือขาวผละออกจากเส้นผมมาลูบบนแก้มใส ไอจากฝ่ามืออุ่นประกบลงบนใบหน้าซีดเซียวเศร้าหมอง มะลิหลุบตาสบมองคนที่ยังนอนอยู่อย่างเอ็นดู

          “เราเป็นห่วงพิน เพราะเราเองก็ไม่รู้...ว่าต้องไปเจอกับอะไรบ้าง”

          ความรู้สึกอยากปกป้องดูแลเอ่อล้นขึ้นในใจ ตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงเกิดความรู้สึกเช่นนี้กับชายหนุ่มเต็มตัวอย่างพิน บางทีจิตสำนึกความเป็นพี่ชายของพิมพ์ที่ถูกฝังลึกเอาไว้ในร่างนี้อาจจะทำงานอยู่ก็เป็นได้...หรือไม่

          ก็อาจเป็นความรู้สึกจากหัวใจของเขาเอง...



          เสียงน้ำไหลชะล้างทำความสะอาดจานสีขาวสะอาดที่เต็มไปด้วยฟอง พินเหม่อลอยเล็กน้อย ในหัวก็ยังคงสลัดเรื่องชายแปลกหน้าคนนั้นและสิ่งที่พี่ชายของเขาคิดจะทำออกไปไม่ได้

          “Rrrrrr”

          เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เขาเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนเร็วๆก่อนจะกดรับสาย

          [พิน]

          เสียงหญิงสาวปลายสายเอ่ยขึ้นอย่างสดใส เสียงของคนที่อาจจะให้คำตอบเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้

          “สวัสดีครับพี่ไหม มีอะไรรึเปล่าครับ?”

          [พี่จะเข้ากรุงเทพฯเร็วๆนี้ พี่ก็เลยกะว่าจะไปเยี่ยมพิมพ์น่ะ แต่พี่ไม่แน่ใจว่าพิมพ์กับพินจะไปเยี่ยมคุณแม่กับคุณยายที่สวนมะลิรึเปล่า เห็นว่าพินสอบเสร็จแล้วใช่มั้ย?]

          “ใช่ครับ ตอนนี้ก็ยังไม่ได้แพลนว่าจะไปไหนกัน ถ้าจะไปหาแม่กับยายก็คงจะรอพ่อลางานกลับมาก่อนแล้วค่อยไปพร้อมกัน ถ้าพี่ไหมจะเข้ามาก็โทรมาหาพินก่อนก็ได้ครับ”

          [โอเคจ้า ถ้ามีอะไรเปลี่ยนแปลงก็บอกพี่อีกทีนะ แล้วเดี๋ยวพี่ซื้อขนมไปฝาก]

          “เอ่อ...พี่ไหมครับ...”

          [ว่าไงจ๊ะพิน?]

          พินที่ในใจเต็มไปด้วยคำถามกลับอึกอักขึ้นมาเสียอย่างนั้น เขารู้สึกกล้าๆกลัวๆที่จะถามออกไป แต่ถ้าปล่อยให้โอกาสแบบนี้หลุดมือไปคงน่าเสียดาย

          “คือ...พี่ไหมรู้จักคนที่ชื่อสินทรมั้ยครับ?”

          เสียงปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงนิ่งเย็น

          [รู้จักสิ...ถามทำไมหรอพิน?]

          “อ๋อ...คือ...เค้าพยายามติดต่อพี่พิมพ์มา แต่พี่พิมพ์จำไม่ได้น่ะครับว่าเค้าเป็นใคร”

          พินอึกอัก เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่ามีขอบเขตเรื่องราวที่เขาควรจะพูดมากน้อยแค่ไหน

          [สินทรพยายามจะติดต่อพิมพ์งั้นหรอ?]

          ปลายสายตอบเสียงเรียบทว่าแข็งกร้าว พินจึงตัดสินใจถามออกไปตรงๆ

          “คุณสินทรเป็นใครหรอครับ?”

          [สินทรเป็นลูกชายของผู้ป่วยที่เสียชีวิตน่ะ เป็นคนที่ฟ้องพี่...]

          ได้รู้เพียงเท่านี้พินก็พอจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้แล้ว สินทรเป็นคนฟ้องร้องและพยายามจะเกลี้ยกล่อมพี่ชายของเขาให้ร่วมมือกันทรยศไหมเพื่อที่จะได้ชนะคดี

          [สินทรมันก็เป็นแค่ลูกชายเลวๆคนนึง มันแค่ต้องการจะชนะคดีเพื่อเงินชดเชยมหาศาล มันอยู่ต่างประเทศกับครอบครัวแทบไม่เคยเหลียวแลพ่อของมันด้วยซ้ำ ที่กลับมาก็เพียงเพราะต้องการมรดกและฟ้องร้องค่าเสียหาย มันพยายามเอาเงินมาหลอกล่อพิมพ์ให้ร่วมมือกับมันหักหลังพี่]

          “พี่ไหมรู้เรื่องนี้ด้วยหรอครับ? !”

          พินตกใจเมื่อได้รับรู้ว่าหญิงสาวรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี นั่นอาจจะแปลว่าจริงๆแล้วพี่ชายเขาอาจจะไม่ได้คิดร้ายกับเพื่อนคนนี้จริงๆก็เป็นได้

          [รู้สิ! พี่กับพิมพ์เป็นเพื่อนรักกัน มีอะไรพิมพ์ก็บอกพี่ทั้งหมดนั่นแหละ ยกเว้นเรื่องเดียว...]

          “เรื่องอะไรหรอครับ?”

          ไหมเงียบไปก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงเครือ

          [เรื่องความคิดที่จะฆ่าตัวตาย...]

          ความเสียใจจุกขึ้นในอกของพิน เสียงในใจของเขาอยากจะตะโกนออกไปว่าพี่พิมพ์ไม่ได้ฆ่าตัวตาย แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครบ้างที่เขาจะไว้ใจได้

          “พี่ไหม...พี่พิมพ์ไม่ได้คิดร้ายกับพี่ไหมจริงๆใช่มั้ย?”

          [ทำไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะพิน?]

          ใจที่เต็มไปด้วยความกังวล สมองอันแสนสับสนทำให้พินตอบออกไปได้เพียงแค่ว่า...

          “พินไม่รู้...”

          ปลายสายถอนหายใจน้อยๆก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยน

          [พินอย่าคิดมากเลยนะ...พี่รู้จักพิมพ์...พิมพ์เป็นคนดี]

          ไม่รู้ทำไม เพียงแค่คำยืนยันจากเพื่อนสนิทของพี่ชายกลับทำให้รู้สึกสะเทือนใจ พินจะเชื่อได้จริงๆรึเปล่าว่าพิมพ์เป็นคนดีอย่างที่ว่าจริงๆ มีเรื่องราวที่เขาไม่เข้าใจเต็มไปหมด สิ่งที่พินได้รับรู้ ไม่ได้ช่วยให้เขาเข้าใกล้ถึงสาเหตุการเสียชีวิตของพี่ชายเลยแม้แต่นิด

          มีเพียงเรื่องเดียวที่แน่ใจก็คือ “สินทร” เป็นอีกคนที่พวกเขาควรจะระวังเอาไว้





          เวลาได้ล่วงเลยมาระยะหนึ่งแล้ว มะลิยังไม่ได้ความคืบหน้าอะไรเกี่ยวกับการเสียชีวิตของพิมพ์ นับว่ายังดีที่ตอนนี้นอกจากเรื่องของสินทร ก็ยังไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติอื่นๆรบกวนชีวิตและจิตใจของเขา

          “ปิ๊ง ป่อง” เสียงกดกริ่งดังขึ้น มะลิรู้ดีว่าแขกที่มาเยี่ยมเยียนคนนี้คือใคร เนื่องจากคนที่ติดต่อเชื้อเชิญหญิงสาวเจ้าของใบหน้างดงามคนนี้ให้มาหาก็คือตัวเขานั่นเอง

          “สวัสดีชิชา เข้ามาก่อนสิ”

          “อืม...”

          หญิงสาวท่าทางอ่อนล้า ทว่าใบหน้ายังแต้มสีสวยรวมถึงผมที่ถูกเกล้ามวยไว้เรียบร้อยเดินเข้ามาภายในบ้านอย่างเฉื่อยชา ชิชาจัดแจงทิ้งร่างกายอันเมื่อยขบลงบนโซฟาเนื่องจากเพิ่งผ่านพ้นชั่วโมงการทำงานอันแสนยาวนานมาเธอมองไปรอบๆก่อนจะเอ่ยถาม

          “น้องพินไม่อยู่หรอ?”

          “พินไปทำธุระที่มหาวิทยาลัยน่ะ”

          ชายหนุ่มเปิดตู้เย็นพลางหยิบขวดออกมาเทรินน้ำจนเต็มแก้ว

          “งั้นหรอ...แล้วพิมพ์ติดต่อชิชามา มีธุระอะไรหรอ?”

          “เรามีเรื่องอยากจะถามชิชาหน่อยน่ะ”

          เขาส่งน้ำเย็นเต็มแก้วให้ชิชาพลางหย่อนตัวลงนั่งเคียงข้าง หญิงสาวรับน้ำมาจิบโดยไม่พูดอะไร เธอสบตามองคู่สนทนาเตรียมฟังอย่างตั้งใจ

          “เราสองคนกำลังมีปัญหากันอยู่ใช่รึเปล่า?”

          “อืม...”

          ชิชาตอบด้วยท่าทีสงบนิ่ง เธอวางแก้วน้ำลงบนโต๊ะอย่างเบามือก่อนจะพูดต่อ

          “ช่วงหลังๆเราสองคนทะเลาะกันบ่อย ก็เลยเริ่มห่างกัน แต่ก็ยังไม่ถึงกับแยกกันอยู่”

          มะลินิ่งคิดตั้งใจฟัง เขาถามต่ออย่างไม่เข้าใจ

          “ถ้าอย่างนั้นวันที่เราไปว่าความให้กับไหม ทำไมชิชาถึงตามไปด้วยล่ะ?”

          ชิชากลอกตามองนกหนุ่มอย่างไม่พอใจ เธอเอ่ยตอบเสียงสะบัดน้อยๆ

          “ก็เพราะไหมไง ชิชาถึงต้องตามไป”

          ชายหนุ่มได้ฟังดังนั้นก็พอจะเข้าใจ จากเหตุการณ์ที่ผ่านมา มันทำให้เขาแน่ใจว่า “ไหม” คงจะมีส่วนที่ทำให้สามีภรรยาคู่นี้แตกคอกัน

          “แล้ววันนั้น...วันที่เราจมน้ำ...มันเกิดอะไรขึ้นหรอ?”

          ชิชาไม่สบตาคนถาม เธอเหม่อลอยพลางถอนหายใจเล็กน้อย

          “คืนนั้นชิชาหลับสนิท ไม่รู้เรื่องเลยว่าพิมพ์หายตัวไปจากโรงแรมตอนไหน กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็คือตอนที่โรงพยาบาลติดต่อมาว่าพิมพ์จมน้ำ พอเช็คมือถือดูก็เห็นอีเมลจดหมายลาตายที่พิมพ์เป็นคนส่งมา”

          ‘จดหมายลาตายงั้นหรอ?!’

          เป็นครั้งแรกที่มะลิได้รับรู้ว่าพิมพ์ทิ้งจดหมายลาตายเอาไว้ ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นของ “ปลอม”

          “เราขอดูจดหมายนั่นหน่อยได้มั้ย?”

          ชิชาหันมาสบตาพลางย่นคิ้วใส่ สีหน้าฉายชัดให้เห็นถึงความไม่สบายใจ

          “ของแบบนั้นชิชาลบทิ้งไปแล้วล่ะ ใครเค้าอยากจะเก็บเอาไว้”

          มีเพียงความเงียบปกคลุมบรรยากาศรอบตัวคนทั้งคู่ หญิงสาวถอนหายใจขึ้นอีกครั้ง

          “แต่ถ้าพิมพ์อยากเห็นจริงๆ ชิชาคิดว่ามันน่าจะยังอยู่ในอีเมลที่ถูกส่งของพิมพ์ ลองหาดูก็คงไม่เสียหาย...”

          ได้ฟังดังนั้นมะลิก็รีบควักโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดดูอย่างกระตือรือร้น ทว่า...

          “มันเปิดยังไงหรอชิชา...?”

          ใบหน้าเหลอหลาทว่ากลับจริงจังของชายหนุ่มทำให้ชิชาหลุดยิ้มออกมา

          “เอามานี่”

          หญิงสาวเลื่อนนิ้วไปมาบนหน้าจอเพื่อค้นหาข้อความ ครู่หนึ่งสิ่งที่เธอกำลังมองหาก็ปรากฏแก่สายตา ชิชาส่งโทรศัพท์คืนให้กับมะลิ นกหนุ่มไม่รอช้ารีบอ่านข้อความที่ฉายอยู่



ถึงพ่อ

          ขอบคุณที่ทำให้พิมพ์เกิดมาบนโลกนี้ โลกอันแสนโหดร้ายและทุกข์ทรมาน พ่อเป็นแรงบันดาลใจให้พิมพ์เป็นทนาย ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้วเส้นทางที่พิมพ์เลือกจะกลายเป็นตราบาปที่ทำให้คนตราหน้าลูกของพ่อคนนี้ว่าเป็นทนายมือเปื้อนเลือด ช่วยหมอฆ่าคน แต่พิมพ์ก็ดีใจที่ครั้งหนึ่งพิมพ์ได้ยืนหยัดต่อสู้เคียงข้างพ่อ ลำบากแสนสาหัสมาด้วยกัน



ถึงแม่

          ขอบคุณแม่ที่เลี้ยงดูฟูมฟักพิมพ์จนเติบโต คอยสั่งสอนพิมพ์ไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง วันนี้พิมพ์จะมาบอกลาแม่เป็นครั้งสุดท้าย หวังว่าแม่คงจะไม่เสียใจที่พิมพ์จะไม่อยู่บนโลกนี้อีกต่อไปแล้ว พิมพ์เชื่อว่าแม่จะเข้มแข็งและมีความสุขต่อไปได้ เพราะพินเป็นน้องชายที่น่ารัก พินจะต้องดูแลแม่เป็นอย่างดีทดแทนในส่วนที่พิมพ์ไม่อาจทำต่อไปได้



ถึงชิชาดวงใจของพิมพ์

          พิมพ์รักชิชามากนะ มากจนไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นตัวหนังสือได้ ถึงแม้ว่าชิชาจะไม่รักพิมพ์แล้วก็ตาม สิ่งที่ชิชาพูดกับพิมพ์เหมือนเป็นฟางเส้นสุดท้าย ตอนนี้พิมพ์เหมือนคนที่กำลังร่วงหล่นจากหน้าผา และสิ่งที่เหนี่ยวรั้งพิมพ์เอาไว้ก็คือมือของชิชา สุดท้ายชิชาก็เลือกที่จะปล่อยมือไปจากพิมพ์ ปล่อยให้พิมพ์ตกลงไปท่ามกลางความมืดมิด ซึ่งยินดีด้วย วันนี้ชิชาทำมันสำเร็จแล้ว ต่อจากนี้ไปชิชาจะได้เป็นอิสระจากพิมพ์แล้วนะ



          พิมพ์ต้องขอโทษทุกคนด้วยที่ไม่อาจอยู่เคียงข้าง พิมพ์เหนื่อยมากแล้ว พิมพ์อยากจะหลับ หลับแบบไม่มีวันตื่นมาเจอพรุ่งนี้อีก

รัก

พิมพ์



          เนื้อหาในจดหมายถ่ายทอดปัญหาของชายหนุ่มออกมาได้ชัดเจน หากมะลิไม่ได้ล่วงรู้ถึงความจริงผ่านความทรงจำของพิมพ์แล้วล่ะก็ เขาคงเชื่อเช่นกันว่าทนายหนุ่มตัดสินใจที่จะจบชีวิตของตนจริงๆ ท่าทางว่าคนที่เขียนจดหมายนี้ขึ้นมาคงจะรู้จักพิมพ์เป็นอย่างดี

          “มีใครที่ได้รับจดหมายนี้บ้างหรอ?”

          “มีแค่พ่อ แม่ แล้วก็ชิชา”

          ความสงสัยเคลือบแคลงแล่นขึ้นเต็มอกของชายหนุ่ม แม้แต่สตรีที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาของพิมพ์ก็ไม่อาจทำให้เขาไว้ใจได้เลย มะลิจ้องลึกลงไปในดวงตาของหญิงสาว

          “คนอย่างเราคิดจะฆ่าตัวตายจริงๆงั้นหรอ?”

          ชิชาที่ได้ฟังดังนั้นเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ มือบอบบางรวบประคองมือแกร่งของสามี จากนั้นจึงเอ่ยถามอย่างห่วงใย

          “พิมพ์นึกอะไรออกหรอ?”

          ไม่มีเสียงตอบรับจากชายหนุ่ม มีเพียงสายตาตั้งคำถามส่งกลับไปให้ คนทั้งสองมองจ้องกันนิ่งงัน พลันความเงียบก็ถูกทำลายลงด้วยเสียงเปิดประตู ชายหนุ่มตัวผอมบางเดินเข้ามาในบ้านเห็นภาพหญิงสาวผู้งดงามกำลังกุมมือชายหนุ่มใบหน้าอ่อนหวานพลางสบตากันลึกซึ้งไม่ละไปไหน

          ความเจ็บแปลบแล่นขึ้นในอก หัวใจที่เคยแข็งแรงปวดหน่วงวูบไหว พินไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงเกิดความรู้สึกเช่นนี้ เขาควรจะดีใจที่มะลิทำหน้าที่แทนพี่ชายของเขาได้ดี ที่เอาใจใส่ชิชาผู้ซึ่งเป็นภรรยามากขึ้น

          ไม่ใช่เกิดความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจขึ้นมาแบบนี้...



++++++++++++++++


          ดูแค่นี้ก็รู้แล้วนะคะว่าพินหลงรักมะลิเข้าเต็มเปาเลย ส่วนมะลิที่มักจะทำตัวเพี้ยนๆไม่รู้ไม่ชี้กับการกระทำของตัวเองเริ่มจะเกิดความรู้สึกแปลกๆกับพินแล้วเหมือนกัน เอาเป็นว่ามาเอาใจช่วยทั้งคู่ด้วยนะคะทั้งเรื่องหัวใจ แล้วก็เรื่องการตามหาความจริงเกี่ยวกับพี่พิมพ์

          ขอบคุณสำหรับการติดตามเช่นเคย แล้วเจอกันตอนหน้าค่า ^^

ออฟไลน์ Timid Lily

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0
บทที่9 : หญิงชรา

         รถยนต์สีขาวคู่หูของชายหนุ่มหลังพวงมาลัยแล่นไปตามเส้นทางหลัก เวลาสายๆแบบนี้ถนนโล่งไม่มีรถติดให้คนขับได้รำคาญใจ ข้างๆพินคือพ่อที่ลางานมาจากอินเดีย ส่วนตรงเบาะหลังมีชายหนุ่มสูงยาวกำลังชะเง้อชะแง้มองทุกสิ่งที่ผ่านตามาอย่างอยู่ไม่สุข

          “อีกไกลมั้ยพินกว่าจะถึงสวนของคุณยาย?”

          มะลิเอ่ยถามขึ้น ตอนนี้พวกเขานั่งรถมาได้นับชั่วโมงแล้ว ท่าทางเจ้านกหนุ่มจะเริ่มอึดอัดอยากลุกขึ้นไปยืดเส้นยืดสายหลังจากที่ขายาวๆของเขาถูกงอพับเอาไว้จนเริ่มไม่สบายตัว

          “ใกล้แล้วลูก ทำไมเบื่อนั่งรถแล้วรึไง?”

          เสียงที่ตอบกลับมากลับเป็นเสียงของชายวัยกลางคน ส่วนคนที่ถูกถามยังคงขับรถต่อไปเงียบๆพลางนึกถึงสิ่งที่แม่ได้บอกกับเขาเมื่อไม่กี่วันก่อน



          “Rrrrrr”

          “ครับแม่?”

          [พิน พ่อได้บอกลูกรึยังว่าพ่อเค้าลางานไว้แล้วจะกลับมาเยี่ยมบ้านสวน?]

          “พินรู้แล้วครับแม่”

          เสียงผู้เป็นแม่เงียบไปพักหนึ่งก่อนจะตัดสินใจเอ่ยเรื่องสำคัญกับลูกชายคนเล็ก

          [พินลูก...นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วนะที่เราจะได้กลับมาเยี่ยมคุณยายที่บ้านสวน]

          “ทำไมล่ะครับแม่?”

          [ยายกับแม่ตัดสินใจจะขายสวนแล้วล่ะลูก]

          พินรู้สึกใจหายที่ได้ยินเช่นนี้ สวนมะลิที่เติบโตผูกพันกันมาตลอดช่วงชีวิตของเขาจะไม่มีอีกแล้ว จะเหลือเพียงแค่ภาพความทรงจำเท่านั้นหรือ

          [แม่กับยายดูแลไม่ไหวแล้วล่ะเลยต้องตัดสินใจแบบนี้]

          “พินเข้าใจครับ”

          ตั้งแต่ที่ยายเริ่มป่วยเป็นมะเร็ง พินรู้ดีว่าแม่ของเขาต้องลำบากขนาดไหน ทั้งดูแลคนป่วย ดูแลสวนมะลิไปด้วย ไหนจะค่าใช้จ่ายมหาศาล ซึ่งตอนนี้หญิงวัยกลางคนผู้น่าสงสารคงจะแบกรับไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว



          พินค่อยๆขับรถลัดเลาะเข้าไปตามถนนเส้นเล็ก เบื้องหน้าของชายทั้งสามคือปากทางเข้าสวนที่มีต้นมะลิพุ่มเตี้ยเรียงรายเป็นแนวไปทั่วบริเวณ คนสวนสวมเสื้อผ้ากันแดดมิดชิดกำลังก้มๆเงยๆกำจัดวัชพืชอยู่ ต่างผุดลุกขึ้นมองรถยนต์คันกะทัดรัดที่นำพาผู้มาเยืยนมาถึงที่ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

          ชายหนุ่มจอดรถไว้ใต้ร่มเงา จากนั้นคนทั้งสามจึงพากันลงจากรถ มะลิยืนมองบรรยากาศรอบๆอย่างอิ่มเอมพลางสูดหายใจรับอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอด

          “ที่นี่คือสวนมะลิงั้นหรอ? เราชอบ”

          พินมองชายหนุ่มที่กำลังดูนู่นดูนี่ตาวาว ท่าทางตื่นเต้นของมะลิทำให้เขาอดยิ้มตามไม่ได้

          “เข้าไปข้างกันเถอะลูก”

          ชายวัยกลางคนเอ่ยขึ้นก่อนจะเดินนำเข้าไป ภายในตัวบ้าน สตรีผู้เป็นแม่กำลังยืนยิ้มต้อนรับอยู่เคียงข้างหญิงชราผู้ผ่ายผอมซึ่งนั่งรออยู่บนเก้าอี้ไม้

          “สวัสดีครับแม่ สวัสดีครับยาย”

          พินยกมือขึ้นพนมไหว้ทักทายหญิงทั้งสองอย่างอ่อนน้อม มะลิไม่รอช้ารีบทำตามอย่างรู้งาน

          “มาหายายหน่อยสิลูก”     

          น้ำเสียงอ่อนล้าของหญิงชราเรียกหาหลานทั้งสอง ชายหนุ่มตัวผอมรีบพุ่งตัวเข้าไปกอดยายของเขาแนบแน่นสุขใจ

          “พินคิดถึงยายที่สุดเลย”

          มือเหี่ยวย่นลูบศีรษะที่ปกคลุมไปด้วยเส้นผมดำเงาอย่างทะนุถนอม ส่วนมะลิก็ตามไปนั่งข้างๆอย่างสำรวม

          “พินสบายดีมั้ยลูก?”

          เสียงอารีเอ่ยถามหลานคนเล็กอย่างห่วงหา พินเงยหน้าขึ้นมองสำรวจหญิงชราก็พบว่ายายของเขาโทรมไปมาก เส้นผมสีดอกเลาที่เคยดกหนาตอนนี้ไม่เหลืออีกต่อไปแล้วเนื่องจากการทำคีโม ร่างกายก็ผ่ายผอมเหลือเล็กนิดเดียว ทว่ากลับยังยิ้มสดชื่นเมื่อได้เจอหน้าพวกเขาทั้งสอง

          “พินสบายดีครับยาย ตอนนี้พินเรียนจบแล้วอีกไม่กี่เดือนก็จะรับปริญญา คุณยายต้องรีบแข็งแรงแล้วมางานพินด้วยนะ”

          คุณยายได้แต่อมยิ้มไม่เอ่ยตอบ มะลิที่นั่งอยู่ข้างๆนั้นรู้ดีว่าเพราะเหตุใดสตรีผู้นี้จึงไม่อาจรับปาก สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาของอมนุษย์หนุ่มคือ ภาพเงาจิตหญิงชราที่ควรจะเป็นหนึ่งเดียวกับกายเนื้อของเธอ ค่อยๆแยกออกจากร่างทีละน้อย เมื่อใดที่ทั้งสองสิ่งตัดขาดจากกันโดยสมบูรณ์ “ความตาย” ก็จะมาเยือนมนุษย์ผู้นี้ในที่สุด

          “แล้วพิมพ์ล่ะลูก?”

          “ครับ?”

          หญิงชราเอ่ยเรียกเมื่อเห็นนกหนุ่มกำลังจมไปกับความคิดอะไรบางอย่าง

          “เรา...เอ๊ย! ผมสบายดีครับ...”

          “พิมพ์ดูเปลี่ยนไปมากนะลูก”

          “ครับ?”

          มะลินิ่งไปเมื่อได้ยินหญิงชราทักเช่นนั้น เขากับพินมองหน้ากันงงงวย ก่อนพินจะรีบพูดแทรกเปลี่ยนบรรยากาศ

          “คุณยาย! พินมีอะไรจะให้คุณยาย เดี๋ยวพินขอเวลาไปเตรียมตัวก่อน”

          พูดจบเขาก็รีบลุกขึ้นพลางฉุดมะลิที่กำลังนั่งนิ่งอยู่ให้ลุกตาม จากนั้นจึงก้าวเท้าเดินฉับๆไปทางสวน

          “มะลิออกไปเก็บดอกไม้กัน!”



          พินเดินนำนกหนุ่มลัดเลาะไปตามทางเดินในสวนเขียวสบายตา เขามองซ้ายมองขวาหาต้นมะลิที่ยังพอจะมีดอกให้เก็บเนื่องด้วยตั้งใจจะแสดงฝีมือร้อยมาลัยที่เคยร่ำเรียนมาตอนยังเด็กไปให้ยายได้ชื่นชมสักพวง

          “มะลิรู้มั้ยว่าชั้นอยู่ที่บ้านสวนกับคุณตาคุณยายมาตั้งแต่เด็กเลยนะ...”

          ชายหนุ่มร่างผอมบางเอ่ยขึ้นให้คนที่กำลังเดินตามต้อยๆฟัง พินเล่าไปพลางมือก็ไล้สัมผัสใบไม้เขียวไปพลาง

          “สมัยก่อนที่บ้านชั้นลำบากมาก เพราะพ่อที่เป็นวิศวะกรถูกฟ้องร้องเรื่องระบบดับเพลิงในอาคาร สู้คดีกันจนแทบหมดเนื้อหมดตัว งานก็ไม่มี มีแค่แม่ที่เป็นครูกับพี่ชายที่ต้องทั้งเรียนทั้งทำงานไปด้วยช่วยกันหาเลี้ยงครอบครัว ที่บ้านก็เลยตัดสินใจส่งชั้นให้มาอยู่กับตายายที่นี่”

          มะลิรีบเร่งฝีเท้ามาเดินขนาบข้าง ดวงตาสวยหวานสุกใสจ้องมองใบหน้าชายที่กำลังเล่าเรื่องด้วยความรู้สึกอมทุกข์ ทว่ากลับมีรอยยิ้มจางประดับที่มุมปาก

          “พี่พิมพ์เป็นพี่ชายที่เก่งมาก ทั้งๆ ที่ยังเป็นนักศึกษาอยู่แต่พี่เค้าก็ยังแบ่งเวลาได้ ทั้งเรียนทั้งทำงานไปด้วย หาเงินเลี้ยงดูตัวเอง แถมยังเรียนดีเกรดไม่เคยตกเลย ชั้นนับถือพี่เค้ามากจริงๆ ชั้นอยากเป็นให้ได้แค่ครึ่งนึงของพี่พิมพ์ก็ยังดี แต่พอดีชั้นหัวไม่ค่อยดีเท่าไหร่”

          พูดจบพินก็หัวเราะแหะหันไปยิ้มสดชื่นให้กับคนฟัง รอยยิ้มน่ารักที่ฉายอยู่บนใบหน้าของชายหนุ่มพาจิตใจของมะลิให้จมลงในความรู้สึกแปลกๆบางอย่างที่กำลังก่อตัวขึ้นโดยที่เขาเองก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก

          “หลังจากเวลาผ่านไปเกือบสิบปี ในที่สุดพ่อก็ชนะคดี ชั้นได้กลับมาอยู่กับครอบครัวตามเดิม แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ชั้นก็มีความสุขนะถึงตาจะดุมากก็เหอะ”

          พูดจบพินก็ขำขึ้นเมื่อนึกถึงความซุกซนของตัวเอง

          “นายรู้ป่ะว่าชั้นเคยเป็นห่วงต้นมะลิที่ปลูกเองเป็นครั้งแรก ก็เลยออกไปยืนกางร่มให้มันตอนที่พายุเข้า จนโดนคุณตาตีเกือบตาย”

          เสียงหัวเราะทุ้มนุ่มนวลของชายหนุ่มสำหรับมะลิทำไมถึงได้น่าฟังชวนหลงใหล มันไพเราะยิ่งกว่าเสียงใดที่เขาเคยได้ยิน ก้อนเนื้อในอกของนกหนุ่มเต้นแรงขึ้นทีละน้อย แสงแดดที่ฉายสะท้อนลงมากระทบเรือนผมดำสนิท ทำเอาดวงตาพร่าวูบระยิบระยับ ไม่รู้ว่าแดดมันร้อนเกินไปจนเขาชักจะเบลอหรือเป็นอะไรกันแน่

          “แต่คุณยายใจดีมาก เวลาโดนคุณตาดุก็จะมีคุณยายนี่แหละคอยมาช่วยชีวิต...แต่พอคุณตาไม่อยู่แล้วชั้นก็อดคิดถึงท่านไม่ได้เหมือนกันนะ...”

          ใบหน้าที่ยิ้มแย้มอยู่เมื่อครู่สลดลงเจือความเศร้าเอาไว้ เมื่อเอ่ยถึงคุณตาคุณยายพินดูมีความสุขมาก มะลิสัมผัสได้ถึงความรักที่ชายหนุ่มมีให้แก่ผู้ชราทั้งสอง ถ้าหากพินได้รู้ความจริงขึ้นมา ว่ายายผู้เป็นที่รักของเขากำลังจะจากไปมันจะเป็นเช่นไร

          ครู่หนึ่งคนทั้งสองก็มาหยุดลงตรงต้นไม้พุ่มเตี้ยที่ยังพอมีดอกอยู่ติดลำต้นประปราย มือเรียวของชายหนุ่มปลิดก้านดอกไม้สีขาวละมุนออกจากต้นอย่างเบามือ มะลิดอกแล้วดอกเล่าถูกเก็บใส่ตะกร้าหวายใบจิ๋วที่พินถือติดตัวมาจากในบ้าน เขาเอามือปาดเช็ดเหงื่อที่ซึมจากไรผมป้อยๆเมื่อร่างกายต้องต่อสู้กับความร้อน

          “เสียดายมาสายไปหน่อย ดูสิดอกมันเริ่มบานแล้ว”

          มะลิที่ตั้งอกตั้งใจมองพยายามทำตาม ทว่ามือไม้ก็เก้งก้างทำดอกไม้หลุดหล่นไปทั่วพื้น เขารีบเก็บดอกไม้ขึ้นจนมือขาวๆ เปรอะเปื้อนไปด้วยเศษดิน

          “ฮ่าๆๆ ทำอะไรเนี่ยมะลิ ดูสิเลอะเทอะไปหมด”

          พินหัวเราะใส่เมื่อเห็นท่าทางเงอะงะแถมมือของมะลิก็ยังเลอะไปด้วยคราบดินสีน้ำตาลเต็มไปหมด

          “พินก็เลอะเทอะเหมือนกันนั่นแหละ!”

          “หา? เลอะอะไร?”

          พินสังเกตเห็นสายตาของคนตัวสูงกว่าจับจ้องไปทางศีรษะของเขา มะลิยกมือขึ้นก่อนจะพิจารณาดูแล้วว่า มือขาวๆของเขามันช่างสกปรกเกินกว่าจะใช้การได้ เขาจึงเปลี่ยนใจเคลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้ ก่อนจะเป่าลมออกไล่กลีบดอกไม้น้อยที่บังอาจมาเกาะแกะอยู่บนเส้นผมของคนน่ารักออกไป

          กลีบดอกไม้ขาวปลิดปลิวล่องลอยไป เส้นผมที่ถูกลมกระทบไหวขึ้นไม่ต่างจากความรู้สึกข้างใน สายตาทั้งสองสบมองกันอย่างตั้งใจ ทำเอาใบหน้าเนียนค่อยๆร้อนวูบขึ้นโดยที่ระงับเอาไว้ไม่อยู่

          “พิน...”

          มะลิเอ่ยเรียกเสียงอ่อน ตอนนี้ความลังเลใจกำลังคุกคามความรู้สึก ใจหนึ่งเขาอยากจะบอกเรื่องช่วงเวลาที่เหลือของผู้เป็นยายให้พินได้รับรู้ ทว่าอีกใจหนึ่งเขากลับกลัวว่าความจริงนี้จะพรากรอยยิ้มอันสดใสไปจากคนตรงหน้า

          “เอ่อ..ชั้นว่าเราเข้าบ้านดีกว่า...”

          ดวงตาสวยคมพลันหลุบลงหลบความวูบไหวที่ถูกอีกฝ่ายส่งทอดให้ พินลุกลนรีบเดินจ้ำอ้าวเข้าบ้านไป โดยที่มะลิเองก็ไม่รอช้ารีบเดินตาม ก่อนจะล้างมืออย่างลวกๆกับก๊อกน้ำบริเวณหน้าบ้านที่มีคนงานใจดีวางขวดสบู่ทิ้งไว้เหมือนรู้ทัน

          “พิน...รอเดี๋ยว!”

          ถึงมะลิจะบอกให้รอ ทว่าคนที่เดินนำอยู่ก็ไม่มีทีท่าจะหยุดฝีเท้าลง พินที่เข้าไปในบ้านรีบหยิบจับคว้าข้าวของสำหรับร้อยมาลัยมาอย่างคนที่กำลังยุ่งที่สุดในชีวิต ไม่มีจังหวะให้มะลิเข้าไปแทรกได้เลย

          เพราะมันเขิน...

          เขารีบทิ้งตัวลงนั่งลงกับพื้นใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว นับวันอาการทางใจของพินที่มีต่อเจ้านกมะลิชักจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่ามะลิจะพูดอะไรจะทำอะไรล้วนทำให้เขาหวั่นไหวไปได้ทั้งนั้น เขาหยิบเข็มยาวแหลมขึ้นมือไม้สั่น ก่อนจะแทงเข็มเข้ากับดอกไม้น้อยสีขาว ทว่าไม่ใช่แค่ดอกไม้ เจ้านิ้วไม่รักดีดันทิ่มเข้าโดนเข็มไปด้วยเสียอย่างนั้น

          “โอ๊ย!”

          เลือดสีแดงฉานค่อยๆซึมออกจากปลายนิ้ว มะลิที่ได้ยินเสียงพินร้องอุบอิบรีบเข้ามาดูด้วยความเป็นห่วง

          “พิน! เป็นอะไรรึเปล่า?”

          พินที่เห็นชายหนุ่มเข้ามาใกล้รีบขยับตัวหนีเล็กน้อยพลางกุมมือของตนหันไปอีกทาง

          “แค่เข็มตำนิดเดียว ไม่เป็นไรหรอก”

          “พิน...”

          คนเจ็บรีบคว้ากระดาษทิชชู่มาซับหยดเลือดสีแดงที่ปลายนิ้วโดยไม่ยอมหันไปมองคนที่เรียกหาเขาแม้แต่น้อย มะลิเห็นทีท่าเช่นนั้นจึงรีบขยับตัวเข้าไปใกล้ขึ้น พลางเอี้ยวมองคนที่กำลังหลบหน้างุดอยู่ ตอนนี้เขาตัดสินใจแล้ว ว่ายังไงเขาก็ต้องบอกพินเรื่อง “คุณยาย”

          “ชั้นไม่เป็นไรจริงๆ”

          มือขาวยุดแขนคนซุ่มซ่ามเข้าหา มะลิพ่นลมหายใจออกก่อนจะส่งสายตาจริงจังกลับไป

          “พินฟังนะ...”

          นกหนุ่มเงียบเสียงอึกอักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกัดฟันพูดสิ่งที่เขารู้ดีว่าจะทำให้คนฟังต้องเสียใจขนาดไหนออกมา

          “คุณยายจะมีชีวิตอยู่ไม่พ้นคืนพรุ่งนี้...”

          ดวงตาสดใสพลันมัวหมอง ราวกับฟ้าทลายลงตรงหน้า ความเสียใจล้นขึ้นจนอึดอัด ความจริงที่พินได้ฟังและยอมรับมันไม่ได้จนต้องพาลใส่คู่สนทนา

          “มะลิอย่ามาพูดจาเหลวไหลนะ”

          สายตาเคืองขุ่นทว่าเศร้าสร้อยถูกส่งมา แต่มะลิก็ไม่ได้มีทีท่าลังเล เขาจ้องพินกลับไปด้วยแววตามั่นคงหนักแน่น

          “เราไม่ได้พูดเหลวไหล พินก็รู้ดีไม่ใช่หรอว่าเรา...คืออะไร?”

          อมนุษย์นกแสกที่สามารถมองเห็นลางมรณะได้ย่อมไม่มีความจำเป็นต้องโกหก ซึ่งพินรู้ความจริงข้อนี้เป็นอย่างดี พินเงียบเสียงลงไม่ตอบโต้ สายตาโกรธเกรี้ยวเมื่อครู่ผ่อนลงเหลือเพียงความเสียใจ ดวงตาสวยคมร้อนผ่าวชื้นขึ้น เขาบีบมือของตนแน่นจนเลือดที่เกือบจะหยุดไหลเริ่มซึมแดงเปื้อนผ่านกระดาษเนื้อบางชัดเจน

          ชายหนุ่มที่พยายามสงบสติอารมณ์ลงส่งมือเรียวไปคว้าดอกไม้น้อยขึ้นร้อยอย่างช้าๆ หัวใจสั่นเทาเจ็บปวด ความสูญเสียกำลังจะมาเยือนอีกครั้ง แม้หนนี้เขาจะได้รู้ล่วงหน้า ทว่ามันไม่อาจทอนความเสียใจลงไปได้เลย มะลิปวดใจที่เห็นคนตรงหน้ามีอาการเช่นนี้ หากอยากจะปลอบเขาควรจะทำอย่างไร ตอนนี้สิ่งเดียวที่นกหนุ่มพอจะทำได้คงจะมีแค่อยู่เคียงข้างคนๆ นี้...

          ไม่หายจากไปไหน...


++++++++++++++++



          สวัสดีค่า ในที่สุดพินกับมะลิก็ได้กลับมาเยี่ยมบ้านสวนกันแล้วนะคะ จากตอนนี้ก็จะทำให้ได้รู้ว่าพินถูกเลี้ยงดูมาแบบไหน ถึงได้โตมาเป็นผู้ชายนุ่มนิ่ม เอาใจใส่ แสนดีขนาดนี้ ^^

          ถึงแม้ว่าในตอนนี้พินจะถูกมะลิลากออกมาจากทุ่งลาเวนเดอร์จนต้องเสียใจ (อีกแล้ว) แต่พินเองก็เป็นคนที่เข้มแข็งมากคนนึงค่ะ เรามาให้กำลังใจ กอดพินกันเยอะๆนะคะ


ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ตกลงว่านกแสก ....... ที่ใครๆว่าเป็นสัญลักษณ์ของความตาย  :hao3:
สามารถรู้ว่าความตายจะมาเยือนได้จริงๆ  :a5: o22
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Timid Lily

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0
ตกลงว่านกแสก ....... ที่ใครๆว่าเป็นสัญลักษณ์ของความตาย  :hao3:
สามารถรู้ว่าความตายจะมาเยือนได้จริงๆ  :a5: o22
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

สำหรับนิยายเรื่องนี้คือใช่ค่า ถึงอย่างนั้นก็แค่มองเห็นเท่านั้น ไม่ได้ทำให้ใครตายหรอกน้า  :mew2:

ออฟไลน์ Timid Lily

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0
บทที่10 : ในเงาจันทร์

          ยามบ่ายที่ตะวันคล้อยไป หญิงชรานอนพักอยู่ในห้องเงียบสงบ ถึงแม้จะไม่ได้ง่วงทว่าร่างกายไร้เรี่ยวแรงไม่อาจฝืนให้เธอลุกขึ้นนั่งตัวตรงอยู่ได้ดังใจ

          ‘ก๊อก ก๊อก ก๊อก’

          เสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อนจะมีใครบางคนเอ่ยเรียกผู้ที่อยู่ภายใน

          “คุณยายครับ พินกับพี่พิมพ์ขอเข้าไปข้างในหน่อยนะครับ”

          “เข้ามาสิลูก”

         ชายหนุ่มสองคนเดินเข้ามาข้างใน จากนั้นจึงงับประตูห้องปิดลงอย่างเบามือ หญิงชราเห็นคนทั้งคู่เดินเข้ามาก็ยิ้มชื่นใจพยายามลุกขึ้นนั่ง

          “พินถามแม่แล้ว แม่บอกว่าคุณยายไม่ได้หลับ พินก็เลยเข้ามาหา”

          “แล้วพินมากับใครล่ะลูก?”

          คุณยายเอ่ยถามเมื่อเห็นหลานคนเล็กเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับชายไม่คุ้นหน้า เบื้องหน้าของเธอคือชายหนุ่มร่างสูง ผิวพรรณขาวสว่างผุดผ่อง จมูกโด่ง คิ้วคมเข้ม ทว่าดวงตากลับดูอ่อนหวานรับกับริมฝีปากอิ่ม เป็นมนุษย์รูปงามราวกับไม่ใช่สิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้

          “คุณยายหมายความว่ายังไงครับ? !”

          พินได้ยินผู้เป็นยายทักขึ้นมาเช่นนั้นก็ตกใจ หรือมันจะหมายความว่า ยายของเขาเองก็มองเห็นตัวตนที่แท้จริงของมะลิ ถ้าอย่างนั้นทำไมถึงไม่ทักถามตั้งแต่ที่เจอกันครั้งแรก

          “พ่อหนุ่มเป็นใครล่ะ? ทำไมยายเหมือนเห็นเจ้าพิมพ์กับพ่อหนุ่มคนนี้ซ้อนทับกันอยู่...”

          หญิงชราเอ่ยขึ้นกับมะลิโดยไม่แตกตื่นแม้แต่น้อย นกหนุ่มส่งยิ้มให้อย่างอบอุ่นพลางประคองมือเหี่ยวย่นขึ้นมากุมไว้

          “ผมมาดีครับ คุณยายไม่ต้องห่วง”

          รอยยิ้มอ่อนล้าฉายขึ้นบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งวัย นัยน์ตาสีขุ่นเพ่งพิจารณามองคนตรงหน้า

          “พ่อช่างรูปงามนัก มาจากสวรรค์รึเปล่า? ถ้าใช่ยายก็จะได้ไม่ต้องห่วง”

          พินได้แต่มองคนทั้งสองสนทนากันอย่างงวยงง หญิงชราเห็นสีหน้าฉงนของหลานชายคนเล็กก็หันมาเอ่ย

          “พินเองก็อย่าดื้อกับพ่อเทวดาเขาล่ะ ท่านจะได้ปกปักรักษา”

          “ครับ?”

          พินตอบรับไปส่งๆ เพราะยังงงไม่หาย มะลิยิ้มขำน้อยๆเมื่อเห็นสีหน้าของชายหนุ่ม จากนั้นจึงเอ่ยรับปากกับผู้เป็นยาย

          “ไม่ต้องห่วงครับ ผมจะดูแลคุ้มครองพินไม่ให้ต้องลำบากหรือเจอกับอันตรายใดๆ”

          พูดจบมะลิก็สบตาพินลึกซึ้ง ทำให้คนถูกมองชักจะเขินรีบคว้าพวงมาลัยดอกมะลิเยินๆขึ้นมาส่งให้กับยายของเขา

          “ยายครับ พินร้อยพวงมาลัยมาให้”

          หญิงชรารับพวงมาลัยมาชื่นหัวใจ ในมือเหี่ยวย่นของเธอประคองพวงดอกไม้บูดเบี้ยวชอกช้ำอย่างทะนุถนอม เธอหัวเราะขึ้นเมื่อเพ่งพิจารณาฝีมือของหลานชาย

          “ร้อยเก่งขึ้นนี่เรา แต่ก็ยังไม่ได้เรื่องเหมือนเคย”

          ถ้าพูดถึงงานบ้านงานเรือนหลานชายคนนี้ก็ยังพอจะทำได้ แต่ถ้าพูดถึงงานฝีมือนั้นไม่ได้เรื่องเลยสักนิด ชายผู้ใช้ชีวิตในสวนมะลิมาตั้งแต่ยังเล็กมีหญิงผู้นี้คอยเป็นครูสอนวิชาร้อยดอกไม้ให้ แต่ดูเหมือนว่าจะเข็นให้ตายยังไงพินก็เอาดีทางนี้ไม่ได้จริงๆ

          “ขอบใจนะลูก ยายดีใจมากที่พินตั้งใจร้อยมาลัยมาให้ยาย”

          พินพูดไม่ออกได้แต่หัวเราะแหะส่งรอยยิ้มจางพลางมองสบตาคุณยายผู้เป็นที่รักของเขา น้ำอุ่นรื้นเอ่อขึ้นในดวงตา พินพยายามสะกดกลั้นมันไว้ไม่ให้ไหลออก แม้ว่ามันจะฝืนจนรู้สึกทรมานก็ตาม



          หลังจากที่คนทั้งสามคุยเล่นกันอยู่พักหนึ่ง หลานทั้งสองก็ตัดสินใจปล่อยให้หญิงชราได้พักผ่อน ทั้งคู่เดินออกจากห้อง เมื่อประตูปิดลงพินก็เอ่ยถามถึงสิ่งที่ค้างคาใจอยู่เมื่อครู่กับนกหนุ่ม

          “ทำไมคุณยายถึงมองเห็นมะลิล่ะ?”

          คนถูกถามนิ่งไป เขากลัวว่าคำตอบจะทำร้ายคนฟังเข้าอีกครั้งหนึ่ง

          “มะลิ...?”

          มะลิถอนใจเฮือกใหญ่สีหน้าเคร่งเครียดก่อนจะเอ่ยพูดโดยไม่สบตา

          “พินทำใจไว้เถอะนะ...”

          เมื่อพินได้ยินดังนั้นก็ซึมไปไม่กล้าถามอะไรต่อ คนทั้งคู่เดินห่างจากห้องของหญิงชราออกมาทีละน้อยไม่หันกลับไปมอง มีเพียงความเงียบที่ถูกทิ้งไว้ย้อมบรรยากาศโดยรอบให้มัวหมอง



          วันรุ่งขึ้นคุณยายถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลด่วนและเสียชีวิตในคืนถัดมาท่ามกลางความเศร้าโศกของทุกคน...





          ยามพลบค่ำที่อากาศอบอ้าว ภายในศาลาวัดคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นควันธูปซึ่งผู้มาเยือนได้จุดขึ้นไหว้อำลาผู้จากไปเป็นครั้งสุดท้ายด้วยความอาลัย พินช่วยทำหน้าที่จุดธูปส่งให้แขกดอกแล้วดอกเล่าโดยที่น้ำตาก็ยังคลอเบ้าอยู่ ผู้เป็นแม่เห็นเข้าจึงเข้าไปหา ใจหวังจะปลอบประโลมให้ลูกน้อยได้คลายเศร้า

          “พิน...ไม่เอาน่ะลูก ถ้ายังไม่หยุดร้องเดี๋ยวยายแกจะเป็นห่วงรู้รึเปล่า?”

          ชายหนุ่มพยายามกลั้นกลืนน้ำตาไม่ให้ร่วงออกมา ทว่ามันช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน

          “แม่ก็เหมือนกัน...ดูสิตาบวมไปหมดแล้ว”

          พินเอ่ยขึ้นน้ำเสียงเครือ พลางสบดวงตาสวยทว่าแดงช้ำของผู้เป็นแม่

          “ลูกรู้มั้ยว่าตลอดระยะเวลาที่ยายรักษาตัว ยายเก่งมากเลยนะ ไม่ว่าจะเจ็บปวดขนาดไหนก็อดทนสู้ กำลังใจดีมาก แทบจะเคยไม่งอแงกับแม่เลย”

          พูดไปน้ำตาก็เอ่อขึ้นมาอีกครั้ง ทำให้ลูกชายที่กำลังตั้งใจฟังจับมือส่งทอดไออุ่นให้แก่หญิงวัยกลางคนแนบแน่น

          “ยายดีใจมากเลยนะที่รู้ว่าหลานๆจะมาเยี่ยม ทำตัวกระชุ่มกระชวยสดชื่น จนแม่...”

          แม่ลูกสบตามองกัน น้ำตาของเธอที่เอ่ออยู่นั้นร่วงเผาะลงมา

          “...ดูไม่ออกเลยว่า...นั่นจะเป็นกำลังเฮือกสุดท้ายของยาย...”

          พูดจบเธอก็สะอื้นขึ้น พินที่นั่งอยู่เคียงข้างค่อยๆเอนตัวลงซบบ่าแสนบอบบางของผู้เป็นแม่ เขาไม่สามารถหยุดน้ำตาไม่ให้ไหลได้อีกต่อไป

          “แม่...พินตัดสินใจแล้วว่าพินจะไว้ผมยาว จะได้เอาไปบริจาคให้ผู้ป่วยโรคมะเร็ง”

          พินเอ่ยขึ้นหลังจากนึกถึงสภาพของหญิงชราก่อนที่จะจากเขาไป ผมสีดอกเลาที่เคยสวยของคุณยายร่วงไปจนหมด อย่างน้อยเขาหวังว่าความตั้งใจนี้จะช่วยเหลือผู้ป่วยที่ยังคงต่อสู้กับโรคร้ายได้บ้างไม่มากก็น้อย

          สองแม่ลูกส่งสายตามองทอดไปยังโลงสีขาวที่ประดับลวดลาย ซึ่งเป็นที่พักพิงสุดท้ายของผู้วายชนม์ หยดน้ำตาใสไหลรินอาบแก้ม ภายในใจอาลัยแสนโศกเศร้าถึงผู้ที่หลับใหล...ตลอดกาล...



          มะลิที่นั่งมองแผ่นหลังของคนทั้งสองอยู่ห่างๆรู้สึกเศร้าซึมไม่แตกต่าง แม้ว่าเขาจะเพิ่งพบหญิงชราเป็นหนแรก แต่ชายหนุ่มก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและความรักที่เธอมีให้กับหลานๆได้เป็นอย่างดี

          บรรยากาศแสนเศร้า...บรรยากาศที่เขาจำได้...บรรยากาศที่ฝังอยู่ในความทรงจำ

          โลงศพสีขาว พวงหรีดละลานตา ควันธูปคละคลุ้งและใบหน้าเกรี้ยวโกรธ

          ‘ไหม!’



          ‘ก๊อก ก๊อก ก๊อก’

          หญิงสาวผมยาวประบ่าเคาะมือลงบนโลงไม้สีขาวเนื้อดี พลางเอ่ยเรียกหาแม่ของเธอด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเจ็บปวด

          “แม่...กินข้าวนะ...”

          เธอผละตัวออกจากความเศร้าเสียใจตรงหน้า พลันเสียงหนึ่งที่คุ้นเคยเอ่ยเรียกขึ้น

          “ไหม...”

          เมื่อหญิงสาวหันไปมอง ชายที่ปรากฏตรงหน้าเธอคือทนายหนุ่มเพื่อนรักนั่นเอง ทว่าสีหน้าแววตาที่ไหมส่งไปให้พิมพ์กลับเต็มไปด้วยความโกรธเคือง ชิงชัง...และรังเกียจ

          “แกมาทำไม? !”



          ความทรงจำหยุดลงแค่นั้น ความไม่เข้าใจสงสัยคุกคามความรู้สึกของมะลิอีกครั้ง จนต้องหันไปถามผู้เป็นพ่อซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ

          “พ่อ...แม่ของไหมเป็นอะไรตาย? ผมจำไม่ได้”

          ถึงชายวัยกลางคนจะนึกสงสัยที่อยู่ๆคนเป็นลูกก็นึกเอ่ยถามเรื่องนี้ขึ้นมา แต่เจ้าตัวก็ยอมเล่าไม่อิดออด

          “เท่าที่พ่อพอจะรู้แม่ของไหมเค้าฆ่าตัวตาย”

          “ฆ่าตัวตาย” คำนี้อีกแล้ว คำที่หลอกหลอนอยู่ในความรู้สึกของมะลิ คำที่เขาไม่อยากได้ยิน ทว่าทำไมมันถึงได้พัวพันอยู่กับคนที่รายล้อมรอบตัวพิมพ์อย่างมีนัยยะ

          “แม่ของไหมป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงก็เลยท้อแท้เพราะรู้ตัวดีว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกไม่นาน แถมยังมีอาการซึมเศร้าร่วมด้วย ก็เลยกินยานอนหลับเกินขนาดจนเสียชีวิต”

          แล้วสายตานั่น สีหน้าเช่นนั้นที่ไหมมองมา มันหมายความว่าอะไร ทำไมไหมถึงปฏิบัติกับพิมพ์ราวกับว่าเพื่อนรักคนนี้เป็นคนที่ทำให้เธอ...

          ต้องทนทุกข์อยู่ในสภาพเจ็บปวดแสนสาหัสถึงเพียงนี้...





          ยามราตรีดึกสงัด ชายหนุ่มร่างผอมบางนั่งทอดอารมณ์เหม่อลอยน้ำตารื้นอยู่ภายนอกตัวบ้านอย่างเงียบเชียบ มีเพียงเสียงแมลงร้องระงมและแสงจากพระจันทร์เต็มดวงฉายสว่างผุดผ่องคอยเป็นเพื่อน ร่างๆหนึ่งทิ้งตัวลงนั่งเคียงข้าง เมื่อนกหนุ่มเห็นหยดน้ำใสๆไหลรินอาบลงมาก็อดที่จะเอื้อมมือไปสัมผัสซับไว้ไม่ได้

          “....!”

          พินสะดุ้งขึ้นน้อยๆเมื่อมืออุ่นปาดเช็ดน้ำตาที่อยู่บนแก้มเนียนของเขาโดยไม่รู้ตัว ชายหนุ่มสบตามองคนกำลังเศร้าอย่างห่วงใยจากนั้นจึงละมือออก

          “มะลิ...”

          “พินมานั่งทำอะไรมืดๆตรงนี้คนเดียว?”

          ดวงตาคมมองหลบไปอีกทาง มือไม้ก็พลางยกขึ้นขยี้เช็ดน้ำตาที่พรั่งพรูลงมาไม่ขาดสาย

          “ชั้น...คิดถึงยายนิดหน่อยน่ะ...”

          นัยน์ตาสวยแดงฉ่ำ ปากหยักที่เจ่อช้ำเนื่องจากร้องไห้อย่างหนัก จมูกได้รูปนั้นผ่อนลมหายใจเข้าออกไม่เป็นจังหวะ ชายหนุ่มสะอื้นฮึกทำให้น้ำเสียงสั่นยามเอื้อนเอ่ย

          “คุณยายท่านเหนื่อยมามากแล้ว ตอนนี้ท่านได้พักผ่อนแล้วนะพิน”

          มือเรียวที่ปาดเช็ดน้ำตาเมื่อครู่ยกลงช้าๆ พินสบตาอ่อนหวานของคู่สนทนากลับไปและปล่อยให้คนตรงหน้าปลอบโยนอย่างเต็มใจ

          “พินอย่าเสียใจไปเลยนะ คุณยายท่านไม่ได้หายไปไหนรู้รึเปล่า?”

          คนฟังกะพริบตาลงอย่างไม่เข้าใจ มือขาวเอื้อมมาสัมผัสมือเรียวทะนุถนอมอ่อนโยน แสงจันทร์นวลสาดกระทบใบหน้าเปื้อนน้ำตาสะท้อนหยดน้ำเป็นประกายราวกับอัญมณีต้องแสงชวนให้หลงใหล

          “คุณยายยังอยู่ตรงนี้...”

          มะลิกุมมือของพินขึ้นทาบบนแผ่นอกบอบบาง พินสัมผัสได้ถึงก้อนเนื้อในอกของตนที่กำลังเต้นแรง แรงขึ้น...แรงขึ้น เนื่องจากสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจนร้อนที่นกหนุ่มส่งมาให้ หยดน้ำที่รินไหลเมื่อครู่เริ่มเหือดแห้งไป ทิ้งไว้เพียงความรู้สึกหวั่นไหวเคว้งคว้างท่ามกลางหมู่ดาวและแสงจันทร์

          มะลิส่งรอยยิ้มมาชวนให้มอง พินหลุบตาลงก่อนจะช้อนขึ้นสบคนตรงหน้าใจวูบหวาม สายตาเศร้าหมองทว่าชวนครอบครองกระตุ้นให้คนที่ถูกมองเคลื่อนใบหน้าเข้าหา ดวงตาสวยคมหลับลงทิ้งไว้เพียงขนตายาวงดงามสั่นระริก จมูกโด่งสัมผัสลากไล้ไปบนแก้มเนียนละมุน กลิ่นหอมสบู่อ่อนๆของคนตัวบางโชยขึ้นชวนเคลิบเคลิ้ม ริมฝีปากของคนทั้งสองใกล้กันจนเกือบจะจรดแตะสัมผัส

          ทว่า...

          คนที่กำลังปล่อยใจไปกับความเคลิบเคลิ้มชะงักงัน มะลิตกใจกับสิ่งที่ตนเองกำลังจะทำลงไป ถึงแม้ว่าเขาจะเคย “จูบ” ชายผู้น่าหลงใหลเบื้องหน้าของเขามาก่อน แต่ความรู้สึกที่กำลังจะมอบให้กลับไม่เหมือนเคย สัมผัสเมื่อครั้งนั้น กับเจตนาในครั้งนี้ แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

          ความรู้สึกหนึ่งตื้อขึ้นเต็มอก หัวใจที่สั่นราวกับกำลังจะแตกสลายนี้คืออะไร ความไม่เข้าใจถาโถมเข้าใส่ สิ่งที่เขากำลังรู้สึกมันเรียกว่าอะไร เป็นสิ่งที่มะลิไม่เข้าใจ เรื่องที่รู้ตอนนี้มีเพียง “พิน” กำลังจะกลายเป็นโลกทั้งใบของอมนุษย์เช่นเขา

          “เอ่อ...”

          พินที่เพิ่งได้สติจากห้วงแห่งความอ่อนไหวเอ่ยขึ้นขัดเขิน เขาดึงมือที่ถูกกุมไว้ออกพลางหลบตาไปอีกทาง

          “ชั้น...ไปนอนก่อนนะ...”

          ชายหนุ่มผุดลุกขึ้นเดินก้มหน้างุดหายลับเข้าบ้านไป ทิ้งมะลิเอาไว้ท่ามกลางความสับสนว้าวุ่นใจ เขาตกใจตัวเองที่เริ่มแปลกไป เป็นครั้งแรกที่อมนุษย์อย่างเขาหวั่นไหวขนาดนี้ เมื่อทบทวนความรู้สึกดูดีๆ คำตอบเดียวที่พอจะให้กับตัวเองได้ก็คือ...

          เขาได้มอบหัวใจดวงนี้ให้กับมนุษย์ที่ชื่อ “พิน” ไปเสียแล้ว



++++++++++++++++


          มะลิในเวลาปกติมักจะดื้อด้านก้าวร้าวแล้วก็บ้าๆบอๆนะคะ แต่จากสองตอนล่าสุดจะเห็นมุมที่อ่อนโยนและอบอุ่นมากๆของเจ้านกสุดต๊องคนนี้ ซึ่งสาเหตุเดียวที่ทำให้พระเอกของเรามีพัฒนาการก็คือพินนั่นเองค่ะ

          ส่วนพินเป็นผู้ชายอ่อนไหวอยู่แล้ว และเป็นคนที่เก็บความรู้สึกไม่เก่งค่ะ เพราะฉะนั้นถ้ามะลิไม่เซ่อจนเกินไปยังไงก็ต้องรู้แน่ๆว่าพินรู้สึกยังไง ^^

          ในตอนนี้ความทรงจำของพี่พิมพ์พยายามจะบอกเรื่องราวบางอย่างกับมะลิอีกแล้ว พระเอกของเราก็คงต้องพยายามรื้อฟื้นเรื่องราวที่เกิดขึ้นต่อไป มาเอาใจช่วยมะลิกันด้วยนะคะ ขอบคุณสำหรับการติดตามเช่นเคยค่า

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-08-2019 10:14:20 โดย Timid Lily »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด