[END] The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว - อัพเดท Special CH. - 17/09/2019
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [END] The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว - อัพเดท Special CH. - 17/09/2019  (อ่าน 14816 ครั้ง)

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
:: Chapter 9th ... ตัวช่วยของพลัฎฐ์ ::


หลังจากกลับมาจากส่งอาทิตย์และน้องพีเข้าเรียน ตะวันก็ดูเหมือนจะพกแต่กายหยาบกลับร้าน ส่วนสตินั้นหลุดออกจากร่างไปแล้ว ... เพราะอะไรน่ะเหรอ?

ก็จะเพราะอะไรล่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะสิ่งที่พลัฎฐ์พูด ... แถมพูดออกมาหน้าตาเฉยอีกต่างหาก


‘มีเบอร์พี่คนเดียวก็พอ ของตัวเล็กไม่ต้องให้มีหรอก... พี่หวง’


พี่หวง หวง หวง หวงใคร? หวงอะไร? หวงตัวเขางั้นเหรอ?

อีกแล้ว! เอาอีกแล้ว! พลัฎฐ์ทำแบบนี้กับเขาอีกแล้ว!

ตะวันยอมรับว่าใจตัวเองแทบไม่เป็นสุข วันนี้เลยขลุกอยู่ในครัวแทบจะตลอดเช้า โชคดีที่ลูกค้าไม่เยอะเท่าไหร่ มีนากับน้ำตาลที่ดูแลหน้าร้านอยู่ เลยพอจะรับมือไหว ตะวันที่กลัวว่าตัวเองจะไปรับออเดอร์ลูกค้าผิดๆ ถูกๆ เพราะใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เลยตัดสินใจไปทำขนมเพิ่มในครัวแทน

และยังไม่ทันจะเที่ยงดี ตะวันก็ต้องมีเหตุให้ใจตุ๊มๆ ต่อมๆ อีกรอบเมื่อน้ำตาลเข้ามาบอกว่า


‘พี่ตะวันคะ คุณพลัฎฐ์มาค่ะพี่ บอกว่าจะมาทานข้าวกลางวันด้วย’


ตะวันยืนตะลึง ปรับสภาพอารมณ์อยู่พักใหญ่ เขาแอบไม่เข้าใจว่าพลัฎฐ์ทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร คำพูดเมื่อเช้าก็ทีนึงแล้ว แล้วยังจะการลงมาหาเขาตอนนี้อีก มันยิ่งทำให้ตะวันสับสน

เมื่อก่อนที่พลัฎฐ์ลงมาทานกลางวันด้วย ตะวันพยายามคิดว่านั่นเป็นเพราะเขาอยากลงมาเจอกับน้องพี ซึ่งพลัฎฐ์ก็อ้างแบบนี้ทุกวัน แต่วันนี้น้องพีไปเรียนหนังสือแล้ว เด็กชายไม่ได้อยู่ตรงนี้แต่ทำไมพลัฎฐ์ถึงยังลงมาตามปกติอยู่อีก

“ตัวเล็ก...” ทันทีที่เจ้าของรูปร่างสูงใหญ่ เห็นร่างเล็กปรากฎในกรอบสายตา พลัฎฐ์ก็ลุกขึ้นยืน ยิ้มแย้มอ่อนโยนส่งให้ ทำราวกับว่าไม่ได้เพิ่งจะแยกกันเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้า

“ทำไมพี่ถึงลงมาได้ล่ะครับ งานไม่เยอะเหรอ?”

ตะวันตัดสินใจถาม เพราะอยากรู้คำตอบ เพื่อที่ว่าตัวเองจะได้ไม่ต้องสับสนไปมากกว่านี้ เพราะการที่พลัฎฐ์ลงมาแบบนี้อาจจะเป็นเพราะเจ้าตัวหิวจริงๆ หรืออาจจะไม่ได้งานยุ่งมากเท่าที่ตะวันคิดไปเองก็ได้

“นิดหน่อยครับ แต่อยากเจอตัวเล็ก เลยตัดสินใจลงมากินข้าวที่นี่เลยดีกว่า”

น้ำเสียงอบอุ่นพูดเรื่อยๆ ราวกับเป็นเรื่องธรรมดาทั้งที่ประโยคเมื่อกี้ไม่ธรรมดาเลยสักนิด

“ตะวันคิดว่าตั้งแต่วันนี้ไปพี่พลัฎฐ์คงไม่ลงมาแล้ว เพระน้องพีไม่อยู่ น้อง...” ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่รอให้ตะวันพูดจบประโยค พลัฎฐ์พูดสวนออกมาเสียก่อน

“ที่ลงมาทุกวันนี้ก็อยากเจอทั้งน้องพี ทั้งตัวเล็กนั่นแหละ ถึงลูกจะไม่อยู่ แต่พี่ก็ยังอยากเจอตัวเล็กอยู่ดี”

คนถูกบอกว่าอยากเจอรู้สึกเหมือนความร้อนในร่างกายวิ่งแล่นขึ้นมาบนใบหน้าทันทีที่ได้ยินแบบนั้น หัวใจดวงน้อยๆ เต้นแรงจนแทบจะทะลุออกนอกอก เขาไม่เคยแน่ใจกับท่าทีของพลัฎฐ์ ซึ่งจนถึงตอนนี้ตะวันก็ยังไม่แน่ใจว่าพลัฎฐ์รู้สึกยังไงกับตัวเองกันแน่ แต่ที่รู้ๆ คือตอนนี้ตะวันหวั่นไหวมาก เขาไม่เคยถูกใครแสดงความรู้สึกใส่ซึ่งหน้าด้วยท่าทีนิ่งๆ แบบนี้

และก่อนที่จะถูกจู่โจมมากไปกว่านี้ ตะวันก็ผุดลุกขึ้นยืนพลางเอ่ยตะกุกตะกัก เหมือนคนมีพิรุธ

“ตะ.. ตะวัน ต้องไปอบขนมในครัวต่อน่ะครับ พอดียังทำไม่เสร็จ ถ้าพี่พลัฎฐ์อยากทานอะไรสั่งเลยนะครับ เดี๋ยวตะวันให้เมษยกออกมาเสิร์ฟให้”

พลัฎฐ์เลิกคิ้วนิดหน่อยเมื่อได้ยินแบบนั้น พอเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ว่าง คนโตตัวก็ลุกขึ้นยืนบ้าง พลางเอ่ยหน้าตาเฉย

“งั้นพี่กลับออฟิศเลยดีกว่า เดี๋ยวค่อยให้เลขาฯ ลงมาซื้อ”

ตะวันเองพอได้ยินพลัฎฐ์พูดแบบนั้นก็อดไม่ได้ที่จะแปลกใจ “ก็ไหนว่าพี่จะลงมาทานข้าว?”

พลัฎฐ์ยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะเดินหน้าเขย่าหัวใจตะวันแบบไม่รามือง่ายๆ

“อาหารท้องที่จะมาทานน่ะเหตุผลรองครับตัวเล็ก ส่วนอาหารตาที่จะมาดูน่ะเป็นเหตุผลหลัก ในเมื่ออาหารตาไม่ว่างให้พี่มอง พี่ก็เลยคิดว่ากลับดีกว่า นอกเสียจากว่าอาหารตาจะเปลี่ยนใจยอมนั่งทานข้าวกลางวันกับพี่ด้วย แบบนั้นน่ะ... พี่ค่อยอยู่ทานข้าวที่นี่ต่อ”

ตะวันอ้าปาก แล้วหุบ แล้วอ้าใหม่ เหมือนต้องการจะพูดอะไรแต่ก็พูดไม่ออกสักอย่าง สุดท้ายเจ้าของใบหน้าหวานก็เม้มริมฝีปากสีสดแน่น พลางเสมองไปทางอื่นเหมือนคนไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังจะสื่อ ทั้งที่ผิวแก้มของสองข้างที่ขึ้นสีแดงก่ำลามลงมายันคอ ได้แสดงออกหมดแล้วว่าตะวันเข้าใจในสิ่งที่พลัฎฐ์พูดถึงเป็นอย่างดี

“หึๆ งั้นพี่ไปนะครับตัวเล็ก แล้วเดี๋ยวตอนเย็นพี่มารับ เราจะได้ไปรับเด็กๆ ที่โรงเรียนกัน”

ตะวันพยักหน้าแกนๆ จะปฎิเสธก็ไม่ได้ เพราะตัวเองไม่ได้เอารถมาเนื่องจากเมื่อเช้าติดรถของคนข้างบ้านที่เสนอตัวไปส่งอาทิตย์ที่โรงเรียนและมาส่งเขาที่ร้าน ดังนั้นตะวันจึงไม่มีทางเลือกมากนักถ้าอยากไปรับอาทิตย์หลังเลิกเรียนให้ตรงเวลา และพอตอบให้อีกฝ่ายได้รับรู้แล้ว ตะวันก้มหน้าหลบสายตาคมที่ตอนนี้จ้องมองเขาแบบที่ไม่คิดจะปิดบังความรู้สึกของตัวเองเลยสักนิด

มาถึงขนาดนี้แล้ว ตะวันก็ไม่รู้จะปฏิเสธสิ่งที่ตาเห็นยังไง ในเมื่อมองในแง่ไหนก็รู้ว่าพลัฎฐ์กำลังส่งสัญญาณว่ากำลัง ‘จีบ’ เขาอย่างออกนอกหน้า แม้จะเป็นการออกนอกหน้าที่ดูนิ่งๆ ก็เถอะ และที่ร้ายไปกว่านั้น ตะวันเองก็ไม่รู้จะปฏิเสธหัวใจตัวเองยังไงด้วย ว่าหวั่นไหวกับสิ่งที่พลัฎฐ์มอบให้ จนตอนนี้เขาแทบจะไม่เป็นตัวของตัวเองเลย ให้ตาย!

.

.

.

“ปะป๊า น้องพีห่มผ้านุ่มๆ แย้ว ปะป๊าเยือกนิทานเสร็จยื้อยังคับ?”

เจ้าตัวน้อยที่ตอนนี้ถูกผ้าห่มหนาคลุมอยู่เหนืออกพูดถามเสียงใสไม่เหมือนคนง่วงนอนสักนิด ให้คนเป็นพ่อรู้ดีว่าวันนี้นิทานเรื่องเดียวต้องเอาไม่อยู่แน่ๆ ท่าทางวันนี้น้องพีน่าจะหลับยากพอสมควรเพราะเมื่อเย็นไม่ได้เล่นกับอาทิตย์เพื่อนคนสนิทที่โดนพี่ชายทำโทษเนื่องจากทำการบ้านเสร็จช้า เพราะเอาแต่แอบดูทีวี

ตะวันจึงสั่งห้ามไม่ให้อาทิตย์ออกไปที่บ้านข้างๆ เพื่อเล่นกับน้องพีตามกิจวัตรปกติเหมือนทุกวัน ถึงแม้จะทำการบ้านเสร็จภายหลังก็ตาม น้องพีจึงได้แต่เล่นวาดรูปและระบายสีแบบที่ไม่ได้ออกแรงอะไรมากแบบที่เด็กๆ เล่นกันปกติ ดังนั้นวันนี้น้องพีจึงมีแรงเหลือเฟือ น่าจะนอนฟังนิทานได้อีกพักใหญ่เลยกว่าจะง่วง

“ได้แล้วครับ” พลัฎฐ์เดินผละออกมาจากชั้นวางหนังสือนิทาน ตรงมายังเตียงของลูกชาย ก่อนที่จะแทรกตัวนอนตะแคงข้างหันไปทางเด็กชายพีรยถ์ พลางใช้ศอกยันไว้บนที่นอนเพื่อทรงตัว และเพื่อจะได้เห็นหน้าเด็กชายที่กำลังนอนมองเขาตาแป๋วด้วย

“เยื่องอะไยคับที่ ปะป๊าหยิบมา” เจ้าหนูน้อยว่าพลางขยับตัวเข้าหาคนเป็นพ่อด้วยความเคยชิน

“เรื่องแฮนเซลกับเกรเทลครับ ผจญภัยบ้านขนมปัง เรื่องที่น้องพีชอบไง”

เด็กน้อยยิ้มร่า พลางซุกซบอกอุ่นๆ ของพลัฎฐ์ด้วยความชอบใจ “อ่านเยยๆ น้องพีตั้งใจฟังคับ”

พลัฎฐ์ยิ้มก่อนจะวาดวงแขน ขยับลูกน้อยเข้าใกล้ พลางโอบเด็กชายไว้หลวมๆ ก่อนจะเริ่มเล่านิทานด้วยเสียงนุ่มทุ้มให้ลูกชายฟัง

“One upon a time, in a faraway forest, there lived a poor woodcutter, his wife and their two young children. The boy’s name was Hansel and the girl was called Gretel … กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในป่าที่ไกลออกไปมีคนตัดไม้ที่ยากจนอาศัยอยู่กับภรรยาและลูกน้อยอีกสองคน เด็กชายมีชื่อว่าฮันเซล ส่วนเด็กหญิงถูกเรียกว่าเกรเทล...”

พลัฎฐ์เล่าไปเรื่อยด้วยน้ำเสียงขึ้นลงตามโทนของเรื่อง แต่ไม่มีวี่แววว่าน้องพีจะง่วงเลยสักนิด หนำซ้ำยังตื่นเต้นกับเนื้อเรื่อง จนเผลร้องวู้ ว้าว ออกมาเป็นระยะๆ อีกต่างหาก จวบจนกระทั่งพลัฎฐ์เล่าถึงประโยคสุดท้าย เด็กชายพีรยสถ์ก็ยังไม่ได้หลับตาลงแต่อย่างใด

“Finally, they managed to find their way back home and gave all the jewels to their mother and father. Thanks to the clever children, the woodcutter and his family were never poor or hungry ever again! ... ในที่สุดฮันเซลกับเกรเทลก็หาทางกลับบ้านได้ และพวกเขาก็นำอัญมณีทั้งหมดไปมอบให้กับแม่และพ่อ ซึ่งต้องขอบคุณความฉลาดของเด็กทั้งสอง ที่ทำให้คนตัดไม้และครอบครัวไม่ต้องพบเจอกับความยากจนและหิวโหยอีกต่อไป”

พลัฎฐ์ปิดนิทานเล่มนั้นลง โดยที่น้องพีเองก็ยังคงตั้งตารอที่จะได้ฟังนิทานเรื่องต่อไป

“ไง ยังไม่ง่วงอีกเหรอลูก” คนเป็นพ่อถามยิ้มๆ พลางลูบศรีษะเล็กด้วยความเอ็นดู

“น้องพียังไม่ง่วง น้องพีหยักฟังนิทานอีกคับปะป๊า” พลัฎฐ์ยิ้มขำ ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างได้ เลยตัดสินใจที่จะลองเลียบๆ เคียงๆ เพื่อที่จะดูปฏิกริยาของลูกชายไปในตัว

“อืม.. ไว้เดี๋ยวปะป๊าจะเล่าเรื่องพินอคคิโอให้ฟัง แต่ตอนนี้ปะป๊ามีเรื่องจะถามน้องพีสักหน่อย น้องพีจะตอบปะป๊าได้ไหมนะ?”

“ได้สิคับ น้องพีตอบได้น้องพีเก่ง ปะป๊าจะถามอะไยหยอ?” เด็กน้อยถามประสาซื่อ ไม่ได้รู้เท่าทันผู้ใหญ่อย่างคนเป็นพ่อเลยสักนิด

“น้องพีครับ หนูชอบพี่ตะวันไหมครับ?” พลัฎฐ์เริ่มเปิดประเด็นด้วยคำถามง่ายๆ ที่เขาก็รู้คำตอบดี

“ชอบคับ น้องพีชอบพี่ตะวัน พี่ตะวันน่ายัก ใจดีด้วย ทำขนมเก๊าะอะหย่อย” เด็กชายตอบเสียงใส เขาชอบพี่ตะวันมาก ชอบคุณอาทิตย์ด้วย ชอบทั้งสองคนเลย

“ปะป๊าก็ชอบพี่ตะวันนะ” น้องพีน้องตาโต พอได้ยินปะป๊าบอกแบบนั้น เด็กน้อยดูตื่นเต้นมาก โดยที่ไม่ได้รู้เลยว่าชอบในความหมายของพ่อนั้น แตกต่างจากความหมายของตัวเอง “แล้วถ้าสมมติว่าปะป๊าพาน้องพีไปอยู่ใกล้ๆ พี่ตะวันทุกวัน เช้าก็เจอพี่ตะวัน เย็นก็เจอพี่ตะวัน ดึกแล้วก็ยังเจอพี่ตะวันอีก น้องพีจะโอเคไหมครับ?”

เด็กชายตัวน้อยยังไม่มีคำตอบอื่นใดให้คนเป็นพ่อ เพราะกำลังคิดถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ตามประสาเด็กสามขวบกว่าอยู่

.. ถ้าได้เจอพี่ตะวันทุกวัน ก็จะได้กินของอร่อยๆ มีคนคอยกอด คอยดูแล แถมตัวพี่ตะวันน่ะยังหอมมากๆ อีก ที่สำคัญเจอพี่ตะวันที่ไหน น้องพีก็จะได้เจอคุณอาทิตย์ด้วย ... โอ้โห แบบนี้มันดีมากๆ เลยไม่ใช่เหรอ

จากที่เอียงคอ ขมวดคิ้ว คิดนั่นนี่อยู่พักหนึ่ง เด็กน้อยก็ตาโต พลางหันมามองพลัฎฐ์ด้วยสายตาดีอกดีใจ

“น้องพีโอเคคับปะป๊า น้องพีชอบเจอพี่ตะวัน เพราะถ้าเจอพี่ตะวัน ก็ได้เจอคุณอาทิตย์ด้วย แถมพี่ตะวันยังใจดี มีของอะหย่อยๆ เยอะแยะให้กิน เอาๆ เจอพี่ตะวันบ่อยๆ น้องพีชอบ”

พลัฎฐ์ยิ้มกว้างพลางก้มลงไปฟัดเด็กน้อยที่ม้วนตัวอยู่ในผ้าห่มอย่างมันเขี้ยวเพราะเอ็นดูในคำตอบ ก่อนจะวางแผนการเล็กๆ เมื่อเห็นว่า ‘ตัวช่วย’ ของเขามีประโยชน์มากแค่ไหนในแผนการนี้

“ถ้าน้องพีอยากอยู่กับพี่ตะวันและคุณอาทิตย์นานๆ น้องพีต้องช่วยปะป๊านะครับ” พลัฎฐ์อ้อนลูก และแน่นอนว่ามีหรือที่เด็กชายพีรยสถ์จะปฏิเสธคำขอของพ่อผู้เป็นที่รักได้

“น้องพีช่วย ปะป๊าจะให้น้องพีทำอะไยคับ” เด็กน้อยถาม ดูกระตือรือร้นเป็นพิเศษ เพราะนอกจากจะเป็นคำขอของปะป๊าแล้ว น้องพีจะได้อยู่กับพี่ตะวันกับคุณอาทิตย์นานๆ ด้วย

“ถ้างั้นพรุ่งนี้หลังกลับมาจากโรงเรียน น้องพีทำแบบนี้นะ...”

ว่าแล้วคนเป็นพ่อก็ก้มลงไปกระซิบกระซาบกับลูกชายแล้วหัวเราะคิกคักน่าหมั่นไส้กันอยู่สองคน เด็กน้อยพยักหน้ารับหงึกหงักกับสิ่งที่พลัฎฐ์บอกให้ทำ ซึ่งอันไหนที่พลัฎฐ์ต้องการให้น้องพีทำเป็นพิเศษ เขาก็จะเน้นๆ ย้ำๆ หลายรอบเพื่อให้ลูกจำได้ และเมื่อบอกความต้องการของตัวเองจนหมดสิ้น พลัฎฐ์ก็ถามย้ำกับคนเป็นลูกอีกครั้งให้มั่นใจว่าลูกน้อยของเขาเข้าใจในสิ่งที่บอกไปทั้งหมดดี

“น้องพีทำได้ไหมครับ ช่วยปะป๊าได้หรือเปล่า?”

ร่างเล็กๆ ผุดลุกขึ้นนั่งจนผ้าห่มที่กองอยู่บนอกในตอนแรก ร่วงลงไปกองที่เอวแทน

“ทำได้คับ น้องพีทำได้นะ” เด็กน้อยยื่นนิ้วก้อยออกมาตรงหน้าคนเป็นพ่อด้วยท่าทางน่าเอ็นดู “น้องพีสัญญาว่าน้องพีทำได้” พลัฎฐ์หลุดขำออกมาเบาๆ ก่อนที่จะยื่นนิ้วก้อยของตัวเองไปเกี่ยวตอบ

“ขอบคุณมากนะครับเด็กน้อยของปะป๊า น้องพีของปะป๊าน่ะ เก่งที่สุดในโลกเลย”

เด็กชายพีรยสถ์ยิ้มเขินเมื่อได้รับคำชมจากคนเป็นพ่อ ก่อนที่จะพลัฎฐ์จะนึกอีกอย่างขึ้นได้ จึงสำทับบอกย้ำกับน้องพีอีกที

“แต่เรื่องนี้เป็นความลับที่ห้ามบอกพี่ตะวัน น้องพีทำได้ไหมครับ”

“ได้คับปะป๊า น้องพีไม่บอกพี่ตะวันเยย ความยับๆ”

เจ้าหนูน้อยพูดพลางทำมือรูดซิปตรงปาก ไม่รู้ไปเอาท่าทางแบบนี้มาจากไหน สงสัยจะจากโทรทัศน์หรือไม่ก็ในพวกการ์ตูน ซึ่งดูแล้วน่ารักมากจนพลัฎฐ์อดไม่ได้ที่จะจับลูกชายที่ผุดลุกขึ้นมานั่งเมื่อครู่ นอนราบลงไปกับเตียงแล้วฟัดพุงอย่างมันเขี้ยว

“ฮ่าๆๆๆๆ ปะป๊า น้องพีจั๊กจี้พุง ปะป๊า ฮ่าๆๆๆๆ”

“น่ารักนักใช่ไหม ลูกใครหื้ม? น้องพีลูกใครนะ ทำไมน่ารักแบบนี้” ยิ่งลูกขำ พลัฎฐ์ยิ่งแกล้งถูใบหน้าลงไปที่พุงน้อยๆ ของเจ้าหนูอย่างหยอกล้อ

“น้องพียูกปะป๊าพาลัด ปะป๊าพาลัดที่หย่อที่สุดในโยกกก ฮ่าๆๆๆ”

คนเป็นพ่อหัวเราะชอบใจที่ได้ยินลูกชายเอ่ยชม สุดท้ายพลัฎฐ์ก็ยอมหยุดเล่น เพราะกลัวว่าลูกจะหายใจไม่ทัน หรือไม่ก็สนุกจนเก็บเอาไปละเมอ

“งั้นลูกชายของปะป๊าพลัฎฐ์ที่น่ารักที่สุดในโลกก็นอนได้แล้วครับ ดึกแล้ว พรุ่งนี้เดี๋ยวตื่นไปโรงเรียนไม่ไหว อดไปเล่นกับคุณอาทิตย์แน่ๆ”

“โอ๊ะ น้องพีอยากไปเย่นกะคุณอาทิตย์”

พอพูดจบตากลมของเด็กชายตัวน้อยก็ปิดลงทันที โดยมีพลัฎฐ์คอยลูบหลังลูบไหล่ขับกล่อมให้ลูกชายนอนหลับได้ง่ายขึ้น... ซึ่งในเวลานี้ก็ดูเหมือนว่านิทานคงจะไม่จำเป็นอีกต่อไป เพราะเมื่อกี้น่าจะเหนื่อยจากการออกแรงไปมากพอสมควร

เด็กน้อยค่อยๆ จมเข้าสู่ห้วงนิทราเพราะสัมผัสที่เคยชิน และอ้อมกอดที่อบอุ่นของคนเป็นพ่อ จนลมหายใจของน้องพีเริ่มที่จะสม่ำเสมอ พร้อมกับที่น้องพีหลับสนิทไปเรียบร้อยภายในเวลาไม่กี่นาที

“ตัวแสบของปะป๊า ขอบคุณมากนะครับ ปะป๊ารักน้องพีที่สุดเลยรู้ไหม”

พลัฎฐ์พึมพำ นึกขอบคุณที่ลูกชายเปิดโอกาสและยอมช่วยเหลือเขาเต็มที่ แม้จะไม่ค่อยเข้าใจก็ตาม

“ฝันดีครับลูก” ริมฝีปากหยักกดลงแก้มนิ่มของลูกน้อยเบาๆ ก่อนที่จะมอง ‘ตัวช่วย’ ที่กำลังจะแปลงร่างเป็นกามเทพตัวน้อย เพื่อช่วยให้เขาสมหวังในความรักด้วยความเต็มใจ

.

.

.

"พี่ตะวันค้าบ วันนี้พี่ตะวันทำข้าวผัดคุณกุ้งให้น้องพีกินหน่อยได้ไหมคับ น้องพีหยักกิน"

วันนี้เป็นเวรของตะวันมารับเด็กๆ เพราะพลัฎฐ์โทรมาบอกว่าเขาอาจจะเลิกประชุมเย็น และหลังจากขึ้นมานั่งบนรถเรียบร้อย เด็กน้อยตัวเล็กที่สุดในรถ ก็เอ่ยปากขอคนตัวโตที่สุดในรถ ให้คนที่ถูกอ้อนได้อมยิ้ม

"ได้สิครับน้องพี เดี๋ยวพี่ตะวันทำให้กิน แต่เดี๋ยวพี่ตะวันขอกลับไปดูความเรียบร้อยที่ร้านก่อนเนาะ แล้วเดี๋ยวเราค่อยกลับบ้านกัน น้องพีทนหิวไหวไหม"

ตะวันเอ่ยรับปากอย่างใจดี เขาเป็นคนชอบทำอาหาร และยิ่งถ้ามีคนรอกิน และขอให้เขาทำให้กินเขายิ่งรู้สึกยินดี

"ไหวคับ น้องพีรอกินพร้อมปะป๊าด้วย"

ใจของคนที่กำลังจะเคลื่อนรถออกจากโรงเรียนกระตุกวาบ สองสามวันมานี้เขาเข้าหน้าพลัฎฐ์ไม่ค่อยจะติด สาเหตุก็ไม่ใช่อื่นใด ก็ทั้งคำพูดและการกระทำของพลัฎฐ์เมื่อวันก่อนนั่นแหละที่ทำให้เขาใจเต้นไม่เป็นส่ำ แถมยังทำตัวไม่ค่อยจะถูก ยามมีเหตุให้ต้องเจอหรือใกล้ชิดกัน

"อืมม.. เห็นปะป๊าพลัฎฐ์โทรมาบอกพี่ตะวันว่ามีประชุม พี่ตะวันไม่แน่ใจว่าปะป๊าเค้าจะเลิกงานมากินข้าวกับน้องพีทันหรือป่าว" ตะวันบอกเด็กน้อยตามความเป็นจริง เพราะไม่อยากให้น้องพีหิ้วท้องรอคนเป็นพ่ออย่างไม่จำเป็น "เอางี้ดีไหมครับ ถ้าน้องพีหิว น้องพีกินพร้อมพี่ตะวันกับคุณอาทิตย์ก่อน แล้วเดี๋ยวพอปะป๊าพลัฎฐ์มา พี่ตะวันค่อยทำข้าวผัดคุณกุ้งให้ปะป๊ากินเพิ่ม ดีไหมครับ"

น้องพีนิ่งคิด แต่สุดท้ายก็บ่มงึมงำออกมาอยู่ดี

"แต่ปะป๊าจะเหงา ถ้ากินข้าวผัดคุณกุ้งคนเดียวนะคับพี่ตะวัน" เด็กน้อยหน้ามุ่ย จนตะวันที่มองผ่านกระจกมองหลังมาเห็นแล้วอดสงสารปนเอ็นดูไม่ได้ "น้องพีไม่อยากให้ปะป๊าเหงาเยย"

และโดยที่ตะวันไม่ทันจะพูดอะไร เจ้าอาทิตย์ดวงน้อยก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน ราวกับรับรู้ได้ถึงความไม่สบายใจของเพื่อนสนิทตัวเอง

"งั้นน้องพีกินข้าวผัดคุณกุ้งพร้อมคุณอาทิตย์ก็ได้ แล้วให้พี่ตะวันกินพร้อมปะป๊าพะลัด ดีไหมๆ น้องพี"

เด็กน้อยตาโต เมื่อได้ยินข้อเสนอของเด็กชายเพื่อนสนิท ข้อเสนอที่ทำเอาตะวันแทบนั่งไม่ติด

"แต่พี่ตะวันว่า..."

"เอาคับๆ ปะป๊าจะได้ไม่เหงา พี่ตะวันจะยอใช่ไหมคับ"

ดวงตามกลมๆ ที่มองมาอย่างคาดหวังทำเอาตะวันกลืนทุกสิ่งที่ตั้งใจจะพูดลงคอ คำพูดที่เขากำลังบอกออกไปก่อนที่จะถูกน้องพีสวนมากลางปล้องก่อนหน้า

บอกตามตรงว่าเขาทำลายความหวังของเจ้าหนูตาดำๆ ไม่ลง

"ก็ได้ครับ เดี๋ยวพอถึงบ้าน น้องพีกับคุณอาทิตย์กินข้าวผัดคุณกุ้งกันก่อนได้เลย เสร็จแล้วจะได้ทำการบ้าน.. ส่วนปะป๊าพลัฎฐ์ เดี๋ยวพี่ตะวันรอกินเป็นเพื่อนเอง โอเคกันรึยังหื้ม? เจ้าตัวแสบทั้งหลาย"

และถึงแม้จะบ่น แต่ริมฝีปากบางสีสดกลับอมยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู แม้จะรู้สึกหนักใจนิดๆ แต่คิดอีกที แค่ทานข้าวกับพลัฎฐ์ก็คงไม่น่าจะมีปัญหาอะไรมั้ง ... ขอให้ไม่มีอะไรจริงๆ ทีเถ๊อะ

.

.

.

"นั่งรอพี่ตะวันตรงนี้นะครับเด็กๆ อยู่กับพี่มีนานะ ไม่ดื้อ ไม่ซน เดี๋ยวพี่ตะวันไปคุยกับป้าวันดีในครัวแปปนึง"

"คับ/คับ"

เด็กๆ ทั้งสองรับคำตะวันอย่างดี ตะวันเลยวางใจปล่อยให้เด็กๆ นั่งเล่นรอที่โต๊ะหน้าเคาน์เตอร์ โดยมีมีนาเด็กในร้านคอยดูแลให้อีกแรง

และหลังจากคล้อยหลังตะวันเดินไป เสียงงุ้งงิ้งของเด็กทั้งคู่ ก็เริ่มเปิดฉากคุยกันทันที

"น้องพี คุณอาทิตย์พูดตามที่น้องพีบอกให้พูดเลย ถูกไหมๆ"

น้องพียิ้มกว้าง ก่อนตอบ "ถูกๆ คุณอาทิตย์พูดถูกหมดเยย แบบที่ปะป๊าบอกให้พูดเปี๊ยบ! คุณอาทิตย์เก่งๆ"

น้องพีปรบมือเปาะแปะให้เพื่อนสนิท ให้เด็กชายภานวีย์ได้ยืดอกภูมิใจ

"เนี่ยยย น้องพีเก๊าะบอกให้คุณอาทิตย์พูดตามปะป๊าเยย เพราะปะป๊าบอกว่า ถ้าให้พี่ตะวันอยู่ด้วยกันนานๆ น้องพีกับคุณอาทิตย์ก็จะได้อยู่กันนานๆ ด้วย คิกคิก"

เด็กน้อยหัวเราะคิกคัก ความต้องการของพวกเขาไม่ซับซ้อน แค่พอปะป๊าพลัฎฐ์บอกว่าจะได้อยู่ด้วยกันนานขึ้น พวกเขาก็ทำ โดยไม่ได้รู้เลยว่าคนเจ้าเล่ห์เจ้าแผนการอย่างพลัฎฐ์ที่ขอให้ลูกชายทำทุกอย่างไปนั้น ก็เพราะเขาคาดหวังที่จะได้อยู่กับตะวันนานขึ้นเช่นกัน

และแน่นอนว่าทั้งหมดนี้ตะวันไม่ได้ระแคะระคายใดๆ เลยแม้แต่นิดเดียว

.

.

.

หลังจากกลับมาจากร้าน ตะวันก็พาเด็กชายพีรยสถ์มาอยู่ด้วยกันที่บ้านก่อน เนื่องจากพลัฎฐ์ยังประชุมไม่เสร็จ

ตะวันทำอาหารเย็นเป็นข้าวผัดกุ้งที่น้องพีอยากกินให้เด็กๆ รวมทั้งยังมีต้มจืดหมูสับใส่แครอทเพิ่มไปอีกรายการ ให้เจ้าหนูทั้งสองได้ซดน้ำคล่องๆ คอด้วย

และหลังจากทานกันอิ่มหนำแล้ว ตะวันก็เก็บวัตถุดิบที่จะเอาไว้ทำให้ตัวเองและพลัฎฐ์ใส่ตู้เย็น ก่อนจะมานั่งสอนการบ้านเด็กๆ เพื่อรอเวลาให้พลัฎฐ์กลับมาทานข้าวเย็นพร้อมกัน

พอพูดแบบนี้แล้วรู้สึกเป็นครอบครัวยังไงไม่รู้

ตะวันหน้าแดงที่ตัวเองคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ก่อนจะหันมาให้ความสนใจกับเด็กทั้งสองตรงหน้าที่กำลังทำการบ้านกันอยู่แทน

"พี่ตะวันคับ แอล โอ วี อี เยิฟ ที่แปลว่ายัก น้องพีขีดไปที่ยูปนี้ถูกไหมคับ" น้องพีเงยหน้ามาถามตะวัน ในขณะที่นิ้วยังคงจิ้มอยู่ที่หน้ากระดาษในข้อที่ตัวเองไม่แน่ใจ

"ถูกต้องครับ น้องพีเก่งมาก" ตะวันยื่นมือเรียวไปลูบศีรษะกลมๆ ของเด็กชายด้วยความเอ็นดู ก่อนที่เสียงของน้องชายตัวน้อยจะดังขัดความคิด

"โอ๊ะ ปะป๊าพะลัดมาแล้วว" อาทิตย์มีท่าทางดีใจขึ้นมาทันตาเมื่อเจ้าหนูได้ยินเสียงออดหน้าบ้านดัง

"ปะป๊ามาแย้วว" น้องพีเองก็ดีใจไม่ต่าง ให้ตะวันต้องรีบไปเปิดประตูให้คนที่เด็กชายทั้งสองรอเจอได้เข้ามา

"รอตรงนี้นะครับ เดี๋ยวพี่ตะวันไปเปิดประตูให้ปะป๊าพลัฎฐ์ก่อน" ตะวันเดินไปชะโงกหน้าดูตรงวีดีโออินเตอร์คอม ให้ได้เห็นเจ้าของรูปร่างสูงใหญ่คุ้นตา ยืนยิ้มบางๆ ให้เขาอยู่หน้าประตู

หัวใจดวงเล็กๆ ของตะวันเต้นระรัวขึ้นมาทันที ที่เห็นอีกฝ่าย นี่ขนาดเขาคิดมาว่าเขาห้ามใจตัวเองได้ดีขึ้นมากแล้ว แต่กลับไม่เป็นอย่างนั้นเลย เมื่อได้เจอพลัฎฐ์อีกครั้ง

ตะวันเดินออกไปเปิดประตูให้คนที่รออยู่ได้เข้ามา และคำทักทายของอีกฝ่ายก็ทำให้เขาต้องแก้มแดงอีกครั้ง

"ขอบคุณนะครับตัวเล็ก ได้เห็นหน้าตัวเล็กแบบนี้ .. พี่ค่อยหายเหนื่อยหน่อย"

"อะ .. เอ่อ เข้าบ้านเถอะครับพี่พลัฎฐ์ น้องพีรออยู่" ตะวันพยายามเปลี่ยนเรื่อง แต่ดูเหมือนว่าคำพูดนั้นจะยิ่งรัดเขาไว้ยิ่งกว่าเดิม

"มีแค่น้องพีที่รอเหรอครับ พี่นึกว่า..."

"อะ อาทิตย์ก็รอครับ เห็นว่าจะให้พี่ช่วยสอนการบ้านให้" ตะวันรีบรวดรัดพูดเมื่อเดินเข้ามาในบ้าน แล้วเด็กๆ ทั้งสองก็พุ่งมาจู่โจมพลัฎฐ์แล้วเรียบร้อย

"ปะป๊า / ปะป๊าพะลัดดด"

เด็กทั้งสองวิ่งเข้ามาก่อนจะพุ่มมือไหว้คนที่อาวุโสที่สุดในบ้านตอนนี้ด้วยท่าทางน่าเอ็นดู

"สวัสดีคับปะป๊า"

"สวัสดีคับปะป๊าพะลัด"

"สวัสดีครับเด็กๆ ไหน ทำการบ้านถึงไหนกันแล้ว" พลัฎฐ์เอ่ยถามให้เด็กๆ ได้แย่งกันพูดยกใหญ่ ตะวันเห็นดังนั้นจึงเดินแยกออกมา

"ถ้างั้นผมฝากเด็กๆ หน่อยนะครับพี่พลัฎฐ์ เดี๋ยวผมไปผัดข้าวกับอุ่นต้มจืดให้ทาน"

"ได้ครับ พี่ขอบคุณตัวเล็กมากนะครับ รบกวนเลย" พลัฎฐ์เอ่ยบอกอย่างเกรงใจแต่ยอมรับว่ารู้สึกดีไม่น้อยที่มีตะวันคอยดูแล

"ไม่เป็นไรครับ ตะวันก็ยังไม่ได้ทาน" พอว่าจบคนตัวเล็กกว่าก็เดินเข้าไปในครัว ให้เจ้าเด็กน้อยทั้งสองได้เอาความดีความชอบ
 

- อ่านต่อด้านล่าง -

ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
- ต่อจากด้านบน -
 

"น้องพีเก่ง น้องพีบอกให้คุณอาทิตย์บอกพี่ตะวันตามที่ปะป๊าบอก เยาสองคนเก่งไหมคับปะป๊า"

พลัฎฐ์ยิ้มกว้าง ไม่น่าเชื่อว่าสื่งที่เขาฝากฝังให้ลูกชายทำ เจ้าหนูจะทำได้ดีขนาดนี้

"เก่งมากครับ เก่งทั้งคู่เลย" พลัฎฐ์เอ่ยชมให้อาทิตย์ได้พูดต่อ

"อาทิตย์เป็นคนบอกคับปะป๊าพะลัด เราจะได้อยู่ด้วยกันนานๆ อาทิตย์อยากเล่นกับน้องพี อยากให้ปะป๊าพะลัดอยู่เล่นด้วย"

พอเห็นสบโอกาส พลัฎฐ์จึงยิ่งย้ำ

"ดีมากครับอาทิตย์ เก่งมาก ต้องบอกพี่ตะวันแบบนี้บ่อยๆ นะ ถ้าอยากให้ปะป๊ากับน้องพีอยู่เล่นด้วยนานๆ โอเคไหมครับ"

"โอเคคับปะป๊า อาทิตย์จะจำไว้" ท่าทางของเด็กทั้งสองทำให้พลัฎฐ์วางใจ เห็นไหมว่าตัวช่วยของเขาน่ะ เจ๋งกว่าใครหน้าไหนทั้งนั้นแหละ

.

.

.

การทานอาหารด้วยกันก็ไม่ได้มีอะไรหวือหวาสักเท่าไหร่ เพราะตะวันยกมาให้ทานตรงโต๊ะที่สอนการบ้านเด็กๆ พวกเขาทานไป สอนการบ้านเด็กๆ ไป แม้จะไม่ได้โรแมนติคเท่าที่พลัฎฐ์คาดหวังไว้ แต่ก็อบอุ่นใจมากเกินกว่าที่จะเอ่ย เป็นความรู้สึกของการเป็นครอบครัวในแบบที่พลัฎฐ์ฝันอยากจะมีมาตลอด

"เดี๋ยวตะวันเอาจานไปล้างก่อนนะครับ"

ตะวันรวบจานแล้วยกขึ้นไม่รอให้พลัฎฐ์เอ่ยห้าม คนตัวโตกว่ารู้สึกว่ามันไม่ค่อยแฟร์เท่าไหร่ เพราะตะวันเป็นคนทำอาหารให้เขาทาน แล้วยังจะต้องมาล้างให้อีก

คิดได้แบบนั้นพลัฎฐ์จึงตัดสินใจลุกตามเจ้าของร้านอาหารเข้าไปในครัว เมื่อมองเห็นแล้วว่าตอนนี้เด็กทั้งสองนั่งเล่นกันอย่างปลอดภัย ไม่ได้มีอะไรให้ต้องน่าเป็นห่วง

พลัฎฐ์มองแผ่นหลังเล็กของตะวันที่ตอนนี้กำลังเตรียมจะล้างจานอยู่ที่หน้าอ่างด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึก เขาจึงตัดสินใจไปยืนข้างๆ เจ้าของใบหลังเล็กนั้น ก่อนจะเอ่ยอย่างอ่อนโยน

"ตัวเล็กทำให้พี่ทานแล้วยังจะมาล้างให้อีก มาครับ.. พี่ช่วยครับ"

และเมื่อพลัฎฐ์ขยับไปยืนข้างๆ ตะวัน...

กลิ่นกายหอมหวานราวขนมของคนข้างตัว

ไหล่เล็กกับไหล่กว้างของทั้งสองที่ซ้อนกัน เพราะความใกล้ชิดที่ไม่ได้ตั้งใจ

และมือเรียวและมือใหญ่ที่วางทับกันภายใต้ฟองที่ฟูฟ่องเต็มอ่างของน้ำยาล้างจาน

ความใกล้ชิดที่ก่อเกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัวทำให้หัวใจของคนทั้งคู่เต้นไม่เป็นส่ำ แม้กระทั่งพลัฎฐ์ที่เก็บอาการได้ดี ยังต้องเหลือบตามองคนข้างๆ เพราะห้ามตัวเองไม่ได้ ในขณะที่ตะวันนั้น ตอนนี้แก้มแดงก่ำ จนลามไปถึงคอ

และภาพของอีกฝ่ายที่เห็นทำให้พลัฎฐ์ตัดสินใจถาม เพราะเขาอยากจะแน่ใจและจะได้เดินหน้าต่อ เนื่องจากไม่อยากรออะไรอีกแล้ว

"ตัวเล็กครับ.. ตัวเล็กรู้ใช่ไหมว่าพี่คิดยังไงกับตัวเล็ก"

ใบหน้าน่ารักที่ตอนแรกแดงก่ำเพราะความอายตอนนี้กับยิ่งแดงกว่าเดิม เหมือนมีใครสักคนเอาสีมาสาดก็ไม่ปาน

"ค.. คือตะวัน ตะวันไม่แน่ใจครับ" คนตัวเล็กกว่าตอบตามตรง เพราะบางทีพลัฎฐ์ก็เหมือนจะมีใจ แต่บางทีก็เหมือนจะเฉยๆ ดังนั้นตะวันจึงไม่แน่ใจเลยสักนิด

"แล้วถ้าพี่จะบอกว่าพี่คิดอย่างที่ตัวเล็กกำลังสงสัย ตัวเล็กจะว่ายังไงครับ" พลัฎฐ์ตัดสินใจถามตรงๆ ให้ตะวันได้อ้าปากพะงาบๆ ราวกับควานหากล่องเสียงตัวเองไม่เจอ

และเขาก็ต้องเป็นใบ้หนักยิ่งขึ้น เมื่อเจอการจู่โจมตรงๆ ของอีกฝ่ายที่ซัดเข้ามาอีกระลอก

"ถ้าพี่จะบอกว่าพี่ 'ชอบ' ตะวัน... ตะวันจะว่ายังไงครับ บอกพี่หน่อยได้ไหม"

.

.

.

To Be Continue

---------------------------------

ปะป๊าก็รุกหนักไม่พักกก ทำเอาพี่ตะวันหายใจหายคอไม่ทัน กี๊ส! ><

ฝากติดแท็ก #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว ในทวิตด้วยนะคะ และก็ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่าน และคอมเม้นท์ให้กำลังใจกัน มีแค่ไม่กี่คอมเม้นท์ก็ดีใจแย้ว ขอแค่ไม่ทิ้งกันไปไหนก็พอออ ^^

แล้วเจอกันตอนหน้าค่า ❤❤❤

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
:: Chapter 10th - ที่ปรึกษา ::


- Tawan’s Part -

ผมนอนไม่หลับ คำสารภาพรักของพี่พลัฎฐ์ยังดังก้องอยู่ในหู

หลังจากผุดลุกผุดนั่งอยู่หลายตลบ ผมเลยคิดว่าควรเลิกพยายามที่จะนอนได้แล้ว เพราะถึงยังไงคืนนี้ผมก็หลับไม่ลง สุดท้ายจึงเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่หัวเตียง กดดูเวลาก็เห็นว่าเกือบจะล่วงเข้าวันใหม่ แต่ด้วยอาการแบบนี้ถ้าผมไม่หาทางระบาย ผมคงนอนไม่หลับไปจนสว่างแน่ๆ สุดท้ายผมจึงเสิร์ชหารายชื่อที่ตัวเองคิดไว้ เพราะมั่นใจว่าถ้าเป็นคนๆ นี้ เขาต้องรับฟังและมีคำแนะนำดีๆ ให้ผมได้แน่ๆ ว่าแล้วผมก็กดโทรออก เมื่อเจอชื่อของคนที่ผมต้องการ รอสายอยู่ไม่นาน อีกฝ่ายก็กดรับด้วยน้ำเสียงสดใส ราวกับว่านี่ไม่ใช่เวลาใกล้เที่ยงคืนที่ชาวบ้านเขาหลับเขานอนกัน

(ฮายยย มายบราเธอร์ โทรมาดึกดื่นมีอะไรว้าวุ่นใจเหรอจ๊ะ?)

นั่น... ถามเหมือนรู้ไปอีก ผมล่ะอยากรู้เหลือเกินว่าลูกพี่ลูกน้องของผมเนี่ย เลี้ยงกุมารทองไว้เฝ้าผมหรือเปล่า เพราะว่าผมน่ะไม่เคยโกหกหรือหลอกอะไรหมอนี่ได้เลย จับผมได้ไล่ผมทันตลอดแหละ

“ก็.. นิดหน่อย” ผมอ้อมแอ้มตอบไม่เต็มเสียง แต่ก็พยายามทำตัวมีมารยาทสักนิด โดยถามในสิ่งที่ควรถามออกไปก่อน เพราะตอนนี้ก็ค่อนข้างดึกมากแล้ว “ว่าแต่นายจะนอนรึยังอ่ะ?”

(แหม พูดมาขนาดนี้แล้วตะวัน ต่อให้ฉันง่วง ฉันก็ไม่นอนหรอก นานๆ ทีนายจะมีเรื่องให้วุ่นวายใจจนนอนไม่หลับ เลยต้องโทรมาหาฉันเนี่ย แล้วแบบนี้คนอย่างชนกันต์จะยอมพลาดเรื่องเด็ดๆ ไปได้ยังไงกันจ๊ะ)

ผมถอนหายใจใส่โทรศัพท์อย่างเซ็งๆ ไม่รู้ว่าตัวเองคิดถูกหรือคิดผิดที่โทรหาลูกพี่ลูกน้องตัวเองอย่างชาร์ม เพราะหมอนี่น่ะ... ก็นั่นแหละ อย่างที่เห็น

“อย่าแซวสิชาร์ม ถ้านายแซวฉันจะไม่เล่านะ ... คนยิ่งเขินๆ อยู่” ประโยคหลังผมงึมงำพูดอยู่ในลำคอ ไม่คิดว่าชาร์มจะได้ยินหรอก แต่ผมก็ลืมไปว่าหมอนั่นน่ะหูดี หูดีในเรื่องที่ไม่ควรจะหูดีประจำ

(โอ๊ะโอ นี่ฉันแทบจะไม่ต้องทายเลยมั้งว่าเรื่องอะไร) ชาร์มพูดด้วยน้ำเสียงระรื่น ก่อนจะทำเสียงเล็กเสียงน้อยถามผมอย่างล้อเลียน (เรื่องคุณพลัฎฐ์ หนุ่มหล่อพ่อลูกติดข้างบ้านนั่นใช่มะ?)

ผมตาเหลือกโตโดยที่อีกฝ่ายมองไม่เห็น ผมไม่แน่ใจว่าทำไมชาร์มถึงรู้ โอเค.. เขาอาจจะเดาได้ว่าผมคงโทรมาปรึกษาปัญหาหัวใจ แต่ที่ผมเซอร์ไพร์สคือทำไมชาร์มถึงรู้ว่าตัวละครหลักในเรื่องนี้คือพี่พลัฎฐ์ หรือผมหลุดอะไรไปให้ชาร์มจับได้กัน

“ทำไมนายรู้? ไม่ๆ ฉันหมายถึงว่าทำไมนายถึงรู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับพี่พลัฎฐ์”

(ว๊าววว เดี๋ยวนี้มีเรียกพ่งเรียกพี่ ฉันจำได้ว่าคราวที่แล้วยังเป็นคุณพลัฎฐ์อยู่เลยไม่ใช่หรอ?)

น้ำเสียงสอดรู้ของอีกฝ่ายทำเอาผมไปแทบไม่เป็น ดูเหมือนผมจะพลาดซ้ำพลาดซ้อน อีหรอบนี้เห็นทีต้องโดนชนกันต์ซักจนขาวแน่ๆ

(เล่ามาเถอะน่าลูกแมว นายโทรมาหาก็เพราะจะปรึกษาไม่ใช่หรอ? ถ้ามัวแต่เขินเดี๋ยวก็ได้อกแตกตายกันพอดี)

สรรพนามเฉพาะถูกชนกันต์นำมาเรียกขานผมด้วยความเคยชิน นั่นเป็นเพราะทั้งผมและชาร์มสนิทกันมากกว่าความเป็นลูกพี่ลูกน้อง อาจจะเพราะอายุไล่กัน หรือไม่ก็เพราะคุณแม่ของผมและคุณแม่ของชนกันต์มีกันแค่สองคนพี่น้องหรือเปล่าก็ไม่รู้ นั่นเลยยิ่งทำให้ผมกับชาร์มสนิทกันมากเป็นพิเศษตั้งแต่เด็กๆ ดังนั้น มีอะไรผมจึงคุยกับชาร์มแทบทุกเรื่อง ชาร์มเองก็เหมือนกัน ตอนที่เขารู้รสนิยมเรื่องเพศของตัวเอง เขาก็มาปรึกษาผม

ดังนั้นระหว่างเราสองคนแล้ว มันเลยคำว่าลูกพี่ลูกน้องไปไกลมาก เรารู้ใจกันและกันยิ่งกว่าใคร มันจึงไม่แปลกเลยสักนิด ที่ผมจะเลือกคุยเรื่องนี้กับชาร์ม เพราะนอกเหนือจากความไว้ใจและความสนิทใจที่เรามีให้กันแล้ว ผมยังคิดว่าถ้าให้กูรูทางด้านนี้เป็นคนช่วยให้คำแนะนำ มันน่าจะได้ผลและเห็นผลเร็วกว่าคนที่ไม่มีประสบการณ์เรื่องนี้เลย

“ก็คือ.. วันนี้พี่พลัฎฐ์ เขาบอกว่าเขาชอบฉัน”

ผมเล่าเสียงเบาหวิวแล้วก็เงียบไป ดูเหมือนลูกพี่ลูกน้องปลายสายของผมก็เงียบไปเหมือนกัน ซึ่งนั่นยิ่งทำให้ผมวางสีหน้าไม่ถูก ถึงแม้จะรู้ว่าชาร์มเองก็ไม่ได้รู้ได้เห็นอะไรว่าตอนนี้ผมทำหน้าแบบไหนอยู่ แต่ผมก็เขินมากอยู่ดี เพราะแค่นึกถึงคำบอกชอบของคนข้างบ้านที่ดังอยู่ข้างหูแล้ว ผมก็ใจเต้นแรงอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ทันที

(แล้วไงต่อล่ะลูกแมว? เล่าต่อสิ พอคุณพลัฎฐ์เขาบอกชอบนาย แล้วนายตอบเขาไปว่าอะไร)

ชนกันต์เร่งเร้า ทำเอาผมเม้มปากแน่นด้วยความประหม่า ก่อนจะตอบออกไปด้วยน้ำเสียงแบ่งรับแบ่งสู้ เพราะไม่อยากให้คนในครอบครัวผิดหวังกับความไม่เอาไหนของตัวเอง

“อ่อ.. ฉันไม่ได้ตอบอะไรแล้วก็เดินหนีออกมาเลย แหะๆ” หวังว่าเสียงหัวเราะแห้งๆ ของผมจะทำให้ดูน่าเห็นใจมากขึ้นนะ

(ห๊ะ? นายว่าไงนะ? เดินหนีออกมาเลยงั้นหรอ?) ชนกันต์ถามด้วยน้ำเสียงตกอกตกใจ ให้ผมอดถามกลับไม่ได้

“อื้อ กะ.. ก็ฉันทำตัวไม่ถูกนี่ อยู่ๆ พี่เขาก็มาบอกว่าชอบ ละ แล้วนายจะให้ฉันทำยังไงเล่า?”

ผมโวยวายนิดๆ นั่นก็เพราะไม่รู้จะทำยังไง เอาจริงๆ ผมไม่ได้รังเกียจหรืออะไร แต่ผมยังไม่ได้ตั้งตัว อีกอย่างที่ผมยอมรับเลยก็คือ ผมเขินมากๆ ไม่คิดว่าจะถูกพี่พลัฎฐ์จู่โจมแบบนี้มาก่อน

(แต่นายก็ควรพูดตอบอะไรคุณพลัฎฐ์เขาไปหน่อยก็ได้นี่ เช่น ขอคิดดูก่อน ผมขอตั้งตัว ว็อทเอเวอร์! อะไรก็ได้น่ะภานรินทร์ อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่นายเดินหนีคุณเขามาเฉยๆ แบบนั้น)

ผมอ้าปากค้างหลังโดนชาร์มดุมายาวเหยียด แต่ก่อนที่จะได้อ้าปากเถียงอะไรออกไป คำพูดของลูกพี่ลูกน้องคนที่ตรงยิ่งกว่าไม้บรรทัดก็ถูกส่งมาทำเอาผมตาเหลือกโตราวกับเพิ่งนึกถึงข้อความจริงข้อนี้ได้

(นายเล่นหนีมาเฉยๆ แบบนั้นน่ะตะวัน จะให้คุณพลัฎฐ์เขาเข้าใจว่ายังไง นอกจากคิดว่านายรังเกียจเขา)

“ห๊ะ? ไม่ใช่สักหน่อยนะชาร์ม ฉันไม่ได้รังเกียจพี่พลัฎฐ์เลยสักนิด ฉันก็แค่.. แค่เขินเฉยๆ ฉันไม่ได้คิดอะไรอย่างอื่นเลย พี่พลัฎฐ์ต้องเข้าใจฉันสิ”

ผมพูดรัวเร็ว ลืมความขัดเขินที่มีก่อนหน้านี้ไปหมดสิ้น ในใจตอนนี้คิดแค่ว่าไม่อยากให้คนข้างบ้านเข้าใจผมผิด ผมจะไปรังเกียจเขาได้ยังไง ในเมื่อผมชอบเขามากขนาดที่ใจเต้นแรงทุกครั้งที่เจอแบบนี้

ชอบ... งั้นเหรอ?

ราวกับมีเสียงกระซิบจากสวรรค์ บทจะรู้ใจตัวเองก็รู้ได้โดยง่ายดาย ไม่สิ... จะคิดแบบนั้นก็ไม่ถูก ผมต้องยอมรับกับตัวเองก่อนว่าที่ผมรู้ใจตัวเองเร็วขนาดนี้นั่นก็เพราะผมแคร์พี่พลัฎฐ์ ผมไม่อยากให้เขาเข้าใจผิด ผมไม่อยากให้เขาคิดว่าผมรังเกียจ ทั้งที่ความรู้สึกที่ผมมีต่อเขามันออกจะตรงข้ามเสียขนาดนั้น

(ตะวัน... คนที่นายต้องพูดประโยคเหล่านี้ให้รับรู้น่ะ ไม่ใช่ฉันหรอกนะ นายต้องไปบอกคนที่นายควรบอก เขาอาจจะกำลังรอให้นายบอกอยู่ ... คุณพลัฎฐ์เขาไม่ใช่พระเจ้าสักหน่อยจะได้หยั่งรู้อะไรเองทั้งหมดได้ ถ้านายไม่บอกเขาก็ไม่รู้ ถ้านายไม่พูดร้อยทั้งร้อยใครก็ต้องคิดว่านายรังเกียจ) ชนกันต์ร่ายยาว ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ

(นายลองคิดกลับกันก็ได้ ถ้าสมมตินายไปบอกรักใครสักคน เอาคุณพลัฎฐ์ก็ได้อ่ะ เนี่ย.. สมมตินายเดินไปบอกรักเขาแล้วเขาเดินหนี ไม่ยอมรับไม่ปฏิเสธ อยู่ๆ ก็เดินหนีไปเลย นายยังจะคิดว่าเขารู้สึกตรงกับตรงกับนาย เขินนาย หรือรู้สึกดีกับนายไหม ถ้าเขาไม่บอกนายจะรู้ไหม ฉันถามนายแค่นี้แหละ)

ผมครางฮือในลำคอ ความรู้สึกผิดตีตื้นขึ้นมาเต็มอก

(ไม่ใช่ว่าคุณพลัฎฐ์เขาจะรู้ใจนายนะตะวัน เขาเดินมาบอกความรู้สึกกับนายเขาเองก็พกความเสี่ยงมาเต็มที่ ไม่ออกหัวก็ออกก้อย เขาไม่ได้มั่นใจอะไรทั้งนั้น แล้วยิ่งถ้านายไม่ตอบอะไรแบบนี้ ความคิดทางด้านลบมันก็ต้องมากกว่าบวกอยู่แล้ว นายว่าฉันพูดถูกไหม)

“แล้วจะทำยังไงดีอ่ะชาร์ม ฉะ.. ฉันไม่ได้รังเกียจพี่พลัฎฐ์เลยสักนิด ที่.. ที่จริง ฉันรู้สึกดีกับพี่เขามากด้วยซ้ำ”

ประโยคหลังผมอ้อมแอ้มบอกคนปลายสาย แต่ผมมั่นใจว่าถึงผมไม่บอกไปยังไงชนกันต์ก็ต้องเดาได้อยู่ดีว่าผมรู้สึกยังไงกับคนบ้านข้างๆ ในเมื่อท่าทีของผมลุกลี้ลุกลนออกขนาดนี้

(ก็พูดกับคุณพลัฐฏ์เหมือนที่นายพูดกับฉันนี่แหละตะวัน ไม่ยากหรอก) ชนกันต์พูดบอกง่ายๆ แต่ผมว่ามันไม่ง่ายเลยสักนิดสำหรับผม

จะพูดยังไงดีล่ะ ถึงผมกับชาร์มจะสนิทกันมาก แต่เรื่องรักๆ ใคร่ๆ เรื่องมีแฟน หรือเรื่องความสัมพันธ์นี่ผมโคตรติดลบ บอกใครๆ เขาจะเชื่อว่าผมไม่เคยมีแฟนเลยสักคน ยอมรับว่าช่วงมหาวิทยาลัยก็มีคนมาจีบบ้าง แต่ผมก็ไม่ได้ให้ความสนใจหรือคุยกับใครเป็นพิเศษ เพราะไม่มีใครที่จะโดดเด่นมากพอที่จะดึงความสนใจผมได้ ถ้าให้พูดง่ายๆ ก็คือไม่เคยมีใครทำให้ผมใจเต้นแรงได้เหมือนที่พี่พลัฎฐ์ทำสักคน เพิ่งจะมีเขาคนแรกที่ทำให้ผมไม่เป็นตัวของตัวเองได้ขนาดนี้

คิดดูแล้วกันว่าผมไปไม่เป็นจนถึงขั้นต้องโทรมาปรึกษาลูกพี่ลูกน้องผู้เชี่ยวชาญด้านนี้เป็นพิเศษ นั่นเป็นเพราะชาร์มเป็นคนที่เปิดกว้างเรื่องความสัมพันธ์มากกว่าผม ชาร์มไม่ยึดติดเรื่องเพศ ไม่ยึดติดเรื่องสถานะทางสังคม หรือเรื่องอะไรต่างๆ เขาเคยบอกผมว่าถ้าเขาถูกใจก็คือถูกใจ จะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ได้ ... แม้ส่วนใหญ่จะหนักไปทางผู้ชายก็ตาม

ดังนั้นชาร์มเลยมีประสบการณ์เรื่องรักๆ ใคร่ๆ มากกว่าผมอยู่หลายเท่า เขาเป็นคนมีเสน่ห์ มีเสน่ห์เหมือนชื่อเขานั่นแหละ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอาชีพช่างทำผมของเขาด้วยหรือเปล่า ชาร์มจึงเป็นคนคุยสนุก เข้าสังคมเก่ง ไม่ค่อยมีพิธีรีตอง และเป็นคนที่มักจะทำให้คู่สนทนารู้สึกว่าตนเองเป็นคนสำคัญสำหรับชนกันต์ได้เสมอ นั่นทำเลยให้มีคนเข้าหาชนกันต์อยู่ไม่ขาด

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะได้ใจชาร์ม เห็นสบายๆ ยังไงก็ได้แบบนั้นน่ะ ชนกันต์เป็นคนเลือกคนคุยมากพอสมควร ชาร์มจะแบ่งประเภทของคนที่มาเข้ามาไว้อย่างชัดเจน คนไหนคุยแบบเพื่อน คุยแบบลูกค้า หรือคุยแบบคนที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ ชาร์มจะไม่ให้คนในแต่ละประเภทมาปะปนกัน เขาเป็นคนชัดจนเสมอในเรื่องนี้

และถึงแม้จะแบ่งคนในชีวิตไว้แบบนั้น แต่คนมากมายก็พร้อมที่จะเดินมาให้ชาร์มเลือก ยิ่งมีมาให้เลือกเยอะ ชาร์มก็ยิ่งชี้นิ้วเลือกได้ตามใจ คนไหนคุยแล้วไปกันรอด ก็ไปต่อ ไม่รอดก็เลิกคุย ชาร์มบอกผมเสมอว่าเราไม่ควรปิดกั้นตัวเอง ให้โอกาสตัวเองบ้าง นั่นเป็นสิ่งที่มนุษย์พึงกระทำ

และตอนนี้ผมก็เชื่อแล้วว่าลูกพี่ลูกน้องที่แสนจะต่างขั้วของผมค่อนข้างที่จะมีประสบการณ์เรื่องนี้ดี เพราะสิ่งที่ชาร์มแนะนำ ทำให้ผมคิดและตัดสินใจอะไรได้ง่ายขึ้นหลายอย่างเลย

“นายว่าจะดีเหรอ? คือว่าฉันไม่มั่นใจเลยอ่ะชาร์ม อีกอย่างพี่พลัฎฐ์ก็เป็นผู้ชายด้วย” ผมพูดเสียงเบาเพราะยังคงลังเล มันมีหลายสาเหตุที่ทำให้ผมไม่กล้าตัดสินใจที่จะไปต่อหรือพอแค่ตรงนี้กับพี่พลัฎฐ์ และเรื่องเพศก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่ผมคิดว่าเราควรต้องใส่ใจ

ซึ่งถึงแม้ในความเป็นจริงแล้วผมคิดว่าผมน่าจะพอคุยกับพ่อกับแม่ได้อยู่ ท่านเปิดกว้างเรื่องพวกนี้และหัวสมัยใหม่พอสมควร แต่กับทางบ้านพี่พลัฎฐ์นี่สิ ไหนจะสังคมของเขาอีก เขาเป็นถึงลูกชายเจ้าของบริษัท มีทั้งคู่ค้าและคนรู้จักมากมาย คนจะรับได้เหรอถ้าพี่พลัฎฐ์มีจะมีคนรักเป็นผู้ชายเหมือนกัน และก็เป็นอีกครั้งที่ชนกันต์สะกิดผมแรงๆ จนผมคิดได้

(ฉันไม่รู้ว่านายกำลังกลัวอะไรอยู่หรอกนะตะวัน ถ้านายกลัวเรื่องคนจะมองไม่ดีเพราะนายเป็นผู้ชายทั้งคู่แต่ดันมาคบกันน่ะนะ เลิกคิดไปได้เลย นายจะไปแคร์คนอื่นทำไม ในเมื่อความสุขของนายมันก็คือของนาย นายเป็นคนเลือกเองได้ จำคำฉันไว้นะตะวัน อย่าไปวางความสุขของตัวเองบนมือคนอื่น อย่าแคร์สายตาคนอื่นมากจนลืมแคร์หัวใจตัวเอง และอีกอย่างคุณพลัฎฐ์เขาก็ออกจะชัดเจนกับนายขนาดนี้ เขาเป็นคนตกหลุมรักนายก่อน สารภาพรักกับนายก่อน นายคิดว่าเขาไม่ได้วางแผนอะไรกับความสัมพันธ์ระหว่างนายกับเขาไว้เลยเหรอ? เขาดูเป็นคนแบบนั้นในสายตานายเหรอ? นี่ขนาดฉันเจอเขาแค่ครั้งเดียว ฉันยังไม่คิดว่าเขาจะเป็นแบบนั้นเลยนะ ส่วนเรื่องคุณลุงคุณป้า ท่านเป็นพ่อกับแม่นาย นายรู้จักนิสัยท่านดีกว่าใคร นายคิดว่าพ่อกับแม่นายจะมีปัญหากับความสุขของนายรึป่าวล่ะ? ในเมื่อที่ผ่านมา นายทุ่มเทให้กับครอบครัวและเจ้าอาทิตย์ขนาดนี้ และพอถึงคราวที่นายจะมีความสุขบ้าง พ่อกับแม่นายเขาจะขวางนายไหม?)

ชนกันต์พูดยาวเหยียดเหมือนคนกำลังหายใจทางผิวหนัง แต่ผมก็อดยอมรับไม่ได้ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูด เป็นความเป็นไปได้ที่ผมเองก็รู้อยู่แก่ใจแต่ก็ยังคิดมากไม่เลิก

(ตะวัน ฉันว่านายน่ะ น่าจะรู้คำตอบทั้งหมดดีอยู่แล้ว ฉันก็ไม่อยากจะไปชี้แนะอะไรมากนักหรอก แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันอยากจะขอให้นายทำคือ ฉันอยากให้นายทบทวนความรู้สึกของตัวเองดีๆ ตรงนี้ต่างหากที่ยากที่สุดและเป็นสิ่งที่นายควรจะต้องกังวล ซึ่งพอหลังจากรู้คำตอบแล้ว ไม่ว่าจะหัวหรือก้อย ไม่ว่านายจะอยากถอยหรือไปต่อ ที่นายต้องทำมีเพียงบอกให้คุณพลัฎฐ์รู้ แค่นั้นเองตะวัน ... ไม่ยากหรอก)

ชนกันต์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ทำเอาผมเผลอกดดันตามไปด้วย

“คือฉัน...”

(ไม่ต้องบอกกับฉันหรอกตะวัน ที่นายต้องบอกก็คือคุณพลัฎฐ์) ชนกันต์ตัดบทตอนที่รู้ว่าผมกำลังจะพูดอะไร (เพราะเอาเข้าจริงถึงนายไม่บอกฉันก็เดาได้ว่านายรู้สึกยังไงกับคุณพ่อลูกติดข้างบ้านนั่น ... เล่นคิดมากจนนอนไม่หลับขนาดนี้ หึหึ)

ชนกันต์เอ่ยเสียงเย้าให้ผมนึกอายเล่น

“ไอ้พี่บ้า ไม่ต้องมาล้อเลย” ผมพูดเขินๆ พาลให้เรียกเสียงหัวเราะมาจากอีกฝ่ายได้ดังลั่น

(ฮ่าๆ .. ไปๆ เลิกไล่บี้ฉันได้แล้ว หาทางออกได้แล้วก็ไปหาคำตอบต่อซะ) น้ำเสียงอ่อนโยนจากอีกฝ่ายทำให้ผมรู้สึกดี ชาร์มกำลังปลอบโยนผม (ฉันแนะนำนะ ให้นายได้คำตอบแน่ๆ แล้วค่อยไปคุยกับคุณเขา โอเคไหม?)

“อ่าว ทำไมล่ะ? ไหนนายบอกว่าพี่พลัฎฐ์จะคิดมาก ถ้าฉันยังทำเป็นนิ่ง ไม่ใช่ว่าฉันควรต้องไปคุยกับพี่เขาเลยเหรอ?”

ผมถามงงๆ คือ.. ที่จริงก็ไม่ได้จะอะไร ผมแค่คิดว่าขนาดผมเป็นคนกระทำเองผมยังนอนไม่หลับ แล้วพี่พลัฎฐ์ที่ถูกผมเดินหนี ป่านนี้ไม่ซึมเศร้าไปแล้วหรอ

(ช่วยไม่ได้นี่ ในเมื่อนายปล่อยให้เขารอไปแล้ว ก็ให้เขารอนายอีกสักนิดจะเป็นอะไรไป เอาให้นายทบทวนหัวใจตัวเองดีๆ ก่อน จะได้ไม่ไปลอบฆ่าคุณพลัฎฐ์เขาซ้ำสอง หึหึ)

ปลายสายหัวเราะขำ ทำเอาผมได้แต่กัดเขี้ยวเคี้ยวฟันเพราะหมั่นไส้ญาติตัวเอง

(อ้อ!.. แต่ถ้ากลัวพี่พลัฎฐ์เขาจะนอนไม่หลับ) ชาร์มทำเสียงล้อเลียนผมตอนที่เรียกพี่พลัฎฐ์

(นายก็ส่งข้อความไปบอกเขาสิ ว่าพรุ่งนี้ขอคุยด้วย แล้วก็ขอโทษเขาไปซะ บอกเขาไปว่านายไม่ได้รังเกียจอะไร เพียงแต่ตกใจเพราะยังไม่ได้ตั้งตัว เลยเดินหนีออกมา)

“จริงสิ.. ฉันบอกพี่พลัฎฐ์แบบนั้นก็ได้นี่” ผมครางอย่างนึกขึ้นได้ “งั้นบอกเลยดีกว่า” พอว่าแล้วผมก็เตรียมจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นพิมพ์ข้อความ ก่อนจะพบว่าตัวเองติดสายอยู่กับลูกพี่ลูกน้องตัวเอง

“เอ่อ.. ชาร์ม ถ้าอย่างนั้นฉันวางก่อนนะ จะไปส่งข้อความหาพี่พลัฎฐ์ก่อนที่เขาจะนอนน่ะ” ผมบอกปลายสายเสียงแห้งๆ ทำเอาคนในสายสวดให้พรผมยกใหญ่

(ตะวัน! นายมันนิสัยไม่ดี ถีบหัวส่งฉัน!!) ชนกันต์ต่อว่าไม่จริงจัง ก่อนที่ทั้งผมและชาร์มจะแยกย้ายกันวางสายไป

“ฮ่าๆ ยังไงก็ขอบใจมากนะชาร์ม ฉันไม่ผิดหวังจริงๆ ที่โทรหานาย” ผมพูดเสียงอ้อนใส่อีกฝ่าย เพราะรู้ดีว่าชาร์มชอบให้ผมทำแบบนี้

(เชอะ! ไม่ต้องมาทำเสียงอ้อนเลย นายมันร้ายกาจ) ผมหัวเราะตอนได้ยินเสียงเง้างอดของอีกฝ่าย แต่มั่นใจได้ว่าอีกไม่เกินอึดใจเดี๋ยวชนกันต์ก็เปลี่ยนเสียง (แต่ก็เอาเถอะ ฉันอวยพรขอให้นายโชคดี มีอะไรคืบหน้าอย่าลืมมาอัพเดทล่ะ)

“อันนี้เป็นห่วงหรืออยากรู้” ผมแกล้งแซว ทั้งที่รู้คำตอบดี

(ก็ทั้งสองอย่างนั่นแหละน่า!) ผมหัวเราะให้กับความเถรตรงของอีกฝ่าย (เอาล่ะ ไปทำตามที่ใจนายสั่งได้แล้ว แล้วก็รีบไปเข้านอนซะ นอนเยอะๆ ตื่นมาจะได้เป็นวันที่ดี คิกคิก)

ชาร์มพูดด้วยน้ำเสียงล้อเลียนให้ผมมุ่ยหน้าทั้งที่อีกฝ่ายไม่เห็น

“แค่นี้นะ ไม่คุยด้วยแล้ว” ผมทำเสียงเง้างอด ก่อนจะยิ้มออกมาบางๆ “ขอบใจนายอีกทีนะชาร์ม ฝันดีนะ”

ผมบอกลาลูกพี่ลูกน้องปลายสาย ในขณะที่ชนกันต์ก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเช่นกัน

(อื้อ! ฉันยินดีมาก เพราะฉันอยากเห็นนายมีความสุข.. ฝันดีเช่นกันนะตะวัน)

สัญญาณจากปลายสายตัดไปแล้ว ผมมองโทรศัพท์มือถือในมือพลางยิ้มกว้าง คิดไม่ผิดจริงๆ ที่โทรหาชาร์มที่รู้ใจผมกว่าใคร

และส่วนที่ยากที่สุดก็มาถึง ยังไงคืนนี้ผมก็ต้องส่งข้อความหาพี่พลัฎฐ์ ไม่งั้นจะไม่ใช่แค่เขาคนเดียวที่นอนไม่หลับ ต้องมีผมด้วยแน่นที่นั่งตาค้างทั้งคืน

ผมคิดอยู่นานว่าจะพิมพ์ยังไงดี เพื่อไม่ให้ข้อความดูเป็นทางการเกินไป และก็ต้องไม่ทำให้อีกฝ่ายคิดมากจนนอนไม่หลับด้วย

และในที่สุดผมก็คิดออกว่าจะส่งข้อความแบบไหนไปหาอีกฝ่าย



‘วันนี้ตะวันต้องขอโทษพี่ด้วยที่ทำตัวไม่น่ารักใส่ .. พรุ่งนี้ไว้เราคุยกันนะครับพี่พลัฎฐ์ ตะวันจะรอ’

.

.

.

- อ่านต่อด้านล่าง -
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-07-2019 19:25:55 โดย Gade_ka »

ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
- ต่อจากด้านบน -


- Palat's Part -

ผมนอนไม่หลับ รู้สึกเหมือนโดนปฎิเสธยังไงไม่รู้

หลังจากที่บอกความรู้สึกของตัวเองออกไป ก็ดูเหมือนว่าตัวเล็กของผมจะตกใจมากๆ ผมยอมรับว่าไม่ได้คาดหวังปฏิกริยาตอบกลับจากอีกฝ่ายมากไปกว่าเห็นอีกฝ่ายได้รับรู้ความในใจ

แต่ก็ไม่คิดว่าจะถึงขั้นที่น้องไม่พูดอะไรแล้วเดินหนีไปเลยแบบนี้

ยอมรับว่าใจแป้วมากๆ เหมือนผมถูกตะวันปฏิเสธกลายๆ ยังไงไม่รู้

ตอนนี้ผมนั่งคอตกอยู่ในห้องนอนตัวเอง พลางหวนนึกถึงเหตุการณ์ต่างๆ ระหว่างเรา แม้ผมกับตะวันจะรู้จักกันไม่นานเท่าไหร่ แต่ก็นานมากพอที่จะความน่ารักของน้องจะสั่นไหวหัวใจผมได้

ผมไม่รู้ว่าความรู้สึกพวกนี้มันเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือบางทีมันอาจจะเริ่มต้นตั้งแต่เราเจอกันครั้งแรกแล้วก็ได้


... เด็กผู้ชายตัวเล็กนิดเดียว แต่แหงนหน้าเถียงผมอย่างไม่ยอมแพ้ เพียงเพราะจะเอาขนมมันฝรั่งทอดที่เหลืออยู่เป็นห่อสุดท้าย มาให้น้องชายตัวเอง ...


วันนั้นผมได้แต่มองอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู ซึ่งอาจจะมีความประทับใจปะปนอยู่โดยที่ผมไม่รู้ตัวด้วยก็ได้ และยิ่งผมได้รู้จักตะวันมากขึ้นเท่าไหร่ สิ่งที่เหนือความคาดหมายเกี่ยวกับตัวน้องก็ปรากฏขึ้นเรื่อยๆ

ไม่ว่าจะเป็นความน่ารัก ความสดใส หรือแม้กระทั่งความรับผิดชอบเกินวัยที่น้องมีก็ยิ่งทำให้ผมประทับใจ

ด้วยวัยยี่สิบต้นๆ ตะวันมีร้านอาหารเป็นของตัวเอง เลี้ยงน้องชายวัยไม่ถึงสี่ขวบด้วยตัวคนเดียว โดยที่พ่อกับแม่ไปอยู่ต่างประเทศนานๆ ได้โดยไม่กังวล นั่นแสดงให้เห็นว่าการดูแลเด็กชายอาทิตย์ไม่ใช่เรื่องใหญ่และเรื่องใหม่ของตะวัน มันเป็นเรื่องที่เขาทำได้ และทำได้ดีมากเสียด้วย

เมื่อเทียบกับผมแล้ว ผมที่อายุมากกว่า มีประสบการณ์มากกว่า กว่าจะเลี้ยงน้องพีมาได้ขนาดนี้ยังต้องอาศัยความช่วยเหลือจากพ่อกับแม่เลยบางที แต่ตะวันนั้นอายุน้อยกว่าผมตั้งมาก ยังสอนอาทิตย์ให้ดูแลและปกป้องคนอื่นได้ขนาดนี้มันเป็นอะไรที่ไม่ธรรมดา

และแน่นอนว่ามันกลายเป็นความประทับใจที่ผมมีต่ออีกฝ่ายอย่างปฏิเสธไม่ได้

ผมเฝ้ามองตะวันทุกวัน จากที่มองด้วยความประทับใจ สายตาที่ผมใช้มองอีกฝ่ายก็เริ่มเปลี่ยนไป

จากที่เคยมองเพราะตะวันผ่านเข้ามาในกรอบสายตา ก็กลายเป็นเริ่มมองหา และจากมองหา ก็กลายเป็นพยายามทำหรือพาให้อีกฝ่ายเข้ามาอยู่ในกรอบสายตาแทน ผมพยายามมากจนถึงขั้นลงไปทานข้าวกลางวันที่ร้านตะวันทุกวัน พยายามไปหา ไปเจอหน้า เอาน้องพีมาอ้างบ้าง เอาความหิวของตัวเองมาอ้างบ้าง ทั้งที่ตัวผมเองก็งานรัดตัว และไม่ได้มีเวลาว่างมากขนาดนั้น แต่ผมก็พยายามหาโอกาสเข้าใกล้ตะวันอยู่บ่อยๆ

และกว่าจะรู้ตัวอีกที ผมก็ขาดตะวันไม่ได้เสียแล้ว

ผมไม่ใช่เด็กหนุ่มที่จะไม่เข้าใจตัวเอง ผมเคยผ่านการมีแฟนมาแล้วก่อนที่จะรับน้องพีเป็นลูก แน่นอนว่าแฟนคนก่อนหน้านี้ของผมเป็นผู้หญิง แต่กับตะวัน ผมมองไกลไปกว่าเรื่องเพศ เพราะหลังจากที่มีน้องพี ผมก็บอกตัวเองเสมอว่า ถ้าจะมีคนข้างกาย คนๆ นั้นต้องเข้ากับน้องพีได้ คนๆ นั้นต้องพร้อมที่รักจะรักแกเหมือนที่ผมรัก พร้อมจะดูแลแกเหมือนเป็นอีกคนในครอบครัว ไม่สำคัญว่าน้องพีจะเป็นลูกชายแท้ๆ ของผมหรือไม่ใช่

เพราะสำหรับผมแล้วเด็กชายพีรยสถ์คือคนที่สำคัญที่สุดในชีวิต และตั้งแต่วันที่รับน้องพีเข้ามาจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครทำได้ตามเงื่อนไขของผมได้ แม้แต่แฟนคนที่ผมรักมากและคิดว่าจะยอมรับเรื่องของน้องพีได้ เขาก็ปฎิเสธ มันร้ายแรงจนถึงขั้นที่เธอยื่นคำขาดให้ผมเลือกระหว่างเธอกับลูก และแน่นอนว่าผมเลือกลูก นั่นเป็นเพราะผมเคยให้สัญญาว่าจะดูแลน้องพีให้ดีที่สุด ผมสัญญาต่อหน้าร่างไร้วิญญาณของพี่ชายและพี่สะใภ้และผมจะไม่ผิดสัญญาเด็ดขาด

ซึ่งพอมองหานานเข้าผมก็รู้ว่ามันไร้หวัง ไม่มีใครใจกว้างพอที่จะรับเรื่องนี้ได้ ซึ่งผมก็เข้าใจดี คงไม่มีใครที่อยากจะแต่งงานแล้วต้องมาดูแลเด็กน้อยที่เป็นเพียงแค่หลานของคนรักหรอก ไม่ว่าใครก็อยากจะสร้างครอบครัวเล็กๆ ของตัวเองทั้งนั้น ผมเข้าใจและไม่ต่อว่าใครเลย และนานวันเข้าผมก็ได้รู้ว่าถึงจะไม่มีคนรักผมก็ไม่ได้เดือดร้อนใจมากสักเท่าไหร่ เพราะผมมีความสุขเมื่อมีเจ้าลูกชายตัวน้อยๆ อยู่ข้างในทุกๆ วัน แค่นั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับผม

แต่แล้วตะวันก็เข้ามา น้องสร้างความหวังในการสร้างครอบครัวให้ผม ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตะวันต้องเลี้ยงอาทิตย์มาตั้งแต่เด็กๆ เพราะคุณพ่อกับคุณแม่ต้องบินไปต่างประเทศบ่อยๆ ด้วยหรือเปล่า เลยทำให้น้องเข้ากันได้ดีกับลูกชายของผม แน่นอนว่าระหว่างผมกับตะวันเราอาจจะเริ่มต้นกันได้ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ แต่กับน้องพีไม่ใช่แบบนั้น ตะวันดูเหมือนจะเอ็นดูน้องพีทันทีตั้งแต่แรกเห็น และยิ่งพอมารู้จัก มาสนิทสนม มาเป็นเพื่อนบ้านกัน ตะวันก็ยิ่งทำให้ผมเห็นว่าเขารักและเอ็นดูลูกชายของผม ไม่ต่างกับที่เขารักและเอ็นดูน้องชายตัวเองเลย

ตะวันดูแลน้องพีเหมือนน้องชายแท้ๆ ของตัวเอง มันเห็นได้ชัดแม้แต่ในขณะที่ผมไม่ได้อยู่ด้วยก็ตาม เพราะสำหรับตะวันแล้วเด็กน้อยทั้งสองคือผ้าขาว คือความไร้เดียงสา คือคนที่เขารักและเอ็นดู เมื่อน้องพีกลายมาเป็นเพื่อนกับเจ้าหนูอาทิตย์ ก็เลยกลายเป็นเหมือนน้องชายของตะวันไปด้วยอีกคน ไม่ว่าอาทิตย์ได้ทานอะไร ได้ของเล่นแบบไหน น้องพีก็จะได้สิ่งนั้นด้วยโดยไม่มีข้อแม้

หนำซ้ำตะวันยังมีน้ำใจรับอาสาดูแลน้องพีให้ผม ไม่ว่าจะก่อนเข้าเรียน หรือแม้ในตอนนี้ที่เปิดเทอมแล้วตะวันก็มักจะไปรับไปส่งลูกชายของผมให้เสมอเพราะเขารู้ว่าผมงานยุ่ง

ความใจดีที่สม่ำเสมอของตะวันกร่อนหัวใจผมจนบางไปหมด น้องทำให้ผมเห็นความจริงใจ และจากที่เคยคิดว่าไม่จำเป็นต้องมีใครเข้ามาในชีวิตของเราสองคนพ่อลูกก็ได้ ผมก็เปลี่ยนความคิดใหม่ ...


ผมอยากมีตะวันอยู่ในชีวิต และยิ่งพอเวลาผ่านไป จากแค่ที่อยากมีก็กลายเป็นต้องมี ...


ผมเหมือนคนโลภที่ความต้องการมันผันแปรมากขึ้นเรื่อยๆ ผมพยายามทำทุกอย่าง เข้าไปชีวิตน้องอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่พอมีเรื่องของครูประจำชั้นของเด็กๆ เข้ามาเกี่ยว ผมก็รู้สึกถึงความไม่มั่นคงในสถานะของเราสองคน ผมกลัวไปหมด ทั้งที่ไม่ใช่นิสัยของผมเลยสักนิด ผมเป็นคนช่างวางแผน ผมเจ้าเล่ห์อย่างร้ายกาจ และผมมักจะใจเย็นเสมอเพื่อให้ตัวเองได้ครอบครองในสิ่งที่ตัวเองต้องการ

แต่ตะวันทำให้ผมเสียการควบคุม และเริ่มรู้สึกไม่มั่นใจ จนสุดท้ายผมถึงได้เผลอสารภาพรักออกไปแบบนั้น … ซึ่งจนตอนนี้ผมก็ยังไม่เข้าใจตัวเองว่าเพราะอะไรตอนนั้นผมจึงตัดสินใจทำสิ่งนั้นลงไป

อาจจะเป็นเพราะความอบอุ่นที่ได้จากการใกล้ชิดกัน ทำให้ผมหวั่นไหว และหลงลืมทุกสิ่งจนเผลอแสดงความต้องการของตัวเองอย่างตรงไปตรงมาให้ตะวันได้รับรู้


ความต้องการที่อยากจะมีน้องในชีวิต ความต้องการที่อยากจะให้เราเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน


และพอหลุดปากพูดออกไปแล้วผมถึงได้รู้ตัวว่าผมอาจจะจู่โจมน้องมากจนเกินไป นั่นมันไม่น่าแปลกใจเลยที่ตะวันจะตกใจแล้วเดินหนีไปแบบนั้น ... ผมเข้าใจแต่ก็ใช่ว่าผมจะทำใจได้

มันไม่ได้จะเกิดขึ้นบ่อยๆ นี่ กับการที่โลกจะเหวี่ยงใครสักคนมาให้ คนที่เรารู้สึกว่าใช่ และอยากจะมีเขาข้างกาย

สำหรับผม ตะวันคือคนๆ นั้น แต่สำหรับตะวัน ผมแน่ใจว่าผมจะเป็นคนๆ นั้นของน้องหรือเปล่า

ผมนั่งคิดทบทวนหาวิธีการที่อยากจะเข้าไปพูดคุยกับน้องอีกครั้งมาหลายชั่วโมงแล้ว เพราะหลังจากที่ตะวันเดินออกมาจากห้องครัว น้องก็หลบหน้าหลบตาผมไปเลย น้องอ้างว่าจะไปอาบน้ำแล้วก็หายต๋อม กว่าจะกลับออกมาอีกทีก็เกือบเวลาที่ผมต้องพาน้องพีกลับบ้านแล้ว หนำซ้ำพอกลับมาตะวันก็เลี่ยงทำเป็นเดินไปตรงนั้นที ตรงนี้ที ไม่เปิดโอกาสให้ผมได้พูดหรือคุยอะไรที่เป็นส่วนตัวกับน้องอีก

ผมพยายามที่จะสบตาตะวันหลายต่อหลายครั้ง แต่ตะวันก็ไม่มองหน้าผม นั่นทำให้ผมคิดได้ว่า ผมควรจะให้เวลาตะวันมากกว่านี้อีกสักนิด เพราะเท่าที่จู่โจมสารภาพรักไปมันก็น่าจะหนักหนาสำหรับตะวันมากพอสมควรแล้ว

ดังนั้นผมจึงควรให้โอกาสน้องได้พักหายใจคิดทบทวนอะไรต่างๆ ก่อน ซึ่งก็อย่างที่ผมบอกแหละว่าผมเข้าใจ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะไม่ร้อนใจสักหน่อย ซึ่งไอ้อาการนอนไม่หลับนี่แหละที่เป็นคำตอบได้อย่างดี

ผมถอนหายใจ ก่อนจะนึกได้ว่ายังมีเรื่องใหญ่อีกเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม และเรื่องนี้ผมควรจะต้องจัดการก่อนเป็นอันดับต้นๆ เพื่อที่ว่าถ้ามีโอกาสคุยกับตะวันอีกครั้ง ผมจะได้บอกน้องได้ว่าไม่ต้องกังวลเรื่องนี้

เรื่องที่ถ้าเราจะคบกัน เราก็สามารถคบกันได้ไม่มีปัญหา แม้ว่าเราจะเป็นผู้ชายทั้งคู่ก็ตาม

ผมเหลือบมองนาฬิกาที่บอกเวลาว่ากำลังจะล่วงเข้าวันใหม่ ก่อนจะต่อสายถึงบุพการีที่อยู่อีกฟากของโลก

ผมรอสายอยู่ไม่นาน ปลายสายก็กดรับ

(ว่าไงจ๊ะลูกชาย โทรมาหาแม่มีอะไรรึป่าวลูก?) คุณนายลินลดารับสายอย่างอารมณ์ดีให้ผมได้ใจชื้นขึ้นมาบ้าง

เอาเข้าจริงพ่อกับแม่ผมอาจจะพูดไม่ยากเท่าไหร่ แต่ยังไงท่านก็เป็นผู้ใหญ่ และเรื่องแบบนี้ในยุคสมัยท่านใช่ว่าจะเปิดกว้าง ผมอาจจะต้องใช้วิธีค่อยๆ พูดให้ท่านเข้าใจ และผมก็เลือกที่จะโทรหาแม่ เพราะรู้ดีว่าแม่พูดง่ายกว่าพ่อ และที่สำคัญครอบครัวของผมมีแม่เป็นผู้กุมอำนาจสูงสุดของบ้าน ถ้าอะไรที่แม่เห็นว่าโอเค และแม่ไม่มีปัญหา พ่อผู้ซึ่งรักแม่ผมมากกว่าใคร ย่อมขัดใจอะไรแม่ไม่ได้อยู่แล้ว

ผมไม่ได้โกง ... แต่ผมแค่รู้จักเรียนรู้ที่จะอยู่รอดเฉยๆ และอีกอย่าง ผมมันก็แบบนี้ ถ้าลองได้ตั้งใจหรือหมายตาอะไรไว้แล้ว ต่อให้ยากแค่ไหน ผมก็จะเอามาให้ได้ทั้งหมดนั่นแหละ

“ผมคิดถึงแม่ครับ” หยอดคำหวานไปหนึ่งประโยคด้วยน้ำเสียงอ้อนๆ แบบไม่จงใจ .. แม่ผมชอบเสมอเวลาที่ผมเผลออ้อนท่านแบบนี้

(โถ พลัฎฐ์ลูกแม่ แม่ก็คิดถึงลูกนะครับ แต่งานที่นี่ยังไม่เรียบร้อยเลย อีกพักใหญ่นั่นล่ะกว่าแม่กับพ่อจะกลับไปได้) และก็เป็นไปตามคาด มารดาของผมตอบกลับมาเสียงหวาน อารมณ์รักใคร่นี่มาเต็ม ถ้าบินกลับไทยตอนนี้ได้ คงทำไปแล้ว (ว่าแต่ลูกกับน้องพีสบายดีไหม โทรมาหาแม่นี่มีใครเจ็บป่วยอะไรรึป่าว)

แต่จู่ๆ คุณนายลินลดาก็เปลี่ยนเป็นโหมดตื่นตระหนกเฉย ซึ่งผมเองก็ได้แต่ถอนหายใจเบาๆ ใม่อยากจะเชื่อเลยว่ามนุษย์แม่จะมีความสามารถในการเปลี่ยนอารมณ์ได้ไวขนาดนี้

“เปล่าครับแม่ ไม่มีใครเป็นอะไร ผมแค่คิดถึงแม่เฉยๆ”

และแน่นอนว่าอารมณ์คุณนายแม่ของผมก็เปลี่ยนมาเป็นหัวเราะคิกคักอีกครั้ง

(ปากหวานจริงล่ะลูกคนนี้... มีอะไรที่พลัฎฐ์อยากจะบอกแม่รึป่าวลูก) ผมยิ้มบางๆ กับคำถามของแม่

ไม่มีเลยสักครั้งที่ท่านจะไม่รู้ทันผม สมแล้วที่เป็นคุณนายผู้ยิ่งใหญ่แห่งตระกูลวัฒนไพศาลกุล ... ทั้งพ่อ ทั้งผม ทั้งน้องพี ไม่เคยมีใครตบตาแม่ได้สักคน ท่านรู้หมดว่าเรายามปกติและยามไม่ปกตินั้นเป็นยังไง

และแน่นอนว่าตอนนี้ผมอยู่ในประเภท ‘ยามไม่ปกติ’ ตามสายตาของมารดา

“ความจริงก็มีนิดหน่อยครับ”

ผมได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ มาตามสาย ถ้าให้ทาย ผมเดาว่าตอนนี้แม่ของผมต้องกำลังปิดปากหัวเราะจนไหล่สั่นอยู่แน่ๆ แต่ผมก็เลือกที่จะเล่าต่อ เนื่องจากอารมณ์กำลังได้ และไม่อยากให้มีใครมาขัดกลางทาง

“แม่ครับ ผมคิดว่า... ผมกำลังตกหลุมรักใครคนหนึ่งอยู่ครับ”

พอผมพูดจบ ไอ้เสียงหัวเราะคิกคักเบาๆ ก็หายไปทันที คิดว่าตอนนี้แม่คงตกใจจนช็อคไปแล้ว ... ก็แหงล่ะ นี่มันสี่ปีกว่าแล้วนี่ที่ผมไม่มีใคร แม่คงไม่คิดว่าจู่ๆ ผมจะมีคนรักได้หรอก

(เดี๋ยวนะพลัฎฐ์ เมื่อกี้ว่ายังไงนะลูก) กลายเป็นผมที่เป็นฝ่ายหัวเราะบ้าง

“ผมบอกแม่ว่าเหมือนผมกำลังจะตกหลุมรักใครคนหนึ่งอยู่ครับ เพียงแต่ผมยังไม่แน่.. ว่าเขารู้สึกเหมือนที่ผมคิดรึป่าว”

และก็เป็นอีกครั้งที่มารดาของผมดูตกใจหนักกว่าเดิม

(โอ้ เป็นไปได้ด้วยเหรอ พลัฎฐ์ของแม่ออกจะทั้งหล่อ ทั้งรวย ทั้งการศึกษาดีแบบนี้ ทำไมคนนั้นของลูกเขาถึงไม่เหลียวแลลูกล่ะจ๊ะ)

“โถ่ แม่ครับ สมัยนี้มันมีอะไรมากกว่าเรื่องที่แม่บอกนะครับ ผู้ชายไม่หล่อ ไม่รวย แต่หาแฟนได้ง่าย ถมเถไป”

ผมบ่นอุบ เพราะเดี๋ยวนี้มันเป็นอย่างที่ผมว่าจริงๆ ซึ่งแม่ผมก็ขำ ก่อนจะที่คำถามในส่วนที่ยากที่สุดจะมาถึง

(ว่าแต่พูดมาอย่างนี้ แม่ถามได้ไหมว่าใครเป็นคนทำให้ลูกเป็นได้มากขนาดนี้ ใครกันที่ทำให้ลูกชายแม่ตกหลุมรัก นี่ถ้าให้เดา คงชอบทางนั้นมากใช่ไหม ไม่งั้นคงไม่ตัดสินใจโทรมาบอกแม่แบบนี้หรอก)

ผมยิ้มบางๆ สมแล้วที่ผมเป็นลูกท่าน และท่านเป็นแม่ของผม คุณนายลินลดาอ่านผมขาดทุกอย่าง ต่อให้ผมจะเจ้าเล่ห์ขี้วางแผนขนาดไหน ก็ไม่สามารถรอดพ้นสายตาอันเฉียบคมของผู้หญิงคนนี้ไปได้หรอก

“ถูกทุกอย่างครับ ลูกชายคนนี้ไม่มีอะไรจะแย้ง แต่ตอนนี้ผมคงยังบอกแม่ไม่ได้ว่า ‘เขา’ คนนั้นเป็นใคร เพราะน้องยังไม่ตอบรับเป็นแฟนผมเลย” ผมบอกใบ้ และหวังว่ามารดาของผมจะจับสังเกตได้

(เอ้า! ถ้าทางนั้นยังไม่ยอมรับเป็นแฟน แล้วลูกจะมาบอกแม่ก่อนทำไม หื้ม? แต่เอ๊ะ... เดี๋ยวนะ แม่ว่าแม่ได้ยินว่าพลัฎฐ์พูดว่า ‘เขา’)

บิงโก! ในที่สุด!

“ก็นี่แหละครับ ที่ผมจะมาบอกแม่” ผมทำเสียงอ่อน ก่อนจะค่อยๆ เอ่ย “คนที่ผมชอบเป็นผู้ชายครับแม่ ... น้องเป็นผู้ชาย อายุห่างจากผมอยู่ห้าหกปี”

แม่ผมเงียบไปเลย หลังจากได้ยินประโยคที่ผมตอบ ทำเอาผมใจเสียไปกว่าครึ่ง และสุดท้ายท่านก็ทำลายความเงียบ โดยที่ผมเองก็ลุ้นในปฏิกริยาของท่านไม่น้อย

(แม่จะยังไม่มีความเห็นอะไรกับเรื่องนี้ทั้งนั้น)

น้ำเสียงหยอกล้ออารมณ์ดีของมารดาที่ปรากฏก่อนหน้านี้ได้หายไปแล้ว ตอนนี้มีแต่ความจริงจังของท่านเท่านั้นที่ผมจับความรู้สึกได้

(สิ่งเดียวที่แม่อยากรู้จากพลัฎฐ์คือ เด็กคนนั้นที่พลัฎฐ์บอกแม่ว่าตกหลุมรัก เขาเข้ากันได้ดีกับทั้งลูกและน้องพีหรือเปล่า... โดยเฉพาะกับน้องพี เจ้าตัวน้อยของแม่มีท่าทีกับคนๆ นั้นของลูกยังไง พลัฎฐ์ต้องตอบคำถามนี้ของแม่มาก่อน)

“น้องกับน้องพีเข้ากันได้ดีครับ บางครั้งเข้ากันได้ดีมากกว่าผมเสียอีก น้องพีชอบน้องมาก น้องเป็นเด็กข้างบ้านที่เพิ่งย้ายมาใหม่ และน้องก็มีเจ้าอาทิตย์น้องชายของน้องน่ะครับหนีบมาด้วยอีกหนึ่งคน น้องพีกับอาทิตย์สนิทกันมาก ช่วงก่อนเปิดเทอมที่ผ่านมา น้องก็เป็นคนช่วยดูแลน้องพีให้ในช่วงกลางวันที่ผมไปทำงาน... บอกตามตรงนะครับแม่ ว่าส่วนหนึ่งที่ผมตกหลุมรักน้องน่ะ ก็เพราะน้องดีกับผม ดีกับน้องพีมากๆ น้องดูแลน้องพีได้ดีจนบางทีผมก็คิด... ว่าอยากให้เราเป็นครอบครัวเดียวกัน”

ผมตอบมารดายาวเหยียด ในขณะที่ปลายสายก็ยังคงเงียบ ทำเอาผมนั่งแทบก้นไม่ติดเก้าอี้

(โห... จริงจังไปไกลเลยลูกแม่ รอให้เขาตอบรับเป็นแฟนก่อนไหม ค่อยคิดไปนั่น)

ผมหัวเราะกับคำพูดของคนเป็นแม่ และตอนนี้ภูเขาในอกของผมก็เหมือนถูกทลายลง น้ำเสียงแบบเดิมของแม่กลับมาแล้ว

(ฟังนะพลัฎฐ์ ความสุขของลูกน่ะ แม่ไม่ห้ามหรอก ถ้ารักกันชอบกันและเขายอมรับเจ้าน้องพีได้ และน้องพีก็ยอมรับเขาได้ แม่ก็ไม่มีปัญหาอะไรเลย ... ทุกอย่างแม่ยกให้เป็นการตัดสินใจของลูก ชีวิตลูกๆ เลือกเองได้ ลูกรู้ใช่ไหม)

“ครับ” ผมตอบรับแม่ด้วยรอยยิ้มกว้าง

(แต่ที่แม่ถามว่าเขาเข้ากันได้กับน้องพีรึป่าว นั่นเป็นเพราะว่าชีวิตครึ่งหนึ่งของลูกจะมีน้องพีผูกติดไปตลอด แม่เลยไม่อยากให้ลูกกับคนรัก มีปัญหาเรื่องนี้กันภายหลัง) แม่ผมอธิบาย ซึ่งผมก็เห็นด้วยในเรื่องนี้

“ครับแม่ ผมเข้าใจ”

(เข้าใจก็ดีแล้ว ยังไงลูกก็ไปจัดการพูดคุยตกลงกันให้เรียบร้อย หวังว่าแม่กลับไปไทยเที่ยวนี้ คงได้รู้จักกับ ‘น้อง’ ที่ลูกว่านี่นะ) แม่เย้าขำๆ (เฮ้อ อยากจะเห็นหน้าจริงๆ ว่าน้องเป็นคนยังไงที่ทำให้ลูกชายแม่อาการหนักได้ขนาดนี้ ... น้องอย่างนั้น น้องอย่างนี้ โอ้โห เซอร์ไพร์สมากๆ ไม่คิดมาก่อนเลยว่าลูกชายแม่จะมีมุมแบบนี้ด้วย)

ผมได้แต่ยิ้ม เพราะผมพอจะรู้ตัวเลยล่ะว่าตัวเองเป็นอย่างที่แม่ว่าจริงๆ

(ไปจัดการคุยกับน้องซะนะ แล้วอย่าปล่อยให้หลุดมือล่ะ ชอบเค้าซะขนาดนี้แล้ว)

“ครับ ผมไม่มีทางปล่อยให้น้องหลุดมือไปแน่ๆ” ผมรับปากแม่เป็นมั่นเป็นเหมาะแล้วใจตัวเองก็คิดไว้แบบนั้นด้วย

(ว่าแต่น้องที่ลูกว่าเนี่ยชื่ออะไรหื้ม? บอกแม่ได้ไหม?) ผมนึกถึงหน้าตาน่ารักและสดใสของน้อง ก่อนจะยิ้มออกมา

นี่ผมยิ้มไปกี่ครั้งแล้วนะ ตั้งแต่คุยกับแม่มาเนี่ย เฮ้อ...

"ตะวันครับ น้องชื่อตะวัน" ผมตอบแม่ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เพราะเพียงแค่ผมนึกถึงน้อง น้ำเสียงผมก็อ่อนลงโดยที่ผมก็แทบจะไม่รู้ตัว "เอาไว้ถ้าผมขอน้องเป็นแฟนได้เรียบร้อยแล้ว ผมจะมาเล่าเรื่องทั้งหมดให้แม่ฟังอีกทีนะครับ"

(จ้าๆ แม่รอได้จ้า) ผมขำกับน้ำเสียงเย้าแหย่ของแม่ ก่อนจะเอ่ยขอบางอย่างกับแม่ บางอย่างที่ผมตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก ถึงได้เลือกโทรหามารดา

"แม่ครับ.. ผมรบกวนแม่ช่วยคุยเรื่องนี้กับพ่อให้ด้วยนะครับ .."

ผมได้ยินเสียงหัวเราะเหอะๆ มาจากปลายสาย ให้ตาย... ผมเดาออกเลยว่าตอนนี้แม่กำลังทำหน้ายังไง

(แม่ว่าแล้ว! ว่าทำไมลูกเลือกที่จะโทรมาหาแม่.. ร้ายนักนะพลัฎฐ์) ผมหัวเราะเบาๆ ก่อนจะยอมรับคำกล่าวหาหน้าตาเฉย

"โถ่.. คิดว่าเห็นแก่ความรักของผมแล้วกันนะครับแม่"

(จ้าๆ พ่อคนเจ้าเล่ห์ แก้ไม่หายจริงๆ นะนิสัยแบบนี้น่ะ)

แม่ผมต่อว่าไม่จริงจัง ซึ่งผมเองก็น้อมรับ เพราะมันจริงเสียยิ่งกว่าจริงที่ผมเป็นคนแบบนั้นจริงๆ ... ผมมันช่างวางแผนการอยู่แล้วนี่

(แม่ต้องไปทำงานแล้วลูก ไว้ค่อยคุยกันนะพลัฎฐ์ .. ส่วนเรื่องพ่อไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวแม่จัดการให้ ลูกน่ะคิดแต่เรื่องตัวเองก็พอ หวังว่าคราวหน้าที่คุยกันแม่คงได้ฟังข่าวดีนะ)

"ครับ ขอบคุณนะครับแม่ ... ผมรักแม่นะครับ"

ผมบอกรักแม่ด้วยรอยยิ้ม ซึ่งผมก็แน่ใจว่าแม่เองคงตอบรับคำบอกรักของผมด้วยรอยยิ้มเช่นกัน

(แม่ก็รักลูกจ้าพลัฎฐ์ ฝากบอกน้องพีด้วยนะลูกว่าแม่คิดถึง)

"ได้ครับแม่ ผมก็ฝากสวัสดีพ่อด้วยเหมือนกันนะครับ"

เราบอกลากันอีกนิดหน่อย ก่อนที่แม่จะวางสายไป ผมมองหน้าจอที่ดับมืดของโทรศัพท์ที่เพิ่งคุยกับแม่จบไปด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่รอยยิ้มของผมจะกว้างเป็นคนบ้ายิ่งกว่าเดิม เมื่อเห็นการแจ้งเตือนการมีข้อความเข้าของแอพพลิเคชั่นสีเขียวยอดฮิต


Tawan: วันนี้ตะวันต้องขอโทษพี่ด้วยที่ทำตัวไม่น่ารักใส่ .. พรุ่งนี้ไว้เราคุยกันนะครับพี่พลัฎฐ์ ตะวันจะรอ


ดูเหมือนว่าคืนนี้ผมจะได้หลับฝันดีแล้วล่ะ... อยากให้ถึงพรุ่งนี้เร็วๆ เหลือเกิน

.

.

.

To Be Continue

------------------------------------------

Talk: รอตอนหน้านะคะ ^^

ฝากติดแท็ก #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว ในทวิตเตอร์ด้วยเน้อออ และก็ขอบคุณมากๆ สำหรับทุกคอมเม้นท์และทุกๆ กำลังใจนะคะ หวังว่าจะอยู่ด้วยกันไปเรื่อยๆ เนาะ... รัก❤

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
:: Chapter 11th - การตัดสินใจ ::


พลัฎฐ์นั่งรอตะวันที่ร้านอาหารด้วยใจจดจ่อ...

ตะวันนัดให้เขามาหาช่วงสายๆ ถ้าหากเขาว่าง แต่พลัฎฐ์ร้อนใจเกินกว่าจะรอให้ถึงเวลานั้นได้ ดังนั้น พอหลังจากส่งน้องพีกับอาทิตย์ที่โรงเรียนเสร็จ คนใจร้อนก็ไม่ได้กลับขึ้นออฟฟิศ เพราะรู้ดีว่าขึ้นไปยังไงก็ไม่มีสมาธิทำงานแน่ เขาจึงตรงดิ่งมานั่งรอตะวันที่ร้านอาหารเลย

และเนื่องจากช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่พนักงานออฟฟิศในละแวกนี้กำลังทยอยมาทำงาน ทำให้ร้านอาหารของตะวันจะคึกคักในระหว่างนี้เป็นพิเศษทุกวัน พลัฎฐ์จึงนั่งจิบกาแฟรอด้วยท่าทีสงบนิ่ง ทั้งที่ใจนี่ตุ๊มๆ ต่อมๆ อย่างกับกลองเพล

แต่จะว่าไปการมานั่งรอตะวันก่อนเวลานี่ก็มีข้อดีไม่น้อย เพราะตอนนี้ภาพของคนตัวบางที่กำลังง่วนกับลูกค้า และอาหารที่ต้องทำเสิร์ฟนั้นน่ามองไม่น้อยเลย

ไม่ว่าจะเป็นขาเรียวที่ก้าวย่างอย่างทะมัดทะแมงคล่องแคล่ว

แก้มกลมๆ ที่ขึ้นสีแดงเล็กน้อยน่าจะเพราะจากการออกแรงมากกว่าปกติ ทำให้เลือดสูบฉีดดีเป็นพิเศษ

ใบหน้าสวยหวานที่ยิ้มแย้มให้กับลูกค้าทุกคนที่เข้ามาใช้บริการ

... ซึ่งอย่างหลังเนี่ย พลัฎฐ์รู้สึกมันคันยิบๆ ในหัวใจนิดหน่อย

ก็ว่าได้ที่ไหน รอยยิ้มแบบนั้นมันน่าหวงไว้มองคนเดียวจะตาย ทั้งอ่อนหวานทั้งจริงใจ ใครจะไปอยากให้คนอื่นได้เห็นกัน

แต่ก็ได้แค่หวงอีกฝ่ายอยู่ในใจ พลัฎฐ์ทำอะไรได้ไม่มากนัก ถ้าหากตะวันยังไม่เลื่อนสถานะจากคนข้างบ้านให้


ดังนั้นการมาพูดคุยกันวันนี้ระหว่างเขากับตะวัน จึงเป็นอะไรที่ชายหนุ่มตัวโตจะทั้งกังวลและตื่นเต้นเป็นพิเศษ


พลัฎฐ์ยอมรับว่าเดาการตัดสินใจของตะวันไม่ออก เพราะหลายครั้งน้องอาจจะมีท่าทีเขินอายเวลาถูกเขาจีบ แต่เหตุการณ์ที่ตะวันเดินหนีเขาเมื่อวานนั้นก็บั่นทอนกำลังใจเกินกว่าที่เขาจะมองข้ามได้ แม้ตอนหลังตะวันจะส่งข้อความมาบอกว่าไม่ได้รังเกียจเขาก็เถอะ แต่การที่ไม่รังเกียจก็ไม่ได้หมายความว่าตะวันจะรับรักเขาเช่นกัน

แล้วก็ใช่ว่าจะมีแต่พลัฎฐ์ที่แอบมองตะวันทุกย่างก้าวเท่านั้น เพราะคนที่ถูกแอบมองก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน ดวงตากลมสีน้ำตาลเข้มเองก็เหลือบมองคนตัวโตกว่าที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะริมกระจกเป็นระยะๆ จนบางครั้งเผลอรับออเดอร์ลูกค้าผิดถูกก็มี ซึ่งตะวันเองก็ภาวนาขอให้คนซาลงไวๆ เพราะถ้าขืนปล่อยไว้นานกว่านี้อีกสักสองชั่วโมง มีหวังเขาได้ทำร้านขาดทุนแน่ๆ สู้คุยกับพลัฎฐ์ให้จบๆ ไปเป็นเรื่องๆ ก่อนดีกว่า เพราะเขาก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายคิดมากไปเองเหมือนกัน

พอลูกค้าเริ่มบางตาลงก็ดูเหมือนว่าเวลาที่ทั้งสองฝ่ายรอคอยมาถึงแล้ว ตะวันยอมรับว่าเขาประหม่าอยู่มาก แต่ยังไงเสียก็ควรคุยกับพลัฎฐ์ให้เรียบร้อยอย่างที่ชนกันต์แนะนำมา

คนตัวเล็กกว่าจึงตัดสินใจเดินไปที่โต๊ะริมหน้าต่างที่พลัฎฐ์นั่งรอเขาอยู่ แล้วเชื้อเชิญ

"ชะ.. เชิญพี่พลัฎฐ์ที่ห้องทำงานดีกว่าครับ จะได้คุยกันสะดวกๆ"

พลัฎฐ์ยิ้มรับก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง "ครับ ตัวเล็ก"

"พี่มีนาครับ ยังไงตะวันฝากหน้าร้านด้วยนะครับ"

"ได้ค่ะคุณตะวัน ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ เดี๋ยวพี่ดูแลให้"

ตะวันหันไปสั่งงานเด็กในร้านเล็กน้อย ก่อนจะออกเดินนำพลัฎฐ์ไปยังห้องทำงานและห้องพักส่วนตัวที่ตะวันเคยพาเด็กๆ มาอยู่ก่อนช่วงเปิดเทอม ซึ่งพลัฎฐ์เองก็รู้จักห้องนี้ดีเพราะเข้านอกออกในบ่อย ช่วงที่ต้องมารับมาส่งลูกชาย

และเหตุผลที่ตะวันเลือกที่จะเข้ามานั่งคุยในห้องนี้เพราะคิดว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะส่วนตัว ไม่ควรไปนั่งคุยเรื่องรักๆ ใคร่ๆ หน้าร้าน เพราะมันไม่เหมาะสมเท่าไหร่ อีกอย่างตะวันเกรงใจพนักงานในร้านด้วย จะพูดคุยอะไรก็รู้สึกไม่สะดวกใจ ดังนั้น ทางที่ดีเขากับพลัฎฐ์ควรจะหาที่นั่งคุยให้เป็นส่วนตัว และมีแต่พวกเขากันเองน่าจะเหมาะสมกว่า ซึ่งพลัฎฐ์เองก็เห็นดีเห็นงาม ไม่ขัดข้องอะไร

ใบหน้าน่ารักดูตื่นๆ เล็กน้อย แถมดูเหมือนแก้มยุ้ยๆ ของตะวันจะดูขึ้นสีแดงมากกว่าเมื่อกี้เสียอีก ในขณะที่คนนั่งรอคำตอบอย่างพลัฎฐ์ นอกจากจะส่งยิ้มบางๆ ให้ตะวันแล้ว เขายังพยายามตีหน้าให้ดูสงบที่สุด ทั้งที่ในใจเต้นรัวแรงจนแทบจะทะลุออกมานอกอก

"อะ.. เอ่อ คือ พี่พลัฎฐ์รอนานไหมครับ" เจ้าของข้อความเมื่อคืนเป็นคนถามขึ้นก่อน เมื่อเข้ามาในห้องทำงานหลังร้านเรียบร้อยแล้ว ซึ่งฟังจากแค่น้ำเสียงที่ฟังดูก็รู้ว่าเจ้าตัวประหม่าแค่ไหน

"ไม่นานครับตัวเล็ก .. ที่จริงให้พี่รอนานกว่านี้ก็ยังได้ รอไหวครับ"

คนตัวเล็กกว่าเม้มปาก ก้มหน้าซ่อนแก้มแดงๆ ทันที เพราะเขาเข้าใจในสิ่งที่พลัฎฐ์ต้องการจะสื่อ


ไม่ได้หมายถึงแค่นั่งรอจะคุยกับเขา แต่หมายถึงการรอให้เขารับรักด้วย...


ร้ายนักล่ะ คุณพ่อลูกติดข้างบ้านเนี่ย

"คะ ครับ" ตะวันอึกอัก ด้วยเพราะไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหน พลัฎฐ์จึงเป็นฝ่ายเริ่มแทน

"ตะวันครับ" น้ำเสียงทุ้มนุ่มถูกเปล่งออกมาเป็นชื่อของอีกฝ่าย ชื่อที่พลัฎฐ์ไม่ได้เรียกมาพักใหญ่แล้ว หลังจากที่เริ่มเรียกเขาว่าตัวเล็กมาตลอด "ตะวันฟังพี่นะ... ตะวันไม่ต้องเครียดนะครับ พี่ไม่ได้จะเร่งรัด พี่ไม่ได้จะกดดัน พี่เพียงแค่อยากบอกความรู้สึกของตัวเองให้ตะวันรู้เฉยๆ ถ้าตะวันไม่พร้อม พี่ก็เข้าใจ อย่างที่พี่บอกตะวันก่อนหน้านี้นั่นแหละ .. พี่รอได้"

"คือว่า.. ตะวันรู้ครับว่าพี่รู้สึกยังไงกับตะวัน" พลัฎฐ์เบิกตาขึ้นนิดๆ ราวกับแปลกในใจสิ่งที่คนตัวเล็กกว่าบอกไม่น้อย "ที่จริง ตอนแรกตะวันก็ไม่ค่อยแน่ใจหรอกครับ แต่เอ่อ.. คือ แบบว่าพี่พลัฎฐ์ชอบ.. เอ่อ"

ท่าทางอึกอักของคนแก้มแดงดูน่าเอ็นดูไม่น้อย ทำเอาคนที่นั่งมองอดยิ้มออกมาบางๆ ไม่ได้

"ชอบทำท่าเหมือนจีบตะวันใช่ไหมครับ"

แก้มที่ว่าแดงอยู่แล้วของตะวันก็ยิ่งแดงขึ้นอีก เมื่อเจอพลัฎฐ์พูดตรงๆ

"นะ นั่นแหละครับ คือ..ที่ตะวันจะบอกก็คือตะวันพอจะรู้ตัวอยู่บ้าง แต่ตะวันก็ไม่อยากจะเข้าข้างตัวเองเท่าไหร่ ตะวันออกจะเป็นคนจืดๆ ไม่มีอะไรโดดเด่นด้วยซ้ำ มองแล้วพี่พลัฎฐ์ไม่น่าจะมาชอบได้"

พลัฎฐ์ยิ้มก่อนจะแก้ความเข้าใจผิดในตัวเองให้ตะวันฟังอย่างอ่อนโยน

"ใครบอกว่าตะวันของพี่ไม่โดดเด่น ไม่น่าสนใจกัน" คนพูดยิ้มบาง ยามนึกถึงภาพอิริยาบถต่างๆ ที่ผ่านมาของตะวัน "ตะวันทั้งน่ารัก ทั้งสดใส ทั้งมีชีวิตชีวา ตะวันไม่รู้หรอกว่าพลังงานของตะวัน สร้างแรงบันดาลใจให้คนอื่นได้มากไหน โดยเฉพาะคนอื่นอย่างพี่"

คนยิ้มสวยค่อยๆ แย้มยิ้มออกมาเขินๆ เมื่อถูกชม

"พี่น่ะ มองตะวันตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ ประทับใจเลยก็ว่าได้"

คนตัวเล็กกว่าขมวดคิ้วมุ่นพลางถามออกมาอย่างสงสัย "แต่ตอนที่เราเจอกันครั้งแรก เราทะเลาะกันไม่ใช่เหรอครับ"

"ฮ่าๆ ใช่ครับ แต่ที่พี่ประทับใจนั่นก็เพราะ ตะวันตัวนิดเดียวเองพอมายืนเทียบกับพี่ แต่ตะวันยังเลือกที่จะมายืนแหงนหน้าตรงข้ามพี่ แถมยังเถียงฉอดๆ เพื่อแย่งขนมคืนให้อาทิตย์"

ตะวันเม้มปากอีกครั้ง พอย้อนคิดกลับไปถึงวันนั้น ก็คิดได้ว่าทำอะไรน่าอายลงไปจริงๆ

"ในฐานะของคนเป็นพ่อที่มีลูกที่ต้องดูแล พี่ยอมรับว่าพี่ประทับใจตะวันในวันนั้นมากๆ แล้วพอได้มีโอกาสมาเจอมารู้จักกันอีกครั้ง พี่ก็ยิ่งรู้สึกดีจนมักจะแอบเอาสายตาไปวางไว้ที่ตะวันเรื่อยๆ แล้วตอนหลังมันอีท่าไหนก็ไม่รู้ จากที่พักสายตาเฉยๆ ก็กลายเป็นหยุดมองไม่ได้จนถึงทุกวันนี้”

คนถูกแอบมองโดยไม่รู้ตัวแก้มแดงก่ำ เม้มปากแน่นเพราะพูดอะไรไม่ออก เขารู้สึกว่าคำพูดของพลัฎฐ์ไม่ได้มีตรงไหนที่ดูจะพยายามจีบ หรือหยอดคำหวานออดอ้อนเลย แต่ทุกประโยคที่อีกฝ่ายกล่าวออกมานั้นกลับสั่นไหวหัวใจดวงน้อยๆ ของเขาได้มากกว่าที่คิด

“ทีนี้ตะวันรู้แล้วใช่ไหม ว่าพี่ชอบตะวันตรงไหน?”

คนตัวเล็กที่กำลังนั่งเขินอยู่ตรงข้ามพลัฎฐ์ค่อยๆ พยักหน้ารับ อีกฝ่ายก้มหน้างุดดูทำตัวไม่ถูกสุดๆ ทั้งมือไม้ที่ไม่รู้จะเอาไปวางตรงไหน จนสุดท้ายพลัฎฐ์จึงเอื้อมมือไปกุมมือของอีกฝ่ายไว้แผ่วเบา

“ตัวเล็กครับ.. ฟังพี่นะ” ดวงตากลมโตค่อยๆ ช้อนมองพลัฎฐ์ช้าๆ ให้คนถูกมองใจเต้นแรงกับท่าทางน่ารักนั้นจนเจ็บอก แต่ก็ต้องพยายามทำนิ่ง เพราะไม่อยากหลุดมาดคนคูล “พี่ไม่ได้จะเร่งรัดอะไรตัวเล็กเลย ตัวเล็กจะเก็บเรื่องพี่ไปคิด หรือไปพิจารณาก่อนก็ได้ พี่เข้าใจ แล้วพี่ก็พร้อมจะรอเสมอ แต่ที่เลือกมาบอกก่อนเพราะพี่อยากให้ตัวเล็กได้รับรู้มันเอาไว้ จะว่าพี่ขี้โกง โมเมใช้ความสนิทสนมจองตัวตัวเล็กไว้ก่อนก็ได้ พี่ไม่ถือ”

เจ้าของใบหน้าหล่อเหลากระตุกยิ้มมุมปากบางๆ ทำเอาคนถูกจองตัวต้องก้มหน้างุดลงไปอีกรอบ

ยิ่งมอง พลัฎฐ์ยิ่งอยากคว้าตัวอีกฝ่ายมากอดให้จมอก คนอะไรทำไมน่ารักได้ขนาดนี้ก็ไม่รู้

“เอ่อ.. ที่จริงวันนี้ที่ตะวันนัดพี่ออกมาเพราะตะวันอยากจะขอโทษน่ะครับ” เสียงหวานอ้อมแอ้มสารภาพ ทำเอาคนตัวโตกว่าเลิกคิ้วด้วยความสงสัย

“ขอโทษพี่เรื่องอะไรครับ หื้ม?”

“ขอโทษที่เมื่อวานตะวันเสียมารยาท จู่ๆ ก็เดินหนีพี่ออกมา โดยที่ไม่ได้ตอบอะไรพี่สักคำ”

คนรู้สึกผิดมองหน้าพลัฎฐ์ตาละห้อย ทำเอาคนถูกมองถึงกับใจอ่อนยวบ ที่จริงตอนแรกพลัฎฐ์เองก็ยอมรับว่าเขารู้สึกเป๋ๆ ไปเหมือนกันที่เมื่อวานตะวันเดินหนีไปเลยแบบนั้น แน่นอนว่าพลัฎฐ์ไม่ได้ถือโทษโกรธอะไร เพียงแต่เขารู้สึกใจเสียมากกว่า กลัวอีกฝ่ายจะปฏิเสธ กลัวสิ่งที่ตัวเองคาดหวังไว้ไม่เป็นจริง

แต่พอมาวันนี้ ตะวันมาบอกเขาซึ่งหน้าว่ารู้สึกผิดกับการกระทำของตัวเองเมื่อวาน นอกจากจะทำให้พลัฎฐ์รู้สึกดีขึ้นมากๆ แล้วยังทำให้ใจของเขาพองฟูคับอกอีกต่างหาก

ก็ไม่ใช่เพราะตะวันแคร์หรอกเหรอ ตะวันถึงได้มาขอโทษ

ไม่ใช่เพราะตะวันจะกลัวเขารู้สึกแย่หรอกเหรอ ตะวันถึงได้มาสารภาพผิดกับสิ่งที่ทำไป

ยิ่งคิดพลัฎฐ์ยิ่งอยากจะยิ้มออกมาเสียกว้างๆ ให้ได้ กับสิ่งที่อีกฝ่ายแสดงออกให้เขารับรู้วันนี้ ... แบบนี้ไม่ตอบตกลงว่าคบกับเขาก็เหมือนตอบแล้วนั่นแหละ

“ไม่เป็นไรครับตัวเล็ก พี่เองก็ไม่ดี จู่ๆ ก็พุ่งเข้าใส่ตัวเล็กแบบนั้น เป็นใครๆ ก็ต้องตกใจ ตัวเล็กจะเดินหนีไปแบบนั้นก็ไม่แปลกหรอก”

พลัฎฐ์ตอบ พร้อมกับจ้องมองตะวันนิ่งด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหมาย และตอนนี้ก็เหลือแค่พลัฎฐ์ต้องอดทนรอคำตอบจากตะวันก็แค่นั้น ... ซึ่งเขารอได้ ขอแค่มีสัญญาณจากตะวันแม้แต่พียงเล็กน้อย เขาก็ยินดีรอ

แต่ดูเหมือนว่าพลัฎฐ์จะไม่ต้องรอนานขนาดนั้น

“ที่จริง เอ่อ..” ตะวันอึกอัก แถมดูเหมือนแก้มสองข้างจะแดงปลั่งยิ่งกว่าเดิม ก่อนที่อีกฝ่ายจะยอมสารภาพ “ที่จริง เมื่อคืนตะวันก็ลองโทรไปปรึกษาชาร์มมาแล้ว ... พี่พลัฎฐ์จำชาร์มได้ใช่ไหมครับ?”

ท้ายประโยคคนตัวเล็กหันไปถามคนตัวโตกว่าที่กำลังนั่งฟังอย่างตั้งใจ

ซึ่งพลัฎฐ์เองก็พยักหน้ารับ อีกทั้งยังสงสัยในใจน้อยๆ ว่าตะวันโทรไปคุยเรื่องอะไรกับลูกพี่ลูกน้องช่างทำผมคนนั้น

“นั่นแหละครับ ตะวันโทรไปปรึกษาเรื่องพี่ แล้วเอ่อ..”

“แล้ว?” พลัฎฐ์แกล้วถามยิ้มๆ อีกใจก็แปลกใจ แต่อีกใจก็อดเอ็นดูไม่ได้ เพราะตอนนี้ดูเหมือนว่าตะวันจะสารภาพสิ้นทุกสิ่งอย่าง สารภาพแม้กระทั่งว่าเอาเรื่องของเขาไปปรึกษากับลูกพี่ลูกน้องตัวเอง ซึ่งเรื่องนี้เป็นอะไรที่ค่อนข้างเหนือความคาดหมายของพลัฎฐ์พอสมควร

... น่ารักทะลุโลกไปแล้วภานรินทร์

“แล้วชาร์มก็บอกให้ตะวันไปคิดทบทวนความรู้สึกที่ตะวันมีต่อพี่ดีๆ ซึ่ง... ตะวันก็เก็บเอาไปคิดทั้งคืนจนคิดว่าตัวเองได้คำตอบแล้ว”

ตะวันตอบพลางก้มหน้างุด คนตัวเล็กกว่าอาจจะดูประหม่า แต่ท่าทางชัดเจนของตะวันนั้นทำเอาพลัฎฐ์ใจเต้นแรงขึ้นมาทันที เขายอมรับว่าเขาโคตรจะคาดหวัง ไม่ได้คิดไว้เลยว่าวันนี้ตะวันจะมีคำตอบให้ เพราะดูจากการเดินหนีของตะวันเมื่อวาน วันนี้พลัฎฐ์จึงไม่ได้คาดหวังอะไรมากมายจากอีกฝ่าย แต่พอผลออกมาเป็นแบบนี้....

คนที่กำลังรอลุ้นคำตอบ ยกมือใหญ่ขึ้นลูบหน้าตัวเองแรงๆ มาดนิ่งเฉยและท่าทางคูลๆ ถูกคำพูดเพียงไม่กี่ประโยคของตะวันทำลายจนหมดสิ้น ตอนนี้ก็เหลือแต่เสือสิ้นลายที่หมอบกระแตอยู่ตรงหน้าเจ้าลูกแมวตัวจ้อยเท่านั้นแหละ

เห็นแววพ่อบ้านใจกล้ามาแต่ไกลเลยแฮะ

พลัฎฐ์เริ่มนั่งเขย่าขณะที่รอฟังสิ่งที่ตะวันจะพูด เขารู้สึกว่าตัวเองหลุดการควบคุมโดยสิ้นเชิง เพราะไอ้พฤติกรรมเขย่าขาเนี่ย เขาเลิกเป็นไปนานแล้ว ตั้งแต่สมัยขึ้นเรียนมหาวิทยาลัย ไม่คิดว่าจู่ๆ วันนี้จะกลับมาเป็นอีกรอบ นี่ถ้าเขาไม่ตื่นเต้นมากจริงๆ ไอ้อาการที่ห่างหายไปนานแล้วคงไม่กลับมาแบบนี้หรอก

แต่ต่อให้พลัฎฐ์จะตื่นเต้นแค่ไหน เขาก็ไม่มีวันยอมถอยเป็นแน่ ในเวลานี้มีแต่ต้องดับเครื่องชนเท่านั้น ถึงจะเหมาะสมกับสถานการณ์

ดังนั้น คนตัวโตกว่าจึงตัดสินใจถามออกไปเสียงนุ่ม เพื่อไม่เป็นการดูกดดันอีกฝ่ายมากเกินไปนัก

“แล้วตกลงตัวเล็กได้คำตอบว่ายังไงครับ” มุมปากหยักยังคงมีรอยยิ้มประดับ พร้อมทั้งรอคอยคำตอบของอีกฝ่ายอย่างใจเย็น

“ตะวัน.. คือตะวัน..” ในขณะที่คนตัวเล็กกว่าแก้มแดงก่ำจนลามไปทั้งคอ ไม่ต้องตอบพลัฎฐ์ก็พอจะเดาออกว่าคำตอบคืออะไร แต่เขาไม่ต้องการแค่นั้น เขาต้องการได้ยินสิ่งที่ตะวันบอกด้วยหูทั้งสองข้างของตัวเองมากกว่า

“...” คนตัวโตกว่ายังคงยิ้ม และรอคอยคำตอบอย่างสงบ


“ตะวันคิดว่า ตะวันเองก็น่าจะ... ชอบพี่พลัฎฐ์ครับ”


เสียงหวานอ้อมแอ้มตอบ แถมยังก้มหน้างุดไม่สบตาคนตรงข้ามอีกต่างหาก

ในขณะที่ตอนนี้พลัฎฐ์รู้สึกเหมือนหัวใจตัวเองกำลังจะระเบิด ... ตะวันรับรักเขาแล้ว!!

พลัฎฐ์ลุกขึ้นยืนแล้วเดินอ้อมไปยังอีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะ ตรงเก้าอี้ที่ตะวันนั่งอยู่ ก่อนที่เขาจะหมุนเก้าอี้ของตะวันให้หันออกมา เพื่อเผชิญหน้ากับเขาที่ยืนคร่อม พร้อมกับเท้าแขนทั้งสองข้างของตัวเองลงบนที่วางแขนของเก้าอี้ที่ตะวันนั่งอยู่ ซึ่งตะวันเองก็ยังคงกุ้มหน้างุด ท่าทางเลิ่กลั่กของอีกฝ่ายทำเอาพลัฎฐ์ต้องลอบอมยิ้มด้วยความเอ็นดู

“ตัวเล็กครับ ขอพี่มองหน้าหน่อย” คนที่ถูกรับรักส่งเสียงอ้อน พลัฎฐ์อีกเวอร์ชั่นกำลังออกอาละวาด

“...” ตะวันส่ายศีรษะกลมๆ ดิก เขาปฏิเสธโดยที่ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมองพลัฎฐ์สักนิด

“นะครับเด็กดี ขอพี่มองหน้าคนที่พี่เพิ่งรับ ‘รัก’ พี่ชัดๆ หน่อยได้ไหมครับ?”

ทีนี้คนตัวโตไม่พูดเปล่า แต่กลับโน้มใบหน้าหล่อเหลาของตัวเองลงไปใกล้คนที่กำลังก้มหน้า แถมยังพูดเสียงทุ้มเสียจนชิดใบหูนิ่มของอีกฝ่ายอย่างเจ้าเล่ห์

“ฮื่ออ ไม่เอาครับ อย่าแกล้ง...”

ตะวันยังคงก้มหน้างุด ดูท่าว่าตอนนี้จะไม่ได้แดงแค่ที่แก้มแล้วแน่ๆ เพราะใบหูนิ่มของอีกฝ่ายที่อยู่ในกรอบของสายตาของพลัฎฐ์ก็แดงไม่แพ้กันจนน่ามันเขี้ยว

“ตัวเล็กครับ... หนูครับ...” พลัฎฐ์แกล้งปัดริมฝีปากผ่านใบหูเล็กของตะวันแผ่วเบา ทำเอาคนขี้เขินเงยหน้า ตากลมเบิกโพลง มองคนที่กำลังยืนคร่อมตัวเองอยู่ด้วยความตกใจเมื่อได้ยินสรรพนามที่อีกฝ่ายใช้เรียกตน

ตัวเล็กนี่ก็ว่าเขินแล้ว เจอ ‘หนู’ เข้าไป บอกตามตรงว่าตะวันแทบอยากจะเอาหน้ามุดดิน อายจนไม่รู้จะวางหน้าวางตัว วางมือวางไม้ยังไงแล้ววว!

“ยอมมองพี่แล้วเหรอครับเด็กดี” คนแก้มแดงก่ำเสหลบไม่ยอมมองสบดวงตาคมกริบของพลัฎฐ์ตรงๆ ก่อนจะอ้อมแอ้มพูดเบาๆ

“พี่พลัฎฐ์แกล้งตะวัน...” คนถูกกล่าวหาว่ารังแกคนอื่นถึงกับหลุดขำ เขายังงงๆ อยู่นิดๆ ว่าไปแกล้งอะไรอีกฝ่ายตอนไหน ถ้าพูดว่าเขาทำให้เขิน ยังน่าจะเห็นภาพชัดกว่าอีก

“พี่ไม่ได้แกล้งตัวเล็กสักหน่อย พี่แค่อยากให้ตัวเล็กเงยหน้าขึ้นมาให้พี่มองหน่อย พี่อยากมองหน้า ‘ว่าที่แฟน’ ให้ชัดๆ แค่นั้นเอง” คนตัวโตพูดเสียงนุ่ม แถมยังก้มลงไปจนใบหน้าหล่อเหลาแทบจะชิดกับใบหน้าน่ารักของอีกฝ่าย

“ฮื่ออ..” ตะวันยกมือขึ้นดันอกหนาของพลัฎฐ์ เมื่อรู้สึกว่าคนตัวโตกว่าเบียดร่างกายและใบหน้าเข้ามาใกล้มากกว่าเดิม “ใครเป็นแฟนพี่ไม่ทราบครับ? ขี้ตู่อ่ะคนเรา”

เสียงหวานแกล้งว่า ทำเอาพลัฎฐ์หลุดขำกับคนที่เขินเสียจนแดงไปทั้งตัว แต่ก็ไม่วายที่จะขอให้ได้เถียง

“ไม่รู้สิครับว่าใครเป็นแฟนพี่ หนูพอจะรู้ไหม หื้ม?” พลัฎฐ์พูดเสียงเย้า พลางใช้จมูกโด่งแกล้งปัดป่ายผ่านแก้มยุ้ยๆ ของตะวันอย่างเจ้าเล่ห์ ทำเอาคนถูกแกล้งย่นคอจนแทบติด เมื่อถูกจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัว

“ไม่เอา ไม่ให้เรียกหนู” คนถูกกักไว้ในอ้อมแขนต่อว่าเสียงเง้างอด และมือเล็กยังคังดันอกพลัฎฐ์ไว้อย่างต่อเนื่อง แม้จะดูเหมือนว่าแรงของตะวันจะไม่ได้มีผลให้พลัฎฐ์สะดุ้งสะเทือนได้สักนิดก็ตาม “ถอยออกหน่อยครับ ใกล้ไปแล้ว”

“ไม่ถอยครับ เพราะเด็กดื้อต้องโดนทำโทษ” พลัฎฐ์ตอบยิ้มๆ แต่ไม่ยอมให้ความร่วมมือกับตะวันสักนิด

“ดื้อตรงไหน ตะวันยังไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย” แต่ตะวันก็ยังคงเป็นตะวัน เพราะถึงแม้ตัวเองจะเขินจนตัวแทบจะระเบิดแค่ไหน แต่ถ้าให้ยอมแพ้กับพลัฎฐ์ง่ายๆ ก็คงจะผิดคอนเซ็ปต์ ดังนั้น ตอนนี้คนเล็กกว่าเลยทำใจกล้า เงยหน้าขึ้นสบดวงตาคม แถมยังพูดเถียงพลัฎฐ์อีกตะหาก

“หนูเถียง แถมหนูยังปฏิเสธหน้าตายอีกว่าไม่ใช่แฟนพี่” พลัฎฐ์แกล้งย้ำ พร้อมกับสรรพนามใหม่ที่เขาคิดให้เสร็จสรรพ เพราะเรียกแล้วคล่องปากแถมยังเหมาะกับใบหน้าน่ารักๆ ของตะวันแบบยากที่ใครจะปฏิเสธ

“ตะวันยังไม่บอกสักหน่อยเถอะว่าจะยอมเป็นแฟนพี่พลัฎฐ์ พี่พลัฎฐ์ขี้ตู่ไปเอง”

คนถูกเรียกว่าหนูยังคงตั้งป้อมเถียง แถมยังลอยหน้าลอยตาท้าทายแกล้งยั่วอีกฝ่ายอีกต่างหาก เพราะถ้าว่ากันตรงๆ แล้วก็ถือว่าตะวันพูดถูก ตะวันเพียงแค่บอกกับพลัฎฐ์ว่าเขารู้สึกตรงกันกับพลัฎฐ์เท่านั้นแต่ยังไม่ได้บอกสักหน่อยว่าจะยอมเป็นแฟน ดังนั้นคำว่าแฟนเนี่ย มีแต่พลัฎฐ์เท่านั้นแหละที่โมเมไปเอง

แต่เหมือนตะวันจะประมาทคนเจ้าเล่ห์อย่างพลัฎฐ์มากไปสักหน่อย เพราะในขณะที่ตะวันลอยหน้าลอยตาตอบอีกฝ่าย พลัฎฐ์ก็อาศัยช่วงเวลานี้ก้มลงจุ๊บเบาๆ บนจมูกโด่งเล็กที่ปลายเชิดขึ้นเล็กน้อยของตะวัน โดยที่คนตัวเล็กกว่าไม่ทันได้ตั้งตัว


จุ๊บ~


“เฮ้ย!” คนถูกจูบร้องเสียงหลง แก้มที่แดงอยู่แล้วกลับแดงกว่าเดิม และพอตัวหลักได้ ตะวันก็ก้มหน้างุดลงตามเดิม ด้วยความกลัวว่าจะถูกจุ๊บอีก ทำพลัฎฐ์อดขำออกมาเบาๆ ไม่ได้

“คนเก่งหายไปไหนแล้วนะ... เมื่อกี้เห็นเถียงพี่ฉอดๆ” พลัฎฐ์แกล้งเย้า ในขณะที่ตะวันพูดอู้อี้ต่อว่าต่อขานกลับมาทั้งที่ก้มหน้าอยู่อย่างน่าเอ็นดู

“ไม่คุยกับพี่พลัฎฐ์แล้ว พี่พลัฎฐ์ขี้โกง” พูดไม่พูดเปล่า มือเล็กๆ ที่ยันอยู่บนอกของพลัฎฐ์ ยังทุบลงไปที่อกหนาเบาๆ ด้วยอีกต่างหาก

“ฮ่าๆ โอเคครับโอเค พี่ผิดเอง พี่รังแกตัวเล็ก... แต่ตัวเล็กเงยหน้ามาคุยกับพี่ดีๆ ก่อนได้ไหมครับ” เมื่อเห็นตะวันยังนิ่ง พลัฎฐ์จึงใช้ไม้ตาย “หรือตัวเล็กไม่อยากเห็นหน้าพี่แล้ว หื้ม?”

และคำพูดของพลัฎฐ์ก็ดูเหมือนจะได้ผล เพราะตะวันเงยหน้าขึ้นทันที แถมยังได้สบกับตาคมของอีกฝ่ายที่มองมาอยู่ก่อนหน้าแล้วด้วย


ตึก ตึก ตึก


หัวใจดวงน้อยของตะวันเต้นรัวเร็วจนเจ็บอก ซึ่งพลัฎฐ์เองก็ไม่ได้ต่างจากอีกฝ่ายเลยสักนิด...

“เปล่านะครับ ตะวันไม่ได้ไม่อยากมองสักหน่อย... ตะวันแค่เขินเฉยๆ” เสียงหวานอ้อมแอ้มสารภาพ โดยที่ดวงตากลมยังไม่ละออกไปจากใบหน้าหล่เหลาเลยสักนิด

“งั้น... เรามาคุยเรื่องของเรากันหน่อยดีไหมครับตัวเล็ก” พลัฎฐ์ตัดสินใจถามจริงจัง เพราะคิดว่าการที่ตะวันยอมรับว่าชอบเขานั้นก็น่าจะเป็นใบเบิกทางชั้นดีที่จะให้พลัฎฐ์ก้าวสู่ขั้นต่อไปของความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งคู่

ตะวันพยักหน้ารับทั้งที่ยังเขิน

“ตัวเล็กรังเกียจพี่ไหมครับ ที่พี่ไม่ใช่คนตัวเปล่า พี่มีน้องพีเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ต้องดูแล เพราะถึงแม้ว่าเราสองคนจะใจตรงกัน แต่พี่ก็ไม่แน่ใจว่า...”

และยังไม่ทันที่พลัฎฐ์จะได้พูดจนจบประโยค ตะวันก็ยกมือข้างที่ยันอกของพลัฎฐ์อยู่ก่อนหน้า ขึ้นมาอีกปิดฝากของอีกฝ่ายเอาไว้อย่างแผ่วเบา

“ถ้าพี่ถามตะวันแบบนี้ ตะวันจะถือว่าพี่พลัฎฐ์ดูถูกตะวันนะครับ” คนตัวเล็กกว่ามุ่ยหน้า รู้สึกขัดใจเล็กๆ ที่พลัฎฐ์ถามคำถามนี้ออกมา และท่าทางของอีกฝ่ายทำเอาพลัฎฐ์ต้องแอบอมยิ้มทั้งที่ถูกมือเล็กของตะวันปิดปากอยู่นั่นแหละ “ตะวันไม่เคยคิดรังเกียจสักนิด ตะวันรักน้องพีเหมือนที่ตะวันรักอาทิตย์ น้องพีเป็นเด็กน่ารัก ว่าง่าย ใครอยู่ใกล้ก็ต้องหลงรัก หลงเอ็นดูกันทั้งนั้น และตะวันเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น”

เสียงหวานพูดอย่างหนักแน่นชัดเจน ดวงตากลมโตแสดงออกอย่างเปิดเผยว่าเขาจริงใจมากแค่ไหนกับถ้อยคำและสิ่งที่สื่อสารออกมาเหล่านั้น ทำเอาพลัฎฐ์ต้องจับมือข้อมือของตะวันออกจากการปิดปากตัวเอง และก้มลงรั้งคนที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ขึ้นมากอด

“ขอบคุณนะครับที่เอ็นดูลูกชายพี่ ขอบคุณที่รักและไม่รังเกียจเราสองคนพ่อลูก” พลัฎฐ์กระซิบชิดริมใบหูนิ่ม ถือโอกาสโมเมว่าตะวันรับได้และพร้อมจะตกลงรับเขาเป็นแฟน

“พี่พลัฎฐ์ปล่อยเลย ทำมาหลอกกอด.. ตะวันรู้นะ” คนตัวเล็กว่าเสียงแผ่ว จะดุเต็มปากก็ไม่กล้า เพราะอดยอมรับไม่ได้ว่ารู้สึกดีกับอ้อมกอดอุ่นๆ นี้ไม่น้อย

“ฮ่าๆ ตัวเล็กรู้ทันพี่” พลัฎฐ์ขำ แต่ก็ยังไม่ปล่อยให้ตะวันหลุดจากอ้อมแขนของตัวเอง

“ตะวันรู้ใช่ไหมครับว่าสำหรับพี่น้องพีสำคัญที่สุดมาโดยตลอด และพี่ก็คิดไว้เสมอว่าถ้าพี่จะมีใครสักคนในชีวิต พี่ก็อยากให้คนๆ นั้นรักน้องพีเหมือนที่พี่รัก อยากให้คนๆ นั้นเข้ากับลูกชายพี่ได้ และอยากให้คนๆ นั้นเป็นอีกคนที่สำคัญในชีวิตของพี่ไม่แพ้กับน้องพี ซึ่งที่ผ่านมาตะวันก็ทำให้พี่เห็น ทำให้พี่หลงรัก และรู้ซึ้งในตอนนี้ว่าพี่ได้เจอคนๆ แล้วซึ่งก็คือตะวัน... แล้วตะวันล่ะครับ ตะวันจะยอมให้พี่เป็นคนสำคัญในชีวิตของตะวันบ้างได้ไหม?”

“... พี่พลัฎฐ์” ตะวันครางเรียกอีกฝ่ายแผ่วเบา คนในอ้อมกอดหยุดคิดไม่ถึงนาทีด้วยซ้ำ สุดท้ายตะวันก็ตัดสินใจ ยกแขนเรียวของตัวเองขึ้นกอดตอบอีกฝ่าย

และอ้อมกอดของตะวันก็ทำเอาพลัฎฐ์ยิ้มกว้างออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

“ขอบคุณนะครับเด็กดี... พี่ถือว่าอ้อมกอดของตะวันคือคำตอบนะ”

“ครับ...” ตะวันตอบรับ แต่ก็ยังไม่วายกังวลนิดๆ “แต่ตะวันไม่แน่ใจว่าครอบครัวของพี่พลัฎฐ์จะ...”

ตะวันยังพูดไม่ทันจบ พลัฎฐ์ก็ดันตัวของตะวันออกจากอ้อมกอด พร้อมกับสบเข้าไปในดวงตากลมโตนิ่ง ก่อนจะพูดสวนออกมา โชคดีที่เมื่อคืนพลัฎฐ์คุยกับแม่ที่อยู่ไกลถึงอีกฟากของทวีปเรียบร้อยแล้ว วันนี้เขาถึงสามารถยืนยันเรื่องนี้ให้อีกฝ่ายสบายใจได้

“ไม่ต้องห่วงครับ พี่คุยกับแม่พี่เรียบร้อยแล้ว ท่านไม่ได้ว่าอะไร แถมยังอยากเจอตัวเล็กมากอีกต่าหาก” ตะวันตาเบิกโต “แม่พี่อยากเห็นคนที่ปราบพี่จนอยู่หมัดน่ะ ก่อนพี่มาจะมาเจอตะวัน พี่ไม่คิดอยากจะมีใคร คิดแค่ว่าอยากจะดูแลน้องพีจนแกโตพอที่จะดูแลตัวเองต่อได้ พี่คิดแค่นั้น... แต่พอมาเจอตะวัน ความตั้งใจพวกนั้นก็พังทลายไปหมด ตะวันทำให้พี่เปลี่ยนความคิดและมุมมองว่ามันน่าจะดีกว่าถ้าเราได้มีใครอีกคน มาคอยดูแลซึ่งกันและกัน เพราะพอน้องพีไปมีชีวิตของตัวเอง พี่ก็จะได้มีใครคอยเคียงข้างอยู่ด้วยกันไปจนแก่จนเฒ่า ซึ่งใครคนนั้นของพี่ก็คือตะวันนะ”

ตะวันหน้าแดง ใจเต้นแรงจนแทบจะทะลุออกมานอกอก เขานึกขอบคุณพลัฎฐ์ในใจที่ยอมปล่อยเขาออกจากอ้อมกอดก่อนที่จะพูดอะไรหวานๆ แบบนี้ ไม่งั้นเขาคงอายมากแน่ ถ้าอีกฝ่ายจะได้ยินเสียงหัวใจที่มันกำลังฟ้องว่าเจ้าของๆ มันรู้สึกกับสิ่งที่พลัฎฐ์พูดมากเสียจนไปไม่เป็นขนาดนี้

“แต่ตะวันยังไม่ได้คุยกับพ่อกับแม่เลย ขอเวลาตะวันหน่อยนะครับพี่พลัฎฐ์” เพราะตะวันเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ เขาเองก็ไม่เคยคบใครเป็นจริงเป็นจัง แม้จะมีคนเข้ามาจีบเรื่อยๆ แต่ตะวันก็ไม่ได้สนใจ ต่างจากพลัฎฐ์ที่เป็นเหมือนน้ำซึมบ่อทราย อีกฝ่ายค่อยๆ แทรกตัวเข้ามาในชีวิตตะวันทีละนิดผ่านน้องชายอย่างอาทิตย์ จนตะวันเผลอเปิดใจให้โดยไม่รู้ตัว

ถ้าพลัฎฐ์บอกตะวันว่าเขาตกหลุมรักตะวันเพราะมีกามเทพตัวน้อยอย่างน้องพีเป็นสื่อกลาง สำหรับตะวันก็คงไม่ต่าง เพราะถ้าไม่มีอาทิตย์ เขาก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้รู้จักและได้ใกล้ชิดกับพลัฎฐ์แบบนี้หรือเปล่า

ดังนั้น พอตะวันคิดจะมีคนรักเป็นจริงเป็นจังเป็นคนแรก แล้วยิ่งเป็นคนรักที่เป็นเพศเดียวกันอีก เขาก็ยิ่งต้องตั้งสติรวบรวมความกล้าที่จะบอกพ่อแม่อย่างตรงไปตรงมาให้มากขึ้น ตะวันมั่นใจว่าพวกท่านน่าจะเข้าใจ แต่ลึกๆ ก็อดไม่ได้ที่จะกังวล

- อ่านต่อด้านล่าง -

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
- ต่อจากด้านบน -


“ตะวันอยากพร้อมกว่านี้อีกนิด เพื่อที่จะคุยกับพ่อกับแม่ได้ตรงๆ พี่พลัฎฐ์เข้าใจตะวันใช่ไหมครับ” พลัฎฐ์ยื่นหน้ามาจูบเบาๆ ที่หน้าผากมนของคนตัวเล็กกว่า ทำเอาตะวันร้อนวูบวาบไปทั่วหน้า แต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่ามันทั้งอบอุ่นใจ และทั้งรู้สึกดี

“พี่เข้าใจครับ พี่รอได้ ตัวเล็กไม่ต้องกังวลนะ” ตะวันเองก็ยิ้มรับคำพูดของอีกฝ่าย ก่อนจะเอื้อมมือเล็กไปวางแนบแก้มสากของพลัฎฐ์เบาๆ

“ขอบคุณนะครับที่เข้าใจ ว่าแต่ตอนนี้เราสองคน..” คนตัวเล็กกว่าแก้มแดง คำพูดอึกๆ อักๆ และดูเลิ่กลั่กเล็กน้อยทำให้พลัฎฐ์นึกเอ็นดู เลยตัดสินใจพูดขอในสิ่งที่ตะวันกำลังไม่แน่ใจ เพื่อที่จะทำให้มันเข้ารูปเข้ารอย ชัดเจน และจริงจังเสียที


“เป็นแฟนกับพี่นะครับตะวัน... ให้พี่ได้ดูแลตะวันกับอาทิตย์ เหมือนที่ตะวันดูแลพี่กับน้องพีนะครับ”


คำพูดที่หนักแน่น น้ำเสียงที่มั่นคงและอบอุ่น สายตาที่เต็มไปด้วยความรักและความจริงใจ ทำให้ตะวันเลือกที่จะตอบรับไม่ยาก

“ครับ เรามาดูแลซึ่งกันและกันนะครับพี่พลัฎฐ์” พลัฎฐ์ยิ้มก่อนที่จะเอียงหน้าซบกับมือตะวันอย่างออดอ้อน ทำเอาคนตัวเล็กกว่าเขินไปหมดกับท่าทางของพลัฎฐ์ที่ตะวันไม่เคยได้เห็นมาก่อน

แต่แล้วในขณะที่คนที่เพิ่งตกลงคบกันกำลังมองหน้ากันและกันอยู่ดีๆ พลัฎฐ์ก็ดันตัวเข้าไปใกล้กับตะวันที่นั่งแหงนหน้าขึ้นมาสบตาเขาอยู่ที่เก้าอี้ ... ร่นระยะให้คนทั้งคู่ เข้าใกล้กันมากกว่าที่เคย


“ตัวเล็กครับ... พี่จูบได้ไหมครับ?”


พลัฎฐ์กระซิบเอ่ยขอตะวันเสียงพร่า ในดวงตาคมกริบเต็มไปด้วยความต้องการที่ตะวันมองเห็นมันอย่างชัดเจน ในขณะที่คนถูกขอก็แก้มแดงลามไปยันคอ ริมฝีปากบางเล็กอ้าค้างนิดๆ ดวงตากลมกระพริบปริบๆ ราวกับกำลังตกใจกับคำขอตรงๆ ของอีกฝ่าย

และหลังจากหายตกใจตก ตะวันก็หลุบตามองพื้นอย่างเขินอาย ก่อนจะพยักหน้าอนุญาตให้พลัฎฐ์ได้ทำตามที่ขอ เพราะลึกๆ แล้วในใจ ตะวันก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเขาเองก็อยากถูกคนตรงหน้าสัมผัสด้วยริมฝีปากหยักลึกคู่นั้นไม่ต่างกัน

ตะวันเองก็อยากรับรู้ถึงความรู้สึกยามถูกคนที่เรารักจูบเหมือนกันว่ามันเป็นยังไง ความรู้สึกพิเศษที่เคยได้ยินในละคร หรือที่เคยได้อ่านผ่านตาในนิยาย มันจะพิเศษขนาดไหน... ตะวันอยากรู้มากจริงๆ

พลัฎฐ์ยิ้มกว้างไปถึงตา เขาค่อยๆ โน้มใบหน้าลงมาใกล้ใบหน้าของตะวันที่กำลังแหงนเงยรออยู่อย่างเต็มอกเต็มใจ ริมฝีปากเล็กสีแดงสดที่พลัฎฐ์คอยลอบมองอยู่หลายอาทิตย์ถูกลดระยะให้ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนกระทั่งริมฝีปากของเขาสัมผัสมันในที่สุด

พลัฎฐ์ค่อยๆ ละเลียดบดริมฝีปากของตัวเองลงบนริมฝีปากของตะวันอย่างเชื่องช้าค่อยเป็นค่อยไป ในขณะที่ตะวันเองก็หลับตาพริ้ม ตัวสั่นน้อยๆ เพราะรู้สึกตื่นเต้นกับสัมผัสที่ตัวเองไม่เคยได้รู้จักและคุ้นชิน จนทำให้พลัฎฐ์ตัองรั้งร่างเล็กเข้ามาในอ้อมกอด แล้วกระชับวงแขนรัดร่างของอีกฝ่ายให้แน่นขึ้น

คนเชี่ยวชาญในการจูบขยับริมฝีปากที่ทาบทับลงบนอวัยวะเดียวกันกับของตะวันอย่างเร่งเร้า สลับอ่อนโยนจนตะวันคล้อยตามและเริ่มเรียนรู้ที่จะขยับจูบตอบ ซึ่งถึงแม้จะเงอะงะหรือแปลกๆ ไปบ้าง ตามประสาคนไม่เคยได้ไม่จูบใคร แต่ในความไร้เดียงสาและโอนอ่อนนี้กลับทำให้พลัฎฐ์แทบคลั่ง เลยเผลอฝังริมฝีปากไปลงบนกลีบปากบางของอีกฝ่ายอย่างแนบแน่นมากขึ้น

พลัฎฐ์ดูดดึงริมฝีปากล่างของตะวันอย่างหยอกล้อ ก่อนจะค่อยๆ ผละออกเพื่อมองใบหน้าหวานที่ตอนนี้แดงไปทั้งหน้า ดวงตากลมโตปรือปรอย นัยน์ตาวาววับไปด้วยน้ำใสที่คลอออกมาน้อยๆ เพราะแรงอารมณ์ พร้อมกับอาการหอบน้อยๆ จากการหายใจไม่ทันของอีกฝ่ายยิ่งทำให้อารมณ์ของพลัฎฐ์กระเจิดกระเจิงยิ่งกว่าเดิม

และไม่ทันที่ตะวันจะได้ห้ามปรามอะไร พลัฎฐ์ก็พุ่งเข้าประกบริมฝีปากของตัวเองลงบนริมฝีปากของตะวันอีกครั้ง ค่อยๆ ขบเม้ม ดูดดึง ละเลียดชิมความหอมหวานที่เขาได้รับรู้จากปลายลิ้น ในขณะที่จมูกโด่งก็สูดดมกลิ่นแก้มยุ้ยๆ ของตะวันเข้าเต็มปอด ก่อนที่พลัฎฐ์จะทำใจกล้าไล้ลิ้นไปตามร่องริมฝีปากของตะวันราวกับกำลังร้องขอ... ร้องขอที่จะสัมผัสอีกฝ่ายให้ลึกซึ้งกว่าเดิม

และตะวันก็มึนเมากับรสสัมผัสของพลัฎฐ์เกินกว่าจะมีสติในการคิดหรือตรึกตรองใดๆ ตอนนี้การควบคุมตัวเองของตะวันแทบจะติดลบ ทุกอย่างถูกพลัฎฐ์ใช้อารมณ์ชักพาและตะวันก็พร้อมจะคล้อยตามไปเสียทุกสิ่ง

... จูบของพลัฎฐ์ทำให้ตะวันตัวลอย

และกว่าจะรู้ตัวตะวันก็เผยอริมฝีปากออกให้พลัฎฐ์ได้แทรกลิ้นร้อนเข้ามาอย่างเอาแต่ใจ

ตะวันเหลือกตาที่หลับพริ้มขึ้นเมื่อสัมผัสได้ถึงการรุกรานจากอีกฝ่าย เขายอมรับกว่าตกใจในคราวแรก แต่แล้วความเชี่ยวชาญของพลัฎฐ์ก็ทำให้สมองของคนตัวเล็กกว่าพร่าเบลออีกครั้ง เรียวลิ้นร้อนของพลัฎฐ์กวาดต้อนไปทั่วโพรงปากของตะวันอย่างย่ามใจ หัวใจของพลัฎฐ์พองโตคับอกเมื่อสิ่งที่เขาจินตนาการถึงมานานนับเดือนเกิดขึ้นจริง


ตะวันหวาน.. หวานเหมือนที่เขาคิดไว้ไม่มีผิด หรือเผลอๆ อาจจะหวานกว่าที่เขาคิดไว้ด้วยซ้ำ


พลัฎฐ์กำลังควบคุมตัวเองไม่ได้ เขากวาดลิ้นไปทั่ว ไล้เลียไปตามสบฟันและพยายามที่จะเข้าเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นเล็กของตะวันที่ยังไม่รู้ประสา และคนตัวเล็กกว่าก็ทำให้พลัฎฐ์คลั่งอีกครั้ง เมื่อตะวันทำใจกล้าสอดลิ้นเข้ามาแตะปลายลิ้นของพลัฎฐ์ในโพรงปากอย่างกล้าๆ กลัวๆ ... ความไร้เดียงสาแต่ก็อยากรู้อยากลองของตะวันกำลังจะทำให้พลัฎฐ์กลายร่างเป็นเสือ

เขาอยากจะขย้ำร่างเล็กกว่าให้จมเข้าไปในอ้อมแขน ยิ่งตะวันน่ารักและดูอ่อนต่อโลกมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งรู้สึกถึงความหวงแหนที่มีต่ออีกฝ่ายมากขึ้นเท่านั้น พลัฎฐ์จึงทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของอีกฝ่าย โดยการส่งลิ้นตัวเองเข้าไปเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นเล็กอย่างเอาแต่ใจ

เสียงหอบหายใจ แรงบีบของมือเล็กที่ต้นแขนพลัฎฐ์ เสียงดูดดึงของริมฝีปาก และเรียวลิ้นที่เกี่ยวกระหวัดกันของคนทั้งคู่ ทำให้โลกทั้งใบเหมือนถูกลืมเลือน จนกระทั่งลมหายใจของตะวันเริ่มขาดห้วง มือเรียวบีบประท้วงเบาๆ ทำให้พลัฎฐ์ต้องผละออกจากริมฝีปากบางด้วยความจำใจ

“แฮ่ก...”

พลัฎฐ์ผละออกมามองตะวันเต็มตา และยิ่งทำให้รู้สึกว่านั่นเป็นสิ่งที่พลาดหมันต์ เพราะตะวันที่พลัฎฐ์เห็นตอนนี้ เป็นตะวันที่น่ารังแก น่าจูบซ้ำๆ ให้ริมฝีปากบวมเจ่อ และน่ากอดเอาไว้ให้เป็นของเขาแค่คนเดียว

แต่พลัฎฐ์ก็ต้องห้ามใจ พยายามไม่ทำอะไรที่อาจจะทำให้ตะวันตื่นกลัวหรือรู้สึกแย่กับจูบครั้งแรกของเขาทั้งสองคน ตะวันที่พยายามกอบโกยอาหาศเข้าปอด ยังคงหอบหายใจจนอกบางกระเพื่อม ใบหน้าที่เคยสวยหวาน เวลานี้กลับแดงก่ำแต่ก็ดูเซ็กซี่ไม่น้อย และน้ำใสที่ติดอยู่ตรงมุมปากที่บวมเจ่อเล็กน้อยทำให้พลัฎฐ์ต้องก้มลงไปจูบซับทำความสะอาดให้ เล่นเอาคนตัวเล็กกว่าแอบสะดุ้ง และนั่นทำให้คนขี้แกล้งอดขำออกมาเบาๆ ไม่ได้

ตะวันช้อนสายตามองพลัฎฐ์ด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย ทั้งเขินที่ถูกจูบจนหายใจไม่ทัน ทั้งงอนที่อีกฝ่ายเอาแต่ตักตวงความหอมหวานจนเขาตั้งตัวไม่ติด แต่ความรู้สึกที่เห็นชัดที่สุดในดวงตากลมโตที่กำลังปรือปรอยเพราะแรงอารมณ์คู่นั้นก็คือความรัก ทำเอาพลัฎฐ์อดยื่นหน้าไปจูบเบาๆ ที่หางตาของอีกฝ่ายไม่ได้

“ขอโทษนะครับที่รังแก” พลัฎฐ์ผละออกแต่ก็ไม่ได้ออกมาไกล เขายังคงกระซิบคำขอโทษเบาๆ ชิดริมฝีปากบาง มือใหญ่วางทับไปบนมืออีกฝ่ายพร้อมกับลูบไล้ราวกับกำลังง้องอน


“พี่รักหนูนะครับ”


และคำบอกรักของพลัฎฐ์ทำเอาตะวันทำหน้าไม่ถูก ต้องซบหน้าลงไปบนบ่ากว้างของพลัฎฐ์อย่างเขินอายแทน ทำเอาคนตัวโตกว่านึกเอ็นดู เลยต้องยื่นมือไปลูบศีรษะกลมเบาๆ ก่อนที่ตะวันจะทำพลัฎฐ์เสียอาการไม่ต่างกันด้วยการพูดในสิ่งที่พลัฎฐ์ไม่คิดมาก่อนว่าจะได้ยินที่ริมฝีปากน่าจูบคู่นั่น


“ตะวันก็รักพี่พลัฎฐ์ครับ”


พลัฎฐ์พรูลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ทำเอาตะวันต้องละใบหน้าออกมาจากไหล่กว้างของอีกฝ่าย เพราะไม่แน่ใจว่าตัวเองพูดอะไรผิดหรือเปล่า และคำพูดของพลัฎฐ์ก็ทำเอาตะวันทุบลงไปบนอกของคนตรงหน้าอย่างหมั่นไส้

“เฮ้อ... น่ารักอะไรขนาดนี้ล่ะครับตัวเล็ก” ใบหน้าหล่อเหลาแสดงความเจ้าเล่ห์ ก่อนจะเอ่ยขอตะวันอย่างออดอ้อน “ให้พี่จูบอีกทีนะครับ...นะ”

ตะวันหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะแสร้งส่ายหน้าและพยายามลุกหนีอีกฝ่ายที่ตอนนี้กำลังโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้โดยไม่รอฟังคำอนุญาตด้วยซ้ำ

ตะวันเบี่ยงหน้าหนีไปมาพร้อมกับหัวเราะลั่นในขณะที่พลัฎฐ์เองก็ไม่ยอมแพ้ ทำท่าพยายามจะไล่ตามจูบตะวัน จนห้องทำงานเล็กๆ ของตะวันเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของคนทั้งคู่

เสียงหัวเราะที่สดใส เสียงหัวเราะของคนที่กำลังมีความรัก....

.

.

.

To Be Continue

--------------------------------------------

เป็นแฟนกันแย้วจ้าแม่! อยากจะแหมใส่นังพี่พาลัดด!!

ฝากติดแท็ก #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว ในทวิตเตอร์ด้วยนะคะ แล้วก็ขอบคุณมากๆ สำหรับทุกคอมเม้นท์ ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกันไม่ไปไหน ขอบคุณมากๆ เลยค่ะ... แล้วเจอกันตอนหน้าน้าาา

รักทุกคนมากๆ จ้า ❤

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
:: Chapter 12th - น้องชายคนที่สอง ::


“พี่ตะวันคับบบ ทางนี้ๆ” เสียงของเด็กชายพีรยสถ์เรียกพี่ชายของเพื่อนดังลั่นสนามเด็กเล่น วันนี้เขามารับเด็กๆ พร้อมกับพลัฎฐ์ ซึ่งตอนนี้หน้ามุ่ยเดินดุ่มๆ ไปอุ้มยกน้องพีจนตัวลอย ให้เจ้าหนูน้อยได้หัวเราะคิกคักอย่างชอบใจ

“คิกๆๆๆๆ ปะป๊า อย่าแกล้ง คิกๆๆ ปะป๊า”

เจ้าหนูประท้วงให้คนเป็นพ่อหยุดแต่ก็ไม่ได้มีวี่แววว่าพลัฎฐ์จะยอมรามือแต่ประการใด ตรงกันข้าม เพราะตอนนี้คนตัวโตเป็นยักษ์อย่างพลัฎฐ์กำลังอุ้มลูกชายยกขึ้นสูง เพื่อให้ใบหน้าหล่อเหลาซุกเข้ากับพุงน้อยๆ ของเจ้าหนูน้อยพร้อมฟัดได้ถนัดมือยิ่งขึ้นกว่าเดิม

พลัฎฐ์ผละใบหน้าออกจากพุงของน้องพีที่ตอนนี้หัวเราะจนแก้มแดงก่ำ น้ำลายกระเด็นเปรอะไปทั่ว แต่ก็ยังคงน่าเอ็นดูอยู่ดีในสายตาคนเป็นพ่อ

“เด็กดื้อต้องโดนทำโทษ” พลัฎฐ์แกล้งว่าเสียงเข้ม พร้อมกับเปลี่ยนมาอุ้มลูกชายในท่าเจ้าหญิง เตรียมจะก้มไปฟัดแก้มนิ่มๆ ของเจ้าเด็กในอ้อมกอดต่อ “น้องพีเป็นลูกปะป๊านะ ไหงหนูเรียกหาแต่พี่ตะวันแบบนี้ล่ะหื้ม?”

เด็กชายพีรยสถ์ยิ้มหน้าตาหยีใส่คนเป็นพ่อ ก่อนที่มือเล็กจะยื่นไปลูบแก้มสาก พลางพูดจาเอาใจอีกฝ่ายเมื่อรู้ว่าตัวเองทำผิด

“น้องพีโอ๋ๆ ปะป๊าน้า เก๊าะน้องพีคิดถึงพี่ตะวันนี่นา เมื่อเช้าน้องพีก็ไม่ได้เจอพี่ตะวันเยย”

พลัฎฐ์ยิ้ม นึกเอ็นดูลูกชายที่รู้จักพูดจาน่ารัก แบบนี้ตะวันไม่หลงเจ้าตัวน้อยนี่ให้รู้ปสิ

“ไหน พี่ตะวันได้ยินว่ามีคนบ่นว่า ใครคิดถึงพี่ตะวันน้า”

พอนึกถึงได้ไม่เท่าไหร่ คนที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟนหมาดๆ ของพลัฎฐ์ก็ปรากฏตัวขึ้นข้างกาย ตะวันเดินมาพร้อมกับจูงเด็กชายภานวีย์ไว้ในมือ เด็กชายข้างบ้านยิ้มกว้าง พร้อมกับปล่อยมือจากมือพี่ชายแล้วยกขึ้นมาพุ่มไว้ตรงอก ก่อนจะเอ่ยทักทายพลัฎฐ์อย่างมีมารยาท

“ปะป๊าพะลัด สวัสดีคับ”

“สวัสดีครับอาทิตย์ วันนี้...”

และยังไม่ทันที่พลัฎฐ์จะพูดจบ น้องพีก็จะดิ้นลงจากอ้อมกอดเขาให้ได้ พลัฎฐ์จึงจำป็นต้องหยุดพูดก่อน แล้วปล่อยเจ้าลูกชายตัวแสบลงยืนกับพื้น และทันทีที่เจ้าหนูน้อยตั้งตัวได้ เด็กชายก็โผเข้าไปกอดเอวตะวันไว้แน่น พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนที่ฟังแล้วน่าหยิกไม่น้อย

“น้องพีคับ น้องพีคิดถึงพี่ตะวันที่สุดในโยกเยยย”

และพอได้รับรอยยิ้มละไมจากพี่ชายของเพื่อนสนิทมาเรียบร้อยแล้ว เด็กชายพีรยสถ์ก็เลยปล่อยมือออกจากเอวตะวัน ก่อนจะพุ่มมือไปตรงอก ทักทายคนแก่กว่าด้วยท่าทางน่าเอ็นดู

“อ้อ! ยืมเยย! สวัสดีคับพี่ตะวัน”

ตะวันแอบยิ้มขำ ตอนเห็นรอยยิ้มแป้นแล้นของเจ้าหนูน้อย ก่อนจะลดตัวลงไปนั่งยองๆ เพื่อให้ความสูงของเขากับน้องพีเสมอกัน

“สวัสดีครับน้องพี พี่ตะวันก็คิดถึงน้องพีเหมือนกันนะ” พี่พูดจบตะวันก็รั้งตัวเจ้าหนูตรงหน้ามากอดแนบอก ก่อนจะฝังจมูกลงไปบนแก้มนิ่มๆ ยุ้ยๆ ของอีกฝ่าย

ฟอด ~

“ค่อยหายคิดถึงหน่อย” พอหอมเสร็จตะวันก็ผละออกมามองใบหน้าเขินๆ ของเจ้าหนูด้วยความรู้สึกอยากจะจับฟัดแรงๆ อีกสักหลายๆ รอบ

แต่ก่อนจะได้ทำอะไรต่อ จู่ๆ คนที่ยืนเป็นยักษ์ปักหลักอยู่เมื่อกี้ ก็ทรุดลงมานั่งยองๆ ข้างตะวัน จากนั้นใบหน้าหล่อเหลาก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ตะวัน จนตะวันแทบจะผงะหงายหลัง แต่ก็ยังดีที่แขนของคนที่ว่ายื่นเข้ามาโอบรั้งรอบเอวของเขาไว้ ไม่ให้หงายลงจ้ำเบ้ากับพื้น

“พี่ก็คิดถึง... หนูหอมพี่บ้างสิครับ”

และด้วยความใกล้ชิดที่เกิดขึ้นราวกับได้จังหวะ พลัฎฐ์จึงอาศัยช่วงชุลมุน กระซิบข้างใบหูนิ่มที่ตอนนี้กำลังแดงก่ำ ก่อนที่ตะวันจะได้สติ ใช้มือเล็กๆ ดันที่แผงอกกำยำพลางทุบเบาๆ ราวกับจะลงโทษคนขี้ฉวยโอกาส

“พี่พลัฎฐ์ ปล่อยตะวันเลยนะ คิดถึงอะไรล่ะครับ เมื่อวานก็เจอ... ทำไมพี่ขี้แต๊ะอั๋งแบบนี้นะ” เสียงหวานว่าอย่างอ่อนอกอ่อนใจ แต่ถ้าจับความรู้สึกฟังดูดีๆ จะได้ยินว่าเสียงของตะวันสั่นแค่ไหน ไม่ต้องมองหน้าก็เดาได้ ว่าตอนนี้เจ้าตัวคงจะเขินน่าดู

คนถูกทุบหัวเราะอย่างอารมณ์ดี เมื่อได้หยอกให้คนรักของตัวเองแสดงอาการไปไม่เป็นออกมาได้

“ก็พี่คิดถึงนี่ ตัวเล็กหอมแต่ลูก ไม่เห็นหอมพ่อบ้างเลย” เสียงทุ้มแกล้งต่อว่า พลางปัดจมูกไปมาผ่านแก้มนิ่มของอีกฝ่ายเบาๆ


ตะวันไม่หอมเขา เขาหอมตะวันเองก็ได้ ...


แต่ก่อนที่สนามเด็กเล่นของโรงเรียนอนุบาลจะหวานมากไปกว่านี้ เสียงทุ้มไม่คุ้นหูก็ดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน

“สวัสดีครับคุณตะวัน คุณพลัฎฐ์”

ตะวันผละออกจากอ้อมกอดของชายหนุ่มคนรักทันที ซึ่งพลัฎฐ์เองก็ให้ความร่วมมืออย่างดีไม่ได้งอแงแต่ประการใด หนำซ้ำยังช่วยประคองตะวันให้ลุกขึ้นยืนอย่างเป็นปกติด้วย แต่ที่ไม่ปกติก็คงเห็นจะเป็นปื้นสีแดงเรื่อที่ขึ้นอยู่ตรงข้างแก้มและใบหูทั้งสองข้างตะวัน ทำเอาคนตัวโตกว่าอดยิ้มขำไม่ได้เมื่อเห็นใบหน้าเต็มๆ ของคนรักของตัวเอง

และอารมณ์ดีๆ ของพลัฎฐ์ก็ต้องสะดุด เมื่อเขาหันกลับมาเห็นว่าคนที่เข้ามาทักคือใคร

ศัตรูหัวใจอันดับหนึ่ง ... ครูกวินทร์ ครูประจำชั้นของเจ้าอาทิตย์และน้องพี

“สวัสดีครับครูวิน” ตะวันเอ่ยทักอีกฝ่าย พร้อมๆ กับที่พลัฎฐ์ขยับมายืนข้างตัวเขา แล้วโอบแขนมาที่รอบเอวอย่างจงใจ

“สวัสดีครับครูกวินทร์ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ สบายดีไหม” รอยยิ้มนักธุรกิจถูกพลัฎฐ์นำมาใช้อย่างแนบเนียน รวมทั้งอ้อมกอดแสดงความเจ้าของนี่ด้วย หวังว่าเจ้าครูหน้าอ่อนนี่คงจะไม่เข้าใจอะไรยากเกินไปหรอกนะ

“สบายดีครับ ว่าแต่ไม่เจอคุณพลัฎฐ์นานเลยนะครับ เห็นกี่ทีๆ ก็เป็นคุณตะวันมารับมาส่งเด็กๆ ตลอด จนผมแทบจะลืมไปแล้วว่าคุณพลัฎฐ์เป็นผู้ปกครองของน้องพี”

ครูประจำชั้นสวนกลับด้วยรอยยิ้มอย่างไม่ยอมแพ้ ทำเอาตะวันยิ้มแห้ง เพราะไม่รู้จะจัดการกับสถานการณ์ตรงหน้ายังไง

“เอาตามที่ครูกวินทร์สะดวกจะคิดเลยครับ เพราะความจริงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผมมาหรือตะวันมาก็ไม่ได้มีอะไรต่างกันสักเท่าไหร่ เพราะยังไงเราต่างก็เป็นผู้ปกครองของเด็กทั้งคู่ ... เพราะแฟนกัน ไม่ใช่คนอื่นคนไกล ผมพูดถูกไหมครับนี่”

พอพลัฎฐ์พูดจบ ตะวันก็หันไปมองหน้าอีกฝ่ายคอแทบเคล็ด ตากลมๆ ของพี่ชายเจ้าอาทิตย์แทบจะถลนออกมานอกเบ้า เพราะไม่คิดว่าปะป๊าของน้องพีจะซัดเข้าเป้าตรงประเด็นขนาดนี้ เล่นเอาคุณครูประจำชั้นคนสุภาพหน้าซีดไปเลย

“พี่พลัฎฐ์!”

ตะวันหยิกเนื้อที่ข้างเอวของอีกฝ่ายด้วยความมันเขี้ยว เขาทั้งเขิน ทั้งทำตัวไม่ถูก ในขณะที่พลัฎฐ์ยังคงตีหน้านิ่ง แม้จะพยายามบิดตัวหนีดัชนีพิฆาตของคนตัวเล็กกว่าแล้วก็ตาม

“ก็พี่พูดเรื่องจริง” ตะวันยังคงถลึงตาใส่คนดื้อตาใสอย่างต่อเนื่อง จนตะวันเห็นท่าไม่ดี เลยคิดว่าควรจะรีบพาพลัฎฐ์และเด็กๆ ออกจากสถานการณ์กระอักกระอ่วนตรงหน้านี้เสียก่อน

พี่พลัฎฐ์นะพี่พลัฎฐ์ ไม่รู้จะป่าวประกาศทำไม คุณครูเขาไม่ได้ถามสักหน่อย จู่ๆ ก็ไปโพล่งบอกเขาแบบนี้ ... ตะวันยอมรับตามตรงว่าเขาทำหน้าไม่ถูก

แน่นอนว่าตะวันไม่ได้อายที่คบกับพลัฎฐ์ แต่ตะวันอายที่ไปบอกเรื่องส่วนตัวให้คนอื่นรู้ โดยที่ไม่รู้ว่าเขาอยากรู้เรื่องของเราหรือเปล่าต่างหาก

“พี่เงียบไปเลยนะ! ไม่อย่างนั้นตะวันจะไม่ไปทำกับข้าวให้กินเย็นนี้”

คนตัวเล็กกว่าขู่ฟ่อ ทำเอายักษ์ไททันอย่างพลัฎฐ์ถึงกับยืนไหล่ห่อ พลางทำหน้าออดอ้อนใส่ตะวันได้น่าหมั่นไส้ จนตะวันต้องเบือนหน้าหนีไปต้อนเด็กๆ มายืนอยู่ข้างๆ แทน เพราะกลัวว่าตัวเองจะเผลอใจอ่อนให้กับความเจ้าเล่ห์ของพลัฎฐ์ที่นับวันจะอัพเลเวลมากขึ้นทุกที

โดยที่ทั้งสองคนไม่ได้สังเกตท่าทีของครูประจำชั้นที่กำลังมองภาพ ‘ครอบครัว’ ตรงหน้าด้วยสายตาน่าสงสารขนาดไหน กวินทร์ได้แต่ยกยิ้มปลงๆ ให้กับตัวเอง ดูเหมือนว่าเขายังจะไม่ทันได้เริ่มที่สานสัมพันธ์กับคนที่หมายตาเลยด้วยซ้ำ จากที่มีหวังเต็มเปี่ยม ดูเหมือนพลัฎฐ์จะตอกตะปูปิดฝังความหวังของเขาลงดินไปเรียบร้อย

“พี่ตะวันจะไปทำข้าวเย็นให้น้องพีกับปะป๊ากินเย็นนี้หยอคับ” เด็กชายพีรยสถ์ที่ยืนอยู่ตรงกลางระหว่างตะวันและพลัฎฐ์แหงนหน้าขึ้นถาม รอยยิ้มน่ารักปรากฎที่ริมฝีปากจิ้มลิ้มของเจ้าหนูน้อย เพราะเขาดีใจมากที่จะได้กินข้าวฝีมือพี่ตะวัน แถมยังได้อยู่เล่นกับคุณอาทิตย์นานๆ อีกด้วย

“ใช่ครับ พี่ตะวันจะไปทำต้มจืดปลาหมึกยัดไส้ให้น้องพีกับคุณอาทิตย์กิน น้องพีกับคุณอาทิตย์อยากกินไหมครับ” ตะวันถามเสียงนุ่ม พลางก้มลงหอมแก้มเด็กทั้งสองเบาๆ โดยที่ละความสนใจจากพลัฎฐ์ที่พยายามวอแวไปแล้วโดยสิ้นเชิง

“ตัวเล็กครับ... แล้วพี่ล่ะ?” ตะวันหันไปมุ่ยหน้าใส่อีกฝ่าย ก่อนจะว่าเสียงแข็ง

“ไม่ต้องกินดีไหมครับ ... เก่งๆ แบบพี่พลัฎฐ์น่าจะหาอะไรกินเองได้สบายๆ”

คนเก่งของบ้านถึงกับทำหน้าเหรอหราเมื่อเห็นว่ากำลังจะถูกตะวันปล่อยเกาะ เลยรีบมาวอแวหาทางออดอ้อนเอาใจ และเมื่อเห็นว่าไม่ได้ผล ก็อาศัยลูกชายมาเป็นตัวช่วย

“น้องพีครับ ช่วยปะป๊าหน่อย พี่ตะวันจะไม่ให้ปะป๊ากินข้าวเย็นด้วย” พลัฎฐ์จัดการอุ้มเด็กชายพีรยสถ์ขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะโยกตัวลูกชายไปหาตะวันเบาๆ กะให้ลูกช่วยง้อตะวันเต็มที่ และน้องพีก็ไม่ทำให้คนเป็นพ่อผิดหวัง เพราะปากน้อยๆ จิ้มลิ้มนั้น พุ่งเข้าจู่โจมแก้มหอมๆ ของตะวันทันที

จุ๊บ ~

“น้องพีขอโทษแทนปะป๊าคับพี่ตะวัน ดีๆ กันน้า น้องพีกัวปะป๊าหิวข้าว”

คำพูดบวกกับท่าทางน่ารักๆ ของเด็กน้อยทำเอาตะวันใจอ่อนยวบ ก่อนที่คนตัวเล็กกว่าจะก้มลงไปอุ้มน้องชายตัวเองขึ้นมากอดไว้แนบอกด้วยเช่นกัน

“ปะป๊าหนูน่ะร้ายที่สุดเลยรู้ไหม” ตะวันค่อนขอดเข้าให้ก่อนที่จะย่นจมูกใส่คนเจ้าเล่ห์อย่างพลัฎฐ์ แต่แทนที่คนตัวโตกว่าจะสลด กลับยิ้มประจบให้ตะวันนึกมันเขี้ยวแทน

"หรือเราจะทำกับข้าวกินกันแค่ที่บ้านดีนะอาทิตย์"

ตะวันแกล้งหันไปถามน้องชายในอ้อมแขนแต่แทนที่จะได้พวกเพิ่มกลับดันเสียพวกไปให้หนุ่มๆ บ้านข้างๆ แทนซะนี่

"ไม่เอาคับพี่ตะวัน อาทิตย์อยากทำการบ้านกับน้องพี ... เราไปกินข้าวบ้านน้องพีกันเถอะน้า พี่ตะวันน้า"

เจ้าอาทิตย์เอ่ยอ้อนพลางโอบแขนรอบคอของพี่ชายแน่น สุดท้ายตะวันจึงถอนใจออกมาปลงๆ เพราะสุดท้ายเขาก็สู้ความเจ้าเล่ห์ของพลัฎฐ์ไม่ได้อยู่ดี

และก็ดูเหมือนว่าทั้งสี่จะยืนพูดคุย หัวเราะต่อกระซิกกันอย่างมีความสุข จนเกือบจะหลงลืมครูประจำชั้นที่ยืนแน่นิ่งอยู่ตรงนั้นไม่ได้ไปไหน

"เอ่อ... งั้นถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวนะครับ" ครูหนุ่มพูดขัดขึ้นมา ทำเอาตะวันตกใจที่เผลอลืมคิดไปว่าอีกฝ่ายยังยืนอยู่ตรงนี้ในขณะที่พลัฎฐ์ดูไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรเท่าไหร่นัก

"เอ่อ .. ครูวิน พวกเราต้องขอโทษด้วยนะครับที่เสียมารยาท พอดีคุยกันเพลินไปหน่อย"

ตะวันรีบเอ่ยขอโทษขอโพย โดยที่กวินทร์เองก็ไม่ได้ดูโกรธเคืองอะไร แต่ถ้าจะให้พูดกันตามตรง อีกฝ่ายคงรู้สึกเจ็บใจและทำอะไรไม่ได้มากกว่า และยิ่งมายืนอยู่ผิดที่ผิดทางแบบนี้ ทุกอย่างมันเลยยิ่งดูแย่เข้าไปใหญ่ เขาเลยคิดจะขอตัวแยกออกมา

“ไม่เป็นไรครับคุณตะวัน ผมไม่ได้คิดมากอะไร”

กวินทร์ตอบนิ่งๆ พลางมองหน้าพลัฎฐ์พร้อมกับยกยิ้มมุมปากน้อยๆ .. ยิ้มแบบที่พลัฎฐ์ไม่ชอบ และยิ้มแบบที่พลัฎฐ์รู้ดีว่าอีกฝ่ายซ่อนความนัยไว้ในประโยคที่เพิ่งพูดออกมาราวกับจะสื่อสารกับเขาโดยตรง แต่พลัฎฐ์ก็ฉลาดพอที่จะไม่แสดงท่าทางไม่ดีอะไรโต้กลับใส่อีกฝ่าย แต่เขาเลือกที่จะใช้แขนข้างที่ว่างโอบรัดเอวบางของตะวันรั้งเข้าชิดตัวเอง

“งั้นเชิญครูกวินทร์ตามสบายเลยนะครับ ผมกับตะวันแล้วก็เด็กๆ คงต้องขอตัวก่อน” พลัฎฐ์พูดเรียบๆ นิ่งๆ ก่อนจะหันไปบอกกับคนในอ้อมแขนด้วยสายตาและน้ำเสียงอบอุ่นอ่อนโยน “ป่ะครับตัวเล็ก กลับบ้าน ‘เรา’ กันครับ”

ตะวันเองก็ไม่ได้ติดใจอะไรกับท่าทีของพลัฎฐ์ เขาแทบไม่ได้เอะใจเลยด้วยซ้ำว่าประโยคชวนกลับบ้านของพลัฎฐ์นั้นแสดงความสนิทสนมและความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพลัฎฐ์ชัดเจนมากแค่ไหนในสายตาคนอื่น และคนอื่นในที่นี้ที่พลัฎฐ์อยากจะให้เห็นก็คือครูประจำชั้นของเจ้าหนูทั้งสองนั่นเอง

“ครับ แต่เดี๋ยวพี่พลัฎฐ์พาตะวันแวะที่ร้านแปปนึงนะครับ ตะวันจะเข้าไปเอาบัญชีของร้านมาเช็คสักหน่อย”

“ได้ตามบัญชาเลยครับคนดี”

พลัฎฐ์และตะวันยิ้มให้กันอย่างอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความรู้สึก ก่อนที่คนทั้งคู่จะหันมาผงกศีรษะให้ครูกวินทร์เล็กน้อยราวกับจะเอ่ยลา ซึ่งทั้งหมดก็ตกอยู่ในสายตาของกวินทร์ทั้งสิ้น เขายอมรับว่าคนทั้งคู่เหมาะสมกันมาก แต่ก็อดเจ็บใจไม่ได้ที่ตัวเองรู้จักกับตะวันช้าไป เพราะเขาบอกได้อย่างมั่นใจเลยว่าถ้าตัวเองได้รู้จักกับตะวันก่อนที่พลัฎฐ์จะรู้จัก เขาไม่มีทางยอมปล่อยตะวันไปง่ายๆ แบบนี้แน่

.

.

.

“วันหลังพี่ไม่ให้ตัวเล็กมารับมาส่งเด็กๆ แล้วดีกว่า”

จู่ๆ พลัฎฐ์ก็พูดเปิดประเด็นนี้ขึ้น ในขณะที่ตะวันกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นพรหม คอยดูและคอยสอนน้องพีกับอาทิตย์ที่ทำการบ้านอยู่ด้วยกัน

“ทำไมล่ะครับ?” คนตัวเล็กกว่าเอียงคอถามอย่างสงสัย ตากลมๆ ที่มองสบไปยังใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยคำถาม และท่าทางแบบนั้นก็ทำเอาพลัฎฐ์อดไม่ได้ ต้องลุกขึ้นจากโซฟาที่ตัวเองนั่งอยู่ ลงไปนั่งข้างๆ ตะวันแทน

ใบหน้าหล่อเหลาชะโงกไปตรงที่เด็กๆ นั่ง และเมื่อเห็นว่าเจ้าหนูทั้งคู่กำลังขะมักเขม้นตั้งใจอยู่กับการบ้านที่ทำ อ้อมแขนแข็งแรงของพลัฎฐ์ก็โผเข้าโอบกอดรอบเอวบางของตะวันแน่น ก่อนที่จมูกโด่งเป็นสันของคนเจ้าเล่ห์จะยื่นลงมาฉกบนแก้มนิ่มที่ขึ้นสีแดงเรื่อของตะวันเบาๆ

ฟอด ~

“พี่พลัฎฐ์! เดี๋ยวเด็กๆ เห็น” ตะวันกระซิบเสียงเข้มพลางตีเข้าเพี๊ยะใหญ่ลงบนแขนแข็งแรงของพลัฎฐ์ ในขณะที่คนถูกตีไม่สะทกสะท้าน หนำซ้ำยังไม่ปล่อยตะวันออกจากอ้อมกอดอีกต่างหาก

“ตัวเล็กก็นั่งเฉยๆ สิครับ เด็กๆ ไม่เห็นหรอกครับ กำลังตั้งใจทำการบ้านอยู่ ไม่หันมาเร็วๆ นี้แน่”

คนโตกว่าที่ทำตัวเหมือนเด็กกลับตีหน้าซื่อไม่สนใจ เนียนกอดเนียนหอมคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟนไม่ยอมปล่อย

“พี่นี่ชักจะเอาใหญ่แล้วนะครับ ตะวันเผลอไม่ได้ จ้องจะลวนลามตะวันตลอด” คนที่ตกอยู่ในอ้อมกอดอบอุ่นต่อว่าคนรักไม่จริงจัง เพราะรู้ดีว่าพูดไปก็เท่านั้น พลัฎฐ์เคยฟังที่ไหน

“โถ่.. ถ้าไม่ให้พี่กอดหนูแล้วจะให้พี่กอดใครล่ะครับ ก็หนูเป็นแฟนพี่นี่นา” พลัฎฐ์ว่าพลางทำท่าเจ้าชู้ใส่อีกฝ่าย ทำเอาคนถูกหยอดถึงกับไปไม่เป็น นั่งหน้าแดงให้พลัฎฐ์จุ๊บแก้มเล่นอย่างย่ามใจ

ซึ่งเอาเข้าจริงแล้วตะวันเองก็รู้สึกดีนั่นแหละ เขาเพิ่งรู้หลังจากคบกับพลัฎฐ์ได้ไม่กี่วันว่าได้ภายใต้ท่าทีนิ่งเฉย ดูเป็นคนจริงจังของพลัฎฐ์นั้นเป็นภาพลวงตา ที่จริงแล้วปะป๊าของน้องพีไม่ได้เป็นคนนิ่งๆ อย่างที่เห็น ตรงกันข้ามแล้วพลัฎฐ์เป็นคนที่เจ้าเล่ห์และช่างวางแผนการอย่างร้ายกาจ จนตะวันอดคิดอย่างเจ็บใจไม่ได้ที่ปล่อยให้ท่าทีสงบๆ เย็นชาๆ ของอีกฝ่าย หลอกได้อย่างตายใจ

“บอกว่าไม่ให้เรียกหนูไงครับ ตะวันไม่ใช่ผู้หญิงสักหน่อย” คนถูกเรียกหนูย่นจมูกใส่อีกฝ่าย ทำเอาพลัฎฐ์อดมันเขี้ยวไม่ได้ ต้องก้มลงมากัดปลายจมูกโด่งรั้นนั่นเบาๆ

“พี่ไม่ได้เรียกตัวเล็กว่าหนูเพราะตัวเล็กเหมือนผู้หญิงสักหน่อย ที่พี่เรียกตัวเล็กว่าหนูนั่นเป็นเพราะพี่เอ็นดูตัวเล็กต่างหาก... เด็กอะไรทำไมน่ารักขนาดนี้ หื้ม? นี่พี่หลงจนหัวปักหัวปำแล้ว”

พอว่าจบริมฝีปากหยักก็ก้มลงมาจุ๊บเบาๆ ย้ำๆ บนริมฝีปากบางสีสดของตะวัน ทำเอาคนถูกจุ๊บอดหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่ได้

และเพราะเสียงหัวเราะนั้นก็ทำเอาเด็กๆ ละความสนใจจากการบ้านที่กำลังทำอยู่ แล้วหันมามองว่าผู้ปกครองทั้งสองของตัวเองว่ากำลังทำอะไรกัน ทำไมจู่ๆ พี่ตะวันถึงได้ขำออกมาเบาๆ

“อุ๊ย!/คิก”

เสียงหัวเราะและเสียงอุทานของน้องพีและอาทิตย์ ทำเอาคนที่กำลังนั่งกอดกันกลม ผละออกจากกันแทบไม่ทัน ... ในขณะที่ตะวันทำหน้าไม่ถูก พลัฎฐ์ดันกลับยิ้ม ไม่ได้ดูเดือดร้อนใจเท่าไหร่นัก

“น้องพีครับ คุณอาทิตย์ครับ ทำการบ้านเสร็จแล้วเหรอครับ? มีตรงไหนให้ปะป๊ากับพี่ตะวันช่วยสอนไหม” พลัฎฐ์ถามอย่างอ่อนโยน ในณะที่น้องพียังคงเอามือปิดปากหัวเราะคิกคัก และอาทิตย์ก็ยิ้มกว้างจนตาหยีอย่างน่าเอ็นดู

“เสร็จแย้วคับปะป๊า ไม่ต้องสอนแย้ว” น้องพีตอบ ก่อนที่จะลุกขึ้นยืนจากตรงที่ตัวเองกำลังนั่งอยู่ พลางเดินมานั่งบนตักของตะวันอย่างออดอ้อน

“ปะป๊าค้าบ พี่ตะวันค้าบบ กอดกันอีก ยักกันๆ” ตะวันสะดุ้งโหย่ง หน้าแดงก่ำ ในขณะที่พลัฎฐ์กลั้นขำจนไหล่สั่น

คนเป็นพ่อรู้ดีว่าลูกพูดออกมาด้วยความไม่รู้และความไร้เดียงสา แต่ถ้าไม่สอนให้น้องพีเข้าใจในสิ่งที่เห็น เดี๋ยวอีกหน่อยถ้าน้องพีเอาไปพูดข้างนอก คนจะมองไม่ดีได้

กับตัวเขาเสียหาย เขาไม่คิดมากหรอก แต่ตะวันนี่สิ พลัฎฐ์ไม่อยากให้ใครมองคนที่เขารักไม่ดีเลยแม้แต่น้อย

“น้องพีครับ ฟังปะป๊านะครับ... ที่น้องพีเห็นเมื่อกี้น่ะ...” พลัฎฐ์กำลังจะอ้าปากอธิบาย แต่พอได้สบกับดวงตากลมใสแจ๋วของลูกชาย เขาก็เกิดนึกจะเรียบเรียงคำพูดไม่ออก จนเจ้าอาทิตย์ดวงน้อยเดินมานั่งตรงหน้าตะวันแล้วพูดตามประสาซื่อนั่นแหละ พลัฎฐ์ถึงได้ยิ้มออก

“ที่น้องพีกับคุณอาทิตย์เห็นเมื่อกี้ ก็เหมือนกับเวลาที่คุณอาทิตย์กอดพี่ตะวันแบบนี้ไง” พูดไม่พูดเปล่า เด็กชายข้างบ้านก็วาดแขนเล็กๆ โอบเอวคนเป็นพี่ โดยที่มีน้องพีนั่งซ้อนตักอยู่ ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าเจ้าหนูอาทิตย์กำลังกอดตะวันกับน้องพีไว้ในอ้อมแขนเล็กๆ ดูแล้วทุลักทุเลไม่น้อย จนพลัฎฐ์กับตะวันขำออกมาเบาๆ ไม่ได้

คนตัวใหญ่ที่สุดของบ้านจึงตัดสินใจขยับตัวไปจับเจ้าหนูอาทิตย์ขึ้นมาซ้อนตัก แล้ววาดแขนโอบตะวันไว้แทน กลายเป็นว่าตอนนี้พลัฎฐ์กับตะวันกำลังนั่งกอดกัน โดยมีเจ้าตัวน้อยทั้งสองอยู่ตรงกลางอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นของทั้งคนเป็นพี่และคนเป็นพ่อ

“ใช่ครับ ปะป๊ากอดพี่ตะวัน เหมือนกับที่ปะป๊ากอดน้องพี กอดคุณอาทิตย์ กอดพวกเราไว้แบบนี้ ... น้องพีเข้าใจแล้วใช่ไหมครับ”

เด็กน้อยที่นั่งอยู่ตรงกลางในอ้อมกอดใหญ่ๆ กำลังนั่งหัวเราะคิกคัก ถึงมันจะเบียด มันจะแปลกๆ แต่สิ่งที่เด็กทั้งคู่รับรู้ได้คือความอบอุ่นใจและปลอดภัยเมื่อได้อยู่ท่ามกลางคนที่รักพวกเขาทั้งสองคน

“กอดกันๆ ยักกันๆ เนอะคุณอาทิตย์เนอะ” เสียงงุ้งงิ้งของน้องพีดังขึ้น ให้ผู้ใหญ่ทั้งคู่ได้แต่อมยิ้ม

และแน่นอนว่าพลัฎฐ์ก็ไม่ยอมปล่อยโอกาสนี้ให้เสียไปอย่างเปล่าประโยชน์ คนตัวโตกว่ายื่นหน้าไปหาตะวันที่ตอนนี้กำลังก้มมองเด็กๆ ด้วยสายตาอ่อนโยน สายตาแบบที่พลัฎฐ์เห็นกี่ครั้งก็หลงรักทุกครั้ง

จุ๊บ ~

ตะวันสะดุ้งนิดหน่อย ตอนที่ถูกพลัฎฐ์กดริมฝีปากลงมาบนหน้าผากเบาๆ แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากถลึงตาโตๆ ของตัวเองใส่อีกฝ่าย เพราะถูกพลัฎฐ์กอดอยู่ หนำซ้ำยังมีเด็กทั้งสองอยู่ตรงกลางอีก แต่ก็ทำขึงขังใส่คนตัวโตกว่าได้ไม่นาน เพราะพอตะวันเห็นริมฝีปากของพลัฎฐ์ขยับเป็นเป็นประโยคที่ไม่มีเสียงส่งให้ เขาก็ต้องหลุดยิ้มออกมาอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่

“พี่รักหนูนะครับ”

เฮ้อ... บอกว่าไม่ให้เรียกหนู เรียกหนู ทำไมไม่ฟังกันบ้างเลยนะ

.

.

.

- อ่านต่อด้านล่าง -

ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
- ต่อจากด้านบน -


จนแล้วจนรอด ตะวันก็ยังไม่ได้รู้ว่าทำไมพลัฎฐ์ถึงไม่อยากให้เขาไปรับอาทิตย์กับน้องพีที่โรงเรียนอนุบาล…

ซึ่งตะวันก็คิดว่านี่คงเป็นเวลาที่เหมาะสมแล้วที่จะถามอีกฝ่าย เพราะถ้าไม่ได้ถามตอนนี้เดี๋ยวพลัฎฐ์ก็หาทางหลบเลี่ยงไม่ยอมตอบเขาอีก เมื่อวานก็ทีนึงแล้ว พอตะวันถามว่าทำไมไม่อยากให้เขาไปรับเด็กๆ พลัฎฐ์ก็ตีเนียนทำมาเป็นกอด เป็นหอม จนเลยเถิดไปเป็นพาเด็กๆ เข้ามาร่วมวงด้วย กว่าจะนึกได้อีกที ตะวันก็กลับมานั่งอยู่ที่บ้านแล้ว ครั้นจะโทรไปถามก็กลัวว่าจะดึกเกินไป

เพราะฉะนั้น เวลานี้แหละกำลังหมาะ เนื่องจากเช้านี้พลัฎฐ์ก็ยังคงยืนยันว่าจะมาส่งเด็กชายทั้งคู่ ถึงแม้ตะวันจะรับอาสามาส่งให้อีกฝ่ายก็ไม่ยอม นั่นยิ่งเป็นสาเหตุให้ตะวันยิ่งสงสัยว่าทำไมพลัฎฐ์ถึงไม่อยากให้เขามาส่งเด็กๆ ทั้งที่เมื่อก่อนก็ให้เขามาส่งได้ไม่มีปัญหาอะไร ดังนั้น ตะวันจึงคิดว่าจะต้องถามพลัฎฐ์ให้รู้เรื่อง เพราะตอนนี้พลัฎฐ์กำลังขับรถอยู่ ส่วนเด็กๆ ก็ลงจากรถเข้าโรงเรียนไปแล้วเรียบร้อย ตอนนี้เหลือกันแค่สองคน หมดทางหนีทีไล่ ยังไงตะวันก็ต้องเค้นให้รู้ให้ได้

“พี่พลัฎฐ์” ตะวันเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงนิ่ง “ที่ตะวันถามพี่ไปเมื่อวานพี่ยังไม่ตอบตะวันเลยนะครับ”

และพอเห็นพลัฎฐ์หันมาทำหน้างงๆ ใส่ ตะวันก็ย้ำถึงคำถามเมื่อวานให้พลัฎฐ์ได้ฟังอีกรอบ

“ตะวันถามพี่ไปว่าทำไมถึงไม่ยอมให้ตะวันไปรับไปส่งเด็กๆ คนเดียวล่ะครับ ก่อนหน้านี้ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรเลย” คนตัวเล็กว่าถามนิ่งๆ สีหน้าติดจะสงสัยอยู่ไม่น้อย ให้พลัฎฐ์ได้ถอนหายใจออกมาเบาๆ

... ก็ทำหน้าเสียแบบนี้ แล้วใครจะอยากให้ไปเจอไอ้ครูหน้าจืดนั่นกันเล่า น่ารักขนาดนี้จะไม่ให้พลัฎฐ์หวงได้ยังไงกัน


“พี่หวง”


“...” คนขี้หึงตอบหน้าตาเฉย แต่เล่นเอาคนที่ถูกหวงทำหน้าไม่ถูก ได้อ้าปากแล้วก็หุบ หุบแล้วก็อ้า เหมือนกับพูดอะไรไม่ออกดื้อๆ เสียแบบนั้น

“ตัวเล็กน่าจะดูออกว่าครูกวินทร์อะไรนั่นชอบตัวเล็ก” พลัฎฐ์พูดด้วยใบหน้าเรียบตึง บ่งบอกถึงสภาพอารมณ์ได้ไม่น้อย “พี่หวง ที่จริงก็หึงด้วย ใครจะไปอยากให้ผู้ชายคนอื่นมองแฟนตัวเองแบบนั้น พี่ไม่ใช่คนใจกว้างกับเรื่องอะไรแบบนี้หรอกนะ เผื่อตัวเล็กไม่รู้”

ตะวันถึงกับนั่งนิ่ง ตอนแรกเขาก็คิดๆ อยู่เหมือนกันว่าพลัฎฐ์อาจจะไม่ยอมบอกจากที่เห็นท่าทีหลบเลี่ยงเมื่อวาน ซึ่งเอาเข้าจริงแล้วตะวันสาบานเลยว่า เขาไม่ได้นึกถึงเรื่องอะไรทำนองนี้เลยด้วยซ้ำ สิ่งที่ตะวันกังวลก็มีแต่ความคิดที่ว่าเขาได้ไปทำอะไรให้พลัฎฐ์ไม่พอใจหรือไม่ถูกใจเกี่ยวกับเรื่องน้องพีหรือเปล่า แต่พอได้ฟังที่พลัฎฐ์บอกแล้วตะวันก็อดยอมรับไม่ได้ว่าตัวเองรู้สึกดี หัวใจมันพองโตเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายรักและหวงแหนเขามากแค่ไหน

แต่ดูเหมือนว่าเรื่องที่ตะวันต้องทำก่อนเหนือสิ่งอื่นใดก็คือการง้อพลัฎฐ์ เพราะดูท่าคนตัวโตจะทำท่าใจน้อยใส่เขาเสียแล้ว

ซึ่งพอตะวันกำลังจะเอ่ยปากอ้อนอีกฝ่าย รถยุโรปคันหรูของพลัฎฐ์ก็แล่นมาจอดที่หน้าร้านอาหารของเขาเสียก่อน ร่างสูงของพลัฎฐ์เปิดประตูแล้วก้าวลงจากรถทันที โดยไม่ได้พูดอะไรอีก คนตัวโตกว่าเดินอ้อมไปที่ท้ายรถ ก่อนที่จะยกบรรดาวัตถุดิบบางอย่างที่ตะวันตั้งใจจะซื้อเข้าร้าน รวมไปถึงกระดาษแสดงรายการบัญชีต่างๆ ที่ตะวันหอบกลับไปทำที่บ้าน เดินดุ่มๆ นำคนตัวเล็กกว่าที่กุลีกุจอกึ่งวิ่งกึ่งเดินตามอีกฝ่ายไป เพราะก้าวยาวๆ ของพลัฎฐ์ก้าวเดียวก็แทบจะทำให้ตะวันต้องวิ่งซอยเท้าถี่ๆ ตามแล้ว

“มาครับคุณพลัฎฐ์ เดี๋ยวผมยกพวกนี้ไปเก็บในครัวให้”

พอเดินเข้าไปถึงในร้านพลัฎฐ์ก็ได้เจอเมษากำลังยกเก้าอี้ จัดโต๊ะ เตรียมจะเปิดร้านพอดี เด็กหนุ่มตัวโตของร้านเลยอาสายกพวกวัตถุดิบบางอย่างไปเก็บในครัวให้

“ขอบใจนะเมษ” ตะวันชะเง้อมองจากด้านหลังข้ามไหล่พลัฎฐ์ไปก็ได้เห็นว่าสิ่งที่อยู่ในมืออีกฝ่ายตอนนี้คือกระดาษแสดงรายการบัญชีทั้งหลายของร้าน ซึ่งพลัฎฐ์เองก็ไม่ได้ถามอะไร นอกจากเดินต่อไปทางด้านหลังร้านที่ห้องทำงานของตะวันตั้งอยู่

พอเข้ามาในห้องได้ พลัฎฐ์ก็วางกระดาษต่างๆ ให้คนตัวเล็กกว่าที่ไม่ต้องถือหรือยกอะไรเข้ามาเลย เพราะพลัฎฐ์ดูแลยกทุกอย่างเข้ามาให้ทั้งหมดแล้ว แม้ว่าจะกำลังงอนตะวันอยู่ก็ตาม

คนถูกงอนแอบอมยิ้ม พลางนึกเอ็นดูพลัฎฐ์อยู่ในใจ นี่ขนาดว่าโกรธ ก็ยังกลัวเขาจะหนัก จะถือของเยอะเลยต้องยกมาให้ทั้งๆ ที่กำลังทำท่ามึนตึงใส่เขาอยู่... โถ จะน่ารักอะไรขนาดนี้นะคุณปะป๊า

“งั้นพี่ไปนะครับ เที่ยงนี้มีประชุม พี่คงไม่ลงมากินกลางวันด้วย”

พลัฎฐ์พูดเสียงเรียบ ไม่หันมองตะวันเลยสักนิด และในขณะที่กำลังจะเดินออกจากห้องทำงานของตะวัน แขนเรียวของคนรักก็ถูกยกขึ้นมาโอบรอบเอวหนาจากด้านหลัง ก่อนที่ใบหน้าสวยหวานของตะวันจะซบลงบนหลังกว้างๆ ของพลัฎฐ์ราวกับต้องการออดอ้อน

“พี่พลัฎฐ์โกรธตะวันเหรอครับ” เสียงหวานทอดถาม “อย่าโกรธตะวันเลยนะครับ ตะวันแค่ถามเฉยๆ ถ้าพี่พลัฎฐ์ไม่อยากให้ตะวันไปเจอครูวิน ตะวันก็ไม่ไปก็ได้”

พลัฎฐ์ชะงักกึก แววตาคมปรากฎแววเจ้าเล่ห์เล็กน้อย มุมปากที่เคยเรียบตึงถูกกระตุกขึ้นให้ยกยิ้ม โดยที่ตะวันไม่เห็น ...

“พี่เห็นตัวเล็กถามเหมือนไม่พอใจ ถ้าตัวเล็กอยากไปคนเดียวพี่ไม่ว่าก็ได้ พี่รักตัวเล็กนิ พี่ตามใจตัวเล็กทุกเรื่องนั่นแหละ”

น้ำเสียงตัดพ้อถูกยกมาใช้อย่างแนบเนียน ซึ่งยอมรับเลยว่ามันได้ผลมากๆ เพราะตอนนี้ตะวันลุกลี้ลุกลนไปกันใหญ่ เขินก็เขิน รู้สึกดีก็รู้สึกดี จนทนไม่ไหวนั่นแหละ เลยต้องเดินอ้อมร่างกายสูงใหญ่ของคนเป็นแฟนมายืนเผชิญหน้า ทำเอาพลัฎฐ์เกือบจะปรับสีหน้าเป็นงอนๆ ติดจะเศร้าสร้อยน้อยๆ แทบไม่ทัน

“ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย” มือเล็กเอื้อมไปจับมือใหญ่มากุมไว้ ก่อนจะโยกเขย่ามือของอีกฝ่ายไปมาเบาๆ ง้อราวกับพลัฎฐ์อายุเท่ากับน้องพีก็ไม่ปาน “ตะวันแค่กังวลว่าทำอะไรให้พี่หรือน้องพีไม่โอเคหรือเปล่าเลยไม่อยากให้ตะวันไปรับ ตะวันไม่ได้คิดถึงเรื่องอะไรแบบนี้เลย สาบานก็ได้”

และเมื่อเห็นพลัฎฐ์ยังเฉย ทั้งที่ความจริงตอนนี้เจ้าของร่างกายสูงใหญ่จะดีใจจนเนื้อเต้น แต่ก็ทำเป็นนิ่งเพื่อกระตุ้นปฏิกริยาของตะวันให้อ้อนเขามากกว่านี้

ซึ่งก็เป็นไปตามคาด ตอนนี้ตะวันเลยยกแขนเรียวของตัวเองขึ้นกอดพลัฎฐ์อีกครั้ง ก่อนจะแหงนหน้าสบตาอีกฝ่าย โดยเอาคางของตัวเองวางลงบนกลางอกกว้าง พลางเอ่ยเรียกชื่อเขาด้วยท่าทางน่าเอ็นดู

“พี่พลัฎฐ์ครับ.. หายโกรธนะครับ ดีกันนะ นะครับนะ” ตากลมกะพริบปริบๆ ยามมองมาที่ตาเรียวคมของเขา ทำเอาพลัฎฐ์ใจอ่อนยวบ ละลายเหลวแทบไหลไปกับพื้น

แล้วแบบนี้ใครมันจะไปโกรธได้ลงกัน...

แต่ถ้าจะหายโกรธง่ายๆ ก็คงไม่ใช่พลัฎฐ์สักเท่าไหร่ อย่างน้อยเขาก็ต้องกำไรอะไรกลับไปบ้างล่ะนะ อุตส่าห์ทั้งขับรถมาส่ง ช่วยยกของมาไว้ในห้อง แล้วไหนยังจะต้องอารมณ์เสียฟังตะวันพูดถึงไอ้ครูประจำชั้นนั่นอีก

“พี่หายโกรธตัวเล็กก็ได้” พอคนที่กำลังง้อได้ยินว่าอีกฝ่ายจะยกโทษให้ ตะวันก็ยิ้มหวานขึ้นมาฉับพลัน แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะดีใด้ไม่นาน เมื่อเจอพลัฎฐ์เอ่ยต่อ “แต่ตัวเล็กต้องจุ๊บปลอบใจพี่ก่อน แล้วพี่จะหายงอนเป็นปลิดทิ้งเลย”

ตะวันทำหน้าตาเหรอหราทันทีเมื่อได้ยินเงื่อนไข ก่อนจะนึกเข่นเคี้ยวในใจว่าตัวเองเสียรู้ให้พลัฎฐ์หลอกจูบแล้วแน่ๆ เพราะถึงแม้ตอนนี้หน้าตาของพลัฎฐ์จะยังบึ้งตึงอยู่ แต่นัยน์ตาเรียวคมที่มีประกายระยิบระยับนั่น ตอบในสิ่งที่ตะวันสงสัยได้เป็นอย่างดี

ตะวันหรี่ตาลงล็กน้อยราวกับนึกอะไรบางอย่างออก ในเมื่อเจ้าเล่ห์มา ตะวันก็จะเจ้าเล่ห์กลับเหมือนกัน

“ก็ได้ครับ”

พลัฎฐ์อดแปลกใจไม่น้อยที่ตะวันยอมเขาอย่างง่ายดาย และในขณะที่คนตัวโตกว่ายังไม่ทันจะจั้งตัวได้ ตะวันก็เขย่งปลายเท้าขึ้นจนสุด แล้วประทับริมฝีปากบางสีแดงระเรื่อลงบนแก้มสากของชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาไม่ถึงเสี้ยววินาทีด้วยซ้ำ

จุ๊บ ~

ตะวันผละออก ก่อนจะถอยหลังมายิ้มตาหยีใส่คนรัก

“ตะวันทำตามที่พี่ขอแล้ว ... หายโกรธตะวันนะครับ”

พลัฎฐ์หัวเราะเบาๆ หลังจากได้สติ จุ๊บของตะวันเมื่อกี้แทบไม่จะเหมือนจุ๊บด้วยซ้ำ ดูแล้วคล้ายๆ การเอาปากเล็กๆ มากระแทกเข้ากับแก้มของพลัฎฐ์มากกว่า

“เดี๋ยวครับตัวเล็ก นั่นตัวเล็กเรียกว่าจุ๊บเหรอ”

“ใช่ครับ” ตะวันตอบด้วยสีหน้าภาคภูมิใจติดจะเจ้าเล่ห์นิดๆ ให้คนเจ้าเล่ห์ขี้วางแผน “ตะวันก็ทำตามที่พี่ขอทุกอย่างแล้วนี่ครับ พี่เองก็ไม่ได้บอกให้สักหน่อยว่าจะให้ตะวันจุ๊บตรงไหน ตะวันอยากจุ๊บแก้มพี่พอดี ก็เลยจัดไปครับ”

คนตัวเล็กกว่ายิ้มขำพลางชี้แจงอย่างละเอียดให้พลัฎฐ์ได้ถอนหายใจเฮือกใหญ่เพราะเสียรู้ให้กับเจ้าตัวแสบที่นานๆ ครั้งจะแผลงฤทธิ์ให้เห็นสักที

แต่ดูเหมือนว่าตะวันเองก็อาจจะลืมไปเหมือนกันว่าพลัฎฐ์นั้น เจ้าแผนการแค่ไหน ดังนั้นตอนที่ตะวันกำลังยืนหัวเราะด้วยความชอบใจนั้น พลัฎฐ์ก็จัดการประชิดตัวอีกฝ่ายแล้วโอบแขนรั้งเอวบางเข้ามาใกล้ ก่อนจะประทับริมฝีปากลงหยักลงไปบนกลีบปากบาง โดยไม่ทันให้คนที่กำลังยิ้มขำอารมณ์ดีได้ตั้งตัว

“อื้อ...” เสียงครางประท้วงเบาๆ ของตะวันเกิดขึ้นทันทีเมื่อริมฝีปากของคนทั้งสองสัมผัสกัน

พลัฎฐ์ค่อยๆ บดเบียดริมฝีปากลงไปอย่างอ่อนโยน ดูดดึง เลาะเล็มความหวานแบบค่อยเป็นค่อยไป จากที่ตกใจและดูเหมือนจะต่อต้านในคราวแรก ตะวันก็โอนอ่อนและคล้อยตามมากขึ้น แขนเรียวยกขึ้นโอบรอบลำคอแกร่งของคนตัวโตกว่าอย่างเป็นธรรมชาติ ริมฝีปากจิ้มลิ้มของคนตัวเล็กกว่าเลียนรู้ที่จะจูบตอบและบดเบียดกลับคืน และเมื่อกราฟของอารมณ์พุ่งทะยาน

พลัฎฐ์ก็ค่อยๆ ขบฟันลงบนริมฝีปากล่างของตะวันอย่างร้องขอ ซึ่งตะวันก็ไม่ปฏิเสธว่าตัวเขาเองต้องการสัมผัสที่ลึกซึ้งกว่านี้ จึงเผยอริมฝีปากออกช้าๆ ให้คนตัวโตกว่าได้แทรกลิ้นเข้ามา พลางกวาดต้อนไปทั่วโพรงปากอย่างย่ามใจ พลัฎฐ์ลากลิ้นไปทั่วก่อนจะตรงเข้าเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นเล็กของตะวันราวกับต้องการจะเอาอกเอาใจอีกฝ่าย

เสียงดูดดึงริมฝีปากและเสียงเฉอะแฉะของน้ำลายดังก้องในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ อย่างน่าอาย แต่ก็ไม่ได้มีใครให้ความสนใจมากกว่าไปกว่าสัมผัสของกันและกันที่อยู่ตรงหน้า

และเมื่ออากาศที่กักไว้ในปอดกำลังจะหมดลง ตะวันก็ประท้วงเบาๆ โดยการทุบลงไปไหล่ของพลัฎฐ์ ทำให้พลัฎฐ์ต้องผละออกจากริมฝีปากจิ้มลิ้มที่นุ่มอย่างกับขนมหวานที่ตะวันเคยทำให้กินอย่างเสียดาย เขารู้สึกเหมือนรสชาติของตะวันยังติดอยู่ที่ปลายลิ้น สัมผัสเท่าไหร่ เสพเท่าไหร่ก็ไม่มีวันพอ มีแต่จะต้องการมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าจะหยุดไม่ได้

และหลังจากที่ริมฝีปากของพลัฎฐ์ละออก ตะวันก็โกยอากาศเข้าปอดเต็มที่ ในขณะที่ในสายตาของพลัฎฐ์กลับมองเห็นเพียงแค่ใบหน้าหวานที่แดงก่ำลามไปยันคอ ตากลมโตชุ่มคลอไปด้วยน้ำใสที่เกิดจากแรงอารมณ์ ริมฝีปากเล็กๆ ที่กำลังบวมเจ่อ ซึ่งนั่นทำให้เขาอดใจไม่ไหว จึงลากริมฝีปากของตัวเองไปทั่วไปใบหน้า ข้างแก้ม และซอกคอขาวระหงของอีกฝ่าย กลิ่นหอมหวานที่มาจากร่างกายและซอกคอของตะวันทำให้สติของพลัฎฐ์แทบจะเตลิด ก่อนที่เสียงครางประท้วงเบาๆ ของตะวันจะดังขึ้นให้พลัฎฐ์ได้รู้ตัว

“พี่.. แฮ่ก พี่พลัฎฐ์ พอกะ ก่อนครับ”

“ไม่...” พลัฎฐ์ปฏิเสธทั้งที่ริมฝีปากและปลายจมูกโด่งยังคงวนเวียนอยู่แถวซอกคอของตะวัน ให้คนตัวเล็กกว่าต้องพยายามย่นคอหนี พลางรวบรวมสติแล้วเอ่ยเตือน

“พะ พอก่อนนะครับ.. นะ” ตะวันดันตัวพลัฎฐ์ออก ให้คนตัวโตกว่าต้องผละออกอย่างเสียดาย “จะได้เวลาเปิดร้านแล้ว.. อื้อ! ไม่ดื้อสิครับ”

ตะวันพยายามยกแขนมากันไว้ เมื่อเห็นพลัฎฐ์ทำท่าจะก้มลงมาซุกจมูกที่ซอกคอเขาอีกรอบ

“นานๆ จะได้อยู่ด้วยกันแค่สองคนสักที พี่ขอหนูอีกนิดไม่ได้เหรอครับ”

พลัฎฐ์อ้อน เริ่มเอาคำว่าหนูมาใช้เพราะรู้ดีว่าแม้ตะวันจะทำเป็นบ่นว่าไม่ชอบให้เขาเรียกว่าคำว่าหนูอย่างนั้น หนูอย่างนี้ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่พลัฎฐ์เอ่ยเรียก ไม่ว่าจะขออะไรตะวันก็แทบไม่เคยจะปฏิเสธเลยสักครั้ง

และครั้งนี้ก็เช่นกัน ถ้าไม่ติดว่า...

ก๊อกๆ

“พี่ตะวันคะ น้ำตาลจะเปิดร้านแล้วนะคะ พี่ตะวันจะให้ยกขนมอะไรขึ้นตู้บ้างคะวันนี้”

เสียงเคาะประตูที่ดังแทรกมาพร้อมกับเสียงของน้ำตาลเด็กในร้าน ทำเอาตะวันกระเด้งตัวออกจากพลัฎฐ์แทบไม่ทัน

“รอพี่แปปนึงน้ำตาล เดี๋ยวพี่ออกไปดูเอง”

ตะวันตะโกนตอบออกไปนอกห้อง และพอได้ยินเสียงฝีเท้าของน้ำตาลถอยห่างออกไป พลักฐ์ก็ถอนหายใจออกมาแรงๆ เพราะรู้ว่าตอนนี้เวลาส่วนตัวของเขากับตะวันได้หมดลงแล้ว

“ไปทำงานได้แล้วครับพี่พลัฎฐ์ เดี๋ยวคุณฝ้ายก็โทรตามอีก”

ตะวันพูดพลางเสสายตามองไปทางอื่น เขาไม่กล้ามองหน้าพลัฎฐ์เลยสักนิด ถ้าให้เดาตอนนี้หน้าเขาต้องแดงก่ำเป็นลูกมะเขือเทศสุกแน่ๆ

แต่พลัฎฐ์ก็ยังคงเป็นพลัฎฐ์ เมื่อมือใหญ่เอื้อมไปเชยคางให้ตะวันหันมาก่อนจะก้มหน้าลงไปช้าๆ ให้ตะวันได้คิดว่าตัวเองต้องโดนจูบอีกรอบแน่ๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วคนตัวโตกว่าเพียงแค่ไล้ลิ้นลงไปเบาๆ ตรงที่มีน้ำใสติดอยู่บริเวณมุมปากของตะวันเท่านั้น ก่อนจะจูบซับให้อย่างอ่อนโยน

“เดี๋ยวคนสงสัย แค่เจ้าของร้านออกไปหน้าแดงก่ำ ปากบวมเจ่อก็น่าสงสัยพออยู่แล้วเนาะ หึๆ” พลัฎฐ์เอ่ยแซวพร้อมกลั้วหัวเราะ เลยได้รับกำปั้นใหญ่ๆ ทุบลงไปบนอกกว้างแทน

“ไปทำงานเลยครับ ไปเลยยยยย”

ตะวันเขินหนัก เลยจับคนตัวโตกว่าหันหลังแล้วดันให้อีกฝ่ายออกเดินไปที่ประตู ก่อนที่พลัฎฐ์จะเอี้ยวตัวกลับมาบอกในสิ่งที่เขาได้บอกตะวันไปก่อนหน้ารอบหนึ่งแล้ว

“แต่วันนี้พี่มีประชุมเที่ยงจริงๆ นะครับ อาจจะลงมากินข้าวกับตัวเล็กไม่ได้”

ตะวันพยักหน้ารับเข้าใจ “ไม่เป็นไรครับ ไว้เจอกันตอนเย็นที่จะไปรับเด็กๆ ทีเดียวเลยก็ได้”

แต่กลับกลายเป็นว่าคนที่งอแงคือพลัฎฐ์เสียอย่างนั้น

“แต่พี่อยากกินข้าวกับตัวเล็กอ่ะ ตัวเล็กห่อปิ่นโตขึ้นไปกินกับพี่ที่ออฟฟิศได้ไหม” พลัฎฐ์พูดพลางส่งสายตาออดอ้อน “ถ้าตอนเที่ยงคนเยอะ พี่รอกินตอนบ่ายก็ได้ นะครับตัวเล็กนะ ขึ้นไปกินที่ห้องทำงานพี่กัน พี่จะได้อวดห้องทำงานให้ตัวเล็กดูด้วยไง ตัวเล็กยังไม่เคยได้ขึ้นไปที่ห้องทำงานพี่เลยนะ”

ตะวันหัวเราะเบาๆ เมื่อได้ยินอีกฝ่ายหลอกล่อเขาราวกับเป็นเด็ก ซึ่งก็ดันเป็นของหลอกล่อที่ถูกใจตะวันเสียด้วย

“ก็ได้ครับก็ได้” ตะวันสบตาอีกฝ่ายอย่างอ่อนใจ ดูเหมือนว่าตั้งแต่เริ่มคบกัน เขาจะตามใจพลัฎฐ์จนอีกฝ่ายเริ่มจะเคยตัว แต่ก็เป็นการตามใจที่เขารู้สึกดีและได้ประโยชน์ด้วยไม่ต่าง “แต่ตะวันขอเป็นบ่ายโมงไปแล้วนะครับ ช่วงเที่ยงคนเยอะ เดี๋ยวเหลือกันสี่คนแล้วจะทำไม่ทันกัน”

“ไม่มีปัญหาครับ พี่รอได้ เพราะพี่ก็น่าจะประชุมเสร็จบ่ายเหมือนกัน” พลัฎฐ์ยิ้มกว้าง พลางก้มลงไปหอมแก้มนิ่มๆ แทนคำขอบคุณ

“ไปได้แล้วครับ สายแล้ว เดี๋ยวกลางวันตะวันขึ้นไปหา” คนหน้าหวานส่งยิ้มกว้างให้คนรักได้ใจเต้น

“ตะวันบอกที่ฟร้อนท์ด้านล่างได้เลยนะครับว่ามาหาพี่ เดี๋ยวพี่จะสั่งคุณฝ้ายเอาไว้ ไม่ต้องเกรงใจนะ”

ตะวันยิ้มรับพร้อมพยักหน้าก่อนจะโบกมือไล่ให้พลัฎฐ์ไปทำงานเมื่อสองคนเดินมาถึงหน้าร้านที่รถของพลัฎฐ์จอดอยู่

“พี่ไปนะครับ แล้วเดี๋ยวบ่ายโมงเจอกัน” ตะวันพยักหน้ารับรู้ ก่อนที่พลัฎฐ์จะพูดบอกอีกฝ่ายอย่างเจ้าเล่ห์ เมื่อตัวเองเดินมาถึงรถแล้ว

“อ้อ! ห้องทำงานพี่ก็เป็นส่วนตัวนะครับตัวเล็ก ส่วนตัวแบบสุดๆ เลย”

ตะวันถลึงตาใส่อีกฝ่ายทันทีที่พลัฎฐ์พูดจบประโยคเพราะรู้ดีว่าคนรักของตัวเองหมายถึงเรื่องอะไร ซึ่งพลัฎฐ์ก็ไม่รอให้ตะวันเปลี่ยนใจ เขารีบกระโดดขึ้นรถแล้วขับออกไปทันที ให้ตะวันได้มองตามท้ายรถพลางส่ายศีรษะออกมาอย่างปลงๆ

ขาเข้าไปกับขาออกมานี่อย่างกับคนละคน ... ไม่รู้ว่าขี้งอนหรือขี้ลวนลามกันแน่ มีแฟนทั้งทีปวดหัวไม่ต่างจากมีน้องชายเลยตะวัน

.

.

.

To Be Continue

----------------------------------

Talk: //เสกคำสาปกรีดแทงใส่นังพี่พะลัด!!

ฝากติดแท็ก #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว ในทวิตเตอร์ด้วยนะคะ และก็ขอบคุณมากๆ สำหรับทุกคอมเม้นท์ ทุกกำลังใจ ทุกคลิก ทุกไลค์ที่เข้ามาอ่าน ขอบคุณมากๆ พวกคุณคือฮีโร่ของเราเลยนะ ... แล้วไว้เจอกันตอนหน้าจ้า

เริ้บทุกคนมากๆ

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
:: Chapter 13th - พี่ดุนะ หนูไหวเหรอ? ::



“เรียบร้อยแล้วค่ะพี่ตะวัน แน่ใจนะคะว่าจะไม่ให้น้ำตาลเป็นคนถือไปส่งให้”

คนเป็นเจ้าของร้านมองปิ่นโตหนึ่งเถา กับกล่องใส่อาหารที่บรรจุขนมเค้กกับคุ้กกี้และผลไม้อย่างละกล่องที่อยู่ในถุงผ้าด้วยสายตาอ่อนโยน ตะวันส่ายหน้าให้กับคนถาม ก่อนจะยิ้มบางๆ แล้วรวบของทุกอย่างมาไว้ในมือทั้งสองข้างด้วยความทะมัดทะแมง

“ไม่เป็นไรหรอกน้ำตาล เดี๋ยวพี่เอาไปให้พี่พลัฎฐ์เอง รับปากเค้าไว้แล้ว เดี๋ยวถ้าผิดสัญญาก็จะมางอแงใส่พี่อีก”

น้ำตาลยิ้มล้อ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรให้ตะวันเขินไปมากกว่าที่เป็นอยู่

“งั้นตามสบายค่ะ พี่ตะวันไม่ต้องห่วงร้านนะคะ น้ำตาลกับพี่มีนาดูแลได้”

ตะวันเองก็คิดแบบนั้นถึงได้ตัดสินใจทิ้งร้านไปหาพลัฎฐ์ในช่วงกลางวัน นั่นเป็นเพราะเท่าที่ดูแล้ววันนี้ลูกค้าไม่ได้เยอะเท่าไหร่ ติดจะมากันเรื่อยๆ เสียมากกว่า เขาเลยคิดว่าน้ำตาลกับมีนาน่าจะเอาอยู่ ส่วนเค้กและขนมที่ทำไว้ขายในตอนกลางวันตะวันก็คิดว่าตัวเองทำไว้มาพอสมควรแล้ว เลยไม่ได้กังวลนักที่จะปล่อยให้เด็กในร้านทั้งสองคนที่เขาไว้ใจดูแลร้านกันเอง

“ขอบใจน้ำตาลมาก งั้นพี่ฝากร้านด้วยนะ เดี๋ยวพี่พลัฎฐ์ทานเสร็จแล้วพี่จะรีบลงมา”

เจ้าของร้านตัวเล็กว่า ก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากร้านลัดเลาะตามถนนไปเรื่อยๆ เพื่อทะลุไปยังทางเข้าตึกออฟฟิศสูงเกือบสามสิบชั้นของพลัฎฐ์ ระหว่างเดินไปตะวันก็คิดว่า เด็กๆ ในร้านรวมถึงป้าวันดีน่าจะรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพลัฎฐ์ดี แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดได้บอกออกไปก็ตาม

เพราะถึงแม้ว่าพลัฎฐ์กับตะวันจะคบกันมาได้สามอาทิตย์แล้ว แต่ทั้งสองก็ยังไม่ได้บอกอะไรใคร อาจจะยกเว้นชนกันต์ไว้คนหนึ่ง เพราะรายนั้นโทรมาบีบบังคับให้ตะวันเล่า ตั้งแต่หลังจากวันที่ตะวันโทรไปปรึกษาแล้ว จะปิดก็ไม่ได้เพราะชนกันต์ถามซอกแซก ถามแบบต้องรู้คำตอบ อย่างกับว่าถ้าวันนี้ไม่ได้รู้จะไม่ยอมวางสายอะไรแบบนั้น

สุดท้ายคนที่เคยไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมชนกันต์อย่างภานรินทร์ก็มีเหตุให้รับสารภาพไป เพราะการที่เขาได้คบกับพลัฎฐ์ในแบบนี้ส่วนหนึ่งก็มาจากคำแนะนำของลูกพี่ลูกน้องสุดที่รักด้วย จึงเห็นได้ว่าพลัฎฐ์ไม่ได้โกรธเคืองอะไรเลย แม้จะรู้ว่าตะวันพึ่งพาชนกันต์มากแค่ไหนกับความสัมพันธ์ในครั้งนี้ของทั้งสองคน

แต่กับทางพลัฎฐ์นี่สิ ไม่รู้ว่านอกจากคุณแม่แล้ว พลัฎฐ์ได้บอกเพื่อนร่วมงาน หรือเพื่อนสนิทอะไรของอีกฝ่ายไหม

ตะวันอดยอมรับไม่ได้ว่าเขาตื่นเต้นไม่น้อย จะบอกว่าไม่คาดหวังเลยก็ไม่ได้ เพราะตะวันค่อนข้างซื่อตรงกับความรู้สึกตัวเอง เลยอดแอบคิดไม่ได้ว่า ทางฝั่งของคนรัก ได้บอกใครไปบ้างว่ากำลังคบกับเขาอยู่

ซึ่งคำตอบที่ตะวันได้รับ กลับไม่เป็นไปตามที่เขาคิดไว้สักเท่าไหร่...

“ผมมาพบคุณพลัฎฐ์ครับ”

ร่างเล็กในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้าพับแขนขึ้นมาถึงเกือบข้อศอก กางเกงสีครีมห้าส่วน เหน็บชายเสื้อข้างหนึ่งไว้ในกางเกง ส่วนชายเสื้ออีกฝั่งปล่อยลอยชาย รองเท้าผ้าใบสีขาว ที่เพิ่งเดินเข้ามาในออฟฟิศสุดหรูกลางเมือง ตรงดิ่งไปที่ประชาสัมพันธ์พร้อมกับเอ่ยถึงจุดประสงค์ของตัวเอง

“ติดต่อเรื่องอะไรคะ?” เสียงหวานของรีเซฟชั่นทำให้ตะวันนึกชื่นชม เขาจึงบอกไปตามที่พลัฎฐ์สั่งเอาไว้

“คุณพลัฎฐ์ทราบครับว่าผมจะมาหา แจ้งเลขาฯ ของเขาไปก็ได้ครับว่าตะวันมาแล้ว”

พนักงานต้อนรับยังคงยิ้มหวานให้ตะวัน แต่สายตาที่มองมากลับไม่เป็นมิตรเท่าในคราวแรก และดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้มีท่าทีหรือมีความพยายามที่จะติดต่อเลขาฯ ของพลัฎฐ์ตามที่เขาบอกเลยสักนิด

“ถ้าไม่ได้นัดไว้ และไม่สามารถแจ้งได้ว่ามาติดต่อท่านรองประธานฯ เรื่องอะไร ดิฉันคงไม่สามารถปล่อยให้คุณขึ้นไปพบท่านได้นะคะ”

ตะวันยิ้มแหยๆ ทันทีเมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดแบบนั้น และก็ยิ่งรู้สึกแย่มากกว่าเดิม เมื่อสายตาของพนักงานต้อนรับกวาดมองตั้งเท้าจรดศีรษะของตะวันแบบไม่เกรงใจ เมื่อเธอเห็นปิ่นโตและถุงกล่องใส่อาหารในมือของตะวัน

“หรือถ้าเป็นแค่คนที่จะมาส่งอาหาร” ดวงตาอีกฝ่ายมองกราดไปทั่วทั้งร่างเล็กด้วยสายตาที่ไม่มีมารยาท “ก็ฝากไว้ก็ได้ค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะนำขึ้นไปให้ท่านเอง”

ตะวันรู้สึกแย่ทันทีเมื่อได้ยินคำพูดและสายตากึ่งๆ ดูถูกแบบนั้น เพราะถ้าเขาเป็นแค่เจ้าของร้านอาหาร หรือเป็นแค่คนมาส่งอาหารจริง เขาสมควรได้รับคำพูดจากอีกฝ่ายแบบนี้เหรอ นี่มันไม่ยุติธรรมเลย

“งั้นผมรบกวนคุณช่วยติดต่อเลขาฯ...”

“ขอโทษนะคะคุณ บริษัทเราเจอคนประเภทคุณเยอะมาก และเราก็ต้องรับมือทุกวัน ซึ่งถ้าคุณแค่มาส่งอาหาร ก็ฝากไว้ค่ะ ที่เหลือพวกเราจะจัดการต่อเอง”

ตะวันหน้าเสีย เขารู้สึกอายมากเพราะน้ำเสียงของพนักงานต้อนรับไม่ได้เบาเลยกับประโยคเมื่อสักครู่นี้ ซึ่งตะวันเข้าใจในเรื่องของการรักษาความปลอดภัยของออฟฟิศใหญ่ๆ แบบนี้ดี และอีกอย่างเขาเองก็ไม่เคยมาออฟฟิศของพลัฎฐ์เลย เวลาพลัฎฐ์จะกินข้าว พลัฎฐ์ก็จะไปหาเขาที่ร้าน เวลาจะไปรับเด็กๆ ด้วยกัน พลัฎฐ์ก็จะแวะไปรับเขาเอง ดังนั้น คนที่นี่จะไม่รู้จัก หรือไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร ตะวันก็พอเข้าใจได้

แต่พลัฎฐ์บอกไว้ไม่ใช่หรอ ว่าจะบอกไว้ให้ว่าเขาจะมา แต่เขากลับต้องมาเจออะไรแบบนี้...

“งั้นไม่เป็นไร...”

“เชิญค่ะ กรุณาอย่าเกะกะขวางทางคนอื่น มีคนจะติดต่อและพูดรู้เรื่องมากกว่าคุณรออยู่เยอะแยะ ถ้าไม่คิดจะทำตามที่ทางเราบอก ก็ออกจากบริเวณนี้ด้วยค่ะ”

เหล่าบรรดาคนที่ใส่สูท แต่งตัวด้วยชุดของผู้บริหารที่มารอติดต่อมองตะวันเป็นตาเดียว แค่เสื้อผ้าการแต่งกายตะวันก็รู้สึกแปลกแยกกับคนอื่นจะแย่ แล้วยังจะต้องมาได้ยินสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกไม่ดีอีก

“เป็นแค่เด็กส่งของ ทำมาพูดนั่นพูดนี่ ไล่ก็ไปไม่ น่ารำคาญชะมัด” เสียงต่อว่าของพนักงานคนนั้นที่กำลังคุยกับเพื่อนพนักงานอีกคนลอยมาราวกับจงใจจะให้เขาได้ยิน “ตัวมีแต่กลิ่นขนม มาจากไหนก็ไม่รู้”

... และตะวันก็ได้คำตอบ ว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ของเขา

ตะวันรู้สึกไม่ดีมากๆ เลยเตรียมที่จะหมุนตัวเดินออกไปจากที่นี่ แต่กลับได้ยินเสียงเรียกของใครบางคนเสียก่อน

“คุณตะวันคะ คุณตะวัน” ร่างเล็กหันกลับไปมอง ก่อนจะเห็นเลขาฯ ของพลัฎฐ์วิ่งหน้าตาตื่นมาหาเขา

“คุณฝ้าย” ตะวันพึมพำชื่ออีกฝ่าย เขาเคยเจอเธออยู่บ้างตอนที่พลัฎฐ์ไหว้หวานให้เอาของไปให้ หรือไปรับน้องพีในบางวัน

“ท่านรองประธานฯ ไม่เห็นคุณตะวันขึ้นไปสักที เลยให้ฝ้ายลงมาตาม” เธอมองหน้าอีกฝ่ายที่ดูไม่สู้ดีนักนิ่ง ก่อนจะเอ่ยถามอย่างสงสัย “แล้วนี่คุณตะวันจะไปไหนคะ มาถึงนานแล้วหรือยัง?”

ตะวันยิ้มบาง ก่อนจะยื่นปิ่นโตกับถุงผ้าที่มีทั้งขนม คุ้กกี้และผลไม้อยู่ในนั้นให้อีกฝ่าย

“ผมฝากให้พี่พลัฎฐ์ด้วยนะครับ มีขนมของคุณฝ้ายอยู่ในถุงด้วย เดี๋ยวยังไงผมขอตัวก่อน ขึ้นไปเจอพี่พลัฎฐ์ในสภาพเนื้อตัวมอมแมมแบบนี้คงไม่เหมาะเท่าไหร่”

ตะวันเลือกที่จะไม่ตอบคำถามของอีกฝ่าย แต่เลือกที่จะขอร้องด้วยเสียงสั่นๆ จนเลขาฯ ของพลัฎฐ์ใจไม่ดี เธอรู้ดีว่าขืนเธอขึ้นไปโดยที่ไม่ได้พาคนรักของท่านรองประธานฯ ขึ้นไปด้วย มีหวังวันนี้พลัฎฐ์ต้องหงุดหงิดยันถึงเย็นแน่ๆ

“คุณตะวันคะ ท่านรองประธานฯ รอเจอคุณอยู่นะคะ ฝ้ายขอร้องล่ะค่ะ ขึ้นไปเจอท่านหน่อย วันนี้การประชุมเครียดมาก ถ้าคุณไม่ขึ้นไป...”

“บอกพี่พลัฎฐ์แบบนี้แหละครับ พี่พลัฎฐ์น่าจะเข้าใจ ผม... ตัวผมมีแต่กลิ่นขนมที่ติดมาจากครัว ผมว่ามันไม่เหมาะจริงๆ นะครับคุณฝ้ายที่ผมจะขึ้นไปชั้นผู้บริหารแบบนั้น”

ตะวันพยายามชี้แจง แต่สีหน้าของคนพูดดูแย่มาก จนเลขาฯ ของพลัฎฐ์รู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ผิดปกติ “ผมไม่อยากให้ใครมาว่าพี่พลัฎฐ์ได้น่ะครับ”

แม้ริมฝีปากสีสดจะยกยิ้มบาง แต่ดวงตากลมกลับแห้งแล้ง และจากคำพูดของตะวันบวกกับสีหน้าที่ไม่สู้ดีนักของพนักงานต้อนรับที่เธอเหลือบไปเห็นพอดี ก็ทำให้เลขาฯ คนเก่งของพลัฎฐ์เดาเรื่องทั้งหมดออก ซึ่งเธอจะลงมาจัดการแน่ แต่ก่อนอื่นเธอต้องพาตะวันขึ้นไปหาเจ้านายของเธอให้ได้ก่อน

“คุณฝ้าย! ตะวันล่ะ?...” น้ำเสียงทุ้มที่ติดจะหงุดหงิดนิดหน่อยของพลัฎฐ์ดังก้องทั่วบริเวณโถงทางเดินหน้าลิฟต์โดยสาร ก่อนที่เจ้าตัวจะยิ้มกว้างเมื่อมองเห็นคนที่ตัวเองอยากเจอยืนอยู่ข้างเลขาฯ คนสนิท “ตัวเล็ก!”

พลัฎฐ์เดินตรงดิ่งมาหาตะวันทันพร้อมใบหน้าหล่อเหลาที่อ่อนโยนลงราวกับเป็นคนละคน แต่แล้วความแปลกใจก็ปรากฎขึ้นแทน เมื่อร่างเล็กที่เขากำลังจะเดินหา ค่อยๆ ถอยหลังหนี จนทำให้ใจพลัฎฐ์นึกร้อนรนขึ้นมาทันที

“ตะ.. ตะวันฝากขนมกับอาหารไว้ที่คุณฝ้ายแล้ว พี่พลัฎฐ์ทานเยอะๆ นะครับ” ในขณะพูดตะวันก็ยังคงก้าวถอยหลังเรื่อยๆ “ยังไงตะวันขอกลับ...”

และไม่ทันที่ตะวันจะได้พูดประโยค รูปร่างสูงใหญ่ของพลัฎฐ์ก็พุ่งประชิดตัว มือใหญ่ยื่นไปรั้งข้อมือเล็กแล้วกระตุกเข้ามาใกล้ ในขณะที่ตะวันพยายามจะขืนตัวหนีอีกฝ่ายอย่างเห็นได้ชัด

“ตัวเล็กครับ เกิดอะไรขึ้น ไหนว่าจะมากินข้าวกลางวันกับพี่ไง นี่พี่รออยู่ ทำไมไม่ขึ้นไปสักที”

และดูเหมือนว่าพนักงานต้อนรับคนที่ก่อนหน้านี้พูดจาไม่ดีกับตะวัน จะเห็นภาพความสนิทสนมที่เจ้านายตัวเองมีให้กับอีกฝ่าย คนทำผิดเลยหน้าซีดเผือด พยายามกุลีกุจอเพื่อที่จะเข้าไปขอโทษและแก้ตัว โดยที่ไม่ได้รู้เลยว่ากำลังสร้างความเดือดร้อนให้ตัวเอง

“คือ.. ดิฉันผิดเองค่ะท่านรองประธานฯ ดิฉัน... ดิฉันไม่ทราบว่าคุณเขาเป็นแขกของท่านรองประธานฯ เลย.. ก็เลย..” คนทำผิดพูดจาอึกอัก ซึ่งเอาเข้าจริงพลัฎฐ์ก็พอจะเดาได้ลางๆ ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และนั่นก็ยิ่งทำให้เขาโมโหหนัก

เหตุผลเป็นเพราะการประชุมก่อนช่วงเที่ยงที่ผ่านมาค่อนข้างน่าหงุดหงิดกับพลัฎฐ์พอสมควร แต่เขาก็พยายามระงับอารมณ์ เพราะคิดว่าอีกไม่กี่อึดใจก็จะได้เจอคนที่ทำให้เขาได้รู้สึกดีแล้ว แต่พอประชุมเสร็จรอจนแล้วจนรอดก็ยังไม่เห็นตะวันขึ้นมาเสียที พอให้เลขาฯ ลงมาตามก็หายไปเสียนาน จนพลัฎฐ์ทนไม่ไหวเลยต้องลงมาตามเอง แล้วสิ่งที่ได้เห็นก็คือตะวันทำท่าเหมือนไม่ยอมให้เขาจับ ทำท่าเหมือนไม่อยากขึ้นไปหา เลยยิ่งทำให้อารมณ์หงุดหงิดของพลัฎฐ์พุ่งถึงขีดสุด และมันก็ยิ่งทะลุจุดเดือดขึ้นไปอีก เมื่อพลัฎฐ์พอจะรู้สาเหตุว่าทำไมตะวันถึงมีท่าทีหลบเลี่ยงเขาแบบนี้

“ผมสั่งไว้ว่ายังไงคุณฝ้าย?” พลัฎฐ์หันไปมองเลขาฯ ของตัวเองด้วยสายตาเรียบนิ่งไม่บ่งบอกอารมณ์ แต่คนที่ทำงานมาด้วยกันอยู่หลายปีอย่างเลขาฯ ส่วนตัว ทำไมจะไม่รู้ว่าตอนนี้กราฟอารมณ์ของเจ้านายตัวเองเป็นยังไง

“ค่ะ ฝ้ายทราบ แล้วฝ้ายก็จำได้ว่าฝ้ายโทรไปแจ้งที่แผนกต้อนรับแล้วตั้งแต่เมื่อเช้า” คนที่ได้ชื่อว่าเป็นเลขาฯ ตวัดสายตามองไปยังคนต้นเหตุนิ่ง ไม่ใช่ว่าพลัฎฐ์คนเดียวสักหน่อยที่น่ากลัวเวลาดุ เธอเองก็ไม่ต่าง ไม่อย่างนั้นเธอจะเป็นเลขาฯ ที่จัดการทุกอย่างแทนพลัฎฐ์ได้มาหลายปีแบบนี้เหรอ

“ว่าไงคะ? เกิดอะไรขึ้น? คุณชี้แจงให้ท่านรองประธานฯ ทราบได้ไหม? หรือคุณไม่ทราบว่าจะมีแขกมาพบท่านรองประธานทั้งที่ดิฉันก็แจ้งไปทางแผนกต้อนรับให้ทราบแล้ว”

คุณฝ้ายไล่บี้ถามหาความจริงจากอีกฝ่ายที่ได้แต่ก้มหน้างุด ตัวสั่นเทา จนคนที่ถูกกระทำก่อนหน้าอย่างตะวันนึกเห็นใจ เลยตัดสินใจออกปาก

“พี่พลัฎฐ์ครับ คือตะวัน...” แต่ยังไม่ทันที่จะได้เริ่มพูด คนที่มีอำนาจสูงสุดในเวลานั้นก็เอ่ยแทรกขึ้นมาเสียก่อน

“มีอะไรขึ้นไปคุยกันที่ห้องผม ตามผมมา” น้ำเสียงเด็ดขาดของพลัฎฐ์เอ่ยกับทั้งพนักงานต้อนรับและเลขาฯ ของตัวเอง ซึ่งแม้จะไม่ได้กระโชกโฮกฮาก แต่ก็ฟังรู้ได้โดยไม่ต้องบอกว่าคนพูดอยู่ในอารมณ์แบบไหน แต่เมื่อคนที่เด็ดขาดเมื่อครู่หันมาสบตากับดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้มของคนรัก เสียงที่เคยเรียบนิ่งก็อ่อนโยนลงทันที ซึ่งบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าคนตรงหน้ามีความสำคัญกับเขามากแค่ไหน

“ตัวเล็ก... พี่ยังไม่อยากให้ตัวเล็กกลับ พี่ขอร้องให้อยู่กับพี่ก่อนได้ไหมครับ”

“...” ตะวันไม่ตอบอะไรแต่มองหน้าอีกฝ่ายนิ่ง ใบหน้าหวานดูลำบากใจเล็กน้อย พลัฎฐ์จึงตัดสินใจกระชับมือใหญ่กับข้อมือเล็กแน่นราวกับจะอ้อน ก่อนจะพูดประโยคที่คิดว่าตะวันได้ยินแล้วจะต้องเห็นใจแน่ๆ

“พี่เหนื่อยกับการประชุมมากๆ ไม่อยากแม้แต่จะกินข้าวด้วยซ้ำ แล้วตัวเล็กยังจะ...”

“ก็ได้ครับ อยู่ก็ได้ ตะวันยอมแล้ว”

รอยยิ้มของคนหน้าดุที่ไม่ได้เห็นบ่อยกลับปรากฎขึ้นที่ริมฝีปากหยักที่ก่อนหน้านี้เรียบตึงจนน่ากลัว สถานการณ์กดดันดูผ่อนคลายขึ้นทันทีเพียงแค่คนตัวเล็กร่างบางบอกว่าจะอยู่ต่อ เลยทำให้เลขาฯ สาวของพลัฎฐ์นึกหายใจหายคอได้ทั่วท้อง แต่คนมีความผิดอย่างพนักงานหน้าสวยแต่กริยาไม่งามคนนั้นกลับรู้สึกเย็นยะเยือกยิ่งกว่าเดิม เมื่อได้ตระหนักเห็นกับตาของตัวเองว่าคนที่ตนขับไล่แบบไม่ให้เกียรติก่อนหน้านี้นั้น สำคัญกับเจ้านายตัวเองมากแค่ไหน

คิดดูเอาแล้วกันว่า คุณคนหน้าหวานนั่นพูดไม่กี่คำก็ทำให้เสือยิ้มยากอย่างพลัฎฐ์ยิ้มออก

ที่ต้องภาวนาก็คือขอให้เธอไม่โดนไล่ออกแล้วกัน

.

.

.

“ผมอยากรู้เรื่องทั้งหมดเดี๋ยวนี้!”

เสียงทุ้มนุ่มหูที่ตะวันเคยได้ยินบ่อยๆ ใยนามปกติช่างแตกต่างจากตอนนี้โดยสิ้นเชิง แม้ประโยคก่อนหน้าพลัฎฐ์จะไม่ได้พูดกับตะวัน แต่ตะวันก็อดรู้สึกสงสารพนักงานต้อนรับคนที่กำลังยืนก้มหน้านิ่ง คนที่พลัฎฐ์เพิ่งจะเอ่ยคำถามออกไปด้วยไม่ได้

ตะวันลังเลมาก เขาอยากจะเอ่ยช่วยพนักงานคนนั้น แต่ในเวลานี้ตะวันกลับรู้สึกว่าการเอ่ยปากปกป้องพนักงานหญิงคนนั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาควรทำ ในบริษัทนี้ ในห้องนี้ อำนาจและสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของพลัฎฐ์ และตะวันเองก็ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของที่นี่ เขาไม่รู้เลยว่าพลัฎฐ์ปกครองดูแลผู้ใต้บังคัญชาอย่างไร มันอาจจะแตกต่างกับวิธีที่ตะวันดูแลเด็กๆ หรือพนักงานในร้าน เพราะปัจจัยและสภาพแวดล้อมมันเป็นคนละแบบ ดังนั้นตะวันจึงคิดว่ามันคงไม่ใช่วิธีที่ดีนักหากเขาจะยื่นมือไปยุ่งในเรื่องนี้ เพราะนอกจากจะทำให้พลัฎฐ์ต้องเสียหน้าแล้ว เขาอาจจะกลับทำให้เรื่องราวทุกอย่างมันเลวร้ายลงกว่าเดิมด้วยก็ได้

“คือ.. คือดิฉัน ดิฉันไม่ทราบว่าคุณตะวันเป็นแขกของท่านรองประธานฯ ค่ะ ดิฉันก็เลยเผลอพูดจาไม่สุภาพใส่” พนักงานหญิงคนนั้นพูดไปเสียงสั่นไปจนน่าสงสาร แต่พลัฎฐ์ก็ยังคงนั่งฟังด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง แววตาไม่บ่งบอกความรู้สึกใดๆ

“แล้วทำไมคุณถึงคิดว่าตะวันไม่ใช่แขกของผม” พลัฎฐ์ถามเสียงเข้ม ก่อนจะหันมาหาคนตัวเล็กกว่าที่นั่งอยู่ตรงโซฟารับแขก มุมขวาของห้อง ไม่ไกลจากโต๊ะทำงานของพลัฎฐ์เท่าไหร่นัก

“ตัวเล็กครับ ตัวเล็กไม่ได้บอกพนักงานเหรอครับว่าตัวเล็กมาหาพี่” แต่น้ำเสียงยามทอดถามตะวันอ่อนโยนราวกับไม่ใช่คนเดียวกับที่ถามพนักงานก่อนหน้า

ตะวันมีสีหน้าลำบากใจ พูดความจริงก็กลัวพนักงานจะเดือดร้อนกว่าเดิม แต่ครั้นจะให้โกหก นั่นก็ไม่ใช่นิสัยที่เขาเป็น

ตะวันนิ่งคิดอยู่นาน จนกระทั่งคุณฝ้าย เลขาฯของพลัฎฐ์ ยื่นมือมาแตะแขนเรียวเบาๆ พร้อมกับพยักหน้าให้น้อยๆ ราวกับจะกระตุ้นให้ตะวันตอบไปตามความเป็นจริง

“บอกครับ แต่คุณพนักงานเขาอาจจะ...”

“คุณตะวันก็แจ้งคุณไปแล้วนี่ ว่าเขามาหาผม แต่ทำไมคุณถึงไม่ยอมปล่อยให้เขาขึ้นมา”

พลัฎฐ์ไม่รอให้ตะวันพูดจบประโยค เพราะเขารู้ดีว่าคนจิตใจอ่อนโยนแบบตะวันคงจะพยายามหาข้อแก้ตัวมาออกรับแทนพนักงานคนตรงหน้าเขาแน่ๆ พลัฎฐ์จึงเลือกที่จะตัดบท เพราะกลัวตัวเองจะใจอ่อนให้ตะวัน

“คือดิฉัน .. ดิฉัน...” พนักงานหญิงอึกอักหนัก เธอพยายามจะหาข้อแก้ตัวที่ฟังแล้วสมเหตุสมผลมากที่สุด ทั้งที่เธอก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าทำไมเธอถึงไม่ยอมปล่อยให้ตะวันขึ้นมา

“ผมถาม! ให้ตอบ!” พลัฎฐ์ถามเสียงแข็ง มือใหญ่ตบลงบนโต๊ะทำงานไม่แรงนัก แต่ก็ทำให้คนทั้งห้องสะดุ้งได้ ยกเว้นเลขาฯ คนเก่งของพลัฎฐ์ที่ยืนนิ่ง ราวกับนี่ไม่ใช่เรื่องผิดปกติแต่อย่างใด

“ฮึก.. ดิฉัน ดิฉันเห็นว่าคุณตะวันแต่งตัวปอนๆ ไม่เหมือนกับนักธุรกิจหรือ ฮึก.. คู่ค้าท่านอื่นๆ ที่มาพบท่านรองประธานฯ ค่ะ ดิฉันก็เลย...”

พนักงานคนดังกล่าวกล่าวเสียงสั่น ตัวสั่น พร้อมกับน้ำตาที่ไหลทะลักออกมาเพราะความตกใจในท่าทีของคนที่เป็นเจ้านาย และด้วยความกลัวลนลานเธอจึงเผลอสารภาพสิ่งที่ตัวเองคิดขณะกีดกันตะวันไม่ให้ขึ้นมาจนหมดสิ้น ทำเอาพลัฎฐ์ที่ได้ยินคำตอบแล้วถึงกับกัดฟันกรอดด้วยความโกรธ เขาจึงตัดสินใจพูดแทรกในสิ่งที่พนักงานคนนั้นพูดให้จบประโยคแทน

“คุณก็เลยพูดจาไม่ดีใส่ ดูถูก และไล่ให้ตะวันออกไปจากตึกใช่ไหม”

พนักงานหญิงคนนั้นน้ำตานองหน้า พร้อมกับพยักหน้ารับในสิ่งที่พลัฎฐ์ถามอย่างจำยอม

“ดิฉันขอโทษค่ะ ดิฉันขอโทษ ดิฉันผิดไปแล้วค่ะท่านรองประธานฯ ดิฉันไม่ทราบว่าคุณตะวันเป็นคนสำคัญของท่านรองประธานฯ ดิฉันไม่ทราบจริงๆ”

เธอร้องไห้ไป กล่าวขอโทษไป ผงกศีรษะแล้วค้อมลงต่ำอย่างน่าสงสาร ตะวันมองภาพตรงหน้าอย่างทนไม่ได้ เลยตัดสินใจจะเอ่ยขอกับพลัฎฐ์ให้ยกโทษให้เธอ เพราะในเมื่อเวลานี้เธอก็สำนึกผิดแล้ว เขาไม่อยากให้พลัฎฐ์เอาความอะไรเธอมากมาย

“พี่พลัฎฐ์ครับ ตะวัน...

คนตัวโตกว่าหันมาตามเสียงเรียก ก่อนจะยกนิ้วชี้แตะริมฝีปากของตัวเอง และมองคนจิตใจอ่อนโยนอย่างตะวันด้วยสายตากึ่งขอร้องกึ่งบังคับ ว่าไม่ให้ตะวันเอ่ยขออะไรออกมาในตอนนี้

คนถูกขอร้องจึงยอมกลืนคำพูดลงคอ แล้วมองพนักงานคนดังกล่าวด้วยสายตาเห็นใจต่อไป เขาช่วยอะไรเธอในเวลานี้ไม่ได้จริงๆ เพราะพลัฎฐ์ไม่ยอม

“แล้วยังไงครับ? ถ้าคุณรู้ว่าตะวันเป็นแขกคนสำคัญ คุณก็จะดูแลตะวันอย่างดี ให้การต้อนรับอย่างดี ... แบบนี้ผมพูดถูกไหมครับ”

พนักงานคนดังกล่าวเงยหน้าขึ้นมาสบตกับพลัฎฐ์ ก่อนจะพยักหน้ารับยืนยันในสิ่งที่พลัฎฐ์พูด

“ใช่ค่ะ ดิฉันจะดูแลคุณตะวันอย่างดี ดิฉันจะไม่วันยอมให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้แน่ๆ ค่ะ”

ยิ่งตะวันได้ฟัง ตะวันยอมรับว่ายิ่งไม่สบายใจ เพราะมันเหมือนกับว่าพลัฎฐ์กำลังสร้างอคติและบรรทัดฐานผิดๆ ให้ลูกน้อง เพราะถ้าพลัฎฐ์ดุหรือต่อว่าใครเพียงเพราะดูแลตะวันไม่ดี มันดูสองมาตรฐานเกินไป แล้วแบบนี้ก็จะยิ่งสร้างความไม่พอใจให้กับพนักงานคนอื่นๆ ที่ได้ทราบเรื่องนี้ด้วย

แต่แล้วจู่ๆ ตะวันก็ได้ยินเสียงพรูลมหายใจยาวๆ ของพลัฎฐ์ เรียกให้เขาต้องหันกลับไปมอง

“นี่คุณไม่ได้เรียนรู้อะไรจากเรื่องนี้เลยสินะ”

พลัฎฐ์ลุกขึ้นยืนพร้อมกับจ้องหน้าของพนักงานคนนั้นนิ่ง ซึ่งเธอเองก็เงยหน้ามามองเขาตรงๆ ไม่ต่างจากตะวันที่มองไปยังพลัฎฐ์ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยเช่นกัน เพราะไม่เข้าใจในสิ่งที่พลัฎฐ์ต้องการจะสื่อเท่าไหร่

“คุณคิดว่าที่ผมเรียกคุณมาต่อว่า อบรม หรือทำโทษอยู่นี่เป็นเพราะคุณพูดจาไม่ดีใส่ตะวันถูกไหม” พลัฎฐ์ถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง แต่ใบหน้าหล่อเหลายังคงดุดันเหมือนเดิม

“...” พนักงานต้อนรับคนดังกล่าวพยักหน้ารับ เพราะเธอคิดว่าที่เธอกำลังโดนไล่ต้อนอยู่นี้เป็นเพราะไปล่วงเกินคนสำคัญของท่านรองประธานฯ เข้า

“แล้วทำไมคุณไม่คิดบ้างล่ะว่าที่ผมเรียกคุณมาอบรม หรือต่อว่าเนี่ย เป็นเพราะการกระทำที่ไม่เหมาะ และไม่เป็นไปตามหน้าที่ของการเป็นพนักงานต้อนรับที่ดีของคุณ”

พอพลัฎฐ์พูดจบ ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ ในขณะที่เลขาฯ คนสนิทยิ้มบางๆ เธอรู้ดีมาตั้งแต่ต้นแล้วว่าที่พนักงานคนนี้ถูกเรียกมาอบรมนั้นมีสาเหตุมาจากอะไร

“คุณตัดสินลูกค้าจากภายนอก คุณเชื่อในสิ่งที่ตัวเองคิด และใช้อคติบดบังหน้าที่ แล้วแบบนี้คุณจะเป็นพนักงานต้อนรับที่ดีได้ยังไงกัน”

พลัฎฐ์ลุกขึ้นเดินไปหยุดยืนตรงหน้าพนักงานหญิงที่กำลังก้มหน้านิ่ง และเธอคิดว่าเธอเข้าใจในสิ่งที่รองประธานฯ ของบริษัทกำลังจะสื่อถึง

“มันไม่ได้สำคัญเลยว่าตะวันจะเป็นแขกของผมหรือเปล่า หน้าที่ของคุณคือต้อนรับและปฏิบัติกับลูกค้าทุกคนอย่างเท่าเทียม คุณไม่มีสิทธิ์ตัดสินใครว่าเหมาะหรือไม่เหมาะที่จะเข้ามาพบผม คนที่มีสิทธิ์ตัดสินใจให้ใครเข้าพบหรือไม่เข้าพบคือผมและคุณฝ้าย ไม่ใช่คุณ”

ตะวันยิ้มบางๆ เมื่อเข้าใจในสิ่งที่พลัฎฐ์พูด ดวงตากลมโตที่ทอดมองไปยังคนตรงหน้าเต็มไปด้วยความชื่นชมและภูมิใจ โดยที่พลัฎฐ์ก็ยังคงพูดต่อ

“ถ้าคุณไม่แน่ใจว่าคนที่มาติดต่อเป็นแขกของผมรึป่าว สิ่งที่คุณต้องทำคือโทรขึ้นถามมาที่คุณฝ้าย เธอมีตารางนัดหมายของผม เธอรู้ว่าใครที่ผมรอพบ หรือไม่ได้รอพบ นั่นคือหน้าที่หลักของพนักงานต้อนรับ แต่ที่คุณทำวันนี้ก็คือ ตัดสินตะวันจากอคติของตัวเอง คุณดูถูก ช้ำยังพูดจาไม่สุภาพ แถมไล่ตะวันไม่ให้มาพบผม โดยที่คุณไม่แม้แต่จะโทรขึ้นมาถามคุณฝ้ายเลยด้วยซ้ำว่าตะวันเป็นแขกของผมจริงหรือเปล่า ถ้าสมมติว่าวันนี้ตะวันคือคนที่ต้องมาเซ็นสัญญามูลค่าหมื่นล้าน พันล้านกับผม คุณลองคำนวณสิว่าคุณจะทำให้บริษัทของเราเสียหายและสูญเงินมากแค่ไหน ... แล้วคุณคิดว่านี่มันใช่หน้าที่ของพนักงานต้อนรับที่ดีรึป่าวครับ?”

“... ฮึก ไม่ค่ะ” เธอตอบพลัฎฐ์ด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่น ไหล่บางยิ่งลู่ลงด้วยความรู้สึกผิด เธอผิด นั่นเพราะเธอบกพร่องในหน้าที่ ไม่ใช่เพราะเธอต่อว่าหรือแสดงกริยาที่ไม่ดีต่อคนสำคัญของท่านรองประธานฯ

“จำไว้นะครับ ไม่ว่าใครที่เดินเข้ามาในตึกนี้ ผมถือว่าเป็นลูกค้าของผมทั้งสิ้น หน้าที่ของคุณคือต้องต้อนรับทุกคนด้วยความสุภาพและมีไมตรีจิตอย่างเท่าเทียม ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร แต่งตัวแบบไหน คุณแค่ทำหน้าที่ของคุณ ถ้าสิ่งไหนที่มันนอกเหนือกว่าหน้าที่ ความรับผิดชอบ ก็ให้ว่ากันไปตามขั้นตอน แต่อย่าตัดสินใจหรือทำอะไรโดยพลการ และนอกเหนือกว่าหน้าที่” พลัฎฐ์พูดยาวด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ค่ะ...”

“วันนี้ที่คุณถูกตำหนิ เพราะคุณทำเกินกว่าเหตุเหนือกว่าหน้าที่และความรับผิดชอบของตัวเอง ครั้งนี้ผมเรียกคุณมาตักเตือน และหวังว่าจะไม่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก”

พนักงานคนนั้นเงยหน้าที่เปรอะไปด้วยน้ำตาขึ้นมาด้วยความดีใจ ไหล่ที่สั่นสะท้านกลับตั้งตรงขึ้น ความรู้สึกกลัวในตอนแรกละลายหายไปกับตา เธอไหว้ขอบคุณพลัฎฐ์ซ้ำๆ ก่อนจะหันไปขอโทษตะวันด้วยความรู้สึกผิดจากใจจริง

“ดิฉันต้องขอโทษคุณตะวันจริงๆ นะคะที่ทำตัวไม่ดี ไม่สุภาพใส่ ดิฉันจะจำเหตุการณ์ครั้งนี้ไว้เป็นบทเรียน และจะไม่ทำแบบนี้อีกค่ะ”

ตะวันยิ้มบางอย่างอ่อนโยน ก่อนจะเอ่ยกับเธอด้วยน้ำเสียงสุภาพน่าฟัง

“ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ ผมเองก็มีส่วนผิดที่แต่งตัวไม่ค่อยเข้ากับสถานที่สักเท่าไหร่” และตะวันก็ยังคงเป็นตะวันที่ใจดีและน่ารักกับทุกคนบนโลก จนพลัฎฐ์ที่แอบมองอยู่ อดยิ้มออกมาบางๆ ไม่ได้

“และที่สำคัญดิฉันต้องขอบคุณคุณตะวันมากๆ ที่พยายามจะช่วยพูดกับท่านรองประธานฯ ให้ คือดิฉัน..” พอเธอพูดจบ เธอก็ทำท่าเหมือนจะร้องไห้อีก ให้ตะวันต้องโบกมือแก้ตัวให้วุ่น

“ไม่จริงครับ ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลย พี่พลัฎฐ์เขาตัดสินใจของเขาเอง ผม..” พนักงานคนนั้นพูดสวนก่อนที่ตะวันจะได้พูดต่อ

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะค่ะ แค่คุณพยายามที่จะช่วยพูดกับท่านรองประธานฯ ให้ ดิฉันก็ซาบซึ้งใจแล้ว”

เธอยิ้มให้ตะวันด้วยความจริงใจและสุภาพนอบน้อม ทั้งที่น้ำตายังเปรอะสองแก้ม ให้ตะวันรู้สึกเขินแปลกๆ เลยต้องเกาต้นคอแก้เก้อ

“ก็ได้ครับ ช่วยก็ช่วย” ตะวันมองไปยังพลัฎฐ์ ให้พลัฎฐ์แอบยิ้ม เพราะรู้ดีว่าคนรักของตัวเองต้องการอะไร

“ไปเถอะครับ คุณไปล้างหน้าล้างตาเถอะ แล้วก็อย่าให้มีเหตุการณ์แบบนี้อีก เพราะครั้งหน้าผมคงไม่ใจดีแล้ว คุณทราบใช่ไหม?”

“ค่ะท่านรองประธานฯ ดิฉันขอตัวนะคะ” เธอหันทางตะวัน “ขอบคุณและขอโทษอีกครั้งค่ะ” เธอว่าก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปจากห้อง ให้ตะวันพรูลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก

ในขณะที่ตะวันก็นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่สบตากับท่านรองประธานฯ ของบริษัทด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ เพราะสิ่งที่พลัฎฐ์ทำนั้นน่าชื่นชมมาก ตอนแรกตะวันก็นึกกลัว กลัวว่าพลัฎฐ์จะเข้างเขาจนเกินพอดี แต่เมื่อได้ยินสิ่งที่คนรักของตัวเองตักเตือนผู้ใต้บังคับบัญชา ก็อดนับถือในทัศนคติที่น่ายกย่องของพลัฎฐ์ไม่ได้...

แฟนใครไม่รู้เก่งจริงๆ

.

.

.

- อ่านต่อด้านล่าง -

ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
- ต่อจากด้านบน -


“กินเยอะๆ นะครับ อันนี้ตะวันทำมาให้เป็นพิเศษ เห็นพี่บ่นว่าอยากกินมาหลายวันแล้ว” มือเรียวตักกับข้าวที่อยู่ในจานตรงหน้าไปวางใส่ในจานข้าวของพลัฎฐ์ โดยที่คนถูกเอาใจก็นั่งอมยิ้มปากบาน สลับกับตักข้าวเข้าปากไม่หยุด

“อร่อย” พลัฎฐ์กลืนอาหารลงคอพลางเอ่ยชม “อร่อยทุกอย่างเลย”

ตะวันเงยหน้ามายิ้มรับ ร่างเล็กก้มๆ เงยๆ ไม่กล้าสบตของพลัฎฐ์เท่าไหร่ เพราะวันนี้สายตาของพลัฎฐ์ดูเจ้าชู้กรุ้มกริ่มมากกว่าที่เคย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาเอาใจ หรือเป็นเพราะได้อาหารอร่อย แต่ดูเหมือนว่าอารมณ์ที่จะหงุดหงิดมากก่อนหน้า หายไปเป็นปลิดทิ้ง ตอนนี้มีแต่พลัฎฐ์ที่ยิ้มแย้มอารมณ์ดีมีความสุขทุกการขยับตัว

“ค่อยๆ กินนะครับ เดี๋ยวติดคอ” ตะวันเทน้ำใบเตยที่ต้มเองจากกระติก ใส่แก้วให้พลัฎฐ์

คนถูกดูแลส่งยิ้มหวานให้คนรัก ก่อนจะเริ่มชวนคุย เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายอิ่มได้พักใหญ่แล้ว

“ตกใจไหมครับเมื่อกี้” พลัฎฐ์ถามเสียงนุ่ม ให้คนถูกถามยกยิ้มอย่างอ่อนโยน ก่อนจะพยักหน้ารับอายๆ

“ตกใจครับ” ริมฝีปากบางยกยิ้มขำ ก่อนจะพูดต่อเมื่อเห็นสีหน้าที่ไม่ค่อยจะสู้ดีนักของคนรัก ... อีกฝ่ายคงไม่อยากเขาตกใจ “ปกติไม่เคยเห็นพี่พลัฎฐ์ดุ มีแต่ใจดี ตามใจตะวันกับเด็กๆ ตลอด”

พลัฎฐ์ยิ้มขำ พอได้ฟังตะวันว่า เพราะในความเป็นจริงแล้ว เวลาอยู่กันสี่คน พลัฎฐ์ก็เป็นอย่างที่ตะวันพูดจริงๆ จะว่าไปบุคลิกเรียบนิ่งที่พลัฎฐ์เป็น แสดงให้ตะวันเห็นแค่ช่วงแรกๆ เท่านั้น พอหลังจากที่ได้ใกล้ชิด และเริ่มรู้สึกดีๆ กับอีกฝ่าย พลัฎฐ์ก็เอาใจคนตัวเล็กกว่าเสียเกือบทุกอย่าง เพราะฉะนั้น ไอ้ท่าทีเกรี้ยวกราดแบบที่แสดงออกไปเมื่อครู่น่ะ รับประกันได้ว่าไม่เคยหลุดให้ตะวันเห็นแน่

“ทำไงได้ เวลาอยู่ที่บริษัท ถ้าพี่ไม่ดุ ลูกน้องที่ไหนจะเกรงใจเชื่อฟังล่ะหื้ม?” พลัฎฐ์ถามกลับเสียงนุ่ม พยายามเอาเหตุผลเข้าหว่านล้อม เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายเกิดภาพจำในเรื่องที่ไม่ดีเกี่ยวกับตัวเอง “ตัวเล็กเข้าใจเหตุผลที่พี่ทำใช่ไหมครับ”

“พี่พลัฎฐ์ดุแบบมีเหตุผล ตะวันเข้าใจ” คนตัวเล็กกว่ายิ้มกว้างตอบกลับไป ให้พลัฎฐ์ใจชื้นขึ้นมานิด “ตอนแรกตะวันกลัวแทบแย่ กลัวว่าพี่พลัฎฐ์จะดุพนักงานคนนั้น ที่พูดจาไม่ดีใส่ตะวันเพียงเพราะตะวันรู้จักพี่”

“ทำไมล่ะครับ? ตัวเล็กน่าจะดีใจไม่ใช่หรอ ถ้าพี่จัดการเขาเป็นการแก้แค้นให้ตัวเล็กน่ะหื้ม?” พลัฎฐ์แกล้งเอ่ยถาม เพราะรู้นิสัยของคนรักดี

และก็เป็นไปตามคาด ตะวันส่ายหน้าคอแทบหลุด เมื่อได้ยินพลัฎฐ์พูดแบบนั้น

“ไม่เลยสักนิดครับ!” ตากลมโตเบิกกว้างขึ้น แถมมือเล็กๆ ยังโบกเป็นพัลวัน น่าเอ็นดูไม่หยอก “ถ้าพี่พลัฎฐ์ดุเพราะจะเอาใจตะวัน ตะวันจะโกรธครับ เพราะตะวันไม่อยากให้ใครเอาพี่ไปนินทาลับหลังเพียงเพราะตะวันเป็น.. เอ่อ..”


“คนสำคัญของพี่?”


พลัฎฐ์แกล้งพูดต่อให้จบเพราะเห็นตะวันอ้ำอึ้งไม่กล้าพูด ทำเอาคนตัวโตกว่าอดยิ้มขำไม่ได้

“นะ..นั่นแหละครับ ตะวันไม่อยากให้ใครมองแบบนั้น แล้วก็ไม่อยากให้พี่สร้างความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับตัวตะวันด้วย”

ท่านรองประธานฯ บริษัทส่งยิ้มภาคภูมิใจให้คนรัก เมื่อได้ฟังในสิ่งตะวันบอก เพราะที่ผ่านๆ มา ถึงจะไม่ชัดเจน แต่คนที่เคยคุยๆ กับพลัฎฐ์ ยังไม่ถึงกับแฟนด้วยซ้ำ มักจะชอบแสดงออกให้พนักงานในบริษัทได้เห็นว่าตัวเองเป็นคนสำคัญของเขา หรือเป็นคนที่กำลังอยู่ในช่วงศึกษากันอยู่ แต่ตะวันกลับแตกต่าง ตะวันอยากให้พนักงานคนอื่นเคารพและนับถืออย่างจริงใจ ไม่ใช่ทำเพราะตะวันเป็นคนรักของพลัฎฐ์

“งั้นแล้ว ตัวเล็กอยากให้มันเป็นแบบไหนครับ” พลัฎฐ์ว่า พลางลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินเข้าไปตรงที่ตะวันนั่ง แล้วทรุดตัวลงโอบกอดร่างเล็กไว้ด้วยความรักใคร่

“ไม่อยากให้เป็นแบบไหนเป็นพิเศษหรอกครับ แค่เป็นแบบทุกวันนี้ตะวันก็มีความสุขแล้ว” ตะวันกระชับอ้อมกอดตอบคนตัวโตกว่าแน่น “แค่พี่พลัฎฐ์ให้เกียรติตะวัน รักเจ้าอาทิตย์ แค่นี้ตะวันก็ดีใจที่สุดแล้ว”

“เฮ้อ... หนูจะน่ารักอะไรขนาดนี้ล่ะครับ พี่หลงจนไม่รู้จะหลงยังไงแล้ว” ตะวันหัวเราะคิก พลางซุกหน้าเข้ากับอกพลัฎฐ์อย่างเขินอาย และกว่าที่จะรู้ตัว มือใหญ่ของคนตรงหน้าก็เชยคางของเขาขึ้น พลางเลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้แล้วมองสบเข้ามาในดวงตากลมอย่างสื่อความหมาย

“ว่าแต่ตัวเล็กว่า ห้องทำงานพี่เป็นยังไงบ้าง หื้ม? เป็นส่วนตัวมากพอที่จะ...”

พลัฎฐ์ไม่ยอมพูดให้จบประโยค แต่เลือกที่จะก้มลงไปประทับริมฝีปากของตัวเองลงบนกลีบปากสีสดของตะวันแทน ในฐานะที่เคยออกตัวโอ้อวดกับอีกฝ่ายไว้ว่าห้องทำงานเขามิดชิดมากพอที่จะจูบกับตะวันได้โดยไม่ต้องกังวลว่าใครจะมาขัดจังหวะ

.

.

.

“สี่โมงเย็นพี่ไปรับที่ร้านนะครับ วันนี้เด็กๆ น่าจะเลิกช้า เห็นน้องพีบอกพี่ว่าครูให้ท่องศัพท์ภาษาอังกฤษก่อนกลับบ้าน”

พลัฎฐ์บอกกับตะวันตอนที่ตะวันกำลังเก็บเถาปิ่นโต และกล่องใส่อาหารเปล่าลงถุงผ้า เนื่องจากอาหารที่อยู่ในภาชนะดังกล่าวถูกพลัฎฐ์จัดการเสียหมดเกลี้ยงไม่เหลือซาก

“ได้ครับ พี่พลัฎฐ์ออกจากออฟฟิศแล้วโทรหาตะวันนะ ตะวันจะได้เตรียมตัว”

คนตัวเล็กกว่ามองไปยังท่านรองประธานฯ ที่ดูเหมือนว่าตอนนี้กำลังจะเตรียมประชุมต่อในช่วงบ่ายอยู่ หลังจากที่คุณฝ้าย เลขาฯ คนสนิท มาแจ้งว่าทุกคนที่เข้าประชุมรออยู่พร้อมแล้ว

พลัฎฐ์หยิบเตรียมเอกสารที่ต้องใช้ประชุมมาพลิกอ่านคร่าวๆ อย่างอารมณ์ดี ผิดกับการประชุมช่วงก่อนหน้าลิบลับ เขาไม่ปฏิเสธหรอกว่าส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาพร้อมทำงานนั้นมาจากตะวัน ได้ชาร์จแบตจากคนตัวเล็กเข้าร่างกายเฮือกใหญ่โดยไม่มีคนมาขัดจังหวะแล้วรู้สึกดีเป็นบ้า และต่อให้ประชุมยิงยาวยันสี่โมงพลัฎฐ์ก็พร้อมสู้ บอกเลยว่าตอนนี้เขาสดใส อารมณ์ดีสุดๆ

“พี่ไปประชุมเถอะครับ เดี๋ยวตะวันเก็บตรงนี้อีกนิดเสร็จก็จะกลับร้านแล้ว”

พลัฎฐ์ยิ้มบางก่อนจะลุกจากโต๊ะทำงานมาโอบกอดคนตัวเล็กกว่าไว้หลวมๆ แล้วก็จรดจมูกโด่งลงบนแก้มนิ่มของอีกฝ่ายพลางสูดกลิ่มหอมหวานประจำตัวตะวันเข้าเต็มปอด

“อยากกินอีกแล้ว” อย่างที่บอก ว่ากลิ่นของตะวันมีลักษณะเฉพาะ เป็นกลิ่นคล้ายกลิ่นขนมหวานอบอวลอยู่โดยรอบ และเป็นกลิ่นที่พลัฎฐ์สูดเข้าไปในปอดทีไร แล้วก็นึกอยากจะจับคนอ้อมกอดกลืนลงท้องทุกครั้ง

“อยากกินอะไรกันครับ พนักงานของพี่ยังบอกอยู่เลยว่าตะวันตัวเหม็น เหม็นกลิ่นขนมติดตัว”

คนตัวโตกว่าทำหน้ามู่ทู่ก่อนจะแย้งอย่างไม่เห็นด้วย “เหม็นตรงไหน ออกจะหอม ได้กลิ่นทีไร อยากฟัดทุกครั้งเลย”

ตะวันหัวเราะก่อนจะตีลงบนแขนกำยำที่โอบอยู่รอบเอวบางของตัวเองเบาๆ

“พอแล้วครับ พี่ก็พูดไปเรื่อย ไปประชุมได้แล้ว เดี๋ยวคุณฝ้ายก็มาตามอีกรอบหรอก”

คนถูกไล่ให้ไปประชุมทำหน้าเบื่อหน่าย ติดจะอ้อนคนที่อยู่ในอ้อมกอดนิดๆ ให้ตะวันที่เห็นแล้วได้แต่ย่นจมูกใส่ด้วยความมันเขี้ยว

“ไปได้แล้วครับ พี่พลัฎฐ์ไม่ดื้อสิ เดี๋ยวอีกไม่กี่ชั่วโมงเดี๋ยวก็ได้เจอกันแล้ว... นะครับนะ” แต่พอเจอตะวันอ้อนกลับในเลเวลที่สูงกว่า พลัฎฐ์ก็แทบไปไม่เป็น ใจอ่อนเป็นขี้ผึ้ง ยอมผละอ้อมกอดจากเอวบางอย่างเสียดายเบาๆ

“ครับๆ ไปก็ได้” พลัฎฐ์ถือโอกาสจุ๊บเบาๆ ลงไปที่กลีบปากบาง ก่อนจะผละออก “เจอกันเย็นนี้นะครับ”

ตะวันยิ้มกว้างก่อนจะโบกมือไล่อีกฝ่ายไม่จริงจัง “ครับๆ ไปได้แล้ว”

พลัฎฐ์ยิ้มตอบก่อนจะเดินตรงไปที่ประตู แต่ก็ไม่วายหันมาบอกราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้

“อ้อ เก็บของเสร็จแล้วรอแปปนึงนะครับตัวเล็ก เดี๋ยวพี่ให้คุณฝ้ายลงไปส่ง”

ตะวันย่นจมูก ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงปลงๆ เล็กๆ “โถ่ พี่พลัฎฐ์ ตะวันโตแล้ว ตะวันลงไปเองได้ครับ”

“หนูครับ...” พลัฎฐ์เรียกอีกฝ่ายด้วยสรรพนามเฉพาะเสียงเข้ม ให้ตะวันถอนหายใจเบาๆ และพยักลงอย่างจำยอม

“โอเคครับ โอเค ตะวันจะรออย่างใจจดใจจ่อเลย.. พี่ไปประชุมเถอะครับ”

พลัฎฐ์ยิ้มอย่างพอใจที่อีกฝ่ายยอมเชื่อตนเอง จึงได้วางใจหมุนตัวเดินออกจากห้องไป ปล่อยตะวันไว้ในห้องทำงานกว้างของคนตัวโตกว่าลำพัง

และเมื่อตะวันเก็บอุปกรณ์และภาชนะต่างๆ เสร็จ คนตัวเล็กกว่าก็มองไปรอบๆ ห้องของพลัฎฐ์อย่างสนใจ เนื่องจากก่อนหน้านี้เกิดเรื่องเลยไม่ได้ให้ความสนใจกับห้องของพลัฎฐ์มากสักเท่าไหร่ ตะวันเลยตัดสินใจที่จะเดินดูรอบๆ เพราะไหนๆ ก็ต้องรอให้คุณฝ้ายมารับพาลงไปข้างล่างอยู่แล้ว

พอคิดได้แบบนั้นขาเรียวก็ตัดสินใจเดินไปรอบๆ ตะวันตรงไปยังมุมห้องที่มีฟูกเล็กๆ กางวางอยู่ในคอกกั้นสำหรับเด็ก พร้อมกับของเล่นที่วางอยู่ในกล่องพลาสติกขนาดใหญ่ข้างคอกกั้น ถ้าให้เดา ตรงนี้ต้องพื้นที่ของน้องพีแน่ๆ พลัฎฐ์คงจัดพื้นที่ส่วนนี้ไว้ให้ลูกชาย ในวันที่เขาต้องพาเด็กน้อยมาที่ออฟฟิศด้วย

ตะวันได้แต่มองข้าวของตรงหน้าด้วยสายตาอ่อนโยน พลางนึกชื่นชมคนรักของตัวเองในใจ เพราะถึงแม้ว่าพลัฎฐ์จะงานยุ่งแค่ไหน ก็ไม่เคยละเลยน้องพีเลยสักครั้ง คนตัวโตกว่ามักจะสรรหาสิ่งที่ดีที่สุด และปลอดภัยที่สุดมาให้ลูกชายเสมอ และไม่มีสักครั้งที่พลัฎฐ์จะปล่อยให้น้องพีอยู่นอกสายตาไปไกล

จากตรงจุดนั้นตะวันก็เดินต่อไปเรื่อยๆ ไปยังตู้โชว์รางวัลต่างๆ ของพลัฎฐ์ ร่างบางได้แต่มองสิ่งที่อยู่ในตู้โชว์ด้วยสายตาชื่นชม ถัดจากตู้โชว์ก็เป็นชั้นวางของที่ไม่ได้สูงมากนัก ในแต่ละชั้นเต็มไปด้วยรูปภาพที่อยู่ในกรอบ ส่วนใหญ่จะเป็นรูปเด็กน้อยหน้าตาน่ารักที่เดาได้ไม่ยากเลยว่าต้องเป็นน้องพีแน่ๆ

ซึ่งรูปแต่ละรูปจะบ่งบอกพัฒนาการของน้องพีตั้งแต่เป็นเด็กทารกตัวน้อย จวบจนอายุเท่าปัจจุบัน บ้างเป็นรูปน้องพีเดี่ยวๆ บ้างเป็นรูปน้องพีถ่ายกับพลัฎฐ์ และยังมีรูปน้องพีถ่ายกับผู้ใหญ่สูงวัยหญิงชายที่กำลังยิ้มกว้างพลางมองเด็กในอ้อมกอดด้วยสายตารักใคร่และอ่อนโยน ซึ่งถ้าให้ตะวันเดาก็คิดว่าสองท่านนี้น่าจะเป็นคุณพ่อและคุณแม่ของพลัฎฐ์

แต่ก็ไม่มีรูปไหนสะดุดใจตะวันเท่ากับรูปของน้องพีที่เป็นทารกตัวน้อยๆ อยู่ในอ้อมอกของหญิงสาวหน้าตาดีคนหนึ่ง... และถ้าให้ตะวันเดา ผู้หญิงคนนี้คงจะเป็นคุณแม่ของน้องพีแน่ๆ


คุณแม่ของน้องพีที่พลัฎฐ์ไม่เคยแม้แต่จะพูดถึงหรือเอ่ยชื่อให้ตะวันได้ยิน


มือเรียวหยิบรูปนั้นขึ้นมาอย่างพิจารณา ในใจเกิดคำถามขึ้นมากมายว่าเกิดอะไรขึ้นกับผู้หญิงในรูป ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน และเหตุใดจึงเลิกลากับพลัฎฐ์

ตะวันคิดอย่างสับสน เพราะเอาเข้าจริงแล้วถึงแม้เขากับพลัฎฐ์จะเริ่มคบกันอย่างเป็นทางการ แต่ตะวันกลับรู้เรื่องของพลัฎฐ์น้อยมาก พลัฎฐ์แทบไม่ค่อยจะเล่าอะไรเกี่ยวกับตัวเองและน้องพีให้ฟังมากนัก ยิ่งเรื่องภรรยาเก่า ยิ่งไม่เคยหลุดรอดออกจากปากของพลัฎฐ์แม้แต่น้อย แน่นอนว่าตะวันไม่ได้ไม่ไว้ใจ แต่ลึกๆ มันก็อดรู้สึกตะขิดตะขวงแปลกๆ ไม่ได้ ตะวันเองก็ไม่ได้คิดจะละลาบละล้วง แต่ถ้าได้พอรู้บ้างจะได้ทำตัวกับเรื่องนี้ถูก

แต่พลัฎฐ์กลับไม่เคยมีทีท่าว่าจะแย้มพรายเรื่องต่างๆ เหล่านี้เขารู้เลยสักนิด...


ก๊อก ก๊อก ก๊อก


เสียงเคาะประตูดึงตะวันให้ออกจากภวังค์ ก่อนที่คุณฝ้ายจะเดินเข้ามา ให้ตะวันต้องวางกรอบรูปลงบนที่เดิม และเดินมาหยุดตรงโซฟาที่วางของและอุกรณ์ต่างๆ เอาไว้

“คุณตะวันเสร็จเรียบร้อยหรือยังคะ” เลขาฯ คนสนิทของพลัฎฐ์ถามด้วยรอยยื้มเป็นมิตร

“เรียบร้อยแล้วครับคุณฝ้าย ไปกันเลยไหมครับ” ตะวันลังเลอยู่อึดใจหนึ่ง คิดว่าจะถามคุณฝ้ายเรื่องคุณแม่ของน้องพีดีไหม แต่แล้วก็ตะวันก็ตัดสินใจปัดเรื่องทั้งหมดออกไปจากความคิด ก่อนจะบอกกับตัวเองว่า เขาจะไม่เข้าไปก้าวก่ายในสิ่งที่พลัฎฐ์ยังใม่พร้อมหรือยังไม่คิดที่จะเล่า

ตะวันจะพยายามอดทนรอ เขาเชื่อว่าสักวันนึงพลัฎฐ์จะต้องยอมเล่าเรื่องพวกนี้ห้เขาฟังแน่ๆ อาจจะต้องใช้เวลาแต่ที่สำคัญคือตะวันต้องไว้ใจคนรักของตัวเอง เพราะเขามั่นใจว่ายังไงพลัฎฐ์ก็ไม่มีอะไรให้ต้องปิดบังอยู่แล้ว

“ค่ะ เชิญทางนี้เลยค่ะคุณตะวัน” คุณฝ้ายเปิดประตูกว้างพลางผายมือเชิญตะวัน ตะวันหันกลับไปมองกรอบรูปอันที่ว่าอีกครั้ง ก่อนจะส่ายศีรษะน้อยๆ แล้วหันกลับมายิ้มให้คุณฝ้ายแทน จากนั้นก็เดินตรงไปยังประตูตามคำเชื้อเชิญ โดยไม่ได้สนใจกรอบรูปอันที่ว่าอีกต่อไป

แม้ในใจจะไม่ได้รู้สึกสงบขนาดนั้นก็ตาม...

.

.

.

To Be Continue

-----------------------------------------

Talk: ตอนนี้เบาๆ ไปก่อนเนาะคะ แล้วเดี๋ยวตอนหน้าเราไปเที่ยวกันนนน~ แพ็คกระเป๋ารอได้เลยจ้า อิอิ

ฝากติดแท็ก #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว ในทวิตเตอร์ด้วยนะคะ ขอบคุณมากๆ สำหรับทุกคอมเม้นท์และกำลังใจ ดีใจมากๆ ที่เห็นมีคนคอมเม้นท์เกี่ยวกับปมของเรื่องที่เราเปิดไว้ในตอนนี้พอดี ... ใจตรงกันเลยยย ><

เจอกันตอนหน้านะคะ ย้ำอีกสีกที นิยายเรื่องนี้เราแต่งไว้จบเรียบร้อยแร้วนะคะ ลงได้ต่อเนื่องไม่มีเท ไม่มีติขัด ส่วนใหญ่จะอัปทุกอังคารกับศุกร์จ้า นอกจากติดธุระปะปัง เลทมากสุดหนึ่งวันค้าบบบ ... เริ้บ❤

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
:: Chapter 14th - สวนสัตว์ของเด็กๆ ::


วันหยุดสุดสัปดาห์เสาร์อาทิตย์กำลังจะเวียนมาถึง และสัปดาห์นี้ตะวันกับพลัฎฐ์ก็มีแผนว่าจะพาเด็กๆ ไปเที่ยวสวนสัตว์ เพราะเห็นว่าเมื่อกลางอาทิตย์ที่ผ่านมา น้องพีกับอาทิตย์ได้เรียนเรื่องสัตว์โลกน่ารักไป แล้วเกิดอินพูดเจื้อยแจ้วถึงสัตว์ชนิดนั้น ชนิดนี้ทั้งวัน

พลัฎฐ์เลยตั้งใจว่าจะพาเด็กๆ ไปเห็นสัตว์ของจริงสักหน่อย แม้จะเคยไปกันมาบ้างแล้วทั้งอาทิตย์ทั้งน้องพี แต่การได้ไปด้วยกันหลังจากได้รับความรู้ที่ถูกต้องมาจากการเรียนหนังสือ น่าจะทำให้เด็กๆ เกิดการเรียนรู้มากขึ้น และสนุกมากขึ้นกว่าที่ผ่านๆ มา

คนเป็นปะป๊าตั้งใจว่าจะออกจากบ้านแต่เช้าตรู่ เพราะจะไปสวนสัตว์เปิดที่อาจจะต้องขับรถเลยออกไปจากกรุงเทพนิดหน่อย ซึ่งสวนสัตว์ที่ชลบุรีก็ถือเป็นทางเลือกที่ดี และพอได้พูดคุยปรึกษากับตะวัน คนทั้งคู่เลยตัดสินใจได้ว่า ไหนๆ ก็ออกมาถึงจังหวัดติดชายทะเลแล้ว ก็แวะค้างคืนสักคืน พาเด็กๆ เล่นน้ำทะเล ผ่อนคลายความตึงเครียดเสียหน่อยน่าจะดี

เพราะตั้งแต่ตะวันเปิดร้านมา ก็ค่อนข้างวุ่นพอสมควร ตัวพลัฎฐ์เองก็ไม่ต่าง และอีกอย่างก็เพื่อเป็นการฉลองการคบกันอย่างเป็นทางการของเขาทั้งสอง พวกเขาจึงตัดสินใจใช้ทริปนี้ในการเรียนรู้กันและกันให้มากขึ้นด้วย เขาทั้งคู่อยากจะลองดูว่ามันจะผ่านไปด้วยดีไหม ถ้าจะต้องอยู่ด้วยกันตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง โดยมีเจ้าหน่อน้อยให้ต้องดูแลอีกสองคน มันจะรอดหรือจะร่วงก็วัดกันที่ทริปนี้ได้เลย

.

.

.

(ไปทะเลหรอ? ไปด้วยสิ)

ตะวันเลิกคิ้วนิดหน่อย เมื่อได้ยินปลายสายร้องขอที่จะไปด้วย เขาค่อนข้างแปลกใจที่ชนกันต์ดูกระตือรื้อร้นกับทริปที่จะมีขึ้นในสุดสัปดาห์นี้ หลังจากตะวันมาเล่าให้ฟังจบ

“คิดไงมาขอไปด้วย ปกตินายไม่ชอบไปค้างคืนที่ไหนไม่ใช่เหรอ?”

ตะวันถามลูกพี่ลูกน้องด้วยความแปลกใจ เพราะเอาเข้าจริงแล้วชนกันต์ไม่ใช่คนชอบเที่ยวอะไรแบบนี้ ไปเที่ยวประเดี๋ยวประด๋าว หรือไปแฮงก์เอ้าท์ดื่มคลายเครียดกับพวกเพื่อนๆ น่ะใช่ แต่ไปค้างคืนต่างจังหวัด ดูสัตว์ ดูทะเล ภูเขาอะไรนี่ ดูเหมือนจะไม่ใช่ทางของอีกฝ่ายสักเท่าไหร่

อันดับแรกเลยเพราะชนกันต์ห่วงร้านพอสมควร ร้านทำผมของชนกันต์ไม่ได้ปิดเสาร์อาทิตย์เหมือนของตะวัน แต่ปิดแค่เดือนละสองครั้ง ซึ่งวันปิดทำการนั้นจะเป็นทุกต้นเดือนและกลางเดือนตลอด ดังนั้น ชนกันต์จึงไม่ค่อยชอบไปไหนไกลๆ ด้วยเหตุผลของเรื่องร้านเป็นหลัก เนื่องจากชาร์มมีลูกค้าที่เป็นลูกค้าประจำค่อนข้างมาก ที่นัดคิวจองคิวกันไว้ล่วงหน้าก็มีไม่น้อย นั่นเลยเป็นสาเหตุให้ลูกพี่ลูกน้องคนเก่งของตะวันตัดปัญหา ไม่ไปไหนเลยเป็นดีที่สุด

แต่คราวนี้กลับมาขอไปทะเลด้วย จะไม่ให้สงสัยได้ยังไงกัน

(ไม่ได้คิดอะไรแค่อยากไปเฉยๆ มันเบื่อๆ พักนี้รู้สึกเซ็งๆ ไงไม่รู้ ได้ออกไปเปิดหูเปิดตา เปิดประสบการณ์บ้างน่าจะดีขึ้น)

ชนกันต์ตอบเรื่อยๆ จนตะวันเดาแทบไม่ถูกว่าอีกคนอยู่ในอารมณ์แบบไหน แต่ฟังจากน้ำเสียงแล้วก็คงดูเบื่อจริงๆ นั่นแหละ ไม่แน่ที่ไปครั้งนี้ คงอยากไปหาเป้าหมายหรือแรงบันดาลใจอะไรบางอย่างให้ชีวิตด้วยล่ะมั้ง

(แต่ถ้านายไม่สะดวก ฉันไม่ไปก็ได้นะ เผื่อนนายจะอยากไปสวีทกับพ่อหนุ่มข้างบ้านสองต่อสอง บอกตรงๆ ได้ ฉันโอเค)

ชนกันต์แสดงออกว่าโอเคจริงๆ และตะวันก็เชื่อว่าอีกฝ่ายไม่ได้พูดประชดเขาแต่อย่างใด แต่ในความเป็นจริงเขากับพลัฎฐ์ก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรขนาดนั้น ถ้าชนกันต์อยากจะไปก็ไป ดีเสียอีกไปกันหลายๆ คนน่าจะสนุก

“พูดไปเรื่อยน่าชาร์ม” ตะวันแสร้งทำเสียงหน่ายๆ ใส่อีกฝ่ายให้ได้หัวเราะ “อยากไปก็ไป ถ้าฉันจะสวีทกับพี่พลัฎฐ์ ฉันก็หาทางให้ได้เองนั่นแหละ นายไม่ต้องมากคิดอะไรเยอะหรอก... อีกอย่างไปกันหลายๆ ก็น่าจะสนุกดี”

เสียงจากปลายสายหัวเราะเบาๆ อดยอมรับไม่ได้ว่าน้องชายของเขาช่างเป็นคนแปลกประหลาดดีแท้ จะไปเที่ยวสวีทกับแฟน แต่พอเขาขอจะไปด้วยก็กลับยอมให้ไปง่ายๆ ... แบบนี้คุณพลัฎฐ์ไม่อกแตกตายแย่รึ?

(ไปได้แน่นะตะวัน นายถามคุณพลัฎฐ์รึยัง? เขาสะดวกใจจะให้ฉันไปหรือเปล่าเถอะ) ชนกันต์ถามย้ำ แต่ตะวันก็ยืนยันตามเดิม

“บอกว่าไปได้ก็ไปได้สิ จะคิดอะไรมากทำไม พี่พลัฎฐ์เขาไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยอะไรหรอก”

(อ่าๆ งั้นฝากขอบคุณคุณพลัฎฐ์ด้วย แต่ฉันขอตามไปตอนเย็นๆ นะ คงตามไปเจอที่ที่พักเลย สวนสัตว์นี่คงขอบายอ่ะ เพราะช่วงเช้านัดลูกค้าไว้)

“โอเค งั้นเจอกันวันเสาร์นะ เดี๋ยวฉันส่งรายละเอียดที่พักให้ ถ้านายออกจากกรุงเทพแล้วโทรบอกฉันละกัน จะได้ไปถึงที่พักพอดีๆ กัน”

(ได้ ขอบใจมากนะตะวันที่ให้ฉันไปด้วย) ปลายสายตอบรับเสียงใส ให้ตะวันอดยิ้มบางๆ ออกมาไม่ได้ (ฝากบอกเจ้าอาทิตย์ด้วยนะว่าฉันคิดถึง ... แล้วเจอกัน)

ตะวันมองโทรศัพท์ที่ปลายสายตัดไปแล้ว ด้วยความที่เขากับชนกันต์สนิทกันมาก เลยทำให้ตะวันพอจะเดาออกว่าชนกันต์น่าจะกำลังเบื่อๆ หรือมีอะไรในใจ อย่างที่บอกไปลูกพี่ลูกน้องของเขาคนนี้ แม้จะเป็นช่างตัดผมแต่ก็มีความเป็นศิลปินสูง นี่ก็คงอุดอู้อยู่แต่ที่ร้านกับที่บ้านมานาน ไม่ค่อยได้ไปเที่ยวไหนเหมือนวัยรุ่นคนอื่นๆ เพราะเปิดร้านตั้งแต่อายุยังน้อย มันจึงไม่แปลกเท่าไหร่นักที่ชนกันต์จะโหยหาอิสระบ้างในบางครั้ง

ดังนั้น การที่อีกฝ่ายร้องขอเขาไปเที่ยวแบบนี้ ถ้าให้ตะวันเดา ก็คงจะเต็มกลืนกับชีวิตประจำวันของตัวเองจนฝืนไม่ไหว เลยต้องตัดใจเดินออกจากเซฟโซน เพื่อเติมเต็มความสุขด้านอื่นให้ชิวีตบ้าง ซึ่งตะวันเข้าใจอีกฝ่ายเป็นอย่างดี เลยบอกให้ชนกันต์ไป โดยไม่ได้ถามจากพลัฎฐ์ก่อน เพราะตะวันค่อนข้างแน่ใจว่าพลัฎฐ์น่าจะไม่มีปัญหาอะไรถ้าหากชนกันต์จะไปในทริปนี้ด้วย

.

.

.

“เด็กๆ ครับ เสร็จเรียบร้อยกันรึยังครับ พี่ตะวันกับปะป๊าพลัฎฐ์จะไปแล้วนะ”

น้ำเสียงหวานนุ่มน่าฟังของตะวันดังสะท้อนไปทั่วทั้งบ้าน ในขณะที่มือเรียวกำลังยกกระเป๋าใบเล็กที่บรรจุอุปกรณ์ต่างๆ ที่จะเอาไปประกอบอาหารรับประทานที่ริมทะเล โดยมีพลัฎฐ์รับหน้าที่ทยอยยกของต่างๆ ที่ตะวันยกมาวางกองรวมกันเอาไปขึ้นรถอย่างอารมณ์ดี ทำเอาคนแอบมองอย่างตะวันอดยิ้มตามด้วยไม่ได้

ตะวันรู้ดีว่าพลัฎฐ์มีความสุขมากแค่ไหนตอนวางแผนทริปนี้ คนตัวโตกว่าชี้แจงเป็นฉากๆ ว่าวันนี้พวกเขาจะทำอะไรบ้าง ไปที่ไหนบ้าง ทำเอาเจ้าตัวน้อยที่มาร่วมนั่งฟังแผนการเที่ยวด้วยครางอู้หูอ้าหากันยกใหญ่ ทั้งที่บางอย่างเด็กน้อยทั้งคู่อาจจะฟังไม่เข้าใจด้วยซ้ำ แต่พอได้ยินคำว่าเที่ยว ก็หูผึ่ง ดี๊ด๊า ไม่มีการงอแงใดๆ เลยสักนิด ทั้งเก็บกระเป๋า ทั้งทำการบ้าน ทั้งอ่านหนังสือล่วงหน้าโดยไม่มีท่าทีอิดออด เพราะข้อตกลงเดียวที่ตะวันขอก็คือ ทั้งน้องพีและอาทิตย์จะต้องทำทุกอย่างที่ติดค้างในเรื่องการเรียนให้เสร็จสิ้นก่อนถึงจะไปเที่ยวได้ ซึ่งเด็กทั้งคู่ก็ให้ความร่วมมืออย่างดี จนตะวันอดมันเขี้ยวกับความรู้มากของเด็กๆ ไม่ได้

ตอนแรกตะวันกับพลัฎฐ์ตั้งใจจะนอนพักในโรงแรมที่ห้องกว้างๆ สักห้อง เพราะมีแค่พวกเขากับเด็กน้อยสองคนเท่านั้น แต่พอชนกันต์เอ่ยปากขอไปด้วย พลัฎฐ์เลยเปลี่ยนใจเช่าบ้านพักติดริมทะเลเล็กๆ หนึ่งหลัง และเปลี่ยนแผนที่จะไปกินอาหารทะเลที่ร้านดังๆ สักร้านในย่านนั้น เป็นการทำบาร์บีคิวและซีฟู้ดเผากินกันเองในบ้านพักแทน เพราะดูแล้วน่าจะสนุกและได้บรรยากาศมากกว่า

“เส็ดแย้วคับ! น้องพีเส็ดแย้ว!” น้องพีวิ่งดุ๊กๆ ลากกระเป๋าเป้ใบน้อยของตัวเองมาตามพื้น ก่อนจะหันไปตะโกนเรียกคู่ซี้ที่ตะวันยังไม่เห็นแม้แต่เงา “คุณอาทิตย์เส็ดยื้อยัง เย็วๆ สิ เย็วๆ”

ตะวันหัวเราะออกมาเบาๆ ตอนได้ยินน้องพีตะโกนเรียกอาทิตย์เสียงหลง และไม่บอกก็รู้ได้เลยว่าตอนนี้เจ้าตัวน้อยของพลัฎฐ์ตื่นเต้นมากแค่ไหน เพราะเด็กชายตัวจ้อยพูดรัวเร็วจนไม่ชัดเลยสักคำ

“เสร็จแล้วววววว น้องพีอย่าเพิ่งเร่งสิ คุณอาทิตย์รีบอยู่”

พลัฎฐ์ได้ยินเสียงโวยวายของเจ้าหนูทั้งคู่ แทรกด้วยเสียงหัวเราะของตะวันก็ได้แต่ส่ายศีรษะยิ้มๆ ขบวนการขี้แกล้งนี่ไม่มีใครเกินคุณภานรินทร์เขานั่นล่ะ ไม่รู้อายุกี่ขวบ ดูท่าทางเหมือนเป็นหัวหน้าแก๊งเด็กมากกว่าที่จะเป็นผู้ปกครอง

“ไม่ต้องรีบนะครับ ปะป๊ายังยกของไม่เสร็จเลย” พลัฎฐ์ว่าก่อนจะได้รับค้อนวงโตที่ขว้างมาจากตากลมของตะวัน โทษฐานขัดขวางการแหย่เด็กๆ ซึ่งเป็นงานอดิเรกที่เจ้าตัวทำประจำทุกวัน

คนได้รับค้อนนอกจากจะไม่สลดแล้วยังยกยิ้มเริงร่าใส่ตะวันอย่างไม่เกรงกลัวอีก หนำซ้ำพอตอนตะวันเผลอ หันไปมองเด็กๆ หยิบรองเท้ามาใส่ พลัฎฐ์ก็ตรงเข้ายืนประชิดติดด้านหลังของคนตัวเล็กกว่า ก่อนจะยื่นหน้าใช้จมูกฉกลงไปบนแก้มนุ่มนิ่มของอีกฝ่าย ให้ตะวันได้ตกใจเล่นอีกต่างหาก

“พี่พลัฎฐ์!”

ตะวันยกมือน้อยๆ ขึ้นมากุมแก้มของตัวเองที่ตอนนี้น่าจะขึ้นสีแดงเรื่อ และพยายามที่จะสะบัดหน้าหนี แต่ติดที่มือปลาหมึกของพลัฎฐ์กอดรัดเอวบางแน่นเลยทำให้ขยับไปไหนไม่ได้ ในขณะที่คนถูกดุกลับยิ้มกริ่ม แถมยังพูดแหย่คนรักตัวเองไม่เลิก

“ทีแกล้งลูก แกล้งน้องแกล้งได้นะ พอพี่แกล้งบ้างทำมางอน”

ตะวันหันมามองพลางถลึงตาใส่คนขี้แกล้ง แต่แทนที่พลัฎฐ์จะสลด กลับยื่นใบหน้าเข้าไปใกล้อีกฝ่าย ก่อนที่จะประทับริมฝีปากลงไปบนกลีบปากบางเร็วๆ

จุ๊บ ~

เท่านั้นแหละ คนตัวโตก็ถูกมือเล็กๆ ของคนรักระดมตีไปที่เรียวแขนแข็งแรงทันที ในขณะที่พลัฎฐ์ก็เอาแต่หัวเราะชอบใจเพราะแกล้งให้ตะวันเขินอายได้

“พี่ไปยกของขึ้นรถเลยนะ ไปเลย!” ตะวันว่าเสียงขึงขังทั้งที่แก้มแดงเป็นมะเขือเทศ “เดี๋ยวตะวันจะพาเด็กๆ ขึ้นรถเอง พี่ไม่ต้องมากอดแล้ว ชิ่วๆ”

“ฮ่าๆๆ” พลัฎฐ์หัวเราะเสียงดังลั่นที่ถูกตะวันทำเสียงไล่ จนเด็กๆ หันมามองและหัวเราะตามแบบไม่มีเหตุผล ให้ตะวันอดอมยิ้มตามไม่ได้

“ขำอะไรกัน หื้ม?” ตะวันแกล้งถามเสียงเข้ม ทำเอาน้องพีกับคุณอาทิตย์ยกมือขึ้นมาปิดปากด้วยท่าทางทะเล้นแทบไม่ทัน

“อุ๊ป...”

“คิกคิก..”

และด้วยท่าทางน่าเอ็นดูของเจ้าหนูทั้งคู่ก็ทำเอาตะวันอดก้มลงไปฟัดพุงน้อยๆ ของเด็กทั้งสองไม่ได้

“พี่ตะวันนนน คิกๆๆๆๆ”

“อย่าแกล้งน้องงงง ฮ่าๆๆๆๆ”

ซึ่งกว่าจะพากันขึ้นรถเก็บของเรียบร้อยได้ ก็เสียเวลาไปอยู่พอสมควร เพราะทั้งเด็กน้อยและผู้ใหญ่โข่งก็พากันเล่นอย่างสนุกสนาน

ดูเหมือนว่าทริปนี้จะสนุกตั้งแต่เริ่มออกเดินทางเลยทีเดียว

.

.

.

“ปะป๊า น้องพีอยากเห็นทะเยแย้ว เมื่อไหย่จะถึงสักทีคับ”

เจ้าตัวน้อยชะเง้อคอมองออกไปนอกหน้าต่างตั้งแต่ออกจากบ้าน จนตอนนี้คอแทบจะยาวเทียบเท่ากับกระเหรี่ยงแล้ว และก่อนที่เด็กชายพีรยสถ์จะบ่นไปมากกว่านี้ เจ้าหนูอีกคนที่นั่งอยู่ในคาร์ซีทอันข้างๆ ก็พูดเบรกขึ้นเสียก่อน

“ยังไม่ถึงหรอกน้องพี เพราะเมื่อคืนพี่ตะวันบอกคุณอาทิตย์ว่าเราจะไปสวนสัตว์กันก่อน น้องพีไม่อยากไปดูฮิปโปโปแล้วเหรอ”

เด็กชายพีรยสถ์ตาเหลือกโตเมื่อได้ยินเพื่อนสนิทพูดถึงฮิปโปโปเตมัส เพราะน้องพีน่ะอยากเห็นมาก เห็นแค่รูปที่คุณครูเอาให้ดูเมื่อวันก่อนแล้วก็รู้สึกว่ายังไม่พอ ยังอยากเห็นอีก และยิ่งได้เห็นแบบตัวจริงๆ เลยยิ่งดี

“จิงหยอคุณอาทิตย์?” น้องพีปรบมือเปาะแปะด้วยความชอบใจ ก่อนจะยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างมีความสุข “น้องพีอยากเห็นฮิปโปโป อยากเห็นน้องยิงด้วย น้องยิงที่ย้องเจี๊ยกๆ”

คนเป็นพ่อได้ยินลูกชายพูดเจื้อยแจ้วด้วยความตื่นเต้นละก็อมยิ้ม แม้เจ้าหนูจะยังพูดไม่ชัด แต่พลัฎฐ์ก็มองออกว่าเจ้าตัวจ้อยของเขานั้นมีความสุขแค่ไหน

“แล้วน้องพีอยากเห็นตัวอะไรอีกครับ พี่ตะวันจะพาไปดูให้ทั่วสวนสัตว์เลยดีไหม?”

และถ้าเมื่อกี้พลัฎฐ์คิดว่าตัวเองมีความสุขมากแล้ว ก็กลับดูเหมือนว่าเขาจะมีความสุขได้มากขึ้นกว่าเดิมอีก เมื่อได้ยินเสียงหวานทอดถามลูกชายของเขาอย่างอบอุ่นและใส่ใจ ตั้งแต่เริ่มคบกันมาตะวันก็ทำได้อย่างที่บอกเขาไว้ไม่เคยเปลี่ยน


‘ตะวันจะรักน้องพีให้มากเท่ากับที่ตะวันรักอาทิตย์’


ซึ่งวันนี้ตะวันก็พิสูจน์ให้พลัฎฐ์เห็นได้โดยที่เขาไม่มีอะไรต้องตะขิดตะขวงใจอีก

“ดีคับๆ น้องพีอยากไปดูยียาฟคับพี่ตะวัน” น้องพีพูดต่อด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะหันไปถามเพื่อนซี้อย่างคุณอาทิตย์ด้วยความรื่นเริง

“คุณอาทิตย์ๆ คุณอาทิตย์อยากเห็นสัตว์อะไย”

เจ้าอาทิตย์ดวงน้อยเหลือบสายตาไปสบกับพี่ชายที่หันมาทางตนพอดีราวกับจะขออนุญาตและถามความเห็น ซึ่งพอตะวันพยักหน้ารับเบาๆ ราวกับรอฟังอยู่ เจ้าอาทิตย์ดวงน้อยก็ยิ้มแฉ่งจนตาหยี ก่อนจะบอกความประสงค์ของตัวเองให้ผู้ใหญ่ทั้งคู่ได้รับรู้

“อาทิตย์อยากไปดูสิงโตกับเสือครับ แล้วก็จระเข้ด้วย อาทิตย์อยากเห็นตัวจริงๆ”

พอได้ยินเพื่อนสนิทบอกน้องพีก็ส่ายหัวดิก ใบหน้าน่ารักดูเหยเก พร้อมกับพูดออกมาอย่างน่าเอ็นดู

“สิงโตกับเสือน้องพีเก๊าะอยากเห็น แต่จอยะเข้ตัวใหญ่น้องพีไม่กล้าไปดูเยย”

และด้วยคำพูดนั้นก็ให้ตะวันต้องหันไปถามด้วยความแปลกใจ “อ่าว ทำไมน้องพีไม่อยากไปดูล่ะครับ”

“น้องพีกัว กัวจอยะเข้ตัวใหญ่มาจับน้องพีไปกิน” เด็กน้อยพูดหน้าตาจริงจัง ทำเอาตะวันแอบลอบยิ้มด้วยความเอ็นดูไม่ได้ “คุณอาทิตย์ไม่ไปดูไม่ได้หยอ? น่ากัวนะ”

ตะวันแอบมองน้องชายเพื่อที่จะดูว่าเจ้าตัวแสบของเขาจะมีท่าทียังไงกับคำขอของเด็กชายอีกคนที่เป็นเพื่อนสนิท และริมฝีปากสีสดสวยก็ต้องยกยิ้ม เมื่อได้ยินเจ้าตัวน้อยที่คิดแล้วคิดอีกตอบออกมาอย่างน่าฟัง

“ถ้าน้องพีกลัว คุณอาทิตย์ไม่ไปดูก็ได้.. แต่ถ้าสมมติว่าน้องพีเปลี่ยนใจอยากไปดู น้องพีก็ไม่ต้องกลัวนะ มีคุณอาทิตย์อยู่ มีปะป๊าพะลัดอยู่ มีพี่ตะวันอยู่ จระเข้ตัวใหญ่ก็ทำอะไรน้องพีไม่ได้หรอก”

“หยอ?” ใบหน้าน่ารักขบคิดตามคำพูดของเพื่อนสนิทอยู่พักใหญ่ ก่อนจะคิดได้ว่าตัวเองมีปะป๊า มีพี่ตะวัน มีคุณอาทิตย์อยู่ทั้งคน ดังนั้นน้องพีไม่จำเป็นต้องกลัวจระเข้เลยสักนิด

“เก๊าะได้ น้องพีไปดูเก๊าะได้ มีคุณอาทิตย์อยู่น้องพีไม่กัวหยอก” พูดไม่พูดเปล่า เจ้าหนูขี้อ้อนอย่างเด็กชายพีรยสถ์ก็วาดแขนไปเกาะแขนของเด็กชายอาทิตย์ที่นั่งอยู่ในคาร์ซีทข้างๆ คาร์ซีทตัวเอง พลางยิ้มหวานเอาใจคนเป็นเพื่อน จนแก้มกลมๆ ของเจ้าอาทิตย์ดวงน้อยแดงปลั่งด้วยความเขิน

“อื้อ น้องพีไม่ต้องกลัวนะ เพราะคุณอาทิตย์จะดูแลน้องพีเอง”

ผู้ใหญ่ทั้งสองที่นั่งอยู่เบาะหน้าหันมาสบตากันพร้อมกับอมยิ้มเล็กน้อยเมื่อได้ยินบทสนาทของเด็กชายทั้งคู่ ความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยความไว้ใจและเชื่อใจ ทำให้มิตรภาพของเด็กน้อย ดูสวยงามน่าอิ่มเอมใจเมื่อมองจากสายตาของคนนอก คนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ปกครองของเจ้าหนูทั้งคู่

.

.

.

และช่วงสายๆ พลัฎฐ์ก็ขับรถเดินทางมาถึงสวนสัตว์เปิดเขาเขียว โชคดีมากที่วันนี้ลมเย็นสบาย ฝนไม่ตก และแดดไม่แรงมากนัก ตอนแรกเขาและตะวันตกลงใจกันว่าจะเช่ารถกอล์ฟข้างในสวนสัตว์ให้ขับพาเที่ยว จะได้ไม่ต้องกังวลและหลงในการขับรถเอง แต่คิดไปคิดมาตะวันกลับไปเปลี่ยนใจ และคิดว่าให้พลัฎฐ์ขับรถเข้าไปเองเลยดีกว่า เนื่องจากมันสะดวกกว่า และเด็กๆ จะได้ไม่ต้องสูดควันรถคันอื่นหรือผจญแดดแรงถ้าไม่จำเป็น เพราะรถกอล์ฟไม่ได้มีอะไรป้องกัน ตะวันจึงไม่ค่อยแน่ใจเรื่องสุขภาพอนามัยของเด็กๆ สักเท่าไหร่นัก

“อ่ะ ปะป๊าซื้อตั๋วเรียบร้อยแล้ว เราเข้าไปกันเลยดีกว่าเนาะ”

พลัฎฐ์ขับรถเข้าไปในสวนสัตว์โดยแวะซื้อผลไม้และผักที่จะเอาเข้าไปให้แก่สัตว์ข้างในก่อน จากนั้นคนตัวโตก็เอารถไปจอดตรงจุดที่ให้บริการ แล้วก็พาเด็กๆ ตระเวนดูโดยรอบ ซึ่งน้องพีกับคุณอาทิตย์ก็ดูตื่นตาตื่นใจกับทุกสิ่งรอบตัวไปหมด

“อะ อ้ามม น้องพีป้อนคุณยียาฟน้า หม่ำๆ” เจ้าหนูตัวน้อยที่ตอนนี้ขี่อยู่บนคอของพลัฎฐ์กำลังเอื้อมมือไปยื่นอาหารให้กับสัตว์คอยาวที่เจ้าตัวอยากเจอเสียเหลือเกิน

“โตไวๆ น้าคุณยียาฟ คุณยียาฟ ไม่ดื้อ ไม่ซน เป็นเด็กดีนะคับ” เจ้าหนูพูดเจื้อยแจ้ว ในขณะที่คนเป็นพ่อฟังแล้วได้แต่ยิ้มเอ็นดู

“บอกให้คุณยีราฟไม่ดื้อไม่ซน แล้วน้องพี่จะซนจะดื้อกับปะป๊าไหมหื้มตัวแสบ?”

พลัฎฐ์ถามเจ้าตัวน้อยแล้วก็ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักกลับมาเป็นการตอบแทน “ไม่ดื้อๆ น้องพีไม่ดื้อ น้องพียักปะป๊าที่สุดในโยกเยย”

ทั้งพลัฎฐ์และตะวันที่ยืนข้างๆ กันก็อดขำเอ็นดูคำพูดเจ้าตัวน้อยไม่ได้ ในขณะที่คุณอาทิตย์ที่ตะวันกำลังอุ้มอยู่ในอ้อมกอดนั้นกำลังให้ความสนใจกับนกกระจอกเทศเต็มที่ พอเจ้าตัวขายาววิ่งที คุณอาทิตย์ก็ขำเอิ้กอ๊ากที ทำเอาคนเป็นพี่ได้ยินแล้วอดหัวเราะตามไม่ได้

“อาทิตย์ดวงน้อยของพี่ ชอบเหรอครับหื้ม?”

“ชอบคับพี่ตะวัน ตอนมันวิ่งตกลกดี ฮ่าๆ”

พูดยังไม่ทันจะจบประโยค อาทิตย์ก็หัวเราะออกมาอีก เพราะเจ้านกกระจอกเทศเริ่มวิ่งกวดกันเองอีกครั้ง และในขณะที่เด็กทั้งสองกำลังสนใจสัตว์ที่ตัวเองอยากมาดูอยู่นั้น พลัฎฐ์กับตะวันก็ค่อยๆ ขยับตัวเองเข้าหาอีกฝ่ายทีละนิด จนมายืนข้างกันในที่สุด

“ตัวเล็กร้อนไหมครับ?” เสียงทุ้มเอ่ยถามคนรักอย่างอ่อนโยน ทำเอาตะวันยิ้มเขินออกมา

“นิดหน่อยครับ พี่พลัฎฐ์ล่ะร้อนไหม ขับรถมาเหนื่อยๆ อยากนั่งพักก่อนหรือเปล่าครับ” เสียงหวานของตะวันก็ทอดถามคนรักอย่างห่วงใยไม่ต่าง

พลัฎฐ์ส่ายศีรษะยิ้มๆ ก่อนจะตอบอ้อน “ไม่เหนื่อยครับ แค่ตัวเล็กเป็นห่วงพี่ พี่ก็หายเหนื่อยแล้ว”

“พี่ก็พูดไปเรื่อย” ตะวันยิ้มเขิน ก่อนที่พลัฎฐ์จะยกมือขึ้นมาแล้วใช้ปลายนิ้วเกลี่ยลงไปบริเวณขมับและไรผมของคนตัวเล็กกว่า พลางปาดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ที่ซึมผ่านผิวหน้าของอีกฝ่ายให้อย่างอ่อนโยน

“ถ้าเหนื่อย ถ้าร้อน บอกพี่นะครับ พี่ดูแลเด็กๆ แทนไหว” คนตัวโตกว่าพูดอย่างใจดี ทำเอาตะวันนึกปลื้มอยู่ในใจ

“ไม่เป็นไรครับพี่พลัฎฐ์ ตะวันไหว ร้อนนิดหน่อยแต่สนุกดี” คนตัวเล็กกว่ายิ้มร่า พลางสอดส่ายสายตามองไปรอบๆ อย่างตื่นเต้น “จะว่าไปก็ไม่ได้มาสวนสัตว์นานแล้ว ได้มาเปลี่ยนบรรยากาศทีก็ดีเหมือนกันนะครับ”

พลัฎฐ์ยิ้ม พลางมองอีกฝ่ายด้วยสายตาอบอุ่น

“ตัวเล็กชอบพี่ก็ดีใจ ต่อไปนี้ถ้าอยากไปไหน บอกพี่นะ ... ไปกันเราสี่คน”

ใบหน้าน่ารักแกล้งผินหนีไปทางอื่น เพราะกลัวจะกลั้นยิ้มไม่ไหว หนำซ้ำตอนนี้แก้มใสของตะวันที่ก่อนหน้าซับสีแดงอ่อนๆ เพราะอากาศร้อน ก็กลับยิ่งแดงระเรื่อมากขึ้น เพราะนึกเขินอายกับประโยคก่อนหน้าของพลัฎฐ์


ประโยคที่พูดราวกับว่าพวกเราทั้งสี่คนเป็นครอบครัวเดียวกัน


ซึ่งคนที่เพิ่งแสดงออกถึงความเป็นครอบครัวได้เห็นท่าทีเขินอายของคนรักก็นึกเอ็นดูอยู่ในใจ ก่อนจะฉวยโอกาสช่วงที่เด็กๆ กำลังจดจ่ออยู่กับสัตว์น้อยสัตว์ใหญ่ ยื่นหน้าเข้าใกล้คนที่ยืนข้างๆ ก่อนจะจรดจมูกลงบนแก้มแดงระเรื่อของอีกคน พร้อมสูดดมความหอมหวานราวกับขนมของตะวันเข้าปอดฟอดใหญ่

“หอม... อยากกัดแก้ม” พูดไม่พูดเปล่า แต่พลัฎฐ์กลับอาศัยช่วงทีเผลอตอนที่ตะวันกำลังตกใจงับเบาๆ ลงบนแก้มนิ่มของคนรักอย่างหยอกล้อ

“พี่พลัฎฐ์” ตะวันผงะถอยหลังเล็กน้อย ก่อนจะฟาดมือเรียวลงบนต้นแขนกำยำของคนที่ทำรุ่มร่าม ในขณะที่คนถูกฟาดกลับหัวเราะร่าด้วยความชอบใจ ไม่ได้สะดุ้งสะเทือนที่ถูกทำโทษสักนิด

“พี่พลัฎฐ์นะ ชอบฉวยโอกาส “ ตะวันต่อว่า แต่พลัฎฐ์กลับสวนกลับด้วยประโยคกลั้วหัวเราะเบาๆ

“ก็หนูน่ารัก น่าให้พี่ฉวยโอกาส ถ้าพี่ไม่ฉวยสิแปลก”

ตะวันมุ่ยหน้า พอได้ยินสรรพนามที่พลัฎฐ์เรียก

... ไม่ใช่ว่าไม่ชอบ แต่มันเขินๆ จั๊กจี้ในใจแปลกๆ คือถ้าอยู่กันสองคนแล้วเรียก มีหวังตะวันไปไม่เป็นยิ่งกว่านี้แน่ๆ

“พี่พลัฎฐ์ ไม่เอาหนูสิครับ” คนถูกเรียกโวยวาย ในขณะที่พลัฎฐ์กับทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ไม่รู้ว่าไม่ได้ยินจริงๆ หรือแกล้งไม่ได้ยินแน่ๆ แต่ที่รู้คือ…

“มีหนูด้วยหยอคับพี่ตะวัน หนูตัวเย็กๆ ยื้อเป่า น้องพีหยักเห็น น้องพีหยักเห็น”

ตะวันยิ้มแหย พลางมองพลัฎฐ์ที่กำลังกลั้นขำตาปริบๆ ให้คนตัวโตกว่าอดเอามือมายีผมคนรักตัวเองที่กำลังขอความช่วยเหลือทางสายตาไม่ได้ เพราะตอนนี้ตะวันดูจะอบจนหนทางในการหาคำตอบมาตอบเด็กชายพีรยสถ์ ที่ตอนนี้กำลังคาดหวังที่จะได้เห็นหนู และจ้องมาที่เขาตาแป๋ว

“น้องพีครับ” เด็กชายตัวน้อยหันไปมองพ่อตัวเองตามเสียงเรียก “พี่ตะวันเขาหมายถึงคำเรียกแทนตัวครับ ไม่ใช่หนูจริงๆ”

เมื่อเห็นลูกชายยังขมวดคิ้วสงสัยไม่ใจคำพูด พลัฎฐ์จึงว่าต่อ

“เหมือนที่ปะป๊าเรียกน้องพีว่าหนูไง หนูจำได้ไหมลูก แบบนี้น่ะ”

เจ้าตัวน้อยตาโตราวกับเพิ่งนึกออก พร้อมกับพยักหน้ารับ พลางถามคำถามที่ทำเอาตะวันต้องปาดเหงื่ออีกรอบ

“งั้น.. พี่ตะวันก็เป็นหนูเหมือนน้องพีหยอคับ เป็นหนูของปะป๊า หนูพี่ตะวัน หนูน้องพี หนูคุณอาทิตย์ คิกๆ หนูน้องพีชอบๆ”

ตะวันตาโตเตรียมจะแย้ง แต่พอเห็นน้องพีหัวเราะมีความสุขแล้วก็ทำใจร้ายไม่ลง เลยได้แต่เอออห่อหมกไป

“ครับๆ หนูพี่ตะวันก็หนูพี่ตะวัน เฮ้ออ”

ในขณะที่พลัฎฐ์หัวเราะอออกมาเสียงดังทันที่ที่เห็นตะวันยอมตามใจน้องพีในที่สุด

“ฮ่าๆ หนูพี่ตะวันของปะป๊าพลัฎฐ์”

ซึ่งเด็กๆ ทั้งสองคนเองก็ขำเอิ้กอ้ากตามผู้ใหญ่ โดยที่ไม่ได้รู้เลยว่าสิ่งที่บรรดาผู้ใหญ่ทั้งหลายขำนั้น ก็มาจากกระทำน่ารักๆ ของตัวเด็กๆ เองนั่นล่ะ

.

.

.


- อ่านต่อด้านล่าง -

ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
- ต่อจากด้านบน -

หลังจากตะลุยดูและให้อาหารสัตว์จนทั่วสวนสัตว์แล้ว พลัฎฐ์ก็ขับรถพาตะวันและเด็กๆ ออกจากสวนสัตว์แล้วมาหาอะไรรับประทานกัน เพราะเป็นช่วงกลางวันพอดี

เจ้าสองหน่อตัวน้อยดูสนุกมาก อาจจะมีเพลียแดดบ้างนิดหน่อย แต่จากเท่าที่ตะวันสังเกตเห็น ก็คิดว่าเจ้าหนูทั้งคู่น่าจะยังมีแรงเหลือพอสมควร เพราะเสียงเจื้อยแจ้วของน้องพีสลับกับคุณอาทิตย์ยังไม่ได้เงียบหาย ทั้งคู่ผลัดกันเล่าถึงสัตว์นานาชนิดที่ได้ดูให้กันฟัง ทั้งๆ ที่ก็ไปก็มาด้วยกัน แต่ก็ยังคงคอนเซ็ปต์ความตื่นเต้นเอาไว้ได้อย่างน่าชื่นชม

“คุณอาทิตย์ๆ คุณอาทิตย์เห็นคุณเสือไหม ตัวใหญ่ม๊ากมาก น้องพีชอบๆ ตอนขู่ แฮ่! งี้นะ น้องพีสะดุ้งเยย ฮ่าๆๆๆ”

“ใช่ๆ ขู่น่ากลัวมากกกก แต่คุณอาทิตย์ไม่กลัว คุณอาทิตย์ปกป้องน้องพีได้”

เด็กชายพีรยสถ์ยิ้มกว้าง ก่อนจะยกนิ้วโป้งเล็กๆ สองนิ้วชูให้เพื่อนสนิท พลางเอ่ยปากบอกอย่างชื่นชม

“คุณอาทิตย์เก๊งเก่ง เก่งมากๆ เยย แถมเท่เหมือนปะป๊าของน้องพีด้วย”

เจ้าตัวน้อยของตะวันพอได้รับคำชื่นชมจากเพื่อน ก็ยกไหล่วางท่าเก็กหล่อ ทำเอาคนเป็นพี่อดหันมามองพลางพูดแซวไม่ได้

“แหม คุณภานวีย์ พอน้องพีชมเข้าหน่อยล่ะทำหล่อ” ว่าแล้วตะวันก็หันไปหาเจ้าตัวน้อย ตัวเล็กที่สุดของรถที่กำลังนั่งอยู่ในคาร์ซีทพร้อมยิ้มกว้างแป้นแล้นอย่างเด็กอารมณ์ดี พลางถามออกไปด้วยน้ำเสียงอบอุ่นใจดี

“แล้วพี่ตะวันล่ะครับน้องพี พี่ตะวันเท่ไหม?”

พลัฎฐ์นึกอมยิ้มพอได้ยินคำถามของคนรัก คนตัวโตกว่ากวาดสายตามองใบหน้าเกลี้ยงใสของคนรักที่ตอนนี้ดวงตากลมโตสีน้ำตาลจ้องแป๋วไปที่น้องพีอย่างคาดหวังในคำตอบ แล้วอดคิดไม่ได้ว่าตะวันมีใบหน้าที่น่ารักไม่แพ้น้องพีเลยสักนิด แต่ทำไมถึงนึกอยากจะเท่ในสายตาเด็กน้อยนักก็ไม่รู้

และคำตอบของเด็กชายพีรยสถ์ก็ไม่ทำให้คนเป็นพ่อผิดหวัง

“หนูพี่ตะวันไม่เท่ หนูพี่ตะวันน่ายัก น่ายักที่แปลว่าคิ้วท์คับ”

พลัฎฐ์หัวเราะร่า นึกชอบใจกับคำตอบของคนเป็นลูก ... ตอบได้สมกับเป็นลูกชายของพลัฎฐ์จริงๆ

“ฮ่าๆๆๆ” พลัฎฐ์ขำออกเสียง ทำเอาน้องพีที่ก็ไม่ได้รู้หรอกว่าพอของตัวเองขำเรื่องอะไร แต่ก็ขำเนียนๆ ตามไปด้วย

“พี่พลัฎฐ์!” ตะวันว่าเสียงเง้างอดให้พลัฎฐ์ละมือข้างหนึ่งจากพวงมาลัย ไปลูบศีรษะของคนหงุดหงิดที่ได้คำตอบไม่ตรงใจเบาๆ

“หนูไม่หงุดหงิดสิครับ ไหนยิ้มให้พี่ดูหน่อยเร็ว” ตะวันหันมาแยกเขี้ยวใส่พลัฎฐ์ ทำเอาพลัฎฐ์อดหยิกแก้มนิ่มเบาๆ ด้วยความเอ็นดูไม่ได้

“ขยันน่ารัก เดี๋ยวถ้าพี่อดใจไม่ไหว จะมาโทษกันไม่ได้นะ” คนตัวโตกว่าแกล้งเย้า ทำเอาตะวันคนที่เพิ่งแยกเขี้ยวไปเมื่อกี้ทำหน้าไม่ถูก ก่อนจะพยายามกลบเกลื่อนความเขินของตัวเอง โดยการแสร้งไม่มองหน้าอีกฝ่าย

“รีบขับรถไปเลยครับพี่พลัฎฐ์ ตะวันกับเด็กๆ หิวแล้ว”

พลัฎฐ์ส่ายศีรษะยิ้มๆ กับความแกล้งซึนของอีกฝ่าย ซึ่งเด็กๆ เองพอได้ยินตะวันพูดคำว่าหิวก็เหมือนนึกขึ้นได้ พากันแย่งบอกพลัฎฐ์ว่าหิวให้ดังลั่นรถไปหมด ทำเอาคนที่กำลังขับต้องกดเท้าลงบนคันเร่งให้เร็วขึ้นอีกนิด เพราะกลัวว่าสองเด็กน้อยกับหนึ่งเด็กโข่งจะพากันอาละวาดเพราะความหิวจนปั่นป่วนไปทั่วเสียก่อนที่จะได้ถึงที่พักอย่างปลอดภัย

.

.

.

“ชาร์มถึงไหนแล้ว”

หลังจากที่อิ่มหนำจากอาหารกลางวัน พลัฎฐ์ก็ตรงดิ่งพาตะวันและเด็กๆ มายังที่พักที่จองไว้ และยังไม่ทันที่จะได้ถึงบ้านพักริมทะเลหลังน้อย เจ้าตัวแสบทั้งสองที่วันนี้พากันตื่นแต่เช้าและตะลุยอยู่สวนสัตว์ตั้งหลายชั่วโมง เมื่อได้อาหารเข้าไปตุนอยู่ในท้องน้อยๆ ก็พากันหลับคอพับคออ่อนคาคาร์ซีท

ซึ่งตะวันกับพลัฎฐ์เองก็เลือกที่จะไม่ปลุกเด็กๆ เมื่อมาถึงบ้านพัก พวกเขาพากันอุ้มเด็กน้อยทั้งคู่เข้ามานอนยังเตียงกว้างในห้องพักห้องนึ่งในบ้าน เขาทั้งคู่ตัดสินใจให้เด็กๆ นอนหลับพักในช่วงกลางวันไปก่อนดีกว่า เพื่อที่ว่าจะได้มีเวลาจัดของ และเตรียมนั่นนี่สำหรับมื้อเย็นในระหว่างนี้ด้วย อีกอย่างพลัฎฐ์ค่อนข้างมั่นใจมากว่าเมื่อเจ้าหนูน้อยทั้งสองตื่นจะต้องรบเร้าขอลงเล่นน้ำทะเลแน่ๆ

ดังนั้นตอนนี้จึงให้พักให้เต็มอิ่มก่อนดีกว่า เพราะถึงยังไงบ่ายแก่ๆ แบบนี้ก็ไม่เหมาะที่จะให้เด็กๆ ลงไปเล่นน้ำอยู่แล้ว สู้ให้พวกแกหลับแล้วตื่นมาอีกทีตอนแดดร่มลมตกแล้วดีกว่า พอถึงตอนนั้นค่อยพาเด็กๆ ลงทะเล และในเวลานั้นเขากับตะวันก็คงจัดการเตรียมข้าวของต่างๆ เสร็จเรียบร้อยแล้วเช่นกัน

ตะวันเอาข้าวของในกระเป๋า ทั้งของตัวเอง ของพลัฎฐ์ ของน้องพีและของอาทิตย์มาเก็บเรียบร้อยแล้ว ในขณะที่พลัฎฐ์เองก็ดูเหมือนจะกำลังเตรียมอุปกรณ์สำหรับอาหารเย็นอยู่ในครัว ตะวันจึงถือโอกาสโทรหาชนกันต์ ลูกพี่ลูกน้องคนสนิท เพื่อเช็คว่าตอนนี้อีกฝ่ายถึงไหนแล้วเช่นกัน

(ออกมาจากกรุงเทพแล้วแหละตะวัน นี่กำลังจะขึ้นมอเตอร์เวย์)

เสียงหวานจากปลายสายตอบกลับอย่างอารมณ์ดี ทำเอาคนฟังอย่างตะวันอารมณ์ดีตามไปด้วย

“โอเค งั้นขับรถดีๆ นะ นายมาตามโลเคชั่นที่ฉันแชร์ไปให้ถูกใช่ไหม”

(ถูกๆ ไม่ต้องห่วง เอาเป็นว่าถ้ามีปัญหาอะไรจะโทรหา ฉันคงถึงไม่เกินสี่โมงเย็นหรอก)

“ได้ รีบมา เดี๋ยวจะได้มากินบาร์บีคิวกัน ... ฉันหมักเนื้อมาเพื่อนายโดยเฉพาะเลยนะ”

ชนกันต์กันขำเบาๆ ก่อนจะเอ่ยแซวลูกพี่ลูกน้องที่ดูจะมีความสุขและกระตือรือร้นเหลือเกิน

(นี่ใจดี หรือเลี้ยงฉลองที่ได้มาเดทกับแฟน หื้ม?)

“ชาร์ม!!” ตะวันแสร้งดุเสียงเข้ม ทั้งที่แก้มแดงก่ำ ที่แม้ชนกันต์จะไม่เห็นก็เดาได้ “ไม่ต้องพูดมากเลย แค่นี้นะ”

คนถูกจี้ใจดำกะวางสายหนีพิรุธ แต่มีหรือชนกันต์จะยอมปล่อยไปง่ายๆ

(เห้อ อิจฉาคนมีความรักจังน้า สงสัยวันนี้บาร์บีคิวต้องหวานเป็นพิเศษแน่ๆ ฮ่าๆๆๆ)

ตะวันยิ่งหน้าแดงหนัก เพราะดูเหมือนว่าชนกันต์จะเดาถูก แม้จะถูกไม่หมดก็ตาม

ก็นะ.. จะไม่ให้ตะวันเขินได้ยังไง ก็วันนี้... พวกสัปปะรดกับมะเขือเทศที่ต้องเสียบคู่บาร์บีคิวน่ะ ตะวันเอามาหั่นตกแต่งเป็นรูปหัวใจหมด

ยอมรับก็ได้ว่าที่ทำ เพราะอยากให้พลัฎฐ์ประทับใจ เพราะยังไงก็ถือว่านี่เป็นเดทแรกที่พวกเขามาด้วยกันหลังจากคบกันอย่างเป็นทางการ

“ไม่พูดด้วยแล้ว รีบมานะชาร์ม แค่นี้แหละ” พอว่าจบตะวันก็ชิงตัดสายก่อน จากนั้นก็พรูลมหายใจออกมายาวเหยียด ราวกับโล่งใจที่จะไม่ถูกชนกันต์ซักไซ้ต่อ

แต่ก็โล่งได้ไม่นาน เพราะจู่ๆ คนที่เป็นหัวข้อสนทนาก่อนหน้าก็เดินเข้ามา พร้อมกับทรุดลงนั่งบนเตียงหลังใหญ่ซ้อนหลังตะวันที่นั่งอยู่ก่อนหน้า

“เก็บกระเป๋าเสร็จแล้วหรอครับตัวเล็ก” ถามไม่ถามเปล่าพลัฎฐ์ยังก้มลงมาจูบเบาๆ บนลาดไหล่เรียวของตะวัน ทำเอาคนถูกจูบอดสะเทิ้นอายกับการกระทำอันอ่อนโยนของคนรักไม่ได้

“เสร็จแล้วครับ แล้วพี่พลัฎฐ์ล่ะ เตรียมของเย็นนี้เสร็จแล้วเหรอ?”

“ครับ เสร็จแล้ว” ว่าแล้วก็วาดแขนกำยำโอบลงบนเอวบางของตะวันอย่างออดอ้อน “เสร็จแล้วก็รีบขึ้นมาเลย อาศัยว่าเด็กๆ กำลังหลับ พอมีเวลาได้จู๋จี๋กันบ้าง สักนิดก็ยังดี”

คนเจ้าเล่ห์ว่าเสียงเล็กเสียงน้อย ก่อนจะกดจมูกลงมาย้ำๆ บนแก้มนิ่มของคนรัก

“เดี๋ยวนี้เอาใหญ่แล้วนะครับ ชักจะขี้ลวนลามเกินไปแล้ว” ตะวันดุขำๆ รู้ว่าที่พลัฎฐ์อยากอยู่ใกล้ อยากมีเวลาด้วยก็เพราะรักทั้งนั้น ซึ่งตัวเขาเองก็รู้สึกไม่ต่างจากอีกฝ่ายสักนิด

“หึ.. ว่าได้ที่ไหน มีโอกาสต้องรีบคว้าไว้ก่อน เดี๋ยวอด” พูดจบจมูกโด่งเป็นสันก็คลอเคลียลงบนแก้มนุ่มของตะวันทันที

พลัฎฐ์สูดดมความหอมหวานจากแก้มขาวโดยไม่รู้จักเบื่อ เขาชอบกลิ่นหวานๆ จากตัวของตะวันเป็นที่สุด กลิ่นแบบนี้เหมือนเป็นกลิ่นเฉพาะของตะวัน กลิ่นที่ทำให้พลัฎฐ์เสียการควบคุม นึกอยากกลืนกินตะวันลงไปทั้งตัวอยู่เรื่อยไป

“ซนแล้วครับพี่พลัฎฐ์” ตะวันว่าเสียงอ่อน คนที่อยู่ในอ้อมกอดดิ้นขลุกขลัก แต่ก็ใช่ว่าเจ้าของอ้อมกอดที่ถูกดุ จะยอมปล่อยอีกฝ่ายไปง่ายๆ

“พี่ไม่ซน พี่เป็นเด็กดีของหนู แล้วหนูเป็นเด็กดีของพี่หรือยังครับ?”

ตะวันแทบจะไหลละลายลงไปกองกับเตียงยามได้ยินเสียงทุ้มพูดออดอ้อน แรงดิ้นที่ไม่ได้แรงมากในคราวแรกกลายเป็นแทบจะหยุดนิ่ง ตะวันเขินอายเกินกว่าที่หันหน้าไปสบกับดวงตาคมบนใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่ายได้

คนตัวเล็กกว่าที่ตกอยู่ในอ้อมกอดแข็งแรงได้แต่นั่งเฉยให้คนขี้อ้อนได้ซุกไซ้กกกอด จมูกโด่งของพลัฎฐ์ปัดผ่านจากแก้ม ไปที่หลังใบหู ข้างขมับ ลาดไหล่ แล้วจบลงที่ซอกคอขาว ลมหายใจร้อนผ่าวของอีกฝ่ายที่รดรินลงมาบนผิวกายขาวทำให้คนตัวเล็กกว่าอย่างตะวันตัวสั่นสะท้าน

ความรู้สึกแปลกใหม่ตรงเข้าจู่โจมคนที่ไม่ได้ประสีประสาในเรื่องนี้สักเท่าไหร่ ใบหน้าหวานก้มงุด เพื่อซ่อนแก้มแดงๆ ที่เกิดจากความเขินอายของตัวเอง ความรู้สึกวูบวาบและมวนวนในช่องท้องปรากฎขึ้นเป็นระยะตามจังหวะลมหายใจที่พลัฎฐ์ส่งผ่าน มือใหญ่ของคนตัวกว่าที่เคยโอบกอดและประสานนิ่งอยู่ที่หน้าท้องแบนราบเริ่มซุกซนและลูบไล้ไปมา แม้จะมีเนื้อผ้าบางกางกั้นก็ไม่อาจบรรเทาความวาบหวามและความรู้สึกแปลกใหม่ให้ลดน้อยลงไปได้... ตรงกันข้าม มันมีแต่จะเพิ่มมากขึ้นจนตะวันแทบจะควบคุมตัวเองไม่อยู่

“อื้อ.. พะ พี่พลัฎฐ์”

เสียงหวานเอ่ยเรียกชื่ออีกฝ่ายและพยายามห้ามอย่างตะกุกตะกัก ในขณะที่คนเจ้าเล่ห์ยังคงลากจมูกไปทั่วซอกคอขาว ไม่เปิดโอกาสให้คนในอ้อมกอดได้ปัดป้องหรือมีสติห้ามปรามตัวเองจริงจัง

“หนูหอม ตัวหนูหอม”

พลัฎฐ์พึมพำอย่างมัวเมาและหลงใหล ให้ตะวันยิ่งรู้สึกเขินอายยิ่งกว่าที่เคย

และในจังหวะที่ตะวันไร้สติที่จะควบคุมหรือยับยั้งใจของตัวเอง พลัฎฐ์ก็จับอีกฝ่าย หันหน้ากลับมาหาตัวเอง และช้อนคนตัวเล็กกว่าให้ขึ้นมานั่งบนตักเหมือนกับอุ้มตุ๊กตาตัวเล็กๆ ก็ไม่ปาน

ตะวันช้อนตามองมองใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่ายอย่างขัดเขิน ในขณะที่มุมปากหยักของพลัฎฐ์ยกยิ้มอ่อนโยนส่งให้อีกฝ่ายเพราะต้องการปลอบประโลม

“พี่อยากจูบหนู พี่จูบได้ไหมครับ”

เสียงทุ้มเอ่ยถามอย่างสุภาพและอบอุ่น ให้ตะวันที่ก้มหน้างุดรู้สึกร้อนฉ่าไปทั่วแก้ม โดยที่ไม่ต้องเดาว่าตอนนี้มันคงขึ้นสีแดงก่ำลามไปยันคอแล้วแน่ๆ

“พี่ไม่เห็นต้องถามเลย ไม่รู้หรือไงเล่าว่ายิ่งถาม ตะวันจะยิ่งเขิน”

ปากเล็กจิ้มลิ้มสีสดของคนน้องพึมพำบ่นมุบมิบอย่างน่าเอ็นดู และถึงแม้ตะวันจะไม่ได้พูดเสียงดังนัก แต่ด้วยความชิดใกล้ทำให้พลัฎฐ์ได้ยินเสียงหวานชัดเจน

“ก็พี่กลัวหนูโกรธ กลัวหนูหาว่าพี่ฉวยโอกาส” คนตัวโตกว่าพูดเสียงอ้อนไม่เข้ากับร่างกาย จมูกโด่งยังคงไล้ไปมาทั่วใบหน้าเล็กของตะวันให้รู้สึกวาบหวามไปทั่วร่างอย่างเจ้าเล่ห์

สุดท้ายตะวันเลยตัดสินใจเลือกที่จะไม่ตอบอะไร แต่ยกแขนเรียวขึ้นคล้องคอของอีกฝ่ายด้วยท่าทางขลาดเขิน ซึ่งก็ไม่น่าเชื่อว่าท่าทางเหล่านี้จะกระตุ้นและยั่วยวนให้พลัฎฐ์ตื่นตัวได้

“เด็กดี...”

และพูดได้แค่นั้น ใบหน้าหล่อเหลาของพลัฎฐ์ก็ค่อยๆ เคลื่อนช้าๆ เข้าหาใบหน้าสวยหวานของตะวัน โดยมีเป้าหมายเป็นกลีบปากบางสีสด ที่รอให้เขาได้ลิ้มลองอย่างเชื้อเชิญ


Rrrrr


ในขณะที่ริมฝีปากของทั้งสองกำลังจะสัมผัสกัน โทรศัพท์เครื่องน้อยที่วางอยู่บนเตียงข้างตัวตะวันก็แผดเสียงขึ้น

คนตัวเล็กกว่าในอ้อมกอดของบพลัฎฐ์สะดุ้งเล็กน้อย ดวงตากลมเหลือบมองเครื่องสื่อสารที่กำลังสั่นครืด หน้าจอสว่างวาบราวกับจะดึงเขาทั้งสองให้หลุดออกจากภวังค์ที่พลัฎฐ์สร้างขึ้นมาโอบล้อมเขาสองคนไว้

แต่ดูเหมือนว่าคนตัวโตกว่าจะไม่สะทกสะท้าน เพราะเป้าหมายในการจู่โจมของพลัฎฐ์ยังคงเป็นริมฝีปากของตะวันตามที่เขาตั้งใจตั้งแต่แรก

“ไม่เอาครับพี่พลัฎฐ์ โทรศัพท์ตะวันดัง” มือเล็กพยายามดันไหล่หนาออก แต่พลัฎฐ์ก็ยังคงทำหูทวนลมไม่สนใจในสิ่งที่ตะวันพูด

ตะวันจึงต้องตีแรงๆ ลงไปบนอกกว้างให้คนตัวโตกว่าหยุดทุกการกระทำ และหันมาให้ความสนใจกับโทรศัพท์ที่กำลังสั่นครืดคราดก่อน

“พี่พลัฎฐ์ครับ.. ให้ตะวันรับโทรศัพท์ก่อนนะครับ ไม่ดื้อนะ ไหนว่าจะเป็นเด็กดีไง”

เมื่อเห็นว่าไม้แข็งไม่ได้ผล ตะวันจึงหันมาใช้ไม้อ่อนปลอบประโลม ทำท่าทางพูดจาออดอ้อนแบบที่พลัฎฐ์ชอบ แน่นอนว่าย่อมได้ผล

“เฮ้อออ... พี่นี่ทำบาปทำกรรมอะไรไว้นะ อยากจะจู๋จี๋กับแฟนทั้งทีก็มีเหตุให้อดอยู่เรื่อย”

ตะวันยิ้มขำ ก่อนจะทุบอกพลัฎฐ์เบาๆ ใหัปล่อย คนตัวโตกว่าจำยอมปล่อยคนในอ้อมกอดให้เป็นอิสระ ตะวันเลยค่อยๆ เอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ โดยที่พลัฎฐ์ไม่ยอมปล่อยให้คนตัวเล็กกว่าลงจากตัก

"ว่าไงชาร์ม จะถึงแล้วหรอ?"

พลัฎฐ์ได้ยินเสียงอีกฝ่ายแว่วๆ แต่ฟังไม่ถนัด เลยปล่อยให้ตะวันคุย เห็นริมฝีปากจิ้มลิ้มตอบอือๆ อาๆ พักหนึ่งก็วาง

"ชาร์มถึงแล้วครับ กำลังจะเลี้ยวมาถึงหน้าบ้านแล้ว"

ตะวันบอก เลยได้ยินเสียงถอนหายใจจากคนตัวโตกว่าเฮือกใหญ่ ก่อนที่ตะวันจะต้องเขินหน้าแดงอีกครั้ง เมื่อได้ยินคนรักตัวเองพูด

"คืนนี้พี่ไม่ให้ใครขัดจังหวะแน่ๆ หนูเตรียมตัวไว้ได้เลย"

.

.

.

To Be Continue

--------------------------------------------

Talk: คืนนี้ คืนไหน คืนนั้นนนนน~ 5555555555 ... พี่พะลัดนางต้องฝากความหวังไว้ที่ใครดีคะคุณพรี่ อิอิ

ฝากคอมเม้นท์ติดแท็ก #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว ในทวิตเตอร์ด้วยนะคะ แล้วก็ขอบคุณมากๆ สำหรับทุกคอมเม้นท์และกำลังใจ ขอบคุณมากๆ จริงๆ นะคะ ... ตอนหน้าเจอกันจ้าาาา

เริ้บ

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
:: Chapter 15th - สวนสัตว์ของตะวัน ::


“พี่ชาร์ม พี่ตะวัน ไปเล่นน้ำกันๆๆ”

เสียงเจ้าอาทิตย์ตัวป่วนดังทะลุจากห้องนอนที่ตะวันปล่อยให้เด็กๆ เปลี่ยนเสื้อผ้า โดยมีพลัฎฐ์ดูแลอยู่ ส่วนตัวเองกับลูกพี่ลูกน้องก็กำลังจัดเตรียมหมักหมู หมักเนื้อ ทำของสดเตรียมรออยู่ในครัวเพื่อเอาไว้ประกอบอาหารตอนเย็น

ตะวันเอี้ยวหันไปมองก็ได้ยินเสียงวิ่งทั่กๆ มาตามทาง ก่อนจะปรากฎร่างของเจ้าตัวจ้อยทั้งสอง ที่ตอนนี้อยู่ในชุดว่ายน้ำเด็ก พร้อมกับมีห่วงยางเป็ดน้อยคล้องอยู่ตรงเอวเล็กๆ เรียบร้อยเตรียมจะลงน้ำได้ทุกเมื่อ

“อาทิตย์กับน้องพีไปเล่นกับปะป๊าพลัฎฐ์ก่อนดีไหมครับ พี่ตะวันยังเตรียมของทานเย็นนี้ไม่เสร็จเลย”

เด็กชายพีรยสถ์หน้ามุ่ย ก่อนจะเอ่ยอ้อน “แต่น้องพีอยากให้พี่ตะวันไปเย่นน้ำกับน้องพีด้วยนี่คับ”

“ใช่ๆ อยากให้พี่ตะวันไปด้วย พี่ชาร์มด้วย ไปๆ กันนะคับ”

ไม่ใช่แค่น้องพีที่กำลังอ้อนคนเป็นพี่ทั้งสอง แต่อาทิตย์ก็ร่วมด้วยช่วยกันอ้อน จนตะวันอ่อนใจ

“งั้นหนูสองคนรอพี่ตะวันอีกแปปได้ไหมครับ เสร็จแล้วพี่ตะวันจะรีบตามไปเลย” ตะวันต่อรอง ก่อนจะได้ยินเสียงของตัวช่วยที่ดังขึ้นเรียกความสนใจของเด็กๆ ไปแทน

“น้องพีครับ คุณอาทิตย์ครับ” รูปร่างสูงใหญ่ของพลัฎฐ์ปรากฎเข้ามาพร้อมกับการเรียกชื่อเจ้าหนูน้อยทั้งสอง “เราสองคนไปเล่นก่อปราสาททรายกับปะป๊าก่อนดีไหม เดี๋ยวพอพี่ตะวันเตรียมอาหารเสร็จ แล้วค่อยเล่นน้ำพร้อมกัน”

เด็กชายพีรยสถ์กับเด็กชายภานวีย์หันหน้ามองกันพลางทำตาโต ยอมรับว่าข้อเสนอของปะป๊าพลัฎฐ์นั้น น่าสนใจไม่น้อย

“ก็ได้ๆ น้องพีไปเล่นก่อปาสาทซายเป็นเพื่อนปะป๊าก่อนก็ได้ เนาะๆ คุณอาทิตย์”

“ใช่ๆ ไปเล่นกับปะป๊าพะลัดก่อนก็ได้ เดี๋ยวพอพี่ตะวันกับพี่ชาร์มเสร็จแล้วค่อยเล่นน้ำ เราสองคนพูดง่าย ไม่ดื้อคับ”

เจ้าตัวน้อยทั้งคู่เคลมความเป็นเด็กดีของตัวเองเสร็จสรรพ ทำผู้ใหญ่ทั้งสามที่ได้ยินคำพูดคำจาของเด็กๆ อดอมยิ้มและหัวเราะให้ความรู้ดีของเจ้าหนูน้อยไม่ได้

“ทำมาเป็นพูดดีนะอาทิตย์ พี่ชาร์มรู้หรอกว่าที่เรายอมให้ตะวันไปช้าได้ เพราะกลัวไม่ได้กินของอร่อยล่ะสิ ใช่ไหมๆ”

ชนกันต์แกล้งถามย้ำๆ ทำเอาเจ้าอาทิตย์ดวงน้อยยิ้มเขินเพราะถูกจับได้

“ปะป๊าพะลัดดด ไปเล่นก่อปราสาททรายกันเถอะนะครับ ป่ะๆๆๆ”

เด็กชายอาทิตย์ทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ก่อนจะเนียนเดินไปจับมือพลัฎฐ์ ให้ชนกันต์ได้หัวเราะไล่หลังให้กับความฉลาดแกมโกงของน้องชายคนเล็กของครอบครัว

“น้องนายน่ะรู้ดีชะมัดตะวัน โตขึ้นต้องเจ้าเล่ห์จนหาตัวจับยากแน่ๆ”

ชนกันต์หันมาพูดกับภานรินทร์ที่ตอนนี้ยิ้มน้อยๆ ให้กับท่าทางของเด็กชายภานวีย์ที่ได้เห็นเมื่อสักครู่ ซึ่งเขาเองก็อดคิดเหมือนชนกันต์ไม่ได้ว่า โตขึ้นอาทิตย์น่ะ จะต้องลูกเล่นแพรวพราวจนเขาและคนอื่นๆ จับไม่ได้ไล่ไม่ทันแน่ เพราะนี่ขนาดเพิ่งจะสามขวบกว่า ยังมีอะไรให้เแปลกใจได้อยู่เรื่อยๆ

“นายก็พูดเหมือนอาทิตย์ไม่ใช่น้องนาย” ตะวันหันไปพูดพลางหรี่ตาใส่คนเป็นพี่ ก่อนจะว่าเสียงกลั้วหัวเราะหน่อยๆ “ที่จริงฉันว่าอาทิตย์เหมือนนายยิ่งกว่าฉันเสียอีก เล่ห์เหลี่ยมเยอะ ช่างพูดช่างจา รู้จักเข้าหาคนอื่น... นิสัยคุ้นๆ ไหมชาร์ม”

คนถูกพาดพิงหัวเราะดังลั่นห้องครัว ก่อนจะยักไหล่น้อยๆ ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ แต่เสียงหัวเราะที่ยังคงดังต่อเนื่องไม่หยุดจากริมฝีปากได้รูปของชนกันต์สามารถตอบคำถามของตะวันได้เป็นอย่างดี

“เอาน่า ให้น้องมันเอาตัวรอดได้ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือไง”

พอได้ยินชนกันต์พูดแบบนั้น ตะวันก็แสร้งถอนหายใจ ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงติดจะหยอกล้อ แม้ใบหน้าหวานจะพยายามทำให้ดูเหมือนจริงจังก็ตาม

“ไอ้เรื่องเอาตัวรอดได้น่ะไม่ห่วง ห่วงก็แต่จะไปหลอกคนอื่นเขานี่สิ หูตาแพรวพราวน้อยที่ไหนเจ้าตัวเล็กนั่นน่ะ”

แล้วถ้าประโยคก่อนหน้าของตะวันว่าตลกแล้วประโยคถัดมานี้กลับสร้างเสียงหัวเราะที่ดังกว่าเดิมให้กับชนกันต์ได้มากกว่าเดิมอีก เขาไม่มีอะไรจะแย้ง เพราะเห็นด้วยกับลูกพี่ลูกน้องของตัวเองที่สุด

สองคนพี่น้องพากันหัวเราะเสียงใสให้กับเรื่องของเจ้าอาทิตย์ดวงน้อยที่ตกเป็นหัวข้อสนทนาที่สำคัญ ก่อนที่ชนกันต์จะกระตุ้นให้ตะวันเร่งมือ เพราะไม่อยากโดนเจ้าตัวแสบกลับเข้ามาตามเป็นครั้งที่สอง

“ว่าแต่นายใกล้จะเสร็จหรือยังอ่ะตะวัน เดี๋ยวจะได้รีบออกไปเล่นกับเด็กๆ ขี้เกียจให้เจ้าอาทิตย์เข้ามาตามอีกรอบ”

“เสร็จแล้วๆ”

ตะวันพยักหน้ารับ พร้อมกับเก็บของสดที่เตรียมเสร็จแล้วเข้าแช่ในตู้เย็น ล้างไม้ล้างมือเรียบร้อยก็เป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงสดใสของน้องพีดังขึ้นพร้อมๆ กับที่ร่างเล็กมายืนเกาะอยู่ที่หน้าประตูครัว เนื้อตัวเต็มไปด้วยทรายเม็ดละเอียดที่ติดตามหัว ตามหู ไปทั่วร่างกาย

“พี่ตะวัน พี่ชาร์ม ปะป๊าให้มาถามว่าเส็ดยื้อยังคับ น้องพีกับคุณอาทิตย์หยักเย่นน้ำป๋อมแป๋มแย้ว”

“เสร็จพอดีเลยครับน้องพี ไปกันป่ะ”

ตะวันเดินเข้ามาอุ้มเจ้าหนู แล้วเดินออกไปหน้าบ้านที่ติดกับชายหาด โดยที่ไม่ห่วงว่าตัวเองจะเปื้อนสักนิด ซึ่งมีสายตาของชนกันต์มองตามไปอย่างปลื้มใจ รอยยิ้มบางปรากฎที่ริมฝีปากได้รูป

ตะวันดูเข้ากันได้ดีกับครอบครัวของพลัฎฐ์จริงๆ

แบบนี้คงไม่มีอะให้ชนกันต์ต้องกังวลจนเกินไปแล้วสินะ

.

.

.

ชนกันต์มองคนทั้งสี่ที่กำลังเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน เสียงกรี๊ดและหัวเราะของน้องพีดังขึ้นเป็นระยะสลับกับเสียงโวยวายของอาทิตย์ซึ่งนั่นทำให้ชนกันต์หลุดขำบ่อยๆ เมื่อเห็นผู้ใหญ่ทั้งสองทำตัวเป็นเด็กร่วมไปกับน้องพีและเจ้าอาทิตย์ด้วย

พลัฎฐ์ไล่กอด ไล่โอบ ตะวันที่วิ่งหนีอยู่ในน้ำอย่างสนุกสนาน ถ้าเป็นในสายตาเด็กๆ คงมองไม่ออกเท่าไหร่ ว่าคนตัวโตที่สุดกำลังไล่แต๊ะอั๋งคนตัวเล็กกว่าอย่างเอาจริงเอาจัง บางจังหวะที่น้องพีกับอาทิตย์เผลอ พลัฎฐ์ก็ทำเนียนฉกจมูกลงบนแก้มของตะวันบ้าง ฉกริมฝีปากไปจุ๊บเร็วๆ บนปากของตะวันบ้าง

เข้าใจได้แหละว่าเด็กๆ อาจจะไม่เห็น แต่เขาที่นั่งอยู่ตรงนี้เห็นเต็มๆ ไม่ใช่เหรอ ทำไมพลัฎฐ์ถึงไม่อายบ้างนะ หรือเจ้าตัวจะไม่รู้ว่าเขานั่งมองอยู่ ... ไม่สิ ถ้าให้ชนกันต์เดา ชนกันต์เดาว่าพลัฎฐ์รู้แหละว่าชนกันต์เห็นทุกอย่าง แต่พลัฎฐ์ไม่ได้สนใจ สิ่งที่เขาสนใจคงมีแค่ว่าทำอย่างไรจะได้ลวนลามตะวันให้ได้มากที่สุดมากกว่า

นึกๆ แล้วก็ขำ ที่พลัฎฐ์เป็นแบบนี้อาจจะเพราะด้วยความที่ทั้งสองจะต้องดูแลเด็กๆ ตลอดเวลา เลยทำให้ไม่มีเวลาส่วนตัวด้วยกันเท่าไหร่ ชนกันต์เข้าใจดีถึงการเป็นคนรักกัน การได้กอด ได้สัมผัส ได้จูบ ได้มีช่วงเวลาร่วมกันเล็กๆ น้อยๆ เป็นสิ่งที่คู่รักทุกคู่ต้องการทั้งนั้นแหละ

พอคิดได้แบบนั้นคุณเจ้าของร้านทำผมก็อมยิ้ม ในฐานะที่ตะวันยอมให้เขามาเที่ยวเปิดหูเปิดตาด้วย ดังนั้น คืนนี้เขาจะตอบแทนทั้งคู่ด้วยการดูแลเด็กๆ ให้สักหน่อย เพื่อเปิดโอกาสให้พลัฎฐ์กับตะวันได้มีช่วงเวลาส่วนตัวด้วยกัน แม้จะแค่คืนเดียวก็ยังดี

ในขณะที่ชนกันต์กำลังคิดวางแผนเรื่อยเปื่อย ดวงตากลมที่เห็นลูกนัยน์ตาสีดำชัดเจนก็วาดมองไปทั่วหาด ก่อนจะเห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังมุงทำอะไรสักอย่าง มีทั้งคนที่ถือกล้อง ถือร่มคันโต ถือแผ่นสะท้อนแสงอันใหญ่ๆ ซึ่งชนกันต์เองก็เรียกไม่ถูกว่ามันคืออะไร แต่รู้ว่าคงมีการถ่ายแบบอะไรตรงริมหาดตรงนั้นแน่ๆ เพราะมีการเซ็ทไฟ เซ็ทแสงอะไรกันอยู่ด้วย

“ชาร์ม หิวหรือยัง?”

และก็เป็นเสียงลูกพี่ลูกน้องคนสนิทเดินเข้ามาถาม .. ตะวันที่ตอนนี้เปียกไปทั้งตัว เหมือนลูกหมาตกน้ำทรุดตัวลงนั่งข้างๆ คนที่มีศักดิ์เป็นพี่ เมื่อเห็นชนกันต์ส่ายหน้าปฏิเสธ คนที่มีศักดิ์เป็นน้องก็เอ่ยถามสิ่งที่ตัวเองสงสัยทันที

“นายมีเรื่องเครียดอะไรหรือเปล่า นายบอกฉันได้นะ”

ชนกันต์รู้ว่าที่ตะวันยอมเลิกเล่นน้ำแล้วเดินขึ้นมาก่อนนี่ก็คงไม่ได้เหน็ดได้เหนื่อยอะไรหรอก แต่คงอยากหาโอกาสมาคุยกับเขาเสียมากกว่า คนเป็นพี่รู้ดีว่าน้องชายที่ถึงแม้จะไม่ได้คลานตามกันมา แต่ก็สนิทกันยิ่งกว่าใครคงเป็นห่วง เพราะท่าทางของตัวเองดูแปลกไป แถมนิสัยแบบนี้ยังไม่ใช่นิสัยปกติของชนกันต์อีกต่างหาก

ถ้าถามว่านิสัยปกติของชนกันต์มันต่างจากที่เป็นอยู่ตอนนี้แค่ไหน ก็คงตอบได้แค่ว่า ถ้าเป็นชนกันต์ตอนปกติคงไม่มาเที่ยวทะเลอะไรแบบนี้แน่ ยิ่งโดยเฉพาะกับแฟนน้องชาย กับคนที่ไม่ได้เป็นคนในครอบครัว ต่อให้สนิทแค่ไหน ชนกันต์ก็ไม่มีทางยอมมา ถึงเจ้าของร้านทำผมแบบเขาจะเป็นมนุษย์ที่ชอบเข้าสังคม มีเพื่อนเยอะแค่ไหน แต่ชนกันต์ก็เป็นคนที่รักและหวงแหนความเป็นส่วนตัวของตัวเองมาก ปาร์ตี้ประเดี๋ยวประด๋าวน่ะแน่นอนว่าชนกันต์ไม่เคยขัด แต่การค้างอ้างแรมกับคนอื่นที่ไม่ใช่คนในครอบครัวนี่ไม่มีแน่ แบบนี้ไม่ใช่นิสัยของชนกันต์แน่ๆ

แต่วันนี้มันต่างออกไป เขากลับร้องขอที่จะตามลูกพี่ลูกน้องมาด้วย แล้วจะไม่ให้ตะวันเป็นห่วงได้ยังไง

ชนกันต์ลากสายตาไปหยุดยังจุดที่กำลังมีการถ่ายแบบกันอยู่ ใบหน้าสวยหวานผ่อนคลายลงเล็กน้อย ก่อนที่รูปร่างของชายหนุ่มที่โคตรจะเพอร์เฟ็กต์ปรากฎขึ้นในกรอบสายตาของชนกันต์ซึ่งเป็นจังหวะเดียวที่ริมฝีปากได้รูปเริ่มตอบคำถามของตะวันพอดี

“ฉันเบื่อน่ะตะวัน ทุกวันนี้เหมือนอยู่เพื่อทำงานไปวันๆ ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นกับชีวิตเลยสักนิด”

พูดไม่พูดเปล่า ชนกันต์ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะหลุดขำออกมาเบาๆ เมื่อมองเห็นว่าหนุ่มนายแบบที่เขามองเห็นอยู่ไกลๆ สะดุดสายไฟหน้าเกือบทิ่ม ดีที่คนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ถลาไปจับตัวไว้ได้ทัน

“ทำไมเด๋อขนาดนั้น.. หึ” ตะวันมองตามสายตาของชนกันต์ไปหลังได้ยินเสียงอีกฝ่ายพึมพำเบาๆ เลยได้เห็นในสิ่งเดียวกับที่ลูกพี่ลูกน้องเห็น ก่อนจะสลับกลับมามองชนกันต์ที่ยังคงมองตรงไปตรงจุดเดิมโดยแทบจะไม่ได้ละสายตา

ริมฝีปากบางจึงหลุดยิ้มก่อนจะพูดเรื่อยๆ ด้วยน้ำเสียงสบายๆ คล้ายจะเตือนสติ แต่ที่จริงแล้วอยากให้ชนกันต์ได้ฉุกคิดและทบทวนอะไรบางอย่างมากกว่า

“นายก็อย่าบีบคั้นตัวเองมากเกินไปนักเลยชาร์ม ฉันรู้นะว่านายชอบความสมบูรณ์แบบ นายอยากให้ทุกอย่างออกมาดีทั้งเรื่องงาน ทั้งเรื่องชีวิตส่วนตัว แต่นายก็รู้นี่ว่าบนโลกใบนี้มันไม่อะไรที่เพอร์เฟ็กต์แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ขนาดนั้นหรอก ของบางอย่าง เรื่องบางเรื่อง คนบางคน มันใช้แต่สมองมองและคิดไม่ได้หรอกนะ ... ลองเปิดใจ ใช้ใจนายนำทางดูบ้าง ลองผิดลองถูกในบางครั้งบ้าง ฉันว่ามันน่าตื่นเต้นดีออก นายไม่คิดแบบนั้นเหรอ?”

ชนกันต์ละสายตาจากนายแบบหนุ่มคนนั้นแล้วหันมาหาตะวันหลังจากแช่สายตาให้หยุดอยู่ตรงนั้นมาพักใหญ่ พลางเริ่มคิดอย่างที่ตะวันพูด ก่อนจะค้นพบว่าบางครั้งเขาก็เคร่งครัดกับตัวเองมากเกินไปทุกเรื่อง และอดยอมรับไม่ได้ว่ารู้สึกเหงาไม่น้อยที่ต้องทำทุกอย่างลำพัง แม้บางครั้งนึกอยากจะมีใครสักคนไว้เคียงข้าง แต่เขาก็ยังไม่เห็นว่าจะมีใครเหมาะที่จะอยู่ในตำแหน่งนั้นได้เลย พอเลือกนานๆ เข้า หานานๆ เข้ามันก็ยิ่งล้ายิ่งเหนื่อย จนกลายเป็นทดท้อไปในที่สุด

หรือว่าเขาจะลองทำตามที่ตะวันแนะนำดูบ้าง

... ใช้ใจค้นหา มากกว่าที่จะใช้สมองใคร่ครวญ

ดวงตากลมกวาดกลับไปมองยังจุดที่นายแบบคนนั้น ที่ตอนนี้กำลังยืนยิ้มกว้างพูดคุยกับช่างภาพอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะหลุดยิ้มตามคนตรงโน้นออกมา จากนั้นก็หันกลับไปหาตะวัน

“อื้ม ขอบใจมากนะตะวัน แล้วฉันจะลองเอาไปคิดดู”

ตะวันยิ้มกว้าง ก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปกอดคนที่ตัวบางพอๆ กัน แต่ติดจะสูงกว่าตัวเองเล็กน้อย ให้ชนกันต์ได้ร้องโวยวาย คละเคล้าเสียงหัวเราะของตะวัน

“ตัวนายเปียกนะตะวันนน ปล่อยยยยย!!”

“ไม่ปล่อยยยยย” ตะวันว่าเสียงดัง ก่อนจะตะโกนเรียกพรรคพวกที่ตอนนี้หันมาให้ความสนใจกับคนทั้งคู่พอดี หลังจากที่ได้ยินเสียงชนกันต์โวยวาย “น้องพี คุณอาทิตย์มาจัดการพี่ชาร์มเร็ว! พี่ชาร์มยังตัวแห้งอยู่เลยเนี่ย”

สิ้นคำยุยงของตะวัน เด็กทั้งสองก็หัวเราะคิกวิ่งหน้าตั้งมาทางชนกันต์ทันที ทำเอาคนที่มีศักดิ์เป็นพี่โวยวายไม่หยุด

“ไม่ต้องเลยนะเด็กๆ พี่ชาร์มไม่เล่นนะ ฮ่าๆๆๆๆ” แล้วจากเสียงโวยวายก็เปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะเมื่อเจอเจ้าเด็กแสบพุ่งเข้าตะลุมบอน จนตอนนี้เปียกปอนกันไปทั่ว

“คิกๆๆๆ พี่ชาร์มเส็ดน้องพีแน่”

“ฮ่าๆๆๆๆ พี่ตะวันๆๆๆ จับพี่ชาร์มๆๆๆๆ”

“นายโดนพวกฉันสั่งสอนแน่ชาร์ม ฮ่าๆๆๆๆๆ”

เสียงหัวเราะของทั้งสี่คนดังก้องไปทั่วบริเวณ โดยมีรูปร่างสูงใหญ่ของพลัฎฐ์ที่ยืนถือห่วงยางเป็ดน้อยเดินตามมาหยุดดูเงียบๆ แต่รอยยิ้มกลับระบายเต็มใบหน้าหล่อเหลา

...ซึ่งก็ไม่เว้นแม้แต่นายแบบหนุ่มที่ยืนอยู่ไม่ไกล ยังอดไม่ได้ที่จะมองมา เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความสุข ของกลุ่มเด็กน้อยและผู้ชายร่างบางๆ สี่คนที่กำลังฟัดกอดกันอยู่ริมหาด ดูแล้วน่าสนุกไม่น้อย และภาพดังกล่าวก็ทำให้เขาได้ยิ้มออกมาน้อยๆ เมื่อมองไปยังกลุ่มคนที่ว่า โดยเฉพาะผู้ชายคนที่ตัวสูงกว่า หน้าสวยๆ ดูมั่นใจ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ารอยยิ้มกว้างจากริมฝีปากได้รูปทำให้เขาต้องยิ้มตาม มันน่ามอง น่ามองจนละสายตาแทบจะไม่ได้เลย

.

.

.

“น้องพีเอาปูน้อยคับปะป๊า”

ตอนนี้ทั้งห้าคนกำลังนั่งรับประทานอาหารเย็นกันอยู่หน้าบ้านพัก บรรยากาศตอนพระอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้าทำให้ทุกคนรู้สึกผ่อนคลายเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเด็กๆ ที่เจริญอาหารไม่หยุด แถมยังอารมณ์ดีจนพลัฎฐ์อารมณ์ดีตามไปด้วย

“พี่ตะวันอ้าปาก เดี๋ยวอาทิตย์ป้อน”

มือเล็กๆ ถือบาร์บีคิวที่ปิ้งเสร็จแล้วไว้ในมือ ก่อนที่จะยื่นบาร์บีคิวไม้ที่ว่าไปจรดริมฝีปากบางสีสดของคนเป็นพี่ ให้ตะวันได้รู้สึกภูมิใจ ที่น้องชายดูแลเอาใจใส่เขาไม่แพ้กับที่เขาเคยดูแลน้องชายมาตลอด

“อ้า อ้าม” อาทิตย์ส่งเสียงพร้อมกับที่ตะวันค่อยๆ อ้าปากงับบาร์บีคิวมาเคี้ยวจนแก้มตุ้ย

“ขอบคุณครับ” มือเรียวของตะวันลูบลงบนกลุ่มผมสีเข้มของน้องชายพลางกล่าวขอบคุณ ให้เจ้าหนูได้ยิ้มแฉ่งที่ได้ทำอะไรเพื่อพี่ตะวันบ้าง

“พี่ชาร์มคับ น้องพีให้คับ” ส่วนเด็กชายพีรยสถ์ก็ไม่น้อยหน้า เจ้าหนูยื่นแก้วน้ำที่อยู่ในมือให้เจ้าของใบหน้าสวยหวานอย่างชนกันต์ด้วยความเอื้อเฟื้อ

“หนูสองก็กินด้วยสิครับ เดี๋ยวอาหารหายร้อนหมดนะ” พลัฎฐ์ว่า พลางเลื่อนจานกุ้ง ปู และบาร์บีคิวไปตรงหน้าของชนกันต์ ตะวัน น้องพีและอาทิตย์ ให้หยิบกินได้สะดวกๆ

“แล้วคุณพลัฎฐ์ล่ะครับ” ชนกันต์ตัดสินใจถามอีกฝ่าย เพราะเห็นปะป๊าของน้องพีเอาแต่ดูแลคนโน้นคนนี้ ไม่เห็นว่าพลัฎฐ์จะได้กินอะไรสักเท่าไหร่

“ผมทานพร้อมกับน้องพีไปบ้างแล้วครับ คุณชาร์มไม่ต้องห่วงนะครับ ตามสบายเลย”

ชนกันต์ลอบมองก็ได้เห็นว่าพลัฎฐ์กับตะวันส่งยิ้มหวานให้กัน และนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มของตะวันก็ดูมีความสุขมาก ซึ่งชนกันต์เองก็เชื่อว่าตะวันน่าจะมีความสุขมากจริงๆ เมื่อเห็นและสังเกตพฤติกรรมและนิสัยต่างๆ ของพลัฎฐ์

... เป็นสุภาพบุรุษ มีน้ำใจ ตรงไปตรงมา และรักตะวันมาก ….

ไม่เชื่อก็ดูจากสายตาที่หวานเชื่อมยามมองไปที่ลูกพี่ลูกน้องของเขาได้...

ดังนั้น เพื่อเป็นการตอบแทนทั้งตะวันและพลัฎฐ์ ชนกันต์จึงตัดสินใจเอ่ยขึ้น

“อาทิตย์ น้องพี คืนนี้ขอพี่ชาร์มนอนด้วยได้ไหมครับ?” ตะวันขมวดคิ้วพลางหันไปมองหน้าชนกันต์ทันทีที่ได้ยินคำถาม

“พี่ชาร์มอยากมานอนกะน้องพีหยอคับ”

“นั่นสิ พี่ชาร์มอยากนอนกับเราสองคนเหรอคับ”

และชนกันต์ก็ไม่รอให้ตะวันสงสัยหรือพูดขัดอะไรขึ้นมาทั้งนั้น เขาเลือกที่จะตอบคำถามของเด็กๆ และส่งสายตาบอกบางอย่างให้ตะวันได้เขินอายทันทีที่เข้าใจ

“ใช่ พี่ชาร์มอยากนอนกับน้องพีกับคุณอาทิตย์มาก” ก่อนจะแกล้งทำเสียงเล็กเสียงน้อยใส่เด็กๆ ทั้งๆ ที่ตะวันกับพลัฎฐ์ได้ยินชัดเจน “เพราะพี่ชาร์มมีเลโก้กล่องใหญ่ที่เพิ่งซื้อมาใหม่ติดมาในกระเป๋าด้วยน่ะสิ เลยอยากให้น้องพีกับคุณอาทิตย์ช่วยดูให้หน่อย จะได้หรือเปล่านะ”

ชนกันต์ลอบยิ้มเมื่อเห็นเจ้าหนูน้อยทั้งสองตาเบิกกว้าง ที่จริงแล้วเลโก้ที่เขาเอาติดมานี่ก็ตั้งใจจะให้เด็กชายทั้งคู่อยู่แล้ว แต่ยังไม่ทันได้เอาให้เพราะยังไม่มีโอกาส กะจะเอาให้ก่อนกลับกรุงเทพ ไม่น่าเชื่อว่าจะพอดีกับที่เอามาเป็นข้ออ้างในการพาตัวเด็กๆ มานอนด้วยได้

“น้องพีอยากนอนกับพี่ชาร์มจังเยย ไม่ใช่เพราะเยโก้หยอกนะคับ น้องพีอยากนอนกับพี่ชาร์มเพราะพี่ชาร์มอยากนอนกับน้องพี... นะปะป๊าน้า”

ชนกันต์หลุดขำออกมาเบาๆ ตอนได้ยินคำพูดจากเด็กฉลาดอย่างน้องพี ทำเป็นบอกว่าไม่ใช่เพราะเลโก้ แต่หน้าตา ท่าทาง คำพูดนี่ดูตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด ขนาดคนเป็นพ่อได้ยินคำพูดลูกชายตัวเองยังแอบหัวเราะเลย

และเมื่อเห็นว่าชนกันต์ยังไม่ตอบรับปฏิเสธ รวมไปถึงปะป๊าพลัฎฐ์เองก็ยังไม่ได้พูดอะไร เด็กชายพีรยสถ์เลยตัดสินใจเอนตัวเอาศีรษะไปถูไถกับต้นแขนของขนกันต์อย่างออดอ้อน ทำเอาชนกันต์อดใจไม่ไหว ก้มลงไปหอมแก้มนิ่มๆ กลมๆ ของเจ้าเด็กรู้มากอย่างมันเขี้ยว

สุดท้ายพลัฎฐ์ก็หลุดหัวเราะและอนุญาตให้น้องพีไปนอนกับชนกันต์ในที่สุด

อันที่จริงจะเรียกว่าอนุญาตก็ไม่ถูก เรียกว่าเข้าทางพลัฎฐ์เลยน่าจะดีกว่า เขาแอบผงกศีรษะขอบคุณลูกพี่ลูกน้องของคนรักน้อยๆ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าชนกันต์พยายามจะช่วย เพื่อให้เขาได้มีเวลาส่วนตัวกับตะวันในคืนนี้

“ได้ครับ ปะป๊าให้น้องพีไปนอนกับพี่ชาร์มได้ แต่ห้ามอ้อนเอานู่นเอานี่จากพี่ชาร์มมากเกินไปนะครับ ถ้าพี่ชาร์มบอกให้เข้านอน น้องพีก็ต้องเข้านอน ห้ามดื้อกับพี่ชาร์มรู้ไหมลูก”

“อื้อ! ได้คับ น้องพีจะไม่ดื้อเยย เชื่อฟัง นอนเย็ว”

เจ้าตัวน้อยพยักหน้าหงึกหงักแต่ตาเป็นประกาย ดูก็รู้ว่าตอนนี้วาดฝันถึงกล่องเลโก้ไปถึงไหนต่อไหนแล้วก็ไม่รู้

“พี่ตะวันคับ คืนนี้อาทิตย์นอนกับพี่ชาร์มนะคับ อาทิตย์คิดถึงพี่ชาร์ม พี่ชาร์มไม่ค่อยได้มาค้างกับอาทิตย์เลย”

“ฮ่าๆๆๆๆ” ชนกันต์ถึงกับหลุดขำออกมาเสียงดัง ตอนได้ยินคำพูดของน้องชายคนเล็ก ที่แสบยิ่งกว่าคำพูดของน้องพีสักสิบเท่าได้

คิดดูเอาเถอะ เจ้าตัวแสบทำมาเป็นอ้างว่าเขาไม่ค่อยไปค้างด้วย ทั้งที่ปกติแล้วต่อให้ชนกันต์ไปค้างด้วย อาทิตย์ก็ร้องจะนอนกับตะวันอยู่ดี เพราะอาทิตย์น่ะติดตะวันจะตายไป หายใจเข้าออกก็ตะวันตลอด แต่พอมาวันนี้กลับมาทำอ้างว่าอยากนอนกับเขาเพราะคิดถึง โถ่.. ถ้าไม่มีเลโก้กล่องใหม่มาล่อมีเหรอเจ้าอาทิตย์ดวงน้อยจะยอมมา

“ตัวแสบเอ๊ย! ฉลาดพูดจริงๆ นะ” ชนกันต์ยื่นมือไปยีผมบนศีรษะทุยของเจ้าน้องน้อยคนสุดท้องด้วยความหมั่นไส้ในคำพูดคำจา โดยที่เจ้าอาทิตย์ดวงน้อยเองก็หันมายิ้มตาหยีให้ชนกันต์ได้นึกเอ็นดู

“อาทิตย์ครับ พี่ว่า...” พี่คนกลางของครอบครัวอ้าปากจะพูดอะไรสักอย่าง ชนกันต์เลยตัดสินใจตัดบท

“ตกลงตามนี้นะตะวัน นายกับคุณพลัฎฐ์ตามสบายเลย เดี๋ยวเด็กๆ ฉันดูแลเอง”

ตะวันแก้มแดงทันทีที่ได้ยินชนกันต์เน้นย้ำคำว่าตามสบาย เขินก็เขินแต่ก็อดถลึงตาใส่คนที่มีศักดิ์เป็นพี่ไม่ได้ ซึ่งนั่นก็ไม่ได้ทำให้ชนกันต์นึกกลัวอะไรเลย หนำซ้ำยังทำให้เขินกว่าเดิมด้วยซ้ำ เมื่อน้องพีพูดประโยคต่อมาให้ตะวันกับพลัฎฐ์ได้ยิน

“ใช่ๆ ตามสบายเยย ปะป๊าไม่ต้องเป็นห่วงน้องพีน้า ตามสบาย ตามสบาย”

พลัฎฐ์เองก็ต้องกลั้นขำแทบแย่ เพราะกลัวจะถูกตะวันกินหัวเอา ถ้าขำมีเสียงออกมา

“ครับลูก ขอบคุณน้องพีนะครับ”

“พี่ตะวันก็ไม่ต้องเหงานะ ให้อาทิตย์ไปนอนเป็นเพื่อนพี่ชาร์มคืนนึง พี่ตะวันนอนคนเดียวได้ๆ ตามสบายยย”

และจากคำพูดของอาทิตย์ก็ทำเอาพลัฎฐ์อดใจไม่ไหว ต้องเหลือบสายตามองคนที่ตอนนี้กำลังแดงไปทั้งหน้าลามยันคอ เพราะอยากรู้ว่าตะวันจะมีท่าทียังไง และภาพที่เห็นก็ไม่ต่างจากที่พลัฎฐ์คิดไว้สักเท่าไหร่นัก ดังนั้น สายตาเจ้าเล่ห์จึงถูกถ่ายทอดไปยังอีกฝ่ายให้ได้เห็นและเข้าใจความหมาย เลยไม่วายถูกคนตัวเล็กกว่าถลึงตาขู่ ... โถ่ น่ากลัวตรงไหนกัน

ท่าทางคืนนี้จะเป็นทางสะดวกของพลัฎฐ์จริงๆ แล้วเสียที

.

.

.

- อ่านต่อด้านล่าง -

ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
- ต่อจากด้านบน -


“พี่พลัฎฐ์ ไปนอนโซฟาเลยครับ”

เสียงหวานเอ่ยไล่ แต่พลัฎฐ์ทำหูทวนลม นอนหนุนแขนตัวเองกระดิกเท้าอยู่บนเตียงกว้างนิ่ง ไม่ยอมขยับเขยื้อนเลยสักนิด ในขณะที่ตะวันก็ยืนเท้าเอวอยู่ข้างเตียง หลังจากเพิ่งอาบน้ำออกมาจากห้องน้ำ ก็มาเจอว่าพลัฎฐ์นอนอยู่ก่อนแล้ว

เขาอุตส่าห์รีบเข้าไปอาบน้ำก่อนพลัฎฐ์ ตั้งใจว่าพอออกมาจากห้องน้ำก็จะกางแขนกางขานอนให้เต็มเตียงแล้วแกล้งหลับ แต่ไม่คิดว่าพลัฎฐ์จะซ้อนแผนด้วยการไปอาบน้ำในห้องของเด็กๆ แล้วชิงมาทิ้งตัวลงนอนบนเตียงก่อนเขาเฉย

ตะวันถอนหายใจพลางมองไปยังโซฟาที่อยู่อีกฟากหนึ่งของห้อง สงสัยคืนนี้เขาคงได้อัปเปหิตัวเองไปนอนตรงนั้นแน่ๆ

เนื่องจากบ้านพักหลังนี้มีแค่สองห้องนอน ตอนแรกที่วางแพลนกันไว้คือห้องใหญ่จะให้ตะวัน ชนกันต์ และอาทิตย์นอนด้วยกัน ส่วนห้องเล็กพลัฎฐ์จะนอนกับลูกชาย แต่พอทุกเหตุการณ์กลับตาลปัตร เลยต้องยกห้องใหญ่ให้ชนกันต์และเด็กๆ ส่วนพลัฎฐ์กับตะวันก็พาตัวเองระเห็จมานอนที่ห้องเล็กแทน

และในขณะที่ขาเรียวกำลังจะก้าวไปทรุดตัวลงนอนยังโซฟาตัวที่ว่า เจ้าของรูปร่างใหญ่โตที่เมื่อกี้ยังนอนอืดอยู่บนเตียง ก็พุ่งพรวดเข้ามากอดเอวบางของตะวันไว้ ก่อนจะดึงร่างของคนตัวเล็กกว่าให้นอนหงายลงบนเตียงหลังใหญ่ พร้อมๆ กับที่พลิกเอารูปร่างสูญใหญ่ของตัวเองคร่อมทับร่างกายนุ่มนิ่มของตะวันไว้ทันที

“หนีเก่ง” ว่าแล้วก็ฉกจมูกลงบนแก้มใสของคนรักเป็นการลงโทษ “ชาร์มอุตส่าห์เปิดโอกาสให้เราได้จู๋จี๋ดู๋ดี๋กันแล้ว ตัวเล็กจะมาเทพี่แบบนี้ไม่ได้นะครับ”

“จู๋จี๋ดู๋ดี๋อะไรเล่าพี่พลัฎฐ์” ว่าพลางแก้มแดงก่ำ ก่อนที่มือเล็กๆ จะผลักไหล่หนาของอีกฝ่ายเบาๆ เป็นการบอกให้ลุกออก แต่ก็เหมือนผลักกำแพงหิน เพราะตอนนี้พลัฎฐ์ไม่ขยับเขยื้อนเลยสักนิด “ลุกไปเลยครับ ตะวันหนัก”

“ทำไมล่ะครับตัวเล็ก ตัวเล็กไม่อยากมีเวลาส่วนตัวกับพี่เหรอ ไม่อยากให้พี่กอด ไม่อยากให้พี่แสดงความรักกับตัวเล็กเหรอครับ” พลัฎฐ์ถามเสียงตัดพ้อ ทำเอาใจของตะวันอ่อนยวบ

ร่างเล็กที่อยู่ใต้อาณัติของร่างกายสูงใหญ่เม้มปากแน่น ดวงตากลมเสหลบไปทางอื่น ไม่ยอมมองหน้าและไม่ยอมตอบคำถามของพลัฎฐ์เลยสักนิด

จะให้ตะวันพูดได้ยังไงว่าอยากถูกพลัฎฐ์กอดจะแย่ ถึงจะเป็นผู้ชาย และอายุไม่น้อยแล้ว แต่ตะวันก็เพิ่งจะมีพลัฎฐ์เป็นแฟนคนแรก จะไม่ให้เขาเขินเลยก็คงจะเป็นไปไม่ได้ ... ใครจะไปกล้ายอมรับอย่างหน้าชื่นตาบานล่ะ

ในขณะที่ตะวันกำลังคำนวณอยู่ในใจว่าจะเริ่มพูดยังไงกับพลัฎฐ์ดี คนที่คร่อมทับเขาอยู่ก็พรูลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนที่น้ำหนักที่กดทับอยู่บนตัวของตะวันก่อนหน้าจะค่อยๆ หายไป พร้อมกับคำพูดตัดพ้อที่ทำเอาตะวันลุกขึ้นผวาตัวกอดอีกฝ่ายแทบไม่ทัน

“ก็ได้ครับ ไม่ก็ไม่ พี่ไม่อยากฝืนใจตัวเล็ก เดี๋ยวพี่ไปนอนโซฟาเอง ตัวเล็กนอนบนเตียงให้สบายๆ เถอะ ไม่ต้องทำท่ากลัวว่าพี่จะรังแกขนาดนั้นหรอก”

ทันทีที่พลัฎฐ์พูดประโยคดังกล่าวจบ แขนเรียวก็วาดไปโอบรั้งรอบเอวหนาแน่นพร้อมกับเสียงหวานที่เอ่ยขึ้นอย่างร้อนรน

“ไม่ใช่สักหน่อยนะพี่พลัฎฐ์ ตะวันไม่ได้รังเกียจ ไม่ได้ไม่อยากถูกพี่แตะต้อง แต่ตะวัน.. ตะวัน คือ...”

“คือ...?” พลัฎฐ์แสร้งถามทำเป็นว่าไม่รู้ ทั้งๆ ที่เขาเองก็พอจะรู้ว่าทำไมตะวันถึงมีท่าทีอิดออดแบบนั้น เขาอยากให้ตะวันพูดออกมาเอง และเหนือไปกว่านั้นคือ อยากให้ตะวันยินยอมพร้อมใจเองมากกว่าที่เขาจะไปหักหาญน้ำใจ

เพราะสำหรับพลัฎฐ์แล้ว ตะวันพอใจที่จะให้เขาได้แค่ไหน พลัฎฐ์ก็ยินดีที่จะโอนอ่อนตามแค่นั้น เขายอมรับว่าเขาคิดเรื่องอย่างว่ากับตะวันจริง ในฐานะที่เป็นคนรักกันจะให้บอกว่าเขาบริสุทธิ์ใจไม่คิดอะไรเลย พลัฎฐ์ก็คงโกหก เขาคิดแต่อยู่ในขอบเขตที่ยับยั้งชั่งใจได้ ถ้าตะวันยังไม่พร้อม เขาก็ยินดีที่จะรอ

“คือ.. ตะวันอาย ตะวันไม่เคย”

เสียงหวานพูดงุ้งงิ้ง พลางโผไปซุกอกของพลัฎฐ์ เพราะอยากซ่อนแก้มแดงๆ ของตัวเองไม่ให้พลัฎฐ์เห็น

พลัฎฐ์ลอบยิ้มพลางก้มลงมองศีรษะทุยที่กำลังมุดๆ อยู่ตรงอกของตัวเองด้วยสายตาเอ็นดู ก่อนจะกดริมฝีปากลงไปบนกระหม่อมของคนขี้อายแรงๆ

“งั้น.. วันนี้พี่จะตัวเล็กไปเที่ยวสวนสัตว์เหมือนกับที่พี่พาเด็กๆ ไปมาเมื่อเช้า พี่จะพาตัวเล็กไปทัศนศึกษา ตัวเล็กจะได้รู้ว่าตัวเล็กชอบสัตว์ตัวไหน ไม่ชอบสัตว์ตัวไหน ดีไหมครับ”

ใบหน้าหวานแดงก่ำยิ่งกว่าเดิมจากที่แดงมากอยู่แล้ว เมื่อเข้าใจความหมายที่พลัฎฐ์พูด ก่อนที่ศีรษะเล็กจะผงกรับ ตกลงในสิ่งที่พลัฎฐ์ถาม

“ก็ได้ครับ แต่พี่พลัฎฐ์...”

พลัฎฐ์ตัดสินใจก้มลงประทับริมฝีปากลงบนกลีบปากบางทันทีที่ตะวันตอบตกลง เขาไม่รอให้ตะวันได้เอ่ยถามอะไรอีก เพราะอดใจอดทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว

“อื้อ...”

เสียงหวานครางอื้ออึงอยู่ในลำคอ ก่อนที่ทุกอย่างจะลื่นไหลไปตามอารมณ์ ตะวันตัดสินใจเลิกคิดเลิกคำนึงถึงทุกอย่าง ตากลมหลับพริ้ม เมื่อเคลิบเคลิ้มกับสิ่งที่พลัฎฐ์ปรนเปรอให้ แขนเรียวของตะวันจากที่งกเงิ่นเกะกะ ก็ถูกพลัฎฐ์จับมาวาดโอบรอบคอตัวเองไว้ ในขณะที่มือใหญ่ของพลัฎฐ์ก็รั้งท้ายทอยของคนตัวเล็กกว่าให้เข้ามาแนบชิด ส่วนอีกข้างที่ว่างก็บีบเค้นอยู่ตรงเนื้อนิ่มของเอวบาง พลางลูบเบาๆ ราวกับจะปลอบประโลมความรู้สึกของอีกฝ่ายให้ผ่อนคลายกว่าที่ควร

ตอนนี้ในหูของตะวันไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย นอกจากเสียงเฉอะแฉะของน้ำลายที่ดังก้อง และความรู้สึกวูบวาบในท้องน้อยที่ตอนนี้มันป่วนปั่นไปหมด ยามที่พลัฎฐ์ดูดดึงกลีบปางของตะวันอย่างอ่อนโยบสลับดุดัน แต่พลัฎฐ์ก็ใจเย็นพอที่จะไม่วู่วาม ไม่ตะกละตะกลามจนทำให้ตะวันตกใจ

สมกับเป็นทัวร์ชมสวนสัตว์โดยไกด์พลัฎฐ์ที่ยินดีนำเสนอจริงๆ

พลัฎฐ์ขยับปากขบเม้มริมฝีปากตะวันอย่างเชี่ยวชาญ คนตัวโตกว่าสามารถทำให้ตะวันรู้สึกคล้อยตามได้ไม่ยาก เขาค่อยๆ ดูดดึงริมฝีปากอีกฝ่ายช้าๆ สลับหนักแน่น ไม่นานตะวันก็เรียนรู้ที่จะจูบตอบแม้จะเป็นไปอย่างไร้เดียงสา แต่กลับเร้าอารมณ์ให้พลัฎฐ์รู้สึกตื่นตัวตามได้ง่ายกว่าที่เคย เรียกได้ว่าแทบจะง่ายกว่าทุกครั้งที่ผ่านมาของพลัฎฐ์เลยก็ว่าได้

คนตัวโตกว่าค่อยๆ ผละออกหลังจากง่วนอยู่กับริมฝีปากตะวันอยู่นาน ตอนนี้เขาอยากจะลึกซึ้งมากกว่านี้ พลัฎฐ์จึงค่อยๆ ไล้ลิ้นเลียไปตามร่องริมฝีปากสีสดที่ตอนนี้บวมเจ่อเล็กน้อย ตะวันเองก็พอจะเดาออกเลยเผยอปากขึ้นตามสัญชาตญาณ ซึ่งพลัฎฐ์ก็ไม่รอช้าที่จะแทรกลิ้นเข้าไปในโพรงปากของอีกฝ่าย เขากวาดต้อนเอาความหอมหวานที่ไม่มีวันหมดสิ้นของตะวันอย่างโหยอยาก ก่อนจะเกี่ยวลิ้นตัวเองเข้ากับลิ้นร้อนของน้อง ต่างฝ่ายต่างกระหวัดรัดรึงลิ้นของกันและกัน จนกลายเป็นเสียงหยาบโลนดังไปทั่วห้อง

และก่อนที่ตะวันจะหมดลมหายใจ พลัฎฐ์ก็ตัดสินใจถอนริมฝีปากออก ก่อนจะเลียไปตามมุมปากของอีกฝ่ายพร้อมกับจูบซับทำความสะอาด เป็นการแสดงถึงความเอาใจใส่และความอ่อนโยนของพลัฎฐ์ได้เป็นอย่างดี

“เมื่อกี้พี่พาหนูไปดูผีเสื้อ หนูชอบไหมครับเด็กดี”

ตะวันพยักหน้ารับอายๆ เขาเข้าใจอย่างดีว่าผีเสื้อที่บินโฉบไปมา มันทำให้รู้สึกวาบหวาม ปั่นป่วน แต่ก็มีความสุข

จูบของพลัฎฐ์ก็เหมือนผีเสื้อที่บินลงมาแตะบนมุมปาก สวยงาม ยั่วยวน และชวนให้หลงใหล

จากนั้นพลัฎฐ์ก็ผละออกก่อนจะก้มลงซุกไซ้ซอกคอขาว พลางพรมจูบไปทั่ว ตามไหล่ ตามแนวกระดูกไหปลาร้า และตรงแอ่งชีพจร ที่ทำเอาตะวันรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องยามที่ริมฝีปากหยักลากผ่าน

"หนูอยากไปดูหมีแพนด้าไหมครับ มันชอบวอแวคลอเคลียแบบนี้เลย ... หนูชอบไหม"

"อึก.. อื้อ"

เสียงหวานครางแผ่ว ตอนนี้ตะวันแทบไม่รู้ตัวแล้วด้วยซ้ำว่าตัวเองรู้สึกยังไงอยู่ เขารู้เพียงแค่ว่าเหมือนมีกระแสไฟฟ้าแล่นผ่านไปทั่วร่าง ไม่ว่าริมฝีปากของพลัฎฐ์จะแตะต้องตรงไหน มันก็ทำให้ตัวของตะวันสั่นสะท้านไปหมด คนที่นอนหอบหายใจแรงไร้หนทางต่อต้าน นอกจากส่งเสียงครางเมื่อรู้สึกว่าตัวเองพึงใจเท่านั้น

กลิ่นกายหอมหวานของตะวันทำให้พลัฎฐ์ห้ามตัวเองยากขึ้นทุกที ความรู้สึกทั้งหมดวิ่งแล่นไปที่อวัยวะใจกลางร่างกายที่ตอนนี้กำลังขยับขยายและปวดหนึบอยู่ภายใต้กางเกงในชั้นดี

พลัฎฐ์จับตะวันนอนหงายราบไปกับเตียงนอน มือใหญ่ปลดกระดุมเสื้อนอนของอีกฝ่ายอย่างเร่งร้อน และเมื่อผิวขาวเปลือยเปล่าของตะวันปรากฎแก่สายตาของพลัฎฐ์ เขาก็กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ผิวกายยวนตาของตะวันช่างเร่งเร้ากระตุ้นเขาให้ตื่นตัวและยากที่จะถอนสายตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งยอดอกสีอ่อนที่ตอนนี้กำลังชูชันตามแรงอารมณ์ ยิ่งทำให้เขาอยากลิ้มลองและได้สัมผัส ซึ่งพลัฎฐ์เองก็ไม่รอช้าที่จะครอบริมฝีปากลงไปบนติ่งไตที่แข็งขืนชูชันท้าสายตาทันที

"อ๊ะ พี่.. อื้อ พี่พลัฎฐ์"

ตะวันเสียงสั่นพร่า ความรู้สึกเสียวซ่านแปลกใหม่แล่นพล่านไปทั่วร่าง อกบางแอ่นคว้างไร้การควบคุม มันขยับและเคลื่อนไหวตามการควบคุมของริมฝีปากหยัก โดยที่พลัฎฐ์เองก็ยิ่งทำให้ตะวันรู้สึกมากขึ้นด้วยการใช้นิ้วสะกิดวนบนตุ่มไตสีหวานอีกข้าง และเปลี่ยนมาใช้ลิ้นไล้เลียย้ำๆ ลงไป ให้ตะวันได้ครางเสียงหวานน่าฟังให้พลัฎฐ์ได้ยิน

"อื้อ .. อึก ตะวัน.. ตะวัน"

และก่อนที่คนใต้ร่างจะขาดใจ พลัฎฐ์ก็ละมือออกจากยอดอกสีหวาน แล้วลากเลื้อยเข้าไปในกางเกงยางยืดของตะวันแทน

ตะวันตกใจตาเบิกโพลง เอื้อมมือไปยึดข้อมือของคนตัวโตกว่าได้ทัน ก่อนที่มันจะลากไปถึงแก่นกลางที่ตอนนี้ปวดหนึบจนตะวันทรมานไปหมด

"พี่ .. พี่พลัฎฐ์จะทำอะไรครับ"

พลัฎฐ์จูบเบาๆ ลงบนริมฝีปากบวมเจ่อของคนถาม ก่อนจะพูดปลอบประโลมอย่างอ่อนโยน

"หนูจะมีความสุข เชื่อพี่นะครับเด็กดี พี่สัญญา"

พอตะวันคลายมือออก พลัฎฐ์ก็ตัดสินใจดึงกางเกงยางยืดของตะวันลงไปกองที่ข้อเท้า ตามไปด้วยกางเกงชั้นในสีอ่อน ตะวันหุบขาเข้าหากันทันทีเมื่อแก่นกายที่เคยถูกโอบล้อมด้วยกางเกงดีดตั้งชัน แสดงถึงความต้องการทางอารมณ์ที่สะสมมาตั้งแต่เริ่มถูกพลัฎฐ์คลอเคลีย

ใบหน้าสวนหวานผินหนีสายตาคมที่จ้องมองมาอย่างร้อนแรง ก่อนที่ตะวันจะได้ยินเสียงทุ้มร้องขอในสิ่งที่ตะวันหลีกเลี่ยงอย่างมากที่จะทำ

"หนูอ้าขาหน่อยสิครับ ให้พี่ดูงูน้อยหน่อย .. นะครับนะ"

พลัฎฐ์เอ่ยอ้อนในขณะที่ตะวันส่ายหน้าดิก คนตัวโตกว่าเลยต้องหลอกล่อด้วยการก้มลงไปจูบริมฝีปากสีสดเพื่อเบนความสนใจ พอตะวันเผลอไผลไปกับรสสัมผัสที่พลัฎฐ์มอบให้ มือใหญ่ก็ออกแรงอ้าขาตะวันออกจากกัน พร้อมกับตรงเข้ากอบกุมท่อนเนื้อขนาดน่ารักที่กำลังตั้งชันรอรับการปลอบประโลมอยู่อย่างน่าเอ็นดู

ตะวันผวาตัวเฮือก เมื่อมือใหญ่ของพลัฎฐ์เริ่มขยับรูดรั้ง สัมผัสวาบหวามวิ่งมวนอยู่ในช่องท้องให้ตะวันต้องครางเสียงหลงอยู่ในลำคอ เพราะถูกริมฝีปากพลัฎฐ์ประกบติดอยู่ แขนเรียวถูกยกขึ้นมาโอบรอบคอพลัฎฐ์โดยอัตโนมัติ แถมสะโพกบางก็ลอยคว้างไม่ติดที่นอน เพราะดูเหมือนความเสียวซ่านที่ตะวันได้รับมันกำลังเกินควบคุม

และทันทีที่พลัฎฐ์ละริมฝีปากออก ก็กระซิบถามคนที่นอนหอบหายใจแรงใต้ร่างด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า

"หนูชอบไหม หื้ม? ชอบให้พี่ทำแบบนี้ไหมครับ"

คนตัวโตกว่าไม่พูดเปล่า หนำซ้ำยังขยับมือรูดรั้งอย่างชำนาญ สลับกับการใช้นิ้วโป้งขยี้ส่วนหัวซ้ำๆ ให้ตะวันครางได้เสียงหลง

"อ๊ะ อ๊า.. ฮื่อ!"

ใบหน้าหวานสะบัดไปตามแรงอารมณ์ จนกลุ่มผมสีน้ำตาลกระจายไปทั่วหมอน

ตะวันเสียวซ่านมากจนไม่รู้จะบรรยายยังไง ซึ่งพลัฎฐ์ก็สามารถทำให้ตะวันได้รับความสุขมากยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อคนตัวโตแทรกเข้าไปอยู่ตรงกลางหว่างขาที่กำลังอ้ากว้างของตะวัน และครอบริมฝีปากลงบนแกนกายที่น่ารักของอีกฝ่าย พลางขยับปากรูดรั้ง ไล้เลีย ราวกับเป็นไอศครีมแสนอร่อยก็ไม่ปาน

"ฮึก! อ๊าาา พี่.. พี่พลัฎฐ์"

สะโพกของตะวันลอยคว้างตามการชักนำของริมฝีปากหยัก พลัฎฐ์รูดริมฝีปากอยู่ไม่กี่ครั้งสลับกับการใช้ลิ้นขยี้ส่วนหัว ไม่นานตะวันก็ตัวกระตุกเกร็ง ก่อนจะปลดปล่อยออกมาพร้อมกับเสียงครางหวานอย่างสุขสม

"อาาาาาาาาาห์!"

พลัฎฐ์กักเก็บน้ำรักของอีกฝ่ายไว้ทุกหยาดหยด ก่อนจะกลืนลงไปอย่างไม่รังเกียจ ปล่อยให้ตะวันนอนหอบหายใจหมดแรง แต่ก็เต็มไปด้วยความสุข

คนตัวโตกว่าลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก่อนจะรูดกางเกงนอนของตัวเองลงไปกองกับพื้นตามติดไปด้วยกางเกงชั้นใน เป็นผลให้ท่อนเนื้อใหญ่โตได้รับการปลดปล่อย ซึ่งตอนนี้มันขยับขยายตั้งชันเต็มที่ เพื่อรอรับการปลอบประโลม

พลัฎฐ์ทรุดตัวลงนอนเคียงข้างตะวันอีกครั้ง ก่อนจะยื่นหน้าไปจูบที่ริมฝีปากที่กำลังบวมเจ่ออย่างอ่อนโยน ซึ่งรสชาติตัวตนของตะวันที่ยังติดคลุ้งอยู่ในโพลงปากของพลัฎฐ์ทำให้ตะวันรู้สึกแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้แย่อะไร เหมือนไม่คุ้นเคยมากกว่า และพอตะวันรวบรวมสติที่กระจัดกระจายไปพร้อมกับการปลดปล่อยเมื่อครู่ได้ มือเรียวของคนตัวเล็กกว่าก็ยื่นไปสัมผัสที่แก้มสาก พร้อมกับเอ่ยขอบคุณ

"ขอบคุณนะครับพี่พลัฎฐ์ ตะวันมี...ความสุขมาก"

คนตัวเล็กกว่าพูดด้วยสีหน้าและท่าทีขัดเขินซึ่งพลัฎฐ์เองก็ไม่ได้ว่าอะไรเพียงแต่ยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน ก่อนที่จะจับมือของตะวันที่วางอยู่บนแก้มตัวเองออก แล้วเอามือเล็กๆ นั้นไปวางบนท่อนเนื้อใหญ่โตของตัวเองแทน

"เมื่อกี้เราดูงูไปแล้ว ตอนนี้พี่จะพาหนูไปดูมังกร แต่มังกรตัวนี้มันดื้อมากเลยนะ หนูปราบพยศมันให้พี่หน่อยได้ไหมครับ"

ตะวันอายม้วนหน้าแดงก่ำตอนได้ยินพลัฎฐ์พูดจาเปรียบเทียบสองแง่สองง่าม แต่ถึงแม้จะเขินมือเล็กกลับกำรอบแก่นกายอีกฝ่ายไม่ยอมปล่อย ก่อนจะอ้อมแอ้มบอกอย่างน่าเอ็นดูให้พลัฎฐ์ได้จูบลงไปบนแก้มนิ่มอย่างมันเขี้ยว

"แต่ตะวันไม่เคยทำให้คนอื่น ตะวันเคยทำให้แต่ตัวเอง .. ไม่รู้จะทำให้พี่พลัฎฐ์มีความสุขได้รึป่าวนะครับ"

พลัฎฐ์ขำออกมาเบาๆ กับความกังวลใจของอีกฝ่าย ก่อนที่คนตัวโตกว่าจะกระซิบบอกให้ตะวันจัดการขยับมือ

"ถ้าหนูเป็นคนทำให้ ยังไงพี่ก็มีความสุข... ขยับมือนะครับเด็กดี อ่าา อย่างนั้นแหละ เก่งมาก อย่างนั้นเลย"

ตะวันเริ่มขยับมือตามที่พลัฎฐ์บอกก่อนที่จะเริ่มทำเร็วขึ้นเมื่อได้ยินเสียงครางทุ้มอย่างมีความสุขของพลัฎฐ์

ตะวันเริ่มมั่นใจมากขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าที่กำลังดำดิ่งของอีกฝ่าย เขาจึงลองใช้นิ้วโป้งขยี้ตรงส่วนหัวแบบที่พลัฎฐ์เคยทำให้ ตะวันรู้ดีว่าการทำแบบนี้มันเสียวมาก แต่ก็ทำให้มีความสุขมากเช่นกัน ซึ่งเสียงครางกระเส่าของพลัฎฐ์ก็เป็นคำตอบได้อย่างดี

"อาาห์ เด็กดี.. อึก! เก่งมากครับ เก่ง"

พอได้รับคำชมตะวันก็ยิ่งได้ใจ ขยับข้อมือเร็วขึ้น จนใบหน้าหล่อเหลาของพลัฎฐ์เหยเกยบิดเบี้ยว หน้าท้องเกร็งกระตุก เป็นสัญญาณว่าคนตัวโตกว่าใกล้ถึงฝั่งฝัน ตะวันจึงใช้นิ้วโป้งขยี้ส่วนหัวซ้ำๆ จนพลัฎฐ์ตัวกระตุก และปลดปล่อยออกมาเลอะเต็มมือของตะวัน พร้อมกับเสียงทุ้มที่ครางอย่างสุขสมยาวนาน

"อาาาาาห์ เก่งมากครับเด็กดีของพี่"

พลัฎฐ์คว้าตัวของตะวันมากอดทันทีที่เสร็จสิ้นสุขสม พลางใช้ทิชชู่ที่อยู่บนหัวเตียงมาเช็ดมือเล็กๆ ของอีกฝ่ายให้อย่างอ่อนโยน ก่อนจะได้ยินเสียงหวานบ่นงุ้งงิ้งอย่างน่าเอ็นดู

"พี่พลัฎฐ์มีความสุขไหมครับ ขอโทษนะครับที่ตะวันทำได้แค่นี้"

พลัฎฐ์ขมวดคิ้วมุ่นตอนเห็นท่าทีไม่สบายใจของคนในอ้อมกอด ก่อนจะจูบลงบนหน้าผากมนหนักๆ แล้วเอ่ยถามถึงสาเหตุที่ทำให้ตะวันพูดออกมาแบบนั้น

"ทำไมหนูถึงคิดว่าพี่จะไม่มีความสุขล่ะครับ พี่มีความสุขมากเลยรู้ไหม"

"ก็.. ตะวันไม่ได้ใช้ปากทำให้" คนขี้กังวลอ้อมแอ้มสารภาพ "ทั้งที่พี่ทำให้ตะวันขนาดนั้น"

พลัฎฐ์หัวเราะอย่างอารมณ์ดีเมื่อรู้ว่าตะวันกังวลเรื่องอะไร

"โถ่ เด็กดี ไม่เป็นไรเลย นี่มันครั้งแรกของเราสองคน หนูทำแค่นี้พี่ก็สุขจนสำลักแล้ว หนูไม่รู้หรอกว่าตั้งแต่เราคบกันพี่จินตนาการถึงเหตุการณ์วันนี้มาแล้วกี่ร้อยครั้ง .. บอกเลยว่านี่น่ะเกินคาดพี่มากๆ ฮ่าๆ"

ตะวันทุบลงบนอกหนาเบาๆ ก่อนจะต่อว่าอีกฝ้ายด้วยรอยยิ้มอายๆ "พี่พลัฎฐ์น่ะทะลึ่ง"

"เอ้า ว่าได้ที่ไหน คนคบกันมีใครไม่ทะลึ่งบ้าง ไม่ว่าใครก็ต้องอยากสัมผัส อยากมีช่วงเวลาดีๆ กับคนที่ตัวเองรักทั้งนั้นแหละ.. ซึ่งพี่ก็ได้มีกับหนูแล้วสมใจ"

ตะวันยิ้มเอียงอาย ก่อนจะโผเข้าซุกอกอุ่นๆ ของคนรักก่อนจะพูดพึมพำอู้อี้ แต่ก็ได้ยินชัดเจน

"ตะวันก็มีความสุข มีความสุขมากๆ"

ซึ่งพอพลัฎฐ์ได้ยินแบบนั้นก็ดึงตัวน้องออก ก่อนจะยื่นริมฝีปากไปจูบแรงๆ บนปากบ่วมเจ่อของตะวันที่ขยันพูดจาน่ารักไม่หยุด ก่อนที่พลัฎฐ์จะเอ่ยถามอย่างเจ้าเล่ห์

"หนูชอบทัวร์สวนสัตว์ของพี่ใช่ไหมครับ? วันหลังเรามาอัพเกรดทัวร์กันดีไหม"

ตะวันได้ยินพลัฎฐ์พูดแบบนั้นก็กลั้นยิ้มจนแก้มตุ่ยเพราะความเขิน ก่อนที่มือเล็กจะฟาดลงไปแรงๆ บนอกกว้างที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ

"ไม่ไปแล้วคราวหน้า สวนสัตว์อะไรหลอกลวงประชาชนชะมัด"

“หื้ม?” พลัฎฐ์ทำหน้างงกับข้อกล่าวหาของตะวัน ก่อนที่จะหัวเราะออกมาดังลั่นทันที่อีกฝ่ายเฉลยทั้งที่ใบหน้ายังแดงก่ำดูเขินอายไม่เลิก

"ก็สวนสัตว์ที่ไหนมีมังกรเล่า! นี่มันขี้โม้ชัดๆ พี่พลัฎฐ์ขี้โกหกอ่ะ" พอพูดจบตะวันก็กลั้นยิ้มจนแก้มตุ่ยในขณะที่พลัฎฐ์ขำไม่หยุดก่อนที่จะจับตะวันมากอดอีกครั้ง พร้อมกับกระซิบกระซาบอย่างน่าหมั่นไส้

"ก็มีพิเศษเฉพาะหนูไงครับ ให้หนูได้ดูได้สัมผัสพิเศษคนเดียวเลย ฮ่าๆ"

พอได้ยินแบบนั้นตะวันก็หลุดขำจนตาหยี โดยไม่ได้รู้เลยว่าตัวเองได้ทำเจ้ามังกรยักษ์ที่ไม่ได้เห็นง่ายๆ ในสวนสัตว์ไหน ยกเว้นสวนสัตว์เฉพาะที่พลัฎฐ์อาสาพาทัวร์ตื่นขึ้นอีกรอบ

กว่าจะรู้อีกทีก็ถูกคนเจ้าเล่ห์อย่างพลัฎฐ์จับนอนราบลงกับเตียง พลางกระซิบบอกเสียงเล็กเสียงน้อย

"ป่ะครับ เดี๋ยวพี่พาหนูไปดูอีกที คราวนี้ไปดูแบบพ่นไฟด้วย รับรองหนูต้องชอบแน่ๆ เชื่อใจพี่ได้"

"ไม่เอาไม่ไปแล้วววพี่พลัฎฐ์"

แล้วเสียงโวยวายของตะวันสลับกับเสียงหลอกล่อของพลัฎฐ์ก็เงียบลง กลายเป็นเสียงหอบหายใจและเสียงครางที่เต็มไปด้วยความสุขแทน

.

.

.

To Be Continue

------------------------------

Talk: ก็ไหนว่าเขาดินวนาปิดไปแล้วไงนังพี่พะลัด กี๊ด! ><

ฝากติดแท็ก #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว ในทวิตเตอร์ด้วยนะคะ ขอบคุณมากๆ สำหรับทุกคอมเม้นท์และกำลังใจ ... รักมาก มากๆ ^^

เจอกันตอนหน้าจ้า! ❤

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

แค่ซอฟต์ ๆ ยังไม่ถึงขึ้นแอดวานซ์อัพเกรดเป็นฮาร์ดคอร์  อิอิ

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
:: Chapter 16th - คลื่นใต้น้ำ ::


หลังจากกลับมาจากทะเล ตะวันกับพลัฎฐ์ก็หวานกันมากขึ้นเป็นกองจนคนรอบข้างแซว โดยเฉพาะเด็กในร้าน The Sun’s ที่เดี๋ยวนี้แทบไม่เรียกชื่อพลัฎฐ์แล้ว เอะอะก็เอาแต่เรียก 'แฟนพี่ตะวัน' อย่างนู้นอย่างนี้ ส่วนคนถูกเรียกก็ดูจะชอบอกชอบใจ ยิ้มจนหน้าบาน

และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือทุกครั้งที่ตะวันไปออฟฟิศพลัฎฐ์ พนักงานต้อนรับก็แทบจะเอาพรมมาปูรับ ซึ่งคนขี้เกรงใจอย่างตะวันก็บอกไปหลายครั้งแล้วว่าไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้ เพราะส่วนใหญ่ที่ไปหาพลัฎฐ์ ตะวันก็ไปไม่นาน บางครั้งก็แค่เอาข้าวกลางวันไปให้ หรือถ้าวันไหนมีเวลามากหน่อยก็อาจจะอยู่กินข้าวด้วย ซึ่งเต็มที่ก็ไม่เคยเกินสองชั่วโมงสักครั้ง เพราะฉะนั้นเขาเลยติดจะเลยเกรงใจเสมอเวลาทุกคนแห่แหนมาดูแลหรือให้การตอบรับ

ซึ่งก็ให้พูดเถอะตะวันคิดว่าที่เป็นแบบนี้ส่วนหนึ่งก็เพราะพนักงานส่วนใหญ่ที่ทำหน้าที่ดูแลเรื่องการต้อนรับรู้ว่าเขาและท่านรองประธานฯ ของบริษัทเป็นอะไรกัน ไม่งั้นตะวันคงไม่ถูกดูแลต้อนรับขับสู้ขนาดนี้หรอก

และวันนี้ก็เป็นอีกวันที่ตะวันอาสาเอาอาหารกลางวันมาให้พลัฎฐ์ที่ออฟฟิศ และแม้จะมองเห็นตะวันไกลๆ ยังไม่ทันได้ถึงประตูดี พนักงานรักษาความปลอดภัยก็กุลีกุจอลุกขึ้นมาเปิดประตูให้ ให้ตะวันได้ยิ้มหวานจนตาหยีส่งให้อีกฝ่ายแทนคำขอบคุณ

“ตะวันเอามาฝากครับ” ตะวันยื่นกล่องขนมในมือให้กับพนักงานรักษาความปลอดภัยที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี ก่อนจะเอ่ยบอก “พอดีวันนี้ตะวันลองทำเครปข้าวเหนียวมะม่วง เพราะพรุ่งนี้จะเอาออกมาวางขาย เลยเอามาฝากให้ชิม อร่อยไม่อร่อยยังไงแนะนำตะวันได้นะครับ”

เจ้าของร้านอาหารว่า ก่อนที่พนักงานรักษาความปลอดภัยคนที่ได้ลองชิมขนมใหม่จะค้อมศีรษะลงด้วยความขอบคุณและรับขนมที่คนรักของท่านรองประธานฯ เอามาให้กินด้วยความยินดี

“ขอบคุณคุณตะวันมากเลยนะครับ มาทีไรก็มีขนมหรือของกินมาฝากตลอด คราวหลังไม่เป็นไรก็ได้นะครับคุณตะวัน ผมเกรงใจ”

พนักงานคนดังกล่าวแบ่งรับแบ่งสู้ด้วยท่าทีนอบน้อม แต่ตะวันกลับวางตัวเป็นกันเองให้อีกฝ่ายได้นึกชื่นชม

“เกรงใจอะไรกันครับ ตะวันเอามาให้ช่วยชิมต่างหาก อร่อยไม่อร่อยตะวันจะได้เอาไปปรับปรุงไงครับ ตะวันน่ะได้กำไรเห็นๆ”

พนักงานรักษาความปลอดภัยยิ้มรับและมองอีกฝ่ายด้วยสายตาชื่นชม เขารู้ดีว่าคนรักของท่านประธานฯ ไม่ได้เอาขนมาเพื่อให้ช่วยชิมอย่างที่ว่าหรอก คุณตะวันเอามาให้เพราะเป็นคนมีน้ำใจและใจดี แต่ที่พูดไปอย่างนั้นก็เพราะไม่อยากให้เขาต้องรู้สึกเกรงใจ และเขินอายที่จะต้องรับมา

“ก็ได้ครับ ให้ชิมก็ให้ชิม” พนักงานรักษาความปลอดภัยที่น่าจะอายุมากพอที่จะเป็นคุณน้าหรือคุณลุงของตะวันได้ ยกมือขึ้นไหว้แทนคำขอบคุณทำเอาตะวันรับไหว้แทบไม่ทัน “ขอบคุณนะครับคุณตะวัน”

และทันทีที่ถูกจู่โจมโดยการยกมือไหว้ของคนรุ่นบิดาสิ้นสุดลง เสียงหวานก็พูดตัดพ้อ และใบหน้าน่ารักมุ่ยลงอย่างน่าเอ็นดู จนทำเอาคนอายุมากกว่าอดขำออกมาเบาๆ ไม่ได้

“คุณลุงไหว้ตะวันทำไมครับ คราวหน้าไม่ไหว้นะครับ ตะวันอายุน้อยกว่าคุณลุงตั้งหลายปี ทำแบบนี้ตะวันอายุสั้นกันพอดี”

“ให้ผมไหว้เถอะครับ เพราะไม่รู้จะตอบแทนความใจดีของคุณตะวันยังไง” คุณลุงพนักงานรักษาความปลอดภัยให้เหตุผล ซึ่งตะวันเองพอได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มกว้างจนตาหยี ให้คนได้รับรอยยิ้มนั้นรู้สึกดีมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

“ถ้าคุณลุงอยากตอบแทน ก็ทานขนมของตะวันให้หมดนะครับ แค่นี้ตะวันก็ดีใจแล้ว”

“ครับๆ ผมจะทานให้หมด ไม่ให้เหลือแม้แต่เศษแป้งสักนิดเลย”

ตะวันหัวเราะเอิ๊กอ๊ากชอบใจเมื่อได้ยินคุณลุงพนักงานรักษาความปลอดภัยบอกแบบนั้น ก่อนที่เจ้าของขนมเครปจะขอตัวเมื่อเห็นว่าเวลาล่วงเลยมาหลายนาทีแล้ว

เพราะไม่งั้นแล้ว เดี๋ยวพลัฎฐ์จะรอนานละมาหาเรื่องทำโทษด้วยการหาเศษหาเลยกับเขาอีก

“งั้นผมไปก่อนนะครับคุณลุง ทานให้อร่อยนะครับ”

ตะวันเดินจากไปพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะไปหยุดยืนที่หน้าเคาน์เตอร์ต้อนรับลูกค้า จุดเกิดเหตุเดียวกับคราวที่แล้ว แต่คราวนี้เหตุการณ์กลับต่างออกไปโดยสิ้นเชิง

เจ้าของร้านอาหารควบตำแหน่งคนรักของท่านรองประธานฯ เดินยิ้มกว้างตรงไปยังพนักงานหญิงที่ประจำเคาน์เตอร์ทั้งสองคน ซึ่งสองคนนั้นเองก็ยิ้มอย่างเป็นมิตรและนอบน้อมส่งกลับให้ตะวันเช่นกัน

“สวัสดีค่ะคุณตะวัน คุณฝ้ายแจ้งทิ้งไว้ค่ะ ว่าถ้าคุณตะวันมาถึงแล้วให้เชิญขึ้นไปที่ห้องท่านรองประธานฯ ได้เลย วันนี้ท่านจะรอทานข้าวกลางวันพร้อมคุณตะวันค่ะ”

นุชนาหนึ่งในพนักงานหญิงประจำเคาน์เตอร์ รีบบอกถึงข้อความที่เลขาฯ ของท่านรองประธานฯ ฝากทิ้งไว้ ให้ตะวันขมวดคิ้วอยู่พักหนึ่งก็คลายออก

“พี่พลัฎฐ์ประชุมเสร็จแล้วเหรอครับ?”

“ค่ะ ท่านรองประธานฯ ประชุมเสร็จแล้ว วันนี้เสร็จเร็วกว่ากำหนดค่ะ เลยมีเวลาช่วงกลางวันเหลือ”

เธอชี้แจงให้ตะวันพยักหน้ารับก่อนเข้าใจ ก่อนจะยื่นกล่องขนมแบบเดียวกันกับที่ได้ให้คุณลุงพนักงานรักษาความปลอดภัยที่ได้ไปก่อนหน้า

“อันนี้ของคุณนุชนากับคุณสิริยาครับ ผมเอามาฝาก” พนักงานสองคนยกมือขึ้นไหว้แทนคำขอบคุณก่อนจะรับมา

“ขอบคุณคุณตะวันมากนะคะ รบกวนคุณจะแย่ เอาขนมมาฝากทุกครั้งเลย”

ตะวันแสร้งทำหน้าดุ ก่อนจะบอกอย่างใจดี “ไม่เอาครับ ไม่ต้องขอบคุณแล้ว ลุงชาติขอบคุณผมมาเป็นกระบุงโกยแล้ว คุณสองคนแค่ทานให้อร่อยก็พอ”

ทั้งสองพยักหน้าพลางยิ้มรับ “ได้ค่ะคุณตะวัน เราสองคนจะทานอย่างดีเลย”

“ดีครับ” ตะวันยิ้มกว้างจนตาหยี เขาชอบเหลือเกินกับเวลาที่ทำให้ขนมให้ใครทาน แล้วอีกฝ่ายดูกระตือรือร้นและยินดีที่จะได้ทานขนมฝีมือของตนเอง “งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ พี่พลัฎฐ์น่าจะรอนานแล้ว”

“ได้ค่ะคุณตะวัน เชิญทางนี้เลย เดี๋ยวนุชเดินไปส่ง”

ตะวันโบกมือปัดเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร “ไม่ต้องหรอกครับคุณนุช แค่นี้เอง ผมเดินไปได้ คุณนุชช่วยคุณสิรับลูกค้าต่อเถอะครับ ผมไปนะ”

ตะวันว่าพลางออกก้าวเดินตรงไปยังลิฟต์ที่ตรงดิ่งไปยังชั้นบริหาร ซึ่งเขามีคีย์การ์ดส่วนตัวที่พลัฎฐ์เคยให้ไว้ เอาไว้สำหรับที่จะสามารถตรงขึ้นไปบนนั้นได้เลย โดยที่ไม่ต้องแวะผ่านชั้นไหนให้เสียเวลา

.

.

.

“มาแล้วครับพี่พลัฎฐ์”

ตะวันเปิดประตูห้องทำงานของพลัฎฐ์เข้าไป ก็ได้เห็นคนตัวโตกว่านั่งหน้านิ่วคิ้วขมวด พร้อมพลิกเอกสารบนโต๊ะไปมา โดยที่คุณฝ้ายยืนตัวตรงเยื้องไปด้านหลัง ราวกับพร้อมที่จะให้คำตอบในทุกคำถามที่เจ้านายเกิดสงสัยขึ้นมาระหว่างที่อ่านเอกสารหลายๆ แผ่นตรงหน้านั่น

แต่เมื่อท่านรองประธานฯ บริษัท เหลือบตามาเห็นว่าคนที่ตนเองรอจะเจออยู่ปรากฎอยู่ตรงหน้าแล้ว คนที่กำลังคร่ำเคร่งก็ทิ้งงานทุกอย่างทันที ก่อนจะลุกเดินตรงไปยังร่างบางที่ยืนส่งยิ้มกว้างมาให้ ยิ้มกว้างสดใสแบบที่พลัฎฐ์ชอบ ยิ้มที่เขาเห็นแล้วอดที่จะยิ้มตามโดยอัตโนมัติไม่ได้

“คิดถึงจังครับ ทำไมตัวเล็กมาช้า”

คนตัวโตกว่าอ้าแขนออกรอให้คนที่ตัวเล็กกว่าโผเข้ามาซุก แต่ตะวันกลับไม่ทำตามที่ใจพลัฎฐ์ปรารถนา คนตัวเล็กกว่าเหลือบตาไปมองคุณเลขาฯ อีกคนที่ยังอยู่ในห้อง แก้มขาวๆ ก็ซับสีแดงระเรื่อ ให้พลัฎฐ์ได้รู้ทันทีว่าตะวันน่าจะกำลังเขิน ไม่กล้าแสดงความรักออกนอกหน้าแบบเขา และโดยที่พลัฎฐ์ไม่ต้องสั่ง คุณฝ้ายเลขาฯ คนสนิทก็ดูเหมือนจะรู้หน้าที่ของตัวเองดี จึงเตรียมเฟดออกจากห้องพร้อมรอยยิ้มล้อๆ

“งั้นดิฉันขอตัวก่อนนะคะท่านรองประธานฯ คุณตะวัน” พลัฎฐ์พยักหน้ารับให้คุณฝ้ายได้เดินไปถึงหน้าประตูก่อนจะหันมากำชับตารางงานช่วงบ่ายกับเจ้านายตน “มีประชุมอีกทีตอนบ่ายสองนะคะท่านรองประธานฯ”

พลัฎฐ์นึกขำในใจก่อนจะยกนาฬิกาขึ้นมาดู เพราะเขารู้ตารางการประชุมของตัวเองดี แต่ที่คุณฝ้ายย้ำ น่าจะเพราะอยากบอกกับตะวันมากกว่า บอกให้ตะวันได้รู้ว่าจะไม่มีใครมารบกวนพลัฎฐ์จนกว่าจะถึงเวลาบ่ายสองโมง

ช่วงเวลานับจากนี้คือเวลาที่พลัฎฐ์กับตะวัน จะได้ใช้ด้วยกันเต็มที่

“เข้าใจแล้ว คุณฝ้ายไปทานข้าวเถอะ”

“เอ่อ.. ผมวางปิ่นโตอาหารไว้ที่โต๊ะคุณฝ้ายนะครับ อย่าลืมเอาไปทาน” ตะวันก็ยังคงเป็นตะวันที่ใจดี ให้พลัฎฐ์ได้มองอีกฝ่ายด้วยสายตาชื่นชมและภูมิใจจนปิดไม่มิด

“ค่ะท่านรองประธานฯ” เลขาฯ คนเก่งหันมาตอบรับเจ้านายตัวเอง ก่อนจะไปหันหาคนรักของเจ้านายต่อ “ขอบคุณคุณตะวันมากนะคะ นึกถึงฝ้ายตลอดเลย”

เลขาฯ สาวเอ่ยบอกตะวันด้วยรอยยิ้ม ให้ตะวันได้ยิ้มตอบราวกับจะบอกว่ายินดี คุณฝ้ายจึงได้งับประตูห้องทำงานของพลัฎฐ์ลง และทันทีที่ได้อยู่กันสองต่อสอง พลัฎฐ์ก็ไม่จำเป็นต้องรอให้ตะวันเข้ามาหาอีกต่อไป

เป็นเขาเองที่พุ่งไปดึงอีกฝ่ายมากอดรัด และลากริมฝีปากจูบไปทั่วใบหน้าหวาน ให้สมกับที่ได้บอกเจ้าตัวไปก่อนหน้าว่าคิดถึง

“อื้อ.. พี่พลัฎฐ์ ไม่เอาครับ เที่ยงกว่าแล้ว กินข้าวก่อนนะ” มือเล็กของตะวันพยายามจะดันอกของพลัฎฐ์ให้ถอยออก แต่ก็เหมือนเอามือไปลูบกำแพง เพราะอีกฝ่ายไม่ยอมขยับเขยื้อนเลยสักนิด

“ไม่เอา จูบก่อน พี่อยากจูบก่อนค่อยกิน”

ท่านรองประธานฯ บริษัทผู้เคร่งขรึมกับลูกน้อง แต่ดูเหมือนจะเจ้าเล่ห์เหลือเกินเมื่ออยู่กับตะวันสองคน ต่อรองนั่นนี่ให้วุ่นวายไปหมด

ตะวันค้อนคนตัวโตกว่าตาแทบกลับ แต่ก็อดใจอ่อนให้กับคำขอของพลัฎฐ์แทบทุกครั้ง

“ทีเดียวนะครับ ห้ามงอแง”

พอคนขี้อ้อนพยักหน้ายอมรับข้อตกลง ริมฝีปากบางสีสดของตะวันก็ยื่นไปแตะจูบริมฝีปากหยักของอีกฝ่ายเบาๆ แต่มีหรือที่พลัฎฐ์จะปล่อยผ่าน คนตัวโตอาศัยแรงที่เยอะกว่ารั้งเอวบางของตะวันเข้ามาแนบชิด จนไม่เหลือแม้แต่ช่องว่างให้อากาศลอดผ่าน พลางบดเบียดริมฝีปากเข้าไปอย่างหนักหน่วง จนตะวันตกใจเผลอเผยอริมฝีปากให้ลิ้นร้อนของพลัฎฐ์แทรกเข้าไปในโพรงปากของอีกฝ่ายได้

ตะวันหลับตาพริ้มตอบรับสัมผัสที่คุ้นเคย ริมฝีปากเบียดริมฝีปาก เรียวลิ้นที่เกี่ยวกระหวัดเข้าหากันอย่างคุ้นชิน เสียงน้ำลายเฉอะแฉะ และเสียงดูดดึงริมฝีปากที่ดังอยู่ข้างหูทำให้สติของตะวันเตลิด กว่าจะดึงตัวเองกลับเข้าที่เข้าทางได้ ก็ตอนที่เกือบจะหมดลมหายใจ เพราะถูกอีกฝ่ายช่วงชิงไปแบบไม่รู้ตัว

และหลังจากที่พลัฎฐ์ยอมถอนริมฝีปากออก ตะวันก็ฟาดมือไปที่ไหล่หนาทันที

“พี่น่ะนิสัยไม่ดี! ได้คืบเอาศอกตลอด”

ในขณะที่ตะวันต่อว่าหน้ามุ่ย แต่พลัฎฐ์กลับหัวเราะร่าอย่างอารมณ์ดี ยิ่งได้แกล้งอีกฝ่ายเขายิ่งมีความสุข ตอนเห็นตะวันทำหน้างอน ปากบางมุบมิบต่อว่าเขาน่ะ น่ารักน้อยเสียเมื่อไหร่

“โอ๋ ขอโทษครับ พี่ผิดเองที่ห้ามใจตัวเองไม่ไหว รังแกหนูให้โมโหตลอด ดีกันนะครับเด็กดี”

พอพลัฎฐ์อ้อนตะวันเลยต้องหลุดยิ้มออกมา เอาเข้าจริงโกรธอีกฝ่ายได้ไม่ถึงนาทีหรอก ใจอ่อนยอมคืนดีด้วยตลอด ตะวันได้แต่เจ็บใจแต่ทำไรไม่ได้ นอกจากคาดโทษความผิดของอีกฝ่ายไปตามเรื่องตามราว ซึ่งพลัฎฐ์เองก็รับปาก แต่ถามว่าจะฟังและทำได้มากแค่ไหน ตะวันบอกได้ตรงนี้เลยว่า ไม่มีทางที่พลัฎฐ์จะยอมลดละได้ ทุกวันนี้แค่ขอให้อีกฝ่ายไม่ทำเจ้าชู้ใส่ พลัฎฐ์ยังทำให้ตะวันไม่ได้เลย

“มาครับ มาทานข้าวได้แล้ว เดี๋ยวบ่ายสองพี่ต้องประชุม ถ้าขืนชักช้าตะวันว่าคุณฝ้ายเข้ามาฆ่าพี่แน่”

พลัฎฐ์ได้ยินคนขี้งอนบอกแบบนั้นก็ได้แต่หัวเราะลั่นด้วยความชอบใจ ก่อนจะเดินมานั่งตรงโต๊ะที่ตะวันเตรียมอาหารวางไว้ให้ แล้วในขณะที่กำลังจะเริ่มลงมือกินก็มีเหตุให้ต้องรับโทรศัพท์ที่ดังทะลุกลางปล้องขึ้นมาเสียก่อน

Rrrrr

“ที่โรงเรียนน้องพีโทรมา”

พลัฎฐ์บอกตะวันที่กำลังเทน้ำรินใส่แก้ว ให้ดวงตากลมโตเหลือบมามองด้วยความสงสัย ว่ามีเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่า ทำไมที่โรงเรียนถึงต้องโทรมาระหว่างวันแบบนี้

และด้วยความที่ไม่คิดอะไร และเห็นว่าอีกฝ่ายคือตะวันที่รู้เรื่องน้องพีดีพอๆ กับตัวเอง พลัฎฐ์จึงตัดสินใจรับโทรศัพท์ด้วยการเปิดลำโพง เพื่อให้คนรักได้ยินด้วยว่าที่โรงเรียนโทรมาด้วยเรื่องอะไร

“สวัสดีครับ พลัฎฐ์ครับ” เสียงทุ้มนุ่มรับสายด้วยคำพูดที่เป็นทางการ จากนั้นน้ำเสียงคุ้นหูของปลายสายก็ดังขึ้น

(สวัสดีครับคุณพลัฎฐ์ ผมกวินทร์นะครับ ครูประจำชั้นของเด็กชายพีรยสถ์)

พลัฎฐ์แอบกลอกตาเล็กน้อยตอนได้ยินเสียงของคนที่ตัวเองไม่ถูกชะตา แต่สุดท้ายเขาก็ยอมพักเรื่องส่วนตัวเอาไว้ เพราะยังไงอีกฝ่ายก็เป็นครูที่ดูแลลูกชายเขาโดยตรง

“ครับ คุณครูกวินทร์มีอะไรด่วนหรือเปล่าครับ?”

(ที่จริงก็ไม่ได้ด่วนมากหรอกครับ เพียงแต่ผมคิดว่าผมควรจะโทรมาถามคุณพลัฎฐ์ด้วยตัวเองดีกว่า เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน)

พลัฎฐ์ขมวดคิ้วเล็กน้อย และพอเขาเหลือบไปมองตะวันก็ได้เห็นปฏิกริยาที่ไม่ต่างกันมากนักจากอีกฝ่าย

“เรื่องน้องพีเหรอครับ?”

(ใช่ครับ เรื่องเด็กชายพีรยสถ์) กวินทร์เงียบไป ก่อนที่พลัฎฐ์จะได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ จากปลายสาย (วันนี้ในคาบเรียนวาดรูป ผมให้โจทย์เด็กๆ ให้วาดรูปคุณแม่ของฉัน แล้วปรากฎว่าน้องพีไม่ยอมวาดอะไรมาส่งเลย พอผมถามอะไรไปแกก็ไม่ตอบ เอาแต่นั่งเงียบ นั่งซึม มีแต่น้องอาทิตย์ที่เข้าหาแกได้คนเดียว ... ผมเลยคิดว่าควรโทรมาถามและแจ้งเรื่องนี้ให้คุณพลัฎฐ์ทราบด้วยตัวเอง)

พลัฎฐ์นั่งนิ่ง รู้สึกเหมือนโดนสาปให้แข็งเป็นหิน ใจเขาเจ็บไปหมด เพียงแค่คิดว่าตอนนี้น้องพีกำลังเผชิญกับความรู้สึกแบบไหนอยู่ แค่นั้นก็ทำเอาเขาแทบล้มทั้งยืน รู้สึกสงสารลูกจนจับใจ

(ผมต้องขออภัยที่อาจจะก้าวก่าย แต่คุณพอที่จะสะดวกให้รายละเอียดไหมครับ ทางโรงเรียนจะได้รับมือถูก และรู้ว่าควรเข้าหาน้องพียังไง)

“ตอนนี้น้องพีอยู่ไหนครับ อยู่กับคุณหรือเปล่า?” พลัฎฐ์ไม่ตอบคำถามของกวินทร์ แต่เลือกที่จะถามอีกฝ่ายกลับแทน

(ตอนนี้พวกเด็กๆ นอนกลางวันอยู่ครับ ผมเลยมีเวลามาโทรหาคุณ)

พลัฎฐ์พยักหน้ากับตัวเอง ก่อนที่จะตัดสินใจเอ่ยบอกอีกฝ่ายหลังจากคิดว่านี่น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด

“ผมจะเล่ารายละเอียดให้ทางโรงเรียนทราบทีหลังนะครับ แต่ตอนนี้ผมขอไปรับลูกกลับมาบ้านก่อนได้ไหมครับ”

ครูประจำชั้นของเด็กชายถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเอ่ยอนุญาต เพราะยังไงทางโรงเรียนก็ต้องแล้วแต่ความพร้อมของผู้ปกครองอยู่แล้ว เรื่องบางเรื่องมันละเอียดอ่อนเกินไป ยังไงคนในครอบครัวของเด็ก ก็คงจะรู้สภาพจิตใจเด็กมากกว่าคนที่เพิ่งจะเป็นครูประจำชั้นของเจ้าหนูน้อยได้ไม่กี่เดือน

(ได้ครับ ถ้าคุณพลัฎฐ์มาถึง มาหาผมที่ห้องพักครูได้เลยนะครับ ผมจะพาไปรับน้องพีกลับบ้านเอง กว่าคุณจะมาถึงน้องพีน่าจะตื่นพอดี)

“ครับ ขอบคุณมากครับ”

รองประธานฯ บริษัทใหญ่ ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ โดยมีสายตาของตะวันที่ห่วงใยปนสงสัยกำลังมองอยู่ และดูเหมือนว่าตอนนี้พลัฎฐ์จะนึกขึ้นได้แล้วว่าเขาไม่ได้นั่งอยู่คนเดียว และตะวันเองก็ได้ยินทุกอย่าง แต่ด้วยความเป็นห่วงน้องพีที่มีอยู่ล้นอก ทำให้พลัฎฐ์ต้องเลือกทำสิ่งที่เร่งด่วนกว่าก่อน

มือใหญ่จึงเอื้อมไปลูบศีรษะทุยของคนรักเบาๆ พลางจ้องตากลมโตที่เต็มไปด้วยคำถาม เขารู้ดีว่าตอนนี้ตะวันคงมีเรื่องสงสัยเต็มไปหมด แต่ตะวันก็ยังคงเป็นตะวันที่งดงามและจิตใจดี เพราะในขณะที่พลัฎฐ์ยังไม่ได้พูดอะไร เนื่องจากไม่รู้จะเริ่มพูดจากตรงไหน ตะวันก็ยกยิ้มขึ้นมาบางๆ ก่อนจะเป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้นมาเอง

“พี่พลัฎฐ์ไปรับน้องพีก่อนเถอะครับ แล้วเดี๋ยวเรื่องอื่นค่อยว่ากัน”

“ตัวเล็กคือพี่...”

พลัฎฐ์อยากจะพูด อยากจะปลอบอะไรอีกฝ่ายสักอย่าง แต่ด้วยความที่ในหัวมันมีเรื่องราวพัวพันมากมายเต็มไปหมด จนเขาไม่รู้ว่าควรจะเริ่มจากตรงไหนดี

พลัฎฐ์รู้ว่าตะวันเองก็คงสงสัยเรื่องแม่ของน้องพีมาสักระยะแล้ว เพราะตอนที่ตะวันมาหาเขาคราวแรก คุณฝ้ายเล่าให้ฟังว่าตะวันหยิบกรอบรูปแม่ของน้องพีขึ้นมาดู พร้อมกับมีท่าทีอึกอักเหมือนกับอยากจะถามบางอย่างจากคุณฝ้าย แต่สุดท้ายก็เงียบไป ซึ่งพลัฎฐ์เองก็อยากจะพูดเรื่องแม่ของน้องพีให้ตะวันฟังเช่นกัน เพียงแต่ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน และอีกอย่างมันเป็นเรื่องค่อนข้างละเอียดอ่อน มันค่อนข้างยากพอสมควรเหมือนกันที่จะบอกตะวันว่าน้องพีไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของเขา พลัฎฐ์เลยประวิงเวลา พักเรื่องนี้ไว้ เพราะตั้งใจจะปรีกษาบิดาและมารดาเสียก่อน ซึ่งเขาก็ดันปล่อยให้มันล่วงเลยมาจนถึงตอนนี้

... ตอนที่ตะกอนในใจของตะวันถูกกวนให้ขุ่นขึ้นมาอีกรอบ และถึงแม้อีกฝ่ายจะบอกว่าเข้าใจ แต่เขาก็รู้ดีกว่าตะวันไม่ได้เข้าใจดีแบบที่บอกมากขนาดนั้น

ตะวันอาจจะหลอกตัวเองว่ายังรอเขาได้ แต่สายตาตัดพ้อที่มองมานั้น มันหลอกพลัฎฐ์ไม่ได้สักนิด ตะวันกำลังรอคอยด้วยความน้อยใจ

เรื่องนี้พลัฎฐ์ไม่โทษใครเลย เขาโทษว่าเป็นความผิดของตัวเองทั้งนั้นที่ปล่อยให้เวลามันล่วงเลยมาจนถึงตอนนี้ และตอนนี้ก็เป็นอีกครั้งที่เขาต้องปล่อยให้ตะวันรอ เพราะเขาคงทำใจปล่อยให้น้องพีตกอยู่สถานการณ์ยากลำบากลำพังแบบนั้นไม่ได้ ซึ่งพลัฎฐ์ก็ได้แต่ภาวนาขอให้ตะวันเข้าใจเขาเหมือนอย่างที่ตะวันกำลังพยายามทำความเข้าใจอยู่จริงๆ

“ไม่เป็นไรจริงๆ นะครับพี่พลัฎฐ์ พี่ไปหาน้องพีก่อนเถอะ” ตะวันว่าพลางยัดกล่องข้าวใส่มือพลัฎฐ์ เขาจัดการเก็บอาหารที่พอเอาไปกินบนรถได้ใส่กล่องให้พลัฎฐ์ ตั้งแต่ได้ยินว่าน้องพีซึมจนใครเข้าหน้าไม่ติดแล้ว “ตะวันรอได้ ตะวันรอพี่กลับมาได้ครับ”

รอยยิ้มบางๆ ที่พยายามจะให้กำลังใจเขาถูกส่งมาอีกครั้ง นั่นทำให้พลัฎฐ์ทนความซาบซึ้งใจในตัวอีกฝ่ายไม่ไหว เลยต้องดึงคนใจดีเข้ามากอดไว้แน่นๆ

“พี่ขอโทษนะครับตัวเล็ก พี่สัญญานะว่าพี่จะกลับมาเล่าทุกอย่างให้ฟัง ตัวเล็กรอพี่อีกนิดนะครับ” ริมฝีปากหยักกดลงบนกระหม่อมของคนรักเบาๆ “แล้วก็ขอบคุณมากที่ตัวเล็กเข้าใจพี่ ขอบคุณมากจริงๆ ครับ”

ตะวันพยักหน้าหงึกหงักอยู่ตรงอกของพลัฎฐ์ ก่อนที่พลัฎฐ์จะผละออก แล้วลุกขึ้นยืน จากนั้นก็เดินเร็วๆ ตรงไปที่ประตู พลางกดโทรศัพท์บอกเลขาฯ ถึงธุระด่วนของตัวเอง

“คุณฝ้าย ผมมีธุระด่วนที่โรงเรียนน้องพี ให้คนขับรถมารอที่หน้าตึกเลย แล้วบ่ายนี้ให้คุณมนัสเป็นประธานการประชุมแทนผม”

ตะวันมองตามร่างสูงใหญ่เปิดประตูเดินออกไปจนลับตา สีหน้ายิ้มแย้มเมื่อกี้กลับซีดเผือดลง มือเล็กถูกยกขึ้นมาปิดหน้า พลางเท้าศอกลงบนหน้าขาทั้งสองข้างของตัวเองอย่างคนที่ต้องการจะตั้งสติ

ดูเหมือนว่าความเข้มแข็งที่ตะวันสร้างขึ้นเพื่อโอบกอดคนรักจะพังลงไม่เป็นท่าเมื่อยามที่เขาอยู่คนเดียว

พร้อมๆ กับความจริงที่กระแทกใจตัวเองอย่างแรงว่า ... เขาไม่ได้เข้าใจเรื่องราวนี้เลยแม้แต่สักนิด แม้แต่นิดเดียว

.

.

.

- อ่านต่อด้านล่าง -

ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
- ต่อจากด้านบน -

พลัฎฐ์พาน้องพีที่กำลังซึมได้ที่กลับมาบ้าน เด็กน้อยงอแงจนพลัฎฐ์รู้สึกแย่ตามลูกไปด้วย ตอนแรกน้องพีก็แค่ซึมๆ ไม่ค่อยพูด มาอาการหนักเอาตอนถึงบ้านแล้ว และร้องจะหาอาทิตย์ แต่พลัฎฐ์เกรงใจตะวันเลยไม่อยากเอาอาทิตย์มาขลุกอยู่กับน้องพีที่ดูเหมือนจะอารมณ์ไม่ดีสักเท่าไหร่

ซึ่งก่อนที่พลัฎฐ์จะพาน้องพีกลับบ้านมา เขาก็แวะไปคุยกับครูกวินทร์ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น พลัฎฐ์จึงได้รับรู้ว่าลูกชายของเขาโตมากพอที่จะเห็นความแตกต่างแล้วว่าตัวเองไม่มีมารดาให้พูดถึงหรือให้เรียกหาเหมือนเด็กอื่นๆ ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเท่าไหร่ เพราะเมื่อเด็กชายได้ออกจากสภาพแวดล้อมที่มีแต่บ้านมาเข้าโรงเรียน ได้เจอเพื่อน ได้เจอโลกภายนอก จากที่คิดว่าไม่ได้ขาดอะไรยามอยู่กับบิดาอย่างพลัฎฐ์ แต่ลึกๆ ทุกคนต่างรู้ดีว่าเด็กวัยนี้โหยหาอ้อมกอดและความอบอุ่นจากคนเป็นแม่ขนาดไหน ซึ่งที่ผ่านมามันอาจจะยังเห็นไม่ได้ชัดเจน เพราะไม่มีใครไปขุดลึกหรือเน้นย้ำให้น้องพีรู้สึก แต่พอในคาบเรียนวันนี้มันทำให้เจ้าหนูน้อยได้เห็นชัดเจนว่าเขาต่างจากคนอื่น เขาไม่เหมือนคนอื่นตรงที่ไม่มีแม่ให้วาดรูปถึง ซึ่งนั่น ทำให้น้องพีได้ตระหนักรู้ว่าตัวเองขาด และมีครอบครัวที่เว้าแหว่งต่างจากเพื่อนที่มีทั้งพ่อและแม่อยู่ครบในบ้าน

พลัฎฐ์จึงได้บอกเล่าเรื่องราวของลูกชายให้กวินทร์ครูประจำชั้นฟัง แต่เขาเลือกที่จะพูดแค่ว่าแม่ของน้องพีประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตตั้งแต่เจ้าหนูยังเด็ก แต่ไม่ได้ลงรายละเอียดว่าในความเป็นจริงแล้วอุบัติเหตุนั้นไม่ได้คร่าแค่ชีวิตของแม่น้องพี แต่กลับคร่าชีวิตของพ่อน้องพีไปด้วย ซ้ำแล้วเขาเองก็ไม่ใช่พ่อแท้ๆ ของเด็กน้อยเช่นกัน เพราะพลัฎฐ์เห็นว่าไม่จำเป็น เพียงแค่นี้น้องพีก็บอบช้ำมากพอแล้วจากโลกแห่งความเป็นจริง

ซึ่งตอนที่ครูกวินทร์ได้ฟังและรับรู้ว่ามารดาของเด็กชายเสียชีวิตไปแล้ว เขาเองก็ตกใจไม่น้อย เพราะตอนแรกเข้าใจว่าพลัฎฐ์แค่หย่าร้างกับภรรยา แต่ไม่คิดว่าจะถึงกับสูญเสียเธอไปโดยไม่หวนกลับแบบนี้ กวินทร์ยอมรับว่าเห็นใจอีกฝ่ายไม่น้อยที่ต้องกลายมาเป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวตั้งแต่ยังหนุ่มยังแน่น สุดท้ายกวินทร์เลยรับปากไปว่าจะช่วยดูแลเด็กชายพีรยสถ์ให้ดีที่สุดในฐานะครูประจำชั้นของเจ้าหนูน้อย

และหลังจากเสร็จจากโรงเรียน พลัฎฐ์ก็ตรงดิ่งกลับบ้านทันที โดยพลัฎฐ์คิดว่าเขาควรดูแลลูกด้วยตัวเอง ควรปลอบใจและคุยกับน้องพีให้เข้าใจ น้องพียังเด็กอยู่ก็จริง แต่อีกไม่กี่เดือนเจ้าหนูน้อยก็จะอายุสี่ขวบแล้ว ฟังดูอาจจะยังเหมือนไม่โต แต่เชื่อเถอะว่าเด็กสี่ขวบโตมากพอที่จะรับรู้ คิด จดจำ และประมวลผลเรื่องราวบางอย่างได้มากพอสมควรแล้ว แน่นอนว่าเขาไม่อยากจะพูดเรื่องนี้กับน้องพีสักเท่าไหร่ ซึ่งมันก็มากพอกับที่เขาไม่อยากจะให้เด็กชายมีปมในใจเรื่องแม่เช่นกัน

“น้องพี.. ฮึก! น้องพีจะหาคุณอาทิตย์” เด็กน้อยเริ่มร้องไห้อีกครั้ง เมื่อพลัฎฐ์เดินเข้ามาหาเจ้าหนูที่นั่งอยู่ที่โซฟากลางห้องรับแขก

เจ้าของท่อนขาแข็งแรงก้าวตรงไปยังจุดที่ลูกชายนั่งร้องไห้หูตาบวม ก่อนจะอุ้มร่างน้อยๆ ขึ้นมานั่งบนตักของตัวเอง

“คุณอาทิตย์ยังอยู่ที่โรงเรียนอยู่เลยครับ ตอนนี้น้องพีอยู่กับปะป๊าก่อนได้ไหม หื้ม?”

“น้องพีอยู่กับปะป๊าได้ แต่หยักอยู่กับคุณอาทิตย์ด้วย” ตากลมแป๋วจ้องมองคนเป็นพ่ออย่างคาดหวัง พลัฎฐ์กลับไม่ตอบอะไร แต่เขาเลือกที่จะโอบกอดลูกชายให้เข้ามาซุกอยู่กับอกแน่น ก่อนที่จะเริ่มพูด

“น้องพีครับ น้องพีอยากรู้เรื่องคุณแม่ของน้องพีไหมครับ” พลัฎฐ์ก้มมองเด็กชายที่ใบหน้าเล็กๆ กำลังซุกที่อกเขา แต่ศีรษะทุยกลับผงกขึ้นลงอย่างหน้าเอ็นดู

พลัฎฐ์จึงตัดสินใจดันเจ้าตัวน้อยออกจากอก ก่อนจะมองหน้าลูกด้วยสายตาอ่อนโยนและอบอุ่นแบบที่เขามีให้น้องพีมาตลอด พร้อมกับเริ่มพูดช้าๆ ชัดๆ ค่อยๆ เรียบเรียงเรื่องราวอย่างใจเย็น เรื่องราวที่เด็กวัยสามขวบกว่าน่าจะเข้าใจได้ และดูไม่บีบบังคับหรือยัดเยียดให้มากจนเกินไป

“น้องพีสงสัยใช่ไหมครับว่าคุณแม่ของน้องพีไปไหน” เด็กน้อยพยักหน้ารับ “แล้วน้องพีจำที่ปะป๊าบอกได้ไหมครับว่าตอนนี้คุณแม่อยู่บนสวรรค์ที่ไกลๆ เลยกลับมาหาน้องพีไม่ได้”

“จำได้คับ ปะป๊าเคยเย่าให้ฟัง” เสียงเล็กๆ ตอบรับทั้งที่ยังมีน้ำใสๆ คลออยู่ในดวงตากลม

“ใช่ครับ ปะป๊าเคยเล่าให้น้องพีฟัง เพราะฉะนั้น การที่คุณแม่ไม่ได้อยู่กับน้องพีตรงนี้ ไม่ได้หมายความว่าน้องพีไม่มีแม่นะลูก” มือใหญ่ลูบศีรษะเล็กเบาๆ แล้วพูดต่อ “น้องพีมีคุณแม่เหมือนเพื่อนคนอื่นๆ เลย เพียงแต่คุณแม่อยู่ไกลมาก เลยกลับมาหาน้องพีไม่ได้”

“คุณแม่อยู่ไกลมาก...” เด็กน้อยพูดทวนพลางคิดตาม

“ใช่ครับน้องพี อยู่ไกลมาก แต่คุณแม่ก็คอยมองน้องพีอยู่เสมอนะ คุณแม่ของน้องพีคอยมองน้องพีอยู่ห่างๆ เป็นห่วงอยู่ห่างๆ คอยรักและดูแลน้องพีอยู่ห่างๆ เพราะกลับมาไม่ได้”

“คุณแม่เยยให้ปะป๊าอยู่ใกล้ๆ น้องพีแทนคุณแม่หยอคับ” เจ้าหนูน้อยฉลาด จนพลัฎฐ์ต้องยิ้มออกมาบางๆ

“ถูกต้องแล้วครับ เพราะคุณแม่อยู่ไกลมากและกลับมาไม่ได้ คุณแม่เลยให้ปะป๊าอยู่กับน้องพี อยู่ดูแล อยู่รัก และอยู่เอาใจใส่น้องพีแทนคุณแม่ ... ทุกอย่างที่เกี่ยวกับน้องพีคุณแม่เขาฝากปะป๊าไว้ เพราะฉะนั้น ความรักที่ปะป๊ามีให้น้องพีเลยเยอะมาก เยอะมากๆ เพราะมันมีทั้งของคุณแม่และของปะป๊ารวมอยู่ด้วย น้องพีพอจะเข้าใจใช่ไหมครับ”

เด็กน้อยขมวดคิ้วเล็กๆ มุ่น พลางเอียงคอเล็กน้อยราวกับกำลังขบคิดถึงสิ่งที่คนเป็นพ่อพูด

“เหมือนยวมพยังคูณสองหยอคับปะป๊า” ก่อนจะยิ้มร่าราวกับนึกขึ้นได้ “แบบที่คุณอาทิตย์เคยบอกน้องพี ที่ไอย่อนแมนที่คุณอาทิตย์ชอบยวมพยังกับกัปตันอาเมยิกาที่น้องพีชอบ ก็จะได้พยังคูณสอง เก่งๆ แบบสองเท่า”

พลัฎฐ์ยิ้ม พร้อมกับลูบศีรษะกลมของลูกชายอย่างเอ็นดู เขานึกชอบใจในสิ่งที่น้องพีเปรียบเทียบ เพราะแบบนี้จะทำให้ลูกเข้าใจได้ง่ายมากกว่าว่าเขารักเจ้าหนูน้อยมากขนาดไหน

“พยังแบบเยอะมากๆ เลยนะปะป๊า” เจ้าหนูว่าพลางอ้าแขนออกกว้าง เพื่อให้คนเป็นพ่อได้เห็นว่าที่เขาว่าเยอะนั้นมันเยอะขนาดไหน

“ใช่ครับลูก พลังของไอรอนแมนกับกัปตันอเมริกาพอมันรวมกันแล้วมันเยอะมากๆ เหมือนกันกับความรักของปะป๊าแล้วก็ของแม่น้องพีที่ฝากไว้เลย พอรวมกันแล้วมันก็เยอะมากๆ แถมยังไม่มีวันหมด ปะป๊ามีให้น้องพีได้ตลอด น้องพีเข้าใจใช่ไหมครับ”

เจ้าหนูน้อยพยักหน้ารับก่อนจะโผเข้าหาอ้อมกอดของคนเป็นพ่อแน่น

“เข้าใจแย้วคับ น้องพีก็ยักปะป๊ามากที่สุดในโยก แล้วก็ยักคุณแม่ที่อยู่ไกลๆ ด้วย”

“เก่งมากครับเด็กดี น้องพีของปะป๊าเก่งที่สุดเลย เก่งกว่ากัปตันอเมริกาอีกนะเนี่ย”

เด็กชายหัวเราะคิกคักทันทีที่ได้ยินคนเป็นพ่อบอกแบบนั้น ดูเหมือนอารมณ์ที่ขุ่นมัว กับความซึมเศร้าของลูกชายได้ลดลงมาเกือบจะหายเป็นปกติแล้ว

“แย้ว...” เจ้าหนูผละตัวออกจากอกของพลัฎฐ์ ก่อนจะทำตาแป๋ว สีหน้าครุ่นคิด ราวกับมีบางอย่างที่ยังสงสัยอยู่ “แย้วน้องพียักคุณอาทิตย์กับพี่ตะวันด้วยได้ไหมคับปะป๊า”

พลัฎฐ์หัวเราะน้อยๆ ก่อนจะตอบรับ “ได้สิครับลูก รักได้ เพราะปะป๊าก็รักพี่ตะวันกับคุณอาทิตย์เหมือนกัน”

“เย่ๆ ยักกันๆ ยักกันหมดเยย ยักคุณปู่กับคุณย่าด้วย ยักๆ”

เด็กน้อยส่ายหัวตอนพูดดุ๊กดิ๊ก ให้พลัฎฐ์ยิ่งเอ็นดูลูกชายตัวเองมากกว่าเดิม เลยจัดการจูบขมับเจ้าเด็กช่างพูดไปเบาๆ ด้วยความมันเขี้ยว

แต่พอนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้พลัฎฐ์เลยเดินไปที่ตู้โชว์ที่วางกรอบรูปไว้มากมาย แล้วเลือกที่จะหยิบรูปพี่สะใภ้ที่กำลังอุ้มน้องพีที่กำลังแบเบาะไว้ออกมา แล้วกลับลงมานั่งเคียงข้างเจ้าเด็กน้อยอีกครั้ง

“น้องพีครับ” พลัฎฐ์เรียกลูกชาย ก่อนจะยื่นกรอบรูปในมือให้เจ้าหนูน้อยดู “คนนี้คือคุณแม่น้องพี ส่วนเด็กน้อยที่คุณแม่อุ้มอยู่คือน้องพี ... คุณแม่ของน้องพีสวยไหมครับ”

เด็กชายพีรยสถ์ยิ้มกว้างจนตาหยี ก่อนจะเอ่ยตอบพลัฎฐ์เสียงดัง “สวยคับ คุณแม่สวย”

“ถ้างั้นต่อไปนี้เวลาคุณครูให้วาดรูปคุณแม่ น้องพีก็วาดคุณแม่สวยๆ แบบนี้เลยนะครับ ถ้าคุณแม่มองมาจากไกลๆ แล้วเห็น คุณแม่คงดีใจ”

พลัฎฐ์พยายามค่อยๆ พูด เขาพยายามสื่อให้เด็กชายได้เห็นว่าตัวเองไม่ได้ขาด และมีพร้อมเหมือนที่เด็กคนอื่นๆ

“ได้เยย น้องพีจะวาดคุณแม่สวยๆ เยยคราวหน้า” เด็กน้อยตาเป็นประกาย ลืมเรื่องทุกข์เศร้าก่อนหน้าจนหมดสิ้น “น้องพีจะให้คุณอาทิตย์สอนวาดยูป เพราะคุณอาทิตย์วาดยูปสวย”

พลัฎฐ์ยิ้มพลางลูบศีรษะลูกชายอย่างเอ็นดู “ได้ครับ ให้คุณอาทิตย์สอน น้องพีจะได้วาดรูปคุณแม่ได้สวยๆ เก่งๆ แบบคุณอาทิตย์เนาะ”

“ได้ๆ น้องพีจะวาดยูปเก่งๆ วาดยูปปะป๊าด้วย”

พลัฎฐ์พยักหน้ารับ ก่อนที่น้องพีจะลุกขึ้นยืนบนโซฟา แล้วโถมตัววาดแขนโอบรอบคอคนเป็นพ่อแล้วพุ่งเข้ากอด ให้พลัฎฐ์ได้หัวเราะเสียงดัง ก่อนจะกอดตอบลูกชายไว้ในอ้อมแขนแน่นไม่ต่างกัน

.

.

.

ตะวันแวะมารับอาทิตย์หลังเลิกเรียนด้วยความไม่สบายใจ พลัฎฐ์เงียบหายไปเลยหลังจากที่รับน้องพีกลับมาถึงบ้าน ยิ่งก่อนกลับตะวันได้เจอกับกวินทร์คุณครูประจำชั้นและได้พูดคุยกันเล็กน้อย จึงได้ทราบเหตุการณ์คร่าวๆ ว่าแม่ของน้องพีประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต และพลัฎฐ์เองก็เห็นว่าเด็กชายยังเด็กเลยยังไม่ได้เล่าอะไรให้ฟังมากนัก


‘คุณพลัฎฐ์คงไม่กล้าเล่าเรื่องแม่ของแกให้แกฟังน่ะครับ เพราะน้องพีอาจจะยังไม่เข้าใจเรื่องการเสียชีวิตหรือการตายอะไรมากนักเนื่องจากยังเด็ก แต่ผมคิดว่าหลังจากเหตุการณ์นี้คุณพลัฎฐ์คงคิดว่าควรทำอะไรสักอย่างถ้าไม่อยากให้น้องพีมีปมเรื่องแม่ในใจ’


ตะวันรับฟังอย่างเหม่อลอย ในใจนึกสงสารทั้งน้องพีและพลัฎฐ์ไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนรักของตัวเอง เขาไม่รู้ว่าพลัฎฐ์จะกดดันมากแค่ไหน และจะมีวิธีอธิบายให้เด็กชายฟังอย่างไรเพื่อไม่ให้สะเทือนใจ

ตะวันกำโทรศัพท์ที่อยู่ในมือแน่น อยากจะโทรหาพลัฎฐ์ใจจะขาด แต่กลัวจะไปรบกวนเวลาที่พ่อลูกกำลังพูดคุยกัน เขาเลยจำใจต้องพาอาทิตย์ขึ้นรถเพื่อพากลับบ้านเงียบๆ ทั้งที่ในใจว้าวุ่นไปหมด

ตะวันยอมรับว่าก่อนหน้านี้เขาอาจจะน้อยใจที่พลัฎฐ์ไม่เคยเล่าอะไรให้ฟังเลย แต่ตอนนี้เขากลับเป็นห่วงอีกฝ่ายมากกว่า ... พอคิดได้แบบนั้น คนตัวเล็กก็ส่ายศรีษะยิ้มๆ

ความรักมันเป็นแบบนี้สินะ ... เป็นห่วงความรู้สึกของอีกฝ่าย มากกว่าความรู้สึกของตัวเอง

ดังนั้น ตะวันจึงไม่แปลกใจเลยที่เคยได้ยินคนพูดว่า คนที่มีความรักมักจะอ่อนแอและไม่เป็นตัวของตัวเอง

เพราะตอนนี้ตะวันเป็นอย่างที่คนอื่นๆ เขาว่ากัน ทั้งอ่อนแอ ทั้งไม่เป็นตัวของตัวเอง และดูเหมือนจะคอยเป็นห่วงแต่อีกฝ่ายตลอดเวลา

“พี่ตะวันเป็นอะไรครับ”

เจ้าหนูอาทิตย์ยกนิ้วมาจิ้มๆ ตรงคิ้วของตะวันเมื่อเห็นอีกฝ่ายที่กำลังจับเจ้าหนูนั่งในคาร์ซีแล้วคาดเข็มขัดให้

“หือ? พี่เป็นอะไรเหรออาทิตย์” ตะวันถามน้องกลับงงๆ เพราะเขายังไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำ

“ก็พี่ตะวันคิ้วขมวด หน้ามุ่ยด้วย”

ตะวันหลุดยิ้มออกมาเมื่อคิดได้ว่าถึงแม้เขาจะไม่ได้พูด แต่ดูเหมือนว่าความกังวลมันได้แสดงออกผ่านทางสีหน้าไปหมด จนน้องชายจับได้

“เปล่าครับ พี่ตะวันไม่เป็นอะไร” คนตัวเล็กกว่าพยายามยิ้ม แม้จะดูฝืดเฝื่อนก็ตาม

“ว่าแต่พี่ตะวันครับ... พอกลับบ้านไปเราหาน้องพีได้ไหม” และพอตะวันเดินย้อนกลับขึ้นมาประจำฝั่งคนขับ เจ้าอาทิตย์ดวงน้อยก็ถามขึ้นอีก น้ำเสียงติดจะไม่ร่าเริงเหมือนอย่างเคย

“อาทิตย์เป็นห่วงน้องพีเหรอครับ” ตะวันถามขึ้นตอนเลี้ยวรถออกจากลานจอดรถของโรงเรียนอนุบาล ซึ่งพอถามจบก็ได้เห็นว่าน้องชายหน้าเศร้าพอตัว เขาพอเข้าใจได้ เพราะวันนี้อาทิตย์อยู่ในเหตุการณ์ข้างๆ น้องพีตลอด เด็กชายคงจับสังเกตและจับความรู้สึกเสียใจของเพื่อนสนิทได้ เลยไม่แปลกใจที่อาทิตย์จะเป็นห่วงและอยากเจอน้องพี เพราะอยากจะแน่ใจว่าเพื่อนของตัวเองดีขึ้นจากอาการเศร้าสร้อยที่เผชิญไปเมื่อตอนกลางวันแล้วหรือยัง

“ครับ อาทิตย์เป็นห่วงน้องพี อยากรู้ว่าน้องพีหายเศร้าหรือยัง” เด็กชายก้มหน้าลง แววตาไม่สดใส “อาทิตย์ไม่อยากให้น้องพีเศร้าเลย อาทิตย์อยากให้น้องพีหัวเราะให้อาทิตย์มากกว่าทำหน้าแบบตอนเรียนวาดรูป”

ตะวันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากพาน้องชายตัวเองไปหาเพื่อนสนิท เพียงแต่เขาแค่ไม่แน่ใจว่าพลัฎฐ์จะอยากให้เขาสองคนพี่น้องไปรบกวนหรือเปล่า เพราะยังไงก็ถือว่านี่เป็นเรื่องในครอบครัวของพลัฎฐ์ และถึงแม้ตะวันจะเป็นแฟน ตะวันก็ยังคงเป็นคนนอกอยู่ดี กับเรื่องที่ละเอียดอ่อนและตะวันเองก็ไม่ได้รู้อะไรไปมากกว่าที่ครูกวินทร์เล่า เลยยิ่งทำให้ตะวันไม่แน่ใจว่าการพาอาทิตย์ไปหาน้องพีจะเป็นเรื่องที่สมควรทำ

“พี่ตะวันก็เป็นห่วงน้องพีนะครับอาทิตย์ แต่พี่ว่าวันนี้เราปล่อยให้น้องพีอยู่กับปะป๊าพลัฎฐ์ก่อนดีไหมครับ แล้วเดี๋ยวพี่โทรถามปะป๊าพลัฎฐ์ให้ว่าน้องพีเป็นยังไงบ้าง”

ตะวันพยายามต่อรอง เพราะถึงแม้จะสงสารเด็กชายที่พยายามจะใช้สายตาแบบลูกหมาน้อยมาออดอ้อนขนาดไหน ตะวันก็คิดว่ายังไงก็ไม่ควรพาอาทิตย์ไปอยู่ดี

“แต่อาทิตย์อยากเจอน้องพีนี่ครับพี่ตะวัน” เสียงของเด็กชายเศร้าลงจนใจตะวันอ่อนยวบ คนเป็นพี่เลยตัดสินใจแบ่งรับแบ่งสู้ ก่อนที่เจ้าอาทิตย์ดวงน้อยจะงอแงมากไปกว่านี้

“เอางี้นะครับอาทิตย์” ตะวันสบตาน้องชายผ่านกระจกหลัง ก่อนจะยื่นเงื่อนไข “เดี๋ยววันนี้พี่ตะวันโทรหาปะป๊าพลัฎฐ์แล้วจะถามให้ว่าน้องพีเป็นยังไงบ้าง ส่วนพรุ่งนี้เป็นวันเสาร์เดี๋ยวเราค่อยไปหาน้องพีกัน แบบนี้อาทิตย์โอเคไหม”

เจ้าหนูน้อยเงียบไป พร้อมกับก้มหน้าคำนวณในใจ ก่อนจะเงยขึ้นมาสบตาพี่ชายผ่านกระจกมองหลังอีกครั้ง

“ก็ได้ครับ ไปหาน้องพีพรุ่งนี้ก็ได้ แต่พี่ตะวันต้องพาไปแต่เช้าเลยนะ.. สัญญาได้ไหมครับ”

ตะวันหลุดยิ้มน้อยๆ กับความขี้ต่อรองของเจ้าตัวแสบประจำบ้าน ก่อนที่จะยอมรับปาก เพราะรู้ดีกว่าเขาต่อรองน้องชายได้แค่นี้แหละ ขืนดึงดันมากกว่านี้อาทิตย์งอแงแน่ๆ

“โอเคครับ พี่ตะวันจะพาอาทิตย์ไปแต่เช้า” ตะวันว่าพลางยิ้ม “เดี๋ยวเราไปทำข้าวเช้าทานที่บ้านน้องพีกัน”

“ดีครับดี” พอได้ยินแบบนั้นอาทิตย์ก็ยิ้มกว้างด้วยความชอบใจ

“งั้นวันนี้อาทิตย์ก็รีบทำการบ้านให้เสร็จเรียบร้อยนะ แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าเราไปบ้านน้องพีกัน” ตะวันสรุปและดูเหมือนว่าเจ้าหนูเองก็จะให้ความร่วมมืออย่างดี

“ได้เลยครับพี่ตะวัน”

ตะวันยิ้มพอใจที่ตกลงกับเจ้าอาทิตย์ดวงน้อยได้ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่เขาเลี้ยวรถเข้ามาในหมู่บ้านพอดี ซึ่งตะวันก็ขับมาเรื่อยๆ จนผ่านบ้านของพลัฎฐ์ ดวงตากลมโตของตะวันพยายามจะสอดส่องมองเข้าไปในบ้านหลังใหญ่เท่าของตนเผื่อจะเห็นอะไรบ้าง แต่ก็เปล่าประโยชน์เพราะตะวันไม่เห็นอะไรเลยนอกจากประตูรั้วที่ปิดสนิท และแสงไฟหน้าบ้านที่ลอดออกมาตามช่องของประตูหน้า ให้ได้รู้ว่าแค่ว่าตอนนี้มีคนอยู่ในบ้านเท่านั้น

ตะวันถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะขับรถไหลมาช้าๆ จนถึงหน้าบ้านตัวเอง

แล้วตะวันก็ต้องขมวดคิ้วมุ่น เมื่อเห็นว่ามีคนสองคนยืนจูงมือกันอยู่หน้าบ้านตัวเอง

ซึ่งถ้าเขามองไม่ผิด ตะวันคิดว่าสองคนนั้นคือ...

“น้องพี! ปะป๊าพะลัด!” เสียงเรียกคนทั้งคู่ของอาทิตย์ดังลั่นขึ้นมาในรถ เพื่อตอกย้ำว่าตะวันไม่ได้ตาฝาดแต่อย่างใด

ซึ่งกว่าตะวันจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เขาเปิดประตูรถลงไปยืนเผชิญหน้ากับคนรักที่ส่งยิ้มอบอุ่นมาให้ ... ยิ้มแบบเดียวกับที่เขายิ้มยามมองกลับไปให้คนที่ยืนอยู่ตรงหน้า คนที่ตะวันทั้งคิดถึง ทั้งเป็นห่วง ทั้งเป็นกังวล คนที่ตะวันรัก... มากกว่าใคร
.

.

.

To Be Continue

------------------------------------------

กอดน้องพีนะรูกกกก โอ๋ๆ นะคับ~

ฝากติดแท็ก #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว ในทวิตเตอร์ด้วยนะคะ แล้วก็ขอบคุณมากๆ เลยยยย สำหรับทุกคอมเม้นท์และกำลังใจ รักทุกคนน๊าาา~ เจอกันตอนหน้าค้าบบบ❤

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด