พิมพ์หน้านี้ - คุณพี่ชายนายนกผี! My brother is the barn owl! บทส่งท้าย : คนของใจ 29/10/19

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Timid Lily ที่ 28-06-2019 10:07:15

หัวข้อ: คุณพี่ชายนายนกผี! My brother is the barn owl! บทส่งท้าย : คนของใจ 29/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: Timid Lily ที่ 28-06-2019 10:07:15
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้


1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0


++++++++++++++++


"พิน" ชายหนุ่มอายุ 22 ปีที่กำลังจะเรียนจบ ครอบครัวของเขาเพิ่งผ่านเหตุการณ์เลวร้ายซึ่ง...

"พิมพ์" พี่ชายของเขาได้ถูกช่วยขึ้นมาจากน้ำเนื่องจากพยายามฆ่าตัวตายโดยทิ้งจดหมายไว้เพียงฉบับเดียว นับว่ายังเป็นโชคดีของครอบครัวที่พิมพ์ฟื้นขึ้นมาในสภาพความจำเสื่อม

ทว่า...ในความเป็นจริงแล้ว มีบางสิ่งแอบแฝงอยู่ในร่างของพิมพ์ สิ่งที่จะนำพาพินไปสู่เงื่อนงำความจริงของการจบชีวิตของพี่ชายของเขา

ความจริงที่ทำให้ชีวิตอันแสนเรียบง่ายของพิน

ต้องแปรเปลี่ยนไปตลอดกาล



๐ อัพทุกวันศุกร์กับจันทร์นะคะ ๐


สารบัญ

บทนำ : วิหค (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70598.msg3985929#msg3985929)
บทที่1: เปิดตา (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70598.msg3986585#msg3986585)
บทที่2 : มะลิ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70598.msg3987451#msg3987451)
บทที่3 : เพื่อนสนิท (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70598.msg3988323#msg3988323)
บทที่4 : แมวดำ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70598.msg3989295#msg3989295)
บทที่5 : ภรรยา (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70598.msg3990009#msg3990009)
บทที่6 : แพทย์หญิง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70598.msg3990834#msg3990834)
บทที่7 : ชิงช้าสวรรค์ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70598.msg3991592#msg3991592)
บทที่8 : จดหมายลาตาย (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70598.msg3992456#msg3992456)
บทที่9 : หญิงชรา (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70598.msg3993123#msg3993123)
บทที่10 : ในเงาจันทร์ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70598.msg3993832#msg3993832)
บทที่11 : สังหรณ์ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70598.msg3994627#msg3994627)
บทที่12 : นินจา (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70598.msg3995409#msg3995409)
บทที่13 : งูขาว (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70598.msg3996284#msg3996284)
บทที่14 : ดาวเหนือ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70598.msg3997295#msg3997295)
บทที่15 : สำนึก  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70598.msg3998058#msg3998058)
บทที่16 : ฝืน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70598.msg3998961#msg3998961)
บทที่17 : สีแดงฉาน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70598.msg3999676#msg3999676)
บทที่18 : ซ่อน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70598.msg4000472#msg4000472)
บทที่19 : พานพบ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70598.msg4001125#msg4001125)
บทที่20 : ในที่สุด (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70598.msg4001865#msg4001865)
บทที่21 : ลักพา (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70598.msg4002418#msg4002418)
บทที่22 : ไม่สัญญา (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70598.msg4003297#msg4003297)
บทที่23 : อโคจร (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70598.msg4003920#msg4003920)
บทที่24 : ห้วงฝัน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70598.msg4004513#msg4004513)
บทที่25 : จดหมายลาตายฉบับที่สอง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70598.msg4005232#msg4005232)
บทที่26 : ตื่น (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70598.msg4005811#msg4005811)
บทที่27 : ความจริง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70598.msg4006405#msg4006405)
บทที่28 : พิมพ์กับไหม (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70598.msg4006936#msg4006936)
บทที่29 : ไหมกับชิชา (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70598.msg4007502#msg4007502)
บทที่30 : พราก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70598.msg4008033#msg4008033)
บทที่31 : อดีต (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70598.msg4008832#msg4008832)
บทที่32 : อาลัย (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70598.msg4009305#msg4009305)
บทที่33 : หวน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70598.msg4009983#msg4009983)
บทส่งท้าย : คนของใจ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70598.msg4010568#msg4010568)
หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี ! [My brother is the barn owl !] บทนำ : วิหค (28/06/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Timid Lily ที่ 28-06-2019 10:10:41
บทนำ : วิหค

          ท่ามกลางความโกลาหนภายในห้องฉุกเฉินเย็นเยียบของโรงพยาบาล แม้จะเป็นกลางดึกแล้วแต่สถานที่แห่งนี้กลับไม่เคยได้พักผ่อน ร่างซีดเซียวหมดสติของชายหนุ่มที่เส้นผมยังคงเปียกชื้นนอนราบอยู่บนเตียงผู้ป่วย นายแพทย์ท่าทางคล่องแคล่วจับจ้องไปยังหน้าจอของเครื่องตรวจวัดการเต้นหัวใจ ทว่ากลับไม่ปรากฏสัญญาณชีพใด

          “เตรียมทำ CPR”

          มือแข็งแรงทาบฝ่ามือลงพลางสอดล็อกนิ้วบนหลังมืออีกข้าง แพทย์ฉุกเฉินใช้ส้นมือกดลงบนแผ่นกระดูกกลางอกอย่างรุนแรงเป็นจังหวะเพื่อหวังว่าผู้ป่วยซึ่งยังนอนไม่ได้สติจะมีสัญญาณชีพกลับคืนมาอีกครั้ง



          “แซ่ก” เสียงคนลากเท้าไปตามพงหญ้ารกชัฏ ในมือถือปืนลูกซองกระบอกยาวไปอย่างทุลักทุเล ชายวัยกลางคนกำลังมุ่งตรงไปตามเสียงร้องแผดของนกน่าขนลุกโดยที่มีหญิงวัยกลางคนเดินถือไฟฉายส่องตามหลังมาติดๆ

          “นั่นไง มันอยู่ตรงนั้น”

          นกแสกหน้าขาวดวงตาดำสนิทแวววาวกำลังไซ้ขนอยู่บนต้นไม้ไม่ไกลไปจากตัวโรงพยาบาลนัก ที่โรงพยาบาลแห่งนี้ตั้งห่างออกมาจากตัวจังหวัดอยู่ไม่น้อย บริเวณใกล้เคียงยังคงเป็นบึงและพงหญ้ารกร้างอุดมสมบูรณ์ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีสัตว์นานาชนิดเพ่นพ่านอยู่แถวนี้ ซึ่งชาวบ้านก็ไม่ได้รังเกียจอะไรหากมันไม่ใช่สัตว์กาลกิณีตามความเชื่อเช่นนกชนิดนี้

          “ไอ้นกผีนี่มาร้องเป็นลางอยู่ได้สองสามวันแล้ว เห็นทีคงจะปล่อยไว้ไม่ได้ ไม่งั้นลูกสาวของเราคงไม่มีวันหายได้ออกไปใช้ชีวิตเหมือนเดิมแน่ๆ”

          “พ่อเอ๊ย...แต่เราจำเป็นถึงกับจะต้องฆ่าต้องแกงมันเลยจริงๆหรอ? แค่ไล่มันไปก็พอแล้วมั้ง”

          “แล้วถ้ามันกลับมาอีกล่ะ? ไอ้นกเวรนี่มันอยู่ผิดที่ผิดทาง บินไปเกาะบ้านใครเขาก็ฉิบหายกันหมด ไม่ต้องไปสงสารมันหรอก”

          พูดจบเขาก็ไม่รอช้า เล็งลำกล้องปืนไปยังนกน้อยที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ทว่าหญิงผู้นั้นส่องไฟฉายไปทางเจ้านกพอดี ทำให้มันตกใจกางปีกบินถลาขึ้นสู้ท้องฟ้าอันมืดมิด

          “ปัง” เสียงปืนดังลั่นขึ้น นกผู้โชคร้ายไม่อาจหลีกเลี่ยงคราวเคราะห์ของมันได้ กระสุนพุ่งทะลุลำตัวสิ่งมีชีวิตที่น่าสงสารขนกระจุยฟุ้งเลือดสาดกระเซ็น ร่างที่โบยบินอยู่เมื่อครู่ค่อยๆร่วงหล่นลง

          ‘นี่เรากำลังจะตายจริงๆหรอ?’

          ร่างที่เคยเบาหวิวกลับหนักอึ้ง สติของนกน้อยกำลังเลือนรางออกไป

          ‘ไม่...เรายังอยากมีชีวิตอยู่...!’

          กระสุนเพียงนัดเดียวทว่าพลังทำลายล้างกลับรุนแรงแรง บัดนี้ได้คร่าชีวิตของสัตว์โลกผู้น่าสงสารไปอย่างไม่มีวันหวนคืน ชายหญิงสองคนเดินออกจากที่ตรงนั้นไป เหลือทิ้งไว้เพียงเลือดแดงฉานที่ย้อมร่างไร้วิญญาณของเจ้านกน้อยท่ามกลางพงหญ้ารกร้างเปลี่ยวเปล่า...



          แพทย์หนุ่มโถมร่างกดนวดหัวใจให้ชายหนุ่มที่นอนแน่นิ่งอย่างไม่ยอมแพ้ ถึงแม้ว่าเขาจะทำการช่วยเหลือมานานหลายนาทีจนเริ่มอ่อนล้าแล้วก็ตาม พลันเสียงหนึ่งดังเตือนขึ้น บนหน้าจอปรากฏสัญญาณชีพกลับมาแล้ว นับเป็นข่าวดีที่ทำให้นางพยาบาลที่ร่วมปฏิบัติการอยู่นั้นต้องรีบแจ้งโดยทันที

          “คุณหมอคะ สัญญาณชีพกลับมาแล้วค่ะ”



          หญิงสาวผิวน้ำผึ้งใบหน้าสวยหวานท่าทางกระวนกระวายนั่งกุมมือเย็นเฉียบของตนอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน หลังจากที่ได้ข่าวว่าสามีของเธอถูกช่วยเหลือขึ้นมาจากบึงไม่ไกลโรงพยาบาล ตอนนี้เวลาก็ผ่านไปนับชั่วโมงแล้วที่เธอยังไม่ได้ข่าวคราวใด สิ่งเดียวที่เธอทำได้เวลานี้ก็คือรอ...รอจนกว่าจะมีใครสักคนออกมาเรียกหาเธอ

          ‘Rrrrrrr’

          เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เธอรีบกดรับสายโดยพลัน ปลายสายเป็นเสียงทุกข์ใจของหญิงวัยกลางคน เสียงนั้นพูดขึ้นพลางสะอื้นไห้ไปด้วย

          [ชิชา...จดหมายลาตายนี่มันอะไรกัน แล้วพิมพ์เป็นยังไงบ้าง?]

          “คุณแม่...ตอนนี้พิมพ์ยังอยู่ในห้องฉุกเฉินค่ะ...”

เธอตอบไปด้วยน้ำเสียงกังวลใจไม่แพ้คนคู่สนทนา ตอนนี้เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าชายหนุ่มที่อยู่ภายในจะเป็นตายร้ายดียังไง

          [แม่ใจจะขาดแล้วชิชา แม่จะต้องรออีกนานแค่ไหนถึงจะรู้ข่าวคราว]

          “ใจเย็นๆนะคะคุณแม่ หนูเชื่อว่าพิมพ์จะปลอดภัยค่ะ คุณแม่เชื่อมั่นในตัวพิมพ์นะคะ”

          เสียงประตูห้องฉุกเฉินเปิดออกขัดจังหวะบทสนทนา พยาบาลสาวเดินออกมาด้วยท่าทางอ่อนล้าพลางเอ่ยถามหญิงสาวที่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่

          “คุณชิชา ภรรยาของคุณพิชาธรใช่มั้ยคะ?”

          ชิชาผละออกจากสายพลางมองสบตาคู่สนทนา รอยยิ้มสุภาพถูกส่งกลับมาหา

          “สามีของคุณปลอดภัยแล้วค่ะ”



++++++++++++++++



          สวัสดีค่าทุกคน ขอฝากเนื้อฝากตัวใครก็แล้วแต่ที่หลงเข้ามาอ่านนิยายเรื่องนี้ด้วยนะคะ นี่เป็นผลงานเรื่องที่สองของเรา ซึ่งโทนของเรื่องนี้จะมีความลึกลับเหนือธรรมชาติปนอยู่เล็กๆ เราพยายามจะเขียนออกมาให้ซับซ้อนขึ้น อ่านได้ไหลลื่นขึ้น หวังว่าทุกท่านจะรู้สึกสนุกไปกับเนื้อเรื่องและตัวละครของเราไม่มากก็น้อยนะคะ ถ้ามีข้อติชมอะไรก็คอมเม้นทิ้งไว้ได้เลย

          พูดถึงเจ้านกแสกกันซักนิด หลายๆคงจะเคยได้ยินชื่อเสียงของเจ้านกแสกกันมาบ้างแล้วใช่มั้ยคะว่าเป็นนกผีที่คนโบร่ำโบราณหรือผู้หลักผู้ใหญ่หลายๆท่านในปัจจุบันยังมีความเชื่อที่ว่าถ้าเจ้านกแสกไปเกาะบ้านใครบ้านหลังนั้นจะมีคนตาย (อัปมงคลที่สุด) ทำให้เจ้านกชนิดนี้ถูกยิงตายกันไปเยอะเลยทีเดียวค่ะ (น่าสงสารแท้ T T)

          แต่จริงๆแล้วน้องนกแสกเนี่ยมีประโยชน์ในการกำจัดหนูมากๆเลยนะคะ ทำให้ถึงกับมีหน่วยงานสนับสนุนให้ชาวสวนเลี้ยงเจ้านกนี่ไว้กันเลยทีเดียว เอาเป็นว่าก่อนที่ช่วงคุยเล่นของเราจะกลายเป็นสารคดีไปซะเราควรจะต้องขอตัวไปก่อนดีกว่า แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ

หัวข้อ: Re: พี่ชายผมเป็นนกผี ! [My brother is the barn owl !] บทนำ : วิหค (28/06/19)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 28-06-2019 14:40:22
รอนะ  :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: พี่ชายผมเป็นนกผี ! [My brother is the barn owl !] บทนำ : วิหค (28/06/19)
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 28-06-2019 18:48:35
น่าสนุก รอๆ ยุจร้า
หัวข้อ: Re: พี่ชายผมเป็นนกผี ! [My brother is the barn owl !] บทนำ : วิหค (28/06/19)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 28-06-2019 22:09:28
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี ! My brother is the barn owl ! บทที่ 1 : เปิดตา (01/07/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Timid Lily ที่ 01-07-2019 09:40:39
บทที่ 1 : เปิดตา

          รถยนต์คันสีขาวขนาดย่อมที่มีฝุ่นจับเล็กน้อยวิ่งลัดเลาะไปตามถนนใหญ่ เวลาเย็นที่มีรถแน่นขนัดเช่นนี้ทำให้คนขับต้องคอยแทรกเปลี่ยนเลนทุกครั้งที่มีช่องว่างให้ไป ในขณะที่คนหลังพวงมาลัยตั้งสมาธิอยู่กับการขับรถ ดูเหมือนว่าคนที่โดยสารมาด้วยกันจะไม่ได้ใส่ใจบรรยากาศตึงเครียดบนท้องถนน หญิงสาวตัวเล็กผมประบ่าท่าทางสดใสบนเบาะหลังกำลังแหกปากร้องเพลงไม่ตรงจังหวะพลางสะบัดหน้าม้าของเธอตามเสียงเพลงไปด้วย

          “อีกั้งเบาๆหน่อย สงสารไอ้พินมัน ขับรถไม่รู้เรื่องแล้วเนี่ย ร้องก็ไม่ได้เป็นเพลงเลย”

          สาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มผมยาวสยายอีกคนที่นั่งข้างคนขับเอ่ยขึ้นอย่างรำคาญหู ในขณะที่คนที่น่าจะเดือดร้อนได้แต่ขำขึ้นอย่างไม่ถือสา

          “ไม่เป็นไรม่อน ปล่อยกั้งมันร้องไป ตลกดี”

          ชายหนุ่มร่างผอมบางหลังพวงมาลัยขับรถต่อไปอย่างสบายอารมณ์ โดยที่ไม่ได้ใส่ใจกับพฤติกรรมพิลึกๆของเพื่อนสาวของเขา

          “โอ้ มะ มะ มาย โอ้ มะ มะ มาย”

          “กั้งๆขอขัดแป๊บนึง เดี๋ยวแยกข้างหน้านี่จะต้องเลี้ยวซ้ายหรือขวาวะ?”

          “ห๊ะ! อ๋อเลี้ยวซ้ายเลยพิน ใกล้จะถึงละ”

          “กั้ง...แกจะพาพวกชั้นไปไหนวะ? เมื่อไหร่จะยอมบอกซักที”

          ม่อนเอ่ยถามขึ้นหลังจากที่ทั้งสามเดินทางมาด้วยกันโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจุดหมายปลายทางของพวกเขาอยู่ที่ไหน

          “ชั้นไม่บอกพวกแกหรอก เซอร์ไพรส์เว้ย!”

          พูดจบกั้งก็โยกตัวยุกยิกไปตามจังหวะดนตรีต่อ สายตาก็มองอาคารบ้านเรือนที่รถวิ่งผ่านไปพลาง จนกระทั่งเห็นเป้าหมายเบื้องหน้า

          “ไอ้พินๆเห็นบ้านรั้วสีขาวตรงนั้นป่ะ เดี๋ยวแกจอดหน้าบ้านเลย”

          ชายหนุ่มคนเดียวของกลุ่มจอดรถดับเครื่องจากนั้นจึงก้าวเท้าลงมาอย่างเชื่องช้า เขาปิดประตูรถพลางมองสำรวจบ้านหลังตรงหน้าไปด้วย บ้านหลังนี้ไม่มีต้นไม้แม้แต่ต้นเดียว อีกทั้งยังถูกทาด้วยสีขาวสว่างไปทั้งหลัง รอบๆบ้านประดับประดาไปด้วยกระดิ่งลมส่งเสียงดังกรุ๊งกริ๊งไปทั่วบริเวณ พินหันไปถามเพื่อนสาวของเขาด้วยความสงสัย

          “บ้านใครวะกั้ง? แกชวนพวกเรามาทำอะไรเนี่ย?”

          กั้งหรี่ตามองพินรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม ในขณะที่ม่อนเดินตามหลังมาด้วยความสงสัยไม่แพ้กัน

          “ที่นี่เป็นบ้านคนทรงเว้ยไอ้พิน และวันนี้ชั้นจะพาแกมาทำพิธีมหาเสน่ห์”

          “ห๊ะ! พิธีบ้าบออะไรของแกวะไอ้กั้ง เราไม่ทำ เราจะกลับ”

          พินโวยขึ้นอย่างไม่เข้าใจ ถึงเขาจะรู้ดีว่าเพื่อนสาวของเขาเป็นคนบ้าๆบอๆ แต่ก็ไม่น่าจะลากเขาเข้ามาพัวพันกับของแบบนี้ด้วย ที่สำคัญที่สุดคือพินเป็นคนที่ไม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติอะไรพวกนี้เลย

          “อ้าว! ก็ชั้นเห็นแกไม่มีแฟนซักที หน้าตาก็ดีแต่เสือกทำตัวเป็นสมบัติเอกไทยของเราอยู่ได้”

          “กั้งแกเอาดีๆ อย่าไปแกล้งไอ้พินมัน”

          ม่อนเอ็ดขึ้นเมื่อเห็นว่าเพื่อนของเธอชักจะเล่นเลยเถิด กั้งเห็นทีท่าของทั้งสองก็ส่ายหัวพลางขำแล้วสารภาพความจริงออกมา

          “เออ! ชั้นล้อเล่น! ความจริงคือชั้นแค่อยากจะมาดูดวงเฉยๆ เผื่อแม่หมอเค้าจะชี้ทางสว่างให้กลุ่มเราผ่านโปรเจคจบได้ซักที”

          “แกสิ้นหวังขนาดนั้นเลยหรอวะ? ถึงต้องมาพึ่งพาไสยศาสตร์แบบเนี้ย?”

          ชายหนุ่มย่นคิ้วมองหญิงสาวที่ยืนพูดเจื้อยแจ้วอยู่หน้าประตูอย่างไม่เข้าใจ โปรเจคกลุ่มที่พวกเขาสามคนทำด้วยกันอาจจะถูกอาจารย์สั่งแก้ให้ทำใหม่มาหลายต่อหลายครั้งแล้วก็จริง แต่พินก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันเหลือบ่ากว่าแรงอะไร อาจเป็นเพราะกั้งเป็นผู้หญิงที่ออกจะใจร้อนไปสักหน่อย ทำให้เธอเหนื่อยหน่ายที่จะต้องมาแก้งานซ้ำๆซากๆอยู่แบบนี้

          “เออ! ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ก็ต้องเอาด้วยคาถา”

          “อีกั้ง! แกจำแม่แกมาพูดหรอ?”

          ม่อนพูดขัดขึ้นกวนประโยคเชยๆของเพื่อนพูดมาก ทำเอากั้งสะบัดขวับมาจิกหน้าใส่เพื่อนสาวคอแทบเคล็ด

          “เอ๊ะอีม่อน! ไปๆ รีบเข้าไปข้างในได้ละ เดี๋ยวจะเย็นไปกว่านี้”

          “เอ่อ...เราขอรอที่รถได้มั้ยวะ?”

          พินเอ่ยขึ้นต่อรอง ยังไงเขาก็รู้สึกว่าการนั่งๆนอนๆรอในรถก็คงสบายใจกว่าการที่จะต้องเข้าไปในสถานที่ๆเขาไม่ถูกจริตด้วยเป็นไหนๆ

          “ไม่ต้องเลยพิน แกไปเป็นเพื่อนชั้นก่อน! มาๆ”

          โดยไม่รอให้พินปฏิเสธ กั้งลากแขนผอมๆของเพื่อนพลางเปิดประตูรั้วเดินเข้าไปด้านใน เด็กหนุ่มท่าทางง่วงซึมผู้หนึ่งเดินออกมาต้อนรับคนทั้งสามอย่างเฉื่อยชา และเชื้อเชิญให้เข้าไปรอด้านใน

          “นั่งรอตรงนี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวผมจะไปเชิญอาจารย์มาให้”

          เด็กหนุ่มเดินนวยนาดจากไป ทิ้งคนสามคนในชุดนักศึกษาที่กำลังทำหน้าเหลอหลาไว้ในห้องสี่เหลี่ยมสีขาวที่เต็มไปด้วยธูปและเทียนหอม มีเพียงโต๊ะตัวเตี้ยและเบาะรองนั่งเอาไว้รับรองแขก

          “นี่คือบ้านของพวกคนทรงหมอผีอะไรพวกนี้หรอวะ? ไม่เห็นเหมือนในละครเลย”

          พินเอ่ยขึ้นพลางกวาดตามองไปรอบๆ ทุกสิ่งที่อยู่ภายในห้องดูเรียบง่ายกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้

          “นั่นดิ ตอนแรกม่อนก็คิดไว้เหมือนกันว่าเข้ามาจะต้องมีรูปปั้นเทพเทวดา ชุดโต๊ะหมู่บูชาเต็มไปหมด”

          สิ้นเสียงของหญิงสาว ร่างๆหนึ่งในชุดกระโปรงทรงตรงหลวมสีขาวเดินเข้ามาในห้องพลางถือเชิงเทียนที่มีเทียนหอมจุดเอาไว้ สตรีนัยน์ตาเศร้ามองตรงมาทางคนทั้งสามพร้อมรอยยิ้มเป็นมิตร

          “เชิญนั่งก่อนสิจ๊ะ”

          ไม่ทันขาดคำ กั้งก็ไถลตัวลงไปนั่งพับเพียบอยู่กับพื้นพลางพนมมือขึ้นไหว้หญิงในชุดขาวเบื้องหน้าโดยที่ไม่ได้สนใจว่ากระโปรงทรงสอบตัวจิ๋วผ่าข้างของเธอจะแหวกให้เห็นเนื้อหนังไปถึงไหนต่อไหน พินเห็นดังนั้นก็ได้แต่ถอนใจพลางนำกระเป๋าที่เขาสะพายเอาไว้มาวางปิดให้อย่างเสียไม่ได้

          “อาจารย์คะ หนูมีเรื่องอยากจะถามน่ะค่ะ เกี่ยวกับเรื่องเรียนของหนู”

          หญิงท่าทางลึกลับวางเชิงเทียนลงบนโต๊ะเล็ก เธอได้ยินสิ่งที่หญิงสาวเอ่ยถามทุกประการ ทว่าคนที่ดึงดูดความสนใจของเธอกลับเป็นเพื่อนหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆ

          “เราน่ะ เข้ามาใกล้ๆหน่อยสิ”

          “ผมหรอครับ?”

          “ใช่...เรานั่นแหละ”

          พินชี้นิ้วเข้าหาตัวด้วยความงุนงง จากนั้นก็ขยับตัวเข้าไปใกล้หญิงคนนั้นอย่างว่าง่าย

          “เกิดปีชวดงั้นหรอ...”

          “ครับ?”

          สตรีที่นั่งอยู่ตรงข้ามส่งรอยยิ้มชวนพิศวงมาให้ พินรู้สึกประหลาดใจไม่น้อยที่เธอรู้ว่าเขาเกิดปีอะไร แต่มันก็ไม่น่าจะเดาได้ยาก หากจะกะเกณฑ์เอาจากวัยของคนรุ่นราวคราวเดียวกับเขา

          “ที่บ้านของเธอน่ะ...มีสิ่งอัปมงคลอยู่รู้รึเปล่า?”

          พินนิ่งฟังโดยไม่โต้ตอบ ในขณะที่กั้งกับม่อนมีทีท่าสนอกสนใจเรื่องของเพื่อนมากในตอนนี้

          “สิ่งๆนั้นจะนำพาเอาความทุกข์แสนสาหัสมาให้กับเธอ หากเธออยากจะกำจัดมันออกไป ให้เธอกลับมาหาชั้นเมื่อเธอพบแล้วว่าสิ่งนั้นคืออะไร...”

          “แล้วเพื่อนหนูมันจะรู้ได้ยังไงล่ะคะอาจารย์?”

          กั้งถามแทรกขึ้นมาด้วยความกระตือรือร้น หญิงในชุดขาวหยิบกระถางที่มีกำยานหอมซึ่งถูกเผาเป็นเถ้าขึ้นวางบนโต๊ะ เธอเอานิ้วแต้มลงบนเถ้าสีขุ่นนั้นก่อนจะยกนิ้วขึ้นปาดลงบนเปลือกตาโตคมของชายหนุ่ม พินผงะตัวออกด้วยความตกใจ เขาหยีตาพลางเอามือขยี้เนื่องจากระคายเคือง

          “ไอ้ม่อน...เค้าเอาอะไรมาป้ายตาเราวะ?”

          พินเอ่ยขึ้นน้ำเสียงกระซิบกระซาบถามเพื่อนสาวอีกคนที่นั่งอยู่ด้านหลัง ม่อนเองก็ได้แต่ส่ายหัวดิกอย่างไม่เข้าใจ

          “คิดให้ดีๆนะว่าจะทำยังไงกับสิ่งนั้น จากนี้ไปชีวิตของเธออาจจะไม่สงบสุขดังเดิม...”

          พูดจบเธอก็ลุกขึ้นยืนโดยไม่ลืมที่จะหยิบเชิงเทียนติดมือไปด้วย ส่วนกั้งที่นั่งพับเพียบรอมานานจนเหน็บกินก็รีบเอ่ยถามก่อนที่หญิงผู้นั้นจะเดินจากไป

          “อาจารย์คะ แล้วเรื่องที่หนูจะถามล่ะคะ? อาจารย์ยังไม่ได้ตอบหนูเลย”

          ใบหน้าหมองเศร้าอ่อนล้ามองมาที่หญิงสาว เธอยิ้มอีกครั้งก่อนจะเอ่ยขึ้นน้ำเสียงเรียบ

          “เรื่องของเธอไม่ได้ติดปัญหาอะไรทั้งนั้น ตั้งใจทำมันต่อไปแล้วทุกอย่างจะดีเอง”

          สตรีผู้น่าพิศวงเดินหายลับผ่านม่านกั้นไป ทิ้งคนทั้งสามไว้กับความสับสน คนที่ตั้งอกตั้งใจมาหากลับไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร กั้งได้แต่ทำหน้าเหวออ้าปากค้างอยู่อย่างนั้น ส่วนพินเองรีบลุกขึ้นยืนพลางร้องเรียกให้เพื่อนๆของเขาเตรียมตัวกลับ

          “กั้ง ม่อน กลับเหอะว่ะเย็นมากแล้ว เดี๋ยวเราจะรีบขับรถไปส่งพวกแกที่หอ”

          ม่อนส่งมือให้กั้งพลางฉุดเพื่อนสาวของเธอลุกขึ้นยืน คนทั้งสามเดินออกจากบ้านสีขาวหลังนั้นไป สำหรับกั้งตอนนี้เธอยังรู้สึกคาใจกับสิ่งที่แม่หมอคนนั้นพูดกับพินไม่หาย

          “พิน! ที่บ้านแกมันมีอะไรที่ต่างไปจากเดิมรึเปล่าวะ?”

          “ไม่มีหรอก ทุกอย่างก็ปกติดี ทำไมวะ?”

          “เอ้า! ก็อาจารย์เค้าทักแกขนาดนั้นไม่กลัวเลยหรอวะ?”

          “งมงายน่ะอีกั้ง! แกก็รู้ว่าพินมันไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ วันหลังไม่ต้องชวนมันมาแล้วนะ ถ้าอยากจะมาเดี๋ยวม่อนมาเป็นเพื่อนเอง”

          ม่อนเอ่ยแทรกตัดบทขึ้นมาเมื่อเห็นพินมีทีท่าอึดอัดไม่อยากฟัง ตอนนี้คนทั้งสามได้กลับมานั่งอยู่บนรถแล้ว ฟ้าเริ่มมืดครึ้มลง บรรยากาศที่คึกคักเมื่อตอนขามาบัดนี้เปลี่ยนเป็นเงียบสงัดเสียอย่างนั้น

          “เออพิน...แล้วพี่ชายแกเป็นไงบ้างอ่ะ?”

          ม่อนเอ่ยถามทำลายความเงียบ พินที่กำลังมองตรงไปตามเส้นทางข้างหน้าตอบกลับด้วยทีท่าสงบนิ่ง

          “พี่พิมพ์ออกจากโรงพยาบาลที่ต่างจังหวัดกลับมาพักฟื้นที่บ้านได้สองอาทิตย์แล้ว ตอนนี้ก็ยังจำอะไรไม่ได้เหมือนเดิม ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา แล้วที่ตลกนะคือพี่พิมพ์เค้าใส่แต่เสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงยีนทุกวันเลย ไม่เปลี่ยนไปใส่เสื้อผ้าแบบอื่นเลยเว้ย”

          พูดจบพินก็ยิ้มขึ้นน้อยๆเมื่อนึกถึงพฤติกรรมสุดประหลาดของพี่ชายความจำเสื่อมของเขา พินเป็นลูกหลงที่อายุห่างกับพี่ชายสิบปี ในวัยเด็กเขาถูกส่งไปอยู่กับตายายที่สวนมะลิต่างจังหวัดจนเรียนจบมัธยมต้น กว่าจะได้กลับมาใช้ชีวิตกับพี่ชายของเขาอีกที เพียงไม่กี่ปีหลังจากนั้นพิมพ์ก็ได้แต่งงานและย้ายออกไปใช้ชีวิตอยู่กับภรรยาแล้ว

          “แล้ว...ทำไมพี่แกต้องพยายามฆ่าตัวตายด้วยวะ?”

          “อีกั้ง!!!”

          ม่อนรีบพูดปรามเมื่อเห็นว่ากั้งเริ่มตั้งคำถามไม่เข้าท่า ในขณะที่พินเองก็มีสีหน้าเศร้าลง

          “เอาจริงๆนะ เราเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน...”

          เหตุการณ์นี้ทำให้ชายหนุ่มตระหนักได้ว่าเขาเองแทบจะไม่รู้เรื่องราวอะไรเกี่ยวกับพี่ชายที่เขานับถือเลย ภาพของพิมพ์ในสายตาพินคือทนายหนุ่มผู้เอาการเอางาน เป็นคนเก่งอนาคตไกล เป็นความภาคภูมิใจของพ่อแม่และของเขาด้วยเช่นเดียวกัน

          “ชั้นขอโทษนะแก...ที่ถามอะไรไม่เข้าเรื่อง...”

          กั้งสลดลงเมื่อเห็นเพื่อนรักของเธอดูซึมไป แต่พินกลับส่งยิ้มให้อย่างไม่ติดใจ

          “ไม่เป็นไร พวกแกเป็นเพื่อนรักของเรา เราเล่าให้ฟังได้อยู่แล้ว”

          หญิงสาวทั้งสองฉีกยิ้มสดใสให้เพื่อนหนุ่มของพวกเธอ ส่วนพินเองก็ยิ้มตอบกลับไปอย่างมีความสุข ถึงแม้ว่าครอบครัวของพินจะเพิ่งผ่านเรื่องราวหนักหนามา ทว่ากำลังใจจากเพื่อนรักทั้งสองก็เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยค้ำจุนจิตใจของชายหนุ่มให้แข็งแรงพร้อมเผชิญกับทุกเรื่องราว...

          ที่กำลังจะผ่านเข้ามาในชีวิตของเขา...





          ชายหนุ่มเปิดประตูไม้เนื้อดีก่อนจะงับปิดลงอย่างเบามือ พินถอดรองเท้าผ้าใบออกเก็บเข้าชั้นที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ ชายวัยกลางคนบนโซฟาเรียกถามหาเขาเมื่อได้ยินเสียงคนเข้ามาในบ้านโดยที่สายตาก็ยังคงไม่ละไปจากรายการแข่งกีฬาบนจอโทรทัศน์

          “กลับมาแล้วหรอเจ้าพิน กินอะไรมาแล้วยัง ดึกแล้วถ้าหิวก็สั่งเอาเองแล้วกันนะ”

          “กินมาแล้วครับพ่อ พอดีกั้งกับม่อนชวนไปกินหมูกระทะมา อิ่มจนจุกอยู่ที่คอละเนี่ย”

          พินตอบกลับพลางเดินเข้าไปภายใน เขาเดินผ่านด้านหลังโซฟาที่พ่อกับพี่ชายกำลังนั่งอยู่ตรงไปทางบันได ทว่าสายตาพลันไปสะดุดเข้ากับคนที่นั่งอยู่ข้างๆผู้เป็นพ่อ

          คนที่เขาเข้าใจว่าเป็นพี่ชายกลับกลายเป็นชายหนุ่มร่างสูงใบหน้าสุกใสผิวขาวผุดผ่อง ดวงตาสวยหวาน จมูกโด่งรับกับริมฝีปากอิ่ม กำลังตั้งอกตั้งใจมองจอไม่ต่างจากชายวัยกลางคนที่นั่งข้างๆ

          “พ่อ...เรามีแขกหรอ?”

          “แขกอะไรของแก?”

          “ก็...คนที่นั่งข้างๆพ่อไง”

          พูดจบชายสองคนบนโซฟาก็หันมามองชายหนุ่มที่กำลังยืนจับราวบันไดโดยพร้อมเพรียง พินไม่รอช้ารีบยกมือไหว้ทักทายชายแปลกหน้าอย่างอ่อนน้อม

          “สวัสดีครับ...”

          “อะไรของแกเจ้าพิน? นี่เจ้าพิมพ์ พี่ชายแกไง”

          คนเป็นพ่อรีบพูดสวนมาทันควันเมื่อเห็นท่าทีพิลึกพิลั่นของลูกชายคนเล็ก ส่วนพินเองก็ได้แต่ยกมือขึ้นเกาหัวด้วยความงุนงง พินรู้สึกว่าวันนี้เขาเหนื่อยมากแล้ว ท่าทางจะเบลอจัด กินก็เยอะจนหนังตาเริ่มหย่อน ไหนจะเจอคนทรงพิลึกๆที่เอาอะไรก็ไม่รู้มาป้ายตาจนแสบเคืองไปหมด ทางที่ดีเขาควรจะรีบไปพักผ่อน

          “งั้น...พินขึ้นห้องอาบน้ำนอนก่อนนะพ่อ”

          พูดจบชายหนุ่มก็ก้าวเท้าหนักๆพาร่างกายอันเหนื่อยล้าและสมองที่เฉื่อยชาของตนขึ้นบันไดไป โดยที่ไม่รู้สึกตัวเลยว่าชายอีกคนที่นั่งอยู่ข้างล่างกำลังจ้องมองตามแผ่นหลังของเขาไปแทบไม่ละสายตา



          กลางดึกเงียบสงัด อุณหภูมิเย็นสบายจากเครื่องปรับอากาศภายในห้อง ทำให้ชายหนุ่มร่างกายบอบบางซุกตัวหลับอยู่ใต้ผ้าห่มอย่างมีความสุข พินขยับตัวเล็กน้อยปากก็เคี้ยวหยับๆไปด้วย พลันความรู้สึกหนักๆกดทับโถมลงบนร่างของเขา ความอึดอัดทำให้ชายหนุ่มรู้สึกตัวตื่นขึ้น ดวงตาที่ปิดสนิทอยู่เมื่อครู่ปรือเปิดขึ้นช้าๆ เมื่อเห็นว่าเงาดำของร่างๆหนึ่งกำลังคร่อมทับร่างของเขาอยู่ก็ทำให้สติของเขาตื่นขึ้นถึงขีดสุด ดวงตาคมเบิกโตกว้างด้วยความตกใจกลัว ปากหยักได้รูปกำลังจะเปิดออกส่งเสียงร้องทว่ากลับถูกฝ่ามือใหญ่ตะครุบปิดไว้

          “อื้อ!!!!”

          พินพยายามส่งเสียงร้องพลางดิ้นสุดแรงแต่ท่อนแขนที่แข็งแรงกว่ารวบแขนทั้งสองข้างของเขาเอาไว้แน่น ส่วนขาก็ถูกกดทับไว้ด้วยท่อนขาแกร่งทั้งสองข้างของร่างที่อยู่ด้านบน เมื่อพินปรับสายตาเข้ากับความมืดได้แล้วก็พบว่า...

          ร่างที่กำลังคร่อมเขาอยู่...คือชายแปลกหน้าที่เขาเห็นบนโซฟาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้นั่นเอง



++++++++++++++++

          ตอนที่หนึ่งมาแล้วค่า มาถึงน้องพินของเราก็ถูกคุกคามกันเลยทีเดียว ในตอนหน้าเราจะได้รู้กันซักทีนะคะว่า สิ่งแปลกปลอมที่อยู่ในร่างของพี่พิมพ์คือะไรยังไงกันแน่ ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านเช่นเคยนะคะ แล้วถ้ามีอะไรคอมเม้นแนะนำก็ฝากกันไว้ได้เล้ย

          พูดถึงชื่อของพี่น้องพิมพ์พินกันซักนิด ชื่อเล่นพี่พิมพ์นี่ชัดเจนอยู่แล้วนะคะว่าหมายถึงแม่พิมพ์ ซึ่งเป็นภาษาไทย แต่ชื่อพินคนน้องดันเป็นชื่อภาษาอังกฤษซะงั้น ซึ่งก็คือ PIN ที่หมายถึงเข็มหมุดหรือเข็มกลัดนั่นเองค่า

          ก่อนจะบอกลากันมีใครพอจะเดาออกมั้ยคะว่าเพื่อนกั้งร้องเพลงอะไร? อิอิ วันนี้คุยเล็กๆน้อยๆพอหอมปากหอมคอพอ แล้วพบกันใหม่ตอนหน้านะคะ ^^

หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี ! [My brother is the barn owl !] บทที่1 : เปิดตา (01/07/19) UP!
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 01-07-2019 10:53:51
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี ! [My brother is the barn owl !] บทที่1 : เปิดตา (01/07/19) UP!
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 02-07-2019 12:27:42
ค้างงงงงงงงงงงงงง  :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! [My brother is the barn owl!] บทที่2 : มะลิ (05/07/19) UP!
เริ่มหัวข้อโดย: Timid Lily ที่ 05-07-2019 09:44:56
บทที่2 : มะลิ

          ร่างกายผอมบางที่ถูกกดทับอยู่เบื้องล่างพยายามดิ้นขัดขืน แต่เขาก็ไม่อาจสู้แรงของชายหนุ่มร่างสูงใหญ่กว่าตนได้ เหงื่อเย็นซึมออกตามไรผม ดวงตาเบิกกว้างค้างไว้ไม่กะพริบ พินหายใจถี่ชีพจรเต้นแรงด้วยความตื่นตระหนก

          “อึก...ฮือ...อื้อ!!!”

          พินยังคงไม่ละความพยายามที่จะส่งเสียงร้องออกไป แต่ก็ไม่เป็นผล ชายหนุ่มใบหน้าอ่อนหวานทว่าสายตากราดกร้าวหลุบตามองลงพลางเหยียดยิ้มขึ้น

          “ชู่ว...อย่าส่งเสียง อย่าขัดขืน อยู่นิ่งๆ แล้วเราจะไม่ทำอะไรแก”

          พินพยายามสงบสติอารมณ์ เขานิ่งลงแต่สายตาก็ยังไม่ละออกไปจากชายหนุ่มตรงหน้า

          “แกรู้แล้วใช่มั้ยว่าเราไม่ใช่พี่ชายของแก?”

          ชายหนุ่มที่ยังถูกปิดปากอยู่พยักหน้าสองสามที ตอนนี้พินทำอะไรไม่ถูก เขาเกร็งไปทั้งตัว ดวงตาสวยสั่นระริกมองตอบชายแปลกหน้ากลับไป

          “แกรู้มั้ยว่าตั้งแต่ที่แกกลับเข้าบ้านมา เราก็ได้กลิ่นหอมน่ากินโชยมาจากตัวแก มันหอมมากจนเราทนไม่ไหว ทำให้สัญชาตญาณที่พยายามสะกดไว้ถูกกระตุ้นให้ตื่นขึ้นมา”

          พูดจบเขาก็ยื่นใบหน้าขาวสุกสว่างเข้าไปใกล้ พินปิดตาแน่นด้วยความกลัว ตอนนี้เขาได้แต่ภาวนาว่าจะมีใครสักคนโผล่เข้ามาช่วย จมูกโด่งสูดกลิ่นหอมที่โชยออกมาจากร่างของคนที่กำลังตื่นกลัวเข้าเต็มปอด ชายแปลกหน้ายิ้มขึ้นอย่างพอใจเมื่อได้สิ่งที่ต้องการ เมื่อเห็นท่าทางของคนไร้ทางสู้จึงตัดสินใจปล่อยมือออกจากริมฝีปากที่ถูกปิดไว้ ทว่ามือก็ยังคงจับยึดตรึงแขนไว้แน่น

          “แกไปทำอะไรมา? ตอนที่เจอแกครั้งแรกเราไม่เห็นได้กลิ่นหอมพวกนี้จากตัวแกเลย”

          พินนิ่งไป ตอนนี้เขากำลังนึกถึงเรื่องที่คนทรงสุดประหลาดคนนั้นบอกกับเขา เขาแทบไม่อยากจะเชื่อว่าเรื่องบ้าๆพวกนี้จะเป็นเรื่องจริง สิ่งเดียวที่เขามั่นใจคือ เพราะการกระทำของแม่หมอบ้าๆนั่นทำให้เขาต้องมาเผชิญกับชายผู้แสนน่ากลัวคนนี้

          “นะ...นายเป็นใคร? แล้ว...คืออะไร? ต้องการอะไรจากชั้น?”

          พินละล่ำละลักถามกลับไปด้วยความหวาดระแวง แขนของเขาที่ถูกรวบกดไว้เจ็บไปหมด ใช่ว่าคนที่อยู่บนร่างของเขาจะมีพละกำลังเหนือมนุษย์ หากแต่เป็นเขาเองที่ผอมแห้งไร้เรี่ยวแรง ตอนนี้พินกำลังนึกเสียใจที่ไม่ค่อยหมั่นออกกำลังเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรงสมกับวัยหนุ่มของเขา

          “เราคืออมนุษย์นกแสก เรามาขออาศัยร่างของพี่ชายแก”

          “ขออาศัย? หมายความว่ายังไง?”

          ได้ฟังดังนั้นนกหนุ่มก็หัวเราะขึ้นในลำคอ เขาจ้องลึกลงไปในดวงตาของพินก่อนจะให้คำตอบ

          “ก็หมายความว่าพี่ชายของแก...ตายไปแล้วยังไงล่ะ”

          “ตาย” เมื่อคำๆนี้ถูกเปล่งออกมาทำเอาคนฟังใจสลาย น้ำตารื้นขึ้นคลอดวงตาสวย หากพินเข้าใจไม่ผิดพี่ชายของเขาคงจะเสียชีวิตไปตั้งแต่ที่จมน้ำในบึงแล้ว และเจ้าอมนุษย์น่ากลัวตนนี้ก็ได้มายึดครองร่างนี้แทน

          ที่สำคัญกว่านั้นเขาคงเป็นคนเดียวที่มองเห็นว่าคนที่ควรจะเป็นพี่ชายของเขากลับกลายเป็นชายแปลกหน้า ทั้งรูปร่างหน้าตา กลิ่น เสียง เป็นบุคคลอื่นโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าจะทำยังไงก็คงไม่มีโอกาสได้กลับไปเห็นร่างของพี่ชายที่ตนเคารพรักได้อีกแล้ว

          “ทำไม...ทำไมชั้นจะต้องมองเห็นอะไรบ้าๆแบบนายด้วย? สู้ปล่อยให้นายหลอกชั้นต่อไปยังจะดีซะกว่า!”

          พูดจบน้ำตาที่ชายหนุ่มพยายามสะกดกลั้นไว้ก็พรั่งพรูออกมา ตอนนี้พินทั้งเสียใจที่ได้รู้ความจริงว่าพิมพ์ได้จากเขาไปอย่างไม่มีวันกลับ ทั้งสับสน ทั้งหวาดกลัว ความรู้สึกปนเปกันไปหมด

          “หึ...ถ้าอย่างนั้นเราจะช่วยควักลูกตาของแกทิ้งไปดีมั้ย? จะได้ไม่ต้องมาเห็นเราอีก”

          นกหนุ่มเอ่ยน้ำเสียงเย็นเยือก ดวงตาดำสนิทจ้องเขม็งตรงเข้ามาอย่างเอาจริง พินนิ่งไป น้ำตาที่ไหลอยู่เมื่อครู่ราวกับถูกสั่งให้หยุด ความหวาดกลัวแล่นขึ้นกัดกินจิตใจ ลมหายใจขัดสะดุดไม่กล้าเคลื่อนไหว แม้จะพยายามเปล่งเสียงออกไปก็ยังลำบาก

          “กลัวเรางั้นหรอมนุษย์? เราจะบอกอะไรให้นะ...เราไม่ได้ต้องการอะไรจากพวกแก เราแค่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปก็เท่านั้น ไม่ว่าจะในฐานะอะไรก็ตาม”

          พินได้ฟังดังนั้นก็เกิดคำถามขึ้นในใจ เขาทำใจกล้าเอ่ยถามคนตรงหน้า

          “แล้วถ้าไม่ต้องการอะไรจริงๆ ทำไมนายถึงต้องทำตัวคุกคามมุ่งร้ายชั้นด้วย?”

          “เราทนไม่ไหว!”

          นกหนุ่มคลายมือที่รวบแขนของคนที่ถูกคร่อมอยู่ออก ทีท่าของเขาอ่อนลงเมื่อเห็นคู่สนทนาลดการระวังตัว พินขมวดคิ้วถามอย่างไม่เข้าใจ

          “ทนอะไรไม่ไหว?”

          “กลิ่นวิญญาณหนู”

          ‘อะไรอีกล่ะวะเนี่ย?’

          พินยันตัวลุกขึ้นนั่ง ผมเผ้ายุ่งกระเซอะกระเซิง ตอนนี้มีแต่คำถามเต็มหัวเขาไปหมด และสิ่งที่อธิบายได้กลับเป็นเรื่องเหลือเชื่อเสียอย่างนั้น

          “แล้ววิญญาณหนูคืออะไร?”

          “เราเป็นสัตว์นักล่า...หนูเป็นอาหารโปรดของเรา และแกก็มีกลิ่นวิญญาณหนู เราก็เลยรู้สึกกระหายขึ้นมาก็เท่านั้น”

          ถ้าจะให้พินปะติดปะต่อเอาเอง เขาคิดว่ามันคงเป็นเพราะเขาเกิดปีชวดแน่ๆ เขานึกถึงตอนที่คนทรงทักเขาเอาไว้

          “แล้วนายคิดจะกินชั้นงั้นหรอ? !”

          มาถึงขั้นนี้แล้ว พินขอเลือกถามไปตรงๆเลยดีกว่า ตอนนี้หากเขาจะต้องถูกผีร้ายตนนี้จับกินก็คงไม่มีทางรอดแล้วจริงๆ อย่างมากเขาคงจะลองพยายามอ้อนวอนขอความเห็นใจจากมันดู

          “หึ! มนุษย์หน้าโง่ไม่ใช่อาหารของเรา...เราไม่กินแกหรอก”

          พินยังคงระแวงไม่หาย เขาขยับตัวหนีออกจากคนตรงหน้าเล็กน้อยพลางหยิบหมอนข้างขึ้นมากอดกระชับกับตัว นกหนุ่มเห็นทีท่าโง่เง่าก็คว้าหมอนออกจากมือคนที่กำลังกอดแล้วโยนทิ้งไป

          “มนุษย์! ถ้าเราจะทำอะไรแกจริงๆ ไอ้ของแบบนี้ปกป้องอะไรแกไม่ได้หรอก”

          “ก็นายมันไม่น่าไว้ใจนี่!”

          “ก็แล้วแต่...ถ้าแกไม่ไว้ใจเราแกจะหาวิธีไล่เราออกจากร่างนี้ไปก็ได้ อย่างมากเราก็แค่ไปหาร่างอาศัยใหม่ แล้วก็ทิ้งศพพี่ชายแกเอาไว้ให้พ่อกับแม่ดูต่างหน้า”

          พินรู้สึกสะเทือนใจขึ้นมา วันนั้นที่ครอบครัวรู้ข่าวว่าพี่ชายของเขาพยายามฆ่าตัวตาย เขารู้ดีว่าพ่อกับแม่ต้องเศร้าโศกเสียใจขนาดไหน การที่พี่ชายของเขาฟื้นคืนกลับมาเป็นความสุขสูงสุดอย่างหนึ่งของครอบครัว หากพ่อกับแม่ต้องมารู้ความจริงเข้า คงจะรู้สึกเสียใจจนแทบทนไม่ได้

          “นาย...ออกไปจากห้องชั้นได้แล้ว!”

          พินเอ่ยขึ้นเสียงเครือดวงตาแดงฉ่ำ ในใจเต็มไปด้วยความลังเลและเจ็บปวด เขาผลักอกนกหนุ่มเบาๆเป็นเชิงไล่ ร่างสูงผุดลุกขึ้นพลางเลิกคิ้วเหยียดยิ้มส่งกลับมาก่อนที่จะเดินออกจากห้องไป เหลือเพียงชายหนุ่มที่ทิ้งตัวลงบนที่นอน เขากอดซุกผ้าห่มแน่นน้ำตาไหล สะอื้นร้องไห้คนเดียวเงียบเชียบ...เดียวดาย...





          “พ่อแน่ใจนะว่าไม่ต้องให้พินขับรถไปส่งที่สนามบิน?”

          ชายหนุ่มดวงตาบวมช้ำจากการเสียน้ำตาอย่างหนักหน่วงเมื่อคืนเอ่ยถามผู้เป็นพ่อที่กำลังขะมักเขม้นเก็บข้าวของเตรียมตัวออกเดินทาง พ่อของเขาเป็นวิศวกรร่วมทำโครงการพิเศษอยู่ที่ประเทศอินเดีย ตั้งแต่เกิดเหตุกับพิมพ์ พ่อก็ได้ลางานมาอยู่ดูแลลูกชายคนโตกว่าสองสัปดาห์แล้ว ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ชายวัยกลางคนจะต้องกลับไปรับผิดชอบหน้าที่ของตนเสียที

          “ไม่เป็นไรหรอก พ่อเรียกรถไว้แล้ว แกอยู่บ้านนี่แหละคอยดูแลเจ้าพิมพ์ไว้หน่อยก็ดี ความจำยังไม่กลับมาอาจจะป้ำๆเป๋อๆ ทำอะไรไม่ระวังเอาได้”

          เมื่อผู้เป็นพ่อเอ่ยถึงพี่ชายของเขาขึ้นมา พินก็หน้าง้ำลงพลางนึกถึงเหตุการณ์ที่ทำเอาเขาใจหายใจคว่ำเมื่อคืน

          “แล้วถ้ามีอะไรพินต้องรีบโทรไปบอกแม่เค้าทันทีรู้มั้ย”

          “ครับพ่อ...”

          แม่ของเขาอยู่ที่สวนมะลิกับยายที่ต่างจังหวัด เธอเกษียณออกจากข้าราชการครูก่อนกำหนดเพื่อมาดูแลยายที่กำลังป่วยเป็นมะเร็ง ทำให้แบ่งเวลาปลีกตัวมาดูแลลูกที่กำลังป่วยอีกคนได้อย่างยากลำบาก

          “แต่เท่าที่พ่อเห็นพี่แกก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงนักหรอก นอกจากจำอะไรไม่ได้อย่างอื่นก็ดูปกติดี สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ อาการซึมเศร้าอะไรก็ไม่มี”

          พินนิ่งฟังพลางพยักหน้าเล็กน้อย ในขณะที่ผู้เป็นพ่อมองจอโทรศัพท์มือถือก่อนจะเอ่ยขึ้น

          “รถมาแล้ว พ่อไปก่อนนะ ดูแลกันดีๆล่ะ”

          “ครับพ่อ มา...เดี๋ยวพินช่วยยกกระเป๋าให้”

          คนผอมบางลำเลียงกระเป๋าขึ้นท้ายรถ พินปิดกระโปรงหลังลงพลางเดินไปเปิดประตูให้กับพ่อของเขา

          “เดินทางปลอดภัยนะพ่อ”

          “เออ ไว้เจอกันนะเจ้าพิน ดูแลเจ้าพิมพ์ให้ดีๆล่ะ”

          ผู้เป็นพ่อเอ่ยย้ำกำชับอีกครั้งก่อนที่รถจะเคลื่อนตัวออกไป เวลานี้เจ้านกผีนั่นยังคงนอนไม่ตื่น อย่างว่าสัตว์หากินกลางคืนเช่นนั้นคงไม่ได้อยู่ๆจะลุกขึ้นมาเปลี่ยนวิถีชีวิตตัวเองให้เป็นเหมือนมนุษย์ปกติธรรมดาได้ง่ายๆ

          พินหมุนตัวกำลังจะเดินกลับเข้าบ้าน พลันคนที่อยู่ตรงหน้าทำเอาเขาตกใจสะดุ้งโหยง

          “เหวอ! นะ...นาย! ไม่ได้หลับอยู่หรอกหรอ?”

          “ตื่นแล้วนี่ไง”

          นกหนุ่มเอ่ยตอบพลางยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ทำเอาพินต้องเดินถอยหลังหนีไปน้อยๆ

          “มะ..มีอะไร?”

          “เราอยากได้กลิ่นแก”

          พูดจบร่างสูงก็ค้อมตัวลงสูดกลิ่นเฮือกใหญ่ไล่จากหน้าอกขึ้นไปจรดเส้นผม ดวงตาสวยหวานดำสนิทจ้องสะกดคนตรงหน้าไว้ ทำเอาพินยืนเกร็งแข็งทื่อไปทั้งตัว

          “เป็นอะไรเจ้ามนุษย์ ทำหน้าเหยเกน่าเกลียดสิ้นดี”

          “นี่นาย! เลิกเรียกชั้นว่ามนุษย์ซักที ชั้นมีชื่อก็เรียกชื่อสิ”

          คนหน้าเหยเกฉุนขึ้นที่ถูกเรียกประหลาดๆว่าแกบ้างมนุษย์บ้าง ในขณะที่นกหนุ่มส่งยิ้มยียวนกลับไป

          “พิน...เราเรียกถูกมั้ย?”

          น่าประหลาดที่อมนุษย์ตนนี้ยามยิ้มช่างดูน่าโอนอ่อนคล้อยตาม อาจเป็นเพราะใบหน้าอ่อนหวานนั่นที่ขัดกับนิสัยประหลาดสุดก้าวร้าวเกินจะบรรยาย

          “ละ...แล้วนายชื่ออะไรหรอ?”

          พินเอ่ยถามขึ้นบ้าง จะว่าไปเขาเองก็เอาแต่เรียกวิญญาณนกผีตนนี้ว่านายๆอยู่ตลอดเหมือนกัน

          “นกป่าอย่างเราไม่มีชื่อหรอก...ถ้าอยากจะเรียกเรา แก...ไม่สิ พินก็เรียกเราว่าพิมพ์ก็ได้ เหมือนที่คนอื่นๆ เค้าเรียกกัน”

          “ไม่เอาด้วยหรอก ชั้นไม่มีทางเรียกนายด้วยชื่อของพี่ชายชั้นแน่ๆ!”

          พินกลอกตามองนกหนุ่ม เขาไม่มีทางที่จะเอาพี่ชายของเขาไปปะปนกับสิ่งมีชีวิตประหลาดให้มากไปกว่านี้อีกแล้ว

          “ถ้าอย่างนั้นชั้นจะตั้งชื่อให้นายก็แล้วกัน”

          ชายร่างสูงทำท่าครุ่นคิด ความจริงแล้วเขาเองก็ไม่ได้ใส่ใจนักว่าพวกมนุษย์จะเรียกเขาว่าอะไร

          “ชื่อเฮดวิกดีมั้ย?”

          คนที่ดูไม่ใส่ใจเมื่อครู่ สบตามองคนที่พยายามตั้งชื่อให้เขาพลางทำหน้าหงิกคิ้วขมวดตาขวางอย่างไม่พอใจ

          “ภาษาอะไรของแก? น่าเกลียดพิลึก!”

          “ไม่เห็นจะน่าเกลียดตรงไหนเลย! ชื่อนี้เป็นชื่อนกฮูกของพระเอกนิยายที่ชั้นชอบมาก”

          “เราไม่ใช่นกฮูก!!! เราเป็นนกแสก!!!”

          นกหนุ่มขึ้นเสียงใส่อย่างไม่พอใจ พินได้แต่งงว่าทำไมสิ่งมีชีวิตประเภทนี้ถึงได้คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องไม่เป็นเรื่องพวกนี้นัก

          “อ้าว! งั้นจะให้ชั้นเรียกนายว่าอะไรล่ะ?!”

          “เอาชื่ออื่น!”

          ชายไร้นามกระฟัดกระเฟียดอย่างไม่พอใจ ทำเอาคนฟังเอาใจไม่ถูกว่าควรจะเรียกเจ้าตัวประหลาดนี่ว่าอะไรดี

          “งั้น...ชื่อจิ๊บๆดีมั้ย?”

          “เราไม่ได้ร้องจิ๊บๆ!”

          พินที่ไม่ได้ตั้งใจกวนดูเหมือนจะทำให้คนฟังหงุดหงิดขึ้นกว่าเดิม ส่วนตัวเขาเองก็ชักจะรำคาญจึงเริ่มร่ายชื่อบ้าบอคอแตกอะไรก็ตามแต่ที่เขาพอจะนึกออกมายาวเหยียด

          “หรือจะเอาชื่อ ทวิตตี้ พี่แสกโซโล แองกรี้เบิร์ด ปีปี้...”

          ไม่รู้ทำไมยิ่งฟังนกหนุ่มกลับยิ่งรู้สึกหัวเสีย แต่เขาก็ยังอดทนฟังคนที่ตัวเล็กกว่าพล่ามต่อไป

          “นำโชค มีตังค์ บุญรอด มะลิ ลำไย”

          “เดี๋ยว...หยุด!”

          พินหยุดปากเมื่อคนแปลกหน้าเอ่ยปราม ดูท่าแต่ละชื่อที่เขาสรรหามาคงจะไม่รื่นหูชายหนุ่มตรงหน้าเท่าไหร่นัก

          “เอาชื่อที่แกพูดเมื่อกี้”     

          “หา? ลำไยน่ะหรอ?”

          “ไม่ใช่ ก่อนหน้านั้น”

          “อ๋อ...มะลิ! อยากให้ชั้นเรียกนายว่ามะลิหรอ?”

          “อืม...มะลิเป็นดอกไม้ที่มีกลิ่นหอม เราชอบ”

          นกหนุ่มยิ้มขึ้นอย่างพอใจ เขาตัดสินใจแล้วว่าต่อไปนี้เขาจะใช้ชื่อว่า “มะลิ” ทั้งๆที่ผ่านมาอมนุษย์เช่นเขาไม่เคยเห็นความสำคัญว่าใครจะเรียกเขาว่าอะไร แต่พอมีชื่อเป็นของตนเองขึ้นมา มันกลับทำให้รู้สึกว่าเขาเองก็มีตัวตนอยู่บนโลกนี้เช่นกัน

          “งั้นต่อไปนี้ชั้นจะเรียกนายว่ามะลิ ส่วนนายก็ต้องเรียกชื่อชั้น อย่ามาเรียกแบบจิกๆว่าแก หรือเรียกว่ามนุษย์อีกเข้าใจรึเปล่า?”

          “เข้าใจแล้วพิน”

          น่าตกใจที่พอเขาตั้งชื่อให้ เจ้านกนี่กลับมีท่าทีเชื่องขึ้นมาเสียอย่างนั้น พินรู้สึกสบายใจขึ้นนิดหน่อย เมื่อได้สัมผัสว่า “มะลิ” ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด อาจจะไม่ใช่เรื่องยากหากเขาต้องใช้ชีวิตร่วมกับนกหนุ่มตนนี้ พินจะขอเชื่อมะลิดูเพื่อไม่ให้ครอบครัวของเขาต้องเสียใจ

          “มะลิ...ชั้นตัดสินใจแล้วนะว่าชั้นจะยอมให้นายเข้ามาเป็นหนึ่งในสมาชิกของครอบครัว”

          เมื่อได้ฟังดังนั้นมะลิก็ฉีกยิ้มกว้างไร้เดียงสาให้คนตรงหน้าเห็น เป็นรอยยิ้มที่ประดับไปด้วยรอยบุ๋มๆบนแก้ม ทำเอาพินชะงักทำตัวไม่ถูก เขาตกใจตัวเองที่รู้สึกเอ็นดูเจ้านกผีตนนี้ขึ้นมา

          “ตะ...แต่ว่าถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลชั้นจะทำทุกวิถีทางเพื่อกำจัดนายออกไป...เข้าใจรึเปล่า?”

          มะลิพยักหน้ารับด้วยใบหน้าสดชื่นก่อนจะตอบกลับไป

          “ตอนนี้เราไม่ได้ต้องการอะไร สิ่งเดียวที่ทำให้เราพอใจในตอนนี้ก็คือการได้อยู่ใกล้ชิดพิน เพราะพลังวิญญาณหนูของพินทำให้เราสดชื่น...มีความสุข”

          ‘เราคิดดีแล้วใช่มั้ยวะเนี่ย…?’

          พินชักไม่มั่นใจในสิ่งที่เขาตัดสินใจลงไป เพราะดูเหมือนว่าเป้าหมายของเจ้านกมะลิจะเปลี่ยนมาเป็นเขาแทน ยังไงก็คงต้องลองดูสักตั้ง การใช้ชีวิตร่วมกับวิญญาณนกตนนี้อาจจะไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เขาคิดก็เป็นได้


++++++++++++++++


          ในที่สุดเราก็ได้รู้กันแล้วนะคะว่าตัวตนที่แท้จริงของพระเอกของเรามันคืออะไรกันแน่ ^^ ที่สำคัญชื่อของเค้าน้องพินก็เป็นคนตั้งให้เองเลยด้วย (ชื่อแบบสัตว์เลี้ยงสุดๆ)

          ถึงชื่อของมะลิอาจจะดูนุ่มนิ่มวันแม่ไปซักนิด แต่รู้มั้ยคะว่าภาษาดอกไม้ของเจ้าดอกมะลิทางฝั่งตะวันตกเนี่ยน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะมันถูกขนานนามว่าเป็น King of flowers  (ส่วนควีนก็คือกุหลาบอย่างที่หลายๆคนคุ้นเคยกันดีอยู่แล้วนะคะ) ด้วยคุณสมบัติของกลิ่นมะลิที่มีความสามารถในการกระตุ้นอารมณ์โรแมนติก เพราะมีกลิ่นหอมแรงเย้ายวน มีความเป็นผู้ชายสูงก็เลยได้มงราชาแห่งดอกไม้ไปครองนั่นเองค่ะ

          ถ้าใครที่อ่านมาถึงตรงนี้ก็คงพอจะมองเห็นภาพมะลิเป็นเมะแบบแมนๆเจ้าเสน่ห์กันได้ไม่ยากแล้วใช่มั้ยล่ะค่ะ ยังไงเราก็ขอฝากมะลิเมะผู้เกรี้ยวกราดสุดติงต๊องกับน้องพินคนดีแสนนุ่มนิ่มไว้ในอ้อมอกอ้อมใจทุกคนด้วยนะคะ ขอบคุณค่า
หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! [My brother is the barn owl!] บทที่2 : มะลิ (05/07/19) UP!
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 05-07-2019 14:57:09
เพื่งรูว่า มะลิ เป็น King of flowers   :katai2-1:
รู้แต่ควีน ว่าคือกุหลาบ  :hao3:
   
หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! [My brother is the barn owl!] บทที่2 : มะลิ (05/07/19) UP!
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 05-07-2019 16:53:03
มะลิไม่ได้เลวร้าย อาจจะเป็น คู่ของ พิน  กะได้ รออัฟ ตอนต่อไป ขอบคุณ ผู้ แต่ง ^^
หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! [My brother is the barn owl!] บทที่2 : มะลิ (05/07/19) UP!
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 05-07-2019 23:36:51
 :katai2-1:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! [My brother is the barn owl!] บทที่3: เพื่อนสนิท 08/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: Timid Lily ที่ 08-07-2019 10:30:35
บทที่3 : เพื่อนสนิท

         เสียงนกร้องรื่นหูเป็นสัญญาณบ่งบอกว่ายามเช้าได้มาถึงแล้ว แสงอาทิตย์ที่ลอดผ่านม่านสีสว่างเข้ามา ทำให้คนที่นอนคุดคู้อยู่ใต้ผ้าห่มรู้สึกตัวตื่นขึ้นทีละน้อย พินขยับตัวพลางบิดขี้เกียจโดยที่ตาของเขายังคงหลับพริ้มอยู่ แขนก็เหยียดยืดออกไปจนสุด

          “ปั้ก!” เสียงมือของเขาเหมือนกับจะกระแทกอะไรแข็งๆเข้าสักอย่าง

          “เราเจ็บนะพิน...”

          สิ้นเสียง ทำเอาคนที่กำลังบิดขี้เกียจอย่างสบายใจเมื่อครู่ถึงกับตัวแข็งทื่อขึ้นมา ตาที่หลับพริ้มอยู่ก่อนหน้านี้ก็เบิกโพลงขึ้น พินหันหน้าขวับไปตามเสียงๆนั้น

          “อรุณสวัสดิ์”

          ภาพตรงหน้าคือชายหนุ่มร่างสูงกำลังนอนลูบหน้าผากที่มีรอยแดงป้อยๆอยู่ข้างเขา มะลิฉีกยิ้มกว้างก่อนจะโฉบจมูกโด่งเข้าหอมซอกคอพินไปฟอดใหญ่

          “ว้าก!”

          เสียงชายหนุ่มแหกปากร้องลั่นด้วยความตกใจ พินรีบผุดลุกผุดนั่งท่าทางเลิ่กลั่ก เขาพยายามทำตัวลีบติดกำแพงสุดชีวิตในขณะที่นกมะลิได้แต่มองสีหน้าตลกๆนั่นก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นพลางขำ

          “มะลิ! นะ...นายจะทำอะไร? แล้วเข้ามาในห้องนี้ได้ยังไง?”

          “เรามาสูดกลิ่นพิน...เราเข้ามาในห้องพินได้เพราะเราขอกุญแจของทุกห้องในบ้านหลังนี้จากพ่อเอาไว้”

          มะลิลอยหน้าลอยตาตอบกลับไปแบบไม่รู้สึกรู้สา ในขณะที่พินกำลังรู้สึกว่าสวัสดิภาพทางร่างกายและจิตใจของเขากำลังถูกคุกคาม

          ‘โอ๊ย! พ่อนะพ่อ! ให้กุญแจไอ้นกบ้านี่ไปทำไมกันเนี่ย!’

          ถึงจะนึกโทษผู้เป็นพ่อของเขาก็คงจะไม่ได้อะไรขึ้นมา ทางที่ดีเขาควรจะทวงคืนกุญแจบ้านชุดนั้นจากมะลิกลับมามากกว่า

          “มะลิ! คืนกุญแจมาให้ชั้นเดี๋ยวนี้!”

          “ใครจะไปโง่คืนให้กันล่ะ”

          พูดจบมะลิก็ยื่นหน้าเข้าไปใกล้จนจมูกของทั้งสองแทบจะชนกัน นกหนุ่มสูดหายใจเข้าจนฉ่ำปอดก่อนจะรีบลุกออกจากเตียงและเดินหนีไปทางประตูอย่างรวดเร็ว

          “พินหอม...เราชอบ”

          มะลิส่งยิ้มกวนให้ก่อนจะเดินออกจากห้องไป ทิ้งคนที่กำลังอึ้งไว้กับใบหน้าร้อนฉ่า

          ‘หัวใจจะวาย...ถ้าต้องมาเจออะไรแบบนี้ทุกวันเราจะไหวมั้ยเนี่ย...?’





          บรรยากาศแสนจอแจของตลาดในร่มไม่ไกลจากบ้าน อยู่ในระยะที่เดินไปได้ บรรดาพ่อค้าแม่ขายต่างเอ่ยเชิญชวนผู้คนที่เดินผ่านไปมาให้เลือกจับจ่ายซื้อหาสินค้าของตน ชายหนุ่มร่างผอมบางมองซ้ายทีขวาทีพลางพิจารณาว่าอะไรที่เขาควรจะซื้อไว้เป็นอาหารในมื้อต่อๆไป

          “พวกมนุษย์ออกหาอาหารกันที่นี่หรอ?”

          มะลิที่กำลังเดินตามหลังพินต้อยๆเอ่ยขึ้น เขาตาวาวด้วยความตื่นเต้นที่ได้ออกมานอกบ้าน เพราะตั้งแต่ที่เข้าสิงร่างของพิมพ์ เขาก็ไม่เคยได้ออกไปไหนเลยนอกจากบ้านกับโรงพยาบาล

          ‘ไอ้นกนี่มันไม่ต้องนอนตอนกลางวันหรอกหรอวะ?’

          พินที่กำลังเดินนำมะลิอยู่ไม่สบอารมณ์นักที่ถูกเกาะแจมาถึงที่นี่ ที่สำคัญนกหนุ่มปรับตัวได้เร็วเกินคาด นอกจากพฤติกรรมนอนดึกตื่นสายของมะลิแล้ว กลับกลายเป็นว่าแม้แต่ในตอนกลางวันมะลิดูจะสดชื่นไม่มีความง่วงหงอยแม้แต่นิด

          มะลิมองไปรอบๆ บ้างก็มือซนไปหยิบจับของซื้อของขายจนพินเดินอย่างไม่มีความสุขต้องคอยหันกลับมาเอ็ดมาคอยระวังอยู่ร่ำไป พลันสิ่งหนึ่งหยุดมะลิที่กำลังกระตือรือร้นให้นิ่งลง ตรงหน้าของเขาคือซุ้มขายไก่ย่างกลิ่นหอมหวน

          “พวกแกช่างเป็นสัตว์ปีกที่น่าอัปยศอดสู...เพราะความโง่เง่าและอ่อนแอถึงต้องกลายมาเป็นอาหารของมนุษย์!”

          มะลิบ่นพึมพำขึ้นพลางมองเหยียดหยามไก่ย่างที่ถูกหมุนปิ้งเสียบอยู่ ป้าแม่ค้าเห็นชายหนุ่มที่หยุดจ้องมองไก่ย่างของเธออยู่นานจึงเอ่ยเชิญชวน

          “ไก่ย่างร้อนๆมั้ยพ่อหนุ่ม ป้าย่างใหม่ๆ เนื้อเหนียวนุ่มอร่อย”

          คนได้ฟังถึงกับทำหน้าถมึงทึง คิ้วของเขาแทบจะผูกกันเป็นปม มะลิเอ่ยตอบกลับไปด้วยทีท่ารังเกียจ

          “ของน่าสมเพชแบบนี้เรากินไม่ลงหรอก!”

          มือที่กำลังกำมีดอีโต้สั่นไปหมด รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมฉายขึ้นบนใบหน้าของคุณป้าขายไก่ พินที่เดินเลยไปไม่ไกลเห็นมะลิหายไปจึงรีบวิ่งแจ้นกลับมาและได้เห็นว่าไอ้นกบ้านี่ได้ก่อเรื่องให้เขาซะแล้ว

          “ขอโทษด้วยนะครับคุณป้า พอดีพี่ผมเค้าไม่สบาย เค้ามีอาการทางสมองน่ะครับ คุณป้าอย่าถือสาพี่ชายผมเลยนะครับ”

          พินรีบพนมมือไหว้หญิงวัยกลางคนปลกๆ เมื่อเธอเห็นทีท่าของชายหนุ่มอารมณ์ก็เริ่มเย็นลง และเอ่ยขึ้นอย่างเห็นใจ

          “ไม่เป็นไรหนู ป้าไม่ถือสาคนป่วยหรอก หายเร็วๆล่ะพ่อหนุ่ม”

          “เราไม่ได้ปะ...”

          พินไม่เปิดโอกาสให้มะลิต่อปากต่อคำ เขารีบลากแขนร่างสูงออกมาพลางบ่นไม่หยุดปาก

          “นี่มะลิ! คิดอะไรอยู่ก็ไม่ต้องพูดออกมาทุกเรื่องก็ได้นะ แล้วชั้นอุตส่าห์ใจดียอมให้นายตามมา ยังจะมาก่อเรื่องอีก ทำตัวให้เหมือนคนปกติหน่อยไม่ได้รึไง?”

          “ก็มนุษย์คนนั้นชวนให้เรากินไก่นี่!”

          “คนปกติเค้าก็กินไก่กันทั้งนั้นแหละ ถ้าไม่กินไก่แล้วนายอยากจะกินอะไร?”

          จบคำถามของพิน มะลิก็สูดกลิ่นขึ้นในอากาศจากนั้นจึงเป็นฝ่ายลากแขนพินเดินตามตนมาบ้าง เขาเดินเรื่อยมาจนถึงแผงขายสัตว์น้ำ พินที่เห็นซุ้มกุ้งเผาข้างๆสบตามะลิอย่างเข้าใจ

          “อ๋อ...อยากกินกุ้งเผาก็ไม่บอก”

          “เปล่าซักหน่อย...”

          พูดจบมะลิก็ชี้นิ้วไปยังแผงข้างๆ ท่ามกลางกุ้งหอยปูปลาสดๆ ตรงนั้นมีกบที่ถูกผ่าท้องนอนหงายน่าขนลุกอยู่ด้วย

          “กบก็เป็นของโปรดเราด้วยเหมือนกัน”

          สีหน้าเหยเกขยะแขยงปรากฏขึ้นให้คู่สนทนาเห็น สำหรับพินกบในยามปกติก็ชวนสยองอยู่แล้ว และเมื่อมันอยู่ในสภาพนี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึง

          “มะลิ! นายเป็นคนก็ต้องกินอาหารเหมือนคน จะมากินของแบบนี้ไม่ได้”

          “แต่เราเห็นมนุษย์คนอื่นก็ซื้อไปเหมือนกันนี่?”

          “ชั้นไม่ให้นายกิน!”

          “พิน!”

          มะลิขึ้นเสียงอย่างโอดครวญ เขารู้สึกว่าสิ่งที่ทรงอำนาจของมนุษย์ก็คือ “เงิน” ดังนั้น ถึงแม้ว่าเขาจะมีกุญแจของทุกห้องในบ้านก็ไม่อาจช่วยให้เขาใช้ชีวิตตามใจอยากได้ มะลิมองซากกบตาละห้อย เขาเดินตามพินออกมาจากนั้นก็พลันเหลือบไปเห็นชายคนหนึ่งกำลังกำหยิบหนอนทอดตัวจิ๋วเข้าใส่ปาก

          “พิน แล้วถ้าเป็นแมลงล่ะ เรากินได้มั้ย?”

          พินหรี่ตามองเจ้านกอย่างไม่เข้าใจ แต่ละอย่างที่สิ่งมีชีวิตสุดพิลึกนี้ต้องการจะกินช่างหาความปกติธรรมดาไม่ได้เลยสักนิด

          “มันใช่อาหารหรอมะลิ?”

          “แต่มนุษย์คนนั้นก็กินเหมือนกันนี่”

          มะลิชี้นิ้วไปทางชายหนุ่มที่กำลังจกหนอนทอดกินอย่างเพลิดเพลินซึ่งกำลังเดินอยู่ไม่ไกลจากร้านขายแมลงทอดนัก

          ‘อ๋อ...รถด่วนนี่เอง’

          “ซื้อให้เรากินเถอะนะ...พิน”

          มะลิที่มักจะก้าวร้าวในยามปกติก็รู้จักอ้อนเป็นเหมือนกัน ดวงตาดำสนิทแวววาวจ้องมองพินไม่กะพริบ มือหนึ่งก็จับแขนของเขาเอาไว้อย่างเบามือ ปากอิ่มเม้มลงเล็กน้อย ไม่รู้ทำไมพินถึงได้แพ้สายตาของนกหนุ่มตนนี้เสียทุกที เขาพ่นลมถอนใจก่อนจะพยักหน้า

          “เออ...ซื้อให้ก็ได้ แต่นายก็ต้องฝึกกินอาหารแบบที่คนทั่วไปเค้ากินกันด้วยล่ะ เข้าใจรึเปล่า?”

          มะลิพยักหน้าไปพร้อมกับรอยยิ้มดีใจ ไม่รู้มันเป็นอะไรเวลาพินเห็นรอยยิ้มแบบนี้ทีไรมันทำให้ใจเขากระตุกวูบได้ทุกครั้งไป

          ครู่เดียวแมลงทอดถุงเล็กๆก็ได้มาอยู่ในมือของมะลิ ชายหนุ่มเดินไปกินไปอย่างมีความสุข ในขณะที่พินเองก็ได้เสบียงมาพอสมควรแล้ว พวกเขาเดินมุ่งตรงไปตามเส้นทางกลับบ้าน แต่พินก็ต้องชะงักลงเมื่อมีสิ่งมีชีวิตนุ่มนิ่มดำๆมาคลอเคลียอยู่ที่ขา

          “เหมียว”

          “อ้าว! แกนี่เอง ปกติเวลาจะเข้าไปเล่นด้วยก็วิ่งหนีตลอดเลย ทำไมวันนี้แปลกจัง?”

          พินเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มเอ็นดูเจ้าแมวตัวดำ ดวงตาสองสีของมันช่างสวยงามน่าพิศวง ข้างหนึ่งเป็นสีฟ้าเพทายสุกใส อีกข้างหนึ่งเป็นสีเหลืองอำพันเปล่งประกาย เขาย่อตัวลงพลางลูบไล้เกาคอให้เจ้าเหมียวเคลิบเคลิ้ม แมวน้อยถูไถตัวของมันจนเส้นขนสีนิลนั้นติดเต็มกางเกงไปหมด

          มะลิหยุดมือจากการกิน ทว่าปากก็ยังเคี้ยวอยู่ เขาหลุบตามองสิ่งมีชีวิตที่กำลังออดอ้อนคนข้างๆสีหน้านิ่งสงบเย็นชา

          “พิน! รีบกลับได้แล้ว”

          “เอ๊ะ!?”

          พูดจบมะลิก็ไม่รอช้ากระชากแขนพินออกมาจนเซ ทิ้งแมวดำตัวน้อยไว้เบื้องหลัง เขาเดินลากชายหนุ่มตัวบางถูลู่ถูกังออกมา มือจับกระชับแขนผอมๆแน่นจนคนถูกลากเริ่มเจ็บไปหมด

          “เดี๋ยวๆๆ อะไรเนี่ยมะลิ? ชั้นเจ็บนะ”

          มะลิไม่สนใจที่จะตอบ เขาสะบัดมือออกอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นก็กลับไปสนใจแมลงทอดตัวจิ๋วในถุงต่อ

          ‘เป็นอะไรของมันวะเนี่ย? ผีเข้าผีออก...’



          ชายทั้งสองเดินเรื่อยมาจนถึงหน้าบ้าน ระหว่างที่พินกำลังหยิบกุญแจขึ้นไขประตูรั้ว รถยนต์สีบรอนซ์คันหนึ่งวิ่งช้าๆเข้ามาเทียบอยู่หน้าประตู หญิงสาวผมยาวประบ่าที่อยู่ภายในลดกระจกลงก่อนจะเอ่ยเรียกทักทาย

          “ไงสองพี่น้อง ขอไปข้างในด้วยคนนะ”



          ภาพเด็กสาวในชุดนักเรียนมัธยมปลายตัวสูงรูปร่างสมส่วน ผิวพรรณกระจ่าง ดวงตาสดใสไม่กลมโตนัก ฉายขึ้นในหัวของมะลิ จุดเด่นของเธอคือริมฝีปากบางที่ยามฉีกยิ้มกว้างดวงตาจะหยีลงจนคนเห็นแทบจะอดยิ้มตามไม่ได้

          “ไหม ทำไมแกไม่มีแฟนซักทีวะ?”

          พิมพ์เอ่ยขึ้นพลางใช้ส้อมจิ้มขนมปังเนยนมขึ้นมาก่อนจะยัดใส่ปาก ส่วนคนที่นั่งตรงข้ามยกนมเย็นสีชมพูหวานขึ้นดื่ม ริมฝีปากบางปล่อยออกจากหลอดช้าๆก่อนจะยิ้มกรุ้มกริ่มมองตอบเพื่อนชายของเธอกลับไป



          ‘ไหม?’

          ความคุ้นเคยก่อตัวขึ้นในความรู้สึกของมะลิ ถึงแม้เขาจะไม่เคยพบกับหญิงสาวคนนี้มาก่อน แต่ความทรงจำนี้บอกได้ว่าไหมและพิมพ์ต้องเป็นคนที่มีความสนิทชิดเชื้อต่อกันไม่น้อยเลยทีเดียว

          “มนุษย์คนนี้เป็นใครหรอพิน?”

          มะลิเอ่ยถาม พลางมองหญิงสาวที่กำลังเปิดประตูรถออกมา

          “พี่เค้าชื่อไหม เป็นเพื่อนสนิทพี่พิมพ์ตั้งแต่สมัยมัธยม ตอนนี้เป็นศัลยแพทย์อยู่ที่โรงพยาบาลเดียวกับที่นายรักษาตัวเมื่อสองอาทิตย์ก่อน นายไม่เคยเจอเค้ามาก่อนเลยหรอ?”

          มะลิมองไหมโดยที่ไม่ละสายตาไปไหนพลางส่ายหน้าเป็นคำตอบ

          “พิมพ์เป็นยังไงบ้าง คราวก่อนเราไปเยี่ยมที่โรงพยาบาลแต่พิมพ์หลับอยู่เลยไม่ได้มีโอกาสได้คุยด้วยซักที”

          ไหมเดินเข้ามาใกล้พลางส่งยิ้มให้กับเพื่อนของเธอ พินรีบยกมือไหว้ทักทายหญิงสาว เธอรับไหว้กลับอย่างสุภาพน่ารัก

          “พิมพ์...จำเราได้รึเปล่า?”

          เธอเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นทีท่าเฉยเมยของชายหนุ่ม ซึ่งแน่นอนมะลิก็ได้แต่ส่ายหน้าอีกครั้ง

          “พี่พิมพ์เค้ายังจำอะไรไม่ได้เลยครับพี่ไหม แต่ตอนนี้แข็งแรงดีแล้วครับ”

          พินเอ่ยขึ้นตอบแทน ไหมมองชายหนุ่มอายุน้อยกว่าด้วยความเอ็นดูแล้วจึงถามต่อ

          “นี่ลืมทุกอย่างเลยจริงๆหรอเนี่ย ลำบากแย่”

          “พี่พิมพ์ยังช่วยเหลือตัวเองได้ตามปกติครับ สภาพจิตใจก็ดี แต่อาจจะเพี้ยนๆแปลกๆหน่อย...”

          พินพูดดักไว้เผื่อมะลิจะเผลอทำตัวพิลึกพิลั่นใส่ไหม เขายิ้มแห้งในขณะที่นกหนุ่มทำตาขวางขมวดคิ้วมองมาเมื่อได้ยินคำพูดไม่เข้าหู

          “เอ่อ...พี่ไหมรีบเข้าไปข้างในบ้านก่อนดีกว่าครับ ข้างนอกมันร้อน...”

          พินรีบเชิญแพทย์สาวเข้าไปด้านใน จริงอยู่ที่ข้างนอกอากาศร้อน แต่สิ่งที่ทำให้เขาร้อนยิ่งกว่าคือสายตาดุดันของเจ้านกขี้หงุดหงิด



          พินยกน้ำเย็นใส่แก้วมาวางให้กับแขกอย่างกระตือรือร้น ไหมนั่งเรียบร้อยอยู่บนโซฟา ในขณะที่นกหนุ่มนั่งเอกเขนกไม่สนใจโลกอยู่ข้างๆ

          “พี่ไหมกลับมาเยี่ยมบ้านหรอครับ?”

          “ใช่จ้ะ ถึงจะไม่มีใครอยู่ก็ต้องกลับมาดูความเรียบร้อยบ้าง แล้วก็ถือโอกาสมาเยี่ยมพิมพ์ด้วย เดี๋ยวเย็นนี้พี่ก็ขับรถกลับละ พรุ่งนี้ต้องขึ้นวอร์ดแต่เช้า”

          มะลิยังคงนั่งเฉยเหม่อลอยไม่สนใจและปล่อยให้พินกับไหมคุยกัน จนหญิงสาวถึงกับต้องหันไปชวนคุย

          “พิมพ์...อาทิตย์หน้าจะมีวิ่งมาราธอน เราลงแบบสิบกิโลไปด้วยนะ ถ้าพิมพ์แข็งแรงดีเราสองคนคงได้ไปวิ่งด้วยกันเหมือนเคยแล้วเนอะ”

          “มาราธอนคืออะไร?”

          แค่ได้ยินไหมก็ถึงกับหัวเราะออกมา เธอเกือบจะลืมไปว่าเพื่อนของเธอจำความอะไรไม่ได้

          “ช่างเถอะ ไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร พิมพ์ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรแบบนี้ก็ให้ความรู้สึกตลกไปอีกแบบดีเหมือนกัน”

          “เราตลกตรงไหน?!”

          ‘ก็ตลกทุกตรงนั่นแหละ...’

          พินขำขึ้นในใจ ทว่าตอนนี้นกมะลิกลับทำหน้าบูดขึ้นอีกครั้ง ทางที่ดีพวกเขาควรจะปล่อยเจ้านกไว้เงียบๆไม่ไปกวนอารมณ์ของมันจะดีกว่า

          “เราง่วง เราขอตัวไปงีบก่อนนะ”

          พูดจบมะลิก็ลุกพรวดขึ้นจากโซฟาแล้วเดินขึ้นบันไดไป ทิ้งพินกับคนที่มาเยี่ยมตนเอาไว้เสียอย่างนั้น

          “เอ่อ...ผมขอโทษแทนพี่พิมพ์ด้วยนะครับพี่ไหม”

          “ไม่เป็นไรๆ ก็พิมพ์มันป่วยอยู่นี่นา”

          ไหมยิ้มหัวเราะขึ้นอย่างอารมณ์ดี ในเมื่อคนที่เธอตั้งใจมาเยี่ยมหนีไปนอนกลางวันเสียแล้วเธอก็ไม่รู้ว่าจะเสียเวลาอยู่ต่อไปทำไม

          “งั้นเดี๋ยวพี่กลับเลยดีกว่า ไม่กวนละ”

          “เดี๋ยวผมเดินไปส่งครับ”

          พินลุกขึ้นเดินนำหญิงสาวไปที่ประตู เขาเปิดประตูออกให้กับไหม เธอเอ่ยขอบใจพลางฉีกยิ้มกว้างให้ก่อนจะเอ่ยถาม

          “พินเรียนใกล้จะจบแล้วใช่มั้ย?”

          “ใช่ครับเทอมนี้เทอมสุดท้ายแล้ว”

          “เวลาผ่านไปเร็วจังเลยเนอะ พี่ยังจำพินตัวผอมๆสมัยอยู่ม.ต้นได้อยู่เลย ยังดีที่ตอนนี้พอจะเริ่มมีเนื้อมีหนังกับเค้าขึ้นมาบ้าง ดูสิแป๊บเดียวพินกลายเป็นหนุ่มส่วนพี่ก็อายุปาเข้าไปสามสิบกว่าแล้ว”

          “พี่ไหมยังหน้าเด็กอยู่เลยครับ สวยไม่เปลี่ยน”

          “ปากหวานนะเรา เดี๋ยววันหลังพี่ซื้อขนมมาฝาก”

          คนทั้งสองหัวเราะคิกคักใส่กัน พวกเขาเดินเรื่อยมาจนถึงประตูรั้วหน้าบ้าน ขณะที่ไหมกำลังเปิดประตูรถออกพินก็เอ่ยถามสิ่งที่ค้างคาใจของเขาอยู่ออกมา

          “พี่ไหมครับ...ทำไมพี่ชิชาถึงไม่ค่อยมาเยี่ยมพี่พิมพ์บ้างเลย”

          สีหน้าสดชื่นเมื่อครู่ของหญิงสาวแปรเปลี่ยนนิ่งงัน แววตาแข็งขึ้นจนสังเกตได้แม้ว่าเธอกำลังพยายามจะซ่อนมันเอาไว้ก็ตาม

          “ชิชาน่ะหรอ...ไม่เห็นจะแปลก...”

          “พี่ชิชาเค้าบินเยอะหรอครับ? ปกติพี่เค้ากลับมาไทยทุกๆ สิบห้าวันอยู่แล้ว หรือว่าพี่เค้าจะเหนื่อยจนไม่มีเวลา...?”

          พินเอ่ยถามพลางสังเกตสีหน้าของไหมไปด้วย เธอดูไม่ยินดีนักเมื่อเอ่ยถึงภรรยาสาวของพี่ชายเขาคนนี้ ชิชาทำงานเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินของสายการบินต่างประเทศแห่งหนึ่ง จะได้กลับมาอยู่บ้านแค่ทุกๆสิบห้าวัน แต่ถึงอย่างนั้น พินก็รู้สึกว่าชิชาขาดการติดต่อมานานเกินไปแล้ว

          “ไหนๆก็ไหนๆแล้ว...พี่คงต้องบอกพิน...”

          ไหมถอนหายใจพลางสบตากับชายหนุ่ม

          “พิมพ์กับชิชาเค้าห่างๆกันมาซักพักแล้วล่ะ แต่พิมพ์ไม่ยอมเล่าให้คนที่บ้านฟัง”

          ไม่น่าเชื่อว่าพี่ชายของเขากำลังมีปัญหาครอบครัว ความรู้สึกสงสัยวิตกกังวลกัดกินความคิดของพิน มีเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับพี่ชายที่เขาไม่เคยรู้ และดูเหมือนว่าพี่ชายของเขาก็คงไม่อยากให้ใครรับรู้ด้วยเช่นกัน

          “พี่ขอตัวก่อนนะ...”

          พูดจบไหมก็ขึ้นรถไป ตอนนี้ชายหนุ่มได้แต่นึกเสียใจที่เขาและครอบครัวไม่อาจเป็นที่พึ่งทางใจให้กับพี่ชายเขาได้ เขายอมรับว่าเขาดูไม่ออกเลยจริงๆว่าพี่ชายของเขาจะมีอาการซึมเศร้าและตัดสินใจจบชีวิตของตนลง โดยทิ้งไว้เพียงความสูญเสียที่มีแต่ “พิน” คนเดียวเท่านั้นที่ได้รับรู้


++++++++++++++++



          สวัสดีอีกครั้งนะคะทุกท่าน ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้น ทุกบวก และทุกคนที่กดเข้ามาอ่านกันนะคะ ในตอนนี้มะลิก็ยังคงทำตัวพิลึกเหมือนเคย แต่ก็เป็นลักษณะเด่นของพระเอกคนนี้เค้าแหละค่ะ

          พูดถึงรูปร่างหน้าตาของมะลิที่เป็นผู้ชายหน้าหวานๆ ที่สำคัญมีลักยิ้มน่ารักด้วยนะคะ ซึ่งผิดกับนิสัยไปคนละโยชน์ ในขณะที่พินจะเป็นผู้ชายหน้าคมๆตาสวยๆ ในแบบที่มองได้หลายแนวว่าจะหล่อหรือจะสวยก็ได้ค่ะ (ถ้าจะเปรียบเทียบกับพี่พิมพ์ที่หน้าตาคล้ายกันพี่พิมพ์เค้าจะดูหล่อคมแมนๆค่ะ ส่วนน้องพินจะดูออกไปทางสวยคมละมุนกว่านั่นเอง) ถ้าใครมีอิมเมจในใจก็ใส่เข้าไปตามใจชอบได้เลยนะคะ

          ก่อนจะบอกลากันตรงนี้ขอพูดถึงนกมะลิอีกซักนิด ความจริงแล้วนกแสกเป็นสัตว์กินเนื้อที่กินอะไรก็ได้ทั้งนั้นนะคะ แต่ที่มะลิทำเป็นยี้ไก่ย่างก็เพราะอคติส่วนตัว แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ

หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! [My brother is the barn owl!] บทที่3 : เพื่อนสนิท 08/07/19 UP!
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 08-07-2019 12:18:24
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! [My brother is the barn owl!] บทที่4 : แมวดำ 12/07/19 UP!
เริ่มหัวข้อโดย: Timid Lily ที่ 12-07-2019 10:43:16
บทที่4 : แมวดำ


         ชายหนุ่มที่เพิ่งลุกจากเตียงหัวยุ่งเหยิงกำลังพับผ้าห่มอย่างบรรจง เขาขยี้ตาเล็กน้อยไล่ความงัวเงีย มือหนึ่งคว้าผ้าขนหนูผืนเล็กจากนั้นจึงเดินออกจากห้องนอนไป พินเปิดประตูห้องน้ำ หยิบแปรงสีฟันขึ้นมาบีบยาสีฟันเนื้อใสกลิ่นสดชื่นก่อนจะแปรงฟันด้วยใบหน้าง่วงซึม ถึงแม้ว่าวันนี้เขาจะมีเรียนในช่วงบ่าย แต่ก็ไม่วายต้องรีบแหกขี้ตาตื่นขึ้นมาดูแลความสงบเรียบร้อยภายในบ้าน

          โดยไม่ทันตั้งตัว ร่างสูงโปร่งสวมกอดพินจากทางด้านหลัง เงาที่สะท้อนในกระจกอ่างล้างหน้าคือชายหนุ่มใบหน้าอ่อนหวานผุดผ่องกำลังจรดจมูกโด่งลงบนเส้นผมสลวยของเขาพลางหอมฟอดใหญ่ชื่นใจ

          “เหวอ! แค่กๆๆ”

          พินแหกปากร้องด้วยความตกใจ ในปากที่เต็มไปด้วยฟองทำเอาเขาสำลักจนตัวโยน ทว่าคนที่กอดเขาอยู่ด้านหลังก็ไม่ได้สนใจ ยังคงเกาะติดคนผอมบางแน่นอยู่อย่างนั้น

          “มะลิ! ออกไปเดี๋ยวนี้นะ!”

          พูดจบพินก็ยันตัวออกจากอ้อมกอด เขาบ้วนปากเร็วๆ จากนั้นจึงหันมาต่อว่าเจ้านกหนุ่มต่อ

          “นายจะเข้ามาในห้องน้ำแบบนี้ไม่ได้นะ โรคจิตรึไง?!”

          “เราโรคจิตยังไง? เราแค่มาสูดกลิ่นพิน...”

          มะลิถามกลับอย่างไม่เข้าใจ เขาไม่รู้หรอกว่าการบุกรุกเข้าไปหาพินทั้งในห้องนอน ห้องน้ำ หรือจะที่ไหนๆ อีกทั้งพฤติกรรมที่เขาทำ ทั้งกอด ทั้งหอม จับกดบ้าง นี่แหละที่เรียกว่า “โรคจิต”

          “ก็นิสัยแบบนี้แหละที่เรียกว่าโรคจิต! อยู่ๆก็ชอบรุกเข้ามาถึงเนื้อถึงตัว ทำให้ตกใจขนลุกอยู่เรื่อย!”

          “ก็เราอยากอยู่ใกล้ชิดพิน...”

          พินกลอกตาขวางมองมะลิ แค่ได้อยู่บ้านเดียวกันมันยังชิดไม่พออีกหรือไง

          “ออกไปจากห้องน้ำเดี๋ยวนี้!”

          “ไม่!”

          มะลิปฏิเสธอย่างดื้อด้านก่อนจะยื่นข้อเสนอ

          “เราจะไม่ไปไหนทั้งนั้น จนกว่าพินจะยอมให้เรานอนห้องเดียวกันกับพิน!”

          “ห๊ะ? ! อย่าเลอะเทอะน่ะมะลิ”

          มะลิจ้องเขม็งมาทางพิน สายตาเอาจริงแน่วแน่ นกหนุ่มขยับตัวเข้ามาใกล้ทีละนิด จนตอนนี้พินตัวลีบติดกำแพง เขาไม่รู้จะหนีไปทางไหนจึงต้องรีบตอบรับส่งๆไป

          “อะ...เออ...ก็ได้ ยอมแล้ว ให้นอนด้วยก็ได้ ออกไปได้แล้ว...”

          มะลิตาวาวด้วยความดีใจอีกครั้ง ก่อนจะผละตัวออกจากพินไปก็ไม่วายส่งริมฝีปากอิ่มเข้าไปใกล้ใบหน้า แต่คนรู้ทันรีบยกมือขึ้นมาบังจนมะลิต้องชะงักไป

          “ยังไม่ไปอีก!”

          มะลิยิ้มขึ้นมุมปาก เขาจูบลงบนฝ่ามือเรียวบางของคนตรงหน้าก่อนจะก้าวเท้าเร็วๆออกไปอย่างมีความสุข ส่วนเจ้าของมือที่ถูกจูบตอนนี้กำลังทำหน้าหน้าตาบูดเบี้ยว…

          ...ทว่าเรื่อแดงจัดยิ่งกว่าสีของไฟจราจร

          ‘ไอ้นกบ้า...’



          มือเรียวกลัดกระดุมเสื้อสีขาว ดวงหน้าคมสวยเพ่งมองอย่างตั้งใจ เส้นผมดำสนิทเปียกชื้นน้อยๆโดยที่มีผ้าขนหนูผืนเล็กคลุมเอาไว้ พินยัดชายเสื้อเข้าในกางเกงแสลคสีดำพลางรูดซิปขึ้น พลันสายตาเหลือบไปเห็นเงาเล็กๆเงาหนึ่งผ่านม่านสีสว่างที่ปิดคลุมประตูกระจกซึ่งนำไปสู่ระเบียงด้านนอก กำลังเยื้องย่างก่อนจะหยุดลงตะกุยรางประตูพลางส่งเสียงไปด้วย

          “แง้ว”

          ชายหนุ่มที่กำลังใช้ผ้าขนหนูขยี้เช็ดผมชะงักมองก่อนจะเดินไปเปิดม่าน แมวดำตาสองสีน่าเอ็นดูกำลังแหงนหน้ามองเขาอยู่ พินไม่รอช้าเลื่อนเปิดประตูกระจกออกจากนั้นจึงยิ้มร่าทักทายเจ้าแมวน้อย

          “แกนี่เอง นี่รู้จักบ้านชั้นด้วยหรอ? แสนรู้จริงๆ นะเนี่ย”

          แมวน้อยไม่รอช้าเข้าคลอเคลียชายหนุ่ม พินยิ้มหัวเราะมีความสุขและอุ้มเจ้าแมวเข้ามาในห้อง

          “น่ารักจัง...แกไม่มีเจ้าของหรอ?”

          เขาเอ่ยคุยกับเจ้าแมวดำไปมือก็ปัดเส้นขนที่ติดเต็มชุดนักศึกษาไปพลาง พลันเสียงเปิดประตูดังขึ้น พินหันหลังขวับไปก็พบว่ามีผู้บุกรุกเข้ามาอีกแล้ว

          “พินของสิ่งนี้คืออะไร? มันทั้งร้องทั้งสั่นน่ารำคาญ เราจะจัดการกับมันยังไงดี? ช่วยเราหน่อย”

          มะลิโผล่พรวดเข้ามาในห้องพร้อมกับโทรศัพท์มือถือพลางบ่นกระปอดกระแปด ภาพตรงหน้านกหนุ่มคือเจ้าแมวดำตาสองสีตัวนั้นที่เขาเจอที่ตลาด กำลังคลอเคลียถูไถตัวอยู่บนตักของชายหนุ่มที่มะลิถือว่าเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของตน

          “แก!”

          เขากัดฟันกรอดเกรี้ยวกราด นกหัวร้อนพุ่งตัวเข้าไปหมายจะตะครุบเจ้าก้อนขนสีดำตัวนั้น ทว่าร่างที่ปราดเปรียวกว่ากระโดดหลบอย่างแคล่วคล่อง

          “เป็นอะไรเนี่ยมะลิ? !”

          พินที่ไม่เข้าใจได้แต่มองชายหนุ่มส่งสายตาอาฆาตไปทางเจ้าแมวน้อยที่กำลังนั่งเลียอุ้งเท้าแต่งหน้าแต่งตาราวกับเย้ยหยัน มะลิกราดเสียงแข็งดังขึ้น

          “ไอ้แมวชั่ว! เลิกตีหน้าซื่อแล้วเผยตัวตนของแกออกมาเดี๋ยวนี้!”

          เพียงชั่วพริบตาแมวดำน่าพิศวงตัวนั้นได้กลับกลายเป็นเด็กหนุ่มผิวเข้มรูปร่างสันทัด แววตาซุกซนท่าทางคล่องแคล่ว เขาเอียงคอมองนกหนุ่ม ก่อนจะหัวเราะออกมา

          “สภาพแกนี่มัน...น่าอนาถจริงๆ”

          แค่คำพูดประโยคเดียวทำเอามะลิโมโหแทบบ้า เขารู้ตัวดีว่าตัวเขาดูแย่แค่ไหนที่ไม่มีแม้กระทั่งร่างเป็นของตนเองไม่ต่างจากพวกวิญญาณเร่ร่อน

          “หุบปากไปเลย! แกนี่มัน...”

          “เดี๋ยวๆ ๆ นี่มันอะไรกัน? ช่วยอธิบายหน่อยเถอะ ชั้นงงไปหมดแล้ว”

          พินพูดขึ้นขัดคนกำลังจะตีกัน ตอนนี้เขาทั้งงงทั้งตกใจไปหมด อะไรคือการที่จู่ๆก็มีแมวมาหาเขาที่บ้านแล้วยังจะมาแปลงร่างเป็นคนให้ดูอีก

          “สวัสดีพิน เราคืออมนุษย์แมว ยินดีที่ได้รู้จัก”

          ‘อมนุษย์แมว...สิ่งมีชีวิตประเภทเดียวกับมะลิสินะ...’

          ตอนนี้ไม่ว่าจะเจอสิ่งประหลาดอะไรในโลกพินก็คงจะไม่ตกใจไปกว่านี้อีกแล้ว ถ้าเจ้าตัวพิลึกเหล่านี้สามารถอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์ ป่านนี้เขาคงได้เป็นผู้คนพบสิ่งมีชีวิตชื่อดังคนหนึ่งของโลก

          “แล้วนายมาหาชั้นถึงที่นี่ต้องการอะไร?”

          พินเอ่ยถามด้วยความหวั่นใจ แต่เท่าที่ดูเจ้าแมวหนุ่มตนนี้ไม่ได้มีนิสัยก้าวร้าวเหมือนมะลิ ดูจะรู้ดีด้วยซ้ำว่าควรจะปฏิบัติกับมนุษย์อย่างไร

          “เราได้กลิ่นวิญญาณหนู เราเลยตามมา”

          ‘อีกแล้วหรอวะ...?’

          พินทำหน้าม่อยละเหี่ยใจ ดูเหมือนว่าพลังของเขาที่ตื่นขึ้นมาจะสร้างปัญหาไม่ใช่น้อย

          “แก! ห้ามมายุ่งกับพินของเรา!”

          ‘แล้วเราไปเป็นของไอ้เจ้านกเวรนี่ตั้งแต่เมื่อไหร่วะเนี่ย...?’

          ช่างน่าปวดหัวที่จู่ๆเขาก็เป็นที่นิยมในหมู่สิ่งมีชีวิตพิศวง การที่มีผู้ชายสองคนมาเถียงกันแย่งเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเขามันช่างเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ที่พินไม่เคยต้องการให้มันเกิดขึ้นในชีวิต

          “พินเห็นใจแมวจรจัดอย่างเราเถอะนะ เราขอแค่แวะเวียนมาหา มารับไอวิญญาณหนูเล็กๆน้อยๆให้พอกระชุ่มกระชวย เราสัญญาว่าเราจะไม่สร้างปัญหาอะไรให้กับพิน...นะ...”

          แมวหนุ่มน้อยพูดจาออดอ้อนพลางคลอเคลียพินไปด้วย มะลิเห็นก็ได้แต่หงุดหงิดรำคาญ นกหนุ่มพุ่งตัวเข้าไปหวังจะกระชากตัวเด็กหนุ่มออกให้ห่างจากสมบัติของเขา แต่คนที่ว่องไวกว่ารีบก้มงุดไปหลบอยู่หลังชายร่างบาง

          “แล้วถ้าชั้นให้พลังไอวิญญาณอะไรนั่นกับพวกนายไปเยอะๆ มันจะมีผลเสียอะไรกับชั้นรึเปล่า”

          “ไม่มีหรอก ไอวิญญาณก็คือพลังงานที่แผ่ออกมาตัวพินนั่นแหละ มันไม่มีวันสูญสลายหรือลดลงตราบใดที่พินยังมีชีวิตอยู่”

          หลังจากที่ถามไปอย่างซื่อๆ ชายหนุ่มก็ดูเหมือนจะเข้าใจตัวเองมากขึ้น ถ้าอย่างนั้นคงไม่เป็นไรถ้าเขาจะแบ่งปันไอวิญญาณอะไรนี่ให้กับเจ้าแมวขี้อ้อนสักนิด

          “งั้นก็เอาสิ”

          “อย่าไปยอมมันนะพิน!”

          มะลิเอ่ยขึ้นขัดเสียงแข็งพลางดึงกระชากร่างชายหนุ่มเข้ามาแนบชิดกับตัว

          “อย่าขี้งกไปหน่อยเลยน่าเจ้านกแสก...หัดมีน้ำใจซะบ้าง ตอนนี้แกเข้ามาอยู่ในสังคมมนุษย์แล้วนะ แกต้องหัดรู้จักแบ่งปัน เข้าใจรึเปล่า?”

          แมวน้อยเอ่ยสั่งสอนมะลิ ทว่ามะลิไม่สนใจเขากอดพินแน่นปากก็โต้เถียงกลับไป

          “ไม่! พินเป็นของเรา! เราจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาแตะต้องพินทั้งนั้น!”

          “พอเลยมะลิ...ไม่ต้องมาเดือดร้อนแทนชั้นเลย เอาเป็นว่าชั้นไม่ห้ามก็แล้วกัน”

          “พิน!”

          พินบอกกับแมวน้อยพลางยันตัวออกจากอ้อมกอดของมะลิ สำหรับเขาไม่มีใครที่ควรจะต้องระวังเท่ากับไอ้นกบ้านี่อีกแล้ว

          “อมนุษย์แมว นายชื่ออะไรหรอ?”

          “เราเป็นแมวจรที่มีหลายนาม ที่อู่ซ่อมรถเรียกเราว่าอีดำ ป้าเมี้ยนขายไก่ย่างเรียกเราว่าสีนิล ลุงยามปากซอยเรียกเราว่านำโชค แก๊งเด็กที่ชอบปั่นจักรยานหลังเลิกเรียนเรียกเราว่าไมเคิล แล้วก็ยังมี...”

          ‘อะไรฟะ?’

          พินที่กำลังฟังคนสาธยายชื่อไม่จบได้แต่เกาหัวในความเยอะ เขากลัวว่าวันนี้เขาอาจจะต้องฟังมหากาพย์ชื่อแมวดำทั้งวันจึงรีบเอ่ยตัดบท

          “เอาอย่างนี้นะ...นายอยากให้ชั้นเรียกนายว่าอะไรก็เลือกมาซักชื่อนึงแล้วกัน”

          เด็กหนุ่มได้ฟังดังนั้นก็นิ่งคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยตอบ

          “นินจา...เรียกเราว่านินจา”

          “นินจางั้นหรอ?”

          “อืม...”

          รอยยิ้มอบอุ่นชื่นใจปรากฏขึ้นบนใบหน้า เห็นได้ชัดว่าเจ้าแมวน้อยดูมีความสุขยามได้ยินคนเรียกเขาด้วยชื่อนั้น

          “ขอบใจมากนะพิน วันนี้เราพอใจมากแล้ว เราควรจะกลับ วันหลังเราจะมาเยี่ยมใหม่ เราไปก่อนนะ”

          เด็กหนุ่มกลับร่างเป็นแมวดำน่าเอ็นดูดังเดิม จากนั้นก็กระโดดแผล็วออกจากห้องไป พินยังไม่อาจละทิ้งความสงสัยไปได้ จึงหันไปถามคนที่ทำคิ้วผูกโบอยู่ข้างๆ

          “มะลิ”

          “อะไร?”

          “ไอ้วิญญาณหนูมันมีดียังไง? ทำไมพวกนายถึงชอบกันนัก?”

          “มีแต่พวกที่ล่าหนูเป็นอาหารเท่านั้นแหละที่ชอบ การได้สัมผัสไอวิญญาณก็เหมือนอาหารเสริม ถึงจะไม่ได้รับก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าได้ก็จะทำให้ร่างกายสดชื่นยามอ่อนล้าก็ช่วยให้ฟื้นฟูพลังได้เร็ว”

          พินตั้งใจฟังพลางพยักหน้าไปด้วย ตอนนี้เขาพยายามไล่เรียงดูว่าบนโลกนี้มีตัวอะไรบ้างที่กินหนูเป็นอาหาร แล้วจะมีตัวประหลาดอะไรมาตามหาเขาอีกรึเปล่า ชายหนุ่มที่มัวแต่คิดไม่ได้สังเกตเลยว่า ตอนนี้นกมะลิขยับตัวเข้ามาจนชิดร่างเขาอีกครั้ง จากนั้นไม่รอช้าผลักคนไม่ระวังล้มลงบนเตียงนุ่ม

          “เฮ้ยมะลิ คิดจะทำอะไร!?”

          พินโวยวายไม่ทันขาดคำ คนทะเล้นก็รีบขึ้นคร่อมร่างกายผ่ายผอม แถมยังทิ้งตัวหนักๆลงมาทับจนเขาหายใจแทบไม่ออก

          “มะ...ลิ...หนักนะเว้ย...”

          หน้าอกที่ถูกกดทับอยู่ทำให้เขาเปล่งเสียงออกมาได้อย่างยากลำบาก ส่วนคนที่ทับอยู่ได้แต่ยิ้มอย่างพอใจพลางจ้องใบหน้าสวยๆตาเป็นมัน

          “เราชอบอยู่ใกล้ชิดพิน มันทำให้เราสดชื่น”

          “ระ...รู้แล้ว...หะ...หายใจไม่ออก”

          พินฝืนยันตัวออกสุดแรงจนมะลิกลิ้งออกไปนอนอยู่ข้างๆ แต่นกหนุ่มไม่ยอมแพ้รวบเอวคนตัวบางหมุนขึ้นมาทับบนร่างของตนพลางกอดรัดไว้แน่น

          “....”

          ดวงตาสวยหวานสบจ้องคนที่กำลังหน้าแดงอยู่บนอ้อมอก ริมฝีปากอิ่มยิ้มหัวเราะน้อยๆตอนนี้ทั้งเสื้อผ้าหน้าผมของพินยับยุ่งไปหมดจากการเล่นหยอกเย้า เขาไม่รู้จะทำหน้ายังไงกับความน่าอายที่ต้องมาตกอยู่ในสภาพแบบนี้

          “ปล่อย...”

          “ปล่อยก็โง่สิ!”

          พูดจบเจ้านกก็กอดรัดแน่นยิ่งกว่าเดิม มะลิกดศีรษะของพินเข้ากับซอกคอขาวของเขาแน่น จมูกโด่งกดลงหอมบนเส้นผมสลวยฟอดเบ้อเริ่ม ทว่าพินที่ตอนนี้หัวไปซุกใกล้ไรผมของนกหนุ่มก็ได้กลิ่นอับๆเข้าจนต้องรีบยันตัวออกก่อนจะขาดอากาศตาย

          “มะลิ! นายสระผมครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่?”

          “เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เราไม่ชอบให้เส้นขนโดนน้ำ”

          ได้ฟังดังนั้นคนมือไวก็รีบปลดกระดุมเสื้อของนกหนุ่มออก เขาฉุดลากแขนแข็งแรงให้ลุกขึ้นเดินตามมาอย่างรวดเร็ว และเดินออกจากห้องไป

          “พินจะพาเราไปไหน?”

          ชายหนุ่มที่ร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่าล่อนจ้อนเอ่ยถามแต่กลับไม่ได้รับคำตอบ พินเปิดประตูห้องน้ำอย่างรวดเร็วจากนั้นจึงผลักมะลิไปยืนใต้ฝักบัว กว่ามะลิจะรู้ตัวว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับเขาก็สายไปเสียแล้ว

          “ไม่! พิน! อย่า!”

          “ซ่า” เสียงน้ำไหลกลบเสียงร้องโวยวายของชายหนุ่มที่ยืนสั่นแหง่กๆ เมื่อถูกราดด้วยน้ำเย็น จู่ๆมะลิก็รู้สึกอึดอัด หายใจไม่ออก ความทรงจำหนึ่งของพิมพ์ฉายวาบขึ้นมาในหัว



          ร่างที่สติค่อยๆรางเลือนถูกใครบางคนลากพยุงถูลู่ถูกังไปอย่างยากลำบาก เขาถูกทิ้งลงในน้ำเย็นเฉียบมืดสนิท พิมพ์ค่อยๆจมลง อากาศเริ่มหมดไป เหลือทิ้งไว้เพียงร่างไร้วิญญาณล่องลอยในสายน้ำนิ่ง



          “มะลิ!”

          พินร้องเรียกพลางเขย่าตัวชายหนุ่มที่อยู่ๆก็นิ่งชะงักไป มะลิรู้สึกตัวขึ้นพลางจับมือพินแน่น เขาหน้าเสียซีดเซียวมองคนตรงหน้า ก่อนจะเอ่ยขึ้นน้ำเสียงสั่น

          “พิมพ์ไม่ได้ฆ่าตัวตาย”



++++++++++++++++



          ในที่สุดเราก็ได้รู้กันแล้วนะคะว่าเจ้าเหมียวคืออะไรกันแน่ ที่สำคัญเราก็ได้รู้เพิ่มไปอีกเรื่องว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่พิมพ์นะคะ ก่อนอื่นเราจะขอชี้แจงไว้ตรงนี้เลยว่าเรื่องนี้ไม่ได้เป็นแนวสืบสวนมากมายอะไร เรื่องราวต่างๆจะค่อยๆคลี่คลายไปจากการปะติดปะต่อเรื่องราวของตัวเอกของเรา จะออกแนวลึกลับมีเงื่อนงำซะมากกว่า และความเหนือธรรมชาติเล็กๆก็จะมีผลต่อเนื้อเรื่องด้วย ยังไงก็ฝากติดตามกันต่อไปด้วยนะคะ

          ก่อนจะไปขอพูดถึงแมวตาสองสีกันซักนิด เพื่อนๆอาจจะคุ้นเคยกับแมวตาสองสีตัวขาวปลอดอย่างแมวไทยพันธ์ุขาวมณีผู้โด่งดังกันอยู่แล้วใช่มั้ยล่ะคะ แต่เท่าที่เราขุดคุ้ยมาเจ้าแมวดำอย่างนินจาก็มีอยู่จริงนะเออ บ่อยครั้งที่พบว่าแมวตาสองสีจะมีลักษณะหูหนวกข้างเดียว แต่นินจาอาจจะโชคดีเลยปกติดีค่า (จริงๆการที่แปลงร่างได้นี่ก็ไม่ปกติมากพอแล้วเน้อ) แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ ^^

หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! [My brother is the barn owl!] บทที่4 : แมวดำ 12/07/19 UP!
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 12-07-2019 12:49:55
ดี ออกนะมีทั้ง แมว นก เป็นเพื่อน รอลุ้น เริ่องของ พิมพ์ ต่อ ^^
หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! [My brother is the barn owl!] บทที่4 : แมวดำ 12/07/19 UP!
เริ่มหัวข้อโดย: Timid Lily ที่ 12-07-2019 13:23:28
ดี ออกนะมีทั้ง แมว นก เป็นเพื่อน รอลุ้น เริ่องของ พิมพ์ ต่อ ^^

แมวนี่น่าจะเป็นเพื่อนแน่ๆแหละค่ะ แต่นกนี่อาจจะไม่ คิคิ ^^
หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! [My brother is the barn owl!] บทที่4 : แมวดำ 12/07/19 UP!
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 12-07-2019 23:50:21
 :pig4:
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! [My brother is the barn owl!] บทที่5 : ภรรยา 15/07/19 UP!
เริ่มหัวข้อโดย: Timid Lily ที่ 15-07-2019 08:39:31
บทที่5 : ภรรยา

     ร่างกายชื้นน้ำที่มีผ้าขนหนูผืนโตปกคลุมอยู่นั่งนิ่งงันเงียบสนิทอยู่บนที่นอน ส่วนพินเองที่นั่งอยู่ข้างๆก็พูดอะไรไม่ออกเหมือนกัน ความวิตกกังวลกัดกินจิตใจของนกหนุ่ม เขารู้สึกว่าตอนนี้ชีวิตของเขาไม่ปลอดภัย เพราะตัวเขาเองที่เป็นคนทำให้พิมพ์ยังอยู่ในสภาพที่ยัง “มีชีวิต” อยู่

     “ใครกัน...แล้วทำไมต้องทำแบบนี้กับพี่พิมพ์ด้วย...”

     พินเอ่ยขึ้นเสียงสั่นเครือ ดวงตาร้อนผะผ่าวแดงขึ้น การที่เขาได้รู้ว่าพี่ชายจากโลกนี้ไปแล้วมันก็เจ็บปวดมากพอแล้ว ยิ่งเมื่อได้รู้ว่าการสูญเสียนี้เกิดขึ้นจากฝีมือของใครบางคนมันทำให้ปวดร้าวในใจหนักหนากว่า

     “เราไม่เห็นหน้าคนร้ายหรอก...แต่ในเมื่อเราทำให้ร่างนี้ยังมีชีวิตอยู่ ก็เป็นไปได้ว่าคนร้ายอาจจะกลับมาลงมือ...”

     พินหน้าซีดเมื่อได้ยินดังนั้น ตอนนี้เขาได้แต่หวังว่ามะลิจะนึกออกให้เร็วที่สุดว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่ชายของเขา ไม่อย่างนั้น มะลิเองก็อาจจะต้องตกอยู่ในอันตรายไปอีกคน

     “เรารู้สึกได้ว่าในสมองของพิมพ์พยายามจะบอกอะไรกับเรา แต่มันขาดไปเป็นห้วงๆ คงต้องใช้เวลามากกว่านี้ถึงจะเอามาปะติดปะต่อกันได้”

     “อืม...มะลิก็ระมัดระวังตัวให้ดีล่ะ”

     “อื้ม! เราต้องรู้ให้ได้ว่าใครเป็นคนทำและมันเกิดอะไรขึ้น ไม่อย่างนั้นความหวังของเราที่อยากจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขคงไม่มีวันได้เป็นจริง”

     นกน้อยเอ่ยขึ้นพลางนึกถึงวันที่เขาถูกยิงตาย มะลิกลัวว่าชีวิตของเขาจะถูกคุกคามและเขาจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง

     “ชั้นจะช่วยด้วยอีกแรงนะมะลิ ชั้นเองก็อยากรู้เหมือนกัน อย่างน้อยก็เพื่อความปลอดภัยของนาย...”

     ดวงตาสวยคมมองสบไปยังใบหน้าสุกสว่างอย่างห่วงใย มะลิสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นห่วงหาที่คนตรงหน้าส่งมาให้ เขาส่งยิ้มจางๆ พลางประคองมือบอบบางมากุมไว้

     “ขอบคุณนะพิน...พินเป็นคนที่จิตใจดีจริงๆ”

      ริมฝีปากหยักส่งยิ้มอ่อนหวานกลับไปก่อนจะเอ่ย

     “แน่นอน...ก็พวกเราคือครอบครัวเดียวกันนี่นา”

     สายตาเอื้ออาทรถูกส่งให้แก่กัน มือที่กอบกุมกันอยู่นั้นอุ่นขึ้นจนร้อน พินหลบสายตาไปจากมะลิเมื่อรู้สึกตัวว่าตนกำลังถูกนกหนุ่มจ้องจนแทบทะลุ เขารู้สึกตัวได้ว่าในความรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยตอนนี้เหมือนมีอะไรมากกว่านั้นหลบซ่อนอยู่...

     ลึกสุดใจ





     บ่ายแก่ๆอันแสนเงียบเชียบ เวลาที่ผู้คนทั่วไปยังคงต้องทำภาระหน้าที่ของตนอยู่ข้างนอก ชายหนุ่มสูงโปร่งผู้โดดเดี่ยวนอนกลิ้งเกลือกอยู่บนโซฟา ตอนนี้มะลิไม่ง่วงนอนตอนกลางวันอีกต่อไปแล้ว นับเป็นเรื่องดีที่เขาสามารถปรับตัวมาใช้ชีวิตปกติอย่างมนุษย์ได้อย่างรวดเร็ว ทว่าก็เป็นเรื่องน่าเศร้าในขณะเดียวกันที่คนว่างอย่างเขาต้องมานั่งๆนอนๆหงอยเหงาลำพังยามกลางวัน

     “ครืด ครืด” เสียงโทรศัพท์มือถือกำลังสั่น ถึงแม้ว่ามะลิจะหาทางปิดเสียงร้องน่ารำคาญของมันได้สำเร็จแล้ว แต่พินก็ไม่อนุญาตให้เขาปิดเครื่องและสั่งให้ตั้งระบบสั่นไว้ นกหนุ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นดูพลางทำหน้ายุ่งอย่างรำคาญ

     ‘อย่าลืมจ่ายค่าที่จอดรถ’

     เขาอ่านบันทึกเตือนความจำในโทรศัพท์มือถือของพิมพ์แล้วรีบวางลงอย่างไม่ใส่ใจ ตั้งแต่ที่เขาใช้ชีวิตเป็นทนายหนุ่มคนนี้ อะไรก็ตามที่เคยเป็นของพิมพ์ มะลิก็มีหน้าที่ๆจะต้องดูแลรับผิดชอบด้วย พินพยายามสอนให้เขาหัดใช้โทรศัพท์ ดูแลข้าวของส่วนตัวเล็กๆน้อยๆ

     ‘แต่มันจะว่างเกินไปรึเปล่า?’

     มะลิพยายามใช้ความคิดว่าอมนุษย์เช่นเขาจะสามารถทำอะไรได้บ้าง อย่างน้อยเขาก็ไม่อยากถูกเจ้าของบ้านตราหน้าว่าเป็นกาฝาก สิ่งที่เขาพอจะนึกออกคือ เขาล่าหนูเก่ง หมุนคอได้สามร้อยหกสิบองศา ร้องเสียงน่ากลัว แล้วก็บินได้ แต่เอาเข้าจริงความสามารถพวกนี้มันดูจะไม่ค่อยมีประโยชน์ แถมยังไม่สามารถทำได้ในร่างมนุษย์อีกต่างหาก

     คนที่ยังคงนอนกลิ้งไปเกลือกมาได้ยินเสียงกุกกักมาจากประตู เขารีบลุกพรวดขึ้นไปตามเสียง และไปยืนรออย่างตื่นเต้นกระตือรือร้น

     “พิน!”

     มะลิเอ่ยเรียกเมื่อประตูเปิดออกและพบคนที่เขากำลังรออยู่ปรากฏตัวขึ้น เขาฉีกยิ้มร่าพลางโผเข้าหา ทว่ากลับถูกปรามไว้

     “หยุด! อย่ารุ่มร่าม...”

     มะลิหยุดมองและพบว่า หญิงสาวผิวสีน้ำผึ้งที่ใบหน้าแต่งแต้มไปด้วยเครื่องสำอางสวยเดินตามหลังพินเข้ามาในบ้าน เธอสบตามะลิครู่หนึ่งก่อนจะทักทายด้วยน้ำเสียงเรียบ

     “พิมพ์...เป็นยังไงบ้าง?”

     ‘ใคร?’



     ภาพหญิงสาวผู้นี้แล่นวาบเขามาในโสตประสาทของมะลิ ในความทรงจำเธอกำลังเอ่ยพูดกับพิมพ์อย่างจริงจัง

     “พิมพ์...คือ...ชิชาจะขอยืมเงินพิมพ์ซักก้อนนึงได้มั้ย? ตอนนี้ธุรกิจที่ชิชาหุ้นกับเพื่อนต้องการเงินมาหมุนเวียน ไม่อย่างนั้นต้องล่มแน่ๆ นะ...ชิชาขอร้องล่ะพิมพ์”



     ‘ชิชางั้นหรอ?’

     เมื่อมะลิดึงสติกลับมาก็พบว่าคนเอ่ยถามไม่ได้หยุดฟังคำตอบ เธอนั่งลงบนโซฟา พลางหยิบเอกสารต่างๆออกมาวางไว้บนโต๊ะ

     “ชิชาขอโทษด้วยที่ไม่ได้มาเยี่ยมพิมพ์เลย ชิชาบินหนักเลยทำหน้าที่ของภรรยาได้ไม่ค่อยดีนัก”

     ‘เป็นภรรยาของพิมพ์นี่เอง’

     ถึงหญิงสาวจะพูดเช่นนั้นแต่มะลิกลับไม่ได้รู้สึกว่าเธอจะใส่ใจในสิ่งที่เอ่ยออกมานัก เหมือนกับพูดไปส่งๆแค่นั้น
 
     “น้ำครับพี่ชิชา”

     “ขอบใจจ๊ะ”

     พินที่ยกน้ำออกมาให้ผู้มาเยือนนั่งลงข้างๆนกหนุ่ม ขณะนี้บรรยากาศดูอึดอัดพิกล ชิชาหยิบสมุดบัญชีหลายเล่มส่งให้มะลิ

     “อ่ะ...สมุดบัญชีของพิมพ์ ชิชาเอามาให้ เผื่อว่าพิมพ์จำเป็นต้องใช้”

     มะลิรับสมุดมาไว้ในมือ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าของสิ่งนี้เอาไว้ใช้ทำอะไร เมื่อเปิดออกดูก็มีแค่ตัวเลขยุ่บยั่บเต็มไปหมด สีหน้าฉงนฉายให้คนเป็นภรรยาเห็น ชิชาจึงเอ่ยขึ้นอาสา

     “ถ้าพิมพ์ไม่สะดวก อยากให้ชิชาช่วยจัดการเรื่องการเงินของพิมพ์ก็ได้นะ พิมพ์มอบอำนาจมาให้ชิชาก็พอ เดี๋ยวชิชาจะดูแลให้เอง”

     มะลิที่ยังไม่เข้าใจอยู่หันไปสบตากับพิน พินเองก็ไม่อยู่ในจุดที่จะพูดอะไรได้จึงนิ่งเงียบอยู่อย่างนั้น มะลิจึงตัดสินใจปฏิเสธกลับไป

     “ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราให้พินช่วยจัดการให้เอง”

     สีหน้าเรียบเฉยเมื่อครู่ของหญิงสาวแข็งขึ้นเล็กน้อย เธอสบตาชายหนุ่มพลางพ่นลมออกมาอย่างไม่ได้ดังใจนัก

     “ก็ตามใจพิมพ์แล้วกัน...”

     ความเงียบเข้าปกคลุมคนทั้งสามอีกครั้ง ชิชาจึงตัดสินใจเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมา

     “ความจริงชิชากลับมาได้หลายวันแล้วล่ะ แต่พอดียุ่งๆเลยไม่ได้แวะมาหา ชิชาจะยังอยู่ที่ไทยอีกสองสามวัน พิมพ์จะกลับไปอยู่คอนโดด้วยกันรึเปล่า?”

     ถึงหญิงสาวจะถามเช่นนั้นแต่เธอกลับดูสนใจโทรศัพท์มือถือมากกว่าคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีเสียอีก และแน่นอนว่ามะลิเอ่ยปฏิเสธอีกครั้ง

     “ไม่ดีกว่า เราขออยู่ที่บ้านนี้แหละ สบายใจกว่า”

     ชิชาละสายตาออกจากจอโทรศัพท์ในมือพลางจ้องมาทางมะลิด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่ใส่ใจ จากนั้นจึงรวบเอากระเป๋าถือใบน้อยดูมีราคาแนบเข้ากับตัว

     “ถ้าอย่างนั้นวันนี้ก็หมดธุระของชิชาแล้ว ชิชาขอตัวก่อนแล้วกันนะพิมพ์”

     หญิงสาวลุกขึ้นจากโซฟาอย่างรวดเร็ว พินเห็นทีท่าเช่นนั้นจึงรีบลุกตาม

     “เอ่อ...พี่ชิชาครับ เดี๋ยวพินเดินไปส่ง”

     “ไม่ต้องลำบากหรอกค่ะน้องพิน ขอบใจมากนะ”

     เธอหยุดนิ่งครู่หนึ่งก่อนหันมาตอบ จากนั้นจึงเดินฉับๆออกจากบ้านไป พินรู้สึกได้ทันทีว่าสามีภรรยาคู่นี้คงห่างเหินกันมากจริงๆ แต่เขาก็ไม่รู้ว่าเรื่องราวมันเริ่มขึ้นจากใคร แต่อย่างน้อยพินก็ไม่อยากให้ความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ย่ำแย่ลงไปกว่านี้

      “มะลิ! พี่ชิชาเค้าเป็นภรรยาของพี่พิมพ์นะ มะลิต้องสนใจพี่เค้าให้มากกว่านี้ เข้าใจรึเปล่า? ดูสิเนี่ย พี่ชิชาเค้าต้องโกรธพี่พิมพ์แล้วแน่ๆ หนีกลับไปเฉยเลย”

      พินเอ่ยขึ้นพลางส่งสายตาตำหนิใส่ มะลิเองก็ไม่ได้พอใจที่ตนถูกกล่าวว่าเช่นนั้นจึงรีบเถียงกลับไป

     “พินดูดีๆ เราไม่เห็นจะรู้สึกถึงความรักจากผู้หญิงคนนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว ถ้าจะโกรธก็น่าจะเป็นเรื่องอื่นมากกว่า...”

     ขนาดนกซื่อๆอย่างมะลิยังสัมผัสได้ แน่นอนว่าพินเองก็ดูออกเช่นกัน เพียงแต่เขาพยายามจะหลอกตัวเองว่ามันไม่ได้เป็นแบบนั้น

     “สำหรับเรา...คนๆเดียวที่รู้สึกว่าห่วงใยและเอาใจใส่เราจริงๆมีแค่พิน...ไม่มีใครอื่น...”

     สายตาเว้าวอนน่าเห็นใจถูกส่งมาทางพิน ใบหน้าที่เจือความเศร้าของมะลิทำให้เขาหวั่นไหว ความรู้สึกแปลกๆตีขึ้นเต็มอกของชายหนุ่ม ทั้งเอ็นดู ทั้งสงสาร ทั้งห่วงใย ความเดียวดายว้าเหว่ของมะลิกระตุ้นความรู้สึกอยากปลอบอยากให้กำลังใจ ทำไมกับคนที่รู้จักเพียงไม่นานกลับทำให้เขามีอารมณ์ร่วมได้ถึงขนาดนี้

     “พิน...”

     “อ่ะ...ห๊ะ?”

     พินที่สติกำลังจะหลุดลอยไปกับความฟุ้งซ่านของตัวเองถูกมะลิเรียกกลับมา นกหนุ่มส่งสมุดบัญชีให้พลางเอ่ยถาม

     “สิ่งนี้คืออะไรหรอ? แล้วมันจำเป็นกับเรายังไง?”

     พินรับสมุดบัญชีมาพลางเปิดออกดู แล้วก็ต้องตกใจกับตัวเลขจำนวนมหาศาลที่ถูกแสดงอยู่ในสมุดเล่มแล้วเล่มเล่า เขาและครอบครัวไม่เคยรับรู้มาก่อนว่าพี่ชายของเขาจะทำรายได้สูงถึงขนาดนี้ คงมีเพียงพิมพ์กับชิชาเท่านั้นที่รู้ ยอดเงินโอนเข้าในแต่ละครั้งสะสมกันจนพินรู้สึกกลัว...กลัวว่าจำนวนเงินมากมายเหล่านี้อาจจะเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของพิมพ์

     “มีอะไรรึเปล่าพิน?”

     พินส่งสายตาอึกอักลังเลไปทางมะลิก่อนจะตอบ

     “ชั้นชักจะหวั่นใจขึ้นมาแล้วล่ะมะลิ ว่าการตายของพี่ชายชั้นอาจจะเกี่ยวข้องกับเงินพวกนี้...พี่พิมพ์มีเงินในบัญชีเยอะมาก...มากจนน่ากลัว...”

     “อำนาจของมนุษย์ก็คือเงินนี่แหละนะ...ครอบครองเท่าไหร่ก็ไม่มีวันพอ ยิ่งได้มายิ่งต้องการ...”

     เสียงๆหนึ่งเอ่ยขึ้น แมวดำตัวเปรียวเดินย่องออกมาจากมุมหนึ่งของบ้าน นินจากระโจนขึ้นนั่งบนตักของพินพลางคลอเคลียไม่หยุด

     “แก! ไอ้แมว! เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่?”

     มะลิเสียงแข็งขึ้นเมื่อเห็นแขกไม่ได้รับเชิญ แต่นินจาเองไม่ได้สนใจ เขานอนออดอ้อนพินอย่างมีความสุข

     “ก็เข้ามาตั้งแต่ที่พินกลับมา แต่เราไม่คิดว่าที่บ้านจะมีแขก เราก็เลยแอบอยู่จนผู้หญิงคนนั้นกลับไป”

     “หมายความว่านินจาได้ยินเรื่องที่พวกเราคุยกันทั้งหมดเลยหรอ”

     “ใช่”

     เมื่อได้ยินดังนั้นพินก็เกิดความคิด บางทีอาจจะไม่ใช่เรื่องแย่ที่จะมีใครอีกสักคนมาช่วยพวกเค้าแบกรับเรื่องราวเหล่านี้ แม้ว่าคนๆนั้นจะไม่ใช่มนุษย์ก็ตาม

     “ไหนๆนินจาก็รู้เรื่องถึงขนาดนี้แล้ว จะเป็นอะไรมั้ย...ถ้าชั้นจะขอให้นินจาคอยสอดส่องเป็นหูเป็นตาดูแลมะลิเวลาที่ชั้นไม่อยู่?”

     “พินขออะไรเรา เราก็เต็มใจช่วยทั้งนั้นแหละ”

     เจ้าแมวตอบตกลงพลางเลียเนื้อเลียตัวไปด้วย ส่วนมะลิเองรู้สึกขัดใจจึงรีบปฏิเสธเสียงแข็ง

     “ไม่จำเป็น เราดูแลตัวเองได้!”

     “อย่าเล่นตัวไปเลยน่า...เรารู้นะว่าร่างๆนี้ไม่ได้ตายแบบปกติ ถึงนกแสกอย่างแกจะมองเห็นลางมรณะของคนอื่นได้ แต่อย่าลืมสิว่าแกจะไม่มีวันเห็นลางของตัวเอง”

     “ลางมรณะ? มันคืออะไรหรอ?”

     ความสงสัยก่อตัวขึ้นจนพินอดถามไม่ได้

     “เราสามารถมองเห็นได้น่ะว่าใครกำลังจะตาย...”

     จากที่ฟังก็พอจะเข้าใจได้ว่าอมนุษย์นกแสกอย่างมะลิสามารถล่วงรู้ได้ว่าใครใกล้จะถึงฆาต ยกเว้นแค่ตัวเขาเอง ตอนนี้สิ่งเดียวที่เขาพอจะทำเพื่อปกป้องร่างของพี่ชายเขา ปกป้องมะลิก็ทำได้เพียงช่วยกันเป็นหูเป็นตาสอดส่องแทนนกหนุ่มอีกแรง

     “อย่าดื้อเลยนะมะลิ...ชั้นขอร้อง...”

     พินเอ่ยขึ้นเสียงอ่อน

     “อืม...”

     มะลิที่ดื้อดึงอยู่เมื่อครู่อ่อนลงเมื่อได้ยินชายหนุ่มอ้อนวอนเขาเช่นนั้น เห็นได้ชัดว่าพินรู้สึกกลัวขนาดไหน ใบหน้าที่มักจะมีรอยยิ้มสดใสบัดนี้เต็มไปด้วยความกังวล แววตาหมองลงอย่างเห็นได้ชัด ท่าทางแบบนี้ของพินทำให้มะลิเองรู้สึกทุกข์ใจไปด้วย

     “เราจะไม่ไปไหนไกลจากบ้านหลังนี้แล้วกัน ถ้ามีอะไรแค่ร้องเรียกเราดังๆแล้วเราจะมาหา”

     “ขอบใจมากนะนินจา”

     “...ขอแค่มื้อเย็นเป็นการตอบแทนก็พอ”

     เจ้าแมวขยิบหยีตาให้กับพินน้อยๆก่อนจะเดินนวยนาดไปทางนกหนุ่ม

     “ส่วนแกเจ้านกแสก! แกเลิกต่อต้านเราจะดีกว่า เราเป็นมิตรกับแกๆควรจะดีใจและรับความหวังดีของเราเอาไว้ ยังไงอมนุษย์อย่างเราก็เป็นพวกเดียวกัน อย่าลืมซะล่ะ”

     มะลิไม่โต้ตอบอะไรเป็นการยอมรับกลายๆ เขาเองก็ต้องยอมรับความจริงอย่างหนึ่งว่า ตอนนี้อาศัยแค่ตัวเขาเองเพียงลำพังก็ไม่มีปัญญาจะเอาตัวรอดในโลกมนุษย์อันแสนโหดร้ายนี้ได้อยู่แล้ว หากมีคนประสงค์ร้ายกับเขาขึ้นมาจริงๆยิ่งไม่ต้องพูดถึง

     “ตอนนี้สิ่งนึงที่ชั้นอยากจะรู้ให้ได้ก็คือเงินพวกนี้ถูกโอนมาจากไหนกัน...พรุ่งนี้ชั้นจะลองตรวจสอบดู”

     อย่างน้อยถ้าพวกเขาได้รู้อะไรเกี่ยวกับพิมพ์มากขึ้นอีกนิด สาเหตุการเสียชีวิตและฆาตกรตัวจริงอาจจะถูกเผยออกมาในที่สุดก็เป็นได้


++++++++++++++++


     สวัสดีอีกครั้งนะคะ ขอบคุณสำหรับกาารติดตามเช่นเคย อย่างน้อยเราหวังว่านิยายเรื่องนี้จะทำให้รีดรู้สึกสนุกบ้างไม่มากก็น้อยนะคะ

     ในที่สุดชิชาที่หายตัวไปตั้งแต่บทนำก็ได้กลับมาแล้วนะคะ เรื่องราวหลังจากนี้จะมีความวุ่นวายยุ่งเหยิงรออยู่ค่ะ ฝากติดตามกันต่อไปด้วยน้า

     ในบทนี้เราเอ่ยถึงเสียงร้องของนกแสกไว้ จะบอกว่ามันฟังดูน่ากลัวจริงๆค่ะซึ่งเราเองก็ไม่รู้ว่าจะเขียนบรรยายออกมาว่ายังไง ถ้าใครอยากรู้ว่าน้องร้องน่ากลัวขนาดไหนลองกูเกิ้ลดูนะคะ ^^"





หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! [My brother is the barn owl!] บทที่5 : ภรรยา 15/07/19 UP!
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 17-07-2019 20:38:18
ติดตามจ้า  :L2:
หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! My brother is the barn owl! บทที่6 : แพทย์หญิง 19/07/19 UP
เริ่มหัวข้อโดย: Timid Lily ที่ 19-07-2019 09:30:49

บทที่6 : แพทย์หญิง


          “ครับ...งั้นผมรบกวนช่วยส่งมาให้ทางอีเมลทีนะครับ”

          พินที่กำลังหนีบโทรศัพท์มือถือเข้ากับหูพูดคุยโต้ตอบกับปลายสาย โดยที่มือข้างหนึ่งก็เปิดเอกสารไปพลาง อีกมือก็ใช้คอมพิวเตอร์แลปท็อปไปพลาง

          “ขอบคุณมากนะครับ...สวัสดีครับ”

          เขากดวางสายไป ตอนนี้อีเมลที่พินขอให้พนักงานที่สำนักงานทนายความส่งมาให้มาถึงอย่างรวดเร็ว ในนั้นเป็นรายชื่อลูกความของพิมพ์ ซึ่งตรงกับรายชื่อของคนที่โอนเงินเข้ามา และรายชื่อล่าสุดนั้นกลับเป็นชื่อที่คุ้นเคย

          ‘ญานิสา พัชรณุกูล’

          “มีอะไรหรอพิน?”

          มะลิที่นั่งอยู่ข้างๆเอ่ยถามเมื่อเห็นสีหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนไป พินไม่เคยรู้มาก่อนว่า “ไหม” จะเป็นลูกความของพี่ชายเขาด้วย และที่สำคัญคือเธอเพิ่งจะโอนเงินเข้ามาให้กับพี่ชายเขาก่อนที่จะเสียชีวิตได้ไม่นาน

          “ชื่อนี้เป็นชื่อจริงของพี่ไหม...ดูเหมือนว่าพี่ไหมจะเป็นลูกความของพี่พิมพ์ด้วยเหมือนกัน แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคดีอะไร”

          ‘Rrrrrr’     

          เสียงโทรศัพท์มือถือของพินดังขึ้นจนทำให้เขาที่กำลังใช้ความคิดถึงกับสะดุ้งโหยง ในหน้าจอแสดงชื่อคนโทรเข้าเป็นหญิงสาวที่พวกเขากำลังพูดถึงอยู่

          “ฮัลโหล มีอะไรรึเปล่าครับพี่ไหม?”

          [พินช่วยออกมาเปิดประตูบ้านให้พี่หน่อยสิ พี่แวะมาหาก่อนจะกลับไปทำงานน่ะ]

          ‘พี่ไหมมา!?’

          พินรีบกุลีกุจอเก็บเอกสารที่กระจัดกระจายเต็มโต๊ะ ปิดคอมพิวเตอร์แล้ววิ่งตึงตังเอาของไปเก็บไว้ที่ห้องนอน ส่วนมะลิทำได้แค่เพียงมองตามอย่างคนไม่รู้เรื่องรู้ราว

          “แป๊บนึงนะครับพี่ไหม”

          เขารีบตาลีตาเหลือกวิ่งไปที่ประตูบ้าน เมื่อเปิดประตูออกก็เห็นรอยยิ้มชวนหัวของหญิงสาวผู้มาเยือน

          “ไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้พิน พี่รอได้ ดูสิวิ่งมาซะหอบเลย”

          พินยิ้มแห้งกลับไปพลางเอามือเขี่ยผมที่กำลังยุ่งเหยิง ไหมยื่นถุงขนมให้กับหนุ่มน้อยพลางยิ้มสดใสขึ้น

          “พี่ซื้อขนมมาฝากตามสัญญา”

          “ขอบคุณครับ”

          พินรีบเอ่ยขอบคุณด้วยความเกรงใจ เมื่อไหมเดินเข้ามาในบ้านเห็นมะลิที่กำลังงงๆอยู่ก็รีบเอ่ยทัก

          “ไงพิมพ์ เราแวะมาเยี่ยมก่อนจะกลับไปทำงาน พิมพ์เริ่มจำเราได้บ้างรึยัง?”

          “ก็คุ้นๆนิดหน่อย...”

          ความจริงแล้วจะใช้คำว่าจำได้ก็อาจจะไม่ถูกต้องสำหรับมะลินัก ใช้คำว่าเริ่มรู้จักน่าจะใช่มากกว่า

          “งั้นหรอ? แล้วจำเราได้ว่ายังไงบ้าง?”

          “จำได้ว่าไหมเป็นลูกความของเรา แต่จำไม่ได้ว่าคดีอะไร”

          มะลิโพล่งออกไปตรงๆ ทำให้ทั้งไหมทั้งพินถึงกับตกใจนิ่งไป พินไม่คิดว่ามะลิจะหุนหันพูดออกไปแบบนั้น ส่วนไหมคงจะตกใจมากกว่าที่เพื่อนของเธอเอ่ยถึงสิ่งที่ไม่อยากนึกถึง

          “ไหมเล่าให้เราฟังหน่อยได้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้น?”

          หญิงสาวเงียบไปอึดใจหนึ่งก่อนจะตอบ

          “ได้สิ...เราก็ไม่ได้มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องปิดบังทนายของเราอยู่แล้วนี่”

          ใบหน้าสดใสเมื่อครู่เซื่องซึมไป ไหมทอดสายตาออกไปก่อนจะเริ่มเอ่ยถึงเรื่องราวที่ทำให้เธอต้องมีสีหน้าเจ็บปวดเช่นนี้

          “เราถูกฟ้องร้องเรื่องทำให้คนไข้ถึงแก่ความตาย...”



          ศัลยแพทย์หญิงในชุดกาวน์สีขาวที่ถูกรุ่นพี่ตามตัวด่วนมาช่วยงานในห้องฉุกเฉิน เดินออกมาด้วยด้วยสีหน้าอ่อนล้า คืนนี้ในตัวจังหวัดมีการจัดคอนเสิร์ตงานใหญ่คึกคัก วัยรุ่นจากทั่วทุกสารทิศต่างมารวมตัวกันในงาน แต่ก็ไม่วายตีกันมาหัวร้างข้างแตกจนเธอต้องเย็บไปหลายแผล ยังไม่รวมพวกคนที่กระดูกกระเดี้ยวหักและแผลเล็กๆน้อยๆอีก แค่นี้หมออย่างเธอก็เหนื่อยแทบจะเป็นลมไปอีกคนแล้ว

          ในขณะที่ไหมกำลังจะยกกาแฟขึ้นดื่มเพื่อเติมพลังงานพลางหย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้ บุรุษพยาบาลก็รีบวิ่งหน้าตาตื่นมาตาม

          “หมอไหมครับ มีคนไข้ปวดท้องหนักมาก ช่วยไปดูทีครับ”

          กาแฟที่ยังเต็มแก้วอยู่ถูกวางทิ้งไว้โดยที่หมอหญิงรีบเดินจ้ำอ้าวตามไป ในห้องฉุกเฉิน ชายชราวัยหกสิบกว่าๆนอนโอดโอยร้องอยู่บนเตียง มือบอบบางกดคลำไปตามจุดต่างๆของช่องท้อง จนมาถึงบริเวณล่างขวาชายผู้ชราก็ร้องเจ็บหนัก

          “คนไข้มีไข้แล้วก็อาเจียนมาด้วยใช่มั้ย? หมอขออัลตร้าซาวน์หน่อยดีกว่า น่าจะเป็นไส้ติ่งอักเสบ”



          ทุกฝ่ายช่วยกันปฏิบัติหน้าที่อย่างรวดเร็ว เพียงครู่เดียวผลอัลตร้าซาวด์ก็ออกมาว่าผู้ป่วยเป็นไส้ติ่งอักเสบจริงๆ

          “เตรียมห้องผ่าตัดด่วน!”

          “ไหม...ไหมส่งตัวคนไข้ไปโรงพยาบาลโรงพยาบาลอื่นไม่ดีกว่าหรอ? ตอนนี้วิสัญญีแพทย์ของเราลางานอยู่นะ”

          แพทย์ฉุกเฉินอีกคนหนึ่งเอ่ยท้วง แต่ด้วยจรรยาบรรณของเธอทำให้ไม่อาจละทิ้งผู้ป่วยไปได้

          “พี่หมอ ไหมเสี่ยงให้เสียเวลาส่งตัวคนไข้ไปไม่ได้จริงๆ ไหมกลัวว่ามันจะช้าเกินไป”

          เธอไม่สนใจคำทักท้วงของแพทย์หนุ่มอีกคน ไหมเดินตรงไปยังห้องผ่าตัด ปากก็พลางถามพยาบาลที่เดินตามมาติดๆ

          “คนไข้มีญาติมาด้วยกันรึเปล่า ให้เค้าเซ็นเอกสารยินยอมการผ่าตัดแล้วรึยัง?”

          “คุณลุงแกมาคนเดียวค่ะ นั่งแท็กซี่มา”

          “ไม่มีเอกสารยินยอมจากทางผู้ป่วย” ไหมรู้ดีว่าตัวเธอเองก็เสี่ยงเหมือนกัน แต่เพื่อรักษาชีวิตของคนไข้เธอจึงจำเป็นต้องตัดสินใจลงมือผ่าตัด

          โดยที่ไม่รู้เลยว่าการตัดสินใจครั้งนั้น...จะมีผลให้ผู้ป่วยช็อคยาชาจนถึงแก่ชีวิต



          “ลูกชายของผู้ป่วยที่อยู่ต่างประเทศรู้เรื่องเข้าก็เลยฟ้อง แล้วพิมพ์ก็มาเป็นทนายให้กับเรานี่แหละ”

          มะลินั่งนิ่งฟังอย่างตั้งใจ ในขณะที่พินรู้สึกสงสารไหมจับใจ แพทย์ที่มีอุดมการณ์แรงกล้าทำหน้าที่อย่างเต็มที่หวังจะช่วยรักษาชีวิตผู้ป่วยอย่างเธอไม่สมควรที่จะต้องมาเจอกับเรื่องอะไรแบบนี้

          “พี่ไหมทำดีที่สุดแล้วครับ พินเข้าใจ...น่าเสียดายที่พี่พิมพ์ไม่ได้อยู่ในสภาพที่จะช่วยพี่ไหมต่อไปได้ เพราะพินเชื่อว่าพี่พิมพ์จะต้องช่วยพี่ไหมจนสุดความสามารถแน่ๆ”

          หญิงสาวยิ้มให้ชายหนุ่มอย่างอ่อนโยน เธอรู้สึกดีที่อย่างน้อยคนรอบข้างก็เข้าใจเธอ เสียงประตูบ้านเปิดขึ้นกะทันหัน จนคนทั้งสามต้องหันขวับไปมองพร้อมกัน หญิงสาวรูปร่างอ้อนแอ้นเดินเข้ามาโดยไม่ต้องรอให้เจ้าของบ้านเชื้อเชิญ เป็นชิชานั่นเอง

          “ขอโทษที่ถือวิสาสะเข้ามาเองแบบนี้ พอดีชิชาเห็นรถของไหมจอดอยู่หน้าบ้าน มาทำอะไรที่นี่หรอไหม?”

          ชิชาวางถุงขนมที่ตั้งใจเอามาฝากคนบ้านนี้ลงบนโต๊ะ เธอยืนกอดอกเลิกคิ้วพลางมองเหยียดมาทางหญิงสาวที่กำลังนั่งนิ่งอยู่บนโซฟา

          “พิมพ์ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีของไหมอีกต่อไปแล้วนะ พิมพ์วางมือไปแล้ว ไหมจะมาที่นี่อีกเพื่ออะไร?”

          บรรยากาศแห่งความขัดแย้งนี้เหมือนมะลิจะจำมันได้ ความทรงจำบางอย่างค่อยๆ ชัดเจนขึ้น เป็นชิชากำลังกระฟัดกระเฟียดเดินหนีไปในขณะที่พิมพ์กำลังเอ่ยพูดขึ้นกับไหม

          “ไหม! แกกลับไปก่อนเถอะ”



          ‘หรือจะเป็นเพราะไหมที่ให้พิมพ์กับชิชามีปัญหาขัดแย้งกัน?’

          มะลิที่กำลังพยายามเรียบเรียงความทรงจำถูกรบกวนจากเสียงของไหมที่แข็งขึ้นตอบโต้ชิชากลับไป

          “ถึงพิมพ์จะไม่เกี่ยวข้องกับคดีแล้วแต่ยังไงเราก็เป็นเพื่อนสนิทกับพิมพ์ ชิชามากกว่าที่ไม่ควรจะมาที่นี่ ถ้าไม่ได้อยากจะดูแลก็ไม่เห็นจะต้องฝืน!”

          เป็นครั้งแรกที่พินได้เห็นหญิงสาวทั้งสองเผชิญหน้ากัน เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าทั้งคู่จะไม่ถูกกันขนาดนี้ สถานการณ์แบบนี้ทำให้เขาทำตัวไม่ถูก รู้แค่ว่าตอนนี้เขาควรจะปิดปากให้สนิท และเป็นฝ่ายสังเกตการณ์เมื่อเห็นท่าไม่ดีจะได้ยับยั้งทัน

          “ถึงยังไงชิชาก็ต้องมาดูแลคนของชิชามาทำหน้าที่ของภรรยา วันนี้ก็แค่ต้องการจะแวะมาลาก่อนที่จะไปบินและจะไม่ได้มาเยี่ยมอีกนาน”

          ชิชาตวัดเสียงใส่ เธอจ้องขึงใส่หมอหญิง จากนั้นจึงพยายามปรับสีหน้าและน้ำเสียงหันมาพูดกับมะลิ

          “ชิชาเอาขนมจากเกาหลีมาฝาก ชิชาจะกลับแล้ว ขอตัวก่อนนะ”

          หญิงสาวยัดถุงขนมใส่มือชายหนุ่มจากนั้นก็สะบัดตัวเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดี ไหมที่นั่งกำมือแน่นอยู่บนโซฟาเอ่ยขึ้นเสียงอ่อนด้วยความรู้สึกผิด

          “เราขอโทษนะพิมพ์ ที่สร้างปัญหาให้อยู่เรื่อย...”

          มะลิไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เพราะเขารู้สึกว่าหญิงสาวทั้งสองกำลังสร้างปัญหาอยู่จริงๆ ปัญหาของพิมพ์ซึ่งไม่ใช่ปัญหาของเขา ความอึดอัดนี้ทำให้นกหนุ่มอดไม่ได้ที่จะตีสีหน้ายุ่งขึ้นมา พินที่เห็นท่าทางของทั้งคู่เป็นแบบนั้นจึงรีบพูดแทรก

          “เอ่อ...ไม่เป็นไรครับพี่ไหม เรื่องเล็กน้อยน่ะ อย่าคิดมากเลยนะครับ”

          “ขอโทษน้องพินด้วยเหมือนกันนะ...พี่ว่าพี่กลับดีกว่า ไม่อยู่รบกวนแล้วล่ะ”

          พินพูดอะไรไม่ออก หญิงสาวลุกขึ้นเดินจากไป ทิ้งชายทั้งสองไว้กับความเงียบน่าอึดอัด มะลินั่งนิ่งคิ้วขมวดอย่างไม่สบายใจ ดูเหมือนว่าพิมพ์จะมีปัญหารอบตัวมากมายเรื้อรัง ความทรงจำเล็กๆน้อยๆที่แทรกเข้ามาก็ยังไม่มากพอที่จะให้เขาเอามาจับต้นชนปลายกันได้ การใช้ชีวิตเป็นชายคนนี้กำลังกลายเป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับมะลิ

          พินเห็นสีหน้าไม่มีความสุขของนกหนุ่ม จึงพยายามจะช่วยให้บรรยากาศดีขึ้น เขาทำทีร่าเริงพลางรื้อค้นขนมที่หญิงสาวทั้งสองนำมาฝาก

          “ไหนดูซิว่าพี่ไหมเอาอะไรมาฝาก...เค้กชิฟฟ่อน! กินมั้ยมะลิ?”

          มะลิปล่อยให้พินพูดคนเดียว เขายังนั่งจมกับความคิดของตนต่อไปโดยที่ไม่ได้สนใจชายหนุ่มที่ดูกระตือรือร้นเริงร่า พินไม่ยอมแพ้คราวนี้ลองเปิดขนมถุงที่ชิชาเอามาให้

          “เฮ้ยอันนี้! เดี๋ยวนะมันเรียกว่าอะไรนะ...ตัลกี...ต๊อกๆอะไรซักอย่าง เอาเป็นว่าชั้นชอบกินมาก”

          พูดจบพินก็ไม่รอช้ารีบแกะขนมออกจากซองยัดใส่ปากอย่างรวดเร็ว รสชาติหอมหวานของสตรอเบอรี่เข้ากันได้ดีกับแป้งเนื้อหนุบที่หุ้มอยู่ด้านนอก พินเคี้ยวตุ้ยอย่างมีความสุขพลางส่งขนมอีกชิ้นไปทางนกหนุ่ม

          “มะลิ มากินเร็ว! อร่อยจริงๆนะ มาชั้นป้อนให้ก็ได้”

          ชายที่นั่งเครียดอยู่เมื่อครู่หันมามองก้อนขนมนุ่มหยุ่นสีขาวที่อยู่ในมือของคนที่ยังเคี้ยวไม่หยุด ดวงตาสุกใสเปลี่ยนไปมองจ้องแก้มตุ่ยๆที่กำลังเคี้ยวหนุบหนับแถมยังมีคราบแป้งเลอะจางๆติดอยู่บนริมฝีปาก

          มือแกร่งกระชากแขนผอมๆจนตัวของพินโน้มถลาเข้าหา ปากอิ่มโฉบบดลงกับกลีบปากหยักกระจับ ลิ้นอุ่นดุลแทรกเข้าไปพลางชิมรสหวานอมเปรี้ยวที่ยังหอมอบอวลอยู่ภายใน ดวงตาสวยคมเบิกโพลงขึ้นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบปิดตาแน่นโดยที่ก้อนเนื้อในอกกำลังเต้นแรงเหมือนหัวใจจะระเบิดแตกออกมา ขนมที่อยู่ในมือของเขาเมื่อครู่ ตอนนี้ร่วงลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่ที่พื้นเรียบร้อยแล้ว

          “อื๊อ!!!”

          คนที่ถูกล่วงเกินตอนนี้สั่นเทาไปทั้งตัว แขนขาเริ่มไร้เรี่ยวแรงจะต่อต้าน ร่างสูงละเลียดริมฝีปากสัมผัสความนุ่มนิ่มผะแผ่วอ่อนโยน เขาลากลิ้นไล้สัมผัสทิ้งท้ายไว้ก่อนจะถอนออก

          “อร่อยดี...”

          นกหนุ่มแลบเลียริมฝีปากของตนน้อยๆ ก่อนจะยิ้มขึ้นอย่างพอใจพลางมองคนตรงหน้าที่ยืนเอามือปิดปากแน่นหน้าแดงร้อนจนแทบไหม้แถมยังสั่นไปทั้งตัว

          “อ่ะ...ทะ...ทำอะไร?”

          “ก็พินบอกว่าจะป้อนขนมให้เรา เราก็รับไว้ไง...”

          ‘ป้อน?!’

          คนที่สติแทบไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเหมือนจะคิดขึ้นได้ว่าพวกนกป้อนอาหารกันด้วยปาก เป็นความผิดของพินเองที่ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท ตอนนี้เขาอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปมุดอยู่ที่ไหน ขาก็แข็งจนก้าวแทบไม่ออก

          “พิน? เป็นอะไร?”

          “เอ่อ...”

          สายตาของชายหนุ่มเผลอจับจ้องไปยังริมฝีปากอิ่มที่เขาเพิ่งได้ลิ้มรสเมื่อครู่ ตอนนี้ในสมองมันชาไปหมด เลือดที่สูบฉีดขึ้นทำให้รู้ได้ในทันทีว่าใบหน้าของเขากำลังร้อนจัด

          “มะ...ไม่มีอะไร”

          โดยไม่ต้องคิด พินรีบพาตัวเองขึ้นชั้นสองไปอย่างรวดเร็ว มะลิที่มองตามไปรีบเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

          “พิน! ไม่สบายหรอ? ให้เราช่วยอะไรมั้ย?”

          “เปล่า...ห้ามตามมานะ!”

          เสียงของชายหนุ่มจากชั้นสองตะโกนลงมา นกหนุ่มไม่มีทีท่าจะขัดคำสั่ง เขาทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาตามเดิมพลางหยิบขนมหยุ่นๆ ยัดเข้าใส่ปากเคี้ยวถอนหายใจอย่างไม่มีความสุขนัก



++++++++++++++++


          ขนมที่พินป้อนให้มะลิมีชื่อเรียกว่า "ตัลกี ชับซัลต๊อก" นะคะ หรือก็คือไดฟุกุสตรอเบอรี่ของญี่ปุ่นนั่นเองค่า ซึ่งชื่อของเกาหลีออกจะจำยากไปซักนิด แต่ที่พินพยายามเรียกแบบนี้ก็เพราะชิชาหิ้วมันมาจากเกาหลีนั่นเองค่า

          ขอบคุณสำหรับการติดตามเช่นเคย หากใครมีข้อแนะนำอะไรทิ้งคอมเมนต์ไว้ได้เลยนะคะ โดยเฉพาะข้อมูลทางการแพทย์ถ้าใครเห็นว่ามีจุดไหนไม่ถูกต้องเราจะรีบแก้ไขเลยนะคะ แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าค่า

หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! My brother is the barn owl บทที่7 ชิงช้าสวรรค์ 22/07/19 UP
เริ่มหัวข้อโดย: Timid Lily ที่ 22-07-2019 09:23:00
บทที่ 7 : ชิงช้าสวรรค์

          ชายหนุ่มในชุดนักศึกษาไขประตูบ้านเข้ามาพบกับความเงียบและมืดสนิท ที่ห้องนั่งเล่นแสนเหงาไม่มีสัญญาณของสิ่งมีชีวิตใดๆ พินเปิดไฟเพิ่มความสว่างในบ้าน จากนั้นจึงเรียกหาใครบางคน

          “มะลิ?”

          มีเพียงความเงียบตอบกลับมา เขาจึงลากร่างกายอันอ่อนล้าขึ้นบันไดไป เมื่อเปิดประตูห้องออกก็พบว่า คนที่เขามองหากำลังยืนอยู่ตรงระเบียง

          “คิดอะไรอยู่หรอมะลิ?”

          เขาเอ่ยถามเมื่อเห็นคนที่ยืนข้างๆเหม่อลอยมองท้องฟ้าพราวดาว พินเหลือบมองเสี้ยวหน้าขาวสุกสว่างของชายหนุ่ม สายตาหมองเศร้าลอยล่องทอดออกไป มะลิถอนหายใจก่อนจะตอบกลับมา

          “เราคิดถึงท้องฟ้า...คิดถึงวันที่เราเคยโบยบินอย่างอิสระ”

          มะลิตอบโดยที่ไม่ได้สบตาคนถาม สายตายังคงมองทอดออกไปเหมือนไม่มีจุดสิ้นสุด

          “แล้วทำไมมะลิไม่แปลงร่างเป็นนกบ้างล่ะ? เหมือนที่นินจาแปลงร่างเป็นแมวไง”

          คราวนี้มะลิหันมาสบตากับพิน เขายิ้มขึ้นจางๆก่อนจะตอบกลับไป

          “เราทำไม่ได้...ร่างนกของเราถูกมนุษย์ยิงตายไปแล้ว...”

          พินรู้สึกสะเทือนใจที่ได้ยินแบบนั้น จะว่าไปแล้วเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นกับมะลิ ถึงทำให้นกหนุ่มตัดสินใจที่จะมาอาศัยอยู่ในร่างของพี่ชายเขาเช่นนี้

          “มะลิ...ชั้นถามได้รึเปล่า...ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนาย?”

          คนฟังนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นเสียงเศร้า

          “นกแสกอย่างเราเป็นที่รังเกียจของมนุษย์...พินก็รู้ไม่ใช่หรอ?”

          พินรู้ดีเกี่ยวกับความเชื่อที่ว่าเมื่อนกแสกไปเกาะบ้านใคร บ้านหลังนั้นจะมีคนตาย แต่ที่รู้ดียิ่งกว่านั้นคือมันไม่ใช่เรื่องจริง

          “มันเป็นแค่ความเชื่องมงาย พวกนายเป็นสัตว์ตามธรรมชาติ ไม่ได้เป็นตัวกาลกิณีอย่างที่เค้าว่ากันซักหน่อย”

          “แต่ใช่ว่ามนุษย์ทุกคนจะคิดแบบพินนี่...”

          ก็จริงอย่างที่มะลิว่า ยิ่งชาวบ้านตามต่างจังหวัดที่วิถีชีวิตยังผูกพันกับเรื่องความเชื่ออยู่มากด้วยแล้ว นกแสกอย่างมะลิคงไม่เป็นที่ต้อนรับนัก ตัวไหนโชคดีอย่างมากก็อาจจะแค่โดนไล่ไป ตัวไหนโชคร้ายหน่อยก็คงจะต้องมีจุดจบแบบมะลิไม่ต่างกัน...

          “เราแค่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่ตอนนี้เราอาจจะคิดผิด เราดิ้นรนเข้ามาใช้ชีวิตในฐานะของมนุษย์คนอื่น แต่เรากลับไม่มีปัญญารับมือกับปัญหาอย่างมนุษย์ทั่วไป...บางทีเราอาจจะสมควรตายไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้วก็ได้”

          “ฟังนะมะลิ...บนโลกนี้ไม่มีใครสมควรตายหรอก ถึงแม้ว่าตอนแรกชั้นจะไม่ได้พอใจนักที่นายมาสิงร่างพี่ชายชั้น แต่จริงๆแล้วชั้นรู้สึกประทับใจมากนะ ที่มะลิพยายามจะมีชีวิตอยู่”

          พินพูดขึ้นพลางสบตาคู่สนทนาอย่างจริงจัง ดวงตาสีดำงดงามมองตอบกลับมาโดยที่สะท้อนภาพคนตรงหน้าให้เห็น คำพูดของพินทำให้มะลิรู้สึกเจ็บหน่วงทว่าตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก

          “อย่าท้อแท้...แล้วใช้ชีวิตที่เหลือเผื่อพี่ชายชั้นด้วยเถอะนะ”

          น้ำอุ่นใสๆคลอขึ้นในดวงตาจากนั้นจึงไหลอาบใบหน้าผุดผ่องของนกหนุ่มโดยไม่รู้ตัว มะลิยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้าของตน เขาปาดเช็ดหยดน้ำนั้นก่อนจะเอ่ยถาม

          “พิน...นี่เรา...ร้องไห้งั้นหรอ?”

          “อืม...ก็มะลิเป็นคนเหมือนกันนี่นา...”

          สิ้นเสียงของพินน้ำตาก็ร่วงลงพรั่งพรูไม่หยุด หยดน้ำใสที่อาบใบหน้าขาวกระจ่างของชายหนุ่ม ไม่ต่างจากสายฝนในตอนกลางวัน ทั้งสว่างไสวทั้งสวยงาม พินเอื้อมมือขึ้นช่วยปาดซับน้ำตาให้กับมะลิ ในใจเศร้าสะท้อน....ทว่า

          กลับเต็มไปด้วยความใหลหลง...



          “พินจะพาเราไปไหนหรอ?”

          พินในชุดนักศึกษากำลังเดินจูงมือนกหนุ่มให้เดินตามเขามา สถานที่แห่งนี้อยู่ติดริมแม่น้ำสายใหญ่ เป็นพื้นที่ๆเต็มไปด้วยร้านค้าและร้านอาหารในบริเวณเปิดโล่ง ยามเย็นที่ตะวันคล้อยไปทำให้อากาศดีไม่ร้อนนัก สายลมโชยเอื่อยจนเห็นได้ชัดว่าเส้นผมดำสนิทของคนที่เดินนำอยู่กำลังพลิ้วไหว

          คนทั้งคู่มาหยุดยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่ที่กำลังหมุนส่งกระเช้าใสตู้แล้วตู้เล่าขึ้นสู่จุดสูงสุด มะลิเงยหน้ามองตาวาวด้วยความตื่นเต้น

          “เราเคยเห็นสิ่งนี้ แต่เราไม่เคยเห็นอันที่ใหญ่ขนาดนี้”

          “มะลิรู้จักชิงช้าสวรรค์ด้วยหรอ?”

          “เรียกว่าชิงช้าสวรรค์งั้นหรอ? เราเคยเห็นอันที่เล็กกว่านี้ในงานวัด เป็นกรงเล็กๆที่ใส่มนุษย์เข้าไปได้คนสองคน”

          พินฟังคำอธิบายของมะลิก็ยิ้มขำขึ้นมา เขาเดินตรงไปซื้อตั๋วสำหรับสองคนจากนั้นจึงเดินไปต่อแถว

          “ถึงมะลิจะบินไม่ได้แล้ว แต่ชั้นก็หวังว่าชิงช้าสวรรค์จะช่วยพามะลิขึ้นไปดูท้องฟ้าให้พอหายคิดถึงได้บ้างนะ”

          มะลิยิ้มกว้างเมื่อได้รับรู้ว่าสิ่งที่พินพยายามทำก็เพื่อให้เขามีความสุข สำหรับมะลิทุกครั้งที่เขาได้อยู่ใกล้ชิดพิน มันทำให้เขาสดชื่นอบอุ่นใจไม่ว่าพินจะเป็นวิญญาณหนูหรือไม่ก็ตาม

          “ถึงตาเราแล้ว เข้าไปข้างในเร็ว”

          พินดันตัวมะลิที่กำลังยืนเก้ๆกังๆเข้าไปในกระเช้าใส ครู่หนึ่งคนทั้งคู่ก็ถูกยกส่งให้ลอยขึ้น มะลิยืนเอามือแนบกระจกแน่นพลางมองชื่นชมทิวทัศน์ภายนอกดวงตาเป็นประกาย

          “พิน! บ้านของพวกเราอยู่ตรงไหน?”

          “ไม่รู้สิ...มันเล็กมากชั้นเองก็มองไม่เห็น แต่น่าจะเป็นแถวๆนู้นน่ะ”

          พินยิ้มเอ็นดูเมื่อได้ยินคำถามไร้เดียงสาของมะลิ มือข้างหนึ่งก็ชี้ไปทางที่เขาคิดว่าน่าจะเป็นที่ตั้งของบ้าน ตอนนี้ใบหน้าที่ฉายรอยยิ้มสว่างไสวของนกหนุ่มได้สะกดสายตาของพินไว้ไม่อาจละไปไหน รอยบุ๋มๆน่ารักบนแก้มขาวมองแล้วทำให้เขาคันไม้คันมืออยากจะเอานิ้วจิ้มลงไปยังไงไม่รู้

          “ขอบคุณนะพิน เรามีความสุขมากเลย”

          “เอ๊ะ...! อ๋อ...อื้ม มะลิชอบชั้นก็ดีใจ”

          เสียงของมะลิสะกิดให้คนที่กำลังมันเขี้ยวกลับออกมาจากภวังค์ พินเขินน้อยๆเมื่อรู้สึกตัวว่าเขาเผลอเคลิ้มให้กับรอยยิ้มแบบนั้นอีกแล้ว ยิ่งพิจารณาดูพินก็ยิ่งรู้สึกว่ามะลิดูไม่ได้แตกต่างไปจากมนุษย์ปกติธรรมดาเลยแม้แต่น้อย ถึงจะดูเพี้ยนๆไปบ้างแต่ก็คงเป็นเพราะเขาเป็นนกป่า ถ้าได้เกิดและเติบโตในเมือง มะลิก็คงรู้ประสาไม่ต่างไปจากนินจาเลยสักนิด

          “นี่มะลิ...นายเคยเป็นคนมาก่อนรึเปล่า?”

          “เคยสิ...เราถึงได้มีสองวิญญาณไง แต่เราจำเรื่องตอนเป็นคนไม่ได้หรอก”

          “หมายความว่ายังไง?”

          “เรารู้แค่ว่าอมนุษย์อย่างเราเกิดจากการที่คนและสัตว์ชนิดนั้นมีความผูกพันหรือก่อกรรมร่วมกันมาพอตายไปเลยได้มาผูกวิญญาณไว้ด้วยกัน แล้วก็ใช้กายหยาบเดียวกันแต่แปลงได้สองร่าง”

          “แปลว่าร่างกายกับวิญญาณนกของมะลิไม่อยู่แล้วหรอ”

          “ใช่...”

          ‘ถึงว่า...ก็ดูเหมือนคนปกติดี แค่สับสนนิดหน่อยเท่านั้นเอง...’

          เมื่อนึกถึงพฤติกรรมเยี่ยงมนุษย์ผสมกับนกของมะลิขึ้นมา จู่ๆพินก็นึกถึงจูบของเขาทั้งสอง ใบหน้าเนียนร้อนวูบขึ้นมาเสียอย่างนั้น

          “พินเป็นอะไรทำไมหน้าแดงจัง?”

          “ห๊ะ...? อ๋อ...ชั้นร้อนน่ะ”

          คนเขินรีบพูดขึ้นมั่วซั่ว พลางสะบัดคอเสื้อให้ลมถ่ายเทเข้ามา มะลิไม่รอช้าส่งมือขาวไปแนบแก้มชายหนุ่มเบาๆก่อนจะเอ่ยขึ้น

          “ร้อนจริงๆด้วย”

          ใบหน้าที่แดงจัดอยู่แล้วยิ่งแดงไปกว่าเดิม พินผละใบหน้าออกจากมือเย็นๆของนกหนุ่มก่อนจะก้มหน้างุดไปอีกทาง

          ส่วนหัวใจ...ถ้ามันพูดได้คงจะตะโกนว่า “มันเต้นรัวจนแทบจะหมดแรงอยู่แล้ว”



          ชายสองคนที่กำลังเดินเล่นกินลมอยู่ใกล้กับจุดขายอาหาร ถูกกลิ่นหอมๆชักนำให้คล้อยตาม คนตัวสูงกว่าชี้นิ้วไปตามทิศทางของกลิ่นพลางเอ่ยขึ้นอย่างกระตือรือร้น

          “พินเราหิว ซื้อสิ่งนั้นให้เรากินหน่อยได้มั้ย?”

          พินมองตามมือที่ชี้ไปก็พบว่า “สิ่งนั้น” ของมะลิคือ “ไก่ทอด” เขาเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะเอ่ยถาม

          “มะลิ...นายไม่กินไก่ไม่ใช่หรอ?”

          “กินสิ! ทำไมจะไม่กินล่ะ?”

          นกหนุ่มเอ่ยตอบพลางจ้องคนตรงหน้าตาแป๋ว ส่วนคนฟังแทบจะเกาหัวแกรก

          ‘อะไรของมันวะ? เดี๋ยวกินเดี๋ยวไม่กิน...’

          “เราเองก็เป็นคนเหมือนกัน เพราะฉะนั้นคนกินอะไร เราก็กินอย่างนั้นแหละ”

          มะลิยิ้มกว้างสดใสส่งไปให้ชายหนุ่มอีกครั้ง คราวนี้พินดูจะเข้าใจแล้วว่าเจ้านกก็แค่พยายามทำตัวให้เหมือนมนุษย์ปกติเท่านั้นเอง

          “เข้าใจแล้ว ถ้างั้นมะลิรอตรงนี้แป๊บนึงนะ เดี๋ยวชั้นไปซื้อมาให้”

          พูดจบพินก็ผละตัวไป พลันของสิ่งหนึ่งในกระเป๋ากางเกงสั่นสะเทือนขึ้นจนมะลิแทบจะสะดุ้ง เขาไม่รอช้าหยิบขึ้นมาและพบว่ามีใครคนหนึ่งโทรเข้ามา

          ‘สินทร?’

          ชายหนุ่มอ่านชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอก่อนจะรับสาย

          “สวัสดีครับ...”

          [สวัสดีครับคุณพิชาธร...เรื่องคดีที่เราตกลงกันไว้ ไปถึงไหนแล้วครับ?]

          ‘คดี?’

          มะลิได้ฟังก็เงียบไป หากพูดถึงเรื่องส่วนตัวของพิมพ์ เขามีข้อมูลเพียงน้อยนิดเท่านั้น แล้วนี่ยังจะมีใครอีกคนที่เขาไม่รู้จักโผล่มา นกหนุ่มก็ปะติดปะต่ออะไรไม่ถูกอยู่เหมือนกัน

          “...เอ่อ”

          มะลิอึกอัก ทำให้เสียงเข้มๆปลายสายรีบพูดขึ้น

          [ถ้าไม่สะดวกคุยตอนนี้ เอาเป็นว่านัดเจอกันก็ได้ครับ]

          สีหน้าที่ละล้าละลังเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นตื่นตัว นี่อาจจะเป็นโอกาสดีที่เขาจะได้รู้เรื่องราวของพิมพ์มากขึ้นถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าคู่สนทนาของเขาเป็นใครก็ตาม ถึงรู้ว่าต้องเสี่ยง แต่ก็ยังดีเสียกว่าใช้ชีวิตอย่างมืดบอดไร้หนทางเช่นนี้

          “ได้ครับ คุณสินทรสะดวกที่ไหนเวลาไหนครับ ช่วงนี้ผมว่างตลอด”



          ทางด้านพินตอนนี้ไก่กรอบๆในซอสแดงเยิ้มได้มาอยู่ในมือเขาแล้ว เขาเดินออกมาจากซุ้มพลางมองหามะลิ แล้วก็เห็นว่านกหนุ่มกำลังคุยโทรศัพท์อยู่     

          “ครับ...ได้ครับ สวัสดีครับ...”

          “มะลิ?”

          พินเอ่ยเรียกคนที่กำลังกดวางสาย ชายหนุ่มท่าทางลุกลนหันมามองคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง

          “มะลิคุยกับใครหรอ?”

          พินถามพลางส่งไก่ทอดให้กับมะลิ เห็นได้ชัดว่าเจ้านกกำลังใช้ความคิดอย่างหนักก่อนจะเอ่ยตอบออกไป

          “อะ...อ๋อ...มีคนโทรมาชวนให้เราซื้อประกันน่ะ!”

          พินตาโตเมื่อได้ยินคำว่า “ประกัน” เขาเผลอถามออกไปเสียงดัง

          “ห๊ะ! แล้วมะลิตอบตกลงไปรึเปล่า? ชั้นแอบได้ยินนายพูดว่าได้ๆอะไรซักอย่าง”

          “อ๋อ เปล่าหรอก เราบอกเค้าไปว่าเราไม่มีเงินน่ะ...”

          “ก็แล้วไป....”

          ชายหนุ่มท่าทางโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด เขากลัวว่านกน้อยไม่รู้ประสาจะตกเป็นเหยื่อของพวกขายของทางโทรศัพท์ ไหนจะพวกมิจฉาชีพร้อยแปดบนโลกอันแสนโหดร้ายของมนุษย์อีก โดยที่ไม่ได้รู้ตัวเลยว่า พินต่างหากที่ถูกมะลิปกปิดความจริงเอาไว้ ความจริงที่ว่ามะลิกำลังจะไปพบกับใครคนหนึ่งที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพิมพ์ ซึ่งเขาเองก็ไม่รู้ว่าชายคนนี้จะวางใจได้มากน้อยแค่ไหน และที่สำคัญเขาไม่ต้องการให้พินมาพัวพันกับเรื่องนี้

          เพราะ...หากเกิดอะไรขึ้น เขาคงไม่สามารถยกโทษให้ตัวเองได้ตลอดชีวิต...





          “มะลิเป็นอะไรทำไมวันนี้ตื่นไวจัง?”

          พินในชุดนักศึกษายืนจับลูกบิดพลางมองคนที่ยืนยิ้มระรื่นท่าทางน่าสงสัย

          “ก็วันนี้พินจะไปสอบใช่มั้ยล่ะ? เราก็เลยรีบตื่นมาส่ง มาเป็นกำลังใจให้พินก่อนไป”

          ‘มันรู้หรอวะว่าการสอบคืออะไร...?’

          พินเกาแก้มแกรกอย่างสงสัย พลางช้อนตาหรี่มองคนตรงหน้า

          “เออ...ชั้นรีบไปก่อน ส่วนนาย! อย่าคิดจะเล่นอะไรพิเรนทร์ๆเชียวนะ”

          พูดจบพินก็ขยับลูกบิดแง้มประตูออก จมูกโด่งแตะบริเวณกกหูของนักศึกษาหนุ่มผะแผ่วพลางสูดหายใจเข้าน้อยๆ เขากระซิบเสียงค่อยอ่อนหวาน

          “โชคดีนะพิน”

          ใบหน้าฉาบไปด้วยสีแดงร้อนฉ่า คนเขินรีบเดินจ้ำอ้าวออกจากบ้านปิดประตูปัง ส่วนคนที่ทำทะเล้นอยู่เมื่อครู่นั้นรีบเดินตึงตังขึ้นไปบนชั้นสอง พลางตะโกนเสียงดังอยู่ตรงระเบียงห้อง

          “นินจา!”

          นกหนุ่มเหลียวซ้ายมองขวาก็ไม่มีเสียงใครตอบรับ เขาจึงไม่ยอมแพ้ตะโกนดังขึ้นอีกจนคนแถวนั้นสะดุ้งเกรียวกราวมองมาเป็นตาเดียว

          “นินจา! แกอยู่ที่ไหน? ออกมาหาเราหน่อย!”

          “ชู่ว...ไม่ต้องเรียกดังขนาดนี้ก็ได้ ชาวบ้านเค้าแตกตื่นกันหมด”

          เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลังของชายหนุ่ม เมื่อหันกลับมาดูก็เห็นแมวดำเส้นขนเงางามกำลังนั่งเลียหน้าเลียตาอยู่

          “เรียกเรามามีอะไรให้ช่วยงั้นหรือเจ้านกแสก?”

          “นินจา...ช่วยพาเราไปที่ๆนึงที”





          ในอาคารสูงโอ่โถงติดเครื่องปรับอากาศเย็นสบายที่เต็มไปด้วยร้านค้า ช่วงเวลาหลังจากห้างเปิดได้ไม่นานแบบนี้ทำให้ภายในไม่แออัดนัก หญิงสาวตัวเล็กท่าทางคึกคักเดินควงแขนเข้ากับชายหนุ่มทีท่าสงบตรงข้ามกับเธอโดยสิ้นเชิง กั้งอิงศีรษะเข้ากับไหล่แคบๆ ของเพื่อน พลางเหลือบตามองหน้าจอมือถือที่เขากำลังสนใจอยู่ตอนนี้อย่างอยากรู้อยากเห็น

          “พิน...แกคุยกับใครอ่ะ?”

          “อ๋อ เราไลน์หาพี่พิมพ์น่ะ แต่ไม่เห็นตอบซักที”

          พินสอบเสร็จแล้ว เขาส่งข้อความหามะลิเพื่อจะถามว่านกหนุ่มมีอะไรอยากกินเป็นพิเศษรึเปล่า เขาจะได้ซื้อกลับไปให้

          “เราไปกินขนมกันมั้ย ฉลองสอบเสร็จ”

          ม่อนที่เดินอยู่ข้างพินเอ่ยขึ้นอย่างร่าเริง ทำเอากั้งที่เกาะแกะเพื่อนชายอยู่หันไปยิ้มกวนก่อนจะแซว

          “กินขนมอีกแล้วหรอม่อน ปกติแฟนก็ทำให้กินอยู่แล้วนี่ ตัวจะแตกอยู่ละ?”

          “แล้วไง? ม่อนก็อยากจะกินของที่อื่นมั่งป่ะ ไม่ใช่กินแต่ของที่แฟนม่อนทำ”

          ถึงแฟนหนุ่มหน้าตาดีประจำคณะคหกรรมศาสตร์จะขยันทำขนมหวานมาให้ม่อนกินเป็นประจำ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความอยากน้ำตาลของสาวน้อยลดลงไปเลย

          “ไปสิ ม่อนอยากกินร้านไหนล่ะ? เลือกเลย”

          ท่ามกลางร้านค้าน่ารักที่เรียงราย คนทั้งสามเดินมองซ้ายมองขวา เบื้องหน้าเป็นคาเฟ่สีหวานที่ทำให้หญิงสาวทั้งสองรีบตรงรี่เข้าไป

          “พินๆไปกินร้านนั้นกัน”

          ม่อนรีบจูงแขนเพื่อนหนุ่มของเธอตรงไปโดยที่กั้งเองก็รีบเกาะตามไปติดๆ พลันสายตาของพินเหลือบไปเห็นร่างคุ้นตาในร้านกาแฟฝั่งตรงข้ามจนทำให้เขาต้องหยุดชะงัก

          ‘นั่นมัน...มะลิกับนินจานี่!’

          พินชักไม่สบายใจที่เห็นคนทั้งสองแอบออกมาโดยไม่บอกตน เขาตัดสินใจแล้วว่าต้องไปถามให้รู้เรื่อง ว่าทั้งคู่คิดจะเล่นอะไรแผลงๆกันรึเปล่า

          “กั้ง ม่อน พวกแกไปสั่งก่อนเลย เดี๋ยวเรามา”

          พูดจบพินก็รีบเดินพรวดพราดออกมาโดยไม่ได้เปิดโอกาสให้เพื่อนตั้งคำถาม เขาเดินเข้าไปในร้านกาแฟทว่าเมื่อจะตรงดิ่งเข้าไปหาชายทั้งสอง พินก็พบว่าเบื้องหน้าของคนที่เขาคุ้นเคยดีกลับมีชายแปลกหน้านั่งอยู่ตรงข้าม พินจึงตัดสินใจนั่งลงเงียบๆที่โต๊ะว่างห่างออกไปในระยะที่ไม่เป็นที่สังเกตแทน



          หนุ่มใหญ่ท่าทางภูมิฐานยกกาแฟขึ้นจิบก่อนจะสบตาคู่สนทนา เขานั่งเอนหลังพลางไขว่ห้างสบายๆจากนั้นจึงเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงตั้งคำถาม

          ความทรงจำหนึ่งฉายขึ้นอีกครั้ง เป็นพิมพ์ที่กำลังคุยโทรศัพท์กับใครบางคน

          “ผมตัดสินใจแล้ว ผมจะยอมรับข้อเสนอ”



          “คุณพิชาธร”

          “คะ...ครับ”

          นกหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อถูกเรียกด้วยชื่อของใครอีกคน สีหน้าครุ่นคิดสับสนฉายขึ้นจนคนมองจับสังเกตได้

          “ตั้งแต่ที่คุณตอบตกลงเรื่องที่เราคุยกันไว้ คุณก็ไม่ติดต่อมาอีกเลย ตอนนี้ก็ผ่านมาเกือบสองเดือนแล้ว ไม่ทราบว่าเรื่องคดีไปถึงไหนแล้วครับ?”

          มะลิกลอกตาไปมาอย่างใช้ความคิด ทว่าหัวสมองที่ว่างเปล่าทำให้เขาไม่สามารถที่จะตอบอะไรออกไปได้แม้แต่คำเดียว

          “ผมขอโทษนะครับที่ต้องถาม แต่ผมจำไม่ได้จริงๆ ว่าเราเคยตกลงอะไรกันไว้...”

          แววตาเกรี้ยวกราดถูกส่งมา มะลิเองก็จ้องขึงกลับไปอย่างไม่กลัวเกรง

          “คุณอย่ามาทำเป็นเล่นตลกกับผมนะ”

          “ขอโทษนะครับที่ต้องขัดจังหวะ”

          นินจาเอ่ยแทรกขึ้นเมื่อเห็นสถานการณ์ไม่ค่อยจะสู้ดี แมวหนุ่มสบตามะลิก่อนจะพูดต่อ

          “คุณพิชาธรประสบอุบัติเหตุจมน้ำเมื่อสองเดือนก่อน ทำให้ความทรงจำหายไปครับ”

          ได้ยินดังนั้น สินทรจึงเลิกคิ้วขึ้นพลางเหยียดยิ้มให้คู่สนทนา

          “พูดจริงหรอ? คงไม่ได้เปลี่ยนใจอยากจะกลับไปช่วยเพื่อนอย่างนั้นหรอกหรอ?”

          “คุณพูดเรื่องอะไร?”

          มะลิตอบโต้ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ หากใครมองก็คงดูออกว่าเขาไม่ได้พูดโกหก

          “คุณสัญญากับผมแล้วไง ว่าคุณจะทำให้เพื่อนหมอของคุณแพ้คดี”

          ‘พี่พิมพ์จะทำให้พี่ไหมแพ้คดี?!’

          ไม่ใช่แค่ชายหนุ่มสองคนที่ตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน แต่พินเองที่นั่งฟังอยู่ไกลๆกลับตกใจยิ่งกว่า พี่ชายของเขาที่ทำหน้าที่เป็นทนายว่าความให้แพทย์สาวเพื่อนสนิท กลับมีความคิดที่จะหักหลังกันได้ลง ความเคลือบแคลงผิดหวังถาโถมเข้าใส่ความรู้สึกของชายหนุ่ม ที่ร้ายกว่านั้นพินกลับมีความรู้สึกว่าพี่ชายที่เขารู้จัก

          อาจไม่ได้เป็นคนดีอย่างที่คิด...


++++++++++++++++



          พูดถึงกั้งกับม่อนกันซักนิด เพื่อนสาวคนสนิททั้งสองของพินมีคาแรคเตอร์ที่ต่างกันมากเลยนะคะ ที่สำคัญความรู้สึกที่พินมีต่อทั้งคู่ก็จะต่างกันเล็กน้อย สำหรับพินกั้งเหมือนเป็นสีสัน คอยสร้างบรรยากาศสนุกสนานในหมู่เพื่อน เป็นพลังงานกระตุ้นให้คึกคัก พร้อมลุยดะกับทุกปัญหาค่ะ พูดง่ายๆคือสู้ตายเพื่อเพื่อนได้เลย ส่วนม่อนจะเป็นเหมือนคุณแม่ที่คอยดูแลพิน ปรามยัยกั้ง มีอะไรสามารถขอคำปรึกษาให้คำแนะนำได้  หรือถ้าแค่ได้อยู่ข้างๆก็สบายใจแม้จะไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลยก็ตาม เทียบแล้วก็คล้ายๆกับนักรบกับกุนซืออะไรประมาณนี้ สำหรับวันนี้คุยกันเล็กๆพอหอมปากหอมคอ ขอบคุณสำหรับการติดตามเช่นเคยนะคะ

หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! My brother is the barn owl! บทที่7 : ชิงช้าสวรรค์ 22/07/19 UP!
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 22-07-2019 10:15:12
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! My brother is the barn owl บทที่8 จดหมายลาตาย 26/07/19 UP!
เริ่มหัวข้อโดย: Timid Lily ที่ 26-07-2019 09:49:00

บทที่8 : จดหมายลาตาย

         เช้าสายที่แสงแดดจ้าสาดลอดม่านเข้ามา ชายหนุ่มร่างผอมบางนอนคุดคู้ลืมตานิ่งไม่ไหวติงอยู่บนเตียง ถึงพินจะตื่นนอนมาได้สักพักแล้ว แต่เขาก็ไม่มีกะจิตกะใจจะลุกขึ้นมาทำอะไร สิ่งที่ได้รับรู้มาเมื่อวานยังคงรบกวนจิตใจไม่หาย พี่ชายที่เคารพรักเป็นคนแบบไหนกันแน่ มีเรื่องราวตื้นลึกหนาบางมากมายที่พินไม่เข้าใจ และมันทำให้เขา “กลัว”

          เสียงเปิดประตูห้องดังขึ้น ชายหนุ่มร่างสูงเดินหัวเปียกตัวหอมฉุยเข้ามาในห้อง มะลิเอาผ้าขนหนูคลุมศีรษะซับน้ำเอาไว้ พลางมองจ้องคนที่ยังนอนอยู่ไม่วางตา

          “พินเราสะอาดแล้ว ตาพินไปอาบน้ำได้แล้ว”

          นกหนุ่มเอ่ยเรียกพลางหย่อนตัวนั่งลงบนเตียงแบบไม่เกรงใจ จนที่นอนยุบยวบลงไปแถมตัวผอมๆของคนที่นอนคู้อยู่ก็ถูกแรงดึงจนกลิ้งเข้ามาใกล้

          “พินลุกขึ้นได้แล้ว ไปหาข้าวกินกัน”

          ไม่มีเสียงตอบรับจากคนที่ถูกเรียก มะลิที่ไม่ได้รับความสนใจจากคนที่กำลังเหม่อลอยอยู่จึงสะบัดผมชื้นน้ำจนเปียกไปทั่ว

          “มะลิ...”

          ปฏิกิริยาผิดคาด พินได้แค่แค่นเสียงเอ็ดขึ้นมาน้อยๆพลางจ้องขึงมา จากนั้นจึงนอนกลิ้งหันหนีไปอีกทาง ท่าทางเช่นนี้ของพิน ทำให้มะลิจับความรู้สึกได้ว่า คนที่กำลังนอนหน้าหงอยอยู่นั้นคงมีเรื่องไม่สบายใจ

          “พินเป็นอะไรรึเปล่า?”

          มะลิเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน มือขาวก็ไล้สัมผัสเส้นผมดำสลวยเบามือ

          “พิน...?”

          นกหนุ่มได้แต่เอ่ยเรียกซ้ำอีกครั้งเมื่อไม่ได้รับคำตอบ หนนี้คนที่นอนอยู่หันกลับมามองสบตาเขาน้อยๆแล้วเอ่ยขึ้นเสียงค่อย

          “ทำไมนายถึงไม่บอกชั้น...?”

          “บอกอะไรหรอ?”

          มะลิถามกลับหน้าซื่อ

          “เมื่อวาน...ชั้นแอบตามนายไปที่ร้านกาแฟนั่น...”

          ชายหนุ่มนิ่งงันไป ไม่ง่ายเลยจริงๆที่คิดจะปิดบังอะไรจากคนๆนี้

          “ทำไมถึงไม่ชวนชั้นไปด้วย? ทำไมถึงตัดสินใจทำอะไรเพียงลำพัง...เราเป็นครอบครัวเดียวกันไม่ใช่หรอ?”

          มือขาวผละออกจากเส้นผมมาลูบบนแก้มใส ไอจากฝ่ามืออุ่นประกบลงบนใบหน้าซีดเซียวเศร้าหมอง มะลิหลุบตาสบมองคนที่ยังนอนอยู่อย่างเอ็นดู

          “เราเป็นห่วงพิน เพราะเราเองก็ไม่รู้...ว่าต้องไปเจอกับอะไรบ้าง”

          ความรู้สึกอยากปกป้องดูแลเอ่อล้นขึ้นในใจ ตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงเกิดความรู้สึกเช่นนี้กับชายหนุ่มเต็มตัวอย่างพิน บางทีจิตสำนึกความเป็นพี่ชายของพิมพ์ที่ถูกฝังลึกเอาไว้ในร่างนี้อาจจะทำงานอยู่ก็เป็นได้...หรือไม่

          ก็อาจเป็นความรู้สึกจากหัวใจของเขาเอง...



          เสียงน้ำไหลชะล้างทำความสะอาดจานสีขาวสะอาดที่เต็มไปด้วยฟอง พินเหม่อลอยเล็กน้อย ในหัวก็ยังคงสลัดเรื่องชายแปลกหน้าคนนั้นและสิ่งที่พี่ชายของเขาคิดจะทำออกไปไม่ได้

          “Rrrrrr”

          เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เขาเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนเร็วๆก่อนจะกดรับสาย

          [พิน]

          เสียงหญิงสาวปลายสายเอ่ยขึ้นอย่างสดใส เสียงของคนที่อาจจะให้คำตอบเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้

          “สวัสดีครับพี่ไหม มีอะไรรึเปล่าครับ?”

          [พี่จะเข้ากรุงเทพฯเร็วๆนี้ พี่ก็เลยกะว่าจะไปเยี่ยมพิมพ์น่ะ แต่พี่ไม่แน่ใจว่าพิมพ์กับพินจะไปเยี่ยมคุณแม่กับคุณยายที่สวนมะลิรึเปล่า เห็นว่าพินสอบเสร็จแล้วใช่มั้ย?]

          “ใช่ครับ ตอนนี้ก็ยังไม่ได้แพลนว่าจะไปไหนกัน ถ้าจะไปหาแม่กับยายก็คงจะรอพ่อลางานกลับมาก่อนแล้วค่อยไปพร้อมกัน ถ้าพี่ไหมจะเข้ามาก็โทรมาหาพินก่อนก็ได้ครับ”

          [โอเคจ้า ถ้ามีอะไรเปลี่ยนแปลงก็บอกพี่อีกทีนะ แล้วเดี๋ยวพี่ซื้อขนมไปฝาก]

          “เอ่อ...พี่ไหมครับ...”

          [ว่าไงจ๊ะพิน?]

          พินที่ในใจเต็มไปด้วยคำถามกลับอึกอักขึ้นมาเสียอย่างนั้น เขารู้สึกกล้าๆกลัวๆที่จะถามออกไป แต่ถ้าปล่อยให้โอกาสแบบนี้หลุดมือไปคงน่าเสียดาย

          “คือ...พี่ไหมรู้จักคนที่ชื่อสินทรมั้ยครับ?”

          เสียงปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงนิ่งเย็น

          [รู้จักสิ...ถามทำไมหรอพิน?]

          “อ๋อ...คือ...เค้าพยายามติดต่อพี่พิมพ์มา แต่พี่พิมพ์จำไม่ได้น่ะครับว่าเค้าเป็นใคร”

          พินอึกอัก เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่ามีขอบเขตเรื่องราวที่เขาควรจะพูดมากน้อยแค่ไหน

          [สินทรพยายามจะติดต่อพิมพ์งั้นหรอ?]

          ปลายสายตอบเสียงเรียบทว่าแข็งกร้าว พินจึงตัดสินใจถามออกไปตรงๆ

          “คุณสินทรเป็นใครหรอครับ?”

          [สินทรเป็นลูกชายของผู้ป่วยที่เสียชีวิตน่ะ เป็นคนที่ฟ้องพี่...]

          ได้รู้เพียงเท่านี้พินก็พอจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้แล้ว สินทรเป็นคนฟ้องร้องและพยายามจะเกลี้ยกล่อมพี่ชายของเขาให้ร่วมมือกันทรยศไหมเพื่อที่จะได้ชนะคดี

          [สินทรมันก็เป็นแค่ลูกชายเลวๆคนนึง มันแค่ต้องการจะชนะคดีเพื่อเงินชดเชยมหาศาล มันอยู่ต่างประเทศกับครอบครัวแทบไม่เคยเหลียวแลพ่อของมันด้วยซ้ำ ที่กลับมาก็เพียงเพราะต้องการมรดกและฟ้องร้องค่าเสียหาย มันพยายามเอาเงินมาหลอกล่อพิมพ์ให้ร่วมมือกับมันหักหลังพี่]

          “พี่ไหมรู้เรื่องนี้ด้วยหรอครับ? !”

          พินตกใจเมื่อได้รับรู้ว่าหญิงสาวรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี นั่นอาจจะแปลว่าจริงๆแล้วพี่ชายเขาอาจจะไม่ได้คิดร้ายกับเพื่อนคนนี้จริงๆก็เป็นได้

          [รู้สิ! พี่กับพิมพ์เป็นเพื่อนรักกัน มีอะไรพิมพ์ก็บอกพี่ทั้งหมดนั่นแหละ ยกเว้นเรื่องเดียว...]

          “เรื่องอะไรหรอครับ?”

          ไหมเงียบไปก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงเครือ

          [เรื่องความคิดที่จะฆ่าตัวตาย...]

          ความเสียใจจุกขึ้นในอกของพิน เสียงในใจของเขาอยากจะตะโกนออกไปว่าพี่พิมพ์ไม่ได้ฆ่าตัวตาย แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครบ้างที่เขาจะไว้ใจได้

          “พี่ไหม...พี่พิมพ์ไม่ได้คิดร้ายกับพี่ไหมจริงๆใช่มั้ย?”

          [ทำไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะพิน?]

          ใจที่เต็มไปด้วยความกังวล สมองอันแสนสับสนทำให้พินตอบออกไปได้เพียงแค่ว่า...

          “พินไม่รู้...”

          ปลายสายถอนหายใจน้อยๆก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยน

          [พินอย่าคิดมากเลยนะ...พี่รู้จักพิมพ์...พิมพ์เป็นคนดี]

          ไม่รู้ทำไม เพียงแค่คำยืนยันจากเพื่อนสนิทของพี่ชายกลับทำให้รู้สึกสะเทือนใจ พินจะเชื่อได้จริงๆรึเปล่าว่าพิมพ์เป็นคนดีอย่างที่ว่าจริงๆ มีเรื่องราวที่เขาไม่เข้าใจเต็มไปหมด สิ่งที่พินได้รับรู้ ไม่ได้ช่วยให้เขาเข้าใกล้ถึงสาเหตุการเสียชีวิตของพี่ชายเลยแม้แต่นิด

          มีเพียงเรื่องเดียวที่แน่ใจก็คือ “สินทร” เป็นอีกคนที่พวกเขาควรจะระวังเอาไว้





          เวลาได้ล่วงเลยมาระยะหนึ่งแล้ว มะลิยังไม่ได้ความคืบหน้าอะไรเกี่ยวกับการเสียชีวิตของพิมพ์ นับว่ายังดีที่ตอนนี้นอกจากเรื่องของสินทร ก็ยังไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติอื่นๆรบกวนชีวิตและจิตใจของเขา

          “ปิ๊ง ป่อง” เสียงกดกริ่งดังขึ้น มะลิรู้ดีว่าแขกที่มาเยี่ยมเยียนคนนี้คือใคร เนื่องจากคนที่ติดต่อเชื้อเชิญหญิงสาวเจ้าของใบหน้างดงามคนนี้ให้มาหาก็คือตัวเขานั่นเอง

          “สวัสดีชิชา เข้ามาก่อนสิ”

          “อืม...”

          หญิงสาวท่าทางอ่อนล้า ทว่าใบหน้ายังแต้มสีสวยรวมถึงผมที่ถูกเกล้ามวยไว้เรียบร้อยเดินเข้ามาภายในบ้านอย่างเฉื่อยชา ชิชาจัดแจงทิ้งร่างกายอันเมื่อยขบลงบนโซฟาเนื่องจากเพิ่งผ่านพ้นชั่วโมงการทำงานอันแสนยาวนานมาเธอมองไปรอบๆก่อนจะเอ่ยถาม

          “น้องพินไม่อยู่หรอ?”

          “พินไปทำธุระที่มหาวิทยาลัยน่ะ”

          ชายหนุ่มเปิดตู้เย็นพลางหยิบขวดออกมาเทรินน้ำจนเต็มแก้ว

          “งั้นหรอ...แล้วพิมพ์ติดต่อชิชามา มีธุระอะไรหรอ?”

          “เรามีเรื่องอยากจะถามชิชาหน่อยน่ะ”

          เขาส่งน้ำเย็นเต็มแก้วให้ชิชาพลางหย่อนตัวลงนั่งเคียงข้าง หญิงสาวรับน้ำมาจิบโดยไม่พูดอะไร เธอสบตามองคู่สนทนาเตรียมฟังอย่างตั้งใจ

          “เราสองคนกำลังมีปัญหากันอยู่ใช่รึเปล่า?”

          “อืม...”

          ชิชาตอบด้วยท่าทีสงบนิ่ง เธอวางแก้วน้ำลงบนโต๊ะอย่างเบามือก่อนจะพูดต่อ

          “ช่วงหลังๆเราสองคนทะเลาะกันบ่อย ก็เลยเริ่มห่างกัน แต่ก็ยังไม่ถึงกับแยกกันอยู่”

          มะลินิ่งคิดตั้งใจฟัง เขาถามต่ออย่างไม่เข้าใจ

          “ถ้าอย่างนั้นวันที่เราไปว่าความให้กับไหม ทำไมชิชาถึงตามไปด้วยล่ะ?”

          ชิชากลอกตามองนกหนุ่มอย่างไม่พอใจ เธอเอ่ยตอบเสียงสะบัดน้อยๆ

          “ก็เพราะไหมไง ชิชาถึงต้องตามไป”

          ชายหนุ่มได้ฟังดังนั้นก็พอจะเข้าใจ จากเหตุการณ์ที่ผ่านมา มันทำให้เขาแน่ใจว่า “ไหม” คงจะมีส่วนที่ทำให้สามีภรรยาคู่นี้แตกคอกัน

          “แล้ววันนั้น...วันที่เราจมน้ำ...มันเกิดอะไรขึ้นหรอ?”

          ชิชาไม่สบตาคนถาม เธอเหม่อลอยพลางถอนหายใจเล็กน้อย

          “คืนนั้นชิชาหลับสนิท ไม่รู้เรื่องเลยว่าพิมพ์หายตัวไปจากโรงแรมตอนไหน กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็คือตอนที่โรงพยาบาลติดต่อมาว่าพิมพ์จมน้ำ พอเช็คมือถือดูก็เห็นอีเมลจดหมายลาตายที่พิมพ์เป็นคนส่งมา”

          ‘จดหมายลาตายงั้นหรอ?!’

          เป็นครั้งแรกที่มะลิได้รับรู้ว่าพิมพ์ทิ้งจดหมายลาตายเอาไว้ ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นของ “ปลอม”

          “เราขอดูจดหมายนั่นหน่อยได้มั้ย?”

          ชิชาหันมาสบตาพลางย่นคิ้วใส่ สีหน้าฉายชัดให้เห็นถึงความไม่สบายใจ

          “ของแบบนั้นชิชาลบทิ้งไปแล้วล่ะ ใครเค้าอยากจะเก็บเอาไว้”

          มีเพียงความเงียบปกคลุมบรรยากาศรอบตัวคนทั้งคู่ หญิงสาวถอนหายใจขึ้นอีกครั้ง

          “แต่ถ้าพิมพ์อยากเห็นจริงๆ ชิชาคิดว่ามันน่าจะยังอยู่ในอีเมลที่ถูกส่งของพิมพ์ ลองหาดูก็คงไม่เสียหาย...”

          ได้ฟังดังนั้นมะลิก็รีบควักโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดดูอย่างกระตือรือร้น ทว่า...

          “มันเปิดยังไงหรอชิชา...?”

          ใบหน้าเหลอหลาทว่ากลับจริงจังของชายหนุ่มทำให้ชิชาหลุดยิ้มออกมา

          “เอามานี่”

          หญิงสาวเลื่อนนิ้วไปมาบนหน้าจอเพื่อค้นหาข้อความ ครู่หนึ่งสิ่งที่เธอกำลังมองหาก็ปรากฏแก่สายตา ชิชาส่งโทรศัพท์คืนให้กับมะลิ นกหนุ่มไม่รอช้ารีบอ่านข้อความที่ฉายอยู่



ถึงพ่อ

          ขอบคุณที่ทำให้พิมพ์เกิดมาบนโลกนี้ โลกอันแสนโหดร้ายและทุกข์ทรมาน พ่อเป็นแรงบันดาลใจให้พิมพ์เป็นทนาย ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้วเส้นทางที่พิมพ์เลือกจะกลายเป็นตราบาปที่ทำให้คนตราหน้าลูกของพ่อคนนี้ว่าเป็นทนายมือเปื้อนเลือด ช่วยหมอฆ่าคน แต่พิมพ์ก็ดีใจที่ครั้งหนึ่งพิมพ์ได้ยืนหยัดต่อสู้เคียงข้างพ่อ ลำบากแสนสาหัสมาด้วยกัน



ถึงแม่

          ขอบคุณแม่ที่เลี้ยงดูฟูมฟักพิมพ์จนเติบโต คอยสั่งสอนพิมพ์ไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง วันนี้พิมพ์จะมาบอกลาแม่เป็นครั้งสุดท้าย หวังว่าแม่คงจะไม่เสียใจที่พิมพ์จะไม่อยู่บนโลกนี้อีกต่อไปแล้ว พิมพ์เชื่อว่าแม่จะเข้มแข็งและมีความสุขต่อไปได้ เพราะพินเป็นน้องชายที่น่ารัก พินจะต้องดูแลแม่เป็นอย่างดีทดแทนในส่วนที่พิมพ์ไม่อาจทำต่อไปได้



ถึงชิชาดวงใจของพิมพ์

          พิมพ์รักชิชามากนะ มากจนไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นตัวหนังสือได้ ถึงแม้ว่าชิชาจะไม่รักพิมพ์แล้วก็ตาม สิ่งที่ชิชาพูดกับพิมพ์เหมือนเป็นฟางเส้นสุดท้าย ตอนนี้พิมพ์เหมือนคนที่กำลังร่วงหล่นจากหน้าผา และสิ่งที่เหนี่ยวรั้งพิมพ์เอาไว้ก็คือมือของชิชา สุดท้ายชิชาก็เลือกที่จะปล่อยมือไปจากพิมพ์ ปล่อยให้พิมพ์ตกลงไปท่ามกลางความมืดมิด ซึ่งยินดีด้วย วันนี้ชิชาทำมันสำเร็จแล้ว ต่อจากนี้ไปชิชาจะได้เป็นอิสระจากพิมพ์แล้วนะ



          พิมพ์ต้องขอโทษทุกคนด้วยที่ไม่อาจอยู่เคียงข้าง พิมพ์เหนื่อยมากแล้ว พิมพ์อยากจะหลับ หลับแบบไม่มีวันตื่นมาเจอพรุ่งนี้อีก

รัก

พิมพ์



          เนื้อหาในจดหมายถ่ายทอดปัญหาของชายหนุ่มออกมาได้ชัดเจน หากมะลิไม่ได้ล่วงรู้ถึงความจริงผ่านความทรงจำของพิมพ์แล้วล่ะก็ เขาคงเชื่อเช่นกันว่าทนายหนุ่มตัดสินใจที่จะจบชีวิตของตนจริงๆ ท่าทางว่าคนที่เขียนจดหมายนี้ขึ้นมาคงจะรู้จักพิมพ์เป็นอย่างดี

          “มีใครที่ได้รับจดหมายนี้บ้างหรอ?”

          “มีแค่พ่อ แม่ แล้วก็ชิชา”

          ความสงสัยเคลือบแคลงแล่นขึ้นเต็มอกของชายหนุ่ม แม้แต่สตรีที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาของพิมพ์ก็ไม่อาจทำให้เขาไว้ใจได้เลย มะลิจ้องลึกลงไปในดวงตาของหญิงสาว

          “คนอย่างเราคิดจะฆ่าตัวตายจริงๆงั้นหรอ?”

          ชิชาที่ได้ฟังดังนั้นเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ มือบอบบางรวบประคองมือแกร่งของสามี จากนั้นจึงเอ่ยถามอย่างห่วงใย

          “พิมพ์นึกอะไรออกหรอ?”

          ไม่มีเสียงตอบรับจากชายหนุ่ม มีเพียงสายตาตั้งคำถามส่งกลับไปให้ คนทั้งสองมองจ้องกันนิ่งงัน พลันความเงียบก็ถูกทำลายลงด้วยเสียงเปิดประตู ชายหนุ่มตัวผอมบางเดินเข้ามาในบ้านเห็นภาพหญิงสาวผู้งดงามกำลังกุมมือชายหนุ่มใบหน้าอ่อนหวานพลางสบตากันลึกซึ้งไม่ละไปไหน

          ความเจ็บแปลบแล่นขึ้นในอก หัวใจที่เคยแข็งแรงปวดหน่วงวูบไหว พินไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงเกิดความรู้สึกเช่นนี้ เขาควรจะดีใจที่มะลิทำหน้าที่แทนพี่ชายของเขาได้ดี ที่เอาใจใส่ชิชาผู้ซึ่งเป็นภรรยามากขึ้น

          ไม่ใช่เกิดความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจขึ้นมาแบบนี้...



++++++++++++++++


          ดูแค่นี้ก็รู้แล้วนะคะว่าพินหลงรักมะลิเข้าเต็มเปาเลย ส่วนมะลิที่มักจะทำตัวเพี้ยนๆไม่รู้ไม่ชี้กับการกระทำของตัวเองเริ่มจะเกิดความรู้สึกแปลกๆกับพินแล้วเหมือนกัน เอาเป็นว่ามาเอาใจช่วยทั้งคู่ด้วยนะคะทั้งเรื่องหัวใจ แล้วก็เรื่องการตามหาความจริงเกี่ยวกับพี่พิมพ์

          ขอบคุณสำหรับการติดตามเช่นเคย แล้วเจอกันตอนหน้าค่า ^^
หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! [My brother is the barn owl!] บทที่9 : หญิงชรา 29/07/19 UP
เริ่มหัวข้อโดย: Timid Lily ที่ 29-07-2019 17:17:09
บทที่9 : หญิงชรา

         รถยนต์สีขาวคู่หูของชายหนุ่มหลังพวงมาลัยแล่นไปตามเส้นทางหลัก เวลาสายๆแบบนี้ถนนโล่งไม่มีรถติดให้คนขับได้รำคาญใจ ข้างๆพินคือพ่อที่ลางานมาจากอินเดีย ส่วนตรงเบาะหลังมีชายหนุ่มสูงยาวกำลังชะเง้อชะแง้มองทุกสิ่งที่ผ่านตามาอย่างอยู่ไม่สุข

          “อีกไกลมั้ยพินกว่าจะถึงสวนของคุณยาย?”

          มะลิเอ่ยถามขึ้น ตอนนี้พวกเขานั่งรถมาได้นับชั่วโมงแล้ว ท่าทางเจ้านกหนุ่มจะเริ่มอึดอัดอยากลุกขึ้นไปยืดเส้นยืดสายหลังจากที่ขายาวๆของเขาถูกงอพับเอาไว้จนเริ่มไม่สบายตัว

          “ใกล้แล้วลูก ทำไมเบื่อนั่งรถแล้วรึไง?”

          เสียงที่ตอบกลับมากลับเป็นเสียงของชายวัยกลางคน ส่วนคนที่ถูกถามยังคงขับรถต่อไปเงียบๆพลางนึกถึงสิ่งที่แม่ได้บอกกับเขาเมื่อไม่กี่วันก่อน



          “Rrrrrr”

          “ครับแม่?”

          [พิน พ่อได้บอกลูกรึยังว่าพ่อเค้าลางานไว้แล้วจะกลับมาเยี่ยมบ้านสวน?]

          “พินรู้แล้วครับแม่”

          เสียงผู้เป็นแม่เงียบไปพักหนึ่งก่อนจะตัดสินใจเอ่ยเรื่องสำคัญกับลูกชายคนเล็ก

          [พินลูก...นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วนะที่เราจะได้กลับมาเยี่ยมคุณยายที่บ้านสวน]

          “ทำไมล่ะครับแม่?”

          [ยายกับแม่ตัดสินใจจะขายสวนแล้วล่ะลูก]

          พินรู้สึกใจหายที่ได้ยินเช่นนี้ สวนมะลิที่เติบโตผูกพันกันมาตลอดช่วงชีวิตของเขาจะไม่มีอีกแล้ว จะเหลือเพียงแค่ภาพความทรงจำเท่านั้นหรือ

          [แม่กับยายดูแลไม่ไหวแล้วล่ะเลยต้องตัดสินใจแบบนี้]

          “พินเข้าใจครับ”

          ตั้งแต่ที่ยายเริ่มป่วยเป็นมะเร็ง พินรู้ดีว่าแม่ของเขาต้องลำบากขนาดไหน ทั้งดูแลคนป่วย ดูแลสวนมะลิไปด้วย ไหนจะค่าใช้จ่ายมหาศาล ซึ่งตอนนี้หญิงวัยกลางคนผู้น่าสงสารคงจะแบกรับไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว



          พินค่อยๆขับรถลัดเลาะเข้าไปตามถนนเส้นเล็ก เบื้องหน้าของชายทั้งสามคือปากทางเข้าสวนที่มีต้นมะลิพุ่มเตี้ยเรียงรายเป็นแนวไปทั่วบริเวณ คนสวนสวมเสื้อผ้ากันแดดมิดชิดกำลังก้มๆเงยๆกำจัดวัชพืชอยู่ ต่างผุดลุกขึ้นมองรถยนต์คันกะทัดรัดที่นำพาผู้มาเยืยนมาถึงที่ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

          ชายหนุ่มจอดรถไว้ใต้ร่มเงา จากนั้นคนทั้งสามจึงพากันลงจากรถ มะลิยืนมองบรรยากาศรอบๆอย่างอิ่มเอมพลางสูดหายใจรับอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอด

          “ที่นี่คือสวนมะลิงั้นหรอ? เราชอบ”

          พินมองชายหนุ่มที่กำลังดูนู่นดูนี่ตาวาว ท่าทางตื่นเต้นของมะลิทำให้เขาอดยิ้มตามไม่ได้

          “เข้าไปข้างกันเถอะลูก”

          ชายวัยกลางคนเอ่ยขึ้นก่อนจะเดินนำเข้าไป ภายในตัวบ้าน สตรีผู้เป็นแม่กำลังยืนยิ้มต้อนรับอยู่เคียงข้างหญิงชราผู้ผ่ายผอมซึ่งนั่งรออยู่บนเก้าอี้ไม้

          “สวัสดีครับแม่ สวัสดีครับยาย”

          พินยกมือขึ้นพนมไหว้ทักทายหญิงทั้งสองอย่างอ่อนน้อม มะลิไม่รอช้ารีบทำตามอย่างรู้งาน

          “มาหายายหน่อยสิลูก”     

          น้ำเสียงอ่อนล้าของหญิงชราเรียกหาหลานทั้งสอง ชายหนุ่มตัวผอมรีบพุ่งตัวเข้าไปกอดยายของเขาแนบแน่นสุขใจ

          “พินคิดถึงยายที่สุดเลย”

          มือเหี่ยวย่นลูบศีรษะที่ปกคลุมไปด้วยเส้นผมดำเงาอย่างทะนุถนอม ส่วนมะลิก็ตามไปนั่งข้างๆอย่างสำรวม

          “พินสบายดีมั้ยลูก?”

          เสียงอารีเอ่ยถามหลานคนเล็กอย่างห่วงหา พินเงยหน้าขึ้นมองสำรวจหญิงชราก็พบว่ายายของเขาโทรมไปมาก เส้นผมสีดอกเลาที่เคยดกหนาตอนนี้ไม่เหลืออีกต่อไปแล้วเนื่องจากการทำคีโม ร่างกายก็ผ่ายผอมเหลือเล็กนิดเดียว ทว่ากลับยังยิ้มสดชื่นเมื่อได้เจอหน้าพวกเขาทั้งสอง

          “พินสบายดีครับยาย ตอนนี้พินเรียนจบแล้วอีกไม่กี่เดือนก็จะรับปริญญา คุณยายต้องรีบแข็งแรงแล้วมางานพินด้วยนะ”

          คุณยายได้แต่อมยิ้มไม่เอ่ยตอบ มะลิที่นั่งอยู่ข้างๆนั้นรู้ดีว่าเพราะเหตุใดสตรีผู้นี้จึงไม่อาจรับปาก สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาของอมนุษย์หนุ่มคือ ภาพเงาจิตหญิงชราที่ควรจะเป็นหนึ่งเดียวกับกายเนื้อของเธอ ค่อยๆแยกออกจากร่างทีละน้อย เมื่อใดที่ทั้งสองสิ่งตัดขาดจากกันโดยสมบูรณ์ “ความตาย” ก็จะมาเยือนมนุษย์ผู้นี้ในที่สุด

          “แล้วพิมพ์ล่ะลูก?”

          “ครับ?”

          หญิงชราเอ่ยเรียกเมื่อเห็นนกหนุ่มกำลังจมไปกับความคิดอะไรบางอย่าง

          “เรา...เอ๊ย! ผมสบายดีครับ...”

          “พิมพ์ดูเปลี่ยนไปมากนะลูก”

          “ครับ?”

          มะลินิ่งไปเมื่อได้ยินหญิงชราทักเช่นนั้น เขากับพินมองหน้ากันงงงวย ก่อนพินจะรีบพูดแทรกเปลี่ยนบรรยากาศ

          “คุณยาย! พินมีอะไรจะให้คุณยาย เดี๋ยวพินขอเวลาไปเตรียมตัวก่อน”

          พูดจบเขาก็รีบลุกขึ้นพลางฉุดมะลิที่กำลังนั่งนิ่งอยู่ให้ลุกตาม จากนั้นจึงก้าวเท้าเดินฉับๆไปทางสวน

          “มะลิออกไปเก็บดอกไม้กัน!”



          พินเดินนำนกหนุ่มลัดเลาะไปตามทางเดินในสวนเขียวสบายตา เขามองซ้ายมองขวาหาต้นมะลิที่ยังพอจะมีดอกให้เก็บเนื่องด้วยตั้งใจจะแสดงฝีมือร้อยมาลัยที่เคยร่ำเรียนมาตอนยังเด็กไปให้ยายได้ชื่นชมสักพวง

          “มะลิรู้มั้ยว่าชั้นอยู่ที่บ้านสวนกับคุณตาคุณยายมาตั้งแต่เด็กเลยนะ...”

          ชายหนุ่มร่างผอมบางเอ่ยขึ้นให้คนที่กำลังเดินตามต้อยๆฟัง พินเล่าไปพลางมือก็ไล้สัมผัสใบไม้เขียวไปพลาง

          “สมัยก่อนที่บ้านชั้นลำบากมาก เพราะพ่อที่เป็นวิศวะกรถูกฟ้องร้องเรื่องระบบดับเพลิงในอาคาร สู้คดีกันจนแทบหมดเนื้อหมดตัว งานก็ไม่มี มีแค่แม่ที่เป็นครูกับพี่ชายที่ต้องทั้งเรียนทั้งทำงานไปด้วยช่วยกันหาเลี้ยงครอบครัว ที่บ้านก็เลยตัดสินใจส่งชั้นให้มาอยู่กับตายายที่นี่”

          มะลิรีบเร่งฝีเท้ามาเดินขนาบข้าง ดวงตาสวยหวานสุกใสจ้องมองใบหน้าชายที่กำลังเล่าเรื่องด้วยความรู้สึกอมทุกข์ ทว่ากลับมีรอยยิ้มจางประดับที่มุมปาก

          “พี่พิมพ์เป็นพี่ชายที่เก่งมาก ทั้งๆ ที่ยังเป็นนักศึกษาอยู่แต่พี่เค้าก็ยังแบ่งเวลาได้ ทั้งเรียนทั้งทำงานไปด้วย หาเงินเลี้ยงดูตัวเอง แถมยังเรียนดีเกรดไม่เคยตกเลย ชั้นนับถือพี่เค้ามากจริงๆ ชั้นอยากเป็นให้ได้แค่ครึ่งนึงของพี่พิมพ์ก็ยังดี แต่พอดีชั้นหัวไม่ค่อยดีเท่าไหร่”

          พูดจบพินก็หัวเราะแหะหันไปยิ้มสดชื่นให้กับคนฟัง รอยยิ้มน่ารักที่ฉายอยู่บนใบหน้าของชายหนุ่มพาจิตใจของมะลิให้จมลงในความรู้สึกแปลกๆบางอย่างที่กำลังก่อตัวขึ้นโดยที่เขาเองก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก

          “หลังจากเวลาผ่านไปเกือบสิบปี ในที่สุดพ่อก็ชนะคดี ชั้นได้กลับมาอยู่กับครอบครัวตามเดิม แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ชั้นก็มีความสุขนะถึงตาจะดุมากก็เหอะ”

          พูดจบพินก็ขำขึ้นเมื่อนึกถึงความซุกซนของตัวเอง

          “นายรู้ป่ะว่าชั้นเคยเป็นห่วงต้นมะลิที่ปลูกเองเป็นครั้งแรก ก็เลยออกไปยืนกางร่มให้มันตอนที่พายุเข้า จนโดนคุณตาตีเกือบตาย”

          เสียงหัวเราะทุ้มนุ่มนวลของชายหนุ่มสำหรับมะลิทำไมถึงได้น่าฟังชวนหลงใหล มันไพเราะยิ่งกว่าเสียงใดที่เขาเคยได้ยิน ก้อนเนื้อในอกของนกหนุ่มเต้นแรงขึ้นทีละน้อย แสงแดดที่ฉายสะท้อนลงมากระทบเรือนผมดำสนิท ทำเอาดวงตาพร่าวูบระยิบระยับ ไม่รู้ว่าแดดมันร้อนเกินไปจนเขาชักจะเบลอหรือเป็นอะไรกันแน่

          “แต่คุณยายใจดีมาก เวลาโดนคุณตาดุก็จะมีคุณยายนี่แหละคอยมาช่วยชีวิต...แต่พอคุณตาไม่อยู่แล้วชั้นก็อดคิดถึงท่านไม่ได้เหมือนกันนะ...”

          ใบหน้าที่ยิ้มแย้มอยู่เมื่อครู่สลดลงเจือความเศร้าเอาไว้ เมื่อเอ่ยถึงคุณตาคุณยายพินดูมีความสุขมาก มะลิสัมผัสได้ถึงความรักที่ชายหนุ่มมีให้แก่ผู้ชราทั้งสอง ถ้าหากพินได้รู้ความจริงขึ้นมา ว่ายายผู้เป็นที่รักของเขากำลังจะจากไปมันจะเป็นเช่นไร

          ครู่หนึ่งคนทั้งสองก็มาหยุดลงตรงต้นไม้พุ่มเตี้ยที่ยังพอมีดอกอยู่ติดลำต้นประปราย มือเรียวของชายหนุ่มปลิดก้านดอกไม้สีขาวละมุนออกจากต้นอย่างเบามือ มะลิดอกแล้วดอกเล่าถูกเก็บใส่ตะกร้าหวายใบจิ๋วที่พินถือติดตัวมาจากในบ้าน เขาเอามือปาดเช็ดเหงื่อที่ซึมจากไรผมป้อยๆเมื่อร่างกายต้องต่อสู้กับความร้อน

          “เสียดายมาสายไปหน่อย ดูสิดอกมันเริ่มบานแล้ว”

          มะลิที่ตั้งอกตั้งใจมองพยายามทำตาม ทว่ามือไม้ก็เก้งก้างทำดอกไม้หลุดหล่นไปทั่วพื้น เขารีบเก็บดอกไม้ขึ้นจนมือขาวๆ เปรอะเปื้อนไปด้วยเศษดิน

          “ฮ่าๆๆ ทำอะไรเนี่ยมะลิ ดูสิเลอะเทอะไปหมด”

          พินหัวเราะใส่เมื่อเห็นท่าทางเงอะงะแถมมือของมะลิก็ยังเลอะไปด้วยคราบดินสีน้ำตาลเต็มไปหมด

          “พินก็เลอะเทอะเหมือนกันนั่นแหละ!”

          “หา? เลอะอะไร?”

          พินสังเกตเห็นสายตาของคนตัวสูงกว่าจับจ้องไปทางศีรษะของเขา มะลิยกมือขึ้นก่อนจะพิจารณาดูแล้วว่า มือขาวๆของเขามันช่างสกปรกเกินกว่าจะใช้การได้ เขาจึงเปลี่ยนใจเคลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้ ก่อนจะเป่าลมออกไล่กลีบดอกไม้น้อยที่บังอาจมาเกาะแกะอยู่บนเส้นผมของคนน่ารักออกไป

          กลีบดอกไม้ขาวปลิดปลิวล่องลอยไป เส้นผมที่ถูกลมกระทบไหวขึ้นไม่ต่างจากความรู้สึกข้างใน สายตาทั้งสองสบมองกันอย่างตั้งใจ ทำเอาใบหน้าเนียนค่อยๆร้อนวูบขึ้นโดยที่ระงับเอาไว้ไม่อยู่

          “พิน...”

          มะลิเอ่ยเรียกเสียงอ่อน ตอนนี้ความลังเลใจกำลังคุกคามความรู้สึก ใจหนึ่งเขาอยากจะบอกเรื่องช่วงเวลาที่เหลือของผู้เป็นยายให้พินได้รับรู้ ทว่าอีกใจหนึ่งเขากลับกลัวว่าความจริงนี้จะพรากรอยยิ้มอันสดใสไปจากคนตรงหน้า

          “เอ่อ..ชั้นว่าเราเข้าบ้านดีกว่า...”

          ดวงตาสวยคมพลันหลุบลงหลบความวูบไหวที่ถูกอีกฝ่ายส่งทอดให้ พินลุกลนรีบเดินจ้ำอ้าวเข้าบ้านไป โดยที่มะลิเองก็ไม่รอช้ารีบเดินตาม ก่อนจะล้างมืออย่างลวกๆกับก๊อกน้ำบริเวณหน้าบ้านที่มีคนงานใจดีวางขวดสบู่ทิ้งไว้เหมือนรู้ทัน

          “พิน...รอเดี๋ยว!”

          ถึงมะลิจะบอกให้รอ ทว่าคนที่เดินนำอยู่ก็ไม่มีทีท่าจะหยุดฝีเท้าลง พินที่เข้าไปในบ้านรีบหยิบจับคว้าข้าวของสำหรับร้อยมาลัยมาอย่างคนที่กำลังยุ่งที่สุดในชีวิต ไม่มีจังหวะให้มะลิเข้าไปแทรกได้เลย

          เพราะมันเขิน...

          เขารีบทิ้งตัวลงนั่งลงกับพื้นใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว นับวันอาการทางใจของพินที่มีต่อเจ้านกมะลิชักจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่ามะลิจะพูดอะไรจะทำอะไรล้วนทำให้เขาหวั่นไหวไปได้ทั้งนั้น เขาหยิบเข็มยาวแหลมขึ้นมือไม้สั่น ก่อนจะแทงเข็มเข้ากับดอกไม้น้อยสีขาว ทว่าไม่ใช่แค่ดอกไม้ เจ้านิ้วไม่รักดีดันทิ่มเข้าโดนเข็มไปด้วยเสียอย่างนั้น

          “โอ๊ย!”

          เลือดสีแดงฉานค่อยๆซึมออกจากปลายนิ้ว มะลิที่ได้ยินเสียงพินร้องอุบอิบรีบเข้ามาดูด้วยความเป็นห่วง

          “พิน! เป็นอะไรรึเปล่า?”

          พินที่เห็นชายหนุ่มเข้ามาใกล้รีบขยับตัวหนีเล็กน้อยพลางกุมมือของตนหันไปอีกทาง

          “แค่เข็มตำนิดเดียว ไม่เป็นไรหรอก”

          “พิน...”

          คนเจ็บรีบคว้ากระดาษทิชชู่มาซับหยดเลือดสีแดงที่ปลายนิ้วโดยไม่ยอมหันไปมองคนที่เรียกหาเขาแม้แต่น้อย มะลิเห็นทีท่าเช่นนั้นจึงรีบขยับตัวเข้าไปใกล้ขึ้น พลางเอี้ยวมองคนที่กำลังหลบหน้างุดอยู่ ตอนนี้เขาตัดสินใจแล้ว ว่ายังไงเขาก็ต้องบอกพินเรื่อง “คุณยาย”

          “ชั้นไม่เป็นไรจริงๆ”

          มือขาวยุดแขนคนซุ่มซ่ามเข้าหา มะลิพ่นลมหายใจออกก่อนจะส่งสายตาจริงจังกลับไป

          “พินฟังนะ...”

          นกหนุ่มเงียบเสียงอึกอักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกัดฟันพูดสิ่งที่เขารู้ดีว่าจะทำให้คนฟังต้องเสียใจขนาดไหนออกมา

          “คุณยายจะมีชีวิตอยู่ไม่พ้นคืนพรุ่งนี้...”

          ดวงตาสดใสพลันมัวหมอง ราวกับฟ้าทลายลงตรงหน้า ความเสียใจล้นขึ้นจนอึดอัด ความจริงที่พินได้ฟังและยอมรับมันไม่ได้จนต้องพาลใส่คู่สนทนา

          “มะลิอย่ามาพูดจาเหลวไหลนะ”

          สายตาเคืองขุ่นทว่าเศร้าสร้อยถูกส่งมา แต่มะลิก็ไม่ได้มีทีท่าลังเล เขาจ้องพินกลับไปด้วยแววตามั่นคงหนักแน่น

          “เราไม่ได้พูดเหลวไหล พินก็รู้ดีไม่ใช่หรอว่าเรา...คืออะไร?”

          อมนุษย์นกแสกที่สามารถมองเห็นลางมรณะได้ย่อมไม่มีความจำเป็นต้องโกหก ซึ่งพินรู้ความจริงข้อนี้เป็นอย่างดี พินเงียบเสียงลงไม่ตอบโต้ สายตาโกรธเกรี้ยวเมื่อครู่ผ่อนลงเหลือเพียงความเสียใจ ดวงตาสวยคมร้อนผ่าวชื้นขึ้น เขาบีบมือของตนแน่นจนเลือดที่เกือบจะหยุดไหลเริ่มซึมแดงเปื้อนผ่านกระดาษเนื้อบางชัดเจน

          ชายหนุ่มที่พยายามสงบสติอารมณ์ลงส่งมือเรียวไปคว้าดอกไม้น้อยขึ้นร้อยอย่างช้าๆ หัวใจสั่นเทาเจ็บปวด ความสูญเสียกำลังจะมาเยือนอีกครั้ง แม้หนนี้เขาจะได้รู้ล่วงหน้า ทว่ามันไม่อาจทอนความเสียใจลงไปได้เลย มะลิปวดใจที่เห็นคนตรงหน้ามีอาการเช่นนี้ หากอยากจะปลอบเขาควรจะทำอย่างไร ตอนนี้สิ่งเดียวที่นกหนุ่มพอจะทำได้คงจะมีแค่อยู่เคียงข้างคนๆ นี้...

          ไม่หายจากไปไหน...


++++++++++++++++



          สวัสดีค่า ในที่สุดพินกับมะลิก็ได้กลับมาเยี่ยมบ้านสวนกันแล้วนะคะ จากตอนนี้ก็จะทำให้ได้รู้ว่าพินถูกเลี้ยงดูมาแบบไหน ถึงได้โตมาเป็นผู้ชายนุ่มนิ่ม เอาใจใส่ แสนดีขนาดนี้ ^^

          ถึงแม้ว่าในตอนนี้พินจะถูกมะลิลากออกมาจากทุ่งลาเวนเดอร์จนต้องเสียใจ (อีกแล้ว) แต่พินเองก็เป็นคนที่เข้มแข็งมากคนนึงค่ะ เรามาให้กำลังใจ กอดพินกันเยอะๆนะคะ

หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! [My brother is the barn owl!] บทที่9 : หญิงชรา 29/07/19 UP!
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 29-07-2019 17:49:44
ตกลงว่านกแสก ....... ที่ใครๆว่าเป็นสัญลักษณ์ของความตาย  :hao3:
สามารถรู้ว่าความตายจะมาเยือนได้จริงๆ  :a5: o22
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! [My brother is the barn owl!] บทที่9 : หญิงชรา 29/07/19 UP!
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 29-07-2019 22:55:47
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! [My brother is the barn owl!] บทที่9 : หญิงชรา 29/07/19 UP!
เริ่มหัวข้อโดย: Timid Lily ที่ 30-07-2019 09:38:11
ตกลงว่านกแสก ....... ที่ใครๆว่าเป็นสัญลักษณ์ของความตาย  :hao3:
สามารถรู้ว่าความตายจะมาเยือนได้จริงๆ  :a5: o22
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

สำหรับนิยายเรื่องนี้คือใช่ค่า ถึงอย่างนั้นก็แค่มองเห็นเท่านั้น ไม่ได้ทำให้ใครตายหรอกน้า  :mew2:
หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! My brother is the barn owl บทที่10 : ในเงาจันทร์ 02/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: Timid Lily ที่ 02-08-2019 11:28:14
บทที่10 : ในเงาจันทร์

          ยามบ่ายที่ตะวันคล้อยไป หญิงชรานอนพักอยู่ในห้องเงียบสงบ ถึงแม้จะไม่ได้ง่วงทว่าร่างกายไร้เรี่ยวแรงไม่อาจฝืนให้เธอลุกขึ้นนั่งตัวตรงอยู่ได้ดังใจ

          ‘ก๊อก ก๊อก ก๊อก’

          เสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อนจะมีใครบางคนเอ่ยเรียกผู้ที่อยู่ภายใน

          “คุณยายครับ พินกับพี่พิมพ์ขอเข้าไปข้างในหน่อยนะครับ”

          “เข้ามาสิลูก”

         ชายหนุ่มสองคนเดินเข้ามาข้างใน จากนั้นจึงงับประตูห้องปิดลงอย่างเบามือ หญิงชราเห็นคนทั้งคู่เดินเข้ามาก็ยิ้มชื่นใจพยายามลุกขึ้นนั่ง

          “พินถามแม่แล้ว แม่บอกว่าคุณยายไม่ได้หลับ พินก็เลยเข้ามาหา”

          “แล้วพินมากับใครล่ะลูก?”

          คุณยายเอ่ยถามเมื่อเห็นหลานคนเล็กเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับชายไม่คุ้นหน้า เบื้องหน้าของเธอคือชายหนุ่มร่างสูง ผิวพรรณขาวสว่างผุดผ่อง จมูกโด่ง คิ้วคมเข้ม ทว่าดวงตากลับดูอ่อนหวานรับกับริมฝีปากอิ่ม เป็นมนุษย์รูปงามราวกับไม่ใช่สิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้

          “คุณยายหมายความว่ายังไงครับ? !”

          พินได้ยินผู้เป็นยายทักขึ้นมาเช่นนั้นก็ตกใจ หรือมันจะหมายความว่า ยายของเขาเองก็มองเห็นตัวตนที่แท้จริงของมะลิ ถ้าอย่างนั้นทำไมถึงไม่ทักถามตั้งแต่ที่เจอกันครั้งแรก

          “พ่อหนุ่มเป็นใครล่ะ? ทำไมยายเหมือนเห็นเจ้าพิมพ์กับพ่อหนุ่มคนนี้ซ้อนทับกันอยู่...”

          หญิงชราเอ่ยขึ้นกับมะลิโดยไม่แตกตื่นแม้แต่น้อย นกหนุ่มส่งยิ้มให้อย่างอบอุ่นพลางประคองมือเหี่ยวย่นขึ้นมากุมไว้

          “ผมมาดีครับ คุณยายไม่ต้องห่วง”

          รอยยิ้มอ่อนล้าฉายขึ้นบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งวัย นัยน์ตาสีขุ่นเพ่งพิจารณามองคนตรงหน้า

          “พ่อช่างรูปงามนัก มาจากสวรรค์รึเปล่า? ถ้าใช่ยายก็จะได้ไม่ต้องห่วง”

          พินได้แต่มองคนทั้งสองสนทนากันอย่างงวยงง หญิงชราเห็นสีหน้าฉงนของหลานชายคนเล็กก็หันมาเอ่ย

          “พินเองก็อย่าดื้อกับพ่อเทวดาเขาล่ะ ท่านจะได้ปกปักรักษา”

          “ครับ?”

          พินตอบรับไปส่งๆ เพราะยังงงไม่หาย มะลิยิ้มขำน้อยๆเมื่อเห็นสีหน้าของชายหนุ่ม จากนั้นจึงเอ่ยรับปากกับผู้เป็นยาย

          “ไม่ต้องห่วงครับ ผมจะดูแลคุ้มครองพินไม่ให้ต้องลำบากหรือเจอกับอันตรายใดๆ”

          พูดจบมะลิก็สบตาพินลึกซึ้ง ทำให้คนถูกมองชักจะเขินรีบคว้าพวงมาลัยดอกมะลิเยินๆขึ้นมาส่งให้กับยายของเขา

          “ยายครับ พินร้อยพวงมาลัยมาให้”

          หญิงชรารับพวงมาลัยมาชื่นหัวใจ ในมือเหี่ยวย่นของเธอประคองพวงดอกไม้บูดเบี้ยวชอกช้ำอย่างทะนุถนอม เธอหัวเราะขึ้นเมื่อเพ่งพิจารณาฝีมือของหลานชาย

          “ร้อยเก่งขึ้นนี่เรา แต่ก็ยังไม่ได้เรื่องเหมือนเคย”

          ถ้าพูดถึงงานบ้านงานเรือนหลานชายคนนี้ก็ยังพอจะทำได้ แต่ถ้าพูดถึงงานฝีมือนั้นไม่ได้เรื่องเลยสักนิด ชายผู้ใช้ชีวิตในสวนมะลิมาตั้งแต่ยังเล็กมีหญิงผู้นี้คอยเป็นครูสอนวิชาร้อยดอกไม้ให้ แต่ดูเหมือนว่าจะเข็นให้ตายยังไงพินก็เอาดีทางนี้ไม่ได้จริงๆ

          “ขอบใจนะลูก ยายดีใจมากที่พินตั้งใจร้อยมาลัยมาให้ยาย”

          พินพูดไม่ออกได้แต่หัวเราะแหะส่งรอยยิ้มจางพลางมองสบตาคุณยายผู้เป็นที่รักของเขา น้ำอุ่นรื้นเอ่อขึ้นในดวงตา พินพยายามสะกดกลั้นมันไว้ไม่ให้ไหลออก แม้ว่ามันจะฝืนจนรู้สึกทรมานก็ตาม



          หลังจากที่คนทั้งสามคุยเล่นกันอยู่พักหนึ่ง หลานทั้งสองก็ตัดสินใจปล่อยให้หญิงชราได้พักผ่อน ทั้งคู่เดินออกจากห้อง เมื่อประตูปิดลงพินก็เอ่ยถามถึงสิ่งที่ค้างคาใจอยู่เมื่อครู่กับนกหนุ่ม

          “ทำไมคุณยายถึงมองเห็นมะลิล่ะ?”

          คนถูกถามนิ่งไป เขากลัวว่าคำตอบจะทำร้ายคนฟังเข้าอีกครั้งหนึ่ง

          “มะลิ...?”

          มะลิถอนใจเฮือกใหญ่สีหน้าเคร่งเครียดก่อนจะเอ่ยพูดโดยไม่สบตา

          “พินทำใจไว้เถอะนะ...”

          เมื่อพินได้ยินดังนั้นก็ซึมไปไม่กล้าถามอะไรต่อ คนทั้งคู่เดินห่างจากห้องของหญิงชราออกมาทีละน้อยไม่หันกลับไปมอง มีเพียงความเงียบที่ถูกทิ้งไว้ย้อมบรรยากาศโดยรอบให้มัวหมอง



          วันรุ่งขึ้นคุณยายถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลด่วนและเสียชีวิตในคืนถัดมาท่ามกลางความเศร้าโศกของทุกคน...





          ยามพลบค่ำที่อากาศอบอ้าว ภายในศาลาวัดคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นควันธูปซึ่งผู้มาเยือนได้จุดขึ้นไหว้อำลาผู้จากไปเป็นครั้งสุดท้ายด้วยความอาลัย พินช่วยทำหน้าที่จุดธูปส่งให้แขกดอกแล้วดอกเล่าโดยที่น้ำตาก็ยังคลอเบ้าอยู่ ผู้เป็นแม่เห็นเข้าจึงเข้าไปหา ใจหวังจะปลอบประโลมให้ลูกน้อยได้คลายเศร้า

          “พิน...ไม่เอาน่ะลูก ถ้ายังไม่หยุดร้องเดี๋ยวยายแกจะเป็นห่วงรู้รึเปล่า?”

          ชายหนุ่มพยายามกลั้นกลืนน้ำตาไม่ให้ร่วงออกมา ทว่ามันช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน

          “แม่ก็เหมือนกัน...ดูสิตาบวมไปหมดแล้ว”

          พินเอ่ยขึ้นน้ำเสียงเครือ พลางสบดวงตาสวยทว่าแดงช้ำของผู้เป็นแม่

          “ลูกรู้มั้ยว่าตลอดระยะเวลาที่ยายรักษาตัว ยายเก่งมากเลยนะ ไม่ว่าจะเจ็บปวดขนาดไหนก็อดทนสู้ กำลังใจดีมาก แทบจะเคยไม่งอแงกับแม่เลย”

          พูดไปน้ำตาก็เอ่อขึ้นมาอีกครั้ง ทำให้ลูกชายที่กำลังตั้งใจฟังจับมือส่งทอดไออุ่นให้แก่หญิงวัยกลางคนแนบแน่น

          “ยายดีใจมากเลยนะที่รู้ว่าหลานๆจะมาเยี่ยม ทำตัวกระชุ่มกระชวยสดชื่น จนแม่...”

          แม่ลูกสบตามองกัน น้ำตาของเธอที่เอ่ออยู่นั้นร่วงเผาะลงมา

          “...ดูไม่ออกเลยว่า...นั่นจะเป็นกำลังเฮือกสุดท้ายของยาย...”

          พูดจบเธอก็สะอื้นขึ้น พินที่นั่งอยู่เคียงข้างค่อยๆเอนตัวลงซบบ่าแสนบอบบางของผู้เป็นแม่ เขาไม่สามารถหยุดน้ำตาไม่ให้ไหลได้อีกต่อไป

          “แม่...พินตัดสินใจแล้วว่าพินจะไว้ผมยาว จะได้เอาไปบริจาคให้ผู้ป่วยโรคมะเร็ง”

          พินเอ่ยขึ้นหลังจากนึกถึงสภาพของหญิงชราก่อนที่จะจากเขาไป ผมสีดอกเลาที่เคยสวยของคุณยายร่วงไปจนหมด อย่างน้อยเขาหวังว่าความตั้งใจนี้จะช่วยเหลือผู้ป่วยที่ยังคงต่อสู้กับโรคร้ายได้บ้างไม่มากก็น้อย

          สองแม่ลูกส่งสายตามองทอดไปยังโลงสีขาวที่ประดับลวดลาย ซึ่งเป็นที่พักพิงสุดท้ายของผู้วายชนม์ หยดน้ำตาใสไหลรินอาบแก้ม ภายในใจอาลัยแสนโศกเศร้าถึงผู้ที่หลับใหล...ตลอดกาล...



          มะลิที่นั่งมองแผ่นหลังของคนทั้งสองอยู่ห่างๆรู้สึกเศร้าซึมไม่แตกต่าง แม้ว่าเขาจะเพิ่งพบหญิงชราเป็นหนแรก แต่ชายหนุ่มก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและความรักที่เธอมีให้กับหลานๆได้เป็นอย่างดี

          บรรยากาศแสนเศร้า...บรรยากาศที่เขาจำได้...บรรยากาศที่ฝังอยู่ในความทรงจำ

          โลงศพสีขาว พวงหรีดละลานตา ควันธูปคละคลุ้งและใบหน้าเกรี้ยวโกรธ

          ‘ไหม!’



          ‘ก๊อก ก๊อก ก๊อก’

          หญิงสาวผมยาวประบ่าเคาะมือลงบนโลงไม้สีขาวเนื้อดี พลางเอ่ยเรียกหาแม่ของเธอด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเจ็บปวด

          “แม่...กินข้าวนะ...”

          เธอผละตัวออกจากความเศร้าเสียใจตรงหน้า พลันเสียงหนึ่งที่คุ้นเคยเอ่ยเรียกขึ้น

          “ไหม...”

          เมื่อหญิงสาวหันไปมอง ชายที่ปรากฏตรงหน้าเธอคือทนายหนุ่มเพื่อนรักนั่นเอง ทว่าสีหน้าแววตาที่ไหมส่งไปให้พิมพ์กลับเต็มไปด้วยความโกรธเคือง ชิงชัง...และรังเกียจ

          “แกมาทำไม? !”



          ความทรงจำหยุดลงแค่นั้น ความไม่เข้าใจสงสัยคุกคามความรู้สึกของมะลิอีกครั้ง จนต้องหันไปถามผู้เป็นพ่อซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ

          “พ่อ...แม่ของไหมเป็นอะไรตาย? ผมจำไม่ได้”

          ถึงชายวัยกลางคนจะนึกสงสัยที่อยู่ๆคนเป็นลูกก็นึกเอ่ยถามเรื่องนี้ขึ้นมา แต่เจ้าตัวก็ยอมเล่าไม่อิดออด

          “เท่าที่พ่อพอจะรู้แม่ของไหมเค้าฆ่าตัวตาย”

          “ฆ่าตัวตาย” คำนี้อีกแล้ว คำที่หลอกหลอนอยู่ในความรู้สึกของมะลิ คำที่เขาไม่อยากได้ยิน ทว่าทำไมมันถึงได้พัวพันอยู่กับคนที่รายล้อมรอบตัวพิมพ์อย่างมีนัยยะ

          “แม่ของไหมป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงก็เลยท้อแท้เพราะรู้ตัวดีว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกไม่นาน แถมยังมีอาการซึมเศร้าร่วมด้วย ก็เลยกินยานอนหลับเกินขนาดจนเสียชีวิต”

          แล้วสายตานั่น สีหน้าเช่นนั้นที่ไหมมองมา มันหมายความว่าอะไร ทำไมไหมถึงปฏิบัติกับพิมพ์ราวกับว่าเพื่อนรักคนนี้เป็นคนที่ทำให้เธอ...

          ต้องทนทุกข์อยู่ในสภาพเจ็บปวดแสนสาหัสถึงเพียงนี้...





          ยามราตรีดึกสงัด ชายหนุ่มร่างผอมบางนั่งทอดอารมณ์เหม่อลอยน้ำตารื้นอยู่ภายนอกตัวบ้านอย่างเงียบเชียบ มีเพียงเสียงแมลงร้องระงมและแสงจากพระจันทร์เต็มดวงฉายสว่างผุดผ่องคอยเป็นเพื่อน ร่างๆหนึ่งทิ้งตัวลงนั่งเคียงข้าง เมื่อนกหนุ่มเห็นหยดน้ำใสๆไหลรินอาบลงมาก็อดที่จะเอื้อมมือไปสัมผัสซับไว้ไม่ได้

          “....!”

          พินสะดุ้งขึ้นน้อยๆเมื่อมืออุ่นปาดเช็ดน้ำตาที่อยู่บนแก้มเนียนของเขาโดยไม่รู้ตัว ชายหนุ่มสบตามองคนกำลังเศร้าอย่างห่วงใยจากนั้นจึงละมือออก

          “มะลิ...”

          “พินมานั่งทำอะไรมืดๆตรงนี้คนเดียว?”

          ดวงตาคมมองหลบไปอีกทาง มือไม้ก็พลางยกขึ้นขยี้เช็ดน้ำตาที่พรั่งพรูลงมาไม่ขาดสาย

          “ชั้น...คิดถึงยายนิดหน่อยน่ะ...”

          นัยน์ตาสวยแดงฉ่ำ ปากหยักที่เจ่อช้ำเนื่องจากร้องไห้อย่างหนัก จมูกได้รูปนั้นผ่อนลมหายใจเข้าออกไม่เป็นจังหวะ ชายหนุ่มสะอื้นฮึกทำให้น้ำเสียงสั่นยามเอื้อนเอ่ย

          “คุณยายท่านเหนื่อยมามากแล้ว ตอนนี้ท่านได้พักผ่อนแล้วนะพิน”

          มือเรียวที่ปาดเช็ดน้ำตาเมื่อครู่ยกลงช้าๆ พินสบตาอ่อนหวานของคู่สนทนากลับไปและปล่อยให้คนตรงหน้าปลอบโยนอย่างเต็มใจ

          “พินอย่าเสียใจไปเลยนะ คุณยายท่านไม่ได้หายไปไหนรู้รึเปล่า?”

          คนฟังกะพริบตาลงอย่างไม่เข้าใจ มือขาวเอื้อมมาสัมผัสมือเรียวทะนุถนอมอ่อนโยน แสงจันทร์นวลสาดกระทบใบหน้าเปื้อนน้ำตาสะท้อนหยดน้ำเป็นประกายราวกับอัญมณีต้องแสงชวนให้หลงใหล

          “คุณยายยังอยู่ตรงนี้...”

          มะลิกุมมือของพินขึ้นทาบบนแผ่นอกบอบบาง พินสัมผัสได้ถึงก้อนเนื้อในอกของตนที่กำลังเต้นแรง แรงขึ้น...แรงขึ้น เนื่องจากสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจนร้อนที่นกหนุ่มส่งมาให้ หยดน้ำที่รินไหลเมื่อครู่เริ่มเหือดแห้งไป ทิ้งไว้เพียงความรู้สึกหวั่นไหวเคว้งคว้างท่ามกลางหมู่ดาวและแสงจันทร์

          มะลิส่งรอยยิ้มมาชวนให้มอง พินหลุบตาลงก่อนจะช้อนขึ้นสบคนตรงหน้าใจวูบหวาม สายตาเศร้าหมองทว่าชวนครอบครองกระตุ้นให้คนที่ถูกมองเคลื่อนใบหน้าเข้าหา ดวงตาสวยคมหลับลงทิ้งไว้เพียงขนตายาวงดงามสั่นระริก จมูกโด่งสัมผัสลากไล้ไปบนแก้มเนียนละมุน กลิ่นหอมสบู่อ่อนๆของคนตัวบางโชยขึ้นชวนเคลิบเคลิ้ม ริมฝีปากของคนทั้งสองใกล้กันจนเกือบจะจรดแตะสัมผัส

          ทว่า...

          คนที่กำลังปล่อยใจไปกับความเคลิบเคลิ้มชะงักงัน มะลิตกใจกับสิ่งที่ตนเองกำลังจะทำลงไป ถึงแม้ว่าเขาจะเคย “จูบ” ชายผู้น่าหลงใหลเบื้องหน้าของเขามาก่อน แต่ความรู้สึกที่กำลังจะมอบให้กลับไม่เหมือนเคย สัมผัสเมื่อครั้งนั้น กับเจตนาในครั้งนี้ แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

          ความรู้สึกหนึ่งตื้อขึ้นเต็มอก หัวใจที่สั่นราวกับกำลังจะแตกสลายนี้คืออะไร ความไม่เข้าใจถาโถมเข้าใส่ สิ่งที่เขากำลังรู้สึกมันเรียกว่าอะไร เป็นสิ่งที่มะลิไม่เข้าใจ เรื่องที่รู้ตอนนี้มีเพียง “พิน” กำลังจะกลายเป็นโลกทั้งใบของอมนุษย์เช่นเขา

          “เอ่อ...”

          พินที่เพิ่งได้สติจากห้วงแห่งความอ่อนไหวเอ่ยขึ้นขัดเขิน เขาดึงมือที่ถูกกุมไว้ออกพลางหลบตาไปอีกทาง

          “ชั้น...ไปนอนก่อนนะ...”

          ชายหนุ่มผุดลุกขึ้นเดินก้มหน้างุดหายลับเข้าบ้านไป ทิ้งมะลิเอาไว้ท่ามกลางความสับสนว้าวุ่นใจ เขาตกใจตัวเองที่เริ่มแปลกไป เป็นครั้งแรกที่อมนุษย์อย่างเขาหวั่นไหวขนาดนี้ เมื่อทบทวนความรู้สึกดูดีๆ คำตอบเดียวที่พอจะให้กับตัวเองได้ก็คือ...

          เขาได้มอบหัวใจดวงนี้ให้กับมนุษย์ที่ชื่อ “พิน” ไปเสียแล้ว



++++++++++++++++


          มะลิในเวลาปกติมักจะดื้อด้านก้าวร้าวแล้วก็บ้าๆบอๆนะคะ แต่จากสองตอนล่าสุดจะเห็นมุมที่อ่อนโยนและอบอุ่นมากๆของเจ้านกสุดต๊องคนนี้ ซึ่งสาเหตุเดียวที่ทำให้พระเอกของเรามีพัฒนาการก็คือพินนั่นเองค่ะ

          ส่วนพินเป็นผู้ชายอ่อนไหวอยู่แล้ว และเป็นคนที่เก็บความรู้สึกไม่เก่งค่ะ เพราะฉะนั้นถ้ามะลิไม่เซ่อจนเกินไปยังไงก็ต้องรู้แน่ๆว่าพินรู้สึกยังไง ^^

          ในตอนนี้ความทรงจำของพี่พิมพ์พยายามจะบอกเรื่องราวบางอย่างกับมะลิอีกแล้ว พระเอกของเราก็คงต้องพยายามรื้อฟื้นเรื่องราวที่เกิดขึ้นต่อไป มาเอาใจช่วยมะลิกันด้วยนะคะ ขอบคุณสำหรับการติดตามเช่นเคยค่า

หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! My brother is the barn owl! บทที่10 : ในเงาจันทร์ 02/08/19 UP!
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 02-08-2019 20:47:58
 :pig4:
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! My brother is the barn owl! บทที่11 : สังหรณ์ 05/08/19 UP!
เริ่มหัวข้อโดย: Timid Lily ที่ 05-08-2019 19:18:58
บทที่ 11 : สังหรณ์

          หลังจากเสร็จสิ้นพิธีศพของหญิงชราผู้เป็นที่รักแล้ว พ่อก็กลับไปทำงานต่อที่ประเทศอินเดีย ส่วนแม่ยังอยู่สะสางธุระที่สวนมะลิ ก่อนจะส่งต่อให้กับเจ้าของคนใหม่ ครอบครัวกลับไปใช้ชีวิตตามปกติสุขเช่นเดิม ยกเว้นความรู้สึกของใครบางคนที่แปรเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน

          ชายหนุ่มตัวสูงชะลูดนอนทิ้งตัวอยู่บนโซฟาปล่อยใจไปกับความสับสนว้าวุ่น ยามนี้เขามั่นใจแล้วว่า สิ่งที่ก่อตัวขึ้นและกำลังส่งผลกระทบรุนแรงกับหัวใจของเขาอยู่นี้เรียกว่า “ความรัก”

          เสียงฝีเท้าเบาย่องเข้ามาในบ้านอย่างเงียบงัน แมวดำแววตาซุกซนกระโดดแผล็วขึ้นไปขดอยู่บนตัวนกหนุ่มอย่างไม่เกรงใจ ก่อนจะเอ่ยถามหาคนที่เขาตั้งใจมาเยี่ยมจริงๆ

          “พินไปไหนงั้นหรือเจ้านกแสก?”

          คนถูกกวนก้มหน้ามองเจ้าก้อนขนสีดำที่เกาะแกะอยู่บนแผ่นอกกว้างของตนพลางขมวดคิ้วยุ่ง

          “พินไม่อยู่...พินไปทำธุระที่มหาวิทยาลัย”

          “งั้นหรอ...น่าเสียดาย เรากะจะแวะมาหาพินเสียหน่อย ไม่ได้เจอตั้งอาทิตย์นึง คิดถึงจะแย่...”     

          คำว่า “คิดถึง” ทำให้เจ้านกฉุนขึ้นไม่น้อย มะลิผุดตัวลุกขึ้นพรวดจนแมวน้อยต้องกระโดดหนีลงก่อนจะหน้าคะมำ

          “เป็นอะไรของแกเจ้านกแสก คิดอะไรอยู่งั้นหรือ?”

          นินจาเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นคู่สนทนาแสดงสีหน้าเหมือนคนมีอะไรในใจ

          “แก...เคยหลงรักมนุษย์รึเปล่า?”

          แมวดำที่กำลังบรรจงเลียอุ้งเท้าของตนถึงกับหยุดชะงักตาลุกวาว เขาหัวเราะขึ้นก่อนจะเอ่ยล้อเจ้านกหนุ่ม

          “ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ แกเจ้านกแสก แก่แดดริจะมีความรักงั้นหรอ? แถมยังไปหลงรักมนุษย์ซะอย่างนั้น”

          คิ้วเข้มขมวดยุ่งขึ้น มะลิมองตาขวางใส่เจ้าก้อนขนพูดมากไม่สบอารมณ์นัก

          “เราไม่ได้แก่แดด เห็นอย่างนี้เราก็มั่นใจว่าเราเกิดมาบนโลกนี้ก่อนแกแน่ๆ เจ้าแมวโง่!”

          ถึงร่างมนุษย์ของมะลิจะดูเหมือนชายหนุ่มรุ่นราวยี่สิบห้ายี่สิบหก ทว่าอายุจริงของนกหนุ่มนั้นยาวนานไม่แพ้คุณตาคุณยายของพินแป็นแน่ ส่วนนินจาไม่มีอะไรจะเถียง เพราะเอาเข้าจริงๆเขาก็ลืมตาขึ้นมาดูโลกได้เพียงสิบกว่าปีเท่านั้น เพียงแต่ออกจะเจนจัดกร้านโลกไปสักหน่อย

          “เอาเถอะ! แล้วแกไปหลงรักใครเข้าล่ะ? มนุษย์ที่ชื่อชิชาภรรยาเจ้าของร่างงั้นรึ?”

          “เปล่า...”

          “แล้วใครล่ะ หมอหญิงใช่รึเปล่า?”

          “ไม่ใช่...”

          “อย่าบอกนะว่า...”

          “เราหลงรักพิน”

          “แค่ก” จู่ๆ เจ้าแมวก็รู้สึกราวกับจะสำลักก้อนขนออกมาเสียอย่างนั้น มะลิที่ทำหน้ามุ่ยอยู่เมื่อครู่ หน้าง้ำยุ่งยับไปกว่าเดิมเมื่อเห็นปฏิกิริยาของแมวนินจา

          “แก...ตัดใจซะเถอะ...”

          มะลิอดไม่ได้ที่จะส่งสายตาตั้งคำถามกลับไปเมื่อได้ยินดังนั้น

          “ในโลกมนุษย์ความรักของเพศเดียวกันเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ยาก และที่สำคัญแกอย่าลืมว่าแกใช้ร่างพี่ชายของพินอยู่ แถมยังแต่งงานแล้วอีกต่างหาก ความรักของแกมันเป็นไปไม่ได้หรอก...”

          ใบหน้าอ่อนหวานฉายแววแห่งความทุกข์ผิดหวัง ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าสิ่งที่เจ้าแมวน้อยพูดนั้นถูกต้องทุกอย่าง นกหนุ่มรู้ตัวดีว่าการที่เกิดความรู้สึกเช่นนี้มันผิด แต่ว่า...

          “เราตัดใจไม่ได้จริงๆ...”

          ‘แกร๊ก’

          จู่ๆเสียงลูกบิดประตูก็พลันดังขึ้น ทำให้นินจาตกใจลุกลี้ลุกลนแปลงกายเป็นร่างมนุษย์อย่างว่องไวก่อนจะนั่งลงบนโซฟาเคียงข้างนกมะลิที่กำลังมองสตรีผู้มาเยือนหน้าตาตื่นเช่นกัน

          “ชิชา...?”

          “ขอโทษทีที่ปุบปับเข้ามา แต่ชิชาโทรหาพิมพ์หลายสายแล้วพิมพ์ก็ไม่รับ พอดีเห็นไม่ได้ล็อกบ้านก็เลยเข้ามาน่ะ”

          หญิงสาวพูดจบก็มองสำรวจเด็กหนุ่มผิวเข้มที่นั่งหน้าเหวออยู่ข้างสามีของเธอ

          “แล้วนี่...ใครหรอ?”

          “สวัสดีครับ ผมชื่อนินเป็นเพื่อนของพิน พอดีนัดกับพินไว้ที่นี่แต่พินยังไม่กลับมาน่ะครับ”

          นินจาเอ่ยทักทายพลางยกมือไหว้อย่างนอบน้อม ชิชาพยักหน้ารับน้อยๆไม่ใส่ใจแล้วกลับไปสนใจชายหนุ่มอีกคน

          “แล้ว...ชิชามีธุระอะไรกับเรารึเปล่า?”

          “พอดีชิชาจำได้น่ะว่าวันนี้พิมพ์มีนัดกับหมอสมอง ชิชาเลยจะไปเป็นเพื่อน”

          “ไม่ต้องลำบากหรอกนะชิชา เดี๋ยวเราจะพาไปเอง”

          เสียงหญิงสาวอีกคนเอ่ยดังขึ้นมาจากทางประตู เป็นไหมนั่นเอง หมอหญิงเดินเข้ามาพลางส่งยิ้มให้กับทุกคนในบ้าน สัญญาณความยุ่งยากส่อเค้าขึ้นอีกครั้ง ถ้าเป็นไปได้มะลิอยากจะกลายร่างเป็นนกแล้วบินหนีไปจากตรงนี้ไปให้รู้แล้วรู้รอด

          “ไม่เป็นไร เรานัดกับพินไว้แล้ว ทั้งสองคนไม่ต้องลำบากหรอก”

          “อ้าว! พิมพ์ไม่รู้หรอกหรอว่าพินยังไม่เสร็จธุระที่มหาวิทยาลัย พินเป็นคนขอร้องให้เราพาพิมพ์ไปหาหมอแทน”     

          พลันโทรศัพท์ของนกหนุ่มก็สั่นขึ้น แน่นอนว่าคนที่โทรเข้ามาก็คือ “พิน” มะลิไม่รอช้ารีบกดรับสาย

          [มะลิ พี่ไหมไปถึงบ้านแล้วใช่มั้ย?]

          “อืม”

          [ขอโทษทีนะมะลิ พอดีชั้นยังไม่เสร็จธุระที่มหาลัยเลยน่ะ ชั้นก็เลยขอร้องพี่ไหมให้ช่วยพานายไปโรงพยาบาลแทน]

          “เข้าใจแล้ว ไม่เป็นไรหรอกเราไปกับไหมก็ได้”

          [ขอโทษจริงๆ นะมะลิ แล้วเดี๋ยวชั้นจะรีบกลับไป จะซื้อของที่นายชอบไปฝากเยอะๆ เลยนะ]

          “อื้ม...”

          [งั้นแค่นี้ก่อนนะ...]

          พินตัดสายไป ตอนนี้หญิงสาวสองคนกำลังจ้องมองมะลิไม่ลดละ คนเป็นเพื่อนยิ้มกริ่มให้ ในขณะที่คนเป็นภรรยาตีสีหน้าไม่พอใจอย่างคนแพ้

          “เข้าใจแล้วใช่มั้ยชิชา เธอก็ไม่ต้องลำบากแล้วล่ะ เดี๋ยวเราจัดการให้ คนเป็นแอร์ได้นอนไม่ค่อยเป็นเวลานี่ เธอกลับไปพักผ่อนจะดีกว่านะ”

          ชิชาส่งสายตาเคืองขุ่นไปให้กับแพทย์หญิงที่ยืนยิ้มร่า เธอหันไปเอ่ยเสียงแข็งกับชายผู้เป็นสามีก่อนจะกลับ

          “ถ้างั้นชิชาขอตัวก่อนแล้วกัน!”

          “ปัง” เสียงประตูปิดดังลั่นอย่างไม่เกรงใจ พฤติกรรมของหญิงสาวทั้งสองช่างน่าปวดหัว ที่น่าตลกก็คือทำไมคนที่เป็นเพื่อนสนิทถึงได้ถือไพ่เหนือกว่าคนเป็นภรรยาทุกครั้งไป

          “ถ้างั้นเราไปกันเถอะ เดี๋ยวรถจะติด”

          ไหมเอ่ยขึ้นพลางถือกุญแจรถของเธอเดินนำไป มะลิเอ่ยขอขึ้นอย่างหนึ่ง

          “ให้นินไปด้วยกันได้มั้ย?”

          “ได้สิ”

          เมื่อเห็นใบหน้าสดใสของหญิงสาวผู้นี้ ความทรงจำเกี่ยวกับงานศพก็ผุดขึ้นรบกวนจิตใจ สายตาแค้นเคืองของไหมนั้นต้องมีความหมายอะไรบางอย่างที่มะลิยังหาคำตอบไม่ได้ ทางที่ดีการที่มีนินจาอยู่เป็นเพื่อนในยามที่ไม่อาจไว้ใจใครก็นับเป็นความคิดที่ไม่เลว





          ชายหนุ่มนั่งเท้าคางอยู่ตรงม้าหินหน้าคณะโดยมีม่อนอยู่เป็นเพื่อน วันนี้พินตั้งใจจะมาทำธุระเรื่องจบการศึกษาที่มหาวิทยาลัยให้เสร็จแล้วรีบกลับ ทว่าทั้งน้องรหัส หลานรหัสต่างพากันแห่มาเซอร์ไพรส์ ทั้งบูมให้ เลี้ยงขนม ชวนคุยต่างๆนาๆจนปลีกตัวไปไหนไม่ได้ แถมเพื่อนกั้งตัวดีที่บอกว่าจะขอติดรถกลับหอด้วยก็หายตัวไปเฉยๆ     

          “ม่อน...กั้งมันหายไปไหนวะ? ทำไมไม่กลับมาซักที?”

          “มันไปตามหาหัวใจอยู่ที่คณะเภสัชนู่น!”

          ม่อนเอ่ยตอบพลางส่ายหัวยิ้มขำไปด้วย ดูเหมือนว่าคนที่กั้งชอบจะอยู่ที่คณะเภสัชศาสตร์ พินสาบานกับตัวเองว่าจะต้องรู้ให้ได้ว่าคนที่เพื่อนสาวสุดติงต๊องของเขามีใจให้เป็นใครกันแน่

          “นู่นไง วิ่งหน้าตั้งมาแล้ว!”

          หญิงสาวตัวเล็กวิ่งหน้าตาตื่นมาทางเพื่อนทั้งสองท่าทางดีอกดีใจมีความสุข กั้งโผเข้ากอดพินแน่นก่อนจะรีบพูดอย่างกระตือรือร้น

          “พวกแกๆ ฟังนะ...”

          ‘เอี๊ยด!!!!!’

          เสียงรถเหยียบเบรกยาวดังลั่นไปทั่วท้องถนน ตามด้วยเสียงแตรหวีดแสบแก้วหู ไม่รู้ทำไมเสียงที่อยู่ไกลออกไป กลับทำให้ใจของชายหนุ่มหล่นวูบสังหรณ์ไม่ดี

          ‘มะลิ...?!’

          เหงื่อเย็นค่อยๆ ซึมออกจนมือชื้น พินกะพริบตาเร็วๆ เรียกสติก่อนที่ลุกพรวดขึ้นจากม้านั่ง

          “กั้ง! กลับเถอะ! เราจะรีบตามพี่พิมพ์ไปที่โรงพยาบาล”

          “อ้าวจะรีบไปไหนวะแก? แล้วอีม่อนล่ะ...ไม่รอแฟนเป็นเพื่อนมันแล้วหรอ?”

          กั้งเอ่ยถามเมื่อเห็นเพื่อนชายของเธอลนลานรีบจะกลับบ้าน

          “ไม่เป็นไรพวกแกไปกันเถอะ ม่อนรอคนเดียวได้”

          “โทษทีนะม่อน”

          พูดจบพินก็ผละตัวไปโดยที่มีกั้งเดินตามมาติดๆ ความรู้สึกประหลาดนี้หมายความว่ายังไง พินเองก็ไม่เข้าใจ รู้เพียงแค่ตอนนี้เขาอยากจะรีบกลับไปเจอนกหนุ่มให้เร็วที่สุด





          “จากที่หมอดู...คุณมีอาการปกติดีนะครับ ที่ผ่านมารู้สึกมีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือผิดปกติไปรึเปล่าครับ?”

          นายแพทย์สูงวัยเปิดประวัติการรักษาที่ผ่านมาพลางพิจารณาทีท่าของคนไข้ โดยที่มีศัลยแพทย์หญิงกับเด็กหนุ่มอีกคนร่วมฟังอย่างตั้งใจ

          “ผมเริ่มจำเรื่องราวหลายๆอย่างได้ลางๆครับคุณหมอ”

          “จริงหรอพิมพ์? ทำไมแกไม่เห็นบอกชั้นบ้างเลยข่าวดีขนาดนี้”

          ไหมเอ่ยแทรกขึ้นด้วยความยินดีดวงตาวาวโรจน์เป็นประกาย ทว่ามะลิกลับไม่แสดงความรู้สึกใด เขายังคงนั่งนิ่งฟังคำพูดของนายแพทย์ต่อไป

          “เป็นสัญญาณที่ดีนะครับ หมอคิดว่าความทรงจำของคุณจะค่อยๆกลับมา แต่มันอาจต้องใช้เวลาอยู่ซักหน่อย”

          มะลิเองก็ได้แต่หวังใจว่าความทรงจำของพิมพ์กำลังจะกลับมาในเร็ววันเช่นกัน เพื่อที่จะได้รู้กันเสียทีว่าใครกัน...ที่หวังปองร้ายทนายหนุ่มจนถึงแก่ชีวิต



          กว่าจะเสร็จธุระปะปังที่โรงพยาบาลก็เข้าสู่ช่วงพลบค่ำแล้ว คนสามคนเดินเรื่อยมาโดยมีจุดหมายปลายทางคือลานจอดรถ นอกจากหญิงสาวจะช่วยพาชายหนุ่มมาหาหมอถึงที่แล้ว เธอยังรับผิดชอบที่จะไปส่งเพื่อนของเธอให้ถึงบ้านโดยสวัสดิภาพอีกด้วย

          “ขอบคุณนะไหมที่ช่วยมาเป็นธุระให้...ขอโทษด้วยที่ต้องรบกวน”

          “ไม่เป็นไรหรอกพิมพ์ เราเต็มใจ พอดีเรากลับมาที่บ้านอยู่แล้วไม่ได้ลำบากอะไร”

          ‘Rrrrrr’

          เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น หมอหญิงรีบรับสายโดยกลัวว่าจะมีธุระด่วน

          “ฮัลโหล...อื้ม กำลังจะกลับแล้ว”

          ไหมเอ่ยตอบเสียงปลายสายในขณะที่กำลังเดินนำคนทั้งสองอยู่ ตอนนี้มะลิคิดถึงพินใจจะขาด อยากรีบกลับบ้านให้เร็วที่สุด ไม่ว่าอะไรก็ดูยึกยักชักช้าไปหมด

          “ว่าไงนะ...? แป๊บนึงนะ...”

          หญิงสาวชะงักเท้า เธอยกโทรศัพท์ออกจากหูแล้วหันมาพูดกับชายทั้งสอง

          “เดี๋ยวพิมพ์กับนินรอตรงนี้แล้วกันนะ เราจะไปเอารถลงมาจะได้ไม่ต้องเดินไกล ที่จอดรถมันแคบด้วย”

          ไหมตัดสินใจให้ชายทั้งสองยืนรอที่อาคารจอดรถติดถนนด้านหลังโรงพยาบาลอันเงียบสงัดไร้ผู้คน จากนั้นเธอก็เดินหายลับไปในอาคารจอดรถอันแสนแออัด

          “ฮัลโหล...เราคุยกันแล้วไม่ใช่หรอ...”

          เสียงหมอหญิงที่กำลังคุยโทรศัพท์เริ่มห่างออกไปจนไม่ได้ยิน คนทั้งสองทิ้งตัวลงนั่งรอตรงเก้าอี้พลาสติกที่ถูกเชื่อมไว้ด้วยเหล็กเป็นแนวอย่างเบื่อหน่าย

          “เราอยากกลับบ้าน...”

          มะลิบ่นอุบอิบ ทำให้เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆหรี่ตายิ้มเย้ยเบาๆ

          “อย่าบ่นไปเลยน่าเจ้านก แกต้องทำหน้าที่ของมนุษย์บ้าง จะมามัวเอาแต่ใจอยู่ไม่ได้”

          “แกไม่เข้าใจเราหรอกเจ้าแมว เพราะแกไม่มีบ้านให้กลับ...”

          ถึงนินจาจะฉุนขึ้นที่ถูกเจ้านกซื่อบื้อพูดสวนมาแบบนี้แต่เขาก็เถียงไม่ออก แมวจรอย่างเขาไม่มีที่ให้กลับ ไม่มีแม้แต่คนจะให้คิดถึง สีหน้าหงุดหงิดเมื่อครู่อ่อนลง แมวน้อยเหม่อลอยนึกถึงใครบางคนขึ้นมา...

          ...ใครบางคนที่ตั้งชื่อ “นินจา” ให้กับเขา

          “เป็นอะไรของแกเจ้าแมว ทำไมหงอยซะแล้วล่ะ?”

          “ยุ่งน่า!”

          รอยยิ้มชวนหัวฉายขึ้นบนใบหน้าเจ้านกหนุ่ม ถึงอมนุษย์ทั้งสองจะชอบโต้เถียงกันอยู่บ่อยๆ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามิตรภาพกำลังก่อตัวแน่นแฟ้นขึ้นทุกวัน

          “นี่...เจ้านกแสก...ตอนแกอยู่ตัวคนเดียวแกเหงาบ้างรึเปล่า?”

          มะลิเลิกคิ้วประหลาดใจที่ได้ยินคำถามอ่อนไหวจากแมวหนุ่ม ซึ่งปกติชอบทำตัวเหมือนไม่อยากผูกมัดกับอะไร เขายิ้มอย่างอ่อนโยนพลางตอบกลับไป

          “เมื่อก่อนเราไม่เคยรู้จักว่าความเหงาคืออะไร...จนได้มาเจอกับพิน...”

          นินจารู้สึกจุกอยู่ในใจ ความรู้สึกของมะลิกับเขาไม่ได้แตกต่างกันเลย ใครบางคนที่สอนให้เขาได้รู้จักกับความเหงา ใครบางคนที่เขายังคงคิดถึง ต่างกันตรงที่...คนๆนั้นไม่ได้อยู่เคียงข้างคอยให้ความรักความอบอุ่นกับเขาอีกแล้ว...

          “ทำไมมนุษย์หมอถึงไปนานจัง...?”

          เสียงบ่นพึมพำของมะลิเรียกนินจาออกจากภวังค์ นานแค่ไหนแล้วที่แมวจรอย่างเขาไม่ได้มานั่งพูดคุยปรับทุกข์กับใครแบบนี้

          “ทนรออีกหน่อยเถอะน่า”

          ได้ฟังนินจาพูดแบบนั้นมะลิก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่จนปอดแทบหลุด ใบหน้าก็บู้บี้บึ้งตึงเหนื่อยหน่าย ครู่หนึ่งเขาก็สังเกตเห็นว่าที่ถนนฝั่งตรงข้าม มีคนที่กำลังคิดถึงเปิดประตูลงจากรถท่าทางรีบร้อน เจ้านกตาวาวเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น

          “พิน!”

          นกหนุ่มลุกขึ้นยิ้มดีใจพลางตะโกนเรียกหาเสียงดัง นินจาไม่รอช้ารีบลุกขึ้นตาม ส่วนพินที่เห็นมะลิยืนยิ้มอยู่นั้นส่งยิ้มกลับไปให้คนมองได้ชื่นใจ

          มะลิร้อนรนอยากไปหาพินใจแทบขาดโดยไม่ได้สนใจว่าถนนที่ขวางกั้นระหว่างเขาทั้งสองจะกว้างใหญ่ขนาดไหน เขารีบก้าวลงไปสัมผัสกับพื้นลาดยาง ทว่าจู่ๆถนนที่โล่งว่างอยู่เมื่อครู่ก็มีรถยนต์พุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูงโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดให้คนข้าม

          “เจ้านก! ระวัง!”

          แมวหนุ่มตะโกนเตือนเสียงลั่น แสงไฟหน้ารถฉายวาบจนตาพร่า ขายาวๆที่ก้าวข้ามอยู่หยุดชะงักด้วยความตกใจ เด็กหนุ่มพุ่งตัวเข้าผลักมะลิออกให้พ้นทาง แรงรถที่วิ่งมาด้วยความเร็วปะทะเข้ากับร่างของนินจาผู้น่าสงสารอย่างรุนแรงจนกระเด็นลอยข้ามตัวรถไป

          รถคันนั้นขับหนีไปอย่างรวดเร็ว พินกับมะลิตกใจสุดขีดรีบวิ่งมาดูแล้วก็พบว่า...

          ร่างของนินจาที่ควรจะเป็นมนุษย์ตอนนี้ได้กลับไปเป็นแมวดำที่ไร้ลมหายใจ...

          “นินจา!”

          พินมองภาพเจ้าแมวน้อยด้วยใบหน้าซีดเซียว ทว่ามะลิกลับยังสงบสติอารมณ์เอาไว้ เขาช้อนร่างไร้วิญญาณขึ้นอย่างเบามือจากนั้นจึงลุกขึ้นยืน

          “พิน...กลับบ้าน...”

          “เอ๊ะ? !”

          พินไม่เข้าใจ สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยคำถาม พินคิดว่ายังไงก็โรงพยาบาลสัตว์ก็เป็นทางเลือกที่ดีกว่าบ้านเป็นไหนๆ

          “พิน...เชื่อเรา กลับบ้านเดี๋ยวนี้!”

          ถึงพินจะยังงงกับการตัดสินใจของมะลิอยู่ แต่เขาก็รีบเดินไปเปิดประตูรถแต่โดยดี มะลิขึ้นไปนั่งข้างคนขับโดยมีร่างของเจ้าแมวน้อยอยู่บนตัก

          ‘ครืด’

          โทรศัพท์ของมะลิสั่นเนื่องจากมีคนโทรเข้า นกหนุ่มกดรับสายของหมอไหมอย่างรีบร้อน

          “พิมพ์! พิมพ์อยู่ไหนเนี่ย? เราวนรถลงมาแล้วไม่เจอเลย”

          “ขอโทษทีนะพอดีเรารีบอยู่”

          “แล้ว...”

          ไหมยังพูดไม่ทันจบมะลิกดวางสายไปโดยไม่สนใจ เขาไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะตอบคำถามของใคร ตอนนี้เขาได้แต่เป็นห่วงร่างกายที่ค่อยๆ เย็นลงของแมวนินจา ชายหนุ่มได้แต่หวังว่าสิ่งที่เขาคิดไว้จะถูกต้อง ไม่เช่นนั้นเขาคงต้องรู้สึกผิดกับเพื่อนอมนุษย์ตนนี้

          ไปตลอดชีวิต...



++++++++++++++++



          นินจาน้อยเป็นเพื่อนที่มะลิพึ่งพาได้เสมอนะคะ ถึงแม้ว่าจะเด็กกว่ามากๆก็ตาม แถมยังเข้าอกเข้าใจและเป็นที่ปรึกษาได้ดีแทบจะทุกๆเรื่องอีกด้วย สำหรับตอนนี้เรามาเอาใจช่วยนินจากันดีกว่าค่ะ  มาติดตามกันต่อได้ในตอนหน้านะคะว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าเหมียวตาสองสีของเรา  ขอบคุณที่คอยติดตามนะคะ




หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! My brother is the barn owl! บทที่12 : นินจา 09/08/19 UP!
เริ่มหัวข้อโดย: Timid Lily ที่ 09-08-2019 10:39:57

บทที่12 : นินจา

      เสียงนกร้องเป็นสัญญาณเช้าวันใหม่ ร่างกายเล็กๆของเด็กชายขดอยู่ใต้ผ้าห่มอย่างมีความสุข เขาบิดขยับตัวเล็กน้อยเมื่อสัมผัสได้ถึงสิ่งรบกวน อุ้งเท้าเล็กเยื้องย่างมาตามผ้าห่มก่อนจะถูไถไซร้ศีรษะปุกปุยเข้ากับใบหน้าที่ยังไม่ลืมตาตื่น

          “แง้ว...”

          “อืม...”

          คนงัวเงียลืมตาขึ้นทีละน้อยก็พบว่า ลูกแมวน้อยสีดำสนิทกำลังจ้องมองเขาด้วยดวงตาสองสีน่าพิศวง

          “นินจา...มาปลุกเมฆหรอ?”

          เด็กชายอุ้มลูกแมวน้อยขึ้นมาคลอเคลีย ทางด้านเจ้าเหมียวก็ดูมีความสุขไม่น้อยเช่นกัน

          ‘หอมจัง...’

          กลิ่นหอมเย็นเอื่อยๆของดอกไม้ลอยแตะจมูก เมื่อลุกขึ้นนั่งเมฆก็พบว่าดอกโมกสีขาวละมุนถูกโปรยเต็มเตียงนอนของเขาไปหมด

          “เอาอีกแล้วนะนินจา...เป็นแมวแท้ๆจะเก็บดอกไม้มาทำอะไรเยอะแยะก็ไม่รู้?”

          นินจาเป็นแมวที่เมฆไปเจอโดยบังเอิญที่วัด ลูกแมวน้อยตัวดำเมี่ยมตาสองสีช่างน่ารักน่าชังจนเด็กชายเมฆต้องขอร้องพ่อกับแม่เพื่อรับมันมาเลี้ยง ที่ตั้งชื่อให้ว่านินจาก็เพราะสีขนดำสนิท และนิสัยชอบแวบหาย แถมยังปราดเปรียวของมัน

          เรื่องประหลาดของเจ้าแมวตัวนี้อีกอย่างก็คือ ทุกคืนนินจาจะไปคาบเอาดอกโมกที่ปลูกไว้หน้าบ้านมาทิ้งไว้บนเตียงนอนของเมฆ ซึ่งพฤติกรรมแบบนี้เด็กน้อยอย่างเขาก็ไม่อาจเข้าใจได้

          “แต่ก็ขอบใจนะ นินจาทำให้เมฆตื่นมาหอมชื่นใจทุกเช้าเลย”

          เมฆยิ้มอย่างมีความสุขพลางเกาคอเจ้าแมวให้ได้เคลิบเคลิ้มน้อยๆ ตั้งแต่ที่เมฆมีนินจามาอยู่ด้วยทั้งคู่ก็กลายเป็นเพื่อนสนิทกันอย่างรวดเร็ว ความผูกพันต่างสายพันธุ์แน่นแฟ้นอบอุ่น ราวกับเป็นชีวิตของกันและกัน

          “เมฆรีบอาบน้ำแต่งตัวได้แล้วนะลูก เดี๋ยวจะไปโรงเรียนสาย!”

          “ครับแม่”

          เด็กชายเมฆวัยเจ็ดขวบ อาศัยอยู่กับครอบครัวที่พ่อกับแม่เป็นข้าราชการทั้งคู่ ทุกเช้าพ่อกับแม่จะไปส่งเขาที่โรงเรียน ส่วนเจ้าแมวนินจาก็จะต้องอยู่เฝ้าบ้านตัวเดียว ชีวิตของเด็กน้อยเริ่มต้นอย่างสดใสทุกวัน ทว่าวันนี้กลับไม่เหมือนเคย...

          “แมวบ้านคุณน่ะเอาอีกแล้วนะ ขโมยปลาที่ตากเอาไว้จนกระจายตกลงมาทั้งเข่ง ของซื้อของขายนะคุณ!”

          เมฆที่แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยในชุดนักเรียนเดินลงบันไดมาชะงักไปเมื่อได้ยินเสียงชายวัยกลางคนโวยลั่นขึ้น

          “ขอโทษจริงๆนะคะ เดี๋ยวดิชั้นจะชดใช้ค่าเสียหายให้ค่ะ”

          “มันหลายรอบแล้วนะคุณ เลี้ยงสัตว์แล้วทำไมไม่ดูแลให้ดี มันก่อกวนคนอื่น แล้วเนี่ยปลาของผมมีลูกค้าสั่งเอาไว้ แค่จ่ายเงินมันจะไปชดใช้ได้ยังไง!”

          คนเป็นแม่ได้แต่ก้มหน้ารับฟังคำต่อว่าจากเพื่อนบ้านแต่โดยดี เธอยอมรับความผิดที่ไม่อาจดูแลสัตว์เลี้ยงให้ดี และปล่อยให้มันไปสร้างความเดือดร้อนแก่เพื่อนบ้าน

          “ถ้าผมเจอไอ้แมวชั่วนี่อีกนะ ผมไม่รับประกันความปลอดภัย ถ้าไม่ดูแลมันให้ดีระวังจะเสียใจ!”

          เจ้าของบ้านส่งเงินให้กับผู้เสียหายจำนวนหนึ่งก่อนที่ชายคนนั้นจะเดินปึงปังกลับบ้านไป นินจาเป็นแมวซุกซน หากพวกเขาคลาดสายตาเมื่อไหร่ เจ้าแมวก็มักจะแอบหนีออกไปไล่นกจับหนูตามประสา ซ้ำร้ายยังชอบขโมยปลาที่บ้านข้างๆนำมาตากไว้อยู่ร่ำไป

          “เมฆเดี๋ยวเอานินจาใส่กรงไว้นะลูก มันจะได้ไม่แอบหนีออกไปข้างนอกอีก”     

          “ครับแม่”     

          คำพูดของชายข้างบ้านทำให้เด็กน้อยกังวล เขาเองก็กลัวว่าเจ้าแมวตัวแสบจะแอบหนีออกไปก่อเรื่องอีก คราวนี้มันอาจจะโดนตีจนเจ็บตัวกลับมาก็เป็นได้

          “นินจาเข้ากรงนะ แล้วเดี๋ยวเมฆกลับมาเล่นด้วย...”

          เด็กชายอุ้มเจ้าแมวไม่รู้อีโหน่อีเหน่เข้ากรง เมื่อปิดกรงนินจาก็ตะกุยประตูอยากจะออก เมฆได้แต่มองส่งตาปริบๆและออกจากบ้านเพื่อรีบไปโรงเรียน





          ชีวิตของเมฆและนินจาวนเวียนอยู่แบบนี้ ช่วงกลางวันที่ไม่มีใครอยู่บ้านเจ้าแมวน้อยต้องถูกขัง และได้รับอิสระอีกครั้งเมื่อเจ้าของกลับมา จนกระทั่งมีข่าวดีมาถึง พ่อของเมฆได้เลื่อนตำแหน่งให้ย้ายไปทำงานที่ภาคเหนือ ซึ่งครอบครัวของเขาตัดสินใจจะย้ายไปด้วยกันทั้งหมดรวมถึงเจ้าเหมียวนินจาด้วย โดยพวกเขาตั้งใจจะเก็บบ้านหลังนี้ไว้ให้คนเช่า

          “เมฆแน่ใจแล้วนะว่าไม่มีอะไรจะเก็บใส่ลังแล้ว”

          “ครับพ่อ”

          ชายผู้เป็นพ่อเอ่ยถามลูกน้อยพลางยกข้าวของเก็บลงท้ายรถ วันนี้เป็นวันที่ครอบครัวของเมฆจะออกเดินทางไปยังบ้านหลังใหม่ ซึ่งข้าวของบางส่วนได้ถูกส่งไปก่อนแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงเก็บตกข้าวของที่เหลือเล็กๆน้อยๆเพียงเท่านั้น

          “เมฆลูก...เห็นนินจาบ้างรึเปล่า? แม่นึกว่ามันอยู่ในกรงแต่ก็ไม่มี”

          เด็กชายที่ยุ่งวุ่นวายกับการจัดเก็บสัมภาระถึงกับหน้าตื่น เขายุ่งจนไม่ได้สนใจสัตว์เลี้ยงจอมซนมากว่าครึ่งค่อนวัน เขาลืมไปด้วยซ้ำว่าจะต้องขังมันไว้ระหว่างที่ทุกคนกำลังยุ่งกันอยู่ เมฆรีบเดินเข้าไปตะโกนเรียกหาแมวน้อยข้างในบ้านโดยที่พ่อกับแม่ก็ช่วยกันออกตามหาอีกแรง

          “นินจา! เมี้ยวๆๆๆ”

          เมฆไม่เห็นร่องรอยของสิ่งมีชีวิตใด เขาตัดสินใจกลับขึ้นไปที่ห้องนอนของเขาอีกครั้งแล้วก็พบว่าเจ้าแมวน้อยนอนแผ่อยู่ในห้อง

          “โถ่เอ๊ย! นึกว่าหายไปไหน มานอนขี้เกียจอยู่ที่นี่เอง...”

          เด็กชายเดินเข้าไปใกล้ ทว่าดวงตาที่เคยสดใสของนินจากลับเบิกค้างไว้ ร่างกายแข็งนิ่งสนิทไม่มีร่องรอยการหายใจ อีกทั้งยังมีน้ำลายที่จับตัวเป็นฟองฟูมปากให้เห็น

          “นินจา! นินจาเป็นอะไร?!”

          เมฆอุ้มร่างแมวน้อยขึ้นพลางเขย่ากกกอดน้ำตาไหล เขาร้องเรียกนินจาเสียงดังลั่นจนพ่อกับแม่วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาดู

          “พ่อ! แม่! พานินจาไปโรงพยาบาลที”

          เมฆพูดน้ำเสียงสั่น ใบหน้าอาบไปด้วยน้ำตา พ่อกับแม่ที่เดินเข้ามาสำรวจดูร่างของนินจาก็เอ่ยขึ้นเสียงเครือสงสารลูกน้อยจับใจ

          “นินจามัน...ตายแล้วลูก...”

          ได้ยินดังนั้นเด็กน้อยก็ปล่อยโฮพลางเอ่ยถามอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ฟัง

          “มันตายได้ยังไง? ผมไม่เชื่อ พ่อพานินจาไปโรงพยาบาลเถอะนะ”

          “มันน่าจะถูกวางยาเบื่อน่ะลูก ที่ปากมันยังมีเศษอาหารอยู่เลย...”

          สตรีผู้เป็นแม่เอ่ยตอบลูกชายพลางอธิบายให้เข้าใจ ถึงแม้ครอบครัวจะเสียใจถึงการจากไปของสมาชิกตัวน้อย ทว่าพวกเขาก็ไม่มีเวลามาคร่ำครวญเนื่องจากการเดินทางอันยาวไกลกำลังรออยู่

          “ใครทำนินจา? ทำไมต้องฆ่ามันด้วย? ใจร้ายที่สุดเลย!”

          เด็กชายสะอื้นร้องไห้แทบขาดใจ พ่อกับแม่นั้นรู้ดีว่าเป็นฝีมือใครแต่ก็ไม่อาจไปกล่าวหาโดยไม่มีหลักฐาน พวกเขาได้แต่นึกเสียใจที่ไม่ดูแลแมวน้อยดวงใจของลูกชายไว้ให้ดี

          “นินจาไปสบายแล้วล่ะลูก...เอามันไปฝังกันเถอะนะ”

          “เมฆอยากให้นินจาไปอยู่บ้านใหม่กับเราน่ะแม่ ทำไมนินจาต้องมาตายด้วย?”     

          น้ำตายังคงไหลรินออกมาไม่มีทีท่าว่าจะหยุด แมวที่เป็นเพื่อนรักของเขา เล่นด้วยกัน นอนด้วยกัน กินด้วยกัน

          ต่อไปนี้จะไม่มีอีกแล้ว...

          ดวงตาสองสีงดงามที่เคยมองจ้องเขาอย่างไร้เดียงสาตอนนี้สะท้อนเพียงความว่างเปล่า





          ใต้ต้นโมกใบเขียวชอุ่มหลุมลึกได้ถูกขุดขึ้น ร่างไร้วิญญาณของเจ้าแมวน้อยถูกวางลงอย่างเบามือ ดอกโมกสีขาวสะอาดตาถูกโปรยลงส่งกลิ่นเย็นไปทั่ว คนทั้งสามช่วยกันนำดินกลบร่างที่แน่นิ่งไร้ลมหายใจนั้น...ทีละเล็ก...ทีละน้อย จนในที่สุดเจ้าแมวดำก็ถูกผืนดินกลืนกินหายลับไปจากสายตา

          เด็กชายนั่งมองภาพตรงหน้าน้ำตาหยดแล้วหยดเล่าร่วงหล่นพรมหลุมศพของสิ่งมีชีวิตแสนรัก เมฆได้แต่พร่ำโทษตัวเองซ้ำไปซ้ำมาที่ดูแลนินจาไม่ดีจนต้องมาพบกับจุดจบเช่นนี้

          “นินจา...เมฆขอโทษ...เมฆรักนินจาที่สุดเลยนะ...”





          ‘เมฆอย่าร้องไห้เลยนะ...เราก็รักเมฆนะ...’





          คืนนั้น...ใต้ต้นโมกในบ้านที่ไร้ผู้คน ร่างๆหนึ่งตะกุยขึ้นจากหลุมลึก แมวดำท่าทางอ่อนล้ากระโจนขึ้นจากหลุมดินทุลักทุเล มันสะบัดเอาดินออกจากตัวกระจายเปรอะเปื้อนไปทั่ว ดวงตาสองสีนั้นกะพริบเล็กน้อยอย่างที่ตนเองก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่า...

          ...เขา...เป็นอมนุษย์แมว





          ‘อา...ใช่แล้ว...หลังจากนั้นเราก็กลายเป็นแมวเร่ร่อนมาจนถึงทุกวันนี้...’





          “เฮือก!”

          จู่ๆร่างที่ไร้ลมหายใจแน่นิ่งอยู่เมื่อครู่ก็พลันสะดุ้งขึ้นพงาบงับเอาอากาศเข้าสู่ปอด ม่านตาสองสีหรี่ขยายปรับรับแสงสว่างจากดวงไฟสลัวภายในห้อง นินจาค่อยๆขยับตัวขึ้นอย่างอ่อนแรง เมื่อกวาดสายตาออกไปก็พบใบหน้ายินดีของชายหนุ่มคนหนึ่งจ้องมองเขาอยู่ไม่ห่าง

          “นินจาฟื้นแล้ว! โล่งอกไปที...”

          พินกระตือรือร้นรีบเอาน้ำใส่ชามเล็กๆส่งให้กับแมวเหมียว นินจาก้มลงตวัดน้ำเข้าปากอย่างหิวกระหาย

          “ชั้นดีใจมากเลยนะที่นินจายังไม่ตาย”

          แมวดำหยุดชะงักเงยหน้าขึ้นสบตามองชายหนุ่ม

          “ความจริงเราตายไปแล้วต่างหาก...”

          “หา?!”

          “อมนุษย์แมวอย่างเราสามารถตายแล้วฟื้นได้ถึงเก้าหน ถ้านับดูแล้วนี่เป็นครั้งที่สี่ที่เราเสียชีวิต”

          นินจาเอ่ยขึ้นอย่างภาคภูมิใจ ทว่าคนอีกคนที่กำลังฟังอยู่กลับหัวเราะขำขึ้นมา

          “เราว่าแกใช้ชีวิตเปลืองมากกว่าเจ้าแมว แถมเหมือนเป็นเวรกรรมที่ต้องทนทรมานจนตายถึงเก้าครั้งกว่าจะได้จากโลกนี้ไปอย่างสงบ”

          “ปากดีนักนะเจ้านกแสก ถ้าเราไม่ช่วยเอาไว้ป่านนี้แกนั่นแหละอาจจะได้ตายอย่างสงบแทน อย่าคิดนะว่าถ้าหนนี้วิญญาณแกออกจากร่างไปแล้วนึกจะไปสิงใครก็สิงได้ง่ายๆน่ะ!”

          นินจาต่อปากต่อคำกลับไป สิ่งที่เจ้าแมวหนุ่มพูดนั้นทำให้เกิดความขุ่นข้องสงสัยขึ้นในใจพิน

          “หมายความว่ายังไงหรอ?”

          “ก็หมายความว่า...ถ้าวิญญาณออกจากร่างแล้วไม่เจอกับกายหยาบที่เหมาะสมและยังใช้การได้ เราก็จะตายไปจริงๆไงล่ะ...”

          มะลิเอ่ยขึ้นอธิบาย พินที่ได้ฟังดังนั้นก็ใจเสีย เขาเข้าใจอะไรหลายๆอย่างผิดเกี่ยวกับเจ้านกตัวนี้มาโดยตลอด เรื่องที่เข้าใจว่าอมนุษย์พวกนี้คิดอยากจะทำอะไรก็ได้กลับไม่เป็นอย่างที่คิด

          “ถ้าอย่างนั้นมะลิก็ต้องยิ่งระวังตัวให้มากรู้รึเปล่า...ครั้งนี้เพราะมะลิประมาทเลยทำให้นินจาต้องมารับเคราะห์ไปด้วย...มะลิอย่าทำให้ชั้นเป็นห่วงไปกว่านี้เลยนะ...”

          พินเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วงแทบขาดใจ ใบหน้าซีดเซียวลงอีกครั้ง ความรู้สึกที่เต็มอยู่ในใจของชายหนุ่มตอนนี้ ทำให้รู้สึกว่าหากเกิดอะไรขึ้นกับมะลิ เขาคงจะทนรับมันไม่ไหว

          “พิน...เราขอโทษนะ...”

          มะลิสบตามองใบหน้าสวยเศร้าหมองที่มองมา เขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่เอ่อล้นมากระทบให้ในใจสั่นไหว แขนแข็งแรงโอบกระชับร่างบางแนบแน่น...แน่นจนรู้สึกได้ถึงหัวใจของอีกฝ่ายที่กำลังเต้นแรง

          “อะแฮ่ม!”

          เจ้าแมวกระแอมเป็นสัญญาณให้คนที่กำลังสร้างโลกส่วนตัวได้รับรู้ว่าเขาก็มีตัวตนอยู่ตรงนี้เช่นกัน พินจึงรีบผละตัวออกจากมะลิด้วยความประหม่า

          “เราว่า...เราขอตัวก่อนดีกว่า เราได้รับไอวิญญาณหนูจากพินมาเยอะจนสดชื่นมากแล้ว เราไปก่อนนะ”

          พูดจบนินจาก็รีบกระโจนออกไปทางระเบียง ปล่อยให้คนสองคนได้ใช้เวลาร่วมกันต่อไป

          “เอ่อ...มะลิไม่เป็นไรก็ดีแล้วล่ะ...ชั้น...”

          นกหนุ่มคว้าร่างบอบบางเข้ามากอดแน่นไว้อีกครั้ง ไม่รู้ว่าเขาคิดมากไปเองหรือเปล่า แต่มะลิรู้สึกราวกับว่าเหตุการณ์นี้อาจไม่ใช่อุบัติเหตุ เขาซบใบหน้าลงบนบ่าแคบๆพลางพยายามข่มใจจากความกลัว...

          ...ความกลัวที่ว่าสักวันหนึ่งเขาจะต้องพลัดพรากจากพินไป

          คนที่ตอนนี้เขากำลังหลงรักจนหมดหัวใจ...





          “พิน...ขอเราอยู่แบบนี้ซักพักนึงนะ...”

          คนถูกกอดให้ความเงียบช่วยเป็นคำตอบ เขาสวมแขนกอดตอบกลับร่างสูงแนบแน่นชิดใกล้

          ...ในใจอ่อนไหวหวาดหวั่น



++++++++++++++++



          กิมมิคเล็กๆ ที่เราใช้กับนินจาความจริงแล้วความเชื่อเรื่องแมวเก้าชีวิตเป็นความเชื่อของทางฝั่งยุโรปนะคะ ว่าเป็นแมวของแม่มด ทำให้แมวดำถูกฆ่าตายไปมหาศาลเลยทีเดียว >< นอกจากนี้ยังมีความเชื่อทางอียิปต์ที่คล้ายๆ กันด้วยค่ะ ถ้าใครสนใจลองไปกูเกิ้ลดูได้เน้อ

          ขอบคุณสำหรับการติดตามเช่นเคยนะคะ แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าค่า

หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! My brother is the barn owl! บทที่13 : งูขาว 12/08/19 UP!
เริ่มหัวข้อโดย: Timid Lily ที่ 12-08-2019 18:12:38

บทที่13 : งูขาว

          บรรยากาศครึกครื้นเต็มไปด้วยความสำเร็จยินดีของเหล่านักศึกษา ทั่วทั้งบริเวณมหาวิทยาลัยถูกประดับประดาไปด้วยลูกโป่งหลากสี เหล่าผู้คนเข้ามาร่วมแสดงความยินดีจนแน่นขนัดไปทั่วทุกพื้นที่ ชายหนุ่มในชุดครุยสีดำสวมแว่นกันแดดพรางสายตาจากแดดจ้ายืนยิ้มหวานถ่ายรูปร่วมกับเหล่าญาติสนิทมิตรสหายที่มาร่วมงานรับปริญญา ในมือถือดอกไม้ช่อใหญ่สวยงามรับกับคนถืออย่างน่าประหลาด

          “พินขอยืมแว่นแกหน่อยดิ”

          กั้งพูดจบก็ไม่รอให้พินตอบรับ เธอเอื้อมมือไปคว้าแว่นกันแดดออกจากใบหน้าของเพื่อนหนุ่มแล้วนำมงคลดอกไม้สุดน่ารักที่เธอใส่อยู่ไปสวมให้เป็นการแลกเปลี่ยน

          “คนคูลอย่างชั้นนี่ถึงต้องใส่แว่นกันแดด ส่วนมุ้งมิ้งอย่างแกก็ใส่มงกุฎดอกไม้ไป”

          หญิงสาวพูดพลางโพสท่าทะเล้นถ่ายรูปไปด้วย ส่วนพินก็ได้แต่มองท่าทางบ้าๆบอๆของกั้ง เขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าทำไมเพื่อนๆถึงต้องยัดเยียดของสวยๆงามๆใส่เขาตลอดเวลา ชายหนุ่มอย่างเขาก็อยากจะมีมุมเท่ๆเหมือนคนอื่นบ้าง

          “น่ารักดีนะพิน โคตรเหมาะกับแกเลยว่ะ”

          ม่อนเอ่ยขึ้นเอ็นดูเพื่อนหนุ่ม เธอช่วยเอามือเขี่ยผมที่ยุ่งเหยิงด้วยฝีมือกั้งให้เป็นทรงตามเดิม

          “พ่อ แม่!”

          พินฉีกยิ้มดีใจเมื่อเห็นบุพการีทั้งสองเดินเข้ามาหา ตอนนี้งานของพ่อที่อินเดียได้เสร็จสิ้นลงแล้ว ส่วนแม่ก็จัดการธุระที่สวนมะลิเรียบร้อย ทุกคนได้กลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันเช่นเคย

          “รถติดมั้ยครับ?”

          “นิดหน่อยน่ะลูก แต่ที่มาช้าก็เพราะเจ้าพิมพ์นี่แหละ หายหัวไปไหนไม่รู้ตั้งแต่ที่พินออกมา กว่าจะกลับมาอีกทีก็สายป่านนี้แล้ว”

          คนเป็นแม่บ่นระงมเหนื่อยหน่ายกับลูกชายคนโต ที่เมื่อสังเกตดูดีๆเจ้าลูกชายคนนี้กลับไม่ได้เดินตามหลังมาอีกต่างหาก

          “อ้าว! แล้วเจ้าพิมพ์หายไปไหนอีกแล้วล่ะพ่อ?”

          “เออนั่นสิ เมื่อกี้มันยังเดินตามมาอยู่เลย แว่บหายไปไหนอีกแล้ว”

          ชายวัยกลางคนเอ่ยขึ้นพลางบีบขมับเบาๆ เขานึกห่วงชายหนุ่มที่ความทรงจำยังไม่สมประกอบกลัวว่าจะไปป้ำๆเป๋อๆหลงทางอยู่ที่ไหน

          “เดี๋ยวพินลองเดินหาดูแถวๆ นี้ก็ได้ครับ พี่พิมพ์คงไม่หลงไปไหนหรอก”

          ชายหนุ่มฝากช่อดอกไม้ไว้กับผู้เป็นพ่อก่อนจะเดินผละออกมา ไม่ทันที่พินจะได้ก้าวขาไปไหนไกลชายหนุ่มผิวขาวสว่างราวกับหลอดไฟเดินได้ก็ปรากฏตัวออกมา

          “มะลิ!”

          พินตะโกนเรียกนกหนุ่มที่ท่าทางหลุกหลิกอยู่จนสะดุ้งขึ้น มะลิพยามยามเอี้ยวตัวหลบพลางซุกอะไรบางอย่างขยุกขยิกไว้ข้างหลัง

          “มะลิ...ซ่อนอะไรอยู่น่ะ?”

          “เอ๊ะ! อ๋อ...เปล่าซักหน่อย ไม่มีอะไร!”

          ชายหนุ่มในมงคลดอกไม้เลิกคิ้วมองคนตรงหน้าอย่างไม่เชื่อ พินขยับตัวเข้าไปใกล้พยายามชะเง้อไปมองด้านหลังของนกหนุ่มซ้ายทีขวาที แต่มะลิก็เอี้ยวตัวหนีทุกครั้งไป

          “มะลิแอบทำอะไรไม่ดีอยู่ใช่มั้ย? สารภาพมาเดี๋ยวนี้”

          พินรุกไล่ชายหนุ่มมากขึ้น มือไม้ก็พยายามคว้าแขนขาวของชายหนุ่มเพื่อดึงมือออกมาดูให้เห็นกับตาว่าเจ้านกตัวแสบแอบซ่อนอะไรเอาไว้

          “เปล่าซะหน่อย ไม่มีอะไรจริงๆ”

          “ชั้นไม่เชื่อหรอก!”

          คนตัวบางยืนเบียดกระชั้นเข้าไปใกล้ มื้อเรียวหยอกแหย่จี้เอวนกหนุ่มจนสะดุ้งหัวเราะ ดูเหมือนว่ามะลิเองก็บ้าจี้อยู่ไม่น้อย

          “ฮ่าๆ ๆ ๆ ...โอ๊ย! พอแล้วพินเรายอมแล้ว ปล่อยเราก่อนเราไม่แอบแล้ว”

          หลังจากที่หัวเราะจนเหนื่อย มะลิก็เอี้ยวตัวไปขยุกขยิกอยู่ด้านหลังอีกครั้ง ในมือมีดอกมะลิช่อเล็กจิ๋วประดับด้วยริบบิ้นสีขาวบนก้าน เขายื่นส่งให้คนตรงหน้าพร้อมรอยยิ้มหวาน

          “เราให้พิน...ยินดีด้วยนะ”

          พินรับดอกไม้น้อยเอาไว้ เขามองชื่นชมอย่างสุขใจก่อนจะมองมะลิกลับไปด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้มที่สวยงามกว่าทุกอย่างบนโลก ทำเอาหัวใจของนกหนุ่มเต้นตูมตามจนแทบจะทะลุออกมาจากในอก

          “โห...ยิ้มจนแก้มจะแตกอยู่แล้ว! แกดีใจหรือไงที่ได้เลื่อนขั้นจากน้องชายไปเป็นแม่น่ะ!”

          “ไอ้กั้ง!”

          เสียงเพื่อนตัวดีเอ่ยล้อขึ้นมา กั้งยกมือไหว้ทักทายคนพี่ก่อนจะยิ้มยียวนใส่คนน้องจนทำให้พินปั้นหน้าไม่ถูกไปกันใหญ่

          “เอ้าเอาเข้าไปยิ้มกันอยู่นั่นน่ะ ทั้งพี่ทั้งน้องเลย ชั้นล่ะปวดหัว”

          ยังคงไม่หยุดแซว กั้งพูดเสียงดังยิ้มล้อไปเรื่อย จนพินต้องบ่นให้เธอหยุดปาก

          “เงียบไปเลย!”

          “อะแหนะๆ ทำเป็นเขิน เด็กติดพี่เอ๊ย!”

          พินยังคงยิ้มเขินหัวเราะน้อยๆกับพฤติกรรมของเพื่อนพลางช้อนตามองคนตัวสูง ที่ตอนนี้กำลังจ้องลึกมองเขาไม่ละสายตาไปไหน หญิงสาวเห็นภาพตรงหน้าก็ได้แต่ยักไหล่ขึ้นน้อยๆอย่างไม่ค่อยเข้าใจ ก่อนจะผละกลับไปโหวกเหวกโวยวายหยอกเอินเพื่อนม่อน เหยื่อคนถัดไปที่แฟนหนุ่มของเธอแจ้นมาหาถึงคณะแทน

          ชายและหญิงวัยกลางคนเดินเข้ามาหาลูกชายทั้งสองที่ยืนคุยหนุงหนิงกันอยู่ไม่ไกลโดยที่มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินตามหลังมา ในมือของเธอถือตุ๊กตาหมีน่ารักสวมชุดครุยยื่นส่งในกับชายหนุ่มอายุน้อยกว่า

          “ยินดีด้วยนะน้องพิน”

          “ขอบคุณครับพี่ชิชา”

          พินยกมือไหว้ก่อนจะรับของขวัญเอาไว้ หญิงสาวยิ้มอ่อนหวานให้พลางเหลือบมองชายหนุ่มที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของเธอพลางทอดถอนใจ ภาพของคนทั้งห้าที่ยืนรายล้อมกันถ้าใครเห็นก็คงจะมองว่าเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์ หากไม่ติดที่ว่าความเป็นจริงสามีภรรยาคู่นี้กลับมีปัญหาคาใจต่อกัน

          “พิน!”

          เสียงหญิงสาวอีกคนตะโกนเรียกหาชายหนุ่มอย่างร่าเริง ไหมเดินฉับๆเข้าหายิ้มร่ามาแต่ไกล ทำให้ชิชาที่ยิ้มหน่ายอยู่เมื่อครู่ขมวดคิ้วขรึมมองจ้องไปไม่สะดวกสบายใจ

          “นึกว่าจะมาไม่ทันซะแล้ว ยินดีด้วยนะพิน”

          ไหมพูดขึ้นเสียงใส เธอยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองไวๆพลางถุงส่งขนมของฝากจำนวนมากไปให้ และไม่ลืมที่จะมอบของขวัญแก่ชายหนุ่มที่เธอเอ็นดูเสมือนน้องชายแท้ๆ อีกคนหนึ่ง

          “ขอบคุณมากครับพี่ไหม”

          “พี่รีบขับรถออกมาตั้งแต่เช้ารถติดสุดๆ โชคดีที่มาทัน”

          ถึงแม้ว่าคนสองคนจะสนทนากันอย่างสดใสร่าเริงขนาดไหนแต่ก็ไม่อาจทำลายบรรยากาศอึมครึมที่เริ่มก่อตัวขึ้นเนื่องจากการมาพบกันของหญิงสาวทั้งสองไปได้ ชิชาถอนหายใจเสียงดังอย่างจงใจ จนไหมเหลือบไปมองหน้านิ่ว

          “ไหนๆก็มากันพร้อมหน้าแล้ว เย็นนี้ไหมกับชิชาไปกินข้าวเย็นด้วยกันมั้ยลูก? แม่ตั้งใจทำสุดฝีมือเลยนะ ฉลองให้กับเจ้าพินเค้า”

          “ไม่ดีกว่าค่ะ”

          เสียงหญิงสาวทั้งสองปฏิเสธขึ้นเสียงแข็งพร้อมเพรียงกันจนคนฟังหน้าเจื่อน

          “เอ่อ...พอดีชิชาต้องรีบกลับน่ะค่ะ คืนนี้ชิชามีบิน ต้องขอโทษจริงๆนะคะคุณแม่”

          หญิงสาวผิวน้ำผึ้งเอ่ยขึ้นอย่างเกรงใจ เธอรู้สึกผิดเล็กน้อยที่อาจทำให้แม่สามีต้องเสียความรู้สึก

          “ไหมก็ต้องรีบกลับไปดูบ้านค่ะ พอดีหนนี้ไหมไม่ค่อยมีเวลา ไว้โอกาสหน้าแล้วกันนะคะ”

          หมอหญิงปฏิเสธอย่างสุภาพ ส่วนคนชวนก็ไม่ได้ติดใจอะไร เธอพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ

          “พิน! ได้เวลาเข้าหอประชุมแล้ว!”

          เสียงม่อนตะโกนเรียกเพื่อนมาแต่ไกล พินลุกลนยกแขนขึ้นดูนาฬิกา จากนั้นจึงเอ่ยลาทุกคนก่อนจะเข้าไปข้างใน

          “พินต้องเข้าไปข้างในก่อนแล้ว เจอกันเย็นนี้นะครับ ขับรถกลับกันดีๆนะ”

          เขายกมือไหว้ลาทุกคนก่อนจะรีบเดินตามกลุ่มเพื่อนเข้าไป ทิ้งไว้เพียงบรรยากาศน่าอึดอัดระหว่างหญิงสาวสองคนที่เหลือบสบตากันบึ้งตึง ส่วนอีกหนึ่งชายหนุ่มได้แต่ถอนหายใจอย่างไม่มีความสุขนัก





          เวลาเย็นที่ตะวันคล้อยไป เงาร่มปกคลุมแทนที่แสงแดดจัดจ้า เด็กหนุ่มผิวเข้มท่าทางทะมัดทะแมงกำลังยืนฉีดรดน้ำต้นโมกมอบความชุ่มฉ่ำคลายร้อนให้แก่พืชใบเขียว

          หลายสัปดาห์แล้วที่บ้านหลังนี้...บ้านที่นินจาเคยใช้ชีวิตอยู่สมัยตอนยังมีเจ้าของ ไม่มีผู้เช่าอาศัย ถึงแม้ว่า “โมก” จะเป็นพืชที่ไม่ได้ต้องการน้ำมากนัก แต่ช่วงที่ขาดฝนแบบนี้ นินจาก็อดเป็นห่วงต้นไม้ที่มักจะเป็นร่มเงาพักพิงให้แก่เขาไม่ได้ ต้องแวะเวียนเข้ามาดูแลรดน้ำให้เสียหน่อย

          ‘แกร๊ก...แอ๊ด...’

          มีเสียงเหมือนคนไขประตูรั้วและเปิดเข้ามาโดยที่นินจาไม่ทันตั้งตัว เด็กหนุ่มตัวสูงใหญ่ ใบหน้าเข้มคมคายเดินเข้ามาภายในบ้าน เมื่อเห็นคนแปลกหน้าที่กำลังยืนฉีดน้ำอยู่ก็ร้องถามด้วยความตกใจ

          “นายเป็นใคร? !”

          คนที่ถือสายยางอยู่ก็ตกใจไม่แพ้กัน นินจาสะดุ้งสะบัดสายฉีดน้ำกระจายฟุ้งไปทั่ว ฝ่ามือใหญ่หยาบยกขึ้นปัดป้องใบหน้าจากละอองน้ำที่กระเซ็นเข้ามา ถึงแมวน้อยจะมองเห็นใบหน้าลอดผ่านม่านน้ำและร่องนิ้วมือยาว ทว่าใบหน้านั้นก็เป็นใบหน้าของคนที่เขาจำได้ดี

          คนที่เขาไม่เคยลืม คนที่ครั้งหนึ่งเขาเคยผูกพันรักใคร่...สุดหัวใจ...

          ‘เมฆ!’

          คนตัวโตที่ตอนนี้ร่างกายเปียกชื้นน้อยๆ รีบวิ่งไปปิดน้ำ เขาหันมาสบตาเด็กหนุ่มอีกคนพลางจ้องใบหน้าสายตาคาดคั้น

          “เข้ามาได้ยังไง? !”

          “อะ...ไม่มีอะไร เราแค่มารดน้ำต้นไม่ให้เฉยๆ”

          นินจาเอ่ยตอบอึกอักละล่ำละลัก ตอนนี้เขาดูน่าสงสัยสุดๆ ที่อยู่ๆก็บุกเข้ามารดน้ำต้นไม่ในบ้านของคนอื่น

          “เราเห็นว่าบ้านนี้ไม่มีใครอยู่ก็เลยช่วยมาดูแลให้ ถ้าไม่เชื่อก็ไปค้นดูในบ้านได้เลยว่าไม่มีอะไรหายไป”

          พูดจบนินจาก็รีบเบียดตัวจะวิ่งหนีไปทางประตู ทว่าเด็กหนุ่มที่ตัวสูงใหญ่กว่ารีบคว้าแขนเขาเอาไว้แน่น

          “เดี๋ยว!”

          นัยน์ตาคมจ้องสบมองเด็กนุ่มที่ถูกยื้อไว้ ใบหน้าเล็กๆ ทว่ามีแก้มกลม ดวงตาสุกใสซุกซน จมูกรั้นรับกับริมฝีปากได้รูป ผิวเข้มบ่มแดดตัดแสง ความรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาอย่างประหลาดแล่นขึ้นในความรู้สึกถึงแม้เมฆจะมั่นใจว่าคนๆนี้จะเป็นคนที่ตนไม่เคยพบเจอมาก่อนเลยก็ตาม

          นินจาสะบัดแขนสุดแรงจากนั้นจึงวิ่งหนีไป ปล่อยให้เมฆที่เต็มไปด้วยความสงสัยในใจยืนสับสนนิ่งงัน

          เต็มไปด้วยความอาวรณ์...





          หลังจากเสร็จพิธีรับปริญญากว่าจะได้ปลีกตัวออกมาก็ค่ำมืดแล้ว คนที่มีนัดกับครอบครัวรีบกลับมาที่บ้านด้วยความอ่อนล้า พินเปิดประตูบ้านเห็นพ่อกับแม่กำลังขะมักเขม้นจัดเตรียมอาหารลงบนโต๊ะ

          “พ่อ แม่ สวัสดีครับ”

          “กลับมาแล้วหรอลูก รออีกแป๊บเดียวนะ แม่เตรียมกับข้าวใกล้จะเสร็จแล้ว”     

          หญิงวัยกลางคนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสดชื่น เมื่อเห็นลูกชายเดินเข้ามาในบ้าน

          “พินก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าล้างเนื้อล้างตัวให้สบายก่อนแล้วกัน แล้วก็ช่วยตามเจ้าพิมพ์ลงมากินข้าวด้วยล่ะ”

          “ครับพ่อ เดี๋ยวพินมานะ”

          สิ้นเสียงคนเป็นพ่อ พินรีบเดินขึ้นบันไดมุ่งตรงไปยังห้องนอนของเขาอย่างกระฉับกระเฉง เมื่อเปิดประตูเข้าไป คนที่เขามั่นใจว่าต้องอยู่ในห้องกลับไม่อยู่ มีเพียงลังกระดาษเล็กๆที่ถูกเจาะรูพรุนวางไว้

          “ลังอะไรเนี่ย...?”

          พินเปิดฝาลังที่ถูกปิดไว้อย่างลวกๆออกดู ภายในเขาเห็นสิ่งมีชีวิตตัวเล็กเลื่อมยาวสีขาวบอบบางนอนขดอยู่

          ‘งู?’

          งูน้อยตัวสีขาวยกหัวขึ้นมอง ดวงตาใสราวแก้วสีทับทิมจ้องสำรวจชายหนุ่มท่าทางระแวงระวัง จากที่พินพิจารณาดูงูที่สวยงามตัวนี้คงจะเป็นงูเลี้ยงไม่ผิดแน่ แต่มันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง...

          พลันแล็ปท็อปที่ถูกเปิดไว้ส่งแสงจ้าผ่านหน้าจอดึงดูดความสนใจให้พินหันไปมอง ในนั้นปรากฎข้อความที่ถูกค้นหาทิ้งเอาไว้ว่า “วิธีการชำแหละงูเพื่อนำไปประกอบอาหาร”

          ‘หา?!’

          เสียงประตูเปิดออก พินมั่นใจว่าต้องเป็นฝีมือเจ้านกตัวดีที่เพิ่งกลับจากห้องน้ำ เป็นต้นเหตุที่ทำให้เจ้างูน้อยไม่รู้อิโหน่อิเหน่ต้องมาอยู่ที่นี่

          “มะลิ! นายคิดจะทำอะไรกับเจ้างูตัวนี้?”

          “เจ้านี่หรอ? ก็เป็นอาหารของเราไง งูก็เป็นของโปรดเราเหมือนกัน”

          “ห๊ะ! จะบ้าหรอมะลิ นายจะกินของแบบนี้ได้ยังไง!”

          “ไม่ต้องห่วงพิน เราไม่กินดิบๆหรอก เดี๋ยวรอพ่อกับแม่หลับก่อนแล้วเราจะเอามันไปทำให้สุกก่อนแล้วค่อยกิน”

          “ไม่ใช่อย่างนั้น นายจะกินงูไม่ได้! โดยเฉพาะงูที่เป็นสัตว์เลี้ยงของคนอื่นเนี่ย! มะลิไปเอามันมาจากไหน ป่านนี้เจ้าของตามหาแย่แล้ว”

          “เราเก็บได้ แล้วมนุษย์ที่กินงูก็มีเยอะแยะไป ถ้าเราเอามันไปทำอาหารก่อนยังไงก็กินได้ เราศึกษามาแล้ว”

          พูดจบมะลิก็คว้างูตัวน้อยออกจากกล่องทำท่าจะเดินหนีไป พินตกใจจึงรีบยื้อแย่งดึงน้องงูออกจากมือขาว

          “อย่านะมะลิ! อย่าทำอะไรมันนะ”

          “ปล่อยนะพิน เอาคืนมา งูตัวนี้เป็นของเรา!”

          “ชั้นบอกให้ปล่อย!”

          “ไม่!”

          คนทั้งคู่ยื้อยุดงูน้อยไปมา ปากก็เถียงกันไม่ยอมแพ้ จนงูน้อยเริ่มหวาดหวั่น ความเครียดกลัวกดดันทำให้มันตัดสินใจงับเข้าที่มือของพิน

          “โอ๊ย!”

          มะลิได้ยินเสียงพินร้องก็ตกใจรีบเอาเจ้างูใส่กล่องลงไปตามเดิม เขากุมมือของพินขึ้นมาดูก็พบว่ามีรอยกัดเล็กๆ ทว่าไม่เข้าเนื้อ ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้ทำให้คนโดนฉกตกใจน้อยลงไปเลย

          “งูฉก! ต้องรีบไปโรงพยาบาล!”

          พินโวยวายขึ้นเลิ่กลั่กตาลีตาเหลือก ส่วนมะลิที่เห็นคนกระวนกระวายตรงหน้าก็ยิ้มขำขึ้นมา

          “พินไม่เป็นไรหรอก เพราะเรามองไม่เห็นลางมรณะของพิน”

          “ไม่ได้! ชั้นถูกงูฉก ยังไงก็ต้องไปโรงพยาบาล!”

          “โง่จริง งูนั่นมันมีพิษซะที่ไหนกันเล่า!”

          เสียงหัวเราะคิกคักดังขึ้นมาจากทางระเบียง นินจากระโดดแผวเดินนวยนาดผ่านประตูที่ถูกเปิดแง้มไว้เข้ามาในห้อง พินที่ได้ยินเจ้าก้อนขนสีดำบอกแบบนั้นก็หันไปซัก

          “นินจารู้ได้ยังไงว่าเจ้างูนี่มันไม่มีพิษ? !”

          “พินก็ลองดูที่รอยกัดสิ ถ้าไม่มีรอยเขี้ยวใหญ่ๆ สองจุดก็แปลว่าไม่ใช่งูพิษ...ว่าแต่มีมนุษย์ที่ไหนเค้าเอางูพิษมาเป็นสัตว์เลี้ยงกันด้วยหรอ?”

          นินจาพูดพลางหันไปหรี่ตามองนกมะลิ ก่อนที่อมนุษย์ทั้งคู่จะพร้อมใจกันระเบิดหัวเราะใส่พินเสียงลั่น จนทำเอาคนโดนฉกหน้าง้ำหน้างอ

          “เชื่อเราเถอะพิน...เราเคยโดนงูฉกตายมาก่อน...”

          เจ้าแมวเอ่ยย้ำสร้างความน่าเชื่อถือ พินได้ฟังก็รู้สึกสงสาร ทว่าทำไมมันกลับงี่เง่าน่าตลกในเวลาเดียวกัน

          “ไม่รู้แหละ...เอาเป็นว่าคืนนี้มะลิกลับไปนอนห้องพี่พิมพ์เลย แล้วก็อย่าคิดที่จะทำอะไรเจ้างูตัวนี้เด็ดขาด! ชั้นจะลองตามหาเจ้าของๆมันดู”

          “ไม่เอานะพิน! เราไม่กินงูบ้านี่แล้วก็ได้ แต่อย่าไล่เราไปเลยนะพิน....”

          แน่นอนว่ามะลิงอแงไม่ยอมที่จะถูกเจ้างูหน้าโง่นี่ไล่ที่ไปง่ายๆ เขาอ้อนวอนขอร้องพินที่ไม่มีทีท่าจะใจอ่อน ส่วนแมวนินจาได้ฟังดังนั้นก็ตาวาวขึ้นมา

          “น่าสนุกนี่ เราขอค้างคืนด้วยคนสิ? เจ้านกแสกเราจะนอนเป็นเพื่อนแกเอง!”

          “ได้สินินจา...ส่วนมะลิ! นายต้องทำตามที่ชั้นบอก จนกว่านายจะพิสูจน์ตัวเองได้ว่านายไม่คิดที่จะทำอะไรเจ้างูนี่แล้วจริงๆ”

          นกหนุ่มคอตกอย่างยอมแพ้ มะลิผู้ดื้อด้านก้าวร้าวและที่ไม่เคยกลัวอะไรเลยในชีวิต กลับต้องมาสิโรราบให้กับคนๆนึง

          คนที่ทำให้คิดถึงทุกลมหายใจเข้าออก

          คนที่ไม่ว่าจะทำหน้าแบบไหนก็น่ารักไปหมด

          คนที่เขาอยากครอบครองทั้งกายใจ ไม่อาจให้ใครมาพรากไปได้

          เพียงเพราะ “รัก” คำเดียวเท่านั้น





++++++++++++++++



          ในตอนนี้มะลิได้มอบช่อดอกมะลิจิ๋วให้กับพินพอดีเข้ากับบรรยากาศวันแม่เลยนะคะ ขอบคุณที่คอยติดตามกันเช่นเคย แล้วก็สุขสันต์วันแม่ค่า ^^
หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! My brother is the barn owl! บทที่14 : ดาวเหนือ 16/08/19 UP
เริ่มหัวข้อโดย: Timid Lily ที่ 16-08-2019 21:56:05

บทที่14 : ดาวเหนือ

          ‘ที่นี่ที่ไหน?’

          ท่ามกลางความว่างเปล่ามืดสนิท พินรู้สึกตัวว่าในความเงียบงันมีแค่เขาอยู่เพียงลำพัง ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ไม่พบเจอใคร

          “มีใครอยู่มั้ยครับ?”

          ชายหนุ่มพยายามส่งเสียงเรียกออกไป ทว่าสิ่งที่ตอบรับกลับมามีเพียงเสียงสะท้อนก้องกังวานของตนเพียงเท่านั้น พินจึงตัดสินใจเดินมุ่งหน้าไปเรื่อยๆ อย่างไร้ทิศทางราวกับคนตาบอด พลันเสียงๆหนึ่งทำให้เขาต้องชะงักเท้าลง เสียงของอะไรบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า ทว่ากระชั้นเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ

          ทั้งๆที่ยังไม่เห็นว่าสิ่งๆนั้นคืออะไร แต่เหงื่อเย็นเริ่มซึมหนาววาบไปทั่วร่าง หัวใจหล่นวูบไปพร้อมๆภาพที่ค่อยๆปรากฏขึ้นตรงหน้า

          งูขาวขนาดมหึมาเลื้อยชูคอขึ้น ดวงตาสีทับทิมจ้องมองมาที่มนุษย์เบื้องหน้า ก่อนที่จะพุ่งตัวเข้าใส่ชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว

          “เหวอ!”

          พินร้องลั่น ขนลุกชันไปทั่วทั้งร่าง ใบหน้าซีดเซียว พร้อมเหงื่อที่ไหลซึม ความกลัวบีบคั้นหัวใจจนแทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ เขาวิ่งแผ่นแน่บโดยไม่แม้แต่จะหันหลังกลับไปมอง

          วิ่ง ต้องวิ่งเท่านั้นถึงจะรอด ทว่าไม่ว่าจะวิ่งไปทิศทางไหนกลับไม่มีที่ให้กำบัง ไม่มีจุดหมาย ไม่มีทางออก ชายหนุ่มหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน เรี่ยวแรงกำลังที่เคยมีค่อยๆ ถดถอยไป เสียงสัตว์เลื้อยคลานที่เคลื่อนเข้ามาใกล้จ้องมองเหยื่อตรงหน้าอย่างสาแก่ใจก่อนจะพุ่งตัวเข้าเกี่ยวกระหวัดรัดร่างกายบอบบางแน่นอย่างไม่ปรานี

          ‘ชะ...ช่วยด้วย...!’



          “เฮือก!”

          ดวงตาคมเบิกโตขึ้น คนที่เพิ่งฝันร้ายหายใจหอบถี่ ทั้งๆ ที่ห้องเปิดเครื่องปรับอากาศไว้ทว่าทั้งร่างกลับมีเหงื่อเย็นซึมไหลไปทั่ว พินค่อยๆตั้งสติผ่อนลมหายใจเข้าออกยาวๆทว่าความรู้สึกอึดอัดราวกับถูกกอดรัดยังไม่หายไปไหน

          เมื่อเขาหลุบตาลงมอง ก็พบว่ามีแขนขาวซีดวางพาดอยู่บนร่างกายผอมแห้งของเขา พินเอี้ยวใบหน้าไปมอง สิ่งที่ปรากฏขึ้นคือชายหนุ่มแปลกหน้านอนเปลือยกายกอดเขาหลับพริ้มอย่างมีความสุข

          “อ๊าก!”

          “เกิดอะไรขึ้นพิน!”

          เสียงแหกปากร้องลั่นนำพาให้ชายไม่ได้รับเชิญอีกสองคนบุกเข้ามาถึงในห้อง ตอนนี้ชายแปลกหน้าที่หลับพริ้มอยู่เมื่อครู่ตื่นขึ้นเต็มตาแล้ว เขาลุกขึ้นมานั่งขยี้ตาพร้อมหาววอดเบ้อเร่อ

          “แก! ไอ้งู!”

          มะลิเกรี้ยวกราดจ้องขึงไปยังชายหนุ่มที่ยังง่วงซึมตรงหน้า ที่บังอาจมานอนเกาะแกะคนที่เขาทึกทักเอาเองว่าตนเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ นกหนุ่มรู้ในทันทีว่า ชายหนุ่มสูงโปร่ง ผิวขาวซีด ดวงตาเรียวดุ ที่ผมเผ้ากำลังยุ่งเหยิงจากการนอนหลับเมื่อครู่ คือเจ้างูที่เขาตั้งใจจะนำมาเป็นอาหารนั่นเอง

          “ไงเจ้างู เพิ่งเคยกลายร่างเป็นมนุษย์ครั้งแรกใช่รึเปล่า?”

          งูหนุ่มพยักหน้าตอบรับให้กับนินจา เขาเองก็ไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับตัวเองเหมือนกัน ตอนนี้เขารู้เพียงอย่างเดียวว่า ท่าทางเขาจะไม่ใช่งูปกติธรรมดา

          “ท่าทางเจ้างูนี่จะได้ไอวิญญาณหนูจากพินเข้าไปน่ะ พลังก็เลยตื่นขึ้นมา”

          นินจาเอ่ยขึ้นให้ทุกคนฟัง สำหรับพินไอ้เรื่องที่พลังตื่นขึ้นเพราะเขาเป็นต้นเหตุก็ยังไม่แปลกเท่ากับเรื่อง...

          “แล้วทำไมต้องโป๊ด้วยล่ะ? !”

          “พวกอมนุษย์ตอนแปลงกายครั้งแรกก็เป็นแบบนี้แหละ ต้องไปขโมยเสื้อผ้ามนุษย์เอา”

          นกหนุ่มเอ่ยขึ้นพลางผลักตัวเจ้างูชีเปลือยให้ออกไปห่างๆ คนของเขา พินเห็นว่าท่าจะไม่ดีที่จะปล่อยให้เจ้างูน้อยอยู่ในสภาพเช่นนี้จึงรีบผละตัวออกไปทางประตู

          “รอนี่เดี๋ยวนะ ชั้นจะไปเอาเสื้อผ้ามาให้”

          พินปิดประตูห้องลงอย่างเบามือ ทว่าเขาก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นผู้ใหญ่สองคนยืนมองเขาอยู่

          “พ่อ! แม่!”

          “เป็นอะไรรึเปล่าเจ้าพิน? แม่ได้ยินแกร้องซะเสียงหลงเลย ตกใจหมด”

          ท่าทางเขาจะร้องเสียงดังมากจริงๆ จนทำให้พ่อกับแม่ตื่นขึ้นมา

          “อ๋อ! พินฝันร้ายน่ะแม่...”

          “แล้วจะไปไหนของเราหึ๊?”

          คราวนี้ผู้เป็นพ่อเอ่ยถามบ้าง พินท่าทางยึกยักกลอกตาไปมาก่อนจะชี้นิ้วไปทางประตูห้องน้ำ

          “พิน...ปวดฉี่...จะไปเข้าห้องน้ำ!”

          บุพการีทั้งสองมองหน้ากันพลางถอนใจ โล่งอกไปทีที่ลูกชายคนเล็กไม่ได้เป็นอะไร

          “งั้นก็รีบนอนซะนะลูก แม่กับพ่อไปนอนก่อนนะ”

          หญิงวัยกลางคนเอ่ยขึ้นพลางลูบศีรษะลูกน้อยอย่างอ่อนโยน เมื่อคนทั้งสองกลับเข้าห้องนอนไป พินก็รีบเข้าไปในห้องของพี่ชายพลางรื้อค้นเสื้อผ้า ทุกอย่างคงจะง่ายกว่านี้ถ้างูหนุ่มแปลกหน้าตัวเล็กลงสักนิด เขาจะได้แบ่งปันเสื้อผ้าที่เป็นของตัวเองให้ยืมได้สักชุดสองชุด

          ครู่หนึ่งพินก็กลับมาที่ห้อง เขารีบส่งเสื้อผ้าที่หามาให้เจ้างู ชายหนุ่มผู้งุนงงหยิบเสื้อผ้าขึ้นสวมอย่างทุลักทุเล จนนินจาทนไม่ไหวต้องอาสาเข้าไปช่วยใส่ให้จนเสร็จเรียบร้อย

          “แกเป็นใคร? !”

          คนขี้หวงเอ่ยถามขึ้นเสียงกร้าว เขายืนตัวเบียดติดแนบชิดกับพินราวกลับกลัวว่าจะมีใครเข้ามาแย่ง

          “ผม...เป็นงู อืม...เจ้าของๆผมตั้งชื่อให้ว่าดาวเหนือ”

          คนพูดยังคงสับสนในตัวเอง เขาเอ่ยตอบในสิ่งที่พอจะรู้

          “นายเป็นงูเลี้ยงจริงๆด้วย”

          งูหนุ่มพยักหน้ารับ

          “แล้วบ้านของดาวเหนืออยู่ที่ไหนล่ะ?”

          ดาวเหนือซึมลง ดูเหมือนเขาเองก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน

          “ผมรู้จักบ้าน...แต่ผมหาทางกลับไม่ได้เพราะคนที่บ้านจงใจเอาผมมาทิ้งตอนที่คิมไม่อยู่...”

          “คิม?”

          “คิมคือชื่อของเจ้าของผมเอง”

          เมื่อเอ่ยถึง “คิม” ดวงตาดุๆก็หรี่ลงพลางยิ้มอย่างมีความสุข ดูท่าเจ้างูน้อยจะรักเจ้าของมากทีเดียว ทว่างูหนุ่มก็เศร้าลงอีกครั้งเมื่อเล่าเรื่องราวของตนเองต่อ

          “แต่นอกจากคิม ที่บ้านก็ไม่มีใครต้อนรับผม...”

          ได้ฟังดังนั้นพินก็พอจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้ทั้งหมด เพราะ “งู” ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงที่คนทั่วไปจะยอมรับได้ง่ายๆ คิมคงจะเอาดาวเหนือมาเลี้ยงไว้โดยที่ครอบครัวไม่เห็นด้วยแน่ๆ

          “น่าสงสารจัง...เอาเป็นว่าระหว่างนี้ดาวเหนืออยู่กับชั้นไปก่อนแล้วกันนะ แล้วชั้นจะช่วยนายตามหาเจ้าของอีกแรง”

          “ขอบคุณครับ คุณวิญญาณหนู...ไม่สิ...พิน!”

          ดาวเหนือฉีกยิ้มน่าเอ็นดู ทั้งๆที่ดาวเหนือเป็นชายหนุ่มหน้าตาค่อนข้างนิ่งดุเย็นชา ทว่านิสัยของเขากลับสุภาพนุ่มนวล ช่างแตกต่างกับนกมะลิผู้ก้าวร้าวสิ้นดี

          “เมื่อกี้ผมขอโทษพินจริงๆนะที่ทำให้ตกใจ...”

          “อ๋อไม่เป็นไร จู่ๆมีคนแปลกหน้ามานอนกอดอยู่ก็ต้องร้องโวยวายเป็นธรรมดานั่นแหละ”

          “เปล่าผมไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น ผมหมายถึงในความฝัน...”

          พินฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าก่อนที่เขาจะตื่นขึ้นมาเจอดาวเหนือ เขาฝันว่าโดนงูยักษ์สีขาวรัดจนเกือบตาย

          “นะ...นั่นนายหรอ?”

          ดาวเหนือพยักหน้า ก่อนจะฉายรอยยิ้มกรุ้มกริ่มขึ้นมา

          “ผมเข้าไปบอกเหตุผ่านความฝันให้พินมาน่ะ”

          “ฝันอะไรหรอพิน?”

          มะลิเอ่ยถาม ตาก็จ้องขวางไปทางดาวเหนือ

          “ชั้นฝันว่าโดนงูรัดน่ะ หายใจไม่ออกเกือบตาย!”

          “งูรัดงั้นหรอ?”

          นินจาตาวาวขึ้น ก่อนจะหัวเราคิกคักเอ่ยน้ำเสียงยียวน

          “พินรู้รึเปล่าว่าถ้าฝันว่าถูกงูรัดแปลว่าจะเจอเนื้อคู่”

          พินได้ฟังนินจาพูดแบบนั้นก็หันไปสบตาแมวหนุ่มหน้าตาเหวอ

          “เนื้อคู่อะไรไร้สาระออกไปได้แล้ว!”

          ทั้งๆที่ประโยคนี้ควรจะเป็นคำพูดของเจ้าของห้อง ทว่ามะลิกลับรู้สึกหงุดหงิดกับคำว่า “เนื้อคู่” ขึ้นมาเสียอย่างนั้น นกหนุ่มผลักร่างชายอีกสองคนออกจากห้องไปจากนั้นจึงปิดประตูเสียงดังและล็อกห้องอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้คนทั้งสองได้แต่ยืนงงอยู่ตรงหน้าประตู

          “ไม่เป็นไรนะเจ้างู เราจะนอนเป็นเพื่อนแกเอง”

          ดาวเหนือพยักหน้ารับคำของนินจาอย่างว่าง่าย ก่อนทั้งคู่จะเดินเข้าห้องนอนของพิมพ์ไป



          เหตุการณ์วุ่นวายตอนนี้กลับไปสงบสุขตามเดิม พินทิ้งตัวลงบนที่นอนอย่างมีความสุขทว่า...

          “มะลิทำอะไรเนี่ย! ลงไปนอนที่พื้นเดี๋ยวนี้เลยนะ!”

          คนตัวโตนอนกอดรัดร่างบอบบางแน่นจากข้างหลัง ใบหน้าขาวซุกลงกับต้นคอระหงของชายหนุ่มที่นอนดิ้นอย่างอึดอัดอยู่ พลางเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์

          “ทำไม?! ทีไอ้งูนั่นยังมานอนบนเตียงกับพินได้เลย”

          “อย่ามางี่เง่าน่ะมะลิ! ดาวเหนือเพิ่งจะเคยแปลงร่างเป็นคนครั้งแรก จะไปรู้ประสาอะไร”

          พินทั้งตีทั้งพยายามแกะแขนแกร่งที่เกี่ยวรอบเอวของเขาเอาไว้ออก ทว่ายิ่งพยายามดึงออกมันกลับยิ่งรัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ

          “ปล่อย!”

          “ไม่!”

          ร่างของคนทั้งสองแนบชิดจนไออุ่นจากกายส่งทอดผ่านกัน นกหนุ่มซุกจมูกพลางสูดกลิ่นหอมจากไรผมจนคนถูกกอดเริ่มรู้สึกหวิวๆในใจเต้นไม่เป็นระส่ำ

          “บอกให้ปล่อยไงเล่า!”

          “ฮึ่ม!”

          มะลิยังคงต่อต้านไม่ยอมปล่อย แขนแข็งแรงบีบแน่นราวกับคีมเหล็ก ความรู้สึกทั้งหวงทั้งหงุดหงิดปั่นป่วนจิตใจให้ยิ่งชิดใกล้ยิ่งอยากฟัดคนที่ถือว่าเป็นสมบัติของเขาให้จมเขี้ยว

          “เนื้อคู่บ้าบออะไร!”

          ‘หงับ!’

          นกหนุ่มขบฟันลงบนซอกคอเบาๆ คนโดนงับสะดุ้งขึ้นก่อนจะโวยเสียงหลง

          “โอ๊ย! ไอ้นกบ้า! กัดชั้นทำไม?!”

          “พินเป็นของเรา!”

          ริมฝีปากอิ่มจรดลงบนต้นคอสวยพลางดูดดุลเสียงดังจนผิวเนียนขึ้นแดงเป็นรอยจ้ำ พินตัวงุ้มสั่นเนื่องจากเสียววาบไปทั้งร่าง

          “อะ...อย่า...”

          มือขาวที่กอดเกี่ยวเอวอยู่เมื่อครู่เลื่อนไล้ผ่านชายเสื้อเข้าไปสัมผัสผิวเย็นในร่มผ้า ทำให้ชายหนุ่มที่เกือบจะเคลิ้มได้สติพลันหมุนตัวถีบคนลามกจนกลิ้งตกเตียงไปอย่างรวดเร็ว

          “โอ๊ย! เราเจ็บนะพิน”

          มะลิจ้องขึงไปยังคนที่นั่งหน้าแดงตัวสั่นอยู่บนเตียง นกหนุ่มผู้ไม่ยอมแพ้ทำท่าจะปีนกลับขึ้นไปบนที่นอน

          “หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ! ถ้ามะลิขึ้นมา ชั้นจะไปนอนกับนินจากับดาวเหนือ!”

          ได้ผล! คนดื้อกลับลงไปนั่งจุ้มปุ๊กหน้าบูดอยู่บนพื้นตามเดิม พินเขวี้ยงหมอนตามลงไปใส่หัวเจ้านกตัวแสบจนผมเผ้ายุ่งเหยิง

          “นอนไปเลย!”

          มะลิลากที่นอนออกมาปูอย่างจำใจ ส่วนคนเขินล้มตัวลงนอนหันหนีไปอีกทาง หัวใจเต้นแรงจนทรมาน พินเริ่มกลัวความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อนกหนุ่ม

          ว่ามันจะระงับไว้ไม่ไหวอีกต่อไป






          “หนาวรึไงหึ๊เจ้าพิน?”

          เวลาอาหารเช้าสมาชิกในครอบครัวนั่งพร้อมหน้ากัน วันนี้การแต่งตัวของลูกชายคนเล็กอดที่จะทำให้คนเป็นแม่เอ่ยทักไม่ได้ ชายหนุ่มในเสื้อแขนยาวปิดคอมิดชิดยิ้มเหี่ยวตอบกลับไป

          “เอ่อ...นิดนึงครับแม่ แค่ก! สงสัยพินจะไม่ค่อยสบาย”

          คนสบายดีแสร้งทำเป็นไอ แม้ความรู้สึกที่แท้จริงของพินคือ “แม่งร้อนชิบหาย” ทว่าเพราะรอยจูบดวงเบ้อเริ่มของชายหนุ่มที่นั่งยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยข้างเขาอยู่ตอนนี้ ทำให้เขาต้องมาทุกข์ทรมานกับการแต่งตัวแบบไม่เกรงใจสภาพอากาศ

          “เราก็รีบกินยาแล้วนอนพักเยอะๆแล้วกัน”

          ผู้เป็นพ่อต่อบทสนทนาอย่างห่วงใย พินพยักหน้ารับพลางหันกลับไปสนใจข้าวต้มร้อนๆในชามที่ตอนนี้กำลังเพิ่มพูนความร้อนในร่างกายของชายหนุ่มให้พุ่งถึงขีดสุด

          ‘ปิ๊ง ป่อง’

          เสียงกดออดหน้าบ้านดังขึ้น พินผู้กระตือรือร้นรีบลุกไปดูโดยที่มะลิก็ทำตัวติดหนึบเดินตามไปด้วย เมื่อเปิดประตูออกก็พบเด็กหนุ่มในชุดนักศึกษาตัวสูงใหญ่ ใบหน้าคมเข้มยืนยิ้มนอบน้อมอยู่

          “สวัสดีครับ ผมชื่อเมฆ ตั้งแต่วันนี้ผมจะย้ายมาอยู่บ้านข้างๆนี้ครับ”

          เด็กหนุ่มยกมือไหว้ทักทายก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างสุภาพ เขาส่งถุงของฝากเล็กๆน้อยๆจากทางเหนือให้กับพิน

          “นี่ของฝากเล็กๆน้อยๆครับ ยังไงก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ”

          พินยิ้มรับพลางเปิดถุงออกดูก็พบไส้อั่ว น้ำพริกหนุ่มและแคปหมูหน้าตาน่ากินอยู่ภายใน

          “ขอบคุณนะครับ พี่ชื่อพินนะส่วนคนนี้ชื่อพี่พิมพ์”

          เขาเอ่ยแนะนำตัวกลับ และไม่ลืมที่จะแนะนำมะลิอีกคนในฐานะพี่ชาย

          “แล้วน้องเมฆมาเช่าบ้านอยู่คนเดียวเลยหรอ?”

          “อ๋อผมมาอยู่คนเดียวก็จริง แต่ว่าบ้านหลังนี้เป็นของครอบครัวผมเองครับ ปกติปล่อยให้เช่า แต่พอดีผมสอบติดมหาวิทยาลัยที่นี่ก็เลยกลับมาอยู่เองน่ะครับ”

          พินพยักหน้าเข้าใจ เขารู้เพียงแค่ว่าตั้งแต่ครอบครัวของเขาย้ายมาอยู่บ้านหลังนี้ บ้านที่อยู่ติดกันก็เป็นบ้านที่มีคนเช่าผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาโดยตลอด ครู่หนึ่งพินสังเกตตราสัญลักษณ์บนเนกไทของเมฆก็เอ่ยทักขึ้นมาอย่างตื่นเต้น

          “น้องเมฆเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันกับพี่เลยนี่ เรียนคณะอะไรหรอ?”

          “ผมเรียนหมอครับ แล้วพี่พินล่ะ?”

          “พี่เรียนเอกไทย แต่จบแล้วล่ะ”

          แมวดำปราดเปรียวที่เพิ่งตื่นนอนเห็นท่าทางครึกครื้นจึงกระโดดแผลวจากระเบียงลงมาอย่างสอดรู้ นินจาเข้าคลอเคลียพินก่อนจะสังเกตเห็นว่า เด็กหนุ่มอีกคนที่อยู่ตรงหน้ากำลังจ้องมองเขาตาเป็นประกายไม่วางตา

          “แมวตัวนี้! แมวบ้านพี่หรอครับ?”

          “อ๋อเปล่าหรอก...มันเป็นแมวจรน่ะ มันชอบแวะมาที่บ้านพี่บ่อยๆ”

          เมฆนั่งยองเกาคางให้เจ้าเหมียวได้เคลิบเคลิ้มมีความสุขพลางเอ่ยขึ้นด้วยความคิดถึง

          “มันเหมือนเจ้านินจาที่ผมเคยเลี้ยงตอนเด็กมากๆเลย ต่างกันตรงที่เจ้าแมวตัวนี้ออกจะผอมไปซักหน่อย”

          “นินจาหรอ...?”

          ราวกับชิ้นส่วนที่หายไปค่อยๆถูกปะติดปะต่อ ดูเหมือนว่านินจาเองก็เคยมีเจ้าของมาก่อนซึ่งก็คือเด็กหนุ่มคนนี้ และการที่นินจาตัดสินใจให้เขาเรียกตนเองด้วยชื่อที่เมฆตั้งให้ แสดงว่าเจ้าแมวดำคงมีความอาวรณ์ต่อคนๆ นี้ไม่น้อย

          “เดี๋ยวเมฆขอตัวไปทำธุระที่มหาวิทยาลัยก่อนนะครับพี่พิน แล้วเจอกันครับ”

          เด็กหนุ่มผละตัวจากไป ทิ้งไว้เพียงความสงสัยที่พินมีต่อแมวหนุ่ม

          “นินจาเคยเป็นแมวของเมฆใช่รึเปล่า?”

          เจ้าแมวไม่พูดอะไร แต่สำหรับพินความเงียบนี้นับเป็นคำตอบว่า “ใช่”

          “ถ้าอย่างนั้นทำไมนินจาถึงมาเป็นแมวจรอยู่อย่างนี้ล่ะ?”

          แมวหนุ่มนิ่งไป ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

          “สำหรับเมฆ เราได้ตายไปแล้ว...”

          พูดจบนินจาก็กระโดดขึ้นกำแพงจากไป พินได้แต่คิดว่า ชีวิตของพวกอมนุษย์ไม่ใช่เรื่องง่าย อายุของพวกมันยืนยาวกว่าสัตว์ตามธรรมชาติทั่วไป ครั้นจะใช้ชีวิตเยี่ยงมนุษย์เพียงอย่างเดียวก็ไม่สามารถเอาตัวรอดได้ ชายหนุ่มหันไปสบตามองคนข้างๆอย่างปวดใจ หากวันหนึ่งที่เขาไม่อาจอยู่เคียงข้างมะลิได้อีกต่อไป เจ้านกน้อยจะใช้ชีวิตเช่นไร...



++++++++++++++++



          ดาวเหนือมาแล้วค่า ดาวเหนือเราใช้ต้นแบบเป็นงูพันธ์ุคอร์นเสน็คซึ่งเป็นงูตัวจิ๋วที่ไม่ดุร้าย และมีมากมายหลายสีสวยงามค่ะ ถ้าใครไม่กลัวงูลองไปหาภาพดูได้นะคะ งูขาวตาแดงดูสวยงามลึกลับมากทีเดียวค่ะ

หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! My brother is the barn owl! บทที่14 : ดาวเหนือ 16/08/19 UP!
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 17-08-2019 22:52:36
 :L2: :pig4: :pig4: :pig4: :L2:


 o13
หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! My brother is the barn owl! บทที่15 : สำนึก 19/08/19 UP!
เริ่มหัวข้อโดย: Timid Lily ที่ 19-08-2019 10:53:33

บทที่15 : สำนึก

          ร่างกายสูงโปร่งนอนทอดตัวยาวรับลมอุ่นที่โชยผ่านประตูระเบียงที่ถูกแง้มไว้ กิจกรรมนอนกลางวันยังคงเป็นสิ่งที่นกกลางคืนอย่างมะลิชื่นชอบ ถึงแม้ว่าเขาจะปรับตัวมาใช้ชีวิตเยี่ยงมนุษย์ได้กว่าครึ่งค่อนปีแล้วก็ตาม

          ‘ครืด’

          เสียงโทรศัพท์มือถือสั่นอื้ออึงรบกวนการนอนของชายหนุ่ม มือขาวควานปัดป่ายหาสิ่งรบกวนก่อนจะกดรับสายโดยที่ยังไม่ลืมตา

          [มึง! ไอ้ทนายชั่ว!]

          สติกลับมาตื่นตัว ดวงตาสุกใสเบิกโพลงก่อนจะดึงโทรศัพท์ออกจากหูพลางมองชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอ

          ‘สินทร’

          [มึงทำอะไรกับสำนวนคดี!]

          “....?”

          มะลิไม่รู้จะตอบไปยังไง เขาได้แต่นิ่งเงียบเพราะไม่รู้เรื่องราวอะไรสักอย่าง

          [อย่ามัวแต่เงียบสิวะ! กูถามว่ามึงทำอะไรกับสำนวนคดี!]

          “คุณพูดอะไร? ผมไม่เข้าใจ”

          [ไหนมึงบอกว่าวางมือจากคดีนี้แล้วไง? แล้วทำไมไอ้ทนายคนใหม่ถึงบอกว่าใช้สำนวนคดีเดิมอ้างอิงจากที่มึงเคยทำไว้!]

          ‘สำนวนคดีเดิม? หมายความว่ายังไง?’

          [มึงรวมหัวกับอีหมอคนนั้นสร้างหลักฐานเท็จใช่มั้ย?! ทนายเลวๆอย่างมึงมันน่าจะตายๆไปตั้งแต่ตอนนั้น ไม่สมควรจะรอดมาใช้อากาศหายใจร่วมกับกู!]

          “คุณสินทร...คุณอยากจะบอกอะไรผม?”

          [บอกอะไรงั้นหรอ? มึงยังจะมาทำไขสือถามกูอีกหรอ? มึงอยากจะให้กูบอกมึงเองเลยใช่มั้ยว่ากูแพ้คดี!]

          ‘สินทรแพ้คดี?’

          [มึงคอยดูนะ กูจะหาหลักฐานมาพิสูจน์ให้ได้ว่าพวกมึงรวมหัวกันโกง กูไม่ยอมพวกมึงหรอก มึงรอดูวันที่อีหมอเพื่อนมึงติดคุกได้เลย แล้วเจอกันในศาลชั้นถัดไป!]

          ปลายสายทิ้งท้ายไว้อย่างแค้นเคืองก่อนจะตัดสายไป เรื่องที่สินทรแพ้คดี ไหนจะหลักฐานเท็จอีก หรือว่าสิ่งเหล่านี้จะพาให้เขาได้เข้าใกล้สาเหตุการตายของพิมพ์ขึ้นอีกนิด “สำนวนคดี” ที่สินทรพูดถึงมันอยู่ที่ไหน มะลิได้แต่คิดว่าเขาต้องหาสิ่งนี้ให้เจอ เพื่อที่เขาจะได้ค้นพบเงื่อนงำบางอย่างที่ถูกซ่อนเร้นเอาไว้





          ณ สำนักงานทนายความห้องแถวสี่ชั้นติดถนน ตอนนี้มีชายหนุ่มท่าทางไม่ประสีประสายืนมองประตูชะโงกไปมาอยู่ วันนี้เป็นโอกาสดีของมะลิที่จะแวบออกมาข้างนอกโดยที่ไม่ต้องหาข้ออ้าง วันที่พินไม่อยู่เนื่องจากออกไปสมัครงาน ตอนนี้เจ้านกหนุ่มได้แต่คิดว่าเมื่อเข้าไปภายในแล้ว เขาจะถามหาสิ่งที่ต้องการได้จากใคร

          “สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าต้องการมาติดต่อใครครับ?”

          ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่บริเวณโต๊ะไม่ห่างจากประตูเอ่ยขึ้นถามผู้มาเยือน

          “ผมมาหาทนายจักรพัฒน์ครับ ที่รับผิดชอบคดีของแพทย์หญิงญานิสาต่อจากผม”

          “คุณคงเป็นคุณทนายพิชาธรสินะครับ”

          “ใช่ครับ...”

          “พอดีคุณจักรพัฒน์ติดลูกความอยู่น่ะครับ ถ้ามีอะไรเร่งด่วนฝากข้อความผ่านทางผมไว้ก่อนก็ได้”

          “เอ่อ...คือผมอยากจะขอดูสำนวนคดีของแพทย์หญิงญานิสาแล้วก็เอกสารอื่นๆ ที่ผมเคยรวบรวมเอาไว้หน่อยน่ะครับ”

          มะลิเอ่ยขอไปทื่อๆ ชายที่เป็นเลขาเหลือบตามองคนถามเล็กน้อยก่อนจะแสร้งหยิบเอกสารขึ้นมาบนโต๊ะวุ่นวาย

          “คุณพิชาธรไม่ต้องห่วงหรอกครับ ขอให้วางมือจากคดีนี้ได้อย่างสบายใจ เพราะว่าท่านผู้อำนวยการโรงพยาบาลเป็นคนไหว้วานให้คุณจักรพัฒน์มาดูแลคดีนี้แทน คุณวางใจได้ว่าคุณญานิสาจะต้องชนะคดีอย่างแน่นอนครับ”

          “แต่ว่า...”

          “เชิญครับ”

          เลขาหนุ่มผายมือเชิญมะลิไปทางประตู ถึงแม้เขาจะไม่ค่อยรู้ประสา แต่ท่าทางนี้มีความหมายเดียวคือคนๆนี้ต้องการให้มะลิกลับไป การที่เขาหาเหตุผลมาโต้แย้งขอข้อมูลอะไรไม่ได้ย่อมต้องยอมแพ้ไป ทางที่ดีเขาควรจะดิ้นรนหาข้อมูลเหล่านี้ด้วยตนเอง ทว่าใช่ว่าเขาไม่ได้พยายาม ชายหนุ่มได้พยายามเข้าถึงข้อมูลที่ถูกเก็บไว้ในแล็ปท็อปแล้ว ทว่าสำนวนคดีนี้กลับหายไปราวกับถูกเสก

          นกหนุ่มเดินทอดถอนใจออกจากสำนักงานทนายความมา เขาได้แต่หวังว่าตัวเขาน่าจะฉลาดมีชั้นเชิงกว่านี้อีกสักนิด แต่กับพวกมนุษย์จอมเจ้าเล่ห์แล้ว คงเป็นเรื่องยากที่อมนุษย์ที่เอาแต่ใช้กำลังอย่างเขาจะเอาชนะได้

          “บนโลกนี้คงมีแต่มนุษย์อย่างพินเท่านั้นแหละที่ไม่มีพิษภัย...”

          “พิมพ์!”

          เสียงหญิงสาวที่คุ้นหูตะโกนเรียกชายหนุ่มจากทางด้านหลัง หมอหญิงที่เพิ่งออกจากสำนักงานทนายความมาเรียกหาเขาด้วยน้ำเสียงสดชื่น

          “ไหม?”

          “พิมพ์มาทำอะไรที่นี่เนี่ย?”

          “เรามาหาทนายจักรพัฒน์น่ะ แล้วไหมล่ะ?”

          “เราก็มาคุยเรื่องคดีกับทนายจักรพัฒน์เหมือนกัน”

          ชายหนุ่มนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง เขาลังเลว่าหากจะเอ่ยถามเรื่องนี้กับแพทย์สาวตรงๆไปเลยอาจเป็นความคิดที่ดีหรืออาจจะไม่

          “ไหม...เราถามอะไรหน่อยสิ”

          มะลิทำหน้าจริงจังถามหมอหญิง ทว่าเธอกลับยิ้มร่าเริงขึ้นก่อนเอ่ยชวน

          “พิมพ์ไปกินข้าวด้วยกันมั้ย? แล้วแกอยากจะถามอะไรก็ถามมา เสร็จแล้วเดี๋ยวเราไปส่งที่บ้าน อย่ามายืนคุยกันตรงนี้เลย ร้อนจะตาย”

          โดยไม่รอให้ชายหนุ่มตอบตกลง หญิงสาวก็ลากแขนคนเป็นเพื่อนไปทางรถที่จอดไว้ของเธอ



          “พิมพ์...ไม่หิวหรอ? นั่งจ้องจานข้าวอยู่ได้ นี่ของโปรดแกเลยนะ”

          นกหนุ่มนั่งซึมเซ็งมองจานผัดไทที่ค่อยๆเย็นชืด ในขณะที่หญิงสาวอีกคนนั่งจิ้มหอยทอดใส่ปากอย่างเอร็ดอร่อย

          “นายสินทรโทรหาเรา...”

          คนที่เคี้ยวตุ้ยอยู่เมื่อครู่กลืนอาหารลงคอไปช้าๆ ไหมวางส้อมลงก่อนจะจิบน้ำล้างปาก

          “นายสินทรบอกว่าเรารวมหัวกับไหมแล้วก็ทนายจักรพัฒน์สร้างหลักฐานเท็จ เราเลยอยากจะเห็นสำนวนคดีกับตาว่าเรื่องมันเป็นยังไงมายังไง แต่เราลองค้นจากข้อมูลที่เก็บไว้เท่าไหร่ก็ไม่เจอมีแต่คดีเก่าๆ เราถึงต้องดั้งด้นมาหาถึงที่นี่”

          “แล้วเค้าก็ไม่ยอมให้พิมพ์ดูใช่มั้ย?”

          ชายหนุ่มสบตามองหญิงสาวที่นั่งถอนใจ ไหมหยิบส้อมขึ้นมาอีกครั้งพลางเขี่ยแป้งทอดออกกินแต่เนื้อหอยชุ่มฉ่ำในจาน

          “เอาจริงๆ นะ ตอนนี้ผอ.โรงพยาบาลพยายามดูแลทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ ทำให้เราเองก็ไม่มีสิทธิ์ไปยุ่มย่ามนัก อย่างมากก็ทำได้แค่ทำตามคำแนะนำของทนายจักรพัฒน์...”

          มะลินิ่งไป ในเมื่อคนที่ดูเหมือนพอจะให้ความช่วยเหลือกับเขาได้ยังรีบออกตัวขนาดนี้ เขาก็ไม่รู้ว่าควรจะหันไปพึ่งใคร

          “พิมพ์อย่าไปสนใจที่ไอ้สินทรมันพูดเลย คนอย่างมันก็แค่พวกขี้แพ้ชวนตี”

          หญิงสาวสังเกตเห็นท่าทางไม่สบายใจของเพื่อนจึงเอ่ยขึ้นเป็นแนวทาง

          “แต่ถ้าพิมพ์อยากจะเห็นสำนวนคดีจริงๆ...พิมพ์ได้ลองกลับไปหาเอกสารดูที่คอนโดรึยัง? ปกติพิมพ์อยู่ที่คอนโด ข้าวของส่วนตัวพิมพ์ก็อยู่ที่คอนโด ถ้ามาหาเอาจากที่บ้านก็คงไม่มีหรอก”

          คำพูดของไหมทำให้มะลิฉุกคิดขึ้นมาได้ เขาเหมือนจะลืมไปว่าพิมพ์เป็นชายที่แต่งงานแล้วย้ายออกไปอยู่กับภรรยากันสองคน เพราะฉะนั้นก็คงไม่แปลกที่เขาจะหาสิ่งที่เขาต้องการไม่พบ

          “แล้วคอนโดอยู่ที่ไหน? เราจะไปที่นั่นได้ยังไง?”

          “ไอ้พาไปเราก็พาไปได้อยู่หรอกนะ ว่าแต่พิมพ์จำรหัสเข้าห้องได้รึเปล่าล่ะ?”

          อย่าว่าแต่จำ ไอ้รหัสเข้าห้องมันคืออะไรเขาก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ ตอนนี้สิ่งเดียวที่มะลิพอจะทำได้คือการติดต่อชิชาไป เพราะคนที่จะพาเขาไปที่นั่นได้เห็นทีจะมีเพียงหญิงสาวที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยา มากกว่าเพื่อนสนิทคนนี้เป็นไหนๆ





          ท่ามกลางห้องสี่เหลี่ยมที่ไร้แสงไฟนกหนุ่มกำลังหลับสนิทรับราตรีที่มาเยือน เขานอนซุกใต้ผ้าห่มหายใจเข้าออกเป็นจังหวะสม่ำเสมอ

          ‘แซ่ก’

          เสียงของอะไรบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวอยู่ไม่ไกลไปจากหัวนอนของเขา

          “อืม...”

          ชายหนุ่มส่งเสียงงึมงำเมื่อรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งเข้ามาใกล้ เขาปรือตาขึ้นเล็กน้อยก่อนที่ภาพตรงหน้าจะทำให้ดวงตาสุกใสเบิกโพลงด้วยความตกใจ

          “ฟ่อ!”

          งูขาวขนาดยักษ์งับขย้ำเข้าที่คอของนกหนุ่มพลางสะบัดอย่างรุนแรงเลือดเย็น ความเจ็บปวดแล่นขึ้นทั่วร่างราวกดให้จิตใต้สำนึกต้องรีบตื่นขึ้นเพื่อหลบหนีจากความกลัว

          “แฮ่ก!”

          แสงแดดจัดจ้าแยงเข้าลูกตาที่กำลังเบิกขึ้นทั้งสองข้าง มะลิหายใจหอบไม่เป็นจังหวะ ใบหน้าซีดเซียวเหงื่อซึมไปทั้งร่าง เขาๆ ค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นนั่งพลางมองไปรอบๆ ห้องที่เหลือเพียงเขาที่ยังคงนอนอยู่

          ‘เช้าแล้วหรอ...?’

          นกหนุ่มนั่งกุมมือปลอบประโลมตนให้ได้สติ เขาปิดตาแน่นนึกถึงภาพเมื่อครู่ก็จำได้ทันทีว่าใครเข้ามาเยี่ยมถึงในฝัน มะลิลุกพรวดขึ้นรีบออกจากห้องนอนไป ก่อนจะบุกเข้าไปยังห้องนอนอีกห้องที่อยู่ติดกัน

          “แก! อยากจะบอกอะไรกับเรา?”

          งูหนุ่มที่กำลังนั่งเหม่อลอยออกไปนอกหน้าต่างหันกลับมาตามเสียง เสียงที่ไม่เป็นมิตรและแข็งกระด้าง

          “นาย...ระวังตัวเอาไว้จะดีกว่านะ...”

          ดาวเหนือหันมาพูดด้วยน้ำเสียงเย็น ก่อนจะหันกลับไปทอดสายตาล่องลอยมองท้องฟ้า มะลิพยายามไม่ใส่ใจสิ่งที่ชายหนุ่มอีกคนบอกกับเขาจากนั้นจึงรีบออกจากห้องไปอาบน้ำแต่งตัว เนื่องจากวันนี้เขาและพินจะต้องไปส่งพ่อกับแม่ที่สนามบิน



          ภายในอาคารโอ่โถงแสนพลุกพล่าน ผู้คนหลากหลายเชื้อชาติเดินกันขวักไขว่สร้างความตื่นเต้นให้นกมะลิไม่น้อย มนุษย์บางคนมีเส้นผมสีทองอร่าม บ้างก็มีดวงตาสีเขียวมรกตสดใส บ้างก็ผิวเข้มสนิทราวกับท้องฟ้ายามราตรี

          “ที่นี่คือที่ไหน? ทำไมถึงมีมนุษย์หน้าตาแปลกๆเต็มไปหมด?”

          “ที่นี่เรียกว่าสนามบิน เป็นสถานที่ๆเชื่อมต่อผู้คนทั่วโลกเข้าด้วยกัน”

          ชายหนุ่มสบตามองอย่างสงสัย ณ สถานที่แห่งนี้มีสิ่งที่มะลิไม่เข้าใจเต็มไปหมด

          “เชื่อมต่อกันยังไง? แล้วทั่วโลกนี่มันกว้างขนาดไหน?”

          พินยิ้มหัวเราะเจ้านกน้อยในความไร้เดียงสา ก่อนจะชี้นิ้วให้มะลิดูภาพเครื่องบินที่ติดอยู่บนป้ายโฆษณา

          “โลกมันกว้างใหญ่มาก มากจนชั้นเองก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง เอาเป็นว่ามนุษย์เดินทางไกลโดยใช้เครื่องบินน่ะ”

          “เครื่องบินงั้นหรอ? เราเคยเห็นมันพุ่งทะยานไปบนท้องฟ้า มันเร็วมากๆแค่แป๊บเดียวก็หายลับไปจากสายตาแล้ว”

          “ใช่แล้ว คนก็นั่งอยู่ในนั้นแหละ แล้วก็เดินทางข้ามซีกโลกไป”

          มะลิฟังด้วยความตื่นเต้น จะเป็นไปได้ไหมหากเขาจะหวังว่าครั้งหนึ่งในชีวิตเขาจะได้ขึ้นไปนั่งเครื่องบินข้ามท้องฟ้าทดแทนปีกที่หายไป

          “ซักวันนึง...ชั้นจะพานายขึ้นเครื่องบินไปเที่ยวด้วยกันนะ”

          พินเอ่ยขึ้นราวกับอ่านความคิดของมะลิออก คนที่เข้าอกเข้าใจ คนที่เขาไม่ต้องเอ่ยพูดอะไรก็รู้ใจไปเสียหมดแบบนี้จะไม่ให้อมนุษย์เช่นเขาตกหลุมรักได้ยังไง

          ครู่หนึ่งผู้ใหญ่ทั้งสองที่เพิ่งโหลดสัมภาระเสร็จก็เดินออกมา คราวนี้พ่อได้เริ่มโปรเจคใหม่อีกครั้งที่ประเทศญี่ปุ่น ส่วนแม่ที่เหนื่อยมามากกับการดูแลคุณยายและสวนมะลิก็จะถือโอกาสตามพ่อไปเที่ยวคลายเหงาด้วยอีกคน

          “พิมพ์ พิน เดี๋ยวพ่อกับแม่คงต้องเข้าไปข้างในแล้วล่ะ”

          “เอ๊ะ! ใกล้เวลาแล้วหรอคุณ? เสียดายจัง อยากจะอยู่กับลูกต่ออีกซักนิด”

          “ถ้าแม่ไม่อยากไปก็อยู่กับพวกผมก็ได้นี่ครับ”

          พินเอ่ยล้อแม่ของเขา ที่จู่ๆก็นึกคิดถึงลูกทั้งๆที่ยังไม่ได้ออกเดินทางเสียด้วยซ้ำ

          “แม่ก็อยากอยู่หรอกนะแต่คนมันเบื่อ งานก็ไม่ได้ทำแล้ว วันๆอยู่แต่บ้านแม่เหงาจะแย่”

          “โถ่...แม่ไม่อยู่พินก็เหงาเหมือนกันนะ กลับจากสวนมาอยู่บ้านได้แค่แป๊บเดียวก็ไปอีกแล้ว”

          ลูกชายคนเล็กทำเสียงเง้างอดอ้อนแม่ของเขา ทำเอาผู้เป็นพ่อส่ายหัวยิ้มขำ

          “ก็แม่แกอยู่เฉยๆเป็นซะที่ไหน คนอะไรยุ่งก็บ่นว่างก็บ่น”

          หญิงวัยกลางคนทำหน้านิ่วตีแขนสามีดังเพี๊ยะ ก่อนจะหันมาพูดกับลูกชายคนโต

          “ถ้ากลัวแม่จะเหงาพิมพ์ก็รีบมีหลานให้แม่สิลูก เดี๋ยวนี้แกไม่กลับไปอยู่กับหนูชิชาบ้างเลย ระวังเมียจะน้อยใจ ดูแลเธอให้มากๆหน่อย พ่อกับแม่เค้าจะได้ไม่มาว่าเราได้รู้รึเปล่า?”

          มะลิทำเป็นเงียบไม่โต้ตอบ เขาได้แต่ก้มหน้ามองพื้นเตะเท้าเซ็งไปเรื่อย

          “พ่อเห็นด้วยนะพิมพ์ เราเป็นผู้ชายเป็นสามี พ่อกับแม่เค้าอุตส่าห์ยอมยกคนที่เป็นเหมือนแก้วตาดวงใจให้ เราก็ต้องดูแลลูกสาวเค้าให้ดี จริงมั้ย?”

          นกหนุ่มพยักหน้ารับไปส่งๆ สำหรับมะลิเขาไม่อยากจะใส่ใจเรื่องหญิงสาวคนนั้นด้วยซ้ำ เพราะเขาแทบจะไม่รู้จักอะไรเกี่ยวกับชิชาเลย เรื่องที่จะให้แสดงเป็นสามีผู้แสนดีคงเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว

          ทว่า...คนที่กำลังคิดมากตอนนี้กลับเป็นพิน ราวกับสำนึกผิดชอบชั่วดีกำลังชำระล้างจิตใจ เขาตระหนักขึ้นมาได้ว่าตอนนี้ “มะลิ” กำลังใช้ร่าง “พิมพ์” ซึ่งเป็นพี่ชายแท้ๆของตน ทั้งยังเป็นชายที่แต่งงานมีภรรยาแล้วเป็นตัวเป็นตน

          ความรู้สึกผิดบาปกัดกินจับขั้วหัวใจ ผิดที่เขามีความรู้สึกพิเศษมอบให้ บาปที่ความรักต้องห้ามกำลังครอบงำให้เขาหลงใหลมัวเมา สิ่งที่พินควรจะทำคือการหักห้ามใจ หากเป็นไปได้เขาอยากจะอ้อนวอนต่อหัวใจ

          ได้โปรดอย่าถลำลึกลงไปให้มากกว่านี้อีกเลย


++++++++++++++++




          ดาวเหนือร่างจริงกับเวลาเข้าฝันนี่ดูแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเลยนะคะ ในความฝันเหมือนเป็นโลกของดาวเหนือ เพราะฉะนั้นเจ้างูอยากจะมาในสภาพยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ได้ตามใจเลยค่ะ ส่วนในความเป็นจริงก็เป็นได้แค่งูน้อยเหมือนเดิม
หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! My brother is the barn owl! บทที่15 : สำนึก 19/08/19 UP!
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 20-08-2019 00:54:59
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! My brother is the barn owl! บทที่16 : ฝืน 23/08/19 UP!
เริ่มหัวข้อโดย: Timid Lily ที่ 23-08-2019 13:33:55
บทที่16 : ฝืน   

          ‘พินแปลกไป...’

          ไม่รู้ว่าเพราะอะไรตั้งแต่ที่พ่อกับแม่ไม่อยู่ พินก็มีท่าทีเย็นชาใส่มะลิอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าเขาจะพยายามเข้าหาเอาอกเอาใจยังไง พินก็เลี่ยงทำไม่สนใจอยู่ร่ำไป...หนนี้ก็เช่นกัน

          “พินเหนื่อยมั้ย? ให้เราช่วยเถอะนะ”

          ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นอาสาเมื่อเห็นคนตรงหน้ากำลังรวบเก็บผ้าปูที่นอนผืนโตที่ถูกตากไว้ตั้งแต่เช้าอย่างขะมักเขม้น ทว่าอีกฝ่ายก็ไม่มีท่าทีตอบกลับใดๆ พินได้แต่ก้มหน้าก้มตาทำงานบ้านต่อไปโดยไม่ปริปากพูด นกหนุ่มจึงไม่รอคำอนุญาต ช่วยเก็บปลอกหมอนลงตะกร้าด้วยอีกแรง

          คนตัวบางเขย่งเท้าขึ้นรวบผ้าคลุมเตียงที่ถูกตากเอาไว้บนราวสูง ทำให้ชายหนุ่มที่ตัวใหญ่กว่าอดไม่ได้ที่จะช่วยเก็บมาให้แทน

          “พินเดี๋ยวเราช่วย”

          “ฮึบ...ไม่เป็นไร ชั้นทำเองได้”

          พินตอบปฏิเสธอย่างเย็นชา แต่มะลิก็ไม่ได้สนใจ เขาเอื้อมมือรวบผ้ากลิ่นหอมแดดลงมาลวกๆจนชายผ้าบางส่วนปรกลงบนหัวคนตัวเล็กกว่า

          “มะลิชั้นบอกแล้วไงว่าไม่ต้องมาชะ...”

          พินที่กำลังหงุดหงิดเลิกผ้าที่ปกคลุมศีรษะของเขาออก เผยให้เห็นใบหน้าหม่นหมองที่จ้องมองมา ดวงตาสวยหวานทว่าเศร้าซึมกำลังสบตามองคนตรงหน้าอย่างเว้าวอน

          “พิน...เรา...”

          โดยไม่รอให้อีกฝ่ายพูดให้จบ พินรีบโกยผ้าทั้งหมดลงตะกร้าแล้วยกเข้าบ้านไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามองคนที่รีบร้อนตามมา

          “พินฟังเราก่อน!”



          “สวัสดีเจ้าสุนัข ผมชื่อดาวเหนือ”

          ชายหนุ่มผิวซีดยื่นมือลอดประตูรั้วเข้าไปอย่างไม่กลัวเกรง โชคดีที่เจ้าหมาน้อยตัวโตขนสีทองอร่ามบ้านตรงข้ามเป็นสุนัขที่เป็นมิตร มันจึงได้แต่เลียมือของเขาแผล็บๆ จนเปียกแฉะไปหมด

          “ดาวเหนือ! ดาวเหนืออยู่ที่ไหน?”

          เสียงตะโกนร้องเรียกดังมาจากในตัวบ้าน พินเปิดประตูรั้วเดินออกมาเมื่อเห็นงูหนุ่มกำลังเจริญสัมพันธไมตรีกับหมาน้อยจอมเอ๋ออยู่

          “วันนี้ชั้นจะพานายไปตามหาเจ้าของ”

          “จริงหรอพิน? !”

          พูดจบพินก็จับมือจูงดาวเหนือที่กำลังดีอกดีใจไปทางรถ โดยไม่สนใจว่าที่มือของเจ้างูหนุ่มนั้นจะชุ่มไปด้วยน้ำลายขนาดไหน วันนี้พินดูร้อนรนแปลกๆพิกล ใบหน้าก็ไม่สดใสเต็มไปด้วยรอยยิ้มเหมือนเคย

          “พินจะไปไหน? รอเราด้วย!”

          ชายหนุ่มอีกคนปรี่เข้ามาหาทั้งคู่ สีหน้าของมะลิดูอึดอัดขุ่นข้อง แถมยังดูจะไม่พอใจที่เห็นพินจับมือของดาวเหนืออยู่

          “เราจะไปด้วย”

          “ดาวเหนือ...ขึ้นไปรอบนรถเถอะ”

          พูดจบพินก็เปิดประตูให้คนไม่รู้เรื่องรู้ราวขึ้นรถไป เขาถอนใจเบาๆก่อนจะพูดกับมะลิเสียงเรียบ

          “มะลิอยู่เฝ้าบ้านเถอะ”

          “ทำไม? เราไปด้วยแล้วมันจะเป็นอะไร?”

          พินเงียบกลับไป มะลิเอ่ยถามคาดคั้นไม่ยอมแพ้

          “พินเป็นอะไรเราไม่เข้าใจ? มีอะไรก็พูดออกมาสิ”

          คนเงียบไม่สนใจ เขารีบเปิดประตูขึ้นรถก่อนจะปิดอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้นกหนุ่มยื้อประตูพลางตะโกนเรียกอย่างน่าสงสาร

          “พิน! กลับมาคุยกันก่อน”

          รถยนต์สีขาวแล่นออกไป ดาวเหนือสังเกตเห็นสีหน้าเจ็บปวดของคนหลังพวงมาลัยก็นึกสงสัย

          “พินโกรธนกมะลิหรอ?”

          “เอ๊ะ?”

          พินตกใจที่ไม่สามารถเก็บความรู้สึกได้ เขารีบพูดจาบ่ายเบี่ยง

          “เปล่าหรอกไม่มีอะไร...”

          “ถ้าไม่มีอะไรทำไมถึงทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อย่างนั้นล่ะ?”

          แม้กระทั่งงูอ่อนต่อโลกอย่างดาวเหนือก็ยังดูออก ทุกอย่างคงจะชัดเจนแล้วว่าความเจ็บปวดนี้มีใครเป็นต้นเหตุ เพียงแต่ว่าคนที่ผิดก็คือตัวพินเอง ผิดที่ไปเผลอใจให้กับคนที่เขาไม่สมควรจะตกหลุมรัก

          “พิน...?”

          ดาวเหนือเอ่ยเรียกคนนั่งข้างที่เริ่มเหม่อลอยใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว พินพยายามสะกดความรู้สึกเจ็บหน่วงภายในและพูดกับดาวเหนือให้ดูปกติที่สุด

          “ดาวเหนือเจอกับมะลิที่ไหนหรอ...?”

          “อืม...ผมถูกนกมะลิจับได้ในงานรับปริญญาที่มหาวิทยาลัยของพินตอนกำลังหลงทางเลื้อยซอกแซกอยู่ตามต้นไม้ เกือบจะโดนตีตายอยู่หลายรอบแล้วเหมือนกัน”

          คงไม่เสียหายอะไรหากพินจะตัดสินใจลองพาดาวเหนือไปที่มหาวิทยาลัยดู ไม่แน่ว่าบ้านของเจ้าของงูหนุ่มอาจจะอยู่แถวนั้น เผลอๆเจ้าของๆมันอาจเป็นนักศึกษาที่นั่นด้วยก็เป็นได้



          ซึ่งเขาอาจจะคิดผิด....



          ชายสองคนเดินเตร่มาหลายชั่วโมงก็ไม่มีวี่แววว่าดาวเหนือจะพบกับคนที่เขาจำได้ ดวงตาเรียวสลดเศร้า ท่าทางท้อแท้ห่อเหี่ยวอย่างเห็นได้ชัด

          “พินเรากลับกันเถอะ...คิมคงจะเลิกตามหาผมไปแล้วล่ะ”

          “ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะดาวเหนือ?”

          งูหนุ่มหลบสายตาไปอีกทางเพื่อไม่ให้พินเห็นใบหน้าทุกข์ใจของเขา ก่อนจะเอ่ยเสียงทุ้มสั่น

          “เพราะผมเป็นแค่งู...เป็นแค่สัตว์เลี้ยงที่อาจจะถูกแทนที่ได้ทุกเมื่อ”

          “อย่าพูดอย่างนั้นสิ มนุษย์เราก็มีหัวใจนะ! ตลอดเวลาที่อยู่กับคิม ดาวเหนือสัมผัสไม่ได้เลยหรอว่าคิมรักดาวเหนือรึเปล่า?”

          ดาวเหนือนิ่งตั้งใจฟังในสิ่งที่พินพยายามจะบอก ทว่าเขากลับไม่อาจสลัดความกลัวที่แอบซ่อนอยู่ภายในใจของตนทิ้งไปได้เลย

          “ผมรู้...แต่ความรู้สึกของมนุษย์เปลี่ยนแปลงไปเร็วเหลือเกิน เร็วจนผมกลัว...”

          จริงของเจ้างูที่ว่าความรู้สึกของคนเราช่างแปรเปลี่ยนได้รวดเร็ว แม้แต่ตัวเขาเองที่เคยเกรงกลัวหวาดระแวงอมนุษย์นกอย่างมะลิมาก่อน ถึงตอนนี้ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่หัวใจของเขาเริ่มหลอมละลายไป...เพราะความอบอุ่นที่เรียกว่า “รัก”

          “อย่าเพิ่งท้อไปเลยนะ ไว้วันหลังชั้นจะพานายมาตามหาคิมใหม่ วันนี้เรากลับบ้านก่อนก็แล้วกัน”

          ดาวเหนือพยักหน้าอย่างเชื่อฟังพลางเดินตามพินไปยังลานจอดรถ นับว่ายังเป็นโชคดีของงูไม่รู้ประสาเช่นเขาที่ได้มาเจอคนจิตใจดีเช่นพิน ทว่ามันจะเป็นความหวังลมๆแล้งๆไปไหม หากดาวเหนือปรารถนาที่จะได้กลับไปเจอหน้าเจ้าของคนเดิมอีกครั้ง...



          ยามที่ความเงียบงันเริ่มปกคลุม ชายหนุ่มผู้กลัดกลุ้มนั่งกุมมืออยู่บนโซฟา เวลาล่วงเลยมาจนพลบค่ำแล้วทว่าคนที่เขาทั้งหวงทั้งห่วงก็ยังไม่กลับมา การที่มะลิทำได้แค่รอมันช่างปั่นป่วนความรู้สึกของเขาจนแทบคลั่ง

          เสียงเปิดประตูบ้านดังขึ้น ภาพของชายสองคนที่เดินเข้าบ้านมาท่าทางเป็นห่วงเป็นใยกัน ทำให้เขาอดปากเสียใส่ไม่ได้

          “หึ! วันนี้คงจะคว้าน้ำเหลวล่ะสิท่าไอ้งู ป่านนี้เจ้าของๆแกคงมีสัตว์เลี้ยงใหม่ไปแล้ว แกคงถูกลืมไปแล้วล่ะ เสียเวลาตามหาเปล่าๆ”     

          คำพูดจี้ใจดำทำให้ดาวเหนือที่กังวลอยู่แล้วรู้สึกกลัวและเสียกำลังใจมากขึ้นไปอีก พินได้ยินมะลิพูดแบบนั้นจึงทนไม่ได้ต้องสวนกลับไป

          “มะลิ! นายมันจะใจดำเกินไปหน่อยแล้ว”

          พูดจบพินก็ตบบ่าดาวเหนือเบาๆพลางเอ่ยขึ้นอย่างห่วงใย

          “ดาวเหนือไปพักผ่อนเถอะ อย่าไปใส่ใจคำพูดของคนปากเสียเลย”

          งูหนุ่มค่อยๆลากร่างกายอันไร้ชีวิตชีวาขึ้นบันไดไป ส่วนพินก็เดินหนีตามไปอีกคน ทิ้งให้คนนิสัยไม่ดีนั่งหน้ายับอยู่คนเดียว มะลิที่กำลังหงุดหงิดจนแทบทนไม่ไหวไม่รอช้าลุกขึ้นตามพินไปที่ห้องนอน

          ไม่ทันที่นกหนุ่มจะหมุนลูกบิด ประตูก็เปิดออก ชายหนุ่มที่ถือผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่อยู่ในมือเหลือบตามองเขาด้วยสีหน้ารำคาญใจ

          “ถอยไปมะลิ ชั้นจะไปอาบน้ำ”

          พินผลักร่างนกหนุ่มออกไปจนพ้นทางและรีบเดินหายไปในห้องน้ำอย่างรวดเร็ว สายน้ำไหลจากฝักบัวกระทบบนใบหน้าชำระล้างอารมณ์ร้อนรุ่มในสติ ความรู้สึกผิดเสียใจค่อยๆเข้าแทรกแซงแทนที่

          ‘ขอโทษนะมะลิ...แต่ชั้นจะปล่อยให้ตัวเองถลำลึกไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้วจริงๆ’



          ร่างกายบอบบางชื้นน้ำในชุดนอนเดินอ่อนระโหยโรยแรงกลับเข้ามาในห้อง บนเตียงของเขามีชายหนุ่มที่จัดแจงเตรียมผ้าขนหนูกับไดร์เป่าผมนั่งรออยู่อย่างกระตือรือร้น ภาพที่เห็นทำให้พินอดยิ้มไม่ได้ แม้จะเป็นเพียงรอยยิ้มจางๆหมองหม่นก็ตามที

          “พินมานั่งนี่เร็ว เดี๋ยวเราจะช่วยเช็ดผมให้”

          พินทิ้งตัวลงนั่งข้างนกหนุ่มโดยไม่อิดออด สายตาเหม่อลอยอ่อนล้า มีเพียงผ้าขนหนูนุ่มๆที่กำลังเช็ดซับความเปียกปอนบนศีรษะของเขาอย่างเบามือคอยปลอบประโลม ครู่หนึ่งลมอุ่นๆก็ปะทะเข้ากับเรือนผมไล่หยดน้ำให้แห้งเหือดไป พินสัมผัสได้ว่าเจ้าของดวงตาสุกใสที่กำลังจ้องมองมามีความรู้สึกบางอย่างอัดแน่นอยู่ภายใน

          “วันนี้เป็นยังไงบ้าง เหนื่อยมั้ยพิน?”

          มะลิเอ่ยถามอย่างห่วงใยพลางขยี้มือเป่าผมให้พินไปด้วย ทว่าพินก็ได้แต่นั่งนิ่งไม่โต้ตอบอะไร ในใจที่พยายามแข็งขืนไว้กลับอ่อนลงเรื่อยๆ

          “เราขอโทษนะที่พูดจาไม่ดีใส่ดาวเหนือ...”

          “มะลิ...”

          “หืม?”

          “คืนนี้มะลิไปนอนกับดาวเหนือนะ...”

          การที่พินไม่ตอบโต้อะไรกลับมายังพอเข้าใจได้สำหรับมะลิ แต่การที่จู่ๆจะมาไล่เขาไปนอนที่อื่นโดยไม่มีเหตุผลเป็นสิ่งที่เขายอมรับไม่ได้จริงๆ

          “เราไม่เข้าใจน่ะพินว่าทำไมจะต้องไล่เราไปนอนที่อื่นด้วย? ไม่รู้แหละเราจะไม่ไปไหนทั้งนั้น!”

          นกหนุ่มเอ่ยเสียงแข็งดื้อดึง ทำให้คนฟังถอนหายใจขึ้นน้อยๆ

          “ไม่เป็นไรงั้นชั้นไปเอง...”

          พูดจบพินก็ผุดลุกขึ้นจากที่นอน สิ่งที่เขาเอ่ยขึ้นทำให้ชายหนุ่มที่เพิ่งถูกไล่ออกจากห้องถึงกับโกรธจัด แขนแข็งแรงกระชากคนตัวบางจนล้มลง คนสูงใหญ่กดร่างกายผ่ายผอมจนจมลงบนที่นอนพลางยุดแขนขึ้นคร่อมไว้ให้เนื้อตัวเจ็บไปหมด

          “พินมีอะไรก็พูดออกมาตรงๆสิ! ทำไมต้องทำเป็นเมิน ทำเหมือนเราไร้ตัวตนแบบนี้ด้วย!”

          ชายหนุ่มระเบิดอารมณ์ใส่น้ำเสียงกร้าว มือขาวที่ยุดแขนผอมแห้งไว้กำแน่นราวกับจะบดกระดูกให้แตกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

          “ปล่อยนะมะลิ ชั้นเจ็บนะ!”

          เสียงของคนเบื้องล่างร้องโอดครวญ ทว่านกหนุ่มกลับไม่มีทีท่าจะผ่อนแรงลงเลย เขาพูดเสียงลั่นด้วยสีหน้าเจ็บปวดพลางยกมือขึ้นขย้ำบนอกด้านซ้ายของตน

          “เราก็เจ็บเหมือนกัน! เจ็บตรงนี้! เจ็บเหมือนจะตายให้ได้เลย!”

          ดวงตาสวยหวานที่จ้องขึงโกรธเกรี้ยวมองมาแดงร้อนผะผ่าว มะลิหอบหายใจพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ก้าวร้าวดุดัน เขายังคงไม่ยอมแพ้เอ่ยถามคาดคั้นเสียงพร่าสั่น

          “พินบอกเรามาเดี๋ยวนี้ว่าพินเป็นอะไร? !”

          ใบหน้าคลอน้ำตาของชายหนุ่มเบื้องหน้าทำให้หัวใจของพินทั้งเจ็บปวดหวั่นไหว เขาเสียใจที่จะต้องกัดฟันเอ่ยคำๆนี้ออกมา...

          “ชั้นอึดอัด!”

          คนถูกบีบให้พูดโพล่งออกไป ความรู้สึกที่อัดอั้นภายในพรั่งพรูออกมาไม่หยุด

          “ชั้นทนไม่ไหวที่นายชอบมาทำรุ่มร่าม! อย่าลืมสิว่านายใช้ร่างของพี่ชายชั้นอยู่ อย่าทำให้ชั้นลำบากใจไปมากกว่านี้เลย...ขอร้องล่ะ!”

          ครึ่งหนึ่งคือเรื่องจริงทว่าอีกครึ่งหนึ่งเป็นคำโกหก แม้พินจะรู้สึกลำบากใจแต่เขาก็ไม่เคยรู้สึกรังเกียจมะลิเลย ความรู้สึกทุกอย่างกลับตรงกันข้ามด้วยซ้ำ

          “เราเข้าใจแล้วพิน...”

          เพียงได้ฟังดังนั้นก็เข้าใจทุกอย่าง คำพูดที่แมวนินจาเคยบอกกับเขาย้ำเตือนขึ้นมา

          ‘ตัดใจซะเถอะ...ความรักของแกมันเป็นไปไม่ได้หรอก...’


          มะลิผ่อนแรงลงจากนั้นจึงลุกขึ้นเดินออกจากห้องไป ถึงแม้จะเสียใจขนาดไหน...แต่เขาก็ต้องยอมรับแต่โดยดี เสียงประตูห้องปิดลงแผ่วเบา เหลือเพียงชายหนุ่มที่กำลังนั่งซุกหน้าลงกับผ้าห่มผืนหนา

          กลั้นกลืนน้ำตาอย่างปวดร้าวทรมาน





          วันรุ่งขึ้นบรรยากาศในบ้านดูนิ่งและน่าอึดอัด ชายหนุ่มท่าทางซึมเศร้าจัดเตรียมอาหารเช้าง่ายๆลงบนโต๊ะ ขนมปังที่ทาเนยก่อนจะนำไปปิ้งให้เนื้อแป้งหอมกรอบชุ่มฉ่ำ ไส้กรอกทอดร้อนๆสอดไส้ชีสเยิ้มๆและไข่คนเนื้อนุ่มสีนวลหอมยวนใจคงจะทำให้ใครบางคนตื่นเต้นไม่น้อย หากเมื่อคืนนี้ความสัมพันธ์ที่เคยแนบแน่บกลมเกลียวของคนทั้งคู่ไม่พลันสลายไปเสียก่อน

          “อรุณสวัสดิ์พิน”

          เสียงชายหนุ่มตัวซีดเอ่ยทักทายยามเช้าอย่างสดชื่น ดูจากสีหน้าแจ่มใสก็พอจะเดาได้ว่าเมื่อคืนดาวเหนือคงจะได้นอนหลับอย่างเต็มที่โดยไม่มีเพื่อนร่วมห้องอีกคนคอยสร้างปัญหาให้

          “หิวมั้ยดาวเหนือ?”

          “ไม่เท่าไหร่หรอกพิน แต่ไหนพินก็อุตส่าห์เตรียมอาหารเช้าไว้ให้เยอะแยะแล้ว ผมจะกินซักหน่อยแล้วกัน”

          ด้วยนิสัยงูของดาวเหนือทำให้เขากินอาหารไม่บ่อยนัก กินครั้งหนึ่งทีละมากทว่าอิ่มไปนาน ผิดกับมะลิที่หิวบ่อยกินจุบกินจิบกินได้ทั้งวัน

          “แล้วมะลิล่ะดาวเหนือ ยังไม่ตื่นอีกหรอ? ปกติป่านนี้ต้องหิวจนบ่นไม่หยุดแล้วนี่นา?”

          “ผมเห็นนกมะลิอาบน้ำอยู่น่ะ”

          ดาวเหนือเอ่ยตอบพลางตักไข่สีเหลืองนวลคำเล็กใส่ปาก งูหนุ่มกินแบบตอดนิดตอดหน่อยก็วางช้อนกลับลงบนจาน

          “ผมชอบกินไข่แต่น่าเสียดายที่ยังอิ่มอยู่ ไว้วันหลังทำให้ผมกินใหม่นะ พินทำอร่อยมาก”

          คนอิ่มส่งรอยยิ้มชื่นชมให้กับชายหนุ่ม ครู่หนึ่งเสียงกดออดหน้าบ้านก็ดังขึ้น

          ‘ปิ๊ง ป่อง’

          “มีคนมา! ผมต้องไปแอบก่อน”

          พูดจบดาวเหนือก็วิ่งเลิ่กลั่กไปซ่อนอยู่ในห้องเก็บของใกล้ๆ ถึงแม้เจ้างูหนุ่มมักจะชอบเพ่นพ่านออกไปเดินเอ้อระเหยข้างนอกบ้าน แต่ก็มักจะระมัดระวังตัวอยู่เสมอไม่ให้ใครรู้ว่าชายแปลกหน้าอย่างเขาอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้

          พินรีบเดินไปเปิดประตูบ้าน เมื่อเห็นภาพผู้มาเยือนตรงหน้าก็ทำให้เขารู้สึกเจ็บแปลบในอก

          “พี่ชิชา...”

          ชายหนุ่มรีบยกมือไหว้ทักทายหญิงสาวอายุมากกว่าอย่างนอบน้อม เธอรับไหว้ตอบพลางมองซ้ายมองขวาเข้ามาในบ้าน

          “พี่มารับพิมพ์น่ะ แล้ว...พี่ชายเราอยู่ไหนซะล่ะ?”

          ‘มารับงั้นหรอ?’

          “มาแล้วหรอชิชา?”

          เสียงขรึมทุ้มดังขึ้นมาจากด้านหลังของพิน มะลิที่เพิ่งจะอาบน้ำแต่งตัวเสร็จหมาดๆเดินมาหาชิชาโดยไม่สนใจจะมองใครอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆแม้แต่นิด

          “พิมพ์จะไม่เอาอะไรติดตัวไปหน่อยหรอ?”

          ชิชาเอ่ยถามเมื่อเห็นชายหนุ่มเดินมาตัวเปล่า

          “ไม่จำเป็นหรอก ชิชาบอกเราเองนี่ว่าข้าวของๆเราที่จำเป็นยังพอมีอยู่ที่คอนโด”

          บทสนทนาของคนทั้งสองทำให้พินอดสงสัยไม่ได้ จู่ๆชิชาก็มารับมะลิถึงบ้านแล้วไหนจะเรื่องข้าวของที่คอนโดอีกต่างหาก ถ้าเขาเข้าใจไม่ผิดมันคงหมายความว่า...

          “พิน...เราจะกลับไปอยู่กับชิชาแล้วนะ...”

          ความรู้สึกเจ็บหน่วงบีบให้ในอกปวดแปลบจนแทบทนไม่ได้ หัวใจหล่นวูบราวกับเขากำลังจะสูญเสียคนที่รักจนหมดใจไป พินสบตามองชายหนุ่มอีกคนดวงตาสั่นไหวก่อนจะหลบไปอีกทาง

          “อ๋อ...งั้นหรอ...ดีแล้วล่ะ ไม่ต้องห่วงทางนี้นะพินดูแลตัวเองได้...”

          พินเอ่ยขึ้นเสียงสั่น เขาพยายามพูดให้ค่อยที่สุดเพื่อที่จะพรางความรู้สึกไม่ให้ใครต้องสงสัย

          “พี่ชิชาครับ...ผมฝากดูแลพี่พิมพ์แทนผมด้วยนะ”

          “อื้ม...ไม่ต้องห่วงนะ มันเป็นหน้าที่ของพี่อยู่แล้วล่ะ”

          แม้ว่าชิชากับสามีของเธอจะมีความสัมพันธ์ที่จืดจางต่อกัน ทว่าผู้เป็นภรรยาเช่นเธอก็เข้าใจดีถึงหน้าที่ๆตนควรจะกระทำ

          “ถ้าอย่างนั้นเราไปก่อนนะ”

          มะลิบอกลาดวงใจของเขาอย่างปวดร้าว ในเมื่อพินไม่อาจฝืนยอมรับความรู้สึกของเขา คงจะมีเพียงความ “เหินห่าง” เท่านั้นที่จะช่วยขวางกั้นความรักที่เขามีต่อคนๆนี้ได้

          ชายหญิงทั้งสองเดินออกจากบ้านไป เหลือเพียงชายคนหนึ่งกับหัวใจที่บอบช้ำและความเสียใจทุรนทุราย

          “ทำไมมนุษย์ถึงชอบปากไม่ตรงกับใจ...ชอบทำให้ตัวเองเจ็บปวดอยู่เรื่อย?”

          ดาวเหนือที่รับรู้เรื่องราวทั้งหมดโดยไม่ตั้งใจเอ่ยถามหน้าซื่อ ส่วนคนถูกถามกลับพูดไม่ออก ดวงตาคมถูกอาบไปด้วยน้ำใสๆ พินหลับตาลงสูดหายใจพลางปลอบตัวเองว่าสิ่งที่เขาเลือกมันคงจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว…

          แม้ว่าน้ำตาจะกำลังรินไหลอยู่ก็ตาม...



++++++++++++++++


          พินเป็นคนที่คิดมากจริงๆนะคะ แล้วก็พยายามฝืนตัวเองเอามากๆแม้ว่าจะต้องทำให้ตัวเขาและคนที่รักต้องเสียใจ แต่ถ้ามองในมุมของคนทั่วไป ความสัมพันธ์ของมะลิกับพินนี่มันผิดศีลธรรมสุดๆไปเลยค่ะ ><

          ขอบคุณสำหรับการติดตามเช่นเคยค่ะ มาเอาใจช่วยทั้งคู่ด้วยนะคะว่าจะมีทางลงให้กับปัญหานี้ได้ยังไง

หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! My brother is the barn owl! บทที่17 : สีแดงฉาน 26/08/19 UP
เริ่มหัวข้อโดย: Timid Lily ที่ 26-08-2019 15:28:57

บทที่17 : สีแดงฉาน

          คอนโดหรูสูงยี่สิบแปดชั้นใจกลางเมือง หญิงสาวกดรหัสเปิดประตูเข้าไปในห้องขนาดสองห้องนอน เธอหันมาพูดกับชายหนุ่มก่อนจะเดินเข้าไปภายใน

          “ชิชาส่งรหัสเข้าห้องเข้าไปให้ทางไลน์แล้วนะ พิมพ์ก็ไปเปิดดูเอาแล้วกัน”

          มะลิพยักหน้ารับพลางหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นดู บนหน้าจอปรากฏตัวเลขจำนวนหนึ่ง



          'พิมพ์มันเห็นแก่ตัว ชิชาทนไม่ไหวแล้ว!’


          ทันทีที่นกหนุ่มย่างเท้าเข้าไปในห้อง ความทรงจำมากมายก็หลั่งไหลพรั่งพรูออกมา ความทรงจำระหว่าง “พิมพ์กับชิชา”



          ภาพของหญิงสาวที่ใบหน้ายามปกติมักจะงดงามและยิ้มแย้ม ตอนนี้กลับเลอะเทอะไปด้วยคราบน้ำตา คิ้วบางขมวดขึง ปากก็พร่ำโวยวายฟูมฟายต่อว่าชายตรงหน้า

          “พิมพ์ไม่ได้ห่วงชิชาจริงๆหรอก พิมพ์หวงเงินของชิชามากกว่า! ”

          “เลอะเทอะใหญ่แล้วชิชา ที่พิมพ์ต้องพูดแบบนี้เพราะพิมพ์ทนไม่ได้ที่เห็นชิชาโดนหลอกจนหมดเงินไปขนาดไหนแล้ว”

          “ชิชาไม่ได้โดนหลอก ชิชาก็แค่อยากลงทุนทำธุรกิจกับเพื่อน ไม่ได้อยากบินไปจนแก่ก็แค่นั้นเอง!”

          “แล้วถ้าไม่ได้โดนหลอก ชิชาจะหมดตัวจนต้องมาขอยืมเงินพิมพ์แบบนี้หรอ? เลิกโง่ซักทีเถอะ!”

          คนเป็นสามีขึ้นเสียงต่อว่าหญิงสาวดังลั่น ชิชาชักสีหน้าก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา

          “ใช่! ชิชามันโง่...โง่ตั้งแต่ตัดสินใจแต่งงานกับพิมพ์แล้ว!”



          “พิมพ์...เหม่ออะไรอยู่? เข้ามาข้างในสิ”

          มะลิเดินเข้าไปในห้องพลางมองสำรวจไปรอบๆ ห้องที่สะอาดเป็นระเบียบ แทบจะไม่มีร่องรอยการอยู่อาศัยเลยด้วยซ้ำ อาจเป็นเพราะนานๆทีชิชาถึงจะได้กลับมาอยู่ที่นี่ หญิงสาวถอดรองเท้าเก็บเข้าบนชั้น จากนั้นจึงทำท่าจะเดินเข้าไปยังห้องนอน

          “ชิชา...เราขอถามอะไรหน่อยสิ?”

          มือที่กำลังจะจับลูกบิดประตูหยุดชะงัก ชิชาหันกลับมาสบตาชายหนุ่มอย่างตั้งคำถาม

          “เราสองคนทะเลาะกันบ่อยหรอ?”

          คนถูกถามผ่อนลมหายใจออกเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยตอบ

          “อืม...พวกเราคิดจะหย่ากันด้วยซ้ำ”

          หญิงสาวเปิดประตูออก ก่อนที่เธอจะหายลับไปในห้องส่วนตัวก็ได้เอ่ยทิ้งท้ายไว้

          “แต่ตอนนี้ชิชาไม่กล้าหย่ากับพิมพ์แล้วล่ะ...เพราะชิชากลัวว่าพิมพ์จะพยายามฆ่าตัวตายอีก...”

          ประตูได้ถูกปิดลง มะลินึกสงสัยว่าการที่สามีภรรยาคู่นี้ต้องแตกหักถึงขั้นจะหย่าร้างกันคงจะมีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง ซ้ำร้ายความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ยังถูก “ใครบางคน” นำมาใช้เป็นแรงจูงใจในการฆ่าตัวตายของพิมพ์อีกด้วย



          ยามค่ำคืนของมะลิผ่านไปอย่างไม่มีความสุขนัก ใบหน้าอันแสนคิดถึงและเสียงลมหายใจเข้าออกยามหลับของพินที่ตัวเขามักจะจ้องมองอย่างหลงใหลทุกคืนกลับไม่มีให้เห็น ในห้องนอนที่ไม่คุ้นเคยเช่นนี้ทำให้นกหนุ่มรู้สึกเปลี่ยวเหงาจับใจ แม้ในยามที่เขาเคยเป็นนกต้องใช้ชีวิตอย่างเดียวดายกลับยังไม่รู้สึกทรมานเท่ากับตอนนี้เลยแม้แต่น้อย

          พลันสิ่งหนึ่งทำให้ชายหนุ่มนึกขึ้นได้ เขาเกือบจะลืมไปเสียสนิทว่าวัตถุประสงค์ที่ทำให้ตนตั้งใจดั้งด้นมาถึงที่นี่ก็เพราะ...

          ‘สำนวนคดี!’

          คนที่นอนแทบไม่หลับทั้งคืนถือโอกาสรีบลุกขึ้นมารื้อค้นข้าวของภายในห้อง เขาหาทั้งบนชั้น ในลิ้นชัก กล่องเก็บเอกสาร ทว่าก็ไม่พบสิ่งที่เขากำลังตามหา

          ‘พิมพ์...ช่วยบอกเราทีเถอะว่าเก็บสำนวนคดีไว้ที่ไหน’

          นกหนุ่มได้แต่ร้องขอร่างกายไร้ซึ่งความทรงจำที่เขายึดมาเป็นเจ้าของ ทว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเค้นสมองที่ไม่ได้เป็นของเขาให้ถ่ายทอดเรื่องราวที่นึกอยากจะรู้เรื่องไหนเมื่อไหร่ก็ได้ดังใจ

          ในเมื่อไม่เจอสิ่งที่ต้องการภายในห้อง ตอนนี้มะลิจึงเลือกที่จะออกมารื้อข้าวของที่ห้องนั่งเล่นจนรกรุงรังไปทั่ว หญิงสาวในชุดเครื่องแบบพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินที่เพิ่งเปิดประตูห้องออกมาเห็นเข้าก็อดถามไม่ได้

          “พิมพ์หาอะไรอยู่หรอ?”

          “ชิชา ปกติเราเก็บพวกเอกสารสำคัญไว้ที่ไหนหรอ?”

          “เอกสารสำคัญ...หมายถึงที่เกี่ยวกับงานน่ะหรอ?”

          นกหนุ่มพยักหน้า ชิชานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นจึงเอ่ยตอบ

          “ในห้องพิมพ์จะมีกระเป๋าที่ใส่รหัสไว้ใบนึง มันเก็บอยู่ในนั้นแหละ”

          “รหัสอีกแล้วหรอ? รหัสอะไร?”

          “ชิชาขอหาแป๊บนึงนะ ชิชาเคยโน้ตเอาไว้เพราะพิมพ์ให้รหัสชิชาไว้เผื่อฉุกเฉิน”

          หญิงสาวเลื่อนนิ้วบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือสองสามทีก่อนจะกดส่งตัวเลขอีกจำนวนหนึ่งต่อไปให้ชายหนุ่ม

          “ชิชาส่งให้แล้ว พิมพ์ลองเปิดดูก็แล้วกัน”

          “ขอบคุณนะชิชา”

          “อืม...ชิชาต้องไปบินแล้ว ระหว่างนี้ถ้าพิมพ์อยากจะกลับบ้านก็กลับได้นะ เพราะชิชาจะไม่อยู่อีกตั้งครึ่งเดือน ตามสบายเลยแล้วกัน แค่อย่าลืมดูแลเก็บของที่รื้ออกมาเข้าที่เดิมแล้วก็ล็อกห้องให้เรียบร้อยก็พอ”

          พูดจบเธอก็เดินลากกระเป๋าออกจากห้องไป ทิ้งนกหนุ่มเอาไว้ท่ามกลางห้องที่ถูกรื้อข้าวของจนกระจัดกระจาย





          ‘ตุบ’

          เสียงกระเป๋าใบย่อมถูกโยนทิ้งลงบนโซฟาอย่างไม่ไยดี ตามด้วยร่างกายอันห่อเหี่ยวที่ถูกทิ้งลงตาม พินนอนทอดร่างบนเก้าอี้ยาวตัวนุ่มพลางทอดถอนใจ วันนี้เขาออกไปสัมภาษณ์งานที่ใฝ่ฝันอยากจะทำตั้งแต่สมัยเรียน หากแต่จิตใจที่ว้าวุ่นทำให้เขาคว้าน้ำเหลวเพราะไม่มีสมาธิจะทำอะไร ตอบคำถามไปก็เหม่อลอยไป ทั้งยังอึกอักไม่มีความมั่นใจ

          ‘มะลิจะเป็นยังไงบ้างนะ...’

          โดยไม่อาจห้ามความรู้สึกได้ แม้เขาจะรู้ตัวดีว่าตนเป็นฝ่ายผลักไสให้นกหนุ่มเลือกที่จะไป แต่หัวใจกลับไม่อาจหยุดคิดถึงคนๆนี้ได้เลย

          ‘หยุดเถอะ...’

          พินได้แต่อ้อนวอนต่อห้วงความคิดของตัวเอง ความห่วงหาบีบคั้นให้เขาทรมานไม่ต่างจากคนที่กำลังขาดอากาศหายใจ ดวงตาคมปิดลงพร้อมกับคิ้วที่ขมวดแน่น มือเรียวยกขึ้นปิดบังใบหน้าจากหลอดไฟที่สาดแสงลงมา พินผ่อนลมหายใจแผ่วยาวไปพร้อมกับสติที่ค่อยๆล่องลอยไปกับความเหนื่อยอ่อน



          นัยน์ตาสวยค่อยๆปรือเปิดขึ้นอีกครั้ง พินผุดลุกขึ้นนั่งพลางเหยียดแขนคลายความเมื่อยล้า เขาขยี้ตาน้อยๆ พลางกวาดตามองไปรอบห้อง ชายหนุ่มร่างสูงในเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงยีนส์เก่าๆยืนมองเขาด้วยรอยยิ้มที่คุ้นเคยห่างออกไปไม่ไกลนัก

          รอยยิ้มแสนอ่อนหวานที่ประดับไปด้วยรอยบุ๋มข้างแก้มขาว...

          ...รอยยิ้มของคนใจร้ายที่บังอาจขโมยหัวใจของเขาไป

          “มะลิ! นายมาได้ยังไง?”

          ความแปลกใจระคนยินดีตีกันให้ยุ่งไปหมด พินรีบลุกขึ้นจากโซฟาเดินเข้าหาคนที่แสนคิดถึงอย่างไม่รีรอ ส่วนคนที่ยืนอยู่นั้นผายแขนทั้งสองออกกว้างราวกับรอรับอ้อมกอดของคนที่ยิ้มดีใจจนแทบจะโผเข้าใส่

          คนทั้งสองโอบกอดกันแนบแน่น จมูกโด่งจรดลงบนเรือนผมเงางามด้วยความรัก มือแกร่งประคองแก้มเนียนอย่างทะนุถนอม ริมฝีปากอิ่มเลื่อนละจากขนตายาวคล้อยลงมาหวังจะมอบจูบให้คนตัวบางทว่า

          “อึก...”

          เสียงเจ็บปวดที่พยายามสะกดไว้ที่ปลายลิ้นถูกถ่ายทอดออกมาราวกับทนไม่ไหวอีกต่อไป พินรู้สึกได้ถึงฝ่ามืออุ่นที่ทาบอยู่บนแก้มใสค่อยๆ เย็นเยียบสั่นเทา มือของเขาที่กอดกุมร่างสูงเอาไว้สัมผัสได้ถึงของเหลวหนึบเหนียว ส่งกลิ่นคาวคละคลุ้ง

          “เลือด!”

          ใบหน้าสุกใสฉายแววทรมาน ลมหายใจของนกหนุ่มสะดุดขาดห้วงก่อนจะล้มลงจมทะเลเลือดสีแดงฉานที่อาบนองพื้น



          “มะลิ!”

          พินสะดุ้งตื่นขึ้นหอบหายใจทรมาน เหงื่อชื้นผุดพรายไปทั่วทั้งร่าง เขากวาดตามองไปยังฝ้าเพดานพลางหรี่ตาหลบแสงสว่างจากดวงไฟที่ทำให้ตาปวดพร่า

          “ฝันร้ายหรอพิน?”

          ไม่รู้ตั้งแต่ตอนไหนที่ศีรษะหนักๆของเขาถูกรองไว้ด้วยตักของงูหนุ่ม ดาวเหนือลูบผมของพินเป็นการปลอบโยนพลางส่งยิ้มให้อย่างอบอุ่น

          “ฝันว่าอะไรหรอ? เล่าให้ผมฟังได้มั้ย?”

          พินค่อยๆยันตัวลุกขึ้นนั่ง เขาเสยผมที่ยุ่งเหยิงขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยเล่าอย่างหวาดหวั่น

          “ชั้นฝันว่ามะลิบาดเจ็บ...”

          “บาดเจ็บจากอะไรหรอพิน?”

          “ไม่รู้เหมือนกัน...รู้แค่ว่ามีเลือดเต็มไปหมด แล้วมะลิก็ค่อยๆ ล้มลง ชั้นตกใจมากจนสะดุ้งตื่นนี่แหละ...”

          ดาวเหนือถอนหายใจ เขาพูดขึ้นสีหน้าจริงจัง

          “พินเองก็มีลางสังหรณ์ที่รุนแรงอยู่เหมือนกันนะ”

          “ยังไง...?”

          “ก่อนหน้านี้ผมก็เพิ่งเตือนนกมะลิไปเหมือนกันว่าให้ระวังจะเจ็บหนัก...”

          ได้ฟังดังนั้นพินก็ใจเสีย เขารู้ดีว่ายามที่งูขาวบอกเหตุผ่านความฝันคงหมายความว่าจะมีเหตุการณ์อะไรบางอย่างเกิดขึ้น แล้วไหนจะเรื่องลางสังหรณ์ของเขาที่ก่อนหน้านี้พินเองก็เคยรู้สึกใจคอไม่ดีตอนนินจาถูกรถชนมาแล้ว หนนี้ก็ทำให้เขารู้สึกกลัวไม่แพ้กัน

          ชายหนุ่มลุกพรวดขึ้นพลางคว้ากระเป๋าที่วางไว้บนโซฟาจากนั้นจึงเดินหุนหันออกจากบ้านไป โดยไม่สนใจเสียงเรียกของเจ้างูน้อยอีกคน

          “เดี๋ยวก่อนพิน! จะไปไหนน่ะ?”



          ยามพลบค่ำเช่นนี้เด็กหนุ่มตัวสูงใหญ่นั่งยองอยู่บนพื้นหน้าประตูรั้วบ้านมานานเกือบครึ่งค่อนชั่วโมง โดยเพียรพยายามกับอะไรบางอย่างจนทำให้เขาเกือบลืมความปวดเมื่อยที่ค้างอยู่ในท่านี้ และไหนจะยุงที่พากันมาบินตอมกัดจนคันไปหมด

          “นี่เจ้าเหมียวแกลองดมไอ้นี่สิ รับรองว่าแกต้องชอบมันมากแน่ๆ”

          เมฆยื่นหลอดเล็กๆทำจากพลาสติกใส ภายในบรรจุไปด้วยพืชใบเขียวที่ถูกป่นจนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปตรงหน้าเจ้าแมวดำ ทว่ามันกลับไม่ได้รับความสนใจ

          ‘กัญชาแมวงั้นหรอ? ...เราไม่หลงกลนายหรอกเมฆ’

          แมวนินจาใช้อุ้งเท้าน้อยๆของมันดันหลอดกัญชาแมวออกห่างจากตัว ทำให้คนที่พยายามหลอกล่อเจ้าแมวน้อยอยู่นั้นผิดหวังอยู่ไม่น้อย

          “อะไรเนี่ย...มีแมวที่ไม่สนใจแคทนิปอยู่บนโลกนี้ด้วยหรอ? นี่เจ้าเหมียว! ชั้นอยากเป็นเพื่อนกับแกจริงๆนะ”

          คนกับแมวมองสบตากันราวกับมีความนัยบางอย่าง ครู่หนึ่งเสียงเปิดประตูรั้วจากบ้านข้างๆก็ดังขึ้น ดึงความสนใจจากเจ้าก้อนขนสีดำไปยังชายหนุ่มตัวบางที่เดินหน้าตาตื่นออกมาจากบ้าน

          ‘พิน? จะรีบไปไหนกัน?’

          นินจารีบผละตัวออกจากเด็กหนุ่มวิ่งตรงรี่มาทางพินที่กำลังเปิดประตูรถอย่างรีบร้อน มันถือวิสาสะกระโจนเข้าไปในรถพลางกลายร่างเป็นคนนั่งอยู่ข้างคนขับ

          “นินจา? มาได้ยังไง?”

          “พินนั่นแหละ รีบหน้าตาตื่น เป็นอะไร?”

          “ชั้นจะรีบไปหามะลิที่คอนโด”

          “อ้าว? แล้วเจ้านกโง่นั่นไปทำอะไรอยู่ที่คอนโด?”

          “เรื่องมันยาวน่ะนินจา เอาเป็นว่าชั้นสังหรณ์ใจไม่ดีว่าจะมีเรื่องเสียเลือดเสียเนื้อเกิดขึ้น ดาวเหนือเองก็เตือนมาเหมือนกัน”

          นินจาทำหน้าครุ่นคิด ถ้าเจ้างูขาวเตือนมาด้วยอีกคนแบบนั้น แสดงว่าเรื่องนี้จะต้องเกิดขึ้นจริงอย่างแน่นอน

          “พาเมฆไปด้วยสิ”

          “ห๊ะ? !”

          พินที่กำลังดึงสายเข็มขัดนิรภัยรัดกับตัวถึงกับชะงัก เมื่อเจ้าแมวแนะเขาให้พาคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องตามไปอีกคน

          “เมฆเป็นนักเรียนแพทย์ พาไปด้วยเถอะมีประโยชน์”

          โดยที่ไม่ต้องรอให้ใครมาเชิญ ตอนนี้เด็กหนุ่มตัวโตได้เดินมาหาคนทั้งคู่ถึงรถ เมฆแค่ตั้งใจจะมาถามหาว่าเจ้าแมวดำแสนน่ารักที่หายมาทางนี้หนีไปไหนแล้ว ทว่าคนที่ลดกระจกรถมาเรียกหาเขากลับกลายเป็นเด็กหนุ่มผิวเข้มที่บุกรุกเข้ามารดน้ำต้นไม้ให้ในวันนั้น

          “เฮ้ย! นายรดน้ำต้นไม้?!”

          เมฆเอ่ยเรียกเสียงดังลั่นอย่างงงๆและตกใจ ส่วนนินจาทำหน้ายุ่งรำคาญเล็กน้อยก่อนจะเรียกให้เด็กหนุ่มอีกคนขึ้นรถ

          “ขึ้นมา!”

          “หา?!”

          “เออขึ้นรถมาก่อนเถอะน่า!”

          ดูท่าว่าถ้าให้สองคนนี้คุยกันวันนี้คงจะไม่มีทางลง พินจึงตัดสินใจพูดแทรกขึ้นมา

          “เมฆ! พี่จะออกไปรับพี่พิมพ์ ช่วยไปเป็นเพื่อนพี่หน่อยนะ”

          ถึงแม้ว่าเด็กหนุ่มกำลังจะงงถึงขีดสุดอยู่ก็ตาม แต่เขาก็พยักหน้าพลางเปิดประตูรถขึ้นมานั่งแต่โดยดี พินขับรถออกไปด้วยใจหวาดหวั่น ในใจได้แต่ภาวนา

          ‘มะลิ...รอชั้นก่อนนะ...อย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะ’



          ตั้งแต่เช้ามืดจนเวลาล่วงเลยมาดึกดื่น นกหนุ่มยังคงเพียรหาสำนวนคดีเจ้าปัญหาอย่างไม่ลดละโดยที่ข้าวยังไม่ได้ตกถึงท้องเลยสักมื้อ แม้ร่างกายจะเริ่มหมดเรี่ยวแรงทว่า มะลิก็อดไม่ได้ที่จะตั้งหน้าตั้งตาอ่านเอกสารที่ถูกรื้อค้นมาไม่หยุดพัก

          ‘ไม่ใช่’     

          สำนวนคดีฉบับแล้วฉบับเล่าถูกเปิดออกดู ทว่าไม่ว่าจะหาเท่าไหร่กลับไม่เจอสิ่งที่ต้องการ

         ‘อันนี้ก็ไม่ใช่...’

          จนกระทั่งเอกสารฉบับสุดท้ายเท่าที่จะหามาได้ถูกปิดลง สิ่งที่เขาค้นหาก็ยังไม่ปรากฏ

          ‘ไม่มี...ทำไมหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ?’

          ชายหนุ่มทอดถอนใจอย่างสิ้นหวัง ท้องไส้เริ่มร้องระงมปั่นป่วนอ้อนวอนให้เจ้าของร่างโปรดหาอะไรมาเติมเต็ม ส่วนหัวใจก็ชักฟูมฟายคิดถึงคนที่เขาจากมา

          ‘อยากเจอ...’

          คนที่ฝืนความรู้สึกตัวเองไม่เป็นเช่นเขา แน่นอนว่าการที่ออกจากบ้านมาอยู่ในที่แห่งนี้ออกจะเป็นการกระทำที่เกินตัวไปมาก เขาอดทนมามากพอแล้วกับความคิดถึง สิ่งเดียวที่วนเวียนอยู่ในความคิดของเขานอกจากความหิวนั่นก็คือ...

          ‘กลับบ้านดีกว่า’

          นกหนุ่มโกยข้าวของกลับเข้าที่อย่างลวกๆ ลวกมากพอที่ถ้าชิชามาเห็นเข้าคงจะต้องกรีดร้อง เมื่อมะลิเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีตามที่เห็นสมควร เขาก็รีบเดินอ้าวออกจากห้องไป

          ทันทีที่เขาปิดล็อกประตูห้องเรียบร้อย หญิงวัยกลางคนที่กำลังจะเปิดประตูห้องข้างๆก็หันมายิ้มแย้มทักทายให้กับชายหนุ่ม

          “อ้าวพิมพ์ ไม่ได้เจอตั้งนาน?”

          ‘ใคร?’

          “ชิชาบอกพี่ว่าพิมพ์ไม่สบาย ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง? ดีขึ้นแล้วยัง?”

          “เอ่อ...ไม่เป็นไรแล้วครับ”

          มะลิอึกอักตอบไป ถ้าให้เขาเดาสตรีผู้นี้น่าจะเป็นเพื่อนข้างห้อง

          “ไม่เป็นไรก็ดีแล้วล่ะ พี่ก็อดเป็นห่วงเราไม่ได้....ชิชาเองก็คงจะเหงาแย่ นี่ยังดีนะช่วงที่พิมพ์ป่วยชิชามีเพื่อนมาอยู่ด้วยบ่อยๆ”

          “ขอบคุณนะครับ”

          “แล้วนี่จะไปไหนอีกแล้วล่ะ ค่ำมืดป่านนี้?”

          “ผมจะกลับไปที่บ้านน่ะครับ ขอตัวก่อนนะครับ”

          ชายหนุ่มรีบบอกลาไปส่งๆ ตอนนี้เขาเริ่มหิวจนแสบท้อง แถมยังต้องเดินทางอีกไกลกว่าจะกลับไปเจอหน้าคนที่คิดถึง ยังไงวันนี้เขาก็จะพยายามลองเกลี้ยกล่อมพินให้เข้าใจ ถึงแม้ว่าตัวเขาเองก็ยังไม่รู้ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นไรก็ตาม

          มะลิได้นำพาร่างอันหิวโหยลงจากลิฟต์มายังชั้นล่างสุด เขาเดินลัดเลาะลานจอดรถเงียบเปลี่ยวมุ่งไปสู่ทางออกติดถนนเพื่อเรียกรถสักคันกลับไปหาคนที่เขารัก

          เสียงฝีเท้าเบาเงียบกระชั้นเข้ามาทางด้านหลังของชายหนุ่ม มะลิรู้สึกตัวรีบหันกลับไปพบกับร่างๆหนึ่งสวมชุดสีดำสนิททั้งตัว บนศีรษะสวมหมวกกันน็อคปิดบังใบหน้าเอาไว้ มือที่สวมถุงมือของร่างปริศนาถือมีดพลันพุ่งหมายจะเสียบเข้าตรงชายโครงของนกหนุ่ม

          มือขาวแข็งแรงกำมือมีดเอาไว้แน่นพยายามยื้อยุดบ่ายเบี่ยง ปลายมีดที่ห่างออกจากร่างของเขาเพียงไม่ถึงคืบสร้างความได้เปรียบให้คนร้ายใช้กำปั้นชกกระทุ้งด้ามมีดสุดแรงจนปักแทงเข้าบนร่างของมะลิจนมิดด้าม

          ความปวดแปลบแล่นปราดขึ้นพร้อมกับเลือดที่ค่อยๆซึมไหล ใบหน้าของชายหนุ่มบิดเบี้ยวซีดเซียวด้วยความเจ็บปวด มือมีดพยายามดึงมือและอาวุธออก ทว่าคนเจ็บกลับไม่ยอมแพ้กำมือของฝ่ายตรงข้ามเอาไว้แน่น จนคนร้ายเห็นท่าไม่ดีจึงตัดสินใจสะบัดมือออกทิ้งมีดเสียบคาไว้ ก่อนจะกวาดเอาทรัพย์สินมีค่าไปจากเหยื่อแล้วหลบหนีไป

          นกหนุ่มทรุดตัวลงด้วยความเจ็บปวด เลือดไหลออกจากร่างราวกับน้ำที่ซึมทะลักจากบ่อ สติที่เคยมีค่อยๆรางเลือน ภาพดวงหน้าที่เขาคิดถึง...ค่อยๆ จางหายไป

          “มะลิ!”

          พินที่จอดรถเทียบไว้ข้างตึกวิ่งหุนหันลงมา เห็นคนตรงหน้านอนนิ่งหายใจผะแผ่ว เขาเข้าประคองกุมกอดคนตรงหน้าเอาไว้ใจหล่นวูบด้วยความกลัว มือหนึ่งที่กำลังสั่นรีบยกโทรศัพท์มือถือกดเรียกรถพยาบาล

          “อย่างดึงมีดออกนะ! แล้วก็อยู่เฉยๆ เดี๋ยวเมฆจะช่วยห้ามเลือดให้”

          นักศึกษาแพทย์อีกคนที่หน้าตาตื่นไม่แพ้กันรีบตามมาให้ความช่วยเหลือ ส่วนนินจารีบวิ่งไปตามยามที่อยู่ใกล้ๆ ซึ่งตอนนี้ผู้คนเริ่มหลั่งไหลมามุงดูเหตุการณ์อุกอาจที่เพิ่งเกิดขึ้น

          “พิน...พินจริงๆด้วย...”

          ชายหนุ่มที่นอนเจ็บอยู่เอ่ยขึ้นรวยริน เขาพยายามฝืนส่งยิ้มให้คนที่ประคองเขาอยู่แม้ว่าแทบจะไม่เหลือเรี่ยวแรงแล้วก็ตาม

          “ชู่ว...มะลิ อย่าเพิ่งพูดอะไรเลยนะ ชั้นอยู่นี่แล้ว...ไม่เป็นไรนะ”

          พินเอ่ยกับนกหนุ่มเสียงเครือ ดวงตาก่ำแดงน้ำตาคลอเบ้า ในใจได้แต่อ้อนวอนขอร้องต่อฟากฟ้า...

          ...ได้โปรดอย่าพรากคนที่รักไปจากชีวิตเขาอีกเลย


++++++++++++++++


          มะลิเจ็บตัวเข้าจนได้ หรือว่าสิ่งที่เขากำลังกลัวมาตลอดตอนนี้จะเกิดขึ้นจริงๆแล้ว มาเอาใจช่วยนกมะลิกันด้วยนะคะ แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ
หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! My brother is the barn owl! บทที่17 : สีแดงฉาน 26/08/19 UP!
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 26-08-2019 16:13:18
 :hao7:


 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! My brother is the barn owl! บทที่ 18 : ซ่อน 30/08/19 UP!
เริ่มหัวข้อโดย: Timid Lily ที่ 30-08-2019 13:41:13
บทที่ 18 : ซ่อน
         
         นับว่าโชคยังเข้าข้าง ที่การขัดขืนของนกหนุ่มทำให้คนร้ายแทงพลาดไปจากจุดสำคัญ ตอนนี้มะลิกลับมามีสติดังเดิม เขาถูกย้ายมาพักในห้องผู้ป่วยเดี่ยวโดยที่มีชายสามคนอดหลับอดนอนผลัดกันช่วยดูแลเขามาทั้งคืน

          “เมฆว่าคนร้ายนี่มืออาชีพมากเลยนะ ดูจากตำแหน่งที่แทงและการตะแคงมีดแม่นยำมาก ถ้าพี่พิมพ์ไม่ออกแรงสู้คงโดนจุดตายไปแล้ว”

          เด็กหนุ่มสูงใหญ่เอ่ยขึ้นพลางเดินเข้ามาใกล้คนที่นอนเจ็บอยู่บนเตียง เขาเลิกเสื้อผู้ป่วยขึ้นสำรวจรอยแผลของชายหนุ่มเล็กน้อย

          “ตำรวจบอกว่าคนร้ายรู้จักทางหนีทีไล่ของคอนโดเป็นอย่างดี รู้แม้กระทั่งมุมกล้องวงจรปิด ที่สำคัญคือเหมือนพยายามจัดฉากให้ดูเป็นการปล้นชิงทรัพย์เพราะขโมยของไปไม่หมด เลือกชิงกระเป๋าสตางค์กับนาฬิกาไปแต่ดันทิ้งโทรศัพท์มือถือไว้ซะงั้น”

          คำพูดของเมฆ ทำให้พินที่นั่งฟังอยู่ด้วยกันกังวลแทบขาดใจ ถ้าเรื่องที่ตำรวจคาดการณ์เป็นความจริง นั่นก็หมายความว่าสิ่งที่พินและมะลิกลัวมาโดยตลอดกำลังจะเกิดขึ้น

          “พี่พิมพ์มีปมขัดแย้งอะไรกับใครมารึเปล่าครับ?”

          เด็กหนุ่มจอมจุ้นยังคงถามไม่หยุด ส่วนคนที่จำความอะไรไม่ได้อย่างมะลิก็ได้แต่ตอบไป

          “เราเองก็จำไม่ได้ ถ้าจะมีก็คงเป็นคดีล่าสุดที่เราเคยทำ...”

          “แล้ว...”

          “นี่นาย! จะถามอะไรเยอะแยะรบกวนคนป่วยเค้า ถ้าอยากจะเล่นเป็นนักสืบก็กลับไปเล่นที่บ้านเลยไป!”

          นินจาเอ่ยขึ้นขัดเมื่อเห็นว่าเมฆชักจะถามเยอะแยะซอกแซก ถ้าเป็นไปได้เขาอยากจะให้เด็กหนุ่มเข้ามาพัวพันกับเรื่องนี้ให้น้อยที่สุด

          “พิน...เราขอตัวกลับก่อนแล้วกันนะ เห็นมะลิฟื้นขึ้นมาเราก็หมดห่วงละ”

          “อื้มขอบคุณมากๆ นะที่มาช่วย ทั้งสองคนเลย”

          พินเอ่ยขอบคุณนินจากับเมฆ ถ้าไม่ได้สองคนนี้มาช่วยอีกแรง พินก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวคนเดียวยังไง

          “มะลิ? หมายถึงพี่พิมพ์หรอ?”

          เมฆเอ่ยถามด้วยความสงสัย เพราะนี่เป็นหนที่สองแล้วที่เขาได้ยินว่าชายหนุ่มที่กำลังนอนเจ็บอยู่บนเตียงถูกเรียกเช่นนี้ ทว่าคนถูกถามไม่คิดที่จะรอฟัง นินจารีบก้าวฉับๆ ออกจากห้องพักผู้ป่วยไป ทำให้คนที่ยังคาใจรีบตามกลับไปอีกคน

          “เฮ้ย! นายรดน้ำต้นไม้รอด้วยดิ! พี่พิน พี่พิมพ์ ถ้างั้นเมฆขอตัวกลับก่อนนะครับ”

          เมฆรีบสาวเท้ายาวๆเข้ากระชั้นเด็กหนุ่มอีกคน แต่นินจาก็ไม่คิดจะหันไปโต้ตอบด้วย

          “นี่! นายชื่ออะไรเรายังไม่รู้เลย...หันมาคุยกันก่อนดิ”

          “...”

          ยังคงไม่ได้รับคำตอบ นินจาเลือกที่จะเดินลงบันไดไปเรื่อยๆเพื่อไม่เปิดโอกาสให้เมฆได้ขังตัวเขาเอาไว้ในลิฟต์แล้วซักไซ้     

          “นายเป็นเพื่อนกับพี่พินหรอ? แต่นายดูเด็กกว่าตั้งเยอะ...แล้วบ้านอยู่ที่ไหนล่ะ? กลับยังไง?”

          คนขี้สงสัยยังคงยิงคำถามรัวเป็นชุด ถึงแม้ว่าการที่อีกฝ่ายจะไม่ยอมพูดอะไรกลับมาจะน่ารำคาญใจอยู่สักหน่อย แต่เขาก็ไม่อยากจะยอมแพ้

          “นี่! พูดอะไรหน่อยเหอะ เราก็แค่อยากจะขอบคุณที่นายมาช่วยดูแลบ้านให้ช่วงที่ไม่มีใครอยู่แค่นั้นเอง”

          คนได้ฟังหยุดกึกจากนั้นจึงตัดสินใจแนะนำตัวไปสั้นๆ

          “เราชื่อนิน...”

          พูดจบนินจาก็รีบเดินออกไปจากโรงพยาบาล เมฆที่รีบตามมาติดๆเห็นเด็กหนุ่มเดินเลี้ยวเข้าไปอีกทางทว่า...

          “เอ้า! หายไปไหนแล้ววะ?”

          คนลึกลับของเมฆหายตัวไปเฉยๆ เหลือเพียงแมวดำที่แอบจ้องมองลงมาจากบนกำแพงสูง...



          การจากไปของเด็กหนุ่มสองคนเปิดโอกาสให้มะลิได้อยู่กับพินสองต่อสอง แม้ว่าตอนนี้พินจะนั่งห่างจากมะลิอยู่ไกลโข ทว่าความห่วงใยก็ยังคงส่งไปถึงจนคนเจ็บรู้สึกได้

          “มะลิกินน้ำซักหน่อยมั้ย?”

          คนเป็นห่วงเอ่ยขึ้นทำลายบรรยากาศน่าอึดอัด พินลุกขึ้นหยิบน้ำรินใส่แก้วพลางปักหลอดส่งให้คนที่นอนอยู่บนเตียง

          “ขอบคุณนะพิน”

          มะลิยันตัวขึ้นนั่งช้าๆ เขาดื่มน้ำอย่างกระหาย จากนั้นจึงส่งยิ้มมีความสุขให้คนตรงหน้า

          “โชคดีที่เรารอดมาได้ ครั้งนี้ถ้าตายขึ้นมาจริงๆ เราอาจจะไม่ได้มีโอกาสกลับมาอีกแล้วก็ได้”

          รอยยิ้มที่เศร้าลงเล็กน้อยทำให้คนมองใจเสีย นกหนุ่มสบตาดวงหน้าหม่นหมองก่อนจะพูดต่อ

          “เราดีใจนะ ที่ได้ตื่นขึ้นมาเห็นหน้าพินอีกครั้งนึง”

          มะลิกุมมือบางขึ้นอย่างถนอม เขาจ้องลึกลงไปในดวงตาคมสวยอย่างอ้อนวอน

          “พิน...เรารักพินนะ...”     

          คำสารภาพรักที่ไม่ทันตั้งตัวทำให้หัวใจของชายหนุ่มสั่นไหว นัยน์ตาหวานสุกใสที่จ้องมองมาสั่นระริกฉายแววเจ็บปวดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

          “เราขอร้องล่ะ...อย่าผลักไสเราอีกเลยนะ เราดูออกนะว่าพินก็รู้สึกเหมือนกันกับเรา ทำไมพินจะต้องฝืนตัวเองด้วย?”

          พินหลบตาไปอีกทาง ความรู้สึกอึดอัดทรมานตีตื้อขึ้นเต็มอกอีกครั้ง

          “นายไม่เข้าใจ...ชั้นอยู่ในสถานะอะไร มันกลืนไม่เข้าคายไม่ออก นายอยู่ในร่างพี่ชายชั้น...แถมยังเป็นคนที่แต่งงานเป็นตัวเป็นตนแล้ว แล้วจะให้ชั้นปล่อยใจไปรักนายได้ยังไง...”

          “ถ้าอย่างนั้นเราขอเป็นคนรักกับพินเฉพาะเวลาที่อยู่ด้วยกันสองคนก็พอ นอกเหนือจากนั้นเราจะยอมทำตัวเป็นพี่ชายที่แสนดีของพินต่อหน้าทุกคน...นะ...”

          นกหนุ่มร้องขอด้วยความเจ็บปวด ทว่าคนฟังก็ยังคงนิ่งคิดไม่พูดอะไร

          “ขอร้องล่ะ...เราเองก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกนานแค่ไหน ตอนนี้เรารู้สึกว่าชีวิตเราแขวนอยู่บนเส้นด้าย อย่างน้อยเราก็อยากทำตามความรู้สึกของตัวเอง”

          มือขาวที่กอบกุมกำลังบีบแน่นขึ้นสั่นเทา ดวงตาสุกใสสวยงามสะท้อนน้ำที่เริ่มเอ่อเพราะต้านความรู้สึกของตัวเองต่อไปไม่ไหว

          “ในเมื่ออมนุษย์อย่างเราได้รู้จักกับความรักแล้ว เราก็อยากสมหวังซักครั้ง...ก่อนที่จะไม่มีวันพรุ่งนี้”

          “ไม่มีวันพรุ่งนี้” แค่ได้ยินก็เหมือนหัวใจจะแตกร้าวแหลกเป็นฝุ่น ความกลัวถาโถมเข้าใส่กัดกินความรู้สึกบาดลึก หัวใจที่เคยแข็งขืน  อ่อนยวบหวั่นไหว หากชายตรงหน้าต้องจากพินไปอีกคนเขาคงจะทนไม่ไหวเหมือนกัน

          ทั้งสองสบตากันลึกซึ้ง มือที่ถูกกุมอยู่ถูกดึงเข้าไปใกล้ ริมฝีปากอิ่มเคลื่อนเข้าหาใบหน้าเนียนละไล้ละมุนละไมก่อนจะประดับจูบเม้มผะแผ่วสร้างความหวามไหวให้คนที่ครอบครองทุกพื้นที่ในหัวใจ ลมหายใจอุ่นปะทะลงบนใบหน้า ปลายลิ้นดุลแทรกสัมผัสจนคนถูกจูบสะดุ้งน่าเอ็นดู

          “อ๊ะ!”

          ชายหนุ่มถอนลิ้นซุกซนออกจากริมฝีปากหยักพลางยิ้มกริ่มน้อยๆ แขนแข็งแรงทั้งสองข้างรวบเอวบางยุดลากขึ้นบนเตียง

          “มะลิ! จะทำอะไรเนี่ย? เดี๋ยวเลือดย้อนขึ้นสายน้ำเกลือ!”

          “ถ้างั้นพินก็ขึ้นมาอยู่บนเตียงกับเราดีๆสิ...เราอยากกอดพิน”

          สายตาวูบวาบทว่าเจือความหวานจ้องมองมาทำให้ชายหนุ่มยากจะต้านทาน พินปีนขึ้นไปบนเตียงนั่งคุกเข่าก้มหน้างุดเขินตัวเองที่แพ้สายตาคนตรงหน้า

          ร่างสูงโอบคนตัวบางล้มลงกอดแน่น จมูกโด่งจรดสูดกลิ่นหอมที่โชยไปทั่วร่าง ปากอิ่มกระซิบคำหวานบอกรักคนในอ้อมแขนไม่หมดไม่สิ้น

          “พิน...เรารักพินมากนะ”

          คนที่ซุกอยู่ในอ้อมอกแนบแน่นฟังคำบอกรักคลอไปกับเสียงหัวใจที่กำลังสั่นไม่เป็นจังหวะของคนพูด

          “พินคือโลกของเรา...คือชีวิตของเรา...”

          โลกของชายหนุ่มที่ได้เรียนรู้จักว่าความ “รัก” คืออะไร

          ชีวิตที่มีสิ่งสำคัญมากกว่าตนเองซึ่งก็คือ “พิน”

          “ชั้นก็รักนายนะ...มะลิ...”

          คำรักที่ท่วมท้นเอ่อล้นออกมาเป็นคำสารภาพแสนหวาน ร่างบางกอดรับไออุ่นจากแผ่นอกกว้างแนบแน่น ปากอิ่มจรดลงบนหน้าผากอย่างอ่อนโยน ก่อนจะไล้จุมพิตลงบนจมูก ละลงมาถึงริมฝีปากหยักได้รูป

          ความรู้สึกที่ไม่อาจเอ่ยออกมาเป็นคำพูดถูกถ่ายทอดผ่านริมฝีปากที่ประทับเข้าด้วยกัน จูบแล้วจูบเล่าอ้อยอิ่งเนิ่นนานราวกับกำลังจะกลืนกินลมหายใจของกันและกัน ลิ้นร้อนละไล้ชิมความหวานให้ในใจวูบหวิว...ล่องลอย...

          จากความอ่อนหวานเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นเร่าร้อน ร่างสูงบดจูบรุนแรงขึ้นกระชากลมหายใจอีกฝ่ายให้ขาดเป็นห้วงๆ มือเรียวสั่นเทาจิกกุมคอเสื้อคนที่รักแน่น เสียงครางกระเส่าทำเอาสติเตลิดลอย ก่อนที่ทุกอย่างจะเกินเลยไปกว่านี้ คนที่ทนแทบไม่ไหวตัดสินใจถอนริมฝีปากชื้นออก

          “ขอติดไว้ก่อนนะพิน...”

          นกหนุ่มกระซิบเสียงแผ่วพลางจ้องคนตรงหน้าด้วยความรัก ทำเอาชายหนุ่มที่เคลิบเคลิ้มไปกับรสจูบเมื่อครู่หน้าร้อนฉ่าก้มงุดจมลงไปกับอกกว้าง

          “อืม...”

          พินเอ่ยตอบเสียงค่อยจนแทบไม่ได้ยิน ทำเอามะลินึกขำหัวเราะขึ้นด้วยความเอ็นดู คนเขินเลยเอากำปั้นทุบอกแข็งๆลงไปแก้เก้อ

          “นี่พินเราเจ็บอยู่นะ”

          “เจ็บก็นอนไปเลย...”

          นกหนุ่มอดยิ้มกับภาพตรงหน้าไม่ได้ เขากอดกระชับร่างกายผอมบางแน่นขึ้นไปอีก มือข้างหนึ่งก็ลูบไล้เส้นผมเงางามก่อนจะหอมหัวคนน่ารักฟอดใหญ่

          ‘ก๊อก ก๊อก ก๊อก’

          เสียงเคาะประตูตามมารยาทดังขึ้นสองสามที โดยที่ไม่รอให้คนในห้องเอ่ยปากเชิญ ผู้มาเยือนก็เปิดประตูพรวดเข้ามาจนทำให้พินที่ซุกอยู่ในอ้อมอกชายหนุ่มสะดุ้งผุดลุกขึ้นนั่งตาหูเหลือก

          “อะไรกันเนี่ยพี่น้องคู่นี้ ไปนอนเบียดกันบนเตียงคนไข้ทำไม?”

          หญิงสาวผมยาวประบ่าใบหน้าแจ่มใสเอ่ยขึ้นพลางมองไปยังเพื่อนสนิทของเธอที่ทำเป็นยิ้มไม่รู้ไม่ชี้อยู่บนเตียง

          “นี่ถ้าเป็นที่โรงพยาบาลที่เราทำงานอยู่นะ เจอคนไข้แบบนี้จะตีให้ตายเลย!”

          ไหมยิ้มหัวเราะพลางเดินเข้ามาทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา ส่วนพินที่หน้าตาเลิ่กลั่กอยู่เมื่อครู่รีบลงจากเตียงมานั่งทำหน้าบอกไม่ถูกอยู่บนเก้าอี้ข้างๆ

          “ไงไหม จะมาเยี่ยมทำไมไม่โทรหาเราก่อนล่ะ?”

          “โทรเทออะไรล่ะ แค่ได้ข่าวว่าแกโดนปล้นชิงทรัพย์เราก็ตกใจจะตายอยู่ละ นี่ออกเวรแล้วก็รีบขับรถมาเยี่ยมเลยเนี่ย!”

          คนเป็นเพื่อนเดินตรงรี่มาหาคนเจ็บด้วยความเป็นห่วง จากนั้นจึงเริ่มเอ่ยถามสารทุกข์สุกดิบ

          “แล้วแกเป็นยังไงบ้างพิมพ์? ตอนรู้ข่าวเรากังวลแทบตาย แต่แกดูสดชื่นกว่าที่คิดเราก็สบายใจละ”

          มะลิอมยิ้มกรุ้มกริ่ม การที่เขาฟื้นตัวเร็วได้ขนาดนี้มีเหตุผลเดียว เพราะเขาได้รับพลังวิญญาณหนูจากพินมามาก...มากจนแข็งแรงขึ้นทันควัน

          “แล้วตำรวจว่ายังไงบ้างหรอ?”

          “ตำรวจบอกว่าคนร้ายรู้ทางหนีทีไล่แถวนั้นเป็นอย่างดี กล้องวงจรปิดก็แทบจะจับภาพเอาไว้ไม่ได้”

          “งั้นหรอ...”

          “แต่พี่ไหมครับ ความจริงพินคิดว่าเรื่องนี้มันมี...”

          ก่อนที่พินจะพูดจบ มะลิรีบคว้ามือบางมาบีบแน่นพลางส่งสายตาที่พอจะอ่านได้ว่า นกหนุ่มไม่ต้องการให้เขาเอ่ยถึงเหตุการณ์ไม่ชอบมาพากลของเรื่องนี้

          “มีอะไรหรอพิน?”

          “เอ่อ...อ๋อ คือพินแค่จะบอกว่าพินคิดว่าจากเหตุการณ์นี้อาจจะเคยมีเหยื่อที่ถูกทำร้ายมาช่วยเป็นพยานให้เราได้น่ะครับ...”

          พินแต่งประโยคขึ้นมามั่วๆเพื่อเปลี่ยนเรื่องที่เขาต้องการจะพูดบ่ายเบี่ยงให้ไหมเข้าใจเป็นอย่างอื่น

          “ก็จริงของพินนะ...แต่ก็เอาเถอะ ที่เหลือก็ปล่อยให้ตำรวจเค้าจัดการไป ส่วนแกปลอดภัยก็ดีแล้ว วันหลังมืดๆ ค่ำๆ แกต้องระวังตัวให้มากกว่านี้รู้รึเปล่า?”

          “อืม”

          ไหมเอ่ยย้ำกำชับด้วยความเป็นห่วง ในขณะที่มะลิตัดสินใจที่จะพูดถึงเรื่องนี้ให้น้อยที่สุด เพราะตอนนี้เขาเองก็ไม่อาจรู้ได้ว่า “ใคร” ที่เขาจะไว้ใจได้ และ ใคร...

          ที่เขาควรจะหลีกหนีไปให้ไกลที่สุด


++++++++++++++++

          ในที่สุดมะลิกับพินก็ได้จูบกันแบบคนรักแล้วค่ะ หลังจากที่ชอบกันมาตั้งนาน แต่ว่าบทสรุปความรักของทั้งคู่จะเป็นรักแบบหลบซ่อนจริงๆงั้นหรอ...ฝากติดตามกันต่อด้วยนะคะ



หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! My brother is the barn owl! บทที่18 : ซ่อน 30/08/19 UP!
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 30-08-2019 21:35:42
 :3123: :pig4: :3123:

 o13
หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! My brother is the barn owl! บทที่19 : พานพบ 02/09/19 UP!
เริ่มหัวข้อโดย: Timid Lily ที่ 02-09-2019 10:18:38
บทที่19 : พานพบ

          หลังจากที่ได้ข่าวว่าลูกชายคนโตบาดเจ็บจนต้องเข้าโรงพยาบาล พ่อกับแม่เป็นเดือดเป็นร้อนรีบลางานกลับมาเฝ้าดูแลได้กว่าสัปดาห์แล้วก็กลับไป พินจึงถือโอกาสพานกหนุ่มไปฉลองที่หายจากอาการบาดเจ็บเกือบสนิทแล้ว

          “กินให้เต็มที่เลยนะทุกคน วันนี้ชั้นจะเป็นคนเลี้ยงเอง”

          ในร้านอาหารไทยขนาดหนึ่งห้องที่ตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ ชายสี่คนนั่งเรียงรายล้อมรอบโต๊ะสี่เหลี่ยม โดยที่มีคนๆหนึ่งกำลังทำหน้าบูดอย่างเห็นได้ชัด

          ‘ทำไมพินจะต้องชวนไอ้แมวกับไอ้งูนี่มาด้วยวะ? ...’

          มะลิกำลังมองคนสองคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามอย่างไม่สบอารมณ์นัก ถ้าเป็นไปได้เขาอยากจะอยู่กับพินสองต่อสองมากกว่า แต่ดูเหมือนว่าที่พินชวนนินจากับดาวเหนือมาด้วยก็คงเพราะเห็นว่าอมนุษย์ทั้งสาม “เป็นเพื่อนกัน”

          “ปลากะพงทอดขมิ้น นินจาต้องชอบแน่ๆ มาชั้นตักให้”

          ทันทีที่ปลาทอดตัวโตสีเหลืองหอมกรอบถูกนำมาเสิร์ฟ เจ้ามือไม่รีรอรีบตักปลาเนื้อนุ่มลงบนจานของแมวหนุ่ม

          “ขอบคุณนะพิน”

          นินจาตักปลาใส่ปากเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย ครู่หนึ่งเมนูถัดไปถูกนำมาเสิร์ฟที่โต๊ะ เป็นไข่ที่ถูกนำไปเจียวผสมกับข้าวเนื้อฟูดูน่ากิน

          “อันนี้เราสั่งมาให้ดาวเหนือ เรียกว่าไข่พระอาทิตย์”

          พูดจบพินก็ตักไข่เจียวหอมๆใส่จานของงูหนุ่ม ดาวเหนือยิ้มดีใจพลางเอ่ยอย่างสุภาพ

          “ผมชอบกินไข่ ขอบคุณมากๆเลยนะ”

          บรรยากาศคึกคักบนโต๊ะทำให้นกหนุ่มอดงอแงไม่ได้ เท่าที่เขาดูไม่มีอาหารจานไหนดูจะเป็นของโปรดของเขาเลย อย่างว่ามะลิกินได้แทบจะทุกอย่าง แต่ถ้าให้พูดถึงของที่เขาชอบเป็นพิเศษส่วนมากมักจะพิสดารจนไม่รู้จะไปหากินได้ที่ไหน

          “มะลิกินผักเยอะๆนะ จะได้แข็งแรง”

          พินเอ่ยขึ้นพลางตักใบเหลียงผัดไข่ใส่จานให้คนนั่งข้าง นกหนุ่มมองหน้าเหี่ยวก่อนจะเอ่ยขึ้น

          “พินจะให้เรากินใบไม้นี่จริงๆหรอ? เราอยากกินเนื้อมากกว่า”

          ได้ฟังดังนั้นพินก็หลุดขำขึ้น ถึงแม้ว่าใบเหลียงจะดูเหมือนใบไม้ แต่รสชาติของมันจัดว่าเป็นผักที่อร่อยถูกปากอย่างน่าตกใจ

          “ใบไม้เนี่ยอร่อยนะมะลิ ลองชิมสิเดี๋ยวชั้นป้อนให้”

          พินตักใบเหลียงใส่ช้อนพลางยื่นส่งไปที่ริมฝีปากของนกหนุ่ม มะลิมองพืชใบเขียวอย่างไม่วางใจ ทำให้ดาวเหนือรีบพูดแทรกขึ้นมา

          “ถ้านกมะลิไม่กิน พินป้อนผมแทนก็ได้”

          “หุบปากไปเลยไอ้งูงั่ง!”

          คนฉุนรีบงับกับข้าวในช้อนเคี้ยวตุ้ยๆ ก็จริงของพินที่บอกว่าอาหารมนุษย์ชนิดนี้อร่อย แต่ที่สำคัญกว่านั้นคงจะเป็นเพราะคนที่เขารักเป็นคนป้อน

          “เป็นไง...อร่อยมั้ย?”

          “อร่อย! ยิ่งพินเป็นคนป้อนยิ่งอร่อย”

          มะลิยิ้มหวานจ๋อยจนแก้มบุ๋ม เล่นเอาซะคนป้อนเขินมือไม้สั่น ความแหวนแหววของคู่รักตรงหน้าทำให้แมวนินจาเริ่มรู้สึกอิ่มอืดขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ส่วนดาวเหนือได้แต่จ้องคนทั้งคู่อย่างไร้เดียงสา ความรู้สึกคงคล้ายกับเด็กมนุษย์ที่กำลังเล่นพ่อแม่ลูก

          อาหารจานแล้วจานเล่าถูกนำมาเสิร์ฟบนโต๊ะ คนทั้งสี่รับประทานอย่างเอร็ดอร่อยจนไม่เหลือทิ้งแม้แต่จานเดียว พินเรียกพนักงานมาคิดเงิน ในขณะที่ชายอีกสามคนกำลังนั่งอิ่มมีความสุขกับมื้อเที่ยงแสนอร่อยวันนี้

          “พินเราอยากเข้าห้องน้ำ พาเราไปหน่อยได้มั้ย?”

          มะลิเอ่ยขึ้นพลางดึงแขนฉุดให้พินลุกขึ้นตาม

          “อ๋อได้สิ...นินจาชั้นฝากนายช่วยจ่ายเงินทีนะ เดี๋ยวชั้นมา”

          พินส่งแบงก์สีเทาสองใบให้แมวหนุ่มรับผิดชอบ จากนั้นก็ถูกลากลิ่วๆออกจากร้านไป

          “เดี๋ยวก่อนมะลิ จะไปไหน? ห้องน้ำอยู่ทางนู้น”

          คนถูกลากเอ่ยขัดเมื่อเห็นว่าเจ้านกหนุ่มเดินนำสะเปะสะปะ ทว่ามะลิก็ไม่มีทีท่าจะเดินย้อนกลับไปอีกทาง

          “เราหลอกน่ะ! เราไม่ได้อยากเข้าห้องน้ำ เราแค่อยากอยู่กับพินสองต่อสอง”

          คนเจ้าเล่ห์หันมายิ้มกริ่มให้ ถึงแม้ว่ามะลิจะไม่ค่อยรู้ประสีประสาเป็นบางครั้ง แต่ถ้าเป็นเรื่องเล่นชวนหัวนี่ล่ะก็ถนัดนัก

          “นี่มะลิเล่นอะไรไม่รู้เรื่อง แล้วสองคนนั้นจะทำยังไง? !”

          “ไม่เป็นไรหรอกน่า! เราขออยู่กับพินแค่แป๊บเดียวเท่านั้นแหละ อีกอย่างไม่ต้องห่วงพวกนั้นหรอก นินจาไว้ใจได้”

          “แป๊บเดียวพอนะ”

          มะลิพยักหน้ารับปาก เขาเคลื่อนมือที่กำแขนลงมาจับกระชับฝ่ามือบางแทน

          “เราขอเดินจับมือพินแบบนี้ได้รึเปล่า...?”

          นกหนุ่มนึกถึงคำสัญญาที่เคยบอกกับพินเอาไว้ว่าจะทำตัวเป็นคนรักเฉพาะเวลาอยู่ด้วยกันแค่สองคน

          “อืม...ได้สิ”

          ทั้งสองเดินจับมือกันด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ถึงแม้มันจะดูเคอะเขินสำหรับพินอยู่บ้าง แต่ช่วงเวลาที่มีค่าเช่นนี้ทำให้เขาเลือกที่จะไม่สนใจสายตาของคนรอบข้าง

          “เราอยากหาตัวคนร้ายให้เจอเร็วๆจัง...เราจะได้ใช้ชีวิตอย่างสบายใจและมีความสุขกับพินซักที”

          ทุกครั้งที่เอ่ยถึงเรื่องนี้มันทำให้พินอดกังวลไม่ได้ มือเรียวบีบฝ่ามือกว้างแน่นจนนกหนุ่มสัมผัสได้ถึงความกลัวที่ถูกส่งมา

          “มะลิต้องระวังตัวให้มากๆนะ มีอะไรต้องบอกชั้น ชั้นจะพยายามช่วยนายให้เต็มที่”

          รอยยิ้มอบอุ่นฉายขึ้นบนใบหน้า แม้ว่ามะลิจะไม่ได้พูดอะไรออกไป แต่พินก็รับรู้ได้ว่าชายหนุ่มมีความสุขขนาดไหนที่มีเขาเป็นทั้งแรงกายแรงใจอยู่เคียงข้าง



          คนสองคนเดินเตร่เรื่อยมา พลันหุ่นโชว์เสื้อผ้าที่ใส่เสื้อคอปกสีขาวปักลายหัวใจสีแดงเล็กจิ๋วที่อกเตะตานกหนุ่มให้เดินตรงรี่เข้าไปดู

          “ชอบหรอมะลิ?”

          “อื้ม! เราว่ามันน่ารักดีที่มีรูปหัวใจติดอยู่ด้วย ต่างจากเสื้อที่เราชอบใส่นิดหน่อยน่ะ”

          พินนึกแปลกใจที่มะลินึกถูกใจอะไรเป็นพิเศษ เพราะปกติมะลิไม่ได้เป็นคนละเอียดอ่อนที่จะมาใส่ใจถึงความต่างเล็กๆน้อยๆพวกนี้

          “ชั้นซื้อให้เอามั้ย? เวลาใส่มะลิจะได้คิดถึงชั้น”

          นกหนุ่มหันมาสบตาพินแวววาว ที่เขาดีใจไม่ใช่แค่เพราะเขาจะได้ใส่เสื้อที่ตัวเองเลือกเป็นครั้งแรก แต่เป็นเพราะคนที่เขารักจะซื้อมันเป็นของขวัญให้อีกด้วย

          มะลิเดินเข้าไปในร้านอย่างกระตือรือร้น ทว่าเมื่อพลิกป้ายราคาขึ้นดู นกหนุ่มก็รีบผละตัวออกมาอย่างรวดเร็ว

          “พินทำไมมันแพงขนาดนี้? เราไม่อยากได้แล้ว”

          มะลิที่คุ้นชินกับการใช้ชีวิตแบบมนุษย์สามารถแยกแยะได้ว่าอะไรคือถูก อะไรคือแพง และอะไรคือแพงมาก...ที่สำคัญเขารู้ดีว่าเงินนั้นหายากและมีค่ามากมายขนาดไหน

          “ไม่เป็นไรหรอกมะลิ ถึงแพงชั้นก็จะซื้อให้ เสื้อของพี่พิมพ์ที่มะลิใส่ก็ไม่มีตัวไหนถูกซักตัว”

          พินพูดไปมือก็พลางคว้าเสื้อตัวใหญ่ขึ้นทาบบนร่างของคนรัก

          “ชั้นจะรีบหางานทำ แล้วก็จะคอยดูแลมะลิเอง”

          คนฟังถึงกับซึมไป มะลิรู้สึกแย่ที่ตัวเองไร้ประโยชน์ ทำมาหากินอะไรก็ไม่ได้ แถมยังต้องมาเป็นภาระให้กับคนที่เขารักอีก

          “พิน...เราจะพยายามพัฒนาตัวเองนะ เราไม่ได้อยากให้พินมาดูแลเราอยู่ฝ่ายเดียว เราเองก็อยากเป็นกำลังให้พิน อยากดูแลพิน อยากทำงานหาเงินให้ได้อย่างที่มนุษย์คนอื่นเขาทำกันเหมือนกัน”

          “อย่ากดดันตัวเองไปเลยนะ...ไม่ว่ามะลิจะเป็นยังไงชั้นก็รัก”

          พินผู้จิตใจดีมักจะยิ้มเช่นนี้ให้กับเขาเสมอ รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความรัก ความจริงใจ ไม่หวังอะไรตอบแทน มันยิ่งทำให้เขารู้สึกว่าเขาต้องดีกว่านี้ ต้องพัฒนาตัวเองให้มากกว่านี้เพื่อ “พิน”

          ...เพราะมะลิเองก็กลัวที่จะสูญเสียคนๆนี้ไป

          “อ่ะ! เอาเสื้อตัวนี้ไปลอง”

          พินยื่นเสื้อสีขาวคอปกส่งให้นกหนุ่มพลางดันแผ่นหลังกว้างให้เดินไปทางห้องลองเสื้อผ้า มะลิหายเข้าไปข้างในครู่หนึ่งก็โผล่หน้าออกมากวักมือเรียก

          “พินช่วยเข้ามาดูให้เราหน่อยสิ”

          คนถูกเรียกไม่รอช้ารีบเดินไปใกล้ พินถูกฉุดดึงเข้าไปภายในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆอย่างรวดเร็ว

          “มะลิ...!”

          เสียงพินบ่นอุบอิบเนื่องจากตอนนี้ร่างผอมๆของเขาถูกคนตัวโตกว่าเบียดจนหลังแนบกับผนังห้อง มือขาวทั้งสองข้างวางค้ำอยู่ข้างใบหน้าเนียนพลางมองตาลึกซึ้งยิ้มหวานมีความสุข

          “เราก็รักพินเหมือนกัน...”

          ความรู้สึกที่ไม่อาจถ่ายทอดได้เพียงคำรักหวานพาให้ชายหนุ่มทำตามสิ่งที่หัวใจปรารถนา จมูกโด่งคมแตะไล้แผ่วเบาลงบนปลายจมูกของคนตรงหน้า ดวงตาที่สะท้อนภาพของผู้ครอบครองทั้งชีวิตและลมหายใจปรือหลับลงก่อนริมฝีปากอิ่มจะมอบจูบสัมผัสนุ่มนวลชวนเคลิ้มฝัน

          แขนบอบบางโอบรอบดึงร่างสูงให้แนบแน่บชิดใกล้ ปากกระจับจูบตอบเคอะเขินทว่าน่าหลงใหล นกหนุ่มส่งลิ้นร้อนลากไล้เปิดริมฝีปากเข้าสัมผัสความอบอุ่นภายใน...หวานละมุน...ทว่ารุ่มร้อน...

          ก่อนที่พินจะเผลอส่งเสียงน่าอายออกไป คนที่ถูกโอบคอเอาไว้ในอ้อมแขนหยุดกระเซ้าก่อนจะถอนลิ้นนุ่มออกเหลือเพียงริมฝีปากที่ดุลเม้มลงอย่างกระหาย

          “อะ...มะลิ...ชั้น”

          “หืม?”

          โดยไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายพูดต่อ ปากอิ่มบดจูบลงไปอีกครั้งจนตอนนี้พินชักจะร้อนไปทั้งตัว

          “พะ...พอแล้ว...ชั้นจะไปจ่ายเงิน...”

          “หึๆ ก็ได้ๆ ...”

          เสียงหัวเราะน้อยๆดังขึ้นในลำคอ เห็นทีมะลิควรจะต้องหยุดแกล้งคนน่ารักเสียที ทว่าก่อนจะผละออกจากคนตรงหน้า เขาก็ไม่วายมอบจูบเบาๆให้อีกหนึ่งทีเป็นของแถม ส่วนพินตอนนี้ได้แต่พยายามทำหน้าให้ปกติที่สุดก่อนจะเดินออกจากห้องลองเสื้อไป

          โดยที่ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าตอนนี้หน้าของเขากำลังแดงจัดแข่งกับสีหัวใจดวงจิ๋วที่ปักอยู่บนอกเสื้อ...





          “ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่าคุณลูกค้าจะรับอะไรเพิ่มเติมมั้ยคะ?”

          เสียงของบริกรหญิงเอ่ยขึ้นถาม เมื่อเห็นว่าลูกค้าสองคนที่เช็คบิลไปเมื่อเกือบครึ่งชั่วโมงที่แล้วยังคงนั่งอยู่ไม่ไปไหน

          “เอ่อ...ไม่แล้วครับ ขอบคุณครับ”

          นินจาเอ่ยขึ้นตอบจากนั้นจึงรีบลุกขึ้นจากโต๊ะพลางสะกิดคนข้างๆ

          “เจ้างูไปกันเถอะ”

          “อ้าว! แต่สองคนนั้นยังไม่กลับมาเลยนะแมวนินจา”

          “พวกเราโดนเจ้านกแสกมันแกล้งเข้าให้แล้วไง! ป่านนี้มันคงหนีบพินไปเดินเล่นหลั่นล้ามีความสุขอยู่ข้างนอกนู่นแล้ว”

          ดาวเหนือทำท่าเลิ่กลั่กขึ้นมา เขาควรจะทำยังไงดีหากถูกปล่อยทิ้งเอาไว้ที่นี่

          “แล้วจะทำยังไงกันดี? ผมเองก็ไปไหนไม่ถูกซะด้วย”

          “ไม่ต้องห่วง แมวอย่างเราก็จมูกดีใช่ย่อย เดี๋ยวเราจะพาแกไปตามหาสองคนนั้นเอง”

          พูดจบนินจาก็สูดกลิ่นที่ลอยกรุ่นค้างอยู่ในอากาศ เขาขมวดคิ้วตรึกตรองเล็กน้อยจากนั้นจึงเดินนำเจ้างูขี้กลัวไป

          ระหว่างที่กำลังเลี้ยวซ้ายทีขวาที พลันสายตาของดาวเหนือเหลือบไปเห็นร่างที่คุ้นตา ชายหนุ่มรูปร่างไม่สูงนัก ทำผมสีชมพูซีดเตะตา ถึงแม้ว่าจะเดินอยู่ไกลๆ แต่เขาจำมันได้ดี     

          “คิม!”

          “อ้าวเฮ้ยเจ้างู! แกจะไปไหน?”

          นินจาเห็นดาวเหนือวิ่งรี่ไปอีกทางก็ตกใจรีบตามไป ตอนนี้ภาพที่แมวหนุ่มเห็นคือดาวเหนือกำลังฉุดรั้งแขนชายหนุ่มร่างเล็กที่กำลังเลิกคิ้วทำตาปริบๆมองคนตรงหน้าอ้ำอึ้งตกใจ

          “เอ่อ...”

          ด้วยความร้อนรนทำให้ดาวเหนือไม่ได้คิดมาก่อนด้วยซ้ำว่าเขาควรจะทักทายเจ้าของๆเขาว่าอะไร จะให้แปลงร่างกลับไปเป็นงูให้ดูต่อหน้าเห็นทีคงจะไม่ได้ ตอนนี้ที่พึ่งเดียวก็คงจะมีแต่หันไปถามคนที่มาด้วยกัน

          “นี่...แมวนินจา มนุษย์คนนี้คือคิมเจ้าของๆ เราเอง แต่...เราจะพูดกับคิมว่ายังไงดี?”

          ดาวเหนือเอ่ยถามซุบซิบ ซึ่งนินจาก็ตอบกลับไปอุบอิบเช่นกัน

          “แกก็ทำเป็นถามชื่อกับเบอร์โทรศัพท์เอาไว้สิ”

          งูหนุ่มพยักหน้า เขาพยายามตีหน้าสงบนิ่งยิ้มแย้มสุภาพที่สุดในโลกก่อนจะเอ่ยถาม

          “ขอโทษนะครับ...ไม่ทราบว่าคุณชื่ออะไรครับ? ผมจะขอเบอร์โทรศัพท์คุณไว้ได้รึเปล่า?”

          คนถูกถามทำหน้าเหยเกใส่ ดวงตาเล็กๆหรี่ลงก่อนจะสะบัดแขนออกอย่างไม่ใยดี

          “ขอโทษนะครับ พอดีผมไม่สะดวก”

          “เอ่อ...เดี๋ยว!”

          พูดจบคิมก็ซอยเท้าเดินหนีไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้งูน้อยอยู่กับความเศร้าผิดหวังและไม่เข้าใจ

          “ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ”

          “หัวเราะเราทำไมแมวนินจา? เราไม่เข้าใจ...เมื่อกี้ขนที่แขนของคิมลุกด้วย เรารู้สึกได้”

          “โอย...ตลกว่ะ! มนุษย์คนนั้นคิดว่าแกไปจีบไงไอ้โง่!”

          แมวตัวดีหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง ส่วนดาวเหนือตอนนี้กำลังทำหน้าเหมือนคนจะร้องไห้

          “นี่นายจงใจแกล้งผมหรอ!”

          “เปล่าซะหน่อย ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ”

          ชายสองคนเดินมาตามเสียงของนินจาที่กำลังหัวเราะลั่นไม่หยุด พินเห็นที่ท่าแปลกๆ ของทั้งคู่จึงเอ่ยถาม

          “อยู่ที่นี่กันนี่เอง มีอะไรกันหรอ?”

          “พิน! ผมเจอคิมแล้ว!”

          “อ้าวหรอ? แล้วอยู่ไหนล่ะ?”

          “คิมหนีไปแล้ว...”

          “อ้าวแล้วทำไมไม่รีบตามไปล่ะ?”

          “ผม...”

          “ดูนี่สิ”

          มะลิหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งที่เขาเหยียบเข้าโดยไม่ตั้งใจขึ้นมาพลางส่งให้ทุกคนดู ในนั้นเป็นภาพงูขาวตาแดงตัวหนึ่งพร้อมกับคำประกาศตามหางูหาย

          “คิม! คิมยังตามหาผมอยู่จริงๆด้วย”

          “โอ๊ย! ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ มนุษย์บ้าอะไรประกาศตามหางู เกิดมาเราเพิ่งจะเคยพบเคยเห็น ท่าทางเจ้าของๆแกจะต้องเพี้ยนมากแน่ๆ!”     

          คำพูดของนินจาทำเอานกมะลิระเบิดเสียงหัวเราะผสมโรงไปกับเค้าด้วย ส่วนดาวเหนือตอนนี้กำลังหน้าหงิกหันไปเถียงไม่ยอมแพ้

          “อย่ามาว่าคิมของผมนะ พวกนิสัยไม่ดี!”

          นี่เป็นคำด่ารุนแรงที่สุดเท่าที่ดาวเหนือจะนึกออกทำให้พินอดอมยิ้มขำขึ้นมาไม่ได้ ในที่สุดงูหนุ่มก็ได้พบกับคนที่แสนคิดถึง เขาเฝ้านึกถึงวันที่เคยใช้ชีวิตกับเจ้าของที่รักอย่างมีความสุข ความหวังที่จะได้กลับไปอยู่กับคิม…     

          กำลังจะได้เป็นจริงแล้ว


++++++++++++++++



          ตอนนี้ไม่มีอะไรจะพูดค่ะ นอกจาก...น้องพินสายเปย์ ^^


Timid Lily

02/09/19
หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! My brother is the barn owl! บทที่19 : พานพบ 02/09/19 UP!
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 02-09-2019 13:42:46
 o13
 :3123:
หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! My brother is the barn owl! บทที่19 : พานพบ 02/09/19 UP!
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 02-09-2019 15:56:11
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! My brother is the barn owl บทที่20 : ในที่สุด 06/09/19 UP!
เริ่มหัวข้อโดย: Timid Lily ที่ 06-09-2019 11:17:20
       
  บทที่20 : ในที่สุด

         รถยนต์สีขาวคันย่อมจอดเทียบที่ประตูรั้วบานใหญ่ ชายสี่คนเปิดประตูรถลงมาโดยที่พินก็ล้วงหากุญแจบ้านในกระเป๋ากางเกงไปด้วย

          “เดี๋ยวชั้นจะโทรติดต่อหาคิมให้เองนะดาวเหนือ ไม่ต้องห่วง”

          คนที่กำลังไขประตูบ้านเอ่ยขึ้น ทำให้เจ้างูยิ้มสดชื่นดีใจ

          “ขอบคุณนะพิน ผมดีใจมากเลย”

          ตอนนี้ดาวเหนือที่กำลังยืนยิ้มแฉ่งเกะกะอยู่หน้าประตูบ้านถูกนกก้าวร้าวผลักกระเด็นเข้าไปข้างใน

          “เอ้าเข้าไปได้แล้ว! อย่ามายืนขวางอยู่ ร้อนจะตายอยู่ละ”

          “ทำไมนกมะลิไม่อ่อนโยนกับผมบ้างเลย...”

          สายตาดุดันจ้องมองมาทางคนที่เพิ่งจะบ่นอุบอิบอยู่เมื่อครู่ จริงๆแล้วการที่ดาวเหนือยังมีชีวิตรอดอยู่แบบนี้ก็นับว่ามะลิอ่อนโยนด้วยมากแล้ว เพราะบนโลกของห่วงโซ่อาหารแสนโหดร้าย ถ้ามะลิในร่างนกจับงูตัวจ้อยแบบเขามาได้คงจะกลายเป็นอาหารไปอย่างรวดเร็ว

          “พินเราขอเข้าไปนั่งเล่นในบ้านพินด้วยคนนะ”

          นินจาเอ่ยขออนุญาต ซึ่งพินก็ไม่ได้คิดจะห้ามอะไร เขาชินกับการที่นินจาเหมือนจะเป็นสมาชิกอีกคนหนึ่งของครอบครัวอยู่กลายๆ ทว่าก็อดห่วงไม่ได้ที่เจ้าแมวยังคงทำตัวเร่ร่อนอยู่แบบนี้

          “นี่นินจา...นายอยากมาเป็นแมวของบ้านชั้นมั้ย?”

          พินตัดสินใจเอ่ยถามขึ้น ถึงแม้จะรู้ดีว่านินจาจะต้องปฏิเสธก็ตาม

          “ไม่เอาด้วยหรอก ไอ้นกแสกหวงพินอย่างกะอะไรดี ถ้าต้องอยู่กันมันทุกวันนะเราขอเป็นแมวจรจัดแบบนี้ไปเรื่อยๆซะยังจะดีกว่า...”

          ก็จริงของนินจา ถึงแม้ว่ามะลิจะอ่อนโยนขึ้นมากแล้วแต่ก็เหมือนจะเป็นกับเขาแค่คนเดียว กับมนุษย์ปกติทั่วไปคนอื่นๆก็ยังคงทำตัวแข็งๆทื่อๆ ยิ่งกับพวกอมนุษย์ด้วยกันยิ่งไม่ต้องพูดถึง เป็นตัวของตัวเองสุดๆ

          “แล้ว...ถ้าเป็นเมฆล่ะ? นินจาอยากจะอยู่ด้วยรึเปล่า?”

          “เรา...”

          เมื่อเอ่ยถึงเมฆขึ้นมาคนที่เคยพูดจาฉะฉานก็เงียบนิ่งอึ้งไป พินไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมนินจาถึงต้องลังเล ในเมื่อเมฆเองก็ดูชอบนินจามาก ส่วนนินจาเองก็ผูกพันกับเจ้าของเก่าคนนี้ แล้วมันจะมีเหตุผลอะไรอีก ที่ทำให้เจ้าแมวยังคงเล่นตัวไม่ยอมกลับไปอยู่กับเมฆเสียที

          “เฮ้ย นาย!”

          เสียงคนที่เพิ่งถูกพูดถึงแหกปากร้องเรียกมาจากบ้านข้างๆ เมื่อเด็กหนุ่มตัวโตเห็น “นิน” ผู้ลึกลับมาจากที่ไกลๆ เพื่อตัดปัญหานินจาตัดสินใจหลบไปอยู่ด้านหลังของพินพลางกลับร่างเป็นแมวเพื่อที่จะได้เลี่ยงคำถามของคนช่างซัก

          “สวัสดีครับพี่พิน แล้ว...นินหายไปไหนแล้วล่ะ?”

          “เอ๊ะ? !”

          “ก็เมื่อกี้เมฆเห็นนินยืนอยู่กับพี่พินนี่นา”

          “เอ่อ...เมฆ! ตาฝาดมั้ง ฮ่าๆ ๆ ๆ”

          “งั้นหรอ...สงสัยเมฆจะเบลอนอนเยอะไปหน่อย...”

          เด็กหนุ่มส่ายหัวน้อยๆพลางบีบหัวตาไล่ความอ่อนล้า ครู่หนึ่งเขาก็สังเกตเห็นหางปุยสีดำๆกำลังส่ายไปมาละชายกางเกงของพินอยู่

          “นินจาเบอร์สอง!”

          เมฆเรียกนินจาเสียงลั่นจนเจ้าก้อนขนสีดำสะดุ้งสุดตัว มือใหญ่ไม่รอช้ารีบช้อนร่างยวบยาบของแมวเหมียวขึ้นมากอดจูบ ส่วนนินจาก็ได้แต่ใช้อุ้งเท้ายันใบหน้าเด็กหนุ่มเบาๆพลางร้องแง้วเสียงหลง

          “แกนี่มันน่ารักจริงๆเลยนะ หื๊อ!”

          เมฆพูดไปก็ฟัดนินจาไปด้วย น่าแปลกที่แมวตัวนี้เป็นแมวจรแท้ๆ แต่ทำถึงได้เนื้อตัวหอมสะอาดขนาดนี้ก็ไม่รู้

          “พี่พิน เมฆอยากเอานินจาไปอยู่ด้วยมากๆ เลย แต่ท่าทางมันจะไม่อยาก...ดูมันจะอยากอยู่กับพี่พินมากกว่าอีก...”

          ‘ไม่ใช่ว่าเราไม่อยากนะเมฆ...แต่ตอนเด็กๆเราสร้างความเดือดร้อนให้ครอบครัวเมฆไว้มาก แถมเรายังทำให้เมฆต้องมาร้องไห้เสียใจอีก’

          “ไม่จริงหรอกเมฆ พี่รู้ว่านินจาชอบเมฆมาก ให้เวลามันเล่นตัวอีกนิดเถอะเดี๋ยวมันก็ยอม”

          พินพูดไปยิ้มไป แค่ดูก็รู้ว่านินจาชอบเมฆขนาดไหน เจ้าแมวก็แค่ทำเป็นเยอะไปอย่างนั้นแหละ

          “งั้นหรอเจ้าเหมียว ถ้างั้นวันนี้แกลองไปค้างที่บ้านเมฆมั้ย เมฆซื้อที่นอนนุ่มๆ ที่ฝนเล็บ ขนม ของเล่นเยอะแยะไปหมด รับรองว่าแกจะติดใจ”

          ‘นี่มันเตรียมจะเอาไปเลี้ยงแล้วชัดๆ!’

          “พี่พินครับถ้างั้นเดี๋ยวเมฆขอตัวก่อนนะ ป่ะนินจาเบอร์สอง เดี๋ยววันนี้ชั้นจะอาบน้ำแปรงขนให้แกเอง”

          ‘อาบน้ำ?! ไม่นะ!’

          เมฆเดินจากไปโดยที่มีเจ้าแมวนินจาดีดดิ้นอยู่ในอ้อมแขน พินได้แต่โบกมือลาส่งแมวน้อยอย่างมีความสุข ราวกับว่ามันกำลังจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่อันแสนสดใส



          พินกลับเข้ามาในบ้าน ตอนนี้สิ่งที่เขาเห็นคือดาวเหนือกำลังเซ้าซี้ให้มะลิโทรหาคิมเจ้าของๆของเขา

          “ทำเร็วๆหน่อยสินกมะลิ ทำไมถึงช้านัก”

          “โอ๊ยรำคาญ! ปกติเราไม่ค่อยใช้ไอ้โทรศัพท์หน้าโง่นี่ จะให้ทำเร็วๆได้ยังไงกันเล่า!”

          แน่นอนว่าอมนุษย์อย่างมะลิปกติจะกดรับสายซะเป็นส่วนใหญ่ ถ้าจะโทรหาใครเขาก็แค่กดโทรออกจากเบอร์ที่ถูกบันทึกรายชื่อโปรดเอาไว้ ส่วนจะให้กดโทรหาหมายเลขใหม่ๆหรือเพิ่มรายชื่อติดต่อเขาต้องขอเวลางมสักนิด

          “เอ้า! ไอ้ข้อความจ่ายค่าที่จอดรถเตือนขึ้นมาอีกแล้ว เกะกะลูกตาจริงๆ เฮ้อ...”

          “จ่ายค่าที่จอดรถอะไรหรอมะลิ?”

          พินเอ่ยถามขึ้น เขากลัวว่าอาจเป็นเรื่องสำคัญที่จำเป็นจะต้องดูแลแทนพี่ชายของเขา

          “เราก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่มันแจ้งเตือนขึ้นมาทุกเดือนนั่นแหละ เรากดเข้าไปดูก็เป็นตัวหนังสือยึกยืออะไรไม่รู้อ่านก็ไม่ออกเลยไม่ได้สนใจ จะลบก็ลบไม่เป็น”

          “หรอ...ชั้นขอดูหน่อยได้มั้ย? ไม่รู้พี่พิมพ์เค้าต้องจ่ายค่าที่จอดรถให้ที่ไหนรึเปล่า? ป่านนี้อาจจะค้างไว้บานแล้วก็ได้”

          มะลิส่งโทรศัพท์มือถือให้กับพิน ชายหนุ่มกดเปิดข้อความออกดูก็พบว่าตัวหนังสือยึกยือที่มะลิหมายถึงคือลิงค์ที่ถูกเชื่อมโยงไปยังบัญชีที่พี่ชายของเขาได้ทำการฝากข้อมูลเอาไว้บนเซิฟเวอร์

          พินเลื่อนนิ้วอ่านเอกสารที่ถูกจัดเก็บเอาไว้อย่างตั้งใจ มันคือ “สำนวนคดี” ล่าสุดที่พี่ชายของเขาได้ร่างเก็บเอาไว้นั่นเอง

          “นี่มัน...สำนวนคดีของพี่ไหมนี่...”

          “จริงหรอพิน? ! เราขออ่านด้วยคนสิ!”

          “เดี๋ยวก่อนนะมะลิ...เหมือนว่ามันจะมีสองฉบับ...”

          ชายหนุ่มไล่สายตาอ่านข้อความไปเรื่อยๆเมื่ออ่านครบทั้งสองฉบับหัวใจที่เคยเข้มแข็งกลับวูบไหว ความเชื่อมั่นที่เคยมีต่อพี่ชายของเขาเริ่มสั่นคลอนขึ้นอีกครั้ง

          “สำนวนคดีทั้งสองฉบับเนื้อหาไม่ตรงกัน...ฉบับที่เขียนขึ้นตอนแรกเป็นฉบับที่รายงานว่าผู้ป่วยเสียชีวิตเนื่องจากแพ้ยาชา โดยไม่มีประวัติการแพ้ใดๆเกิดขึ้นมาก่อน...”

          “แล้วอีกฉบับล่ะ?”

          “ฉบับที่สองกลับเขียนว่าพี่ไหมใช้ยาเกินขนาดเป็นเหตุให้ผู้ป่วยถึงแก่ชีวิต...”

          พินส่งโทรศัพท์ให้มะลิดู ภายในนั้นมีเอกสารฉบับหนึ่งเขียนรายงานการใช้ยาของแพทย์ที่ทำหัตถการในห้องผ่าตัด

          “ชั้นเองก็อ่านไม่เข้าใจ...คงต้องลองไปถามน้องเมฆดู...”



          “เสร็จเรียบร้อยแล้ว!”

          ตอนนี้คนเห่อแมวที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยข่วน กำลังพูดคนเดียวหน้าระรื่นพลางหยิบกระจกออกมาสะท้อนภาพเจ้าก้อนขนสีดำที่กำลังทำหน้ายับยุ่งไม่มีชิ้นดี

          “ดูสินินจาเบอร์สอง พอแกอาบน้ำแล้วทั้งหอมทั้งสะอาดหล่อขึ้นเป็นกอง”

          นินจาที่เกลียดการอาบน้ำในร่างแมวที่สุดได้เอาอุ้งเท้าดันกระจกออกห่างตัวก่อนจะเดินหนีคนที่บังอาจบังคับขืนใจพาเขาไปอาบน้ำ ทว่าเมฆมือไวรีบคว้าเจ้าแมวตัวหอมเข้ามาทั้งฟัดทั้งหอม ซึ่งถ้านินจาอยู่ในร่างมนุษย์แล้วล่ะก็...มันคือการล่วงละเมิดทางเพศดีๆนี่เอง

          “โอ๊ยแกมันน่ารักจริงๆเลย! มาอยู่กับเมฆซะดีๆเถอะ”

          “แง้ว!”

          นินจาได้แต่ร้องเสียงหลง ซึ่งคำนี้ถ้าแปลเป็นภาษาคนน่าจะมีความหมายว่า “ปล่อยกู!”

          ‘ปิ๊ง ป่อง’

          “คร้าบ”

          เสียกดกริ่งหน้าบ้านขัดขวางเด็กหนุ่มจากการมอบความรักให้แก่เจ้าแมวเหมียว แต่สำหรับนินจาน่าจะใช้คำว่า “รอดตัว” เสียมากกว่า เมฆรีบแจ้นออกมาเปิดประตูโดยไม่อิดออด ตอนนี้ชายสองคนท่าทางวิตกกังวลกำลังยืนรออยู่หน้าบ้าน

          “พี่พิมพ์ พี่พิน มีอะไรหรอครับ?”

          “น้องเมฆช่วยพี่อย่างนึงสิ ช่วยอ่านรายงานการใช้ยาให้พี่หน่อยได้มั้ย อันไหนคือยาชาที่ใช้บล็อกหลังหรอ แล้วมันเกินขนาดรึเปล่า?”

          พินส่งโทรศัพท์มือถือให้เมฆดู เด็กหนุ่มเพ่งอ่านพินิจพิเคราะห์ก่อนจะพูดต่อ

          “ความจริงเมฆเองก็ยังไม่ค่อยรู้เท่าไหร่ เดี๋ยวเมฆขอถามพี่รหัสแป๊บนึงนะครับ”

          เมฆพิมพ์ข้อความบางส่วนส่งให้พี่รหัสของเขา และได้คำตอบกลับมาอย่างรวดเร็วว่า...

          “พี่เค้าบอกว่ายาที่ใช้บล็อกหลังถูกใช้โอเวอร์โดสไปครับ นี่มันเรื่องอะไรกันหรอครับ?”

          “เอ่อ...”

          “นี่นาย! อยากเจอชั้นไม่ใช่หรอ”

          จู่ๆนินจาที่ควรจะอยู่ในบ้านของเมฆกลับโผล่มาจากทางด้านหลังของผู้มาเยือนทั้งสองในสภาพหอมฉุย เขาหัวเสียขึ้นอีกครั้งที่คนที่เขาทั้งหวงทั้งห่วงเริ่มถามซอกแซ่กเหมือนอยากจะเข้ามาพัวพันกับเรื่องนี้ให้ได้

          “เฮ่ย! นิน...นี่นายโผล่มาจากไหนไม่ให้สุ้มให้เสียง?”

          “ช่างเหอะ นายอยากคุยกับชั้นไม่ใช่หรอ? ป่ะ! ไปคุยกัน อยากถามอะไรก็ถามมา”

          นินจาในร่างเด็กหนุ่มที่ตัวเตี้ยกว่าเมฆอยู่โขพยายามเขย่งเท้าโอบคอลากคนสูงกว่ากลับเข้าไปในบ้าน

          “เดี๋ยวนะนิน ทำไมนายตัวหอมจัง? กลิ่นเหมือนแชมพูแมวที่ชั้นเพิ่งจะซื้อมาเลย”

          “พูดมากจังวะ? ทำไมโตมาแล้วเป็นแบบนี้เนี่ย? เข้าบ้านไปได้ละ”

          นินจาบ่นพลางหันไปสบตาชายอีกสองคนที่ยืนหน้าเครียดอยู่เป็นเชิงไล่ให้กลับไป ครู่เดียวคนที่เดินกอดคอเถียงกันเมื่อครู่ก็หายตัวเข้าบ้านไปพร้อมกับเสียงประตูที่ปิดลง

          ท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียด ชายสองคนที่ยืนเคียงต่างสบตามองกันอย่างหวาดหวั่น

          “มะลิ...ตอนนี้ชั้นมั่นใจแล้วล่ะ ว่าการที่พี่ไหมชนะคดีในศาลชั้นแรกก็หมายความว่า พี่พิมพ์...สร้างหลักฐานเท็จขึ้นมาจริงๆ”

          พินรู้สึกสับสนไปหมด เขาผิดหวังที่พี่ชายของเขาไม่ใช่คนใจซื่อมือสะอาดแบบที่เขาเข้าใจ ทว่ากลับเป็นคนที่ใช้กลโกงคิดคด ถึงแม้จะทำไปเพื่อช่วยเพื่อนสนิทของตัวเองก็ตาม

          “เพราะแบบนี้ใช่มั้ยสินทรถึงได้โกรธแค้นถึงกับคิดที่จะฆ่าพี่พิมพ์...เพราะสินทรพยายามดึงพี่พิมพ์เข้าเป็นพวก แต่พี่พิมพ์ไม่เล่นด้วย”

          นกหนุ่มพยายามคิดทบทวนเรื่องราว สิ่งที่พินคาดการณ์อาจจะใช่หรือไม่ใช่ก็ได้ ตอนนี้เรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเขาอาจไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ตั้งแต่ตอนที่นินจาถูกรถชน หรือแม้แต่ตอนที่เขาถูกปล้น แต่ว่าใครกันแน่คือคนร้ายตัวจริง จะให้รีบด่วนตัดสินว่าเป็นสินทรก็ไม่ได้ หากเป็นคนที่ใกล้ตัวกว่านั้น...เขาควรจะทำยังไง

          ความสับสนถาโถมเข้าใส่ ความคิดถูกชักจูงสะเปะสะปะหลงทาง ในสมองโล่งว่างเปล่าคิดอะไรไม่ออก สิ่งเดียวที่รู้ในตอนนี้คือตัวเขากำลังถูกดึงไปพัวพันกับปัญหาของพิมพ์หนักข้อขึ้นเรื่อยๆ

          “มะลิ...เป็นอะไรรึเปล่า?”

          พินเอ่ยเรียกนกหนุ่มที่กำลังจมลงไปกับความคิดยุ่งเหยิง มะลิกุมมือเรียวขึ้นมาสัมผัสให้ใจชื้นขึ้นก่อนจะเอ่ย

          “พิน...พินรู้มั้ยว่า? ตั้งแต่ที่เรามาอาศัยในร่างนี้ สิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นในชีวิตของเราก็คือ...การที่เราได้มาพบกับพิน...”

          ดวงตาสุกใสสั่นไหว ความกลัวกัดกินหัวใจของชายหนุ่มหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ

          ...กลัวว่าวันหนึ่งจะต้องพรากจากคนตรงหน้าไป...

          ...กลัวว่าจะมีใครมาทำให้หัวใจของตนต้องแหลกสลาย...


          ตอนนี้สิ่งเดียวที่มะลิพอจะทำได้ก็คือ เขาควรจะไปคุยกับใครสักคนให้รู้เรื่อง ซึ่งคนๆนั้นก็คือ…

          ‘ไหม’



++++++++++++++++



          ในที่สุดสำนวนคดีที่มะลิเพียรหามาตั้งนานก็ถูกค้นพบแล้วนะคะ ง่ายๆเหมือนเส้นผมบังภูเขา คงเป็นเจตนาของพี่พิมพ์เค้านั่นแหละค่ะที่ตั้งไว้ให้มันแจ้งเตือนทุกเดือน เงื่อนงำต่างๆเริ่มคลี่คลายลง เนื้อเรื่องทั้งหมดดำเนินมาถึงช่วงท้ายแล้ว ขอบคุณรีดทุกท่านที่ช่วยติดตามมาโดยตลอด และขอฝากให้ติดตามต่อไปจนจบด้วยนะคะ





หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! My brother is the barn owl! บทที่20 : ในที่สุด 06/09/19 UP!
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 06-09-2019 14:07:32
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! My brother is the barn owl! บทที่2 : ลักพา 09/09/19 UP!
เริ่มหัวข้อโดย: Timid Lily ที่ 09-09-2019 11:53:07
บทที่ 21 : ลักพา

          ภายในร้านกาแฟหอมกรุ่นบรรยากาศสบายๆ ที่ถูกตกแต่งด้วยโทนสีขาวน้ำตาล ชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนเก้าอี้บุนวมกำลังเคร่งเครียดทำตัวไม่เข้ากับบรรยากาศของร้าน วันนี้มะลิถือโอกาสที่พินพาดาวเหนือไปส่งคืนเจ้าของ นัดเจอกับเพื่อนสาวคนสนิทของพิมพ์อย่างลับๆ

          “พิมพ์”

          โดยไม่ต้องให้รอนาน หญิงสาวที่ใบหน้าเจือรอยยิ้มสดใสอยู่เสมอโบกมือให้ชายหนุ่มมาแต่ไกล เธอเดินเข้ามาหาเพื่อนรักด้วยความกระตือรือร้น ก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งฝั่งตรงข้าม

          “รอนานมั้ยพิมพ์?”

          “ไม่เลย...”

          ไหมเป็นคนตรงต่อเวลา หากมะลิมีความทรงจำของพิมพ์ติดตัวมามากกว่านี้ เขาจะรับรู้ได้ในทันทีว่า ตลอดระยะเวลาความสัมพันธ์ของสองคนนี้ หญิงสาวแทบจะไม่เคยปล่อยให้ชายหนุ่มต้องเป็นฝ่ายรอ

          “ไหมจะกินอะไรมั้ย? เราเลี้ยง”

          “เอาสิ! ของฟรีใครก็ชอบ”

          เธอยิ้มกริ่มก่อนจะรีบลุกขึ้นตรงไปที่บาร์ริสต้า จากนั้นจึงสั่งกาแฟที่เธอมักจะดื่มเป็นประจำโดยไม่ลืมที่จะสั่งเผื่อเพื่อนอีกคน

          “เอาลาเต้เย็นหวานน้อยหนึ่งแก้วค่ะ แล้วก็อเมริกาโน่เย็นไม่ใส่น้ำตาลอีกแก้วค่ะ”

          “ไหมจะกินสองแก้วเลยหรอ?”

          มะลิที่เดินตามมาถามขึ้นด้วยความสงสัย

          “เปล่า...ชั้นก็สั่งเผื่อแกด้วยไง แกติดกาแฟจะตาย”

          “อ๋อ! ไม่ต้องหรอก...เราไม่กินน่ะ ขอโทษนะครับผมขอเป็นเบอร์รี่สมูทตี้แล้วกันครับ”     

          สำหรับมะลิ ของขมๆอย่างกาแฟไม่เห็นจะอร่อยตรงไหน เทียบแล้วน้ำผลไม้ปั่นเย็นๆชื่นใจมันอร่อยกว่ากันเยอะ

          “ไหมช่วยยกเลิกอันที่สั่งเผื่อเราให้ทีนะ”

          หญิงสาวพยักหน้างงๆ จากคนที่เคยติดกาแฟแทบจะดื่มสามเวลาหลังอาหาร กลายเป็นชายหนุ่มมุ้งมิ้งสั่งน้ำปั่นกินแทนเสียอย่างนั้น มาคิดดูดีๆอะไรก็เกิดขึ้นได้เมื่อเพื่อนของเธอยังคงความจำเสื่อมอยู่ก็อาจจะลืมอาการติดกาแฟไปด้วยก็เป็นได้

          “ถ้าอย่างนั้นไม่เอาอเมริกาโน่เย็นแล้วนะคะ...”

          “ได้ค่ะ สรุปจะมีลาเต้เย็นหวานน้อยหนึ่งกับเบอร์รี่สมูทตี้หนึ่งนะคะ”

          มะลิชำระเงินกับพนักงานแคชเชียร์จากนั้นจึงกลับไปนั่งรอเครื่องดื่มที่โต๊ะ ไหมที่นั่งยิ้มสดใสรออยู่ก่อนแล้วเริ่มเอ่ยถามเหตุผลที่นัดเธอออกมาเจอข้างนอกวันนี้

          “แล้วพิมพ์มีอะไรหรอ ถึงได้ชวนเราออกมาถึงที่นี่?”

          ชายหนุ่มขอไม่อ้อมค้อม ตัดสินใจเข้าเรื่องพูดตรงประเด็น

          “ไหม...เราจำได้แล้วนะ...เรื่องหลักฐานเท็จ”

          บริกรหญิงนำเครื่องดื่มมาเสิร์ฟให้ที่โต๊ะพอดี ไหมเบิกตาตกใจกับสิ่งที่ได้ยินพลางคว้าแก้วกาแฟขึ้นมา ทว่ามือไม้เจ้ากรรมที่กำลังสั่นดันปัดแก้วล้มหกเลอะเทอะ

          “เอ่อ...ขอโทษนะคะ ขอทิชชู่หน่อยค่ะ”

          หญิงสาวที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวรีบคว้ากระดาษมาซับอย่างลวกๆ โดยที่บริกรก็รีบเข้ามาช่วยทำความสะอาดอย่างขะมักเขม้น ในสายตาของมะลิไหมดูร้อนรนอย่างไม่น่าเชื่อ จนเขาชักจะสงสัยว่าพิมพ์ไปรวมหัวอะไรกับเพื่อนคนนี้เอาไว้

          “ไหม...พวกเรา แล้วก็ผู้อำนวยการโรงพยาบาลร่วมมือกันสร้างเรื่องพวกนี้ขึ้นมาใช่มั้ย?”

          ไหมชะงักไป มือที่กำทิชชู่เปื้อนกาแฟแน่นก่อนจะค่อยๆ คลายลง เธอพยายามบรรเทาอาการตึงเครียดก่อนจะเปิดปากสารภาพออกมา

          “ในเมื่อพิมพ์จำได้แล้วก็ช่วยไม่ได้...ถ้าเป็นไปได้เราไม่อยากให้แกจำเรื่องนี้ได้เลย เพราะเรากลัวจะสร้างความเดือดร้อนให้แกมากไปกว่านี้ ถ้าแกทำเป็นลืมมันไปซะอาจจะดีต่อตัวแกเองมากกว่า”

          สีหน้าผิดบาปทุกข์ใจฉายขึ้นบนใบหน้าของหญิงสาว เธอเอ่ยขึ้นอย่างอึดอัด

          “เรารู้สึกผิด...ผิดมากๆ ที่แกจะต้องมาทำเรื่องแบบนี้เพราะพยายามจะช่วยเรา...”

          มือบอบบางเคลื่อนไปกุมมือแกร่งเบื้องหน้า หญิงสาวเอ่ยต่อไม่กล้าสบตา

          “เราขอร้องล่ะ...พิมพ์อย่ายุ่งกับเรื่องนี้เลยนะ ให้มันจบลงที่เรากับทนายคนใหม่แค่นั้นก็พอ อย่าให้เราเกลียดตัวเองที่ดึงให้พิมพ์เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องเลวๆของเราให้มากไปกว่านี้อีกเลย...”



          “ไหมรู้มั้ย? ว่าไอ้สินทรมันมายื่นข้อเสนอกับเรา”

          ‘ความทรงจำอีกแล้วงั้นหรอ? แล้วนั่น...เสียงของพิมพ์...’

          พูดจบทนายหนุ่มก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เขากดใช้เครื่องคิดเลขพลางจิ้มตัวเลขหลายหลักลงไปก่อนจะส่งให้หญิงสาวเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ข้างๆดู ดวงตาที่มักจะสดใสมองจ้องเคืองขุ่นมา ไหมเอ่ยถามเสียงเย็น

          “แกอยากจะบอกอะไรกับเรา?”



          ความสับสนแล่นวูบขึ้นครอบงำไปทั่วทั้งสมอง สิ่งที่มะลิได้รับรู้ตีกันมั่วไปหมด ความเครียดเกาะกุมความรู้สึกจนนกหนุ่มทนไม่ไหวที่จะนั่งอยู่ตรงนี้ต่อไป

          “ไหม...เราขอตัวกลับก่อนนะ รู้สึกเหนื่อยๆยังไงไม่รู้”

          “เป็นอะไรรึเปล่าพิมพ์? ให้เราไปส่งมั้ย?”

          มะลิส่ายหน้าพลางลุกขึ้นเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง ปล่อยให้หญิงสาวมองส่งด้วยความเป็นห่วง



          ชายหนุ่มเดินตรงมายังถนนใหญ่ มะลิชะเง้อมองหารถโดยสารที่เปิดไฟว่างไว้หวังจะเรียกกลับบ้าน ทว่ารถตู้คันใหญ่สีดำมาจอดเทียบอยู่ตรงหน้า โดยไม่ทันรู้ตัว มีชายท่าทางน่าสงสัยยืนประชิดตัวเขาจากทางด้านหลัง

          “ขึ้นรถไปเงียบๆอย่าส่งเสียง...”

          ชายผู้นั้นสั่งเสียงกระซิบกระซาบ โดยที่ประตูรถก็เลื่อนเปิดออกเผยให้เห็นคนท่าทางน่าสงสัยอีกสองสามคนที่อยู่บนรถ เหงื่อเย็นซึมไปทั่วร่าง สัญชาตญาณสั่งให้เขาเลือกที่จะหนีมากกว่ายอมตาม นกหนุ่มรีบวิ่งฉีกออกไปด้านข้าง แต่คนตัวคนเดียวอย่างเขาไม่อาจรอดเงื้อมมือชายฉกรรจ์ทั้งสามไปได้ หมัดลุ่นๆพุ่งเข้าใส่ใบหน้าเต็มเปาทำเอามะลิเซมึนไปหมด หมัดที่สองเสยเข้าลิ้นปี่จนจุกแข้งขาทรุดยืนไม่อยู่ ร่างสูงถูกลากขึ้นรถไปอย่างไม่อาจขัดขืน ความเจ็บปวดทางกายและความรู้สึกกระตุ้นให้สมองอันหน่วงชาระลึกถึงเรื่องราวบางอย่าง



          กำปั้นเล็กๆของหญิงสาวกำลังทุบแผ่นอกกว้างของชายหนุ่มไม่ยั้งมือ ใบหน้าสวยงามมีน้ำตาอาบนองแก้มสีน้ำผึ้ง เสียงอ่อนหวานแหบเครือสั่นพร่าสะอื้น ด่าทอคนตรงหน้าไม่หยุด

          “ทำไมพิมพ์ถึงทำแบบนี้? ! คนเลว! ชิชาเกลียดพิมพ์!”

          “พอได้แล้วชิชา!”

          อารมณ์ที่พลุ่งพล่านขึ้นทำให้ทนายหนุ่มเลิกที่จะกดข่มโทสะของตนอีกต่อไป มือแข็งแรงคว้าแขนบอบบางบีบแน่นก่อนจะเหวี่ยงสตรีที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาล้มลงที่พื้น

          “โอ๊ย! พิมพ์ทำแบบนี้กับชิชาได้ยังไง?!”

          “ชิชาจะหย่า!”





          รถยนต์สีขาวแล่นมาตามถนนใหญ่ก่อนจะเลี้ยวเข้าไปจอดยังลานจอดรถของคอนโดขนาดแปดชั้น อาคารสีขาวเทาที่ไม่คุ้นตาของเจ้างูหนุ่มทำให้เขาพอจะเดาได้ว่า ทุกวันนี้เจ้าของๆเขาไม่ได้อาศัยอยู่ที่บ้านหลังเดิมอีกต่อไปแล้ว

          “ถึงแล้วล่ะดาวเหนือ”     

          คำพูดที่พินเอ่ยขึ้นเหมือนเป็นสัญญาณบอกให้เขาได้รู้ว่าถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องกลับร่างไปเป็นงูขาวตัวน้อย และกลับลงไปในกล่อง แต่ก่อนที่ดาวเหนือจะต้องแปลงร่างกลับไป เขามีเรื่องราวมากมายที่อยากจะพูดกับคนๆ นี้

          “พิน...ขอบคุณสำหรับทุกๆอย่างเลยนะ พินดีกับผมมาก ถึงจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆก็ตาม”

          พินมอบรอยยิ้มอบอุ่นให้แก่ชายหนุ่มตรงหน้า แม้ว่าร่างมนุษย์ของดาวเหนือจะรุ่นราวคราวเดียวกับเขา แต่อมนุษย์ไม่รู้ประสาที่เข้ามาในชีวิตน้องคนเล็กอย่างเขาทำให้ได้เรียนรู้ว่าการเป็นพี่ชายนั้นเป็นเช่นไร

          “ชั้นเองก็สนุกมากเลยนะที่มีดาวเหนือมาอยู่ด้วย แต่ไม่ต้องห่วงไว้ชั้นจะแวะมาเยี่ยมนะ”

          “อื้ม! พินก็อย่าลืมนะว่าถ้ามีอะไรอยากให้ผมช่วยก็บอกมาได้เลย ถึงผมจะทำอะไรได้ไม่มากนักก็เถอะ”

          ดาวเหนือเอ่ยขึ้นพลางหัวเราะแหะไปด้วย ร่างบางเอื้อมตัวเข้าโผกอดงูหนุ่มอย่างอบอุ่น เขาตบมือลงบนแผ่นหลังกว้างเบาๆสองสามที

          “ขอบคุณมากนะดาวเหนือ”

          พลันร่างสูงกลับกลายเป็นงูน้อยตัวจ้อย ดาวเหนือเลื้อยกลับเข้าไปในกล่องพลาสติกใสพลางชูคอมองออกไปยังทิวทัศน์ด้านนอก ดวงตาสีทับทิมฉายแววสดใสเปล่งประกายด้วยความยินดีที่กำลังจะได้เจอใครอีกคนที่เขาคิดถึงและรักมากเหลือเกิน

          กล่องพลาสติกใสถูกอุ้มขึ้น ตอนนี้พินได้มายืนอยู่หน้าทางเข้าคอนโดพลางหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นกดโทรออกหาชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของงูน้อยตัวนี้

          [ฮัลโหลครับ]

          “พี่คิมครับ นี่พินเองนะครับ ผมมาถึงแล้วครับ”

          [มาแล้วถึงแล้วหรอ? เดี๋ยวพี่รีบลงไป รอแป๊บนะ]

          คิมเอ่ยขึ้นอย่างกระตือรือร้นก่อนจะวางสายไป เพียงครู่เดียว ชายหนุ่มสีผมเด่นหราก็รีบเดินเปิดประตูกระจกออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

          ‘คิมจริงๆด้วย!’

          “ขอบใจนะน้อง ที่อุตส่าห์ขับรถมาส่งดาวเหนือถึงที่นี่”

          “ไม่เป็นไรครับพี่ พินเองก็ว่างอยู่แล้ว”

          พินส่งเจ้างูน้อยคืนให้กับเจ้าของ คิมรับกล่องพลาสติกใสมาเคาะนิ้วเบาๆเป็นเชิงเรียกพลางมองอย่างมีความสุข

          “โอ๊ยดาวเหนือลูกพ่อ ในที่สุดก็กลับมาแล้ว!”

          ‘ผมคิดถึงคิมที่สุดเลย’

          “ขอบใจมากๆเลยนะน้องพิน ตอนที่พี่รู้ว่ามีคนเก็บดาวเหนือได้พี่นี่แม่งโคตรดีใจเลย”

          ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มกว้าง ดวงตาเล็กๆหรี่ลงจนแทบปิด คิมเป็นชายหนุ่มหน้าตี๋แต่งตัวจัดจ้านที่ท่าทางจะอายุมากกว่าพินราวปีสองปี เท่าที่เขารู้คิมเรียนจบคณะวิทยาศาสตร์เอกวิชาเคมีมา แต่ตอนนี้กำลังเบนเส้นทางชีวิตตัวเองไปเป็นแฮร์สไตล์ลิส

          “ที่บ้านพี่เค้าไม่ชอบที่พี่เอางูเข้ามาเลี้ยง...เอาจริงๆก็ไม่ชอบอะไรที่พี่อยากจะทำซักอย่าง...”

          คิมตัดพ้อขึ้นมาเสียอย่างนั้น ซึ่งพินก็พอจะเดาได้ว่าชีวิตของคิมคงจะน่าอึดอัดและไม่มีอิสระนัก

          “แต่ตอนนี้พี่ย้ายออกมาอยู่คนเดียวแล้ว ก็ไม่ต้องกลัวว่าใครจะแอบเอาดาวเหนือไปทิ้งอีก”

          “ดีแล้วล่ะครับพี่ พินเองก็ดีใจนะครับที่ในที่สุดก็หาเจ้าของๆดาวเหนือเจอ แอบใจหายนิดหน่อยเหมือนกัน...คงจะคิดถึงมันแย่เลย”

          “ถ้าคิดถึงก็แวะมาเยี่ยมได้นะน้อง พี่ยินดีต้อนรับเสมอ”

          ตาตี่ๆหรี่ลงพร้อมกับรอยยิ้มกว้างอีกครั้ง พินสบตามองเจ้างูน้อยด้วยความเอ็นดู เขามีความสุขที่ได้พาดาวเหนือกลับบ้าน เมื่อนึกขึ้นได้ตอนนี้ตัวเขาเองก็ควรจะกลับบ้านได้แล้วเหมือนกัน

          “เย็นมากแล้วเดี๋ยวพินขอตัวกลับก่อนแล้วกันนะครับพี่คิม”

          “อื้ม! ขับรถดีๆนะน้อง ขอบใจมากนะ”

          “ครับ...ไปก่อนนะดาวเหนือ”

          ถึงจะรู้สึกเหงาๆนิดหน่อยที่ต้องบอกลาเจ้างูน้อย แต่ก็ถึงเวลาที่ต้องแยกจากกันเสียที คิมกับกล่องพลาสติกหายตัวเข้าไปในตึก ส่วนพินที่เดินกลับมาที่รถรู้สึกใจหายแปลกๆชอบกล

          ฟ้าที่สว่างอยู่เมื่อครู่พลันมืดครึ้มลง ลมกระโชกแรงพัดเอาใบไม้ไหวปลิดปลิวแม้แต่ตัวของชายหนุ่มเองยังแทบจะยืนไม่อยู่ พินยกมือขึ้นบังเศษฝุ่นละอองที่ถูกพัดพาเข้าใส่ เส้นผมดำยุ่งเหยิงขึ้น ไม่รู้ทำไม ความรู้สึกกลัวกังวลถึงได้เข้าควบคุมจิตใจ พินอดคิดถึงใครบางคนขึ้นมาแบบสลัดออกจากหัวไม่ได้

          ‘มะลิ’

          จู่ๆลมก็สงบลง ฟ้าเปิดขึ้นอีกครั้งราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ชายหนุ่มเสยผมขึ้นโดยที่คิ้วเข้มก็ขมวดอย่างหวาดหวั่น

          ‘Rrrrrrr’

          เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นให้ใจตกวูบ บนหน้าจอปรากฏชื่อของ “เมฆ”

          “ฮัลโหล...มีอะไรรึเปล่าน้องเมฆ?”

          [พี่พิน! รีบกลับมาที่บ้านด่วนเลยครับ]



++++++++++++++++



          คงจะปฏิเสธไม่ได้จริงๆนะคะว่าน้องเมฆว่าที่หมอคนนี้มีส่วนช่วยมะลิกับพินมากจริงๆ ถึงแม้ว่านินจาจะพยายามกีดกันน้องไม่ให้มาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มากแค่ไหนก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าสุดท้ายก็หนีไม่พ้นที่จะต้องขอความช่วยเหลือจากน้องทุกครั้งไป ^^"

          ความวุ่นวายและอันตรายกำลังรุมเร้ามะลิจนน่าเป็นห่วง มาเอาใจช่วยมะลิกันต่อในตอนหน้านะคะ




หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! My brother is the barn owl! บทที่21 : ลักพา 09/09/19 UP!
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 09-09-2019 12:32:11
 :hao7:


 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! My brother is the barn owl! บทที่22 : ไม่สัญญา 17/09/19 UP
เริ่มหัวข้อโดย: Timid Lily ที่ 17-09-2019 14:26:57
บทที่ 22 : ไม่สัญญา

         ประตูบ้านเปิดขึ้นเสียงดัง ชายหนุ่มผอมบางเร่งฝีเท้าเข้ามาในบ้านจนกระหืดกระหอบ เมื่อเห็นมะลิ เมฆ และนินจาในร่างเด็กหนุ่มนั่งอยู่บนโซฟาก็โล่งใจ

          “เฮ้อ...ตกใจหมด เมฆมีอะไรรึเปล่าถึงได้โทรมาเร่งให้พี่กลับบ้าน?”

          พินเดินเข้าไปในบ้านอย่างเหนื่อยอ่อน สายตาสังเกตเห็นกล่องยาวางอยู่บนโต๊ะ เขาเริ่มมองสำรวจชายทั้งสามแล้วก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าใบหน้าขาวสว่างผุดผ่องของนกหนุ่มเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ

          “มะลิ! เกิดอะไรขึ้น?”

          พินรีบทิ้งตัวลงนั่งข้างคนเจ็บพลางยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้าอันเป็นที่รักอย่างแผ่วเบา เขาจับคางเรียวพลางเชยใบหน้ามนขยับซ้ายทีขวาทีสำรวจร่องรอยการถูกทำร้าย

          “เราแวะมาหาพินแล้วก็เจอไอ้หมอนี่อยู่ในสภาพนี้ เลยไปตามเมฆให้มาช่วยดู”

          นินจาเอ่ยขึ้น เขาเองก็ตกใจไม่น้อยที่มาเจอเจ้านกในสภาพเช่นนี้ ดูเหมือนว่าความปลอดภัยในชีวิตของอมนุษย์ตนนี้จะต่ำเตี้ยเสียเหลือเกิน

          “พี่พิมพ์บอกว่าโดนชกเข้าที่ท้องด้วย แต่โชคดีที่แผลแห้งสนิทไปแล้ว ไม่ได้กระทบกระเทือนอะไรมาก”

          เมฆพูดเสริม จนถึงตอนนี้เขาเองก็ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับชายผู้นี้กันแน่

          “มะลิ! เล่ามาเดี๋ยวนี้ว่านายไปทำอะไรมา?”

          พินถามซักไซ้ในใจทั้งเป็นห่วงทั้งเคือง ห่วงว่าคนที่รักจะเป็นอะไรไป เคืองในใจที่คนๆนี้แอบไปทำอะไรโดยที่ไม่บอกให้เขารู้อีกแล้ว

          “เราไปเจอไหมมา...”     

          “แล้วยังไง? รีบพูดมาสิ!”

          “แต่ดูเหมือนว่าไหมจะไม่รู้ว่าถูกพวกของสินทรแอบตามมา...”



          หลังจากที่นกหนุ่มถูกลากขึ้นรถ เขาถูกนำตัวมายังสถานที่หน้าตาประหลาดแห่งหนึ่ง อาคารปูนซอมซ่อทอดตัวยาว แต่ละห้องถูกซอยเป็นช่องโดยมีม่านเก่าๆปิดคลุมเอาไว้ เมื่อเปิดม่านออกจะมีที่ว่างสำหรับให้จอดรถได้หนึ่งคัน ก่อนที่อีกชั้นจะเป็นประตูบานเล็กนำเข้าสู่ภายใน

          ชายหนุ่มถูกหิ้วตัวมาทิ้งลงบนเตียงใหญ่ มะลิยันตัวลุกขึ้นโดยที่เจ็บระบมไปทั้งร่าง ภาพตรงหน้าคือชายคนหนึ่งกำลังนั่งไขว่ห้างมองเขาอยู่บนโซฟาเดี่ยว

          “แก...ไอ้สินทร!”

          “เพิ่งเจอหน้าก็ทักทายกันซะสุภาพเชียวนะคุณทนาย...”

          “แกพาเรามาที่นี่ทำไม? ต้องการอะไร?”

          มะลิจ้องขึงถามขึ้นน้ำเสียงเกรี้ยว ทว่าสินทรกลับตอบไปอย่างไม่ยี่หระ

          “อีกไม่กี่วันชั้นจะต้องไปสู้คดีกับหมอชั่วเพื่อนแกในศาลชั้นถัดไป...แล้วก็คิดไม่ผิดที่แอบตามผู้หญิงคนนั้นมา พวกแกนัดพบกันอย่างที่ชั้นคิดไว้จริงๆ”

          มือหยาบแกร่งของหนุ่มใหญ่กระชากคอเสื้อของนกหนุ่มให้เข้ามาใกล้ สายตาดุดันมองสบมาคาดคั้น

          “ไหนแกบอกว่าจำอะไรไม่ได้ไง? อยากได้เท่าไหร่? ชั้นยินดีจะจ่ายถ้าแกยอมเป็นพวกเดียวกับชั้น เอาหลักฐานที่ว่าอีหมอคนนั้นมันใช้หลักฐานและให้การเท็จต่อศาล แล้วชั้นจะหาทางช่วยแกให้พ้นผิดจากข้อหานี้

          “เราไม่ได้อยากได้อะไรทั้งนั้น! เราวางมือจากเรื่องนี้ไปแล้วจริงๆ เราจะยอมใช้ชีวิตเป็นคนความจำเสื่อมแบบนี้ตลอดไป ขอแค่เรื่องเดียว...เลิกคิดที่จะทำร้ายเราได้แล้ว”

          “พูดเรื่องอะไรของแก ทำร้ายงั้นหรอ? ที่ชั้นอุ้มแกมาที่นี่ชั้นไม่ได้มีเจตนาอื่นนอกจากต้องการเจรจาอย่างลับๆ ที่ต้องทำร้ายก็เพราะแกดันขัดขืน ไม่ได้หวังจะเอาชีวิต ความตายของแกไม่ได้ทำให้ชั้นได้ประโยชน์อะไร ตรงกันข้ามชั้นต้องการจะให้แกช่วย เพื่อพิสูจน์ว่าหลักฐานที่หมอเพื่อนแกยื่นต่อศาลเป็นของปลอม”

          สินทรผลักชายหนุ่มล้มลงอีกครั้งพลางสะบัดมือออกจากคอเสื้อ เขาทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาตามเดิมก่อนจะพูดต่อ

          “แต่ถ้ากับคนรอบตัวแกก็ไม่แน่ ถ้าแกไม่ยอมให้หลักฐานจริงกับชั้น น้องชายอนาคตไกลของแกอาจจะไม่ปลอดภัยก็ได้...”

          ‘พิน!’

          ความกลัวเขย่าหัวใจของเขาให้สั่นไปหมด เขาคงจะทนไม่ได้หากคนที่เขารักจะต้องเป็นอะไรไป คำข่มขู่จี้ถูกจุดทำให้มะลิตัดสินใจยอมตามโดยไม่ต้องคิด

          “เรายอมแล้ว...ขอร้องล่ะ ให้ทุกอย่างจบลงแค่นี้...อย่าทำอะไรพินเลย”



          “เราก็เลยยอมให้หลักฐานทั้งหมดกับสินทรไป...”

          คนทั้งสี่ได้แต่นิ่งคิดตกอยู่ในความเงียบ ในหัวสมองโล่งขาวโพลนไปหมด เด็กหนุ่มที่ดูไม่เกี่ยวข้องที่สุดจึงพยายามพูดอะไรบางอย่างเพื่อเสนอแนะ

          “เมฆคิดว่า...”

          “เมฆ! กลับไปได้ละ”

          “หา?”

          นินจาเอ่ยขึ้นพลางจ้องเขม็งไปที่เด็กหนุ่ม เมื่อเห็นว่าคนที่ถูกไล่ยังนั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อน เจ้าแมวหนุ่มจึงรีบลุกขึ้นพลางฉุดแขนแข็งแรงของเมฆให้ลุกตามเขาออกมา

          “เป็นอะไรของนายอีกแล้วเนี่ยนิน! ทำไมต้องคอยมาไล่มาขัดเมฆอยู่เรื่อยเลยวะ? ไม่เข้าใจว่ะ”

          มือที่สัมผัสแขนแกร่งอยู่กำแน่นขึ้น สายตาที่จ้องมองมานิ่งงัน ทว่าสั่นไหวอยู่ภายในลึกๆ

          “อย่ายุ่งกับเรื่องนี้! ยิ่งรู้มากยิ่งอันตราย...”

          ‘ถ้าเมฆเป็นอะไรไปอีกคน...เราคงทนไม่ได้...’

          “นิน?”

          นินจาสะบัดมือออกจากนั้นจึงรีบเดินหนีไป ในใจเต็มไปด้วยความกังวล เขาเองก็ยอมไม่ได้เหมือนกัน หากคนสำคัญสำหรับเขาจะต้องมาเสี่ยงอันตราย ดังนั้นสิ่งที่แมวอย่างเขาพอจะทำได้ คือการผลักไสเด็กหนุ่มคนนี้ออกไปให้ไกลจากเรื่องนี้ให้มากที่สุด



          ถึงแม้ว่าเด็กหนุ่มทั้งสองคนจะจากไปแล้ว ทว่าบรรยากาศภายในบ้านยังคงไม่เปลี่ยนแปลง คนสองคนนั่งมองหน้ากันเงียบกริบ ทว่าเมื่อสังเกตดูดีๆ สีหน้าของพินกำลังเริ่มเปลี่ยนไป

          ดวงตาสวยคมมองแข็งขืนขึ้น สีแดงฉ่ำฉาบย้อมสะท้อนหยดน้ำที่กำลังเอ่อ ความกลัวแทบขาดใจทำให้เขาเอ่ยขึ้นเสียงสั่น

          “มะลิ...อย่าทำแบบนี้อีกนะ”

          พินสูดหายใจเข้าลึกๆสะกดข่มความรู้สึกไว้ข้างใน เขาเม้มปากแน่นจนแดงไปหมดก่อนจะพูดต่อ

          “นายอย่าแอบไปทำอะไรคนเดียวแบบนี้อีก ถ้ามีอะไรนายต้องรีบบอกชั้นห้ามมีความลับต่อกัน เข้าใจรึเปล่า?”

          มะลิหลบสายตาหลบไปอีกทาง ปากก็ปิดเงียบอยู่อย่างนั้นไม่ให้คำตอบ

          “สัญญากับชั้นสิ ว่าจะไม่มีเรื่องปกปิดกัน!”

          ‘เราสัญญาไม่ได้หรอกพิน...’

          เพราะนกหนุ่มไม่อาจปล่อยให้คนที่หวงยิ่งกว่าชีวิตต้องมาเสี่ยงอันตรายไปกับตนด้วย ทว่าพินก็ไม่ยอมแพ้ เขาพยายามคาดคั้นเซ้าซี้ให้คนตรงหน้ารับปากเขาให้ได้

          “สัญญาสิ!”

          ยังคงไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากคู่สนทนา พินที่ร้อนรนเขย่าแขนชายหนุ่มเริ่มเรียกร้องฟูมฟาย

          “มะลิ! ขอร้องล่ะสัญญากับชั้นมาเถอะ...นะ”

          สีหน้าที่เหมือนกับคนกำลังจะร้องไห้ทำให้มะลิปวดใจ แต่เขาก็ไม่อาจพูดพล่อยๆเพื่อตัดปัญหาได้ สำหรับเขาการเงียบคงเป็นทางออกที่ดีที่สุด ซึ่งพินเองก็เข้าใจว่ามะลิหมายความว่าอะไร ถึงเขาจะรู้ดีว่าการบีบให้ชายหนุ่มพูดในสิ่งที่เขาต้องการออกมาก็ไม่ได้เป็นการรับประกันว่ามะลิจะทำตามที่ได้ให้คำสัญญาเอาไว้ ทว่าเพื่อความสบายใจของตน อย่างน้อยพินก็อยากได้ยินคำๆนั้น

          “มะลิถ้านะ...อื้อ!”

          โดยที่ไม่เปิดโอกาสให้พินได้พูดจาบีบคั้นเขาต่อ ชายหนุ่มบดจูบขยี้ปิดปากหยักที่เอ่ยพร่ำไม่หยุด ริมฝีปากอิ่มดูดเม้มรุนแรงราวกับจะกลืนกินคนตรงหน้า ร่างบางสั่นเทาวูบไหวราวกับถูกความรู้สึกลุ่มหลงห่วงหาถาโถมซัดสาดเข้าใส่

          เพราะ “รัก” จึงไม่อาจปล่อยให้คนๆนี้เข้ามาเสี่ยงชีวิตไปกับตนได้...

          ลิ้นนุ่มดุลเบียดล่วงเกินเข้าไปรับไออุ่น เป็นจูบที่ไม่ปรานีให้อีกฝ่ายได้หยุดหายใจ

          “แฮ่ก”

          เสียงหอบหายใจเย้ายวน นัยน์ตาสวยปิดลงไปพร้อมกับแพขนตายาวสั่นไหว น้ำตาที่ถูกสะกดไว้ไหลเคลียแก้มใสจนใบหน้าชื้นขึ้น

          เพราะ “รัก” จึงอยากร่วมทุกข์ร่วมสุขไม่หวั่นกลัวแม้ตนจะมีภัย

          ร่างกายผ่ายผอมถูกกดลงบนเบาะนุ่ม ท่อนแขนไร้เรี่ยวแรงป่ายปัดโอบรัดร่างสูงแนบแน่นรับรสจูบอันแสนเร่าร้อน...

          ทว่าแฝงไปด้วยความเจ็บปวดฝังลึกอยู่ข้างใน...





          ยามราตรีเงียบสงัดที่ความมืดเข้าปกคลุมแทนที่แสงสว่าง ชายหนุ่มผอมบางเปิดประตูห้องนอนก่อนจะปิดลงอย่างเบามือเพราะเกรงว่าคนที่หลับสนิทคุดคู้อยู่บนเตียงจะตกใจตื่น

          ‘หลับสบายเลยนะมะลิ’

          พินยิ้มขึ้นเมื่อเห็นนกหนุ่มหลับซุกผ้าห่มอย่างมีความสุข ครู่หนึ่งเขาก็สังเกตเห็นเงาตะคุ่มๆของอะไรบางอย่างอยู่เหนือหัวเตียงท่ามกลางความมืดสลัว

          ‘นั่นอะไรน่ะ?’

          แม้จะรู้สึกหวาดหวั่น ทว่าเขาก็ทำใจกล้าค่อยๆเดินเข้าไปช้าๆพลางเพ่งตามอง สิ่งนั้นเริ่มขยับเคลื่อนไหว ร่างกายใหญ่โตเรียวยาวเลื้อยพันขึ้นบนร่างของคนที่เขารักที่สุด

          ‘งู!’

          ดวงตาสีทับทิมที่ลืมไม่ลง ร่างสีขาวนวลสะท้อนแสงจันทร์ที่ลอดม่านเข้ามาเกิดเป็นเลื่อมลายเงินผ่องพร่า ปากกว้างอ้างับกลืนร่างชายผู้เป็นที่รักของเขาทีละเล็กทีละน้อย

          “ไม่นะดาวเหนือ!”



          “พิน!”

          เสียงทุ้มนุ่มเรียกเขาให้ตื่นขึ้นจากฝันร้าย เหงื่อผุดพรายซึมไปทั่วร่าง พินหันไปสบตาคนที่นอนอยู่เคียงข้างก่อนจะโผเข้ากอดแน่นเนื้อตัวสั่น

          “มะลิ...มะลิ....”

          “ใจเย็นๆนะพิน...”

          ร่างสูงกอดตอบพลางลูบแผ่นหลังเล็กๆเป็นการปลอบโยน พินซุกใบหน้าเข้ากับแผ่นอกกว้าง หัวใจที่เต็มไปด้วยความกลัวเหมือนกำลังจะหยุดเต้นแตกสลายไป

          “ชั้นฝันร้าย...”

          “ฝันว่าอะไร? เล่าให้เราฟังได้มั้ย?”

          นกหนุ่มพูดพลางจรดริมฝีปากอิ่มลงบนหน้าผากชื้นเหงื่อเป็นการปลอบประโลม

          “ชั้นฝันว่าดาวเหนือกำลังกินนาย...”

          “หึ...งั้นหรอ?”

          นกหนุ่มหัวเราะขึ้นในลำคอ ส่วนคนที่กำลังกลัวจนตัวสั่นทำหน้ามุ่ยพูดต่ออย่างจริงจัง

          “ไม่เห็นจะตลกเลยมะลิ น่ากลัวจะตาย”

          “จะกลัวไปทำไมหึ๊? ดาวเหนือตัวจริงใหญ่กว่าไส้เดือนแค่นิดเดียว งูซื่อบื้ออย่างมันทำอะไรเราไม่ได้หรอก”

          มะลิไม่วายพูดแซะเจ้างูไม่รู้อีโหน่อีเหน่ไปด้วย

          “นี่อย่าไปว่าดาวเหนืออย่างนั้นสิ...ลืมไปแล้วหรือไงว่าดาวเหนือบอกเหตุผ่านความฝันได้...”

          “ครั้งนี้พินอาจจะเครียดจนฝันไปเองก็ได้ จริงๆ แล้วอาจจะไม่ใช่ฝีมือของดาวเหนือหรอกจริงมั้ย?”

          พินพยักหน้าเล็กน้อย เขาเองก็หวังว่าสิ่งที่มะลิพูดจะเป็นเรื่องจริงถึงแม้ว่าเขาจะระแวงจนแทบข่มตาหลับไม่ลงแล้วก็ตาม

          “ถ้าอย่างนั้นพินรีบนอนต่อได้แล้วนะ พรุ่งนี้ต้องรีบตื่นไปสัมภาษณ์งานแต่เช้า”

          “อืม...”

          มะลิประทับจูบอ่อนหวานลงบนริมฝีปากกระจับเบาๆส่งคนขี้กลัวเข้านอน แขนแกร่งกอดกระชับคนตัวเล็กแนบแผ่นอกกว้างแน่น จมูกโด่งซุกลงบนเรือนผมสวย ดวงตาสุกใสหลับลงพยายามฝืนตนให้จมลงในห้วงนิทรา ทว่ากลับทำไม่ได้ ในใจรู้ดีว่าสิ่งที่พินฝันถึงนั้นคืออะไร...เพราะก่อนหน้านี้

          เขาเองก็ฝันเห็นงูขาวแสนน่ากลัวกำลังกลืนกินร่างของตนเช่นกัน...



++++++++++++++++



          บรรยากาศของเนื้อเรื่องกำลังอึมครึมและตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆเลยนะคะ เราอยากจะบอกว่าตอนเขียนเรื่องนี้ค่อนข้างทำให้เครียดและจิตตกค่ะ แต่ก็รู้สึกสนุกไปกับการเขียนนะคะ หวังว่ารีดทุกคนจะรู้สึกสนุกไปกับเนื้อเรื่องเช่นกันค่ะ

          สิ่งที่เราชอบมากๆในการเขียนนิยายเรื่องนี้คือความสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร ทั้งการเป็นสัตว์เลี้ยงและเจ้าของ ความรักระหว่างคนในครอบครัว การช่วยเหลือเกื้อกูลระหว่างเพื่อน ที่สำคัญคือความรักระหว่างมะลิกับพินเป็นอะไรที่ทุ่มเทและลึกซึ้งมากสำหรับเราค่ะ



หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! My brother is the barn owl! บทที่23 : อโคจร 20/09/19 UP!
เริ่มหัวข้อโดย: Timid Lily ที่ 20-09-2019 13:11:46
       
บทที่23 : อโคจร

         ช่วงเวลาที่ควรจะร้อนจัดในตอนกลางวัน บัดนี้เย็นลงเนื่องจากฤดูกาลที่เริ่มเปลี่ยนไป วันนี้นกหนุ่มอยู่ที่บ้านเพียงลำพัง เนื่องจากคนที่มักจะคอยดูแลเขานั้นต้องออกไปสัมภาษณ์งานตั้งแต่เช้า มะลิตั้งใจว่าจะทำอะไรสักอย่างที่เป็นประโยชน์กับบ้านหลังนี้

          “แกต้องตาย ไอ้แมลงสาบชั่ว!”

          ชายหนุ่มที่กำลังถือรองเท้าที่ไม่ใช่ของตน กำลังไล่ฟาดแมลงสาบตัวดำเมี่ยมในห้องน้ำอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ก็ตีวืดเอาวืดเอา เจ้าแมลงตัวร้ายที่หนีหัวซุกหัวซุนถือโอกาสกางปีกบินเข้าใส่จนนกหนุ่มร้องเสียงหลงไปหมด

          “เฮ้ย! อย่าเข้ามานะ เหวอ!”

          แน่นอนว่าเมื่อครั้งที่เขาเคยใช้ชีวิตแบบนก ของแบบนี้ไม่มีทางมาสั่นคลอนจิตใจของเขาได้ แต่ไม่รู้ทำไม นับวันเขาชักจะอ่อนไหวเหมือนมนุษย์ปกติมากขึ้นทุกที

          “โป๊ก!” เสียงหัวแข็งๆ ของชายหนุ่มโขกเข้ากับอ่างล้างหน้าระหว่างที่เขากำลังพยายามก้มหลบแมลงสาบบินอุตลุด มือสองข้างลูบหัวที่ปูดโนป้อยๆ เขาค่อยๆยันตัวลุกขึ้นมองหาเจ้าแมลงชั่วแล้วก็พบว่ามันบินหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้

          “อูย...เจ็บชะมัด”

          มะลิพยายามมองส่องบริเวณที่เจ็บปวดในกระจกแต่ก็ยากที่จะเห็นเนื่องจากอยู่ในมุมอับสายตา สิ่งที่ปรากฏตรงหน้ามีเพียงภาพสะท้อนของชายหนุ่มอีกคน ชายชื่อ “พิมพ์” ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำจากการถูกทำร้าย

          วิญญาณอมนุษย์เช่นมะลิ...ไม่มีแม้แต่เงาของตนปรากฏให้เห็น...

          เมื่อสูญเสียร่างจริงไปแล้วเขาก็ไม่มีโอกาสที่จะได้เห็นรูปลักษณ์แท้จริงของตนเองอีก นอกจากพินและอมนุษย์ด้วยกันแล้ว บนโลกใบนี้ก็ไม่มีใครอื่นที่จะรับรู้ถึงการมีตัวตนของมะลิ

          ความเศร้าทุกข์ใจกัดกินความรู้สึกของชายหนุ่ม มันป็นข้อยืนยันที่ชัดเจนแล้วว่าตอนนี้เขากำลังจะกลายเป็นพิมพ์ และไม่ว่าอะไรที่พิมพ์เคยกระทำเอาไว้ ตอนนี้คนที่จะต้องมาแบกรับผลแห่งการกระทำเหล่านั้น ก็คงหนีไม่พ้นที่จะต้องเป็น “เขา”

          คนซึมเดินออกจากห้องน้ำไป เขาทิ้งร่างลงบนโซฟาตัวโปรดพลางทอดถอนใจถึงความโชคร้ายที่เขาต้องพบเจอตั้งแต่ที่ตัดสินใจสิงร่างมนุษย์ผู้นี้ ทว่าเพียงแค่นึกถึง “พิน” ที่เขารัก ความทุกข์ทั้งหมดก็แทบจะพลันสลายไป

          ‘ครืด ครืด’

          เสียงโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะเล็กสั่นเตือนข้อความเข้า ชายหนุ่มคว้าขึ้นท่วงทีก่อนจะเปิดอ่านข้อความที่ใครบางคนซึ่งเขาไม่รู้จักส่งมา ไม่มีภาพบ่งบอกว่าเป็นใคร ชื่อก็เป็นเพียงตัวอักษรที่ร้อยเรียงไม่เป็นคำ

          บุคคลปริศนา: ออกมาเจอกันตามที่อยู่ที่ส่งให้

          บุคคลปริศนา: ถ้าไม่มาไม่รับประกันความปลอดภัยของคนในรูป

          มือขาวเลื่อนนิ้วดูภาพที่ถูกส่งมา เป็นชายร่างบางสวมเสื้อคอปกสีฟ้าผูกเนกไทด์เส้นเล็กแต่งกายสุภาพ แบบเดียวกับที่มะลิเห็นตอนคนๆหนึ่งจะออกจากบ้านไปเมื่อเช้านี้

          ‘พิน!’

          แค่ดูก็รู้ว่าคนในรูปถูกแอบถ่ายจากที่ไกลๆ นกหนุ่มเข้าใจในทันทีว่าพินกำลังถูกใครบางคนสะกดรอยตามอยู่

          พิมพ์: เราจะรีบไป อย่าทำอะไรพิน

          นกหนุ่มรีบส่งข้อความตอบกลับไปด้วยใจร้อนรน เขารีบคว้าโทรศัพท์กับกระเป๋าสตางค์ออกจากบ้านไป

          ไม่ต่างจากปลาตัวใหญ่...ที่ต้องยอมว่ายเข้าไปติดเบ็ดด้วยความจำใจ





          บนถนนที่แน่นขนัดเนื่องจากช่วงเวลาเร่งด่วนในตอนเย็น ชายหนุ่มในรถสีขาวที่จอดนิ่งติดไฟแดงอยู่กำลังนั่งถอนใจพลางเคาะนิ้วลงบนพวงมาลัยระงับอาการงุ่นง่าน ในสมองมีแต่ภาพความฝันที่เขย่าความรู้สึกคอยหลอกหลอนฉายภาพวนซ้ำไปซ้ำมา

          ‘ต้องเป็นดาวเหนือแน่ๆ’

          ใจหนึ่งพินก็อยากจะรีบกลับบ้านไปเจอมะลิเร็วๆ ทว่าอีกใจหนึ่งเขาก็ไม่อาจตัดความกังวลใจทิ้งไป ชายหนุ่มซบใบหน้าลงกับพวงมาลัยในใจคิดทบทวนถึงเรื่องราวที่ผ่านมา และเห็ดชัดได้ว่าทุกอย่างมันเลวร้ายขึ้นทุกที

          “ปี๊น!” เสียงบีบแตรดังลั่นจนพินถึงกับสะดุ้งพรวดขึ้นมา ไฟจราจรฉายสีเขียวสว่างจ้า ป่านนี้รถคันที่อยู่ด้านหลังคงจะก่นด่าสาปพินไปจนถึงบรรพบุรุษ เขาเหยียบคันเร่งให้รถแล่นไปเบื้องหน้า ทว่ามือก็ตบไฟเลี้ยวเปลี่ยนเส้นทาง

          ‘หวังว่าดาวเหนือคงจะให้คำตอบเราได้นะ...’



          แม้ว่าการจราจรจะเลวร้ายสักแค่ไหน แต่ด้วยความพยายามของชายหนุ่ม ทำให้เขาขับเข้าซอยนู้นลัดซอยนี้มาจนถึงคอนโดของคิมในเวลาไม่นานนัก พินเปิดประตูลงจากรถไปรอที่ทางเข้าคอนโด นับว่ายังโชคดีที่เจ้าของห้องกลับมาพอดี ทำให้คนที่นึกปุบปับจะมาเช่นเขาได้มีโอกาสเจอเจ้างูน้อย

          ครู่หนึ่งชายหนุ่มสีผมโดดเด่นแสบตาก็เดินออกมา จากเส้นผมสีชมพูนวลอ่อน ตอนนี้มันได้ถูกย้อมใหม่กลายเป็นสีทองอมเทานิดๆ ไปเสียแล้ว

          “ไงน้อง! จู่ๆก็บอกว่าจะมา พี่นี่รีบกลับห้องแทบไม่ทัน”

          ถึงแม้จะฟังดูเหมือนคำบ่น ทว่าคนพูดกลับยิ้มหยีตาปิดเสียอย่างนั้น

          “พินต้องขอโทษด้วยจริงๆนะครับ พอดีพินผ่านมาแถวนี้ก็เลยถือโอกาสแวะมาเยี่ยมดาวเหนือน่ะครับ”

          “เฮ้ยไม่เป็นไร พี่ดีใจที่มีคนรักดาวเหนือ คนรอบตัวพี่ไม่มีใครชอบงูซักคน ตอนนี้พี่รู้สึกเหมือนมีเพื่อนให้คุยเรื่องงูบ้างละ”

          พินอมยิ้มขึ้น ถึงแม้ว่าตัวเขาจะไม่ได้ชื่นชอบงูทว่าเขาก็ไม่ได้เกลียดหรือกลัว โดยเฉพาะกับดาวเหนือที่ไม่ต่างจากสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัว เขาออกจะเอ็นดูด้วยซ้ำ

          คิมเดินนำคนอายุน้อยกว่าขึ้นไปที่ห้อง เขาไขกุญแจเปิดประตูเชิญให้พินเข้าไปด้านใน

          “เข้ามาเลยน้อง แต่ห้องพี่จะรกๆหน่อยนะ”

          พินก้าวเข้าไปหยุดตรงประตูก่อนจะปิดลงอย่างเบามือ ตอนนี้คิมเดินหายเข้าไปด้านในปล่อยพินให้ยืนมองสำรวจไปทั่วห้องแล้วก็พบว่าสำหรับห้องนี้จะใช้คำว่ารกก็ไม่เชิง ออกจะของเยอะเสียมากกว่า ถึงอย่างนั้นทุกอย่างก็ถูกจัดเก็บไว้เป็นระเบียบเรียบร้อยดี

          “เฮ้ย!”

          เสียงคิมโวยวายลั่นมาจากห้องนอน พินตกใจรีบวิ่งตามมาดูก็พบว่า ชายหนุ่มสูงโปร่งผิวขาวซีด ใบหน้านิ่งดูเยือกเย็นกำลังยืนประจันหน้ากับเจ้าของๆตัวเองอยู่

          “ดาวเหนือ!”

          พินได้แต่ตกใจที่เห็นดาวเหนืออยู่ในร่างมนุษย์ต่อหน้าต่อตาชายอีกคนหนึ่ง ส่วนคิมนั้นตอนนี้ได้แต่ทำปากพะงาบๆเตรียมโวยวายลั่น

          “มะ...มึงคือคนที่มาจีบกูกลางห้างนี่หว่า! นี่มึงโรคจิตขนาดแอบเข้าบ้านกูเลยหรอวะ?!”

          ตอนนี้ดาวเหนือไม่ได้สนใจสิ่งที่คิมกำลังพูด เขาดันตัวคิมออกให้พ้นทางแล้วรีบเดินรี่มาหาพิน

          “ผมคิดอยู่แล้วเชียว ว่าพินจะต้องมาหา”

          คิมที่ยังคงตกใจไม่หายรีบเดินตามมา

          “ไอ้ผีซีด! อย่าทำมาเป็นเมินกูนะเว้ย!”

          ถึงแม้จะดูไม่น่าโมโหแต่สาบานได้ว่านี่คือคำด่าที่คิมได้ใช้ความคิดอย่างถี่ถ้วนแล้วก่อนจะโพล่งมันออกมา

          “ดาวเหนือ...ทำไมนายถึงอยู่ในสภาพนี้ล่ะ?”

          “ผมควบคุมพลังได้ไม่ดีเลยกลายร่างเป็นมนุษย์อยู่หลายครั้ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่คิมเห็นผมในสภาพนี้”

          “ครั้งแรกอะไรของมึง? กูเคยเจอมึงมาก่อน!”

          ถึงคิมจะงงๆในบทสนทนาของคนทั้งสอง แต่เขาก็เอาตัวเองเข้าไปแทรกได้อย่างน่ามหัศจรรย์

          “เมื่อคืนดาวเหนือมาเข้าฝันชั้นใช่มั้ย? มีอะไรอยากจะบอกกับชั้นงั้นหรอ?”

          “นี่น้อง! ไปคุยกับไอ้โรคจิตนี่ทำไม รู้จักกันงั้นหรอ?”

          “ผมก็บอกชัดเจนแล้วนี่ว่าให้ดูแลนกมะลิให้ดี รอบๆตัวของเจ้านกมีแต่อันตรายเต็มไปหมด”

          ‘คุยเหี้ยอะไรกันวะเนี่ย?’

          คนไม่เข้าใจถูกทิ้งให้สงสัยต่อไปอย่างนั้น ตอนนี้พินชักใจไม่ดีเขารีบยกโทรศัพท์มือถือขึ้นกดโทรหานกหนุ่ม

          ‘รับสายหน่อยเถอะมะลิ!’



          “นินจาเบอร์สองดูนี่! สวยมั้ย? นี่คือปลอกคอที่เมฆสั่งทำมาให้เป็นพิเศษเลยนะ”

          เด็กหนุ่มตัวโตเอ่ยขึ้นอย่างภาคภูมิใจพลางสวมปลอกคอหนังติดกระพรวนสลักชื่อ “นินจา” ให้เจ้าก้อนขนสีดำที่นั่งตาปรืออยู่ดู

          ‘หึเจ้าเมฆ! อย่าคิดนะว่าการที่เรายอมให้สวมปลอกคอจะแปลว่าเราเป็นสัตว์เลี้ยงของนาย’

          “เมฆดีใจมากเลยนะที่หลังๆมาเนี่ยนินจามาอยู่ที่บ้านเมฆตลอดเลย”

          ‘อย่าเข้าใจผิด! ที่เราเทียวเข้าเทียวออกก็เพราะเรากลัวว่าเด็กขี้เสือกอย่างนายจะคอยไปจุ้นจ้านเรื่องชาวบ้านเขาต่างหาก!’

          นินจาก็ยังคงเป็นนินจาอยู่วันยังค่ำ ถึงในใจจะว่าอย่างนั้น แต่พฤติกรรมพักหลังๆ ของอมนุษย์แมวตนนี้ ทั้งไปกิน ไปนอน ออดอ้อนออเซาะ ถ้าไม่เรียกสัตว์เลี้ยงก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้ว

          ‘Rrrrrr’

          เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นรบกวนการพะเน้าพะนอเจ้าเหมียวของเด็กหนุ่ม

          “ฮัลโหลพี่พิน ว่าไงครับ?”

          [เมฆอยู่บ้านรึเปล่า?]

          “อยู่ครับผม มีอะไรให้เมฆช่วยรึเปล่า?”

          [ช่วยไปดูพี่พิมพ์ให้พี่ทีสิ คือพี่โทรหาแต่พี่พิมพ์ไม่รับสายเลย]

          “ได้ครับพี่”

          พูดจบเมฆก็ผละตัวออกจากเจ้าแมวดำเดินไปยังบ้านข้างๆ สิ่งที่เห็นคือบ้านถูกคล้องกุญแจล็อกเอาไว้ เขาจึงลองกดออดเรียกคนข้างใน

          ...มีเพียงความเงียบตอบกลับมา

          “พี่พิน ไม่มีใครอยู่บ้านนะครับ...เฮ่ย!”

          เมฆที่ชะเง้อชะแง้มองเข้าไปในบ้านอยู่เมื่อครู่ถึงกับตกอกตกใจที่จู่ๆคนที่มักจะผลุบๆโผล่ๆมาให้เขางงอยู่ร่ำไปแย่งโทรศัพท์มือถือของเขาไปคุยเสียดื้อๆ

          “พิน นี่เรานินเองนะ”

          [นินจา!]

          “นิน! นายมาตอนไหนเนี่ย?”

          แมวหนุ่มชูนิ้วขึ้นจุ๊ปากเป็นการเตือนไม่ให้เมฆรบกวนการสนทนาระหว่างเขากับพิน ซึ่งเมฆก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี

          [นินจา...มะลิหายตัวไปไหนอีกแล้ว ชั้นโทรไปก็ไม่ยอมรับสาย ทำยังไงดี?]

          “เราจะช่วยตามหาให้เอง พินใจเย็นๆนะ”

          พูดจบนินจาก็ก้าวเท้าเร็วๆไปทางถนน มือก็ยังถือโทรศัพท์ของคนอื่นติดไปด้วย

          “เดี๋ยวเราจะพยายามตามกลิ่นเจ้านกแสกไป ถึงจมูกเราจะดีสู้พวกสุนัขไม่ได้แต่เราจะลองดู”

          [ขอบคุณมากนะนินจา]

          “อื้ม แล้วเราจะติดต่อไปเป็นระยะๆนะ”

          นินจากดวางสายเป็นจังหวะเดียวกันกับที่รถโดยสารสีเขียวเหลืองถูกโบกให้จอดพอดี แมวน้อยสูดกลิ่นที่ตกค้างอยู่ในอากาศ เขานิ่งพิจารณาเล็กน้อยจากนั้นจึงก้าวขึ้นรถไป

          “เฮ้ยๆๆนินจะไปไหน!”

          คนตัวโตรีบเบียดตัวขึ้นรถไปด้วยจากนั้นจึงปิดประตูอย่างรวดเร็ว นินจาเบิกตาตกใจที่จู่ๆคนที่เขาไม่อยากให้ตามมาที่สุดตอนนี้ดันกลายเป็นเพื่อนร่วมทางของเขาไปด้วย

          “นี่นายตามเรามาทำไม? ลงไปเดี๋ยวนี้เลย”

          “ตลกละ...นายเอาโทรศัพท์ของเมฆมาด้วย เมฆก็ต้องตามมาเอาคืนถูกแล้วป่าววะ”

          “เราขอยืมก่อน”

          “ไม่ให้เว้ย! แบบนี้เค้าเรียกขโมยรู้ตัวป่ะ?”

          นินจาเดาะลิ้นอย่างขัดใจ แต่ถ้าไม่มีเจ้าโทรศัพท์มือถือเครื่องนี้เขาก็ไม่อาจติดต่อกลับไปหาพินได้ ครั้งนี้เขาจึงต้องยอมแพ้ให้จอมจุ้นขึ้นรถไปด้วยกัน

          “พี่ครับ เดี๋ยวขับไปตามทางที่ผมบอกนะครับ”

          นินจาเอ่ยบอกกับคนขับรถ เขาเปิดกระจกแง้มลงน้อยๆ พลางดมกลิ่นที่ลอยมากับสายลมเอื่อย ในใจร้อนรนราวกับสัมผัสได้ว่า กำลังจะมีเรื่องไม่สู้ดีเกิดขึ้น...





          ชายร่างสูงส่งค่าโดยสารให้กับคนขับรถ บัดนี้มะลิได้เดินทางมาถึงสถานที่ๆนัดหมายแล้ว ตึกเก่าซอมซ่อไร้ผู้คน ที่บริเวณไม่ไกลกันมีการรื้อถอนอาคารอีกชุดจนเกิดเสียงดังฝุ่นตลบอบอวลไปหมด เสียงเจาะทุบดังลั่นทำเอาพื้นสั่นน่าหนวกหู ดูยังไงที่อโคจรแห่งนี้ก็ไม่น่ามาเยือนเลยสักนิด

          นกหนุ่มเดินเข้าไปภายในช้าๆ มีเพียงซากปรักหักพังและความรกร้างต้อนรับเขาอยู่ด้านใน รถยนต์สีดำคุ้นตาจอดอยู่ไม่ไกล ทำให้มะลิอดสงสัยเข้าไปสำรวจไม่ได้

          ‘รถคันนี้...เหมือนเคยนั่งมาก่อน...’

          ถึงจะคลับคล้ายคลับคลาแต่นึกยังไงก็นึกไม่ออก เขายืนก้มๆเงยๆมองลอดเข้าไปภายในก็ไม่พบอะไรที่จะช่วยกระตุ้นเตือนความจำ

          พลันความเจ็บแปลบแล่นขึ้นที่ซอกคอ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เข็มฉีดยาปักเข้าตรงเส้นเลือดดำอย่างแม่นยำ นกหนุ่มหันหลังไปมองก็พบร่างๆหนึ่งที่อำพรางใบหน้าจ้องมองเขาอยู่ในระยะประชิด

          ‘ใคร?! ตั้งแต่เมื่อไหร่?!’

          เสียงดังก้องจนปวดหูของการก่อสร้างทำให้เขาไม่ทันรับรู้ถึงการมาเยือนของผู้ประสงค์ร้าย ความคิดที่จะเข้าต่อสู้กับคนตรงหน้าถูกยั้งไว้ด้วยความง่วงซึมที่เข้าแทรกแซง ร่างกายเริ่มหนักอึ้งทิ้งทอดร่างลงบนพื้น ความทรงจำหนึ่งแล่นวาบฉายชัดขึ้นมาแทนที่

          ภาพของหญิงสาวที่สนิทชิดเชื้อคุ้นเคยยืนถือเข็มฉีดยาพลางมองจ้องมาทางพิมพ์ด้วยสายตาเย็นชา กำลังซ้อนทับกับภาพของบุคคลปริศนาที่ยืนนิ่งมองนกหนุ่มค่อยๆ ล้มลงหมดสติไปช้าๆ ...

          ‘ไหม!’

++++++++++++++++


          ทุกอย่างกำลังถูกเฉลยออกมา แต่ว่าเรื่องราวต่างๆก็ยังเต็มไปด้วยเงื่อนงำน่าสงสัยนะคะ ที่แน่ๆตอนนี้มะลิน่าเป็นห่วงมากจริงๆค่ะ

          พูดถึงพี่คิมซักหน่อย พี่คิมเป็นตัวละครที่ถูกดึงเข้ามาแบบงงๆสุดๆไปเลย ยังดีที่พี่คิมออกมาเป็นสีสันช่วยให้เนื้อเรื่องมีจุดแวะพักให้ได้ผ่อนความตึงเครียดลงบ้าง แล้วเจอกันใหม่ตอนหน้าค่ะ

หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! My brother is the barn owl! บทที่24 : ห้วงฝัน 23/09/19 UP!
เริ่มหัวข้อโดย: Timid Lily ที่ 23-09-2019 13:02:55
บทที่24 : ห้วงฝัน

          ‘มะลิไม่อยู่ที่บ้าน!’

          แค่ได้ยินแบบนั้นพินก็กลัวใจแทบขาด เขาไม่เข้าใจว่าทำไมมะลิถึงได้ดื้อด้านขนาดนี้ มีเหตุผลอะไรที่บอกเขาไม่ได้ ทำไมต้องแอบออกจากบ้านไปทั้งๆที่รู้ว่าชีวิตตัวเองกำลังไม่ปลอดภัย

          “ดาวเหนือชั้นกลับก่อนนะ ชั้นจะรีบออกไปตามหามะลิ”

          พูดจบพินก็รีบหุนหันออกไป ทว่าดาวเหนือคว้าแขนรั้งตัวไว้

          “ใจเย็นก่อนสิพิน พินรู้หรอว่าจะไปตามหานกมะลิได้ที่ไหน?”

          “ชั้นไม่รู้ ชั้นรู้แค่ว่าชั้นควรจะออกไป อย่างน้อยขับรถตามนินจาไปก็ยังดี”

          “ถ้าอย่างนั้นผมจะไปด้วย”

          “เฮ้ยขอโทษนะ! ใจคอจะไม่อธิบายอะไรซักหน่อยหรอ? พี่นี่งงไปหมดแล้ว”

          คิมที่อยู่ในวงสนทนาเอ่ยขึ้นอย่างงงที่สุดในชีวิต ทว่าพินก็ไม่ตอบอะไรกลับมา เขารีบเร่งฝีเท้าเดินออกจากห้องราวกับลืมไปแล้วว่ามีใครอีกคนอยู่ที่นี่

          “ขอโทษด้วยนะคิม แล้วผมจะอธิบายทุกอย่างให้ฟังตอนที่ผมกลับมานะ”

          “ห๊ะ! มึงจะกลับมาทำไม? ถ้ากลับมานะกูจะเรียกพี่ยามมาจับมึงไปส่งตำรวจ!”

          คิมโวยวายส่ง ทว่าดาวเหนือเองก็ไม่ได้สนใจที่จะอยู่ฟัง ตอนนี้งูหนุ่มต้องรีบตามคนร้อนใจอีกคนไปให้ทัน อย่างน้อยก็ได้แต่หวังว่านกมะลิที่เขาเห็นเหมือนเป็นเพื่อนคนหนึ่งจะแคล้วคลาดปลอดภัย



          หลังจากที่นินจากับเมฆนั่งรถออกมาได้ระยะหนึ่ง ตอนนี้คนที่นั่งข้างเขายังคงสร้างความรำคาญให้ไม่หยุด เพราะนั่งถามนู่นซักนี่มาตลอดทาง

          “นี่นิน! เมื่อไหร่จะยอมบอกเมฆซักทีว่าจะนั่งรถไปไหนเนี่ย?”

          นินจาที่กำลังตามกลิ่นมะลิอย่างตั้งอกตั้งใจไม่สนใจที่จะตอบ ปล่อยให้คนขี้สงสัยนั่งพูดคนเดียวต่อไป

          “แล้วจะเปิดกระจกทำไมเนี่ย? เฮ้ยหันมาคุยกันดีๆ ดิวะ”

          ‘เราก็ไม่ได้จะคุยกับเมฆอยู่แล้วนี่!’

          “นิน...จริงๆแล้วบ้านนายอยู่ซอยเดียวกับเมฆใช่ป่ะ? ทำเป็นอุบอิบไม่ยอมบอก...โถ่!”

          “...”

          “แล้วนินเรียนอยู่ที่ไหนอ่ะ จบม.ปลายรึยัง? แต่นายผมค่อนข้างยาวนี่...แปลว่าเรียนมหาลัยแล้วใช่ป่ะ?”

          ‘รำคาญโว้ย!’

          กลิ่นที่นินจาเพียรติดตามมาชัดเจนเข้มข้นขึ้น เด็กหนุ่มรีบบอกให้คนขับจอดรถทันที

          “พี่ครับๆจอดตรงนี้”

          เจ้าแมวมองลอดออกไปนอกกระจก ตึกสูงร้างว่างเปล่าตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า แค่เห็นสถานที่ก็รู้แล้วว่าเรื่องไม่น่ายินดีคงกำลังรอเขาอยู่

          “นายจ่ายค่ารถให้ด้วย!”

          “เฮ่ย? ! เอ่อ...เท่าไหร่ครับพี่?”

          ถึงเมฆก็โวยวายแต่เขาก็ยอมควักเงินจ่ายแต่โดยดี คนสองคนลงจากรถมา เสียงก่อสร้างรอบๆดังลั่นจนคนสองคนคุยกันแทบไม่ได้

          “นายมาทำอะไรที่นี่เนี่ยนิน!”

          เมฆตะโกนถามคอแทบแตกแต่นินจาก็ไม่สนใจ เขารีบหยิบโทรศัพท์มาอีกครั้งพลางส่งให้เมฆ

          “โทรหาพินให้เราหน่อย บอกให้ด้วยว่าเจอพี่พิมพ์แล้ว”

          “ห๊า!”

          นินจาตะเบ็งเสียงบอก ถึงคนตัวสูงจะงงแต่รีบกดปุ่มโทรออกอย่างเชื่อฟัง

          “พี่พินครับ เมฆเจอพี่พิมพ์แล้วนะ!”

          [เสียงดังมากเลยน้องเมฆ พี่ไม่ค่อยได้ยินเลย]

          “เดี๋ยวเมฆแชร์โลเคชั่นไปให้นะครับ”

          การคุยโทรศัพท์เป็นไปได้อย่างยากเย็น เด็กหนุ่มจึงตัดสินใจส่งข้อความไปแทน ตอนนี้คนสองคนเดินเข้าไปข้างในก็พบรถยนต์สีดำคันหนึ่งจอดติดเครื่องอยู่ นินจาไม่รอช้ารีบเข้าไปสำรวจรถคันนั้นอย่างรวดเร็วแล้วก็พบว่าคนที่พวกเขากำลังตามหาอยู่กำลังหลับสนิทหายใจแผ่วอยู่ข้างใน

          “เฮ้ยพี่พิมพ์! มาติดเครื่องหลับอะไรอยู่ในนี้เนี่ย? เดี๋ยวก็ตายกันพอดี!”

          เมฆพยายามจะดึงประตูเปิด แต่มันกลับถูกล็อกเอาไว้ นินจาทุบกระจกรถเสียงดังพลางตะโกนเรียกจนคอเจ็บไปหมด หวังจะให้คนข้างในตื่นขึ้นมา

          “มะลิตื่นสิวะ! มะลิ!”

          คนข้างในไม่มีทีท่าจะลืมตาตื่นขึ้น คนทั้งสองชักร้อนใจ นินจาผละตัวออกไปพยายามหาของแข็งมาทุบกระจก ส่วนเมฆรีบเร่งมือกดโทรเรียกหน่วยกู้ภัยมาช่วย

          ครู่หนึ่งชายอีกสองคนที่รีบตามมาก็มาถึง พินวิ่งหน้าซีดมาทางคนสองคนที่กำลังสาละวนอยู่กับการปลุกนกหนุ่มจนหัวหมุน

          “มะลิล่ะ?”

          “พี่พิน...พี่พิมพ์เค้าหลับอยู่ในรถปลุกเท่าไหร่ก็ไม่ตื่น นี่พวกผมกำลังหาอะไรมาทุบกระจกอยู่ ตอนนี้โทรเรียกกู้ภัยไปแล้วด้วย”

          ทั้งๆที่เป็นตึกร้าง ทว่าการจะหาของแข็งมาทุบกระจกกลับไม่ใช่เรื่องง่าย ก้อนหินในมือของนินจาเล็กเกินกว่าจะทำลายกระจกให้แตก ส่วนพินก็ไม่รอช้าช่วยนินจาหาวิธีพังกระจกอีกแรง

          พลันชายหนุ่มผิวซีดเซียวที่ยืนมองเหตุการณ์ตรงหน้าล้มลง ดาวเหนืออยู่ในสภาพหมดสตินัยน์ตาเหลือกขาวทำให้เมฆตกใจรีบรุดไปดูพลางจับชีพจรให้

          “พี่ครับ! พี่! เป็นอะไรเนี่ย!”

          “ปล่อยหมอนั่นไว้อย่างนั้นแหละ มันไม่เป็นไรหรอก มาช่วยทางนี้ก่อน”

          นินจาตะโกนบอกเมฆที่กำลังใจเสีย ส่วนพินในตอนนี้ได้แต่ภาวนาขอร้องให้คนที่เขารักลืมตาตื่นขึ้นมา...

          ก่อนที่วิญญาณจะถูกพรากออกจากร่างไป...



          ในดินแดนที่เต็มไปด้วยสีขาวโพลน ไม่ว่ามองไปทางไหนก็ไม่เห็นจุดสิ้นสุด ชายหนุ่มร่างสูงมองสำรวจไปรอบๆก็ได้แต่ทอดถอนใจไร้ซึ่งหนทาง

          ‘ที่นี่ที่ไหนกันเนี่ย...?’

          นกหนุ่มตัดสินใจย่างเท้าเดินไป ถึงแม้เขาเองจะไม่รู้ว่าตนกำลังจะมุ่งไปทิศทางใด แต่ก็คงจะดีกว่าหยุดอยู่กับที่ไม่ไปไหน

          มะลิเดินเรื่อยเปื่อยไร้จุดหมาย พลันสิ่งหนึ่งเด่นขึ้นจากพื้นสะดุดตา ขนนกสีขาวแซมน้ำตาลร่วงหล่นอยู่ดึงดูดให้ชายหนุ่มก้มลงเก็บมามองพิศดู ทว่าเมื่อเงยหน้าละสายตาขึ้นจากของในมือ ตรงหน้ามีสิ่งมีชีวิตผู้เป็นเจ้าของเส้นขนนั่นกำลังจ้องมองเขาอยู่

          ใบหน้าสีขาวดวงตาดำสนิทแวววาว จงอยปากชมพูจางกับร่างสีขาวเจือน้ำตาลละมุน นกแสกตัวหนึ่งกำลังจ้องมองมาทางเขา นกตัวที่เขาคุ้นเคย...นกที่เขารู้จักดี

          นกที่เคยมีวิญญาณผูกติดอยู่กับเขา...

          “แกนี่เอง เจ้านกน้อย”

          ทว่าเจ้านกกลับกรีดร้องแผดเสียงน่าหวาดหวั่นขนลุกใส่เขา ชายหนุ่มยกนิ้วขึ้นจุ๊ปากเป็นนัยให้เจ้านกน้อยเบาเสียงลง

          “ชู่ว...อย่าร้องเสียงดังไป เดี๋ยวมีใครมาเห็นเข้าแกจะเดือดร้อน”

          มือขาวค่อยเอื้อมเข้าใกล้นกน้อยที่กำลังเอียงคอมองอยู่ พลันเสียงหนึ่งตะโกนห้ามให้เขาต้องหยุดชะงัก

          “อย่าแตะต้องมันนะ!”

          ชายหนุ่มรีบหันไปตามเสียงก็พบว่า ชายผิวขาวซีดที่เขารู้จักดีกำลังเดินปรี่เข้ามาหา

          “เจ้างู!”

          ดาวเหนือรีบคว้าแขนของชายหนุ่มให้เดินตามมา ท่าทางร้อนรนกระวนกระวาย

          “รีบออกไปจากที่กันเถอะ!”

          “ออกไปยังไง? เราหาทางออกเท่าไหร่ก็ไม่เจอ”

          “ผมถึงมาที่นี่ไง ผมจะช่วยนายออกไปเอง”

          “ที่นี่...แล้วมันคือที่ไหน?”

          “ที่นี่คือความฝันของนาย และนายจะต้องตื่นได้แล้ว”

          แต่ดูเหมือนว่าจะมีสิ่งหนึ่งที่ไม่ยอมให้เจ้าของความฝันตื่นขึ้นง่ายๆ เสียงกระพือปีกดังไล่หลังมา กระชั้นขึ้นทีละเล็กทีละน้อย

          “เจ้านกน้อย”

          “อย่าหันไปมองนะ!”

          มะลิได้แต่มองคนที่ลากแขนเขาอย่างไม่เข้าใจ เขายอมเชื่อฟังแต่โดยดีแม้ในหัวจะเต็มไปด้วยคำถาม

          “นายต้องฟังเรา ถ้าอยากออกไปจากที่นี่”

          ดาวเหนือเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นเพื่อหนีจากสิ่งที่ไล่ตามมาด้านหลัง ตอนนี้แสงสว่างฉายรำไรขึ้นไม่ไกล งูหนุ่มยิ้มขึ้นด้วยความดีใจ

          “นั่นทางออกอยู่ตรงนั้น!”

          เสียงแผดร้องน่ากลัวดังลั่นกระชั้นใกล้ ดาวเหนือรู้ดีว่าเจตนาของนกน้อยตัวนั้นคืออะไร เขาจึงรีบผลักร่างชายผู้โชคร้ายให้ถลาออกจากห้วงแห่งความฝันไป

          ‘รีบออกไป ไม่ต้องสนใจเรา!’

          เสียงสุดท้ายดังก้องอยู่ในจิตที่หลับใหล เสียงนั้นทำให้เขารู้สึกตัวตื่นขึ้น ดวงตาปรือเปิดอย่างช้าๆ เมื่อมองซ้ายมองขวาก็เห็นใบหน้าที่กำลังกังวลสุดชีวิตตะโกนร้องเรียกเขาพลางทุบกระจกอย่างรุนแรงอยู่นอกตัวรถ

          “มะลิ! มะลิ!”

          ชายหนุ่มเปิดประตูรถพรวดออกพลางก้าวขาที่ไร้เรี่ยวแรงพยุงร่างอันหนักอึ้งออกมา แม้จะยืนขึ้นยังทำไม่ไหว ในหัวมึนชาไปหมด เขาทิ้งตัวทรุดลงกับพื้นดวงตาลอยเบลอเห็นภาพอะไรก็ไม่ชัดเจน พินรีบรุดเข้ามาพยุงร่างสูงเอาไว้ พลางตบแก้มมะลิอย่างเบามือเรียกสติ

          “มะลิได้ยินชั้นมั้ย?”

          “พิน...?”

          เสียงอ่อนระโหยดังลอดริมฝีปากออกมาแผ่วเบา นกหนุ่มพยายามมองสบตาคนตรงหน้าถึงแม้จะเห็นเป็นภาพซ้อนไม่ชัดเจน ทว่าทั้งเสียงทั้งกลิ่นและสัมผัสเป็นของคนที่เขาจำได้ดี คนที่เป็นหัวใจของเขา คนที่เขาอยากขอโทษที่ทำให้ต้องลำบากหลายครั้งหลายหน มะลิฝืนยิ้มจางส่งให้คนตรงหน้าก่อนจะหมดสติลงไปอีกครั้ง

          “มะลิ!”

          พินร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ เมฆรีบรุดมาดูพลางแตะชีพจรและมองสำรวจไปทั่วร่างของชายหนุ่ม

          “พี่พินไม่เป็นไร ถึงชีพจรจะเต้นเบาแต่ว่าปลอดภัย การหายใจของพี่เค้ายังปกติ...แต่พี่ดูนี่...”

          เมฆชี้ให้พินมองบริเวณซอกคอของนกหนุ่ม มีรอยเขียวช้ำเป็นจ้ำใหญ่และคราบเลือดออกซิบเล็กน้อย

          “ตรงนี้เป็นเส้นเลือดดำ มีรอยเข็มแทง เมฆคิดว่าพี่พิมพ์โดน...”

          “เมฆกู้ภัยมาแล้ว! ช่วยออกไปดูให้หน่อยสิ”

          นินจารีบเข้ามาเรียกขัดจังหวะ ซึ่งจิตสาธารณะของเมฆทำให้เขากระตือรือร้นรีบเดินออกไปทันที ก่อนที่เขาจะปล่อยให้ทีมมืออาชีพเข้าควบคุมสถานการณ์ ตอนนี้มีเรื่องหนึ่งที่พวกเขาต้องรีบจัดการ

          “ดาวเหนือยังไม่ตื่น...ยังไงพวกเราก็ต้องพาตัวเจ้างูนี่ออกไปจากตรงนี้ก่อนที่เรื่องมันจะบานปลาย”

          “อื้ม! เข้าใจแล้วนินจา”

          การแบกดาวเหนือในร่างมนุษย์ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะดันเป็นร่างชายที่ทั้งสูงทั้งหนักกว่า พินเห็นดังนั้นจึงวางมะลินอนลงอย่างเบามือ และรีบไปช่วยพยุงดาวเหนืออีกแรง

          ชายทั้งสองลากร่างกายซีดเซียวออกไปอีกทางอย่างทุลักทุเล ฟังจากเสียงความโกลาหนที่ดังมาจากด้านในก็พอจะเดาได้ว่าตอนนี้ทีมกู้ภัยได้เข้ามาถึงด้านในแล้ว

          “พินส่งเราแค่นี้พอ พินรีบกลับเข้าไปดูเจ้านกเถอะ เราขอแค่ค่ารถกับกุญแจบ้านพินก็พอ”

          พินรีบส่งทุกอย่างให้กับเจ้าแมวไว้ใจได้แต่โดยดี จากนั้นจึงรีบกลับเข้าไปด้านใน ก็พบกับเมฆที่กำลังเดินหาเขาอยู่

          “พี่พินแล้วนินกับพี่อีกคนที่เป็นลมล่ะ?”

          “อ๋อนินพากลับไปแล้วล่ะ พี่คนนั้นเค้าฟื้นพอดี”

          “เฮ้อ โล่งอกไปที! ตอนนี้พี่พิมพ์ขึ้นรถพยาบาลไปแล้ว พวกเรารีบตามไปกันเถอะ”

          พินพยักหน้าแล้วรีบเดินตามเมฆไป ในใจหวาดหวั่นทั้งสองทาง คนที่เขารักหนักหนาตอนนี้หมดสติลงอีกครั้ง ส่วนคนที่มีน้ำใจกับเขากลับหลับใหลไปอีกคนโดยที่เขาไม่รู้สาเหตุ ตอนนี้ชายหนุ่มได้แต่ภาวนาขอให้อมนุษย์ทั้งสอง…

          ‘อย่าให้มีใครเป็นอะไรไปเลยนะ...’



++++++++++++++++



          ตอนที่เขียนตอนนี้รู้สึกชุลมุนวุ่นวายมากค่ะ เป็นตอนที่รู้สึกเหนื่อยแทนตัวละครจริงๆ แถมในพาร์ทฝันตอนที่เรากำลังตั้งสมาธิเขียนถึงเจ้านกแสกไฟก็ดันตกซะด้วยค่ะ ใจหายหมดหลอนไปเลย

          ตอนนี้มะลิปลอดภัยดีก็โล่งใจนะคะ ฝากติดตามตอนต่อไปด้วยค่ะ

หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! My brother is the barn owl! บทที่23 : อโคจร 20/09/19 UP!
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 23-09-2019 21:24:27
 :hao7:


 :L2: :pig4: :pig4: :pig4: :L2:


 o13
หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี My brother is the barn owl บทที่25 จดหมายลาตาย 2 27/09/19
เริ่มหัวข้อโดย: Timid Lily ที่ 27-09-2019 14:19:20
       
บทที่25 : จดหมายลาตายฉบับที่สอง

         ช่วงเวลาหัวค่ำที่ร่างกายเริ่มต้องการพักผ่อน หญิงสาวหน้าตาแจ่มใสผมยาวประบ่า นั่งสบายอารมณ์อยู่บนโซฟา สายตากำลังจับจ้องไปยังโทรทัศน์พลางนั่งหัวเราะขำอย่างมีความสุข

          “ฮ่าๆ ๆ ๆ”

          เสียงหัวเราะทุ้มต่ำดังมาจากคนข้างๆ ชายหนุ่มผิวพรรณสะอาดรูปร่างสมส่วน เจ้าของดวงตาคมสวยและใบหน้าหล่อเหลา กับลังนั่งไขว่ห้างทำตัวตามสบายอยู่ในบ้านของเพื่อนหญิงคนสนิทของเขา

          “มุกควายๆแบบนี้ก็เล่นได้เนอะ ขำชิบหาย”

          พิมพ์เอ่ยขึ้นพลางหยิบมันฝรั่งแผ่นทอดกรอบยัดใส่ปากเคี้ยวไปด้วย ส่วนไหมเองก็ล้วงขนมในถุงเข้าปากไม่หยุดเช่นเดียวกัน

          “เออไหม...เรามีอะไรจะบอกเว้ย”

          “อะไรหรอพิมพ์?”

          “ไหมรู้มั้ย? ว่าไอ้สินทรมันมายื่นข้อเสนอกับเรา”

          พูดจบพิมพ์ก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดตัวเลขจำนวนหลายหลักส่งให้เพื่อนหญิงของเขาดู เมื่อไหมเห็นตัวเลขจำนวลมหาศาล อารมณ์ที่สนุกสนานอยู่เมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นเคืองขุ่น มือที่ถือถุงขนมกำแน่นจนสิ่งที่อยู่ภายในแหลกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

          “แกอยากจะบอกอะไรกับเรา?”

          “นี่คือค่าตัวที่สินทรมันจะจ่ายให้เราถ้าเรายอมรับข้อเสนอของมัน”

          ยิ่งฟังยิ่งรู้สึกเดือดดาล รู้สึกราวกับว่าเพื่อนรักของเธอต้องการจะทรยศกันซึ่งๆหน้า

          “หมายความว่ายังไง?”

          “แกจะไม่สู้ค่าตัวเราหน่อยหรือไงวะไหม?”

          “แล้วเงินที่เราให้แกไปมันยังไม่มากพออีกหรือยังไงพิมพ์!”

          หญิงสาวเสียงแข็งดังขึ้น จนเพื่อนหนุ่มเห็นก็ได้แต่ปรามให้เธอใจเย็นลง

          “ฟังนะเว้ยไหม...ผลประโยชน์ของคดีนี้เมื่อเทียบกับสิ่งที่เราได้รับมันไม่คุ้มเลยนะเว้ย เสี่ยงก็เสี่ยง แล้วอีกอย่างถ้าฝั่งสินทรชนะขึ้นมาแกจะทำยังไงวะ?”

          “แกอย่าบอกนะว่า...!”

          “ฟังเราให้จบก่อน! แม่แกก็ป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ต้องใช้เงินตั้งเยอะแยะ ถ้าแกเดือดร้อนขึ้นมาแม่แกจะทำยังไงวะ? แกจะปล่อยให้ตัวเองแพ้คดีงั้นหรอ?”

          “พิมพ์!”

          “เรารู้นะเว้ยว่าแม่แกเป็นโรคที่รักษาไม่หาย แต่แกก็คงอยากจะต่ออายุแม่แกให้นานขึ้นกว่านี้ถูกมั้ย? แล้วแกจะปล่อยให้ตัวเองที่เป็นลูกสาวคนเดียวแพ้คดียับเยิน ต้องติดคุกติดตารางก็ไม่ได้จริงป่าววะ?”

          หญิงสาวได้แต่นิ่งคิด เธอทั้งโกรธทั้งเจ็บปวดที่คนที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนรักของเธอพยายามบีบคั้นทุกวิถีทาง “เงิน” เป็นสิ่งที่ทรงพลังอำนาจ สามารถทำลายทุกสิ่งอย่างแม้กระทั่งมิตรภาพอันแสนยาวนานระหว่างเธอกับชายคนนี้

          “แกอยากได้เท่าไหร่ล่ะ...?”

          “เอ่อ...ไหม พิมพ์”

          เสียงของสตรีวัยกลางคนดังขึ้นขัดจังหวะบทสนทนา มารดาผู้อ่อนล้าในรถเข็นไฟฟ้า กำลังเคลื่อนที่เข้ามาหาคนทั้งสองพลางส่งยิ้มเศร้ามาให้

          “ยังไม่นอนอีกหรอแม่?”

          “แม่ไม่ค่อยง่วงน่ะ พอดีได้ยินทั้งสองคนหัวเราะเสียงดังเลยอยากจะออกมาร่วมวงด้วยซักหน่อย”

          พูดจบเธอก็หันไปสนใจภาพในโทรทัศน์ เสียงหัวเราะค่อยเบาดังขึ้นอย่างสำรวม ภาพตรงหน้าคงตลกสำหรับเธอไม่น้อย ทว่าในใจกลับทุกข์ตรมน้ำตาตกใน...

          ‘ไหม...แม่ขอโทษนะลูก’





          “แกมาทำไม? !”

          ใบหน้าที่อาบไปด้วยน้ำตาและสายตาโกรธเกรี้ยวจ้องมองมา ชายหนุ่มไม่เปิดปากพูดอะไร ได้แต่ทำหน้าสำนึกผิดเดินเข้าไปใกล้โลงศพของสตรีผู้น่าสงสาร ทว่าหญิงสาวกลับไม่ต้อนรับ เธอผลักอกชายหนุ่มเพื่อนสนิทเต็มแรงจนเซถอยไปด้านหลัง

          “ออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะ! ไอ้ฆาตกร!”

          ไหมแผดเสียงใส่น้ำตาไหลริน ผู้ชายคนหนึ่งที่เธอเคยรักหนักหนา รักจนเกือบจะ “เผลอใจ” ให้ด้วยซ้ำ วันนี้กลับกลายเป็นคนที่เธอ “เกลียด” ที่สุด

          “เราขอโทษ...”

          “หุบปากไปเลยนะพิมพ์!”

          พิมพ์รุดเข้าตระคองกอดหญิงสาวที่กำลังหัวใจสลาย ไหมพยายามดิ้นออกแต่อ้อมแขนแข็งแรงของชายหนุ่มกลับรัดรั้งร่างของเธอแนบแน่นกว่าเดิม

          “เราขอโทษ...เราผิดไปแล้ว เราไม่คิดเลยว่าแม่แกจะมาได้ยินเข้า เราไม่คิดเลยว่ามันจะทำให้เรื่องราวบานปลายขึ้นมาขนาดนี้”

          “คนหน้าเงินอย่างแกสนใจความรู้สึกคนอื่นด้วยงั้นหรอ? !”

          ไหมผลักพิมพ์ออกเต็มแรงก่อนจะเหวี่ยงฝ่ามือตบเข้าที่ใบหน้าฉาดใหญ่ ทั้งมือบอบบาง ทั้งใบหน้าเนียน ตอนนี้ชาแดงร้อนไปหมด

          “...”

          พิมพ์พยายามสะกดอารมณ์เกรี้ยวกราดที่กำลังพลุ่งพล่านราวกับถูกกระตุ้น เขาคว้าแขนหญิงสาวพลางกระชากสุดแรงเดินลากหนีออกมาจากศาลาวัด เขาพาเธอมายังบริเวณเงียบสงบไร้ผู้คน

          “ปล่อยนะ!”

          ไหมสะบัดแขนออกจากมือของชายหนุ่มอย่างแรง ข้อมือบอบบางของเธอตอนนี้แดงเจ็บไปหมด

          “ไหมฟังเราก่อน!”

          ชายหนุ่มคว้าไหล่เล็กๆทั้งสองข้างบีบแน่นไม่ให้คนตรงหน้าหนีไปไหนได้อีก

          “ไหม! เราสัญญา...ว่าเราจะไม่ทรยศแกเด็ดขาด แกลืมเรื่องที่เราเคยต่อรองกับแกวันนั้นไปได้เลย”

          หญิงสาวกัดริมฝีปากบางแน่นตั้งใจฟัง น้ำตาไหลหลั่งจนดวงตาบวมช้ำไปหมด ไหมพูดอะไรไม่ออกได้แต่กำมือแน่นจนสั่นไปหมด สิ่งที่เธอสูญเสียไปไม่อาจนำกลับมาได้อีกแล้ว

          มิตรภาพระหว่างเธอกับพิมพ์ก็เช่นกัน...





          ความรู้สึกเจ็บชาบนใบหน้าราวกับเพิ่งถูกตบมาสดๆร้อนๆ เรียกสติคนที่กำลังอยู่ในภวังค์ให้ตื่นขึ้น ดวงตาสุกใสลืมขึ้นช้าๆ เบื้องหน้าเป็นเพดานสูงสีขาวสะอาดตา กลิ่นสะอาดของโรงพยาบาลลอยเอื่อยจนนกหนุ่มรู้สึกได้ว่าเขากำลังอยู่ที่ไหน

          ‘โรงพยาบาลอีกแล้วหรอ...?’

          ความคลื่นเหียนวิงเวียนเข้าคุกคามจนชายหนุ่มต้องยันร่างลุกขึ้น เขาเอามือขึ้นปิดปาก พลางตะเกียกตะกายลงจากเตียงอย่างทุกลักทุเล สายน้ำเกลือระโยงระยางรั้งร่างของเขาให้ไม่อาจเคลื่อนตัวไปไหนได้ดังใจ

          “จะอ้วกหรอมะลิ?”

          พินลุกลี้ลุกลนรีบวิ่งเข้าไปในห้องน้ำ พลางคว้ากระโถนมารองไว้ นกหนุ่มโก่งคออาเจียนแทบสำลัก โดยมีพินที่คอยห่วงใยลูบหลังให้อย่างเบามือ

          “เป็นยังไงบ้างมะลิ?”

          พินเอ่ยถามจากนั้นจึงน้ำกระดาษเนื้อบางซับริมฝีปากอิ่มที่เปรอะเปื้อนอยู่เล็กน้อย ร่างสูงสั่นเทาพลางรีบคว้าผ้าห่มเข้ามากกกอด

          “เราหนาว...แล้วก็มึนหัวมาก”

          “อาการข้างเคียงจากยาสลบน่ะครับ เดี๋ยวก็คงจะดีขึ้น”

          เมฆเอ่ยขึ้นพลางเดินเข้ามาหา ในขณะที่พินผละตัวเอากระโถนที่เต็มไปด้วยของเหลวออกไปทิ้งในห้องน้ำ

          “รอยที่คอช้ำมากขึ้นแล้ว...คนร้ายเนี่ยมืออาชีพมากนะครับ แทงเข้าเส้นเลือดดำพอดีเป๊ะเลย”

          เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นพลางมองสำรวจร่องรอยบนซอกคอขาวไปด้วย ไม่น่าแปลกสำหรับนกหนุ่ม เพราะตอนนี้เขารู้ดีว่า “ใคร” คือต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมด ตอนนี้เขานึกห่วงคนที่ช่วยพาเขากลับมาจากความฝันมากกว่า

          “นิน...แล้วดาวเหนือเป็นยังไงบ้าง?”

          “ดาวเหนือหลับไปน่ะ...ไม่ต้องห่วงนะ นายรีบรักษาตัวให้หายก่อนเถอะ”

          “พิมพ์!”

          เสียงหญิงสาวคนหนึ่งพรวดพราดเข้ามาในห้อง เป็นจังหวะเดียวกับที่พินเดินออกจากห้องน้ำพอดี ชายหนุ่มรีบยกมือไหว้สตรีใบหน้าสวยที่กำลังหน้าตาตื่น

          “สวัสดีครับพี่ชิชา”

          เธอรับไหว้ตอบพลางเดินเข้าไปข้างใน ชิชาดูสงบลงเมื่อเห็นว่าชายที่นั่งอยู่บนเตียงท่าทางจะไม่เป็นอะไร

          “พิมพ์...ชิชาตกใจหมดเลย นึกว่าจะไม่ได้เห็นหน้าพิมพ์อีกแล้ว”

          คนเป็นภรรยาเดินไปหยุดตรงข้างเตียง ก่อนจะกุมมือคนเจ็บด้วยความเป็นห่วง

          “ชิชาเพิ่งบินกลับมา พอเปิดโทรศัพท์มือถือดูก็เห็นว่าพิมพ์ส่งจดหมายลาตายมา...ทำไมล่ะพิมพ์? ทำไมถึงยังต้องทำเรื่องแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วย? !”

          ทุกอย่างกระจ่างชัดแล้ว คนร้ายพยายามจัดฉากการตายของพิมพ์ขึ้นอีกครั้ง และตอนนี้มะลิเองก็อยากจะเห็นว่าข้ออ้างอะไรอีก ที่จะถูกนำมาใช้เพื่อสร้างแรงจูงใจในการฆ่าตัวตายของทนายหนุ่ม

          “พิน! ส่งโทรศัพท์มือถือมาให้เราหน่อย”

          นกหนุ่มรับโทรศัพท์มือถือมา เขาเปิดดูข้อความที่ถูกส่งออกในอีเมล์และก็พบสิ่งที่ตนกำลังค้นหา น่าแปลกที่หนนี้ข้อความกลับไม่ถูกส่งไปหาพ่อและแม่ของเขา

          “พินมาดูนี่สิ”

          มะลิเรียกให้พินเข้ามาใกล้ ทั้งสองเปิดข้อความในจดหมายอ่านไปพร้อมๆกัน



พิมพ์ขอโทษ

          พิมพ์จำเรื่องราวทุกอย่างได้หมดแล้ว และมันยิ่งตอกย้ำความเลวร้ายในตัวพิมพ์ พิมพ์เป็นคนเลว พิมพ์ผิดต่อไหม พิมพ์ทำให้ชิชาเสียใจ ทำไมพิมพ์ไม่ตายๆไปตั้งแต่ตอนนั้น การลืมเรื่องราวทั้งหมดแล้วกลับมานึกออกอีกครั้งก็ไม่ต่างจากคนที่เข้าใจว่าตัวเองเป็นคนดีแต่จริงๆแล้วทำเรื่องเลวๆไว้สารพัด พิมพ์รับตัวเองไม่ได้ พิมพ์ละอายใจ ละอายจนไม่สามารถอยู่มองหน้าใครได้อีกต่อไป

          ขอร้องล่ะ ปล่อยให้พิมพ์ไปเถอะนะ อย่ารั้งพิมพ์เอาไว้อีกเลย


ลาก่อน

พิมพ์



          “เราจะบอกอะไรไว้อย่างนึงนะ...คนอย่างพิมพ์ ไม่มีทางฆ่าตัวตาย”

          คนที่ทะเยอทะยาน เกลียดการพ่ายแพ้

          คนที่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ผลประโยชน์มากกว่าความสัมพันธ์

          คนที่รักตัวเองมากกว่าใครๆบนโลกใบนี้


          ชายหนุ่มพูดหันไปสบตากับหญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาก่อนจะโพล่งออกมา ตั้งแต่ที่เขาใช้ชีวิตเป็นพิมพ์มา เรื่องราวและความทรงจำหลายๆอย่างที่มะลิได้รับรู้ ร้อยเรียงสะท้อนตัวตนของชายหนุ่มที่เคยทุกข์ยากในวัยเด็ก และความลำบากเหล่านั้นได้ย้อมหลอมตัวตนจนกลายมาเป็นพิมพ์ในทุกวันนี้

          “เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกอย่างมันถูกจัดฉากขึ้นมา ตั้งแต่ตอนที่พิมพ์พยายามฆ่าตัวตายตั้งแต่ครั้งแรกแล้ว”

          “หมายความว่ายังไง?”

          ชิชาเอ่ยถามน้ำเสียงสั่น สีหน้าฉาบไปด้วยความกลัว พินเองก็รู้สึกไม่สบายใจไม่แพ้กัน เขากำแขนเสื้อชายหนุ่มแน่นสบตาวูบไหว หรือว่ามะลิจะประติดประต่อเรื่องราวทุกอย่างได้หมดแล้ว

          “เราถูกตามฆ่ามาตลอดนับตั้งแต่ที่รอดตายมาจากบึงนั่น ทั้งพยายามขับรถชนเพื่อทำให้ดูเป็นอุบัติเหตุ ถูกแทงเพราะโดนปล้นชิงทรัพย์ จนมาถึงหนนี้...ที่พยายามทำให้คนเข้าใจอีกครั้งว่าเราพยายามฆ่าตัวตายในรถ”

          ภายในห้องสี่เหลี่ยมเยียบเย็นเงียบงัน ไม่มีใครกล้าจะเอ่ยอะไรออกมา ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างเจ็บปวด

          “และคนที่ลงมือทำเรื่องราวทั้งหมด...ก็คือไหม...”

          ‘พี่ไหม...งั้นหรอ?!’

          มือที่กำเสื้อของนกหนุ่มอยู่สั่นไปหมด พินไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองว่าสตรีที่เขารักไม่ต่างจากพี่สาวแท้ๆอีกคนหนึ่งจะลงมือกระทำเรื่องราวโหดร้ายเช่นนี้ ดวงตาร้อนขึ้นผะผ่าว เขาเม้มปากแน่นกลั้นสะอื้นไว้ที่ปลายลิ้น

          “ไม่เอาน่ะพิน...ไม่ร้องนะ”

          มือขาวลูบไล้เส้นเรือนผมเงางามพลางโอบลงซบแนบอกอุ่น แขนอีกข้างโอบบ่าที่สั่นเทาปลอบโยนมะลิรู้สึกได้ถึงหยดน้ำเปียกชื้นที่หยดลงบนเสื้อของเขา เขาทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้วที่จะต้องเห็นคนที่เป็นดวงใจต้องเสียอกอกเสียใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า

          วนเวียนไปไม่สิ้นสุด



++++++++++++++++



          เรื่องราวของไหมค่อยๆเปิดเผยขึ้นผ่านความทรงจำของพิมพ์ เธอเองก็น่าสงสารนะคะ เหมือนอยู่ในโลกที่ไม่มีใคร ระหว่างที่เขียนเรื่องนี้เราอยากจะสะท้อนให้เห็นว่าการเป็นคนมันลำบากจริงๆนะคะ ซึ่งมะลิเป็นตัวละครที่ถ่ายทอดมุมมองนี้ได้ชัดเจนที่สุด แต่ยังไงก็ตามโลกนี้ล้วนมีสองด้าน ถึงแม้จะเย็นชาแต่ก็มีมุมที่เต็มไปด้วยความรักอบอุ่นงดงาม ซึ่งพินเป็นตัวละครหนึ่งที่รั้งความรู้สึกนี้เอาไว้สำหรับเราค่ะ
หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี My brother is the barn owl บทที่25 จดหมายลาตายฉบับที่2 27/09
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 27-09-2019 18:16:26
 :เฮ้อ:

 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! My brother is the barn owl! บทที่26 : ตื่น 30/09/19
เริ่มหัวข้อโดย: Timid Lily ที่ 30-09-2019 16:53:24
 
บทที่26 : ตื่น

          พินเปิดประตูรถพลางประคองชายร่างสูงนั่งลงบนเบาะ จากนั้นจึงเดินเข้าไปนั่งฝั่งคนขับ เขาแตะคันเร่งเบาๆให้รถคันน้อยแล่นไปเบื้องหน้า ในสมองครุ่นคิดถึงเรื่องราวต่างๆที่ได้รับรู้มา และมีอะไรหลายๆอย่างที่ทำให้พินอดสงสัยไม่ได้

          “มะลิ...ความทรงจำของพี่พิมพ์กลับมาทั้งหมดแล้วหรอ?”

          “ไม่หรอก...แต่เรื่องที่ค้างคาใจมานาน ตอนนี้มันปะติดปะต่อกันได้หมดแล้ว...”

          “ถ้าอย่างนั้นนายช่วยเล่าให้ชั้นฟังหน่อยได้มั้ย? ว่าทำไมพี่ไหมถึงต้องทำแบบนี้กับพี่พิมพ์ด้วย...”

          มะลินิ่งไป เขากลัวว่าสิ่งที่เขากำลังจะพูดออกไป จะทำให้คนที่เขารักต้องเสียใจ

          “เล่ามาเถอะมะลิ ชั้นไม่เป็นไร...”

          ถึงพินจะทำใจแข็ง ทว่าน้ำเสียงระคนเศร้าที่เขาเปล่งออกมา ไม่สามารถปิดบังความรู้สึกกลัวที่อยู่ภายในจิตใจได้เลย

          “พินรู้เรื่องที่แม่ของไหมฆ่าตัวตายใช่มั้ย?”

          “อืม...ชั้นพอจะรู้ว่าแม่ของพี่ไหมมีอาการซึมเศร้าน่ะ”

          “แต่พินไม่รู้ใช่มั้ยว่าคนที่ทำให้แม่ของไหมตัดสินใจทำแบบนั้นลงไปก็คือ...”

          “พี่พิมพ์ใช่มั้ย...?”

          นกหนุ่มเหลือบมองเสี้ยวหน้าหมดจดของคนที่มองตรงไปข้างหน้า พินพยายามกล้ำกลืนความรู้สึกที่จุกอยู่ในอกและพยายามทำตัวราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

          “พี่พิมพ์ทำอะไรหรอ?”

          มะลิเงียบเสียงลงไปอีกครั้งหนึ่ง

          “ชั้นไม่เป็นไรจริงๆ เล่ามาเถอะ ถึงขั้นนี้แล้ว...ชั้นรู้แล้วว่าพี่พิมพ์ไม่ใช่ผู้ชายแสนดีอย่างที่ชั้นทึกทักไปเอง”

          “พิมพ์กดดันไหมเรื่องเงินน่ะ...พิมพ์มีท่าทีสนใจข้อเสนอของสินทรที่จะให้ย้ายข้างไป เลยบีบให้ไหมจ่ายค่าตัวเขาให้สูงขึ้น”

          “อืม...แล้วยังไงต่อ?”

          “แล้วแม่ไหมก็มารู้เข้า คงรู้สึกว่าตัวเองที่ป่วยรักษาไม่หายเป็นตัวถ่วงของลูกสาวก็เลย...”

          “เข้าใจแล้ว...”

          พินเอ่ยขึ้นเสียงค่อยราวกระซิบ แม้เสียงนั้นจะเบาสักแค่ไหน คนฟังก็ยังจับใจความได้ว่านั่นคือเสียงของความ “เสียใจ”

          “แล้ว...มะลิจำวิธีขับรถได้แล้วหรอ?”

          ชายหนุ่มตั้งคำถามอีกข้อที่เขานึกสงสัย อย่างน้อยก็น่าจะทำให้ความรู้สึกดีขึ้นเมื่อเปลี่ยนไปถามเรื่องอื่น

          “ไม่นะ เราก็ยังขับรถไม่เป็นเหมือนเดิมนั่นแหละ”

          “อ้าว! แล้วรถคันนั้นมาได้ยังไงล่ะ? รถที่จอดอยู่ในที่เกิดเหตุเป็นรถของพี่พิมพ์ แล้วปกติมันก็ไม่ได้จอดอยู่ที่บ้านด้วย มันควรจะอยู่ที่คอนโดมากกว่า”

          ‘รถของพิมพ์?’

          ‘นี่ยังดีนะช่วงที่พิมพ์ป่วยชิชามีเพื่อนมาอยู่ด้วยบ่อยๆ

          จู่ๆนกหนุ่มก็นึกถึงคำพูดของเพื่อนข้างห้องคนนั้นขึ้นมา “เพื่อนของชิชา” ถึงจะดูไม่น่าจะเป็นไปได้แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงไม่อาจตัดข้อสงสัยตรงนี้ทิ้งไปได้

          “คงจะเป็นฝีมือพี่ไหมนั่นแหละ...พี่เค้ารู้จักพี่พิมพ์ดีทุกอย่าง ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ขับรถอะไร...”

          ...เพราะไหมอยู่เคียงข้างเพื่อนคนนี้มานานกว่าใครๆ...

          “อืม...”

          จนกว่าจะแน่ใจมะลิถึงจะกล้าเอ่ยเรื่องนี้ออกไป เพราะหากเรื่องราวทุกอย่างยังไม่จบลงจริงๆ “อันตราย” อาจจะเกิดขึ้นกับพินตอนไหนก็ได้





          คนสองคนที่เพิ่งจะกลับถึงบ้านรีบรุดขึ้นไปยังห้องนอนของพิมพ์ ชายร่างกายซีดเซียวหลับใหลอยู่บนเตียง โดยมีเด็กหนุ่มนั่งเฝ้ามองอยู่เคียงข้าง

          “นินจา...ดาวเหนือเป็นยังไงบ้าง?”

          พินเอ่ยถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นทีท่าไม่สู้ดีของงูหนุ่ม

          “เจ้างูหลับมาสองวันสองคืนแล้วยังไม่ยอมตื่น...อาจจะติดอยู่ในห้วงฝันตอนที่เข้าไปปลุกมะลิน่ะ”

          “แล้วจะทำยังไงดีล่ะ?”

          “เราเองก็ไม่รู้เหมือนกัน...คงต้องมีอะไรบางอย่างที่ดาวเหนือห่วงหาอาวรณ์มากๆจนทำให้อยากตื่นขึ้นมาเองละมั้ง...? ”

          “แล้ว...ถ้าไม่ฟื้นล่ะ?”

          “ร่างกาย...ถ้าไม่ได้รับน้ำและอาหารก็ต้องตาย ไม่ต่างจากมนุษย์ปกติทั่วไปหรอก...”

          “ตาย” คำๆนี้เป็นสิ่งที่พินจะยอมให้มันเกิดขึ้นไม่ได้ พอแล้วกับการสูญเสีย มันเจ็บปวดและทรมานเหลือเกิน

          “ดาวเหนือ! ตื่นขึ้นมาเถอะเราขอร้อง”

          มะลิลองร้องเรียกปลุกดาวเหนือด้วยใจหวัง ความรู้สึกผิดที่เขาทำอะไรไม่ได้กัดกร่อนอยู่ข้างใน กี่ครั้งกี่หนที่ต้องมีคนมารับเคราะห์แทนเขาเช่นนี้ มันทำให้นกหนุ่มชักจะรังเกียจที่ตนไร้ความสามารถ รังเกียจที่อ่อนแอโง่เขลา ถ้าเลือกได้เขาจะขอเป็นฝ่ายหลับใหลไม่ตื่นเช่นนี้แทนคงจะดีเสียกว่า

          ‘Rrrrrr’

          เสียงโทรศัพท์ของพินดังขึ้น คนที่โทรเข้ามาคือ “คิม” ชายที่ทำสัตว์เลี้ยงแสนรักของตนหายไปอีกแล้ว

          “สวัสดีครับพี่คิม...”

          [น้องพิน ดาวเหนือของพี่หายไปไหน? นี่ก็ผ่านมาสองวันแล้ว ไอ้ผู้ชายโรคจิตคนนั้นมันเอาไปใช่มั้ย?]

          ถ้าเป็นไปได้พินก็อยากจะบอกไปตามตรงว่า “ผู้ชายโรคจิต” คนนั้นก็คือดาวเหนือ แต่จะทำยังไงได้...

          [น้องพินรู้จักไอ้หมอนั่นใช่มั้ย? ขอร้องล่ะ! ช่วยติดต่อให้เค้าเอาดาวเหนือมาคืนพี่ทีเถอะ]

          “ดาวเหนืออยู่ที่บ้านผมเองครับพี่...แต่ตอนนี้ผมไม่สะดวกที่จะพาไปส่ง ถ้ายังไง...”

          [ไม่เป็นไรเดี๋ยวพี่ไปรับเอง วันนี้น้องพินอยู่บ้านใช่มั้ย? ช่วยแชร์โลเคชั่นมาให้พี่หน่อย]

          “เอ่อ...แต่ว่า...”

          “พิน...ให้เค้ามาเถอะ...”

          มะลิเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นพินมีท่าทีลังเล ไม่มีใครรู้ว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น คิมอาจจะทำให้ดาวเหนือตื่นขึ้นมา หรืออาจจะทำได้เพียงมาบอกลาเจ้างูหนุ่มเป็นครั้งสุดท้ายก็เป็นได้

          “ได้ครับพี่คิม เดี๋ยวพินจะรีบแชร์โลเคชั่นไปให้นะครับ”

          [ขอบใจนะน้อง แล้วพี่จะรีบไป]



          ใช้เวลาไม่นานผู้มาเยือนก็มาถึงบ้านของพิน คิมกดออดเรียกคนข้างในครู่หนึ่งก็มีชายสองคนออกมาต้อนรับ

          “น้องพินไหนล่ะดาวเหนือของพี่?”

          โดยไม่ทักไม่ทาย มาถึงคิมก็ถามหาเจ้างูสุดที่รักของเขาทันที

          “เอ่อ...”

          “ตามเรามา”

          มะลิพูดขึ้นแทนพินที่กำลังอึกอักอ้ำอึ้งอยู่ เขาเดินนำคิมเข้าไปในบ้านตรงไปยังห้องนอนที่ดาวเหนือกำลังหลับใหลไม่ได้สติอยู่

          “เข้าไปสิ”

          มะลิเปิดประตูห้องพลางพเยิดหน้าให้ชายหนุ่มผมสีแสบตาเดินเข้าไปข้างใน ภาพชายหนุ่มผิวซีดที่กำลังนอนนิ่งไม่ไหวติงทำเอาคนเห็นฉุนขึ้นไม่น้อย

          “มึง! มาหลับทำซากอะไรอยู่ที่นี่วะ? เอางูกูคืนมาเลยนะ”

          คิมเดินเข้าไปเขย่าตัวคนหลับ ยังไงเขาก็มั่นใจว่าคนๆนี้เป็นเอาสัตว์เลี้ยงของเขาไป เพราะตอนที่เขาเจอคนๆนี้ในห้อง ผู้ชายคนนี้กำลังทำลับๆล่อๆอยู่ตรงกล่องบ้านของดาวเหนือ

          “พูดอะไรของแก? ก็ไอ้คนที่กำลังหลับอยู่เนี่ยก็คือดาวเหนือนั่นแหละ”

          นินจาเอ่ยขึ้นอย่างรำคาญใจ ส่วนคิมที่ได้ยินแบบนั้นก็โวยวายขึ้นอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยินกับหู

          “จะบ้าหรือไง? อย่ามาอำกันเล่นนะไอ้น้องพี่ไม่ขำด้วย เรื่องปัญญาอ่อนแบบนั้นใครเชื่อแม่งก็ควายโคตรๆ เฮ้ยมึง! ตื่นมาคุยกับกูให้รู้เรื่องเดี๋ยวนี้นะเว้ย!”

          คิมยังคงไม่ยอมแพ้เขย่าเซ้าซี้ให้คนหลับตื่นขึ้นมา นินจามองทีท่าคนตรงหน้าพลางเดาะลิ้นขึ้นหงุดหงิดใจ เด็กหนุ่มสะกิดให้คนที่กำลังหัวเสียอยู่หันมาสนใจ

          “ไม่เชื่อใช่มะ? งั้นดู”

          พลันเด็กหนุ่มที่สะกิดเขาอยู่เมื่อครู่กลับกลายร่างเป็นแมวดำปุกปุย สิ่งที่คิมเห็นทำให้เขาได้แต่ตาค้างอ้าปากหวอหน้าเหวอแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน     

          “ผะ...ผี? ไม่สิ ปีศาจ สัตว์ประหลาด มอนสเตอร์ โอ๊ย!!! อะไรกันวะเนี่ย?!”

          คิมละล่ำละลักพูดไปเรื่อย ส่วนเจ้าแมวน้อยตอนนี้กระโดดขึ้นไปนอนเบียดซุกอยู่บนร่างของดาวเหนือ

          “แกจะเรียกพวกเราว่าอะไรก็แล้วแต่...แต่ไอ้เจ้าหมอนี่ก็เป็นแบบเดียวกับเรา...ไม่ต่างกัน...”

          “ถึงจะดูน่าเหลือเชื่อแต่พี่คิมก็ต้องเชื่อแล้วล่ะ ผู้ชายคนนี้คือดาวเหนือจริงๆ...แล้วดาวเหนือก็หลับไปสองวันสองคืนแล้ว ปลุกยังไงก็ไม่ตื่น...”

          พินเงียบเสียงไปครู่หนึ่งก่อนจะเปิดปากพูดต่อด้วยความเจ็บปวด

          “ถ้าดาวเหนือยังหลับไม่ตื่นอยู่แบบนี้...ดาวเหนืออาจจะตายก็ได้...”

          คิมอึ้งไป หากชายตรงหน้าคืองูแสนรักขึ้นมาจริงๆ เขาคงจะยอมปล่อยให้มันหลับต่อไปแบบนี้ไม่ได้ ชายหนุ่มเรียกชื่อ “ดาวเหนือ” น้ำเสียงทุ้มอ่อนซ้ำไปซ้ำมา



          “ดาวเหนือ”


          ‘เสียงใคร...? ทำไมคุ้นจัง’

          งูหนุ่มผู้เดียวดายในโลกสีขาว กำลังนั่งคุดคู้อย่างเบื่อหน่าย หลังจากที่เขาถูกเจ้านกน้อยรั้งตัวเอาไว้ ตอนนี้นกแสกตัวนั้นกลับบินจากไปแล้วทิ้งเขาเอาไว้เช่นนี้ ในห้วงโลกแห่งฝัน ยิ่งติดอยู่นานตัวตนยิ่งลางเลือน...

          “ลืมตาสิดาวเหนือ...”

          ‘ดาวเหนือ...ชื่อของผมรึเปล่านะ?’     

          น้ำเสียงอบอุ่นเพรียกหาสะกิดให้ชายหนุ่มที่กำลังหลงทางนึกถึงใครบางคนขึ้นมา...

          “ตื่นขึ้นมาเถอะ...ดาวเหนือ”

          ถึงเขาจะยังนึกไม่ออก ทว่าความรู้สึกอาวรณ์เอ่อล้นขึ้นเต็มใจ ดาวเหนือลุกขึ้นยืนพลางเดินไปตามเสียง เสียงคุ้นเคยที่มักจะเรียกชื่อเขาอย่างมีความสุขเสมอ ความคิดถึงก่อตัวขึ้นแทบทะลักทลาย ขาทั้งสองข้างเริ่มก้าวยาววิ่งไปตามเสียงที่ลอยมา แสงสว่างจ้าเบื้องหน้ากำลังเปิดรอต้อนรับให้ดาวเหนือออกไป

          ตาเรียวเปิดขึ้นทีละน้อย พลางกะพริบไล่แสงสว่างจ้าที่ทำเอาตาพร่ามัว ตรงหน้าของเขามีสายตาแห่งความเป็นห่วงทอดส่งมาให้ ดวงตาเล็กๆแสนสดใสรับกับริมฝีปากบางนั่นทำให้เขาจำได้

          ‘คิมนี่เอง...’



          “ดูมันทำ! เอาสีบ้าอะไรมาย้อมหัว แล้วนี่ยังจะทำให้น้องมันอีก เห็นแล้วทุเรสทุรัง”

          เสียงชายวัยกลางคนตะโกนลั่นดังขึ้นไปถึงชั้นบน ทำเอาคนที่นั่งเซ็งอยู่ในห้องของตนรีบคว้าหมอนมาอุดหู

          “แล้วมันนะยังจะแอบเอางูมาเลี้ยง เห็นแล้วยังแขยงไม่หายอยากจะตีมันให้ตาย ทำอะไรไม่เคยเห็นหัวคนในบ้าน!”

          “ใจเย็นๆนะพ่อ”

          เสียงคนเป็นพ่อก่นด่าลูกชายคนโตให้คนเป็นแม่ฟังแบบไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย “คิม” ชายหนุ่มที่เติบโตในครอบครัวหัวโบราณ พ่อกับแม่ต้องการจะเลี้ยงดูเขาให้อยู่ในกรอบทว่าตัวตนที่รักอิสระและสีสันเช่นเขาตอนนี้ไม่ต่างจากนกที่ถูกตัดปีก

          “แล้วเนี่ยแม่รู้รึยัง? ที่มันจะไปเรียนต่อช่างทำผมบ้าๆ อะไรนั่น จบเอกเคมีมาแทนที่จะรีบหางานหาการดีๆทำ ทำอะไรไม่ได้ดั่งใจซักอย่างไอ้ลูกเวร!”

          “พ่อเลิกบ่นพี่คิมเค้าซักทีเหอะน่า เนี่ยสีผมที่พี่เค้าทำให้ผมก็สวยดีออก ผมว่าพี่เค้าออกจะมีพรสวรรค์”

          เด็กหนุ่มผมสีแดงฉาน ที่นั่งเล่นเกมคอมพิวเตอร์อยู่พูดแทรกขึ้นมา ทว่ามันกลับกวนอารมณ์ของพ่อเขาให้ขุ่นกว่าเดิม

          “หุบปากไปเลยนะไอ้คีย์ เดี๋ยวพ่อจะได้เฉดหัวออกจากบ้านทั้งพี่ทั้งน้อง!”

          ‘อยากอยู่ตายแหละบ้านหลังเนี้ย...’

          คิมที่เอาหมอนปิดหัวอยู่ได้แต่คิดขึ้นในใจ เขาผุดลุกขึ้นนั่งพลางเขวี้ยงหมอนทิ้งระบายอารมณ์ สายตาพลันเหลือบไปมองเจ้างูน้อยที่เลื้อยยุกยิกอยู่ในกล่องพลาสติกใส

          “ตื่นแล้วหรอดาวเหนือ? เสียงพ่อคงจะหนวกหูจนปลุกแกขึ้นมาสินะ”

          ชายหนุ่มล้วงมือลงไปในกล่องใส งูน้อยตัวจ้อยสีขาวเลื้อยพันท่อนแขนสว่าง คิมยิ้มขึ้นรู้สึกจักจี้เล็กๆ

          “ก็มีแต่แกนี่แหละนะที่เป็นเหมือนครอบครัวจริงๆ ของชั้น เออนับไอ้คีย์ด้วยอีกคนละกัน ถึงเดี๋ยวนี้มันจะติดสาวจนไม่ค่อยสนใจพี่มันก็เหอะ ชั้นนี่กลายเป็นหมาหัวเน่าไปเลย...ไม่มีใครรัก...”

          คนเหงานั่งคุยกับงูเจื้อยแจ้ว ดวงตาสีทับทิมจ้องมองคนตรงหน้าไม่วางตา น่าแปลกที่งูเช่นดาวเหนือกลับเข้าใจภาษาของมนุษย์

          ‘ถึงใครจะไม่รักคิม...แต่ผมรักคิมนะ’

          “นี่ดาวเหนือแกรู้ป่ะว่าทำไมชั้นถึงตั้งชื่อให้แกว่าดาวเหนือ?”

          ‘ทำไมหรอคิม?’

          “เพราะชื่อนี้จะคอยเป็นเครื่องเตือนใจให้ชั้นไม่ละทิ้งความฝันในสิ่งที่รัก เพราะดาวเหนือเป็นดวงดาว...เป็นแสงแห่งการนำทางไงล่ะ”

          ...เป็นแสงที่คอยช่วยเหลือเหล่ามนุษย์ผู้หลงทางในยามที่ฟ้ามืดมิด



          “คิม...”

          ร่างที่นอนอยู่พึมพำชื่อคนตรงหน้าขึ้นพลางยันตัวลุกขึ้นอย่างช้าๆ ความเมื่อล้าแล่นไปทั่วร่างหลังจากนอนนิ่งมาถึงสองวันสองคืน รอยยิ้มจางแต้มขึ้นบนใบหน้าส่งให้ชายผู้ที่ปลุกเขาขึ้นมา

          “นายคือดาวเหนือจริงๆหรอ...?”

          คิมเอ่ยถามในใจยังค้างคา ดวงตาเรียวจ้องมองสบมาไม่ละไปไหน

          “ที่คิมตั้งชื่อให้ผมว่าดาวเหนือก็เพราะเห็นผมเป็นแสงดาวนำทางให้ไม่ใช่หรอ?”

          ความสงสัยทั้งหมดพลันสลายไป ถึงไม่อยากเชื่อแต่ก็คงต้องเชื่อแล้วว่าคนๆนี้ “ใช่” งูสุดที่รักของเขาจริงๆ อาจจะน่าอายนิดหน่อยที่ต้องมาฟังเหตุผลสุดเพ้อเจ้อที่ตัวเขาตั้งชื่อนี้ขึ้นมา ทว่ามันมีความหมายกับชายหนุ่มผู้หลงทางเช่นเขาจริงๆ

          “อย่าเอาเรื่องชื่อของนายไปเล่าให้ใครที่ไหนฟังอีกนะเว้ย...โคตรอาย...”

          คิมก้มหน้างุดลงเล็กน้อย ปากก็พูดขมุบขมิบไปด้วย

          “อืม...ไม่พูดแล้ว...”

          รอยยิ้มกว้างฉายขึ้นบนใบหน้าสุขุม มือยาววางสัมผัสลงบนไหล่อย่างอ่อนโยน คิมเงยหน้าขึ้นสบตามอง “ดาวเหนือ” ของเขา ถึงจะยังไม่ชินที่เห็นงูของตัวเองกลายเป็นมนุษย์เช่นนี้ แต่เขาก็ไม่รังเกียจหากนับจากนี้ เขาจะต้องใช้ชีวิตร่วมกันกับชายคนนี้



          หลังจากที่ดาวเหนือฟื้นขึ้น ทุกคนก็ได้แต่โล่งใจ คงถึงเวลาที่ชายทั้งสองจะต้องกลับบ้านของพวกเขาเสียที ตอนนี้ชายทั้งห้าได้มากระจุกตัวยืนล่ำลากันอยู่หน้าประตูรั้ว

          “ขอบคุณมากนะเจ้างูที่ช่วยชีวิตเราเอาไว้...แล้วก็ขอโทษที่ทำให้แกต้องลำบากไปด้วย...”

          นกหนุ่มเอ่ยขึ้นอย่างสำนึกผิด ถึงแม้เขาจะได้พบกับดาวเหนือไม่นาน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าดาวเหนือดีต่อเขามากแค่ไหน ถึงแม้ว่าเขาจะทำตัวก้าวร้าวใส่เจ้างูแสนสุภาพอยู่บ่อยๆ ก็ตาม

          “ไม่เป็นไรหรอก ผมดีใจนะที่เห็นนกมะลิปลอดภัย”

          ดาวเหนือตบบ่ามะลิให้กำลังใจ ส่วนตัวของนกหนุ่มเองตอนนี้คงต้องพอกันทีกับการที่จะต้องให้ใครมาเดือดร้อนด้วยเรื่องของเขา

          “ทุกอย่างกำลังจะจบแล้ว เราสัญญาว่าจะไม่ให้แกต้องมาเสี่ยงอันตรายเพราะเราอีก”

          “อย่าคิดมากเลยนะ ก็พวกเราเป็นเพื่อนกันนี่นา”

          “เพื่อน” เป็นสิ่งที่นกน้อยผู้โดดเดี่ยวเช่นเขาไม่เคยมีมาก่อน เขายอมรับว่าเขาเองออกจะเป็นเพื่อนที่ไม่น่ารักอยู่บ้าง แต่เขาก็ดีใจที่ดาวเหนือไม่เคยถือสา

          “เย็นมากแล้วพวกพี่ขอตัวกลับก่อนดีกว่า แล้วเจอกันนะน้อง”

          “ครับพี่คิม พินต้องขอโทษอีกครั้งนะครับ”

          “เออไม่เป็นไร ไปก่อนนะ”

          “ผมไปก่อนนะพิน นกมะลิ แมวนินจา แล้วผมจะมาเยี่ยมนะ”

          ดาวเหนือรีบวิ่งตามไปเกาะแขนคิมแจ คนสองคนเดินหายออกไปจากตัวบ้านจนลับสายตา ตอนนี้ก็คงถึงเวลาที่นินจาจะต้องขอตัวบ้าง

          “เรากลับบ้างดีกว่า เดี๋ยวเมฆกลับมาไม่เจอเราแล้วจะวุ่นวาย”

          “ขอบคุณนะเจ้าแมว...แกเองก็ช่วยเราเอาไว้ตั้งหลายหน...”

          “เออ...แกก็ดูแลตัวเองดีๆล่ะเจ้านก แล้วถ้ามีอะไรก็บอกเรา เรายินดีช่วยเสมอ”

          นินจาเดินผ่านประตูรั้วไป แต่ก่อนที่จะจากไปจริงๆก็ไม่วายหันมาสบตามองพินอีกคน

          “พินก็ด้วยล่ะ...”

          “อะ...อื้ม เดี๋ยวชั้นจะรีบไปแจ้งความนะ”

          นินจาหมุนตัวเดินจากไปพลางโบกมือลา พินปิดประตูลงกลอนจากนั้นจึงล็อกกุญแจ ทั้งสองเดินกลับเข้าไปในบ้านด้วยท่าทีไม่สบายใจนัก มือผอมๆคว้าชายเสื้อของคนที่เดินนำอยู่ ทำเอามะลิชะงักหันกลับมามอง

          “มีอะไรหรอพิน...?”

          พินเม้มปากแน่นพลางซบศีรษะลงบนไหล่กว้าง น้ำเสียงอึดอัดติดขัดเปล่งขึ้นถาม

          “เรื่องทุกอย่างกำลังจะจบลงแล้วจริงๆใช่มั้ย...?”

          ความหวาดกลัวฝังลึกอยู่ข้างใน หากเป็นไปได้เขาหวังว่าจากนี้ไปคงไม่มีเรื่องร้ายใดๆเกิดขึ้นอีก

          ทว่า...ราวกับเป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบ ร่างสูงคลายมือของคนที่กำลังขยำเสื้อเขาจนยับย่นออก มือขาวเกลี่ยไล้เส้นผมที่เริ่มยาวระลำคอลงมาพลางสบตาชายผู้เป็นที่รักก่อนจะกอดปลอบแน่นจนร่างบางๆจมลงไปในแผ่นอกอุ่น

          ในใจคิดอยากจะจบเรื่องราวทั้งหมดนี้เพียงคนเดียว...

++++++++++++++++



          ในตอนนี้เป็นการเปิดปมของคิมกับดาวเหนือนะคะ อาจจะกล่าวได้ว่าพินได้ทำหน้าที่ส่งคืนนินจากับดาวเหนือสู่อ้อมอกเจ้าของได้เป็นที่เรียบร้อยโดยแท้จริงแล้วค่ะ ตอนนี้ปมสุดท้ายก็เหลือเพียงเรื่องของพี่พิมพ์นะคะ แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ

หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! My brother is the barn owl! บทที่26 : ตื่น 30/09/19
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 30-09-2019 19:14:55
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! My brother is the barn owl! บทที่26 : ตื่น 30/09/19
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 03-10-2019 22:21:15
 :L2: :pig4: :L2:

 o13
หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! My brother is the barn owl! บทที่27 : ความจริง 04/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: Timid Lily ที่ 04-10-2019 13:46:19

บทที่27 : ความจริง

          [นายสินทร วัชรโรจน์ โจทย์ที่ทำการยื่นฟ้องร้องคดีของนาย วินัย วัชรโรจน์ ผู้เป็นบิดา ซึ่งเสียชีวิตเนื่องจากการผิดพลาดระหว่างการผ่าตัด ได้ทำการยื่นพิสูจน์ต่อศาลถึงหลักฐานเท็จที่ทางจำเลยยื่นต่อศาล...]

          เสียงผู้ประกาศข่าวภาคกลางวันดังผ่านโทรทัศน์ที่ถูกเปิดเอาไว้ เนื้อหาคือข่าวใหญ่ที่เป็นที่จับตามองในช่วงนี้ “ข่าวของไหม”

          [ซึ่งตอนนี้ผู้อำนวยการโรงพยาบาลปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์หรือแถลงข่าวกับสื่อ ส่วนทางด้านของแพทย์หญิงญานิสาได้ทำการลาพักร้อนไปตั้งแต่เมื่อสองสามวันที่แล้วและได้ขาดการติดต่อไป...]

          ‘พี่ไหมหายไป...’

          สิ่งที่ได้รับรู้ทำให้พินอดเป็นกังวลไม่ได้ เขากลัวว่าการที่แพทย์สาวยังไม่ถูกคุมตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมาย อาจจะทำให้ยังคงเกิดเรื่องอันตรายกับมะลิเมื่อไหร่ก็ได้ ตอนนี้ชายหนุ่มไม่กล้าทิ้งคนอีกคนไปไหน ได้แต่เฝ้าดูแลอย่างใกล้ชิดจนไม่เป็นอันทำอะไร

          พฤติกรรมเช่นนี้ของพินทำให้มะลิอดเป็นห่วงไม่ได้ เขาไม่ได้ต้องการเป็นภาระหรือตัวถ่วงของพิน แต่ไม่ว่าจะเกลี้ยกล่อมยังไงพินก็ไม่มีทีท่าเบาใจแม้แต่น้อย

          ‘Rrrrrrr’

          เสียงโทรศัพท์มือถือของพินดังขึ้น เป็นเบอร์โทรศัพท์ที่ไม่รู้จัก แต่ชายหนุ่มก็ไม่อิดออดรีบกดรับพลัน

          [สวัสดีค่ะ คุณพิธานใช่มั้ยคะ?]

          “ใช่ครับ”

          [โทรจากบริษัทxxxนะคะ คุณพิธานผ่านการสัมภาษณ์กับเราแล้วค่ะ]

          “จริงหรอครับ?”     

          พินเอ่ยตอบไปด้วยความยินดี อะไรจะน่าดีใจไปกว่าการได้รับข่าวดีว่าบริษัทที่เขาอยากร่วมงานด้วยมาตลอดรับเด็กจบใหม่อย่างเขาเข้าทำงาน

          [คุณพิธานสะดวกจะเข้ามารายงานตัวด่วนวันนี้เลยมั้ยค่ะ?]

          “คือ...ผม...”

          พินอึกอักลังเลใจขึ้นมา สำหรับคนที่ว่างงานมาหลายเดือนแล้วเช่นเขาควรจะรีบคว้าโอกาสนี้ไว้ให้เร็วที่สุด ไม่ใช่ปล่อยให้ตัวเองเตะฝุ่นปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์

          “ผมขอเลื่อนไปรายงานตัววันอื่นได้มั้ยครับ? พอดีวันนี้ผมไม่สะดวก...”

          [ก็ได้นะคะ แต่ทางเราจะมีการจัดอบรมพนักงานใหม่ ถ้าหากนัดช้าล่วงเลยไปอาจจะต้องรอไปอีกหลายเดือน ที่สำคัญเราต้องการพนักงานด่วนจริงๆ ถ้าคุณพิธานไม่สะดวก เราอาจจะต้องขอตัดสิทธิ์ของคุณไปก่อนจนกว่าจะมีตำแหน่งงานว่างใหม่น่ะค่ะ]

          “ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องปล่อยให้เป็นอย่างนั้นไปก่อนน่ะครับ แล้วผมจะติดต่อกลับไปอีกที ผมต้องขอโทษจริงๆนะครับ”

          พินวางสายไป ทำให้มะลิที่นั่งฟังบทสนทนาอยู่ใกล้ๆถึงกับอดไม่ได้ต้องถามออกไป

          “ทำไมพินไม่ไปรายงานตัวล่ะ? ”

          “ไม่ได้หรอก ชั้นจะทิ้งนายไว้คนเดียวได้ยังไงกันล่ะ”

          “พิน...เราไม่เป็นไรหรอก อย่าทำให้เราต้องรู้สึกว่าตัวเองคอยถ่วงแข้งถ่วงขาพินมากไปกว่านี้เลย”

          “อย่าพูดอย่างนั้นสิมะลิ ตอนนี้เรื่องของนายสำคัญที่สุดนะ”

          “พิน...เราเป็นห่วงอนาคตของพิน...”

          ทุกวันนี้นอกจากความรักแล้วอมนุษย์เช่นเขาไม่อาจมอบอะไรให้กับคนที่เขารักได้เลย ความภาคภูมิใจที่ได้มีชีวิตอยู่ตกต่ำลงเรื่อยๆจนเขาแทบทนไม่ได้ คุณค่าในตัวตนค่อยๆสูญสลายไร้ความหมาย มะลิคงยอมไม่ได้หากการมีอยู่ของเขาเริ่มกัดกร่อนทำลายใครอีกคนที่เขารักยิ่งกว่าสิ่งใด

          ‘ปิ๊ง ป่อง’

          เสียงกดออดหน้าบ้านดังขึ้น เมื่อเปิดประตูออกไปดูก็พบหญิงสาวแต่งหน้าสวยงาม เกล้าผมเรียบร้อยยืนรอเจ้าบ้านออกมาต้อนรับ

          “สวัสดีครับพี่ชิชา”

          “สวัสดีค่ะน้องพิน พอดีชิชาตั้งใจแวะมาเยี่ยมพิมพ์ก่อนจะไปบินน่ะ ขอโทษทีที่ไม่ได้โทรมาบอกล่วงหน้า”

          “ไม่เป็นไรหรอก เข้ามาในบ้านก่อนสิ”

          นกหนุ่มเอ่ยเชื้อเชิญหญิงสาวเข้ามาข้างใน การปรากฏตัวขึ้นของเธอนับเป็นโอกาสดีที่เขาจะเกลี้ยกล่อมให้พินยอมออกจากบ้านไปรายงานตัว

          “พิน...พินออกไปรายงานตัวเถอะนะ”

          “ไม่ดีกว่า...เอาไว้วันหลังก็ได้”

          “นี่ไงชิชามาอยู่เป็นเพื่อนเราแล้ว แถมนินจากับเมฆก็อยู่ใกล้ๆ ไม่เห็นจะต้องเป็นห่วงอะไรแล้วนี่นา”

          “แต่ว่า...”

          “น้องพินจะออกไปรายงานตัวหรอ? ไม่เป็นไรเดี๋ยวพี่ช่วยดูแลพิมพ์ให้เอง ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”

          หญิงสาวพอจะเดาสถานการณ์ออกจึงช่วยเอ่ยสำทับให้ชายหนุ่มได้สบายใจ

          “งั้นก็ได้...”

          “พินรีบติดต่อบริษัทกลับไปแล้วก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าซะนะ”

          “อืม...”

          ชายหนุ่มทำหน้าหงอยแต่ก็ยอมแต่โดยดี เขาเดินหายขึ้นชั้นสองไปอย่างห่อเหี่ยว

          “ขอบคุณมากนะชิชาที่ช่วยเกลี้ยกล่อมพินให้ แล้วก็ขอโทษทีที่ต้องให้มาเป็นธุระให้”

          “ไม่เป็นไรหรอกชิชาเต็มใจ ถึงเราสองคนจะไม่ได้รู้สึกต่อกันเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่พวกเราก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ไม่ใช่หรอ?”

          ชิชาส่งยิ้มให้ชายผู้เป็นสามีน้อยๆ ในความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยรอยร้าวของคนทั้งสองทำให้มะลิไม่อาจละทิ้งความคิดเคลือบแคลงไปได้ ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงคลี่ยิ้มจางตอบกลับไป



          ร่างสูงเดินออกมาส่งคนที่แต่งตัวเรียบร้อยเตรียมออกไปข้างนอก เขาเปิดประตูให้คนตัวเล็กกว่า ทว่าพินที่ยังกังวลไม่หายหันมาเอ่ยกำชับกับเขา

          “มะลิ อย่าลืมนะ! ถ้ามีอะไรนายต้องรีบโทรหาชั้น แล้วก็อย่าปิดเสียงโทรศัพท์ เข้าใจรึเปล่า?”

          “เข้าใจแล้ว นี่ไงเราเปิดเสียงไว้แล้วนะ”

          มะลิหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นพลางกดเปิดหน้าจอให้คนห่วงได้เห็นว่าเขาเปิดเสียงแจ้งเตือนสายเรียกเข้าไว้แล้วจริงๆ

          “อย่าอยู่ตามลำพังเด็ดขาด! ถ้าพี่ชิชาจะกลับบ้านแล้วชั้นยังไม่กลับมานายต้องไปตามนินจามาอยู่เป็นเพื่อนนะ”

          “อื้ม...ไม่ต้องเป็นห่วงนะ เราจะทำตามที่พินบอกทุกอย่าง”

          ถึงจะได้ยินนกหนุ่มรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะแต่พินก็ไม่อาจคลายความกังวลลงไปได้ ดวงหน้าเศร้าหมองราวกับคนที่กลัวว่าจะสูญเสียคนตรงหน้าไปทำให้มะลิเองรู้สึกปวดใจไม่แพ้กัน มือแกร่งสัมผัสใบหน้าเนียนทะนุถนอม นิ้วมือยาวไล้พวงแก้มนิ่มลงมาจรดคาง ก่อนจะประทับจูบบนริมฝีปากงดงามแผ่วเบาปลอบประโลม

          “พินทำหน้าตาให้สดชื่นหน่อยเถอะนะ ไปรายงานตัวทั้งที ผู้ใหญ่จะได้ประทับใจ”

          “อืม...”

          ร่างบางพยักหน้าก่อนจะกอดชายผู้เป็นที่รักแน่น ท่อนแขนแข็งแรงโอบกอดตอบให้คนในอ้อมอกได้คลายใจ เจ้าของนัยน์ตาสวยหลับพริ้มลงพลางสูดหายใจเข้าลึกสัมผัสกลิ่นผู้เป็นที่รักก่อนจะจากไป...

          “งั้นชั้นรีบไปก่อนนะ”

          “อื้ม...พินขับรถดีๆนะ”

          พินเข้าไปนั่งในรถแต่สายตาก็ยังคงไม่ละไปจากคนรักของเขา แววตาห่วงหาทอดส่งมาจนกระทั่งนกหนุ่มเอ่ยลาพลางงับประตูรถปิดลงเบามือ ร่างสูงมองส่งรถสีขาวคันน้อยที่วิ่งออกจากบ้านไป ในใจมีเรื่องราวค้างคามากมายที่เขาควรจะจัดการให้เรียบร้อย

          มะลิเดินกลับเข้าไปในบ้าน เขาเอ่ยถามหญิงสาวที่นั่งเล่นกดโทรศัพท์มือถืออยู่บนโซฟา

          “วันนี้ชิชามีบินกี่โมงหรอ? รีบรึเปล่า?”

          เธอเงยหน้าขึ้นมาสบตาชายหนุ่ม ก่อนจะยิ้มให้อย่างลำบากใจ

          “ความจริงชิชาตั้งใจจะแวะมาเยี่ยมพิมพ์แค่แป๊บเดียวน่ะ เพราะอีกไม่กี่ชั่วโมงชิชาก็ต้องไปทำงานแล้ว”

          “ไม่เป็นไรหรอก ถ้าอย่างนั้นชิชารีบกลับไปเตรียมตัวเถอะ เดี๋ยวจะฉุกละหุก”

          “ขอโทษทีนะพิมพ์ ที่ชิชาทำตามที่สัญญากับน้องพินไม่ได้...ชิชาต้องขอตัวก่อนนะ”

          พูดจบชิชาก็ลุกขึ้นเดินออกจากตัวบ้านไป หญิงสาวมีท่าทีรีบร้อนกว่าปกติ ทั้งๆที่มีเวลาอีกมากกว่าจะถึงเวลาทำงาน ความสงสัยที่ยังค้างคาใจสะกิดเตือนนกหนุ่มขึ้นมาอีกครั้ง

          ‘นี่ยังดีนะช่วงที่พิมพ์ป่วยชิชามีเพื่อนมาอยู่ด้วยบ่อยๆ ’

          เมื่อนึกถึงเรื่อง “เพื่อน” ของชิชา ชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะต้องแอบตามหญิงสาวออกไป ถึงแม้ว่ามันจะผิดคำพูดที่เขาได้ให้ไว้กับพินก็ตาม



          “จอดตรงนี้เลยครับ”

          มะลิเอ่ยบอกคนขับรถที่เขาโดยสารมาให้หยุดเมื่อเห็นหญิงสาววนรถเข้าไปในลานจอดของเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์เล็กๆ แห่งหนึ่งห่างไกลจากตัวเมือง เขาชำระค่าโดยสารก่อนจะรีบเปิดประตูลงจากรถ ไม่ไกลจากจุดที่มองเห็น ชิชาก้าวลงจากรถมาพลางเดินเข้าไปในอาคารอย่างรีบร้อน

          ที่เซอร์วิสอพาร์ทเมนท์แห่งนี้เป็นอาคารสูงแค่สามชั้น ตั้งอยู่ในซอยค่อนข้างลึกและไม่มีลิฟต์ให้บริการ จึงเป็นทางสะดวกของชายหนุ่มให้เขาสามารถติดตามหญิงสาวที่ไม่รู้เนื้อรู้ตัวว่ามีใครบางคนแอบตามเธอมาได้ไม่ยากนัก

          มะลิเดินตามไปด้วยฝีเท้าที่เบาที่สุดพลางเดินอยู่ห่างๆ หลังจากขึ้นบันไดมาชั้นแล้วชั้นเล่า ในที่สุดชิชาก็เดินมาถึงห้องที่เป็นจุดหมาย เธอเคาะประตูสองสามทีเรียกให้คนที่อยู่ข้างในมารับเธอเข้าไป

          ...และคนๆนั้นก็คือ

          “ไหม”



          ‘ไหมกับชิชา...?’




          ภาพความทรงจำบางอย่างฉายขึ้นมา แสงสว่างวาบจากประตูดึงความสนใจให้ชายหนุ่มเดินตามไป เมื่อมองเข้าไปภายในกลับพบหญิงสาวที่เขาไม่คิดว่าเธอจะมาอยู่ในที่แห่งนี้ “ไหม” เพื่อนหญิงคนสนิทของเขา

          เสียงสะอื้นร้องไห้และใบหน้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา มีใครอีกคนกำลังช่วยปลอบประโลมพลางใช้มือบอบบางปาดเช็ดหยดน้ำที่พรั่งพรูลงมาไม่หยุด

          “ไม่เป็นไรนะ...ไหมยังมีชิชาอยู่ด้วยทั้งคน”

          หญิงสาวที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาของเขา โอบกอดร่างที่กำลังสั่นเทาด้วยความเสียอกเสียใจ พิมพ์เองไม่ยักรู้มาก่อนว่าหญิงสาวทั้งสองจะสนิทชิดเชื้อกันถึงเพียงนี้ ทว่ามันกลับมีความรู้สึกบางอย่างที่ไม่ปกติ...ทำให้เขาตัดสินใจเลือกที่จะแอบมองอยู่ห่างๆ

          นิ้วมือที่ประดับแหวนบนนิ้วนางซ้ายไล้เกลี่ยเส้นผมตรงสวยของคนที่กำลังร่ำไห้ก่อนจะเลื่อนไปประคองใบหน้าเนียน ดวงตาคมโตสบมองคนตรงหน้าอย่างห่วงใย ก่อนจะจรดหน้าผากของเธอเข้ากับหน้าผากของอีกฝ่าย

          ไหมหลับตาลงปล่อยให้น้ำใสๆไหลเป็นทาง มือเรียวบางกอบกุมมืออุ่นที่ยังคงประทับอยู่บนใบหน้า ริมฝีปากบางแต่งแต้มสีแวววาวเคลื่อนเข้าหาหมายจะจรดแตะสัมผัส ทว่า...เสียงตะโกนลั่นของคนที่โกรธเกรี้ยวจนแทบบ้าดังขึ้นขัดจังหวะการปลอบโยนที่เกินเลยของคนทั้งสอง

          “ไหม!!! มึงจะทำอะไรกับเมียกู!!!”

          ‘Rrrrrr’

          เสียงโทรศัพท์มือถือของนกหนุ่มดังขึ้นจนทำเอาเขาตกใจหลุดจากภวังค์ ชายหนุ่มรีบคว้าขึ้นมาดูหวังจะรีบกดตัดกำจัดให้เสียงหายไป

          ‘พิน’

          ทว่าสายไปเสียแล้ว ตอนนี้สายตาตื่นตระหนกของหญิงทั้งสองต่างจับจ้องมาและมันทำให้มะลิได้รู้ตัวว่าตอนนี้...

          ถึงเวลาที่เขาจะเผชิญกับเรื่องราวอย่างตรงไปตรงมาเสียที...


++++++++++++++++



          เรื่องราวขมวดขึ้นมาถึงบทสรุปแล้วนะคะ ตอนหน้ามาเปิดปมของไหม ชิชา และพิมพ์กันค่ะ ฝากติดตามด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! My brother is the barn owl! บทที่27 : ความจริง 04/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 04-10-2019 14:19:16
 :a5:


 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี My brother is the barn owl บทที่ 28 : พิมพ์กับไหม 04/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: Timid Lily ที่ 07-10-2019 22:43:25

บทที่ 28 : พิมพ์กับไหม

         เสียงออดดังกังวานไปทั่วโรงเรียนเป็นสัญญาณหมดเวลาเรียนคาบสุดท้าย เด็กสาวหน้าตาสดใสในชุดนักเรียนมัธยมปลายกำลังเก็บเครื่องเขียนลงกระเป๋าเตรียมตัวกลับบ้าน

          “โอ๊ย!”

          ความรู้สึกเจ็บตึงๆบนศีรษะเนื่องจากมีคนขี้แกล้งบางคนดึงผมหางม้าของเธอจนผงะ เมื่อหันไปก็พบว่าเด็กหนุ่มหน้าคมกำลังยิ้มยียวนมาจากทางด้านหลัง

          “พิมพ์! แกล้งเราแรงๆอีกแล้วนะ”

          “ขอโทษๆ เผลอดึงแรงไปหน่อย เห็นไหมทีไรเรามันเขี้ยวทุกที”

          ไหมเป็นเด็กสาวที่ตัวค่อนข้างสูง ทำให้เธอไม่ใช่เป้าหมายที่น่าแกล้งน่าเอ็นดูสำหรับนักเรียนชายคนอื่นๆสักเท่าไหร่ เห็นจะมีก็แต่เพื่อนชายของเธอคนนี้เท่านั้นที่ชอบทำอะไรแบบนี้ คงเป็นเพราะความสนิทสนมของคนทั้งคู่ที่ทำให้ไม่มีใครเกรงใจใครทั้งนั้น

          “ไหมวันนี้ไปกินหนมปังเนยนมด้วยกันป่ะ?”

          “อ้าว...แล้ววันนี้แกไม่ต้องไปทำงานพิเศษหรอ?”

          พิมพ์เป็นเด็กหนุ่มที่มักจะยุ่งอยู่เสมอ ทุกวันหลังเลิกเรียนเขาจะต้องรีบไปทำงานพิเศษกว่าจะเลิกก็ดึกดื่น วันไหนเหนื่อยหน่อยเขาก็ถึงกับตื่นสายมาโรงเรียนไม่ทัน เป็นธุระให้ไหมต้องคอยโทรตามไปปลุกทุกที แต่ที่น่าทึ่งก็คือผลการเรียนของเขาไม่เคยตกลงเลย

          “วันนี้เราหยุด”

          “อืม งั้นก็ไปดิ”

          คนทั้งสองรีบลุกขึ้นจากโต๊ะเรียน พิมพ์รีบคว้ากระเป๋าของเด็กสาวมาถือไว้ให้ก่อนจะจูงมือไหมเดินออกจากห้องเรียนไปอย่างกระตือรือร้น

          “ไงคู่รักม.หกทับเก้า”

          “เพื่อนกันเว้ยไอ้สัส!”

          เสียงพิมพ์ตะโกนด่าเพื่อนชายห้องข้างๆที่แซวมาเสียงลั่น ถึงเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นบ่อยๆ แต่ไหมก็ทำใจให้ชินไม่ได้ซักที เธอรู้ดีว่าเพราะความสนิทสนมของทั้งสองทำให้คนเอาไปล้อกันบ่อยๆ ไหมได้แต่เขินไม่รู้จะเอาหน้าไปซุกไว้ตรงไหน เพราะตอนนี้กระเป๋าคู่ใจก็ดันไม่อยู่กับตัวเพราะมีคนเอาไปถือไว้ให้โดยไม่ขออนุญาต

          หัวใจดวงน้อยๆของเด็กสาวก็เช่นกัน...



          ในร้านขนมสีหวานที่อบอวลไปด้วยกลิ่นขนมปังปิ้ง ไหมกับพิมพ์กำลังผลัดกันจิ้มขนมปังหน้าเนยนมชิ้นแล้วชิ้นเล่าเข้าปาก ตอนนี้เด็กหนุ่มกำลังพินิจพิจารณาเด็กสาวเพื่อนร่วมโต๊ะ สำหรับพิมพ์ไหมเป็นเพื่อนหญิงที่หน้าตาก็จัดว่าน่ารักคนหนึ่ง ผิวพรรณสะอาด แถมมีรอยยิ้มพิฆาตกระชากใจ ทำให้เขาอดสงสัยไม่ได้

          “ไหม ทำไมแกไม่มีแฟนซักทีวะ?”

          พิมพ์เอ่ยขึ้นพลางใช้ส้อมจิ้มขนมปังเนยนมขึ้นมาก่อนจะยัดใส่ปาก ส่วนคนที่นั่งตรงข้ามยกนมเย็นสีชมพูหวานขึ้นดื่ม ริมฝีปากบางปล่อยออกจากหลอดช้าๆ ก่อนจะยิ้มกรุ้มกริ่มมองตอบเพื่อนชายของเธอกลับไป

          “หึ...ถามทำไม?”

          ไหมถามกลับพลางหัวเราะในลำคอ

          “เราว่าแกก็น่ารักดีนี่หว่า ทำไมไม่มีคนมาจีบวะ? หรือว่ามีแต่แกไม่บอกเรา”

          ไหมเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะเท้าคางพลางหันหน้าหนีไปทางอื่น

          “มี...แล้วทำไมเราจะต้องบอกพิมพ์ด้วยล่ะ?”

          “เฮ้ย! ไม่ได้นะเว้ย! ถ้าใครจะมาจีบแกต้องผ่านด่านเราไปให้ได้ซะก่อน”

          “เพื่ออะไรวะ?”

          “ก็เราหวงแกนี่หว่า”

          “หวง” ถึงไหมจะรู้ดีว่าสำหรับพิมพ์ คำๆนี้พูดขึ้นในฐานะเพื่อน แต่มันก็ทำให้เธออดใจสั่นไม่ได้ทุกที ไหมไม่เคยคิดเลยว่าการที่เธอเป็นเพื่อนสนิทกับพิมพ์จะทำให้ใจต้องทรมานขนาดนี้

          ‘พอเถอะพิมพ์...ถ้าไม่ได้คิดอะไรกับเรา ก็อย่าพูดจาแบบนี้เลย...’



          หลังจากที่กินขนมหวานเสร็จแล้ว ท้องไส้ของวัยกำลังโตเช่นคนทั้งสองไม่วายพากันไปกินเสต็กราคาประหยัดเป็นมื้อเย็นต่อจนอิ่มหนำ กว่าจะเสร็จสรรพดวงอาทิตย์ก็ได้ลาลับขอบฟ้าไปเสียแล้ว

          “มืดแล้วว่ะ เดี๋ยวเราจะไปส่งไหมให้ถึงบ้านเลยแล้วกันนะ คุณป้าจะได้ไม่เป็นห่วง”

          “ก็แล้วแต่...”

          ไหมอมยิ้มน้อยๆไม่ขัดเพื่อน การที่ได้ใช้เวลากับคนที่ชอบอีกสักนิดก็ทำให้ใจได้พองโตมีความสุข

          ‘Rrrrr’

          “ฮัลโหล พี่หยกหรอครับมีอะไรรึเปล่า?”

          พิมพ์ที่รับโทรศัพท์และดูเหมือนว่ากำลังคุยกับหญิงสาวอายุมากกว่าทำให้ไหมอดสงสัยไม่ได้

          “อ๋อผมอยู่แถวๆหน้าโรงเรียนครับพี่ กำลังจะกลับบ้าน...”

          “ปี๊น!” เสียงแตรรถดังขึ้นทำเอาทั้งสองสะดุ้งโหยง รถสปอร์ตสีดำแล่นเทียบเข้ามาใกล้ หญิงสาวท่าทางมั่นใจแต่งหน้าสวยโฉบเฉี่ยว หลังพวงมาลัยที่ในมือกำลังถือโทรศัพท์ลดกระจกลงพลางเอ่ยเรียกเด็กหนุ่มอย่างสนิทสนม

          “พิมพ์ รีบอยู่รึเปล่า?”

          “อ้าวพี่หยก! วันนี้ไม่เข้าร้านหรอครับ?”

          “เข้าสิ แต่เลิกงานแล้ว”

          “เลิกได้ไงพี่ร้านยังไม่ปิดเลย?”

          “เป็นเจ้าของร้านจะเลิกตอนไหนก็ได้ป่ะ?”

          หญิงสาวในรถยิ้มกริ่มให้เด็กหนุ่ม ดูเหมือนว่าเธอคนนี้จะเป็นเจ้าของร้านกาแฟที่พิมพ์ทำงานอยู่

          “แล้วพี่หยกโทรหาพิมพ์ทำไมหรอครับ?”

          “อ๋อ! ก็พี่บังเอิญผ่านมาแถวนี้ แล้วก็เห็นพิมพ์เดินอยู่กับแฟนพอดีเลยกะจะทักทายซักหน่อย”

          “แฟนเฟินอะไรพี่ นี่ไหมเพื่อนพิมพ์เอง”

          “เอ่อ...สวัสดีค่ะ”

          ไหมยกมือไหว้เมื่อถูกแนะนำตัวแบบงงๆ

          “ถ้างั้นน้องไหม...พี่ขอยืมตัวเพื่อนน้องก่อนได้มั้ยคะ?”

          “คะ?”     

          ไหมอึกอักตอบรับกลับไป เธอรู้สึกไม่ค่อยถูกชะตากับผู้หญิงคนนี้สักเท่าไหร่

          “พิมพ์ไปกินเหล้าเป็นเพื่อนพี่หน่อยสิ”

          “เอ่อ...”     

          พิมพ์หันไปสบตาไหมครู่หนึ่งก่อนจะหันกลับมาตอบหญิงสาว

          “ไปสิพี่...แต่ผมยังอยู่ในชุดนักเรียนอยู่เลย”

          “ไม่เป็นไร พิมพ์อยากจะแต่งตัวหล่อขนาดไหนล่ะ? เดี๋ยวพี่จัดให้ ขึ้นรถมาสิ”

          เด็กหนุ่มรีบทำตามเขาเปิดประตูรถหรูออก แต่ก่อนที่จะดันตัวลงนั่งเขาก็เอ่ยขึ้นกระซิบกระซาบกับเด็กสาว

          “ไหมโทดทีว่ะ แกกลับเองแล้วกันนะ”

          ไหมได้แต่คิดในใจว่าก็คงต้องเป็นแบบนั้น เพื่อนอย่างเธอคงไม่มีอะไรจะมาสู้สาวสวยอายุมากกว่าแถมท่าทางจะกระเป๋าหนักแบบหญิงสาวที่นั่งอยู่บนรถได้หรอก

          “เออ...แล้วถ้าพ่อกับแม่เราโทรมาถาม ให้แกตอบไปนะว่าเราค้างที่ร้าน”

          พิมพ์งับประตูรถปิดลง พลางโบกมือน้อยๆลาเพื่อนของเขา เด็กสาวได้แต่ทำหน้าเซ็งเดินจากไป นี่ไม่ใช่หนแรกที่พิมพ์ทิ้งเธอไว้กลางทางเช่นนี้

          “เออไหม เราลืมบอกไป”

          เสียงเด็กหนุ่มตะโกนออกมาจากทางหน้าต่างรถ

          “พรุ่งนี้ช่วยโทรปลุกเราด้วยนะ! ไปล่ะ!”

          ถ้าลองนับๆดูไม่รู้กี่ครั้งกี่หนแล้วที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ พิมพ์ทิ้งไหมแล้วไปกับผู้หญิงคนอื่น ไหนจะครูฝึกสอน ลูกค้าที่ร้าน แล้วล่าสุดก็เจ้าของร้านคนนี้ ที่สำคัญทุกครั้งก็ไม่วายต้องเดือดร้อนถึงเธอต้องคอยช่วยโกหกแก้ต่างตามน้ำให้เด็กหนุ่มที่หายตัวไปไม่กลับบ้านจนพ่อแม่เป็นเดือดเป็นร้อน

          ที่สำคัญกว่านั้นคือ “หัวใจ” ไม่รู้ทำไมถึงยังหลงรักคนๆนี้ต่อไป เวลาที่ไหมพยายามเอาใจออกห่าง พิมพ์ก็จะดึงความรู้สึกเธอกลับเข้าไป แต่เมื่อไหร่ที่ไหมรู้สึกอยากมอบใจไว้ให้ พิมพ์ก็จะผลักไสเธอออกไป วนเวียนอยู่แบบนี้ซ้ำไปซ้ำมา

          ‘พิมพ์...ถ้าเราเกลียดแก...เราคงไม่ต้องปวดใจแบบนี้’



          เวลาผันผ่าน ชีวิตของเด็กสาวที่เคยเวียนวนผูกพันกับเพื่อนหนุ่มคนสนิทในที่สุดก็ถึงเวลาได้ห่างกันเสียที “ไหม” ที่สอบติดคณะแพทยศาสตร์กับ “พิมพ์” ที่ได้ทุนเรียนคณะนิติศาสตร์ ตอนนี้ก็ได้แยกย้ายกันไปเรียนคนละมหาวิทยาลัย เป็นเรื่องดีที่ไหมจะได้พักใจของเธอให้ลืมๆ พิมพ์ไปบ้าง

          และ “ชิชา” ก็ปรากฏตัวขึ้นมา...



          “ไหมนี่ชิชา แฟนเราเอง”

          ชายหนุ่มแนะนำคนรักของเขาให้เพื่อนสาวคนสนิทรู้จัก สำหรับไหมเธอมองว่าชิชาคือผู้หญิงที่เป็นสเป็คของพิมพ์อย่างแท้จริง หญิงสาวผิวสีน้ำผึ้งรูปร่างเล็กอ้อนแอ้นทว่ามีทรวดทรงสมเป็นผู้หญิง ใบหน้าสวยหวานดวงตางดงามสะกดใจ ริมฝีปากเล็กๆ ที่ถูกแต่งแต้มสีสันเอาไว้ แม้แต่ตัวเธอเองก็พูดได้เต็มปากว่า “ชิชา” เป็นผู้หญิงที่สวยน่ารักดึงดูดใจ เป็นทุกอย่างที่ตรงข้ามกับเธอโดยสิ้นเชิง

          ในที่สุด “พิมพ์” ก็มีแฟนเป็นตัวเป็นตน คงถึงเวลาที่ไหมจะต้องตัดใจจากคนๆ นี้เสียที ถึงแม้เธอจะกำลังเสียใจ แต่ไม่รู้ทำไมน้ำตาถึงไม่ไหลออกมาสักหยด อาจเป็นเพราะเธอ “เจ็บ” จนชินชา ทำให้เธอสามารถฝืนยิ้มออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ

          “ชิชาหรอ แฟนแกน่ารักดีเนอะ”

          ไหมเอ่ยชมหญิงสาวที่กำลังอมยิ้มให้ โดยที่ไม่เคยรู้เลยว่า...วันหนึ่ง คนที่เธอเอ่ยชมว่าน่ารักคนนี้...

          จะเข้ามามีผลกระทบกับหัวใจของเธอ



     



          คำกล่าวที่ว่า “เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก” คงจะไม่เกินจริงนัก ไหมที่เรียนหนักจนแทบจะไม่มีเวลาไปสังสรรค์กับใคร แทบจะหายไปจากกลุ่มเพื่อนสมัยมัธยม กว่าจะรู้ตัวอีกทีตอนนี้ทุกคนต่างทยอยกันไปสร้างครอบครัว แม้แต่พิมพ์กับชิชาก็แต่งงานกันไปแล้วเรียบร้อย ในขณะที่เธอยังเป็นสาวโสดเงียบเหงาอยู่จนถึงตอนนี้

          เสียงอึกทึกของวงดนตรีในร้าน กลุ่มคนที่นั่งล้อมโต๊ะเสวนาตะโกนแข่งกันคุยแบบไม่มีใครยอมใคร วันนี้เป็นวันเลี้ยงรุ่นของห้องม.หกทับเก้า เป็นโอกาสดีที่ไหมที่เรียนจบเสียทีจะได้มีโอกาสมาสังสรรค์กับเพื่อนๆบ้าง     

          “คนนี้คือชิชาแฟนพิมพ์หรอ เห็นบอกว่าทำงานเป็นแอร์ใช่ป่ะ? สบายเนอะทำงานก็เหมือนไปเที่ยว แทบจะไม่ต้องคิดอะไร”

          ไหมนั่งมองการสนทนาอยู่ฝั่งตรงข้าม หญิงสาวท่าทางจัดจ้านมั่นใจคนหนึ่งเอ่ยขึ้นถามชายหนุ่ม เธอคนนี้เป็นเพื่อนร่วมห้องสมัยมัธยมที่ดูเปลี่ยนไปมาก จากผู้หญิงหัวยุ่งๆพูดไม่ค่อยเก่งแต่งตัวก็ไม่ค่อยเป็น ตอนนี้กลายเป็นหญิงสาวสวยสะพรั่งคนหนึ่งแถมยังฉะฉานไม่เหมือนเคย

          “งานของชิชาก็ไม่ได้สบายขนาดนั้นหรอก เหนื่อยเหมือนกัน มันมีอะไรมากกว่าที่คนทั่วไปเข้าใจเยอะน่ะ”

          ชิชาโต้ตอบกลับไป ถึงแม้ว่าจะชินแล้วที่ถูกคนทั่วไปมองว่าอาชีพของเธอก็แค่ทำตัวสวยๆ ยิ้มต้อนรับผู้โดยสาร พอเครื่องแลนด์ก็ไปค้างคืนเที่ยวต่างประเทศเพลินๆ มันทำให้อดขัดใจไม่ได้ เพราะความเป็นจริงแล้วงานมันเหนื่อยสายตัวแทบขาด ไหนจะต้องอดกลั้นกับผู้โดยสารแสนดื้อด้าน อดหลับอดนอนปรับตัวให้เข้ากับเวลา ไหนจะต้องมีการฝึกการสอบทุกปีให้ต้องอ่านหนังสือกันจนหัวฟู และอีกสารพัดอย่างที่เธอต้องทำโดยที่คนภายนอกไม่อาจล่วงรู้

          “หรอ? แต่ก็คุ้มนี่ ชิชาก็ได้เงินเดือนตั้งเยอะ ดูเราสิเป็นเซลล์ แค่พูดจาดีเอาใจเก่งอย่างเดียวไม่พอนะ ยังต้องรู้จริง ถ้าลูกค้าถามอะไรมาแล้วเผลอตอบไปโง่ๆล่ะก็ คงเจ๊งกันยกทีม”

          ชิชาได้แต่หรี่ตามองคนที่เอาแต่พูดราวกับย้ำนักย้ำหนาว่างานของตัวเองต้องใช้ความพยายามมากกว่า ต้องมีความรู้มากกว่า เธอเกลียดสายตาสีหน้าที่อ่านออกได้ว่า “ชิชาเป็นแค่ผู้หญิงที่ใช้แค่ความสวยทำงาน”

          “นี่ชิชา ถ้าชิชาบินไปยุโรป เราจะฝากซื้อกระเป๋ามั่งได้ป่ะ?”

          ‘มาอีกแล้วพวกขี้ฝาก สนิทกันตอนไหนไม่ทราบ?’

          “ได้ดิ ไม่ต้องเกรงใจ แต่เงินต้องมาก่อนนะเว้ย”

          คนที่ตอบรับกลับไปดันเป็น “พิมพ์” สามีตัวดีของเธอเสียอย่างนั้น ชิชารู้ทันว่าผู้ชายคนนี้คงจะแอบคิดค่าหิ้วไม่ยอมทำอะไรให้ใครฟรีๆ ทว่าได้ถามคนเป็นภรรยาบ้างรึยัง? ว่าอยากจะลดเวลานอนออกไปเดินซื้อของให้คนที่เริ่มเหม็นขี้หน้าบ้างรึเปล่า

          ชิชาถอนใจอย่างไม่สบอารมณ์ เธอได้แต่เงียบไม่ตอบโต้อะไรออกมา ไหมที่นั่งสังเกตการณ์อยู่เงียบๆตอนนี้ก็เลื่อนข้อไก่ทอดในจากไปให้หญิงสาวที่ทำหน้าบูดอยู่ฝั่งตรงข้าม

          “กินมั้ยชิชา? แก้หงุดหงิด”

          หญิงสาวเลิกคิ้วขึ้นมองคู่สนทนาที่ส่งยิ้มกริ่มมาให้ ชิชาแอบแปลกใจที่ไหมรู้ทันรีบคว้าข้อไก่ทอดใส่ปากเคี้ยวกร้วมๆอมยิ้มกลับไป

สุดท้ายแล้วเจ้าข้อไก่ทอดก็ไม่ได้ช่วยอะไร...

          ผู้หญิงคนนั้นยึดสามีของเธอไปคุยจ้อด้วยไม่หยุด แถมคุยกันในเรื่องที่ชิชาไม่เข้าใจ ไม่มีตรงไหนให้เธอเข้าไปแทรกได้ ตอนนี้หญิงสาวเริ่มรู้สึกราวกับตัวเองเป็นคนโง่ขึ้นมาจริงๆที่ไม่มีความรู้อะไรจะไปฟาดฟันกับเขา

          ความไม่พอใจก่อตัวขึ้น จะว่าหึงหวงก็ไม่ใช่เพราะชิชาไม่ได้จัดว่าเป็นคนขี้หึง แต่เพราะหมั่นไส้ยัยคนนั้นมากกว่าถึงได้รู้สึกว่าถึงเวลาที่จะต้องทวงคืนสามีกลับมาได้แล้ว

          “พิมพ์”

          “ว่าไงชิชา”

          “ชิชาอยากดื่ม ชงเหล้าให้ชิชาหน่อยสิ...นะ”

          “เอ้าก็เรียกเด็กมาชงให้สิ จะมาใช้พิมพ์ทำไม”

          “ก็เรียกแล้วน้องเค้าไม่ว่างกันเลยนี่”

          “งั้นก็รอไป...”

          ความพยายามในการเรียกร้องความสนใจไม่เป็นผล เมื่อสามีของเธอหันมาตอบส่งๆแล้วหันกลับไปคุยกลับเพื่อนสาวอีกคนอย่างเมามัน ไหมที่เห็นอย่างนั้นเลยชงเครื่องดื่มสีน้ำตาลอ่อนใสมาวางไว้ตรงหน้าคนหงอย

          “อ่ะ...เหล้าผสมสไปร์ท”

          “ขอบคุณนะไหม...”

          ชิชารับเครื่องดื่มเย็นๆในแก้วมาหน้าเจื่อน เธอกระดกเหล้าพรวดๆหวังจะคลายความหงุดหงิดแต่มันกลับไม่ช่วยอะไร

          “พิมพ์!”

          “มีอะไรอีกชิชา?”

          “ชิชาอยากกลับบ้านแล้ว...”     

          หญิงสาวเริ่มงอแงเมื่อถูกปฎิบัติราวกับว่าเธอไม่สำคัญ

          “อะไรเนี่ยชิชา? ไหนคุยกันแล้วไงว่าจะอยู่จนถึงเที่ยงคืน นี่เพิ่งจะสี่ทุ่มครึ่งเอง”

          “ก็ชิชาเหนื่อยแล้วนี่พิมพ์”

          “งั้นขออยู่ต่ออีกชั่วโมงนึง”

          “ไม่เอาชิชาจะกลับเดี๋ยวนี้”

          “โอ๊ย! ชิชาอย่ามางี่เง่าไร้สาระได้ป่ะ? ถ้าเหนื่อยจะตามพิมพ์มาทำไมล่ะ?”

          “ไม่รู้ล่ะ ถ้าพิมพ์ไม่กลับชิชากลับไปคนเดียวก็ได้”

          “เอองั้นก็ตามใจ”

          คงจะจริงที่ว่าหลายๆ คู่แต่งงานกันมาได้ไม่เท่าไหร่ก็ไม่เอาใจใส่กันเหมือนเดิม พิมพ์เองก็อดรำคาญที่ภรรยาของเขาเอาแต่ใจไม่ได้ ส่วนชิชาก็หงุดหงิดใจที่สามีของเธอดูไม่ใส่ใจอะไรทั้งสิ้น

          คนงอนสะบัดสะบิ้งเดินออกจากร้านไป ในใจเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองที่สามีของเธอเห็นเพื่อนหญิงที่ดูสวยราวกับตัดหัวเก่าทิ้งไปเอาของใหม่มาใส่ดีกว่าภรรยาที่สวยมาตั้งนานแล้วอย่างเธอเป็นไหนๆ

          “ชิชาให้เราไปส่งมั้ย?”

          น่าแปลกที่คนที่ควรจะตามมากลับไม่ใช่พิมพ์ ทว่ากลับเป็น “ไหม” เพื่อนสนิทสามีของเธอที่นั่งเงียบมาตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้

          “ไม่เป็นไรหรอก...ไหมไปอยู่กับเพื่อนๆเถอะ ชิชาเกรงใจ”

          เจ้าของใบหน้าหมองตอบปฏิเสธ ไหมที่เห็นแบบนั้นจึงยิ้มขึ้นก่อนจะพูดออกไปด้วยความปรารถนาดี

          “เราไปส่งดีกว่า ดึกแล้วอย่านั่งแท็กซี่เลย อันตราย...”



          ชิชาได้ขึ้นมานั่งอยู่บนรถของหมอหญิงเรียบร้อยแล้ว เธอดึงสายเข็มขัดออกมารัด ในขณะที่หญิงสาวอีกคนเหยียบคันเร่งให้เจ้ารถสีบรอนซ์คันเก่งวิ่งไปข้างหน้า

          “ขอบคุณนะไหมที่อุตส่าห์ไปส่งเรา”

          ชิชาเอ่ยขอบคุณไหมจากใจที่มีน้ำใจกับเธอ ในขณะที่คนเป็นสามีกลับไม่ได้ให้ความสำคัญใดๆ

          “ไม่เป็นเรา เราเองก็ขี้เกียจนั่งอยู่ตรงนั้นแล้วเหมือนกัน...”

          “ทำไมล่ะ? ไหมไม่สนุกหรอ?”

          “ก็ไม่เชิง...เรารำคาญใครบางคนมากกว่า...”

          คนหลังพวงมาลัยแตะเบรกรถเมื่อเห็นสัญญาณไฟแดง

          “เรารู้นะว่าชิชาไม่ชอบน้ำตาลใช่มั้ยล่ะ?”

          น้ำตาลคือเพื่อนสาวที่ยึดสามีของชิชาไปจนเป็นเหตุให้เธอต้องหนีกลับออกมาแบบนี้

          “เราเองก็ไม่ชอบเหมือนกัน”

          ไหมหันไปยิ้มกริ่มให้คนข้างๆ ชิชาเองก็ยิ้มกว้างตอบกลับไปให้คนรู้ทัน

          “ความจริงชิชายังไม่อยากกลับหรอก ชิชาชอบเที่ยวนั่งชิวจะตาย นานๆทีพิมพ์ถึงจะยอมให้ชิชาออกมาด้วย...”

          “ถ้างั้นก็ยังไม่ต้องกลับก็ได้ เราไปเที่ยวกันสองคนซะเลยดีมั้ย?”

          “เอาสิ! ชิชารู้จักร้านดีๆหลายที่เลย”

          สัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนสีเขียวสว่าง หมอหญิงเหยียบคันเร่งให้รถพุ่งตัวไปเบื้องหน้า อาจจะดูน่าแปลกที่เธอเลือกที่จะชวนภรรยาของคนที่ลืมไม่ลงไปเที่ยวด้วยกันสองคน แต่มันกลับสบายใจอย่างน่าประหลาด

          และสิ่งที่ตามมาในคืนนั้นคือชิชาเมาแอ๋จนไม่ได้กลับคอนโด...

หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! My brother is the barn owl! บทที่29 : ไหมกับชิชา 11/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: Timid Lily ที่ 11-10-2019 12:14:44

บทที่ 29 : ไหมกับชิชา

          “ชิชาเบื่อพิมพ์”

          หญิงสาวที่หน้าแดงก่ำกลิ่นคละคลุ้งไปด้วยแอลกอฮอล์ กำลังเดินโซเซโดยที่มีหญิงสาวอีกคนช่วยพยุง

          “ชิชาๆ ประตูบ้านอยู่ทางนี้”

          ไหมที่ประคองชิชาอย่างทุลักทุเลพยายามนำคนที่ก้ำกึ่งไม่ได้สติให้เดินเข้ามาในบ้านของตน

          “ทั้งขี้งก ปากก็ร้าย ไหนจะชอบหว่านเสน่ห์จนมีพวกลูกความสาวๆสวยๆคอยมาตามตื๊อ ไหนจะทนายด้วยกันแล้วก็อีกสารพัด ขนาดชิชาไม่ใช่คนขี้หึงนะ แต่มันชักจะเยอะไปหน่อยแล้ว!”

          ชิชาทิ้งตัวลงนอนบนเตียงของไหม ปากก็ยังพร่ำตัดพ้อเรื่องสามีไม่หยุด

          “ไหม...พิมพ์มีอะไรดีนักห๊ะ?”

          ไหมที่นั่งอยู่บนเตียงฟังพลางอมยิ้มขำไปด้วย เธอรู้จักนิสัยเพื่อนคนนี้ดี

          “ผู้หญิงคนไหนที่ได้รู้จักพิมพ์ก็ชอบมันทั้งนั้นแหละ”

          เธอเองก็ไม่แตกต่าง...

          “หรอ...แต่ถ้าชิชารู้ว่าพิมพ์เป็นคนแบบนี้ตั้งแต่แรกนะ...ชิชาคงจะเกลียดพิมพ์”

          “เกลียด” เป็นอีกความรู้สึกหนึ่งที่ไหมมีต่อพิมพ์และมันก็รุนแรงไม่แพ้ความรู้สึกรักที่เธอมีให้กับเขา ช่างน่าแปลกที่ความรู้สึกทั้งสองมัน ปนเปกันจนไหมเองก็ไม่เข้าใจ สิ่งเดียวที่เธอนึกสมเพชก็คือ คนที่รู้ข้อเสียมากมายของพิมพ์เช่นเธอ ทำไมกลับยังห้ามใจไม่ให้ตกหลุมรักคนๆนี้ไม่ได้

          และแล้ว...วันรุ่งขึ้นแห่งความเลวร้ายก็ได้มาถึง



          “ชิชาทำไมไม่กลับคอนโด? ! โทรไปก็ไม่รับสายไปทำอะไรมา?!”

          พิมพ์ขึ้นเสียงถามหญิงสาวที่เป็นภรรยาดังลั่น ในขณะที่ชิชาก็ตอบโต้กลับไปใส่อารมณ์ไม่แพ้กัน

          “พิมพ์จะอยากรู้ไปทำไม? พิมพ์ก็ไม่ได้คิดจะสนใจชิชาอยู่แล้วนี่”

          “อย่ามางี่เง่านะชิชา!”

          “ชิชาไม่ได้งี่เง่า พิมพ์นั่นแหละที่น่ารำคาญ!”

          “ชิชา!”

          “เดี๋ยวๆๆ ใจเย็นๆ ฟังเราก่อน”

          ไหมเห็นท่าไม่ดีจึงรีบเอ่ยปรามคนจะตีกัน

          “เมื่อคืนชิชาไปเที่ยวต่อกับเราเอง แล้วก็ดื่มไปเยอะเลยไปค้างบ้านเรามา”

          “อ๋อเดี๋ยวนี้สนิทกันขนาดนี้เลยหรอ? เราจะบอกอะไรให้นะไหม เราไม่ชอบให้เมียเราออกไปเที่ยวกลางคืน เมาทีไรควบคุมตัวเองไม่ได้ทุกที!”

          พิมพ์ขึ้นเสียงใส่ไหมที่เป็นผู้สมรู้ร่วมคิด ทำให้เธอได้แต่ถอนหายใจหน้าเสียไปอีกคน

          “พิมพ์ไม่ต้องไปว่าไหมเลยนะ แล้วถึงชิชาจะเมา ชิชาก็ไม่เคยทำตัวเสียๆหายๆเลยซักครั้งเดียว พิมพ์ดูตัวเองบ้างเหอะ ขนาดไม่ได้เมาแต่ก็ทำเหมือนไม่เห็นหัวเมียตัวเอง!”

          พูดจบชิชาก็เดินหนีเข้าไปในห้องนอน ทิ้งพิมพ์ให้โมโหเดือดดาลอยู่คนเดียว

          “ชิชา! กลับมาคุยกันให้รู้เรื่องเลย!”

          พิมพ์ตวาดลั่นหวังจะให้คนในห้องได้ยิน ขายาวๆจะก้าวเดินตามภรรยาที่เขาเห็นว่าสุดแสนจะงี่เง่าให้มาคุยกันให้จบ แต่กลับถูกใครอีกคนรั้งแขนเอาไว้

          “ใจเย็นๆนะแก ค่อยๆพูดค่อยๆจากันก็ได้”

          “ไหม! แกกลับไปก่อนเถอะ”

          พูดจบพิมพ์ก็ดันตัวไหมออกจากห้องไปก่อนจะปิดประตูลงเสียงดัง เสียงคนโวยวายเถียงกันดังมาจากข้างใน ไหมได้แต่ทอดถอนใจและจากไปเพราะมันไม่ใช่เรื่องที่คนนอกอย่างเธอจะเข้าไปยุ่งอะไรได้



          “ครืด” เสียงโทรศัพท์มือถือสั่นเรียกร้องความสนใจจากหญิงสาวที่กำลังง่วนอยู่กับการเก็บข้าวของเตรียมตัวเดินทางกลับโรงพยาบาลต่างจังหวัด เมื่อไหมคว้ามันขึ้นมาดูก็พบว่าคนที่โทรมาคือหญิงสาวที่มานอนค้างกับเธอเมื่อคืนนั่นเอง

          [ไหม...ชิชาเอง...]

          “มีอะไรหรอชิชา?”

          [ชิชายังไม่ได้ขอบคุณไหมเลยทั้งเรื่องเมื่อวาน แล้วก็เรื่องวันนี้...]

          “อ๋อ ไม่เป็นไร”

          [แล้วก็อยากจะขอโทษไหมด้วยนะ...]     

          คำว่า “ขอโทษ” ของปลายสายสั่นเครือ ชิชาพยายามกลั้นสะอื้นแต่ไหมก็รับรู้ได้ทันทีว่าคู่สนทนากำลังร้องไห้เสียใจอยู่ และรู้ดีว่าอะไรคือต้นเหตุ

          “ชิชา...?”

          [ไหม...ชิชาอึดอัด...ช่วยฟังชิชาหน่อยได้มั้ย?]

          “อืม...ได้สิ”

          ความคับข้องใจพรั่งพรูออกมาไม่หยุด ดูเหมือนว่านี่จะไม่ใช่หนแรกที่หญิงสาวมีปัญหากับสามี ความรู้สึกหลายๆอย่างที่เธอเก็บเอาไว้ในใจตอนนี้กำลังถูกระบายให้ใครอีกคนได้ฟัง มันโล่งขึ้นราวกับความทุกข์หนักๆ ที่ถูกกดทับไว้ปลดเปลื้องออกไปจากใจ

          นับตั้งแต่นั้นมา “ไหม” ก็กลายเป็นคนที่คอยรับฟังปัญหาระหว่างชิชากับพิมพ์ ชิชาจะโทรมาหาและมานั่งเล่นที่บ้านไหมทุกครั้งที่มีโอกาส ทั้งสองสนิทสนมกันมากขึ้น ในขณะเดียวกันระยะห่างระหว่างชิชากับสามีก็มากขึ้นทุกวันเช่นกัน

          และหนหนึ่งความขัดแย้งระหว่างชิชากับพิมพ์คงจะรุนแรง...รุนแรงมากจนหญิงสาวตัดสินใจขับรถมาหาไหมถึงบ้านพักที่ต่างจังหวัด



          “ไหม...”

          หญิงสาวที่ดวงตาบวมช้ำราวกับเสียน้ำตามาอย่างหนักกำลังยืมเศร้าซึมอยู่ตรงหน้าไหมที่เปิดประตูห้องออกมา

          “ชิชาขอคุยด้วยหน่อยได้มั้ย?”



          “พิมพ์ไม่เคยเข้าใจอะไรชิชาเลยซักอย่าง”

          ชิชากำลังตัดพ้อเรื่องที่เธอไม่อยากบินไปจนแก่จึงตัดสินใจร่วมหุ้นทำธุรกิจกับเพื่อน เธอสินใจควักเงินเก็บทั้งหมดลงทุนไป ทว่ากิจการไปได้ไม่สวย เพื่อที่จะช่วยเพื่อนๆอุ้มธุรกิจไว้จึงตัดสินใจขอยืมเงินพิมพ์แต่พิมพ์ไม่ให้และบังคับให้เธอถอนหุ้นออกมาอย่างจำใจ

          “พิมพ์มองทุกอย่างเป็นเรื่องกำไรขาดทุนไปหมด เห็นแก่ตัว! ไม่มีน้ำใจ!”

          “แต่ไหมคิดว่าพิมพ์พยายามจะปกป้องชิชานะ...”

          “ตรงไหนหรอไหม? พิมพ์ว่าชิชาโง่ หาว่าชิชาโดนหลอกอย่างนั้นอย่างนี้”

          “พิมพ์ก็แค่ปากร้ายน่ะชิชา พิมพ์ไม่อยากให้ชิชาต้องเจ็บตัวมากไปกว่านี้ก็แค่นั้นเอง”

          คนงอแงนิ่งคิดตาม จริงอย่างที่หมอหญิงว่า หากเธอตัดสินใจดันทุรังลงทุนต่อไป บางทีอาจจะไม่เหลืออะไรเลยก็เป็นได้

          “ไหม...ทำไมไหมถึงเป็นคนดีจัง?”

          “อารมณ์ไหนเนี่ยชิชา?”

          คนถูกชมกลายๆยิ้มขึ้น ไหมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าชิชานึกอะไรอยู่ถึงเอ่ยชมเธอขึ้นมา

          “ก็ไหมคอยรับฟังชิชาตลอดเลย แล้วก็คอยให้คำแนะนำเตือนสติชิชาด้วย ทำไมคนดีๆอย่างไหมถึงไม่มีแฟนกับเค้าซักที?”

          ไหมเลิกคิ้วขึ้นพลางคิดในใจ เธอจะเอาเวลาที่ไหนไปเจอใครในเมื่อต้องทำงานจนหัวฟู

          “ไหมก็หน้าตาน่ารักจะตาย ไม่มีคนมาจีบเลยหรือไง?”

          “เราทำงานหนักน่ะชิชา ไม่มีเวลาหรอก”

          “แล้วไหมเคยมีแฟนมาก่อนมั้ย?”

          หมอหญิงได้แต่ส่ายหน้า เพราะตั้งแต่เกิดมาเธอมีพิมพ์เป็นรักแรกและตอนนี้ก็ยังไม่มีโอกาสเปลี่ยนใจไปรักใคร

          “งั้นก็แปลว่าไหมไม่เคยมีจูบแรกเลยงั้นหรอ?”

          บทสนทนาหวานแหววแบบที่ไหมแทบจะไม่เคยคุยกับใครมาก่อนทำให้เธอรู้สึกจักจี้เล็กๆ เธอได้แต่ยิ้มปุเลี่ยนๆกลับไป

          “ถ้าชิชาเป็นผู้ชาย ชิชาก็จะจีบผู้หญิงแบบไหมนี่แหละ”

          ชิชาฉีกยิ้มหวานให้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีผู้หญิงมาพูดกับไหมเช่นนี้ แต่พอเป็นชิชาหญิงสาวผู้เป็นภรรยาของเพื่อนที่เธอแอบรักเป็นคนพูดขึ้นมา มันชวนให้ไหมรู้สึกสับสนในความรู้สึก...

          คนที่ได้ครอบครองทั้งร่างกายและหัวใจของคนๆนั้น

          กลับมาพูดกับเธอเช่นนี้...

          ย้อนแย้งสิ้นดี

          “ถ้าได้จูบกับคนที่ชอบมันจะรู้สึกยังไงหรอ?”

          ไหมสบตาคนตรงหน้าจริงจัง ลึกๆเธอก็อดอิจฉาไม่ได้ที่ชิชาได้ครอบครองริมฝีปากของชายที่เธอโหยหา

          ความเงียบเข้าครอบคลุมบรรยากาศโดยรอบ สายตาที่ชิชาไม่เข้าใจกลับดึงเธอเข้าไปให้จมอยู่ในห้วงแห่งความอ่อนไหว เธอเองก็อยากจะเฉลยให้หญิงสาวได้เข้าใจว่าหากได้จูบกับคนที่ชอบมันรู้สึกยังไง เพราะตอนนี้เธอเองก็เริ่มระงับความรู้สึกของตัวเองไว้ไม่ได้

          ‘ถ้าได้จูบกับคนที่ชอบ...’

          ริมฝีปากเล็กๆแตะสัมผัสมอบจูบแผ่วเบาอ่อนหวาน ทอดส่งอารมณ์หลงใหลให้คนตรงหน้า ช่างน่าตกใจที่อีกฝ่ายไม่มีทีท่าแข็งขืน ไหมรับจูบตอบกลับละมุนละไม ความรู้สึกภายในผสมปนเป

          จูบจากหญิงสาวอีกคนที่เธอไม่เคยคิดอะไร...

          จูบจากคนที่เคยลิ้มรสริมฝีปากของชายที่เธอมอบใจให้...

          ทำไม...? ทำไมถึงไม่อาจหักห้ามใจได้เลย...



          ชีวิตคือความไม่แน่นอน พายุลูกใหญ่ได้มาเยือนแพทย์หญิงผู้น่าสงสาร ความผิดพลาดครั้งใหญ่ในชีวิตกำลังทำลายและผลักเธอลงสู่เหวลึกมืดสนิทไร้จุดสิ้นสุด

          ผิดที่ไม่รู้จักหักห้าม เริ่มเปิดใจให้คนมีเจ้าของ…

          ผิดที่ทะนงตน ไม่ฟังคำใครรักษาคนไข้จนผิดพลาดแม้เป็นเจตนาดี…

          ผิดที่เลือกคบคนบางคน รู้ทั้งรู้ว่าเพื่อนคนนี้มีนิสัยเช่นไรแต่กลับยังวางใจ...




          “ไหม! ทำไมไหมถึงยอมปล่อยให้พิมพ์ขูดเลือดขูดเนื้อซะขนาดนั้นล่ะ? ถ้าเป็นชิชา ชิชาจะไปจ้างให้ทนายคนอื่นทำคดีให้แล้ว”

          “เราจำเป็นน่ะชิชา เพราะตอนนี้มีแต่พิมพ์เท่านั้นที่เราพอจะไว้ใจได้”

          เพราะพิมพ์ได้กลายมาเป็นหนึ่งในผู้สมรู้ร่วมคิดในการกระทำความผิดบางอย่าง...

          “ชิชาเข้าใจ...”

          แขนเล็กๆ โผโอบกอดหญิงสาวที่กำลังน้ำตาคลอเบ้า ชิชาลูบแผ่นหลังแคบๆเป็นการปลอบโยน ถ้าเป็นไปได้เธอไม่อยากเห็นน้ำตาของ “หญิงสาวผู้เป็นที่รัก” คนนี้เลยแม้แต่น้อย

          แต่สุดท้าย “ผู้ชายคนนั้น” ก็ทำให้ “คนที่เธอรัก” ต้องเสียน้ำตา



          “ทำไมพิมพ์ถึงทำแบบนี้?! คนเลว! ชิชาเกลียดพิมพ์!”

          เพราะชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของเธอเป็นต้นเหตุทำให้แม่ของไหมที่เธอรักตัดสินใจจบชีวิตของตัวเอง

          เพราะคำพูดของคนเลวๆทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งต้องสูญเสียมารดาผู้เป็นที่รักไป

          “พอได้แล้วชิชา!”

          อารมณ์ที่พลุ่งพล่านขึ้นทำให้ทนายหนุ่มเลิกที่จะกดข่มโทสะของตนอีกต่อไป มือแข็งแรงคว้าแขนบอบบางบีบแน่นก่อนจะเหวี่ยงสตรีที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาล้มลงที่พื้น

          “โอ๊ย! พิมพ์ทำแบบนี้กับชิชาได้ยังไง?!”

          จากความรักแปรเปลี่ยนเป็นความบาดหมาง

          ความเกลียดชังก่อตัวขึ้นกัดกินข้างใน...

          พอกันทีกับการที่จะต้องฝืนทนอยู่กับคนที่เธอหมดใจ


          “ชิชาจะหย่า!”

          ทว่าการจะหย่าร้างกับใครสักคนกลับไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะก่อนที่จะตัดสินใจทำลงไป ชิชาก็ต้องมานั่งฟังเสียงของคนรอบข้างที่จะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นได้ง่ายๆ คนที่เป็นสามีของเธอก็เช่นกัน หญิงสาวเหนื่อยมากแล้วกับชีวิตคู่ที่ไร้ซึ่งความสุข เหนื่อยมากแล้วกับการที่ต้องคอยแอบซ่อนความรักที่เธอมีให้กับใครอีกคน



          เมื่อชิชาได้รู้ว่าพิมพ์นัดพบกับไหมและผู้อำนวยการโรงพยาบาลเรื่องคดีความ เธอจึงไม่รอช้าขอติดตามไปด้วย และในระหว่างที่สามีของเธอออกไปพบกับผู้ใหญ่ของทางโรงพยาบาล หมอหญิงก็ได้แวะเวียนมาหาชิชาถึงที่โรงแรม

          เสียงสะอื้นไห้ คราบน้ำตา และร่างกายที่สั่นเทากำลังทำให้คนที่ปลอบโยนรู้สึกปวดร้าวไม่แพ้กัน

          “ไม่เป็นไรนะ...ไหมยังมีชิชาอยู่ด้วยทั้งคน”

          ใบหน้าสวยขยับเข้าใกล้ ลมหายใจอุ่นปะทะแก้มใสจนร้อนวูบ ริมฝีปากที่สั่นไหวจากการร้องไห้กระตุ้นให้คนตรงหน้าอยากได้มาครอบครอง

          ห่างเพียงแค่คืบ...ก็จะได้สัมผัสกับจูบที่โหยหา...

          “ไหม!!! มึงจะทำอะไรกับเมียกู!!!”

          เสียงเดือดดาลตะโกนลั่น มือแกร่งบีบหัวไหล่เล็กๆ ก่อนจะผลักร่างของหญิงสาวกระแทกกับผนังห้องเต็มแรง พิมพ์เขย่าร่างของไหมจนเจ็บไปหมดทั้งตัว

          “มึงเล่นชู้กับเมียกูหรอไอ้ไหม!”

          “ปล่อยไหมนะพิมพ์!”

          ชายหนุ่มดวงตาแดงก่ำเต็มไปด้วยความโกรธเกลียดและเสียใจ เขาผลักหญิงสาวที่พยายามยุดยื้อแขนของเขาจนล้มลง ก่อนจะระเบิดอารมณ์ใส่คนที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาอย่างไม่ปรานี

          “เพราะอย่างนี้ใช่มั้ยเลยอยากจะหย่ากับพิมพ์นัก? ได้! พิมพ์จะฟ้องหย่าให้บ้านของชิชาขายขี้หน้าหมดเนื้อหมดตัวกันไปเลย”

          พูดจบเขาก็หันกลับมากระแทกเสียงใส่คนที่ “เคย” เป็นเพื่อนที่รักที่สุดของเขา

          “ส่วนมึงไอ้ไหม! กูสมน้ำหน้ามึง! ที่แม่มึงตายก็เพราะเป็นเวรกรรมที่มึงทำเลวๆกับกูไว้ มึงคอยดูเลยนะกูจะทำให้ชีวิตมึงต้องชิบหายล่มจม ติดคุกหัวโตไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวัน!”

          ราวกับฟางเส้นสุดท้ายระหว่างคนทั้งสองได้ขาดสะบั้นลง มิตรภาพอันแสนยาวนานพังทลายลง หัวใจที่เต็มไปด้วยความอ่อนไหวกลับตาลปัตรสร้างความเกลียดชังเข้าไส้

          ‘เราคงอยู่ร่วมโลกกันต่อไปไม่ได้อีกแล้วล่ะพิมพ์!’



          ไหมล่วงรู้ว่าพิมพ์ได้ตกลงใจเปลี่ยนไปช่วยพวกสินทร และเธอจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นแน่ๆ เธอตัดสินใจนัดเจรจากับพิมพ์ และเสนอเงินจำนวนมหาศาลมากกว่าที่ชายหนุ่มเคยเรียกร้องเอาไว้ให้

          และสถานที่นัดพบแห่งนั้นคือ...

          ริมบึงห่างออกไปไม่ไกลจากโรงพยาบาล




          “เงินตามที่ตกลงกันไว้...”

          หมอหญิงส่งกระเป๋าเอกสารสีดำใส่รหัสแน่นหนาให้กับชายหนุ่ม คนทั้งสองสบตามองกันอย่างเย็นชา ราวกับว่าความเป็นเพื่อนที่ผ่านมาได้มลายหายไปหมดสิ้นแล้ว

          “เราขออย่างเดียวแค่ปล่อยเรากับชิชาไป แล้วแกก็วางมือจากคดีนี้ไปได้เลย เราสัญญาว่าจะไม่ให้ใครสาวตัวถึงแก”

          พิมพ์หันมองหญิงสาวด้วยสายตาแข็งกร้าว ไม่มีคำพูดใดเล็ดลอดจากปาก เขาย่อตัวลงก่อนจะเปิดกระเป๋าเพื่อตรวจสอบของข้างในอย่างไม่รีรอ และก็พบว่าข้างในกลับกลายเป็น...

          ‘เงินกระดาษ?!’

          พลันความเจ็บแปลบแล่นขึ้นที่ซอกคอ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เข็มฉีดยาปักเข้าตรงเส้นเลือดดำอย่างแม่นยำ ความง่วงซึมเข้าแทรกแซงแทนที่ ร่างกายเริ่มหนักอึ้งทิ้งทอดร่างลงบนพื้น

          “แกชอบเงินนักใช่มั้ย? ไม่ต้องห่วงนะ...แล้วเราจะเผาไปให้”

          สติค่อยๆ รางเลือน ภาพสุดท้ายที่เห็นชัดเจนคือสายตาเย็นชาของคนที่เคยเป็นเพื่อนส่งมาให้ และใครอีกคนที่ยืนอยู่ไม่ไกล

          ‘ชิชา...’

          หญิงสาวทั้งสองช่วยกันลากพยุงร่างของชายหนุ่มไปอย่างยากลำบาก เขาถูกทิ้งลงในน้ำเย็นเฉียบมืดสนิท พิมพ์ค่อยๆ จมลง อากาศเริ่มหมดไปเหลือทิ้งไว้เพียงร่างไร้วิญญาณล่องลอยในสายน้ำนิ่ง

          ลาก่อนชายผู้ที่เคยเป็นทั้งรักทั้งเกลียดของหญิงสาวทั้งสอง...





          พินที่กดโทรศัพท์หานกหนุ่มกำลังร้อนรน เขารอสายได้ครู่หนึ่งแล้วทำไมถึงยังไม่รับเสียที

          “ฮัลโหล! ทำไมรับสายช้านักมะ...”

          [น้องพิน...]

          ทว่าเสียงปลายสายที่ตอบกลับมากลับกลายเป็นเสียงของหญิงสาวที่เขารู้จักดี...

          “พี่ไหม!”

          ใบหน้าที่ตื่นตระหนกร้อนรนเมื่อครู่ตอนนี้ถอดสีซีดเซียว ใจกระตุกหวั่นไหวเต็มไปด้วยความกลัว

          “พี่พิมพ์อยู่ที่ไหน...?”

          [อยากเจอพิมพ์หรอ...?]

          ปลายสายตอบมาเสียงเย็นก่อนจะเงียบไป

          [พี่จะส่งที่อยู่ไปให้ แต่พินต้องมาคนเดียวนะ ถ้ามีคนอื่นมาด้วย...]

          พินนิ่งฟัง ตอนนี้ความหวาดวิตกตีตื้นขึ้นเต็มอก

          [เตรียมรอรับศพพี่ชายพินได้เลย]

          ปลายสายตัดไป ถึงพินจะไม่เข้าใจว่าไหมต้องการอะไร แต่ตอนนี้เขาจะต้องรีบรุดไปโดยเร็วที่สุด ชายหนุ่มได้แต่อ้อนวอนอยู่ในใจ

          ได้โปรดอย่าทำอะไรคนที่เป็นดวงใจของเขาเลย...


++++++++++++++++



          เรื่องราวของพิมพ์เฉลยออกมาจนหมดแล้วนะคะ จวนจะถึงบทสรุปของเรื่องแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นต่อไปก็ฝากติดตามด้วยน้า

          สำหรับนิยายเรื่องนี้จะมีฉากนอนหลับเยอะมาก ตัวละครนอนเก่งกันทุกคนเลยค่ะ โดยเฉพาะมะลิขอยกให้เป็นเทพแห่งการนอนไปเลย

หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! My brother is the barn owl! บทที่29 : ไหมกับชิชา 10/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 11-10-2019 12:52:06
 :hao7:


 :L2: :pig4: :L2:


 o13
หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! My brother is the barn owl! บทที่30 : พราก 14/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: Timid Lily ที่ 14-10-2019 17:01:23
บทที่30 : พราก

          “ทำแบบนี้ทำไม จะดึงพินเข้ามาเกี่ยวข้องเพื่ออะไร?”

          ชายหนุ่มที่กำลังนั่งอยู่บนเตียงนอนเอ่ยถามหญิงสาวที่เพิ่งจะวางสายโทรศัพท์

          “เดี๋ยวนี้รักพินจังเลยนะ ติดกันเป็นห่วงเป็นใยเกินพี่เกินน้อง วันนั้นที่โรงพยาบาลเราเห็นนะว่าแก...ทำอะไรกันอยู่บนเตียง”

          วันนั้น...วันที่มะลิตัดสินใจเผยความในใจของตนให้พินได้รับรู้ วันที่พินยอมมอบหัวใจให้กับเขา วันที่เขามีความสุขที่สุด...

          “จะว่าไปก็น่าสมเพช ฟื้นขึ้นมาทั้งทีนอกจากจะความจำเสื่อมแล้ว...จิตใจก็ยังผิดปกติวิปริตไปซะได้"

          มะลิรู้ดีว่าในสายตาคนนอกที่เห็นผู้ชายสองคนที่เป็นพี่น้องกันมีความสัมพันธ์ที่เกินเลย คงจะเป็นเรื่องน่ารังเกียจเกินกว่าจะรับไหว ทว่าตอนนี้มันไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว “รัก” ก็คือรัก ไม่ว่าชายหนุ่มจะอยู่ในฐานะอะไร เขาก็ไม่อาจยับยั้งความรู้สึกเหล่านั้นได้อีกต่อไป

          “แต่แกไม่ต้องห่วงหรอกพิมพ์ เราเอ็นดูพินจะตาย...เราไม่ทำอะไรพินหรอก ตอนนี้มาคุยเรื่องของเรากันดีกว่า”

          สายตาไม่ไว้วางใจมองจ้องไปยังหญิงสาวที่กำลังยืนล้วงกระเป๋าเสื้อแจ๊กเก๊ตอยู่ ตอนนี้มะลิไม่กล้าที่จะขยับเขยื้อนหรือมีท่าทีต่อต้านมากนัก เพราะเขาเองก็ไม่อาจรู้ได้ว่าหญิงสาวทั้งสองได้พกพาของอันตรายติดตัวเอาไว้รึเปล่า

          “แกจำเรื่องทั้งหมดได้แล้วใช่มั้ย?”

          ชายหนุ่มตอบรับพยักหน้ากลับไป

          “เราจำได้แล้วว่าคนที่ลงมือทำร้ายเราก็คือไหม แต่เราไม่คิดเลยว่าชิชาจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย”

          “ถ้าเป็นไปได้ชิชานี่แหละที่อยากจะฆ่าพิมพ์ให้ตายๆไปซะ”

          หญิงสาวอีกคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆเอ่ยขึ้นเสียงกร้าว ดวงตาที่จ้องมองมาแข็งขึ้นเกรี้ยวกราด     

          “จำอุบัติเหตุรถชนได้มั้ย? วันนั้นเป็นฝีมือของชิชาเอง”



          ในวันนั้น วันที่หญิงสาวทั้งสองต่างอาสาแย่งกันพาชายหนุ่มไปโรงพยาบาล ระหว่างที่คนทั้งสามกำลังจะเดินไปยังอาคารจอดรถ เสียงโทรศัพท์ของไหมก็ดังขัดจังหวะขึ้นมา

          ‘Rrrrrr’

          [ไหม...เสร็จแล้วรึยัง?]

          “อื้ม กำลังจะกลับแล้ว”

          เสียงปลายสายไม่ใช่ใครอื่น “ชิชา” คนที่เพิ่งจะโต้เถียงกับหมอหญิงก่อนที่เธอจะพาเพื่อนชายคนนี้ออกมา

          [ตอนนี้ชิชาอยู่ที่รถไหม...]

          “ว่าไงนะ...? แป๊บนึงนะ...”

          เป็นเรื่องน่าตกใจที่จู่ๆหญิงสาวอีกคนก็ตามเธอมาที่โรงพยาบาล ไม่รู้ว่ามีเหตุผลอะไรที่ชิชาจะต้องทำเช่นนี้ ที่รู้ๆตอนนี้ไหมควรจะรีบไปเจอชิชาที่กำลังรออยู่

          “เดี๋ยวพิมพ์กับนินรอตรงนี้แล้วกันนะ เราจะไปเอารถลงมาจะได้ไม่ต้องเดินไกล ที่จอดรถมันแคบด้วย”

          ไหมจากไปทิ้งชายทั้งสองไว้เบื้องหลัง หญิงสาวรีบเดินเร็วๆไปยังรถสีบรอนซ์ของเธอ และ “ชิชา” ก็กำลังรอเธออยู่ตรงนั้น

          “ชิชาตามมาที่นี่ทำไม?”

          ชิชาที่ดูไม่สะดวกสบายใจรีบพูดขึ้นราวกับเธอทนเก็บความรู้สึกเอาไว้ไม่ไหวอีกต่อไป

          “ไหม...ให้ชิชาช่วยเถอะ ไหมไม่จำเป็นจะต้องมาตามล้างตามเช็ดเรื่องทั้งหมดนี้ด้วยตัวคนเดียวนะ”

          “เราคุยกันแล้วไม่ใช่หรอชิชา...ว่าอย่าเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก”

          “ไหม! ไหมอย่าทำแบบนี้ ไหมไม่ได้อยู่คนเดียวบนโลกนี้นะ ไหมยังมีชิชา...ไหมไม่จำเป็นจะต้องมาแบกรับเรื่องนี้อยู่คนเดียว”

          “ฟังนะชิชา ตอนนี้พิมพ์จำอะไรได้บ้างแล้วก็ไม่รู้ แต่เราก็ไม่อยากจะให้ชิชาต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง มามีความผิดร่วมกันกับเรามากไปกว่านี้”

          “ชิชาไม่กลัว ชิชารักไหม ชิชาจะไม่ทิ้งไหม!”

          “ชิชาเราขอร้องล่ะ ให้ความผิดครั้งนี้มันจบลงที่เราเพียงคนเดียวเถอะ”

          “ได้...แปลว่าถ้าชิชาผิด ชิชาก็มีสิทธิ์ที่จะอยู่เคียงข้างไหมใช่มั้ย?”

          พูดจบหญิงสาวก็เดินกระแทกเท้าจากไป ตอนนี้ไหมไม่มีเวลาที่จะมาปรับความเข้าใจหรือหว่านล้อมให้ชิชาเลิกยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตอนนี้สิ่งที่เธอต้องทำคือรีบเอารถลงไปรับคนสองคนที่กำลังรออยู่

          โดยที่ตอนนั้นเธอไม่ได้รับรู้เลยว่าชิชาจะมีความคิดเจตนาที่จะขับรถชนพิมพ์แล้วหนีไป...






          “ชิชาเกลียดพิมพ์ ยิ่งไหมต้องเดือดร้อนเจ็บปวดเสียใจ ชิชาก็ยิ่งอยากทำให้พิมพ์หายไป ถ้าพิมพ์ไม่พยายามขุดคุ้ยรื้อฟื้นเรื่องที่ลืมไปแล้ว ใจจริงชิชาคิดจะหย่ากับพิมพ์แล้วปล่อยให้พิมพ์ไปมีชีวิตของตัวเอง แต่พิมพ์แส่หาเรื่องเอง!”

          “ชิชา...ใจเย็นๆ”

          หมอหญิงเอ่ยปรามคนที่กำลังระเบิดอารมณ์เดือดดาล มะลิที่นั่งฟังอยู่ได้แต่อ้อนวอนกลับไปอย่างจนตรอก

          “ยกโทษให้เราด้วยเถอะ เราจะยอมทำตัวเป็นคนความจำเสื่อมแบบนี้ต่อไปไม่ยุ่งเกี่ยวกับไหมและชิชาอีก ขอแค่ได้ใช้ชีวิตต่อไปแบบนี้ก็พอ...ขอร้องล่ะ”

          เรื่องราวของพิมพ์ที่บานปลายมาขนาดนี้ดูเหมือนว่าจะไม่มีทางลงง่ายๆ มะลิจึงทำได้เพียงเอ่ย “ขอโทษ” เท่านั้น

          “ทุกอย่างมันสายไปแล้วล่ะพิมพ์ เราคิดผิดตั้งแต่ที่ขอให้แกมาเป็นทนายว่าความให้เราแล้วล่ะ”

          ไหมกัดฟันพูดอย่างเจ็บปวด ในขณะที่ชิชาเริ่มทนไม่ได้อีกครั้ง

          “พูดออกมาได้หน้าด้านๆพิมพ์มันโลภหน้าเลือด พิมพ์ทำให้แม่ของไหมต้องฆ่าตัวตาย แล้วยังให้หลักฐานทั้งหมดกับสินทรไป ทำกันขนาดนี้แล้วยังมีหน้าจะมาขอให้ยกโทษให้อีกงั้นหรอ? !”

          “พอเถอะชิชา...”

          ยิ่งฟังก็ยิ่งเจ็บปวดใจ เรื่องราวที่ถูกรื้อฟื้นขึ้นมามันเสียดแทงใจราวกับถูกมีดกรีดซ้ำไปซ้ำมาจนเป็นแผลฉกรรจ์ หญิงสาวนั่งกัดริมฝีปากบางเม้มจนแดงน้ำตาคลอหน่วย ความเสียใจถาโถมเข้าใส่จนเธอจมลงไปสู่ก้นบึ้งแห่งความทุกข์และความเคียดแค้น

          “ปังๆๆ” เสียงทุบประตูรัวลั่นมากจากข้างนอก พร้อมเสียงตะโกนเรียกฟูมฟายของผู้มาเยือนทำให้ทุกคนที่อยู่ข้างในหันไปมองเป็นตาเดียว

          “พี่ไหม! เปิดประตูให้พินหน่อย!”

          “พิน!”

          ถึงมะลิจะดีใจที่ได้ยินเสียงของคนที่ห่วงหา ทว่าความปลอดภัยของคนที่เขารักสำคัญกว่า ถ้าเป็นไปได้เขาไม่อยากจะให้พินเข้ามาตกอยู่ในสภาพเดียวกันกับตน

          “ชิชา...ช่วยไปเปิดประตูให้พินเข้ามาหน่อยสิ”

          “ไม่! อย่านะขอร้องล่ะ พินไม่เกี่ยวอะไรด้วย”

          “ทำไม...กลัวหรอ? เราก็บอกไปแล้วนี่ว่าเราไม่ได้คิดจะทำอะไรพิน”

          ชิชารุดไปยังประตู ส่วนไหมก็ยังคงยืนเคียงข้างชายหนุ่มไม่ห่างไปไหน

          “พิมพ์รู้มั้ย...? ถ้าเราไม่ลงมือจัดการกับแกเอง วันนึงชิชาคงจะต้องมือเปื้อนเลือดไปอีกคนแน่ๆ ...”

          หญิงสาวเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเศร้าหมอง สายตาที่ประเมินความหมายไม่ได้ถูกส่งมาทางชายหนุ่ม ดวงตาคู่นั้นฉายแววกังวล ลังเล เสียใจ เคียดแค้น อีกร้อยแปดพันเก้าความรู้สึกที่ผสมปนเปกันเหมือนสีสันที่ถูกฉาบย้อมทับกันจนเหลือเพียงความดำมืด

          ประตูค่อยๆถูกเปิดแง้มออก ชายหนุ่มร่างบางผู้เป็นดวงใจของมะลิค่อยๆ เดินแทรกผ่านเข้ามาภายใน ใบหน้าสวยงามฉายแววห่วงใย ดวงตาสดใสมีหยดน้ำพราวคลออยู่ภายใน

          “พิน...”

          เสียงเครือโหยหาร้องเรียกคนตรงหน้า ทว่าชายหนุ่มกลับไม่กล้าขยับตัวไปไหนด้วยใจหวาดหวั่นว่าคนรักจะมีภัย มะลิหันไปสบตาไหมที่ยืนอยู่ใกล้ๆอย่างหวาดระแวง

          “ไปสิ...ลุกไปหาพินสิ”

          ชายหนุ่มยันตัวลุกขึ้น ขายาวก้าวเข้าหาคนอีกคนที่เดินเข้ามาพร้อมด้วยรอยยิ้มหม่นหมอง...ดวงตาของทั้งสองสอดประสานเต็มไปด้วยรักและอาวรณ์

          คนที่เขารักที่สุดได้มาอยู่ตรงหน้าแล้วแท้ๆ

          แต่ทำไมถึงได้รู้สึกใจหายนัก...

          “ขอบคุณนะพิมพ์...ที่เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมาตลอด...”

          ระยะห่างจากคนทั้งสองไม่เกินจะคว้าเข้าสู่อ้อมอก...ทว่าหญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านหลังเดินประชิดเข้ามาใกล้พลางล้วงกระเป๋าแจ๊กเก็ตคว้าเอาอาวุธอันตรายขนาดเล็กสีเงินแวววาวออกมาจ่อบนศีรษะของชายหนุ่ม

          ‘ปัง!!!’

          เสียงลั่นไกดังสะท้อนไปทั่วห้องสี่เหลี่ยม เขม่าดินปืนฟุ้งกระจายไปพร้อมกับละอองเลือดที่ฟุ้งสาดไปทั่วไม่ต่างกับสายฝนแดงฉาน ไหมลดปืนลงเผยให้เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาและคราบเลือด

          “เรารักแกนะพิมพ์...”

          ‘รัก...จนทำให้เกลียดได้มากถึงขนาดนี้’

          “มะลิ!!!!”

          เสียงตะโกนเรียกดังลั่นขึ้นพร้อมๆกับร่างที่ค่อยๆล้มลง หยดน้ำใสจากดวงตาไหลพร่างพรูออกมาไม่ขาดสายเมื่อเห็นคนที่รักสุดหัวใจถูกพรากไปต่อหน้าต่อตา

          “ไม่นะมะลิ!!! มะลิ!!!”

          ‘อา...เราทำให้พินร้องไห้อีกแล้ว’

          ร่างกายที่กำลังล้มลงช้าๆ เผยให้เห็นน้ำตาที่ไหลหยดสะท้อนบนผิวสว่าง ราวกับ “มะลิ” ดอกไม้น้อยสีขาวพิสุทธิ์ยามต้องน้ำค้างถูกปลิดออกจากขั้วร่วงหล่นสู่ผิวดินแสนเยือกเย็น ใบหน้าสุกสว่างอันเป็นที่รักค่อยๆลางเลือนหายไปจากสายตา กลายเป็นภาพของชายหนุ่มอีกคนที่แสนคิดถึง

          ภาพของพี่ชายที่พินไม่ได้เห็นมานาน

          ...ภาพของ “พิมพ์”

          ‘เราขอโทษนะพิน...’

          ร่างกายเย็นเฉียบนอนแน่นิ่งอยู่ที่พื้น หยาดเลือดสีแดงไหลซึมอาบ พินรุดเข้าประคองกอดคนตรงหน้าน้ำตานอง ตอนนี้มะลิได้จากไปแล้ว เหลือเพียงร่างไร้วิญญาณของพี่ชายที่เขารัก

          “มะลิ...ฮึก...”

          ‘ขอโทษที่ทำให้ต้องร้องไห้หลายต่อหลายครั้ง’


          เสียงสะอื้นดังระงมไปทั่วทั้งห้อง ท่ามกลางความตกใจของชิชา เธอเองก็กำลังหลั่งน้ำตาออกมาเช่นกัน

          “ไหม! ทำไมทำแบบนี้? ไหนบอกว่าจะหนีไปกับชิชาไง?”

          “เราเหนื่อยแล้วน่ะชิชา...”

          เหนื่อยกับการที่จะต้องพยายามจัดฉาก เหนื่อยกับการที่จะต้องคอยมาโกหกหลบๆซ่อนๆ เธอไม่อยากจะหนีอีกต่อไปแล้ว ขอให้ความผิดบาปทั้งหมดตกอยู่ที่เธอคนเดียวก็พอ

          “เรียกตำรวจให้เราทีนะชิชา...”

          แม้จะรู้ตัวดีว่าอนาคตของตนได้มาถึงทางตันแล้ว ทว่าหมอหญิงกลับรู้สึกโล่งใจอย่างประหลาด ในที่สุดความแค้นของเธอก็ได้รับการชำระล้างไป เมื่อเพื่อนที่เคยรักที่สุดได้รับโทษสาสมกับการกระทำด้วยฝีมือของเธอเอง น้ำตาหยาดหยดเคลียใบหน้าทว่ากลับมีรอยยิ้มแห่งความยินดีเจืออยู่ ไหมเอ่ยพูดขึ้นเสียงเครือ ราวกับต้องการมอบความเมตตาให้กับร่างไร้วิญญาณเป็นการปลอบโยน

          “พิมพ์เราให้โอกาสแกได้เห็นหน้าคนที่รักเป็นครั้งสุดท้ายแล้วนะ...”

          พินได้ยินแบบนั้นก็ยิ่งสะอื้นร้องไห้แทบขาดใจ น้ำอุ่นใสไหลรินเป็นทางราวกับคลื่นแห่งความเศร้าโศกเสียใจซัดสาดเข้าใส่ แม้ว่าในที่สุดเขาก็มีโอกาสได้กลับมาเห็นใบหน้าของ “พิมพ์” พี่ชายที่รักของเขาอีกครั้ง แต่ในขณะเดียวกันที่เขาได้สูญเสีย “มะลิ” คนที่เขารักยิ่งกว่าสิ่งใดไป

          ทำไมฟ้าจึงใจร้ายนัก...มอบความรักมาให้และทวงคืนกลับไปอย่างโหดร้าย...

          ราวกับดวงใจถูกบดขยี้จนแหลกเหลว...

          ความสูญเสียที่ไม่คาดคิดได้ปลิดชีวิตของ” พิน” ให้ตายทั้งเป็น…



          ‘พิน...เรารักพินนะ...’






++++++++++++++++



          พิมพ์เป็น Love Hate ของไหมนะคะ ทั้งรักทั้งเกลียดในเวลาเดียวกัน ยิ่งรักมากยิ่งเกลียดมาก ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองต้องมีจุดจบแบบนี้ ในขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างไหมกับชิชาเป็นรูปแบบที่ซับซ้อนค่ะ เราเองก็ไม่แน่ใจว่าเรามีความสามารถพอที่จะสื่อสารให้รีดเข้าใจรึเปล่า เพราะนี่เป็นนิยายเรื่องที่สองของเรา T T

          สำหรับไหม การที่ชิชาเลือกเธอแล้วตัดสินใจทิ้งพิมพ์คือการเอาชนะค่ะ เป็นความรู้สึกที่ทำให้เธอเหนือกว่าพิมพ์ เมื่อได้ครอบครองสิ่งที่พิมพ์รัก แต่ถามว่าไหมเองรู้สึกกับชิชายังไง แน่นอนว่าก็มีใจให้ประมาณนึงเลยล่ะค่ะ แต่ถามว่าใจของไหมยังมีพิมพ์อยู่มั้ย ก็คือไม่เคยลืมและรักมากพอที่จะเกลียดนั่นเอง

          ในตอนนี้มะลิได้จากพินไปแล้ว เนื้อเรื่องช่วงหลังๆที่เราเขียนทำเอาจิตตกมากทีเดียวค่ะ อีกไม่กี่ตอนนิยายเรื่องนี้จะจบลงแล้วนะคะ ขอบคุณที่ติดตามมาโดยตลอดค่ะ แล้วเจอกันตอนหน้าน้า
หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! My brother is the barn owl! บทที่30 : พราก 14/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 15-10-2019 10:51:34
 :a5:


:3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! My brother is the barn owl! บทที่30 : พราก 14/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 15-10-2019 19:15:52
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! My brother is the barn owl! บทที่31 : อดีต 18/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: Timid Lily ที่ 18-10-2019 18:09:07
     
บทที่31 : อดีต

          “ลามะลิลา ขึ้นต้นเป็นมะลิซ้อน พอแตกใบอ่อนเป็นมะลิลา...”

          เสียงชายหนุ่มกำลังร้องเพลงเจื้อยแจ้ว มือก็พลางขุดดินขะมักเขม้นไปด้วย ถึงแม้เขาจะอยู่ในเสื้อผ้าฝ้ายมอๆ ใบหน้าก็เปื้อนเปรอะไปด้วยเหงื่อและคราบดิน ทว่ามันกลับไม่อาจบดบังความสดใสน่ารักของคนๆนี้ได้เลย

          “พี่พุฒมาขุดดินทำอะไรอยู่ตรงนี้?”

          “คุณมิ่ง!”

          ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งใบหน้าอ่อนหวานสดใสกำลังยืนยิ้มให้ ทำเอาคนที่ลุกพรวดขึ้นมาได้แต่เขิน มันออกจะน่าอายที่มีคนมาได้ยินเขากำลังร้องเพลงเสียงลั่นไม่เป็นทำนองอยู่เช่นนี้

          “คุณมิ่งอย่าออกมาตากลมเลยนะครับ เดี๋ยวอาการจะยิ่งทรุดหนัก”

          “ฉันไม่เป็นไรหรอกพี่พุฒ แค่ก...”

          ถึงจะตอบไปเช่นนั้นทว่าชายหนุ่มที่เอาผ้าป้องปากอยู่กลับไอเสียงดังออกมาให้ได้ยิน ทำเอาคนที่กำลังเนื้อตัวเลอะเทอะรีบรุดเข้าไปหาด้วยความเป็นห่วง

          “อย่าเข้ามาใกล้ฉันเลย เดี๋ยวจะพาลติดโรคไปอีกคน”

          “พูดอะไรอย่างนั้นเล่าคุณมิ่ง มันเป็นหน้าที่ของผมที่จะต้องคอยดูแลคุณมิ่งอยู่แล้ว”

          ทว่าพูดจบเจ้าตัวก็เหมือนจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองกำลังสกปรกเลอะเทอะเกินกว่าจะไปแตะต้องเนื้อตัวนายน้อยของเขา

          “เดี๋ยวผมขอไปล้างมือให้สะอาดก่อนนะครับ แล้วผมจะพากลับเรือน”

          “ไม่ต้องหรอก พี่ทำอะไรค้างอยู่ก็ทำต่อไปเถอะ”

          เบื้องหลังของคนทั้งสองเป็นต้นไม้น้อยที่กำลังเตรียมเอาลงดิน นายหนุ่มเกิดความสงสัยจึงเอ่ยถามออกไป

          “แล้วนั่นมันต้นอะไรหรือพี่พุฒ?”

          “ต้นมะลิน่ะครับ ผมตั้งใจเอามาปลูกไว้ใกล้เรือนคุณมิ่ง เผื่อจะช่วยให้สดชื่นขึ้น คุณมิ่งจะได้หายไข้ไวๆ ไงครับ”

          “ฉันไม่กล้าหวังหรอกพี่...”

          “มิ่ง” เป็นลูกชายคนโตของข้าราชการผู้มั่งคั่งในพระนคร ทว่าเขากลับเจ็บไข้เป็นโรคร้ายตั้งแต่วัยหนุ่ม จึงถูกส่งตัวมาพักฟื้นอยู่เรือนเล็กห่างไกลครอบครัว โดยมี “พุฒ” ลูกชายของแม่นมที่เป็นเพื่อนเล่นกับเขามาแต่เล็กแต่น้อยอาสาคอยดูแล

          “อย่าพูดอย่างนั้นสิครับ หมอฝาหรั่งสมัยนี้เก่งนัก คุณมิ่งจะต้องหายไข้แน่นอนครับ”

          ถึงพุฒจะพูดเช่นนั้นแต่ “โรคฝีในท้อง” ที่ชายหนุ่มกำลังเป็นอยู่นั้นยังไม่มียาตำหรับใดรักษาให้หายได้ ตอนนี้มิ่งได้แต่พยายามใช้ชีวิตอย่างมีความสุขที่สุด ก่อนที่เวลาที่เหลืออยู่ของเขาจะหมดสิ้นลง

          “อย่าเศร้าไปเลยครับคุณมิ่ง”

          “เศร้าอะไรกันเล่า พี่พุฒลองดูหน้าตัวเองเสียก่อน ทำหน้าเศร้ากว่าฉันอยู่โข”

          ใบหน้าสวยที่เปรอะเปื้อนดินอยู่นั้นง้ำลงหม่นหมอง แม้ว่าชายหนุ่มจะรู้สึกอยากเข้าสัมผัสปลอบประโลมเรียกรอยยิ้มจากคนตรงหน้าแค่ไหนก็มิอาจทำได้ เพราะเกรงว่าโรคร้ายจะถูกถ่ายทอดไปสู่ผู้ติดตามผู้แสนดีคนนี้

          “เย็นค่ำแล้ว คุณมิ่งรีบกลับขึ้นเรือนเถอะครับ ลมแรงเสียด้วย เดี๋ยวตกดึกจะได้ไข้ขึ้นมาอีก”

          “อืม...งั้นฉันไปก่อนนะพี่”

          “แล้วเดี๋ยวผมจะรีบยกสำรับตามไปนะครับ”

          ยามตะวันเริ่มลาลับฟ้าเช่นนี้ ใบไม้ไหวแรงไปตามสายลมทำให้คนที่กำลังเดินอิดโรยกลับเรือนหนาวสั่นน้อยๆ ทว่าเสียงเล็กแหลมดังขึ้นดึงความสนใจของชายหนุ่มไปทางต้นไม้ใหญ่

          ‘เสียงนก?’

          เมื่อเข้าไปใกล้ มิ่งก็พบว่ามีลูกนกขนฟูหน้าขาวตาดำกลมโตกำลังร้องอยู่ใต้ต้นไม้นั้น ร่างสูงนั่งย่อลงก่อนจะคว้าสิ่งมีชิวิตเล็กๆนั้นขึ้นประคองในมืออย่างอ่อนโยน

          “เจ้าหลงทางมาหรือ?”

          เขาเอ่ยขึ้นกับเจ้านกน้อยที่กำลังจ้องหน้าเขาไม่กะพริบ

          “น่าสงสารนัก พ่อแม่ของเจ้าไปไหนเสียเล่า?”

          ชายหนุ่มยิ้มขำขึ้นที่ตนเอาแต่พูดคนเดียว นกน้อยตัวนี้คงน่าสังเวชไม่ต่างจากเขา ถูกพ่อแม่ทิ้งให้เดียวดายเผชิญกับความทุกข์โดยลำพัง นับตั้งแต่ที่โรคของเขาแสดงอาการ บุพการีทั้งสองต่างก็รังเกียจหวาดกลัวไม่กล้าแวะเวียนมาเยี่ยมเขาแม้แต่หนเดียว ทำเพียงเขียนจดหมายส่งมาให้เท่านั้น ทว่ายังนับว่าเป็นโชคดีของมิ่ง ที่ยังมี “พุฒ” คอยเป็นกำลังใจอยู่เคียงข้าง

          ละอองน้ำเริ่มกลั่นตัวหยาดหยด สายฝนเริ่มเทลงจากฟ้าทำให้ชายหนุ่มที่กำลังพรรณนาอยู่ในใจรีบพาเจ้าลูกนกหลบขึ้นเรือนหาที่กำบัง

          มิ่งคว้าตะกร้าหวายใบย่อมขึ้นพลางปูผ้าดิบลงไป เขาวางลูกนกน้อยลงในนั้นอย่างเบามือ พลางจ้องมองอย่างมีความสุข

          “เจ้าเป็นนกอะไรกัน? หน้าตาพิลึกนัก”

          เขายิ้มให้กับนกน้อยที่กำลังเอียงคอมองราวกับคอจะหัก ถึงแม้จะดูน่ารักแต่กลับน่าขนลุกในเวลาเดียวกัน

          “คุณมิ่งสำรับมาแล้วครับ”

          พุฒเดินยกสำรับมื้อเย็นเข้ามาในห้อง เขาวางถาดสำรับลงอย่างเบามือก่อนจะตกใจที่เห็นนายน้อยตัวเปียกชื้นน้ำจากสายฝนที่เพิ่งจะเทลงมา

          “คุณมิ่งตากฝนมาหรือครับ”

          คนเป็นห่วงตาลีตาเหลือกรีบรุดเข้ามาใกล้ ก่อนจะคว้าผ้ามาเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้อย่างเบามือ

          “พี่พุฒฉันบอกแล้วไงว่าอย่าเข้ามาใกล้ ฉันยังไม่ได้หาอะไรมาป้องหน้าป้องปากเลย”

          “ก็ผมตกใจนี่ครับที่คุ...แว้ก!!!”

          คนลุกลนร้องแหกปากเสียงดังขึ้นมาเมื่อเห็นนกอัปมงคลกำลังทำคอยึกยักอยู่ในตะกร้า

          “นะ...นกแสก!!!”

          “เจ้านี่คือนกแสกงั้นหรือพี่พุฒ?”

          ชายหนุ่มพยักหน้ารัว ในขณะที่คนป่วยผละตัวเข้าสำรวจเจ้าลูกนกหน้าตาประหลาดตัวนี้

          “ไม่เป็นไรนะครับคุณมิ่ง เดี๋ยวผมจะเอามันไปทิ้งให้เอง”

          “ฉันเป็นคนเก็บมันมาเอง จะเอามันไปทิ้งได้อย่างไร”

          “คุณมิ่งไปเก็บมันมาทำไมครับ? มันเป็นกาลกิณีเป็นลางร้ายนะครับ”

          “ก็ฉันไม่รู้นี่ว่ามันเป็นนกอะไร...แต่ก็ช่างมันเถอะ ฉันอยากจะเลี้ยงมันเอาไว้”

          “ไม่ได้นะครับ!”

          “พี่พุฒอย่าขัดใจฉันเลย เจ้านกนี่น่าสงสารนัก”

          “แต่ว่า...”

          “ฉันขอเถอะพี่ ถ้ามันโตแข็งแรงพอจะไปใช้ชีวิตเองได้เมื่อไหร่ ฉันจะปล่อยมันไป”

          พุฒนิ่งมองคนตรงหน้าที่กำลังพยายามวอนขอ

          “นกแสกก็เป็นสิ่งมีชีวิต...ถึงจะถูกชังแต่มันก็มีสิทธิ์ที่จะมีชีวิตมิใช่หรือ?”

          เหมือนกับตัวเขาที่ถึงแม้จะเป็นโรคร้ายเป็นที่รังเกียจ แต่หากเลือกได้เขาเองก็อยากจะมีชีวิตอยู่

          “ผมขอโทษครับคุณมิ่ง...”

          “ขอโทษทำไมเล่า?”     

          คำพูดของนายน้อยทำให้ชายหนุ่มฉุกคิดขึ้นได้ ภาพของสิ่งมีชีวิตเล็กๆ สะท้อนให้เห็นสถานภาพอันน่าสงสาร เขาไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งคนที่เคยแข็งแรงอ่อนโยนเป็นที่รักของทุกคนเช่นมิ่ง จะต้องมามีชะตากรรมเช่นนี้

          “ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อีกแล้ว พี่พุฒทำไมขี้แยนักหึ๊?”

          “...”

          คนเบื้องหน้าผู้แสนดีที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับมิ่งเสมอมา แม้จะต่ำศักดิ์กว่าทว่ากลับรู้สึกรักใคร่ผูกพัน ยิ่งเพ่งพิศยิ่งหลงใหลสับสนในใจ เจ้าของใบหน้าเนียนกระจ่าง ดวงตาสวยคมฉ่ำน้ำ เส้นผมดำเงางามราวกับราตรีไร้ดาว หากชายหนุ่มไม่ได้กำลังเจ็บไข้ได้ป่วยเช่นนี้คงอดไม่ได้ที่จะต้องคว้าเอาคนตรงหน้ามากอดเป็นแน่

          แต่จะทำเช่นไรได้นอกจากหักห้ามใจตนเอาไว้...



          “เอ้า อ้าม...”

          ตะเกียบที่กำลังคีบเนื้อไก่ดิบชิ้นจิ๋วพลางส่ายไปส่ายมาเหนือศีรษะของเจ้าลูกนกตัวน้อย ก่อนจะแตะลงบนจะงอยปากแผ่วเบา เพื่อดึงดูดความสนใจให้มันไล่งับกินเติมเต็มท้องที่หิวโหย

          “ทำไมพี่พุฒถึงไม่ป้อนมันดีๆเล่า?”

          “ผมไปถามลุงเพิ่มนักเลงนกที่ตลาดมา ลุงแกบอกว่าพวกนกนักล่าต้องให้อาหารที่มีชีวิตครับ แต่ผมยังไม่ว่างจะไปจับตัวอะไรมาเลี้ยงมัน ลุงแกเลยแนะว่าให้ทำแบบนี้ไปก่อน ให้มันเชื่อว่าเจ้าเนื้อไก่นี่เป็นสิ่งมีชีวิต”

          “อ๋อ...แล้วปกติมันกินตัวอะไรบ้างหรือพี่?”

          “ก็หนู ลูกปลา แมลง เทือกๆนี้แหละครับ”

          มิ่งพยักหน้าทำความเข้าใจ ดูเหมือนการเลี้ยงลูกนกแสกจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ดูท่าพี่พุฒของเขาน่าจะวางใจได้

          “หงับ” ในที่สุดเจ้าลูกนกก็ยอมกินอาหาร เป็นเรื่องน่ายินดีที่อย่างน้อยมันก็ไม่ต้องหิวตาย

          “มันกินแล้ว! ฉันดีใจนัก เจ้านกน้อยลูกพ่อ”

          คนป้อนได้แต่อมยิ้มขึ้นนึกเอ็นดูชายหนุ่มที่กำลังยิ้มร่าเริงจนแก้มบุ๋ม จะว่าไปการที่เจ้าลูกนกตัวนี้ปรากฏตัวขึ้นก็นับเป็นเรื่องดีไม่น้อย มันช่วยทำให้นายน้อยของเขาแจ่มใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

          “คุณมิ่งนึกจะเป็นพ่อให้เจ้าลูกนกนี่หรือครับ?”

          “ทำไมล่ะพี่พุฒ? ถึงฉันจะเลี้ยงไม่ค่อยเป็นแต่ฉันก็อยากมีส่วนร่วมด้วยไม่ได้หรือ?”

          “เปล่าครับถ้าอย่างนั้นผมก็คงต้องเป็นพ่อของมันด้วยสิครับ ผมเป็นคนป้อนข้าวป้อนน้ำ”

          พุฒหัวเราะพลางเย้านายน้อยของเขาอย่างอารมณ์ดี

          “ไม่ได้ มีฉันเป็นพ่อแล้ว พี่พุฒต้องเป็นแม่แทนแล้วล่ะ”

          “ได้ยังไงล่ะครับคุณมิ่ง ผมเป็นชาย”

          “ต้องได้ฉันเอ่ยแล้ว! ต่อไปนี้พี่มิ่งต้องเป็นแม่ของมัน และฉันจะตั้งชื่อให้มันด้วย”

          “งั้นชื่ออะไรดีหรือครับ?”

          นายน้อยนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง เขาพยายามมองไปรอบๆเรือน สายตาก็พลันเหลือบไปเห็นต้นมะลิที่พุฒเพิ่งจะเอามาลงดินไว้

          “มะลิ...ฉันจะเรียกมันว่ามะลิ”



          กาลเวลาผันผ่าน เจ้านกมะลิเติบโตปีกกล้าขาแข็งขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ชีวิตของมิ่งกำลังสวนทาง ร่างกายทรุดโทรมลงผ่ายผอมได้ไข้ทุกค่ำไม่เว้นแต่ละวัน

          “โขลกๆ” เสียงไอรุนแรงจนตัวโยน ผู้ติดตามที่กำลังง่วนอยู่กับการเช็ดเนื้อเช็ดตัวได้แต่ห่วงไม่ยอมห่างไปไหน

          “พี่พุฒ...ไปให้ห่างๆฉันเถิด แค่ก! ฉันอยู่เองได้ไม่เป็นไร”

          “ไม่ได้หรอกครับ คุณมิ่งเจ็บถึงขนาดนี้จะไม่ให้ผมดูแลได้อย่างไร”

          “พี่พุฒทำไมถึงดื้อนัก แค่ก!”

          นายน้อยโก่งตัวไอรุนแรงจนข้างในรวดร้าวไปหมด

          “อึก...”

          ชายหนุ่มรู้สึกถึงของเหลวอุ่นๆไหลผ่านริมฝีปากอิ่ม เลือดสีแดงฉานเลอะเทอะเปรอะเปื้อนเต็มผ้าเช็ดหน้าไปหมด ดวงตาพร่าร่างกายเหนื่อยอ่อน เขาพยายามสะบัดตัวออกจากคนที่รุดเข้าประคองชิดใกล้อย่างสุดกำลังที่มี     

          “คุณมิ่ง!”

          “ฉันบอกให้ออกไปไงเล่า...”

          “ไม่ครับ”

          “ขอร้องล่ะ...ฉันไม่อยากให้พี่กลายเป็นเช่นนี้ไปด้วย”

          คนถูกไล่ทำหน้าซึมเซา นายน้อยเองก็ปวดใจที่ต้องผลักไสคนที่เขาอยากใกล้ชิดที่สุดไป แต่ที่ต้องทำเช่นนี้ก็เพื่อปกป้องคนที่เขามีใจให้

          ‘เอาอีกแล้ว อย่าทำหน้าเศร้าเช่นนั้นเลย...’

          พุฒเดินออกจากเรือนนอนไปช้าๆ นกมะลิในกรงหวายกำลังร้องเสียงน่าหวาดหวั่นอยู่ด้านนอก บัดนี้มันแข็งแรงมากแล้ว คงใกล้เวลาที่จะปลดปล่อยให้มันเป็นอิสระเสียที

          “นี่มะลิ...เรื่องที่เขาพูดกันว่าถ้าแกไปเกาะเรือนผู้ใด ที่แห่งนั้นจะมีคนตายเป็นเรื่องงมงายใช่หรือไม่?”

          ชายหนุ่มเอ่ยพูดกับนกน้อยเสียงเศร้า และเจ้านกน้อยตัวนั้นก็ได้แต่จ้องตาวาวกลับมา     

          “ทำไมไม่ตอบเล่า? ฮึก...”

          เสียงสะอื้นและน้ำตาแห่งความเสียใจไหลรินเป็นทาง บนโลกนี้มีผู้คนมากมาย แต่ทำไม...ทำไมฟ้าถึงต้องใจร้ายกับนายน้อยผู้เป็นที่รักของเขาถึงเพียงนี้

          ถ้าชีวิตลิขิตได้...

          เขาจะขอให้นายน้อยได้มีชีวิตอยู่ต่อไป แม้จะต้องแลกด้วยความตายของตนก็ตาม...





          “พี่พุฒ...มะลิจากไปแล้วงั้นหรือ?”

          ชายหนุ่มที่กำลังนั่งหอบหายใจเหนื่อยอ่อนเอ่ยถามคนที่กำลังเป่าข้าวต้มร้อนๆในช้อนให้เย็นลง

          “ผมปล่อยมันไปแล้วครับ แต่มันกลับไม่ยอมออกห่างจากเรือนไปไหน ผมเองก็หวั่นใจว่าคนที่เรือนใหญ่จะมาพบมันเข้า”

          “พี่ช่วยไปไล่มันทีเถิด ฉันกลัวว่าใครจะมาทำอันตรายมัน”

          “ได้ครับ คุณมิ่งกินข้าวเถอะนะครับไม่ร้อนลวกปากแล้ว”

          มิ่งส่งช้อนไปจรดกับริมฝีปากอิ่มซีดเซียว แต่นายหนุ่มกลับไม่ยอมรับ

          “ฉันกินเองได้ พี่ออกไปเถอะ...”

          “คุณมิ่ง...ขอให้ผมได้ดูแลคุณมิ่งเถอะนะครับ อย่าผลักไสผมไปเลย”

          ชายหนุ่มผู้ไร้เรี่ยวแรงน้ำตาคลอ ทำไมคนๆนี้ถึงดื้อด้านนัก ยิ่งผลักไสกลับยิ่งชิดใกล้ มิ่งได้แต่นึกเสียดาย ที่ไม่มีโอกาสได้ใช้ชีวิตกับคนๆนี้ให้นานไปกว่านี้

          “แค่ก” เขาหันหน้าเบือนหนีไปไอแรงๆสองสามที “เลือด” ได้หลั่งรินออกมาอีกครั้ง มิ่งพยายามพยุงร่างกายหนักๆออกห่างจากคนข้างๆ แต่ทว่ากลับทำมันไม่ไหว

          “คุณมิ่ง”

          “อย่าเข้ามา...ฉันขอล่ะ”

          คนถูกไล่น้ำตาซึมออกมาอีกครั้งก่อนจะลุกเดินออกไปด้วยใจที่เจ็บช้ำ ความรู้สึกที่พุฒพยายามกลั้นไว้ถูกแสดงผ่านสีหน้าและแววตาของเขาอย่างอดรนทนไม่ไหว

          ‘ฉันขอโทษนะ...’



          “ชิ่วๆเจ้ามะลิ ไปจากที่นี่เสียเถิด”

          พุฒโบกไม้โบกมือไล่เจ้านกน้อย ทว่ามันกลับไม่มีทีท่าจะขยับเขยื้อน ชายหนุ่มเห็นเช่นนั้นจึงคว้าเศษดินและกิ่งไม้มาขว้างใส่หวังให้มันตกใจหนีไป ทว่า...

          “ไม่ได้นะ แกจะบินไปทางนั้นไม่ได้นะ”

          นกน้อยบินมุ่งหน้าไปทางเรือนใหญ่ เป็นเดือดเป็นร้อนให้ชายหนุ่มต้องรีบวิ่งตามไปจนหอบฮั่ก หายใจขัดทรมาน

          “แค่กๆ...กลับมานี่เจ้ามะลิ”

          นอกจากจะไม่กลับมา...มันกลับร้องเสียงลั่นน่าขนลุกไปทั่วเรือนอีกด้วย



          “พี่พุฒ...”

          ชายหนุ่มที่กำลังนอนหายใจรวยรินปรือตาขึ้นมองแสงจากตะเกียง เขารู้สึกกระหายน้ำเหลือเกิน แต่เรี่ยวแรงที่จะขยับเขยื้อนตัวกลับยังไม่มี

          ถึงแม้จะนึกถึงคนที่ตอนนี้ไม่อยู่และอยากเห็นหน้าสักเพียงไหน แต่อาจจะเป็นการดีแล้วที่ผู้ติดตามของเขาผละตัวไปอยู่ที่อื่นเสียบ้าง ไม่มัวแต่มาขลุกอยู่กลับตัวเชื้อโรคน่ารังเกียจเช่นเขา ทั้งๆที่ลึกๆในใจนั้น...

          ‘พี่ไปที่ใดกัน? ฉันใจหายนัก...’



          “นี่มันนกแสกนี่!”

          “คะ...คุณท่าน”

          เจ้านายใหญ่วัยกลางคนหุนหันวิ่งออกมาตามเสียงน่าเกลียดน่ากลัว เมื่อเขาเห็นนกหน้าขาวเกาะอยู่เหนือเรือนก็อดไม่ได้ที่ต้องกำจัดมันทิ้งไป

          “ไอ้พุฒไปเอาปืนมา”

          “อะ...เอ่อ...”

          “มึงหูหนวกหรือไร? กูสั่งให้ไปเอาปืนมา!”



          คนป่วยยันตัวขึ้นช้าๆอย่างยากลำบาก เหงื่อชื้นผุดพรายไปทั่วร่าง มิ่งลากสังขารไปตามแสงตะเกียงพลางปาดป่ายหาขันน้ำที่คาดว่าน่าจะวางอยู่ไม่ห่าง

          แต่ร่างกายกลับไม่ยอมฟัง เรี่ยวแรงที่มีนั้นค่อยๆถดถอยไป

          พร้อมๆกับลมหายใจสุดท้ายของเขา...



          ‘ปัง’

          เสียงปืนดังลั่นไปทั่ว ร่างของนกน้อยผู้น่าสงสารร่วงหล่นลงจมกองเลือด ชีวิตเล็กๆได้ถูกพรากไป น้ำตาหลั่งร่วงรินไหล พร่ำโทษตนเองที่ทำให้นกน้อยที่เขาเฝ้าคอยประคบประหงมมาต้องมีจุดจบที่น่าเศร้าเช่นนี้

          ‘มะลิ...ฉันขอโทษ’

          โดยที่ไม่ได้ล่วงรู้ว่าตอนนี้มีใครอีกคน...



          ได้จากเขาไปแล้วเช่นกัน...



          วิญญาณของคนและสัตว์สองดวง จึงได้พันผูกมาเกิดร่วมกันเป็นอมนุษย์



          หลังจากนั้นก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่สองได้ไม่นาน ยารักษาวัณโรคก็ได้ถูกคิดค้นขึ้น ทว่า...ก็ไม่อาจทันเวลาที่จะช่วยรักษาชีวิตของ “พุฒ” ชายผู้แสนดี

          ที่ถูกทิ้งให้จากไปอย่างโดดเดี่ยวได้ทันเวลา...



++++++++++++++++



          ตอนนี้เป็นบทขยายเรื่องราวของมะลิว่ากลายมาเป็นสิ่งมีชีวิตสุดพิลึกได้ยังไงนะคะ ที่สำคัญมะลิกับพินก็เคยผูกพันกันมาก่อนแล้วด้วย สมัยก่อนยังไม่มียารักษาวัณโรคนะคะ ทำให้ทั้งมิ่งและพุฒต้องจากไปอย่างน่าเศร้าค่ะ
หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! My brother is the barn owl! บทที่31 : อดีต 18/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 18-10-2019 22:16:35
 o18



 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! My brother is the barn owl! บทที่32 : อาลัย 21/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: Timid Lily ที่ 21-10-2019 08:52:11
     
บทที่ 32 : อาลัย

          ดอกไม้จันทน์สีขาวที่ถูกจัดช่อไว้เคียงคู่กับธูปเทียน ถูกวางลงอย่างเบามือเป็นการอำลาส่งผู้เป็นที่รักไปยังโลกหน้าด้วยความอาลัย หยาดน้ำตารินไหลเงียบงัน ความรู้สึกเศร้าเสียใจผสมปนเป ความทุกข์เรื่องการสูญเสียผู้เป็นพี่ชายถูกสะกิดเตือนขึ้นมาอีกครั้ง รวมถึงดวงใจของเขาที่ถูกพรากจากไปไม่ได้ข่าวคราว

          ‘มะลิ...นายอยู่ที่ไหน?’

          พินยืนสงบนิ่งสีหน้าอิดโรย ความปวดร้าวที่ถูกเก็บกลั้นไว้ลึกๆ ดึงความรู้สึกให้จมอยู่กับความว่างเปล่า แม้ว่าเรื่องราวทุกอย่างจะจบสิ้นลงแล้ว ทว่าหัวใจของเขายังคงไม่ได้รับการเติมเต็ม

          ‘ชั้นคิดถึงนาย’

          เขาก้าวเท้าลงจากบันไดเมรุช้าๆ เบื้องหน้าบุพการีทั้งสองกำลังยืนรอเขาอยู่ด้านล่าง แค่เห็นใบหน้าของผู้เป็นแม่ที่อาบนองไปด้วยน้ำตา หัวใจของพินก็แทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ

          “พิน...”

          เธอโผเข้ากอดชายหนุ่มร่ำไห้ตัวสั่นเทา ใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาซบลงบนไหล่ของลูกชายที่รัก หยดน้ำเปียกปอนไหลเต็มบ่า พินกอดตอบพยายามปลอบประโลมมารดา ทว่ากลับกลายเป็นตัวเขาเองที่ไม่อาจกลั้นความเศร้าเสียใจได้อีกต่อไป น้ำใสๆไหลทะลักทลายราวกับคลื่นยักษ์ซัดโหม ดวงตาสวยงามบวมแดงช้ำ ลมหายใจขาดสะดุดสะอื้นแทบขาดใจ

          ควันสีขุ่นลอยคลุ้งไปในอากาศ พินยืนมองส่งดวงวิญญาณที่ล่องลอยไปบนท้องฟ้ากว้าง สายตาทอดเหม่อรำพันถึงคนที่คิดถึง

          คนหนึ่งที่วายชนม์...

          และอีกคนที่ไม่รู้ว่าจากเป็นหรือจากตาย...

          เพื่อนหญิงที่มักจะสดใสร่าเริงอยู่เสมอเช่น “กั้ง” เห็นพินในสภาพนี้ก็อดไม่ได้ที่จะต้องเข้ามาปลอบใจ ทว่าเธอกลับไม่อาจเอ่ยคำใดออกมา ทำได้แค่คล้องแขนบอบบางของเธอเข้ากับชายหนุ่มพลางซบศีรษะลงบนไหล่ร้องไห้ เช่นเดียวกับ “ม่อน” เพื่อนรักอีกคนที่มักจะคอยดูแลเอาใจใส่เขา ส่งมือนุ่มอุ่นกำให้กำลังใจชายหนุ่มแน่นเหม่อมองฟ้าน้ำตาไหลไปด้วยกัน



          “เมฆไม่เข้าใจ ทำไมถึงต้องเกิดเรื่องแบบนี้กับพี่พิมพ์”

          เด็กหนุ่มตัวสูงใหญ่ที่ยืนมองหลังพินอยู่ห่างๆเอ่ยขึ้นอย่างเจ็บปวด ใบหน้าคมคายบัดนี้หมองลงน้ำตาคลอ

          “อย่างน้อย...พี่พิมพ์ที่เมฆรู้จักก็เป็นคนดี”

          เด็กหนุ่มผิวเข้มอีกคนที่ยืนเคียงข้างได้ยินเช่นนั้นก็เจ็บแปลบขึ้นในใจ เขาลูบแผ่นหลังกว้างปลอบโยนหัวใจอันแสนไร้เดียงสา คงจะดีอยู่แล้วหากเมฆจะรับรู้เรื่องราวทั้งหมดแค่เพียงเท่านี้

          “คิม...”

          ส่วนดาวเหนือที่ได้แต่นึกโทษตัวเองที่ไม่อาจบอกลางร้ายได้ทันท่วงที ความเสียใจและวิตกกังวลทำให้เขาอดหันไปถามชายผู้เป็นเจ้าของไม่ได้

          “คิมจะไม่ทิ้งผมไปไหนใช่มั้ย?”

          เขาเองก็นึกกลัวขึ้นมาว่าวันหนึ่งไม่เขาก็คิมต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่ต้องพลัดพรากจากกันไป ตาเรียวมองสบคนที่ยืนเคียงข้างแดงฉ่ำ คิมที่มองตอบมาส่งรอยยิ้มอบอุ่นให้พลางจับมือดาวเหนือแน่น

          “อืม...”

          คนตัวเล็กกว่าเอื้อมมือช่วยซับน้ำตาของร่างสูงที่คลอหน่วยอยู่ ทุกคนในที่นี้ได้แต่ภาวนาอย่างมีความหวังว่า...สักวันหนึ่ง

          มะลิจะหวนกลับมา...





          เวลาผ่านไปนับเดือน ทว่าพินก็ยังไม่ได้รับข่าวคราวจากคนที่เขารัก...

          “พินแกเป็นอะไรของแก? เหม่ออยู่ได้”

          หญิงสาวผมหน้าม้าที่กำลังนั่งเขี่ยลูกเชอร์รี่เชื่อมออกจากแก้วไอศกรีมเอ่ยถามชายหนุ่มที่ไม่รู้กำลังมองไปทางไหน

          “เอ่อ...เปล่าไม่มีอะไร เราแค่คิดอะไรอยู่นิดหน่อย”

          แม้ว่าเพื่อนกั้งจะเรียกสติให้พินกลับมาสนใจสองสาวตรงหน้าได้ ทว่าแค่ครู่เดียวพินก็กลับไปเหม่อลอย ทอดสายตาจดจ่อไปกับผู้คนที่เดินขวักไขว่อยู่มากมาย

          “อีกั้งแกนี่นะ...อย่าไปเซ้าซี้พินมันมากเลย แกลืมไปแล้วหรือไงว่าตอนนี้สภาพจิตใจมันยังไม่ค่อยโอเค”

          ม่อนเอ่ยขึ้นบ่นกั้งอุบอิบ ส่วนกั้งที่นึกขึ้นได้ก็รีบเงียบเสียงอย่างคนสำนึกผิด เธอรีบตักไอศกรีมคำโตใส่ปากแก้เก้อ

          “โอ๊ยมันจี๊ดขึ้นสมอง!”

          “ก็กินคำเล็กๆหน่อยไม่เป็นรึไงเล่า!”

          พินเห็นความวุ่นวายบนโต๊ะก็อมยิ้มขึ้นมา วันนี้พิน กั้ง และม่อนนัดเจอกันหลังจากที่ต่างฝ่ายต่างไปมีหน้าที่การงานของตัวเอง ตอนนี้กั้งก็มีแฟนไปอีกคนแล้วทำให้เขารู้สึกเหงานิดหน่อย แต่อย่างน้อยก็น่าดีใจที่เพื่อนๆมีความสุขกันดี

          “เออแล้วพินแกเป็นไงบ้าง อยู่คนเดียวเหงารึเปล่า?”

          “ไม่เหงาหรอก...”

          “ถ้าแกไม่โอเคบอกม่อนได้นะ ม่อนจะไปอยู่เป็นเพื่อน”

          “ชั้นไปด้วย!”

          สองสาวรีบพูดขึ้นด้วยความเป็นห่วง ทว่าพินก็ยังคงปฏิเสธกลับไป

          “เราอยู่ได้ ไม่ต้องห่วงนะ”

          คนเป็นเพื่อนได้แต่มองหน้ากัน ก่อนที่กั้งจะตัดสินใจถามเรื่องต่างๆที่เธอนึกสงสัยมากมายเหลือเกิน

          “เออพิน แล้ว...เรื่องคดีสรุปมันจบยังไงวะ?”

          “โอ๊ยเอาอีกแล้วนะอีกั้งไปหาข่าวอ่านเองก็ได้มั้ยล่ะ?”

          “ขอโทษๆๆชั้นไม่ถามแล้วก็ได้”

          กั้งเอามือตีปากตัวเองเบาๆอย่างสำนึกผิด ในขณะที่ม่อนรีบเลื่อนนิ้วไวๆในโทรศัพท์ก่อนจะส่งให้เพื่อนที่หน้าหดเหลือสองนิ้วอ่านข้อความข่าวที่ปรากฏตรงหน้า

          แน่นอนว่าคดีนี้ “สินทร” เป็นผู้ชนะไปโดยปริยาย ในขณะที่ “ไหม” ทนายคนใหม่และผู้อำนวยการโรงพยาบาลต้องรับโทษไปตามความผิดที่กระทำ โดยที่ชิชาไม่ถูกซัดทอดเลยแม้แต่นิดเดียวแถมยังได้รับมรดกของพิมพ์ไปเต็มๆในฐานะภรรยา อาจจะฟังดูไม่ยุติธรรม แต่ทว่านี่แหละ...คือโลกแห่งความจริงอันแสนโหดร้าย

          “เออนี่เดี๋ยวกินเสร็จแล้วชั้นขอไปดูเครื่องสำอางเซลล์ก่อนกลับได้ป่ะ? เห็นป้ายแดงๆแล้วมันอดใจไม่ไหว”

          คนเงินเดือนเพิ่งออกอย่างกั้งตอนนี้อยากเสียตังใจจะขาด ส่วนม่อนก็เห็นดีเห็นงามไปด้วย

          “เอาสิม่อนอยากไป ได้เสียตังแล้วมันสบายใจ”

          สองสาวหัวเราะคิกคัก พินเริ่มจะรู้ชะตากรรมของตัวเองแล้วว่า เขาคงไม่พ้นต้องนั่งรออยู่นอกร้านร่วมกับชายหนุ่มจำนวนมหาศาลที่ทำหญิงคนรักหายไปในร้านเครื่องสำอางขนาดใหญ่ไม่ต่างจากป่าอันน่าพิศวง



          คนทั้งสามลงบันไดเลื่อนเรื่อยมามุ่งสู่เป้าหมายของหญิงสาว กั้งกับม่อนกำลังคุยสนุกไม่หยุดปากโดยที่ทิ้งเพื่อนชายอีกคนที่มาด้วยกันให้จมอยู่กับห้วงความคิดของตน ดวงตาคมที่มักจะเหม่อมองสอดส่ายออกไปราวกับค้นหาอะไรบางอย่าง ได้ไปสะดุดกับชายร่างสูงสวมเสื้อคอปกสีขาวกับกางเกงยีนส์เก่าๆผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ไกลๆ

          ร่างที่คุ้นตา...

          ร่างที่ทำให้พินอดไม่ได้ต้องรีบวิ่งเข้าไปหา

          “เฮ้ยไอ้พินจะไปไหนของแกอ่ะ!”

          กั้งตะโกนเรียกเรียกเมื่อเห็นชายหนุ่มรีบซอยเท้าลงบันไดเลื่อนไปอย่างรวดเร็ว เขาเบียดร่างกายผอมบางของตนแทรกเข้าไปหาพลางคว้าแขนชายหนุ่มคนนั้น

          “มะลิ!”

          “ครับ?”

          ‘ไม่ใช่...’

          พินเข้าใจผิดไปเอง ถึงจะดูคล้ายไปเสียทุกอย่างทว่ากลับไม่ใช่คนที่เขาตามหา ไม่ใช่ “มะลิ” ผู้เป็นที่รักของเขา

          “ขอโทษครับผมทักคนผิด...”

          ชายผู้นั้นเดินจากไป ความหวัง ความคิดถึงทำให้พินมีสภาพไม่ต่างจากคนบ้า คนบ้าที่ไล่ตามหาคนที่อาจไม่หวนคืนมาด้วยซ้ำ...

          ‘มะลิ...กลับมาเถอะ...’

          “พิน? แกเจอคนรู้จักหรอ?”

          ม่อนเอ่ยขึ้นถามเพื่อนของเธอที่กำลังก้มหน้าก้มตามองไปทางอื่น

          “พิน...หันมาคุยกับม่อนดีๆ”

          หญิงสาวคว้าแขนเพื่อนหนุ่มก่อนจะดึงให้เขาหันมา ภาพตรงหน้าคือดวงตาแดงร้อนผ่าวคลอไปด้วยหยดน้ำใสๆ

          “พินแกเป็นอะไร? !”

          “เราไม่เป็นอะไร...ขอโทษนะเราขอตัวกลับก่อนแล้วกัน”

          ชายหนุ่มยกมือปาดน้ำตาไวๆ จากนั้นจึงรีบปลีกตัวจากเพื่อนของเขาไป โดยที่ทิ้งให้หญิงสาวทั้งสองมองส่งด้วยความเป็นห่วง



          พินลากร่างกายอันโรยแรงเดินขึ้นบันไดมายังห้องนอน เขาเปิดไฟในห้องเพิ่มความสว่างก่อนจะเดินออกไปทอดอารมณ์ที่ระเบียงมองดวงจันทร์สุกสกาวที่ครั้งหนึ่งเขากับมะลิเคยชื่นชมมันด้วยกันที่สวน

          ‘คุณยายยังอยู่ตรงนี้...’


          เขาจำช่วงเวลาที่นกหนุ่มปลอบโยนให้เขาคลายเศร้าจากการจากไปของหญิงชราได้ดี สัมผัสจากมืออบอุ่นยังตราตรึงไม่หายไปไหน ฝ่ามือใหญ่กุมมือของเขาวางทาบบนอกข้างซ้ายอย่างถนอม

          ‘แล้วนายล่ะมะลิ...อยู่ที่ไหน? นายยังมีชีวิตอยู่ใช่มั้ย...?’

          “พิน!”

          เสียงหนึ่งดังขึ้นทำเอาคนกำลังเหม่อสะดุ้งตัวโยน เจ้าแมว “นินจา” นั่นเองที่เรียกเขา และตอนนี้มันก็ได้กลายร่างเป็นเด็กหนุ่มพลางถือวิสาสะเปิดประตูจะเข้าไปในห้อง

          “นินจามาทำอะไรเนี่ย?”

          “ชู่ว...”

          นินจาเอานิ้วจรดริมฝีปากเป็นเชิงไม่ให้ชายหนุ่มส่งเสียง ก่อนจะยันตัวผ่านซอกประตูเข้าไปอย่างที่แมวชอบกระทำ เสียงอีกเสียงหนึ่งตะโกนลั่นมาจากระเบียงบ้านข้างๆ

          “นินจา! มาอาบน้ำกันเถอะ เมี้ยวๆๆ”

          เป็นเมฆนั่นเองที่กำลังชะเง้อชะแง้ตามหาว่าเจ้าแมวสุดน่ารักของเขาหายตัวไปไหน พอรู้ตัวว่าจะโดนจับอาบน้ำทีไรมันก็หนีไปอย่างว่องไวเสียทุกครั้ง

          “อ้าวพี่พิน เห็นนินจามั้ยครับ?”

          พินเลิ่กลั่กรีบหันไปมองเด็กหนุ่มที่อยู่ในห้องนอนของเขากำลังส่ายหน้ารัวเป็นเชิงให้ไล่เด็กเมฆกลับไป

          “เอ่อ...ไม่เห็นนะ”

          “หรอครับ...แย่จัง นินจาไม่ได้อาบน้ำมาตั้งนานแล้ว พอผมจะอาบให้มันทีไรหายตัวไปทุกที”

          “ถ้าพี่บังเอิญเจอมันพี่จะมาบอกเมฆก็แล้วกันนะ”

          “ขอบคุณครับพี่พิน ถ้างั้นเมฆขอตัวไปตามหานินจาก่อนนะครับ”

          เมฆเดินกลับเข้าตัวบ้านไป ส่วนพินเองก็กลับเข้าไปยังห้องของตนพลางปิดประตูระเบียงเสร็จสรรพ

          “พินคิดถึงเจ้านกอยู่งั้นหรอ?”

          “เอ๊ะ?”

          นินจาเอ่ยถาม แค่เห็นสีหน้าของพินก็เดาได้ไม่ยาก แม้แต่ตัวชายหนุ่มเองก็ไม่แปลกใจนักที่ถูกถามแบบนั้นขึ้นมา

          “อืม...ชั้นยังหวังน่ะว่ามะลิจะอยู่ในร่างของใครซักคนที่ไหนซักแห่ง”

          ...ยังคงมีความหวังว่าคนรักจะกลับคืนมา

          แม้ว่าจะต้องรออีกนานสักแค่ไหนก็ตาม...

          “แต่พินก็ต้องเผื่อใจเอาไว้ด้วยนะ...”

          ราวกับถูกจี้ใจดำ น้ำตาถูกสั่งให้ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว เขารู้ดียิ่งกว่าใครๆว่าสิ่งที่ตนเฝ้ารอคอยอย่างมีความหวังแท้จริงแล้วอาจจะไม่มีวันเป็นจริง

          แต่ทำไมกลับทำใจไม่ได้...

          “นี่ชั้นคงจะหวังลมๆแล้งๆไปคนเดียวใช่มั้ย?”

          ชายหนุ่มระเบิดความเสียใจน้ำตารินไหลเป็นทาง ทุกครั้งไม่ว่าเขาจะเดินทางไปที่ไหน ไปทำอะไร เขาก็อดไม่ได้ที่จะต้องมองหานกหนุ่มท่ามกลางฝูงชน ทว่าเวลาก็ล่วงเลยมานานนับเดือนแล้วกลับไม่มีวี่แววว่าคนๆนั้นจะกลับมาหา ไม่ว่าจะตามหาเท่าไหร่ จะพยายามแค่ไหน...

          หัวใจกลับไม่กลับมาหาเขาเสียที

          “ชั้นกำลังหลอกตัวเองอยู่รึเปล่านินจา? แต่ชั้นยังอยากจะเชื่อ...เชื่อว่ามะลิยังมีชีวิตอยู่”

          คนฟูมฟายเสียใจทำให้แมวหนุ่มอดเศร้าตามไม่ได้ เขาคว้าคนที่กำลังร้องสะอื้นเข้ากอดปลอบแน่น พินซุกใบหน้าลงบนไหล่เล็กๆ ของแมวน้อย ในใจรวดร้าวทรมาน

          ‘ชั้นจะรอนาย...ตลอดไป...’





สามปีผ่านไป



          ชายหนุ่มผอมบางที่ขมวดผมยาวสลวยไว้เรียบร้อยไม่ให้ปรกลงมารุงรัง เปิดประตูเข้าไปในร้านทำผมดูหรูหราที่ตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้าใจกลางเมืองขนาดใหญ่ พนักงานมากมายต่างรีบลุกขึ้นต้อนรับเขาอย่างกระตือรือร้น

          “สวัสดีค่ะวันนี้มาทำอะไรคะคุณลูกค้า?”

          “มาตัดผมครับ”

          ตอนนี้ผมของพินยาวมากพอที่จะนำไปบริจาคได้แล้ว ในที่สุดก็ถึงเวลาที่เขาจะต้องมาตัดมันออกเสียที

          “คุณลูกค้ามีช่างประจำมั้ยคะ?”

          “มีครับ ช่างชื่อคิมครับ”

          “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวเชิญไปสระผมก่อนเลยนะคะ”

          “เดี๋ยวพี่สระให้เอง”

          ชายหนุ่มผมสีฟ้าจ้าแสบตาเดินออกมาจากด้านใน โดยปกติแล้วช่างตัดอย่าง “คิม” ไม่จำเป็นต้องสระผมให้ใคร แต่ถ้าเป็นลูกค้าคนนี้เขายินดีบริการให้เป็นพิเศษ

          “สวัสดีครับพี่คิม”

          “มาซะดึกเลยนะน้อง งานยุ่งล่ะสิ”

          คิมเอ่ยขึ้นพลางเปิดน้ำที่ปรับให้อุ่นเล็กน้อยก่อนจะชำระลงบนเส้นผมดำยาวของชายหนุ่ม

          “พินต้องขอโทษจริงๆนะครับพี่ พินงานยุ่งมาก กว่าจะเสร็จร้านพี่ก็จะปิดอยู่แล้ว”

          “ไม่เป็นไร พี่เข้าใจ พี่ล็อกคิวไว้ให้น้องโดยเฉพาะเลยนะ”

          “ขอบคุณครับ”

          ยาสระผมกลิ่นหอมสดชื่นทำให้พินรู้สึกสบาย แรงมือที่นวดลงเบาๆบนศีรษะของเขาทำให้คนที่นอนบนเตียงสระอดจะง่วงเคลิ้มขึ้นมาไม่ได้

          “น้องนี่โคตรอดทนเลยนะ ไว้ผมมาได้ตั้งสามปี ส่วนพี่นะสามอาทิตย์ก็ต้องตัดแล้วมันรำคาญ”

          “ก็ผมตั้งใจไว้แล้วนี่ครับ”

          สามปีก่อนที่ชายหนุ่มเคยพูดเอาไว้ว่าจะเลี้ยงผมให้ยาวเพื่อนำไปบริจาคให้แก่ผู้ป่วยโรคมะเร็ง...และเป็นสามปีที่เขา

          ทำหัวใจหายไปเช่นกัน...

          “แล้ววันนี้อยากตัดทรงไหนล่ะ?”

          “ก็คงจะคล้ายๆเดิมนั่นแหละครับ”

          คิมทำท่าครุ่นคิด เพราะตอนที่เขาเริ่มรู้จักพินผมของชายคนนี้ก็เริ่มยาวระคอลงมาแล้ว

          “ตอนพี่เจอน้อง ผมน้องเริ่มยาวแล้วนะ”

          “ถ้างั้นก็เอาสั้นกว่านั้นนิดหน่อยก็ได้ครับ”

          “ได้เดี๋ยวพี่จัดให้”



          คนทั้งสองย้ายมายังเก้าอี้หน้ากระจก คิมขยี้เช็ดผมให้พินอย่างเบามือก่อนจะหยิบไดร์เป่าผมขึ้นมาเสียบปลั๊ก

          “เดี๋ยวพี่ตัดให้ตอนผมแห้งแล้วกัน จะได้ดูแลผมที่ตัดออกมาได้ง่ายๆ”

          “ได้ครับ”

          ไออุ่นจากไดร์เป่าผมกระทบลงบนเส้นผมสลวย มือที่เชี่ยวชาญสางขยี้เส้นผมอย่างบรรจง ทำให้พินคิดถึงใครบางคนที่เคยทำแบบนี้ให้กับเขา

          ‘พินมานั่งนี่เร็ว เดี๋ยวเราจะช่วยเช็ดผมให้’


          “น้องพิน...”

          “ครับพี่คิม?”

          เสียงเรียกทำให้พินรู้สึกตัวขึ้นมา เขาสบตาของตนในกระจก ภาพตรงหน้าสะท้อนให้เห็นว่าดวงหน้านั้นกำลังหมองเศร้าขนาดไหน

          “ตัดผมเสร็จแล้วอย่าพึ่งรีบกลับเลยนะ เดี๋ยวดาวเหนือจะมาก่อนร้านปิดนิดหน่อย”

          “หรอครับ? ดีจังพินเองก็คิดถึงดาวเหนือมากเหมือนกัน”

          คิมยิ้มอบอุ่นให้กับคนที่ดูกำลังซึม เขารับรู้เรื่องราวทั้งหมดผ่านดาวเหนือ มันทำให้อดเห็นใจชายหนุ่มผู้นี้ไม่ได้



          หลังจากตัดผมเสร็จพินก็มานั่งรออยู่ตรงเก้าอี้ใกล้ๆกับทางเข้าร้าน ผมของเขากลับไปสั้นลงดังเดิม ความรู้สึกหนักๆบนหัวคลายลงไปเยอะ

          “อ่ะผมของน้อง”

          คิมส่งเส้นผมที่ถูกรวบมัดเป็นช่อบรรจุลงถุงซิปล็อคขนาดใหญ่ไว้อย่างดีให้กับพิน ในขณะเดียวกันมีชายร่างสูงเดินลิ่วมาแต่ไกล ดวงตาเรียวๆเบิกขึ้นพลางยิ้มแย้มร่าเริงเมื่อเห็นชายทั้งสอง     

          “คิม! พิน!”

          ดาวเหนือรีบวิ่งดิ่งมาหาพวกเขา แม้ว่าเวลาจะผ่านไปถึงสามปี แต่อมนุษย์งูผู้นี้กลับดูไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด

          “ถ้างั้นดาวเหนืออยู่กับพินไปก่อนนะ เดี๋ยวชั้นขอไปเก็บของก่อน”

          คิมเอ่ยฝากเจ้างูน้อยก่อนจะผละตัวไปจัดการกับธุระปะปังของตนให้เสร็จเพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน

          “พินผมคิดถึงพินมากๆเลย”

          “ชั้นก็คิดถึงดาวเหนือเหมือนกัน”

          “ทำไมพินถึงไม่แวะมาเยี่ยมผมบ้างเลย? ความจริงมาหาผมที่นี่ก็ได้นี่นา ผมมารับคิมกลับบ้านทุกวันเลยนะ”

          “ขอโทษนะ พอดีชั้นยุ่งๆน่ะ”

          ความ “ยุ่ง” เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ทำให้พินหายหน้าหายตาไป แต่ความเป็นจริงแล้วเขาเก็บตัวมากขึ้นและไม่สดใสเหมือนเคย แม้แต่เพื่อนๆของเขานานๆทีจึงจะได้เจอหน้าค่าตากันด้วยซ้ำ

          “งั้นไม่เป็นไรตอนนี้ผมมีโทรศัพท์มือถือแล้วนะ คิมซื้อให้ เดี๋ยวผมจะเป็นฝ่ายโทรไปหาพินเอง”

          “เอาสิ”

          ดาวเหนือหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอวด พินจึงให้เบอร์และไลน์ของเขาแก่เจ้างูหนุ่มไป อย่างน้อยการที่ได้คุยเล่นกับคนไม่รู้ประสาแบบดาวเหนืออาจจะทำให้พินรู้สึกดีขึ้นนิดหน่อยก็เป็นได้

          “แล้วดาวเหนือเป็นยังไงบ้าง สบายดีมั้ย?”

          “ผมสบายดี”

          ดาวเหนือเอ่ยตอบพลางยิ้มให้ตาหยี แต่ไม่ทันที่เขาจะถามกลับไป เขาก็สัมผัสได้ว่าชายหนุ่มดูไม่มีความสุขเหมือนเคย

          “แต่ท่าทางพินจะไม่ค่อยสบายใช่รึเปล่า?”

          คนซึมเศร้าอย่างเขาไม่ว่าไปที่ไหนก็รังแต่จะแผ่บรรยากาศหม่นหมองใส่คนรอบตัว หนนี้ก็เช่นกัน...

          “พินยังคิดถึงนกมะลิอยู่ใช่มั้ย?”

          ความรู้สึกจุกแน่นอยู่ในอก ไม่ว่าจะผ่านมานานเท่าไหร่...กลับไม่มีวันไหนที่เขาไม่คิดถึงคนรักที่จากไป

          “ผมก็คิดถึงเหมือนกัน...”

          ดาวเหนือดูเศร้าไปอีกคน พินตัดสินใจระบายความรู้สึกที่เขามักจะเก็บเอาไว้คนเดียวออกมาให้เพื่อนที่กำลังร่วมแบ่งปันความทุกข์ได้ฟัง

          “ชั้น...หมดหวังเรื่องมะลิแล้วใช่มั้ย?”     

          น้ำเสียงที่เปล่งออกมาสั่นเครือ ดวงตาร้อนผะผ่าวขึ้นอีกครั้ง

          “สามปีมาแล้วนะดาวเหนือ...แต่ชั้นไม่เห็นวี่แววอะไรเลย”

          ทั้งโง่งม จมปรัก ไม่ก้าวต่อไปข้างหน้า...

          “แต่มันก็ไม่ผิดไม่ใช่หรอ...?”

          ดาวเหนือเอ่ยขึ้นพลางคว้ามือบอบบางมาประคอง รอยยิ้มอ่อนโยนฉายขึ้นบนใบหน้า

          “ที่เราจะยังไม่ละทิ้งความหวัง...”

          พินแทบจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ แค่คำพูดประโยคเดียวของดาวเหนือก็ทำให้เขาสุขใจ เป็นคำพูดที่เขาอยากได้ยิน อยากให้ใครสักคนมาบอก

          แม้ว่ามันจะทำให้เขายังคงติดอยู่ในวังวนของอดีตก็ตาม...




          ชายหนุ่มพาร่างกายห่อเหี่ยวเหงาซึมขึ้นลิฟต์มา เขามุ่งหน้าไปยังห้องพักพลางกดรหัสเปิดประตูเข้าไป ทุกวันนี้พินได้ย้ายออกมาอยู่ที่คอนโดที่เขาเช่าเอาไว้ใกล้ที่ทำงาน ส่วนบ้านเดิมนั้นปัจจุบันพ่อได้เกษียณและกลับไปอยู่ที่นั่นพร้อมกับแม่

          ‘ครืด’

          โทรศัพท์มือถือของพินสั่นแจ้งเตือนข้อความเข้า เมื่อเปิดดูเขาก็พบว่าทางนิติบุคคลของคอนโดได้ส่งข้อความมาว่าพรุ่งนี้ห้องข้างๆ จะมีคนย้ายเข้ามา หลังจากที่ประกาศขายมาอย่างยาวนาน

          นิติคอนโด : คุณพินคะพรุ่งนี้ห้องข้างๆ อาจจะเสียงดังนิดหน่อยนะคะเพราะมีพนักงานขนย้ายเข้ามา ต้องขอโทษล่วงหน้าด้วยค่ะ

          พินอ่านข้อความอย่างไม่ใส่ใจนักจากนั้นจึงทิ้งตัวลงบนเตียงนอนอย่างเหนื่อยอ่อน มือก็คว้าเอาเสื้อคอปกสีขาวที่ตกแต่งลายหัวใจสีแดงดวงจิ๋วไว้บนอกเข้ากอดซุกแน่น แม้ว่ากลิ่นของคนที่คิดถึงได้ลางเลือนไปมากแล้ว แต่มันกลับอุ่นใจทุกครั้งที่ได้สัมผัสเสื้อตัวนี้ เสื้อที่เขาเคยซื้อให้กับคนที่รัก...เสื้อตัวเดียวที่เป็นของมะลิ

          ของเพียงชิ้นเดียวที่เป็นเครื่องบ่งชี้ว่าคนๆนั้นเคยมีตัวตนอยู่จริง...

          อย่างน้อยก็ในชีวิตของพิน...

          ดวงตาสวยค่อยๆปรือหลับลงช้าๆ ความง่วงเข้าแทนที่ราวกับจะพาคนที่กำลังเศร้าหลบหนีเข้าสู่ห้วงแห่งความฝัน ร่างผอมบางหายใจเข้าออกสม่ำเสมอเป็นสัญญาณให้รู้ได้ว่าชายหนุ่มได้ผลอยหลับไปเสียแล้ว



          ใต้ท้องฟ้าครามสดใส ฝ่าเท้าที่เปลือยเปล่าของพินแช่อยู่ในลำธารตื้นเย็นใสสะท้อนให้เห็นกรวดหินเป็นประกาย ชายหนุ่มลุยน้ำเฉอะแฉะเดินเรื่อยมาพลางชมทิวทัศน์เขียวชอุ่มที่รายล้อม เบื้องหน้ามีชายคนหนึ่งยืนอยู่ไกลๆ

          ชายที่เขาไม่ได้เห็นหน้าค่าตามานาน...

          ชายร่วมสายเลือดที่หน้าตาละม้ายคล้ายเขานัก...

          “พี่พิมพ์!”




++++++++++++++++



          ตอนที่เราเขียนตอนนี้เราเศร้ามากเลย แอบร้องไห้ตามพินด้วย คิดถึงมะลิเหมือนกันจนซึมไปเลยค่ะ...แล้วพบกันใหม่ตอนหน้านะคะ



หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! My brother is the barn owl! บทที่32 : อาลัย 21/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 21-10-2019 09:34:36
 o18


 :กอด1: :pig4: :กอด1:


 o13
หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! My brother is the barn owl! บทที่32 : อาลัย 21/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 21-10-2019 19:13:39
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! My brother is the barn owl! บทที่33 : หวน 25/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: Timid Lily ที่ 25-10-2019 10:22:00
บทที่33 : หวน

         “พี่พิมพ์!”

          พินวิ่งลุยน้ำจนกระเซ็นเปียกปอนไปทั่ว เขาดีใจเหลือเกินที่ได้เจอกับพี่ชายที่ไม่ได้พบกันมานาน ชายหนุ่มร่างสูงกว่าเขานิดหน่อยยืนรอน้องชายที่กำลังทุลักทุเลไปหา ใบหน้าแต้มใบด้วยรอยยิ้มดูเอิบอิ่มสดใสที่สุดตั้งแต่ที่พินเคยเห็นมา

          “พี่พิมพ์! พินคิดถึงพี่พิมพ์มากเลย พี่พิมพ์สบายดีมั้ย?”

          พินยิ้มมีความสุขให้กับชายผู้พี่ ทว่าพิมพ์กลับไม่พูดอะไรตอบมา เขาเพียงแค่ส่งรอยยิ้มอบอุ่นพลางลูบหัวน้องชายอย่างอ่อนโยนเท่านั้น

          “พี่พิมพ์ พ่อกับแม่ก็คิดถึงพี่พิมพ์มากเหมือนกันรู้รึเปล่า?”

          พิมพ์ยังคงไม่ตอบอะไร เขาพยักหน้าช้าๆสบตามองดวงหน้าของน้องชายผู้น่าเอ็นดู

          “พี่พิมพ์ใจคอจะไม่พูดอะไรกับพินซักคำเลยหรอ?”

          พินหน้าง้ำลง เขารู้สึกผิดหวังนิดหน่อยที่ไม่อาจได้ยินเสียงของพี่ชายคนนี้ พิมพ์คว้ามือคนเป็นน้องมาประคองไว้ เขาหงายฝ่ามือบางออกก่อนจะวางอะไรบางอย่างลงไป

          ดอกไม้น้อยสีขาวหอมนุ่มละมุนที่พาให้คิดถึงใครบางคน...

          “ดอกมะลิ”

          พินมองมะลิสีขาวนวลในมือสลับกับสบตาพี่ชายอย่างไม่เข้าใจ พิมพ์เอาแต่ยิ้มให้ไม่พูดอะไรก่อนจะรวบกำมือเรียวที่ประคองดอกไม้เอาไว้และนำมือนั้นส่งไปทาบบนอกซ้าย

          ตรงหัวใจของพิน...

          “พี่พิมพ์อยากจะบอกอะไรพินงั้นหรอ?”

          พิมพ์ไม่ตอบ เขาคลายมือออกพลางลูบหัวน้องชายอีกครั้งแทนคำบอกลา จากนั้นจึงเดินจากไปช้าๆ

          “พี่พิมพ์จะไปไหนน่ะ? กลับมาก่อน”

          พินรีบวิ่งตาม ทว่าไม่ว่าจะเร่งฝีเท้าสักเท่าไหร่ก็ตามคนที่กำลังจากไปไม่ทัน ภาพสุดท้ายที่เขาเห็นคือพี่ชายของเขายืนโบกมือให้โดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง



          “พี่พิมพ์!”

          พินร้องเรียกคนเป็นพี่เสียงลั่นก่อนจะตกใจตื่นขึ้นมา เขามองไปรอบๆห้องก็พบว่าตนได้เผลอหลับไปจนสว่าง กลิ่นหอมดอกไม้จางๆลอยเอื่อยแตะจมูก

          ‘กลิ่นมะลิ?’

          ทว่าเมื่อแบมือออกมากลับไม่พบอะไรอยู่ในนั้น...

          พินยันตัวลุกขึ้นเอามือตบแก้มเบาๆไล่ความงัวเงียและความฟุ้งซ่าน วันนี้เขามีนัดกับกั้งและม่อน สองสาวเพื่อนสนิท เขาจึงต้องรีบลุกไปล้างหน้าล้างตาอาบน้ำแต่งตัว

          โดยที่ในหัวไม่อาจสลัดความฝันเมื่อคืนทิ้งไปได้เลย...





          “ทางนี้พิน!”

          เสียงสดใสผิดมนุษย์ของกั้งเรียกพินดังลั่นจนทำเอาคนที่เดินผ่านไปผ่านมาสะดุ้งหน้าตาตื่น ชายหนุ่มไม่รอช้ารีบเดินไปทางสองสาว ม่อนรีบเดินเข้ามาหาพลางทักอย่างดีอกดีใจ

          “โอ๊ยพินผมสั้นกลับมาแล้ว น่ารักที่สุด”

          ม่อนเอามือทั้งสองดึงแก้มชายหนุ่มเบาๆทำเอาเขายิ้มเขินขึ้นเล็กๆ

          “จริงๆชั้นเองก็ชอบแบบนี้ ตอนผมยาวก็สวยดีแต่เกินหน้าเกินตาเพื่อน เพื่อนไม่ชอบ!”

          กั้งพูดเย้าสำทับ ทำให้พินที่เพิ่งจะเขินอยู่หยกๆหุบยิ้มแทบไม่ทัน

          “เออพินวันนี้ชั้นชวนเพื่อนมากินข้าวด้วยนะ โทษทีที่ไม่ได้บอกก่อน”

          “อ๋อไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่ใครหรอ?”

          กั้งยิ้มกริ่มก่อนจะรีบหันไปกวักมือเรียกชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งที่ยืนอยู่ไกลๆ

          “นี่พี่เติ้ล รุ่นพี่ที่ทำงานชั้นเอง”

          “สวัสดีครับ”

          ชายหนุ่มอีกคนส่งยิ้มหวานให้พินพลางเอ่ยทักทาย พินจึงยิ้มตอบกลับไปอย่างสุภาพ

          “สวัสดีครับ”

          “พี่เติ้ลนี่พินกับม่อนนะ เพื่อนสนิทน้องเอง”

          คนทั้งสามยิ้มให้กันแบบเกร็งๆเล็กน้อย ส่วนกั้งเองก็พยายามจะสร้างบรรยากาศสนุกสนานให้กับกลุ่มเพื่อน

          “ชั้นหิวละ เราไปกินข้าวกันเถอะ”

          พูดจบกั้งก็รีบลากแขนม่อนออกมาก่อนจะปล่อยให้ชายอีกสองคนอยู่ด้วยกันอย่างตั้งใจ

          “อีกั้งลากม่อนออกมาทำไมเนี่ย? ม่อนจะคุยกะพิน”

          “เออน่าคุยกะชั้นไปก่อน”

          ตลอดเวลาที่ทั้งสี่นั่งกินข้าวอยู่ด้วยกัน พินรู้สึกได้ว่าเพื่อนกั้งตัวดีพยายามชงเขาให้ชายหนุ่มอีกคนอย่างไม่ลดละ และตอนนี้กั้งก็ได้ลากม่อนไปเข้าห้องน้ำที่แถวยาวเหยียดไปถึงชาติหน้าโดยที่ทิ้งเขากับเติ้ลไว้สองต่อสอง

          “พินต้องขอโทษแทนกั้งด้วยนะครับ ถ้ามันทำอะไรให้พี่เติ้ลอึดอัด”

          พินเป็นฝ่ายพูดขึ้นทำลายความเงียบก่อน

          “อ๋อ...ไม่เลย ผมว่าอยู่กับคุณก็สนุกดี”

          “พินไม่ใช่คนสนุกขนาดนั้นหรอกครับ ออกจะน่าเบื่อด้วยซ้ำ”

          “ไม่น่าเบื่อหรอกครับ ถึงคุณจะพูดน้อย...แต่คุณยิ้มสดใสมากเลยนะ”

          “ครับ?”

          “ยิ้มบ่อยๆดีกว่านะครับ”

          พินยิ้มขึ้น...ทว่ากลับเป็นยิ้มเจื่อนๆเมื่อได้ฟังคำหวานที่อีกฝ่ายหยอดให้

          “จะสะดวกมั้ยครับ ถ้าผมอยากจะรู้จักคุณมากกว่านี้?”

          คนถามหลบสายตาไปเล็กน้อยอย่างเขินๆ

          “คือความจริงแล้วผมเห็นคุณจากในรูปที่ถ่ายกับกั้งน่ะครับ ก็เลยขอร้องให้กั้งแนะนำให้รู้จัก”

          ถึงแม้เติ้ลจะไม่ได้มีอะไรแย่ในสายตาพิน ออกจะดูดีและสุภาพมากด้วยซ้ำ ทว่าคนที่หัวใจปิดตายอย่างเขา ตอนนี้ไม่อาจเปิดรับใครเข้ามาได้

          “ขอโทษด้วยนะครับพี่เติ้ล ตอนนี้พินไม่อยากมีใคร...”

          เติ้ลเข้าใจในทันที เพราะพินทำหน้าเหมือนมีอะไรในใจตลอดเวลา ราวกับกำลังคิดถึงใครบางคนมากจนเขาไม่อาจเข้าไปแทรกได้ แม้ว่าเขาจะประทับใจในตัวของพินแค่ไหนเขาเองก็ไม่อาจเซ้าซี้

          “ไม่เป็นไรครับ อย่างน้อยผมหวังว่าเราคงจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้นะครับ”



          “ทำไมแกถึงต้องปิดตัวเองแบบนี้ด้วยวะพิน?”

          กั้งอดถามไม่ได้ หลังจากที่เติ้ลขอตัวกลับไปก่อนเธอก็เดาได้ว่าจะต้องมีอะไรเกิดขึ้นระหว่างสองคนนี้ และก็คาดไว้ไม่ผิด

          “พี่เติ้ลคือโปรไฟล์ดีมากนะเว้ย ทั้งหล่อ ทั้งรวย การศึกษาก็ดี การงานก็ดี สาวๆ ที่บริษัทนี่แย่งกันจะตาย ติดแค่ว่าพี่เค้าชอบผู้ชายและเค้าก็ชอบแก!”

          “เราขอโทษจริงๆนะกั้ง”

          “ไม่ต้องมาขอโทษชั้นหรอก ชั้นแค่ไม่เข้าใจเว้ย ตอนนั้นอีม่อนแนะนำสาวมาให้แกก็มาสารภาพว่าไม่ได้ชอบผู้หญิง แต่พอหาผู้ชายดีๆมาให้ก็เสือกไม่สนใจอีก แกเป็นอะไรของแกวะ?”

          กั้งเริ่มพูดใส่อารมณ์จนพินทำหน้าไม่ถูก เขาเข้าใจดีว่าเพื่อนคนนี้หวังดีกับเขา แต่พินก็ไม่อาจฝืนตนเองได้เช่นกัน

          “กั้งแกจะไปพูดกดดันไอ้พินมันทำไมวะ”

          “ก็ชั้นไม่อยากเห็นมันทำตัวอมทุกข์แบกโลกอยู่แบบนี้นี่หว่า สามปีมาแล้วนะเว้ยพิน...ที่แกไม่ได้ยิ้มออกมาจากใจให้พวกชั้นได้เห็นเลยซักครั้งเดียว”

          “ก็เพราะเรายังมีคนที่ลืมไม่ได้อยู่จริงๆไง!”

          พินเสียงแข็งขึ้นน้ำตาคลอ ถ้าเลือกได้เขาก็ไม่ได้อยากจะมีสภาพแบบนี้เหมือนกัน แต่จะให้ทำยังไงได้...

          เขารักมะลิมากจริงๆ ...

          “แล้วใครกันล่ะวะที่แกลืมไม่ลง? เฮ้ยพิน! พวกเราเป็นเพื่อนรักกันไม่ใช่หรอ? ทำไมมีอะไรแกไม่พูดอ่ะ?”

          “พอได้แล้วอีกั้ง!”

          ชายหนุ่มได้แต่นิ่งเงียบ เขาเองก็ไม่ได้อยากมีเรื่องปิดบังเพื่อน แต่จะให้อธิบายออกไปว่ายังไง...

          “เราขอโทษนะ เรากลับก่อนดีกว่า...”

          “เดี๋ยวดิไอ้พิน...ไอ้พิน!”

          เสียงกั้งตะโกนตามหลังมา หากแต่ว่าตอนนี้พินรู้สึกเจ็บปวดเกินกว่าจะหันกลับไปคุยกับเพื่อนของเขาได้ สิ่งเดียวที่ชายหนุ่มพอจะทำได้ในตอนนี้คือ “หนี”



          ไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้วที่ชายหนุ่มเดินทอดน่องเหม่อลอยมองรถที่แล่นผ่านไปมา สภาพเขาเองก็คงจะย่ำแย่ไม่ใช่น้อยเพราะขาเจ้ากรรมแทนที่จะพาเขาไปยังลานจอดรถ แต่ดันเดินขึ้นรถเมล์มาจนกลับมาถึงคอนโดเสียได้

          ‘พรุ่งนี้ค่อยกลับไปเอารถแล้วกัน’

          เมื่อนึกถึงค่าจอดรถที่เขาจะต้องจ่ายพรุ่งนี้ ชายหนุ่มก็อดพ่นลมถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาไม่ได้ แต่ตัวเขาที่เหนื่อยล้าห่อเหี่ยวเช่นนี้การกลับไปนอนทิ้งตัวอยู่ในห้องคงจะเป็นความคิดที่ดีกว่าเห็นๆ     

          พินกดลิฟต์นำตัวเขาขึ้นไปบนห้องพักด้านบน เขาลากร่างกายอันซึมเซาไปหยุดอยู่หน้าประตูก่อนจะกดรหัสปลดล็อก แต่ไม่รู้ทำไม...

          ‘ทำไมเปิดไม่ได้วะ? รหัสผิดหรือเครื่องเสีย?’

          ชายหนุ่มกดรหัสซ้ำไปซ้ำมาอย่างไม่ยอมแพ้ จากอารมณ์ที่เฉื่อยชาอยู่เมื่อครู่ตอนนี้กำลังเริ่มเปลี่ยนเป็นหงุดหงิด ทำไมทำอะไรก็ไม่เป็นไปดังใจหวัง...ขนาดประตูห้องยังไม่ยอมต้อนรับเขาด้วยซ้ำ

          “ขอโทษนะครับ? คุณเข้าผิดห้องรึเปล่า?”

          เสียงชายคนหนึ่งเอ่ยทักมาจากทางด้านหลัง ทำให้พินซึ่งทะเลาะกับประตูห้องคนอื่นอยู่เมื่อครู่สำเหนียกตัวเองขึ้นมาว่าเขาคงจะเบลอหนักถึงได้มาเที่ยวเปิดประตูห้องชาวบ้านเขาอยู่อย่างนี้

          ‘โอ๊ย! เอาอีกแล้วนะไอ้พินแกมันโง่จริงๆ’

          “เอ่อขอโทษนะครับผมคงจะเบลอมากไปหน่อย...”

          พินรีบขอโทษขอโพยพลางหมุนตัวไปหาคนที่ยืนอยู่เบื้องหลัง ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งในชุดนักศึกษากำลังยืนยิ้มให้เขาอยู่

          ยิ้มที่ประดับไปด้วยรอยบุ๋มๆ ข้างแก้มบนใบหน้าอ่อนหวานขาวสว่าง ที่ทำให้เขาต้องใจกระตุกวูบเมื่อได้เห็นทุกครั้งไป...

          ดวงตาดำสนิทสุกใสที่มักจะจ้องมองเขาอย่างหลงใหล...

          ริมฝีปากอิ่มที่เคยมอบจูบแสนนุ่มนวลให้กับเขา...

          คนที่ทำให้พินใจเต้นแรง...

          คนที่พินไม่เคยลืม...

          “มะลิ?”

          ภาพของคนตรงหน้าทำให้ชายหนุ่มน้ำตารื้นขึ้น ความยินดีล้นขึ้นเต็มหัวใจที่เหี่ยวแห้ง ราวกับไม้ใกล้ตายที่ได้รับสายฝนเย็นฉ่ำ

          “มะลิใช่มั้ย?”

          “อืม...เราเอง”

          แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง พินขยับตัวเข้าไปใกล้ชายหนุ่มเบื้องหน้า มือเรียวสัมผัสแขนแข็งแรงราวกับต้องการจะย้ำตัวเองให้แน่ใจว่าคนตรงหน้าไม่ใช่ภาพลวงตา

          “พินยังรอเราอยู่รึเปล่า?”     

          น้ำตาไหลออกมาโดยที่ระงับเอาไว้ไม่ไหว พินโผเข้ากอดคนตรงหน้า อบอุ่น...แนบแน่นจนได้ยินเสียงหัวใจของกันและกัน

          “รอ...รอมาตลอด...ไม่เคยลืม”

          แค่ได้ฟังก็อบอุ่นใจ มะลิเองก็ไม่อาจสะกดน้ำตาเอาไว้ได้อีกต่อไป เขากอดตอบพินแน่นจนคนตัวบางจมลงไปในอกกว้าง แม้คนทั้งคู่จะกำลังร้องไห้ ทว่ากลับเป็นน้ำตาแห่งความสุข น้ำตาแห่งความยินดีที่คนทั้งสอง

          ได้กลับมาพบกันอีกครั้ง...

          “ขอบคุณนะพิน...ขอบคุณที่ยังไม่หมดหวังในตัวเรา...”

          เสียงสะอื้นร้องไห้ดังระงมไปทั่วโถงทางเดิน ราวกับความสุขช่วงเวลาสามปีที่หายไปได้กลับมา สามปีที่ใครบางคนถูกพรากจากเขาไปอย่างโหดร้าย

          ในที่สุด...

          หัวใจทั้งสองดวงก็ได้กลับมาเจอกันและกัน...



++++++++++++++++

          ในที่สุดมะลิก็กลับมาแล้วนะคะ ดีใจไปกับพินด้วยเลย ตอนหน้าเป็นตอนจบแล้วค่ะ แต่เราจะลงตอนพิเศษอ่านสบายๆอีกนิดหน่อย ฝากติดตามด้วยน้า รักรีดทุกคนค่ะ

หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! My brother is the barn owl! บทที่33 : หวน 25/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 25-10-2019 13:26:11
 :katai2-1: :pig4: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! My brother is the barn owl! บทส่งท้าย : คนของใจ 29/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: Timid Lily ที่ 29-10-2019 09:47:55
บทส่งท้าย : คนของใจ


         ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆที่เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความคิดถึง คนสองคนนอนกกกอดแนบชิดมอบไออุ่นให้กันอยู่บนเตียงนอนนุ่ม ศีรษะของคนตัวเล็กหนุนซบอยู่บนแผ่นอกกว้าง ส่วนคนตัวโตกว่าตอนนี้กำลังกดจมูกโด่งหอมหัวคนน่ารักที่นอนเบียดติดเขาไม่ขยับไปไหน

          “มะลินายหายไปไหนมา?”

          พินเอ่ยถามพลางซุกใบหน้าฟังเสียงหัวใจที่กำลังเต้นของมะลิไปด้วย

          “เราไปสิงร่างของเด็กหนุ่มที่กำลังผ่าตัดสมองมาน่ะ...”

          มะลิเกลี่ยเส้นผมสวยของคนที่กำลังกอดเขาแน่นก่อนจะเอ่ยต่อ

          “เด็กคนนี้ชื่อนับ เพิ่งจะเรียนจบมัธยมปลายแต่ต้องเข้ารักษาตัวก่อนจะมีโอกาสได้เรียนต่อ หลังจากผ่าตัดเสร็จเราต้องใช้เวลาฟื้นฟูนานมาก ทั้งต้องพักฟื้น ทั้งกายภาพ กว่าจะแข็งแรงดีกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้ก็กินเวลาไปตั้งสามปี”

          “น่าสงสารน้องเค้าเหมือนกันเนอะ...”

          พินเอ่ยขึ้นด้วยความเห็นใจที่เด็กหนุ่มเจ้าของร่างไม่มีโอกาสได้ใช้ชีวิตที่ควรจะสดใสได้นานกว่านี้

          “อืม...พ่อกับแม่ของนับเป็นคนดีมาก พวกเค้าดูแลเราอย่างดี อดทนกับเราที่ทำตัวเป็นลูกความจำเสื่อม พาเราไปเปิดหูเปิดตาเรียนรู้จักโลกมากมายในระยะเวลาแค่นี้ เป็นช่วงเวลาสามปีที่มีค่ามาก เราได้อะไรจากพวกท่านมามากจริงๆ ...”

ได้ฟังแบบนั้นพินก็ดีใจ แต่เมื่อกลับมามองตัวเอง ตอนที่มะลิอยู่กับเขา เขากลับไม่อาจดูแลนกหนุ่มให้ดีได้เลย

          “ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะพิน?”

          “ชั้น...รู้สึกผิดต่อนายน่ะ...ที่ไม่ดูแลเอาใจใส่นายให้มากกว่านี้”

          “อย่าคิดอย่างนั้นสิ แค่พินยอมให้เราอยู่ในร่างของพิมพ์ เราก็ดีใจมากแล้วนะ”

          ริมฝีปากอิ่มจุมพิตลงบนหน้าผากของคนหงอยเบาๆ สัมผัสที่ห่างหายไปนานทำให้พินรู้สึกจักจี้เล็กๆ

          “ถ้าอย่างนั้นต่อไปนี้มะลิก็ต้องทำตัวเป็นลูกที่น่ารักเพื่อชดเชยในสิ่งที่พวกเค้าเสียไปด้วยนะ”

          “อืม...ตอนนี้เรามีโอกาสได้เรียนหนังสือแล้วนะ ที่สำคัญสมองของเด็กคนนี้ดีมากเลยทีเดียวล่ะ รับรองว่าอนาคตสดใสแน่นอน”

          มะลิสบตามองดวงตาคมสวยลึกซึ้งก่อนจะพูดต่อ

          “แล้วเราก็จะไม่ให้พินต้องมาคอยดูแลเราอยู่ฝ่ายเดียวอีกแล้ว เราก็จะเป็นฝ่ายดูแลพินด้วยเหมือนกัน”

          “เก่งใหญ่แล้วนะมะลิ เรียนให้จบซะก่อนเถอะ”

          พินอดหยอกไม่ได้เมื่อเห็นเจ้านกน้อยของเขาทำปีกกล้าขาแข็ง ถึงแม้ว่ามะลิจะเรียนช้ากว่าคนอื่นอยู่โข เนื่องจากเพิ่งจะเข้ามหาวิทยาลัยปีหนึ่งตอนอายุยี่สิบ แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรที่เขาจะต้องกลัวอีกแล้ว เมื่อเขาได้พินกลับมาอยู่เคียงข้าง

          “พินรู้มั้ยว่าเราคิดถึงพินขนาดไหน? เรากลัวมากว่าพินจะลืมเราไปแล้ว กลัวว่าหัวใจของพินจะกลายเป็นของใคร แต่เราไม่อยากยอมแพ้ เราเลยพยายามอดทนรักษาตัวให้หายไวๆจะได้รีบกลับมาหาพิน”

          ดวงตาที่มักจะสดใสฉายแววหมองเศร้าให้เห็น คำพูดที่พรั่งพรูออกมาคือความรู้สึกที่นกหนุ่มเก็บกดไว้ในใจมาตลอดสามปี

          สามปีแห่งความกลัว...

          กลัวว่าพินจะไม่รักเขาอีกต่อไป...

          “เรารักพินนะ...”

          มือเรียวลูบสัมผัสใบหน้าเนียนสว่าง พินส่งจมูกแตะเคลียปลายจมูกโด่งของร่างสูงก่อนจะเอ่ยกระซิบรักอ่อนหวาน

          “ชั้นก็รักมะลินะ...”

          ร่างสูงประคองคนตัวบางไว้ใต้อ้อมกอด แขนผ่ายผอมคล้องลำคอของคนที่คร่อมอยู่บนร่างก่อนจะพูดต่อเสียงแผ่ว

          “ตั้งแต่ที่มะลิจากชั้นไป...ไม่มีวันไหนเลยที่ชั้นจะไม่คิดถึงนาย...”

          พินโน้มร่างชายหนุ่มเข้าหา ดวงตาคมช้อนมองคนตรงหน้าที่แสนคิดถึง ริมฝีปากหยักยังคงพร่ำเอ่ยไม่หยุด

          “มะลิรู้มั้ยว่าชั้นกลัวมาก กลัวว่าจะได้แต่หวังลมๆแล้งๆว่านายจะกลับมา”

          มะลิตั้งใจฟังทุกถ้อยคำที่คนที่เขาสุดแสนจะรักอยากจะบอกกับเขา

          “ชั้นดีใจมากเลยนะที่ในที่สุด ความหวังของชั้นก็เป็นจริง”

          รอยยิ้มสุขใจประดับอยู่บนใบหน้า นกหนุ่มทิ้งตัวลงกอดคนน่ารักแนบแน่น ตอนนี้ความรู้สึกอยากฟัดให้จมเขี้ยวเริ่มก่อกวนหัวใจของเขาอีกแล้ว สามปีที่ผ่านไปทำให้พินของเขาดูเป็นหนุ่มขึ้นมาก แต่ไม่ว่ายังไง สำหรับมะลิคนๆนี้ก็ดูนุ่มนิ่มน่าทะนุถนอมไม่เคยเปลี่ยน

          มะลิหอมแก้มพินฟอดใหญ่ ก่อนจะไล้จมูกลงมาจรดลำคอระหง ทำเอาคนบ้าจี้หัวเราะขึ้นเสียงดัง

          “มะลิ จั๊กจี้”

          ยิ่งว่าเหมือนยิ่งยุ ริมฝีปากอิ่มงับเข้าติ่งหูของร่างบางเบาๆ จากนั้นจึงส่งลิ้นร้อนลากไล้ให้พินต้องวูบไหว

          “มะลิ...”

          พินที่ไม่ขัดขืนแบบนี้ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกไม่ค่อยสนุกสักเท่าไหร่ คนขี้แกล้งอย่างเขาชอบนักที่จะเห็นพินโวยวายทำหน้าหงิกหน้างอใส่

          “มีอะไรหรอมะลิ?”

          พินเอ่ยถามเมื่อเห็นมะลินิ่งไปเสียดื้อๆ

          “ไม่มีอะไร...”

          “...?”

          “ก็เมื่อกี้...”

          “อะไรหรอ?”

          “เอ่อ...เปล่า...”

          เริ่มได้ผล เหมือนเป็นการแกล้งรูปแบบใหม่ที่มะลิจะได้ทำเป็นครั้งแรก ดูเหมือนว่าการที่เขาไปกระตุ้นอารมณ์พินขึ้นมาแล้วปล่อยทิ้งไว้เฉยๆแบบนี้จะทำให้เขาได้ทำอะไรสนุกๆบางอย่าง

          “พินคิดว่าเราจะทำอะไรหรอ?”

          “หา? ...เอ่อ...เปล่าซะหน่อย”

          มะลิยิ้มยียวน ตอนนี้ร่างสูงขึ้นมาคร่อมอยู่บนตัวของคนที่กำลังทำหน้าเลิ่กลั่ก ดวงตาสุกใสจ้องลึกลงไปในตาคู่สวย

          “พิน...”

          มะลิเลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้พินอีกครั้ง พินหลับตาลงเมื่อรู้สึกได้ว่าริมฝีปากของอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ ปากหยักเผยอรอรับรสจูบน้อยๆทว่า...     

          “มะลิ! นายงับจมูกชั้นทำไม?!”

          นกหนุ่มหัวเราะจนตัวคลอน เขาตลกท่าทางของคนที่กำลังทั้งอายทั้งโมโห ส่วนคนที่กำลังทำหน้าหงิกอยู่นั้นตอนนี้คว้าหมอนขึ้นมาตีคนขี้แกล้งแบบไม่ยั้ง

          “สนุกนักใช่มั้ย? ไอ้นกบ้า!”

          “ฮ่าๆๆๆพอแล้วพิน หยุดตีเราได้แล้ว”

          มะลิห้ามไปขำไป ส่วนคนโดนแกล้งก็ยังไล่ฟาดอยู่อย่างนั้น ร่างสูงจึงคว้าแขนคนตัวเล็กแน่นหยุดการทำร้ายร่างกาย ก่อนจะกดพินล้มลง

          “ถ้าพินอยากจูบเราก็จูบสิ”

          “...”

          หน้าเนียนตอนนี้กำลังร้อนวูบฉาบสีแดงระเรื่อ พินเขินจนต้องหันหน้าหนี แต่มือใหญ่ก็ยังไม่วายจับแก้มเขาให้หันกลับมา ก่อนจะทำปากตุ่ยๆใส่พินดูน่ารักพิกล

          “อ่ะ...จูบสิ”

          ริมฝีปากอิ่มนุ่มนิ่มที่เย้ายวนอยู่ตรงหน้าทำให้ชายหนุ่มเช่นพินอดใจไม่ไหวแล้วเหมือนกัน พินผู้แสนขี้อายมักจะไม่เป็นฝ่ายเริ่มแต่หนนี้คงไม่ได้แล้วจริงๆ มือเรียวโน้มคอของร่างสูงเข้าหา ปากกระจับบดเบียดราวกับอยากจะกลืนกินคนตรงหน้า ทำเอามะลิอดตกใจไม่ได้ ทั้งเร่าร้อนทว่าอ่อนหวาน แขนบอบบางป่ายรัดแผ่นหลังกว้างเพื่อแนบสัมผัสระหว่างกันให้แน่นยิ่งขึ้น

          ลิ้นอุ่นรุกสัมผัสความร้อนชื้นหอมหวาน ริมฝีปากแดงสั่นจากการดูดดุลของคนตรงหน้า มือซุกซนไล้ผ่านใต้ร่มผ้าสัมผัสผิวเย็นที่ค่อยๆร้อนขึ้น หัวใจเต้นแรงไม่เป็นระส่ำเมื่อฝ่ามือร้อนไล่ลงต่ำ...

          “อ๊ะ...”

          ร่างสูงชะงักมือเมื่อคนน่ารักส่งเสียงครางหวานให้ได้ยิน รอยยิ้มเจ้าเล่ห์แต้มบนริมฝีปาก คนคิดไม่ดีกำลังจะแกล้งคนรักของเขาอีกแล้ว

          “พินอยากให้เราทำอะไรหรอ?”

          คำถามน่าอายแบบนี้พินคงตอบออกไปไม่ได้แน่ๆ เขาคู้ตัวลงซุกเจ้าคนตัวดี พลางบ่นอุบอิบไปด้วย

          “ทำไมต้องถามด้วย...?”

          “ก็เราอยากรู้นี่”

          พินปิดปากแน่นไม่พูดอะไร เขารู้ตัวขึ้นมาทันทีว่าไอ้ผู้ชายบ้าคนนี้กำลังจะแกล้งกันอีกแล้ว

          “บอกเราหน่อยสิ”

          “...”

          “นะ”

          พูดไปมือก็ไม่วายซุกซนไปด้วย กระดุมเสื้อเม็ดแล้วเม็ดเล่าถูกปลดออก โดยที่พินเองก็ไม่ได้ต่อต้านแต่ปากก็ไม่วายยังปิดแน่นไม่พูดอะไร

          “ไม่พูดกับเราหรอ...งั้นก็ได้...”

          ริมฝีปากอิ่มจูบลงบนผิวเนียนไปทั่วร่าง ตามด้วยลิ้นร้อนลากไล้ให้คนที่กำลังนอนเงียบอยู่นั้นสติกระเจิดกระเจิง ร่างบางบิดไปตามความวาบหวาม ดวงตาสวยฉ่ำน้ำ ใบหน้าเย้ายวนกระตุ้นอารมณ์

          “มะลิ...ชั้น...”

          ‘ก๊อก ก๊อก ก๊อก’

          ‘ใครมาวะ?’

          ถึงจะมีคนมาขัดจังหวะ แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่หยุดสิ่งที่กำลังทำ ก็พินของเขากำลังตอบรับรสรักอย่างเต็มที่ขนาดนี้ ใครจะไปอดใจปันเวลาไปต้อนรับคนอื่นได้เล่า

          “มะลิมีคนมา...อ๊ะ”

          ปากอิ่มบดลงปิดปาก ตอนนี้มะลิไม่ต้องการให้พินสนใจการมาเยือนของใครทั้งสิ้น

          “เราก็ทำเป็นไม่อยู่ก็ได้นี่พิน...”

          “แต่ว่า...อื้อ”

          จูบแล้วจูบเล่าบดเบียดกระชากลมหายใจให้หอบครวญ ทว่าคนด้านนอกก็ไม่ยอมแพ้เหมือนกันที่จะรัวมือลงกับบานประตูเสียงดัง

          ‘ก๊อกๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ’

          ‘รำคาญจริงโว้ย!’

          ชายหนุ่มระเบิดความหงุดหงิดเป็นรสจูบแสนเร่าร้อนรุนแรง ปากอิ่มดูดลิ้นนุ่มจนเกินเสียงขึ้นเคอะเขิน แขนแข็งแรงดึงตัวบอบบางคร่อมลงบนตัก มือใหญ่ถอดเสื้อเนื้อดีของคนตรงหน้าออกอย่างบรรจง

          ‘Rrrrrr’

          โทรศัพท์มือถือของพินดังขึ้นขัดจังหวะอารมณ์แสนรุ่มร้อน เขารีบคว้ามามันขึ้นมาดูและปรากฏชื่อของ “ดาวเหนือ” ขึ้นบนหน้าจอ

          ‘ไอ้งูงั่ง! เดี๋ยวนี้มันมีมือถือกับชาวบ้านเค้าแล้วหรอวะ?’

          แม้ว่าเป็นเรื่องน่าหงุดหงิดที่สุดในโลกสำหรับมะลิที่ถูกพวกอมนุษย์สุดบื้อมาขัดจังหวะการลิ้มรสคนรักแสนหอมหวานที่ห่างหายไปนานถึงสามปี ถึงอย่างนั้นตอนนี้เห็นทีจะต้องหยุดเรื่องนั้นเอาไว้ก่อนแล้วออกไปเจอหน้า “เพื่อน” ที่เขาเองก็คิดถึงอยู่ไม่น้อยเสียที



          “ทำไมไม่เห็นมีใครออกมาเปิดประตูซักทีวะ? นี่ไอ้เจ้างู แกแน่ใจนะว่าพินไม่ได้ออกไปไหนน่ะ”

          นินจาเอ่ยถามดาวเหนือเมื่อเขายืนรออยู่หน้าประตูห้องพินมาได้สักพักหนึ่งแล้ว และตอนนี้ยุงทั้งหลายกำลังเป็นฝ่ายแห่แหนมาต้อนรับพวกเขาแทนเจ้าของห้อง

          “ต้องอยู่สิ ก็พินเป็นคนส่งข้อความมาบอกผมเองว่าให้รีบมา มีข่าวดีจะบอก”

          “ข่าวดี” ที่พวกเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเรื่องอะไร สิ่งเดียวที่รู้คือพินเซ้าซี้พวกเขาทั้งสองให้มาหาให้ได้ แม้จะเย็นย่ำแล้วก็ตาม

          “เดี๋ยวผมลองโทรหาพินดูก็ได้ ตอนนี้ผมมีมือถือแล้ว”

          ดาวเหนือหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอวดนินจาก่อนจะรีบโทรหาพิน ครู่เดียวปลายสายก็ตอบรับ

          [มาแล้วหรอดาวเหนือ...]

          เสียงปลายสายที่งูหนุ่มได้ยินดูหอบอึกอักชอบกล

          “ใช่ครับผมมาแล้ว พินมาเปิดประตูให้หน่อยสิ”

          [ได้สิรอเดี๋ยวนะ]

          พินวางสายไปพร้อมๆ กับเสียงประตูที่ดังขึ้น ชายหนุ่มผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้ายับย่นรีบออกมาต้อนรับผู้มาเยือนทั้งสอง

          “ขอโทษที่ให้รอนะ”

          “พินทำอะไรอยู่ทำไมดูเหนื่อยๆ?”

          นินจาถามขึ้นเมื่อเห็นสภาพน่าสงสัย ถึงจะดูเหมือนคนเพิ่งตื่นก็ไม่น่าใช่เพราะดูเหงื่อซึมน้อยๆแถมยังหน้าแดงๆฉ่ำๆพิกล

          “พินไปออกกำลังกายมาหรอ?”

          “เอ๊ะ?!”

          “ก็ดูพินดูเหนื่อยๆ แล้วทำไมถึงติดกระดุมหยักรั้งแบบนั้นล่ะ?”

          ดาวเหนือร้องถามพลางชี้นิ้วยาวๆไปทางเสื้อที่ติดกระดุมไว้แบบลวกๆ ทำเอาพินเหวออายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี

          ไม่ใช่เพราะติดกระดุมผิด...

          แต่เพราะกลัวจะถูกจับได้ว่าเพิ่งจะไปทำอะไรมา...

          “เอ่อ...ไม่มีอะไรหรอก...”

          “พวกแกนี่ชอบถามซอกแซ่กเรื่องชาวบ้านไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ”

          เสียงทุ้มต่ำพูดแทรกขึ้นมา มะลิปรากฏตัวขึ้นเบื้องหลังของพินด้วยสภาพยับยุ่งไม่แพ้กัน

          แต่ตอนนี้ใครจะไปสนใจเรื่องนั้นกัน...ในเมื่อ...

          “แก...ไอ้นกโง่!”

          นินจาแทบไม่เชื่อสายตาเมื่อเห็นคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า เขาเดินเข้าไปหานกหนุ่มก่อนจะทุบกำปั้นลงบนแผ่นอกหนาเสียงดัง ดวงตาที่มักจะซุกซนนั้นเจิ่งนองไปด้วยน้ำตาแห่งความดีใจ

          “หายหัวไปไหนมา?”

          มะลิส่งรอยยิ้มอบอุ่นให้แมวหนุ่มที่ทำท่าเหมือนจะร้องไห้ ส่วนดาวเหนือก็เดินเข้ามาพร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยความปีติ เขาตบลงบนบ่ากว้างอย่างเบามือ

          “ผมคิดไว้อยู่แล้วเชียว...ว่าวันนึงนกมะลิจะต้องกลับมา”

          ใช่...เขากลับมาแล้ว...

          บรรยากาศแห่งความสุขรายล้อมชายทั้งสี่ ทุกคนต่างก็ยินดีกับการกลับมาของอมนุษย์หนุ่มผู้นี้

          ในที่สุดมะลิก็ได้กลับมาพบกับคนที่เขารัก...

          กลับมาพบมิตรแท้ที่คอยอยู่เคียงข้าง...

          กลับมาใช้ชีวิตอย่างมีความสุข...



          ท่ามกลางบรรยากาศครึกครื้นหน้าเตาปิ้งย่าง มื้อเย็นวันนี้พินตัดสินใจเป็นเจ้ามือเลี้ยงฉลองที่มะลิกลับมา นินจากับดาวเหนือช่วยกันคีบเนื้อสัตว์ต่างๆลงแนบกับตะแกรงเสียงดังฉู่ฉ่าส่งกลิ่นหอมชวนกิน ส่วนมะลิตอนนี้กำลังถูกสัมภาษณ์โดย “เมฆ” ชายขี้สงสัยผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเช่นคนอื่นเขา

          “เออน้อง น้องเรียนที่มหาวิทยาลัยเดียวกับพี่ใช่ป่ะ? พี่ว่าพี่เคยเห็นหน้า”

          “ใช่ครับพี่ ผมเรียนอยู่คณะเศรษฐศาสตร์”

          “แล้วน้องชื่ออะไร?”

          “ผมชื่อนับครับ”

          “น้องนับหรอ พี่ชื่อเมฆนะอยู่คณะแพทยศาสตร์”

          ‘พี่เมฆงั้นหรอ หึ! เมื่อก่อนยังเรียกเราว่าพี่อย่างนั้นพี่อย่างนี้อยู่เลย’

          มะลินึกขำอยู่ในใจเมื่อเห็นแมฆทำตัวเป็นรุ่นพี่สุดชีวิต ทั้งๆที่เมื่อก่อนเมฆมักจะทำตัวนอบน้อมเป็นน้องน้อยต่อหน้าเขาตลอดเวลา

          “แล้วน้องนับพักอยู่ที่ไหนหรอ?”

          “ผมออกมาอยู่คนเดียวที่คอนโดที่เดียวกับพี่พินน่ะครับ”

          “อ้าวทำไมไปอยู่แถวนั้นล่ะ? ไม่เห็นจะใกล้มหาวิทยาลัยตรงไหนเลย”

          “ถามอยู่นั่นแหละ รีบๆกินเข้าไปได้ละ”

          นินจาพูดแทรกเมื่อเห็นคนคอยจะถามซอกแซ่กไม่หยุด แมวหนุ่มคีบเนื้อสัตว์ชิ้นแล้วชิ้นเล่าใส่จานตัวเอง แต่ก็ไม่วายมีน้ำใจคีบฟักทองกับเห็ดย่างเผื่อเมฆด้วย

          “อ้าวทำไมไม่คีบเนื้อให้เมฆบ้างอ่ะ ใจคอจะให้กินแต่ผักอ่อ?”

          “อยากกินก็ปิ้งเองดิ”

          “แล้วนินจะไม่กินผักบ้างหรอ?”

          “ไม่กิน ไม่ชอบ”

          นินจาโต้ตอบไปพลางยัดเนื้อใส่ปากเคี้ยวตุ้ยไปพลาง เมฆได้แต่หรี่ตามองคนนั่งข้างหมั่นไส้ไม่ใช่น้อย

          “ถึงว่าทำไมตัวไม่โต แล้วก็ระวังเถอะจะขี้ไม่ออก”

          นินจาหันมาแยกเขี้ยวใส่คนปากเสียบนโต๊ะอาหาร แต่ดูเหมือนว่าสมาชิกจิตแข็งทุกคนจะไม่ได้ถือโทษอะไร

          “กินเยอะๆนะมะลิ”

          พินพูดขึ้นพลางคีบเนื้อสัตว์กับผักให้นกหนุ่มไปด้วย ส่วนมะลิก็หันไปยิ้มหวานจ๋อยให้คนรักของเขา

          “อ้าว...ทำไมพี่พินเรียกน้องนับว่ามะลิเหมือนที่เคยเรียกพี่พิมพ์เลยล่ะครับ?”

          เมฆขี้สงสัยถามขึ้นอีกครั้ง ทว่าคำตอบที่ได้รับกลับมาจากนินจา แถมยังไม่น่าฟังสักเท่าไหร่

          “เสือก!”

          “อะไรของนินวะครับ เกรี้ยวกราดจัง พูดกับเมฆดีๆมั่งมันจะตายรึไง?”

          “นกมะลิกินอันนี้สิผมปิ้งให้”

          คราวนี้ดาวเหนือพูดขึ้นบ้างก่อนจะคีบกุ้งตัวใหญ่ใส่จานของนกหนุ่ม

          “อ้าว...พี่ดาวเหนือก็เรียก ถ้างั้นพี่ขอเรียกน้องนับว่ามะลิด้วยคนได้ป่าว?”

          มะลิอมยิ้มขำเล็กๆที่เห็นเมฆทำหน้าเหรอหราใส่

          “ได้สิพี่ อยากจะเรียกผมว่าอะไรก็เรียกไปเถอะ”

          นอกจากกลิ่นหอมๆของมื้อเย็นแสนอร่อยแล้วก็ยังมีกลิ่นอายแห่งความสุขและความอบอุ่นคละคลุ้งอยู่ไปทั่ว ทุกคนกินไปคุยไปอย่างสนุกสนาน การกลับมาของนกหนุ่มทำให้พินกลับมายิ้มได้อย่างสดชื่นอีกครั้ง



          หลังจากที่ทุกคนกินอิ่มจนแทบลุกไม่ขึ้น ตอนนี้คงถึงเวลาแยกย้ายกันกลับเสียที เมฆคว้ากระเป๋าพลางลุกขึ้นยกมือไหว้เจ้ามือของมื้อนี้อย่างสุภาพ

          “พี่พินขอบคุณมากนะครับ มื้อนี้อร่อยมากๆ”

          “อื้มไว้เจอกันใหม่นะเมฆ แล้วเมฆกลับยังไงล่ะ?”

          “เดี๋ยวเมฆจะไปเล่นบอร์ดเกมกับเพื่อนต่อครับพี่พิน เออนินไปด้วยกันป่ะ?”

          เมฆหันไปเอ่ยชวนเพื่อนนินผู้แสนลึกลับ ส่วนนินจาก็ได้แต่ทำหน้างง

          “บอร์ดเกมคืออะไร?”

          “อ้าวไม่รู้จักหรอ? งั้นยิ่งต้องไป”

          โดยไม่รอให้อีกฝ่ายตอบรับเมฆก็ลากแขนเด็กหนุ่มนินจาออกไป พินโบกมือลานินจาพลางยิ้มส่ง

          “แล้วดาวเหนือล่ะ พี่คิมมาถึงแล้วยัง?”

          พินถามไปไม่ทันขาดคำ ชายที่ถูกพูดถึงก็ปรากฏตัวขึ้น

          “ดาวเหนือกลับบ้านกัน”

          “คิม”

          ดาวเหนือลุกขึ้นเดินไปหาคิมท่าทางดีอกดีใจ พินกับมะลิเองก็เดินตามไปทักทายชายหนุ่มผมสีน้ำตาลอมส้มสดใสเด่นหรา

          “สวัสดีครับพี่คิม”

          “หวัดดีน้อง วันนี้หน้าตาสดชื่นจังนะ ไปทำอะไรมา?”     

          พิมยิ้มเขินๆไม่ตอบอะไร ดาวเหนือเลยรีบตอบคำถามให้แทน

          “ก็นี่ไงคิม มะลิกลับมาแล้ว คิมจำมะลิได้มั้ย”

          ดาวเหนือผายมือไปยังชายหนุ่มร่างสูงดูอ่อนวัย ในสายตาคิม “มะลิ” คนนี้เป็นชายหนุ่มหน้าตาดี ผิวพรรณสดใส ดวงตาเล็กเรียว ใบหน้าเป็นมิตร

          “จำได้สิ...ถึงจะดูไม่เหมือนเดิมก็เถอะ ทั้งหนุ่มขึ้นแถมยังหน้าตาดีซะด้วย”

          คิมยิ้มล้อนกหนุ่ม ก่อนจะพูดต่อด้วยความยินดีจากใจ

          “ดีใจด้วยนะที่นายกลับมาอย่างปลอดภัย”

          คิมตบบ่าร่างสูงเบาๆก่อนจะเอ่ยลา

          “ถ้าอย่างนั้นพี่ขอตัวกลับก่อนนะน้องพิน มะลิ เดี๋ยวจะดึกไปกว่านี้”

          “ครับพี่คิม ไว้เจอกันครับ”

          “ผมไปก่อนนะพิน นกมะลิ”

          คนทั้งสองผละตัวไป ดาวเหนือเดินตามคิมแจดูน่าเอ็นดูเหมือนเคย ตอนนี้ทุกอย่างได้กลับสู่สภาพปกติแล้ว ในที่สุดคนทั้งสองก็ได้มีเวลาส่วนตัวอยู่ด้วยกันเสียที มะลิจึงนึกครึ้มอยากจะชวนคนน่ารักของเขาเดินย่อยเสียหน่อย

          “ก่อนกลับเราไปเดินเล่นด้วยกันมั้ย?”

          “เอาสิ”

          มือใหญ่คว้ามือเรียวกุมแน่น ทั้งสองเดินจูงมือกันออกมานอกร้าน พลางเดินเรื่อยเปื่อยบนทางเท้าที่บริเวณโดยรอบมีผู้คนมากมายครึกครื้นสมกับเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์

          “พิน...”

          “หืม...มีอะไรหรอมะลิ?”

          “ตอนนี้เราไม่ได้อยู่ในร่างพิมพ์อีกต่อไปแล้ว เราทำตัวเป็นคนรักกับพินได้แล้วใช่มั้ย?”

          มะลิดึงร่างบางให้แนบชิดกับตัวเขามากขึ้นอีกนิด มือที่จับไว้เมื่อครู่เปลี่ยนมาโอบบนไหล่เล็กๆทำให้เห็นได้ชัดว่าคนในอ้อมแขนของเขากำลังเขินอยู่

          “อื้ม...”

          ถึงแม้จะเป็นคำตอบที่ดูอึกอักขัดเขิน แต่มะลิก็อดยิ้มกว้างด้วยความดีใจไม่ได้

          “ถ้างั้น...”

          ใบหน้าสุกสว่างเลื่อนเข้าไปใกล้หวังจะลิ้มรสริมฝีปากหยักของคนที่เดินก้มหน้าก้มตาอายอยู่

          “เดี๋ยวๆๆ มะลิจะทำอะไร? !”

          “ก็จะจูบพินไง”

          “มะ...ไม่ได้! คนเยอะแยะอายเค้า!”

          “งั้นถ้าไม่มีคนมองก็จูบได้ใช่มั้ย?”

          “เอ๊ะ?”

          พูดจบมะลิก็ยกกระเป๋าที่ตนสะพายมาบังใบหน้าก่อนจะประทับจูบลงบนริมฝีปากของคนรักอย่างอ่อนหวาน

          “มะลิ...!”

          พินทำหน้าเลิ่กลั่กทั้งเขินทั้งประหม่า ตอนนี้ถึงแม้ภายนอกจะมืดแล้วก็ตาม แต่ถ้าสังเกตดูดีๆจะเห็นได้ว่าใบหน้าเนียนกำลังแดงแจ๋เหมือนสีพระอาทิตย์ตอนตกดิน มะลิลดมือลงก่อนจะส่งยิ้มน่ารักให้พลางเอ่ยขึ้นเสียงอ่อน

          “เรารักพินนะ...”

          สายตาหวานจ้องลึกซึ้งมาหา ทำเอาพินที่เขินอยู่แล้วยิ่งเขินไปกันใหญ่ ทว่า...เขาเองก็อยากจะพูดคำๆนั้นให้อีกฝ่ายได้ฟังเช่นกัน

          “ชั้นก็รักมะลิเหมือนกัน”

          ร่างสูงกอดคนตรงหน้าแน่นอย่างมีความสุข จมูกโด่งจรดลงหอมเส้นผมสลวยด้วยความคิดถึง เวลานี้พินเองก็ลืมความอายไปหมดสิ้นแล้วเหมือนกัน เขากอดตอบคนที่รักแนบแน่นราวกับชดเชยเวลาสามปีที่สูญไปให้คุ้มค่า

          สามปีที่ดวงใจถูกพลัดพราก...

          สามปีที่พิสูจน์ความรักของพวกเขา...จนในที่สุดวันนี้ความรักก็ได้กลับมาอีกครั้ง

          แม้ชีวิตไม่อาจคงอยู่ได้ชั่วนิรันดร์ แต่ความรักของทั้งสองนั้นจะยังคงอยู่...

          ตราบเท่าที่พวกเขายังมีลมหายใจ...



++++++++++++++++



          เรื่องราวดำเนินมาถึงตอนจบแล้วค่า ในที่สุดตัวละครทั้งหมดก็มีความสุขกันซักทีนะคะ ขอขอบคุณรีดทุกท่านที่ติดตามมาจนถึงตอนนี้ คอยคอมเม้นให้กำลังใจ กดไลค์ให้ต่างๆ อยากบอกว่าเป็นกำลังใจที่ดีมากๆเลยค่ะ

         

หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! My brother is the barn owl! บทส่งท้าย : คนของใจ 29/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 29-10-2019 11:53:43
 :pig4:
 :3123: :L2: :L1:
หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! My brother is the barn owl! บทส่งท้าย : คนของใจ 29/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 01-11-2019 09:00:52
ในที่สุดมะลิก็กลับมา
ชอบทุกตัวละครในเรื่องนี้เลยค่ะ
เรื่องนี้สนุกมากเลยค่ะ เราอ่านรวดเดียวจบเลย
ชอบอ่านอะไรที่เป็นแนวแฟนตาซีมากๆ
ขอบคุณคุณเขียนและนิยายดีๆสนุกๆค่ะ
หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! My brother is the barn owl! บทส่งท้าย : คนของใจ 29/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 01-11-2019 19:00:09
 :man1: o13 :man1:





 :กอด1: :L1: :pig4: :pig4: :pig4: :L1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! My brother is the barn owl! บทส่งท้าย : คนของใจ 29/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 01-11-2019 22:07:20
ขอบคุณที่แต่งมาให้อ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! My brother is the barn owl! บทส่งท้าย : คนของใจ 29/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 07-11-2019 00:29:32
 :pig4: :pig4: :katai2-1: :katai2-1:
สนุกกกมากค่ะ 
หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! My brother is the barn owl! บทส่งท้าย : คนของใจ 29/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 12-02-2020 21:16:08
สนุกมากกกก


เนื้อเรื่องชวนติดตาม


จบได้ดี มีเรื่องใหม่อีกใหม
หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! My brother is the barn owl! บทส่งท้าย : คนของใจ 29/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: Gatjang_naka ที่ 14-02-2020 22:24:57
 :pig4:
หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! My brother is the barn owl! บทส่งท้าย : คนของใจ 29/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 15-04-2020 13:50:56
 :pig4:
หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! My brother is the barn owl! บทส่งท้าย : คนของใจ 29/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: MayuYume ที่ 08-11-2020 14:39:25
เห็นแวบไปแวบมากนานแล้ว
เพิ่งได้อ่านชอบมากๆเลยค่ะ มีน้ำตาไหลบ้าง ขอบคุณมากเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! My brother is the barn owl! บทส่งท้าย : คนของใจ 29/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 15-11-2020 09:32:21
 :pig4:
หัวข้อ: Re: คุณพี่ชายนายนกผี! My brother is the barn owl! บทส่งท้าย : คนของใจ 29/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: mentholss ที่ 25-03-2021 21:21:24
 :heaven