คุณพี่ชายนายนกผี! My brother is the barn owl! บทส่งท้าย : คนของใจ 29/10/19
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: คุณพี่ชายนายนกผี! My brother is the barn owl! บทส่งท้าย : คนของใจ 29/10/19  (อ่าน 22427 ครั้ง)

ออฟไลน์ Timid Lily

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0
บทที่ 11 : สังหรณ์

          หลังจากเสร็จสิ้นพิธีศพของหญิงชราผู้เป็นที่รักแล้ว พ่อก็กลับไปทำงานต่อที่ประเทศอินเดีย ส่วนแม่ยังอยู่สะสางธุระที่สวนมะลิ ก่อนจะส่งต่อให้กับเจ้าของคนใหม่ ครอบครัวกลับไปใช้ชีวิตตามปกติสุขเช่นเดิม ยกเว้นความรู้สึกของใครบางคนที่แปรเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน

          ชายหนุ่มตัวสูงชะลูดนอนทิ้งตัวอยู่บนโซฟาปล่อยใจไปกับความสับสนว้าวุ่น ยามนี้เขามั่นใจแล้วว่า สิ่งที่ก่อตัวขึ้นและกำลังส่งผลกระทบรุนแรงกับหัวใจของเขาอยู่นี้เรียกว่า “ความรัก”

          เสียงฝีเท้าเบาย่องเข้ามาในบ้านอย่างเงียบงัน แมวดำแววตาซุกซนกระโดดแผล็วขึ้นไปขดอยู่บนตัวนกหนุ่มอย่างไม่เกรงใจ ก่อนจะเอ่ยถามหาคนที่เขาตั้งใจมาเยี่ยมจริงๆ

          “พินไปไหนงั้นหรือเจ้านกแสก?”

          คนถูกกวนก้มหน้ามองเจ้าก้อนขนสีดำที่เกาะแกะอยู่บนแผ่นอกกว้างของตนพลางขมวดคิ้วยุ่ง

          “พินไม่อยู่...พินไปทำธุระที่มหาวิทยาลัย”

          “งั้นหรอ...น่าเสียดาย เรากะจะแวะมาหาพินเสียหน่อย ไม่ได้เจอตั้งอาทิตย์นึง คิดถึงจะแย่...”     

          คำว่า “คิดถึง” ทำให้เจ้านกฉุนขึ้นไม่น้อย มะลิผุดตัวลุกขึ้นพรวดจนแมวน้อยต้องกระโดดหนีลงก่อนจะหน้าคะมำ

          “เป็นอะไรของแกเจ้านกแสก คิดอะไรอยู่งั้นหรือ?”

          นินจาเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นคู่สนทนาแสดงสีหน้าเหมือนคนมีอะไรในใจ

          “แก...เคยหลงรักมนุษย์รึเปล่า?”

          แมวดำที่กำลังบรรจงเลียอุ้งเท้าของตนถึงกับหยุดชะงักตาลุกวาว เขาหัวเราะขึ้นก่อนจะเอ่ยล้อเจ้านกหนุ่ม

          “ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ แกเจ้านกแสก แก่แดดริจะมีความรักงั้นหรอ? แถมยังไปหลงรักมนุษย์ซะอย่างนั้น”

          คิ้วเข้มขมวดยุ่งขึ้น มะลิมองตาขวางใส่เจ้าก้อนขนพูดมากไม่สบอารมณ์นัก

          “เราไม่ได้แก่แดด เห็นอย่างนี้เราก็มั่นใจว่าเราเกิดมาบนโลกนี้ก่อนแกแน่ๆ เจ้าแมวโง่!”

          ถึงร่างมนุษย์ของมะลิจะดูเหมือนชายหนุ่มรุ่นราวยี่สิบห้ายี่สิบหก ทว่าอายุจริงของนกหนุ่มนั้นยาวนานไม่แพ้คุณตาคุณยายของพินแป็นแน่ ส่วนนินจาไม่มีอะไรจะเถียง เพราะเอาเข้าจริงๆเขาก็ลืมตาขึ้นมาดูโลกได้เพียงสิบกว่าปีเท่านั้น เพียงแต่ออกจะเจนจัดกร้านโลกไปสักหน่อย

          “เอาเถอะ! แล้วแกไปหลงรักใครเข้าล่ะ? มนุษย์ที่ชื่อชิชาภรรยาเจ้าของร่างงั้นรึ?”

          “เปล่า...”

          “แล้วใครล่ะ หมอหญิงใช่รึเปล่า?”

          “ไม่ใช่...”

          “อย่าบอกนะว่า...”

          “เราหลงรักพิน”

          “แค่ก” จู่ๆ เจ้าแมวก็รู้สึกราวกับจะสำลักก้อนขนออกมาเสียอย่างนั้น มะลิที่ทำหน้ามุ่ยอยู่เมื่อครู่ หน้าง้ำยุ่งยับไปกว่าเดิมเมื่อเห็นปฏิกิริยาของแมวนินจา

          “แก...ตัดใจซะเถอะ...”

          มะลิอดไม่ได้ที่จะส่งสายตาตั้งคำถามกลับไปเมื่อได้ยินดังนั้น

          “ในโลกมนุษย์ความรักของเพศเดียวกันเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ยาก และที่สำคัญแกอย่าลืมว่าแกใช้ร่างพี่ชายของพินอยู่ แถมยังแต่งงานแล้วอีกต่างหาก ความรักของแกมันเป็นไปไม่ได้หรอก...”

          ใบหน้าอ่อนหวานฉายแววแห่งความทุกข์ผิดหวัง ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าสิ่งที่เจ้าแมวน้อยพูดนั้นถูกต้องทุกอย่าง นกหนุ่มรู้ตัวดีว่าการที่เกิดความรู้สึกเช่นนี้มันผิด แต่ว่า...

          “เราตัดใจไม่ได้จริงๆ...”

          ‘แกร๊ก’

          จู่ๆเสียงลูกบิดประตูก็พลันดังขึ้น ทำให้นินจาตกใจลุกลี้ลุกลนแปลงกายเป็นร่างมนุษย์อย่างว่องไวก่อนจะนั่งลงบนโซฟาเคียงข้างนกมะลิที่กำลังมองสตรีผู้มาเยือนหน้าตาตื่นเช่นกัน

          “ชิชา...?”

          “ขอโทษทีที่ปุบปับเข้ามา แต่ชิชาโทรหาพิมพ์หลายสายแล้วพิมพ์ก็ไม่รับ พอดีเห็นไม่ได้ล็อกบ้านก็เลยเข้ามาน่ะ”

          หญิงสาวพูดจบก็มองสำรวจเด็กหนุ่มผิวเข้มที่นั่งหน้าเหวออยู่ข้างสามีของเธอ

          “แล้วนี่...ใครหรอ?”

          “สวัสดีครับ ผมชื่อนินเป็นเพื่อนของพิน พอดีนัดกับพินไว้ที่นี่แต่พินยังไม่กลับมาน่ะครับ”

          นินจาเอ่ยทักทายพลางยกมือไหว้อย่างนอบน้อม ชิชาพยักหน้ารับน้อยๆไม่ใส่ใจแล้วกลับไปสนใจชายหนุ่มอีกคน

          “แล้ว...ชิชามีธุระอะไรกับเรารึเปล่า?”

          “พอดีชิชาจำได้น่ะว่าวันนี้พิมพ์มีนัดกับหมอสมอง ชิชาเลยจะไปเป็นเพื่อน”

          “ไม่ต้องลำบากหรอกนะชิชา เดี๋ยวเราจะพาไปเอง”

          เสียงหญิงสาวอีกคนเอ่ยดังขึ้นมาจากทางประตู เป็นไหมนั่นเอง หมอหญิงเดินเข้ามาพลางส่งยิ้มให้กับทุกคนในบ้าน สัญญาณความยุ่งยากส่อเค้าขึ้นอีกครั้ง ถ้าเป็นไปได้มะลิอยากจะกลายร่างเป็นนกแล้วบินหนีไปจากตรงนี้ไปให้รู้แล้วรู้รอด

          “ไม่เป็นไร เรานัดกับพินไว้แล้ว ทั้งสองคนไม่ต้องลำบากหรอก”

          “อ้าว! พิมพ์ไม่รู้หรอกหรอว่าพินยังไม่เสร็จธุระที่มหาวิทยาลัย พินเป็นคนขอร้องให้เราพาพิมพ์ไปหาหมอแทน”     

          พลันโทรศัพท์ของนกหนุ่มก็สั่นขึ้น แน่นอนว่าคนที่โทรเข้ามาก็คือ “พิน” มะลิไม่รอช้ารีบกดรับสาย

          [มะลิ พี่ไหมไปถึงบ้านแล้วใช่มั้ย?]

          “อืม”

          [ขอโทษทีนะมะลิ พอดีชั้นยังไม่เสร็จธุระที่มหาลัยเลยน่ะ ชั้นก็เลยขอร้องพี่ไหมให้ช่วยพานายไปโรงพยาบาลแทน]

          “เข้าใจแล้ว ไม่เป็นไรหรอกเราไปกับไหมก็ได้”

          [ขอโทษจริงๆ นะมะลิ แล้วเดี๋ยวชั้นจะรีบกลับไป จะซื้อของที่นายชอบไปฝากเยอะๆ เลยนะ]

          “อื้ม...”

          [งั้นแค่นี้ก่อนนะ...]

          พินตัดสายไป ตอนนี้หญิงสาวสองคนกำลังจ้องมองมะลิไม่ลดละ คนเป็นเพื่อนยิ้มกริ่มให้ ในขณะที่คนเป็นภรรยาตีสีหน้าไม่พอใจอย่างคนแพ้

          “เข้าใจแล้วใช่มั้ยชิชา เธอก็ไม่ต้องลำบากแล้วล่ะ เดี๋ยวเราจัดการให้ คนเป็นแอร์ได้นอนไม่ค่อยเป็นเวลานี่ เธอกลับไปพักผ่อนจะดีกว่านะ”

          ชิชาส่งสายตาเคืองขุ่นไปให้กับแพทย์หญิงที่ยืนยิ้มร่า เธอหันไปเอ่ยเสียงแข็งกับชายผู้เป็นสามีก่อนจะกลับ

          “ถ้างั้นชิชาขอตัวก่อนแล้วกัน!”

          “ปัง” เสียงประตูปิดดังลั่นอย่างไม่เกรงใจ พฤติกรรมของหญิงสาวทั้งสองช่างน่าปวดหัว ที่น่าตลกก็คือทำไมคนที่เป็นเพื่อนสนิทถึงได้ถือไพ่เหนือกว่าคนเป็นภรรยาทุกครั้งไป

          “ถ้างั้นเราไปกันเถอะ เดี๋ยวรถจะติด”

          ไหมเอ่ยขึ้นพลางถือกุญแจรถของเธอเดินนำไป มะลิเอ่ยขอขึ้นอย่างหนึ่ง

          “ให้นินไปด้วยกันได้มั้ย?”

          “ได้สิ”

          เมื่อเห็นใบหน้าสดใสของหญิงสาวผู้นี้ ความทรงจำเกี่ยวกับงานศพก็ผุดขึ้นรบกวนจิตใจ สายตาแค้นเคืองของไหมนั้นต้องมีความหมายอะไรบางอย่างที่มะลิยังหาคำตอบไม่ได้ ทางที่ดีการที่มีนินจาอยู่เป็นเพื่อนในยามที่ไม่อาจไว้ใจใครก็นับเป็นความคิดที่ไม่เลว





          ชายหนุ่มนั่งเท้าคางอยู่ตรงม้าหินหน้าคณะโดยมีม่อนอยู่เป็นเพื่อน วันนี้พินตั้งใจจะมาทำธุระเรื่องจบการศึกษาที่มหาวิทยาลัยให้เสร็จแล้วรีบกลับ ทว่าทั้งน้องรหัส หลานรหัสต่างพากันแห่มาเซอร์ไพรส์ ทั้งบูมให้ เลี้ยงขนม ชวนคุยต่างๆนาๆจนปลีกตัวไปไหนไม่ได้ แถมเพื่อนกั้งตัวดีที่บอกว่าจะขอติดรถกลับหอด้วยก็หายตัวไปเฉยๆ     

          “ม่อน...กั้งมันหายไปไหนวะ? ทำไมไม่กลับมาซักที?”

          “มันไปตามหาหัวใจอยู่ที่คณะเภสัชนู่น!”

          ม่อนเอ่ยตอบพลางส่ายหัวยิ้มขำไปด้วย ดูเหมือนว่าคนที่กั้งชอบจะอยู่ที่คณะเภสัชศาสตร์ พินสาบานกับตัวเองว่าจะต้องรู้ให้ได้ว่าคนที่เพื่อนสาวสุดติงต๊องของเขามีใจให้เป็นใครกันแน่

          “นู่นไง วิ่งหน้าตั้งมาแล้ว!”

          หญิงสาวตัวเล็กวิ่งหน้าตาตื่นมาทางเพื่อนทั้งสองท่าทางดีอกดีใจมีความสุข กั้งโผเข้ากอดพินแน่นก่อนจะรีบพูดอย่างกระตือรือร้น

          “พวกแกๆ ฟังนะ...”

          ‘เอี๊ยด!!!!!’

          เสียงรถเหยียบเบรกยาวดังลั่นไปทั่วท้องถนน ตามด้วยเสียงแตรหวีดแสบแก้วหู ไม่รู้ทำไมเสียงที่อยู่ไกลออกไป กลับทำให้ใจของชายหนุ่มหล่นวูบสังหรณ์ไม่ดี

          ‘มะลิ...?!’

          เหงื่อเย็นค่อยๆ ซึมออกจนมือชื้น พินกะพริบตาเร็วๆ เรียกสติก่อนที่ลุกพรวดขึ้นจากม้านั่ง

          “กั้ง! กลับเถอะ! เราจะรีบตามพี่พิมพ์ไปที่โรงพยาบาล”

          “อ้าวจะรีบไปไหนวะแก? แล้วอีม่อนล่ะ...ไม่รอแฟนเป็นเพื่อนมันแล้วหรอ?”

          กั้งเอ่ยถามเมื่อเห็นเพื่อนชายของเธอลนลานรีบจะกลับบ้าน

          “ไม่เป็นไรพวกแกไปกันเถอะ ม่อนรอคนเดียวได้”

          “โทษทีนะม่อน”

          พูดจบพินก็ผละตัวไปโดยที่มีกั้งเดินตามมาติดๆ ความรู้สึกประหลาดนี้หมายความว่ายังไง พินเองก็ไม่เข้าใจ รู้เพียงแค่ตอนนี้เขาอยากจะรีบกลับไปเจอนกหนุ่มให้เร็วที่สุด





          “จากที่หมอดู...คุณมีอาการปกติดีนะครับ ที่ผ่านมารู้สึกมีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือผิดปกติไปรึเปล่าครับ?”

          นายแพทย์สูงวัยเปิดประวัติการรักษาที่ผ่านมาพลางพิจารณาทีท่าของคนไข้ โดยที่มีศัลยแพทย์หญิงกับเด็กหนุ่มอีกคนร่วมฟังอย่างตั้งใจ

          “ผมเริ่มจำเรื่องราวหลายๆอย่างได้ลางๆครับคุณหมอ”

          “จริงหรอพิมพ์? ทำไมแกไม่เห็นบอกชั้นบ้างเลยข่าวดีขนาดนี้”

          ไหมเอ่ยแทรกขึ้นด้วยความยินดีดวงตาวาวโรจน์เป็นประกาย ทว่ามะลิกลับไม่แสดงความรู้สึกใด เขายังคงนั่งนิ่งฟังคำพูดของนายแพทย์ต่อไป

          “เป็นสัญญาณที่ดีนะครับ หมอคิดว่าความทรงจำของคุณจะค่อยๆกลับมา แต่มันอาจต้องใช้เวลาอยู่ซักหน่อย”

          มะลิเองก็ได้แต่หวังใจว่าความทรงจำของพิมพ์กำลังจะกลับมาในเร็ววันเช่นกัน เพื่อที่จะได้รู้กันเสียทีว่าใครกัน...ที่หวังปองร้ายทนายหนุ่มจนถึงแก่ชีวิต



          กว่าจะเสร็จธุระปะปังที่โรงพยาบาลก็เข้าสู่ช่วงพลบค่ำแล้ว คนสามคนเดินเรื่อยมาโดยมีจุดหมายปลายทางคือลานจอดรถ นอกจากหญิงสาวจะช่วยพาชายหนุ่มมาหาหมอถึงที่แล้ว เธอยังรับผิดชอบที่จะไปส่งเพื่อนของเธอให้ถึงบ้านโดยสวัสดิภาพอีกด้วย

          “ขอบคุณนะไหมที่ช่วยมาเป็นธุระให้...ขอโทษด้วยที่ต้องรบกวน”

          “ไม่เป็นไรหรอกพิมพ์ เราเต็มใจ พอดีเรากลับมาที่บ้านอยู่แล้วไม่ได้ลำบากอะไร”

          ‘Rrrrrr’

          เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น หมอหญิงรีบรับสายโดยกลัวว่าจะมีธุระด่วน

          “ฮัลโหล...อื้ม กำลังจะกลับแล้ว”

          ไหมเอ่ยตอบเสียงปลายสายในขณะที่กำลังเดินนำคนทั้งสองอยู่ ตอนนี้มะลิคิดถึงพินใจจะขาด อยากรีบกลับบ้านให้เร็วที่สุด ไม่ว่าอะไรก็ดูยึกยักชักช้าไปหมด

          “ว่าไงนะ...? แป๊บนึงนะ...”

          หญิงสาวชะงักเท้า เธอยกโทรศัพท์ออกจากหูแล้วหันมาพูดกับชายทั้งสอง

          “เดี๋ยวพิมพ์กับนินรอตรงนี้แล้วกันนะ เราจะไปเอารถลงมาจะได้ไม่ต้องเดินไกล ที่จอดรถมันแคบด้วย”

          ไหมตัดสินใจให้ชายทั้งสองยืนรอที่อาคารจอดรถติดถนนด้านหลังโรงพยาบาลอันเงียบสงัดไร้ผู้คน จากนั้นเธอก็เดินหายลับไปในอาคารจอดรถอันแสนแออัด

          “ฮัลโหล...เราคุยกันแล้วไม่ใช่หรอ...”

          เสียงหมอหญิงที่กำลังคุยโทรศัพท์เริ่มห่างออกไปจนไม่ได้ยิน คนทั้งสองทิ้งตัวลงนั่งรอตรงเก้าอี้พลาสติกที่ถูกเชื่อมไว้ด้วยเหล็กเป็นแนวอย่างเบื่อหน่าย

          “เราอยากกลับบ้าน...”

          มะลิบ่นอุบอิบ ทำให้เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆหรี่ตายิ้มเย้ยเบาๆ

          “อย่าบ่นไปเลยน่าเจ้านก แกต้องทำหน้าที่ของมนุษย์บ้าง จะมามัวเอาแต่ใจอยู่ไม่ได้”

          “แกไม่เข้าใจเราหรอกเจ้าแมว เพราะแกไม่มีบ้านให้กลับ...”

          ถึงนินจาจะฉุนขึ้นที่ถูกเจ้านกซื่อบื้อพูดสวนมาแบบนี้แต่เขาก็เถียงไม่ออก แมวจรอย่างเขาไม่มีที่ให้กลับ ไม่มีแม้แต่คนจะให้คิดถึง สีหน้าหงุดหงิดเมื่อครู่อ่อนลง แมวน้อยเหม่อลอยนึกถึงใครบางคนขึ้นมา...

          ...ใครบางคนที่ตั้งชื่อ “นินจา” ให้กับเขา

          “เป็นอะไรของแกเจ้าแมว ทำไมหงอยซะแล้วล่ะ?”

          “ยุ่งน่า!”

          รอยยิ้มชวนหัวฉายขึ้นบนใบหน้าเจ้านกหนุ่ม ถึงอมนุษย์ทั้งสองจะชอบโต้เถียงกันอยู่บ่อยๆ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามิตรภาพกำลังก่อตัวแน่นแฟ้นขึ้นทุกวัน

          “นี่...เจ้านกแสก...ตอนแกอยู่ตัวคนเดียวแกเหงาบ้างรึเปล่า?”

          มะลิเลิกคิ้วประหลาดใจที่ได้ยินคำถามอ่อนไหวจากแมวหนุ่ม ซึ่งปกติชอบทำตัวเหมือนไม่อยากผูกมัดกับอะไร เขายิ้มอย่างอ่อนโยนพลางตอบกลับไป

          “เมื่อก่อนเราไม่เคยรู้จักว่าความเหงาคืออะไร...จนได้มาเจอกับพิน...”

          นินจารู้สึกจุกอยู่ในใจ ความรู้สึกของมะลิกับเขาไม่ได้แตกต่างกันเลย ใครบางคนที่สอนให้เขาได้รู้จักกับความเหงา ใครบางคนที่เขายังคงคิดถึง ต่างกันตรงที่...คนๆนั้นไม่ได้อยู่เคียงข้างคอยให้ความรักความอบอุ่นกับเขาอีกแล้ว...

          “ทำไมมนุษย์หมอถึงไปนานจัง...?”

          เสียงบ่นพึมพำของมะลิเรียกนินจาออกจากภวังค์ นานแค่ไหนแล้วที่แมวจรอย่างเขาไม่ได้มานั่งพูดคุยปรับทุกข์กับใครแบบนี้

          “ทนรออีกหน่อยเถอะน่า”

          ได้ฟังนินจาพูดแบบนั้นมะลิก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่จนปอดแทบหลุด ใบหน้าก็บู้บี้บึ้งตึงเหนื่อยหน่าย ครู่หนึ่งเขาก็สังเกตเห็นว่าที่ถนนฝั่งตรงข้าม มีคนที่กำลังคิดถึงเปิดประตูลงจากรถท่าทางรีบร้อน เจ้านกตาวาวเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น

          “พิน!”

          นกหนุ่มลุกขึ้นยิ้มดีใจพลางตะโกนเรียกหาเสียงดัง นินจาไม่รอช้ารีบลุกขึ้นตาม ส่วนพินที่เห็นมะลิยืนยิ้มอยู่นั้นส่งยิ้มกลับไปให้คนมองได้ชื่นใจ

          มะลิร้อนรนอยากไปหาพินใจแทบขาดโดยไม่ได้สนใจว่าถนนที่ขวางกั้นระหว่างเขาทั้งสองจะกว้างใหญ่ขนาดไหน เขารีบก้าวลงไปสัมผัสกับพื้นลาดยาง ทว่าจู่ๆถนนที่โล่งว่างอยู่เมื่อครู่ก็มีรถยนต์พุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูงโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดให้คนข้าม

          “เจ้านก! ระวัง!”

          แมวหนุ่มตะโกนเตือนเสียงลั่น แสงไฟหน้ารถฉายวาบจนตาพร่า ขายาวๆที่ก้าวข้ามอยู่หยุดชะงักด้วยความตกใจ เด็กหนุ่มพุ่งตัวเข้าผลักมะลิออกให้พ้นทาง แรงรถที่วิ่งมาด้วยความเร็วปะทะเข้ากับร่างของนินจาผู้น่าสงสารอย่างรุนแรงจนกระเด็นลอยข้ามตัวรถไป

          รถคันนั้นขับหนีไปอย่างรวดเร็ว พินกับมะลิตกใจสุดขีดรีบวิ่งมาดูแล้วก็พบว่า...

          ร่างของนินจาที่ควรจะเป็นมนุษย์ตอนนี้ได้กลับไปเป็นแมวดำที่ไร้ลมหายใจ...

          “นินจา!”

          พินมองภาพเจ้าแมวน้อยด้วยใบหน้าซีดเซียว ทว่ามะลิกลับยังสงบสติอารมณ์เอาไว้ เขาช้อนร่างไร้วิญญาณขึ้นอย่างเบามือจากนั้นจึงลุกขึ้นยืน

          “พิน...กลับบ้าน...”

          “เอ๊ะ? !”

          พินไม่เข้าใจ สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยคำถาม พินคิดว่ายังไงก็โรงพยาบาลสัตว์ก็เป็นทางเลือกที่ดีกว่าบ้านเป็นไหนๆ

          “พิน...เชื่อเรา กลับบ้านเดี๋ยวนี้!”

          ถึงพินจะยังงงกับการตัดสินใจของมะลิอยู่ แต่เขาก็รีบเดินไปเปิดประตูรถแต่โดยดี มะลิขึ้นไปนั่งข้างคนขับโดยมีร่างของเจ้าแมวน้อยอยู่บนตัก

          ‘ครืด’

          โทรศัพท์ของมะลิสั่นเนื่องจากมีคนโทรเข้า นกหนุ่มกดรับสายของหมอไหมอย่างรีบร้อน

          “พิมพ์! พิมพ์อยู่ไหนเนี่ย? เราวนรถลงมาแล้วไม่เจอเลย”

          “ขอโทษทีนะพอดีเรารีบอยู่”

          “แล้ว...”

          ไหมยังพูดไม่ทันจบมะลิกดวางสายไปโดยไม่สนใจ เขาไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะตอบคำถามของใคร ตอนนี้เขาได้แต่เป็นห่วงร่างกายที่ค่อยๆ เย็นลงของแมวนินจา ชายหนุ่มได้แต่หวังว่าสิ่งที่เขาคิดไว้จะถูกต้อง ไม่เช่นนั้นเขาคงต้องรู้สึกผิดกับเพื่อนอมนุษย์ตนนี้

          ไปตลอดชีวิต...



++++++++++++++++



          นินจาน้อยเป็นเพื่อนที่มะลิพึ่งพาได้เสมอนะคะ ถึงแม้ว่าจะเด็กกว่ามากๆก็ตาม แถมยังเข้าอกเข้าใจและเป็นที่ปรึกษาได้ดีแทบจะทุกๆเรื่องอีกด้วย สำหรับตอนนี้เรามาเอาใจช่วยนินจากันดีกว่าค่ะ  มาติดตามกันต่อได้ในตอนหน้านะคะว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าเหมียวตาสองสีของเรา  ขอบคุณที่คอยติดตามนะคะ




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-08-2019 18:13:37 โดย Timid Lily »

ออฟไลน์ Timid Lily

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0

บทที่12 : นินจา

      เสียงนกร้องเป็นสัญญาณเช้าวันใหม่ ร่างกายเล็กๆของเด็กชายขดอยู่ใต้ผ้าห่มอย่างมีความสุข เขาบิดขยับตัวเล็กน้อยเมื่อสัมผัสได้ถึงสิ่งรบกวน อุ้งเท้าเล็กเยื้องย่างมาตามผ้าห่มก่อนจะถูไถไซร้ศีรษะปุกปุยเข้ากับใบหน้าที่ยังไม่ลืมตาตื่น

          “แง้ว...”

          “อืม...”

          คนงัวเงียลืมตาขึ้นทีละน้อยก็พบว่า ลูกแมวน้อยสีดำสนิทกำลังจ้องมองเขาด้วยดวงตาสองสีน่าพิศวง

          “นินจา...มาปลุกเมฆหรอ?”

          เด็กชายอุ้มลูกแมวน้อยขึ้นมาคลอเคลีย ทางด้านเจ้าเหมียวก็ดูมีความสุขไม่น้อยเช่นกัน

          ‘หอมจัง...’

          กลิ่นหอมเย็นเอื่อยๆของดอกไม้ลอยแตะจมูก เมื่อลุกขึ้นนั่งเมฆก็พบว่าดอกโมกสีขาวละมุนถูกโปรยเต็มเตียงนอนของเขาไปหมด

          “เอาอีกแล้วนะนินจา...เป็นแมวแท้ๆจะเก็บดอกไม้มาทำอะไรเยอะแยะก็ไม่รู้?”

          นินจาเป็นแมวที่เมฆไปเจอโดยบังเอิญที่วัด ลูกแมวน้อยตัวดำเมี่ยมตาสองสีช่างน่ารักน่าชังจนเด็กชายเมฆต้องขอร้องพ่อกับแม่เพื่อรับมันมาเลี้ยง ที่ตั้งชื่อให้ว่านินจาก็เพราะสีขนดำสนิท และนิสัยชอบแวบหาย แถมยังปราดเปรียวของมัน

          เรื่องประหลาดของเจ้าแมวตัวนี้อีกอย่างก็คือ ทุกคืนนินจาจะไปคาบเอาดอกโมกที่ปลูกไว้หน้าบ้านมาทิ้งไว้บนเตียงนอนของเมฆ ซึ่งพฤติกรรมแบบนี้เด็กน้อยอย่างเขาก็ไม่อาจเข้าใจได้

          “แต่ก็ขอบใจนะ นินจาทำให้เมฆตื่นมาหอมชื่นใจทุกเช้าเลย”

          เมฆยิ้มอย่างมีความสุขพลางเกาคอเจ้าแมวให้ได้เคลิบเคลิ้มน้อยๆ ตั้งแต่ที่เมฆมีนินจามาอยู่ด้วยทั้งคู่ก็กลายเป็นเพื่อนสนิทกันอย่างรวดเร็ว ความผูกพันต่างสายพันธุ์แน่นแฟ้นอบอุ่น ราวกับเป็นชีวิตของกันและกัน

          “เมฆรีบอาบน้ำแต่งตัวได้แล้วนะลูก เดี๋ยวจะไปโรงเรียนสาย!”

          “ครับแม่”

          เด็กชายเมฆวัยเจ็ดขวบ อาศัยอยู่กับครอบครัวที่พ่อกับแม่เป็นข้าราชการทั้งคู่ ทุกเช้าพ่อกับแม่จะไปส่งเขาที่โรงเรียน ส่วนเจ้าแมวนินจาก็จะต้องอยู่เฝ้าบ้านตัวเดียว ชีวิตของเด็กน้อยเริ่มต้นอย่างสดใสทุกวัน ทว่าวันนี้กลับไม่เหมือนเคย...

          “แมวบ้านคุณน่ะเอาอีกแล้วนะ ขโมยปลาที่ตากเอาไว้จนกระจายตกลงมาทั้งเข่ง ของซื้อของขายนะคุณ!”

          เมฆที่แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยในชุดนักเรียนเดินลงบันไดมาชะงักไปเมื่อได้ยินเสียงชายวัยกลางคนโวยลั่นขึ้น

          “ขอโทษจริงๆนะคะ เดี๋ยวดิชั้นจะชดใช้ค่าเสียหายให้ค่ะ”

          “มันหลายรอบแล้วนะคุณ เลี้ยงสัตว์แล้วทำไมไม่ดูแลให้ดี มันก่อกวนคนอื่น แล้วเนี่ยปลาของผมมีลูกค้าสั่งเอาไว้ แค่จ่ายเงินมันจะไปชดใช้ได้ยังไง!”

          คนเป็นแม่ได้แต่ก้มหน้ารับฟังคำต่อว่าจากเพื่อนบ้านแต่โดยดี เธอยอมรับความผิดที่ไม่อาจดูแลสัตว์เลี้ยงให้ดี และปล่อยให้มันไปสร้างความเดือดร้อนแก่เพื่อนบ้าน

          “ถ้าผมเจอไอ้แมวชั่วนี่อีกนะ ผมไม่รับประกันความปลอดภัย ถ้าไม่ดูแลมันให้ดีระวังจะเสียใจ!”

          เจ้าของบ้านส่งเงินให้กับผู้เสียหายจำนวนหนึ่งก่อนที่ชายคนนั้นจะเดินปึงปังกลับบ้านไป นินจาเป็นแมวซุกซน หากพวกเขาคลาดสายตาเมื่อไหร่ เจ้าแมวก็มักจะแอบหนีออกไปไล่นกจับหนูตามประสา ซ้ำร้ายยังชอบขโมยปลาที่บ้านข้างๆนำมาตากไว้อยู่ร่ำไป

          “เมฆเดี๋ยวเอานินจาใส่กรงไว้นะลูก มันจะได้ไม่แอบหนีออกไปข้างนอกอีก”     

          “ครับแม่”     

          คำพูดของชายข้างบ้านทำให้เด็กน้อยกังวล เขาเองก็กลัวว่าเจ้าแมวตัวแสบจะแอบหนีออกไปก่อเรื่องอีก คราวนี้มันอาจจะโดนตีจนเจ็บตัวกลับมาก็เป็นได้

          “นินจาเข้ากรงนะ แล้วเดี๋ยวเมฆกลับมาเล่นด้วย...”

          เด็กชายอุ้มเจ้าแมวไม่รู้อีโหน่อีเหน่เข้ากรง เมื่อปิดกรงนินจาก็ตะกุยประตูอยากจะออก เมฆได้แต่มองส่งตาปริบๆและออกจากบ้านเพื่อรีบไปโรงเรียน





          ชีวิตของเมฆและนินจาวนเวียนอยู่แบบนี้ ช่วงกลางวันที่ไม่มีใครอยู่บ้านเจ้าแมวน้อยต้องถูกขัง และได้รับอิสระอีกครั้งเมื่อเจ้าของกลับมา จนกระทั่งมีข่าวดีมาถึง พ่อของเมฆได้เลื่อนตำแหน่งให้ย้ายไปทำงานที่ภาคเหนือ ซึ่งครอบครัวของเขาตัดสินใจจะย้ายไปด้วยกันทั้งหมดรวมถึงเจ้าเหมียวนินจาด้วย โดยพวกเขาตั้งใจจะเก็บบ้านหลังนี้ไว้ให้คนเช่า

          “เมฆแน่ใจแล้วนะว่าไม่มีอะไรจะเก็บใส่ลังแล้ว”

          “ครับพ่อ”

          ชายผู้เป็นพ่อเอ่ยถามลูกน้อยพลางยกข้าวของเก็บลงท้ายรถ วันนี้เป็นวันที่ครอบครัวของเมฆจะออกเดินทางไปยังบ้านหลังใหม่ ซึ่งข้าวของบางส่วนได้ถูกส่งไปก่อนแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงเก็บตกข้าวของที่เหลือเล็กๆน้อยๆเพียงเท่านั้น

          “เมฆลูก...เห็นนินจาบ้างรึเปล่า? แม่นึกว่ามันอยู่ในกรงแต่ก็ไม่มี”

          เด็กชายที่ยุ่งวุ่นวายกับการจัดเก็บสัมภาระถึงกับหน้าตื่น เขายุ่งจนไม่ได้สนใจสัตว์เลี้ยงจอมซนมากว่าครึ่งค่อนวัน เขาลืมไปด้วยซ้ำว่าจะต้องขังมันไว้ระหว่างที่ทุกคนกำลังยุ่งกันอยู่ เมฆรีบเดินเข้าไปตะโกนเรียกหาแมวน้อยข้างในบ้านโดยที่พ่อกับแม่ก็ช่วยกันออกตามหาอีกแรง

          “นินจา! เมี้ยวๆๆๆ”

          เมฆไม่เห็นร่องรอยของสิ่งมีชีวิตใด เขาตัดสินใจกลับขึ้นไปที่ห้องนอนของเขาอีกครั้งแล้วก็พบว่าเจ้าแมวน้อยนอนแผ่อยู่ในห้อง

          “โถ่เอ๊ย! นึกว่าหายไปไหน มานอนขี้เกียจอยู่ที่นี่เอง...”

          เด็กชายเดินเข้าไปใกล้ ทว่าดวงตาที่เคยสดใสของนินจากลับเบิกค้างไว้ ร่างกายแข็งนิ่งสนิทไม่มีร่องรอยการหายใจ อีกทั้งยังมีน้ำลายที่จับตัวเป็นฟองฟูมปากให้เห็น

          “นินจา! นินจาเป็นอะไร?!”

          เมฆอุ้มร่างแมวน้อยขึ้นพลางเขย่ากกกอดน้ำตาไหล เขาร้องเรียกนินจาเสียงดังลั่นจนพ่อกับแม่วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาดู

          “พ่อ! แม่! พานินจาไปโรงพยาบาลที”

          เมฆพูดน้ำเสียงสั่น ใบหน้าอาบไปด้วยน้ำตา พ่อกับแม่ที่เดินเข้ามาสำรวจดูร่างของนินจาก็เอ่ยขึ้นเสียงเครือสงสารลูกน้อยจับใจ

          “นินจามัน...ตายแล้วลูก...”

          ได้ยินดังนั้นเด็กน้อยก็ปล่อยโฮพลางเอ่ยถามอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ฟัง

          “มันตายได้ยังไง? ผมไม่เชื่อ พ่อพานินจาไปโรงพยาบาลเถอะนะ”

          “มันน่าจะถูกวางยาเบื่อน่ะลูก ที่ปากมันยังมีเศษอาหารอยู่เลย...”

          สตรีผู้เป็นแม่เอ่ยตอบลูกชายพลางอธิบายให้เข้าใจ ถึงแม้ครอบครัวจะเสียใจถึงการจากไปของสมาชิกตัวน้อย ทว่าพวกเขาก็ไม่มีเวลามาคร่ำครวญเนื่องจากการเดินทางอันยาวไกลกำลังรออยู่

          “ใครทำนินจา? ทำไมต้องฆ่ามันด้วย? ใจร้ายที่สุดเลย!”

          เด็กชายสะอื้นร้องไห้แทบขาดใจ พ่อกับแม่นั้นรู้ดีว่าเป็นฝีมือใครแต่ก็ไม่อาจไปกล่าวหาโดยไม่มีหลักฐาน พวกเขาได้แต่นึกเสียใจที่ไม่ดูแลแมวน้อยดวงใจของลูกชายไว้ให้ดี

          “นินจาไปสบายแล้วล่ะลูก...เอามันไปฝังกันเถอะนะ”

          “เมฆอยากให้นินจาไปอยู่บ้านใหม่กับเราน่ะแม่ ทำไมนินจาต้องมาตายด้วย?”     

          น้ำตายังคงไหลรินออกมาไม่มีทีท่าว่าจะหยุด แมวที่เป็นเพื่อนรักของเขา เล่นด้วยกัน นอนด้วยกัน กินด้วยกัน

          ต่อไปนี้จะไม่มีอีกแล้ว...

          ดวงตาสองสีงดงามที่เคยมองจ้องเขาอย่างไร้เดียงสาตอนนี้สะท้อนเพียงความว่างเปล่า





          ใต้ต้นโมกใบเขียวชอุ่มหลุมลึกได้ถูกขุดขึ้น ร่างไร้วิญญาณของเจ้าแมวน้อยถูกวางลงอย่างเบามือ ดอกโมกสีขาวสะอาดตาถูกโปรยลงส่งกลิ่นเย็นไปทั่ว คนทั้งสามช่วยกันนำดินกลบร่างที่แน่นิ่งไร้ลมหายใจนั้น...ทีละเล็ก...ทีละน้อย จนในที่สุดเจ้าแมวดำก็ถูกผืนดินกลืนกินหายลับไปจากสายตา

          เด็กชายนั่งมองภาพตรงหน้าน้ำตาหยดแล้วหยดเล่าร่วงหล่นพรมหลุมศพของสิ่งมีชีวิตแสนรัก เมฆได้แต่พร่ำโทษตัวเองซ้ำไปซ้ำมาที่ดูแลนินจาไม่ดีจนต้องมาพบกับจุดจบเช่นนี้

          “นินจา...เมฆขอโทษ...เมฆรักนินจาที่สุดเลยนะ...”





          ‘เมฆอย่าร้องไห้เลยนะ...เราก็รักเมฆนะ...’





          คืนนั้น...ใต้ต้นโมกในบ้านที่ไร้ผู้คน ร่างๆหนึ่งตะกุยขึ้นจากหลุมลึก แมวดำท่าทางอ่อนล้ากระโจนขึ้นจากหลุมดินทุลักทุเล มันสะบัดเอาดินออกจากตัวกระจายเปรอะเปื้อนไปทั่ว ดวงตาสองสีนั้นกะพริบเล็กน้อยอย่างที่ตนเองก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่า...

          ...เขา...เป็นอมนุษย์แมว





          ‘อา...ใช่แล้ว...หลังจากนั้นเราก็กลายเป็นแมวเร่ร่อนมาจนถึงทุกวันนี้...’





          “เฮือก!”

          จู่ๆร่างที่ไร้ลมหายใจแน่นิ่งอยู่เมื่อครู่ก็พลันสะดุ้งขึ้นพงาบงับเอาอากาศเข้าสู่ปอด ม่านตาสองสีหรี่ขยายปรับรับแสงสว่างจากดวงไฟสลัวภายในห้อง นินจาค่อยๆขยับตัวขึ้นอย่างอ่อนแรง เมื่อกวาดสายตาออกไปก็พบใบหน้ายินดีของชายหนุ่มคนหนึ่งจ้องมองเขาอยู่ไม่ห่าง

          “นินจาฟื้นแล้ว! โล่งอกไปที...”

          พินกระตือรือร้นรีบเอาน้ำใส่ชามเล็กๆส่งให้กับแมวเหมียว นินจาก้มลงตวัดน้ำเข้าปากอย่างหิวกระหาย

          “ชั้นดีใจมากเลยนะที่นินจายังไม่ตาย”

          แมวดำหยุดชะงักเงยหน้าขึ้นสบตามองชายหนุ่ม

          “ความจริงเราตายไปแล้วต่างหาก...”

          “หา?!”

          “อมนุษย์แมวอย่างเราสามารถตายแล้วฟื้นได้ถึงเก้าหน ถ้านับดูแล้วนี่เป็นครั้งที่สี่ที่เราเสียชีวิต”

          นินจาเอ่ยขึ้นอย่างภาคภูมิใจ ทว่าคนอีกคนที่กำลังฟังอยู่กลับหัวเราะขำขึ้นมา

          “เราว่าแกใช้ชีวิตเปลืองมากกว่าเจ้าแมว แถมเหมือนเป็นเวรกรรมที่ต้องทนทรมานจนตายถึงเก้าครั้งกว่าจะได้จากโลกนี้ไปอย่างสงบ”

          “ปากดีนักนะเจ้านกแสก ถ้าเราไม่ช่วยเอาไว้ป่านนี้แกนั่นแหละอาจจะได้ตายอย่างสงบแทน อย่าคิดนะว่าถ้าหนนี้วิญญาณแกออกจากร่างไปแล้วนึกจะไปสิงใครก็สิงได้ง่ายๆน่ะ!”

          นินจาต่อปากต่อคำกลับไป สิ่งที่เจ้าแมวหนุ่มพูดนั้นทำให้เกิดความขุ่นข้องสงสัยขึ้นในใจพิน

          “หมายความว่ายังไงหรอ?”

          “ก็หมายความว่า...ถ้าวิญญาณออกจากร่างแล้วไม่เจอกับกายหยาบที่เหมาะสมและยังใช้การได้ เราก็จะตายไปจริงๆไงล่ะ...”

          มะลิเอ่ยขึ้นอธิบาย พินที่ได้ฟังดังนั้นก็ใจเสีย เขาเข้าใจอะไรหลายๆอย่างผิดเกี่ยวกับเจ้านกตัวนี้มาโดยตลอด เรื่องที่เข้าใจว่าอมนุษย์พวกนี้คิดอยากจะทำอะไรก็ได้กลับไม่เป็นอย่างที่คิด

          “ถ้าอย่างนั้นมะลิก็ต้องยิ่งระวังตัวให้มากรู้รึเปล่า...ครั้งนี้เพราะมะลิประมาทเลยทำให้นินจาต้องมารับเคราะห์ไปด้วย...มะลิอย่าทำให้ชั้นเป็นห่วงไปกว่านี้เลยนะ...”

          พินเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วงแทบขาดใจ ใบหน้าซีดเซียวลงอีกครั้ง ความรู้สึกที่เต็มอยู่ในใจของชายหนุ่มตอนนี้ ทำให้รู้สึกว่าหากเกิดอะไรขึ้นกับมะลิ เขาคงจะทนรับมันไม่ไหว

          “พิน...เราขอโทษนะ...”

          มะลิสบตามองใบหน้าสวยเศร้าหมองที่มองมา เขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่เอ่อล้นมากระทบให้ในใจสั่นไหว แขนแข็งแรงโอบกระชับร่างบางแนบแน่น...แน่นจนรู้สึกได้ถึงหัวใจของอีกฝ่ายที่กำลังเต้นแรง

          “อะแฮ่ม!”

          เจ้าแมวกระแอมเป็นสัญญาณให้คนที่กำลังสร้างโลกส่วนตัวได้รับรู้ว่าเขาก็มีตัวตนอยู่ตรงนี้เช่นกัน พินจึงรีบผละตัวออกจากมะลิด้วยความประหม่า

          “เราว่า...เราขอตัวก่อนดีกว่า เราได้รับไอวิญญาณหนูจากพินมาเยอะจนสดชื่นมากแล้ว เราไปก่อนนะ”

          พูดจบนินจาก็รีบกระโจนออกไปทางระเบียง ปล่อยให้คนสองคนได้ใช้เวลาร่วมกันต่อไป

          “เอ่อ...มะลิไม่เป็นไรก็ดีแล้วล่ะ...ชั้น...”

          นกหนุ่มคว้าร่างบอบบางเข้ามากอดแน่นไว้อีกครั้ง ไม่รู้ว่าเขาคิดมากไปเองหรือเปล่า แต่มะลิรู้สึกราวกับว่าเหตุการณ์นี้อาจไม่ใช่อุบัติเหตุ เขาซบใบหน้าลงบนบ่าแคบๆพลางพยายามข่มใจจากความกลัว...

          ...ความกลัวที่ว่าสักวันหนึ่งเขาจะต้องพลัดพรากจากพินไป

          คนที่ตอนนี้เขากำลังหลงรักจนหมดหัวใจ...





          “พิน...ขอเราอยู่แบบนี้ซักพักนึงนะ...”

          คนถูกกอดให้ความเงียบช่วยเป็นคำตอบ เขาสวมแขนกอดตอบกลับร่างสูงแนบแน่นชิดใกล้

          ...ในใจอ่อนไหวหวาดหวั่น



++++++++++++++++



          กิมมิคเล็กๆ ที่เราใช้กับนินจาความจริงแล้วความเชื่อเรื่องแมวเก้าชีวิตเป็นความเชื่อของทางฝั่งยุโรปนะคะ ว่าเป็นแมวของแม่มด ทำให้แมวดำถูกฆ่าตายไปมหาศาลเลยทีเดียว >< นอกจากนี้ยังมีความเชื่อทางอียิปต์ที่คล้ายๆ กันด้วยค่ะ ถ้าใครสนใจลองไปกูเกิ้ลดูได้เน้อ

          ขอบคุณสำหรับการติดตามเช่นเคยนะคะ แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าค่า


ออฟไลน์ Timid Lily

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0

บทที่13 : งูขาว

          บรรยากาศครึกครื้นเต็มไปด้วยความสำเร็จยินดีของเหล่านักศึกษา ทั่วทั้งบริเวณมหาวิทยาลัยถูกประดับประดาไปด้วยลูกโป่งหลากสี เหล่าผู้คนเข้ามาร่วมแสดงความยินดีจนแน่นขนัดไปทั่วทุกพื้นที่ ชายหนุ่มในชุดครุยสีดำสวมแว่นกันแดดพรางสายตาจากแดดจ้ายืนยิ้มหวานถ่ายรูปร่วมกับเหล่าญาติสนิทมิตรสหายที่มาร่วมงานรับปริญญา ในมือถือดอกไม้ช่อใหญ่สวยงามรับกับคนถืออย่างน่าประหลาด

          “พินขอยืมแว่นแกหน่อยดิ”

          กั้งพูดจบก็ไม่รอให้พินตอบรับ เธอเอื้อมมือไปคว้าแว่นกันแดดออกจากใบหน้าของเพื่อนหนุ่มแล้วนำมงคลดอกไม้สุดน่ารักที่เธอใส่อยู่ไปสวมให้เป็นการแลกเปลี่ยน

          “คนคูลอย่างชั้นนี่ถึงต้องใส่แว่นกันแดด ส่วนมุ้งมิ้งอย่างแกก็ใส่มงกุฎดอกไม้ไป”

          หญิงสาวพูดพลางโพสท่าทะเล้นถ่ายรูปไปด้วย ส่วนพินก็ได้แต่มองท่าทางบ้าๆบอๆของกั้ง เขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าทำไมเพื่อนๆถึงต้องยัดเยียดของสวยๆงามๆใส่เขาตลอดเวลา ชายหนุ่มอย่างเขาก็อยากจะมีมุมเท่ๆเหมือนคนอื่นบ้าง

          “น่ารักดีนะพิน โคตรเหมาะกับแกเลยว่ะ”

          ม่อนเอ่ยขึ้นเอ็นดูเพื่อนหนุ่ม เธอช่วยเอามือเขี่ยผมที่ยุ่งเหยิงด้วยฝีมือกั้งให้เป็นทรงตามเดิม

          “พ่อ แม่!”

          พินฉีกยิ้มดีใจเมื่อเห็นบุพการีทั้งสองเดินเข้ามาหา ตอนนี้งานของพ่อที่อินเดียได้เสร็จสิ้นลงแล้ว ส่วนแม่ก็จัดการธุระที่สวนมะลิเรียบร้อย ทุกคนได้กลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันเช่นเคย

          “รถติดมั้ยครับ?”

          “นิดหน่อยน่ะลูก แต่ที่มาช้าก็เพราะเจ้าพิมพ์นี่แหละ หายหัวไปไหนไม่รู้ตั้งแต่ที่พินออกมา กว่าจะกลับมาอีกทีก็สายป่านนี้แล้ว”

          คนเป็นแม่บ่นระงมเหนื่อยหน่ายกับลูกชายคนโต ที่เมื่อสังเกตดูดีๆเจ้าลูกชายคนนี้กลับไม่ได้เดินตามหลังมาอีกต่างหาก

          “อ้าว! แล้วเจ้าพิมพ์หายไปไหนอีกแล้วล่ะพ่อ?”

          “เออนั่นสิ เมื่อกี้มันยังเดินตามมาอยู่เลย แว่บหายไปไหนอีกแล้ว”

          ชายวัยกลางคนเอ่ยขึ้นพลางบีบขมับเบาๆ เขานึกห่วงชายหนุ่มที่ความทรงจำยังไม่สมประกอบกลัวว่าจะไปป้ำๆเป๋อๆหลงทางอยู่ที่ไหน

          “เดี๋ยวพินลองเดินหาดูแถวๆ นี้ก็ได้ครับ พี่พิมพ์คงไม่หลงไปไหนหรอก”

          ชายหนุ่มฝากช่อดอกไม้ไว้กับผู้เป็นพ่อก่อนจะเดินผละออกมา ไม่ทันที่พินจะได้ก้าวขาไปไหนไกลชายหนุ่มผิวขาวสว่างราวกับหลอดไฟเดินได้ก็ปรากฏตัวออกมา

          “มะลิ!”

          พินตะโกนเรียกนกหนุ่มที่ท่าทางหลุกหลิกอยู่จนสะดุ้งขึ้น มะลิพยามยามเอี้ยวตัวหลบพลางซุกอะไรบางอย่างขยุกขยิกไว้ข้างหลัง

          “มะลิ...ซ่อนอะไรอยู่น่ะ?”

          “เอ๊ะ! อ๋อ...เปล่าซักหน่อย ไม่มีอะไร!”

          ชายหนุ่มในมงคลดอกไม้เลิกคิ้วมองคนตรงหน้าอย่างไม่เชื่อ พินขยับตัวเข้าไปใกล้พยายามชะเง้อไปมองด้านหลังของนกหนุ่มซ้ายทีขวาที แต่มะลิก็เอี้ยวตัวหนีทุกครั้งไป

          “มะลิแอบทำอะไรไม่ดีอยู่ใช่มั้ย? สารภาพมาเดี๋ยวนี้”

          พินรุกไล่ชายหนุ่มมากขึ้น มือไม้ก็พยายามคว้าแขนขาวของชายหนุ่มเพื่อดึงมือออกมาดูให้เห็นกับตาว่าเจ้านกตัวแสบแอบซ่อนอะไรเอาไว้

          “เปล่าซะหน่อย ไม่มีอะไรจริงๆ”

          “ชั้นไม่เชื่อหรอก!”

          คนตัวบางยืนเบียดกระชั้นเข้าไปใกล้ มื้อเรียวหยอกแหย่จี้เอวนกหนุ่มจนสะดุ้งหัวเราะ ดูเหมือนว่ามะลิเองก็บ้าจี้อยู่ไม่น้อย

          “ฮ่าๆ ๆ ๆ ...โอ๊ย! พอแล้วพินเรายอมแล้ว ปล่อยเราก่อนเราไม่แอบแล้ว”

          หลังจากที่หัวเราะจนเหนื่อย มะลิก็เอี้ยวตัวไปขยุกขยิกอยู่ด้านหลังอีกครั้ง ในมือมีดอกมะลิช่อเล็กจิ๋วประดับด้วยริบบิ้นสีขาวบนก้าน เขายื่นส่งให้คนตรงหน้าพร้อมรอยยิ้มหวาน

          “เราให้พิน...ยินดีด้วยนะ”

          พินรับดอกไม้น้อยเอาไว้ เขามองชื่นชมอย่างสุขใจก่อนจะมองมะลิกลับไปด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้มที่สวยงามกว่าทุกอย่างบนโลก ทำเอาหัวใจของนกหนุ่มเต้นตูมตามจนแทบจะทะลุออกมาจากในอก

          “โห...ยิ้มจนแก้มจะแตกอยู่แล้ว! แกดีใจหรือไงที่ได้เลื่อนขั้นจากน้องชายไปเป็นแม่น่ะ!”

          “ไอ้กั้ง!”

          เสียงเพื่อนตัวดีเอ่ยล้อขึ้นมา กั้งยกมือไหว้ทักทายคนพี่ก่อนจะยิ้มยียวนใส่คนน้องจนทำให้พินปั้นหน้าไม่ถูกไปกันใหญ่

          “เอ้าเอาเข้าไปยิ้มกันอยู่นั่นน่ะ ทั้งพี่ทั้งน้องเลย ชั้นล่ะปวดหัว”

          ยังคงไม่หยุดแซว กั้งพูดเสียงดังยิ้มล้อไปเรื่อย จนพินต้องบ่นให้เธอหยุดปาก

          “เงียบไปเลย!”

          “อะแหนะๆ ทำเป็นเขิน เด็กติดพี่เอ๊ย!”

          พินยังคงยิ้มเขินหัวเราะน้อยๆกับพฤติกรรมของเพื่อนพลางช้อนตามองคนตัวสูง ที่ตอนนี้กำลังจ้องลึกมองเขาไม่ละสายตาไปไหน หญิงสาวเห็นภาพตรงหน้าก็ได้แต่ยักไหล่ขึ้นน้อยๆอย่างไม่ค่อยเข้าใจ ก่อนจะผละกลับไปโหวกเหวกโวยวายหยอกเอินเพื่อนม่อน เหยื่อคนถัดไปที่แฟนหนุ่มของเธอแจ้นมาหาถึงคณะแทน

          ชายและหญิงวัยกลางคนเดินเข้ามาหาลูกชายทั้งสองที่ยืนคุยหนุงหนิงกันอยู่ไม่ไกลโดยที่มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินตามหลังมา ในมือของเธอถือตุ๊กตาหมีน่ารักสวมชุดครุยยื่นส่งในกับชายหนุ่มอายุน้อยกว่า

          “ยินดีด้วยนะน้องพิน”

          “ขอบคุณครับพี่ชิชา”

          พินยกมือไหว้ก่อนจะรับของขวัญเอาไว้ หญิงสาวยิ้มอ่อนหวานให้พลางเหลือบมองชายหนุ่มที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของเธอพลางทอดถอนใจ ภาพของคนทั้งห้าที่ยืนรายล้อมกันถ้าใครเห็นก็คงจะมองว่าเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์ หากไม่ติดที่ว่าความเป็นจริงสามีภรรยาคู่นี้กลับมีปัญหาคาใจต่อกัน

          “พิน!”

          เสียงหญิงสาวอีกคนตะโกนเรียกหาชายหนุ่มอย่างร่าเริง ไหมเดินฉับๆเข้าหายิ้มร่ามาแต่ไกล ทำให้ชิชาที่ยิ้มหน่ายอยู่เมื่อครู่ขมวดคิ้วขรึมมองจ้องไปไม่สะดวกสบายใจ

          “นึกว่าจะมาไม่ทันซะแล้ว ยินดีด้วยนะพิน”

          ไหมพูดขึ้นเสียงใส เธอยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองไวๆพลางถุงส่งขนมของฝากจำนวนมากไปให้ และไม่ลืมที่จะมอบของขวัญแก่ชายหนุ่มที่เธอเอ็นดูเสมือนน้องชายแท้ๆ อีกคนหนึ่ง

          “ขอบคุณมากครับพี่ไหม”

          “พี่รีบขับรถออกมาตั้งแต่เช้ารถติดสุดๆ โชคดีที่มาทัน”

          ถึงแม้ว่าคนสองคนจะสนทนากันอย่างสดใสร่าเริงขนาดไหนแต่ก็ไม่อาจทำลายบรรยากาศอึมครึมที่เริ่มก่อตัวขึ้นเนื่องจากการมาพบกันของหญิงสาวทั้งสองไปได้ ชิชาถอนหายใจเสียงดังอย่างจงใจ จนไหมเหลือบไปมองหน้านิ่ว

          “ไหนๆก็มากันพร้อมหน้าแล้ว เย็นนี้ไหมกับชิชาไปกินข้าวเย็นด้วยกันมั้ยลูก? แม่ตั้งใจทำสุดฝีมือเลยนะ ฉลองให้กับเจ้าพินเค้า”

          “ไม่ดีกว่าค่ะ”

          เสียงหญิงสาวทั้งสองปฏิเสธขึ้นเสียงแข็งพร้อมเพรียงกันจนคนฟังหน้าเจื่อน

          “เอ่อ...พอดีชิชาต้องรีบกลับน่ะค่ะ คืนนี้ชิชามีบิน ต้องขอโทษจริงๆนะคะคุณแม่”

          หญิงสาวผิวน้ำผึ้งเอ่ยขึ้นอย่างเกรงใจ เธอรู้สึกผิดเล็กน้อยที่อาจทำให้แม่สามีต้องเสียความรู้สึก

          “ไหมก็ต้องรีบกลับไปดูบ้านค่ะ พอดีหนนี้ไหมไม่ค่อยมีเวลา ไว้โอกาสหน้าแล้วกันนะคะ”

          หมอหญิงปฏิเสธอย่างสุภาพ ส่วนคนชวนก็ไม่ได้ติดใจอะไร เธอพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ

          “พิน! ได้เวลาเข้าหอประชุมแล้ว!”

          เสียงม่อนตะโกนเรียกเพื่อนมาแต่ไกล พินลุกลนยกแขนขึ้นดูนาฬิกา จากนั้นจึงเอ่ยลาทุกคนก่อนจะเข้าไปข้างใน

          “พินต้องเข้าไปข้างในก่อนแล้ว เจอกันเย็นนี้นะครับ ขับรถกลับกันดีๆนะ”

          เขายกมือไหว้ลาทุกคนก่อนจะรีบเดินตามกลุ่มเพื่อนเข้าไป ทิ้งไว้เพียงบรรยากาศน่าอึดอัดระหว่างหญิงสาวสองคนที่เหลือบสบตากันบึ้งตึง ส่วนอีกหนึ่งชายหนุ่มได้แต่ถอนหายใจอย่างไม่มีความสุขนัก





          เวลาเย็นที่ตะวันคล้อยไป เงาร่มปกคลุมแทนที่แสงแดดจัดจ้า เด็กหนุ่มผิวเข้มท่าทางทะมัดทะแมงกำลังยืนฉีดรดน้ำต้นโมกมอบความชุ่มฉ่ำคลายร้อนให้แก่พืชใบเขียว

          หลายสัปดาห์แล้วที่บ้านหลังนี้...บ้านที่นินจาเคยใช้ชีวิตอยู่สมัยตอนยังมีเจ้าของ ไม่มีผู้เช่าอาศัย ถึงแม้ว่า “โมก” จะเป็นพืชที่ไม่ได้ต้องการน้ำมากนัก แต่ช่วงที่ขาดฝนแบบนี้ นินจาก็อดเป็นห่วงต้นไม้ที่มักจะเป็นร่มเงาพักพิงให้แก่เขาไม่ได้ ต้องแวะเวียนเข้ามาดูแลรดน้ำให้เสียหน่อย

          ‘แกร๊ก...แอ๊ด...’

          มีเสียงเหมือนคนไขประตูรั้วและเปิดเข้ามาโดยที่นินจาไม่ทันตั้งตัว เด็กหนุ่มตัวสูงใหญ่ ใบหน้าเข้มคมคายเดินเข้ามาภายในบ้าน เมื่อเห็นคนแปลกหน้าที่กำลังยืนฉีดน้ำอยู่ก็ร้องถามด้วยความตกใจ

          “นายเป็นใคร? !”

          คนที่ถือสายยางอยู่ก็ตกใจไม่แพ้กัน นินจาสะดุ้งสะบัดสายฉีดน้ำกระจายฟุ้งไปทั่ว ฝ่ามือใหญ่หยาบยกขึ้นปัดป้องใบหน้าจากละอองน้ำที่กระเซ็นเข้ามา ถึงแมวน้อยจะมองเห็นใบหน้าลอดผ่านม่านน้ำและร่องนิ้วมือยาว ทว่าใบหน้านั้นก็เป็นใบหน้าของคนที่เขาจำได้ดี

          คนที่เขาไม่เคยลืม คนที่ครั้งหนึ่งเขาเคยผูกพันรักใคร่...สุดหัวใจ...

          ‘เมฆ!’

          คนตัวโตที่ตอนนี้ร่างกายเปียกชื้นน้อยๆ รีบวิ่งไปปิดน้ำ เขาหันมาสบตาเด็กหนุ่มอีกคนพลางจ้องใบหน้าสายตาคาดคั้น

          “เข้ามาได้ยังไง? !”

          “อะ...ไม่มีอะไร เราแค่มารดน้ำต้นไม่ให้เฉยๆ”

          นินจาเอ่ยตอบอึกอักละล่ำละลัก ตอนนี้เขาดูน่าสงสัยสุดๆ ที่อยู่ๆก็บุกเข้ามารดน้ำต้นไม่ในบ้านของคนอื่น

          “เราเห็นว่าบ้านนี้ไม่มีใครอยู่ก็เลยช่วยมาดูแลให้ ถ้าไม่เชื่อก็ไปค้นดูในบ้านได้เลยว่าไม่มีอะไรหายไป”

          พูดจบนินจาก็รีบเบียดตัวจะวิ่งหนีไปทางประตู ทว่าเด็กหนุ่มที่ตัวสูงใหญ่กว่ารีบคว้าแขนเขาเอาไว้แน่น

          “เดี๋ยว!”

          นัยน์ตาคมจ้องสบมองเด็กนุ่มที่ถูกยื้อไว้ ใบหน้าเล็กๆ ทว่ามีแก้มกลม ดวงตาสุกใสซุกซน จมูกรั้นรับกับริมฝีปากได้รูป ผิวเข้มบ่มแดดตัดแสง ความรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาอย่างประหลาดแล่นขึ้นในความรู้สึกถึงแม้เมฆจะมั่นใจว่าคนๆนี้จะเป็นคนที่ตนไม่เคยพบเจอมาก่อนเลยก็ตาม

          นินจาสะบัดแขนสุดแรงจากนั้นจึงวิ่งหนีไป ปล่อยให้เมฆที่เต็มไปด้วยความสงสัยในใจยืนสับสนนิ่งงัน

          เต็มไปด้วยความอาวรณ์...





          หลังจากเสร็จพิธีรับปริญญากว่าจะได้ปลีกตัวออกมาก็ค่ำมืดแล้ว คนที่มีนัดกับครอบครัวรีบกลับมาที่บ้านด้วยความอ่อนล้า พินเปิดประตูบ้านเห็นพ่อกับแม่กำลังขะมักเขม้นจัดเตรียมอาหารลงบนโต๊ะ

          “พ่อ แม่ สวัสดีครับ”

          “กลับมาแล้วหรอลูก รออีกแป๊บเดียวนะ แม่เตรียมกับข้าวใกล้จะเสร็จแล้ว”     

          หญิงวัยกลางคนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสดชื่น เมื่อเห็นลูกชายเดินเข้ามาในบ้าน

          “พินก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าล้างเนื้อล้างตัวให้สบายก่อนแล้วกัน แล้วก็ช่วยตามเจ้าพิมพ์ลงมากินข้าวด้วยล่ะ”

          “ครับพ่อ เดี๋ยวพินมานะ”

          สิ้นเสียงคนเป็นพ่อ พินรีบเดินขึ้นบันไดมุ่งตรงไปยังห้องนอนของเขาอย่างกระฉับกระเฉง เมื่อเปิดประตูเข้าไป คนที่เขามั่นใจว่าต้องอยู่ในห้องกลับไม่อยู่ มีเพียงลังกระดาษเล็กๆที่ถูกเจาะรูพรุนวางไว้

          “ลังอะไรเนี่ย...?”

          พินเปิดฝาลังที่ถูกปิดไว้อย่างลวกๆออกดู ภายในเขาเห็นสิ่งมีชีวิตตัวเล็กเลื่อมยาวสีขาวบอบบางนอนขดอยู่

          ‘งู?’

          งูน้อยตัวสีขาวยกหัวขึ้นมอง ดวงตาใสราวแก้วสีทับทิมจ้องสำรวจชายหนุ่มท่าทางระแวงระวัง จากที่พินพิจารณาดูงูที่สวยงามตัวนี้คงจะเป็นงูเลี้ยงไม่ผิดแน่ แต่มันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง...

          พลันแล็ปท็อปที่ถูกเปิดไว้ส่งแสงจ้าผ่านหน้าจอดึงดูดความสนใจให้พินหันไปมอง ในนั้นปรากฎข้อความที่ถูกค้นหาทิ้งเอาไว้ว่า “วิธีการชำแหละงูเพื่อนำไปประกอบอาหาร”

          ‘หา?!’

          เสียงประตูเปิดออก พินมั่นใจว่าต้องเป็นฝีมือเจ้านกตัวดีที่เพิ่งกลับจากห้องน้ำ เป็นต้นเหตุที่ทำให้เจ้างูน้อยไม่รู้อิโหน่อิเหน่ต้องมาอยู่ที่นี่

          “มะลิ! นายคิดจะทำอะไรกับเจ้างูตัวนี้?”

          “เจ้านี่หรอ? ก็เป็นอาหารของเราไง งูก็เป็นของโปรดเราเหมือนกัน”

          “ห๊ะ! จะบ้าหรอมะลิ นายจะกินของแบบนี้ได้ยังไง!”

          “ไม่ต้องห่วงพิน เราไม่กินดิบๆหรอก เดี๋ยวรอพ่อกับแม่หลับก่อนแล้วเราจะเอามันไปทำให้สุกก่อนแล้วค่อยกิน”

          “ไม่ใช่อย่างนั้น นายจะกินงูไม่ได้! โดยเฉพาะงูที่เป็นสัตว์เลี้ยงของคนอื่นเนี่ย! มะลิไปเอามันมาจากไหน ป่านนี้เจ้าของตามหาแย่แล้ว”

          “เราเก็บได้ แล้วมนุษย์ที่กินงูก็มีเยอะแยะไป ถ้าเราเอามันไปทำอาหารก่อนยังไงก็กินได้ เราศึกษามาแล้ว”

          พูดจบมะลิก็คว้างูตัวน้อยออกจากกล่องทำท่าจะเดินหนีไป พินตกใจจึงรีบยื้อแย่งดึงน้องงูออกจากมือขาว

          “อย่านะมะลิ! อย่าทำอะไรมันนะ”

          “ปล่อยนะพิน เอาคืนมา งูตัวนี้เป็นของเรา!”

          “ชั้นบอกให้ปล่อย!”

          “ไม่!”

          คนทั้งคู่ยื้อยุดงูน้อยไปมา ปากก็เถียงกันไม่ยอมแพ้ จนงูน้อยเริ่มหวาดหวั่น ความเครียดกลัวกดดันทำให้มันตัดสินใจงับเข้าที่มือของพิน

          “โอ๊ย!”

          มะลิได้ยินเสียงพินร้องก็ตกใจรีบเอาเจ้างูใส่กล่องลงไปตามเดิม เขากุมมือของพินขึ้นมาดูก็พบว่ามีรอยกัดเล็กๆ ทว่าไม่เข้าเนื้อ ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้ทำให้คนโดนฉกตกใจน้อยลงไปเลย

          “งูฉก! ต้องรีบไปโรงพยาบาล!”

          พินโวยวายขึ้นเลิ่กลั่กตาลีตาเหลือก ส่วนมะลิที่เห็นคนกระวนกระวายตรงหน้าก็ยิ้มขำขึ้นมา

          “พินไม่เป็นไรหรอก เพราะเรามองไม่เห็นลางมรณะของพิน”

          “ไม่ได้! ชั้นถูกงูฉก ยังไงก็ต้องไปโรงพยาบาล!”

          “โง่จริง งูนั่นมันมีพิษซะที่ไหนกันเล่า!”

          เสียงหัวเราะคิกคักดังขึ้นมาจากทางระเบียง นินจากระโดดแผวเดินนวยนาดผ่านประตูที่ถูกเปิดแง้มไว้เข้ามาในห้อง พินที่ได้ยินเจ้าก้อนขนสีดำบอกแบบนั้นก็หันไปซัก

          “นินจารู้ได้ยังไงว่าเจ้างูนี่มันไม่มีพิษ? !”

          “พินก็ลองดูที่รอยกัดสิ ถ้าไม่มีรอยเขี้ยวใหญ่ๆ สองจุดก็แปลว่าไม่ใช่งูพิษ...ว่าแต่มีมนุษย์ที่ไหนเค้าเอางูพิษมาเป็นสัตว์เลี้ยงกันด้วยหรอ?”

          นินจาพูดพลางหันไปหรี่ตามองนกมะลิ ก่อนที่อมนุษย์ทั้งคู่จะพร้อมใจกันระเบิดหัวเราะใส่พินเสียงลั่น จนทำเอาคนโดนฉกหน้าง้ำหน้างอ

          “เชื่อเราเถอะพิน...เราเคยโดนงูฉกตายมาก่อน...”

          เจ้าแมวเอ่ยย้ำสร้างความน่าเชื่อถือ พินได้ฟังก็รู้สึกสงสาร ทว่าทำไมมันกลับงี่เง่าน่าตลกในเวลาเดียวกัน

          “ไม่รู้แหละ...เอาเป็นว่าคืนนี้มะลิกลับไปนอนห้องพี่พิมพ์เลย แล้วก็อย่าคิดที่จะทำอะไรเจ้างูตัวนี้เด็ดขาด! ชั้นจะลองตามหาเจ้าของๆมันดู”

          “ไม่เอานะพิน! เราไม่กินงูบ้านี่แล้วก็ได้ แต่อย่าไล่เราไปเลยนะพิน....”

          แน่นอนว่ามะลิงอแงไม่ยอมที่จะถูกเจ้างูหน้าโง่นี่ไล่ที่ไปง่ายๆ เขาอ้อนวอนขอร้องพินที่ไม่มีทีท่าจะใจอ่อน ส่วนแมวนินจาได้ฟังดังนั้นก็ตาวาวขึ้นมา

          “น่าสนุกนี่ เราขอค้างคืนด้วยคนสิ? เจ้านกแสกเราจะนอนเป็นเพื่อนแกเอง!”

          “ได้สินินจา...ส่วนมะลิ! นายต้องทำตามที่ชั้นบอก จนกว่านายจะพิสูจน์ตัวเองได้ว่านายไม่คิดที่จะทำอะไรเจ้างูนี่แล้วจริงๆ”

          นกหนุ่มคอตกอย่างยอมแพ้ มะลิผู้ดื้อด้านก้าวร้าวและที่ไม่เคยกลัวอะไรเลยในชีวิต กลับต้องมาสิโรราบให้กับคนๆนึง

          คนที่ทำให้คิดถึงทุกลมหายใจเข้าออก

          คนที่ไม่ว่าจะทำหน้าแบบไหนก็น่ารักไปหมด

          คนที่เขาอยากครอบครองทั้งกายใจ ไม่อาจให้ใครมาพรากไปได้

          เพียงเพราะ “รัก” คำเดียวเท่านั้น





++++++++++++++++



          ในตอนนี้มะลิได้มอบช่อดอกมะลิจิ๋วให้กับพินพอดีเข้ากับบรรยากาศวันแม่เลยนะคะ ขอบคุณที่คอยติดตามกันเช่นเคย แล้วก็สุขสันต์วันแม่ค่า ^^

ออฟไลน์ Timid Lily

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0

บทที่14 : ดาวเหนือ

          ‘ที่นี่ที่ไหน?’

          ท่ามกลางความว่างเปล่ามืดสนิท พินรู้สึกตัวว่าในความเงียบงันมีแค่เขาอยู่เพียงลำพัง ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ไม่พบเจอใคร

          “มีใครอยู่มั้ยครับ?”

          ชายหนุ่มพยายามส่งเสียงเรียกออกไป ทว่าสิ่งที่ตอบรับกลับมามีเพียงเสียงสะท้อนก้องกังวานของตนเพียงเท่านั้น พินจึงตัดสินใจเดินมุ่งหน้าไปเรื่อยๆ อย่างไร้ทิศทางราวกับคนตาบอด พลันเสียงๆหนึ่งทำให้เขาต้องชะงักเท้าลง เสียงของอะไรบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า ทว่ากระชั้นเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ

          ทั้งๆที่ยังไม่เห็นว่าสิ่งๆนั้นคืออะไร แต่เหงื่อเย็นเริ่มซึมหนาววาบไปทั่วร่าง หัวใจหล่นวูบไปพร้อมๆภาพที่ค่อยๆปรากฏขึ้นตรงหน้า

          งูขาวขนาดมหึมาเลื้อยชูคอขึ้น ดวงตาสีทับทิมจ้องมองมาที่มนุษย์เบื้องหน้า ก่อนที่จะพุ่งตัวเข้าใส่ชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว

          “เหวอ!”

          พินร้องลั่น ขนลุกชันไปทั่วทั้งร่าง ใบหน้าซีดเซียว พร้อมเหงื่อที่ไหลซึม ความกลัวบีบคั้นหัวใจจนแทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ เขาวิ่งแผ่นแน่บโดยไม่แม้แต่จะหันหลังกลับไปมอง

          วิ่ง ต้องวิ่งเท่านั้นถึงจะรอด ทว่าไม่ว่าจะวิ่งไปทิศทางไหนกลับไม่มีที่ให้กำบัง ไม่มีจุดหมาย ไม่มีทางออก ชายหนุ่มหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน เรี่ยวแรงกำลังที่เคยมีค่อยๆ ถดถอยไป เสียงสัตว์เลื้อยคลานที่เคลื่อนเข้ามาใกล้จ้องมองเหยื่อตรงหน้าอย่างสาแก่ใจก่อนจะพุ่งตัวเข้าเกี่ยวกระหวัดรัดร่างกายบอบบางแน่นอย่างไม่ปรานี

          ‘ชะ...ช่วยด้วย...!’



          “เฮือก!”

          ดวงตาคมเบิกโตขึ้น คนที่เพิ่งฝันร้ายหายใจหอบถี่ ทั้งๆ ที่ห้องเปิดเครื่องปรับอากาศไว้ทว่าทั้งร่างกลับมีเหงื่อเย็นซึมไหลไปทั่ว พินค่อยๆตั้งสติผ่อนลมหายใจเข้าออกยาวๆทว่าความรู้สึกอึดอัดราวกับถูกกอดรัดยังไม่หายไปไหน

          เมื่อเขาหลุบตาลงมอง ก็พบว่ามีแขนขาวซีดวางพาดอยู่บนร่างกายผอมแห้งของเขา พินเอี้ยวใบหน้าไปมอง สิ่งที่ปรากฏขึ้นคือชายหนุ่มแปลกหน้านอนเปลือยกายกอดเขาหลับพริ้มอย่างมีความสุข

          “อ๊าก!”

          “เกิดอะไรขึ้นพิน!”

          เสียงแหกปากร้องลั่นนำพาให้ชายไม่ได้รับเชิญอีกสองคนบุกเข้ามาถึงในห้อง ตอนนี้ชายแปลกหน้าที่หลับพริ้มอยู่เมื่อครู่ตื่นขึ้นเต็มตาแล้ว เขาลุกขึ้นมานั่งขยี้ตาพร้อมหาววอดเบ้อเร่อ

          “แก! ไอ้งู!”

          มะลิเกรี้ยวกราดจ้องขึงไปยังชายหนุ่มที่ยังง่วงซึมตรงหน้า ที่บังอาจมานอนเกาะแกะคนที่เขาทึกทักเอาเองว่าตนเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ นกหนุ่มรู้ในทันทีว่า ชายหนุ่มสูงโปร่ง ผิวขาวซีด ดวงตาเรียวดุ ที่ผมเผ้ากำลังยุ่งเหยิงจากการนอนหลับเมื่อครู่ คือเจ้างูที่เขาตั้งใจจะนำมาเป็นอาหารนั่นเอง

          “ไงเจ้างู เพิ่งเคยกลายร่างเป็นมนุษย์ครั้งแรกใช่รึเปล่า?”

          งูหนุ่มพยักหน้าตอบรับให้กับนินจา เขาเองก็ไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับตัวเองเหมือนกัน ตอนนี้เขารู้เพียงอย่างเดียวว่า ท่าทางเขาจะไม่ใช่งูปกติธรรมดา

          “ท่าทางเจ้างูนี่จะได้ไอวิญญาณหนูจากพินเข้าไปน่ะ พลังก็เลยตื่นขึ้นมา”

          นินจาเอ่ยขึ้นให้ทุกคนฟัง สำหรับพินไอ้เรื่องที่พลังตื่นขึ้นเพราะเขาเป็นต้นเหตุก็ยังไม่แปลกเท่ากับเรื่อง...

          “แล้วทำไมต้องโป๊ด้วยล่ะ? !”

          “พวกอมนุษย์ตอนแปลงกายครั้งแรกก็เป็นแบบนี้แหละ ต้องไปขโมยเสื้อผ้ามนุษย์เอา”

          นกหนุ่มเอ่ยขึ้นพลางผลักตัวเจ้างูชีเปลือยให้ออกไปห่างๆ คนของเขา พินเห็นว่าท่าจะไม่ดีที่จะปล่อยให้เจ้างูน้อยอยู่ในสภาพเช่นนี้จึงรีบผละตัวออกไปทางประตู

          “รอนี่เดี๋ยวนะ ชั้นจะไปเอาเสื้อผ้ามาให้”

          พินปิดประตูห้องลงอย่างเบามือ ทว่าเขาก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นผู้ใหญ่สองคนยืนมองเขาอยู่

          “พ่อ! แม่!”

          “เป็นอะไรรึเปล่าเจ้าพิน? แม่ได้ยินแกร้องซะเสียงหลงเลย ตกใจหมด”

          ท่าทางเขาจะร้องเสียงดังมากจริงๆ จนทำให้พ่อกับแม่ตื่นขึ้นมา

          “อ๋อ! พินฝันร้ายน่ะแม่...”

          “แล้วจะไปไหนของเราหึ๊?”

          คราวนี้ผู้เป็นพ่อเอ่ยถามบ้าง พินท่าทางยึกยักกลอกตาไปมาก่อนจะชี้นิ้วไปทางประตูห้องน้ำ

          “พิน...ปวดฉี่...จะไปเข้าห้องน้ำ!”

          บุพการีทั้งสองมองหน้ากันพลางถอนใจ โล่งอกไปทีที่ลูกชายคนเล็กไม่ได้เป็นอะไร

          “งั้นก็รีบนอนซะนะลูก แม่กับพ่อไปนอนก่อนนะ”

          หญิงวัยกลางคนเอ่ยขึ้นพลางลูบศีรษะลูกน้อยอย่างอ่อนโยน เมื่อคนทั้งสองกลับเข้าห้องนอนไป พินก็รีบเข้าไปในห้องของพี่ชายพลางรื้อค้นเสื้อผ้า ทุกอย่างคงจะง่ายกว่านี้ถ้างูหนุ่มแปลกหน้าตัวเล็กลงสักนิด เขาจะได้แบ่งปันเสื้อผ้าที่เป็นของตัวเองให้ยืมได้สักชุดสองชุด

          ครู่หนึ่งพินก็กลับมาที่ห้อง เขารีบส่งเสื้อผ้าที่หามาให้เจ้างู ชายหนุ่มผู้งุนงงหยิบเสื้อผ้าขึ้นสวมอย่างทุลักทุเล จนนินจาทนไม่ไหวต้องอาสาเข้าไปช่วยใส่ให้จนเสร็จเรียบร้อย

          “แกเป็นใคร? !”

          คนขี้หวงเอ่ยถามขึ้นเสียงกร้าว เขายืนตัวเบียดติดแนบชิดกับพินราวกลับกลัวว่าจะมีใครเข้ามาแย่ง

          “ผม...เป็นงู อืม...เจ้าของๆผมตั้งชื่อให้ว่าดาวเหนือ”

          คนพูดยังคงสับสนในตัวเอง เขาเอ่ยตอบในสิ่งที่พอจะรู้

          “นายเป็นงูเลี้ยงจริงๆด้วย”

          งูหนุ่มพยักหน้ารับ

          “แล้วบ้านของดาวเหนืออยู่ที่ไหนล่ะ?”

          ดาวเหนือซึมลง ดูเหมือนเขาเองก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน

          “ผมรู้จักบ้าน...แต่ผมหาทางกลับไม่ได้เพราะคนที่บ้านจงใจเอาผมมาทิ้งตอนที่คิมไม่อยู่...”

          “คิม?”

          “คิมคือชื่อของเจ้าของผมเอง”

          เมื่อเอ่ยถึง “คิม” ดวงตาดุๆก็หรี่ลงพลางยิ้มอย่างมีความสุข ดูท่าเจ้างูน้อยจะรักเจ้าของมากทีเดียว ทว่างูหนุ่มก็เศร้าลงอีกครั้งเมื่อเล่าเรื่องราวของตนเองต่อ

          “แต่นอกจากคิม ที่บ้านก็ไม่มีใครต้อนรับผม...”

          ได้ฟังดังนั้นพินก็พอจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้ทั้งหมด เพราะ “งู” ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงที่คนทั่วไปจะยอมรับได้ง่ายๆ คิมคงจะเอาดาวเหนือมาเลี้ยงไว้โดยที่ครอบครัวไม่เห็นด้วยแน่ๆ

          “น่าสงสารจัง...เอาเป็นว่าระหว่างนี้ดาวเหนืออยู่กับชั้นไปก่อนแล้วกันนะ แล้วชั้นจะช่วยนายตามหาเจ้าของอีกแรง”

          “ขอบคุณครับ คุณวิญญาณหนู...ไม่สิ...พิน!”

          ดาวเหนือฉีกยิ้มน่าเอ็นดู ทั้งๆที่ดาวเหนือเป็นชายหนุ่มหน้าตาค่อนข้างนิ่งดุเย็นชา ทว่านิสัยของเขากลับสุภาพนุ่มนวล ช่างแตกต่างกับนกมะลิผู้ก้าวร้าวสิ้นดี

          “เมื่อกี้ผมขอโทษพินจริงๆนะที่ทำให้ตกใจ...”

          “อ๋อไม่เป็นไร จู่ๆมีคนแปลกหน้ามานอนกอดอยู่ก็ต้องร้องโวยวายเป็นธรรมดานั่นแหละ”

          “เปล่าผมไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น ผมหมายถึงในความฝัน...”

          พินฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าก่อนที่เขาจะตื่นขึ้นมาเจอดาวเหนือ เขาฝันว่าโดนงูยักษ์สีขาวรัดจนเกือบตาย

          “นะ...นั่นนายหรอ?”

          ดาวเหนือพยักหน้า ก่อนจะฉายรอยยิ้มกรุ้มกริ่มขึ้นมา

          “ผมเข้าไปบอกเหตุผ่านความฝันให้พินมาน่ะ”

          “ฝันอะไรหรอพิน?”

          มะลิเอ่ยถาม ตาก็จ้องขวางไปทางดาวเหนือ

          “ชั้นฝันว่าโดนงูรัดน่ะ หายใจไม่ออกเกือบตาย!”

          “งูรัดงั้นหรอ?”

          นินจาตาวาวขึ้น ก่อนจะหัวเราคิกคักเอ่ยน้ำเสียงยียวน

          “พินรู้รึเปล่าว่าถ้าฝันว่าถูกงูรัดแปลว่าจะเจอเนื้อคู่”

          พินได้ฟังนินจาพูดแบบนั้นก็หันไปสบตาแมวหนุ่มหน้าตาเหวอ

          “เนื้อคู่อะไรไร้สาระออกไปได้แล้ว!”

          ทั้งๆที่ประโยคนี้ควรจะเป็นคำพูดของเจ้าของห้อง ทว่ามะลิกลับรู้สึกหงุดหงิดกับคำว่า “เนื้อคู่” ขึ้นมาเสียอย่างนั้น นกหนุ่มผลักร่างชายอีกสองคนออกจากห้องไปจากนั้นจึงปิดประตูเสียงดังและล็อกห้องอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้คนทั้งสองได้แต่ยืนงงอยู่ตรงหน้าประตู

          “ไม่เป็นไรนะเจ้างู เราจะนอนเป็นเพื่อนแกเอง”

          ดาวเหนือพยักหน้ารับคำของนินจาอย่างว่าง่าย ก่อนทั้งคู่จะเดินเข้าห้องนอนของพิมพ์ไป



          เหตุการณ์วุ่นวายตอนนี้กลับไปสงบสุขตามเดิม พินทิ้งตัวลงบนที่นอนอย่างมีความสุขทว่า...

          “มะลิทำอะไรเนี่ย! ลงไปนอนที่พื้นเดี๋ยวนี้เลยนะ!”

          คนตัวโตนอนกอดรัดร่างบอบบางแน่นจากข้างหลัง ใบหน้าขาวซุกลงกับต้นคอระหงของชายหนุ่มที่นอนดิ้นอย่างอึดอัดอยู่ พลางเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์

          “ทำไม?! ทีไอ้งูนั่นยังมานอนบนเตียงกับพินได้เลย”

          “อย่ามางี่เง่าน่ะมะลิ! ดาวเหนือเพิ่งจะเคยแปลงร่างเป็นคนครั้งแรก จะไปรู้ประสาอะไร”

          พินทั้งตีทั้งพยายามแกะแขนแกร่งที่เกี่ยวรอบเอวของเขาเอาไว้ออก ทว่ายิ่งพยายามดึงออกมันกลับยิ่งรัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ

          “ปล่อย!”

          “ไม่!”

          ร่างของคนทั้งสองแนบชิดจนไออุ่นจากกายส่งทอดผ่านกัน นกหนุ่มซุกจมูกพลางสูดกลิ่นหอมจากไรผมจนคนถูกกอดเริ่มรู้สึกหวิวๆในใจเต้นไม่เป็นระส่ำ

          “บอกให้ปล่อยไงเล่า!”

          “ฮึ่ม!”

          มะลิยังคงต่อต้านไม่ยอมปล่อย แขนแข็งแรงบีบแน่นราวกับคีมเหล็ก ความรู้สึกทั้งหวงทั้งหงุดหงิดปั่นป่วนจิตใจให้ยิ่งชิดใกล้ยิ่งอยากฟัดคนที่ถือว่าเป็นสมบัติของเขาให้จมเขี้ยว

          “เนื้อคู่บ้าบออะไร!”

          ‘หงับ!’

          นกหนุ่มขบฟันลงบนซอกคอเบาๆ คนโดนงับสะดุ้งขึ้นก่อนจะโวยเสียงหลง

          “โอ๊ย! ไอ้นกบ้า! กัดชั้นทำไม?!”

          “พินเป็นของเรา!”

          ริมฝีปากอิ่มจรดลงบนต้นคอสวยพลางดูดดุลเสียงดังจนผิวเนียนขึ้นแดงเป็นรอยจ้ำ พินตัวงุ้มสั่นเนื่องจากเสียววาบไปทั้งร่าง

          “อะ...อย่า...”

          มือขาวที่กอดเกี่ยวเอวอยู่เมื่อครู่เลื่อนไล้ผ่านชายเสื้อเข้าไปสัมผัสผิวเย็นในร่มผ้า ทำให้ชายหนุ่มที่เกือบจะเคลิ้มได้สติพลันหมุนตัวถีบคนลามกจนกลิ้งตกเตียงไปอย่างรวดเร็ว

          “โอ๊ย! เราเจ็บนะพิน”

          มะลิจ้องขึงไปยังคนที่นั่งหน้าแดงตัวสั่นอยู่บนเตียง นกหนุ่มผู้ไม่ยอมแพ้ทำท่าจะปีนกลับขึ้นไปบนที่นอน

          “หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ! ถ้ามะลิขึ้นมา ชั้นจะไปนอนกับนินจากับดาวเหนือ!”

          ได้ผล! คนดื้อกลับลงไปนั่งจุ้มปุ๊กหน้าบูดอยู่บนพื้นตามเดิม พินเขวี้ยงหมอนตามลงไปใส่หัวเจ้านกตัวแสบจนผมเผ้ายุ่งเหยิง

          “นอนไปเลย!”

          มะลิลากที่นอนออกมาปูอย่างจำใจ ส่วนคนเขินล้มตัวลงนอนหันหนีไปอีกทาง หัวใจเต้นแรงจนทรมาน พินเริ่มกลัวความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อนกหนุ่ม

          ว่ามันจะระงับไว้ไม่ไหวอีกต่อไป






          “หนาวรึไงหึ๊เจ้าพิน?”

          เวลาอาหารเช้าสมาชิกในครอบครัวนั่งพร้อมหน้ากัน วันนี้การแต่งตัวของลูกชายคนเล็กอดที่จะทำให้คนเป็นแม่เอ่ยทักไม่ได้ ชายหนุ่มในเสื้อแขนยาวปิดคอมิดชิดยิ้มเหี่ยวตอบกลับไป

          “เอ่อ...นิดนึงครับแม่ แค่ก! สงสัยพินจะไม่ค่อยสบาย”

          คนสบายดีแสร้งทำเป็นไอ แม้ความรู้สึกที่แท้จริงของพินคือ “แม่งร้อนชิบหาย” ทว่าเพราะรอยจูบดวงเบ้อเริ่มของชายหนุ่มที่นั่งยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยข้างเขาอยู่ตอนนี้ ทำให้เขาต้องมาทุกข์ทรมานกับการแต่งตัวแบบไม่เกรงใจสภาพอากาศ

          “เราก็รีบกินยาแล้วนอนพักเยอะๆแล้วกัน”

          ผู้เป็นพ่อต่อบทสนทนาอย่างห่วงใย พินพยักหน้ารับพลางหันกลับไปสนใจข้าวต้มร้อนๆในชามที่ตอนนี้กำลังเพิ่มพูนความร้อนในร่างกายของชายหนุ่มให้พุ่งถึงขีดสุด

          ‘ปิ๊ง ป่อง’

          เสียงกดออดหน้าบ้านดังขึ้น พินผู้กระตือรือร้นรีบลุกไปดูโดยที่มะลิก็ทำตัวติดหนึบเดินตามไปด้วย เมื่อเปิดประตูออกก็พบเด็กหนุ่มในชุดนักศึกษาตัวสูงใหญ่ ใบหน้าคมเข้มยืนยิ้มนอบน้อมอยู่

          “สวัสดีครับ ผมชื่อเมฆ ตั้งแต่วันนี้ผมจะย้ายมาอยู่บ้านข้างๆนี้ครับ”

          เด็กหนุ่มยกมือไหว้ทักทายก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างสุภาพ เขาส่งถุงของฝากเล็กๆน้อยๆจากทางเหนือให้กับพิน

          “นี่ของฝากเล็กๆน้อยๆครับ ยังไงก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ”

          พินยิ้มรับพลางเปิดถุงออกดูก็พบไส้อั่ว น้ำพริกหนุ่มและแคปหมูหน้าตาน่ากินอยู่ภายใน

          “ขอบคุณนะครับ พี่ชื่อพินนะส่วนคนนี้ชื่อพี่พิมพ์”

          เขาเอ่ยแนะนำตัวกลับ และไม่ลืมที่จะแนะนำมะลิอีกคนในฐานะพี่ชาย

          “แล้วน้องเมฆมาเช่าบ้านอยู่คนเดียวเลยหรอ?”

          “อ๋อผมมาอยู่คนเดียวก็จริง แต่ว่าบ้านหลังนี้เป็นของครอบครัวผมเองครับ ปกติปล่อยให้เช่า แต่พอดีผมสอบติดมหาวิทยาลัยที่นี่ก็เลยกลับมาอยู่เองน่ะครับ”

          พินพยักหน้าเข้าใจ เขารู้เพียงแค่ว่าตั้งแต่ครอบครัวของเขาย้ายมาอยู่บ้านหลังนี้ บ้านที่อยู่ติดกันก็เป็นบ้านที่มีคนเช่าผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาโดยตลอด ครู่หนึ่งพินสังเกตตราสัญลักษณ์บนเนกไทของเมฆก็เอ่ยทักขึ้นมาอย่างตื่นเต้น

          “น้องเมฆเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันกับพี่เลยนี่ เรียนคณะอะไรหรอ?”

          “ผมเรียนหมอครับ แล้วพี่พินล่ะ?”

          “พี่เรียนเอกไทย แต่จบแล้วล่ะ”

          แมวดำปราดเปรียวที่เพิ่งตื่นนอนเห็นท่าทางครึกครื้นจึงกระโดดแผลวจากระเบียงลงมาอย่างสอดรู้ นินจาเข้าคลอเคลียพินก่อนจะสังเกตเห็นว่า เด็กหนุ่มอีกคนที่อยู่ตรงหน้ากำลังจ้องมองเขาตาเป็นประกายไม่วางตา

          “แมวตัวนี้! แมวบ้านพี่หรอครับ?”

          “อ๋อเปล่าหรอก...มันเป็นแมวจรน่ะ มันชอบแวะมาที่บ้านพี่บ่อยๆ”

          เมฆนั่งยองเกาคางให้เจ้าเหมียวได้เคลิบเคลิ้มมีความสุขพลางเอ่ยขึ้นด้วยความคิดถึง

          “มันเหมือนเจ้านินจาที่ผมเคยเลี้ยงตอนเด็กมากๆเลย ต่างกันตรงที่เจ้าแมวตัวนี้ออกจะผอมไปซักหน่อย”

          “นินจาหรอ...?”

          ราวกับชิ้นส่วนที่หายไปค่อยๆถูกปะติดปะต่อ ดูเหมือนว่านินจาเองก็เคยมีเจ้าของมาก่อนซึ่งก็คือเด็กหนุ่มคนนี้ และการที่นินจาตัดสินใจให้เขาเรียกตนเองด้วยชื่อที่เมฆตั้งให้ แสดงว่าเจ้าแมวดำคงมีความอาวรณ์ต่อคนๆ นี้ไม่น้อย

          “เดี๋ยวเมฆขอตัวไปทำธุระที่มหาวิทยาลัยก่อนนะครับพี่พิน แล้วเจอกันครับ”

          เด็กหนุ่มผละตัวจากไป ทิ้งไว้เพียงความสงสัยที่พินมีต่อแมวหนุ่ม

          “นินจาเคยเป็นแมวของเมฆใช่รึเปล่า?”

          เจ้าแมวไม่พูดอะไร แต่สำหรับพินความเงียบนี้นับเป็นคำตอบว่า “ใช่”

          “ถ้าอย่างนั้นทำไมนินจาถึงมาเป็นแมวจรอยู่อย่างนี้ล่ะ?”

          แมวหนุ่มนิ่งไป ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

          “สำหรับเมฆ เราได้ตายไปแล้ว...”

          พูดจบนินจาก็กระโดดขึ้นกำแพงจากไป พินได้แต่คิดว่า ชีวิตของพวกอมนุษย์ไม่ใช่เรื่องง่าย อายุของพวกมันยืนยาวกว่าสัตว์ตามธรรมชาติทั่วไป ครั้นจะใช้ชีวิตเยี่ยงมนุษย์เพียงอย่างเดียวก็ไม่สามารถเอาตัวรอดได้ ชายหนุ่มหันไปสบตามองคนข้างๆอย่างปวดใจ หากวันหนึ่งที่เขาไม่อาจอยู่เคียงข้างมะลิได้อีกต่อไป เจ้านกน้อยจะใช้ชีวิตเช่นไร...



++++++++++++++++



          ดาวเหนือมาแล้วค่า ดาวเหนือเราใช้ต้นแบบเป็นงูพันธ์ุคอร์นเสน็คซึ่งเป็นงูตัวจิ๋วที่ไม่ดุร้าย และมีมากมายหลายสีสวยงามค่ะ ถ้าใครไม่กลัวงูลองไปหาภาพดูได้นะคะ งูขาวตาแดงดูสวยงามลึกลับมากทีเดียวค่ะ


ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Timid Lily

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0

บทที่15 : สำนึก

          ร่างกายสูงโปร่งนอนทอดตัวยาวรับลมอุ่นที่โชยผ่านประตูระเบียงที่ถูกแง้มไว้ กิจกรรมนอนกลางวันยังคงเป็นสิ่งที่นกกลางคืนอย่างมะลิชื่นชอบ ถึงแม้ว่าเขาจะปรับตัวมาใช้ชีวิตเยี่ยงมนุษย์ได้กว่าครึ่งค่อนปีแล้วก็ตาม

          ‘ครืด’

          เสียงโทรศัพท์มือถือสั่นอื้ออึงรบกวนการนอนของชายหนุ่ม มือขาวควานปัดป่ายหาสิ่งรบกวนก่อนจะกดรับสายโดยที่ยังไม่ลืมตา

          [มึง! ไอ้ทนายชั่ว!]

          สติกลับมาตื่นตัว ดวงตาสุกใสเบิกโพลงก่อนจะดึงโทรศัพท์ออกจากหูพลางมองชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอ

          ‘สินทร’

          [มึงทำอะไรกับสำนวนคดี!]

          “....?”

          มะลิไม่รู้จะตอบไปยังไง เขาได้แต่นิ่งเงียบเพราะไม่รู้เรื่องราวอะไรสักอย่าง

          [อย่ามัวแต่เงียบสิวะ! กูถามว่ามึงทำอะไรกับสำนวนคดี!]

          “คุณพูดอะไร? ผมไม่เข้าใจ”

          [ไหนมึงบอกว่าวางมือจากคดีนี้แล้วไง? แล้วทำไมไอ้ทนายคนใหม่ถึงบอกว่าใช้สำนวนคดีเดิมอ้างอิงจากที่มึงเคยทำไว้!]

          ‘สำนวนคดีเดิม? หมายความว่ายังไง?’

          [มึงรวมหัวกับอีหมอคนนั้นสร้างหลักฐานเท็จใช่มั้ย?! ทนายเลวๆอย่างมึงมันน่าจะตายๆไปตั้งแต่ตอนนั้น ไม่สมควรจะรอดมาใช้อากาศหายใจร่วมกับกู!]

          “คุณสินทร...คุณอยากจะบอกอะไรผม?”

          [บอกอะไรงั้นหรอ? มึงยังจะมาทำไขสือถามกูอีกหรอ? มึงอยากจะให้กูบอกมึงเองเลยใช่มั้ยว่ากูแพ้คดี!]

          ‘สินทรแพ้คดี?’

          [มึงคอยดูนะ กูจะหาหลักฐานมาพิสูจน์ให้ได้ว่าพวกมึงรวมหัวกันโกง กูไม่ยอมพวกมึงหรอก มึงรอดูวันที่อีหมอเพื่อนมึงติดคุกได้เลย แล้วเจอกันในศาลชั้นถัดไป!]

          ปลายสายทิ้งท้ายไว้อย่างแค้นเคืองก่อนจะตัดสายไป เรื่องที่สินทรแพ้คดี ไหนจะหลักฐานเท็จอีก หรือว่าสิ่งเหล่านี้จะพาให้เขาได้เข้าใกล้สาเหตุการตายของพิมพ์ขึ้นอีกนิด “สำนวนคดี” ที่สินทรพูดถึงมันอยู่ที่ไหน มะลิได้แต่คิดว่าเขาต้องหาสิ่งนี้ให้เจอ เพื่อที่เขาจะได้ค้นพบเงื่อนงำบางอย่างที่ถูกซ่อนเร้นเอาไว้





          ณ สำนักงานทนายความห้องแถวสี่ชั้นติดถนน ตอนนี้มีชายหนุ่มท่าทางไม่ประสีประสายืนมองประตูชะโงกไปมาอยู่ วันนี้เป็นโอกาสดีของมะลิที่จะแวบออกมาข้างนอกโดยที่ไม่ต้องหาข้ออ้าง วันที่พินไม่อยู่เนื่องจากออกไปสมัครงาน ตอนนี้เจ้านกหนุ่มได้แต่คิดว่าเมื่อเข้าไปภายในแล้ว เขาจะถามหาสิ่งที่ต้องการได้จากใคร

          “สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าต้องการมาติดต่อใครครับ?”

          ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่บริเวณโต๊ะไม่ห่างจากประตูเอ่ยขึ้นถามผู้มาเยือน

          “ผมมาหาทนายจักรพัฒน์ครับ ที่รับผิดชอบคดีของแพทย์หญิงญานิสาต่อจากผม”

          “คุณคงเป็นคุณทนายพิชาธรสินะครับ”

          “ใช่ครับ...”

          “พอดีคุณจักรพัฒน์ติดลูกความอยู่น่ะครับ ถ้ามีอะไรเร่งด่วนฝากข้อความผ่านทางผมไว้ก่อนก็ได้”

          “เอ่อ...คือผมอยากจะขอดูสำนวนคดีของแพทย์หญิงญานิสาแล้วก็เอกสารอื่นๆ ที่ผมเคยรวบรวมเอาไว้หน่อยน่ะครับ”

          มะลิเอ่ยขอไปทื่อๆ ชายที่เป็นเลขาเหลือบตามองคนถามเล็กน้อยก่อนจะแสร้งหยิบเอกสารขึ้นมาบนโต๊ะวุ่นวาย

          “คุณพิชาธรไม่ต้องห่วงหรอกครับ ขอให้วางมือจากคดีนี้ได้อย่างสบายใจ เพราะว่าท่านผู้อำนวยการโรงพยาบาลเป็นคนไหว้วานให้คุณจักรพัฒน์มาดูแลคดีนี้แทน คุณวางใจได้ว่าคุณญานิสาจะต้องชนะคดีอย่างแน่นอนครับ”

          “แต่ว่า...”

          “เชิญครับ”

          เลขาหนุ่มผายมือเชิญมะลิไปทางประตู ถึงแม้เขาจะไม่ค่อยรู้ประสา แต่ท่าทางนี้มีความหมายเดียวคือคนๆนี้ต้องการให้มะลิกลับไป การที่เขาหาเหตุผลมาโต้แย้งขอข้อมูลอะไรไม่ได้ย่อมต้องยอมแพ้ไป ทางที่ดีเขาควรจะดิ้นรนหาข้อมูลเหล่านี้ด้วยตนเอง ทว่าใช่ว่าเขาไม่ได้พยายาม ชายหนุ่มได้พยายามเข้าถึงข้อมูลที่ถูกเก็บไว้ในแล็ปท็อปแล้ว ทว่าสำนวนคดีนี้กลับหายไปราวกับถูกเสก

          นกหนุ่มเดินทอดถอนใจออกจากสำนักงานทนายความมา เขาได้แต่หวังว่าตัวเขาน่าจะฉลาดมีชั้นเชิงกว่านี้อีกสักนิด แต่กับพวกมนุษย์จอมเจ้าเล่ห์แล้ว คงเป็นเรื่องยากที่อมนุษย์ที่เอาแต่ใช้กำลังอย่างเขาจะเอาชนะได้

          “บนโลกนี้คงมีแต่มนุษย์อย่างพินเท่านั้นแหละที่ไม่มีพิษภัย...”

          “พิมพ์!”

          เสียงหญิงสาวที่คุ้นหูตะโกนเรียกชายหนุ่มจากทางด้านหลัง หมอหญิงที่เพิ่งออกจากสำนักงานทนายความมาเรียกหาเขาด้วยน้ำเสียงสดชื่น

          “ไหม?”

          “พิมพ์มาทำอะไรที่นี่เนี่ย?”

          “เรามาหาทนายจักรพัฒน์น่ะ แล้วไหมล่ะ?”

          “เราก็มาคุยเรื่องคดีกับทนายจักรพัฒน์เหมือนกัน”

          ชายหนุ่มนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง เขาลังเลว่าหากจะเอ่ยถามเรื่องนี้กับแพทย์สาวตรงๆไปเลยอาจเป็นความคิดที่ดีหรืออาจจะไม่

          “ไหม...เราถามอะไรหน่อยสิ”

          มะลิทำหน้าจริงจังถามหมอหญิง ทว่าเธอกลับยิ้มร่าเริงขึ้นก่อนเอ่ยชวน

          “พิมพ์ไปกินข้าวด้วยกันมั้ย? แล้วแกอยากจะถามอะไรก็ถามมา เสร็จแล้วเดี๋ยวเราไปส่งที่บ้าน อย่ามายืนคุยกันตรงนี้เลย ร้อนจะตาย”

          โดยไม่รอให้ชายหนุ่มตอบตกลง หญิงสาวก็ลากแขนคนเป็นเพื่อนไปทางรถที่จอดไว้ของเธอ



          “พิมพ์...ไม่หิวหรอ? นั่งจ้องจานข้าวอยู่ได้ นี่ของโปรดแกเลยนะ”

          นกหนุ่มนั่งซึมเซ็งมองจานผัดไทที่ค่อยๆเย็นชืด ในขณะที่หญิงสาวอีกคนนั่งจิ้มหอยทอดใส่ปากอย่างเอร็ดอร่อย

          “นายสินทรโทรหาเรา...”

          คนที่เคี้ยวตุ้ยอยู่เมื่อครู่กลืนอาหารลงคอไปช้าๆ ไหมวางส้อมลงก่อนจะจิบน้ำล้างปาก

          “นายสินทรบอกว่าเรารวมหัวกับไหมแล้วก็ทนายจักรพัฒน์สร้างหลักฐานเท็จ เราเลยอยากจะเห็นสำนวนคดีกับตาว่าเรื่องมันเป็นยังไงมายังไง แต่เราลองค้นจากข้อมูลที่เก็บไว้เท่าไหร่ก็ไม่เจอมีแต่คดีเก่าๆ เราถึงต้องดั้งด้นมาหาถึงที่นี่”

          “แล้วเค้าก็ไม่ยอมให้พิมพ์ดูใช่มั้ย?”

          ชายหนุ่มสบตามองหญิงสาวที่นั่งถอนใจ ไหมหยิบส้อมขึ้นมาอีกครั้งพลางเขี่ยแป้งทอดออกกินแต่เนื้อหอยชุ่มฉ่ำในจาน

          “เอาจริงๆ นะ ตอนนี้ผอ.โรงพยาบาลพยายามดูแลทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ ทำให้เราเองก็ไม่มีสิทธิ์ไปยุ่มย่ามนัก อย่างมากก็ทำได้แค่ทำตามคำแนะนำของทนายจักรพัฒน์...”

          มะลินิ่งไป ในเมื่อคนที่ดูเหมือนพอจะให้ความช่วยเหลือกับเขาได้ยังรีบออกตัวขนาดนี้ เขาก็ไม่รู้ว่าควรจะหันไปพึ่งใคร

          “พิมพ์อย่าไปสนใจที่ไอ้สินทรมันพูดเลย คนอย่างมันก็แค่พวกขี้แพ้ชวนตี”

          หญิงสาวสังเกตเห็นท่าทางไม่สบายใจของเพื่อนจึงเอ่ยขึ้นเป็นแนวทาง

          “แต่ถ้าพิมพ์อยากจะเห็นสำนวนคดีจริงๆ...พิมพ์ได้ลองกลับไปหาเอกสารดูที่คอนโดรึยัง? ปกติพิมพ์อยู่ที่คอนโด ข้าวของส่วนตัวพิมพ์ก็อยู่ที่คอนโด ถ้ามาหาเอาจากที่บ้านก็คงไม่มีหรอก”

          คำพูดของไหมทำให้มะลิฉุกคิดขึ้นมาได้ เขาเหมือนจะลืมไปว่าพิมพ์เป็นชายที่แต่งงานแล้วย้ายออกไปอยู่กับภรรยากันสองคน เพราะฉะนั้นก็คงไม่แปลกที่เขาจะหาสิ่งที่เขาต้องการไม่พบ

          “แล้วคอนโดอยู่ที่ไหน? เราจะไปที่นั่นได้ยังไง?”

          “ไอ้พาไปเราก็พาไปได้อยู่หรอกนะ ว่าแต่พิมพ์จำรหัสเข้าห้องได้รึเปล่าล่ะ?”

          อย่าว่าแต่จำ ไอ้รหัสเข้าห้องมันคืออะไรเขาก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ ตอนนี้สิ่งเดียวที่มะลิพอจะทำได้คือการติดต่อชิชาไป เพราะคนที่จะพาเขาไปที่นั่นได้เห็นทีจะมีเพียงหญิงสาวที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยา มากกว่าเพื่อนสนิทคนนี้เป็นไหนๆ





          ท่ามกลางห้องสี่เหลี่ยมที่ไร้แสงไฟนกหนุ่มกำลังหลับสนิทรับราตรีที่มาเยือน เขานอนซุกใต้ผ้าห่มหายใจเข้าออกเป็นจังหวะสม่ำเสมอ

          ‘แซ่ก’

          เสียงของอะไรบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวอยู่ไม่ไกลไปจากหัวนอนของเขา

          “อืม...”

          ชายหนุ่มส่งเสียงงึมงำเมื่อรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งเข้ามาใกล้ เขาปรือตาขึ้นเล็กน้อยก่อนที่ภาพตรงหน้าจะทำให้ดวงตาสุกใสเบิกโพลงด้วยความตกใจ

          “ฟ่อ!”

          งูขาวขนาดยักษ์งับขย้ำเข้าที่คอของนกหนุ่มพลางสะบัดอย่างรุนแรงเลือดเย็น ความเจ็บปวดแล่นขึ้นทั่วร่างราวกดให้จิตใต้สำนึกต้องรีบตื่นขึ้นเพื่อหลบหนีจากความกลัว

          “แฮ่ก!”

          แสงแดดจัดจ้าแยงเข้าลูกตาที่กำลังเบิกขึ้นทั้งสองข้าง มะลิหายใจหอบไม่เป็นจังหวะ ใบหน้าซีดเซียวเหงื่อซึมไปทั้งร่าง เขาๆ ค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นนั่งพลางมองไปรอบๆ ห้องที่เหลือเพียงเขาที่ยังคงนอนอยู่

          ‘เช้าแล้วหรอ...?’

          นกหนุ่มนั่งกุมมือปลอบประโลมตนให้ได้สติ เขาปิดตาแน่นนึกถึงภาพเมื่อครู่ก็จำได้ทันทีว่าใครเข้ามาเยี่ยมถึงในฝัน มะลิลุกพรวดขึ้นรีบออกจากห้องนอนไป ก่อนจะบุกเข้าไปยังห้องนอนอีกห้องที่อยู่ติดกัน

          “แก! อยากจะบอกอะไรกับเรา?”

          งูหนุ่มที่กำลังนั่งเหม่อลอยออกไปนอกหน้าต่างหันกลับมาตามเสียง เสียงที่ไม่เป็นมิตรและแข็งกระด้าง

          “นาย...ระวังตัวเอาไว้จะดีกว่านะ...”

          ดาวเหนือหันมาพูดด้วยน้ำเสียงเย็น ก่อนจะหันกลับไปทอดสายตาล่องลอยมองท้องฟ้า มะลิพยายามไม่ใส่ใจสิ่งที่ชายหนุ่มอีกคนบอกกับเขาจากนั้นจึงรีบออกจากห้องไปอาบน้ำแต่งตัว เนื่องจากวันนี้เขาและพินจะต้องไปส่งพ่อกับแม่ที่สนามบิน



          ภายในอาคารโอ่โถงแสนพลุกพล่าน ผู้คนหลากหลายเชื้อชาติเดินกันขวักไขว่สร้างความตื่นเต้นให้นกมะลิไม่น้อย มนุษย์บางคนมีเส้นผมสีทองอร่าม บ้างก็มีดวงตาสีเขียวมรกตสดใส บ้างก็ผิวเข้มสนิทราวกับท้องฟ้ายามราตรี

          “ที่นี่คือที่ไหน? ทำไมถึงมีมนุษย์หน้าตาแปลกๆเต็มไปหมด?”

          “ที่นี่เรียกว่าสนามบิน เป็นสถานที่ๆเชื่อมต่อผู้คนทั่วโลกเข้าด้วยกัน”

          ชายหนุ่มสบตามองอย่างสงสัย ณ สถานที่แห่งนี้มีสิ่งที่มะลิไม่เข้าใจเต็มไปหมด

          “เชื่อมต่อกันยังไง? แล้วทั่วโลกนี่มันกว้างขนาดไหน?”

          พินยิ้มหัวเราะเจ้านกน้อยในความไร้เดียงสา ก่อนจะชี้นิ้วให้มะลิดูภาพเครื่องบินที่ติดอยู่บนป้ายโฆษณา

          “โลกมันกว้างใหญ่มาก มากจนชั้นเองก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง เอาเป็นว่ามนุษย์เดินทางไกลโดยใช้เครื่องบินน่ะ”

          “เครื่องบินงั้นหรอ? เราเคยเห็นมันพุ่งทะยานไปบนท้องฟ้า มันเร็วมากๆแค่แป๊บเดียวก็หายลับไปจากสายตาแล้ว”

          “ใช่แล้ว คนก็นั่งอยู่ในนั้นแหละ แล้วก็เดินทางข้ามซีกโลกไป”

          มะลิฟังด้วยความตื่นเต้น จะเป็นไปได้ไหมหากเขาจะหวังว่าครั้งหนึ่งในชีวิตเขาจะได้ขึ้นไปนั่งเครื่องบินข้ามท้องฟ้าทดแทนปีกที่หายไป

          “ซักวันนึง...ชั้นจะพานายขึ้นเครื่องบินไปเที่ยวด้วยกันนะ”

          พินเอ่ยขึ้นราวกับอ่านความคิดของมะลิออก คนที่เข้าอกเข้าใจ คนที่เขาไม่ต้องเอ่ยพูดอะไรก็รู้ใจไปเสียหมดแบบนี้จะไม่ให้อมนุษย์เช่นเขาตกหลุมรักได้ยังไง

          ครู่หนึ่งผู้ใหญ่ทั้งสองที่เพิ่งโหลดสัมภาระเสร็จก็เดินออกมา คราวนี้พ่อได้เริ่มโปรเจคใหม่อีกครั้งที่ประเทศญี่ปุ่น ส่วนแม่ที่เหนื่อยมามากกับการดูแลคุณยายและสวนมะลิก็จะถือโอกาสตามพ่อไปเที่ยวคลายเหงาด้วยอีกคน

          “พิมพ์ พิน เดี๋ยวพ่อกับแม่คงต้องเข้าไปข้างในแล้วล่ะ”

          “เอ๊ะ! ใกล้เวลาแล้วหรอคุณ? เสียดายจัง อยากจะอยู่กับลูกต่ออีกซักนิด”

          “ถ้าแม่ไม่อยากไปก็อยู่กับพวกผมก็ได้นี่ครับ”

          พินเอ่ยล้อแม่ของเขา ที่จู่ๆก็นึกคิดถึงลูกทั้งๆที่ยังไม่ได้ออกเดินทางเสียด้วยซ้ำ

          “แม่ก็อยากอยู่หรอกนะแต่คนมันเบื่อ งานก็ไม่ได้ทำแล้ว วันๆอยู่แต่บ้านแม่เหงาจะแย่”

          “โถ่...แม่ไม่อยู่พินก็เหงาเหมือนกันนะ กลับจากสวนมาอยู่บ้านได้แค่แป๊บเดียวก็ไปอีกแล้ว”

          ลูกชายคนเล็กทำเสียงเง้างอดอ้อนแม่ของเขา ทำเอาผู้เป็นพ่อส่ายหัวยิ้มขำ

          “ก็แม่แกอยู่เฉยๆเป็นซะที่ไหน คนอะไรยุ่งก็บ่นว่างก็บ่น”

          หญิงวัยกลางคนทำหน้านิ่วตีแขนสามีดังเพี๊ยะ ก่อนจะหันมาพูดกับลูกชายคนโต

          “ถ้ากลัวแม่จะเหงาพิมพ์ก็รีบมีหลานให้แม่สิลูก เดี๋ยวนี้แกไม่กลับไปอยู่กับหนูชิชาบ้างเลย ระวังเมียจะน้อยใจ ดูแลเธอให้มากๆหน่อย พ่อกับแม่เค้าจะได้ไม่มาว่าเราได้รู้รึเปล่า?”

          มะลิทำเป็นเงียบไม่โต้ตอบ เขาได้แต่ก้มหน้ามองพื้นเตะเท้าเซ็งไปเรื่อย

          “พ่อเห็นด้วยนะพิมพ์ เราเป็นผู้ชายเป็นสามี พ่อกับแม่เค้าอุตส่าห์ยอมยกคนที่เป็นเหมือนแก้วตาดวงใจให้ เราก็ต้องดูแลลูกสาวเค้าให้ดี จริงมั้ย?”

          นกหนุ่มพยักหน้ารับไปส่งๆ สำหรับมะลิเขาไม่อยากจะใส่ใจเรื่องหญิงสาวคนนั้นด้วยซ้ำ เพราะเขาแทบจะไม่รู้จักอะไรเกี่ยวกับชิชาเลย เรื่องที่จะให้แสดงเป็นสามีผู้แสนดีคงเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว

          ทว่า...คนที่กำลังคิดมากตอนนี้กลับเป็นพิน ราวกับสำนึกผิดชอบชั่วดีกำลังชำระล้างจิตใจ เขาตระหนักขึ้นมาได้ว่าตอนนี้ “มะลิ” กำลังใช้ร่าง “พิมพ์” ซึ่งเป็นพี่ชายแท้ๆของตน ทั้งยังเป็นชายที่แต่งงานมีภรรยาแล้วเป็นตัวเป็นตน

          ความรู้สึกผิดบาปกัดกินจับขั้วหัวใจ ผิดที่เขามีความรู้สึกพิเศษมอบให้ บาปที่ความรักต้องห้ามกำลังครอบงำให้เขาหลงใหลมัวเมา สิ่งที่พินควรจะทำคือการหักห้ามใจ หากเป็นไปได้เขาอยากจะอ้อนวอนต่อหัวใจ

          ได้โปรดอย่าถลำลึกลงไปให้มากกว่านี้อีกเลย


++++++++++++++++




          ดาวเหนือร่างจริงกับเวลาเข้าฝันนี่ดูแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเลยนะคะ ในความฝันเหมือนเป็นโลกของดาวเหนือ เพราะฉะนั้นเจ้างูอยากจะมาในสภาพยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ได้ตามใจเลยค่ะ ส่วนในความเป็นจริงก็เป็นได้แค่งูน้อยเหมือนเดิม

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Timid Lily

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0
บทที่16 : ฝืน   

          ‘พินแปลกไป...’

          ไม่รู้ว่าเพราะอะไรตั้งแต่ที่พ่อกับแม่ไม่อยู่ พินก็มีท่าทีเย็นชาใส่มะลิอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าเขาจะพยายามเข้าหาเอาอกเอาใจยังไง พินก็เลี่ยงทำไม่สนใจอยู่ร่ำไป...หนนี้ก็เช่นกัน

          “พินเหนื่อยมั้ย? ให้เราช่วยเถอะนะ”

          ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นอาสาเมื่อเห็นคนตรงหน้ากำลังรวบเก็บผ้าปูที่นอนผืนโตที่ถูกตากไว้ตั้งแต่เช้าอย่างขะมักเขม้น ทว่าอีกฝ่ายก็ไม่มีท่าทีตอบกลับใดๆ พินได้แต่ก้มหน้าก้มตาทำงานบ้านต่อไปโดยไม่ปริปากพูด นกหนุ่มจึงไม่รอคำอนุญาต ช่วยเก็บปลอกหมอนลงตะกร้าด้วยอีกแรง

          คนตัวบางเขย่งเท้าขึ้นรวบผ้าคลุมเตียงที่ถูกตากเอาไว้บนราวสูง ทำให้ชายหนุ่มที่ตัวใหญ่กว่าอดไม่ได้ที่จะช่วยเก็บมาให้แทน

          “พินเดี๋ยวเราช่วย”

          “ฮึบ...ไม่เป็นไร ชั้นทำเองได้”

          พินตอบปฏิเสธอย่างเย็นชา แต่มะลิก็ไม่ได้สนใจ เขาเอื้อมมือรวบผ้ากลิ่นหอมแดดลงมาลวกๆจนชายผ้าบางส่วนปรกลงบนหัวคนตัวเล็กกว่า

          “มะลิชั้นบอกแล้วไงว่าไม่ต้องมาชะ...”

          พินที่กำลังหงุดหงิดเลิกผ้าที่ปกคลุมศีรษะของเขาออก เผยให้เห็นใบหน้าหม่นหมองที่จ้องมองมา ดวงตาสวยหวานทว่าเศร้าซึมกำลังสบตามองคนตรงหน้าอย่างเว้าวอน

          “พิน...เรา...”

          โดยไม่รอให้อีกฝ่ายพูดให้จบ พินรีบโกยผ้าทั้งหมดลงตะกร้าแล้วยกเข้าบ้านไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามองคนที่รีบร้อนตามมา

          “พินฟังเราก่อน!”



          “สวัสดีเจ้าสุนัข ผมชื่อดาวเหนือ”

          ชายหนุ่มผิวซีดยื่นมือลอดประตูรั้วเข้าไปอย่างไม่กลัวเกรง โชคดีที่เจ้าหมาน้อยตัวโตขนสีทองอร่ามบ้านตรงข้ามเป็นสุนัขที่เป็นมิตร มันจึงได้แต่เลียมือของเขาแผล็บๆ จนเปียกแฉะไปหมด

          “ดาวเหนือ! ดาวเหนืออยู่ที่ไหน?”

          เสียงตะโกนร้องเรียกดังมาจากในตัวบ้าน พินเปิดประตูรั้วเดินออกมาเมื่อเห็นงูหนุ่มกำลังเจริญสัมพันธไมตรีกับหมาน้อยจอมเอ๋ออยู่

          “วันนี้ชั้นจะพานายไปตามหาเจ้าของ”

          “จริงหรอพิน? !”

          พูดจบพินก็จับมือจูงดาวเหนือที่กำลังดีอกดีใจไปทางรถ โดยไม่สนใจว่าที่มือของเจ้างูหนุ่มนั้นจะชุ่มไปด้วยน้ำลายขนาดไหน วันนี้พินดูร้อนรนแปลกๆพิกล ใบหน้าก็ไม่สดใสเต็มไปด้วยรอยยิ้มเหมือนเคย

          “พินจะไปไหน? รอเราด้วย!”

          ชายหนุ่มอีกคนปรี่เข้ามาหาทั้งคู่ สีหน้าของมะลิดูอึดอัดขุ่นข้อง แถมยังดูจะไม่พอใจที่เห็นพินจับมือของดาวเหนืออยู่

          “เราจะไปด้วย”

          “ดาวเหนือ...ขึ้นไปรอบนรถเถอะ”

          พูดจบพินก็เปิดประตูให้คนไม่รู้เรื่องรู้ราวขึ้นรถไป เขาถอนใจเบาๆก่อนจะพูดกับมะลิเสียงเรียบ

          “มะลิอยู่เฝ้าบ้านเถอะ”

          “ทำไม? เราไปด้วยแล้วมันจะเป็นอะไร?”

          พินเงียบกลับไป มะลิเอ่ยถามคาดคั้นไม่ยอมแพ้

          “พินเป็นอะไรเราไม่เข้าใจ? มีอะไรก็พูดออกมาสิ”

          คนเงียบไม่สนใจ เขารีบเปิดประตูขึ้นรถก่อนจะปิดอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้นกหนุ่มยื้อประตูพลางตะโกนเรียกอย่างน่าสงสาร

          “พิน! กลับมาคุยกันก่อน”

          รถยนต์สีขาวแล่นออกไป ดาวเหนือสังเกตเห็นสีหน้าเจ็บปวดของคนหลังพวงมาลัยก็นึกสงสัย

          “พินโกรธนกมะลิหรอ?”

          “เอ๊ะ?”

          พินตกใจที่ไม่สามารถเก็บความรู้สึกได้ เขารีบพูดจาบ่ายเบี่ยง

          “เปล่าหรอกไม่มีอะไร...”

          “ถ้าไม่มีอะไรทำไมถึงทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อย่างนั้นล่ะ?”

          แม้กระทั่งงูอ่อนต่อโลกอย่างดาวเหนือก็ยังดูออก ทุกอย่างคงจะชัดเจนแล้วว่าความเจ็บปวดนี้มีใครเป็นต้นเหตุ เพียงแต่ว่าคนที่ผิดก็คือตัวพินเอง ผิดที่ไปเผลอใจให้กับคนที่เขาไม่สมควรจะตกหลุมรัก

          “พิน...?”

          ดาวเหนือเอ่ยเรียกคนนั่งข้างที่เริ่มเหม่อลอยใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว พินพยายามสะกดความรู้สึกเจ็บหน่วงภายในและพูดกับดาวเหนือให้ดูปกติที่สุด

          “ดาวเหนือเจอกับมะลิที่ไหนหรอ...?”

          “อืม...ผมถูกนกมะลิจับได้ในงานรับปริญญาที่มหาวิทยาลัยของพินตอนกำลังหลงทางเลื้อยซอกแซกอยู่ตามต้นไม้ เกือบจะโดนตีตายอยู่หลายรอบแล้วเหมือนกัน”

          คงไม่เสียหายอะไรหากพินจะตัดสินใจลองพาดาวเหนือไปที่มหาวิทยาลัยดู ไม่แน่ว่าบ้านของเจ้าของงูหนุ่มอาจจะอยู่แถวนั้น เผลอๆเจ้าของๆมันอาจเป็นนักศึกษาที่นั่นด้วยก็เป็นได้



          ซึ่งเขาอาจจะคิดผิด....



          ชายสองคนเดินเตร่มาหลายชั่วโมงก็ไม่มีวี่แววว่าดาวเหนือจะพบกับคนที่เขาจำได้ ดวงตาเรียวสลดเศร้า ท่าทางท้อแท้ห่อเหี่ยวอย่างเห็นได้ชัด

          “พินเรากลับกันเถอะ...คิมคงจะเลิกตามหาผมไปแล้วล่ะ”

          “ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะดาวเหนือ?”

          งูหนุ่มหลบสายตาไปอีกทางเพื่อไม่ให้พินเห็นใบหน้าทุกข์ใจของเขา ก่อนจะเอ่ยเสียงทุ้มสั่น

          “เพราะผมเป็นแค่งู...เป็นแค่สัตว์เลี้ยงที่อาจจะถูกแทนที่ได้ทุกเมื่อ”

          “อย่าพูดอย่างนั้นสิ มนุษย์เราก็มีหัวใจนะ! ตลอดเวลาที่อยู่กับคิม ดาวเหนือสัมผัสไม่ได้เลยหรอว่าคิมรักดาวเหนือรึเปล่า?”

          ดาวเหนือนิ่งตั้งใจฟังในสิ่งที่พินพยายามจะบอก ทว่าเขากลับไม่อาจสลัดความกลัวที่แอบซ่อนอยู่ภายในใจของตนทิ้งไปได้เลย

          “ผมรู้...แต่ความรู้สึกของมนุษย์เปลี่ยนแปลงไปเร็วเหลือเกิน เร็วจนผมกลัว...”

          จริงของเจ้างูที่ว่าความรู้สึกของคนเราช่างแปรเปลี่ยนได้รวดเร็ว แม้แต่ตัวเขาเองที่เคยเกรงกลัวหวาดระแวงอมนุษย์นกอย่างมะลิมาก่อน ถึงตอนนี้ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่หัวใจของเขาเริ่มหลอมละลายไป...เพราะความอบอุ่นที่เรียกว่า “รัก”

          “อย่าเพิ่งท้อไปเลยนะ ไว้วันหลังชั้นจะพานายมาตามหาคิมใหม่ วันนี้เรากลับบ้านก่อนก็แล้วกัน”

          ดาวเหนือพยักหน้าอย่างเชื่อฟังพลางเดินตามพินไปยังลานจอดรถ นับว่ายังเป็นโชคดีของงูไม่รู้ประสาเช่นเขาที่ได้มาเจอคนจิตใจดีเช่นพิน ทว่ามันจะเป็นความหวังลมๆแล้งๆไปไหม หากดาวเหนือปรารถนาที่จะได้กลับไปเจอหน้าเจ้าของคนเดิมอีกครั้ง...



          ยามที่ความเงียบงันเริ่มปกคลุม ชายหนุ่มผู้กลัดกลุ้มนั่งกุมมืออยู่บนโซฟา เวลาล่วงเลยมาจนพลบค่ำแล้วทว่าคนที่เขาทั้งหวงทั้งห่วงก็ยังไม่กลับมา การที่มะลิทำได้แค่รอมันช่างปั่นป่วนความรู้สึกของเขาจนแทบคลั่ง

          เสียงเปิดประตูบ้านดังขึ้น ภาพของชายสองคนที่เดินเข้าบ้านมาท่าทางเป็นห่วงเป็นใยกัน ทำให้เขาอดปากเสียใส่ไม่ได้

          “หึ! วันนี้คงจะคว้าน้ำเหลวล่ะสิท่าไอ้งู ป่านนี้เจ้าของๆแกคงมีสัตว์เลี้ยงใหม่ไปแล้ว แกคงถูกลืมไปแล้วล่ะ เสียเวลาตามหาเปล่าๆ”     

          คำพูดจี้ใจดำทำให้ดาวเหนือที่กังวลอยู่แล้วรู้สึกกลัวและเสียกำลังใจมากขึ้นไปอีก พินได้ยินมะลิพูดแบบนั้นจึงทนไม่ได้ต้องสวนกลับไป

          “มะลิ! นายมันจะใจดำเกินไปหน่อยแล้ว”

          พูดจบพินก็ตบบ่าดาวเหนือเบาๆพลางเอ่ยขึ้นอย่างห่วงใย

          “ดาวเหนือไปพักผ่อนเถอะ อย่าไปใส่ใจคำพูดของคนปากเสียเลย”

          งูหนุ่มค่อยๆลากร่างกายอันไร้ชีวิตชีวาขึ้นบันไดไป ส่วนพินก็เดินหนีตามไปอีกคน ทิ้งให้คนนิสัยไม่ดีนั่งหน้ายับอยู่คนเดียว มะลิที่กำลังหงุดหงิดจนแทบทนไม่ไหวไม่รอช้าลุกขึ้นตามพินไปที่ห้องนอน

          ไม่ทันที่นกหนุ่มจะหมุนลูกบิด ประตูก็เปิดออก ชายหนุ่มที่ถือผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่อยู่ในมือเหลือบตามองเขาด้วยสีหน้ารำคาญใจ

          “ถอยไปมะลิ ชั้นจะไปอาบน้ำ”

          พินผลักร่างนกหนุ่มออกไปจนพ้นทางและรีบเดินหายไปในห้องน้ำอย่างรวดเร็ว สายน้ำไหลจากฝักบัวกระทบบนใบหน้าชำระล้างอารมณ์ร้อนรุ่มในสติ ความรู้สึกผิดเสียใจค่อยๆเข้าแทรกแซงแทนที่

          ‘ขอโทษนะมะลิ...แต่ชั้นจะปล่อยให้ตัวเองถลำลึกไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้วจริงๆ’



          ร่างกายบอบบางชื้นน้ำในชุดนอนเดินอ่อนระโหยโรยแรงกลับเข้ามาในห้อง บนเตียงของเขามีชายหนุ่มที่จัดแจงเตรียมผ้าขนหนูกับไดร์เป่าผมนั่งรออยู่อย่างกระตือรือร้น ภาพที่เห็นทำให้พินอดยิ้มไม่ได้ แม้จะเป็นเพียงรอยยิ้มจางๆหมองหม่นก็ตามที

          “พินมานั่งนี่เร็ว เดี๋ยวเราจะช่วยเช็ดผมให้”

          พินทิ้งตัวลงนั่งข้างนกหนุ่มโดยไม่อิดออด สายตาเหม่อลอยอ่อนล้า มีเพียงผ้าขนหนูนุ่มๆที่กำลังเช็ดซับความเปียกปอนบนศีรษะของเขาอย่างเบามือคอยปลอบประโลม ครู่หนึ่งลมอุ่นๆก็ปะทะเข้ากับเรือนผมไล่หยดน้ำให้แห้งเหือดไป พินสัมผัสได้ว่าเจ้าของดวงตาสุกใสที่กำลังจ้องมองมามีความรู้สึกบางอย่างอัดแน่นอยู่ภายใน

          “วันนี้เป็นยังไงบ้าง เหนื่อยมั้ยพิน?”

          มะลิเอ่ยถามอย่างห่วงใยพลางขยี้มือเป่าผมให้พินไปด้วย ทว่าพินก็ได้แต่นั่งนิ่งไม่โต้ตอบอะไร ในใจที่พยายามแข็งขืนไว้กลับอ่อนลงเรื่อยๆ

          “เราขอโทษนะที่พูดจาไม่ดีใส่ดาวเหนือ...”

          “มะลิ...”

          “หืม?”

          “คืนนี้มะลิไปนอนกับดาวเหนือนะ...”

          การที่พินไม่ตอบโต้อะไรกลับมายังพอเข้าใจได้สำหรับมะลิ แต่การที่จู่ๆจะมาไล่เขาไปนอนที่อื่นโดยไม่มีเหตุผลเป็นสิ่งที่เขายอมรับไม่ได้จริงๆ

          “เราไม่เข้าใจน่ะพินว่าทำไมจะต้องไล่เราไปนอนที่อื่นด้วย? ไม่รู้แหละเราจะไม่ไปไหนทั้งนั้น!”

          นกหนุ่มเอ่ยเสียงแข็งดื้อดึง ทำให้คนฟังถอนหายใจขึ้นน้อยๆ

          “ไม่เป็นไรงั้นชั้นไปเอง...”

          พูดจบพินก็ผุดลุกขึ้นจากที่นอน สิ่งที่เขาเอ่ยขึ้นทำให้ชายหนุ่มที่เพิ่งถูกไล่ออกจากห้องถึงกับโกรธจัด แขนแข็งแรงกระชากคนตัวบางจนล้มลง คนสูงใหญ่กดร่างกายผ่ายผอมจนจมลงบนที่นอนพลางยุดแขนขึ้นคร่อมไว้ให้เนื้อตัวเจ็บไปหมด

          “พินมีอะไรก็พูดออกมาตรงๆสิ! ทำไมต้องทำเป็นเมิน ทำเหมือนเราไร้ตัวตนแบบนี้ด้วย!”

          ชายหนุ่มระเบิดอารมณ์ใส่น้ำเสียงกร้าว มือขาวที่ยุดแขนผอมแห้งไว้กำแน่นราวกับจะบดกระดูกให้แตกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

          “ปล่อยนะมะลิ ชั้นเจ็บนะ!”

          เสียงของคนเบื้องล่างร้องโอดครวญ ทว่านกหนุ่มกลับไม่มีทีท่าจะผ่อนแรงลงเลย เขาพูดเสียงลั่นด้วยสีหน้าเจ็บปวดพลางยกมือขึ้นขย้ำบนอกด้านซ้ายของตน

          “เราก็เจ็บเหมือนกัน! เจ็บตรงนี้! เจ็บเหมือนจะตายให้ได้เลย!”

          ดวงตาสวยหวานที่จ้องขึงโกรธเกรี้ยวมองมาแดงร้อนผะผ่าว มะลิหอบหายใจพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ก้าวร้าวดุดัน เขายังคงไม่ยอมแพ้เอ่ยถามคาดคั้นเสียงพร่าสั่น

          “พินบอกเรามาเดี๋ยวนี้ว่าพินเป็นอะไร? !”

          ใบหน้าคลอน้ำตาของชายหนุ่มเบื้องหน้าทำให้หัวใจของพินทั้งเจ็บปวดหวั่นไหว เขาเสียใจที่จะต้องกัดฟันเอ่ยคำๆนี้ออกมา...

          “ชั้นอึดอัด!”

          คนถูกบีบให้พูดโพล่งออกไป ความรู้สึกที่อัดอั้นภายในพรั่งพรูออกมาไม่หยุด

          “ชั้นทนไม่ไหวที่นายชอบมาทำรุ่มร่าม! อย่าลืมสิว่านายใช้ร่างของพี่ชายชั้นอยู่ อย่าทำให้ชั้นลำบากใจไปมากกว่านี้เลย...ขอร้องล่ะ!”

          ครึ่งหนึ่งคือเรื่องจริงทว่าอีกครึ่งหนึ่งเป็นคำโกหก แม้พินจะรู้สึกลำบากใจแต่เขาก็ไม่เคยรู้สึกรังเกียจมะลิเลย ความรู้สึกทุกอย่างกลับตรงกันข้ามด้วยซ้ำ

          “เราเข้าใจแล้วพิน...”

          เพียงได้ฟังดังนั้นก็เข้าใจทุกอย่าง คำพูดที่แมวนินจาเคยบอกกับเขาย้ำเตือนขึ้นมา

          ‘ตัดใจซะเถอะ...ความรักของแกมันเป็นไปไม่ได้หรอก...’


          มะลิผ่อนแรงลงจากนั้นจึงลุกขึ้นเดินออกจากห้องไป ถึงแม้จะเสียใจขนาดไหน...แต่เขาก็ต้องยอมรับแต่โดยดี เสียงประตูห้องปิดลงแผ่วเบา เหลือเพียงชายหนุ่มที่กำลังนั่งซุกหน้าลงกับผ้าห่มผืนหนา

          กลั้นกลืนน้ำตาอย่างปวดร้าวทรมาน





          วันรุ่งขึ้นบรรยากาศในบ้านดูนิ่งและน่าอึดอัด ชายหนุ่มท่าทางซึมเศร้าจัดเตรียมอาหารเช้าง่ายๆลงบนโต๊ะ ขนมปังที่ทาเนยก่อนจะนำไปปิ้งให้เนื้อแป้งหอมกรอบชุ่มฉ่ำ ไส้กรอกทอดร้อนๆสอดไส้ชีสเยิ้มๆและไข่คนเนื้อนุ่มสีนวลหอมยวนใจคงจะทำให้ใครบางคนตื่นเต้นไม่น้อย หากเมื่อคืนนี้ความสัมพันธ์ที่เคยแนบแน่บกลมเกลียวของคนทั้งคู่ไม่พลันสลายไปเสียก่อน

          “อรุณสวัสดิ์พิน”

          เสียงชายหนุ่มตัวซีดเอ่ยทักทายยามเช้าอย่างสดชื่น ดูจากสีหน้าแจ่มใสก็พอจะเดาได้ว่าเมื่อคืนดาวเหนือคงจะได้นอนหลับอย่างเต็มที่โดยไม่มีเพื่อนร่วมห้องอีกคนคอยสร้างปัญหาให้

          “หิวมั้ยดาวเหนือ?”

          “ไม่เท่าไหร่หรอกพิน แต่ไหนพินก็อุตส่าห์เตรียมอาหารเช้าไว้ให้เยอะแยะแล้ว ผมจะกินซักหน่อยแล้วกัน”

          ด้วยนิสัยงูของดาวเหนือทำให้เขากินอาหารไม่บ่อยนัก กินครั้งหนึ่งทีละมากทว่าอิ่มไปนาน ผิดกับมะลิที่หิวบ่อยกินจุบกินจิบกินได้ทั้งวัน

          “แล้วมะลิล่ะดาวเหนือ ยังไม่ตื่นอีกหรอ? ปกติป่านนี้ต้องหิวจนบ่นไม่หยุดแล้วนี่นา?”

          “ผมเห็นนกมะลิอาบน้ำอยู่น่ะ”

          ดาวเหนือเอ่ยตอบพลางตักไข่สีเหลืองนวลคำเล็กใส่ปาก งูหนุ่มกินแบบตอดนิดตอดหน่อยก็วางช้อนกลับลงบนจาน

          “ผมชอบกินไข่แต่น่าเสียดายที่ยังอิ่มอยู่ ไว้วันหลังทำให้ผมกินใหม่นะ พินทำอร่อยมาก”

          คนอิ่มส่งรอยยิ้มชื่นชมให้กับชายหนุ่ม ครู่หนึ่งเสียงกดออดหน้าบ้านก็ดังขึ้น

          ‘ปิ๊ง ป่อง’

          “มีคนมา! ผมต้องไปแอบก่อน”

          พูดจบดาวเหนือก็วิ่งเลิ่กลั่กไปซ่อนอยู่ในห้องเก็บของใกล้ๆ ถึงแม้เจ้างูหนุ่มมักจะชอบเพ่นพ่านออกไปเดินเอ้อระเหยข้างนอกบ้าน แต่ก็มักจะระมัดระวังตัวอยู่เสมอไม่ให้ใครรู้ว่าชายแปลกหน้าอย่างเขาอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้

          พินรีบเดินไปเปิดประตูบ้าน เมื่อเห็นภาพผู้มาเยือนตรงหน้าก็ทำให้เขารู้สึกเจ็บแปลบในอก

          “พี่ชิชา...”

          ชายหนุ่มรีบยกมือไหว้ทักทายหญิงสาวอายุมากกว่าอย่างนอบน้อม เธอรับไหว้ตอบพลางมองซ้ายมองขวาเข้ามาในบ้าน

          “พี่มารับพิมพ์น่ะ แล้ว...พี่ชายเราอยู่ไหนซะล่ะ?”

          ‘มารับงั้นหรอ?’

          “มาแล้วหรอชิชา?”

          เสียงขรึมทุ้มดังขึ้นมาจากด้านหลังของพิน มะลิที่เพิ่งจะอาบน้ำแต่งตัวเสร็จหมาดๆเดินมาหาชิชาโดยไม่สนใจจะมองใครอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆแม้แต่นิด

          “พิมพ์จะไม่เอาอะไรติดตัวไปหน่อยหรอ?”

          ชิชาเอ่ยถามเมื่อเห็นชายหนุ่มเดินมาตัวเปล่า

          “ไม่จำเป็นหรอก ชิชาบอกเราเองนี่ว่าข้าวของๆเราที่จำเป็นยังพอมีอยู่ที่คอนโด”

          บทสนทนาของคนทั้งสองทำให้พินอดสงสัยไม่ได้ จู่ๆชิชาก็มารับมะลิถึงบ้านแล้วไหนจะเรื่องข้าวของที่คอนโดอีกต่างหาก ถ้าเขาเข้าใจไม่ผิดมันคงหมายความว่า...

          “พิน...เราจะกลับไปอยู่กับชิชาแล้วนะ...”

          ความรู้สึกเจ็บหน่วงบีบให้ในอกปวดแปลบจนแทบทนไม่ได้ หัวใจหล่นวูบราวกับเขากำลังจะสูญเสียคนที่รักจนหมดใจไป พินสบตามองชายหนุ่มอีกคนดวงตาสั่นไหวก่อนจะหลบไปอีกทาง

          “อ๋อ...งั้นหรอ...ดีแล้วล่ะ ไม่ต้องห่วงทางนี้นะพินดูแลตัวเองได้...”

          พินเอ่ยขึ้นเสียงสั่น เขาพยายามพูดให้ค่อยที่สุดเพื่อที่จะพรางความรู้สึกไม่ให้ใครต้องสงสัย

          “พี่ชิชาครับ...ผมฝากดูแลพี่พิมพ์แทนผมด้วยนะ”

          “อื้ม...ไม่ต้องห่วงนะ มันเป็นหน้าที่ของพี่อยู่แล้วล่ะ”

          แม้ว่าชิชากับสามีของเธอจะมีความสัมพันธ์ที่จืดจางต่อกัน ทว่าผู้เป็นภรรยาเช่นเธอก็เข้าใจดีถึงหน้าที่ๆตนควรจะกระทำ

          “ถ้าอย่างนั้นเราไปก่อนนะ”

          มะลิบอกลาดวงใจของเขาอย่างปวดร้าว ในเมื่อพินไม่อาจฝืนยอมรับความรู้สึกของเขา คงจะมีเพียงความ “เหินห่าง” เท่านั้นที่จะช่วยขวางกั้นความรักที่เขามีต่อคนๆนี้ได้

          ชายหญิงทั้งสองเดินออกจากบ้านไป เหลือเพียงชายคนหนึ่งกับหัวใจที่บอบช้ำและความเสียใจทุรนทุราย

          “ทำไมมนุษย์ถึงชอบปากไม่ตรงกับใจ...ชอบทำให้ตัวเองเจ็บปวดอยู่เรื่อย?”

          ดาวเหนือที่รับรู้เรื่องราวทั้งหมดโดยไม่ตั้งใจเอ่ยถามหน้าซื่อ ส่วนคนถูกถามกลับพูดไม่ออก ดวงตาคมถูกอาบไปด้วยน้ำใสๆ พินหลับตาลงสูดหายใจพลางปลอบตัวเองว่าสิ่งที่เขาเลือกมันคงจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว…

          แม้ว่าน้ำตาจะกำลังรินไหลอยู่ก็ตาม...



++++++++++++++++


          พินเป็นคนที่คิดมากจริงๆนะคะ แล้วก็พยายามฝืนตัวเองเอามากๆแม้ว่าจะต้องทำให้ตัวเขาและคนที่รักต้องเสียใจ แต่ถ้ามองในมุมของคนทั่วไป ความสัมพันธ์ของมะลิกับพินนี่มันผิดศีลธรรมสุดๆไปเลยค่ะ ><

          ขอบคุณสำหรับการติดตามเช่นเคยค่ะ มาเอาใจช่วยทั้งคู่ด้วยนะคะว่าจะมีทางลงให้กับปัญหานี้ได้ยังไง


ออฟไลน์ Timid Lily

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0

บทที่17 : สีแดงฉาน

          คอนโดหรูสูงยี่สิบแปดชั้นใจกลางเมือง หญิงสาวกดรหัสเปิดประตูเข้าไปในห้องขนาดสองห้องนอน เธอหันมาพูดกับชายหนุ่มก่อนจะเดินเข้าไปภายใน

          “ชิชาส่งรหัสเข้าห้องเข้าไปให้ทางไลน์แล้วนะ พิมพ์ก็ไปเปิดดูเอาแล้วกัน”

          มะลิพยักหน้ารับพลางหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นดู บนหน้าจอปรากฏตัวเลขจำนวนหนึ่ง



          'พิมพ์มันเห็นแก่ตัว ชิชาทนไม่ไหวแล้ว!’


          ทันทีที่นกหนุ่มย่างเท้าเข้าไปในห้อง ความทรงจำมากมายก็หลั่งไหลพรั่งพรูออกมา ความทรงจำระหว่าง “พิมพ์กับชิชา”



          ภาพของหญิงสาวที่ใบหน้ายามปกติมักจะงดงามและยิ้มแย้ม ตอนนี้กลับเลอะเทอะไปด้วยคราบน้ำตา คิ้วบางขมวดขึง ปากก็พร่ำโวยวายฟูมฟายต่อว่าชายตรงหน้า

          “พิมพ์ไม่ได้ห่วงชิชาจริงๆหรอก พิมพ์หวงเงินของชิชามากกว่า! ”

          “เลอะเทอะใหญ่แล้วชิชา ที่พิมพ์ต้องพูดแบบนี้เพราะพิมพ์ทนไม่ได้ที่เห็นชิชาโดนหลอกจนหมดเงินไปขนาดไหนแล้ว”

          “ชิชาไม่ได้โดนหลอก ชิชาก็แค่อยากลงทุนทำธุรกิจกับเพื่อน ไม่ได้อยากบินไปจนแก่ก็แค่นั้นเอง!”

          “แล้วถ้าไม่ได้โดนหลอก ชิชาจะหมดตัวจนต้องมาขอยืมเงินพิมพ์แบบนี้หรอ? เลิกโง่ซักทีเถอะ!”

          คนเป็นสามีขึ้นเสียงต่อว่าหญิงสาวดังลั่น ชิชาชักสีหน้าก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา

          “ใช่! ชิชามันโง่...โง่ตั้งแต่ตัดสินใจแต่งงานกับพิมพ์แล้ว!”



          “พิมพ์...เหม่ออะไรอยู่? เข้ามาข้างในสิ”

          มะลิเดินเข้าไปในห้องพลางมองสำรวจไปรอบๆ ห้องที่สะอาดเป็นระเบียบ แทบจะไม่มีร่องรอยการอยู่อาศัยเลยด้วยซ้ำ อาจเป็นเพราะนานๆทีชิชาถึงจะได้กลับมาอยู่ที่นี่ หญิงสาวถอดรองเท้าเก็บเข้าบนชั้น จากนั้นจึงทำท่าจะเดินเข้าไปยังห้องนอน

          “ชิชา...เราขอถามอะไรหน่อยสิ?”

          มือที่กำลังจะจับลูกบิดประตูหยุดชะงัก ชิชาหันกลับมาสบตาชายหนุ่มอย่างตั้งคำถาม

          “เราสองคนทะเลาะกันบ่อยหรอ?”

          คนถูกถามผ่อนลมหายใจออกเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยตอบ

          “อืม...พวกเราคิดจะหย่ากันด้วยซ้ำ”

          หญิงสาวเปิดประตูออก ก่อนที่เธอจะหายลับไปในห้องส่วนตัวก็ได้เอ่ยทิ้งท้ายไว้

          “แต่ตอนนี้ชิชาไม่กล้าหย่ากับพิมพ์แล้วล่ะ...เพราะชิชากลัวว่าพิมพ์จะพยายามฆ่าตัวตายอีก...”

          ประตูได้ถูกปิดลง มะลินึกสงสัยว่าการที่สามีภรรยาคู่นี้ต้องแตกหักถึงขั้นจะหย่าร้างกันคงจะมีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง ซ้ำร้ายความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ยังถูก “ใครบางคน” นำมาใช้เป็นแรงจูงใจในการฆ่าตัวตายของพิมพ์อีกด้วย



          ยามค่ำคืนของมะลิผ่านไปอย่างไม่มีความสุขนัก ใบหน้าอันแสนคิดถึงและเสียงลมหายใจเข้าออกยามหลับของพินที่ตัวเขามักจะจ้องมองอย่างหลงใหลทุกคืนกลับไม่มีให้เห็น ในห้องนอนที่ไม่คุ้นเคยเช่นนี้ทำให้นกหนุ่มรู้สึกเปลี่ยวเหงาจับใจ แม้ในยามที่เขาเคยเป็นนกต้องใช้ชีวิตอย่างเดียวดายกลับยังไม่รู้สึกทรมานเท่ากับตอนนี้เลยแม้แต่น้อย

          พลันสิ่งหนึ่งทำให้ชายหนุ่มนึกขึ้นได้ เขาเกือบจะลืมไปเสียสนิทว่าวัตถุประสงค์ที่ทำให้ตนตั้งใจดั้งด้นมาถึงที่นี่ก็เพราะ...

          ‘สำนวนคดี!’

          คนที่นอนแทบไม่หลับทั้งคืนถือโอกาสรีบลุกขึ้นมารื้อค้นข้าวของภายในห้อง เขาหาทั้งบนชั้น ในลิ้นชัก กล่องเก็บเอกสาร ทว่าก็ไม่พบสิ่งที่เขากำลังตามหา

          ‘พิมพ์...ช่วยบอกเราทีเถอะว่าเก็บสำนวนคดีไว้ที่ไหน’

          นกหนุ่มได้แต่ร้องขอร่างกายไร้ซึ่งความทรงจำที่เขายึดมาเป็นเจ้าของ ทว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเค้นสมองที่ไม่ได้เป็นของเขาให้ถ่ายทอดเรื่องราวที่นึกอยากจะรู้เรื่องไหนเมื่อไหร่ก็ได้ดังใจ

          ในเมื่อไม่เจอสิ่งที่ต้องการภายในห้อง ตอนนี้มะลิจึงเลือกที่จะออกมารื้อข้าวของที่ห้องนั่งเล่นจนรกรุงรังไปทั่ว หญิงสาวในชุดเครื่องแบบพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินที่เพิ่งเปิดประตูห้องออกมาเห็นเข้าก็อดถามไม่ได้

          “พิมพ์หาอะไรอยู่หรอ?”

          “ชิชา ปกติเราเก็บพวกเอกสารสำคัญไว้ที่ไหนหรอ?”

          “เอกสารสำคัญ...หมายถึงที่เกี่ยวกับงานน่ะหรอ?”

          นกหนุ่มพยักหน้า ชิชานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นจึงเอ่ยตอบ

          “ในห้องพิมพ์จะมีกระเป๋าที่ใส่รหัสไว้ใบนึง มันเก็บอยู่ในนั้นแหละ”

          “รหัสอีกแล้วหรอ? รหัสอะไร?”

          “ชิชาขอหาแป๊บนึงนะ ชิชาเคยโน้ตเอาไว้เพราะพิมพ์ให้รหัสชิชาไว้เผื่อฉุกเฉิน”

          หญิงสาวเลื่อนนิ้วบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือสองสามทีก่อนจะกดส่งตัวเลขอีกจำนวนหนึ่งต่อไปให้ชายหนุ่ม

          “ชิชาส่งให้แล้ว พิมพ์ลองเปิดดูก็แล้วกัน”

          “ขอบคุณนะชิชา”

          “อืม...ชิชาต้องไปบินแล้ว ระหว่างนี้ถ้าพิมพ์อยากจะกลับบ้านก็กลับได้นะ เพราะชิชาจะไม่อยู่อีกตั้งครึ่งเดือน ตามสบายเลยแล้วกัน แค่อย่าลืมดูแลเก็บของที่รื้ออกมาเข้าที่เดิมแล้วก็ล็อกห้องให้เรียบร้อยก็พอ”

          พูดจบเธอก็เดินลากกระเป๋าออกจากห้องไป ทิ้งนกหนุ่มเอาไว้ท่ามกลางห้องที่ถูกรื้อข้าวของจนกระจัดกระจาย





          ‘ตุบ’

          เสียงกระเป๋าใบย่อมถูกโยนทิ้งลงบนโซฟาอย่างไม่ไยดี ตามด้วยร่างกายอันห่อเหี่ยวที่ถูกทิ้งลงตาม พินนอนทอดร่างบนเก้าอี้ยาวตัวนุ่มพลางทอดถอนใจ วันนี้เขาออกไปสัมภาษณ์งานที่ใฝ่ฝันอยากจะทำตั้งแต่สมัยเรียน หากแต่จิตใจที่ว้าวุ่นทำให้เขาคว้าน้ำเหลวเพราะไม่มีสมาธิจะทำอะไร ตอบคำถามไปก็เหม่อลอยไป ทั้งยังอึกอักไม่มีความมั่นใจ

          ‘มะลิจะเป็นยังไงบ้างนะ...’

          โดยไม่อาจห้ามความรู้สึกได้ แม้เขาจะรู้ตัวดีว่าตนเป็นฝ่ายผลักไสให้นกหนุ่มเลือกที่จะไป แต่หัวใจกลับไม่อาจหยุดคิดถึงคนๆนี้ได้เลย

          ‘หยุดเถอะ...’

          พินได้แต่อ้อนวอนต่อห้วงความคิดของตัวเอง ความห่วงหาบีบคั้นให้เขาทรมานไม่ต่างจากคนที่กำลังขาดอากาศหายใจ ดวงตาคมปิดลงพร้อมกับคิ้วที่ขมวดแน่น มือเรียวยกขึ้นปิดบังใบหน้าจากหลอดไฟที่สาดแสงลงมา พินผ่อนลมหายใจแผ่วยาวไปพร้อมกับสติที่ค่อยๆล่องลอยไปกับความเหนื่อยอ่อน



          นัยน์ตาสวยค่อยๆปรือเปิดขึ้นอีกครั้ง พินผุดลุกขึ้นนั่งพลางเหยียดแขนคลายความเมื่อยล้า เขาขยี้ตาน้อยๆ พลางกวาดตามองไปรอบห้อง ชายหนุ่มร่างสูงในเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงยีนส์เก่าๆยืนมองเขาด้วยรอยยิ้มที่คุ้นเคยห่างออกไปไม่ไกลนัก

          รอยยิ้มแสนอ่อนหวานที่ประดับไปด้วยรอยบุ๋มข้างแก้มขาว...

          ...รอยยิ้มของคนใจร้ายที่บังอาจขโมยหัวใจของเขาไป

          “มะลิ! นายมาได้ยังไง?”

          ความแปลกใจระคนยินดีตีกันให้ยุ่งไปหมด พินรีบลุกขึ้นจากโซฟาเดินเข้าหาคนที่แสนคิดถึงอย่างไม่รีรอ ส่วนคนที่ยืนอยู่นั้นผายแขนทั้งสองออกกว้างราวกับรอรับอ้อมกอดของคนที่ยิ้มดีใจจนแทบจะโผเข้าใส่

          คนทั้งสองโอบกอดกันแนบแน่น จมูกโด่งจรดลงบนเรือนผมเงางามด้วยความรัก มือแกร่งประคองแก้มเนียนอย่างทะนุถนอม ริมฝีปากอิ่มเลื่อนละจากขนตายาวคล้อยลงมาหวังจะมอบจูบให้คนตัวบางทว่า

          “อึก...”

          เสียงเจ็บปวดที่พยายามสะกดไว้ที่ปลายลิ้นถูกถ่ายทอดออกมาราวกับทนไม่ไหวอีกต่อไป พินรู้สึกได้ถึงฝ่ามืออุ่นที่ทาบอยู่บนแก้มใสค่อยๆ เย็นเยียบสั่นเทา มือของเขาที่กอดกุมร่างสูงเอาไว้สัมผัสได้ถึงของเหลวหนึบเหนียว ส่งกลิ่นคาวคละคลุ้ง

          “เลือด!”

          ใบหน้าสุกใสฉายแววทรมาน ลมหายใจของนกหนุ่มสะดุดขาดห้วงก่อนจะล้มลงจมทะเลเลือดสีแดงฉานที่อาบนองพื้น



          “มะลิ!”

          พินสะดุ้งตื่นขึ้นหอบหายใจทรมาน เหงื่อชื้นผุดพรายไปทั่วทั้งร่าง เขากวาดตามองไปยังฝ้าเพดานพลางหรี่ตาหลบแสงสว่างจากดวงไฟที่ทำให้ตาปวดพร่า

          “ฝันร้ายหรอพิน?”

          ไม่รู้ตั้งแต่ตอนไหนที่ศีรษะหนักๆของเขาถูกรองไว้ด้วยตักของงูหนุ่ม ดาวเหนือลูบผมของพินเป็นการปลอบโยนพลางส่งยิ้มให้อย่างอบอุ่น

          “ฝันว่าอะไรหรอ? เล่าให้ผมฟังได้มั้ย?”

          พินค่อยๆยันตัวลุกขึ้นนั่ง เขาเสยผมที่ยุ่งเหยิงขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยเล่าอย่างหวาดหวั่น

          “ชั้นฝันว่ามะลิบาดเจ็บ...”

          “บาดเจ็บจากอะไรหรอพิน?”

          “ไม่รู้เหมือนกัน...รู้แค่ว่ามีเลือดเต็มไปหมด แล้วมะลิก็ค่อยๆ ล้มลง ชั้นตกใจมากจนสะดุ้งตื่นนี่แหละ...”

          ดาวเหนือถอนหายใจ เขาพูดขึ้นสีหน้าจริงจัง

          “พินเองก็มีลางสังหรณ์ที่รุนแรงอยู่เหมือนกันนะ”

          “ยังไง...?”

          “ก่อนหน้านี้ผมก็เพิ่งเตือนนกมะลิไปเหมือนกันว่าให้ระวังจะเจ็บหนัก...”

          ได้ฟังดังนั้นพินก็ใจเสีย เขารู้ดีว่ายามที่งูขาวบอกเหตุผ่านความฝันคงหมายความว่าจะมีเหตุการณ์อะไรบางอย่างเกิดขึ้น แล้วไหนจะเรื่องลางสังหรณ์ของเขาที่ก่อนหน้านี้พินเองก็เคยรู้สึกใจคอไม่ดีตอนนินจาถูกรถชนมาแล้ว หนนี้ก็ทำให้เขารู้สึกกลัวไม่แพ้กัน

          ชายหนุ่มลุกพรวดขึ้นพลางคว้ากระเป๋าที่วางไว้บนโซฟาจากนั้นจึงเดินหุนหันออกจากบ้านไป โดยไม่สนใจเสียงเรียกของเจ้างูน้อยอีกคน

          “เดี๋ยวก่อนพิน! จะไปไหนน่ะ?”



          ยามพลบค่ำเช่นนี้เด็กหนุ่มตัวสูงใหญ่นั่งยองอยู่บนพื้นหน้าประตูรั้วบ้านมานานเกือบครึ่งค่อนชั่วโมง โดยเพียรพยายามกับอะไรบางอย่างจนทำให้เขาเกือบลืมความปวดเมื่อยที่ค้างอยู่ในท่านี้ และไหนจะยุงที่พากันมาบินตอมกัดจนคันไปหมด

          “นี่เจ้าเหมียวแกลองดมไอ้นี่สิ รับรองว่าแกต้องชอบมันมากแน่ๆ”

          เมฆยื่นหลอดเล็กๆทำจากพลาสติกใส ภายในบรรจุไปด้วยพืชใบเขียวที่ถูกป่นจนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปตรงหน้าเจ้าแมวดำ ทว่ามันกลับไม่ได้รับความสนใจ

          ‘กัญชาแมวงั้นหรอ? ...เราไม่หลงกลนายหรอกเมฆ’

          แมวนินจาใช้อุ้งเท้าน้อยๆของมันดันหลอดกัญชาแมวออกห่างจากตัว ทำให้คนที่พยายามหลอกล่อเจ้าแมวน้อยอยู่นั้นผิดหวังอยู่ไม่น้อย

          “อะไรเนี่ย...มีแมวที่ไม่สนใจแคทนิปอยู่บนโลกนี้ด้วยหรอ? นี่เจ้าเหมียว! ชั้นอยากเป็นเพื่อนกับแกจริงๆนะ”

          คนกับแมวมองสบตากันราวกับมีความนัยบางอย่าง ครู่หนึ่งเสียงเปิดประตูรั้วจากบ้านข้างๆก็ดังขึ้น ดึงความสนใจจากเจ้าก้อนขนสีดำไปยังชายหนุ่มตัวบางที่เดินหน้าตาตื่นออกมาจากบ้าน

          ‘พิน? จะรีบไปไหนกัน?’

          นินจารีบผละตัวออกจากเด็กหนุ่มวิ่งตรงรี่มาทางพินที่กำลังเปิดประตูรถอย่างรีบร้อน มันถือวิสาสะกระโจนเข้าไปในรถพลางกลายร่างเป็นคนนั่งอยู่ข้างคนขับ

          “นินจา? มาได้ยังไง?”

          “พินนั่นแหละ รีบหน้าตาตื่น เป็นอะไร?”

          “ชั้นจะรีบไปหามะลิที่คอนโด”

          “อ้าว? แล้วเจ้านกโง่นั่นไปทำอะไรอยู่ที่คอนโด?”

          “เรื่องมันยาวน่ะนินจา เอาเป็นว่าชั้นสังหรณ์ใจไม่ดีว่าจะมีเรื่องเสียเลือดเสียเนื้อเกิดขึ้น ดาวเหนือเองก็เตือนมาเหมือนกัน”

          นินจาทำหน้าครุ่นคิด ถ้าเจ้างูขาวเตือนมาด้วยอีกคนแบบนั้น แสดงว่าเรื่องนี้จะต้องเกิดขึ้นจริงอย่างแน่นอน

          “พาเมฆไปด้วยสิ”

          “ห๊ะ? !”

          พินที่กำลังดึงสายเข็มขัดนิรภัยรัดกับตัวถึงกับชะงัก เมื่อเจ้าแมวแนะเขาให้พาคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องตามไปอีกคน

          “เมฆเป็นนักเรียนแพทย์ พาไปด้วยเถอะมีประโยชน์”

          โดยที่ไม่ต้องรอให้ใครมาเชิญ ตอนนี้เด็กหนุ่มตัวโตได้เดินมาหาคนทั้งคู่ถึงรถ เมฆแค่ตั้งใจจะมาถามหาว่าเจ้าแมวดำแสนน่ารักที่หายมาทางนี้หนีไปไหนแล้ว ทว่าคนที่ลดกระจกรถมาเรียกหาเขากลับกลายเป็นเด็กหนุ่มผิวเข้มที่บุกรุกเข้ามารดน้ำต้นไม้ให้ในวันนั้น

          “เฮ้ย! นายรดน้ำต้นไม้?!”

          เมฆเอ่ยเรียกเสียงดังลั่นอย่างงงๆและตกใจ ส่วนนินจาทำหน้ายุ่งรำคาญเล็กน้อยก่อนจะเรียกให้เด็กหนุ่มอีกคนขึ้นรถ

          “ขึ้นมา!”

          “หา?!”

          “เออขึ้นรถมาก่อนเถอะน่า!”

          ดูท่าว่าถ้าให้สองคนนี้คุยกันวันนี้คงจะไม่มีทางลง พินจึงตัดสินใจพูดแทรกขึ้นมา

          “เมฆ! พี่จะออกไปรับพี่พิมพ์ ช่วยไปเป็นเพื่อนพี่หน่อยนะ”

          ถึงแม้ว่าเด็กหนุ่มกำลังจะงงถึงขีดสุดอยู่ก็ตาม แต่เขาก็พยักหน้าพลางเปิดประตูรถขึ้นมานั่งแต่โดยดี พินขับรถออกไปด้วยใจหวาดหวั่น ในใจได้แต่ภาวนา

          ‘มะลิ...รอชั้นก่อนนะ...อย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะ’



          ตั้งแต่เช้ามืดจนเวลาล่วงเลยมาดึกดื่น นกหนุ่มยังคงเพียรหาสำนวนคดีเจ้าปัญหาอย่างไม่ลดละโดยที่ข้าวยังไม่ได้ตกถึงท้องเลยสักมื้อ แม้ร่างกายจะเริ่มหมดเรี่ยวแรงทว่า มะลิก็อดไม่ได้ที่จะตั้งหน้าตั้งตาอ่านเอกสารที่ถูกรื้อค้นมาไม่หยุดพัก

          ‘ไม่ใช่’     

          สำนวนคดีฉบับแล้วฉบับเล่าถูกเปิดออกดู ทว่าไม่ว่าจะหาเท่าไหร่กลับไม่เจอสิ่งที่ต้องการ

         ‘อันนี้ก็ไม่ใช่...’

          จนกระทั่งเอกสารฉบับสุดท้ายเท่าที่จะหามาได้ถูกปิดลง สิ่งที่เขาค้นหาก็ยังไม่ปรากฏ

          ‘ไม่มี...ทำไมหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ?’

          ชายหนุ่มทอดถอนใจอย่างสิ้นหวัง ท้องไส้เริ่มร้องระงมปั่นป่วนอ้อนวอนให้เจ้าของร่างโปรดหาอะไรมาเติมเต็ม ส่วนหัวใจก็ชักฟูมฟายคิดถึงคนที่เขาจากมา

          ‘อยากเจอ...’

          คนที่ฝืนความรู้สึกตัวเองไม่เป็นเช่นเขา แน่นอนว่าการที่ออกจากบ้านมาอยู่ในที่แห่งนี้ออกจะเป็นการกระทำที่เกินตัวไปมาก เขาอดทนมามากพอแล้วกับความคิดถึง สิ่งเดียวที่วนเวียนอยู่ในความคิดของเขานอกจากความหิวนั่นก็คือ...

          ‘กลับบ้านดีกว่า’

          นกหนุ่มโกยข้าวของกลับเข้าที่อย่างลวกๆ ลวกมากพอที่ถ้าชิชามาเห็นเข้าคงจะต้องกรีดร้อง เมื่อมะลิเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีตามที่เห็นสมควร เขาก็รีบเดินอ้าวออกจากห้องไป

          ทันทีที่เขาปิดล็อกประตูห้องเรียบร้อย หญิงวัยกลางคนที่กำลังจะเปิดประตูห้องข้างๆก็หันมายิ้มแย้มทักทายให้กับชายหนุ่ม

          “อ้าวพิมพ์ ไม่ได้เจอตั้งนาน?”

          ‘ใคร?’

          “ชิชาบอกพี่ว่าพิมพ์ไม่สบาย ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง? ดีขึ้นแล้วยัง?”

          “เอ่อ...ไม่เป็นไรแล้วครับ”

          มะลิอึกอักตอบไป ถ้าให้เขาเดาสตรีผู้นี้น่าจะเป็นเพื่อนข้างห้อง

          “ไม่เป็นไรก็ดีแล้วล่ะ พี่ก็อดเป็นห่วงเราไม่ได้....ชิชาเองก็คงจะเหงาแย่ นี่ยังดีนะช่วงที่พิมพ์ป่วยชิชามีเพื่อนมาอยู่ด้วยบ่อยๆ”

          “ขอบคุณนะครับ”

          “แล้วนี่จะไปไหนอีกแล้วล่ะ ค่ำมืดป่านนี้?”

          “ผมจะกลับไปที่บ้านน่ะครับ ขอตัวก่อนนะครับ”

          ชายหนุ่มรีบบอกลาไปส่งๆ ตอนนี้เขาเริ่มหิวจนแสบท้อง แถมยังต้องเดินทางอีกไกลกว่าจะกลับไปเจอหน้าคนที่คิดถึง ยังไงวันนี้เขาก็จะพยายามลองเกลี้ยกล่อมพินให้เข้าใจ ถึงแม้ว่าตัวเขาเองก็ยังไม่รู้ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นไรก็ตาม

          มะลิได้นำพาร่างอันหิวโหยลงจากลิฟต์มายังชั้นล่างสุด เขาเดินลัดเลาะลานจอดรถเงียบเปลี่ยวมุ่งไปสู่ทางออกติดถนนเพื่อเรียกรถสักคันกลับไปหาคนที่เขารัก

          เสียงฝีเท้าเบาเงียบกระชั้นเข้ามาทางด้านหลังของชายหนุ่ม มะลิรู้สึกตัวรีบหันกลับไปพบกับร่างๆหนึ่งสวมชุดสีดำสนิททั้งตัว บนศีรษะสวมหมวกกันน็อคปิดบังใบหน้าเอาไว้ มือที่สวมถุงมือของร่างปริศนาถือมีดพลันพุ่งหมายจะเสียบเข้าตรงชายโครงของนกหนุ่ม

          มือขาวแข็งแรงกำมือมีดเอาไว้แน่นพยายามยื้อยุดบ่ายเบี่ยง ปลายมีดที่ห่างออกจากร่างของเขาเพียงไม่ถึงคืบสร้างความได้เปรียบให้คนร้ายใช้กำปั้นชกกระทุ้งด้ามมีดสุดแรงจนปักแทงเข้าบนร่างของมะลิจนมิดด้าม

          ความปวดแปลบแล่นปราดขึ้นพร้อมกับเลือดที่ค่อยๆซึมไหล ใบหน้าของชายหนุ่มบิดเบี้ยวซีดเซียวด้วยความเจ็บปวด มือมีดพยายามดึงมือและอาวุธออก ทว่าคนเจ็บกลับไม่ยอมแพ้กำมือของฝ่ายตรงข้ามเอาไว้แน่น จนคนร้ายเห็นท่าไม่ดีจึงตัดสินใจสะบัดมือออกทิ้งมีดเสียบคาไว้ ก่อนจะกวาดเอาทรัพย์สินมีค่าไปจากเหยื่อแล้วหลบหนีไป

          นกหนุ่มทรุดตัวลงด้วยความเจ็บปวด เลือดไหลออกจากร่างราวกับน้ำที่ซึมทะลักจากบ่อ สติที่เคยมีค่อยๆรางเลือน ภาพดวงหน้าที่เขาคิดถึง...ค่อยๆ จางหายไป

          “มะลิ!”

          พินที่จอดรถเทียบไว้ข้างตึกวิ่งหุนหันลงมา เห็นคนตรงหน้านอนนิ่งหายใจผะแผ่ว เขาเข้าประคองกุมกอดคนตรงหน้าเอาไว้ใจหล่นวูบด้วยความกลัว มือหนึ่งที่กำลังสั่นรีบยกโทรศัพท์มือถือกดเรียกรถพยาบาล

          “อย่างดึงมีดออกนะ! แล้วก็อยู่เฉยๆ เดี๋ยวเมฆจะช่วยห้ามเลือดให้”

          นักศึกษาแพทย์อีกคนที่หน้าตาตื่นไม่แพ้กันรีบตามมาให้ความช่วยเหลือ ส่วนนินจารีบวิ่งไปตามยามที่อยู่ใกล้ๆ ซึ่งตอนนี้ผู้คนเริ่มหลั่งไหลมามุงดูเหตุการณ์อุกอาจที่เพิ่งเกิดขึ้น

          “พิน...พินจริงๆด้วย...”

          ชายหนุ่มที่นอนเจ็บอยู่เอ่ยขึ้นรวยริน เขาพยายามฝืนส่งยิ้มให้คนที่ประคองเขาอยู่แม้ว่าแทบจะไม่เหลือเรี่ยวแรงแล้วก็ตาม

          “ชู่ว...มะลิ อย่าเพิ่งพูดอะไรเลยนะ ชั้นอยู่นี่แล้ว...ไม่เป็นไรนะ”

          พินเอ่ยกับนกหนุ่มเสียงเครือ ดวงตาก่ำแดงน้ำตาคลอเบ้า ในใจได้แต่อ้อนวอนขอร้องต่อฟากฟ้า...

          ...ได้โปรดอย่าพรากคนที่รักไปจากชีวิตเขาอีกเลย


++++++++++++++++


          มะลิเจ็บตัวเข้าจนได้ หรือว่าสิ่งที่เขากำลังกลัวมาตลอดตอนนี้จะเกิดขึ้นจริงๆแล้ว มาเอาใจช่วยนกมะลิกันด้วยนะคะ แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Timid Lily

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0
บทที่ 18 : ซ่อน
         
         นับว่าโชคยังเข้าข้าง ที่การขัดขืนของนกหนุ่มทำให้คนร้ายแทงพลาดไปจากจุดสำคัญ ตอนนี้มะลิกลับมามีสติดังเดิม เขาถูกย้ายมาพักในห้องผู้ป่วยเดี่ยวโดยที่มีชายสามคนอดหลับอดนอนผลัดกันช่วยดูแลเขามาทั้งคืน

          “เมฆว่าคนร้ายนี่มืออาชีพมากเลยนะ ดูจากตำแหน่งที่แทงและการตะแคงมีดแม่นยำมาก ถ้าพี่พิมพ์ไม่ออกแรงสู้คงโดนจุดตายไปแล้ว”

          เด็กหนุ่มสูงใหญ่เอ่ยขึ้นพลางเดินเข้ามาใกล้คนที่นอนเจ็บอยู่บนเตียง เขาเลิกเสื้อผู้ป่วยขึ้นสำรวจรอยแผลของชายหนุ่มเล็กน้อย

          “ตำรวจบอกว่าคนร้ายรู้จักทางหนีทีไล่ของคอนโดเป็นอย่างดี รู้แม้กระทั่งมุมกล้องวงจรปิด ที่สำคัญคือเหมือนพยายามจัดฉากให้ดูเป็นการปล้นชิงทรัพย์เพราะขโมยของไปไม่หมด เลือกชิงกระเป๋าสตางค์กับนาฬิกาไปแต่ดันทิ้งโทรศัพท์มือถือไว้ซะงั้น”

          คำพูดของเมฆ ทำให้พินที่นั่งฟังอยู่ด้วยกันกังวลแทบขาดใจ ถ้าเรื่องที่ตำรวจคาดการณ์เป็นความจริง นั่นก็หมายความว่าสิ่งที่พินและมะลิกลัวมาโดยตลอดกำลังจะเกิดขึ้น

          “พี่พิมพ์มีปมขัดแย้งอะไรกับใครมารึเปล่าครับ?”

          เด็กหนุ่มจอมจุ้นยังคงถามไม่หยุด ส่วนคนที่จำความอะไรไม่ได้อย่างมะลิก็ได้แต่ตอบไป

          “เราเองก็จำไม่ได้ ถ้าจะมีก็คงเป็นคดีล่าสุดที่เราเคยทำ...”

          “แล้ว...”

          “นี่นาย! จะถามอะไรเยอะแยะรบกวนคนป่วยเค้า ถ้าอยากจะเล่นเป็นนักสืบก็กลับไปเล่นที่บ้านเลยไป!”

          นินจาเอ่ยขึ้นขัดเมื่อเห็นว่าเมฆชักจะถามเยอะแยะซอกแซก ถ้าเป็นไปได้เขาอยากจะให้เด็กหนุ่มเข้ามาพัวพันกับเรื่องนี้ให้น้อยที่สุด

          “พิน...เราขอตัวกลับก่อนแล้วกันนะ เห็นมะลิฟื้นขึ้นมาเราก็หมดห่วงละ”

          “อื้มขอบคุณมากๆ นะที่มาช่วย ทั้งสองคนเลย”

          พินเอ่ยขอบคุณนินจากับเมฆ ถ้าไม่ได้สองคนนี้มาช่วยอีกแรง พินก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวคนเดียวยังไง

          “มะลิ? หมายถึงพี่พิมพ์หรอ?”

          เมฆเอ่ยถามด้วยความสงสัย เพราะนี่เป็นหนที่สองแล้วที่เขาได้ยินว่าชายหนุ่มที่กำลังนอนเจ็บอยู่บนเตียงถูกเรียกเช่นนี้ ทว่าคนถูกถามไม่คิดที่จะรอฟัง นินจารีบก้าวฉับๆ ออกจากห้องพักผู้ป่วยไป ทำให้คนที่ยังคาใจรีบตามกลับไปอีกคน

          “เฮ้ย! นายรดน้ำต้นไม้รอด้วยดิ! พี่พิน พี่พิมพ์ ถ้างั้นเมฆขอตัวกลับก่อนนะครับ”

          เมฆรีบสาวเท้ายาวๆเข้ากระชั้นเด็กหนุ่มอีกคน แต่นินจาก็ไม่คิดจะหันไปโต้ตอบด้วย

          “นี่! นายชื่ออะไรเรายังไม่รู้เลย...หันมาคุยกันก่อนดิ”

          “...”

          ยังคงไม่ได้รับคำตอบ นินจาเลือกที่จะเดินลงบันไดไปเรื่อยๆเพื่อไม่เปิดโอกาสให้เมฆได้ขังตัวเขาเอาไว้ในลิฟต์แล้วซักไซ้     

          “นายเป็นเพื่อนกับพี่พินหรอ? แต่นายดูเด็กกว่าตั้งเยอะ...แล้วบ้านอยู่ที่ไหนล่ะ? กลับยังไง?”

          คนขี้สงสัยยังคงยิงคำถามรัวเป็นชุด ถึงแม้ว่าการที่อีกฝ่ายจะไม่ยอมพูดอะไรกลับมาจะน่ารำคาญใจอยู่สักหน่อย แต่เขาก็ไม่อยากจะยอมแพ้

          “นี่! พูดอะไรหน่อยเหอะ เราก็แค่อยากจะขอบคุณที่นายมาช่วยดูแลบ้านให้ช่วงที่ไม่มีใครอยู่แค่นั้นเอง”

          คนได้ฟังหยุดกึกจากนั้นจึงตัดสินใจแนะนำตัวไปสั้นๆ

          “เราชื่อนิน...”

          พูดจบนินจาก็รีบเดินออกไปจากโรงพยาบาล เมฆที่รีบตามมาติดๆเห็นเด็กหนุ่มเดินเลี้ยวเข้าไปอีกทางทว่า...

          “เอ้า! หายไปไหนแล้ววะ?”

          คนลึกลับของเมฆหายตัวไปเฉยๆ เหลือเพียงแมวดำที่แอบจ้องมองลงมาจากบนกำแพงสูง...



          การจากไปของเด็กหนุ่มสองคนเปิดโอกาสให้มะลิได้อยู่กับพินสองต่อสอง แม้ว่าตอนนี้พินจะนั่งห่างจากมะลิอยู่ไกลโข ทว่าความห่วงใยก็ยังคงส่งไปถึงจนคนเจ็บรู้สึกได้

          “มะลิกินน้ำซักหน่อยมั้ย?”

          คนเป็นห่วงเอ่ยขึ้นทำลายบรรยากาศน่าอึดอัด พินลุกขึ้นหยิบน้ำรินใส่แก้วพลางปักหลอดส่งให้คนที่นอนอยู่บนเตียง

          “ขอบคุณนะพิน”

          มะลิยันตัวขึ้นนั่งช้าๆ เขาดื่มน้ำอย่างกระหาย จากนั้นจึงส่งยิ้มมีความสุขให้คนตรงหน้า

          “โชคดีที่เรารอดมาได้ ครั้งนี้ถ้าตายขึ้นมาจริงๆ เราอาจจะไม่ได้มีโอกาสกลับมาอีกแล้วก็ได้”

          รอยยิ้มที่เศร้าลงเล็กน้อยทำให้คนมองใจเสีย นกหนุ่มสบตาดวงหน้าหม่นหมองก่อนจะพูดต่อ

          “เราดีใจนะ ที่ได้ตื่นขึ้นมาเห็นหน้าพินอีกครั้งนึง”

          มะลิกุมมือบางขึ้นอย่างถนอม เขาจ้องลึกลงไปในดวงตาคมสวยอย่างอ้อนวอน

          “พิน...เรารักพินนะ...”     

          คำสารภาพรักที่ไม่ทันตั้งตัวทำให้หัวใจของชายหนุ่มสั่นไหว นัยน์ตาหวานสุกใสที่จ้องมองมาสั่นระริกฉายแววเจ็บปวดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

          “เราขอร้องล่ะ...อย่าผลักไสเราอีกเลยนะ เราดูออกนะว่าพินก็รู้สึกเหมือนกันกับเรา ทำไมพินจะต้องฝืนตัวเองด้วย?”

          พินหลบตาไปอีกทาง ความรู้สึกอึดอัดทรมานตีตื้อขึ้นเต็มอกอีกครั้ง

          “นายไม่เข้าใจ...ชั้นอยู่ในสถานะอะไร มันกลืนไม่เข้าคายไม่ออก นายอยู่ในร่างพี่ชายชั้น...แถมยังเป็นคนที่แต่งงานเป็นตัวเป็นตนแล้ว แล้วจะให้ชั้นปล่อยใจไปรักนายได้ยังไง...”

          “ถ้าอย่างนั้นเราขอเป็นคนรักกับพินเฉพาะเวลาที่อยู่ด้วยกันสองคนก็พอ นอกเหนือจากนั้นเราจะยอมทำตัวเป็นพี่ชายที่แสนดีของพินต่อหน้าทุกคน...นะ...”

          นกหนุ่มร้องขอด้วยความเจ็บปวด ทว่าคนฟังก็ยังคงนิ่งคิดไม่พูดอะไร

          “ขอร้องล่ะ...เราเองก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกนานแค่ไหน ตอนนี้เรารู้สึกว่าชีวิตเราแขวนอยู่บนเส้นด้าย อย่างน้อยเราก็อยากทำตามความรู้สึกของตัวเอง”

          มือขาวที่กอบกุมกำลังบีบแน่นขึ้นสั่นเทา ดวงตาสุกใสสวยงามสะท้อนน้ำที่เริ่มเอ่อเพราะต้านความรู้สึกของตัวเองต่อไปไม่ไหว

          “ในเมื่ออมนุษย์อย่างเราได้รู้จักกับความรักแล้ว เราก็อยากสมหวังซักครั้ง...ก่อนที่จะไม่มีวันพรุ่งนี้”

          “ไม่มีวันพรุ่งนี้” แค่ได้ยินก็เหมือนหัวใจจะแตกร้าวแหลกเป็นฝุ่น ความกลัวถาโถมเข้าใส่กัดกินความรู้สึกบาดลึก หัวใจที่เคยแข็งขืน  อ่อนยวบหวั่นไหว หากชายตรงหน้าต้องจากพินไปอีกคนเขาคงจะทนไม่ไหวเหมือนกัน

          ทั้งสองสบตากันลึกซึ้ง มือที่ถูกกุมอยู่ถูกดึงเข้าไปใกล้ ริมฝีปากอิ่มเคลื่อนเข้าหาใบหน้าเนียนละไล้ละมุนละไมก่อนจะประดับจูบเม้มผะแผ่วสร้างความหวามไหวให้คนที่ครอบครองทุกพื้นที่ในหัวใจ ลมหายใจอุ่นปะทะลงบนใบหน้า ปลายลิ้นดุลแทรกสัมผัสจนคนถูกจูบสะดุ้งน่าเอ็นดู

          “อ๊ะ!”

          ชายหนุ่มถอนลิ้นซุกซนออกจากริมฝีปากหยักพลางยิ้มกริ่มน้อยๆ แขนแข็งแรงทั้งสองข้างรวบเอวบางยุดลากขึ้นบนเตียง

          “มะลิ! จะทำอะไรเนี่ย? เดี๋ยวเลือดย้อนขึ้นสายน้ำเกลือ!”

          “ถ้างั้นพินก็ขึ้นมาอยู่บนเตียงกับเราดีๆสิ...เราอยากกอดพิน”

          สายตาวูบวาบทว่าเจือความหวานจ้องมองมาทำให้ชายหนุ่มยากจะต้านทาน พินปีนขึ้นไปบนเตียงนั่งคุกเข่าก้มหน้างุดเขินตัวเองที่แพ้สายตาคนตรงหน้า

          ร่างสูงโอบคนตัวบางล้มลงกอดแน่น จมูกโด่งจรดสูดกลิ่นหอมที่โชยไปทั่วร่าง ปากอิ่มกระซิบคำหวานบอกรักคนในอ้อมแขนไม่หมดไม่สิ้น

          “พิน...เรารักพินมากนะ”

          คนที่ซุกอยู่ในอ้อมอกแนบแน่นฟังคำบอกรักคลอไปกับเสียงหัวใจที่กำลังสั่นไม่เป็นจังหวะของคนพูด

          “พินคือโลกของเรา...คือชีวิตของเรา...”

          โลกของชายหนุ่มที่ได้เรียนรู้จักว่าความ “รัก” คืออะไร

          ชีวิตที่มีสิ่งสำคัญมากกว่าตนเองซึ่งก็คือ “พิน”

          “ชั้นก็รักนายนะ...มะลิ...”

          คำรักที่ท่วมท้นเอ่อล้นออกมาเป็นคำสารภาพแสนหวาน ร่างบางกอดรับไออุ่นจากแผ่นอกกว้างแนบแน่น ปากอิ่มจรดลงบนหน้าผากอย่างอ่อนโยน ก่อนจะไล้จุมพิตลงบนจมูก ละลงมาถึงริมฝีปากหยักได้รูป

          ความรู้สึกที่ไม่อาจเอ่ยออกมาเป็นคำพูดถูกถ่ายทอดผ่านริมฝีปากที่ประทับเข้าด้วยกัน จูบแล้วจูบเล่าอ้อยอิ่งเนิ่นนานราวกับกำลังจะกลืนกินลมหายใจของกันและกัน ลิ้นร้อนละไล้ชิมความหวานให้ในใจวูบหวิว...ล่องลอย...

          จากความอ่อนหวานเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นเร่าร้อน ร่างสูงบดจูบรุนแรงขึ้นกระชากลมหายใจอีกฝ่ายให้ขาดเป็นห้วงๆ มือเรียวสั่นเทาจิกกุมคอเสื้อคนที่รักแน่น เสียงครางกระเส่าทำเอาสติเตลิดลอย ก่อนที่ทุกอย่างจะเกินเลยไปกว่านี้ คนที่ทนแทบไม่ไหวตัดสินใจถอนริมฝีปากชื้นออก

          “ขอติดไว้ก่อนนะพิน...”

          นกหนุ่มกระซิบเสียงแผ่วพลางจ้องคนตรงหน้าด้วยความรัก ทำเอาชายหนุ่มที่เคลิบเคลิ้มไปกับรสจูบเมื่อครู่หน้าร้อนฉ่าก้มงุดจมลงไปกับอกกว้าง

          “อืม...”

          พินเอ่ยตอบเสียงค่อยจนแทบไม่ได้ยิน ทำเอามะลินึกขำหัวเราะขึ้นด้วยความเอ็นดู คนเขินเลยเอากำปั้นทุบอกแข็งๆลงไปแก้เก้อ

          “นี่พินเราเจ็บอยู่นะ”

          “เจ็บก็นอนไปเลย...”

          นกหนุ่มอดยิ้มกับภาพตรงหน้าไม่ได้ เขากอดกระชับร่างกายผอมบางแน่นขึ้นไปอีก มือข้างหนึ่งก็ลูบไล้เส้นผมเงางามก่อนจะหอมหัวคนน่ารักฟอดใหญ่

          ‘ก๊อก ก๊อก ก๊อก’

          เสียงเคาะประตูตามมารยาทดังขึ้นสองสามที โดยที่ไม่รอให้คนในห้องเอ่ยปากเชิญ ผู้มาเยือนก็เปิดประตูพรวดเข้ามาจนทำให้พินที่ซุกอยู่ในอ้อมอกชายหนุ่มสะดุ้งผุดลุกขึ้นนั่งตาหูเหลือก

          “อะไรกันเนี่ยพี่น้องคู่นี้ ไปนอนเบียดกันบนเตียงคนไข้ทำไม?”

          หญิงสาวผมยาวประบ่าใบหน้าแจ่มใสเอ่ยขึ้นพลางมองไปยังเพื่อนสนิทของเธอที่ทำเป็นยิ้มไม่รู้ไม่ชี้อยู่บนเตียง

          “นี่ถ้าเป็นที่โรงพยาบาลที่เราทำงานอยู่นะ เจอคนไข้แบบนี้จะตีให้ตายเลย!”

          ไหมยิ้มหัวเราะพลางเดินเข้ามาทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา ส่วนพินที่หน้าตาเลิ่กลั่กอยู่เมื่อครู่รีบลงจากเตียงมานั่งทำหน้าบอกไม่ถูกอยู่บนเก้าอี้ข้างๆ

          “ไงไหม จะมาเยี่ยมทำไมไม่โทรหาเราก่อนล่ะ?”

          “โทรเทออะไรล่ะ แค่ได้ข่าวว่าแกโดนปล้นชิงทรัพย์เราก็ตกใจจะตายอยู่ละ นี่ออกเวรแล้วก็รีบขับรถมาเยี่ยมเลยเนี่ย!”

          คนเป็นเพื่อนเดินตรงรี่มาหาคนเจ็บด้วยความเป็นห่วง จากนั้นจึงเริ่มเอ่ยถามสารทุกข์สุกดิบ

          “แล้วแกเป็นยังไงบ้างพิมพ์? ตอนรู้ข่าวเรากังวลแทบตาย แต่แกดูสดชื่นกว่าที่คิดเราก็สบายใจละ”

          มะลิอมยิ้มกรุ้มกริ่ม การที่เขาฟื้นตัวเร็วได้ขนาดนี้มีเหตุผลเดียว เพราะเขาได้รับพลังวิญญาณหนูจากพินมามาก...มากจนแข็งแรงขึ้นทันควัน

          “แล้วตำรวจว่ายังไงบ้างหรอ?”

          “ตำรวจบอกว่าคนร้ายรู้ทางหนีทีไล่แถวนั้นเป็นอย่างดี กล้องวงจรปิดก็แทบจะจับภาพเอาไว้ไม่ได้”

          “งั้นหรอ...”

          “แต่พี่ไหมครับ ความจริงพินคิดว่าเรื่องนี้มันมี...”

          ก่อนที่พินจะพูดจบ มะลิรีบคว้ามือบางมาบีบแน่นพลางส่งสายตาที่พอจะอ่านได้ว่า นกหนุ่มไม่ต้องการให้เขาเอ่ยถึงเหตุการณ์ไม่ชอบมาพากลของเรื่องนี้

          “มีอะไรหรอพิน?”

          “เอ่อ...อ๋อ คือพินแค่จะบอกว่าพินคิดว่าจากเหตุการณ์นี้อาจจะเคยมีเหยื่อที่ถูกทำร้ายมาช่วยเป็นพยานให้เราได้น่ะครับ...”

          พินแต่งประโยคขึ้นมามั่วๆเพื่อเปลี่ยนเรื่องที่เขาต้องการจะพูดบ่ายเบี่ยงให้ไหมเข้าใจเป็นอย่างอื่น

          “ก็จริงของพินนะ...แต่ก็เอาเถอะ ที่เหลือก็ปล่อยให้ตำรวจเค้าจัดการไป ส่วนแกปลอดภัยก็ดีแล้ว วันหลังมืดๆ ค่ำๆ แกต้องระวังตัวให้มากกว่านี้รู้รึเปล่า?”

          “อืม”

          ไหมเอ่ยย้ำกำชับด้วยความเป็นห่วง ในขณะที่มะลิตัดสินใจที่จะพูดถึงเรื่องนี้ให้น้อยที่สุด เพราะตอนนี้เขาเองก็ไม่อาจรู้ได้ว่า “ใคร” ที่เขาจะไว้ใจได้ และ ใคร...

          ที่เขาควรจะหลีกหนีไปให้ไกลที่สุด


++++++++++++++++

          ในที่สุดมะลิกับพินก็ได้จูบกันแบบคนรักแล้วค่ะ หลังจากที่ชอบกันมาตั้งนาน แต่ว่าบทสรุปความรักของทั้งคู่จะเป็นรักแบบหลบซ่อนจริงๆงั้นหรอ...ฝากติดตามกันต่อด้วยนะคะ




ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Timid Lily

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0
บทที่19 : พานพบ

          หลังจากที่ได้ข่าวว่าลูกชายคนโตบาดเจ็บจนต้องเข้าโรงพยาบาล พ่อกับแม่เป็นเดือดเป็นร้อนรีบลางานกลับมาเฝ้าดูแลได้กว่าสัปดาห์แล้วก็กลับไป พินจึงถือโอกาสพานกหนุ่มไปฉลองที่หายจากอาการบาดเจ็บเกือบสนิทแล้ว

          “กินให้เต็มที่เลยนะทุกคน วันนี้ชั้นจะเป็นคนเลี้ยงเอง”

          ในร้านอาหารไทยขนาดหนึ่งห้องที่ตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ ชายสี่คนนั่งเรียงรายล้อมรอบโต๊ะสี่เหลี่ยม โดยที่มีคนๆหนึ่งกำลังทำหน้าบูดอย่างเห็นได้ชัด

          ‘ทำไมพินจะต้องชวนไอ้แมวกับไอ้งูนี่มาด้วยวะ? ...’

          มะลิกำลังมองคนสองคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามอย่างไม่สบอารมณ์นัก ถ้าเป็นไปได้เขาอยากจะอยู่กับพินสองต่อสองมากกว่า แต่ดูเหมือนว่าที่พินชวนนินจากับดาวเหนือมาด้วยก็คงเพราะเห็นว่าอมนุษย์ทั้งสาม “เป็นเพื่อนกัน”

          “ปลากะพงทอดขมิ้น นินจาต้องชอบแน่ๆ มาชั้นตักให้”

          ทันทีที่ปลาทอดตัวโตสีเหลืองหอมกรอบถูกนำมาเสิร์ฟ เจ้ามือไม่รีรอรีบตักปลาเนื้อนุ่มลงบนจานของแมวหนุ่ม

          “ขอบคุณนะพิน”

          นินจาตักปลาใส่ปากเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย ครู่หนึ่งเมนูถัดไปถูกนำมาเสิร์ฟที่โต๊ะ เป็นไข่ที่ถูกนำไปเจียวผสมกับข้าวเนื้อฟูดูน่ากิน

          “อันนี้เราสั่งมาให้ดาวเหนือ เรียกว่าไข่พระอาทิตย์”

          พูดจบพินก็ตักไข่เจียวหอมๆใส่จานของงูหนุ่ม ดาวเหนือยิ้มดีใจพลางเอ่ยอย่างสุภาพ

          “ผมชอบกินไข่ ขอบคุณมากๆเลยนะ”

          บรรยากาศคึกคักบนโต๊ะทำให้นกหนุ่มอดงอแงไม่ได้ เท่าที่เขาดูไม่มีอาหารจานไหนดูจะเป็นของโปรดของเขาเลย อย่างว่ามะลิกินได้แทบจะทุกอย่าง แต่ถ้าให้พูดถึงของที่เขาชอบเป็นพิเศษส่วนมากมักจะพิสดารจนไม่รู้จะไปหากินได้ที่ไหน

          “มะลิกินผักเยอะๆนะ จะได้แข็งแรง”

          พินเอ่ยขึ้นพลางตักใบเหลียงผัดไข่ใส่จานให้คนนั่งข้าง นกหนุ่มมองหน้าเหี่ยวก่อนจะเอ่ยขึ้น

          “พินจะให้เรากินใบไม้นี่จริงๆหรอ? เราอยากกินเนื้อมากกว่า”

          ได้ฟังดังนั้นพินก็หลุดขำขึ้น ถึงแม้ว่าใบเหลียงจะดูเหมือนใบไม้ แต่รสชาติของมันจัดว่าเป็นผักที่อร่อยถูกปากอย่างน่าตกใจ

          “ใบไม้เนี่ยอร่อยนะมะลิ ลองชิมสิเดี๋ยวชั้นป้อนให้”

          พินตักใบเหลียงใส่ช้อนพลางยื่นส่งไปที่ริมฝีปากของนกหนุ่ม มะลิมองพืชใบเขียวอย่างไม่วางใจ ทำให้ดาวเหนือรีบพูดแทรกขึ้นมา

          “ถ้านกมะลิไม่กิน พินป้อนผมแทนก็ได้”

          “หุบปากไปเลยไอ้งูงั่ง!”

          คนฉุนรีบงับกับข้าวในช้อนเคี้ยวตุ้ยๆ ก็จริงของพินที่บอกว่าอาหารมนุษย์ชนิดนี้อร่อย แต่ที่สำคัญกว่านั้นคงจะเป็นเพราะคนที่เขารักเป็นคนป้อน

          “เป็นไง...อร่อยมั้ย?”

          “อร่อย! ยิ่งพินเป็นคนป้อนยิ่งอร่อย”

          มะลิยิ้มหวานจ๋อยจนแก้มบุ๋ม เล่นเอาซะคนป้อนเขินมือไม้สั่น ความแหวนแหววของคู่รักตรงหน้าทำให้แมวนินจาเริ่มรู้สึกอิ่มอืดขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ส่วนดาวเหนือได้แต่จ้องคนทั้งคู่อย่างไร้เดียงสา ความรู้สึกคงคล้ายกับเด็กมนุษย์ที่กำลังเล่นพ่อแม่ลูก

          อาหารจานแล้วจานเล่าถูกนำมาเสิร์ฟบนโต๊ะ คนทั้งสี่รับประทานอย่างเอร็ดอร่อยจนไม่เหลือทิ้งแม้แต่จานเดียว พินเรียกพนักงานมาคิดเงิน ในขณะที่ชายอีกสามคนกำลังนั่งอิ่มมีความสุขกับมื้อเที่ยงแสนอร่อยวันนี้

          “พินเราอยากเข้าห้องน้ำ พาเราไปหน่อยได้มั้ย?”

          มะลิเอ่ยขึ้นพลางดึงแขนฉุดให้พินลุกขึ้นตาม

          “อ๋อได้สิ...นินจาชั้นฝากนายช่วยจ่ายเงินทีนะ เดี๋ยวชั้นมา”

          พินส่งแบงก์สีเทาสองใบให้แมวหนุ่มรับผิดชอบ จากนั้นก็ถูกลากลิ่วๆออกจากร้านไป

          “เดี๋ยวก่อนมะลิ จะไปไหน? ห้องน้ำอยู่ทางนู้น”

          คนถูกลากเอ่ยขัดเมื่อเห็นว่าเจ้านกหนุ่มเดินนำสะเปะสะปะ ทว่ามะลิก็ไม่มีทีท่าจะเดินย้อนกลับไปอีกทาง

          “เราหลอกน่ะ! เราไม่ได้อยากเข้าห้องน้ำ เราแค่อยากอยู่กับพินสองต่อสอง”

          คนเจ้าเล่ห์หันมายิ้มกริ่มให้ ถึงแม้ว่ามะลิจะไม่ค่อยรู้ประสีประสาเป็นบางครั้ง แต่ถ้าเป็นเรื่องเล่นชวนหัวนี่ล่ะก็ถนัดนัก

          “นี่มะลิเล่นอะไรไม่รู้เรื่อง แล้วสองคนนั้นจะทำยังไง? !”

          “ไม่เป็นไรหรอกน่า! เราขออยู่กับพินแค่แป๊บเดียวเท่านั้นแหละ อีกอย่างไม่ต้องห่วงพวกนั้นหรอก นินจาไว้ใจได้”

          “แป๊บเดียวพอนะ”

          มะลิพยักหน้ารับปาก เขาเคลื่อนมือที่กำแขนลงมาจับกระชับฝ่ามือบางแทน

          “เราขอเดินจับมือพินแบบนี้ได้รึเปล่า...?”

          นกหนุ่มนึกถึงคำสัญญาที่เคยบอกกับพินเอาไว้ว่าจะทำตัวเป็นคนรักเฉพาะเวลาอยู่ด้วยกันแค่สองคน

          “อืม...ได้สิ”

          ทั้งสองเดินจับมือกันด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ถึงแม้มันจะดูเคอะเขินสำหรับพินอยู่บ้าง แต่ช่วงเวลาที่มีค่าเช่นนี้ทำให้เขาเลือกที่จะไม่สนใจสายตาของคนรอบข้าง

          “เราอยากหาตัวคนร้ายให้เจอเร็วๆจัง...เราจะได้ใช้ชีวิตอย่างสบายใจและมีความสุขกับพินซักที”

          ทุกครั้งที่เอ่ยถึงเรื่องนี้มันทำให้พินอดกังวลไม่ได้ มือเรียวบีบฝ่ามือกว้างแน่นจนนกหนุ่มสัมผัสได้ถึงความกลัวที่ถูกส่งมา

          “มะลิต้องระวังตัวให้มากๆนะ มีอะไรต้องบอกชั้น ชั้นจะพยายามช่วยนายให้เต็มที่”

          รอยยิ้มอบอุ่นฉายขึ้นบนใบหน้า แม้ว่ามะลิจะไม่ได้พูดอะไรออกไป แต่พินก็รับรู้ได้ว่าชายหนุ่มมีความสุขขนาดไหนที่มีเขาเป็นทั้งแรงกายแรงใจอยู่เคียงข้าง



          คนสองคนเดินเตร่เรื่อยมา พลันหุ่นโชว์เสื้อผ้าที่ใส่เสื้อคอปกสีขาวปักลายหัวใจสีแดงเล็กจิ๋วที่อกเตะตานกหนุ่มให้เดินตรงรี่เข้าไปดู

          “ชอบหรอมะลิ?”

          “อื้ม! เราว่ามันน่ารักดีที่มีรูปหัวใจติดอยู่ด้วย ต่างจากเสื้อที่เราชอบใส่นิดหน่อยน่ะ”

          พินนึกแปลกใจที่มะลินึกถูกใจอะไรเป็นพิเศษ เพราะปกติมะลิไม่ได้เป็นคนละเอียดอ่อนที่จะมาใส่ใจถึงความต่างเล็กๆน้อยๆพวกนี้

          “ชั้นซื้อให้เอามั้ย? เวลาใส่มะลิจะได้คิดถึงชั้น”

          นกหนุ่มหันมาสบตาพินแวววาว ที่เขาดีใจไม่ใช่แค่เพราะเขาจะได้ใส่เสื้อที่ตัวเองเลือกเป็นครั้งแรก แต่เป็นเพราะคนที่เขารักจะซื้อมันเป็นของขวัญให้อีกด้วย

          มะลิเดินเข้าไปในร้านอย่างกระตือรือร้น ทว่าเมื่อพลิกป้ายราคาขึ้นดู นกหนุ่มก็รีบผละตัวออกมาอย่างรวดเร็ว

          “พินทำไมมันแพงขนาดนี้? เราไม่อยากได้แล้ว”

          มะลิที่คุ้นชินกับการใช้ชีวิตแบบมนุษย์สามารถแยกแยะได้ว่าอะไรคือถูก อะไรคือแพง และอะไรคือแพงมาก...ที่สำคัญเขารู้ดีว่าเงินนั้นหายากและมีค่ามากมายขนาดไหน

          “ไม่เป็นไรหรอกมะลิ ถึงแพงชั้นก็จะซื้อให้ เสื้อของพี่พิมพ์ที่มะลิใส่ก็ไม่มีตัวไหนถูกซักตัว”

          พินพูดไปมือก็พลางคว้าเสื้อตัวใหญ่ขึ้นทาบบนร่างของคนรัก

          “ชั้นจะรีบหางานทำ แล้วก็จะคอยดูแลมะลิเอง”

          คนฟังถึงกับซึมไป มะลิรู้สึกแย่ที่ตัวเองไร้ประโยชน์ ทำมาหากินอะไรก็ไม่ได้ แถมยังต้องมาเป็นภาระให้กับคนที่เขารักอีก

          “พิน...เราจะพยายามพัฒนาตัวเองนะ เราไม่ได้อยากให้พินมาดูแลเราอยู่ฝ่ายเดียว เราเองก็อยากเป็นกำลังให้พิน อยากดูแลพิน อยากทำงานหาเงินให้ได้อย่างที่มนุษย์คนอื่นเขาทำกันเหมือนกัน”

          “อย่ากดดันตัวเองไปเลยนะ...ไม่ว่ามะลิจะเป็นยังไงชั้นก็รัก”

          พินผู้จิตใจดีมักจะยิ้มเช่นนี้ให้กับเขาเสมอ รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความรัก ความจริงใจ ไม่หวังอะไรตอบแทน มันยิ่งทำให้เขารู้สึกว่าเขาต้องดีกว่านี้ ต้องพัฒนาตัวเองให้มากกว่านี้เพื่อ “พิน”

          ...เพราะมะลิเองก็กลัวที่จะสูญเสียคนๆนี้ไป

          “อ่ะ! เอาเสื้อตัวนี้ไปลอง”

          พินยื่นเสื้อสีขาวคอปกส่งให้นกหนุ่มพลางดันแผ่นหลังกว้างให้เดินไปทางห้องลองเสื้อผ้า มะลิหายเข้าไปข้างในครู่หนึ่งก็โผล่หน้าออกมากวักมือเรียก

          “พินช่วยเข้ามาดูให้เราหน่อยสิ”

          คนถูกเรียกไม่รอช้ารีบเดินไปใกล้ พินถูกฉุดดึงเข้าไปภายในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆอย่างรวดเร็ว

          “มะลิ...!”

          เสียงพินบ่นอุบอิบเนื่องจากตอนนี้ร่างผอมๆของเขาถูกคนตัวโตกว่าเบียดจนหลังแนบกับผนังห้อง มือขาวทั้งสองข้างวางค้ำอยู่ข้างใบหน้าเนียนพลางมองตาลึกซึ้งยิ้มหวานมีความสุข

          “เราก็รักพินเหมือนกัน...”

          ความรู้สึกที่ไม่อาจถ่ายทอดได้เพียงคำรักหวานพาให้ชายหนุ่มทำตามสิ่งที่หัวใจปรารถนา จมูกโด่งคมแตะไล้แผ่วเบาลงบนปลายจมูกของคนตรงหน้า ดวงตาที่สะท้อนภาพของผู้ครอบครองทั้งชีวิตและลมหายใจปรือหลับลงก่อนริมฝีปากอิ่มจะมอบจูบสัมผัสนุ่มนวลชวนเคลิ้มฝัน

          แขนบอบบางโอบรอบดึงร่างสูงให้แนบแน่บชิดใกล้ ปากกระจับจูบตอบเคอะเขินทว่าน่าหลงใหล นกหนุ่มส่งลิ้นร้อนลากไล้เปิดริมฝีปากเข้าสัมผัสความอบอุ่นภายใน...หวานละมุน...ทว่ารุ่มร้อน...

          ก่อนที่พินจะเผลอส่งเสียงน่าอายออกไป คนที่ถูกโอบคอเอาไว้ในอ้อมแขนหยุดกระเซ้าก่อนจะถอนลิ้นนุ่มออกเหลือเพียงริมฝีปากที่ดุลเม้มลงอย่างกระหาย

          “อะ...มะลิ...ชั้น”

          “หืม?”

          โดยไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายพูดต่อ ปากอิ่มบดจูบลงไปอีกครั้งจนตอนนี้พินชักจะร้อนไปทั้งตัว

          “พะ...พอแล้ว...ชั้นจะไปจ่ายเงิน...”

          “หึๆ ก็ได้ๆ ...”

          เสียงหัวเราะน้อยๆดังขึ้นในลำคอ เห็นทีมะลิควรจะต้องหยุดแกล้งคนน่ารักเสียที ทว่าก่อนจะผละออกจากคนตรงหน้า เขาก็ไม่วายมอบจูบเบาๆให้อีกหนึ่งทีเป็นของแถม ส่วนพินตอนนี้ได้แต่พยายามทำหน้าให้ปกติที่สุดก่อนจะเดินออกจากห้องลองเสื้อไป

          โดยที่ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าตอนนี้หน้าของเขากำลังแดงจัดแข่งกับสีหัวใจดวงจิ๋วที่ปักอยู่บนอกเสื้อ...





          “ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่าคุณลูกค้าจะรับอะไรเพิ่มเติมมั้ยคะ?”

          เสียงของบริกรหญิงเอ่ยขึ้นถาม เมื่อเห็นว่าลูกค้าสองคนที่เช็คบิลไปเมื่อเกือบครึ่งชั่วโมงที่แล้วยังคงนั่งอยู่ไม่ไปไหน

          “เอ่อ...ไม่แล้วครับ ขอบคุณครับ”

          นินจาเอ่ยขึ้นตอบจากนั้นจึงรีบลุกขึ้นจากโต๊ะพลางสะกิดคนข้างๆ

          “เจ้างูไปกันเถอะ”

          “อ้าว! แต่สองคนนั้นยังไม่กลับมาเลยนะแมวนินจา”

          “พวกเราโดนเจ้านกแสกมันแกล้งเข้าให้แล้วไง! ป่านนี้มันคงหนีบพินไปเดินเล่นหลั่นล้ามีความสุขอยู่ข้างนอกนู่นแล้ว”

          ดาวเหนือทำท่าเลิ่กลั่กขึ้นมา เขาควรจะทำยังไงดีหากถูกปล่อยทิ้งเอาไว้ที่นี่

          “แล้วจะทำยังไงกันดี? ผมเองก็ไปไหนไม่ถูกซะด้วย”

          “ไม่ต้องห่วง แมวอย่างเราก็จมูกดีใช่ย่อย เดี๋ยวเราจะพาแกไปตามหาสองคนนั้นเอง”

          พูดจบนินจาก็สูดกลิ่นที่ลอยกรุ่นค้างอยู่ในอากาศ เขาขมวดคิ้วตรึกตรองเล็กน้อยจากนั้นจึงเดินนำเจ้างูขี้กลัวไป

          ระหว่างที่กำลังเลี้ยวซ้ายทีขวาที พลันสายตาของดาวเหนือเหลือบไปเห็นร่างที่คุ้นตา ชายหนุ่มรูปร่างไม่สูงนัก ทำผมสีชมพูซีดเตะตา ถึงแม้ว่าจะเดินอยู่ไกลๆ แต่เขาจำมันได้ดี     

          “คิม!”

          “อ้าวเฮ้ยเจ้างู! แกจะไปไหน?”

          นินจาเห็นดาวเหนือวิ่งรี่ไปอีกทางก็ตกใจรีบตามไป ตอนนี้ภาพที่แมวหนุ่มเห็นคือดาวเหนือกำลังฉุดรั้งแขนชายหนุ่มร่างเล็กที่กำลังเลิกคิ้วทำตาปริบๆมองคนตรงหน้าอ้ำอึ้งตกใจ

          “เอ่อ...”

          ด้วยความร้อนรนทำให้ดาวเหนือไม่ได้คิดมาก่อนด้วยซ้ำว่าเขาควรจะทักทายเจ้าของๆเขาว่าอะไร จะให้แปลงร่างกลับไปเป็นงูให้ดูต่อหน้าเห็นทีคงจะไม่ได้ ตอนนี้ที่พึ่งเดียวก็คงจะมีแต่หันไปถามคนที่มาด้วยกัน

          “นี่...แมวนินจา มนุษย์คนนี้คือคิมเจ้าของๆ เราเอง แต่...เราจะพูดกับคิมว่ายังไงดี?”

          ดาวเหนือเอ่ยถามซุบซิบ ซึ่งนินจาก็ตอบกลับไปอุบอิบเช่นกัน

          “แกก็ทำเป็นถามชื่อกับเบอร์โทรศัพท์เอาไว้สิ”

          งูหนุ่มพยักหน้า เขาพยายามตีหน้าสงบนิ่งยิ้มแย้มสุภาพที่สุดในโลกก่อนจะเอ่ยถาม

          “ขอโทษนะครับ...ไม่ทราบว่าคุณชื่ออะไรครับ? ผมจะขอเบอร์โทรศัพท์คุณไว้ได้รึเปล่า?”

          คนถูกถามทำหน้าเหยเกใส่ ดวงตาเล็กๆหรี่ลงก่อนจะสะบัดแขนออกอย่างไม่ใยดี

          “ขอโทษนะครับ พอดีผมไม่สะดวก”

          “เอ่อ...เดี๋ยว!”

          พูดจบคิมก็ซอยเท้าเดินหนีไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้งูน้อยอยู่กับความเศร้าผิดหวังและไม่เข้าใจ

          “ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ”

          “หัวเราะเราทำไมแมวนินจา? เราไม่เข้าใจ...เมื่อกี้ขนที่แขนของคิมลุกด้วย เรารู้สึกได้”

          “โอย...ตลกว่ะ! มนุษย์คนนั้นคิดว่าแกไปจีบไงไอ้โง่!”

          แมวตัวดีหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง ส่วนดาวเหนือตอนนี้กำลังทำหน้าเหมือนคนจะร้องไห้

          “นี่นายจงใจแกล้งผมหรอ!”

          “เปล่าซะหน่อย ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ”

          ชายสองคนเดินมาตามเสียงของนินจาที่กำลังหัวเราะลั่นไม่หยุด พินเห็นที่ท่าแปลกๆ ของทั้งคู่จึงเอ่ยถาม

          “อยู่ที่นี่กันนี่เอง มีอะไรกันหรอ?”

          “พิน! ผมเจอคิมแล้ว!”

          “อ้าวหรอ? แล้วอยู่ไหนล่ะ?”

          “คิมหนีไปแล้ว...”

          “อ้าวแล้วทำไมไม่รีบตามไปล่ะ?”

          “ผม...”

          “ดูนี่สิ”

          มะลิหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งที่เขาเหยียบเข้าโดยไม่ตั้งใจขึ้นมาพลางส่งให้ทุกคนดู ในนั้นเป็นภาพงูขาวตาแดงตัวหนึ่งพร้อมกับคำประกาศตามหางูหาย

          “คิม! คิมยังตามหาผมอยู่จริงๆด้วย”

          “โอ๊ย! ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ มนุษย์บ้าอะไรประกาศตามหางู เกิดมาเราเพิ่งจะเคยพบเคยเห็น ท่าทางเจ้าของๆแกจะต้องเพี้ยนมากแน่ๆ!”     

          คำพูดของนินจาทำเอานกมะลิระเบิดเสียงหัวเราะผสมโรงไปกับเค้าด้วย ส่วนดาวเหนือตอนนี้กำลังหน้าหงิกหันไปเถียงไม่ยอมแพ้

          “อย่ามาว่าคิมของผมนะ พวกนิสัยไม่ดี!”

          นี่เป็นคำด่ารุนแรงที่สุดเท่าที่ดาวเหนือจะนึกออกทำให้พินอดอมยิ้มขำขึ้นมาไม่ได้ ในที่สุดงูหนุ่มก็ได้พบกับคนที่แสนคิดถึง เขาเฝ้านึกถึงวันที่เคยใช้ชีวิตกับเจ้าของที่รักอย่างมีความสุข ความหวังที่จะได้กลับไปอยู่กับคิม…     

          กำลังจะได้เป็นจริงแล้ว


++++++++++++++++



          ตอนนี้ไม่มีอะไรจะพูดค่ะ นอกจาก...น้องพินสายเปย์ ^^


Timid Lily

02/09/19

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Timid Lily

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0
       
  บทที่20 : ในที่สุด

         รถยนต์สีขาวคันย่อมจอดเทียบที่ประตูรั้วบานใหญ่ ชายสี่คนเปิดประตูรถลงมาโดยที่พินก็ล้วงหากุญแจบ้านในกระเป๋ากางเกงไปด้วย

          “เดี๋ยวชั้นจะโทรติดต่อหาคิมให้เองนะดาวเหนือ ไม่ต้องห่วง”

          คนที่กำลังไขประตูบ้านเอ่ยขึ้น ทำให้เจ้างูยิ้มสดชื่นดีใจ

          “ขอบคุณนะพิน ผมดีใจมากเลย”

          ตอนนี้ดาวเหนือที่กำลังยืนยิ้มแฉ่งเกะกะอยู่หน้าประตูบ้านถูกนกก้าวร้าวผลักกระเด็นเข้าไปข้างใน

          “เอ้าเข้าไปได้แล้ว! อย่ามายืนขวางอยู่ ร้อนจะตายอยู่ละ”

          “ทำไมนกมะลิไม่อ่อนโยนกับผมบ้างเลย...”

          สายตาดุดันจ้องมองมาทางคนที่เพิ่งจะบ่นอุบอิบอยู่เมื่อครู่ จริงๆแล้วการที่ดาวเหนือยังมีชีวิตรอดอยู่แบบนี้ก็นับว่ามะลิอ่อนโยนด้วยมากแล้ว เพราะบนโลกของห่วงโซ่อาหารแสนโหดร้าย ถ้ามะลิในร่างนกจับงูตัวจ้อยแบบเขามาได้คงจะกลายเป็นอาหารไปอย่างรวดเร็ว

          “พินเราขอเข้าไปนั่งเล่นในบ้านพินด้วยคนนะ”

          นินจาเอ่ยขออนุญาต ซึ่งพินก็ไม่ได้คิดจะห้ามอะไร เขาชินกับการที่นินจาเหมือนจะเป็นสมาชิกอีกคนหนึ่งของครอบครัวอยู่กลายๆ ทว่าก็อดห่วงไม่ได้ที่เจ้าแมวยังคงทำตัวเร่ร่อนอยู่แบบนี้

          “นี่นินจา...นายอยากมาเป็นแมวของบ้านชั้นมั้ย?”

          พินตัดสินใจเอ่ยถามขึ้น ถึงแม้จะรู้ดีว่านินจาจะต้องปฏิเสธก็ตาม

          “ไม่เอาด้วยหรอก ไอ้นกแสกหวงพินอย่างกะอะไรดี ถ้าต้องอยู่กันมันทุกวันนะเราขอเป็นแมวจรจัดแบบนี้ไปเรื่อยๆซะยังจะดีกว่า...”

          ก็จริงของนินจา ถึงแม้ว่ามะลิจะอ่อนโยนขึ้นมากแล้วแต่ก็เหมือนจะเป็นกับเขาแค่คนเดียว กับมนุษย์ปกติทั่วไปคนอื่นๆก็ยังคงทำตัวแข็งๆทื่อๆ ยิ่งกับพวกอมนุษย์ด้วยกันยิ่งไม่ต้องพูดถึง เป็นตัวของตัวเองสุดๆ

          “แล้ว...ถ้าเป็นเมฆล่ะ? นินจาอยากจะอยู่ด้วยรึเปล่า?”

          “เรา...”

          เมื่อเอ่ยถึงเมฆขึ้นมาคนที่เคยพูดจาฉะฉานก็เงียบนิ่งอึ้งไป พินไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมนินจาถึงต้องลังเล ในเมื่อเมฆเองก็ดูชอบนินจามาก ส่วนนินจาเองก็ผูกพันกับเจ้าของเก่าคนนี้ แล้วมันจะมีเหตุผลอะไรอีก ที่ทำให้เจ้าแมวยังคงเล่นตัวไม่ยอมกลับไปอยู่กับเมฆเสียที

          “เฮ้ย นาย!”

          เสียงคนที่เพิ่งถูกพูดถึงแหกปากร้องเรียกมาจากบ้านข้างๆ เมื่อเด็กหนุ่มตัวโตเห็น “นิน” ผู้ลึกลับมาจากที่ไกลๆ เพื่อตัดปัญหานินจาตัดสินใจหลบไปอยู่ด้านหลังของพินพลางกลับร่างเป็นแมวเพื่อที่จะได้เลี่ยงคำถามของคนช่างซัก

          “สวัสดีครับพี่พิน แล้ว...นินหายไปไหนแล้วล่ะ?”

          “เอ๊ะ? !”

          “ก็เมื่อกี้เมฆเห็นนินยืนอยู่กับพี่พินนี่นา”

          “เอ่อ...เมฆ! ตาฝาดมั้ง ฮ่าๆ ๆ ๆ”

          “งั้นหรอ...สงสัยเมฆจะเบลอนอนเยอะไปหน่อย...”

          เด็กหนุ่มส่ายหัวน้อยๆพลางบีบหัวตาไล่ความอ่อนล้า ครู่หนึ่งเขาก็สังเกตเห็นหางปุยสีดำๆกำลังส่ายไปมาละชายกางเกงของพินอยู่

          “นินจาเบอร์สอง!”

          เมฆเรียกนินจาเสียงลั่นจนเจ้าก้อนขนสีดำสะดุ้งสุดตัว มือใหญ่ไม่รอช้ารีบช้อนร่างยวบยาบของแมวเหมียวขึ้นมากอดจูบ ส่วนนินจาก็ได้แต่ใช้อุ้งเท้ายันใบหน้าเด็กหนุ่มเบาๆพลางร้องแง้วเสียงหลง

          “แกนี่มันน่ารักจริงๆเลยนะ หื๊อ!”

          เมฆพูดไปก็ฟัดนินจาไปด้วย น่าแปลกที่แมวตัวนี้เป็นแมวจรแท้ๆ แต่ทำถึงได้เนื้อตัวหอมสะอาดขนาดนี้ก็ไม่รู้

          “พี่พิน เมฆอยากเอานินจาไปอยู่ด้วยมากๆ เลย แต่ท่าทางมันจะไม่อยาก...ดูมันจะอยากอยู่กับพี่พินมากกว่าอีก...”

          ‘ไม่ใช่ว่าเราไม่อยากนะเมฆ...แต่ตอนเด็กๆเราสร้างความเดือดร้อนให้ครอบครัวเมฆไว้มาก แถมเรายังทำให้เมฆต้องมาร้องไห้เสียใจอีก’

          “ไม่จริงหรอกเมฆ พี่รู้ว่านินจาชอบเมฆมาก ให้เวลามันเล่นตัวอีกนิดเถอะเดี๋ยวมันก็ยอม”

          พินพูดไปยิ้มไป แค่ดูก็รู้ว่านินจาชอบเมฆขนาดไหน เจ้าแมวก็แค่ทำเป็นเยอะไปอย่างนั้นแหละ

          “งั้นหรอเจ้าเหมียว ถ้างั้นวันนี้แกลองไปค้างที่บ้านเมฆมั้ย เมฆซื้อที่นอนนุ่มๆ ที่ฝนเล็บ ขนม ของเล่นเยอะแยะไปหมด รับรองว่าแกจะติดใจ”

          ‘นี่มันเตรียมจะเอาไปเลี้ยงแล้วชัดๆ!’

          “พี่พินครับถ้างั้นเดี๋ยวเมฆขอตัวก่อนนะ ป่ะนินจาเบอร์สอง เดี๋ยววันนี้ชั้นจะอาบน้ำแปรงขนให้แกเอง”

          ‘อาบน้ำ?! ไม่นะ!’

          เมฆเดินจากไปโดยที่มีเจ้าแมวนินจาดีดดิ้นอยู่ในอ้อมแขน พินได้แต่โบกมือลาส่งแมวน้อยอย่างมีความสุข ราวกับว่ามันกำลังจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่อันแสนสดใส



          พินกลับเข้ามาในบ้าน ตอนนี้สิ่งที่เขาเห็นคือดาวเหนือกำลังเซ้าซี้ให้มะลิโทรหาคิมเจ้าของๆของเขา

          “ทำเร็วๆหน่อยสินกมะลิ ทำไมถึงช้านัก”

          “โอ๊ยรำคาญ! ปกติเราไม่ค่อยใช้ไอ้โทรศัพท์หน้าโง่นี่ จะให้ทำเร็วๆได้ยังไงกันเล่า!”

          แน่นอนว่าอมนุษย์อย่างมะลิปกติจะกดรับสายซะเป็นส่วนใหญ่ ถ้าจะโทรหาใครเขาก็แค่กดโทรออกจากเบอร์ที่ถูกบันทึกรายชื่อโปรดเอาไว้ ส่วนจะให้กดโทรหาหมายเลขใหม่ๆหรือเพิ่มรายชื่อติดต่อเขาต้องขอเวลางมสักนิด

          “เอ้า! ไอ้ข้อความจ่ายค่าที่จอดรถเตือนขึ้นมาอีกแล้ว เกะกะลูกตาจริงๆ เฮ้อ...”

          “จ่ายค่าที่จอดรถอะไรหรอมะลิ?”

          พินเอ่ยถามขึ้น เขากลัวว่าอาจเป็นเรื่องสำคัญที่จำเป็นจะต้องดูแลแทนพี่ชายของเขา

          “เราก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่มันแจ้งเตือนขึ้นมาทุกเดือนนั่นแหละ เรากดเข้าไปดูก็เป็นตัวหนังสือยึกยืออะไรไม่รู้อ่านก็ไม่ออกเลยไม่ได้สนใจ จะลบก็ลบไม่เป็น”

          “หรอ...ชั้นขอดูหน่อยได้มั้ย? ไม่รู้พี่พิมพ์เค้าต้องจ่ายค่าที่จอดรถให้ที่ไหนรึเปล่า? ป่านนี้อาจจะค้างไว้บานแล้วก็ได้”

          มะลิส่งโทรศัพท์มือถือให้กับพิน ชายหนุ่มกดเปิดข้อความออกดูก็พบว่าตัวหนังสือยึกยือที่มะลิหมายถึงคือลิงค์ที่ถูกเชื่อมโยงไปยังบัญชีที่พี่ชายของเขาได้ทำการฝากข้อมูลเอาไว้บนเซิฟเวอร์

          พินเลื่อนนิ้วอ่านเอกสารที่ถูกจัดเก็บเอาไว้อย่างตั้งใจ มันคือ “สำนวนคดี” ล่าสุดที่พี่ชายของเขาได้ร่างเก็บเอาไว้นั่นเอง

          “นี่มัน...สำนวนคดีของพี่ไหมนี่...”

          “จริงหรอพิน? ! เราขออ่านด้วยคนสิ!”

          “เดี๋ยวก่อนนะมะลิ...เหมือนว่ามันจะมีสองฉบับ...”

          ชายหนุ่มไล่สายตาอ่านข้อความไปเรื่อยๆเมื่ออ่านครบทั้งสองฉบับหัวใจที่เคยเข้มแข็งกลับวูบไหว ความเชื่อมั่นที่เคยมีต่อพี่ชายของเขาเริ่มสั่นคลอนขึ้นอีกครั้ง

          “สำนวนคดีทั้งสองฉบับเนื้อหาไม่ตรงกัน...ฉบับที่เขียนขึ้นตอนแรกเป็นฉบับที่รายงานว่าผู้ป่วยเสียชีวิตเนื่องจากแพ้ยาชา โดยไม่มีประวัติการแพ้ใดๆเกิดขึ้นมาก่อน...”

          “แล้วอีกฉบับล่ะ?”

          “ฉบับที่สองกลับเขียนว่าพี่ไหมใช้ยาเกินขนาดเป็นเหตุให้ผู้ป่วยถึงแก่ชีวิต...”

          พินส่งโทรศัพท์ให้มะลิดู ภายในนั้นมีเอกสารฉบับหนึ่งเขียนรายงานการใช้ยาของแพทย์ที่ทำหัตถการในห้องผ่าตัด

          “ชั้นเองก็อ่านไม่เข้าใจ...คงต้องลองไปถามน้องเมฆดู...”



          “เสร็จเรียบร้อยแล้ว!”

          ตอนนี้คนเห่อแมวที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยข่วน กำลังพูดคนเดียวหน้าระรื่นพลางหยิบกระจกออกมาสะท้อนภาพเจ้าก้อนขนสีดำที่กำลังทำหน้ายับยุ่งไม่มีชิ้นดี

          “ดูสินินจาเบอร์สอง พอแกอาบน้ำแล้วทั้งหอมทั้งสะอาดหล่อขึ้นเป็นกอง”

          นินจาที่เกลียดการอาบน้ำในร่างแมวที่สุดได้เอาอุ้งเท้าดันกระจกออกห่างตัวก่อนจะเดินหนีคนที่บังอาจบังคับขืนใจพาเขาไปอาบน้ำ ทว่าเมฆมือไวรีบคว้าเจ้าแมวตัวหอมเข้ามาทั้งฟัดทั้งหอม ซึ่งถ้านินจาอยู่ในร่างมนุษย์แล้วล่ะก็...มันคือการล่วงละเมิดทางเพศดีๆนี่เอง

          “โอ๊ยแกมันน่ารักจริงๆเลย! มาอยู่กับเมฆซะดีๆเถอะ”

          “แง้ว!”

          นินจาได้แต่ร้องเสียงหลง ซึ่งคำนี้ถ้าแปลเป็นภาษาคนน่าจะมีความหมายว่า “ปล่อยกู!”

          ‘ปิ๊ง ป่อง’

          “คร้าบ”

          เสียกดกริ่งหน้าบ้านขัดขวางเด็กหนุ่มจากการมอบความรักให้แก่เจ้าแมวเหมียว แต่สำหรับนินจาน่าจะใช้คำว่า “รอดตัว” เสียมากกว่า เมฆรีบแจ้นออกมาเปิดประตูโดยไม่อิดออด ตอนนี้ชายสองคนท่าทางวิตกกังวลกำลังยืนรออยู่หน้าบ้าน

          “พี่พิมพ์ พี่พิน มีอะไรหรอครับ?”

          “น้องเมฆช่วยพี่อย่างนึงสิ ช่วยอ่านรายงานการใช้ยาให้พี่หน่อยได้มั้ย อันไหนคือยาชาที่ใช้บล็อกหลังหรอ แล้วมันเกินขนาดรึเปล่า?”

          พินส่งโทรศัพท์มือถือให้เมฆดู เด็กหนุ่มเพ่งอ่านพินิจพิเคราะห์ก่อนจะพูดต่อ

          “ความจริงเมฆเองก็ยังไม่ค่อยรู้เท่าไหร่ เดี๋ยวเมฆขอถามพี่รหัสแป๊บนึงนะครับ”

          เมฆพิมพ์ข้อความบางส่วนส่งให้พี่รหัสของเขา และได้คำตอบกลับมาอย่างรวดเร็วว่า...

          “พี่เค้าบอกว่ายาที่ใช้บล็อกหลังถูกใช้โอเวอร์โดสไปครับ นี่มันเรื่องอะไรกันหรอครับ?”

          “เอ่อ...”

          “นี่นาย! อยากเจอชั้นไม่ใช่หรอ”

          จู่ๆนินจาที่ควรจะอยู่ในบ้านของเมฆกลับโผล่มาจากทางด้านหลังของผู้มาเยือนทั้งสองในสภาพหอมฉุย เขาหัวเสียขึ้นอีกครั้งที่คนที่เขาทั้งหวงทั้งห่วงเริ่มถามซอกแซ่กเหมือนอยากจะเข้ามาพัวพันกับเรื่องนี้ให้ได้

          “เฮ่ย! นิน...นี่นายโผล่มาจากไหนไม่ให้สุ้มให้เสียง?”

          “ช่างเหอะ นายอยากคุยกับชั้นไม่ใช่หรอ? ป่ะ! ไปคุยกัน อยากถามอะไรก็ถามมา”

          นินจาในร่างเด็กหนุ่มที่ตัวเตี้ยกว่าเมฆอยู่โขพยายามเขย่งเท้าโอบคอลากคนสูงกว่ากลับเข้าไปในบ้าน

          “เดี๋ยวนะนิน ทำไมนายตัวหอมจัง? กลิ่นเหมือนแชมพูแมวที่ชั้นเพิ่งจะซื้อมาเลย”

          “พูดมากจังวะ? ทำไมโตมาแล้วเป็นแบบนี้เนี่ย? เข้าบ้านไปได้ละ”

          นินจาบ่นพลางหันไปสบตาชายอีกสองคนที่ยืนหน้าเครียดอยู่เป็นเชิงไล่ให้กลับไป ครู่เดียวคนที่เดินกอดคอเถียงกันเมื่อครู่ก็หายตัวเข้าบ้านไปพร้อมกับเสียงประตูที่ปิดลง

          ท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียด ชายสองคนที่ยืนเคียงต่างสบตามองกันอย่างหวาดหวั่น

          “มะลิ...ตอนนี้ชั้นมั่นใจแล้วล่ะ ว่าการที่พี่ไหมชนะคดีในศาลชั้นแรกก็หมายความว่า พี่พิมพ์...สร้างหลักฐานเท็จขึ้นมาจริงๆ”

          พินรู้สึกสับสนไปหมด เขาผิดหวังที่พี่ชายของเขาไม่ใช่คนใจซื่อมือสะอาดแบบที่เขาเข้าใจ ทว่ากลับเป็นคนที่ใช้กลโกงคิดคด ถึงแม้จะทำไปเพื่อช่วยเพื่อนสนิทของตัวเองก็ตาม

          “เพราะแบบนี้ใช่มั้ยสินทรถึงได้โกรธแค้นถึงกับคิดที่จะฆ่าพี่พิมพ์...เพราะสินทรพยายามดึงพี่พิมพ์เข้าเป็นพวก แต่พี่พิมพ์ไม่เล่นด้วย”

          นกหนุ่มพยายามคิดทบทวนเรื่องราว สิ่งที่พินคาดการณ์อาจจะใช่หรือไม่ใช่ก็ได้ ตอนนี้เรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเขาอาจไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ตั้งแต่ตอนที่นินจาถูกรถชน หรือแม้แต่ตอนที่เขาถูกปล้น แต่ว่าใครกันแน่คือคนร้ายตัวจริง จะให้รีบด่วนตัดสินว่าเป็นสินทรก็ไม่ได้ หากเป็นคนที่ใกล้ตัวกว่านั้น...เขาควรจะทำยังไง

          ความสับสนถาโถมเข้าใส่ ความคิดถูกชักจูงสะเปะสะปะหลงทาง ในสมองโล่งว่างเปล่าคิดอะไรไม่ออก สิ่งเดียวที่รู้ในตอนนี้คือตัวเขากำลังถูกดึงไปพัวพันกับปัญหาของพิมพ์หนักข้อขึ้นเรื่อยๆ

          “มะลิ...เป็นอะไรรึเปล่า?”

          พินเอ่ยเรียกนกหนุ่มที่กำลังจมลงไปกับความคิดยุ่งเหยิง มะลิกุมมือเรียวขึ้นมาสัมผัสให้ใจชื้นขึ้นก่อนจะเอ่ย

          “พิน...พินรู้มั้ยว่า? ตั้งแต่ที่เรามาอาศัยในร่างนี้ สิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นในชีวิตของเราก็คือ...การที่เราได้มาพบกับพิน...”

          ดวงตาสุกใสสั่นไหว ความกลัวกัดกินหัวใจของชายหนุ่มหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ

          ...กลัวว่าวันหนึ่งจะต้องพรากจากคนตรงหน้าไป...

          ...กลัวว่าจะมีใครมาทำให้หัวใจของตนต้องแหลกสลาย...


          ตอนนี้สิ่งเดียวที่มะลิพอจะทำได้ก็คือ เขาควรจะไปคุยกับใครสักคนให้รู้เรื่อง ซึ่งคนๆนั้นก็คือ…

          ‘ไหม’



++++++++++++++++



          ในที่สุดสำนวนคดีที่มะลิเพียรหามาตั้งนานก็ถูกค้นพบแล้วนะคะ ง่ายๆเหมือนเส้นผมบังภูเขา คงเป็นเจตนาของพี่พิมพ์เค้านั่นแหละค่ะที่ตั้งไว้ให้มันแจ้งเตือนทุกเดือน เงื่อนงำต่างๆเริ่มคลี่คลายลง เนื้อเรื่องทั้งหมดดำเนินมาถึงช่วงท้ายแล้ว ขอบคุณรีดทุกท่านที่ช่วยติดตามมาโดยตลอด และขอฝากให้ติดตามต่อไปจนจบด้วยนะคะ






ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Timid Lily

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0
บทที่ 21 : ลักพา

          ภายในร้านกาแฟหอมกรุ่นบรรยากาศสบายๆ ที่ถูกตกแต่งด้วยโทนสีขาวน้ำตาล ชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนเก้าอี้บุนวมกำลังเคร่งเครียดทำตัวไม่เข้ากับบรรยากาศของร้าน วันนี้มะลิถือโอกาสที่พินพาดาวเหนือไปส่งคืนเจ้าของ นัดเจอกับเพื่อนสาวคนสนิทของพิมพ์อย่างลับๆ

          “พิมพ์”

          โดยไม่ต้องให้รอนาน หญิงสาวที่ใบหน้าเจือรอยยิ้มสดใสอยู่เสมอโบกมือให้ชายหนุ่มมาแต่ไกล เธอเดินเข้ามาหาเพื่อนรักด้วยความกระตือรือร้น ก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งฝั่งตรงข้าม

          “รอนานมั้ยพิมพ์?”

          “ไม่เลย...”

          ไหมเป็นคนตรงต่อเวลา หากมะลิมีความทรงจำของพิมพ์ติดตัวมามากกว่านี้ เขาจะรับรู้ได้ในทันทีว่า ตลอดระยะเวลาความสัมพันธ์ของสองคนนี้ หญิงสาวแทบจะไม่เคยปล่อยให้ชายหนุ่มต้องเป็นฝ่ายรอ

          “ไหมจะกินอะไรมั้ย? เราเลี้ยง”

          “เอาสิ! ของฟรีใครก็ชอบ”

          เธอยิ้มกริ่มก่อนจะรีบลุกขึ้นตรงไปที่บาร์ริสต้า จากนั้นจึงสั่งกาแฟที่เธอมักจะดื่มเป็นประจำโดยไม่ลืมที่จะสั่งเผื่อเพื่อนอีกคน

          “เอาลาเต้เย็นหวานน้อยหนึ่งแก้วค่ะ แล้วก็อเมริกาโน่เย็นไม่ใส่น้ำตาลอีกแก้วค่ะ”

          “ไหมจะกินสองแก้วเลยหรอ?”

          มะลิที่เดินตามมาถามขึ้นด้วยความสงสัย

          “เปล่า...ชั้นก็สั่งเผื่อแกด้วยไง แกติดกาแฟจะตาย”

          “อ๋อ! ไม่ต้องหรอก...เราไม่กินน่ะ ขอโทษนะครับผมขอเป็นเบอร์รี่สมูทตี้แล้วกันครับ”     

          สำหรับมะลิ ของขมๆอย่างกาแฟไม่เห็นจะอร่อยตรงไหน เทียบแล้วน้ำผลไม้ปั่นเย็นๆชื่นใจมันอร่อยกว่ากันเยอะ

          “ไหมช่วยยกเลิกอันที่สั่งเผื่อเราให้ทีนะ”

          หญิงสาวพยักหน้างงๆ จากคนที่เคยติดกาแฟแทบจะดื่มสามเวลาหลังอาหาร กลายเป็นชายหนุ่มมุ้งมิ้งสั่งน้ำปั่นกินแทนเสียอย่างนั้น มาคิดดูดีๆอะไรก็เกิดขึ้นได้เมื่อเพื่อนของเธอยังคงความจำเสื่อมอยู่ก็อาจจะลืมอาการติดกาแฟไปด้วยก็เป็นได้

          “ถ้าอย่างนั้นไม่เอาอเมริกาโน่เย็นแล้วนะคะ...”

          “ได้ค่ะ สรุปจะมีลาเต้เย็นหวานน้อยหนึ่งกับเบอร์รี่สมูทตี้หนึ่งนะคะ”

          มะลิชำระเงินกับพนักงานแคชเชียร์จากนั้นจึงกลับไปนั่งรอเครื่องดื่มที่โต๊ะ ไหมที่นั่งยิ้มสดใสรออยู่ก่อนแล้วเริ่มเอ่ยถามเหตุผลที่นัดเธอออกมาเจอข้างนอกวันนี้

          “แล้วพิมพ์มีอะไรหรอ ถึงได้ชวนเราออกมาถึงที่นี่?”

          ชายหนุ่มขอไม่อ้อมค้อม ตัดสินใจเข้าเรื่องพูดตรงประเด็น

          “ไหม...เราจำได้แล้วนะ...เรื่องหลักฐานเท็จ”

          บริกรหญิงนำเครื่องดื่มมาเสิร์ฟให้ที่โต๊ะพอดี ไหมเบิกตาตกใจกับสิ่งที่ได้ยินพลางคว้าแก้วกาแฟขึ้นมา ทว่ามือไม้เจ้ากรรมที่กำลังสั่นดันปัดแก้วล้มหกเลอะเทอะ

          “เอ่อ...ขอโทษนะคะ ขอทิชชู่หน่อยค่ะ”

          หญิงสาวที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวรีบคว้ากระดาษมาซับอย่างลวกๆ โดยที่บริกรก็รีบเข้ามาช่วยทำความสะอาดอย่างขะมักเขม้น ในสายตาของมะลิไหมดูร้อนรนอย่างไม่น่าเชื่อ จนเขาชักจะสงสัยว่าพิมพ์ไปรวมหัวอะไรกับเพื่อนคนนี้เอาไว้

          “ไหม...พวกเรา แล้วก็ผู้อำนวยการโรงพยาบาลร่วมมือกันสร้างเรื่องพวกนี้ขึ้นมาใช่มั้ย?”

          ไหมชะงักไป มือที่กำทิชชู่เปื้อนกาแฟแน่นก่อนจะค่อยๆ คลายลง เธอพยายามบรรเทาอาการตึงเครียดก่อนจะเปิดปากสารภาพออกมา

          “ในเมื่อพิมพ์จำได้แล้วก็ช่วยไม่ได้...ถ้าเป็นไปได้เราไม่อยากให้แกจำเรื่องนี้ได้เลย เพราะเรากลัวจะสร้างความเดือดร้อนให้แกมากไปกว่านี้ ถ้าแกทำเป็นลืมมันไปซะอาจจะดีต่อตัวแกเองมากกว่า”

          สีหน้าผิดบาปทุกข์ใจฉายขึ้นบนใบหน้าของหญิงสาว เธอเอ่ยขึ้นอย่างอึดอัด

          “เรารู้สึกผิด...ผิดมากๆ ที่แกจะต้องมาทำเรื่องแบบนี้เพราะพยายามจะช่วยเรา...”

          มือบอบบางเคลื่อนไปกุมมือแกร่งเบื้องหน้า หญิงสาวเอ่ยต่อไม่กล้าสบตา

          “เราขอร้องล่ะ...พิมพ์อย่ายุ่งกับเรื่องนี้เลยนะ ให้มันจบลงที่เรากับทนายคนใหม่แค่นั้นก็พอ อย่าให้เราเกลียดตัวเองที่ดึงให้พิมพ์เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องเลวๆของเราให้มากไปกว่านี้อีกเลย...”



          “ไหมรู้มั้ย? ว่าไอ้สินทรมันมายื่นข้อเสนอกับเรา”

          ‘ความทรงจำอีกแล้วงั้นหรอ? แล้วนั่น...เสียงของพิมพ์...’

          พูดจบทนายหนุ่มก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เขากดใช้เครื่องคิดเลขพลางจิ้มตัวเลขหลายหลักลงไปก่อนจะส่งให้หญิงสาวเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ข้างๆดู ดวงตาที่มักจะสดใสมองจ้องเคืองขุ่นมา ไหมเอ่ยถามเสียงเย็น

          “แกอยากจะบอกอะไรกับเรา?”



          ความสับสนแล่นวูบขึ้นครอบงำไปทั่วทั้งสมอง สิ่งที่มะลิได้รับรู้ตีกันมั่วไปหมด ความเครียดเกาะกุมความรู้สึกจนนกหนุ่มทนไม่ไหวที่จะนั่งอยู่ตรงนี้ต่อไป

          “ไหม...เราขอตัวกลับก่อนนะ รู้สึกเหนื่อยๆยังไงไม่รู้”

          “เป็นอะไรรึเปล่าพิมพ์? ให้เราไปส่งมั้ย?”

          มะลิส่ายหน้าพลางลุกขึ้นเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง ปล่อยให้หญิงสาวมองส่งด้วยความเป็นห่วง



          ชายหนุ่มเดินตรงมายังถนนใหญ่ มะลิชะเง้อมองหารถโดยสารที่เปิดไฟว่างไว้หวังจะเรียกกลับบ้าน ทว่ารถตู้คันใหญ่สีดำมาจอดเทียบอยู่ตรงหน้า โดยไม่ทันรู้ตัว มีชายท่าทางน่าสงสัยยืนประชิดตัวเขาจากทางด้านหลัง

          “ขึ้นรถไปเงียบๆอย่าส่งเสียง...”

          ชายผู้นั้นสั่งเสียงกระซิบกระซาบ โดยที่ประตูรถก็เลื่อนเปิดออกเผยให้เห็นคนท่าทางน่าสงสัยอีกสองสามคนที่อยู่บนรถ เหงื่อเย็นซึมไปทั่วร่าง สัญชาตญาณสั่งให้เขาเลือกที่จะหนีมากกว่ายอมตาม นกหนุ่มรีบวิ่งฉีกออกไปด้านข้าง แต่คนตัวคนเดียวอย่างเขาไม่อาจรอดเงื้อมมือชายฉกรรจ์ทั้งสามไปได้ หมัดลุ่นๆพุ่งเข้าใส่ใบหน้าเต็มเปาทำเอามะลิเซมึนไปหมด หมัดที่สองเสยเข้าลิ้นปี่จนจุกแข้งขาทรุดยืนไม่อยู่ ร่างสูงถูกลากขึ้นรถไปอย่างไม่อาจขัดขืน ความเจ็บปวดทางกายและความรู้สึกกระตุ้นให้สมองอันหน่วงชาระลึกถึงเรื่องราวบางอย่าง



          กำปั้นเล็กๆของหญิงสาวกำลังทุบแผ่นอกกว้างของชายหนุ่มไม่ยั้งมือ ใบหน้าสวยงามมีน้ำตาอาบนองแก้มสีน้ำผึ้ง เสียงอ่อนหวานแหบเครือสั่นพร่าสะอื้น ด่าทอคนตรงหน้าไม่หยุด

          “ทำไมพิมพ์ถึงทำแบบนี้? ! คนเลว! ชิชาเกลียดพิมพ์!”

          “พอได้แล้วชิชา!”

          อารมณ์ที่พลุ่งพล่านขึ้นทำให้ทนายหนุ่มเลิกที่จะกดข่มโทสะของตนอีกต่อไป มือแข็งแรงคว้าแขนบอบบางบีบแน่นก่อนจะเหวี่ยงสตรีที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาล้มลงที่พื้น

          “โอ๊ย! พิมพ์ทำแบบนี้กับชิชาได้ยังไง?!”

          “ชิชาจะหย่า!”





          รถยนต์สีขาวแล่นมาตามถนนใหญ่ก่อนจะเลี้ยวเข้าไปจอดยังลานจอดรถของคอนโดขนาดแปดชั้น อาคารสีขาวเทาที่ไม่คุ้นตาของเจ้างูหนุ่มทำให้เขาพอจะเดาได้ว่า ทุกวันนี้เจ้าของๆเขาไม่ได้อาศัยอยู่ที่บ้านหลังเดิมอีกต่อไปแล้ว

          “ถึงแล้วล่ะดาวเหนือ”     

          คำพูดที่พินเอ่ยขึ้นเหมือนเป็นสัญญาณบอกให้เขาได้รู้ว่าถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องกลับร่างไปเป็นงูขาวตัวน้อย และกลับลงไปในกล่อง แต่ก่อนที่ดาวเหนือจะต้องแปลงร่างกลับไป เขามีเรื่องราวมากมายที่อยากจะพูดกับคนๆ นี้

          “พิน...ขอบคุณสำหรับทุกๆอย่างเลยนะ พินดีกับผมมาก ถึงจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆก็ตาม”

          พินมอบรอยยิ้มอบอุ่นให้แก่ชายหนุ่มตรงหน้า แม้ว่าร่างมนุษย์ของดาวเหนือจะรุ่นราวคราวเดียวกับเขา แต่อมนุษย์ไม่รู้ประสาที่เข้ามาในชีวิตน้องคนเล็กอย่างเขาทำให้ได้เรียนรู้ว่าการเป็นพี่ชายนั้นเป็นเช่นไร

          “ชั้นเองก็สนุกมากเลยนะที่มีดาวเหนือมาอยู่ด้วย แต่ไม่ต้องห่วงไว้ชั้นจะแวะมาเยี่ยมนะ”

          “อื้ม! พินก็อย่าลืมนะว่าถ้ามีอะไรอยากให้ผมช่วยก็บอกมาได้เลย ถึงผมจะทำอะไรได้ไม่มากนักก็เถอะ”

          ดาวเหนือเอ่ยขึ้นพลางหัวเราะแหะไปด้วย ร่างบางเอื้อมตัวเข้าโผกอดงูหนุ่มอย่างอบอุ่น เขาตบมือลงบนแผ่นหลังกว้างเบาๆสองสามที

          “ขอบคุณมากนะดาวเหนือ”

          พลันร่างสูงกลับกลายเป็นงูน้อยตัวจ้อย ดาวเหนือเลื้อยกลับเข้าไปในกล่องพลาสติกใสพลางชูคอมองออกไปยังทิวทัศน์ด้านนอก ดวงตาสีทับทิมฉายแววสดใสเปล่งประกายด้วยความยินดีที่กำลังจะได้เจอใครอีกคนที่เขาคิดถึงและรักมากเหลือเกิน

          กล่องพลาสติกใสถูกอุ้มขึ้น ตอนนี้พินได้มายืนอยู่หน้าทางเข้าคอนโดพลางหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นกดโทรออกหาชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของงูน้อยตัวนี้

          [ฮัลโหลครับ]

          “พี่คิมครับ นี่พินเองนะครับ ผมมาถึงแล้วครับ”

          [มาแล้วถึงแล้วหรอ? เดี๋ยวพี่รีบลงไป รอแป๊บนะ]

          คิมเอ่ยขึ้นอย่างกระตือรือร้นก่อนจะวางสายไป เพียงครู่เดียว ชายหนุ่มสีผมเด่นหราก็รีบเดินเปิดประตูกระจกออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

          ‘คิมจริงๆด้วย!’

          “ขอบใจนะน้อง ที่อุตส่าห์ขับรถมาส่งดาวเหนือถึงที่นี่”

          “ไม่เป็นไรครับพี่ พินเองก็ว่างอยู่แล้ว”

          พินส่งเจ้างูน้อยคืนให้กับเจ้าของ คิมรับกล่องพลาสติกใสมาเคาะนิ้วเบาๆเป็นเชิงเรียกพลางมองอย่างมีความสุข

          “โอ๊ยดาวเหนือลูกพ่อ ในที่สุดก็กลับมาแล้ว!”

          ‘ผมคิดถึงคิมที่สุดเลย’

          “ขอบใจมากๆเลยนะน้องพิน ตอนที่พี่รู้ว่ามีคนเก็บดาวเหนือได้พี่นี่แม่งโคตรดีใจเลย”

          ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มกว้าง ดวงตาเล็กๆหรี่ลงจนแทบปิด คิมเป็นชายหนุ่มหน้าตี๋แต่งตัวจัดจ้านที่ท่าทางจะอายุมากกว่าพินราวปีสองปี เท่าที่เขารู้คิมเรียนจบคณะวิทยาศาสตร์เอกวิชาเคมีมา แต่ตอนนี้กำลังเบนเส้นทางชีวิตตัวเองไปเป็นแฮร์สไตล์ลิส

          “ที่บ้านพี่เค้าไม่ชอบที่พี่เอางูเข้ามาเลี้ยง...เอาจริงๆก็ไม่ชอบอะไรที่พี่อยากจะทำซักอย่าง...”

          คิมตัดพ้อขึ้นมาเสียอย่างนั้น ซึ่งพินก็พอจะเดาได้ว่าชีวิตของคิมคงจะน่าอึดอัดและไม่มีอิสระนัก

          “แต่ตอนนี้พี่ย้ายออกมาอยู่คนเดียวแล้ว ก็ไม่ต้องกลัวว่าใครจะแอบเอาดาวเหนือไปทิ้งอีก”

          “ดีแล้วล่ะครับพี่ พินเองก็ดีใจนะครับที่ในที่สุดก็หาเจ้าของๆดาวเหนือเจอ แอบใจหายนิดหน่อยเหมือนกัน...คงจะคิดถึงมันแย่เลย”

          “ถ้าคิดถึงก็แวะมาเยี่ยมได้นะน้อง พี่ยินดีต้อนรับเสมอ”

          ตาตี่ๆหรี่ลงพร้อมกับรอยยิ้มกว้างอีกครั้ง พินสบตามองเจ้างูน้อยด้วยความเอ็นดู เขามีความสุขที่ได้พาดาวเหนือกลับบ้าน เมื่อนึกขึ้นได้ตอนนี้ตัวเขาเองก็ควรจะกลับบ้านได้แล้วเหมือนกัน

          “เย็นมากแล้วเดี๋ยวพินขอตัวกลับก่อนแล้วกันนะครับพี่คิม”

          “อื้ม! ขับรถดีๆนะน้อง ขอบใจมากนะ”

          “ครับ...ไปก่อนนะดาวเหนือ”

          ถึงจะรู้สึกเหงาๆนิดหน่อยที่ต้องบอกลาเจ้างูน้อย แต่ก็ถึงเวลาที่ต้องแยกจากกันเสียที คิมกับกล่องพลาสติกหายตัวเข้าไปในตึก ส่วนพินที่เดินกลับมาที่รถรู้สึกใจหายแปลกๆชอบกล

          ฟ้าที่สว่างอยู่เมื่อครู่พลันมืดครึ้มลง ลมกระโชกแรงพัดเอาใบไม้ไหวปลิดปลิวแม้แต่ตัวของชายหนุ่มเองยังแทบจะยืนไม่อยู่ พินยกมือขึ้นบังเศษฝุ่นละอองที่ถูกพัดพาเข้าใส่ เส้นผมดำยุ่งเหยิงขึ้น ไม่รู้ทำไม ความรู้สึกกลัวกังวลถึงได้เข้าควบคุมจิตใจ พินอดคิดถึงใครบางคนขึ้นมาแบบสลัดออกจากหัวไม่ได้

          ‘มะลิ’

          จู่ๆลมก็สงบลง ฟ้าเปิดขึ้นอีกครั้งราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ชายหนุ่มเสยผมขึ้นโดยที่คิ้วเข้มก็ขมวดอย่างหวาดหวั่น

          ‘Rrrrrrr’

          เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นให้ใจตกวูบ บนหน้าจอปรากฏชื่อของ “เมฆ”

          “ฮัลโหล...มีอะไรรึเปล่าน้องเมฆ?”

          [พี่พิน! รีบกลับมาที่บ้านด่วนเลยครับ]



++++++++++++++++



          คงจะปฏิเสธไม่ได้จริงๆนะคะว่าน้องเมฆว่าที่หมอคนนี้มีส่วนช่วยมะลิกับพินมากจริงๆ ถึงแม้ว่านินจาจะพยายามกีดกันน้องไม่ให้มาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มากแค่ไหนก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าสุดท้ายก็หนีไม่พ้นที่จะต้องขอความช่วยเหลือจากน้องทุกครั้งไป ^^"

          ความวุ่นวายและอันตรายกำลังรุมเร้ามะลิจนน่าเป็นห่วง มาเอาใจช่วยมะลิกันต่อในตอนหน้านะคะ





ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Timid Lily

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0
บทที่ 22 : ไม่สัญญา

         ประตูบ้านเปิดขึ้นเสียงดัง ชายหนุ่มผอมบางเร่งฝีเท้าเข้ามาในบ้านจนกระหืดกระหอบ เมื่อเห็นมะลิ เมฆ และนินจาในร่างเด็กหนุ่มนั่งอยู่บนโซฟาก็โล่งใจ

          “เฮ้อ...ตกใจหมด เมฆมีอะไรรึเปล่าถึงได้โทรมาเร่งให้พี่กลับบ้าน?”

          พินเดินเข้าไปในบ้านอย่างเหนื่อยอ่อน สายตาสังเกตเห็นกล่องยาวางอยู่บนโต๊ะ เขาเริ่มมองสำรวจชายทั้งสามแล้วก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าใบหน้าขาวสว่างผุดผ่องของนกหนุ่มเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ

          “มะลิ! เกิดอะไรขึ้น?”

          พินรีบทิ้งตัวลงนั่งข้างคนเจ็บพลางยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้าอันเป็นที่รักอย่างแผ่วเบา เขาจับคางเรียวพลางเชยใบหน้ามนขยับซ้ายทีขวาทีสำรวจร่องรอยการถูกทำร้าย

          “เราแวะมาหาพินแล้วก็เจอไอ้หมอนี่อยู่ในสภาพนี้ เลยไปตามเมฆให้มาช่วยดู”

          นินจาเอ่ยขึ้น เขาเองก็ตกใจไม่น้อยที่มาเจอเจ้านกในสภาพเช่นนี้ ดูเหมือนว่าความปลอดภัยในชีวิตของอมนุษย์ตนนี้จะต่ำเตี้ยเสียเหลือเกิน

          “พี่พิมพ์บอกว่าโดนชกเข้าที่ท้องด้วย แต่โชคดีที่แผลแห้งสนิทไปแล้ว ไม่ได้กระทบกระเทือนอะไรมาก”

          เมฆพูดเสริม จนถึงตอนนี้เขาเองก็ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับชายผู้นี้กันแน่

          “มะลิ! เล่ามาเดี๋ยวนี้ว่านายไปทำอะไรมา?”

          พินถามซักไซ้ในใจทั้งเป็นห่วงทั้งเคือง ห่วงว่าคนที่รักจะเป็นอะไรไป เคืองในใจที่คนๆนี้แอบไปทำอะไรโดยที่ไม่บอกให้เขารู้อีกแล้ว

          “เราไปเจอไหมมา...”     

          “แล้วยังไง? รีบพูดมาสิ!”

          “แต่ดูเหมือนว่าไหมจะไม่รู้ว่าถูกพวกของสินทรแอบตามมา...”



          หลังจากที่นกหนุ่มถูกลากขึ้นรถ เขาถูกนำตัวมายังสถานที่หน้าตาประหลาดแห่งหนึ่ง อาคารปูนซอมซ่อทอดตัวยาว แต่ละห้องถูกซอยเป็นช่องโดยมีม่านเก่าๆปิดคลุมเอาไว้ เมื่อเปิดม่านออกจะมีที่ว่างสำหรับให้จอดรถได้หนึ่งคัน ก่อนที่อีกชั้นจะเป็นประตูบานเล็กนำเข้าสู่ภายใน

          ชายหนุ่มถูกหิ้วตัวมาทิ้งลงบนเตียงใหญ่ มะลิยันตัวลุกขึ้นโดยที่เจ็บระบมไปทั้งร่าง ภาพตรงหน้าคือชายคนหนึ่งกำลังนั่งไขว่ห้างมองเขาอยู่บนโซฟาเดี่ยว

          “แก...ไอ้สินทร!”

          “เพิ่งเจอหน้าก็ทักทายกันซะสุภาพเชียวนะคุณทนาย...”

          “แกพาเรามาที่นี่ทำไม? ต้องการอะไร?”

          มะลิจ้องขึงถามขึ้นน้ำเสียงเกรี้ยว ทว่าสินทรกลับตอบไปอย่างไม่ยี่หระ

          “อีกไม่กี่วันชั้นจะต้องไปสู้คดีกับหมอชั่วเพื่อนแกในศาลชั้นถัดไป...แล้วก็คิดไม่ผิดที่แอบตามผู้หญิงคนนั้นมา พวกแกนัดพบกันอย่างที่ชั้นคิดไว้จริงๆ”

          มือหยาบแกร่งของหนุ่มใหญ่กระชากคอเสื้อของนกหนุ่มให้เข้ามาใกล้ สายตาดุดันมองสบมาคาดคั้น

          “ไหนแกบอกว่าจำอะไรไม่ได้ไง? อยากได้เท่าไหร่? ชั้นยินดีจะจ่ายถ้าแกยอมเป็นพวกเดียวกับชั้น เอาหลักฐานที่ว่าอีหมอคนนั้นมันใช้หลักฐานและให้การเท็จต่อศาล แล้วชั้นจะหาทางช่วยแกให้พ้นผิดจากข้อหานี้

          “เราไม่ได้อยากได้อะไรทั้งนั้น! เราวางมือจากเรื่องนี้ไปแล้วจริงๆ เราจะยอมใช้ชีวิตเป็นคนความจำเสื่อมแบบนี้ตลอดไป ขอแค่เรื่องเดียว...เลิกคิดที่จะทำร้ายเราได้แล้ว”

          “พูดเรื่องอะไรของแก ทำร้ายงั้นหรอ? ที่ชั้นอุ้มแกมาที่นี่ชั้นไม่ได้มีเจตนาอื่นนอกจากต้องการเจรจาอย่างลับๆ ที่ต้องทำร้ายก็เพราะแกดันขัดขืน ไม่ได้หวังจะเอาชีวิต ความตายของแกไม่ได้ทำให้ชั้นได้ประโยชน์อะไร ตรงกันข้ามชั้นต้องการจะให้แกช่วย เพื่อพิสูจน์ว่าหลักฐานที่หมอเพื่อนแกยื่นต่อศาลเป็นของปลอม”

          สินทรผลักชายหนุ่มล้มลงอีกครั้งพลางสะบัดมือออกจากคอเสื้อ เขาทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาตามเดิมก่อนจะพูดต่อ

          “แต่ถ้ากับคนรอบตัวแกก็ไม่แน่ ถ้าแกไม่ยอมให้หลักฐานจริงกับชั้น น้องชายอนาคตไกลของแกอาจจะไม่ปลอดภัยก็ได้...”

          ‘พิน!’

          ความกลัวเขย่าหัวใจของเขาให้สั่นไปหมด เขาคงจะทนไม่ได้หากคนที่เขารักจะต้องเป็นอะไรไป คำข่มขู่จี้ถูกจุดทำให้มะลิตัดสินใจยอมตามโดยไม่ต้องคิด

          “เรายอมแล้ว...ขอร้องล่ะ ให้ทุกอย่างจบลงแค่นี้...อย่าทำอะไรพินเลย”



          “เราก็เลยยอมให้หลักฐานทั้งหมดกับสินทรไป...”

          คนทั้งสี่ได้แต่นิ่งคิดตกอยู่ในความเงียบ ในหัวสมองโล่งขาวโพลนไปหมด เด็กหนุ่มที่ดูไม่เกี่ยวข้องที่สุดจึงพยายามพูดอะไรบางอย่างเพื่อเสนอแนะ

          “เมฆคิดว่า...”

          “เมฆ! กลับไปได้ละ”

          “หา?”

          นินจาเอ่ยขึ้นพลางจ้องเขม็งไปที่เด็กหนุ่ม เมื่อเห็นว่าคนที่ถูกไล่ยังนั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อน เจ้าแมวหนุ่มจึงรีบลุกขึ้นพลางฉุดแขนแข็งแรงของเมฆให้ลุกตามเขาออกมา

          “เป็นอะไรของนายอีกแล้วเนี่ยนิน! ทำไมต้องคอยมาไล่มาขัดเมฆอยู่เรื่อยเลยวะ? ไม่เข้าใจว่ะ”

          มือที่สัมผัสแขนแกร่งอยู่กำแน่นขึ้น สายตาที่จ้องมองมานิ่งงัน ทว่าสั่นไหวอยู่ภายในลึกๆ

          “อย่ายุ่งกับเรื่องนี้! ยิ่งรู้มากยิ่งอันตราย...”

          ‘ถ้าเมฆเป็นอะไรไปอีกคน...เราคงทนไม่ได้...’

          “นิน?”

          นินจาสะบัดมือออกจากนั้นจึงรีบเดินหนีไป ในใจเต็มไปด้วยความกังวล เขาเองก็ยอมไม่ได้เหมือนกัน หากคนสำคัญสำหรับเขาจะต้องมาเสี่ยงอันตราย ดังนั้นสิ่งที่แมวอย่างเขาพอจะทำได้ คือการผลักไสเด็กหนุ่มคนนี้ออกไปให้ไกลจากเรื่องนี้ให้มากที่สุด



          ถึงแม้ว่าเด็กหนุ่มทั้งสองคนจะจากไปแล้ว ทว่าบรรยากาศภายในบ้านยังคงไม่เปลี่ยนแปลง คนสองคนนั่งมองหน้ากันเงียบกริบ ทว่าเมื่อสังเกตดูดีๆ สีหน้าของพินกำลังเริ่มเปลี่ยนไป

          ดวงตาสวยคมมองแข็งขืนขึ้น สีแดงฉ่ำฉาบย้อมสะท้อนหยดน้ำที่กำลังเอ่อ ความกลัวแทบขาดใจทำให้เขาเอ่ยขึ้นเสียงสั่น

          “มะลิ...อย่าทำแบบนี้อีกนะ”

          พินสูดหายใจเข้าลึกๆสะกดข่มความรู้สึกไว้ข้างใน เขาเม้มปากแน่นจนแดงไปหมดก่อนจะพูดต่อ

          “นายอย่าแอบไปทำอะไรคนเดียวแบบนี้อีก ถ้ามีอะไรนายต้องรีบบอกชั้นห้ามมีความลับต่อกัน เข้าใจรึเปล่า?”

          มะลิหลบสายตาหลบไปอีกทาง ปากก็ปิดเงียบอยู่อย่างนั้นไม่ให้คำตอบ

          “สัญญากับชั้นสิ ว่าจะไม่มีเรื่องปกปิดกัน!”

          ‘เราสัญญาไม่ได้หรอกพิน...’

          เพราะนกหนุ่มไม่อาจปล่อยให้คนที่หวงยิ่งกว่าชีวิตต้องมาเสี่ยงอันตรายไปกับตนด้วย ทว่าพินก็ไม่ยอมแพ้ เขาพยายามคาดคั้นเซ้าซี้ให้คนตรงหน้ารับปากเขาให้ได้

          “สัญญาสิ!”

          ยังคงไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากคู่สนทนา พินที่ร้อนรนเขย่าแขนชายหนุ่มเริ่มเรียกร้องฟูมฟาย

          “มะลิ! ขอร้องล่ะสัญญากับชั้นมาเถอะ...นะ”

          สีหน้าที่เหมือนกับคนกำลังจะร้องไห้ทำให้มะลิปวดใจ แต่เขาก็ไม่อาจพูดพล่อยๆเพื่อตัดปัญหาได้ สำหรับเขาการเงียบคงเป็นทางออกที่ดีที่สุด ซึ่งพินเองก็เข้าใจว่ามะลิหมายความว่าอะไร ถึงเขาจะรู้ดีว่าการบีบให้ชายหนุ่มพูดในสิ่งที่เขาต้องการออกมาก็ไม่ได้เป็นการรับประกันว่ามะลิจะทำตามที่ได้ให้คำสัญญาเอาไว้ ทว่าเพื่อความสบายใจของตน อย่างน้อยพินก็อยากได้ยินคำๆนั้น

          “มะลิถ้านะ...อื้อ!”

          โดยที่ไม่เปิดโอกาสให้พินได้พูดจาบีบคั้นเขาต่อ ชายหนุ่มบดจูบขยี้ปิดปากหยักที่เอ่ยพร่ำไม่หยุด ริมฝีปากอิ่มดูดเม้มรุนแรงราวกับจะกลืนกินคนตรงหน้า ร่างบางสั่นเทาวูบไหวราวกับถูกความรู้สึกลุ่มหลงห่วงหาถาโถมซัดสาดเข้าใส่

          เพราะ “รัก” จึงไม่อาจปล่อยให้คนๆนี้เข้ามาเสี่ยงชีวิตไปกับตนได้...

          ลิ้นนุ่มดุลเบียดล่วงเกินเข้าไปรับไออุ่น เป็นจูบที่ไม่ปรานีให้อีกฝ่ายได้หยุดหายใจ

          “แฮ่ก”

          เสียงหอบหายใจเย้ายวน นัยน์ตาสวยปิดลงไปพร้อมกับแพขนตายาวสั่นไหว น้ำตาที่ถูกสะกดไว้ไหลเคลียแก้มใสจนใบหน้าชื้นขึ้น

          เพราะ “รัก” จึงอยากร่วมทุกข์ร่วมสุขไม่หวั่นกลัวแม้ตนจะมีภัย

          ร่างกายผ่ายผอมถูกกดลงบนเบาะนุ่ม ท่อนแขนไร้เรี่ยวแรงป่ายปัดโอบรัดร่างสูงแนบแน่นรับรสจูบอันแสนเร่าร้อน...

          ทว่าแฝงไปด้วยความเจ็บปวดฝังลึกอยู่ข้างใน...





          ยามราตรีเงียบสงัดที่ความมืดเข้าปกคลุมแทนที่แสงสว่าง ชายหนุ่มผอมบางเปิดประตูห้องนอนก่อนจะปิดลงอย่างเบามือเพราะเกรงว่าคนที่หลับสนิทคุดคู้อยู่บนเตียงจะตกใจตื่น

          ‘หลับสบายเลยนะมะลิ’

          พินยิ้มขึ้นเมื่อเห็นนกหนุ่มหลับซุกผ้าห่มอย่างมีความสุข ครู่หนึ่งเขาก็สังเกตเห็นเงาตะคุ่มๆของอะไรบางอย่างอยู่เหนือหัวเตียงท่ามกลางความมืดสลัว

          ‘นั่นอะไรน่ะ?’

          แม้จะรู้สึกหวาดหวั่น ทว่าเขาก็ทำใจกล้าค่อยๆเดินเข้าไปช้าๆพลางเพ่งตามอง สิ่งนั้นเริ่มขยับเคลื่อนไหว ร่างกายใหญ่โตเรียวยาวเลื้อยพันขึ้นบนร่างของคนที่เขารักที่สุด

          ‘งู!’

          ดวงตาสีทับทิมที่ลืมไม่ลง ร่างสีขาวนวลสะท้อนแสงจันทร์ที่ลอดม่านเข้ามาเกิดเป็นเลื่อมลายเงินผ่องพร่า ปากกว้างอ้างับกลืนร่างชายผู้เป็นที่รักของเขาทีละเล็กทีละน้อย

          “ไม่นะดาวเหนือ!”



          “พิน!”

          เสียงทุ้มนุ่มเรียกเขาให้ตื่นขึ้นจากฝันร้าย เหงื่อผุดพรายซึมไปทั่วร่าง พินหันไปสบตาคนที่นอนอยู่เคียงข้างก่อนจะโผเข้ากอดแน่นเนื้อตัวสั่น

          “มะลิ...มะลิ....”

          “ใจเย็นๆนะพิน...”

          ร่างสูงกอดตอบพลางลูบแผ่นหลังเล็กๆเป็นการปลอบโยน พินซุกใบหน้าเข้ากับแผ่นอกกว้าง หัวใจที่เต็มไปด้วยความกลัวเหมือนกำลังจะหยุดเต้นแตกสลายไป

          “ชั้นฝันร้าย...”

          “ฝันว่าอะไร? เล่าให้เราฟังได้มั้ย?”

          นกหนุ่มพูดพลางจรดริมฝีปากอิ่มลงบนหน้าผากชื้นเหงื่อเป็นการปลอบประโลม

          “ชั้นฝันว่าดาวเหนือกำลังกินนาย...”

          “หึ...งั้นหรอ?”

          นกหนุ่มหัวเราะขึ้นในลำคอ ส่วนคนที่กำลังกลัวจนตัวสั่นทำหน้ามุ่ยพูดต่ออย่างจริงจัง

          “ไม่เห็นจะตลกเลยมะลิ น่ากลัวจะตาย”

          “จะกลัวไปทำไมหึ๊? ดาวเหนือตัวจริงใหญ่กว่าไส้เดือนแค่นิดเดียว งูซื่อบื้ออย่างมันทำอะไรเราไม่ได้หรอก”

          มะลิไม่วายพูดแซะเจ้างูไม่รู้อีโหน่อีเหน่ไปด้วย

          “นี่อย่าไปว่าดาวเหนืออย่างนั้นสิ...ลืมไปแล้วหรือไงว่าดาวเหนือบอกเหตุผ่านความฝันได้...”

          “ครั้งนี้พินอาจจะเครียดจนฝันไปเองก็ได้ จริงๆ แล้วอาจจะไม่ใช่ฝีมือของดาวเหนือหรอกจริงมั้ย?”

          พินพยักหน้าเล็กน้อย เขาเองก็หวังว่าสิ่งที่มะลิพูดจะเป็นเรื่องจริงถึงแม้ว่าเขาจะระแวงจนแทบข่มตาหลับไม่ลงแล้วก็ตาม

          “ถ้าอย่างนั้นพินรีบนอนต่อได้แล้วนะ พรุ่งนี้ต้องรีบตื่นไปสัมภาษณ์งานแต่เช้า”

          “อืม...”

          มะลิประทับจูบอ่อนหวานลงบนริมฝีปากกระจับเบาๆส่งคนขี้กลัวเข้านอน แขนแกร่งกอดกระชับคนตัวเล็กแนบแผ่นอกกว้างแน่น จมูกโด่งซุกลงบนเรือนผมสวย ดวงตาสุกใสหลับลงพยายามฝืนตนให้จมลงในห้วงนิทรา ทว่ากลับทำไม่ได้ ในใจรู้ดีว่าสิ่งที่พินฝันถึงนั้นคืออะไร...เพราะก่อนหน้านี้

          เขาเองก็ฝันเห็นงูขาวแสนน่ากลัวกำลังกลืนกินร่างของตนเช่นกัน...



++++++++++++++++



          บรรยากาศของเนื้อเรื่องกำลังอึมครึมและตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆเลยนะคะ เราอยากจะบอกว่าตอนเขียนเรื่องนี้ค่อนข้างทำให้เครียดและจิตตกค่ะ แต่ก็รู้สึกสนุกไปกับการเขียนนะคะ หวังว่ารีดทุกคนจะรู้สึกสนุกไปกับเนื้อเรื่องเช่นกันค่ะ

          สิ่งที่เราชอบมากๆในการเขียนนิยายเรื่องนี้คือความสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร ทั้งการเป็นสัตว์เลี้ยงและเจ้าของ ความรักระหว่างคนในครอบครัว การช่วยเหลือเกื้อกูลระหว่างเพื่อน ที่สำคัญคือความรักระหว่างมะลิกับพินเป็นอะไรที่ทุ่มเทและลึกซึ้งมากสำหรับเราค่ะ




CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Timid Lily

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0
       
บทที่23 : อโคจร

         ช่วงเวลาที่ควรจะร้อนจัดในตอนกลางวัน บัดนี้เย็นลงเนื่องจากฤดูกาลที่เริ่มเปลี่ยนไป วันนี้นกหนุ่มอยู่ที่บ้านเพียงลำพัง เนื่องจากคนที่มักจะคอยดูแลเขานั้นต้องออกไปสัมภาษณ์งานตั้งแต่เช้า มะลิตั้งใจว่าจะทำอะไรสักอย่างที่เป็นประโยชน์กับบ้านหลังนี้

          “แกต้องตาย ไอ้แมลงสาบชั่ว!”

          ชายหนุ่มที่กำลังถือรองเท้าที่ไม่ใช่ของตน กำลังไล่ฟาดแมลงสาบตัวดำเมี่ยมในห้องน้ำอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ก็ตีวืดเอาวืดเอา เจ้าแมลงตัวร้ายที่หนีหัวซุกหัวซุนถือโอกาสกางปีกบินเข้าใส่จนนกหนุ่มร้องเสียงหลงไปหมด

          “เฮ้ย! อย่าเข้ามานะ เหวอ!”

          แน่นอนว่าเมื่อครั้งที่เขาเคยใช้ชีวิตแบบนก ของแบบนี้ไม่มีทางมาสั่นคลอนจิตใจของเขาได้ แต่ไม่รู้ทำไม นับวันเขาชักจะอ่อนไหวเหมือนมนุษย์ปกติมากขึ้นทุกที

          “โป๊ก!” เสียงหัวแข็งๆ ของชายหนุ่มโขกเข้ากับอ่างล้างหน้าระหว่างที่เขากำลังพยายามก้มหลบแมลงสาบบินอุตลุด มือสองข้างลูบหัวที่ปูดโนป้อยๆ เขาค่อยๆยันตัวลุกขึ้นมองหาเจ้าแมลงชั่วแล้วก็พบว่ามันบินหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้

          “อูย...เจ็บชะมัด”

          มะลิพยายามมองส่องบริเวณที่เจ็บปวดในกระจกแต่ก็ยากที่จะเห็นเนื่องจากอยู่ในมุมอับสายตา สิ่งที่ปรากฏตรงหน้ามีเพียงภาพสะท้อนของชายหนุ่มอีกคน ชายชื่อ “พิมพ์” ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำจากการถูกทำร้าย

          วิญญาณอมนุษย์เช่นมะลิ...ไม่มีแม้แต่เงาของตนปรากฏให้เห็น...

          เมื่อสูญเสียร่างจริงไปแล้วเขาก็ไม่มีโอกาสที่จะได้เห็นรูปลักษณ์แท้จริงของตนเองอีก นอกจากพินและอมนุษย์ด้วยกันแล้ว บนโลกใบนี้ก็ไม่มีใครอื่นที่จะรับรู้ถึงการมีตัวตนของมะลิ

          ความเศร้าทุกข์ใจกัดกินความรู้สึกของชายหนุ่ม มันป็นข้อยืนยันที่ชัดเจนแล้วว่าตอนนี้เขากำลังจะกลายเป็นพิมพ์ และไม่ว่าอะไรที่พิมพ์เคยกระทำเอาไว้ ตอนนี้คนที่จะต้องมาแบกรับผลแห่งการกระทำเหล่านั้น ก็คงหนีไม่พ้นที่จะต้องเป็น “เขา”

          คนซึมเดินออกจากห้องน้ำไป เขาทิ้งร่างลงบนโซฟาตัวโปรดพลางทอดถอนใจถึงความโชคร้ายที่เขาต้องพบเจอตั้งแต่ที่ตัดสินใจสิงร่างมนุษย์ผู้นี้ ทว่าเพียงแค่นึกถึง “พิน” ที่เขารัก ความทุกข์ทั้งหมดก็แทบจะพลันสลายไป

          ‘ครืด ครืด’

          เสียงโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะเล็กสั่นเตือนข้อความเข้า ชายหนุ่มคว้าขึ้นท่วงทีก่อนจะเปิดอ่านข้อความที่ใครบางคนซึ่งเขาไม่รู้จักส่งมา ไม่มีภาพบ่งบอกว่าเป็นใคร ชื่อก็เป็นเพียงตัวอักษรที่ร้อยเรียงไม่เป็นคำ

          บุคคลปริศนา: ออกมาเจอกันตามที่อยู่ที่ส่งให้

          บุคคลปริศนา: ถ้าไม่มาไม่รับประกันความปลอดภัยของคนในรูป

          มือขาวเลื่อนนิ้วดูภาพที่ถูกส่งมา เป็นชายร่างบางสวมเสื้อคอปกสีฟ้าผูกเนกไทด์เส้นเล็กแต่งกายสุภาพ แบบเดียวกับที่มะลิเห็นตอนคนๆหนึ่งจะออกจากบ้านไปเมื่อเช้านี้

          ‘พิน!’

          แค่ดูก็รู้ว่าคนในรูปถูกแอบถ่ายจากที่ไกลๆ นกหนุ่มเข้าใจในทันทีว่าพินกำลังถูกใครบางคนสะกดรอยตามอยู่

          พิมพ์: เราจะรีบไป อย่าทำอะไรพิน

          นกหนุ่มรีบส่งข้อความตอบกลับไปด้วยใจร้อนรน เขารีบคว้าโทรศัพท์กับกระเป๋าสตางค์ออกจากบ้านไป

          ไม่ต่างจากปลาตัวใหญ่...ที่ต้องยอมว่ายเข้าไปติดเบ็ดด้วยความจำใจ





          บนถนนที่แน่นขนัดเนื่องจากช่วงเวลาเร่งด่วนในตอนเย็น ชายหนุ่มในรถสีขาวที่จอดนิ่งติดไฟแดงอยู่กำลังนั่งถอนใจพลางเคาะนิ้วลงบนพวงมาลัยระงับอาการงุ่นง่าน ในสมองมีแต่ภาพความฝันที่เขย่าความรู้สึกคอยหลอกหลอนฉายภาพวนซ้ำไปซ้ำมา

          ‘ต้องเป็นดาวเหนือแน่ๆ’

          ใจหนึ่งพินก็อยากจะรีบกลับบ้านไปเจอมะลิเร็วๆ ทว่าอีกใจหนึ่งเขาก็ไม่อาจตัดความกังวลใจทิ้งไป ชายหนุ่มซบใบหน้าลงกับพวงมาลัยในใจคิดทบทวนถึงเรื่องราวที่ผ่านมา และเห็ดชัดได้ว่าทุกอย่างมันเลวร้ายขึ้นทุกที

          “ปี๊น!” เสียงบีบแตรดังลั่นจนพินถึงกับสะดุ้งพรวดขึ้นมา ไฟจราจรฉายสีเขียวสว่างจ้า ป่านนี้รถคันที่อยู่ด้านหลังคงจะก่นด่าสาปพินไปจนถึงบรรพบุรุษ เขาเหยียบคันเร่งให้รถแล่นไปเบื้องหน้า ทว่ามือก็ตบไฟเลี้ยวเปลี่ยนเส้นทาง

          ‘หวังว่าดาวเหนือคงจะให้คำตอบเราได้นะ...’



          แม้ว่าการจราจรจะเลวร้ายสักแค่ไหน แต่ด้วยความพยายามของชายหนุ่ม ทำให้เขาขับเข้าซอยนู้นลัดซอยนี้มาจนถึงคอนโดของคิมในเวลาไม่นานนัก พินเปิดประตูลงจากรถไปรอที่ทางเข้าคอนโด นับว่ายังโชคดีที่เจ้าของห้องกลับมาพอดี ทำให้คนที่นึกปุบปับจะมาเช่นเขาได้มีโอกาสเจอเจ้างูน้อย

          ครู่หนึ่งชายหนุ่มสีผมโดดเด่นแสบตาก็เดินออกมา จากเส้นผมสีชมพูนวลอ่อน ตอนนี้มันได้ถูกย้อมใหม่กลายเป็นสีทองอมเทานิดๆ ไปเสียแล้ว

          “ไงน้อง! จู่ๆก็บอกว่าจะมา พี่นี่รีบกลับห้องแทบไม่ทัน”

          ถึงแม้จะฟังดูเหมือนคำบ่น ทว่าคนพูดกลับยิ้มหยีตาปิดเสียอย่างนั้น

          “พินต้องขอโทษด้วยจริงๆนะครับ พอดีพินผ่านมาแถวนี้ก็เลยถือโอกาสแวะมาเยี่ยมดาวเหนือน่ะครับ”

          “เฮ้ยไม่เป็นไร พี่ดีใจที่มีคนรักดาวเหนือ คนรอบตัวพี่ไม่มีใครชอบงูซักคน ตอนนี้พี่รู้สึกเหมือนมีเพื่อนให้คุยเรื่องงูบ้างละ”

          พินอมยิ้มขึ้น ถึงแม้ว่าตัวเขาจะไม่ได้ชื่นชอบงูทว่าเขาก็ไม่ได้เกลียดหรือกลัว โดยเฉพาะกับดาวเหนือที่ไม่ต่างจากสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัว เขาออกจะเอ็นดูด้วยซ้ำ

          คิมเดินนำคนอายุน้อยกว่าขึ้นไปที่ห้อง เขาไขกุญแจเปิดประตูเชิญให้พินเข้าไปด้านใน

          “เข้ามาเลยน้อง แต่ห้องพี่จะรกๆหน่อยนะ”

          พินก้าวเข้าไปหยุดตรงประตูก่อนจะปิดลงอย่างเบามือ ตอนนี้คิมเดินหายเข้าไปด้านในปล่อยพินให้ยืนมองสำรวจไปทั่วห้องแล้วก็พบว่าสำหรับห้องนี้จะใช้คำว่ารกก็ไม่เชิง ออกจะของเยอะเสียมากกว่า ถึงอย่างนั้นทุกอย่างก็ถูกจัดเก็บไว้เป็นระเบียบเรียบร้อยดี

          “เฮ้ย!”

          เสียงคิมโวยวายลั่นมาจากห้องนอน พินตกใจรีบวิ่งตามมาดูก็พบว่า ชายหนุ่มสูงโปร่งผิวขาวซีด ใบหน้านิ่งดูเยือกเย็นกำลังยืนประจันหน้ากับเจ้าของๆตัวเองอยู่

          “ดาวเหนือ!”

          พินได้แต่ตกใจที่เห็นดาวเหนืออยู่ในร่างมนุษย์ต่อหน้าต่อตาชายอีกคนหนึ่ง ส่วนคิมนั้นตอนนี้ได้แต่ทำปากพะงาบๆเตรียมโวยวายลั่น

          “มะ...มึงคือคนที่มาจีบกูกลางห้างนี่หว่า! นี่มึงโรคจิตขนาดแอบเข้าบ้านกูเลยหรอวะ?!”

          ตอนนี้ดาวเหนือไม่ได้สนใจสิ่งที่คิมกำลังพูด เขาดันตัวคิมออกให้พ้นทางแล้วรีบเดินรี่มาหาพิน

          “ผมคิดอยู่แล้วเชียว ว่าพินจะต้องมาหา”

          คิมที่ยังคงตกใจไม่หายรีบเดินตามมา

          “ไอ้ผีซีด! อย่าทำมาเป็นเมินกูนะเว้ย!”

          ถึงแม้จะดูไม่น่าโมโหแต่สาบานได้ว่านี่คือคำด่าที่คิมได้ใช้ความคิดอย่างถี่ถ้วนแล้วก่อนจะโพล่งมันออกมา

          “ดาวเหนือ...ทำไมนายถึงอยู่ในสภาพนี้ล่ะ?”

          “ผมควบคุมพลังได้ไม่ดีเลยกลายร่างเป็นมนุษย์อยู่หลายครั้ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่คิมเห็นผมในสภาพนี้”

          “ครั้งแรกอะไรของมึง? กูเคยเจอมึงมาก่อน!”

          ถึงคิมจะงงๆในบทสนทนาของคนทั้งสอง แต่เขาก็เอาตัวเองเข้าไปแทรกได้อย่างน่ามหัศจรรย์

          “เมื่อคืนดาวเหนือมาเข้าฝันชั้นใช่มั้ย? มีอะไรอยากจะบอกกับชั้นงั้นหรอ?”

          “นี่น้อง! ไปคุยกับไอ้โรคจิตนี่ทำไม รู้จักกันงั้นหรอ?”

          “ผมก็บอกชัดเจนแล้วนี่ว่าให้ดูแลนกมะลิให้ดี รอบๆตัวของเจ้านกมีแต่อันตรายเต็มไปหมด”

          ‘คุยเหี้ยอะไรกันวะเนี่ย?’

          คนไม่เข้าใจถูกทิ้งให้สงสัยต่อไปอย่างนั้น ตอนนี้พินชักใจไม่ดีเขารีบยกโทรศัพท์มือถือขึ้นกดโทรหานกหนุ่ม

          ‘รับสายหน่อยเถอะมะลิ!’



          “นินจาเบอร์สองดูนี่! สวยมั้ย? นี่คือปลอกคอที่เมฆสั่งทำมาให้เป็นพิเศษเลยนะ”

          เด็กหนุ่มตัวโตเอ่ยขึ้นอย่างภาคภูมิใจพลางสวมปลอกคอหนังติดกระพรวนสลักชื่อ “นินจา” ให้เจ้าก้อนขนสีดำที่นั่งตาปรืออยู่ดู

          ‘หึเจ้าเมฆ! อย่าคิดนะว่าการที่เรายอมให้สวมปลอกคอจะแปลว่าเราเป็นสัตว์เลี้ยงของนาย’

          “เมฆดีใจมากเลยนะที่หลังๆมาเนี่ยนินจามาอยู่ที่บ้านเมฆตลอดเลย”

          ‘อย่าเข้าใจผิด! ที่เราเทียวเข้าเทียวออกก็เพราะเรากลัวว่าเด็กขี้เสือกอย่างนายจะคอยไปจุ้นจ้านเรื่องชาวบ้านเขาต่างหาก!’

          นินจาก็ยังคงเป็นนินจาอยู่วันยังค่ำ ถึงในใจจะว่าอย่างนั้น แต่พฤติกรรมพักหลังๆ ของอมนุษย์แมวตนนี้ ทั้งไปกิน ไปนอน ออดอ้อนออเซาะ ถ้าไม่เรียกสัตว์เลี้ยงก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้ว

          ‘Rrrrrr’

          เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นรบกวนการพะเน้าพะนอเจ้าเหมียวของเด็กหนุ่ม

          “ฮัลโหลพี่พิน ว่าไงครับ?”

          [เมฆอยู่บ้านรึเปล่า?]

          “อยู่ครับผม มีอะไรให้เมฆช่วยรึเปล่า?”

          [ช่วยไปดูพี่พิมพ์ให้พี่ทีสิ คือพี่โทรหาแต่พี่พิมพ์ไม่รับสายเลย]

          “ได้ครับพี่”

          พูดจบเมฆก็ผละตัวออกจากเจ้าแมวดำเดินไปยังบ้านข้างๆ สิ่งที่เห็นคือบ้านถูกคล้องกุญแจล็อกเอาไว้ เขาจึงลองกดออดเรียกคนข้างใน

          ...มีเพียงความเงียบตอบกลับมา

          “พี่พิน ไม่มีใครอยู่บ้านนะครับ...เฮ่ย!”

          เมฆที่ชะเง้อชะแง้มองเข้าไปในบ้านอยู่เมื่อครู่ถึงกับตกอกตกใจที่จู่ๆคนที่มักจะผลุบๆโผล่ๆมาให้เขางงอยู่ร่ำไปแย่งโทรศัพท์มือถือของเขาไปคุยเสียดื้อๆ

          “พิน นี่เรานินเองนะ”

          [นินจา!]

          “นิน! นายมาตอนไหนเนี่ย?”

          แมวหนุ่มชูนิ้วขึ้นจุ๊ปากเป็นการเตือนไม่ให้เมฆรบกวนการสนทนาระหว่างเขากับพิน ซึ่งเมฆก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี

          [นินจา...มะลิหายตัวไปไหนอีกแล้ว ชั้นโทรไปก็ไม่ยอมรับสาย ทำยังไงดี?]

          “เราจะช่วยตามหาให้เอง พินใจเย็นๆนะ”

          พูดจบนินจาก็ก้าวเท้าเร็วๆไปทางถนน มือก็ยังถือโทรศัพท์ของคนอื่นติดไปด้วย

          “เดี๋ยวเราจะพยายามตามกลิ่นเจ้านกแสกไป ถึงจมูกเราจะดีสู้พวกสุนัขไม่ได้แต่เราจะลองดู”

          [ขอบคุณมากนะนินจา]

          “อื้ม แล้วเราจะติดต่อไปเป็นระยะๆนะ”

          นินจากดวางสายเป็นจังหวะเดียวกันกับที่รถโดยสารสีเขียวเหลืองถูกโบกให้จอดพอดี แมวน้อยสูดกลิ่นที่ตกค้างอยู่ในอากาศ เขานิ่งพิจารณาเล็กน้อยจากนั้นจึงก้าวขึ้นรถไป

          “เฮ้ยๆๆนินจะไปไหน!”

          คนตัวโตรีบเบียดตัวขึ้นรถไปด้วยจากนั้นจึงปิดประตูอย่างรวดเร็ว นินจาเบิกตาตกใจที่จู่ๆคนที่เขาไม่อยากให้ตามมาที่สุดตอนนี้ดันกลายเป็นเพื่อนร่วมทางของเขาไปด้วย

          “นี่นายตามเรามาทำไม? ลงไปเดี๋ยวนี้เลย”

          “ตลกละ...นายเอาโทรศัพท์ของเมฆมาด้วย เมฆก็ต้องตามมาเอาคืนถูกแล้วป่าววะ”

          “เราขอยืมก่อน”

          “ไม่ให้เว้ย! แบบนี้เค้าเรียกขโมยรู้ตัวป่ะ?”

          นินจาเดาะลิ้นอย่างขัดใจ แต่ถ้าไม่มีเจ้าโทรศัพท์มือถือเครื่องนี้เขาก็ไม่อาจติดต่อกลับไปหาพินได้ ครั้งนี้เขาจึงต้องยอมแพ้ให้จอมจุ้นขึ้นรถไปด้วยกัน

          “พี่ครับ เดี๋ยวขับไปตามทางที่ผมบอกนะครับ”

          นินจาเอ่ยบอกกับคนขับรถ เขาเปิดกระจกแง้มลงน้อยๆ พลางดมกลิ่นที่ลอยมากับสายลมเอื่อย ในใจร้อนรนราวกับสัมผัสได้ว่า กำลังจะมีเรื่องไม่สู้ดีเกิดขึ้น...





          ชายร่างสูงส่งค่าโดยสารให้กับคนขับรถ บัดนี้มะลิได้เดินทางมาถึงสถานที่ๆนัดหมายแล้ว ตึกเก่าซอมซ่อไร้ผู้คน ที่บริเวณไม่ไกลกันมีการรื้อถอนอาคารอีกชุดจนเกิดเสียงดังฝุ่นตลบอบอวลไปหมด เสียงเจาะทุบดังลั่นทำเอาพื้นสั่นน่าหนวกหู ดูยังไงที่อโคจรแห่งนี้ก็ไม่น่ามาเยือนเลยสักนิด

          นกหนุ่มเดินเข้าไปภายในช้าๆ มีเพียงซากปรักหักพังและความรกร้างต้อนรับเขาอยู่ด้านใน รถยนต์สีดำคุ้นตาจอดอยู่ไม่ไกล ทำให้มะลิอดสงสัยเข้าไปสำรวจไม่ได้

          ‘รถคันนี้...เหมือนเคยนั่งมาก่อน...’

          ถึงจะคลับคล้ายคลับคลาแต่นึกยังไงก็นึกไม่ออก เขายืนก้มๆเงยๆมองลอดเข้าไปภายในก็ไม่พบอะไรที่จะช่วยกระตุ้นเตือนความจำ

          พลันความเจ็บแปลบแล่นขึ้นที่ซอกคอ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เข็มฉีดยาปักเข้าตรงเส้นเลือดดำอย่างแม่นยำ นกหนุ่มหันหลังไปมองก็พบร่างๆหนึ่งที่อำพรางใบหน้าจ้องมองเขาอยู่ในระยะประชิด

          ‘ใคร?! ตั้งแต่เมื่อไหร่?!’

          เสียงดังก้องจนปวดหูของการก่อสร้างทำให้เขาไม่ทันรับรู้ถึงการมาเยือนของผู้ประสงค์ร้าย ความคิดที่จะเข้าต่อสู้กับคนตรงหน้าถูกยั้งไว้ด้วยความง่วงซึมที่เข้าแทรกแซง ร่างกายเริ่มหนักอึ้งทิ้งทอดร่างลงบนพื้น ความทรงจำหนึ่งแล่นวาบฉายชัดขึ้นมาแทนที่

          ภาพของหญิงสาวที่สนิทชิดเชื้อคุ้นเคยยืนถือเข็มฉีดยาพลางมองจ้องมาทางพิมพ์ด้วยสายตาเย็นชา กำลังซ้อนทับกับภาพของบุคคลปริศนาที่ยืนนิ่งมองนกหนุ่มค่อยๆ ล้มลงหมดสติไปช้าๆ ...

          ‘ไหม!’

++++++++++++++++


          ทุกอย่างกำลังถูกเฉลยออกมา แต่ว่าเรื่องราวต่างๆก็ยังเต็มไปด้วยเงื่อนงำน่าสงสัยนะคะ ที่แน่ๆตอนนี้มะลิน่าเป็นห่วงมากจริงๆค่ะ

          พูดถึงพี่คิมซักหน่อย พี่คิมเป็นตัวละครที่ถูกดึงเข้ามาแบบงงๆสุดๆไปเลย ยังดีที่พี่คิมออกมาเป็นสีสันช่วยให้เนื้อเรื่องมีจุดแวะพักให้ได้ผ่อนความตึงเครียดลงบ้าง แล้วเจอกันใหม่ตอนหน้าค่ะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-09-2019 13:15:29 โดย Timid Lily »

ออฟไลน์ Timid Lily

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0
บทที่24 : ห้วงฝัน

          ‘มะลิไม่อยู่ที่บ้าน!’

          แค่ได้ยินแบบนั้นพินก็กลัวใจแทบขาด เขาไม่เข้าใจว่าทำไมมะลิถึงได้ดื้อด้านขนาดนี้ มีเหตุผลอะไรที่บอกเขาไม่ได้ ทำไมต้องแอบออกจากบ้านไปทั้งๆที่รู้ว่าชีวิตตัวเองกำลังไม่ปลอดภัย

          “ดาวเหนือชั้นกลับก่อนนะ ชั้นจะรีบออกไปตามหามะลิ”

          พูดจบพินก็รีบหุนหันออกไป ทว่าดาวเหนือคว้าแขนรั้งตัวไว้

          “ใจเย็นก่อนสิพิน พินรู้หรอว่าจะไปตามหานกมะลิได้ที่ไหน?”

          “ชั้นไม่รู้ ชั้นรู้แค่ว่าชั้นควรจะออกไป อย่างน้อยขับรถตามนินจาไปก็ยังดี”

          “ถ้าอย่างนั้นผมจะไปด้วย”

          “เฮ้ยขอโทษนะ! ใจคอจะไม่อธิบายอะไรซักหน่อยหรอ? พี่นี่งงไปหมดแล้ว”

          คิมที่อยู่ในวงสนทนาเอ่ยขึ้นอย่างงงที่สุดในชีวิต ทว่าพินก็ไม่ตอบอะไรกลับมา เขารีบเร่งฝีเท้าเดินออกจากห้องราวกับลืมไปแล้วว่ามีใครอีกคนอยู่ที่นี่

          “ขอโทษด้วยนะคิม แล้วผมจะอธิบายทุกอย่างให้ฟังตอนที่ผมกลับมานะ”

          “ห๊ะ! มึงจะกลับมาทำไม? ถ้ากลับมานะกูจะเรียกพี่ยามมาจับมึงไปส่งตำรวจ!”

          คิมโวยวายส่ง ทว่าดาวเหนือเองก็ไม่ได้สนใจที่จะอยู่ฟัง ตอนนี้งูหนุ่มต้องรีบตามคนร้อนใจอีกคนไปให้ทัน อย่างน้อยก็ได้แต่หวังว่านกมะลิที่เขาเห็นเหมือนเป็นเพื่อนคนหนึ่งจะแคล้วคลาดปลอดภัย



          หลังจากที่นินจากับเมฆนั่งรถออกมาได้ระยะหนึ่ง ตอนนี้คนที่นั่งข้างเขายังคงสร้างความรำคาญให้ไม่หยุด เพราะนั่งถามนู่นซักนี่มาตลอดทาง

          “นี่นิน! เมื่อไหร่จะยอมบอกเมฆซักทีว่าจะนั่งรถไปไหนเนี่ย?”

          นินจาที่กำลังตามกลิ่นมะลิอย่างตั้งอกตั้งใจไม่สนใจที่จะตอบ ปล่อยให้คนขี้สงสัยนั่งพูดคนเดียวต่อไป

          “แล้วจะเปิดกระจกทำไมเนี่ย? เฮ้ยหันมาคุยกันดีๆ ดิวะ”

          ‘เราก็ไม่ได้จะคุยกับเมฆอยู่แล้วนี่!’

          “นิน...จริงๆแล้วบ้านนายอยู่ซอยเดียวกับเมฆใช่ป่ะ? ทำเป็นอุบอิบไม่ยอมบอก...โถ่!”

          “...”

          “แล้วนินเรียนอยู่ที่ไหนอ่ะ จบม.ปลายรึยัง? แต่นายผมค่อนข้างยาวนี่...แปลว่าเรียนมหาลัยแล้วใช่ป่ะ?”

          ‘รำคาญโว้ย!’

          กลิ่นที่นินจาเพียรติดตามมาชัดเจนเข้มข้นขึ้น เด็กหนุ่มรีบบอกให้คนขับจอดรถทันที

          “พี่ครับๆจอดตรงนี้”

          เจ้าแมวมองลอดออกไปนอกกระจก ตึกสูงร้างว่างเปล่าตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า แค่เห็นสถานที่ก็รู้แล้วว่าเรื่องไม่น่ายินดีคงกำลังรอเขาอยู่

          “นายจ่ายค่ารถให้ด้วย!”

          “เฮ่ย? ! เอ่อ...เท่าไหร่ครับพี่?”

          ถึงเมฆก็โวยวายแต่เขาก็ยอมควักเงินจ่ายแต่โดยดี คนสองคนลงจากรถมา เสียงก่อสร้างรอบๆดังลั่นจนคนสองคนคุยกันแทบไม่ได้

          “นายมาทำอะไรที่นี่เนี่ยนิน!”

          เมฆตะโกนถามคอแทบแตกแต่นินจาก็ไม่สนใจ เขารีบหยิบโทรศัพท์มาอีกครั้งพลางส่งให้เมฆ

          “โทรหาพินให้เราหน่อย บอกให้ด้วยว่าเจอพี่พิมพ์แล้ว”

          “ห๊า!”

          นินจาตะเบ็งเสียงบอก ถึงคนตัวสูงจะงงแต่รีบกดปุ่มโทรออกอย่างเชื่อฟัง

          “พี่พินครับ เมฆเจอพี่พิมพ์แล้วนะ!”

          [เสียงดังมากเลยน้องเมฆ พี่ไม่ค่อยได้ยินเลย]

          “เดี๋ยวเมฆแชร์โลเคชั่นไปให้นะครับ”

          การคุยโทรศัพท์เป็นไปได้อย่างยากเย็น เด็กหนุ่มจึงตัดสินใจส่งข้อความไปแทน ตอนนี้คนสองคนเดินเข้าไปข้างในก็พบรถยนต์สีดำคันหนึ่งจอดติดเครื่องอยู่ นินจาไม่รอช้ารีบเข้าไปสำรวจรถคันนั้นอย่างรวดเร็วแล้วก็พบว่าคนที่พวกเขากำลังตามหาอยู่กำลังหลับสนิทหายใจแผ่วอยู่ข้างใน

          “เฮ้ยพี่พิมพ์! มาติดเครื่องหลับอะไรอยู่ในนี้เนี่ย? เดี๋ยวก็ตายกันพอดี!”

          เมฆพยายามจะดึงประตูเปิด แต่มันกลับถูกล็อกเอาไว้ นินจาทุบกระจกรถเสียงดังพลางตะโกนเรียกจนคอเจ็บไปหมด หวังจะให้คนข้างในตื่นขึ้นมา

          “มะลิตื่นสิวะ! มะลิ!”

          คนข้างในไม่มีทีท่าจะลืมตาตื่นขึ้น คนทั้งสองชักร้อนใจ นินจาผละตัวออกไปพยายามหาของแข็งมาทุบกระจก ส่วนเมฆรีบเร่งมือกดโทรเรียกหน่วยกู้ภัยมาช่วย

          ครู่หนึ่งชายอีกสองคนที่รีบตามมาก็มาถึง พินวิ่งหน้าซีดมาทางคนสองคนที่กำลังสาละวนอยู่กับการปลุกนกหนุ่มจนหัวหมุน

          “มะลิล่ะ?”

          “พี่พิน...พี่พิมพ์เค้าหลับอยู่ในรถปลุกเท่าไหร่ก็ไม่ตื่น นี่พวกผมกำลังหาอะไรมาทุบกระจกอยู่ ตอนนี้โทรเรียกกู้ภัยไปแล้วด้วย”

          ทั้งๆที่เป็นตึกร้าง ทว่าการจะหาของแข็งมาทุบกระจกกลับไม่ใช่เรื่องง่าย ก้อนหินในมือของนินจาเล็กเกินกว่าจะทำลายกระจกให้แตก ส่วนพินก็ไม่รอช้าช่วยนินจาหาวิธีพังกระจกอีกแรง

          พลันชายหนุ่มผิวซีดเซียวที่ยืนมองเหตุการณ์ตรงหน้าล้มลง ดาวเหนืออยู่ในสภาพหมดสตินัยน์ตาเหลือกขาวทำให้เมฆตกใจรีบรุดไปดูพลางจับชีพจรให้

          “พี่ครับ! พี่! เป็นอะไรเนี่ย!”

          “ปล่อยหมอนั่นไว้อย่างนั้นแหละ มันไม่เป็นไรหรอก มาช่วยทางนี้ก่อน”

          นินจาตะโกนบอกเมฆที่กำลังใจเสีย ส่วนพินในตอนนี้ได้แต่ภาวนาขอร้องให้คนที่เขารักลืมตาตื่นขึ้นมา...

          ก่อนที่วิญญาณจะถูกพรากออกจากร่างไป...



          ในดินแดนที่เต็มไปด้วยสีขาวโพลน ไม่ว่ามองไปทางไหนก็ไม่เห็นจุดสิ้นสุด ชายหนุ่มร่างสูงมองสำรวจไปรอบๆก็ได้แต่ทอดถอนใจไร้ซึ่งหนทาง

          ‘ที่นี่ที่ไหนกันเนี่ย...?’

          นกหนุ่มตัดสินใจย่างเท้าเดินไป ถึงแม้เขาเองจะไม่รู้ว่าตนกำลังจะมุ่งไปทิศทางใด แต่ก็คงจะดีกว่าหยุดอยู่กับที่ไม่ไปไหน

          มะลิเดินเรื่อยเปื่อยไร้จุดหมาย พลันสิ่งหนึ่งเด่นขึ้นจากพื้นสะดุดตา ขนนกสีขาวแซมน้ำตาลร่วงหล่นอยู่ดึงดูดให้ชายหนุ่มก้มลงเก็บมามองพิศดู ทว่าเมื่อเงยหน้าละสายตาขึ้นจากของในมือ ตรงหน้ามีสิ่งมีชีวิตผู้เป็นเจ้าของเส้นขนนั่นกำลังจ้องมองเขาอยู่

          ใบหน้าสีขาวดวงตาดำสนิทแวววาว จงอยปากชมพูจางกับร่างสีขาวเจือน้ำตาลละมุน นกแสกตัวหนึ่งกำลังจ้องมองมาทางเขา นกตัวที่เขาคุ้นเคย...นกที่เขารู้จักดี

          นกที่เคยมีวิญญาณผูกติดอยู่กับเขา...

          “แกนี่เอง เจ้านกน้อย”

          ทว่าเจ้านกกลับกรีดร้องแผดเสียงน่าหวาดหวั่นขนลุกใส่เขา ชายหนุ่มยกนิ้วขึ้นจุ๊ปากเป็นนัยให้เจ้านกน้อยเบาเสียงลง

          “ชู่ว...อย่าร้องเสียงดังไป เดี๋ยวมีใครมาเห็นเข้าแกจะเดือดร้อน”

          มือขาวค่อยเอื้อมเข้าใกล้นกน้อยที่กำลังเอียงคอมองอยู่ พลันเสียงหนึ่งตะโกนห้ามให้เขาต้องหยุดชะงัก

          “อย่าแตะต้องมันนะ!”

          ชายหนุ่มรีบหันไปตามเสียงก็พบว่า ชายผิวขาวซีดที่เขารู้จักดีกำลังเดินปรี่เข้ามาหา

          “เจ้างู!”

          ดาวเหนือรีบคว้าแขนของชายหนุ่มให้เดินตามมา ท่าทางร้อนรนกระวนกระวาย

          “รีบออกไปจากที่กันเถอะ!”

          “ออกไปยังไง? เราหาทางออกเท่าไหร่ก็ไม่เจอ”

          “ผมถึงมาที่นี่ไง ผมจะช่วยนายออกไปเอง”

          “ที่นี่...แล้วมันคือที่ไหน?”

          “ที่นี่คือความฝันของนาย และนายจะต้องตื่นได้แล้ว”

          แต่ดูเหมือนว่าจะมีสิ่งหนึ่งที่ไม่ยอมให้เจ้าของความฝันตื่นขึ้นง่ายๆ เสียงกระพือปีกดังไล่หลังมา กระชั้นขึ้นทีละเล็กทีละน้อย

          “เจ้านกน้อย”

          “อย่าหันไปมองนะ!”

          มะลิได้แต่มองคนที่ลากแขนเขาอย่างไม่เข้าใจ เขายอมเชื่อฟังแต่โดยดีแม้ในหัวจะเต็มไปด้วยคำถาม

          “นายต้องฟังเรา ถ้าอยากออกไปจากที่นี่”

          ดาวเหนือเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นเพื่อหนีจากสิ่งที่ไล่ตามมาด้านหลัง ตอนนี้แสงสว่างฉายรำไรขึ้นไม่ไกล งูหนุ่มยิ้มขึ้นด้วยความดีใจ

          “นั่นทางออกอยู่ตรงนั้น!”

          เสียงแผดร้องน่ากลัวดังลั่นกระชั้นใกล้ ดาวเหนือรู้ดีว่าเจตนาของนกน้อยตัวนั้นคืออะไร เขาจึงรีบผลักร่างชายผู้โชคร้ายให้ถลาออกจากห้วงแห่งความฝันไป

          ‘รีบออกไป ไม่ต้องสนใจเรา!’

          เสียงสุดท้ายดังก้องอยู่ในจิตที่หลับใหล เสียงนั้นทำให้เขารู้สึกตัวตื่นขึ้น ดวงตาปรือเปิดอย่างช้าๆ เมื่อมองซ้ายมองขวาก็เห็นใบหน้าที่กำลังกังวลสุดชีวิตตะโกนร้องเรียกเขาพลางทุบกระจกอย่างรุนแรงอยู่นอกตัวรถ

          “มะลิ! มะลิ!”

          ชายหนุ่มเปิดประตูรถพรวดออกพลางก้าวขาที่ไร้เรี่ยวแรงพยุงร่างอันหนักอึ้งออกมา แม้จะยืนขึ้นยังทำไม่ไหว ในหัวมึนชาไปหมด เขาทิ้งตัวทรุดลงกับพื้นดวงตาลอยเบลอเห็นภาพอะไรก็ไม่ชัดเจน พินรีบรุดเข้ามาพยุงร่างสูงเอาไว้ พลางตบแก้มมะลิอย่างเบามือเรียกสติ

          “มะลิได้ยินชั้นมั้ย?”

          “พิน...?”

          เสียงอ่อนระโหยดังลอดริมฝีปากออกมาแผ่วเบา นกหนุ่มพยายามมองสบตาคนตรงหน้าถึงแม้จะเห็นเป็นภาพซ้อนไม่ชัดเจน ทว่าทั้งเสียงทั้งกลิ่นและสัมผัสเป็นของคนที่เขาจำได้ดี คนที่เป็นหัวใจของเขา คนที่เขาอยากขอโทษที่ทำให้ต้องลำบากหลายครั้งหลายหน มะลิฝืนยิ้มจางส่งให้คนตรงหน้าก่อนจะหมดสติลงไปอีกครั้ง

          “มะลิ!”

          พินร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ เมฆรีบรุดมาดูพลางแตะชีพจรและมองสำรวจไปทั่วร่างของชายหนุ่ม

          “พี่พินไม่เป็นไร ถึงชีพจรจะเต้นเบาแต่ว่าปลอดภัย การหายใจของพี่เค้ายังปกติ...แต่พี่ดูนี่...”

          เมฆชี้ให้พินมองบริเวณซอกคอของนกหนุ่ม มีรอยเขียวช้ำเป็นจ้ำใหญ่และคราบเลือดออกซิบเล็กน้อย

          “ตรงนี้เป็นเส้นเลือดดำ มีรอยเข็มแทง เมฆคิดว่าพี่พิมพ์โดน...”

          “เมฆกู้ภัยมาแล้ว! ช่วยออกไปดูให้หน่อยสิ”

          นินจารีบเข้ามาเรียกขัดจังหวะ ซึ่งจิตสาธารณะของเมฆทำให้เขากระตือรือร้นรีบเดินออกไปทันที ก่อนที่เขาจะปล่อยให้ทีมมืออาชีพเข้าควบคุมสถานการณ์ ตอนนี้มีเรื่องหนึ่งที่พวกเขาต้องรีบจัดการ

          “ดาวเหนือยังไม่ตื่น...ยังไงพวกเราก็ต้องพาตัวเจ้างูนี่ออกไปจากตรงนี้ก่อนที่เรื่องมันจะบานปลาย”

          “อื้ม! เข้าใจแล้วนินจา”

          การแบกดาวเหนือในร่างมนุษย์ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะดันเป็นร่างชายที่ทั้งสูงทั้งหนักกว่า พินเห็นดังนั้นจึงวางมะลินอนลงอย่างเบามือ และรีบไปช่วยพยุงดาวเหนืออีกแรง

          ชายทั้งสองลากร่างกายซีดเซียวออกไปอีกทางอย่างทุลักทุเล ฟังจากเสียงความโกลาหนที่ดังมาจากด้านในก็พอจะเดาได้ว่าตอนนี้ทีมกู้ภัยได้เข้ามาถึงด้านในแล้ว

          “พินส่งเราแค่นี้พอ พินรีบกลับเข้าไปดูเจ้านกเถอะ เราขอแค่ค่ารถกับกุญแจบ้านพินก็พอ”

          พินรีบส่งทุกอย่างให้กับเจ้าแมวไว้ใจได้แต่โดยดี จากนั้นจึงรีบกลับเข้าไปด้านใน ก็พบกับเมฆที่กำลังเดินหาเขาอยู่

          “พี่พินแล้วนินกับพี่อีกคนที่เป็นลมล่ะ?”

          “อ๋อนินพากลับไปแล้วล่ะ พี่คนนั้นเค้าฟื้นพอดี”

          “เฮ้อ โล่งอกไปที! ตอนนี้พี่พิมพ์ขึ้นรถพยาบาลไปแล้ว พวกเรารีบตามไปกันเถอะ”

          พินพยักหน้าแล้วรีบเดินตามเมฆไป ในใจหวาดหวั่นทั้งสองทาง คนที่เขารักหนักหนาตอนนี้หมดสติลงอีกครั้ง ส่วนคนที่มีน้ำใจกับเขากลับหลับใหลไปอีกคนโดยที่เขาไม่รู้สาเหตุ ตอนนี้ชายหนุ่มได้แต่ภาวนาขอให้อมนุษย์ทั้งสอง…

          ‘อย่าให้มีใครเป็นอะไรไปเลยนะ...’



++++++++++++++++



          ตอนที่เขียนตอนนี้รู้สึกชุลมุนวุ่นวายมากค่ะ เป็นตอนที่รู้สึกเหนื่อยแทนตัวละครจริงๆ แถมในพาร์ทฝันตอนที่เรากำลังตั้งสมาธิเขียนถึงเจ้านกแสกไฟก็ดันตกซะด้วยค่ะ ใจหายหมดหลอนไปเลย

          ตอนนี้มะลิปลอดภัยดีก็โล่งใจนะคะ ฝากติดตามตอนต่อไปด้วยค่ะ


ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Timid Lily

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0
       
บทที่25 : จดหมายลาตายฉบับที่สอง

         ช่วงเวลาหัวค่ำที่ร่างกายเริ่มต้องการพักผ่อน หญิงสาวหน้าตาแจ่มใสผมยาวประบ่า นั่งสบายอารมณ์อยู่บนโซฟา สายตากำลังจับจ้องไปยังโทรทัศน์พลางนั่งหัวเราะขำอย่างมีความสุข

          “ฮ่าๆ ๆ ๆ”

          เสียงหัวเราะทุ้มต่ำดังมาจากคนข้างๆ ชายหนุ่มผิวพรรณสะอาดรูปร่างสมส่วน เจ้าของดวงตาคมสวยและใบหน้าหล่อเหลา กับลังนั่งไขว่ห้างทำตัวตามสบายอยู่ในบ้านของเพื่อนหญิงคนสนิทของเขา

          “มุกควายๆแบบนี้ก็เล่นได้เนอะ ขำชิบหาย”

          พิมพ์เอ่ยขึ้นพลางหยิบมันฝรั่งแผ่นทอดกรอบยัดใส่ปากเคี้ยวไปด้วย ส่วนไหมเองก็ล้วงขนมในถุงเข้าปากไม่หยุดเช่นเดียวกัน

          “เออไหม...เรามีอะไรจะบอกเว้ย”

          “อะไรหรอพิมพ์?”

          “ไหมรู้มั้ย? ว่าไอ้สินทรมันมายื่นข้อเสนอกับเรา”

          พูดจบพิมพ์ก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดตัวเลขจำนวนหลายหลักส่งให้เพื่อนหญิงของเขาดู เมื่อไหมเห็นตัวเลขจำนวลมหาศาล อารมณ์ที่สนุกสนานอยู่เมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นเคืองขุ่น มือที่ถือถุงขนมกำแน่นจนสิ่งที่อยู่ภายในแหลกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

          “แกอยากจะบอกอะไรกับเรา?”

          “นี่คือค่าตัวที่สินทรมันจะจ่ายให้เราถ้าเรายอมรับข้อเสนอของมัน”

          ยิ่งฟังยิ่งรู้สึกเดือดดาล รู้สึกราวกับว่าเพื่อนรักของเธอต้องการจะทรยศกันซึ่งๆหน้า

          “หมายความว่ายังไง?”

          “แกจะไม่สู้ค่าตัวเราหน่อยหรือไงวะไหม?”

          “แล้วเงินที่เราให้แกไปมันยังไม่มากพออีกหรือยังไงพิมพ์!”

          หญิงสาวเสียงแข็งดังขึ้น จนเพื่อนหนุ่มเห็นก็ได้แต่ปรามให้เธอใจเย็นลง

          “ฟังนะเว้ยไหม...ผลประโยชน์ของคดีนี้เมื่อเทียบกับสิ่งที่เราได้รับมันไม่คุ้มเลยนะเว้ย เสี่ยงก็เสี่ยง แล้วอีกอย่างถ้าฝั่งสินทรชนะขึ้นมาแกจะทำยังไงวะ?”

          “แกอย่าบอกนะว่า...!”

          “ฟังเราให้จบก่อน! แม่แกก็ป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ต้องใช้เงินตั้งเยอะแยะ ถ้าแกเดือดร้อนขึ้นมาแม่แกจะทำยังไงวะ? แกจะปล่อยให้ตัวเองแพ้คดีงั้นหรอ?”

          “พิมพ์!”

          “เรารู้นะเว้ยว่าแม่แกเป็นโรคที่รักษาไม่หาย แต่แกก็คงอยากจะต่ออายุแม่แกให้นานขึ้นกว่านี้ถูกมั้ย? แล้วแกจะปล่อยให้ตัวเองที่เป็นลูกสาวคนเดียวแพ้คดียับเยิน ต้องติดคุกติดตารางก็ไม่ได้จริงป่าววะ?”

          หญิงสาวได้แต่นิ่งคิด เธอทั้งโกรธทั้งเจ็บปวดที่คนที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนรักของเธอพยายามบีบคั้นทุกวิถีทาง “เงิน” เป็นสิ่งที่ทรงพลังอำนาจ สามารถทำลายทุกสิ่งอย่างแม้กระทั่งมิตรภาพอันแสนยาวนานระหว่างเธอกับชายคนนี้

          “แกอยากได้เท่าไหร่ล่ะ...?”

          “เอ่อ...ไหม พิมพ์”

          เสียงของสตรีวัยกลางคนดังขึ้นขัดจังหวะบทสนทนา มารดาผู้อ่อนล้าในรถเข็นไฟฟ้า กำลังเคลื่อนที่เข้ามาหาคนทั้งสองพลางส่งยิ้มเศร้ามาให้

          “ยังไม่นอนอีกหรอแม่?”

          “แม่ไม่ค่อยง่วงน่ะ พอดีได้ยินทั้งสองคนหัวเราะเสียงดังเลยอยากจะออกมาร่วมวงด้วยซักหน่อย”

          พูดจบเธอก็หันไปสนใจภาพในโทรทัศน์ เสียงหัวเราะค่อยเบาดังขึ้นอย่างสำรวม ภาพตรงหน้าคงตลกสำหรับเธอไม่น้อย ทว่าในใจกลับทุกข์ตรมน้ำตาตกใน...

          ‘ไหม...แม่ขอโทษนะลูก’





          “แกมาทำไม? !”

          ใบหน้าที่อาบไปด้วยน้ำตาและสายตาโกรธเกรี้ยวจ้องมองมา ชายหนุ่มไม่เปิดปากพูดอะไร ได้แต่ทำหน้าสำนึกผิดเดินเข้าไปใกล้โลงศพของสตรีผู้น่าสงสาร ทว่าหญิงสาวกลับไม่ต้อนรับ เธอผลักอกชายหนุ่มเพื่อนสนิทเต็มแรงจนเซถอยไปด้านหลัง

          “ออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะ! ไอ้ฆาตกร!”

          ไหมแผดเสียงใส่น้ำตาไหลริน ผู้ชายคนหนึ่งที่เธอเคยรักหนักหนา รักจนเกือบจะ “เผลอใจ” ให้ด้วยซ้ำ วันนี้กลับกลายเป็นคนที่เธอ “เกลียด” ที่สุด

          “เราขอโทษ...”

          “หุบปากไปเลยนะพิมพ์!”

          พิมพ์รุดเข้าตระคองกอดหญิงสาวที่กำลังหัวใจสลาย ไหมพยายามดิ้นออกแต่อ้อมแขนแข็งแรงของชายหนุ่มกลับรัดรั้งร่างของเธอแนบแน่นกว่าเดิม

          “เราขอโทษ...เราผิดไปแล้ว เราไม่คิดเลยว่าแม่แกจะมาได้ยินเข้า เราไม่คิดเลยว่ามันจะทำให้เรื่องราวบานปลายขึ้นมาขนาดนี้”

          “คนหน้าเงินอย่างแกสนใจความรู้สึกคนอื่นด้วยงั้นหรอ? !”

          ไหมผลักพิมพ์ออกเต็มแรงก่อนจะเหวี่ยงฝ่ามือตบเข้าที่ใบหน้าฉาดใหญ่ ทั้งมือบอบบาง ทั้งใบหน้าเนียน ตอนนี้ชาแดงร้อนไปหมด

          “...”

          พิมพ์พยายามสะกดอารมณ์เกรี้ยวกราดที่กำลังพลุ่งพล่านราวกับถูกกระตุ้น เขาคว้าแขนหญิงสาวพลางกระชากสุดแรงเดินลากหนีออกมาจากศาลาวัด เขาพาเธอมายังบริเวณเงียบสงบไร้ผู้คน

          “ปล่อยนะ!”

          ไหมสะบัดแขนออกจากมือของชายหนุ่มอย่างแรง ข้อมือบอบบางของเธอตอนนี้แดงเจ็บไปหมด

          “ไหมฟังเราก่อน!”

          ชายหนุ่มคว้าไหล่เล็กๆทั้งสองข้างบีบแน่นไม่ให้คนตรงหน้าหนีไปไหนได้อีก

          “ไหม! เราสัญญา...ว่าเราจะไม่ทรยศแกเด็ดขาด แกลืมเรื่องที่เราเคยต่อรองกับแกวันนั้นไปได้เลย”

          หญิงสาวกัดริมฝีปากบางแน่นตั้งใจฟัง น้ำตาไหลหลั่งจนดวงตาบวมช้ำไปหมด ไหมพูดอะไรไม่ออกได้แต่กำมือแน่นจนสั่นไปหมด สิ่งที่เธอสูญเสียไปไม่อาจนำกลับมาได้อีกแล้ว

          มิตรภาพระหว่างเธอกับพิมพ์ก็เช่นกัน...





          ความรู้สึกเจ็บชาบนใบหน้าราวกับเพิ่งถูกตบมาสดๆร้อนๆ เรียกสติคนที่กำลังอยู่ในภวังค์ให้ตื่นขึ้น ดวงตาสุกใสลืมขึ้นช้าๆ เบื้องหน้าเป็นเพดานสูงสีขาวสะอาดตา กลิ่นสะอาดของโรงพยาบาลลอยเอื่อยจนนกหนุ่มรู้สึกได้ว่าเขากำลังอยู่ที่ไหน

          ‘โรงพยาบาลอีกแล้วหรอ...?’

          ความคลื่นเหียนวิงเวียนเข้าคุกคามจนชายหนุ่มต้องยันร่างลุกขึ้น เขาเอามือขึ้นปิดปาก พลางตะเกียกตะกายลงจากเตียงอย่างทุกลักทุเล สายน้ำเกลือระโยงระยางรั้งร่างของเขาให้ไม่อาจเคลื่อนตัวไปไหนได้ดังใจ

          “จะอ้วกหรอมะลิ?”

          พินลุกลี้ลุกลนรีบวิ่งเข้าไปในห้องน้ำ พลางคว้ากระโถนมารองไว้ นกหนุ่มโก่งคออาเจียนแทบสำลัก โดยมีพินที่คอยห่วงใยลูบหลังให้อย่างเบามือ

          “เป็นยังไงบ้างมะลิ?”

          พินเอ่ยถามจากนั้นจึงน้ำกระดาษเนื้อบางซับริมฝีปากอิ่มที่เปรอะเปื้อนอยู่เล็กน้อย ร่างสูงสั่นเทาพลางรีบคว้าผ้าห่มเข้ามากกกอด

          “เราหนาว...แล้วก็มึนหัวมาก”

          “อาการข้างเคียงจากยาสลบน่ะครับ เดี๋ยวก็คงจะดีขึ้น”

          เมฆเอ่ยขึ้นพลางเดินเข้ามาหา ในขณะที่พินผละตัวเอากระโถนที่เต็มไปด้วยของเหลวออกไปทิ้งในห้องน้ำ

          “รอยที่คอช้ำมากขึ้นแล้ว...คนร้ายเนี่ยมืออาชีพมากนะครับ แทงเข้าเส้นเลือดดำพอดีเป๊ะเลย”

          เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นพลางมองสำรวจร่องรอยบนซอกคอขาวไปด้วย ไม่น่าแปลกสำหรับนกหนุ่ม เพราะตอนนี้เขารู้ดีว่า “ใคร” คือต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมด ตอนนี้เขานึกห่วงคนที่ช่วยพาเขากลับมาจากความฝันมากกว่า

          “นิน...แล้วดาวเหนือเป็นยังไงบ้าง?”

          “ดาวเหนือหลับไปน่ะ...ไม่ต้องห่วงนะ นายรีบรักษาตัวให้หายก่อนเถอะ”

          “พิมพ์!”

          เสียงหญิงสาวคนหนึ่งพรวดพราดเข้ามาในห้อง เป็นจังหวะเดียวกับที่พินเดินออกจากห้องน้ำพอดี ชายหนุ่มรีบยกมือไหว้สตรีใบหน้าสวยที่กำลังหน้าตาตื่น

          “สวัสดีครับพี่ชิชา”

          เธอรับไหว้ตอบพลางเดินเข้าไปข้างใน ชิชาดูสงบลงเมื่อเห็นว่าชายที่นั่งอยู่บนเตียงท่าทางจะไม่เป็นอะไร

          “พิมพ์...ชิชาตกใจหมดเลย นึกว่าจะไม่ได้เห็นหน้าพิมพ์อีกแล้ว”

          คนเป็นภรรยาเดินไปหยุดตรงข้างเตียง ก่อนจะกุมมือคนเจ็บด้วยความเป็นห่วง

          “ชิชาเพิ่งบินกลับมา พอเปิดโทรศัพท์มือถือดูก็เห็นว่าพิมพ์ส่งจดหมายลาตายมา...ทำไมล่ะพิมพ์? ทำไมถึงยังต้องทำเรื่องแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วย? !”

          ทุกอย่างกระจ่างชัดแล้ว คนร้ายพยายามจัดฉากการตายของพิมพ์ขึ้นอีกครั้ง และตอนนี้มะลิเองก็อยากจะเห็นว่าข้ออ้างอะไรอีก ที่จะถูกนำมาใช้เพื่อสร้างแรงจูงใจในการฆ่าตัวตายของทนายหนุ่ม

          “พิน! ส่งโทรศัพท์มือถือมาให้เราหน่อย”

          นกหนุ่มรับโทรศัพท์มือถือมา เขาเปิดดูข้อความที่ถูกส่งออกในอีเมล์และก็พบสิ่งที่ตนกำลังค้นหา น่าแปลกที่หนนี้ข้อความกลับไม่ถูกส่งไปหาพ่อและแม่ของเขา

          “พินมาดูนี่สิ”

          มะลิเรียกให้พินเข้ามาใกล้ ทั้งสองเปิดข้อความในจดหมายอ่านไปพร้อมๆกัน



พิมพ์ขอโทษ

          พิมพ์จำเรื่องราวทุกอย่างได้หมดแล้ว และมันยิ่งตอกย้ำความเลวร้ายในตัวพิมพ์ พิมพ์เป็นคนเลว พิมพ์ผิดต่อไหม พิมพ์ทำให้ชิชาเสียใจ ทำไมพิมพ์ไม่ตายๆไปตั้งแต่ตอนนั้น การลืมเรื่องราวทั้งหมดแล้วกลับมานึกออกอีกครั้งก็ไม่ต่างจากคนที่เข้าใจว่าตัวเองเป็นคนดีแต่จริงๆแล้วทำเรื่องเลวๆไว้สารพัด พิมพ์รับตัวเองไม่ได้ พิมพ์ละอายใจ ละอายจนไม่สามารถอยู่มองหน้าใครได้อีกต่อไป

          ขอร้องล่ะ ปล่อยให้พิมพ์ไปเถอะนะ อย่ารั้งพิมพ์เอาไว้อีกเลย


ลาก่อน

พิมพ์



          “เราจะบอกอะไรไว้อย่างนึงนะ...คนอย่างพิมพ์ ไม่มีทางฆ่าตัวตาย”

          คนที่ทะเยอทะยาน เกลียดการพ่ายแพ้

          คนที่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ผลประโยชน์มากกว่าความสัมพันธ์

          คนที่รักตัวเองมากกว่าใครๆบนโลกใบนี้


          ชายหนุ่มพูดหันไปสบตากับหญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาก่อนจะโพล่งออกมา ตั้งแต่ที่เขาใช้ชีวิตเป็นพิมพ์มา เรื่องราวและความทรงจำหลายๆอย่างที่มะลิได้รับรู้ ร้อยเรียงสะท้อนตัวตนของชายหนุ่มที่เคยทุกข์ยากในวัยเด็ก และความลำบากเหล่านั้นได้ย้อมหลอมตัวตนจนกลายมาเป็นพิมพ์ในทุกวันนี้

          “เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกอย่างมันถูกจัดฉากขึ้นมา ตั้งแต่ตอนที่พิมพ์พยายามฆ่าตัวตายตั้งแต่ครั้งแรกแล้ว”

          “หมายความว่ายังไง?”

          ชิชาเอ่ยถามน้ำเสียงสั่น สีหน้าฉาบไปด้วยความกลัว พินเองก็รู้สึกไม่สบายใจไม่แพ้กัน เขากำแขนเสื้อชายหนุ่มแน่นสบตาวูบไหว หรือว่ามะลิจะประติดประต่อเรื่องราวทุกอย่างได้หมดแล้ว

          “เราถูกตามฆ่ามาตลอดนับตั้งแต่ที่รอดตายมาจากบึงนั่น ทั้งพยายามขับรถชนเพื่อทำให้ดูเป็นอุบัติเหตุ ถูกแทงเพราะโดนปล้นชิงทรัพย์ จนมาถึงหนนี้...ที่พยายามทำให้คนเข้าใจอีกครั้งว่าเราพยายามฆ่าตัวตายในรถ”

          ภายในห้องสี่เหลี่ยมเยียบเย็นเงียบงัน ไม่มีใครกล้าจะเอ่ยอะไรออกมา ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างเจ็บปวด

          “และคนที่ลงมือทำเรื่องราวทั้งหมด...ก็คือไหม...”

          ‘พี่ไหม...งั้นหรอ?!’

          มือที่กำเสื้อของนกหนุ่มอยู่สั่นไปหมด พินไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองว่าสตรีที่เขารักไม่ต่างจากพี่สาวแท้ๆอีกคนหนึ่งจะลงมือกระทำเรื่องราวโหดร้ายเช่นนี้ ดวงตาร้อนขึ้นผะผ่าว เขาเม้มปากแน่นกลั้นสะอื้นไว้ที่ปลายลิ้น

          “ไม่เอาน่ะพิน...ไม่ร้องนะ”

          มือขาวลูบไล้เส้นเรือนผมเงางามพลางโอบลงซบแนบอกอุ่น แขนอีกข้างโอบบ่าที่สั่นเทาปลอบโยนมะลิรู้สึกได้ถึงหยดน้ำเปียกชื้นที่หยดลงบนเสื้อของเขา เขาทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้วที่จะต้องเห็นคนที่เป็นดวงใจต้องเสียอกอกเสียใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า

          วนเวียนไปไม่สิ้นสุด



++++++++++++++++



          เรื่องราวของไหมค่อยๆเปิดเผยขึ้นผ่านความทรงจำของพิมพ์ เธอเองก็น่าสงสารนะคะ เหมือนอยู่ในโลกที่ไม่มีใคร ระหว่างที่เขียนเรื่องนี้เราอยากจะสะท้อนให้เห็นว่าการเป็นคนมันลำบากจริงๆนะคะ ซึ่งมะลิเป็นตัวละครที่ถ่ายทอดมุมมองนี้ได้ชัดเจนที่สุด แต่ยังไงก็ตามโลกนี้ล้วนมีสองด้าน ถึงแม้จะเย็นชาแต่ก็มีมุมที่เต็มไปด้วยความรักอบอุ่นงดงาม ซึ่งพินเป็นตัวละครหนึ่งที่รั้งความรู้สึกนี้เอาไว้สำหรับเราค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-09-2019 14:26:30 โดย Timid Lily »

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Timid Lily

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0
 
บทที่26 : ตื่น

          พินเปิดประตูรถพลางประคองชายร่างสูงนั่งลงบนเบาะ จากนั้นจึงเดินเข้าไปนั่งฝั่งคนขับ เขาแตะคันเร่งเบาๆให้รถคันน้อยแล่นไปเบื้องหน้า ในสมองครุ่นคิดถึงเรื่องราวต่างๆที่ได้รับรู้มา และมีอะไรหลายๆอย่างที่ทำให้พินอดสงสัยไม่ได้

          “มะลิ...ความทรงจำของพี่พิมพ์กลับมาทั้งหมดแล้วหรอ?”

          “ไม่หรอก...แต่เรื่องที่ค้างคาใจมานาน ตอนนี้มันปะติดปะต่อกันได้หมดแล้ว...”

          “ถ้าอย่างนั้นนายช่วยเล่าให้ชั้นฟังหน่อยได้มั้ย? ว่าทำไมพี่ไหมถึงต้องทำแบบนี้กับพี่พิมพ์ด้วย...”

          มะลินิ่งไป เขากลัวว่าสิ่งที่เขากำลังจะพูดออกไป จะทำให้คนที่เขารักต้องเสียใจ

          “เล่ามาเถอะมะลิ ชั้นไม่เป็นไร...”

          ถึงพินจะทำใจแข็ง ทว่าน้ำเสียงระคนเศร้าที่เขาเปล่งออกมา ไม่สามารถปิดบังความรู้สึกกลัวที่อยู่ภายในจิตใจได้เลย

          “พินรู้เรื่องที่แม่ของไหมฆ่าตัวตายใช่มั้ย?”

          “อืม...ชั้นพอจะรู้ว่าแม่ของพี่ไหมมีอาการซึมเศร้าน่ะ”

          “แต่พินไม่รู้ใช่มั้ยว่าคนที่ทำให้แม่ของไหมตัดสินใจทำแบบนั้นลงไปก็คือ...”

          “พี่พิมพ์ใช่มั้ย...?”

          นกหนุ่มเหลือบมองเสี้ยวหน้าหมดจดของคนที่มองตรงไปข้างหน้า พินพยายามกล้ำกลืนความรู้สึกที่จุกอยู่ในอกและพยายามทำตัวราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

          “พี่พิมพ์ทำอะไรหรอ?”

          มะลิเงียบเสียงลงไปอีกครั้งหนึ่ง

          “ชั้นไม่เป็นไรจริงๆ เล่ามาเถอะ ถึงขั้นนี้แล้ว...ชั้นรู้แล้วว่าพี่พิมพ์ไม่ใช่ผู้ชายแสนดีอย่างที่ชั้นทึกทักไปเอง”

          “พิมพ์กดดันไหมเรื่องเงินน่ะ...พิมพ์มีท่าทีสนใจข้อเสนอของสินทรที่จะให้ย้ายข้างไป เลยบีบให้ไหมจ่ายค่าตัวเขาให้สูงขึ้น”

          “อืม...แล้วยังไงต่อ?”

          “แล้วแม่ไหมก็มารู้เข้า คงรู้สึกว่าตัวเองที่ป่วยรักษาไม่หายเป็นตัวถ่วงของลูกสาวก็เลย...”

          “เข้าใจแล้ว...”

          พินเอ่ยขึ้นเสียงค่อยราวกระซิบ แม้เสียงนั้นจะเบาสักแค่ไหน คนฟังก็ยังจับใจความได้ว่านั่นคือเสียงของความ “เสียใจ”

          “แล้ว...มะลิจำวิธีขับรถได้แล้วหรอ?”

          ชายหนุ่มตั้งคำถามอีกข้อที่เขานึกสงสัย อย่างน้อยก็น่าจะทำให้ความรู้สึกดีขึ้นเมื่อเปลี่ยนไปถามเรื่องอื่น

          “ไม่นะ เราก็ยังขับรถไม่เป็นเหมือนเดิมนั่นแหละ”

          “อ้าว! แล้วรถคันนั้นมาได้ยังไงล่ะ? รถที่จอดอยู่ในที่เกิดเหตุเป็นรถของพี่พิมพ์ แล้วปกติมันก็ไม่ได้จอดอยู่ที่บ้านด้วย มันควรจะอยู่ที่คอนโดมากกว่า”

          ‘รถของพิมพ์?’

          ‘นี่ยังดีนะช่วงที่พิมพ์ป่วยชิชามีเพื่อนมาอยู่ด้วยบ่อยๆ

          จู่ๆนกหนุ่มก็นึกถึงคำพูดของเพื่อนข้างห้องคนนั้นขึ้นมา “เพื่อนของชิชา” ถึงจะดูไม่น่าจะเป็นไปได้แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงไม่อาจตัดข้อสงสัยตรงนี้ทิ้งไปได้

          “คงจะเป็นฝีมือพี่ไหมนั่นแหละ...พี่เค้ารู้จักพี่พิมพ์ดีทุกอย่าง ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ขับรถอะไร...”

          ...เพราะไหมอยู่เคียงข้างเพื่อนคนนี้มานานกว่าใครๆ...

          “อืม...”

          จนกว่าจะแน่ใจมะลิถึงจะกล้าเอ่ยเรื่องนี้ออกไป เพราะหากเรื่องราวทุกอย่างยังไม่จบลงจริงๆ “อันตราย” อาจจะเกิดขึ้นกับพินตอนไหนก็ได้





          คนสองคนที่เพิ่งจะกลับถึงบ้านรีบรุดขึ้นไปยังห้องนอนของพิมพ์ ชายร่างกายซีดเซียวหลับใหลอยู่บนเตียง โดยมีเด็กหนุ่มนั่งเฝ้ามองอยู่เคียงข้าง

          “นินจา...ดาวเหนือเป็นยังไงบ้าง?”

          พินเอ่ยถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นทีท่าไม่สู้ดีของงูหนุ่ม

          “เจ้างูหลับมาสองวันสองคืนแล้วยังไม่ยอมตื่น...อาจจะติดอยู่ในห้วงฝันตอนที่เข้าไปปลุกมะลิน่ะ”

          “แล้วจะทำยังไงดีล่ะ?”

          “เราเองก็ไม่รู้เหมือนกัน...คงต้องมีอะไรบางอย่างที่ดาวเหนือห่วงหาอาวรณ์มากๆจนทำให้อยากตื่นขึ้นมาเองละมั้ง...? ”

          “แล้ว...ถ้าไม่ฟื้นล่ะ?”

          “ร่างกาย...ถ้าไม่ได้รับน้ำและอาหารก็ต้องตาย ไม่ต่างจากมนุษย์ปกติทั่วไปหรอก...”

          “ตาย” คำๆนี้เป็นสิ่งที่พินจะยอมให้มันเกิดขึ้นไม่ได้ พอแล้วกับการสูญเสีย มันเจ็บปวดและทรมานเหลือเกิน

          “ดาวเหนือ! ตื่นขึ้นมาเถอะเราขอร้อง”

          มะลิลองร้องเรียกปลุกดาวเหนือด้วยใจหวัง ความรู้สึกผิดที่เขาทำอะไรไม่ได้กัดกร่อนอยู่ข้างใน กี่ครั้งกี่หนที่ต้องมีคนมารับเคราะห์แทนเขาเช่นนี้ มันทำให้นกหนุ่มชักจะรังเกียจที่ตนไร้ความสามารถ รังเกียจที่อ่อนแอโง่เขลา ถ้าเลือกได้เขาจะขอเป็นฝ่ายหลับใหลไม่ตื่นเช่นนี้แทนคงจะดีเสียกว่า

          ‘Rrrrrr’

          เสียงโทรศัพท์ของพินดังขึ้น คนที่โทรเข้ามาคือ “คิม” ชายที่ทำสัตว์เลี้ยงแสนรักของตนหายไปอีกแล้ว

          “สวัสดีครับพี่คิม...”

          [น้องพิน ดาวเหนือของพี่หายไปไหน? นี่ก็ผ่านมาสองวันแล้ว ไอ้ผู้ชายโรคจิตคนนั้นมันเอาไปใช่มั้ย?]

          ถ้าเป็นไปได้พินก็อยากจะบอกไปตามตรงว่า “ผู้ชายโรคจิต” คนนั้นก็คือดาวเหนือ แต่จะทำยังไงได้...

          [น้องพินรู้จักไอ้หมอนั่นใช่มั้ย? ขอร้องล่ะ! ช่วยติดต่อให้เค้าเอาดาวเหนือมาคืนพี่ทีเถอะ]

          “ดาวเหนืออยู่ที่บ้านผมเองครับพี่...แต่ตอนนี้ผมไม่สะดวกที่จะพาไปส่ง ถ้ายังไง...”

          [ไม่เป็นไรเดี๋ยวพี่ไปรับเอง วันนี้น้องพินอยู่บ้านใช่มั้ย? ช่วยแชร์โลเคชั่นมาให้พี่หน่อย]

          “เอ่อ...แต่ว่า...”

          “พิน...ให้เค้ามาเถอะ...”

          มะลิเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นพินมีท่าทีลังเล ไม่มีใครรู้ว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น คิมอาจจะทำให้ดาวเหนือตื่นขึ้นมา หรืออาจจะทำได้เพียงมาบอกลาเจ้างูหนุ่มเป็นครั้งสุดท้ายก็เป็นได้

          “ได้ครับพี่คิม เดี๋ยวพินจะรีบแชร์โลเคชั่นไปให้นะครับ”

          [ขอบใจนะน้อง แล้วพี่จะรีบไป]



          ใช้เวลาไม่นานผู้มาเยือนก็มาถึงบ้านของพิน คิมกดออดเรียกคนข้างในครู่หนึ่งก็มีชายสองคนออกมาต้อนรับ

          “น้องพินไหนล่ะดาวเหนือของพี่?”

          โดยไม่ทักไม่ทาย มาถึงคิมก็ถามหาเจ้างูสุดที่รักของเขาทันที

          “เอ่อ...”

          “ตามเรามา”

          มะลิพูดขึ้นแทนพินที่กำลังอึกอักอ้ำอึ้งอยู่ เขาเดินนำคิมเข้าไปในบ้านตรงไปยังห้องนอนที่ดาวเหนือกำลังหลับใหลไม่ได้สติอยู่

          “เข้าไปสิ”

          มะลิเปิดประตูห้องพลางพเยิดหน้าให้ชายหนุ่มผมสีแสบตาเดินเข้าไปข้างใน ภาพชายหนุ่มผิวซีดที่กำลังนอนนิ่งไม่ไหวติงทำเอาคนเห็นฉุนขึ้นไม่น้อย

          “มึง! มาหลับทำซากอะไรอยู่ที่นี่วะ? เอางูกูคืนมาเลยนะ”

          คิมเดินเข้าไปเขย่าตัวคนหลับ ยังไงเขาก็มั่นใจว่าคนๆนี้เป็นเอาสัตว์เลี้ยงของเขาไป เพราะตอนที่เขาเจอคนๆนี้ในห้อง ผู้ชายคนนี้กำลังทำลับๆล่อๆอยู่ตรงกล่องบ้านของดาวเหนือ

          “พูดอะไรของแก? ก็ไอ้คนที่กำลังหลับอยู่เนี่ยก็คือดาวเหนือนั่นแหละ”

          นินจาเอ่ยขึ้นอย่างรำคาญใจ ส่วนคิมที่ได้ยินแบบนั้นก็โวยวายขึ้นอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยินกับหู

          “จะบ้าหรือไง? อย่ามาอำกันเล่นนะไอ้น้องพี่ไม่ขำด้วย เรื่องปัญญาอ่อนแบบนั้นใครเชื่อแม่งก็ควายโคตรๆ เฮ้ยมึง! ตื่นมาคุยกับกูให้รู้เรื่องเดี๋ยวนี้นะเว้ย!”

          คิมยังคงไม่ยอมแพ้เขย่าเซ้าซี้ให้คนหลับตื่นขึ้นมา นินจามองทีท่าคนตรงหน้าพลางเดาะลิ้นขึ้นหงุดหงิดใจ เด็กหนุ่มสะกิดให้คนที่กำลังหัวเสียอยู่หันมาสนใจ

          “ไม่เชื่อใช่มะ? งั้นดู”

          พลันเด็กหนุ่มที่สะกิดเขาอยู่เมื่อครู่กลับกลายร่างเป็นแมวดำปุกปุย สิ่งที่คิมเห็นทำให้เขาได้แต่ตาค้างอ้าปากหวอหน้าเหวอแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน     

          “ผะ...ผี? ไม่สิ ปีศาจ สัตว์ประหลาด มอนสเตอร์ โอ๊ย!!! อะไรกันวะเนี่ย?!”

          คิมละล่ำละลักพูดไปเรื่อย ส่วนเจ้าแมวน้อยตอนนี้กระโดดขึ้นไปนอนเบียดซุกอยู่บนร่างของดาวเหนือ

          “แกจะเรียกพวกเราว่าอะไรก็แล้วแต่...แต่ไอ้เจ้าหมอนี่ก็เป็นแบบเดียวกับเรา...ไม่ต่างกัน...”

          “ถึงจะดูน่าเหลือเชื่อแต่พี่คิมก็ต้องเชื่อแล้วล่ะ ผู้ชายคนนี้คือดาวเหนือจริงๆ...แล้วดาวเหนือก็หลับไปสองวันสองคืนแล้ว ปลุกยังไงก็ไม่ตื่น...”

          พินเงียบเสียงไปครู่หนึ่งก่อนจะเปิดปากพูดต่อด้วยความเจ็บปวด

          “ถ้าดาวเหนือยังหลับไม่ตื่นอยู่แบบนี้...ดาวเหนืออาจจะตายก็ได้...”

          คิมอึ้งไป หากชายตรงหน้าคืองูแสนรักขึ้นมาจริงๆ เขาคงจะยอมปล่อยให้มันหลับต่อไปแบบนี้ไม่ได้ ชายหนุ่มเรียกชื่อ “ดาวเหนือ” น้ำเสียงทุ้มอ่อนซ้ำไปซ้ำมา



          “ดาวเหนือ”


          ‘เสียงใคร...? ทำไมคุ้นจัง’

          งูหนุ่มผู้เดียวดายในโลกสีขาว กำลังนั่งคุดคู้อย่างเบื่อหน่าย หลังจากที่เขาถูกเจ้านกน้อยรั้งตัวเอาไว้ ตอนนี้นกแสกตัวนั้นกลับบินจากไปแล้วทิ้งเขาเอาไว้เช่นนี้ ในห้วงโลกแห่งฝัน ยิ่งติดอยู่นานตัวตนยิ่งลางเลือน...

          “ลืมตาสิดาวเหนือ...”

          ‘ดาวเหนือ...ชื่อของผมรึเปล่านะ?’     

          น้ำเสียงอบอุ่นเพรียกหาสะกิดให้ชายหนุ่มที่กำลังหลงทางนึกถึงใครบางคนขึ้นมา...

          “ตื่นขึ้นมาเถอะ...ดาวเหนือ”

          ถึงเขาจะยังนึกไม่ออก ทว่าความรู้สึกอาวรณ์เอ่อล้นขึ้นเต็มใจ ดาวเหนือลุกขึ้นยืนพลางเดินไปตามเสียง เสียงคุ้นเคยที่มักจะเรียกชื่อเขาอย่างมีความสุขเสมอ ความคิดถึงก่อตัวขึ้นแทบทะลักทลาย ขาทั้งสองข้างเริ่มก้าวยาววิ่งไปตามเสียงที่ลอยมา แสงสว่างจ้าเบื้องหน้ากำลังเปิดรอต้อนรับให้ดาวเหนือออกไป

          ตาเรียวเปิดขึ้นทีละน้อย พลางกะพริบไล่แสงสว่างจ้าที่ทำเอาตาพร่ามัว ตรงหน้าของเขามีสายตาแห่งความเป็นห่วงทอดส่งมาให้ ดวงตาเล็กๆแสนสดใสรับกับริมฝีปากบางนั่นทำให้เขาจำได้

          ‘คิมนี่เอง...’



          “ดูมันทำ! เอาสีบ้าอะไรมาย้อมหัว แล้วนี่ยังจะทำให้น้องมันอีก เห็นแล้วทุเรสทุรัง”

          เสียงชายวัยกลางคนตะโกนลั่นดังขึ้นไปถึงชั้นบน ทำเอาคนที่นั่งเซ็งอยู่ในห้องของตนรีบคว้าหมอนมาอุดหู

          “แล้วมันนะยังจะแอบเอางูมาเลี้ยง เห็นแล้วยังแขยงไม่หายอยากจะตีมันให้ตาย ทำอะไรไม่เคยเห็นหัวคนในบ้าน!”

          “ใจเย็นๆนะพ่อ”

          เสียงคนเป็นพ่อก่นด่าลูกชายคนโตให้คนเป็นแม่ฟังแบบไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย “คิม” ชายหนุ่มที่เติบโตในครอบครัวหัวโบราณ พ่อกับแม่ต้องการจะเลี้ยงดูเขาให้อยู่ในกรอบทว่าตัวตนที่รักอิสระและสีสันเช่นเขาตอนนี้ไม่ต่างจากนกที่ถูกตัดปีก

          “แล้วเนี่ยแม่รู้รึยัง? ที่มันจะไปเรียนต่อช่างทำผมบ้าๆ อะไรนั่น จบเอกเคมีมาแทนที่จะรีบหางานหาการดีๆทำ ทำอะไรไม่ได้ดั่งใจซักอย่างไอ้ลูกเวร!”

          “พ่อเลิกบ่นพี่คิมเค้าซักทีเหอะน่า เนี่ยสีผมที่พี่เค้าทำให้ผมก็สวยดีออก ผมว่าพี่เค้าออกจะมีพรสวรรค์”

          เด็กหนุ่มผมสีแดงฉาน ที่นั่งเล่นเกมคอมพิวเตอร์อยู่พูดแทรกขึ้นมา ทว่ามันกลับกวนอารมณ์ของพ่อเขาให้ขุ่นกว่าเดิม

          “หุบปากไปเลยนะไอ้คีย์ เดี๋ยวพ่อจะได้เฉดหัวออกจากบ้านทั้งพี่ทั้งน้อง!”

          ‘อยากอยู่ตายแหละบ้านหลังเนี้ย...’

          คิมที่เอาหมอนปิดหัวอยู่ได้แต่คิดขึ้นในใจ เขาผุดลุกขึ้นนั่งพลางเขวี้ยงหมอนทิ้งระบายอารมณ์ สายตาพลันเหลือบไปมองเจ้างูน้อยที่เลื้อยยุกยิกอยู่ในกล่องพลาสติกใส

          “ตื่นแล้วหรอดาวเหนือ? เสียงพ่อคงจะหนวกหูจนปลุกแกขึ้นมาสินะ”

          ชายหนุ่มล้วงมือลงไปในกล่องใส งูน้อยตัวจ้อยสีขาวเลื้อยพันท่อนแขนสว่าง คิมยิ้มขึ้นรู้สึกจักจี้เล็กๆ

          “ก็มีแต่แกนี่แหละนะที่เป็นเหมือนครอบครัวจริงๆ ของชั้น เออนับไอ้คีย์ด้วยอีกคนละกัน ถึงเดี๋ยวนี้มันจะติดสาวจนไม่ค่อยสนใจพี่มันก็เหอะ ชั้นนี่กลายเป็นหมาหัวเน่าไปเลย...ไม่มีใครรัก...”

          คนเหงานั่งคุยกับงูเจื้อยแจ้ว ดวงตาสีทับทิมจ้องมองคนตรงหน้าไม่วางตา น่าแปลกที่งูเช่นดาวเหนือกลับเข้าใจภาษาของมนุษย์

          ‘ถึงใครจะไม่รักคิม...แต่ผมรักคิมนะ’

          “นี่ดาวเหนือแกรู้ป่ะว่าทำไมชั้นถึงตั้งชื่อให้แกว่าดาวเหนือ?”

          ‘ทำไมหรอคิม?’

          “เพราะชื่อนี้จะคอยเป็นเครื่องเตือนใจให้ชั้นไม่ละทิ้งความฝันในสิ่งที่รัก เพราะดาวเหนือเป็นดวงดาว...เป็นแสงแห่งการนำทางไงล่ะ”

          ...เป็นแสงที่คอยช่วยเหลือเหล่ามนุษย์ผู้หลงทางในยามที่ฟ้ามืดมิด



          “คิม...”

          ร่างที่นอนอยู่พึมพำชื่อคนตรงหน้าขึ้นพลางยันตัวลุกขึ้นอย่างช้าๆ ความเมื่อล้าแล่นไปทั่วร่างหลังจากนอนนิ่งมาถึงสองวันสองคืน รอยยิ้มจางแต้มขึ้นบนใบหน้าส่งให้ชายผู้ที่ปลุกเขาขึ้นมา

          “นายคือดาวเหนือจริงๆหรอ...?”

          คิมเอ่ยถามในใจยังค้างคา ดวงตาเรียวจ้องมองสบมาไม่ละไปไหน

          “ที่คิมตั้งชื่อให้ผมว่าดาวเหนือก็เพราะเห็นผมเป็นแสงดาวนำทางให้ไม่ใช่หรอ?”

          ความสงสัยทั้งหมดพลันสลายไป ถึงไม่อยากเชื่อแต่ก็คงต้องเชื่อแล้วว่าคนๆนี้ “ใช่” งูสุดที่รักของเขาจริงๆ อาจจะน่าอายนิดหน่อยที่ต้องมาฟังเหตุผลสุดเพ้อเจ้อที่ตัวเขาตั้งชื่อนี้ขึ้นมา ทว่ามันมีความหมายกับชายหนุ่มผู้หลงทางเช่นเขาจริงๆ

          “อย่าเอาเรื่องชื่อของนายไปเล่าให้ใครที่ไหนฟังอีกนะเว้ย...โคตรอาย...”

          คิมก้มหน้างุดลงเล็กน้อย ปากก็พูดขมุบขมิบไปด้วย

          “อืม...ไม่พูดแล้ว...”

          รอยยิ้มกว้างฉายขึ้นบนใบหน้าสุขุม มือยาววางสัมผัสลงบนไหล่อย่างอ่อนโยน คิมเงยหน้าขึ้นสบตามอง “ดาวเหนือ” ของเขา ถึงจะยังไม่ชินที่เห็นงูของตัวเองกลายเป็นมนุษย์เช่นนี้ แต่เขาก็ไม่รังเกียจหากนับจากนี้ เขาจะต้องใช้ชีวิตร่วมกันกับชายคนนี้



          หลังจากที่ดาวเหนือฟื้นขึ้น ทุกคนก็ได้แต่โล่งใจ คงถึงเวลาที่ชายทั้งสองจะต้องกลับบ้านของพวกเขาเสียที ตอนนี้ชายทั้งห้าได้มากระจุกตัวยืนล่ำลากันอยู่หน้าประตูรั้ว

          “ขอบคุณมากนะเจ้างูที่ช่วยชีวิตเราเอาไว้...แล้วก็ขอโทษที่ทำให้แกต้องลำบากไปด้วย...”

          นกหนุ่มเอ่ยขึ้นอย่างสำนึกผิด ถึงแม้เขาจะได้พบกับดาวเหนือไม่นาน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าดาวเหนือดีต่อเขามากแค่ไหน ถึงแม้ว่าเขาจะทำตัวก้าวร้าวใส่เจ้างูแสนสุภาพอยู่บ่อยๆ ก็ตาม

          “ไม่เป็นไรหรอก ผมดีใจนะที่เห็นนกมะลิปลอดภัย”

          ดาวเหนือตบบ่ามะลิให้กำลังใจ ส่วนตัวของนกหนุ่มเองตอนนี้คงต้องพอกันทีกับการที่จะต้องให้ใครมาเดือดร้อนด้วยเรื่องของเขา

          “ทุกอย่างกำลังจะจบแล้ว เราสัญญาว่าจะไม่ให้แกต้องมาเสี่ยงอันตรายเพราะเราอีก”

          “อย่าคิดมากเลยนะ ก็พวกเราเป็นเพื่อนกันนี่นา”

          “เพื่อน” เป็นสิ่งที่นกน้อยผู้โดดเดี่ยวเช่นเขาไม่เคยมีมาก่อน เขายอมรับว่าเขาเองออกจะเป็นเพื่อนที่ไม่น่ารักอยู่บ้าง แต่เขาก็ดีใจที่ดาวเหนือไม่เคยถือสา

          “เย็นมากแล้วพวกพี่ขอตัวกลับก่อนดีกว่า แล้วเจอกันนะน้อง”

          “ครับพี่คิม พินต้องขอโทษอีกครั้งนะครับ”

          “เออไม่เป็นไร ไปก่อนนะ”

          “ผมไปก่อนนะพิน นกมะลิ แมวนินจา แล้วผมจะมาเยี่ยมนะ”

          ดาวเหนือรีบวิ่งตามไปเกาะแขนคิมแจ คนสองคนเดินหายออกไปจากตัวบ้านจนลับสายตา ตอนนี้ก็คงถึงเวลาที่นินจาจะต้องขอตัวบ้าง

          “เรากลับบ้างดีกว่า เดี๋ยวเมฆกลับมาไม่เจอเราแล้วจะวุ่นวาย”

          “ขอบคุณนะเจ้าแมว...แกเองก็ช่วยเราเอาไว้ตั้งหลายหน...”

          “เออ...แกก็ดูแลตัวเองดีๆล่ะเจ้านก แล้วถ้ามีอะไรก็บอกเรา เรายินดีช่วยเสมอ”

          นินจาเดินผ่านประตูรั้วไป แต่ก่อนที่จะจากไปจริงๆก็ไม่วายหันมาสบตามองพินอีกคน

          “พินก็ด้วยล่ะ...”

          “อะ...อื้ม เดี๋ยวชั้นจะรีบไปแจ้งความนะ”

          นินจาหมุนตัวเดินจากไปพลางโบกมือลา พินปิดประตูลงกลอนจากนั้นจึงล็อกกุญแจ ทั้งสองเดินกลับเข้าไปในบ้านด้วยท่าทีไม่สบายใจนัก มือผอมๆคว้าชายเสื้อของคนที่เดินนำอยู่ ทำเอามะลิชะงักหันกลับมามอง

          “มีอะไรหรอพิน...?”

          พินเม้มปากแน่นพลางซบศีรษะลงบนไหล่กว้าง น้ำเสียงอึดอัดติดขัดเปล่งขึ้นถาม

          “เรื่องทุกอย่างกำลังจะจบลงแล้วจริงๆใช่มั้ย...?”

          ความหวาดกลัวฝังลึกอยู่ข้างใน หากเป็นไปได้เขาหวังว่าจากนี้ไปคงไม่มีเรื่องร้ายใดๆเกิดขึ้นอีก

          ทว่า...ราวกับเป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบ ร่างสูงคลายมือของคนที่กำลังขยำเสื้อเขาจนยับย่นออก มือขาวเกลี่ยไล้เส้นผมที่เริ่มยาวระลำคอลงมาพลางสบตาชายผู้เป็นที่รักก่อนจะกอดปลอบแน่นจนร่างบางๆจมลงไปในแผ่นอกอุ่น

          ในใจคิดอยากจะจบเรื่องราวทั้งหมดนี้เพียงคนเดียว...

++++++++++++++++



          ในตอนนี้เป็นการเปิดปมของคิมกับดาวเหนือนะคะ อาจจะกล่าวได้ว่าพินได้ทำหน้าที่ส่งคืนนินจากับดาวเหนือสู่อ้อมอกเจ้าของได้เป็นที่เรียบร้อยโดยแท้จริงแล้วค่ะ ตอนนี้ปมสุดท้ายก็เหลือเพียงเรื่องของพี่พิมพ์นะคะ แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ


ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Timid Lily

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0

บทที่27 : ความจริง

          [นายสินทร วัชรโรจน์ โจทย์ที่ทำการยื่นฟ้องร้องคดีของนาย วินัย วัชรโรจน์ ผู้เป็นบิดา ซึ่งเสียชีวิตเนื่องจากการผิดพลาดระหว่างการผ่าตัด ได้ทำการยื่นพิสูจน์ต่อศาลถึงหลักฐานเท็จที่ทางจำเลยยื่นต่อศาล...]

          เสียงผู้ประกาศข่าวภาคกลางวันดังผ่านโทรทัศน์ที่ถูกเปิดเอาไว้ เนื้อหาคือข่าวใหญ่ที่เป็นที่จับตามองในช่วงนี้ “ข่าวของไหม”

          [ซึ่งตอนนี้ผู้อำนวยการโรงพยาบาลปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์หรือแถลงข่าวกับสื่อ ส่วนทางด้านของแพทย์หญิงญานิสาได้ทำการลาพักร้อนไปตั้งแต่เมื่อสองสามวันที่แล้วและได้ขาดการติดต่อไป...]

          ‘พี่ไหมหายไป...’

          สิ่งที่ได้รับรู้ทำให้พินอดเป็นกังวลไม่ได้ เขากลัวว่าการที่แพทย์สาวยังไม่ถูกคุมตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมาย อาจจะทำให้ยังคงเกิดเรื่องอันตรายกับมะลิเมื่อไหร่ก็ได้ ตอนนี้ชายหนุ่มไม่กล้าทิ้งคนอีกคนไปไหน ได้แต่เฝ้าดูแลอย่างใกล้ชิดจนไม่เป็นอันทำอะไร

          พฤติกรรมเช่นนี้ของพินทำให้มะลิอดเป็นห่วงไม่ได้ เขาไม่ได้ต้องการเป็นภาระหรือตัวถ่วงของพิน แต่ไม่ว่าจะเกลี้ยกล่อมยังไงพินก็ไม่มีทีท่าเบาใจแม้แต่น้อย

          ‘Rrrrrrr’

          เสียงโทรศัพท์มือถือของพินดังขึ้น เป็นเบอร์โทรศัพท์ที่ไม่รู้จัก แต่ชายหนุ่มก็ไม่อิดออดรีบกดรับพลัน

          [สวัสดีค่ะ คุณพิธานใช่มั้ยคะ?]

          “ใช่ครับ”

          [โทรจากบริษัทxxxนะคะ คุณพิธานผ่านการสัมภาษณ์กับเราแล้วค่ะ]

          “จริงหรอครับ?”     

          พินเอ่ยตอบไปด้วยความยินดี อะไรจะน่าดีใจไปกว่าการได้รับข่าวดีว่าบริษัทที่เขาอยากร่วมงานด้วยมาตลอดรับเด็กจบใหม่อย่างเขาเข้าทำงาน

          [คุณพิธานสะดวกจะเข้ามารายงานตัวด่วนวันนี้เลยมั้ยค่ะ?]

          “คือ...ผม...”

          พินอึกอักลังเลใจขึ้นมา สำหรับคนที่ว่างงานมาหลายเดือนแล้วเช่นเขาควรจะรีบคว้าโอกาสนี้ไว้ให้เร็วที่สุด ไม่ใช่ปล่อยให้ตัวเองเตะฝุ่นปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์

          “ผมขอเลื่อนไปรายงานตัววันอื่นได้มั้ยครับ? พอดีวันนี้ผมไม่สะดวก...”

          [ก็ได้นะคะ แต่ทางเราจะมีการจัดอบรมพนักงานใหม่ ถ้าหากนัดช้าล่วงเลยไปอาจจะต้องรอไปอีกหลายเดือน ที่สำคัญเราต้องการพนักงานด่วนจริงๆ ถ้าคุณพิธานไม่สะดวก เราอาจจะต้องขอตัดสิทธิ์ของคุณไปก่อนจนกว่าจะมีตำแหน่งงานว่างใหม่น่ะค่ะ]

          “ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องปล่อยให้เป็นอย่างนั้นไปก่อนน่ะครับ แล้วผมจะติดต่อกลับไปอีกที ผมต้องขอโทษจริงๆนะครับ”

          พินวางสายไป ทำให้มะลิที่นั่งฟังบทสนทนาอยู่ใกล้ๆถึงกับอดไม่ได้ต้องถามออกไป

          “ทำไมพินไม่ไปรายงานตัวล่ะ? ”

          “ไม่ได้หรอก ชั้นจะทิ้งนายไว้คนเดียวได้ยังไงกันล่ะ”

          “พิน...เราไม่เป็นไรหรอก อย่าทำให้เราต้องรู้สึกว่าตัวเองคอยถ่วงแข้งถ่วงขาพินมากไปกว่านี้เลย”

          “อย่าพูดอย่างนั้นสิมะลิ ตอนนี้เรื่องของนายสำคัญที่สุดนะ”

          “พิน...เราเป็นห่วงอนาคตของพิน...”

          ทุกวันนี้นอกจากความรักแล้วอมนุษย์เช่นเขาไม่อาจมอบอะไรให้กับคนที่เขารักได้เลย ความภาคภูมิใจที่ได้มีชีวิตอยู่ตกต่ำลงเรื่อยๆจนเขาแทบทนไม่ได้ คุณค่าในตัวตนค่อยๆสูญสลายไร้ความหมาย มะลิคงยอมไม่ได้หากการมีอยู่ของเขาเริ่มกัดกร่อนทำลายใครอีกคนที่เขารักยิ่งกว่าสิ่งใด

          ‘ปิ๊ง ป่อง’

          เสียงกดออดหน้าบ้านดังขึ้น เมื่อเปิดประตูออกไปดูก็พบหญิงสาวแต่งหน้าสวยงาม เกล้าผมเรียบร้อยยืนรอเจ้าบ้านออกมาต้อนรับ

          “สวัสดีครับพี่ชิชา”

          “สวัสดีค่ะน้องพิน พอดีชิชาตั้งใจแวะมาเยี่ยมพิมพ์ก่อนจะไปบินน่ะ ขอโทษทีที่ไม่ได้โทรมาบอกล่วงหน้า”

          “ไม่เป็นไรหรอก เข้ามาในบ้านก่อนสิ”

          นกหนุ่มเอ่ยเชื้อเชิญหญิงสาวเข้ามาข้างใน การปรากฏตัวขึ้นของเธอนับเป็นโอกาสดีที่เขาจะเกลี้ยกล่อมให้พินยอมออกจากบ้านไปรายงานตัว

          “พิน...พินออกไปรายงานตัวเถอะนะ”

          “ไม่ดีกว่า...เอาไว้วันหลังก็ได้”

          “นี่ไงชิชามาอยู่เป็นเพื่อนเราแล้ว แถมนินจากับเมฆก็อยู่ใกล้ๆ ไม่เห็นจะต้องเป็นห่วงอะไรแล้วนี่นา”

          “แต่ว่า...”

          “น้องพินจะออกไปรายงานตัวหรอ? ไม่เป็นไรเดี๋ยวพี่ช่วยดูแลพิมพ์ให้เอง ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”

          หญิงสาวพอจะเดาสถานการณ์ออกจึงช่วยเอ่ยสำทับให้ชายหนุ่มได้สบายใจ

          “งั้นก็ได้...”

          “พินรีบติดต่อบริษัทกลับไปแล้วก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าซะนะ”

          “อืม...”

          ชายหนุ่มทำหน้าหงอยแต่ก็ยอมแต่โดยดี เขาเดินหายขึ้นชั้นสองไปอย่างห่อเหี่ยว

          “ขอบคุณมากนะชิชาที่ช่วยเกลี้ยกล่อมพินให้ แล้วก็ขอโทษทีที่ต้องให้มาเป็นธุระให้”

          “ไม่เป็นไรหรอกชิชาเต็มใจ ถึงเราสองคนจะไม่ได้รู้สึกต่อกันเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่พวกเราก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ไม่ใช่หรอ?”

          ชิชาส่งยิ้มให้ชายผู้เป็นสามีน้อยๆ ในความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยรอยร้าวของคนทั้งสองทำให้มะลิไม่อาจละทิ้งความคิดเคลือบแคลงไปได้ ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงคลี่ยิ้มจางตอบกลับไป



          ร่างสูงเดินออกมาส่งคนที่แต่งตัวเรียบร้อยเตรียมออกไปข้างนอก เขาเปิดประตูให้คนตัวเล็กกว่า ทว่าพินที่ยังกังวลไม่หายหันมาเอ่ยกำชับกับเขา

          “มะลิ อย่าลืมนะ! ถ้ามีอะไรนายต้องรีบโทรหาชั้น แล้วก็อย่าปิดเสียงโทรศัพท์ เข้าใจรึเปล่า?”

          “เข้าใจแล้ว นี่ไงเราเปิดเสียงไว้แล้วนะ”

          มะลิหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นพลางกดเปิดหน้าจอให้คนห่วงได้เห็นว่าเขาเปิดเสียงแจ้งเตือนสายเรียกเข้าไว้แล้วจริงๆ

          “อย่าอยู่ตามลำพังเด็ดขาด! ถ้าพี่ชิชาจะกลับบ้านแล้วชั้นยังไม่กลับมานายต้องไปตามนินจามาอยู่เป็นเพื่อนนะ”

          “อื้ม...ไม่ต้องเป็นห่วงนะ เราจะทำตามที่พินบอกทุกอย่าง”

          ถึงจะได้ยินนกหนุ่มรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะแต่พินก็ไม่อาจคลายความกังวลลงไปได้ ดวงหน้าเศร้าหมองราวกับคนที่กลัวว่าจะสูญเสียคนตรงหน้าไปทำให้มะลิเองรู้สึกปวดใจไม่แพ้กัน มือแกร่งสัมผัสใบหน้าเนียนทะนุถนอม นิ้วมือยาวไล้พวงแก้มนิ่มลงมาจรดคาง ก่อนจะประทับจูบบนริมฝีปากงดงามแผ่วเบาปลอบประโลม

          “พินทำหน้าตาให้สดชื่นหน่อยเถอะนะ ไปรายงานตัวทั้งที ผู้ใหญ่จะได้ประทับใจ”

          “อืม...”

          ร่างบางพยักหน้าก่อนจะกอดชายผู้เป็นที่รักแน่น ท่อนแขนแข็งแรงโอบกอดตอบให้คนในอ้อมอกได้คลายใจ เจ้าของนัยน์ตาสวยหลับพริ้มลงพลางสูดหายใจเข้าลึกสัมผัสกลิ่นผู้เป็นที่รักก่อนจะจากไป...

          “งั้นชั้นรีบไปก่อนนะ”

          “อื้ม...พินขับรถดีๆนะ”

          พินเข้าไปนั่งในรถแต่สายตาก็ยังคงไม่ละไปจากคนรักของเขา แววตาห่วงหาทอดส่งมาจนกระทั่งนกหนุ่มเอ่ยลาพลางงับประตูรถปิดลงเบามือ ร่างสูงมองส่งรถสีขาวคันน้อยที่วิ่งออกจากบ้านไป ในใจมีเรื่องราวค้างคามากมายที่เขาควรจะจัดการให้เรียบร้อย

          มะลิเดินกลับเข้าไปในบ้าน เขาเอ่ยถามหญิงสาวที่นั่งเล่นกดโทรศัพท์มือถืออยู่บนโซฟา

          “วันนี้ชิชามีบินกี่โมงหรอ? รีบรึเปล่า?”

          เธอเงยหน้าขึ้นมาสบตาชายหนุ่ม ก่อนจะยิ้มให้อย่างลำบากใจ

          “ความจริงชิชาตั้งใจจะแวะมาเยี่ยมพิมพ์แค่แป๊บเดียวน่ะ เพราะอีกไม่กี่ชั่วโมงชิชาก็ต้องไปทำงานแล้ว”

          “ไม่เป็นไรหรอก ถ้าอย่างนั้นชิชารีบกลับไปเตรียมตัวเถอะ เดี๋ยวจะฉุกละหุก”

          “ขอโทษทีนะพิมพ์ ที่ชิชาทำตามที่สัญญากับน้องพินไม่ได้...ชิชาต้องขอตัวก่อนนะ”

          พูดจบชิชาก็ลุกขึ้นเดินออกจากตัวบ้านไป หญิงสาวมีท่าทีรีบร้อนกว่าปกติ ทั้งๆที่มีเวลาอีกมากกว่าจะถึงเวลาทำงาน ความสงสัยที่ยังค้างคาใจสะกิดเตือนนกหนุ่มขึ้นมาอีกครั้ง

          ‘นี่ยังดีนะช่วงที่พิมพ์ป่วยชิชามีเพื่อนมาอยู่ด้วยบ่อยๆ ’

          เมื่อนึกถึงเรื่อง “เพื่อน” ของชิชา ชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะต้องแอบตามหญิงสาวออกไป ถึงแม้ว่ามันจะผิดคำพูดที่เขาได้ให้ไว้กับพินก็ตาม



          “จอดตรงนี้เลยครับ”

          มะลิเอ่ยบอกคนขับรถที่เขาโดยสารมาให้หยุดเมื่อเห็นหญิงสาววนรถเข้าไปในลานจอดของเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์เล็กๆ แห่งหนึ่งห่างไกลจากตัวเมือง เขาชำระค่าโดยสารก่อนจะรีบเปิดประตูลงจากรถ ไม่ไกลจากจุดที่มองเห็น ชิชาก้าวลงจากรถมาพลางเดินเข้าไปในอาคารอย่างรีบร้อน

          ที่เซอร์วิสอพาร์ทเมนท์แห่งนี้เป็นอาคารสูงแค่สามชั้น ตั้งอยู่ในซอยค่อนข้างลึกและไม่มีลิฟต์ให้บริการ จึงเป็นทางสะดวกของชายหนุ่มให้เขาสามารถติดตามหญิงสาวที่ไม่รู้เนื้อรู้ตัวว่ามีใครบางคนแอบตามเธอมาได้ไม่ยากนัก

          มะลิเดินตามไปด้วยฝีเท้าที่เบาที่สุดพลางเดินอยู่ห่างๆ หลังจากขึ้นบันไดมาชั้นแล้วชั้นเล่า ในที่สุดชิชาก็เดินมาถึงห้องที่เป็นจุดหมาย เธอเคาะประตูสองสามทีเรียกให้คนที่อยู่ข้างในมารับเธอเข้าไป

          ...และคนๆนั้นก็คือ

          “ไหม”



          ‘ไหมกับชิชา...?’




          ภาพความทรงจำบางอย่างฉายขึ้นมา แสงสว่างวาบจากประตูดึงความสนใจให้ชายหนุ่มเดินตามไป เมื่อมองเข้าไปภายในกลับพบหญิงสาวที่เขาไม่คิดว่าเธอจะมาอยู่ในที่แห่งนี้ “ไหม” เพื่อนหญิงคนสนิทของเขา

          เสียงสะอื้นร้องไห้และใบหน้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา มีใครอีกคนกำลังช่วยปลอบประโลมพลางใช้มือบอบบางปาดเช็ดหยดน้ำที่พรั่งพรูลงมาไม่หยุด

          “ไม่เป็นไรนะ...ไหมยังมีชิชาอยู่ด้วยทั้งคน”

          หญิงสาวที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาของเขา โอบกอดร่างที่กำลังสั่นเทาด้วยความเสียอกเสียใจ พิมพ์เองไม่ยักรู้มาก่อนว่าหญิงสาวทั้งสองจะสนิทชิดเชื้อกันถึงเพียงนี้ ทว่ามันกลับมีความรู้สึกบางอย่างที่ไม่ปกติ...ทำให้เขาตัดสินใจเลือกที่จะแอบมองอยู่ห่างๆ

          นิ้วมือที่ประดับแหวนบนนิ้วนางซ้ายไล้เกลี่ยเส้นผมตรงสวยของคนที่กำลังร่ำไห้ก่อนจะเลื่อนไปประคองใบหน้าเนียน ดวงตาคมโตสบมองคนตรงหน้าอย่างห่วงใย ก่อนจะจรดหน้าผากของเธอเข้ากับหน้าผากของอีกฝ่าย

          ไหมหลับตาลงปล่อยให้น้ำใสๆไหลเป็นทาง มือเรียวบางกอบกุมมืออุ่นที่ยังคงประทับอยู่บนใบหน้า ริมฝีปากบางแต่งแต้มสีแวววาวเคลื่อนเข้าหาหมายจะจรดแตะสัมผัส ทว่า...เสียงตะโกนลั่นของคนที่โกรธเกรี้ยวจนแทบบ้าดังขึ้นขัดจังหวะการปลอบโยนที่เกินเลยของคนทั้งสอง

          “ไหม!!! มึงจะทำอะไรกับเมียกู!!!”

          ‘Rrrrrr’

          เสียงโทรศัพท์มือถือของนกหนุ่มดังขึ้นจนทำเอาเขาตกใจหลุดจากภวังค์ ชายหนุ่มรีบคว้าขึ้นมาดูหวังจะรีบกดตัดกำจัดให้เสียงหายไป

          ‘พิน’

          ทว่าสายไปเสียแล้ว ตอนนี้สายตาตื่นตระหนกของหญิงทั้งสองต่างจับจ้องมาและมันทำให้มะลิได้รู้ตัวว่าตอนนี้...

          ถึงเวลาที่เขาจะเผชิญกับเรื่องราวอย่างตรงไปตรงมาเสียที...


++++++++++++++++



          เรื่องราวขมวดขึ้นมาถึงบทสรุปแล้วนะคะ ตอนหน้ามาเปิดปมของไหม ชิชา และพิมพ์กันค่ะ ฝากติดตามด้วยนะคะ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด