[END] The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว - อัพเดท Special CH. - 17/09/2019
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [END] The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว - อัพเดท Special CH. - 17/09/2019  (อ่าน 14969 ครั้ง)

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

กิจกรรมวันแม่ที่เอาแม่มาอวดกัน  เลิกสักทีเถอะ

อุ้ย  นอกเรื่อง

ออฟไลน์ Tiffany

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
น้องตะวันคงถูกพี่พาชมสวนสัตว์ทั้งคืนแน่งานนี้

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ GBlk

  • ขอให้สรรพสัตว์จงมีความสุข
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1431
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-43

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
:: Chapter 17th - การกลับมาของอดีต ::


หลังจากที่พาอาทิตย์ทำการบ้านเสร็จเรียบร้อย ตะวันก็เปลี่ยนแผนพาอาทิตย์มาขลุกอยู่ที่บ้านพลัฎฐ์ เพราะน้องพีอ้อนขอตะวันอยากให้อาทิตย์มาอยู่เล่นกับตัวเอง โดยมีพลัฎฐ์ช่วยพูด เพราะคนเป็นพ่อเองก็อยากได้พี่ชายอาทิตย์มาอยู่เล่นด้วยเหมือนกัน

ฟอด ~

“พี่พลัฎฐ์!”

ตะวันกำลังวุ่นๆ อยู่กับการทำวุ้นผลไม้สดให้เด็กๆ ทานอยู่ในครัว พลัฎฐ์ก็เดินเข้ามาหาพร้อมกับกอดคนที่กำลังง่วนจากด้านหลัง และอาศัยทีเผลอกดจมูกลงบนแก้มใสของตะวันเต็มแรง จนคนถูกหอมถึงกับตกใจ

“หอม” พลัฎฐ์กระซิบข้างหูน้อง ให้ถูกอีกฝ่ายหันมาค้อนจนตาแทบกลับ

“ทำวุ้น จะเอาอะไรมาหอมครับ” ตะวันแกล้งถาม ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าพลัฎฐ์หมายถึงอะไรที่ว่าหอม

“พี่หมายถึงแก้มหนูต่างหาก แก้มหนูหอม หอมจนอยากฝังจมูกตัวเองลงบนแก้มหนูให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย” พลัฎฐ์ว่าให้ตะวันได้หัวเราะเสียงดัง

“ฮ่าๆๆ พี่นี่ขี้เวอร์ตลอด” ตะวันวางพิมพ์วุ้นลงบนเคาน์เตอร์ ก่อนจะฟาดมือตัวเองลงไปบนแขนพลัฎฐ์ที่กอดตัวเองอยู่ไม่แรงนัก “ปล่อยครับ ตะวันจะแกะวุ้นออกจากพิมพ์ พี่กอดตะวันแบบนี้ตะวันทำไม่ถนัด”

พลัฎฐ์ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ แถมยังไล้จมูกไปตามต้นคอขาวของตะวันอีกต่างหาก

“คืนนี้หนูค้างกับพี่นะ”

ตะวันตาเบิกโต ก่อนจะหันไปมองคนที่ทำเนียนกอดตัวเองไม่ยอมปล่อยทั้งตัว “อะไรนะครับ?”

“พี่กำลังขอ ขอให้หนูค้างกับพี่คืนนี้ ได้ไหมครับ”

ตะวันเลิ่กลั่ก สายตากลมส่ายไปทางนั้นทีทางนี้ทีเหมือนคนมีพิรุธ เหตุก็เพราะตะวันดันไปหวนคิดถึงเหตุการณ์ที่ทะเลคืนนั้น ก็เลยเกิดทำตัวไม่ถูกขึ้นมาเสียดื้อๆ

“คะ คือ.. คือตะวันต้องพาอาทิตย์เข้านอนครับ ต้องนอนกับน้องจนกว่าน้องจะหลับ ไม่งั้นเดี๋ยวน้องงอแง”

ตะวันพูดโพล่งออกมาราวกับหาทางออกให้ตัวเองได้ แต่ดูเหมือนว่าอะไรจะไม่ง่ายขนาดนั้น เพราะจู่ๆ เจ้าน้องชายตัวแสบก็วิ่งฮ้อมาเกาะประตูครัว แล้วส่งเสียงถามพี่ชายอย่างออดอ้อน

“พี่ตะวันนนนน คืนนี้อาทิตย์นอนกับน้องพีได้ไหมครับ พรุ่งนี้วันเสาร์ ไม่ต้องไปโรงเรียน”

แค่นั้นไม่พอ เพราะเจ้าหนูน้อยเจ้าของบ้านก็ตามมาด้วยติดๆ “ใช่ๆ พรุ่งนี้ปะป๊าบอกว่าหยุด ไม่ต้องไปโยงเยียน ให้ชวนคุณอาทิตย์กะพี่ตะวันนอนด้วยกัน นะนะนะคับพี่ตะวัน”

ตะวันหันไปมองพลัฎฐ์ตาเขียวปั๊ดทันที ไม่บอกก็รู้ได้เลยว่าใครเป็นคนต้นคิด ก่อหวอดให้เด็กๆ เข้ามาขออนุญาตถึงหน้าห้องครัวแบบนี้

“น่านะ นะครับหนู ค้างด้วยกันนะ น้องพีเองก็ยังซึมๆ แกคงอยากให้อาทิตย์อยู่เป็นเพื่อน”

พลัฎฐ์เอาลูกมาอ้าง ทำเอาตะวันที่หันกลับไปมองเจ้าหนูน้อยที่ตอนนี้มองมาที่เขาตาแป๋วอย่างคาดหวังแล้วใจอ่อนยวบ ยอมรับตรงนี้เลยว่าตะวันใจอ่อนลงไปแล้วกว่าครึ่ง

“น้องพีหยักให้พี่ตะวันอ่านนิทานให้ฟัง คุณอาทิตย์บอกว่าพี่ตะวันอ่านนิทานเก่ง”

พูดไม่พูดเปล่า เจ้าหนูน้อยพีรยสถ์ยังอุตส่าห์ยกนิ้วโป้งขึ้นมายกทั้งสองนิ้วเพื่อยืนยันคำพูดของตัวเอง และพอตะวันหันไปมองหน้าของเด็กชายอีกคนที่เป็นน้องชายแท้ๆ ก็ต้องถอนหายใจอย่างปลงตก เพราะดูเหมือนว่าเขาจะต้องพ่ายแพ้ให้กับสองเด็กน้อย และหนึ่งผู้ใหญ่เจ้าเล่ห์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่ๆ

“ก็ได้ครับ ค้างก็ค้าง” และพอเห็นเด็กๆ เตรียมจะดีใจ ตะวันก็รีบชี้นิ้วบอกเงื่อนไขของตัวเองก่อนทันที “แต่ห้ามเอาแต่เล่นกันจนนอนดึกนะ โอเคไหมครับ?”

เด็กน้อยทั้งสองรีบพยักหน้าหงึกหงักรับปาก “ตกยงคับ/โอเคคับ”

และพอได้สิ่งที่ตัวเองต้องการแล้วเจ้าหนูทั้งสองก็หันไปหัวเราะคิกคักให้กัน แล้ววิ่งออกไปนั่งเล่นที่ห้องรับแขกต่อ

“เล่นด้วยกันดีๆ นะครับ เดี๋ยวพี่ตะวันเอาวุ้นออกไปให้”

ตะวันได้ยินเสียง ‘เย่!’ ดังแว่วๆ มาให้เขายิ้มได้ แต่แล้วคนตัวเล็กก็ต้องหุบยิ้ม เมื่อหันมาเห็นใบหน้าหล่อเหลาของคนรักยืนยิ้มกริ่มพิงตู้เย็นอยู่ข้างๆ

“อ่านนิทานให้เด็กๆ ฟังจบแล้ว มากล่อมพี่นอนบ้างนะครับ ... คืนนี้พี่จะรออย่างใจจดใจจ่อเลย”

เจ้าของเสียงทุ้มพร่ายื่นหน้ามากระซิบข้างหู ทำเอาตะวันเขินจนหน้าแดงลามไปยันคอ ก่อนที่คนตัวเล็กกว่าชะงักน้อยๆ ราวกับนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ จึงยิ้มออกมาก่อนที่จะบอกพลัฎฐ์

“คืนนี้ตะวันจะนอนกับเด็กๆ ครับ พี่พลัฎฐ์นอนได้เลย ไม่ต้องรอ” ตะวันแอบยิ้มขำเมื่อเห็นใบหน้าเหวอๆ ของพลัฎฐ์ คิดว่าคนตัวโตกว่าคงไม่คาดคิดว่าตะวันจะตอบกลับมาแบบนี้

แต่พลัฎฐ์ก็เหมือนจะเหวอไปแค่พักเดียว ก่อนที่ใบหน้าหล่อเหลาจะกระตุกมุมปากยิ้มเจ้าเล่ห์ ยิ้มที่ตะวันเห็นแล้วยอมรับเลยว่าใจไม่ดีเลยสักนิด

“ก็ได้ครับ หนูอยากนอนเด็กๆ หนูก็นอน เดี๋ยวพี่ไปนอนด้วย นอนเบียดๆ กันอุ่นดีเนาะ แล้วก็อีกอย่าง...”

ตะวันมองอีกฝ่ายด้วยสายตาระแวงๆ ปนสงสัย นึกกลัวในใจว่าพลัฎฐ์จะคิดอะไรพิสดารๆ อยู่หรือป่าว ซึ่งมันก็ไม่ได้ผิดเพี้ยนจากที่ตะวันคาดเดาเลยสักนิด

“อีกอย่าง... มีเด็กๆ อยู่ด้วยแบบนี้ก็ตื่นเต้นดี คืนนี้หนูได้กลั้น... โอ๊ย!”

คนตัวโตกว่ายังพูดไม่ทันจบประโยคก็เจอตะวันหยิกเข้าให้เต็มแรง “ตัวเล็กครับ อย่าหยิกๆ เจ็บๆ พี่เจ็บ ฮ่าๆๆ”

“ขนาดเจ็บยังจะหัวเราะ พี่นี่ทะลึ่งจริงๆ นะ” ตะวันว่าเสียงเขียว แต่พลัฎฐ์ก็ยังหัวเราะไม่หยุด แล้วพอตะวันปล่อยมือที่หยิกออกพลักฐ์ก็เผ่นแผล็วไปตั้งหลักที่ประตูครัว ให้ห่างจากมือตะวันมากที่สุด ก่อนที่จะพูดอย่างอารมณ์ดีให้ตะวันหน้าแดงกว่าเดิม

“ไม่รู้แหละ ถ้าหนูไม่นอนแยกห้องกับเด็กๆ นะ พี่จะไปนอนด้วย แล้วพี่ก็จะ...” พลัฎฐ์แกล้งพูดทิ้งท้ายให้ตะวันคิดเอง ซึ่งเขาก็นึกขำหน้าตาเลิ่กลั่กของเด็กน้อยที่เขินจนแดงไปก่ำลามไปยันคอ พลัฎฐ์เลยตัดสินใจแหย่ไปอีกประโยคแล้ววิ่งหนีออกมา ก่อนที่พิมพ์ใส่วุ้นจะลอยมาปะทะหัวของตัวเอง

“ถ้าหนูไม่อายเด็กๆ ก็แล้วแต่เลยนะ เพราะคืนนี้พี่จัดหนักแน่นอน ฮ่าๆๆๆ”

“พี่พลัฎฐ์!”

ซึ่งตะวันก็ทำไรมากไม่ได้นอกจากยืนฮึดฮัดหน้าแดง และพอพลัฎฐ์หนีไปจนลับสายตา คนตัวเล็กก็หลุดยิ้มบางๆ ออกมาอย่างเขินอาย

.

.

.

“มาครับ เข้านอนได้แล้ว ช่วยกันเลือกแล้วหยิบมานะ เดี๋ยวพี่ตะวันจะอ่านให้ฟัง”

ตะวันเรียกเด็กๆ ที่กำลังยืนอยู่ตรงชั้นวางหนังสือเพื่อเลือกนิทานที่อยากจะฟังในคืนนี้ โดยที่น้องพีที่กำลังกอดตุ๊กตาน้องหมีเน่าขมวดคิ้วแน่น เมื่อเห็นอาทิตย์หยิบเรื่องแจ็คผู้ฆ่ายักษ์ขึ้นมา

“คุณอาทิตย์ จะเอาเยื่องนี้หยอ?” เด็กน้อยถามตาแป๋ว ให้เพื่อนสนิทเอียงคอมองอย่างสงสัย

“ทำไมล่ะ น้องพีไม่ชอบเรื่องนี้เหรอ?”

เด็กชายที่ตัวเล็กกว่ามองหน้าเพื่อนสนิทพลางยิ้มแห้งๆ ก่อนจะอ้อมแอ้มตอบ

“น้องพีไม่ได้ไม่ชอบน้า แต่น้องพีแค่อยากให้คุณอาทิตย์ยองฟังเยื่องพินอคคิโอดู” ปากเล็กเจื้อยแจ้วบอก ก่อนจะพยักเพยิดไปที่นิทานเรื่องโปรดที่วางอยู่เล่มบนสุด “เยื่องนี้สนุกน้า ปะป๊าชอบเย่า น้องพีเยยบอกให้คุณอาทิตย์ยู้เฉยๆ”

ตะวันกับพลัฎฐ์ลอบหัวเราะไม่ให้เด็กชายทั้งสองได้ยิน ผู้ใหญ่ทั้งสองแอบมองหน้ากันแล้วรู้สึกขำคำพูดของน้องพีมาก พวกเขารู้ดีว่าเด็กชายตัวน้อยอยากให้อ่านเรื่องพินอคคิโอจะแย่ แต่ไม่อยากหักหาญน้ำใจของอาทิตย์ เลยพยายามหว่านล้อมให้เพื่อนตัวน้อยเห็นด้วย โดยชักจูงให้เห็นความสนุก หนำซ้ำยังเอาชื่อพลัฎฐ์มาอ้างอีก

ทั้งแสบ ทั้งฉลาดเป็นกรดเลยเลยแหละ เจ้าตัวน้อยเนี่ย

“ก็ได้ๆ ฟังเรื่องพินอคคิโอก็ได้ เดี๋ยวหยิบไปให้พี่ตะวันอ่านนะ”

“เย่! คุณอาทิตย์เชื่อน้องพีน้า สนุกๆ”

เด็กชายอาทิตย์ตามใจน้องพี ส่วนคนที่ถูกตามใจก็ยิ้มร่า กอดตุ๊กตาเจ้าเน่าแน่น พลางถือนิทานเล่มน้อยไปพร้อมกับอาทิตย์เพื่อไปหาตะวันที่นั่งรออยู่บนเตียง โดยมีพลัฎฐ์มองตามเด็กทั้งคู่ไปอย่างอ่อนโยน

ในขณะที่ตะวันเองก็ลอบมองน้องชายด้วยความแปลกใจ เพราะรู้ดีว่าอาทิตย์ไม่ใช่เด็กที่จะชอบนิทานประเภทนี้ เนื่องจากมันไม่ตื่นเต้นเร้าใจเจ้าเด็กแสบสักเท่าไหร่ เหตุผลที่อาทิตย์ชอบให้อ่านเรื่องแจ็คผู้ฆ่ายักษ์นั่นก็เพราะ มันแอบมีการต่อสู้เล็กๆ น้อยๆ พอกระตุ้นให้เด็กน้อยได้มีจินตนาการสลับความตื่นเต้น ดังนั้น พอตะวันได้เห็นว่าอาทิตย์ยอมที่จะฟังนิทานเรื่องพินิคคิโอตามที่น้องพีขอนั้น ก็ถือเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายพอสมควร

“น้องพีครับ มาใส่ถุงเท้าก่อนครับ คืนนี้นอนจะได้ไม่หนาวเท้า” พลัฎฐ์กวักมือเรียกลูกชาย พร้อมกับถือถุงเท้าสีฟ้าอ่อนไว้ในมือ ก่อนที่เจ้าตัวน้อยจะวิ่งมาหา

เด็กชายแบมือไปตรงหน้าพลัฎฐ์ ก่อนจะเอ่ยบอกคนเป็นพ่อด้วยท่าทางน่ารัก “น้องพีใส่เองได้คับปะป๊า คุณครูสอนน้องพีมาแย้ว”

พลัฎฐ์ยิ้มขำ ก่อนจะทรุดลงนั่งกับพื้นให้น้องพีได้นั่งตาม จากนั้นก็ยื่นถุงเท้าให้ลูกชายตามความต้องการ พลางนั่งมองมือน้อยๆ ของเจ้าตัวจิ๋ว สวมถุงเท้าลงบนเท้าอย่างค่อยเป็นค่อยไป อาจจะมีติดขัดบ้าง แต่ก็ถือว่าน้องพีทำได้ดีพอสมควรสำหรับเด็กวัยสามขวบกว่าเกือบสี่ขวบ

“เส็ดแย้วคับ” เด็กชายพีรยสถ์บอกพลางชันเข่าวางเท้าบนพื้นให้พ่อดู ซึ่งเรียกรอยยิ้มดูดีให้ปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลาได้ในแทบจะทันที โดยที่ตะวันเองก็แอบมองสองคนพ่อลูกอยู่เหมือนกัน

และพอตะวันเห็นพ่อของน้องพีที่น่าจะดูยังภูมิอกภูมิใจกับการใส่ถุงเท้าของลูกชายอยู่ไม่ได้ให้ความสนใจตนกับน้อง คนตัวเล็กก็หันมาถามน้องชายที่กำลังนั่งบนตักพิงอกเขาอย่างสบายอารมณ์ในเรื่องที่ตัวเองสงสัย

“อาทิตย์ครับ อาทิตย์อยากฟังพินอคคิโอเหรอครับ?” ตะวันถาม พลางพลิกเล่มนิทานที่น้องพีถือมาให้ในมือผ่านๆ อาทิตย์ที่มองตามหน้ากระดาษที่พลิกไปพลิกมาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้ามาหาพี่ชายพลางส่งยิ้มตาหยีให้อย่างน่าเอ็นดู

“อาทิตย์รู้ว่าน้องพีอยากฟัง อาทิตย์ฟังเรื่องอะไรก็ได้ เพราะถ้าพี่ตะวันเล่าแปปเดียวอาทิตย์ก็หลับแล้ว”

ตะวันยิ้มให้คำตอบของน้องชายและรู้สึกภูมิใจมากที่ได้ยินแบบนี้ อาทิตย์เลือกที่จะเห็นแก่น้องพีมากกว่า เลือกที่จะตามใจน้องพีมากกว่า เพราะรู้ว่าวันนี้น้องพีมีเรื่องให้เศร้าใจ ซึ่งถึงแม้น้องชายของเขาจะไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แต่ตะวันก็รู้ดีว่า เจ้าตัวเล็กในอ้อมกอดเขารักและเป็นห่วงเพื่อนสนิทมากแค่ไหน และการแสดงออกถึงความใส่ใจเล็กๆ น้อยๆ นี่อาจจะทำให้น้องพีรู้สึกดีขึ้นบ้างก็ได้

ซึ่งก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีแค่พลัฎฐ์แล้วล่ะ ที่ภูมิใจในตัวเด็กน้อยที่เฝ้าเลี้ยงเฝ้าฟูมฟักมากับมือ เพราะตอนนี้ตะวันเองก็รู้สึกแบบนั้นไม่ต่างกัน

พอคิดอะไรเพลินๆ น้องพีก็ปีนขึ้นมาจุ้มปุกบนเตียงข้างๆ ตะวัน ก่อนจะใช้ศีรษะเล็กๆ มาถูไถต้นแขนของพี่ชายข้างบ้านด้วยท่าทางออดอ้อน

“พี่ตะวันค้าบ น้องพีหยักฟังนิทานแย้ว” ตะวันหัวเราะน้อยๆ เพราะรู้สึกจั๊กจี้ ก่อนจะยื่นมือไปลูบศีรษะเล็กๆ ของเจ้าหนูน้อยก่อนจะเอ่ยบอกอย่างอ่อนโยน

“งั้นเรามานอนกันเนาะ จะนอนยังไงดี น้องพีให้พี่ตะวันนอนตรงไหนครับ” ตะวันถาม ก่อนจะอุ้มอาทิตย์ที่อยู่บนตักให้นั่งลงบนเตียงแทน

ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าน้องพีกับอาทิตย์นั่งอยู่กลางเตียง แล้วตะวันนั่งอยู่ฝั่งขวา ในขณะที่หันรีหันขวางคิดว่าจะนอนตรงกลางแล้วให้เด็กๆ ขนาบข้าง เพื่อเวลาที่เล่านิทานเสียงจะได้ได้ยินกันทั่วถึงนั้นก็มีเหตุให้ต้องถอนหายใจ เพราะพลัฎฐ์ที่ก่อนหน้านั้นยืนพิงกำแพงอยู่แถวประตูห้อง ถลามานั่งอยู่ตรงฝั่งซ้ายของเตียงข้างน้องพี แล้วเอ่ยเสียงทุ้มปนเจ้าเล่ห์ที่ฟังยังไงตะวันก็รู้ทันว่าต้องมีแผนการแอบแฝงแน่ๆ

“ให้ปะป๊านอนด้วยได้ไหมลูก ปะป๊าอยากฟังพี่ตะวันเล่านิทานด้วยคน”

เด็กชายพีรยสถ์ทำตาโต ก่อนจะยิ้มร่าด้วยความชอบใจ “ได้สิคับปะป๊า ปะป๊านอนข้างน้องพีตรงนี้เยย”

มือเล็กๆ ของเจ้าหนูน้อยตบปุๆ ลงบนที่นอนข้างตัวอย่างกระตือรือร้น เพราะน้องพีชอบมากๆ เวลาที่ปะป๊ามานอนข้างๆ แขนของปะป๊าใหญ่ กอดน้องพีทีอุ่นไปทั้งตัว ดังนั้น เวลาที่เด็กชายได้นอนหลับไปทั้งที่มีคนเป็นพ่อนอนข้างกาย จึงเป็นอะไรที่เขาชอบมากที่สุด น้องพีจึงไม่คิดจะปฏิเสธหากพลัฎฐ์มาขอนอนด้วยแบบนี้

มีแต่ตะวันเท่านั้นที่รู้ทัน มองคนตัวโตกว่าตาขวาง แต่แทนที่พลัฎฐ์จะสลด กลับมาทำหน้าทำตากะลิ้มกะเหลี่ยใส่เขาเสียอีก ให้ตะวันต้องถอนใจปนๆ กับลอบอมยิ้มไม่ให้อีกฝ่ายเห็นอย่างอ่อนใจ

“แล้วคุณอาทิตย์ต้องนอนตรงไหนอ่ะน้องพี”

และคำถามของเพื่อนสนิทก็ทำเอาเด็กชายตัวน้อยผู้ทำหน้าที่จัดเรียงลำดับการนอนขมวดคิ้วน้อยๆ พร้อมๆ กับเอียงคอมองไปรอบๆ เตียง แล้วพูดเจื้อยแจ้วชี้ไปที่พื้นเตียงด้านขวาสุด ก่อนจะมองหน้าตะวันด้วยดวงตาใสแจ๋วที่มองแล้วน่าเอ็นดูไม่น้อย

“พี่ตะวันนอนตรงนั้นเยย แย้วก็คุณอาทิตย์นอนข้างพี่ตะวัน ให้พี่ตะวันกอดๆ” เจ้าเด็กรู้ดีพูดพลางจัดแจง ก่อนจะหันมาใช้นิ้วจิ้มอกตัวเองแล้วพูดต่อ

“ส่วนน้องพีนอนตงนี้ แย้วก็ปะป๊านอนข้างๆ น้องพี กอดๆ น้องพีเหมือนกัน”

จากการจัดแจงของน้องพีเรียกรอยยิ้มปนเสียงหัวเราะเบาๆ ของตะวันได้ไม่ยาก ส่วนพลัฎฐ์นั้นหน้ามุ่ย เพราะตัวเองโดนกันจากตะวันให้ห่างกันคนละฟากเตียง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากทำตามคำสั่งการของเด็กน้อยที่ตอนนี้กุมอำนาจสูงสุดในห้องนอนในฐานะเจ้าของห้อง

“โอเคครับ งั้นเรานอนกันเนาะ เดี๋ยวพี่ตะวันจะได้อ่านนิทานให้ฟัง”

ว่าแล้วทั้งสี่ก็จัดแจงล้มตัวนอน ในขณะที่อาทิตย์ขยับตัวชิดอกตะวันที่ตอนนี้กึ่งนอนกึ่งนั่งพิงหัวเตียงตะแคงเข้าหาเด็กๆ เพราะจะเล่านิทาน ส่วนน้องพีที่ร้องให้ปะป๊ากอดนั้น ก็ขยับชิดตัวอาทิตย์อีกที มือเล็กๆ ของเด็กชายพาดลงไปบนเอวของเพื่อนสนิทแน่นพลางมองสองพี่น้องข้างบ้านตาแป๋วให้ตะวันต้องก้มลงไปฟัดแก้มนิ่มนั่นอย่างมันเขี้ยว

“คิกๆ พี่ตะวันนน” น้องพีหัวเราะคิกให้อาทิตย์หัวเราะตาม เด็กสองคนนอนชิดกันจนแทบจะไม่เหลือช่องว่างให้ลมลอดผ่าน โดยมีแขนเรียวของตะวันโอบพาดเด็กทั้งสองไว้ด้วยความอ่อนโยน

ในขณะที่พลัฎฐ์มองคนทั้งสามกอดกันด้วยสายตาตัดพ้อ

“อ่าว น้องพี แล้วปะป๊าล่ะลูก ไหนบอกจะให้ปะป๊ากอดไง” พลัฎฐ์เล่นใหญ่ตัดพ้อ ให้น้องพีได้หัวเราะคิกคักกับอาทิตย์มากกว่าเดิม ก่อนที่เสียงของเจ้าลูกชายตัวแสบจะเอ่ยบอกอย่างทะเล้น

“ปะป๊าก็มากอดสิคับ กอดๆ ทับพี่ตะวันก็ได้”

คนที่รอฉวยโอกาสมานานได้ยินก็ลอบยิ้ม ก่อนจะถลาไปวาดแขนกำยำวางทับแขนเรียวเล็กของตะวันอย่างรวดเร็ว ทำเอาตะวันถึงกับอ้าปากค้างในความขี้ลวนลามของพลัฎฐ์ที่แบบได้นิดได้หน่อยเอาหมด ไม่ปล่อยให้โอกาสเล็กๆ น้อยๆ หลุดลอยเลย

แถมคนขี้แต๊ะอั๋งยังไม่ได้แค่วาดแขนทับ แต่กำลังไล้มือใหญ่ไปมาเบาๆ ที่ท่อนแขนตะวันอย่างเพลิดเพลินอีกตะหาก

ตะวันเลยได้แต่ถลึงตาคาดโทษคนที่นอนมองหน้าเขาอยู่อีกฝั่งของเตียง โดยที่พลัฎฐ์ไม่ได้หวาดกลัวเลยสักนิด

“อ่านนิทานสิครับพี่ตะวัน เด็กๆ รอฟังอยู่นะ” พลัฎฐ์แกล้งเย้าให้ตะวันได้ฮึดฮัดแต่ก็ทำอะไรมากไม่ได้ เพราะเด็กๆ จ้องอยู่ตาแป๋ว ที่ทำได้ก็มีแค่เพียง เริ่มอ่านนิทานเด็กๆ ฟังด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ...

.

.

.

- อ่านต่อด้านล่าง -

ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
- ต่อจากด้านบน -

ตะวันชะโงกมองเด็กทั้งสองที่อยู่ในอ้อมกอดที่กำลังหลับปุ๋ย แต่กลับมีรอยยิ้มบางๆ แต้มอยู่ที่มุมปากด้วยสายตาเอ็นดู ก่อนที่จะเผลอหันไปสบตากับคนที่นอนตะแคงข้างอยู่อีกฟากของเตียง ที่ตอนนี้กำลังมองมายังเขาด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก และกว่าที่ตะวันจะได้รู้ตัว พลัฎฐ์ก็ลุกลงจากเตียงแล้วอ้อมมานอนซ้อนอยู่ข้างหลังเขาเรียบร้อยแล้ว

“พี่พลัฎฐ์! พี่ทำอะไรเนี่ยครับ เดี๋ยวก็ตกเตียงหรอก”

คนถูกนอนกอดโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัวหรือขยับหนีหันไปดุคนตัวโตกว่าที่ตอนนี้ยิ้มร่าใส่เขาด้วยความตกใจ เพราะพื้นที่เตียงที่เหลือด้านหลังตะวันก็ใช่ว่าจะมาก จะขยับหนีก็ไม่ได้ เพราะกลัวเด็กๆ ที่อยู่ในอ้อมกอดเขาจะสะดุ้งตื่น ดังนั้นตะวันเลยจำเป็นต้องนอนนิ่งๆ ให้คนที่มานอนซ้อนหลังทั้งกอดทั้งรัดเสียแน่น ยิ่งด้วยความที่พื้นที่เหลือน้อย ยิ่งทำให้คนตัวโตกว่านอนเข้ามาทั้งชิดทั้งเบียดกับตะวันจนแทบจะรวมร่างกันได้อยู่แล้ว

“นี่ไง หนูให้พี่นอนเบียดๆ ยังไงก็ไม่ตกหรอก”

พลัฎฐ์ว่าเสียงระรื่น ดูก็รู้ว่ามีความสุขมากแค่ไหนที่ได้ตอดเล็กตอดน้อยแบบนี้ หนำซ้ำตอนนี้ไอ้ที่ว่านอนชิดๆ เบียดๆ นี่ไม่ร้ายเท่ากับมือใหญ่ของพลัฎฐ์เริ่มอยู่ไม่สุขแล้ว เพราะเดี๋ยวก็แตะสะโพก จับเอว ลูบหน้าท้องตะวัน คือพูดง่ายๆ ว่าได้จับนิด สะกิดหน่อยคือเอาหมด

“พี่พลัฎฐ์ ทำไมมือซนแบบนี้นะ” ตะวันกระซิบต่อว่าแต่ก็ใช่ว่าพลัฎฐ์จะหยุด

ใบหน้าหล่อเหลาที่ยื่นมาวางเกยบนไหล่เล็กของตะวัน ขยับเข้าจนชิด ลมหายใจร้อนๆ รินรดอยู่ตนต้นคอตะวันให้ต้องหดคอหนี และแทนที่อีกฝ่ายจะเลิกแกล้งให้เขาใจสั่น พลัฎฐ์กลับหัวเราะหึๆ ด้วยความชอบใจ

“พี่ไม่ได้ทำอะไรหนูเลยสักหน่อย แค่กอดเอง” พูดจบก็กดจูบที่หลังใบหูของตะวันเบาๆ ทำเอาคนถูกจูบตัวสั่น ใจสั่นไปหมดเมื่อถูกจู่โจม

“พี่พลัฎฐ์!” ตะวันกดเสียงเข้มปรามอีกฝ่ายเบาๆ เพราะไม่อยากให้เด็กๆ ตื่นมาได้ยิน

“ครับ?” แต่พลัฎฐ์กลับทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ให้ตะวันนึกโมโหเลยหันไปมองคนที่กำลังกอดตัวเองอยู่ตาขวาง “ก็ได้ๆ ขอโทษครับ พี่แค่อยากกอด อยากอ้อนขอกำลังใจจากหนูเท่านั้นเอง”

ตะวันชะงัก เมื่อนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น เขายอมรับว่ารู้สึกผิดนิดๆ ตอนที่พลัฎฐ์กำลังจะละมือออกจากเอวของตัวเอง พอคิดได้ว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาแง่งอนหรือเรียกร้องอะไรจากอีกฝ่าย เพราะตอนนี้พลัฎฐ์กำลังอยู่ในช่วงที่มีเรื่องมากมายให้คิด ดังนั้นตะวันจึงตัดสินใจยื่นมือเล็กของตัวไปยึดข้อมือใหญ่ของพลัฎฐ์ไว้ แล้วเองมาวางบนเอวของตัวเองตามเดิมแทน หนำซ้ำ มือเล็กยังหาญกล้าที่จะวางมือตัวเองทับลงบนมือใหญ่ของพลัฎฐ์อีกทีด้วย พร้อมกับสารภาพอ้อมแอ้ม

“พี่ก็กอดสิครับ ตะวันไม่ได้ไม่ให้กอดสักหน่อย ตะวันแค่ไม่อยากให้พี่ซน พอพี่ซนแล้วตะวัน.. คือ.. ตะวันเขิน แล้วเดี๋ยวจะพาลไปกวนให้เด็กๆ ตื่นเอา”

พลัฎฐ์ต้องกลั้นยิ้มจนแทบจะเป็นบ้า เพราะตะวันในเวลานี้น่ารักมาก แก้มแดง หูแดง แดงไปหมดลามมายันคอ แสดงว่าคนที่กำลังถูกเขากอดอยู่เขินจริง ใจจริงคงอยากให้เขาหยุดรังแกจะแย่ แต่อีกทางก็เป็นห่วงความรู้สึกของเขาที่เพิ่งเจอกับเรื่องราวแย่ๆ มา เลยยอมข่มความอาย เพื่อที่จะยอมทำให้เขาสบายใจ

น่ารักอะไรขนาดนี้นะตะวัน

“น่ารักจัง แฟนใครน้า” พลัฎฐ์แกล้งทำเสียงเล็กเสียงน้อยใส่ ให้ตะวันที่ได้ยินหลุดยิ้มขำออกมาเบาๆ ก่อนที่พลัฎฐ์จะนึกเอ็นดูปนมันเขี้ยว จึงยื่นจมูกโด่งไปฉกแก้มนิ่มของคนรักฟอดใหญ่

ตะวันตัดสินใจค่อยๆ พลิกตัวเบาๆ กลับไปหาพลัฎฐ์ ปล่อยให้อาทิตย์ที่เพิ่งจะพลิกตัวหนีอ้อมกอดตะวันหันไปกอดน้องพีแทน

ตอนนี้ตะวันจึงนอนอยู่ในอ้อมกอดอบอุ่นของพลัฎฐ์ทั้งตัว ให้เจ้าของอ้อมกอดได้นึกดีใจที่ตะวันให้ความสำคัญกับความรู้สึกของตัวเขาเองมากขนาดนี้ เพราะถึงตะวันจะไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่พลัฎฐ์แค่จ้องมองเข้าไปในตากลมสีน้ำตาลเข้มที่จ้องกลับมาด้วยความเป็นห่วง เขาก็นึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก

“พี่พลัฎฐ์ ถ้าพี่มีอะไรไม่สบายใจ... พี่รู้ใช่ไหมครับว่าตะวันอยู่ตรงนี้ อยู่ข้างๆ พี่ไม่ได้ไปไหนเลย”

พลัฎฐ์ยิ้มกว้างพร้อมกับพยักหน้ารับเบาๆ ก่อนจะกดจูบลงบนหน้าผากมนของคนรักเพื่อเป็นการแทนคำขอบคุณ

“พี่รู้ครับเด็กดี พี่รู้ว่าหนูพร้อมจะอยู่ข้างพี่ไม่ไปไหน” พลัฎฐ์กระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น จนตะวันแทบจะจมลงไปในอกกว้าง “พี่ขอบคุณหนูมาก ขอบคุณที่ให้พี่รักและรักพี่ ขอบคุณนะครับคนเก่ง”

ตะวันแหงนหน้าขึ้นไปมองใบหน้าหล่อเหลาที่ก้มลงมามองเขาอยู่ก่อนหน้าด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรัก คนตัวเล็กกว่ายิ้มให้อีกฝ่ายบางๆ ก่อนจะยื่นหน้าขึ้นไปแตะจูบเบาๆ ตรงสันกรามของคนรัก พลัฎฐ์ใจเต้นแรงจนแทบจะทะลุออกมา เพราะไม่บ่อยนักที่ตะวันจะแสดงท่าทางน่ารักและออดอ้อนแบบนี้ให้เห็น ซึ่งนี่เป็นครั้งแรก และเป็นครั้งแรกที่ทำให้ใจพลัฎฐ์เต้นแรงจนแทบพัง

คนตัวโตกว่าตัดสินใจก้มลงไปจูบริมฝีปากสีสดที่กำลังส่งยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยนอย่างหลงใหล เขาค่อยๆ ขบเม้ม เลาะเล็มความหอมหวานจากตะวันด้วยจูบที่เต็มไปด้วยความรู้สึกและคำขอบคุณ พลัฎฐ์อยากจะบอกน้องเหลือเกินว่าเขารู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากแค่ไหนเมื่อมาเจอกับตะวัน ตะวันที่สาดแสงส่องสว่างในชีวิตที่หม่นเทาของเขาให้กลับมาสดใส

พลัฎฐ์ค่อยๆ ขบริมฝีปากล่างสีสดของตะวันเบาๆ ราวกับร้องขอ และทันทีที่อีกฝ่ายเผยอริมฝีปากขึ้น พลัฎฐ์ก็แทรกลิ้นของตัวเองเข้าไปทันที พร้อมกับกวาดต้อนขโมยความหอมหวานที่มีกลิ่นคล้ายขนมเหมือนคนละโมบ ในขณะที่ตะวันเองก็เรียนรู้ที่จะจูบตอบคนรัก แม้มันจะงกๆ เงิ่นๆ ไปบ้างแต่ตะวันก็รับรู้ได้ว่าพลัฎฐ์ชอบและรู้สึกดีกับมัน หากสังเกตได้จากเสียงครางเบาๆ ในลำคอของอีกฝ่าย

และหลังจากแลกจูบกันจนแทบจะหายใจไม่ทัน พลัฎฐ์ก็จำใจต้องผละออกเพื่อให้ตะวันได้โกยอากาศเข้าปอด ก่อนที่จะจูบซับมุมปากของตะวันเบาๆ เพื่อเช็ดทำความสะอาดน้ำลายที่อาจจะไหลออกมาเลอะเทอะตอนไหนก็ได้ในระหว่างจูบ หากอารมณ์เราเตลิด ซึ่งนั่นก็ทำเอาพลัฎฐ์อดไม่ได้ที่จะจูบหนักๆ ลงไปปากสีแดงสดของตะวันแรงๆ อีกครั้ง

“พี่อยากจูบปากหนูทั้งวัน มันเขี้ยว” พลัฎฐ์กระซิบบอก ทำเอาตะวันหลุดขำ

“ไม่เอาครับ จูบแค่นี้พอแล้ว เอ่อ.. คือ ตะวันไม่อยากให้อารมณ์เราเตลิด เดี๋ยวมันจะเกินเลย เด็กๆ ก็นอนอยู่ตรงนี้ด้วย”

พลัฎฐ์พยักหน้ารับอารมณ์ประมาณว่าเห็นด้วย ก่อนจะพูดกระซิบตอบตะวันด้วยสีหน้ากรุ้มกริ่ม

“ใช่ๆ นี่ขนาดแค่จูบพี่ยังเตลิดเลย สงสัย... โอ๊ย!” มือเล็กฟาดดังเพี๊ยะลงบนไหล่กว้าง ก่อนจะมุ่ยหน้ามองอีกฝ่ายตาแทบกลับ

“พี่พลัฎฐ์! ทะลึ่ง!” ตะวันต่อว่าหน้างอ ให้พลัฎฐ์หัวเราะอย่างอารมณ์ดี

“ฮ่าๆ โอเคครับ โอเค พี่ไม่แกล้งแล้ว” ตะวันจ้องหน้าพลัฎฐ์พลางสำรวจคำพูดของอีกฝ่ายว่าเชื่อได้ขนาดไหน พอตะวันได้เห็นแววตาอ่อนโยนของพลัฎฐ์กลับมาเป็นปกติแล้วก็ได้แต่ถอนใจ เลยเผลอย่นจมูกใส่อีกฝ่ายด้วยอาการล้อเลียน

“นอนเถอะครับ ตะวันง่วงแล้ว” ตะวันอ้อน พลางขยับตัวซุกหน้ากับอกพลัฎฐ์ให้ใกล้ชิดกันมากกว่าเดิม

“ครับ นอนกัน เด็กดีของพี่.. หรือให้พี่กล่อมด้วยนิทานแบบน้องพีกับอาทิตย์ด้วยดี หื้ม?” ตะวันขำก่อนจะกดจูบเบาๆ ลงบนอกที่ข้างใต้แผ่นเนื้อมีก้อนเลือดก้อนเล็กๆ ที่เรียกว่าหัวใจเต้นอยู่ ซึ่งมันก็เต้น ดัง รัว เร็ว เหมือนของตะวันไม่มีผิด

“ไม่ต้องอ่านนิทานหรอกครับ แค่กอดตะวันแน่นๆ ก็พอ..” พอสิ้นคำขอ อ้อมกอดของพลัฎฐ์ก็กระชับแน่นขึ้น จนตะวันอุ่นไปทั้งใจ ทั้งตัว

“ตามคำบัญชาเลยครับที่รัก ... ขอบคุณที่เข้าใจ ขอบคุณที่เคียงข้าง ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะครับ” พลัฎฐ์จูบหนักๆ ลงบนศรีษะทุยของคนรัก “ฝันดีนะครับเด็กดีของพี่”

รอยยิ้มเหนื่อยๆ ที่พลัฎฐ์ไม่เห็น ปรากฏอยู่บนริมฝีปากบางสวยของตะวัน ก่อนที่ตะวันจะกระซิบบอกอีกฝ่ายเบาๆ ด้วยประโยคเดียวกัน

“ฝันดีเช่นกันครับพี่พลัฎฐ์”

ใช่ ตะวันเป็นเด็กดีของพี่พลัฎฐ์ ตะวันเข้าใจพี่พลัฎฐ์ ตะวันอยู่ตรงนี้ อยู่เสมอหากพี่ต้องการ แม้ว่าพี่พลัฎฐ์จะยังไม่ได้เล่าเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นให้ตะวันฟังเลยก็ตาม

.

.

.

“แผนของวันนี้คือ เราจะเข้าครัวทำอาหารทานด้วยกัน โดยมีพี่ตะวันเป็นพ่อครัว และทุกๆ คนเป็นลูกมือ”

สิ้นเสียงหวานของคนเป็นพ่อครัว ลูกมือทั้งสามก็ส่งเสียงเฮลั่นด้วยความชอบใจ โดยเฉพาะเสียงเล็กๆ ของเจ้าหนูน้อยทั้งสองที่ดูจะตื่นเต้นเป็นพิเศษ

“เย่ๆ”

“น้องพีทำ น้องพีทำ” จู่ๆ เด็กชายตัวน้อยที่ยืนอยู่บนเก้าอี้โซฟาก็ยกมือน้อยๆ ของตัวเองขึ้น พลางร้องบอกเจื้อยแจ้ว

“น้องพีอยากทำอะไรครับ” ตะวันถามอย่างใจดี ใบหน้าติดจะมีรอยยิ้มเอ็นดูอยู่น้อยๆ

“ทำขนมคับ ขนมอะหย่อยๆ แบบที่พี่ตะวันทำ”

น้องพีพูดเจื้อยแจ้วยิ้มแย้ม ดูอารมณ์ดีมากกว่าเมื่อวานจนคนเป็นพ่อที่ยืนแอบมองอยู่ถึงกับยิ้มกว้าง ก่อนที่คุณพ่อคนที่ว่าจะเบนสายตาไปสบกับครูสอนทำอาหารเฉพาะกิจ ที่วันนี้วางแผนจะดึงความสนใจเด็กน้อย เพื่อไม่ให้จดจ่อหรือหดหู่อยู่กับเหตุการณ์เมื่อวาน

“ได้สิครับ ว่าแต่เราจะทำขนมอะไรกันดีนะ” ตะวันว่าก่อนจะหันไปหาเจ้าน้องชายตัวน้อยที่ยืนอยู่บนโซฟาตัวเดียวกับน้องพี “อาทิตย์มีขนมที่อยากทำมาเสนอไหมครับ อยากทานอะไรเป็นพิเศษไหม?”

แน่นอนว่าตะวันไม่ได้ให้ความสนใจแค่เฉพาะน้องพีเป็นพิเศษ แต่ตะวันให้ความสนใจกับน้องชายตัวเองด้วยอย่างเท่าเทียม เพื่อไม่ให้เด็กคนใดคนหนึ่งน้อยใจ แต่ดูจากคำตอบแล้วตะวันคิดว่าอาทิตย์ไม่น่าจะน้อยใจเรื่องน้องพีง่ายๆ แน่ๆ

“ให้น้องพีเลือกก็ได้คับพี่ตะวัน อาทิตย์กินแบบที่น้องพีอยากกินได้” เจ้าอาทิตย์ดวงน้อยพูดพลางหันไปยิ้มกว้างให้เพื่อนสนิทที่ยืนอยู่ข้างๆ จนน้องพียื่นศีรษะตัวเองมาไถที่แขนของอาทิตย์อย่างออดอ้อนแทนคำขอบคุณ

... จะว่าไปแล้วคนที่สปอยล์เด็กชายพีรยสถ์ที่สุดคือเด็กชายภานวีย์เอง น้องพีว่าไง คุณอาทิตย์ว่าตามอย่างไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ เลยสักครั้ง

“ไม่เป็นไยนะ คุณอาทิตย์เยือกเยย เยือกๆ ให้น้องพี น้องพีให้คุณอาทิตย์เยือก” แต่แล้วตะวันก็ต้องแปลกใจเมื่อน้องพีปฏิเสธที่เลือก แต่กลับยกหน้าที่นี้ให้อาทิตย์แทน

“ถ้าคุณอาทิตย์เลือกให้ แล้วน้องพีจะชอบกินเหรอ?” เจ้าอาทิตย์ดวงน้อยถามอย่างเป็นกังวล แต่น้องพีกลับยิ้มกว้างพลางพยักหน้าหงึกๆ หงักๆ อย่างไม่ลังเล

“ชอบสิ น้องพีชอบหมด คุณอาทิตย์เยือกให้นี่นา” ว่าพลางยิ้มกว้างจนตาหยี ทำเอาอาทิตย์ยิ้มตามโดยอัตโนมัติ

“งั้นทำแพนเค้กกันไหมน้องพี” อาทิตย์ถามคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ก่อนที่จะหันไปหาตะวัน “แพนเค้กหอ.. หอ หออะไรนะพี่ตะวัน”

“แพนเค้กหอไอเฟลครับ อาทิตย์หมายถึงชื่อนี้ใช่ไหม?” ตะวันเฉลยด้วยรอยยิ้มบาง รู้สึกเอ็นดูท่าทางเอียงคอน้อยๆ ยามนึกชื่อแพนเค้กไม่ออกของน้องชายขึ้นมาเสียดื้อๆ

“ใช่ๆ แพนเค้กหอไอเฟ่น” ตะวันหลุดขำ ตอนได้ยินชื่อที่น้องชายเรียกไม่ชัด “ได้ไหมครับพี่ตะวัน ทำอันนี้ได้ไหม”

“ได้ครับ” ตะวันตกลง ก่อนจะแจกแจงหน้าที่เข้าครัวของแต่ละคน โดยมีพลัฎฐ์ทำหน้าตาปลื้มอกปลื้มใจอยู่ห่างๆ ให้ตะวันอดเขินไม่ได้กับสายตาอบอุ่นคู่นั้น “เอ่อ.. อะแฮ่มๆ”

พลัฎฐ์หัวเราะเบาๆ ตอนเห็นท่าทางเก้อเขินของตะวัน เลยได้รับสายตาดุๆ ส่งกลับมา จนต้องแกล้งยกมือขึ้นสองข้างเพื่อบอกว่าจะยอมแพ้ ทั้งที่แววตาคมยังคงพราวระยับ

“งั้นมื้อกลางวันวันนี้พวกเราจะทำสปาเก็ตตี้คาโบนาร่า กับแพนเค้กหอไอเฟลกันนะครับ” ตะวันว่าพลางกวักมือเรียกพลัฎฐ์ให้เดินเข้ามา “เดี๋ยวสปาเก็ตตี้จะเป็นหน้าที่ของพี่ตะวันกับปะป๊าพลัฎฐ์ ส่วนตกแต่งแพนเค้กหอไอเฟลเป็นหน้าที่ของน้องพีกับคุณอาทิตย์ตกลงไหมครับ”

เด็กน้อยสองคนพยักหน้ารับหงึกหงัก แววตากลมโตเต็มไปด้วยความตื่นเต้น พลัฎฐ์เดินไปจูงน้องพีกับอาทิตย์เข้ามาในครัวด้วยมือคนละข้าง เขาจับเด็กน้อยยืนบนบันไดเสริมที่เด็กๆ เอาไว้ใช้ปีนแปรงฟันในตอนเช้า ซึ่งตอนนี้เอามาตั้งตรงเคาน์เตอร์เตรียมอาหารในครัว เพื่ออำนวยความสะดวกแก่เจ้าหนูทั้งคู่ โดยที่พลัฎฐ์ไม่ยอมให้เด็กๆ เฉียดเข้ามายืนในโซนเตาและอุปกรณ์ร้อนๆ ทั้งหลายตามที่ได้คุยกันไว้แล้วกับตะวัน

ถึงแม้อยากจะให้พวกแกมีส่วนร่วมกับกิจกรรมของครอบครัว แต่เขาทั้งสองก็ควรที่จะต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของเด็กๆ เป็นอันดับแรกด้วย

พลัฎฐ์จึงพาเจ้าหนูทั้งสองไปยืนอยู่อีกฝั่งของเคาน์เตอร์ เพื่อให้เคาน์เตอร์ตัวที่ว่ากั้นเด็กๆ ออกจากพวกเตา และแก็สทั้งหลาย

“น้องพีกับคุณอาทิตย์ยืนตรงนี้นะครับ ปะป๊าพลัฎฐ์จะเข้าไปช่วยที่ตะวันที่ฝั่งนั้น สองคนห้ามดื้อห้ามซน รอให้พี่ตะวันอนุญาตก่อนค่อยทำตกลงไหม” พลัฎฐ์เอ่ยบอกเด็กๆ อย่างใจเย็นให้เจ้าหนูทั้งสองพยักหน้ารับเข้าใจ

“ตกลงคับ/ตกยงคับ”

พอเด็กๆ รับปากพลัฎฐ์ก็เดินไปหาตะวันที่ตอนนี้กำลังง่วงอยู่หน้าเตา ก็เลยไปได้ทันเห็นตะวันกำลังร่อนแป้งเค้ก ผงฟู และเกลือเข้าด้วยกัน จากนั้นคนตัวเล็กกว่าก็นำแป้งที่ร่อนจนเข้ากันแล้วใส่ลงไปในเครื่องปั่น เทนมสดลงไป ตามด้วยไข่ไก่ เนยสดละลาย และน้ำตาลทราย ตะวันปั่นส่วนผสมจนเข้ากัน แล้วก็เอามาพักไว้ ซึ่งในระหว่างรอตะวันก็หันเตรียมของตกแต่งที่ตะวันหาได้จากในตู้เย็นให้เด็กๆ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นผลไม้และขนมที่พลัฎฐ์ซื้อติดไว้ ซึ่งสิ่งที่พ่อครัวคนเก่งหาได้ก็มีกีวี่สด บลูเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ทั้งสดและแห้ง เพรทเซลแท่ง รวมถึงน้ำตาลไอซ์ซิ่ง ก่อนที่ตะวันจะนำสิ่งเหล่านั้นไปวางไว้บนเคาน์เตอร์ตรงหน้าเด็กๆ ที่ตอนนี้กำลังมองด้วยความสนใจ

ตะวันก็หันกลับมาที่หน้าเตาอีกครั้ง หยิบกระทะไปตั้งด้วยไฟอ่อนๆ ใส่เนยลงไป แล้วเอาแป้งที่พักไว้มาวาดลงในกระทะให้คล้ายกับรูปหอไอเฟล รอให้ฟองอากาศปุดขึ้นจึงกลับด้าน ทอดจนสุกทั้งสองด้าน แล้วก็เอามาจัดใส่จาน จากนั้นก็นำจานที่มีแป้งแพนเค้กที่ทอดจนสุก ฟู ดูนุ่มน่าทานมาวางตรงหน้าเด็กๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสนุกสนาน

“อ่ะ ทีนี้ก็เป็นหน้าที่ของน้องพีกับคุณอาทิตย์แล้วนะครับ ตกแต่งหอไอเฟลได้ตามใจชอบเลย อยากเอาผลไม้อะไรใส่ตรงไหน หนูทำได้เลยครับ แล้วเดี๋ยวพี่ตะวันไปทำสปาเก็ตตี้กับปะป๊าก่อน”

และในระหว่างที่ตะวันกำลังจะหันกลับไปทำของคาวต่อ พลัฎฐ์ก็พูดขึ้นอย่างนึกสนุก

“เรามาแข่งกันดีไหมนะ ว่าใครจะเสร็จก่อนกัน ปะป๊ากับพี่ตะวัน หรือน้องพีกับคุณอาทิตย์”

เด็กน้อยทั้งสองตาโต ก่อนที่จะปรบมือปรบไม้ด้วยความชอบใจ

“เอาคับ แข่งๆ ใครแพ้ขี่ม้าส่งเมืองเยย” น้องพียื่นข้อเสนอ โดยไม่ได้คิดเผื่อว่าตัวเองจะแพ้เลยสักนิด

“ได้ครับ ใครแพ้ขี่ม้าส่งเมืองนะ” พลัฎฐ์เองก็นึกครึ้มรับปาก ทำเอาตะวันที่กำลังช้อนเส้นสปาเก็ตตี้ที่เพิ่งต้มเสร็จมาแช่น้ำเย็นถึงกับหลุดขำ เขายอมรับว่านึกสภาพน้องพีกับอาทิตย์เอาพวกเขาขี่หลังไม่ออกเลย

“เย่ๆ ขี่ม้าส่งเมืองเยยเนาะคุณอาทิตย์”

“ใช่ๆ เราต้องชนะนะน้องพี”

น้ำเสียงมุ่งมั่นของเด็กทั้งสองทำเอาตะวันลอบส่ายศีรษะ... สรุปว่าต้องแกล้งแพ้สินะ

ซึ่งพอตกลงกติกากับเด็กๆ เรียบร้อย พลัฎฐ์ก็หันมาช่วยตะวันหั่นเบค่อนเป็นชิ้นเล็กๆ ในขณะที่ตะวันกำลังเอากระทะขึ้นตั้งอีกครั้งเพื่อเตรียมคั่วเบค่อน ซึ่งพอเบค่อนพร้อมแล้ว ตะวันก็เอาลงมาทอดโดยใส่น้ำมันเพียงเล็กน้อย และพอเห็นว่ามันน่าจะกรอบได้ที่แล้วก็ตักขึ้นจากกระทะเอามาวางพักให้สะเด็ดน้ำมัน จากนั้นก็หันไปทำครีมคาโบนาร่าต่อด้วยการใส่เนยลงในกระทะอีกรอบ ตั้งไฟกลางๆ พอเนยละลายก็ใส่หอมใหญ่ลงไปผัดจนหอม แล้วก็ใส่แฮมลงไปผัดตาม พอแฮมเริ่มสุกก็ตามด้วยใส่วิปปิ้งครีม รอให้เดือดก็ปรุงรสด้วยเกลือ และพริกไทยดำป่น ตามด้วยพาเมซานชีส แล้วลองชิมว่ารสชาติกลมกล่อมหรือยัง จากนั้นตะวันก็เคี่ยวต่ออีกนิดเพื่อให้ครีมเริ่มข้น

และพอคนได้ที่ พลัฎฐ์ก็จัดการส่งเส้นสปาเก็ตตี้ที่เขานำขึ้นมาจากน้ำเย็นและคลุกน้ำมันมะกอกเรียบร้อยแล้วมาส่งให้ตะวันนำลงไปผัดให้เข้ากันกับครีมคาโบนาร่าในกระทะ ซึ่งพอครีมเริ่มเกาะตัวกับเส้น ตะวันก็ปิดไฟที่เตา จากนั้นก็ใส่ไข่แดงที่แยกจากไข่ขาวไว้เรียบร้อยแล้วลงไปคนเร็วๆ ให้ไข่ผสมเข้ากับครีม เพราะไข่แดงจะทำให้ครีมข้นขึ้น เมื่อทุกอย่างเข้ากันดีแล้วตะวันก็ตักสปาเก็ตตี้แยกใส่จานสี่จาน จากนั้นก็ส่งให้พลัฎฐ์เอาไปโรยด้วยเบคอนกรอบที่ทอดไว้แต่แรก ก็เป็นอันว่าทุกอย่างเสร็จสิ้น

แต่เด็กๆ กลับยังแต่งแพนเค้กหอไอเฟลไม่เสร็จเลย พลัฎฐ์กับตะวันเลยเข้าไปช่วยเด็กๆ แต่งแพนเค้กต่อ

"ว้า ปะป๊ากับพี่ตะวันเส็ดแย้วอ่ะคุณอาทิตย์ เยาสองคนแพ้เยย" น้องพีว่าหน้ามุ่ย ให้ตะวันได้หัวเราะออกมาเบาๆ

"ไม่เป็นไรนะครับ เราเสมอกันก็ได้ ไม่มีใครแพ้ ใครชนะเนาะ" พอได้ยินแบบนั้นเด็กน้อยทั้งสองก็ยิ้มร่า จัดการลงมือแต่งแพนเค้กต่อ

"เอาอันนี้ไว้ตรงนี้สิน้องพี"

อาทิตย์ส่งกีวี่ฝานให้น้องพีเอาไปวางไว้ด้านข้างหอไอเฟล แล้วจากนั้นอาทิตย์ก็เอาเพรทเซลที่หักครึ่งไปวางใต้กีวี่ฝาน หน้าตามันเลยเหมือนต้นไม้ต้นใหญ่ๆ ขึ้นข้างหอไอเฟล

เด็กสองคนกับผู้ใหญ่สองคนช่วยกันแต่งจานแพนเค้กสนุกสนาน ซึ่งพลัฎฐ์เองก็อาศัยช่วงที่เด็กๆ เผลอ โน้มใบหน้าลงไปหอมแก้มตะวันฟอดใหญ่ ให้ตะวันสะดุ้งด้วยความตกใจ

"พี่พลัฎฐ์นี่!"

มือเล็กฟาดไปบนไหล่กว้างไม่จริงจัง ก่อนที่ใบหน้าหล่อเหลาจะก้มลงกระซิบอ้อน

"หนูครับ คืนนี้ค้างบ้านพี่อีกนะ พรุ่งนี้วันอาทิตย์แหละ"

ตะวันย่นจมูก ก่อนจะส่ายหน้า "ไม่เอาครับ พรุ่งนี้วันทำงานบ้าน ตะวันต้องตื่นทำงานบ้านแต่เช้า"

พลัฎฐ์ตีหน้าเศร้าเอาไหล่กระแซะคนรัก เหมือนสุนัขตัวใหญ่ๆ ตะกุยขอขนม

"เดี๋ยวพี่ให้แม่บ้านไปทำให้ หนูมานอนกับพี่เถอะนะ"

"ไม่เอาครับ" ตะวันค้อนพลัฎฐ์ตากลับ ก่อนจะยืนยันว่าไม่ยอม แต่แล้วจู่ๆ พลัฎฐ์ก็ตาโตราวกับนึกขึ้นได้

"งั้นคืนนี้พี่กับน้องพีไปนอนบ้านตะวันบ้างดีกว่า ผลัดกันๆ หึๆ" คนเจ้าเล่ห์ว่าพลางหัวเราะในลำคอ ให้ตะวันได้หันไปมองดุ

"เอ๊ะ พี่พลัฎฐ์นี่!" ซึ้งใบหน้ายามดุของตะวันช่างน่ารักจนพลัฎฐ์ห้ามใจไม่ไหว ต้องยื่นหน้าไปจุ๊บที่ริมฝีปากสีสดเบาๆ

จุ๊บ ~

"ฮึ่ยยย พี่พลัฎฐ์"

ซึ่งทั้งสองก็มัวแต่เถียงกัน จนไม่ทันได้สังเกตเลยว่าตอนนี้เด็กๆ ตกแต่งจานแพนเค้กเสร็จแล้ว และกำลังมองไปยังผู้ใหญ่ทั้งคู่ตาแป๋ว ก่อนจะหัวเราะคิกคักกันสองคน

"คิกๆๆๆ คุณอาทิตย์ดูสิ ปะป๊าโดนพี่ตะวันดุแหยะ"

"ใช่ๆ ฮ่าๆ พี่ตะวันก็หน้าแดงแปร๊ดเลย แดงเหมือนสตอร์เบอร์รี่ในจานคุณแพนเค้กเลยน้องพี"

ตะวันหันมามองเด็กๆ พลางอ้าปากค้างในขณะที่พลัฎฐ์หัวเราะร่าไม่หยุด

... และในขณะที่บ้านวัฒนไพศาลกุลเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะนั้น จู่ๆ เสียงออดหน้าบ้านก็ดังขัดขึ้น

ตะวันกับพลัฏฐ์หันมองไปตามเสียงที่ว่าพร้อมกัน และเมื่อมองเห็นแล้วว่าทั้งอาหารและขนมที่ช่วยกันทำเสร็จเรียบร้อยดีแล้ว จึงตัดสินใจพาเด็กๆ ออกมาจากครัว และจะได้ไปเปิดประตูให้คนที่มากดออดที่หน้าบ้านด้วย แม้พลัฎฐ์จะสงสัยมากกว่าตามว่าใครที่มาหาเขาในวันหยุดพักผ่อนแบบนี้ ทั้งที่ปกติถ้านอกจากตะวันแล้ว บ้านของเขาก็ไม่เคยรับแขกที่ไหนอีก

"ป่ะเด็กๆ ไปนั่งรอที่โต๊ะกินข้าวนะครับ เดี๋ยวอีกแปปนึงเราจะได้ทานสปาเก็ตตี้กัน"

พลัฎฐ์อุัมน้องพีไปนั่งที่เก้าอี้เด็กที่โต๊ะอาหาร ส่วนตะวันก็จูงอาทิตย์เดินตามไป ก่อนที่ผู้ใหญ่ทั้งสองจะพากันเดินไปตรงวีดีโออินเตอร์คอม

และภาพในวีดีโออินเตอร์คอมก็ทำให้ตะวันแปลกใจ เพราะปรากฏร่างของผู้หญิงคนหนึ่ง ผมยาวตรง ตากลมโต ใบหน้าสวยหวานดูมั่นใจ ผู้หญิงคนที่ว่ายิ้มหวานสวยสะกดตา ให้ตะวันมองคนในวีดีโออินเตอร์คอม ก่อนที่จะสลับมามองพลัฎฐ์ที่กำลังยืนนิ่งอยู่ข้างกายตนเอง

พลัฎฐ์ยืนนิ่ง ตาคมทอดมองไปยังคนที่ปรากฏในอินเตอร์คอม โดยที่แววตาไม่ปรากฏอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น

และก่อนที่ตะวันจะได้ถามอะไร เสียงหวานของหญิงสาวในอินเตอร์คอมก็ดังขึ้น และเป็นประโยคที่ตะวันไม่คาดคิดว่าตัวเองจะมาได้ยินอะไรแบบนี้กับหู

"พลัฎฐ์คะ ลินีมาแล้วค่ะ ลินีคนรักของคุณกลับมาแล้ว เปิดประตูให้ลินีเข้าไปหาคุณกับลูกหน่อยนะคะ"

.

.

.

To Be Continue

-----------------------------------

Talk: มาทำไมให้อาบ้านนาละนวลนว้องง ไม่ต้องกลับคืนมาาาาา~ พี่พลัฎฐ์ไม่ได้กล่าวไว้

ม่าไม่มากค่ะ กรุบกริบนิดหน่อยถือว่าเป็นทดสอบให้สองคนช่วยกันแก้และผ่านมันไปให้ได้เนาะ ^^

ฝากติดแท็ก #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว ในทวิตเตอร์ แล้วก็... ถ้าไม่ขอมากไป อยากอ่านเม้นท์สักกะนิดดดด นิดนึงก็ยังดีนะคะ

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ Tiffany

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
คุณลินีจะมาทวงใครคืน ตะวันต้องตั้งรับดีๆนะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
:: Chapter 18th - เซอร์ไพร์ส ::


ตะวันพาอาทิตย์และตัวเองที่ยังมึนงงกลับมาที่บ้านของตัวเอง หลังจากที่พลัฎฐ์เปิดประตูรับให้ผู้หญิงคนนั้นเข้ามาในบ้าน น้องพีดูงงๆ แต่เกาะติดพลัฎฐ์ห่างไม่ไปไหน ตะวันเองเห็นว่าเป็นเรื่องในครอบครัวเลยขอตัวกลับมาก่อน แม้พลัฎฐ์จะทั้งรั้ง ทั้งขอร้องก็ตามว่าให้ตะวันอยู่ต่อ แต่ตะวันเองก็ยืนกรานเช่นกันว่าจะขอกลับ แล้วให้พวกเขามาคุยกันทีหลังอีกที


‘ดิฉันนลินีนะคะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะคุณตะวัน


นี่คือประโยคเดียวที่อีกฝ่ายมีปฏิสัมพันธ์กับเขา ซึ่งถ้าจะให้เขาอยู่ต่อ ตะวันก็รู้สึกแปลกๆ แล้วอีกอย่างตะวันยอมรับว่าตะวันน้อยใจ เพราะตอนนี้ตะวันแทบจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องครอบครัวเก่าของพลัฎฐ์เลย ดังนั้นตอนที่พลัฎฐ์ขอให้เขาอยู่เป็นเพื่อน เขาถึงตัดสินใจปฏิเสธไป



‘ตัวเล็ก อยู่กับพี่นะ ขอพี่คุยกับลินีแปปเดียว แล้วถ้าจากนี้ตัวเล็กอยากรู้อะไร พี่จะเล่าให้ฟังทั้งหมด’

‘ไม่เป็นไรครับพี่พลัฎฐ์ ตะวันว่าตะวันกลับก่อนดีกว่า ไว้พี่พร้อมแล้วเราค่อยคุยกันนะครับ’

‘หนู…’

‘ป่ะ อาทิตย์กลับบ้านเรากัน’



ซึ่งหลังจากนั้นตะวันก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่จูงน้องชายออกมาจากบ้านพลัฎฐ์เลย สปาเก็ตตี้ก็ไม่กิน ขนมแพนเค้กที่แต่งไว้ก็ไม่ได้เอามาทำต่อ ทุกอย่างที่ยังทำค้างไว้ถูกวางอยู่ในครัวของพลัฎฐ์... รวมทั้งความรู้สึกที่ค้างคาของตะวันด้วย

.

.

.

หลังจากกลับมาจากบ้านของพลัฎฐ์ ตะวันก็หาอะไรที่ทำง่ายๆ ให้อาทิตย์ทานก่อนจะพาน้องนอนกลางวัน ซึ่งเจ้าหนูตัวน้อยก็เหมือนจะรู้ว่าพี่ชายอารมณ์ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ เลยไม่ดื้อไม่ซน พูดอะไรก็ฟัง หนำซ้ำยังติดจะอ้อนให้ตะวันยิ้มออกในบางครั้งด้วย

ตะวันได้แต่มองน้องชายที่กำลังหลับด้วยสายตารักใคร่ เขารู้ดีว่าอาทิตย์อยากจะให้เขาพากลับไปน้องพีมากแค่ไหน แต่เจ้าหนูก็ไม่งอแงเอาแต่ใจเลยสักนิด ดังนั้นตะวันเลยต้องฝืนใจร้าย ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ไม่พาอาทิตย์ไปหาน้องพีจนเวลาล่วงเลยมาถึงตอนเข้านอนกลางวัน แต่ในขณะเดียวกัน ทางฝั่งของคนข้างบ้านเอง ก็ไม่ได้ติดต่อมาหาตะวันเช่นกัน พลัฎฐ์เงียบหายไปหลายชั่วโมง ไม่มีแม้แต่ข้อความหรือสัญญาณอะไรส่งมาบอก เงียบหายไปจนตะวันยอมรับว่าลึกๆ อดน้อยใจไม่ได้ เพราะเขารออยู่เสมอ รอให้พลัฎฐ์เล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟัง รอให้พลัฎฐ์พร้อม และยอมรับเขาในฐานะคนที่จะเดินเคียงข้างกันไป แม้ความรู้สึกไม่ดีที่อยู่ลึกๆ จะกัดกินใจแค่ไหนก็ตาม


Rrrrr


เสียงโทรศัพท์เครื่องเล็กที่อยู่บนหัวเตียงดังขึ้น ทำให้ตะวันรีบผวาไปรับเพราะกลัวเสียงที่ว่าจะรบกวนให้น้องชายตื่น และเมื่อเห็นว่าสายที่เรียกเข้าเป็นใคร ตะวันก็ยิ้มกว้าง แม้จะไม่ใช่คนที่เขาคิดถึง แต่ก็เป็นอีกคนที่ตะวันนึกอยากคุยอยู่ทุกวัน

“แม่ครับ ทำไมโทรมาได้ ตอนนี้ที่นั่นดึกมากแล้วไม่ใช่เหรอ” ตะวันเริ่มประโยคด้วยการออดอ้อนเสียงหวานเจื้อยแจ้วถามคนเป็นแม่ยาวเหยียด เขาลากเสียงใส่มารดา รวมไปถึงใบหน้าน่ารักฉีกที่ยิ้มกว้างแม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้เห็นก็ตาม ก่อนจะปิดท้ายด้วยประโยคเอื่อยๆ ที่อยากพูดเป็นที่สุดออกมา “ตะวันคิดถึง”

(แม่เพิ่งกลับจากงานเลี้ยงค่ะพี่ตะวัน ยังทำอะไรไม่เสร็จด้วยเลยยังไม่นอน พอดีกับคิดถึงพี่ตะวันเลยคิดว่าโทรหาสักหน่อยดีกว่า ว่าแต่พี่ตะวันบอกว่าคิดถึงแม่แล้วทำไมไม่โทรหาแม่ล่ะจ๊ะ แม่ไม่เห็นพี่ตะวันโทรมาเลย นี่พี่ตะวันแกล้งพูดหลอกให้แม่ดีใจหรือเปล่า)

ในขณะที่ปลายสายเย้าเสียงสนุก หล่อนพูดแหย่คนเป็นลูกไม่จริงจัง รู้ดีว่าที่ลูกชายคนโตไม่โทรหาเป็นเพราะไม่มีเวลา และอีกอย่างไทม์โซนที่ไทยกับที่สหรัฐอเมริกานั้นค่อนข้างต่างกันมาก ตะวันที่กลางวันน่าจะยุ่งทั้งเรื่องร้านและเรื่องอาทิตย์ พอตกเย็นก็อาจจะเหนื่อย ดึกหน่อยก็คงผล็อยหลับไปพร้อมน้อง เลยไม่ได้ค่อยได้คุยกับบิดาและมารดาที่อยู่คนละซีกโลกสักเท่าไหร่ แต่ถึงอย่างนั้นทั้งสามคนพ่อแม่ลูกก็ยังคงส่งข้อความและคุยกันในแอพลิเคชั่นสีเขียวทุกวัน หรือน้อยที่สุดก็ต้องอัพเดทให้รู้ว่าต่างฝ่ายต่างสบายดี

“โถ่แม่ครับ แม่ก็รู้ว่าร้านเพิ่งเปิด ตะวันยุ่งมากๆ ไม่ค่อยว่างเลย” คนเป็นพี่ที่มักจะวางตัวสุขุมนุ่มลึกอยู่เสมอยามอยู่กับน้อง กลับแสดงออกในสิ่งตรงข้ามเมื่ออยู่กับมารดา ตะวันส่งเสียงงอแงออดอ้อน จนคนเป็นแม่ที่อยู่ปลายสายได้ยินถึงกับหลุดหัวเราะ

(งอแงแบบนี้ พี่ตะวันของแม่จะทำร้านต่อไหวไหมเนี่ย หื้ม?) มารดาแกล้งส่งเสียงเย้าให้ตะวันได้ตาโตเล่น ก่อนจะตอบกลับอย่างรวดเร็ว

“แม่อ่ะ ทำไหวสิครับ แม่ก็รู้ว่าตะวันตั้งความหวังกับร้านนี้มากแค่ไหน หนี้ที่ยืมพ่อกับแม่มาลงทุนยังไม่ได้ใช้คืนสักบาท ยังไงตะวันก็ไม่มีวันเทหรือปล่อยให้ร้านล้มแน่ๆ”

คุณรวิวรรณได้แต่ยิ้มกว้างด้วยความภูมิใจเมื่อได้ยินถึงความมุ่งมั่นของลูกชาย เธอกับสามียอมรับยอมรับว่าตอนที่ลงทุนเปิดร้านให้ตะวันก็แอบกังวลอยู่ไม่น้อย เพราะตะวันยังเด็กและเพิ่งเรียนจบ เธอกลัวว่าลูกจะทนความลำบากและความกดดันไม่ไหว เมื่อต้องมารับผิดชอบกิจการของตัวเองไว้เพียงคนเดียว แต่ลึกๆ เธอกลับมั่นใจว่าตะวันลูกชายของเธอจะสามารถและทำมันได้ดีด้วยถ้าวัดจากความรับผิดชอบที่ตะวันมี

เพราะถึงแม้ขนาดว่าเธอกับสามีไม่ค่อยได้มีเวลาให้กับตะวันมากนัก ตะวันยังสามารถเติบโตมาได้เป็นอย่างดี รู้จักรับผิดชอบตัวเอง จนเธอสามารถวางใจปล่อยให้ตะวันได้เป็นคนเลี้ยงน้องชายตัวน้อย ที่เจ้าตัวถึงกับเอ่ยปากขอกับบิดาและมารดาเลยว่า ในช่วงที่พ่อกับแม่ต้องบินไปนั่นมานี่ เขาจะเป็นคนดูและเลี้ยงดูน้องชายเอง เพราะน้องยังเล็กครั้นจะให้กระเตงบินไปประเทศนั้นที ประเทศนี้ทีก็ไม่น่าจะไหว หรือครั้นจะให้พ่อกับแม่หยุดอาชีพเพื่อที่จะต้องมาเลี้ยงดูน้อง ตะวันก็ไม่เห็นด้วย เขารู้ดีว่าพ่อกับแม่พร้อมจะทิ้งทุกอย่างเพื่ออยู่ดูแลเลี้ยงดูเขากับน้อง แต่ตัวตะวันกลับเห็นแก่ตัวไม่ลง เพราะรู้ดีว่าอาชีพวิจารณ์อาหารเป็นอาชีพที่พ่อกับแม่กับเขารัก และท่านก็อายุมากขึ้นทุกปี ถ้าจะให้ท่านปล่อยเวลามาเพื่อมาอยู่กับเขาและน้องชาย ทั้งที่เขาเองก็โตมากพอที่จะดูแลน้องชายเองได้ เขาคงเลือกที่จะปล่อยให้พ่อกับแม่ไปท่องเที่ยวเสียตั้งแต่ตอนนี้ดีกว่า เผื่อว่าท่านจะอิ่มตัวกับชีวิตแบบนี้และรีไทร์กับมาอยู่กับเขาและน้องชายเร็วขึ้น

(แม่รู้ค่ะว่าพี่ตะวันของแม่ทำได้ เพราะว่าพี่ตะวันของแม่เก่งที่สุดอยู่แล้ว) เสียงไพเราะอบอุ่นแบบที่ตะวันชอบเอ่ยขึ้น ให้ตะวันได้ยิ้มออก (ยังไงรอให้แม่กับพ่อกลับไปชิมก่อนนะ อยากจะวิจารณ์อาหารร้านของคุณภานรินทร์จะแย่อยู่แล้วเนี่ย)

ตะวันหัวเราะเอิ๊กอ๊าก จนอาทิตย์ที่นอนอยู่ถึงกับขยับตัวน้อยๆ เมื่อได้ยินเสียงรบกวน ดังนั้น ตะวันจึงส่งเสียงจุ๊ปากเบาๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปลูบหลังน้องชายให้สงบลง และพอลมหายใจของอาทิตย์กลับมาสม่ำเสมอเหมือนเดิม ตะวันก็หันมาให้ความสนใจกับคนในสายอีกครั้ง

“น้องสะดุ้งน่ะครับ สงสัยตะวันจะหัวเราะดังไป แหะๆ” ตะวันสารภาพสียงแห้ง เวลาอยู่กับพ่อแม่ ร่างของเด็กชายภานรินทร์ตัวน้อยชอบเผลอออกมาทุกที

(ว่าแต่น้องอาทิตย์เป็นไงบ้างคะพี่ตะวัน ไปโรงเรียนเรียบร้อยดีหรือเปล่า แม่กับพ่อเห็นรูปน้องในชุดนักเรียนแล้วก็คิดถึง น่ารักเชียว)

น้ำเสียงที่พูดถึงลูกชายคนเล็กเต็มไปด้วยความรักและความเป็นห่วงเป็นใยจนตะวันสัมผัสได้ ตะวันยิ้มบางๆ ยามทอดมองไปที่เจ้าตัวเล็กที่ยังคงหลับอยู่อย่างเป็นสุข พลางเอ่ยตอบคนเป็นแม่ให้ได้คลายกังวล

“น้องสบายดีครับ ไปโรงเรียนก็ไม่งอแงเลย เก่งมากๆ แถมคุณครูประจำชั้น ประจำวิชายังชมเปราะว่าอาทิตย์หัวดี แถมยังฉลาดพูดฉลาดตอบด้วย”

ตะวันพูดถึงน้องชายตัวแสบด้วยน้ำเสียงภูมิใจ ให้มารดาที่อยู่อีกฝั่งของสายได้ยิ้มออก ... เธอโชคดีที่ลูกชายทั้งสองคนรักกัน โดยเฉพาะตะวันที่รักและดูแลอาทิตย์จนแทบจะเป็นพ่อเป็นแม่คนที่สองให้น้องได้แล้ว

(แม่ขอโทษนะคะพี่ตะวัน ที่ต้องให้พี่ตะวันช่วยดูแลน้องให้ตลอด แม่รู้ว่าพี่ตะวันเองก็มีเรื่องอยากจะทำเยอะแยะไปหมด แต่ติดว่าต้องมาดูแลน้องแทนพ่อกับแม่ เฮ้อ.. นึกถึงเรื่องนี้ทีไร แม่รู้สึกไม่ดีตลอดเลย)

คุณรวิวรรณพูดเสียงเศร้า เพราะการที่ตะวันจะดูแลอาทิตย์ได้ดีแค่ไหน ยิ่งตอกย้ำว่าเธอกับสามีเป็นพ่อแม่ที่ไม่ได้ความ แต่ตะวันกลับไม่คิดแบบนั้น

“แม่ครับ แม่ห้ามพูดแบบนี้กับตะวันอีกนะครับ” ตะวันถอนหายใจน้อยๆ ก่อนจะพูดต่อ “ตะวันรักแม่ รักพ่อ รักน้อง รักครอบครัวของเรา ตะวันบอกว่าไหวคือตะวันไหวจริงๆ ตะวันดูแลน้องได้ ไม่ลำบากอะไรเลย ถ้าวันไหนตะวันไม่ไหว ตะวันจะบอกโอเคไหมครับ? เพราะอาทิตย์ไม่ใช่เด็กดื้อ ติดจะพูดง่ายด้วยซ้ำแม่ก็รู้ ยิ่งเดี๋ยวนี้มีน้องพี อาทิตย์ยิ่งพูดง่ายยิ่งกว่าเดิม เพราะหันไปเอาใจน้องพีแทน”

พอตะวันพูดมาถึงตรงนี้ ก็นึกถึงเด็กชายตัวจ้อยข้างบ้านที่อาทิตย์ติดหนึบเสียยิ่งกว่าเขา อยู่กับน้องพีอาทิตย์กลายเป็นคนว่าง่าย น้องพีบอกซ้าย อาทิตย์ก็ไปซ้าย น้องพีอยากไปขวา อาทิตย์ก็ไม่เคยขัด ขนาดนิทานพินอคคิโอที่ไม่ใช่แนวของอาทิตย์เท่าไหร่ เจ้าตัวน้อยยังยอมนอนฟังจนจบเพียงเพราะน้องพีอยากฟัง

ดูเหมือนว่าเจ้าเด็กข้างบ้านจะมีอิทธิพลต่อน้องชายเขาไม่น้อยเลยแหละ ... เหมือนๆ กับที่พลัฎฐ์มีอิทธิพลกับหัวใจของเขา จนมันอ่อนแอและไม่เป็นตัวของตัวเอง

คิดอะไรอยู่น่ะตะวัน?... ตะวันสะบัดศีรษะเมื่อรู้สึกว่าตัวเองเริ่มฟุ้งซ่าน ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าแม่ที่อยู่ปลายสายคงกำลังฟังอยู่

(น้องพี? น้องพีคือใครหรอคะพี่ตะวัน?) คนเป็นแม่ถามด้วยความสงสัย สงสัยตั้งแต่เห็นรูปลูกชายที่ถ่ายมาคู่กับเด็กชายคนหนึ่งที่ตัวเล็กกว่าลูกชายเธอพอสมควร เด็กชายที่ฉีกยิ้มกว้างยามเจื้อยแจ้วเจรจากับน้องอาทิตย์ลูกชายของเธอ (ใช่เด็กที่อยู่ในรูปถ่ายกับน้องอาทิตย์หรือเปล่าคะพี่ตะวัน)

ตะวันยิ้มก่อนจะตอบ “ใช่ครับ น้องพีคือเด็กคนนั้นแหละครับแม่ น้องพีน่ารักนะครับ ปราบเจ้าอาทิตย์ของเราอยู่หมัดเลย”

คุณรวิวรรณหัวเราะ เมื่อได้ยินแบบนั้น (พี่ตะวันพูดแบบนี้แล้วแม่อยากเจอน้องพีขึ้นมาเลย)

“ก็ถ้าคุณแม่กลับมาเที่ยวนี้ ตะวันจะพาไปรู้จักน้องพีกับพี่พลัฎฐ์นะครับ เขาอยู่ข้างบ้านตะวันนี่แหละ น่ารักมากทั้งพ่อทั้งลูกเลย”

ตะวันพูดพลางนึกถึงใบหน้าหล่อเหลาของหนุ่มข้างบ้านที่อยู่ในฐานะคนรักของตนเอง และถึงแม้จะมีเรื่องราวบางอย่างที่ไม่ลงตัวระหว่างเขากับอีกฝ่าย แต่ตะวันก็คิดว่าเขาควรจะบอกแม่เรื่องที่ตัวเองคบกับพลัฎฐ์ให้ท่านได้รับรู้ และในขณะที่กำลังเรียงลำดับความคิดว่าจะบอกกับมารดายังไงดี คุณแม่คนเก่งก็พูดสวนลูกชายขึ้นมาเสียก่อน

(พ่อกับลูก? คุณพลัฎฐ์ที่อยู่ข้างบ้านพี่ตะวันป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวเหรอคะ?)

“ใช่ครับ พี่พลัฎฐ์เป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว เขาเก่งมากๆ เลยนะครับแม่ เขาเลี้ยงน้องพีได้น่ารักมากๆ รับรองว่าคุณแม่เจอแล้วจะต้องหลงรักแน่ๆ”

ตะวันลืมตัว พรั่งพรูเรื่องราวถึงคนข้างบ้านอย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่รู้ตัว ซึ่งคุณรวิวรรณเองก็แปลกใจไม่น้อยที่ตะวันดูสนิทสนมกับคนข้างบ้านพอสมควร ดูแล้วไม่น่าจะใช่แค่คู่เด็กน้อยหรอกที่สนิทกัน คู่ผู้ใหญ่เองก็คงไม่ต่าง ซึ่งเธอเองก็ได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ ก่อนจะเอ่ยประโยคที่ทำให้ตะวันเซอร์ไพร์สหนัก จนลืมที่จะพูดเรื่องความสัมพันธ์ของตัวเองกับพลัฎฐ์เสียสนิท

(พูดเสียแม่อยากเจอคุณพ่อคุณลูกข้างบ้านพี่ตะวันเลย อืม.. เอาเป็นสิ้นเดือนนี้พ่อกับแม่กลับไทยไปเยี่ยมลูกสองคนดีกว่า จะได้ไปดูความเป็นอยู่แล้วก็ไปทำความรู้จักคุณพลัฎฐ์กับน้องพีของพี่ตะวันกับน้องอาทิตย์ด้วย ดีไหมคะ?)

ตะวันตาเบิกโตก่อนจะถามย้ำ “แม่จะกลับมาสิ้นเดือนนี้เหรอครับ”

(ใช่ค่ะ พอดีแม่มีไปคุยเรื่องสัญญาจ้างเป็นคอลัมนิสต์วิจารณ์อาหารกับนิตยสารหัวหนึ่งน่ะค่ะ ทางท่านประธานฯ ของนิตยสารกับภรรยาอยากเชิญพ่อกับแม่ไปคุยด้วยตัวเอง เพราะคุ้นเคยกันดี ... เราเจอกันที่นี่น่ะลูก คุยกันถูกคอเลยอยากจะร่วมงานกัน เห็นว่าจะกลับประเทศไทยกัน พ่อกับแม่เลยถือโอกาสลาทางนี้ไปเยี่ยมลูกด้วยเลย ยิงปืนนัดเดียวได้นกตั้งสองตัว พี่ตะวันว่าดีไหมคะ?)

แม่ของตะวันหัวเราะร่าด้วยน้ำเสียงสดใส เพียงแค่คิดว่าจะได้เจอลูกน้อยทั้งสอง หัวใจเธอก็ชุ่มชื้นแล้ว ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ตะวันคิดได้ว่าควรบอกให้พ่อกับแม่รู้เรื่องพี่พลัฎฐ์ก่อนที่ท่าจะมารู้ด้วยตัวเอง

“เอ่อ แม่ครับ ตะวันมีเรื่องจะบอกแม่น่ะครับ”

(ทำไมคะ พี่ตะวันไม่ดีใจหรอที่พ่อกับแม่จะกลับไป ซ่อนอะไรไว้ไม่ให้พ่อกับแม่รู้หรือเปล่าเนี่ย)

“เอ่อ.. คือ...” ตะวันอึกอัก เหมือนตอกย้ำให้คุณรวิวรรณรู้ว่าสิ่งที่เธอคิดไม่ได้ผิดเพี้ยนสักเท่าไหร่นัก “ก็ไม่ได้ถึงกับซ่อนหรอกครับ เพียงแต่ตะวันยังไม่มีโอกาสได้บอก”

(ไหนบอกแม่สิคะว่าพี่ตะวันมีอะไร?) คุณแม่ลูกสองถามด้วยน้ำเสียงใจดี ตะวันเลยรวบรวมความกล้าพูดออกไปในที่สุด

“คือ.. ตะวันมีแฟนแล้วน่ะครับแม่ คบกันมาได้สองสามเดือนแล้ว” ตะวันพูดพร้อมกับก้มหน้างุด ทั้งที่แม่เองก็ไม่ได้เห็นสีหน้าและท่าทางของตะวัน แต่ทำไมตะวันถึงได้อายมากขนาดนี้ก็ไม่รู้

(หืม? จริงเหรอคะ? พี่ตะวันของแม่มีแฟนแล้วเหรอเนี่ย?) คุณรวิวรรณถามย้ำๆ ด้วยน้ำเสียงแปลกใจ ก่อนจะปรับเป็นยินดีที่ได้รู้ว่าลูกชายของตัวเองหัดรู้จักหาความสุขใส่ตัวเองเสียที หลังจากทุ่มเทเวลาและความรักทั้งหมดให้น้องชายคนเล็กมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว

(ดีจังเลยค่ะ แม่ดีใจด้วยนะคะพี่ตะวัน) ตะวันอมยิ้มที่แม่ไม่ได้ดุอะไร แถมจากน้ำเสียงยังดูเหมือนยินดีมากๆ ด้วยซ้ำ (ถ้างั้นกลับไทยไปเที่ยวนี้ พี่ตะวันพาแฟนมาให้พ่อกับแม่รู้จักด้วยได้ใช่ไหมคะ?)

พอสิ้นคำถามของมารดา ก็ดูเหมือนว่าจะเข้าทางของตะวันทันที เข้าทางที่พอจะสารภาพได้ว่าคนที่เขากำลังคบอยู่นั้นไม่ใช่ผู้หญิง แต่กลับเป็นผู้ชาย แถมเป็นผู้ชายพ่อลูกติดที่อยู่ข้างบ้านอีกต่างหาก

“ได้สิครับ ตะวันเองก็อยากให้พ่อกับแม่ได้รู้จักพี่เขาเหมือนกัน และอีกอย่างที่ตะวันจะต้องบอกแม่ก็คือ...”

(เดี๋ยวนะคะพี่ตะวัน เหมือนว่าแม่จะมีสายซ้อนเลยค่ะ พี่ตะวันถือสายรอแม่แปปนึงนะคะ) ตะวันอ้าปากค้าง ดูเหมือนว่าโอกาสจะไม่เป็นของเขาเสียที เพราะตอนนี้มารดาอันเป็นที่รัก สลับมาพักสายเขาแล้วไปรับสายอีกสายหนึ่งที่โทรเข้ามาแทน

และพอสายตัดกลับเข้ามาปกติ ตะวันก็รีบชิงพูดเพราะกลัวจะไม่ทันการณ์

“เอ่อ แม่ครับ...” แต่มารดากลับพูดสวนขึ้นมาเสียก่อน

(พี่ตะวันคะ ไว้ค่อยเล่าวันหลังได้ไหมลูก พอดีตอนนี้แม่ต้องไปคุยเรื่องงานกับอีกสายนึงที่โทรเข้ามาต่อ เลยจะมาบอกกับพี่ตะวันว่าแม่จะขอวางสายกับลูกก่อน)

ซึ่งก็ไม่ทันจริงๆ…

“ได้ครับแม่ ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวเราไว้คุยกันวันหลังก็ได้”

ตะวันยู่หน้าพลางครางรับเสียงหงอย เพราะสุดท้ายก็ไม่ได้บอกเรื่องสำคัญ เรื่องที่เขาคบกับพลัฎฐ์ให้แม่รู้อยู่ดี แต่พอเหลือบมองปฏิทินแล้วก็เห็นว่าเหลืออีกหลายวันกว่าจะถึงสิ้นเดือนเลยวางใจคิดว่าเดี๋ยวค่อยบอกตอนได้คุยโทรศัพท์กับมารดาคราวหน้าก็ได้

(แม่ขอโทษนะคะพี่ตะวัน แต่แม่สัญญาเลยนะว่ากลับไปเที่ยวนี้ แม่จะตามใจพี่ตะวันทุกอย่างเลย พี่ตะวันอยากได้อะไรบอกแม่ เดี๋ยวแม่จะหาซื้อให้)

คนเป็นแม่สัญญิงสัญญาด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกผิดเต็มที่ ให้ตะวันโกรธไม่ลงเลยสักนิด

“ไม่เป็นไรครับ ตะวันโอเค แม่ไปทำงานเถอะครับ แล้วแม่จะมาวันไหนก็โทรมาบอกตะวันนะครับ ตะวันจะได้เตรียมตัวทัน” ตะวันย้ำ โดยที่คนเป็นแม่ก็รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะบอกลูกชายก่อนเดินทางไปหา

(ได้ค่ะ เจอกันสิ้นเดือนนะคะพี่ตะวัน แม่กับพ่อคิดถึงพี่ตะวันกับน้องอาทิตย์นะคะ)

ตะวันยิ้มบาง ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงอ้อนๆ ที่เคยชินเวลาคุยกับบิดามารดา

“เจอกันครับ ตะวันกับน้องก็คิดถึงพ่อกับแม่มากเหมือนกัน .. รักแม่นะครับ แล้วก็ฝากความคิดถึงถึงพ่อด้วย”

(รักพี่ตะวันเหมือนกันค่ะลูก แม่ฝากหอมแก้มน้องอาทิตย์ด้วยนะคะ)

ตะวันยิ้มพลางรับปากมารดา ก่อนจะกดตัดสายเมื่อเห็นว่าเลยเวลาที่รวิวรรณต้องกลับไปคุยงานพอสมควรแล้ว

ตะวันได้แต่ถอนหายใจใส่เครื่องมือสื่อสารที่อยู่ในมือ เพราะสุดท้ายเขาก็ยังไม่ได้บอกแม่ตามที่ตั้งใจเอาไว้ ก่อนที่จะหันไปมองน้องชายที่หลับปุ๋ยอยู่บนเตียง พลางก้มลงหอมแก้มยุ้ยๆ ของเจ้าอาทิตย์ดวงน้อยตามที่แม่ฝากฝังมา และพอตะวันกำลังจะลุกเดินออกไปจากห้องอาทิตย์นั้น ดวงตากลมก็เหลือบมองออกไปจากหน้าต่างไปยังบ้านตรงข้าม พาลให้คนข้างบ้านอย่างเขาได้ถอนหายใจหนักๆ พร้อมๆ กับความรู้สึกที่อึดอัดที่อยู่ในหัวใจ

... ไม่รู้ป่านนี้พลัฎฐ์จะเป็นยังไงบ้าง ตะวันไม่รู้ ไม่รู้อะไรเลย

.

.

.

- อ่านต่อด้านล่าง -

ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
- ต่อจากด้านบน -


ผ่านจนมาถึงตอนเย็น พลัฎฐ์ยังคงเงียบหายไร้การติดต่อ ในขณะที่อาทิตย์ที่ตั้งแต่ตื่นนอนตอนบ่ายขึ้นมาก็เหลือบมองตะวันเป็นระยะๆ เจ้าตัวน้อยเอาแต่แอบมองคนเป็นพี่ โดยที่ไม่กล้าพูดอะไรออกมา ซึ่งตะวันเองก็พอจะรู้ว่าอาทิตย์คงอยากเจอน้องพีจะแย่ แต่ไม่กล้าบอกเขา เด็กชายน่าจะรู้โดยสัญชาตญาณของตัวเองว่าพี่ชายน่าจะยังไม่พร้อมจะพาเขาไปที่บ้านข้างๆ ในวันนี้ ดังนั้น อาทิตย์จึงไม่กล้าบอกถึงความต้องการของตัวเองออกไป เพราะกลัวพี่ชายจะปฏิเสธและเผลอๆ อาจจะโดนดุเลยด้วยซ้ำ

เอาเข้าจริงตะวันเองก็อดสงสารน้องไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเขาโกรธเคืองอะไรพลัฎฐ์ถึงไม่พาอาทิตย์ไปหาน้องพีที่บ้าน แต่ที่ไม่พาไปนั้นเป็นเพราะเขาไม่รู้ว่าจะรบกวนเวลาส่วนตัวของครอบครัวพลัฎฐ์หรือเปล่า อีกอย่างมันก็น่าจะเป็นเวลาที่พ่อแม่ลูกน่าจะได้อยู่ด้วยกัน ตะวันก็เลย...

“พี่ตะวันนน.. ฮึก.. คุณอาทิตย์ ฮืออออ”

เสียงร้องไห้และร้องเรียกของเด็กน้อยที่คุ้นเคยดังขึ้นมาให้ได้ยิน ตะวันจึงผุดลุกจากโซฟาที่นั่งอยู่ทันที แล้วเดินไปตรงประตูบ้านที่วันนี้ตะวันไม่ได้ปิด ปิดแต่ประตูใหญ่ตรงประตูรั้วไว้

“พี่ตะวัน อาทิตย์ได้ยินเสียงน้องพี”

น้องชายตัวจ้อยที่เดินตามพี่ชายมาติดๆ ร้องบอกด้วยเสียงสั่นๆ ใบหน้าน่ารักที่มักจะร่าเริงเสมอของคนเป็นน้องดูเหยเกต่างจากปกติ ดูก็รู้ว่าอาทิตย์รู้สึกไม่ดีเท่าไหร่นักที่ได้ยินเสียงน้องพีร้องไห้

“งั้นเราไปดูกันดีกว่า ป่ะ”

ตะวันจูงอาทิตย์เดินมาที่ประตูรั้วใหญ่ตรงหน้าบ้าน เสียงร้องกระซิกๆ ยังคงดังให้ตะวันได้ยิน และพอเปิดประตูรั้วออกไป เจ้าของบ้านเองก็ดูจะตกใจหน่อยๆ ที่เห็นน้องพีน้ำตาเปรอะแก้มทั้งสองข้าง โดยมีพลัฎฐ์ที่สีหน้าไม่ค่อยจะปกติเท่าไหร่อุ้มลูกชายอยู่ในอ้อมแขน

“ฮึก... พี่ ฮื่อออ พี่ตะวัน”

เด็กชายตัวน้อยในอ้อมแขนคนเป็นพ่อ ยื่นแขนทั้งสองข้างออก แล้วโผเข้าหาพี่ชายข้างบ้านทันทีที่เห็นหน้า น้ำตาที่เหือดแห้งไปบ้างแล้วกลับหยดเผาะลงมาอีก จนตะวันตกใจ ถลาไปรับเด็กน้อยไว้แทบไม่ทัน

และโดยที่ตะวันก็ยังไม่ได้ถามจากพลัฎฐ์ ดวงตากลมโตก็เหลือบไปเห็นผู้หญิงคนที่ปรากฎตัวเมื่อสายยืนกอดอกทำหน้าไม่พอใจอยู่ด้านหลัง ไม่ห่างจากประตูหน้าบ้านตะวันเท่าไหร่นัก

ตะวันตัดสินใจให้ความสำคัญกับน้องพีก่อนที่จะนึกถึงปัญหาคาราคาซังระหว่างตนเอง พลัฎฐ์ และคนรักเก่าอย่างนลินี จึงได้เอ่ยถามคนที่ดูหงุดหงิดทั้งที่เก็บอารมณ์ได้ดีเสมออย่างพลัฎฐ์ออกไป

“พี่พลัฎฐ์ น้องพีเป็นอะไรครับ ร้องไห้ทำไม?”

พลัฎฐ์ที่ยังคงหงุดหงิดกับบางสิ่งบางอย่างอยู่พยายามทำใจตัวเองให้สงบ แล้วเอ่ยตอบคนที่อยู่ตรงหน้าอย่างอ่อนโยน

“น้องพีร้องหาตะวันกับอาทิตย์ครับ แกงอแง แกไม่ชอบอยู่กับคนแปลกหน้า” พลัฎฐ์ว่าพลางลูบศรีษะกลมของลูกชายเบาๆ “ถ้ายังไงพี่ฝากลูกไว้กับตัวเล็กก่อนได้ไหม เดี๋ยวตอนเย็นพี่มารับ”

พลัฎฐ์ตัดสินใจเอ่ยขอร้องคนตรงหน้าด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง เขาเหนื่อยมากในเวลานี้ มีหลายอย่างที่เขาต้องจัดการ แต่ดูเหมือนอะไรๆ จะไม่เป็นอย่างที่คิด และที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ พลัฎฐ์รู้สึกผิดกับคนรักที่อยู่ตรงหน้ามาก เขามีเรื่องราวมากมายที่อยากจะเล่าให้ตะวันฟัง แต่ตราบเท่าที่เขายังไม่สามารถจัดการผู้หญิงคนนั้นได้ พลัฎฐ์รู้ดีว่าการคุยกับตะวันไปจะไม่มีความหมาย เพราะเขาจะยังไม่มีคำตอบที่ดีให้อีกฝ่ายได้ รวมไปถึงหนทางแก้ปัญหาที่เขาเคยผูกไว้ก่อนหน้านี้ด้วย

“ได้สิครับ แต่ว่าคุณเค้าจะไม่...”

คนตัวโตกว่าโน้มตัวลงมาจับไหล่ทั้งสองข้างของตะวันไว้ ก่อนจะมองลึกเข้าไปในดวงตากลมสีน้ำตาลเข้ม ที่ตอนนี้ไหววูบจนน่าสงสาร

พลัฎฐ์รู้ ว่าทุกอย่างเป็นความผิดของเขาทั้งหมด เขาไม่สามารถให้คำตอบอะไรที่กระจ่างชัดกับตะวันได้เลย หนำซ้ำตอนนี้ยิ่งทำให้อีกฝ่ายหวั่นใจเพิ่มไปอีก พลัฎฐ์รู้ดีว่าตอนนี้ในใจของตะวันคงเต็มไปด้วยคำถามและความกังวล แต่มันยังมีอีกหลายอย่างที่พลัฎฐ์ต้องจัดการให้เรียบร้อยก่อน

ความรู้สึกของพลัฎฐ์ในยามที่เห็นหน้าตะวันก็คืออยากดึงคนรักเข้ามากอดแน่นๆ พร้อมกับพรมจูบปลอบประโลมให้น้องอุ่นใจ เพราะถึงแม้ว่าตะวันจะพยายามทำตัวเข้มแข็งแค่ไหน แต่แววตาอ้อนวอนขอร้องให้เขาให้คำตอบนั้นบอกได้เป็นอย่างดีว่าข้างในของตะวันนั้นเปราะบางเหลือเกิน

แต่พลัฎฐ์ในตอนนี้มีทางเลือกไม่มากนัก โดยเฉพาะกับเรื่องของน้องพี มันจะเกิดจากการตัดสินใจของเขาคนเดียวไม่ได้ พ่อกับแม่ของเขาก็ควรที่จะได้เป็นคนตัดสินใจในเรื่องนี้ด้วย แต่ด้วยความที่ตอนนี้งานทางนั้นล้นมือมาก และพ่อกับแม่ของพลัฎฐ์เองก็ไม่มีเวลาว่างเลย ไม่ใช่ เขาไม่ร้อนใจ เขาเองก็พยายามที่จะหาทางคุยกับครอบครัวอยู่

ตอนแรกที่นลินียังไม่ปรากฏตัว พลัฎฐ์เลยคิดว่าเขาน่าจะยังพอรอได้ แต่ตอนนี้สถานการณ์มันต่างจากเดิม และหนำซ้ำดูเหมือนว่ามันจะแย่กว่าเดิมด้วยซ้ำ ...

“พี่รู้ว่าตอนนี้ตัวเล็กอาจจะมีคำถามมากมายอยากจะถามพี่ แต่ตัวเล็กรอพี่ก่อนได้ไหมครับ รอพี่อีกนิด แล้วพี่จะมาเล่าเรื่องทุกอย่างให้ตัวเล็กฟังนะ”

ตะวันพยักหน้ารับว่าเข้าใจ ทั้งที่ไม่เข้าใจเลยสักนิด…

ไม่เข้าใจว่าพลัฎฐ์จะให้เขารออะไร ในเมื่อตอนนี้ก็ยืนกันอยู่ตรงนี้ทั้งหมดแล้ว

ไม่เข้าใจว่าที่หายกันไปเกือบครึ่งวัน พลัฎฐ์ยังไม่ได้พูดคุยกับผู้หญิงคนนั้นอีกหรอ?

ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงพาน้องพีมาฝากไว้ที่เขา จะไปพูดคุยอะไรกันอีก แล้วทำไมต้องอยู่กันสองต่อสองด้วย...

ตอนนี้ตะวันไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง ยิ่งพลัฎฐ์ทำตัวมีลับลมคมในมากเท่าไหร่ตะวันยิ่งรู้สึกแย่ มันไม่ใช่แค่เรื่องคนรักเก่า แต่มันเป็นเรื่องที่ตะวันไม่เข้าใจสักนิดว่าทำไมมีอะไรพลัฎฐ์ไม่พูด ไม่บอกกับเขาตรงๆ จะให้เขาไปรู้จากใครยังไงการคุยกันมันต้องเป็นเรื่องระหว่างเขากับพลัฎฐ์ไม่ใช่หรือไงกัน

“ตะวัน...”

และก่อนที่ตะวันจะได้พูดอะไรออกไป นลินีคนรักเก่าของพลัฎฐ์ก็ตรงรี่เข้ามาเกาะแขนของชายหนุ่ม พร้อมทั้งพูดออดอ้อนจนใจของตะวันเจ็บไปหมด

“ไหนพลัฎฐ์ว่ามีเรื่องจะคุยเงียบๆ สองต่อสองกับลินีไงคะ? นี่ก็เอาน้องพีมาฝาก ‘คนข้างบ้าน’ ไว้แล้ว ก็น่าจะหมดธุระได้แล้วมั้งคะพลัฎฐ์”

เสียงหวานพูดเยาะๆ พลางปรายหางตามามองตะวันอย่างดูถูก สีหน้าของผู้ชนะที่ตะวันเห็นแล้วก็ได้แต่เจ็บในอก

“นลินี!!” พลัฎฐ์ปรามหญิงสาวข้างกายเสียงเข้ม ใบหน้าหล่อเหลาดูหงุดหงิดขึ้นมาอีกครั้งหลังจากอ่อนลงเมื่อตอนพูดคุยกับตะวัน แขนใหญ่ของพลัฎฐ์สะบัดออกจากการเกาะกุมของมือเรียวของหญิงสาว

พลัฎฐ์หมายจะเอื้อมมือมาจับต้นแขนของตะวันราวกับจะปลอบโยนและแก้ไขความเข้าใจผิด แต่ในเวลานี้ความรู้สึกของตะวันมันเกินจะรับไหว คนตัวเล็กกว่าจึงตัดสินใจเบี่ยงตัวหลบมือใหญ่ที่กำลังยื่นมาเพื่อที่จะโอบจับ ก่อนพูดตัดบทด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทั้งที่ในใจเจ็บไปหมด

“เชิญตามสบายครับ ตะวันขอตัวก่อน”

พูดได้แค่นั้นเจ้าของบ้านร่างเล็ก ก็ปิดประตูรั้วใส่เจ้าของบ้านข้างๆ ทันที ก่อนที่จะอุ้มน้องพีที่ตอนนี้หลับซุกหน้าเข้ากับซอกคอของตะวันไปแล้วเรียบร้อยเข้าบ้าน โดยที่อีกมือก็จูงเจ้าอาทิตย์ดวงน้อยตามมาติดๆ และพอวางน้องพีให้นอนราบบนโซฟาได้ ตะวันก็ต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“พี่ตะวัน...” อาทิตย์เรียกพี่ชายเสียงหงอย สายตาที่มองตรงไปยังน้องพีไม่กะพริบและติดจะกังวลใจตามประสาเด็กๆ ที่เห็นเพื่อนร้องไห้จนน้ำตาเปื้อนแก้มแบบนี้

“ไม่เป็นไรนะครับอาทิตย์ น้องพีแค่ไม่สบายเฉยๆ ก็เลยงอแง น้องพีไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกนะ”

ตะวันว่าพลางลูบศีรษะกลมของเด็กชายเล่น ก่อนที่อาทิตย์จะนั่งลงข้างๆ โซฟา เท้าศอกลงไปและใช้มือเล็กๆ ทั้งสองข้างยันคางตัวเองไว้ พร้อมกับจ้องมองไปที่น้องพีที่ยังคงหลับตาพริ้ม ขนตายาวงอนตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นชุ่มไปด้วยแพน้ำตา มือเล็กๆ เอื้อมไปจับมืออีกฝ่ายไว้เบาๆ พร้อมกับพูดในสิ่งที่ตะวันได้ยินแล้วรู้สึกดีมากๆ

“ไม่ร้องไห้นะน้องพี คุณอาทิตย์อยู่นี่ อยู่กับน้องพีไง”

ในขณะที่น้องพีเองพอได้ยินเสียงอาทิตย์ ก็ลืมตาตื่นขึ้น พร้อมกับหันใบหน้าน่ารักที่แก้มเปรอะไปด้วยคราบน้ำตาไปหาอาทิตย์พร้อมกับกลั้นก้อนสะอื้นไว้อย่างน่าสงสาร

“ฮึก.. คุณอาทิตย์อยู่กับน้องพีนะ น้องพีไม่ชอบคุณป้าคนนั้น ฮือออ”

เด็กน้อยว่าพลางปล่อยโฮอีกรอบให้ตะวันได้สงสัยทุกอย่างเต็มไปหมด เขาไม่เข้าใจว่าทำไมน้องพีถึงดูกลัวและไม่อยากที่จะอยู่ใกล้ผู้หญิงคนนั้น ทั้งที่ผู้หญิงคนนั้นเป็นแม่ของเจ้าหนูน้อยแท้ๆ

ตะวันได้แต่คิดเรื่องราวต่างๆ อย่างสับสน จะถามน้องพีก็ดูเหมือนว่าตอนนี้เด็กชายไม่พร้อมที่จะพูดหรือคุยอะไรกับใครทั้งนั้น จะว่าไปตั้งแต่ตะวันรู้จักกับพลัฎฐ์และน้องพีมา ตะวันไม่เคยเห็นน้องพีงอแงหนักขนาดนี้มาก่อนเลย สุดท้ายเจ้าของรูปร่างบอบบางก็ตัดสินใจอุ้มน้องพีมากอดไว้แนบอก พร้อมกับเอ่ยปลอบให้เด็กชายในอ้อมแขนรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น

“ไม่เป็นไรนะครับเด็กดี น้องพีอยากอยู่ที่นี่ก็อยู่นะ อยู่กับพี่ตะวัน อยู่กับคุณอาทิตย์ อยู่นานๆ หรือจะค้างที่นี่ก็ได้ พี่ตะวันอนุญาต... ไม่ร้องไห้นะครับคนเก่งของพี่ตะวัน”

“อื้อ... น้องพีอยู่ได้ นอนกับคุณอาทิตย์นะ ให้พี่ตะวันเล่านิทานให้ฟังไง” เจ้าอาทิตย์ดวงน้อยเสริม พร้อมกับชะโงกหน้าเข้าไปหาน้องพีที่ตอนนี้น้ำตาหยุดไหลแล้ว แต่ตัวยังสั่นและสะอึกน้อยๆ เพราะแรงสะอื้น

“น้องพีอยู่นี่ อยู่กับพี่ตะวัน อยู่กับคุณอาทิตย์.. อึ่ก”

“ครับ อยู่ที่นี่ครับ อยู่ด้วยกันสามคนเลยเนาะ” ตะวันพยายามพูดด้วยรอยยิ้ม เพื่อให้เด็กชายรู้สึกสบายใจขึ้น แม้ตัวเองจะยังคงหนักอึ้งอยู่ในอกก็ตาม

“ใช่ๆ อยู่กันสามคนเลย”

และพอจบคำของน้องชาย ตะวันก็ยกแขนข้างหนึ่งเข้าไปเกี่ยวอาทิตย์มาโอบไว้คู่กับน้องพี เด็กน้อยในอ้อมกอดของตะวันยิ้มให้กัน และตะวันเองก็ยิ้มให้กับรอยยิ้มไร้เดียงสานั้นด้วยความรู้สึกที่ปลอดโปร่งขึ้น เพราะรู้ดีว่าตอนนี้น้องพีผ่อนคลายมากขึ้นกว่าเมื่อกี้มาก เพราะได้อยู่กับคนที่อยากอยู่ด้วยอย่างเพื่อนสนิทแบบอาทิตย์

นั่นสิ ทุกคนย่อมอยากอยู่เคียงข้างคนที่ตัวเองรัก ไม่ว่าจะในสถานณ์ไหนการณ์ก็ตาม เพราะอย่างน้อย ถึงจะช่วยอะไรไม่ได้ แต่ร่วมแบ่งปันทุกข์สุขมาบ้างก็ยังดี

แต่ในขณะเดียวกันตะวันกลับมองไม่เห็นคนรักของตัวเอง อยู่ข้างกายเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียว เพราะถึงตะวันจะสงสัยอะไรมากมายแค่ไหน แต่ถ้าอย่างน้อยมีพลัฎฐ์อยู่เครียงข้างตะวันก็คงไม่รู้สึกโหวงๆ มากขนาดนี้แน่ๆ

.

.

.

To Be Continue

-----------------------------------

งงนิดๆ ทำไมตอนนี้มันสั้นจัง 555555555555

จะยังคงม่าไปอีกสักพักนะคะ แต่ไม่หนักหนาอะไร คล้ายจะหน่วงๆ มากกว่า เห็นใจพี่พลัฎฐ์นางสักนิด นางมีเหตุผลของนาง ตอนหน้าว่ากันจ้าาา

ฝากติดแท็ก #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว ในทวิตเตอร์ด้วยนะคะ ขอบคุณสำหรับทุกคอทเม้นท์และกำลังใจจ้าาา

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
อย่าให้รอนานนะ

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ไม่เข้าใจอิพี่พะลัดว่าจะอมพะนำอะไร   ไม่อยากให้น้องพีรู้ก็แค่อย่าพูดให้ลูกได้ยิน  ก็แค่นั้น  แค่พูดกับคนรักให้เข้าใจจะปิดจะบังกันไปทำไม?   งงตรรกะเฮียแก

ออฟไลน์ Tiffany

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
คนพี่ต้องรีบเคลียร์ตัวเองแล้วกลับมาหาน้องนะ

ออฟไลน์ Kaamnutt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
:: Chapter 19th - เรื่องราวในอดีต ::


[Palat’s Part]


“เรื่องของเรามันจบไปแล้วนะลินี คุณเป็นคนเลือกที่จะไปเอง แล้วนี่มันอะไร ทำไมคุณถึงกลับมา?”

ผมกำมือแน่นตอนถามคำถามนี้ออกไปยังผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้า ผู้หญิงที่มีใบหน้าสวยหวานและมั่นใจ ผู้หญิงที่ครั้งหนึ่งผมเคยคิดว่าจะร่วมชีวิตด้วย...

และใช่ เธอคือผู้หญิงที่ผมเคยรัก ... ซึ่งก็แค่ ‘เคย’ เพราะในปัจจุบันผมไม่เหลือใจให้รักใครแล้วนอกจากตะวัน

“พลัฎฐ์คะ ลินีรู้นะคะว่าสิ่งที่ลินีเคยทำไว้ ทำให้คุณเสียใจ ตอนนั้นลินีแค่ไม่พร้อมจะมีครอบครัว คุณก็รู้นี่คะ เรายังเด็ก เรายังอยู่ในช่วงที่กำลังสนุกกับชีวิต ลินีก็เลยตัดสินใจแบบนั้น แต่ตอนนี้ลินีคิดได้แล้วว่าลินีรักคุณ ลินีอยากสร้างครอบครัวกับคุณ ลินีเลยกลับมา”

ถ้อยคำสวยหวานที่คนรักเก่าตอบกลับมาทำให้ผมรู้สึกอยากจะหัวเราะ เธอเห็นผมไร้เดียงสาจนคิดว่าจะเชื่อคำพูดของเธองั้นเหรอ ผมไม่ใช่เด็ก และผมก็มีวิจารณญาณมากพอที่จะรู้ว่าใครจริงใจหรือไม่จริงใจ

“คุณใช้เวลาคิดนานไปหน่อยนะลินี นี่ผ่านไปเกือบจะสี่ปีแล้ว คุณเพิ่งคิดได้เหรอว่าอยากสร้างครอบครัวกับผม?”

ผมถามอีกฝ่ายกลับไปเสียงกร้าว ความพยายามในการที่จะรักษามารยาทของผมต่อคนรักเก่าหมดลงไปตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงที่แล้ว ตอนที่เธอตวาดลูกชายผม จนน้องพีร้องไห้จ้าไม่หยุด นั่นคือสาเหตุที่ผมต้องพาน้องพีไปฝากไว้กับตะวัน และที่ร้ายไปกว่านั้น เธอกลับทำให้ตะวันโกรธจนไม่ยอมให้ผมแตะต้องร่างกายอีกตะหาก


‘น้องพีคะมาหาคุณแม่สิคะ นี่คุณแม่ลินีไง เราเคยเจอกันเมื่อตอนนี้พีเด็กๆ น้องพีมาให้คุณแม่อุ้มหน่อยนะ’


ผมขมวดคิ้วมุ่น นึกไม่ชอบใจที่นลินีแทนตัวเองแบบนั้น น้องพีกำลังมีปมเรื่องแม่ ผมไม่อยากให้ลูกสับสน แต่ครั้นจะพูดตัดบทอะไรลงไปตอนนั้นก็คงไม่ดีเท่าไหร่ รังจะทำให้เจ้าตัวน้อยสับสนเปล่าๆ


‘แต่ปะป๊าบอกว่าคุณแม่ไม่อยู่ คุณแม่ไปที่ไกลๆ คุณป้าไม่ใช่คุณแม่หยอก’


น้องพีพูดไปตามประสาซื่อเหมือนที่ผมเคยบอก แต่นลินีกลับไม่ยอมแพ้ เธอพยายามจะดึงน้องพีเข้าไปกอด ซึ่งเป็นจังหวะที่ผมเองไม่ทันตั้งตัว เพราะเพิ่งถือแก้วน้ำออกมาจากครัว


‘บอกให้มาก็มาสิคะน้องพี เป็นเด็กพูดให้มันง่ายๆ หน่อย’

นลินีพยายามดึงน้องพีเข้าหา แต่น้องพีขืนตัวไว้จนผมต้องรีบปรี่เอาแก้วไปวางและกำลังจะเข้าไปอุ้มลูกชายออกมา

‘ไม่เอา น้องพีไม่ไป ป่อยย ปะป๊า’


เสียงของลูกชายที่ร้องเรียกทำให้ผมพุ่งเข้าไปช้อนตัวอุ้มลูกออกมาพ้นจากนลินีได้สำเร็จ ซึ่งในขณะนั้นใบหน้าน่ารักของเด็กน้อยก็เหยเกใกล้จะร้องไห้เต็มแก่ และทุกอย่างก็มาพังเอาตอนที่นลินีแหวลั่นใส่ลูกผม


‘เด็กอะไรทำไมดื้อ! คอยดูนะ ถ้าลินีได้เข้ามาในบ้านนี้อย่างเป็นทางการเมื่อไหร่ ลินีจะเป็นดูแลน้องพีเอง ถ้าดื้อนะ จะฟาดให้จำ!’

‘นลินี!!!!’


ผมเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงแข็ง ก่อนจะหันไปมองเห็นว่าน้ำตาเม็ดเล็กๆ หยดเผาะออกมาจากตากลมของลูกชายและไหลเปรอะเต็มสองแก้มเรียบร้อย


‘ฮึ่ก... ปะป๊า น้องพีไม่หยักถูกตี แง้ ปะป๊า น้องพีไม่เอา ไม่เอาคุณป้าคนนี้ ไม่เอา น้องพีจะหาพี่ตะวัน ฮึ่ก.. ฮืออออออ’


ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมต้องอุ้มน้องพีออกไปหาตะวันที่บ้านข้างๆ และกลับเข้ามาคุยกับนลินีต่อให้หมดเรื่องหมดราว เพราะดูเหมือนว่าตะวันจะโกรธผมเข้าให้อีกคนเพราะคำพูดของนลินี

... เธอร้ายกาจจนผมไม่รู้ว่าตอนนั้นผมตกหลุมรักเธอไปได้ยังไง


“แล้วไงล่ะคะพลัฎฐ์ ต่อให้ลินีจะใช้เวลาคิดนานกว่านี้อีกสักกี่ปี ลินีก็มั่นใจว่าคุณจะยังรอลินีอยู่”

ผู้หญิงตรงหน้าผมพูดด้วยสีหน้าและแววตาหยิ่งยะโส ดูเหมือนเธอจะมั่นใจเหลือเกินว่าที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ผมไม่ได้มีใคร และเธอก็ยังคงเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวที่ผมรักมาโดยตลอด เพราะทั้งผมและเธอเริ่มคบกันตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัยจนไปเรียนต่อเมืองนอก เพิ่งจะมาเลิกกันเอาตอนที่พี่ชายผมเสียชีวิต และผมเริ่มที่จะเข้ามาช่วยพ่อทำนิตยสารที่บริษัทนี่ล่ะ

แต่ถ้าถามว่าที่เลิกกันนั้นเป็นเพราะผมงานยุ่งจนไม่มีเวลาให้เธอหรือเปล่า ผมขอตอบไว้ตรงนี้เลยว่ามันไม่ได้เป็นแบบนั้น ตลอดระยะเวลาที่คบกัน ผมดูแลเธอดีมาก ต่อให้ผมจะเหนื่อยหรืองานยุ่งแค่ไหน แต่ผมก็ไม่เคยละเลยนลินีเลยสักครั้ง เธอขอให้ผมไปหา ผมก็ไปหา เธอขอให้ผมซื้อนั่นซื้อนี่ให้ผมก็ไม่เคยขัด แต่พอผมขอให้เธอรักน้องพีที่ขาดพ่อขาดแม่ไปอย่างกะทันหันเหมือนลูก เหมือนคนในครอบครัวเธอบ้าง เธอกลับโมโหใส่ผม และด่าทอว่าผมเห็นแก่ตัวใส่เธออย่างร้ายกาจ อนาคตที่วาดฝันว่าจะสร้างครอบครัวร่วมกันพังครืนไม่เป็นท่า เมื่อเธอยื่นคำขาดว่า ถ้าผมเลือกที่จะรับอุปการะน้องพีเป็นลูก เธอกับผมจะต้องเลิกกัน

เพราะเธอไม่มีวันรับกาฝากมาเป็นลูกของตัวเองแน่ๆ

ตอนได้ยินผู้หญิงที่ผมรักมากในเวลานั้นพูดแบบนั้น ใจผมพังไม่เป็นท่า เธอไม่รักน้องพีผมไม่ว่า ผมเข้าใจ แต่การที่เธอเรียกน้องพีว่ากาฝากนั้นผมรับไม่ได้อย่างที่สุด มันเหมือนเธอไม่เกียรติผมและครอบครัวของผมเลย เพราะถึงแม้น้องพีจะไม่ใช่ลูกชายผมแท้ๆ แต่เจ้าเด็กน้อยนั่นก็เป็นหลานในไส้ เป็นลูกชายของพี่ชายที่ผมเคารพและรักมาตลอดชีวิต

ซึ่งแน่นอนว่าผมเลือกน้องพี และผมไม่เลือกเธอ

หลังจากนั้นเธอก็หายจากชีวิตผมไปอย่างถาวร และถึงแม้ผมเองจะได้ข่าวคราวเธอจากแวดวงไฮโซหน่อยๆ แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจนัก เพราะยอมรับว่าแรกๆ ผมค่อนข้างเจ็บพอสมควร ผมยอมรับว่าผมอาจจะคาดหวังมากไปว่าทุกอย่างมันน่าจะง่าย แต่ผมลืมคิดไปว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะยอมรับเงื่อนไขแบบนี้ได้ง่ายๆ ซึ่งถ้าเธอบอกเหตุผลผมดีๆ ผมก็พร้อมที่จะเข้าใจ และเราอาจจะหาทางออกเพื่อพูดคุยและแก้ไขเรื่องนี้ด้วยกันได้ แต่นลินีกลับยื่นคำขาดให้ผมเลือก ว่าผมจะเลือกหันหลังให้ครอบครัวแล้วไปเลือกเธอ หรือเลือกที่หันหลังให้เธอแล้วไปเลือกครอบครัว

แน่นอนว่าผมเลือกครอบครัวอย่างไม่ลังเลสักนิด และผมก็ไม่เคยนึกเสียใจเลยที่เลือกตัดสินใจแบบนั้น

นลินีจะมีชีวิตอยู่ต่อได้ถึงแม้จะไม่มีผม แต่น้องพีจะอยู่ต่อไม่ได้เลย ถ้าผมเลือกที่จะหันหลังให้แก

... เพราะครอบครัวเราก็มีกันเท่านี้จริงๆ

และดูเหมือนว่าทันทีที่นลินีเลิกกับผมไป ผ่านไปไม่ถึงสัปดาห์ผมก็เห็นเธอเปิดตัวคบกับไฮโซชื่อดังผ่านกรอบข่าวเล็กๆ ในหน้าสังคม ผมถึงกับยิ้มฝืดเฝื่อนเมื่ออ่านเนื้อหาข่าวแล้วพบว่า นลินีคบหาดูใจกับไฮโซคนนั้นมาได้แล้วพักใหญ่ ก่อนจะตกลงเปิดตัวกับสื่อว่าเป็นแฟนกันเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา หรือถ้าให้พูดง่ายๆ ก็คือทันทีที่เลิกกับผมนั่นแหละ

และในส่วนของคำตอบของคำถามที่ว่านลินีไปคบหากับผู้ชายคนนั้นตอนไหน ในเมื่อช่วงนั้นเธอเองก็เป็นแฟนกับผมอยู่ ผมไม่คิดหา ผมเลือกที่จะให้มันจบลงไปดีกว่า เพราะยังไงเธอก็เลิกกับผมไปแล้ว และจากนั้นผมก็ทุ่มเทความสำคัญและเวลาทั้งหมดไปให้น้องพีลูกชายตัวน้อยของผม จนกระทั่งผมได้มาเจอกับตะวัน ได้มาเจอกับแสงแดดอบอุ่นและสดใสที่พัดพาความอึมครึมออกไปจากชีวิตผม ให้ผมได้พบกับความรักอีกครั้ง

ตะวันรักผม รักน้องพี ทุกอย่างลงตัว และครอบครัวผมกำลังจะรับรู้ทุกอย่าง

แต่แล้วจู่ๆ นลินีก็กลับมา กลับมาทำให้ตะวันเข้าใจผิด กลับมาตอกย้ำว่าเธอชิงชังลูกชายผมมากแค่ไหน ซึ่งนั่นทำให้ความอดทนของผมลดน้อยถอยลงไปทุกที

ดังนั้น เมื่อคำพูดที่มั่นอกมั่นใจเหลือเกินว่าผมจะคงรักและภักดีต่อเธอไม่ไปไหน หลุดออกมาจากริมฝีปากที่แต้มไปด้วยลิปสติกสีสวยที่ผมเคยหลงใหลนักหนา ผมจึงหันกลับไปเผชิญหน้ากับเธอแล้วถามเสียงกร้าว

เสียงที่พลัฎฐ์คนก่อนไม่เคยใช้กับนลินีสักครั้ง

“แล้วคุณแน่ใจได้ยังไงว่าผมยังรักคุณอยู่”

นลินีเชิดหน้าขึ้น แล้วตอบอย่างถือดี “ก็เพราะคุณไม่มีใครไงคะพลัฎฐ์ จนผ่านมากี่ปีแล้ว คุณยังไม่มีใครใหม่เลย ถ้าไม่ใช่เพราะว่าคุณยังรักลินีอยู่ ลินีก็มองไม่เห็นเหตุผลอื่นแล้วค่ะ”

“หึ” ผมหัวเราะ และเสียงหัวเราะของผมก็เรียกให้นลินีหันกลับมามองด้วยความสนใจ “คำถามเดิม แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าผมไม่มีใคร?”

ผมถามกลับติดรอยยิ้มไว้ที่มุมปาก นลินีดูแปลกใจ แววตาเธอวูบไหวเหมือนกำลังชั่งใจว่าควรเชื่อสิ่งที่ผมกำลังพูดอยู่ดีหรือเปล่า ซึ่งผมก็ไม่ปล่อยให้เธอได้สงสัยนาน จึงรีบเฉลยข้อข้องใจของอีกฝ่ายให้จบๆ

“การที่ผมไม่ได้ป่าวประกาศว่าผมกำลังคบใครอยู่ ไม่ได้หมายความว่าผมโสดนะลินี เพราะบางทีผมอาจจะแค่รอโอกาสและจังหวะเหมาะๆ เพียงเพราะผมอยากให้เกียรติคนรักของผมก็ได้”

“ไม่จริง คุณอย่ามาโกหกลินีเพลยค่ะพลัฎฐ์ ลินีไม่เชื่อหรอกว่าคุณจะมีใคร” ร่างบอบบางตรงหน้าเอ่ย พลางเดินเข้ามาเกาะแขนผมอย่างออดอ้อน “ลินีรู้ว่าคุณกำลังโกรธ คุณอาจจะอยากลงโทษลินี เลยพยายามพูดจาให้ลินีเข้าใจผิด ลินีว่าเรา...”

“นลินีฟังผม!” ผมหันมาเผชิญหน้ากับผู้หญิงที่ผมเคยรักอีกครั้งพร้อมกับเอ่ยเสียงเย็น ก่อนจะค่อยๆ ดึงแขนตัวเองออกจากการเกาะกุม “ผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับคุณแล้ว ไม่ได้โกรธ ไม่ได้ห่วงหา ไม่ได้คิดถึง.. และใช่ ผมไม่ได้รักคุณอีกแล้ว เราเลิกกันไปนานแล้วนลินี ยังไงก็ไม่มีวันกลับมาเหมือนเดิม”

“ไม่จริงค่ะพลัฎฐ์ ลินีไม่เชื่อ!!” นลินีจ้องผมตาวาว ผมไม่ได้รับรู้ถึงความรู้สึกเสียใจหรือผิดหวังตอนที่เธอได้ยินผมบอกว่าไม่รักเลยสักนิด สิ่งที่ผมเห็นจากแววตาเธอมีความเคียดแค้นและไม่พอใจราวกับว่าเธอกำลังโกรธที่ผมปฏิเสธการกลับมาของเธอ

“เชื่อเถอะนลินี” ผมสบตาเธอนิ่ง ไม่มีวอกแวก หลบตาให้เธอได้ใจ “ผมมีคนรักใหม่แล้ว และคนรักของผมก็คือเด็กผู้ชายคนที่อยู่กับผมเมื่อกี้ เด็กผู้ชายที่อยู่ข้างบ้าน เด็กผู้ชายที่น้องพีร้องหา ... เด็ผู้กชายที่ชื่อตะวัน นั่นแหละ คนที่ผมรัก”

นลนีเบิกตาโต เธอขมวดคิ้ว ลังเลอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะแค่นหัวเราะออกมา “เห๊อะ! คุณคิดว่าลินีจะเชื่อเรื่องแหกตาพรรค์นี้เหรอคะพลัฎฐ์! คุณที่เคยมีแฟนเป็นผู้หญิง แต่จู่ๆ จะมาเปลี่ยนรสนิยมเป็นพวกผิดเพศไปรักผู้ชายด้วยกัน คุณคิดว่าลินีโง่มากพอที่จะเชื่อเรื่องแบบนี้ได้เหรอคะ?”

หญิงสาวตรงหน้าถามพลางยิ้มเหยียดใส่ผม ผมเองก็ไม่ตอบอะไร นอกจากยิ้มบางๆ ให้เธอ แล้วก้มลงไปหยิบกรอบรูปสีขาว สิ่งตกแต่งบ้านชิ้นล่าสุดที่ผมเพิ่งเอามาวางเมื่อสัปดาห์ที่แล้วหลังจากกลับจากทะเล

“แล้วทำไมผมถึงจะเปลี่ยนใจไปรักเพศเดียวกันไม่ได้ล่ะครับลินี ในเมื่อตะวันของผมทั้งน่ารักและแสนดี” ผมพูดพลางยื่นกรอบรูปสีขาวในมือให้คนรักเก่า พลางพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง ยามที่ผมนึกถึงใบหน้าอ่อนโยนของเด็กหนุ่มร่างบางข้างบ้าน “แต่เอาเข้าจริงแล้ว ขอแค่ให้เป็นตะวัน ไม่ว่าเขาจะเป็นเพศไหนผมก็รัก เพราะผมรักตะวันที่ตะวันเป็นตะวัน ผมไม่ได้รักตะวันเพราะตะวันเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย”

นลินีก้มมองรูปภาพที่อยู่ในกรอบรูปที่ผมส่งให้ด้วยตาเบิกกว้าง เธอยกมือขึ้นปิดปากเพราะแสดงออกว่าตกใจกับสิ่งที่ได้เห็น

ภาพถ่ายที่ผมกำลังอุ้มน้องพีไว้ในอ้อมแขน และก้มลงไปหอมแก้มของตะวันที่กำลังยิ้มกว้างให้กล้อง โดยมีอาทิตย์ที่กำลังใช้แขนเล็กๆ คล้องคอคนเป็นพี่และฉีกยิ้มตาหยีในแบบเดียวกัน

“มะ..ไม่จริง พลัฎฐ์ ...ไม่จริง” นลินีดูช็อคไป ซึ่งผมก็ถือโอกาสฉวยกรอบรูปกลับมาวางลงที่เดิม

“จริงครับ และตอนนี้ผมก็หวังว่าคุณจะเข้าใจทุกอย่างสักที” ผมว่าก่อนจะเดินนำอีกฝ่ายไปยังประตูบ้านพร้อมผายมือ “พอเถอะครับลินี ให้มันจบลงแค่ตรงนี้ ให้ผมได้เหลือความทรงจำดีๆ กับคุณบ้าง อย่าทำให้อะไรมันแย่มากไปกว่านี้เลย ผมขอร้องล่ะ คุณกลับไปเถอะ”

ผมเอ่ยปากไล่ แม้จะรู้ว่าเสียมารยาท แต่ผมทนคุยกับผู้หญิงคนนี้ต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ และที่สำคัญตอนนี้ผมมีเรื่องต้องเคลียร์กับตะวันให้รู้เรื่องด้วย

“จำไว้นะคะพลัฎฐ์ ลินีไม่ยอมแพ้แค่นี้แน่” เธอพูดพร้อมกับสบตาผมนิ่ง “ไม่ว่ามันจะเป็นใคร เป็นผู้หญิงหรือผู้ชายลินีก็ไม่สน ลินีรู้ว่าคุณแค่หลงผิดไป ไม่ว่ายังไงลินีก็จะเอาคุณกลับมา ลินีไม่มีวันยอมเสียคุณไปอีกแน่ๆ จำคำลินีไว้นะคะพลัฎฐ์”

พอพูดจบ เธอก็เดินปึงปังออกไปจากบ้านผม ให้ผมได้ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ผมไม่สนใจหรอกว่าเธอจะมาดึงรั้งผมกลับไปด้วยวิธีไหน เพราะผมมั่นใจในตัวเองมากพอว่าผมไม่มีวันกลับไปแน่ๆ ไม่ว่าจะด้วยแหตุผลอะไรก็ตาม

.

.

.

หลังจากที่นลินีกลับไป ผมก็จัดการหยิบโทรศัพท์เคลื่อนที่คู่ใจขึ้นมากดโทรออกทันที โดยที่ไม่ได้สนใจแม้แต่นิดว่าตอนนั้นมันจะเป็นเวลากี่โมง ตอนแรกผมชั่งใจว่าจะไปรับน้องพีกลับมาบ้านก่อนดีหรือเปล่า แต่พอคิดไว้ว่าการไปบ้านตะวันครั้งนี้ผมควรมีเหตุผลที่ดีไปคุยกับน้อง ให้น้องได้เชื่อใจผมขึ้นมาบ้าง

ดังนั้น ผมเลยตัดสินใจยกหูโทรศัพท์ขึ้นโทรหามารดาที่อยู่ไกลกันคนละฟากทวีป เพื่อปรึกษาเรื่องที่เกิดขึ้นเสียก่อน อีกทั้ง ผมเองก็อยากจะบอกให้แม่ได้รับรู้ด้วยว่า ผมอยากจะเล่าถึงชาติกำเนิดของน้องพีให้กับตะวันฟัง ผมรู้ว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องสำคัญในครอบครัว และเพราะผมรู้นั่นแหละ ผมจึงรอปรึกษากับพ่อและแม่ก่อนที่จะได้เล่าให้น้องฟังออกไป ซึ่งผมก็ชะล่าใจ ปล่อยเวลาไว้เนิ่นนานจนถึงตอนนี้ และมันเกือบจะเลยเถิดถึงขั้นอาจจะทำให้น้องเสียความมั่นใจกับผมไปแล้ว ซึ่งนั่นคือเหตุผลว่าทำไมผมถึงไม่อยากรออีกต่อไป

ผมถือสายรออยู่ไม่นานปลายทางก็กดรับ เสียงหวานๆ นุ่มๆ ของแม่ก็ดังขึ้นทันที

(ว่าไงพลัฎฐ์ โทรมาตอนนี้มีอะไรหรือเปล่าลูก) ผมเม้มปาก พลางพรูลมหายใจออกมาเล็กน้อย แล้วเล่าถึงเหตุผลที่โทรมาให้แม่ฟัง

“ผมมีเรื่องยากจะปรึกษาแม่ครับ” ผมเริ่ม ก่อนที่จะเรียบเรียงคำพูดอย่างใจเย็น “แม่จำได้ใช่ไหมครับ เรื่องที่ผมเคยเล่าให้แม่ฟังว่าตอนนี้มีผนคนรักแล้ว”

(จำได้จ้ะ มีอะไรรึป่าวลูก? ทะลาะกันหรอ?) เสียงของแม่ที่ถามกลับมาดูตื่นตกใจพอสมควร ท่านคงแปลกใจว่าผมเพิ่งจะเล่าให้ฟังไปเมื่อไม่นานนี้เองว่าเราเพิ่งเริ่มคบ แต่ตอนนี้กลับมีปัญหามาปรึกษาเสียแล้ว และในสายตาของผู้ใหญ่ก็คงไม่พ้นเรื่องเลิกลากัน

ซึ่งมันใช่ที่ไหนล่ะครับแม่ อย่าพูดให้เป็นลางได้ไหม

“ไม่ใช่ครับแม่ คืองี้...”

แล้วผมก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้แม่ฟัง ตั้งแต่เรื่องน้องพีร้องงอแงที่โรงเรียนไปเมื่อวาน เรื่องท่าทางเหม่อลอยของตะวัน ลามมาถึงเรื่องที่นลินีตามมาขอคืนดี โดยไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม มารดาของผมดูตกใจพอสมควรเมื่อได้ทราบเรื่องราวทั้วหมด แต่เหนือสิ่งอื่นใดเลยก็คือ ผมยังไม่ได้อธิบายเรื่องที่ตะวันอาจจะกำลังสงสัยให้ตะวันได้ฟังเลยแม้แต่นิด

(ใช้ได้ที่ไหนกันพลัฎฐ์ เรื่องสำคัญแบบนี้ทำไมไม่บอกให้น้องฟัง ป่านนี้น้องเข้าใจผิดไปถึงไหนต่อไหนแล้ว)

ผมอดอมยิ้มออกมาไม่ได้ ตอนที่โดนแม่ดุออกมาแบบนั้น เพราะถึงแม้จะหน้าสิ่วหน้าขวาน แต่ผมก็สัมผัสได้จากคำพูดของแม่ว่าเป็นห่วงตะวันแค่ไหน คงกลัวว่าตะวันจะเข้าใจผมผิด และอาจจะลุกลามใหญ่โตไปเกินกว่าจะแก้ไขความเข้าใจกันได้อีก

“ก็เพราะเป็นเรื่องสำคัญน่ะสิครับ ผมเลยต้องปรึกษาแม่ก่อน” ผมพยายามอธิบายอย่างใจเย็น “ผมอยากจะมาขออนุญาตแม่ ว่าผมจะขอเล่าเรื่องชาติกำเนิดของน้องพีให้ตะวันฟัง ผมไม่อยากตัดสินใจเอาเรื่องของน้องพีไปเล่าโดยพลการ เพราะผมอยากให้พ่อกับแม่ได้รับรู้ก่อนว่าผมจริงจังกับตะวัน จริงจังมากพอที่จะให้น้องได้รับรู้เรื่องราวสำคัญของครอบครัวของเรา ที่ผมต้องปรึกษาเพราะเรื่องพ่อแม่ที่แท้จริงของน้องพีเราก็ไม่เคยเล่าให้ใครนอกครอบครัวได้รับรู้ เพราะกลัวจะเป็นปมด้อยของน้องพีถ้าหากว่าแกโตจนรู้ความมากกว่านี้”

มารดาของผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ (แม่เข้าใจแล้ว แม่ก็ลืมคิดถึงข้อนี้ไป)

“แล้วแม่คิดว่ายังไงครับ” ผมลองเชิงถามแม่อีกที “แม่จะอนุญาตไหมถ้าผมจะขอเล่า...”

(ฟังนะพลัฎฐ์ เรื่องนี้แม่แล้วแต่ลูก ลูกเป็นผู้ปกครองของน้องพี เป็นคนรักของหนูตะวัน ถ้าลูกจริงจังกับน้อง และอยากให้พิสูจน์ให้น้องได้เห็น ว่าอยากจะแบ่งปันและแชร์เรื่องในครอบครัวที่ทั้งสุขและทุกข์ให้น้องได้รับรู้ ลูกก็ทำเถอะ เพราะแม่เชื่อว่าหนูตะวันเป็นเด็กดี และรักน้องพีด้วยใจจริง เพราะจากที่ลูกเล่ามา แม่คิดว่าแม่เชื่อใจได้ว่าหนูตะวันจะไม่เอาเรื่องของน้องพีไปพูดสุ่มสี่สุ่มห้าแน่)

แม่ของผมพูดออกมายาวเหยียด และทุกประโยคของแม่ทำให้ผมยิ้มตามได้ไม่ยาก

“แม่เชื่อใจผมนะครับ ตะวันรักน้องพีเหมือนที่ผมรัก และจะมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้น้องพีแน่ๆ เพราะผมเองก็ผมเชื่อใจตะวัน ไม่ต่างจากที่ผมขอให้แม่เชื่อใจผมเหมือนกัน”

(ตามใจพลัฎฐ์เลยลูก ขอแค่ให้มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูกแล้วก็น้องพี แม่กับพ่อยินดีทั้งนั้นแหละ) มารดาของผมพูดย้ำ ให้ผมได้สบายใจมากขึ้น เมื่อสิ่งที่ผมตัดสินใจจะทำไม่ได้ขัดกับความรู้สึกหรือความต้องการของคนในครอบครัว

“ขอบคุณแม่มากนะครับที่เข้าใจ ผมเองก็เครียดเรื่องนี้มาหลายวัน ตอนแรกก็ตั้งใจว่าจะรอให้แม่กับพ่อกลับมาสิ้นเดือนนี้ก่อนค่อยปรึกษากัน แต่จู่ๆ ลินีดันกลับมา ผมก็เลยคิดว่าคงจะรอช้าไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว แค่ลำพังตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าน้องคิดมากไปถึงไหนต่อไหน ผมเองก็ร้อนใจเลยต้องโทรมาหาแม่เอาเวลานี้”

ผมร่ายยาว ยอมรับว่าความไม่สบายใจที่อัดแน่นอยู่ในอกเหมือนถูกยกออกให้บรรเทาเบาบางลง ก่อนที่จะเหลือบมองนาฬิกาเมื่อเห็นว่าใกล้จะสองทุ่มครึ่งแล้ว

(ไม่เป็นไรลูก แม่เพิ่งตื่นพอดี ... พลัฎฐ์ไปคุยกับน้องป่ะลูกป่ะ ก่อนจะดึกมากไปกว่านี้) น้ำเสียงใจดีของแม่ทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจ (อ้อ ส่วนเรื่องน้องพี แม่ยังเป็นห่วงความรู้สึกของหลานอยู่นิดๆ นะ แม่เลยคิดว่าแม่กับพ่อจะอยู่เคลียร์งานอีกสักสองสามวันแล้วบินกลับ ยังไงแม่จะโทรไปบอกพลัฎฐ์อีกทีนะลูกว่าจะกลับวันไหน)

ผมยิ้มกว้าง เมื่อรู้ว่าพ่อกับแม่กำลังจะกลับมา เพราะเรื่องน้องพีกับปมในใจเรื่องแม่ของเขา ทำให้ผมตระหนักได้ว่าไม่ใช่ผมคนเดียวที่จะแก้ปัญหานี้ได้ ถ้ามีพ่อกับแม่อยู่ด้วย น้องพีน่าจะลืมได้เร็วขึ้น เพราะได้รับความรักมากมายจากคนในครอบครัวทดแทนในส่วนที่ขาดไป

“ครับแม่ ผมคิดถึงแม่กับพ่อนะครับ แล้วเจอกันครับ”

(จ้าลูก ไปคุยกับน้องดีๆ ให้เข้าใจกันเร็วๆ นะ แม่อวยพรให้)

ผมยิ้มรับคำอวยพรของแม่ก่อนที่ท่านจะตัดสายไป และทันทีที่ผมจบการใช้งานมือถือระหว่างตนเองและแม่ เสียงเตือนข้อความก็ดังลั่นขึ้นมาทันที ราวกับว่ามันถูกส่งมาในขณะที่ผมกำลังใช้โทรศัพท์พูดสายกับแม่อยู่


‘เด็กๆ หลับแล้วนะครับ ตะวันเองก็กำลังจะนอนเหมือนกัน เพราะพรุ่งนี้มีลูกค้าสั่งอาหารเข้ามาด่วน ตะวันเลยต้องไปที่ร้านแต่เช้า แล้วเดี๋ยวตะวันจะพาน้องพีไปด้วย พี่พลัฎฐ์ไม่ต้องมารับน้องพีนะครับ คืนนี้ให้แกนอนที่นี่ไปเลยแล้วกัน ... วันนี้ตะวันไม่สะดวกจะรับแขกหรือพูดคุยอะไรอีก ไว้ค่อยว่ากันพรุ่งนี้นะครับ .... ตะวัน’



ผมได้แต่อ่านทวนข้อความในมือถือด้วยมือที่อ่อนแรง เพราะเอาเข้าจริงผมไม่อยากให้ความเข้าใจกันระหว่างเราลากยาวข้ามคืนขนาดนี้ แต่ในเมื่อตะวันต้องการแบบนี้ ผมเองก็ไม่อยากขัด ผมรู้ว่าน้องอาจจะต้องการเวลาเพื่อทบทวนถึงเรื่องราวต่างๆ และผมเองก็มีส่วนผิดที่ปล่อยให้มันคาราคาซังในความรู้สึกของตะวันจนมาถึงตอนนี้ ที่ผมทำได้ในคืนนี้ก็มีแค่อดทนรอ รอให้เช้า แล้วผมจะรีบไปหาตะวัน ไปพูดคุยกัน อย่างน้อยก็ก่อนตะวันออกจากร้านก็ยังดี ไม่งั้นมีหวังผมได้อกแตกตายไปทั้งวันแน่ ถ้าหากตะวันคนดีของผมยังคงหลบหน้ากันอยู่แบบนี้

.

.

.

- อ่านต่อด้านล่าง -

ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
- ต่อจากด้านบน -


[Tawan’s Part ]


ผมเดินวนไปวนมาอยู่ในบ้านของตัวเองด้วยใจที่ไม่สงบเท่าไหร่นัก ผมไม่รู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้ระหว่างพี่พลัฎฐ์กับคุณนลินีเป็นอย่างไรบ้าง เพราะหลังจากที่ผมปลอบจนน้องพีสงบไม่ร้องไห้โยเยแล้ว ผมก็ปล่อยให้เด็กๆ ไปนั่งเล่นต่อเลโก้อยู่ในห้องรับแขก โดยที่ตัวเองก็เดินวนไปวนมาอยู่หน้าประตูบ้าน ยอมรับว่าคาดหวังว่าพี่พลัฎฐ์จะมากดออดในอีกไม่นานนี้ และอธิบายทุกอย่างให้ผมฟัง

แต่รอจนแล้วจนเล่า จนตะวันตกดินแล้วพี่พลัฎฐ์ก็ยังไม่มา... ผมคาดหวังมากเกินไปเหรอในฐานะคนรัก ทำไมสิ่งที่ผมขอมันถึงไม่เป็นจริงสักอย่าง

Rrrrr

เสียงโทรศัพท์ที่ร้องเตือนลากผมออกจากภวังค์ ผมผวาเข้าไปรับเพราะคิดว่าคนที่โทรมาหา ต้องเป็นคนที่รอผมอยู่แน่ๆ แต่แล้วก็ผิดหวัง เมื่อเห็นเป็นเบอร์ของป้าวันดีโทรเข้ามาแทน

“สวัสดีครับป้าวันดี” ผมพยายามรับสายด้วยน้ำเสียงปกติ กดความผิดหวังที่ตีตื้นขึ้นมาให้ลึกสุดใจ

(สวัสดีค่ะคุณตะวัน คุณตะวันว่างไหมคะ ป้ามีเรื่องจะปรึกษาค่ะ) ป้าวันดีพูดอย่างเกรงใจ ผมเลยพยายามทำเสียงรื่นเริงเป็นกันเอง เพราะไม่อยากให้ป้าวันดีกำลังคิดว่ารบกวน

“ว่างสิครับป้า ป้ามีอะไรรึป่าวครับ”

(คือเมื่อสักครู่นี้อ่ะค่ะคุณตะวัน ลูกค้าเก่าป้าที่เคยรู้จักกันตอนที่ป้าทำอยู่ที่ร้านเก่าเขาโทรมาหา เขามาถามป้าว่า ป้าพอจะแนะนำร้านอาหารที่สามารถทำอาหารบุฟเฟ่ต์ส่งเขาได้ไหม พอดีเขาอยากได้อาหารด่วนในวันพรุ่งนี้น่ะค่ะ แล้วร้านประจำที่เคยทำให้กันอยู่ดันไม่ว่างเพราะมันฉุกละหุก ป้าเห็นว่าพรุ่งนี้เป็นวันอาทิตย์และร้านเราปิด วัตถุดิบหลายอย่างก็ยังพอมีขาดแต่พวกของสด เลยจะโทรมาปรึกษาคุณตะวันว่าจะรับงานนี้ดีไหม เขาสั่งอาหารไม่กี่อย่าง แถมยังไม่จำกัดงบด้วย ถือว่าหารายได้เสริมให้กับร้าน)

ผมนิ่งฟังสิ่งที่ป้าวันดีบอกอย่างสนใจ เรื่องอาหารทำให้ผมหยุดคิดเรื่องพี่พลัฎฐ์ได้พักใหญ่ และพอผมเห็นว่ามันสร้างประโยช์และรายได้ให้กับทุกคนมากพอสมควร ผมเลยตัดสินใจตกลงไป

“ได้ครับป้าวันดี ป้ารับมาเลยก็ได้ ถามเมนูจากทางนั้นมาเลยว่าต้องการเมนูอะไรบ้าง แล้วป้าส่งรายการอาหารมาให้ตะวันทางไลน์นะครับ แล้วเดี๋ยวเราลองมาลิสต์วัตถุดิบกับของสดที่ต้องซื้อเพิ่มดู”

ผมวางแผนคร่าวๆ ให้ป้าวันดีทราบ ถึงแม้มันจะดูขลุกขลัก แต่ผมว่าไม่น่าจะยุ่งยากอะไร

(ได้ค่ะ คุณตะวัน)

“อ้อ แล้วพรุ่งนี้ป้าวันดีเลยไปซื้อของที่ขาดที่ตลาดก่อนได้เลยนะครับ พาน้ำตาลไปเป็นเพื่อนด้วย เดี๋ยวร้านผมจะเข้าไปเปิดเอง ยังไงรบกวนป้าโทรหาพี่มีนากับเจ้าเมษให้หน่อยนะครับ ว่าให้ไปเจอผมที่ร้านตอนเจ็ดโมงเช้า จะได้ไปช่วยกันเตรียมอุปกรณ์เบื้องต้นก่อน”

ผมสรุปให้ป้าวันดีทราบ ซึ่งแกเองก็เห็นด้วย (ดีเลยค่ะคุณตะวัน ป้าจะได้ไม่ต้องย้อนไปย้อนมา ถ้าอย่างนั้นเจอกันพรุ่งนี้นะคะ ซื้อของเสร็จแล้วป้าจะรีบตามไป)

“ได้ครับ เจอกันพรุ่งนี้นะครับ แล้วยังไงตะวันก็ต้องขอบคุณป้าวันดีด้วยที่ช่วยตะวันหารายได้เข้าร้าน”

(ป้ายินดีค่ะคุณตะวัน ถ้าอย่างนั้นป้าขอวางสายก่อนนะคะ จะได้โทรหนูมีนกับเจ้าเมษต่อ)

“ครับป้า ฝากป้าด้วยนะครับ สวัสดีครับ”

ผมกับป้าวันดีสรุปหาข้อตกลงได้ก็แยกย้ายวางสายกันไป ก่อนที่ผมจะเหลือบไปมองนาฬิกาก็เห็นว่าเป็นเวลาสองทุ่มแล้ว เลยเดินไปหาเด็กๆ ที่ตอนนี้อาบน้ำอาบท่ากันเรียบร้อย นั่งดื่มนมพร้อมกับดูการ์ตูนอยู่ในห้องรับแขก

“อาทิตย์ครับ น้องพีครับ ง่วงหรือยัง หื้ม?” ผมเดินเข้าไปถามพลางลูบศีรษะของเด็กทั้งสองอย่างรักใคร่ นมในแก้วดูเหมือนจะหมดลงไปแล้ว พร้อมๆ กับที่ตากลมของเด็กชายพีรยสถ์ปรือปรอยลงอย่างเห็นได้ชัด ตรงข้ามกับอาทิตย์ที่ยังจ้องการ์ตูนตาแป๋ว ดูจะยังไม่ได้ง่วงสักเท่าไหร่

“น้องพีง่วงแย้ว”

“นอนเลยก็ได้ครับพี่ตะวัน”

แต่ก็นั่นแหละครับ ประโยคออดอ้อนของน้องพีถือเป็นคำตอบสุดท้ายของเด็กชายภานวีย์ด้วย ผมจึงไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่อาทิตย์ยอมเข้านอนทั้งที่ท่าทางเหมือนจะยังอยากดูการ์ตูนอยู่

“อาทิตย์จะดูการ์ตูนต่อให้จบก่อนก็ได้นะครับ เดี๋ยวพี่พาน้องพีเข้านอนก่อน แล้วพอการ์ตูนจบแล้วอาทิตย์ค่อยตามไป วันนี้พี่ตะวันให้ดูจบแค่นี้แล้วต้องเข้านอนเลย เพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า พี่ตะวันต้องเข้าร้านมีทำอาหารด่วนส่งลูกค้า”

ผมเสนอทางออกให้น้องชาย เพราะรู้ดีว่าถ้าหากเป็นวันหยุดอาทิตย์จะนอนดึกกว่าเดิมนิดหน่อย แต่ด้วยความที่พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า ผมเลยอยากให้อาทิตย์เข้าตอนตามเวลาปกติเหมือนวันไปโรงเรียน เพื่อที่ตื่นมาจะได้ไม่งอแง

แต่กับน้องพี ดูท่าว่าวันนี้ผมคงต้องพาแกนอนเร็ว เพราะดวงตากลมโตของเจ้าหนูน้อย ทั้งบวม ทั้งปรือปรอยเหมือนจะปิดลงให้ได้ ซึ่งถ้าให้ผมเดาคงน่าจะเป็นเพราะวันนี้น้องพีร้องไห้เยอะ และมีเรื่องมากมายวุ่นวายเกินกว่าร่างกายและจิตใจของเด็กน้อยจะรับไหว จึงได้เพลียกว่าปกติ

“อาทิตย์นอนพร้อมน้องพีเลยดีกว่าครับพี่ตะวัน” หลังจากที่ผมยื่นข้อเสนอไปก็ดูเหมือนว่าน้องพีจะหันไปมองอ้อนอาทิตย์ทันที ดูท่าก็รู้ว่าน้องพีไม่อยากนอนคนเดียว คงอยากให้อาทิตย์เข้านอนด้วย ซึ่งน้องชายผมก็ไม่เคยขัดใจเพื่อนข้างบ้านได้สักที

“อ่ะโอเคครับ งั้นเดี๋ยวน้องพีกับอาทิตย์ไปแปรงฟันในห้องน้ำนะ พี่ตะวันเตรียมแปรงกับบันไดปีนไว้ให้ตรงอ่างล้างหน้าแล้ว เดี๋ยวพี่ตะวันเก็บแก้วไปล้างกับปิดทีวีก่อน เสร็จแล้วพี่ตะวันจะตามไป”

ผมบอกพร้อมๆ กับที่เด็กๆ ปีนลงโซฟา แล้วเดินจูงมือพากันไปห้องน้ำที่อยู่ก่อนถึงห้องครัว จากนั้นผมจึงเก็บแก้วไปล้าง ปิดทีวี ปิดแอร์เครื่องที่ไม่ใช้ แต่ก่อนที่จะเดินตามน้องพีกับอาทิตย์ไปที่ห้องน้ำ ผมก็นึกอะไรขึ้นได้ จึงส่งข้อความบอกพี่พลัฎฐ์ให้ว่าไม่ต้องมา เพราะพวกเราจะเข้านอนแล้ว


‘เด็กๆ หลับแล้วนะครับ ตะวันเองก็กำลังจะนอนเหมือนกัน เพราะพรุ่งนี้มีลูกค้าสั่งอาหารเข้ามาด่วน ตะวันเลยต้องไปที่ร้านแต่เช้า แล้วเดี๋ยวตะวันจะพาน้องพีไปด้วย พี่พลัฎฐ์ไม่ต้องมารับน้องพีนะครับ คืนนี้ให้แกนอนที่นี่ไปเลยแล้วกัน ... วันนี้ตะวันไม่สะดวกจะรับแขกหรือพูดคุยอะไรอีก ไว้ค่อยคุยกันพรุ่งนี้นะครับ .... ตะวัน’


ผมโกหกนิดหน่อย เพราะถึงแม้เด็กๆ จะยังไม่เข้านอนก็ใกล้เต็มที .. อีกอย่าง ผมสารภาพเลยว่า ผมน่าจะยังไม่พร้อมคุยเรื่องอะไรกับพี่พลัฎฐ์ทั้งนั้น เพราะสิ่งที่เห็นเมื่อกลางวัน ทำให้ผมกลัว กลัวว่าตัวเองจะได้รับข่าวร้ายมากกว่าข่าวดี

.

.

.

เช้าวันต่อมาผมออกจากบ้านแต่เช้า แอบปลุกเด็กๆ ยากกว่าปกตินิดหน่อย พวกแกงอแงบอกว่าวันนี้วันอาทิตย์เป็นวันหยุด ทำไมต้องตื่นเช้า ผมเลยต้องหลอกล่อด้วยการบอกว่าวันนี้จะพาไปที่ร้าน ไปทำขนมอร่อยๆ ทานกัน เท่านั้นแหละ เด้งลุกกันมานั่งตัวตรงแหน่ว โดยเฉพาะเจ้าน้องชายตัวแสบของผม แทบจะถลาเข้าห้องน้ำ อาบน้ำแปรงฟันโดยที่ไม่ต้องกระตุ้นอะไรเลย

“พี่ตะวันค้าบ แล้วปะป๊าย่ะคับ ปะป๊าจะมาหาน้องพีไหม”

หลังจากขับรถออกมาจากหมู่บ้านได้ครึ่งทาง น้องพีที่นั่งอยู่ในคาร์ซีทที่เบาะหลังก็ถามขึ้น ผมอึกอักนิดหน่อยไม่กล้าบอกลูกชายเขาว่าหลบหน้าพ่อเขาอยู่ เลยเลือกที่แบ่งรับแบ่งสู้แทน

“ไว้เดี๋ยวถึงร้านพี่ตะวันจะโทรถามปะป๊าให้นะครับ” ผมพูดพร้อมหันไปยิ้มน้อยๆ ให้เด็กชายด้านหลังก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “ว่าแต่น้องพีกับคุณอาทิตย์หิวรึยังนะ”

“หิวแล้วคับ” เจ้าหมูอ้วนน้องชายผมรีบตอบ โดยมีน้องพีพยักหน้าหงึกหงักเป็นเชิงว่าเห็นด้วย

“หิวๆ น้องพีหยักกินโจ๊กได้ไหมคับพี่ตะวัน”

“ได้สิครับ ว่าแต่อาทิตย์อยากกินโจ๊กด้วยไหม? หรือเราอยากกินอย่างอื่น?” ผมถาม ก่อนที่จะมองจากกระจกหลัง ก็เห็นน้องชายยิ้มกว้างตาเป็นประกายวิบวับเลยนึกรู้คำตอบ “โอเค เดี๋ยวพอถึงร้านพี่ตะวันทำโจ๊กหมูสับให้น้องพีกับอาทิตย์กินนะครับ”

“เย่ๆ ขอบคุณคับพี่ตะวัน/ขอบคุณคับพี่ตะวัน”

เด็กน้อยทั้งสองประสานเสียงขอบคุณ พร้อมๆ กับที่พุ่มมือไว้ระหว่างอกเพื่อยกขึ้นไหว้ด้วย

ผมได้แต่มองไปยังเด็กทั้งสองด้วยสายตารักใคร่ ก่อนจะเร่งฝีเท้าเหยียบคันเร่งเพิ่มอีกนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้เร็วมาก เพื่อที่จะได้ถึงร้านไวๆ และจัดการอาหารเช้าให้แก้วตาดวงใจทั้งสองของผมได้ทานในสิ่งที่พวกแกอยากจะทาน

และด้วยความที่ยังเช้าอยู่ แถมเป็นเช้าวันอาทิตย์ถนนจึงโล่งเป็นพิเศษ ขับรถมาไม่นานก็ถึงร้าน ผมจอดรถไว้หน้าร้าน ไม่ได้อ้อมไปด้านหลังเพราะวันนี้ไม่ใช่วันปกติที่ร้านเปิด จึงไม่จำเป็นต้องเหลือเผื่อที่ไว้สำหรับลูกค้าจอดรถ

ผมลงจากรถก่อนจะอ้อมไปเปิดประตูรถทีละฝั่ง แล้วพาเด็กๆ ออกจากคาร์ซีท และเมื่อล็อครถเรียบร้อย ก็พากันจับจูงมือเล็กๆ คนละข้าง ไปหยุดไขกุญแจที่ประตูหน้า เปิดไฟ เปิดแอร์หน้าร้านเหมือนเวลาที่เปิดให้บริการปกติ เพราะไม่อยากให้ในร้านอุดอู้ อีกอย่าง ผมตั้งใจว่าวันนี้จะให้เด็กๆ นั่งเล่นกันอยู่ที่หน้าร้าน ไม่พาเข้าไปหลังร้านในส่วนออฟฟิศ เพราะน่าจะดูแลพวกแกได้ง่ายกว่า เพราะยังไงทั้งผมและเด็กในร้านก็ต้องเวียนเข้าเวียนออกหน้าร้านกับในครัวกันจ้าละหวั่นแน่ๆ เพราะงั้นให้น้องพีกับอาทิตย์นั่งอยู่ตรงนี้ น่าจะอยู่ในสายตามากกว่าไปอยู่ในห้องออฟฟิศโซนด้านหลัง

ดังนั้น ระหว่างรอให้พี่มีนากับเจ้าเมษมาถึง ผมก็เข้าไปทำปรุงโจ๊กง่ายๆ ในครัว ใช้เวลาในการเตรียมน้ำซุปก่อน พอน้ำซุปเดือด ก็เอาปลายข้าวที่ซาวพักให้สะเด็ดน้ำกับน้ำมันงานที่เตรียมไว้ใส่ลงไป คนไปเรื่อยๆ จนเดือดจากนั้นก็หรี่ไฟให้อ่อน แล้วเคี่ยวจนข้าวกับน้ำซุปสุกและเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วจึงเอาหมูบดหมักที่ฟรีซไว้ในตู้แช่ ปั้นเป็นก้อนๆ หยอดลงไป จากนั้นก็ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว น้ำตาลทราย คนให้เข้ากัน แล้วก็ปิดไฟที่เตา ตักใส่ชามให้เจ้าหนูทั้งสอง โรยผักโรยนิดหน่อย เพื่อฝึกให้ทั้งอาทิตย์และน้องพีกินผักได้ ส่วนโจ๊กที่ยังอยู่ในหม้อผมทำเผื่อเอาไว้สำหรับคนอื่นๆ หากมีใครยังไม่ได้กินข้าวเช้ามา

ผมยกชามโจ๊กออกมาให้น้องพีกับอาทิตย์ที่ระบายสีเล่นรออยู่ที่โต๊ะตัวที่ติดกับเคาน์เตอร์หน้าร้าน เด็กทั้งคู่ตื่นเต้นกันยกใหญ่ที่จะได้กินของชอบ

“กินดีๆ นะครับเด็กๆ ระวังร้อนนะ” ผมเลื่อนชามข้าวไปใกล้ๆ เจ้าหนูทั้งสอง “เป่าก่อนเอาเข้าปากนะครับ ไม่ต้องรีบ ถ้าไม่อิ่มมีให้ทานอีกได้นะ”

“คับ/คับ”

เด็กทั้งสองของผมรับคำ ผมได้แต่มองอย่างเอ็นดู และผ่านไปได้ไม่นาน พี่มีนากับเจ้าเมษาก็ผลักประตูร้านเข้ามา ก่อนจะทักทายผมอย่างอารมณ์ดี

“สวัสดีค่ะคุณตะวัน”

“สวัสดีครับพี่ตะวัน”

“สวัสดีครับทุกคน กินอะไรกันมารึยัง? ตะวันทำโจ๊กไว้ในครัว กินได้เลยนะ ระหว่างรอป้าวันดีกับน้ำตาล”

ผมบอกอย่างเอื้อเฟื้อ เลยได้รอยยิ้มกว้างจากสองพี่น้องพร้อมกับคำขอบคุณตอบกลับมา

“ยังไม่ได้ทานเลยค่ะคุณตะวัน ถ้าอย่างนั้นมีนากับเจ้าเมษขอฝากท้องสักมื้อ ขอบคุณคุณตะวันมากนะคะ”

ผมพยักหน้ารับ “ยินดีครับ ตามสบายเลยนะ”

“อ้อ พี่ตะวันรอป้าวันดีอยู่ที่หน้าร้านนี่ก็ได้นะครับ จะได้อยู่เป็นเพื่อนน้องพีกับน้องอาทิตย์ด้วย เดี๋ยวข้าวของอุปกรณ์ในครัว ผมกับพี่มีนาจัดการเตรียมให้”

เมษาเสนอตัว พอผมจะเอ่ยแย้ง สองพี่น้องก็ไม่ยอม

“ก็ได้ๆ งั้นพี่ฝากในครัวด้วยนะเมษ เด็กๆ ทานเสร็จเรียบร้อยแล้วจะตามเข้าไป”

“ครับ”

พอคล้อยหลังสองพี่น้องเดินเข้าครัวไป ผมก็นั่งดูน้องพีกับอาทิตย์ตักโจ๊กกินกันอย่างเรียบร้อยไม่หกเลอะเทอะ จนกระทั่งเครื่องมือสื่อสารของผมดังขึ้นนั่นแหละ ผมถึงได้เดินไปหยิบมาเพื่อจะรับ และพอเห็นชื่อที่โชว์อยู่บนหน้าจอก็นิ่งไป

‘พี่พลัฎฐ์’

ผมลังเลอยู่ไม่นานก็กดรับสาย เสียงทุ้มที่ผมคุ้นเคยดูร้อนรนจนผมที่ตั้งใจว่าจะใจแข็งขอเวลาเพราะยังไม่อยากคุย ก็เกิดพูดไม่ออกขึ้นมาเสียดื้อๆ

(ฮัลโหล ตัวเล็ก... ตัวเล็กครับ ตัวเล็กอยู่ไหน พี่มาหาที่บ้านแล้วประตูล็อค ตัวเล็กออกไปแล้วเหรอครับ?) ผมนิ่ง เพราะกำลังรวบรวมความคิดและคำพูดอยู่ แต่ดูเหมือนว่าพี่พลัฎฐ์จะไม่ได้ใจเย็นแบบที่ผมเป็น

(ตัวเล็ก... พี่ขอโทษ ตอบพี่หน่อยนะคนดี พี่ร้อนใจจะแย่แล้ว พี่รู้ว่าพี่ผิด ผิดเองทุกอย่างเลย ตัวเล็กคุยกับพี่ได้ไหม เราคุยกันนะ อยู่ที่ร้านใช่ไหม ให้พี่ไปหานะครับ)

ผมถอนหายใจ ก่อนจะตัดสินใจตอบไป

“ใจเย็นๆ ครับพี่พลัฎฐ์ ตอนนี้ตะวันอยู่ที่ร้าน พอดีเมื่อเช้าต้องรีบมาเปิดร้าน เลยออกจากบ้านเร็ว”

ผมพูดช้าๆ อย่างใจเย็น ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว ผมกล้ำกลืนพอสมควร ใจอยากจะถามๆๆๆ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเองอยากรู้ แต่อีกใจผมก็ไม่กล้าพอที่จะทำแบบนั้น ผมอึดอัดมาก เพราะผมไม่รู้ว่าพี่พลัฎฐ์ให้ผมยืนอยู่ข้างเขาในรูปแบบไหน จะเรียกตัวเองว่าแฟนหรือคนรักผมก็พูดได้ไม่เต็มปาก เพราะอะไรๆ มันก็ดูคลุมเครือไปหมด โดยเฉพาะการปรากฏตัวของผู้หญิงคนเมื่อวาน

(ตัวเล็ก ตัวเล็กโกรธพี่ใช่ไหมครับ?)

“ไม่ครับ ตะวันไม่ได้โกรธ” ในเมื่อพี่พลัฎฐ์ถามตรงๆ ผมก็เลือกที่จะตอบตรงๆ เช่นกัน “แต่ตะวันเสียใจ ตะวันไม่รู้แล้วว่าตอนนี้สำหรับพี่ตะวันอยู่ในฐานะอะไร ตะวันมีสิทธิ์รู้เรื่องของพี่และน้องพีมากแค่ไหน หรือความจริงแล้วตะวันไม่มีสิทธิ์อะไรเลย”

ผมพูดเสียงสั่น ข้างในใจมันเจ็บไปหมด พูดเองก็รู้สึกแย่เอง แต่พอได้พูดทุกอย่างมันพรั่งพรู และผมอดไม่ได้ที่จะตัดพ้อคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคนรักออกไป

(ตัวเล็กพี่ขอโทษ) เสียงของพี่พลัฎฐ์เศร้าและรู้สึกผิดจนใจผมอ่อนยวบ แต่ผมก็เลือกที่จะเงียบ ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธอะไร (ตัวเล็กรอพี่ได้ไหมครับ เดี๋ยวพี่ไปหาที่ร้าน รอพี่แปปเดียว พี่สัญญาว่าถ้าไปถึงแล้วพี่จะเล่าทุกอย่างให้ตัวเล็กฟัง รวมไปถึงเรื่องที่ตัวเล็กอยากรู้ด้วย ตัวเล็กถามอะไรพี่ พี่จะตอบทุกอย่าง แต่ขอโอกาสให้พี่หน่อยนะครับ ขอให้พี่ได้อธิบายว่าทำไมพี่ถึงปล่อยให้ตัวเล็กรอแบบนั้น)

ผมเงียบ พลางนิ่งคิดช้าๆ ... ใจหนึ่งก็อยากฟัง อยากรู้ทุกอย่าง แต่อีกใจก็ไม่อยากคาดหวัง และผมยอมรับว่าผมกลัวที่จะรอ กลัวว่ารอแล้วจะรอเก้อเหมือนที่ผ่านมา

(ขอร้องนะครับตัวเล็ก พี่ขอร้อง พี่กำลังขับรถไป ให้โอกาสพี่อธิบายเถอะนะครับ)

ผมถอนหายใจ พลางหันไปมองน้องพีกับอาทิตย์ที่กำลังกินโจ๊กอย่างเอร็ดอร่อย โดยเฉพาะน้องพี ที่ตอนนี้ยิ้มตาหยีส่งมาให้ เพราะเงยหน้าขึ้นมาเห็นผมกำลังมองไปยังแกพอดี

“ก็ได้ครับ เดี๋ยวพี่พลัฎฐ์ถึงร้านแล้วเราค่อยคุยกัน” ผมยอมใจอ่อนในที่สุด เพราะเอาเข้าจริงก็อดยอมรับไม่ได้ว่ากำลังรอคำอธิบายจากคนรักของตัวเองอยู่ “แล้วก็ไม่ต้องรีบนะครับ ขับมาช้าๆ ยังไงวันนี้ตะวันก็อยู่ที่ร้านทั้งวันนี่แหละ ไม่ได้ไปไหนหรอก”

และสุดท้าย ผมก็อดเป็นห่วงเป็นใยพี่พลัฎฐ์ไม่ได้อยู่ดี ...

(ครับๆ พี่จะขับระวังๆ แล้วก็รีบไปหาหนูนะครับ รอพี่ก่อนนะ)

เสียงพี่พลัฎฐ์ดีขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อย แถมตอนนี้ยังเปลี่ยนมาเรียกผมว่าหนูเนียนๆ นี่ถ้าเป็นตอนปกติ ผมคงนั่งหน้าแดงไปเรียบร้อยแล้ว แต่พอดีตอนนี้มันไม่ปกติไง ยอมรับว่าเขินหน่อยๆ ใจเต้นแรงนิดๆ อ่ะแหละ แต่ก็ไม่เท่ากับตอนที่ถูกเรียกด้วยสรรพนามนี้ในช่วงก่อนหน้านี้หรอก

“ครับ ได้ครับ”

ผมยอมรับปากก่อนจะกดวางสายไป เพราะพี่พลัฎฐ์บอกว่าตอนนี้กำลังขับรถออกมาถึงหน้าหมู่บ้านแล้ว ถ้าให้ผมประมาณเวลาก็คิดว่าอีกไม่เกินยี่สิบนาทีพี่พลัฎฐ์น่าจะถึง

ใจผมเต้นแรงนิดหน่อย ผมยอมรับว่าอยากรู้ว่าพี่พลัฎฐ์มีเหตุผลอะไรถึงเก็บเงียบทุกย่างไว้กับตัวเอง ไหนจะเรื่องแม่ของน้องพี ไหนจะเรื่องผู้หญิงคนเมื่อวาน ความสัมพันธ์ของพี่พลัฎฐ์กับคุณนลินี แล้วน้องพีอีก เพราะผมเองก็จำไม่ได้ว่ารูปผู้หญิงที่อุ้มเด็กน้อยที่ผมคาดว่าจะเป็นน้องพีในห้องทำงานพี่พลัฎฐ์ ใช่คนเดียวกับคุณนลินีหรือเปล่า เหมือนจะคุ้น แต่ผมก็ไม่คุ้น แล้วในขณะที่ในใจผมวุ่นวายเหมือนมีฝูงผึ้งบินวนอยู่ในก้านสมอง เสียงเรียกเจื้อยแจ้วของเด็กน้อยข้างบ้านก็ดังขึ้น

“พี่ตะวันค้าบบบ ปะป๊าโทมาหยอคับ?” น้องพีถามพลางเอียงคอน้อยๆ ผมมองแล้วอดอมยิ้มเอ็นดูไม่ได้

“ใช่ครับ ปะป๊าพลัฎฐ์โทรมา” ผมเดินไปดึงกระดาษทิชชู่มาเช็ดปากที่เลอะให้น้องพีอย่างเบามือ “ปะป๊ากำลังมาหาน้องพีนะครับ เดี๋ยวพอหนูสองคนกินกันเรียบร้อยแล้วก็ไปบ้วนปากนะครับ จะได้ปากหอมๆ รอปะป๊ากันเนาะ”

“อื้อ! ได้เยยคับ”

ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่อาทิตย์ทานอิ่มพอดีเหมือนกัน ผมเลยจัดการอุ้มเจ้าหนูทั้งคู่ลงจากเก้าอี้ แล้วปล่อยให้เด็กๆ วิ่งไปตรงห้องน้ำที่อยู่ใกล้ๆ กับห้องครัว เพราะเห็นเมษยืนอยู่แถวนั้นพอดี ผมเลยปล่อยให้เมษจัดการล้างมือล้างปากเด็กๆ ให้เรียบร้อย ส่วนผมก็เก็บถ้วยและแก้วน้ำของน้องพีกับอาทิตย์ไปวางหลังเคาน์เตอร์ ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ผมได้ยินเสียงประตูร้านเปิด

เอ๊ะ.. ทำไมพี่พลัฎฐ์มาถึงเร็วจัง อย่างน้อยก็น่าจะอีกสิบนาทีนี่นา

ผมได้แต่นึกสงสัยและหันไปเตรียมจะต่อว่า เพราะมั่นใจว่าพี่พลัฎฐ์จะต้องเหยียบจนมิดเข็มไมล์มาแน่ๆ แต่แล้วคนที่ผมเห็นตรงหน้าประตูก็ทำให้ผมต้องขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ

คุณนลินี ... เธอมาที่นี่ได้ยังไง

.

.

.

To Be Continue

--------------------------------------------

อย่าเพิ่งอารมณ์เสียกันน๊าาาา ใจเย็นน๊าาาา อีกตอนสองตอนก็หมดม่าแน้วววว ><

ขอบคุณทุกๆ คอมเม้นท์มากๆ เลยนะคะ ด่านังพี่พะลัดได้ แต่อย่าด่าเลา 555555555555 เจอกันตอนหน้าค่า ฝากติดแท็ก #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว ในทวิตเตอร์ด้วยเด้อ ... รักทุกคนมากๆ จ้า ^^❤

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

อินังลินี  แกหาที่เกาะดูดทรัพย์ไม่ได้แล้วใช่ไหมหล่ะ  ถึงต้องย้อนกลับมาหาพะลัดเนี่ย

ป.ล.  อย่าบอกว่านังลินีเป็นคนสั่งออเดอร์อาหารบุฟเฟต์หล่ะ

ออฟไลน์ noy

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-9
รอตอน​ต่อไป​นะ​คะ​ :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
:: Chapter 20th - เผชิญหน้า ::


ตะวันจ้องมองคนตรงหน้าด้วยความแปลกใจ แปลกใจที่จู่ๆ นลินีก็มายืนอยู่ที่ร้านของเขา โดยที่ตะวันเองก็มั่นใจว่าเขาไม่เคยบอกให้เธอรู้ว่าเขาทำงานที่ไหนหรือมีอาชีพอะไร ซึ่งอย่าว่าแต่บอกเลย เพราะเพิ่งจะได้รู้จักกันเมื่อวาน คุยกันไม่ถึงสี่ห้าประโยคด้วยซ้ำ แล้วเพราะอะไรเธอถึงรู้ ว่าเขาเปิดร้านอาหารอยู่ที่นี่ แต่สิ่งหนึ่งที่ตะวันมั่นใจคือนลินีไม่น่าจะรู้เรื่องของเขามาจากพลัฎฐ์ พลัฎฐ์ไม่น่าจะยอมบอก แต่ก็ช่างเถอะ เพราะไม่ว่าผู้หญิงใบหน้าสวยคมคนนี้จะรู้เรื่องร้านของตะวันได้ยังไง ก็ไม่สำคัญแล้ว เพราะตอนนี้เธอมายืนอยู่ตรงนี้ และด้วยมารยาทที่ดี ตะวันก็ควรเชื้อเชิญให้เธอเข้ามานั่ง ไม่ใช่ยืนขาแข็งมองหน้าเจ้าของร้านอย่างเขาด้วยแววตาเย็นชาแบบนี้

“สวัสดีครับคุณนลินี เชิญนั่งก่อนครับ”

ตะวันยกมือไหว้ เพราะคิดว่าคนรักเก่าของพลัฎฐ์น่าจะอายุมากกว่าตนเอง แต่แล้วคนเด็กกว่าก็ต้องหน้าชา เพราะนอกจากนลินีจะไม่รับไหว้หรือทักทายกลับแล้ว เธอยังเดินปึงปังเข้ามากระแทกไหล่เขาแล้วเดินผ่านเลยไปยังโต๊ะที่อยู่ด้านในตามคำเชิญที่แสนสุภาพของตะวันแทน

เจ้าของใบหน้าสวยนั่งไขว่ห้าง กอดอก เชิดหน้าน้อยๆ ราวกับนางพญา ทำเอาตะวันที่กำลังมองอยู่นึกผิดหวังกับท่าทีไม่เป็นมิตรของเธออยู่ในใจ เขาไม่เข้าใจว่าถ้าไม่ชอบกันจะมาเจอกันให้ลำบากใจทำไม แม้โดยส่วนตัวแล้วตะวันจะรู้สึกแปลกๆ กับนลินี แต่เขาก็ไม่ได้เกลียดหรือไม่ชอบ เพราะถึงจะเป็นคนรักเก่าของพลัฎฐ์ตะวันก็แยกแยะได้ แต่ดูเหมือนว่านลินีจะไม่ได้คิดแบบนั้น เพราะเธอดูไม่ชอบขี้หน้าตะวันพอสมควร

“ฉันมีเรื่องจะคุยกับนาย” น้ำเสียงแข็งกระด้างและท่าทีไม่เป็นมิตรถูกส่งผ่านทั้งภาษาพูดและภาษากายของนลีนีมายังตะวันโดยตรง เขาขมวดคิ้วนิดหน่อย อดไม่ชอบใจกับสิ่งที่ผู้หญิงตรงหน้าทำไม่ได้ ถึงแม้เขาจะเป็นผู้ชายและเด็กกว่า แต่มารดาของตะวันสอนเสมอว่าเราไม่ควรแสดงกิริยาแบบนี้ใส่ใคร โดยเฉพาะกับคนที่เพิ่งรู้จักกัน

“คุณนลินีมีอะไรหรือเปล่าครับถึงมาถึงที่ร้านได้ เพราะผมเองก็ไม่แน่ใจว่าคุณนลินีทราบได้ยังไงว่าผมเปิดร้านอาหารอยู่ที่นี่ แต่การที่คุณตรงมาหาผมโดยไม่ลังเลแบบนี้ ผมคิดว่าคุณคงมีธุระด่วนพอสมควร ไม่อย่างนั้นคุณคงไม่พยายามดั้นด้นมา”

ตะวันพูดเนิบนาบ น้ำเสียงไม่บ่งบอกอารมณ์ แต่คำพูดเชือดเฉือนนั้นน่าจะพอทำให้นลนีมองออก ว่าตะวันไม่ใช่คนที่เธอจะมาวางอำนาจใส่ได้ง่ายๆ

ภานรินทร์ไม่ใช่คนก้าวร้าว แต่ก็ไม่ใช่คนที่จะยอมให้ใครมารังแกง่ายๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคนนั้นมีท่าทีชัดเจนว่าไม่ชอบเขามากขนาดนี้

“มีสิ ฉันมีแน่ ไม่งั้นฉันไม่มีทางมาเหยีบบร้านเล็กๆ แคบๆ แบบนี้หรอก”

ริมฝีปากที่แต่งแต้มด้วยลิปสติกสีสวยที่เพิ่งพูดคำดูถูกเหยียดตรง รอยยิ้มที่ดูจะเป็นการแสยะมากกว่าการยิ้มโดยธรรมชาติถูกส่งมาให้ตะวันเห็น ในขณะคนที่ถูกดูถูกกลับยืนนิ่ง ไม่แสดงสีหน้าอารมณ์อะไรทั้งนั้น

“ถ้าคุณมีธุระอะไรก็พูดมาเถอะครับ พูดมาให้จบๆ คุณจะได้ไม่ต้องทนอยู่ในร้านเล็กๆ แคบๆ นานจนเกินไป” ตะวันพูดตอบกลับด้วยท่าทีสงบนิ่ง ทำเอานลินีอดร้อนรนไม่ได้ เพราะดูเหมือนที่เธอยั่วโมโหตะวันไปจะไม่ได้ผลเลยสักอย่าง

“ดี พูดกันง่ายๆ ฉันก็จะได้พูดตรงๆ” นลินีตวัดสายตากลับมาจ้องตะวัน ก่อนจะพูดเสียงดัง ฟังชัด แบบน่าจะที่ได้ยินพร้อมเพรียงกันโดยทั้งร้าน “ฉันมาทวงพลัฎฐ์คืน เขาเป็นของฉัน ฉันมาก่อนนาย ก่อนหน้านี้เราแค่มีเรื่องไม่เข้าใจกันก็เลยห่างกันไป แต่ตอนนี้ฉันกลับมาแล้ว เพราะฉะนั้นนายก็ควรออกไปจากชีวิตพลัฎฐ์ซะ เขาคงแค่นึกสนุก หรือไม่ก็อาจจะแค่เหงา ไม่ได้จริงจังอะไรกับนายหรอก เชื่อฉันสิ อีกไม่นานเดี๋ยวเขาก็เขี่ยนายทิ้ง”

นลินีพูดยาวเหยียดด้วยประโยคที่ไม่น่าฟังสักนิด ตะวันได้แต่ขมวดคิ้วมุ่นด้วยความไม่ชอบใจ เขาไม่ได้ไม่ชอบใจที่นลินีมาทวงคืนพลัฎฐ์ แต่เขาไม่ชอบใจที่ถ้อยคำที่เธอใช้ดูไม่ให้เกียรติใครเลยแม้กระทั่งตัวเอง

นึกจะไปก็ไป นึกจะมาก็มา ทวงคืนพลัฎฐ์อย่างกับพลัฎฐ์เป็นสิ่งของ และที่สำคัญนลินีไม่พูดถึงน้องพีเลยสักคำ ทำเหมือนกับว่าน้องพีไม่ใช่ส่วนหนึ่งของชีวิตพลัฎฐ์อย่างนั้นล่ะ

และโดยที่ตะวันยังไม่ทันจะตอบอะไร เจ้าตัวน้อยทั้งสองที่เพิ่งเข้าไปล้างปาก ล้างมือก็วิ่งออกมาจากห้องน้ำ ซึ่งเจ้าหนูทั้งคู่ก็วิ่งมากอดเอวตะวันคนละข้างพร้อมรอยยิ้มสดใส ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครเห็นว่าตะวันมีแขกเป็นผู้หญิงหน้าสวยคนเมื่อวาน ยืนอยู่ตรงนี้ด้วย

“พี่ตะวัน เสร็จแย้วคับ น้องพีเสร็จแย้ว” ใบหน้าน่ารักพูดเจื้อยแจ้วอย่างอารมณ์ดี ให้ตะวันที่ก้มลงไปมองได้รู้สึกดีขึ้นนิดหน่อย แต่แล้วก็ต้องขมวดคิ้วมุ่นเมื่อได้ยินเสียงของผู้หญิงตรงหน้าเรียกเด็กชายพีรยสถ์ที่กำลังเกาะแข้งเกาะขาเขาอย่างไม่ชอบใจ

“น้องพี! มาทำอะไรที่นี่คะ? แล้วคุณพ่อไปไหน? มาหาน้ามา!”

เสียงหวานแหลมที่ค่อนข้างดังทำให้น้องพีสะดุ้งโหย่งด้วยความตกใจ ใบหน้าน่ารักของเด็กน้อยยามหันไปมองนลินีดูบิดเบี้ยวเหยเก และเพียงไม่กี่วินาทีต่อมา มุมปากเล็กที่เคยยิ้มแย้มก็เริ่มเบะออก ก่อนจะกลายเป็นเสียงร้องไห้จ้าในที่สุด

“ฮึก.. ฮือออออ ฮือออออ ปะป๊า น้องพีจะหาปะป๊า”

จากความไม่ชอบใจของตะวันเปลี่ยนเป็นความตกใจอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นปฏิกริยาของน้องพี คนเป็นพี่ข้างบ้านรีบช้อนตัวเด็กชายขึ้นมาอุ้ม น้องพีเองพอเห็นว่าตัวเองอยู่ในอ้อมกอดที่ปลอดภัยของตะวันแล้วก็ก้มหน้างุดซบกับซอกคอที่คุ้นเคยทันที แรงสะอื้นทำให้ตะวันต้องกระชับอ้อมแขนโอบกอดเด็กน้อยให้แน่นขึ้น มือบางลูบหลังลูบไหล่ปลอบเด็กชายอย่างใจเย็น

“ไม่เป็นไรนะครับน้องพี พี่ตะวันอยู่นี่นะครับ ไม่ร้องไห้นะ”

“ฮึก.. พี่ตะวัน น้องพีกัว ไม่เอาคุณป้า กัว ฮือออ”

ยิ่งได้ยินเสียงเล็กๆ พึมพำบอกว่ากลัวตะวันยิ่งแปลกใจ เขาที่ผูกใจมาตั้งแต่เมื่อวานว่าผู้หญิงคนนี้คือภรรยาเก่าของพลัฎฐ์ และน่าจะเป็นมารดาแท้ๆ ของน้องพี ทำไมกลับทำให้น้องพีขวัญหนี กลัวจนตัวสั่นขนาดนี้ แต่ตะวันก็เลือกที่จะปัดผ่านทุกอย่างทิ้ง เพราะตอนนี้ ไม่ว่านลินีจะใช่หรือไม่ใช่แม่แท้ๆ ของเด็กชายพีรยสถ์ ตะวันก็ไม่วางใจที่จะให้เธอเข้าใกล้เจ้าตัวน้อยในความดูแลของเขาแล้ว สำหรับเขาท่าทางไม่เป็นมิตร และอาการหวาดกลัวของน้องพีถือเป็นคำตอบของทุกอย่าง และเขาจะไม่ยอมให้เธอมาทำให้น้องพีสติแตกมากไปกว่านี้แน่

“คุณป้า! ห้ามรังแกน้องพี! คุณป้าห้ามเข้ามานะ!”

แต่ยังไม่ทันที่ตะวันจะได้พูดอะไร เจ้าอาทิตย์ดวงน้อยที่เมื่อกี้ยังพันแข้งพันขาเขาอยู่ จู่ๆ ก็ก้าวออกมายืนขวางระหว่างตะวันกับนลินีไว้ ตะวันก้มลงมองน้องชายที่สูงแค่เอวของตัวเองด้วยความแปลกใจ เพราะเขาไม่เคยเห็นท่าทีแบบนี้ของอาทิตย์มาก่อน เจ้าหนูน้อยของตะวันดูโกรธและไม่พอใจมาก เพราะแก้มสองข้างแดงปลั่ง แถมไอ้อาการกอดอกแบบนี้ก็ไม่ใช่ท่าทางของอาทิตย์ที่ตะวันจะได้เห็นบ่อยนักด้วย

“ไอ้เด็กบ้า! อย่ามาลามปามฉันนะ!” นลินีตวาดอาทิตย์ก้อง ใบหน้าสวยหวานบิดเบี้ยวด้วยความไม่พอใจ ก่อนที่นิ้วเรียวจะถูกยื่นออกมาชี้หน้าน้องชายของตะวันด้วยท่าทางหยาบคาย

“ไอ้เด็กพ่อแม่ไม่สั่งสอน ไม่สั่งสอนเหมือนพี่แกนั่นแหละ อย่าให้ฉันจับได้นะ ถ้าจับได้จะฟาดให้ร้องเลยคอยดู!!”

อาทิตย์สะดุ้งกับเสียงหวานแหลมที่ตวาดก้องร้าน แต่ก็ยังยืนขวางไม่ยอมถอย ความกล้าหาญของน้องชายที่ตะวันได้เห็นทำให้ลึกๆ เขาอดชื่นชมและภูมิใจในตัวเด็กชายไม่ได้ แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือตะวันกำลังโกรธ โกรธมากแบบที่ไม่เคยมาก่อน เพราะตั้งแต่เยื้องย่างเข้ามาในร้าน นลินีก็มีท่าทีคุกคามทุกคนไม่เว้นแม้แต่เด็กตัวเล็กๆ อย่างน้องพีหรืออาทิตย์

เจ้าของรูปร่างบอบบางดึงน้องชายไปแอบไว้ข้างหลัง ก่อนจะก้าวมาเผชิญหน้ากับผู้หญิงร้ายกาจตรงหน้า ตะวันยอมรับว่าเขาไม่ใช่คนประเภทที่จะสู้รบปรบมือกับใคร แต่ถ้าใครมาแตะต้องน้องชายที่เป็นเหมือนแก้วตาดวงใจของเขาไม่ว่าจะด้วยคำพูดหรือการกระทำ ตะวันจะไม่ปล่อยเอาไว้ทั้งนั้น ต่อให้คนๆ นั้นจะเป็นภรรยาเก่าของพลัฎฐ์ หรือเป็นแม่แท้ๆ ของน้องพีตะวันก็จะไม่ละเว้น ... แต่เอาเข้าจริงตะวันแทบจะทำใจให้เชื่อไม่ได้เลยว่าผู้หญิงตรงหน้านี่จะเป็นแม่ใครได้ คนเป็นแม่คนไม่มีทางพูดกับเด็กเล็กๆ ด้วยท่าทางและคำพูดแบบนี้แน่

“หยุดเดี๋ยวนี้นะครับคุณนลินี ก่อนที่ผมจะทนไม่ไหว” ตะวันก้าวมายืนบังอาทิตย์ และกระชับอ้อมกอดโอบกอดน้องพีให้แน่นขึ้น พลางกล่าวเสียงนิ่ง เย็นชา และหนักแน่น ตากลมจ้องสบไปที่นลินีโดยที่แทบจะไม่กะพริบตาเลยสักนิด

“ถ้าคุณอยากคุยกับผม ก็คุยมา อย่ายุ่งกับเด็กๆ คุณไม่เห็นหรือไงครับ ว่าคุณกำลังทำให้พวกแกกลัว”

ตะวันลูบหลังของน้องพีเรื่อยๆ เพราะเด็กชายยังคงซุกหน้าอยู่กับไหล่ตะวัน พร้อมทั้งสะอื้นและร้องไห้ไม่หยุด เสียงตวาดของนลินีที่ตวาดอาทิตย์เมื่อครู่ยังคงทำให้เด็กชายตกใจอยู่

“อย่ามาสอนฉัน! ฉันอยากจะด่า ฉันก็จะด่า ไอ้เด็กนั่นมันพูดจาลามปามฉันก่อน ถึงฉันด่ามันฉันก็ไม่ผิด เอาเวลาที่แกคร่ำครวญโทษคนโน้นคนนี้ไปสั่งสอนน้องแกโน่น ไม่ต้องมาห้ามฉัน!”

ตะวันถึงกับถอนใจด้วยความเหนื่อยหน่าย เขาชักเริ่มไม่แน่ใจว่าตกลงแล้วใครกันแน่ที่ไม่ได้รับการสั่งสอน ซึ่งอาทิตย์อาจจะผิดจริงที่ไปพูดใส่นลินีแบบนั้น แต่ถ้าเธอไม่ตวาดใส่น้องพีจนร้องไห้ ตะวันก็มั่นใจว่าอาทิตย์ไม่มีทางพูดจาแบบนั้นใส่นลินีแน่ๆ เพราะที่แกทำแบบนั้นลงไปก็เพราะแค่อยากที่จะปกป้องเพื่อนสนิทของตัวเองไม่ให้ถูกตวาดจนร้องไห้หนักกว่าเดิมก็แค่นั้น

“ครับ ผมรู้ตัวว่าผมอาจจะผิดที่สอนน้องไม่ดี แต่ผมแค่สงสัยว่าคุณนลินีเองรู้ตัวหรือเปล่าว่าคุณเองก็กำลังทำกริยาและท่าทางแย่ๆ ใส่ผมและเด็กๆ อยู่เหมือนกัน... ไม่ทราบว่าอันนี้เป็นเพราะไม่ได้รับการสั่งสอนเหมือนที่คุณด่าว่าน้องชายผม หรือเป็นที่ ‘นิสัยดั้งเดิม’ ของคุณเองกันแน่ครับ”

ตะวันพูดเรียบๆ นิ่งๆ ไม่ใช่คำหยาบคายสักคำ เพราะยังไงสัยตรงนี้ก็มีเด็กๆ ยืนอยู่ด้วย ซึ่งตัวนลินีเองก็เหมือนจะอึ้งไปอยู่อึดใจหนึ่ง ก่อนจะส่งเสียงกรีดร้องออกมาดังลั่นร้าน เมื่อประมวลผลคำพูดของตะวันจนเข้าใจ

“แก.. แก! ไอ้ผิดเพศ! แกด่าฉันว่าสันดานเลวเหรอ?”

ตะวันถึงกับไพล่มือไปด้านหลัง เอื้อมไปปิดหูอาทิตย์ทันทีที่นลินีเริ่มผรุสวาท โชคดีที่น้องพีตกใจเสียงนลินีอยู่แล้ว เด็กน้อยจึงปิดหูตัวเองมาตั้งแต่ตอนที่ได้ยินเสียงนลินีตวาด ตะวันเลยต้องป้องกัน ไม่ให้น้องชายตัวเองได้ยินคำแย่ๆ พวกนี้ด้วย

“ผมไม่ได้พูดครับ คุณนลินีพูดของคุณเอง” ตะวันพูดหน้านิ่ง ริมฝีปากบางกระตุกยิ้มเย้ยน้อยๆ ราวกับอยากจะกวนประสาทคนตรงหน้า “แล้วอีกอย่าง ผิดเพศก็ดีกว่าผิดปกติทางจิตใจนะครับ เพราะอย่างหลังเนี่ย ดูแล้วยังไงก็คงเกินเยียวยา”


- อ่านต่อด้านล่าง -

ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
- ต่อจากด้านบน -


นลินีเลือดขึ้นหน้าทันทีที่ตะวันพูดจบ เธอกระทืบเท้าดิ้นเร่าๆ ส่งเสียงกรี๊ดจนสองพี่น้องอย่างมีนากับเมษาวิ่งออกจากครัวมาดู และดูเหมือนว่าหลังจากที่เธอกรี๊ดจนหมดเสียง เธอก็พุ่งตัวเข้ามาหาตะวัน เงื้อมือขึ้นสูงเตรียมฟาดลงบนแก้มขาวๆ ของคนที่กำลังยืนนิ่งปกป้องเด็กทั้งสองอย่างสุดแรง ตะวันก็ได้แต่เบิกตาโพลงเพราะตั้งรับไม่ทัน และคิดว่าคงหลบไม่พ้นแน่ๆ ใบหน้าน่ารักของชายหนุ่มจึงก้มลงเล็กน้อยและหลับตาเตรียมรับความเจ็บที่จะเกิดขึ้นยามที่ฝ่ามือเรียวปะทะลงมาที่แก้มตัวเอง ในหูได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองอื้ออึง จนไม่รู้ว่าเสียงใครเป็นเสียงใคร

“คุณตะวัน!!”

“พี่ตะวัน!!”

“ตัวเล็ก!!!!!!!!!”

ยกเว้น เสียงสุดท้าย เสียงของพลัฎฐ์ที่เหมือนดังอยู่ไม่ไกลจากตัวเท่าไหร่นัก...

และเมื่อตะวันลืมตาขึ้น เขาก็ได้เห็นแผ่นหลังกว้างที่มักจะคอยปกป้อง ดูแล เอาใจใส่เขาอยู่เสมอ แผ่นหลังที่คอยบดบังทั้งลม ทั้งฝน ทั้งแดด หรือแม้แต่อันตรายที่เข้ามาจู่โจม ... และในเวลานี้แผ่นหลังแผ่นเดิมที่คุ้นเคยก็กำลังทำหน้าที่โดยไม่ขาดตกบกพร่องเช่นกัน

... แผ่นหลังที่ตะวันรัก แผ่นหลังของพลัฎฐ์....

และเมื่อตะวันเงยหน้าขึ้นไปมองตามความยาวของเงาที่ทอดทับอยู่บนร่างกายตัวเอง เขาก็ได้เห็นว่ามือเรียวที่กำลังเงื้อขึ้นเตรียมฟาดลงบนแก้มเขา ยังคงถูกเงื้อไว้กลางอากาศเหมือนเดิม แต่ที่ต่างไปจากเดิมคือมีฝ่ามือใหญ่ของพลัฎฐ์กำลังกำแน่นอยู่บนข้อมือที่ถูกเงื้อไว้ พร้อมกับเสียงทุ้มต่ำเย็นชาที่เค้นผ่านลำคอของพลัฎฐ์อย่างน่ากลัว


“นลินี! ถ้าคุณกล้าแตะต้องตะวันและเด็กๆ ของผม ... ผมเอาคุณตายแน่!! คุณจะลองดูก็ได้!”


พอสิ้นคำของพลัฎฐ์ก็ดูเหมือนนลินีจะอึ้งไป ดวงตากลมโตที่ปัดมาสคาร่ามาอย่างดีถึงกับเบิกกว้าง เธอยอมรับว่าเธอไม่ได้คาดคิดว่าจะเจอพลัฎฐ์ที่นี่ เพราะตั้งใจจะมาทวงคนรักเก่าคืนจากตะวันแล้วก็จะรีบไป ทำวิธีไหนก็ได้ให้ผู้ชายข้างบ้านของพลัฎฐ์ผิดใจแล้วขอเลิกรากับคนรักเก่าเธอ เพื่อที่เธอจะได้เขากลับมาครอบครองอีกครั้ง เพราะหลังจากที่เลิกรากันไปหลายปี เธอก็พบว่าไม่ใครดีและสมบูรณ์แบบเท่ากับพลัฎฐ์อีกแล้ว ที่ตอนนั้นเธอเลิกรากับเขาไปเพราะเธอทำใจไม่ได้ที่จะต้องมาอุ้มชูเลี้ยงดูลูกคนอื่น ถึงแม้จะเป็นหลานชายแท้ๆ ของพลัฎฐ์ก็ตาม ประกอบกับตอนนั้นเธอมีไฮโซทายาทบริษัทนำเข้ารถมาติดพัน ทำให้เธอตัดสินใจทิ้งพลัฎฐ์ได้อย่างไม่ไยดี แต่ต่อมาเธอก็พบว่าผู้ชายที่คบหาเธอนั้น ไม่ใช่ก้อนเพชรอย่างที่เธอคาดหวัง ในขณะที่พลัฎฐ์ที่เธอทอดทิ้งไปต่างหากที่เป็นก้อนเพชรที่เลอค่าที่สุดที่เธอทำหลุดมือไป

พลัฎฐ์ประสบความสำเร็จทั้งในหน้าที่การงาน ทั้งฐานะทางสังคมและฐานะการเงิน ล้วนแล้วแต่สร้างความเสียดายให้เธอทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นวันนี้เธอจึงกลับมา กลับมาทวงผู้ชายที่ควรจะเป็นของเธอคืน ส่วนเรื่องเด็กชายลูกติดนั่นเธอวางแผนเอาไว้แล้วว่าจะเขี่ยทิ้งหลังจากที่เธอกลับมาคบกับพลัฎฐ์แล้ว เพราะเธอมั่นใจว่าพลัฎฐ์ยังคงรักเธออยู่และลืมเธอไม่ได้ เนื่องจากเธอเป็นรักแรกและรักปักใจของเขามาตลอดตั้งแต่คบกันตอนเรียนมหาวิทยาลัย ซึ่งสิ่งที่ตอกย้ำให้เธอมั่นใจแบบนั้นนั่นก็เพราะจนผ่านไปหลายปี นลนีก็ไม่เคยได้ข่าวว่าพลัฎฐ์มีแฟนใหม่หรือคบใครอีก

แต่พอเธอหวนกลับมาเมื่อวานพลัฎฐ์กลับมีท่าทีเปลี่ยนไป เขาเย็นชาใส่เธอ อีกทั้งยังประกาศกร้าวอีกว่าตอนนี้กำลังคบกับเด็กผู้ชายข้างบ้านเป็นแฟน ซึ่งนอกจากจะทำให้นลินีตกใจมากแล้ว ก็ยังทำให้เธอแค้นมากเช่นกัน เพราะคนรักเก่าที่เธอคาดหวังจะกลับมาหาปฏิเสธเธอเพียงเพราะเด็กผู้ชายธรรมดาๆ คนหนึ่ง แบบนี้มันเหมือนกับดูถูกศักดิ์ศรีของเธอเหลือเกิน

“คุณกล้าปกป้องมันต่อหน้าลินีเหรอคะพลัฎฐ์”

หญิงสาวที่ยามนี้สั่นไปทั้งตัวเพราะความโกรธสาดเสียงใส่เจ้าของร่างกายสูงใหญ่ด้วยความเคียดแค้น แต่คนที่ถูกต่อว่ากลับไม่สะทกสะท้านสักนิด แถมยังเหวี่ยงข้อมือที่จะเงื้อตีคนรักของเขาให้ออกไปพ้นทางโดยไม่สนใจว่าผู้หญิงตรงหน้าจะรู้สึกเจ็บอะไรตรงไหนทั้งนั้น

“ผมจะไม่แค่ปกป้องตะวัน... เพราะถ้าคุณยังมายุ่งวุ่นวายไม่เลิก ผมจะทำยิ่งกว่านี้แน่” พลัฎฐ์พูดอย่างเย็นชา “ในเมื่อพูดกันดีๆ แล้วไม่รู้เรื่องก็ไม่ต้องพูด ผมเองก็ไม่จำเป็นที่จะต้องทำดีกับคนที่คิดจะทำร้ายคนรักของผมเหมือนกัน”

ตะวันได้ยินถ้อยคำหนักแน่นและชัดเจนของพลัฎฐ์ก็อุ่นวาบไปทั้งใจ เขาไม่คิดเลยว่าพลัฎฐ์จะปรากฎตัวได้ทันช่วงเวลาพอดี เมื่อกี้ตะวันยอมรับว่าตกใจมาก เพราะไม่คิดว่านลินีจะถึงขั้นตบตีกัน ลำพังตัวเองเจ็บตะวันไม่กลัว แต่เขากลัวว่าเด็กๆ จะพลาดโดนลูกหลงเจ็บไปด้วยมากกว่า เพราะถ้าเป็นแบบนั้นตะวันคงรู้สึกแย่มากแน่ๆ

“ทำไมคะ คุณหลงอะไรมันนักหนา ถึงได้หน้ามืดตามัวขนาดนี้” นลินีแค่นยิ้ม ทำเสียงแหลมออกจมูก ทั้งคำพูดทั้งสายตาลากไปที่ตะวัน ด้วยประโยคที่ดูถูกเต็มที่ “หรือว่าพอได้ลองของแปลกแล้วมันติดใจ ถึงได้โงหัวไม่ขึ้นแบบนี้”

ตะวันตาเบิกโตกับถ้อยคำที่นลินีพูด มันทั้งหยาบคายและเต็มไปด้วยการเหยียดหยาม คนตัวเล็กหันซ้ายหันขวามองไปที่เด็กน้อยทั้งคู่ ก่อนที่ลากสายตาไปที่คู่พี่น้องที่ยังคงยืนอยู่ตรงมุมหน้าห้องครัว แล้วพยักเพลิดให้มาพาเด็กๆ ไปหลบที่โซนหลังร้าน ซึ่งเมษเองพอเห็นตะวันส่งสัญญาณมาแบบนั้นก็พุ่งตัวเข้าไปรับน้องพีที่ตะวันอุ้มอยู่กับจูงเจ้าอาทิตย์ที่เกาะขาพี่ชายแน่นให้เดินตามตนมาที่ออฟฟิศหลังร้าน พร้อมกับที่มีนาเองก็เดินตามน้องชายเข้าไปติดๆ เพราะที่ยังยืนกันอยู่เมื่อกี้นั้นเธอกับน้องตั้งใจว่า ถ้าผู้หญิงร้ายกาจคนนั้นทำร้ายตะวันอีกเมื่อไหร่ เธอกับเมษก็จะพุ่งเข้าไปจัดการและช่วยเหลือเจ้านายตัวเองทันที โดยไม่ลังเลเช่นกัน แต่ในเมื่อตอนนี้พลัฎฐ์มาแล้ว ทั้งสองเชื่อว่าคนรักของเจ้านายจะปกป้องและดูแลคุณตะวันของพวกเขาได้ จึงตัดสินใจหลบฉากออกมาเพื่อให้ทั้งสามคนได้จัดการปัญหากันตามลำพังต่อไป

“นลินี!! ผมบอกให้หยุด!!!”

เสียงที่เคยนิ่งเย็นชาของพลัฎฐ์ตอนนี้กลับสั่นพอๆ กับร่างกายใหญ่โตที่ดูเหมือนจะควบคุมตัวเองได้ยากเข้าไปทุกที ตะวันจึงอดไม่ได้ที่จะยื่นมือเล็กของตัวเองไปลูบต้นแขนของคนรักที่ยืนข้างกายไว้แผ่วเบา และไม่น่าเชื่อว่าการทำแบบนั้นของตะวันจะทำให้พลัฎฐ์ค่อยๆ สงบลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ

“ตะวันไม่เป็นอะไรครับพี่พลัฎฐ์ ตะวันไม่เป็นอะไร” เสียงหวานที่พลัฎฐ์ชอบฟังยังคงกระซิบแผ่วเบาขับกล่อมอยู่ไม่ไกล และสามารถกล่อมให้คนตัวโตกว่าอย่างพลัฎฐ์รวบรวมสติได้มากขึ้น

แต่คนมองมาอย่างนลินีกลับยิ่งคลั่งแค้น เมื่อเห็นสายตาของพลัฎฐ์ที่มองสบกับตะวันอย่างห่วงใยซึ่งกันและกัน ทำให้ไฟริษยาในตัวเธอลุกโชน ในสมองตอนนั้นของเธอเอาแต่สั่งการย้ำๆ ว่า …


เธอจะไม่มีวันยกพลัฎฐ์ให้ใคร เด็กคนนั้นไม่เหมาะสมและคู่ควรกับพลัฎฐ์ของเธอ เธอต่างหากคือคนที่เหมาะสมและคู่ควรที่จะยืนข้างพลัฎฐ์มากที่สุด!!


และพอคิดได้แบบนั้นเธอก็พุ่งเข้าหาคนทั้งคู่อีกรอบ จงใจจะยื้อแย่งดึงพลัฎฐ์ให้หวนกลับมาหาตัวเอง ซึ่งแม้จะเป็นเพียงการกระทำโง่ๆ แต่นลินีก็ไม่ได้เหลือสติให้ไต่ตรองอะไรทั้งนั้น

เมื่อพลัฎฐ์หันมาเห็นว่านลินีโถมตัวเข้ามาเขาก็หันกลับมาโอบกอดตะวันไว้ และพาตัวคนในอ้อมกอดออกมาจากวิถีที่นลินีจะเข้าถึงโดยสัญชาตญาณ ซึ่งการกระทำแบบั้นของพลัฎฐ์ก็ทำให้นลินีเสียหลักเนื่องจากถูกขยับหนีไป ร่างบอบบางของหญิงสาวจึงล้มลงไปนั่งบนพื้นอย่างน่าสงสาร เธอกรีดร้องลั่นเมื่อทุกอย่างไม่เป็นไปอย่างที่ใจเธอต้องการแม้แต่นิดเดียว

“กรี๊ดดดดดดดดดด!!”

ตะวันเบิกตามองนลินีที่ล้มไปนั่งบนพื้นด้วยสายตาตระหนกตกใจ ในขณะที่พลัฎฐ์ไม่ได้สนใจอะไรผู้หญิงคนนั้นเลยสักนิด เขามัวแต่ก้มลงมองสำรวจร่างกายนุ่มนิ่มในอ้อมกอดของตัวเอง ก่อนจะเอ่ยถามคนตัวเล็กกว่าอย่างร้อนใจ

“ตัวเล็ก ตัวเล็กเจ็บตรงไหนรึป่าวครับ หื้ม?”

และตะวันเอง พอได้ยินเสียงของพลัฎฐ์ที่ดังอยู่ข้างหูร้องถามก็ละสายตาจากหญิงสาวที่กำลังกรีดร้องขึ้นมาช้อนมองใบหน้าหล่อเหลาที่อยู่ห่างกันไม่ถึงคืบ

“ไม่ครับ ตะวันไม่เป็นอะไร” ตะวันส่ายหน้า ก่อนจะยกมือลูบตามแขนตามแก้มของพลัฎฐ์อย่างห่วงใยไม่ต่างกัน “แล้วพี่พลัฎฐ์ล่ะครับ เจ็บตรงไหนรึป่าว”

พลัฎฐ์เองก็ส่ายหน้า พร้อมกับยิ้มตอบคนที่ทำหน้าทำตาไม่สบายใจอยู่ในอ้อมกอดของตัวเองอย่างอ่อนโยน

“พี่ไม่เจ็บตรงไหนเลย ห่วงก็แต่ตัวเล็กมากกว่า” น้ำเสียงที่ดูกังวล คิ้วเข้มที่ขมวดมุ่น อีกทั้งใบหน้าหล่อเหลาที่ดูไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ยืนยันคำพูดของพลัฎฐ์ได้อย่างดี

“ไม่ต้องห่วงตะวันนะครับพี่พลัฎฐ์ ตะวันโอเค ห่วงก็แต่...” ตะวันพูดยังไม่ทันจบคำก็ลากสายตากลับไปที่หญิงสาวที่มาก่อเรื่องวุ่นวายในวันนี้ ก่อนที่จะพบว่าเธอลุกขึ้นยืนตอนไหนไม่รู้ และก็กำลังพุ่งเข้ามาหมายจะกระชากแขนพลัฎฐ์ให้ไปหาตัว

พลัฎฐ์เองก็มองตามสายตาตะวันไป พอเห็นว่านลินีจวนเจียนจะถึงตัวเขากับตะวันแล้ว พลัฎฐ์ก็ดันตะวันกลับเข้าอ้อมกอดอีกครั้งแล้วหันหลังให้นลินี เพื่อป้องกันไม่ให้ตะวันโดนลูกหลงอะไรจากนลินี แต่กลายเป็นว่าแขนของพลัฎฐ์กลับถูกเล็บของนลินีครูดยาวจนเลือดซึม เพราะหมายจะดึงรั้งพลัฎฐ์เข้าหาตัว

"พลัฎฐ์คะ ลินีรักคุณนะคะ ทำไมคุณถึงกับลินีแบบนี้ ลินีกลับมาเพราะลินีรักคุณนะคะ"

เมื่อไม่เห็นหนทางที่จะดึงรั้งพลัฎฐ์ไว้ หญิงสาวก็เอ่ยออดอ้อนเรียกคะแนนสงสาร ทำได้แม้กระทั่งยอมรับข้อเสนอที่พลัฎฐ์เคยขอไว้เมื่อหลายปีที่แล้ว

"ถ้าคุณอยากให้ลินีเป็นแม่น้องพี ลินีก็จะเป็น ลินีทำได้ทุกอย่างเพื่อคุณนะพลัฎฐ์"

จบคำพูดของนลินี ตะวันก็ขมวดคิ้วมุ่น ถ้านลินีพูดแบบนี้ก็หมายความว่า นลินีก็ไม่ใช่ภรรยาเก่าของพลัฎฐ์ ไม่ใช่แม่ของน้องพี แล้วตกลงแม่ของน้องพีคือใคร ในเมื่อนลินีเองก็ป่าวประกาศตั้งแต่แรกว่าเธอเป็นหญิงสาวคนเดียวที่คบกับพลัฎฐ์มาตลอด

ยิ่งคิดตะวันก็ยิ่งสับสน แต่อย่างน้อยสิ่งหนึ่งที่พอที่จะทำให้ตะวันโล่งใจได้ก็เห็นจะเป็นเรื่องที่ว่านลินีไม่ใช่มารดาแท้ๆ ของน้องพีนี่แหละ เพราะเอาเข้าจริงแล้ว ตะวันก็แทบนึกไม่ออกเลยว่าถ้านลินีเป็นแม่ของน้องพีจริงๆ น้องพีจะเป็นยังไง ถูกเลี้ยงดูแบบไหน เพราะท่าทางของนลินีนั้นเรียกได้ว่าแทบจะไม่มีคุณสมบัติข้อไหนเลยที่จะเป็นแม่ของคนๆ หนึ่งได้เลย

"ไม่จำเป็นแล้วลินี เพราะตอนนี้ผมมีคนที่พร้อมจะดูแลผมและลูก พร้อมจะอยู่เคียงข้าง พร้อมจะฝ่าฟันทุกอย่างและก้าวเดินไปกับผม แม้ว่าผมจะไม่ร้องขออะไรเลยก็ตาม"

พลัฎฐ์โอบกระชับอ้อมกอดคนที่เขาพูดถึงไว้แน่น พร้อมกับพูดถึงอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

"ผมเจอคนที่ผมอยากจะฝากชีวิตตัวเองกับลูกไว้ด้วยแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องกลับมาหาผมหรอก เราต่างคนต่างไปเถอะลินี อย่าให้ผมรู้สึกแย่มากไปกว่านี้เลย"

ถ้อยคำตอกย้ำหนักแน่นทำให้นลินีเคียดแค้นพลัฎฐ์จนแทบคลั่ง หนำซ้ำยังอิจฉาตะวันจนแทบกระอัก

มันควรเป็นเธอไม่ใช่เหรอที่ได้รับความรักดีๆ แบบนี้

มันควรเป็นเธอไม่ใช่เหรอที่พลัฎฐ์จะคอยโอบกอด และปกป้องแบบนี้

และด้วยความขาดสติ ทำให้นลินีฉวยกล่องใส่กระดาษทิชชู่บนโต๊ะใกล้มือขว้างออกไป หวังจะให้ทั้งสองผละออกจากกัน แต่มันกลับลอยสูงตรงเข้าสู่ใบหน้าสวยหวานของตะวัน ซึ่งพลัฎฐ์ก็ไวพอที่จะโอบตะวันไว้ แล้วเอาตัวเข้าบังแทน ทำให้กล่องกระดาษนั้นปะทะเข้าที่ไหล่ของพลัฎฐ์เต็มๆ

"พี่พลัฎฐ์!!'

"พลัฎฐ์คะ!!"

เสียงเรียกของทั้งตะวันและของทั้งนลินีดังขึ้นพร้อมกัน พร้อมๆ กับเส้นความอดทนของพลัฎฐ์ที่สิ้นสุดลงด้วย

คนตัวโตหันกลับมามองนลินีด้วยสายตาเย็นชา เสียงทุ้มที่เอ่ยออกมาเรียบนิ่ง แต่กลับทำให้คนที่ได้ยินสะท้านไปทั้งแผ่นหลัง

"ผมเตือนคุณแล้วนะนลินีว่าห้ามแตะต้องหรือทำร้ายตะวันของผม แต่ในเมื่อคุณไม่ฟัง อย่ามาหาว่าผมใจร้ายกับคุณก็แล้วกัน"

พูดจบพลัฎฐ์ก็ยกมือถือขึ้นมาแล้วโทรออกไปยังเบอร์ที่ไม่มีใครมองเห็น รอสายอยู่ไม่นานปลายทางก็กดรับ พลัฎฐ์จึงกรอกเสียงที่เป็นทางการลงไป

"ฮัลโหล หนึ่งเก้าหนึ่งใช่ไหมครับ ตอนนี้มีคนมาอาละวาดที่ร้านแฟนผมครับ.. ครับใช่ครับ ทำร้ายข้าวของด้วย"

ตะวันอ้าปากค้างในขณะที่นลินีดูเหมือนจะสติหลุดไปแล้ว เพราะคาดไม่ถึงว่าพลัฎฐ์จะโทรแจ้งความแบบนี้

"ผมรบกวนส่งสายตรวจมาระงับเหตุหน่อยได้ไหมครับ... ครับ ที่อยู่คือถนนxx ข้างตึกวัฒนไพศาลกุล ติดถนนใหญ่ ร้านเดอะซัน'ส์ เรสเตอรองครับ .. ครับขอบคุณครับ ผมจะรอนะครับ"

หลังจากพลัฎฐ์วางสายตะวันก็อ้าปากแล้วก็หุบแล้วก็อ้า เพราะหาคำที่ตัวเองจะพูดไม่เจอในขณะที่นลินีกรีดร้องลั่น รู้สึกทั้งอายทั้งเสียหน้า ก่อนที่จะชี้หน้าทั้งพลัฎฐ์ทั้งตะวันด้วยนิ้วเรียวที่สั่นเทาพอๆ กลับร่างกายบอบบางของเธอ

"จำไว้นะ ทั้งคู่นั่นแหละ!!" ดวงตาของเธอที่มองมาเต็มไปด้วยความก้าวร้าว และชิงชัง ซึ่งถ้อยคำที่ส่งออกมาก็ไม่ต่างกัน "ฉันจะทำลายความรักของแกสองคนให้ย่อยยับ อย่าหวังว่าจะมีความสุข เพราะฉันคนนี้นี่แหละจะขัดขวางแกสองคนเอง!!!"

ในขณะที่เสียงแหลมหวีดวี๊ดๆ ยังถูกสาดใส่คนทั้งสอง ก็ไม่ได้มีใครสังเกตเห็นชายหญิงค่อนข้างมีอายุสองคนที่เพิ่งจอดรถที่หน้าร้าน และกำลังเดินตรงมาที่ประตูร้านของตะวัน

ซึ่งนลินีเองก็ยังคงสาดความเกลียดชังใส่ทั้งพลัฎฐ์และตะวันไม่ยอมหยุด โดยเฉพาะอดีตคนรักเก่าของเธอ

"โดยเฉพาะคุณ! พลัฎฐ์!! ฉันอุตส่าห์กลับมา ยอมกลับมาให้โอกาสคุณ ยอมกลับมาเป็นแม่ปลอมๆ ให้ไอ้เด็กกาฝากนั่น! แต่คุณก็ยังปฏิเสธฉัน.. คอยดูเถอะ แล้วคุณจะเสียใจที่ทำแบบนี้"

ตะวันชักสีหน้าทันทีที่ได้ยินนลินีเรียกน้องพีว่าเด็กกาฝาก ในขณะที่ริมฝีปากจิ้มลิ้มกำลังจะต่อว่าผู้หญิงร้ายกาจตรงหน้า เสียงทุ้มของพลัฎฐ์กลับดังสวนขึ้นมาก่อน และเป็นประโยคที่ตะวันได้ยินแล้วก็ทึ่ง อดแปลกใจไม่ได้กับพลัฎฐ์ในเวอร์ชั่นแบบนี้


"เชื่อผมเถอะครับลินีว่าผมไม่มีวันเสียใจแน่ๆ ที่ไม่กลับไปหาคุณ ตรงกันข้ามผมออกจะดีใจและรู้สึกขอบคุณด้วยซ้ำ ไม่ได้ขอบคุณที่คุณกลับมานะครับ แต่ขอบคุณที่คุณปฏิเสธผมและลูกในวันนั้น เพราะถ้าคุณไม่ทำแบบนั้นผมคงไม่ได้เจอตะวันที่แสนดีในวันนี้แน่ๆ"

พลัฎฐ์ว่าพลางส่งยิ้มอ่อนโยนให้ตะวัน ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มแสยะ เมื่อหันกลับไปหานลินีอีกครั้ง

"เพราะฉะนั้น ออกไปได้แล้วครับนลินี ออกไปจากร้านนี้ และออกไปจากชีวิตเราสองคน เพราะถ้าคุณไม่ไป คุณก็น่าจะรู้นะว่าอะไรจะเกิดขึ้น คุณรู้ว่าผมเป็นยังไง ผมไม่เคยขู่ และผมก็ทำจริงเสมอ"

ดวงตานลินีวาววับ ก่อนจะกรี๊ดออกมาดังลั่น และพอเห็นว่าทำอะไรไม่ได้ เรียวขาสวยบนรองเท้าส้นสูงราคาแพงก็เดินกระแทกไปที่หน้าร้าน เรียกสายตาสองคู่ของทั้งพลัฎฐ์และตะวันให้มองตาม ก่อนที่ดวงตากลมของตะวันจะเบิกกว้างด้วยความตกใจ เมื่อเห็นว่าประตูหน้าร้านที่ควรจะว่างเปล่ากลับปรากฎร่างของชายหญิงสูงวัยที่ยังดูแข็งแรงและคล่องแคล่ว แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าทันสมัย อ่อนกว่าวัยที่ควรจะเป็น

ซึ่งนลินีก็แหวเสียงลั่นก่อนจะเดินกระแทกไหล่ชายหญิงคู่ดังกล่าวที่ยืนอยู่ตรงนั้นเพื่อผลักประตูเดินออกจากร้าน

แม้ว่ากำลังจะไป นลินีก็ยังคงแสดงท่าทีก้าวร้าวและหยาบคายจนหยดสุดท้าย เธอหันมาหาตะวันกับพลัฎฐ์ ริมฝีปากแดงที่ถูกแต่งแต้มด้วยลิปสติก ยิ้มเหยียด เธอพูดออกมาก่อนที่จะหันไปผลักประตูแล้วเดินออกไป

"อ้อ หวังว่าไอ้เด็กกาฝากนั่นมันจะไม่สับสนนะ พ่อก็เป็นผู้ชาย แม่ใหม่ก็เป็นผู้ชาย เตรียมตอบคำถามของมันให้ดีๆ ล่ะ ว่าทำไมพ่อกับแม่ใหม่มันถึงเป็นเพศเดียวกัน หึ! ท่าทางจะสนุกน่าดู"

คำพูดเสียดสีถูกเอ่ยทิ้งไว้ให้ลอยอยู่ในอากาศอย่างอึดอัด ทำให้ตะวันหลุกหลิกและหน้าซีดอย่างที่ไม่เคยเป็น

และพอคล้อยหลังผู้หญิงคนนั้นแล้ว เสียงทุ้มฟังดูทีอำนาจก็ดังกังวานในร้านอาหาร แม้เจ้าของเสียงจะไม่ได้ดุหรือพูดอย่างไม่พอใจก็ตาม


"พี่ตะวันนี่มันอะไรกัน? ใครจะให้คำตอบพ่อได้บ้าง หื้ม?"


พลัฎฐ์ตะลึงงัน แม้จะยังโมโหนลินีอยู่ แต่ดูเหมือนกับว่าชายหญิงสูงวัยตรงหน้าจะดึงความสนใจของเขาได้ไปทั้งหมด

และยังไม่ทันจะได้หันไปถามว่าทั้งสองท่านคือใคร เสียงแผ่วๆ ของตะวันที่ดังขึ้นก็กลายเป็นคำตอบได้อย่างดี


"คุณพ่อ คุณแม่ กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ...?"


พระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกหรือยังไงนะพลัฎฐ์!

.

.

.

To Be Continue

-------------------------------------

ข้าน้อยขอกราบประทานอภัย ไม่ได้ลงฟิคตามกำหนดสัญญา เพราะไปต่างจังหวัดมา เพิ่งกลับเลยจ้าาาา แหะๆ ><

เหมือนจะไม่หมดม่าเนาะ 5555555 แต่เชื่อเถอะว่าหลังจากนี้จะเบาขึ้นเยอะอย่ากังวลลลล อีกนิดก็คลี่คลายแล้วค้าบบบ

อย่างไรก็ดีฝากติดแท็ก #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว ในทวิตเตอร์ด้วยนะคะ แล้วก็ขอบคุณมากๆ สำหรับทุกคอมเม้นท์และกำลังใจ ตอนหน้าเจอกันวันอังคารเหมือนเดิมน้าา ... เริ้บทุกคน ❤

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
:: Chapter 21st - ครอบครัวรุ่งวิริยะจรรยา ::


Palat’s Part

หลังจากไปตะวันออกไปเคลียร์กับตำรวจสายตรวจที่แวะเข้ามาสอบถามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว ตัวเล็กของผมก็กลับเข้ามาในร้านอีกครั้ง ตอนนี้โต๊ะอาหารตัวใหญ่ของร้านถูกนำมาใช้ในการพูดคุยถึงเรื่องราวที่บิดาและมารดาของตะวันเห็นก่อนหน้า ท่านทั้งสองดูตกใจไม่น้อยที่เปิดประตูร้านเข้ามาแล้วเห็นว่ามีผู้หญิงมายืนชี้หน้าด่าลูกชายของตนเองเสียงดังลั่น แถมยังมีท่าทีคุกคามจ้องจะทำร้าย และถ้าผมเดาไม่ผิดท่านน่าจะตกใจมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมตอนที่ได้เห็นลูกชายตัวเองยืนกอดอยู่กับใครไม่รู้ และใครที่ไม่รู้ที่ว่าก็คือผมเอง

จากที่ตั้งใจจะมาเซอร์ไพร์สลูกชาย กลับกลายเป็นตัวเองเซอร์ไพร์สเสียเอง .... เล่นเอาผมทำหน้าไม่ถูกไปเลยเหมือนกัน

และดูเหมือนเวลาที่ผมลุ้นระทึกก็เดินทางมาถึง เพราะพอตะวันทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามบุพการีของตนเอง และมีผมนั่งข้างๆ ประมุขของบ้านรุ่งวิริยะจรรยา ก็เอ่ยปากถามขึ้นทันที

“เอาล่ะ ผมจะถามซ้ำอีกครั้ง ว่าที่ผมเห็นทั้งหมดเมื่อกี้มันอะไรกัน” สายตาคมที่ไม่บ่งบอกอารมณ์ของคนพูดสักเท่าไหร่ มองไล่จากบุตรชายตนเอง เลยมายังผม ก่อนที่จะหยุดมองผมพิจารณา “ผู้หญิงคนเมื่อกี้เป็นใคร เธอมาทำอะไร แล้วทำไมอาละวาดเสียใหญ่โตขนาดนี้ ... รวมถึงคุณด้วย คุณเป็นใคร เป็นอะไรกับลูกชายผม”

“พ่อครับ คือตะวัน...” ร่างเล็กข้างกายของผมกลายเป็นคนที่ร้อนรนขึ้นมาทันทีที่คุณว่าที่พ่อตาถามจบ ใบหน้าน่ารักดูตระหนกเล็กน้อย ปากเล็กเหมือนพยายามจะอ้าบอกอธิบายคนเป็นพ่อ แต่ผมเอื้อมมือไปจับมือเล็กที่วางอยู่บนหน้าตักนุ่มๆ นั่นเสียก่อน พอตะวันหันมามอง ผมก็ยิ้มบางๆ ให้อีกฝ่าย และส่งสัญญาณบอกตะวันว่าผมจะเป็นคนตอบคำถามของคุณภาสกรเอง

“ก่อนอื่น ผมขอสวัสดีและแนะนำตัวก่อนนะครับ”

มันอาจจะดูใจเย็นไปสักหน่อย แต่ท่านทั้งสองเป็นผู้ใหญ่กว่า ผมจึงไม่ควรละเลยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้

ผมปล่อยมือของตัวเองออกจากมือของตะวัน ก่อนที่จะลุกขึ้นเต็มความสูงพร้อมกับพุ่มมือไว้ที่อกยกไหว้บิดาและมารดาของคนรัก พลางเอ่ยแนะนำตัว

“สวัสดีครับคุณอาทั้งสอง ผมพลัฎฐ์ วัฒนไพศาลกุล” พอถึงตรงนี้ผมก็สูดหายใจเฮือกใหญ่เข้าปอดเพื่อเรียกความกล้า ก่อนที่จะพูดประโยคต่อมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ “และผมเป็นคนรักของตะวันครับ”

ปฏิกริยาที่ได้รับจากคุณพ่อและคุณแม่ของน้องไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่สำหรับผม แต่กับตะวันนั้นตอนนี้หน้าซีดเผือดไปแล้ว

คุณพ่อตะวันดูเก็บอาการได้ดีกว่าคุณแม่นิดหน่อย แต่ถึงอย่างนั้นท่านก็ยังดูตกใจมากอยู่ดี ใบหน้าคร้ามคมที่ดูไม่ค่อยคล้ายกับตะวันสักเท่าไหร่ ดูเรียบตึงขึ้นมาทันทีหลังจากได้ยินคำบอกเล่าของผม ในขณะที่คุณรวิวรรณคุณแม่ของน้อง ตอนนี้ตาเบิกโต มือเรียวสวยถูกยกมือขึ้นปิดปากน้อยๆ ราวกับไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ใบหน้าสวยหวานที่ตะวันถอดแบบแม่มาแทบจะทั้งหมด ยกเว้นจมูกโด่งเรียวที่ดูคล้ายว่าตะวันจะได้พ่อมาบ้าง แต่ถึงอย่างนั้นปลายจมูกของตะวันก็เชิดรั้นน้อยๆ ไม่ถึงกับเหมือนบิดาเสียทีเดียว ดูตกใจ แต่ก็ไม่ได้ถึงกับมากมายเท่าที่ผมหวั่นเกรงว่าจะเป็น

“คุณบอกว่าคุณเป็นอะไรกับพี่ตะวันนะคะ?” เสียงหวานของคุณแม่ของน้องไพเราะน่าฟังคล้ายๆ เสียงตะวันไม่มีผิด และเพราะเสียงหวานๆ นี่แหละเลยทำให้คำถามนั้นดูไม่น่ากลัวกับผมสักเท่าไหร่นัก ผมเลยตอบไปตามตรงอีกรอบ

“เป็นคนรักครับ... ผมเป็นแฟนของตะวัน”

ผมพูดย้ำ จนทำให้คนที่ถูกพาดพิงว่าเป็นแฟนถึงกับอยู่ไม่สุก ยื่นมือมาดึงไหล่ ดึงต้นแขน พยายามปรามผมให้ได้มากที่สุด แต่ผมไม่ฟัง

“แต่ .. แต่พี่ตะวันบอกคุณแม่ว่าคุณพลัฎฐ์เป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว อยู่ข้างบ้านของพี่ตะวันไม่ใช่หรอคะ?” คุณแม่ของตะวันหันไปถามตะวันด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก ในขณะที่ตัวตะวันเองก็อึกๆ อักๆ ก่อนจะตัดสินใจพูดออกมาเมื่อหันมาสบตาขอกำลังใจจากผม

“ใช่ครับ พี่พลัฎฐ์เป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวที่อยู่ข้างบ้านตะวัน วันนั้นตะวันกำลังจะบอกคุณแม่พอดีว่าคนที่ตะวันคบอยู่ก็คือพี่พลัฎฐ์ ... คนรักของตะวันคือคนข้างบ้านที่ตะวันเล่าให้แม่ฟัง คนนั้นแหละครับ”

ดูเหมือนว่าคุณแม่ของตะวันจะได้มีเรื่องให้ตกใจอีกรอบ ถ้าให้ผมเดา ผมคิดว่าคุณพ่อของน้องก็คงจะรู้สึกไม่ต่างจากคุณแม่สักเท่าไหร่ เพียงแต่ท่านไม่ได้แสดงออกอะไรมาก แต่ถ้าจะให้ผมสังเกตจากหัวคิ้วที่แทบจะชนกัน ก็คงจะบอกได้ว่าคุณพ่อน่าจะคิดมากไม่น้อยทีเดียว

“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน แต่เรื่องที่ผมอยากรู้มากกว่าคือเรื่องของผู้หญิงคนนั้น เธอเป็นใคร แล้วมาโวยวายอะไรที่นี่?”

คุณภาสกรถามและจ้องหน้าผมราวกับกำลังคาดคั้นเอาคำตอบ แต่ผมก็เลือกที่จะสบตาท่านไม่หลบตาไปไหน ไม่ใช่ว่าอยากจะก้าวร้าว แต่ผมแค่อยากแสดงความจริงใจให้คุณพ่อของตะวันเห็นก็แค่นั้นเอง

“ผู้หญิงคนที่คุณอาเห็นชื่อนลินีครับ เป็นคนรักเก่าของผม” ทุกคนเงียบไป แม้กระทั่งตะวันยังนั่งก้มหน้าบีบมือตัวเองที่ประสานอยู่บนตักแน่น ให้ผมต้องยื่นมือตัวเองไปกุมมือน้องไว้เบาๆ

“...”

“ผมกับเธอเลิกกันไปนานแล้วครับ แต่จู่ๆ เธอก็กลับมา แล้วพอได้รู้ว่าตะวันเป็นคนรักใหม่ของผมเธอก็มาหาเรื่องอาละวาด ทั้งที่ผมเองก็พยายามพูดคุยเรื่องนี้ให้เธอเข้าใจแล้ว แต่เธอก็ไม่ฟัง”

ผมพูดช้าๆ อย่างใจเย็น แม้ข้างในอกจะร้อนรุ่มเพราะเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็ตาม

“ซึ่งเรื่องนี้จะโทษว่าเป็นความผิดของเธอคนเดียวก็ไม่ได้ ผมเองก็ผิดที่ไม่ได้ดูแลตะวันให้ดีกว่านี้” ผมชี้แจงตามความเป็นจริง แต่ก็ไม่อยากจะโยนความผิดทั้งหมดให้นลินี เพราะในความเป็นจริงแล้วผมเองก็เป็นต้นเหตุ และประมาทเลินเล่อปล่อยให้น้องอยู่ลำพังกับเด็กๆ ทั้งที่เพิ่งเกิดเรื่อง ดังนั้น ถ้าจะหาคนผิด ผมเองก็ควรจะเป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน

“ผมยอมรับผิดทุกอย่างครับคุณอา ผมจะไม่ขอให้คุณอาเห็นใจ เพียงแต่ผมอยากจะขอโอกาส พิสูจน์ตัวเองให้คุณอาทั้งสองท่านเห็นว่าผมจะดูแลน้องให้ดีกว่าที่ผ่านมา และไม่ทำให้ตะวันกับอาทิตย์เดือดร้อนเพราะเรื่องแบบนี้อีก”

ผมสบตาคุณพ่อของตะวันอย่างแน่วแน่ พยายามให้ท่านมองเห็นความจริงใจผ่านทุกการแสดงออกของผม แต่แล้วผมก็ต้องรู้สึกเหมือนหัวใจถูกกระชาก เมื่อได้ยินเสียงเย็นเยียบดังออกมาจากริมฝีปากหยักลึก ด้วยประโยคที่ฟังแล้วผมอึดอัดไปทั้งหัวใจ

“ผมไม่ต้องการฟังคำพูดสวยหรูอะไรทั้งนั้น” น้ำเสียงเด็ดขาดของคุณภาสกรทำให้ผมหน้าซีด

“คุณพ่อ...” ในขณะเดียวกันก็ต้องเจ็บร้าวไปทั้งอกเมื่อได้ยินเสียงอ่อนแรงของตะวัน และยิ่งพอหันไปมองใบหน้าน้องก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกทั้งปวดใจและดีใจไปในคราวเดียวกัน

ผมดีใจเพราะเหตุการณ์นี้ทำให้เห็นว่าตะวันไม่อยากเลิกกับผม ถึงแม้เรากำลังจะมีเหตุการณ์ที่ไม่เข้าใจกัน แต่ตะวันก็ไม่อยากที่จะถูกพรากให้ห่างจากผม ด้วยเหตุผลที่ว่าครอบครัวน้องไม่โอเคที่เราจะคบกัน

แต่ผมก็ปวดใจ เพราะถึงแม้ตะวันจะอยากให้เราคบกันต่อมากแค่ไหน แต่ถ้าคุณพ่อกับคุณแม่น้องไม่ยอม เราสองคนจะช่วยกันฝ่าฟันเรื่องเหล่านี้ไปด้วยกันได้ยังไง

“ตัวเล็ก เดี๋ยวพี่คุยกับคุณอาให้นะครับ” ผมพยายามปลอบน้องก่อนที่จะหันไปทางบิดาของน้องอีกครั้งเพื่อขอร้อง แต่ยังไม่ทันที่จะเอ่ยพูดอะไร อีกฝ่ายก็พูดสวนออกมาก่อนจนผมนิ่งเงียบ เกิดพูดไม่ออกมาขึ้นมาเสียดื้อๆ

“คุณจะให้ผมยอมรับคุณง่ายๆ ทั้งที่การเจอกันครั้งแรกระหว่างเรา คือการที่คนรักเก่าของคุณมายืนด่าลูกชายผมฉอดๆ งั้นเหรอ? ผมถามคุณในฐานะที่เป็นพ่อคนเหมือนกันนะ ว่าคุณจะรับได้ไหมถ้าต้องให้ลูกชายตัวเองไปคบกับคนที่ทำให้ลูกชายของคุณถูกด่า ถูกว่า แถมจะถูกทำร้ายร่างกายแบบนี้น่ะ?”

“...”

“พ่อแม่ที่ไหนกันจะยอมให้ลูกตัวเองไปคบกับคนแบบนั้น จะมีอะไรมารับรองว่าถ้าผมปล่อยให้ลูกผมไปคบกับคุณแล้วลูกผมจะไม่เจอเหตุการณ์แบบนี้ซ้ำอีก ... ผมเลี้ยงของผมมาอย่างกับแก้วตาดวงใจ ทำไมผมถึงต้องยอมให้ใครหน้าไหนก็ไม่รู้มายืนว่าลูกผมปาวๆ ด้วย”

คุณพ่อของตะวันพูดเสียงเรียบ แต่ผมเห็นมือของท่านกำเข้าหากันแน่น ให้คุณแม่ของน้องต้องยื่นมือไปลูบต้นแขนของสามีไว้เบาๆ

“คุณคะ ใจเย็นๆ นะคะ ค่อยๆ พูดค่อยๆ จากัน”

ผมนิ่ง และทบทวนตามที่คุณพ่อน้องพูด ถ้าจะว่ากันตามตรงในฐานะที่ผมเป็นพ่อเหมือนกัน ผมเข้าใจความรู้สึกของท่านดี แต่ในฐานะคนรักของตะวันผมเองก็ไม่อยากจะยอมแพ้ง่ายๆ โดยที่ยังไม่ได้พยายามทำอะไรเช่นกัน

“ผมเข้าใจในสิ่งที่คุณอาพูดนะครับ ถ้ามีใครมาทำแบบนี้กับลูกชายผม ผมก็คงไม่ยอมเหมือนกัน”

มือของตะวันที่ผมกุมอยู่สั่นทันทีที่ผมพูดออกมาแบบนั้น ใบหน้าน่ารักก้มจนชิดอก และพยายามจะกระตุกมือตัวเองออกจากมือผม และก่อนที่น้องจะเข้าใจผิดมากขึ้นกว่าเดิม ผมก็รีบพูดต่อ

“แต่ในฐานะคนรักของตะวัน ผมยอมแพ้แค่เพียงเพราะคุณอาไม่ไว้ใจผมจากเหตุการณ์ๆ เดียวไม่ได้ครับ” ตะวันเงยหน้าขึ้นมามองผมทันที ผมเองก็หันไปยิ้มบางๆ ให้น้องก่อนจะหันกลับไปหาผู้ใหญ่ทั้งสองอีกครั้ง

“ผมยอมรับครับว่าการพบกันครั้งแรกอาจจะไม่ประทับใจคุณอาสักเท่าไหร่ แต่ผมขอโอกาสพิสูจน์ตัวเองให้คุณอาเห็นไม่ได้เหรอครับ” ผมตัดสินใจลองเสี่ยงดวงดูอีกนิด แม้มันอาจจะฟังดูก้าวร้าวไปหน่อย แต่ถึงยังไงผมก็ต้องพูด “คุณอาคงไม่อยากถูกมองว่าตัดสินคนแค่เพียงครั้งแรกที่เห็นใช่ไหมครับ?”

“นี่คุณ!!..” แน่นอนว่าพ่อของน้องโกรธ แต่ผมกระโจนเข้าถ้ำเสือแล้ว ผมถอยไม่ได้

“ขอร้องนะครับคุณอา ถ้าผมเป็นคนแบบที่คุณอาเห็นและคิดจริงๆ ต่อให้ผมพยายามจะสร้างภาพแค่ไหน สุดท้ายผมก็ยังคงจะเป็นคนแบบที่คุณอาปรามาสไว้ แต่ถ้าผมพิสูจน์ตัวเองให้คุณอาเห็นได้ว่าผมรัก ผมจริงใจ และผมพร้อมจะดูแลปกป้องตะวัน คุณอาก็จะได้เห็นนะครับว่าผมทำได้จริงอย่างที่พูดหรือเปล่า”

ผมหงายไพ่ใบสุดท้าย ไม่รู้ว่าคุณพ่อกับคุณแม่น้องจะว่ายังไง แต่ผมก็เทหมดหน้าตักแล้ว ขอให้ท่านเห็นใจกันบ้าง สักนิดก็ยังดี

“คุณพ่อครับ...” ผมหันไปมองหน้าน้องที่เรียกบิดาตัวเองเสียงเศร้า ให้คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเหลือบตามองมาเล็กน้อย ก่อนที่คุณพ่อของตะวันจะถอนหายใจออกมา

“ก็ได้ ผมจะยอมให้โอกาสคุณ” คุณพ่อของน้องพูดเสียงเข้ม “ไปจัดการเคลียร์ตัวเองมาให้เรียบร้อย อย่าให้มีเรื่องต้องเดือดร้อนมาถึงลูกชายผมได้อีก”

“ครับ” ผมรีบรับปาก พลางหันไปกุมมือน้องไว้

ในที่สุดก็พอจะมีเรื่องให้ยิ้มได้ออกสักที แต่แล้วผมก็ต้องหน้าถอดสี เมื่อได้ยินเงื่อนไขที่คุณพ่อของน้องสั่งมา

“แล้วในระหว่างที่คุณไปจัดการเรื่องที่มันยุ่งเหยิงวุ่นวายนี่ ก็ยังไม่ต้องมาเจอตะวัน เรียบร้อยเมื่อไหร่ค่อยว่ากันอีกที”

ใบหน้าราบเรียบของคนพูดไม่ปรากฎอารมณ์อะไรให้ผมคาดเดาได้เลย ผมขมวดคิ้วคิดหนัก ในขณะที่ตะวันเองก็มือสั่น ผมแอบมองเห็นน้องหันไปสบตากับคุณแม่ ก่อนจะได้ยินเสียงไพเราะอ่อนโยนของคุณแม่ของตะวันดังขึ้น

“คุณคะ จะไม่ใจร้ายไปหน่อยเหรอคะ ยังไงตะวันกับคุณพลัฎฐ์ก็กำลังคบหากันอยู่นะคะคุณ”

ตะวันยิ้มออกมาบางๆ เมื่อเห็นว่าคุณแม่ตัวเองยอมช่วยพูด ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะช่วยได้มากแค่ไหน เพราะคุณพ่อของน้องยังคงนิ่งเฉยอยู่

“ก็อยากจะพิสูจน์ตัวเองไม่ใช่หรือไง ถ้าทนจะเจอกันแค่นี้ไม่ได้ ก็ไม่ต้องมาทำเป็นพูดเรื่องของโอก่งโอกาสอะไรหรอก” ดวงตาคมปราบหันมามองหน้าผม พร้อมส่งสายตาเป็นคำถามปนท้าทายเล็กๆ “ว่าไง ยังอยากจะพิสูจน์ตัวเองอยู่รึป่างล่ะ?”

ผมหันไปมองหน้าตะวัน ซึ่งน้องเองก็มองมายังผมด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงและวิตกกังวล ให้ผมต้องส่งยิ้ม และกระชับมือที่กุมมือเล็กอยู่ให้แน่นขึ้นกว่าเดิม ก่อนจะหันไปหาคุณพ่อของน้องอีกครั้ง

“ได้ครับ ตกลงครับคุณอา ผมจะไปจัดการเคลียร์ตัวเองให้เรียบร้อย แล้วหลังจากทุกอย่างจบลง ผมจะพาคุณพ่อกับคุณแม่มาพบคุณอาทั้งสอง เพื่อยืนยันว่าผมจริงจังกับตะวันมากแค่ไหน”

ผมสบตาคุณอาทั้งสองอย่างมุ่งมั่น และแอบเห็นความตกใจเล็กๆ ที่ปรากฎอยู่วูบหนึ่งในดวงตาคมปราบของคุณพ่อของน้อง แต่กับคุณแม่ผมได้เห็นรอยยิ้มบางๆ ที่ดูเหมือนจะพอใจกับสิ่งที่ผมบอกแทน

“เอาเถอะค่ะ คุณแม่ว่ารอไว้ให้ทุกอย่างเรียบร้อยก่อนแล้วกัน จากนั้นคุณพลัฎฐ์จะพาใครมาอะไรยังไง คุณพ่อกับคุณแม่ไม่ห้ามหรอก” คุณแม่ของตะวันพูดเสียงหวาน ท่านแทนตัวเองว่าแม่ แถมหันมายิ้มให้ผมด้วยอารมณ์ของคนที่ถือหางฝั่งผมเต็มที่ ทำเอาผมใจชื้นขึ้นมาไม่น้อย

เอาวะ อย่างน้อยผมก็ยังมีพรรคพวกอยู่อย่างน้องหนึ่งคนแหละนะ อ่อ! รวมเจ้าอาทิตย์ไปอีกหนึ่งเป็นสองคนถ้วน

“คุณ...” แต่ดูเหมือนว่าคุณพ่อของน้องดูจะไม่ชอบใจเท่าไหร่นัก ถึงได้ส่งเสียงปรามออกมาแบบนั้น แต่คุณแม่ของน้องกลับไม่สะเทือนใดๆ ทั้งสิ้น หนำซ้ำยังปรายตาไปทางคุณพ่อด้วยท่าทางไม่ยี่หระแม้แต่น้อย

นั่นทำให้ผมกลั้นยิ้ม ไม่แปลกใจเลยว่าตะวันได้ท่าทีแสบเซี้ยวและกล้าต่อรองมาจากใคร... คุณแม่เต็มๆ

และก่อนที่จะเกิดสงครามระหว่างผู้ใหญ่ทั้งสอง ผมก็ตัดสินใจพูดขอร้องท่านทั้งสองอีกอย่าง

“เอ่อ.. คุณอาครับ ก่อนที่ผมจะต้องไปจัดการเรื่องต่างๆ ให้เรียบร้อย ผมขอคุยกับตะวันก่อนได้ไหมครับ” เมื่อเห็นท่าทีที่นิ่งเฉยของคุณพ่อของน้อง ผมก็ยิ่งรีบอธิบาย เพราะไม่อยากห่างจากน้อง ทั้งที่น้องยังมีเรื่องในใจอยู่

“....”

“ขอร้องนะครับคุณอา ผมไม่อยากให้ตะวันคิดมากคนเดียวอีก ขอให้ผมได้อธิบายเรื่องทุกอย่างให้น้องฟังสักนิดเถอะนะครับ อย่างน้อยผมจะได้วางใจไปเคลียร์เรื่องต่างๆ ให้จบ”

ผมของร้องด้วยท่าทางพินอบพิเทา และแน่นอนคุณแม่ของตะวันที่กำลังถือหางผม ก็ตัดสินใจช่วยพูด

“ให้เด็กๆ เขาคุยกันไปเถอะค่ะคุณ” แม่ของตะวันยื่นมือมาลูบศีรษะกลมของตะวันเบาๆ “คุณอยากเห็นลูกเราหงอยเศร้าเหรอคะ”

พอคุณแม่ของน้องพูดย้ำ ตะวันก็หันไปทำหน้าน่าสงสารใส่คนเป็นพ่อทันที

“อ่ะๆ จะไปคุยอะไรกันก็ไป เดี๋ยวก็มาหาว่าผมใจยักษ์ใจมารกันอีก” คุณพ่อว่าพลางโบกมือไล่ให้ผมได้ยิ้มกว้าง “แต่อย่าให้นานนักล่ะ... เข้าใจไหมพี่ตะวัน”

น้องพยักหน้ารับ พลางกระตุกมือผมให้แยกออกไปคุยกันต่างหาก ผมจึงค้อมศีรษะลงพร้อมกับยกมือไหว้ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ของตะวัน

“ขอบคุณครับคุณอา ถ้าอย่างนั้นผมขออนุญาตนะครับ”


- อ่านต่อด้านล่าง -

ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
- ต่อจากด้านบน -


ผมว่าพลางลุกขึ้นยืนแล้วจูงตะวันออกเดินไปที่ออฟฟิศหลังร้าน พอเข้าไปที่ออฟฟิศได้ก็เจอเจ้าเด็กน้อยทั้งสอง และทันทีที่น้องพีเห็นผม ก็พุ่งเข้ามากอดขาไว้ทันที น้ำตาที่เหือดแห้งไปจากตากลมโตแล้วไหลเผาะลงมาอีกรอบ ให้ผมต้องรีบก้มลงไปช้อนตัวเจ้าหนูน้อยมาอุ้มไว้แนบอก

“ฮึก.. ฮือออ ปะป๊า น้องพีกัวคุณป้า ไม่ชอบเยย น้องพี ฮึก.. ไม่ชอบ”

ใบหน้าเล็กที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาสะบัดไปมาอยู่อกผม เสียงร้องไห้ของลูกชายทำผมเจ็บหนึบไปทั้งใจ โกรธตัวเองที่มาช้า จนทำให้เจ้าหนูน้อยของผมต้องถูกนลินีทำร้ายด้วยคำพูดและการกระทำที่คุกคามจนลูกชายผมหวาดกลัวไปหมดแบบนี้

“ไม่เป็นไรนะครับ คุณป้าจะไม่มายุ่งกับน้องพีอีก ปะป๊าสัญญานะครับ”

ผมว่าพลางจูบขมับเล็กของลูกชายย้ำๆ ทั้งลูบหลัง ลูบไหล่ ทั้งโอ๋ ทั้งปลอบจนน้องพีค่อยๆ สงบลง เสียงร้องไห้หลงเหลือแค่เพียงการสะอื้นน้อยๆ ที่บ่งบอกว่าเจ้าตัวน้อยของผมหวาดหวั่นเพียงใดกับเหตุการณ์ตอนที่ผมไม่อยู่

“น้อง... อึก น้องพีอยากอยู่กับปะป๊า อยากอยู่กับพี่ตะวัน ฮึก.. แล้วก็คุณอาทิตย์ด้วย” ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของผมผละออกจากอก พลางบอกผมด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่นเพราะยังสะอึกสะอื้นอยู่น้อยๆ

“ได้สิครับ เราอยู่กันสี่คนเหมือนเมื่อก่อนเนาะ น้องพีไม่ต้องร้องไห้แล้วนะครับ” ผมว่าพลางลูบศีรษะกลมๆ เบาราวกับจะปลอบประโยน

น้องพีมองหน้าผมก่อนจะหันไปหาตะวันแล้วชูแขนทั้งสองข้างออก โผให้ตะวันอุ้มตัวเอง ซึ่งตะวันก็อ้าแขนมารับน้องพีเข้าไปไว้ในอ้อมกอดด้วยรอยยิ้ม

“พี่ตะวันอยู่นี่ครับ ไม่ร้องไห้แล้วนะครับคนเก่ง” ตัวเล็กของผมว่า ก่อนจะกดริมฝีปากจิ้มลิ้มลงบนแก้มของลูกชายผมเบาๆ “น้องพีไม่ต้องกลัวใครเลย พี่ตะวันก็อยู่นี่ ปะป๊าพลัฎฐ์ก็อยู่นี่ คุณอาทิตย์ก็อยู่นี่ พวกเราอยู่ตรงนี้ จะไม่มีใครทำอะไรน้องพีได้ทั้งนั้น เข้าใจไหมครับ”

“คับ” น้องพีพนักหน้ารับทั้งที่น้ำตายังชุ่มอยู่ที่แพขนตา แก้มและปลายจมูกแดงก่ำ ดูทั้งน่าสงสารและน่าเอ็นดูไปพร้อมๆ กัน

หลังจากอุ้มน้องพีอยู่พักหนึ่ง ตะวันก็ปล่อยเจ้าตัวน้อยลงยืนกับพื้น เพราะถูกเจ้าอาทิตย์น้องชายตัวแสบกระตุกชายเสื้อยิกๆ ให้ปล่อยน้องพีมาหาตน

และพอน้องพีแตะขาลงบนพื้น เจ้าอาทิตย์ก็ถลาเข้ามาจับจูงมือเล็กของเพื่อนสนิทไว้ทันที ก่อนจะพูดเจื้อยแจ้วแต่ก็หนักแน่นมากเท่าที่เด็กสามขวบกว่าจะทำได้

“น้องพีไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น เพราะคุณอาทิตย์จะเป็นคนปกป้องน้องพี ไม่ให้คนใจร้ายมารังแกได้เด็ดขาด”

ผมอมยิ้ม ในขณะที่ลูกชายของผมกลับพุ่งเข้าไปกอดอาทิตย์แน่น แถมยังพึมพำอู้อี้งอแงและอ้อนใส่เจ้าอาทิตย์ดวงน้อยไม่หยุด

“คุณอาทิตย์ไม่ทิ้งน้องพี สัญญานะ” และก็แน่นอนว่าการสปอยล์เด็กชายพีรยสถ์ไม่มีวันจบสิ้นก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง โดยเฉพาะกับเจ้าอาทิตย์ที่ยอมและตามใจลูกชายผมทุกเรื่อง

“อื้อ! คุณอาทิตย์สัญญา” แล้วพอได้ยินคำตอบที่ตัวเองพอใจ น้องพีก็ผละออกพร้อมกับยิ้มร่าดูอารมณ์ดีขึ้นมาถนัดตา ให้ผมกับตะวันที่หันมาสบตากันได้ยิ้มตามเจ้าหนูน้อยที่เป็นดังแก้วตาดวงใจของเราทั้งคู่

“เอาล่ะครับ ตอนนี้ก็ไม่มีใครทำอะไรน้องพีได้แล้วเนาะ” ตะวันทรุดตัวลงนั่งยองๆ จนความสูงเสมอกับเด็กทั้งคู่ ก่อนจะหันไปหาน้องชายพร้อมรอยยิ้มกว้าง

“ทีนี้ก็มาฟังข่าวดีกัน” ตะวันยังคงยิ้ม แม้ในนัยน์ตากลมของน้องจะยังคงมีความกังวลเรื่องของผมอยู่ก็ตาม แต่ตะวันก็ไม่ได้แสดงออกให้น้องชายเห็น “พี่ตะวันจะบอกอาทิตย์ว่า ตอนนี้คุณพ่อกับคุณแม่นั่งรออาทิตย์อยู่ที่ข้างหน้าร้านครับ”

อาทิตย์เบิกตากว้าง จากนั้นก็ยิ้มออกมาจนตายิบหยีสดใส

“คุณพ่อ คุณแม่มาหาอาทิตย์แล้วเหรอครับพี่ตะวัน”

“ใช่ครับ คุณพ่อกับคุณแม่กลับมาแล้ว อาทิตย์พาน้องพีไปสวัสดีคุณพ่อกับคุณแม่นะครับ” ตะวันว่า พลางลูบศีรษะกลมด้วยความเอ็นดู “คุณพ่อกับคุณแม่ต้องอยากรู้จักน้องพีมากแน่ๆ .. ไปครับ พาน้องพีไปก่อนนะเดี๋ยวพี่ตะวันตามไป”

ผมมองตะวันพูดพลางจับน้องหันหลังแล้วดันก้นเจ้าหนูเบาๆ เป็นสัญญาณให้ออกเดิน ทั้งที่ตะวันไม่ต้องทำอย่างนั้นก็ได้ เพราะอาทิตย์แทบจะทะยานถลาออกไป พร้อมกับจูงมือน้องพีไว้แน่น ตอนพากันเดินออกไป

“ป่ะ! น้องพี ไปหาคุณพ่อคุณแม่ของคุณอาทิตย์กัน”

“คุณพ่อ คุณแม่คุณอาทิตย์ใจดีไหม” น้องพีถาม น่าจะเพราะยังเข็ดจากนลินีอยู่ แต่น้องพีก็ตอบให้น้องพีสบายใจด้วยเสียงดังฟังชัด แถมยังหนักแน่นมั่นใจมากอีกต่างหาก

“คุณพ่อกับคุณแม่ใจดีที่สุดในโลกเลยนะน้องพี ชอบซื้อขนมกับตุ๊กตาหุ่นยนต์มาให้ด้วย ไปดูกันๆ”

“อื้อ!” อาทิย์ว่าพลางมือน้องพีจูงออกไป จนเด็กทั้งสองลับสายตา ผมก็พุ่งเข้ากอดตะวันจากด้านหลังทันที

“ตัวเล็กครับ พี่ขอโทษ... พี่ขอโทษจริงๆ”

ผมกระซิบพร่ำบอกคำขอโทษอยู่ข้างหูตะวันซ้ำไปซ้ำมา ในขณะที่ตะวันเองก็ไม่ได้พูดอะไร น้องยืนนิ่งให้ผมกอดพลางวางคางไว้ที่ไหล่เล็กๆ นั้นอย่างออดออ้อน

“พี่ขอโทษตะวันเรื่องไหนล่ะครับ เพราะตะวันรู้สึกว่ามันกลายเรื่องเหลือเกิน” น้องพูดค่อนขอด น้ำเสียงตัดพ้อน้อยใจ จนผมเจ็บที่หน้าอกไปหมด

“พี่ขอโทษทุกเรื่องเลยครับ ขอโทษเพราะพี่ผิดเอง” ผมว่าเสียงอ่อย ก่อนจะกดจูบเบาๆ ลงบนลาดไหล่เรียว

“...”

“พี่ผิดที่มีอะไรแล้วไม่พูดให้ตะวันฟัง” พอพูดจบผมก็ลากริมฝีปากจากไหล่มาที่ข้างแก้มนุ่ม ก่อนจะกดจูบเบาๆ

“....”

“พี่ผิดเพราะพี่ชะล่าใจ ปล่อยเวลาให้ล่วงเลย จนไม่รู้ว่าตะวันเจ็บมากแค่ไหน” และเป็นอีกครั้งที่ผมลากริมฝีปากที่เพิ่งพูดจบไปที่ขมับเล็กข้างศีรษะ

“...”

“แล้วพี่ก็ผิดที่ปล่อยให้นลินีเข้ามาทำร้ายตะวันได้ถึงที่นี่” จากนั้นผมก็ลากริมฝีปากของตัวเองมาจูบซับที่มุมปากน้องเบาๆ

ราวกับจะออดอ้อนและร้องของให้น้องให้อภัย

“พี่ผิดทุกอย่างเลย ตะวันจะลงโทษพี่ยังไงก็ได้ แต่ขอโอกาสให้พี่ เหมือนที่คุณพ่อของตะวันให้พี่สักครั้งนะครับ .. นะ”

ผมกำลังจะจูบที่มุมปากตะวันอีกครั้ง แต่พอดีตะวันหันกลับมาก่อน

“พี่ผิดจริงๆ นั่นแหละ” เรียวแขนเล็กถูกยกขึ้นมาไขว้กอดไว้บนอกและดูเหมือนแขนเล็กที่ว่านั่นกำลังกั้นไม่ให้ผมโน้มหน้าเข้าไปหาน้องได้ใกล้มากขึ้น “ที่จริงตะวันน่ะ โกรธพี่มาก โกรธจนไม่อยากจะพูดด้วย แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าปัญหาของคุณพ่อจะเป็นปัญหาที่ใหญ่มากกว่า... เพราะฉะนั้นพี่พลัฎฐ์เล่ามาให้หมดเดี๋ยวนี้เลยครับ”

ตะวันว่าพลางสูดลมหายใจเขาปอดลึก ก่อนจะตั้งคำถามยาวเยียดทำเอาผมที่ได้ยินแล้วถึงกับอึ้ง

“ตกลงคุณนลินีเป็นใครครับ ภรรยาพี่ แม่น้องพี หรือเป็นแค่อดีตคนรัก แล้วถ้าเขาเป็นแม่น้องพี ทำไมเขาถึงทำแบบนั้น แล้วถ้าคุณนลินีไม่ใช่แม่ แล้วใครเป็นแม่ พี่ไปทำผู้หญิงที่ไหนท้องมาเหรอ? ยังไงครับ? พี่บอกตะวันมาเร็ว”

“หึๆ”

ผมหลุดขำออกมาน้อยๆ ตอนที่น้องพรั่งพรูออกมาแบบนั้น ไม่ได้จะหัวเราะเยาะ บอกตามตรงว่าที่หัวเราะเพราะติดจะเอ็นดูมากกว่า และดูเหมือนว่าจะยิ่งทำให้ตะวันหน้างอง้ำยิ่งกว่าเดิม

“พี่ยังจะมาหัวเราะอีก จะไม่อยากคุยแล้วใช่ไหม ตะวันจะได้ออกไปหาคุณพ่อกับคุณแม่”

พอเห็นท่าทีเกรี้ยวกราดของคนเด็กกว่า ผมก็รีบกระชับอ้อมกอดของตัวเองให้แน่นทันที เพราะกลัวน้องจะสะบัดหลุดแล้วหนีออกไปข้างนอกจนไม่ได้คุยกัน

“ขอโทษครับ ขอโทษ” ผมยื่นหน้าเข้าไปจูบริมฝีปากสีสดที่เชิดขึ้นจนแทบจะติดจมูกเพราะไม่พอใจผมเบาๆ “พี่ไม่ได้หัวเราะเพราะจะล้อเลียน แต่พี่หัวเราะเพราะหนูน่ารัก น่ารักจนพี่อยากกอดหนูไว้แน่นๆ ไม่ปล่อยเลย”

น้องเขินผมนิดหน่อย แต่อารมณ์งอนๆ ยังมีมากกว่าเลยพยายามฮึดฮัดจะให้ผมปล่อย แต่ผมไม่ปล่อยหรอก หนำซ้ำยังกอดน้องแน่นกว่าเดิมอีกตะหาก

“คุยกันนะครับ ไหนตัวเล็กอยากรู้อะไรบ้างนะ?” ตะวันหันมามองค้อน ให้ผมต้องรีบพูด “พี่ไม่ได้ไม่ฟัง แต่พี่อยากให้ตัวเล็กถามทีละคำถาม พี่จะได้ตอบให้เคลียร์เป็นข้อๆ ไป ดีไหมครับ”

ผมพูดอ้อน ค่อยๆ ปะเหลาะน้องทีละนิด จนในที่สุดตะวันก็คลายแรงฟึดฟัดลงบ้าง ให้ผมได้ผ่อนแรงกอดรัดเหลือหลวมๆ แทน จากนั้นก็ลากเท้าทั้งที่มีตะวันอยู่ในอ้อมกอดไปนั่งที่เก้าอี้ที่อยู่ใกล้ๆ และดึงให้น้องนั่งลงมาบนตัก พร้อมกับโอบเอวบางไว้หลวมๆ เพราะไม่อยากให้น้องอึกอัดมากเกินไป

“คุณนลินีเป็นใครครับ” เสียงหวานที่ยังมีแววกระเง้ากระงอด ปลายเสียงสะบัดหน่อยๆ ให้ผมนึกรู้ว่าน้องน่าจะยังคงไม่ค่อยพอใจอยู่จึงรีบตอบคำถามน้องพลางคลอเคลียจมูกอยู่ที่แก้มนุ่มๆ ของตะวันไม่ห่าง

“นลินีเป็นคนรักเก่าของพี่ครับ เราคบกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย จนไปเรียนต่อเมืองนอกกลับมาไทยก็ยังคบอยู่ เธอเป็นผู้หญิงที่พี่วางแผนจะใช้ชีวิตคู่ด้วย” พอประโยคนี้จบลงก็ดูเหมือนร่างกายของตะวันจะเกร็งขึ้นมาเล็กน้อย ผมจึงลูบไปที่แผ่นหลังเล็กเบาๆ ราวกับจะปลอบประโลมแล้วพูดต่อ “แต่ทุกอย่างก็ไม่เป็นไปตามที่พี่ตั้งใจไว้ เพราะนลินีรับไม่ได้ที่พี่จะมีน้องพีเป็นลูกติด นลินีอยากแต่งงานกับพี่ แต่ไม่อยากมีลูก หรือถึงเธอจะมีลูก เด็กคนนั้นก็ต้องเกิดจากเธอเท่านั้น เธอไม่ค่อยรักและเอ็นดูน้องพีเท่าไหร่ เพราะคิดว่าน้องพีคืออุบัติเหตุและอุปสรรคชิ้นใหญ่ที่เข้ามาในชีวิตพี่และมาขวางทางเธอ เพราะฉะนั้นเธอจึงบังคับให้พี่เลือกระหว่างเธอกับน้องพี แน่นอนว่าพี่เลือกน้องพี พี่กับนลินีเลยเลิกกัน”

“แล้วทำไม?...” คิ้วเรียวสวยขมวดมุ่น ใบหน้าน่ารักยังคงเต็มไปด้วยความสงสัย มันน่าเอ็นดูเสียจนผมอดกดจมูกลงไปแรงๆ ไม่ได้ แค่คิดว่าจะไม่ได้เจอกันหลายวัน ในหัวใจผมก็วูบโหวงไปหมด ผมต้องคิดถึงตะวันมากแน่ๆ “ตะวันงง แล้วถ้าพี่พลัฎฐ์คบกับคุณนลินีคนเดียวมาโดยตลอด ไม่ได้คบคนอื่นเลย แล้วน้องพีเป็นลูกใครครับ?”

“คือว่า..” ผมกำลังจะตอบ แต่จู่ๆ ตะวันก็ตาโต แล้วฟาดมือเล็กลงบนไหล่ผมแรงๆ เสียหลายที จนผมอดโอดโอยออกมาไม่ได้ “โอ๊ย ตัวเล็ก ตีพี่ทำไมครับ?”

“พี่ตะวันมีกิ๊กแล้วพลาดใช่ไหม? พลาดจนทำผู้หญิงท้อง เลยมีน้องพีออกมาแบบนี้ ใช่ไหมครับ?” สีหน้าสงสัยของตะวันแปรเปลี่ยนเป็นโกรธจัด แก้มใสๆ แดงก่ำ แถมยังทำท่าจะดิ้นออกจากอ้อมกอดผมให้ได้

“เดี๋ยวๆ เดี๋ยวครับตัวเล็ก ไปกันใหญ่แล้ว เอาจากที่ไหนมาบอกกันว่าพี่คบซ้อน ไปทำผู้หญิงอื่นท้อง หื้ม?”

ใบหน้าน่ารักยังคงบูดบึ้ง ริมฝีปากบางสีสดยังคงขมุบขมิบต่อว่าผมไม่เลิก “ก็พี่พลัฎฐ์พูดเอง ว่าคุณนลินีบอกว่าน้องพีเป็นอุบัติเหตุในชีวิตพี่ เป็นอุปสรรคขวางทางเธอ”

ผมยิ้ม พร้อมกัมยื่นหน้าไปกัดปลายจมูกโด่งรั้นที่ดูดื้อดึงเหมือนเจ้าของเบาๆ ให้อีกฝ่ายได้ฟาดมือใส่ต้นแขนผมอีกรอบ

“บอกแล้วครับ บอกแล้ว” ผมปรับสีหน้าเป็นจริงจัง เพราะเรื่องที่จะพูดเกี่ยวกับน้องพีต่อจากนี้นั้นเป็นเรื่องที่ซีเรียสพอสมควร ซึ่งผมและครอบครัวไม่เคยได้บอกใครเลย “น้องพีไม่ใช่ลูกชายของพี่ครับ แต่เป็นลูกชายของพี่พลิศร์พี่ชายแท้ๆ ของพี่”

ตะวันตาเหลือก ตากลมที่โตอยู่แล้วกลับเบิกกว้างขึ้นยิ่งกว่าเดิม

“พี่ชายของพี่พลัฎฐ์เหรอครับ? แล้วตอนนี้เขา...” ผมยิ้มบางๆ ก่อนที่จะตอบตะวันด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย เพราะไม่อยากให้น้องตกใจ

“ใช่ครับ พี่ชายของพี่ ซึ่งตอนนี้เสียชีวิตไปแล้ว เสียชีวิตพร้อมกับภรรยาด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ตอนนั้นน้องพีน่าจะอายุได้ไม่กี่เดือน และด้วยเหตุผลอะไรหลายๆ อย่าง พี่เลยรับน้องพีเป็นลูกชายแทน”

ตะวันยกมือขึ้นปิดปาก ดูเหมือนตกใจมากที่เพิ่งได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมด ซึ่งนั่นก็ไม่แปลกเท่าไหร่ เพราะถึงแม้ครอบครัวผมจะเป็นที่รู้จักในวงสังคม แต่เรื่องราวภายในครอบครัวไม่ค่อยเป็นข่าวอะไรมากมาย อาจจะเพราะตัวพี่สะใภ้ผม หรือแม่ของน้องพีไม่ค่อยชอบเป็นที่รู้จัก นอกจากงานแต่งที่เป็นทางการที่คนทั่วไปรับรู้ เรื่องอื่นๆ ก็ไม่ได้หลุดรอดออกไปสักเท่าไหร่

ดังนั้น เรื่องที่เธอท้องและกำลังจะมีลูกกับพี่ชายผมจึงเป็นที่รับรู้กันในหมู่เพื่อนสนิทและญาติเท่านั้น และพอเมื่อพี่ชายและพี่สะใภ้ทั้งสองของผมเสียชีวิต ผมจึงรับน้องพีมาเป็นลูกบุญธรรมทันที แรกๆ ก็มีข่าวลือนั่นนี่นิดหน่อย แต่ผมไม่ได้ให้ความสนใจ ใครอยากพูดอะไรก็พูดไป จะนินทาอะไรผมๆ ก็ไม่ได้แคร์ แต่ผมคงยอมไม่ได้แน่ ถ้าจะมีใครมาพูดถึงหลานผมลับหลังว่าไม่มีพ่อมีแม่ หรือมาแสดงท่าทีเห็นอกเห็นใจจนเกินเหตุ ... สู้ให้คนคิดว่าผมเป็นพ่อลูกติดถูกเมียทิ้ง ยังดีกว่าให้คนนินทาว่าน้องพีเป็นลูกกำพร้าพ่อแม่เสียชีวิต เพราะอย่างน้อยมีผมเป็นพ่อ น้องพีก็ไม่จะถูกใครมองว่ากำพร้าด้วยสายตาเห็นอกเห็นใจทั้งนั้น

“ทำไมตะวัน?...” น้องดูเหมือนจะอยากพูดอะไร แต่ก็พูดไม่ออก เอาแต่อ้าปากแล้วหุบ หุบแล้วอ้าอยู่อย่างนั้น

ผมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆ แล้วยื่นหน้าไปจูบริมฝีปากเล็กๆ นั่นไว้ด้วยความเอ็นดู

“พี่ขอโทษนะครับตัวเล็กที่ไม่ได้บอกแต่แรก” ผมอธิบายต่อ เพราะไม่อยากให้คนที่อยู่ในอ้อมกอดสงสัยนาน “ที่พี่ไม่บอก ไม่ใช่เพราะไม่อยากบอก พี่เองก็รู้ว่าตัวเล็กกังวลในเรื่องนี้ แต่ด้วยความที่เรื่องนี้เป็นเรื่องค่อนข้างสำคัญ และพี่ตัดสินใจบอกตัวเล็กลำพังไม่ได้ พี่ต้องปรึกษาพ่อกับแม่ก่อน แต่พี่ดันใจเย็น เพราะเห็นว่าพวกท่านกำลังจะกลับมาไทยแล้ว เลยรั้งรอไปเรื่อย”

ผมถอนหายใจนิดหน่อยก่อนพูดต่อ “พี่เองก็ไม่คิดว่านลินีจะกลับมา เหตุการณ์มันเลยบานปลายจนพี่ร้อนใจ โทรไปปรึกษาแม่มาเมื่อคืน ก็เลยได้ข้อสรุปว่า...”

“ว่าไงครับ?” ตะวันเอียงคอน้อยๆ อย่างสงสัย ซึ่งช่างน่ารักเหลือเกินในสายตาผม

“ว่าพี่ควรรีบบอกตัวเล็ก เพราะตัวเล็กคือคนสำคัญของพี่ คือคนที่พี่อยากจะให้มาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว” ผมยิ้มบางๆ ก่อนจะเลื่อนใบหน้าเอาแก้มไปแนบกับแก้มน้องด้วยท่าทางออดอ้อน “หนูรู้ไหมว่าพี่โดนแม่ดุด้วย ที่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปนานจนหนูคิดมาก ... พี่ขอโทษนะครับ”

ตะวันย่นจมูกใส่ผม ก่อนที่จะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ตากลมมองค้อนผมจนใจผมวูบโหวงไปหมด เพราะกลัวว่าน้องจะโกรธแล้วไม่ยอมให้อภัย

“พี่นี่น่าตีจริงๆ” เสียงหวานต่อว่าไม่จริงจัง ก่อนที่แขนเรียวจะถูกยกมาโอบรอบคอผม “พี่บอกตะวันก็ได้นี่ครับว่าพี่ขอปรึกษาที่บ้านเรื่องน้องพีก่อน แล้วพี่จะมาเล่าให้ตะวันฟัง แต่นี่พี่เล่นเงียบเฉย ไม่พูดไม่บอกอะไรเลย แล้วจะไม่ให้ตะวันคิดมากได้ยังไง”

ผมหน้าเสีย รู้สึกแย่มากๆ เพราะที่จริงเรื่องมันก็ง่ายๆ แบบที่น้องบอก แต่ผมมัวไปคิดเยอะคิดแยะ คิดแทนทุกคนไปหมด จนเกือบที่จะทำให้เสียเรื่อง ยังดีที่น้องเข้าใจเรื่องทุกอย่างโดยง่าย ไม่งอแงหรือสร้างความหนักใจอะไรให้ผม

“พี่ขอโทษนะครับตัวเล็ก พี่ผิดเอง ผิดเต็มๆ เลยด้วยเรื่องนี้”

ผมรับสารภาพเสียงเศร้า ในขณะที่ตะวันเองก็ส่ายหน้าเบาๆ พร้อมกับส่งยิ้มน่ารักมากมาให้

“ช่างมันเถอะครับ ตอนนี้ตะวันเข้าใจทุกอย่างแล้ว” ตะวันขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะซุกตัวเข้ามาซบผม ให้ผมต้องขยับวงแขนกอดน้องให้แน่นขึ้น “แต่คราวหน้า พี่มีอะไรต้องบอกตะวันนะครับ เพราะพอพี่ปล่อยไว้เรื่องมันก็เลยเถิดแบบนี้ ยิ่งนี่คุณพ่อยื่นคำขาดแล้วด้วยว่า ให้พี่ไปจัดการเคลียร์ตัวเองให้เรียบร้อยแล้วค่อยมาเจอตะวัน ... แล้วอีกกี่วันถึงจะเรียบร้อยก็ไม่รู้”

ประโยคสุดท้ายเสียงหวานพูดงุ้งงิ้งเบาๆ แต่ผมก็ได้ยินชัดเจน ทำเอาผมอดหัวเราะออกมาไม่ได้

“พี่สัญญานะครับว่าจะรีบจัดการทุกอย่างให้เสร็จโดยเร็ว แล้วจะรีบกลับมากอดหนูนะ” ผมกระชับอ้อมกอดพร้อมๆ กับที่จูบหนักๆ ลงบนขมับของคนตัวเล็กกว่า

“แต่ตะวันว่าคุณนลินีเธอไม่ยอมแพ้ง่ายๆ แน่ ดูท่าทางจะโมโหเราสองคนมาก”

ตะวันพูดในสิ่งที่ผมเองก็แอบกังวลอยู่ลึกๆ แต่ผมก็มั่นใจว่าตัวเองน่าจะจัดการได้

“ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ พี่จะรีบเคลียร์ทุกอย่างให้เรียบร้อย ... แล้วถ้าเรียบร้อยแล้ว หนูให้รางวัลพี่ด้วยการให้พี่พาไปเที่ยวสวนสัตว์ได้ไหมครับ”

ผมพูดแหย่ ทำเอาตะวันแก้มแดงก่ำ ดูก็รู้ว่าน้องเข้าใจว่าผมไม่ได้หมายถึงการไปเที่ยวสวนสัตว์จริงๆ

“พี่นี่ทะลึ่ง!!” ตะวันผละออกพร้อมกับฟาดมือลงบนต้นแขนผมเต็มแรง

เขินรุนแรงเหลือเกินที่รักผมเนี่ย

“ฮ่าๆๆๆ” ผมขำออกมา ใจชื้นขึ้นนิดหน่อยที่เห็นตะวันของผมดูผ่อนคลายมากกว่าเมื่อกี้ และที่สำคัญผมรู้สึกโล่งใจมากที่เคลียร์กับตะวันรู้เรื่อง น้องเข้าใจในสิ่งที่ผมพูดบอกออกไปทุกอย่าง สมกับเป็นแสงอาทิตย์ที่สดใสของผมจริงๆ

“สู้ๆ นะครับพี่พลัฎฐ์ ตะวันเอาใจช่วย” น้องว่าพลางใช้มือเล็กๆ ตัวเองประคองแก้มทั้งสองข้างของผมไว้ ราวกับต้องการจะถ่ายทอดกำลังใจ “รีบกลับมาหาตะวันนะครับ ตะวันจะคอย”

“ครับ พี่จะรีบกลับมาหาหนูนะ”

ผมตอบรับพร้อมกับเคลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้วงหน้าน่ารักๆ ของน้อง พลางใช้มือข้างที่ว่างกดรั้งท้ายทอยของคนที่อยู่บนตักให้เข้ามาใกล้ ก่อนจะกดริมฝีปากลงไปบนริมฝีปากของอีกคนอย่างแผ่วเบา อ่อนโยน และทะนุถนอม

ผมดูดดึงริมมฝีปากของน้องเบาๆ ก่อนที่จะไล้ลิ้นไปตามร่องปากเล็ก ให้น้องได้เผยอริมฝีปากออกช้าๆ จนผมสอดลิ้นเข้าไปกวาดต้อนความหอมหวานภายในจนได้หมด เรียวลิ้นของเราทั้งสองเกี่ยวกระหวัดรัดรึงกันอย่างโหยหา ราวกับจะชดเชยเวลาในอีกไม่กี่วันข้างหน้าที่จะไม่ได้เจอกัน

เสียงน้ำลายเฉอะแฉะของเราทั้งคู่ดังอยู่ที่ข้างหูผม เรียวลิ้นเราเกี่ยวพันและดูดดึงกันอย่างไม่มีใครยอมใคร จนน้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้เพราะดูเหมือนลมหายกำลังจะขาดห้วง ถึงได้ยกมือเล็กๆ ขึ้นทุบอกผมเบาๆ เพื่อร้องขอให้ปล่อย

ผมตัดสินใจละริมฝีปากออกแล้วผละมามองใบหน้าน่ารักที่ตอนนี้เห่อแดงไปทั่วลามไปถึงยันคอ

ตะวันหอบหายใจน้อยๆ ริมฝีปากที่แดงอยู่แล้วกลับแดงมากขึ้นจนน่าจะจูบย้ำๆ ลงไปอีกสักรอบ ในขณะที่มุมปากนุ่มมีน้ำใสไหลติดอยู่นิดๆ ผมจึงก้มลงไปเลียเบาๆ เพื่อทำความสะอาดให้ และปิดท้ายด้วยการจูบหนักๆ ลงบนริมฝีปากหวานๆ นั้นอีกครั้ง

จูบที่เกิดขึ้นหลังจากที่เราเข้าใจกันมันหวานกว่าปกติ หวานจนผมแทบจะห้ามตัวเองไม่ให้ก้มลงไปขโมยริมฝีปากของน้องมาเป็นของตัวเองอีกครั้งไม่ไหว ดีที่เสียงเจื้อยแจ้วของเจ้าอาทิตย์ดังลั่นเข้ามาก่อนที่ร่างเล็กๆ จะวิ่งเข้ามา ทำให้ผมกับตะวันต้องผละออกจากกันอย่างน่าเสียดาย

“พี่ตะวันนน ปะป๊าพะลัดดดด”

“ครับๆ ว่าไงอาทิตย์” ตะวันขานรับพร้อมกับลุกขึ้นยืน ลูบหน้าลูบตาให้ดูปกติที่สุด แต่ผมกลับมองว่ายิ่งตะวันทำแบบนั้นมันยิ่งดูไม่ปกติมากกว่า

“คุณพ่อให้อาทิตย์มาบอกว่าออกไปได้แล้ว นานเกินไปแล้วครับ”

ผมหน้าตูมทันที เพราะรู้สึกว่ากำลังถูกว่าที่คุณพ่อตากลั่นแกล้ง แต่ตะวันกลับหัวเราะออกมาเบาๆ พร้อมกับก้มลงไปอุ้มน้องชายขึ้นมากอดไว้แนบอก พร้อมกับเตรียมจะเดินออกไป

“โอเคครับ ออกไปหาคุณพ่อกับคุณแม่กัน” ตะวันชะงัก ก่อนจะถามอาทิตย์ราวกับนึกขึ้นได้ “ว่าแต่น้องพีล่ะครับอาทิตย์ น้องพีอยู่ไหน หื้ม?”

ผมเองก็ขมวดคิ้วประหลาดใจอยู่ไม่น้อย เพราะปกติอาทิตย์น่ะตัวติดกับลูกชายผมอย่างกับอะไรดี

“อ๋อ น้องพีอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ครับ” อาทิตย์เล่าพลางทำสีหน้าภูมิอกภูมิใจ “คุณแม่บอกว่าน้องพีน่ารัก คุณพ่อก็บอก บอกว่าชอบน้องพีมาก อยากให้น้องพีมาอยู่บ้านเราทุกวัน”

ตะวันตาโตเมื่อได้ยินน้องชายพูดแบบนั้น ผมเองก็อดดีใจไม่ได้ที่ลูกชายเข้ากันได้ดีกับครอบครัวของตะวัน ก่อนที่ผมจะชะงักเพราะคิดอะไรขึ้นมาได้

“ท่าทางคุณพ่อกับคุณแม่คงจะหลงเสน่ห์น้องพีแล้วล่ะครับ พี่พลัฎฐ์ตกกระป๋องแน่ๆ”

ตะวันหันมาแซวผมพร้อมกับหัวเราะเอิ๊กอ๊าก โดยมีเจ้าอาทิตย์หัวเราะตาม ทั้งที่ก็ไม่ได้รู้หรอกว่าตะวันหัวเราะอะไร ทำเอาผมที่เห็นความร่าเริงของสองพี่น้องแล้วอดหัวเราะตามไม่ได้ จนกระทั่งเดินมาถึงส่วนของหน้าร้านนั่นแหละ ผมถึงต้องเงียบ เพราะว่าที่คุณพ่อตาจ้องเขม็งมองผมจนตาแทบหลุด

“ปะป๊าพะลัดมาแย้วววว” น้องพีที่นั่งอยู่บนตักของคุณพ่อของตะวันหันมามองหน้าผมพร้อมกับส่งยิ้มตาหยีมาให้ ก่อนที่จะหันกลับไปหาคุณพ่อของน้องอีกครั้ง แล้วเอ่ยขออนุญาตอย่างมีมารยาท ตามที่ผมเคยสอนไว้ “คุณตา น้องพีขอไปหาปะป๊าได้ไหมคับ”

“อื้อ ไปสิลูก” พอท่านอนุญาต ก็อุ้มน้องพีลงจากตักให้มายืนกับพื้น เจ้าตัวน้อยก็ถลามาให้ผมอุ้มทันที

“ว่าไงครับน้องพี ไปซนอะไรให้คุณตากับคุณยายปวดหัวหรือเปล่าครับ”

เจ้าตัวน้อยของผมส่ายหน้าหวือ ก่อนที่จะเอียงคอเล่าเจื้อยแจ้วอย่างอารมณ์ดี ซึ่งผมเองที่เห็นลูกลืมเหตุการณ์แย่ๆ เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าได้ก็ยิ้มออก

“น้องพีไม่ดื้อเยยคับ คุณตากับคุณยายใจดี ใจดีเหมือนคุณปู่กับคุณย่าเยย” ผมได้ยินก็ยิ้มออกมาบางๆ พร้อมกับเอ่ยบอกลูก

“ดีครับ ถ้าคุณตากับคุณยายใจดี น้องพีก็ต้องเชื่อฟังท่านนะครับ เพราะคุณตากับคุณยายเป็นคุณพ่อคุณแม่ของพี่ตะวันกับคุณอาทิตย์ น้องพีต้องเคารพพวกท่านเหมือนที่เคารพคุณปู่คุณย่า แล้วก็คุณตาคุณยายของน้องพีนะ”

ผมสอนลูก ซึ่งเจ้าหนูน้อยก็พยักหน้ารับหงึกหงัก ไม่รู้ว่าเข้าใจมากน้อยแค่ไหน แต่ผมเชื่อว่าน้องพีจะเข้ากันได้ดีกับครอบครัวของตะวันแน่ๆ

และในขณะที่ผมกำลังคิดอยู่ว่าจะขออยู่ทานข้าวอีกสักมื้อ ให้ได้อยู่กับตะวันอีกนานสักนิดก่อนกลับดีหรือไม่นั้น คุณพ่อของน้องก็เอ่ยเสียงเรียบขึ้น

“อยู่ทานข้าวกลางวันด้วยกันก่อนจะไปสิ” ผมยิ้มร่า เตรียมจะกล่าวขอบคุณเต็มที่ถ้าไม่ติดว่าได้ยินประโยคต่อมาเสียก่อน “กลัวน้องพีจะหิว เป็นเด็กต้องทานข้าวให้เป็นเวลา”

ผมยิ้มเจื่อน ในขณะที่ตะวันกับคุณแม่กลั้นขำจนไหล่สั่น “ได้ครับคุณอา ขอบคุณนะครับ”

แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังพยายามปลอบใจตัวเองว่า ยังไงเสียอย่างน้อย ตอนนี้คุณพ่อของน้องก็ดูใจอ่อนลงกว่าเมื่อกี้มาก ... ซึ่งผมคิดว่าน้องพีนี่แหละที่ทำให้ท่านยอมลงให้ผมมากขึ้น

แต่ประโยคต่อมาของคุณพ่อของน้องนี่สิที่ทำให้ผมเนื้อเต้นของจริง

“คุยกันมาเรียบร้อยแล้วใช่ไหม ยังไงก็นั่นแหละตามที่ผมบอก ไปจัดการตัวเองให้เรียบร้อย สำหรับน้องพีก็พามาเล่นกับเจ้าอาทิตย์ตามปกติได้ หรือจะไปรับไปส่งกันผมก็ไม่ได้ห้าม แต่... ให้เจอกันแค่ตอนพามารับมาส่งนะ ไม่ได้ให้เจอให้นั่งคุยกันเป็นชั่วโมงๆ แบบที่ผ่านมาได้ เข้าใจที่พ่อพูดใช่ไหมพี่ตะวัน”

ผมยิ้มกว้าง ได้แค่นี้ผมก็ดีใจแล้ว แค่ได้เห็นหน้าตะวันย่อมดีกว่าตัดการติดต่อเงียบหายไปเลยหลายวัน ไม่งั้นผมขาดใจแน่ ซึ่งน้องเองก็เหมือนดีใจไม่ต่าง เพราะตะวันหันมามองหน้าผมพร้อมส่งยิ้มกว้างให้

“เข้าใจครับคุณพ่อ ตะวันเข้าใจ”

ผมเองก็รีบเสนอหน้าตอบพร้อมรอยยิ้มกว้างเช่นกัน “ผมก็เข้าใจครับคุณอา”

“เอาเถอะ พี่ตะวันไปช่วยในครัวทำอาหารส่งได้แล้วไป เห็นวันดีมากจากตลาดแล้วเมื่อกี้ เสร็จแล้วก็ทำเผื่อมื้อกลางวันด้วยแล้วกัน พ่ออยากกินน้ำพริกกะปิฝีมือเราจะแย่แล้ว”

“ครับพ่อ เดี๋ยวตะวันจะทำให้ทานนะ” คุณพ่อของตะวันพยักหน้ารับยิ้มๆ ก่อนจะหันมากวักมือเรียกลูกชายผมกับลูกชายตัวเองที่ยืนอยู่ใกล้ๆ กัน

“อาทิตย์น้องพี มาทางนี้มาลูกมา ไหนมาบอกพ่อบอกตาสิ ว่าเราสองคนอยากกินอะไรกัน”

ใบหน้าที่เรียบตึงของว่าที่คุณพ่อตายามพูดกับผมเปลี่ยนเป็นยิ้มบางๆ อย่างอ่อนโยนยามพูดกับลูกชายคนเล็กของตัวเองและลูกชายของผม ... ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าเด็กเล็กๆ นี่สามารถสร้างปาฎิหารย์ที่ยิ่งใหญ่ได้จริงๆ

เอาเป็นว่าน้องพีลูกพ่อ ให้พ่อได้พึ่งใบบุญหน่อยแล้วกันนะลูกนะ อย่างน้อยก็ช่วงที่พ่อโดนภารทัณฑ์ก็ยังดี

.

.

.

To Be Continue

------------------------------------------

มันมีจริงๆ นะคะคนที่คิดเยอะจนกลายเป็นผิดพลาด ทั้งที่บางเรื่องมันก็ง่ายๆ แต่ดันไปทำให้มันยาก เพราะคิดแทนคนอื่น ซึ่งอิพี่พะลัดนี่ล่ะที่เป็นคนๆ นั้น 555555555555

ฝากคอมเม้นท์ และติดแท็ก #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว ในทวิตเตอร์นะคะ ขอบคุณทุกคนมากๆ ที่อยู่มาด้วยกันจนถึงทุกวันนี้ ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจและคอมเม้นท์ ขอบคุณมากจริงๆ ค่ะ

ไว้เจอกันตอนหน้านะคะ ... รักทุกคนมากๆ จ้า ❤

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด