คุณพี่ชายนายนกผี! My brother is the barn owl! บทส่งท้าย : คนของใจ 29/10/19
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: คุณพี่ชายนายนกผี! My brother is the barn owl! บทส่งท้าย : คนของใจ 29/10/19  (อ่าน 22428 ครั้ง)

ออฟไลน์ Timid Lily

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0

บทที่ 28 : พิมพ์กับไหม

         เสียงออดดังกังวานไปทั่วโรงเรียนเป็นสัญญาณหมดเวลาเรียนคาบสุดท้าย เด็กสาวหน้าตาสดใสในชุดนักเรียนมัธยมปลายกำลังเก็บเครื่องเขียนลงกระเป๋าเตรียมตัวกลับบ้าน

          “โอ๊ย!”

          ความรู้สึกเจ็บตึงๆบนศีรษะเนื่องจากมีคนขี้แกล้งบางคนดึงผมหางม้าของเธอจนผงะ เมื่อหันไปก็พบว่าเด็กหนุ่มหน้าคมกำลังยิ้มยียวนมาจากทางด้านหลัง

          “พิมพ์! แกล้งเราแรงๆอีกแล้วนะ”

          “ขอโทษๆ เผลอดึงแรงไปหน่อย เห็นไหมทีไรเรามันเขี้ยวทุกที”

          ไหมเป็นเด็กสาวที่ตัวค่อนข้างสูง ทำให้เธอไม่ใช่เป้าหมายที่น่าแกล้งน่าเอ็นดูสำหรับนักเรียนชายคนอื่นๆสักเท่าไหร่ เห็นจะมีก็แต่เพื่อนชายของเธอคนนี้เท่านั้นที่ชอบทำอะไรแบบนี้ คงเป็นเพราะความสนิทสนมของคนทั้งคู่ที่ทำให้ไม่มีใครเกรงใจใครทั้งนั้น

          “ไหมวันนี้ไปกินหนมปังเนยนมด้วยกันป่ะ?”

          “อ้าว...แล้ววันนี้แกไม่ต้องไปทำงานพิเศษหรอ?”

          พิมพ์เป็นเด็กหนุ่มที่มักจะยุ่งอยู่เสมอ ทุกวันหลังเลิกเรียนเขาจะต้องรีบไปทำงานพิเศษกว่าจะเลิกก็ดึกดื่น วันไหนเหนื่อยหน่อยเขาก็ถึงกับตื่นสายมาโรงเรียนไม่ทัน เป็นธุระให้ไหมต้องคอยโทรตามไปปลุกทุกที แต่ที่น่าทึ่งก็คือผลการเรียนของเขาไม่เคยตกลงเลย

          “วันนี้เราหยุด”

          “อืม งั้นก็ไปดิ”

          คนทั้งสองรีบลุกขึ้นจากโต๊ะเรียน พิมพ์รีบคว้ากระเป๋าของเด็กสาวมาถือไว้ให้ก่อนจะจูงมือไหมเดินออกจากห้องเรียนไปอย่างกระตือรือร้น

          “ไงคู่รักม.หกทับเก้า”

          “เพื่อนกันเว้ยไอ้สัส!”

          เสียงพิมพ์ตะโกนด่าเพื่อนชายห้องข้างๆที่แซวมาเสียงลั่น ถึงเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นบ่อยๆ แต่ไหมก็ทำใจให้ชินไม่ได้ซักที เธอรู้ดีว่าเพราะความสนิทสนมของทั้งสองทำให้คนเอาไปล้อกันบ่อยๆ ไหมได้แต่เขินไม่รู้จะเอาหน้าไปซุกไว้ตรงไหน เพราะตอนนี้กระเป๋าคู่ใจก็ดันไม่อยู่กับตัวเพราะมีคนเอาไปถือไว้ให้โดยไม่ขออนุญาต

          หัวใจดวงน้อยๆของเด็กสาวก็เช่นกัน...



          ในร้านขนมสีหวานที่อบอวลไปด้วยกลิ่นขนมปังปิ้ง ไหมกับพิมพ์กำลังผลัดกันจิ้มขนมปังหน้าเนยนมชิ้นแล้วชิ้นเล่าเข้าปาก ตอนนี้เด็กหนุ่มกำลังพินิจพิจารณาเด็กสาวเพื่อนร่วมโต๊ะ สำหรับพิมพ์ไหมเป็นเพื่อนหญิงที่หน้าตาก็จัดว่าน่ารักคนหนึ่ง ผิวพรรณสะอาด แถมมีรอยยิ้มพิฆาตกระชากใจ ทำให้เขาอดสงสัยไม่ได้

          “ไหม ทำไมแกไม่มีแฟนซักทีวะ?”

          พิมพ์เอ่ยขึ้นพลางใช้ส้อมจิ้มขนมปังเนยนมขึ้นมาก่อนจะยัดใส่ปาก ส่วนคนที่นั่งตรงข้ามยกนมเย็นสีชมพูหวานขึ้นดื่ม ริมฝีปากบางปล่อยออกจากหลอดช้าๆ ก่อนจะยิ้มกรุ้มกริ่มมองตอบเพื่อนชายของเธอกลับไป

          “หึ...ถามทำไม?”

          ไหมถามกลับพลางหัวเราะในลำคอ

          “เราว่าแกก็น่ารักดีนี่หว่า ทำไมไม่มีคนมาจีบวะ? หรือว่ามีแต่แกไม่บอกเรา”

          ไหมเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะเท้าคางพลางหันหน้าหนีไปทางอื่น

          “มี...แล้วทำไมเราจะต้องบอกพิมพ์ด้วยล่ะ?”

          “เฮ้ย! ไม่ได้นะเว้ย! ถ้าใครจะมาจีบแกต้องผ่านด่านเราไปให้ได้ซะก่อน”

          “เพื่ออะไรวะ?”

          “ก็เราหวงแกนี่หว่า”

          “หวง” ถึงไหมจะรู้ดีว่าสำหรับพิมพ์ คำๆนี้พูดขึ้นในฐานะเพื่อน แต่มันก็ทำให้เธออดใจสั่นไม่ได้ทุกที ไหมไม่เคยคิดเลยว่าการที่เธอเป็นเพื่อนสนิทกับพิมพ์จะทำให้ใจต้องทรมานขนาดนี้

          ‘พอเถอะพิมพ์...ถ้าไม่ได้คิดอะไรกับเรา ก็อย่าพูดจาแบบนี้เลย...’



          หลังจากที่กินขนมหวานเสร็จแล้ว ท้องไส้ของวัยกำลังโตเช่นคนทั้งสองไม่วายพากันไปกินเสต็กราคาประหยัดเป็นมื้อเย็นต่อจนอิ่มหนำ กว่าจะเสร็จสรรพดวงอาทิตย์ก็ได้ลาลับขอบฟ้าไปเสียแล้ว

          “มืดแล้วว่ะ เดี๋ยวเราจะไปส่งไหมให้ถึงบ้านเลยแล้วกันนะ คุณป้าจะได้ไม่เป็นห่วง”

          “ก็แล้วแต่...”

          ไหมอมยิ้มน้อยๆไม่ขัดเพื่อน การที่ได้ใช้เวลากับคนที่ชอบอีกสักนิดก็ทำให้ใจได้พองโตมีความสุข

          ‘Rrrrr’

          “ฮัลโหล พี่หยกหรอครับมีอะไรรึเปล่า?”

          พิมพ์ที่รับโทรศัพท์และดูเหมือนว่ากำลังคุยกับหญิงสาวอายุมากกว่าทำให้ไหมอดสงสัยไม่ได้

          “อ๋อผมอยู่แถวๆหน้าโรงเรียนครับพี่ กำลังจะกลับบ้าน...”

          “ปี๊น!” เสียงแตรรถดังขึ้นทำเอาทั้งสองสะดุ้งโหยง รถสปอร์ตสีดำแล่นเทียบเข้ามาใกล้ หญิงสาวท่าทางมั่นใจแต่งหน้าสวยโฉบเฉี่ยว หลังพวงมาลัยที่ในมือกำลังถือโทรศัพท์ลดกระจกลงพลางเอ่ยเรียกเด็กหนุ่มอย่างสนิทสนม

          “พิมพ์ รีบอยู่รึเปล่า?”

          “อ้าวพี่หยก! วันนี้ไม่เข้าร้านหรอครับ?”

          “เข้าสิ แต่เลิกงานแล้ว”

          “เลิกได้ไงพี่ร้านยังไม่ปิดเลย?”

          “เป็นเจ้าของร้านจะเลิกตอนไหนก็ได้ป่ะ?”

          หญิงสาวในรถยิ้มกริ่มให้เด็กหนุ่ม ดูเหมือนว่าเธอคนนี้จะเป็นเจ้าของร้านกาแฟที่พิมพ์ทำงานอยู่

          “แล้วพี่หยกโทรหาพิมพ์ทำไมหรอครับ?”

          “อ๋อ! ก็พี่บังเอิญผ่านมาแถวนี้ แล้วก็เห็นพิมพ์เดินอยู่กับแฟนพอดีเลยกะจะทักทายซักหน่อย”

          “แฟนเฟินอะไรพี่ นี่ไหมเพื่อนพิมพ์เอง”

          “เอ่อ...สวัสดีค่ะ”

          ไหมยกมือไหว้เมื่อถูกแนะนำตัวแบบงงๆ

          “ถ้างั้นน้องไหม...พี่ขอยืมตัวเพื่อนน้องก่อนได้มั้ยคะ?”

          “คะ?”     

          ไหมอึกอักตอบรับกลับไป เธอรู้สึกไม่ค่อยถูกชะตากับผู้หญิงคนนี้สักเท่าไหร่

          “พิมพ์ไปกินเหล้าเป็นเพื่อนพี่หน่อยสิ”

          “เอ่อ...”     

          พิมพ์หันไปสบตาไหมครู่หนึ่งก่อนจะหันกลับมาตอบหญิงสาว

          “ไปสิพี่...แต่ผมยังอยู่ในชุดนักเรียนอยู่เลย”

          “ไม่เป็นไร พิมพ์อยากจะแต่งตัวหล่อขนาดไหนล่ะ? เดี๋ยวพี่จัดให้ ขึ้นรถมาสิ”

          เด็กหนุ่มรีบทำตามเขาเปิดประตูรถหรูออก แต่ก่อนที่จะดันตัวลงนั่งเขาก็เอ่ยขึ้นกระซิบกระซาบกับเด็กสาว

          “ไหมโทดทีว่ะ แกกลับเองแล้วกันนะ”

          ไหมได้แต่คิดในใจว่าก็คงต้องเป็นแบบนั้น เพื่อนอย่างเธอคงไม่มีอะไรจะมาสู้สาวสวยอายุมากกว่าแถมท่าทางจะกระเป๋าหนักแบบหญิงสาวที่นั่งอยู่บนรถได้หรอก

          “เออ...แล้วถ้าพ่อกับแม่เราโทรมาถาม ให้แกตอบไปนะว่าเราค้างที่ร้าน”

          พิมพ์งับประตูรถปิดลง พลางโบกมือน้อยๆลาเพื่อนของเขา เด็กสาวได้แต่ทำหน้าเซ็งเดินจากไป นี่ไม่ใช่หนแรกที่พิมพ์ทิ้งเธอไว้กลางทางเช่นนี้

          “เออไหม เราลืมบอกไป”

          เสียงเด็กหนุ่มตะโกนออกมาจากทางหน้าต่างรถ

          “พรุ่งนี้ช่วยโทรปลุกเราด้วยนะ! ไปล่ะ!”

          ถ้าลองนับๆดูไม่รู้กี่ครั้งกี่หนแล้วที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ พิมพ์ทิ้งไหมแล้วไปกับผู้หญิงคนอื่น ไหนจะครูฝึกสอน ลูกค้าที่ร้าน แล้วล่าสุดก็เจ้าของร้านคนนี้ ที่สำคัญทุกครั้งก็ไม่วายต้องเดือดร้อนถึงเธอต้องคอยช่วยโกหกแก้ต่างตามน้ำให้เด็กหนุ่มที่หายตัวไปไม่กลับบ้านจนพ่อแม่เป็นเดือดเป็นร้อน

          ที่สำคัญกว่านั้นคือ “หัวใจ” ไม่รู้ทำไมถึงยังหลงรักคนๆนี้ต่อไป เวลาที่ไหมพยายามเอาใจออกห่าง พิมพ์ก็จะดึงความรู้สึกเธอกลับเข้าไป แต่เมื่อไหร่ที่ไหมรู้สึกอยากมอบใจไว้ให้ พิมพ์ก็จะผลักไสเธอออกไป วนเวียนอยู่แบบนี้ซ้ำไปซ้ำมา

          ‘พิมพ์...ถ้าเราเกลียดแก...เราคงไม่ต้องปวดใจแบบนี้’



          เวลาผันผ่าน ชีวิตของเด็กสาวที่เคยเวียนวนผูกพันกับเพื่อนหนุ่มคนสนิทในที่สุดก็ถึงเวลาได้ห่างกันเสียที “ไหม” ที่สอบติดคณะแพทยศาสตร์กับ “พิมพ์” ที่ได้ทุนเรียนคณะนิติศาสตร์ ตอนนี้ก็ได้แยกย้ายกันไปเรียนคนละมหาวิทยาลัย เป็นเรื่องดีที่ไหมจะได้พักใจของเธอให้ลืมๆ พิมพ์ไปบ้าง

          และ “ชิชา” ก็ปรากฏตัวขึ้นมา...



          “ไหมนี่ชิชา แฟนเราเอง”

          ชายหนุ่มแนะนำคนรักของเขาให้เพื่อนสาวคนสนิทรู้จัก สำหรับไหมเธอมองว่าชิชาคือผู้หญิงที่เป็นสเป็คของพิมพ์อย่างแท้จริง หญิงสาวผิวสีน้ำผึ้งรูปร่างเล็กอ้อนแอ้นทว่ามีทรวดทรงสมเป็นผู้หญิง ใบหน้าสวยหวานดวงตางดงามสะกดใจ ริมฝีปากเล็กๆ ที่ถูกแต่งแต้มสีสันเอาไว้ แม้แต่ตัวเธอเองก็พูดได้เต็มปากว่า “ชิชา” เป็นผู้หญิงที่สวยน่ารักดึงดูดใจ เป็นทุกอย่างที่ตรงข้ามกับเธอโดยสิ้นเชิง

          ในที่สุด “พิมพ์” ก็มีแฟนเป็นตัวเป็นตน คงถึงเวลาที่ไหมจะต้องตัดใจจากคนๆ นี้เสียที ถึงแม้เธอจะกำลังเสียใจ แต่ไม่รู้ทำไมน้ำตาถึงไม่ไหลออกมาสักหยด อาจเป็นเพราะเธอ “เจ็บ” จนชินชา ทำให้เธอสามารถฝืนยิ้มออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ

          “ชิชาหรอ แฟนแกน่ารักดีเนอะ”

          ไหมเอ่ยชมหญิงสาวที่กำลังอมยิ้มให้ โดยที่ไม่เคยรู้เลยว่า...วันหนึ่ง คนที่เธอเอ่ยชมว่าน่ารักคนนี้...

          จะเข้ามามีผลกระทบกับหัวใจของเธอ



     



          คำกล่าวที่ว่า “เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก” คงจะไม่เกินจริงนัก ไหมที่เรียนหนักจนแทบจะไม่มีเวลาไปสังสรรค์กับใคร แทบจะหายไปจากกลุ่มเพื่อนสมัยมัธยม กว่าจะรู้ตัวอีกทีตอนนี้ทุกคนต่างทยอยกันไปสร้างครอบครัว แม้แต่พิมพ์กับชิชาก็แต่งงานกันไปแล้วเรียบร้อย ในขณะที่เธอยังเป็นสาวโสดเงียบเหงาอยู่จนถึงตอนนี้

          เสียงอึกทึกของวงดนตรีในร้าน กลุ่มคนที่นั่งล้อมโต๊ะเสวนาตะโกนแข่งกันคุยแบบไม่มีใครยอมใคร วันนี้เป็นวันเลี้ยงรุ่นของห้องม.หกทับเก้า เป็นโอกาสดีที่ไหมที่เรียนจบเสียทีจะได้มีโอกาสมาสังสรรค์กับเพื่อนๆบ้าง     

          “คนนี้คือชิชาแฟนพิมพ์หรอ เห็นบอกว่าทำงานเป็นแอร์ใช่ป่ะ? สบายเนอะทำงานก็เหมือนไปเที่ยว แทบจะไม่ต้องคิดอะไร”

          ไหมนั่งมองการสนทนาอยู่ฝั่งตรงข้าม หญิงสาวท่าทางจัดจ้านมั่นใจคนหนึ่งเอ่ยขึ้นถามชายหนุ่ม เธอคนนี้เป็นเพื่อนร่วมห้องสมัยมัธยมที่ดูเปลี่ยนไปมาก จากผู้หญิงหัวยุ่งๆพูดไม่ค่อยเก่งแต่งตัวก็ไม่ค่อยเป็น ตอนนี้กลายเป็นหญิงสาวสวยสะพรั่งคนหนึ่งแถมยังฉะฉานไม่เหมือนเคย

          “งานของชิชาก็ไม่ได้สบายขนาดนั้นหรอก เหนื่อยเหมือนกัน มันมีอะไรมากกว่าที่คนทั่วไปเข้าใจเยอะน่ะ”

          ชิชาโต้ตอบกลับไป ถึงแม้ว่าจะชินแล้วที่ถูกคนทั่วไปมองว่าอาชีพของเธอก็แค่ทำตัวสวยๆ ยิ้มต้อนรับผู้โดยสาร พอเครื่องแลนด์ก็ไปค้างคืนเที่ยวต่างประเทศเพลินๆ มันทำให้อดขัดใจไม่ได้ เพราะความเป็นจริงแล้วงานมันเหนื่อยสายตัวแทบขาด ไหนจะต้องอดกลั้นกับผู้โดยสารแสนดื้อด้าน อดหลับอดนอนปรับตัวให้เข้ากับเวลา ไหนจะต้องมีการฝึกการสอบทุกปีให้ต้องอ่านหนังสือกันจนหัวฟู และอีกสารพัดอย่างที่เธอต้องทำโดยที่คนภายนอกไม่อาจล่วงรู้

          “หรอ? แต่ก็คุ้มนี่ ชิชาก็ได้เงินเดือนตั้งเยอะ ดูเราสิเป็นเซลล์ แค่พูดจาดีเอาใจเก่งอย่างเดียวไม่พอนะ ยังต้องรู้จริง ถ้าลูกค้าถามอะไรมาแล้วเผลอตอบไปโง่ๆล่ะก็ คงเจ๊งกันยกทีม”

          ชิชาได้แต่หรี่ตามองคนที่เอาแต่พูดราวกับย้ำนักย้ำหนาว่างานของตัวเองต้องใช้ความพยายามมากกว่า ต้องมีความรู้มากกว่า เธอเกลียดสายตาสีหน้าที่อ่านออกได้ว่า “ชิชาเป็นแค่ผู้หญิงที่ใช้แค่ความสวยทำงาน”

          “นี่ชิชา ถ้าชิชาบินไปยุโรป เราจะฝากซื้อกระเป๋ามั่งได้ป่ะ?”

          ‘มาอีกแล้วพวกขี้ฝาก สนิทกันตอนไหนไม่ทราบ?’

          “ได้ดิ ไม่ต้องเกรงใจ แต่เงินต้องมาก่อนนะเว้ย”

          คนที่ตอบรับกลับไปดันเป็น “พิมพ์” สามีตัวดีของเธอเสียอย่างนั้น ชิชารู้ทันว่าผู้ชายคนนี้คงจะแอบคิดค่าหิ้วไม่ยอมทำอะไรให้ใครฟรีๆ ทว่าได้ถามคนเป็นภรรยาบ้างรึยัง? ว่าอยากจะลดเวลานอนออกไปเดินซื้อของให้คนที่เริ่มเหม็นขี้หน้าบ้างรึเปล่า

          ชิชาถอนใจอย่างไม่สบอารมณ์ เธอได้แต่เงียบไม่ตอบโต้อะไรออกมา ไหมที่นั่งสังเกตการณ์อยู่เงียบๆตอนนี้ก็เลื่อนข้อไก่ทอดในจากไปให้หญิงสาวที่ทำหน้าบูดอยู่ฝั่งตรงข้าม

          “กินมั้ยชิชา? แก้หงุดหงิด”

          หญิงสาวเลิกคิ้วขึ้นมองคู่สนทนาที่ส่งยิ้มกริ่มมาให้ ชิชาแอบแปลกใจที่ไหมรู้ทันรีบคว้าข้อไก่ทอดใส่ปากเคี้ยวกร้วมๆอมยิ้มกลับไป

สุดท้ายแล้วเจ้าข้อไก่ทอดก็ไม่ได้ช่วยอะไร...

          ผู้หญิงคนนั้นยึดสามีของเธอไปคุยจ้อด้วยไม่หยุด แถมคุยกันในเรื่องที่ชิชาไม่เข้าใจ ไม่มีตรงไหนให้เธอเข้าไปแทรกได้ ตอนนี้หญิงสาวเริ่มรู้สึกราวกับตัวเองเป็นคนโง่ขึ้นมาจริงๆที่ไม่มีความรู้อะไรจะไปฟาดฟันกับเขา

          ความไม่พอใจก่อตัวขึ้น จะว่าหึงหวงก็ไม่ใช่เพราะชิชาไม่ได้จัดว่าเป็นคนขี้หึง แต่เพราะหมั่นไส้ยัยคนนั้นมากกว่าถึงได้รู้สึกว่าถึงเวลาที่จะต้องทวงคืนสามีกลับมาได้แล้ว

          “พิมพ์”

          “ว่าไงชิชา”

          “ชิชาอยากดื่ม ชงเหล้าให้ชิชาหน่อยสิ...นะ”

          “เอ้าก็เรียกเด็กมาชงให้สิ จะมาใช้พิมพ์ทำไม”

          “ก็เรียกแล้วน้องเค้าไม่ว่างกันเลยนี่”

          “งั้นก็รอไป...”

          ความพยายามในการเรียกร้องความสนใจไม่เป็นผล เมื่อสามีของเธอหันมาตอบส่งๆแล้วหันกลับไปคุยกลับเพื่อนสาวอีกคนอย่างเมามัน ไหมที่เห็นอย่างนั้นเลยชงเครื่องดื่มสีน้ำตาลอ่อนใสมาวางไว้ตรงหน้าคนหงอย

          “อ่ะ...เหล้าผสมสไปร์ท”

          “ขอบคุณนะไหม...”

          ชิชารับเครื่องดื่มเย็นๆในแก้วมาหน้าเจื่อน เธอกระดกเหล้าพรวดๆหวังจะคลายความหงุดหงิดแต่มันกลับไม่ช่วยอะไร

          “พิมพ์!”

          “มีอะไรอีกชิชา?”

          “ชิชาอยากกลับบ้านแล้ว...”     

          หญิงสาวเริ่มงอแงเมื่อถูกปฎิบัติราวกับว่าเธอไม่สำคัญ

          “อะไรเนี่ยชิชา? ไหนคุยกันแล้วไงว่าจะอยู่จนถึงเที่ยงคืน นี่เพิ่งจะสี่ทุ่มครึ่งเอง”

          “ก็ชิชาเหนื่อยแล้วนี่พิมพ์”

          “งั้นขออยู่ต่ออีกชั่วโมงนึง”

          “ไม่เอาชิชาจะกลับเดี๋ยวนี้”

          “โอ๊ย! ชิชาอย่ามางี่เง่าไร้สาระได้ป่ะ? ถ้าเหนื่อยจะตามพิมพ์มาทำไมล่ะ?”

          “ไม่รู้ล่ะ ถ้าพิมพ์ไม่กลับชิชากลับไปคนเดียวก็ได้”

          “เอองั้นก็ตามใจ”

          คงจะจริงที่ว่าหลายๆ คู่แต่งงานกันมาได้ไม่เท่าไหร่ก็ไม่เอาใจใส่กันเหมือนเดิม พิมพ์เองก็อดรำคาญที่ภรรยาของเขาเอาแต่ใจไม่ได้ ส่วนชิชาก็หงุดหงิดใจที่สามีของเธอดูไม่ใส่ใจอะไรทั้งสิ้น

          คนงอนสะบัดสะบิ้งเดินออกจากร้านไป ในใจเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองที่สามีของเธอเห็นเพื่อนหญิงที่ดูสวยราวกับตัดหัวเก่าทิ้งไปเอาของใหม่มาใส่ดีกว่าภรรยาที่สวยมาตั้งนานแล้วอย่างเธอเป็นไหนๆ

          “ชิชาให้เราไปส่งมั้ย?”

          น่าแปลกที่คนที่ควรจะตามมากลับไม่ใช่พิมพ์ ทว่ากลับเป็น “ไหม” เพื่อนสนิทสามีของเธอที่นั่งเงียบมาตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้

          “ไม่เป็นไรหรอก...ไหมไปอยู่กับเพื่อนๆเถอะ ชิชาเกรงใจ”

          เจ้าของใบหน้าหมองตอบปฏิเสธ ไหมที่เห็นแบบนั้นจึงยิ้มขึ้นก่อนจะพูดออกไปด้วยความปรารถนาดี

          “เราไปส่งดีกว่า ดึกแล้วอย่านั่งแท็กซี่เลย อันตราย...”



          ชิชาได้ขึ้นมานั่งอยู่บนรถของหมอหญิงเรียบร้อยแล้ว เธอดึงสายเข็มขัดออกมารัด ในขณะที่หญิงสาวอีกคนเหยียบคันเร่งให้เจ้ารถสีบรอนซ์คันเก่งวิ่งไปข้างหน้า

          “ขอบคุณนะไหมที่อุตส่าห์ไปส่งเรา”

          ชิชาเอ่ยขอบคุณไหมจากใจที่มีน้ำใจกับเธอ ในขณะที่คนเป็นสามีกลับไม่ได้ให้ความสำคัญใดๆ

          “ไม่เป็นเรา เราเองก็ขี้เกียจนั่งอยู่ตรงนั้นแล้วเหมือนกัน...”

          “ทำไมล่ะ? ไหมไม่สนุกหรอ?”

          “ก็ไม่เชิง...เรารำคาญใครบางคนมากกว่า...”

          คนหลังพวงมาลัยแตะเบรกรถเมื่อเห็นสัญญาณไฟแดง

          “เรารู้นะว่าชิชาไม่ชอบน้ำตาลใช่มั้ยล่ะ?”

          น้ำตาลคือเพื่อนสาวที่ยึดสามีของชิชาไปจนเป็นเหตุให้เธอต้องหนีกลับออกมาแบบนี้

          “เราเองก็ไม่ชอบเหมือนกัน”

          ไหมหันไปยิ้มกริ่มให้คนข้างๆ ชิชาเองก็ยิ้มกว้างตอบกลับไปให้คนรู้ทัน

          “ความจริงชิชายังไม่อยากกลับหรอก ชิชาชอบเที่ยวนั่งชิวจะตาย นานๆทีพิมพ์ถึงจะยอมให้ชิชาออกมาด้วย...”

          “ถ้างั้นก็ยังไม่ต้องกลับก็ได้ เราไปเที่ยวกันสองคนซะเลยดีมั้ย?”

          “เอาสิ! ชิชารู้จักร้านดีๆหลายที่เลย”

          สัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนสีเขียวสว่าง หมอหญิงเหยียบคันเร่งให้รถพุ่งตัวไปเบื้องหน้า อาจจะดูน่าแปลกที่เธอเลือกที่จะชวนภรรยาของคนที่ลืมไม่ลงไปเที่ยวด้วยกันสองคน แต่มันกลับสบายใจอย่างน่าประหลาด

          และสิ่งที่ตามมาในคืนนั้นคือชิชาเมาแอ๋จนไม่ได้กลับคอนโด...


ออฟไลน์ Timid Lily

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0

บทที่ 29 : ไหมกับชิชา

          “ชิชาเบื่อพิมพ์”

          หญิงสาวที่หน้าแดงก่ำกลิ่นคละคลุ้งไปด้วยแอลกอฮอล์ กำลังเดินโซเซโดยที่มีหญิงสาวอีกคนช่วยพยุง

          “ชิชาๆ ประตูบ้านอยู่ทางนี้”

          ไหมที่ประคองชิชาอย่างทุลักทุเลพยายามนำคนที่ก้ำกึ่งไม่ได้สติให้เดินเข้ามาในบ้านของตน

          “ทั้งขี้งก ปากก็ร้าย ไหนจะชอบหว่านเสน่ห์จนมีพวกลูกความสาวๆสวยๆคอยมาตามตื๊อ ไหนจะทนายด้วยกันแล้วก็อีกสารพัด ขนาดชิชาไม่ใช่คนขี้หึงนะ แต่มันชักจะเยอะไปหน่อยแล้ว!”

          ชิชาทิ้งตัวลงนอนบนเตียงของไหม ปากก็ยังพร่ำตัดพ้อเรื่องสามีไม่หยุด

          “ไหม...พิมพ์มีอะไรดีนักห๊ะ?”

          ไหมที่นั่งอยู่บนเตียงฟังพลางอมยิ้มขำไปด้วย เธอรู้จักนิสัยเพื่อนคนนี้ดี

          “ผู้หญิงคนไหนที่ได้รู้จักพิมพ์ก็ชอบมันทั้งนั้นแหละ”

          เธอเองก็ไม่แตกต่าง...

          “หรอ...แต่ถ้าชิชารู้ว่าพิมพ์เป็นคนแบบนี้ตั้งแต่แรกนะ...ชิชาคงจะเกลียดพิมพ์”

          “เกลียด” เป็นอีกความรู้สึกหนึ่งที่ไหมมีต่อพิมพ์และมันก็รุนแรงไม่แพ้ความรู้สึกรักที่เธอมีให้กับเขา ช่างน่าแปลกที่ความรู้สึกทั้งสองมัน ปนเปกันจนไหมเองก็ไม่เข้าใจ สิ่งเดียวที่เธอนึกสมเพชก็คือ คนที่รู้ข้อเสียมากมายของพิมพ์เช่นเธอ ทำไมกลับยังห้ามใจไม่ให้ตกหลุมรักคนๆนี้ไม่ได้

          และแล้ว...วันรุ่งขึ้นแห่งความเลวร้ายก็ได้มาถึง



          “ชิชาทำไมไม่กลับคอนโด? ! โทรไปก็ไม่รับสายไปทำอะไรมา?!”

          พิมพ์ขึ้นเสียงถามหญิงสาวที่เป็นภรรยาดังลั่น ในขณะที่ชิชาก็ตอบโต้กลับไปใส่อารมณ์ไม่แพ้กัน

          “พิมพ์จะอยากรู้ไปทำไม? พิมพ์ก็ไม่ได้คิดจะสนใจชิชาอยู่แล้วนี่”

          “อย่ามางี่เง่านะชิชา!”

          “ชิชาไม่ได้งี่เง่า พิมพ์นั่นแหละที่น่ารำคาญ!”

          “ชิชา!”

          “เดี๋ยวๆๆ ใจเย็นๆ ฟังเราก่อน”

          ไหมเห็นท่าไม่ดีจึงรีบเอ่ยปรามคนจะตีกัน

          “เมื่อคืนชิชาไปเที่ยวต่อกับเราเอง แล้วก็ดื่มไปเยอะเลยไปค้างบ้านเรามา”

          “อ๋อเดี๋ยวนี้สนิทกันขนาดนี้เลยหรอ? เราจะบอกอะไรให้นะไหม เราไม่ชอบให้เมียเราออกไปเที่ยวกลางคืน เมาทีไรควบคุมตัวเองไม่ได้ทุกที!”

          พิมพ์ขึ้นเสียงใส่ไหมที่เป็นผู้สมรู้ร่วมคิด ทำให้เธอได้แต่ถอนหายใจหน้าเสียไปอีกคน

          “พิมพ์ไม่ต้องไปว่าไหมเลยนะ แล้วถึงชิชาจะเมา ชิชาก็ไม่เคยทำตัวเสียๆหายๆเลยซักครั้งเดียว พิมพ์ดูตัวเองบ้างเหอะ ขนาดไม่ได้เมาแต่ก็ทำเหมือนไม่เห็นหัวเมียตัวเอง!”

          พูดจบชิชาก็เดินหนีเข้าไปในห้องนอน ทิ้งพิมพ์ให้โมโหเดือดดาลอยู่คนเดียว

          “ชิชา! กลับมาคุยกันให้รู้เรื่องเลย!”

          พิมพ์ตวาดลั่นหวังจะให้คนในห้องได้ยิน ขายาวๆจะก้าวเดินตามภรรยาที่เขาเห็นว่าสุดแสนจะงี่เง่าให้มาคุยกันให้จบ แต่กลับถูกใครอีกคนรั้งแขนเอาไว้

          “ใจเย็นๆนะแก ค่อยๆพูดค่อยๆจากันก็ได้”

          “ไหม! แกกลับไปก่อนเถอะ”

          พูดจบพิมพ์ก็ดันตัวไหมออกจากห้องไปก่อนจะปิดประตูลงเสียงดัง เสียงคนโวยวายเถียงกันดังมาจากข้างใน ไหมได้แต่ทอดถอนใจและจากไปเพราะมันไม่ใช่เรื่องที่คนนอกอย่างเธอจะเข้าไปยุ่งอะไรได้



          “ครืด” เสียงโทรศัพท์มือถือสั่นเรียกร้องความสนใจจากหญิงสาวที่กำลังง่วนอยู่กับการเก็บข้าวของเตรียมตัวเดินทางกลับโรงพยาบาลต่างจังหวัด เมื่อไหมคว้ามันขึ้นมาดูก็พบว่าคนที่โทรมาคือหญิงสาวที่มานอนค้างกับเธอเมื่อคืนนั่นเอง

          [ไหม...ชิชาเอง...]

          “มีอะไรหรอชิชา?”

          [ชิชายังไม่ได้ขอบคุณไหมเลยทั้งเรื่องเมื่อวาน แล้วก็เรื่องวันนี้...]

          “อ๋อ ไม่เป็นไร”

          [แล้วก็อยากจะขอโทษไหมด้วยนะ...]     

          คำว่า “ขอโทษ” ของปลายสายสั่นเครือ ชิชาพยายามกลั้นสะอื้นแต่ไหมก็รับรู้ได้ทันทีว่าคู่สนทนากำลังร้องไห้เสียใจอยู่ และรู้ดีว่าอะไรคือต้นเหตุ

          “ชิชา...?”

          [ไหม...ชิชาอึดอัด...ช่วยฟังชิชาหน่อยได้มั้ย?]

          “อืม...ได้สิ”

          ความคับข้องใจพรั่งพรูออกมาไม่หยุด ดูเหมือนว่านี่จะไม่ใช่หนแรกที่หญิงสาวมีปัญหากับสามี ความรู้สึกหลายๆอย่างที่เธอเก็บเอาไว้ในใจตอนนี้กำลังถูกระบายให้ใครอีกคนได้ฟัง มันโล่งขึ้นราวกับความทุกข์หนักๆ ที่ถูกกดทับไว้ปลดเปลื้องออกไปจากใจ

          นับตั้งแต่นั้นมา “ไหม” ก็กลายเป็นคนที่คอยรับฟังปัญหาระหว่างชิชากับพิมพ์ ชิชาจะโทรมาหาและมานั่งเล่นที่บ้านไหมทุกครั้งที่มีโอกาส ทั้งสองสนิทสนมกันมากขึ้น ในขณะเดียวกันระยะห่างระหว่างชิชากับสามีก็มากขึ้นทุกวันเช่นกัน

          และหนหนึ่งความขัดแย้งระหว่างชิชากับพิมพ์คงจะรุนแรง...รุนแรงมากจนหญิงสาวตัดสินใจขับรถมาหาไหมถึงบ้านพักที่ต่างจังหวัด



          “ไหม...”

          หญิงสาวที่ดวงตาบวมช้ำราวกับเสียน้ำตามาอย่างหนักกำลังยืมเศร้าซึมอยู่ตรงหน้าไหมที่เปิดประตูห้องออกมา

          “ชิชาขอคุยด้วยหน่อยได้มั้ย?”



          “พิมพ์ไม่เคยเข้าใจอะไรชิชาเลยซักอย่าง”

          ชิชากำลังตัดพ้อเรื่องที่เธอไม่อยากบินไปจนแก่จึงตัดสินใจร่วมหุ้นทำธุรกิจกับเพื่อน เธอสินใจควักเงินเก็บทั้งหมดลงทุนไป ทว่ากิจการไปได้ไม่สวย เพื่อที่จะช่วยเพื่อนๆอุ้มธุรกิจไว้จึงตัดสินใจขอยืมเงินพิมพ์แต่พิมพ์ไม่ให้และบังคับให้เธอถอนหุ้นออกมาอย่างจำใจ

          “พิมพ์มองทุกอย่างเป็นเรื่องกำไรขาดทุนไปหมด เห็นแก่ตัว! ไม่มีน้ำใจ!”

          “แต่ไหมคิดว่าพิมพ์พยายามจะปกป้องชิชานะ...”

          “ตรงไหนหรอไหม? พิมพ์ว่าชิชาโง่ หาว่าชิชาโดนหลอกอย่างนั้นอย่างนี้”

          “พิมพ์ก็แค่ปากร้ายน่ะชิชา พิมพ์ไม่อยากให้ชิชาต้องเจ็บตัวมากไปกว่านี้ก็แค่นั้นเอง”

          คนงอแงนิ่งคิดตาม จริงอย่างที่หมอหญิงว่า หากเธอตัดสินใจดันทุรังลงทุนต่อไป บางทีอาจจะไม่เหลืออะไรเลยก็เป็นได้

          “ไหม...ทำไมไหมถึงเป็นคนดีจัง?”

          “อารมณ์ไหนเนี่ยชิชา?”

          คนถูกชมกลายๆยิ้มขึ้น ไหมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าชิชานึกอะไรอยู่ถึงเอ่ยชมเธอขึ้นมา

          “ก็ไหมคอยรับฟังชิชาตลอดเลย แล้วก็คอยให้คำแนะนำเตือนสติชิชาด้วย ทำไมคนดีๆอย่างไหมถึงไม่มีแฟนกับเค้าซักที?”

          ไหมเลิกคิ้วขึ้นพลางคิดในใจ เธอจะเอาเวลาที่ไหนไปเจอใครในเมื่อต้องทำงานจนหัวฟู

          “ไหมก็หน้าตาน่ารักจะตาย ไม่มีคนมาจีบเลยหรือไง?”

          “เราทำงานหนักน่ะชิชา ไม่มีเวลาหรอก”

          “แล้วไหมเคยมีแฟนมาก่อนมั้ย?”

          หมอหญิงได้แต่ส่ายหน้า เพราะตั้งแต่เกิดมาเธอมีพิมพ์เป็นรักแรกและตอนนี้ก็ยังไม่มีโอกาสเปลี่ยนใจไปรักใคร

          “งั้นก็แปลว่าไหมไม่เคยมีจูบแรกเลยงั้นหรอ?”

          บทสนทนาหวานแหววแบบที่ไหมแทบจะไม่เคยคุยกับใครมาก่อนทำให้เธอรู้สึกจักจี้เล็กๆ เธอได้แต่ยิ้มปุเลี่ยนๆกลับไป

          “ถ้าชิชาเป็นผู้ชาย ชิชาก็จะจีบผู้หญิงแบบไหมนี่แหละ”

          ชิชาฉีกยิ้มหวานให้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีผู้หญิงมาพูดกับไหมเช่นนี้ แต่พอเป็นชิชาหญิงสาวผู้เป็นภรรยาของเพื่อนที่เธอแอบรักเป็นคนพูดขึ้นมา มันชวนให้ไหมรู้สึกสับสนในความรู้สึก...

          คนที่ได้ครอบครองทั้งร่างกายและหัวใจของคนๆนั้น

          กลับมาพูดกับเธอเช่นนี้...

          ย้อนแย้งสิ้นดี

          “ถ้าได้จูบกับคนที่ชอบมันจะรู้สึกยังไงหรอ?”

          ไหมสบตาคนตรงหน้าจริงจัง ลึกๆเธอก็อดอิจฉาไม่ได้ที่ชิชาได้ครอบครองริมฝีปากของชายที่เธอโหยหา

          ความเงียบเข้าครอบคลุมบรรยากาศโดยรอบ สายตาที่ชิชาไม่เข้าใจกลับดึงเธอเข้าไปให้จมอยู่ในห้วงแห่งความอ่อนไหว เธอเองก็อยากจะเฉลยให้หญิงสาวได้เข้าใจว่าหากได้จูบกับคนที่ชอบมันรู้สึกยังไง เพราะตอนนี้เธอเองก็เริ่มระงับความรู้สึกของตัวเองไว้ไม่ได้

          ‘ถ้าได้จูบกับคนที่ชอบ...’

          ริมฝีปากเล็กๆแตะสัมผัสมอบจูบแผ่วเบาอ่อนหวาน ทอดส่งอารมณ์หลงใหลให้คนตรงหน้า ช่างน่าตกใจที่อีกฝ่ายไม่มีทีท่าแข็งขืน ไหมรับจูบตอบกลับละมุนละไม ความรู้สึกภายในผสมปนเป

          จูบจากหญิงสาวอีกคนที่เธอไม่เคยคิดอะไร...

          จูบจากคนที่เคยลิ้มรสริมฝีปากของชายที่เธอมอบใจให้...

          ทำไม...? ทำไมถึงไม่อาจหักห้ามใจได้เลย...



          ชีวิตคือความไม่แน่นอน พายุลูกใหญ่ได้มาเยือนแพทย์หญิงผู้น่าสงสาร ความผิดพลาดครั้งใหญ่ในชีวิตกำลังทำลายและผลักเธอลงสู่เหวลึกมืดสนิทไร้จุดสิ้นสุด

          ผิดที่ไม่รู้จักหักห้าม เริ่มเปิดใจให้คนมีเจ้าของ…

          ผิดที่ทะนงตน ไม่ฟังคำใครรักษาคนไข้จนผิดพลาดแม้เป็นเจตนาดี…

          ผิดที่เลือกคบคนบางคน รู้ทั้งรู้ว่าเพื่อนคนนี้มีนิสัยเช่นไรแต่กลับยังวางใจ...




          “ไหม! ทำไมไหมถึงยอมปล่อยให้พิมพ์ขูดเลือดขูดเนื้อซะขนาดนั้นล่ะ? ถ้าเป็นชิชา ชิชาจะไปจ้างให้ทนายคนอื่นทำคดีให้แล้ว”

          “เราจำเป็นน่ะชิชา เพราะตอนนี้มีแต่พิมพ์เท่านั้นที่เราพอจะไว้ใจได้”

          เพราะพิมพ์ได้กลายมาเป็นหนึ่งในผู้สมรู้ร่วมคิดในการกระทำความผิดบางอย่าง...

          “ชิชาเข้าใจ...”

          แขนเล็กๆ โผโอบกอดหญิงสาวที่กำลังน้ำตาคลอเบ้า ชิชาลูบแผ่นหลังแคบๆเป็นการปลอบโยน ถ้าเป็นไปได้เธอไม่อยากเห็นน้ำตาของ “หญิงสาวผู้เป็นที่รัก” คนนี้เลยแม้แต่น้อย

          แต่สุดท้าย “ผู้ชายคนนั้น” ก็ทำให้ “คนที่เธอรัก” ต้องเสียน้ำตา



          “ทำไมพิมพ์ถึงทำแบบนี้?! คนเลว! ชิชาเกลียดพิมพ์!”

          เพราะชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของเธอเป็นต้นเหตุทำให้แม่ของไหมที่เธอรักตัดสินใจจบชีวิตของตัวเอง

          เพราะคำพูดของคนเลวๆทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งต้องสูญเสียมารดาผู้เป็นที่รักไป

          “พอได้แล้วชิชา!”

          อารมณ์ที่พลุ่งพล่านขึ้นทำให้ทนายหนุ่มเลิกที่จะกดข่มโทสะของตนอีกต่อไป มือแข็งแรงคว้าแขนบอบบางบีบแน่นก่อนจะเหวี่ยงสตรีที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาล้มลงที่พื้น

          “โอ๊ย! พิมพ์ทำแบบนี้กับชิชาได้ยังไง?!”

          จากความรักแปรเปลี่ยนเป็นความบาดหมาง

          ความเกลียดชังก่อตัวขึ้นกัดกินข้างใน...

          พอกันทีกับการที่จะต้องฝืนทนอยู่กับคนที่เธอหมดใจ


          “ชิชาจะหย่า!”

          ทว่าการจะหย่าร้างกับใครสักคนกลับไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะก่อนที่จะตัดสินใจทำลงไป ชิชาก็ต้องมานั่งฟังเสียงของคนรอบข้างที่จะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นได้ง่ายๆ คนที่เป็นสามีของเธอก็เช่นกัน หญิงสาวเหนื่อยมากแล้วกับชีวิตคู่ที่ไร้ซึ่งความสุข เหนื่อยมากแล้วกับการที่ต้องคอยแอบซ่อนความรักที่เธอมีให้กับใครอีกคน



          เมื่อชิชาได้รู้ว่าพิมพ์นัดพบกับไหมและผู้อำนวยการโรงพยาบาลเรื่องคดีความ เธอจึงไม่รอช้าขอติดตามไปด้วย และในระหว่างที่สามีของเธอออกไปพบกับผู้ใหญ่ของทางโรงพยาบาล หมอหญิงก็ได้แวะเวียนมาหาชิชาถึงที่โรงแรม

          เสียงสะอื้นไห้ คราบน้ำตา และร่างกายที่สั่นเทากำลังทำให้คนที่ปลอบโยนรู้สึกปวดร้าวไม่แพ้กัน

          “ไม่เป็นไรนะ...ไหมยังมีชิชาอยู่ด้วยทั้งคน”

          ใบหน้าสวยขยับเข้าใกล้ ลมหายใจอุ่นปะทะแก้มใสจนร้อนวูบ ริมฝีปากที่สั่นไหวจากการร้องไห้กระตุ้นให้คนตรงหน้าอยากได้มาครอบครอง

          ห่างเพียงแค่คืบ...ก็จะได้สัมผัสกับจูบที่โหยหา...

          “ไหม!!! มึงจะทำอะไรกับเมียกู!!!”

          เสียงเดือดดาลตะโกนลั่น มือแกร่งบีบหัวไหล่เล็กๆ ก่อนจะผลักร่างของหญิงสาวกระแทกกับผนังห้องเต็มแรง พิมพ์เขย่าร่างของไหมจนเจ็บไปหมดทั้งตัว

          “มึงเล่นชู้กับเมียกูหรอไอ้ไหม!”

          “ปล่อยไหมนะพิมพ์!”

          ชายหนุ่มดวงตาแดงก่ำเต็มไปด้วยความโกรธเกลียดและเสียใจ เขาผลักหญิงสาวที่พยายามยุดยื้อแขนของเขาจนล้มลง ก่อนจะระเบิดอารมณ์ใส่คนที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาอย่างไม่ปรานี

          “เพราะอย่างนี้ใช่มั้ยเลยอยากจะหย่ากับพิมพ์นัก? ได้! พิมพ์จะฟ้องหย่าให้บ้านของชิชาขายขี้หน้าหมดเนื้อหมดตัวกันไปเลย”

          พูดจบเขาก็หันกลับมากระแทกเสียงใส่คนที่ “เคย” เป็นเพื่อนที่รักที่สุดของเขา

          “ส่วนมึงไอ้ไหม! กูสมน้ำหน้ามึง! ที่แม่มึงตายก็เพราะเป็นเวรกรรมที่มึงทำเลวๆกับกูไว้ มึงคอยดูเลยนะกูจะทำให้ชีวิตมึงต้องชิบหายล่มจม ติดคุกหัวโตไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวัน!”

          ราวกับฟางเส้นสุดท้ายระหว่างคนทั้งสองได้ขาดสะบั้นลง มิตรภาพอันแสนยาวนานพังทลายลง หัวใจที่เต็มไปด้วยความอ่อนไหวกลับตาลปัตรสร้างความเกลียดชังเข้าไส้

          ‘เราคงอยู่ร่วมโลกกันต่อไปไม่ได้อีกแล้วล่ะพิมพ์!’



          ไหมล่วงรู้ว่าพิมพ์ได้ตกลงใจเปลี่ยนไปช่วยพวกสินทร และเธอจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นแน่ๆ เธอตัดสินใจนัดเจรจากับพิมพ์ และเสนอเงินจำนวนมหาศาลมากกว่าที่ชายหนุ่มเคยเรียกร้องเอาไว้ให้

          และสถานที่นัดพบแห่งนั้นคือ...

          ริมบึงห่างออกไปไม่ไกลจากโรงพยาบาล




          “เงินตามที่ตกลงกันไว้...”

          หมอหญิงส่งกระเป๋าเอกสารสีดำใส่รหัสแน่นหนาให้กับชายหนุ่ม คนทั้งสองสบตามองกันอย่างเย็นชา ราวกับว่าความเป็นเพื่อนที่ผ่านมาได้มลายหายไปหมดสิ้นแล้ว

          “เราขออย่างเดียวแค่ปล่อยเรากับชิชาไป แล้วแกก็วางมือจากคดีนี้ไปได้เลย เราสัญญาว่าจะไม่ให้ใครสาวตัวถึงแก”

          พิมพ์หันมองหญิงสาวด้วยสายตาแข็งกร้าว ไม่มีคำพูดใดเล็ดลอดจากปาก เขาย่อตัวลงก่อนจะเปิดกระเป๋าเพื่อตรวจสอบของข้างในอย่างไม่รีรอ และก็พบว่าข้างในกลับกลายเป็น...

          ‘เงินกระดาษ?!’

          พลันความเจ็บแปลบแล่นขึ้นที่ซอกคอ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เข็มฉีดยาปักเข้าตรงเส้นเลือดดำอย่างแม่นยำ ความง่วงซึมเข้าแทรกแซงแทนที่ ร่างกายเริ่มหนักอึ้งทิ้งทอดร่างลงบนพื้น

          “แกชอบเงินนักใช่มั้ย? ไม่ต้องห่วงนะ...แล้วเราจะเผาไปให้”

          สติค่อยๆ รางเลือน ภาพสุดท้ายที่เห็นชัดเจนคือสายตาเย็นชาของคนที่เคยเป็นเพื่อนส่งมาให้ และใครอีกคนที่ยืนอยู่ไม่ไกล

          ‘ชิชา...’

          หญิงสาวทั้งสองช่วยกันลากพยุงร่างของชายหนุ่มไปอย่างยากลำบาก เขาถูกทิ้งลงในน้ำเย็นเฉียบมืดสนิท พิมพ์ค่อยๆ จมลง อากาศเริ่มหมดไปเหลือทิ้งไว้เพียงร่างไร้วิญญาณล่องลอยในสายน้ำนิ่ง

          ลาก่อนชายผู้ที่เคยเป็นทั้งรักทั้งเกลียดของหญิงสาวทั้งสอง...





          พินที่กดโทรศัพท์หานกหนุ่มกำลังร้อนรน เขารอสายได้ครู่หนึ่งแล้วทำไมถึงยังไม่รับเสียที

          “ฮัลโหล! ทำไมรับสายช้านักมะ...”

          [น้องพิน...]

          ทว่าเสียงปลายสายที่ตอบกลับมากลับกลายเป็นเสียงของหญิงสาวที่เขารู้จักดี...

          “พี่ไหม!”

          ใบหน้าที่ตื่นตระหนกร้อนรนเมื่อครู่ตอนนี้ถอดสีซีดเซียว ใจกระตุกหวั่นไหวเต็มไปด้วยความกลัว

          “พี่พิมพ์อยู่ที่ไหน...?”

          [อยากเจอพิมพ์หรอ...?]

          ปลายสายตอบมาเสียงเย็นก่อนจะเงียบไป

          [พี่จะส่งที่อยู่ไปให้ แต่พินต้องมาคนเดียวนะ ถ้ามีคนอื่นมาด้วย...]

          พินนิ่งฟัง ตอนนี้ความหวาดวิตกตีตื้นขึ้นเต็มอก

          [เตรียมรอรับศพพี่ชายพินได้เลย]

          ปลายสายตัดไป ถึงพินจะไม่เข้าใจว่าไหมต้องการอะไร แต่ตอนนี้เขาจะต้องรีบรุดไปโดยเร็วที่สุด ชายหนุ่มได้แต่อ้อนวอนอยู่ในใจ

          ได้โปรดอย่าทำอะไรคนที่เป็นดวงใจของเขาเลย...


++++++++++++++++



          เรื่องราวของพิมพ์เฉลยออกมาจนหมดแล้วนะคะ จวนจะถึงบทสรุปของเรื่องแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นต่อไปก็ฝากติดตามด้วยน้า

          สำหรับนิยายเรื่องนี้จะมีฉากนอนหลับเยอะมาก ตัวละครนอนเก่งกันทุกคนเลยค่ะ โดยเฉพาะมะลิขอยกให้เป็นเทพแห่งการนอนไปเลย


ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Timid Lily

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0
บทที่30 : พราก

          “ทำแบบนี้ทำไม จะดึงพินเข้ามาเกี่ยวข้องเพื่ออะไร?”

          ชายหนุ่มที่กำลังนั่งอยู่บนเตียงนอนเอ่ยถามหญิงสาวที่เพิ่งจะวางสายโทรศัพท์

          “เดี๋ยวนี้รักพินจังเลยนะ ติดกันเป็นห่วงเป็นใยเกินพี่เกินน้อง วันนั้นที่โรงพยาบาลเราเห็นนะว่าแก...ทำอะไรกันอยู่บนเตียง”

          วันนั้น...วันที่มะลิตัดสินใจเผยความในใจของตนให้พินได้รับรู้ วันที่พินยอมมอบหัวใจให้กับเขา วันที่เขามีความสุขที่สุด...

          “จะว่าไปก็น่าสมเพช ฟื้นขึ้นมาทั้งทีนอกจากจะความจำเสื่อมแล้ว...จิตใจก็ยังผิดปกติวิปริตไปซะได้"

          มะลิรู้ดีว่าในสายตาคนนอกที่เห็นผู้ชายสองคนที่เป็นพี่น้องกันมีความสัมพันธ์ที่เกินเลย คงจะเป็นเรื่องน่ารังเกียจเกินกว่าจะรับไหว ทว่าตอนนี้มันไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว “รัก” ก็คือรัก ไม่ว่าชายหนุ่มจะอยู่ในฐานะอะไร เขาก็ไม่อาจยับยั้งความรู้สึกเหล่านั้นได้อีกต่อไป

          “แต่แกไม่ต้องห่วงหรอกพิมพ์ เราเอ็นดูพินจะตาย...เราไม่ทำอะไรพินหรอก ตอนนี้มาคุยเรื่องของเรากันดีกว่า”

          สายตาไม่ไว้วางใจมองจ้องไปยังหญิงสาวที่กำลังยืนล้วงกระเป๋าเสื้อแจ๊กเก๊ตอยู่ ตอนนี้มะลิไม่กล้าที่จะขยับเขยื้อนหรือมีท่าทีต่อต้านมากนัก เพราะเขาเองก็ไม่อาจรู้ได้ว่าหญิงสาวทั้งสองได้พกพาของอันตรายติดตัวเอาไว้รึเปล่า

          “แกจำเรื่องทั้งหมดได้แล้วใช่มั้ย?”

          ชายหนุ่มตอบรับพยักหน้ากลับไป

          “เราจำได้แล้วว่าคนที่ลงมือทำร้ายเราก็คือไหม แต่เราไม่คิดเลยว่าชิชาจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย”

          “ถ้าเป็นไปได้ชิชานี่แหละที่อยากจะฆ่าพิมพ์ให้ตายๆไปซะ”

          หญิงสาวอีกคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆเอ่ยขึ้นเสียงกร้าว ดวงตาที่จ้องมองมาแข็งขึ้นเกรี้ยวกราด     

          “จำอุบัติเหตุรถชนได้มั้ย? วันนั้นเป็นฝีมือของชิชาเอง”



          ในวันนั้น วันที่หญิงสาวทั้งสองต่างอาสาแย่งกันพาชายหนุ่มไปโรงพยาบาล ระหว่างที่คนทั้งสามกำลังจะเดินไปยังอาคารจอดรถ เสียงโทรศัพท์ของไหมก็ดังขัดจังหวะขึ้นมา

          ‘Rrrrrr’

          [ไหม...เสร็จแล้วรึยัง?]

          “อื้ม กำลังจะกลับแล้ว”

          เสียงปลายสายไม่ใช่ใครอื่น “ชิชา” คนที่เพิ่งจะโต้เถียงกับหมอหญิงก่อนที่เธอจะพาเพื่อนชายคนนี้ออกมา

          [ตอนนี้ชิชาอยู่ที่รถไหม...]

          “ว่าไงนะ...? แป๊บนึงนะ...”

          เป็นเรื่องน่าตกใจที่จู่ๆหญิงสาวอีกคนก็ตามเธอมาที่โรงพยาบาล ไม่รู้ว่ามีเหตุผลอะไรที่ชิชาจะต้องทำเช่นนี้ ที่รู้ๆตอนนี้ไหมควรจะรีบไปเจอชิชาที่กำลังรออยู่

          “เดี๋ยวพิมพ์กับนินรอตรงนี้แล้วกันนะ เราจะไปเอารถลงมาจะได้ไม่ต้องเดินไกล ที่จอดรถมันแคบด้วย”

          ไหมจากไปทิ้งชายทั้งสองไว้เบื้องหลัง หญิงสาวรีบเดินเร็วๆไปยังรถสีบรอนซ์ของเธอ และ “ชิชา” ก็กำลังรอเธออยู่ตรงนั้น

          “ชิชาตามมาที่นี่ทำไม?”

          ชิชาที่ดูไม่สะดวกสบายใจรีบพูดขึ้นราวกับเธอทนเก็บความรู้สึกเอาไว้ไม่ไหวอีกต่อไป

          “ไหม...ให้ชิชาช่วยเถอะ ไหมไม่จำเป็นจะต้องมาตามล้างตามเช็ดเรื่องทั้งหมดนี้ด้วยตัวคนเดียวนะ”

          “เราคุยกันแล้วไม่ใช่หรอชิชา...ว่าอย่าเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก”

          “ไหม! ไหมอย่าทำแบบนี้ ไหมไม่ได้อยู่คนเดียวบนโลกนี้นะ ไหมยังมีชิชา...ไหมไม่จำเป็นจะต้องมาแบกรับเรื่องนี้อยู่คนเดียว”

          “ฟังนะชิชา ตอนนี้พิมพ์จำอะไรได้บ้างแล้วก็ไม่รู้ แต่เราก็ไม่อยากจะให้ชิชาต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง มามีความผิดร่วมกันกับเรามากไปกว่านี้”

          “ชิชาไม่กลัว ชิชารักไหม ชิชาจะไม่ทิ้งไหม!”

          “ชิชาเราขอร้องล่ะ ให้ความผิดครั้งนี้มันจบลงที่เราเพียงคนเดียวเถอะ”

          “ได้...แปลว่าถ้าชิชาผิด ชิชาก็มีสิทธิ์ที่จะอยู่เคียงข้างไหมใช่มั้ย?”

          พูดจบหญิงสาวก็เดินกระแทกเท้าจากไป ตอนนี้ไหมไม่มีเวลาที่จะมาปรับความเข้าใจหรือหว่านล้อมให้ชิชาเลิกยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตอนนี้สิ่งที่เธอต้องทำคือรีบเอารถลงไปรับคนสองคนที่กำลังรออยู่

          โดยที่ตอนนั้นเธอไม่ได้รับรู้เลยว่าชิชาจะมีความคิดเจตนาที่จะขับรถชนพิมพ์แล้วหนีไป...






          “ชิชาเกลียดพิมพ์ ยิ่งไหมต้องเดือดร้อนเจ็บปวดเสียใจ ชิชาก็ยิ่งอยากทำให้พิมพ์หายไป ถ้าพิมพ์ไม่พยายามขุดคุ้ยรื้อฟื้นเรื่องที่ลืมไปแล้ว ใจจริงชิชาคิดจะหย่ากับพิมพ์แล้วปล่อยให้พิมพ์ไปมีชีวิตของตัวเอง แต่พิมพ์แส่หาเรื่องเอง!”

          “ชิชา...ใจเย็นๆ”

          หมอหญิงเอ่ยปรามคนที่กำลังระเบิดอารมณ์เดือดดาล มะลิที่นั่งฟังอยู่ได้แต่อ้อนวอนกลับไปอย่างจนตรอก

          “ยกโทษให้เราด้วยเถอะ เราจะยอมทำตัวเป็นคนความจำเสื่อมแบบนี้ต่อไปไม่ยุ่งเกี่ยวกับไหมและชิชาอีก ขอแค่ได้ใช้ชีวิตต่อไปแบบนี้ก็พอ...ขอร้องล่ะ”

          เรื่องราวของพิมพ์ที่บานปลายมาขนาดนี้ดูเหมือนว่าจะไม่มีทางลงง่ายๆ มะลิจึงทำได้เพียงเอ่ย “ขอโทษ” เท่านั้น

          “ทุกอย่างมันสายไปแล้วล่ะพิมพ์ เราคิดผิดตั้งแต่ที่ขอให้แกมาเป็นทนายว่าความให้เราแล้วล่ะ”

          ไหมกัดฟันพูดอย่างเจ็บปวด ในขณะที่ชิชาเริ่มทนไม่ได้อีกครั้ง

          “พูดออกมาได้หน้าด้านๆพิมพ์มันโลภหน้าเลือด พิมพ์ทำให้แม่ของไหมต้องฆ่าตัวตาย แล้วยังให้หลักฐานทั้งหมดกับสินทรไป ทำกันขนาดนี้แล้วยังมีหน้าจะมาขอให้ยกโทษให้อีกงั้นหรอ? !”

          “พอเถอะชิชา...”

          ยิ่งฟังก็ยิ่งเจ็บปวดใจ เรื่องราวที่ถูกรื้อฟื้นขึ้นมามันเสียดแทงใจราวกับถูกมีดกรีดซ้ำไปซ้ำมาจนเป็นแผลฉกรรจ์ หญิงสาวนั่งกัดริมฝีปากบางเม้มจนแดงน้ำตาคลอหน่วย ความเสียใจถาโถมเข้าใส่จนเธอจมลงไปสู่ก้นบึ้งแห่งความทุกข์และความเคียดแค้น

          “ปังๆๆ” เสียงทุบประตูรัวลั่นมากจากข้างนอก พร้อมเสียงตะโกนเรียกฟูมฟายของผู้มาเยือนทำให้ทุกคนที่อยู่ข้างในหันไปมองเป็นตาเดียว

          “พี่ไหม! เปิดประตูให้พินหน่อย!”

          “พิน!”

          ถึงมะลิจะดีใจที่ได้ยินเสียงของคนที่ห่วงหา ทว่าความปลอดภัยของคนที่เขารักสำคัญกว่า ถ้าเป็นไปได้เขาไม่อยากจะให้พินเข้ามาตกอยู่ในสภาพเดียวกันกับตน

          “ชิชา...ช่วยไปเปิดประตูให้พินเข้ามาหน่อยสิ”

          “ไม่! อย่านะขอร้องล่ะ พินไม่เกี่ยวอะไรด้วย”

          “ทำไม...กลัวหรอ? เราก็บอกไปแล้วนี่ว่าเราไม่ได้คิดจะทำอะไรพิน”

          ชิชารุดไปยังประตู ส่วนไหมก็ยังคงยืนเคียงข้างชายหนุ่มไม่ห่างไปไหน

          “พิมพ์รู้มั้ย...? ถ้าเราไม่ลงมือจัดการกับแกเอง วันนึงชิชาคงจะต้องมือเปื้อนเลือดไปอีกคนแน่ๆ ...”

          หญิงสาวเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเศร้าหมอง สายตาที่ประเมินความหมายไม่ได้ถูกส่งมาทางชายหนุ่ม ดวงตาคู่นั้นฉายแววกังวล ลังเล เสียใจ เคียดแค้น อีกร้อยแปดพันเก้าความรู้สึกที่ผสมปนเปกันเหมือนสีสันที่ถูกฉาบย้อมทับกันจนเหลือเพียงความดำมืด

          ประตูค่อยๆถูกเปิดแง้มออก ชายหนุ่มร่างบางผู้เป็นดวงใจของมะลิค่อยๆ เดินแทรกผ่านเข้ามาภายใน ใบหน้าสวยงามฉายแววห่วงใย ดวงตาสดใสมีหยดน้ำพราวคลออยู่ภายใน

          “พิน...”

          เสียงเครือโหยหาร้องเรียกคนตรงหน้า ทว่าชายหนุ่มกลับไม่กล้าขยับตัวไปไหนด้วยใจหวาดหวั่นว่าคนรักจะมีภัย มะลิหันไปสบตาไหมที่ยืนอยู่ใกล้ๆอย่างหวาดระแวง

          “ไปสิ...ลุกไปหาพินสิ”

          ชายหนุ่มยันตัวลุกขึ้น ขายาวก้าวเข้าหาคนอีกคนที่เดินเข้ามาพร้อมด้วยรอยยิ้มหม่นหมอง...ดวงตาของทั้งสองสอดประสานเต็มไปด้วยรักและอาวรณ์

          คนที่เขารักที่สุดได้มาอยู่ตรงหน้าแล้วแท้ๆ

          แต่ทำไมถึงได้รู้สึกใจหายนัก...

          “ขอบคุณนะพิมพ์...ที่เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมาตลอด...”

          ระยะห่างจากคนทั้งสองไม่เกินจะคว้าเข้าสู่อ้อมอก...ทว่าหญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านหลังเดินประชิดเข้ามาใกล้พลางล้วงกระเป๋าแจ๊กเก็ตคว้าเอาอาวุธอันตรายขนาดเล็กสีเงินแวววาวออกมาจ่อบนศีรษะของชายหนุ่ม

          ‘ปัง!!!’

          เสียงลั่นไกดังสะท้อนไปทั่วห้องสี่เหลี่ยม เขม่าดินปืนฟุ้งกระจายไปพร้อมกับละอองเลือดที่ฟุ้งสาดไปทั่วไม่ต่างกับสายฝนแดงฉาน ไหมลดปืนลงเผยให้เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาและคราบเลือด

          “เรารักแกนะพิมพ์...”

          ‘รัก...จนทำให้เกลียดได้มากถึงขนาดนี้’

          “มะลิ!!!!”

          เสียงตะโกนเรียกดังลั่นขึ้นพร้อมๆกับร่างที่ค่อยๆล้มลง หยดน้ำใสจากดวงตาไหลพร่างพรูออกมาไม่ขาดสายเมื่อเห็นคนที่รักสุดหัวใจถูกพรากไปต่อหน้าต่อตา

          “ไม่นะมะลิ!!! มะลิ!!!”

          ‘อา...เราทำให้พินร้องไห้อีกแล้ว’

          ร่างกายที่กำลังล้มลงช้าๆ เผยให้เห็นน้ำตาที่ไหลหยดสะท้อนบนผิวสว่าง ราวกับ “มะลิ” ดอกไม้น้อยสีขาวพิสุทธิ์ยามต้องน้ำค้างถูกปลิดออกจากขั้วร่วงหล่นสู่ผิวดินแสนเยือกเย็น ใบหน้าสุกสว่างอันเป็นที่รักค่อยๆลางเลือนหายไปจากสายตา กลายเป็นภาพของชายหนุ่มอีกคนที่แสนคิดถึง

          ภาพของพี่ชายที่พินไม่ได้เห็นมานาน

          ...ภาพของ “พิมพ์”

          ‘เราขอโทษนะพิน...’

          ร่างกายเย็นเฉียบนอนแน่นิ่งอยู่ที่พื้น หยาดเลือดสีแดงไหลซึมอาบ พินรุดเข้าประคองกอดคนตรงหน้าน้ำตานอง ตอนนี้มะลิได้จากไปแล้ว เหลือเพียงร่างไร้วิญญาณของพี่ชายที่เขารัก

          “มะลิ...ฮึก...”

          ‘ขอโทษที่ทำให้ต้องร้องไห้หลายต่อหลายครั้ง’


          เสียงสะอื้นดังระงมไปทั่วทั้งห้อง ท่ามกลางความตกใจของชิชา เธอเองก็กำลังหลั่งน้ำตาออกมาเช่นกัน

          “ไหม! ทำไมทำแบบนี้? ไหนบอกว่าจะหนีไปกับชิชาไง?”

          “เราเหนื่อยแล้วน่ะชิชา...”

          เหนื่อยกับการที่จะต้องพยายามจัดฉาก เหนื่อยกับการที่จะต้องคอยมาโกหกหลบๆซ่อนๆ เธอไม่อยากจะหนีอีกต่อไปแล้ว ขอให้ความผิดบาปทั้งหมดตกอยู่ที่เธอคนเดียวก็พอ

          “เรียกตำรวจให้เราทีนะชิชา...”

          แม้จะรู้ตัวดีว่าอนาคตของตนได้มาถึงทางตันแล้ว ทว่าหมอหญิงกลับรู้สึกโล่งใจอย่างประหลาด ในที่สุดความแค้นของเธอก็ได้รับการชำระล้างไป เมื่อเพื่อนที่เคยรักที่สุดได้รับโทษสาสมกับการกระทำด้วยฝีมือของเธอเอง น้ำตาหยาดหยดเคลียใบหน้าทว่ากลับมีรอยยิ้มแห่งความยินดีเจืออยู่ ไหมเอ่ยพูดขึ้นเสียงเครือ ราวกับต้องการมอบความเมตตาให้กับร่างไร้วิญญาณเป็นการปลอบโยน

          “พิมพ์เราให้โอกาสแกได้เห็นหน้าคนที่รักเป็นครั้งสุดท้ายแล้วนะ...”

          พินได้ยินแบบนั้นก็ยิ่งสะอื้นร้องไห้แทบขาดใจ น้ำอุ่นใสไหลรินเป็นทางราวกับคลื่นแห่งความเศร้าโศกเสียใจซัดสาดเข้าใส่ แม้ว่าในที่สุดเขาก็มีโอกาสได้กลับมาเห็นใบหน้าของ “พิมพ์” พี่ชายที่รักของเขาอีกครั้ง แต่ในขณะเดียวกันที่เขาได้สูญเสีย “มะลิ” คนที่เขารักยิ่งกว่าสิ่งใดไป

          ทำไมฟ้าจึงใจร้ายนัก...มอบความรักมาให้และทวงคืนกลับไปอย่างโหดร้าย...

          ราวกับดวงใจถูกบดขยี้จนแหลกเหลว...

          ความสูญเสียที่ไม่คาดคิดได้ปลิดชีวิตของ” พิน” ให้ตายทั้งเป็น…



          ‘พิน...เรารักพินนะ...’






++++++++++++++++



          พิมพ์เป็น Love Hate ของไหมนะคะ ทั้งรักทั้งเกลียดในเวลาเดียวกัน ยิ่งรักมากยิ่งเกลียดมาก ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองต้องมีจุดจบแบบนี้ ในขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างไหมกับชิชาเป็นรูปแบบที่ซับซ้อนค่ะ เราเองก็ไม่แน่ใจว่าเรามีความสามารถพอที่จะสื่อสารให้รีดเข้าใจรึเปล่า เพราะนี่เป็นนิยายเรื่องที่สองของเรา T T

          สำหรับไหม การที่ชิชาเลือกเธอแล้วตัดสินใจทิ้งพิมพ์คือการเอาชนะค่ะ เป็นความรู้สึกที่ทำให้เธอเหนือกว่าพิมพ์ เมื่อได้ครอบครองสิ่งที่พิมพ์รัก แต่ถามว่าไหมเองรู้สึกกับชิชายังไง แน่นอนว่าก็มีใจให้ประมาณนึงเลยล่ะค่ะ แต่ถามว่าใจของไหมยังมีพิมพ์อยู่มั้ย ก็คือไม่เคยลืมและรักมากพอที่จะเกลียดนั่นเอง

          ในตอนนี้มะลิได้จากพินไปแล้ว เนื้อเรื่องช่วงหลังๆที่เราเขียนทำเอาจิตตกมากทีเดียวค่ะ อีกไม่กี่ตอนนิยายเรื่องนี้จะจบลงแล้วนะคะ ขอบคุณที่ติดตามมาโดยตลอดค่ะ แล้วเจอกันตอนหน้าน้า

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ Timid Lily

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0
     
บทที่31 : อดีต

          “ลามะลิลา ขึ้นต้นเป็นมะลิซ้อน พอแตกใบอ่อนเป็นมะลิลา...”

          เสียงชายหนุ่มกำลังร้องเพลงเจื้อยแจ้ว มือก็พลางขุดดินขะมักเขม้นไปด้วย ถึงแม้เขาจะอยู่ในเสื้อผ้าฝ้ายมอๆ ใบหน้าก็เปื้อนเปรอะไปด้วยเหงื่อและคราบดิน ทว่ามันกลับไม่อาจบดบังความสดใสน่ารักของคนๆนี้ได้เลย

          “พี่พุฒมาขุดดินทำอะไรอยู่ตรงนี้?”

          “คุณมิ่ง!”

          ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งใบหน้าอ่อนหวานสดใสกำลังยืนยิ้มให้ ทำเอาคนที่ลุกพรวดขึ้นมาได้แต่เขิน มันออกจะน่าอายที่มีคนมาได้ยินเขากำลังร้องเพลงเสียงลั่นไม่เป็นทำนองอยู่เช่นนี้

          “คุณมิ่งอย่าออกมาตากลมเลยนะครับ เดี๋ยวอาการจะยิ่งทรุดหนัก”

          “ฉันไม่เป็นไรหรอกพี่พุฒ แค่ก...”

          ถึงจะตอบไปเช่นนั้นทว่าชายหนุ่มที่เอาผ้าป้องปากอยู่กลับไอเสียงดังออกมาให้ได้ยิน ทำเอาคนที่กำลังเนื้อตัวเลอะเทอะรีบรุดเข้าไปหาด้วยความเป็นห่วง

          “อย่าเข้ามาใกล้ฉันเลย เดี๋ยวจะพาลติดโรคไปอีกคน”

          “พูดอะไรอย่างนั้นเล่าคุณมิ่ง มันเป็นหน้าที่ของผมที่จะต้องคอยดูแลคุณมิ่งอยู่แล้ว”

          ทว่าพูดจบเจ้าตัวก็เหมือนจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองกำลังสกปรกเลอะเทอะเกินกว่าจะไปแตะต้องเนื้อตัวนายน้อยของเขา

          “เดี๋ยวผมขอไปล้างมือให้สะอาดก่อนนะครับ แล้วผมจะพากลับเรือน”

          “ไม่ต้องหรอก พี่ทำอะไรค้างอยู่ก็ทำต่อไปเถอะ”

          เบื้องหลังของคนทั้งสองเป็นต้นไม้น้อยที่กำลังเตรียมเอาลงดิน นายหนุ่มเกิดความสงสัยจึงเอ่ยถามออกไป

          “แล้วนั่นมันต้นอะไรหรือพี่พุฒ?”

          “ต้นมะลิน่ะครับ ผมตั้งใจเอามาปลูกไว้ใกล้เรือนคุณมิ่ง เผื่อจะช่วยให้สดชื่นขึ้น คุณมิ่งจะได้หายไข้ไวๆ ไงครับ”

          “ฉันไม่กล้าหวังหรอกพี่...”

          “มิ่ง” เป็นลูกชายคนโตของข้าราชการผู้มั่งคั่งในพระนคร ทว่าเขากลับเจ็บไข้เป็นโรคร้ายตั้งแต่วัยหนุ่ม จึงถูกส่งตัวมาพักฟื้นอยู่เรือนเล็กห่างไกลครอบครัว โดยมี “พุฒ” ลูกชายของแม่นมที่เป็นเพื่อนเล่นกับเขามาแต่เล็กแต่น้อยอาสาคอยดูแล

          “อย่าพูดอย่างนั้นสิครับ หมอฝาหรั่งสมัยนี้เก่งนัก คุณมิ่งจะต้องหายไข้แน่นอนครับ”

          ถึงพุฒจะพูดเช่นนั้นแต่ “โรคฝีในท้อง” ที่ชายหนุ่มกำลังเป็นอยู่นั้นยังไม่มียาตำหรับใดรักษาให้หายได้ ตอนนี้มิ่งได้แต่พยายามใช้ชีวิตอย่างมีความสุขที่สุด ก่อนที่เวลาที่เหลืออยู่ของเขาจะหมดสิ้นลง

          “อย่าเศร้าไปเลยครับคุณมิ่ง”

          “เศร้าอะไรกันเล่า พี่พุฒลองดูหน้าตัวเองเสียก่อน ทำหน้าเศร้ากว่าฉันอยู่โข”

          ใบหน้าสวยที่เปรอะเปื้อนดินอยู่นั้นง้ำลงหม่นหมอง แม้ว่าชายหนุ่มจะรู้สึกอยากเข้าสัมผัสปลอบประโลมเรียกรอยยิ้มจากคนตรงหน้าแค่ไหนก็มิอาจทำได้ เพราะเกรงว่าโรคร้ายจะถูกถ่ายทอดไปสู่ผู้ติดตามผู้แสนดีคนนี้

          “เย็นค่ำแล้ว คุณมิ่งรีบกลับขึ้นเรือนเถอะครับ ลมแรงเสียด้วย เดี๋ยวตกดึกจะได้ไข้ขึ้นมาอีก”

          “อืม...งั้นฉันไปก่อนนะพี่”

          “แล้วเดี๋ยวผมจะรีบยกสำรับตามไปนะครับ”

          ยามตะวันเริ่มลาลับฟ้าเช่นนี้ ใบไม้ไหวแรงไปตามสายลมทำให้คนที่กำลังเดินอิดโรยกลับเรือนหนาวสั่นน้อยๆ ทว่าเสียงเล็กแหลมดังขึ้นดึงความสนใจของชายหนุ่มไปทางต้นไม้ใหญ่

          ‘เสียงนก?’

          เมื่อเข้าไปใกล้ มิ่งก็พบว่ามีลูกนกขนฟูหน้าขาวตาดำกลมโตกำลังร้องอยู่ใต้ต้นไม้นั้น ร่างสูงนั่งย่อลงก่อนจะคว้าสิ่งมีชิวิตเล็กๆนั้นขึ้นประคองในมืออย่างอ่อนโยน

          “เจ้าหลงทางมาหรือ?”

          เขาเอ่ยขึ้นกับเจ้านกน้อยที่กำลังจ้องหน้าเขาไม่กะพริบ

          “น่าสงสารนัก พ่อแม่ของเจ้าไปไหนเสียเล่า?”

          ชายหนุ่มยิ้มขำขึ้นที่ตนเอาแต่พูดคนเดียว นกน้อยตัวนี้คงน่าสังเวชไม่ต่างจากเขา ถูกพ่อแม่ทิ้งให้เดียวดายเผชิญกับความทุกข์โดยลำพัง นับตั้งแต่ที่โรคของเขาแสดงอาการ บุพการีทั้งสองต่างก็รังเกียจหวาดกลัวไม่กล้าแวะเวียนมาเยี่ยมเขาแม้แต่หนเดียว ทำเพียงเขียนจดหมายส่งมาให้เท่านั้น ทว่ายังนับว่าเป็นโชคดีของมิ่ง ที่ยังมี “พุฒ” คอยเป็นกำลังใจอยู่เคียงข้าง

          ละอองน้ำเริ่มกลั่นตัวหยาดหยด สายฝนเริ่มเทลงจากฟ้าทำให้ชายหนุ่มที่กำลังพรรณนาอยู่ในใจรีบพาเจ้าลูกนกหลบขึ้นเรือนหาที่กำบัง

          มิ่งคว้าตะกร้าหวายใบย่อมขึ้นพลางปูผ้าดิบลงไป เขาวางลูกนกน้อยลงในนั้นอย่างเบามือ พลางจ้องมองอย่างมีความสุข

          “เจ้าเป็นนกอะไรกัน? หน้าตาพิลึกนัก”

          เขายิ้มให้กับนกน้อยที่กำลังเอียงคอมองราวกับคอจะหัก ถึงแม้จะดูน่ารักแต่กลับน่าขนลุกในเวลาเดียวกัน

          “คุณมิ่งสำรับมาแล้วครับ”

          พุฒเดินยกสำรับมื้อเย็นเข้ามาในห้อง เขาวางถาดสำรับลงอย่างเบามือก่อนจะตกใจที่เห็นนายน้อยตัวเปียกชื้นน้ำจากสายฝนที่เพิ่งจะเทลงมา

          “คุณมิ่งตากฝนมาหรือครับ”

          คนเป็นห่วงตาลีตาเหลือกรีบรุดเข้ามาใกล้ ก่อนจะคว้าผ้ามาเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้อย่างเบามือ

          “พี่พุฒฉันบอกแล้วไงว่าอย่าเข้ามาใกล้ ฉันยังไม่ได้หาอะไรมาป้องหน้าป้องปากเลย”

          “ก็ผมตกใจนี่ครับที่คุ...แว้ก!!!”

          คนลุกลนร้องแหกปากเสียงดังขึ้นมาเมื่อเห็นนกอัปมงคลกำลังทำคอยึกยักอยู่ในตะกร้า

          “นะ...นกแสก!!!”

          “เจ้านี่คือนกแสกงั้นหรือพี่พุฒ?”

          ชายหนุ่มพยักหน้ารัว ในขณะที่คนป่วยผละตัวเข้าสำรวจเจ้าลูกนกหน้าตาประหลาดตัวนี้

          “ไม่เป็นไรนะครับคุณมิ่ง เดี๋ยวผมจะเอามันไปทิ้งให้เอง”

          “ฉันเป็นคนเก็บมันมาเอง จะเอามันไปทิ้งได้อย่างไร”

          “คุณมิ่งไปเก็บมันมาทำไมครับ? มันเป็นกาลกิณีเป็นลางร้ายนะครับ”

          “ก็ฉันไม่รู้นี่ว่ามันเป็นนกอะไร...แต่ก็ช่างมันเถอะ ฉันอยากจะเลี้ยงมันเอาไว้”

          “ไม่ได้นะครับ!”

          “พี่พุฒอย่าขัดใจฉันเลย เจ้านกนี่น่าสงสารนัก”

          “แต่ว่า...”

          “ฉันขอเถอะพี่ ถ้ามันโตแข็งแรงพอจะไปใช้ชีวิตเองได้เมื่อไหร่ ฉันจะปล่อยมันไป”

          พุฒนิ่งมองคนตรงหน้าที่กำลังพยายามวอนขอ

          “นกแสกก็เป็นสิ่งมีชีวิต...ถึงจะถูกชังแต่มันก็มีสิทธิ์ที่จะมีชีวิตมิใช่หรือ?”

          เหมือนกับตัวเขาที่ถึงแม้จะเป็นโรคร้ายเป็นที่รังเกียจ แต่หากเลือกได้เขาเองก็อยากจะมีชีวิตอยู่

          “ผมขอโทษครับคุณมิ่ง...”

          “ขอโทษทำไมเล่า?”     

          คำพูดของนายน้อยทำให้ชายหนุ่มฉุกคิดขึ้นได้ ภาพของสิ่งมีชีวิตเล็กๆ สะท้อนให้เห็นสถานภาพอันน่าสงสาร เขาไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งคนที่เคยแข็งแรงอ่อนโยนเป็นที่รักของทุกคนเช่นมิ่ง จะต้องมามีชะตากรรมเช่นนี้

          “ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อีกแล้ว พี่พุฒทำไมขี้แยนักหึ๊?”

          “...”

          คนเบื้องหน้าผู้แสนดีที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับมิ่งเสมอมา แม้จะต่ำศักดิ์กว่าทว่ากลับรู้สึกรักใคร่ผูกพัน ยิ่งเพ่งพิศยิ่งหลงใหลสับสนในใจ เจ้าของใบหน้าเนียนกระจ่าง ดวงตาสวยคมฉ่ำน้ำ เส้นผมดำเงางามราวกับราตรีไร้ดาว หากชายหนุ่มไม่ได้กำลังเจ็บไข้ได้ป่วยเช่นนี้คงอดไม่ได้ที่จะต้องคว้าเอาคนตรงหน้ามากอดเป็นแน่

          แต่จะทำเช่นไรได้นอกจากหักห้ามใจตนเอาไว้...



          “เอ้า อ้าม...”

          ตะเกียบที่กำลังคีบเนื้อไก่ดิบชิ้นจิ๋วพลางส่ายไปส่ายมาเหนือศีรษะของเจ้าลูกนกตัวน้อย ก่อนจะแตะลงบนจะงอยปากแผ่วเบา เพื่อดึงดูดความสนใจให้มันไล่งับกินเติมเต็มท้องที่หิวโหย

          “ทำไมพี่พุฒถึงไม่ป้อนมันดีๆเล่า?”

          “ผมไปถามลุงเพิ่มนักเลงนกที่ตลาดมา ลุงแกบอกว่าพวกนกนักล่าต้องให้อาหารที่มีชีวิตครับ แต่ผมยังไม่ว่างจะไปจับตัวอะไรมาเลี้ยงมัน ลุงแกเลยแนะว่าให้ทำแบบนี้ไปก่อน ให้มันเชื่อว่าเจ้าเนื้อไก่นี่เป็นสิ่งมีชีวิต”

          “อ๋อ...แล้วปกติมันกินตัวอะไรบ้างหรือพี่?”

          “ก็หนู ลูกปลา แมลง เทือกๆนี้แหละครับ”

          มิ่งพยักหน้าทำความเข้าใจ ดูเหมือนการเลี้ยงลูกนกแสกจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ดูท่าพี่พุฒของเขาน่าจะวางใจได้

          “หงับ” ในที่สุดเจ้าลูกนกก็ยอมกินอาหาร เป็นเรื่องน่ายินดีที่อย่างน้อยมันก็ไม่ต้องหิวตาย

          “มันกินแล้ว! ฉันดีใจนัก เจ้านกน้อยลูกพ่อ”

          คนป้อนได้แต่อมยิ้มขึ้นนึกเอ็นดูชายหนุ่มที่กำลังยิ้มร่าเริงจนแก้มบุ๋ม จะว่าไปการที่เจ้าลูกนกตัวนี้ปรากฏตัวขึ้นก็นับเป็นเรื่องดีไม่น้อย มันช่วยทำให้นายน้อยของเขาแจ่มใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

          “คุณมิ่งนึกจะเป็นพ่อให้เจ้าลูกนกนี่หรือครับ?”

          “ทำไมล่ะพี่พุฒ? ถึงฉันจะเลี้ยงไม่ค่อยเป็นแต่ฉันก็อยากมีส่วนร่วมด้วยไม่ได้หรือ?”

          “เปล่าครับถ้าอย่างนั้นผมก็คงต้องเป็นพ่อของมันด้วยสิครับ ผมเป็นคนป้อนข้าวป้อนน้ำ”

          พุฒหัวเราะพลางเย้านายน้อยของเขาอย่างอารมณ์ดี

          “ไม่ได้ มีฉันเป็นพ่อแล้ว พี่พุฒต้องเป็นแม่แทนแล้วล่ะ”

          “ได้ยังไงล่ะครับคุณมิ่ง ผมเป็นชาย”

          “ต้องได้ฉันเอ่ยแล้ว! ต่อไปนี้พี่มิ่งต้องเป็นแม่ของมัน และฉันจะตั้งชื่อให้มันด้วย”

          “งั้นชื่ออะไรดีหรือครับ?”

          นายน้อยนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง เขาพยายามมองไปรอบๆเรือน สายตาก็พลันเหลือบไปเห็นต้นมะลิที่พุฒเพิ่งจะเอามาลงดินไว้

          “มะลิ...ฉันจะเรียกมันว่ามะลิ”



          กาลเวลาผันผ่าน เจ้านกมะลิเติบโตปีกกล้าขาแข็งขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ชีวิตของมิ่งกำลังสวนทาง ร่างกายทรุดโทรมลงผ่ายผอมได้ไข้ทุกค่ำไม่เว้นแต่ละวัน

          “โขลกๆ” เสียงไอรุนแรงจนตัวโยน ผู้ติดตามที่กำลังง่วนอยู่กับการเช็ดเนื้อเช็ดตัวได้แต่ห่วงไม่ยอมห่างไปไหน

          “พี่พุฒ...ไปให้ห่างๆฉันเถิด แค่ก! ฉันอยู่เองได้ไม่เป็นไร”

          “ไม่ได้หรอกครับ คุณมิ่งเจ็บถึงขนาดนี้จะไม่ให้ผมดูแลได้อย่างไร”

          “พี่พุฒทำไมถึงดื้อนัก แค่ก!”

          นายน้อยโก่งตัวไอรุนแรงจนข้างในรวดร้าวไปหมด

          “อึก...”

          ชายหนุ่มรู้สึกถึงของเหลวอุ่นๆไหลผ่านริมฝีปากอิ่ม เลือดสีแดงฉานเลอะเทอะเปรอะเปื้อนเต็มผ้าเช็ดหน้าไปหมด ดวงตาพร่าร่างกายเหนื่อยอ่อน เขาพยายามสะบัดตัวออกจากคนที่รุดเข้าประคองชิดใกล้อย่างสุดกำลังที่มี     

          “คุณมิ่ง!”

          “ฉันบอกให้ออกไปไงเล่า...”

          “ไม่ครับ”

          “ขอร้องล่ะ...ฉันไม่อยากให้พี่กลายเป็นเช่นนี้ไปด้วย”

          คนถูกไล่ทำหน้าซึมเซา นายน้อยเองก็ปวดใจที่ต้องผลักไสคนที่เขาอยากใกล้ชิดที่สุดไป แต่ที่ต้องทำเช่นนี้ก็เพื่อปกป้องคนที่เขามีใจให้

          ‘เอาอีกแล้ว อย่าทำหน้าเศร้าเช่นนั้นเลย...’

          พุฒเดินออกจากเรือนนอนไปช้าๆ นกมะลิในกรงหวายกำลังร้องเสียงน่าหวาดหวั่นอยู่ด้านนอก บัดนี้มันแข็งแรงมากแล้ว คงใกล้เวลาที่จะปลดปล่อยให้มันเป็นอิสระเสียที

          “นี่มะลิ...เรื่องที่เขาพูดกันว่าถ้าแกไปเกาะเรือนผู้ใด ที่แห่งนั้นจะมีคนตายเป็นเรื่องงมงายใช่หรือไม่?”

          ชายหนุ่มเอ่ยพูดกับนกน้อยเสียงเศร้า และเจ้านกน้อยตัวนั้นก็ได้แต่จ้องตาวาวกลับมา     

          “ทำไมไม่ตอบเล่า? ฮึก...”

          เสียงสะอื้นและน้ำตาแห่งความเสียใจไหลรินเป็นทาง บนโลกนี้มีผู้คนมากมาย แต่ทำไม...ทำไมฟ้าถึงต้องใจร้ายกับนายน้อยผู้เป็นที่รักของเขาถึงเพียงนี้

          ถ้าชีวิตลิขิตได้...

          เขาจะขอให้นายน้อยได้มีชีวิตอยู่ต่อไป แม้จะต้องแลกด้วยความตายของตนก็ตาม...





          “พี่พุฒ...มะลิจากไปแล้วงั้นหรือ?”

          ชายหนุ่มที่กำลังนั่งหอบหายใจเหนื่อยอ่อนเอ่ยถามคนที่กำลังเป่าข้าวต้มร้อนๆในช้อนให้เย็นลง

          “ผมปล่อยมันไปแล้วครับ แต่มันกลับไม่ยอมออกห่างจากเรือนไปไหน ผมเองก็หวั่นใจว่าคนที่เรือนใหญ่จะมาพบมันเข้า”

          “พี่ช่วยไปไล่มันทีเถิด ฉันกลัวว่าใครจะมาทำอันตรายมัน”

          “ได้ครับ คุณมิ่งกินข้าวเถอะนะครับไม่ร้อนลวกปากแล้ว”

          มิ่งส่งช้อนไปจรดกับริมฝีปากอิ่มซีดเซียว แต่นายหนุ่มกลับไม่ยอมรับ

          “ฉันกินเองได้ พี่ออกไปเถอะ...”

          “คุณมิ่ง...ขอให้ผมได้ดูแลคุณมิ่งเถอะนะครับ อย่าผลักไสผมไปเลย”

          ชายหนุ่มผู้ไร้เรี่ยวแรงน้ำตาคลอ ทำไมคนๆนี้ถึงดื้อด้านนัก ยิ่งผลักไสกลับยิ่งชิดใกล้ มิ่งได้แต่นึกเสียดาย ที่ไม่มีโอกาสได้ใช้ชีวิตกับคนๆนี้ให้นานไปกว่านี้

          “แค่ก” เขาหันหน้าเบือนหนีไปไอแรงๆสองสามที “เลือด” ได้หลั่งรินออกมาอีกครั้ง มิ่งพยายามพยุงร่างกายหนักๆออกห่างจากคนข้างๆ แต่ทว่ากลับทำมันไม่ไหว

          “คุณมิ่ง”

          “อย่าเข้ามา...ฉันขอล่ะ”

          คนถูกไล่น้ำตาซึมออกมาอีกครั้งก่อนจะลุกเดินออกไปด้วยใจที่เจ็บช้ำ ความรู้สึกที่พุฒพยายามกลั้นไว้ถูกแสดงผ่านสีหน้าและแววตาของเขาอย่างอดรนทนไม่ไหว

          ‘ฉันขอโทษนะ...’



          “ชิ่วๆเจ้ามะลิ ไปจากที่นี่เสียเถิด”

          พุฒโบกไม้โบกมือไล่เจ้านกน้อย ทว่ามันกลับไม่มีทีท่าจะขยับเขยื้อน ชายหนุ่มเห็นเช่นนั้นจึงคว้าเศษดินและกิ่งไม้มาขว้างใส่หวังให้มันตกใจหนีไป ทว่า...

          “ไม่ได้นะ แกจะบินไปทางนั้นไม่ได้นะ”

          นกน้อยบินมุ่งหน้าไปทางเรือนใหญ่ เป็นเดือดเป็นร้อนให้ชายหนุ่มต้องรีบวิ่งตามไปจนหอบฮั่ก หายใจขัดทรมาน

          “แค่กๆ...กลับมานี่เจ้ามะลิ”

          นอกจากจะไม่กลับมา...มันกลับร้องเสียงลั่นน่าขนลุกไปทั่วเรือนอีกด้วย



          “พี่พุฒ...”

          ชายหนุ่มที่กำลังนอนหายใจรวยรินปรือตาขึ้นมองแสงจากตะเกียง เขารู้สึกกระหายน้ำเหลือเกิน แต่เรี่ยวแรงที่จะขยับเขยื้อนตัวกลับยังไม่มี

          ถึงแม้จะนึกถึงคนที่ตอนนี้ไม่อยู่และอยากเห็นหน้าสักเพียงไหน แต่อาจจะเป็นการดีแล้วที่ผู้ติดตามของเขาผละตัวไปอยู่ที่อื่นเสียบ้าง ไม่มัวแต่มาขลุกอยู่กลับตัวเชื้อโรคน่ารังเกียจเช่นเขา ทั้งๆที่ลึกๆในใจนั้น...

          ‘พี่ไปที่ใดกัน? ฉันใจหายนัก...’



          “นี่มันนกแสกนี่!”

          “คะ...คุณท่าน”

          เจ้านายใหญ่วัยกลางคนหุนหันวิ่งออกมาตามเสียงน่าเกลียดน่ากลัว เมื่อเขาเห็นนกหน้าขาวเกาะอยู่เหนือเรือนก็อดไม่ได้ที่ต้องกำจัดมันทิ้งไป

          “ไอ้พุฒไปเอาปืนมา”

          “อะ...เอ่อ...”

          “มึงหูหนวกหรือไร? กูสั่งให้ไปเอาปืนมา!”



          คนป่วยยันตัวขึ้นช้าๆอย่างยากลำบาก เหงื่อชื้นผุดพรายไปทั่วร่าง มิ่งลากสังขารไปตามแสงตะเกียงพลางปาดป่ายหาขันน้ำที่คาดว่าน่าจะวางอยู่ไม่ห่าง

          แต่ร่างกายกลับไม่ยอมฟัง เรี่ยวแรงที่มีนั้นค่อยๆถดถอยไป

          พร้อมๆกับลมหายใจสุดท้ายของเขา...



          ‘ปัง’

          เสียงปืนดังลั่นไปทั่ว ร่างของนกน้อยผู้น่าสงสารร่วงหล่นลงจมกองเลือด ชีวิตเล็กๆได้ถูกพรากไป น้ำตาหลั่งร่วงรินไหล พร่ำโทษตนเองที่ทำให้นกน้อยที่เขาเฝ้าคอยประคบประหงมมาต้องมีจุดจบที่น่าเศร้าเช่นนี้

          ‘มะลิ...ฉันขอโทษ’

          โดยที่ไม่ได้ล่วงรู้ว่าตอนนี้มีใครอีกคน...



          ได้จากเขาไปแล้วเช่นกัน...



          วิญญาณของคนและสัตว์สองดวง จึงได้พันผูกมาเกิดร่วมกันเป็นอมนุษย์



          หลังจากนั้นก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่สองได้ไม่นาน ยารักษาวัณโรคก็ได้ถูกคิดค้นขึ้น ทว่า...ก็ไม่อาจทันเวลาที่จะช่วยรักษาชีวิตของ “พุฒ” ชายผู้แสนดี

          ที่ถูกทิ้งให้จากไปอย่างโดดเดี่ยวได้ทันเวลา...



++++++++++++++++



          ตอนนี้เป็นบทขยายเรื่องราวของมะลิว่ากลายมาเป็นสิ่งมีชีวิตสุดพิลึกได้ยังไงนะคะ ที่สำคัญมะลิกับพินก็เคยผูกพันกันมาก่อนแล้วด้วย สมัยก่อนยังไม่มียารักษาวัณโรคนะคะ ทำให้ทั้งมิ่งและพุฒต้องจากไปอย่างน่าเศร้าค่ะ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Timid Lily

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0
     
บทที่ 32 : อาลัย

          ดอกไม้จันทน์สีขาวที่ถูกจัดช่อไว้เคียงคู่กับธูปเทียน ถูกวางลงอย่างเบามือเป็นการอำลาส่งผู้เป็นที่รักไปยังโลกหน้าด้วยความอาลัย หยาดน้ำตารินไหลเงียบงัน ความรู้สึกเศร้าเสียใจผสมปนเป ความทุกข์เรื่องการสูญเสียผู้เป็นพี่ชายถูกสะกิดเตือนขึ้นมาอีกครั้ง รวมถึงดวงใจของเขาที่ถูกพรากจากไปไม่ได้ข่าวคราว

          ‘มะลิ...นายอยู่ที่ไหน?’

          พินยืนสงบนิ่งสีหน้าอิดโรย ความปวดร้าวที่ถูกเก็บกลั้นไว้ลึกๆ ดึงความรู้สึกให้จมอยู่กับความว่างเปล่า แม้ว่าเรื่องราวทุกอย่างจะจบสิ้นลงแล้ว ทว่าหัวใจของเขายังคงไม่ได้รับการเติมเต็ม

          ‘ชั้นคิดถึงนาย’

          เขาก้าวเท้าลงจากบันไดเมรุช้าๆ เบื้องหน้าบุพการีทั้งสองกำลังยืนรอเขาอยู่ด้านล่าง แค่เห็นใบหน้าของผู้เป็นแม่ที่อาบนองไปด้วยน้ำตา หัวใจของพินก็แทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ

          “พิน...”

          เธอโผเข้ากอดชายหนุ่มร่ำไห้ตัวสั่นเทา ใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาซบลงบนไหล่ของลูกชายที่รัก หยดน้ำเปียกปอนไหลเต็มบ่า พินกอดตอบพยายามปลอบประโลมมารดา ทว่ากลับกลายเป็นตัวเขาเองที่ไม่อาจกลั้นความเศร้าเสียใจได้อีกต่อไป น้ำใสๆไหลทะลักทลายราวกับคลื่นยักษ์ซัดโหม ดวงตาสวยงามบวมแดงช้ำ ลมหายใจขาดสะดุดสะอื้นแทบขาดใจ

          ควันสีขุ่นลอยคลุ้งไปในอากาศ พินยืนมองส่งดวงวิญญาณที่ล่องลอยไปบนท้องฟ้ากว้าง สายตาทอดเหม่อรำพันถึงคนที่คิดถึง

          คนหนึ่งที่วายชนม์...

          และอีกคนที่ไม่รู้ว่าจากเป็นหรือจากตาย...

          เพื่อนหญิงที่มักจะสดใสร่าเริงอยู่เสมอเช่น “กั้ง” เห็นพินในสภาพนี้ก็อดไม่ได้ที่จะต้องเข้ามาปลอบใจ ทว่าเธอกลับไม่อาจเอ่ยคำใดออกมา ทำได้แค่คล้องแขนบอบบางของเธอเข้ากับชายหนุ่มพลางซบศีรษะลงบนไหล่ร้องไห้ เช่นเดียวกับ “ม่อน” เพื่อนรักอีกคนที่มักจะคอยดูแลเอาใจใส่เขา ส่งมือนุ่มอุ่นกำให้กำลังใจชายหนุ่มแน่นเหม่อมองฟ้าน้ำตาไหลไปด้วยกัน



          “เมฆไม่เข้าใจ ทำไมถึงต้องเกิดเรื่องแบบนี้กับพี่พิมพ์”

          เด็กหนุ่มตัวสูงใหญ่ที่ยืนมองหลังพินอยู่ห่างๆเอ่ยขึ้นอย่างเจ็บปวด ใบหน้าคมคายบัดนี้หมองลงน้ำตาคลอ

          “อย่างน้อย...พี่พิมพ์ที่เมฆรู้จักก็เป็นคนดี”

          เด็กหนุ่มผิวเข้มอีกคนที่ยืนเคียงข้างได้ยินเช่นนั้นก็เจ็บแปลบขึ้นในใจ เขาลูบแผ่นหลังกว้างปลอบโยนหัวใจอันแสนไร้เดียงสา คงจะดีอยู่แล้วหากเมฆจะรับรู้เรื่องราวทั้งหมดแค่เพียงเท่านี้

          “คิม...”

          ส่วนดาวเหนือที่ได้แต่นึกโทษตัวเองที่ไม่อาจบอกลางร้ายได้ทันท่วงที ความเสียใจและวิตกกังวลทำให้เขาอดหันไปถามชายผู้เป็นเจ้าของไม่ได้

          “คิมจะไม่ทิ้งผมไปไหนใช่มั้ย?”

          เขาเองก็นึกกลัวขึ้นมาว่าวันหนึ่งไม่เขาก็คิมต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่ต้องพลัดพรากจากกันไป ตาเรียวมองสบคนที่ยืนเคียงข้างแดงฉ่ำ คิมที่มองตอบมาส่งรอยยิ้มอบอุ่นให้พลางจับมือดาวเหนือแน่น

          “อืม...”

          คนตัวเล็กกว่าเอื้อมมือช่วยซับน้ำตาของร่างสูงที่คลอหน่วยอยู่ ทุกคนในที่นี้ได้แต่ภาวนาอย่างมีความหวังว่า...สักวันหนึ่ง

          มะลิจะหวนกลับมา...





          เวลาผ่านไปนับเดือน ทว่าพินก็ยังไม่ได้รับข่าวคราวจากคนที่เขารัก...

          “พินแกเป็นอะไรของแก? เหม่ออยู่ได้”

          หญิงสาวผมหน้าม้าที่กำลังนั่งเขี่ยลูกเชอร์รี่เชื่อมออกจากแก้วไอศกรีมเอ่ยถามชายหนุ่มที่ไม่รู้กำลังมองไปทางไหน

          “เอ่อ...เปล่าไม่มีอะไร เราแค่คิดอะไรอยู่นิดหน่อย”

          แม้ว่าเพื่อนกั้งจะเรียกสติให้พินกลับมาสนใจสองสาวตรงหน้าได้ ทว่าแค่ครู่เดียวพินก็กลับไปเหม่อลอย ทอดสายตาจดจ่อไปกับผู้คนที่เดินขวักไขว่อยู่มากมาย

          “อีกั้งแกนี่นะ...อย่าไปเซ้าซี้พินมันมากเลย แกลืมไปแล้วหรือไงว่าตอนนี้สภาพจิตใจมันยังไม่ค่อยโอเค”

          ม่อนเอ่ยขึ้นบ่นกั้งอุบอิบ ส่วนกั้งที่นึกขึ้นได้ก็รีบเงียบเสียงอย่างคนสำนึกผิด เธอรีบตักไอศกรีมคำโตใส่ปากแก้เก้อ

          “โอ๊ยมันจี๊ดขึ้นสมอง!”

          “ก็กินคำเล็กๆหน่อยไม่เป็นรึไงเล่า!”

          พินเห็นความวุ่นวายบนโต๊ะก็อมยิ้มขึ้นมา วันนี้พิน กั้ง และม่อนนัดเจอกันหลังจากที่ต่างฝ่ายต่างไปมีหน้าที่การงานของตัวเอง ตอนนี้กั้งก็มีแฟนไปอีกคนแล้วทำให้เขารู้สึกเหงานิดหน่อย แต่อย่างน้อยก็น่าดีใจที่เพื่อนๆมีความสุขกันดี

          “เออแล้วพินแกเป็นไงบ้าง อยู่คนเดียวเหงารึเปล่า?”

          “ไม่เหงาหรอก...”

          “ถ้าแกไม่โอเคบอกม่อนได้นะ ม่อนจะไปอยู่เป็นเพื่อน”

          “ชั้นไปด้วย!”

          สองสาวรีบพูดขึ้นด้วยความเป็นห่วง ทว่าพินก็ยังคงปฏิเสธกลับไป

          “เราอยู่ได้ ไม่ต้องห่วงนะ”

          คนเป็นเพื่อนได้แต่มองหน้ากัน ก่อนที่กั้งจะตัดสินใจถามเรื่องต่างๆที่เธอนึกสงสัยมากมายเหลือเกิน

          “เออพิน แล้ว...เรื่องคดีสรุปมันจบยังไงวะ?”

          “โอ๊ยเอาอีกแล้วนะอีกั้งไปหาข่าวอ่านเองก็ได้มั้ยล่ะ?”

          “ขอโทษๆๆชั้นไม่ถามแล้วก็ได้”

          กั้งเอามือตีปากตัวเองเบาๆอย่างสำนึกผิด ในขณะที่ม่อนรีบเลื่อนนิ้วไวๆในโทรศัพท์ก่อนจะส่งให้เพื่อนที่หน้าหดเหลือสองนิ้วอ่านข้อความข่าวที่ปรากฏตรงหน้า

          แน่นอนว่าคดีนี้ “สินทร” เป็นผู้ชนะไปโดยปริยาย ในขณะที่ “ไหม” ทนายคนใหม่และผู้อำนวยการโรงพยาบาลต้องรับโทษไปตามความผิดที่กระทำ โดยที่ชิชาไม่ถูกซัดทอดเลยแม้แต่นิดเดียวแถมยังได้รับมรดกของพิมพ์ไปเต็มๆในฐานะภรรยา อาจจะฟังดูไม่ยุติธรรม แต่ทว่านี่แหละ...คือโลกแห่งความจริงอันแสนโหดร้าย

          “เออนี่เดี๋ยวกินเสร็จแล้วชั้นขอไปดูเครื่องสำอางเซลล์ก่อนกลับได้ป่ะ? เห็นป้ายแดงๆแล้วมันอดใจไม่ไหว”

          คนเงินเดือนเพิ่งออกอย่างกั้งตอนนี้อยากเสียตังใจจะขาด ส่วนม่อนก็เห็นดีเห็นงามไปด้วย

          “เอาสิม่อนอยากไป ได้เสียตังแล้วมันสบายใจ”

          สองสาวหัวเราะคิกคัก พินเริ่มจะรู้ชะตากรรมของตัวเองแล้วว่า เขาคงไม่พ้นต้องนั่งรออยู่นอกร้านร่วมกับชายหนุ่มจำนวนมหาศาลที่ทำหญิงคนรักหายไปในร้านเครื่องสำอางขนาดใหญ่ไม่ต่างจากป่าอันน่าพิศวง



          คนทั้งสามลงบันไดเลื่อนเรื่อยมามุ่งสู่เป้าหมายของหญิงสาว กั้งกับม่อนกำลังคุยสนุกไม่หยุดปากโดยที่ทิ้งเพื่อนชายอีกคนที่มาด้วยกันให้จมอยู่กับห้วงความคิดของตน ดวงตาคมที่มักจะเหม่อมองสอดส่ายออกไปราวกับค้นหาอะไรบางอย่าง ได้ไปสะดุดกับชายร่างสูงสวมเสื้อคอปกสีขาวกับกางเกงยีนส์เก่าๆผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ไกลๆ

          ร่างที่คุ้นตา...

          ร่างที่ทำให้พินอดไม่ได้ต้องรีบวิ่งเข้าไปหา

          “เฮ้ยไอ้พินจะไปไหนของแกอ่ะ!”

          กั้งตะโกนเรียกเรียกเมื่อเห็นชายหนุ่มรีบซอยเท้าลงบันไดเลื่อนไปอย่างรวดเร็ว เขาเบียดร่างกายผอมบางของตนแทรกเข้าไปหาพลางคว้าแขนชายหนุ่มคนนั้น

          “มะลิ!”

          “ครับ?”

          ‘ไม่ใช่...’

          พินเข้าใจผิดไปเอง ถึงจะดูคล้ายไปเสียทุกอย่างทว่ากลับไม่ใช่คนที่เขาตามหา ไม่ใช่ “มะลิ” ผู้เป็นที่รักของเขา

          “ขอโทษครับผมทักคนผิด...”

          ชายผู้นั้นเดินจากไป ความหวัง ความคิดถึงทำให้พินมีสภาพไม่ต่างจากคนบ้า คนบ้าที่ไล่ตามหาคนที่อาจไม่หวนคืนมาด้วยซ้ำ...

          ‘มะลิ...กลับมาเถอะ...’

          “พิน? แกเจอคนรู้จักหรอ?”

          ม่อนเอ่ยขึ้นถามเพื่อนของเธอที่กำลังก้มหน้าก้มตามองไปทางอื่น

          “พิน...หันมาคุยกับม่อนดีๆ”

          หญิงสาวคว้าแขนเพื่อนหนุ่มก่อนจะดึงให้เขาหันมา ภาพตรงหน้าคือดวงตาแดงร้อนผ่าวคลอไปด้วยหยดน้ำใสๆ

          “พินแกเป็นอะไร? !”

          “เราไม่เป็นอะไร...ขอโทษนะเราขอตัวกลับก่อนแล้วกัน”

          ชายหนุ่มยกมือปาดน้ำตาไวๆ จากนั้นจึงรีบปลีกตัวจากเพื่อนของเขาไป โดยที่ทิ้งให้หญิงสาวทั้งสองมองส่งด้วยความเป็นห่วง



          พินลากร่างกายอันโรยแรงเดินขึ้นบันไดมายังห้องนอน เขาเปิดไฟในห้องเพิ่มความสว่างก่อนจะเดินออกไปทอดอารมณ์ที่ระเบียงมองดวงจันทร์สุกสกาวที่ครั้งหนึ่งเขากับมะลิเคยชื่นชมมันด้วยกันที่สวน

          ‘คุณยายยังอยู่ตรงนี้...’


          เขาจำช่วงเวลาที่นกหนุ่มปลอบโยนให้เขาคลายเศร้าจากการจากไปของหญิงชราได้ดี สัมผัสจากมืออบอุ่นยังตราตรึงไม่หายไปไหน ฝ่ามือใหญ่กุมมือของเขาวางทาบบนอกข้างซ้ายอย่างถนอม

          ‘แล้วนายล่ะมะลิ...อยู่ที่ไหน? นายยังมีชีวิตอยู่ใช่มั้ย...?’

          “พิน!”

          เสียงหนึ่งดังขึ้นทำเอาคนกำลังเหม่อสะดุ้งตัวโยน เจ้าแมว “นินจา” นั่นเองที่เรียกเขา และตอนนี้มันก็ได้กลายร่างเป็นเด็กหนุ่มพลางถือวิสาสะเปิดประตูจะเข้าไปในห้อง

          “นินจามาทำอะไรเนี่ย?”

          “ชู่ว...”

          นินจาเอานิ้วจรดริมฝีปากเป็นเชิงไม่ให้ชายหนุ่มส่งเสียง ก่อนจะยันตัวผ่านซอกประตูเข้าไปอย่างที่แมวชอบกระทำ เสียงอีกเสียงหนึ่งตะโกนลั่นมาจากระเบียงบ้านข้างๆ

          “นินจา! มาอาบน้ำกันเถอะ เมี้ยวๆๆ”

          เป็นเมฆนั่นเองที่กำลังชะเง้อชะแง้ตามหาว่าเจ้าแมวสุดน่ารักของเขาหายตัวไปไหน พอรู้ตัวว่าจะโดนจับอาบน้ำทีไรมันก็หนีไปอย่างว่องไวเสียทุกครั้ง

          “อ้าวพี่พิน เห็นนินจามั้ยครับ?”

          พินเลิ่กลั่กรีบหันไปมองเด็กหนุ่มที่อยู่ในห้องนอนของเขากำลังส่ายหน้ารัวเป็นเชิงให้ไล่เด็กเมฆกลับไป

          “เอ่อ...ไม่เห็นนะ”

          “หรอครับ...แย่จัง นินจาไม่ได้อาบน้ำมาตั้งนานแล้ว พอผมจะอาบให้มันทีไรหายตัวไปทุกที”

          “ถ้าพี่บังเอิญเจอมันพี่จะมาบอกเมฆก็แล้วกันนะ”

          “ขอบคุณครับพี่พิน ถ้างั้นเมฆขอตัวไปตามหานินจาก่อนนะครับ”

          เมฆเดินกลับเข้าตัวบ้านไป ส่วนพินเองก็กลับเข้าไปยังห้องของตนพลางปิดประตูระเบียงเสร็จสรรพ

          “พินคิดถึงเจ้านกอยู่งั้นหรอ?”

          “เอ๊ะ?”

          นินจาเอ่ยถาม แค่เห็นสีหน้าของพินก็เดาได้ไม่ยาก แม้แต่ตัวชายหนุ่มเองก็ไม่แปลกใจนักที่ถูกถามแบบนั้นขึ้นมา

          “อืม...ชั้นยังหวังน่ะว่ามะลิจะอยู่ในร่างของใครซักคนที่ไหนซักแห่ง”

          ...ยังคงมีความหวังว่าคนรักจะกลับคืนมา

          แม้ว่าจะต้องรออีกนานสักแค่ไหนก็ตาม...

          “แต่พินก็ต้องเผื่อใจเอาไว้ด้วยนะ...”

          ราวกับถูกจี้ใจดำ น้ำตาถูกสั่งให้ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว เขารู้ดียิ่งกว่าใครๆว่าสิ่งที่ตนเฝ้ารอคอยอย่างมีความหวังแท้จริงแล้วอาจจะไม่มีวันเป็นจริง

          แต่ทำไมกลับทำใจไม่ได้...

          “นี่ชั้นคงจะหวังลมๆแล้งๆไปคนเดียวใช่มั้ย?”

          ชายหนุ่มระเบิดความเสียใจน้ำตารินไหลเป็นทาง ทุกครั้งไม่ว่าเขาจะเดินทางไปที่ไหน ไปทำอะไร เขาก็อดไม่ได้ที่จะต้องมองหานกหนุ่มท่ามกลางฝูงชน ทว่าเวลาก็ล่วงเลยมานานนับเดือนแล้วกลับไม่มีวี่แววว่าคนๆนั้นจะกลับมาหา ไม่ว่าจะตามหาเท่าไหร่ จะพยายามแค่ไหน...

          หัวใจกลับไม่กลับมาหาเขาเสียที

          “ชั้นกำลังหลอกตัวเองอยู่รึเปล่านินจา? แต่ชั้นยังอยากจะเชื่อ...เชื่อว่ามะลิยังมีชีวิตอยู่”

          คนฟูมฟายเสียใจทำให้แมวหนุ่มอดเศร้าตามไม่ได้ เขาคว้าคนที่กำลังร้องสะอื้นเข้ากอดปลอบแน่น พินซุกใบหน้าลงบนไหล่เล็กๆ ของแมวน้อย ในใจรวดร้าวทรมาน

          ‘ชั้นจะรอนาย...ตลอดไป...’





สามปีผ่านไป



          ชายหนุ่มผอมบางที่ขมวดผมยาวสลวยไว้เรียบร้อยไม่ให้ปรกลงมารุงรัง เปิดประตูเข้าไปในร้านทำผมดูหรูหราที่ตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้าใจกลางเมืองขนาดใหญ่ พนักงานมากมายต่างรีบลุกขึ้นต้อนรับเขาอย่างกระตือรือร้น

          “สวัสดีค่ะวันนี้มาทำอะไรคะคุณลูกค้า?”

          “มาตัดผมครับ”

          ตอนนี้ผมของพินยาวมากพอที่จะนำไปบริจาคได้แล้ว ในที่สุดก็ถึงเวลาที่เขาจะต้องมาตัดมันออกเสียที

          “คุณลูกค้ามีช่างประจำมั้ยคะ?”

          “มีครับ ช่างชื่อคิมครับ”

          “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวเชิญไปสระผมก่อนเลยนะคะ”

          “เดี๋ยวพี่สระให้เอง”

          ชายหนุ่มผมสีฟ้าจ้าแสบตาเดินออกมาจากด้านใน โดยปกติแล้วช่างตัดอย่าง “คิม” ไม่จำเป็นต้องสระผมให้ใคร แต่ถ้าเป็นลูกค้าคนนี้เขายินดีบริการให้เป็นพิเศษ

          “สวัสดีครับพี่คิม”

          “มาซะดึกเลยนะน้อง งานยุ่งล่ะสิ”

          คิมเอ่ยขึ้นพลางเปิดน้ำที่ปรับให้อุ่นเล็กน้อยก่อนจะชำระลงบนเส้นผมดำยาวของชายหนุ่ม

          “พินต้องขอโทษจริงๆนะครับพี่ พินงานยุ่งมาก กว่าจะเสร็จร้านพี่ก็จะปิดอยู่แล้ว”

          “ไม่เป็นไร พี่เข้าใจ พี่ล็อกคิวไว้ให้น้องโดยเฉพาะเลยนะ”

          “ขอบคุณครับ”

          ยาสระผมกลิ่นหอมสดชื่นทำให้พินรู้สึกสบาย แรงมือที่นวดลงเบาๆบนศีรษะของเขาทำให้คนที่นอนบนเตียงสระอดจะง่วงเคลิ้มขึ้นมาไม่ได้

          “น้องนี่โคตรอดทนเลยนะ ไว้ผมมาได้ตั้งสามปี ส่วนพี่นะสามอาทิตย์ก็ต้องตัดแล้วมันรำคาญ”

          “ก็ผมตั้งใจไว้แล้วนี่ครับ”

          สามปีก่อนที่ชายหนุ่มเคยพูดเอาไว้ว่าจะเลี้ยงผมให้ยาวเพื่อนำไปบริจาคให้แก่ผู้ป่วยโรคมะเร็ง...และเป็นสามปีที่เขา

          ทำหัวใจหายไปเช่นกัน...

          “แล้ววันนี้อยากตัดทรงไหนล่ะ?”

          “ก็คงจะคล้ายๆเดิมนั่นแหละครับ”

          คิมทำท่าครุ่นคิด เพราะตอนที่เขาเริ่มรู้จักพินผมของชายคนนี้ก็เริ่มยาวระคอลงมาแล้ว

          “ตอนพี่เจอน้อง ผมน้องเริ่มยาวแล้วนะ”

          “ถ้างั้นก็เอาสั้นกว่านั้นนิดหน่อยก็ได้ครับ”

          “ได้เดี๋ยวพี่จัดให้”



          คนทั้งสองย้ายมายังเก้าอี้หน้ากระจก คิมขยี้เช็ดผมให้พินอย่างเบามือก่อนจะหยิบไดร์เป่าผมขึ้นมาเสียบปลั๊ก

          “เดี๋ยวพี่ตัดให้ตอนผมแห้งแล้วกัน จะได้ดูแลผมที่ตัดออกมาได้ง่ายๆ”

          “ได้ครับ”

          ไออุ่นจากไดร์เป่าผมกระทบลงบนเส้นผมสลวย มือที่เชี่ยวชาญสางขยี้เส้นผมอย่างบรรจง ทำให้พินคิดถึงใครบางคนที่เคยทำแบบนี้ให้กับเขา

          ‘พินมานั่งนี่เร็ว เดี๋ยวเราจะช่วยเช็ดผมให้’


          “น้องพิน...”

          “ครับพี่คิม?”

          เสียงเรียกทำให้พินรู้สึกตัวขึ้นมา เขาสบตาของตนในกระจก ภาพตรงหน้าสะท้อนให้เห็นว่าดวงหน้านั้นกำลังหมองเศร้าขนาดไหน

          “ตัดผมเสร็จแล้วอย่าพึ่งรีบกลับเลยนะ เดี๋ยวดาวเหนือจะมาก่อนร้านปิดนิดหน่อย”

          “หรอครับ? ดีจังพินเองก็คิดถึงดาวเหนือมากเหมือนกัน”

          คิมยิ้มอบอุ่นให้กับคนที่ดูกำลังซึม เขารับรู้เรื่องราวทั้งหมดผ่านดาวเหนือ มันทำให้อดเห็นใจชายหนุ่มผู้นี้ไม่ได้



          หลังจากตัดผมเสร็จพินก็มานั่งรออยู่ตรงเก้าอี้ใกล้ๆกับทางเข้าร้าน ผมของเขากลับไปสั้นลงดังเดิม ความรู้สึกหนักๆบนหัวคลายลงไปเยอะ

          “อ่ะผมของน้อง”

          คิมส่งเส้นผมที่ถูกรวบมัดเป็นช่อบรรจุลงถุงซิปล็อคขนาดใหญ่ไว้อย่างดีให้กับพิน ในขณะเดียวกันมีชายร่างสูงเดินลิ่วมาแต่ไกล ดวงตาเรียวๆเบิกขึ้นพลางยิ้มแย้มร่าเริงเมื่อเห็นชายทั้งสอง     

          “คิม! พิน!”

          ดาวเหนือรีบวิ่งดิ่งมาหาพวกเขา แม้ว่าเวลาจะผ่านไปถึงสามปี แต่อมนุษย์งูผู้นี้กลับดูไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด

          “ถ้างั้นดาวเหนืออยู่กับพินไปก่อนนะ เดี๋ยวชั้นขอไปเก็บของก่อน”

          คิมเอ่ยฝากเจ้างูน้อยก่อนจะผละตัวไปจัดการกับธุระปะปังของตนให้เสร็จเพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน

          “พินผมคิดถึงพินมากๆเลย”

          “ชั้นก็คิดถึงดาวเหนือเหมือนกัน”

          “ทำไมพินถึงไม่แวะมาเยี่ยมผมบ้างเลย? ความจริงมาหาผมที่นี่ก็ได้นี่นา ผมมารับคิมกลับบ้านทุกวันเลยนะ”

          “ขอโทษนะ พอดีชั้นยุ่งๆน่ะ”

          ความ “ยุ่ง” เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ทำให้พินหายหน้าหายตาไป แต่ความเป็นจริงแล้วเขาเก็บตัวมากขึ้นและไม่สดใสเหมือนเคย แม้แต่เพื่อนๆของเขานานๆทีจึงจะได้เจอหน้าค่าตากันด้วยซ้ำ

          “งั้นไม่เป็นไรตอนนี้ผมมีโทรศัพท์มือถือแล้วนะ คิมซื้อให้ เดี๋ยวผมจะเป็นฝ่ายโทรไปหาพินเอง”

          “เอาสิ”

          ดาวเหนือหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอวด พินจึงให้เบอร์และไลน์ของเขาแก่เจ้างูหนุ่มไป อย่างน้อยการที่ได้คุยเล่นกับคนไม่รู้ประสาแบบดาวเหนืออาจจะทำให้พินรู้สึกดีขึ้นนิดหน่อยก็เป็นได้

          “แล้วดาวเหนือเป็นยังไงบ้าง สบายดีมั้ย?”

          “ผมสบายดี”

          ดาวเหนือเอ่ยตอบพลางยิ้มให้ตาหยี แต่ไม่ทันที่เขาจะถามกลับไป เขาก็สัมผัสได้ว่าชายหนุ่มดูไม่มีความสุขเหมือนเคย

          “แต่ท่าทางพินจะไม่ค่อยสบายใช่รึเปล่า?”

          คนซึมเศร้าอย่างเขาไม่ว่าไปที่ไหนก็รังแต่จะแผ่บรรยากาศหม่นหมองใส่คนรอบตัว หนนี้ก็เช่นกัน...

          “พินยังคิดถึงนกมะลิอยู่ใช่มั้ย?”

          ความรู้สึกจุกแน่นอยู่ในอก ไม่ว่าจะผ่านมานานเท่าไหร่...กลับไม่มีวันไหนที่เขาไม่คิดถึงคนรักที่จากไป

          “ผมก็คิดถึงเหมือนกัน...”

          ดาวเหนือดูเศร้าไปอีกคน พินตัดสินใจระบายความรู้สึกที่เขามักจะเก็บเอาไว้คนเดียวออกมาให้เพื่อนที่กำลังร่วมแบ่งปันความทุกข์ได้ฟัง

          “ชั้น...หมดหวังเรื่องมะลิแล้วใช่มั้ย?”     

          น้ำเสียงที่เปล่งออกมาสั่นเครือ ดวงตาร้อนผะผ่าวขึ้นอีกครั้ง

          “สามปีมาแล้วนะดาวเหนือ...แต่ชั้นไม่เห็นวี่แววอะไรเลย”

          ทั้งโง่งม จมปรัก ไม่ก้าวต่อไปข้างหน้า...

          “แต่มันก็ไม่ผิดไม่ใช่หรอ...?”

          ดาวเหนือเอ่ยขึ้นพลางคว้ามือบอบบางมาประคอง รอยยิ้มอ่อนโยนฉายขึ้นบนใบหน้า

          “ที่เราจะยังไม่ละทิ้งความหวัง...”

          พินแทบจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ แค่คำพูดประโยคเดียวของดาวเหนือก็ทำให้เขาสุขใจ เป็นคำพูดที่เขาอยากได้ยิน อยากให้ใครสักคนมาบอก

          แม้ว่ามันจะทำให้เขายังคงติดอยู่ในวังวนของอดีตก็ตาม...




          ชายหนุ่มพาร่างกายห่อเหี่ยวเหงาซึมขึ้นลิฟต์มา เขามุ่งหน้าไปยังห้องพักพลางกดรหัสเปิดประตูเข้าไป ทุกวันนี้พินได้ย้ายออกมาอยู่ที่คอนโดที่เขาเช่าเอาไว้ใกล้ที่ทำงาน ส่วนบ้านเดิมนั้นปัจจุบันพ่อได้เกษียณและกลับไปอยู่ที่นั่นพร้อมกับแม่

          ‘ครืด’

          โทรศัพท์มือถือของพินสั่นแจ้งเตือนข้อความเข้า เมื่อเปิดดูเขาก็พบว่าทางนิติบุคคลของคอนโดได้ส่งข้อความมาว่าพรุ่งนี้ห้องข้างๆ จะมีคนย้ายเข้ามา หลังจากที่ประกาศขายมาอย่างยาวนาน

          นิติคอนโด : คุณพินคะพรุ่งนี้ห้องข้างๆ อาจจะเสียงดังนิดหน่อยนะคะเพราะมีพนักงานขนย้ายเข้ามา ต้องขอโทษล่วงหน้าด้วยค่ะ

          พินอ่านข้อความอย่างไม่ใส่ใจนักจากนั้นจึงทิ้งตัวลงบนเตียงนอนอย่างเหนื่อยอ่อน มือก็คว้าเอาเสื้อคอปกสีขาวที่ตกแต่งลายหัวใจสีแดงดวงจิ๋วไว้บนอกเข้ากอดซุกแน่น แม้ว่ากลิ่นของคนที่คิดถึงได้ลางเลือนไปมากแล้ว แต่มันกลับอุ่นใจทุกครั้งที่ได้สัมผัสเสื้อตัวนี้ เสื้อที่เขาเคยซื้อให้กับคนที่รัก...เสื้อตัวเดียวที่เป็นของมะลิ

          ของเพียงชิ้นเดียวที่เป็นเครื่องบ่งชี้ว่าคนๆนั้นเคยมีตัวตนอยู่จริง...

          อย่างน้อยก็ในชีวิตของพิน...

          ดวงตาสวยค่อยๆปรือหลับลงช้าๆ ความง่วงเข้าแทนที่ราวกับจะพาคนที่กำลังเศร้าหลบหนีเข้าสู่ห้วงแห่งความฝัน ร่างผอมบางหายใจเข้าออกสม่ำเสมอเป็นสัญญาณให้รู้ได้ว่าชายหนุ่มได้ผลอยหลับไปเสียแล้ว



          ใต้ท้องฟ้าครามสดใส ฝ่าเท้าที่เปลือยเปล่าของพินแช่อยู่ในลำธารตื้นเย็นใสสะท้อนให้เห็นกรวดหินเป็นประกาย ชายหนุ่มลุยน้ำเฉอะแฉะเดินเรื่อยมาพลางชมทิวทัศน์เขียวชอุ่มที่รายล้อม เบื้องหน้ามีชายคนหนึ่งยืนอยู่ไกลๆ

          ชายที่เขาไม่ได้เห็นหน้าค่าตามานาน...

          ชายร่วมสายเลือดที่หน้าตาละม้ายคล้ายเขานัก...

          “พี่พิมพ์!”




++++++++++++++++



          ตอนที่เราเขียนตอนนี้เราเศร้ามากเลย แอบร้องไห้ตามพินด้วย คิดถึงมะลิเหมือนกันจนซึมไปเลยค่ะ...แล้วพบกันใหม่ตอนหน้านะคะ




ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Timid Lily

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0
บทที่33 : หวน

         “พี่พิมพ์!”

          พินวิ่งลุยน้ำจนกระเซ็นเปียกปอนไปทั่ว เขาดีใจเหลือเกินที่ได้เจอกับพี่ชายที่ไม่ได้พบกันมานาน ชายหนุ่มร่างสูงกว่าเขานิดหน่อยยืนรอน้องชายที่กำลังทุลักทุเลไปหา ใบหน้าแต้มใบด้วยรอยยิ้มดูเอิบอิ่มสดใสที่สุดตั้งแต่ที่พินเคยเห็นมา

          “พี่พิมพ์! พินคิดถึงพี่พิมพ์มากเลย พี่พิมพ์สบายดีมั้ย?”

          พินยิ้มมีความสุขให้กับชายผู้พี่ ทว่าพิมพ์กลับไม่พูดอะไรตอบมา เขาเพียงแค่ส่งรอยยิ้มอบอุ่นพลางลูบหัวน้องชายอย่างอ่อนโยนเท่านั้น

          “พี่พิมพ์ พ่อกับแม่ก็คิดถึงพี่พิมพ์มากเหมือนกันรู้รึเปล่า?”

          พิมพ์ยังคงไม่ตอบอะไร เขาพยักหน้าช้าๆสบตามองดวงหน้าของน้องชายผู้น่าเอ็นดู

          “พี่พิมพ์ใจคอจะไม่พูดอะไรกับพินซักคำเลยหรอ?”

          พินหน้าง้ำลง เขารู้สึกผิดหวังนิดหน่อยที่ไม่อาจได้ยินเสียงของพี่ชายคนนี้ พิมพ์คว้ามือคนเป็นน้องมาประคองไว้ เขาหงายฝ่ามือบางออกก่อนจะวางอะไรบางอย่างลงไป

          ดอกไม้น้อยสีขาวหอมนุ่มละมุนที่พาให้คิดถึงใครบางคน...

          “ดอกมะลิ”

          พินมองมะลิสีขาวนวลในมือสลับกับสบตาพี่ชายอย่างไม่เข้าใจ พิมพ์เอาแต่ยิ้มให้ไม่พูดอะไรก่อนจะรวบกำมือเรียวที่ประคองดอกไม้เอาไว้และนำมือนั้นส่งไปทาบบนอกซ้าย

          ตรงหัวใจของพิน...

          “พี่พิมพ์อยากจะบอกอะไรพินงั้นหรอ?”

          พิมพ์ไม่ตอบ เขาคลายมือออกพลางลูบหัวน้องชายอีกครั้งแทนคำบอกลา จากนั้นจึงเดินจากไปช้าๆ

          “พี่พิมพ์จะไปไหนน่ะ? กลับมาก่อน”

          พินรีบวิ่งตาม ทว่าไม่ว่าจะเร่งฝีเท้าสักเท่าไหร่ก็ตามคนที่กำลังจากไปไม่ทัน ภาพสุดท้ายที่เขาเห็นคือพี่ชายของเขายืนโบกมือให้โดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง



          “พี่พิมพ์!”

          พินร้องเรียกคนเป็นพี่เสียงลั่นก่อนจะตกใจตื่นขึ้นมา เขามองไปรอบๆห้องก็พบว่าตนได้เผลอหลับไปจนสว่าง กลิ่นหอมดอกไม้จางๆลอยเอื่อยแตะจมูก

          ‘กลิ่นมะลิ?’

          ทว่าเมื่อแบมือออกมากลับไม่พบอะไรอยู่ในนั้น...

          พินยันตัวลุกขึ้นเอามือตบแก้มเบาๆไล่ความงัวเงียและความฟุ้งซ่าน วันนี้เขามีนัดกับกั้งและม่อน สองสาวเพื่อนสนิท เขาจึงต้องรีบลุกไปล้างหน้าล้างตาอาบน้ำแต่งตัว

          โดยที่ในหัวไม่อาจสลัดความฝันเมื่อคืนทิ้งไปได้เลย...





          “ทางนี้พิน!”

          เสียงสดใสผิดมนุษย์ของกั้งเรียกพินดังลั่นจนทำเอาคนที่เดินผ่านไปผ่านมาสะดุ้งหน้าตาตื่น ชายหนุ่มไม่รอช้ารีบเดินไปทางสองสาว ม่อนรีบเดินเข้ามาหาพลางทักอย่างดีอกดีใจ

          “โอ๊ยพินผมสั้นกลับมาแล้ว น่ารักที่สุด”

          ม่อนเอามือทั้งสองดึงแก้มชายหนุ่มเบาๆทำเอาเขายิ้มเขินขึ้นเล็กๆ

          “จริงๆชั้นเองก็ชอบแบบนี้ ตอนผมยาวก็สวยดีแต่เกินหน้าเกินตาเพื่อน เพื่อนไม่ชอบ!”

          กั้งพูดเย้าสำทับ ทำให้พินที่เพิ่งจะเขินอยู่หยกๆหุบยิ้มแทบไม่ทัน

          “เออพินวันนี้ชั้นชวนเพื่อนมากินข้าวด้วยนะ โทษทีที่ไม่ได้บอกก่อน”

          “อ๋อไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่ใครหรอ?”

          กั้งยิ้มกริ่มก่อนจะรีบหันไปกวักมือเรียกชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งที่ยืนอยู่ไกลๆ

          “นี่พี่เติ้ล รุ่นพี่ที่ทำงานชั้นเอง”

          “สวัสดีครับ”

          ชายหนุ่มอีกคนส่งยิ้มหวานให้พินพลางเอ่ยทักทาย พินจึงยิ้มตอบกลับไปอย่างสุภาพ

          “สวัสดีครับ”

          “พี่เติ้ลนี่พินกับม่อนนะ เพื่อนสนิทน้องเอง”

          คนทั้งสามยิ้มให้กันแบบเกร็งๆเล็กน้อย ส่วนกั้งเองก็พยายามจะสร้างบรรยากาศสนุกสนานให้กับกลุ่มเพื่อน

          “ชั้นหิวละ เราไปกินข้าวกันเถอะ”

          พูดจบกั้งก็รีบลากแขนม่อนออกมาก่อนจะปล่อยให้ชายอีกสองคนอยู่ด้วยกันอย่างตั้งใจ

          “อีกั้งลากม่อนออกมาทำไมเนี่ย? ม่อนจะคุยกะพิน”

          “เออน่าคุยกะชั้นไปก่อน”

          ตลอดเวลาที่ทั้งสี่นั่งกินข้าวอยู่ด้วยกัน พินรู้สึกได้ว่าเพื่อนกั้งตัวดีพยายามชงเขาให้ชายหนุ่มอีกคนอย่างไม่ลดละ และตอนนี้กั้งก็ได้ลากม่อนไปเข้าห้องน้ำที่แถวยาวเหยียดไปถึงชาติหน้าโดยที่ทิ้งเขากับเติ้ลไว้สองต่อสอง

          “พินต้องขอโทษแทนกั้งด้วยนะครับ ถ้ามันทำอะไรให้พี่เติ้ลอึดอัด”

          พินเป็นฝ่ายพูดขึ้นทำลายความเงียบก่อน

          “อ๋อ...ไม่เลย ผมว่าอยู่กับคุณก็สนุกดี”

          “พินไม่ใช่คนสนุกขนาดนั้นหรอกครับ ออกจะน่าเบื่อด้วยซ้ำ”

          “ไม่น่าเบื่อหรอกครับ ถึงคุณจะพูดน้อย...แต่คุณยิ้มสดใสมากเลยนะ”

          “ครับ?”

          “ยิ้มบ่อยๆดีกว่านะครับ”

          พินยิ้มขึ้น...ทว่ากลับเป็นยิ้มเจื่อนๆเมื่อได้ฟังคำหวานที่อีกฝ่ายหยอดให้

          “จะสะดวกมั้ยครับ ถ้าผมอยากจะรู้จักคุณมากกว่านี้?”

          คนถามหลบสายตาไปเล็กน้อยอย่างเขินๆ

          “คือความจริงแล้วผมเห็นคุณจากในรูปที่ถ่ายกับกั้งน่ะครับ ก็เลยขอร้องให้กั้งแนะนำให้รู้จัก”

          ถึงแม้เติ้ลจะไม่ได้มีอะไรแย่ในสายตาพิน ออกจะดูดีและสุภาพมากด้วยซ้ำ ทว่าคนที่หัวใจปิดตายอย่างเขา ตอนนี้ไม่อาจเปิดรับใครเข้ามาได้

          “ขอโทษด้วยนะครับพี่เติ้ล ตอนนี้พินไม่อยากมีใคร...”

          เติ้ลเข้าใจในทันที เพราะพินทำหน้าเหมือนมีอะไรในใจตลอดเวลา ราวกับกำลังคิดถึงใครบางคนมากจนเขาไม่อาจเข้าไปแทรกได้ แม้ว่าเขาจะประทับใจในตัวของพินแค่ไหนเขาเองก็ไม่อาจเซ้าซี้

          “ไม่เป็นไรครับ อย่างน้อยผมหวังว่าเราคงจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้นะครับ”



          “ทำไมแกถึงต้องปิดตัวเองแบบนี้ด้วยวะพิน?”

          กั้งอดถามไม่ได้ หลังจากที่เติ้ลขอตัวกลับไปก่อนเธอก็เดาได้ว่าจะต้องมีอะไรเกิดขึ้นระหว่างสองคนนี้ และก็คาดไว้ไม่ผิด

          “พี่เติ้ลคือโปรไฟล์ดีมากนะเว้ย ทั้งหล่อ ทั้งรวย การศึกษาก็ดี การงานก็ดี สาวๆ ที่บริษัทนี่แย่งกันจะตาย ติดแค่ว่าพี่เค้าชอบผู้ชายและเค้าก็ชอบแก!”

          “เราขอโทษจริงๆนะกั้ง”

          “ไม่ต้องมาขอโทษชั้นหรอก ชั้นแค่ไม่เข้าใจเว้ย ตอนนั้นอีม่อนแนะนำสาวมาให้แกก็มาสารภาพว่าไม่ได้ชอบผู้หญิง แต่พอหาผู้ชายดีๆมาให้ก็เสือกไม่สนใจอีก แกเป็นอะไรของแกวะ?”

          กั้งเริ่มพูดใส่อารมณ์จนพินทำหน้าไม่ถูก เขาเข้าใจดีว่าเพื่อนคนนี้หวังดีกับเขา แต่พินก็ไม่อาจฝืนตนเองได้เช่นกัน

          “กั้งแกจะไปพูดกดดันไอ้พินมันทำไมวะ”

          “ก็ชั้นไม่อยากเห็นมันทำตัวอมทุกข์แบกโลกอยู่แบบนี้นี่หว่า สามปีมาแล้วนะเว้ยพิน...ที่แกไม่ได้ยิ้มออกมาจากใจให้พวกชั้นได้เห็นเลยซักครั้งเดียว”

          “ก็เพราะเรายังมีคนที่ลืมไม่ได้อยู่จริงๆไง!”

          พินเสียงแข็งขึ้นน้ำตาคลอ ถ้าเลือกได้เขาก็ไม่ได้อยากจะมีสภาพแบบนี้เหมือนกัน แต่จะให้ทำยังไงได้...

          เขารักมะลิมากจริงๆ ...

          “แล้วใครกันล่ะวะที่แกลืมไม่ลง? เฮ้ยพิน! พวกเราเป็นเพื่อนรักกันไม่ใช่หรอ? ทำไมมีอะไรแกไม่พูดอ่ะ?”

          “พอได้แล้วอีกั้ง!”

          ชายหนุ่มได้แต่นิ่งเงียบ เขาเองก็ไม่ได้อยากมีเรื่องปิดบังเพื่อน แต่จะให้อธิบายออกไปว่ายังไง...

          “เราขอโทษนะ เรากลับก่อนดีกว่า...”

          “เดี๋ยวดิไอ้พิน...ไอ้พิน!”

          เสียงกั้งตะโกนตามหลังมา หากแต่ว่าตอนนี้พินรู้สึกเจ็บปวดเกินกว่าจะหันกลับไปคุยกับเพื่อนของเขาได้ สิ่งเดียวที่ชายหนุ่มพอจะทำได้ในตอนนี้คือ “หนี”



          ไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้วที่ชายหนุ่มเดินทอดน่องเหม่อลอยมองรถที่แล่นผ่านไปมา สภาพเขาเองก็คงจะย่ำแย่ไม่ใช่น้อยเพราะขาเจ้ากรรมแทนที่จะพาเขาไปยังลานจอดรถ แต่ดันเดินขึ้นรถเมล์มาจนกลับมาถึงคอนโดเสียได้

          ‘พรุ่งนี้ค่อยกลับไปเอารถแล้วกัน’

          เมื่อนึกถึงค่าจอดรถที่เขาจะต้องจ่ายพรุ่งนี้ ชายหนุ่มก็อดพ่นลมถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาไม่ได้ แต่ตัวเขาที่เหนื่อยล้าห่อเหี่ยวเช่นนี้การกลับไปนอนทิ้งตัวอยู่ในห้องคงจะเป็นความคิดที่ดีกว่าเห็นๆ     

          พินกดลิฟต์นำตัวเขาขึ้นไปบนห้องพักด้านบน เขาลากร่างกายอันซึมเซาไปหยุดอยู่หน้าประตูก่อนจะกดรหัสปลดล็อก แต่ไม่รู้ทำไม...

          ‘ทำไมเปิดไม่ได้วะ? รหัสผิดหรือเครื่องเสีย?’

          ชายหนุ่มกดรหัสซ้ำไปซ้ำมาอย่างไม่ยอมแพ้ จากอารมณ์ที่เฉื่อยชาอยู่เมื่อครู่ตอนนี้กำลังเริ่มเปลี่ยนเป็นหงุดหงิด ทำไมทำอะไรก็ไม่เป็นไปดังใจหวัง...ขนาดประตูห้องยังไม่ยอมต้อนรับเขาด้วยซ้ำ

          “ขอโทษนะครับ? คุณเข้าผิดห้องรึเปล่า?”

          เสียงชายคนหนึ่งเอ่ยทักมาจากทางด้านหลัง ทำให้พินซึ่งทะเลาะกับประตูห้องคนอื่นอยู่เมื่อครู่สำเหนียกตัวเองขึ้นมาว่าเขาคงจะเบลอหนักถึงได้มาเที่ยวเปิดประตูห้องชาวบ้านเขาอยู่อย่างนี้

          ‘โอ๊ย! เอาอีกแล้วนะไอ้พินแกมันโง่จริงๆ’

          “เอ่อขอโทษนะครับผมคงจะเบลอมากไปหน่อย...”

          พินรีบขอโทษขอโพยพลางหมุนตัวไปหาคนที่ยืนอยู่เบื้องหลัง ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งในชุดนักศึกษากำลังยืนยิ้มให้เขาอยู่

          ยิ้มที่ประดับไปด้วยรอยบุ๋มๆ ข้างแก้มบนใบหน้าอ่อนหวานขาวสว่าง ที่ทำให้เขาต้องใจกระตุกวูบเมื่อได้เห็นทุกครั้งไป...

          ดวงตาดำสนิทสุกใสที่มักจะจ้องมองเขาอย่างหลงใหล...

          ริมฝีปากอิ่มที่เคยมอบจูบแสนนุ่มนวลให้กับเขา...

          คนที่ทำให้พินใจเต้นแรง...

          คนที่พินไม่เคยลืม...

          “มะลิ?”

          ภาพของคนตรงหน้าทำให้ชายหนุ่มน้ำตารื้นขึ้น ความยินดีล้นขึ้นเต็มหัวใจที่เหี่ยวแห้ง ราวกับไม้ใกล้ตายที่ได้รับสายฝนเย็นฉ่ำ

          “มะลิใช่มั้ย?”

          “อืม...เราเอง”

          แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง พินขยับตัวเข้าไปใกล้ชายหนุ่มเบื้องหน้า มือเรียวสัมผัสแขนแข็งแรงราวกับต้องการจะย้ำตัวเองให้แน่ใจว่าคนตรงหน้าไม่ใช่ภาพลวงตา

          “พินยังรอเราอยู่รึเปล่า?”     

          น้ำตาไหลออกมาโดยที่ระงับเอาไว้ไม่ไหว พินโผเข้ากอดคนตรงหน้า อบอุ่น...แนบแน่นจนได้ยินเสียงหัวใจของกันและกัน

          “รอ...รอมาตลอด...ไม่เคยลืม”

          แค่ได้ฟังก็อบอุ่นใจ มะลิเองก็ไม่อาจสะกดน้ำตาเอาไว้ได้อีกต่อไป เขากอดตอบพินแน่นจนคนตัวบางจมลงไปในอกกว้าง แม้คนทั้งคู่จะกำลังร้องไห้ ทว่ากลับเป็นน้ำตาแห่งความสุข น้ำตาแห่งความยินดีที่คนทั้งสอง

          ได้กลับมาพบกันอีกครั้ง...

          “ขอบคุณนะพิน...ขอบคุณที่ยังไม่หมดหวังในตัวเรา...”

          เสียงสะอื้นร้องไห้ดังระงมไปทั่วโถงทางเดิน ราวกับความสุขช่วงเวลาสามปีที่หายไปได้กลับมา สามปีที่ใครบางคนถูกพรากจากเขาไปอย่างโหดร้าย

          ในที่สุด...

          หัวใจทั้งสองดวงก็ได้กลับมาเจอกันและกัน...



++++++++++++++++

          ในที่สุดมะลิก็กลับมาแล้วนะคะ ดีใจไปกับพินด้วยเลย ตอนหน้าเป็นตอนจบแล้วค่ะ แต่เราจะลงตอนพิเศษอ่านสบายๆอีกนิดหน่อย ฝากติดตามด้วยน้า รักรีดทุกคนค่ะ


ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Timid Lily

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0
บทส่งท้าย : คนของใจ


         ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆที่เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความคิดถึง คนสองคนนอนกกกอดแนบชิดมอบไออุ่นให้กันอยู่บนเตียงนอนนุ่ม ศีรษะของคนตัวเล็กหนุนซบอยู่บนแผ่นอกกว้าง ส่วนคนตัวโตกว่าตอนนี้กำลังกดจมูกโด่งหอมหัวคนน่ารักที่นอนเบียดติดเขาไม่ขยับไปไหน

          “มะลินายหายไปไหนมา?”

          พินเอ่ยถามพลางซุกใบหน้าฟังเสียงหัวใจที่กำลังเต้นของมะลิไปด้วย

          “เราไปสิงร่างของเด็กหนุ่มที่กำลังผ่าตัดสมองมาน่ะ...”

          มะลิเกลี่ยเส้นผมสวยของคนที่กำลังกอดเขาแน่นก่อนจะเอ่ยต่อ

          “เด็กคนนี้ชื่อนับ เพิ่งจะเรียนจบมัธยมปลายแต่ต้องเข้ารักษาตัวก่อนจะมีโอกาสได้เรียนต่อ หลังจากผ่าตัดเสร็จเราต้องใช้เวลาฟื้นฟูนานมาก ทั้งต้องพักฟื้น ทั้งกายภาพ กว่าจะแข็งแรงดีกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้ก็กินเวลาไปตั้งสามปี”

          “น่าสงสารน้องเค้าเหมือนกันเนอะ...”

          พินเอ่ยขึ้นด้วยความเห็นใจที่เด็กหนุ่มเจ้าของร่างไม่มีโอกาสได้ใช้ชีวิตที่ควรจะสดใสได้นานกว่านี้

          “อืม...พ่อกับแม่ของนับเป็นคนดีมาก พวกเค้าดูแลเราอย่างดี อดทนกับเราที่ทำตัวเป็นลูกความจำเสื่อม พาเราไปเปิดหูเปิดตาเรียนรู้จักโลกมากมายในระยะเวลาแค่นี้ เป็นช่วงเวลาสามปีที่มีค่ามาก เราได้อะไรจากพวกท่านมามากจริงๆ ...”

ได้ฟังแบบนั้นพินก็ดีใจ แต่เมื่อกลับมามองตัวเอง ตอนที่มะลิอยู่กับเขา เขากลับไม่อาจดูแลนกหนุ่มให้ดีได้เลย

          “ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะพิน?”

          “ชั้น...รู้สึกผิดต่อนายน่ะ...ที่ไม่ดูแลเอาใจใส่นายให้มากกว่านี้”

          “อย่าคิดอย่างนั้นสิ แค่พินยอมให้เราอยู่ในร่างของพิมพ์ เราก็ดีใจมากแล้วนะ”

          ริมฝีปากอิ่มจุมพิตลงบนหน้าผากของคนหงอยเบาๆ สัมผัสที่ห่างหายไปนานทำให้พินรู้สึกจักจี้เล็กๆ

          “ถ้าอย่างนั้นต่อไปนี้มะลิก็ต้องทำตัวเป็นลูกที่น่ารักเพื่อชดเชยในสิ่งที่พวกเค้าเสียไปด้วยนะ”

          “อืม...ตอนนี้เรามีโอกาสได้เรียนหนังสือแล้วนะ ที่สำคัญสมองของเด็กคนนี้ดีมากเลยทีเดียวล่ะ รับรองว่าอนาคตสดใสแน่นอน”

          มะลิสบตามองดวงตาคมสวยลึกซึ้งก่อนจะพูดต่อ

          “แล้วเราก็จะไม่ให้พินต้องมาคอยดูแลเราอยู่ฝ่ายเดียวอีกแล้ว เราก็จะเป็นฝ่ายดูแลพินด้วยเหมือนกัน”

          “เก่งใหญ่แล้วนะมะลิ เรียนให้จบซะก่อนเถอะ”

          พินอดหยอกไม่ได้เมื่อเห็นเจ้านกน้อยของเขาทำปีกกล้าขาแข็ง ถึงแม้ว่ามะลิจะเรียนช้ากว่าคนอื่นอยู่โข เนื่องจากเพิ่งจะเข้ามหาวิทยาลัยปีหนึ่งตอนอายุยี่สิบ แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรที่เขาจะต้องกลัวอีกแล้ว เมื่อเขาได้พินกลับมาอยู่เคียงข้าง

          “พินรู้มั้ยว่าเราคิดถึงพินขนาดไหน? เรากลัวมากว่าพินจะลืมเราไปแล้ว กลัวว่าหัวใจของพินจะกลายเป็นของใคร แต่เราไม่อยากยอมแพ้ เราเลยพยายามอดทนรักษาตัวให้หายไวๆจะได้รีบกลับมาหาพิน”

          ดวงตาที่มักจะสดใสฉายแววหมองเศร้าให้เห็น คำพูดที่พรั่งพรูออกมาคือความรู้สึกที่นกหนุ่มเก็บกดไว้ในใจมาตลอดสามปี

          สามปีแห่งความกลัว...

          กลัวว่าพินจะไม่รักเขาอีกต่อไป...

          “เรารักพินนะ...”

          มือเรียวลูบสัมผัสใบหน้าเนียนสว่าง พินส่งจมูกแตะเคลียปลายจมูกโด่งของร่างสูงก่อนจะเอ่ยกระซิบรักอ่อนหวาน

          “ชั้นก็รักมะลินะ...”

          ร่างสูงประคองคนตัวบางไว้ใต้อ้อมกอด แขนผ่ายผอมคล้องลำคอของคนที่คร่อมอยู่บนร่างก่อนจะพูดต่อเสียงแผ่ว

          “ตั้งแต่ที่มะลิจากชั้นไป...ไม่มีวันไหนเลยที่ชั้นจะไม่คิดถึงนาย...”

          พินโน้มร่างชายหนุ่มเข้าหา ดวงตาคมช้อนมองคนตรงหน้าที่แสนคิดถึง ริมฝีปากหยักยังคงพร่ำเอ่ยไม่หยุด

          “มะลิรู้มั้ยว่าชั้นกลัวมาก กลัวว่าจะได้แต่หวังลมๆแล้งๆว่านายจะกลับมา”

          มะลิตั้งใจฟังทุกถ้อยคำที่คนที่เขาสุดแสนจะรักอยากจะบอกกับเขา

          “ชั้นดีใจมากเลยนะที่ในที่สุด ความหวังของชั้นก็เป็นจริง”

          รอยยิ้มสุขใจประดับอยู่บนใบหน้า นกหนุ่มทิ้งตัวลงกอดคนน่ารักแนบแน่น ตอนนี้ความรู้สึกอยากฟัดให้จมเขี้ยวเริ่มก่อกวนหัวใจของเขาอีกแล้ว สามปีที่ผ่านไปทำให้พินของเขาดูเป็นหนุ่มขึ้นมาก แต่ไม่ว่ายังไง สำหรับมะลิคนๆนี้ก็ดูนุ่มนิ่มน่าทะนุถนอมไม่เคยเปลี่ยน

          มะลิหอมแก้มพินฟอดใหญ่ ก่อนจะไล้จมูกลงมาจรดลำคอระหง ทำเอาคนบ้าจี้หัวเราะขึ้นเสียงดัง

          “มะลิ จั๊กจี้”

          ยิ่งว่าเหมือนยิ่งยุ ริมฝีปากอิ่มงับเข้าติ่งหูของร่างบางเบาๆ จากนั้นจึงส่งลิ้นร้อนลากไล้ให้พินต้องวูบไหว

          “มะลิ...”

          พินที่ไม่ขัดขืนแบบนี้ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกไม่ค่อยสนุกสักเท่าไหร่ คนขี้แกล้งอย่างเขาชอบนักที่จะเห็นพินโวยวายทำหน้าหงิกหน้างอใส่

          “มีอะไรหรอมะลิ?”

          พินเอ่ยถามเมื่อเห็นมะลินิ่งไปเสียดื้อๆ

          “ไม่มีอะไร...”

          “...?”

          “ก็เมื่อกี้...”

          “อะไรหรอ?”

          “เอ่อ...เปล่า...”

          เริ่มได้ผล เหมือนเป็นการแกล้งรูปแบบใหม่ที่มะลิจะได้ทำเป็นครั้งแรก ดูเหมือนว่าการที่เขาไปกระตุ้นอารมณ์พินขึ้นมาแล้วปล่อยทิ้งไว้เฉยๆแบบนี้จะทำให้เขาได้ทำอะไรสนุกๆบางอย่าง

          “พินคิดว่าเราจะทำอะไรหรอ?”

          “หา? ...เอ่อ...เปล่าซะหน่อย”

          มะลิยิ้มยียวน ตอนนี้ร่างสูงขึ้นมาคร่อมอยู่บนตัวของคนที่กำลังทำหน้าเลิ่กลั่ก ดวงตาสุกใสจ้องลึกลงไปในตาคู่สวย

          “พิน...”

          มะลิเลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้พินอีกครั้ง พินหลับตาลงเมื่อรู้สึกได้ว่าริมฝีปากของอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ ปากหยักเผยอรอรับรสจูบน้อยๆทว่า...     

          “มะลิ! นายงับจมูกชั้นทำไม?!”

          นกหนุ่มหัวเราะจนตัวคลอน เขาตลกท่าทางของคนที่กำลังทั้งอายทั้งโมโห ส่วนคนที่กำลังทำหน้าหงิกอยู่นั้นตอนนี้คว้าหมอนขึ้นมาตีคนขี้แกล้งแบบไม่ยั้ง

          “สนุกนักใช่มั้ย? ไอ้นกบ้า!”

          “ฮ่าๆๆๆพอแล้วพิน หยุดตีเราได้แล้ว”

          มะลิห้ามไปขำไป ส่วนคนโดนแกล้งก็ยังไล่ฟาดอยู่อย่างนั้น ร่างสูงจึงคว้าแขนคนตัวเล็กแน่นหยุดการทำร้ายร่างกาย ก่อนจะกดพินล้มลง

          “ถ้าพินอยากจูบเราก็จูบสิ”

          “...”

          หน้าเนียนตอนนี้กำลังร้อนวูบฉาบสีแดงระเรื่อ พินเขินจนต้องหันหน้าหนี แต่มือใหญ่ก็ยังไม่วายจับแก้มเขาให้หันกลับมา ก่อนจะทำปากตุ่ยๆใส่พินดูน่ารักพิกล

          “อ่ะ...จูบสิ”

          ริมฝีปากอิ่มนุ่มนิ่มที่เย้ายวนอยู่ตรงหน้าทำให้ชายหนุ่มเช่นพินอดใจไม่ไหวแล้วเหมือนกัน พินผู้แสนขี้อายมักจะไม่เป็นฝ่ายเริ่มแต่หนนี้คงไม่ได้แล้วจริงๆ มือเรียวโน้มคอของร่างสูงเข้าหา ปากกระจับบดเบียดราวกับอยากจะกลืนกินคนตรงหน้า ทำเอามะลิอดตกใจไม่ได้ ทั้งเร่าร้อนทว่าอ่อนหวาน แขนบอบบางป่ายรัดแผ่นหลังกว้างเพื่อแนบสัมผัสระหว่างกันให้แน่นยิ่งขึ้น

          ลิ้นอุ่นรุกสัมผัสความร้อนชื้นหอมหวาน ริมฝีปากแดงสั่นจากการดูดดุลของคนตรงหน้า มือซุกซนไล้ผ่านใต้ร่มผ้าสัมผัสผิวเย็นที่ค่อยๆร้อนขึ้น หัวใจเต้นแรงไม่เป็นระส่ำเมื่อฝ่ามือร้อนไล่ลงต่ำ...

          “อ๊ะ...”

          ร่างสูงชะงักมือเมื่อคนน่ารักส่งเสียงครางหวานให้ได้ยิน รอยยิ้มเจ้าเล่ห์แต้มบนริมฝีปาก คนคิดไม่ดีกำลังจะแกล้งคนรักของเขาอีกแล้ว

          “พินอยากให้เราทำอะไรหรอ?”

          คำถามน่าอายแบบนี้พินคงตอบออกไปไม่ได้แน่ๆ เขาคู้ตัวลงซุกเจ้าคนตัวดี พลางบ่นอุบอิบไปด้วย

          “ทำไมต้องถามด้วย...?”

          “ก็เราอยากรู้นี่”

          พินปิดปากแน่นไม่พูดอะไร เขารู้ตัวขึ้นมาทันทีว่าไอ้ผู้ชายบ้าคนนี้กำลังจะแกล้งกันอีกแล้ว

          “บอกเราหน่อยสิ”

          “...”

          “นะ”

          พูดไปมือก็ไม่วายซุกซนไปด้วย กระดุมเสื้อเม็ดแล้วเม็ดเล่าถูกปลดออก โดยที่พินเองก็ไม่ได้ต่อต้านแต่ปากก็ไม่วายยังปิดแน่นไม่พูดอะไร

          “ไม่พูดกับเราหรอ...งั้นก็ได้...”

          ริมฝีปากอิ่มจูบลงบนผิวเนียนไปทั่วร่าง ตามด้วยลิ้นร้อนลากไล้ให้คนที่กำลังนอนเงียบอยู่นั้นสติกระเจิดกระเจิง ร่างบางบิดไปตามความวาบหวาม ดวงตาสวยฉ่ำน้ำ ใบหน้าเย้ายวนกระตุ้นอารมณ์

          “มะลิ...ชั้น...”

          ‘ก๊อก ก๊อก ก๊อก’

          ‘ใครมาวะ?’

          ถึงจะมีคนมาขัดจังหวะ แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่หยุดสิ่งที่กำลังทำ ก็พินของเขากำลังตอบรับรสรักอย่างเต็มที่ขนาดนี้ ใครจะไปอดใจปันเวลาไปต้อนรับคนอื่นได้เล่า

          “มะลิมีคนมา...อ๊ะ”

          ปากอิ่มบดลงปิดปาก ตอนนี้มะลิไม่ต้องการให้พินสนใจการมาเยือนของใครทั้งสิ้น

          “เราก็ทำเป็นไม่อยู่ก็ได้นี่พิน...”

          “แต่ว่า...อื้อ”

          จูบแล้วจูบเล่าบดเบียดกระชากลมหายใจให้หอบครวญ ทว่าคนด้านนอกก็ไม่ยอมแพ้เหมือนกันที่จะรัวมือลงกับบานประตูเสียงดัง

          ‘ก๊อกๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ’

          ‘รำคาญจริงโว้ย!’

          ชายหนุ่มระเบิดความหงุดหงิดเป็นรสจูบแสนเร่าร้อนรุนแรง ปากอิ่มดูดลิ้นนุ่มจนเกินเสียงขึ้นเคอะเขิน แขนแข็งแรงดึงตัวบอบบางคร่อมลงบนตัก มือใหญ่ถอดเสื้อเนื้อดีของคนตรงหน้าออกอย่างบรรจง

          ‘Rrrrrr’

          โทรศัพท์มือถือของพินดังขึ้นขัดจังหวะอารมณ์แสนรุ่มร้อน เขารีบคว้ามามันขึ้นมาดูและปรากฏชื่อของ “ดาวเหนือ” ขึ้นบนหน้าจอ

          ‘ไอ้งูงั่ง! เดี๋ยวนี้มันมีมือถือกับชาวบ้านเค้าแล้วหรอวะ?’

          แม้ว่าเป็นเรื่องน่าหงุดหงิดที่สุดในโลกสำหรับมะลิที่ถูกพวกอมนุษย์สุดบื้อมาขัดจังหวะการลิ้มรสคนรักแสนหอมหวานที่ห่างหายไปนานถึงสามปี ถึงอย่างนั้นตอนนี้เห็นทีจะต้องหยุดเรื่องนั้นเอาไว้ก่อนแล้วออกไปเจอหน้า “เพื่อน” ที่เขาเองก็คิดถึงอยู่ไม่น้อยเสียที



          “ทำไมไม่เห็นมีใครออกมาเปิดประตูซักทีวะ? นี่ไอ้เจ้างู แกแน่ใจนะว่าพินไม่ได้ออกไปไหนน่ะ”

          นินจาเอ่ยถามดาวเหนือเมื่อเขายืนรออยู่หน้าประตูห้องพินมาได้สักพักหนึ่งแล้ว และตอนนี้ยุงทั้งหลายกำลังเป็นฝ่ายแห่แหนมาต้อนรับพวกเขาแทนเจ้าของห้อง

          “ต้องอยู่สิ ก็พินเป็นคนส่งข้อความมาบอกผมเองว่าให้รีบมา มีข่าวดีจะบอก”

          “ข่าวดี” ที่พวกเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเรื่องอะไร สิ่งเดียวที่รู้คือพินเซ้าซี้พวกเขาทั้งสองให้มาหาให้ได้ แม้จะเย็นย่ำแล้วก็ตาม

          “เดี๋ยวผมลองโทรหาพินดูก็ได้ ตอนนี้ผมมีมือถือแล้ว”

          ดาวเหนือหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอวดนินจาก่อนจะรีบโทรหาพิน ครู่เดียวปลายสายก็ตอบรับ

          [มาแล้วหรอดาวเหนือ...]

          เสียงปลายสายที่งูหนุ่มได้ยินดูหอบอึกอักชอบกล

          “ใช่ครับผมมาแล้ว พินมาเปิดประตูให้หน่อยสิ”

          [ได้สิรอเดี๋ยวนะ]

          พินวางสายไปพร้อมๆ กับเสียงประตูที่ดังขึ้น ชายหนุ่มผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้ายับย่นรีบออกมาต้อนรับผู้มาเยือนทั้งสอง

          “ขอโทษที่ให้รอนะ”

          “พินทำอะไรอยู่ทำไมดูเหนื่อยๆ?”

          นินจาถามขึ้นเมื่อเห็นสภาพน่าสงสัย ถึงจะดูเหมือนคนเพิ่งตื่นก็ไม่น่าใช่เพราะดูเหงื่อซึมน้อยๆแถมยังหน้าแดงๆฉ่ำๆพิกล

          “พินไปออกกำลังกายมาหรอ?”

          “เอ๊ะ?!”

          “ก็ดูพินดูเหนื่อยๆ แล้วทำไมถึงติดกระดุมหยักรั้งแบบนั้นล่ะ?”

          ดาวเหนือร้องถามพลางชี้นิ้วยาวๆไปทางเสื้อที่ติดกระดุมไว้แบบลวกๆ ทำเอาพินเหวออายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี

          ไม่ใช่เพราะติดกระดุมผิด...

          แต่เพราะกลัวจะถูกจับได้ว่าเพิ่งจะไปทำอะไรมา...

          “เอ่อ...ไม่มีอะไรหรอก...”

          “พวกแกนี่ชอบถามซอกแซ่กเรื่องชาวบ้านไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ”

          เสียงทุ้มต่ำพูดแทรกขึ้นมา มะลิปรากฏตัวขึ้นเบื้องหลังของพินด้วยสภาพยับยุ่งไม่แพ้กัน

          แต่ตอนนี้ใครจะไปสนใจเรื่องนั้นกัน...ในเมื่อ...

          “แก...ไอ้นกโง่!”

          นินจาแทบไม่เชื่อสายตาเมื่อเห็นคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า เขาเดินเข้าไปหานกหนุ่มก่อนจะทุบกำปั้นลงบนแผ่นอกหนาเสียงดัง ดวงตาที่มักจะซุกซนนั้นเจิ่งนองไปด้วยน้ำตาแห่งความดีใจ

          “หายหัวไปไหนมา?”

          มะลิส่งรอยยิ้มอบอุ่นให้แมวหนุ่มที่ทำท่าเหมือนจะร้องไห้ ส่วนดาวเหนือก็เดินเข้ามาพร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยความปีติ เขาตบลงบนบ่ากว้างอย่างเบามือ

          “ผมคิดไว้อยู่แล้วเชียว...ว่าวันนึงนกมะลิจะต้องกลับมา”

          ใช่...เขากลับมาแล้ว...

          บรรยากาศแห่งความสุขรายล้อมชายทั้งสี่ ทุกคนต่างก็ยินดีกับการกลับมาของอมนุษย์หนุ่มผู้นี้

          ในที่สุดมะลิก็ได้กลับมาพบกับคนที่เขารัก...

          กลับมาพบมิตรแท้ที่คอยอยู่เคียงข้าง...

          กลับมาใช้ชีวิตอย่างมีความสุข...



          ท่ามกลางบรรยากาศครึกครื้นหน้าเตาปิ้งย่าง มื้อเย็นวันนี้พินตัดสินใจเป็นเจ้ามือเลี้ยงฉลองที่มะลิกลับมา นินจากับดาวเหนือช่วยกันคีบเนื้อสัตว์ต่างๆลงแนบกับตะแกรงเสียงดังฉู่ฉ่าส่งกลิ่นหอมชวนกิน ส่วนมะลิตอนนี้กำลังถูกสัมภาษณ์โดย “เมฆ” ชายขี้สงสัยผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเช่นคนอื่นเขา

          “เออน้อง น้องเรียนที่มหาวิทยาลัยเดียวกับพี่ใช่ป่ะ? พี่ว่าพี่เคยเห็นหน้า”

          “ใช่ครับพี่ ผมเรียนอยู่คณะเศรษฐศาสตร์”

          “แล้วน้องชื่ออะไร?”

          “ผมชื่อนับครับ”

          “น้องนับหรอ พี่ชื่อเมฆนะอยู่คณะแพทยศาสตร์”

          ‘พี่เมฆงั้นหรอ หึ! เมื่อก่อนยังเรียกเราว่าพี่อย่างนั้นพี่อย่างนี้อยู่เลย’

          มะลินึกขำอยู่ในใจเมื่อเห็นแมฆทำตัวเป็นรุ่นพี่สุดชีวิต ทั้งๆที่เมื่อก่อนเมฆมักจะทำตัวนอบน้อมเป็นน้องน้อยต่อหน้าเขาตลอดเวลา

          “แล้วน้องนับพักอยู่ที่ไหนหรอ?”

          “ผมออกมาอยู่คนเดียวที่คอนโดที่เดียวกับพี่พินน่ะครับ”

          “อ้าวทำไมไปอยู่แถวนั้นล่ะ? ไม่เห็นจะใกล้มหาวิทยาลัยตรงไหนเลย”

          “ถามอยู่นั่นแหละ รีบๆกินเข้าไปได้ละ”

          นินจาพูดแทรกเมื่อเห็นคนคอยจะถามซอกแซ่กไม่หยุด แมวหนุ่มคีบเนื้อสัตว์ชิ้นแล้วชิ้นเล่าใส่จานตัวเอง แต่ก็ไม่วายมีน้ำใจคีบฟักทองกับเห็ดย่างเผื่อเมฆด้วย

          “อ้าวทำไมไม่คีบเนื้อให้เมฆบ้างอ่ะ ใจคอจะให้กินแต่ผักอ่อ?”

          “อยากกินก็ปิ้งเองดิ”

          “แล้วนินจะไม่กินผักบ้างหรอ?”

          “ไม่กิน ไม่ชอบ”

          นินจาโต้ตอบไปพลางยัดเนื้อใส่ปากเคี้ยวตุ้ยไปพลาง เมฆได้แต่หรี่ตามองคนนั่งข้างหมั่นไส้ไม่ใช่น้อย

          “ถึงว่าทำไมตัวไม่โต แล้วก็ระวังเถอะจะขี้ไม่ออก”

          นินจาหันมาแยกเขี้ยวใส่คนปากเสียบนโต๊ะอาหาร แต่ดูเหมือนว่าสมาชิกจิตแข็งทุกคนจะไม่ได้ถือโทษอะไร

          “กินเยอะๆนะมะลิ”

          พินพูดขึ้นพลางคีบเนื้อสัตว์กับผักให้นกหนุ่มไปด้วย ส่วนมะลิก็หันไปยิ้มหวานจ๋อยให้คนรักของเขา

          “อ้าว...ทำไมพี่พินเรียกน้องนับว่ามะลิเหมือนที่เคยเรียกพี่พิมพ์เลยล่ะครับ?”

          เมฆขี้สงสัยถามขึ้นอีกครั้ง ทว่าคำตอบที่ได้รับกลับมาจากนินจา แถมยังไม่น่าฟังสักเท่าไหร่

          “เสือก!”

          “อะไรของนินวะครับ เกรี้ยวกราดจัง พูดกับเมฆดีๆมั่งมันจะตายรึไง?”

          “นกมะลิกินอันนี้สิผมปิ้งให้”

          คราวนี้ดาวเหนือพูดขึ้นบ้างก่อนจะคีบกุ้งตัวใหญ่ใส่จานของนกหนุ่ม

          “อ้าว...พี่ดาวเหนือก็เรียก ถ้างั้นพี่ขอเรียกน้องนับว่ามะลิด้วยคนได้ป่าว?”

          มะลิอมยิ้มขำเล็กๆที่เห็นเมฆทำหน้าเหรอหราใส่

          “ได้สิพี่ อยากจะเรียกผมว่าอะไรก็เรียกไปเถอะ”

          นอกจากกลิ่นหอมๆของมื้อเย็นแสนอร่อยแล้วก็ยังมีกลิ่นอายแห่งความสุขและความอบอุ่นคละคลุ้งอยู่ไปทั่ว ทุกคนกินไปคุยไปอย่างสนุกสนาน การกลับมาของนกหนุ่มทำให้พินกลับมายิ้มได้อย่างสดชื่นอีกครั้ง



          หลังจากที่ทุกคนกินอิ่มจนแทบลุกไม่ขึ้น ตอนนี้คงถึงเวลาแยกย้ายกันกลับเสียที เมฆคว้ากระเป๋าพลางลุกขึ้นยกมือไหว้เจ้ามือของมื้อนี้อย่างสุภาพ

          “พี่พินขอบคุณมากนะครับ มื้อนี้อร่อยมากๆ”

          “อื้มไว้เจอกันใหม่นะเมฆ แล้วเมฆกลับยังไงล่ะ?”

          “เดี๋ยวเมฆจะไปเล่นบอร์ดเกมกับเพื่อนต่อครับพี่พิน เออนินไปด้วยกันป่ะ?”

          เมฆหันไปเอ่ยชวนเพื่อนนินผู้แสนลึกลับ ส่วนนินจาก็ได้แต่ทำหน้างง

          “บอร์ดเกมคืออะไร?”

          “อ้าวไม่รู้จักหรอ? งั้นยิ่งต้องไป”

          โดยไม่รอให้อีกฝ่ายตอบรับเมฆก็ลากแขนเด็กหนุ่มนินจาออกไป พินโบกมือลานินจาพลางยิ้มส่ง

          “แล้วดาวเหนือล่ะ พี่คิมมาถึงแล้วยัง?”

          พินถามไปไม่ทันขาดคำ ชายที่ถูกพูดถึงก็ปรากฏตัวขึ้น

          “ดาวเหนือกลับบ้านกัน”

          “คิม”

          ดาวเหนือลุกขึ้นเดินไปหาคิมท่าทางดีอกดีใจ พินกับมะลิเองก็เดินตามไปทักทายชายหนุ่มผมสีน้ำตาลอมส้มสดใสเด่นหรา

          “สวัสดีครับพี่คิม”

          “หวัดดีน้อง วันนี้หน้าตาสดชื่นจังนะ ไปทำอะไรมา?”     

          พิมยิ้มเขินๆไม่ตอบอะไร ดาวเหนือเลยรีบตอบคำถามให้แทน

          “ก็นี่ไงคิม มะลิกลับมาแล้ว คิมจำมะลิได้มั้ย”

          ดาวเหนือผายมือไปยังชายหนุ่มร่างสูงดูอ่อนวัย ในสายตาคิม “มะลิ” คนนี้เป็นชายหนุ่มหน้าตาดี ผิวพรรณสดใส ดวงตาเล็กเรียว ใบหน้าเป็นมิตร

          “จำได้สิ...ถึงจะดูไม่เหมือนเดิมก็เถอะ ทั้งหนุ่มขึ้นแถมยังหน้าตาดีซะด้วย”

          คิมยิ้มล้อนกหนุ่ม ก่อนจะพูดต่อด้วยความยินดีจากใจ

          “ดีใจด้วยนะที่นายกลับมาอย่างปลอดภัย”

          คิมตบบ่าร่างสูงเบาๆก่อนจะเอ่ยลา

          “ถ้าอย่างนั้นพี่ขอตัวกลับก่อนนะน้องพิน มะลิ เดี๋ยวจะดึกไปกว่านี้”

          “ครับพี่คิม ไว้เจอกันครับ”

          “ผมไปก่อนนะพิน นกมะลิ”

          คนทั้งสองผละตัวไป ดาวเหนือเดินตามคิมแจดูน่าเอ็นดูเหมือนเคย ตอนนี้ทุกอย่างได้กลับสู่สภาพปกติแล้ว ในที่สุดคนทั้งสองก็ได้มีเวลาส่วนตัวอยู่ด้วยกันเสียที มะลิจึงนึกครึ้มอยากจะชวนคนน่ารักของเขาเดินย่อยเสียหน่อย

          “ก่อนกลับเราไปเดินเล่นด้วยกันมั้ย?”

          “เอาสิ”

          มือใหญ่คว้ามือเรียวกุมแน่น ทั้งสองเดินจูงมือกันออกมานอกร้าน พลางเดินเรื่อยเปื่อยบนทางเท้าที่บริเวณโดยรอบมีผู้คนมากมายครึกครื้นสมกับเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์

          “พิน...”

          “หืม...มีอะไรหรอมะลิ?”

          “ตอนนี้เราไม่ได้อยู่ในร่างพิมพ์อีกต่อไปแล้ว เราทำตัวเป็นคนรักกับพินได้แล้วใช่มั้ย?”

          มะลิดึงร่างบางให้แนบชิดกับตัวเขามากขึ้นอีกนิด มือที่จับไว้เมื่อครู่เปลี่ยนมาโอบบนไหล่เล็กๆทำให้เห็นได้ชัดว่าคนในอ้อมแขนของเขากำลังเขินอยู่

          “อื้ม...”

          ถึงแม้จะเป็นคำตอบที่ดูอึกอักขัดเขิน แต่มะลิก็อดยิ้มกว้างด้วยความดีใจไม่ได้

          “ถ้างั้น...”

          ใบหน้าสุกสว่างเลื่อนเข้าไปใกล้หวังจะลิ้มรสริมฝีปากหยักของคนที่เดินก้มหน้าก้มตาอายอยู่

          “เดี๋ยวๆๆ มะลิจะทำอะไร? !”

          “ก็จะจูบพินไง”

          “มะ...ไม่ได้! คนเยอะแยะอายเค้า!”

          “งั้นถ้าไม่มีคนมองก็จูบได้ใช่มั้ย?”

          “เอ๊ะ?”

          พูดจบมะลิก็ยกกระเป๋าที่ตนสะพายมาบังใบหน้าก่อนจะประทับจูบลงบนริมฝีปากของคนรักอย่างอ่อนหวาน

          “มะลิ...!”

          พินทำหน้าเลิ่กลั่กทั้งเขินทั้งประหม่า ตอนนี้ถึงแม้ภายนอกจะมืดแล้วก็ตาม แต่ถ้าสังเกตดูดีๆจะเห็นได้ว่าใบหน้าเนียนกำลังแดงแจ๋เหมือนสีพระอาทิตย์ตอนตกดิน มะลิลดมือลงก่อนจะส่งยิ้มน่ารักให้พลางเอ่ยขึ้นเสียงอ่อน

          “เรารักพินนะ...”

          สายตาหวานจ้องลึกซึ้งมาหา ทำเอาพินที่เขินอยู่แล้วยิ่งเขินไปกันใหญ่ ทว่า...เขาเองก็อยากจะพูดคำๆนั้นให้อีกฝ่ายได้ฟังเช่นกัน

          “ชั้นก็รักมะลิเหมือนกัน”

          ร่างสูงกอดคนตรงหน้าแน่นอย่างมีความสุข จมูกโด่งจรดลงหอมเส้นผมสลวยด้วยความคิดถึง เวลานี้พินเองก็ลืมความอายไปหมดสิ้นแล้วเหมือนกัน เขากอดตอบคนที่รักแนบแน่นราวกับชดเชยเวลาสามปีที่สูญไปให้คุ้มค่า

          สามปีที่ดวงใจถูกพลัดพราก...

          สามปีที่พิสูจน์ความรักของพวกเขา...จนในที่สุดวันนี้ความรักก็ได้กลับมาอีกครั้ง

          แม้ชีวิตไม่อาจคงอยู่ได้ชั่วนิรันดร์ แต่ความรักของทั้งสองนั้นจะยังคงอยู่...

          ตราบเท่าที่พวกเขายังมีลมหายใจ...



++++++++++++++++



          เรื่องราวดำเนินมาถึงตอนจบแล้วค่า ในที่สุดตัวละครทั้งหมดก็มีความสุขกันซักทีนะคะ ขอขอบคุณรีดทุกท่านที่ติดตามมาจนถึงตอนนี้ คอยคอมเม้นให้กำลังใจ กดไลค์ให้ต่างๆ อยากบอกว่าเป็นกำลังใจที่ดีมากๆเลยค่ะ

         

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-11-2019 10:25:17 โดย Timid Lily »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ airicha

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ในที่สุดมะลิก็กลับมา
ชอบทุกตัวละครในเรื่องนี้เลยค่ะ
เรื่องนี้สนุกมากเลยค่ะ เราอ่านรวดเดียวจบเลย
ชอบอ่านอะไรที่เป็นแนวแฟนตาซีมากๆ
ขอบคุณคุณเขียนและนิยายดีๆสนุกๆค่ะ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
ขอบคุณที่แต่งมาให้อ่านนะคะ

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
 :pig4: :pig4: :katai2-1: :katai2-1:
สนุกกกมากค่ะ 

ออฟไลน์ kawisara

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1586
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-7
สนุกมากกกก


เนื้อเรื่องชวนติดตาม


จบได้ดี มีเรื่องใหม่อีกใหม

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Gatjang_naka

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 620
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0

ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6

ออฟไลน์ MayuYume

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 86
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เห็นแวบไปแวบมากนานแล้ว
เพิ่งได้อ่านชอบมากๆเลยค่ะ มีน้ำตาไหลบ้าง ขอบคุณมากเลยค่ะ

ออฟไลน์ aoihimeko

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +155/-9

ออฟไลน์ mentholss

  • "เหตุผล" หรือ "ข้ออ้าง"
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1278
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด