พิมพ์หน้านี้ - [END] The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว - อัพเดท Special CH. - 17/09/2019

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Gade_ka ที่ 15-06-2019 17:41:21

หัวข้อ: [END] The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว - อัพเดท Special CH. - 17/09/2019
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 15-06-2019 17:41:21
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************

The Boy Next Home

#เกิดเป็นรักข้ามรั้ว

'ความบังเอิญ' มักจะมีอีกชื่อเรียกว่า 'พรหมลิขิต'


ชอบไม่ชอบ ดีไม่ดี ขอคอมเม้นท์เป็นกำลังใจ เพื่อเอาไปพัฒนาและปรับปรุงด้วยนะคะ
และฝากติดแฮชแท็ก #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว ในทวิตเตอร์ด้วย... แวะมาพูดคุยได้ที่แอคทวิต @gade_ka ได้น้า
นิยายเรื่องนี้เป็นฟีลกู๊ดนะคะ อ่านสบายไม่ต้องคิดอะไรมาก ขอแค่ยิ้มตอนอ่านมันก็พอ

ขอบคุณทุกคนล่วงหน้าเลยค่ะ

@gade_ka
2019.06.15
หัวข้อ: [Up 1st] The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว ::Prologue - แรกพบสบตา
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 15-06-2019 17:47:59
Prologue ... แรกพบสบตา


"พี่ตะวันนนนนน!" เสียงเล็กๆ ร้องตะโกนเรียกพี่ชายลั่นบ้าน ทำเอาเจ้าของชื่อก้าวขาเรียวยาวรีบเดินเร็วๆ ตรงมายังห้องนั่งเล่น ที่ๆ เขาได้ยินเสียงร้องเรียกอันดังสนั่นของน้องชาย

"ว่าไงครับ ว่าไง พี่มาแล้วครับอาทิตย์" ตะวันเดินตรงไปยัวร่างเล็กที่ยืนจังก้ากอดอกอยู่กลางห้อง ท่ามกลางกล่องและลังที่วางเรียงรายอยู่เต็มไปหมด

"อาทิตย์หาไอร่อนแมนที่คุณพ่อซื้อให้ไม่เจอ พี่ตะวันช่วยหาหน่อยสิคับ" เจ้าหนูน้อยพูดเสียงเข้มจริงจัง ซึ่งท่าทางที่แสดงออกขัดกับอายุวัยสามขวบกว่าๆ ของตัวเองเป็นอย่างมาก เรื่องแก่แดดทำตัวโตกว่าวัยน่ะ ยกให้เจ้าเด็กคนนี้ได้เลย

คนเป็นพี่สืบเท้าเข้าไปใกล้ๆ น้องชายที่อายุห่างกันเป็นสิบกว่าปี ก่อนจะลดตัวลงนั่งยองๆ เพื่อให้ความสูงระหว่างตนกับน้องเท่ากัน ทั้งที่ความจริงนั้นแทบจะไม่ต้องนั่งยองๆ เลยก็ได้ แค่ย่อเข่าตัวก็แทบจะเสมอเท่ากับน้องชายแล้ว ซึ่งพอพูดถึงเรื่องนี้แล้วตะวันก็ได้แต่เจ็บใจ ก็ใครใช้ให้เขาสูงแค่ร้อยหกสิบปลายๆ แบบนี้กัน จะว่าเป็นกรรมพันธุ์ก็ไม่น่าใช่ เพราะเจ้าอาทิตย์น้องชายของเขาก็สูงเอาๆ ทั้งที่อายุสามขวบกว่าๆ แท้ๆ ตอนนี้สูงแทบจะเลยเอวของเขาอยู่แล้วด้วยซ้ำ

"เดี๋ยวพี่ช่วยกลับมาหาครับ ตอนนี้เราต้องไปซื้อของที่ห้างใกล้ๆ นี้ก่อน" มือเล็กลูบศีรษะทุยของน้องชายอย่างเอ็นดู ยิ่งพอเห็นดวงตาใสแจ๋วของคนเป็นน้องจ้องกลับมาอย่างตั้งใจฟัง ตะวันก็อดอมยิ้มกับท่าทางของเจ้าตัวแสบไม่ได้

"ไปครับไป อาทิตย์อยากไปห้าง" เจ้าหนูน้อยยิ้มแฉ่ง มือเล็กของคนเป็นพี่เลยเอื้อมไปหยิกแก้มนิ่มนั่นเบาๆ

"แต่ต้องรีบไปรีบกลับนะครับ เรายังจัดของกันไม่เสร็จเลย เดี๋ยวคืนนี้ไม่มีห้องนอนแล้วจะยุ่งเนาะ" อาทิตย์พยักหน้าหงึกหงัก ราวกับจะบอกว่ารับรู้และเข้าใจในสิ่งที่พี่ชายพูดแล้ว

ตะวันจึงจัดการช้อนอุ้มเจ้าดวงอาทิตย์ตัวน้อย แล้วพาออกไปขึ้นรถยุโรปคันหรูที่จอดไว้หน้าบ้าน

"ไปห้าง ไปห้างงง~" เสียงพูดของคนเป็นน้อง และเสียงหัวเราะของพี่ชายดังประสานกันไปจนถึงรถ ก่อนที่ตะวันจะขับรถออกจากบ้านไป

... พลางคิดอย่างเป็นสุขว่า ขอให้วันนี้เป็นการเริ่มต้นใหม่ที่ดีด้วยเถอะ

.

.

.

“อาทิตย์ครับ มาจูงมือพี่มา เราต้องรีบซื้อของรีบกลับนะ ตามที่ตกลงกันไว้” เจ้าของร่างเล็กพูดย้ำพลางก้าวลงมาจากรถยนต์คันหรู ก่อนจะเดินอ้อมไปอีกฝั่งเพื่อเปิดประตูฝั่งนั่งข้างคนขับ แล้วจัดการอุ้มเด็กน้อยวัยสามขวบกว่าลงจากคาร์ซีท มายืนนิ่งบนพื้นคอนกรีต ข้างรถยนต์ของตัวเองที่จอดนิ่งอยู่ในลานจอดรถของห้องสรรพสินค้าชื่อดัง

“คับ” เจ้าหนูอาทิตย์ ที่แม้จะยังพูดไม่ค่อยชัดเพราะออกเสียงควบกล้ำไม่ได้แต่ก็ช่างรู้ความ เพราะเมื่อได้ยินพี่ชายบอกแบบนั้น มือเล็กๆ ก็ถูกเอื้อมมาจับกับมือขาวนิ่มราวกับมือผู้หญิงของคนเป็นพี่ เป็นผลให้คนที่ถูกน้องชายจับมือแน่นต้องยิ้มกว้างออกมาด้วยความเอ็นดู

“ไปครับ ไปกัน” พอตะวันว่าจบก็จูงมือพาเจ้าหนูน้อยเดินเข้าไปในห้างสรรพสินค้า เพื่อเลือกซื้อของที่จำเป็นต้องใช้

หนุ่มน้อยสองวัยพากันเดินเข้าช่องนู้น ออกชั้นนี้ จนได้ของครบ และในขณะที่ทั้งสองกำลังเดินไปที่แคชเชียร์เพื่อจ่ายเงินนั้น อาทิตย์ก็เหลือบไปเห็นขนมยี่ห้อโปรดวางอยู่ที่ชั้น เลยกระตุกมือเรียกคนเป็นพี่ให้วุ่น

“พี่ตะวันๆ อาทิตย์อยากกกินขนมอันนั้นคับ”

ตะวันหันมองตามนิ้วเล็กๆ ที่ชี้ไปยังชั้นวางขนม ซึ่งมีขนมยี่ห้อโปรดของน้องชายวางอยู่ แถมยังเหลืออยู่เป็นห่อสุดท้ายอีกต่างหาก พอเห็นดังนั้น พี่ชายที่แสนอย่างตะวันดีจึงรีบจูงมือน้องเพื่อพาไปหยิบขนมห่อที่ว่า แล้วจะได้ไปชำระเงินรวมกับของที่เลือกมา

แต่ในขณะที่สองพี่น้องกำลังจะเดินไปถึงชั้นวางดังกล่าวนั้น จู่ๆ ก็มีชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ จูงมือเด็กชายวัยไล่เลี่ยกับอาทิตย์ แต่เตี้ยกว่านิดหน่อยเดินตัดหน้า ก่อนจะตรงเข้าไปหยิบขนมที่เหลืออยู่ห่อสุดท้ายนั้นส่งให้เด็กชายคนที่ว่า พร้อมๆ กับที่เสียงเล็กๆ น่ารัก ของเจ้าเด็กน้อยนั่นดังขึ้น

“ขอบคุณคับปะป๊า น้องพีชอบกินอันนี้ๆ”

ตะวันอ้าปากค้าง พร้อมๆ กับที่เสียงของอาทิตย์โวยวายขึ้นอย่างไม่ชอบใจ เมื่อเห็นขนมของโปรด ถูกแย่งไปต่อหน้าต่อตา

“พี่ตะวัน อันนั้นของอาทิตย์ อาทิตย์เห็นก่อนนะ คุณลุงคนนั้นมาแย่งขนมของอาทิตย์ได้ยังไง”

และแน่นอนว่าเสียงของเจ้าดวงอาทิตย์ตัวน้อยที่กำลังโกรธ ก็ดังมากพอที่จะเรียกความสนใจจากคุณลุงคนที่ว่าให้หันมามองได้ไม่ยากเช่นกัน

“เธอหมายถึงฉันเหรอเจ้าหนู?”

เจ้าของรูปร่างสูงใหญ่หันกลับมา แล้วจูงเด็กน้อยน่ารักที่กำลังทำหน้าสงสัย เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของตะวันและน้องชาย ซึ่งพอคำนวณจากความสูงแล้ว เขาเทียบผู้ชายคนนั้นไม่ติดเลยสักนิด ตะวันสูงแค่ไหล่ผู้ชายคนนั้นเองด้วยซ้ำ เขาทั้งตัวใหญ่และสูงกว่า จนเจ้าของความสูงร้อยหกสิบกว่าๆ นึกหงุดหงิดที่ต้องแหงนหน้าขึ้นเล็กน้อย เพื่อเจรจากับคนตรงหน้าให้รู้เรื่อง

และด้วยรูปร่างสูงใหญ่ของอีกฝ่าย ก็ทำให้เจ้าดวงอาทิตย์ดวงน้อยถึงกับก้าวถอยหลังไปหลบหลังพี่ชายด้วยความกลัว เสียงที่แผดไปก่อนหน้า กลายเป็นเสียงสั่นๆ เรียกชื่อพี่ชายของตัวเองเหมือนเด็กที่ต้องการหาที่พึ่ง

“พี่ตะวัน...” ตะวันหันมองน้องชายด้วยความไม่สบายใจและติดจะไม่พอใจอีกฝ่ายนิดหน่อย...

รู้ก็ทั้งรู้ว่าเด็กกลัว ทำไมต้องมายืนข่มกันขนาดนี้ด้วย เขาเลี้ยงน้องชายมาแต่อ้อนแต่ออก อาทิตย์ไม่เคยมีท่าทางกลัวใครขนาดนี้มาก่อนเลยสักครั้ง ซึ่งพอเห็นน้องชายเป็นแบบนี้ คนเป็นพี่อย่างเขาจึงคิดว่าอยู่เฉยไม่ได้ เลยตั้งใจว่าจะกางปีกปกป้อง และเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับน้องชายอย่างสุดชีวิต

“ไม่เป็นไรนะครับอาทิตย์ ไม่ต้องกลัวนะ เดี๋ยวพี่จัดการให้ โอเคไหม” คนตัวเล็กกว่าหันไปโอบกอดพลางพูดปลอบคนเป็นน้องด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ก่อนจะหันกลับมาเผชิญหน้ากับคนตรงข้ามอีกครั้ง ยังไงขนมห่อนั้นก็ต้องเป็นของน้องชายเขา ...

ในเมื่ออาทิตย์เห็นก่อน อาทิตย์ก็ต้องได้กินสิ

“นี่คุณ” เสียงหวานที่เคยอ่อนโยนยามพูดกับน้อง ถูกปรับให้แข็งขึ้น “ขนมห่อนั้น น้องชายผมเห็นก่อนนะ คุณจะตัดหน้าเอาไปให้ลูกคุณแบบนี้ไม่ได้”

ใบหน้าน่ารักที่คล้ายคลึงกับเจ้าตัวน้อยที่แอบอยู่ด้านหลังพยักเพยิดไปที่เด็กชายอีกคนที่คนตัวโตกว่าจูงอยู่ คล้ายๆ จะบอกว่าให้เอาขนมที่อยู่ในมือเด็กน้อยคนนั้น คืนมาให้กับเขาที่กำลังเรียกร้องความเป็นธรรมที่น้องชายของตัวเองควรได้รับ

“แต่ผมเดินไปหยิบมาก่อนนะครับ” เจ้าของรูปร่างสูงใหญ่โต้กลับเสียงเรียบ “ผมถึงก่อน หยิบก่อน ได้ของก่อน มันก็ถูกแล้วนี่ครับ”

ตะวันรู้สึกเหมือนเลือดในกายแล่นพล่าน เพราะถึงแม้คำพูดของอีกฝ่ายจะดูเรียบๆ ไม่ได้ประชดประชันอะไร แต่ท่าทางและการแสดงออกทางสีหน้านั้น เขาบอกเลยว่ามันช่างตรงกันข้าม ทั้งดูยียวนและน่าโมโหจนทำให้เขาแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้

“ไม่ถูก คุณขี้โกง คุณแค่ขายาวกว่าผมเลยเดินไปถึงก่อน คุณจะมาพูดจาเอาแต่ตัวเองแบบนี้ไม่ได้นะ” ตะวันแหงนหน้าเถียงใส่อีกฝ่ายอย่างไม่ยอมลดละ

และดูเหมือนว่าเขาจะมุ่งความสนใจไปที่ชายรูปร่างสูงใหญ่ตรงหน้า จนไม่รู้ตัวเลยว่าเจ้าน้องชายตัวน้อย ค่อยๆ ปลดมือออกจากมือของตัวเอง และเดินออกมาจากด้านหลังของเขา ตรงไปยังฝั่งตรงข้าม ตรงที่เด็กน้อยจิ้มลิ้มคู่กรณียืนอยู่

ซึ่งชายหนุ่มผู้เป็นพ่อของเจ้าหนูน้อยก็ไม่ได้รู้ตัวเช่นกันว่าลูกชายของตัวเอง เดินอุ้มห่อขนมออกมายืนห่างจากตัวเองแล้วเหมือนกัน เพราะมัวแต่นึกสนุกที่ได้ลับฝีปากกับเด็กหนุ่มหน้าตาน่ารักที่ยืนเถียงเค้าฉอดๆ อย่างไม่ยอมแพ้อยู่ตรงนี้

“การที่ผมสูงกว่าคุณเป็นความผิดเหรอครับนี่ ไม่ยักกะรู้เลยแฮะ” มุมปากหยักเป็นกระจับกระตุกยิ้มร้ายกาจ ยิ่งทำเอาคนตัวเล็กกว่าเผลอกำมือแน่นที่ถูกถากถางด้วยปมด้อยเรื่องความสูง

และยิ่งโมโหหนักกว่าเดิม เมื่อประโยคร้ายกาจประโยคต่อมาหลุดออกมาจาปากของอีกฝ่าย

“ช่วยไม่ได้จริงๆ ครับ ก็คุณ.. อยากเตี้ยและขาสั้นกว่าผมทำไมล่ะครับ?”

“นี่คุณ!!” เสียงหวานถูกแผดออกมาดังลั่นยามเรียกฝั่งตรงข้ามด้วยความเหลืออด

และก่อนที่มหกรรมการถกเถียงระลอกสองจะเริ่มขึ้น เสียงเล็กๆ งุ้งงิ้งๆ ก็ลอยมาให้ได้ยินเสียก่อน ซึ่งนั่นก็ดูเหมือนจะเรียกสติของทั้งสองได้ด้วยเหมือนกัน

“คุณอาทิตย์ชื่ออาทิตย์หยอ? น้องพีชื่อน้องพีนะ” เด็กชายที่กอดห่อขนมไว้เป็นฝ่ายเริ่มทำความรู้จักก่อน “

อื้อ อาทิตย์ชื่ออาทิตย์” ส่วนเด็กชายที่ตัวใหญ่กว่าก็เริ่มพูดบ้าง เมื่อเห็นท่าทีที่เป็นมิตรของอีกฝ่าย “อาทิตย์อยากกินขนมอันนั้นอ่ะ”

น้องพีมองตามนิ้วของอาทิตย์ที่ชี้มายังห่อขนมที่ตัวเองกอดอยู่ ใบหน้าน่ารักดูงงๆ นิดหน่อย แล้วจากนั้นน้องพีจึงเอียงคอคิดประมวลผลอะไรบางอย่างก่อนที่จะเริ่มพูดออกมาอีกประโยค

“เดี๋ยวน้องพีแบ่งให้คุณอาทิตย์กินด้วยเก๊าะได้” เสียงน่ารักของเด็กคนที่เตี้ยกว่าพูดอย่างฉะฉานราวกับเพิ่งตัดสินใจเรื่องสำคัญของชีวิตได้

“จริงเหรอ? จะให้อาทิตย์กินด้วยจริงๆ เหรอ?” ส่วนเสียงที่ดูตื่นเต้นๆ เสียงต่อมาก็เป็นของเจ้าอาทิตย์ดวงน้อย ที่ตอนนี้ดูเหมือนจะอารมณ์ดีกว่าตอนเมื่อกี้อยู่มากโข

“จริงสิ น้องพีไม่หยอก น้องพีแบ่งให้ๆ” เจ้าหนูน้อยน้องพีคนใจดีก็พูดย้ำพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง พลางจับมืออีกฝ่ายแกว่งไปแกว่งมาอย่างน่าเอ็นดู

“ไม่หยอกคืออะไร? หมายถึงไม่หลอกน่ะเหรอ?”

“อื้อ ไม่.. ไม่ หลอก” น้องพีมุ่ยหน้า นึกหงุดหงิดความพูดไม่ชัดของตัวเอง แต่สุดท้ายก็ค่อยๆ เค้นจนพูดคำที่ต้องการสื่อสารหลุดออกมาในที่สุด

“อาทิตย์เชื่อก็ได้ อาทิตย์ขอบคุณน้องพีมากนะ” เด็กชายยิ้มกว้างตอบไมตรีที่อีกฝ่ายมีให้

“งั้นคุณอาทิตย์กับน้องพีมาเป็นเพื่อนกันไหม? เป็นเพื่อนๆ” พอเห็นเขายิ้มให้ ใจเด็กน้อยที่ไร้เดียงสาก็นึกทึกทักอยากเป็นเพื่อนกับคนตรงหน้า โดยลืมเรื่องราวก่อนหน้าไปจนหมดสิ้น

“เอาสิ เราสองคนมาเป็นเพื่อนกันนะ” … ซึ่งแน่นอนว่าหนูน้อยอาทิตย์เองก็ไม่ได้ติดขัดอะไร

ส่วนผู้ใหญ่สองคนที่ฟังบทสนทนาก็ได้แต่อ้าปกค้าง ที่เขาทั้งคู่ทะเลาะกันดูเป็นเรื่องไร้สาระขึ้นมาทันที เมื่อเด็กๆ ไม่ไม่ได้ดูเป็นเดือดเป็นร้อนเท่าผู้ใหญ่เลยสักนิด หนำซ้ำตอนนี้ยังเป็นเพื่อนกันไปแล้วอีกต่างหาก

โบราณเขาถึงได้บอกไว้ ว่าเด็กๆ ทะเลาะกันแปปเดียวเดี๋ยวก็ดีกันแล้ว คนเป็นผู้ปกครองไม่ต้องลงไปทะเลาะร่วมด้วยหรอก เพราะไม่เช่นนั้นเหตุการณ์มันก็จะกระอักกระอ่วน กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบที่ตะวันและปะป๊าของน้องพีเผชิญอยู่ตอนนี้นี่แหละ

"ปะป๊าๆ น้องพีแกะกินก่อนจ่ายเงินได้ไหมคับ น้องพีหยักแบ่งให้คุณอาทิตย์กินด้วย"

เด็กน้อยผู้ไร้เดียงสา ร้องถามคนเป็นพ่อด้วยความสงสัย ในขณะที่คนเป็นพ่อได้แต่อ้าปากพะงาบๆ เพราะไม่รู้จะตอบยังไงเนื่องจากกำลังอึ้งอยู่ แต่ก็อึ้งได้ไม่นาน สุดท้ายก็ต้องหลุดขำความเป็นผ้าขาวของเด็กทั้งสองออกมาอยู่ดี

"น้องพีเอามาให้ป๊าก่อนมาลูกมา เดี๋ยวปะป๊าเดินเอาไปจ่ายเงินให้ แคชเชียร์อยู่ตรงนี้เอง"

เด็กน้อยยิ้มร่าก่อนจะโผเข้าไปหาพ่อตัวเอง แต่ก็ไม่วายหันมากำชับจริงจังกับเพื่อนใหม่ที่เพิ่งได้มาสดๆ ร้อนๆ

"คุณอาทิตย์รอน้องพีอยู่ตงนี้น้าา เดี๋ยวน้องพีมา แปปเดียวๆ"

แต่ยังไม่ทันได้ออกเดิน คุณป๊าของน้องพีก็พูดสวนขึ้นมาเสียก่อน

"อาทิตย์ไปด้วยกันกับลุงไหมล่ะ เดี๋ยวจ่ายเงินเสร็จแล้วจะแกะได้กินกับน้องพีเลย"

ซึ่งพอตะวันได้ยินไอ้คนตัวโตนั่นชวนน้องชายตัวเองแบบนั้น เขาก็จัดแจงจะพูดขัดทันที

"มะ..ไม่..."

"ไปคับคุณลุง" แต่ก็ไม่ทันอาทิตย์ที่ชิงตอบคนแปลกหน้าก่อนที่ตะวันจะได้เอ่ยจนจบประโยค

หนำซ้ำพอพูดจบเจ้าอาทิตย์ตัวแสบก็วิ่งตัวปลิวไปคว้ามือเล็กๆ ของเพื่อนใหม่อย่างน้องพีขึ้นมาจูง ก่อนจะพากันเดินไปที่เคาน์เตอร์ชำระเงิน ปล่อยให้เขายืนอ้าปากค้าง แถมยังได้รับสายตาขบขำล้อเลียน จากไอ้คนตัวโตนั่นกลับมาอีกต่างหาก

ตะวันนึกอย่างหงุดหงิดใจ หงุดหงิดทั้งน้องตัวเองที่ยอมตามคนอื่นไปง่ายๆ กับหงุดหงิดที่เหมือนว่าเขาจะแพ้ผู้ชายคนนั้นอย่างราบคาบ

คอยดูนะ กลับบ้านไปเขาจะต้องจัดการอบรมเจ้าอาทิตย์ดวงน้อยยกใหญ่ ไม่ให้ทำแบบนี้อีก มีอย่างที่ไหนเดินตามคนอื่นไปต้อยๆ แบบนี้ถ้ามีคนมาหลอกลักพาตัวไป จะไม่แย่เอาเหรอ

คนตัวเล็กตัดสินใจเดินตามคนทั้งสามไป ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ขนมห่อนั้นถูกจ่ายเงินและแกะห่อเรียบร้อยแล้ว โดยที่น้องพีกำลังยื่นขนมหลายชิ้นให้กับอาทิตย์ที่กำลังยิ้มร่าเพราะได้กินของโปรด

"น้องพีแบ่งให้ อ่ะๆ" ขนมยังคงถูกส่งต่อมาที่อาทิตย์เรื่อยๆ จนตะวันเดินมาหยุดยืนข้างน้องชายตัวเองในที่สุด

"ขอบคุณมากนะน้องพี อาทิตย์ชอบกินขนมอันนี้มากๆ เลย"

"น้องพีเก๊าะชอบๆ" แล้วเด็กสองคนหัวเราะสดใสส่งให้กันโดยไม่รู้เลยว่าผู้ใหญ่กลับตรงกันข้าม เพราะกำลังแผ่รังสีอำมหิตใส่กันอยู่

และสุดท้ายก็เป็นตะวันที่ยอมแพ้ เลือกที่จะตัดปัญหาและปล่อยผ่านทุกอย่าง โดยการพาอาทิตย์แยกออกมา เมื่อเห็นว่าน้องชายตัวเอง กินขนมของน้องพีไปหลายชิ้นแล้ว

"พอได้แล้วครับอาทิตย์ เราต้องรีบกลับบ้านนะ พี่บอกอาทิตย์ไว้ว่ายังไง อาทิตย์จำไม่ได้เหรอ" เจ้าตัวน้อยหน้ามุ่ยลงเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าจำยอม

และเมื่อตกลงกับคนของตัวเองได้ ตะวันก็ผินหน้ากลับไปที่เด็กอีกคน ก่อนจะนั่งยองๆ ลงเพื่อให้ความสูงของตัวเองเสมอกับน้องพี จากนั้นก็ยกมือเล็กขึ้นลูบบนศีรษะกลมของเด็กน้อยเบาๆ

"พี่ตะวันขอบคุณน้องพีมากเลยนะครับ ที่อุตส่าห์แบ่งขนมให้อาทิตย์ได้กินด้วย" พี่ชายของเจ้าอาทิตย์พูดขอบคุณหนูน้อยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนพร้อมกับรอยยิ้มหวาน ซึ่งก็สามารถเรียกรอยยิ้มจากน้องพีกลับมาได้ไม่ยาก

"น้องพีเต็มใจคับ! เพราะคุณอาทิตย์เป็นเพื่อนน้องพี" เจ้าหนูตอบเสียงใสอย่างโอบอ้อม ตะวันคิดในใจว่าน้องพีช่างเป็นเด็กน่ารักมากๆ ฉลาด มีน้ำใจ แถมยังสุภาพอีกต่างหาก ไม่น่าเกิดมาเป็นลูกของผู้ชายหยาบคายคนนี้เลย และในขณะที่นึกนินทาอีกฝ่ายอยู่ในใจ น้องพีก็พูดเสริมขึ้นมาอีกประโยค ที่ทำเอาตะวันแทบล้มทั้งยืน

"แต่พี่ตะวันครับ .. น้องพีไม่ได้เป็นคนจ่ายค่าขนมนะคับ ปะป๊าเป็นคนจ่าย" และเพราะประโยคนั้นทำให้ตะวันต้องลุกขึ้นยืนและหันไปมองคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อน้องพีช้าๆ

"ใช่ครับผมเป็นคนจ่าย ที่จริงคุณต้องขอบคุณผมด้วยนะถึงจะถูก" ตะวันได้แต่กัดเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ในใจเพราะมั่นใจว่าตัวเองถูกอีกฝ่ายแกล้ง

ก็แหม.. จะให้ไม่รู้ได้ยังไงล่ะ ทำหน้าตากวนประสาทแถมยังกลั้นขำราวกับสะใจมากขนาดนั้น แต่เขาก็โต้ตอบหรือทำอะไรมากไม่ได้ นอกจากตอบออกไปในที่สุด

"ขอบคุณคุณด้วยนะครับ" ตะวันพูดเสียงกระชาก ก่อนโน้มตัวเข้าไปใกล้ๆ อีกฝ่าย เพื่อที่จะกระซิบบอกอีกหนึ่งความตั้งใจของตัวเองที่อยากจะพูดนอกเหนือจากคำขอบคุณ และที่ต้องเข้าใกล้คนตัวโตกว่านั่นก็เพราะไม่อยากให้เด็กๆ ที่ยังไม่ประสีประสาอะไรได้ยินในสิ่งที่เขากำลังจะพูด เนื่องจากมันเป็นประโยคที่ไม่ค่อยน่ารักเท่าไหร่

"… แต่ทีหลังก็ขอให้ไม่ต้องมาเจอะมาเจอกันอีก บอกตรงๆ ว่าผมโคตรไม่ชอบขี้หน้าคุณเลย กวนประสาท!"

แต่แทนที่คนที่ถูกเกลียดขี้หน้าจะโกรธหรือโวยวายกับคำพูดของตะวัน คุณปะป๊าของน้องพีกลับหัวเราะออกมาอย่างชอบใจแทน

"โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอนนะครับ เราอาจจะได้เจอกันอีกในเร็ววันก็ได้ ใครจะรู้"

ตะวันเบ้ปาก ไม่ใส่ใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด เพราะมั่นใจว่าตัวเองและน้องจะต้องไม่ได้เจอคนๆ นี้อีกเป็นแน่ สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจเตรียมจูงเจ้าอาทิตย์เดินออกมา แต่ก็ไม่วายหันไปลาน้องพีอีกรอบ

"พี่ไปก่อนนะครับน้องพี ไว้คราวหน้ามาเจอกันเนาะ” … ซึ่งมั่นใจได้เลยว่าจะไม่มีอีกแน่ๆ

ขอโทษนะครับน้องพีที่พี่ตะวันโกหก ... เขารู้ว่าการโกหกเด็กน้อยเป็นสิ่งไม่ดี แต่ให้ทำยังไงได้ล่ะ เพราะถึงตะวันจะไม่ชอบคุณปะป๊าของน้องพี แต่คนลูกนั้นตรงกันข้าม ตะวันนึกถูกชะตาและตกหลุมให้กับความน่ารัก สุภาพ และสดใสของน้องพีไม่น้อย

ถ้ามีโอกาสก็อยากจะกลับมาเล่นด้วยอีกนานๆ เพราะดูท่าแล้ว เจ้าดวงอาทิตย์ของเขาก็น่าจะชอบน้องพีไม่น้อยเหมือนกัน .. ถ้าดูจากใบหน้าที่มู่ทู่แล้ว มู่ทู่อีก เมื่อเขาพยายามจะพาเจ้าตัวน้อยกลับบ้าน

แต่ก็นั่นแหละ ตะวันไม่ชอบไอ้คุณขี้เก๊กนั่น! ถ้าเป็นไปได้ชาตินี้ไม่ต้องพบเจอกันอีกเลยยิ่งดี

"คับ... บ๊ายบายนะคุณอาทิตย์" น้องพีเองก็บอกลาเขากับน้องเช่นกัน

"บ๊ายบายนะน้องพี"

เจ้าอาทิตย์ตัวแสบถึงกับหงอย เมื่อต้องแยกกับเพื่อนที่ดูเหมือนว่าเขาจะชอบมากๆ เพราะจะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่ไม่รู้

เมื่อเด็กทั้งสองร่ำลากันเรียบร้อย ตะวันก็พาน้องชายเดินออกมาจากที่ตรงนั้นพร้อมกับก่นด่าและนึกแช่งชักในใจว่า เขาจะไม่มีวันไปพบไปเจอไอ้คนห่วยแตกคนนั้นอีกตลอดชีวิตแน่ๆ

ไม่มีวัน!

.

.

.

To Be Continue

-----------------------------------------------------

TALK: ฝากนิยายเรื่องใหม่ด้วยนะคะ ฝากพี่ตะวัน คุณปะป๊า คุณอาทิตย์ แล้วก็น้องพีไว้ในอ้อมอกอ้อมใจทุกคนด้วยยย

ชอบไม่ชอบยังไง คอมเม้นท์ติชมกันได้น้าาา หรือไม่ก็ฝากติดแท็ก #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว ในทวิตเตอร์ด้วย แล้วเจอกันใหม่ตอนหน้านะคะ

ขอบคุณทุกๆ คนที่แวะเข้ามามากๆ เลยค่ะ ขอบคุณนะคะ ❤
หัวข้อ: Re: [Up 2nd] The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว ::CH 1st - บ้านหลังใหม่::
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 18-06-2019 18:15:42
Chapter 1st ... บ้านหลังใหม่



“อาทิตย์รู้ใช่ไหมครับ ว่าวันนี้ตัวเองมีความผิดเรื่องอะไร?” ทันทีที่กลับมาถึงบ้าน ตะวันก็พาน้องชายตัวแสบมานั่งอยู่ที่โซฟาในห้องนั่งเล่นของบ้าน


ในขณะที่เด็กชายเองก็รู้ตัวดีว่าวันนี้ต้องถูกพี่ชายดุแน่ๆ เลยได้แต่นั่งหน้าหงอย ซึ่งโดยปกติแล้วตะวันเป็นคนใจดี ค่อนจะติดไปทางตามใจเจ้าหนูน้อยเลยด้วยซ้ำ


แต่เมื่อไหร่ที่อาทิตย์ทำความผิด ไม่ว่าความผิดนั้นจะแค่เล็กน้อยหรือใหญ่โตก็ตาม พี่ชายที่แสนใจดีจะกลายร่างเป็นคนเข้มงวดทันที และนี่ถือเป็นกฎเหล็กระหว่างสองคนพี่น้อง ที่ตะวันไม่เคยอ่อนข้อให้เจ้าหนูน้อยน่ารักเลยสักครั้ง


“รู้คับ อาทิตย์ขอโทษนะคับพี่ตะวัน”


อาทิตย์ตอบเสียงหงอย รู้ดีว่าพี่ตะวันต้องไม่ชอบใจมากแน่ๆ ตอนที่เขาวิ่งตามคุณปะป๊าของน้องพีไป


เพราะพี่ตะวันเคยสอนเสมอว่า ห้ามตามคนแปลกหน้าไปไหนเด็ดขาด ซึ่งเจ้าหนูน้อยเองก็ทำตามที่พี่ชายสั่งไว้มาโดยตลอด เพิ่งจะมีแค่ครั้งนี้ที่เขาลืมคิดไป เพราะพอได้เพื่อนใหม่อย่างน้องพี ได้กินขนมที่ตัวเองชอบ อาทิตย์ก็แทบจะลืมสิ้นทุกอย่าง ตามประสาเด็กน้อยที่บางครั้งก็ต้องมีผู้ใหญ่คอยดูแลอย่างใกล้ชิด


"ทีหลังอาทิตย์ห้ามทำอย่างนี้นะครับ คราวนี้เราโชคดีที่ได้เจอน้องพี แต่ครั้งต่อไปถ้าไปเจอพวกหลอกเด็กไปขาย อาทิตย์จะทำยังไงหื้ม?”


ทันทีที่คำถามของคนเป็นพี่จบลง หน้าที่หงอยอยู่แล้วของเจ้าหนูน้อยก็ยิ่งหงอยลงไปอีก จนทำเอาคนเห็นภาพตรงหน้าอย่างตะวัน อดใจอ่อนไม่ได้


ตะวันขยับตัวทรุดนั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกับน้องชาย ก่อนที่จะจับเด็กชายขึ้นมานั่งบนตัก พลางจูบลงบนขมับเล็กๆ ของเด็กวัยสามขวบกว่า แล้วเริ่มพูดอย่างใจเย็น


“พี่รักอาทิตย์มาก ถ้ามีคนขโมยอาทิตย์ของพี่ไป พี่ต้องใจสลายแน่ๆ ไหนจะคุณพ่อกับคุณแม่อีก พี่จะบอกท่านทั้งสองยังไง แค่น้องชายคนเดียวพี่ก็ดูแลไม่ได้ พวกท่านคงจะทั้งผิดหวัง ทั้งเสียใจ อาทิตย์อยากให้เป็นแบบนั้นเหรอครับ?”


คนเป็นพี่ค่อยๆ สอนน้องด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ตะวันรู้ดีว่าโดยพื้นฐานอาทิตย์ไม่ใช่เด็กดื้อ ในทางตรงกันข้ามน้องเชื่อฟังเขาเกือบจะทุกเรื่องเลยด้วยซ้ำ เพราะส่วนใหญ่แล้วก็เป็นตะวันนี่แหละที่เป็นคนเลี้ยงดูอาทิตย์มาตั้งแต่เด็ก


“ไม่คับ อาทิตย์ไม่อยากโดนขโมยไป อาทิตย์อยากอยู่กับพี่ตะวัน อยากอยู่กับคุณพ่อคุณแม่” ใบหน้าเล็กๆ แหงนเงยมองพี่ชาย ก่อนที่ศีรษะกลมจะสะบัดส่ายปฏิเสธให้กับคำถามที่ตะวันถามมาก่อนหน้า


ตะวันเองพอเห็นท่าทางแบบนั้นของน้องก็นึกสงสารอยู่ในใจ จึงกระชับอ้อมกอดฝังเจ้าเด็กน้อยเข้ามากับอก พร้อมกับจูบหน้าผากปลอบประโลมไม่ให้น้องชายตื่นกลัวไปมากกว่าที่เป็น แล้วจึงเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงใจดี แบบที่เขาให้กับคนเป็นน้องมาตลอดตั้งแต่อาทิตย์ลืมตาขึ้นมาดูโลกใบนี้


“เพราะฉะนั้นต่อไปในวันข้างหน้า อาทิตย์ต้องไม่ไปไหนกับใครสุ่มสี่สุ่มห้าอีกนะครับ ถึงต่อให้อาทิตย์จะรู้จักเขาแล้วแบบที่อาทิตย์รู้จักคุณปะป๊าของน้องพีวันนี้ อาทิตย์ก็ห้ามตามเขาไป ยกเว้นแต่ว่าพี่หรือคนในครอบครัวของเราอนุญาตแล้ว อาทิตย์ถึงจะไปกับคนๆ นั้นได้” ตะวันลูบศีรษะน้องเบาๆ ก่อนจะย้ำ “อาทิตย์เข้าใจที่พี่ตะวันบอกใช่ไหมครับ?”


ดวงตากลมโตใสแจ๋วแบบเดียวกับดวงตาของตะวันจ้องมองคนเป็นพี่อย่างตั้งใจ พร้อมทั้งพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน


“อาทิตย์เข้าใจแล้วครับ อาทิตย์สัญญาว่าจะไม่ไปไหนกับใครอีกมั่วๆ อีก ... พี่ตะวันเชื่ออาทิตย์น้า” เจ้าหนูน้อยออดอ้อนด้วยการเอาศีรษะเล็กๆ ถูกับอกบางของคนเป็นพี่ด้วยท่าทีที่เหมือนลูกแมวก็ไม่ปาน จนทำเอาเจ้าของอกเล็กๆ บางๆ หัวเราะเสียงใสให้กับท่าทางของน้องชายที่เขาได้เห็น


“ฮ่าๆๆ เชื่อครับ เชื่อครับ พี่ตะวันเชื่ออาทิตย์ครับ… เป็นอันว่าเราสองคนสัญญากันแล้วนะ มาๆ เกี่ยวก้อย”


เจ้าดวงอาทิตย์ดวงน้อยยิ้มแฉ่งก่อนจะยื่นนิ้วก้อยเล็กๆ ไปเกี่ยวกับนิ้วก้อยเรียวของคนเป็นพี่ที่รอท่าอยู่ก่อนหน้าแล้วอย่างตั้งใจ


“สัญญาคับ อาทิตย์จะไม่ดื้อ จะไม่ซน จะเชื่อฟังพี่ตะวันที่สุดในโลกเลย”


ตะวันหัวเราะ ก่อนจะแซวเจ้าเด็กปากหวานอย่างรู้นิสัย “ให้มันจริงเถ๊อะ เจ้าเด็กทะเล้น”


สองพี่น้องกอดกันแน่นโดยที่ตะวันวาดแขนเรียวโอบกอดร่างเล็กของน้องชายใว้ ในขณะที่แขนเล็กๆ ของคนเป็นน้องก็คล้องรอบคอพี่ชายไม่ห่าง เป็นภาพความอบอุ่นที่ทั้งสองมีมาให้กันตลอด แม้ว่าจะผ่านมาหลายปีแล้วก็ตาม


.


.


.


หลังจากพาน้องชายกินข้าวเย็น เก็บของบางส่วน และจัดห้องนอนให้น้องเรียบร้อยแล้ว ตะวันก็พาอาทิตย์อาบน้ำอาบท่าเสียหอมฟุ้ง พอดีกับที่เหลือบมองนาฬิกาแล้วพบว่า ได้เวลาเข้านอนของคนเป็นน้องพอดี เขาจึงจับเจ้าตัวแสบพาไปที่ห้อง ให้ปีนขึ้นเตียงนอน ส่วนตัวเองก็ไปเลือกนิทานเล่มโปรดของเจ้าหนูน้อยมาสองสามเรื่องเพื่อให้เจ้าตัวเลือก ว่าจะให้เขาเล่าเรื่องไหนให้ฟังก่อนเข้านอน


“วันนี้เอาเรื่องแจ็คผู้ฆ่ายักษ์คับพี่ตะวัน”


ตะวันแอบอมยิ้ม เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ถูกอาทิตย์เลือกให้เขาอ่านให้ฟังบ่อยที่สุด ไม่รู้จะติดใจอะไรนักหนา


“กาลครั้งหนึ่งนามาแล้ว...”


แล้วตะวันก็เริ่มอ่านนิทานไปตามเรื่องราวในหนังสือที่เขาเกือบจะจำได้ครบทุกตัวอักษร น้ำเสียงหลากหลายถูกนำมาใช้ในการอ่านเพื่อให้น้องได้รู้สึกตื่นเต้น จนอ่านไปได้ไม่ถึงครึ่ง เจ้าอาทิตย์ดวงน้อยก็ผล็อยหลับไปทั้งที่มือยังกำอยู่ที่ชายเสื้อเขาแน่น


ตะวันส่งยิ้มเอ็นดูให้น้อง ก่อนที่จะคลายมือของเจ้าหนูน้อยที่กำเสื้อเขาอยู่ออก แล้วจับท่าทางการนอนของอาทิตย์ให้อยู่ในสภาพปกติ พร้อมทั้งห่มผ้า ปิดไฟดวงใหญ่และเปิดโคมไฟดวงน้อยไว้แทน จากนั้นก็ก้มลงจูบหน้าผากเล็กๆ ของน้องเบาๆ อย่างแสนรัก


คนเป็นพี่ยืนมองน้องชายในยามหลับใหลอยู่พักใหญ่ ก่อนจะคิดได้ว่ามีของบางอย่างที่ยังจัดไม่เรียบร้อย ห้องนอนเขาเองก็ด้วย สงสัยคืนนี้จะต้องมาขอเบียดเบียนเจ้าตัวเล็กนอนด้วยสักคืน


ตะวันเลยตั้งใจว่าจะลงไปจัดข้าวของที่ห้องด้านล่างต่ออีกสักหน่อย ค่อยขึ้นมานอน ไหนๆ ก็มีเวลาว่างพรุ่งนี้อีกทั้งวัน ค่อยทำให้เสร็จในวันพรุ่งนี้ก็ได้


ในขณะที่ครุ่นคิดวางแผนนั่นนี่มากมาย ดวงตากลมใสแจ๋วสีน้ำตาลเข้มแบบเดียวกับเจ้าอาทิตย์ดวงน้อยก็เหลือบไปเห็นว่า ไฟของบ้านข้างๆ ยังเปิดสว่างอยู่ นั่นทำให้ตะวันคิดได้ว่า ตัวเขาและน้องยังไม่ได้ไปทำความรู้จักใครหรือบ้านหลังไหนในละแวกนี้ไว้เลย


พอนึกได้แบบนั้นตะวันเลยตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะทำขนมอร่อยๆ สักอย่างแล้วเอาไปฝาก โดยเริ่มจากข้างบ้านนี่ล่ะ จะได้ถือเป็นการทำความรู้จักไปด้วยในตัว อย่างไรเสียเขาก็คงต้องอยู่ที่นี่อีกนาน อย่างน้อยที่สุดก็อาจจะจนกว่าพ่อและแม่จะกลับมาจากสหรัฐอเมริกาซึ่งตะวันก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่


เนื่องจากพวกท่านเองก็บอกเวลาที่แน่นอนไม่ได้ ชายหนุ่มถอนหายใจให้กับเรื่องราวของพ่อและแม่ตัวเอง พลางมองไปยังร่างเล็กที่หลับปุ๋ยไม่รู้เรื่องรู้ราว ดีแค่ไหนแล้วที่อาทิตย์เป็นเด็กเลี้ยงง่าย ไม่งั้นก็ไม่รู้ว่าครอบครัวเขาจะวุ่นวายมากกว่านี้อีกสักเท่าไหร่ ... แค่คิดตะวันก็เหนื่อยใจแล้ว


.


.


.


พอลงมาถึงด้านล่าง ตะวันก็เดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นพลางสะบัดแขนขาเล็กน้อย ก่อนจะลงมือจัดข้าวของต่อก่อนที่เวลาจะล่วงล่วงเลยไปจนดึกมากกว่านี้


เจ้าของร่างเล็กกวาดตามองรอบๆ บ้านอย่างชอบใจ พลางนึกย้อนไปถึงวันที่มาดูบ้านหลังนี้ครั้งแรก เขาชอบมันทันทีที่เห็น ด้วยบริเวณและพื้นที่รอบๆ บ้านที่ค่อนข้างกว้างขวาง มีทั้งที่จอดรถและสนามหน้าบ้านเล็กๆ เอาไว้ให้เจ้าอาทิตย์ดวงน้อยวิ่งเล่น นั่นจึงเป็นสาเหตุให้ตะวันตัดสินใจซื้อบ้านหลังนี้ทันที และบอกพ่อกับแม่ว่าที่นี่เป็นที่ๆ เขารู้สึกชอบและถูกใจมากกว่าที่อื่นๆ


ซึ่งนอกเหนือจากบริเวณพื้นที่ในบ้านแล้ว สภาพแวดล้อมโดยรวมก็ถือว่าดีมากๆ ด้วย บ้านแต่ละหลังตั้งห่างกันในระยะที่พอดี ไม่ได้ใกล้ชิดจนเกินไปทำให้รู้สึกถึงความไม่เป็นส่วนตัว แต่ก็ไม่ได้ไกลเกินกว่าที่จะเดินไปขอความช่วยเหลือเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน


และจากคาดคะเนของตะวันแล้ว ดูเหมือนบ้านข้างๆ จะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในการผูกมิตร เพราะวันนี้ทั้งวันตั้งแต่เขาย้ายมา ก็เพิ่งจะได้เห็นว่ามีบ้านหลังติดๆ กันนี่แหละที่มีคนอยู่ และอาจจะเพิ่งกลับมาตอนเย็นๆ เหมือนเขาด้วย เพราะเมื่อกลางวันก็ไม่เห็นความเคลื่อนไหวอะไร


ส่วนหลังอื่นๆ นั้นตะวันไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ ด้วยความที่อยู่ห่างกันพอสมควร เขาเลยตั้งใจว่าหลังจากฝากเนื้อฝากตัวกับบ้านข้างๆเสร็จ อาจจะตระเวนสำรวจละแวกบ้านใกล้ๆ กันด้วย เผื่อมีอะไรจะได้ไปขอพึ่งพาอาศัยได้ไม่ลำบาก เพราะตัวเขาเองก็อยู่กับเด็กเล็กแค่สองคน และถึงแม้ว่าตัวเองจะเป็นผู้ชาย แต่ตะวันก็ยอมรับและทำใจกับสภาพร่างกายของตัวเองพอสมควร ว่าหุ่นแบบนี้หากเกิดเหตุอะไรไม่คาดฝัน เขาคงเอาตัวรอดได้แค่ส่วนหนึ่งแน่ๆ ถามว่าทำไมน่ะหรอ?


.... นั่นก็เพราะเขาเป็นผู้ชายไซส์มินิ หรือจัดว่าตัวค่อนข้างเล็กเมื่อเทียบกับชายหนุ่มในวัยเดียวกัน ... เรียกว่าเตี้ยก็ได้ ไม่ถือ


‘ตะวัน’ หรือ ‘ภานรินทร์ รุ่งวิริยะจรรยา’ เป็นเด็กหนุ่มวัยยี่สิบเอ็ดย่างยี่สิบสองปี เพิ่งจบมหาวิทยาลัยมาหมาดๆ ในสาขาเกี่ยวกับการทำขนมและอาหาร ครอบครัวของตะวันประกอบด้วยคนสี่คนก็คือตัวเขา พ่อกับแม่ คุณภาสกรและคุณรวิวรรณ รุ่งวิริยะจรรยา และสุดท้ายน้องชายจอมแสบ ‘อาทิตย์’ หรือ ‘เด็กชายภานวีย์ รุ่งวิริยะจรรยา’ ผู้ซึ่งอายุห่างจากเขาถึงสิบแปดปี เป็นพี่น้องที่อีกนิดก็เป็นลูกได้แล้ว


สาเหตุก็เนื่องมาจากพ่อและแม่ของเขาเป็นนักวิจารณ์อาหารชื่อดังในระดับโลก ท่านทั้งสองพบรักกันก็เพราะการวิจารณ์อาหารนี่แหละ ทั้งคู่ตกหลุมรักกันและกันเร็วมาก ศึกษาดูใจกันอยู่ไม่ถึงปีก็แต่งงาน จากนั้นตะวันก็เกิดขึ้นมาในขณะที่พ่อกับแม่อายุยังไม่มากเท่าไหร่ ทั้งสองเลี้ยงดูตะวันแบบเพื่อน ให้อิสระเสรีตะวันทุกอย่าง อิสระมากจนบางทีทั้งคู่ก็บินไปวิจารณ์อาหารที่ประเทศไหนต่อไหน ทิ้งให้เขาอยู่ประเทศไทยคนเดียวได้โดยไม่กังวล


เวลาต้องไปชิมอาหารที่ต่างประเทศ พวกท่านก็จะไปด้วยกันตลอด แรกๆ ก็หนีบเอาตะวันไปด้วย แต่พอบ่อยๆ ครั้งเข้าตะวันก็เริ่มเบื่อเพราะการนั่งเครื่องบินนานๆ และไปเมืองนั้นเมืองนี้บ่อยๆ ทำให้ตะวันนึกเอียน


พอจนถึงวันนึงที่เขาโตพอจะดูแลตัวเองได้ ก็เลยขอพ่อกับแม่ว่าไม่อยากไปด้วยอีก ขออยู่เรียนหนังสือ ไปเที่ยวกับเพื่อน ไปทำกิจกรรมอื่นๆ แบบที่วัยรุ่นเขาทำกันที่ประเทศไทยดีกว่า ปล่อยให้พ่อกับแม่ไปกันสองคนพอ ดังนั้นตะวันจึงไม่เคยนึกน้อยใจสักครั้งเวลาที่ต้องถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว นั่นเป็นเพราะมันคือสิ่งที่เขาต้องการเอง


แน่นอนว่าพ่อและแม่ของตะวันไม่เคยบกพร่องในการทำหน้าที่ของการเป็นบุพการีและผู้ปกครองให้กับเขาเลยสักครั้ง ตะวันได้รับความรัก การดูแลเอาใจใส่เหมือนเด็กคนอื่น บางทีก็ติดจะมากกว่าคนอื่นด้วยซ้ำ เพียงแค่พวกท่านอาจจะแปลกกว่าพ่อแม่คู่อื่นๆ อยู่นิดหน่อย ตรงที่พวกท่านรักกันและกันมากเหลือเกิน แต่งงานกันเป็นสิบๆ ปี จนเขาโตเป็นหนุ่ม ทั้งสองก็ยังรักและแสดงความรักต่อกันและกันอย่างเปิดเผย ไม่เคยนึกอายเลยสักครั้ง


และเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นกับครอบครัวเขาจนได้


เพราะไม่รู้ว่าพ่อกับแม่ไปทัวร์วิจารณ์อาหารกันอีท่าไหน จู่ๆ วันหนึ่งช่วงก่อนที่เขาจะเรียนจบมัธยมศึกษาตอนปลาย อาจจะสักมัธยมที่ห้าหรือหกนี่แหละ ตอนที่ตะวันกำลังนั่งเล่นเกมส์เพลย์สเตชั่นอยู่ที่ห้องโถงของบ้านหลังใหญ่กลางเมือง พ่อกับแม่ที่น่าจะเพิ่งกลับจากอิตาลี เดินเข้ามาหาเขาพร้อมกับยิ้มกว้างแล้วบอกว่าตอนนี้ตั้งท้องน้องได้สองเดือนกว่าๆ แล้ว ซึ่งสร้างความตกใจให้แก่ตะวันเป็นอย่างมาก เพราะเวลานั้นพวกท่านก็ค่อนข้างมีอายุมากพอสมควรแล้ว


ตะวันกังวลมากเพราะกลัวว่าน้องที่กำลังจะเกิดมาอาจจะไม่สมบูรณ์หรือแข็งแรงเหมือนเด็กอื่น แต่ก็ผิดคาด เพราะแม่คลอดเจ้าอาทิตย์ออกมาได้อย่างปลอดภัย จ้ำม่ำ และดูเหมือนจะแข็งแรงกว่าเด็กอื่นด้วยซ้ำ ซึ่งคุณหมอบอกว่าอาจจะเป็นเพราะพ่อกับแม่ของตะวันเป็นคนสุขภาพดีและเดินทางไปนั่นมานี่ตลอด ทำให้สภาพร่างกายค่อนข้างและแข็งแรงและกระฉับกระเฉง เลยเป็นเหตุผลให้อาทิตย์คลอดออกมาอย่างสมบูรณ์ ปลอดภัย น่ารักน่าหยิก ให้คนเป็นพี่อย่างตะวันหลงน้องเสียจนถอนตัวไม่ขึ้น


และหลังจากที่คลอดเจ้าอาทิตย์เด็กน้อยออกมาแล้ว หน้าที่ของการดูแลน้องก็ผูกขาดโดยตะวันอย่างสมบูรณ์แบบ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาติดน้องมาก ซึ่งตอนนั้นตะวันก็เริ่มเข้าเรียนมหาวิทยาลัยมาพักหนึ่งแล้ว และเนื่องจากเป็นการเรียนเกี่ยวกับการทำขนมและอาหาร ตะวันจึงพอมีเวลาว่างที่จะเอามาใช้อยู่กับน้องได้มากกว่าพ่อและแม่ ที่ต้องบินไปทำงานที่ต่างประเทศบ่อยๆ ซึ่งนั่นก็เป็นอีกส่วน เพราะช่วงนั้นพ่อและแม่ของตะวันมีงานเพิ่มมากขึ้นกว่าเมื่อก่อนเยอะมากเนื่องจากความมีชื่อเสียง จนทำให้คนทั้งคู่แทบไม่ได้อยู่ติดประเทศเลยด้วยซ้ำ จึงเป็นเหตุผลที่ตะวันต้องเป็นหลักในการเลี้ยงดูอาทิตย์


ซึ่งก็มีพี่เลี้ยงเด็กที่แม่จ้างไว้ให้คอยช่วยเขาเลี้ยงอีกแรง แต่ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ตะวันก็ไม่ค่อยให้น้องชายอยู่กับพี่เลี้ยงตามลำพังสักเท่าไหร่ นอกเสียจากเขาไม่ว่างหรือติดพันเกี่ยวกับเรื่องเรียนจริงๆ ตะวันถึงจะปล่อยให้พี่เลี้ยงรับหน้าที่แทน


ดังนั้น ตั้งแต่อาทิตย์เกิดจนโตเป็นหนุ่มน้อยวัยเตรียมอนุบาลได้อย่างแข็งแรงและสดใสนี่ก็เพราะฝีมือของพี่ชายอย่างตะวันทั้งสิ้น


และในวันนี้เมื่อพ่อกับแม่ของเขาถูกจ้างให้ไปเป็นนักวิจารณ์อาหารประจำอยู่ที่ประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา โดยไม่ได้กำหนดระยะเวลาว่าต้องอยู่นานแค่ไหน จึงไม่ได้ทำให้เขาเครียดสักเท่าไหร่ เพียงต้องวางแผนการใช้ชีวิตของเขากับน้องให้รัดกุมมากกว่าเดิมก็แค่นั้น


ตะวันคิดตรึกตรองอยู่นาน สุดท้ายเขาก็บอกความต้องการของตัวเองให้พ่อกับแม่รู้ เพราะช่วงที่พ่อกับแม่ต้องไปประจำอยู่ที่สหรัฐอเมริกาเป็นช่วงที่ตะวันเพิ่งเรียนจบ รวมไปถึงร้านอาหารที่เขายืมเงินพ่อกับแม่มาลงทุนก็เสร็จเป็นรูปเป็นร่างพอดี นั่นจึงไม่เป็นปัญหาอะไรเพราะเขามีอาชีพที่มั่นคงพอที่จะเลี้ยงตัวเองและน้องได้ ถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินในกรณีที่พ่อกับแม่ไม่สามารถส่งเงินมาให้ได้ หรือส่งเงินมาไม่ทัน


ตะวันวางแผนทุกอย่างไว้ตั้งแต่ตอนเรียน เขารู้ตัวเองมาตลอดว่าชอบทำอะไรและไม่ชอบทำอะไร ซึ่งก็ดูเหมือนว่าพรสวรรค์ในเรื่องของการเป็นนักชิมอาหารจะถูกถ่ายทอดทางพันธุกรรม เพราะตะวันมีลิ้นที่ยอดเยี่ยม รู้ว่าอาหารแบบไหนที่จะถูกปากหรือไม่ถูกปากคนชิม ซึ่งเขาก็เอาจุดนี้มาเป็นข้อได้เปรียบแล้วเรียนรู้เรื่องเกี่ยวกับการทำอาหารโดยตรง เนื่องจากเป็นความชอบส่วนตัว


ดังนั้นตอนเรียนมหาวิทยาลัยเขาจึงเลือกเรียนทางด้านนี้ รวมถึงฝึกฝนเองจากการเรียนรู้ผ่านทั้งทางสื่อออนไลน์ และออฟไลน์ต่างๆ


พอขึ้นปีสามตะวันก็รู้ตัวเองว่าความฝันของเขาคือการมีร้านอาหารเล็กๆ สักร้าน ขายทั้งอาหารและขนมที่เขาชอบทำ มันจะเป็นอาหารและขนมสูตรใหม่ๆ ที่เขานำมาประยุกต์และคิดค้นเอง ซึ่งเมื่อเอาเรื่องนี้มาปรึกษาพ่อกับแม่ แน่นอนว่าพวกท่านไม่คัดค้าน เพราะอย่างที่เคยบอกไปว่าพ่อกับแม่ของตะวันทำหน้าที่ของบุพการีได้อย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง สิ่งที่ตะวันต้องการ อิสะเสรีที่ตะวันเลือก พ่อและแม่ไม่เคยขัดแถมยังให้การสนับนุน ขอแค่เรื่องที่ตะวันจะทำนั้น ไม่ทำให้ตัวเองหรือคนอื่นเดือดร้อนก็พอ


ซึ่งนอกเหนือจากให้การสนับสนุนทางความคิดแล้ว พ่อกับแม่ยังให้ตะวันยืมเงินลงทุนไปสร้างร้านอาหารก่อนอีกต่างหาก เพื่อที่ว่าพอตะวันเรียนจบแล้วก็จะสามารถเข้าบริหารและเปิดกิจการได้ทันที ซึ่งตะวันเองก็ไม่ได้ปฏิเสธความหวังดีนี้ของพ่อแม่ เพราะนี่มันหมดยุคของการสร้างอุดมการณ์ ยืนหยัดด้วยลำแข้งของตัวเองแล้ว ก็ในเมื่อเขาพอที่จะมีต้นทุนในการสร้างพื้นฐานให้ตัวเอง แล้วจะมีเหตุผลอะไรให้เขาไม่เลือกใช้มัน


ตะวันไม่ใช่คนหยิ่งหรืออวดดี ในเมื่อพ่อแม่เขามีเงินมากพอและเต็มใจจะให้การสนับสนุนตะวันก็จะรับไว้ ซึ่งแน่นอนว่าเขาจะตอบแทนพ่อกับแม่ด้วยการทำมันอย่างเต็มที่ ไม่ให้พวกท่านผิดหวัง และเมื่อถึงวันหนึ่งที่ตะวันพอที่จะตั้งตัวได้ หรือกิจการไปได้ด้วยดีจนมีเงินเก็บ เขาก็จะทยอยคืนเงินที่พ่อกับแม่ออกเป็นเงินทุนให้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง


ดังนั้น เมื่อเรื่องร้านลงตัว สิ่งต่อมาที่ตะวันบอกพ่อกับแม่ไปก็คือ เขาอยากจะพาอาทิตย์ย้ายออกมาอยู่ข้างนอกด้วยกัน เพราะบ้านหลังใหญ่ที่อยู่กันปัจจุบัน หลังที่เป็นของพ่อกับแม่มันอยู่กลางเมืองเกินไป


ตะวันไม่เถียงว่ามันจะสะดวกสบายมากในแง่ของความเจริญ แต่ข้อเสียคือรถมันติด หนำซ้ำยังอยู่ไกลแถมยังคนละทางกับร้านอาหารของเขาและโรงเรียนอนุบาลของอาทิตย์ด้วย


ตะวันจึงตระเวนออกหาบ้านใหม่ที่อยู่ใกล้กับละแวกโรงเรียนอนุบาลของน้องและร้านอาหารของเขา และเขาตัดสินใจซื้อบ้านหลังนี้ทันทีที่เห็นและได้สำรวจ เนื่องจากทำเลตรงกับความต้องการ และพ่อกับแม่ก็เห็นชอบด้วย นี่จึงเป็นเหตุผลทั้งหมด ที่เขากำลังง่วนอยู่กับการจัดของเข้าบ้านใหม่หลังนี้ เพราะวันนี้เป็นวันแรกที่เขาและน้องย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ และจะต้องอยู่อีกสักพักใหญ่ หรือจนกว่าพ่อและแม่จะกลับมาจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งอย่างน้อยตะวันก็หวังว่าทุกอย่างจะราบรื่นดีจนกว่าจะถึงเวลานั้น...


ตะวันคิดนั่นคิดนี่ พร้อมๆ กับที่มือก็จัดของไปอย่างเพลิดเพลินจนล่วงเข้าเวลาของวันใหม่ สุดท้ายเจ้าของความสูงร้อยหกสิบปลายๆ ก็ตัดสินใจหยุดมือ พลางลุกขึ้นบิดขี้เกียจเล็กน้อย เขาตั้งใจว่าจะอาบน้ำแล้วจะเข้าไปนอนห้องน้อง เพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้ามาทำอาหารใส่บาตรและเอาไปฝากข้างบ้าน เพื่อให้เกิดสิริมงคลที่ดี และเพื่อให้อยู่ที่นี่อย่างราบรื่น ไม่มีอะไรติดขัด


.


.


.


"อาทิตย์ครับ ตื่นได้แล้วครับ ตื่นมาใส่บาตรกับพี่เร็ว"


ตะวันเขย่าตัวเจ้าหนูร่างเล็กที่กำลังหลับปุ๋ย วาดแขนวาดขาไปบนเตียงกว้างอย่างน่าเอ็นดู อาทิตย์ค่อนข้างเป็นเด็กขี้เซาอยู่ไม่น้อย นี่ขนาดว่าตะวันตื่นขึ้นมาก่อนพักใหญ่ จนทำกับข้าว และขนมที่เตรียมใส่บาตรเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจ้าดวงอาทิตย์ดวงน้อยยังนอนหลับอุตุก้นโด่งไม่ตื่นเลย


"งื้อออ.."


เสียงเล็กครางหงุงหงิงดังขึ้นด้วยความขัดใจ เมื่อถูกมือนิ่มของพี่ชายเขย่าปลุกไม่หยุด


ตะวันเรียกน้องจนรู้สึกเหนื่อย เมื่อเห็นว่าอาทิตย์ไม่ยอมลุกขึ้นเสียที และอีกไม่นานพระก็จะมาแล้วด้วย เขาจึงต้องใช้ไม้ตายขั้นเด็ดขาด ด้วยการจับช้อนตัวน้องชายที่สะลึมสะลือกึ่งหลับกึ่งตื่นลุกขึ้นนั่ง พร้อมกับลูบหน้าลูบตา ลูบผม เจ้าเด็กขี้เซาให้เข้าที่ อาทิตย์จะได้ตื่นเต็มตาเสียที


"ตื่นได้แล้วครับเด็กดี เดี๋ยวสาย แล้วจะไม่ทันพระนะ"


อาทิตย์ค่อยๆ ตื่นเต็มตา และพอรู้สึกตัวแล้ว เจ้าหนูน้อยก็โผเข้าหา กอดพี่ชายร่างเล็กที่นั่งอยู่ข้างกันบนเตียง


"ฮื่ออ.. พี่ตะวัน" ตะวันอมยิิ้มในขณะที่ร่างเล็กซุกอยู่กับอกเขาอย่างออดอ้อน และแน่นอนว่าเขาก็ไม่ลืมที่จะเอ่ยทักเจ้าหนูในอ้อมกอดไปเช่นกัน


"อรุณสวัสดิ์ครับอาทิตย์ เมื่อคืนหลับสบายไหมหื้มตัวแสบของพี่"


เจ้าของฉายาเจ้าตัวแสบพยักหน้าหงึกหงักอยู่กับอกของตะวัน ก่อนที่ตะวันจะอุ้มเจ้าหนูขี้อ้อนเข้าไปในห้องน้ำ จับร่างเล็กให้ยืนบนขั้นบันไดเล็กๆ ที่ไว้ใช้สำหรับยืนแปรงฟันหน้าเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้าของเจ้าตัว จากนั้นก็บีบยาสีฟันลงบนแปรง แล้วส่งให้อาทิตย์จัดการทำความสะอาดช่องปากด้วยตัวเอง ก่อนที่เขาจะออกไปจัดการเก็บที่นอนพับผ้าห่มให้เรียบร้อย


"แปรงฟันขึ้นลงให้สะอาดนะครับอาทิตย์ เดี๋ยวพี่เก็บที่นอนเสร็จแล้วจะมาช่วย"


อาทิตย์พยักหน้าหงึกหงักในขณะที่มือก็ถูแปรงสีฟันขึ้นลงตามคำบอกของคนเป็นพี่ไม่หยุด และหลังจากตะวันเก็บผ้าเก็บที่นอนเรียบร้อย เขาก็มาจับน้องชายที่ตอนนี้กำลังล่อนจ้อนอาบน้ำ เสียงหัวเราะยามเช้าดังก้องไปทั่ว กว่าจะจัดการจับน้องแต่งตัวเสร็จ พระก็เดินมาถึงหน้าบ้านพอดี


ตะวันกับอาทิตย์ช่วยกันใส่บาตรร่วมกันอย่างน่าเอ็นดู เด็กชายตัวน้อยพยายามจะใช้มือเล็กๆ ของตัวเองใส่ถุงแกงลงไปในบาตร ซึ่งเป็นภาพที่เรียกรอยยิ้มให้กับคนที่กำลังมองดูได้ไม่ยาก


หลังจากใส่บาตรเสร็จ สองคนพี่น้องก็ยืนส่งพระท่าน จนท่านเดินไปลับตา ก่อนที่จะพากันข้าบ้าน และทันทีที่มาถึงห้องนั่งเล่น เสียงเล็กๆ ที่ติดจะงอแงของเจ้าอาทิตย์ดวงน้อยก็ดังขึ้นทันที


"พี่ตะวัน อาทิตย์หิวข้าวแล้วคับ"


ตะวันเหลือบมองนาฬิกาที่บอกเวลาแปดโมงตรง พลางยิ้มขำให้กับความกระเพาะเถรตรงของน้องชาย ถึงเวลาทีไรบ่นประท้วงว่าหิวตลอด แถมยังประท้วงได้ตรงเวลาทุกวัน ทุกมื้อ แทบจะไม่ต้องพึ่งการมองนาฬิกาเลยด้วยซ้ำ


"โอเคครับคุณอาทิตย์ กระผมนายตะวันตื่นมาทำอาหารเช้าเป็นข้าวต้มกุ้งไว้รอคุณอาทิตย์เรียบร้อยแล้ว เชิญคุณอาทิตย์นั่งรอที่โต๊ะอาหารได้เลยครับ เดี๋ยวกระผมจะไปเสิร์ฟให้ถึงที่เลยครับผม"


อาทิตย์หัวเราะคิก เมื่อเห็นท่าทางล้อเลียนของพี่ชาย ซึ่งพอตะวันเห็นน้องชายขำจนตาหยีก็อดไม่ได้ที่จะก้มลงไปกอดฟัด และจากเสียงหัวเราะคิกคักแค่จากอาทิตย์คนเดียว ก็กลายมาเห็นเสียงหัวเราะเอิ้กอ้ากดังลั่นบ้านของสองคนพี่น้องแทน


.


.


.

- อ่านต่อด้านล่างค่ะ -
หัวข้อ: Re: [Up 2nd] The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว ::CH 1st - บ้านหลังใหม่::
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 18-06-2019 18:25:17
- ต่อจากด้านบนค่ะ -

หลังจากทานอาหารเช้ากันเรียบร้อย ตะวันกับอาทิตย์ก็มานั่งผึ่งพุงกันที่โซฟาในห้องนั่งเล่น ทีวีช่องสารคดีถูกเปิดไว้เพื่อไม่ให้เหงา ในขณะที่ตอนนี้เจ้าหนูน้อยอาทิตย์ก็ปีนขึ้นมานั่งบนตักเล็กๆ ของคนเป็นพี่แล้วเรียบร้อยแล้วเช่นกัน

"พี่ตะวันๆ วันนี้เราสองคนจะทำอะไรกันดีคับ"

ตะวันยิ้มให้กับคำถามของน้อง ก่อนจะลูบศีรษะกลมของคนช่างพูดเบาๆ จากนั้นก็ร่ายโปรแกรมวันนี้ให้น้องฟัง

"วันนี้มิชชั่นของเรามีสามเรื่องครับ เรื่องแรก ... วันนี้เราต้องเก็บที่อยู่ในลังทั้งหมดเอาเข้าที่ให้เรียบร้อย เพราะพรุ่งนี้วันจันทร์ พี่ต้องเข้าร้าน"

"รับทราบคับ" เจ้าหนูน้อยรับคำแข็งขัน พร้อมกับตั้งใจฟังต่อ

"ส่วนเรื่องที่สอง.. วันนี้เราต้องไปทำความรู้จักคุณคนข้างบ้าน เพื่อผูกมิตรและฝากเนื้อฝากตัว" อาทิตย์จ้องพี่ชายตาแป๋ว แสดงถึงความตั้งใจฟังขั้นสุดแม้จะไม่รู้ว่าความหมายของคำว่าฝากเนื้อฝากตัวก็ตาม "ซึ่งเราจะไม่ไปเยี่ยมบ้านใครมือเปล่า เพราะมันเสียมารยาท ดังนั้นภารกิจที่สามจึงเกิดขึ้น วันนี้ก่อนเที่ยงพี่จะเข้าครัวทำขนม แล้วเอาไปให้คุณคนข้างบ้านกัน อาทิตย์ต้องช่วยพี่นะ โอเคไหม?"

อาทิตย์ยิ้มกว้าง หลังจากได้ยินพี่ชายบอกว่าจะเข้าครัวทำขนม เด็กน้อยชอบขนมที่พี่ตะวันทำมาก เพราะมันอร่อยที่สุดในโลก

"ได้เลยคับ" เด็กชายทำหน้าจริงจัง "เดี๋ยวอาทิตย์จะเป็นคนช่วยชิมขนมให้พี่ตะวันเอง"

ตะวันหลุดขำพรืด เจ้าลูกหมูเอ๊ย ให้ช่วยทำดันจะมาช่วยกินแทนเสียอย่างนั้น นี่ก็กินจนพุงกลมไปหมด ขนาดว่าเพิ่งอิ่มข้าวไป ยังนึกจะกินอีกแล้ว อาทิตย์นี่มันอาทิตย์จริงๆ

พอนึกได้แล้วตะวันก็มันเขี้ยวเลยก้มลงไปฟัดพุงของเจ้าหนูน้อยเบาๆ เขาไม่ค่อยกล้าเล่นแรง เดี๋ยวจะพาลให้น้องจุกแล้วอาจจะอาเจียนออกมาได้

"คิกๆๆ พี่ตะวัน ฮ่าๆๆๆ อาทิตย์จั๊กจี๋"

คนเป็นพี่ที่ได้ยินน้องหัวเราะแล้วก็ได้แต่หัวเราะตาม สุดท้ายก็ต้องเลยเลิกเล่น เพราะกลัวว่าน้องจะหัวเราะจนขาดใจเอา

"อ่ะๆ พี่ไม่แกล้งแล้ว" ตะวันว่าพลาง ก้มลงไปหอมแก้มนิ่มที่ตอนนี้แดงปลั่ง เพราะเล่นหัวเราะจนเหนื่อยของน้องชายแรงๆ ซึ่งเจ้าตัวน้อยเองก็ยังคงขำคิกๆ ไม่เลิก

"ไปครับคนเก่ง ไปเตรียมของในครัวกัน รีบทำ จะได้รีบเอาไปให้คุณคนข้างบ้านก่อนเที่ยงเนาะ"

"คับ"

อาทิตย์กระวีกระวาดลุกจากตักคนเป็นพี่ ก่อนจะปีนลงโซฟา แล้ววิ่งตื๋อไปเข้าห้องครัว โดยมีตะวันเดินตามไปช้าๆ พลางเหลือบมองผ่านหน้าต่างกระจกบานกว้างในครัว เพื่อดูว่าคนที่รั้วบ้านไม่ห่างกันมากมีคนอยู่หรือเปล่า วันนี้วันอาทิตย์ก็คงน่าจะไม่ไปไหน แล้วตะวันก็ได้ใจชื้นที่เห็นว่ามีีรถคันเดียวกับที่เห็นเมื่อคืนจอดอยู่

ตอนแรกตะวันตั้งใจว่าจะทำอาหารเช้าไปฝากให้ข้างบ้าน แต่ก็นึกเกรงใจเพราะวันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ ซึ่งคนในบ้านอาจจะยังพักผ่อนอยู่ได้ เลยเปลี่ยนแผนมาเป็นทำขนมไปให้ในช่วงกลางวันแทน ซึ่งแบบนี้น่าจะดีกว่า

ทาร์ตผลไม้ เป็นขนมที่ตะวันเลือกทำในวันนี้ เนื่องจากเพิ่งย้ายเข้ามาที่บ้านหลังนี้เมื่อวานอุปกรณ์ในการทำขนมต่างๆ ก็ยังไม่ได้จัดเข้าที่ให้เรียบร้อยเท่าไหร่ ยังดีที่ตอนซื้อบ้านเสร็จใหม่ๆ ตะวันให้คนเข้ามาติดตั้งเตาอบไว้ตั้งแต่แรก มันเลยค่อนข้างพร้อมใช้งานกว่าสิ่งอื่น และอีกอย่างก็เพิ่งไปซื้อพวกของสด ผลไม้สดเข้าบ้านมาเมื่อวาน .. ดังนั้นทาร์ตผลไม้จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของวันนี้

ตะวันชะงักมือที่กำลังตระเตรียมอุปกรณ์เล็กน้อย เพราะพอหยิบถุงใส่ผลไม้ที่มีโลโก้ของห้างดังที่เขาไปมาเมื่อวาน ก็ให้พาลนึกถึงเหตุการณ์บ้าบอนั่น ใบหน้าน่ารักมู่ทู่ขึ้นมาทันทีเมื่อนึกถึงเจ้าของรูปร่างสูงใหญ่และใบหน้าหล่อเหลาที่ติดจะเย็นชาที่ปรากฎเข้ามาในความคิด

ตะวันยอมรับ ว่าคุณปะป๊าของน้องพีหน้าตาดีไม่น้อย แต่แล้วยังไงล่ะ ถ้าหน้าตาดี แต่นิสัยกวนประสาทแบบนั้นก็ไม่ไหวเหมือนกันนะ แล้วทุกความคิดของตะวันก็หยุดลง เมื่อได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของอาทิตย์ถามนั่นถามนี่ไม่หยุด คนเป็นพี่ได้แต่ส่ายศีรษะน้อยๆ อย่างนึกเอ็นดู และสุดท้ายความคิดฟุ้งซ่านทั้งหมดก็หายไป เมื่อตะวันหันมาจดจ่อและให้ความสนใจกับขนมที่ทำอย่างเต็มที่

เขาตั้งใจทำเพราะอยากให้มันอร่อย ให้คนได้รับประทับใจ เพราะอย่างน้อยการพบกันครั้งแรกของคนที่จะมาอยู่บ้านใกล้เรือนเคียงกันถือเป็นสิ่งที่สำคัญ และตะวันก็อยากให้คุณคนข้างบ้าน รู้สึกอย่างนั้นกับตัวเอง

.

.

.

ทาร์ตผลไม้สดที่ทำเสร็จเรียบร้อยถูกตกแต่งอย่างน่ากินสมกับเป็นฝีมือของเจ้าของร้านอาหารและขนม อาทิตย์กลืนน้ำลายลงคอหลายอึกติดๆ กันเมื่อมองไปทาร์ตชิ้นเล็กๆ หลายชิ้นที่วางเรียงกันอยู่ด้วยความอยากกิน ซึ่งตะวันที่ได้เห็นท่าทางแบบนั้นของน้องชายแล้วก็ได้แต่ยิ้มขำ ก่อนจะเอ่ยแซว

"อาทิตย์ครับ พี่ว่าอาทิตย์ชิมไปหลายชิ้นแล้วนะ ทำไมยังกลืนน้ำลายอยู่อีกล่ะหื้ม?"

เจ้าหนูน้อยละสายตาจากขนมจานที่ว่ามาที่ใบหน้าของพี่ชายก่อนจะเอ่ยเสียงอ้อน "ก็มันอร่อยอ่ะคับพี่ตะวัน อาทิตย์อยากชิมอีก"

ตะวันได้ฟังคำตอบของน้องแล้วก็ได้แต่หัวเราะเสียงใส เพราะระหว่างที่ทำก่อนหน้านี้ เจ้าน้องชายตัวแสบที่รับปากว่าจะมาเป็นผู้ช่วยชิมก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างดีเยี่ยมด้วยการกินขนมที่ตะวันทำไปหลายชิ้น

พอตะวันท้วง เจ้าตัวแสบก็อ้าวว่าต้องชิมหลายๆ รอบจะได้แน่ใจว่าอร่อยแล้ว โชคดีที่ตะวันรู้นิสัยของน้องชายตัวเอง จึงทำเผื่อไว้ค่อนข้างมากพอสมควร ตั้งใจจะแบ่งเอาไว้ให้อาทิตย์กินเย็นนี้ด้วย เพราะเด็กชายตัวน้อยชอบกินขนมเป็นชีวิตจิตใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งขนมที่ตะวันทำ อาทิตย์จะยิ่งกินได้มากเป็นพิเศษ

"ฮ่าๆ หมูอ้วนเอ๊ย" ตะวันลูบศีรษะคนอยากกินขนมอย่างเอ็นดู "พี่ทำเผื่ออาทิตย์ไว้แล้วครับ อยู่ในจานนู้น.. ส่วนจานนี้ เราจะเอาไปให้คุณคนข้างบ้านกัน โอเคไหมครับ"

"โอเคครับพี่ตะวัน" เด็กน้อยยิ้มกว้าง เมื่อรู้ว่าตัวเองจะได้กินขนมอีก "คุณลุงคนที่อยู่ข้างบ้านเราต้องชอบขนมของพี่ตะวันแน่ๆ เลย"

ตะวันขมวดคิ้ว ก่อนจะเอ่ยถามน้องชายในขณะที่กำลังยกจานขนม โดยมีเจ้าอาทิตย์ดวงน้อย เดินจูงมืออีกข้างที่ว่างของเขาออกมาด้วยกัน เพื่อตรงไปยังบ้านหลังข้างๆ ที่เป็นเป้าหมายของคนทั้งคู่

"อาทิตย์รู้ได้ยังไงครับ ว่าข้างบ้านมีคุณลุงอยู่?" ตะวันนึกแปลกใจ เพราะตัวเขาเองยังไม่รู้เลยว่าคนที่อยู่ข้างบ้านเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง

"ก็อาทิตย์เห็นคุณลุงเดินแว๊บๆ ตอนที่เราทำขนมอยู่ในครัว"

คนเป็นน้องตอบ ให้คนเป็นพี่ได้พยักหน้าเข้าใจ ซึ่งเป็นตอนเดียวกับที่สองคนพี่น้องเดินมาถึงประตูรั้วสูงของบ้านข้างๆ แล้ว ตะวันเดินไปยังประตูบ้านเล็กข้างๆ รั้ว ก่อนจะกดออดเรียกคนในบ้านเพื่อให้รู้ว่ามีแขกมายืืนรอ


ติ๊งหน่อง


เสียงออดดังขึ้นไม่นาน อินเตอร์คอมที่ติดอยู่ข้างก็ดังขึ้นในเวลาต่อมา

"ใครครับ?" เสียงทุ้มดังอู้อี้มาตามลำโพงให้ตะวันได้ยิน เด็กหนุ่มยิ้มกว้าง ก่อนจะเอ่ยตอบไปอย่างสุภาพ

“สวัสดีครับ ผมชื่อตะวันนะครับ ... พอดีเพิ่งย้ายมาใหม่ครับ อยู่ข้างบ้านคุณ เลยอยากมาทำความรู้จักกันไว้”

"อ้อ..." ปลายสายรับคำ "งั้นรอสักครู่นะครับ"

ผู้ชายจริงๆ ด้วย ตะวันนึกอย่างดีใจ เพราะอย่างน้อยก็จะได้ไม่ต้องอึดอัดใจมากเพราะเป็นเพศเดียวกัน อีกอย่างถ้าจะขอความช่วยเหลืออะไรยามฉุกเฉินจะได้วางใจได้ว่าอีกฝ่ายน่าจะช่วยได้มากแน่ๆ ตะวันกระชับมือที่จับจูงน้องชายอย่างตื่นเต้น เจ้าอาทิตย์ดวงน้อยเองก็ไม่ต่าง สองคนพี่น้องได้ยินเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จากอีกฝั่งของประตูรั้วก็ยิ้มกว้างคอยท่า ตั้งใจว่าอีกฝ่ายต้องประทับใจแน่ๆ... แอ็ด เสียงประตูเล็กข้างรั้วเปิดออก พร้อมกับใบหน้าหล่อเหลาและรอยยิ้มเจ้าเล่ห์คุ้นตาที่ตะวันไม่มีวันลืม

"นี่คุณ!!!" ตะวันทำหน้าเหวอค้าง ในขณะที่อีกฝ่ายยิ้มร่า ทำหน้าทำตากวนโมโหไม่หยุด

"เจอกันอีกแล้วนะครับ ... ผมบอกแล้วว่าเราต้องได้เจอกันอีกแน่ๆ"

และตะวันก็ได้รู้ว่าความประทับใจแรกพบนั้นไม่เคยมีอยู่จริง

.

.

.

To Be Continue

----------------------------------------

Talk: ชอบไม่ชอบ ฝากคอมเม้นท์และติดแท็ก #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว ในทวิตเตอร์ด้วยนะคะ

ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านนะคะ❤
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 19-06-2019 06:12:06
 :pig2:
 :katai2-1:
ติดตามค่ะ
 :pig4:
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 21-06-2019 08:03:54
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 21-06-2019 10:27:40
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [Up 3rd] The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว.. ::CH 2nd-บ้านหลังข้างๆ::
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 22-06-2019 17:08:32
:: Chapter 2nd - บ้านหลังข้างๆ ::


"ปะป๊าคับ ปะป๊า"

เสียงเล็กๆ ของเด็กชายตัวน้อย ดังอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล เรียกให้คนเป็นพ่อที่กำลังขะมักเขม้นอยู่กับการอ่านเอกสาร ต้องเงยขึ้นไปมองลูกน้อยวัยสามขวบกว่าที่นั่งเล่นของเล่นอยู่บนพื้นพรหมตรงหน้า

"ว่าไงครับน้องพี อยากได้อะไรเหรอครับลูก"

หนูน้อยเจ้าของชื่อเรียกน้องพียิ้มแฉ่ง พลางส่ายศีรษะเล็กๆ ไปมา ก่อนจะเอ่ยตอบคนเป็นพ่ออย่างไร้เดียงสา

"น้องพีไม่อยากได้อะไยคับ น้องพีเยียกเพราะคิดถึงปะป๊าเฉยๆ"

คนเป็นพ่อได้ยินสิ่งที่ลูกชายเอ่ยตอบแล้วก็ได้แต่ยิ้มกว้าง เขามองเอกสารที่อยู่บนโต๊ะ พลางคิดในใจว่าวันนี้ยังมีเวลาว่างอีกเยอะ ค่อยมาอ่านต่อตอนไหนก็ได้ แต่เจ้าลูกน้อยที่กำลังอ้อนได้น่าฟัดน่ากอดนี่สิ รอไม่ได้หรอก ยังไงก็ต้องลุกขึ้นไปจูบปากเล็กๆ ช่างเจรจานั่นตั้งแต่ตอนนี้เลย

พอคิดได้แบบนั้น ชายหนุ่มเจ้าของรูปร่างร้อยแปดสิบปลายๆ ก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ทำงานลงไปนั่งขัดสมาธิบนพื้นพรหมข้างลูกชายตัวจ้อย ก่อนจะอุ้มเจ้าหนูน้อยขึ้นวางบนตัก แล้วจับฟัดพุงจนเสียงหัวเราะคิกคักของน้องพีดังไปทั่วทั้งห้อง

"น้องพี.. คิกๆๆๆๆ ปะป๊าาาาา คิกๆๆๆๆ" น้องพีพูดไปขำไปจนฟังไม่รู้เรื่อง ตัวปะป๊าของเจ้าหนูเองก็ใช่ย่อย ไม่รู้เพราะอายุเยอะหรือทำงานหนัก ฟัดพุงลูกได้ไม่เท่าไหร่ก็รู้สึกเหนื่อย เลยต้องเปลี่ยนไประดมจูบแก้มนิ่มๆ กลมๆ กับ ปากเล็กๆ สีแดงสดแทน

"ปะป๊าแกล้งน้องพี" เจ้าหนูตัวน้อยตัดพ้อคนเป็นพ่อด้วยเสียงเหนื่อยหอบ เพราะใช้พลังไปกับการหัวเราะก่อนหน้ามากพอสมควร คนถูกลูกต่อว่ายิ้มขำ เขาไม่คิดปฏิเสธข้อหาที่ลูกตั้งให้ เพราะพลัฏฐ์เองก็ชอบแกล้งลูกจริงๆ นั่นล่ะ ว่าแล้วก็หาเรื่องแหย่ลูกอีกสักรอบ

"อ่ะ ปะป๊าให้น้องพีจุ๊บคืนก็ได้ จะได้หายกัน"

ด้วยความที่ยังเป็นเด็กน้อย เลยรู้ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมของพ่อตัวเอง เพราะพอน้องพีได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มกว้าง พลางขยับตัวลุกขึ้นยืนบนตักกว้างของคนเป็นพ่อ มือเล็กสองข้างเกาะบ่าที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อของพ่อแน่น ก่อนจะก้มลงใช้ปากเล็กๆ จุ๊บลงไปเบาๆ บนแก้มสากและริมฝีปากหยักลึกรูปกระจับอย่างตั้งใจ

เสียงทุ้มหัวเราะอยู่ในลำคอด้วยความชอบใจต่อการกระทำที่แสนน่ารักของลูกชายตัวเอง จนอดจับเจ้าหนูน้อยนอนลงบนตักแล้วฟัดหอมอีกรอบไม่ได้

พอน้องพีถูกปล่อยเป็นอิสระ เจ้าหนูก็หน้ามุ่ย ปีนลงจากตักคนเป็นพ่อด้วยความงอน ทำเอาปะป๊าหัวเราะร่วนที่แกล้งลูกได้สำเร็จ น้องพีพลิกหนีพ่อด้วยการหันไปเล่นตัวต่อต่อ ปล่อยให้คนหลงลูกนั่งอมยิ้มมองเจ้าตัวน้อยนิ่ง

‘น้องพี’ หรือ ‘เด็กชายพีรยสถ์ วัฒนไพศาลกุล’ เป็นลูกชายเพียงคนเดียวของ ‘พลัฎฐ์ วัฒนไพศาลกุล’ เขากับน้องพีคนเป็นลูก อาศัยอยู่กันสองคนในบ้านหลังขนาดกลางที่แสนอบอุ่น แม้จะมีกันแค่สองคนพ่อลูกแต่พลัฎฐ์ก็ไม่เคยทำให้ลูกรู้สึกว่าขาด เขารักน้องพีมาก ไม่ว่าตัวเองจะทำงานยุ่งขนาดไหน แต่ถ้าเป็นเรื่องของน้องพี พลัฎฐ์จะมีเวลาให้เสมอ นั่นเพราะน้องพีเป็นเด็กน่าสงสาร เกิดมาได้ไม่นาน อายุไม่ถึงขวบเต็มเลยด้วยซ้ำ พ่อกับแม่แท้ๆ ของน้องพีก็มาด่วนจากไปเสียก่อน

... แน่นอนว่า พลัฎฐ์ไม่ใช่พ่อแท้ๆ ของน้องพี

ในความเป็นจริงแล้ว พลัฎฐ์มีศักดิ์เป็นเพียงแค่อาของน้องพีเท่านั้น พ่อของน้องพี เป็นพี่ชายแท้ๆ ของพลัฎฐ์ ดังนั้นเมื่อพี่ชายและพี่สะใภ้เกิดมาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ จากไปก่อนวัยอันควรทั้งคู่ พลัฎฐ์จึงตัดสินใจรับหลานแท้ๆ ของตัวเองมาเป็นลูก ซึ่งการกระทำดังกล่าวของชายหนุ่ม ได้รับความเห็นชอบจากทั้งพ่อแม่ของเขา และครอบครัวของพี่สะใภ้แล้ว

เนื่องจากทางครอบครัวของพี่สะใภ้มีลูกสาวเพียงคนเดียว จึงไม่สามารถที่จะรับดูแลน้องพีเป็นทางการได้ ดังนั้นเมื่อพลัฎฐ์เอ่ยปากขอรับน้องพีเป็นลูก ครอบครัวทางฝั่งนั้นจึงไม่ขัดข้องอะไรแถมยังสนับสนุนเสียด้วยซ้ำ เพราะยังไงการมีพ่อแม้เพียงแค่คนเดียว อาจจะทำให้น้องพีรู้สึกอุ่นใจมากกว่าไม่เหลือใครเป็นพ่อหรือเป็นแม่สักคน

แม้ตอนนี้น้องพีจะยังเด็ก และยังไม่เข้าใจอะไรมากนัก แต่พลัฎฐ์ก็มอบความรักและความอบอุ่นให้เจ้าหนูน้อยเต็มที่ ทดแทนให้ในส่วนของพี่ชายและพี่สะใภ้ที่ไม่มีโอกาสได้ให้กับลูก พลัฎฐ์ไม่ได้ถึงกับตามใจแต่ก็ไม่เคยทำให้น้องพีรู้สึกขาดหรือว่าสับสน น้องพียังคงมีพ่อ มีคุณตา คุณยาย คุณปู่ คุณย่าเหมือนเดิม .. อาจจะขาดก็แต่แม่ แต่พลัฎฐ์มั่นใจว่าตัวเองจะสามารถทำให้ลูกมีความสุขได้ เขาเป็นได้ทั้งพ่อและแม่ของน้องพี ต่อให้ต้องเสียสละอะไรอีกเท่าไหร่ พลัฎฐ์ก็ไม่แคร์ เขารู้แค่ว่าถ้าจะต้องรับใครเพิ่มเข้ามาในชีวิตสักคน คนๆ นั้นก็ต้องรับเงื่อนไขที่เป็นเรื่องของน้องพีได้ ไม่ถึงขั้นกับว่าต้องรักมากเหมือนลูกแท้ๆ ของตัวเอง แต่ขอให้เปิดใจพร้อมที่จะเดินเคียงข้างกันไปก็พอ

ก่อนหน้านี้บ้านหลังนี้ไม่ได้มีแค่พลัฎฐ์และน้องพีอาศัยอยู่เท่านั้น แต่ยังมีคุณปู่คุณย่าหรือ พ่อและแม่ของพลัฏฐ์ คุณพศินและคุณลินลดา วัฒนไพศาลกุล อาศัยอยู่ด้วย แต่เนื่องด้วยครอบครัววัฒนไพศาลกุลของพลัฎฐ์เป็นเจ้าของนิตยสารชื่อดังที่มีคนอ่านอยู่ทั่วทุกมุมโลก เพราะตีพิมพ์หลายภาษา รวมทั้งมีบริษัทลูกอยู่ในหลายประเทศ ‘ดับบลิว.เวิลด์’ เป็นนิตยสารที่มีความหลากหลายทางด้านเนื้อหาเบ็ดเสร็จในเล่ม ทั้งความรู้วิชาการ ศิลปะ ท่องเที่ยว บันเทิง อาหารการกิน หรือแม้กระทั่งเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่กำลังได้รับความนิยมในสังคม นั่นทำให้นิตยสารของตระกูลวัฒนไพศาลกุลอยู่มั่นคงกว่านิตยสารลักษณะอื่นๆ ทั่วไปที่ทยอยปิดตัวลงกว่าหลายสำนัก ซึ่งกว่าที่ดับบลิว.เวิลด์จะมั่นคงได้ขนาดนี้ก็ต้องยอมรับเลยว่าต้องมีการปรับตัว ปรับโครงสร้าง ปรับสไตล์กันหลายต่อหลายครั้ง ล้มลุกคลุกคลานจนสามารถขึ้นเป็นที่หนึ่งในอุตสาหกรรมเดียวกันได้

ซึ่งก่อนหน้านี้พลัฎฐ์กับพี่ชายผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนช่วยกันทำหน้าที่บริหาร สลับกันไปประจำการในประเทศต่างๆ ในบางช่วงเวลา แต่หลังจากพี่ชายประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตลง พลัฎฐ์จึงต้องเข้ามาทำงานเต็มตัวมากขึ้นในฐานะรองประธานกรรมการฯ ของบริษัทฯ ที่ปัจจุบันคุณพศิน บิดาของพลัฎฐ์ยังคงดำรงตำแหน่งประธานกรรมการฯ อยู่ และโดยส่วนใหญ่แล้วท่านจะบริหารงานอยู่ที่ไทยร่วมกับพลัฎฐ์ นอกเสียจากว่าบริษัทลูกตามสาขาต่างๆ จะมีปัญหา ซึ่งในเวลานี้สาขารองจากไทยคือที่ประเทศสหรัฐอเมริกาก็เกิดปัญหาขึ้นจริงๆ แม้จะไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่มันเป็นปัญหายาวสะสมและรอการแก้ไขมานานพอสมควร จะปล่อยให้มันล่วงเลยไปกว่านี้ไม่ได้ ดังนั้นคุณพศิน และคุณลินลดาภรรยาจึงจำเป็นต้องไปดูแลบริษัทอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาสักระยะ

นั่นจึงเป็นเหตุผลให้ปัจจุบันพลัฎฐ์อาศัยอยู่กับบุตรชายที่บ้านหลังนี้สองคนแทน โดยปกติแล้วช่วงก่อนหน้าน้องพีจะอยู่กับคุณปู่คุณย่าในช่วงเวลาที่พลัฎฐ์ออกไปทำงาน แต่เวลาอื่นนอกเหนือจากนั้นพลัฎฐ์จะมอบให้กับลูกชายทั้งหมด แต่หลังจากที่ท่านทั้งสองย้ายไปประจำที่สหรัฐอเมริกาก็ดูเหมือนว่าตารางการดำเนินชีวิตของสองพ่อลูกจะต้องถูกปรับยกใหญ่ เนื่องจากฝั่งคุณตากับคุณยายของน้องพีก็ไม่สะดวก เพราะอย่างที่บอกไป ว่าหลังจากที่แม่ของน้องพีซึ่งเป็นลูกสาวคนเดียวเสียไป ก็ทำให้คุณตากับคุณยายต้องลงมาดูแลธุรกิจของครอบครัวด้วยตัวเอง ดังนั้น เหตุการณ์ของครอบครัวอีกฝั่งจึงไม่ได้สะดวกเท่าไหร่ และถ้าเทียบกันแล้วทางฝั่งครอบครัวของพลัฎฐ์ น่าจะดูดีกว่าอยู่มากโข เพราะยังไงก็ยังมีพลัฎฐ์คอยเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญ

แต่โชคยังดีก็ยังพอมีอยู่บ้าง เพราะช่วงที่คุณปู่และคุณย่าของน้องพีจะย้ายไปสหรัฐอเมริกานั้น เป็นช่วงเวลาประจวบเหมาะกับที่น้องพีต้องเริ่มเข้าเรียนที่โรงเรียนอนุบาลพอดี แต่ก็ยังอีกหลายอาทิตย์กว่าที่โรงเรียนจะเปิด

ดังนั้น ช่วงระยะนี้พลัฎฐ์จึงต้องพาลูกไปอยู่ที่ทำงานด้วย โดยให้คุณฝ้าย ฟารีดา เลขาฯ ของเขาช่วยดูแลในระหว่างที่พลัฎฐ์เข้าประชุมหรือต้องออกไปทำงานข้างนอก แต่ถ้าเป็นช่วงเวลาอื่นๆ พลัฎฐ์จะไม่ยอมให้ใครเข้ามายุ่มย่ามกับลูกชายตัวเองทั้งนั้น เพราะเขาเป็นคนค่อนข้างหวงลูกพอสมควร แต่ที่ไว้ใจให้คุณฝ้ายดูแล นั่นเพราะเธอมีประสบการณ์ของการเป็นแม่อยู่แล้ว เธอเป็นผู้หญิงอายุสามสิบปลายๆ ที่ทั้งเก่ง กระฉับกระเฉง และทำงานเข้าขารู้ใจพลัฎฐ์เป็นอย่างดี เธอจึงได้รับความไว้ใจจากชายหนุ่มให้ช่วยดูแลลูก รวมไปถึงงานในหน้าที่ต่างๆ ตามสมควร

ซึ่งก่อนหน้าที่บิดาและมารดาของเขาจะไปอเมริกา ท่านทั้งสองก็เคยแนะนำให้เขาจ้างพี่เลี้ยงมาคอยดูแลน้องพีในระหว่างที่เขาต้องไปทำงาน แต่พลัฎฐ์ยืนยันหนักแน่นว่าจะไม่ฝากลูกชายของตัวเองไว้กับใครที่เขาไม่รู้จักหรือไม่ไว้ใจทั้งนั้น เพราะฉะนั้นประเด็นการใช้พี่เลี้ยงจึงถูกตีตกไป และมาลงตัวที่พลัฎฐ์หอบหิ้วน้องพีมาทำงานด้วยแทน เพราะมันก็ช่วงสั้นๆ ไม่กี่อาทิตย์ก่อนที่น้องพีเปิดเทอมก็แค่นั้นเอง

การพาน้องพีมาทำงานด้วยนั้นไม่ใช่ปัญหาสักเท่าไหร่ เนื่องจากน้องพีเป็นเด็กว่าง่าย ไม่ค่อยดื้อแต่ติดจะซนและช่างพูดช่างเจรจาไปสักหน่อย พลัฎฐ์จะต้องหัวเราะเสียงดังทุกครั้งเมื่อกลับมาจากประชุมหรือออกไปข้างนอก แล้วได้รับรายงานจากเลขาฯ ว่า วันนี้เธอคอแห้งไปหมด เพราะต้องคอยตอบคำถามน้องพีทุกๆ สิบนาที หรือบางทีก็มีฟ้องว่าวันนี้หูเธอค่อนข้างอื้อ เนื่องจากฟังน้องพีเล่านั่นเล่านี่ ให้ฟังไม่หยุด

พลัฎฐ์รู้ดีว่าน้องพีเป็นเด็กสดใส ตรงไปตรงมา และเข้ากับคนอื่นง่าย ซึ่งเป็นนิสัยที่คล้ายกับพี่ชายของเขา แต่เมื่อเทียบกับเขาแล้วก็แทบจะตรงกันข้ามเลยด้วยซ้ำ

พลัฎฐ์ วัฒนไพศาลกุล ทายาทของคุณพศิน วัฒนไพศาลกุล เจ้าของนิตยสารชื่อดัง วัยยี่สิบแปดปี ในสายตาของคนทั่วไปเขาเป็นคนเคร่งขรึม เอาจริงเอาจัง ซึ่งโดยรวมแล้วนิสัยของพลัฎฐ์ก็เป็นแบบนั้นจริงๆ แต่ถ้าคนในครอบครัวหรือเพื่อนสนิทจะรู้ว่าพลัฎฐ์มีนิสัยจริงๆ ที่ลึกกว่านั้น เขาเป็นคนร้ายเงียบ ติดจะเจ้าเล่ห์และช่างวางแผนการ ไม่เคยมีสิ่งไหนที่พลัฎฐ์ต้องการแล้วไม่ได้ ภายใต้ท่าทางนิ่งเฉย พลัฎฐ์ซับซ้อนกว่านั้นเยอะมาก เขาไม่ใช่คนที่จะชอบแสดงออกว่าสนใจอะไรหรือสิ่งไหนนอกหน้า เพียงแต่ถ้าถูกใจแล้วเขาจะไม่ปล่อยให้สิ่งที่ตัวเองหมายตาหลุดมือ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัวพลัฎฐ์ไม่เคยปล่อยให้ตัวเองพลาด ไม่งั้นเขาคงไม่ยืนหยัดขึ้นเป็นรองประธานกรรมการฯ ดูแลพนักงานเป็นหลายพันชีวิตได้ทั้งที่อายุยังน้อยแบบนี้หรอก

แต่ไม่ว่านอกบ้านหรือในสังคมการทำงานพลัฎฐ์จะเป็นอย่างไร แต่เมื่อกลับถึงบ้านเขาจะเป็นคุณพ่อที่น่ารักของลูกชายทันที ดังนั้นในบ้านหลังใหญ่ที่มีแค่เขากับน้องพีอาศัยอยู่ด้วยกันสองคน จึงเต็มไปด้วยความอบอุ่นและอบอวลไปด้วยความรักเสมอ

ตอนนี้พลัฎฐ์กับน้องพีก็อยู่ด้วยกันมาได้สักระยะแล้ว เหลือก็แค่รอเวลาให้น้องพีเปิดเรียนซึ่งก็คืออีกในสองอาทิตย์ข้างหน้า ตัวเจ้าหนูน้อยเองก็ดูตื่นเต้นอยู่พอสมควร เพราะพอปะป๊าบอกว่าการไปโรงเรียนเที่ยวนี้ น้องพีจะมีเพื่อนใหม่เยอะขึ้นมาก เด็กชายก็เอาแต่ถามคนเป็นพ่อทุกวันว่าเมื่อไหร่จะได้ไปโรงเรียนจนพลัฎฐ์หมดแรงที่จะตอบ สุดท้ายเลยต้องใช้เทคนิคเบนความสนใจเจ้าตัวยุ่ง ให้ไปนับถอยหลังในปฎิทินแทน ไม่งั้นมีหวังได้ตอบคำถามกันทุกวันจนกว่าโรงเรียนจะเปิดแน่ๆ

“ปะป๊า อีก...หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า...” จู่ๆ เจ้าตัวน้อยที่กำลังนั่งเล่นตัวต่ออยู่กันหันมานับนิ้วใส่คนเป็นพ่อที่กำลังนั่งมองลูกอยู่ด้วยสายเอ็นดู ทำเอาพลัฎฐ์ถึงกับแปลกใจ เพราะไม่รู้ความต้องการของลูกชาย

“หื้ม?... น้องพีนับอะไรครับ” พลัฎฐ์ถาม ให้น้องพีได้ยิ้มแฉ่งเห็นฟันขาวเกือบทุกซี่ก่อนจะเอ่ยตอบ

“อีกเท่านี้วัน จะได้ไปโยงเยียนแย้วคับ”

น้องพียกนิ้วขึ้นมาสิบนิ้ว ทำเอาพลัฎฐ์แอบอมยิ้มกับคำพูดบางคำที่น้องพียังพูดได้ไม่ชัดเท่าไหร่ ซึ่งส่วนใหญเป็นคำที่ออกเสียงด้วย ร. เรือ และ ล.ลิง แทบทั้งนั้น

“โรงเรียนครับ โรง เรียน ไหนน้องพีลองพูดช้าๆ สิลูก”

น้องพีจ้องหน้าพ่อเขม็ง ดวงตากลมสีน้ำตาลอ่อนที่ได้จากแม่แท้ๆ ของเจ้าหนูมาเต็มๆ มองนิ่งไปที่ริมฝีปากเป็นกระจับของคนที่กำลังสอนเขาออกเสียง ก่อนที่ปากเล็กๆ จะขยับตาม

“โยง เยียน.. งื้อออ ทำไมไม่เห็นเหมือนที่ปะป๊าพูดเยยย” เด็กน้อยงอแง และรู้สึกขัดใจที่ออกเสียงไม่ได้แบบที่พ่อสอน เดือดร้อนให้พลัฎฐ์ต้องอุ้มเจ้าตัวยุ่งขึ้นมานั่งบนตักพร้อมกับเอ่ยปลอบ

“ไม่ได้ก็ไม่เป็นไรนี่ครับ เดี๋ยวพอไปโรงเรียน คุณครูก็จะสอนน้องพีเอง” คนเป็นพ่อว่า ก่อนจะกดริมฝีปากหยักลงไปที่ขมับเล็กๆ ของลูกชาย “ถ้าน้องพีตั้งใจฟังที่คุณครูสอน สักพักน้องพีก็จะพูดได้ชัดเอง ตกลงไหมครับ”

เจ้าหนูยกแขนขึ้นโอบรอบลำคอแกร่งของปะป๊าที่แสนใจดี ก่อนจะซุกหน้าลงกับอก พลางพูดจาออดอ้อนน่ารัก ทำเอาพลัฎฐ์หัวใจแทบละลายเพราะความน่ารักของลูก

“ตกยงคับ น้องพีจะตั้งใจเยียนแบบที่ปะป๊าบอก โตขึ้นน้องพีจะได้เก่งๆ เก่งแบบปะป๊าพะลัดของน้องพี”

คนที่ถูกลูกอวยถึงกับยิ้มไม่หุบ อ้อมแขนแข็งแรงได้แต่กระชับตัวเจ้าเด็กน้อยไว้กับอกแน่น น้องพีน่ารักขนาดนี้ ช่างพูดช่างจาขนาดนี้จะไม่ให้เขาหลงลูกตัวเองหัวปักหัวปำได้ยังไง

พลัฎฐ์ไม่เคยจินตนาการถึงชีวิตในอนาคตข้างหน้าของเขาที่ไม่มีน้องพีเลยสักครั้ง พลัฎฐ์ไม่เคยคาดหวังว่าลูกของเขาจะต้องเก่ง ต้องเลิศเลอเหนือใครๆ เขาขอแค่ให้ลูกมีความสุขมากพอที่จะยิ้มได้ในทุกๆ วันก็พอ พลัฎฐ์ไม่เคยมีลูก ไม่รู้ว่าสายใยระหว่างพ่อลูกจะถูกถักทอแบบไหน แต่เขาเลี้ยงน้องพีมาตั้งแต่ยังแบเบาะ ตั้งแต่แกสูญเสียพ่อกับแม่แท้ๆ ไป พลัฎฐ์ก็มอบเวลาทุกวินาทีในชีวิตให้กับน้องพี

แน่นอนว่าเขาเองก็เป็นผู้ชายและยังหนุ่มยังแน่น ไม่ใช่ว่าเขาไม่ถวิลหาชีวิตที่อยากจะมีคนข้างกายไว้ดูแล แต่ส่วนใหญ่ผู้หญิงหรือไม่ผู้ชายที่เข้ามาหาเขาล้วนชื่นชอบในหน้าตา ฐานะ หรือชื่อเสียงทางสังคมของเขาทั้งนั้น และแทบจะไม่มีคนไหนยอมรับเรื่องน้องพีได้เลย เพราะเพียงแค่เขาบอกว่าเขามีเด็กชายตัวน้อยอีกคนที่ต้องดูแล ทุกคนก็ล้วนตีตัวออกห่างหรือถึงแม้จะรับได้และคบกันต่อ ก็ไม่มีสักคนที่เข้ากันได้กับน้องพี ซึ่งพลัฎฐ์เองก็ไม่เคยลังเลเลยสักครั้งที่จะหันหลังให้คนเหล่านั้นแล้วเลือกลูกชายตัวน้อยแทน เพราะสำหรับเขาแล้วน้องพีคือชีวิตและหัวใจ ไม่เคยมีวันไหนที่เขาจะไม่รักและเป็นห่วงเจ้าหนูน้อยที่น่าสงสารคนนี้ ถึงแม้น้องพีจะไม่ใช่ลูกในไส้ของเขาก็ตาม

.

.

.

ติ๊งหน่อง

เสียงออดหน้าบ้านดังขึ้นในช่วงเที่ยงของวันในขณะที่พลัฎฐ์กำลังง่วนกับการอุ่นอาหารที่แม่บ้านทำทิ้งไว้ให้เมื่อตอนเช้า พลัฎฐ์จ้างให้คนมาดูแลบ้านแบบรายวัน คือโดยปกติจะมีแม่บ้านเข้ามาทำความสะอาดบ้านให้พลัฏฐ์ทุกเช้าหลังจากที่เขาออกไปทำงานแล้ว และจะทำอาหารเย็นของวันนั้นและอาหารเช้าของวันถัดไปใส่ไว้ให้ในตู้เย็น แล้วเวลาที่พลัฏฐ์หรือน้องพีจะกินเขาก็จะนำออกมาอุ่นร้อนเอง แต่ในวันเสาร์อาทิตย์แบบนี้จะมีอาหารกลางวันพ่วงขึ้นมาอีกมื้อ

พลัฎฐ์เป็นคนค่อนข้างรักความเป็นส่วนตัว เพราะฉะนั้นทุกเช้าวันหยุด พลัฏฐ์จะสั่งให้แม่บ้านทำความสะอาดและทำอาหารให้เสร็จก่อนช่วงสายของวัน จากนั้นก็ให้กลับได้เลย ซึ่งอาจจะทำเฉพาะในจุดที่เขาและน้องพีต้องใช้งานบ่อยๆ ส่วนจุดอื่นๆ ค่อยให้มาทำในวันธรรมดาที่เขาและน้องพีออกจากบ้านไปแล้ว ยกเว้นอาทิตย์ไหนที่พลัฎฐ์พาน้องพีออกไปเที่ยวเปิดหูเปิดตา แม่บ้านจะทำความสะอาดนานแค่ไหนก็ได้แต่ต้องเสร็จก่อนเขากลับมาก็แค่นั้น ดังนั้น ช่วงวันหยุดจึงถือเป็นวันพักผ่อนของคุณพ่อและคุณลูกที่แท้จริง

และเมื่อมีเสียงออดดังในช่วงเที่ยงวันแบบนี้ เจ้าของบ้านก็อดไม่ได้ที่จะแปลกใจ เพราะแม่บ้านก็เพิ่งกลับไปเมื่อสักชั่วโมงที่แล้ว และส่วนใหญ่พลัฎฐ์ไม่ได้ให้ใครรู้เท่าไหร่ว่าเขาพักที่ไหน เลยพาลให้สงสัยนิดหน่อยว่าใครกันที่มากดออดหน้าบ้านเขาแบบนี้

พลัฎฐ์เดินไปที่วีดีโออินเตอร์คอมที่ติดอยู่ตรงใกล้ๆ กับประตูบ้าน ก่อนจะมองไปที่จอแล้วก็ต้องแปลกใจอีกครั้ง

... นั่นมัน

"ใครครับ?" พลัฎฐ์ตัดสินใจกรอกเสียงถามลงไปในอินเตอร์คอม โดยมีเจ้าลูกชายตัวจิ๋ววิ่งพรวดออกมาจากห้องนั่งเล่นเมื่อได้ยินเสียงออดจากหน้าบ้านดังมาแว่วๆ เพราะนึกว่าคุณตากับคุณยายมาเยี่ยมมาหาตัวเอง

“ปะป๊าๆ คุณตากับคุณยายมาหาน้องพีหยอคับ” พลัฎฐ์อุ้มลูกชายขึ้นมาแนบอก ทำให้เด็กน้อยสามารถจ้องไปที่จออินเตอร์คอมได้ถนัด แต่สุดท้ายคิ้วเล็กๆ ก็ต้องขมวดเป็นปม ... น้องพีมองไม่ชัดเลยว่าคนที่อยู่หน้ารั้วบ้านเป็นใคร

(สวัสดีครับ ผมชื่อตะวันนะครับ ... พอดีเพิ่งย้ายมาใหม่ครับ อยู่ข้างบ้านคุณ เลยอยากมาทำความรู้จักกันไว้)

น้ำเสียงสดใสปนตื่นเต้นถูกส่งมายังอีกฝั่งของอินเตอร์คอม พลัฎฐ์จ้องมองที่จอก่อนจะหลุดยิ้มออกมาบางๆ เมื่อตั้งใจมองคนที่กำลังยืนรออยู่หน้าบ้าน ใบหน้าน่ารัก รอยยิ้มกว้างที่ประดับอยู่บนริมฝีปากบางสีสด แก้มป่องๆ ที่แดงระเรื่อเล็กน้อยน่าจะเพราะอากาศจากด้านนอก แล้วไหนจะท่าทางตื่นเต้นทั้งที่มืออีกข้างกำลังกุมมือเล็กๆ ของเด็กชายที่วัยไล่เลี่ยกับน้องพีไว้อีก

พลัฎฐ์นึกอย่างแปลกใจว่าคนอะไรทำไมถึงได้ดูสดใสขนาดนั้น อีกทั้งท่าทางร่าเริงยังเหมือนน้องพีไม่มีผิด และคนๆ นี้ก็เป็นคนเดียวกับที่เขาเจอที่ห้างสรรพสินค้าเมื่อวาน... ไม่รู้จะเรียกว่าโลกกลมหรือพรหมลิขิตดี ซึ่งพลัฎฐ์ยังนึกไม่ออกเลยว่า ถ้าเขาออกไปและคนที่ยืนรอทำความรู้จักอยู่เห็นว่าเขาเป็นใคร ยังยินดีจะรู้จักกับเขาอยู่ไหมนะ... แค่คิดก็สนุกแล้ว

"อ้อ... งั้นรอสักครู่นะครับ" พลัฎฐ์รับคำ ก่อนจะปล่อยเจ้าตัวน้อยในอ้อมกอดวางลงกับพื้น "น้องพี หนูรอปะป๊าอยู่ตรงนี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวปะป๊าไปเปิดประตูให้แขกก่อนนะ"

"ใครมาหยอคับปะป๊า?" เด็กน้อยเอียงคอถามเสียงใส พลัฎฐ์ไม่ตอบแต่กลับยกมือขึ้นลูบศีรษะกลมๆ พร้อมยิ้มออกมาน้อยๆ แทน ก่อนจะเดินออกไปเปิดประตูให้ เพื่อนบ้านคนใหม่ที่ยืนรออยู่ด้านนอก

เขาเปิดประตูเล็กข้างรั้วออก ก่อนจะยกยิ้มเจ้าเล่ห์พลางมองไปยังสายตาตกตะลึงของคนตรงหน้าขำๆ

"นี่คุณ!!!"

"เจอกันอีกแล้วนะครับ บอกแล้วไงว่ายังไงเราก็ต้องได้เจอกันอีก"

เจ้าของร่างเล็กกว่าที่มือหนึ่งถือจานขนม และอีกมือจูงเจ้าหนูน้อยอาทิตย์เพื่อนคนใหม่ของน้องพีที่เจอกันที่ห้างสรรพสินค้าเมื่อวาน และไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีกครั้งเร็วขนาดนี้ เบิกตากว้างขึ้นพลางจ้องหน้าพลัฎฐ์นิ่ง ในขณะที่คนเป็นพี่ยังตะลึงค้างไม่เลิก เพราะไม่คิดว่าจะได้เจอคู่กรณีคนเมื่อวาน แต่เจ้าหนูอาทิตย์กลับเอียงคอน้อยๆ มองเจ้าของรูปร่างสูงใหญ่ตรงหน้าด้วยสายตาฉงน คิ้วเข้มของเด็กน้อยขมวดเป็นปม ก่อนจะร้องออกมาด้วยน้ำเสียงยินดีเมื่อจำได้

"คุณปะป๊าของน้องพี อาทิตย์จำได้!! คุณปะป๊าของน้องพีไงพี่ตะวัน"

มือเล็กข้างที่กุมมือเรียวของพี่ชายอยู่กระตุกรัวจนคนเป็นพี่ได้สติ สะดุ้งโหย่ง หันมองน้องชายที มองคนข้างบ้านที สุดท้ายก็เลยถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างคนทำอะไรไม่ได้ แล้วจึงตัดสินใจยื่นจานทาร์ตผลไม้ให้อีกฝ่ายแทน

"ผมทำมาฝากครับ" พลัฎฐ์แอบอมยิ้ม ตอนที่เอื้อมมือไปรับน้ำใจของอีกฝ่าย "ผมเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ข้างบ้านคุณเมื่อวาน คิดว่าควรจะมาทำรู้จักกันไว้ ... อย่างน้อยก็เพื่อนบ้านกัน"

ประโยคสุดท้ายคนตัวเล็กกว่าพูดขมุบขมิบ แต่พลัฏฐ์กลับได้ยินชัดเจนในสิ่งที่ปากเล็กๆ สีสดนั่นเจรจา

"ขอบคุณครับ" เจ้าของบ้านหลังติดกันเอ่ยตอบ "ยินดีที่ได้รู้จักและเป็นเพื่อนบ้านกับคุณนะครับ... คุณตะวัน"

เจ้าของชื่ออ้าปากพะงาบๆ เพราะอีกฝ่ายเอ่ยทักชื่อเขาแล้ว ทั้งที่เขาเองกลับลืมแนะนำตัวเองไปเสียสนิท

"เอ่อ ขอโทษครับ ผมเองก็ลืมแนะนำตัวเอง"

"ไม่เป็นไรครับ เพราะเจ้าหนูอาทิตย์แนะนำให้เสร็จสรรพแล้ว" คนตัวโตกว่าว่าพลางลูบศรีษะกลมๆ ของเจ้าตัวน้อยที่กำลังยิ้มร่าให้เขาอย่างน่าเอ็นดู

"ส่วนผมพลัฎฐ์ครับ" มือใหญ่ถูกยื่นมาตรงหน้าทำให้ดวงตาสีเดียวกันกับของอาทิตย์เกิดลังเลขึ้นมาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจยื่นมือเรียวของตัวเองไปสัมผัสกับอีกฝ่าย แล้วดึงออกช้าๆ ไม่ให้ดูเสียมารยาทเกินไป

"ครับคุณพลัฎฐ์ ยังไงผมกับน้องฝากตัวด้วยนะครับ" พอตะวันพูดจบก็หันไปหาน้องชาย "อาทิตย์ครับ สวัสดีครับคุณปะป๊าของน้องพีรึยังครับ"

เจ้าอาทิตย์ดวงน้อยยิ้มแฉ่งสดใส ก่อนจะปล่อยมือที่จับจูงพี่ชายตัวเอง แล้วพุ่มมือไหว้คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าแทน

"สวัสดีครับคุณลุง คุณปะป๊าของน้องพี"

"สวัสดีครับอาทิตย์ ลุงดีใจนะที่ได้เจอเราอีก"

พลัฎฐ์ยิ้มรับคำทักของเจ้าหนูอาทิตย์ แต่ในใจกลับนึกไปถึงมือของตะวันแทน เขาคิดว่ามือของตะวันนิ่ม นิ่มกว่าผู้หญิงบางคนเสียอีก และก่อนที่จะตากแดดกันนานไปกว่านี้ เสียงเล็กๆ ของเด็กคนเดียวที่ยืนอยู่ในที่นี้ก็ดังขึ้น

"แล้วน้องพีล่ะครับ อาทิตย์อยากเจอน้องพี" ตะวันได้แต่ยิ้มแห้ง ไม่คิดเลยว่าน้องชายจะโพล่งถามถึงเด็กน้อยอีกคนขึ้นมาแบบนี้ เขาอึดอัดจะแย่ที่ต้องมาเผชิญกับคนที่เพิ่งจะเป็นประเด็นเผ็ดร้อนกันไปเมื่อวาน แต่วันนี้กลับกลายมาเป็นเพื่อนบ้านกันเสียแบบนั้น

และพอได้ยินอาทิตย์ถามถึงน้องพีแบบนั้น ตะวันก็นึกรู้ทันทีว่าเด็กน้อยอีกคนที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้จะอยู่ที่ไหน ... ถ้าไม่ใช่ในบ้าน

"น้องพีอยู่ในบ้านครับอาทิตย์ อาทิตย์อยากเข้าไปเล่นกับน้องพีไหมครับ" นั่นไงทำไมตะวันถึงแทงหวยไม่ถูกกันนะ

"ไม่ดีกว่าครับ รบกวน นี่ก็จะเที่ยงแล้ว ผมต้องกลับไปทำอาหารให้อาทิตย์ทานกลางวันด้วย พอดีแกกระเพาะตรงเวลาน่ะครับ ไม่งั้นเดี๋ยวหิวละจะงอแง เอาไว้คราวหน้าแทนแล้วกันนะครับ"

เจ้าหนูน้อยหน้ามุ่ยทันทีที่ได้ยินพี่ชายบอกแบบนั้นแต่ก็ไม่ได้คิดจะพูดแย้งแม้ตัวเองจะอยากเจอน้องพีแค่ไหนก็ตาม

"งั้นพอดีเลยครับ ผมกับน้องพีกำลังจะทานกลางวันกันพอดี คุณกับอาทิตย์มาทานด้วยกันก็ได้นะครับ"

พลัฎฐ์พูดหน้าตาเฉย เขารู้ดีว่าตะวันต้องการที่จะเลี่ยงและหลบหน้าเขา แต่เขากลับตีหน้าตาย มัดมือชกชวนอีกฝ่ายเข้ามากินข้าวด้วยกันแทน

"แต่..." ตะวันเตรียมจะปฏิเสธ แต่เจ้าของบ้านเอ่ยขัดเสียก่อน

"มาเถอะครับ มาทานด้วยกัน คุณบอกเองไม่ใช่เหรอครับว่าอาทิตย์กระเพาะตรงเวลา นี่ก็จะเที่ยงแล้ว กว่าคุณจะกลับไปทำ กว่าอาทิตย์จะได้ทาน หิวแย่พอดี"

ตะวันอ้าปากพะงาบๆ เพราะหาคิดหาคำมาบอกปัดอีกฝ่ายไม่ทัน ในขณะที่พลัฎฐ์มองท่าทางเลิ่กลั่กของอีกฝ่ายอย่างชอบใจ เขากลั้นยิ้มทำหน้านิ่งจนแก้มปวดไปหมด

พลัฎฐ์มองความน่ารักของคนตรงหน้าอย่างถูกใจ ตอนแรกเขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าตัวเองเป็นอะไร เพราะปกติมันไม่ใช่นิสัยที่เขาจะมาสนใครที่ไม่ใช่คนใกล้ตัวขนาดนี้ แต่ทำไมถึงจงใจแกล้งเพื่อนบ้านคนใหม่ที่ยืนอยู่ตรงหน้านัก ก่อนที่พลัฎฐ์จะได้รับคำตอบว่า ... ท่าทางน่าเอ็นดูของอีกฝ่าย ช่างถูกใจเขาเหลือเกืน

และก่อนที่คนถูกแกล้งจะนึกคำมาปฏิเสธเขาได้ทัน คนตัวโตกว่าก็ตัดสินใจรวบรัดทันที

"เข้ามาเถอะครับ ถือว่าผมเลี้ยงต้อนรับเพื่อนบ้านใหม่และขอตอบแทนเรื่ิองขนมจานนี้ก็ได้" ก่อนที่พลัฎฐ์จะงัดไม้ตายขึ้นมาอีกประโยค "อีกอย่างอาทิตย์จะได้เจอน้องพีด้วย ดีไหมครับ"

เจ้าเด็กที่ถูกพาดพิงถึงกับตาโตเพราะได้ยินชื่อเพื่อนใหม่ที่เขาอยากเจอ มือเล็กๆ ของเด็กชายจึงกระตุกเข้าที่ชายเสื้อของคนพี่ไม่หยุด จนสุดท้ายตะวันก็ใจอ่อน

"โอเคครับ กินก็กิน" ตะวันยิ้มแหย ก่อนจะหันไปหาเพื่อนบ้านคนใหม่ด้วยสภาวะจำยอม "ยังไงผมขอรบกวนด้วยนะครับ"

พลัฎฐ์ยิ้มรับ ก่อนจะเปิดประตูบ้านให้กว้างขึ้น เพื่อต้อนรับสองพี่น้องต่างวัยให้เข้ามาในตัวบ้านด้วยท่าทางยินดี

"เชิญครับ"

.

.

.

To Be Continue

------------------------------

Talk: ฝากคอมเม้นท์ติชมด้วยนะคะว่าชอบหรือไม่ชอบยังไง และสามารถติดแท็ก #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว ในทวิตเตอร์ได้ด้วยย

ขอบคุณทุกคอมเม้นท์และกำลังใจนะคะ แม้ไม่มากไม่มาย แต่ทำให้เรายิ้มได้ และมีความสุขทุกครั้งที่เห็นเลย .. ขอบคุณค่ะ ❤
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 25-06-2019 07:52:30
เห็นความสุขลอยฟุ้งเต็มไปหมดเลยค่ะ กับเด็กน้อยสองคน 

เรางงเองอ่ะ เด็กสองคนอายุเท่ากันมั้ยนะ

รออ่านต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: [Up 4th] The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :CH 3rd - ยินดีที่ได้รู้จัก:
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 25-06-2019 20:15:51
:: Chapter 3rd - ยินดีที่ได้รู้จัก ::

ตะวันจับจูงมือเล็กของน้องชายเข้ามาในบ้านหลังขนาดเท่ากับของตัวเอง แต่การตกแต่งภายในแทบจะเรียกว่าแตกต่างกันสิ้นเชิง บ้านของพลัฎฐ์ให้กลิ่นไอของคำว่าครอบครัวสุดๆ ทุกอย่างดูเรียบง่ายแต่หรูหรา ทันสมัยแต่ไม่ฉูดฉาด เป็นความลงตัวที่ตะวันอดยอมรับไม่ได้ว่ามันดูดี

“น้องพี น้องพีๆๆๆ”

เสียงสดใสของอาทิตย์ทำเอาตะวันยิ้มขำ เจ้าหนูเงยหน้ามองพี่ชายด้วยสายตาออดอ้อน ไม่บอกก็รู้ว่าอยากได้อะไร ตะวันยิ้มใจดี พลางปล่อยมือน้องชายให้หลุดจากการเกาะกุม ก่อนจะตบที่ก้นเล็กๆ เบาๆ พร้อมทั้งออกแรงดันเล็กน้อย

“ป่ะครับ พี่อนุญาต แต่อาทิตย์ห้ามเล่นซนจนข้าวของในบ้านคุณลุงเสียหายนะ”

“คับ” เด็กชายพยักหน้าและตกปากรับคำ ก่อนจะวิ่งถลาไปหาเด็กอีกคนของบ้านที่กำลังกระโดดโลดเต้นดีอกดีใจอยู่ไม่ห่าง ก่อนจะวิ่งมาหยุดยืนไม่ห่างจากตะวันเท่าไหร่นัก

“พี่ตะวัน น้องพีสวัสดีคับ” เจ้าเด็กตัวน้อยพุ่มมือขึ้นไหว้คนอายุมากกว่า ก่อนจะหันมายิ้มกว้างให้กับเพื่อนใหม่ที่รู้จักที่ห้างสรรพสินค้าเมื่อวาน

“สวัสดีครับน้องพี เจอกันอีกแล้วเนาะ”

ตะวันยิ้มแห้งแล้งส่งให้เด็กชาย ไม่ใช่ว่าไม่ดีใจที่ได้เจอเด็กน่ารักอย่างน้องพีอีกครั้ง เพียงแต่ตะวันไม่ได้ทำใจว่าจะต้องมาเจอคู่กรณีในฐานะคนข้างบ้านแบบนี้

“น้องพีดีใจมากๆ เยยคับที่ได้เจอคุณอาทิตย์อีก”

“อาทิตย์ก็ดีใจ อาทิตย์อยากเจอ อยากเล่นกับน้องพี”

ดูเหมือนว่าตอนนี้ผู้ใหญ่ทั้งคู่จะกลายเป็นอากาศไปเสียแล้ว เมื่อเด็กทั้งสองหันไปจับมือกันแล้วกระโดดไปรอบๆ อย่างน่ารักน่าเอ็นดู ทำเอาตะวันและพลัฎฐ์ที่มองภาพนั้นอดยิ้มตามออกมาไม่ได้ และในจังหวะที่กำลังยิ้มค้างให้กับความสดใสทั้งสอง สายตาของสองคู่ของผู้ใหญ่ก็เลื่อนมาสบกันพอดี ซึ่งนั่นก็ทำให้ตะวันถึงกับเลิ่กลั่กเพราะทำตัวไม่ถูกไปพักใหญ่ สุดท้ายจึงต้องรีบเบือนสายตาไปทางอื่น เลยไม่ทันได้เห็นสีหน้าขบขันของคนอายุมากกว่า

พลัฎฐ์จึงใช้จังโอกาสนี้ลอบสังเกตคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเงียบๆ ตะวันเป็นเด็กหนุ่มผิวขาวสะอาด รูปร่างผอมบางถึงกับค่อนไปทางตัวเล็กไม่ต่างจากที่เขาเคยล้อเลียนอีกฝ่ายไว้เมื่อวาน เพราะถ้าคำนวณจากสวยตาแล้วตะวันสูงไม่ถึงร้อยเจ็ดสิบด้วยซ้ำ ใบหน้าติดจะไปทางน่ารักมากกว่าที่จะหล่อ โดยเฉพาะเครื่องหน้าจุ๋มจิ๋มที่ดูลงตัวไปหมด ไม่ว่าจะเป็นดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้มที่คนเป็นน้องชายถอดแบบมาอย่างไม่มีผิดเพี้ยน จมูกโด่งแต่ปลายรั้นนิดหน่อยบ่งบอกถึงนิสัยของคนเป็นเจ้าของได้เป็นอย่างดี ไหนจะริมฝีปากบางสีสดที่มักจะขมุบขมิบค่อนขอดเขา ให้รู้สึกเอ็นดูปนขำทุกครั้งที่ได้ยิน แต่ที่ติดใจพลัฎฐ์ที่สุดเห็นจะเป็นแก้มป่องๆ ของคนที่พยายามทำตัวปกติโดยการมองไปรอบๆ ซึ่งไม่เนียนสักนิด และตอนนี้เจ้าแก้มที่ว่าก็ขึ้นสีแดงระเรื่อน่าจะเพราะจากไอแดดข้างนอกเมื่อสักครู่ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความน่ามองของมันน้อยลงไปสักนิด ตรงกันข้ามพลัฎฐ์กลับจากสัมผัสแก้มกลมๆ ของอีกฝ่ายสักครั้ง เขาอยากรู้ว่ามันจะนิ่มเหมือนที่ตัวเองจินตนาการไว้หรือเปล่า

ยอมรับแบบไม่อายก็ได้ เขาคิดว่าตัวเองกำลังถูกใจตะวัน เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้า ... ทั้งที่ก่อนหน้าเรื่องคิดว่าตัวเองจะมองหาใครไม่มีในหัวสักนิด แต่แล้วคนข้างบ้านที่ย้ายมาใหม่ ก็ทำให้เขาเปลี่ยนใจ แต่ดูเหมือนเจ้าของบ้านจะจ้องนานไปหน่อยจนคนถูกมองรู้ตัวเลยหันมาเลิกคิ้วน้อยๆ เป็นเชิงถาม

“มีอะไรหรือเปล่าครับ? เห็นคุณมองหน้าผม”

เสียงหวานติดจะสะบัดน้อยๆ ตามประสาคนมีคดี แม้อีกฝ่ายจะมองว่ามันเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันเล็กน้อย แต่ดูเหมือนตะวันจะเจ้าคิดเจ้าแค้นผูกใจเจ็บพอสมควร ... เด็กน้อยจริงๆ เลย อยากจะรู้เหลือเกินว่าอายุเท่าไหร่กัน ถ้าให้พลัฏฐ์เดาก็คิดว่าคงไม่เกินยี่สิบต้นๆ แน่ๆ

เจ้าของบ้านยังรักษาท่าทีนิ่งเฉยภายใต้ท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาว ทั้งที่ในใจรู้สึกสนุกจะแย่ จากนั้นก็เอ่ยกับคนข้างบ้านเรียบๆ

“แค่จะถามครับ ว่าคุณกับอาทิตย์หิวหรือยังผมจะได้ไปเตรียมอาหารออกมาให้”

ตะวันพยักหน้าน้อยๆ เป็นเชิงว่ารับรู้ก่อนจะโพล่งถามออกมาด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ

“เอ่อ.. คุณให้ผมไปช่วยก็ได้นะครับ ผม.. พอจะหยิบจับอะไรเป็นอยู่บ้าง”

ตะวันเอ่ยปากอาสา อันที่จริงแล้วที่นี่มันก็บ้านของพลัฎฐ์ เจ้าของบ้านอยากจะต้อนรับขับสู้ก็คงไม่แปลก แต่จะให้เขานั่งรอกินเฉยๆ ก็อดไม่ได้ เพราะเกรงใจ และอีกอย่าง ถ้าเป็นเรื่องอาหารตะวันทำได้ดีเสมอ เลยอยากจะเสนอตัวช่วย

“งั้นก็เชิญทางนี้เลยครับ ห้องครัวอยู่ทางนี้”

เจ้าของรูปร่างสูงใหญ่เดินนำคนตัวเล็กกว่าตรงไปยังส่วนในสุดของบ้าน ผ่านเจ้าตัวน้อยทั้งสองที่นั่งคุยงุ้งงิ้งกันอยู่ที่หน้าโซฟากลางห้องนั่งเล่น รอบตัวเต็มไปด้วยเลโก้ตัวต่อ กับหุ่นยนต์ตัวเล็กตัวใหญ่ที่น้องพีไปขนมาวางให้เพื่อนใหม่เล่น เสียงหัวเราะเอิ้กอ้ากของเด็กน้อยดังไปดังไปทั่วบ้าน ... ตะวันชะโงกหน้าไปมองพร้อมกับยิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นว่าน้องชายตัวแสบไม่ได้สร้างความเดือดร้อนอะไรให้เจ้าของบ้าน

“น้องพีๆ อาทิตย์เล่นอันนี้ได้ไหม”

“ได้ๆ คุณอาทิตย์เล่นอันนี้ได้เยย ของน้องพีอันนี้ เดี๋ยวน้องพีจะต่อตัวต่อให้คุณอาทิตย์ดูนะ”

“อาทิตย์ครับ เล่นกับน้องพีดีๆ ห้ามแกล้ง ห้ามชวนน้องพีทะเลาะนะ”

คนเป็นพี่ก็ไม่วายกำชับน้องชายอย่างจริงจังเสียก่อนที่จะมองตามเจ้าของบ้านที่เดินลิ่วๆ เข้าไปในครัวก่อน ซึ่งก็ได้รับคำมั่นสัญญาที่น่ารักตอบกลับมาเป็นอย่างดี

“คับพี่ตะวัน อาทิตย์จะไม่ดื้อ ไม่ซนเลย” พอได้ยินแบบนั้นเขาก็เบาใจขึ้น เลยตัดสินใจปล่อยเด็กทั้งสองให้เล่นกันลำพัง ส่วนเขาก็เดินไปช่วยอีกคนในครัว

“มาครับ ผมช่วย”

ตะวันเดินไปฉวยหม้อเล็กๆ ที่ใส่แกงไว้จากมือของพลัฎฐ์มาถือไว้เมื่อเห็นท่าทีเก้ๆ กังๆ ของอีกฝ่าย สงสัยเหลือเกินว่าท่าทางของพลัฎฐ์ไม่เห็นเหมือนคนทำอาหารเป็น แต่อาหารที่อยู่ในหม้อกลับดูน่ากินเกินกว่าจะเชื่อว่าคนตรงหน้านี่เป็นคนทำได้

“คุณดูคล่องนะ” คนเป็นเจ้าของบ้านว่า พลางขยับถอยมายืนอีกฝั่งของเคาน์เตอร์ ก่อนจะจ้องมองมือเรียวที่หยิบนั่นจับนี่ เผลออีกทีคนตัวเล็กกว่าก็เอาหม้อใส่แกงที่ว่าวางลงไปบนเตาแก๊ส ท่าทางไหลรื่นไม่ติดขัด

“ส่วนคุณ...” ตะวันหันหลับมาเผชิญหน้าอีกฝ่าย พลางฉวยทัพพีมาไว้ในมือ “ดูทำอะไรไม่เป็นนะ... ผมกำลังสงสัยว่าแกงหม้อนี้คุณทำเองแน่เหรอ?”

คนอายุน้อยกว่าหรี่ตาถาม ทำเอาคนที่ถูกจับได้หลุดยิ้ม ก่อนจะรับสารภาพตาใส

“แม่บ้านน่ะครับ แกจะทำไว้ให้ทุกวัน พอจะทานผมก็แค่เอามาอุ่น ... นี่ก็เพิ่งกลับไปเมื่อกี้เอง”

ตะวันพยักหน้ารับช้าๆ ดูเหมือนว่าความสงสัยจะได้รับการคลี่คลาย อีกฝ่ายเลยหันไปดูแกงในหม้อที่เริ่มเดือด ก่อนจะเริ่มพูดอีกครั้ง

“ถ้าเป็นแกงกะทิ หรือแกงที่ทำทิ้งไว้ข้ามคืน ผมแนะนำว่าให้คุณอุ่นโดยใช้เตาแก๊สนะครับ ถ้าใช้แค่ไมโครเวฟมันไม่พอ”

เสียงใสเริ่มพูดเจื้อยแจ้วตามประสาคนชอบเข้าครัว ในขณะที่คนไม่เคยแม้แต่จะหั่นผักตั้งใจฟังอีกฝ่ายพูดเต็มที่ เขาไม่คิดเลยว่าตะวันจะรู้เรื่องเกี่ยวกับการทำอาหารมากขนาดนี้ ... แต่ถ้ามองจากทาร์ตผลไม้ที่อีกฝ่ายถือมาให้ถึงบ้าน ก็ดูไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ มันไม่เหมือนของที่ซื้อมาจากร้าน เพราะถ้าซื้อมาพวกผลไม้สดที่วางเรียงสวยงามอยู่บนทาร์ตก็ไม่น่าจะมากและดูน่ากินขนาดนี้ ถ้าให้เดาเขาคิดว่าเจ้าตัวคงเข้าครัวทำเองเสียมากกว่า

“คุณดูทำอาหารเก่ง... ทาร์ตนี่คุณตะวันก็ทำเองใช่ไหมครับ” พลัฎฐ์ถามแม้จะพอเดาคำตอบได้อยู่แล้ว

“ครับ ผมทำเอง อยากให้คุณลองชิมดู น้องพีก็น่าจะทานได้ ... แต่ไม่แน่ใจว่าจะถูกปากรึป่าวนะครับ”

จบคำที่อีกฝ่ายว่า คนเป็นเจ้าของบ้านก็หยิบทาร์ตผลไม้ที่เขาวางไว้ในจานบนเคาน์เตอร์เข้าปากหนึ่งชิ้นตามคำชวนของคนทำมาฝาก

“อร่อยมากครับ”

พลัฎฐ์เอ่ยปากชม เขาไม่ได้ชมตามมารยาทแต่ขนมที่ตะวันทำมาฝากนั้นอร่อยจริงๆ ฝีมือคนที่กำลังง่วนอยู่กับแกงในหม้อเทียบเท่ากับขนมในร้านอาหารหรูๆ ได้เลย

ตะวันมายิ้มกว้างให้กับคำชมที่ได้รับจากอีกฝ่าย นี่เป็นช่วงเวลาที่เขาชอบที่สุด เพราะสำหรับคนชอบทำอาหารแล้ว ไม่มีอะไรจะมีความสุขมากไปกว่าการที่คนที่กินอาหารชอบและชมและอาหารของเรา

“ขอบคุณครับ แม้คุณจะชมเป็นมารยาทก็ตาม” เด็กหนุ่มเย้าเสียงใส เขารู้ดีว่าพลัฎฐ์ชมจากใจจริง เพราะค่อนข้างมั่นใจในฝีมือตัวเองพอสมควร

“อ่าว ผมก็ว่าผมเนียนแล้วนะ คิดว่าคุณจะจับไม่ได้เสียอีกว่าผมชมไปตามมารยาท”

ตะวันเม้มปากหน้าตึง หันไปมองค้อนคนที่กำลังทำหน้าตายยอมรับในข้อกล่าวหาของเขา ยอมรับก็ได้ว่าลึกๆ ก็มีหวั่นใจบ้าง เพราะไม่แน่ใจว่าตัวเองใส่ส่วนผสมอะไรผิดสูตรหรือเปล่า หรือขนมอาจจะไม่อร่อยจริงๆ ... ในขณะที่คุณเจ้าของร้านอาหารคนเก่งหน้านิ่วคิ้วขมวดเพราะพยายามนึกให้ออกว่าตัวเองทำอะไรผิดพลาดระหว่างการทำทาร์ตจานนี้ คนที่แกล้งให้คนอื่นเสียความมั่นใจก็ขำคิก จนอีกฝ่ายได้ยินเสียงหัวเราะนั่นแหละ ถึงได้รู้ว่าถูกแกล้งเข้าให้

“คุณนี่มัน!!!...”

พี่ชายเจ้าอาทิตย์ดวงน้อยจิ๊ปาก ก่อนจะหันไปเทแกงจากหม้อลงถ้วย และจัดการอุ่นอาหารจานอื่นๆ ต่อ เพราะไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงกับพวกที่ชอบกวนโทสะคนอื่น

“ฮ่ะๆๆ โอเคๆ ผมขอโทษ ผมล้อเล่นครับ” พลัฎฐ์หยุดขำและแสร้งทำหน้าขรึม ทั้งที่ดวงตาพราวระยับเต็มไปด้วยความขบขัน “ขนมคุณอร่อยมาก.. ผมชมจริงๆ ไม่ได้แกล้งชม”

เจ้าของบ้านยกมือขึ้นสองข้างในท่ายอมแพ้ เมื่อเห็นดวงตากลมโตตวัดมามองอย่างแค้นเคือง

“คุณมันกวนประสาทเป็นบ้า” ปากเล็กๆ บางๆ ของตะวันบ่นมุบมิบ แต่ในขณะเดียวกันมือเรียวก็ยังคงไม่หยุดหยิบจับ จนอาหารทุกจานที่แม่บ้านทำไว้ถูกอุ่นเรียบร้อยทั้งหมด

พลัฎฐ์อดแปลกใจในความคล่องแคล่วของอีกฝ่ายยามอยู่ในครัวไม่ได้ ตะวันกับการทำอาหารดูเข้ากันได้ดีจนเข้าขั้นมีเสน่ห์ และนั่นก็ทำให้คนที่เฝ้ามองการกระทำของคนตัวเล็กกว่ามาตั้งแต่แรก อดยอมรับไม่ได้ว่าเขาสนใจตะวันมากขึ้น มากกว่าเมื่อกี้อีกด้วยซ้ำ ... เด็กผู้ชายคนนี้จะทำให้เขาหยุดมองสักวินาทีไม่ได้เลยสินะ

.

.

.

อาหารมื้อกลางวันของบ้านวัฒนไพศาลกุลจบลงไปแล้ว ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ทานของคาวและของหวานกันเสียจนอิ่มตื้อ โดยเฉพาะเจ้าหนูอาทิตย์ดวงน้อยที่ถึงกับลูบพุงป้อยๆ พลางอ้อนพี่ชายไม่หยุด

“พี่ตะวันคับ อาทิตย์อิ่มมากๆ เลย ขนมของพี่ตะวันอร่อย”

คนเป็นพี่ได้แต่ยิ้มขำ ขนมที่เขาเอามาฝากพลัฎฐ์ถูกเจ้าน้องชายจอมยุ่งแย่งกินไปเสียเกือบครึ่ง ตอนแรกตะวันก็พยายามปราม แต่พอได้ยินเจ้าของขนมอนุญาตให้อาทิตย์กิน ก็พูดขัดไม่ได้ เพราะอีกฝ่ายอ้างว่าถ้าอาทิตย์กิน น้องพีจะได้กินตามด้วย เพราะปกติน้องพีเป็นเด็กกินยาก พอพลัฎฐ์เห็นว่าน้องพีกินขนมของตะวันได้มากกว่าปกติเลยอยากจะสนับสนุนให้กินเยอะๆ

“น้องพีเก๊าะอิ่ม ขนมของพี่ตะวันอะหย่อยยย วันหยังพี่ตะวันทำมาให้น้องพีกินอีกนะคับ” พอเด็กน้อยขอ มีหรือที่ตะวันจะปฏิเสธ เขารีบรับปากทันทีทันใด

“ได้สิครับ คราวหน้าพี่ตะวันจะทำพายบลูเบอร์รี่มาให้ น้องพีอยากกินไหมครับ”

เด็กน้อยไม่รู้หรอกว่าขนมที่ตะวันพูดถึงหน้าตาเป็นยังไง เขารู้เพียงแค่ว่าตะวันจะทำมาให้กิน และขนมที่ตะวันเอามาให้กินนั้นอร่อย เพราะฉะนั้นยังไงขนมที่พี่ชายของอาทิตย์เอามาก็ต้องอร่อยอยู่แล้ว

“หยักกินครับ” เด็กน้อยพุ่มมือไหว้อย่างมีมารยาท “น้องพีขอบคุณนะคับพี่ตะวัน”

คนถูกไหว้ถึงกับยิ้มกว้าง เพราะถูกใจในความน่ารักและเป็นเด็กดีของอีกฝ่าย ขนาดที่ว่ายังไม่ได้กินเลย เพียงแค่เขาเอ่ยปากว่าจะทำให้เท่านั้น เจ้าหนูน้อยก็ชิงขอบคุณเสียแล้ว

“น้องพีๆ พี่ตะวันอ่ะ ทำขนมอร๊อยอร่อยมากเลยนะ ทำข้าวก็อร่อย คุณอาทิตย์น่ะชอบกินมากๆ เลย วันหลังน้องพีไปกินข้าวที่พี่ตะวันทำที่บ้านคุณอาทิตย์กันไหม?”

“จริงหยอคุณอาทิตย์” และพอตื่นเต้นก็เป็นประจำที่น้องพีจะเริ่มพูดไม่ชัด และครั้งนี้ก็เช่นกัน “น้องพีไป น้องพีหยักไปบ้านพี่ตะวันกับคุณอาทิตย์”

ตะวันตาโต ส่วนพลัฎฐ์ก็กลั้นยิ้มจนแก้มตุ่ย ฟังจากที่ได้น้องพีกับคุณอาทิตย์คุยกัน ด้วยคำพูดคำจาแบบนี้คงเตรียมนัดแนะกันเรียบร้อย

“พี่ตะวันคับ” เจ้าน้องชายตัวแสบหันมาทางคนเป็นพี่ที่นั่งยิ้มแห้งอยู่ข้างๆ “ให้น้องพีไปกินข้าวที่บ้านเราได้ไหมคับ?”

ตะวันคิดในใจว่าทุกอย่างดูผิดแผนไปหมด จากที่แค่จะเอาขนมมาฝากคนข้างบ้าน ไหงเลยเถิดเป็นคนข้างบ้านกลายเป็นคู่กรณีที่เพิ่งตีกันไปเมื่อวาน หนำซ้ำยังมานั่งกินอาหารบ้านเขา และล่าสุดดูเหมือนจะต้องเชิญเขาไปกินอาหารที่บ้านคืนด้วย

แต่ก็เอาเถอะ ดูๆ ไปแล้วพลัฎฐ์หนุ่มพ่อลูกติดก็ไม่ได้ดูเลวร้ายอะไร และยิ่งไปกว่านั้นน้องพีก็น่ารักมาก แถมเข้ากับเจ้าน้องชายตัวแสบของเขาได้ดีสุดๆ และอย่างน้อยถ้าอาทิตย์มีเพื่อนก็น่าจะทำให้น้องชายเขาปรับตัวได้เร็วกว่าที่ควรจะเป็น มองๆ ไปแล้วการผูกมิตรกับบ้านนี้น่าจะมีข้อดีมากกว่าข้อเสีย ดังนั้นตะวันจึงตัดสินใจเอ่ยปาก

“ถ้างั้น.. สัปดาห์หน้าผมเชิญคุณพลัฎฐ์กับน้องพีที่บ้านนะครับ ถือว่าเลี้ยงขึ้นบ้านใหม่แล้วก็เลี้ยงขอบคุณสำหรับอาหารมื้อนี้ด้วย”

“เย่ๆๆ”

เจ้าหนูน้อยอาทิตย์ปรบมือชอบอกชอบใจทันทีที่ได้ยินพี่ชายเชิญคุณปะป๊าของน้องพีไปที่บ้าน ในขณะน้องพีก็นั่งยิ้มแฉ่ง มือเล็กๆ ยื่นไปเกาะที่แขนเรียวของตะวัน พลางเอาศีรษะเล็กๆ มาถูไถ ราวกับกำลังจะออดอ้อน ทำเอาตะวันอดไม่ได้ที่จะอุ้มลูกของคนข้างบ้านมาฟัดจูบที่แก้มนิ่มเบาๆ

ทำไมน้องพีถึงได้น่ารักน่าเอ็นดูขนาดนี้ก็ไม่รู้ ซึ่งตะวันบอกเลยว่าอย่าถามหาอะไรแบบนี้จากอาทิตย์เลย ถ้าไม่อ้อนขอขนม หรือขอให้ทำอะไรให้ก็ไม่มีทางได้เห็นหรอก

“มาอยู่กับพี่ตะวันกับคุณอาทิตย์ไหมครับน้องพี พี่ตะวันจะทำขนมให้หนูกินทุกวันเลย” ตะวันพูดหลอกล่อ ยอมรับตามตรงว่าอยากเอาน้องพีกลับไปเลี้ยงที่บ้านมาก

“ไปได้หยอคับ?” น้องพีถามตาใส ก่อนจะหันไปทางปะป๊าที่กำลังมองภาพความสนิทสนมของลูกตัวเองกับคนข้างบ้านหน้านิ่ง ทั้งที่ความจริงแล้วใจเหลวไปหมด เหมือนความน่ารักของทุกสิ่งในโลกมารวมกันอยู่ที่ตะวันกับน้องพี

“แต่ถ้าน้องพีไปอยู่กับพี่ตะวันกับคุณอาทิตย์แย้วปะป๊าจะอยู่กับใครอ่ะคับ ปะป๊าต้องเหงาแน่ๆ เยย”

พลัฎฐ์เองพอได้ยินแบบนั้นก็แกล้งทำหน้าเศร้าใส่ลูกชาย “น้องพีจะทิ้งปะป๊าไปเหรอครับลูก? น้องพีไม่รักปะป๊าแล้วเหรอครับ?”

เท่านั้นแหละเด็กชายตัวน้อย โผเข้าไปกอดคนเป็นพ่อที่นั่งอยู่บนโซฟาทันที ปากเล็กๆ ระดมจูบแก้มสากราวกับง้องอน ทำเอาพลัฏฐ์แทบจะอดใจไม่ไหว อยากจับลูกชายมาฟัดจูบต่อหน้าคนข้างบ้านเสียให้ได้

“น้องพีรักปะป๊านะ งั้นเราไปอยู่บ้านพี่ตะวันด้วยกันไหมคับปะป๊า ไปอยู่ด้วยกันหมดเยย พี่ตะวันทำขนมอะหย่อย”

ดูเหมือนตัวหนูน้อยจะตื่นเต้นกลัวพ่อเสียใจ พูดไม่ชัดเกือบทุกคำ ยกเว้นคำบอกรักพ่อคำเดียวที่พูดชัดเจน พลัฎฐ์หลุดขำพรืดในขณะที่ตะวันหน้าตาเหรอหรา แต่ในขณะที่ไม่รู้จะบอกเลี่ยงยังไง เจ้าอาทิตย์ดวงน้อยกลับโพล่งขึ้นมาเสียก่อน

“พี่ตะวัน อาทิตย์ปวดฉี่ๆ”

ตะวันหันมามองเจ้าของบ้านด้วยสายตาทันทีว่าห้องน้ำอยู่ไหน ซึ่งพลัฏฐ์เองก็เอ่ยตอบโดยไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายถามออกเสียง “ซ้ายมือ ข้างห้องครัวครับ”

ตะวันจูงมือเล็กๆ ของน้องชายพากันวิ่งตรงไปยังจุดที่พลัฎฐ์บอก

“พี่ตะวันนน วิ่งเร็วๆๆๆ อาทิตย์ปวดฉี่”

“พี่ก็เร็วแล้วเนี่ย อาทิตย์ใจเย็นสิครับ”

“น้องปวดฉี่ ปวดฉี่ ปวดฉี่”

กว่าเสียงจะเงียบและกว่าเจ้าอาทิตย์ดวงน้อยจะได้เข้าห้องน้ำ พลัฏฐ์ก็มองตามความวุ่นวายของสองคนพี่น้องที่วิ่งไปเถียงกันไปอยู่พักใหญ่ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

“ฮ่าๆๆ"

"คิกๆ ปะป๊าๆ คุณอาทิตย์ปวดฉี่แหยะ”

และคนที่ถูกเรียกปะป๊าก็ต้องหลุดขำออกมามากกว่าเดิมเมื่อลูกชายพูดประโยคเมื่อครู่จบพร้อมด้วยเสียงหัวเราะคิกคัก ... ดูเหมือนว่าตั้งแต่ตะวันกับอาทิตย์ก้าวเข้ามาในบ้านจะทำให้เขาและลูกหัวเราะได้มากว่าการหัวเราะทั้งอาทิตย์รวมกันเสียอีก

.

.

.

“แล้วนี่คุณอยู่กับอาทิตย์สองคนเหรอครับ”

หลังจากทานมื้อกลางวันที่บ้านของพลัฎฐ์ตามด้วยทาร์ตผลไม้ที่เขาเป็นคนทำมาฝากเสร็จ ผู้ใหญ่สองคนก็แยกมานั่งจิบกาแฟคุยกัน ในขณะที่เด็กน้อยทั้งสองที่ตอนนี้เขาขากันได้ดียิ่งกว่าอะไรก็นั่งเล่นอยู่บนพื้นใกล้ๆ ส่งเสียงเรียกน้องพีๆ คุณอาทิตย์ๆ อยู่ไม่ห่าง

“ใช่ครับ พอดีคุณพ่อกับคุณแม่ผมต้องไปทำงานต่างประเทศ ผมก็เลยย้ายออกมาอยู่กับอาทิตย์สองคนข้างนอก เพราะบ้านเดิมอยู่ไกล แถมรถติดอีกต่างหาก แล้วคุณล่ะครับ อยู่กับน้องพีแค่สองคนเหรอ?”

พอเริ่มสนิมสนมกันมากขึ้น ตะวันก็พบว่าพลัฎฐ์เป็นคนที่ใช้ได้พอสมควร เขาสุภาพ เขาดูเป็นผู้ใหญ่ เขาใจเย็น อาจจะมีบ้างที่ดูกวนๆ แต่ก็ไม่ได้แสดงออกบ่อยอะไรเท่าไหร่นัก

“ที่จริงอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ด้วยครับ แต่พวกท่านไปเคลียร์งานของบริษัทที่ต่างประเทศ ตอนนี้เลยมีผมอยู่กับน้องพีสองคน”

ตะวันกวาดตามองไปรอบๆ ก่อนจะเอ่ยออกมาราวกับพึมพำ ไม่ได้จะแสดงความเห็นอะไรจริงจัง

“มิน่า... บ้านคุณกว้างแต่ก็ดูเรียบร้อยสะอาดสะอ้านมาก ดูแล้วไม่ค่อยเหมือนบ้านคุณพ่อลูกติดเท่าไหร่” พอหลุดปากออกไปแล้วก็แต่ตาโต รีบยกมือเล็กๆ ของตัวเองขึ้นมาปิดปาก และพอได้สบตากับคนที่นั่งหน้านิ่งอยู่ตรงข้ามแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ก่อนจะเอ่ยขอโทษออกมาเสียงแผ่วให้กับความเสียมารยาทของตัวเอง

“ขอโทษครับ ผมไม่ควรเสียมารยาทวิพากษ์วิจารณ์คุณและบ้านของคุณ”

คนเป็นเจ้าของบ้านที่ถูกพาดพิงทำหน้าเรียบเฉย ขัดกับความรู้สึกภายในอกที่วูบวาบไปหมดเพราะความถูกใจ เขามองใบหน้าน่ารักที่สลดลงเล็กน้อย ตากลมๆ โตๆ ที่เดี๋ยวก็หลุบมองพื้น เดี๋ยวก็เหลือบมองเขาสลับไปมา คงรู้สึกผิดกับเขาแทบแย่ เป็นเด็กที่มารยาทดีมากๆ เลย

“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ได้คิดมากอะไร” พลัฎฐ์ยิ้มบางๆ เพระไม่อยากให้ใบหน้าน่ารักของอีกฝ่ายสลดมากไปกว่านี้ เขาชอบตะวันที่สดใสร่างเริงมากกว่า “ผมจ้างแม่บ้านแบบไปเช้าเย็นกลับ ส่วนวันเสาร์อาทิตย์ก็ให้ทำแค่ตอนเช้า เพราะไม่อยากให้ใครรบกวนเวลาอยู่กับลูกน่ะครับ”

เจ้าของบ้านเฉลยในสิ่งที่ตะวันสงสัย คนอายุน้อยกว่าพยักหน้ารับ ก่อนที่เสียงเล็กๆ ของน้องพีจะดังขัดขึ้น พร้อมกับร่างเล็กๆ ที่ถลามาเกาะอยู่ตรงตักของคนตัวโต

“ปะป๊าคับ ปะป๊า” เจ้าตัวน้อยปีนขึ้นมานั่งคุกเข่าอยู่บนตักกว้างของพลัฎฐ์อย่างเชี่ยวชาญ ท่าทางจะทำบ่อย

“หืม? ว่าไงครับ น้องพีอยากได้อะไรลูก?” พลัฎฐ์ลูบศรีษะกลมของลูกชาย พลางถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “แล้วคุณอาทิตย์ล่ะครับ?”

ตะวันมองภาพตรงหน้าแล้วหลุดยิ้มออกมาบางๆ ภาพของผู้ชายตัวโตอย่างพลัฎฐ์ยามอยู่กับลูกชายเป็นอะไรที่ดูน่ารักและอ่อนโยนมากๆ อาจจะเป็นเพราะการเจอกันครั้งแรกของเราสองคนไม่ได้น่าประทับใจเท่าไหร่ ทำให้ตะวันติดภาพและมีความทรงจำที่ไม่ค่อยดีกับพลัฎฐ์

แต่พอได้มาเจอ มาพูดคุยกับอีกฝ่ายวันนี้ และถ้าหากตัดความอคติส่วนตัวออกไป ตะวันก็คิดว่าพลัฎฐ์ไม่ได้แย่อย่างที่เขาคิดสักนิด ตรงกันข้ามเขาเป็นคนดีมากพอสมควรเลยด้วยซ้ำ เว้นแต่ตอนกวนประสาทน่ะนะ

พลัฎฐ์เป็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ เขาน่าจะสูงมากกว่าตะวันสักเกือบยี่สิบเซ็นต์ได้ กะโดยสายตาแล้วเกินหนึ่งร้อยแปดสิบห้าแน่ๆ เพราะถ้าได้ยืนคุยกันเมื่อไหร่ตะวันต้องแหงนหน้าขึ้นทุกครั้ง และแน่นอนว่าพลัฎฐ์ไม่ได้แค่สูง แต่กล้ามเนื้อในส่วนต่างๆ ที่ควรต้องมี เขาก็มีมันในแบบที่เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ ต้นแขน หน้าอก ต้นขา และถ้าให้เดา กล้ามหน้าท้องที่ผู้ชายส่วนใหญ่ใฝ่ฝันจะมี คนๆ นี้ต้องมีมันในรูปแบบที่เชื่อได้ว่าใครเห็นก็ต้องอิจฉา ยิ่งใบหน้าของพลัฎฐ์ยิ่งไม่ต้องพูดถึง คำว่าหล่อเหลา ไม่ได้เกินจริงเลยสำหรับคนๆ นี้ ตอนแรกตะวันแค่อคติก็เลยยอมรับไปในใจส่งๆ ว่าพลัฏฐ์ค่อนข้างที่จะดูดี ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วเขาหล่อมาก ... ใบหน้าคร้ามคม สันกรามชัดเจน จมูกโด่งเป็นสัน ดวงตาเรียวรีคมปราด รับกับคิ้วเข้มปลายตัดที่เฉียงขึ้นเล็กน้อย ทำให้เขาดูหล่อเจ้าเล่ห์เพียงแค่กระตุกยิ้มด้วยริมฝีปากเป็นกระจับคู่นั้น แต่ถ้าหากเขาทำหน้าเฉยๆ เขาก็จะดูหล่อเย็นชาขึ้นมาทันที

แต่แปลกที่น้องพีแทบจะไม่เหมือนพลัฎฐ์เลยสักนิด ไม่ใช่ว่าน้องพีหน้าตาไม่ดี แต่น้องพีกลับดูน่ารัก มีแววตากลมๆ ที่สดใส ริมฝีบางและยิ้มเก่ง ... บางทีเด็กชายอาจจะเหมือนคุณแม่ คุณแม่ที่ตะวันไม่กล้าถามถึง เพราะถ้าเขาเอ่ยถึงขึ้นมามันจะดูเสียมารยาทมาก มากยิ่งกว่าตอนที่เขาวิจารณ์เรื่องบ้านของพลัฎฐ์เสียอีก

“น้องพีก็ถามพี่ตะวันดูสิลูก เพราะปะป๊าก็ไม่รู้เหมือนกัน”

ตะวันได้สติรู้สึกตัวหลังจากมองหน้าอีกฝ่ายเพลิน จึงได้สะดุ้งและหันมามองตรงไปยังน้องพี ที่ส่งเสียงเรียกเขาเจื้อยแจ้ว พร้อมๆ กับที่อาทิตย์วิ่งตื๋อเข้ามาหาเขาด้วย

“พี่ตะวันคับ พี่ตะวัน” น้องพีเรียก ในขณะที่อาทิตย์ก็ปีนขึ้นมานั่งบนโซฟาข้างๆ เขา

“ว่าไงครับน้องพี มีอะไรจะถามพี่เหรอครับ”

“น้องพีอยากยู้ว่าคุณอาทิตย์เยียนที่ โยง เยียน.. ฮื่ออ โยงเยียนไหนหยอคับ”

พอพูดจบเจ้าหนูน้อยก็หน้ามุ่ยโดยที่ตะวันไม่รู้สาเหตุ แต่ดูเหมือนพลัฎฐ์จะเข้าใจอาการหงุดหงิดของลูกชายได้เป็นอย่างดี เพราะตะวันเห็นพลัฏฐ์แอบอมยิ้มก่อนจะกระซิบปลอบลูก

“น้องพีก็รู้นี่ครับ ว่าเวลาน้องพีตื่นเต้น น้องพีจะพูดไม่ชัด” ปากเป็นกระจับกดลงกลางกระหม่อมคนเป็นลูกเบาๆ “ค่อยๆ พูดนะครับ ใจเย็นๆ พี่ตะวันเขารอฟังน้องพีได้ ไม่ต้องรีบ”

“น้องพีจะถามพี่ว่าคุณอาทิตย์เรียนที่โรงเรียนไหนใช่ไหมครับ” ตะวันรีบพูดแสดงออกว่าเขาเข้าใจเจ้าหนูน้อย เพราะไม่อยากให้น้องพีเสียความมั่นใจ

“ใช่คับ น้องพีอยาก... อยาก... รู้” เจ้าหนูยิ้มร่า เพราะค่อยๆ พูดออกมาจนชัดจนได้

“ใช่ๆ พี่ตะวัน อาทิตย์ก็อยากรู้ อาทิตย์อยากเรียนโรงเรียนเดียวกับน้องพี”

ตะวันตาโตพอได้ยินน้องชายถาม นี่สนิทกันจนอยากเรียนโรงเรียนเดียวกันแล้วเหรอเนี่ย และพอเจอดวงตากลมๆ สองคู่ของเด็กสองคนกดดัน ตะวันก็เกิดจะพูดไม่ออกขึ้นมาดื้อๆ

"เอ่อ.. คุณอาทิตย์เรียนที่อนุบาลxx ครับ ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่ ซึ่งพี่ก็ไม่แน่ใจว่าใช่โรงเรียนเดียวกับที่น้องพีเรียนหรือเปล่า"

น้องพีทำหน้าเข้าใจ ก่อนจะขมวดคิ้วน้อยๆ อย่างสงสัย และสุดท้ายก็ต้องหันไปพึ่งปะป๊าที่ตัวเองนั่งซ้อนตักอยู่

"ปะป๊าคับ ปะป๊า แล้วน้องพีเยียนโยงเยียนอะไยคับ"

เจ้าตัวเล็กฮึดฮัดนิดหน่อย แต่ความอยากรู้มีมากกว่าจะคิดแก้ไขคำพูดที่ไม่ชัดของตัวเอง ส่วนตะวัน ถึงกับร้องอ้าวในใจ ไอ้เขาก็นึกว่าน้องพีรู้อยู่แล้วเสียอีกว่าตัวเองเรียนที่ไหน โถ... เด็กหนอเด็ก อยากจะเรียนที่เดียวกัน แต่ไม่มีใครรู้ชื่อโรงเรียนตัวเองเลยสักคน

"อนุบาลxx ครับลูก" คนเป็นพ่อตอบพลางยิ้มเอ็นดู แถมยังยิ้มเผื่อแผ่ไปให้กับตะวันที่กำลังอมยิ้มอยู่เหมือนกัน ในขณะที่เด็กทั้งคู่กำลังสบตาและสื่อสารซึ่งกันและกันอยู่

"แล้วมันโยงเยียนเดียวกับของคุณอาทิตย์ไหมคับปะป๊า"

... ใช่ มันคือโรงเรียนเดียวกัน

"ใช่ครับลูก โรงเรียนเดียวกัน น้องพีกับคุณอาทิตย์ได้เรียนโรงเรียนเดียวกันครับ"

"เย่ๆๆ/เย่ๆๆ"

เด็กทั้งสองตะโกนออกมาด้วยความดีใจทั้งคู่ ก่อนที่เจ้าหนูน้อยจะต่างคนต่างปีนผละออกจากผู้ปกครองตัวเองมาจับมือกันแล้วก็คุยงุ้งงิ้ง คุณอาทิตย์ๆ น้องพีๆ กันต่อ

- อ่านต่อด้านล่าง -
หัวข้อ: Re: [Up 4t] The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :CH 3rd - ยินดีที่ได้รู้จัก:
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 25-06-2019 20:19:52
- ต่อจากด้านบน -

พลัฎฐ์ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่ได้รู้ว่าเจ้าหนูน้อยที่เพิ่งย้ายมาอยู่ข้างบ้านเรียนที่ไหน เพราะอนุบาลที่เขาพูดถึงเป็นอนุบาลที่ดีที่สุดติดอันดับหนึ่งในห้าของประเทศ และการที่่ตะวันยอมย้ายออกจากบ้านหลังเก่ามาอยู่แถวนี้ เพราะให้เหตุผลว่าบ้านหลังเดิมไกลและรถติด นั่นทำให้พลัฎฐ์พอเดาได้อยู่ว่า ไม่โรงเรียนของอาทิตย์ก็ต้องที่ทำงานของตะวัน หรือไม่ก็ทั้งสองอย่าง อยู่ใกล้ๆ แถวนี้ ไม่งั้นตะวันคงไม่ย้ายมาหรอก

และโรงเรียนอนุบาลที่ว่าก็อยู่ในละแวกนี้พอดี ดังนั้น พลัฎฐ์จึงไม่แปลกใจสักนิดที่อาทิตย์กับน้องพีจะเรียนที่เดียวกัน เพราะตัวเขา ก็เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกไม่ต่างจากที่ตะวันเลือกให้น้องชายเลย และพอได้รู้ในสิ่งที่ตัวเองอยากรู้แล้ว เจ้าหนูน้อยทั้งสองก็ผละออกไปเล่นกันต่อ ปล่อยให้ผู้ใหญ่ที่เพิ่งได้เห็นอีกความบังเอิญได้คุยกัน

"แล้วนี่คุณตะวันไปรับไปส่งอาทิตย์เองใช่ไหมครับ หรือให้รถโรงเรียนมารับ" พลัฏฐ์เอ่ยปากถาม

"ผมไปส่งอาทิตย์เองครับ ที่ย้ายมาอยู่แถวนี้ก็เพราะจะได้สะดวกเรื่องโรงเรียนของอาทิตย์นี่แหละครับ อีกอย่างร้านของผมก็อยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนเท่าไหร่ด้วย"

ตะวันอธิบายยาว พลางมองไปที่น้องชายด้วยสายตารักใคร่ จนไม่ทันได้สังเกตเห็นความสงสัยที่อีกฝ่ายส่งมา

"ร้านเหรอครับ?"

"อ้อ ... ผมลืมบอก" ตะวันเกาคอแก้เก้อ ก่อนจะตอบความสงสัยของพลัฎฐ์ "ผมเปิดร้านอาหารน่ะครับ ไม่ได้ใหญ่อะไรมาก ถ้าว่างๆ เชิญคุณพลัฎฐ์นะครับ"

"ผมไม่แปลกใจเท่าไหร่" เจ้าของบ้านยิ้มน้อยๆ พลางนึกถึงภาพของเด็กหนุ่มตอนอยู่ในครัวเมื่อครู่ ก็แทบจะตอบข้อสงสัยได้ทั้งหมด "ดีจังนะครับ ท่าทางคุณจะได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ... ว่าแต่อยู่แถวไหนล่ะครับ ผมจะได้ไปอุดหนุน"

"ไว้เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมถึงร้านแล้วจะแชร์โลเคชั่นไปให้นะครับ ... ที่จริง ก็เพิ่งจะเปิดวันแรกพรุ่งนี้นี่แหละ" ตะวันยิ้มกว้างยามพูดถึงร้านอาหารของตัวเอง ก่อนจะนึกขึ้นได้ "ว่าแต่พรุ่งนี้คุณว่างไหมครับ ผมอาจจะมีเลี้ยงฉลองเปิดร้านนิดหน่อย อยากให้คุณกับน้องพีไปด้วย"

พลัฎฐ์ยิ้มรับคำชวน "ถ้าตอนเย็นพอเลิกงานก็พอได้ครับ"

ตะวันยิ้มกว้าง "งั้นเชิญนะครับ สะดวกกี่โมงก็เชิญได้เวลานั้นเลย"

"ว่าแต่พรุ่งนี้อาทิตย์จะไปอยู่ที่ไหนล่ะครับ กว่าโรงเรียนจะเปิดก็อีกตั้งสองสัปดาห์" คนตัวโตกว่าถาม พลางจ้องมองไปยังเด็กทั้งสอง ก่อนจะนึกคำนวณอยู่ในใจแล้วถามออกมา "คุณตะวันจะฝากอาทิตย์ไว้ที่กับผมก็ได้นะครับ ระหว่างรอเปิดเทอมผมต้องพาน้องพีไปที่ออฟฟิศทุกวันอยู่แล้ว ที่นั่นมีเลขาฯ ของผมคอยดูแลอยู่ น้องพีจะได้ไม่เหงา แล้วคุณจะได้ไม่ต้องห่วงอาทิตย์ด้วย"

คนอายุมากกว่าเสนออย่างใจดี จนทำเอาตะวันอดละอายใจไม่ได้ ที่เมื่อวานเผลออาละวาดใส่อีกฝ่ายไปเสียยกใหญ่

"ผมว่าอย่าดีกว่าครับ รบกวนคุณพลัฎฐ์เปล่าๆ กลัวเจ้าตัวแสบของผมจะไปทำให้ออฟฟิศคุณวุ่นวาย แล้วจะเดือดร้อนคุณไปอีก"

ทั้งที่ยังไม่ทันรู้เลยว่าพลัฎฐ์ทำงานที่ไหน ตำแหน่งหน้าที่อะไร แต่ได้ยินว่ามีเลขาฯ ก็คงมีหน้ามีตาพอสมควร เกิดให้น้องเขาไปแล้วไปป่วนอีกฝ่ายจนยุ่งน่าจะไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเท่าไหร่ ถ้าเป็นที่ร้านเขาก็ว่าไปอย่าง เพราะตะวันออกแบบพื้นที่หลังร้านไว้เพื่ออาทิตย์โดยเฉพาะ ให้เป็นที่พักผ่อนของน้องชายในยามที่เลิกจากโรงเรียน

จริงสิ! ... ไปออฟฟิศของคุณพลัฏฐ์ไม่เหมาะ แต่ไปที่ร้านเขาได้นี่นา

"เอาแบบนี้ดีกว่าครับคุณพลัฏฐ์ ให้น้องพีไปอยู่กับอาทิตย์ที่ร้านผมดีกว่า" และในขณะที่อีกฝ่ายจะอ้าปากแย้ง ตะวันก็ชิงพูดต่อก่อน "ไม่ต้องกังวลหรือเกรงใจอะไรเลยครับ ที่ร้านมีห้องพักผ่อนของอาทิตย์ที่ผมสร้างไว้เผื่อเจ้าตัวแสบอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ตัดกังวลเรื่องว่าจะวุ่นวายในร้านผมได้เลย"

พอเห็นพลัฏฐ์นิ่งคิด ตะวันก็เอ่ยย้ำ "ดีกว่านะครับคุณพลัฏฐ์ ไหนๆ ตอนเย็นคุณก็ต้องมาที่ร้านผมอยู่แล้ว ฝากน้องพีไว้กับผมก็ได้ ผมสัญญาจะดูแลให้อย่างดี"

คนเป็นพ่อมองไปยังลูกชายที่ตอนนี้หัวเราะเอิ้กอ้ากอยู่กับคุณอาทิตย์เพื่อนใหม่อย่างสนุกสนาน อีกอย่างพาน้องพีไปให้คุณฝ้ายดูแลตลอดเขาก็เกรงใจเธอไม่ใช่น้อย เพราะถึงจะได้โอที แต่งานเธอก็ย่อมหนักมากกว่าเดิม เพราะต้องเจียดเวลามาดูแลน้องพีด้วย เมื่อคำนวณทุกอย่างในใจเขาก็เห็นข้อดีมากกว่าข้อเสีย เลยตัดสินใจทำตามที่ตะวันบอก

"เอางั้นก็ได้ครับ" เจ้าของบ้านถอนหายใจน้อยๆ ก่อนจะถามย้ำ "ว่าแต่ไม่รบกวนคุณตะวันแน่นะครับ"

คนถูกเกรงใจยิ้มกว้าง ก่อนจะยืนยัน "ไม่หรอกครับ ดีเสียอีก อาทิตย์จะได้มีเพื่อนเล่น และที่ร้านก็มีคนช่วยดูแลอยู่ คุณพลัฎฐ์ไม่ต้องกังวลนะครับ"

คนถูกกำชับว่าไม่ให้กังวลก็ยิ้มออก ก่อนจะมองคนที่กำลังลุกขึ้นยืนเดินตรงไปยังเด็กทั้งสองแล้วนั่งเล่นกับพวกแกด้วยสายตาอ่อนโยน

พลัฎฐ์อมยิ้มน้อยๆ ก่อนจะคิดได้ว่าเหตุการณ์ตอนนี้ช่างแตกต่างจากเมื่อวานอย่างกับหน้ามือเป็นหลังมือ จากที่ทะเลาะกันแทบตาย ตอนนี้กลับมาช่วยกันนั่งเลี้ยงเด็กๆ แทนเสียแล้ว แถมคนตัวเล็กกว่าที่พลัฎฐ์นึกติดใจตั้งแต่แรกเห็นกลับทำให้เขาถูกใจมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมเสียอีก แต่ในขณะที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ เสียงหวานก็แว่วเรียกขึ้นมา

"ว่าแต่คุณพลัฎฐ์ครับ"

ใบหน้าหล่อเหลาหันไปตามเสียงเรียก ก่อนที่จะเห็นว่าเจ้าของเสียงกำลังนั่งหันหน้ามาทางเขาโดยมีน้องพี ลูกชายตัวน้อยของเขานั่งอยู่บนตักเล็กของอีกฝ่าย แถมยังซุกหน้าอ้อนอยู่ที่อกของตะวันด้วย ... ท่าทางจะอยากนอนกลางวัน แต่ยังเล่นติดพันไม่อยากเลิกแน่ๆ

"ผมควรไปทำความรู้จักบ้านไหนอีกไหมครับ พอดียังไม่ได้เดินสำรวจรอบๆ เลย ไม่แน่ใจว่าบ้านหลังไหนมีคนอยู่ ไม่มีคนอยู่บ้าง"

พลัฎฐ์ลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินไปทรุดนั่งข้างๆ เจ้าของคำถาม ก่อนตอบ

"ไม่มีแล้วครับ ส่วนใหญ่ซื้อกันไว้แต่ยังไม่ได้ย้ายเข้ามา บ้านที่มีคนอยู่ก็อยู่ห่างจากคุณไปหลายหลังพอสมควร แถมเขายังออกเช้า กลับดึกด้วย"

ตะวันพยักหย้ารับรู้พร้อมกับขำเบาๆ "สรุปมีแค่ผมกับคุณสินะครับเนี่ย"

คนข้างบ้านหัวเราะออกมาด้วย ก่อนจะยื่นแขนออกไปหมายจะอุ้มเจ้าลูกชายตัวน้อยออกจากอกของตะวัน

"มาครับ ท่าทางน้องพีจะง่วงแล้ว เดี๋ยวผมพาลูกไปนอนก่อน"

ตะวันก้มลงมองเจ้าหนูในอ้อมกอดที่เมื่อกี้ยังเจื้อยแจ้วคุยเล่นกับอาทิตย์อยู่เลย แต่ตอนนี้ตากลับปรือปรอยจะหลับแหล่ไม่หลับแหล่อยู่แล้ว

"ฮ่ะๆ จริงด้วยครับ" ตะวันส่งน้องพีให้กับปะป๊าของแก ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเรียกอาทิตย์ที่ตอนนี้มองตามน้องพีตาปริบๆ "ป่ะครับอาทิตย์ เรากลับกันดีกว่า น้องพีง่วงแล้ว"

"อ่าว น้องพีจะไปนอนแล้วเหรอคับคุณลุง" เสียงเล็กถาม ติดจะเสียดายน้อยๆ ท่าทางจะยังเล่นไม่จุใจ

"ใช่ครับ เอาไว้พรุ่งนี้มาเล่นกันใหม่นะครับอาทิตย์"

ถึงอาทิตย์จะเสียดาย แต่ก็ไม่งอแง มือเล็กยื่นไปจับพี่ชายเป็นสัญญาณว่าพร้อมจะกลับบ้านแล้ว

"แต่คุณตะวันกับอาทิตย์จะนั่งเล่นที่นี่ต่อก็ได้นะครับ"

แต่ก็เหมือนว่าคนที่งอแงจะกลายเป็นคนตัวโตที่สุดในนี้แทน เพราะเสียดายยังไม่อยากให้คนตัวเล็กกว่าช่างพูดช่างคุยกลับสักเท่าไหร่

"ไม่เป็นไรดีกว่าครับ ผมยังจัดบ้านไม่เสร็จด้วย ขอตัวกลับไปจัดของต่อดีกว่า"

พลัฎฐ์พยักหน้าเข้าใจ แต่ลึกๆ ก็อดเสียดายไม่ได้ "โอเคครับ ถ้ามีอะไรให้ผมช่วยก็บอกได้นะ"

เขาเอ่ยกับอีกฝ่ายอย่างใจดี ในขณะที่อ้อมแขนแข็งแรงก็โอบอุ้มลูกชายที่กำลังหลับไว้พาดบ่าพร้อมกับโยกตัวไปมาเบาๆ เพื่อขับกล่อมให้เจ้าหนูหลับสบาย

"ได้ครับคุณพลัฎฐ์ ขอบคุณมากนะครับสำหรับอาหารมื้อนี้ แล้วก็ขอโทษสำหรับเรื่องเมื่อวานด้วย" คนเด็กกว่าหัวเราะแห้งๆ ให้คนอายุมากกว่าได้รู้สึกเอ็นดูมากกว่าเดิม

"ผมเองก็ขอบคุณคุณมากสำหรับทาร์ตผลไม้ ... และก็ยินดีต้อนรับครับคุณเพื่อนบ้านคนใหม่"

พลัฎฐ์พูดตอบราวกับไม่ได้ถือสาอะไร หนำซ้ำยังกล่าวต้อนรับให้ตะวันได้ยิ้มกว้าง ก่อนจะจูงน้องชายเดินออกมาทางประตูหน้าโดยมีเจ้าของบ้านที่อุ้มลูกชายที่กำลังหลับเดินมาส่ง

"เช่นกันครับ" ตะวันโบกมือไล่อีกฝ่าย "คุณพาน้องพีไปนอนเถอะครับ ผมกับอาทิตย์กลับได้"

"โอเคครับ เดินกลับดีๆ นะ" ประโยคหลังหันไปพูดกับเจ้าหนูอาทิตย์ "ไว้เจอกันนะครับอาทิตย์"

"สวัสดีครับคุณปะป๊าของน้องพี" เด็กน้อยพุ่มมือยกไหว้คุณพ่อของเพื่อนใหม่ ก่อนจะจูงมือพี่ชายไว้แน่น

"พรุ่งนี้ตอนเช้า คุณพาน้องพีไปที่บ้านผมเลยก็ได้นะครับ ผมน่าจะออกจากบ้านประมาณแปดโมง"

พลัฎฐ์พยักหน้ารับ "โอเคครับ เจอกันครับคุณตะวัน" "

เจอกันครับคุณพลัฎฐ์"

เจ้าของบ้านมองตามร่างเล็กที่จูงน้องชายออกไปจนพ้นประตูบ้านพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน

ยินดีที่ได้รู้จักนะครับคุณเพื่อนบ้านคนใหม่...

.

.

.

To Be Continue

----------------------

Talk: ฝากคอมเม้นท์ติชม และติดแท็ก #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว ในทวิตเตอร์ได้นะคะ ... ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจนะคะ แม้จะเข้ามาอ่านเฉยๆ เราก็ดีใจแล้วค่า❤
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 25-06-2019 20:24:27
เห็นความสุขลอยฟุ้งเต็มไปหมดเลยค่ะ กับเด็กน้อยสองคน 

เรางงเองอ่ะ เด็กสองคนอายุเท่ากันมั้ยนะ

รออ่านต่อนะคะ

เด็กๆ อายุเท่ากันค่ะ เป็นเพื่อนกันแค่น้องพีพูดไม่ชัดเฉยๆ   o18
ขอบคุณมากนะคะสำหรับการติดตาม ดีใจ ><
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 25-06-2019 21:00:50
 :pig4:
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 26-06-2019 06:45:11
ลุ้นน้องพีตอนพูด อยากให้น้องพีพูดชัดๆ  ฮือออ น้องพีค่อยๆ หัดไปนะคะ

เด็กๆ น่าร้ากกก

รออ่านต่อนะคะ  :3123:
หัวข้อ: Re: [Up 5th] The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว ::CHAPTER 4th::
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 28-06-2019 18:58:25
:: Chapter 4th - The Sun's restaurant ::


ติ๊งหน่อง


“พี่ตะวันคับ น้องพีมาแล้วๆๆ”

เสียงอึกทึกครึกโครมของเจ้าอาทิตย์ดวงน้อยดังลั่นบ้านแต่เช้า ตะวันได้แต่ส่ายศีรษะน้อยๆ พร้อมกับอมยิ้มให้ท่าทางตื่นเต้นเกินขนาดของเจ้าตัวยุ่ง เพียงแค่เขาบอกว่าวันนี้คุณปะป๊าของน้องพี จะพาน้องพีมาฝากไว้ให้อยู่ที่ร้านเล่นกับอาทิตย์ เจ้าตัวยุ่งก็จัดแจงตื่นตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่ ทั้งที่ปกตินั้นขี้เซากว่าใคร แถมยังกระวีกระวาดแต่งตัวหล่อมานั่งคอยน้องพีที่ห้องนั่งเล่นเสร็จสรรพ ... ไม่ค่อยเห่อเลยนะที่จริง

“ครับๆ เดี๋ยวพี่ออกไปเปิดประตูก่อน อาทิตย์ไปนั่งคอยที่โต๊ะกินข้าวก็ได้นะ”

“ไม่เอาคับ อาทิตย์จะรอไปพร้อมน้องพี เดี๋ยวอาทิตย์นั่งรอพี่ตะวันนิ่งๆ ตรงนี้เลย”

ตะวันได้แต่นึกหมั่นไส้น้องชายตัวเอง ปกติกว่าจะเคี่ยวเข็ญให้ทำอะไรแต่ละอย่างได้นี่ช่างยากเย็น แต่พอได้สนิทสนมรู้จักกับน้องพีเมื่อวาน ดูเหมือนว่าจะทำอะไรว่องไวขึ้นเยอะ ซึ่งอาจจะต้องวงเล็บไว้สักนิดว่า เรื่องนั้นต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับน้องพีนะ เจ้าอาทิตย์ถึงจะยอมขยับแบบไม่มีอิดออด

คนตัวเล็กเดินผ่านประตูในบ้านตรงไปที่รั้วใหญ่ด้านนอก หลังจากมองผ่านวีดีโออินเตอร์คอมแล้วเห็นว่าคนที่กดออดเมื่อกี้ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นคุณพลัฎฐ์เจ้าของรูปร่างสูงใหญ่ที่กำลังอุ้มน้องพีตัวน้ออยไว้ในอ้อมแขน

“เชิญครับคุณพลัฎฐ์”

หลังจากเปิดประตูเจ้าของบ้านร่างเล็กก็เบี่ยงตัวหลบทาง ก่อนจะเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายเข้ามา

“ขอบคุณครับคุณตะวัน”

พลัฎฐ์ที่วันนี้อยู่ในชุดสูททางการเตรียมพร้อมกำลังจะไปทำงาน ก้าวเรียวขาแข็งแรงเข้ามาในอาณาเขตของบ้านพี่น้องต่างวัย ในขณะที่น้องพีที่อยู่ในวงแขนของคุณพ่อก็แต่งตัวด้วยชุดเอี๊ยมยีนส์กางเกงขาสั้น เสื้อสีหลืองสดใสยิ่งขับให้ผิวขาวของน้องพีสว่างมากขึ้นไปอีก ดูแล้วน่าฟัดแก้มยุ้ยๆ นั้นให้จมจมูกจริงๆ

“สวัสดีคับพี่ตะวัน น้องพีมาแย้วคับ” เจ้าหนูน้อยพูดเสียงใส พร้อมพุ่มมือไหว้พี่ชายของเพื่อนสนิทอย่างน่าเอ็นดู

“สวัสดีครับน้องพี น้องพีกินข้าวเช้ามาหรือยังครับ?” ตะวันเอ่ยถามอย่างใจดี

"ยังคับ เพราะปะป๊าสายแย้ว ต้องยีบไปทำงานคับพี่ตะวัน" เจ้าหนูน้อยแจกแจงให้พลัฎฐ์ได้เขิน ก่อนที่คนที่ถูกลูกชายพาดพิงจะรีบอธิบายให้อีกฝ่ายฟัง

"คือพอผมจะพาน้องพีมาฝากคุณ ผมก็กังวลเช็คของใช้ลูกหลายรอบมาก กลัวจะขาด จะลืมอะไร เอาแต่เช็คไปเช็คมาจนสายนี่ล่ะครับ" ตะวันยิ้มขำ สงสารก็สงสาร เอ็นดูก็เอ็นดู

"งั้นคุณรออยู่ตรงนี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวผมมา"

มือเล็กฉวยหยิบกระเป๋าใส่ของใบขนาดย่อมจากมือใหญ่ของอีกฝ่าย ก่อนจะถือเดินจ้ำอ้าวเข้าไปด้านในห้องครัวของบ้านที่มีลักษณะภายในคล้ายๆ กับบ้านของพลัฏฐ์ ติดแต่ตะวันแต่งบ้านได้สดใสมากกว่า เฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่เป็นแบบโมเดิร์นลอฟท์มองแล้วสดชื่น แถมตะวันยังอุทิศมุมหนึ่งของบ้านเป็นสถานที่ประดับควาทรงจำของครอบครัว เพราะมันถูกตกแต่งด้วยรูปโพลารอยด์เล็กๆ หลายสิบใบ มีทั้งรูปเจ้าของบ้าน รูปเจ้าหนูอาทิตย์ รูปรวมสี่คนที่อีกสองท่านในภาพน่าจะเป็นพ่อกับแม่ของอีกฝ่าย ในขณะที่น้องพีกลับกวาดตามองไปรอบ ราวกับมองหาใครอยู่ ... ถ้าเดาไม่ผิดก็คงเป็นเพื่อนสนิทเขานั่นแหละ

“ปะป๊าคับ น้องพีหยักเจอคุณอาทิตย์คับ” พลัฎฐ์เดาผิดที่ไหน แต่ก่อนที่คนเป็นพ่อจะได้ตอบคำถามของลูกชาย ตะวันก็เดินกลับออกมาจากห้องครัวด้านในพร้อมกับกล่องใส่อาหารเล็กๆ ในมือ

“คุณอาทิตย์รออยู่ที่ห้องนั่งเล่นด้านในครับน้องพี เดี๋ยวไปพร้อมพี่ตะวันเนาะ” ตะวันว่าก่อนจะยื่นกล่องใส่อาหารไปตรงหน้าของคนตัวโต

“อะไรเหรอครับ?” คนถูกยื่นกล่องใส่อาหารให้ทำหน้างงๆ พลัฎฐ์มองไม่เห็นว่ามันมีอะไรอยู่ด้านใน เพราะมันเป็นกล่องแบบทึบเลยมองไม่เห็น

“แซนด์วิชครับ ผมทำไว้ให้ เพราะรู้ว่าคุณน่าจะไม่ได้กินอะไรก่อนออกจากบ้านแน่ๆ”

จบคำบอกเล่าของคนใจดี ก้อนเลือดในอกข้างซ้ายของพลัฎฐ์ก็อุ่นวาบ แถมยังเต้นตึกตักผิดจังหวะแบบไม่เคยเป็นมาก่อน แต่เขาก็ยังคงควบคุมการแสดงออกของตัวเองได้ดี เพราะนอกจากยิ้มให้อีกฝ่ายแล้ว พลัฎฐ์ก็ไม่ได้มีทีท่าอะไรอื่นอีก

... เพราะนายพรานที่ดีจะไม่ทำให้ลูกกวางที่ตนหมายตาตื่นตกใจจนหนีหาย สิ่งที่นายพรานที่ดีต้องทำนั่นคือ หลอกให้ลูกกวางน้อยไว้ใจ วางใจ ขุดกับดักไว้ให้ลึก เวลาที่ลูกกวางน้อยพลัดตกลงมาในกับดักที่นายพรานวางไว้ มันจะได้ตะกายหนีไปไม่ได้ และนายพรานก็จะได้ในสิ่งที่ตนเองอยากครอบครอง ...

แน่นอนว่าพลัฎฐ์เป็นนายพรานที่ดี เขาไม่สนใจว่าตะวันจะเคยชอบใคร สนใจใคร หรือมีใครอยู่ในใจไหมในตอนนี้ ถ้าตะวันโสด พลัฎฐ์ถือว่าโอกาสเป็นของเขา และแน่นอนว่าเขาจะไม่มีวันปล่อยให้ตะวันหลุดมือ

“ขอบคุณนะครับ คุณใจดีกับผมมาก ทั้งตัวผม ทั้งลูกผม กลายเป็นรบกวนคุณไปเสียทุกอย่างเลย” พลัฎฐ์เอ่ยอย่างเกรงใจ แต่ตะวันกลับยิ้มกว้าง พลางโบกมือปัดไม่ให้อีกฝ่ายคิดมาก

“กังวลเกินไปแล้วครับคุณพลัฎฐ์ เรื่องแค่นี้นิดหน่อยเอง บ้านใกล้เรือนเคียงกัน ไม่ได้ลำบากอะไรผมขนาดนั้นหรอก” และหลังจากเอากล่องใส่อาหารไปวางรวมกับกระเป๋าแล็ปท็อปและเอกสารต่างๆ ที่เขาต้องถือไปทำงานแล้ว พลัฎฐ์ก็ปล่อยลูกชายสุดที่รักให้ยืนลงกับพื้น ก่อนจะพูดย้ำกับน้องพีด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“น้องพีครับ วันนี้น้องพีต้องเป็นเด็กดี ไม่ดื้อ ไม่ซน เชื่อฟังพี่ตะวันนะครับ”

“ได้คับปะป๊า น้องพีจะไม่ดื้อ ไม่ซน จะเชื่อฟังพี่ตะวัน เดี๋ยววันนี้น้องพีกับคุณอาทิตย์จะเป็นคนดูแยพี่ตะวันเอง”

ตะวันและพลัฎฐ์หลุดยิ้มขำทันทีที่เจ้าตัวน้อยพูดจบ ตัวก็กระเปี๊ยกนึงแถมยังพูดไม่ชัด ยังอุตส่าห์บอกจะดูแลคนอื่นอีก โถ... เด็กน้อย ทำไมน่าเอ็นดูได้ขนาดนี้

“ดีมากครับ น้องพีของปะป๊าโตแล้ว ดูแลพี่ตะวันได้แล้ว แต่น้องพีต้องไม่ลืมดูแลตัวเองด้วยนะครับ อย่าพากันซนกับคุณอาทิตย์จนได้แผลได้เลือดนะลูก”

พลัฎฐ์ยื่นใบหน้าหล่อเหลาไปใกล้ๆ ใบหน้าเล็กๆ ของลูกชาย ก่อนจะกดริมฝีปากหยักลงบนหน้าผากเล็กๆ ของเด็กน้อยที่หัวเราะคิกคักชอบใจเมื่อถูกคนเป็นพ่อจูบ

“ไม่งอแงนะคับปะป๊า เดี๋ยวเย็นนี้ก็ได้เจอกันแย้ว”

ผู้ใหญ่สองคนที่ได้ยินถ้อยคำเจรจาของเด็กน้อยก็กลั้นยิ้มจนปวดแก้ม โดยเฉพาะคนที่ถูกกล่าวหาว่างอแง เพราะตอนนี้ลูกชายตัวดีของเขาโอบแขนเล็กๆ โน้มรั้งกอดเขาไว้แน่น ราวกับจะปลอบประโลมที่เขาต้องห่างกับเจ้าตัวดีช่างเจรจาคนนี้

“ครับๆ ปะป๊าจะไม่งอแง” พลัฎฐ์กอดตอบร่างเล็กของคนเป็นลูกแน่น ก่อนจะผละออกแล้วฟัดแก้มนิ่มของน้องพีเบาๆ “อย่าลืมคิดถึงปะป๊านะครับ”

“อื้อ!” เจ้าหนูน้อยครางตอบพลางพยักหน้ารับแข็งขัน ก่อนที่จะผละเข้ากอดขาของตะวันไว้แทนเมื่อเห็นว่าคนเป็นพ่อถอยออกไปหยิบข้าวของที่วางรวมกันไว้ รวมถึงกล่องใส่อาหารที่ใส่แซนด์วิชที่ตะวันให้ไปมาถือไว้ด้วยกัน

“รบกวนด้วยนะครับคุณตะวัน” ตะวันยิ้มรับ พร้อมกับอุ้มเจ้าตัวน้อยช่างพูดขึ้นมากอดแนบอก

“ยินดีครับคุณพลัฎฐ์” ตะวันว่าก่อนจะหันไปหาเด็กน้อยในอ้อมแขน “น้องพีลาคุณปะป๊าสิครับ”

“สวัสดีคับปะป๊า บ๊ายบาย” มือเล็กโบกให้คนเป็นพ่อด้วยท่าทางน่ารัก ซึ่งพลัฎฐ์เองก็ยกมือโบกตอบลูกชาย

“บ๊ายบายลูก... เย็นนี้เจอกันครับ”

พลัฎฐ์หมุนตัวเดินไปที่ประตูบ้านของตะวัน ภาพที่ลูกชายเขายิ้มกว้างอยู่ในอ้อมกอดของตะวันที่ส่งยิ้มบางๆ มาให้ ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงอย่างไม่น่าให้อภัย มุมปากหยักยกยิ้มกับตัวเองและกล่องใส่อาหารในมือ พาลให้อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าเขาได้เห็นภาพแบบนี้ก่อนออกจากบ้านและหลังกลับถึงบ้านในทุกๆ วันมันจะดีแค่ไหนกัน... พลัฎฐ์รู้ว่าเขาไม่มีทางรู้ได้เลย นอกเสียจากว่าจะทำให้มันเกิดขึ้นจริง ซึ่งก็คงไม่น่าจะยากเกินไปถ้าเขาตั้งใจจะทำ

.

.

.

“เอ้า! ไปครับเด็กๆ ขึ้นรถกัน”

ตะวันที่ยกของใช้ต่างๆ ของเด็กทั้งสองมาเก็บที่ท้ายรถยุโรปคันหรูของตัวเองเรียบร้อยแล้วก็จัดการจูงมือของเจ้าอาทิตย์กับน้องพีมาคนละข้าง เด็กทั้งคู่เดินๆ กระโดดๆ ตามตะวันมาด้วยท่าทางร่าเริงสดใส โดยเฉพาะเจ้าอาทิตย์ดวงน้อยที่ดูเหมือนว่าวันนี้จะคึกคักเป็นพิเศษ เพราะนอกจากจะได้ไปเห็นร้านของพี่ตะวันครั้งแรกแล้ว เขายังมีน้องพีเป็นเพื่อนเล่นไปทั้งวันอีกต่างหาก

“น้องพี วันนี้เราจะไปร้านพี่ตะวันกันแหละ พี่ตะวันของคุณอาทิตย์เปิดร้านขนมใหญ่มาก มีข้าวขายด้วยนะ อร่อยทุกอย่างเลย”

อาทิตย์โม้ประโยคนี้ให้น้องพีฟังเป็นรอบที่ร้อยของเช้านี้ได้ เจ้าตัวน้อยอวดอ้างสรรพคุณของคนเป็นพี่ด้วยน้ำเสียงภูมิอกภูมิใจ ซึ่งน้องพีก็แสนน่ารักเพราะหนูน้อยก็มีท่าทางตื่นเต้นทุกครั้งที่อาทิตย์พูดแบบนี้ ซึ่งก็ไม่ได้เป็นการตื่นเต้นให้อีกฝ่ายสบายใจ แต่เป็นความตื่นเต้นจริงๆ ที่ดูเหมือนจะได้เกิดขึ้นทุกครั้งไม่ว่าเจ้าน้องชายจอมยุ่งของตะวันจะพูดอะไรขึ้นมาก็ตาม

“จิงหยอคุณอาทิตย์ ย้านพี่ตะวันใหญ่มากๆ เยยหยอ?” ก็บอกแล้วว่าตื่นเต้นจริง เพราะตอนนี้น้องพีพูดไม่ชัดออกมาหลายคำทีเดียว

“ใหญ่มากกกกกกกก ใหญ่เท่านี้เลย” เจ้าอาทิตย์ดวงน้อยยังไม่หยุดโม้ ทำให้ตะวันอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ เพราะในขณะที่เขากำลังจับอาทิตย์ที่เข้าไปนั่งในคาร์ซีทเพื่อคาดเข็มขัด เจ้าหนูก็ยุกยิกกางแขนออกกว้างประกอบท่าทางการเล่าได้สมจริงราวกับตัวเองเป็นนักแสดง

“โอ้โห น้องพีหยักเห็นแย้วว” น้องพีก็ตาโตอู้หูอ้าหาไม่หยุด นี่ขนาดฟังเจ้าอาทิตย์โม้เล่าไม่รู้จักกี่รอบต่อกี่รอบ น้องพีก็ยังคงคอนเซ็ปต์ตื่นตาตื่นใจได้ทุกรอบ

“น้องพี มาครับเดี๋ยวพี่ตะวันคาดเข็มขัดให้” เด็กชายหันมามองพี่ชายเพื่อนซี้ด้วยประกายตาแวววับ พลางขยับตัวนั่งบนคาร์ซีทที่ปะป๊าหยิบติดมือมาด้วยเมื่อเช้าให้ดี เพื่อที่ตะวันจะได้คาดเข็มขัดให้ตัวเองสะดวก ก่อนจะถามพี่ชายเพื่อนซี้ด้วยน้ำเสียงสดใส แววตากลมวาววับน่าเอ็นดู

“พี่ตะวันคับ ให้น้องพีไปย้านพี่ตะวันด้วยได้ไหมคับ?”

ตะวันตรวจตราดูความเรียบร้อยของคาร์ซีทของอาทิตย์และน้องพีที่เบาะหลังของรถยนต์คันหรูเรียบร้อยแล้วจึงยิ้มออกมาก ก่อนจะยกมือลูบศีรษะกลมๆ ของน้องพีเบาๆ พลางเอ่ยตอบ

“ได้สิครับ เนี่ย... พี่ตะวันกำลังจะพาน้องพีไปที่ร้านของพี่ตะวัน แต่ไม่รู้ว่าน้องพีจะชอบร้านของพี่ตะวันหรือเปล่านะ เพราะมันไม่ได้ใหญ่เท่าที่คุณอาทิตย์โม้ไว้หรอก”

เจ้าของร้านใหญ่มากที่อาทิตย์พูดถึงรีบออกตัวเพราะไม่อยากให้เด็กน้อยผิดหวัง แต่น้องพีก็คือน้องพีวันยังค่ำ ... น่ารักอะไรขนาดนี้ไม่รู้

“น้องพีหยักไปๆ เยาไปกันเถอะคับพี่ตะวันนน” น้องพีตะโกนเสียงก้องในรถ ทำเอาอาทิตย์ก็ร้องเย่ๆ ออกมาดังๆ ไม่แพ้กัน

ในขณะที่ตะวันได้แต่ขำกับท่าทางตื่นเต้นของเด็ก ๆ ก่อนจะเดินอ้อมไปอีกฝั่งตรงคนขับ แล้วประจำขึ้นนั่ง เพื่อขับฝ่าบรรดารถยนต์ที่ล้อมหน้าล้อมหลังหลายร้อยคัน จนคนนั่งหลังพวงมาลัยได้แต่ส่ายหัวเบาๆ โชคยังดีที่มีเสียงพูดคุยหัวเราะของเจ้าหนูทั้งสองดังประกอบอยู่ด้านหลัง จนทำเอาเขาที่เกือบจะหงุดหงิด อดอมยิ้มออกมาไม่ได้... จะว่าไปการมีเจ้าหนูสองคนนี่อยู่เป็นเพื่อนก็ถือเป็นเรื่องดีไม่ใช่น้อยสำหรับตะวันในเช้านี้จริงๆ

.

.

.

“โอ้โห นี่ย้านพี่ตะวันหยอคับ? ย้านที่คุณอาทิตย์บอกน้องพีว่ามีขนมอะหย่อยๆ”

น้องพีที่เพิ่งถูกอุ้มลงมาจากรถยืนอยู่หน้าร้านอาหารขนาดกลางค่อนไปทางใหญ่ที่ตั้งอยู่ติดริมถนน ทำเลที่ตั้งถือว่าดีเยี่ยม เพราะเป็นจุดที่คนสัญจรผ่านไปมาทั้งวัน หนำซ้ำบริเวณโดยรอบ ร้านของตะวันก็ดูดึงดูดน่าเข้าและเด่นสะดุดตากว่าร้านอื่นๆ ในละแวกเดียวกัน

“ใช่แล้ว” แทนที่จะเป็นตะวันตอบ ก็กลายเป็นเจ้าอาทิตย์ดวงน้อยโพล่งตอบออกมาแทน หลังจากที่ตะวันปลดเข็มขัดที่คาร์ซีทออกให้ “คุณอาทิตย์บอกน้องพีแล้ว ว่าร้านพี่ตะวันใหญ่มาก น้องพีก็ไม่เชื่อ”

“ป่าวน้าคุณอาทิตย์ น้องพีป่าวไม่เชื่อน้า” มือเล็กๆ ของน้องพีโบกไปโบกมาปฏิเสธเจ้าหนูอาทิตย์ให้วุ่น ในขณะที่ตะวันที่กำลังขนของของน้องพีกับอาทิตย์ลงจากรถก็ได้แต่ยิ้มขำกับการสนทนากันของเด็กทั้งสอง เจ้าน้องชายเขาก็ขี้โม้ ส่วนน้องพีก็ขี้ตื่นเต้น ... วันนี้เห็นท่าจะคุยกันเรื่องนี้ทั้งวันไม่เลิก

“ก็เมื่อกี้คุณอาทิตย์บอกน้องพี น้องพีก็ยังไปถามกับพี่ตะวันอีก แบบนี้แปลว่าน้องพีไม่เชื่อคุณอาทิตย์”

พอได้ฟังเพื่อนคนสนิทตัดพ้อ เด็กชายพีรยสถ์ก็ใจเสียไปหมด สมองน้อยๆ ค้นหาวิถีทางที่จะง้ออีกฝ่ายในทันที เพราะเขาไม่ชอบเลยเวลาที่คุณอาทิตย์โกรธ น้องพีชอบให้คุณอาทิตย์ยิ้มๆ กับน้องพีมากกว่า และแล้วน้องพีก็คิดออกว่าจะทำแบบไหน คุณอาทิตย์ถึงจะยอมดีด้วย วิธีนี้น้องพีใช้กับปะป๊าทุกครั้ง โกรธสิบครั้งก็ยอมคืนดีกับน้องพีทั้งสิบครั้งเลย ว่าแล้วก็ค่อยๆ พาร่างเล็กๆ ของตัวเองที่เตี้ยกว่าคุณอาทิตย์นิดหน่อยไปใกล้ๆ อีกฝ่ายทันที มือเล็กของน้องพีเกาะที่แขนของคุณอาทิตย์แน่น ก่อนที่ศีรษะกลมๆ ที่เต็มไปด้วยกลุ่มผมสีเข้มนุ่มหอม จะถูไปที่ไหล่เล็กๆ ของเด็กชายภานวีย์ที่ตอนนี้ดูเหมือนแก้มยุ้ยๆ จะขึ้นสีแดงปลั่งไปเรียบร้อยแล้ว

“น้องพีขอโทษคุณอาทิตย์น้า คุณอาทิตย์ไม่โกรธๆ ดีกันๆ” นิ้วก้อยเล็กๆ ของเด็กชายพีรยสถ์ถูกยื่นมาตรงหน้าของเจ้าอาทิตย์ดวงน้อยที่ตอนนี้แก้มแดงก่ำเพราะเขินที่น้องพีเข้ามาง้อด้วยท่าทางน่ารักๆ แบบนี้

“กะ.. ก็ได้ ไม่โกรธก็ได้” เจ้าอาทิตย์ดวงน้อยพูดตะกุกตะกักเพราะเขินจะแย่ แต่ก็ยังทำเป็นตึงๆ ใส่น้องพีอยู่

“ไม่โกรธก็ต้องยื่นนิ้วก้อยมาดีกันสิคุณอาทิตย์” น้องพีเลิกเอาศีรษะถูไถไหล่ของอาทิตย์ แล้วเปลี่ยนมาใช้ตากลมๆ มองช้อนอ้อนอาทิตย์แทน เล่นเอาเจ้าตัวแสบรีบยื่นนิ้วก้อยไปเกี่ยวไว้แทบไม่ทัน เจอสายตาแบบนั้นของน้องพี... ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ไม่มีทางรอด

“กะ.. เกี่ยวแล้ว พอใจหรือยังล่ะน้องพี” อาทิตย์พูดพลางเกาแก้มตัวเองไปพลาง ในขณะที่น้องพีกลับหัวเราะคิกคักชอบใจที่คุณอาทิตย์ยอมหายโกรธแล้ว

“ดีกันๆ ไม่โกรธกันแย้วน๊าคุณอาทิตย์”

“อื้อ ไม่โกรธแล้ว”

ตะวันที่ยืนพิงรถตัวเองมองภาพง้องอนของเด็กทั้งสองที่ยืนอยู่ตรงหน้าแล้วก็ได้แต่แอบขำ เจ้าอาทิตย์ดวงน้อยของเขาทำเป็นขึงขังโกรธน้องพี เพราะอยากให้น้องพีง้อ แต่พอโดนน้องพีง้อเข้าหน่อยก็เขินเสีนจนแก้มแดง บอกเลยว่าน้อยครั้งมากที่ตะวันจะได้เห็นน้องชายตัวเองมีท่าทางแบบนี้ ... สงสัยกับน้องพีนี่จะมวยถูกคู่ เจ้าหนูน้อยนั่นได้ปราบเจ้าดวงอาทิตย์ของเขาจนละลายกลายเป็นดวงจันทร์แน่ๆ คนเป็นพี่คิดแล้วก็ได้แต่ยิ้มขำ พลางยกของขึ้นเต็มสองมือแล้วเดินตามเด็กชายทั้งสองที่จูงมือกันวิ่งเข้าร้านไปก่อนหน้านี้แล้ว

.

.

.

The Sun's restaurant เปิดให้บริการเมื่อสิบนาทีที่แล้ว และตอนนี้ลูกค้าก็แน่นร้านเต็มไปหมด เนื่องด้วยโปรโมชั่นฉลองการเปิดตัว และความอยากลิ้มอยากลองอาหารของลูกค้าในละแวกนี้ ทำให้ตะวันค่อนข้างหัวหมุนไม่น้อย โชคยังดีที่น้องพีกับอาทิตย์ไม่ได้ออกมาอยู่ข้างนอก สองเด็กน้อยกำลังนั่งเล่นกันอยู่ในห้องพักด้านหลัง โดยมีขนมเค้กชิ้นใหญ่ที่ตะวันทำไว้วางขายแบ่งไปให้เจ้าหนูทั้งคู่ชิม

"น้ำตาลเอาอาหารไปเสิร์ฟโต๊ะแปดให้พี่หน่อย เดี๋ยวพี่จะยกน้ำดื่มตามไปเอง"

"ค่ะ พี่ตะวัน"

ตะวันร้องสั่งเด็กในร้าน ก่อนที่มือเรียวจะยกถาดน้ำดื่มตามเด็กในร้านไปติดๆ จากนั้นเจ้าของร้านก็หันมองสำรวจรอบๆ ว่ายังมีโต๊ะไหนไม่ได้อาหารหรือขนมที่สั่งไว้หรือเปล่า และเมื่อเห็นว่าเรียบร้อยตะวันก็เดินเข้าไปดูในครัวที่มีป้าวันดี กุ๊กใหญ่ประจำร้านกำลังผัดนั่นผัดนี่เป็นมือระวิง

"มาครับป้าวันดี ตะวันช่วย" ตะวันว่าพลางหยิบผ้ากันเปื้อนและหมวกคลุมผมมาใส่ ก่อนจะหันดูกระดาษเมนูที่เด็กในร้านเอามาติดบนบอร์ดไว้ว่าอาหารจานต่อไปที่ต้องทำคืออะไร

ตะวันหยิบฉวยหม้อ และทัพพีมาทำต้มยำโป๊ะแตกตามรายการที่ลูกค้าสั่ง ความคล่องแคล่วทำให้เมษหรือเมษา เด็กหนุ่มที่เป็นผู้ช่วยป้าวันดีในครัว ถึงกับตาลุกวาว

"โห พี่ตะวัน อย่างคล่องเลยครับ ผมเพิ่งเคยเห็นพี่ตะวันทำอาหารครั้งแรกเลยนะเนี่ย"

คนถูกยอยิ้มขำ ก่อนจะยิ่งยิ้มกว้างเมื่อได้ยินประโยคถัดมาของป้าวันดี

"ที่เห็นน่ะยังน้อยนะเจ้าเมษ เรื่องทำอาหาร คุณตะวันนะ... อย่างนี่" ป้าวันดีหันมาวางจานปูผัดผงกะหรี่ที่ตักเพิ่งตักขึ้นจากกระทะสดๆ ร้อนๆ ไว้บนเคาน์เตอร์ให้เมษาเตรียมจัดตกแต่งจาน พลางยกนิ้วโป้งให้ชายหนุ่มดูประกอบคำพูดตัวเอง

"โหย ป้าพูดเสียจนผมอยากลองชิมเลย"

ตะวันหัวเราะขำ ก่อนจะตอบ "เดี๋ยวเย็นนี้พี่ทำให้ชิม แต่ตอนนี้เราออกไปช่วย น้ำตาลกับพี่มีนาข้างนอกก่อนไป เดี๋ยวในครัวนี่พี่ช่วยป้าวันดีเอง"

"ค้าบ เจ้านาย" เมษาว่าพลางถือจานปูผัดผงกระหรี่ออกไปเสิร์ฟ และออกไปช่วยสองสาวประจำร้านที่กำลังวุ่นๆ อยู่หน้าร้านตามคำสั่งของตะวันทันที และพอเด็กในร้านออกไปก็เหลือแค่ตะวันอยู่กับป้าวันดีสองคน เมนูอาหารที่ต้องทำเสิร์ฟลูกค้าเสร็จสิ้นหมดแล้ว ตะวันเลยผละออกจากหน้าเตา เดินอ้อมไปอีกฝั่งของครัวที่ไว้ใช้ทำขนมหวาน

เขาตั้งใจจะทำมาการองเพิ่มเพราะเช้านี้ลูกค้าสั่งทานและซื้อกลับบ้านกันมากพอสมควร ตะวันจึงกลัวว่าจะเหลือพอไม่ถึงกลางวัน ... หลังจากบีบส่วนผสมของฝามาการองที่ตะวันทำไว้ก่อนหน้าลงแผ่นรองอบเรียบร้อยแล้ว เจ้าของร้านอาหารคนเก่งก็เอาแผ่นรองอบเข้าเตาอบพร้อมทั้งตั้งอุณหภูมิและเวลาไว้ตามสูตรที่เคยทำ และในขณะที่รอป้าวันดีก็พูดขึ้น

"ดีจังเลยนะคะคุณตะวัน ร้านเปิดเป็นรูปเป็นร่าง เป็นทางการแล้ว ป้านี่อดตื่นเต้นไม่ได้" ตะวันยิ้มพลางเอ่ยตอบ "ลูกค้าแน่นด้วยครับป้า ตะวันก็ได้แต่หวังว่ารสชาติอาหารจะถูกปากทุกคน เขาจะได้เอาไปบอกต่อ โปรโมทให้ร้านเรากัน" ป้าวันดีพยักหน้าพร้อมยิ้มกว้าง ถึงแม้ตั้งแต่เช้ามาป้าวันดีจะยังไม่หยุดมือ แต่ภายใต้ความเหน็ดเหนื่อยนั้น ตะวันรู้ดีว่าป้ามีความสุขมากที่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก

ป้าวันดีเป็นเคยเป็นกุ๊กในร้านอาหารใหญ่ที่พ่อกับแม่ของตะวันเคยไปลองชิมและวิจารณ์ รสชาติอาหารจากฝีมือของป้าวันดีทำให้พ่อและแม่เขาแทบจะซื้อตัวให้มาทำอาหารให้กินที่บ้าน แต่ติดอยู่ที่ว่าป้าวันดียังไม่สามารถลาออกจากที่เก่าได้ เนื่องจากติดสัญญากันอยู่

ดังนั้น พอตะวันมาเปิดร้านอาหารเอง พ่อกับแม่ก็เป็นธุระติดต่อป้าวันดีให้มาช่วย ประกอบกับเป็นช่วงเดียวกับที่ร้านอาหารใหญ่ที่ป้าวันดีเป็นกุ๊กอยู่ประสบปัญหาภายในจนมีการปรับลดพนักงาน และสัญญาของป้ากับร้านนั้นก็สิ้นสุดลงพอดี ป้าวันดีจึงลาออก และตัดสินใจมาอยู่ที่ร้านของตะวันแทนโดยผ่านการติดต่อของคุณพ่อและคุณแม่ของตะวัน

ซึ่งตะวันถือว่าตัวเองโชคดีมากที่ได้ป้าวันดีมาเป็นฐานกำลังสำคัญในร้าน เพราะป้าวันดีทำทั้งอาหารไทยและอาหารต่างประเทศได้อร่อยมาก อันนี้ตะวันพิสูจน์แล้ว เพราะเมนูเด็ดและเมนูแนะนำของร้านส่วนใหญ่ตะวันกับป้าวันดีก็ช่วยกันชิม ช่วยกันทำ ช่วยกันลองผิดลองถูกมาแล้วนับไม่ถ้วนก่อนจะเปิดร้านจริงจัง ดังนั้นครัวอาหารคาวตะวันจึงไว้ใจและยกให้เป็นหน้าที่ของป้าวันดี กุ๊กใหญ่ประจำร้านดูแลเกือบทั้งหมด เว้นเสียแต่ว่าลูกค้าเยอะ ทำไม่ทัน ตะวันก็จะลงครัวมาช่วยแบบวันนี้ เพราะหน้าที่หลักของตะวันส่วนใหญ่ นอกเหนือจากการคุมหน้าร้านแล้วก็คือลงครัวของหวาน ทั้งทำตามออเดอร์และทำวางโชว์ในตู้ขนมหน้าร้านพร้อมขาย

ดังนั้นหน้าที่หลักๆ ในครัว จึงตกเป็นของสองหัวเรือใหญ่ของร้าน ในขณะที่หน้าที่รับลูกค้า จดออเดอร์อาหาร เสิร์ฟอาหาร คิดเงินบ้างในบางครั้ง ตะวันจะมอบให้กับน้ำตาลและมีนาเป็นคนดูแล น้ำตาลเป็นหลานสาวของป้าวันดีที่ป้าเรียกตัวมาจากต่างจังหวัดเพราะเห็นว่ากำลังจะหางานทำ เพื่อเอาไปเรียนต่อ เนื่องจากพ่อแม่ส่งเรียนไม่ไหว ตะวันได้ยินแล้วก็อดสงสารไม่ได้ จึงรับเข้าไว้ทำงาน เพราะเห็นว่าน้ำตาลเป็นเด็กดีและมีใจมุมานะที่จะเรียน ซึ่งน้ำตาลเองก็รับปากกับตะวันว่าหลังจากร้านเข้าที่เข้าทางแล้ว น้ำตาลจะไปสมัครเรียนมหาวิทยาลัยเปิดเพราะอยากจะทำงานที่ร้านไปด้วยและเรียนไปด้วย ซึ่ีงตะวันเองก็สนับสนุนและเห็นดีด้วย โดยที่เจ้าของร้านก็กำชับนักหนาว่าถ้าขาดเหลืออะไรก็บอกตนได้

ส่วนมีนาและเมษาเป็นสองพี่น้องที่มาจากร้านอาหารเดียวกับป้าวันดี ที่ป้าวันดีชักชวนมาด้วยกันเพราะเห็นว่าขยันและไว้ใจได้ ซึ่งทั้งสองคนพี่น้องอายุไม่ห่างจากตะวันมาก แต่ด้วยความที่อยากให้เกียรติเจ้าของร้าน คนทั้งคู่จึงมักเรียกตะวันว่าพี่ จนอีกฝ่ายเคยปากเลยเลยตามเลยกลายเป็นพี่ของทุกคนในร้าน เว้นแต่ป้าวันดีเพียงคนเดียวเท่านั้น

ตะวันบอกกับทุกคนเสมอว่าเราอยู่กันแบบพี่น้อง เพราะตะวันเองก็ไม่ได้อายุมากกว่าใครสักเท่าไหร่ เขาอยากให้อยู่กันแบบครอบครัวและพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันมากกว่า บางอย่างตะวันเก่ง บางอย่างตะวันก็ไม่เก่ง เช่นเรื่องบัญชี เรื่องตัวเลขนี่ตะวันแทบจะขอลา ในขณะที่มีนาคล่องและชำนาญทางด้านนี้มาก ส่วนเมษาก็แรงดี ยก หาม แบก เสิร์ฟอะไรก็คล่องแคล่วไปเสียหมด ดังนั้นข้อดีของแต่ละคนจึงเป็นเหมือนกำลังสำคัญของร้าน ที่ตะวันอยากให้ทุกคนคิดเสียว่าร้านนี้เป็นร้านของทุกคนไม่ใช่แค่คนใดคนหนึ่งเท่านั้น

.

.

.

เวลาล่วงเลยไปจนถึงพักกลางวัน ตะวันและป้าวันดียังไม่หยุดมือในครัว และดูเหมือนว่าจะยิ่งวุ่นหนัก เมื่อมีลูกค้ากลุ่มใหญ่จากบริษัทตึกข้างๆ เข้ามาใช้บริการฝากท้องในช่วงมื้อกลางวันนี้

“พี่ตะวันครับ มากันกลุ่มใหญ่เลย เกือบสิบคนได้ ไหวไหมครับพี่”

เมษาชะโงกหน้าเข้ามาถามแม่ครัวและพ่อครัวประจำร้าน ตะวันหันมองเมนูในบอร์ด ก็เห็นว่าเหลืออาหารไม่กี่จานที่ต้องทำออกไปเสิร์ฟ หลังจากนี้ก็ไม่มีแล้ว เลยพยักหน้ารับกับเมษา พร้อมร้องสั่งอีกอย่าง ด้วยความที่เป็นห่วงเด็กน้อยทั้งสองที่นั่งเล่นกันอย่างสงบอยู่ในส่วนของห้องพักหลังร้าน

“รับออเดอร์มาได้เลยเมษ อ้อ! แล้วพี่ฝากไปดูอาทิตย์กับน้องพีทีนะว่าทำอะไรกันอยู่ ไม่รู้ว่าหิวหรือยัง พี่ฝากถามหน่อยนะ”

“ได้ครับพี่ตะวัน”

ตะวันง่วนอยู่หน้าเตา จนกระทั่งรายการอาหารเซ็ทล่าสุดของพนักงานกลุ่มใหญ่เสร็จสิ้น เหลือก็แต่ออเดอร์เล็กๆ น้อยๆ ที่ป้าวันดีบอกว่าจัดการเองได้ ตะวันจึงตัดสินใจออกมาจากครัวแล้วเดินเลยไปที่ส่วนห้องพักหลังร้าน พอเปิดเข้าไปก็เห็นอาทิตย์กำลังไถรถแข่งเล่นอย่างสนุกสนาน โดยมีน้องพีปรบมือเอาใจช่วย

“คุณอาทิตย์สู้ๆ สู้ๆ คุณอาทิตย์

“มาเล้ยยย น้องพีรอดูเลยยย เดี๋ยวคุณอาทิตย์จะเข้าเส้นชัยเป็นที่หนึ่งให้ดู” ตะวันแอบยิ้มขำ ก็เล่นแข่งอยู่คนเดียว จะไม่เข้าเส้นชัยที่หนึ่งได้ยังไงกัน

“เด็กๆ หิวกันหรือยังครับ หื้ม?” ตะวันส่งเสียงถาม และพอเด็กชายทั้งสองหันมาก็ยิ้มร่า โผเข้ามากอดขาตะวันคนละข้าง

“หิวแย้วคับ/หิวแล้วคับ”

ตะวันยิ้มกว้างให้กับความน่าเอ็นดูของเด็กทั้งคู่ ก่อนจะจับจูงมือเจ้าหนูคนละข้าง พาออกมาทานข้าวที่หน้าร้าน เพราะเขาไม่อยากให้ทั้งน้องพีและอาทิตย์อุดอู้อยู่แต่ในห้องหลังร้านทั้งวัน

“ไปครับ งั้นไปหาอะไรทานกัน” ตะวันพาเด็กชายพีรยสถ์และเด็กชายภานวีย์มานั่งที่โต๊ะข้างเคาน์เตอร์คิดเงินที่เขาสั่งให้น้ำตาลเตรียมเก้าอี้เด็กวางไว้เรียบร้อยแล้ว

“น้ำตาล พี่วานไปยกอาหารของอาทิตย์กับน้องพีในครัวให้หน่อยสิ” น้ำตาลหันมายิ้มให้กับตะวันและเด็กทั้งสอง ก่อนจะรับคำ

“ได้ค่ะพี่ตะวัน”

และในขณะที่รอให้อาหารยกมาเสิร์ฟอยู่นั้น อาทิตย์กับน้องพีก็แย่งกันเล่าใหญ่ว่าสองคนทำอะไรกันบ้างช่วงที่ตะวันยุ่งๆ อยู่ในครัว ตะวันฟังไปหัวเราะไปจนกระทั่งได้ยินเสียงคุ้นหูเรียกอยู่ด้านหลังให้ผู้ใหญ่หนึ่งเด็กสองต้องหันไปมองด้วยความประหลาดใจ

“คุณตะวัน?” และก็เป็นเสียงของน้องพีที่ดังขึ้นอย่างดีใจก่อนใครเพื่อน

“ปะป๊า!”

“คุณพลัฎฐ์” ตะวันเองก็ดูงงๆ เพราะคิดไม่ถึงว่าจะเจอพลัฏฐ์ในเวลานี้ เพราะตามจริงเขานัดอีกฝ่ายไว้ตอนเย็น ไม่คิดว่าพลัฏฐ์จะมาตอนกลางวันแทน

“อย่าบอกนะครับว่านี่ร้านคุณตะวัน” พลัฎฐ์ว่า ก่อนจะหันไปยิ้มให้ลูกชายตัวน้อยที่ตอนนี้สองแขนชูกว้าง รอให้คนเป็นพ่อเข้ามาอุ้ม

“ครับ นี่ร้านผมเอง ผมก็นึกว่าคุณพลัฎฐ์จะมาตอนเย็นเสียอีก ทำไมมาก่อนเวลาได้ล่ะครับ?”

ตะวันถามออกไปงงๆ ก่อนที่พลัฎฐ์ที่ก้มลงไปอุ้มเด็กชายพีรยสถ์มาไว้ในอ้อมแขนจะหัวเราะเบาๆ กับความบังเอิญที่ไม่สิ้นสุดระหว่างเขาทั้งสองคน

- อ่านต่อด้านล่าง -
หัวข้อ: Re: [Up 5th] The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว ::CHAPTER 4th::
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 28-06-2019 19:02:43
- ต่อจากด้านบน -


“ที่จริงคือผมมากินอาหารกับทีมบริหารน่ะครับ ได้ข่าวว่ามีร้านเปิดใหม่ พวกผู้บริหารท่านอื่นเลยชวนผมมาลองชิม เพราะเห็นว่าพนักงานที่ซื้อไปกินกันเมื่อเช้าบอกว่าอร่อย ผมก็เลยมา ไม่รู้หรอกครับว่าเป็นร้านคุณตะวัน”

“อ้าว.. ฮ่าๆๆ” ตะวันขำให้กับเรื่องบังเอิญอีกเรื่องระหว่างเขากับคนข้างบ้าน และก่อนที่จะได้คุยอะไรกันต่อ อาหารของอาทิตย์กับน้องพีก็ถูกยกมาวาง เด็กน้อยทั้งสองมองของกินตรงหน้าพลางกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ท่าทางจะหิวกันไม่ใช่เล่น

“คุณพลัฎฐ์ไปกินข้าวต่อเถอะครับ เดี๋ยวทางนี้ผมจัดการให้” ตะวันหันไปมองที่โต๊ะใหญ่กลางร้าน น่าจะเป็นกลุ่มใหญ่กลุ่มเดียวกับที่เข้ามาตอนที่เมษาเข้ามาบอก เขาจึงได้เห็นว่าพลัฎฐ์น่าจะยังทานอาหารไม่เสร็จ อีกทั้งผู้ร่วมโต๊ะคนอื่นๆ ก็ดูเหมือนจะมองหาท่านรองประธานฯ ของตัวเองให้วุ่น

พลัฎฐ์ไม่ได้ตอบอะไร แต่กลับอุ้มน้องพีเดินกลับไปยังโต๊ะอาหารที่ว่า ก่อนจะเดินกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับปล่อยน้องพีนั่งลงบนเก้าอี้เด็ก จากนั้นก็ทรุดลงนั่งข้างๆ ลูกชาย พลางเอ่ยอย่างอ่อนโยน

“ไม่เป็นไรครับ ผมขอกินพร้อมเด็กๆ ดีกว่า” พูดจบคนตัวโตก็ลูบศีรษะลูกชายตัวเองเบาๆ เลยได้รับรอยยิ้มกว้างน่ารักจากน้องพีตอบแทน

“น้องพีคิดถึงปะป๊า” เจ้าหนูขี้อ้อนยื่นศีรษะกลมๆ ไปถูไถที่ไหล่คนเป็นพ่ออย่างน่าเอ็นดู แน่นอนว่าคนหลงลูกอย่างพลัฎฐ์มีหรือจะไม่ใจอ่อนระทวย

“ปะป๊าก็คิดถึงน้องพีครับ” พูดจบก็หอมแก้มยุ้ยๆ ของลูกชายฟอดใหญ่ เรียกเสียงหัวเราะคิกคักจากเด็กชายได้เป็นอย่างดี “ว่าแต่หนูดื้อกับพี่ตะวันหรือเปล่าลูก?”

“น้องพีไม่ดื้อเยย ไม่เชื่อปะป๊าถามคุณอาทิตย์เก๊าะได้” น้องพีว่าพลางพยักเพยิดไปที่คุณอาทิตย์เพื่อนสนิท ที่ตอนนี้กำลังตักข้าวเข้าปากอย่างน่าเอร็ดอร่อย

“ว่าไงครับคุณอาทิตย์ วันนี้น้องพีดื้อหรือเปล่า? ถ้าดื้อลุงจะได้จัดการ” พลัฎฐ์แกล้งทำเสียงเข้ม ในขณะที่อาทิตย์ที่ข้าวเต็มปาก ก็รีบเคี้ยวอาหารอย่างละเอียด และเมื่อกลืนลงคอเรียบร้อย เจ้าหนูก็ตอบคำถามของพลัฎฐ์ด้วยท่าทีจริงจัง

“ไม่เลยคับคุณลุง น้องพีไม่ดื้อเลย คุณอาทิตย์ยังดื้อกว่าน้องพีอีก” จบคำบอกกล่าวของเด็กแสบ ก็ทำเอาตะวันเผลอร้องออกมาอย่างมึนงง

“อ่าว ทำไมแบบนั้นล่ะอาทิตย์” ตะวันถึงกับจับเก้าอี้ของน้องชายหันมาทางตนแทบไม่ทัน “ไหนดื้ออะไร บอกพี่ซิ”

เจ้าหนูน้อยอมยิ้มก่อนจะเฉลยด้วยท่าทางอายๆ

“ก็ขนมที่พี่ตะวันให้พี่น้ำตาลเอาไปให้... อาทิตย์กินคนเดียวหมดเลย น้องพีกินไปชิ้นเดียวเอง”

ตะวันได้แต่หลับตาลงอย่างปลงตก เขารู้ว่าน้องชายตัวเองกินเก่ง แต่ไม่นึกว่าจะเก่งจนแย่งขนมเพื่อนกินจนไม่เหลือสักชิ้นแบบนี้ และในขณะที่คนเป็นพี่กำลังจะเอ่ยปากต่อว่าคนเป็นน้อง เด็กชายพีรยสถ์ก็ส่งเสียงพูดขึ้นมาราวกับเป็นเทวดาตัวน้อยๆ

“น้องพีให้คุณอาทิตย์ช่วยกินคับ น้องพีกินไม่หมด เยยแบ่งให้คุณอาทิตย์กินด้วย”

“แต่แบบนี้น้องพีจะไม่อิ่มนะครับ พี่ตะวันว่า..” และก็ยังไม่ทันที่คุณเจ้าของร้านอาหารจะได้พูดจบประโยค คุณปะป๊าของน้องพีก็เอ่ยสวนขึ้นมาก่อนอย่างใจดีเช่นกัน

“ไม่เป็นไรหรอกครับคุณตะวัน น้องพีเป็นเด็กกินน้อยอยู่แล้ว” ว่าแล้วก็ยิ้มก่อนจะหันไปลูบศีรษะเด็กกินเก่งเบาๆ “ดีเสียอีกได้คุณอาทิตย์ชวนกิน ไม่งั้นก็คงได้เหลือทิ้งแน่ๆ”

“เฮ้อ.. ปกป้องอาทิตย์ทั้งพ่อทั้งลูกเลยนะครับ” ตะวันแสร้งถอนหายใจเสียงดัง แต่ก็ไม่วายพูดเสียงเข้ม “แต่ยังไงอาทิตย์ก็ต้องถูกดุครับ”

เจ้าหนูอาทิตย์หน้าจ๋อย แต่ก็เงยหน้ามองพี่ชายตาแป๋ว เตรียมรับการถูกดุด้วยท่าทางน่าเอ็นดู จนคนเป็นพี่เห็นแล้วเกือบจะอดใจอ่อนไม่ได้

“คราวหน้าไม่แย่งขนมน้องพีกินแบบนี้แล้วนะครับอาทิตย์” เสียงหวานๆ ของคนเป็นพี่ ถึงแม้จะกำลังดุน้องชาย แต่ก็ไม่ได้กระโชกโฮกฮากหนำซ้ำกลับตรงกันข้าม เพราะดูอ่อนโยนจนพลัฎฐ์อดมองไปที่ปากเล็กๆ บางๆ สีแดงสดที่กำลังขยับขึ้นลงตามจังหวะการพูดของอีกฝ่ายไม่ได้

“ถึงน้องพีจะกินไม่หมด อาทิตย์ก็ต้องไม่เอามากินเองจนหมดแบบนี้ เกิดน้องพีหิวขึ้นมา อาทิตย์จะเอาอะไรให้น้องพีกินล่ะครับ... พี่สอน ไม่ใช่เพราะพี่งกไม่อยากให้อาทิตย์กิน แต่พี่สอน เพราะอยากให้อาทิตย์ดูแลคนที่อาทิตย์รักและเป็นห่วงได้ น้องพีเป็นเพื่อนของอาทิตย์ อาทิตย์อยากเห็นน้องพีหิวเพราะอาทิตย์แย่งขนมของน้องพีไปกินหมดเหรอครับ?”

“ไม่อยากครับพี่ตะวัน คราวหลังอาทิตย์จะไม่ทำแบบนี้อีกแล้วครับ” เจ้าดวงอาทิตย์ดวงน้อย อ้าแขนโผเข้าหาคนเป็นพี่ ให้ตะวันต้องลุกขึ้นยืนอุ้มน้องมากอดไว้แนบอก

“เด็กดีของพี่ ขอบคุณมากนะครับที่สารภาพความผิด อาทิตย์ของพี่เก่งที่สุดเลยรู้ไหม”

ตะวันกอดน้องแน่นในขณะที่อาทิตย์พยักหน้ารับ คนเป็นพี่พรมจูบไปทั่วแก้มนิ่มของคนเป็นน้อง ซึ่งส่วนใหญ่หลังจากดุน้องแล้ว ตะวันก็มักจะทำแบบนี้ทุกครั้ง การแสดงความรักเล็กๆ น้อยๆ ชื่มชมเล็กๆ น้อยๆ หลังจากการว่ากล่าวตักเตือน จะทำให้เด็กไม่รู้สึกว่าถูกลงโทษ และทำให้เจ้าหนูน้อยสำนึกความผิดได้ดีกว่าการต่อว่าแรงๆ หรือสาดอารมณ์ใส่ ซึ่งวิธีที่ตะวันทำอยู่นั้นได้ผลดีกับอาทิตย์เสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกัน ตะวันกอดน้อง คุยงุ้งิ้งกับน้อง จนไม่ได้สังเกตเห็นแววตาอ่อนโยนของผู้ใหญ่อีกคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะ แววตาที่ทอดมองเด็กหนุ่มตรงหน้าด้วยสายตาหลงใหลและนับถืออย่างไม่ปิดบัง

ถ้าเมื่อวานนี้พลัฎฐ์รู้สึกว่าตัวเองถูกใจตะวันมากแล้ว วันนี้ก็ดูเหมือนว่าเขาจะถูกใจเด็กหนุ่มตรงหน้าได้มากยิ่งกว่าเมื่อวานไปอีก ... ถูกใจจนพลัฎฐ์ไม่แน่ใจว่ามันข้ามขั้นคำว่าถูกใจไปไกล จนกลายเป็นคำว่า ‘ชอบ’ ได้หรือยัง?

.

.

.

“ยินดีด้วยกับร้านใหม่นะตะวัน”

ร่างระหงของชายหนุ่มที่ก้าวเข้ามาในร้านของตะวันหลังจากที่ปิดให้บริการไปได้แล้วครึ่งชั่วโมง ส่งเสียงทักทาย ในมือเรียวของอีกฝ่ายถือกระเช้าดอกไม้เล็กๆ มาด้วย ... ดอกไม้ที่ดูแล้วช่างเข้ากันได้ดีกับคนถือเสียเหลือเกิน

“อ้าว มาแล้วเหรอ ‘ชาร์ม’ เข้ามาก่อนสิ ฉันกำลังเตรียมอาหารอยู่เลย”

ตะวันยิ้มทักเจ้าของชื่อ ‘ชาร์ม’ ที่เดินเข้ามาด้วยท่วงท่าสง่างาม เรียกสายตาของคนอื่นๆ ในร้านให้มองตามได้ไม่ยาก โดยเฉพาะรอยยิ้มสวยๆ จากปากบางๆ นั่น

“ฉันมาเร็วไปหรือเปล่า ดูเหมือนนายเพิ่งจะเก็บร้านเอง”

‘ชาร์ม ชนกันต์’ ชายหนุ่มรูปร่างผอมสูง มีกล้ามเนื้อน้อยๆ ผู้ที่มีศักดิ์เป็นลูกผู้พี่ของตะวัน เอ่ยถามอย่างเกรงใจ เพราะเขาเองก็มาก่อนเวลานัดหมาย เนื่องจากมาทำธุระแถวร้านของตะวันพอดีเลยเลยมาทีร้านเลย ไม่คิดว่ารถจะไม่ติด ทำให้มาถึงก่อนเวลาที่ตะวันนัดเลี้ยงฉลองเปิดร้านใหม่ อยู่นานพอควรเลยทีเดียว

“ไม่หรอก นี่ทำกับข้าวอีกไม่กี่อย่างก็เสร็จแล้ว เข้ามานั่งเล่นกับอาทิตย์รอก่อนสิ”

เจ้าของชื่อชนกันต์เดินปรี่ไปหาเจ้าหนูอาทิตย์ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ในขณะที่อาทิตย์เองก็อ้าแขนรอให้ชนกันต์เข้ามาโอบกอดด้วยท่าทางร่างเริงน่าเอ็นดู

“ไหน หมูอ้วน โตขึ้นอีกหรือเปล่าเนี่ย พี่ชาร์มว่าเจอครั้งที่แล้วยังไม่ตัวใหญ่เท่านี้เลยนะ” ชายหนุ่มรูปร่างสูงบางไม่พูดเปล่า แต่ก้มลงหอมแก้มนิ่มๆ ของคนเป็นลูกผู้น้องด้วยความหมั่นเขี้ยวด้วย

“อาทิตย์ไม่ได้อ้วนขึ้นนะครับพี่ชาร์ม พี่ตะวันบอกว่า หุ่นแบบนี้กำลังหล่อเลย” เจ้าเด็กรู้มากพูดอวดชมตัวเอง พลางโอบกอดร่างบางของพี่ชายคนโปรดอีกหนึ่งคนไว้แน่น ทำเอาตะวันที่จัดของอยู่ใกล้ๆ ต้องหันมามองพลางลอบยิ้มให้กับคำตอบของน้องชายที่ช่างพูดเสียเหลือเกิน

“หล่อจ้าหล่อ เรื่องหลงตัวเองเนี่ยขอให้บอก”

สองหนุ่มต่างวัยหอมฟัดกันอยู่พักใหญ่ ก่อนที่ดวงตากลมสีน้ำตาลเข้ม สีเดียวกับทั้งของตะวันและอาทิตย์จะเหลือบไปเห็นเด็กน้อยอีกคนที่นั่งอยู่ เจ้าของหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูที่กำลังมองมาที่เขาด้วยสายตาสงสัย ปนๆ อยากรู้จัก

“ว่าไงครับหนุ่มน้อย หนูเป็นเพื่อนอาทิตย์เหรอครับ?”

ชนกันต์เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มหวาน เขาเป็นผู้ชายที่จัดว่ามีใบหน้าสวยหวานเฉี่ยวราวกับผู้หญิง ขนาดตะวันที่ว่าหน้าหวานแล้ว ยังหวานสู้ชนกันต์ไม่ได้ ... และแน่นอนว่าลูกพี่ลูกน้องของตะวันคนนี้ไม่ชอบผู้หญิง เขาค่อนข้างชัดเจนเรื่องรสนิยม เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่มั่นใจในตัวเองค่อนข้างสูง และนี่คือเสน่ห์ของชนกันต์ เสน่ห์ที่แม้แต่เด็กน้อยอย่างพีรยสถ์ยังหลงใหลได้

“คับ น้องพีชื่อน้องพี เด็กชายพีรยสถ์ เป็นเพื่อนกับคุณอาทิตย์คับ” เจ้าหนูตอบเสียงดังฟังชัด ดูเหมือนชื่อจริงของเด็กชาย จะเป็นสิ่งที่เจ้าหนูสามารถออกเสียงได้ชัดเจนมากทีเดียว

“อ๋ออ น้องพีเป็นเพื่อนกับคุณอาทิตย์นี่เอง” มือเรียวถูกยื่นไปลูบศีรษะเล็กๆ อย่างใจดี “พี่ชื่อพี่ชาร์มนะครับ เป็นพี่ชายของคุณอาทิตย์ พี่ชาร์มยินดีที่ได้รู้จักน้องพีนะครับ”

น้องพียิ้มตาหยีส่งให้อีกฝ่าย ก่อนจะพุ่มมือยกขึ้นไหว้ชนกันต์ด้วยท่าทีนอบน้อม “สวัสดีคับพี่ชาร์ม”

และหลังจากทำความรู้จักกันเสร็จเรียบร้อย ก็ดูเหมือนว่าตะวันจะจัดโต๊ะเสร็จเรียบร้อยพอดี ทุกคนจึงยกโขยงไปยังโต๊ะที่จัดวางอยู่กลางร้าน มีอาหารมากมายวางเรียงเต็มไปหมด โดยมีป้าวันดี น้ำตาล มีนา และเมษา นั่งรออยู่พร้อมหน้าพร้อมตา รอให้ตะวันพาอาทิตย์ น้องพี และลูกพี่ลูกน้องอย่างชนกันต์มานั่งตามเก้าอี้ที่จัดเตรียมรอไว้ให้

“เอ๊ะ มีเก้าอี้ว่างอีกตัวนี่ นายเตรียมไว้รอใครหรือเปล่าตะวัน” จบคำถามของลูกพี่ลูกน้องคนสนิท ตะวันก็ชะเง้อมองไปที่ประตูร้านสลับกับก้มลงดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือของตัวเอง

ตะวันคิดอย่างสงสัยเพราะไม่แน่ใจว่าพลัฎฐ์ลืมหรือยังไม่เสร็จงานหรือเปล่า เพราะนี่ก็ถึงเวลานัดแล้ว แต่ยังไม่เห็นปะป๊าของน้องพีมาถึงเลย และในขณะที่เจ้าของร้านอาหารกำลังลังเลว่าจะโทรตามอีกฝ่ายดีไหม ประตูร้านก็ถูกผลักเข้ามาด้วยมือของเจ้าของร่างสูงใหญ่ที่ดูติดจะเหนื่อยหอบนิดๆ

“ขอโทษนะครับคุณตะวันที่ผมที่มาสาย พอดีประชุมเลิกเสร็จช้าน่ะครับ” พอเห็นหน้าเจ้าของร้าน พลัฎฐ์ก็เอ่ยขอโทษขอโพยอีกฝ่ายทันที เพราะกลัวว่าตัวเองจะเป็นต้นเหตุให้คนอื่นรอ

“ไม่เป็นไรครับคุณพลัฎฐ์ เชิญครับ ผมเพิ่งจะจัดโต๊ะเสร็จเมื่อสักครู่เอง” ตะวันลุกขึ้นยืน พลางเชื้อเชิญแขกคนสุดท้ายลงนั่งตรงเก้าอี้ว่างข้างน้องพี ซึ่งเด็กชายพอเห็นพ่อมาถึงแล้วก็ยิ้มกว้าง พลางเอ่ยทักอย่างยินดี

“เย่! มาแย้วๆ... สวัสดีคับ” เด็กน้อยพีรยสถ์พุ่มมือขึ้นไหว้คนเป็นพ่อ ซึ่งเจ้าหนูถูกสอนให้ทำแบบนี้ทุกครั้ง ทั้งก่อนและหลังพลัฎฐ์กลับจากทำงาน

“สวัสดีคับคุณลุง” อาทิตย์เองก็ไม่ได้น้อยหน้า เขายกมือขึ้นไหว้พลัฎฐ์โดยไม่ต้องรอให้ตะวันบอกเลยด้วยซ้ำ

“สวัสดีคับน้องพี สวัสดีคับคุณอาทิตย์” มือใหญ่ถูกยื่นไปลูบศีรษะเด็กทั้งสองเบาๆ “รอนานไหม ขอโทษนะครับที่มาช้า”

พลัฎฐ์พยายามจะหันไปขอโทษทุกคนรอบตัว เขากวาดสายตาไปรอบๆ เพราะพอจะคุ้นหน้าอยู่บ้าง แต่ไม่รู้จักชื่อพลัฎฐ์ไล่มองมาเรื่อยจนถึงคนสุดท้ายก็ชะงักไป ... รอยยิ้มสวยที่ถูกส่งมาจากริมฝีปากหยักบาง ของคนที่เพิ่งเคยเจอกันครั้งแรก และดูเหมือนตะวันจะเข้าใจสายตาสงสัยของชายหนุ่มได้เป็นอย่างดี เขาจึงเริ่มแนะนำสมาชิกบนโต๊ะอาหารให้พลัฎฐ์รู้จักรายคน

“คุณพลัฎฐ์ครับ นี่ป้าวันดีครับเป็นแม่ครัวใหญ่ของร้านอาหารผม ส่วนสามคนนี้ น้ำตาล พี่มีนา และเมษาเป็นเด็กในร้านครับ”

ทุกคนยกมือไหว้พลัฎฐ์ ในขณะที่พลัฎฐ์เองยกมือไหว้ตอบป้าวันดีเช่นกัน ทำเอาป้าวันดีปลาบปลื้มไม่น้อยที่คนระดับผู้บริหารของบริษัทใหญ่มีมารยาทให้ความนับถือคนตามวัยวุฒิ

“ส่วนนี่” ตะวันผายมือไปยังฝั่งตรงข้ามที่นั่งของตัวเอง ก่อนจะเอ่ยแนะนำ “ชนกันต์ครับ ลูกพี่ลูกน้องของผม”

พลัฎฐ์ลุกขึ้นยืนพร้อมกับชนกันต์ ก่อนที่ต่างฝ่ายจะต่างยื่นมืออกมาจับ เพื่อทำความรู้จักกัน

“เรียกชาร์มก็ได้ครับ” ใบหน้าสวยหวานส่งยิ้มบอกอีกฝ่ายเสียงใส

“ผมพลัฎฐ์ครับ” คนตัวโตเองก็ส่งยิ้มตอบ ก่อนจะแอบดึงมือกลับเนียนๆ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมปล่อยมือเขาเสียที

ชนกันต์มองอีกฝ่ายตาเยิ้ม เขารู้สึกว่าอาหารบนโต๊ะแทบจะหมดความน่ากินไปทันที เมื่อพลัฎฐ์ปรากฎตัวขึ้นมา ก็อย่างที่บอกไปว่าชนกันต์ค่อนข้างชัดเจนกับรสนิยมตัวเอง ... เขาชอบผู้ชาย และผู้ชายตรงหน้าก็ช่างดึงดูดสายตาเหลือเกิน ทั้งรูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าหล่อเหลา การแต่งกายก็ภูมิฐาน ทุกอย่างช่างดูดีไปหมดจนกระทั่ง

“ปะป๊าคับปะป๊า น้องพีหิวแย้ว”

หนุ่มน้อยพีรยสถ์ที่ชนกันต์เพิ่งได้รู้จักไปเมื่อครู่เอ่ยขึ้น ทำเอาเจ้าของหน้าสวยหวานหุบยิ้มแทบไม่ทัน เรียกปะป๊าเสียขนาดนี้... ไม่ต้องเดาก็รู้ ว่าเป็นอะไรกัน

ชนกันต์หันไปตักอาหารใส่จานของตัวเองทันที และหมดความสนใจกับคนตรงหน้าไปอย่างสิ้นเชิง ถึงจะโสดแต่มีลูกติด ชนกันต์ก็ไม่ไหวหรอก เขาเลี้ยงเด็กไม่เก่ง ถ้าให้เล่นประเดี๋ยวประด๋าวแบบที่เล่นกับเจ้าอาทิตย์น่ะได้ แต่ถ้าให้เลี้ยงจริงจังเอามาเป็นลูกนี่คงต้องขอบาย ไม่ไหวจริงๆ

“ไหนครับ น้องพีของปะป๊าอยากทานอะไร ... อาหารของพี่ตะวันน่ากอนทุกอย่างเลย” พลัฎฐ์พูดด้วยรอยยิ้ม สายตาและท่าทางบ่งบอกว่าชื่นชมคนที่นั่งห่างออกไปสองเก้าอี้เด็กกั้นอย่างหมดสิ้น ทำเอาคนถูกชมแก้มแดงขึ้นเล็กน้อยอย่างน่ามอง และแน่นอนว่าชนกันต์เห็นทุกอย่าง มันชัดเจนจนน่าสงสัย เขาจึงอดไม่ได้ที่จะหาคำตอบ

“คุณพลัฎฐ์เป็นผู้ปกครองของน้องพีเหรอครับ?” ชนกันต์ชวนคุยและเอ่ยถามอย่างสุภาพ ถามแบบไม่ให้ดูสอดรู้สอดเห็นจนเกินไป

“ครับ น้องพีเป็นลูกชายผมเองครับ” พลัฎฐ์เอ่ยตอบสบายๆ ไม่ได้มีท่าทีปิดบังอะไร ทำให้ชนกันต์เลือกที่จะถามต่อแบบสบายๆ เช่นกัน

“ว่าแต่ไปรู้จักกับตะวันได้ยังไครับนี่?”

“คุณพลัฎฐ์อยู่บ้านติดกับบ้านหลังใหม่ของฉันน่ะ เมื่อวานนี้ฉันแวะไปทำความรู้จักคุณพลัฎฐ์มา แล้วน้องพีกับอาทิตย์ก็เกิดจะติดอกติดใจกลายเป็นเพื่อนสนิทกันขึ้นมา วันนี้ฉันเลยชวนคุณพลัฎฐ์เขามาด้วย ยังไงก็บ้านใกล้เรือนเคียง”

ตะวันร่ายยาวตอบ ในขณะที่ชนกันต์พยักหน้าหงึกหงักราวกับเข้าใจ แม้เขาจะสงสัยหน่อยๆ ว่า ทำไมคนอย่างตะวันที่หวงพื้นที่ส่วนตัวเป็นที่สุด จะยอมสนิทสนมกับคนข้างบ้านที่รู้จักกันไม่ทันข้ามคืน จนถึงขั้นชวนกันมางานเปิดร้านขนาดนี้

“อ๋อ แบบนี้นี่เอง” ชนกันต์ครางรับ “ถ้าอย่างนั้นผมก็ฝากน้องชายของผมทั้งสองคนด้วยนะครับ มีคุณพลัฎฐ์ที่ดูพึ่งพาได้อยู่ใกล้ๆ ผมก็อุ่นใจ เพราะตะวันน่ะ ตัวเล็กจิ๋วขนาดนั้น เกิดเรื่องอะไรมาผมล่ะกลัวจะเอาตัวไม่รอดจริงๆ”

ตะวันพอได้ยินแบบนั้นก็ค้อนคนที่มีศักดิ์เป็นพี่เข้าให้ ทำเอาพลัฎฐ์หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างเอ็นดู ก่อนที่อีกฝ่ายเลือกที่จะถามชนกันต์กลับบ้าง

“ว่าแต่คุณชาร์ม ทำไมไม่มาอยู่กับคุณตะวันล่ะครับ ดูท่าทางคุณสองคนน่าจะเป็นลูกพี่ลูกน้องที่สนิทกันน่าดู” ชนกันต์ยิ้มสวย ก่อนจะเอ่ยตอบ

“ร้านผมอยู่ห่างจากบ้านใหม่ตะวันเป็นโยชน์เลยครับ ไม่สะดวกเลย”

พลัฎฐ์ขมวดคิ้วมุ่น พลางนึกสงสัยว่าทำไมคนครอบครัวนี้ถึงมีกิจการอะไรกันเองทั้งหมด

“ร้านเหรอครับ?”

“ร้านทำผมน่ะครับ” อีกครั้งที่ตะวันเป็นคนเฉลย “ชาร์มเป็นช่างทำผมครับคุณพลัฎฐ์ เป็นมาตั้งแต่อายุยังไม่ยี่สิบเลยด้วยซ้ำ... ชาร์มเป็นคนมีพรสวรรค์ด้านนี้ ที่บ้านเลยสนับสนุนเปิดร้านให้มาหลายปีแล้ว ลูกค้าเยอะเชียวครับ”

คนมีศักดิ์เป็นน้องเอ่ยแซวคนที่มีศักดิ์เป็นพี่ขำๆ แต่ถ้าจะคิดว่าชนกันต์จะถ่อมตนอะไรแบบนั้น ขอให้รู้เลยว่าคิดผิด อย่าให้ท่าทีสวยหวาน น่ามอง นั่นหลอกตาได้เชียว นิสัยจริงๆ ของชนกันต์ไม่ได้มุ้งมิ้งอย่างที่เห็นหรอก ตะวันรู้ดี

“ว่าได้ที่ไหนล่ะ ก็ฉันมันดันเก่งจริงๆ เสียด้วยสิ” เจ้าของร้านทำผมยักไหล่น้อยๆ ราวกับจะไม่ปฏิเสธคำอวดอ้างสรรพคุณของตัวเอง ทำเอาพลัฎฐ์หลุดขำออกมาพรืดใหญ่

“อ่ะๆ เรื่องของร้านทำผมฉันน่ะเอาไว้ก่อนเถอะ วันนี้มายินดีให้กับร้านใหม่ของนายดีกว่าตะวัน”

ชนกันต์ว่าพลางยกแก้วไวน์ของตัวเองมาถือไว้มั่น ก่อนจะเป็นคนเริ่มเอ่ยอวยพรให้น้องชายสุดที่รักของตัวเอง

“ยินดีด้วยนะตะวัน ขอให้ร้านพระอาทิตย์ของนายประสบความสำเร็จ ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าเลยนะ”

“ใช่ครับ ผมก็ขอให้กิจการร้านพระอาทิตย์ของคุณตะวันเป็นไปอย่างราบรื่นนะครับ” พลัฎฐ์เองก็เอ่ยอวยพรให้อีกฝ่ายด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ตะวันยิ้มรับ ก่อนจะยกแก้วไวน์ดื่มเป็นคนแรกแทนคำขอบคุณ

“ขอบคุณทุกๆ คนมากนะครับ”

... The Sun’s แปลว่าของพระอาทิตย์ ชื่อของเขาและของอาทิตย์ทั้งชื่อเล่นและชื่อจริงล้วนมีความหมายถึงความเจิดจ้าที่เป็นเสมือนแหล่งพลังงานชั้นยอดของโลกอย่างพระอาทิตย์ซ่อนอยู่ และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมตะวันถึงตั้งชื่อร้านอาหารว่า The Sun’s

ทุกคนยกแก้วไวน์ขึ้นดื่มพร้อมกัน โดยมีเจ้าหนูทั้งสองยกแก้วเลียนแบบโดยที่ในแก้วเซรามิคลายการ์ตูนมีเพียงน้ำเปล่าเท่านั้น

“เย่ๆ ชนๆ”

เด็กน้อยผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรมาก เห็นผู้ใหญ่ทำท่าเลี้ยงฉลองก็ทำบ้างอย่างน่าเอ็นดู ทำเอาตะวันกับพลัฎฐ์อดไม่ได้ที่จะหันมาสบตากันเมื่อมองไปยังเด็กทั้งสองที่นั่งกั้นกลางระหว่างพวกเขาอยู่

ทั้งคู่มองกันและกันเหมือนถูกดึงดูดทำให้ละสายตาออกจากกันไม่ได้ รอยยิ้มบางๆ ปรากฏอยู่บนริมฝีปากของคนทั้งสอง และทุกอย่างก็อยู่ในสายตาของชนกันต์ทั้งหมด ใบหน้าสวยหวานยกยิ้มบางๆ คำถามที่ได้รับการสงสัยก่อนหน้า ดูเหมือนว่าจะได้รับคำตอบที่ค่อนข้างชัดเจนแล้วในตอนนี้ เขาคิดในใจอย่างโล่งอกว่า ดีนะที่เขาถอนตัวจากพลัฎฐ์ทัน ไม่งั้นสงสัยมีหวัง อกหักตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มจีบอีกฝ่ายแน่ๆ

.

.

.

To Be Continue

--------------------------

Talk: ตอนนี้ทำไมยาวจัง ฮ่าๆๆ ...

ฝากติดแท็ก #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว ในทวิตเตอร์ด้วยนะคะ แล้วก็ฝากคอมเม้นท์ติดชมด้วยยย ชอบไม่ชอบยังไงบอกได้น้า

ขอบคุณมากๆ สำหรับทุกคอมเม้นท์และกำลังใจนะคะ❤
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 28-06-2019 20:30:39
ป๊ะป๊าน้องพีต้องคิดใหม่ละนะ ใครจะตกหลุมใครกันแน่

คู่เด็กนี่ น่าร้ากกก  :-[

รออ่านต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: [Up 6th] The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: Chapter 5th ::
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 02-07-2019 19:28:09
:: Chapter 5th - ตัวเล็กของพี่ ::


“วันนี้กลางวันผมไปทานข้าวด้วยนะครับคุณตะวัน”

ล่วงเลยมาจนถึงวันทำงานวันสุดท้ายของสัปดาห์ ซึ่งก็คงไม่ต่างจากสี่วันที่ผ่านมาที่พลัฎฐ์มักจะพาลูกชายมาส่งให้กับตะวันก่อนออกไปทำงาน

และก็ดูเหมือนจะเป็นเช้าวันที่สี่แล้ว ที่พลัฎฐ์บอกแบบนี้มาตลอดไม่เปลี่ยนแปลง

“เอ่อ... คุณจะว่างลงมาเหรอครับ ให้ผมทำแล้วให้เมษขึ้นไปส่งให้คุณดีไหมครับ”

และก็เป็นเช้าวันที่สี่แล้วเช่นกัน ที่ตะวันถามพลัฎฐ์กลับแบบนี้ทุกครั้ง ซึ่งก็ดูเหมือนคำตอบที่เจ้าของร้านอาหารได้รับจะเป็นเหมือนเดิม

“ไม่เป็นไรครับ ผมลงมาทานที่ร้านคุณดีกว่า จะได้เจอน้องพีด้วย”

ตะวันไม่กล้าแย้งอะไรต่อ พอพลัฎฐ์อ้างว่าอยากมาเจอลูกชาย ทั้งๆ ที่ตอนเย็นเขาก็ต้องได้เจอน้องพีอยู่แล้ว ซึ่งตะวันไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ว่าทำไมพลัฎฐ์ต้องพาตัวเองมาลำบากทั้งที่งานก็ล้นมือขนาดนั้น

ช่วงสองวันแรกพลัฎฐ์ลงมาอุดหนุนอาหารกลางวันที่ร้านของตะวันทุกวัน และก็เป็นทุกวันที่ชายหนุ่มจะต้องถูกโทรตามจากทั้งเลขาฯ จากบรรดาผู้บริหาร จากลูกค้า หรือแม้กระทั่งจากคุณพ่อคุณแม่ที่โทรมาคุยเรื่องงานจากต่างประเทศ ทำให้บางครั้งพลัฎฐ์แทบไม่มีเวลาแตะอาหารเลยด้วยซ้ำ กว่าจะคุยเคลียร์จบก็แทบจะเลยเวลาพักแล้ว ซึ่งพลัฎฐ์ก็ต้องเผื่อเวลาเดินกลับไปออฟฟิศอีก ตะวันจึงเห็นว่าไม่มีกลางวันของวันไหนเลย ที่พลัฎฐ์จะได้ทานเต็มมื้อโดยไม่ถูกขัดจังหวะหรือรบกวน ตะวันเลยคิดว่ามันน่าจะดีกว่าหากพลัฎฐ์เลือกกินอาหารอยู่บนออฟฟิศ ไม่ต้องเสียเวลาเดินไปเดินกลับ ถึงจะโดนรบกวนโทรตามเรื่องงาน แต่พลัฎฐ์ก็น่าจะกินอาหารได้สะดวกกว่าลงมากินที่ร้านเขาแบบนี้

แต่ก็อย่างที่เห็น เพราะถึงแม้ตะวันจะพยายามท้วงเพียงใด แต่พลัฎฐ์ก็จะยืนยันแบบเดิมทุกครั้งว่าเขายินดีที่จะลงมา ซึ่งยิ่งพอพลัฎฐ์เอาความอยากเจอลูกมาอ้าง ตะวันยิ่งทำอะไรไม่ได้ นอกจากให้ขนม แซนด์วิช หรือผลไม้ติดมืออีกฝ่ายกลับไปในทุกๆ กลางวันแทน

"ปะป๊าไปแล้วนะครับน้องพี อยู่กับพี่ตะวันไม่ดื้อไม่ซนนะครับ แล้วเดี๋ยวกลางวัน ปะป๊าไปทานข้าวด้วย"

"คับปะป๊า"

หลังจากสั่งลูกลายตัวน้อยเรียบร้อย พลัฎฐ์ก็ขอตัวไปทำงาน และพอคล้อยหลังคนข้างบ้าน ตะวันก็ได้แต่สงสัยและคิดไม่ตก พักหลังมานี้ครอบครัวเขาและพลัฎฐ์แทบจะตัวติดกันเป็นแฝดสยาม นอกจากจะเห็นน้องพีที่ไหนเห็นอาทิตย์ที่นั่นแล้ว ยังเห็นตะวันที่ไหนเห็นคุณพลัฎฐ์ที่นั่นต่างหากด้วย

.

.

.

ร้านอาหารของตะวันกำลังไปได้สวย เพราะลูกค้าแน่นร้านทุกวัน โดยเฉพาะช่วงกลางวันและช่วงเย็น

บรรดาอาหารคาวทั้งหลาย ได้รับคำชมจากลูกค้าไม่ขาดปาก ทำเอาป้าวันดีหน้าบานยิ้มไม่หุบอยู่หลายวัน ส่วนขนมที่ตะวันทำก็ขายหมดตู้วันต่อวันทุกวัน บางวันก็ขายไม่พอ ต้องทำเพิ่มมาเสริมอยู่บ่อยๆ ทำให้คนเป็นเจ้าของร้านอย่างเขานึกปลื้มใจที่ร้านได้รับความนิยมขนาดนี้

"เย็นนี้ปิดร้านเวลาเดิมหรือเปล่าครับคุณตะวัน"

พลัฎฐ์ถามขึ้นในขณะที่เขาทั้งสี่คนนั่งทานอาหารกลางวันด้วยกัน ที่จริงจะเรียกว่าอาหารกลางวันก็ไม่ถูก เพราะนี่มันก็เกือบจะบ่ายแล้ว พลัฎฐ์เล่นลงมาถึงที่ร้านของตะวันเกือบเที่ยงครึ่ง จนเด็กๆ ทานข้าวไปเสร็จแล้ว และกว่าพลัฎฐ์จะได้ลงมือทานข้าวจริงจัง ทั้งน้องพีและอาทิตย์ก็จัดการเค้กก่อนน้อยๆ กันไปได้ครึ่งทางแล้วเช่นกัน

"น่าจะเวลาเดิมครับ ถ้าไม่มีลูกค้าหลงเข้ามาก่อนปิด"

ตะวันตอบพลางใช้กระดาษทิชชู่เช็ดปากที่เลอะครีมเค้กให้น้องพีอย่างเบามือ "คุณพลัฎฐ์มีอะไรรึป่าวครับ?"

"ไม่มีอะไรมากครับ ผมกะจะชวนคุณตะวันไปเดินซื้อของที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตนิดหน่อยน่ะครับ"

ตะวันคิดคำนวณ ที่จริงร้านอาหารปิดตอนสองทุ่มครึ่ง แต่บางวันตะวันก็อยู่ไม่ถึงเวลานั้น ส่วนใหญ่ก็ไหว้วานให้เด็กในร้านปิดสลับๆ กันไป หรือไม่ถ้าวันไหนอาทิตย์ไม่งอแงว่าง่วง ตะวันก็จะอยู่ปิดร้านเอง แต่ถ้าเป็นไปได้ตะวันจะไม่ค่อยอยากให้อาทิตย์นอนดึกนัก ดังนั้นพอลูกค้าเริ่มซา ตะวันก็มักจะพาอาทิตย์และน้องพีกลับบ้านไปพักผ่อนก่อน

“ได้ครับ ถ้าคุณพลัฎฐ์เลิกงานแล้วโทรมาบอกนะครับ เดี๋ยวผมจะเก็บของรอ เรื่องร้านอาจจะให้พี่มีนาช่วยปิดให้ คุณพลัฎฐ์ไม่ต้องเป็นห่วง”

ตะวันยิ้มหวานหลังจากตอบจบ พลัฎฐ์ไม่อยากจะยอมรับเลยว่านับวันที่ได้ใกล้ชิดคนตัวเล็กกว่าเขายิ่งห้ามใจตัวเองได้ยากขึ้นทุกที บางครั้งที่เห็นตะวันยิ้ม เห็นตะวันทำอะไรน่ารักๆ ริมปากหยักก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มตามทุกครั้ง ความสดใส ความเป็นตัวของตัวเองของตะวันทำให้เขารู้สึกอยากอยู่ใกล้ แต่จะออกตัวว่าชอบอีกฝ่ายจนออกนอกหน้าก็คงดูไม่ดีเท่าไหร่นัก แน่นอนว่าเขาไม่เคยจีบผู้ชายมาก่อน แต่มันไม่ใช่เรื่องยากหรอก ถ้าเขาจะเดินหน้าสานสัมพันธ์กับตะวันอย่างจริงจัง แต่สิ่งที่เขาไม่มั่นใจก็คือความรู้สึกของอีกฝ่ายต่างหาก ตะวันจะชอบเขาไหม ความรักระหว่างชายหนุ่มสองคนเป็นสิ่งที่อีกฝ่ายรับได้หรือเปล่า และที่สำคัญพี่ชายของอาทิตย์มีใครคนอื่นอยู่ในใจหรือไม่ นั่นเป็นสิ่งที่พลัฎฐ์ไม่เคยรู้เลย

พลัฎฐ์ยอมรับว่าที่หาทางอยู่ใกล้ตะวันทุกวันแบบนี้ก็เพราะเขาอยากรู้ความเป็นไป อยากรู้เรื่องราวของอีกฝ่ายในทุกๆ เรื่องที่เป็นไปได้ แต่งานของเขาก็รัดตัวมากเกินกว่าที่จะมานั่งเฝ้า นั่งเอาอกเอาใจ นั่งติดตามคอยมองว่ามีใครเข้ามาจีบหรือติดพันตะวันหรือเปล่า แค่ปลีกตัวลงมาทานข้าวกลางวันด้วยกันในหลายๆ วันที่ผ่านมาก็ทำเอาเขาโดนโทรตามจนแทบไม่เป็นอันอยู่อันกิน แล้วแบบนี้จะมีเวลาที่ไหนไปสืบ ไปจับตามองเรื่องของอีกฝ่ายกัน

“ปะป๊าคับ กินอันนี้ไหม น้องพีให้ปะป๊า” ลูกชายตัวน้อยน่ารักยื่นช้อนที่มีเค้กคำเล็กๆ มาให้คนเป็นพ่อด้วยท่าทางน่าเอ็นดู ทำเอาพลัฎฐ์ที่กำลังคิดเรื่องของตะวันชะงัก และคิดอะไรดีๆ ขึ้นได้ เมื่อเห็นใบหน้าน่ารักของลูกชายอยู่ในกรอบสายตา

“อ้ามๆ ปะป๊าอ้าปากสิ น้องพีป้อน” พลัฎฐ์อ้าปากกว้างรับเอาช้อนเล็กๆ ที่ลูกชายยื่นมาจ่อเข้าปาก ก่อนจะกล่าวขอบคุณเจ้าเทวดาตัวน้อยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“ขอบคุณครับลูก ปะป๊าอร่อยมากเลย” มือใหญ่ยื่นไปลูบศีรษะกลมของคนเป็นลูกอย่างเบามือ หน้าตาท่าทางนิ่งๆ สงบๆ ที่แสดงออกมาให้ตะวันเห็นนั้น ขัดกับแผนการที่คนตัวโตกำลังวางอย่างแยบยลอยู่ในสมอง

“อะหย่อยๆ พี่ตะวันทำอะหย่อย น้องพีชอบกินมาก” เด็กชายพีรยสถ์ยิ้มตาหยีให้คนเป็นพ่อ โดยที่มีครีมเค้กเปื้อนอยู่ที่มุมปากให้พลัฎฐ์ต้องเอานิ้วโป้งปาดออกเพื่อทำความสะอาดให้ลูกชายก่อนที่จะส่งนิ้วโป้งนั้นเข้าปากของตัวเอง

ซึ่งการกระทำที่ว่าของพลัฎฐ์อยู่ในสายตาของตะวันทั้งสิ้น... และจู่ๆ ใจเขาก็เต้นแรงขึ้นแบบไม่มีสาเหตุ

ไม่อยากจะยอมรับ แต่การทำแบบนั้นของคุณคนข้างบ้านมันเซ็กซี่เป็นบ้า ขนาดว่าตะวันเป็นผู้ชายยังรู้สึกเลยว่าหน้าของเขาร้อนไปหมด ร้อนจนต้องยกมือขึ้นมาพัดโบกให้ความเย็นแก่หน้าตัวเอง

“พี่ตะวันเป็นอาราย?” เจ้าน้องชายตัวแสบของตะวันเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงยานคางเพราะกำลังดึงช้อนที่ใช้ตักเค้กออกจากปาก

“หือ? พี่เป็นอะไรเหรออาทิตย์” ตะวันย้อนถามน้องเพราะไม่รู้ถึงความผิดปกติของตัวเอง

อาทิตย์เอียงคอเล็กน้อย เพราะไม่เข้าใจท่าทางของคนเป็นพี่ เนื่องจากเจ้าหนูน้อยเห็นพี่ชายตัวเองมีท่าทางแปลกๆ แถมแก้มยังแดงก่ำ เลยเป็นห่วงกลัวว่าพี่ตะวันจะไม่สบาย เพราะเวลาที่อาทิตย์ไม่สบาย พี่ตะวันมักจะบอกว่าอาทิตย์หน้าแดงๆ ตัวแดงๆ เหมือนกุ้ง อาทิตย์ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ว่าเป็นยังไง แต่เจ้าหนูเข้าใจว่ามันน่าจะเป็นเหมือนที่พี่ตะวันเป็นตอนนี้ แดงไปหมดทั้งหน้า แดงลามมายันคอเลยด้วยซ้ำ

“ก็พี่ตะวันหน้าแดง แล้วพี่ตะวันก็ทำมืองี้ๆ ด้วยอ่ะคับ” เจ้าอาทิตย์ดวงน้อยว่า พลางทำโบกมือๆ สะบัดๆ ตรงหน้าตัวเองเลียนแบบพี่ชาย ทำเอาตะวันยิ่งหน้าแดงหนักกว่าเดิม ดูเหมือนเขาจะเพิ่งรู้ตัวว่าไอ้อาการหน้าร้อนของเขาเนี่ยมันดันไปโชว์ให้คนอื่นเห็นโดยผ่านสีหน้าแดงๆ ของตัวเอง

และพอดวงตากลมโตเหลือบไปเห็นว่าพลัฎฐ์กำลังจะหันมาทางตัวเอง ตะวันก็ลุกขึ้นยืนพรวดพราด ทำเอาเจ้าอาทิตย์ดวงน้อยถึงกับสะดุ้งตกใจ เพราะเมื่อกี้เจ้าหนูยังเอียงคอมองพี่ชายตัวเองอย่างสงสัยปนเป็นห่วงอยู่เลย

“คุณตะวันครับ?”

พลัฎฐ์เองก็ตกใจ เขามองตามร่างเล็กที่ตอนนี้ยืนเต็มความสูงและกำลังหันไปทางอื่นด้วยสายตางุนงง ก่อนจะเอ่ยตะกุกตะกักเหมือนคนมีพิรุธก็ไม่ปาน

“ผะ.. ผมต้องไปช่วยป้าวันดีในครัว” ตะวันพูดไม่มองหน้าปะป๊าของน้องพี ก่อนที่หันไปหาน้องชายตัวเอง พลางก้มหน้าลงไปกดจมูกบนแก้มนิ่มของน้อง “พี่ตะวันไม่ได้เป็นอะไรครับ แค่ร้อนนิดหน่อย อาทิตย์ไม่ต้องเป็นห่วงนะ”

ด้วยความที่เห็นน้องมองตัวเองตาไม่กะพริบ เลยไม่อยากหลีกเลี่ยง ขืนไม่ตอบเจ้าหนูน้อย มีหวังอาทิตย์ได้ร้องตามเขาเข้าไปในครัวแน่ๆ เห็นอายุแค่นี้ แต่สังเกตความรู้สึกคนอื่นเก่งน่าดู ตะวันเลยต้องรีบก้มลงไปตอบ เพราะไม่อยากให้น้องสงสัยไม่เลิก

“อ๋อครับ เดี๋ยวยังไงผมพาเด็กๆ เข้าไปที่ห้องพักด้านหลังเอง คุณตะวันไปทำงานเถอะครับ”

ตะวันพยักหน้ารับ เขาหันแค่เสี้ยวหนึ่งของหน้าตัวเองมามองพลัฎฐ์ ก่อนจะหันหลังเดินเร็วๆ ออกไปทางห้องครัว เพราะกลัวคนตัวโตกว่าจะสังเกตเห็นว่า จนถึงเวลานี้หน้าเขายังไม่ได้หายแดงแม้แต่นิดเดียว

ตะวันเดินเข้าไปในครัวแล้ว ในขณะที่เด็กชายสองคนยังคงนั่งคุยกันงุ้งงิ้งอยู่ข้างๆ พลัฎฐ์ ชายหนุ่มมองเด็กทั้งคู่ด้วยสายตาอ่อนโยน โดยเฉพาะกับเจ้าตัวเล็กของเขา ... ไม่น่าเชื่อว่าอีกแค่สัปดาห์เดียวน้องพีจะเข้าโรงเรียนอนุบาลแล้ว เด็กตัวแดงๆ ที่เขาเคยอุ้มเมื่อสมัยยังแบเบาะ เติบโตขึ้นมาได้มากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

“น้องพี บ่ายนี้เล่นต่อเลโก้กันไหม พี่ตะวันเพิ่งซื้อเลโก้ให้คุณอาทิตย์ใหม่ บอกให้เอามาแบ่งกันเล่นกับน้องพี”

“เอาสิ เย่นกัน น้องพีอยากต่อเยโก้เป็นยูปเคื่องบิน คุณอาทิตย์ช่วยน้องพีต่อด้วยน๊า”

พลัฎฐ์แอบขำเมื่อได้ยินน้องพีพูดโต้ตอบเด็กชายข้างบ้าน ดูเหมือนว่าเด็กน้อยของเขาก็ยังคงเป็นเด็กน้อยวันยังค่ำ ล.ลิง กับ ร.เรือ เป็นอุปสรรคในการออกเสียงของเจ้าลูกชายเขาไม่เปลี่ยนแปลง

“ไปครับเด็กๆ เดี๋ยวปะป๊าไปส่งที่ห้องทำงานพี่ตะวัน นั่งตรงนี้เดี๋ยวขวางทางลูกค้าเนอะ”

พลัฎฐ์ว่าพลางอุ้มน้องพีที่กางแขนทั้งสองข้างให้อย่างรู้งานขึ้นแนบอก ส่วนอาทิตย์ดวงน้อยก็ฉลาดเฉลียวมากพอที่จะค่อยๆ ปีนลงเก้าอี้เด็กที่เขานั่งอยู่ และพอเท้าน้อยๆ แตะยืนบนพื้นได้มั่นคง มือเล็กๆ ของเด็กชายของบ้านก็เอื้อมมาจับกับมือใหญ่ของพลัฎฐ์ที่ยื่นไว้รอท่าอยู่แล้วเช่นกัน

เจ้าของรูปร่างสูงใหญ่อุ้มเด็กชายหนึ่งคนและจูงเด็กชายอีกหนึ่งคนไปส่งที่ห้องทำงานของตะวัน และก่อนที่จะหมุนตัวออกจากห้องทำงาน ก็ได้ยินเสียงใสๆ ของเจ้าหนูอาทิตย์ดังขึ้นมาเสียก่อน

“ขอบคุนคับคุณลุง”

สองเท้าชะงักกึก นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อาทิตย์เรียกเขาว่า ‘ลุง’ แต่เป็นครั้งแรกที่พลัฎฐ์รู้สึกตะขิดตะขวงอยู่ในใจ...

อาทิตย์เป็นน้องชายของตะวัน ถ้าอาทิตย์เรียกเขาว่าลุง แบบนี้ไม่เท่ากับเขาเป็นลุงของตะวันด้วยเหรอ?

พลัฎฐ์ผู้ซึ่งไม่เคยมีปัญหากับสรรพนามเรียกขานของอาทิตย์มาก่อน กลับไม่รู้สึกแบบนั้นอีก เขาหันหลังขวับกลับมาหาอาทิตย์ทันที ซึ่งดูเหมือนว่าหลังจากที่เจ้าหนูน้อยขอบคุณเขาเรียบร้อยแล้ว ก็ไม่ได้สนใจเขาอีก เพราะเด็กทั้งคู่กำลังหัวเราะต่อกระซิกให้กับกล่องเลโก้ที่อยู่ตรงหน้ามากกว่า

“อาทิตย์ครับ ไหนมาหาลุงหน่อยมา” เด็กน้อยหันมามองเจ้าของเสียงเรียก ก่อนจะลุกเดินเตาะแตะมาหาพลัฎฐ์ที่อ้าแขนออกกว้าง แล้วเกี่ยวเอวของเจ้าหนูเข้ามาโอบกอดไว้ พลางเอ่ยคุยด้วยน้ำเสียงใจดี

“คับคุณลุง” เด็กชายภานวีย์เอียงคออีกฝ่ายมองด้วยความสงสัย เพราะไม่รู้ว่าถูกเรียกมาด้วยเรื่องอะไร

“ลุงไม่อยากให้อาทิตย์เรียกลุงว่าลุงเลย ลุงดูแก่ขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

อาทิตย์เอียงคอมองใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่าย สีหน้าสงสัยของเด็กวัยเกือบสี่ขวบทำเอาพลัฎฐ์ใจแป้ว

หรือเขาจะดูแก่จนเป็นลุงได้จริงๆ .. บอกตรงๆ ว่าเขาเสียความมั่นใจไปมากโขทีเดียว

“ไม่นะคับ คุณลุงไม่แก่.. แต่อาทิตย์ไม่รู้จะเรียกคุณลุงว่าอะไรดี” เสียงใสๆ พูดเจื้อยแจ้วอย่างฉลาดเฉลียว ทำเอาพลัฎฐ์ต้องยิ้มออกมาบางๆ ด้วยความเอ็นดู

“งั้นเรียกลุงว่าปะป๊าแบบน้องพีดีไหมครับ?” พลัฎฐ์ลองเสนอ และก็ดูเหมือนว่าเจ้าเด็กน้อยจะชอบสรรพนามนี้ไม่น้อย

“คุณลุงก็จะเป็นปะป๊าให้อาทิตย์แบบที่เป็นปะป๊าให้น้องพีใช่ไหมคับ” อาทิตย์ยิ้มกว้างอย่างชอบใจ เขาอยากให้ลุงพลัฎฐ์เป็นปะป๊า อยากเรียกลุงพลัฎฐ์แบบเดียวกับที่น้องพีเรียก

“ใช่ครับ อาทิตย์อยากเรียกลุงแบบนั้นไหม?” พลัฎฐ์ถามย้ำ และยิ่งพอเห็นแววตาตื่นเต้นดีใจของเด็กน้อยแล้วเขายิ่งรู้สึกดี

“อยากคับ ปะป๊าพะลัด” เสียงทุ้มหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ เพราะถึงแม้อาทิตย์จะเรียกชื่อเขาไม่ชัด แต่สรรพนามนี้น่าฟังกว่าคำว่า ‘ลุง’ เป็นไหนๆ

“ดีมากครับอาทิตย์ ต่อไปเรียกปะป๊าแบบนี้นะ ตกลงไหม?”

พลัฎฐ์ยื่นนิ้วก้อยมาตรงหน้า ก่อนที่อาทิตย์จะยิ้มตาหยีส่งนิ้วก้อยของตัวเองมาเกี่ยวกับปะป๊าคนใหม่ ถือเป็นการทำสัญญาลูกผู้ชายระหว่างหนุ่มน้อยกับหนุ่มใหญ่สองวัย

“ปะป๊ากับคุณอาทิตย์ทำอะไยกันน?” เด็กชายพีรยสถ์เงยหน้าจากเลโก้ขึ้นมามองหาเพื่อนสนิทที่ดูเหมือนจะหายไปนานเกินไป เลยได้เห็นว่าสองคนกำลังเกี่ยวก้อยทำสัญญากันอยู่ เจ้าตัวน้อยเลยลุกพรวดจากที่นั่ง แล้วกระโดดรวดเดียวมาเกาะขาคนเป็นพ่อ ก่อนจะกะพริบตาปริบๆ เป็นเชิงอ้อน

“ให้น้องพีเกี่ยวก้อยด้วยสิปะป๊า เกี่ยวด้วยๆ” พลัฎฐ์ยิ้มก่อนที่จะเกี่ยวเอวลูกชายเข้ามาที่อกตัวเองด้วยแขนอีกข้างที่ว่าง แล้วทั้งสามก็ทำการเกี่ยวก้อยสัญญาพลางหัวเราะคิกคัก ทั้งที่น้องพีเองก็ไม่ได้รู้หรอกว่าพ่อกับเพื่อนข้างบ้านสัญญาอะไรกัน รู้แค่ว่าคุณอาทิตย์ทำอะไร น้องพีจะทำด้วย เพราะเราเป็นเพื่อนกัน

“น้องพีครับ ต่อไปนี้คุณอาทิตย์จะเรียกปะป๊าว่าปะป๊าแบบนี้พีนะ น้องพีโอเคใช่ไหมลูก”

พลัฎฐ์หยั่งเชิงถามลูกชายตัวน้อยที่เขาเลี้ยงมากับมือ แม้รู้ดีว่าคำตอบที่ได้จะเป็นยังไง แต่คนเป็นพ่อก็อยากถามลูกให้แน่ใจก่อน เพราะไม่อยากให้มีปัญหาภายหลัง

“เยียกเหมือนกันเยยหยอปะป๊า?” เจ้าหนูมองหน้าพ่อตัวเองสลับกับมองคุณอาทิตย์ พอคนเป็นพ่อพยักหน้ารับ เจ้าหนูก็หัวเราะคิกอย่างชอบใจ

“เอาๆ เยียกปะป๊าเหมือนกันๆ น้องพีชอบๆ” มือเล็กๆ ของเด็กชายพีรยสถ์จับไปบนมือที่ใหญ่กว่ามือตัวเองนิดหน่อยของเด็กชายภานวีย์ “คุณอาทิตย์เยียกปะป๊าเหมือนน้องพีนะ เยียกเหมือนกันๆ”

“อื้อ...” อาทิตย์ตอบรับด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะพูดกับน้องพีด้วยน้ำเสียงจริงจัง “แต่น้องพีต้องพูดว่า เรียก ไม่ใช่เยียก... ลองพูดใหม่สิ พูดช้าๆ นะ”

พลัฎฐ์มองอาทิตย์อึ้งๆ คำพูดคำจาเจ้าเด็กวัยสามขวบกว่าทำให้เขานึกทึ่งที่ตะวันสอนน้องให้เป็นเด็กมีไหวพริบได้ดีมากจริงๆ เจ้าหนูจำสิ่งที่เขาพูดกับน้องพีไม่กี่ครั้ง ไปพูดเลียนแบบได้อย่างไม่มีที่ติ

“เยียก.. งื้อ คุณอาทิตย์” น้องพีงอแง เพราะพูดไม่ได้ตามที่คุณอาทิตย์บอก แต่อาทิตย์ก็ไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่มองอีกฝ่ายด้วยสายตาคาดหวัง ทำให้น้องพีหยุดร้องและพยายามพูดอีกครั้ง “ยะ.. เยียก ฮื่อ เอาใหม่ๆ ระ.. เรียก เรียก”

เด็กชายพีรยสถ์ตาโต เมื่อพูดคำที่ต้องการได้สำเร็จ “น้องพีเก่งมาก เก่งที่สุดในโลกเลย”

อาทิตย์เอ่ยชมในขณะที่ปรบมือให้อีกฝ่าย ทำให้คนที่ได้รับการชื่นชมยิ้มกว้างจนแทบหุบไม่ได้

พลัฎฐ์มองเด็กทั้งสองด้วยสายตาเอ็นดู พลางคิดในใจว่าตอนนี้ก็จัดการกับสรรพนามที่คนน้องเรียกให้แสลงใจไปได้แล้วหนึ่ง ต่อไปก็เหลือคนพี่ เขาจะต้องกำจัดความเหินห่างระหว่างเขากับพี่ชายของเจ้าอาทิตย์ดวงน้อยให้ได้ เพียงเพราะหวังว่าจะได้เข้าใกล้กันอีกก้าวกว่าที่เคยเป็น

และในขณะที่พลัฎฐ์ตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง เขาก็ไม่ได้รู้เลยว่ามีสายตาอ่อนโยนของคนที่เขากำลังคิดถึงแอบมองอยู่มุมหนึ่งของหน้าประตูห้องทำงาน ... สายตาแบบที่พลัฎฐ์ต้องไม่คาดคิดแน่ๆ ว่าจะได้เห็นจากภานรินทร์

.

.

.

“ลุงไม่อยากให้อาทิตย์เรียกลุงว่าลุงเลย ลุงดูแก่ขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

“ไม่นะคับ คุณลุงไม่แก่.. แต่อาทิตย์ไม่รู้จะเรียกคุณลุงว่าอะไรดี"

“งั้นเรียกลุงว่าปะป๊าแบบน้องพีดีไหมครับ?”

“คุณลุงก็จะเป็นปะป๊าให้อาทิตย์แบบที่เป็นปะป๊าให้น้องพีใช่ไหมคับ”

“ใช่ครับ อาทิตย์อยากเรียกลุงแบบนั้นไหม?”

“อยากคับ ปะป๊าพะลัด”

“ดีมากครับอาทิตย์ ต่อไปเรียกปะป๊าแบบนี้นะ ตกลงไหม?”


ตะวันนึกถึงบนสนทนาที่ได้ยินเมื่อชั่วโมงที่แล้ว แล้วอดอมยิ้มกับตัวเองไม่ได้

... ไม่น่าเชื่อว่าพลัฎฐ์จะมีมุมน่ารักแบบนั้นกับเขาด้วย วันๆ ก็เห็นเอาแต่ทำหน้านิ่ง จะเห็นยิ้มก็เฉพาะตอนอยู่กับน้องพีเท่านั้น จนพอตะวันได้เห็นอีกฝ่ายในแง่มุมที่ต่างออกไป มันเลยทำให้เขาได้มองเห็นความน่ารักที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีจากคนตัวโตกว่าได้ค่อนข้างชัดเจน

ตอนนี้ผ่านไปชั่วโมงกว่าแล้วที่พลัฎฐ์เดินกลับไปทำงาน แต่ตะวันยังคงหยุดยิ้มไม่ได้ ยิ่งคิดถึงยิ่งยิ้ม และยิ่งนึกไพล่ไปถึงตอนที่คนตัวโตเอานิ้วที่เพิ่งปาดครีมออกจากปากน้องพีเข้าปากตัวเองก็ยิ่งทำให้ตะวันรู้สึกวูบวาบ เขาตอบตัวเองไม่ถูกเลยว่าตอนนี้กำลังรู้สึกอะไรกันอยู่แน่

เหตุการณ์ที่ตะวันไปแอบได้ยินบนสนทนานี้มานั้นเป็นเพราะ ช่วงหลังจากที่พลัฎฐ์อาสาไปส่งเด็กๆ ที่ห้องพักด้านหลังร้าน จนตะวันเดินออกมาหน้าร้านแล้วก็ยังไม่เห็นพลัฎฐ์กลับออกมา จึงตัดสินใจเดินเข้าไปตามอีกฝ่ายเนื่องจากเห็นว่าบ่ายคล้อยแล้ว อีกอย่างตะวันเองก็ไม่แน่ใจว่าเด็กๆ เผลอแผลงฤทธิ์อะไรใส่ท่านรองประธานฯ บริษัทตึกข้างๆ หรือเปล่า เพราะจนป่านนี้ยังไม่เห็นกลับไปทำงานเสียที

และพอตะวันเดินไปถึง ก็ได้ยินเสียงแจ้วๆ ของน้องชายตัวเองกำลังคุยกับพลัฎฐ์พอดี เขาจึงหยุดยืนอยู่หลังบานประตูที่ถูกเปิดกว้างไว้ไม่ได้ปิด เพราะโดยปกติถ้าเขาปล่อยให้น้องพีอยู่กับอาทิตย์สองคน ประตูบานนี้ก็ไม่เคยถูกปิดอยู่แล้ว เพราะตะวันจะเดินมาดูเจ้าหนูทั้งคู่อยู่เป็นระยะๆ ไม่เคยปล่อยให้อยู่ลำพังกันนานเกินไป

และเพราะประตูเปิดอยู่ ทำให้ตะวันแอบได้ยินและได้เห็นสิ่งที่เขาอมยิ้มมาจนถึงตอนนี้

... ภาพตอนพลัฎฐ์อยู่กับเด็กทั้งสอง ทำให้ตะวันแทบละสายตาไม่ได้ คนตัวโตที่สูงเกือบร้อยเก้าสิบเซ็นต์กลับดูเข้ากันได้ดีกับเด็กชายตัวจ้อยที่สูงแทบจะไม่พ้นเอวอีกฝ่ายด้วยซ้ำ

ยิ่งคิด หัวใจของตะวันยิ่งเต้นตึกตักแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาไม่แน่ใจเลยว่าตัวเองเป็นอะไร แต่แม้ลึกๆ จะพยามปฏิเสธหัวใจตัวเองแค่ไหน แต่ตะวันก็รู้ดีแก่ใจว่าเขารู้สึกดีกับพลัฎฐ์มากกว่าวันที่รู้จักกันแรกๆ มากขึ้นทุกวัน โดยที่เขาไม่แน่ใจเลยว่าอีกฝ่ายจะคิดหรือรู้สึกแบบที่เขารู้สึกอยู่หรือเปล่า ตะวันไม่แน่ใจเลย

.

.

.

“รอนานไหมครับคุณตะวัน” ร่างสูงของพลัฎฐ์ปรากฎตัวเข้ามาในร้านตอนหกโมงเย็นของวันศุกร์ “ว่าไงเด็กๆ รอปะป๊านานไหมครับ?”

“ไม่นานคับปะป๊า/ไม่นานคับปะป๊าพะลัด”

ตะวันเลิกคิ้วแสร้งทำเป็นแปลกใจตอนได้ยินน้องชายตัวเองเรียกพลัฎฐ์ว่าปาปะป๊า ... เรื่องเนียนไว้ใจภานรินทร์ได้

“หือ? อาทิตย์ครับ ทำไมเรียกคุณลุงว่าปะป๊าล่ะ ปะป๊านั่นน้องพีเค้าเอาไว้เรียกคุณพ่อเค้าไม่ใช่เหรอ หรือพี่ตะวันพลาดอะไรไปครับ?”

เด็กชายภานวีย์หัวเราะคิกเมื่อเห็นท่าทางงุนงงของพี่ชาย ก่อนที่จะเฉลยตามประสาซื่อ ไม่ได้คิดอะไรซับซ้อนอย่างที่เด็กเป็น

“ปะป๊าพะลัดบอกว่า เรียกคุณลุงแก่ไปคับ ปะป๊าพะลัดอยากให้อาทิตย์เรียกว่าปะป๊าพะลัดแบบน้องพี เพราะเราเป็นเพื่อนกันคับพี่ตะวัน”

และถึงแม้จะรู้อยู่แล้วตะวันก็หลุดขำออกมาไม่ได้ เมื่อน้องชายตัวดีบอกเหตุผลของคนอายุมากกว่าที่ไม่อยากถูกเรียกว่าลุงออกมาอีกรอบ ก่อนจะครางร้องออกมาราวกับเห็นใจอีกฝ่าย

“โถ่ คุณพลัฎฐ์ ฮ่าๆๆ”

คนขี้เก็บอาการที่มักจะทำตัวดูดีเสมอต่อหน้าตะวันกำลังเสียอาการอย่างเห็นได้ชัดกับคำพูดของอาทิตย์ คนตัวโตเกาคอแก้เก้อ ก่อนที่จะตัดพ้ออีกฝ่ายอย่างน่าสงสาร แต่กลับน่ามองมากสำหรับคนที่ไม่เคยเห็นพลัฎฐ์เป็นแบบนี้มาก่อนอย่างตะวัน

“คุณตะวันก็พูดได้สิครับ ก็น้องพีเรียกคุณตะวันว่าพี่ตลอด ในขณะที่อาทิตย์เรียกผมว่าลุง ทั้งที่เราอายุห่างกันไม่กี่ปีแท้ๆ”

คนถูกกล่าวหาว่าอายุมากทำหน้างอเสียจนตะวันนึกสงสาร เลยต้องเอ่ยปลอบ

“ครับๆ เข้าใจแล้ว คุณพลัฎฐ์ไม่แก่หรอกครับ ออกจะยังหนุ่มยังแน่นด้วยซ้ำ”

พอถูกชมเข้าหน่อย คนที่หน้างอเมื่อกี้ก็เปลี่ยนเป็นยิ้มกว้างจนน่าหมั่นไส้ และยิ่งน่าหมั่นไส้กว่าเดิมเมื่อเสียงเจื้อยแจ้วของเด็กทั้งสองดังประกอบขึ้นมา

“ปะป๊าของน้องพีหย่อที่สุด หย่อมากๆ เยยย”

“ใช่ๆ ปะป๊าพะลัดหล่อที่สุดในโลกกก ไม่แก่สักหน่อยเนาะน้องพีเนาะ”

“อื้อๆ ใช่ๆ คุณอาทิตย์ ปะป๊าไม่แก่ หย่อมากด้วย”

ตะวันแอบขำ แต่ผ่านไปไม่ถึงนาทีคนตัวเล็กกว่าก็แกล้งตีหน้าเครียด ถามเด็กทั้งสองด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“แล้วพี่ตะวันล่ะครับอาทิตย์น้องพี? พี่ตะวันไม่หล่อเหรอ?”

ตะวันพยามทำหน้าในแบบที่คิดว่าหล่อจนละลายใส่เด็กทั้งสอง ให้เจ้าหนูน้อยทั้งคู่หันไปมองหน้ากันและกัน และหันกลับมามองตะวันอีกครั้งพร้อมส่ายหน้า

... เดี๋ยวนะ ส่ายหน้านี่หมายความว่าไม่หล่อเหรอ? ใช่เหรอ?

“ฮ่าๆๆๆๆ” เสียงทุ้มของพลัฎฐ์หัวเราะออกมาจนตะวันหน้าตึง จึงหันไปคาดคั้นเอาจากเจ้าหนูน้อยเสียงเครียด

“ส่ายหน้าหมายความพี่ตะวันไม่หล่อเหรอครับ? ทำไมทำกับพี่แบบนี้ล่ะ”

ใบหน้าหวานงอง้ำ ก่อนที่เจ้าอาทิตย์ดวงน้อยคนเป็นน้อง จะโผเข้ามาเกาะแขนพี่ชายพลางยกยิ้มเห็นฟันเกือบครบทุกซี่ใส่คนเป็นพี่

“พี่ตะวันน่ารัก น่ารักมาก มากๆๆๆ เวลาพี่ตะวันยิ้มแบบนี้” ว่าพลางสาธิตด้วยการยิ้มกว้างแบบพี่ชายให้ดู “อาทิตย์ชอบมากๆ เลย เพราะพี่ตะวันน่ารัก น่ารักแบบน้องพีเลย”

“อื้อๆ พี่ตะวันน่ายัก” จากที่หน้าตึงๆ ก็หลุดขำทันทีที่ได้ยินคำว่าน่ายักของน้องพี “งื้อออ น้องพีพูดไม่ชัด น่ายักที่แปลว่าคิ้วท์”
 ดูเหมือนความหมองใจของตะวันเมื่อกี้ละลายหายสิ้นเพราะคำพูดคำจาของเจ้าหนู

"น้องพีรู้จักคำว่าคิ้วท์ด้วยเหรอครับ" ตะวันถามพลางลูบแก้มเจ้าเด็กน้อยด้วยความเอ็นดู

"ยู้จักคับ ปะป๊าสอน ซี ยู ที อี อ่านว่าคิ้วท์ แปลว่าน่ายักคับ"

ตะวันจับเจ้าหนูมากอดแนบอก ก่อนจะก้มลงไปฟัดแก้มยุ้ยๆ ของพีด้วยความเอ็นดูปนมันเขี้ยว

"เก่งมากเลยครับ น้องพีเก่งมาก"

แน่นอนว่าไม่ใช่มีแค่คำชมของตะวัน แต่ยังมีเสียงปรบมือของอาทิตย์ประกอบด้วย

รวมไปถึงมีใบหน้าหล่อเหลาของคนเป็นพ่อยิ้มกว้างด้วยความภูมิใจ

และก่อนที่จะคุยกันแล้วเวลาล่วงเลยไปกว่านี้พลัฎฐ์ก็ชวนทุกคนออกเดินทางไปซุปเปอร์มาร์เก็ตใกล้ๆ ก่อนที่จะดึกและเด็กๆ อาจจะง่วงนอน

"เราไปกันเถอะครับคุณตะวัน เดี๋ยวจะดึกมากไปกว่านี้"

"ไปครับ เดี๋ยวผมขอไปบอกพี่มีนาก่อนนะครับ ให้ช่วยปิดร้านให้"

พลัฎฐ์จัดการยกข้าวของ รวมทั้งกระเป๋าของทั้งอาทิตย์และน้องพีไปที่รถ และเป็นจังหวะเดียวกับที่ตะวันเดินกลับมาพอดี

คนตัวเล็กกว่าเป็นคนจูงเด็กทั้งสองไปขึ้นรถของพลัฎฐ์ เพราะวันนี้ตะวันต้องออกจากบ้านแต่เช้ามาทำขนมที่มีคนออเดอร์ไว้ คนอายุมากกว่าจึงเสนอให้นั่งรถออกมาพร้อมกัน ตะวันจะได้ไม่ต้องขับ เพราะยังไงขากลับพลัฎฐ์ก็ต้องมารับน้องพีอยู่แล้ว กลับพร้อมกันไปเลยก็ได้

- อ่านต่อด้านล่าง -
หัวข้อ: Re: [Up 6th] The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: Chapter 5th ::
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 02-07-2019 19:33:53
- ต่อจากด้านบน -

พอถึงรถ ตะวันก็จับอาทิตย์ขึ้นนั่งคาร์ซีทที่เบาะหลัง พลัฎฐ์เองก็เช่นกัน ตอนนี้เลยกลายเป็นว่า ทั้งรถของเขาและตะวันจะต้องมีคาร์ซีทสองอันวางไว้ที่เบาะหลัง เพราะไม่รู้ว่าวันไหนจะใช้รถใคร มีติดทิ้งไว้ดีทั้งคู่เลยดีกว่า ถ้าไม่ต้องใช้ค่อยยกเก็บหลังรถเอา

และแน่นอนว่าเบาะหน้าเป็นของผู้ใหญ่ที่ตอนนี้กำลังพูดคุยกันว่าจะซื้ออะไรบ้าง

"ของสดผมหมดเกลี้ยงตู้เลย รบกวนคุณตะวันไปช่วยเลือกหน่อยนะครับ"

ตะวันหันไปยิ้มพร้อมกับหยักหน้ารับ

"รบกงรบกวนอะไร เรื่องแค่นี้เอง ผมช่วยได้ ไม่ยุ่งยากอะไรเลย"

พลัฎฐ์ขำออกมาเบาๆ เพราะดูเหมือนทั้งเขาและตะวันจะเกรงใจกันไปเกรงใจกันมาตลอด ทั้งที่น้องพีและอาทิตย์ตัวติดกันมาก แล้วก็พลอยให้เขาสองคนสนิทสนมตามไปด้วย แต่ก็ยังมีความเกรงใจซึ่งกันและกันมากมายอยู่ดี

"นั่นสิครับ ความจริงแล้วเราน่าจะต้องเลิกเกรงใจกันได้แล้วนะครับ ฮ่าๆ" ตะวันเองก็ขำ แต่ก็อดถามออกมาไม่ได้ "ว่าแต่ เราจะเริ่มจากตรงไหนดี"

พลัฎฐ์หยุดคิดไปไม่ถึงเสี้ยวนาที ก่อนจะยิ้มออกมาบางๆ เมื่อคิดออก ... คำถามของตะวัน ช่างเข้าทางเขาเสียจริง

"งั้นเริ่มจาก สรรพนามระหว่างเราสองคนเป็นไงครับ?"

ตะวันเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะถามติดตลก "แต่ผมไม่ได้เรียกคุณพลัฎฐ์ว่าลุงนะครับ ต้องเปลี่ยนคำเรียกด้วยเหรอ?"

คนถูกแซวหน้าตึง ทำเอาตะวันอดหัวเราะออกมาไม่ได้กับท่าทางเง้างอดที่ช่างไม่เข้ากับตัวโตๆ ของพลัฎฐ์เอาเสียเลย

"คุณตะวัน"

"ฮ่าๆ ผมล้อเล่นครับ ว่าแต่ผมต้องเรียกคุณพลัฎฐ์ว่าอะไรดีที่ดูไม่เป็นทางการเกินไป"

"อืม... คุณตะวันอายุน้อยกว่าผม เอาเป็นพี่ดีมั๊ยครับ พี่พลัฎฐ์"

ตะวันหันไปมองคนที่กำลังเลี้ยวรถเข้าซุปเปอร์มาร์เก็ตด้วยหัวใจที่จู่ๆ ก็เต้นแรงขึ้นโดยไม่มีสาเหตุ

... พี่พลัฎฐ์งั้นเหรอ?

ความจริงมันก็ไม่น่าจะมีอะไรให้เขิน แต่ตะวันรู้สึกหน้าร้อนเป็นบ้า แค่จินตนาการเสียงเรียกของตัวเองที่เปล่งออกมาว่า 'พี่พลัฎฐ์' แล้ว เขาก็รู้สึกคันยิบยับไปทั่วอกโดยไม่มีสาเหตุ

"ว่าไงครับ พี่พลัฎฐ์ คุณตะวันว่าดีไหม"

"เอ่อ.. คือ ก็ได้ครับ พะ.. พี่พลัฎฐ์"

คนถูกเรียกว่าพี่กลั้นยิ้มจนปวดแก้ม ยามได้ยินเสียงหวานเอื้อนเอ่ยเรียกตัวเอง มันไพเราะกว่า น่าฟังกว่า และดูสนิทสนมมากว่าคุณพลัฎฐ์เป็นไหนๆ

และในขณะที่คนตัวโตกว่าที่ตอนนี้แววตาพราวระยับจนน่าหมั่นไส้กำลังถอยจอดรถอยู่นั้น ตะวันก็โพล่งถามขึ้นมาบ้าง

เรื่องอะไรมาให้เขาอายอยู่คนเดียว ตะวันรู้หรอก ถึงแม้ว่าพลัฎฐ์จะไม่ได้ยิ้มออกมาโต้งๆ แต่ประกายในดวงตาคมนั่นบอกได้ดีเลยแหละว่าคนถูกเรียกว่าพี่ถูกอกถูกใจมากแค่ไหน

"แล้วผมล่ะครับ พี่ เอ่อ.. พี่พลัฎฐ์จะเรียกผมว่าอะไร ผมก็ไม่เอาคุณตะวันแล้วเหมือนกันนะ”

พลัฎฐ์ยิ้ม ในขณะที่ถอยรถเข้าจอด ก่อนจะพูดในสิ่งที่ใจคิด และตั้งใจไว้ว่าอยากจะเรียกอีกฝ่ายแบบนี้

"ตัวเล็ก"

หลังเสียงทุ้มพูดคำที่ตั้งใจจบ ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่เขาดับรถพอดี เสียงในรถเงียบกริบ ดูเหมือนเด็กๆ กำลังสาละวนอยู่กับการเตรียมพร้อมจะลงรถ

ในขณะที่ตะวันเองก็หันมาหาพลัฎฐ์ในทันทีที่ปลดเข็มขัดออกเช่นกัน เขาได้ยินไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ จึงต้องถามย้ำ

"หือ? เมื่อกี้ว่าไงนะครับ"

พลัฎฐ์ยิ้มก่อนจะย้ำ

"ตัวเล็กครับ ตะวันคือตัวเล็กครับ พี่อยากเรียกแบบนี้"

ตะวันหน้าร้อนวาบ ถ้าพี่พลัฎฐ์เมื่อกี้ว่าเขินแล้ว เจอตัวเล็กเข้าไปตะวันไปไม่เป็นยิ่งกว่าเดิมอีก

"...."

"ว่าไงครับ ดีไหม"

แววตาของพลัฎฐ์พราวระยับยิ่งกว่าเดิม ดูเหมือนว่าปฏิกริยาของตะวันตอนนี้ช่างถูกใจเขาเหลือเกิน

"ผะ.. ผมไม่ได้ตัวเล็กสักหน่อย!"

คนถูกตั้งฉายาเริ่มพูดตะกุกตะกัก ยืนยันที่จะเถียงว่าตัวเองไม่ได้ตัวเล็กอย่างที่พลัฎฐ์กล่าวหา แต่ดูเหมือนว่าหลักฐานที่เป็นสภาพร่างกายของเขามันช่างคาตาเสียเหลือเกิน

"ไม่เอาผม ไม่เอาคุณแล้วครับตัวเล็ก ขนาดพี่ยังแทนตัวเองว่าพี่เลย ตัวเล็กก็ต้องแทนตัวเองว่าตะวันด้วยสิครับ ไหนว่าไม่อยากได้อะไรที่เป็นทางการไง"

พอเห็นคนข้างกายอ้ำอึ้งหน้าแดงก่ำจนเหมือนเลือดทั้งร่างกายมากองรวมกันที่สองแก้มขาวแล้วพลัฎฐ์ยิ่งอยากแกล้ง

แต่เหมือนตะวันจะไหวตัวทันเลยแกล้งทำเป็นหันไปหาเด็กทั้งสองเพื่อกลบเกลื่อน แต่ดูเหมือนโชคจะไม่เข้าข้างตะวันสักเท่าไหร่
นัก เมื่อเสียงงุ้งงิ้งของน้องพีพูดขึ้น

"ปะป๊าเยียกพี่ตะวันว่าตัวเย็กแหยะคุณอาทิตย์ ตัวเย็กคืออะไย?"

เจ้าหนูถามเพื่อนสนิทด้วยความสงสัย ซึ่งอาทิตย็ก็ไม่ทำให้น้องพีผิดหวัง

"ตัวเล็กคือเตี้ยแหละมั้ง คุณอาทิตย์ก็ไม่แน่ใจ ไว้เดี๋ยวถามพี่ตะวันให้นะ"

ตะวันได้ยินบทสนทาของเด็กน้อยแล้วน้ำตาแทบไหล และพอเหลือบตาไปมองพลัฎฐ์ที่กลั้นขำจนไหล่สั่นแล้วยิ่งเขิน เลยแสร้งทำเป็นปึงปังลงจากรถไปก่อน

"พะ.. พี่พาเด็กๆ ลงจากรถด้วยนะครับ เดี๋ยว ตะ.. ตะวันไปเอากระเป๋าของของอาทิตย์หลังรถก่อน"

"หึๆ ได้ครับตัวเล็ก"

พอจบประโยคตะวันก็พาตัวเองและแก้มแดงๆ ลงไปจากรถก่อนจะเผลอทำตัวน่าอายไปมากกว่านี้แค่ประโยคเมื่อกี้กว่าจะกลั้นใจพูดได้ก็เขินแทบแย่ ถึงแม้พอพูดออกไปแล้วจะรู้สึกอุ่นวาบๆ ในอกก็เถอะ

คนตัวเล็กกว่าจัดแจงเปิดกระโปรงท้ายรถขึ้นจนสุด เพื่อหยิบกระเป๋าของน้องชายมาสะพายไว้ที่ไหล่เล็กของตัวเอง และพอหยิบของเรียบร้อยคนที่สูงร้อยหกสิบกว่าๆ ก็พยายามที่จะเอื้อมจนสุดแขนเพื่อเกี่ยวเอาประโปรงท้ายรถที่ลอยอยู่สูงปิดลงมาให้เรียบร้อยโดยไม่ได้รู้เลยว่ามีใครยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง

พลัฎฐ์แอบอมยิ้มเมื่อเห็นท่าทางของคนที่เขาตั้งฉายาที่ไว้เรียกเฉพาะตัวเอง คนที่พยายามเถียงคอเป็นเอ็นว่าตัวเองไม่ได้ตัวเล็ก แต่กลับเกี่ยวเอากระโปรงหลังรถลงมาปิดไม่ได้

"ฮึบ.."

ตะวันเขย่งจนแทบจะสุดเท้า ในขณะที่พลัฎฐ์ก็ลอบยิ้มด้วยความเอ็นดูก่อนจะเอื้อมมือไปประกบหลังมือของคนที่พยายามอยู่นานแล้วเกี่ยวเอากระโปรงท้ายรถลงมาปิดได้สำเร็จ

ตะวันหันไปมอง และดูเหมือนว่าตอนนี้ร่างกายสูงใหญ่ของอีกฝ่ายจะยืนซ้อนเขาไว้โดยมีแขนยาวๆ กักเท้าไว้ที่กระโปรงหลังรถ โดยมีเขายืนอยู่ตรงกลางระหว่างแขนทั้งสองข้างของพลัฎฐ์ ... ไม่ต่างจากการกอดเลยสักนิด

"ก็บอกแล้วว่าเรียกตัวเล็กน่ะเหมาะแล้ว .. ตัวเล็กของพี่"

ตะวันหน้ารู้สึกเหมือนเลือดทั้งร่างมากองรวมกันที่ใบหน้าของตัวเอง เขาหันรีหันขวางทำตัวไม่ถูก พลัฎฐ์เองเห็นแบบนั้นเลยไม่อยากจะแกล้งอีกฝ่ายต่อ จึงยกมือออกจากการกักกั้นร่างบางไว้ ให้ตะวันได้ทีก็รีบเขยิบออก แล้วเดินไปหาเด็กๆ ที่ยืนจับมือกันรออยู่ข้างรถทันที

"ไปกันเถอะครับเด็กๆ"

ตะวันจูงมือพาเด็กๆ โกยอ้าวเข้าซุปเปอร์มาร์เก็ตไม่หันหลังมองคนขี้แกล้งอย่างพลัฎฐ์เลยสักนิด ทำเอาคนถูกทิ้งไว้ข้างหลังยิ้มชอบใจไม่หยุด

"ตัวเล็กครับ รอพี่ด้วยสิครับตัวเล็ก"

พลัฎฐ์ตะโกนเรียกอีกฝ่ายเสียงดัง ทำเอาตะวันชะงักเท้าแปปหนึ่ง แล้วก็ออกโกยอ้าวไม่คิดชีวิตต่อ ซึ่งภาพที่เห็นก็ทำเอาพลัฎฐ์ยิ้มกว้างจนหุบไม่ลง
ก็กะจะไม่แกล้งแล้วเชียว แต่ทำตัวน่ารักขนาดนี้ ใครจะอดใจไหวกัน

... โถ่ ขี้อายก็ไม่บอก ตัวเล็กของพี่

.

.

.

To Be Continue

-----------------------------

Talk: ฝากติดแท็ก #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว ในทวิตเตอร์ด้วยนะคะ ชอบไม่ชอบคอมเม้นท์บอกกันบ้างน๊าาา แล้วก็ขอบคุณมากๆ ที่แวะเข้ามาอ่านและเป็นกำลังใจให้ ... แล้วเจอกันตอนหน้าค่า❤
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 05-07-2019 20:29:56
:: Chapter 6th - เหมือนพี่ตะวันจะไม่สบาย ::


ในเช้าวันอาทิตย์ที่สดใสเหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจหลังจากตรากตรำทำงานมาทั้งสัปดาห์สำหรับคนอื่นๆ แต่ไม่ใช่กับพลัฎฐ์ที่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดมาตั้งแต่ตื่นนอน ไม่สิ.. ตั้งแต่เมื่อวานแล้วด้วยซ้ำ ในขณะที่ลูกชายตัวน้อยของเขาก็นั่งระบายสีอยู่ข้างๆ ไม่ได้รับรู้ถึงอารมณ์ที่ขมุกขมัวของคนเป็นพ่อเท่าไหร่ ซึ่งสาเหตุของอาการที่พลัฎฐ์เป็นก็ไม่ใช่เพราะใครอื่นไกล แต่เป็นเด็กหนุ่มบ้านข้างๆ ที่เพิ่งย้ายมาใหม่นั่นแหละ

... ตะวันหลบหน้าเขา เมื่อวานทั้งวัน ตะวันไม่แม้แต่จะเฉียดเข้ามาใกล้รั้วบ้าน หายจ้อยไปทั้งพี่ทั้งน้อง ขนาดว่าน้องพีวีดีโอคอลไปหา เพราะอยากชวนอาทิตย์มาเล่นที่บ้าน ตะวันก็หลบเลี่ยงพูดนู่นพูดนี่จนเขาต้องยอมแพ้ แม้แต่จะไปรบกวนอีกฝ่ายที่บ้านเขายังไม่กล้าทำเลย

พลัฎฐ์เข้าใจดีว่าตะวันคงทำตัวไม่ถูก เมื่อวันก่อนก็ดูเมือนว่าเขาจะรุกอีกฝ่ายหนักไปหน่อย เพราะตั้งแต่สรรพนาม ‘ตัวเล็ก’ ถูกเขาเอามาใช้เรียกแทนตัวอีกฝ่าย ตะวันก็หายไปเลยหนึ่งวันเต็มๆ อย่างที่เห็น จนตอนนี้พลัฎฐ์ยังคิดไม่ออกว่าจะหาวิธีง้ออีกฝ่ายยังไงดี ไม่ให้ดูจู่โจมจนเกินไป เดี๋ยวตะวันจะตกใจจนพาลไม่มาให้เขาเจอหน้ายิ่งกว่าเดิม

คิดไปคิดมาก็หาทางออกไม่เจอ จนต้องเผลอถอนใจออกมาหนักๆ อยู่หลายต่อหลายรอบ จนเทวดาตัวน้อยที่นั่งอยู่ข้างๆ ชักจะสงสัย จึงลุกขึ้นเดินเตาะแตะมาหาคนเป็นพ่อ แล้วปีนขึ้นนั่งบนตักกว้างอย่างเคยชิน

“หื้ม? ว่าไงครับน้องพี”

พลัฎฐ์สะดุ้งนิดหน่อยเมื่อหันมาอีกทีแล้วลูกชายก็ปีนขึ้นมานั่งจ้องหน้าตาแป๋วอยู่บนตักเรียบร้อยแล้ว นี่เขาเหม่อจนไม่รู้ว่าลูกลุกมาหาเลยสักนิด ท่าทางจะอาหารหนักไม่ใช่เล่น

“ปะป๊าเป็นอะไยคับ น้องพีได้ยินเสียง เฮ้อ เฮ้อ เฮ้อ แบบนี้ตั้งหยายยอบแย้ว” พูดไม่พูดเปล่า เจ้าหนูตัวน้อยยังอุตส่าห์เลียนแบบท่าทางการถอนหายใจให้คุณปะป๊าได้เห็นด้วย ทำเอาพลัฎฐ์อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ

“ฮ่ะๆ ปะป๊าไม่ได้เป็นอะไรครับ” พลัฎฐ์เลี่ยงจะตอบ เรื่องของผู้ใหญ่ที่น่าสับสน ไม่ใช่สิ่งที่เด็กควรต้องเอามาใส่ใจด้วย ไว้เดี๋ยวเขาค่อยคิดหาทางแก้เอา ตอนนี้คงต้องสนใจเจ้าตัวจิ๋วตรงหน้านี่ก่อน ท่าทางจะเหงา เพราะคุณอาทิตย์ของน้องพี ไม่มาเล่นด้วยสองวันแล้ว

“แล้วน้องพีล่ะลูก เป็นอะไรรึป่าวครับ เหมือนจะอ้อนๆ ปะป๊ายังไงไม่รู้” ว่าจบเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาก็โน้มหน้าผากตัวเองลงไปแตะเบาๆ กับหน้าผากของลูกชาย เมื่อเห็นว่าใบหน้าน่ารักของลูกชายมู่ทู่ลงเหมือนมีเรื่องขัดใจ

“น้องพีคิดถึงคุณอาทิตย์กับพี่ตะวัน น้องพีเหงา ไม่มีเพื่อนเย่น”

และก็เป็นไปอย่างที่เขาคิดไม่มีผิด ท่าทางซึมเซาของเจ้าหนูมีสาเหตุมาจากคนข้างบ้านจริงๆ ด้วย เป็นหนักทั้งพ่อทั้งลูกเลยทีนี้


ติ๊งหน่อง

และไม่ทันที่พลัฎฐ์จะได้พูดหรือหาทางแก้อะไร เสียงออดหน้าบ้านก็ดังขัดการสนทนาของสองคนพ่อลูกเสียก่อน ซึ่งก็ดูเหมือนว่าเด็กชายพีรยสถ์จะนึกรู้ทันทีโดยที่ไม่ต้องเดินไปดูวีดีโออินเตอร์คอมว่าคนที่มากดออดอยู่นอกรั้วบ้านคือใคร เพราะร่างเล็กของเจ้าหนูผุดลุกขึ้นยืนบนตักคนเป็นพ่อ แล้วใช้สองแขนโอบรอบคอแกร่งไว้ในท่าเตรียมพร้อมจะถูกอุ้ม ทำเอาพลัฎฐ์ต้องส่ายหัวออกมาเบาๆ กับความตื่นเต้นของลูกชาย ซึ่งเอาเข้าจริงแล้วเขาก็ตื่นเต้นไม่แพ้น้องพีหรอก ได้แต่ภาวนาในใจว่าขอให้คนที่เขาและลูกรอเจอ เป็นคนเดียวกับที่กดออดยืนรออยู่หน้าบ้านตอนนี้

“ปะป๊าไปเปิดประตูกันเย็ววว คุณอาทิตย์มาแน่ๆ คุณอาทิตย์แน่ๆ เยย”

“ครับๆ ไปเปิดประตูกันครับ”

พลัฎฐ์ยิ้มให้เด็กชายตัวน้อยในอ้อมกอด ก่อนจะอุ้มพาลูกไปที่ประตูรั้วหน้าบ้านด้วยจังหวะหัวใจที่เต้นเร็วกว่าปกตินิดหน่อย

“มาแย้วคับมาแย้ว รอสักครู่น้าคับ” น้องพีตะโกนบอกคนที่ยืนรอหน้าบ้านเสียงใส

และทันทีที่ประตูเล็กตรงรั้วบ้านเปิดออก พลัฎฐ์ก็เจอกับคนที่เขาอยากเจอมาตลอดหนึ่งวันเต็มๆ

“อะ.. เอ่อ อาทิตย์อยากมาเล่นกับน้องพีครับ พี่.. พี่พลัฎฐ์”

คนตัวโตกว่าอึ้งๆ นิดหน่อย ที่ได้เห็นหน้าคนที่คิดถึงหลังจากที่ไม่ได้เจอกันมาหนึ่งวันเต็ม และยิ่งอึ้งหนักเข้าไปอีกเมื่ออีกฝ่ายเรียกเขาว่าพี่ ตามที่ได้ตกลงกันไว้ตั้งแต่วันก่อน ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าเขาเรียกอีกฝ่ายด้วยสรรพนามที่เขาเป็นคนตั้งให้ได้เหมือนกันสินะ

ของอย่างนี้ ไม่ลองไม่รู้หรอก เสี่ยงดูสักตั้งจะเป็นไร

“งั้นเข้ามาก่อนสิตัวเล็ก นี่น้องพีก็บ่นคิดถึงอาทิตย์กับพี่ไม่ขาดปากเลย” พลัฎฐ์พูดคุยออกมาอย่างลื่นไหล ใบหน้าหล่อเหลาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ได้อย่างแนบเนียน “ดูสิ เมื่อกี้ยังหงอยอยู่เลย ตอนนี้ยิ้มหน้าบานเชียว”

คนตัวโตกว่าบุ้ยใบ้ไปยังลูกชายที่เขาอุ้มกอดอยู่ในอ้อมแขน ใบหน้าน่ารักที่ก่อนหน้านี้เคยซึมเศร้าเพราะอยากเจอเพื่อนสนิท ในตอนนี้นั้นกลับแทบจะตรงกันข้าม เพราะปากเล็กๆ นั่นส่งยิ้มกว้างจนแทบจะฉีกถึงหูอยู่แล้ว

“คุณอาทิตย์มาแย้วจริงๆ ด้วยยย น้องพีคิดถึงคุณอาทิตย์ คิดถึงๆ”

น้องพีขยับตัวเบาๆ เป็นการบอกพลัฎฐ์ว่าเจ้าหนูน้อยต้องการจะถูกปล่อยออกจากอ้อมกอดและลงไปยืนที่พื้น และดูเหมือนว่าทันทีที่เท้าเล็กๆ ทั้งสองข้างของเด็กชายแตะลงกับพื้นราบ น้องพีก็วิ่งเตาะแตะเข้าไปหาเพื่อนสนิทที่เพิ่งถูกปล่อยมือจากพี่ชายพอดีเหมือนกัน

เด็กน้อยทั้งคู่จับจูงมือกันไว้แน่น ทำเอาผู้ใหญ่อย่างตะวันถึงกับหน้าจ๋อย เพราะดูเหมือนว่าเขาจะทำให้เจ้าหนูทั้งคู่คิดถึงกันและกันมากเหลือเกิน

“พี่ตะวันขอโทษนะครับน้องพี ที่เมื่อวานไม่ได้พาคุณอาทิตย์มาหา” เจ้าของบ้านหลังข้างๆ กล่าวเสียงหงอย เมื่อเห็นท่าทางดีใจยามที่เด็กน้อยทั้งคู่ได้เจอกัน

“ไม่เป็นไยคับพี่ตะวัน น้องพีเย่นกับคุณอาทิตย์วันนี้เก๊าะได้”

“ไปกันเถอะน้องพี ไปเล่นระบายสีกัน เมื่อวานที่น้องพีส่งรูปมาให้คุณอาทิตย์ดู คุณอาทิตย์ชอบมากๆ เลย อยากระบายบ้าง”

“อื้อ.. น้องพีแบ่งยูปไว้ให้คุณอาทิตย์แย้วว ไปเย่นกันๆ”

ว่าแล้วเด็กชายทั้งสองก็พากันจูงมือเดินเข้าบ้านไป โดยไม่ได้สนใจความบรรยากาศแปลกๆ ดูกระอึดอัดและกระอักกระอ่วนเล็กน้อยของผู้ใหญ่ทั้งสองที่ยืนประจันหน้ากันอยู่ตรงประตูเล็กหน้าบ้านเลยสักนิด

ภานรินทร์มีท่าทีลุกลี้ลุกลน ในขณะที่พลัฎฐ์ตีสีหน้านิ่งสงบได้อย่างเคย ทั้งที่ในใจนึกอยากจะขำความทำตัวไม่ถูกของอีกฝ่ายเป็นที่สุด และเพื่อไม่ให้ตะวันหลุดมาดมากไปกว่านี้ พลัฎฐ์จึงเชื้อเชิญคนตัวเล็กกว่าเข้ามาในบ้าน

“เข้ามาก่อนสิครับ... ตัวเล็ก”

ตะวันสะดุ้งโหย่งตอนได้ยินเจ้าของบ้านเรียก จากนั้นจึงรีบก้าวเท้าเร็วๆ เดินผ่านเขาไป พร้อมกับอ้อมแอ้มกล่าวขอบคุณ

“ขะ..ขอบคุณครับ”

พลัฎฐ์กลั้นยิ้มจนปวดแก้ม เอาเข้าจริงเขาก็ไม่ได้อยากแกล้งคนตัวเล็กกว่าสักเท่าไหร่ แต่เวลาเห็นแก้มขาวๆ ของตะวันขึ้นสีแดงระเรื่อแล้วมันอดไม่ได้ ยิ่งมองยิ่งน่าเอ็นดู

เจ้าของรูปร่างสูงใหญ่ก้าวขาแข็งแรงตามอีกฝ่ายไปติดๆ และพอเข้าไปถึงห้องรับแขกแล้ว ตะวันก็เลือกที่จะพาตัวเองไปนั่งรวมกับเด็กๆ ที่ตอนนี้กำลังระบายสีกันอยู่อย่างขะมักเขม้น

พลัฎฐ์ตัดสินใจเดินตามเข้าไปนั่งด้วย เขาไม่อยากปล่อยให้เรื่องราวระหว่างเขากับตะวันดูอึดอัดไปมากกว่านี้ จึงคิดว่าควรจะพูดคุยกันให้รู้เรื่อง ถ้าตะวันไม่โอเคกับสรรพนามที่เขาเป็นคนตั้งให้ เขาก็อยากให้อีกฝ่ายบอกออกมาตรงๆ เพราะถึงแม้พลัฎฐ์จะชอบคำนี้มากแค่ไหน แต่ถ้าตะวันไม่โอเคเขาก็ยินดีที่จะไม่เรียกหรือไม่ทำในสิ่งที่ตะวันไม่ชอบ

“ตัวเล็กครับ..” เป็นอีกครั้งที่ตะวันสะดุ้ง พร้อมกับหันมามองพลัฎฐ์พร้อมกับแก้มแดงๆ ทำเอาคนที่ตั้งใจจะพูดในที่สิ่งต้องพูดถึงกับเผลอถอนหายใจให้กับความน่ารักของอีกฝ่ายเฮือกใหญ่ “เฮ้อ... ถ้าคุณตะวันไม่ชอบให้ผมเรียกแบบนี้ บอกผมได้นะครับ ผมไม่อยากให้คุณอึดอัดใจจนต้องหลบหน้าผมแบบนี้”

น้ำเสียงตัดพ้อ แววตาคมที่หม่นแสงลง ใบหน้าหล่อเหลาที่เศร้าสร้อย แถมการเปลี่ยนมาใช้สรรพนามที่เป็นทางการแบบเดิมทำเอาตะวันใจหายวาบ เขาส่ายศีรษะจนกลุ่มผมสีดำของตัวเองสะบัดไปตามแรงคลอน ตากลมๆ เบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่เสียงหวานที่พลัฎฐ์ชอบฟังจะเอ่ยตะกุกตะกักออกมาพร้อมกับการโบกปฏิเสธข้อหาที่ตัวเองเพิ่งได้รับมือเป็นระวิง

“ไม่ใช่นะครับพี่พลัฎฐ์ ตะ.. ตะวันไม่ได้คิดแบบนั้นเลย ตะวันไม่ได้อึดอัด ไม่ได้ไม่ชอบ พี่พลัฎฐ์อย่าคิดแบบนั้นสิครับ”

ปลายเสียงของคนตัวเล็กกว่าอ่อนลง ด้วยเพราะกังวลว่าคนตัวโตกว่าจะไม่เชื่อ

“ไม่ได้ไม่ชอบ แต่คุณตะวันก็หลบหน้าผม... มันเลยทำให้ผม...”

“ตะวันเขิน ที่ตะวันหลบหน้า เพราะแค่เขินเท่านั้นเองครับ ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้นเลย พี่พลัฎฐ์อย่าคิดมากสิ”

คนใจร้อนตัดสินใจพูดสวนโดยไม่รอให้พลัฎฐ์พูดจบเพราะกลัวอีกฝ่ายจะเข้าใจผิด เพราะในความเป็นจริงแล้วตะวันไม่ได้ไม่ชอบหรืออึดอัดอะไร เพียงแต่เขาแค่เขิน เลยยังทำใจมองหน้าอีกฝ่ายตรงๆ ไม่ได้ นึกไม่ถึงว่าจะทำให้พลัฎฐ์คิดมากไปถึงขนาดนี้

“ค่อยยังชั่ว ผม...”

“พี่ครับ.. พี่พลัฎฐ์ต้องแทนตัวเองว่าพี่"

ตะวันรีบพูดแก้ เพราะรู้สึกไม่ดีที่อีกฝ่ายกลับไปใช้สรรพนามที่เป็นทางการอีกครั้ง ทำเอาคนถูกท้วงต้องก้มหน้าซ่อนรอยยิ้มแทบไม่ทัน

“ครับ ตอนแรกพี่ก็กังวล กลัวตัวเล็กจะไม่พอใจ แต่ถ้าแค่เขินเฉยๆ พี่ก็ค่อยโล่งใจหน่อย”

พลัฎฐ์แสร้งทำเป็นพูดเรื่อยๆ สบายๆ แต่รูปประโยคก็ยังคงทำให้ตะวันเขินมากจนเผลอขบฟันตัวเองลงบนปากล่างเบาๆ

และภาพที่เห็นก็สั่นไหวหัวใจชายหนุ่มอย่างพลัฎฐ์ได้ไม่น้อย ..

“ตะวันแค่ยังไม่ชินเฉยๆ และอีกอย่างคำที่พี่พลัฎฐ์เรียก มันก็ดูไม่ค่อยเหมาะกับตะวันเท่าไหร่ มันดู...”

“น่ารัก... ใช่ไหม?” พลัฎฐ์ชิงถาม ให้ตะวันได้พยักหน้ารับอายๆ “โถ่ ตัวเล็ก ถ้าคำนี้ไม่เหมาะกับตะวันพี่ก็ไม่รู้แล้วว่าคำไหนจะเหมาะ”

ใจจริงพลัฎฐ์อยากจะเถียงออกไปให้หัวชนฝาเลยด้วยซ้ำ ว่าตะวันเหมาะกับคำนี้มากที่สุดในโลก ทำไมเจ้าตัวถึงไม่รู้ตัวว่าตัวเองน่ารักขนาดไหน ... เอาง่ายๆ ว่านี่ขนาดพลัฎฐ์เพิ่งจะรู้จักอีกฝ่ายมาได้ไม่นาน แต่ก็ไม่รู้ว่าคนตัวเล็กตรงหน้านี่ เขย่าหัวใจคนตัวใหญ่เป็นยักษ์อย่างเขาไปแล้วไม่รู้จักกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แล้วยังจะมาบอกอีกว่าคำนี้ไม่เหมาะกับตัวเอง

“แต่ตะวันเป็นผู้ชายนะพี่พลัฎฐ์ มันดูมุ้งมิ้งไปอ่ะ ไม่รู้สิครับ”

คนเถียงไม่ขึ้นเริ่มงอแง เดือดร้อนให้พลัฎฐ์ต้องหาตัวช่วย ด้วยการเรียกน้องพีกับอาทิตย์มาเป็นพวกกับตัวเอง

“น้องพีครับ คุณอาทิตย์ครับ ปะป๊าถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ”

สิ้นเสียงเรียก เจ้าหนูทั้งคู่ก็เงยหน้าขึ้นจากสมุดภาพระบายสีแล้วหันมาทางพลัฎฐ์ทันที

“ได้คับปะป๊าพะลัด”

“ได้ค้าบปะป๊า”

คนถูกเรียกว่าปะป๊ายิ้มกริ่ม ก่อนจะเอ่ยถามเด็กน้อยทั้งคู่ด้วยรอยยิ้ม

“หนูสองคนว่าพี่ตะวันน่ารักไหมครับ”

เป็นน้องพีที่ตอบออกมาก่อน ตอบโดยไม่เสียเวลาคิดแม้แต่วินาทีเดียว

“น้องพีเคยบอกไปแย้ว” คำตอบของเด็กน้อยทำเอาผู้ใหญ่ทั้งคู่สงสัย แต่แล้วก็ต้องเข้าใจ เมื่อได้ยินประโยคต่อมาของเด็กชาย “เมื่อวันนั้นไงคับ ที่น้องพีบอกว่าที่ตะวันน่ายัก น่ายักที่แปลว่าคิ้วท์”

คำตอบที่เหมือนจะติดไม่พอใจน้อยๆ ของลูกชายทำเอาพลัฎฐ์หลุดขำออกมายกใหญ่ ตะวันเองก็ไม่ต่าง เมื่อนึกขึ้นมาได้ถึงประโยคที่น้องพีเคยชมเขาเมื่อวันก่อนที่ร้านอาหาร

น้องพีกับอาทิตย์บอกว่าเขาไม่ใช่คนหล่อ แต่เป็นคนน่ายัก น่ายักที่แปลว่าคิ้วท์

และก็ต้องมายิ้มกว้างจนแทบหุบไม่ลงกับคำพูดของน้องชายตัวเองอีก

“ใช่ พี่ตะวันของอาทิตย์น่ารักที่สุด น่ารักมากว่าใครในโลกเลย” แต่แล้วจู่ๆ อาทิตย์ก็ชะงักไป ตอนมองไปที่น้องพีที่กำลังก้มหน้าก้มตาระบายสีอยู่ ทำเอาตะวันอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมจู่ๆ อาทิตย์ก็เงียบไป

“แต่.. ที่จริงคุณอาทิตย์ว่าพี่ตะวันน่ารักเท่าน้องพี น่ารักที่สุดในโลกกันสองคน”

“ฮ่าๆๆๆๆๆ”

และด้วยประโยคนั้นเองก็ทำเอาพลัฎฐ์หลุดมาด หัวเราะออกมาเสียงดังลั่น ในขณะเดียวกันตะวันเองก็รู้สึกขำน้องชายตัวเองไม่น้อย

โถ... อยากจะชมพี่ตัวเองให้เหนือกว่าใครคนอื่นๆ แต่พอกลับไปมองเพื่อนสนิทตรงหน้าแล้วเกิดเปลี่ยนใจ เลยให้น่ารักเท่ากันก็ได้ ดูเหมือนอาทิตย์จะสะดวกใจแบบนี้มากกว่า

รักกันจริงๆ นั่นแหละ สองคนนี้

ตะวันน้องมองเด็กทั้งสองพลางยิ้มอย่างเอ็นดู ประเด็นที่ว่าน่ารักไม่น่ารักถูกทำให้หายข้องใจด้วยคำพูดที่ไร้เดียงสาของเด็กสองคน ทำให้ตะวันไม่ได้ขัดเขินมากเท่าตอนแรกอีก ในขณะเดียวกันก็มีสายตาอีกคู่ที่มองมายังตะวัน สายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ตะวันไม่ทันได้เห็น

เจ้าของสายตาคมที่ทอดมองไปยังคนตัวเล็กกว่าเป็นแววตาแบบเดียวกับที่ตะวันมองเด็กชายตัวน้อยทั้งสอง เพียงแต่ว่าสายตาของพลัฎฐ์ติดจะดูเจ้าเล่ห์กว่า มีชั้นเชิงมากกว่า และแน่นอนว่าเด็กน้อยแบบตะวันจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน

เพราะเอาเข้าจริงแล้ว พลัฎฐ์ค่อนข้างจะรู้ผลลัพธ์ดีว่ามันจะออกมาเป็นแบบนี้ เขาไม่ได้คิดจะกลับไปเรียกตะวันด้วยสรรพนามที่เป็นทางการแบบนั้นอีกตั้งแต่แรก เพียงแต่เขาต้องกระตุ้นให้อีกฝ่ายแสดงความรู้สึกออกมามากหน่อย จะได้รู้ว่าน้องชอบหรือไม่ชอบในการที่เขาพยายามจะเป็นมากกว่าเพื่อนข้างบ้าน

พลัฎฐ์ต้องแกล้งทำเป็นตัดพ้อ น้อยใจ เพื่อดูปฏิกริยาของอีกฝ่าย เพราะสิ่งหนึ่งที่พลัฎฐ์พูดจริงคือ ถ้าตะวันไม่ชอบในสิ่งที่เขาขอ เขาจะหยุดและไม่ทำให้อีกฝ่ายอึดอัด แต่พลัฎฐ์คิดว่าตัวเองมั่นใจว่าตะวันไม่ได้ไม่ชอบหรือไม่โอเคกับสรรพนาม ‘ตัวเล็ก’ แน่ เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าตะวันคิดยังไง และมันก็ไม่โอเคมากๆ กับการที่ตะวันหลบหน้ากันแบบนี้

เพราะฉะนั้นพลัฎฐ์จึงจำเป็นที่จะต้องทำให้ตะวันเปิดใจและเปิดความรู้สึกให้กับเขามากกว่านี้ ถึงแม้ว่าจะต้องวางแผนหน่อยๆ ล่อหลอกตะวันน้อยๆ พลัฎฐ์ก็ต้องทำ และก็ต้องทำอย่างแนบเนียนไม่ให้ตะวันจับได้ด้วย

ซึ่งผลลัพธ์ก็ออกมาน่าพอใจอย่างที่เห็น ... และต่อไปนี้เขากับตะวันก็จะสามารถใช้สรรพนามแทนกันได้อย่างไม่กระดาก เหมือนตัวเขาเองได้ขยับเข้าใกล้ตะวันไปอีกก้าว โดยที่ไม่ทำให้อีกฝ่ายอึดอัดใจ

.

.

.

น้องพีกับอาทิตย์ขลุกอยู่ด้วยกันจนถึงตอนเย็น โดยมีพลัฎฐ์นั่งดูแลไปทำงานไปอยู่ข้างๆ ในขณะที่ตะวันขอตัวกลับไปทำบัญชีของร้านอยู่ที่บ้านของตัวเอง เนื่องจากเขาไม่ค่อยเก่งเรื่องตัวเลขเลยต้องใช้สมาธิมากกว่าปกติ ตะวันจึงตัดสินใจฝากอาทิตย์ไว้ที่บ้านของพลัฎฐ์ โดยที่ปะป๊าของน้องพีเองก็รับปากว่าจะช่วยดูแลอาทิตย์ให้ ตะวันไม่ต้องเป็นห่วง และพอตกเย็น ตะวันก็มากดออดที่หน้าบ้านพลัฎฐ์อีกครั้ง พร้อมกับจานคุกกี้ที่เขาอบทิ้งไว้เมื่อบ่าย

"โถ่ตัวเล็ก ไม่เห็นต้องลำบากทำมาเลย" พลัฎฐ์ว่าตอนออกมาเปิดประตูให้อีกฝ่าย และช่วยถือจานคุ้กกี้เข้ามาในบ้าน

"ไม่ได้ลำบากเลยครับ พอดีตะวันต้องอบเอาไว้ให้อาทิตย์กินอยู่แล้ว เลยทำมาเผื่อพี่พลัฎฐ์ด้วย จะได้เอาไว้ให้น้องพีกินตอนหิวๆ"

คนตัวโตกว่าที่เดินตามหลังตะวันต้อยๆ ก็ได้แต่แอบอมยิ้ม รู้สึกใจเต้นแรงกับความห่วงใยที่อีกฝ่ายมีให้ ก่อนจะต้องสะดุ้ง เมื่อเจอคำถามของตะวันที่กระตุ้นให้เขาเพิ่งนึกขึ้นได้

"ว่าแต่วันนี้แม่บ้านพี่ทำกับข้าวแล้วเก็บไว้ที่ไหนเหรอครับ เดี๋ยวตะวันอุ่นให้ เสร็จแล้วจะได้พาอาทิตย์กลับไปทำอะไรกินที่บ้าน"

คนตัวโตกว่ายกมือข้างที่ว่างขึ้นมาเกาคอ ก่อนจะยิ้มแห้งใส่อีกฝ่าย

"วันนี้แม่บ้านไม่ได้ทำกับข้าวไว้ให้ครับ"

"อ้าว ทำไมล่ะครับ?" ตะวันถามด้วยความสงสัย เพราะปกติแม่บ้านของพลัฎฐ์จะไม่เคยบกพร่องเรื่องนี้ เว้นเสียแต่ว่าพลัฎฐ์จะสั่งว่าไม่ต้องทำ ถึงจะไม่ทำ

เอ๊ะ! เดี๋ยว...

"อย่าบอกนะครับ ว่าพี่พลัฎฐ์สั่งให้แม่บ้านไม่ต้องทำกับข้าว"

ดูเหมือนรอยยิ้มแห้งแล้งของเจ้าของบ้านจะยืนยันในสิ่งที่ตะวันคิดได้อย่างดี

"เมื่อเช้าพี่หงุดหงิดนิดหน่อย เลยให้แม่บ้านทำแค่ความสะอาด กะว่าจะพาน้องพีไปหาอาทิตย์กับตัวเล็กที่บ้าน ไปง้อขอกินข้าวด้วย"

พอได้ยินคำสารภาพที่แสนน่ารักของอีกฝ่ายก็ทำเอาตะวันใจอ่อนยวบ ไม่อยากจะนึกเข้าข้างตัวเองว่า ที่พลัฎฐ์หงุดหงิดเมื่อเช้ามีสาเหตุมากจากที่การเขาหลบหน้าไม่ยอมมาหาอีกฝ่ายหนึ่งวันเต็มๆ

แม้สายตาของพลัฎฐ์จะบอกว่าเป็นแบบนั้นก็เถอะ

และเพื่อไถ่โทษรวมถึงทำตามความตั้งใจของพลัฎฐ์ ตะวันจึงตัดสินใจเข้าครัวทำอาหารให้สองพ่อลูกรวมถึงตัวเขากับน้องชายทาน เพราะไหนๆ เขากับอาทิตย์เองก็ยังไม่ได้ทานอะไรเหมือนกัน

ตะวันเหลือบมองนาฬิกาก็เห็นว่าเหลืออีกเกือบชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาอาหารเย็นของเด็กทั้งสอง ถ้าทำกับข้าวสักสี่อย่างสำหรับคนสี่คนก็น่าจะทันอยู่

"งั้นเดี๋ยวตะวันทำอาหารให้ครับ แต่อาจจะต้องรบกวนขอเราสองคนพี่น้องฝากท้องด้วย พี่พลัฎฐ์โอเคใช่ไหมครับ"

พลัฎฐ์ยิ้มกว้างเหมือนเด็ก ก่อนจะพยักหน้ารับรัวๆ อย่างชอบใจ

"ยินดีอย่างยิ่งครับ พี่สิที่ต้องรบกวนตัวเล็ก เราสองคนพ่อลูกรอดตายเพราะตัวเล็กเลยนะครับ"

น้ำเสียงอ่อนโยนที่พลัฎฐ์มักจะใช้กับน้องพีบ่อยๆ ถูกเอามาใช้กับตะวัน จนคนฟังหัวใจอ่อนยวบไปหมด ยิ่งพอมันเอามารวมกับคำว่า 'ตัวเล็ก' แล้ว ยิ่งทำให้ตะวันไปไม่เป็นยิ่งกว่าเดิม

และเพื่อป้องกันไม่ให้หัวใจดวงเล็กๆ ของตะวันเต้นเร็วเฉียบพลันมากไปกว่านี้ เขาจึงเสทำเป็นไหว้วานให้คนตัวโตกว่าไปทำอย่างอื่น

"พี่พลัฎฐ์ไปหุงข้าวนะครับ เดี๋ยวตะวันไปดูในตู้เย็นก่อนว่ามีของสดที่พอจะทำอะไรได้บ้าง"

ตะวันเลี่ยงพาตัวเองและแก้มแดงๆ ไปที่ตู้เย็น หวังว่าไอเย็นที่พุ่งออกมากระทบใบหน้าจะช่วยทำให้อาการหน้าร้อนของตัวเองลดน้อยลงไปได้บ้าง

ดูเหมือนว่ามันจะได้ผลนิดหน่อย และพอตะวันกวาดตามองในตู้เย็นแล้ว เขาก็นึกเมนูออกได้สามอย่าง แล้วก็กะจะทำไข่ตุ๋นให้เด็กๆ ทานง่ายๆ อีกอย่างด้วย

มือเรียวหยิบนั่นจับนี่อย่างคล่องแคล่ว ใช้เวลาไม่นาน ผัดหน่อไม้น้ำใส่กุ้ง กับผัดฉ่าหมูหมัก และต้มจืดลูกรอกก็เสร็จเรียบร้อย ซึ่งมีพลัฎฐ์คอยยกไปวางบนโต๊ะอาหารให้ โดยมีเด็กๆ เดินตามเป็นลูกปู เพราะอยากรู้ว่าตะวันจะทำอะไรให้ตัวเองกิน

และเมื่อเจ้าของบ้านอย่างพลัฎฐ์เห็นว่าเหลือกับข้าวอย่างสุดท้ายนั่นก็คือไข่ตุ๋นที่ตะวันกำลังรอเวลาอยู่ พลัฎฐ์จึงจับเด็กชายทั้งสองขึ้นนั่งรอบนเก้าอี้ แล้วตัวเขาก็เข้าไปในครัวอีกครั้งเพื่อดูว่าคนที่กำลังง่วนในครัวใกล้จะเสร็จหรือยัง

พลัฎฐ์เดินเข้าไปก็เห็นตะวันก้มๆ เงยๆ อยู่ตรงหม้อนึ่งที่หน้าเตา เขาจึงเดืนไปยืนซ้อนหลังอีกฝ่าย เพื่อดูว่าเจ้าไข่ตุ๋นที่ตะวันกำลังตั้งอกตั้งใจทำนั้นใกล้สำเร็จหรือยัง ซึ่งนั่นเป็นจังหวะเดียวกับที่ตะวันกำลังจะหันมาหยิบถุงมือกันความร้อนสวมพอดี

และการหันตัวกะทันหันของตะวันทำให้พลัฎฐ์ที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลังเบี่ยงตัวหลบไม่ทัน ผลก็คือ ปลายจมูกโด่งของพลัฎฐ์กดลงบนแก้มนิ่มของตะวันเต็มแรง ร่างสูงตกใจเล็กน้อย แต่ก็มีสติมากพอที่ทันได้สูดดมความหอมหวานที่เป็นผลพวงมาจากความบังเอิญที่เขาแสนจะยินดีจากอีกฝ่ายเบาๆ

ในขณะที่ตะวันนิ่งค้าง ตาโต ขาตายสนิท ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ

พลัฎฐ์ผละออกจากคนที่มีแก้มหอมกลิ่นหวานๆ อย่างจำใจ เพราะเขาไม่อยากให้คนที่เพิ่งจะหายเขินวันนี้ กลับไปเขินแล้วหลบหน้าหลบตาเขาอีก

คนตัวโตกว่าถือคติ ได้ชิมนิดชิมหน่อย แต่หลายๆ รอบ ดีกว่าได้แค่ครั้งเดียวแล้วอดตลอดไป ดังนั้น ทำให้ตะวันดวงน้อยๆ วางใจในตัวเขาไว้ก่อนน่ะดีที่สุดแล้ว

"พอดีพี่จะเดินมาถามว่าตัวเล็กเสร็จรึยังครับ พี่จะได้ช่วยยกออกไปให้"

พลัฎฐ์แสร้งถามหน้าซื่อตาใส ทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้แนบเนียนสุดๆ เพราะไม่เขาไม่อยากให้ตะวันรู้สึกอึดอัดหรือทำตัวไม่ถูกเพราะเหตุการณ์เมื่อกี้

"อะ.. เอ่อ เสร็จแล้วครับ ตะวันกำลังจะเอาออกจากหม้อนึ่ง" คนตัวเล็กกว่าตอบ ตอบทั้งที่ต่างฝ่ายต่างกำลังยืนประจันหน้ากัน "ขอ.. ขอตะวันหยิบถุงมือกันความร้อนหน่อยได้ไหมครับ"

ใบหน้าน่ารักพร้อมกับแก้มแดงปลั่ง พยักเพยิดไปที่ถุงมือที่ว่า ทำให้พลัฎฐ์รู้ตัวว่าเขากำลังขวางทางของอีกฝ่ายอยู่

พลัฎฐ์ตัดสินใจเบี่ยงหลบไปทางขวา เพื่อให้ตะวันได้หยิบถุงมือ แต่กลายเป็นว่าตะวันเองก็ขยับเบี่ยงตัวไปทิศทางเดียวกับพลัฎฐ์ ทำให้ต่างฝ่าย ต่างขวางทางกันอีกรอบ

พลัฎฐ์จึงตัดสินใจขยับหนีมาทางซ้ายใหม่ และตะวันเองก็ดันขยับหนีตามอีกครั้ง ผลก็ออกมาแบบเดิม คือต่างคนต่างไปยืนขวางทางกันอีกรอบ สุดท้ายทั้งคู่ต่างก็หลุดหัวเราะออกมากับความใจตรงกันของตัวเอง สุดท้ายพลัฎฐ์จึงยื่นมือไปจับต้นแขนเล็กๆ ของตะวันไว้ พลางบอก

"ตัวเล็ก ยืนนิ่งๆ ครับ เดี๋ยวพี่ขยับหนีให้"

ตะวันยิ้มทั้งที่ยังเขินอยู่ และสุดท้ายพลัฎฐ์ก็ขยับตัวเบี่ยงหลบให้ ทำให้ตะวันหยิบถุงมือกันความร้อนได้ในที่สุด

ในที่สุดเจ้าของบ้านตัวโตก็ยกไข่ตุ๋นที่ทำเสร็จใหม่ๆ ออกมาได้สำเร็จ โดยมีรอยยิ้มบางๆ ติดอยู่ที่ริมฝีปาก อาการไม่ต่างจากพ่อครัวที่เป็นคนทำอาหารสักนิด

ดูเหมือนว่าวันนี้อาหารเย็นน่าจะหวานกว่าทุกวัน ... อาจจะไม่ได้หวานที่รสชาติ แต่หวานที่บรรยากาศและสถานการณ์โดยรอบ ที่ดูอบอุ่นและมีความสุขกว่าทุกวัน

.

.

.

หลังจากอิ่มหนำ และนั่งพักท้องด้วยการดูการ์ตูนกับเด็กๆ จบไปหนึ่งตอน ก็ดูเหมือนเด็กชายทั้งสองจะเกิดคึกคักกันขึ้นมา เลยชวนคนเป็นพ่อกับคนเป็นพี่หาอะไรเล่น ก่อนที่จะได้เวลาอาบน้ำเข้านอน

"ปะป๊าๆ น้องพีอยากเย่นไอ้ที่ดึงๆ แท่งไม้อ่ะคับ"

ตะวันขมวดคิ้วงง ซึ่งพลัฎฐ์เองก็ไม่ต่าง แต่พักหนึ่งเขาก็คิดออก

"น้องพีหมายถึงเจงก้าเหรอครับ"

พลัฎฐ์ว่าพลางเดินไปหยิบกล่องแท่งไม้เจงก้ามาชูให้ลูกชายดู พอน้องพีพยักหน้ารับว่าใช่พร้อมยิ้มร่า คนเป็นพ่อก็เดินถือกล่องไม้ที่ว่ามาวางที่โต๊ะกลางห้องรับแขก ในขณะที่สองเด็กน้อยกับหนึ่งเด็กตาใส นั่งรอกันอยู่ที่พื้นพรหมพร้อมกับล้อมโต๊ะไว้นิ่ง ใจจดใจจ่อรอจะได้เล่นสุดๆ โดยเฉะพาะน้องพี ที่แทบจะยื่นหน้าเข้ามาอยู่กลางโต๊ะ

ตะวันเองก็คงเห็น เลยเกี่ยวเอวเด็กชายพีรยสถ์มานั่งบนตักตัวเอง พลางลูบศีรษะกลมเบาๆ เพื่อให้เด็กน้อยรู้จักใจเย็นและมีความอดทนที่จะรอมากขึ้น

"มานั่งรอกับพี่ตะวันดีกว่าครับน้องพี เดี๋ยวรอให้ปะป๊า เอาแท่งไม้ออกมาเรียงวางก่อนเนาะ"

"คับๆ น้องพียอได้"

ปากก็บอกว่ารอได้ แต่เจ้าตัวเล็กนั่งก้นแทบไม่ติดตักตะวัน ในขณะที่อาทิตย์ก็มาปีนป่ายตัวตะวันขณะที่กำลังรอ ทำเอาพลัฎฐ์ที่เห็นภาพดังกล่าวต้องยิ้มออกมาบางๆ ด้วยความเอ็นดู

"อ่า.. เสร็จแล้วครับ" พลัฎฐ์ว่าพลางดันกล่องเจงก้าที่บรรจุแท่งไม้ไว้เรียบร้อยแล้วไว้กลางโต๊ะ ก่อนที่มือใหญ่ของพลัฎฐ์จะค่อยๆ ดึงออกกล่องไม้ที่ครอบออก ให้เหลือแต่แท่งไม้เปลือยวางเรียงกันแทน

- อ่านต่อด้านล่าง -
หัวข้อ: Re: [Up 7th] The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: Chapter 6th ::
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 05-07-2019 20:35:23
- ต่อจากด้านบนค่ะ -

"แต่ก่อนอื่นเราต้องกติกากันก่อนไหมครับ"

"เอาคับๆ" เด็กชายภานวีย์กระตือรื้อร้น เพราะเป็นเด็กที่ชอบอะไรที่ตื่นเต้น และรักการแข่งขันเป็นที่สุด

"คนแพ้ทำอะไรดีครับ?" ตะวันแกล้งถาม ให้น้องพีได้ยกสุดแขน ก่อนจะเสนอ

"คนแพ้เยี้ยงไอติมคับ"

เจ้าหนูดูภูมิอกภูมิใจกับสิ่งที่ตัวเองตั้งกติกาขึ้นมาเหลือเกิน แต่ดูเหมือนว่าเจ้าเด็กน้อยจะลืมคิดไปนิดว่าถ้าตัวเองแพ้จะเอาเงินที่ไหนไปซื้อไอศครีมเลี้ยงคนอื่นๆ แต่ก็เอาเถอะ กติกาที่น้องพีบอก เหมือนสร้างขึ้นมาเฉยๆ เพื่อให้เกมสนุกแค่นั้น ยังไงเสียสุดท้ายแล้วพลัฎฐ์ก็ต้องเป็นคนพาทุกคนไปทานไอศครีมอยู่ดี

"โอเคครับ คนแพ้เลี้ยงไอติม.." คนอายุมากที่สุดเป็นคนสรุป "อ่ะ มาเลย ใครเริ่มก่อนดี"

"น้องพีๆ ให้น้องพีดึงคนแยกนะคับ"

"ได้ๆ คุณอาทิตย์ให้"

ผู้ใหญ่สองคนมองหน้าก่อนจะหลุดหัวเราะ เมื่อเจออาทิตย์สปอยล์น้องพีขั้นสุด อนุญาตเองยอมเองทั้งหมด แต่สุดท้ายผู้ใหญ่ทั้งสองก็พยักหน้าพร้อมกันยอมให้น้องพีเป็นคนดึงแท่งไม้ออกจากฐานคนแรก และเจ้าหนูก็ทำได้สำเร็จ ทำเอาดีอกดีใจยกใหญ่ วิ่งมากอดคนเป็นพ่ออย่างพลัฎฐ์ด้วยท่าทางน่าเอ็นดู

คนที่ได้ดึงแท่งไม้ต่อจากน้องพีคืออาทิตย์ ท่าทางเอาจริงเอาจังของน้องทำให้ตะวันเกือบจะหลุดขำ เจ้าหนูน้อยชอบการแข่งขันมาก และก็ดูเหมือนว่าอาทิตย์จะมือนิ่ง มีสมาธิ และทำได้ดีจนตะวันอดภูมิใจไม่ได้

ถัดจากอาทิตย์ก็เป็นตะวันและพลัฎฐ์ตามลำดับ ผู้ใหญ่ทั้งสองดึงแท่งไม้ออกจากฐานง่ายๆ ไม่ได้ยากอะไร ต่างกับเด็กๆ ที่ลุ้นแล้วลุ้นอีกกว่าจะได้ฤกษ์ดึง ซึ่งเกมการแข่งขันก็งวดขึ้นเรื่อยๆ แท่งไม้ถูกดึงออกจนแหว่งไปหลายจุดทำให้ฐานเริ่มไม่มั่นคง โงนเงนและพร้อมจะล้มได้ทุกเมื่อ

และตอนนี้เป็นตาของตะวันที่ต้องดึง เขามั่นใจมากกว่าถ้าตัวเองผ่านตานี้ไปได้ คนถัดไปก็คือพลัฎฐ์ที่ดึงยังไงก็ต้องล้มแน่ๆ ดังนั้นตะวันจึงค่อนข้างตั้งใจอย่างมากที่จะจบเกมนี้ให้ลง

"พี่ตะวันๆ ดึงอันนี้คับอันนี้ เชื่อน้องพีนะ" เด็กชายพีรยสถ์ที่นั่งตรงข้ามกับตะวัน ชี้ไปที่แท่งไม้ตรงหน้าของตัวเองที่ยื่นออกมาน้อยๆ ซึ่งถ้าตะวันสะกิดเอามันออกมาสำเร็จ โอกาสที่จะชนะก็มีเยอะมาก

เจ้าของร่างเล็กพาตัวเองหมุนตัวเองไปมารอบแท่งไม้เจงก้า พยายามมองหามุมที่ดีที่สุด และแท่งไม้ที่น่าจะเอาออกได้ง่ายที่สุด

ซึ่งสมาธิของตะวันถูกพุ่งตรงไปที่บรรดาแท่งไม้กลางโต๊ะจนหมดสิ้น โดยที่เขาไม่ทันได้สังเกตเลยว่ามีแววตาคมของพลัฎฐ์ทอดมองมาที่ใบหน้าน่ารักที่กำลังเอาจริงเอาจังของตัวเองด้วยความเอ็นดู

พลัฎฐ์จ้องมองริมฝีปากบางสีสดมี่กำลังขยับมุบมิบราวกับกำลังคำนวณอะไรอะไรสักอย่าง มองดวงตากลมที่จดจ้องไปยังแท่งไม้แท่งต่างๆ อย่างใช้ความคิด มองปลายจมูกรั้นที่เชิดขึ้นราวกับจะบอกถึงนิสัยไม่ยอมแพ้ของเจ้าตัว

และที่สำคัญพลัฎฐ์กำลังมองแก้มขาวๆ นุ่มๆ ที่เมื่อกี้เขาได้มีโอกาสกดจมูกตัวเองลงไปสูดดมความหอมหวานที่ยังติดตรึงอยู่ที่ปลายรสสัมผัส ... และนั่นทำให้เขาเกิดอยากลิ้มลองความรู้สึกนั้นอีกครั้งถ้าเป็นไปได้

ซึ่งความเป็นไปได้นั้นเราสามารถสร้างมันขึ้นได้ด้วยตัวเอง ...

พอคิดได้ เจ้าของร่างกายใหญ่โตก็แสร้งขยับตามการเคลื่อนไหวของตะวันอย่างแนบเนียน เขาทำทีเป็นก้มๆ เงยๆ มองแท่งไม้เหมือนกำลังมองหาโอกาสในการดึงแท่งไม้คนถัดไปได้โดยที่ตะวันไม่นึกเฉลียวใจ

พลัฎฐ์กำลังพยายามหาโอกาสจรดจมูกตัวเองลงบนแก้มนิ่มของตะวันอีกครั้ง และในขณะที่ตะวันตัดสินใจได้แล้วว่าจะดึงแท่งไม้แท่งไหน พลัฎฐ์ก็แสร้งก้มลงไปมองก่อนที่จะทำทีเป็นเสียหลัก และยื่นจมูกลงไปหอมแก้มขาวของตะวันเต็มฟอด

โครม!!

ตะวันตกใจจนตาค้างอีกครั้ง แล้วครั้งนี้มันก็รุนแรงมากพอที่จะทำให้สมาธิของคนถูกหอมแก้มแตกกระเจิง เจงก้าที่ตะวันกำลังจะดึงออกล้มพังไม่เป็นท่า ในขณะที่คนต้นเหตุ กำลังเอ่ยปากบอกขอโทษตะวันให้จ้าละหวั่น

"ขอโทษนะครับตัวเล็ก พี่ขอโทษ .. แขนพี่เสียหลักนิดหน่อยเลยล้มลงไป ตัวเล็กเจ็บตรงไหนไหมครับ"

พลัฎฐ์แสร้งถาม เพราะไม่อยากให้ตะวันเห็นพิรุธที่โผล่ออกมาเต็มใบหน้าหล่อเหลา

... เพราะมันดูเบิกบานมากกว่าที่จะสำนึกผิดใดๆ

ตะวันกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะได้สติ สะบัดศีรษะทุยเล็กน้อย พลางบอกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า

"มะ ไม่เป็นไรครับพี่พลัฎฐ์ ตะวันไม่ได้เจ็บตรงไหน"

พลัฎฐ์ได้ยินแบบนั้นก็ยื่นมือใหญ่มาลูบศีรษะทุยของตะวันเบาๆ "พี่ขอโทษครับ... ขวัญมานะครับตัวเล็ก"

ตะวันแก้มแดงก่ำ ก่อนจะอ้อมแอ้มตอบ "พี่ก็... ตะวันไม่ใช่เด็กสักหน่อย"

พลัฎฐ์หัวเราะ ก่อนจะแสดงสปิริต "เอางี้ พี่เป็นคนทำตัวเล็กตกใจจนสมาธิหลุดเลยดึงพลาด" ใบหน้าหล่อเหลา หันไปทางเด็กๆ ก่อนบอก "งั้นเดี๋ยวปะป๊าเป็นคนเลี้ยงไอติมเอง ดีไหมครับ"

"ดีคับดี"

"ดีคับปะป๊า"

เจ้าหนูน้อยทั้งสองแย่งกันตอบเสียงใส และดูเหมือนว่าบรรยากาศกระอักกระอ่วนเมื่อกี้จะดีขึ้นบ้าง ตะวันเลยจัดการเก็บแท่งไม้ใส่กล่องตามเดิม โดยมีพลัฎฐ์ช่วยอยู่อีกแรง

แต่แล้วสิ่งที่ตะวันพยายามจะทำเป็นลืมก็ลอยเข้าหูมาจนได้

"คุณอาทิตย์ เมื่อกี้คุณอาทิตย์เห็นยึป่าว ปะป๊าจุ๊บๆ แก้มพี่ตะวันด้วย คิกๆ จุ๊บแบบจุ๊บน้องพีเยย"

"เห็นสิ แต่คุณอาทิตย์รู้สึกเหมือนพี่ตะวันจะไม่สบายเลย" เด็กชายภานวีย์ทำหน้าเครียด เพราะห่วงว่าพี่ชายจะป่วย

"ทำไมหยอ พี่ตะวันไม่ฉะบายหยอ" น้องพีถามพาซื่อในขณะที่คำตอบของอาทิตย์ก็ซื่อไม่ต่าง แต่ทำเอาตะวันหันรีหันขวางหนักยิ่งกว่าเดิม

"ก็พอถูกจุ๊บๆ เสร็จ พี่ตะวันก็แก้มแดงแปร๊ดเลย .. เพราะเวลาคุณอาทิตย์ไม่สบายพี่ตะวันก็บอกว่าคุณอาทิตย์จะตัวแดงหน้าแดง คุณอาทิตย์เลยไม่รู้ว่าพี่ตะวันป่วยหรือเปล่าน่ะสิ"

และคำตอบนั้นก็ทำเอาน้องพีเคร่งเครียดตามเพื่อนสนิทไปด้วย

"งั้นให้ปะป๊า พาพี่ตะวันไปหาคุณลุงหมอดีไหม ฉีดยาๆ จะได้หายเย็วๆ"

เท่านั้นแหละ ดูเหมือนคนที่แอบฟังอยู่อีกคนจะหลุดเสียงหัวเราะออกมาเสียงดังจนตะวันที่เขินอยู่แล้วยิ่งเขินหนัก เลยยื่นมือไปฟาดเข้าให้ที่ไหล่ของอีกฝ่ายไม่แรงนัก

"ฮ่าๆๆๆ"

"นี่พี่พลัฎฐ์! ยังจะมาขำอีก"

เด็กทั้งสองมองผู้ใหญ่ทั้งสองที่กำลังมีพฤติกรรมแปลกๆ อย่างไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้อาทิตย์รู้แค่ว่ายังไงก็ต้องให้พี่ตะวันไปหาหมอให้ได้ เพราะตอนนี้แก้มของพี่ชายเขาแดงยิ่งกว่าตอนแรก และดูเหมือนว่าจะแดงลามไปยันคอเลยด้วยซ้ำ

"คุณอาทิตย์จะดูแลพี่ตะวันให้หายป่วยเองนะน้องพี ไม่ต้องเป็นห่วง"

น้องพีเองก็พยักหน้าตามหงึกหงัก เมื่อได้ยินคำพูดของเพื่อนสนิท "คุณอาทิตย์สู้ๆ คุณอาทิตย์ดูแลพี่ตะวันให้หายป่วยเยย"

ตะวันได้ยินยิ่งอยากเอาหน้าซุกลงไปใต้พื้นพรหม

โถ่...เอ๊ยเด็กน้อย พี่ตะวันไม่ได้ไม่สบาย พี่ตะวันแค่เขิน เขินที่ถูกปะป๊าน้องพีหอมแก้มเป็นรอบที่สองของวัน เขินจนหน้าแดงไปหมดเท่านั้นเอง

.

.

.

To Be Continue

------------------------------

Talk: จะค่อยๆ อัพเกรดความน่ารักขอคนทั้งสี่ขึ้นเรื่อยๆ นะคะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและติดตามน้า ชอบไม่ชอบยังไงคอมเม้นท์บอกได้เลยนะคะ ... อยากจะขอบคุณสักหลายๆ ครั้งสำหรับคอมเม้นท์และกำลังใจที่มีให้น้า ฝากติดแท๊ก #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว ในทวิตเตอร์ด้วยเน้อ

แล้วเจอกันตอนหน้าค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: [Up 8th] The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: Chapter 7th ::
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 09-07-2019 19:15:27
:: Chapter 7th - เข้าบ้านผีสิงยังไงให้เหมือนขึ้นรถไฟเหาะตีลังกา ::


“พี่ตะ.. ตะวัน.. ”

“พี่ตะวัน... วัน... ตะวันครับ”

“พี่ตะวันครับ พี่ตะวัน!!!”

“ห๊ะ? ห๊ะ! อะไรนะ? มีอะไร??”

ตะวันกระพริบตาปริบๆ พลางลุกขึ้นยืนขานรับอย่างตกใจ ก่อนจะหันไปโวยวายกับเจ้าเด็กหนุ่มตัวโตที่เรียกเขาด้วยเสียงอันดังคับร้าน เล่นเอาสะดุ้งโหย่งจนแทบตกเก้าอี้

“เมษ! ตกอกตกใจหมด เรียกเบาๆ ก็ได้ จะตะโกนทำไมหา?”

ตะวันดุหนุ่มใหญ่ผู้ช่วยในร้านเสียงหลง ในขณะที่คนถูกดุทำหน้าเอือมนิดๆ ใส่เจ้านาย ก่อนจะกลอกตาแล้วตอบคนอายุมากกว่าแต่ตัวเล็กกว่าเขาเกือบครึ่งด้วยน้ำเสียงเหนื่อยใจ

“พี่ก็กล้าพูดนะครับ ผมเรียกพี่ด้วยโทนเสียงปกติจนคอเจ็บไปหมด พี่ก็ไม่หือไม่อือเลยสักนิด” เจ้าหนุ่มใหญ่จ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างจับผิด “ผมเห็นพี่นั่งเหม่อมาตั้งแต่เช้าแล้ว มีอะไรหรือเปล่าครับพี่ตะวัน? หรือพี่คิดจะไล่ผมออก? ไม่นะ.. ม่ายยย”

เจ้าเด็กทะเล้นทำท่าเสียใจระคนตกใจแบบโอเวอร์แอคติ้ง ทำให้ตะวันได้แต่ส่ายศีรษะด้วยความปลงตก จะมีลูกจ้างทั้งทีก็ดันสติไม่ปกติเหมือนคนอื่นเขาอีก

“ถ้านายไม่เลิกแอคติ้งแล้วไปทำงานนะ ได้โดนพี่ไล่ออกจริงๆ แน่เอาไหม?” คนตัวเล็กกว่าแต่มีอำนาจมากกว่าแกล้งขู่เสียงจริงจัง ทำเอาเจ้าเมษคนโอเวอร์ได้แต่หัวเราะแหะๆ ก่อนจะรีบชี้แจงบอกเหตุผลว่าทำไมเขาถึงมายืนอยู่ตรงนี้ ไม่ได้ไปทำงานอย่างที่ควร

“โถ่ พี่ตะวัน พี่ไม่คิดจะถามผมหน่อยเหรอครับ ว่าผมมาเรียกพี่ทำไม.. เอะอะก็ขู่จะไล่กันออกอย่างเดียวเลย ถึงเมษจะตัวใญ่แต่ก็ขี้ใจน้อยนะครับ”

ตะวันยิ้มๆ พลางถอนใจในความเล่นใหญ่ของอีกฝ่าย แต่ก็อดถามออกมาไม่ได้อยู่ดี เพราะเมื่อกี้เขาก็เหม่อจนไม่ได้ยินในสิ่งที่เมษาจะบอกจริงๆ นั่นแหละ

“เอ้า มีอะไรก็ว่ามา” และพอเมษจะเอ่ยตอบ ตะวันก็แกล้งเบรคอีกฝ่ายไว้ก่อน “เอาเนื้อๆ นะ ไม่เอาน้ำ ไม่ต้องเล่นใหญ่ด้วย.. บอกมา”

เจ้าเมษทำหน้าเซ็งหน่อยๆ ที่แกล้งตะวันต่อไม่ได้ก่อนจะรีบพูดเมื่อเห็นดวงตากลมของคนเป็นเจ้านายจ้องมาอย่างคาดโทษ

“คุณพลัฎฐ์โทรมาครับ เห็นว่าโทรเข้ามือถือแล้วพี่ไม่ได้รับ”

ตะวันหันซ้ายหันขวามองหามือถือ แต่ก็พบว่าโทรศัพท์ตัวเองไม่ได้อยู่แถวนั้น เขาเลยเดาว่าตัวเองน่าจะวางลืมเอาไว้ในห้องทำงานหลังร้านที่เจ้าหนูน้อยพีรยสถ์กับเด็กชายภานวีย์ใช้เป็นฐานทัพประจำการ กิน นอน เล่น ระหว่างรอโรงเรียนเปิดเทอม

“สงสัยพี่ลืมมือถือไว้ที่ห้องทำงาน” เมษพยักหน้ารับหงึกหงัก ในขณะที่ตะวันสาวเท้าเดินไปยังเคาน์เตอร์หน้าร้าน เพื่อไปรับโทรศัพท์

คนตัวเล็กเดินไปรับโทรศัพท์ที่อยู่ที่เคาน์เตอร์หน้าร้าน เขายอมรับว่าใจเต้นแรงขึ้นอีกนิด ตอนได้ยินเสียงทุ้มของคนที่ทำให้เขาต้องคิดมากจนเหม่อลอยในช่วงสองสามวันมานี้

และใช่... เมื่อกี้ตอนที่เมษาเรียกแล้วเขาไม่ได้ยิน ก็มีสาเหตุมาจากเขากำลังคิดมากฟุ้งซ่านเรื่องของคนที่อยู่ข้างบ้านนั่นแหละ

ไม่รู้ว่าทำไม แต่พักนี้ว่างเป็นไม่ได้ ใบหน้าหล่อเหลาของพลัฎฐ์มักจะเวียนวน วนเวียนมาปรากฎในมโนสำนึกของตะวันตลอด ทำเอาเขารู้สึกเหมือนไม่เป็นตัวของตัวเองเอาเสียเลย

“สวัสดีครับพี่พลัฎฐ์” ตะวันเอ่ยทัก มุมปากยกยิ้มขึ้นเป็นรอยยิ้มบางๆ ยามเอ่ยชื่อคู่สนทนา

“สวัสดีครับตัวเล็ก พี่โทรเข้ามือถือไม่เห็นมีคนรับ ไม่แน่ใจว่าตัวเล็กยุ่งอยู่หรือเปล่า เลยลองโทรมาถามหน้าร้านดู”

น้ำเสียงอ่อนโยนที่ได้ยินจากปลายสาย ยิ่งทำให้หัวใจตะวันเต้นแรงขึ้นจนเจ็บอก เขาบอกตามตรงว่าไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ว่าความรู้สึกพวกนี้คืออะไร นั่นเพราะตัวเขาเองก็เพิ่งรู้จักพลัฎฐ์ได้ไม่นาน เลยพูดได้ไม่เต็มปากว่ากำลังหวั่นไหวหรือเปล่าเพราะอีกฝ่ายเองก็ไม่ได้ดูว่าจะมีท่าทีอะไร ตะวันเลยอยากจะทบทวนหัวใจตัวเองให้แน่ใจเสียก่อน ก็แค่นั้น

“ยุ่งนิดหน่อยครับ วันนี้ลูกค้าเข้าร้านเรื่อยๆ” ตะวันตอบ “ส่วนเรื่องโทรศัพท์ ตะวันน่าจะลืมไว้ในห้องทำงาน เลยไม่ได้รับสายพี่”

“อ่อ อย่างนี้นี่เอง” พลัฎฐ์ครางรับ ก่อนจะนึกขึ้นได้ “เออ จริงสิ พี่ก็เกือบลืมเลยว่าโทรมาหาตัวเล็กทำไม”

“นั่นสิครับ พี่พลัฎฐ์มีอะไรด่วนหรือเปล่า” ตะวันถาม ก่อนจะได้รับประโยคตัดพ้อกึ่งๆ หยอกเย้าที่ดูเหมือนจะสั่นคลอนหัวใจเขาได้ไม่น้อยกลับมา

“ถ้าไม่มีอะไรด่วน แต่พี่โทรหาตัวเล็กเพราะคิดถึง... แบบนี้จะได้ไหมครับ” น้ำเสียงเจ้าเล่ห์ที่นานๆ ครั้งจะได้ยินพลัฎฐ์ถูกนำเอาออกมาใช้ ทำให้ตะวันไม่รู้จะตอบยังไง เพราะตอนนี้เขินจนมือไม้สั่นไปหมด สุดท้ายเลยต้องแกล้งเปลี่ยนเรื่อง เพื่อที่จะได้ไม่ต้องถูกเค้นคอถามในสิ่งที่ไม่แน่ใจว่าเขาควรจะตอบแบบไหนเหมือนกัน

“พี่พลัฎฐ์ทำไมชอบแกล้งตะวัน” คนถูกเย้าแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง “พี่จะโทรหาน้องพีหรือเปล่าครับ?”

คนอีกฝั่งของปลายสายยิ้มกว้างจนปวดแก้ม เมื่อได้ยินตะวันบ่ายเบี่ยง ก่อนจะรีบบอกถึงวัตุประสงค์ที่โทรมาเพราะกลัวอีกฝ่ายจะชิงวางสายก่อน

“เปล่าครับ พี่โทรมาหาตัวเล็กนั่นแหละ” พลัฎฐ์ย้ำ ก่อนจะเริ่มพูดต่อ “พี่จะถามตัวเล็กว่าวันเสาร์นี้ตัวเล็กว่างไหมครับ”

ตะวันเหลือบมองปฏิทินที่วางอยู่ข้างโต๊ะ เมื่อเห็นว่าตารางในวันนั้นยังไม่มีอะไร เสียงหวานจึงบอกให้พลัฎฐ์รู้

“วันเสาร์นี้ไม่ติดอะไรครับ แต่ตอนเย็นๆ ตะวันอาจจะพาอาทิตย์ไปซื้อพวกอุปกรณ์การเรียนเพิ่ม เพราะเดี๋ยววันจันทร์หน้าก็จะเปิดเรียนแล้ว พี่พลัฎฐ์มีอะไรหรือเปล่าครับ?”

คนตัวเล็กกว่าบอกถึงความตั้งใจของตัวเองให้อีกฝ่ายรู้ ซึ่งพลัฎฐ์เองก็เงียบไปอึดใจหนึ่งก่อนจะตอบ

“พี่ว่าจะพาเด็กๆ กับตัวเล็กไปสวนสนุกครับ พาไปเด็กๆ เล่นของเล่น ไปทานไอศครีมที่ติดไว้เมื่อวันอาทิตย์” ตะวันเกิดหน้าร้อนขึ้นมาดื้อๆ เมื่อพลัฎฐ์พูดถึงเหตุการณ์ที่ทำให้คนตัวโตกว่าต้องเลี้ยงไอศครีม และเหตุการณ์นั้นก็เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้เขาคิดเรื่องของอีกฝ่ายวนไปวนมาจนวันนี้

เพราะสัมผัสจากปลายจมูกของพลัฎฐ์ยังคงติดอยู่ที่ข้างแก้มของตะวัน ไม่ได้ลบเลือนออกไปจากใจเลยสักนิด

“ตัวเล็กครับ.. ตัวเล็ก” พลัฎฐ์เรียกย้ำ เมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบไป พอตะวันได้สติที่พักนี้เขามักจะทำหล่นหายบ่อยๆ ก็รีบตอบ

“ครับ ครับๆ ตะวันฟังอยู่ครับ”

“ว่าไงครับ ไปด้วยกันไหมครับ ถ้าน้องพีได้ไปกับอาทิตย์ แกคงจะสนุกน่าดู” ตะวันอ้ำอึ้ง เพราะรู้สึกเกรงใจก็ส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งก็คือความรู้สึกของเขาเอง

.. ถามว่าเขาไม่อยากไปกับพลัฎฐ์ใช่ไหม ตะวันตอบตรงนี้เลยไม่ใช่ ตรงกันข้ามเลยด้วยซ้ำ เพราะพักหลังมานี้เขารู้สึกเหมือนอยากจะพาตัวเองไปอยู่ใกล้ๆ อีกฝ่ายตลอด เพียงแต่มันติดตรงที่ว่าเขายังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้เลย เลยไม่กล้าที่จะอยู่ใกล้พลัฎฐ์มากนัก ไม่งั้นได้เกินคำว่าหวั่นไหวไปไกลแน่ๆ

“ตะวันเกรงใจครับ อีกอย่างตะวันต้องพาอาทิตย์ไปซื้ออุปกรณ์การเรียนอย่างที่บอกด้วย” คนตัวเล็กกว่าเสียงอ่อย ยอมรับว่ารู้สึกไม่ดีเลยสักนิดที่ต้องปฏิเสธพลัฎฐ์

“ไม่เกรงใจสิครับ พี่ว่าพี่เคยพูดเรื่องนี้กับตัวเล็กหลายครั้งแล้วนะ” เสียงถอนหายใจดังแผ่วๆ มาตามสาย ทำเอาตะวันรู้สึกหนักในอกแปลกๆ “พี่อยากพาเด็กๆ ไปพักผ่อนก่อนเปิดเทอม ส่วนเรื่องไปซื้อของ เราไปหลังจากกลับจากสวนสนุกก็ได้ เดี๋ยวพี่พาไป ... เว้นแต่ตัวเล็กไม่อยาก..”

“ไม่ครับ ไม่ใช่อย่างที่พี่พลัฎฐ์คิด ตะวันแค่เกรงใจจริงๆ” ยิ่งเสียงของพลัฎฐ์หงอยลงมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้ตะวันใจเสียมากเท่านั้น และโดยที่ไม่ทันรู้ตัว ตะวันก็พูดสวนพลัฎฐ์ออกไป เพราะเขารู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังจะพูดว่าเขาไม่อยากไปด้วย ซึ่งเขาไม่อยากให้พลัฎฐ์คิดแบบนั้น เพราะในความเป็นจริงแล้วมันแทบจะตรงกันข้ามเลยด้วยซ้ำ

“ถ้าแค่เกรงใจ พี่ก็บอกไปแล้ว ตกลงว่า?..”

“ก็ได้ครับ ไปสวนสนุกกัน ตะวันก็ไม่ได้ไปมานานแล้ว ... งานนี้บัตรรวมเครื่องเล่นเท่านั้นนะครับ พี่พลัฎฐ์จ่ายไหวไหม”

เสียงหัวเราะสดใสตรงกันข้ามกับเมื่อไม่กี่นาทีก่อนดังมาตามสาย ทำเอาตะวันใจชื้นและอดยิ้มตามออกมาไม่ได้

“ระดับพี่แล้ว เลี้ยงข้าวด้วยยังได้ ไม่ต้องกังวลเลย”

“ครับๆ เชื่อแล้วครับ” ต่างฝ่ายต่างเงียบไป แต่ในความเงียบคือความรู้สึกดีที่อธิบายไม่ได้ มีเพียงรอยยิ้มบางๆ ที่มุมปากคนทั้งคู่เท่านั้นที่ตอบสถานการณ์ตอนนี้ได้ดีที่สุด

“งั้นพี่ถือว่าตะวันตกลงแล้วนะครับ” พลัฎฐ์ถามย้ำ เพื่อความแน่ใจ ก่อนที่คำตอบที่เขาอยากได้ยินจะหลุดออกมาผ่านเสียงหวานๆ ของตะวัน

“ครับ ไปครับ แต่เรื่องบัตรรวมเครื่องเล่น ตะวันพูดเล่นนะ ในส่วนของอาทิตย์กับตะวัน เดี๋ยวตะวันจัดการเอง แค่พี่พลัฎฐ์พาไปก็เกรงใจจะแย่แล้ว”

คนตัวโตกว่าขมวดคิ้วมุ่น ยามได้ยินในสิ่งที่อีกฝ่ายขอ ก่อนจะปฏิเสธออกมาโดยไม่ต้องคิด

“ไม่เอาครับ เรื่องแค่นี้เอง แค่ตัวเล็กรับปากว่าจะพาอาทิตย์ไปให้เป็นเพื่อนเล่นน้องพี พี่ก็ดีใจจะแย่แล้ว เรื่องค่าใช้จ่ายเล็กๆ น้อยให้พี่จัดการเถอะนะครับ”

น้ำเสียงอ่อนโยนที่โน้มน้าวมาตามสายทำเอาใจตะวันอ่อนยวบ แต่ยังไงเสียเขาก็คิดว่ามันไม่ถูกที่จะให้พลัฎฐ์ทั้งพาไป ทั้งจ่ายค่านั่นค่านี่ให้ คนตัวเล็กกว่าเลยเตรียมจะแย้ง

“แต่ตะวันว่า...”

“พี่แค่อยากดูแล... อย่าปฏิเสธพี่เลยนะครับ”

ตะวันเม้มปากแน่นจนแทบจะกลายเป็นเส้นตรง เขารู้ดีว่าถ้าคลายริมฝีปากออกเขาต้องยกยิ้มเหมือนคนเป็นบ้าแน่ๆ คำพูดคำจาของพลัฎฐ์ทำเอาเขาอุ่นวาบในอกอย่างที่ไม่เคยเป็น ตะวันไม่คิดจะปฏิเสธเลยสักนิดว่าอีกฝ่ายทำให้ตัวเองรู้สึกดีมากขนาดไหน

“ก็ได้ครับ” พี่ชายของอาทิตย์อ้อมแอ้มตอบเสียงเบา แน่นอนว่าไม่ได้ไม่พอใจอะไร เพียงแต่เขินมากจนแทบจะทำตัวไม่ถูกอยู่แล้ว

“ตัวเล็กของพี่น่ารักมากๆ ... แล้วเย็นนี้เจอกันครับ เดี๋ยวพี่ไปรับ”

พลัฎฐ์วางสายไปแล้ว แต่ตะวันกลับยังคงถือโทรศัพท์ของร้านค้างอยู่ที่หูด้วยอาการนิ่งอึ้ง แก้มขาวที่ระเรื่อขึ้นด้วยสีแดงจางๆ เพราะประโยคที่ว่า ‘พี่อยากดูแล’ ยังไม่ทันจางหาย ตอนนี้มันกลับแดงหนักยิ่งขึ้นกว่าเดิมเหมือนคนไม่สบาย เพราะพลัฎฐ์ดันพูดว่า ‘ตัวเล็กของพี่น่ารักมากๆ’ ออกมานี่อีก

สงสัยเขาต้องไปหาหมออย่างที่อาทิตย์บอกแล้วล่ะ... ก็ไอ้อาการหัวใจเต้นแรงจนเจ็บอก หน้าแดงเหมือนคนป่วยนี่มันชักจะทวีความรุนแรงขึ้นทุกวัน

จนน่ากลัวจะเป็นไข้ใจ

.

.

.

“อาทิตย์ครับ มาเอากระเป๋าไปสะพายก่อนเร็ว เดี๋ยวพี่ตะวันปิดบ้านก่อน”

เจ้าเด็กชายตัวน้อยวิ่งตื๋อมาหาพี่ชายก่อนหันหลังให้คนเป็นพี่สอดหูกระเป๋าทั้งสองข้างเข้าเกี่ยวกับไหล่เล็กๆ นั่นอย่างรู้งานและหลังจากตะวันปิดประตูรั้วบ้านและล็อคเรียบร้อย ทั้งคู่ก็เตรียมจะเดินไปบ้านข้างๆ แต่ก็ดูเหมือนว่าจะยังไม่ทันได้ออกก้าวไปไหน รถยนต์ยุโรปคันหรูของพลัฎฐ์ก็มาจอดเทียบตรงหน้าเสียก่อน

“ตัวเล็กครับ พาอาทิตย์ขึ้นรถได้เลย พี่ขยับคาร์ซีทมาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว”

ตะวันพยักหน้ารับงงๆ เพราะไม่คิดว่าพลัฎฐ์จะมารับถึงหน้าบ้าน คนตัวเล็กจัดแจงพาน้องชายเดินอ้อมมาอีกฝั่งของรถ และพอเปิดประตูได้ เสียงเจื้อยแจ้วของน้องพีก็ดังจนแทบจะทะลุออกมานอกรถ

“คุณอาทิตยยยยย์ คุณอาทิตย์มาแย้วๆ”

ใบหน้าน่ารักดูตื่นเต้นจนแทบเก็บอาการไม่อยู่ แถมปากเล็กๆ ของเด็กชายที่คอยส่งเสียงเจื้อยแจ้วยังมีรอยยิ้มกว้างจนตายิบหยี ดูก็รู้ว่าเด็กชายพีรยสถ์อารมณ์ดีมากแค่ไหนที่จะได้ไปสวนสนุกในวันนี้

แต่ก็ไม่ใช่แค่น้องพีคนเดียวหรอกที่ตื่นเต้น เพราะตอนนี้เด็กชายภานวีย์ก็ดูเหมือนจะออกอาการตามไปติดๆ แล้วเหมือนกัน

“น้องพี คุณอาทิตย์มาแล้ววว วันนี้ไปสวนสนุกๆ”

ตะวันได้แต่อมยิ้มแล้วส่ายหน้าให้กับอาการม้าคึกของเด็กทั้งสอง โดยที่สองมือเรียวก็พยายามที่จะคาดเข็มขัดให้น้องชายตัวน้อย ที่ดูเหมือนว่าตอนนี้จะเอาแต่เอนตัวไปหาน้องพี ไม่ยอมอยู่นิ่งๆ เลยสักนิด

“อาทิตย์ครับ นั่งดีๆ ให้พี่ตะวันคาดเบลท์ให้ก่อนครับ แล้วพอเสร็จแล้วค่อยคุยกับน้องพีนะ”

“คับ” อาทิตย์เอนตัวกลับมานั่งหลังพิงคาร์ซีทนิ่งๆ ให้คนเป็นพี่จัดการเรื่องที่นั่งของตัวเองให้เรียบร้อย

“อ่ะ เรียบร้อยแล้วครับเจ้าเด็กอ้วน” เด็กน้อยที่ถูกกล่าวหาว่าอ้วนยู่หน้าใส่คนเป็นพี่ทันที ให้ตะวันได้หลุดขำออกมาเบาๆ ตอนบีบไปที่พุงน้อยๆ ที่เริ่มจะยื่นออกมาของคนเป็นน้อง

“อาทิตย์ไม่ได้อ้วนสักหน่อยนะพี่ตะวัน” เด็กชายผู้ไม่ยอมรับความจริงเถียง ในขณะที่ตะวันที่พาตัวเองมานั่งเบาะด้านหน้าข้างคนขับรถกิตติมศักดิ์หัวเราะชอบใจที่ได้แหย่น้อง และก็ต้องหัวเราะดังมากกว่าเดิม เมื่อได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของเด็กอีกคนดังมาผสมโรง โดยมีพลัฎฐ์ประสานเสียงหัวเราะตามมาด้วยอีกคน

“ใช่ๆ คุณอาทิตย์ไม่ได้อ้วนเยย คุณอาทิตย์หย่อที่สุด หย่อเท่าปะป๊า ส่วนน้องพีน่ายัก น่ายักที่แปลว่าคิ้วท์แบบพี่ตะวัน”

และแน่นอนว่าเจ้าเด็กอ้วนที่ได้ยินคำเยินยอจากเพื่อนคนสนิทแล้วก็ได้แต่ยิ้มหวาน ชอบอกชอบใจที่น้องพีบอกว่าตัวเองหล่อเท่าปะป๊าพลัฎฐ์ เพราะว่าปะป๊าพลัฎฐ์น่ะหล่อมากๆ หล่อที่สุด หล่อมากกว่าคุณพ่อของอาทิตย์เสียอีก

แล้วจะไม่ให้คนถูกชมหน้าบานได้ยังไง

“เอ้าๆ ไปกันดีกว่าเนาะคนหล่อคนน่ารัก เดี๋ยวปะป๊าจะพาไปหาข้าวเช้าทานด้วย”

พลัฎฐ์ตัดบท ก่อนจะเคลื่อนรถออกจากหมู่บ้าน โดยมีเสียงพูดคุยเจื้อยแจ้วของเด็กชายทั้งสอง ดังประกอบเป็นซาวด์เอฟเฟ็กต์อยู่ข้างหลัง แต่น่าแปลกที่มันไม่ได้น่าเบื่อหรือน่ารำคาญเลยสักนิดสำหรับคนเป็นพ่อและคนเป็นพี่ ตรงข้ามมันกลับน่าฟังมากยิ่งกว่าเสียงไหนๆ บนโลกใบนี้ ... ก็มีใครบ้างล่ะ ที่จะไม่ชอบเวลาเห็นคนที่ตัวเองรักมีความสุข ซึ่งตอนนี้ความสุขของเด็กน้อยทั้งคู่ถูกถ่ายทอดออกมาผ่านเสียงเล็กๆ ที่ติดจะตื่นเต้นน้อยๆ นั่นแล้ว

“พี่พลัฎฐ์ไม่น่าลำบากขับรถมาแวะรับเลยครับ ตะวันกับอาทิตย์กำลังจะเดินไปหาพอดี”

ตะวันเริ่มพูดขึ้นบ้าง เมื่อตอนนี้เสียงของเด็กๆ เริ่มเงียบไป น่าจะกำลังเล่นของเล่นกันอยู่

“เล็กน้อยน่ะครับตัวเล็ก ยังไงพี่ก็ต้องขับออกมาอยู่แล้ว แวะรับแค่นี้สบายมาก บ้านเราไม่ได้ไกลกันสักหน่อย”

คนที่ถูกชมว่าหล่อที่สุดในโลกหันมาพูดกับตะวันด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน และรอยยิ้มบางๆ ที่ปาก ทำเอาหัวใจดวงน้อยๆ ของคนที่ไม่ค่อยจะประสีประสาเรื่องความรักเท่าไหร่สั่นระรัว ความอบอุ่นของอีกฝ่ายแผ่ซ่านไปทั่วอก

นี่สินะที่พลัฎฐ์บอกว่าอยากจะดูแล... ความรู้สึกของการถูกดูแลเป็นแบบนี้นี่เอง

ด้วยความที่ตะวันเป็นพี่ และเป็นลูกชายคนโตของครอบครัวที่พ่อกับแม่ค่อนข้างจะยุ่ง เรื่องการดูแลจึงกลายเป็นเรื่องที่ตะวันถนัดและเคยชินตลอดสามสี่ปีที่ผ่านมา เมื่อได้ถูกดูแลบ้าง เขาก็ยอมรับแบบไม่อายเลยว่าโคตรรู้สึกดี ซึ่งตอนนี้พลัฎฐ์กำลังทำให้เขารู้สึกแบบนั้น และแน่นอนว่ามันทำให้ตะวันหวั่นไหวมากจนเผลอหลุดปากพูดออกมา

“พี่กำลังทำให้ตะวันเคยตัวนะครับ” พลัฎฐ์หันมาทำหน้าสงสัยน้อยๆ ก่อนจะยิ้มกว้างเมื่อได้ยินประโยคถัดมา “ถ้าอีกหน่อยไม่มีพี่คอยดูแล ตะวันจะทำยังไงดี?”

พอพูดออกไปแล้วก็เพิ่งได้สติ คนตัวเล็กได้แต่ก่นด่าตัวเองในใจ ขณะที่เหลือบมองคนที่กำลังขับรถเห็นอีกฝ่ายกำลังยิ้มกว้าง ตะวันยิ่งเขิน และก็ต้องเขินหนักกว่าเดิม เมื่อได้ยินพลัฎฐ์พูดประโยคถัดมา

“ตัวเล็กเอาแต่ใจกับพี่ได้ งองแงกับพี่ได้ เรียกร้องจากพี่ได้ พี่ยินดีจะตามใจ เอาใจทุกอย่าง เพราะมันคือสิ่งที่พี่อยากทำ เข้าใจไหมครับ?”

“เอ่อ.. อ่ะ คือ.. เข้าใจครับ” ตะวันตอบรับทั้งที่หน้าแดงก่ำ หัวใจที่เต้นรัวจนเจ็บอกเมื่อได้ยินประโยคนั้นทำให้ตะวันต้องทำทีหันไปมองนอกหน้าต่าง เพราะไม่รู้จะวางตัวยังไงดี ทั้งที่เป็นผู้ชายเหมือนกัน แต่ถ้อยคำที่พลัฎฐ์พูดบอกทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นสาวน้อยที่กำลังถูกจีบยังไงไม่รู้

ตะวันพยายามที่จะไม่คิดเข้าข้างตัวเองเพราะหลายๆ สาเหตุ เขายอมรับว่าเขากลัวถ้ามันไม่ใช่อย่างที่คิด เพราะถ้าเกิดคิดไปแล้วมีแค่เขาจริงจังแค่คนเดียว คนที่จะเจ็บหนักที่สุดก็คือตัวเขาเอง ตะวันพยายยามบอกตัวเองซ้ำๆ ว่าที่พลัฎฐ์ดูแลเขาดีขนาดนี้นั่นเป็นพราะเอ็นดูเขากับอาทิตย์เหมือนเป็นน้องข้างบ้านก็เท่านั้น

แม้ว่าการที่จะพยายามทำให้ใจตัวเองคิดแบบนั้นมันช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน เมื่อเจอกับถ้อยคำและการกระทำที่อีกฝ่ายทำให้เขาหวั่นไหวบ่อยๆ แบบนี้

.

.

.

หลังจากแวะทานข้าวเช้าเรียบร้อย ทั้งสี่ก็เดินทางมาถึงสวนสนุกในตอนสายๆ โชคดีที่วันนี้อากาศไม่ร้อน แดดก็ไม่ค่อยมี แถมยังมีลมอ่อนๆ โชยมาให้รู้สึกไม่อึดอัด ดังนั้นอารมณ์ที่ดีอยู่แล้วของเด็กๆ ก็ดียิ่งขึ้นไปอีก

เจ้าตัวน้อยสองคนกระโดดดึ๋งๆ ในขณะที่ยืนจับมือตะวันไว้คนละข้าง ตอนนี้สามหนุ่มต่างวัยกำลังยืนรอพลัฎฐ์ที่ไปซื้อบัตรผ่านประตู รวมไปถึงบัตรรวมเครื่องเล่นสำหรับเขาทั้งสี่คนอยู่ เพราะถึงแม้ว่าเด็กๆ จะยังเล็กและสามารถเล่นได้แค่เครื่องเล่นบางอย่าง แต่พลัฎฐ์ก็ไม่อยากที่จะต้องไปเสียเวลาต่อแถวรอซื้อบัตรหน้าเครื่องเล่น ซื้อไปเสียแต่แรกเลยดีกว่า พอถึงเวลาอยากไปเล่นอะไร จะได้ไปต่อคิวรอเล่นได้เลย

“คุณอาทิตย์ๆ ไปเย่นยดไฟคุณปู่กับน้องพีไหม น้องพีอยากเย่นๆ”

น้องพีกับอาทิตย์ที่เดินจูงมือกันอยู่ตรงกลาง โดยมีผู้ใหญ่ทั้งสองอย่างพลัฎฐ์และตะวันเดินจูงมือขนาบข้าง ฟังเด็กทั้งสองคุยกันด้วยความเอ็นดู

“ไปสิ เล่นอะไรก็ได้ คุณอาทิตย์ให้น้องพีเลือก”

“คุณอาทิตย์ใจดีที่สุดเยย งั้นไปเย่นทุกอย่างเยยนะ ยกเว้นอันที่มันเหวี่ยงๆ หมุนๆ อันนั้นไม่เย่น เพราะน้องพีกลัว”

เด็กชายพีรยสถ์ตัวน้อยทำท่าสั่นศีรษะเมื่อนึกถึงเครื่องเล่นอันที่ว่า โดยที่ตะวันกับพลัฎฐ์ยังนึกไม่ออกเลยว่าของเล่นชิ้นที่น้องพีว่าคือเครื่องเล่นอันไหน แต่ถึงนึกไม่ออกก็ไม่เป็นไร เพราะเครื่องเล่นบางชนิดที่หวาดเสียวเกินไปเด็กสองคนเล่นไม่ได้อยู่แล้ว เว้นเสียแต่ว่า..

“ตะวันว่าน้องพีต้องหมายถึงเฮอริเคนแน่เลยพี่พลัฎฐ์” คนตัวเล็กกว่าพูดด้วยใบหน้าติดเสียดายนิดๆ

“อ้อ! พี่ก็นึกตั้งนานว่าอะไร เหวี่ยงๆ หมุนๆ” มือใหญ่ของคนเป็นพ่อยื่นไปลูบศีรษะกลมๆ ของลูกเบาๆ “แต่ถึงยังไงน้องพีกับอาทิตย์ก็เล่นเครื่องเล่นพวกนั้นไม่ได้อยู่แล้วแหละ ความสูงไม่ถึง”

“แต่ความสูงของตะวันถึงนะ...” เสียงหวานพูดงุ้งงิ้งเบาๆ กะว่าพลัฎฐ์ไม่ได้ยินแน่ แต่ผิดคาดที่คนตัวโตกว่าได้ยินชัดเจน

“ตัวเล็กอยากเล่นเหรอครับ” พลัฎฐ์ถาม และสีหน้าเลิ่กลั่กร้อนตัวของอีกฝ่ายก็เป็นคำตอบได้อย่างดี

“ก็.. คือ..” ตะวันอึกอัก ก่อนจะยอมรับเสียงอ่อย “นิดนึงอ่ะครับ ไหนๆ ก็ได้มาแล้ว แหะๆ”

พลัฎฐ์หัวเราะทันทีที่ได้เห็นท่าทางเด็กน้อยของอีกฝ่าย เพราะปกติตะวันจะเนี๊ยบตลอดเวลาอยู่ที่ร้าน สมกับบทบาทของการเป็นเจ้าของที่มีคนในปกครองต้องคอยดูแล

แต่ตะวันที่พลัฎฐ์เห็นในตอนนี้เป็นเพียงชายหนุ่มอายุยี่สิบต้นๆ ที่ยังรักสนุก และอยากมีอิสระในการได้ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ ซึ่งแน่นอนว่าเขายินดีจะสนับสนุนความสุขของอีกฝ่ายเต็มที่ รวมถึงเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน

“ตัวเล็กอยากเล่นอะไรก็เล่นเลยครับ เดี๋ยวพี่ดูแลเด็กๆ เอง” พลัฎฐ์อาสา เพราะตัวเขาเองก็ไม่ได้อยากเล่นอะไรเป็นพิเศษ ที่มาก็เพราะอยากพาเด็กๆ ทั้งเด็กเล็กเด็กโตมาพักผ่อนคลายเครียดก็เท่านั้น ดังนั้น เขาจึงรู้สึกยินดีมากถ้าหากเจ้าตัวเล็กของเขาจะมีความสุขไปกับสิ่งที่เขามอบให้

“ไม่เอาครับ ตะวันจะเห็นแก่ตัวทิ้งพี่ไว้กับเด็กๆ ได้ไง” เด็กโตยู่หน้า ก่อนจะพูดต่อด้วยประโยคที่พลัฎฐ์คิดว่าน่ารักสุดๆ ออกมา “เล่นก็เล่นด้วยกัน ไม่เล่นก็ไม่เล่นด้วยกัน ไม่ใช่พี่คนเดียวสักหน่อยที่อยากให้ตะวันสนุก ตะวันก็อยากให้พี่สนุกเหมือนกัน ทำงานมาเครียดๆ จะมาให้ตะวันหนีไปคลายเครียดคนเดียวได้ยังไงล่ะครับ”

อ่า... ถ้าจับคนตรงหน้ามาจูบลงไปแรงๆ บนปากเล็กๆ ช่างเจรจาน่ารักนั่น จะเป็นอะไรไหมนะ?

พลัฎฐ์นึกถามตัวเองด้วยประโยคคล้ายๆ แบบนี้มาสักร้อยครั้งได้แล้วหลังจากที่รู้ว่าตัวเองรู้สึกยังไงกับตะวัน

นับวันเจ้าเด็กโตตรงหน้านี่ชักจะน่ารักขึ้นทุกวัน น่ารักจนเขาชักจะห้ามใจตัวเองไม่ไหว แต่ก็ไม่กล้าจะรุกมากไปกว่านี้เพราะกลัวอีกฝ่ายจะตกใจ เพราะที่ทำทุกวันนี้ก็ถือว่าเสี่ยงจะโดนโกรธโดนเกลียดมากพอตัวแล้ว

ทั้งหลอกหอมแก้ม ทั้งหลอกพามาเที่ยว แล้วไหนจะหลอกให้ตะวันทำกับข้าวให้กินอีก

แถมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเหมือนเฒ่าหัวงูมากขึ้นไปทุกวัน แต่ทำยังไงได้เขาดันมีความรู้สึก ‘พิเศษ’ กับตะวันไปแล้ว และพลัฎฐ์ก็ไม่อยากจะหลอกตัวเอง

“เอางี้ดีไหมครับ ถ้าเครื่องเล่นไหนที่เขาปล่อยให้เด็กๆ ขึ้นไปเล่นเองได้ พี่จะเป็นคนอยู่เฝ้าเอง แล้วตัวเล็กก็ไปเล่นอะไรที่ตัวเล็กอยากเล่น ระหว่างที่เด็กๆ กำลังเล่นอยู่ แต่ถ้าเครื่องเล่นไหนที่ต้องมีผู้ใหญ่ขึ้นไปประกบ ตัวเล็กก็มาประกบอาทิตย์ ส่วนพี่ประกบน้องพี แล้วเราก็ขึ้นไปเล่นด้วยกันสี่คน ... แบบนี้โอเคไหมครับ”

ตะวันครุ่นคิด ในใจก็รู้สึกว่าเหมือนจะเอาเปรียบพลัฎฐ์เล็กๆ อยู่ดี เขาเลยตัดสินใจจะแย้ง

“แต่ตะวันว่า..”

“ไม่เอาสิครับตัวเล็ก พี่อายุมากแล้ว ขึ้นไปเล่นเครื่องเล่นหวาดเสียวไม่ไหวหรอก” พูดแล้วพลัฎฐ์ก็สะท้อนในอกเบาๆ กับความจริงที่ว่าเขาอายุมากกว่าตะวันอยู่หลายปีพอสมควร แต่ก็เพื่อให้อีกฝ่ายไม่ต้องรู้สึกผิดมาก เขาเลยต้องพูดแบบนี้ “เอาอย่างที่พี่บอกแหละ คนละครึ่งทาง ถ้าตัวเล็กรู้สึกไม่ดี ก็คิดเสียว่าตัวเล็กช่วยเล่นให้คุ้มกับค่าบัตร พี่จะได้ไม่ต้องเสียเงินฟรี แบบนี้ดีไหมครับ”

คนตัวเล็กของพลัฎฐ์นิ่งคิดไปพักหนึ่ง และสุดท้ายก็พยักหน้ายอมตกลง

“ตะวันจะไปเล่นก็เฉพาะตอนระหว่างรอเด็กๆ เล่นเครื่องเล่นนะครับ ถ้าเครื่องเล่นอันไหนต้องมีผู้ใหญ่ต้องดูแล ตะวันจะไปกับน้องด้วย พี่พลัฎฐ์ห้ามเหมานะ โอเคไหม”

คนที่เตี้ยกว่าพลัฎฐ์เกือบยี่สิบเซนติเมตรพูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงจริงจัง ทำเอาคนตัวโตกว่านึกเอ็นดูกับท่าทางที่ขัดกับขนาดร่างกายเหลือเกิน

“โอเคครับ พี่ตกลง ทีนี้ก็ไปเล่นกันได้แล้วเนาะ”

หลังจากที่พวกผู้ใหญ่ที่ตกลงกันเสร็จก็พากันจูงมือเด็กน้อยสองคนออกเดินต่อ โดยในขณะที่รอผู้ใหญ่คุยกัน ทั้งน้องพีและอาทิตย์ก็วางแผนไว้หมดแล้วว่าจะไปเล่นอะไรบ้าง ซึ่งน้องพีตัวน้อยก็เป็นคนร่ายยาวให้คนเป็นพ่อฟัง

“ปะป๊า น้องพีนะอยากเย่นเมืองหิมะด้วย คุณอาทิตย์บอกว่าเมืองหิมะเย็นม๊ากมาก ปะป๊าเคยเย่นไหมคับ”

พลัฎฐ์ยิ้มในขณะที่ตอบคำถามลูกชาย “เคยครับ แต่ถ้าน้องพีกับคุณอาทิตย์อยากเล่น เดี๋ยวปะป๊ากับพี่ตะวันจะพาไปเล่น วันนี้ปะป๊าตามใจเราสองคนทุกเรื่องเลยดีไหมครับ”

“คิกคิก ปะป๊าใจดี น้องพียะ.. ฮื่อ พูดใหม่ พูดช้าๆ นะน้องพี” เด็กน้อยบอกกับตัวเอง ด้วยท่าทางจริงจัง ทำเอาคนเป็นพ่อแทบใจละลายเมื่อเห็นความน่ารักน่าเอ็นดูของลูกตัวเอง “น้องพี ระ.. รัก รักปะป๊าคับ”

เด็กน้อยกระโดดเกาะขาคนเป็นพ่อด้วยท่าทางดีอกดีใจที่ตัวเองพูดคำว่ารักออกมาได้ชัดเจน ขนาดที่อาทิตย์กับตะวันยังเอ่ยปากชม

“เย่ๆ น้องพีพูดได้ชัดมากเลย น้องพีเก่งๆ” อาทิตย์ปรบมือเปาะแปะให้เพื่อนสนิท เด็กชายพีรยสถ์จึงผละออกมาจากการเกาะขาปะป๊า แล้วหันมายิ้มให้กับอาทิตย์พลางเข้าไปเอาศีรษะเล็กๆ ถูแขนของเด็กชายอีกคนที่ตัวสูงกว่าตัวเอง

“น้องพีเก่ง คุณอาทิตย์ชมด้วย” สีหน้าเขินๆ ของเด็กชายตัวน้อย ทำเอาผู้ใหญ่ใจแทบละลาย “ขอบคุณคุณอาทิตย์มากน๊า”

“ใช่แล้วครับ น้องพีเก่งมากเลย” ตะวันทรุดลงนั่งยองๆ กอดจะเกี่ยวเอวเล็กของเด็กน้อยเข้ามา พลางกดจมูกลงไปแรงๆ บนแก้มนิ่ม

ฟอด~

“เก่งขนาดนี้ พี่ตะวันต้องให้รางวัลหนึ่งฟอด” น้องพียิ้มกว้าง ชอบอกชอบใจที่ถูกหอมแก้ม ก่อนที่ร่างเล็กๆ จะลอยหวือเข้าสู่อ้อมกอดคนเป็นพ่อที่ยกลูกน้อยลอยขึ้นมาแนบอก

“ไม่ได้การแล้ว ปะป๊าก็ต้องให้รางวัลน้องพีด้วยอีกหนึ่งฟอด... จัดการเลยละกัน”

“คิกๆ ปะป๊า คิก”

เด็กชายพีรยสถ์หัวเราะคิกคักเพราะจั๊กกะจี๋ แถมยังยื่นหน้าตัวเองให้ปะป๊าจูบ หอม ฟัด ไม่เลิกอีกต่างหาก แล้วแทนที่ว่าน้องพีจะเขินที่คนเป็นพ่อแสดงความรักใส่เขาออกนอกหน้า ก็กลายเป็นว่าคนเขินคือตะวันเสียเอง

ก็พลัฎฐ์เล่นหอมแก้มน้องพีข้างเดียวกับที่เขาหอม ขนาดว่าน้องพีหันแก้มอีกข้างให้พลัฎฐ์ก็ไม่ยอมหอม จ้องแต่จะหอมจะฟัดข้างเดียวกับของตะวันนั่นแหละ แถมสายตาเจ้าชู้ที่พลัฎฐ์ส่งมาให้เขาอีก

... ทำแบบนี้ตะวันอดคิดไม่ได้เลยว่าเหมือนถูกอีกฝ่าย ‘จูบทางอ้อม’ ยังไงไม่รู้

ตะวันแสร้งทำเป็นไม่เห็น ก่อนจะจูงมืออาทิตย์ออกเดินให้พลัฎฐ์อุ้มน้องพีเดินตามมา

“รีบไปเล่นกันเถอะครับ ตรงนี้เริ่มร้อนแล้วด้วย”

- อ่านต่อด้านล่าง -

หัวข้อ: Re: [Up 8th] The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: Chapter 7th ::
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 09-07-2019 19:20:21
- ต่อจากด้านบน -

พลัฎฐ์ยิ้มขำ ดูก็รู้ว่าแก้มแดงๆ ของเด็กโตนั่นน่ะ ไม่ใช่เพราะอากาศร้อนหรอก แต่มันเป็นความร้อนจากภายในร่างกายเพราะความเขินอายมากกว่า

เฮ้อ... น่ารักอะไรขนาดนี้นะภานรินทร์

.

.

.

อาทิตย์กับน้องพีตระเวนเล่นเครื่องเล่นอันนั้นที อันนี้ที โดยไม่มีท่าทางว่าจะเหน็ดเหนื่อย ในขณะที่ผู้ใหญ่ทั้งสองแทบจะหอบ สุดท้ายพลัฎฐ์จึงได้ข้อสรุปว่าตอนนี้ก็บ่ายคล้อยแล้ว พวกเขาควรไปหาที่นั่งพัก และหาอะไรรองท้องให้เด็กทั้งคู่ทานด้วย และหลังจากที่ได้ที่นั่งและอาหารมาพร้อมแล้ว ผู้ปกครองทั้งคู่ก็ได้ฤกษ์นั่งฟังน้องพีที่ยังคงพูดเจื้อยแจ้วโดยมีอาทิตย์คอยพูดเสริมเป็นระยะๆ เข้าขาอะไรกันดีขนาดนี้ก็ไม่รู้

“คุณอาทิตย์เห็นยื้อป่าว ตอนที่ขึ้นไปบนอันนั้นที่สูงๆ อ่ะ มองยงมาข้างย่างนะ โอ๊ยน้องพีวาบๆ ในพุงสุดๆ เยย”

อาทิตย์หัวเราะ ในขณะที่ผู้ใหญ่ยังสงสัยอยู่เลยว่าสิ่งที่น้องพีพูดถึงคืออะไร

“ใช่ๆ คุณอาทิตย์ก็วูบๆ ในพุง มันสูงมาก แต่คุณอาทิตย์ก็ชอบมากเหมือนกัน”

“น้องพีเก๊าะชอบ คุณอาทิตย์ชอบอะไย น้องพีชอบด้วย”

เด็กน้อยสองคนยิ้มให้กันอย่างน่ารัก ก่อนที่น้องพีจะหันมาชวนตะวันคุย

“พี่ตะวัน ปลาบินๆ สนุกไหมคับ น้องพีกลัวนิดนึงแต่ตอนหยังเก๊าะไม่กลัว เพราะปะป๊ายูบหัวน้องพีตะหยอดเยย”

ตะวันยิ้ม ก่อนจะตอบเด็กชายข้างบ้านด้วยน้ำเสียงน่าฟัง “ตอนแรกก็กลัวนิดๆ ครับ คุณอาทิตย์ก็กลัวนะ แต่พอนั่งไปนานๆ ก็คุ้น เลยหายกลัว”

เขาผสมโรงว่ากลัวเหมือนๆ กับน้องพี เพราะไม่อยากให้เด็กน้อยคิดว่าตัวเองแปลกประหลาดคนเดียว การทำตัวเป็นพวกเดียวกันจะทำให้เด็กอุ่นใจมากกว่าสร้างความแปลกแยกจากอีกฝ่าย ซึ่งคำตอบของตะวันก็ทำให้น้องพียิ้มกว้าง

“ใช่คับ สนุกๆ ตอนหยังเยยไม่กลัวแย้ว”

“อื้อ! น้องพีไม่ต้องกลัวนะ ไปเล่นกับคุณอาทิตย์ คุณอาทิตย์จะดูแลน้องพีเอง เหมือนตอนเล่นสไลเดอร์ในเมืองหิมะไง” อาทิตย์ก็ยังคงเป็นคุณอาทิตย์ที่ปกป้องและดูแลน้องพีได้เสมอ ตะวันฟังแล้วอดภูมิใจในตัวน้องชายตัวเองไม่ได้

“ใช่ คุณอาทิตย์ดูแยน้องพี น้องพีสนุกมากกกก ตอนยื่นๆ ลงมาในเมืองหิมะนะ” น้องพีทำท่าทำทางอวดคนเป็นพ่อ ก่อนจะเล่าต่อ “น้องพีจับมือคุณอาทิตย์ไว้ ไม่กลัวเยยปะป๊า”

รอยยิ้มน่ารักที่ถูกส่งมาทำให้พลัฎฐ์นึกขอบคุณเจ้าเด็กตัวน้อยข้างบ้านไม่ได้ อายุก็แค่นี้รู้จักเป็นห่วงเป็นใยดูแลคนอื่นเสียแล้ว มือใหญ่จึงยื่นไปลูบศีรษะทุยๆ ของเด็กชายพลางเอ่ยขอบคุณ

“ปะป๊าพลัฎฐ์ขอบคุณคุณอาทิตย์มากเลยนะครับที่ช่วยดูแลน้องพี”

“คับ น้องพีกับคุณอาทิตย์เป็นเพื่อนกันคับปะป๊าพะลัด”

แล้วน้องพีกับอาทิตย์ก็ผลัดกันคุยถึงเครื่องเล่นหลายชิ้นที่ตัวเองไปเล่นกันมา ทั้งที่ไปเล่นด้วยกัน แต่ก็นั่นแหละ สำหรับเด็กแล้ว ทุกอย่างมันดูแปลกใหม่ น่าตื่นตาตื่นใจ พูดได้เรื่อยๆ ไม่มีเบื่อ

“แล้วตัวเล็กล่ะครับ เป็นไงบ้าง? เฮอริเคน?” พลัฎฐ์ถามตะวันที่ไปเล่นเฮอริเคนมาตอนที่เด็กๆ นั่งรถไฟดรีมเวิลด์ทัวร์ และด้วยคำถามนั้นเอง คนตัวโตกว่าก็เห็นประกายวิบวับในดวงตาเด็กโตตรงหน้า

“สนุกมากเลยครับพี่พลัฎฐ์ โหย ไม่ได้เล่นนานแล้วนึกว่าจะไม่สนุก ที่ไหนได้! ตะวันร้องดังมากจนคนข้างๆ หันมามองเลย ฮ่าๆๆ”

ตะวันเล่าไปขำไปด้วยแววตาเป็นสุข ซึ่งเห็นแค่นี้พลัฎฐ์ก็คิดว่าคุ้มค่ามากแล้วกับการที่เขาได้พาทุกคนมาเที่ยวในวันนี้ เขาชอบรอยยิ้มของทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งรอยยิ้มเจิดจ้าของตะวันดวงน้อยตรงหน้าเขา

“แล้วเดี๋ยวเสร็จจากนี้แล้วจะกลับกันเลยไหมครับ หรืออยากเล่นอะไรต่อ?” พลัฎฐ์ถามขึ้น เขาบอกแล้วว่าจะตามใจทุกคน ถ้าอยากเล่น ก็เล่นต่อ ถ้าเหนื่อยแล้วอยากกลับ ก็กลับ

และแล้วก็เป็นเจ้าของเสียงที่เจื้อยแจ้วมาตลอดทั้งวันเป็นคนตอบ ซึ่งคำตอบที่ได้ยินก็ทำเอาคนเป็นพ่อถึงกับงงไม่น้อย ส่วนคนข้างบ้านนั้นถึงกับหน้าซีด

“น้องพีอยากไปเย่นบ้านผีสิง ปะป๊าพาไปหน่อยได้ไหมคับ” เด็กน้อยพูดอย่างร่าเริง ทำเอาพลัฎฐ์ต้องถามซ้ำ เพราะไม่แน่ใจว่าลูกชายรู้หรือเปล่าว่าบ้านผีสิงคืออะไร

“น้องพีอยากเล่นเหรอลูก? น้องพีรู้หรือเปล่าครับว่าบ้านผีสิงที่น้องพีอยากไปเป็นยังไง?”

“ยู้ๆ น้องพีอยากเย่นบ้านผีสิง ที่มันมีผีกุ๊กๆ กู๋อ่ะคับปะป๊า”

เมื่อเห็นว่าลูกชายเข้าใจถูกและรับรู้ว่าเป็นยังไงแล้วยังคงอยากเล่น พลัฎฐ์จึงไม่อยากขัดใจเลยหันไปถามเด็กจากบ้านข้างๆ ว่าจะอยากไปเล่นด้วยกันไหม

“อาทิตย์อยากเล่นไหมครับ กลัวหรือเปล่า หื้ม?”

อาทิตย์ยิ้มกว้าง โดยไม่ทันต้องตอบพลัฎฐ์ก็รู้เลยว่าคำตอบจะเป็นยังไง

“อยากเล่นคับปะป๊าพะลัด ไปๆ อาทิตย์ไปเล่นด้วย”

ตรงข้ามกับตะวันที่ตอนนี้หน้าซีดเผือดไปแล้ว “เอ่อ.. คือ...”

และท่าทีอ้ำอึ้งนั้นก็บอกได้เป็นอย่างดีว่าคำตอบคืออะไร ... กลัวผีสินะ เจ้าตัวเล็กของพี่ และเพื่อไม่ให้น้องต้องลำบากใจ พลัฎฐ์เลยตัดสินใจบอก

“ไม่เป็นไรนะ ตัวเล็กไม่อยากเล่นก็เป็นไร เดี๋ยวพี่เข้าไปดูเด็กๆ ให้เอง ไม่ต้องเป็นห่วง”

คนตัวโตกว่ายิ้มอ่อนโยนส่งให้อีกฝ่าย ยิ่งทำให้ตะวันรู้สึกไม่ดี เพราะตกลงกันไว้แล้วว่าถ้าเครื่องเล่นชิ้นไหนต้องประกบเด็กๆ พวกเขาต้องไปด้วยกัน

“ไม่เป็นไรครับ ตะวันไม่ได้กลัวขนาดนั้น ตะวันเข้าได้ พี่พลัฎฐ์ดูเด็กๆ สองคนทีเดียวพร้อมกันไม่ไหว เกิดพวกแกวิ่งขึ้นมา เดี๋ยวจะตามจับกันไม่ทัน” ตะวันให้เหตุผลที่พลัฎฐ์ปฏิเสธไม่ได้ เขาจึงยอมตามใจอีกฝ่ายในที่สุด

“เอางั้นก็ได้ครับ แต่ถ้ากลัวมากๆ ก็บอกพี่นะ ไม่ต้องเกรงใจ” ตะวันพยักหน้ารับพลางแสดงสีหน้ามั่นใจให้อีกฝ่ายได้เห็นจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง ทั้งที่ความจริงข้างในคือแข้งขาอ่อนไปหมด

ให้นั่งเฮอริเคนสิบรอบตะวันยังไม่หนักใจเท่าให้เข้าบ้านผีสิงเลย ให้ตาย

.

.

.

‘เปลี่ยนใจตอนนี้ทันไหมนะ’

ตะวันถามตัวเองเป็นรอบที่ล้านในขณะที่ยืนขาสั่นอยู่หน้าบ้านผีสิง

พลัฎฐ์เองที่เห็นอาการของตะวันก็เข้าใจเป็นอย่างดี เพราะตะวันในตอนนี้มีท่าทีตรงข้ามกับเด็กน้อยสองคนเหลือเกิน

"ปะป๊า เข้าไปกันได้ยึยังคับ? น้องพีอยากเข้าไปดูผีกุ๊กกู๋แย้ว"

"ใช่ๆ คับปะป๊าพะลัด คุณอาทิตย์ก็อยากดูผีของปลอม ไม่น่ากลัวหรอก"

ตะวันได้แต่กลืนน้ำลายลงคอช้าๆ เขานึกสมเพชตัวเองอยู่ในใจ ว่าในขณะที่เด็กสามขวบกว่า ไม่ได้มีทีท่าว่าจะหวาดกลัว แต่เขากลับกลัวจนขาสั่น ทั้งที่รู้ไม่ต่างจากเด็กๆ เลยว่าผีข้างในไม่ใช่ของจริง

และด้วยท่าทีรีๆ รอๆ ของตะวัน ทำให้พลัฎฐ์ต้องหาทางออกให้กับเรื่องนี้

"เดี๋ยวเราจะเข้าไปกันแล้วคับ แต่ต้องตกลงกันก่อน ปะป๊าถึงจะพาน้องพีกับคุณอาทิตย์เข้าไป"

เด็กน้อยทั้งสองเอียงคอมองพลัฎฐ์ในขณะที่ตะวันเองก็ลุ้นระทึกไม่ต่าง

"น้องพีกับคุณอาทิตย์ต้องยอมให้ปะป๊ากับพี่ตะวันอุ้ม เพราะข้างในมันมืดมาก จูงมือกันแค่อย่างเดียวไม่น่าจะพอ ปะป๊ากลัวพวกหนูสองคนหกล้ม"

พลัฎฐ์อ้าง เหตุผลส่วนหนึ่งก็เพราะความปลอดภัยของเด็กๆ แต่อีกส่วนนั้น…

"เดี๋ยวตัวเล็กอุ้มน้องพีให้พี่นะครับ เพราะน้องพีตัวเล็กกว่าคุณอาทิตย์ ส่วนคุณอาทิตย์เดี๋ยวพี่อุ้มเอง"

"ครับ" ตะวันรับคำอย่างงุนงง เพราะยังไม่เข้าใจว่าพลัฎฐ์จะทำอะไร

"แล้วเดี๋ยวพอเข้าไป พี่กับตัวเล็กต้องจูงมือกันไว้ตลอด จะได้ช่วยดูแลเด็กๆ ได้"

ตะวันเข้าใจทุกอย่างในทันที พลัฎฐ์รู้ว่าเขากลัวเลยให้จับมือไว้ จะได้อุ่นใจว่าพลัฎฐ์อยู่ตรงนั้น ข้างๆ กันไม่ได้ไปไหน

"ตกลงไหมครับเด็กๆ" พลัฎฐ์หันไปถามเจ้าหนูทั้งสอง ซึ่งเด็กชายทั้งคู่ก็ให้ความร่วมมืออย่างดี

"ตกลงคับปะป๊าพะลัด"

ผู้ใหญ่ทั้งสองต่างอุ้มเด็กชายไว้ในอ้อมกอด โดยที่มือเรียวของตะวันยึดมือใหญ่ของพลัฎฐ์ไว้แน่น และมือที่เย็นเฉียบของอีกฝ่าย ทำให้พลัฎฐ์ต้องก้มลงไปกระซิบข้างหูคนตัวเล็กกว่า

"ถ้ากลัว ก็จับมือพี่ไว้แน่นๆ นะครับตัวเล็ก พี่จะคอยอยู่ข้างๆ ตัวเล็กวางใจได้นะ"

ตะวันมองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำขอบคุณ ก่อนจะพยักหน้ารับช้าๆ

ในที่สุดทั้งสองก็พากันเดินเข้าไปในบ้านผีสิง บรรยากาศมืดๆ โดยรอบ และผีปลอมๆ ที่ยืนอยู่ตามมุมต่างๆ ทำให้เด็กๆ ทั้งกรี๊ดด้วยความตกใจ สลับกับการหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ ในขณะที่ตะวันเหงื่อแตกพลั่กและหลับตาปี๋เป็นระยะๆ ด้วยความกลัว

มือเรียวยึดมือของพลัฎฐ์ไว้แน่น โดยที่พลัฎฐ์ก็กระชับมือตอบ ทั้งสองเดินกันมาเรื่อยๆ จนตะวันเห็นแสงตรงทางออกอยู่รำไร เขาเลยถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก อีกนิดนึงก็จะได้ออกไปข้างนอกแล้ว เขาปลอบตัวเองแบบนี้ขณะที่ก้าวไปข้างหน้าเรื่อยๆ

และในขณะที่กำลังจะเดินไปถึงทางออก จู่ๆ ตรงแยกก่อนจะพ้นประตู ผีปลอมที่แอบอยู่ก็ปรากฏตัวออกมา ทำเอาทั้งเด็กๆ และตะวันตกใจจนแทบล้มทั้งยืน เพราะมันเป็นระยะประชิด และไม่มีใครได้ทันตั้งตัว เพราะเข้าใจว่าจะถึงทางออกแล้ว

พลัฎฐ์กระตุกดึงมือตะวันเข้าหาตัวทันทีตามสัญชาตญาณ ในขณะที่น้องพีกรี๊ดลั่น พร้อมกับโผเข้ากอดคอคนเป็นพ่อทั้งที่ตะวันอุ้มอยู่ด้วยความตกใจ

ทุกอย่างชุลมุนไปหมดเพราะแขนเล็กๆ ของน้องพีกำลังโน้มคอของพลัฎฐ์ให้เกี่ยวลงมา และในณะเดียวกันก็รั้งตัวตะวันให้เขย่งขึ้นไป

พอรู้ตัวอีกที ริมฝีปากหยักของพลัฎฐ์ก็ปะทะเข้ากับริมฝีปากบางสีสดของตะวันเข้าอย่างจัง ต่างฝ่ายต่างตะลึงงันไปพักหนึ่ง ก่อนที่จะผละออกจากกัน หลังได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของเด็กชายที่อยู่ในอ้อมกอดของพวกเขาแทน

และพอออกมาข้างนอกที่มีแสงสว่างปกติแล้วเด็กน้อยทั้งสองก็พูดขึ้น

"คิกๆ คุณอาทิตย์ เห็นผีกุ๊กกู๋เมื่อกี้มั้ย น้องพีตกใจหมดเยย"

"เห็นๆ ฮ่าๆ คุณอาทิตย์ก็กลัว แต่ตอนนี้ไม่กลัวแล้ว"

ท่ามกลางเสียหัวเราะของเด็กๆ เจ้าหนูทั้งสองไม่ได้สังเกตเลยว่า สถานการณ์ของผู้ใหญ่ดูกระอักกระอ่วนแค่ไหน

... เพราะตอนนี้ตะวันหน้าแดงก่ำ ในขณะที่พลัฎฐ์ก็กลั้นยิ้มจนปวดแก้ม

และนี่เป็นครั้งที่ทำให้ตะวันได้รู้ว่าการเข้าบ้านผีสิงทำให้หัวใจเต้นแรงได้ขนาดที่ว่า ขึ้นเฮอริเคนก็เทียบไม่ติดเลยแม้แต่นิดเดียว

... ให้ตาย บ้านผีสิงนี่น่ากลัวกว่าที่คิดจริงๆ

.

.

.

To Be Continue

------------------------------------

Talk: ชอบไม่ชอบคอมเม้นท์บอกได้นะคะ แล้วก็ขอบคุณมากที่แวะเข้ามาอ่านและเม้นท์ให้กำลังใจนะคะ .. ฝากติดแท็ก #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว ในทวิตเตอร์ด้วยน้าา

เจอกันตอนหน้าค่ะ .. รักมากๆ ❤
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 09-07-2019 22:22:28
 :pig4:
 o13
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 11-07-2019 11:54:46
คุคิ ผีหน้ากลัวววว

แค่น้องน่ารัก

รบกวนใส่หัวขอตอนอัปเดทหน่อนนะ เราพลาดไม่ได้เขามาอ่านเพราะไม่รู้ว่าอัปแล้ว :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 11-07-2019 16:14:23
คุคิ ผีหน้ากลัวววว

แค่น้องน่ารัก

รบกวนใส่หัวขอตอนอัปเดทหน่อนนะ เราพลาดไม่ได้เขามาอ่านเพราะไม่รู้ว่าอัปแล้ว :L2: :pig4:

ได้ค่า เราเองก็มือใหม่เพิ่งเคยลงในเล้า อาจจะมีพลาดๆ ไปบ้าง เดี๋ยวครั้งหน้าจะไม่ลืมค้าบบ

ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านนะคะ ❤
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 7th - 09/07/19 ::
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 11-07-2019 20:23:30
 :katai2-1:  :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 8th - 12/07/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 12-07-2019 19:19:51
:: Chapter 8th - เปิดเทอมวันแรก ::


“เรียบร้อยแล้วครับหนุ่มหล่อ หล่อขนาดนี้วันนี้ได้เพื่อนใหม่เพียบแน่ๆ”

ตะวันจัดปกเสื้อนักเรียนของน้องชายเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะตบลงบนก้นเล็กๆ ของเด็กน้อยเบาๆ เป็นเชิงว่าการแต่งตัวของเด็กชายอาทิตย์ อนุบาลหนึ่งเสร็จสิ้นแล้ว

“อาทิตย์มีน้องพีเป็นเพื่อนแล้ว เพื่อนใหม่ไม่มีก็ได้คับ”

เด็กน้อยตอบประสาซื่อ เพราะความสนิทสนมกับเด็กชายข้างบ้านทำให้อาทิตย์ไม่ได้คิดถึงการมีเพื่อนใหม่ เพราะถึงจะมีแค่น้องพีเป็นเพื่อนแค่คนเดียว อาทิตย์ก็ไม่ได้รู้สึกว่าจะเป็นปัญหาอะไร เขาชวนน้องพีเล่นได้ทุกอย่าง แถมน้องพียังน่ารัก ขนาดพูดไม่ชัดยังน่ารักเลย อาทิตย์จึงเฉยๆ เรื่องเพื่อนใหม่มาก

ตะวันได้แต่ลอบยิ้ม ตอนนี้ทำมาเป็นพูดดี เดี๋ยวพอไปถึงโรงเรียนแล้วได้รู้แน่ ทั้งของเล่น ทั้งเพื่อนใหม่ ทั้งสภาพแวดล้อมใหม่ๆ อาทิตย์คงได้ตื่นตาตื่นใจไม่น้อย แต่ตะวันก็ไม่ได้พูดเสริมอะไร เขาคิดว่าให้น้องไปเรียนรู้ด้วยตัวเองน่าจะดีกว่า

โชคดีที่อาทิตย์ไม่ใช่เด็กที่เข้ากับคนยาก แค่อาจจะเรื่องมากเพราะเป็นคนช่างเลือกเกินกว่าเด็กทั่วไปสักนิด ลองคนไหนที่เจ้าตัวได้ถูกใจ รับรองเกาะติดกันไม่เลิก แต่ถ้าบทจะไม่เอา ไม่ชอบ ก็คือไม่ยุ่งเลย

อย่างน้องพีเนี่ย เรียกได้ว่าขนมสื่อมิตรภาพแท้ๆ ลองถ้าน้องพีไม่มีน้ำใจหยิบยื่นของกินให้น้องชายเขาในวันนั้น มีหรือเด็กชายภานวีย์จะยอมเข้าหา ยอมพาตัวเองไปผูกพันจนสนิทสนมกันอย่างทุกวันนี้

“เอาเถอะครับ ไว้เดี๋ยวพอไปถึงโรงเรียนแล้วอาทิตย์จะเข้าใจเอง” ตะวันเลือกที่จะปล่อยผ่าน ให้น้องชายได้ไปตัดสินใจด้วยตัวเองเอาเมื่อถึงเวลา “ไปครับ กินข้าวเช้ากัน เดี๋ยวพี่ตะวันไปส่งที่โรงเรียน”

“คับพี่ตะวัน”

เด็กชายตัวน้อยในชุดนักเรียนทำให้ตะวันรู้สึกอิ่มเอมใจมากกว่าทุกวัน เขารู้สึกเหมือนน้องชายที่เขาเลี้ยงมาตั้งแต่ยังแบเบาะโตขึ้นไปอีกขั้น เดี๋ยวอีกหน่อยก็คงสูงทันเขาแล้ว .. พอนึกถึงตรงนี้คนเป็นพี่ก็ได้แต่ยู่หน้า อยู่ๆ ก็รู้สึกขัดแย้งกันเองในความรู้สึก ทั้งอยากจะให้น้องไวๆ แต่อีกใจก็อยากจะหยุดเวลาไว้ให้อาทิตย์ตัวแค่นี้ไม่ต้องเปลี่ยน

แต่ในที่สุดเขาก็ได้นึกรู้ว่ามันเป็นเรื่องของอนาคต ไม่มีอะไรจะหยุดยั้งวันเวลาได้ สิ่งที่ตะวันต้องทำก็คือยอมรับ และอยู่กับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในอนาคตให้ได้ ไม่ว่าอาทิตย์จะโตขึ้นเป็นแบบไหนก็ตาม

แต่สิ่งหนึ่งที่พี่ชายอย่างเขามั่นใจคือ ... อาทิตย์จะต้องเติบโตขึ้นเป็นชายหนุ่มที่ดีแน่ ซึ่งดีในที่นี้ของตะวันอาจจะไม่ได้หมายถึงเพอร์เฟ็กต์เหนือใคร แต่เขาหมายถึง อาทิตย์จะดีในแบบของอาทิตย์เอง เป็นคนที่พึ่งพาได้ เป็นคนที่ปกป้องดูแลคนที่เขารักได้ และ... จะเป็นน้องชายที่ดีของครอบครัว

พอพูดถึงครอบครัวแล้วก็ตะวันก็นึกถึงพ่อกับแม่ เขาไม่แน่ใจเรื่องเวลา เพราะตอนนี้ท่านทั้งสองอาจจะกำลังนอนอยู่ ดังนั้นเขาเลยเลือกที่จะใช้วิธีที่จะรบกวนบิดามารดาที่อยู่ต่างประเทศให้น้อยที่สุด ทำยังไงได้ เขาอยากจะอวดอาทิตย์น้อยในชุดนักเรียนให้พ่อกับแม่เห็นจะแย่ ว่าแล้วตะวันก็ตั้งใจจะแอบถ่ายรูปเจ้าเด็กน้อยที่ปีนขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ของตัวเองที่โต๊ะอาหารเรียบร้อยแล้ว ถ้าไม่ติดเสียว่าออดหน้าประตูบ้านจะดังขึ้นเสียก่อน


ติ๊งหน่อง


ตะวันชะงักมือ ก่อนจะเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า เขาอดแปลกใจไม่ได้ว่าใครมากดออดที่หน้าประตูบ้าน เพราะปกติบ้านที่เขาไปมาหาสู่ด้วยบ่อยๆ ก็มีแต่บ้านของน้องพี และก็จะเป็นเขาที่จูงมือน้องชายไปหาพ่อกับลูกบ้านนู้นทุกครั้ง

เอ๊ะ! หรือว่า

“อาทิตย์รอพี่แปปนึงนะครับ เดี๋ยวพี่ไปเปิดประตูก่อน ไม่รู้ใครมา”

เด็กชายชะเง้อคอยาว แต่ก็ไม่เห็นอะไรนอกจากกำแพง

“น้องพีหรือเปล่าครับพี่ตะวัน อาทิตย์อยากไปโรงเรียนพร้อมน้องพี”

ตะวันขวดคิ้วมุ่น เพราะไม่แน่ใจว่าที่มากดออดหน้าบ้านใช่พลัฎฐ์กับน้องพีหรือเปล่า

“งั้นเดี๋ยวพี่ออกไปดูก่อนนะ อาทิตย์รออยู่ตรงนี้ อย่าเพิ่งปีนลงมาจากเก้าอี้นะครับ”

เด็กชายพยักหน้าหงึกหงัก พลางชะเง้อคอมองอย่างใจจดจ่อ ขอให้เป็นน้องพีด้วยเถอะ อาทิตย์อยากไปโรงเรียนพร้อมน้องพี เพราะถ้าให้อาทิตย์ไปคนเดียว อาทิตย์ต้องเหงาแน่ๆ และเจ้าตัวน้อยก็เชื่อได้ว่าน้องพีก็จะเหงามากแน่ๆ เหมือนกัน

ในขณะเดียวกันตะวันก็ก้าวขาเรียวเดินตรงไปยังประตูบ้านบานเล็กข้างรั้ว และพอเปิดประตูออกก็ได้เจอกับเจ้าของรูปร่างสูงใหญ่และลูกชายที่อยู่ในอ้อมกอดที่กำลังส่งยิ้มแป้นตาหยีมาให้เขา

“พี่ตะวันค้าบบบ” เด็กน้อยพุ่มมือขึ้นพนมไว้อย่างนอบน้อมโดยที่ไม่ต้องรอให้พลัฎฐ์บอก “สวัสดีคับพี่ตะวัน”

“อรุณสวัสดิ์ครับตัวเล็ก” ตะวันอึ้งๆ ไปนิดหน่อย แล้วจู่ๆ แก้มสองข้างก็แดงขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในบ้านผีสิงที่สวนสนุก แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำนิ่ง ตะวันก็เลยต้องทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้บ้าง แต่คนตัวเล็กกว่าที่มัวแต่ก้มหน้าก้มตาเปิดประตูรั้วให้อ้ากว้างกว่าเดิมไม่ทันเห็นว่าอีกฝ่ายแอบอมยิ้มเพราะนึกชอบใจกับแก้มแดงๆ ของตะวัน แก้มแดงๆ ที่ไม่ต้องเดาก็พอจะรู้ว่ามันเกิดขึ้นเพราะตะวันกำลังนึกถึงเหตุการณ์ไหนระหว่างเขาสองคนอยู่

พลัฎฐ์ยอมรับเลยว่าสัมผัสของริมฝีปากนุ่มๆ ที่เขาได้ลิ้มลองไปเมื่อวันก่อนนั้น ยังติดตรึงอยู่ในความรู้สึก คนอายุมากกว่าเคยจินตนาการถึงริมฝีปากสีสดนี่หลายครั้งต่อหลายครั้งว่ามันจะเป็นยังไง แต่เมื่อได้ลองสัมผัสแล้วพลัฎฐ์ก็ยอมรับว่ามันห้ามใจได้ยากที่จะไม่นึกถึงหรืออยากลิ้มลองอีก เขาอยากสัมผัสริมฝีปากของตะวันแบบที่อีกฝ่ายเต็มใจ ไม่ใช่เพราะอุบัติเหตุหรือเพราะความไม่ทันได้ตั้งตัวของอีกฝ่ายแบบนั้น

ดังนั้นในครั้งนี้ พลัฎฐ์จึงจำเป็นต้องทำเป็นนิ่งไว้ ถ้าอยากหวังผลระยะยาว ตอนนี้เขาอยากค่อยเป็นค่อยไปกับตะวันมากกว่าที่จะพุ่งเข้าใส่จนคนตัวเล็กกว่าตกใจ เตลิดหนีไปเสียก่อน เพราะอย่างน้อยเขาก็มั่นใจว่าอีกฝ่ายยังไม่ได้มีใคร หลังจากเทียวไล้เทียวขื่อกันอยู่เกือบสองอาทิตย์เต็ม


โอกาสยังเป็นของพลัฎฐ์ เพียงแต่พลัฎฐ์ต้องใจเย็น ค่อยเป็นค่อยไป และไม่วู่วาม


ส่วนเจ้าลูกกระต่ายตัวน้อยอย่างตะวันก็ไม่ได้เฉลียวใจเลยว่า คนข้างบ้านมีแผนการพิชิตใจเขาไว้ในหัวอย่างไรบ้าง เพราะตะวันในตอนนี้ทั้งสับสน ทั้งวางตัวไม่ถูก ... แต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่าในทุกๆ ความสับสนที่เขากำลังเป็นนั้น มันมีความรู้สึกดีซ่อนตัวอยู่ ... ความใจดีของพลัฎฐ์ ความอ่อนโยน หรือแม้กระทั่งความดูแลเอาใจใส่ของอีกฝ่าย ทำให้ตะวันรู้สึกปลอดภัยและรู้ดีว่าตัวเองมีที่พึ่งพา

คนตัวเล็กกว่าพยายามขจัดความว้าวุ่นในใจ และทำตัวให้ปกติที่สุด แม้ว่ามันจะไม่ง่าย แต่ตะวันก็คิดว่าตัวเองทำได้ดี ยกเว้นไอ้เรื่องแก้มแดงๆ นี่แหละ ที่ห้ามยังไงก็ห้ามไม่ได้เลยสักที

“พี่พลัฎฐ์ น้องพี อรุณสวัสดิ์ครับ” ตะวันกล่าวทักทายคนทั้งสอง ก่อนจะหันหน้าไปทางคนพ่อที่เดินตามเขามาก้าวต่อก้าว “ตะวันนึกว่าพี่พลัฎฐ์พาน้องพีออกไปโรงเรียนแล้วเสียอีก”

พลัฎฐ์ยิ้ม ก่อนจะพยักเพยิดไปทางเด็กชายที่อยู่ในอ้อมแขน “ก็น้องพีน่ะสิ ไม่ยอมท่าเดียว ร้องบอกพี่ว่าอยากจะไปพร้อมคุณอาทิตย์ พี่ก็ไม่อยากจะให้แกงอแงตั้งแต่เปิดเทอมวันแรก ก็เลยจะมาขอตัวเล็กว่าให้อาทิตย์ไปพร้อมพี่ได้ไหมครับ”

ตะวันมีสีหน้าลำบากใจอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยบอกไปตรงๆ ตอนที่ทั้งคู่เดินเข้ามาถึงในตัวบ้านแล้วเรียบร้อย

“คือ.. วันนี้เปิดเทอมวันแรก ตะวันเลยตั้งใจว่าจะไปส่งอาทิตย์ให้ถึงหน้าห้องเลยน่ะครับ” คนตัวเล็กพูดต่อในสิ่งที่คิดไว้แล้ว “ตะวันอยากรู้ว่าใครเป็นครูประจำชั้นน้อง น้องเรียนห้องไหน ตึกไหน ตารางสอนมีอะไรบ้าง?”

ตะวันรีบเบรกเมื่อเห็นว่าพลัฎฐ์จะพูดขัด เพราะตั้งใจอยากจะพูดทั้งหมดให้จบในทีเดียว

“ไม่ใช่ว่าตะวันไม่ไว้ใจพี่นะ แต่พี่พลัฎฐ์เข้าใจตะวันใช่ไหมครับ” น้ำเสียงออดอ้อนถูกงัดออกมาใช้โดยที่เจ้าตัวไม่ทันรู้ตัวเพราะความเคยชิน ทำเอาหัวใจหนุ่มใหญ่กระตุกวูบจนเกือบกลั้นยิ้มเอาไว้ไม่อยู่

“พี่เข้าใจครับ” ตอนนี้พลัฎฐ์ปล่อยลูกชายลงจากอ้อมแขนแล้ว เมื่อเข้ามายืนอยู่ในห้องนั่งเล่นของบ้านตะวัน และน้องพีก็เคยชินมากเสียจนวิ่งไปที่โต๊ะอาหารที่อยู่ก่อนถึงห้องครัว เพราะรู้ว่าเพื่อนที่ตัวเองอยากเจออยู่ที่นั่น

“พี่ก็เลยจะบอกกับตะวันว่า ถ้าแบบนั้นเราไปพร้อมกันเลยไหม เพราะยังไงบางวันพี่ก็อาจจะต้องวานตะวันรับน้องพีแทนพี่ หรือถ้าพี่ว่างพี่ก็อาจจะไปรับอาทิตย์มาให้ตะวัน พี่ว่าเราควรไปแจ้งกับทางโรงเรียนไว้ ในกรณีฉุกเฉิน เราสองคนจะได้รับเด็กๆ แทนกันได้ โดยไม่ต้องกังวล”

ตะวันคิดตามก่อนจะพยักหน้ารับช้าๆ เพราะจากที่ได้ยินน้องชายตัวเองบ่นเมื่อกี้ แล้วยิ่งได้เห็นน้องพีมาหาถึงบ้านแบบนี้แล้วด้วย อีหรอบนี้ก็คงเลี่ยงไม่ได้แล้วล่ะ

และยังไม่ทันที่ผู้ปกครองของเด็กทั้งสองจะเดินเข้าไปถึงโต๊ะกินข้าว ก็ได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของเด็กน้อยทั้งคู่ที่กำลังพูดคุยดังออกมา

“คุณอาทิตย์น้องพีใส่ชุดนักเยียนหย่อไหมๆ” เสียงเริงร่าของเด็กชายที่ตัวเล็กกว่า ยืนถามอยู่ข้างเก้าอี้ของเด็กชายอีกคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ซึ่งสูงจากพื้นพอสมควร

“ไม่หล่อ” อาทิตย์ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตามคำสั่งของพี่ชาย ตอบเพื่อนสนิทด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ทำเอาเจ้าตัวเล็กที่ได้ฟังคำตอบถึงกับหน้าคว่ำ

“ทำไมย่ะ น้องพียังชมคุณอาทิตย์ว่าหย่อเยยนะ” แขนเล็กๆ ถูกยกขึ้นมาไขว้กลางหน้าอก บ่งบอกถึงความไม่พอใจ เพราะตัวเขาเองยังบอกว่าคุณอาทิตย์หล่อเลย แล้วทำไมคุณอาทิตย์ไม่ชมเขากลับบ้างล่ะ คุณอาทิตย์น่ะใจร้ายที่สุด น้องพีงอนมากๆ ด้วย

“ก็คุณอาทิตย์หล่อจริงๆ แบบที่น้องพีว่าไง” ยิ่งได้ยินคำตอบของคนเป็นเพื่อน น้องพียิ่งหน้ามุ่ย “แต่น้องพีอ่ะไม่หล่อ น้องพีน่ารัก น่ารักมากกกก”

ผู้ใหญ่สองคนที่ยืนแอบฟังอยู่หลังกำแพงไม่ห่างไปจากโต๊ะอาหารมากเท่าไหร่นักได้ฟังก็ต้องหลุดยิ้ม ขนาดเด็กน้อยที่เมื่อกี้ยังยืนกอดอกหน้าบึ้งตึงก็ยังเปลี่ยนเป็นยิ้มออกมาเสียกว้าง กว้างจนตากลมยิบหยีบิดเป็นรูปเสี้ยวพระจันทร์

“น้องพีน่ายักหยอคุณอาทิตย์” เด็กน้อยที่ตัวเล็กกว่ายืนเกาะเก้าอี้ของอีกฝ่ายพลางถามเสียงอ้อน

“ใช่ น่ารัก น้องพีน่ารัก น่ารักที่แปลว่าคิ้วท์ไง”

แล้วเด็กทั้งสองก็หัวเราะคิกคัก ผลัดกันชมว่าหล่อ ว่าน่ารักไม่หยุด พาลให้ผู้ใหญ่ที่แอบยืนดูอยู่ไม่ไกลได้เห็นภาพนั้นก็ต้องยิ้มตาม

ตะวันยืนเอาตัวแนบกำแพงชะโงกหน้าไปทางโต๊ะกินข้าว แล้วมองเด็กๆ คุยกันอย่างมีความสุข ในขณะที่คนตัวสูงกว่าอย่างพลัฎฐ์ก็ยืนซ้อนหลังตะวันอยู่อีกที เจ้าของร่างสูงทำตีเนียนอาศัยช่วงที่ตะวันไม่ทันได้รู้สึกตัวถึงความใกล้ชิดระหว่างเขากับตัวเองขยับเข้าใกล้คนตัวเล็กกว่าอีกนิด กลิ่นกายหอมหวานคล้ายๆ กลิ่นขนมลอยวนอยู่ตรงจมูกของพลัฎฐ์ เขาไม่รู้ว่านี่เป็นกลิ่นจากน้ำหอมของตะวัน หรือเป็นกลิ่นประจำตัวปกติของอีกฝ่าย เขารู้แต่เพียงว่ามันหอมเสียจนเขาเผลอตัว ลดใบหน้าลงใบใกล้ต้นคอของคนข้างหน้าเพื่อสูดกลิ่นที่ทำให้สติและการควบคุมตัวเองของเขาลดน้อยถอยกระเจิงจนน่ากลัวแบบนี้

และในจังหวะเดียวกันตะวันก็หันมา คนตัวเล็กกว่าตั้งใจว่าจะหันมาชี้ชวนให้พลัฎฐ์ดูท่าทีออดอ้อนของน้องพี เลยมีเหตุต้องให้ชะงัก เพราะตอนนี้ใบหน้าหล่อเหลาของคนตัวโตกว่าที่น่าจะอยู่สูงกว่านี้เพราะขนาดตัวที่แตกต่างกัน กลับลดลงมาอยู่ในระดับเดียวกับใบหน้าเขา และตอนนี้ใบหน้าของคนทั้งคู่ก็อยู่ห่างกันไม่กี่เซ็นต์

ห่างกันน้อยมากจนถึงขนาดที่ว่าปลายจมูกเฉียดชนกันได้แบบไม่ตั้งใจ


“ปะป๊าพะลัดดด พี่ตะวันนน มากันหรือยังคับ คุณอาทิตย์กับน้องพีหิวแล้ว”

ตะวันที่ตัวแข็งค้างเพราะตกอยู่ในภวังค์ก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อเสียงเรียกของน้องชายพุ่งทะลุโสตประสาทเข้ามาประทะอย่างจัง คนตัวเล็กกว่ากะพริบตาปริบๆ เหมือนเพิ่งได้สติหลังจากจ้องมองใบหน้าเหล่อเหลาตรงหน้าได้เกือบนาที และเมื่อสังเกตเห็นความใกล้ชิดที่เกิดขึ้น ขาเรียวก็ก้าวถอยหลังอย่างรวดเร็วจนเผลอสะดุดขาตัวเอง

โชคดีที่ท่อนแขนกำยำที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อของอีกฝ่าย เอื้อมมารับตวัดคล้องไปที่เอวบางไว้ได้ทัน ไม่งั้นตะวันมีหวังได้หงายหลังลงไปนอนแน่ๆ

ความใกล้ชิดที่เกิดขึ้นทำให้ตะวันหน้าแดง คอแดง ใบหูแดงก่ำไปทั่ว พลัฎฐ์ได้แต่มองภาพคนตรงหน้าด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกจนแทบปิดไม่มิด เขากระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นด้วยความลืมตัว จากที่ตั้งใจว่าจะลอบสูดดมกลิ่นกายหอมหวานของอีกฝ่าย กลับกลายมาเป็นได้กอดร่างนุ่มนิ่มไว้ทั้งตัวแทน

งานนี้คุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม

“อะ.. เอ่อ พี่พลัฎฐ์ครับ” ตะวันขยับตัวเพื่อเรียกสติของเจ้าของอ้อมกอด เขาเขินเกินกว่าจะสบตาคมที่เต็มไปด้วยความรู้สึกคู่นั้นได้

ตะวันไม่แน่ใจความหมายของสายตาที่อีกฝ่ายพยายามจะสื่อเท่าไหร่ แต่ที่ตะวันแน่ใจคือเขาร้อนวูบวาบไปทั้งหน้า หัวใจเต้นแรงจนแทบจะทะลุออกนอกอก มันน่าอายมากถ้าหากร่างกายเขาและผู้ชายบ้านข้างๆ ยังใกล้ชิดกันแบบนี้ เพราะอีกไม่นานพลัฎฐ์จะต้องได้ยินเสียงหัวใจของเขาที่กำลังเต้นรัวแน่ๆ เพราะฉะนั้นการผละออกจากอ้อมกอดอบอุ่นนี้นั้น จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดในเวลานี้

“...” อีกฝ่ายยังคงนิ่งงัน ตะวันจึงต้องบังคับเสียงตะกุกตะกักของตัวเองให้ดูจริงจังกว่าเดิม

“พะ.. พี่พลัฎฐ์ครับ ตะ ตะวันต้องไปดูอาหารเช้าให้เด็กๆ แล้วครับ”

แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผลดีสักเท่าไหร่ เขาก็ยังพูดอึกๆ อักๆ อยู่ดี แต่เที่ยวนี้ดูเหมือนพลัฎฐ์จะได้ยิน และปล่อยเขาออกให้ตามคำขอ

ความรู้สึกอบอุ่นที่โอบล้อมรอบกายเมื่อก่อนหน้าหายไป จนตะวันนึกเสียดาย พลัฎฐ์กำลังทำให้เขาถอนตัวไม่ขึ้นจากความรู้สึกวกวนที่ตัวเองกำลังเผชิญ

“ตัวเล็ก.. เจ็บตรงไหนไหม หื้ม?” พลัฎฐ์ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน อบอุ่น

“ไม่.. ไม่ครับ ตะวันไม่ได้เจ็บตรงไหน” คนตัวเล็กกว่าตั้งสติก่อนตอบ จากนั้นมือเรียวบางก็ยกขึ้นพุ่มตรงอกตัวเอง ตามด้วยการค้อมศีรษะลงอย่างมีมารยาท “ขอบคุณพี่พลัฎฐ์มากนะครับที่ช่วยให้ตะวันไม่หงายหลังลงไป”

พลัฎฐ์ยิ้ม เป็นยิ้มที่เจ้าตัวก็ตอบไม่ถูกว่าเขายิ้มเพราะอะไร แต่ที่แน่ๆ ความน่ารักของตะวันน่าจะคือสาเหตุหลัก และมีสาเหตุรองๆ ลงมาเป็นความมีมารยาท น่าเอ็นดู ที่ถึงแม้ว่าตะวันจะเขินกับการกระทำของพลัฎฐ์แค่ไหน แต่คนที่ถูกอบรมและสั่งสอนมาดี ก็เลือกที่จะไหว้ขอบคุณคนที่อายุมากกว่า ที่ได้ช่วยเหลือตนเอาไว้

พลัฎฐ์ยื่นมือใหญ่ไปกุมรอบมือเรียวบางที่กำลังยกขึ้นไหว้ ก่อนที่เสียงทุ้มจะกล่าวเอ่ย

“ไม่เป็นไรครับ เรื่องดูแลตัวเล็ก พี่ยินดี "

คนตัวโตกว่าตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ใบหน้าที่ไม่ได้ยิ้มแย้มอะไร แต่ประกายในแววตาคมกลับทำให้ตะวันใจเต้นแรงอีกรอบ

“ตะ.. ตะวันไปจัดการอาหารให้เด็กๆ ก่อนนะครับ” ใบหน้าหวานหันรีหันหันขวาง เขากลัวว่าพลัฎฐ์จะจับความรู้สึกตัวเองได้จึงรีบผลุนผลันออกไปจากจุดเกิดเหตุโดยเร็ว โดยมีเสียงหัวเราะเบาๆ ไล่ตามร่างบางที่เดินจ้ำอ้าวไม่เหลียวหลังกลับมาเลยสักนิด

.

.

.

“อ่า.. ถึงโรงเรียนแล้วครับคุณอาทิตย์ น้องพี”

ทันทีที่รถยุโรปสุดหรูของพลัฎฐ์หยุดจอดอยู่ที่หน้าโรงเรียนอนุบาล เด็กน้อยที่ดูตื่นเต้นจนนั่งไม่ติดคาร์ซีท ก็ดูจะตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิม

“พี่ตะวันคับ อาทิตย์อยากลงแล้วว”

“ใช่ๆ คับ น้องพีเก๊าะอยากยง ปะป๊าๆ พายงหน่อยคับ”

ผู้ใหญ่ทั้งสองหันมามองหน้ากันแล้วหลุดขำ แต่ดูเหมือนจะจ้องกันนานเพลินไปหน่อย เพราะจู่ๆ ตะวันก็แก้มขึ้นสี เพราะดันไปนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้าที่จะออกจากบ้านมา

คนตัวเล็กกว่าหันหน้าหนีพร้อมกับปลดสายเบลท์ออก เสียงหวานเอ่ยตะกุกตะกัก ก่อนจะเปิดประตูรถ

“ตะ.. ตะวันไปพาเด็กๆ ลงก่อนนะครับ” พลัฎฐ์แอบอมยิ้มตอนที่มองท่าทีมีพิรุธของอีกฝ่าย ก่อนจะเอ่ยสบายๆ ทำเหมือนไม่มีอะไรแต่แอบล้อเลียนอยู่ในที

“ไม่ต้องรีบครับตัวเล็ก เดี๋ยวก็สะดุดล้มอีก”

คำว่าสะดุดล้ม ยิ่งทำให้ตะวันเขินอายยิ่งกว่าเดิม จึงรีบพาร่างกายและหน้าร้อนๆ ของตัวเองลงจากรถ

“มาครับ น้องพี คุณอาทิตย์เดี๋ยวพี่ตะวันพาลงจากรถให้นะ”

มือเรียวจัดการปลดสายคาดเบลท์ของน้องชายตัวเองออกก่อนเพราะอยู่ใกล้มือกว่า ก่อนที่จะอุ้มร่างเล็กของเด็กชายลงจากรถมายืนที่พื้นด้านข้างตัวเอง จากนั้นก็จูงอาทิตย์มาเปิดประตูอีกฝั่งที่เด็กชายพีรยสถ์นั่งอยู ่

“พี่ตะวันคับ น้องพีอยากยงแย้วว” ยิ่งเด็กชายตื่นเต้น การออกเสียงยิ่งไม่ชัดเจน แต่กลับไม่ได้ดูน่าตลกเลยสักนิด เพราะสำหรับตะวันแล้วเวลาน้องพีพูดไม่ชัดนั้นกลับน่าเอ็นดูเป็นพิเศษเสียอีก

“ครับๆ เดี๋ยวพี่ตะวันพาลงนะ” ตะวันปลดสายคาดเบลท์ที่คาร์ซีทออก ก่อนจะอุ้มเด็กชายที่ดูจะตัวเล็กเสียยิ่งกว่าน้องชายเขาลงมายืนข้างรถ และเมื่อจัดการให้เด็กๆ สะพายกระเป๋าเป้ใบเล็กน่ารักเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตะวันก็หันไปคุยกับเจ้าของรถคันหรูที่ยังประจำการนั่งอยู่หลังพวงมาลัย

“พี่พลัฎฐ์ไปหาที่จอดรถเถอะครับ เดี๋ยวตะวันกับเด็กๆ จะยืนรอพี่อยู่ตรงนี้”

คนตัวโตกว่าพยักหน้า “ครับ งั้นพี่ฝากน้องพีไว้กับตัวเล็กแปปนึงนะ” จากนั้นก็หันไปกำชับลูกชาย “น้องพี อยู่ตรงนี้กับพี่ตะวันดีๆ นะลูก อย่าซนรู้ไหม เดี๋ยวปะป๊าจอดรถเสร็จแล้วจะมาหา”

“คับปะป๊า น้องพีไม่ซน น้องพีเป็นเด็กดี”

เด็กชายพูดพลางยิ้มกริ่มภูมิใจในตัวเอง เพราะใครๆ ก็บอกว่าน้องพีเป็นเด็กดี เพราะฉะนั้นปะป๊าเชื่อน้องพีได้ น้องพีไม่โกหก

ตะวันลูบศีรษะกลมของเด็กชายพีรยสถ์ด้วยความเอ็นดู สายตาที่ทอดมองไปยังร่างเล็กข้างกายเต็มไปด้วยความอ่อนโยน เป็นสายตาแบบเดียวกับที่พลัฎฐ์มองลูก ... และเป็นสายตาแบบที่พลัฎฐ์มองหามาโดยตลอด หากเขาจะมีใครข้างกายสักคน

พลัฎฐ์ละสายตาจากกระจกหลังที่แอบสังเกตการณ์ตะวันอยู่เงียบๆ ท่าทีที่ตะวันมีต่อลูกชายเขา และท่าทีที่ลูกชายเขามีต่ออีกฝ่ายทำให้พลัฎฐ์สบายใจ .. บางทีอะไรมันอาจจะง่ายกว่าที่เขาคิดก็ได้

คนเจ้าแผนการนึกคำนวนทุกอย่างในใจเงียบๆ คิ้วเข้มขมวดมุ่น เพราะรู้สึกว่าวิธีที่จะเอาชนะใจตะวันนั้นมันจะดูขี้โกงไปสักหน่อย .. แต่ก็หน่อยเดียวจริงๆ นั่นแหละ เขาแค่อยากได้ตัวช่วย เพื่อให้เรื่องของเขากับตะวันง่ายขึ้นกว่าเดิม

.

.

.

หลังจอดรถ คนตัวโตรูปร่างสูงใหญ่ก็เดินกลับไปหาเด็กโตและเด็กน้อยทั้งสามที่ยืนรออยู่ เขาหรี่ตา ขมวดคิ้ว เมื่อเห็นว่าเจ้าของร่างเล็กที่เขาคุ้นเคย ร่างเล็กที่กำลังจับจูงเด็กทั้งสองไว้ด้วยมือคนละข้าง ยืนคุยอยู่กับใครสักคน ที่เป็นชายหนุ่มรูปร่างสูง ผอม ท่าทางยิ้มแย้มและการพูดคุยโดยไม่ถือตัวของตะวันทำให้พลัฎฐ์นึกไม่ชอบใจ แต่ก็พยายามข่มความงี่เง่าของตัวเองไว้ด้วยท่าทางสงบนิ่ง เขาควบคุมตัวเองได้ดีเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนนี้ เขากับตะวันยังไม่เป็นอะไรกัน เพราะฉะนั้น การทำให้ตะวันวางใจเมื่อยามอยู่ใกล้เขาจึงเป็นเป้าหมายแรกที่พลัฎฐ์ควรทำให้สำเร็จเสียก่อน


… พยายามนิ่งไว้ นั่นคือสิ่งที่พลัฎฐ์บอกกับตัวเอง


“พี่มาแล้วครับตัวเล็ก รอนานไหม?” พลัฎฐ์เดินเข้าไปหาทั้งสามคน ก่อนจะลูบเบาๆ ลงไปบนศรีษะของคนที่เตี้ยกว่า จากนั้นก็หันไปอุ้มเด็กชายพีรยสถ์ขึ้นมากอดแนบอก


แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะแสดงความสนิทสนมที่เหนือกว่าให้คนแปลกหน้าเห็นไม่ได้นี่ จริงไหม ...


คนนิสัยไม่ดีเหลือบตาคมมองตะวันที่ตอนนี้กำลังก้มหน้างุด ไม่บอกก็รู้ว่าเขินกับสิ่งที่เขาแสดงออกเมื่อกี้แน่ๆ ซึ่งนั่นยิ่งทำให้พลัฎฐ์ยิ้มกริ่ม เพราะยิ่งตะวันมีท่าทีเขินอายมากแค่ไหน นั่นยิ่งหมายความว่าโอกาสย่อมเป็นของเขามากขึ้นเท่านั้น

“ปะป๊ามาแย้ว ไปกันๆ” เสียงน้องพีช่วยดึงความสนใจของทุกคนให้กลับมา ก่อนที่เสียงของคนแปลกหน้าที่พลัฎฐ์ยังไม่รู้จักเลยว่าเป็นใครก็ดังขึ้น

“ให้ผมนำไปไหมครับ เผื่อคุณตะวัน และคุณผู้ปกครองของน้องพี จะยังไม่คุ้นเคยทาง”

หึ! คุณผู้ปกครองของน้องพีเหรอ?

พลัฎฐ์คิดว่าอีกฝ่ายกำลังส่งสาส์นท้ารบเขาเงียบๆ

“ผมพลัฎฐ์ครับ เป็นพ่อของน้องพีและเป็นผู้ปกครองของอาทิตย์ ขอโทษนะครับที่เสียมารยาท ไม่ได้แนะนำตัวแต่แรก”

คนตัวโตกว่าพูดพลางยิ้มมุมปากในแบบที่ตะวันมองแล้วรู้สึกว่าร้ายกาจยังไงไม่รู้ หนำซ้ำตอนนี้พลัฎฐ์ยังโมเมเหมารวมเป็นผู้ปกครองของอาทิตย์น้องชายเขาไปแล้วด้วย ตะวันจะแย้งก็ไม่ใช่ที่ เพราะจากที่คุยกันมาตั้งแต่ตอนอยู่ที่บ้าน ทั้งเขาและพลัฎฐ์ก็ตกลงกันแล้วว่าอาจต้องผลัดกันมารับเด็กๆ ดังนั้นเด็กทั้งสองจึงต้องมีทั้งเขาและพลัฎฐ์เป็นผู้ปกครองทั้งคู่ เพียงแต่ตะวันไม่ติดว่าพลัฎฐ์จะพูดออกมาโต้งๆ ในเวลานี้ เพราะดูยังไงแล้วการบอกให้คนตรงหน้านี้รู้ก็ดูเหมือนจะไม่ได้เป็นเรื่องจำเป็นเท่าไหร่

แต่ที่เหลือร้ายที่สุดในประโยคก่อนหน้าของพลัฎฐ์ ตะวันคิดว่าคงเป็นประโยคสุดท้าย ที่พลัฎฐ์พูดขอโทษอีกฝ่ายที่เสียมารยาทเพราะไม่ได้แนะนำตัว นั่นเพราะ ตอนนี้อีกฝ่ายยังไม่ได้แนะนำตัวกับพลัฎฐ์เลยสักคำ จะเรียกว่าพูดแดกดันผู้ชายอีกคนก็คงจะไม่ต่างสักเท่าไหร่นัก

“สวัสดีครับคุณพลัฎฐ์ ผมกวินทร์ครับ เรียกสั้นๆ ว่าครูวินก็ได้ ผมเป็นครูประจำอยู่ที่โรงเรียนนี้ครับ”

พลัฎฐ์ไม่ตอบอะไร เพียงแค่พยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้มบางๆ ที่ดูไม่ได้เต็มใจจะยิ้มเท่าไหร่ ก่อนที่เจ้าของรูปร่างสูงใหญ่ที่อุ้มลูกชายไว้ในอ้อมกอดจะหันมาหาตะวัน พลางเอื้อมมือไปจับจูงมือเล็กข้างที่ว่างของอีกฝ่าย ข้างที่ไม่ได้จูงเด็กชายภานวีย์ไว้ในมือ

“ไปครับ เราน่าจะพาเด็กๆ ไปที่ห้องอำนวยการก่อน เพราะพี่กับตัวเล็กต้องไปแจ้งความจำนงเป็นผู้ปกครองของทั้งน้องพีแล้วก็คุณอาทิตย์ จะได้ไม่มีปัญหาเวลามารับมาส่ง”

พลัฎฐ์พูดกับตะวันด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ก่อนจะหันมายิ้มทางการให้กับครูวินที่เหมือนจะถูกลืมไปสักพักก่อนหน้านี้

“ขอบคุณครูกวินทร์มากนะครับ แต่ผมพอจะรู้ทางอยู่บ้าง ขอไม่รบกวนคุณดีกว่า วันนี้ท่าทางผู้ปกครองจะเยอะ คงมีคนไม่รู้ทาง หลงทางพอสมควร ผมคิดว่าคุณน่าจะไปให้ความช่วยเหลือผู้ปกครองเหล่านั้นแทน... ส่วนพวกเรา ผมดูแลเองได้ครับคุณไม่ต้องห่วง แต่ยังไงก็ขอบคุณมากนะครับ”

ท่าทางสุภาพและคำพูดที่เป็นทางการที่พลัฎฐ์เอามาใช้ทำให้ตะวันพูดไม่ออก เพราะถึงแม้ถ้อยคำเสียดสีจะชัดเจนในรูปประโยค แต่ไม่ได้มีท่าทีไหนของพลัฎฐ์ที่จะเอามาต่อว่าได้ ... นี่สินะ เจ้าของนิยามของคำว่าปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอที่แท้จริง

ซึ่งตอนนี้ดูเหมือนครูกวินทร์จะอึ้งไปเลยจริงๆ เหมือนกัน

“ถ้างั้น... ผมขอตัวนะครับ”

พลัฎฐ์พูดพร้อมกับจูงตะวันที่กำลังจูงอาทิตย์อยู่เดินออกมาเงียบๆ เพื่อเดินไปยังห้องอำนวยการที่อีกฝ่ายว่า

ตะวันอ้าปากจะเอ่ยถามพลัฎฐ์อยู่หลายต่อหลายครั้งว่าท่าทีของพลัฎฐ์ที่มีต่อเขามันหมายความว่ายังไง เหตุการณ์เมื่อกี้ก็เหมือนกัน ไม่ใช่ตะวันดูไม่ออกว่าพลัฎฐ์อยากจะกันท่าครูหนุ่มคนนั้นให้ออกห่างจากเขา เพียงแต่ตะวันไม่สามารถมั่นใจในตัวเองขนาดนั้นได้ เพราะเท่าที่ได้อยู่กับพลัฎฐ์สองต่อสองที่ผ่านมา ท่าทีเจ้าชู้ของอีกฝ่ายก็ไม่มีให้เห็น จนทำให้ตะวันตอนนี้ ไม่แน่ใจอะไรในตัวอีกฝ่ายเลยสักนิด

.

.

.


- อ่านต่อด้านล่าง -
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 8th - 12/07/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 12-07-2019 19:25:01
- ต่อจากด้านบน -


“เรียบร้อยแล้วค่ะ ดิฉันทำเรื่องไว้แล้วว่าต่อไปนี้ผู้ปกครองที่จะมารับเด็กชายภานวีย์และเด็กชายพีรยสถ์ ก็คือคุณพลัฎฐ์กับคุณภานรินทร์นะคะ ถ้ามีอะไรเปลี่ยนแปลงรบกวนคุณทั้งสอง แจ้งให้ทางโรงเรียนทราบด้วย อย่างที่พวกคุณทราบดีว่าโรงเรียนเราค่อนข้างเข้มงวดกับเรื่องความปลอดภัยของเด็กๆ บางทีอาจจะมีเคร่งครัดไปบ้าง แต่ก็เพื่อให้ผู้ปกครองวางใจว่าเราจะดูแลเด็กๆ ให้ดีที่สุดอย่างเต็มความสามารถค่ะ”

อาจารย์สาวที่อายุน่าจะประมาณสี่สิบต้นๆ พูดจากระฉับกระเฉงน่าเชื่อถือ ทำให้ตะวันค่อนข้างสบายใจว่าถ้าน้องชายเขาอยู่ที่นี่น่าจะได้รับการดูแลที่ดีอย่างที่อีกฝ่ายบอก เพราะเท่าที่ดูมาตรการอะไรต่างๆ ก็เข้าท่าดี

“ถ้างั้นผมพาเด็กๆ ไปส่งที่ห้องเรียนได้เลยใช่ไหมครับ” พลัฎฐ์ถามขึ้นหลังจากเขาทั้งสี่ทำเรื่องทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย โดยมีครูเจ้าหน้าที่เดินออกมาส่งหน้าห้อง

“ใช่ค่ะ คุณทั้งสองพาเด็กชายพีรยสถ์กับเด็กชายภานวีย์ไปที่ห้องได้เลยค่ะ เด็กๆ อยู่ห้องเดียวกันพอดี”

ตะวันยิ้ม ก่อนจะก้มลงไปกระซิบบอกเด็กชายทั้งสองที่ตอนนี้เขาจูงมือเด็กทั้งคู่ไว้คนละข้าง

“น้องพีครับ อาทิตย์ครับ หนูสองคนได้เรียนห้องเดียวกันนะครับ ดีใจไหม?”

พอได้ยินตะวันบอกจบน้องพีและคุณอาทิตย์ก็ยิ้มกว้าง พลางกระโดดโลดเต้นอย่างยินดี โดยเฉพาะเจ้าหนูคนที่ตัวเล็กกว่า ที่เหวี่ยงตัวเองไปยืนข้างหน้าคุณอาทิตย์ก่อนจะใช้มือข้างที่ว่างของตัวเองจับไปที่มือข้างที่ว่างของอาทิตย์ พลางเขย่าไปมาเบาๆ

“น้องพีดีใจ น้องพีอยากอยู่กับคุณอาทิตย์มากๆ เยย” น้องพียิ้มตาหยี ให้อาทิตย์เองได้ยิ้มตอบ

“คุณอาทิตย์ก็ดีใจ เราจะได้เรียนหนังสือด้วยกัน”

ผู้ใหญ่ทั้งสามที่ยืนอยู่ตรงนั้นอดยิ้มเอ็นดูให้กับท่าทีของเด็กทั้งสองไม่ได้ จนสุดท้ายพลัฎฐ์ก็ตัดบท

“งั้นไปกันเถอะครับเด็กๆ ไปดูห้องเรียนกัน ไปดูคุณครูประจำชั้นด้วยว่าเป็นใคร ปะป๊ากับพี่ตะวันจะได้ปรึกษาถูกคน”

“เย่ๆ ไปๆ” น้องพียกแขนชูจนสุด ก่อนจะหันมาพุ่มมือไหว้คนที่ยืนอยู่อีกข้าง “สวัสดีคับคุณครู น้องพีไปนะคับ”

“สวัสดีครับคุณครู”

เด็กทั้งสองคนบอกลาครูเจ้าหน้าที่ พลางเดินลากแขนทั้งสองข้างของตะวันออกมาด้วยเรี่ยวแรงน้อยๆ ของตัวเอง

“ผมไปก่อนนะครับ ยังไงก็ต้องขอขอบคุณคุณครูมากครับ” พลัฎฐ์บอกลา ในขณะที่ตะวันหันมาค้อมศีรษะให้อีกฝ่าย เพราะตอนนี้เขาไม่ว่างยกมือขึ้นไหว้ เนื่องจากถูกจับจองจากเด็กๆ ทั้งสองข้างแล้ว

ทั้งสี่คนเดินจูงมือเรียงหน้ากระดานตรงไปยังห้องเรียนของเด็กชายทั้งสอง น้องพีกับอาทิตย์ดูตื่นเต้นมากๆ ตากลมของเด็กทั้งคู่สอดส่ายไปมา มองไปตามทางข้างๆ ด้วยความรู้สึกแปลกใหม่ ให้คนเป็นพ่อและคนเป็นพี่อดเหลือบมองด้วยความเอ็นดูไม่ได้

“อ่า ปะป๊าว่าน่าจะถึงแล้วนะ” พลัฎฐ์มองไปยังป้ายเล็กๆ ที่แขวนอยู่หน้าห้อง


อนุบาลหนึ่งเอ ห้องปลาโลมา


“น้องพีกับอาทิตย์อยู่ห้องนี้แหละครับ ห้องคุณปลาโลมา” ตะวันบอก พลางนึกอย่างชอบใจในไอเดียการตั้งชื่อห้องเป็นสัตว์ต่างๆ ให้เด็กๆ จำได้ ถือว่าเป็นความคิดสร้างสรรค์อย่างหนึ่งที่ตะวันนึกชม

“น้องพีชอบคุณปลาโยมา ปะป๊าเคยพาไปดูที่สวนสัตว์คับ”

“งั้นน้องพีต้องจำเอาไว้นะครับว่าอยู่ห้องนี้ เวลาคุณครูหรือใครถามว่าน้องพีอยู่ห้องไหน น้องพีจะตอบว่า...?”

คนเป็นพ่อแกล้งถาม ให้ลูกชายได้ฝึกความจำ

“น้องพีอยู่ห้องคุณปลาโยมาคับ”

“เก่งมากครับ งั้นเดี๋ยวเราเข้าไปดูในห้องกันดีกว่าเนอะ”

พลัฎฐ์จูงน้องพีเดินตามตะวันที่จูงอาทิตย์เข้าไปก่อน และพอประตูห้องเรียนปิดลง พลัฎฐ์ก็นึกชังความบังเอิญที่เกิดขึ้นไม่รู้จักเวล่ำเวลาแบบในตอนนี้ที่สุด

“อ้าวคุณครู...” ตะวันร้องทัก ให้พลัฎฐ์ได้มองตามก่อนที่จะเห็นคนที่ไม่ถูกชะตาแบบเต็มๆ

“อ้าว คุณตะวัน” ครูหนุ่มร้องทัก พลางยิ้มกว้าง “อาทิตย์เรียนห้องนี้เหรอครับ”

“ใช่ครับอาทิตย์เรียนห้องนี้ ชื่อจริงของแกคือ เด็กชายภานวีย์ครับ” ตะวันตอบอย่างอัธยาศัยดี น้ำเสียงหวานพูดอย่างน่าฟัง ไหนจะรอยยิ้มกว้างที่สว่างไสวอีก ครูหนุ่มอย่างกวินทร์ยอมรับเลยว่าเขารู้สึกเคลิ้มไม่น้อย เขาไม่เคยเห็นผู้ชายคนไหนมีรอยยิ้มที่สวยและสดใสขนาดนี้มาก่อน

รอยยิ้มของตะวันทำให้เขาเห็นแล้วอยากยิ้มตาม

แต่แล้วรอยยิ้มของครูหนุ่มก็ต้องค่อยๆ หุบลง เมื่อเห็นเจ้าของรูปร่างสูงใหญ่ที่ได้ประทะอารมณ์กันก่อนหน้า เคลื่อนตัวเนียนๆ มายืนข้างตะวัน

“เจอกันอีกแล้วนะครับคุณครู” พลัฎฐ์พูดอย่างเป็นทางการ เขาไม่เรียกแม้แต่ชื่อเล่นของกวินทร์ด้วยซ้ำ แม้ก่อนหน้ากวินทร์จะเอ่ยอนุญาตแล้ว ที่เขาทำแบบนี้เพราะอยากเน้นย้ำถึงสถานะให้อีกฝ่ายทราบ

ผู้ปกครองของเด็กนักเรียนกับคุณครูประจำชั้น ... การคงไว้ซึ่งมารยาทจึงเป็นสิ่งสำคัญที่คนเป็นครูควรมี

โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าผู้ปกครองคนนั้นเป็นตะวัน เขาไม่มีวันยอมให้ใครมาสนิทสนมออกนอกหน้ามากแน่ๆ

“น้องพีของผมก็เรียนห้องนี้ครับ ยังไงรบกวนฝากคุณครูช่วยดูแลแกด้วยนะครับ”

พลัฎฐ์ยังคงพูดด้วยรอยยิ้มจาง ในขณะที่น้องพีที่เขาจับจูงนั้นดูจะตื่นเต้นไม่น้อยที่ได้เจอคนที่คุ้นหน้าคุ้นตากันมาก่อน

“คุณครูๆ คุณครูคนเมื่อกี้นี่นาคุณอาทิตย์” เจ้าตัวน้อยเจื้อยแจ้วปากยื่นปากยาวไปหาเพื่อนตัวน้อยที่อยู่อีกฝั่ง ทำให้ตะวันต้องปล่อยมือที่จูงอาทิตย์ออก เพราะเห็นว่าตอนนี้อยู่ในที่ๆ ปลอดภัยเช่นในห้องเรียนแล้ว

และแน่นอนว่าเจ้าน้องชายตัวแสบของเขาก็ถลาไปหาเด็กชายที่ตัวเองสนิททันที

“อื้อ คุณครูคนเมื่อกี้ น้องพีไปนั่งเรียนข้างคุณอาทิตย์นะ”

พูดไม่พูดเปล่า มือเล็กๆ ของเด็กชายอาทิตย์ยังจับจูงมือที่เล็กกว่าของเด็กชายพีรยสถ์แน่น ให้ลูกชายตัวน้อยของคุณพลัฎฐ์ต้องเหลือบมองคนเป็นพ่อให้อนุญาต

“โอเคครับ ปะป๊าอนุญาต”

พลัฎฐ์ปล่อยมือออกจากมือน้องพี และเตรียมจะปล่อยให้เด็กๆ ไปเลือกหาที่นั่งเพื่อเตรียมเรียน

“ไปๆ น้องพีจะนั่งเยียนกับคุณอาทิตย์ ให้คุณอาทิตย์สอนวาดยูป คุณอาทิตย์วาดยูปสวยมากๆ”

น้องพียังเจื้อยแจ้วพูดจาเอาใจอาทิตย์อย่างน่าเอ็นดู แต่ก่อนที่เด็กทั้งสองจะเดินพ้นไปจากตรงที่พวกเขายืนอยู่ ตะวันก็ลดตัวลงนั่งยองๆ เพื่อให้ความสูงของตัวเองเสมอกับน้องชาย ก่อนจะจับไหล่เล็กๆ ของอาทิตย์แน่น พลางเอ่ยสั่งสอน

“อาทิตย์ครับ จำที่พี่ตะวันสอนได้ไหมครับ” ตะวันถามน้อง และอาทิตย์ก็พยักหน้ารับอย่างหนักแน่น เท่าที่เด็กวัยสามขวบกว่าจะสามารถ

“จำได้คับ พี่ตะวันสอนว่า มาเรียน ห้ามวิ่งเล่นหนีไปหนีมา คุณครูพูดอะไรก็ต้องเชื่อฟัง” อาทิตย์พูดตอบได้แม่นยำไม่มีตกหล่น

“แล้วอะไรอีกครับ” ตะวันถามต่อ ใบหน้าน่ารักของเด็กชายเอียงไปเอียงมานิดหน่อยก่อนจะยิ้มราวกับนึกออก

“อาทิตย์ต้องตั้งใจเรียน ต้องไม่ดื้อ และที่สำคัญ อาทิตย์ต้องดูแลน้องพีอย่างดี เพราะน้องพีตัวเล็ก อาทิตย์ตัวใหญ่กว่า อาทิตย์ต้องปกป้องน้องพีดีๆ คับ”

เด็กชายตอบฉะฉาน ให้คนเป็นพี่ได้ภูมิใจ มือเรียวลูบศีรษะกลมของน้องชายด้วยความรักความเอ็นดู ก่อนจะยื่นใบหน้าเข้าหาและกดจมูกลงบนแก้มยุ้ยๆ ของเด็กชายภานวีย์เบาๆ

ฟอด ~

“เก่งมาครับอาทิตย์ของพี่ ตั้งใจเรียนนะครับ ดูแลน้องพีด้วย แล้วเย็นนี้พี่จะมารับ”

เจ้าอาทิตย์ดวงน้อยพยักหน้ารับ ก่อนจะหันไปยกมือไหว้พลัฎฐ์

“ปะป๊าพะลัดสวัสดีครับ” แล้วก็หันมาทางพี่ชายตัวเอง “พี่ตะวันสวัสดีคับ เจอกันตอนเย็นคับ”

ในขณะเดียวกันที่พลัฎฐ์ลดตัวลงไปนั่งยองๆ และยื่นหน้าไปจรดริมฝีปากลงบนหน้าผากแคบของเด็กชายพีรยสถ์เบาๆ

จุ๊บ ~

“เรียนวันแรกสู้ๆ นะลูก ตั้งใจเรียน ปะป๊าเอาใจช่วย คนก่งของปะป๊า”

น้องพียิ้มกว้างก่อนจะยกแขนเล็กๆ โอบรอบคอคนเป็นพ่อ แล้วยื่นริมฝีปากช่างเจื้อยแจ้วนั่นไปจูบเบาๆ ที่แก้มสากของพลัฎฐ์เบาๆ

จุ๊บ ~

“น้องพีจะตั้งใจเยียน บ๊ายบายคับ” เด็กชายยกมือขึ้นพุ่ม ก่อนจะก้มศีรษะ พลางเอ่ยลาปะป๊าและพี่ชายคนโปรดข้างบ้าน “สวัสดีคับปะป๊า สวัสดีคับพี่ตะวัน”

พอยกไหว้เสร็จเด็กทั้งคู่ก็จับจูงมือกันเดินไปที่ที่นั่งของตัวเอง เป็นภาพที่เห็นแล้วก็อดปลื้มใจไม่ได้ เพราะวันนี้ทั้งน้องพี ทั้งอาทิตย์ไม่มีวี่แววว่าจะงอแงหรือตื่นกลัวเลยสักนิด ต่างจากเด็กคนอื่นๆ ที่กระจองงอแงเพราะยังปรับตัวไม่ได้ การเปิดเรียนวันแรกสำหรับเด็กบางคนนั้นค่อนข้างน่ากลัว เพราะนั่นหมายถึงการต้องห่างจากพ่อแม่และครอบครัว การต้องเปลี่ยนสภาพแวดล้อมใหม่ๆ ที่ไม่คุ้นชิน

ซึ่งพลัฎฐ์และตะวันค่อนข้างแน่ใจว่าที่เด็กๆ ไม่แสดงอาการต่อต้านการมาโรงเรียนนั่นก็เพราะเด็กทั้งสองมีกันและกันเป็นเพื่อน ทั้งคู่เลยมั่นใจว่าตัวเองจะอยู่ที่โรงเรียนได้ไม่มีปัญหา เพราะอย่างน้อยเขาก็มีกันและกันอยู่ข้างกายให้ไม่ต้องรู้สึกเหงา หรือแปลกแยก ถึงไม่มีพลัฎฐ์หรือตะวันอยู่ข้างๆ ถึงจะต้องเปลี่ยนสภาพแวดล้อมมาอยู่ในที่ๆ ไม่คุ้นชิน แต่อย่างเขาทั้งสองก็ยังมีกัน นั่นเลยไม่ทำให้เด็กทั้งคู่กังวล

และพอส่งเด็กทั้งสองเข้าเรียนเรียบร้อย ทั้งพลัฎฐ์และตะวันก็ตั้งใจจะกลับไปทำงาน แต่ดูเหมือนคนตัวเล็กกว่าจะนึกอะไรขึ้นได้เลยหันหลังกลับมาอีกรอบ ทำเอาคนตัวโตกว่าเดินตามมาแทบไม่ทัน

“เอ่อ.. คือผมเพิ่งนึกขึ้นได้น่ะครับ ผมขอแอบถ่ายรูป อาทิตย์กับน้องพีหน่อยได้ไหมครับ พอดีจะส่งให้คุณพ่อกับคุณแม่ที่ต่างประเทศดู”

คุณครูหนุ่มพยักหน้าอนุญาตพลางยิ้มกว้าง ตะวันกล่าวขอบคุณก่อนจะยกโทรศัพท์มือขึ้นมาถ่ายรูปตอนที่อาทิตย์กับน้องพีกำลังก้มหน้าก้มตาชี้ชวนกันดูภาพประกอบในหนังสือเรียนด้วยรอยยิ้มกว้าง ทำเอาคนที่กำลังเก็บภาพอดยิ้มตามด้วยไม่ได้

ตะวันรัวชัตเตอร์อยู่สองสามรูปก็เปลี่ยนมาเลื่อนเช็คภาพ เมื่อเป็นที่พอใจแล้วก็เก็บมือถือลงกระเป๋ากางเกง

คุณครูหนุ่มที่เห็นสบโอกาสที่จะสานสัมพันธ์กับผู้ปกครองของเด็กนักเรียนในความดูแล ก็ตรงปรี่เข้ามาจะขอช่องทางการติดต่อไว้เผื่อมีปัญหา แต่นึกไม่ถึงว่าเขาจะช้ากว่าอีกคน ที่คอยจับตาดูตะวันอยู่ทุกฝีก้าว

“คุณตะวันครับ ถ้าผมจะรบกวนขอเบอร์โทรศัพท์ หรือช่องทางอื่นๆ ไว้ติดต่อ คุณจะ...”

“เอาของผมไว้ก็ได้ครับ นี่นามบัตร” พลัฎฐ์เดินตรงเข้ามาแทรกกลาง ก่อนจะยื่นกระดาษแข็งสี่เหลี่ยมมาตรฐานใส่มือของคนได้ชื่อว่าเป็นครูประจำชั้นของเด็กๆ “ติดต่อผมได้ตลอดครับ เพราะผมมีเลขาฯ คอยรับเรื่อง บางทีตัวเล็ก... อ่อ ผมหมายถึงตะวันน่ะครับ เขาอาจจะไม่ค่อยว่างรับสาย เอาเบอร์ผมไปน่าจะดีกว่า”

คนตัวโตกว่ายิ้มให้อีกฝ่ายอย่างสุภาพ แต่สายตาคมนั่น ถ้าสังเกตดีๆ มันไม่สุภาพสักนิด ซึ่งคนที่เห็นไม่ใช่ตะวันเพราะฉะนั้นพลัฎฐ์ไม่แคร์

และหลังจากจ้องตากับคนที่เพิ่งเจอกันได้ไม่กี่ชั่วโมงแต่เกลียดขี้หน้ากันได้อย่างสมบูรณ์แบบเสร็จ พลัฎฐ์ก็ปรับท่าทีและอารมณ์ในดวงตา ก่อนจะหันไปหาคนตัวเล็กกว่าที่ตอนนี้มองมาที่เขางงๆ

“กลับกันเถอะตัวเล็ก... เดี๋ยวรถติด” ไม่พูดเปล่า มือใหญ่ยังเอื้อมไปจับข้อมือเล็กมาจูง ก่อนจะพาเดินออกจากบริเวณห้องเรียน ก่อนที่เด็กๆ จะหันมาเห็นว่าพวกเขายังไม่กลับ จากที่ไม่งอแงก็อาจจะงอแงกันขึ้นมาได้

ตะวันเดินตามแรงจูงของพลัฎฐ์ออกมาที่รถทั้งที่สติยังกลับไม่เข้าที่เต็มร้อย คนตัวเล็กกว่ายอมรับว่างุนงงไม่น้อยที่จู่ๆ พลัฎฐ์ก็เข้ามาแทรก ไม่ยอมให้ตะวันให้เบอร์โทรศัพท์กับคุณประจำชั้น ดังนั้นเมื่อขึ้นรถกันมาเรียบร้อย เขาก็เปิดฉากถามทันที

“ทำไมพี่พลัฎฐ์ไม่ยอมให้ตะวันเอาเบอร์โทรศัพท์ให้ครูกวินทร์ไปล่ะครับ เกิดมีเรื่องเร่งด่วนขึ้นมาจะทำยังไง”

เสียงหวานต่อว่าไม่จริงจัง ติดจะไม่เข้าใจมากกว่าโกรธเคือง พลัฎฐ์สัมผัสได้

“ให้เขาติดต่อพี่ก็ได้นี่ครับ ที่ร้านตัวเล็กบางวันยุ่งจะตาย ของพี่เนี่ยยังไงก็มีเลขาฯ คอยรับ ไม่พลาดสักสายแน่ๆ”

พลัฎฐ์หว่านล้อมพลางชักแม่น้ำทั้งห้า เพราะไม่อยากให้ตะวันสงสัยว่าที่เขาไม่ยอมให้เนื่องจากกลัวไอ้ครูหน้าหยกจะลักลอบติดต่อตะวันนอกเหนือจากเรื่องเด็กๆ ... พลัฎฐ์ไม่ชอบ เขาหวง หวงมากเสียด้วย หวงทั้งที่ไม่ได้เป็นอะไรกันนี่แหละ

ตะวันนิ่งคิด เหมือนจะคลายสงสัย แต่ก็ยังไม่คลายสงสัย สุดท้ายก็ถามออกมาอีกจนได้

“แต่มีเบอร์ตะวันด้วยก็น่าจะดีกว่าไม่ใช่เหรอครับ พี่พลัฎฐ์น่าจะ..”


“มีเบอร์พี่คนเดียวก็พอ ของตัวเล็กไม่ต้องให้มีหรอก... พี่หวง”


พลัฎฐ์สวนออกมาด้วยประโยคที่ไม่คาดคิด สวนออกมาโดยที่ตะวันยังพูดไม่จบประโยคด้วยซ้ำ

และดูเหมือนว่าประโยคนั้นจะทำเอาตะวันนิ่งไปเลย เขาพูดไม่ออก ที่ทำได้มีเพียงนั่งหน้าแดงเงียบๆ ตอนที่พลัฎฐ์กำลังจะเคลื่อนรถออกจากโรงเรียน

พลัฎฐ์เหลือบมองคนข้างตัวที่ตอนนี้นั่งเงียบไปแล้ว คนตัวเล็กกว่าที่ตัวขาวเป็นทุน ตอนนี้แก้มแดงก่ำลามมายันคอ มองแล้วน่ารังแกไม่น้อย ซึ่งความคิดนั้นก็ทำเอาคนขี้แกล้งหลุดขำออกมาเบาๆ

คนตัวโตกว่าละสายตาออกมาจากคนที่เพิ่งถูกฮุคด้วยประโยคเด็ดกลับมามองถนน เขาครุ่นคิดมองถนนสลับกับมองตะวัน เพราะตอนแรกพลัฎฐ์ตั้งใจว่าจะค่อยเป็นค่อยไป ค่อยๆ พาตัวเองเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของตะวัน ให้อีกฝ่ายค่อยๆ เปิดรับเขาทีละนิด แต่เขากลับลืมคิดไปว่า ตะวันเป็นคนน่ารัก สดใส เขาอยู่ใกล้ไม่นานยังตกหลุมรักได้แบบไม่รู้ตัว ... แล้วคนประเภทตะวันก็มักจะดึงดูดผู้คนได้ไม่ยากด้วย

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือครูประจำชั้นของเด็กทั้งสองในวันนี้

เพราะฉะนั้น เห็นทีพลัฎฐ์คงจะชักช้าต่อไปไม่ไหว วันนี้เขาปล่อยหมัดแรกไปแล้ว ต่อจากนี้คงถอยหลัง หรือรีๆ รอๆ ไม่ได้อีก มีแต่ต้องเดินหน้าเท่านั้น และเขาก็ค่อนข้างมั่นใจมากว่าตัวเองจะทำได้

เพราะอะไรน่ะหรอ?

ก็อย่างที่พลัฎฐ์เคยบอกไปนั่นแหละว่าเขามีตัวช่วยพิเศษ ตัวช่วยที่คนอื่นไม่มีเหมือนเขา สงสัยได้เวลาเบิกตัวช่วยมาใช้แล้ว ถ้าอยากได้ตะวันมาเคียงข้าง พลัฎฐ์ก็ต้องเดินหน้าต่อ รั้งรอไม่ได้อีกต่อไป

.

.

.

To Be Continue

------------------------------------

Talk: ปะป๊าพลัฎฐ์จะรุกละน้าพี่ตะวัน เตรียมตัวให้ดีเด้อ กิกิ ><

ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์และการติดตามนะคะ ชอบไม่ชอบยังไงคอมเม้นท์บอกหรือติชมได้เลยยยย หรทอจะติดแท็ก #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว ในทวิตเตอร์ก็ได้นะคะ ... รออ่านอยู่เสมอค้าบบบ
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 8th - 12/07/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 12-07-2019 20:21:41
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 8th - 12/07/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 12-07-2019 20:42:44
 :pig4:
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 8th - 12/07/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 12-07-2019 21:13:37
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 8th - 12/07/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 13-07-2019 20:56:57
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 9th - 16/07/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 16-07-2019 18:57:13
:: Chapter 9th ... ตัวช่วยของพลัฎฐ์ ::


หลังจากกลับมาจากส่งอาทิตย์และน้องพีเข้าเรียน ตะวันก็ดูเหมือนจะพกแต่กายหยาบกลับร้าน ส่วนสตินั้นหลุดออกจากร่างไปแล้ว ... เพราะอะไรน่ะเหรอ?

ก็จะเพราะอะไรล่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะสิ่งที่พลัฎฐ์พูด ... แถมพูดออกมาหน้าตาเฉยอีกต่างหาก


‘มีเบอร์พี่คนเดียวก็พอ ของตัวเล็กไม่ต้องให้มีหรอก... พี่หวง’


พี่หวง หวง หวง หวงใคร? หวงอะไร? หวงตัวเขางั้นเหรอ?

อีกแล้ว! เอาอีกแล้ว! พลัฎฐ์ทำแบบนี้กับเขาอีกแล้ว!

ตะวันยอมรับว่าใจตัวเองแทบไม่เป็นสุข วันนี้เลยขลุกอยู่ในครัวแทบจะตลอดเช้า โชคดีที่ลูกค้าไม่เยอะเท่าไหร่ มีนากับน้ำตาลที่ดูแลหน้าร้านอยู่ เลยพอจะรับมือไหว ตะวันที่กลัวว่าตัวเองจะไปรับออเดอร์ลูกค้าผิดๆ ถูกๆ เพราะใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เลยตัดสินใจไปทำขนมเพิ่มในครัวแทน

และยังไม่ทันจะเที่ยงดี ตะวันก็ต้องมีเหตุให้ใจตุ๊มๆ ต่อมๆ อีกรอบเมื่อน้ำตาลเข้ามาบอกว่า


‘พี่ตะวันคะ คุณพลัฎฐ์มาค่ะพี่ บอกว่าจะมาทานข้าวกลางวันด้วย’


ตะวันยืนตะลึง ปรับสภาพอารมณ์อยู่พักใหญ่ เขาแอบไม่เข้าใจว่าพลัฎฐ์ทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร คำพูดเมื่อเช้าก็ทีนึงแล้ว แล้วยังจะการลงมาหาเขาตอนนี้อีก มันยิ่งทำให้ตะวันสับสน

เมื่อก่อนที่พลัฎฐ์ลงมาทานกลางวันด้วย ตะวันพยายามคิดว่านั่นเป็นเพราะเขาอยากลงมาเจอกับน้องพี ซึ่งพลัฎฐ์ก็อ้างแบบนี้ทุกวัน แต่วันนี้น้องพีไปเรียนหนังสือแล้ว เด็กชายไม่ได้อยู่ตรงนี้แต่ทำไมพลัฎฐ์ถึงยังลงมาตามปกติอยู่อีก

“ตัวเล็ก...” ทันทีที่เจ้าของรูปร่างสูงใหญ่ เห็นร่างเล็กปรากฎในกรอบสายตา พลัฎฐ์ก็ลุกขึ้นยืน ยิ้มแย้มอ่อนโยนส่งให้ ทำราวกับว่าไม่ได้เพิ่งจะแยกกันเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้า

“ทำไมพี่ถึงลงมาได้ล่ะครับ งานไม่เยอะเหรอ?”

ตะวันตัดสินใจถาม เพราะอยากรู้คำตอบ เพื่อที่ว่าตัวเองจะได้ไม่ต้องสับสนไปมากกว่านี้ เพราะการที่พลัฎฐ์ลงมาแบบนี้อาจจะเป็นเพราะเจ้าตัวหิวจริงๆ หรืออาจจะไม่ได้งานยุ่งมากเท่าที่ตะวันคิดไปเองก็ได้

“นิดหน่อยครับ แต่อยากเจอตัวเล็ก เลยตัดสินใจลงมากินข้าวที่นี่เลยดีกว่า”

น้ำเสียงอบอุ่นพูดเรื่อยๆ ราวกับเป็นเรื่องธรรมดาทั้งที่ประโยคเมื่อกี้ไม่ธรรมดาเลยสักนิด

“ตะวันคิดว่าตั้งแต่วันนี้ไปพี่พลัฎฐ์คงไม่ลงมาแล้ว เพระน้องพีไม่อยู่ น้อง...” ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่รอให้ตะวันพูดจบประโยค พลัฎฐ์พูดสวนออกมาเสียก่อน

“ที่ลงมาทุกวันนี้ก็อยากเจอทั้งน้องพี ทั้งตัวเล็กนั่นแหละ ถึงลูกจะไม่อยู่ แต่พี่ก็ยังอยากเจอตัวเล็กอยู่ดี”

คนถูกบอกว่าอยากเจอรู้สึกเหมือนความร้อนในร่างกายวิ่งแล่นขึ้นมาบนใบหน้าทันทีที่ได้ยินแบบนั้น หัวใจดวงน้อยๆ เต้นแรงจนแทบจะทะลุออกนอกอก เขาไม่เคยแน่ใจกับท่าทีของพลัฎฐ์ ซึ่งจนถึงตอนนี้ตะวันก็ยังไม่แน่ใจว่าพลัฎฐ์รู้สึกยังไงกับตัวเองกันแน่ แต่ที่รู้ๆ คือตอนนี้ตะวันหวั่นไหวมาก เขาไม่เคยถูกใครแสดงความรู้สึกใส่ซึ่งหน้าด้วยท่าทีนิ่งๆ แบบนี้

และก่อนที่จะถูกจู่โจมมากไปกว่านี้ ตะวันก็ผุดลุกขึ้นยืนพลางเอ่ยตะกุกตะกัก เหมือนคนมีพิรุธ

“ตะ.. ตะวัน ต้องไปอบขนมในครัวต่อน่ะครับ พอดียังทำไม่เสร็จ ถ้าพี่พลัฎฐ์อยากทานอะไรสั่งเลยนะครับ เดี๋ยวตะวันให้เมษยกออกมาเสิร์ฟให้”

พลัฎฐ์เลิกคิ้วนิดหน่อยเมื่อได้ยินแบบนั้น พอเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ว่าง คนโตตัวก็ลุกขึ้นยืนบ้าง พลางเอ่ยหน้าตาเฉย

“งั้นพี่กลับออฟิศเลยดีกว่า เดี๋ยวค่อยให้เลขาฯ ลงมาซื้อ”

ตะวันเองพอได้ยินพลัฎฐ์พูดแบบนั้นก็อดไม่ได้ที่จะแปลกใจ “ก็ไหนว่าพี่จะลงมาทานข้าว?”

พลัฎฐ์ยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะเดินหน้าเขย่าหัวใจตะวันแบบไม่รามือง่ายๆ

“อาหารท้องที่จะมาทานน่ะเหตุผลรองครับตัวเล็ก ส่วนอาหารตาที่จะมาดูน่ะเป็นเหตุผลหลัก ในเมื่ออาหารตาไม่ว่างให้พี่มอง พี่ก็เลยคิดว่ากลับดีกว่า นอกเสียจากว่าอาหารตาจะเปลี่ยนใจยอมนั่งทานข้าวกลางวันกับพี่ด้วย แบบนั้นน่ะ... พี่ค่อยอยู่ทานข้าวที่นี่ต่อ”

ตะวันอ้าปาก แล้วหุบ แล้วอ้าใหม่ เหมือนต้องการจะพูดอะไรแต่ก็พูดไม่ออกสักอย่าง สุดท้ายเจ้าของใบหน้าหวานก็เม้มริมฝีปากสีสดแน่น พลางเสมองไปทางอื่นเหมือนคนไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังจะสื่อ ทั้งที่ผิวแก้มของสองข้างที่ขึ้นสีแดงก่ำลามลงมายันคอ ได้แสดงออกหมดแล้วว่าตะวันเข้าใจในสิ่งที่พลัฎฐ์พูดถึงเป็นอย่างดี

“หึๆ งั้นพี่ไปนะครับตัวเล็ก แล้วเดี๋ยวตอนเย็นพี่มารับ เราจะได้ไปรับเด็กๆ ที่โรงเรียนกัน”

ตะวันพยักหน้าแกนๆ จะปฎิเสธก็ไม่ได้ เพราะตัวเองไม่ได้เอารถมาเนื่องจากเมื่อเช้าติดรถของคนข้างบ้านที่เสนอตัวไปส่งอาทิตย์ที่โรงเรียนและมาส่งเขาที่ร้าน ดังนั้นตะวันจึงไม่มีทางเลือกมากนักถ้าอยากไปรับอาทิตย์หลังเลิกเรียนให้ตรงเวลา และพอตอบให้อีกฝ่ายได้รับรู้แล้ว ตะวันก้มหน้าหลบสายตาคมที่ตอนนี้จ้องมองเขาแบบที่ไม่คิดจะปิดบังความรู้สึกของตัวเองเลยสักนิด

มาถึงขนาดนี้แล้ว ตะวันก็ไม่รู้จะปฏิเสธสิ่งที่ตาเห็นยังไง ในเมื่อมองในแง่ไหนก็รู้ว่าพลัฎฐ์กำลังส่งสัญญาณว่ากำลัง ‘จีบ’ เขาอย่างออกนอกหน้า แม้จะเป็นการออกนอกหน้าที่ดูนิ่งๆ ก็เถอะ และที่ร้ายไปกว่านั้น ตะวันเองก็ไม่รู้จะปฏิเสธหัวใจตัวเองยังไงด้วย ว่าหวั่นไหวกับสิ่งที่พลัฎฐ์มอบให้ จนตอนนี้เขาแทบจะไม่เป็นตัวของตัวเองเลย ให้ตาย!

.

.

.

“ปะป๊า น้องพีห่มผ้านุ่มๆ แย้ว ปะป๊าเยือกนิทานเสร็จยื้อยังคับ?”

เจ้าตัวน้อยที่ตอนนี้ถูกผ้าห่มหนาคลุมอยู่เหนืออกพูดถามเสียงใสไม่เหมือนคนง่วงนอนสักนิด ให้คนเป็นพ่อรู้ดีว่าวันนี้นิทานเรื่องเดียวต้องเอาไม่อยู่แน่ๆ ท่าทางวันนี้น้องพีน่าจะหลับยากพอสมควรเพราะเมื่อเย็นไม่ได้เล่นกับอาทิตย์เพื่อนคนสนิทที่โดนพี่ชายทำโทษเนื่องจากทำการบ้านเสร็จช้า เพราะเอาแต่แอบดูทีวี

ตะวันจึงสั่งห้ามไม่ให้อาทิตย์ออกไปที่บ้านข้างๆ เพื่อเล่นกับน้องพีตามกิจวัตรปกติเหมือนทุกวัน ถึงแม้จะทำการบ้านเสร็จภายหลังก็ตาม น้องพีจึงได้แต่เล่นวาดรูปและระบายสีแบบที่ไม่ได้ออกแรงอะไรมากแบบที่เด็กๆ เล่นกันปกติ ดังนั้นวันนี้น้องพีจึงมีแรงเหลือเฟือ น่าจะนอนฟังนิทานได้อีกพักใหญ่เลยกว่าจะง่วง

“ได้แล้วครับ” พลัฎฐ์เดินผละออกมาจากชั้นวางหนังสือนิทาน ตรงมายังเตียงของลูกชาย ก่อนที่จะแทรกตัวนอนตะแคงข้างหันไปทางเด็กชายพีรยถ์ พลางใช้ศอกยันไว้บนที่นอนเพื่อทรงตัว และเพื่อจะได้เห็นหน้าเด็กชายที่กำลังนอนมองเขาตาแป๋วด้วย

“เยื่องอะไยคับที่ ปะป๊าหยิบมา” เจ้าหนูน้อยว่าพลางขยับตัวเข้าหาคนเป็นพ่อด้วยความเคยชิน

“เรื่องแฮนเซลกับเกรเทลครับ ผจญภัยบ้านขนมปัง เรื่องที่น้องพีชอบไง”

เด็กน้อยยิ้มร่า พลางซุกซบอกอุ่นๆ ของพลัฎฐ์ด้วยความชอบใจ “อ่านเยยๆ น้องพีตั้งใจฟังคับ”

พลัฎฐ์ยิ้มก่อนจะวาดวงแขน ขยับลูกน้อยเข้าใกล้ พลางโอบเด็กชายไว้หลวมๆ ก่อนจะเริ่มเล่านิทานด้วยเสียงนุ่มทุ้มให้ลูกชายฟัง

“One upon a time, in a faraway forest, there lived a poor woodcutter, his wife and their two young children. The boy’s name was Hansel and the girl was called Gretel … กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในป่าที่ไกลออกไปมีคนตัดไม้ที่ยากจนอาศัยอยู่กับภรรยาและลูกน้อยอีกสองคน เด็กชายมีชื่อว่าฮันเซล ส่วนเด็กหญิงถูกเรียกว่าเกรเทล...”

พลัฎฐ์เล่าไปเรื่อยด้วยน้ำเสียงขึ้นลงตามโทนของเรื่อง แต่ไม่มีวี่แววว่าน้องพีจะง่วงเลยสักนิด หนำซ้ำยังตื่นเต้นกับเนื้อเรื่อง จนเผลร้องวู้ ว้าว ออกมาเป็นระยะๆ อีกต่างหาก จวบจนกระทั่งพลัฎฐ์เล่าถึงประโยคสุดท้าย เด็กชายพีรยสถ์ก็ยังไม่ได้หลับตาลงแต่อย่างใด

“Finally, they managed to find their way back home and gave all the jewels to their mother and father. Thanks to the clever children, the woodcutter and his family were never poor or hungry ever again! ... ในที่สุดฮันเซลกับเกรเทลก็หาทางกลับบ้านได้ และพวกเขาก็นำอัญมณีทั้งหมดไปมอบให้กับแม่และพ่อ ซึ่งต้องขอบคุณความฉลาดของเด็กทั้งสอง ที่ทำให้คนตัดไม้และครอบครัวไม่ต้องพบเจอกับความยากจนและหิวโหยอีกต่อไป”

พลัฎฐ์ปิดนิทานเล่มนั้นลง โดยที่น้องพีเองก็ยังคงตั้งตารอที่จะได้ฟังนิทานเรื่องต่อไป

“ไง ยังไม่ง่วงอีกเหรอลูก” คนเป็นพ่อถามยิ้มๆ พลางลูบศรีษะเล็กด้วยความเอ็นดู

“น้องพียังไม่ง่วง น้องพีหยักฟังนิทานอีกคับปะป๊า” พลัฎฐ์ยิ้มขำ ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างได้ เลยตัดสินใจที่จะลองเลียบๆ เคียงๆ เพื่อที่จะดูปฏิกริยาของลูกชายไปในตัว

“อืม.. ไว้เดี๋ยวปะป๊าจะเล่าเรื่องพินอคคิโอให้ฟัง แต่ตอนนี้ปะป๊ามีเรื่องจะถามน้องพีสักหน่อย น้องพีจะตอบปะป๊าได้ไหมนะ?”

“ได้สิคับ น้องพีตอบได้น้องพีเก่ง ปะป๊าจะถามอะไยหยอ?” เด็กน้อยถามประสาซื่อ ไม่ได้รู้เท่าทันผู้ใหญ่อย่างคนเป็นพ่อเลยสักนิด

“น้องพีครับ หนูชอบพี่ตะวันไหมครับ?” พลัฎฐ์เริ่มเปิดประเด็นด้วยคำถามง่ายๆ ที่เขาก็รู้คำตอบดี

“ชอบคับ น้องพีชอบพี่ตะวัน พี่ตะวันน่ายัก ใจดีด้วย ทำขนมเก๊าะอะหย่อย” เด็กชายตอบเสียงใส เขาชอบพี่ตะวันมาก ชอบคุณอาทิตย์ด้วย ชอบทั้งสองคนเลย

“ปะป๊าก็ชอบพี่ตะวันนะ” น้องพีน้องตาโต พอได้ยินปะป๊าบอกแบบนั้น เด็กน้อยดูตื่นเต้นมาก โดยที่ไม่ได้รู้เลยว่าชอบในความหมายของพ่อนั้น แตกต่างจากความหมายของตัวเอง “แล้วถ้าสมมติว่าปะป๊าพาน้องพีไปอยู่ใกล้ๆ พี่ตะวันทุกวัน เช้าก็เจอพี่ตะวัน เย็นก็เจอพี่ตะวัน ดึกแล้วก็ยังเจอพี่ตะวันอีก น้องพีจะโอเคไหมครับ?”

เด็กชายตัวน้อยยังไม่มีคำตอบอื่นใดให้คนเป็นพ่อ เพราะกำลังคิดถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ตามประสาเด็กสามขวบกว่าอยู่

.. ถ้าได้เจอพี่ตะวันทุกวัน ก็จะได้กินของอร่อยๆ มีคนคอยกอด คอยดูแล แถมตัวพี่ตะวันน่ะยังหอมมากๆ อีก ที่สำคัญเจอพี่ตะวันที่ไหน น้องพีก็จะได้เจอคุณอาทิตย์ด้วย ... โอ้โห แบบนี้มันดีมากๆ เลยไม่ใช่เหรอ

จากที่เอียงคอ ขมวดคิ้ว คิดนั่นนี่อยู่พักหนึ่ง เด็กน้อยก็ตาโต พลางหันมามองพลัฎฐ์ด้วยสายตาดีอกดีใจ

“น้องพีโอเคคับปะป๊า น้องพีชอบเจอพี่ตะวัน เพราะถ้าเจอพี่ตะวัน ก็ได้เจอคุณอาทิตย์ด้วย แถมพี่ตะวันยังใจดี มีของอะหย่อยๆ เยอะแยะให้กิน เอาๆ เจอพี่ตะวันบ่อยๆ น้องพีชอบ”

พลัฎฐ์ยิ้มกว้างพลางก้มลงไปฟัดเด็กน้อยที่ม้วนตัวอยู่ในผ้าห่มอย่างมันเขี้ยวเพราะเอ็นดูในคำตอบ ก่อนจะวางแผนการเล็กๆ เมื่อเห็นว่า ‘ตัวช่วย’ ของเขามีประโยชน์มากแค่ไหนในแผนการนี้

“ถ้าน้องพีอยากอยู่กับพี่ตะวันและคุณอาทิตย์นานๆ น้องพีต้องช่วยปะป๊านะครับ” พลัฎฐ์อ้อนลูก และแน่นอนว่ามีหรือที่เด็กชายพีรยสถ์จะปฏิเสธคำขอของพ่อผู้เป็นที่รักได้

“น้องพีช่วย ปะป๊าจะให้น้องพีทำอะไยคับ” เด็กน้อยถาม ดูกระตือรือร้นเป็นพิเศษ เพราะนอกจากจะเป็นคำขอของปะป๊าแล้ว น้องพีจะได้อยู่กับพี่ตะวันกับคุณอาทิตย์นานๆ ด้วย

“ถ้างั้นพรุ่งนี้หลังกลับมาจากโรงเรียน น้องพีทำแบบนี้นะ...”

ว่าแล้วคนเป็นพ่อก็ก้มลงไปกระซิบกระซาบกับลูกชายแล้วหัวเราะคิกคักน่าหมั่นไส้กันอยู่สองคน เด็กน้อยพยักหน้ารับหงึกหงักกับสิ่งที่พลัฎฐ์บอกให้ทำ ซึ่งอันไหนที่พลัฎฐ์ต้องการให้น้องพีทำเป็นพิเศษ เขาก็จะเน้นๆ ย้ำๆ หลายรอบเพื่อให้ลูกจำได้ และเมื่อบอกความต้องการของตัวเองจนหมดสิ้น พลัฎฐ์ก็ถามย้ำกับคนเป็นลูกอีกครั้งให้มั่นใจว่าลูกน้อยของเขาเข้าใจในสิ่งที่บอกไปทั้งหมดดี

“น้องพีทำได้ไหมครับ ช่วยปะป๊าได้หรือเปล่า?”

ร่างเล็กๆ ผุดลุกขึ้นนั่งจนผ้าห่มที่กองอยู่บนอกในตอนแรก ร่วงลงไปกองที่เอวแทน

“ทำได้คับ น้องพีทำได้นะ” เด็กน้อยยื่นนิ้วก้อยออกมาตรงหน้าคนเป็นพ่อด้วยท่าทางน่าเอ็นดู “น้องพีสัญญาว่าน้องพีทำได้” พลัฎฐ์หลุดขำออกมาเบาๆ ก่อนที่จะยื่นนิ้วก้อยของตัวเองไปเกี่ยวตอบ

“ขอบคุณมากนะครับเด็กน้อยของปะป๊า น้องพีของปะป๊าน่ะ เก่งที่สุดในโลกเลย”

เด็กชายพีรยสถ์ยิ้มเขินเมื่อได้รับคำชมจากคนเป็นพ่อ ก่อนที่จะพลัฎฐ์จะนึกอีกอย่างขึ้นได้ จึงสำทับบอกย้ำกับน้องพีอีกที

“แต่เรื่องนี้เป็นความลับที่ห้ามบอกพี่ตะวัน น้องพีทำได้ไหมครับ”

“ได้คับปะป๊า น้องพีไม่บอกพี่ตะวันเยย ความยับๆ”

เจ้าหนูน้อยพูดพลางทำมือรูดซิปตรงปาก ไม่รู้ไปเอาท่าทางแบบนี้มาจากไหน สงสัยจะจากโทรทัศน์หรือไม่ก็ในพวกการ์ตูน ซึ่งดูแล้วน่ารักมากจนพลัฎฐ์อดไม่ได้ที่จะจับลูกชายที่ผุดลุกขึ้นมานั่งเมื่อครู่ นอนราบลงไปกับเตียงแล้วฟัดพุงอย่างมันเขี้ยว

“ฮ่าๆๆๆๆ ปะป๊า น้องพีจั๊กจี้พุง ปะป๊า ฮ่าๆๆๆๆ”

“น่ารักนักใช่ไหม ลูกใครหื้ม? น้องพีลูกใครนะ ทำไมน่ารักแบบนี้” ยิ่งลูกขำ พลัฎฐ์ยิ่งแกล้งถูใบหน้าลงไปที่พุงน้อยๆ ของเจ้าหนูอย่างหยอกล้อ

“น้องพียูกปะป๊าพาลัด ปะป๊าพาลัดที่หย่อที่สุดในโยกกก ฮ่าๆๆๆ”

คนเป็นพ่อหัวเราะชอบใจที่ได้ยินลูกชายเอ่ยชม สุดท้ายพลัฎฐ์ก็ยอมหยุดเล่น เพราะกลัวว่าลูกจะหายใจไม่ทัน หรือไม่ก็สนุกจนเก็บเอาไปละเมอ

“งั้นลูกชายของปะป๊าพลัฎฐ์ที่น่ารักที่สุดในโลกก็นอนได้แล้วครับ ดึกแล้ว พรุ่งนี้เดี๋ยวตื่นไปโรงเรียนไม่ไหว อดไปเล่นกับคุณอาทิตย์แน่ๆ”

“โอ๊ะ น้องพีอยากไปเย่นกะคุณอาทิตย์”

พอพูดจบตากลมของเด็กชายตัวน้อยก็ปิดลงทันที โดยมีพลัฎฐ์คอยลูบหลังลูบไหล่ขับกล่อมให้ลูกชายนอนหลับได้ง่ายขึ้น... ซึ่งในเวลานี้ก็ดูเหมือนว่านิทานคงจะไม่จำเป็นอีกต่อไป เพราะเมื่อกี้น่าจะเหนื่อยจากการออกแรงไปมากพอสมควร

เด็กน้อยค่อยๆ จมเข้าสู่ห้วงนิทราเพราะสัมผัสที่เคยชิน และอ้อมกอดที่อบอุ่นของคนเป็นพ่อ จนลมหายใจของน้องพีเริ่มที่จะสม่ำเสมอ พร้อมกับที่น้องพีหลับสนิทไปเรียบร้อยภายในเวลาไม่กี่นาที

“ตัวแสบของปะป๊า ขอบคุณมากนะครับ ปะป๊ารักน้องพีที่สุดเลยรู้ไหม”

พลัฎฐ์พึมพำ นึกขอบคุณที่ลูกชายเปิดโอกาสและยอมช่วยเหลือเขาเต็มที่ แม้จะไม่ค่อยเข้าใจก็ตาม

“ฝันดีครับลูก” ริมฝีปากหยักกดลงแก้มนิ่มของลูกน้อยเบาๆ ก่อนที่จะมอง ‘ตัวช่วย’ ที่กำลังจะแปลงร่างเป็นกามเทพตัวน้อย เพื่อช่วยให้เขาสมหวังในความรักด้วยความเต็มใจ

.

.

.

"พี่ตะวันค้าบ วันนี้พี่ตะวันทำข้าวผัดคุณกุ้งให้น้องพีกินหน่อยได้ไหมคับ น้องพีหยักกิน"

วันนี้เป็นเวรของตะวันมารับเด็กๆ เพราะพลัฎฐ์โทรมาบอกว่าเขาอาจจะเลิกประชุมเย็น และหลังจากขึ้นมานั่งบนรถเรียบร้อย เด็กน้อยตัวเล็กที่สุดในรถ ก็เอ่ยปากขอคนตัวโตที่สุดในรถ ให้คนที่ถูกอ้อนได้อมยิ้ม

"ได้สิครับน้องพี เดี๋ยวพี่ตะวันทำให้กิน แต่เดี๋ยวพี่ตะวันขอกลับไปดูความเรียบร้อยที่ร้านก่อนเนาะ แล้วเดี๋ยวเราค่อยกลับบ้านกัน น้องพีทนหิวไหวไหม"

ตะวันเอ่ยรับปากอย่างใจดี เขาเป็นคนชอบทำอาหาร และยิ่งถ้ามีคนรอกิน และขอให้เขาทำให้กินเขายิ่งรู้สึกยินดี

"ไหวคับ น้องพีรอกินพร้อมปะป๊าด้วย"

ใจของคนที่กำลังจะเคลื่อนรถออกจากโรงเรียนกระตุกวาบ สองสามวันมานี้เขาเข้าหน้าพลัฎฐ์ไม่ค่อยจะติด สาเหตุก็ไม่ใช่อื่นใด ก็ทั้งคำพูดและการกระทำของพลัฎฐ์เมื่อวันก่อนนั่นแหละที่ทำให้เขาใจเต้นไม่เป็นส่ำ แถมยังทำตัวไม่ค่อยจะถูก ยามมีเหตุให้ต้องเจอหรือใกล้ชิดกัน

"อืมม.. เห็นปะป๊าพลัฎฐ์โทรมาบอกพี่ตะวันว่ามีประชุม พี่ตะวันไม่แน่ใจว่าปะป๊าเค้าจะเลิกงานมากินข้าวกับน้องพีทันหรือป่าว" ตะวันบอกเด็กน้อยตามความเป็นจริง เพราะไม่อยากให้น้องพีหิ้วท้องรอคนเป็นพ่ออย่างไม่จำเป็น "เอางี้ดีไหมครับ ถ้าน้องพีหิว น้องพีกินพร้อมพี่ตะวันกับคุณอาทิตย์ก่อน แล้วเดี๋ยวพอปะป๊าพลัฎฐ์มา พี่ตะวันค่อยทำข้าวผัดคุณกุ้งให้ปะป๊ากินเพิ่ม ดีไหมครับ"

น้องพีนิ่งคิด แต่สุดท้ายก็บ่มงึมงำออกมาอยู่ดี

"แต่ปะป๊าจะเหงา ถ้ากินข้าวผัดคุณกุ้งคนเดียวนะคับพี่ตะวัน" เด็กน้อยหน้ามุ่ย จนตะวันที่มองผ่านกระจกมองหลังมาเห็นแล้วอดสงสารปนเอ็นดูไม่ได้ "น้องพีไม่อยากให้ปะป๊าเหงาเยย"

และโดยที่ตะวันไม่ทันจะพูดอะไร เจ้าอาทิตย์ดวงน้อยก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน ราวกับรับรู้ได้ถึงความไม่สบายใจของเพื่อนสนิทตัวเอง

"งั้นน้องพีกินข้าวผัดคุณกุ้งพร้อมคุณอาทิตย์ก็ได้ แล้วให้พี่ตะวันกินพร้อมปะป๊าพะลัด ดีไหมๆ น้องพี"

เด็กน้อยตาโต เมื่อได้ยินข้อเสนอของเด็กชายเพื่อนสนิท ข้อเสนอที่ทำเอาตะวันแทบนั่งไม่ติด

"แต่พี่ตะวันว่า..."

"เอาคับๆ ปะป๊าจะได้ไม่เหงา พี่ตะวันจะยอใช่ไหมคับ"

ดวงตามกลมๆ ที่มองมาอย่างคาดหวังทำเอาตะวันกลืนทุกสิ่งที่ตั้งใจจะพูดลงคอ คำพูดที่เขากำลังบอกออกไปก่อนที่จะถูกน้องพีสวนมากลางปล้องก่อนหน้า

บอกตามตรงว่าเขาทำลายความหวังของเจ้าหนูตาดำๆ ไม่ลง

"ก็ได้ครับ เดี๋ยวพอถึงบ้าน น้องพีกับคุณอาทิตย์กินข้าวผัดคุณกุ้งกันก่อนได้เลย เสร็จแล้วจะได้ทำการบ้าน.. ส่วนปะป๊าพลัฎฐ์ เดี๋ยวพี่ตะวันรอกินเป็นเพื่อนเอง โอเคกันรึยังหื้ม? เจ้าตัวแสบทั้งหลาย"

และถึงแม้จะบ่น แต่ริมฝีปากบางสีสดกลับอมยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู แม้จะรู้สึกหนักใจนิดๆ แต่คิดอีกที แค่ทานข้าวกับพลัฎฐ์ก็คงไม่น่าจะมีปัญหาอะไรมั้ง ... ขอให้ไม่มีอะไรจริงๆ ทีเถ๊อะ

.

.

.

"นั่งรอพี่ตะวันตรงนี้นะครับเด็กๆ อยู่กับพี่มีนานะ ไม่ดื้อ ไม่ซน เดี๋ยวพี่ตะวันไปคุยกับป้าวันดีในครัวแปปนึง"

"คับ/คับ"

เด็กๆ ทั้งสองรับคำตะวันอย่างดี ตะวันเลยวางใจปล่อยให้เด็กๆ นั่งเล่นรอที่โต๊ะหน้าเคาน์เตอร์ โดยมีมีนาเด็กในร้านคอยดูแลให้อีกแรง

และหลังจากคล้อยหลังตะวันเดินไป เสียงงุ้งงิ้งของเด็กทั้งคู่ ก็เริ่มเปิดฉากคุยกันทันที

"น้องพี คุณอาทิตย์พูดตามที่น้องพีบอกให้พูดเลย ถูกไหมๆ"

น้องพียิ้มกว้าง ก่อนตอบ "ถูกๆ คุณอาทิตย์พูดถูกหมดเยย แบบที่ปะป๊าบอกให้พูดเปี๊ยบ! คุณอาทิตย์เก่งๆ"

น้องพีปรบมือเปาะแปะให้เพื่อนสนิท ให้เด็กชายภานวีย์ได้ยืดอกภูมิใจ

"เนี่ยยย น้องพีเก๊าะบอกให้คุณอาทิตย์พูดตามปะป๊าเยย เพราะปะป๊าบอกว่า ถ้าให้พี่ตะวันอยู่ด้วยกันนานๆ น้องพีกับคุณอาทิตย์ก็จะได้อยู่กันนานๆ ด้วย คิกคิก"

เด็กน้อยหัวเราะคิกคัก ความต้องการของพวกเขาไม่ซับซ้อน แค่พอปะป๊าพลัฎฐ์บอกว่าจะได้อยู่ด้วยกันนานขึ้น พวกเขาก็ทำ โดยไม่ได้รู้เลยว่าคนเจ้าเล่ห์เจ้าแผนการอย่างพลัฎฐ์ที่ขอให้ลูกชายทำทุกอย่างไปนั้น ก็เพราะเขาคาดหวังที่จะได้อยู่กับตะวันนานขึ้นเช่นกัน

และแน่นอนว่าทั้งหมดนี้ตะวันไม่ได้ระแคะระคายใดๆ เลยแม้แต่นิดเดียว

.

.

.

หลังจากกลับมาจากร้าน ตะวันก็พาเด็กชายพีรยสถ์มาอยู่ด้วยกันที่บ้านก่อน เนื่องจากพลัฎฐ์ยังประชุมไม่เสร็จ

ตะวันทำอาหารเย็นเป็นข้าวผัดกุ้งที่น้องพีอยากกินให้เด็กๆ รวมทั้งยังมีต้มจืดหมูสับใส่แครอทเพิ่มไปอีกรายการ ให้เจ้าหนูทั้งสองได้ซดน้ำคล่องๆ คอด้วย

และหลังจากทานกันอิ่มหนำแล้ว ตะวันก็เก็บวัตถุดิบที่จะเอาไว้ทำให้ตัวเองและพลัฎฐ์ใส่ตู้เย็น ก่อนจะมานั่งสอนการบ้านเด็กๆ เพื่อรอเวลาให้พลัฎฐ์กลับมาทานข้าวเย็นพร้อมกัน

พอพูดแบบนี้แล้วรู้สึกเป็นครอบครัวยังไงไม่รู้

ตะวันหน้าแดงที่ตัวเองคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ก่อนจะหันมาให้ความสนใจกับเด็กทั้งสองตรงหน้าที่กำลังทำการบ้านกันอยู่แทน

"พี่ตะวันคับ แอล โอ วี อี เยิฟ ที่แปลว่ายัก น้องพีขีดไปที่ยูปนี้ถูกไหมคับ" น้องพีเงยหน้ามาถามตะวัน ในขณะที่นิ้วยังคงจิ้มอยู่ที่หน้ากระดาษในข้อที่ตัวเองไม่แน่ใจ

"ถูกต้องครับ น้องพีเก่งมาก" ตะวันยื่นมือเรียวไปลูบศีรษะกลมๆ ของเด็กชายด้วยความเอ็นดู ก่อนที่เสียงของน้องชายตัวน้อยจะดังขัดความคิด

"โอ๊ะ ปะป๊าพะลัดมาแล้วว" อาทิตย์มีท่าทางดีใจขึ้นมาทันตาเมื่อเจ้าหนูได้ยินเสียงออดหน้าบ้านดัง

"ปะป๊ามาแย้วว" น้องพีเองก็ดีใจไม่ต่าง ให้ตะวันต้องรีบไปเปิดประตูให้คนที่เด็กชายทั้งสองรอเจอได้เข้ามา

"รอตรงนี้นะครับ เดี๋ยวพี่ตะวันไปเปิดประตูให้ปะป๊าพลัฎฐ์ก่อน" ตะวันเดินไปชะโงกหน้าดูตรงวีดีโออินเตอร์คอม ให้ได้เห็นเจ้าของรูปร่างสูงใหญ่คุ้นตา ยืนยิ้มบางๆ ให้เขาอยู่หน้าประตู

หัวใจดวงเล็กๆ ของตะวันเต้นระรัวขึ้นมาทันที ที่เห็นอีกฝ่าย นี่ขนาดเขาคิดมาว่าเขาห้ามใจตัวเองได้ดีขึ้นมากแล้ว แต่กลับไม่เป็นอย่างนั้นเลย เมื่อได้เจอพลัฎฐ์อีกครั้ง

ตะวันเดินออกไปเปิดประตูให้คนที่รออยู่ได้เข้ามา และคำทักทายของอีกฝ่ายก็ทำให้เขาต้องแก้มแดงอีกครั้ง

"ขอบคุณนะครับตัวเล็ก ได้เห็นหน้าตัวเล็กแบบนี้ .. พี่ค่อยหายเหนื่อยหน่อย"

"อะ .. เอ่อ เข้าบ้านเถอะครับพี่พลัฎฐ์ น้องพีรออยู่" ตะวันพยายามเปลี่ยนเรื่อง แต่ดูเหมือนว่าคำพูดนั้นจะยิ่งรัดเขาไว้ยิ่งกว่าเดิม

"มีแค่น้องพีที่รอเหรอครับ พี่นึกว่า..."

"อะ อาทิตย์ก็รอครับ เห็นว่าจะให้พี่ช่วยสอนการบ้านให้" ตะวันรีบรวดรัดพูดเมื่อเดินเข้ามาในบ้าน แล้วเด็กๆ ทั้งสองก็พุ่งมาจู่โจมพลัฎฐ์แล้วเรียบร้อย

"ปะป๊า / ปะป๊าพะลัดดด"

เด็กทั้งสองวิ่งเข้ามาก่อนจะพุ่มมือไหว้คนที่อาวุโสที่สุดในบ้านตอนนี้ด้วยท่าทางน่าเอ็นดู

"สวัสดีคับปะป๊า"

"สวัสดีคับปะป๊าพะลัด"

"สวัสดีครับเด็กๆ ไหน ทำการบ้านถึงไหนกันแล้ว" พลัฎฐ์เอ่ยถามให้เด็กๆ ได้แย่งกันพูดยกใหญ่ ตะวันเห็นดังนั้นจึงเดินแยกออกมา

"ถ้างั้นผมฝากเด็กๆ หน่อยนะครับพี่พลัฎฐ์ เดี๋ยวผมไปผัดข้าวกับอุ่นต้มจืดให้ทาน"

"ได้ครับ พี่ขอบคุณตัวเล็กมากนะครับ รบกวนเลย" พลัฎฐ์เอ่ยบอกอย่างเกรงใจแต่ยอมรับว่ารู้สึกดีไม่น้อยที่มีตะวันคอยดูแล

"ไม่เป็นไรครับ ตะวันก็ยังไม่ได้ทาน" พอว่าจบคนตัวเล็กกว่าก็เดินเข้าไปในครัว ให้เจ้าเด็กน้อยทั้งสองได้เอาความดีความชอบ
 

- อ่านต่อด้านล่าง -
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 8th - 12/07/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 16-07-2019 18:59:50
- ต่อจากด้านบน -
 

"น้องพีเก่ง น้องพีบอกให้คุณอาทิตย์บอกพี่ตะวันตามที่ปะป๊าบอก เยาสองคนเก่งไหมคับปะป๊า"

พลัฎฐ์ยิ้มกว้าง ไม่น่าเชื่อว่าสื่งที่เขาฝากฝังให้ลูกชายทำ เจ้าหนูจะทำได้ดีขนาดนี้

"เก่งมากครับ เก่งทั้งคู่เลย" พลัฎฐ์เอ่ยชมให้อาทิตย์ได้พูดต่อ

"อาทิตย์เป็นคนบอกคับปะป๊าพะลัด เราจะได้อยู่ด้วยกันนานๆ อาทิตย์อยากเล่นกับน้องพี อยากให้ปะป๊าพะลัดอยู่เล่นด้วย"

พอเห็นสบโอกาส พลัฎฐ์จึงยิ่งย้ำ

"ดีมากครับอาทิตย์ เก่งมาก ต้องบอกพี่ตะวันแบบนี้บ่อยๆ นะ ถ้าอยากให้ปะป๊ากับน้องพีอยู่เล่นด้วยนานๆ โอเคไหมครับ"

"โอเคคับปะป๊า อาทิตย์จะจำไว้" ท่าทางของเด็กทั้งสองทำให้พลัฎฐ์วางใจ เห็นไหมว่าตัวช่วยของเขาน่ะ เจ๋งกว่าใครหน้าไหนทั้งนั้นแหละ

.

.

.

การทานอาหารด้วยกันก็ไม่ได้มีอะไรหวือหวาสักเท่าไหร่ เพราะตะวันยกมาให้ทานตรงโต๊ะที่สอนการบ้านเด็กๆ พวกเขาทานไป สอนการบ้านเด็กๆ ไป แม้จะไม่ได้โรแมนติคเท่าที่พลัฎฐ์คาดหวังไว้ แต่ก็อบอุ่นใจมากเกินกว่าที่จะเอ่ย เป็นความรู้สึกของการเป็นครอบครัวในแบบที่พลัฎฐ์ฝันอยากจะมีมาตลอด

"เดี๋ยวตะวันเอาจานไปล้างก่อนนะครับ"

ตะวันรวบจานแล้วยกขึ้นไม่รอให้พลัฎฐ์เอ่ยห้าม คนตัวโตกว่ารู้สึกว่ามันไม่ค่อยแฟร์เท่าไหร่ เพราะตะวันเป็นคนทำอาหารให้เขาทาน แล้วยังจะต้องมาล้างให้อีก

คิดได้แบบนั้นพลัฎฐ์จึงตัดสินใจลุกตามเจ้าของร้านอาหารเข้าไปในครัว เมื่อมองเห็นแล้วว่าตอนนี้เด็กทั้งสองนั่งเล่นกันอย่างปลอดภัย ไม่ได้มีอะไรให้ต้องน่าเป็นห่วง

พลัฎฐ์มองแผ่นหลังเล็กของตะวันที่ตอนนี้กำลังเตรียมจะล้างจานอยู่ที่หน้าอ่างด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึก เขาจึงตัดสินใจไปยืนข้างๆ เจ้าของใบหลังเล็กนั้น ก่อนจะเอ่ยอย่างอ่อนโยน

"ตัวเล็กทำให้พี่ทานแล้วยังจะมาล้างให้อีก มาครับ.. พี่ช่วยครับ"

และเมื่อพลัฎฐ์ขยับไปยืนข้างๆ ตะวัน...

กลิ่นกายหอมหวานราวขนมของคนข้างตัว

ไหล่เล็กกับไหล่กว้างของทั้งสองที่ซ้อนกัน เพราะความใกล้ชิดที่ไม่ได้ตั้งใจ

และมือเรียวและมือใหญ่ที่วางทับกันภายใต้ฟองที่ฟูฟ่องเต็มอ่างของน้ำยาล้างจาน

ความใกล้ชิดที่ก่อเกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัวทำให้หัวใจของคนทั้งคู่เต้นไม่เป็นส่ำ แม้กระทั่งพลัฎฐ์ที่เก็บอาการได้ดี ยังต้องเหลือบตามองคนข้างๆ เพราะห้ามตัวเองไม่ได้ ในขณะที่ตะวันนั้น ตอนนี้แก้มแดงก่ำ จนลามไปถึงคอ

และภาพของอีกฝ่ายที่เห็นทำให้พลัฎฐ์ตัดสินใจถาม เพราะเขาอยากจะแน่ใจและจะได้เดินหน้าต่อ เนื่องจากไม่อยากรออะไรอีกแล้ว

"ตัวเล็กครับ.. ตัวเล็กรู้ใช่ไหมว่าพี่คิดยังไงกับตัวเล็ก"

ใบหน้าน่ารักที่ตอนแรกแดงก่ำเพราะความอายตอนนี้กับยิ่งแดงกว่าเดิม เหมือนมีใครสักคนเอาสีมาสาดก็ไม่ปาน

"ค.. คือตะวัน ตะวันไม่แน่ใจครับ" คนตัวเล็กกว่าตอบตามตรง เพราะบางทีพลัฎฐ์ก็เหมือนจะมีใจ แต่บางทีก็เหมือนจะเฉยๆ ดังนั้นตะวันจึงไม่แน่ใจเลยสักนิด

"แล้วถ้าพี่จะบอกว่าพี่คิดอย่างที่ตัวเล็กกำลังสงสัย ตัวเล็กจะว่ายังไงครับ" พลัฎฐ์ตัดสินใจถามตรงๆ ให้ตะวันได้อ้าปากพะงาบๆ ราวกับควานหากล่องเสียงตัวเองไม่เจอ

และเขาก็ต้องเป็นใบ้หนักยิ่งขึ้น เมื่อเจอการจู่โจมตรงๆ ของอีกฝ่ายที่ซัดเข้ามาอีกระลอก

"ถ้าพี่จะบอกว่าพี่ 'ชอบ' ตะวัน... ตะวันจะว่ายังไงครับ บอกพี่หน่อยได้ไหม"

.

.

.

To Be Continue

---------------------------------

ปะป๊าก็รุกหนักไม่พักกก ทำเอาพี่ตะวันหายใจหายคอไม่ทัน กี๊ส! ><

ฝากติดแท็ก #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว ในทวิตด้วยนะคะ และก็ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่าน และคอมเม้นท์ให้กำลังใจกัน มีแค่ไม่กี่คอมเม้นท์ก็ดีใจแย้ว ขอแค่ไม่ทิ้งกันไปไหนก็พอออ ^^

แล้วเจอกันตอนหน้าค่า ❤❤❤
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 9th - 16/07/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 16-07-2019 20:42:20
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 10th - 20/7/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 20-07-2019 19:17:24
:: Chapter 10th - ที่ปรึกษา ::


- Tawan’s Part -

ผมนอนไม่หลับ คำสารภาพรักของพี่พลัฎฐ์ยังดังก้องอยู่ในหู

หลังจากผุดลุกผุดนั่งอยู่หลายตลบ ผมเลยคิดว่าควรเลิกพยายามที่จะนอนได้แล้ว เพราะถึงยังไงคืนนี้ผมก็หลับไม่ลง สุดท้ายจึงเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่หัวเตียง กดดูเวลาก็เห็นว่าเกือบจะล่วงเข้าวันใหม่ แต่ด้วยอาการแบบนี้ถ้าผมไม่หาทางระบาย ผมคงนอนไม่หลับไปจนสว่างแน่ๆ สุดท้ายผมจึงเสิร์ชหารายชื่อที่ตัวเองคิดไว้ เพราะมั่นใจว่าถ้าเป็นคนๆ นี้ เขาต้องรับฟังและมีคำแนะนำดีๆ ให้ผมได้แน่ๆ ว่าแล้วผมก็กดโทรออก เมื่อเจอชื่อของคนที่ผมต้องการ รอสายอยู่ไม่นาน อีกฝ่ายก็กดรับด้วยน้ำเสียงสดใส ราวกับว่านี่ไม่ใช่เวลาใกล้เที่ยงคืนที่ชาวบ้านเขาหลับเขานอนกัน

(ฮายยย มายบราเธอร์ โทรมาดึกดื่นมีอะไรว้าวุ่นใจเหรอจ๊ะ?)

นั่น... ถามเหมือนรู้ไปอีก ผมล่ะอยากรู้เหลือเกินว่าลูกพี่ลูกน้องของผมเนี่ย เลี้ยงกุมารทองไว้เฝ้าผมหรือเปล่า เพราะว่าผมน่ะไม่เคยโกหกหรือหลอกอะไรหมอนี่ได้เลย จับผมได้ไล่ผมทันตลอดแหละ

“ก็.. นิดหน่อย” ผมอ้อมแอ้มตอบไม่เต็มเสียง แต่ก็พยายามทำตัวมีมารยาทสักนิด โดยถามในสิ่งที่ควรถามออกไปก่อน เพราะตอนนี้ก็ค่อนข้างดึกมากแล้ว “ว่าแต่นายจะนอนรึยังอ่ะ?”

(แหม พูดมาขนาดนี้แล้วตะวัน ต่อให้ฉันง่วง ฉันก็ไม่นอนหรอก นานๆ ทีนายจะมีเรื่องให้วุ่นวายใจจนนอนไม่หลับ เลยต้องโทรมาหาฉันเนี่ย แล้วแบบนี้คนอย่างชนกันต์จะยอมพลาดเรื่องเด็ดๆ ไปได้ยังไงกันจ๊ะ)

ผมถอนหายใจใส่โทรศัพท์อย่างเซ็งๆ ไม่รู้ว่าตัวเองคิดถูกหรือคิดผิดที่โทรหาลูกพี่ลูกน้องตัวเองอย่างชาร์ม เพราะหมอนี่น่ะ... ก็นั่นแหละ อย่างที่เห็น

“อย่าแซวสิชาร์ม ถ้านายแซวฉันจะไม่เล่านะ ... คนยิ่งเขินๆ อยู่” ประโยคหลังผมงึมงำพูดอยู่ในลำคอ ไม่คิดว่าชาร์มจะได้ยินหรอก แต่ผมก็ลืมไปว่าหมอนั่นน่ะหูดี หูดีในเรื่องที่ไม่ควรจะหูดีประจำ

(โอ๊ะโอ นี่ฉันแทบจะไม่ต้องทายเลยมั้งว่าเรื่องอะไร) ชาร์มพูดด้วยน้ำเสียงระรื่น ก่อนจะทำเสียงเล็กเสียงน้อยถามผมอย่างล้อเลียน (เรื่องคุณพลัฎฐ์ หนุ่มหล่อพ่อลูกติดข้างบ้านนั่นใช่มะ?)

ผมตาเหลือกโตโดยที่อีกฝ่ายมองไม่เห็น ผมไม่แน่ใจว่าทำไมชาร์มถึงรู้ โอเค.. เขาอาจจะเดาได้ว่าผมคงโทรมาปรึกษาปัญหาหัวใจ แต่ที่ผมเซอร์ไพร์สคือทำไมชาร์มถึงรู้ว่าตัวละครหลักในเรื่องนี้คือพี่พลัฎฐ์ หรือผมหลุดอะไรไปให้ชาร์มจับได้กัน

“ทำไมนายรู้? ไม่ๆ ฉันหมายถึงว่าทำไมนายถึงรู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับพี่พลัฎฐ์”

(ว๊าววว เดี๋ยวนี้มีเรียกพ่งเรียกพี่ ฉันจำได้ว่าคราวที่แล้วยังเป็นคุณพลัฎฐ์อยู่เลยไม่ใช่หรอ?)

น้ำเสียงสอดรู้ของอีกฝ่ายทำเอาผมไปแทบไม่เป็น ดูเหมือนผมจะพลาดซ้ำพลาดซ้อน อีหรอบนี้เห็นทีต้องโดนชนกันต์ซักจนขาวแน่ๆ

(เล่ามาเถอะน่าลูกแมว นายโทรมาหาก็เพราะจะปรึกษาไม่ใช่หรอ? ถ้ามัวแต่เขินเดี๋ยวก็ได้อกแตกตายกันพอดี)

สรรพนามเฉพาะถูกชนกันต์นำมาเรียกขานผมด้วยความเคยชิน นั่นเป็นเพราะทั้งผมและชาร์มสนิทกันมากกว่าความเป็นลูกพี่ลูกน้อง อาจจะเพราะอายุไล่กัน หรือไม่ก็เพราะคุณแม่ของผมและคุณแม่ของชนกันต์มีกันแค่สองคนพี่น้องหรือเปล่าก็ไม่รู้ นั่นเลยยิ่งทำให้ผมกับชาร์มสนิทกันมากเป็นพิเศษตั้งแต่เด็กๆ ดังนั้น มีอะไรผมจึงคุยกับชาร์มแทบทุกเรื่อง ชาร์มเองก็เหมือนกัน ตอนที่เขารู้รสนิยมเรื่องเพศของตัวเอง เขาก็มาปรึกษาผม

ดังนั้นระหว่างเราสองคนแล้ว มันเลยคำว่าลูกพี่ลูกน้องไปไกลมาก เรารู้ใจกันและกันยิ่งกว่าใคร มันจึงไม่แปลกเลยสักนิด ที่ผมจะเลือกคุยเรื่องนี้กับชาร์ม เพราะนอกเหนือจากความไว้ใจและความสนิทใจที่เรามีให้กันแล้ว ผมยังคิดว่าถ้าให้กูรูทางด้านนี้เป็นคนช่วยให้คำแนะนำ มันน่าจะได้ผลและเห็นผลเร็วกว่าคนที่ไม่มีประสบการณ์เรื่องนี้เลย

“ก็คือ.. วันนี้พี่พลัฎฐ์ เขาบอกว่าเขาชอบฉัน”

ผมเล่าเสียงเบาหวิวแล้วก็เงียบไป ดูเหมือนลูกพี่ลูกน้องปลายสายของผมก็เงียบไปเหมือนกัน ซึ่งนั่นยิ่งทำให้ผมวางสีหน้าไม่ถูก ถึงแม้จะรู้ว่าชาร์มเองก็ไม่ได้รู้ได้เห็นอะไรว่าตอนนี้ผมทำหน้าแบบไหนอยู่ แต่ผมก็เขินมากอยู่ดี เพราะแค่นึกถึงคำบอกชอบของคนข้างบ้านที่ดังอยู่ข้างหูแล้ว ผมก็ใจเต้นแรงอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ทันที

(แล้วไงต่อล่ะลูกแมว? เล่าต่อสิ พอคุณพลัฎฐ์เขาบอกชอบนาย แล้วนายตอบเขาไปว่าอะไร)

ชนกันต์เร่งเร้า ทำเอาผมเม้มปากแน่นด้วยความประหม่า ก่อนจะตอบออกไปด้วยน้ำเสียงแบ่งรับแบ่งสู้ เพราะไม่อยากให้คนในครอบครัวผิดหวังกับความไม่เอาไหนของตัวเอง

“อ่อ.. ฉันไม่ได้ตอบอะไรแล้วก็เดินหนีออกมาเลย แหะๆ” หวังว่าเสียงหัวเราะแห้งๆ ของผมจะทำให้ดูน่าเห็นใจมากขึ้นนะ

(ห๊ะ? นายว่าไงนะ? เดินหนีออกมาเลยงั้นหรอ?) ชนกันต์ถามด้วยน้ำเสียงตกอกตกใจ ให้ผมอดถามกลับไม่ได้

“อื้อ กะ.. ก็ฉันทำตัวไม่ถูกนี่ อยู่ๆ พี่เขาก็มาบอกว่าชอบ ละ แล้วนายจะให้ฉันทำยังไงเล่า?”

ผมโวยวายนิดๆ นั่นก็เพราะไม่รู้จะทำยังไง เอาจริงๆ ผมไม่ได้รังเกียจหรืออะไร แต่ผมยังไม่ได้ตั้งตัว อีกอย่างที่ผมยอมรับเลยก็คือ ผมเขินมากๆ ไม่คิดว่าจะถูกพี่พลัฎฐ์จู่โจมแบบนี้มาก่อน

(แต่นายก็ควรพูดตอบอะไรคุณพลัฎฐ์เขาไปหน่อยก็ได้นี่ เช่น ขอคิดดูก่อน ผมขอตั้งตัว ว็อทเอเวอร์! อะไรก็ได้น่ะภานรินทร์ อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่นายเดินหนีคุณเขามาเฉยๆ แบบนั้น)

ผมอ้าปากค้างหลังโดนชาร์มดุมายาวเหยียด แต่ก่อนที่จะได้อ้าปากเถียงอะไรออกไป คำพูดของลูกพี่ลูกน้องคนที่ตรงยิ่งกว่าไม้บรรทัดก็ถูกส่งมาทำเอาผมตาเหลือกโตราวกับเพิ่งนึกถึงข้อความจริงข้อนี้ได้

(นายเล่นหนีมาเฉยๆ แบบนั้นน่ะตะวัน จะให้คุณพลัฎฐ์เขาเข้าใจว่ายังไง นอกจากคิดว่านายรังเกียจเขา)

“ห๊ะ? ไม่ใช่สักหน่อยนะชาร์ม ฉันไม่ได้รังเกียจพี่พลัฎฐ์เลยสักนิด ฉันก็แค่.. แค่เขินเฉยๆ ฉันไม่ได้คิดอะไรอย่างอื่นเลย พี่พลัฎฐ์ต้องเข้าใจฉันสิ”

ผมพูดรัวเร็ว ลืมความขัดเขินที่มีก่อนหน้านี้ไปหมดสิ้น ในใจตอนนี้คิดแค่ว่าไม่อยากให้คนข้างบ้านเข้าใจผมผิด ผมจะไปรังเกียจเขาได้ยังไง ในเมื่อผมชอบเขามากขนาดที่ใจเต้นแรงทุกครั้งที่เจอแบบนี้

ชอบ... งั้นเหรอ?

ราวกับมีเสียงกระซิบจากสวรรค์ บทจะรู้ใจตัวเองก็รู้ได้โดยง่ายดาย ไม่สิ... จะคิดแบบนั้นก็ไม่ถูก ผมต้องยอมรับกับตัวเองก่อนว่าที่ผมรู้ใจตัวเองเร็วขนาดนี้นั่นก็เพราะผมแคร์พี่พลัฎฐ์ ผมไม่อยากให้เขาเข้าใจผิด ผมไม่อยากให้เขาคิดว่าผมรังเกียจ ทั้งที่ความรู้สึกที่ผมมีต่อเขามันออกจะตรงข้ามเสียขนาดนั้น

(ตะวัน... คนที่นายต้องพูดประโยคเหล่านี้ให้รับรู้น่ะ ไม่ใช่ฉันหรอกนะ นายต้องไปบอกคนที่นายควรบอก เขาอาจจะกำลังรอให้นายบอกอยู่ ... คุณพลัฎฐ์เขาไม่ใช่พระเจ้าสักหน่อยจะได้หยั่งรู้อะไรเองทั้งหมดได้ ถ้านายไม่บอกเขาก็ไม่รู้ ถ้านายไม่พูดร้อยทั้งร้อยใครก็ต้องคิดว่านายรังเกียจ) ชนกันต์ร่ายยาว ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ

(นายลองคิดกลับกันก็ได้ ถ้าสมมตินายไปบอกรักใครสักคน เอาคุณพลัฎฐ์ก็ได้อ่ะ เนี่ย.. สมมตินายเดินไปบอกรักเขาแล้วเขาเดินหนี ไม่ยอมรับไม่ปฏิเสธ อยู่ๆ ก็เดินหนีไปเลย นายยังจะคิดว่าเขารู้สึกตรงกับตรงกับนาย เขินนาย หรือรู้สึกดีกับนายไหม ถ้าเขาไม่บอกนายจะรู้ไหม ฉันถามนายแค่นี้แหละ)

ผมครางฮือในลำคอ ความรู้สึกผิดตีตื้นขึ้นมาเต็มอก

(ไม่ใช่ว่าคุณพลัฎฐ์เขาจะรู้ใจนายนะตะวัน เขาเดินมาบอกความรู้สึกกับนายเขาเองก็พกความเสี่ยงมาเต็มที่ ไม่ออกหัวก็ออกก้อย เขาไม่ได้มั่นใจอะไรทั้งนั้น แล้วยิ่งถ้านายไม่ตอบอะไรแบบนี้ ความคิดทางด้านลบมันก็ต้องมากกว่าบวกอยู่แล้ว นายว่าฉันพูดถูกไหม)

“แล้วจะทำยังไงดีอ่ะชาร์ม ฉะ.. ฉันไม่ได้รังเกียจพี่พลัฎฐ์เลยสักนิด ที่.. ที่จริง ฉันรู้สึกดีกับพี่เขามากด้วยซ้ำ”

ประโยคหลังผมอ้อมแอ้มบอกคนปลายสาย แต่ผมมั่นใจว่าถึงผมไม่บอกไปยังไงชนกันต์ก็ต้องเดาได้อยู่ดีว่าผมรู้สึกยังไงกับคนบ้านข้างๆ ในเมื่อท่าทีของผมลุกลี้ลุกลนออกขนาดนี้

(ก็พูดกับคุณพลัฐฏ์เหมือนที่นายพูดกับฉันนี่แหละตะวัน ไม่ยากหรอก) ชนกันต์พูดบอกง่ายๆ แต่ผมว่ามันไม่ง่ายเลยสักนิดสำหรับผม

จะพูดยังไงดีล่ะ ถึงผมกับชาร์มจะสนิทกันมาก แต่เรื่องรักๆ ใคร่ๆ เรื่องมีแฟน หรือเรื่องความสัมพันธ์นี่ผมโคตรติดลบ บอกใครๆ เขาจะเชื่อว่าผมไม่เคยมีแฟนเลยสักคน ยอมรับว่าช่วงมหาวิทยาลัยก็มีคนมาจีบบ้าง แต่ผมก็ไม่ได้ให้ความสนใจหรือคุยกับใครเป็นพิเศษ เพราะไม่มีใครที่จะโดดเด่นมากพอที่จะดึงความสนใจผมได้ ถ้าให้พูดง่ายๆ ก็คือไม่เคยมีใครทำให้ผมใจเต้นแรงได้เหมือนที่พี่พลัฎฐ์ทำสักคน เพิ่งจะมีเขาคนแรกที่ทำให้ผมไม่เป็นตัวของตัวเองได้ขนาดนี้

คิดดูแล้วกันว่าผมไปไม่เป็นจนถึงขั้นต้องโทรมาปรึกษาลูกพี่ลูกน้องผู้เชี่ยวชาญด้านนี้เป็นพิเศษ นั่นเป็นเพราะชาร์มเป็นคนที่เปิดกว้างเรื่องความสัมพันธ์มากกว่าผม ชาร์มไม่ยึดติดเรื่องเพศ ไม่ยึดติดเรื่องสถานะทางสังคม หรือเรื่องอะไรต่างๆ เขาเคยบอกผมว่าถ้าเขาถูกใจก็คือถูกใจ จะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ได้ ... แม้ส่วนใหญ่จะหนักไปทางผู้ชายก็ตาม

ดังนั้นชาร์มเลยมีประสบการณ์เรื่องรักๆ ใคร่ๆ มากกว่าผมอยู่หลายเท่า เขาเป็นคนมีเสน่ห์ มีเสน่ห์เหมือนชื่อเขานั่นแหละ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอาชีพช่างทำผมของเขาด้วยหรือเปล่า ชาร์มจึงเป็นคนคุยสนุก เข้าสังคมเก่ง ไม่ค่อยมีพิธีรีตอง และเป็นคนที่มักจะทำให้คู่สนทนารู้สึกว่าตนเองเป็นคนสำคัญสำหรับชนกันต์ได้เสมอ นั่นทำเลยให้มีคนเข้าหาชนกันต์อยู่ไม่ขาด

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะได้ใจชาร์ม เห็นสบายๆ ยังไงก็ได้แบบนั้นน่ะ ชนกันต์เป็นคนเลือกคนคุยมากพอสมควร ชาร์มจะแบ่งประเภทของคนที่มาเข้ามาไว้อย่างชัดเจน คนไหนคุยแบบเพื่อน คุยแบบลูกค้า หรือคุยแบบคนที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ ชาร์มจะไม่ให้คนในแต่ละประเภทมาปะปนกัน เขาเป็นคนชัดจนเสมอในเรื่องนี้

และถึงแม้จะแบ่งคนในชีวิตไว้แบบนั้น แต่คนมากมายก็พร้อมที่จะเดินมาให้ชาร์มเลือก ยิ่งมีมาให้เลือกเยอะ ชาร์มก็ยิ่งชี้นิ้วเลือกได้ตามใจ คนไหนคุยแล้วไปกันรอด ก็ไปต่อ ไม่รอดก็เลิกคุย ชาร์มบอกผมเสมอว่าเราไม่ควรปิดกั้นตัวเอง ให้โอกาสตัวเองบ้าง นั่นเป็นสิ่งที่มนุษย์พึงกระทำ

และตอนนี้ผมก็เชื่อแล้วว่าลูกพี่ลูกน้องที่แสนจะต่างขั้วของผมค่อนข้างที่จะมีประสบการณ์เรื่องนี้ดี เพราะสิ่งที่ชาร์มแนะนำ ทำให้ผมคิดและตัดสินใจอะไรได้ง่ายขึ้นหลายอย่างเลย

“นายว่าจะดีเหรอ? คือว่าฉันไม่มั่นใจเลยอ่ะชาร์ม อีกอย่างพี่พลัฎฐ์ก็เป็นผู้ชายด้วย” ผมพูดเสียงเบาเพราะยังคงลังเล มันมีหลายสาเหตุที่ทำให้ผมไม่กล้าตัดสินใจที่จะไปต่อหรือพอแค่ตรงนี้กับพี่พลัฎฐ์ และเรื่องเพศก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่ผมคิดว่าเราควรต้องใส่ใจ

ซึ่งถึงแม้ในความเป็นจริงแล้วผมคิดว่าผมน่าจะพอคุยกับพ่อกับแม่ได้อยู่ ท่านเปิดกว้างเรื่องพวกนี้และหัวสมัยใหม่พอสมควร แต่กับทางบ้านพี่พลัฎฐ์นี่สิ ไหนจะสังคมของเขาอีก เขาเป็นถึงลูกชายเจ้าของบริษัท มีทั้งคู่ค้าและคนรู้จักมากมาย คนจะรับได้เหรอถ้าพี่พลัฎฐ์มีจะมีคนรักเป็นผู้ชายเหมือนกัน และก็เป็นอีกครั้งที่ชนกันต์สะกิดผมแรงๆ จนผมคิดได้

(ฉันไม่รู้ว่านายกำลังกลัวอะไรอยู่หรอกนะตะวัน ถ้านายกลัวเรื่องคนจะมองไม่ดีเพราะนายเป็นผู้ชายทั้งคู่แต่ดันมาคบกันน่ะนะ เลิกคิดไปได้เลย นายจะไปแคร์คนอื่นทำไม ในเมื่อความสุขของนายมันก็คือของนาย นายเป็นคนเลือกเองได้ จำคำฉันไว้นะตะวัน อย่าไปวางความสุขของตัวเองบนมือคนอื่น อย่าแคร์สายตาคนอื่นมากจนลืมแคร์หัวใจตัวเอง และอีกอย่างคุณพลัฎฐ์เขาก็ออกจะชัดเจนกับนายขนาดนี้ เขาเป็นคนตกหลุมรักนายก่อน สารภาพรักกับนายก่อน นายคิดว่าเขาไม่ได้วางแผนอะไรกับความสัมพันธ์ระหว่างนายกับเขาไว้เลยเหรอ? เขาดูเป็นคนแบบนั้นในสายตานายเหรอ? นี่ขนาดฉันเจอเขาแค่ครั้งเดียว ฉันยังไม่คิดว่าเขาจะเป็นแบบนั้นเลยนะ ส่วนเรื่องคุณลุงคุณป้า ท่านเป็นพ่อกับแม่นาย นายรู้จักนิสัยท่านดีกว่าใคร นายคิดว่าพ่อกับแม่นายจะมีปัญหากับความสุขของนายรึป่าวล่ะ? ในเมื่อที่ผ่านมา นายทุ่มเทให้กับครอบครัวและเจ้าอาทิตย์ขนาดนี้ และพอถึงคราวที่นายจะมีความสุขบ้าง พ่อกับแม่นายเขาจะขวางนายไหม?)

ชนกันต์พูดยาวเหยียดเหมือนคนกำลังหายใจทางผิวหนัง แต่ผมก็อดยอมรับไม่ได้ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูด เป็นความเป็นไปได้ที่ผมเองก็รู้อยู่แก่ใจแต่ก็ยังคิดมากไม่เลิก

(ตะวัน ฉันว่านายน่ะ น่าจะรู้คำตอบทั้งหมดดีอยู่แล้ว ฉันก็ไม่อยากจะไปชี้แนะอะไรมากนักหรอก แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันอยากจะขอให้นายทำคือ ฉันอยากให้นายทบทวนความรู้สึกของตัวเองดีๆ ตรงนี้ต่างหากที่ยากที่สุดและเป็นสิ่งที่นายควรจะต้องกังวล ซึ่งพอหลังจากรู้คำตอบแล้ว ไม่ว่าจะหัวหรือก้อย ไม่ว่านายจะอยากถอยหรือไปต่อ ที่นายต้องทำมีเพียงบอกให้คุณพลัฎฐ์รู้ แค่นั้นเองตะวัน ... ไม่ยากหรอก)

ชนกันต์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ทำเอาผมเผลอกดดันตามไปด้วย

“คือฉัน...”

(ไม่ต้องบอกกับฉันหรอกตะวัน ที่นายต้องบอกก็คือคุณพลัฎฐ์) ชนกันต์ตัดบทตอนที่รู้ว่าผมกำลังจะพูดอะไร (เพราะเอาเข้าจริงถึงนายไม่บอกฉันก็เดาได้ว่านายรู้สึกยังไงกับคุณพ่อลูกติดข้างบ้านนั่น ... เล่นคิดมากจนนอนไม่หลับขนาดนี้ หึหึ)

ชนกันต์เอ่ยเสียงเย้าให้ผมนึกอายเล่น

“ไอ้พี่บ้า ไม่ต้องมาล้อเลย” ผมพูดเขินๆ พาลให้เรียกเสียงหัวเราะมาจากอีกฝ่ายได้ดังลั่น

(ฮ่าๆ .. ไปๆ เลิกไล่บี้ฉันได้แล้ว หาทางออกได้แล้วก็ไปหาคำตอบต่อซะ) น้ำเสียงอ่อนโยนจากอีกฝ่ายทำให้ผมรู้สึกดี ชาร์มกำลังปลอบโยนผม (ฉันแนะนำนะ ให้นายได้คำตอบแน่ๆ แล้วค่อยไปคุยกับคุณเขา โอเคไหม?)

“อ่าว ทำไมล่ะ? ไหนนายบอกว่าพี่พลัฎฐ์จะคิดมาก ถ้าฉันยังทำเป็นนิ่ง ไม่ใช่ว่าฉันควรต้องไปคุยกับพี่เขาเลยเหรอ?”

ผมถามงงๆ คือ.. ที่จริงก็ไม่ได้จะอะไร ผมแค่คิดว่าขนาดผมเป็นคนกระทำเองผมยังนอนไม่หลับ แล้วพี่พลัฎฐ์ที่ถูกผมเดินหนี ป่านนี้ไม่ซึมเศร้าไปแล้วหรอ

(ช่วยไม่ได้นี่ ในเมื่อนายปล่อยให้เขารอไปแล้ว ก็ให้เขารอนายอีกสักนิดจะเป็นอะไรไป เอาให้นายทบทวนหัวใจตัวเองดีๆ ก่อน จะได้ไม่ไปลอบฆ่าคุณพลัฎฐ์เขาซ้ำสอง หึหึ)

ปลายสายหัวเราะขำ ทำเอาผมได้แต่กัดเขี้ยวเคี้ยวฟันเพราะหมั่นไส้ญาติตัวเอง

(อ้อ!.. แต่ถ้ากลัวพี่พลัฎฐ์เขาจะนอนไม่หลับ) ชาร์มทำเสียงล้อเลียนผมตอนที่เรียกพี่พลัฎฐ์

(นายก็ส่งข้อความไปบอกเขาสิ ว่าพรุ่งนี้ขอคุยด้วย แล้วก็ขอโทษเขาไปซะ บอกเขาไปว่านายไม่ได้รังเกียจอะไร เพียงแต่ตกใจเพราะยังไม่ได้ตั้งตัว เลยเดินหนีออกมา)

“จริงสิ.. ฉันบอกพี่พลัฎฐ์แบบนั้นก็ได้นี่” ผมครางอย่างนึกขึ้นได้ “งั้นบอกเลยดีกว่า” พอว่าแล้วผมก็เตรียมจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นพิมพ์ข้อความ ก่อนจะพบว่าตัวเองติดสายอยู่กับลูกพี่ลูกน้องตัวเอง

“เอ่อ.. ชาร์ม ถ้าอย่างนั้นฉันวางก่อนนะ จะไปส่งข้อความหาพี่พลัฎฐ์ก่อนที่เขาจะนอนน่ะ” ผมบอกปลายสายเสียงแห้งๆ ทำเอาคนในสายสวดให้พรผมยกใหญ่

(ตะวัน! นายมันนิสัยไม่ดี ถีบหัวส่งฉัน!!) ชนกันต์ต่อว่าไม่จริงจัง ก่อนที่ทั้งผมและชาร์มจะแยกย้ายกันวางสายไป

“ฮ่าๆ ยังไงก็ขอบใจมากนะชาร์ม ฉันไม่ผิดหวังจริงๆ ที่โทรหานาย” ผมพูดเสียงอ้อนใส่อีกฝ่าย เพราะรู้ดีว่าชาร์มชอบให้ผมทำแบบนี้

(เชอะ! ไม่ต้องมาทำเสียงอ้อนเลย นายมันร้ายกาจ) ผมหัวเราะตอนได้ยินเสียงเง้างอดของอีกฝ่าย แต่มั่นใจได้ว่าอีกไม่เกินอึดใจเดี๋ยวชนกันต์ก็เปลี่ยนเสียง (แต่ก็เอาเถอะ ฉันอวยพรขอให้นายโชคดี มีอะไรคืบหน้าอย่าลืมมาอัพเดทล่ะ)

“อันนี้เป็นห่วงหรืออยากรู้” ผมแกล้งแซว ทั้งที่รู้คำตอบดี

(ก็ทั้งสองอย่างนั่นแหละน่า!) ผมหัวเราะให้กับความเถรตรงของอีกฝ่าย (เอาล่ะ ไปทำตามที่ใจนายสั่งได้แล้ว แล้วก็รีบไปเข้านอนซะ นอนเยอะๆ ตื่นมาจะได้เป็นวันที่ดี คิกคิก)

ชาร์มพูดด้วยน้ำเสียงล้อเลียนให้ผมมุ่ยหน้าทั้งที่อีกฝ่ายไม่เห็น

“แค่นี้นะ ไม่คุยด้วยแล้ว” ผมทำเสียงเง้างอด ก่อนจะยิ้มออกมาบางๆ “ขอบใจนายอีกทีนะชาร์ม ฝันดีนะ”

ผมบอกลาลูกพี่ลูกน้องปลายสาย ในขณะที่ชนกันต์ก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเช่นกัน

(อื้อ! ฉันยินดีมาก เพราะฉันอยากเห็นนายมีความสุข.. ฝันดีเช่นกันนะตะวัน)

สัญญาณจากปลายสายตัดไปแล้ว ผมมองโทรศัพท์มือถือในมือพลางยิ้มกว้าง คิดไม่ผิดจริงๆ ที่โทรหาชาร์มที่รู้ใจผมกว่าใคร

และส่วนที่ยากที่สุดก็มาถึง ยังไงคืนนี้ผมก็ต้องส่งข้อความหาพี่พลัฎฐ์ ไม่งั้นจะไม่ใช่แค่เขาคนเดียวที่นอนไม่หลับ ต้องมีผมด้วยแน่นที่นั่งตาค้างทั้งคืน

ผมคิดอยู่นานว่าจะพิมพ์ยังไงดี เพื่อไม่ให้ข้อความดูเป็นทางการเกินไป และก็ต้องไม่ทำให้อีกฝ่ายคิดมากจนนอนไม่หลับด้วย

และในที่สุดผมก็คิดออกว่าจะส่งข้อความแบบไหนไปหาอีกฝ่าย



‘วันนี้ตะวันต้องขอโทษพี่ด้วยที่ทำตัวไม่น่ารักใส่ .. พรุ่งนี้ไว้เราคุยกันนะครับพี่พลัฎฐ์ ตะวันจะรอ’

.

.

.

- อ่านต่อด้านล่าง -
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 10th - 20/7/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 20-07-2019 19:24:47
- ต่อจากด้านบน -


- Palat's Part -

ผมนอนไม่หลับ รู้สึกเหมือนโดนปฎิเสธยังไงไม่รู้

หลังจากที่บอกความรู้สึกของตัวเองออกไป ก็ดูเหมือนว่าตัวเล็กของผมจะตกใจมากๆ ผมยอมรับว่าไม่ได้คาดหวังปฏิกริยาตอบกลับจากอีกฝ่ายมากไปกว่าเห็นอีกฝ่ายได้รับรู้ความในใจ

แต่ก็ไม่คิดว่าจะถึงขั้นที่น้องไม่พูดอะไรแล้วเดินหนีไปเลยแบบนี้

ยอมรับว่าใจแป้วมากๆ เหมือนผมถูกตะวันปฏิเสธกลายๆ ยังไงไม่รู้

ตอนนี้ผมนั่งคอตกอยู่ในห้องนอนตัวเอง พลางหวนนึกถึงเหตุการณ์ต่างๆ ระหว่างเรา แม้ผมกับตะวันจะรู้จักกันไม่นานเท่าไหร่ แต่ก็นานมากพอที่จะความน่ารักของน้องจะสั่นไหวหัวใจผมได้

ผมไม่รู้ว่าความรู้สึกพวกนี้มันเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือบางทีมันอาจจะเริ่มต้นตั้งแต่เราเจอกันครั้งแรกแล้วก็ได้


... เด็กผู้ชายตัวเล็กนิดเดียว แต่แหงนหน้าเถียงผมอย่างไม่ยอมแพ้ เพียงเพราะจะเอาขนมมันฝรั่งทอดที่เหลืออยู่เป็นห่อสุดท้าย มาให้น้องชายตัวเอง ...


วันนั้นผมได้แต่มองอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู ซึ่งอาจจะมีความประทับใจปะปนอยู่โดยที่ผมไม่รู้ตัวด้วยก็ได้ และยิ่งผมได้รู้จักตะวันมากขึ้นเท่าไหร่ สิ่งที่เหนือความคาดหมายเกี่ยวกับตัวน้องก็ปรากฏขึ้นเรื่อยๆ

ไม่ว่าจะเป็นความน่ารัก ความสดใส หรือแม้กระทั่งความรับผิดชอบเกินวัยที่น้องมีก็ยิ่งทำให้ผมประทับใจ

ด้วยวัยยี่สิบต้นๆ ตะวันมีร้านอาหารเป็นของตัวเอง เลี้ยงน้องชายวัยไม่ถึงสี่ขวบด้วยตัวคนเดียว โดยที่พ่อกับแม่ไปอยู่ต่างประเทศนานๆ ได้โดยไม่กังวล นั่นแสดงให้เห็นว่าการดูแลเด็กชายอาทิตย์ไม่ใช่เรื่องใหญ่และเรื่องใหม่ของตะวัน มันเป็นเรื่องที่เขาทำได้ และทำได้ดีมากเสียด้วย

เมื่อเทียบกับผมแล้ว ผมที่อายุมากกว่า มีประสบการณ์มากกว่า กว่าจะเลี้ยงน้องพีมาได้ขนาดนี้ยังต้องอาศัยความช่วยเหลือจากพ่อกับแม่เลยบางที แต่ตะวันนั้นอายุน้อยกว่าผมตั้งมาก ยังสอนอาทิตย์ให้ดูแลและปกป้องคนอื่นได้ขนาดนี้มันเป็นอะไรที่ไม่ธรรมดา

และแน่นอนว่ามันกลายเป็นความประทับใจที่ผมมีต่ออีกฝ่ายอย่างปฏิเสธไม่ได้

ผมเฝ้ามองตะวันทุกวัน จากที่มองด้วยความประทับใจ สายตาที่ผมใช้มองอีกฝ่ายก็เริ่มเปลี่ยนไป

จากที่เคยมองเพราะตะวันผ่านเข้ามาในกรอบสายตา ก็กลายเป็นเริ่มมองหา และจากมองหา ก็กลายเป็นพยายามทำหรือพาให้อีกฝ่ายเข้ามาอยู่ในกรอบสายตาแทน ผมพยายามมากจนถึงขั้นลงไปทานข้าวกลางวันที่ร้านตะวันทุกวัน พยายามไปหา ไปเจอหน้า เอาน้องพีมาอ้างบ้าง เอาความหิวของตัวเองมาอ้างบ้าง ทั้งที่ตัวผมเองก็งานรัดตัว และไม่ได้มีเวลาว่างมากขนาดนั้น แต่ผมก็พยายามหาโอกาสเข้าใกล้ตะวันอยู่บ่อยๆ

และกว่าจะรู้ตัวอีกที ผมก็ขาดตะวันไม่ได้เสียแล้ว

ผมไม่ใช่เด็กหนุ่มที่จะไม่เข้าใจตัวเอง ผมเคยผ่านการมีแฟนมาแล้วก่อนที่จะรับน้องพีเป็นลูก แน่นอนว่าแฟนคนก่อนหน้านี้ของผมเป็นผู้หญิง แต่กับตะวัน ผมมองไกลไปกว่าเรื่องเพศ เพราะหลังจากที่มีน้องพี ผมก็บอกตัวเองเสมอว่า ถ้าจะมีคนข้างกาย คนๆ นั้นต้องเข้ากับน้องพีได้ คนๆ นั้นต้องพร้อมที่รักจะรักแกเหมือนที่ผมรัก พร้อมจะดูแลแกเหมือนเป็นอีกคนในครอบครัว ไม่สำคัญว่าน้องพีจะเป็นลูกชายแท้ๆ ของผมหรือไม่ใช่

เพราะสำหรับผมแล้วเด็กชายพีรยสถ์คือคนที่สำคัญที่สุดในชีวิต และตั้งแต่วันที่รับน้องพีเข้ามาจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครทำได้ตามเงื่อนไขของผมได้ แม้แต่แฟนคนที่ผมรักมากและคิดว่าจะยอมรับเรื่องของน้องพีได้ เขาก็ปฎิเสธ มันร้ายแรงจนถึงขั้นที่เธอยื่นคำขาดให้ผมเลือกระหว่างเธอกับลูก และแน่นอนว่าผมเลือกลูก นั่นเป็นเพราะผมเคยให้สัญญาว่าจะดูแลน้องพีให้ดีที่สุด ผมสัญญาต่อหน้าร่างไร้วิญญาณของพี่ชายและพี่สะใภ้และผมจะไม่ผิดสัญญาเด็ดขาด

ซึ่งพอมองหานานเข้าผมก็รู้ว่ามันไร้หวัง ไม่มีใครใจกว้างพอที่จะรับเรื่องนี้ได้ ซึ่งผมก็เข้าใจดี คงไม่มีใครที่อยากจะแต่งงานแล้วต้องมาดูแลเด็กน้อยที่เป็นเพียงแค่หลานของคนรักหรอก ไม่ว่าใครก็อยากจะสร้างครอบครัวเล็กๆ ของตัวเองทั้งนั้น ผมเข้าใจและไม่ต่อว่าใครเลย และนานวันเข้าผมก็ได้รู้ว่าถึงจะไม่มีคนรักผมก็ไม่ได้เดือดร้อนใจมากสักเท่าไหร่ เพราะผมมีความสุขเมื่อมีเจ้าลูกชายตัวน้อยๆ อยู่ข้างในทุกๆ วัน แค่นั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับผม

แต่แล้วตะวันก็เข้ามา น้องสร้างความหวังในการสร้างครอบครัวให้ผม ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตะวันต้องเลี้ยงอาทิตย์มาตั้งแต่เด็กๆ เพราะคุณพ่อกับคุณแม่ต้องบินไปต่างประเทศบ่อยๆ ด้วยหรือเปล่า เลยทำให้น้องเข้ากันได้ดีกับลูกชายของผม แน่นอนว่าระหว่างผมกับตะวันเราอาจจะเริ่มต้นกันได้ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ แต่กับน้องพีไม่ใช่แบบนั้น ตะวันดูเหมือนจะเอ็นดูน้องพีทันทีตั้งแต่แรกเห็น และยิ่งพอมารู้จัก มาสนิทสนม มาเป็นเพื่อนบ้านกัน ตะวันก็ยิ่งทำให้ผมเห็นว่าเขารักและเอ็นดูลูกชายของผม ไม่ต่างกับที่เขารักและเอ็นดูน้องชายตัวเองเลย

ตะวันดูแลน้องพีเหมือนน้องชายแท้ๆ ของตัวเอง มันเห็นได้ชัดแม้แต่ในขณะที่ผมไม่ได้อยู่ด้วยก็ตาม เพราะสำหรับตะวันแล้วเด็กน้อยทั้งสองคือผ้าขาว คือความไร้เดียงสา คือคนที่เขารักและเอ็นดู เมื่อน้องพีกลายมาเป็นเพื่อนกับเจ้าหนูอาทิตย์ ก็เลยกลายเป็นเหมือนน้องชายของตะวันไปด้วยอีกคน ไม่ว่าอาทิตย์ได้ทานอะไร ได้ของเล่นแบบไหน น้องพีก็จะได้สิ่งนั้นด้วยโดยไม่มีข้อแม้

หนำซ้ำตะวันยังมีน้ำใจรับอาสาดูแลน้องพีให้ผม ไม่ว่าจะก่อนเข้าเรียน หรือแม้ในตอนนี้ที่เปิดเทอมแล้วตะวันก็มักจะไปรับไปส่งลูกชายของผมให้เสมอเพราะเขารู้ว่าผมงานยุ่ง

ความใจดีที่สม่ำเสมอของตะวันกร่อนหัวใจผมจนบางไปหมด น้องทำให้ผมเห็นความจริงใจ และจากที่เคยคิดว่าไม่จำเป็นต้องมีใครเข้ามาในชีวิตของเราสองคนพ่อลูกก็ได้ ผมก็เปลี่ยนความคิดใหม่ ...


ผมอยากมีตะวันอยู่ในชีวิต และยิ่งพอเวลาผ่านไป จากแค่ที่อยากมีก็กลายเป็นต้องมี ...


ผมเหมือนคนโลภที่ความต้องการมันผันแปรมากขึ้นเรื่อยๆ ผมพยายามทำทุกอย่าง เข้าไปชีวิตน้องอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่พอมีเรื่องของครูประจำชั้นของเด็กๆ เข้ามาเกี่ยว ผมก็รู้สึกถึงความไม่มั่นคงในสถานะของเราสองคน ผมกลัวไปหมด ทั้งที่ไม่ใช่นิสัยของผมเลยสักนิด ผมเป็นคนช่างวางแผน ผมเจ้าเล่ห์อย่างร้ายกาจ และผมมักจะใจเย็นเสมอเพื่อให้ตัวเองได้ครอบครองในสิ่งที่ตัวเองต้องการ

แต่ตะวันทำให้ผมเสียการควบคุม และเริ่มรู้สึกไม่มั่นใจ จนสุดท้ายผมถึงได้เผลอสารภาพรักออกไปแบบนั้น … ซึ่งจนตอนนี้ผมก็ยังไม่เข้าใจตัวเองว่าเพราะอะไรตอนนั้นผมจึงตัดสินใจทำสิ่งนั้นลงไป

อาจจะเป็นเพราะความอบอุ่นที่ได้จากการใกล้ชิดกัน ทำให้ผมหวั่นไหว และหลงลืมทุกสิ่งจนเผลอแสดงความต้องการของตัวเองอย่างตรงไปตรงมาให้ตะวันได้รับรู้


ความต้องการที่อยากจะมีน้องในชีวิต ความต้องการที่อยากจะให้เราเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน


และพอหลุดปากพูดออกไปแล้วผมถึงได้รู้ตัวว่าผมอาจจะจู่โจมน้องมากจนเกินไป นั่นมันไม่น่าแปลกใจเลยที่ตะวันจะตกใจแล้วเดินหนีไปแบบนั้น ... ผมเข้าใจแต่ก็ใช่ว่าผมจะทำใจได้

มันไม่ได้จะเกิดขึ้นบ่อยๆ นี่ กับการที่โลกจะเหวี่ยงใครสักคนมาให้ คนที่เรารู้สึกว่าใช่ และอยากจะมีเขาข้างกาย

สำหรับผม ตะวันคือคนๆ นั้น แต่สำหรับตะวัน ผมแน่ใจว่าผมจะเป็นคนๆ นั้นของน้องหรือเปล่า

ผมนั่งคิดทบทวนหาวิธีการที่อยากจะเข้าไปพูดคุยกับน้องอีกครั้งมาหลายชั่วโมงแล้ว เพราะหลังจากที่ตะวันเดินออกมาจากห้องครัว น้องก็หลบหน้าหลบตาผมไปเลย น้องอ้างว่าจะไปอาบน้ำแล้วก็หายต๋อม กว่าจะกลับออกมาอีกทีก็เกือบเวลาที่ผมต้องพาน้องพีกลับบ้านแล้ว หนำซ้ำพอกลับมาตะวันก็เลี่ยงทำเป็นเดินไปตรงนั้นที ตรงนี้ที ไม่เปิดโอกาสให้ผมได้พูดหรือคุยอะไรที่เป็นส่วนตัวกับน้องอีก

ผมพยายามที่จะสบตาตะวันหลายต่อหลายครั้ง แต่ตะวันก็ไม่มองหน้าผม นั่นทำให้ผมคิดได้ว่า ผมควรจะให้เวลาตะวันมากกว่านี้อีกสักนิด เพราะเท่าที่จู่โจมสารภาพรักไปมันก็น่าจะหนักหนาสำหรับตะวันมากพอสมควรแล้ว

ดังนั้นผมจึงควรให้โอกาสน้องได้พักหายใจคิดทบทวนอะไรต่างๆ ก่อน ซึ่งก็อย่างที่ผมบอกแหละว่าผมเข้าใจ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะไม่ร้อนใจสักหน่อย ซึ่งไอ้อาการนอนไม่หลับนี่แหละที่เป็นคำตอบได้อย่างดี

ผมถอนหายใจ ก่อนจะนึกได้ว่ายังมีเรื่องใหญ่อีกเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม และเรื่องนี้ผมควรจะต้องจัดการก่อนเป็นอันดับต้นๆ เพื่อที่ว่าถ้ามีโอกาสคุยกับตะวันอีกครั้ง ผมจะได้บอกน้องได้ว่าไม่ต้องกังวลเรื่องนี้

เรื่องที่ถ้าเราจะคบกัน เราก็สามารถคบกันได้ไม่มีปัญหา แม้ว่าเราจะเป็นผู้ชายทั้งคู่ก็ตาม

ผมเหลือบมองนาฬิกาที่บอกเวลาว่ากำลังจะล่วงเข้าวันใหม่ ก่อนจะต่อสายถึงบุพการีที่อยู่อีกฟากของโลก

ผมรอสายอยู่ไม่นาน ปลายสายก็กดรับ

(ว่าไงจ๊ะลูกชาย โทรมาหาแม่มีอะไรรึป่าวลูก?) คุณนายลินลดารับสายอย่างอารมณ์ดีให้ผมได้ใจชื้นขึ้นมาบ้าง

เอาเข้าจริงพ่อกับแม่ผมอาจจะพูดไม่ยากเท่าไหร่ แต่ยังไงท่านก็เป็นผู้ใหญ่ และเรื่องแบบนี้ในยุคสมัยท่านใช่ว่าจะเปิดกว้าง ผมอาจจะต้องใช้วิธีค่อยๆ พูดให้ท่านเข้าใจ และผมก็เลือกที่จะโทรหาแม่ เพราะรู้ดีว่าแม่พูดง่ายกว่าพ่อ และที่สำคัญครอบครัวของผมมีแม่เป็นผู้กุมอำนาจสูงสุดของบ้าน ถ้าอะไรที่แม่เห็นว่าโอเค และแม่ไม่มีปัญหา พ่อผู้ซึ่งรักแม่ผมมากกว่าใคร ย่อมขัดใจอะไรแม่ไม่ได้อยู่แล้ว

ผมไม่ได้โกง ... แต่ผมแค่รู้จักเรียนรู้ที่จะอยู่รอดเฉยๆ และอีกอย่าง ผมมันก็แบบนี้ ถ้าลองได้ตั้งใจหรือหมายตาอะไรไว้แล้ว ต่อให้ยากแค่ไหน ผมก็จะเอามาให้ได้ทั้งหมดนั่นแหละ

“ผมคิดถึงแม่ครับ” หยอดคำหวานไปหนึ่งประโยคด้วยน้ำเสียงอ้อนๆ แบบไม่จงใจ .. แม่ผมชอบเสมอเวลาที่ผมเผลออ้อนท่านแบบนี้

(โถ พลัฎฐ์ลูกแม่ แม่ก็คิดถึงลูกนะครับ แต่งานที่นี่ยังไม่เรียบร้อยเลย อีกพักใหญ่นั่นล่ะกว่าแม่กับพ่อจะกลับไปได้) และก็เป็นไปตามคาด มารดาของผมตอบกลับมาเสียงหวาน อารมณ์รักใคร่นี่มาเต็ม ถ้าบินกลับไทยตอนนี้ได้ คงทำไปแล้ว (ว่าแต่ลูกกับน้องพีสบายดีไหม โทรมาหาแม่นี่มีใครเจ็บป่วยอะไรรึป่าว)

แต่จู่ๆ คุณนายลินลดาก็เปลี่ยนเป็นโหมดตื่นตระหนกเฉย ซึ่งผมเองก็ได้แต่ถอนหายใจเบาๆ ใม่อยากจะเชื่อเลยว่ามนุษย์แม่จะมีความสามารถในการเปลี่ยนอารมณ์ได้ไวขนาดนี้

“เปล่าครับแม่ ไม่มีใครเป็นอะไร ผมแค่คิดถึงแม่เฉยๆ”

และแน่นอนว่าอารมณ์คุณนายแม่ของผมก็เปลี่ยนมาเป็นหัวเราะคิกคักอีกครั้ง

(ปากหวานจริงล่ะลูกคนนี้... มีอะไรที่พลัฎฐ์อยากจะบอกแม่รึป่าวลูก) ผมยิ้มบางๆ กับคำถามของแม่

ไม่มีเลยสักครั้งที่ท่านจะไม่รู้ทันผม สมแล้วที่เป็นคุณนายผู้ยิ่งใหญ่แห่งตระกูลวัฒนไพศาลกุล ... ทั้งพ่อ ทั้งผม ทั้งน้องพี ไม่เคยมีใครตบตาแม่ได้สักคน ท่านรู้หมดว่าเรายามปกติและยามไม่ปกตินั้นเป็นยังไง

และแน่นอนว่าตอนนี้ผมอยู่ในประเภท ‘ยามไม่ปกติ’ ตามสายตาของมารดา

“ความจริงก็มีนิดหน่อยครับ”

ผมได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ มาตามสาย ถ้าให้ทาย ผมเดาว่าตอนนี้แม่ของผมต้องกำลังปิดปากหัวเราะจนไหล่สั่นอยู่แน่ๆ แต่ผมก็เลือกที่จะเล่าต่อ เนื่องจากอารมณ์กำลังได้ และไม่อยากให้มีใครมาขัดกลางทาง

“แม่ครับ ผมคิดว่า... ผมกำลังตกหลุมรักใครคนหนึ่งอยู่ครับ”

พอผมพูดจบ ไอ้เสียงหัวเราะคิกคักเบาๆ ก็หายไปทันที คิดว่าตอนนี้แม่คงตกใจจนช็อคไปแล้ว ... ก็แหงล่ะ นี่มันสี่ปีกว่าแล้วนี่ที่ผมไม่มีใคร แม่คงไม่คิดว่าจู่ๆ ผมจะมีคนรักได้หรอก

(เดี๋ยวนะพลัฎฐ์ เมื่อกี้ว่ายังไงนะลูก) กลายเป็นผมที่เป็นฝ่ายหัวเราะบ้าง

“ผมบอกแม่ว่าเหมือนผมกำลังจะตกหลุมรักใครคนหนึ่งอยู่ครับ เพียงแต่ผมยังไม่แน่.. ว่าเขารู้สึกเหมือนที่ผมคิดรึป่าว”

และก็เป็นอีกครั้งที่มารดาของผมดูตกใจหนักกว่าเดิม

(โอ้ เป็นไปได้ด้วยเหรอ พลัฎฐ์ของแม่ออกจะทั้งหล่อ ทั้งรวย ทั้งการศึกษาดีแบบนี้ ทำไมคนนั้นของลูกเขาถึงไม่เหลียวแลลูกล่ะจ๊ะ)

“โถ่ แม่ครับ สมัยนี้มันมีอะไรมากกว่าเรื่องที่แม่บอกนะครับ ผู้ชายไม่หล่อ ไม่รวย แต่หาแฟนได้ง่าย ถมเถไป”

ผมบ่นอุบ เพราะเดี๋ยวนี้มันเป็นอย่างที่ผมว่าจริงๆ ซึ่งแม่ผมก็ขำ ก่อนจะที่คำถามในส่วนที่ยากที่สุดจะมาถึง

(ว่าแต่พูดมาอย่างนี้ แม่ถามได้ไหมว่าใครเป็นคนทำให้ลูกเป็นได้มากขนาดนี้ ใครกันที่ทำให้ลูกชายแม่ตกหลุมรัก นี่ถ้าให้เดา คงชอบทางนั้นมากใช่ไหม ไม่งั้นคงไม่ตัดสินใจโทรมาบอกแม่แบบนี้หรอก)

ผมยิ้มบางๆ สมแล้วที่ผมเป็นลูกท่าน และท่านเป็นแม่ของผม คุณนายลินลดาอ่านผมขาดทุกอย่าง ต่อให้ผมจะเจ้าเล่ห์ขี้วางแผนขนาดไหน ก็ไม่สามารถรอดพ้นสายตาอันเฉียบคมของผู้หญิงคนนี้ไปได้หรอก

“ถูกทุกอย่างครับ ลูกชายคนนี้ไม่มีอะไรจะแย้ง แต่ตอนนี้ผมคงยังบอกแม่ไม่ได้ว่า ‘เขา’ คนนั้นเป็นใคร เพราะน้องยังไม่ตอบรับเป็นแฟนผมเลย” ผมบอกใบ้ และหวังว่ามารดาของผมจะจับสังเกตได้

(เอ้า! ถ้าทางนั้นยังไม่ยอมรับเป็นแฟน แล้วลูกจะมาบอกแม่ก่อนทำไม หื้ม? แต่เอ๊ะ... เดี๋ยวนะ แม่ว่าแม่ได้ยินว่าพลัฎฐ์พูดว่า ‘เขา’)

บิงโก! ในที่สุด!

“ก็นี่แหละครับ ที่ผมจะมาบอกแม่” ผมทำเสียงอ่อน ก่อนจะค่อยๆ เอ่ย “คนที่ผมชอบเป็นผู้ชายครับแม่ ... น้องเป็นผู้ชาย อายุห่างจากผมอยู่ห้าหกปี”

แม่ผมเงียบไปเลย หลังจากได้ยินประโยคที่ผมตอบ ทำเอาผมใจเสียไปกว่าครึ่ง และสุดท้ายท่านก็ทำลายความเงียบ โดยที่ผมเองก็ลุ้นในปฏิกริยาของท่านไม่น้อย

(แม่จะยังไม่มีความเห็นอะไรกับเรื่องนี้ทั้งนั้น)

น้ำเสียงหยอกล้ออารมณ์ดีของมารดาที่ปรากฏก่อนหน้านี้ได้หายไปแล้ว ตอนนี้มีแต่ความจริงจังของท่านเท่านั้นที่ผมจับความรู้สึกได้

(สิ่งเดียวที่แม่อยากรู้จากพลัฎฐ์คือ เด็กคนนั้นที่พลัฎฐ์บอกแม่ว่าตกหลุมรัก เขาเข้ากันได้ดีกับทั้งลูกและน้องพีหรือเปล่า... โดยเฉพาะกับน้องพี เจ้าตัวน้อยของแม่มีท่าทีกับคนๆ นั้นของลูกยังไง พลัฎฐ์ต้องตอบคำถามนี้ของแม่มาก่อน)

“น้องกับน้องพีเข้ากันได้ดีครับ บางครั้งเข้ากันได้ดีมากกว่าผมเสียอีก น้องพีชอบน้องมาก น้องเป็นเด็กข้างบ้านที่เพิ่งย้ายมาใหม่ และน้องก็มีเจ้าอาทิตย์น้องชายของน้องน่ะครับหนีบมาด้วยอีกหนึ่งคน น้องพีกับอาทิตย์สนิทกันมาก ช่วงก่อนเปิดเทอมที่ผ่านมา น้องก็เป็นคนช่วยดูแลน้องพีให้ในช่วงกลางวันที่ผมไปทำงาน... บอกตามตรงนะครับแม่ ว่าส่วนหนึ่งที่ผมตกหลุมรักน้องน่ะ ก็เพราะน้องดีกับผม ดีกับน้องพีมากๆ น้องดูแลน้องพีได้ดีจนบางทีผมก็คิด... ว่าอยากให้เราเป็นครอบครัวเดียวกัน”

ผมตอบมารดายาวเหยียด ในขณะที่ปลายสายก็ยังคงเงียบ ทำเอาผมนั่งแทบก้นไม่ติดเก้าอี้

(โห... จริงจังไปไกลเลยลูกแม่ รอให้เขาตอบรับเป็นแฟนก่อนไหม ค่อยคิดไปนั่น)

ผมหัวเราะกับคำพูดของคนเป็นแม่ และตอนนี้ภูเขาในอกของผมก็เหมือนถูกทลายลง น้ำเสียงแบบเดิมของแม่กลับมาแล้ว

(ฟังนะพลัฎฐ์ ความสุขของลูกน่ะ แม่ไม่ห้ามหรอก ถ้ารักกันชอบกันและเขายอมรับเจ้าน้องพีได้ และน้องพีก็ยอมรับเขาได้ แม่ก็ไม่มีปัญหาอะไรเลย ... ทุกอย่างแม่ยกให้เป็นการตัดสินใจของลูก ชีวิตลูกๆ เลือกเองได้ ลูกรู้ใช่ไหม)

“ครับ” ผมตอบรับแม่ด้วยรอยยิ้มกว้าง

(แต่ที่แม่ถามว่าเขาเข้ากันได้กับน้องพีรึป่าว นั่นเป็นเพราะว่าชีวิตครึ่งหนึ่งของลูกจะมีน้องพีผูกติดไปตลอด แม่เลยไม่อยากให้ลูกกับคนรัก มีปัญหาเรื่องนี้กันภายหลัง) แม่ผมอธิบาย ซึ่งผมก็เห็นด้วยในเรื่องนี้

“ครับแม่ ผมเข้าใจ”

(เข้าใจก็ดีแล้ว ยังไงลูกก็ไปจัดการพูดคุยตกลงกันให้เรียบร้อย หวังว่าแม่กลับไปไทยเที่ยวนี้ คงได้รู้จักกับ ‘น้อง’ ที่ลูกว่านี่นะ) แม่เย้าขำๆ (เฮ้อ อยากจะเห็นหน้าจริงๆ ว่าน้องเป็นคนยังไงที่ทำให้ลูกชายแม่อาการหนักได้ขนาดนี้ ... น้องอย่างนั้น น้องอย่างนี้ โอ้โห เซอร์ไพร์สมากๆ ไม่คิดมาก่อนเลยว่าลูกชายแม่จะมีมุมแบบนี้ด้วย)

ผมได้แต่ยิ้ม เพราะผมพอจะรู้ตัวเลยล่ะว่าตัวเองเป็นอย่างที่แม่ว่าจริงๆ

(ไปจัดการคุยกับน้องซะนะ แล้วอย่าปล่อยให้หลุดมือล่ะ ชอบเค้าซะขนาดนี้แล้ว)

“ครับ ผมไม่มีทางปล่อยให้น้องหลุดมือไปแน่ๆ” ผมรับปากแม่เป็นมั่นเป็นเหมาะแล้วใจตัวเองก็คิดไว้แบบนั้นด้วย

(ว่าแต่น้องที่ลูกว่าเนี่ยชื่ออะไรหื้ม? บอกแม่ได้ไหม?) ผมนึกถึงหน้าตาน่ารักและสดใสของน้อง ก่อนจะยิ้มออกมา

นี่ผมยิ้มไปกี่ครั้งแล้วนะ ตั้งแต่คุยกับแม่มาเนี่ย เฮ้อ...

"ตะวันครับ น้องชื่อตะวัน" ผมตอบแม่ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เพราะเพียงแค่ผมนึกถึงน้อง น้ำเสียงผมก็อ่อนลงโดยที่ผมก็แทบจะไม่รู้ตัว "เอาไว้ถ้าผมขอน้องเป็นแฟนได้เรียบร้อยแล้ว ผมจะมาเล่าเรื่องทั้งหมดให้แม่ฟังอีกทีนะครับ"

(จ้าๆ แม่รอได้จ้า) ผมขำกับน้ำเสียงเย้าแหย่ของแม่ ก่อนจะเอ่ยขอบางอย่างกับแม่ บางอย่างที่ผมตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก ถึงได้เลือกโทรหามารดา

"แม่ครับ.. ผมรบกวนแม่ช่วยคุยเรื่องนี้กับพ่อให้ด้วยนะครับ .."

ผมได้ยินเสียงหัวเราะเหอะๆ มาจากปลายสาย ให้ตาย... ผมเดาออกเลยว่าตอนนี้แม่กำลังทำหน้ายังไง

(แม่ว่าแล้ว! ว่าทำไมลูกเลือกที่จะโทรมาหาแม่.. ร้ายนักนะพลัฎฐ์) ผมหัวเราะเบาๆ ก่อนจะยอมรับคำกล่าวหาหน้าตาเฉย

"โถ่.. คิดว่าเห็นแก่ความรักของผมแล้วกันนะครับแม่"

(จ้าๆ พ่อคนเจ้าเล่ห์ แก้ไม่หายจริงๆ นะนิสัยแบบนี้น่ะ)

แม่ผมต่อว่าไม่จริงจัง ซึ่งผมเองก็น้อมรับ เพราะมันจริงเสียยิ่งกว่าจริงที่ผมเป็นคนแบบนั้นจริงๆ ... ผมมันช่างวางแผนการอยู่แล้วนี่

(แม่ต้องไปทำงานแล้วลูก ไว้ค่อยคุยกันนะพลัฎฐ์ .. ส่วนเรื่องพ่อไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวแม่จัดการให้ ลูกน่ะคิดแต่เรื่องตัวเองก็พอ หวังว่าคราวหน้าที่คุยกันแม่คงได้ฟังข่าวดีนะ)

"ครับ ขอบคุณนะครับแม่ ... ผมรักแม่นะครับ"

ผมบอกรักแม่ด้วยรอยยิ้ม ซึ่งผมก็แน่ใจว่าแม่เองคงตอบรับคำบอกรักของผมด้วยรอยยิ้มเช่นกัน

(แม่ก็รักลูกจ้าพลัฎฐ์ ฝากบอกน้องพีด้วยนะลูกว่าแม่คิดถึง)

"ได้ครับแม่ ผมก็ฝากสวัสดีพ่อด้วยเหมือนกันนะครับ"

เราบอกลากันอีกนิดหน่อย ก่อนที่แม่จะวางสายไป ผมมองหน้าจอที่ดับมืดของโทรศัพท์ที่เพิ่งคุยกับแม่จบไปด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่รอยยิ้มของผมจะกว้างเป็นคนบ้ายิ่งกว่าเดิม เมื่อเห็นการแจ้งเตือนการมีข้อความเข้าของแอพพลิเคชั่นสีเขียวยอดฮิต


Tawan: วันนี้ตะวันต้องขอโทษพี่ด้วยที่ทำตัวไม่น่ารักใส่ .. พรุ่งนี้ไว้เราคุยกันนะครับพี่พลัฎฐ์ ตะวันจะรอ


ดูเหมือนว่าคืนนี้ผมจะได้หลับฝันดีแล้วล่ะ... อยากให้ถึงพรุ่งนี้เร็วๆ เหลือเกิน

.

.

.

To Be Continue

------------------------------------------

Talk: รอตอนหน้านะคะ ^^

ฝากติดแท็ก #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว ในทวิตเตอร์ด้วยเน้อออ และก็ขอบคุณมากๆ สำหรับทุกคอมเม้นท์และทุกๆ กำลังใจนะคะ หวังว่าจะอยู่ด้วยกันไปเรื่อยๆ เนาะ... รัก❤
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 10th - 20/07/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 21-07-2019 00:56:57
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 11th - 23/7/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 23-07-2019 18:30:21
:: Chapter 11th - การตัดสินใจ ::


พลัฎฐ์นั่งรอตะวันที่ร้านอาหารด้วยใจจดจ่อ...

ตะวันนัดให้เขามาหาช่วงสายๆ ถ้าหากเขาว่าง แต่พลัฎฐ์ร้อนใจเกินกว่าจะรอให้ถึงเวลานั้นได้ ดังนั้น พอหลังจากส่งน้องพีกับอาทิตย์ที่โรงเรียนเสร็จ คนใจร้อนก็ไม่ได้กลับขึ้นออฟฟิศ เพราะรู้ดีว่าขึ้นไปยังไงก็ไม่มีสมาธิทำงานแน่ เขาจึงตรงดิ่งมานั่งรอตะวันที่ร้านอาหารเลย

และเนื่องจากช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่พนักงานออฟฟิศในละแวกนี้กำลังทยอยมาทำงาน ทำให้ร้านอาหารของตะวันจะคึกคักในระหว่างนี้เป็นพิเศษทุกวัน พลัฎฐ์จึงนั่งจิบกาแฟรอด้วยท่าทีสงบนิ่ง ทั้งที่ใจนี่ตุ๊มๆ ต่อมๆ อย่างกับกลองเพล

แต่จะว่าไปการมานั่งรอตะวันก่อนเวลานี่ก็มีข้อดีไม่น้อย เพราะตอนนี้ภาพของคนตัวบางที่กำลังง่วนกับลูกค้า และอาหารที่ต้องทำเสิร์ฟนั้นน่ามองไม่น้อยเลย

ไม่ว่าจะเป็นขาเรียวที่ก้าวย่างอย่างทะมัดทะแมงคล่องแคล่ว

แก้มกลมๆ ที่ขึ้นสีแดงเล็กน้อยน่าจะเพราะจากการออกแรงมากกว่าปกติ ทำให้เลือดสูบฉีดดีเป็นพิเศษ

ใบหน้าสวยหวานที่ยิ้มแย้มให้กับลูกค้าทุกคนที่เข้ามาใช้บริการ

... ซึ่งอย่างหลังเนี่ย พลัฎฐ์รู้สึกมันคันยิบๆ ในหัวใจนิดหน่อย

ก็ว่าได้ที่ไหน รอยยิ้มแบบนั้นมันน่าหวงไว้มองคนเดียวจะตาย ทั้งอ่อนหวานทั้งจริงใจ ใครจะไปอยากให้คนอื่นได้เห็นกัน

แต่ก็ได้แค่หวงอีกฝ่ายอยู่ในใจ พลัฎฐ์ทำอะไรได้ไม่มากนัก ถ้าหากตะวันยังไม่เลื่อนสถานะจากคนข้างบ้านให้


ดังนั้นการมาพูดคุยกันวันนี้ระหว่างเขากับตะวัน จึงเป็นอะไรที่ชายหนุ่มตัวโตจะทั้งกังวลและตื่นเต้นเป็นพิเศษ


พลัฎฐ์ยอมรับว่าเดาการตัดสินใจของตะวันไม่ออก เพราะหลายครั้งน้องอาจจะมีท่าทีเขินอายเวลาถูกเขาจีบ แต่เหตุการณ์ที่ตะวันเดินหนีเขาเมื่อวานนั้นก็บั่นทอนกำลังใจเกินกว่าที่เขาจะมองข้ามได้ แม้ตอนหลังตะวันจะส่งข้อความมาบอกว่าไม่ได้รังเกียจเขาก็เถอะ แต่การที่ไม่รังเกียจก็ไม่ได้หมายความว่าตะวันจะรับรักเขาเช่นกัน

แล้วก็ใช่ว่าจะมีแต่พลัฎฐ์ที่แอบมองตะวันทุกย่างก้าวเท่านั้น เพราะคนที่ถูกแอบมองก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน ดวงตากลมสีน้ำตาลเข้มเองก็เหลือบมองคนตัวโตกว่าที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะริมกระจกเป็นระยะๆ จนบางครั้งเผลอรับออเดอร์ลูกค้าผิดถูกก็มี ซึ่งตะวันเองก็ภาวนาขอให้คนซาลงไวๆ เพราะถ้าขืนปล่อยไว้นานกว่านี้อีกสักสองชั่วโมง มีหวังเขาได้ทำร้านขาดทุนแน่ๆ สู้คุยกับพลัฎฐ์ให้จบๆ ไปเป็นเรื่องๆ ก่อนดีกว่า เพราะเขาก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายคิดมากไปเองเหมือนกัน

พอลูกค้าเริ่มบางตาลงก็ดูเหมือนว่าเวลาที่ทั้งสองฝ่ายรอคอยมาถึงแล้ว ตะวันยอมรับว่าเขาประหม่าอยู่มาก แต่ยังไงเสียก็ควรคุยกับพลัฎฐ์ให้เรียบร้อยอย่างที่ชนกันต์แนะนำมา

คนตัวเล็กกว่าจึงตัดสินใจเดินไปที่โต๊ะริมหน้าต่างที่พลัฎฐ์นั่งรอเขาอยู่ แล้วเชื้อเชิญ

"ชะ.. เชิญพี่พลัฎฐ์ที่ห้องทำงานดีกว่าครับ จะได้คุยกันสะดวกๆ"

พลัฎฐ์ยิ้มรับก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง "ครับ ตัวเล็ก"

"พี่มีนาครับ ยังไงตะวันฝากหน้าร้านด้วยนะครับ"

"ได้ค่ะคุณตะวัน ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ เดี๋ยวพี่ดูแลให้"

ตะวันหันไปสั่งงานเด็กในร้านเล็กน้อย ก่อนจะออกเดินนำพลัฎฐ์ไปยังห้องทำงานและห้องพักส่วนตัวที่ตะวันเคยพาเด็กๆ มาอยู่ก่อนช่วงเปิดเทอม ซึ่งพลัฎฐ์เองก็รู้จักห้องนี้ดีเพราะเข้านอกออกในบ่อย ช่วงที่ต้องมารับมาส่งลูกชาย

และเหตุผลที่ตะวันเลือกที่จะเข้ามานั่งคุยในห้องนี้เพราะคิดว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะส่วนตัว ไม่ควรไปนั่งคุยเรื่องรักๆ ใคร่ๆ หน้าร้าน เพราะมันไม่เหมาะสมเท่าไหร่ อีกอย่างตะวันเกรงใจพนักงานในร้านด้วย จะพูดคุยอะไรก็รู้สึกไม่สะดวกใจ ดังนั้น ทางที่ดีเขากับพลัฎฐ์ควรจะหาที่นั่งคุยให้เป็นส่วนตัว และมีแต่พวกเขากันเองน่าจะเหมาะสมกว่า ซึ่งพลัฎฐ์เองก็เห็นดีเห็นงาม ไม่ขัดข้องอะไร

ใบหน้าน่ารักดูตื่นๆ เล็กน้อย แถมดูเหมือนแก้มยุ้ยๆ ของตะวันจะดูขึ้นสีแดงมากกว่าเมื่อกี้เสียอีก ในขณะที่คนนั่งรอคำตอบอย่างพลัฎฐ์ นอกจากจะส่งยิ้มบางๆ ให้ตะวันแล้ว เขายังพยายามตีหน้าให้ดูสงบที่สุด ทั้งที่ในใจเต้นรัวแรงจนแทบจะทะลุออกมานอกอก

"อะ.. เอ่อ คือ พี่พลัฎฐ์รอนานไหมครับ" เจ้าของข้อความเมื่อคืนเป็นคนถามขึ้นก่อน เมื่อเข้ามาในห้องทำงานหลังร้านเรียบร้อยแล้ว ซึ่งฟังจากแค่น้ำเสียงที่ฟังดูก็รู้ว่าเจ้าตัวประหม่าแค่ไหน

"ไม่นานครับตัวเล็ก .. ที่จริงให้พี่รอนานกว่านี้ก็ยังได้ รอไหวครับ"

คนตัวเล็กกว่าเม้มปาก ก้มหน้าซ่อนแก้มแดงๆ ทันที เพราะเขาเข้าใจในสิ่งที่พลัฎฐ์ต้องการจะสื่อ


ไม่ได้หมายถึงแค่นั่งรอจะคุยกับเขา แต่หมายถึงการรอให้เขารับรักด้วย...


ร้ายนักล่ะ คุณพ่อลูกติดข้างบ้านเนี่ย

"คะ ครับ" ตะวันอึกอัก ด้วยเพราะไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหน พลัฎฐ์จึงเป็นฝ่ายเริ่มแทน

"ตะวันครับ" น้ำเสียงทุ้มนุ่มถูกเปล่งออกมาเป็นชื่อของอีกฝ่าย ชื่อที่พลัฎฐ์ไม่ได้เรียกมาพักใหญ่แล้ว หลังจากที่เริ่มเรียกเขาว่าตัวเล็กมาตลอด "ตะวันฟังพี่นะ... ตะวันไม่ต้องเครียดนะครับ พี่ไม่ได้จะเร่งรัด พี่ไม่ได้จะกดดัน พี่เพียงแค่อยากบอกความรู้สึกของตัวเองให้ตะวันรู้เฉยๆ ถ้าตะวันไม่พร้อม พี่ก็เข้าใจ อย่างที่พี่บอกตะวันก่อนหน้านี้นั่นแหละ .. พี่รอได้"

"คือว่า.. ตะวันรู้ครับว่าพี่รู้สึกยังไงกับตะวัน" พลัฎฐ์เบิกตาขึ้นนิดๆ ราวกับแปลกในใจสิ่งที่คนตัวเล็กกว่าบอกไม่น้อย "ที่จริง ตอนแรกตะวันก็ไม่ค่อยแน่ใจหรอกครับ แต่เอ่อ.. คือ แบบว่าพี่พลัฎฐ์ชอบ.. เอ่อ"

ท่าทางอึกอักของคนแก้มแดงดูน่าเอ็นดูไม่น้อย ทำเอาคนที่นั่งมองอดยิ้มออกมาบางๆ ไม่ได้

"ชอบทำท่าเหมือนจีบตะวันใช่ไหมครับ"

แก้มที่ว่าแดงอยู่แล้วของตะวันก็ยิ่งแดงขึ้นอีก เมื่อเจอพลัฎฐ์พูดตรงๆ

"นะ นั่นแหละครับ คือ..ที่ตะวันจะบอกก็คือตะวันพอจะรู้ตัวอยู่บ้าง แต่ตะวันก็ไม่อยากจะเข้าข้างตัวเองเท่าไหร่ ตะวันออกจะเป็นคนจืดๆ ไม่มีอะไรโดดเด่นด้วยซ้ำ มองแล้วพี่พลัฎฐ์ไม่น่าจะมาชอบได้"

พลัฎฐ์ยิ้มก่อนจะแก้ความเข้าใจผิดในตัวเองให้ตะวันฟังอย่างอ่อนโยน

"ใครบอกว่าตะวันของพี่ไม่โดดเด่น ไม่น่าสนใจกัน" คนพูดยิ้มบาง ยามนึกถึงภาพอิริยาบถต่างๆ ที่ผ่านมาของตะวัน "ตะวันทั้งน่ารัก ทั้งสดใส ทั้งมีชีวิตชีวา ตะวันไม่รู้หรอกว่าพลังงานของตะวัน สร้างแรงบันดาลใจให้คนอื่นได้มากไหน โดยเฉพาะคนอื่นอย่างพี่"

คนยิ้มสวยค่อยๆ แย้มยิ้มออกมาเขินๆ เมื่อถูกชม

"พี่น่ะ มองตะวันตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ ประทับใจเลยก็ว่าได้"

คนตัวเล็กกว่าขมวดคิ้วมุ่นพลางถามออกมาอย่างสงสัย "แต่ตอนที่เราเจอกันครั้งแรก เราทะเลาะกันไม่ใช่เหรอครับ"

"ฮ่าๆ ใช่ครับ แต่ที่พี่ประทับใจนั่นก็เพราะ ตะวันตัวนิดเดียวเองพอมายืนเทียบกับพี่ แต่ตะวันยังเลือกที่จะมายืนแหงนหน้าตรงข้ามพี่ แถมยังเถียงฉอดๆ เพื่อแย่งขนมคืนให้อาทิตย์"

ตะวันเม้มปากอีกครั้ง พอย้อนคิดกลับไปถึงวันนั้น ก็คิดได้ว่าทำอะไรน่าอายลงไปจริงๆ

"ในฐานะของคนเป็นพ่อที่มีลูกที่ต้องดูแล พี่ยอมรับว่าพี่ประทับใจตะวันในวันนั้นมากๆ แล้วพอได้มีโอกาสมาเจอมารู้จักกันอีกครั้ง พี่ก็ยิ่งรู้สึกดีจนมักจะแอบเอาสายตาไปวางไว้ที่ตะวันเรื่อยๆ แล้วตอนหลังมันอีท่าไหนก็ไม่รู้ จากที่พักสายตาเฉยๆ ก็กลายเป็นหยุดมองไม่ได้จนถึงทุกวันนี้”

คนถูกแอบมองโดยไม่รู้ตัวแก้มแดงก่ำ เม้มปากแน่นเพราะพูดอะไรไม่ออก เขารู้สึกว่าคำพูดของพลัฎฐ์ไม่ได้มีตรงไหนที่ดูจะพยายามจีบ หรือหยอดคำหวานออดอ้อนเลย แต่ทุกประโยคที่อีกฝ่ายกล่าวออกมานั้นกลับสั่นไหวหัวใจดวงน้อยๆ ของเขาได้มากกว่าที่คิด

“ทีนี้ตะวันรู้แล้วใช่ไหม ว่าพี่ชอบตะวันตรงไหน?”

คนตัวเล็กที่กำลังนั่งเขินอยู่ตรงข้ามพลัฎฐ์ค่อยๆ พยักหน้ารับ อีกฝ่ายก้มหน้างุดดูทำตัวไม่ถูกสุดๆ ทั้งมือไม้ที่ไม่รู้จะเอาไปวางตรงไหน จนสุดท้ายพลัฎฐ์จึงเอื้อมมือไปกุมมือของอีกฝ่ายไว้แผ่วเบา

“ตัวเล็กครับ.. ฟังพี่นะ” ดวงตากลมโตค่อยๆ ช้อนมองพลัฎฐ์ช้าๆ ให้คนถูกมองใจเต้นแรงกับท่าทางน่ารักนั้นจนเจ็บอก แต่ก็ต้องพยายามทำนิ่ง เพราะไม่อยากหลุดมาดคนคูล “พี่ไม่ได้จะเร่งรัดอะไรตัวเล็กเลย ตัวเล็กจะเก็บเรื่องพี่ไปคิด หรือไปพิจารณาก่อนก็ได้ พี่เข้าใจ แล้วพี่ก็พร้อมจะรอเสมอ แต่ที่เลือกมาบอกก่อนเพราะพี่อยากให้ตัวเล็กได้รับรู้มันเอาไว้ จะว่าพี่ขี้โกง โมเมใช้ความสนิทสนมจองตัวตัวเล็กไว้ก่อนก็ได้ พี่ไม่ถือ”

เจ้าของใบหน้าหล่อเหลากระตุกยิ้มมุมปากบางๆ ทำเอาคนถูกจองตัวต้องก้มหน้างุดลงไปอีกรอบ

ยิ่งมอง พลัฎฐ์ยิ่งอยากคว้าตัวอีกฝ่ายมากอดให้จมอก คนอะไรทำไมน่ารักได้ขนาดนี้ก็ไม่รู้

“เอ่อ.. ที่จริงวันนี้ที่ตะวันนัดพี่ออกมาเพราะตะวันอยากจะขอโทษน่ะครับ” เสียงหวานอ้อมแอ้มสารภาพ ทำเอาคนตัวโตกว่าเลิกคิ้วด้วยความสงสัย

“ขอโทษพี่เรื่องอะไรครับ หื้ม?”

“ขอโทษที่เมื่อวานตะวันเสียมารยาท จู่ๆ ก็เดินหนีพี่ออกมา โดยที่ไม่ได้ตอบอะไรพี่สักคำ”

คนรู้สึกผิดมองหน้าพลัฎฐ์ตาละห้อย ทำเอาคนถูกมองถึงกับใจอ่อนยวบ ที่จริงตอนแรกพลัฎฐ์เองก็ยอมรับว่าเขารู้สึกเป๋ๆ ไปเหมือนกันที่เมื่อวานตะวันเดินหนีไปเลยแบบนั้น แน่นอนว่าพลัฎฐ์ไม่ได้ถือโทษโกรธอะไร เพียงแต่เขารู้สึกใจเสียมากกว่า กลัวอีกฝ่ายจะปฏิเสธ กลัวสิ่งที่ตัวเองคาดหวังไว้ไม่เป็นจริง

แต่พอมาวันนี้ ตะวันมาบอกเขาซึ่งหน้าว่ารู้สึกผิดกับการกระทำของตัวเองเมื่อวาน นอกจากจะทำให้พลัฎฐ์รู้สึกดีขึ้นมากๆ แล้วยังทำให้ใจของเขาพองฟูคับอกอีกต่างหาก

ก็ไม่ใช่เพราะตะวันแคร์หรอกเหรอ ตะวันถึงได้มาขอโทษ

ไม่ใช่เพราะตะวันจะกลัวเขารู้สึกแย่หรอกเหรอ ตะวันถึงได้มาสารภาพผิดกับสิ่งที่ทำไป

ยิ่งคิดพลัฎฐ์ยิ่งอยากจะยิ้มออกมาเสียกว้างๆ ให้ได้ กับสิ่งที่อีกฝ่ายแสดงออกให้เขารับรู้วันนี้ ... แบบนี้ไม่ตอบตกลงว่าคบกับเขาก็เหมือนตอบแล้วนั่นแหละ

“ไม่เป็นไรครับตัวเล็ก พี่เองก็ไม่ดี จู่ๆ ก็พุ่งเข้าใส่ตัวเล็กแบบนั้น เป็นใครๆ ก็ต้องตกใจ ตัวเล็กจะเดินหนีไปแบบนั้นก็ไม่แปลกหรอก”

พลัฎฐ์ตอบ พร้อมกับจ้องมองตะวันนิ่งด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหมาย และตอนนี้ก็เหลือแค่พลัฎฐ์ต้องอดทนรอคำตอบจากตะวันก็แค่นั้น ... ซึ่งเขารอได้ ขอแค่มีสัญญาณจากตะวันแม้แต่พียงเล็กน้อย เขาก็ยินดีรอ

แต่ดูเหมือนว่าพลัฎฐ์จะไม่ต้องรอนานขนาดนั้น

“ที่จริง เอ่อ..” ตะวันอึกอัก แถมดูเหมือนแก้มสองข้างจะแดงปลั่งยิ่งกว่าเดิม ก่อนที่อีกฝ่ายจะยอมสารภาพ “ที่จริง เมื่อคืนตะวันก็ลองโทรไปปรึกษาชาร์มมาแล้ว ... พี่พลัฎฐ์จำชาร์มได้ใช่ไหมครับ?”

ท้ายประโยคคนตัวเล็กหันไปถามคนตัวโตกว่าที่กำลังนั่งฟังอย่างตั้งใจ

ซึ่งพลัฎฐ์เองก็พยักหน้ารับ อีกทั้งยังสงสัยในใจน้อยๆ ว่าตะวันโทรไปคุยเรื่องอะไรกับลูกพี่ลูกน้องช่างทำผมคนนั้น

“นั่นแหละครับ ตะวันโทรไปปรึกษาเรื่องพี่ แล้วเอ่อ..”

“แล้ว?” พลัฎฐ์แกล้วถามยิ้มๆ อีกใจก็แปลกใจ แต่อีกใจก็อดเอ็นดูไม่ได้ เพราะตอนนี้ดูเหมือนว่าตะวันจะสารภาพสิ้นทุกสิ่งอย่าง สารภาพแม้กระทั่งว่าเอาเรื่องของเขาไปปรึกษากับลูกพี่ลูกน้องตัวเอง ซึ่งเรื่องนี้เป็นอะไรที่ค่อนข้างเหนือความคาดหมายของพลัฎฐ์พอสมควร

... น่ารักทะลุโลกไปแล้วภานรินทร์

“แล้วชาร์มก็บอกให้ตะวันไปคิดทบทวนความรู้สึกที่ตะวันมีต่อพี่ดีๆ ซึ่ง... ตะวันก็เก็บเอาไปคิดทั้งคืนจนคิดว่าตัวเองได้คำตอบแล้ว”

ตะวันตอบพลางก้มหน้างุด คนตัวเล็กกว่าอาจจะดูประหม่า แต่ท่าทางชัดเจนของตะวันนั้นทำเอาพลัฎฐ์ใจเต้นแรงขึ้นมาทันที เขายอมรับว่าเขาโคตรจะคาดหวัง ไม่ได้คิดไว้เลยว่าวันนี้ตะวันจะมีคำตอบให้ เพราะดูจากการเดินหนีของตะวันเมื่อวาน วันนี้พลัฎฐ์จึงไม่ได้คาดหวังอะไรมากมายจากอีกฝ่าย แต่พอผลออกมาเป็นแบบนี้....

คนที่กำลังรอลุ้นคำตอบ ยกมือใหญ่ขึ้นลูบหน้าตัวเองแรงๆ มาดนิ่งเฉยและท่าทางคูลๆ ถูกคำพูดเพียงไม่กี่ประโยคของตะวันทำลายจนหมดสิ้น ตอนนี้ก็เหลือแต่เสือสิ้นลายที่หมอบกระแตอยู่ตรงหน้าเจ้าลูกแมวตัวจ้อยเท่านั้นแหละ

เห็นแววพ่อบ้านใจกล้ามาแต่ไกลเลยแฮะ

พลัฎฐ์เริ่มนั่งเขย่าขณะที่รอฟังสิ่งที่ตะวันจะพูด เขารู้สึกว่าตัวเองหลุดการควบคุมโดยสิ้นเชิง เพราะไอ้พฤติกรรมเขย่าขาเนี่ย เขาเลิกเป็นไปนานแล้ว ตั้งแต่สมัยขึ้นเรียนมหาวิทยาลัย ไม่คิดว่าจู่ๆ วันนี้จะกลับมาเป็นอีกรอบ นี่ถ้าเขาไม่ตื่นเต้นมากจริงๆ ไอ้อาการที่ห่างหายไปนานแล้วคงไม่กลับมาแบบนี้หรอก

แต่ต่อให้พลัฎฐ์จะตื่นเต้นแค่ไหน เขาก็ไม่มีวันยอมถอยเป็นแน่ ในเวลานี้มีแต่ต้องดับเครื่องชนเท่านั้น ถึงจะเหมาะสมกับสถานการณ์

ดังนั้น คนตัวโตกว่าจึงตัดสินใจถามออกไปเสียงนุ่ม เพื่อไม่เป็นการดูกดดันอีกฝ่ายมากเกินไปนัก

“แล้วตกลงตัวเล็กได้คำตอบว่ายังไงครับ” มุมปากหยักยังคงมีรอยยิ้มประดับ พร้อมทั้งรอคอยคำตอบของอีกฝ่ายอย่างใจเย็น

“ตะวัน.. คือตะวัน..” ในขณะที่คนตัวเล็กกว่าแก้มแดงก่ำจนลามไปทั้งคอ ไม่ต้องตอบพลัฎฐ์ก็พอจะเดาออกว่าคำตอบคืออะไร แต่เขาไม่ต้องการแค่นั้น เขาต้องการได้ยินสิ่งที่ตะวันบอกด้วยหูทั้งสองข้างของตัวเองมากกว่า

“...” คนตัวโตกว่ายังคงยิ้ม และรอคอยคำตอบอย่างสงบ


“ตะวันคิดว่า ตะวันเองก็น่าจะ... ชอบพี่พลัฎฐ์ครับ”


เสียงหวานอ้อมแอ้มตอบ แถมยังก้มหน้างุดไม่สบตาคนตรงข้ามอีกต่างหาก

ในขณะที่ตอนนี้พลัฎฐ์รู้สึกเหมือนหัวใจตัวเองกำลังจะระเบิด ... ตะวันรับรักเขาแล้ว!!

พลัฎฐ์ลุกขึ้นยืนแล้วเดินอ้อมไปยังอีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะ ตรงเก้าอี้ที่ตะวันนั่งอยู่ ก่อนที่เขาจะหมุนเก้าอี้ของตะวันให้หันออกมา เพื่อเผชิญหน้ากับเขาที่ยืนคร่อม พร้อมกับเท้าแขนทั้งสองข้างของตัวเองลงบนที่วางแขนของเก้าอี้ที่ตะวันนั่งอยู่ ซึ่งตะวันเองก็ยังคงกุ้มหน้างุด ท่าทางเลิ่กลั่กของอีกฝ่ายทำเอาพลัฎฐ์ต้องลอบอมยิ้มด้วยความเอ็นดู

“ตัวเล็กครับ ขอพี่มองหน้าหน่อย” คนที่ถูกรับรักส่งเสียงอ้อน พลัฎฐ์อีกเวอร์ชั่นกำลังออกอาละวาด

“...” ตะวันส่ายศีรษะกลมๆ ดิก เขาปฏิเสธโดยที่ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมองพลัฎฐ์สักนิด

“นะครับเด็กดี ขอพี่มองหน้าคนที่พี่เพิ่งรับ ‘รัก’ พี่ชัดๆ หน่อยได้ไหมครับ?”

ทีนี้คนตัวโตไม่พูดเปล่า แต่กลับโน้มใบหน้าหล่อเหลาของตัวเองลงไปใกล้คนที่กำลังก้มหน้า แถมยังพูดเสียงทุ้มเสียจนชิดใบหูนิ่มของอีกฝ่ายอย่างเจ้าเล่ห์

“ฮื่ออ ไม่เอาครับ อย่าแกล้ง...”

ตะวันยังคงก้มหน้างุด ดูท่าว่าตอนนี้จะไม่ได้แดงแค่ที่แก้มแล้วแน่ๆ เพราะใบหูนิ่มของอีกฝ่ายที่อยู่ในกรอบของสายตาของพลัฎฐ์ก็แดงไม่แพ้กันจนน่ามันเขี้ยว

“ตัวเล็กครับ... หนูครับ...” พลัฎฐ์แกล้งปัดริมฝีปากผ่านใบหูเล็กของตะวันแผ่วเบา ทำเอาคนขี้เขินเงยหน้า ตากลมเบิกโพลง มองคนที่กำลังยืนคร่อมตัวเองอยู่ด้วยความตกใจเมื่อได้ยินสรรพนามที่อีกฝ่ายใช้เรียกตน

ตัวเล็กนี่ก็ว่าเขินแล้ว เจอ ‘หนู’ เข้าไป บอกตามตรงว่าตะวันแทบอยากจะเอาหน้ามุดดิน อายจนไม่รู้จะวางหน้าวางตัว วางมือวางไม้ยังไงแล้ววว!

“ยอมมองพี่แล้วเหรอครับเด็กดี” คนแก้มแดงก่ำเสหลบไม่ยอมมองสบดวงตาคมกริบของพลัฎฐ์ตรงๆ ก่อนจะอ้อมแอ้มพูดเบาๆ

“พี่พลัฎฐ์แกล้งตะวัน...” คนถูกกล่าวหาว่ารังแกคนอื่นถึงกับหลุดขำ เขายังงงๆ อยู่นิดๆ ว่าไปแกล้งอะไรอีกฝ่ายตอนไหน ถ้าพูดว่าเขาทำให้เขิน ยังน่าจะเห็นภาพชัดกว่าอีก

“พี่ไม่ได้แกล้งตัวเล็กสักหน่อย พี่แค่อยากให้ตัวเล็กเงยหน้าขึ้นมาให้พี่มองหน่อย พี่อยากมองหน้า ‘ว่าที่แฟน’ ให้ชัดๆ แค่นั้นเอง” คนตัวโตพูดเสียงนุ่ม แถมยังก้มลงไปจนใบหน้าหล่อเหลาแทบจะชิดกับใบหน้าน่ารักของอีกฝ่าย

“ฮื่ออ..” ตะวันยกมือขึ้นดันอกหนาของพลัฎฐ์ เมื่อรู้สึกว่าคนตัวโตกว่าเบียดร่างกายและใบหน้าเข้ามาใกล้มากกว่าเดิม “ใครเป็นแฟนพี่ไม่ทราบครับ? ขี้ตู่อ่ะคนเรา”

เสียงหวานแกล้งว่า ทำเอาพลัฎฐ์หลุดขำกับคนที่เขินเสียจนแดงไปทั้งตัว แต่ก็ไม่วายที่จะขอให้ได้เถียง

“ไม่รู้สิครับว่าใครเป็นแฟนพี่ หนูพอจะรู้ไหม หื้ม?” พลัฎฐ์พูดเสียงเย้า พลางใช้จมูกโด่งแกล้งปัดป่ายผ่านแก้มยุ้ยๆ ของตะวันอย่างเจ้าเล่ห์ ทำเอาคนถูกแกล้งย่นคอจนแทบติด เมื่อถูกจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัว

“ไม่เอา ไม่ให้เรียกหนู” คนถูกกักไว้ในอ้อมแขนต่อว่าเสียงเง้างอด และมือเล็กยังคังดันอกพลัฎฐ์ไว้อย่างต่อเนื่อง แม้จะดูเหมือนว่าแรงของตะวันจะไม่ได้มีผลให้พลัฎฐ์สะดุ้งสะเทือนได้สักนิดก็ตาม “ถอยออกหน่อยครับ ใกล้ไปแล้ว”

“ไม่ถอยครับ เพราะเด็กดื้อต้องโดนทำโทษ” พลัฎฐ์ตอบยิ้มๆ แต่ไม่ยอมให้ความร่วมมือกับตะวันสักนิด

“ดื้อตรงไหน ตะวันยังไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย” แต่ตะวันก็ยังคงเป็นตะวัน เพราะถึงแม้ตัวเองจะเขินจนตัวแทบจะระเบิดแค่ไหน แต่ถ้าให้ยอมแพ้กับพลัฎฐ์ง่ายๆ ก็คงจะผิดคอนเซ็ปต์ ดังนั้น ตอนนี้คนเล็กกว่าเลยทำใจกล้า เงยหน้าขึ้นสบดวงตาคม แถมยังพูดเถียงพลัฎฐ์อีกตะหาก

“หนูเถียง แถมหนูยังปฏิเสธหน้าตายอีกว่าไม่ใช่แฟนพี่” พลัฎฐ์แกล้งย้ำ พร้อมกับสรรพนามใหม่ที่เขาคิดให้เสร็จสรรพ เพราะเรียกแล้วคล่องปากแถมยังเหมาะกับใบหน้าน่ารักๆ ของตะวันแบบยากที่ใครจะปฏิเสธ

“ตะวันยังไม่บอกสักหน่อยเถอะว่าจะยอมเป็นแฟนพี่พลัฎฐ์ พี่พลัฎฐ์ขี้ตู่ไปเอง”

คนถูกเรียกว่าหนูยังคงตั้งป้อมเถียง แถมยังลอยหน้าลอยตาท้าทายแกล้งยั่วอีกฝ่ายอีกต่างหาก เพราะถ้าว่ากันตรงๆ แล้วก็ถือว่าตะวันพูดถูก ตะวันเพียงแค่บอกกับพลัฎฐ์ว่าเขารู้สึกตรงกันกับพลัฎฐ์เท่านั้นแต่ยังไม่ได้บอกสักหน่อยว่าจะยอมเป็นแฟน ดังนั้นคำว่าแฟนเนี่ย มีแต่พลัฎฐ์เท่านั้นแหละที่โมเมไปเอง

แต่เหมือนตะวันจะประมาทคนเจ้าเล่ห์อย่างพลัฎฐ์มากไปสักหน่อย เพราะในขณะที่ตะวันลอยหน้าลอยตาตอบอีกฝ่าย พลัฎฐ์ก็อาศัยช่วงเวลานี้ก้มลงจุ๊บเบาๆ บนจมูกโด่งเล็กที่ปลายเชิดขึ้นเล็กน้อยของตะวัน โดยที่คนตัวเล็กกว่าไม่ทันได้ตั้งตัว


จุ๊บ~


“เฮ้ย!” คนถูกจูบร้องเสียงหลง แก้มที่แดงอยู่แล้วกลับแดงกว่าเดิม และพอตัวหลักได้ ตะวันก็ก้มหน้างุดลงตามเดิม ด้วยความกลัวว่าจะถูกจุ๊บอีก ทำพลัฎฐ์อดขำออกมาเบาๆ ไม่ได้

“คนเก่งหายไปไหนแล้วนะ... เมื่อกี้เห็นเถียงพี่ฉอดๆ” พลัฎฐ์แกล้งเย้า ในขณะที่ตะวันพูดอู้อี้ต่อว่าต่อขานกลับมาทั้งที่ก้มหน้าอยู่อย่างน่าเอ็นดู

“ไม่คุยกับพี่พลัฎฐ์แล้ว พี่พลัฎฐ์ขี้โกง” พูดไม่พูดเปล่า มือเล็กๆ ที่ยันอยู่บนอกของพลัฎฐ์ ยังทุบลงไปที่อกหนาเบาๆ ด้วยอีกต่างหาก

“ฮ่าๆ โอเคครับโอเค พี่ผิดเอง พี่รังแกตัวเล็ก... แต่ตัวเล็กเงยหน้ามาคุยกับพี่ดีๆ ก่อนได้ไหมครับ” เมื่อเห็นตะวันยังนิ่ง พลัฎฐ์จึงใช้ไม้ตาย “หรือตัวเล็กไม่อยากเห็นหน้าพี่แล้ว หื้ม?”

และคำพูดของพลัฎฐ์ก็ดูเหมือนจะได้ผล เพราะตะวันเงยหน้าขึ้นทันที แถมยังได้สบกับตาคมของอีกฝ่ายที่มองมาอยู่ก่อนหน้าแล้วด้วย


ตึก ตึก ตึก


หัวใจดวงน้อยของตะวันเต้นรัวเร็วจนเจ็บอก ซึ่งพลัฎฐ์เองก็ไม่ได้ต่างจากอีกฝ่ายเลยสักนิด...

“เปล่านะครับ ตะวันไม่ได้ไม่อยากมองสักหน่อย... ตะวันแค่เขินเฉยๆ” เสียงหวานอ้อมแอ้มสารภาพ โดยที่ดวงตากลมยังไม่ละออกไปจากใบหน้าหล่เหลาเลยสักนิด

“งั้น... เรามาคุยเรื่องของเรากันหน่อยดีไหมครับตัวเล็ก” พลัฎฐ์ตัดสินใจถามจริงจัง เพราะคิดว่าการที่ตะวันยอมรับว่าชอบเขานั้นก็น่าจะเป็นใบเบิกทางชั้นดีที่จะให้พลัฎฐ์ก้าวสู่ขั้นต่อไปของความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งคู่

ตะวันพยักหน้ารับทั้งที่ยังเขิน

“ตัวเล็กรังเกียจพี่ไหมครับ ที่พี่ไม่ใช่คนตัวเปล่า พี่มีน้องพีเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ต้องดูแล เพราะถึงแม้ว่าเราสองคนจะใจตรงกัน แต่พี่ก็ไม่แน่ใจว่า...”

และยังไม่ทันที่พลัฎฐ์จะได้พูดจนจบประโยค ตะวันก็ยกมือข้างที่ยันอกของพลัฎฐ์อยู่ก่อนหน้า ขึ้นมาอีกปิดฝากของอีกฝ่ายเอาไว้อย่างแผ่วเบา

“ถ้าพี่ถามตะวันแบบนี้ ตะวันจะถือว่าพี่พลัฎฐ์ดูถูกตะวันนะครับ” คนตัวเล็กกว่ามุ่ยหน้า รู้สึกขัดใจเล็กๆ ที่พลัฎฐ์ถามคำถามนี้ออกมา และท่าทางของอีกฝ่ายทำเอาพลัฎฐ์ต้องแอบอมยิ้มทั้งที่ถูกมือเล็กของตะวันปิดปากอยู่นั่นแหละ “ตะวันไม่เคยคิดรังเกียจสักนิด ตะวันรักน้องพีเหมือนที่ตะวันรักอาทิตย์ น้องพีเป็นเด็กน่ารัก ว่าง่าย ใครอยู่ใกล้ก็ต้องหลงรัก หลงเอ็นดูกันทั้งนั้น และตะวันเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น”

เสียงหวานพูดอย่างหนักแน่นชัดเจน ดวงตากลมโตแสดงออกอย่างเปิดเผยว่าเขาจริงใจมากแค่ไหนกับถ้อยคำและสิ่งที่สื่อสารออกมาเหล่านั้น ทำเอาพลัฎฐ์ต้องจับมือข้อมือของตะวันออกจากการปิดปากตัวเอง และก้มลงรั้งคนที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ขึ้นมากอด

“ขอบคุณนะครับที่เอ็นดูลูกชายพี่ ขอบคุณที่รักและไม่รังเกียจเราสองคนพ่อลูก” พลัฎฐ์กระซิบชิดริมใบหูนิ่ม ถือโอกาสโมเมว่าตะวันรับได้และพร้อมจะตกลงรับเขาเป็นแฟน

“พี่พลัฎฐ์ปล่อยเลย ทำมาหลอกกอด.. ตะวันรู้นะ” คนตัวเล็กว่าเสียงแผ่ว จะดุเต็มปากก็ไม่กล้า เพราะอดยอมรับไม่ได้ว่ารู้สึกดีกับอ้อมกอดอุ่นๆ นี้ไม่น้อย

“ฮ่าๆ ตัวเล็กรู้ทันพี่” พลัฎฐ์ขำ แต่ก็ยังไม่ปล่อยให้ตะวันหลุดจากอ้อมแขนของตัวเอง

“ตะวันรู้ใช่ไหมครับว่าสำหรับพี่น้องพีสำคัญที่สุดมาโดยตลอด และพี่ก็คิดไว้เสมอว่าถ้าพี่จะมีใครสักคนในชีวิต พี่ก็อยากให้คนๆ นั้นรักน้องพีเหมือนที่พี่รัก อยากให้คนๆ นั้นเข้ากับลูกชายพี่ได้ และอยากให้คนๆ นั้นเป็นอีกคนที่สำคัญในชีวิตของพี่ไม่แพ้กับน้องพี ซึ่งที่ผ่านมาตะวันก็ทำให้พี่เห็น ทำให้พี่หลงรัก และรู้ซึ้งในตอนนี้ว่าพี่ได้เจอคนๆ แล้วซึ่งก็คือตะวัน... แล้วตะวันล่ะครับ ตะวันจะยอมให้พี่เป็นคนสำคัญในชีวิตของตะวันบ้างได้ไหม?”

“... พี่พลัฎฐ์” ตะวันครางเรียกอีกฝ่ายแผ่วเบา คนในอ้อมกอดหยุดคิดไม่ถึงนาทีด้วยซ้ำ สุดท้ายตะวันก็ตัดสินใจ ยกแขนเรียวของตัวเองขึ้นกอดตอบอีกฝ่าย

และอ้อมกอดของตะวันก็ทำเอาพลัฎฐ์ยิ้มกว้างออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

“ขอบคุณนะครับเด็กดี... พี่ถือว่าอ้อมกอดของตะวันคือคำตอบนะ”

“ครับ...” ตะวันตอบรับ แต่ก็ยังไม่วายกังวลนิดๆ “แต่ตะวันไม่แน่ใจว่าครอบครัวของพี่พลัฎฐ์จะ...”

ตะวันยังพูดไม่ทันจบ พลัฎฐ์ก็ดันตัวของตะวันออกจากอ้อมกอด พร้อมกับสบเข้าไปในดวงตากลมโตนิ่ง ก่อนจะพูดสวนออกมา โชคดีที่เมื่อคืนพลัฎฐ์คุยกับแม่ที่อยู่ไกลถึงอีกฟากของทวีปเรียบร้อยแล้ว วันนี้เขาถึงสามารถยืนยันเรื่องนี้ให้อีกฝ่ายสบายใจได้

“ไม่ต้องห่วงครับ พี่คุยกับแม่พี่เรียบร้อยแล้ว ท่านไม่ได้ว่าอะไร แถมยังอยากเจอตัวเล็กมากอีกต่าหาก” ตะวันตาเบิกโต “แม่พี่อยากเห็นคนที่ปราบพี่จนอยู่หมัดน่ะ ก่อนพี่มาจะมาเจอตะวัน พี่ไม่คิดอยากจะมีใคร คิดแค่ว่าอยากจะดูแลน้องพีจนแกโตพอที่จะดูแลตัวเองต่อได้ พี่คิดแค่นั้น... แต่พอมาเจอตะวัน ความตั้งใจพวกนั้นก็พังทลายไปหมด ตะวันทำให้พี่เปลี่ยนความคิดและมุมมองว่ามันน่าจะดีกว่าถ้าเราได้มีใครอีกคน มาคอยดูแลซึ่งกันและกัน เพราะพอน้องพีไปมีชีวิตของตัวเอง พี่ก็จะได้มีใครคอยเคียงข้างอยู่ด้วยกันไปจนแก่จนเฒ่า ซึ่งใครคนนั้นของพี่ก็คือตะวันนะ”

ตะวันหน้าแดง ใจเต้นแรงจนแทบจะทะลุออกมานอกอก เขานึกขอบคุณพลัฎฐ์ในใจที่ยอมปล่อยเขาออกจากอ้อมกอดก่อนที่จะพูดอะไรหวานๆ แบบนี้ ไม่งั้นเขาคงอายมากแน่ ถ้าอีกฝ่ายจะได้ยินเสียงหัวใจที่มันกำลังฟ้องว่าเจ้าของๆ มันรู้สึกกับสิ่งที่พลัฎฐ์พูดมากเสียจนไปไม่เป็นขนาดนี้

“แต่ตะวันยังไม่ได้คุยกับพ่อกับแม่เลย ขอเวลาตะวันหน่อยนะครับพี่พลัฎฐ์” เพราะตะวันเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ เขาเองก็ไม่เคยคบใครเป็นจริงเป็นจัง แม้จะมีคนเข้ามาจีบเรื่อยๆ แต่ตะวันก็ไม่ได้สนใจ ต่างจากพลัฎฐ์ที่เป็นเหมือนน้ำซึมบ่อทราย อีกฝ่ายค่อยๆ แทรกตัวเข้ามาในชีวิตตะวันทีละนิดผ่านน้องชายอย่างอาทิตย์ จนตะวันเผลอเปิดใจให้โดยไม่รู้ตัว

ถ้าพลัฎฐ์บอกตะวันว่าเขาตกหลุมรักตะวันเพราะมีกามเทพตัวน้อยอย่างน้องพีเป็นสื่อกลาง สำหรับตะวันก็คงไม่ต่าง เพราะถ้าไม่มีอาทิตย์ เขาก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้รู้จักและได้ใกล้ชิดกับพลัฎฐ์แบบนี้หรือเปล่า

ดังนั้น พอตะวันคิดจะมีคนรักเป็นจริงเป็นจังเป็นคนแรก แล้วยิ่งเป็นคนรักที่เป็นเพศเดียวกันอีก เขาก็ยิ่งต้องตั้งสติรวบรวมความกล้าที่จะบอกพ่อแม่อย่างตรงไปตรงมาให้มากขึ้น ตะวันมั่นใจว่าพวกท่านน่าจะเข้าใจ แต่ลึกๆ ก็อดไม่ได้ที่จะกังวล

- อ่านต่อด้านล่าง -
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 11th - 23/7/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 23-07-2019 18:35:43
- ต่อจากด้านบน -


“ตะวันอยากพร้อมกว่านี้อีกนิด เพื่อที่จะคุยกับพ่อกับแม่ได้ตรงๆ พี่พลัฎฐ์เข้าใจตะวันใช่ไหมครับ” พลัฎฐ์ยื่นหน้ามาจูบเบาๆ ที่หน้าผากมนของคนตัวเล็กกว่า ทำเอาตะวันร้อนวูบวาบไปทั่วหน้า แต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่ามันทั้งอบอุ่นใจ และทั้งรู้สึกดี

“พี่เข้าใจครับ พี่รอได้ ตัวเล็กไม่ต้องกังวลนะ” ตะวันเองก็ยิ้มรับคำพูดของอีกฝ่าย ก่อนจะเอื้อมมือเล็กไปวางแนบแก้มสากของพลัฎฐ์เบาๆ

“ขอบคุณนะครับที่เข้าใจ ว่าแต่ตอนนี้เราสองคน..” คนตัวเล็กกว่าแก้มแดง คำพูดอึกๆ อักๆ และดูเลิ่กลั่กเล็กน้อยทำให้พลัฎฐ์นึกเอ็นดู เลยตัดสินใจพูดขอในสิ่งที่ตะวันกำลังไม่แน่ใจ เพื่อที่จะทำให้มันเข้ารูปเข้ารอย ชัดเจน และจริงจังเสียที


“เป็นแฟนกับพี่นะครับตะวัน... ให้พี่ได้ดูแลตะวันกับอาทิตย์ เหมือนที่ตะวันดูแลพี่กับน้องพีนะครับ”


คำพูดที่หนักแน่น น้ำเสียงที่มั่นคงและอบอุ่น สายตาที่เต็มไปด้วยความรักและความจริงใจ ทำให้ตะวันเลือกที่จะตอบรับไม่ยาก

“ครับ เรามาดูแลซึ่งกันและกันนะครับพี่พลัฎฐ์” พลัฎฐ์ยิ้มก่อนที่จะเอียงหน้าซบกับมือตะวันอย่างออดอ้อน ทำเอาคนตัวเล็กกว่าเขินไปหมดกับท่าทางของพลัฎฐ์ที่ตะวันไม่เคยได้เห็นมาก่อน

แต่แล้วในขณะที่คนที่เพิ่งตกลงคบกันกำลังมองหน้ากันและกันอยู่ดีๆ พลัฎฐ์ก็ดันตัวเข้าไปใกล้กับตะวันที่นั่งแหงนหน้าขึ้นมาสบตาเขาอยู่ที่เก้าอี้ ... ร่นระยะให้คนทั้งคู่ เข้าใกล้กันมากกว่าที่เคย


“ตัวเล็กครับ... พี่จูบได้ไหมครับ?”


พลัฎฐ์กระซิบเอ่ยขอตะวันเสียงพร่า ในดวงตาคมกริบเต็มไปด้วยความต้องการที่ตะวันมองเห็นมันอย่างชัดเจน ในขณะที่คนถูกขอก็แก้มแดงลามไปยันคอ ริมฝีปากบางเล็กอ้าค้างนิดๆ ดวงตากลมกระพริบปริบๆ ราวกับกำลังตกใจกับคำขอตรงๆ ของอีกฝ่าย

และหลังจากหายตกใจตก ตะวันก็หลุบตามองพื้นอย่างเขินอาย ก่อนจะพยักหน้าอนุญาตให้พลัฎฐ์ได้ทำตามที่ขอ เพราะลึกๆ แล้วในใจ ตะวันก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเขาเองก็อยากถูกคนตรงหน้าสัมผัสด้วยริมฝีปากหยักลึกคู่นั้นไม่ต่างกัน

ตะวันเองก็อยากรับรู้ถึงความรู้สึกยามถูกคนที่เรารักจูบเหมือนกันว่ามันเป็นยังไง ความรู้สึกพิเศษที่เคยได้ยินในละคร หรือที่เคยได้อ่านผ่านตาในนิยาย มันจะพิเศษขนาดไหน... ตะวันอยากรู้มากจริงๆ

พลัฎฐ์ยิ้มกว้างไปถึงตา เขาค่อยๆ โน้มใบหน้าลงมาใกล้ใบหน้าของตะวันที่กำลังแหงนเงยรออยู่อย่างเต็มอกเต็มใจ ริมฝีปากเล็กสีแดงสดที่พลัฎฐ์คอยลอบมองอยู่หลายอาทิตย์ถูกลดระยะให้ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนกระทั่งริมฝีปากของเขาสัมผัสมันในที่สุด

พลัฎฐ์ค่อยๆ ละเลียดบดริมฝีปากของตัวเองลงบนริมฝีปากของตะวันอย่างเชื่องช้าค่อยเป็นค่อยไป ในขณะที่ตะวันเองก็หลับตาพริ้ม ตัวสั่นน้อยๆ เพราะรู้สึกตื่นเต้นกับสัมผัสที่ตัวเองไม่เคยได้รู้จักและคุ้นชิน จนทำให้พลัฎฐ์ตัองรั้งร่างเล็กเข้ามาในอ้อมกอด แล้วกระชับวงแขนรัดร่างของอีกฝ่ายให้แน่นขึ้น

คนเชี่ยวชาญในการจูบขยับริมฝีปากที่ทาบทับลงบนอวัยวะเดียวกันกับของตะวันอย่างเร่งเร้า สลับอ่อนโยนจนตะวันคล้อยตามและเริ่มเรียนรู้ที่จะขยับจูบตอบ ซึ่งถึงแม้จะเงอะงะหรือแปลกๆ ไปบ้าง ตามประสาคนไม่เคยได้ไม่จูบใคร แต่ในความไร้เดียงสาและโอนอ่อนนี้กลับทำให้พลัฎฐ์แทบคลั่ง เลยเผลอฝังริมฝีปากไปลงบนกลีบปากบางของอีกฝ่ายอย่างแนบแน่นมากขึ้น

พลัฎฐ์ดูดดึงริมฝีปากล่างของตะวันอย่างหยอกล้อ ก่อนจะค่อยๆ ผละออกเพื่อมองใบหน้าหวานที่ตอนนี้แดงไปทั้งหน้า ดวงตากลมโตปรือปรอย นัยน์ตาวาววับไปด้วยน้ำใสที่คลอออกมาน้อยๆ เพราะแรงอารมณ์ พร้อมกับอาการหอบน้อยๆ จากการหายใจไม่ทันของอีกฝ่ายยิ่งทำให้อารมณ์ของพลัฎฐ์กระเจิดกระเจิงยิ่งกว่าเดิม

และไม่ทันที่ตะวันจะได้ห้ามปรามอะไร พลัฎฐ์ก็พุ่งเข้าประกบริมฝีปากของตัวเองลงบนริมฝีปากของตะวันอีกครั้ง ค่อยๆ ขบเม้ม ดูดดึง ละเลียดชิมความหอมหวานที่เขาได้รับรู้จากปลายลิ้น ในขณะที่จมูกโด่งก็สูดดมกลิ่นแก้มยุ้ยๆ ของตะวันเข้าเต็มปอด ก่อนที่พลัฎฐ์จะทำใจกล้าไล้ลิ้นไปตามร่องริมฝีปากของตะวันราวกับกำลังร้องขอ... ร้องขอที่จะสัมผัสอีกฝ่ายให้ลึกซึ้งกว่าเดิม

และตะวันก็มึนเมากับรสสัมผัสของพลัฎฐ์เกินกว่าจะมีสติในการคิดหรือตรึกตรองใดๆ ตอนนี้การควบคุมตัวเองของตะวันแทบจะติดลบ ทุกอย่างถูกพลัฎฐ์ใช้อารมณ์ชักพาและตะวันก็พร้อมจะคล้อยตามไปเสียทุกสิ่ง

... จูบของพลัฎฐ์ทำให้ตะวันตัวลอย

และกว่าจะรู้ตัวตะวันก็เผยอริมฝีปากออกให้พลัฎฐ์ได้แทรกลิ้นร้อนเข้ามาอย่างเอาแต่ใจ

ตะวันเหลือกตาที่หลับพริ้มขึ้นเมื่อสัมผัสได้ถึงการรุกรานจากอีกฝ่าย เขายอมรับกว่าตกใจในคราวแรก แต่แล้วความเชี่ยวชาญของพลัฎฐ์ก็ทำให้สมองของคนตัวเล็กกว่าพร่าเบลออีกครั้ง เรียวลิ้นร้อนของพลัฎฐ์กวาดต้อนไปทั่วโพรงปากของตะวันอย่างย่ามใจ หัวใจของพลัฎฐ์พองโตคับอกเมื่อสิ่งที่เขาจินตนาการถึงมานานนับเดือนเกิดขึ้นจริง


ตะวันหวาน.. หวานเหมือนที่เขาคิดไว้ไม่มีผิด หรือเผลอๆ อาจจะหวานกว่าที่เขาคิดไว้ด้วยซ้ำ


พลัฎฐ์กำลังควบคุมตัวเองไม่ได้ เขากวาดลิ้นไปทั่ว ไล้เลียไปตามสบฟันและพยายามที่จะเข้าเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นเล็กของตะวันที่ยังไม่รู้ประสา และคนตัวเล็กกว่าก็ทำให้พลัฎฐ์คลั่งอีกครั้ง เมื่อตะวันทำใจกล้าสอดลิ้นเข้ามาแตะปลายลิ้นของพลัฎฐ์ในโพรงปากอย่างกล้าๆ กลัวๆ ... ความไร้เดียงสาแต่ก็อยากรู้อยากลองของตะวันกำลังจะทำให้พลัฎฐ์กลายร่างเป็นเสือ

เขาอยากจะขย้ำร่างเล็กกว่าให้จมเข้าไปในอ้อมแขน ยิ่งตะวันน่ารักและดูอ่อนต่อโลกมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งรู้สึกถึงความหวงแหนที่มีต่ออีกฝ่ายมากขึ้นเท่านั้น พลัฎฐ์จึงทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของอีกฝ่าย โดยการส่งลิ้นตัวเองเข้าไปเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นเล็กอย่างเอาแต่ใจ

เสียงหอบหายใจ แรงบีบของมือเล็กที่ต้นแขนพลัฎฐ์ เสียงดูดดึงของริมฝีปาก และเรียวลิ้นที่เกี่ยวกระหวัดกันของคนทั้งคู่ ทำให้โลกทั้งใบเหมือนถูกลืมเลือน จนกระทั่งลมหายใจของตะวันเริ่มขาดห้วง มือเรียวบีบประท้วงเบาๆ ทำให้พลัฎฐ์ต้องผละออกจากริมฝีปากบางด้วยความจำใจ

“แฮ่ก...”

พลัฎฐ์ผละออกมามองตะวันเต็มตา และยิ่งทำให้รู้สึกว่านั่นเป็นสิ่งที่พลาดหมันต์ เพราะตะวันที่พลัฎฐ์เห็นตอนนี้ เป็นตะวันที่น่ารังแก น่าจูบซ้ำๆ ให้ริมฝีปากบวมเจ่อ และน่ากอดเอาไว้ให้เป็นของเขาแค่คนเดียว

แต่พลัฎฐ์ก็ต้องห้ามใจ พยายามไม่ทำอะไรที่อาจจะทำให้ตะวันตื่นกลัวหรือรู้สึกแย่กับจูบครั้งแรกของเขาทั้งสองคน ตะวันที่พยายามกอบโกยอาหาศเข้าปอด ยังคงหอบหายใจจนอกบางกระเพื่อม ใบหน้าที่เคยสวยหวาน เวลานี้กลับแดงก่ำแต่ก็ดูเซ็กซี่ไม่น้อย และน้ำใสที่ติดอยู่ตรงมุมปากที่บวมเจ่อเล็กน้อยทำให้พลัฎฐ์ต้องก้มลงไปจูบซับทำความสะอาดให้ เล่นเอาคนตัวเล็กกว่าแอบสะดุ้ง และนั่นทำให้คนขี้แกล้งอดขำออกมาเบาๆ ไม่ได้

ตะวันช้อนสายตามองพลัฎฐ์ด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย ทั้งเขินที่ถูกจูบจนหายใจไม่ทัน ทั้งงอนที่อีกฝ่ายเอาแต่ตักตวงความหอมหวานจนเขาตั้งตัวไม่ติด แต่ความรู้สึกที่เห็นชัดที่สุดในดวงตากลมโตที่กำลังปรือปรอยเพราะแรงอารมณ์คู่นั้นก็คือความรัก ทำเอาพลัฎฐ์อดยื่นหน้าไปจูบเบาๆ ที่หางตาของอีกฝ่ายไม่ได้

“ขอโทษนะครับที่รังแก” พลัฎฐ์ผละออกแต่ก็ไม่ได้ออกมาไกล เขายังคงกระซิบคำขอโทษเบาๆ ชิดริมฝีปากบาง มือใหญ่วางทับไปบนมืออีกฝ่ายพร้อมกับลูบไล้ราวกับกำลังง้องอน


“พี่รักหนูนะครับ”


และคำบอกรักของพลัฎฐ์ทำเอาตะวันทำหน้าไม่ถูก ต้องซบหน้าลงไปบนบ่ากว้างของพลัฎฐ์อย่างเขินอายแทน ทำเอาคนตัวโตกว่านึกเอ็นดู เลยต้องยื่นมือไปลูบศีรษะกลมเบาๆ ก่อนที่ตะวันจะทำพลัฎฐ์เสียอาการไม่ต่างกันด้วยการพูดในสิ่งที่พลัฎฐ์ไม่คิดมาก่อนว่าจะได้ยินที่ริมฝีปากน่าจูบคู่นั่น


“ตะวันก็รักพี่พลัฎฐ์ครับ”


พลัฎฐ์พรูลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ทำเอาตะวันต้องละใบหน้าออกมาจากไหล่กว้างของอีกฝ่าย เพราะไม่แน่ใจว่าตัวเองพูดอะไรผิดหรือเปล่า และคำพูดของพลัฎฐ์ก็ทำเอาตะวันทุบลงไปบนอกของคนตรงหน้าอย่างหมั่นไส้

“เฮ้อ... น่ารักอะไรขนาดนี้ล่ะครับตัวเล็ก” ใบหน้าหล่อเหลาแสดงความเจ้าเล่ห์ ก่อนจะเอ่ยขอตะวันอย่างออดอ้อน “ให้พี่จูบอีกทีนะครับ...นะ”

ตะวันหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะแสร้งส่ายหน้าและพยายามลุกหนีอีกฝ่ายที่ตอนนี้กำลังโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้โดยไม่รอฟังคำอนุญาตด้วยซ้ำ

ตะวันเบี่ยงหน้าหนีไปมาพร้อมกับหัวเราะลั่นในขณะที่พลัฎฐ์เองก็ไม่ยอมแพ้ ทำท่าพยายามจะไล่ตามจูบตะวัน จนห้องทำงานเล็กๆ ของตะวันเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของคนทั้งคู่

เสียงหัวเราะที่สดใส เสียงหัวเราะของคนที่กำลังมีความรัก....

.

.

.

To Be Continue

--------------------------------------------

เป็นแฟนกันแย้วจ้าแม่! อยากจะแหมใส่นังพี่พาลัดด!!

ฝากติดแท็ก #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว ในทวิตเตอร์ด้วยนะคะ แล้วก็ขอบคุณมากๆ สำหรับทุกคอมเม้นท์ ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกันไม่ไปไหน ขอบคุณมากๆ เลยค่ะ... แล้วเจอกันตอนหน้าน้าาา

รักทุกคนมากๆ จ้า ❤
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 11th - 23/07/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 24-07-2019 02:48:15
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 11th - 23/07/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 24-07-2019 04:23:56
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 12th - 26/7/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 26-07-2019 21:07:33
:: Chapter 12th - น้องชายคนที่สอง ::


“พี่ตะวันคับบบ ทางนี้ๆ” เสียงของเด็กชายพีรยสถ์เรียกพี่ชายของเพื่อนดังลั่นสนามเด็กเล่น วันนี้เขามารับเด็กๆ พร้อมกับพลัฎฐ์ ซึ่งตอนนี้หน้ามุ่ยเดินดุ่มๆ ไปอุ้มยกน้องพีจนตัวลอย ให้เจ้าหนูน้อยได้หัวเราะคิกคักอย่างชอบใจ

“คิกๆๆๆๆ ปะป๊า อย่าแกล้ง คิกๆๆ ปะป๊า”

เจ้าหนูประท้วงให้คนเป็นพ่อหยุดแต่ก็ไม่ได้มีวี่แววว่าพลัฎฐ์จะยอมรามือแต่ประการใด ตรงกันข้าม เพราะตอนนี้คนตัวโตเป็นยักษ์อย่างพลัฎฐ์กำลังอุ้มลูกชายยกขึ้นสูง เพื่อให้ใบหน้าหล่อเหลาซุกเข้ากับพุงน้อยๆ ของเจ้าหนูน้อยพร้อมฟัดได้ถนัดมือยิ่งขึ้นกว่าเดิม

พลัฎฐ์ผละใบหน้าออกจากพุงของน้องพีที่ตอนนี้หัวเราะจนแก้มแดงก่ำ น้ำลายกระเด็นเปรอะไปทั่ว แต่ก็ยังคงน่าเอ็นดูอยู่ดีในสายตาคนเป็นพ่อ

“เด็กดื้อต้องโดนทำโทษ” พลัฎฐ์แกล้งว่าเสียงเข้ม พร้อมกับเปลี่ยนมาอุ้มลูกชายในท่าเจ้าหญิง เตรียมจะก้มไปฟัดแก้มนิ่มๆ ของเจ้าเด็กในอ้อมกอดต่อ “น้องพีเป็นลูกปะป๊านะ ไหงหนูเรียกหาแต่พี่ตะวันแบบนี้ล่ะหื้ม?”

เด็กชายพีรยสถ์ยิ้มหน้าตาหยีใส่คนเป็นพ่อ ก่อนที่มือเล็กจะยื่นไปลูบแก้มสาก พลางพูดจาเอาใจอีกฝ่ายเมื่อรู้ว่าตัวเองทำผิด

“น้องพีโอ๋ๆ ปะป๊าน้า เก๊าะน้องพีคิดถึงพี่ตะวันนี่นา เมื่อเช้าน้องพีก็ไม่ได้เจอพี่ตะวันเยย”

พลัฎฐ์ยิ้ม นึกเอ็นดูลูกชายที่รู้จักพูดจาน่ารัก แบบนี้ตะวันไม่หลงเจ้าตัวน้อยนี่ให้รู้ปสิ

“ไหน พี่ตะวันได้ยินว่ามีคนบ่นว่า ใครคิดถึงพี่ตะวันน้า”

พอนึกถึงได้ไม่เท่าไหร่ คนที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟนหมาดๆ ของพลัฎฐ์ก็ปรากฏตัวขึ้นข้างกาย ตะวันเดินมาพร้อมกับจูงเด็กชายภานวีย์ไว้ในมือ เด็กชายข้างบ้านยิ้มกว้าง พร้อมกับปล่อยมือจากมือพี่ชายแล้วยกขึ้นมาพุ่มไว้ตรงอก ก่อนจะเอ่ยทักทายพลัฎฐ์อย่างมีมารยาท

“ปะป๊าพะลัด สวัสดีคับ”

“สวัสดีครับอาทิตย์ วันนี้...”

และยังไม่ทันที่พลัฎฐ์จะพูดจบ น้องพีก็จะดิ้นลงจากอ้อมกอดเขาให้ได้ พลัฎฐ์จึงจำป็นต้องหยุดพูดก่อน แล้วปล่อยเจ้าลูกชายตัวแสบลงยืนกับพื้น และทันทีที่เจ้าหนูน้อยตั้งตัวได้ เด็กชายก็โผเข้าไปกอดเอวตะวันไว้แน่น พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนที่ฟังแล้วน่าหยิกไม่น้อย

“น้องพีคับ น้องพีคิดถึงพี่ตะวันที่สุดในโยกเยยย”

และพอได้รับรอยยิ้มละไมจากพี่ชายของเพื่อนสนิทมาเรียบร้อยแล้ว เด็กชายพีรยสถ์ก็เลยปล่อยมือออกจากเอวตะวัน ก่อนจะพุ่มมือไปตรงอก ทักทายคนแก่กว่าด้วยท่าทางน่าเอ็นดู

“อ้อ! ยืมเยย! สวัสดีคับพี่ตะวัน”

ตะวันแอบยิ้มขำ ตอนเห็นรอยยิ้มแป้นแล้นของเจ้าหนูน้อย ก่อนจะลดตัวลงไปนั่งยองๆ เพื่อให้ความสูงของเขากับน้องพีเสมอกัน

“สวัสดีครับน้องพี พี่ตะวันก็คิดถึงน้องพีเหมือนกันนะ” พี่พูดจบตะวันก็รั้งตัวเจ้าหนูตรงหน้ามากอดแนบอก ก่อนจะฝังจมูกลงไปบนแก้มนิ่มๆ ยุ้ยๆ ของอีกฝ่าย

ฟอด ~

“ค่อยหายคิดถึงหน่อย” พอหอมเสร็จตะวันก็ผละออกมามองใบหน้าเขินๆ ของเจ้าหนูด้วยความรู้สึกอยากจะจับฟัดแรงๆ อีกสักหลายๆ รอบ

แต่ก่อนจะได้ทำอะไรต่อ จู่ๆ คนที่ยืนเป็นยักษ์ปักหลักอยู่เมื่อกี้ ก็ทรุดลงมานั่งยองๆ ข้างตะวัน จากนั้นใบหน้าหล่อเหลาก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ตะวัน จนตะวันแทบจะผงะหงายหลัง แต่ก็ยังดีที่แขนของคนที่ว่ายื่นเข้ามาโอบรั้งรอบเอวของเขาไว้ ไม่ให้หงายลงจ้ำเบ้ากับพื้น

“พี่ก็คิดถึง... หนูหอมพี่บ้างสิครับ”

และด้วยความใกล้ชิดที่เกิดขึ้นราวกับได้จังหวะ พลัฎฐ์จึงอาศัยช่วงชุลมุน กระซิบข้างใบหูนิ่มที่ตอนนี้กำลังแดงก่ำ ก่อนที่ตะวันจะได้สติ ใช้มือเล็กๆ ดันที่แผงอกกำยำพลางทุบเบาๆ ราวกับจะลงโทษคนขี้ฉวยโอกาส

“พี่พลัฎฐ์ ปล่อยตะวันเลยนะ คิดถึงอะไรล่ะครับ เมื่อวานก็เจอ... ทำไมพี่ขี้แต๊ะอั๋งแบบนี้นะ” เสียงหวานว่าอย่างอ่อนอกอ่อนใจ แต่ถ้าจับความรู้สึกฟังดูดีๆ จะได้ยินว่าเสียงของตะวันสั่นแค่ไหน ไม่ต้องมองหน้าก็เดาได้ ว่าตอนนี้เจ้าตัวคงจะเขินน่าดู

คนถูกทุบหัวเราะอย่างอารมณ์ดี เมื่อได้หยอกให้คนรักของตัวเองแสดงอาการไปไม่เป็นออกมาได้

“ก็พี่คิดถึงนี่ ตัวเล็กหอมแต่ลูก ไม่เห็นหอมพ่อบ้างเลย” เสียงทุ้มแกล้งต่อว่า พลางปัดจมูกไปมาผ่านแก้มนิ่มของอีกฝ่ายเบาๆ


ตะวันไม่หอมเขา เขาหอมตะวันเองก็ได้ ...


แต่ก่อนที่สนามเด็กเล่นของโรงเรียนอนุบาลจะหวานมากไปกว่านี้ เสียงทุ้มไม่คุ้นหูก็ดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน

“สวัสดีครับคุณตะวัน คุณพลัฎฐ์”

ตะวันผละออกจากอ้อมกอดของชายหนุ่มคนรักทันที ซึ่งพลัฎฐ์เองก็ให้ความร่วมมืออย่างดีไม่ได้งอแงแต่ประการใด หนำซ้ำยังช่วยประคองตะวันให้ลุกขึ้นยืนอย่างเป็นปกติด้วย แต่ที่ไม่ปกติก็คงเห็นจะเป็นปื้นสีแดงเรื่อที่ขึ้นอยู่ตรงข้างแก้มและใบหูทั้งสองข้างตะวัน ทำเอาคนตัวโตกว่าอดยิ้มขำไม่ได้เมื่อเห็นใบหน้าเต็มๆ ของคนรักของตัวเอง

และอารมณ์ดีๆ ของพลัฎฐ์ก็ต้องสะดุด เมื่อเขาหันกลับมาเห็นว่าคนที่เข้ามาทักคือใคร

ศัตรูหัวใจอันดับหนึ่ง ... ครูกวินทร์ ครูประจำชั้นของเจ้าอาทิตย์และน้องพี

“สวัสดีครับครูวิน” ตะวันเอ่ยทักอีกฝ่าย พร้อมๆ กับที่พลัฎฐ์ขยับมายืนข้างตัวเขา แล้วโอบแขนมาที่รอบเอวอย่างจงใจ

“สวัสดีครับครูกวินทร์ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ สบายดีไหม” รอยยิ้มนักธุรกิจถูกพลัฎฐ์นำมาใช้อย่างแนบเนียน รวมทั้งอ้อมกอดแสดงความเจ้าของนี่ด้วย หวังว่าเจ้าครูหน้าอ่อนนี่คงจะไม่เข้าใจอะไรยากเกินไปหรอกนะ

“สบายดีครับ ว่าแต่ไม่เจอคุณพลัฎฐ์นานเลยนะครับ เห็นกี่ทีๆ ก็เป็นคุณตะวันมารับมาส่งเด็กๆ ตลอด จนผมแทบจะลืมไปแล้วว่าคุณพลัฎฐ์เป็นผู้ปกครองของน้องพี”

ครูประจำชั้นสวนกลับด้วยรอยยิ้มอย่างไม่ยอมแพ้ ทำเอาตะวันยิ้มแห้ง เพราะไม่รู้จะจัดการกับสถานการณ์ตรงหน้ายังไง

“เอาตามที่ครูกวินทร์สะดวกจะคิดเลยครับ เพราะความจริงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผมมาหรือตะวันมาก็ไม่ได้มีอะไรต่างกันสักเท่าไหร่ เพราะยังไงเราต่างก็เป็นผู้ปกครองของเด็กทั้งคู่ ... เพราะแฟนกัน ไม่ใช่คนอื่นคนไกล ผมพูดถูกไหมครับนี่”

พอพลัฎฐ์พูดจบ ตะวันก็หันไปมองหน้าอีกฝ่ายคอแทบเคล็ด ตากลมๆ ของพี่ชายเจ้าอาทิตย์แทบจะถลนออกมานอกเบ้า เพราะไม่คิดว่าปะป๊าของน้องพีจะซัดเข้าเป้าตรงประเด็นขนาดนี้ เล่นเอาคุณครูประจำชั้นคนสุภาพหน้าซีดไปเลย

“พี่พลัฎฐ์!”

ตะวันหยิกเนื้อที่ข้างเอวของอีกฝ่ายด้วยความมันเขี้ยว เขาทั้งเขิน ทั้งทำตัวไม่ถูก ในขณะที่พลัฎฐ์ยังคงตีหน้านิ่ง แม้จะพยายามบิดตัวหนีดัชนีพิฆาตของคนตัวเล็กกว่าแล้วก็ตาม

“ก็พี่พูดเรื่องจริง” ตะวันยังคงถลึงตาใส่คนดื้อตาใสอย่างต่อเนื่อง จนตะวันเห็นท่าไม่ดี เลยคิดว่าควรจะรีบพาพลัฎฐ์และเด็กๆ ออกจากสถานการณ์กระอักกระอ่วนตรงหน้านี้เสียก่อน

พี่พลัฎฐ์นะพี่พลัฎฐ์ ไม่รู้จะป่าวประกาศทำไม คุณครูเขาไม่ได้ถามสักหน่อย จู่ๆ ก็ไปโพล่งบอกเขาแบบนี้ ... ตะวันยอมรับตามตรงว่าเขาทำหน้าไม่ถูก

แน่นอนว่าตะวันไม่ได้อายที่คบกับพลัฎฐ์ แต่ตะวันอายที่ไปบอกเรื่องส่วนตัวให้คนอื่นรู้ โดยที่ไม่รู้ว่าเขาอยากรู้เรื่องของเราหรือเปล่าต่างหาก

“พี่เงียบไปเลยนะ! ไม่อย่างนั้นตะวันจะไม่ไปทำกับข้าวให้กินเย็นนี้”

คนตัวเล็กกว่าขู่ฟ่อ ทำเอายักษ์ไททันอย่างพลัฎฐ์ถึงกับยืนไหล่ห่อ พลางทำหน้าออดอ้อนใส่ตะวันได้น่าหมั่นไส้ จนตะวันต้องเบือนหน้าหนีไปต้อนเด็กๆ มายืนอยู่ข้างๆ แทน เพราะกลัวว่าตัวเองจะเผลอใจอ่อนให้กับความเจ้าเล่ห์ของพลัฎฐ์ที่นับวันจะอัพเลเวลมากขึ้นทุกที

โดยที่ทั้งสองคนไม่ได้สังเกตท่าทีของครูประจำชั้นที่กำลังมองภาพ ‘ครอบครัว’ ตรงหน้าด้วยสายตาน่าสงสารขนาดไหน กวินทร์ได้แต่ยกยิ้มปลงๆ ให้กับตัวเอง ดูเหมือนว่าเขายังจะไม่ทันได้เริ่มที่สานสัมพันธ์กับคนที่หมายตาเลยด้วยซ้ำ จากที่มีหวังเต็มเปี่ยม ดูเหมือนพลัฎฐ์จะตอกตะปูปิดฝังความหวังของเขาลงดินไปเรียบร้อย

“พี่ตะวันจะไปทำข้าวเย็นให้น้องพีกับปะป๊ากินเย็นนี้หยอคับ” เด็กชายพีรยสถ์ที่ยืนอยู่ตรงกลางระหว่างตะวันและพลัฎฐ์แหงนหน้าขึ้นถาม รอยยิ้มน่ารักปรากฎที่ริมฝีปากจิ้มลิ้มของเจ้าหนูน้อย เพราะเขาดีใจมากที่จะได้กินข้าวฝีมือพี่ตะวัน แถมยังได้อยู่เล่นกับคุณอาทิตย์นานๆ อีกด้วย

“ใช่ครับ พี่ตะวันจะไปทำต้มจืดปลาหมึกยัดไส้ให้น้องพีกับคุณอาทิตย์กิน น้องพีกับคุณอาทิตย์อยากกินไหมครับ” ตะวันถามเสียงนุ่ม พลางก้มลงหอมแก้มเด็กทั้งสองเบาๆ โดยที่ละความสนใจจากพลัฎฐ์ที่พยายามวอแวไปแล้วโดยสิ้นเชิง

“ตัวเล็กครับ... แล้วพี่ล่ะ?” ตะวันหันไปมุ่ยหน้าใส่อีกฝ่าย ก่อนจะว่าเสียงแข็ง

“ไม่ต้องกินดีไหมครับ ... เก่งๆ แบบพี่พลัฎฐ์น่าจะหาอะไรกินเองได้สบายๆ”

คนเก่งของบ้านถึงกับทำหน้าเหรอหราเมื่อเห็นว่ากำลังจะถูกตะวันปล่อยเกาะ เลยรีบมาวอแวหาทางออดอ้อนเอาใจ และเมื่อเห็นว่าไม่ได้ผล ก็อาศัยลูกชายมาเป็นตัวช่วย

“น้องพีครับ ช่วยปะป๊าหน่อย พี่ตะวันจะไม่ให้ปะป๊ากินข้าวเย็นด้วย” พลัฎฐ์จัดการอุ้มเด็กชายพีรยสถ์ขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะโยกตัวลูกชายไปหาตะวันเบาๆ กะให้ลูกช่วยง้อตะวันเต็มที่ และน้องพีก็ไม่ทำให้คนเป็นพ่อผิดหวัง เพราะปากน้อยๆ จิ้มลิ้มนั้น พุ่งเข้าจู่โจมแก้มหอมๆ ของตะวันทันที

จุ๊บ ~

“น้องพีขอโทษแทนปะป๊าคับพี่ตะวัน ดีๆ กันน้า น้องพีกัวปะป๊าหิวข้าว”

คำพูดบวกกับท่าทางน่ารักๆ ของเด็กน้อยทำเอาตะวันใจอ่อนยวบ ก่อนที่คนตัวเล็กกว่าจะก้มลงไปอุ้มน้องชายตัวเองขึ้นมากอดไว้แนบอกด้วยเช่นกัน

“ปะป๊าหนูน่ะร้ายที่สุดเลยรู้ไหม” ตะวันค่อนขอดเข้าให้ก่อนที่จะย่นจมูกใส่คนเจ้าเล่ห์อย่างพลัฎฐ์ แต่แทนที่คนตัวโตกว่าจะสลด กลับยิ้มประจบให้ตะวันนึกมันเขี้ยวแทน

"หรือเราจะทำกับข้าวกินกันแค่ที่บ้านดีนะอาทิตย์"

ตะวันแกล้งหันไปถามน้องชายในอ้อมแขนแต่แทนที่จะได้พวกเพิ่มกลับดันเสียพวกไปให้หนุ่มๆ บ้านข้างๆ แทนซะนี่

"ไม่เอาคับพี่ตะวัน อาทิตย์อยากทำการบ้านกับน้องพี ... เราไปกินข้าวบ้านน้องพีกันเถอะน้า พี่ตะวันน้า"

เจ้าอาทิตย์เอ่ยอ้อนพลางโอบแขนรอบคอของพี่ชายแน่น สุดท้ายตะวันจึงถอนใจออกมาปลงๆ เพราะสุดท้ายเขาก็สู้ความเจ้าเล่ห์ของพลัฎฐ์ไม่ได้อยู่ดี

และก็ดูเหมือนว่าทั้งสี่จะยืนพูดคุย หัวเราะต่อกระซิกกันอย่างมีความสุข จนเกือบจะหลงลืมครูประจำชั้นที่ยืนแน่นิ่งอยู่ตรงนั้นไม่ได้ไปไหน

"เอ่อ... งั้นถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวนะครับ" ครูหนุ่มพูดขัดขึ้นมา ทำเอาตะวันตกใจที่เผลอลืมคิดไปว่าอีกฝ่ายยังยืนอยู่ตรงนี้ในขณะที่พลัฎฐ์ดูไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรเท่าไหร่นัก

"เอ่อ .. ครูวิน พวกเราต้องขอโทษด้วยนะครับที่เสียมารยาท พอดีคุยกันเพลินไปหน่อย"

ตะวันรีบเอ่ยขอโทษขอโพย โดยที่กวินทร์เองก็ไม่ได้ดูโกรธเคืองอะไร แต่ถ้าจะให้พูดกันตามตรง อีกฝ่ายคงรู้สึกเจ็บใจและทำอะไรไม่ได้มากกว่า และยิ่งมายืนอยู่ผิดที่ผิดทางแบบนี้ ทุกอย่างมันเลยยิ่งดูแย่เข้าไปใหญ่ เขาเลยคิดจะขอตัวแยกออกมา

“ไม่เป็นไรครับคุณตะวัน ผมไม่ได้คิดมากอะไร”

กวินทร์ตอบนิ่งๆ พลางมองหน้าพลัฎฐ์พร้อมกับยกยิ้มมุมปากน้อยๆ .. ยิ้มแบบที่พลัฎฐ์ไม่ชอบ และยิ้มแบบที่พลัฎฐ์รู้ดีว่าอีกฝ่ายซ่อนความนัยไว้ในประโยคที่เพิ่งพูดออกมาราวกับจะสื่อสารกับเขาโดยตรง แต่พลัฎฐ์ก็ฉลาดพอที่จะไม่แสดงท่าทางไม่ดีอะไรโต้กลับใส่อีกฝ่าย แต่เขาเลือกที่จะใช้แขนข้างที่ว่างโอบรัดเอวบางของตะวันรั้งเข้าชิดตัวเอง

“งั้นเชิญครูกวินทร์ตามสบายเลยนะครับ ผมกับตะวันแล้วก็เด็กๆ คงต้องขอตัวก่อน” พลัฎฐ์พูดเรียบๆ นิ่งๆ ก่อนจะหันไปบอกกับคนในอ้อมแขนด้วยสายตาและน้ำเสียงอบอุ่นอ่อนโยน “ป่ะครับตัวเล็ก กลับบ้าน ‘เรา’ กันครับ”

ตะวันเองก็ไม่ได้ติดใจอะไรกับท่าทีของพลัฎฐ์ เขาแทบไม่ได้เอะใจเลยด้วยซ้ำว่าประโยคชวนกลับบ้านของพลัฎฐ์นั้นแสดงความสนิทสนมและความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพลัฎฐ์ชัดเจนมากแค่ไหนในสายตาคนอื่น และคนอื่นในที่นี้ที่พลัฎฐ์อยากจะให้เห็นก็คือครูประจำชั้นของเจ้าหนูทั้งสองนั่นเอง

“ครับ แต่เดี๋ยวพี่พลัฎฐ์พาตะวันแวะที่ร้านแปปนึงนะครับ ตะวันจะเข้าไปเอาบัญชีของร้านมาเช็คสักหน่อย”

“ได้ตามบัญชาเลยครับคนดี”

พลัฎฐ์และตะวันยิ้มให้กันอย่างอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความรู้สึก ก่อนที่คนทั้งคู่จะหันมาผงกศีรษะให้ครูกวินทร์เล็กน้อยราวกับจะเอ่ยลา ซึ่งทั้งหมดก็ตกอยู่ในสายตาของกวินทร์ทั้งสิ้น เขายอมรับว่าคนทั้งคู่เหมาะสมกันมาก แต่ก็อดเจ็บใจไม่ได้ที่ตัวเองรู้จักกับตะวันช้าไป เพราะเขาบอกได้อย่างมั่นใจเลยว่าถ้าตัวเองได้รู้จักกับตะวันก่อนที่พลัฎฐ์จะรู้จัก เขาไม่มีทางยอมปล่อยตะวันไปง่ายๆ แบบนี้แน่

.

.

.

“วันหลังพี่ไม่ให้ตัวเล็กมารับมาส่งเด็กๆ แล้วดีกว่า”

จู่ๆ พลัฎฐ์ก็พูดเปิดประเด็นนี้ขึ้น ในขณะที่ตะวันกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นพรหม คอยดูและคอยสอนน้องพีกับอาทิตย์ที่ทำการบ้านอยู่ด้วยกัน

“ทำไมล่ะครับ?” คนตัวเล็กกว่าเอียงคอถามอย่างสงสัย ตากลมๆ ที่มองสบไปยังใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยคำถาม และท่าทางแบบนั้นก็ทำเอาพลัฎฐ์อดไม่ได้ ต้องลุกขึ้นจากโซฟาที่ตัวเองนั่งอยู่ ลงไปนั่งข้างๆ ตะวันแทน

ใบหน้าหล่อเหลาชะโงกไปตรงที่เด็กๆ นั่ง และเมื่อเห็นว่าเจ้าหนูทั้งคู่กำลังขะมักเขม้นตั้งใจอยู่กับการบ้านที่ทำ อ้อมแขนแข็งแรงของพลัฎฐ์ก็โผเข้าโอบกอดรอบเอวบางของตะวันแน่น ก่อนที่จมูกโด่งเป็นสันของคนเจ้าเล่ห์จะยื่นลงมาฉกบนแก้มนิ่มที่ขึ้นสีแดงเรื่อของตะวันเบาๆ

ฟอด ~

“พี่พลัฎฐ์! เดี๋ยวเด็กๆ เห็น” ตะวันกระซิบเสียงเข้มพลางตีเข้าเพี๊ยะใหญ่ลงบนแขนแข็งแรงของพลัฎฐ์ ในขณะที่คนถูกตีไม่สะทกสะท้าน หนำซ้ำยังไม่ปล่อยตะวันออกจากอ้อมกอดอีกต่างหาก

“ตัวเล็กก็นั่งเฉยๆ สิครับ เด็กๆ ไม่เห็นหรอกครับ กำลังตั้งใจทำการบ้านอยู่ ไม่หันมาเร็วๆ นี้แน่”

คนโตกว่าที่ทำตัวเหมือนเด็กกลับตีหน้าซื่อไม่สนใจ เนียนกอดเนียนหอมคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟนไม่ยอมปล่อย

“พี่นี่ชักจะเอาใหญ่แล้วนะครับ ตะวันเผลอไม่ได้ จ้องจะลวนลามตะวันตลอด” คนที่ตกอยู่ในอ้อมกอดอบอุ่นต่อว่าคนรักไม่จริงจัง เพราะรู้ดีว่าพูดไปก็เท่านั้น พลัฎฐ์เคยฟังที่ไหน

“โถ่.. ถ้าไม่ให้พี่กอดหนูแล้วจะให้พี่กอดใครล่ะครับ ก็หนูเป็นแฟนพี่นี่นา” พลัฎฐ์ว่าพลางทำท่าเจ้าชู้ใส่อีกฝ่าย ทำเอาคนถูกหยอดถึงกับไปไม่เป็น นั่งหน้าแดงให้พลัฎฐ์จุ๊บแก้มเล่นอย่างย่ามใจ

ซึ่งเอาเข้าจริงแล้วตะวันเองก็รู้สึกดีนั่นแหละ เขาเพิ่งรู้หลังจากคบกับพลัฎฐ์ได้ไม่กี่วันว่าได้ภายใต้ท่าทีนิ่งเฉย ดูเป็นคนจริงจังของพลัฎฐ์นั้นเป็นภาพลวงตา ที่จริงแล้วปะป๊าของน้องพีไม่ได้เป็นคนนิ่งๆ อย่างที่เห็น ตรงกันข้ามแล้วพลัฎฐ์เป็นคนที่เจ้าเล่ห์และช่างวางแผนการอย่างร้ายกาจ จนตะวันอดคิดอย่างเจ็บใจไม่ได้ที่ปล่อยให้ท่าทีสงบๆ เย็นชาๆ ของอีกฝ่าย หลอกได้อย่างตายใจ

“บอกว่าไม่ให้เรียกหนูไงครับ ตะวันไม่ใช่ผู้หญิงสักหน่อย” คนถูกเรียกหนูย่นจมูกใส่อีกฝ่าย ทำเอาพลัฎฐ์อดมันเขี้ยวไม่ได้ ต้องก้มลงมากัดปลายจมูกโด่งรั้นนั่นเบาๆ

“พี่ไม่ได้เรียกตัวเล็กว่าหนูเพราะตัวเล็กเหมือนผู้หญิงสักหน่อย ที่พี่เรียกตัวเล็กว่าหนูนั่นเป็นเพราะพี่เอ็นดูตัวเล็กต่างหาก... เด็กอะไรทำไมน่ารักขนาดนี้ หื้ม? นี่พี่หลงจนหัวปักหัวปำแล้ว”

พอว่าจบริมฝีปากหยักก็ก้มลงมาจุ๊บเบาๆ ย้ำๆ บนริมฝีปากบางสีสดของตะวัน ทำเอาคนถูกจุ๊บอดหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่ได้

และเพราะเสียงหัวเราะนั้นก็ทำเอาเด็กๆ ละความสนใจจากการบ้านที่กำลังทำอยู่ แล้วหันมามองว่าผู้ปกครองทั้งสองของตัวเองว่ากำลังทำอะไรกัน ทำไมจู่ๆ พี่ตะวันถึงได้ขำออกมาเบาๆ

“อุ๊ย!/คิก”

เสียงหัวเราะและเสียงอุทานของน้องพีและอาทิตย์ ทำเอาคนที่กำลังนั่งกอดกันกลม ผละออกจากกันแทบไม่ทัน ... ในขณะที่ตะวันทำหน้าไม่ถูก พลัฎฐ์ดันกลับยิ้ม ไม่ได้ดูเดือดร้อนใจเท่าไหร่นัก

“น้องพีครับ คุณอาทิตย์ครับ ทำการบ้านเสร็จแล้วเหรอครับ? มีตรงไหนให้ปะป๊ากับพี่ตะวันช่วยสอนไหม” พลัฎฐ์ถามอย่างอ่อนโยน ในณะที่น้องพียังคงเอามือปิดปากหัวเราะคิกคัก และอาทิตย์ก็ยิ้มกว้างจนตาหยีอย่างน่าเอ็นดู

“เสร็จแย้วคับปะป๊า ไม่ต้องสอนแย้ว” น้องพีตอบ ก่อนที่จะลุกขึ้นยืนจากตรงที่ตัวเองกำลังนั่งอยู่ พลางเดินมานั่งบนตักของตะวันอย่างออดอ้อน

“ปะป๊าค้าบ พี่ตะวันค้าบบ กอดกันอีก ยักกันๆ” ตะวันสะดุ้งโหย่ง หน้าแดงก่ำ ในขณะที่พลัฎฐ์กลั้นขำจนไหล่สั่น

คนเป็นพ่อรู้ดีว่าลูกพูดออกมาด้วยความไม่รู้และความไร้เดียงสา แต่ถ้าไม่สอนให้น้องพีเข้าใจในสิ่งที่เห็น เดี๋ยวอีกหน่อยถ้าน้องพีเอาไปพูดข้างนอก คนจะมองไม่ดีได้

กับตัวเขาเสียหาย เขาไม่คิดมากหรอก แต่ตะวันนี่สิ พลัฎฐ์ไม่อยากให้ใครมองคนที่เขารักไม่ดีเลยแม้แต่น้อย

“น้องพีครับ ฟังปะป๊านะครับ... ที่น้องพีเห็นเมื่อกี้น่ะ...” พลัฎฐ์กำลังจะอ้าปากอธิบาย แต่พอได้สบกับดวงตากลมใสแจ๋วของลูกชาย เขาก็เกิดนึกจะเรียบเรียงคำพูดไม่ออก จนเจ้าอาทิตย์ดวงน้อยเดินมานั่งตรงหน้าตะวันแล้วพูดตามประสาซื่อนั่นแหละ พลัฎฐ์ถึงได้ยิ้มออก

“ที่น้องพีกับคุณอาทิตย์เห็นเมื่อกี้ ก็เหมือนกับเวลาที่คุณอาทิตย์กอดพี่ตะวันแบบนี้ไง” พูดไม่พูดเปล่า เด็กชายข้างบ้านก็วาดแขนเล็กๆ โอบเอวคนเป็นพี่ โดยที่มีน้องพีนั่งซ้อนตักอยู่ ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าเจ้าหนูอาทิตย์กำลังกอดตะวันกับน้องพีไว้ในอ้อมแขนเล็กๆ ดูแล้วทุลักทุเลไม่น้อย จนพลัฎฐ์กับตะวันขำออกมาเบาๆ ไม่ได้

คนตัวใหญ่ที่สุดของบ้านจึงตัดสินใจขยับตัวไปจับเจ้าหนูอาทิตย์ขึ้นมาซ้อนตัก แล้ววาดแขนโอบตะวันไว้แทน กลายเป็นว่าตอนนี้พลัฎฐ์กับตะวันกำลังนั่งกอดกัน โดยมีเจ้าตัวน้อยทั้งสองอยู่ตรงกลางอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นของทั้งคนเป็นพี่และคนเป็นพ่อ

“ใช่ครับ ปะป๊ากอดพี่ตะวัน เหมือนกับที่ปะป๊ากอดน้องพี กอดคุณอาทิตย์ กอดพวกเราไว้แบบนี้ ... น้องพีเข้าใจแล้วใช่ไหมครับ”

เด็กน้อยที่นั่งอยู่ตรงกลางในอ้อมกอดใหญ่ๆ กำลังนั่งหัวเราะคิกคัก ถึงมันจะเบียด มันจะแปลกๆ แต่สิ่งที่เด็กทั้งคู่รับรู้ได้คือความอบอุ่นใจและปลอดภัยเมื่อได้อยู่ท่ามกลางคนที่รักพวกเขาทั้งสองคน

“กอดกันๆ ยักกันๆ เนอะคุณอาทิตย์เนอะ” เสียงงุ้งงิ้งของน้องพีดังขึ้น ให้ผู้ใหญ่ทั้งคู่ได้แต่อมยิ้ม

และแน่นอนว่าพลัฎฐ์ก็ไม่ยอมปล่อยโอกาสนี้ให้เสียไปอย่างเปล่าประโยชน์ คนตัวโตกว่ายื่นหน้าไปหาตะวันที่ตอนนี้กำลังก้มมองเด็กๆ ด้วยสายตาอ่อนโยน สายตาแบบที่พลัฎฐ์เห็นกี่ครั้งก็หลงรักทุกครั้ง

จุ๊บ ~

ตะวันสะดุ้งนิดหน่อย ตอนที่ถูกพลัฎฐ์กดริมฝีปากลงมาบนหน้าผากเบาๆ แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากถลึงตาโตๆ ของตัวเองใส่อีกฝ่าย เพราะถูกพลัฎฐ์กอดอยู่ หนำซ้ำยังมีเด็กทั้งสองอยู่ตรงกลางอีก แต่ก็ทำขึงขังใส่คนตัวโตกว่าได้ไม่นาน เพราะพอตะวันเห็นริมฝีปากของพลัฎฐ์ขยับเป็นเป็นประโยคที่ไม่มีเสียงส่งให้ เขาก็ต้องหลุดยิ้มออกมาอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่

“พี่รักหนูนะครับ”

เฮ้อ... บอกว่าไม่ให้เรียกหนู เรียกหนู ทำไมไม่ฟังกันบ้างเลยนะ

.

.

.

- อ่านต่อด้านล่าง -
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 12th - 26/7/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 26-07-2019 21:11:42
- ต่อจากด้านบน -


จนแล้วจนรอด ตะวันก็ยังไม่ได้รู้ว่าทำไมพลัฎฐ์ถึงไม่อยากให้เขาไปรับอาทิตย์กับน้องพีที่โรงเรียนอนุบาล…

ซึ่งตะวันก็คิดว่านี่คงเป็นเวลาที่เหมาะสมแล้วที่จะถามอีกฝ่าย เพราะถ้าไม่ได้ถามตอนนี้เดี๋ยวพลัฎฐ์ก็หาทางหลบเลี่ยงไม่ยอมตอบเขาอีก เมื่อวานก็ทีนึงแล้ว พอตะวันถามว่าทำไมไม่อยากให้เขาไปรับเด็กๆ พลัฎฐ์ก็ตีเนียนทำมาเป็นกอด เป็นหอม จนเลยเถิดไปเป็นพาเด็กๆ เข้ามาร่วมวงด้วย กว่าจะนึกได้อีกที ตะวันก็กลับมานั่งอยู่ที่บ้านแล้ว ครั้นจะโทรไปถามก็กลัวว่าจะดึกเกินไป

เพราะฉะนั้น เวลานี้แหละกำลังหมาะ เนื่องจากเช้านี้พลัฎฐ์ก็ยังคงยืนยันว่าจะมาส่งเด็กชายทั้งคู่ ถึงแม้ตะวันจะรับอาสามาส่งให้อีกฝ่ายก็ไม่ยอม นั่นยิ่งเป็นสาเหตุให้ตะวันยิ่งสงสัยว่าทำไมพลัฎฐ์ถึงไม่อยากให้เขามาส่งเด็กๆ ทั้งที่เมื่อก่อนก็ให้เขามาส่งได้ไม่มีปัญหาอะไร ดังนั้น ตะวันจึงคิดว่าจะต้องถามพลัฎฐ์ให้รู้เรื่อง เพราะตอนนี้พลัฎฐ์กำลังขับรถอยู่ ส่วนเด็กๆ ก็ลงจากรถเข้าโรงเรียนไปแล้วเรียบร้อย ตอนนี้เหลือกันแค่สองคน หมดทางหนีทีไล่ ยังไงตะวันก็ต้องเค้นให้รู้ให้ได้

“พี่พลัฎฐ์” ตะวันเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงนิ่ง “ที่ตะวันถามพี่ไปเมื่อวานพี่ยังไม่ตอบตะวันเลยนะครับ”

และพอเห็นพลัฎฐ์หันมาทำหน้างงๆ ใส่ ตะวันก็ย้ำถึงคำถามเมื่อวานให้พลัฎฐ์ได้ฟังอีกรอบ

“ตะวันถามพี่ไปว่าทำไมถึงไม่ยอมให้ตะวันไปรับไปส่งเด็กๆ คนเดียวล่ะครับ ก่อนหน้านี้ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรเลย” คนตัวเล็กว่าถามนิ่งๆ สีหน้าติดจะสงสัยอยู่ไม่น้อย ให้พลัฎฐ์ได้ถอนหายใจออกมาเบาๆ

... ก็ทำหน้าเสียแบบนี้ แล้วใครจะอยากให้ไปเจอไอ้ครูหน้าจืดนั่นกันเล่า น่ารักขนาดนี้จะไม่ให้พลัฎฐ์หวงได้ยังไงกัน


“พี่หวง”


“...” คนขี้หึงตอบหน้าตาเฉย แต่เล่นเอาคนที่ถูกหวงทำหน้าไม่ถูก ได้อ้าปากแล้วก็หุบ หุบแล้วก็อ้า เหมือนกับพูดอะไรไม่ออกดื้อๆ เสียแบบนั้น

“ตัวเล็กน่าจะดูออกว่าครูกวินทร์อะไรนั่นชอบตัวเล็ก” พลัฎฐ์พูดด้วยใบหน้าเรียบตึง บ่งบอกถึงสภาพอารมณ์ได้ไม่น้อย “พี่หวง ที่จริงก็หึงด้วย ใครจะไปอยากให้ผู้ชายคนอื่นมองแฟนตัวเองแบบนั้น พี่ไม่ใช่คนใจกว้างกับเรื่องอะไรแบบนี้หรอกนะ เผื่อตัวเล็กไม่รู้”

ตะวันถึงกับนั่งนิ่ง ตอนแรกเขาก็คิดๆ อยู่เหมือนกันว่าพลัฎฐ์อาจจะไม่ยอมบอกจากที่เห็นท่าทีหลบเลี่ยงเมื่อวาน ซึ่งเอาเข้าจริงแล้วตะวันสาบานเลยว่า เขาไม่ได้นึกถึงเรื่องอะไรทำนองนี้เลยด้วยซ้ำ สิ่งที่ตะวันกังวลก็มีแต่ความคิดที่ว่าเขาได้ไปทำอะไรให้พลัฎฐ์ไม่พอใจหรือไม่ถูกใจเกี่ยวกับเรื่องน้องพีหรือเปล่า แต่พอได้ฟังที่พลัฎฐ์บอกแล้วตะวันก็อดยอมรับไม่ได้ว่าตัวเองรู้สึกดี หัวใจมันพองโตเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายรักและหวงแหนเขามากแค่ไหน

แต่ดูเหมือนว่าเรื่องที่ตะวันต้องทำก่อนเหนือสิ่งอื่นใดก็คือการง้อพลัฎฐ์ เพราะดูท่าคนตัวโตจะทำท่าใจน้อยใส่เขาเสียแล้ว

ซึ่งพอตะวันกำลังจะเอ่ยปากอ้อนอีกฝ่าย รถยุโรปคันหรูของพลัฎฐ์ก็แล่นมาจอดที่หน้าร้านอาหารของเขาเสียก่อน ร่างสูงของพลัฎฐ์เปิดประตูแล้วก้าวลงจากรถทันที โดยไม่ได้พูดอะไรอีก คนตัวโตกว่าเดินอ้อมไปที่ท้ายรถ ก่อนที่จะยกบรรดาวัตถุดิบบางอย่างที่ตะวันตั้งใจจะซื้อเข้าร้าน รวมไปถึงกระดาษแสดงรายการบัญชีต่างๆ ที่ตะวันหอบกลับไปทำที่บ้าน เดินดุ่มๆ นำคนตัวเล็กกว่าที่กุลีกุจอกึ่งวิ่งกึ่งเดินตามอีกฝ่ายไป เพราะก้าวยาวๆ ของพลัฎฐ์ก้าวเดียวก็แทบจะทำให้ตะวันต้องวิ่งซอยเท้าถี่ๆ ตามแล้ว

“มาครับคุณพลัฎฐ์ เดี๋ยวผมยกพวกนี้ไปเก็บในครัวให้”

พอเดินเข้าไปถึงในร้านพลัฎฐ์ก็ได้เจอเมษากำลังยกเก้าอี้ จัดโต๊ะ เตรียมจะเปิดร้านพอดี เด็กหนุ่มตัวโตของร้านเลยอาสายกพวกวัตถุดิบบางอย่างไปเก็บในครัวให้

“ขอบใจนะเมษ” ตะวันชะเง้อมองจากด้านหลังข้ามไหล่พลัฎฐ์ไปก็ได้เห็นว่าสิ่งที่อยู่ในมืออีกฝ่ายตอนนี้คือกระดาษแสดงรายการบัญชีทั้งหลายของร้าน ซึ่งพลัฎฐ์เองก็ไม่ได้ถามอะไร นอกจากเดินต่อไปทางด้านหลังร้านที่ห้องทำงานของตะวันตั้งอยู่

พอเข้ามาในห้องได้ พลัฎฐ์ก็วางกระดาษต่างๆ ให้คนตัวเล็กกว่าที่ไม่ต้องถือหรือยกอะไรเข้ามาเลย เพราะพลัฎฐ์ดูแลยกทุกอย่างเข้ามาให้ทั้งหมดแล้ว แม้ว่าจะกำลังงอนตะวันอยู่ก็ตาม

คนถูกงอนแอบอมยิ้ม พลางนึกเอ็นดูพลัฎฐ์อยู่ในใจ นี่ขนาดว่าโกรธ ก็ยังกลัวเขาจะหนัก จะถือของเยอะเลยต้องยกมาให้ทั้งๆ ที่กำลังทำท่ามึนตึงใส่เขาอยู่... โถ จะน่ารักอะไรขนาดนี้นะคุณปะป๊า

“งั้นพี่ไปนะครับ เที่ยงนี้มีประชุม พี่คงไม่ลงมากินกลางวันด้วย”

พลัฎฐ์พูดเสียงเรียบ ไม่หันมองตะวันเลยสักนิด และในขณะที่กำลังจะเดินออกจากห้องทำงานของตะวัน แขนเรียวของคนรักก็ถูกยกขึ้นมาโอบรอบเอวหนาจากด้านหลัง ก่อนที่ใบหน้าสวยหวานของตะวันจะซบลงบนหลังกว้างๆ ของพลัฎฐ์ราวกับต้องการออดอ้อน

“พี่พลัฎฐ์โกรธตะวันเหรอครับ” เสียงหวานทอดถาม “อย่าโกรธตะวันเลยนะครับ ตะวันแค่ถามเฉยๆ ถ้าพี่พลัฎฐ์ไม่อยากให้ตะวันไปเจอครูวิน ตะวันก็ไม่ไปก็ได้”

พลัฎฐ์ชะงักกึก แววตาคมปรากฎแววเจ้าเล่ห์เล็กน้อย มุมปากที่เคยเรียบตึงถูกกระตุกขึ้นให้ยกยิ้ม โดยที่ตะวันไม่เห็น ...

“พี่เห็นตัวเล็กถามเหมือนไม่พอใจ ถ้าตัวเล็กอยากไปคนเดียวพี่ไม่ว่าก็ได้ พี่รักตัวเล็กนิ พี่ตามใจตัวเล็กทุกเรื่องนั่นแหละ”

น้ำเสียงตัดพ้อถูกยกมาใช้อย่างแนบเนียน ซึ่งยอมรับเลยว่ามันได้ผลมากๆ เพราะตอนนี้ตะวันลุกลี้ลุกลนไปกันใหญ่ เขินก็เขิน รู้สึกดีก็รู้สึกดี จนทนไม่ไหวนั่นแหละ เลยต้องเดินอ้อมร่างกายสูงใหญ่ของคนเป็นแฟนมายืนเผชิญหน้า ทำเอาพลัฎฐ์เกือบจะปรับสีหน้าเป็นงอนๆ ติดจะเศร้าสร้อยน้อยๆ แทบไม่ทัน

“ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย” มือเล็กเอื้อมไปจับมือใหญ่มากุมไว้ ก่อนจะโยกเขย่ามือของอีกฝ่ายไปมาเบาๆ ง้อราวกับพลัฎฐ์อายุเท่ากับน้องพีก็ไม่ปาน “ตะวันแค่กังวลว่าทำอะไรให้พี่หรือน้องพีไม่โอเคหรือเปล่าเลยไม่อยากให้ตะวันไปรับ ตะวันไม่ได้คิดถึงเรื่องอะไรแบบนี้เลย สาบานก็ได้”

และเมื่อเห็นพลัฎฐ์ยังเฉย ทั้งที่ความจริงตอนนี้เจ้าของร่างกายสูงใหญ่จะดีใจจนเนื้อเต้น แต่ก็ทำเป็นนิ่งเพื่อกระตุ้นปฏิกริยาของตะวันให้อ้อนเขามากกว่านี้

ซึ่งก็เป็นไปตามคาด ตอนนี้ตะวันเลยยกแขนเรียวของตัวเองขึ้นกอดพลัฎฐ์อีกครั้ง ก่อนจะแหงนหน้าสบตาอีกฝ่าย โดยเอาคางของตัวเองวางลงบนกลางอกกว้าง พลางเอ่ยเรียกชื่อเขาด้วยท่าทางน่าเอ็นดู

“พี่พลัฎฐ์ครับ.. หายโกรธนะครับ ดีกันนะ นะครับนะ” ตากลมกะพริบปริบๆ ยามมองมาที่ตาเรียวคมของเขา ทำเอาพลัฎฐ์ใจอ่อนยวบ ละลายเหลวแทบไหลไปกับพื้น

แล้วแบบนี้ใครมันจะไปโกรธได้ลงกัน...

แต่ถ้าจะหายโกรธง่ายๆ ก็คงไม่ใช่พลัฎฐ์สักเท่าไหร่ อย่างน้อยเขาก็ต้องกำไรอะไรกลับไปบ้างล่ะนะ อุตส่าห์ทั้งขับรถมาส่ง ช่วยยกของมาไว้ในห้อง แล้วไหนยังจะต้องอารมณ์เสียฟังตะวันพูดถึงไอ้ครูประจำชั้นนั่นอีก

“พี่หายโกรธตัวเล็กก็ได้” พอคนที่กำลังง้อได้ยินว่าอีกฝ่ายจะยกโทษให้ ตะวันก็ยิ้มหวานขึ้นมาฉับพลัน แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะดีใด้ไม่นาน เมื่อเจอพลัฎฐ์เอ่ยต่อ “แต่ตัวเล็กต้องจุ๊บปลอบใจพี่ก่อน แล้วพี่จะหายงอนเป็นปลิดทิ้งเลย”

ตะวันทำหน้าตาเหรอหราทันทีเมื่อได้ยินเงื่อนไข ก่อนจะนึกเข่นเคี้ยวในใจว่าตัวเองเสียรู้ให้พลัฎฐ์หลอกจูบแล้วแน่ๆ เพราะถึงแม้ตอนนี้หน้าตาของพลัฎฐ์จะยังบึ้งตึงอยู่ แต่นัยน์ตาเรียวคมที่มีประกายระยิบระยับนั่น ตอบในสิ่งที่ตะวันสงสัยได้เป็นอย่างดี

ตะวันหรี่ตาลงล็กน้อยราวกับนึกอะไรบางอย่างออก ในเมื่อเจ้าเล่ห์มา ตะวันก็จะเจ้าเล่ห์กลับเหมือนกัน

“ก็ได้ครับ”

พลัฎฐ์อดแปลกใจไม่น้อยที่ตะวันยอมเขาอย่างง่ายดาย และในขณะที่คนตัวโตกว่ายังไม่ทันจะจั้งตัวได้ ตะวันก็เขย่งปลายเท้าขึ้นจนสุด แล้วประทับริมฝีปากบางสีแดงระเรื่อลงบนแก้มสากของชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาไม่ถึงเสี้ยววินาทีด้วยซ้ำ

จุ๊บ ~

ตะวันผละออก ก่อนจะถอยหลังมายิ้มตาหยีใส่คนรัก

“ตะวันทำตามที่พี่ขอแล้ว ... หายโกรธตะวันนะครับ”

พลัฎฐ์หัวเราะเบาๆ หลังจากได้สติ จุ๊บของตะวันเมื่อกี้แทบไม่จะเหมือนจุ๊บด้วยซ้ำ ดูแล้วคล้ายๆ การเอาปากเล็กๆ มากระแทกเข้ากับแก้มของพลัฎฐ์มากกว่า

“เดี๋ยวครับตัวเล็ก นั่นตัวเล็กเรียกว่าจุ๊บเหรอ”

“ใช่ครับ” ตะวันตอบด้วยสีหน้าภาคภูมิใจติดจะเจ้าเล่ห์นิดๆ ให้คนเจ้าเล่ห์ขี้วางแผน “ตะวันก็ทำตามที่พี่ขอทุกอย่างแล้วนี่ครับ พี่เองก็ไม่ได้บอกให้สักหน่อยว่าจะให้ตะวันจุ๊บตรงไหน ตะวันอยากจุ๊บแก้มพี่พอดี ก็เลยจัดไปครับ”

คนตัวเล็กกว่ายิ้มขำพลางชี้แจงอย่างละเอียดให้พลัฎฐ์ได้ถอนหายใจเฮือกใหญ่เพราะเสียรู้ให้กับเจ้าตัวแสบที่นานๆ ครั้งจะแผลงฤทธิ์ให้เห็นสักที

แต่ดูเหมือนว่าตะวันเองก็อาจจะลืมไปเหมือนกันว่าพลัฎฐ์นั้น เจ้าแผนการแค่ไหน ดังนั้นตอนที่ตะวันกำลังยืนหัวเราะด้วยความชอบใจนั้น พลัฎฐ์ก็จัดการประชิดตัวอีกฝ่ายแล้วโอบแขนรั้งเอวบางเข้ามาใกล้ ก่อนจะประทับริมฝีปากลงหยักลงไปบนกลีบปากบาง โดยไม่ทันให้คนที่กำลังยิ้มขำอารมณ์ดีได้ตั้งตัว

“อื้อ...” เสียงครางประท้วงเบาๆ ของตะวันเกิดขึ้นทันทีเมื่อริมฝีปากของคนทั้งสองสัมผัสกัน

พลัฎฐ์ค่อยๆ บดเบียดริมฝีปากลงไปอย่างอ่อนโยน ดูดดึง เลาะเล็มความหวานแบบค่อยเป็นค่อยไป จากที่ตกใจและดูเหมือนจะต่อต้านในคราวแรก ตะวันก็โอนอ่อนและคล้อยตามมากขึ้น แขนเรียวยกขึ้นโอบรอบลำคอแกร่งของคนตัวโตกว่าอย่างเป็นธรรมชาติ ริมฝีปากจิ้มลิ้มของคนตัวเล็กกว่าเลียนรู้ที่จะจูบตอบและบดเบียดกลับคืน และเมื่อกราฟของอารมณ์พุ่งทะยาน

พลัฎฐ์ก็ค่อยๆ ขบฟันลงบนริมฝีปากล่างของตะวันอย่างร้องขอ ซึ่งตะวันก็ไม่ปฏิเสธว่าตัวเขาเองต้องการสัมผัสที่ลึกซึ้งกว่านี้ จึงเผยอริมฝีปากออกช้าๆ ให้คนตัวโตกว่าได้แทรกลิ้นเข้ามา พลางกวาดต้อนไปทั่วโพรงปากอย่างย่ามใจ พลัฎฐ์ลากลิ้นไปทั่วก่อนจะตรงเข้าเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นเล็กของตะวันราวกับต้องการจะเอาอกเอาใจอีกฝ่าย

เสียงดูดดึงริมฝีปากและเสียงเฉอะแฉะของน้ำลายดังก้องในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ อย่างน่าอาย แต่ก็ไม่ได้มีใครให้ความสนใจมากกว่าไปกว่าสัมผัสของกันและกันที่อยู่ตรงหน้า

และเมื่ออากาศที่กักไว้ในปอดกำลังจะหมดลง ตะวันก็ประท้วงเบาๆ โดยการทุบลงไปไหล่ของพลัฎฐ์ ทำให้พลัฎฐ์ต้องผละออกจากริมฝีปากจิ้มลิ้มที่นุ่มอย่างกับขนมหวานที่ตะวันเคยทำให้กินอย่างเสียดาย เขารู้สึกเหมือนรสชาติของตะวันยังติดอยู่ที่ปลายลิ้น สัมผัสเท่าไหร่ เสพเท่าไหร่ก็ไม่มีวันพอ มีแต่จะต้องการมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าจะหยุดไม่ได้

และหลังจากที่ริมฝีปากของพลัฎฐ์ละออก ตะวันก็โกยอากาศเข้าปอดเต็มที่ ในขณะที่ในสายตาของพลัฎฐ์กลับมองเห็นเพียงแค่ใบหน้าหวานที่แดงก่ำลามไปยันคอ ตากลมโตชุ่มคลอไปด้วยน้ำใสที่เกิดจากแรงอารมณ์ ริมฝีปากเล็กๆ ที่กำลังบวมเจ่อ ซึ่งนั่นทำให้เขาอดใจไม่ไหว จึงลากริมฝีปากของตัวเองไปทั่วไปใบหน้า ข้างแก้ม และซอกคอขาวระหงของอีกฝ่าย กลิ่นหอมหวานที่มาจากร่างกายและซอกคอของตะวันทำให้สติของพลัฎฐ์แทบจะเตลิด ก่อนที่เสียงครางประท้วงเบาๆ ของตะวันจะดังขึ้นให้พลัฎฐ์ได้รู้ตัว

“พี่.. แฮ่ก พี่พลัฎฐ์ พอกะ ก่อนครับ”

“ไม่...” พลัฎฐ์ปฏิเสธทั้งที่ริมฝีปากและปลายจมูกโด่งยังคงวนเวียนอยู่แถวซอกคอของตะวัน ให้คนตัวเล็กกว่าต้องพยายามย่นคอหนี พลางรวบรวมสติแล้วเอ่ยเตือน

“พะ พอก่อนนะครับ.. นะ” ตะวันดันตัวพลัฎฐ์ออก ให้คนตัวโตกว่าต้องผละออกอย่างเสียดาย “จะได้เวลาเปิดร้านแล้ว.. อื้อ! ไม่ดื้อสิครับ”

ตะวันพยายามยกแขนมากันไว้ เมื่อเห็นพลัฎฐ์ทำท่าจะก้มลงมาซุกจมูกที่ซอกคอเขาอีกรอบ

“นานๆ จะได้อยู่ด้วยกันแค่สองคนสักที พี่ขอหนูอีกนิดไม่ได้เหรอครับ”

พลัฎฐ์อ้อน เริ่มเอาคำว่าหนูมาใช้เพราะรู้ดีว่าแม้ตะวันจะทำเป็นบ่นว่าไม่ชอบให้เขาเรียกว่าคำว่าหนูอย่างนั้น หนูอย่างนี้ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่พลัฎฐ์เอ่ยเรียก ไม่ว่าจะขออะไรตะวันก็แทบไม่เคยจะปฏิเสธเลยสักครั้ง

และครั้งนี้ก็เช่นกัน ถ้าไม่ติดว่า...

ก๊อกๆ

“พี่ตะวันคะ น้ำตาลจะเปิดร้านแล้วนะคะ พี่ตะวันจะให้ยกขนมอะไรขึ้นตู้บ้างคะวันนี้”

เสียงเคาะประตูที่ดังแทรกมาพร้อมกับเสียงของน้ำตาลเด็กในร้าน ทำเอาตะวันกระเด้งตัวออกจากพลัฎฐ์แทบไม่ทัน

“รอพี่แปปนึงน้ำตาล เดี๋ยวพี่ออกไปดูเอง”

ตะวันตะโกนตอบออกไปนอกห้อง และพอได้ยินเสียงฝีเท้าของน้ำตาลถอยห่างออกไป พลักฐ์ก็ถอนหายใจออกมาแรงๆ เพราะรู้ว่าตอนนี้เวลาส่วนตัวของเขากับตะวันได้หมดลงแล้ว

“ไปทำงานได้แล้วครับพี่พลัฎฐ์ เดี๋ยวคุณฝ้ายก็โทรตามอีก”

ตะวันพูดพลางเสสายตามองไปทางอื่น เขาไม่กล้ามองหน้าพลัฎฐ์เลยสักนิด ถ้าให้เดาตอนนี้หน้าเขาต้องแดงก่ำเป็นลูกมะเขือเทศสุกแน่ๆ

แต่พลัฎฐ์ก็ยังคงเป็นพลัฎฐ์ เมื่อมือใหญ่เอื้อมไปเชยคางให้ตะวันหันมาก่อนจะก้มหน้าลงไปช้าๆ ให้ตะวันได้คิดว่าตัวเองต้องโดนจูบอีกรอบแน่ๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วคนตัวโตกว่าเพียงแค่ไล้ลิ้นลงไปเบาๆ ตรงที่มีน้ำใสติดอยู่บริเวณมุมปากของตะวันเท่านั้น ก่อนจะจูบซับให้อย่างอ่อนโยน

“เดี๋ยวคนสงสัย แค่เจ้าของร้านออกไปหน้าแดงก่ำ ปากบวมเจ่อก็น่าสงสัยพออยู่แล้วเนาะ หึๆ” พลัฎฐ์เอ่ยแซวพร้อมกลั้วหัวเราะ เลยได้รับกำปั้นใหญ่ๆ ทุบลงไปบนอกกว้างแทน

“ไปทำงานเลยครับ ไปเลยยยยย”

ตะวันเขินหนัก เลยจับคนตัวโตกว่าหันหลังแล้วดันให้อีกฝ่ายออกเดินไปที่ประตู ก่อนที่พลัฎฐ์จะเอี้ยวตัวกลับมาบอกในสิ่งที่เขาได้บอกตะวันไปก่อนหน้ารอบหนึ่งแล้ว

“แต่วันนี้พี่มีประชุมเที่ยงจริงๆ นะครับ อาจจะลงมากินข้าวกับตัวเล็กไม่ได้”

ตะวันพยักหน้ารับเข้าใจ “ไม่เป็นไรครับ ไว้เจอกันตอนเย็นที่จะไปรับเด็กๆ ทีเดียวเลยก็ได้”

แต่กลับกลายเป็นว่าคนที่งอแงคือพลัฎฐ์เสียอย่างนั้น

“แต่พี่อยากกินข้าวกับตัวเล็กอ่ะ ตัวเล็กห่อปิ่นโตขึ้นไปกินกับพี่ที่ออฟฟิศได้ไหม” พลัฎฐ์พูดพลางส่งสายตาออดอ้อน “ถ้าตอนเที่ยงคนเยอะ พี่รอกินตอนบ่ายก็ได้ นะครับตัวเล็กนะ ขึ้นไปกินที่ห้องทำงานพี่กัน พี่จะได้อวดห้องทำงานให้ตัวเล็กดูด้วยไง ตัวเล็กยังไม่เคยได้ขึ้นไปที่ห้องทำงานพี่เลยนะ”

ตะวันหัวเราะเบาๆ เมื่อได้ยินอีกฝ่ายหลอกล่อเขาราวกับเป็นเด็ก ซึ่งก็ดันเป็นของหลอกล่อที่ถูกใจตะวันเสียด้วย

“ก็ได้ครับก็ได้” ตะวันสบตาอีกฝ่ายอย่างอ่อนใจ ดูเหมือนว่าตั้งแต่เริ่มคบกัน เขาจะตามใจพลัฎฐ์จนอีกฝ่ายเริ่มจะเคยตัว แต่ก็เป็นการตามใจที่เขารู้สึกดีและได้ประโยชน์ด้วยไม่ต่าง “แต่ตะวันขอเป็นบ่ายโมงไปแล้วนะครับ ช่วงเที่ยงคนเยอะ เดี๋ยวเหลือกันสี่คนแล้วจะทำไม่ทันกัน”

“ไม่มีปัญหาครับ พี่รอได้ เพราะพี่ก็น่าจะประชุมเสร็จบ่ายเหมือนกัน” พลัฎฐ์ยิ้มกว้าง พลางก้มลงไปหอมแก้มนิ่มๆ แทนคำขอบคุณ

“ไปได้แล้วครับ สายแล้ว เดี๋ยวกลางวันตะวันขึ้นไปหา” คนหน้าหวานส่งยิ้มกว้างให้คนรักได้ใจเต้น

“ตะวันบอกที่ฟร้อนท์ด้านล่างได้เลยนะครับว่ามาหาพี่ เดี๋ยวพี่จะสั่งคุณฝ้ายเอาไว้ ไม่ต้องเกรงใจนะ”

ตะวันยิ้มรับพร้อมพยักหน้าก่อนจะโบกมือไล่ให้พลัฎฐ์ไปทำงานเมื่อสองคนเดินมาถึงหน้าร้านที่รถของพลัฎฐ์จอดอยู่

“พี่ไปนะครับ แล้วเดี๋ยวบ่ายโมงเจอกัน” ตะวันพยักหน้ารับรู้ ก่อนที่พลัฎฐ์จะพูดบอกอีกฝ่ายอย่างเจ้าเล่ห์ เมื่อตัวเองเดินมาถึงรถแล้ว

“อ้อ! ห้องทำงานพี่ก็เป็นส่วนตัวนะครับตัวเล็ก ส่วนตัวแบบสุดๆ เลย”

ตะวันถลึงตาใส่อีกฝ่ายทันทีที่พลัฎฐ์พูดจบประโยคเพราะรู้ดีว่าคนรักของตัวเองหมายถึงเรื่องอะไร ซึ่งพลัฎฐ์ก็ไม่รอให้ตะวันเปลี่ยนใจ เขารีบกระโดดขึ้นรถแล้วขับออกไปทันที ให้ตะวันได้มองตามท้ายรถพลางส่ายศีรษะออกมาอย่างปลงๆ

ขาเข้าไปกับขาออกมานี่อย่างกับคนละคน ... ไม่รู้ว่าขี้งอนหรือขี้ลวนลามกันแน่ มีแฟนทั้งทีปวดหัวไม่ต่างจากมีน้องชายเลยตะวัน

.

.

.

To Be Continue

----------------------------------

Talk: //เสกคำสาปกรีดแทงใส่นังพี่พะลัด!!

ฝากติดแท็ก #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว ในทวิตเตอร์ด้วยนะคะ และก็ขอบคุณมากๆ สำหรับทุกคอมเม้นท์ ทุกกำลังใจ ทุกคลิก ทุกไลค์ที่เข้ามาอ่าน ขอบคุณมากๆ พวกคุณคือฮีโร่ของเราเลยนะ ... แล้วไว้เจอกันตอนหน้าจ้า

เริ้บทุกคนมากๆ
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 12th - 26/07/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 27-07-2019 02:03:11
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 13th - 30/7/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 30-07-2019 20:40:36
:: Chapter 13th - พี่ดุนะ หนูไหวเหรอ? ::



“เรียบร้อยแล้วค่ะพี่ตะวัน แน่ใจนะคะว่าจะไม่ให้น้ำตาลเป็นคนถือไปส่งให้”

คนเป็นเจ้าของร้านมองปิ่นโตหนึ่งเถา กับกล่องใส่อาหารที่บรรจุขนมเค้กกับคุ้กกี้และผลไม้อย่างละกล่องที่อยู่ในถุงผ้าด้วยสายตาอ่อนโยน ตะวันส่ายหน้าให้กับคนถาม ก่อนจะยิ้มบางๆ แล้วรวบของทุกอย่างมาไว้ในมือทั้งสองข้างด้วยความทะมัดทะแมง

“ไม่เป็นไรหรอกน้ำตาล เดี๋ยวพี่เอาไปให้พี่พลัฎฐ์เอง รับปากเค้าไว้แล้ว เดี๋ยวถ้าผิดสัญญาก็จะมางอแงใส่พี่อีก”

น้ำตาลยิ้มล้อ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรให้ตะวันเขินไปมากกว่าที่เป็นอยู่

“งั้นตามสบายค่ะ พี่ตะวันไม่ต้องห่วงร้านนะคะ น้ำตาลกับพี่มีนาดูแลได้”

ตะวันเองก็คิดแบบนั้นถึงได้ตัดสินใจทิ้งร้านไปหาพลัฎฐ์ในช่วงกลางวัน นั่นเป็นเพราะเท่าที่ดูแล้ววันนี้ลูกค้าไม่ได้เยอะเท่าไหร่ ติดจะมากันเรื่อยๆ เสียมากกว่า เขาเลยคิดว่าน้ำตาลกับมีนาน่าจะเอาอยู่ ส่วนเค้กและขนมที่ทำไว้ขายในตอนกลางวันตะวันก็คิดว่าตัวเองทำไว้มาพอสมควรแล้ว เลยไม่ได้กังวลนักที่จะปล่อยให้เด็กในร้านทั้งสองคนที่เขาไว้ใจดูแลร้านกันเอง

“ขอบใจน้ำตาลมาก งั้นพี่ฝากร้านด้วยนะ เดี๋ยวพี่พลัฎฐ์ทานเสร็จแล้วพี่จะรีบลงมา”

เจ้าของร้านตัวเล็กว่า ก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากร้านลัดเลาะตามถนนไปเรื่อยๆ เพื่อทะลุไปยังทางเข้าตึกออฟฟิศสูงเกือบสามสิบชั้นของพลัฎฐ์ ระหว่างเดินไปตะวันก็คิดว่า เด็กๆ ในร้านรวมถึงป้าวันดีน่าจะรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพลัฎฐ์ดี แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดได้บอกออกไปก็ตาม

เพราะถึงแม้ว่าพลัฎฐ์กับตะวันจะคบกันมาได้สามอาทิตย์แล้ว แต่ทั้งสองก็ยังไม่ได้บอกอะไรใคร อาจจะยกเว้นชนกันต์ไว้คนหนึ่ง เพราะรายนั้นโทรมาบีบบังคับให้ตะวันเล่า ตั้งแต่หลังจากวันที่ตะวันโทรไปปรึกษาแล้ว จะปิดก็ไม่ได้เพราะชนกันต์ถามซอกแซก ถามแบบต้องรู้คำตอบ อย่างกับว่าถ้าวันนี้ไม่ได้รู้จะไม่ยอมวางสายอะไรแบบนั้น

สุดท้ายคนที่เคยไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมชนกันต์อย่างภานรินทร์ก็มีเหตุให้รับสารภาพไป เพราะการที่เขาได้คบกับพลัฎฐ์ในแบบนี้ส่วนหนึ่งก็มาจากคำแนะนำของลูกพี่ลูกน้องสุดที่รักด้วย จึงเห็นได้ว่าพลัฎฐ์ไม่ได้โกรธเคืองอะไรเลย แม้จะรู้ว่าตะวันพึ่งพาชนกันต์มากแค่ไหนกับความสัมพันธ์ในครั้งนี้ของทั้งสองคน

แต่กับทางพลัฎฐ์นี่สิ ไม่รู้ว่านอกจากคุณแม่แล้ว พลัฎฐ์ได้บอกเพื่อนร่วมงาน หรือเพื่อนสนิทอะไรของอีกฝ่ายไหม

ตะวันอดยอมรับไม่ได้ว่าเขาตื่นเต้นไม่น้อย จะบอกว่าไม่คาดหวังเลยก็ไม่ได้ เพราะตะวันค่อนข้างซื่อตรงกับความรู้สึกตัวเอง เลยอดแอบคิดไม่ได้ว่า ทางฝั่งของคนรัก ได้บอกใครไปบ้างว่ากำลังคบกับเขาอยู่

ซึ่งคำตอบที่ตะวันได้รับ กลับไม่เป็นไปตามที่เขาคิดไว้สักเท่าไหร่...

“ผมมาพบคุณพลัฎฐ์ครับ”

ร่างเล็กในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้าพับแขนขึ้นมาถึงเกือบข้อศอก กางเกงสีครีมห้าส่วน เหน็บชายเสื้อข้างหนึ่งไว้ในกางเกง ส่วนชายเสื้ออีกฝั่งปล่อยลอยชาย รองเท้าผ้าใบสีขาว ที่เพิ่งเดินเข้ามาในออฟฟิศสุดหรูกลางเมือง ตรงดิ่งไปที่ประชาสัมพันธ์พร้อมกับเอ่ยถึงจุดประสงค์ของตัวเอง

“ติดต่อเรื่องอะไรคะ?” เสียงหวานของรีเซฟชั่นทำให้ตะวันนึกชื่นชม เขาจึงบอกไปตามที่พลัฎฐ์สั่งเอาไว้

“คุณพลัฎฐ์ทราบครับว่าผมจะมาหา แจ้งเลขาฯ ของเขาไปก็ได้ครับว่าตะวันมาแล้ว”

พนักงานต้อนรับยังคงยิ้มหวานให้ตะวัน แต่สายตาที่มองมากลับไม่เป็นมิตรเท่าในคราวแรก และดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้มีท่าทีหรือมีความพยายามที่จะติดต่อเลขาฯ ของพลัฎฐ์ตามที่เขาบอกเลยสักนิด

“ถ้าไม่ได้นัดไว้ และไม่สามารถแจ้งได้ว่ามาติดต่อท่านรองประธานฯ เรื่องอะไร ดิฉันคงไม่สามารถปล่อยให้คุณขึ้นไปพบท่านได้นะคะ”

ตะวันยิ้มแหยๆ ทันทีเมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดแบบนั้น และก็ยิ่งรู้สึกแย่มากกว่าเดิม เมื่อสายตาของพนักงานต้อนรับกวาดมองตั้งเท้าจรดศีรษะของตะวันแบบไม่เกรงใจ เมื่อเธอเห็นปิ่นโตและถุงกล่องใส่อาหารในมือของตะวัน

“หรือถ้าเป็นแค่คนที่จะมาส่งอาหาร” ดวงตาอีกฝ่ายมองกราดไปทั่วทั้งร่างเล็กด้วยสายตาที่ไม่มีมารยาท “ก็ฝากไว้ก็ได้ค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะนำขึ้นไปให้ท่านเอง”

ตะวันรู้สึกแย่ทันทีเมื่อได้ยินคำพูดและสายตากึ่งๆ ดูถูกแบบนั้น เพราะถ้าเขาเป็นแค่เจ้าของร้านอาหาร หรือเป็นแค่คนมาส่งอาหารจริง เขาสมควรได้รับคำพูดจากอีกฝ่ายแบบนี้เหรอ นี่มันไม่ยุติธรรมเลย

“งั้นผมรบกวนคุณช่วยติดต่อเลขาฯ...”

“ขอโทษนะคะคุณ บริษัทเราเจอคนประเภทคุณเยอะมาก และเราก็ต้องรับมือทุกวัน ซึ่งถ้าคุณแค่มาส่งอาหาร ก็ฝากไว้ค่ะ ที่เหลือพวกเราจะจัดการต่อเอง”

ตะวันหน้าเสีย เขารู้สึกอายมากเพราะน้ำเสียงของพนักงานต้อนรับไม่ได้เบาเลยกับประโยคเมื่อสักครู่นี้ ซึ่งตะวันเข้าใจในเรื่องของการรักษาความปลอดภัยของออฟฟิศใหญ่ๆ แบบนี้ดี และอีกอย่างเขาเองก็ไม่เคยมาออฟฟิศของพลัฎฐ์เลย เวลาพลัฎฐ์จะกินข้าว พลัฎฐ์ก็จะไปหาเขาที่ร้าน เวลาจะไปรับเด็กๆ ด้วยกัน พลัฎฐ์ก็จะแวะไปรับเขาเอง ดังนั้น คนที่นี่จะไม่รู้จัก หรือไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร ตะวันก็พอเข้าใจได้

แต่พลัฎฐ์บอกไว้ไม่ใช่หรอ ว่าจะบอกไว้ให้ว่าเขาจะมา แต่เขากลับต้องมาเจออะไรแบบนี้...

“งั้นไม่เป็นไร...”

“เชิญค่ะ กรุณาอย่าเกะกะขวางทางคนอื่น มีคนจะติดต่อและพูดรู้เรื่องมากกว่าคุณรออยู่เยอะแยะ ถ้าไม่คิดจะทำตามที่ทางเราบอก ก็ออกจากบริเวณนี้ด้วยค่ะ”

เหล่าบรรดาคนที่ใส่สูท แต่งตัวด้วยชุดของผู้บริหารที่มารอติดต่อมองตะวันเป็นตาเดียว แค่เสื้อผ้าการแต่งกายตะวันก็รู้สึกแปลกแยกกับคนอื่นจะแย่ แล้วยังจะต้องมาได้ยินสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกไม่ดีอีก

“เป็นแค่เด็กส่งของ ทำมาพูดนั่นพูดนี่ ไล่ก็ไปไม่ น่ารำคาญชะมัด” เสียงต่อว่าของพนักงานคนนั้นที่กำลังคุยกับเพื่อนพนักงานอีกคนลอยมาราวกับจงใจจะให้เขาได้ยิน “ตัวมีแต่กลิ่นขนม มาจากไหนก็ไม่รู้”

... และตะวันก็ได้คำตอบ ว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ของเขา

ตะวันรู้สึกไม่ดีมากๆ เลยเตรียมที่จะหมุนตัวเดินออกไปจากที่นี่ แต่กลับได้ยินเสียงเรียกของใครบางคนเสียก่อน

“คุณตะวันคะ คุณตะวัน” ร่างเล็กหันกลับไปมอง ก่อนจะเห็นเลขาฯ ของพลัฎฐ์วิ่งหน้าตาตื่นมาหาเขา

“คุณฝ้าย” ตะวันพึมพำชื่ออีกฝ่าย เขาเคยเจอเธออยู่บ้างตอนที่พลัฎฐ์ไหว้หวานให้เอาของไปให้ หรือไปรับน้องพีในบางวัน

“ท่านรองประธานฯ ไม่เห็นคุณตะวันขึ้นไปสักที เลยให้ฝ้ายลงมาตาม” เธอมองหน้าอีกฝ่ายที่ดูไม่สู้ดีนักนิ่ง ก่อนจะเอ่ยถามอย่างสงสัย “แล้วนี่คุณตะวันจะไปไหนคะ มาถึงนานแล้วหรือยัง?”

ตะวันยิ้มบาง ก่อนจะยื่นปิ่นโตกับถุงผ้าที่มีทั้งขนม คุ้กกี้และผลไม้อยู่ในนั้นให้อีกฝ่าย

“ผมฝากให้พี่พลัฎฐ์ด้วยนะครับ มีขนมของคุณฝ้ายอยู่ในถุงด้วย เดี๋ยวยังไงผมขอตัวก่อน ขึ้นไปเจอพี่พลัฎฐ์ในสภาพเนื้อตัวมอมแมมแบบนี้คงไม่เหมาะเท่าไหร่”

ตะวันเลือกที่จะไม่ตอบคำถามของอีกฝ่าย แต่เลือกที่จะขอร้องด้วยเสียงสั่นๆ จนเลขาฯ ของพลัฎฐ์ใจไม่ดี เธอรู้ดีว่าขืนเธอขึ้นไปโดยที่ไม่ได้พาคนรักของท่านรองประธานฯ ขึ้นไปด้วย มีหวังวันนี้พลัฎฐ์ต้องหงุดหงิดยันถึงเย็นแน่ๆ

“คุณตะวันคะ ท่านรองประธานฯ รอเจอคุณอยู่นะคะ ฝ้ายขอร้องล่ะค่ะ ขึ้นไปเจอท่านหน่อย วันนี้การประชุมเครียดมาก ถ้าคุณไม่ขึ้นไป...”

“บอกพี่พลัฎฐ์แบบนี้แหละครับ พี่พลัฎฐ์น่าจะเข้าใจ ผม... ตัวผมมีแต่กลิ่นขนมที่ติดมาจากครัว ผมว่ามันไม่เหมาะจริงๆ นะครับคุณฝ้ายที่ผมจะขึ้นไปชั้นผู้บริหารแบบนั้น”

ตะวันพยายามชี้แจง แต่สีหน้าของคนพูดดูแย่มาก จนเลขาฯ ของพลัฎฐ์รู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ผิดปกติ “ผมไม่อยากให้ใครมาว่าพี่พลัฎฐ์ได้น่ะครับ”

แม้ริมฝีปากสีสดจะยกยิ้มบาง แต่ดวงตากลมกลับแห้งแล้ง และจากคำพูดของตะวันบวกกับสีหน้าที่ไม่สู้ดีนักของพนักงานต้อนรับที่เธอเหลือบไปเห็นพอดี ก็ทำให้เลขาฯ คนเก่งของพลัฎฐ์เดาเรื่องทั้งหมดออก ซึ่งเธอจะลงมาจัดการแน่ แต่ก่อนอื่นเธอต้องพาตะวันขึ้นไปหาเจ้านายของเธอให้ได้ก่อน

“คุณฝ้าย! ตะวันล่ะ?...” น้ำเสียงทุ้มที่ติดจะหงุดหงิดนิดหน่อยของพลัฎฐ์ดังก้องทั่วบริเวณโถงทางเดินหน้าลิฟต์โดยสาร ก่อนที่เจ้าตัวจะยิ้มกว้างเมื่อมองเห็นคนที่ตัวเองอยากเจอยืนอยู่ข้างเลขาฯ คนสนิท “ตัวเล็ก!”

พลัฎฐ์เดินตรงดิ่งมาหาตะวันทันพร้อมใบหน้าหล่อเหลาที่อ่อนโยนลงราวกับเป็นคนละคน แต่แล้วความแปลกใจก็ปรากฎขึ้นแทน เมื่อร่างเล็กที่เขากำลังจะเดินหา ค่อยๆ ถอยหลังหนี จนทำให้ใจพลัฎฐ์นึกร้อนรนขึ้นมาทันที

“ตะ.. ตะวันฝากขนมกับอาหารไว้ที่คุณฝ้ายแล้ว พี่พลัฎฐ์ทานเยอะๆ นะครับ” ในขณะพูดตะวันก็ยังคงก้าวถอยหลังเรื่อยๆ “ยังไงตะวันขอกลับ...”

และไม่ทันที่ตะวันจะได้พูดประโยค รูปร่างสูงใหญ่ของพลัฎฐ์ก็พุ่งประชิดตัว มือใหญ่ยื่นไปรั้งข้อมือเล็กแล้วกระตุกเข้ามาใกล้ ในขณะที่ตะวันพยายามจะขืนตัวหนีอีกฝ่ายอย่างเห็นได้ชัด

“ตัวเล็กครับ เกิดอะไรขึ้น ไหนว่าจะมากินข้าวกลางวันกับพี่ไง นี่พี่รออยู่ ทำไมไม่ขึ้นไปสักที”

และดูเหมือนว่าพนักงานต้อนรับคนที่ก่อนหน้านี้พูดจาไม่ดีกับตะวัน จะเห็นภาพความสนิทสนมที่เจ้านายตัวเองมีให้กับอีกฝ่าย คนทำผิดเลยหน้าซีดเผือด พยายามกุลีกุจอเพื่อที่จะเข้าไปขอโทษและแก้ตัว โดยที่ไม่ได้รู้เลยว่ากำลังสร้างความเดือดร้อนให้ตัวเอง

“คือ.. ดิฉันผิดเองค่ะท่านรองประธานฯ ดิฉัน... ดิฉันไม่ทราบว่าคุณเขาเป็นแขกของท่านรองประธานฯ เลย.. ก็เลย..” คนทำผิดพูดจาอึกอัก ซึ่งเอาเข้าจริงพลัฎฐ์ก็พอจะเดาได้ลางๆ ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และนั่นก็ยิ่งทำให้เขาโมโหหนัก

เหตุผลเป็นเพราะการประชุมก่อนช่วงเที่ยงที่ผ่านมาค่อนข้างน่าหงุดหงิดกับพลัฎฐ์พอสมควร แต่เขาก็พยายามระงับอารมณ์ เพราะคิดว่าอีกไม่กี่อึดใจก็จะได้เจอคนที่ทำให้เขาได้รู้สึกดีแล้ว แต่พอประชุมเสร็จรอจนแล้วจนรอดก็ยังไม่เห็นตะวันขึ้นมาเสียที พอให้เลขาฯ ลงมาตามก็หายไปเสียนาน จนพลัฎฐ์ทนไม่ไหวเลยต้องลงมาตามเอง แล้วสิ่งที่ได้เห็นก็คือตะวันทำท่าเหมือนไม่ยอมให้เขาจับ ทำท่าเหมือนไม่อยากขึ้นไปหา เลยยิ่งทำให้อารมณ์หงุดหงิดของพลัฎฐ์พุ่งถึงขีดสุด และมันก็ยิ่งทะลุจุดเดือดขึ้นไปอีก เมื่อพลัฎฐ์พอจะรู้สาเหตุว่าทำไมตะวันถึงมีท่าทีหลบเลี่ยงเขาแบบนี้

“ผมสั่งไว้ว่ายังไงคุณฝ้าย?” พลัฎฐ์หันไปมองเลขาฯ ของตัวเองด้วยสายตาเรียบนิ่งไม่บ่งบอกอารมณ์ แต่คนที่ทำงานมาด้วยกันอยู่หลายปีอย่างเลขาฯ ส่วนตัว ทำไมจะไม่รู้ว่าตอนนี้กราฟอารมณ์ของเจ้านายตัวเองเป็นยังไง

“ค่ะ ฝ้ายทราบ แล้วฝ้ายก็จำได้ว่าฝ้ายโทรไปแจ้งที่แผนกต้อนรับแล้วตั้งแต่เมื่อเช้า” คนที่ได้ชื่อว่าเป็นเลขาฯ ตวัดสายตามองไปยังคนต้นเหตุนิ่ง ไม่ใช่ว่าพลัฎฐ์คนเดียวสักหน่อยที่น่ากลัวเวลาดุ เธอเองก็ไม่ต่าง ไม่อย่างนั้นเธอจะเป็นเลขาฯ ที่จัดการทุกอย่างแทนพลัฎฐ์ได้มาหลายปีแบบนี้เหรอ

“ว่าไงคะ? เกิดอะไรขึ้น? คุณชี้แจงให้ท่านรองประธานฯ ทราบได้ไหม? หรือคุณไม่ทราบว่าจะมีแขกมาพบท่านรองประธานทั้งที่ดิฉันก็แจ้งไปทางแผนกต้อนรับให้ทราบแล้ว”

คุณฝ้ายไล่บี้ถามหาความจริงจากอีกฝ่ายที่ได้แต่ก้มหน้างุด ตัวสั่นเทา จนคนที่ถูกกระทำก่อนหน้าอย่างตะวันนึกเห็นใจ เลยตัดสินใจออกปาก

“พี่พลัฎฐ์ครับ คือตะวัน...” แต่ยังไม่ทันที่จะได้เริ่มพูด คนที่มีอำนาจสูงสุดในเวลานั้นก็เอ่ยแทรกขึ้นมาเสียก่อน

“มีอะไรขึ้นไปคุยกันที่ห้องผม ตามผมมา” น้ำเสียงเด็ดขาดของพลัฎฐ์เอ่ยกับทั้งพนักงานต้อนรับและเลขาฯ ของตัวเอง ซึ่งแม้จะไม่ได้กระโชกโฮกฮาก แต่ก็ฟังรู้ได้โดยไม่ต้องบอกว่าคนพูดอยู่ในอารมณ์แบบไหน แต่เมื่อคนที่เด็ดขาดเมื่อครู่หันมาสบตากับดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้มของคนรัก เสียงที่เคยเรียบนิ่งก็อ่อนโยนลงทันที ซึ่งบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าคนตรงหน้ามีความสำคัญกับเขามากแค่ไหน

“ตัวเล็ก... พี่ยังไม่อยากให้ตัวเล็กกลับ พี่ขอร้องให้อยู่กับพี่ก่อนได้ไหมครับ”

“...” ตะวันไม่ตอบอะไรแต่มองหน้าอีกฝ่ายนิ่ง ใบหน้าหวานดูลำบากใจเล็กน้อย พลัฎฐ์จึงตัดสินใจกระชับมือใหญ่กับข้อมือเล็กแน่นราวกับจะอ้อน ก่อนจะพูดประโยคที่คิดว่าตะวันได้ยินแล้วจะต้องเห็นใจแน่ๆ

“พี่เหนื่อยกับการประชุมมากๆ ไม่อยากแม้แต่จะกินข้าวด้วยซ้ำ แล้วตัวเล็กยังจะ...”

“ก็ได้ครับ อยู่ก็ได้ ตะวันยอมแล้ว”

รอยยิ้มของคนหน้าดุที่ไม่ได้เห็นบ่อยกลับปรากฎขึ้นที่ริมฝีปากหยักที่ก่อนหน้านี้เรียบตึงจนน่ากลัว สถานการณ์กดดันดูผ่อนคลายขึ้นทันทีเพียงแค่คนตัวเล็กร่างบางบอกว่าจะอยู่ต่อ เลยทำให้เลขาฯ สาวของพลัฎฐ์นึกหายใจหายคอได้ทั่วท้อง แต่คนมีความผิดอย่างพนักงานหน้าสวยแต่กริยาไม่งามคนนั้นกลับรู้สึกเย็นยะเยือกยิ่งกว่าเดิม เมื่อได้ตระหนักเห็นกับตาของตัวเองว่าคนที่ตนขับไล่แบบไม่ให้เกียรติก่อนหน้านี้นั้น สำคัญกับเจ้านายตัวเองมากแค่ไหน

คิดดูเอาแล้วกันว่า คุณคนหน้าหวานนั่นพูดไม่กี่คำก็ทำให้เสือยิ้มยากอย่างพลัฎฐ์ยิ้มออก

ที่ต้องภาวนาก็คือขอให้เธอไม่โดนไล่ออกแล้วกัน

.

.

.

“ผมอยากรู้เรื่องทั้งหมดเดี๋ยวนี้!”

เสียงทุ้มนุ่มหูที่ตะวันเคยได้ยินบ่อยๆ ใยนามปกติช่างแตกต่างจากตอนนี้โดยสิ้นเชิง แม้ประโยคก่อนหน้าพลัฎฐ์จะไม่ได้พูดกับตะวัน แต่ตะวันก็อดรู้สึกสงสารพนักงานต้อนรับคนที่กำลังยืนก้มหน้านิ่ง คนที่พลัฎฐ์เพิ่งจะเอ่ยคำถามออกไปด้วยไม่ได้

ตะวันลังเลมาก เขาอยากจะเอ่ยช่วยพนักงานคนนั้น แต่ในเวลานี้ตะวันกลับรู้สึกว่าการเอ่ยปากปกป้องพนักงานหญิงคนนั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาควรทำ ในบริษัทนี้ ในห้องนี้ อำนาจและสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของพลัฎฐ์ และตะวันเองก็ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของที่นี่ เขาไม่รู้เลยว่าพลัฎฐ์ปกครองดูแลผู้ใต้บังคัญชาอย่างไร มันอาจจะแตกต่างกับวิธีที่ตะวันดูแลเด็กๆ หรือพนักงานในร้าน เพราะปัจจัยและสภาพแวดล้อมมันเป็นคนละแบบ ดังนั้นตะวันจึงคิดว่ามันคงไม่ใช่วิธีที่ดีนักหากเขาจะยื่นมือไปยุ่งในเรื่องนี้ เพราะนอกจากจะทำให้พลัฎฐ์ต้องเสียหน้าแล้ว เขาอาจจะกลับทำให้เรื่องราวทุกอย่างมันเลวร้ายลงกว่าเดิมด้วยก็ได้

“คือ.. คือดิฉัน ดิฉันไม่ทราบว่าคุณตะวันเป็นแขกของท่านรองประธานฯ ค่ะ ดิฉันก็เลยเผลอพูดจาไม่สุภาพใส่” พนักงานหญิงคนนั้นพูดไปเสียงสั่นไปจนน่าสงสาร แต่พลัฎฐ์ก็ยังคงนั่งฟังด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง แววตาไม่บ่งบอกความรู้สึกใดๆ

“แล้วทำไมคุณถึงคิดว่าตะวันไม่ใช่แขกของผม” พลัฎฐ์ถามเสียงเข้ม ก่อนจะหันมาหาคนตัวเล็กกว่าที่นั่งอยู่ตรงโซฟารับแขก มุมขวาของห้อง ไม่ไกลจากโต๊ะทำงานของพลัฎฐ์เท่าไหร่นัก

“ตัวเล็กครับ ตัวเล็กไม่ได้บอกพนักงานเหรอครับว่าตัวเล็กมาหาพี่” แต่น้ำเสียงยามทอดถามตะวันอ่อนโยนราวกับไม่ใช่คนเดียวกับที่ถามพนักงานก่อนหน้า

ตะวันมีสีหน้าลำบากใจ พูดความจริงก็กลัวพนักงานจะเดือดร้อนกว่าเดิม แต่ครั้นจะให้โกหก นั่นก็ไม่ใช่นิสัยที่เขาเป็น

ตะวันนิ่งคิดอยู่นาน จนกระทั่งคุณฝ้าย เลขาฯของพลัฎฐ์ ยื่นมือมาแตะแขนเรียวเบาๆ พร้อมกับพยักหน้าให้น้อยๆ ราวกับจะกระตุ้นให้ตะวันตอบไปตามความเป็นจริง

“บอกครับ แต่คุณพนักงานเขาอาจจะ...”

“คุณตะวันก็แจ้งคุณไปแล้วนี่ ว่าเขามาหาผม แต่ทำไมคุณถึงไม่ยอมปล่อยให้เขาขึ้นมา”

พลัฎฐ์ไม่รอให้ตะวันพูดจบประโยค เพราะเขารู้ดีว่าคนจิตใจอ่อนโยนแบบตะวันคงจะพยายามหาข้อแก้ตัวมาออกรับแทนพนักงานคนตรงหน้าเขาแน่ๆ พลัฎฐ์จึงเลือกที่จะตัดบท เพราะกลัวตัวเองจะใจอ่อนให้ตะวัน

“คือดิฉัน .. ดิฉัน...” พนักงานหญิงอึกอักหนัก เธอพยายามจะหาข้อแก้ตัวที่ฟังแล้วสมเหตุสมผลมากที่สุด ทั้งที่เธอก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าทำไมเธอถึงไม่ยอมปล่อยให้ตะวันขึ้นมา

“ผมถาม! ให้ตอบ!” พลัฎฐ์ถามเสียงแข็ง มือใหญ่ตบลงบนโต๊ะทำงานไม่แรงนัก แต่ก็ทำให้คนทั้งห้องสะดุ้งได้ ยกเว้นเลขาฯ คนเก่งของพลัฎฐ์ที่ยืนนิ่ง ราวกับนี่ไม่ใช่เรื่องผิดปกติแต่อย่างใด

“ฮึก.. ดิฉัน ดิฉันเห็นว่าคุณตะวันแต่งตัวปอนๆ ไม่เหมือนกับนักธุรกิจหรือ ฮึก.. คู่ค้าท่านอื่นๆ ที่มาพบท่านรองประธานฯ ค่ะ ดิฉันก็เลย...”

พนักงานคนดังกล่าวกล่าวเสียงสั่น ตัวสั่น พร้อมกับน้ำตาที่ไหลทะลักออกมาเพราะความตกใจในท่าทีของคนที่เป็นเจ้านาย และด้วยความกลัวลนลานเธอจึงเผลอสารภาพสิ่งที่ตัวเองคิดขณะกีดกันตะวันไม่ให้ขึ้นมาจนหมดสิ้น ทำเอาพลัฎฐ์ที่ได้ยินคำตอบแล้วถึงกับกัดฟันกรอดด้วยความโกรธ เขาจึงตัดสินใจพูดแทรกในสิ่งที่พนักงานคนนั้นพูดให้จบประโยคแทน

“คุณก็เลยพูดจาไม่ดีใส่ ดูถูก และไล่ให้ตะวันออกไปจากตึกใช่ไหม”

พนักงานหญิงคนนั้นน้ำตานองหน้า พร้อมกับพยักหน้ารับในสิ่งที่พลัฎฐ์ถามอย่างจำยอม

“ดิฉันขอโทษค่ะ ดิฉันขอโทษ ดิฉันผิดไปแล้วค่ะท่านรองประธานฯ ดิฉันไม่ทราบว่าคุณตะวันเป็นคนสำคัญของท่านรองประธานฯ ดิฉันไม่ทราบจริงๆ”

เธอร้องไห้ไป กล่าวขอโทษไป ผงกศีรษะแล้วค้อมลงต่ำอย่างน่าสงสาร ตะวันมองภาพตรงหน้าอย่างทนไม่ได้ เลยตัดสินใจจะเอ่ยขอกับพลัฎฐ์ให้ยกโทษให้เธอ เพราะในเมื่อเวลานี้เธอก็สำนึกผิดแล้ว เขาไม่อยากให้พลัฎฐ์เอาความอะไรเธอมากมาย

“พี่พลัฎฐ์ครับ ตะวัน...

คนตัวโตกว่าหันมาตามเสียงเรียก ก่อนจะยกนิ้วชี้แตะริมฝีปากของตัวเอง และมองคนจิตใจอ่อนโยนอย่างตะวันด้วยสายตากึ่งขอร้องกึ่งบังคับ ว่าไม่ให้ตะวันเอ่ยขออะไรออกมาในตอนนี้

คนถูกขอร้องจึงยอมกลืนคำพูดลงคอ แล้วมองพนักงานคนดังกล่าวด้วยสายตาเห็นใจต่อไป เขาช่วยอะไรเธอในเวลานี้ไม่ได้จริงๆ เพราะพลัฎฐ์ไม่ยอม

“แล้วยังไงครับ? ถ้าคุณรู้ว่าตะวันเป็นแขกคนสำคัญ คุณก็จะดูแลตะวันอย่างดี ให้การต้อนรับอย่างดี ... แบบนี้ผมพูดถูกไหมครับ”

พนักงานคนดังกล่าวเงยหน้าขึ้นมาสบตกับพลัฎฐ์ ก่อนจะพยักหน้ารับยืนยันในสิ่งที่พลัฎฐ์พูด

“ใช่ค่ะ ดิฉันจะดูแลคุณตะวันอย่างดี ดิฉันจะไม่วันยอมให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้แน่ๆ ค่ะ”

ยิ่งตะวันได้ฟัง ตะวันยอมรับว่ายิ่งไม่สบายใจ เพราะมันเหมือนกับว่าพลัฎฐ์กำลังสร้างอคติและบรรทัดฐานผิดๆ ให้ลูกน้อง เพราะถ้าพลัฎฐ์ดุหรือต่อว่าใครเพียงเพราะดูแลตะวันไม่ดี มันดูสองมาตรฐานเกินไป แล้วแบบนี้ก็จะยิ่งสร้างความไม่พอใจให้กับพนักงานคนอื่นๆ ที่ได้ทราบเรื่องนี้ด้วย

แต่แล้วจู่ๆ ตะวันก็ได้ยินเสียงพรูลมหายใจยาวๆ ของพลัฎฐ์ เรียกให้เขาต้องหันกลับไปมอง

“นี่คุณไม่ได้เรียนรู้อะไรจากเรื่องนี้เลยสินะ”

พลัฎฐ์ลุกขึ้นยืนพร้อมกับจ้องหน้าของพนักงานคนนั้นนิ่ง ซึ่งเธอเองก็เงยหน้ามามองเขาตรงๆ ไม่ต่างจากตะวันที่มองไปยังพลัฎฐ์ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยเช่นกัน เพราะไม่เข้าใจในสิ่งที่พลัฎฐ์ต้องการจะสื่อเท่าไหร่

“คุณคิดว่าที่ผมเรียกคุณมาต่อว่า อบรม หรือทำโทษอยู่นี่เป็นเพราะคุณพูดจาไม่ดีใส่ตะวันถูกไหม” พลัฎฐ์ถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง แต่ใบหน้าหล่อเหลายังคงดุดันเหมือนเดิม

“...” พนักงานต้อนรับคนดังกล่าวพยักหน้ารับ เพราะเธอคิดว่าที่เธอกำลังโดนไล่ต้อนอยู่นี้เป็นเพราะไปล่วงเกินคนสำคัญของท่านรองประธานฯ เข้า

“แล้วทำไมคุณไม่คิดบ้างล่ะว่าที่ผมเรียกคุณมาอบรม หรือต่อว่าเนี่ย เป็นเพราะการกระทำที่ไม่เหมาะ และไม่เป็นไปตามหน้าที่ของการเป็นพนักงานต้อนรับที่ดีของคุณ”

พอพลัฎฐ์พูดจบ ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ ในขณะที่เลขาฯ คนสนิทยิ้มบางๆ เธอรู้ดีมาตั้งแต่ต้นแล้วว่าที่พนักงานคนนี้ถูกเรียกมาอบรมนั้นมีสาเหตุมาจากอะไร

“คุณตัดสินลูกค้าจากภายนอก คุณเชื่อในสิ่งที่ตัวเองคิด และใช้อคติบดบังหน้าที่ แล้วแบบนี้คุณจะเป็นพนักงานต้อนรับที่ดีได้ยังไงกัน”

พลัฎฐ์ลุกขึ้นเดินไปหยุดยืนตรงหน้าพนักงานหญิงที่กำลังก้มหน้านิ่ง และเธอคิดว่าเธอเข้าใจในสิ่งที่รองประธานฯ ของบริษัทกำลังจะสื่อถึง

“มันไม่ได้สำคัญเลยว่าตะวันจะเป็นแขกของผมหรือเปล่า หน้าที่ของคุณคือต้อนรับและปฏิบัติกับลูกค้าทุกคนอย่างเท่าเทียม คุณไม่มีสิทธิ์ตัดสินใครว่าเหมาะหรือไม่เหมาะที่จะเข้ามาพบผม คนที่มีสิทธิ์ตัดสินใจให้ใครเข้าพบหรือไม่เข้าพบคือผมและคุณฝ้าย ไม่ใช่คุณ”

ตะวันยิ้มบางๆ เมื่อเข้าใจในสิ่งที่พลัฎฐ์พูด ดวงตากลมโตที่ทอดมองไปยังคนตรงหน้าเต็มไปด้วยความชื่นชมและภูมิใจ โดยที่พลัฎฐ์ก็ยังคงพูดต่อ

“ถ้าคุณไม่แน่ใจว่าคนที่มาติดต่อเป็นแขกของผมรึป่าว สิ่งที่คุณต้องทำคือโทรขึ้นถามมาที่คุณฝ้าย เธอมีตารางนัดหมายของผม เธอรู้ว่าใครที่ผมรอพบ หรือไม่ได้รอพบ นั่นคือหน้าที่หลักของพนักงานต้อนรับ แต่ที่คุณทำวันนี้ก็คือ ตัดสินตะวันจากอคติของตัวเอง คุณดูถูก ช้ำยังพูดจาไม่สุภาพ แถมไล่ตะวันไม่ให้มาพบผม โดยที่คุณไม่แม้แต่จะโทรขึ้นมาถามคุณฝ้ายเลยด้วยซ้ำว่าตะวันเป็นแขกของผมจริงหรือเปล่า ถ้าสมมติว่าวันนี้ตะวันคือคนที่ต้องมาเซ็นสัญญามูลค่าหมื่นล้าน พันล้านกับผม คุณลองคำนวณสิว่าคุณจะทำให้บริษัทของเราเสียหายและสูญเงินมากแค่ไหน ... แล้วคุณคิดว่านี่มันใช่หน้าที่ของพนักงานต้อนรับที่ดีรึป่าวครับ?”

“... ฮึก ไม่ค่ะ” เธอตอบพลัฎฐ์ด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่น ไหล่บางยิ่งลู่ลงด้วยความรู้สึกผิด เธอผิด นั่นเพราะเธอบกพร่องในหน้าที่ ไม่ใช่เพราะเธอต่อว่าหรือแสดงกริยาที่ไม่ดีต่อคนสำคัญของท่านรองประธานฯ

“จำไว้นะครับ ไม่ว่าใครที่เดินเข้ามาในตึกนี้ ผมถือว่าเป็นลูกค้าของผมทั้งสิ้น หน้าที่ของคุณคือต้องต้อนรับทุกคนด้วยความสุภาพและมีไมตรีจิตอย่างเท่าเทียม ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร แต่งตัวแบบไหน คุณแค่ทำหน้าที่ของคุณ ถ้าสิ่งไหนที่มันนอกเหนือกว่าหน้าที่ ความรับผิดชอบ ก็ให้ว่ากันไปตามขั้นตอน แต่อย่าตัดสินใจหรือทำอะไรโดยพลการ และนอกเหนือกว่าหน้าที่” พลัฎฐ์พูดยาวด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ค่ะ...”

“วันนี้ที่คุณถูกตำหนิ เพราะคุณทำเกินกว่าเหตุเหนือกว่าหน้าที่และความรับผิดชอบของตัวเอง ครั้งนี้ผมเรียกคุณมาตักเตือน และหวังว่าจะไม่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก”

พนักงานคนนั้นเงยหน้าที่เปรอะไปด้วยน้ำตาขึ้นมาด้วยความดีใจ ไหล่ที่สั่นสะท้านกลับตั้งตรงขึ้น ความรู้สึกกลัวในตอนแรกละลายหายไปกับตา เธอไหว้ขอบคุณพลัฎฐ์ซ้ำๆ ก่อนจะหันไปขอโทษตะวันด้วยความรู้สึกผิดจากใจจริง

“ดิฉันต้องขอโทษคุณตะวันจริงๆ นะคะที่ทำตัวไม่ดี ไม่สุภาพใส่ ดิฉันจะจำเหตุการณ์ครั้งนี้ไว้เป็นบทเรียน และจะไม่ทำแบบนี้อีกค่ะ”

ตะวันยิ้มบางอย่างอ่อนโยน ก่อนจะเอ่ยกับเธอด้วยน้ำเสียงสุภาพน่าฟัง

“ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ ผมเองก็มีส่วนผิดที่แต่งตัวไม่ค่อยเข้ากับสถานที่สักเท่าไหร่” และตะวันก็ยังคงเป็นตะวันที่ใจดีและน่ารักกับทุกคนบนโลก จนพลัฎฐ์ที่แอบมองอยู่ อดยิ้มออกมาบางๆ ไม่ได้

“และที่สำคัญดิฉันต้องขอบคุณคุณตะวันมากๆ ที่พยายามจะช่วยพูดกับท่านรองประธานฯ ให้ คือดิฉัน..” พอเธอพูดจบ เธอก็ทำท่าเหมือนจะร้องไห้อีก ให้ตะวันต้องโบกมือแก้ตัวให้วุ่น

“ไม่จริงครับ ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลย พี่พลัฎฐ์เขาตัดสินใจของเขาเอง ผม..” พนักงานคนนั้นพูดสวนก่อนที่ตะวันจะได้พูดต่อ

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะค่ะ แค่คุณพยายามที่จะช่วยพูดกับท่านรองประธานฯ ให้ ดิฉันก็ซาบซึ้งใจแล้ว”

เธอยิ้มให้ตะวันด้วยความจริงใจและสุภาพนอบน้อม ทั้งที่น้ำตายังเปรอะสองแก้ม ให้ตะวันรู้สึกเขินแปลกๆ เลยต้องเกาต้นคอแก้เก้อ

“ก็ได้ครับ ช่วยก็ช่วย” ตะวันมองไปยังพลัฎฐ์ ให้พลัฎฐ์แอบยิ้ม เพราะรู้ดีว่าคนรักของตัวเองต้องการอะไร

“ไปเถอะครับ คุณไปล้างหน้าล้างตาเถอะ แล้วก็อย่าให้มีเหตุการณ์แบบนี้อีก เพราะครั้งหน้าผมคงไม่ใจดีแล้ว คุณทราบใช่ไหม?”

“ค่ะท่านรองประธานฯ ดิฉันขอตัวนะคะ” เธอหันทางตะวัน “ขอบคุณและขอโทษอีกครั้งค่ะ” เธอว่าก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปจากห้อง ให้ตะวันพรูลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก

ในขณะที่ตะวันก็นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่สบตากับท่านรองประธานฯ ของบริษัทด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ เพราะสิ่งที่พลัฎฐ์ทำนั้นน่าชื่นชมมาก ตอนแรกตะวันก็นึกกลัว กลัวว่าพลัฎฐ์จะเข้างเขาจนเกินพอดี แต่เมื่อได้ยินสิ่งที่คนรักของตัวเองตักเตือนผู้ใต้บังคับบัญชา ก็อดนับถือในทัศนคติที่น่ายกย่องของพลัฎฐ์ไม่ได้...

แฟนใครไม่รู้เก่งจริงๆ

.

.

.

- อ่านต่อด้านล่าง -
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 13th - 30/7/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 30-07-2019 20:44:23
- ต่อจากด้านบน -


“กินเยอะๆ นะครับ อันนี้ตะวันทำมาให้เป็นพิเศษ เห็นพี่บ่นว่าอยากกินมาหลายวันแล้ว” มือเรียวตักกับข้าวที่อยู่ในจานตรงหน้าไปวางใส่ในจานข้าวของพลัฎฐ์ โดยที่คนถูกเอาใจก็นั่งอมยิ้มปากบาน สลับกับตักข้าวเข้าปากไม่หยุด

“อร่อย” พลัฎฐ์กลืนอาหารลงคอพลางเอ่ยชม “อร่อยทุกอย่างเลย”

ตะวันเงยหน้ามายิ้มรับ ร่างเล็กก้มๆ เงยๆ ไม่กล้าสบตของพลัฎฐ์เท่าไหร่ เพราะวันนี้สายตาของพลัฎฐ์ดูเจ้าชู้กรุ้มกริ่มมากกว่าที่เคย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาเอาใจ หรือเป็นเพราะได้อาหารอร่อย แต่ดูเหมือนว่าอารมณ์ที่จะหงุดหงิดมากก่อนหน้า หายไปเป็นปลิดทิ้ง ตอนนี้มีแต่พลัฎฐ์ที่ยิ้มแย้มอารมณ์ดีมีความสุขทุกการขยับตัว

“ค่อยๆ กินนะครับ เดี๋ยวติดคอ” ตะวันเทน้ำใบเตยที่ต้มเองจากกระติก ใส่แก้วให้พลัฎฐ์

คนถูกดูแลส่งยิ้มหวานให้คนรัก ก่อนจะเริ่มชวนคุย เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายอิ่มได้พักใหญ่แล้ว

“ตกใจไหมครับเมื่อกี้” พลัฎฐ์ถามเสียงนุ่ม ให้คนถูกถามยกยิ้มอย่างอ่อนโยน ก่อนจะพยักหน้ารับอายๆ

“ตกใจครับ” ริมฝีปากบางยกยิ้มขำ ก่อนจะพูดต่อเมื่อเห็นสีหน้าที่ไม่ค่อยจะสู้ดีนักของคนรัก ... อีกฝ่ายคงไม่อยากเขาตกใจ “ปกติไม่เคยเห็นพี่พลัฎฐ์ดุ มีแต่ใจดี ตามใจตะวันกับเด็กๆ ตลอด”

พลัฎฐ์ยิ้มขำ พอได้ฟังตะวันว่า เพราะในความเป็นจริงแล้ว เวลาอยู่กันสี่คน พลัฎฐ์ก็เป็นอย่างที่ตะวันพูดจริงๆ จะว่าไปบุคลิกเรียบนิ่งที่พลัฎฐ์เป็น แสดงให้ตะวันเห็นแค่ช่วงแรกๆ เท่านั้น พอหลังจากที่ได้ใกล้ชิด และเริ่มรู้สึกดีๆ กับอีกฝ่าย พลัฎฐ์ก็เอาใจคนตัวเล็กกว่าเสียเกือบทุกอย่าง เพราะฉะนั้น ไอ้ท่าทีเกรี้ยวกราดแบบที่แสดงออกไปเมื่อครู่น่ะ รับประกันได้ว่าไม่เคยหลุดให้ตะวันเห็นแน่

“ทำไงได้ เวลาอยู่ที่บริษัท ถ้าพี่ไม่ดุ ลูกน้องที่ไหนจะเกรงใจเชื่อฟังล่ะหื้ม?” พลัฎฐ์ถามกลับเสียงนุ่ม พยายามเอาเหตุผลเข้าหว่านล้อม เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายเกิดภาพจำในเรื่องที่ไม่ดีเกี่ยวกับตัวเอง “ตัวเล็กเข้าใจเหตุผลที่พี่ทำใช่ไหมครับ”

“พี่พลัฎฐ์ดุแบบมีเหตุผล ตะวันเข้าใจ” คนตัวเล็กกว่ายิ้มกว้างตอบกลับไป ให้พลัฎฐ์ใจชื้นขึ้นมานิด “ตอนแรกตะวันกลัวแทบแย่ กลัวว่าพี่พลัฎฐ์จะดุพนักงานคนนั้น ที่พูดจาไม่ดีใส่ตะวันเพียงเพราะตะวันรู้จักพี่”

“ทำไมล่ะครับ? ตัวเล็กน่าจะดีใจไม่ใช่หรอ ถ้าพี่จัดการเขาเป็นการแก้แค้นให้ตัวเล็กน่ะหื้ม?” พลัฎฐ์แกล้งเอ่ยถาม เพราะรู้นิสัยของคนรักดี

และก็เป็นไปตามคาด ตะวันส่ายหน้าคอแทบหลุด เมื่อได้ยินพลัฎฐ์พูดแบบนั้น

“ไม่เลยสักนิดครับ!” ตากลมโตเบิกกว้างขึ้น แถมมือเล็กๆ ยังโบกเป็นพัลวัน น่าเอ็นดูไม่หยอก “ถ้าพี่พลัฎฐ์ดุเพราะจะเอาใจตะวัน ตะวันจะโกรธครับ เพราะตะวันไม่อยากให้ใครเอาพี่ไปนินทาลับหลังเพียงเพราะตะวันเป็น.. เอ่อ..”


“คนสำคัญของพี่?”


พลัฎฐ์แกล้งพูดต่อให้จบเพราะเห็นตะวันอ้ำอึ้งไม่กล้าพูด ทำเอาคนตัวโตกว่าอดยิ้มขำไม่ได้

“นะ..นั่นแหละครับ ตะวันไม่อยากให้ใครมองแบบนั้น แล้วก็ไม่อยากให้พี่สร้างความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับตัวตะวันด้วย”

ท่านรองประธานฯ บริษัทส่งยิ้มภาคภูมิใจให้คนรัก เมื่อได้ฟังในสิ่งตะวันบอก เพราะที่ผ่านๆ มา ถึงจะไม่ชัดเจน แต่คนที่เคยคุยๆ กับพลัฎฐ์ ยังไม่ถึงกับแฟนด้วยซ้ำ มักจะชอบแสดงออกให้พนักงานในบริษัทได้เห็นว่าตัวเองเป็นคนสำคัญของเขา หรือเป็นคนที่กำลังอยู่ในช่วงศึกษากันอยู่ แต่ตะวันกลับแตกต่าง ตะวันอยากให้พนักงานคนอื่นเคารพและนับถืออย่างจริงใจ ไม่ใช่ทำเพราะตะวันเป็นคนรักของพลัฎฐ์

“งั้นแล้ว ตัวเล็กอยากให้มันเป็นแบบไหนครับ” พลัฎฐ์ว่า พลางลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินเข้าไปตรงที่ตะวันนั่ง แล้วทรุดตัวลงโอบกอดร่างเล็กไว้ด้วยความรักใคร่

“ไม่อยากให้เป็นแบบไหนเป็นพิเศษหรอกครับ แค่เป็นแบบทุกวันนี้ตะวันก็มีความสุขแล้ว” ตะวันกระชับอ้อมกอดตอบคนตัวโตกว่าแน่น “แค่พี่พลัฎฐ์ให้เกียรติตะวัน รักเจ้าอาทิตย์ แค่นี้ตะวันก็ดีใจที่สุดแล้ว”

“เฮ้อ... หนูจะน่ารักอะไรขนาดนี้ล่ะครับ พี่หลงจนไม่รู้จะหลงยังไงแล้ว” ตะวันหัวเราะคิก พลางซุกหน้าเข้ากับอกพลัฎฐ์อย่างเขินอาย และกว่าที่จะรู้ตัว มือใหญ่ของคนตรงหน้าก็เชยคางของเขาขึ้น พลางเลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้แล้วมองสบเข้ามาในดวงตากลมอย่างสื่อความหมาย

“ว่าแต่ตัวเล็กว่า ห้องทำงานพี่เป็นยังไงบ้าง หื้ม? เป็นส่วนตัวมากพอที่จะ...”

พลัฎฐ์ไม่ยอมพูดให้จบประโยค แต่เลือกที่จะก้มลงไปประทับริมฝีปากของตัวเองลงบนกลีบปากสีสดของตะวันแทน ในฐานะที่เคยออกตัวโอ้อวดกับอีกฝ่ายไว้ว่าห้องทำงานเขามิดชิดมากพอที่จะจูบกับตะวันได้โดยไม่ต้องกังวลว่าใครจะมาขัดจังหวะ

.

.

.

“สี่โมงเย็นพี่ไปรับที่ร้านนะครับ วันนี้เด็กๆ น่าจะเลิกช้า เห็นน้องพีบอกพี่ว่าครูให้ท่องศัพท์ภาษาอังกฤษก่อนกลับบ้าน”

พลัฎฐ์บอกกับตะวันตอนที่ตะวันกำลังเก็บเถาปิ่นโต และกล่องใส่อาหารเปล่าลงถุงผ้า เนื่องจากอาหารที่อยู่ในภาชนะดังกล่าวถูกพลัฎฐ์จัดการเสียหมดเกลี้ยงไม่เหลือซาก

“ได้ครับ พี่พลัฎฐ์ออกจากออฟฟิศแล้วโทรหาตะวันนะ ตะวันจะได้เตรียมตัว”

คนตัวเล็กกว่ามองไปยังท่านรองประธานฯ ที่ดูเหมือนว่าตอนนี้กำลังจะเตรียมประชุมต่อในช่วงบ่ายอยู่ หลังจากที่คุณฝ้าย เลขาฯ คนสนิท มาแจ้งว่าทุกคนที่เข้าประชุมรออยู่พร้อมแล้ว

พลัฎฐ์หยิบเตรียมเอกสารที่ต้องใช้ประชุมมาพลิกอ่านคร่าวๆ อย่างอารมณ์ดี ผิดกับการประชุมช่วงก่อนหน้าลิบลับ เขาไม่ปฏิเสธหรอกว่าส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาพร้อมทำงานนั้นมาจากตะวัน ได้ชาร์จแบตจากคนตัวเล็กเข้าร่างกายเฮือกใหญ่โดยไม่มีคนมาขัดจังหวะแล้วรู้สึกดีเป็นบ้า และต่อให้ประชุมยิงยาวยันสี่โมงพลัฎฐ์ก็พร้อมสู้ บอกเลยว่าตอนนี้เขาสดใส อารมณ์ดีสุดๆ

“พี่ไปประชุมเถอะครับ เดี๋ยวตะวันเก็บตรงนี้อีกนิดเสร็จก็จะกลับร้านแล้ว”

พลัฎฐ์ยิ้มบางก่อนจะลุกจากโต๊ะทำงานมาโอบกอดคนตัวเล็กกว่าไว้หลวมๆ แล้วก็จรดจมูกโด่งลงบนแก้มนิ่มของอีกฝ่ายพลางสูดกลิ่มหอมหวานประจำตัวตะวันเข้าเต็มปอด

“อยากกินอีกแล้ว” อย่างที่บอก ว่ากลิ่นของตะวันมีลักษณะเฉพาะ เป็นกลิ่นคล้ายกลิ่นขนมหวานอบอวลอยู่โดยรอบ และเป็นกลิ่นที่พลัฎฐ์สูดเข้าไปในปอดทีไร แล้วก็นึกอยากจะจับคนอ้อมกอดกลืนลงท้องทุกครั้ง

“อยากกินอะไรกันครับ พนักงานของพี่ยังบอกอยู่เลยว่าตะวันตัวเหม็น เหม็นกลิ่นขนมติดตัว”

คนตัวโตกว่าทำหน้ามู่ทู่ก่อนจะแย้งอย่างไม่เห็นด้วย “เหม็นตรงไหน ออกจะหอม ได้กลิ่นทีไร อยากฟัดทุกครั้งเลย”

ตะวันหัวเราะก่อนจะตีลงบนแขนกำยำที่โอบอยู่รอบเอวบางของตัวเองเบาๆ

“พอแล้วครับ พี่ก็พูดไปเรื่อย ไปประชุมได้แล้ว เดี๋ยวคุณฝ้ายก็มาตามอีกรอบหรอก”

คนถูกไล่ให้ไปประชุมทำหน้าเบื่อหน่าย ติดจะอ้อนคนที่อยู่ในอ้อมกอดนิดๆ ให้ตะวันที่เห็นแล้วได้แต่ย่นจมูกใส่ด้วยความมันเขี้ยว

“ไปได้แล้วครับ พี่พลัฎฐ์ไม่ดื้อสิ เดี๋ยวอีกไม่กี่ชั่วโมงเดี๋ยวก็ได้เจอกันแล้ว... นะครับนะ” แต่พอเจอตะวันอ้อนกลับในเลเวลที่สูงกว่า พลัฎฐ์ก็แทบไปไม่เป็น ใจอ่อนเป็นขี้ผึ้ง ยอมผละอ้อมกอดจากเอวบางอย่างเสียดายเบาๆ

“ครับๆ ไปก็ได้” พลัฎฐ์ถือโอกาสจุ๊บเบาๆ ลงไปที่กลีบปากบาง ก่อนจะผละออก “เจอกันเย็นนี้นะครับ”

ตะวันยิ้มกว้างก่อนจะโบกมือไล่อีกฝ่ายไม่จริงจัง “ครับๆ ไปได้แล้ว”

พลัฎฐ์ยิ้มตอบก่อนจะเดินตรงไปที่ประตู แต่ก็ไม่วายหันมาบอกราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้

“อ้อ เก็บของเสร็จแล้วรอแปปนึงนะครับตัวเล็ก เดี๋ยวพี่ให้คุณฝ้ายลงไปส่ง”

ตะวันย่นจมูก ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงปลงๆ เล็กๆ “โถ่ พี่พลัฎฐ์ ตะวันโตแล้ว ตะวันลงไปเองได้ครับ”

“หนูครับ...” พลัฎฐ์เรียกอีกฝ่ายด้วยสรรพนามเฉพาะเสียงเข้ม ให้ตะวันถอนหายใจเบาๆ และพยักลงอย่างจำยอม

“โอเคครับ โอเค ตะวันจะรออย่างใจจดใจจ่อเลย.. พี่ไปประชุมเถอะครับ”

พลัฎฐ์ยิ้มอย่างพอใจที่อีกฝ่ายยอมเชื่อตนเอง จึงได้วางใจหมุนตัวเดินออกจากห้องไป ปล่อยตะวันไว้ในห้องทำงานกว้างของคนตัวโตกว่าลำพัง

และเมื่อตะวันเก็บอุปกรณ์และภาชนะต่างๆ เสร็จ คนตัวเล็กกว่าก็มองไปรอบๆ ห้องของพลัฎฐ์อย่างสนใจ เนื่องจากก่อนหน้านี้เกิดเรื่องเลยไม่ได้ให้ความสนใจกับห้องของพลัฎฐ์มากสักเท่าไหร่ ตะวันเลยตัดสินใจที่จะเดินดูรอบๆ เพราะไหนๆ ก็ต้องรอให้คุณฝ้ายมารับพาลงไปข้างล่างอยู่แล้ว

พอคิดได้แบบนั้นขาเรียวก็ตัดสินใจเดินไปรอบๆ ตะวันตรงไปยังมุมห้องที่มีฟูกเล็กๆ กางวางอยู่ในคอกกั้นสำหรับเด็ก พร้อมกับของเล่นที่วางอยู่ในกล่องพลาสติกขนาดใหญ่ข้างคอกกั้น ถ้าให้เดา ตรงนี้ต้องพื้นที่ของน้องพีแน่ๆ พลัฎฐ์คงจัดพื้นที่ส่วนนี้ไว้ให้ลูกชาย ในวันที่เขาต้องพาเด็กน้อยมาที่ออฟฟิศด้วย

ตะวันได้แต่มองข้าวของตรงหน้าด้วยสายตาอ่อนโยน พลางนึกชื่นชมคนรักของตัวเองในใจ เพราะถึงแม้ว่าพลัฎฐ์จะงานยุ่งแค่ไหน ก็ไม่เคยละเลยน้องพีเลยสักครั้ง คนตัวโตกว่ามักจะสรรหาสิ่งที่ดีที่สุด และปลอดภัยที่สุดมาให้ลูกชายเสมอ และไม่มีสักครั้งที่พลัฎฐ์จะปล่อยให้น้องพีอยู่นอกสายตาไปไกล

จากตรงจุดนั้นตะวันก็เดินต่อไปเรื่อยๆ ไปยังตู้โชว์รางวัลต่างๆ ของพลัฎฐ์ ร่างบางได้แต่มองสิ่งที่อยู่ในตู้โชว์ด้วยสายตาชื่นชม ถัดจากตู้โชว์ก็เป็นชั้นวางของที่ไม่ได้สูงมากนัก ในแต่ละชั้นเต็มไปด้วยรูปภาพที่อยู่ในกรอบ ส่วนใหญ่จะเป็นรูปเด็กน้อยหน้าตาน่ารักที่เดาได้ไม่ยากเลยว่าต้องเป็นน้องพีแน่ๆ

ซึ่งรูปแต่ละรูปจะบ่งบอกพัฒนาการของน้องพีตั้งแต่เป็นเด็กทารกตัวน้อย จวบจนอายุเท่าปัจจุบัน บ้างเป็นรูปน้องพีเดี่ยวๆ บ้างเป็นรูปน้องพีถ่ายกับพลัฎฐ์ และยังมีรูปน้องพีถ่ายกับผู้ใหญ่สูงวัยหญิงชายที่กำลังยิ้มกว้างพลางมองเด็กในอ้อมกอดด้วยสายตารักใคร่และอ่อนโยน ซึ่งถ้าให้ตะวันเดาก็คิดว่าสองท่านนี้น่าจะเป็นคุณพ่อและคุณแม่ของพลัฎฐ์

แต่ก็ไม่มีรูปไหนสะดุดใจตะวันเท่ากับรูปของน้องพีที่เป็นทารกตัวน้อยๆ อยู่ในอ้อมอกของหญิงสาวหน้าตาดีคนหนึ่ง... และถ้าให้ตะวันเดา ผู้หญิงคนนี้คงจะเป็นคุณแม่ของน้องพีแน่ๆ


คุณแม่ของน้องพีที่พลัฎฐ์ไม่เคยแม้แต่จะพูดถึงหรือเอ่ยชื่อให้ตะวันได้ยิน


มือเรียวหยิบรูปนั้นขึ้นมาอย่างพิจารณา ในใจเกิดคำถามขึ้นมากมายว่าเกิดอะไรขึ้นกับผู้หญิงในรูป ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน และเหตุใดจึงเลิกลากับพลัฎฐ์

ตะวันคิดอย่างสับสน เพราะเอาเข้าจริงแล้วถึงแม้เขากับพลัฎฐ์จะเริ่มคบกันอย่างเป็นทางการ แต่ตะวันกลับรู้เรื่องของพลัฎฐ์น้อยมาก พลัฎฐ์แทบไม่ค่อยจะเล่าอะไรเกี่ยวกับตัวเองและน้องพีให้ฟังมากนัก ยิ่งเรื่องภรรยาเก่า ยิ่งไม่เคยหลุดรอดออกจากปากของพลัฎฐ์แม้แต่น้อย แน่นอนว่าตะวันไม่ได้ไม่ไว้ใจ แต่ลึกๆ มันก็อดรู้สึกตะขิดตะขวงแปลกๆ ไม่ได้ ตะวันเองก็ไม่ได้คิดจะละลาบละล้วง แต่ถ้าได้พอรู้บ้างจะได้ทำตัวกับเรื่องนี้ถูก

แต่พลัฎฐ์กลับไม่เคยมีทีท่าว่าจะแย้มพรายเรื่องต่างๆ เหล่านี้เขารู้เลยสักนิด...


ก๊อก ก๊อก ก๊อก


เสียงเคาะประตูดึงตะวันให้ออกจากภวังค์ ก่อนที่คุณฝ้ายจะเดินเข้ามา ให้ตะวันต้องวางกรอบรูปลงบนที่เดิม และเดินมาหยุดตรงโซฟาที่วางของและอุกรณ์ต่างๆ เอาไว้

“คุณตะวันเสร็จเรียบร้อยหรือยังคะ” เลขาฯ คนสนิทของพลัฎฐ์ถามด้วยรอยยื้มเป็นมิตร

“เรียบร้อยแล้วครับคุณฝ้าย ไปกันเลยไหมครับ” ตะวันลังเลอยู่อึดใจหนึ่ง คิดว่าจะถามคุณฝ้ายเรื่องคุณแม่ของน้องพีดีไหม แต่แล้วก็ตะวันก็ตัดสินใจปัดเรื่องทั้งหมดออกไปจากความคิด ก่อนจะบอกกับตัวเองว่า เขาจะไม่เข้าไปก้าวก่ายในสิ่งที่พลัฎฐ์ยังใม่พร้อมหรือยังไม่คิดที่จะเล่า

ตะวันจะพยายามอดทนรอ เขาเชื่อว่าสักวันนึงพลัฎฐ์จะต้องยอมเล่าเรื่องพวกนี้ห้เขาฟังแน่ๆ อาจจะต้องใช้เวลาแต่ที่สำคัญคือตะวันต้องไว้ใจคนรักของตัวเอง เพราะเขามั่นใจว่ายังไงพลัฎฐ์ก็ไม่มีอะไรให้ต้องปิดบังอยู่แล้ว

“ค่ะ เชิญทางนี้เลยค่ะคุณตะวัน” คุณฝ้ายเปิดประตูกว้างพลางผายมือเชิญตะวัน ตะวันหันกลับไปมองกรอบรูปอันที่ว่าอีกครั้ง ก่อนจะส่ายศีรษะน้อยๆ แล้วหันกลับมายิ้มให้คุณฝ้ายแทน จากนั้นก็เดินตรงไปยังประตูตามคำเชื้อเชิญ โดยไม่ได้สนใจกรอบรูปอันที่ว่าอีกต่อไป

แม้ในใจจะไม่ได้รู้สึกสงบขนาดนั้นก็ตาม...

.

.

.

To Be Continue

-----------------------------------------

Talk: ตอนนี้เบาๆ ไปก่อนเนาะคะ แล้วเดี๋ยวตอนหน้าเราไปเที่ยวกันนนน~ แพ็คกระเป๋ารอได้เลยจ้า อิอิ

ฝากติดแท็ก #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว ในทวิตเตอร์ด้วยนะคะ ขอบคุณมากๆ สำหรับทุกคอมเม้นท์และกำลังใจ ดีใจมากๆ ที่เห็นมีคนคอมเม้นท์เกี่ยวกับปมของเรื่องที่เราเปิดไว้ในตอนนี้พอดี ... ใจตรงกันเลยยย ><

เจอกันตอนหน้านะคะ ย้ำอีกสีกที นิยายเรื่องนี้เราแต่งไว้จบเรียบร้อยแร้วนะคะ ลงได้ต่อเนื่องไม่มีเท ไม่มีติขัด ส่วนใหญ่จะอัปทุกอังคารกับศุกร์จ้า นอกจากติดธุระปะปัง เลทมากสุดหนึ่งวันค้าบบบ ... เริ้บ❤
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 13th - 30/07/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 30-07-2019 23:32:46
 :pig4:
 :3123:
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 13th - 30/07/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 31-07-2019 01:34:08
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 14th - 02/8/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 02-08-2019 19:42:19
:: Chapter 14th - สวนสัตว์ของเด็กๆ ::


วันหยุดสุดสัปดาห์เสาร์อาทิตย์กำลังจะเวียนมาถึง และสัปดาห์นี้ตะวันกับพลัฎฐ์ก็มีแผนว่าจะพาเด็กๆ ไปเที่ยวสวนสัตว์ เพราะเห็นว่าเมื่อกลางอาทิตย์ที่ผ่านมา น้องพีกับอาทิตย์ได้เรียนเรื่องสัตว์โลกน่ารักไป แล้วเกิดอินพูดเจื้อยแจ้วถึงสัตว์ชนิดนั้น ชนิดนี้ทั้งวัน

พลัฎฐ์เลยตั้งใจว่าจะพาเด็กๆ ไปเห็นสัตว์ของจริงสักหน่อย แม้จะเคยไปกันมาบ้างแล้วทั้งอาทิตย์ทั้งน้องพี แต่การได้ไปด้วยกันหลังจากได้รับความรู้ที่ถูกต้องมาจากการเรียนหนังสือ น่าจะทำให้เด็กๆ เกิดการเรียนรู้มากขึ้น และสนุกมากขึ้นกว่าที่ผ่านๆ มา

คนเป็นปะป๊าตั้งใจว่าจะออกจากบ้านแต่เช้าตรู่ เพราะจะไปสวนสัตว์เปิดที่อาจจะต้องขับรถเลยออกไปจากกรุงเทพนิดหน่อย ซึ่งสวนสัตว์ที่ชลบุรีก็ถือเป็นทางเลือกที่ดี และพอได้พูดคุยปรึกษากับตะวัน คนทั้งคู่เลยตัดสินใจได้ว่า ไหนๆ ก็ออกมาถึงจังหวัดติดชายทะเลแล้ว ก็แวะค้างคืนสักคืน พาเด็กๆ เล่นน้ำทะเล ผ่อนคลายความตึงเครียดเสียหน่อยน่าจะดี

เพราะตั้งแต่ตะวันเปิดร้านมา ก็ค่อนข้างวุ่นพอสมควร ตัวพลัฎฐ์เองก็ไม่ต่าง และอีกอย่างก็เพื่อเป็นการฉลองการคบกันอย่างเป็นทางการของเขาทั้งสอง พวกเขาจึงตัดสินใจใช้ทริปนี้ในการเรียนรู้กันและกันให้มากขึ้นด้วย เขาทั้งคู่อยากจะลองดูว่ามันจะผ่านไปด้วยดีไหม ถ้าจะต้องอยู่ด้วยกันตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง โดยมีเจ้าหน่อน้อยให้ต้องดูแลอีกสองคน มันจะรอดหรือจะร่วงก็วัดกันที่ทริปนี้ได้เลย

.

.

.

(ไปทะเลหรอ? ไปด้วยสิ)

ตะวันเลิกคิ้วนิดหน่อย เมื่อได้ยินปลายสายร้องขอที่จะไปด้วย เขาค่อนข้างแปลกใจที่ชนกันต์ดูกระตือรื้อร้นกับทริปที่จะมีขึ้นในสุดสัปดาห์นี้ หลังจากตะวันมาเล่าให้ฟังจบ

“คิดไงมาขอไปด้วย ปกตินายไม่ชอบไปค้างคืนที่ไหนไม่ใช่เหรอ?”

ตะวันถามลูกพี่ลูกน้องด้วยความแปลกใจ เพราะเอาเข้าจริงแล้วชนกันต์ไม่ใช่คนชอบเที่ยวอะไรแบบนี้ ไปเที่ยวประเดี๋ยวประด๋าว หรือไปแฮงก์เอ้าท์ดื่มคลายเครียดกับพวกเพื่อนๆ น่ะใช่ แต่ไปค้างคืนต่างจังหวัด ดูสัตว์ ดูทะเล ภูเขาอะไรนี่ ดูเหมือนจะไม่ใช่ทางของอีกฝ่ายสักเท่าไหร่

อันดับแรกเลยเพราะชนกันต์ห่วงร้านพอสมควร ร้านทำผมของชนกันต์ไม่ได้ปิดเสาร์อาทิตย์เหมือนของตะวัน แต่ปิดแค่เดือนละสองครั้ง ซึ่งวันปิดทำการนั้นจะเป็นทุกต้นเดือนและกลางเดือนตลอด ดังนั้น ชนกันต์จึงไม่ค่อยชอบไปไหนไกลๆ ด้วยเหตุผลของเรื่องร้านเป็นหลัก เนื่องจากชาร์มมีลูกค้าที่เป็นลูกค้าประจำค่อนข้างมาก ที่นัดคิวจองคิวกันไว้ล่วงหน้าก็มีไม่น้อย นั่นเลยเป็นสาเหตุให้ลูกพี่ลูกน้องคนเก่งของตะวันตัดปัญหา ไม่ไปไหนเลยเป็นดีที่สุด

แต่คราวนี้กลับมาขอไปทะเลด้วย จะไม่ให้สงสัยได้ยังไงกัน

(ไม่ได้คิดอะไรแค่อยากไปเฉยๆ มันเบื่อๆ พักนี้รู้สึกเซ็งๆ ไงไม่รู้ ได้ออกไปเปิดหูเปิดตา เปิดประสบการณ์บ้างน่าจะดีขึ้น)

ชนกันต์ตอบเรื่อยๆ จนตะวันเดาแทบไม่ถูกว่าอีกคนอยู่ในอารมณ์แบบไหน แต่ฟังจากน้ำเสียงแล้วก็คงดูเบื่อจริงๆ นั่นแหละ ไม่แน่ที่ไปครั้งนี้ คงอยากไปหาเป้าหมายหรือแรงบันดาลใจอะไรบางอย่างให้ชีวิตด้วยล่ะมั้ง

(แต่ถ้านายไม่สะดวก ฉันไม่ไปก็ได้นะ เผื่อนนายจะอยากไปสวีทกับพ่อหนุ่มข้างบ้านสองต่อสอง บอกตรงๆ ได้ ฉันโอเค)

ชนกันต์แสดงออกว่าโอเคจริงๆ และตะวันก็เชื่อว่าอีกฝ่ายไม่ได้พูดประชดเขาแต่อย่างใด แต่ในความเป็นจริงเขากับพลัฎฐ์ก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรขนาดนั้น ถ้าชนกันต์อยากจะไปก็ไป ดีเสียอีกไปกันหลายๆ คนน่าจะสนุก

“พูดไปเรื่อยน่าชาร์ม” ตะวันแสร้งทำเสียงหน่ายๆ ใส่อีกฝ่ายให้ได้หัวเราะ “อยากไปก็ไป ถ้าฉันจะสวีทกับพี่พลัฎฐ์ ฉันก็หาทางให้ได้เองนั่นแหละ นายไม่ต้องมากคิดอะไรเยอะหรอก... อีกอย่างไปกันหลายๆ ก็น่าจะสนุกดี”

เสียงจากปลายสายหัวเราะเบาๆ อดยอมรับไม่ได้ว่าน้องชายของเขาช่างเป็นคนแปลกประหลาดดีแท้ จะไปเที่ยวสวีทกับแฟน แต่พอเขาขอจะไปด้วยก็กลับยอมให้ไปง่ายๆ ... แบบนี้คุณพลัฎฐ์ไม่อกแตกตายแย่รึ?

(ไปได้แน่นะตะวัน นายถามคุณพลัฎฐ์รึยัง? เขาสะดวกใจจะให้ฉันไปหรือเปล่าเถอะ) ชนกันต์ถามย้ำ แต่ตะวันก็ยืนยันตามเดิม

“บอกว่าไปได้ก็ไปได้สิ จะคิดอะไรมากทำไม พี่พลัฎฐ์เขาไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยอะไรหรอก”

(อ่าๆ งั้นฝากขอบคุณคุณพลัฎฐ์ด้วย แต่ฉันขอตามไปตอนเย็นๆ นะ คงตามไปเจอที่ที่พักเลย สวนสัตว์นี่คงขอบายอ่ะ เพราะช่วงเช้านัดลูกค้าไว้)

“โอเค งั้นเจอกันวันเสาร์นะ เดี๋ยวฉันส่งรายละเอียดที่พักให้ ถ้านายออกจากกรุงเทพแล้วโทรบอกฉันละกัน จะได้ไปถึงที่พักพอดีๆ กัน”

(ได้ ขอบใจมากนะตะวันที่ให้ฉันไปด้วย) ปลายสายตอบรับเสียงใส ให้ตะวันอดยิ้มบางๆ ออกมาไม่ได้ (ฝากบอกเจ้าอาทิตย์ด้วยนะว่าฉันคิดถึง ... แล้วเจอกัน)

ตะวันมองโทรศัพท์ที่ปลายสายตัดไปแล้ว ด้วยความที่เขากับชนกันต์สนิทกันมาก เลยทำให้ตะวันพอจะเดาออกว่าชนกันต์น่าจะกำลังเบื่อๆ หรือมีอะไรในใจ อย่างที่บอกไปลูกพี่ลูกน้องของเขาคนนี้ แม้จะเป็นช่างตัดผมแต่ก็มีความเป็นศิลปินสูง นี่ก็คงอุดอู้อยู่แต่ที่ร้านกับที่บ้านมานาน ไม่ค่อยได้ไปเที่ยวไหนเหมือนวัยรุ่นคนอื่นๆ เพราะเปิดร้านตั้งแต่อายุยังน้อย มันจึงไม่แปลกเท่าไหร่นักที่ชนกันต์จะโหยหาอิสระบ้างในบางครั้ง

ดังนั้น การที่อีกฝ่ายร้องขอเขาไปเที่ยวแบบนี้ ถ้าให้ตะวันเดา ก็คงจะเต็มกลืนกับชีวิตประจำวันของตัวเองจนฝืนไม่ไหว เลยต้องตัดใจเดินออกจากเซฟโซน เพื่อเติมเต็มความสุขด้านอื่นให้ชิวีตบ้าง ซึ่งตะวันเข้าใจอีกฝ่ายเป็นอย่างดี เลยบอกให้ชนกันต์ไป โดยไม่ได้ถามจากพลัฎฐ์ก่อน เพราะตะวันค่อนข้างแน่ใจว่าพลัฎฐ์น่าจะไม่มีปัญหาอะไรถ้าหากชนกันต์จะไปในทริปนี้ด้วย

.

.

.

“เด็กๆ ครับ เสร็จเรียบร้อยกันรึยังครับ พี่ตะวันกับปะป๊าพลัฎฐ์จะไปแล้วนะ”

น้ำเสียงหวานนุ่มน่าฟังของตะวันดังสะท้อนไปทั่วทั้งบ้าน ในขณะที่มือเรียวกำลังยกกระเป๋าใบเล็กที่บรรจุอุปกรณ์ต่างๆ ที่จะเอาไปประกอบอาหารรับประทานที่ริมทะเล โดยมีพลัฎฐ์รับหน้าที่ทยอยยกของต่างๆ ที่ตะวันยกมาวางกองรวมกันเอาไปขึ้นรถอย่างอารมณ์ดี ทำเอาคนแอบมองอย่างตะวันอดยิ้มตามด้วยไม่ได้

ตะวันรู้ดีว่าพลัฎฐ์มีความสุขมากแค่ไหนตอนวางแผนทริปนี้ คนตัวโตกว่าชี้แจงเป็นฉากๆ ว่าวันนี้พวกเขาจะทำอะไรบ้าง ไปที่ไหนบ้าง ทำเอาเจ้าตัวน้อยที่มาร่วมนั่งฟังแผนการเที่ยวด้วยครางอู้หูอ้าหากันยกใหญ่ ทั้งที่บางอย่างเด็กน้อยทั้งคู่อาจจะฟังไม่เข้าใจด้วยซ้ำ แต่พอได้ยินคำว่าเที่ยว ก็หูผึ่ง ดี๊ด๊า ไม่มีการงอแงใดๆ เลยสักนิด ทั้งเก็บกระเป๋า ทั้งทำการบ้าน ทั้งอ่านหนังสือล่วงหน้าโดยไม่มีท่าทีอิดออด เพราะข้อตกลงเดียวที่ตะวันขอก็คือ ทั้งน้องพีและอาทิตย์จะต้องทำทุกอย่างที่ติดค้างในเรื่องการเรียนให้เสร็จสิ้นก่อนถึงจะไปเที่ยวได้ ซึ่งเด็กทั้งคู่ก็ให้ความร่วมมืออย่างดี จนตะวันอดมันเขี้ยวกับความรู้มากของเด็กๆ ไม่ได้

ตอนแรกตะวันกับพลัฎฐ์ตั้งใจจะนอนพักในโรงแรมที่ห้องกว้างๆ สักห้อง เพราะมีแค่พวกเขากับเด็กน้อยสองคนเท่านั้น แต่พอชนกันต์เอ่ยปากขอไปด้วย พลัฎฐ์เลยเปลี่ยนใจเช่าบ้านพักติดริมทะเลเล็กๆ หนึ่งหลัง และเปลี่ยนแผนที่จะไปกินอาหารทะเลที่ร้านดังๆ สักร้านในย่านนั้น เป็นการทำบาร์บีคิวและซีฟู้ดเผากินกันเองในบ้านพักแทน เพราะดูแล้วน่าจะสนุกและได้บรรยากาศมากกว่า

“เส็ดแย้วคับ! น้องพีเส็ดแย้ว!” น้องพีวิ่งดุ๊กๆ ลากกระเป๋าเป้ใบน้อยของตัวเองมาตามพื้น ก่อนจะหันไปตะโกนเรียกคู่ซี้ที่ตะวันยังไม่เห็นแม้แต่เงา “คุณอาทิตย์เส็ดยื้อยัง เย็วๆ สิ เย็วๆ”

ตะวันหัวเราะออกมาเบาๆ ตอนได้ยินน้องพีตะโกนเรียกอาทิตย์เสียงหลง และไม่บอกก็รู้ได้เลยว่าตอนนี้เจ้าตัวน้อยของพลัฎฐ์ตื่นเต้นมากแค่ไหน เพราะเด็กชายตัวจ้อยพูดรัวเร็วจนไม่ชัดเลยสักคำ

“เสร็จแล้วววววว น้องพีอย่าเพิ่งเร่งสิ คุณอาทิตย์รีบอยู่”

พลัฎฐ์ได้ยินเสียงโวยวายของเจ้าหนูทั้งคู่ แทรกด้วยเสียงหัวเราะของตะวันก็ได้แต่ส่ายศีรษะยิ้มๆ ขบวนการขี้แกล้งนี่ไม่มีใครเกินคุณภานรินทร์เขานั่นล่ะ ไม่รู้อายุกี่ขวบ ดูท่าทางเหมือนเป็นหัวหน้าแก๊งเด็กมากกว่าที่จะเป็นผู้ปกครอง

“ไม่ต้องรีบนะครับ ปะป๊ายังยกของไม่เสร็จเลย” พลัฎฐ์ว่าก่อนจะได้รับค้อนวงโตที่ขว้างมาจากตากลมของตะวัน โทษฐานขัดขวางการแหย่เด็กๆ ซึ่งเป็นงานอดิเรกที่เจ้าตัวทำประจำทุกวัน

คนได้รับค้อนนอกจากจะไม่สลดแล้วยังยกยิ้มเริงร่าใส่ตะวันอย่างไม่เกรงกลัวอีก หนำซ้ำพอตอนตะวันเผลอ หันไปมองเด็กๆ หยิบรองเท้ามาใส่ พลัฎฐ์ก็ตรงเข้ายืนประชิดติดด้านหลังของคนตัวเล็กกว่า ก่อนจะยื่นหน้าใช้จมูกฉกลงไปบนแก้มนุ่มนิ่มของอีกฝ่าย ให้ตะวันได้ตกใจเล่นอีกต่างหาก

“พี่พลัฎฐ์!”

ตะวันยกมือน้อยๆ ขึ้นมากุมแก้มของตัวเองที่ตอนนี้น่าจะขึ้นสีแดงเรื่อ และพยายามที่จะสะบัดหน้าหนี แต่ติดที่มือปลาหมึกของพลัฎฐ์กอดรัดเอวบางแน่นเลยทำให้ขยับไปไหนไม่ได้ ในขณะที่คนถูกดุกลับยิ้มกริ่ม แถมยังพูดแหย่คนรักตัวเองไม่เลิก

“ทีแกล้งลูก แกล้งน้องแกล้งได้นะ พอพี่แกล้งบ้างทำมางอน”

ตะวันหันมามองพลางถลึงตาใส่คนขี้แกล้ง แต่แทนที่พลัฎฐ์จะสลด กลับยื่นใบหน้าเข้าไปใกล้อีกฝ่าย ก่อนที่จะประทับริมฝีปากลงไปบนกลีบปากบางเร็วๆ

จุ๊บ ~

เท่านั้นแหละ คนตัวโตก็ถูกมือเล็กๆ ของคนรักระดมตีไปที่เรียวแขนแข็งแรงทันที ในขณะที่พลัฎฐ์ก็เอาแต่หัวเราะชอบใจเพราะแกล้งให้ตะวันเขินอายได้

“พี่ไปยกของขึ้นรถเลยนะ ไปเลย!” ตะวันว่าเสียงขึงขังทั้งที่แก้มแดงเป็นมะเขือเทศ “เดี๋ยวตะวันจะพาเด็กๆ ขึ้นรถเอง พี่ไม่ต้องมากอดแล้ว ชิ่วๆ”

“ฮ่าๆๆ” พลัฎฐ์หัวเราะเสียงดังลั่นที่ถูกตะวันทำเสียงไล่ จนเด็กๆ หันมามองและหัวเราะตามแบบไม่มีเหตุผล ให้ตะวันอดอมยิ้มตามไม่ได้

“ขำอะไรกัน หื้ม?” ตะวันแกล้งถามเสียงเข้ม ทำเอาน้องพีกับคุณอาทิตย์ยกมือขึ้นมาปิดปากด้วยท่าทางทะเล้นแทบไม่ทัน

“อุ๊ป...”

“คิกคิก..”

และด้วยท่าทางน่าเอ็นดูของเจ้าหนูทั้งคู่ก็ทำเอาตะวันอดก้มลงไปฟัดพุงน้อยๆ ของเด็กทั้งสองไม่ได้

“พี่ตะวันนนน คิกๆๆๆๆ”

“อย่าแกล้งน้องงงง ฮ่าๆๆๆๆ”

ซึ่งกว่าจะพากันขึ้นรถเก็บของเรียบร้อยได้ ก็เสียเวลาไปอยู่พอสมควร เพราะทั้งเด็กน้อยและผู้ใหญ่โข่งก็พากันเล่นอย่างสนุกสนาน

ดูเหมือนว่าทริปนี้จะสนุกตั้งแต่เริ่มออกเดินทางเลยทีเดียว

.

.

.

“ปะป๊า น้องพีอยากเห็นทะเยแย้ว เมื่อไหย่จะถึงสักทีคับ”

เจ้าตัวน้อยชะเง้อคอมองออกไปนอกหน้าต่างตั้งแต่ออกจากบ้าน จนตอนนี้คอแทบจะยาวเทียบเท่ากับกระเหรี่ยงแล้ว และก่อนที่เด็กชายพีรยสถ์จะบ่นไปมากกว่านี้ เจ้าหนูอีกคนที่นั่งอยู่ในคาร์ซีทอันข้างๆ ก็พูดเบรกขึ้นเสียก่อน

“ยังไม่ถึงหรอกน้องพี เพราะเมื่อคืนพี่ตะวันบอกคุณอาทิตย์ว่าเราจะไปสวนสัตว์กันก่อน น้องพีไม่อยากไปดูฮิปโปโปแล้วเหรอ”

เด็กชายพีรยสถ์ตาเหลือกโตเมื่อได้ยินเพื่อนสนิทพูดถึงฮิปโปโปเตมัส เพราะน้องพีน่ะอยากเห็นมาก เห็นแค่รูปที่คุณครูเอาให้ดูเมื่อวันก่อนแล้วก็รู้สึกว่ายังไม่พอ ยังอยากเห็นอีก และยิ่งได้เห็นแบบตัวจริงๆ เลยยิ่งดี

“จิงหยอคุณอาทิตย์?” น้องพีปรบมือเปาะแปะด้วยความชอบใจ ก่อนจะยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างมีความสุข “น้องพีอยากเห็นฮิปโปโป อยากเห็นน้องยิงด้วย น้องยิงที่ย้องเจี๊ยกๆ”

คนเป็นพ่อได้ยินลูกชายพูดเจื้อยแจ้วด้วยความตื่นเต้นละก็อมยิ้ม แม้เจ้าหนูจะยังพูดไม่ชัด แต่พลัฎฐ์ก็มองออกว่าเจ้าตัวจ้อยของเขานั้นมีความสุขแค่ไหน

“แล้วน้องพีอยากเห็นตัวอะไรอีกครับ พี่ตะวันจะพาไปดูให้ทั่วสวนสัตว์เลยดีไหม?”

และถ้าเมื่อกี้พลัฎฐ์คิดว่าตัวเองมีความสุขมากแล้ว ก็กลับดูเหมือนว่าเขาจะมีความสุขได้มากขึ้นกว่าเดิมอีก เมื่อได้ยินเสียงหวานทอดถามลูกชายของเขาอย่างอบอุ่นและใส่ใจ ตั้งแต่เริ่มคบกันมาตะวันก็ทำได้อย่างที่บอกเขาไว้ไม่เคยเปลี่ยน


‘ตะวันจะรักน้องพีให้มากเท่ากับที่ตะวันรักอาทิตย์’


ซึ่งวันนี้ตะวันก็พิสูจน์ให้พลัฎฐ์เห็นได้โดยที่เขาไม่มีอะไรต้องตะขิดตะขวงใจอีก

“ดีคับๆ น้องพีอยากไปดูยียาฟคับพี่ตะวัน” น้องพีพูดต่อด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะหันไปถามเพื่อนซี้อย่างคุณอาทิตย์ด้วยความรื่นเริง

“คุณอาทิตย์ๆ คุณอาทิตย์อยากเห็นสัตว์อะไย”

เจ้าอาทิตย์ดวงน้อยเหลือบสายตาไปสบกับพี่ชายที่หันมาทางตนพอดีราวกับจะขออนุญาตและถามความเห็น ซึ่งพอตะวันพยักหน้ารับเบาๆ ราวกับรอฟังอยู่ เจ้าอาทิตย์ดวงน้อยก็ยิ้มแฉ่งจนตาหยี ก่อนจะบอกความประสงค์ของตัวเองให้ผู้ใหญ่ทั้งคู่ได้รับรู้

“อาทิตย์อยากไปดูสิงโตกับเสือครับ แล้วก็จระเข้ด้วย อาทิตย์อยากเห็นตัวจริงๆ”

พอได้ยินเพื่อนสนิทบอกน้องพีก็ส่ายหัวดิก ใบหน้าน่ารักดูเหยเก พร้อมกับพูดออกมาอย่างน่าเอ็นดู

“สิงโตกับเสือน้องพีเก๊าะอยากเห็น แต่จอยะเข้ตัวใหญ่น้องพีไม่กล้าไปดูเยย”

และด้วยคำพูดนั้นก็ให้ตะวันต้องหันไปถามด้วยความแปลกใจ “อ่าว ทำไมน้องพีไม่อยากไปดูล่ะครับ”

“น้องพีกัว กัวจอยะเข้ตัวใหญ่มาจับน้องพีไปกิน” เด็กน้อยพูดหน้าตาจริงจัง ทำเอาตะวันแอบลอบยิ้มด้วยความเอ็นดูไม่ได้ “คุณอาทิตย์ไม่ไปดูไม่ได้หยอ? น่ากัวนะ”

ตะวันแอบมองน้องชายเพื่อที่จะดูว่าเจ้าตัวแสบของเขาจะมีท่าทียังไงกับคำขอของเด็กชายอีกคนที่เป็นเพื่อนสนิท และริมฝีปากสีสดสวยก็ต้องยกยิ้ม เมื่อได้ยินเจ้าตัวน้อยที่คิดแล้วคิดอีกตอบออกมาอย่างน่าฟัง

“ถ้าน้องพีกลัว คุณอาทิตย์ไม่ไปดูก็ได้.. แต่ถ้าสมมติว่าน้องพีเปลี่ยนใจอยากไปดู น้องพีก็ไม่ต้องกลัวนะ มีคุณอาทิตย์อยู่ มีปะป๊าพะลัดอยู่ มีพี่ตะวันอยู่ จระเข้ตัวใหญ่ก็ทำอะไรน้องพีไม่ได้หรอก”

“หยอ?” ใบหน้าน่ารักขบคิดตามคำพูดของเพื่อนสนิทอยู่พักใหญ่ ก่อนจะคิดได้ว่าตัวเองมีปะป๊า มีพี่ตะวัน มีคุณอาทิตย์อยู่ทั้งคน ดังนั้นน้องพีไม่จำเป็นต้องกลัวจระเข้เลยสักนิด

“เก๊าะได้ น้องพีไปดูเก๊าะได้ มีคุณอาทิตย์อยู่น้องพีไม่กัวหยอก” พูดไม่พูดเปล่า เจ้าหนูขี้อ้อนอย่างเด็กชายพีรยสถ์ก็วาดแขนไปเกาะแขนของเด็กชายอาทิตย์ที่นั่งอยู่ในคาร์ซีทข้างๆ คาร์ซีทตัวเอง พลางยิ้มหวานเอาใจคนเป็นเพื่อน จนแก้มกลมๆ ของเจ้าอาทิตย์ดวงน้อยแดงปลั่งด้วยความเขิน

“อื้อ น้องพีไม่ต้องกลัวนะ เพราะคุณอาทิตย์จะดูแลน้องพีเอง”

ผู้ใหญ่ทั้งสองที่นั่งอยู่เบาะหน้าหันมาสบตากันพร้อมกับอมยิ้มเล็กน้อยเมื่อได้ยินบทสนาทของเด็กชายทั้งคู่ ความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยความไว้ใจและเชื่อใจ ทำให้มิตรภาพของเด็กน้อย ดูสวยงามน่าอิ่มเอมใจเมื่อมองจากสายตาของคนนอก คนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ปกครองของเจ้าหนูทั้งคู่

.

.

.

และช่วงสายๆ พลัฎฐ์ก็ขับรถเดินทางมาถึงสวนสัตว์เปิดเขาเขียว โชคดีมากที่วันนี้ลมเย็นสบาย ฝนไม่ตก และแดดไม่แรงมากนัก ตอนแรกเขาและตะวันตกลงใจกันว่าจะเช่ารถกอล์ฟข้างในสวนสัตว์ให้ขับพาเที่ยว จะได้ไม่ต้องกังวลและหลงในการขับรถเอง แต่คิดไปคิดมาตะวันกลับไปเปลี่ยนใจ และคิดว่าให้พลัฎฐ์ขับรถเข้าไปเองเลยดีกว่า เนื่องจากมันสะดวกกว่า และเด็กๆ จะได้ไม่ต้องสูดควันรถคันอื่นหรือผจญแดดแรงถ้าไม่จำเป็น เพราะรถกอล์ฟไม่ได้มีอะไรป้องกัน ตะวันจึงไม่ค่อยแน่ใจเรื่องสุขภาพอนามัยของเด็กๆ สักเท่าไหร่นัก

“อ่ะ ปะป๊าซื้อตั๋วเรียบร้อยแล้ว เราเข้าไปกันเลยดีกว่าเนาะ”

พลัฎฐ์ขับรถเข้าไปในสวนสัตว์โดยแวะซื้อผลไม้และผักที่จะเอาเข้าไปให้แก่สัตว์ข้างในก่อน จากนั้นคนตัวโตก็เอารถไปจอดตรงจุดที่ให้บริการ แล้วก็พาเด็กๆ ตระเวนดูโดยรอบ ซึ่งน้องพีกับคุณอาทิตย์ก็ดูตื่นตาตื่นใจกับทุกสิ่งรอบตัวไปหมด

“อะ อ้ามม น้องพีป้อนคุณยียาฟน้า หม่ำๆ” เจ้าหนูตัวน้อยที่ตอนนี้ขี่อยู่บนคอของพลัฎฐ์กำลังเอื้อมมือไปยื่นอาหารให้กับสัตว์คอยาวที่เจ้าตัวอยากเจอเสียเหลือเกิน

“โตไวๆ น้าคุณยียาฟ คุณยียาฟ ไม่ดื้อ ไม่ซน เป็นเด็กดีนะคับ” เจ้าหนูพูดเจื้อยแจ้ว ในขณะที่คนเป็นพ่อฟังแล้วได้แต่ยิ้มเอ็นดู

“บอกให้คุณยีราฟไม่ดื้อไม่ซน แล้วน้องพี่จะซนจะดื้อกับปะป๊าไหมหื้มตัวแสบ?”

พลัฎฐ์ถามเจ้าตัวน้อยแล้วก็ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักกลับมาเป็นการตอบแทน “ไม่ดื้อๆ น้องพีไม่ดื้อ น้องพียักปะป๊าที่สุดในโยกเยย”

ทั้งพลัฎฐ์และตะวันที่ยืนข้างๆ กันก็อดขำเอ็นดูคำพูดเจ้าตัวน้อยไม่ได้ ในขณะที่คุณอาทิตย์ที่ตะวันกำลังอุ้มอยู่ในอ้อมกอดนั้นกำลังให้ความสนใจกับนกกระจอกเทศเต็มที่ พอเจ้าตัวขายาววิ่งที คุณอาทิตย์ก็ขำเอิ้กอ๊ากที ทำเอาคนเป็นพี่ได้ยินแล้วอดหัวเราะตามไม่ได้

“อาทิตย์ดวงน้อยของพี่ ชอบเหรอครับหื้ม?”

“ชอบคับพี่ตะวัน ตอนมันวิ่งตกลกดี ฮ่าๆ”

พูดยังไม่ทันจะจบประโยค อาทิตย์ก็หัวเราะออกมาอีก เพราะเจ้านกกระจอกเทศเริ่มวิ่งกวดกันเองอีกครั้ง และในขณะที่เด็กทั้งสองกำลังสนใจสัตว์ที่ตัวเองอยากมาดูอยู่นั้น พลัฎฐ์กับตะวันก็ค่อยๆ ขยับตัวเองเข้าหาอีกฝ่ายทีละนิด จนมายืนข้างกันในที่สุด

“ตัวเล็กร้อนไหมครับ?” เสียงทุ้มเอ่ยถามคนรักอย่างอ่อนโยน ทำเอาตะวันยิ้มเขินออกมา

“นิดหน่อยครับ พี่พลัฎฐ์ล่ะร้อนไหม ขับรถมาเหนื่อยๆ อยากนั่งพักก่อนหรือเปล่าครับ” เสียงหวานของตะวันก็ทอดถามคนรักอย่างห่วงใยไม่ต่าง

พลัฎฐ์ส่ายศีรษะยิ้มๆ ก่อนจะตอบอ้อน “ไม่เหนื่อยครับ แค่ตัวเล็กเป็นห่วงพี่ พี่ก็หายเหนื่อยแล้ว”

“พี่ก็พูดไปเรื่อย” ตะวันยิ้มเขิน ก่อนที่พลัฎฐ์จะยกมือขึ้นมาแล้วใช้ปลายนิ้วเกลี่ยลงไปบริเวณขมับและไรผมของคนตัวเล็กกว่า พลางปาดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ที่ซึมผ่านผิวหน้าของอีกฝ่ายให้อย่างอ่อนโยน

“ถ้าเหนื่อย ถ้าร้อน บอกพี่นะครับ พี่ดูแลเด็กๆ แทนไหว” คนตัวโตกว่าพูดอย่างใจดี ทำเอาตะวันนึกปลื้มอยู่ในใจ

“ไม่เป็นไรครับพี่พลัฎฐ์ ตะวันไหว ร้อนนิดหน่อยแต่สนุกดี” คนตัวเล็กกว่ายิ้มร่า พลางสอดส่ายสายตามองไปรอบๆ อย่างตื่นเต้น “จะว่าไปก็ไม่ได้มาสวนสัตว์นานแล้ว ได้มาเปลี่ยนบรรยากาศทีก็ดีเหมือนกันนะครับ”

พลัฎฐ์ยิ้ม พลางมองอีกฝ่ายด้วยสายตาอบอุ่น

“ตัวเล็กชอบพี่ก็ดีใจ ต่อไปนี้ถ้าอยากไปไหน บอกพี่นะ ... ไปกันเราสี่คน”

ใบหน้าน่ารักแกล้งผินหนีไปทางอื่น เพราะกลัวจะกลั้นยิ้มไม่ไหว หนำซ้ำตอนนี้แก้มใสของตะวันที่ก่อนหน้าซับสีแดงอ่อนๆ เพราะอากาศร้อน ก็กลับยิ่งแดงระเรื่อมากขึ้น เพราะนึกเขินอายกับประโยคก่อนหน้าของพลัฎฐ์


ประโยคที่พูดราวกับว่าพวกเราทั้งสี่คนเป็นครอบครัวเดียวกัน


ซึ่งคนที่เพิ่งแสดงออกถึงความเป็นครอบครัวได้เห็นท่าทีเขินอายของคนรักก็นึกเอ็นดูอยู่ในใจ ก่อนจะฉวยโอกาสช่วงที่เด็กๆ กำลังจดจ่ออยู่กับสัตว์น้อยสัตว์ใหญ่ ยื่นหน้าเข้าใกล้คนที่ยืนข้างๆ ก่อนจะจรดจมูกลงบนแก้มแดงระเรื่อของอีกคน พร้อมสูดดมความหอมหวานราวกับขนมของตะวันเข้าปอดฟอดใหญ่

“หอม... อยากกัดแก้ม” พูดไม่พูดเปล่า แต่พลัฎฐ์กลับอาศัยช่วงทีเผลอตอนที่ตะวันกำลังตกใจงับเบาๆ ลงบนแก้มนิ่มของคนรักอย่างหยอกล้อ

“พี่พลัฎฐ์” ตะวันผงะถอยหลังเล็กน้อย ก่อนจะฟาดมือเรียวลงบนต้นแขนกำยำของคนที่ทำรุ่มร่าม ในขณะที่คนถูกฟาดกลับหัวเราะร่าด้วยความชอบใจ ไม่ได้สะดุ้งสะเทือนที่ถูกทำโทษสักนิด

“พี่พลัฎฐ์นะ ชอบฉวยโอกาส “ ตะวันต่อว่า แต่พลัฎฐ์กลับสวนกลับด้วยประโยคกลั้วหัวเราะเบาๆ

“ก็หนูน่ารัก น่าให้พี่ฉวยโอกาส ถ้าพี่ไม่ฉวยสิแปลก”

ตะวันมุ่ยหน้า พอได้ยินสรรพนามที่พลัฎฐ์เรียก

... ไม่ใช่ว่าไม่ชอบ แต่มันเขินๆ จั๊กจี้ในใจแปลกๆ คือถ้าอยู่กันสองคนแล้วเรียก มีหวังตะวันไปไม่เป็นยิ่งกว่านี้แน่ๆ

“พี่พลัฎฐ์ ไม่เอาหนูสิครับ” คนถูกเรียกโวยวาย ในขณะที่พลัฎฐ์กับทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ไม่รู้ว่าไม่ได้ยินจริงๆ หรือแกล้งไม่ได้ยินแน่ๆ แต่ที่รู้คือ…

“มีหนูด้วยหยอคับพี่ตะวัน หนูตัวเย็กๆ ยื้อเป่า น้องพีหยักเห็น น้องพีหยักเห็น”

ตะวันยิ้มแหย พลางมองพลัฎฐ์ที่กำลังกลั้นขำตาปริบๆ ให้คนตัวโตกว่าอดเอามือมายีผมคนรักตัวเองที่กำลังขอความช่วยเหลือทางสายตาไม่ได้ เพราะตอนนี้ตะวันดูจะอบจนหนทางในการหาคำตอบมาตอบเด็กชายพีรยสถ์ ที่ตอนนี้กำลังคาดหวังที่จะได้เห็นหนู และจ้องมาที่เขาตาแป๋ว

“น้องพีครับ” เด็กชายตัวน้อยหันไปมองพ่อตัวเองตามเสียงเรียก “พี่ตะวันเขาหมายถึงคำเรียกแทนตัวครับ ไม่ใช่หนูจริงๆ”

เมื่อเห็นลูกชายยังขมวดคิ้วสงสัยไม่ใจคำพูด พลัฎฐ์จึงว่าต่อ

“เหมือนที่ปะป๊าเรียกน้องพีว่าหนูไง หนูจำได้ไหมลูก แบบนี้น่ะ”

เจ้าตัวน้อยตาโตราวกับเพิ่งนึกออก พร้อมกับพยักหน้ารับ พลางถามคำถามที่ทำเอาตะวันต้องปาดเหงื่ออีกรอบ

“งั้น.. พี่ตะวันก็เป็นหนูเหมือนน้องพีหยอคับ เป็นหนูของปะป๊า หนูพี่ตะวัน หนูน้องพี หนูคุณอาทิตย์ คิกๆ หนูน้องพีชอบๆ”

ตะวันตาโตเตรียมจะแย้ง แต่พอเห็นน้องพีหัวเราะมีความสุขแล้วก็ทำใจร้ายไม่ลง เลยได้แต่เอออห่อหมกไป

“ครับๆ หนูพี่ตะวันก็หนูพี่ตะวัน เฮ้ออ”

ในขณะที่พลัฎฐ์หัวเราะอออกมาเสียงดังทันที่ที่เห็นตะวันยอมตามใจน้องพีในที่สุด

“ฮ่าๆ หนูพี่ตะวันของปะป๊าพลัฎฐ์”

ซึ่งเด็กๆ ทั้งสองคนเองก็ขำเอิ้กอ้ากตามผู้ใหญ่ โดยที่ไม่ได้รู้เลยว่าสิ่งที่บรรดาผู้ใหญ่ทั้งหลายขำนั้น ก็มาจากกระทำน่ารักๆ ของตัวเด็กๆ เองนั่นล่ะ

.

.

.


- อ่านต่อด้านล่าง -
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 14th - 02/8/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 02-08-2019 19:45:36
- ต่อจากด้านบน -

หลังจากตะลุยดูและให้อาหารสัตว์จนทั่วสวนสัตว์แล้ว พลัฎฐ์ก็ขับรถพาตะวันและเด็กๆ ออกจากสวนสัตว์แล้วมาหาอะไรรับประทานกัน เพราะเป็นช่วงกลางวันพอดี

เจ้าสองหน่อตัวน้อยดูสนุกมาก อาจจะมีเพลียแดดบ้างนิดหน่อย แต่จากเท่าที่ตะวันสังเกตเห็น ก็คิดว่าเจ้าหนูทั้งคู่น่าจะยังมีแรงเหลือพอสมควร เพราะเสียงเจื้อยแจ้วของน้องพีสลับกับคุณอาทิตย์ยังไม่ได้เงียบหาย ทั้งคู่ผลัดกันเล่าถึงสัตว์นานาชนิดที่ได้ดูให้กันฟัง ทั้งๆ ที่ก็ไปก็มาด้วยกัน แต่ก็ยังคงคอนเซ็ปต์ความตื่นเต้นเอาไว้ได้อย่างน่าชื่นชม

“คุณอาทิตย์ๆ คุณอาทิตย์เห็นคุณเสือไหม ตัวใหญ่ม๊ากมาก น้องพีชอบๆ ตอนขู่ แฮ่! งี้นะ น้องพีสะดุ้งเยย ฮ่าๆๆๆ”

“ใช่ๆ ขู่น่ากลัวมากกกก แต่คุณอาทิตย์ไม่กลัว คุณอาทิตย์ปกป้องน้องพีได้”

เด็กชายพีรยสถ์ยิ้มกว้าง ก่อนจะยกนิ้วโป้งเล็กๆ สองนิ้วชูให้เพื่อนสนิท พลางเอ่ยปากบอกอย่างชื่นชม

“คุณอาทิตย์เก๊งเก่ง เก่งมากๆ เยย แถมเท่เหมือนปะป๊าของน้องพีด้วย”

เจ้าตัวน้อยของตะวันพอได้รับคำชื่นชมจากเพื่อน ก็ยกไหล่วางท่าเก็กหล่อ ทำเอาคนเป็นพี่อดหันมามองพลางพูดแซวไม่ได้

“แหม คุณภานวีย์ พอน้องพีชมเข้าหน่อยล่ะทำหล่อ” ว่าแล้วตะวันก็หันไปหาเจ้าตัวน้อย ตัวเล็กที่สุดของรถที่กำลังนั่งอยู่ในคาร์ซีทพร้อมยิ้มกว้างแป้นแล้นอย่างเด็กอารมณ์ดี พลางถามออกไปด้วยน้ำเสียงอบอุ่นใจดี

“แล้วพี่ตะวันล่ะครับน้องพี พี่ตะวันเท่ไหม?”

พลัฎฐ์นึกอมยิ้มพอได้ยินคำถามของคนรัก คนตัวโตกว่ากวาดสายตามองใบหน้าเกลี้ยงใสของคนรักที่ตอนนี้ดวงตากลมโตสีน้ำตาลจ้องแป๋วไปที่น้องพีอย่างคาดหวังในคำตอบ แล้วอดคิดไม่ได้ว่าตะวันมีใบหน้าที่น่ารักไม่แพ้น้องพีเลยสักนิด แต่ทำไมถึงนึกอยากจะเท่ในสายตาเด็กน้อยนักก็ไม่รู้

และคำตอบของเด็กชายพีรยสถ์ก็ไม่ทำให้คนเป็นพ่อผิดหวัง

“หนูพี่ตะวันไม่เท่ หนูพี่ตะวันน่ายัก น่ายักที่แปลว่าคิ้วท์คับ”

พลัฎฐ์หัวเราะร่า นึกชอบใจกับคำตอบของคนเป็นลูก ... ตอบได้สมกับเป็นลูกชายของพลัฎฐ์จริงๆ

“ฮ่าๆๆๆ” พลัฎฐ์ขำออกเสียง ทำเอาน้องพีที่ก็ไม่ได้รู้หรอกว่าพอของตัวเองขำเรื่องอะไร แต่ก็ขำเนียนๆ ตามไปด้วย

“พี่พลัฎฐ์!” ตะวันว่าเสียงเง้างอดให้พลัฎฐ์ละมือข้างหนึ่งจากพวงมาลัย ไปลูบศีรษะของคนหงุดหงิดที่ได้คำตอบไม่ตรงใจเบาๆ

“หนูไม่หงุดหงิดสิครับ ไหนยิ้มให้พี่ดูหน่อยเร็ว” ตะวันหันมาแยกเขี้ยวใส่พลัฎฐ์ ทำเอาพลัฎฐ์อดหยิกแก้มนิ่มเบาๆ ด้วยความเอ็นดูไม่ได้

“ขยันน่ารัก เดี๋ยวถ้าพี่อดใจไม่ไหว จะมาโทษกันไม่ได้นะ” คนตัวโตกว่าแกล้งเย้า ทำเอาตะวันคนที่เพิ่งแยกเขี้ยวไปเมื่อกี้ทำหน้าไม่ถูก ก่อนจะพยายามกลบเกลื่อนความเขินของตัวเอง โดยการแสร้งไม่มองหน้าอีกฝ่าย

“รีบขับรถไปเลยครับพี่พลัฎฐ์ ตะวันกับเด็กๆ หิวแล้ว”

พลัฎฐ์ส่ายศีรษะยิ้มๆ กับความแกล้งซึนของอีกฝ่าย ซึ่งเด็กๆ เองพอได้ยินตะวันพูดคำว่าหิวก็เหมือนนึกขึ้นได้ พากันแย่งบอกพลัฎฐ์ว่าหิวให้ดังลั่นรถไปหมด ทำเอาคนที่กำลังขับต้องกดเท้าลงบนคันเร่งให้เร็วขึ้นอีกนิด เพราะกลัวว่าสองเด็กน้อยกับหนึ่งเด็กโข่งจะพากันอาละวาดเพราะความหิวจนปั่นป่วนไปทั่วเสียก่อนที่จะได้ถึงที่พักอย่างปลอดภัย

.

.

.

“ชาร์มถึงไหนแล้ว”

หลังจากที่อิ่มหนำจากอาหารกลางวัน พลัฎฐ์ก็ตรงดิ่งพาตะวันและเด็กๆ มายังที่พักที่จองไว้ และยังไม่ทันที่จะได้ถึงบ้านพักริมทะเลหลังน้อย เจ้าตัวแสบทั้งสองที่วันนี้พากันตื่นแต่เช้าและตะลุยอยู่สวนสัตว์ตั้งหลายชั่วโมง เมื่อได้อาหารเข้าไปตุนอยู่ในท้องน้อยๆ ก็พากันหลับคอพับคออ่อนคาคาร์ซีท

ซึ่งตะวันกับพลัฎฐ์เองก็เลือกที่จะไม่ปลุกเด็กๆ เมื่อมาถึงบ้านพัก พวกเขาพากันอุ้มเด็กน้อยทั้งคู่เข้ามานอนยังเตียงกว้างในห้องพักห้องนึ่งในบ้าน เขาทั้งคู่ตัดสินใจให้เด็กๆ นอนหลับพักในช่วงกลางวันไปก่อนดีกว่า เพื่อที่ว่าจะได้มีเวลาจัดของ และเตรียมนั่นนี่สำหรับมื้อเย็นในระหว่างนี้ด้วย อีกอย่างพลัฎฐ์ค่อนข้างมั่นใจมากว่าเมื่อเจ้าหนูน้อยทั้งสองตื่นจะต้องรบเร้าขอลงเล่นน้ำทะเลแน่ๆ

ดังนั้นตอนนี้จึงให้พักให้เต็มอิ่มก่อนดีกว่า เพราะถึงยังไงบ่ายแก่ๆ แบบนี้ก็ไม่เหมาะที่จะให้เด็กๆ ลงไปเล่นน้ำอยู่แล้ว สู้ให้พวกแกหลับแล้วตื่นมาอีกทีตอนแดดร่มลมตกแล้วดีกว่า พอถึงตอนนั้นค่อยพาเด็กๆ ลงทะเล และในเวลานั้นเขากับตะวันก็คงจัดการเตรียมข้าวของต่างๆ เสร็จเรียบร้อยแล้วเช่นกัน

ตะวันเอาข้าวของในกระเป๋า ทั้งของตัวเอง ของพลัฎฐ์ ของน้องพีและของอาทิตย์มาเก็บเรียบร้อยแล้ว ในขณะที่พลัฎฐ์เองก็ดูเหมือนจะกำลังเตรียมอุปกรณ์สำหรับอาหารเย็นอยู่ในครัว ตะวันจึงถือโอกาสโทรหาชนกันต์ ลูกพี่ลูกน้องคนสนิท เพื่อเช็คว่าตอนนี้อีกฝ่ายถึงไหนแล้วเช่นกัน

(ออกมาจากกรุงเทพแล้วแหละตะวัน นี่กำลังจะขึ้นมอเตอร์เวย์)

เสียงหวานจากปลายสายตอบกลับอย่างอารมณ์ดี ทำเอาคนฟังอย่างตะวันอารมณ์ดีตามไปด้วย

“โอเค งั้นขับรถดีๆ นะ นายมาตามโลเคชั่นที่ฉันแชร์ไปให้ถูกใช่ไหม”

(ถูกๆ ไม่ต้องห่วง เอาเป็นว่าถ้ามีปัญหาอะไรจะโทรหา ฉันคงถึงไม่เกินสี่โมงเย็นหรอก)

“ได้ รีบมา เดี๋ยวจะได้มากินบาร์บีคิวกัน ... ฉันหมักเนื้อมาเพื่อนายโดยเฉพาะเลยนะ”

ชนกันต์กันขำเบาๆ ก่อนจะเอ่ยแซวลูกพี่ลูกน้องที่ดูจะมีความสุขและกระตือรือร้นเหลือเกิน

(นี่ใจดี หรือเลี้ยงฉลองที่ได้มาเดทกับแฟน หื้ม?)

“ชาร์ม!!” ตะวันแสร้งดุเสียงเข้ม ทั้งที่แก้มแดงก่ำ ที่แม้ชนกันต์จะไม่เห็นก็เดาได้ “ไม่ต้องพูดมากเลย แค่นี้นะ”

คนถูกจี้ใจดำกะวางสายหนีพิรุธ แต่มีหรือชนกันต์จะยอมปล่อยไปง่ายๆ

(เห้อ อิจฉาคนมีความรักจังน้า สงสัยวันนี้บาร์บีคิวต้องหวานเป็นพิเศษแน่ๆ ฮ่าๆๆๆ)

ตะวันยิ่งหน้าแดงหนัก เพราะดูเหมือนว่าชนกันต์จะเดาถูก แม้จะถูกไม่หมดก็ตาม

ก็นะ.. จะไม่ให้ตะวันเขินได้ยังไง ก็วันนี้... พวกสัปปะรดกับมะเขือเทศที่ต้องเสียบคู่บาร์บีคิวน่ะ ตะวันเอามาหั่นตกแต่งเป็นรูปหัวใจหมด

ยอมรับก็ได้ว่าที่ทำ เพราะอยากให้พลัฎฐ์ประทับใจ เพราะยังไงก็ถือว่านี่เป็นเดทแรกที่พวกเขามาด้วยกันหลังจากคบกันอย่างเป็นทางการ

“ไม่พูดด้วยแล้ว รีบมานะชาร์ม แค่นี้แหละ” พอว่าจบตะวันก็ชิงตัดสายก่อน จากนั้นก็พรูลมหายใจออกมายาวเหยียด ราวกับโล่งใจที่จะไม่ถูกชนกันต์ซักไซ้ต่อ

แต่ก็โล่งได้ไม่นาน เพราะจู่ๆ คนที่เป็นหัวข้อสนทนาก่อนหน้าก็เดินเข้ามา พร้อมกับทรุดลงนั่งบนเตียงหลังใหญ่ซ้อนหลังตะวันที่นั่งอยู่ก่อนหน้า

“เก็บกระเป๋าเสร็จแล้วหรอครับตัวเล็ก” ถามไม่ถามเปล่าพลัฎฐ์ยังก้มลงมาจูบเบาๆ บนลาดไหล่เรียวของตะวัน ทำเอาคนถูกจูบอดสะเทิ้นอายกับการกระทำอันอ่อนโยนของคนรักไม่ได้

“เสร็จแล้วครับ แล้วพี่พลัฎฐ์ล่ะ เตรียมของเย็นนี้เสร็จแล้วเหรอ?”

“ครับ เสร็จแล้ว” ว่าแล้วก็วาดแขนกำยำโอบลงบนเอวบางของตะวันอย่างออดอ้อน “เสร็จแล้วก็รีบขึ้นมาเลย อาศัยว่าเด็กๆ กำลังหลับ พอมีเวลาได้จู๋จี๋กันบ้าง สักนิดก็ยังดี”

คนเจ้าเล่ห์ว่าเสียงเล็กเสียงน้อย ก่อนจะกดจมูกลงมาย้ำๆ บนแก้มนิ่มของคนรัก

“เดี๋ยวนี้เอาใหญ่แล้วนะครับ ชักจะขี้ลวนลามเกินไปแล้ว” ตะวันดุขำๆ รู้ว่าที่พลัฎฐ์อยากอยู่ใกล้ อยากมีเวลาด้วยก็เพราะรักทั้งนั้น ซึ่งตัวเขาเองก็รู้สึกไม่ต่างจากอีกฝ่ายสักนิด

“หึ.. ว่าได้ที่ไหน มีโอกาสต้องรีบคว้าไว้ก่อน เดี๋ยวอด” พูดจบจมูกโด่งเป็นสันก็คลอเคลียลงบนแก้มนุ่มของตะวันทันที

พลัฎฐ์สูดดมความหอมหวานจากแก้มขาวโดยไม่รู้จักเบื่อ เขาชอบกลิ่นหวานๆ จากตัวของตะวันเป็นที่สุด กลิ่นแบบนี้เหมือนเป็นกลิ่นเฉพาะของตะวัน กลิ่นที่ทำให้พลัฎฐ์เสียการควบคุม นึกอยากกลืนกินตะวันลงไปทั้งตัวอยู่เรื่อยไป

“ซนแล้วครับพี่พลัฎฐ์” ตะวันว่าเสียงอ่อน คนที่อยู่ในอ้อมกอดดิ้นขลุกขลัก แต่ก็ใช่ว่าเจ้าของอ้อมกอดที่ถูกดุ จะยอมปล่อยอีกฝ่ายไปง่ายๆ

“พี่ไม่ซน พี่เป็นเด็กดีของหนู แล้วหนูเป็นเด็กดีของพี่หรือยังครับ?”

ตะวันแทบจะไหลละลายลงไปกองกับเตียงยามได้ยินเสียงทุ้มพูดออดอ้อน แรงดิ้นที่ไม่ได้แรงมากในคราวแรกกลายเป็นแทบจะหยุดนิ่ง ตะวันเขินอายเกินกว่าที่หันหน้าไปสบกับดวงตาคมบนใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่ายได้

คนตัวเล็กกว่าที่ตกอยู่ในอ้อมกอดแข็งแรงได้แต่นั่งเฉยให้คนขี้อ้อนได้ซุกไซ้กกกอด จมูกโด่งของพลัฎฐ์ปัดผ่านจากแก้ม ไปที่หลังใบหู ข้างขมับ ลาดไหล่ แล้วจบลงที่ซอกคอขาว ลมหายใจร้อนผ่าวของอีกฝ่ายที่รดรินลงมาบนผิวกายขาวทำให้คนตัวเล็กกว่าอย่างตะวันตัวสั่นสะท้าน

ความรู้สึกแปลกใหม่ตรงเข้าจู่โจมคนที่ไม่ได้ประสีประสาในเรื่องนี้สักเท่าไหร่ ใบหน้าหวานก้มงุด เพื่อซ่อนแก้มแดงๆ ที่เกิดจากความเขินอายของตัวเอง ความรู้สึกวูบวาบและมวนวนในช่องท้องปรากฎขึ้นเป็นระยะตามจังหวะลมหายใจที่พลัฎฐ์ส่งผ่าน มือใหญ่ของคนตัวกว่าที่เคยโอบกอดและประสานนิ่งอยู่ที่หน้าท้องแบนราบเริ่มซุกซนและลูบไล้ไปมา แม้จะมีเนื้อผ้าบางกางกั้นก็ไม่อาจบรรเทาความวาบหวามและความรู้สึกแปลกใหม่ให้ลดน้อยลงไปได้... ตรงกันข้าม มันมีแต่จะเพิ่มมากขึ้นจนตะวันแทบจะควบคุมตัวเองไม่อยู่

“อื้อ.. พะ พี่พลัฎฐ์”

เสียงหวานเอ่ยเรียกชื่ออีกฝ่ายและพยายามห้ามอย่างตะกุกตะกัก ในขณะที่คนเจ้าเล่ห์ยังคงลากจมูกไปทั่วซอกคอขาว ไม่เปิดโอกาสให้คนในอ้อมกอดได้ปัดป้องหรือมีสติห้ามปรามตัวเองจริงจัง

“หนูหอม ตัวหนูหอม”

พลัฎฐ์พึมพำอย่างมัวเมาและหลงใหล ให้ตะวันยิ่งรู้สึกเขินอายยิ่งกว่าที่เคย

และในจังหวะที่ตะวันไร้สติที่จะควบคุมหรือยับยั้งใจของตัวเอง พลัฎฐ์ก็จับอีกฝ่าย หันหน้ากลับมาหาตัวเอง และช้อนคนตัวเล็กกว่าให้ขึ้นมานั่งบนตักเหมือนกับอุ้มตุ๊กตาตัวเล็กๆ ก็ไม่ปาน

ตะวันช้อนตามองมองใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่ายอย่างขัดเขิน ในขณะที่มุมปากหยักของพลัฎฐ์ยกยิ้มอ่อนโยนส่งให้อีกฝ่ายเพราะต้องการปลอบประโลม

“พี่อยากจูบหนู พี่จูบได้ไหมครับ”

เสียงทุ้มเอ่ยถามอย่างสุภาพและอบอุ่น ให้ตะวันที่ก้มหน้างุดรู้สึกร้อนฉ่าไปทั่วแก้ม โดยที่ไม่ต้องเดาว่าตอนนี้มันคงขึ้นสีแดงก่ำลามไปยันคอแล้วแน่ๆ

“พี่ไม่เห็นต้องถามเลย ไม่รู้หรือไงเล่าว่ายิ่งถาม ตะวันจะยิ่งเขิน”

ปากเล็กจิ้มลิ้มสีสดของคนน้องพึมพำบ่นมุบมิบอย่างน่าเอ็นดู และถึงแม้ตะวันจะไม่ได้พูดเสียงดังนัก แต่ด้วยความชิดใกล้ทำให้พลัฎฐ์ได้ยินเสียงหวานชัดเจน

“ก็พี่กลัวหนูโกรธ กลัวหนูหาว่าพี่ฉวยโอกาส” คนตัวโตกว่าพูดเสียงอ้อนไม่เข้ากับร่างกาย จมูกโด่งยังคงไล้ไปมาทั่วใบหน้าเล็กของตะวันให้รู้สึกวาบหวามไปทั่วร่างอย่างเจ้าเล่ห์

สุดท้ายตะวันเลยตัดสินใจเลือกที่จะไม่ตอบอะไร แต่ยกแขนเรียวขึ้นคล้องคอของอีกฝ่ายด้วยท่าทางขลาดเขิน ซึ่งก็ไม่น่าเชื่อว่าท่าทางเหล่านี้จะกระตุ้นและยั่วยวนให้พลัฎฐ์ตื่นตัวได้

“เด็กดี...”

และพูดได้แค่นั้น ใบหน้าหล่อเหลาของพลัฎฐ์ก็ค่อยๆ เคลื่อนช้าๆ เข้าหาใบหน้าสวยหวานของตะวัน โดยมีเป้าหมายเป็นกลีบปากบางสีสด ที่รอให้เขาได้ลิ้มลองอย่างเชื้อเชิญ


Rrrrr


ในขณะที่ริมฝีปากของทั้งสองกำลังจะสัมผัสกัน โทรศัพท์เครื่องน้อยที่วางอยู่บนเตียงข้างตัวตะวันก็แผดเสียงขึ้น

คนตัวเล็กกว่าในอ้อมกอดของบพลัฎฐ์สะดุ้งเล็กน้อย ดวงตากลมเหลือบมองเครื่องสื่อสารที่กำลังสั่นครืด หน้าจอสว่างวาบราวกับจะดึงเขาทั้งสองให้หลุดออกจากภวังค์ที่พลัฎฐ์สร้างขึ้นมาโอบล้อมเขาสองคนไว้

แต่ดูเหมือนว่าคนตัวโตกว่าจะไม่สะทกสะท้าน เพราะเป้าหมายในการจู่โจมของพลัฎฐ์ยังคงเป็นริมฝีปากของตะวันตามที่เขาตั้งใจตั้งแต่แรก

“ไม่เอาครับพี่พลัฎฐ์ โทรศัพท์ตะวันดัง” มือเล็กพยายามดันไหล่หนาออก แต่พลัฎฐ์ก็ยังคงทำหูทวนลมไม่สนใจในสิ่งที่ตะวันพูด

ตะวันจึงต้องตีแรงๆ ลงไปบนอกกว้างให้คนตัวโตกว่าหยุดทุกการกระทำ และหันมาให้ความสนใจกับโทรศัพท์ที่กำลังสั่นครืดคราดก่อน

“พี่พลัฎฐ์ครับ.. ให้ตะวันรับโทรศัพท์ก่อนนะครับ ไม่ดื้อนะ ไหนว่าจะเป็นเด็กดีไง”

เมื่อเห็นว่าไม้แข็งไม่ได้ผล ตะวันจึงหันมาใช้ไม้อ่อนปลอบประโลม ทำท่าทางพูดจาออดอ้อนแบบที่พลัฎฐ์ชอบ แน่นอนว่าย่อมได้ผล

“เฮ้อออ... พี่นี่ทำบาปทำกรรมอะไรไว้นะ อยากจะจู๋จี๋กับแฟนทั้งทีก็มีเหตุให้อดอยู่เรื่อย”

ตะวันยิ้มขำ ก่อนจะทุบอกพลัฎฐ์เบาๆ ใหัปล่อย คนตัวโตกว่าจำยอมปล่อยคนในอ้อมกอดให้เป็นอิสระ ตะวันเลยค่อยๆ เอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ โดยที่พลัฎฐ์ไม่ยอมปล่อยให้คนตัวเล็กกว่าลงจากตัก

"ว่าไงชาร์ม จะถึงแล้วหรอ?"

พลัฎฐ์ได้ยินเสียงอีกฝ่ายแว่วๆ แต่ฟังไม่ถนัด เลยปล่อยให้ตะวันคุย เห็นริมฝีปากจิ้มลิ้มตอบอือๆ อาๆ พักหนึ่งก็วาง

"ชาร์มถึงแล้วครับ กำลังจะเลี้ยวมาถึงหน้าบ้านแล้ว"

ตะวันบอก เลยได้ยินเสียงถอนหายใจจากคนตัวโตกว่าเฮือกใหญ่ ก่อนที่ตะวันจะต้องเขินหน้าแดงอีกครั้ง เมื่อได้ยินคนรักตัวเองพูด

"คืนนี้พี่ไม่ให้ใครขัดจังหวะแน่ๆ หนูเตรียมตัวไว้ได้เลย"

.

.

.

To Be Continue

--------------------------------------------

Talk: คืนนี้ คืนไหน คืนนั้นนนนน~ 5555555555 ... พี่พะลัดนางต้องฝากความหวังไว้ที่ใครดีคะคุณพรี่ อิอิ

ฝากคอมเม้นท์ติดแท็ก #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว ในทวิตเตอร์ด้วยนะคะ แล้วก็ขอบคุณมากๆ สำหรับทุกคอมเม้นท์และกำลังใจ ขอบคุณมากๆ จริงๆ นะคะ ... ตอนหน้าเจอกันจ้าาาา

เริ้บ
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 14th - 02/08/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 02-08-2019 20:06:48
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 14th - 02/08/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 02-08-2019 20:40:02
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 15th - 06/8/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 06-08-2019 18:48:26
:: Chapter 15th - สวนสัตว์ของตะวัน ::


“พี่ชาร์ม พี่ตะวัน ไปเล่นน้ำกันๆๆ”

เสียงเจ้าอาทิตย์ตัวป่วนดังทะลุจากห้องนอนที่ตะวันปล่อยให้เด็กๆ เปลี่ยนเสื้อผ้า โดยมีพลัฎฐ์ดูแลอยู่ ส่วนตัวเองกับลูกพี่ลูกน้องก็กำลังจัดเตรียมหมักหมู หมักเนื้อ ทำของสดเตรียมรออยู่ในครัวเพื่อเอาไว้ประกอบอาหารตอนเย็น

ตะวันเอี้ยวหันไปมองก็ได้ยินเสียงวิ่งทั่กๆ มาตามทาง ก่อนจะปรากฎร่างของเจ้าตัวจ้อยทั้งสอง ที่ตอนนี้อยู่ในชุดว่ายน้ำเด็ก พร้อมกับมีห่วงยางเป็ดน้อยคล้องอยู่ตรงเอวเล็กๆ เรียบร้อยเตรียมจะลงน้ำได้ทุกเมื่อ

“อาทิตย์กับน้องพีไปเล่นกับปะป๊าพลัฎฐ์ก่อนดีไหมครับ พี่ตะวันยังเตรียมของทานเย็นนี้ไม่เสร็จเลย”

เด็กชายพีรยสถ์หน้ามุ่ย ก่อนจะเอ่ยอ้อน “แต่น้องพีอยากให้พี่ตะวันไปเย่นน้ำกับน้องพีด้วยนี่คับ”

“ใช่ๆ อยากให้พี่ตะวันไปด้วย พี่ชาร์มด้วย ไปๆ กันนะคับ”

ไม่ใช่แค่น้องพีที่กำลังอ้อนคนเป็นพี่ทั้งสอง แต่อาทิตย์ก็ร่วมด้วยช่วยกันอ้อน จนตะวันอ่อนใจ

“งั้นหนูสองคนรอพี่ตะวันอีกแปปได้ไหมครับ เสร็จแล้วพี่ตะวันจะรีบตามไปเลย” ตะวันต่อรอง ก่อนจะได้ยินเสียงของตัวช่วยที่ดังขึ้นเรียกความสนใจของเด็กๆ ไปแทน

“น้องพีครับ คุณอาทิตย์ครับ” รูปร่างสูงใหญ่ของพลัฎฐ์ปรากฎเข้ามาพร้อมกับการเรียกชื่อเจ้าหนูน้อยทั้งสอง “เราสองคนไปเล่นก่อปราสาททรายกับปะป๊าก่อนดีไหม เดี๋ยวพอพี่ตะวันเตรียมอาหารเสร็จ แล้วค่อยเล่นน้ำพร้อมกัน”

เด็กชายพีรยสถ์กับเด็กชายภานวีย์หันหน้ามองกันพลางทำตาโต ยอมรับว่าข้อเสนอของปะป๊าพลัฎฐ์นั้น น่าสนใจไม่น้อย

“ก็ได้ๆ น้องพีไปเล่นก่อปาสาทซายเป็นเพื่อนปะป๊าก่อนก็ได้ เนาะๆ คุณอาทิตย์”

“ใช่ๆ ไปเล่นกับปะป๊าพะลัดก่อนก็ได้ เดี๋ยวพอพี่ตะวันกับพี่ชาร์มเสร็จแล้วค่อยเล่นน้ำ เราสองคนพูดง่าย ไม่ดื้อคับ”

เจ้าตัวน้อยทั้งคู่เคลมความเป็นเด็กดีของตัวเองเสร็จสรรพ ทำผู้ใหญ่ทั้งสามที่ได้ยินคำพูดคำจาของเด็กๆ อดอมยิ้มและหัวเราะให้ความรู้ดีของเจ้าหนูน้อยไม่ได้

“ทำมาเป็นพูดดีนะอาทิตย์ พี่ชาร์มรู้หรอกว่าที่เรายอมให้ตะวันไปช้าได้ เพราะกลัวไม่ได้กินของอร่อยล่ะสิ ใช่ไหมๆ”

ชนกันต์แกล้งถามย้ำๆ ทำเอาเจ้าอาทิตย์ดวงน้อยยิ้มเขินเพราะถูกจับได้

“ปะป๊าพะลัดดด ไปเล่นก่อปราสาททรายกันเถอะนะครับ ป่ะๆๆๆ”

เด็กชายอาทิตย์ทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ก่อนจะเนียนเดินไปจับมือพลัฎฐ์ ให้ชนกันต์ได้หัวเราะไล่หลังให้กับความฉลาดแกมโกงของน้องชายคนเล็กของครอบครัว

“น้องนายน่ะรู้ดีชะมัดตะวัน โตขึ้นต้องเจ้าเล่ห์จนหาตัวจับยากแน่ๆ”

ชนกันต์หันมาพูดกับภานรินทร์ที่ตอนนี้ยิ้มน้อยๆ ให้กับท่าทางของเด็กชายภานวีย์ที่ได้เห็นเมื่อสักครู่ ซึ่งเขาเองก็อดคิดเหมือนชนกันต์ไม่ได้ว่า โตขึ้นอาทิตย์น่ะ จะต้องลูกเล่นแพรวพราวจนเขาและคนอื่นๆ จับไม่ได้ไล่ไม่ทันแน่ เพราะนี่ขนาดเพิ่งจะสามขวบกว่า ยังมีอะไรให้เแปลกใจได้อยู่เรื่อยๆ

“นายก็พูดเหมือนอาทิตย์ไม่ใช่น้องนาย” ตะวันหันไปพูดพลางหรี่ตาใส่คนเป็นพี่ ก่อนจะว่าเสียงกลั้วหัวเราะหน่อยๆ “ที่จริงฉันว่าอาทิตย์เหมือนนายยิ่งกว่าฉันเสียอีก เล่ห์เหลี่ยมเยอะ ช่างพูดช่างจา รู้จักเข้าหาคนอื่น... นิสัยคุ้นๆ ไหมชาร์ม”

คนถูกพาดพิงหัวเราะดังลั่นห้องครัว ก่อนจะยักไหล่น้อยๆ ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ แต่เสียงหัวเราะที่ยังคงดังต่อเนื่องไม่หยุดจากริมฝีปากได้รูปของชนกันต์สามารถตอบคำถามของตะวันได้เป็นอย่างดี

“เอาน่า ให้น้องมันเอาตัวรอดได้ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือไง”

พอได้ยินชนกันต์พูดแบบนั้น ตะวันก็แสร้งถอนหายใจ ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงติดจะหยอกล้อ แม้ใบหน้าหวานจะพยายามทำให้ดูเหมือนจริงจังก็ตาม

“ไอ้เรื่องเอาตัวรอดได้น่ะไม่ห่วง ห่วงก็แต่จะไปหลอกคนอื่นเขานี่สิ หูตาแพรวพราวน้อยที่ไหนเจ้าตัวเล็กนั่นน่ะ”

แล้วถ้าประโยคก่อนหน้าของตะวันว่าตลกแล้วประโยคถัดมานี้กลับสร้างเสียงหัวเราะที่ดังกว่าเดิมให้กับชนกันต์ได้มากกว่าเดิมอีก เขาไม่มีอะไรจะแย้ง เพราะเห็นด้วยกับลูกพี่ลูกน้องของตัวเองที่สุด

สองคนพี่น้องพากันหัวเราะเสียงใสให้กับเรื่องของเจ้าอาทิตย์ดวงน้อยที่ตกเป็นหัวข้อสนทนาที่สำคัญ ก่อนที่ชนกันต์จะกระตุ้นให้ตะวันเร่งมือ เพราะไม่อยากโดนเจ้าตัวแสบกลับเข้ามาตามเป็นครั้งที่สอง

“ว่าแต่นายใกล้จะเสร็จหรือยังอ่ะตะวัน เดี๋ยวจะได้รีบออกไปเล่นกับเด็กๆ ขี้เกียจให้เจ้าอาทิตย์เข้ามาตามอีกรอบ”

“เสร็จแล้วๆ”

ตะวันพยักหน้ารับ พร้อมกับเก็บของสดที่เตรียมเสร็จแล้วเข้าแช่ในตู้เย็น ล้างไม้ล้างมือเรียบร้อยก็เป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงสดใสของน้องพีดังขึ้นพร้อมๆ กับที่ร่างเล็กมายืนเกาะอยู่ที่หน้าประตูครัว เนื้อตัวเต็มไปด้วยทรายเม็ดละเอียดที่ติดตามหัว ตามหู ไปทั่วร่างกาย

“พี่ตะวัน พี่ชาร์ม ปะป๊าให้มาถามว่าเส็ดยื้อยังคับ น้องพีกับคุณอาทิตย์หยักเย่นน้ำป๋อมแป๋มแย้ว”

“เสร็จพอดีเลยครับน้องพี ไปกันป่ะ”

ตะวันเดินเข้ามาอุ้มเจ้าหนู แล้วเดินออกไปหน้าบ้านที่ติดกับชายหาด โดยที่ไม่ห่วงว่าตัวเองจะเปื้อนสักนิด ซึ่งมีสายตาของชนกันต์มองตามไปอย่างปลื้มใจ รอยยิ้มบางปรากฎที่ริมฝีปากได้รูป

ตะวันดูเข้ากันได้ดีกับครอบครัวของพลัฎฐ์จริงๆ

แบบนี้คงไม่มีอะให้ชนกันต์ต้องกังวลจนเกินไปแล้วสินะ

.

.

.

ชนกันต์มองคนทั้งสี่ที่กำลังเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน เสียงกรี๊ดและหัวเราะของน้องพีดังขึ้นเป็นระยะสลับกับเสียงโวยวายของอาทิตย์ซึ่งนั่นทำให้ชนกันต์หลุดขำบ่อยๆ เมื่อเห็นผู้ใหญ่ทั้งสองทำตัวเป็นเด็กร่วมไปกับน้องพีและเจ้าอาทิตย์ด้วย

พลัฎฐ์ไล่กอด ไล่โอบ ตะวันที่วิ่งหนีอยู่ในน้ำอย่างสนุกสนาน ถ้าเป็นในสายตาเด็กๆ คงมองไม่ออกเท่าไหร่ ว่าคนตัวโตที่สุดกำลังไล่แต๊ะอั๋งคนตัวเล็กกว่าอย่างเอาจริงเอาจัง บางจังหวะที่น้องพีกับอาทิตย์เผลอ พลัฎฐ์ก็ทำเนียนฉกจมูกลงบนแก้มของตะวันบ้าง ฉกริมฝีปากไปจุ๊บเร็วๆ บนปากของตะวันบ้าง

เข้าใจได้แหละว่าเด็กๆ อาจจะไม่เห็น แต่เขาที่นั่งอยู่ตรงนี้เห็นเต็มๆ ไม่ใช่เหรอ ทำไมพลัฎฐ์ถึงไม่อายบ้างนะ หรือเจ้าตัวจะไม่รู้ว่าเขานั่งมองอยู่ ... ไม่สิ ถ้าให้ชนกันต์เดา ชนกันต์เดาว่าพลัฎฐ์รู้แหละว่าชนกันต์เห็นทุกอย่าง แต่พลัฎฐ์ไม่ได้สนใจ สิ่งที่เขาสนใจคงมีแค่ว่าทำอย่างไรจะได้ลวนลามตะวันให้ได้มากที่สุดมากกว่า

นึกๆ แล้วก็ขำ ที่พลัฎฐ์เป็นแบบนี้อาจจะเพราะด้วยความที่ทั้งสองจะต้องดูแลเด็กๆ ตลอดเวลา เลยทำให้ไม่มีเวลาส่วนตัวด้วยกันเท่าไหร่ ชนกันต์เข้าใจดีถึงการเป็นคนรักกัน การได้กอด ได้สัมผัส ได้จูบ ได้มีช่วงเวลาร่วมกันเล็กๆ น้อยๆ เป็นสิ่งที่คู่รักทุกคู่ต้องการทั้งนั้นแหละ

พอคิดได้แบบนั้นคุณเจ้าของร้านทำผมก็อมยิ้ม ในฐานะที่ตะวันยอมให้เขามาเที่ยวเปิดหูเปิดตาด้วย ดังนั้น คืนนี้เขาจะตอบแทนทั้งคู่ด้วยการดูแลเด็กๆ ให้สักหน่อย เพื่อเปิดโอกาสให้พลัฎฐ์กับตะวันได้มีช่วงเวลาส่วนตัวด้วยกัน แม้จะแค่คืนเดียวก็ยังดี

ในขณะที่ชนกันต์กำลังคิดวางแผนเรื่อยเปื่อย ดวงตากลมที่เห็นลูกนัยน์ตาสีดำชัดเจนก็วาดมองไปทั่วหาด ก่อนจะเห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังมุงทำอะไรสักอย่าง มีทั้งคนที่ถือกล้อง ถือร่มคันโต ถือแผ่นสะท้อนแสงอันใหญ่ๆ ซึ่งชนกันต์เองก็เรียกไม่ถูกว่ามันคืออะไร แต่รู้ว่าคงมีการถ่ายแบบอะไรตรงริมหาดตรงนั้นแน่ๆ เพราะมีการเซ็ทไฟ เซ็ทแสงอะไรกันอยู่ด้วย

“ชาร์ม หิวหรือยัง?”

และก็เป็นเสียงลูกพี่ลูกน้องคนสนิทเดินเข้ามาถาม .. ตะวันที่ตอนนี้เปียกไปทั้งตัว เหมือนลูกหมาตกน้ำทรุดตัวลงนั่งข้างๆ คนที่มีศักดิ์เป็นพี่ เมื่อเห็นชนกันต์ส่ายหน้าปฏิเสธ คนที่มีศักดิ์เป็นน้องก็เอ่ยถามสิ่งที่ตัวเองสงสัยทันที

“นายมีเรื่องเครียดอะไรหรือเปล่า นายบอกฉันได้นะ”

ชนกันต์รู้ว่าที่ตะวันยอมเลิกเล่นน้ำแล้วเดินขึ้นมาก่อนนี่ก็คงไม่ได้เหน็ดได้เหนื่อยอะไรหรอก แต่คงอยากหาโอกาสมาคุยกับเขาเสียมากกว่า คนเป็นพี่รู้ดีว่าน้องชายที่ถึงแม้จะไม่ได้คลานตามกันมา แต่ก็สนิทกันยิ่งกว่าใครคงเป็นห่วง เพราะท่าทางของตัวเองดูแปลกไป แถมนิสัยแบบนี้ยังไม่ใช่นิสัยปกติของชนกันต์อีกต่างหาก

ถ้าถามว่านิสัยปกติของชนกันต์มันต่างจากที่เป็นอยู่ตอนนี้แค่ไหน ก็คงตอบได้แค่ว่า ถ้าเป็นชนกันต์ตอนปกติคงไม่มาเที่ยวทะเลอะไรแบบนี้แน่ ยิ่งโดยเฉพาะกับแฟนน้องชาย กับคนที่ไม่ได้เป็นคนในครอบครัว ต่อให้สนิทแค่ไหน ชนกันต์ก็ไม่มีทางยอมมา ถึงเจ้าของร้านทำผมแบบเขาจะเป็นมนุษย์ที่ชอบเข้าสังคม มีเพื่อนเยอะแค่ไหน แต่ชนกันต์ก็เป็นคนที่รักและหวงแหนความเป็นส่วนตัวของตัวเองมาก ปาร์ตี้ประเดี๋ยวประด๋าวน่ะแน่นอนว่าชนกันต์ไม่เคยขัด แต่การค้างอ้างแรมกับคนอื่นที่ไม่ใช่คนในครอบครัวนี่ไม่มีแน่ แบบนี้ไม่ใช่นิสัยของชนกันต์แน่ๆ

แต่วันนี้มันต่างออกไป เขากลับร้องขอที่จะตามลูกพี่ลูกน้องมาด้วย แล้วจะไม่ให้ตะวันเป็นห่วงได้ยังไง

ชนกันต์ลากสายตาไปหยุดยังจุดที่กำลังมีการถ่ายแบบกันอยู่ ใบหน้าสวยหวานผ่อนคลายลงเล็กน้อย ก่อนที่รูปร่างของชายหนุ่มที่โคตรจะเพอร์เฟ็กต์ปรากฎขึ้นในกรอบสายตาของชนกันต์ซึ่งเป็นจังหวะเดียวที่ริมฝีปากได้รูปเริ่มตอบคำถามของตะวันพอดี

“ฉันเบื่อน่ะตะวัน ทุกวันนี้เหมือนอยู่เพื่อทำงานไปวันๆ ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นกับชีวิตเลยสักนิด”

พูดไม่พูดเปล่า ชนกันต์ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะหลุดขำออกมาเบาๆ เมื่อมองเห็นว่าหนุ่มนายแบบที่เขามองเห็นอยู่ไกลๆ สะดุดสายไฟหน้าเกือบทิ่ม ดีที่คนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ถลาไปจับตัวไว้ได้ทัน

“ทำไมเด๋อขนาดนั้น.. หึ” ตะวันมองตามสายตาของชนกันต์ไปหลังได้ยินเสียงอีกฝ่ายพึมพำเบาๆ เลยได้เห็นในสิ่งเดียวกับที่ลูกพี่ลูกน้องเห็น ก่อนจะสลับกลับมามองชนกันต์ที่ยังคงมองตรงไปตรงจุดเดิมโดยแทบจะไม่ได้ละสายตา

ริมฝีปากบางจึงหลุดยิ้มก่อนจะพูดเรื่อยๆ ด้วยน้ำเสียงสบายๆ คล้ายจะเตือนสติ แต่ที่จริงแล้วอยากให้ชนกันต์ได้ฉุกคิดและทบทวนอะไรบางอย่างมากกว่า

“นายก็อย่าบีบคั้นตัวเองมากเกินไปนักเลยชาร์ม ฉันรู้นะว่านายชอบความสมบูรณ์แบบ นายอยากให้ทุกอย่างออกมาดีทั้งเรื่องงาน ทั้งเรื่องชีวิตส่วนตัว แต่นายก็รู้นี่ว่าบนโลกใบนี้มันไม่อะไรที่เพอร์เฟ็กต์แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ขนาดนั้นหรอก ของบางอย่าง เรื่องบางเรื่อง คนบางคน มันใช้แต่สมองมองและคิดไม่ได้หรอกนะ ... ลองเปิดใจ ใช้ใจนายนำทางดูบ้าง ลองผิดลองถูกในบางครั้งบ้าง ฉันว่ามันน่าตื่นเต้นดีออก นายไม่คิดแบบนั้นเหรอ?”

ชนกันต์ละสายตาจากนายแบบหนุ่มคนนั้นแล้วหันมาหาตะวันหลังจากแช่สายตาให้หยุดอยู่ตรงนั้นมาพักใหญ่ พลางเริ่มคิดอย่างที่ตะวันพูด ก่อนจะค้นพบว่าบางครั้งเขาก็เคร่งครัดกับตัวเองมากเกินไปทุกเรื่อง และอดยอมรับไม่ได้ว่ารู้สึกเหงาไม่น้อยที่ต้องทำทุกอย่างลำพัง แม้บางครั้งนึกอยากจะมีใครสักคนไว้เคียงข้าง แต่เขาก็ยังไม่เห็นว่าจะมีใครเหมาะที่จะอยู่ในตำแหน่งนั้นได้เลย พอเลือกนานๆ เข้า หานานๆ เข้ามันก็ยิ่งล้ายิ่งเหนื่อย จนกลายเป็นทดท้อไปในที่สุด

หรือว่าเขาจะลองทำตามที่ตะวันแนะนำดูบ้าง

... ใช้ใจค้นหา มากกว่าที่จะใช้สมองใคร่ครวญ

ดวงตากลมกวาดกลับไปมองยังจุดที่นายแบบคนนั้น ที่ตอนนี้กำลังยืนยิ้มกว้างพูดคุยกับช่างภาพอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะหลุดยิ้มตามคนตรงโน้นออกมา จากนั้นก็หันกลับไปหาตะวัน

“อื้ม ขอบใจมากนะตะวัน แล้วฉันจะลองเอาไปคิดดู”

ตะวันยิ้มกว้าง ก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปกอดคนที่ตัวบางพอๆ กัน แต่ติดจะสูงกว่าตัวเองเล็กน้อย ให้ชนกันต์ได้ร้องโวยวาย คละเคล้าเสียงหัวเราะของตะวัน

“ตัวนายเปียกนะตะวันนน ปล่อยยยยย!!”

“ไม่ปล่อยยยยย” ตะวันว่าเสียงดัง ก่อนจะตะโกนเรียกพรรคพวกที่ตอนนี้หันมาให้ความสนใจกับคนทั้งคู่พอดี หลังจากที่ได้ยินเสียงชนกันต์โวยวาย “น้องพี คุณอาทิตย์มาจัดการพี่ชาร์มเร็ว! พี่ชาร์มยังตัวแห้งอยู่เลยเนี่ย”

สิ้นคำยุยงของตะวัน เด็กทั้งสองก็หัวเราะคิกวิ่งหน้าตั้งมาทางชนกันต์ทันที ทำเอาคนที่มีศักดิ์เป็นพี่โวยวายไม่หยุด

“ไม่ต้องเลยนะเด็กๆ พี่ชาร์มไม่เล่นนะ ฮ่าๆๆๆๆ” แล้วจากเสียงโวยวายก็เปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะเมื่อเจอเจ้าเด็กแสบพุ่งเข้าตะลุมบอน จนตอนนี้เปียกปอนกันไปทั่ว

“คิกๆๆๆ พี่ชาร์มเส็ดน้องพีแน่”

“ฮ่าๆๆๆๆ พี่ตะวันๆๆๆ จับพี่ชาร์มๆๆๆๆ”

“นายโดนพวกฉันสั่งสอนแน่ชาร์ม ฮ่าๆๆๆๆๆ”

เสียงหัวเราะของทั้งสี่คนดังก้องไปทั่วบริเวณ โดยมีรูปร่างสูงใหญ่ของพลัฎฐ์ที่ยืนถือห่วงยางเป็ดน้อยเดินตามมาหยุดดูเงียบๆ แต่รอยยิ้มกลับระบายเต็มใบหน้าหล่อเหลา

...ซึ่งก็ไม่เว้นแม้แต่นายแบบหนุ่มที่ยืนอยู่ไม่ไกล ยังอดไม่ได้ที่จะมองมา เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความสุข ของกลุ่มเด็กน้อยและผู้ชายร่างบางๆ สี่คนที่กำลังฟัดกอดกันอยู่ริมหาด ดูแล้วน่าสนุกไม่น้อย และภาพดังกล่าวก็ทำให้เขาได้ยิ้มออกมาน้อยๆ เมื่อมองไปยังกลุ่มคนที่ว่า โดยเฉพาะผู้ชายคนที่ตัวสูงกว่า หน้าสวยๆ ดูมั่นใจ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ารอยยิ้มกว้างจากริมฝีปากได้รูปทำให้เขาต้องยิ้มตาม มันน่ามอง น่ามองจนละสายตาแทบจะไม่ได้เลย

.

.

.

“น้องพีเอาปูน้อยคับปะป๊า”

ตอนนี้ทั้งห้าคนกำลังนั่งรับประทานอาหารเย็นกันอยู่หน้าบ้านพัก บรรยากาศตอนพระอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้าทำให้ทุกคนรู้สึกผ่อนคลายเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเด็กๆ ที่เจริญอาหารไม่หยุด แถมยังอารมณ์ดีจนพลัฎฐ์อารมณ์ดีตามไปด้วย

“พี่ตะวันอ้าปาก เดี๋ยวอาทิตย์ป้อน”

มือเล็กๆ ถือบาร์บีคิวที่ปิ้งเสร็จแล้วไว้ในมือ ก่อนที่จะยื่นบาร์บีคิวไม้ที่ว่าไปจรดริมฝีปากบางสีสดของคนเป็นพี่ ให้ตะวันได้รู้สึกภูมิใจ ที่น้องชายดูแลเอาใจใส่เขาไม่แพ้กับที่เขาเคยดูแลน้องชายมาตลอด

“อ้า อ้าม” อาทิตย์ส่งเสียงพร้อมกับที่ตะวันค่อยๆ อ้าปากงับบาร์บีคิวมาเคี้ยวจนแก้มตุ้ย

“ขอบคุณครับ” มือเรียวของตะวันลูบลงบนกลุ่มผมสีเข้มของน้องชายพลางกล่าวขอบคุณ ให้เจ้าหนูได้ยิ้มแฉ่งที่ได้ทำอะไรเพื่อพี่ตะวันบ้าง

“พี่ชาร์มคับ น้องพีให้คับ” ส่วนเด็กชายพีรยสถ์ก็ไม่น้อยหน้า เจ้าหนูยื่นแก้วน้ำที่อยู่ในมือให้เจ้าของใบหน้าสวยหวานอย่างชนกันต์ด้วยความเอื้อเฟื้อ

“หนูสองก็กินด้วยสิครับ เดี๋ยวอาหารหายร้อนหมดนะ” พลัฎฐ์ว่า พลางเลื่อนจานกุ้ง ปู และบาร์บีคิวไปตรงหน้าของชนกันต์ ตะวัน น้องพีและอาทิตย์ ให้หยิบกินได้สะดวกๆ

“แล้วคุณพลัฎฐ์ล่ะครับ” ชนกันต์ตัดสินใจถามอีกฝ่าย เพราะเห็นปะป๊าของน้องพีเอาแต่ดูแลคนโน้นคนนี้ ไม่เห็นว่าพลัฎฐ์จะได้กินอะไรสักเท่าไหร่

“ผมทานพร้อมกับน้องพีไปบ้างแล้วครับ คุณชาร์มไม่ต้องห่วงนะครับ ตามสบายเลย”

ชนกันต์ลอบมองก็ได้เห็นว่าพลัฎฐ์กับตะวันส่งยิ้มหวานให้กัน และนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มของตะวันก็ดูมีความสุขมาก ซึ่งชนกันต์เองก็เชื่อว่าตะวันน่าจะมีความสุขมากจริงๆ เมื่อเห็นและสังเกตพฤติกรรมและนิสัยต่างๆ ของพลัฎฐ์

... เป็นสุภาพบุรุษ มีน้ำใจ ตรงไปตรงมา และรักตะวันมาก ….

ไม่เชื่อก็ดูจากสายตาที่หวานเชื่อมยามมองไปที่ลูกพี่ลูกน้องของเขาได้...

ดังนั้น เพื่อเป็นการตอบแทนทั้งตะวันและพลัฎฐ์ ชนกันต์จึงตัดสินใจเอ่ยขึ้น

“อาทิตย์ น้องพี คืนนี้ขอพี่ชาร์มนอนด้วยได้ไหมครับ?” ตะวันขมวดคิ้วพลางหันไปมองหน้าชนกันต์ทันทีที่ได้ยินคำถาม

“พี่ชาร์มอยากมานอนกะน้องพีหยอคับ”

“นั่นสิ พี่ชาร์มอยากนอนกับเราสองคนเหรอคับ”

และชนกันต์ก็ไม่รอให้ตะวันสงสัยหรือพูดขัดอะไรขึ้นมาทั้งนั้น เขาเลือกที่จะตอบคำถามของเด็กๆ และส่งสายตาบอกบางอย่างให้ตะวันได้เขินอายทันทีที่เข้าใจ

“ใช่ พี่ชาร์มอยากนอนกับน้องพีกับคุณอาทิตย์มาก” ก่อนจะแกล้งทำเสียงเล็กเสียงน้อยใส่เด็กๆ ทั้งๆ ที่ตะวันกับพลัฎฐ์ได้ยินชัดเจน “เพราะพี่ชาร์มมีเลโก้กล่องใหญ่ที่เพิ่งซื้อมาใหม่ติดมาในกระเป๋าด้วยน่ะสิ เลยอยากให้น้องพีกับคุณอาทิตย์ช่วยดูให้หน่อย จะได้หรือเปล่านะ”

ชนกันต์ลอบยิ้มเมื่อเห็นเจ้าหนูน้อยทั้งสองตาเบิกกว้าง ที่จริงแล้วเลโก้ที่เขาเอาติดมานี่ก็ตั้งใจจะให้เด็กชายทั้งคู่อยู่แล้ว แต่ยังไม่ทันได้เอาให้เพราะยังไม่มีโอกาส กะจะเอาให้ก่อนกลับกรุงเทพ ไม่น่าเชื่อว่าจะพอดีกับที่เอามาเป็นข้ออ้างในการพาตัวเด็กๆ มานอนด้วยได้

“น้องพีอยากนอนกับพี่ชาร์มจังเยย ไม่ใช่เพราะเยโก้หยอกนะคับ น้องพีอยากนอนกับพี่ชาร์มเพราะพี่ชาร์มอยากนอนกับน้องพี... นะปะป๊าน้า”

ชนกันต์หลุดขำออกมาเบาๆ ตอนได้ยินคำพูดจากเด็กฉลาดอย่างน้องพี ทำเป็นบอกว่าไม่ใช่เพราะเลโก้ แต่หน้าตา ท่าทาง คำพูดนี่ดูตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด ขนาดคนเป็นพ่อได้ยินคำพูดลูกชายตัวเองยังแอบหัวเราะเลย

และเมื่อเห็นว่าชนกันต์ยังไม่ตอบรับปฏิเสธ รวมไปถึงปะป๊าพลัฎฐ์เองก็ยังไม่ได้พูดอะไร เด็กชายพีรยสถ์เลยตัดสินใจเอนตัวเอาศีรษะไปถูไถกับต้นแขนของขนกันต์อย่างออดอ้อน ทำเอาชนกันต์อดใจไม่ไหว ก้มลงไปหอมแก้มนิ่มๆ กลมๆ ของเจ้าเด็กรู้มากอย่างมันเขี้ยว

สุดท้ายพลัฎฐ์ก็หลุดหัวเราะและอนุญาตให้น้องพีไปนอนกับชนกันต์ในที่สุด

อันที่จริงจะเรียกว่าอนุญาตก็ไม่ถูก เรียกว่าเข้าทางพลัฎฐ์เลยน่าจะดีกว่า เขาแอบผงกศีรษะขอบคุณลูกพี่ลูกน้องของคนรักน้อยๆ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าชนกันต์พยายามจะช่วย เพื่อให้เขาได้มีเวลาส่วนตัวกับตะวันในคืนนี้

“ได้ครับ ปะป๊าให้น้องพีไปนอนกับพี่ชาร์มได้ แต่ห้ามอ้อนเอานู่นเอานี่จากพี่ชาร์มมากเกินไปนะครับ ถ้าพี่ชาร์มบอกให้เข้านอน น้องพีก็ต้องเข้านอน ห้ามดื้อกับพี่ชาร์มรู้ไหมลูก”

“อื้อ! ได้คับ น้องพีจะไม่ดื้อเยย เชื่อฟัง นอนเย็ว”

เจ้าตัวน้อยพยักหน้าหงึกหงักแต่ตาเป็นประกาย ดูก็รู้ว่าตอนนี้วาดฝันถึงกล่องเลโก้ไปถึงไหนต่อไหนแล้วก็ไม่รู้

“พี่ตะวันคับ คืนนี้อาทิตย์นอนกับพี่ชาร์มนะคับ อาทิตย์คิดถึงพี่ชาร์ม พี่ชาร์มไม่ค่อยได้มาค้างกับอาทิตย์เลย”

“ฮ่าๆๆๆๆ” ชนกันต์ถึงกับหลุดขำออกมาเสียงดัง ตอนได้ยินคำพูดของน้องชายคนเล็ก ที่แสบยิ่งกว่าคำพูดของน้องพีสักสิบเท่าได้

คิดดูเอาเถอะ เจ้าตัวแสบทำมาเป็นอ้างว่าเขาไม่ค่อยไปค้างด้วย ทั้งที่ปกติแล้วต่อให้ชนกันต์ไปค้างด้วย อาทิตย์ก็ร้องจะนอนกับตะวันอยู่ดี เพราะอาทิตย์น่ะติดตะวันจะตายไป หายใจเข้าออกก็ตะวันตลอด แต่พอมาวันนี้กลับมาทำอ้างว่าอยากนอนกับเขาเพราะคิดถึง โถ่.. ถ้าไม่มีเลโก้กล่องใหม่มาล่อมีเหรอเจ้าอาทิตย์ดวงน้อยจะยอมมา

“ตัวแสบเอ๊ย! ฉลาดพูดจริงๆ นะ” ชนกันต์ยื่นมือไปยีผมบนศีรษะทุยของเจ้าน้องน้อยคนสุดท้องด้วยความหมั่นไส้ในคำพูดคำจา โดยที่เจ้าอาทิตย์ดวงน้อยเองก็หันมายิ้มตาหยีให้ชนกันต์ได้นึกเอ็นดู

“อาทิตย์ครับ พี่ว่า...” พี่คนกลางของครอบครัวอ้าปากจะพูดอะไรสักอย่าง ชนกันต์เลยตัดสินใจตัดบท

“ตกลงตามนี้นะตะวัน นายกับคุณพลัฎฐ์ตามสบายเลย เดี๋ยวเด็กๆ ฉันดูแลเอง”

ตะวันแก้มแดงทันทีที่ได้ยินชนกันต์เน้นย้ำคำว่าตามสบาย เขินก็เขินแต่ก็อดถลึงตาใส่คนที่มีศักดิ์เป็นพี่ไม่ได้ ซึ่งนั่นก็ไม่ได้ทำให้ชนกันต์นึกกลัวอะไรเลย หนำซ้ำยังทำให้เขินกว่าเดิมด้วยซ้ำ เมื่อน้องพีพูดประโยคต่อมาให้ตะวันกับพลัฎฐ์ได้ยิน

“ใช่ๆ ตามสบายเยย ปะป๊าไม่ต้องเป็นห่วงน้องพีน้า ตามสบาย ตามสบาย”

พลัฎฐ์เองก็ต้องกลั้นขำแทบแย่ เพราะกลัวจะถูกตะวันกินหัวเอา ถ้าขำมีเสียงออกมา

“ครับลูก ขอบคุณน้องพีนะครับ”

“พี่ตะวันก็ไม่ต้องเหงานะ ให้อาทิตย์ไปนอนเป็นเพื่อนพี่ชาร์มคืนนึง พี่ตะวันนอนคนเดียวได้ๆ ตามสบายยย”

และจากคำพูดของอาทิตย์ก็ทำเอาพลัฎฐ์อดใจไม่ไหว ต้องเหลือบสายตามองคนที่ตอนนี้กำลังแดงไปทั้งหน้าลามยันคอ เพราะอยากรู้ว่าตะวันจะมีท่าทียังไง และภาพที่เห็นก็ไม่ต่างจากที่พลัฎฐ์คิดไว้สักเท่าไหร่นัก ดังนั้น สายตาเจ้าเล่ห์จึงถูกถ่ายทอดไปยังอีกฝ่ายให้ได้เห็นและเข้าใจความหมาย เลยไม่วายถูกคนตัวเล็กกว่าถลึงตาขู่ ... โถ่ น่ากลัวตรงไหนกัน

ท่าทางคืนนี้จะเป็นทางสะดวกของพลัฎฐ์จริงๆ แล้วเสียที

.

.

.

- อ่านต่อด้านล่าง -
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 15th - 06/8/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 06-08-2019 18:51:41
- ต่อจากด้านบน -


“พี่พลัฎฐ์ ไปนอนโซฟาเลยครับ”

เสียงหวานเอ่ยไล่ แต่พลัฎฐ์ทำหูทวนลม นอนหนุนแขนตัวเองกระดิกเท้าอยู่บนเตียงกว้างนิ่ง ไม่ยอมขยับเขยื้อนเลยสักนิด ในขณะที่ตะวันก็ยืนเท้าเอวอยู่ข้างเตียง หลังจากเพิ่งอาบน้ำออกมาจากห้องน้ำ ก็มาเจอว่าพลัฎฐ์นอนอยู่ก่อนแล้ว

เขาอุตส่าห์รีบเข้าไปอาบน้ำก่อนพลัฎฐ์ ตั้งใจว่าพอออกมาจากห้องน้ำก็จะกางแขนกางขานอนให้เต็มเตียงแล้วแกล้งหลับ แต่ไม่คิดว่าพลัฎฐ์จะซ้อนแผนด้วยการไปอาบน้ำในห้องของเด็กๆ แล้วชิงมาทิ้งตัวลงนอนบนเตียงก่อนเขาเฉย

ตะวันถอนหายใจพลางมองไปยังโซฟาที่อยู่อีกฟากหนึ่งของห้อง สงสัยคืนนี้เขาคงได้อัปเปหิตัวเองไปนอนตรงนั้นแน่ๆ

เนื่องจากบ้านพักหลังนี้มีแค่สองห้องนอน ตอนแรกที่วางแพลนกันไว้คือห้องใหญ่จะให้ตะวัน ชนกันต์ และอาทิตย์นอนด้วยกัน ส่วนห้องเล็กพลัฎฐ์จะนอนกับลูกชาย แต่พอทุกเหตุการณ์กลับตาลปัตร เลยต้องยกห้องใหญ่ให้ชนกันต์และเด็กๆ ส่วนพลัฎฐ์กับตะวันก็พาตัวเองระเห็จมานอนที่ห้องเล็กแทน

และในขณะที่ขาเรียวกำลังจะก้าวไปทรุดตัวลงนอนยังโซฟาตัวที่ว่า เจ้าของรูปร่างใหญ่โตที่เมื่อกี้ยังนอนอืดอยู่บนเตียง ก็พุ่งพรวดเข้ามากอดเอวบางของตะวันไว้ ก่อนจะดึงร่างของคนตัวเล็กกว่าให้นอนหงายลงบนเตียงหลังใหญ่ พร้อมๆ กับที่พลิกเอารูปร่างสูญใหญ่ของตัวเองคร่อมทับร่างกายนุ่มนิ่มของตะวันไว้ทันที

“หนีเก่ง” ว่าแล้วก็ฉกจมูกลงบนแก้มใสของคนรักเป็นการลงโทษ “ชาร์มอุตส่าห์เปิดโอกาสให้เราได้จู๋จี๋ดู๋ดี๋กันแล้ว ตัวเล็กจะมาเทพี่แบบนี้ไม่ได้นะครับ”

“จู๋จี๋ดู๋ดี๋อะไรเล่าพี่พลัฎฐ์” ว่าพลางแก้มแดงก่ำ ก่อนที่มือเล็กๆ จะผลักไหล่หนาของอีกฝ่ายเบาๆ เป็นการบอกให้ลุกออก แต่ก็เหมือนผลักกำแพงหิน เพราะตอนนี้พลัฎฐ์ไม่ขยับเขยื้อนเลยสักนิด “ลุกไปเลยครับ ตะวันหนัก”

“ทำไมล่ะครับตัวเล็ก ตัวเล็กไม่อยากมีเวลาส่วนตัวกับพี่เหรอ ไม่อยากให้พี่กอด ไม่อยากให้พี่แสดงความรักกับตัวเล็กเหรอครับ” พลัฎฐ์ถามเสียงตัดพ้อ ทำเอาใจของตะวันอ่อนยวบ

ร่างเล็กที่อยู่ใต้อาณัติของร่างกายสูงใหญ่เม้มปากแน่น ดวงตากลมเสหลบไปทางอื่น ไม่ยอมมองหน้าและไม่ยอมตอบคำถามของพลัฎฐ์เลยสักนิด

จะให้ตะวันพูดได้ยังไงว่าอยากถูกพลัฎฐ์กอดจะแย่ ถึงจะเป็นผู้ชาย และอายุไม่น้อยแล้ว แต่ตะวันก็เพิ่งจะมีพลัฎฐ์เป็นแฟนคนแรก จะไม่ให้เขาเขินเลยก็คงจะเป็นไปไม่ได้ ... ใครจะไปกล้ายอมรับอย่างหน้าชื่นตาบานล่ะ

ในขณะที่ตะวันกำลังคำนวณอยู่ในใจว่าจะเริ่มพูดยังไงกับพลัฎฐ์ดี คนที่คร่อมทับเขาอยู่ก็พรูลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนที่น้ำหนักที่กดทับอยู่บนตัวของตะวันก่อนหน้าจะค่อยๆ หายไป พร้อมกับคำพูดตัดพ้อที่ทำเอาตะวันลุกขึ้นผวาตัวกอดอีกฝ่ายแทบไม่ทัน

“ก็ได้ครับ ไม่ก็ไม่ พี่ไม่อยากฝืนใจตัวเล็ก เดี๋ยวพี่ไปนอนโซฟาเอง ตัวเล็กนอนบนเตียงให้สบายๆ เถอะ ไม่ต้องทำท่ากลัวว่าพี่จะรังแกขนาดนั้นหรอก”

ทันทีที่พลัฎฐ์พูดประโยคดังกล่าวจบ แขนเรียวก็วาดไปโอบรั้งรอบเอวหนาแน่นพร้อมกับเสียงหวานที่เอ่ยขึ้นอย่างร้อนรน

“ไม่ใช่สักหน่อยนะพี่พลัฎฐ์ ตะวันไม่ได้รังเกียจ ไม่ได้ไม่อยากถูกพี่แตะต้อง แต่ตะวัน.. ตะวัน คือ...”

“คือ...?” พลัฎฐ์แสร้งถามทำเป็นว่าไม่รู้ ทั้งๆ ที่เขาเองก็พอจะรู้ว่าทำไมตะวันถึงมีท่าทีอิดออดแบบนั้น เขาอยากให้ตะวันพูดออกมาเอง และเหนือไปกว่านั้นคือ อยากให้ตะวันยินยอมพร้อมใจเองมากกว่าที่เขาจะไปหักหาญน้ำใจ

เพราะสำหรับพลัฎฐ์แล้ว ตะวันพอใจที่จะให้เขาได้แค่ไหน พลัฎฐ์ก็ยินดีที่จะโอนอ่อนตามแค่นั้น เขายอมรับว่าเขาคิดเรื่องอย่างว่ากับตะวันจริง ในฐานะที่เป็นคนรักกันจะให้บอกว่าเขาบริสุทธิ์ใจไม่คิดอะไรเลย พลัฎฐ์ก็คงโกหก เขาคิดแต่อยู่ในขอบเขตที่ยับยั้งชั่งใจได้ ถ้าตะวันยังไม่พร้อม เขาก็ยินดีที่จะรอ

“คือ.. ตะวันอาย ตะวันไม่เคย”

เสียงหวานพูดงุ้งงิ้ง พลางโผไปซุกอกของพลัฎฐ์ เพราะอยากซ่อนแก้มแดงๆ ของตัวเองไม่ให้พลัฎฐ์เห็น

พลัฎฐ์ลอบยิ้มพลางก้มลงมองศีรษะทุยที่กำลังมุดๆ อยู่ตรงอกของตัวเองด้วยสายตาเอ็นดู ก่อนจะกดริมฝีปากลงไปบนกระหม่อมของคนขี้อายแรงๆ

“งั้น.. วันนี้พี่จะตัวเล็กไปเที่ยวสวนสัตว์เหมือนกับที่พี่พาเด็กๆ ไปมาเมื่อเช้า พี่จะพาตัวเล็กไปทัศนศึกษา ตัวเล็กจะได้รู้ว่าตัวเล็กชอบสัตว์ตัวไหน ไม่ชอบสัตว์ตัวไหน ดีไหมครับ”

ใบหน้าหวานแดงก่ำยิ่งกว่าเดิมจากที่แดงมากอยู่แล้ว เมื่อเข้าใจความหมายที่พลัฎฐ์พูด ก่อนที่ศีรษะเล็กจะผงกรับ ตกลงในสิ่งที่พลัฎฐ์ถาม

“ก็ได้ครับ แต่พี่พลัฎฐ์...”

พลัฎฐ์ตัดสินใจก้มลงประทับริมฝีปากลงบนกลีบปากบางทันทีที่ตะวันตอบตกลง เขาไม่รอให้ตะวันได้เอ่ยถามอะไรอีก เพราะอดใจอดทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว

“อื้อ...”

เสียงหวานครางอื้ออึงอยู่ในลำคอ ก่อนที่ทุกอย่างจะลื่นไหลไปตามอารมณ์ ตะวันตัดสินใจเลิกคิดเลิกคำนึงถึงทุกอย่าง ตากลมหลับพริ้ม เมื่อเคลิบเคลิ้มกับสิ่งที่พลัฎฐ์ปรนเปรอให้ แขนเรียวของตะวันจากที่งกเงิ่นเกะกะ ก็ถูกพลัฎฐ์จับมาวาดโอบรอบคอตัวเองไว้ ในขณะที่มือใหญ่ของพลัฎฐ์ก็รั้งท้ายทอยของคนตัวเล็กกว่าให้เข้ามาแนบชิด ส่วนอีกข้างที่ว่างก็บีบเค้นอยู่ตรงเนื้อนิ่มของเอวบาง พลางลูบเบาๆ ราวกับจะปลอบประโลมความรู้สึกของอีกฝ่ายให้ผ่อนคลายกว่าที่ควร

ตอนนี้ในหูของตะวันไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย นอกจากเสียงเฉอะแฉะของน้ำลายที่ดังก้อง และความรู้สึกวูบวาบในท้องน้อยที่ตอนนี้มันป่วนปั่นไปหมด ยามที่พลัฎฐ์ดูดดึงกลีบปางของตะวันอย่างอ่อนโยบสลับดุดัน แต่พลัฎฐ์ก็ใจเย็นพอที่จะไม่วู่วาม ไม่ตะกละตะกลามจนทำให้ตะวันตกใจ

สมกับเป็นทัวร์ชมสวนสัตว์โดยไกด์พลัฎฐ์ที่ยินดีนำเสนอจริงๆ

พลัฎฐ์ขยับปากขบเม้มริมฝีปากตะวันอย่างเชี่ยวชาญ คนตัวโตกว่าสามารถทำให้ตะวันรู้สึกคล้อยตามได้ไม่ยาก เขาค่อยๆ ดูดดึงริมฝีปากอีกฝ่ายช้าๆ สลับหนักแน่น ไม่นานตะวันก็เรียนรู้ที่จะจูบตอบแม้จะเป็นไปอย่างไร้เดียงสา แต่กลับเร้าอารมณ์ให้พลัฎฐ์รู้สึกตื่นตัวตามได้ง่ายกว่าที่เคย เรียกได้ว่าแทบจะง่ายกว่าทุกครั้งที่ผ่านมาของพลัฎฐ์เลยก็ว่าได้

คนตัวโตกว่าค่อยๆ ผละออกหลังจากง่วนอยู่กับริมฝีปากตะวันอยู่นาน ตอนนี้เขาอยากจะลึกซึ้งมากกว่านี้ พลัฎฐ์จึงค่อยๆ ไล้ลิ้นเลียไปตามร่องริมฝีปากสีสดที่ตอนนี้บวมเจ่อเล็กน้อย ตะวันเองก็พอจะเดาออกเลยเผยอปากขึ้นตามสัญชาตญาณ ซึ่งพลัฎฐ์ก็ไม่รอช้าที่จะแทรกลิ้นเข้าไปในโพรงปากของอีกฝ่าย เขากวาดต้อนเอาความหอมหวานที่ไม่มีวันหมดสิ้นของตะวันอย่างโหยอยาก ก่อนจะเกี่ยวลิ้นตัวเองเข้ากับลิ้นร้อนของน้อง ต่างฝ่ายต่างกระหวัดรัดรึงลิ้นของกันและกัน จนกลายเป็นเสียงหยาบโลนดังไปทั่วห้อง

และก่อนที่ตะวันจะหมดลมหายใจ พลัฎฐ์ก็ตัดสินใจถอนริมฝีปากออก ก่อนจะเลียไปตามมุมปากของอีกฝ่ายพร้อมกับจูบซับทำความสะอาด เป็นการแสดงถึงความเอาใจใส่และความอ่อนโยนของพลัฎฐ์ได้เป็นอย่างดี

“เมื่อกี้พี่พาหนูไปดูผีเสื้อ หนูชอบไหมครับเด็กดี”

ตะวันพยักหน้ารับอายๆ เขาเข้าใจอย่างดีว่าผีเสื้อที่บินโฉบไปมา มันทำให้รู้สึกวาบหวาม ปั่นป่วน แต่ก็มีความสุข

จูบของพลัฎฐ์ก็เหมือนผีเสื้อที่บินลงมาแตะบนมุมปาก สวยงาม ยั่วยวน และชวนให้หลงใหล

จากนั้นพลัฎฐ์ก็ผละออกก่อนจะก้มลงซุกไซ้ซอกคอขาว พลางพรมจูบไปทั่ว ตามไหล่ ตามแนวกระดูกไหปลาร้า และตรงแอ่งชีพจร ที่ทำเอาตะวันรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องยามที่ริมฝีปากหยักลากผ่าน

"หนูอยากไปดูหมีแพนด้าไหมครับ มันชอบวอแวคลอเคลียแบบนี้เลย ... หนูชอบไหม"

"อึก.. อื้อ"

เสียงหวานครางแผ่ว ตอนนี้ตะวันแทบไม่รู้ตัวแล้วด้วยซ้ำว่าตัวเองรู้สึกยังไงอยู่ เขารู้เพียงแค่ว่าเหมือนมีกระแสไฟฟ้าแล่นผ่านไปทั่วร่าง ไม่ว่าริมฝีปากของพลัฎฐ์จะแตะต้องตรงไหน มันก็ทำให้ตัวของตะวันสั่นสะท้านไปหมด คนที่นอนหอบหายใจแรงไร้หนทางต่อต้าน นอกจากส่งเสียงครางเมื่อรู้สึกว่าตัวเองพึงใจเท่านั้น

กลิ่นกายหอมหวานของตะวันทำให้พลัฎฐ์ห้ามตัวเองยากขึ้นทุกที ความรู้สึกทั้งหมดวิ่งแล่นไปที่อวัยวะใจกลางร่างกายที่ตอนนี้กำลังขยับขยายและปวดหนึบอยู่ภายใต้กางเกงในชั้นดี

พลัฎฐ์จับตะวันนอนหงายราบไปกับเตียงนอน มือใหญ่ปลดกระดุมเสื้อนอนของอีกฝ่ายอย่างเร่งร้อน และเมื่อผิวขาวเปลือยเปล่าของตะวันปรากฎแก่สายตาของพลัฎฐ์ เขาก็กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ผิวกายยวนตาของตะวันช่างเร่งเร้ากระตุ้นเขาให้ตื่นตัวและยากที่จะถอนสายตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งยอดอกสีอ่อนที่ตอนนี้กำลังชูชันตามแรงอารมณ์ ยิ่งทำให้เขาอยากลิ้มลองและได้สัมผัส ซึ่งพลัฎฐ์เองก็ไม่รอช้าที่จะครอบริมฝีปากลงไปบนติ่งไตที่แข็งขืนชูชันท้าสายตาทันที

"อ๊ะ พี่.. อื้อ พี่พลัฎฐ์"

ตะวันเสียงสั่นพร่า ความรู้สึกเสียวซ่านแปลกใหม่แล่นพล่านไปทั่วร่าง อกบางแอ่นคว้างไร้การควบคุม มันขยับและเคลื่อนไหวตามการควบคุมของริมฝีปากหยัก โดยที่พลัฎฐ์เองก็ยิ่งทำให้ตะวันรู้สึกมากขึ้นด้วยการใช้นิ้วสะกิดวนบนตุ่มไตสีหวานอีกข้าง และเปลี่ยนมาใช้ลิ้นไล้เลียย้ำๆ ลงไป ให้ตะวันได้ครางเสียงหวานน่าฟังให้พลัฎฐ์ได้ยิน

"อื้อ .. อึก ตะวัน.. ตะวัน"

และก่อนที่คนใต้ร่างจะขาดใจ พลัฎฐ์ก็ละมือออกจากยอดอกสีหวาน แล้วลากเลื้อยเข้าไปในกางเกงยางยืดของตะวันแทน

ตะวันตกใจตาเบิกโพลง เอื้อมมือไปยึดข้อมือของคนตัวโตกว่าได้ทัน ก่อนที่มันจะลากไปถึงแก่นกลางที่ตอนนี้ปวดหนึบจนตะวันทรมานไปหมด

"พี่ .. พี่พลัฎฐ์จะทำอะไรครับ"

พลัฎฐ์จูบเบาๆ ลงบนริมฝีปากบวมเจ่อของคนถาม ก่อนจะพูดปลอบประโลมอย่างอ่อนโยน

"หนูจะมีความสุข เชื่อพี่นะครับเด็กดี พี่สัญญา"

พอตะวันคลายมือออก พลัฎฐ์ก็ตัดสินใจดึงกางเกงยางยืดของตะวันลงไปกองที่ข้อเท้า ตามไปด้วยกางเกงชั้นในสีอ่อน ตะวันหุบขาเข้าหากันทันทีเมื่อแก่นกายที่เคยถูกโอบล้อมด้วยกางเกงดีดตั้งชัน แสดงถึงความต้องการทางอารมณ์ที่สะสมมาตั้งแต่เริ่มถูกพลัฎฐ์คลอเคลีย

ใบหน้าสวนหวานผินหนีสายตาคมที่จ้องมองมาอย่างร้อนแรง ก่อนที่ตะวันจะได้ยินเสียงทุ้มร้องขอในสิ่งที่ตะวันหลีกเลี่ยงอย่างมากที่จะทำ

"หนูอ้าขาหน่อยสิครับ ให้พี่ดูงูน้อยหน่อย .. นะครับนะ"

พลัฎฐ์เอ่ยอ้อนในขณะที่ตะวันส่ายหน้าดิก คนตัวโตกว่าเลยต้องหลอกล่อด้วยการก้มลงไปจูบริมฝีปากสีสดเพื่อเบนความสนใจ พอตะวันเผลอไผลไปกับรสสัมผัสที่พลัฎฐ์มอบให้ มือใหญ่ก็ออกแรงอ้าขาตะวันออกจากกัน พร้อมกับตรงเข้ากอบกุมท่อนเนื้อขนาดน่ารักที่กำลังตั้งชันรอรับการปลอบประโลมอยู่อย่างน่าเอ็นดู

ตะวันผวาตัวเฮือก เมื่อมือใหญ่ของพลัฎฐ์เริ่มขยับรูดรั้ง สัมผัสวาบหวามวิ่งมวนอยู่ในช่องท้องให้ตะวันต้องครางเสียงหลงอยู่ในลำคอ เพราะถูกริมฝีปากพลัฎฐ์ประกบติดอยู่ แขนเรียวถูกยกขึ้นมาโอบรอบคอพลัฎฐ์โดยอัตโนมัติ แถมสะโพกบางก็ลอยคว้างไม่ติดที่นอน เพราะดูเหมือนความเสียวซ่านที่ตะวันได้รับมันกำลังเกินควบคุม

และทันทีที่พลัฎฐ์ละริมฝีปากออก ก็กระซิบถามคนที่นอนหอบหายใจแรงใต้ร่างด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า

"หนูชอบไหม หื้ม? ชอบให้พี่ทำแบบนี้ไหมครับ"

คนตัวโตกว่าไม่พูดเปล่า หนำซ้ำยังขยับมือรูดรั้งอย่างชำนาญ สลับกับการใช้นิ้วโป้งขยี้ส่วนหัวซ้ำๆ ให้ตะวันครางได้เสียงหลง

"อ๊ะ อ๊า.. ฮื่อ!"

ใบหน้าหวานสะบัดไปตามแรงอารมณ์ จนกลุ่มผมสีน้ำตาลกระจายไปทั่วหมอน

ตะวันเสียวซ่านมากจนไม่รู้จะบรรยายยังไง ซึ่งพลัฎฐ์ก็สามารถทำให้ตะวันได้รับความสุขมากยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อคนตัวโตแทรกเข้าไปอยู่ตรงกลางหว่างขาที่กำลังอ้ากว้างของตะวัน และครอบริมฝีปากลงบนแกนกายที่น่ารักของอีกฝ่าย พลางขยับปากรูดรั้ง ไล้เลีย ราวกับเป็นไอศครีมแสนอร่อยก็ไม่ปาน

"ฮึก! อ๊าาา พี่.. พี่พลัฎฐ์"

สะโพกของตะวันลอยคว้างตามการชักนำของริมฝีปากหยัก พลัฎฐ์รูดริมฝีปากอยู่ไม่กี่ครั้งสลับกับการใช้ลิ้นขยี้ส่วนหัว ไม่นานตะวันก็ตัวกระตุกเกร็ง ก่อนจะปลดปล่อยออกมาพร้อมกับเสียงครางหวานอย่างสุขสม

"อาาาาาาาาาห์!"

พลัฎฐ์กักเก็บน้ำรักของอีกฝ่ายไว้ทุกหยาดหยด ก่อนจะกลืนลงไปอย่างไม่รังเกียจ ปล่อยให้ตะวันนอนหอบหายใจหมดแรง แต่ก็เต็มไปด้วยความสุข

คนตัวโตกว่าลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก่อนจะรูดกางเกงนอนของตัวเองลงไปกองกับพื้นตามติดไปด้วยกางเกงชั้นใน เป็นผลให้ท่อนเนื้อใหญ่โตได้รับการปลดปล่อย ซึ่งตอนนี้มันขยับขยายตั้งชันเต็มที่ เพื่อรอรับการปลอบประโลม

พลัฎฐ์ทรุดตัวลงนอนเคียงข้างตะวันอีกครั้ง ก่อนจะยื่นหน้าไปจูบที่ริมฝีปากที่กำลังบวมเจ่ออย่างอ่อนโยน ซึ่งรสชาติตัวตนของตะวันที่ยังติดคลุ้งอยู่ในโพลงปากของพลัฎฐ์ทำให้ตะวันรู้สึกแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้แย่อะไร เหมือนไม่คุ้นเคยมากกว่า และพอตะวันรวบรวมสติที่กระจัดกระจายไปพร้อมกับการปลดปล่อยเมื่อครู่ได้ มือเรียวของคนตัวเล็กกว่าก็ยื่นไปสัมผัสที่แก้มสาก พร้อมกับเอ่ยขอบคุณ

"ขอบคุณนะครับพี่พลัฎฐ์ ตะวันมี...ความสุขมาก"

คนตัวเล็กกว่าพูดด้วยสีหน้าและท่าทีขัดเขินซึ่งพลัฎฐ์เองก็ไม่ได้ว่าอะไรเพียงแต่ยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน ก่อนที่จะจับมือของตะวันที่วางอยู่บนแก้มตัวเองออก แล้วเอามือเล็กๆ นั้นไปวางบนท่อนเนื้อใหญ่โตของตัวเองแทน

"เมื่อกี้เราดูงูไปแล้ว ตอนนี้พี่จะพาหนูไปดูมังกร แต่มังกรตัวนี้มันดื้อมากเลยนะ หนูปราบพยศมันให้พี่หน่อยได้ไหมครับ"

ตะวันอายม้วนหน้าแดงก่ำตอนได้ยินพลัฎฐ์พูดจาเปรียบเทียบสองแง่สองง่าม แต่ถึงแม้จะเขินมือเล็กกลับกำรอบแก่นกายอีกฝ่ายไม่ยอมปล่อย ก่อนจะอ้อมแอ้มบอกอย่างน่าเอ็นดูให้พลัฎฐ์ได้จูบลงไปบนแก้มนิ่มอย่างมันเขี้ยว

"แต่ตะวันไม่เคยทำให้คนอื่น ตะวันเคยทำให้แต่ตัวเอง .. ไม่รู้จะทำให้พี่พลัฎฐ์มีความสุขได้รึป่าวนะครับ"

พลัฎฐ์ขำออกมาเบาๆ กับความกังวลใจของอีกฝ่าย ก่อนที่คนตัวโตกว่าจะกระซิบบอกให้ตะวันจัดการขยับมือ

"ถ้าหนูเป็นคนทำให้ ยังไงพี่ก็มีความสุข... ขยับมือนะครับเด็กดี อ่าา อย่างนั้นแหละ เก่งมาก อย่างนั้นเลย"

ตะวันเริ่มขยับมือตามที่พลัฎฐ์บอกก่อนที่จะเริ่มทำเร็วขึ้นเมื่อได้ยินเสียงครางทุ้มอย่างมีความสุขของพลัฎฐ์

ตะวันเริ่มมั่นใจมากขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าที่กำลังดำดิ่งของอีกฝ่าย เขาจึงลองใช้นิ้วโป้งขยี้ตรงส่วนหัวแบบที่พลัฎฐ์เคยทำให้ ตะวันรู้ดีว่าการทำแบบนี้มันเสียวมาก แต่ก็ทำให้มีความสุขมากเช่นกัน ซึ่งเสียงครางกระเส่าของพลัฎฐ์ก็เป็นคำตอบได้อย่างดี

"อาาห์ เด็กดี.. อึก! เก่งมากครับ เก่ง"

พอได้รับคำชมตะวันก็ยิ่งได้ใจ ขยับข้อมือเร็วขึ้น จนใบหน้าหล่อเหลาของพลัฎฐ์เหยเกยบิดเบี้ยว หน้าท้องเกร็งกระตุก เป็นสัญญาณว่าคนตัวโตกว่าใกล้ถึงฝั่งฝัน ตะวันจึงใช้นิ้วโป้งขยี้ส่วนหัวซ้ำๆ จนพลัฎฐ์ตัวกระตุก และปลดปล่อยออกมาเลอะเต็มมือของตะวัน พร้อมกับเสียงทุ้มที่ครางอย่างสุขสมยาวนาน

"อาาาาาห์ เก่งมากครับเด็กดีของพี่"

พลัฎฐ์คว้าตัวของตะวันมากอดทันทีที่เสร็จสิ้นสุขสม พลางใช้ทิชชู่ที่อยู่บนหัวเตียงมาเช็ดมือเล็กๆ ของอีกฝ่ายให้อย่างอ่อนโยน ก่อนจะได้ยินเสียงหวานบ่นงุ้งงิ้งอย่างน่าเอ็นดู

"พี่พลัฎฐ์มีความสุขไหมครับ ขอโทษนะครับที่ตะวันทำได้แค่นี้"

พลัฎฐ์ขมวดคิ้วมุ่นตอนเห็นท่าทีไม่สบายใจของคนในอ้อมกอด ก่อนจะจูบลงบนหน้าผากมนหนักๆ แล้วเอ่ยถามถึงสาเหตุที่ทำให้ตะวันพูดออกมาแบบนั้น

"ทำไมหนูถึงคิดว่าพี่จะไม่มีความสุขล่ะครับ พี่มีความสุขมากเลยรู้ไหม"

"ก็.. ตะวันไม่ได้ใช้ปากทำให้" คนขี้กังวลอ้อมแอ้มสารภาพ "ทั้งที่พี่ทำให้ตะวันขนาดนั้น"

พลัฎฐ์หัวเราะอย่างอารมณ์ดีเมื่อรู้ว่าตะวันกังวลเรื่องอะไร

"โถ่ เด็กดี ไม่เป็นไรเลย นี่มันครั้งแรกของเราสองคน หนูทำแค่นี้พี่ก็สุขจนสำลักแล้ว หนูไม่รู้หรอกว่าตั้งแต่เราคบกันพี่จินตนาการถึงเหตุการณ์วันนี้มาแล้วกี่ร้อยครั้ง .. บอกเลยว่านี่น่ะเกินคาดพี่มากๆ ฮ่าๆ"

ตะวันทุบลงบนอกหนาเบาๆ ก่อนจะต่อว่าอีกฝ้ายด้วยรอยยิ้มอายๆ "พี่พลัฎฐ์น่ะทะลึ่ง"

"เอ้า ว่าได้ที่ไหน คนคบกันมีใครไม่ทะลึ่งบ้าง ไม่ว่าใครก็ต้องอยากสัมผัส อยากมีช่วงเวลาดีๆ กับคนที่ตัวเองรักทั้งนั้นแหละ.. ซึ่งพี่ก็ได้มีกับหนูแล้วสมใจ"

ตะวันยิ้มเอียงอาย ก่อนจะโผเข้าซุกอกอุ่นๆ ของคนรักก่อนจะพูดพึมพำอู้อี้ แต่ก็ได้ยินชัดเจน

"ตะวันก็มีความสุข มีความสุขมากๆ"

ซึ่งพอพลัฎฐ์ได้ยินแบบนั้นก็ดึงตัวน้องออก ก่อนจะยื่นริมฝีปากไปจูบแรงๆ บนปากบ่วมเจ่อของตะวันที่ขยันพูดจาน่ารักไม่หยุด ก่อนที่พลัฎฐ์จะเอ่ยถามอย่างเจ้าเล่ห์

"หนูชอบทัวร์สวนสัตว์ของพี่ใช่ไหมครับ? วันหลังเรามาอัพเกรดทัวร์กันดีไหม"

ตะวันได้ยินพลัฎฐ์พูดแบบนั้นก็กลั้นยิ้มจนแก้มตุ่ยเพราะความเขิน ก่อนที่มือเล็กจะฟาดลงไปแรงๆ บนอกกว้างที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ

"ไม่ไปแล้วคราวหน้า สวนสัตว์อะไรหลอกลวงประชาชนชะมัด"

“หื้ม?” พลัฎฐ์ทำหน้างงกับข้อกล่าวหาของตะวัน ก่อนที่จะหัวเราะออกมาดังลั่นทันที่อีกฝ่ายเฉลยทั้งที่ใบหน้ายังแดงก่ำดูเขินอายไม่เลิก

"ก็สวนสัตว์ที่ไหนมีมังกรเล่า! นี่มันขี้โม้ชัดๆ พี่พลัฎฐ์ขี้โกหกอ่ะ" พอพูดจบตะวันก็กลั้นยิ้มจนแก้มตุ่ยในขณะที่พลัฎฐ์ขำไม่หยุดก่อนที่จะจับตะวันมากอดอีกครั้ง พร้อมกับกระซิบกระซาบอย่างน่าหมั่นไส้

"ก็มีพิเศษเฉพาะหนูไงครับ ให้หนูได้ดูได้สัมผัสพิเศษคนเดียวเลย ฮ่าๆ"

พอได้ยินแบบนั้นตะวันก็หลุดขำจนตาหยี โดยไม่ได้รู้เลยว่าตัวเองได้ทำเจ้ามังกรยักษ์ที่ไม่ได้เห็นง่ายๆ ในสวนสัตว์ไหน ยกเว้นสวนสัตว์เฉพาะที่พลัฎฐ์อาสาพาทัวร์ตื่นขึ้นอีกรอบ

กว่าจะรู้อีกทีก็ถูกคนเจ้าเล่ห์อย่างพลัฎฐ์จับนอนราบลงกับเตียง พลางกระซิบบอกเสียงเล็กเสียงน้อย

"ป่ะครับ เดี๋ยวพี่พาหนูไปดูอีกที คราวนี้ไปดูแบบพ่นไฟด้วย รับรองหนูต้องชอบแน่ๆ เชื่อใจพี่ได้"

"ไม่เอาไม่ไปแล้วววพี่พลัฎฐ์"

แล้วเสียงโวยวายของตะวันสลับกับเสียงหลอกล่อของพลัฎฐ์ก็เงียบลง กลายเป็นเสียงหอบหายใจและเสียงครางที่เต็มไปด้วยความสุขแทน

.

.

.

To Be Continue

------------------------------

Talk: ก็ไหนว่าเขาดินวนาปิดไปแล้วไงนังพี่พะลัด กี๊ด! ><

ฝากติดแท็ก #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว ในทวิตเตอร์ด้วยนะคะ ขอบคุณมากๆ สำหรับทุกคอมเม้นท์และกำลังใจ ... รักมาก มากๆ ^^

เจอกันตอนหน้าจ้า! ❤
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 15th - 06/08/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 06-08-2019 22:09:16
 :pig4: :pig4: :pig4:

แค่ซอฟต์ ๆ ยังไม่ถึงขึ้นแอดวานซ์อัพเกรดเป็นฮาร์ดคอร์  อิอิ
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 15th - 06/08/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 07-08-2019 16:47:46
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 16th - 09/8/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 09-08-2019 20:17:21
:: Chapter 16th - คลื่นใต้น้ำ ::


หลังจากกลับมาจากทะเล ตะวันกับพลัฎฐ์ก็หวานกันมากขึ้นเป็นกองจนคนรอบข้างแซว โดยเฉพาะเด็กในร้าน The Sun’s ที่เดี๋ยวนี้แทบไม่เรียกชื่อพลัฎฐ์แล้ว เอะอะก็เอาแต่เรียก 'แฟนพี่ตะวัน' อย่างนู้นอย่างนี้ ส่วนคนถูกเรียกก็ดูจะชอบอกชอบใจ ยิ้มจนหน้าบาน

และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือทุกครั้งที่ตะวันไปออฟฟิศพลัฎฐ์ พนักงานต้อนรับก็แทบจะเอาพรมมาปูรับ ซึ่งคนขี้เกรงใจอย่างตะวันก็บอกไปหลายครั้งแล้วว่าไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้ เพราะส่วนใหญ่ที่ไปหาพลัฎฐ์ ตะวันก็ไปไม่นาน บางครั้งก็แค่เอาข้าวกลางวันไปให้ หรือถ้าวันไหนมีเวลามากหน่อยก็อาจจะอยู่กินข้าวด้วย ซึ่งเต็มที่ก็ไม่เคยเกินสองชั่วโมงสักครั้ง เพราะฉะนั้นเขาเลยติดจะเลยเกรงใจเสมอเวลาทุกคนแห่แหนมาดูแลหรือให้การตอบรับ

ซึ่งก็ให้พูดเถอะตะวันคิดว่าที่เป็นแบบนี้ส่วนหนึ่งก็เพราะพนักงานส่วนใหญ่ที่ทำหน้าที่ดูแลเรื่องการต้อนรับรู้ว่าเขาและท่านรองประธานฯ ของบริษัทเป็นอะไรกัน ไม่งั้นตะวันคงไม่ถูกดูแลต้อนรับขับสู้ขนาดนี้หรอก

และวันนี้ก็เป็นอีกวันที่ตะวันอาสาเอาอาหารกลางวันมาให้พลัฎฐ์ที่ออฟฟิศ และแม้จะมองเห็นตะวันไกลๆ ยังไม่ทันได้ถึงประตูดี พนักงานรักษาความปลอดภัยก็กุลีกุจอลุกขึ้นมาเปิดประตูให้ ให้ตะวันได้ยิ้มหวานจนตาหยีส่งให้อีกฝ่ายแทนคำขอบคุณ

“ตะวันเอามาฝากครับ” ตะวันยื่นกล่องขนมในมือให้กับพนักงานรักษาความปลอดภัยที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี ก่อนจะเอ่ยบอก “พอดีวันนี้ตะวันลองทำเครปข้าวเหนียวมะม่วง เพราะพรุ่งนี้จะเอาออกมาวางขาย เลยเอามาฝากให้ชิม อร่อยไม่อร่อยยังไงแนะนำตะวันได้นะครับ”

เจ้าของร้านอาหารว่า ก่อนที่พนักงานรักษาความปลอดภัยคนที่ได้ลองชิมขนมใหม่จะค้อมศีรษะลงด้วยความขอบคุณและรับขนมที่คนรักของท่านรองประธานฯ เอามาให้กินด้วยความยินดี

“ขอบคุณคุณตะวันมากเลยนะครับ มาทีไรก็มีขนมหรือของกินมาฝากตลอด คราวหลังไม่เป็นไรก็ได้นะครับคุณตะวัน ผมเกรงใจ”

พนักงานคนดังกล่าวแบ่งรับแบ่งสู้ด้วยท่าทีนอบน้อม แต่ตะวันกลับวางตัวเป็นกันเองให้อีกฝ่ายได้นึกชื่นชม

“เกรงใจอะไรกันครับ ตะวันเอามาให้ช่วยชิมต่างหาก อร่อยไม่อร่อยตะวันจะได้เอาไปปรับปรุงไงครับ ตะวันน่ะได้กำไรเห็นๆ”

พนักงานรักษาความปลอดภัยยิ้มรับและมองอีกฝ่ายด้วยสายตาชื่นชม เขารู้ดีว่าคนรักของท่านประธานฯ ไม่ได้เอาขนมาเพื่อให้ช่วยชิมอย่างที่ว่าหรอก คุณตะวันเอามาให้เพราะเป็นคนมีน้ำใจและใจดี แต่ที่พูดไปอย่างนั้นก็เพราะไม่อยากให้เขาต้องรู้สึกเกรงใจ และเขินอายที่จะต้องรับมา

“ก็ได้ครับ ให้ชิมก็ให้ชิม” พนักงานรักษาความปลอดภัยที่น่าจะอายุมากพอที่จะเป็นคุณน้าหรือคุณลุงของตะวันได้ ยกมือขึ้นไหว้แทนคำขอบคุณทำเอาตะวันรับไหว้แทบไม่ทัน “ขอบคุณนะครับคุณตะวัน”

และทันทีที่ถูกจู่โจมโดยการยกมือไหว้ของคนรุ่นบิดาสิ้นสุดลง เสียงหวานก็พูดตัดพ้อ และใบหน้าน่ารักมุ่ยลงอย่างน่าเอ็นดู จนทำเอาคนอายุมากกว่าอดขำออกมาเบาๆ ไม่ได้

“คุณลุงไหว้ตะวันทำไมครับ คราวหน้าไม่ไหว้นะครับ ตะวันอายุน้อยกว่าคุณลุงตั้งหลายปี ทำแบบนี้ตะวันอายุสั้นกันพอดี”

“ให้ผมไหว้เถอะครับ เพราะไม่รู้จะตอบแทนความใจดีของคุณตะวันยังไง” คุณลุงพนักงานรักษาความปลอดภัยให้เหตุผล ซึ่งตะวันเองพอได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มกว้างจนตาหยี ให้คนได้รับรอยยิ้มนั้นรู้สึกดีมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

“ถ้าคุณลุงอยากตอบแทน ก็ทานขนมของตะวันให้หมดนะครับ แค่นี้ตะวันก็ดีใจแล้ว”

“ครับๆ ผมจะทานให้หมด ไม่ให้เหลือแม้แต่เศษแป้งสักนิดเลย”

ตะวันหัวเราะเอิ๊กอ๊ากชอบใจเมื่อได้ยินคุณลุงพนักงานรักษาความปลอดภัยบอกแบบนั้น ก่อนที่เจ้าของขนมเครปจะขอตัวเมื่อเห็นว่าเวลาล่วงเลยมาหลายนาทีแล้ว

เพราะไม่งั้นแล้ว เดี๋ยวพลัฎฐ์จะรอนานละมาหาเรื่องทำโทษด้วยการหาเศษหาเลยกับเขาอีก

“งั้นผมไปก่อนนะครับคุณลุง ทานให้อร่อยนะครับ”

ตะวันเดินจากไปพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะไปหยุดยืนที่หน้าเคาน์เตอร์ต้อนรับลูกค้า จุดเกิดเหตุเดียวกับคราวที่แล้ว แต่คราวนี้เหตุการณ์กลับต่างออกไปโดยสิ้นเชิง

เจ้าของร้านอาหารควบตำแหน่งคนรักของท่านรองประธานฯ เดินยิ้มกว้างตรงไปยังพนักงานหญิงที่ประจำเคาน์เตอร์ทั้งสองคน ซึ่งสองคนนั้นเองก็ยิ้มอย่างเป็นมิตรและนอบน้อมส่งกลับให้ตะวันเช่นกัน

“สวัสดีค่ะคุณตะวัน คุณฝ้ายแจ้งทิ้งไว้ค่ะ ว่าถ้าคุณตะวันมาถึงแล้วให้เชิญขึ้นไปที่ห้องท่านรองประธานฯ ได้เลย วันนี้ท่านจะรอทานข้าวกลางวันพร้อมคุณตะวันค่ะ”

นุชนาหนึ่งในพนักงานหญิงประจำเคาน์เตอร์ รีบบอกถึงข้อความที่เลขาฯ ของท่านรองประธานฯ ฝากทิ้งไว้ ให้ตะวันขมวดคิ้วอยู่พักหนึ่งก็คลายออก

“พี่พลัฎฐ์ประชุมเสร็จแล้วเหรอครับ?”

“ค่ะ ท่านรองประธานฯ ประชุมเสร็จแล้ว วันนี้เสร็จเร็วกว่ากำหนดค่ะ เลยมีเวลาช่วงกลางวันเหลือ”

เธอชี้แจงให้ตะวันพยักหน้ารับก่อนเข้าใจ ก่อนจะยื่นกล่องขนมแบบเดียวกันกับที่ได้ให้คุณลุงพนักงานรักษาความปลอดภัยที่ได้ไปก่อนหน้า

“อันนี้ของคุณนุชนากับคุณสิริยาครับ ผมเอามาฝาก” พนักงานสองคนยกมือขึ้นไหว้แทนคำขอบคุณก่อนจะรับมา

“ขอบคุณคุณตะวันมากนะคะ รบกวนคุณจะแย่ เอาขนมมาฝากทุกครั้งเลย”

ตะวันแสร้งทำหน้าดุ ก่อนจะบอกอย่างใจดี “ไม่เอาครับ ไม่ต้องขอบคุณแล้ว ลุงชาติขอบคุณผมมาเป็นกระบุงโกยแล้ว คุณสองคนแค่ทานให้อร่อยก็พอ”

ทั้งสองพยักหน้าพลางยิ้มรับ “ได้ค่ะคุณตะวัน เราสองคนจะทานอย่างดีเลย”

“ดีครับ” ตะวันยิ้มกว้างจนตาหยี เขาชอบเหลือเกินกับเวลาที่ทำให้ขนมให้ใครทาน แล้วอีกฝ่ายดูกระตือรือร้นและยินดีที่จะได้ทานขนมฝีมือของตนเอง “งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ พี่พลัฎฐ์น่าจะรอนานแล้ว”

“ได้ค่ะคุณตะวัน เชิญทางนี้เลย เดี๋ยวนุชเดินไปส่ง”

ตะวันโบกมือปัดเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร “ไม่ต้องหรอกครับคุณนุช แค่นี้เอง ผมเดินไปได้ คุณนุชช่วยคุณสิรับลูกค้าต่อเถอะครับ ผมไปนะ”

ตะวันว่าพลางออกก้าวเดินตรงไปยังลิฟต์ที่ตรงดิ่งไปยังชั้นบริหาร ซึ่งเขามีคีย์การ์ดส่วนตัวที่พลัฎฐ์เคยให้ไว้ เอาไว้สำหรับที่จะสามารถตรงขึ้นไปบนนั้นได้เลย โดยที่ไม่ต้องแวะผ่านชั้นไหนให้เสียเวลา

.

.

.

“มาแล้วครับพี่พลัฎฐ์”

ตะวันเปิดประตูห้องทำงานของพลัฎฐ์เข้าไป ก็ได้เห็นคนตัวโตกว่านั่งหน้านิ่วคิ้วขมวด พร้อมพลิกเอกสารบนโต๊ะไปมา โดยที่คุณฝ้ายยืนตัวตรงเยื้องไปด้านหลัง ราวกับพร้อมที่จะให้คำตอบในทุกคำถามที่เจ้านายเกิดสงสัยขึ้นมาระหว่างที่อ่านเอกสารหลายๆ แผ่นตรงหน้านั่น

แต่เมื่อท่านรองประธานฯ บริษัท เหลือบตามาเห็นว่าคนที่ตนเองรอจะเจออยู่ปรากฎอยู่ตรงหน้าแล้ว คนที่กำลังคร่ำเคร่งก็ทิ้งงานทุกอย่างทันที ก่อนจะลุกเดินตรงไปยังร่างบางที่ยืนส่งยิ้มกว้างมาให้ ยิ้มกว้างสดใสแบบที่พลัฎฐ์ชอบ ยิ้มที่เขาเห็นแล้วอดที่จะยิ้มตามโดยอัตโนมัติไม่ได้

“คิดถึงจังครับ ทำไมตัวเล็กมาช้า”

คนตัวโตกว่าอ้าแขนออกรอให้คนที่ตัวเล็กกว่าโผเข้ามาซุก แต่ตะวันกลับไม่ทำตามที่ใจพลัฎฐ์ปรารถนา คนตัวเล็กกว่าเหลือบตาไปมองคุณเลขาฯ อีกคนที่ยังอยู่ในห้อง แก้มขาวๆ ก็ซับสีแดงระเรื่อ ให้พลัฎฐ์ได้รู้ทันทีว่าตะวันน่าจะกำลังเขิน ไม่กล้าแสดงความรักออกนอกหน้าแบบเขา และโดยที่พลัฎฐ์ไม่ต้องสั่ง คุณฝ้ายเลขาฯ คนสนิทก็ดูเหมือนจะรู้หน้าที่ของตัวเองดี จึงเตรียมเฟดออกจากห้องพร้อมรอยยิ้มล้อๆ

“งั้นดิฉันขอตัวก่อนนะคะท่านรองประธานฯ คุณตะวัน” พลัฎฐ์พยักหน้ารับให้คุณฝ้ายได้เดินไปถึงหน้าประตูก่อนจะหันมากำชับตารางงานช่วงบ่ายกับเจ้านายตน “มีประชุมอีกทีตอนบ่ายสองนะคะท่านรองประธานฯ”

พลัฎฐ์นึกขำในใจก่อนจะยกนาฬิกาขึ้นมาดู เพราะเขารู้ตารางการประชุมของตัวเองดี แต่ที่คุณฝ้ายย้ำ น่าจะเพราะอยากบอกกับตะวันมากกว่า บอกให้ตะวันได้รู้ว่าจะไม่มีใครมารบกวนพลัฎฐ์จนกว่าจะถึงเวลาบ่ายสองโมง

ช่วงเวลานับจากนี้คือเวลาที่พลัฎฐ์กับตะวัน จะได้ใช้ด้วยกันเต็มที่

“เข้าใจแล้ว คุณฝ้ายไปทานข้าวเถอะ”

“เอ่อ.. ผมวางปิ่นโตอาหารไว้ที่โต๊ะคุณฝ้ายนะครับ อย่าลืมเอาไปทาน” ตะวันก็ยังคงเป็นตะวันที่ใจดี ให้พลัฎฐ์ได้มองอีกฝ่ายด้วยสายตาชื่นชมและภูมิใจจนปิดไม่มิด

“ค่ะท่านรองประธานฯ” เลขาฯ คนเก่งหันมาตอบรับเจ้านายตัวเอง ก่อนจะไปหันหาคนรักของเจ้านายต่อ “ขอบคุณคุณตะวันมากนะคะ นึกถึงฝ้ายตลอดเลย”

เลขาฯ สาวเอ่ยบอกตะวันด้วยรอยยิ้ม ให้ตะวันได้ยิ้มตอบราวกับจะบอกว่ายินดี คุณฝ้ายจึงได้งับประตูห้องทำงานของพลัฎฐ์ลง และทันทีที่ได้อยู่กันสองต่อสอง พลัฎฐ์ก็ไม่จำเป็นต้องรอให้ตะวันเข้ามาหาอีกต่อไป

เป็นเขาเองที่พุ่งไปดึงอีกฝ่ายมากอดรัด และลากริมฝีปากจูบไปทั่วใบหน้าหวาน ให้สมกับที่ได้บอกเจ้าตัวไปก่อนหน้าว่าคิดถึง

“อื้อ.. พี่พลัฎฐ์ ไม่เอาครับ เที่ยงกว่าแล้ว กินข้าวก่อนนะ” มือเล็กของตะวันพยายามจะดันอกของพลัฎฐ์ให้ถอยออก แต่ก็เหมือนเอามือไปลูบกำแพง เพราะอีกฝ่ายไม่ยอมขยับเขยื้อนเลยสักนิด

“ไม่เอา จูบก่อน พี่อยากจูบก่อนค่อยกิน”

ท่านรองประธานฯ บริษัทผู้เคร่งขรึมกับลูกน้อง แต่ดูเหมือนจะเจ้าเล่ห์เหลือเกินเมื่ออยู่กับตะวันสองคน ต่อรองนั่นนี่ให้วุ่นวายไปหมด

ตะวันค้อนคนตัวโตกว่าตาแทบกลับ แต่ก็อดใจอ่อนให้กับคำขอของพลัฎฐ์แทบทุกครั้ง

“ทีเดียวนะครับ ห้ามงอแง”

พอคนขี้อ้อนพยักหน้ายอมรับข้อตกลง ริมฝีปากบางสีสดของตะวันก็ยื่นไปแตะจูบริมฝีปากหยักของอีกฝ่ายเบาๆ แต่มีหรือที่พลัฎฐ์จะปล่อยผ่าน คนตัวโตอาศัยแรงที่เยอะกว่ารั้งเอวบางของตะวันเข้ามาแนบชิด จนไม่เหลือแม้แต่ช่องว่างให้อากาศลอดผ่าน พลางบดเบียดริมฝีปากเข้าไปอย่างหนักหน่วง จนตะวันตกใจเผลอเผยอริมฝีปากให้ลิ้นร้อนของพลัฎฐ์แทรกเข้าไปในโพรงปากของอีกฝ่ายได้

ตะวันหลับตาพริ้มตอบรับสัมผัสที่คุ้นเคย ริมฝีปากเบียดริมฝีปาก เรียวลิ้นที่เกี่ยวกระหวัดเข้าหากันอย่างคุ้นชิน เสียงน้ำลายเฉอะแฉะ และเสียงดูดดึงริมฝีปากที่ดังอยู่ข้างหูทำให้สติของตะวันเตลิด กว่าจะดึงตัวเองกลับเข้าที่เข้าทางได้ ก็ตอนที่เกือบจะหมดลมหายใจ เพราะถูกอีกฝ่ายช่วงชิงไปแบบไม่รู้ตัว

และหลังจากที่พลัฎฐ์ยอมถอนริมฝีปากออก ตะวันก็ฟาดมือไปที่ไหล่หนาทันที

“พี่น่ะนิสัยไม่ดี! ได้คืบเอาศอกตลอด”

ในขณะที่ตะวันต่อว่าหน้ามุ่ย แต่พลัฎฐ์กลับหัวเราะร่าอย่างอารมณ์ดี ยิ่งได้แกล้งอีกฝ่ายเขายิ่งมีความสุข ตอนเห็นตะวันทำหน้างอน ปากบางมุบมิบต่อว่าเขาน่ะ น่ารักน้อยเสียเมื่อไหร่

“โอ๋ ขอโทษครับ พี่ผิดเองที่ห้ามใจตัวเองไม่ไหว รังแกหนูให้โมโหตลอด ดีกันนะครับเด็กดี”

พอพลัฎฐ์อ้อนตะวันเลยต้องหลุดยิ้มออกมา เอาเข้าจริงโกรธอีกฝ่ายได้ไม่ถึงนาทีหรอก ใจอ่อนยอมคืนดีด้วยตลอด ตะวันได้แต่เจ็บใจแต่ทำไรไม่ได้ นอกจากคาดโทษความผิดของอีกฝ่ายไปตามเรื่องตามราว ซึ่งพลัฎฐ์เองก็รับปาก แต่ถามว่าจะฟังและทำได้มากแค่ไหน ตะวันบอกได้ตรงนี้เลยว่า ไม่มีทางที่พลัฎฐ์จะยอมลดละได้ ทุกวันนี้แค่ขอให้อีกฝ่ายไม่ทำเจ้าชู้ใส่ พลัฎฐ์ยังทำให้ตะวันไม่ได้เลย

“มาครับ มาทานข้าวได้แล้ว เดี๋ยวบ่ายสองพี่ต้องประชุม ถ้าขืนชักช้าตะวันว่าคุณฝ้ายเข้ามาฆ่าพี่แน่”

พลัฎฐ์ได้ยินคนขี้งอนบอกแบบนั้นก็ได้แต่หัวเราะลั่นด้วยความชอบใจ ก่อนจะเดินมานั่งตรงโต๊ะที่ตะวันเตรียมอาหารวางไว้ให้ แล้วในขณะที่กำลังจะเริ่มลงมือกินก็มีเหตุให้ต้องรับโทรศัพท์ที่ดังทะลุกลางปล้องขึ้นมาเสียก่อน

Rrrrr

“ที่โรงเรียนน้องพีโทรมา”

พลัฎฐ์บอกตะวันที่กำลังเทน้ำรินใส่แก้ว ให้ดวงตากลมโตเหลือบมามองด้วยความสงสัย ว่ามีเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่า ทำไมที่โรงเรียนถึงต้องโทรมาระหว่างวันแบบนี้

และด้วยความที่ไม่คิดอะไร และเห็นว่าอีกฝ่ายคือตะวันที่รู้เรื่องน้องพีดีพอๆ กับตัวเอง พลัฎฐ์จึงตัดสินใจรับโทรศัพท์ด้วยการเปิดลำโพง เพื่อให้คนรักได้ยินด้วยว่าที่โรงเรียนโทรมาด้วยเรื่องอะไร

“สวัสดีครับ พลัฎฐ์ครับ” เสียงทุ้มนุ่มรับสายด้วยคำพูดที่เป็นทางการ จากนั้นน้ำเสียงคุ้นหูของปลายสายก็ดังขึ้น

(สวัสดีครับคุณพลัฎฐ์ ผมกวินทร์นะครับ ครูประจำชั้นของเด็กชายพีรยสถ์)

พลัฎฐ์แอบกลอกตาเล็กน้อยตอนได้ยินเสียงของคนที่ตัวเองไม่ถูกชะตา แต่สุดท้ายเขาก็ยอมพักเรื่องส่วนตัวเอาไว้ เพราะยังไงอีกฝ่ายก็เป็นครูที่ดูแลลูกชายเขาโดยตรง

“ครับ คุณครูกวินทร์มีอะไรด่วนหรือเปล่าครับ?”

(ที่จริงก็ไม่ได้ด่วนมากหรอกครับ เพียงแต่ผมคิดว่าผมควรจะโทรมาถามคุณพลัฎฐ์ด้วยตัวเองดีกว่า เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน)

พลัฎฐ์ขมวดคิ้วเล็กน้อย และพอเขาเหลือบไปมองตะวันก็ได้เห็นปฏิกริยาที่ไม่ต่างกันมากนักจากอีกฝ่าย

“เรื่องน้องพีเหรอครับ?”

(ใช่ครับ เรื่องเด็กชายพีรยสถ์) กวินทร์เงียบไป ก่อนที่พลัฎฐ์จะได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ จากปลายสาย (วันนี้ในคาบเรียนวาดรูป ผมให้โจทย์เด็กๆ ให้วาดรูปคุณแม่ของฉัน แล้วปรากฎว่าน้องพีไม่ยอมวาดอะไรมาส่งเลย พอผมถามอะไรไปแกก็ไม่ตอบ เอาแต่นั่งเงียบ นั่งซึม มีแต่น้องอาทิตย์ที่เข้าหาแกได้คนเดียว ... ผมเลยคิดว่าควรโทรมาถามและแจ้งเรื่องนี้ให้คุณพลัฎฐ์ทราบด้วยตัวเอง)

พลัฎฐ์นั่งนิ่ง รู้สึกเหมือนโดนสาปให้แข็งเป็นหิน ใจเขาเจ็บไปหมด เพียงแค่คิดว่าตอนนี้น้องพีกำลังเผชิญกับความรู้สึกแบบไหนอยู่ แค่นั้นก็ทำเอาเขาแทบล้มทั้งยืน รู้สึกสงสารลูกจนจับใจ

(ผมต้องขออภัยที่อาจจะก้าวก่าย แต่คุณพอที่จะสะดวกให้รายละเอียดไหมครับ ทางโรงเรียนจะได้รับมือถูก และรู้ว่าควรเข้าหาน้องพียังไง)

“ตอนนี้น้องพีอยู่ไหนครับ อยู่กับคุณหรือเปล่า?” พลัฎฐ์ไม่ตอบคำถามของกวินทร์ แต่เลือกที่จะถามอีกฝ่ายกลับแทน

(ตอนนี้พวกเด็กๆ นอนกลางวันอยู่ครับ ผมเลยมีเวลามาโทรหาคุณ)

พลัฎฐ์พยักหน้ากับตัวเอง ก่อนที่จะตัดสินใจเอ่ยบอกอีกฝ่ายหลังจากคิดว่านี่น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด

“ผมจะเล่ารายละเอียดให้ทางโรงเรียนทราบทีหลังนะครับ แต่ตอนนี้ผมขอไปรับลูกกลับมาบ้านก่อนได้ไหมครับ”

ครูประจำชั้นของเด็กชายถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเอ่ยอนุญาต เพราะยังไงทางโรงเรียนก็ต้องแล้วแต่ความพร้อมของผู้ปกครองอยู่แล้ว เรื่องบางเรื่องมันละเอียดอ่อนเกินไป ยังไงคนในครอบครัวของเด็ก ก็คงจะรู้สภาพจิตใจเด็กมากกว่าคนที่เพิ่งจะเป็นครูประจำชั้นของเจ้าหนูน้อยได้ไม่กี่เดือน

(ได้ครับ ถ้าคุณพลัฎฐ์มาถึง มาหาผมที่ห้องพักครูได้เลยนะครับ ผมจะพาไปรับน้องพีกลับบ้านเอง กว่าคุณจะมาถึงน้องพีน่าจะตื่นพอดี)

“ครับ ขอบคุณมากครับ”

รองประธานฯ บริษัทใหญ่ ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ โดยมีสายตาของตะวันที่ห่วงใยปนสงสัยกำลังมองอยู่ และดูเหมือนว่าตอนนี้พลัฎฐ์จะนึกขึ้นได้แล้วว่าเขาไม่ได้นั่งอยู่คนเดียว และตะวันเองก็ได้ยินทุกอย่าง แต่ด้วยความเป็นห่วงน้องพีที่มีอยู่ล้นอก ทำให้พลัฎฐ์ต้องเลือกทำสิ่งที่เร่งด่วนกว่าก่อน

มือใหญ่จึงเอื้อมไปลูบศีรษะทุยของคนรักเบาๆ พลางจ้องตากลมโตที่เต็มไปด้วยคำถาม เขารู้ดีว่าตอนนี้ตะวันคงมีเรื่องสงสัยเต็มไปหมด แต่ตะวันก็ยังคงเป็นตะวันที่งดงามและจิตใจดี เพราะในขณะที่พลัฎฐ์ยังไม่ได้พูดอะไร เนื่องจากไม่รู้จะเริ่มพูดจากตรงไหน ตะวันก็ยกยิ้มขึ้นมาบางๆ ก่อนจะเป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้นมาเอง

“พี่พลัฎฐ์ไปรับน้องพีก่อนเถอะครับ แล้วเดี๋ยวเรื่องอื่นค่อยว่ากัน”

“ตัวเล็กคือพี่...”

พลัฎฐ์อยากจะพูด อยากจะปลอบอะไรอีกฝ่ายสักอย่าง แต่ด้วยความที่ในหัวมันมีเรื่องราวพัวพันมากมายเต็มไปหมด จนเขาไม่รู้ว่าควรจะเริ่มจากตรงไหนดี

พลัฎฐ์รู้ว่าตะวันเองก็คงสงสัยเรื่องแม่ของน้องพีมาสักระยะแล้ว เพราะตอนที่ตะวันมาหาเขาคราวแรก คุณฝ้ายเล่าให้ฟังว่าตะวันหยิบกรอบรูปแม่ของน้องพีขึ้นมาดู พร้อมกับมีท่าทีอึกอักเหมือนกับอยากจะถามบางอย่างจากคุณฝ้าย แต่สุดท้ายก็เงียบไป ซึ่งพลัฎฐ์เองก็อยากจะพูดเรื่องแม่ของน้องพีให้ตะวันฟังเช่นกัน เพียงแต่ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน และอีกอย่างมันเป็นเรื่องค่อนข้างละเอียดอ่อน มันค่อนข้างยากพอสมควรเหมือนกันที่จะบอกตะวันว่าน้องพีไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของเขา พลัฎฐ์เลยประวิงเวลา พักเรื่องนี้ไว้ เพราะตั้งใจจะปรีกษาบิดาและมารดาเสียก่อน ซึ่งเขาก็ดันปล่อยให้มันล่วงเลยมาจนถึงตอนนี้

... ตอนที่ตะกอนในใจของตะวันถูกกวนให้ขุ่นขึ้นมาอีกรอบ และถึงแม้อีกฝ่ายจะบอกว่าเข้าใจ แต่เขาก็รู้ดีกว่าตะวันไม่ได้เข้าใจดีแบบที่บอกมากขนาดนั้น

ตะวันอาจจะหลอกตัวเองว่ายังรอเขาได้ แต่สายตาตัดพ้อที่มองมานั้น มันหลอกพลัฎฐ์ไม่ได้สักนิด ตะวันกำลังรอคอยด้วยความน้อยใจ

เรื่องนี้พลัฎฐ์ไม่โทษใครเลย เขาโทษว่าเป็นความผิดของตัวเองทั้งนั้นที่ปล่อยให้เวลามันล่วงเลยมาจนถึงตอนนี้ และตอนนี้ก็เป็นอีกครั้งที่เขาต้องปล่อยให้ตะวันรอ เพราะเขาคงทำใจปล่อยให้น้องพีตกอยู่สถานการณ์ยากลำบากลำพังแบบนั้นไม่ได้ ซึ่งพลัฎฐ์ก็ได้แต่ภาวนาขอให้ตะวันเข้าใจเขาเหมือนอย่างที่ตะวันกำลังพยายามทำความเข้าใจอยู่จริงๆ

“ไม่เป็นไรจริงๆ นะครับพี่พลัฎฐ์ พี่ไปหาน้องพีก่อนเถอะ” ตะวันว่าพลางยัดกล่องข้าวใส่มือพลัฎฐ์ เขาจัดการเก็บอาหารที่พอเอาไปกินบนรถได้ใส่กล่องให้พลัฎฐ์ ตั้งแต่ได้ยินว่าน้องพีซึมจนใครเข้าหน้าไม่ติดแล้ว “ตะวันรอได้ ตะวันรอพี่กลับมาได้ครับ”

รอยยิ้มบางๆ ที่พยายามจะให้กำลังใจเขาถูกส่งมาอีกครั้ง นั่นทำให้พลัฎฐ์ทนความซาบซึ้งใจในตัวอีกฝ่ายไม่ไหว เลยต้องดึงคนใจดีเข้ามากอดไว้แน่นๆ

“พี่ขอโทษนะครับตัวเล็ก พี่สัญญานะว่าพี่จะกลับมาเล่าทุกอย่างให้ฟัง ตัวเล็กรอพี่อีกนิดนะครับ” ริมฝีปากหยักกดลงบนกระหม่อมของคนรักเบาๆ “แล้วก็ขอบคุณมากที่ตัวเล็กเข้าใจพี่ ขอบคุณมากจริงๆ ครับ”

ตะวันพยักหน้าหงึกหงักอยู่ตรงอกของพลัฎฐ์ ก่อนที่พลัฎฐ์จะผละออก แล้วลุกขึ้นยืน จากนั้นก็เดินเร็วๆ ตรงไปที่ประตู พลางกดโทรศัพท์บอกเลขาฯ ถึงธุระด่วนของตัวเอง

“คุณฝ้าย ผมมีธุระด่วนที่โรงเรียนน้องพี ให้คนขับรถมารอที่หน้าตึกเลย แล้วบ่ายนี้ให้คุณมนัสเป็นประธานการประชุมแทนผม”

ตะวันมองตามร่างสูงใหญ่เปิดประตูเดินออกไปจนลับตา สีหน้ายิ้มแย้มเมื่อกี้กลับซีดเผือดลง มือเล็กถูกยกขึ้นมาปิดหน้า พลางเท้าศอกลงบนหน้าขาทั้งสองข้างของตัวเองอย่างคนที่ต้องการจะตั้งสติ

ดูเหมือนว่าความเข้มแข็งที่ตะวันสร้างขึ้นเพื่อโอบกอดคนรักจะพังลงไม่เป็นท่าเมื่อยามที่เขาอยู่คนเดียว

พร้อมๆ กับความจริงที่กระแทกใจตัวเองอย่างแรงว่า ... เขาไม่ได้เข้าใจเรื่องราวนี้เลยแม้แต่สักนิด แม้แต่นิดเดียว

.

.

.

- อ่านต่อด้านล่าง -
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 16th - 09/8/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 09-08-2019 20:22:26
- ต่อจากด้านบน -

พลัฎฐ์พาน้องพีที่กำลังซึมได้ที่กลับมาบ้าน เด็กน้อยงอแงจนพลัฎฐ์รู้สึกแย่ตามลูกไปด้วย ตอนแรกน้องพีก็แค่ซึมๆ ไม่ค่อยพูด มาอาการหนักเอาตอนถึงบ้านแล้ว และร้องจะหาอาทิตย์ แต่พลัฎฐ์เกรงใจตะวันเลยไม่อยากเอาอาทิตย์มาขลุกอยู่กับน้องพีที่ดูเหมือนจะอารมณ์ไม่ดีสักเท่าไหร่

ซึ่งก่อนที่พลัฎฐ์จะพาน้องพีกลับบ้านมา เขาก็แวะไปคุยกับครูกวินทร์ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น พลัฎฐ์จึงได้รับรู้ว่าลูกชายของเขาโตมากพอที่จะเห็นความแตกต่างแล้วว่าตัวเองไม่มีมารดาให้พูดถึงหรือให้เรียกหาเหมือนเด็กอื่นๆ ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเท่าไหร่ เพราะเมื่อเด็กชายได้ออกจากสภาพแวดล้อมที่มีแต่บ้านมาเข้าโรงเรียน ได้เจอเพื่อน ได้เจอโลกภายนอก จากที่คิดว่าไม่ได้ขาดอะไรยามอยู่กับบิดาอย่างพลัฎฐ์ แต่ลึกๆ ทุกคนต่างรู้ดีว่าเด็กวัยนี้โหยหาอ้อมกอดและความอบอุ่นจากคนเป็นแม่ขนาดไหน ซึ่งที่ผ่านมามันอาจจะยังเห็นไม่ได้ชัดเจน เพราะไม่มีใครไปขุดลึกหรือเน้นย้ำให้น้องพีรู้สึก แต่พอในคาบเรียนวันนี้มันทำให้เจ้าหนูน้อยได้เห็นชัดเจนว่าเขาต่างจากคนอื่น เขาไม่เหมือนคนอื่นตรงที่ไม่มีแม่ให้วาดรูปถึง ซึ่งนั่น ทำให้น้องพีได้ตระหนักรู้ว่าตัวเองขาด และมีครอบครัวที่เว้าแหว่งต่างจากเพื่อนที่มีทั้งพ่อและแม่อยู่ครบในบ้าน

พลัฎฐ์จึงได้บอกเล่าเรื่องราวของลูกชายให้กวินทร์ครูประจำชั้นฟัง แต่เขาเลือกที่จะพูดแค่ว่าแม่ของน้องพีประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตตั้งแต่เจ้าหนูยังเด็ก แต่ไม่ได้ลงรายละเอียดว่าในความเป็นจริงแล้วอุบัติเหตุนั้นไม่ได้คร่าแค่ชีวิตของแม่น้องพี แต่กลับคร่าชีวิตของพ่อน้องพีไปด้วย ซ้ำแล้วเขาเองก็ไม่ใช่พ่อแท้ๆ ของเด็กน้อยเช่นกัน เพราะพลัฎฐ์เห็นว่าไม่จำเป็น เพียงแค่นี้น้องพีก็บอบช้ำมากพอแล้วจากโลกแห่งความเป็นจริง

ซึ่งตอนที่ครูกวินทร์ได้ฟังและรับรู้ว่ามารดาของเด็กชายเสียชีวิตไปแล้ว เขาเองก็ตกใจไม่น้อย เพราะตอนแรกเข้าใจว่าพลัฎฐ์แค่หย่าร้างกับภรรยา แต่ไม่คิดว่าจะถึงกับสูญเสียเธอไปโดยไม่หวนกลับแบบนี้ กวินทร์ยอมรับว่าเห็นใจอีกฝ่ายไม่น้อยที่ต้องกลายมาเป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวตั้งแต่ยังหนุ่มยังแน่น สุดท้ายกวินทร์เลยรับปากไปว่าจะช่วยดูแลเด็กชายพีรยสถ์ให้ดีที่สุดในฐานะครูประจำชั้นของเจ้าหนูน้อย

และหลังจากเสร็จจากโรงเรียน พลัฎฐ์ก็ตรงดิ่งกลับบ้านทันที โดยพลัฎฐ์คิดว่าเขาควรดูแลลูกด้วยตัวเอง ควรปลอบใจและคุยกับน้องพีให้เข้าใจ น้องพียังเด็กอยู่ก็จริง แต่อีกไม่กี่เดือนเจ้าหนูน้อยก็จะอายุสี่ขวบแล้ว ฟังดูอาจจะยังเหมือนไม่โต แต่เชื่อเถอะว่าเด็กสี่ขวบโตมากพอที่จะรับรู้ คิด จดจำ และประมวลผลเรื่องราวบางอย่างได้มากพอสมควรแล้ว แน่นอนว่าเขาไม่อยากจะพูดเรื่องนี้กับน้องพีสักเท่าไหร่ ซึ่งมันก็มากพอกับที่เขาไม่อยากจะให้เด็กชายมีปมในใจเรื่องแม่เช่นกัน

“น้องพี.. ฮึก! น้องพีจะหาคุณอาทิตย์” เด็กน้อยเริ่มร้องไห้อีกครั้ง เมื่อพลัฎฐ์เดินเข้ามาหาเจ้าหนูที่นั่งอยู่ที่โซฟากลางห้องรับแขก

เจ้าของท่อนขาแข็งแรงก้าวตรงไปยังจุดที่ลูกชายนั่งร้องไห้หูตาบวม ก่อนจะอุ้มร่างน้อยๆ ขึ้นมานั่งบนตักของตัวเอง

“คุณอาทิตย์ยังอยู่ที่โรงเรียนอยู่เลยครับ ตอนนี้น้องพีอยู่กับปะป๊าก่อนได้ไหม หื้ม?”

“น้องพีอยู่กับปะป๊าได้ แต่หยักอยู่กับคุณอาทิตย์ด้วย” ตากลมแป๋วจ้องมองคนเป็นพ่ออย่างคาดหวัง พลัฎฐ์กลับไม่ตอบอะไร แต่เขาเลือกที่จะโอบกอดลูกชายให้เข้ามาซุกอยู่กับอกแน่น ก่อนที่จะเริ่มพูด

“น้องพีครับ น้องพีอยากรู้เรื่องคุณแม่ของน้องพีไหมครับ” พลัฎฐ์ก้มมองเด็กชายที่ใบหน้าเล็กๆ กำลังซุกที่อกเขา แต่ศีรษะทุยกลับผงกขึ้นลงอย่างหน้าเอ็นดู

พลัฎฐ์จึงตัดสินใจดันเจ้าตัวน้อยออกจากอก ก่อนจะมองหน้าลูกด้วยสายตาอ่อนโยนและอบอุ่นแบบที่เขามีให้น้องพีมาตลอด พร้อมกับเริ่มพูดช้าๆ ชัดๆ ค่อยๆ เรียบเรียงเรื่องราวอย่างใจเย็น เรื่องราวที่เด็กวัยสามขวบกว่าน่าจะเข้าใจได้ และดูไม่บีบบังคับหรือยัดเยียดให้มากจนเกินไป

“น้องพีสงสัยใช่ไหมครับว่าคุณแม่ของน้องพีไปไหน” เด็กน้อยพยักหน้ารับ “แล้วน้องพีจำที่ปะป๊าบอกได้ไหมครับว่าตอนนี้คุณแม่อยู่บนสวรรค์ที่ไกลๆ เลยกลับมาหาน้องพีไม่ได้”

“จำได้คับ ปะป๊าเคยเย่าให้ฟัง” เสียงเล็กๆ ตอบรับทั้งที่ยังมีน้ำใสๆ คลออยู่ในดวงตากลม

“ใช่ครับ ปะป๊าเคยเล่าให้น้องพีฟัง เพราะฉะนั้น การที่คุณแม่ไม่ได้อยู่กับน้องพีตรงนี้ ไม่ได้หมายความว่าน้องพีไม่มีแม่นะลูก” มือใหญ่ลูบศีรษะเล็กเบาๆ แล้วพูดต่อ “น้องพีมีคุณแม่เหมือนเพื่อนคนอื่นๆ เลย เพียงแต่คุณแม่อยู่ไกลมาก เลยกลับมาหาน้องพีไม่ได้”

“คุณแม่อยู่ไกลมาก...” เด็กน้อยพูดทวนพลางคิดตาม

“ใช่ครับน้องพี อยู่ไกลมาก แต่คุณแม่ก็คอยมองน้องพีอยู่เสมอนะ คุณแม่ของน้องพีคอยมองน้องพีอยู่ห่างๆ เป็นห่วงอยู่ห่างๆ คอยรักและดูแลน้องพีอยู่ห่างๆ เพราะกลับมาไม่ได้”

“คุณแม่เยยให้ปะป๊าอยู่ใกล้ๆ น้องพีแทนคุณแม่หยอคับ” เจ้าหนูน้อยฉลาด จนพลัฎฐ์ต้องยิ้มออกมาบางๆ

“ถูกต้องแล้วครับ เพราะคุณแม่อยู่ไกลมากและกลับมาไม่ได้ คุณแม่เลยให้ปะป๊าอยู่กับน้องพี อยู่ดูแล อยู่รัก และอยู่เอาใจใส่น้องพีแทนคุณแม่ ... ทุกอย่างที่เกี่ยวกับน้องพีคุณแม่เขาฝากปะป๊าไว้ เพราะฉะนั้น ความรักที่ปะป๊ามีให้น้องพีเลยเยอะมาก เยอะมากๆ เพราะมันมีทั้งของคุณแม่และของปะป๊ารวมอยู่ด้วย น้องพีพอจะเข้าใจใช่ไหมครับ”

เด็กน้อยขมวดคิ้วเล็กๆ มุ่น พลางเอียงคอเล็กน้อยราวกับกำลังขบคิดถึงสิ่งที่คนเป็นพ่อพูด

“เหมือนยวมพยังคูณสองหยอคับปะป๊า” ก่อนจะยิ้มร่าราวกับนึกขึ้นได้ “แบบที่คุณอาทิตย์เคยบอกน้องพี ที่ไอย่อนแมนที่คุณอาทิตย์ชอบยวมพยังกับกัปตันอาเมยิกาที่น้องพีชอบ ก็จะได้พยังคูณสอง เก่งๆ แบบสองเท่า”

พลัฎฐ์ยิ้ม พร้อมกับลูบศีรษะกลมของลูกชายอย่างเอ็นดู เขานึกชอบใจในสิ่งที่น้องพีเปรียบเทียบ เพราะแบบนี้จะทำให้ลูกเข้าใจได้ง่ายมากกว่าว่าเขารักเจ้าหนูน้อยมากขนาดไหน

“พยังแบบเยอะมากๆ เลยนะปะป๊า” เจ้าหนูว่าพลางอ้าแขนออกกว้าง เพื่อให้คนเป็นพ่อได้เห็นว่าที่เขาว่าเยอะนั้นมันเยอะขนาดไหน

“ใช่ครับลูก พลังของไอรอนแมนกับกัปตันอเมริกาพอมันรวมกันแล้วมันเยอะมากๆ เหมือนกันกับความรักของปะป๊าแล้วก็ของแม่น้องพีที่ฝากไว้เลย พอรวมกันแล้วมันก็เยอะมากๆ แถมยังไม่มีวันหมด ปะป๊ามีให้น้องพีได้ตลอด น้องพีเข้าใจใช่ไหมครับ”

เจ้าหนูน้อยพยักหน้ารับก่อนจะโผเข้าหาอ้อมกอดของคนเป็นพ่อแน่น

“เข้าใจแย้วคับ น้องพีก็ยักปะป๊ามากที่สุดในโยก แล้วก็ยักคุณแม่ที่อยู่ไกลๆ ด้วย”

“เก่งมากครับเด็กดี น้องพีของปะป๊าเก่งที่สุดเลย เก่งกว่ากัปตันอเมริกาอีกนะเนี่ย”

เด็กชายหัวเราะคิกคักทันทีที่ได้ยินคนเป็นพ่อบอกแบบนั้น ดูเหมือนอารมณ์ที่ขุ่นมัว กับความซึมเศร้าของลูกชายได้ลดลงมาเกือบจะหายเป็นปกติแล้ว

“แย้ว...” เจ้าหนูผละตัวออกจากอกของพลัฎฐ์ ก่อนจะทำตาแป๋ว สีหน้าครุ่นคิด ราวกับมีบางอย่างที่ยังสงสัยอยู่ “แย้วน้องพียักคุณอาทิตย์กับพี่ตะวันด้วยได้ไหมคับปะป๊า”

พลัฎฐ์หัวเราะน้อยๆ ก่อนจะตอบรับ “ได้สิครับลูก รักได้ เพราะปะป๊าก็รักพี่ตะวันกับคุณอาทิตย์เหมือนกัน”

“เย่ๆ ยักกันๆ ยักกันหมดเยย ยักคุณปู่กับคุณย่าด้วย ยักๆ”

เด็กน้อยส่ายหัวตอนพูดดุ๊กดิ๊ก ให้พลัฎฐ์ยิ่งเอ็นดูลูกชายตัวเองมากกว่าเดิม เลยจัดการจูบขมับเจ้าเด็กช่างพูดไปเบาๆ ด้วยความมันเขี้ยว

แต่พอนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้พลัฎฐ์เลยเดินไปที่ตู้โชว์ที่วางกรอบรูปไว้มากมาย แล้วเลือกที่จะหยิบรูปพี่สะใภ้ที่กำลังอุ้มน้องพีที่กำลังแบเบาะไว้ออกมา แล้วกลับลงมานั่งเคียงข้างเจ้าเด็กน้อยอีกครั้ง

“น้องพีครับ” พลัฎฐ์เรียกลูกชาย ก่อนจะยื่นกรอบรูปในมือให้เจ้าหนูน้อยดู “คนนี้คือคุณแม่น้องพี ส่วนเด็กน้อยที่คุณแม่อุ้มอยู่คือน้องพี ... คุณแม่ของน้องพีสวยไหมครับ”

เด็กชายพีรยสถ์ยิ้มกว้างจนตาหยี ก่อนจะเอ่ยตอบพลัฎฐ์เสียงดัง “สวยคับ คุณแม่สวย”

“ถ้างั้นต่อไปนี้เวลาคุณครูให้วาดรูปคุณแม่ น้องพีก็วาดคุณแม่สวยๆ แบบนี้เลยนะครับ ถ้าคุณแม่มองมาจากไกลๆ แล้วเห็น คุณแม่คงดีใจ”

พลัฎฐ์พยายามค่อยๆ พูด เขาพยายามสื่อให้เด็กชายได้เห็นว่าตัวเองไม่ได้ขาด และมีพร้อมเหมือนที่เด็กคนอื่นๆ

“ได้เยย น้องพีจะวาดคุณแม่สวยๆ เยยคราวหน้า” เด็กน้อยตาเป็นประกาย ลืมเรื่องทุกข์เศร้าก่อนหน้าจนหมดสิ้น “น้องพีจะให้คุณอาทิตย์สอนวาดยูป เพราะคุณอาทิตย์วาดยูปสวย”

พลัฎฐ์ยิ้มพลางลูบศีรษะลูกชายอย่างเอ็นดู “ได้ครับ ให้คุณอาทิตย์สอน น้องพีจะได้วาดรูปคุณแม่ได้สวยๆ เก่งๆ แบบคุณอาทิตย์เนาะ”

“ได้ๆ น้องพีจะวาดยูปเก่งๆ วาดยูปปะป๊าด้วย”

พลัฎฐ์พยักหน้ารับ ก่อนที่น้องพีจะลุกขึ้นยืนบนโซฟา แล้วโถมตัววาดแขนโอบรอบคอคนเป็นพ่อแล้วพุ่งเข้ากอด ให้พลัฎฐ์ได้หัวเราะเสียงดัง ก่อนจะกอดตอบลูกชายไว้ในอ้อมแขนแน่นไม่ต่างกัน

.

.

.

ตะวันแวะมารับอาทิตย์หลังเลิกเรียนด้วยความไม่สบายใจ พลัฎฐ์เงียบหายไปเลยหลังจากที่รับน้องพีกลับมาถึงบ้าน ยิ่งก่อนกลับตะวันได้เจอกับกวินทร์คุณครูประจำชั้นและได้พูดคุยกันเล็กน้อย จึงได้ทราบเหตุการณ์คร่าวๆ ว่าแม่ของน้องพีประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต และพลัฎฐ์เองก็เห็นว่าเด็กชายยังเด็กเลยยังไม่ได้เล่าอะไรให้ฟังมากนัก


‘คุณพลัฎฐ์คงไม่กล้าเล่าเรื่องแม่ของแกให้แกฟังน่ะครับ เพราะน้องพีอาจจะยังไม่เข้าใจเรื่องการเสียชีวิตหรือการตายอะไรมากนักเนื่องจากยังเด็ก แต่ผมคิดว่าหลังจากเหตุการณ์นี้คุณพลัฎฐ์คงคิดว่าควรทำอะไรสักอย่างถ้าไม่อยากให้น้องพีมีปมเรื่องแม่ในใจ’


ตะวันรับฟังอย่างเหม่อลอย ในใจนึกสงสารทั้งน้องพีและพลัฎฐ์ไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนรักของตัวเอง เขาไม่รู้ว่าพลัฎฐ์จะกดดันมากแค่ไหน และจะมีวิธีอธิบายให้เด็กชายฟังอย่างไรเพื่อไม่ให้สะเทือนใจ

ตะวันกำโทรศัพท์ที่อยู่ในมือแน่น อยากจะโทรหาพลัฎฐ์ใจจะขาด แต่กลัวจะไปรบกวนเวลาที่พ่อลูกกำลังพูดคุยกัน เขาเลยจำใจต้องพาอาทิตย์ขึ้นรถเพื่อพากลับบ้านเงียบๆ ทั้งที่ในใจว้าวุ่นไปหมด

ตะวันยอมรับว่าก่อนหน้านี้เขาอาจจะน้อยใจที่พลัฎฐ์ไม่เคยเล่าอะไรให้ฟังเลย แต่ตอนนี้เขากลับเป็นห่วงอีกฝ่ายมากกว่า ... พอคิดได้แบบนั้น คนตัวเล็กก็ส่ายศรีษะยิ้มๆ

ความรักมันเป็นแบบนี้สินะ ... เป็นห่วงความรู้สึกของอีกฝ่าย มากกว่าความรู้สึกของตัวเอง

ดังนั้น ตะวันจึงไม่แปลกใจเลยที่เคยได้ยินคนพูดว่า คนที่มีความรักมักจะอ่อนแอและไม่เป็นตัวของตัวเอง

เพราะตอนนี้ตะวันเป็นอย่างที่คนอื่นๆ เขาว่ากัน ทั้งอ่อนแอ ทั้งไม่เป็นตัวของตัวเอง และดูเหมือนจะคอยเป็นห่วงแต่อีกฝ่ายตลอดเวลา

“พี่ตะวันเป็นอะไรครับ”

เจ้าหนูอาทิตย์ยกนิ้วมาจิ้มๆ ตรงคิ้วของตะวันเมื่อเห็นอีกฝ่ายที่กำลังจับเจ้าหนูนั่งในคาร์ซีแล้วคาดเข็มขัดให้

“หือ? พี่เป็นอะไรเหรออาทิตย์” ตะวันถามน้องกลับงงๆ เพราะเขายังไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำ

“ก็พี่ตะวันคิ้วขมวด หน้ามุ่ยด้วย”

ตะวันหลุดยิ้มออกมาเมื่อคิดได้ว่าถึงแม้เขาจะไม่ได้พูด แต่ดูเหมือนว่าความกังวลมันได้แสดงออกผ่านทางสีหน้าไปหมด จนน้องชายจับได้

“เปล่าครับ พี่ตะวันไม่เป็นอะไร” คนตัวเล็กกว่าพยายามยิ้ม แม้จะดูฝืดเฝื่อนก็ตาม

“ว่าแต่พี่ตะวันครับ... พอกลับบ้านไปเราหาน้องพีได้ไหม” และพอตะวันเดินย้อนกลับขึ้นมาประจำฝั่งคนขับ เจ้าอาทิตย์ดวงน้อยก็ถามขึ้นอีก น้ำเสียงติดจะไม่ร่าเริงเหมือนอย่างเคย

“อาทิตย์เป็นห่วงน้องพีเหรอครับ” ตะวันถามขึ้นตอนเลี้ยวรถออกจากลานจอดรถของโรงเรียนอนุบาล ซึ่งพอถามจบก็ได้เห็นว่าน้องชายหน้าเศร้าพอตัว เขาพอเข้าใจได้ เพราะวันนี้อาทิตย์อยู่ในเหตุการณ์ข้างๆ น้องพีตลอด เด็กชายคงจับสังเกตและจับความรู้สึกเสียใจของเพื่อนสนิทได้ เลยไม่แปลกใจที่อาทิตย์จะเป็นห่วงและอยากเจอน้องพี เพราะอยากจะแน่ใจว่าเพื่อนของตัวเองดีขึ้นจากอาการเศร้าสร้อยที่เผชิญไปเมื่อตอนกลางวันแล้วหรือยัง

“ครับ อาทิตย์เป็นห่วงน้องพี อยากรู้ว่าน้องพีหายเศร้าหรือยัง” เด็กชายก้มหน้าลง แววตาไม่สดใส “อาทิตย์ไม่อยากให้น้องพีเศร้าเลย อาทิตย์อยากให้น้องพีหัวเราะให้อาทิตย์มากกว่าทำหน้าแบบตอนเรียนวาดรูป”

ตะวันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากพาน้องชายตัวเองไปหาเพื่อนสนิท เพียงแต่เขาแค่ไม่แน่ใจว่าพลัฎฐ์จะอยากให้เขาสองคนพี่น้องไปรบกวนหรือเปล่า เพราะยังไงก็ถือว่านี่เป็นเรื่องในครอบครัวของพลัฎฐ์ และถึงแม้ตะวันจะเป็นแฟน ตะวันก็ยังคงเป็นคนนอกอยู่ดี กับเรื่องที่ละเอียดอ่อนและตะวันเองก็ไม่ได้รู้อะไรไปมากกว่าที่ครูกวินทร์เล่า เลยยิ่งทำให้ตะวันไม่แน่ใจว่าการพาอาทิตย์ไปหาน้องพีจะเป็นเรื่องที่สมควรทำ

“พี่ตะวันก็เป็นห่วงน้องพีนะครับอาทิตย์ แต่พี่ว่าวันนี้เราปล่อยให้น้องพีอยู่กับปะป๊าพลัฎฐ์ก่อนดีไหมครับ แล้วเดี๋ยวพี่โทรถามปะป๊าพลัฎฐ์ให้ว่าน้องพีเป็นยังไงบ้าง”

ตะวันพยายามต่อรอง เพราะถึงแม้จะสงสารเด็กชายที่พยายามจะใช้สายตาแบบลูกหมาน้อยมาออดอ้อนขนาดไหน ตะวันก็คิดว่ายังไงก็ไม่ควรพาอาทิตย์ไปอยู่ดี

“แต่อาทิตย์อยากเจอน้องพีนี่ครับพี่ตะวัน” เสียงของเด็กชายเศร้าลงจนใจตะวันอ่อนยวบ คนเป็นพี่เลยตัดสินใจแบ่งรับแบ่งสู้ ก่อนที่เจ้าอาทิตย์ดวงน้อยจะงอแงมากไปกว่านี้

“เอางี้นะครับอาทิตย์” ตะวันสบตาน้องชายผ่านกระจกหลัง ก่อนจะยื่นเงื่อนไข “เดี๋ยววันนี้พี่ตะวันโทรหาปะป๊าพลัฎฐ์แล้วจะถามให้ว่าน้องพีเป็นยังไงบ้าง ส่วนพรุ่งนี้เป็นวันเสาร์เดี๋ยวเราค่อยไปหาน้องพีกัน แบบนี้อาทิตย์โอเคไหม”

เจ้าหนูน้อยเงียบไป พร้อมกับก้มหน้าคำนวณในใจ ก่อนจะเงยขึ้นมาสบตาพี่ชายผ่านกระจกมองหลังอีกครั้ง

“ก็ได้ครับ ไปหาน้องพีพรุ่งนี้ก็ได้ แต่พี่ตะวันต้องพาไปแต่เช้าเลยนะ.. สัญญาได้ไหมครับ”

ตะวันหลุดยิ้มน้อยๆ กับความขี้ต่อรองของเจ้าตัวแสบประจำบ้าน ก่อนที่จะยอมรับปาก เพราะรู้ดีกว่าเขาต่อรองน้องชายได้แค่นี้แหละ ขืนดึงดันมากกว่านี้อาทิตย์งอแงแน่ๆ

“โอเคครับ พี่ตะวันจะพาอาทิตย์ไปแต่เช้า” ตะวันว่าพลางยิ้ม “เดี๋ยวเราไปทำข้าวเช้าทานที่บ้านน้องพีกัน”

“ดีครับดี” พอได้ยินแบบนั้นอาทิตย์ก็ยิ้มกว้างด้วยความชอบใจ

“งั้นวันนี้อาทิตย์ก็รีบทำการบ้านให้เสร็จเรียบร้อยนะ แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าเราไปบ้านน้องพีกัน” ตะวันสรุปและดูเหมือนว่าเจ้าหนูเองก็จะให้ความร่วมมืออย่างดี

“ได้เลยครับพี่ตะวัน”

ตะวันยิ้มพอใจที่ตกลงกับเจ้าอาทิตย์ดวงน้อยได้ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่เขาเลี้ยวรถเข้ามาในหมู่บ้านพอดี ซึ่งตะวันก็ขับมาเรื่อยๆ จนผ่านบ้านของพลัฎฐ์ ดวงตากลมโตของตะวันพยายามจะสอดส่องมองเข้าไปในบ้านหลังใหญ่เท่าของตนเผื่อจะเห็นอะไรบ้าง แต่ก็เปล่าประโยชน์เพราะตะวันไม่เห็นอะไรเลยนอกจากประตูรั้วที่ปิดสนิท และแสงไฟหน้าบ้านที่ลอดออกมาตามช่องของประตูหน้า ให้ได้รู้ว่าแค่ว่าตอนนี้มีคนอยู่ในบ้านเท่านั้น

ตะวันถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะขับรถไหลมาช้าๆ จนถึงหน้าบ้านตัวเอง

แล้วตะวันก็ต้องขมวดคิ้วมุ่น เมื่อเห็นว่ามีคนสองคนยืนจูงมือกันอยู่หน้าบ้านตัวเอง

ซึ่งถ้าเขามองไม่ผิด ตะวันคิดว่าสองคนนั้นคือ...

“น้องพี! ปะป๊าพะลัด!” เสียงเรียกคนทั้งคู่ของอาทิตย์ดังลั่นขึ้นมาในรถ เพื่อตอกย้ำว่าตะวันไม่ได้ตาฝาดแต่อย่างใด

ซึ่งกว่าตะวันจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เขาเปิดประตูรถลงไปยืนเผชิญหน้ากับคนรักที่ส่งยิ้มอบอุ่นมาให้ ... ยิ้มแบบเดียวกับที่เขายิ้มยามมองกลับไปให้คนที่ยืนอยู่ตรงหน้า คนที่ตะวันทั้งคิดถึง ทั้งเป็นห่วง ทั้งเป็นกังวล คนที่ตะวันรัก... มากกว่าใคร
.

.

.

To Be Continue

------------------------------------------

กอดน้องพีนะรูกกกก โอ๋ๆ นะคับ~

ฝากติดแท็ก #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว ในทวิตเตอร์ด้วยนะคะ แล้วก็ขอบคุณมากๆ เลยยยย สำหรับทุกคอมเม้นท์และกำลังใจ รักทุกคนน๊าาา~ เจอกันตอนหน้าค้าบบบ❤
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 16th - 09/08/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 09-08-2019 23:16:43
 :pig4: :pig4: :pig4:

กิจกรรมวันแม่ที่เอาแม่มาอวดกัน  เลิกสักทีเถอะ

อุ้ย  นอกเรื่อง
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 16th - 09/08/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 10-08-2019 11:41:39
น้องตะวันคงถูกพี่พาชมสวนสัตว์ทั้งคืนแน่งานนี้
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 16th - 09/08/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 10-08-2019 16:31:36
 :pig4:
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 16th - 09/08/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 11-08-2019 09:24:42
ตามมมม
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 16th - 09/08/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 13-08-2019 15:59:34
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 17th - 13/8/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 13-08-2019 19:46:10
:: Chapter 17th - การกลับมาของอดีต ::


หลังจากที่พาอาทิตย์ทำการบ้านเสร็จเรียบร้อย ตะวันก็เปลี่ยนแผนพาอาทิตย์มาขลุกอยู่ที่บ้านพลัฎฐ์ เพราะน้องพีอ้อนขอตะวันอยากให้อาทิตย์มาอยู่เล่นกับตัวเอง โดยมีพลัฎฐ์ช่วยพูด เพราะคนเป็นพ่อเองก็อยากได้พี่ชายอาทิตย์มาอยู่เล่นด้วยเหมือนกัน

ฟอด ~

“พี่พลัฎฐ์!”

ตะวันกำลังวุ่นๆ อยู่กับการทำวุ้นผลไม้สดให้เด็กๆ ทานอยู่ในครัว พลัฎฐ์ก็เดินเข้ามาหาพร้อมกับกอดคนที่กำลังง่วนจากด้านหลัง และอาศัยทีเผลอกดจมูกลงบนแก้มใสของตะวันเต็มแรง จนคนถูกหอมถึงกับตกใจ

“หอม” พลัฎฐ์กระซิบข้างหูน้อง ให้ถูกอีกฝ่ายหันมาค้อนจนตาแทบกลับ

“ทำวุ้น จะเอาอะไรมาหอมครับ” ตะวันแกล้งถาม ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าพลัฎฐ์หมายถึงอะไรที่ว่าหอม

“พี่หมายถึงแก้มหนูต่างหาก แก้มหนูหอม หอมจนอยากฝังจมูกตัวเองลงบนแก้มหนูให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย” พลัฎฐ์ว่าให้ตะวันได้หัวเราะเสียงดัง

“ฮ่าๆๆ พี่นี่ขี้เวอร์ตลอด” ตะวันวางพิมพ์วุ้นลงบนเคาน์เตอร์ ก่อนจะฟาดมือตัวเองลงไปบนแขนพลัฎฐ์ที่กอดตัวเองอยู่ไม่แรงนัก “ปล่อยครับ ตะวันจะแกะวุ้นออกจากพิมพ์ พี่กอดตะวันแบบนี้ตะวันทำไม่ถนัด”

พลัฎฐ์ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ แถมยังไล้จมูกไปตามต้นคอขาวของตะวันอีกต่างหาก

“คืนนี้หนูค้างกับพี่นะ”

ตะวันตาเบิกโต ก่อนจะหันไปมองคนที่ทำเนียนกอดตัวเองไม่ยอมปล่อยทั้งตัว “อะไรนะครับ?”

“พี่กำลังขอ ขอให้หนูค้างกับพี่คืนนี้ ได้ไหมครับ”

ตะวันเลิ่กลั่ก สายตากลมส่ายไปทางนั้นทีทางนี้ทีเหมือนคนมีพิรุธ เหตุก็เพราะตะวันดันไปหวนคิดถึงเหตุการณ์ที่ทะเลคืนนั้น ก็เลยเกิดทำตัวไม่ถูกขึ้นมาเสียดื้อๆ

“คะ คือ.. คือตะวันต้องพาอาทิตย์เข้านอนครับ ต้องนอนกับน้องจนกว่าน้องจะหลับ ไม่งั้นเดี๋ยวน้องงอแง”

ตะวันพูดโพล่งออกมาราวกับหาทางออกให้ตัวเองได้ แต่ดูเหมือนว่าอะไรจะไม่ง่ายขนาดนั้น เพราะจู่ๆ เจ้าน้องชายตัวแสบก็วิ่งฮ้อมาเกาะประตูครัว แล้วส่งเสียงถามพี่ชายอย่างออดอ้อน

“พี่ตะวันนนนน คืนนี้อาทิตย์นอนกับน้องพีได้ไหมครับ พรุ่งนี้วันเสาร์ ไม่ต้องไปโรงเรียน”

แค่นั้นไม่พอ เพราะเจ้าหนูน้อยเจ้าของบ้านก็ตามมาด้วยติดๆ “ใช่ๆ พรุ่งนี้ปะป๊าบอกว่าหยุด ไม่ต้องไปโยงเยียน ให้ชวนคุณอาทิตย์กะพี่ตะวันนอนด้วยกัน นะนะนะคับพี่ตะวัน”

ตะวันหันไปมองพลัฎฐ์ตาเขียวปั๊ดทันที ไม่บอกก็รู้ได้เลยว่าใครเป็นคนต้นคิด ก่อหวอดให้เด็กๆ เข้ามาขออนุญาตถึงหน้าห้องครัวแบบนี้

“น่านะ นะครับหนู ค้างด้วยกันนะ น้องพีเองก็ยังซึมๆ แกคงอยากให้อาทิตย์อยู่เป็นเพื่อน”

พลัฎฐ์เอาลูกมาอ้าง ทำเอาตะวันที่หันกลับไปมองเจ้าหนูน้อยที่ตอนนี้มองมาที่เขาตาแป๋วอย่างคาดหวังแล้วใจอ่อนยวบ ยอมรับตรงนี้เลยว่าตะวันใจอ่อนลงไปแล้วกว่าครึ่ง

“น้องพีหยักให้พี่ตะวันอ่านนิทานให้ฟัง คุณอาทิตย์บอกว่าพี่ตะวันอ่านนิทานเก่ง”

พูดไม่พูดเปล่า เจ้าหนูน้อยพีรยสถ์ยังอุตส่าห์ยกนิ้วโป้งขึ้นมายกทั้งสองนิ้วเพื่อยืนยันคำพูดของตัวเอง และพอตะวันหันไปมองหน้าของเด็กชายอีกคนที่เป็นน้องชายแท้ๆ ก็ต้องถอนหายใจอย่างปลงตก เพราะดูเหมือนว่าเขาจะต้องพ่ายแพ้ให้กับสองเด็กน้อย และหนึ่งผู้ใหญ่เจ้าเล่ห์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่ๆ

“ก็ได้ครับ ค้างก็ค้าง” และพอเห็นเด็กๆ เตรียมจะดีใจ ตะวันก็รีบชี้นิ้วบอกเงื่อนไขของตัวเองก่อนทันที “แต่ห้ามเอาแต่เล่นกันจนนอนดึกนะ โอเคไหมครับ?”

เด็กน้อยทั้งสองรีบพยักหน้าหงึกหงักรับปาก “ตกยงคับ/โอเคคับ”

และพอได้สิ่งที่ตัวเองต้องการแล้วเจ้าหนูทั้งสองก็หันไปหัวเราะคิกคักให้กัน แล้ววิ่งออกไปนั่งเล่นที่ห้องรับแขกต่อ

“เล่นด้วยกันดีๆ นะครับ เดี๋ยวพี่ตะวันเอาวุ้นออกไปให้”

ตะวันได้ยินเสียง ‘เย่!’ ดังแว่วๆ มาให้เขายิ้มได้ แต่แล้วคนตัวเล็กก็ต้องหุบยิ้ม เมื่อหันมาเห็นใบหน้าหล่อเหลาของคนรักยืนยิ้มกริ่มพิงตู้เย็นอยู่ข้างๆ

“อ่านนิทานให้เด็กๆ ฟังจบแล้ว มากล่อมพี่นอนบ้างนะครับ ... คืนนี้พี่จะรออย่างใจจดใจจ่อเลย”

เจ้าของเสียงทุ้มพร่ายื่นหน้ามากระซิบข้างหู ทำเอาตะวันเขินจนหน้าแดงลามไปยันคอ ก่อนที่คนตัวเล็กกว่าชะงักน้อยๆ ราวกับนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ จึงยิ้มออกมาก่อนที่จะบอกพลัฎฐ์

“คืนนี้ตะวันจะนอนกับเด็กๆ ครับ พี่พลัฎฐ์นอนได้เลย ไม่ต้องรอ” ตะวันแอบยิ้มขำเมื่อเห็นใบหน้าเหวอๆ ของพลัฎฐ์ คิดว่าคนตัวโตกว่าคงไม่คาดคิดว่าตะวันจะตอบกลับมาแบบนี้

แต่พลัฎฐ์ก็เหมือนจะเหวอไปแค่พักเดียว ก่อนที่ใบหน้าหล่อเหลาจะกระตุกมุมปากยิ้มเจ้าเล่ห์ ยิ้มที่ตะวันเห็นแล้วยอมรับเลยว่าใจไม่ดีเลยสักนิด

“ก็ได้ครับ หนูอยากนอนเด็กๆ หนูก็นอน เดี๋ยวพี่ไปนอนด้วย นอนเบียดๆ กันอุ่นดีเนาะ แล้วก็อีกอย่าง...”

ตะวันมองอีกฝ่ายด้วยสายตาระแวงๆ ปนสงสัย นึกกลัวในใจว่าพลัฎฐ์จะคิดอะไรพิสดารๆ อยู่หรือป่าว ซึ่งมันก็ไม่ได้ผิดเพี้ยนจากที่ตะวันคาดเดาเลยสักนิด

“อีกอย่าง... มีเด็กๆ อยู่ด้วยแบบนี้ก็ตื่นเต้นดี คืนนี้หนูได้กลั้น... โอ๊ย!”

คนตัวโตกว่ายังพูดไม่ทันจบประโยคก็เจอตะวันหยิกเข้าให้เต็มแรง “ตัวเล็กครับ อย่าหยิกๆ เจ็บๆ พี่เจ็บ ฮ่าๆๆ”

“ขนาดเจ็บยังจะหัวเราะ พี่นี่ทะลึ่งจริงๆ นะ” ตะวันว่าเสียงเขียว แต่พลัฎฐ์ก็ยังหัวเราะไม่หยุด แล้วพอตะวันปล่อยมือที่หยิกออกพลักฐ์ก็เผ่นแผล็วไปตั้งหลักที่ประตูครัว ให้ห่างจากมือตะวันมากที่สุด ก่อนที่จะพูดอย่างอารมณ์ดีให้ตะวันหน้าแดงกว่าเดิม

“ไม่รู้แหละ ถ้าหนูไม่นอนแยกห้องกับเด็กๆ นะ พี่จะไปนอนด้วย แล้วพี่ก็จะ...” พลัฎฐ์แกล้งพูดทิ้งท้ายให้ตะวันคิดเอง ซึ่งเขาก็นึกขำหน้าตาเลิ่กลั่กของเด็กน้อยที่เขินจนแดงไปก่ำลามไปยันคอ พลัฎฐ์เลยตัดสินใจแหย่ไปอีกประโยคแล้ววิ่งหนีออกมา ก่อนที่พิมพ์ใส่วุ้นจะลอยมาปะทะหัวของตัวเอง

“ถ้าหนูไม่อายเด็กๆ ก็แล้วแต่เลยนะ เพราะคืนนี้พี่จัดหนักแน่นอน ฮ่าๆๆๆ”

“พี่พลัฎฐ์!”

ซึ่งตะวันก็ทำไรมากไม่ได้นอกจากยืนฮึดฮัดหน้าแดง และพอพลัฎฐ์หนีไปจนลับสายตา คนตัวเล็กก็หลุดยิ้มบางๆ ออกมาอย่างเขินอาย

.

.

.

“มาครับ เข้านอนได้แล้ว ช่วยกันเลือกแล้วหยิบมานะ เดี๋ยวพี่ตะวันจะอ่านให้ฟัง”

ตะวันเรียกเด็กๆ ที่กำลังยืนอยู่ตรงชั้นวางหนังสือเพื่อเลือกนิทานที่อยากจะฟังในคืนนี้ โดยที่น้องพีที่กำลังกอดตุ๊กตาน้องหมีเน่าขมวดคิ้วแน่น เมื่อเห็นอาทิตย์หยิบเรื่องแจ็คผู้ฆ่ายักษ์ขึ้นมา

“คุณอาทิตย์ จะเอาเยื่องนี้หยอ?” เด็กน้อยถามตาแป๋ว ให้เพื่อนสนิทเอียงคอมองอย่างสงสัย

“ทำไมล่ะ น้องพีไม่ชอบเรื่องนี้เหรอ?”

เด็กชายที่ตัวเล็กกว่ามองหน้าเพื่อนสนิทพลางยิ้มแห้งๆ ก่อนจะอ้อมแอ้มตอบ

“น้องพีไม่ได้ไม่ชอบน้า แต่น้องพีแค่อยากให้คุณอาทิตย์ยองฟังเยื่องพินอคคิโอดู” ปากเล็กเจื้อยแจ้วบอก ก่อนจะพยักเพยิดไปที่นิทานเรื่องโปรดที่วางอยู่เล่มบนสุด “เยื่องนี้สนุกน้า ปะป๊าชอบเย่า น้องพีเยยบอกให้คุณอาทิตย์ยู้เฉยๆ”

ตะวันกับพลัฎฐ์ลอบหัวเราะไม่ให้เด็กชายทั้งสองได้ยิน ผู้ใหญ่ทั้งสองแอบมองหน้ากันแล้วรู้สึกขำคำพูดของน้องพีมาก พวกเขารู้ดีว่าเด็กชายตัวน้อยอยากให้อ่านเรื่องพินอคคิโอจะแย่ แต่ไม่อยากหักหาญน้ำใจของอาทิตย์ เลยพยายามหว่านล้อมให้เพื่อนตัวน้อยเห็นด้วย โดยชักจูงให้เห็นความสนุก หนำซ้ำยังเอาชื่อพลัฎฐ์มาอ้างอีก

ทั้งแสบ ทั้งฉลาดเป็นกรดเลยเลยแหละ เจ้าตัวน้อยเนี่ย

“ก็ได้ๆ ฟังเรื่องพินอคคิโอก็ได้ เดี๋ยวหยิบไปให้พี่ตะวันอ่านนะ”

“เย่! คุณอาทิตย์เชื่อน้องพีน้า สนุกๆ”

เด็กชายอาทิตย์ตามใจน้องพี ส่วนคนที่ถูกตามใจก็ยิ้มร่า กอดตุ๊กตาเจ้าเน่าแน่น พลางถือนิทานเล่มน้อยไปพร้อมกับอาทิตย์เพื่อไปหาตะวันที่นั่งรออยู่บนเตียง โดยมีพลัฎฐ์มองตามเด็กทั้งคู่ไปอย่างอ่อนโยน

ในขณะที่ตะวันเองก็ลอบมองน้องชายด้วยความแปลกใจ เพราะรู้ดีว่าอาทิตย์ไม่ใช่เด็กที่จะชอบนิทานประเภทนี้ เนื่องจากมันไม่ตื่นเต้นเร้าใจเจ้าเด็กแสบสักเท่าไหร่ เหตุผลที่อาทิตย์ชอบให้อ่านเรื่องแจ็คผู้ฆ่ายักษ์นั่นก็เพราะ มันแอบมีการต่อสู้เล็กๆ น้อยๆ พอกระตุ้นให้เด็กน้อยได้มีจินตนาการสลับความตื่นเต้น ดังนั้น พอตะวันได้เห็นว่าอาทิตย์ยอมที่จะฟังนิทานเรื่องพินิคคิโอตามที่น้องพีขอนั้น ก็ถือเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายพอสมควร

“น้องพีครับ มาใส่ถุงเท้าก่อนครับ คืนนี้นอนจะได้ไม่หนาวเท้า” พลัฎฐ์กวักมือเรียกลูกชาย พร้อมกับถือถุงเท้าสีฟ้าอ่อนไว้ในมือ ก่อนที่เจ้าตัวน้อยจะวิ่งมาหา

เด็กชายแบมือไปตรงหน้าพลัฎฐ์ ก่อนจะเอ่ยบอกคนเป็นพ่อด้วยท่าทางน่ารัก “น้องพีใส่เองได้คับปะป๊า คุณครูสอนน้องพีมาแย้ว”

พลัฎฐ์ยิ้มขำ ก่อนจะทรุดลงนั่งกับพื้นให้น้องพีได้นั่งตาม จากนั้นก็ยื่นถุงเท้าให้ลูกชายตามความต้องการ พลางนั่งมองมือน้อยๆ ของเจ้าตัวจิ๋ว สวมถุงเท้าลงบนเท้าอย่างค่อยเป็นค่อยไป อาจจะมีติดขัดบ้าง แต่ก็ถือว่าน้องพีทำได้ดีพอสมควรสำหรับเด็กวัยสามขวบกว่าเกือบสี่ขวบ

“เส็ดแย้วคับ” เด็กชายพีรยสถ์บอกพลางชันเข่าวางเท้าบนพื้นให้พ่อดู ซึ่งเรียกรอยยิ้มดูดีให้ปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลาได้ในแทบจะทันที โดยที่ตะวันเองก็แอบมองสองคนพ่อลูกอยู่เหมือนกัน

และพอตะวันเห็นพ่อของน้องพีที่น่าจะดูยังภูมิอกภูมิใจกับการใส่ถุงเท้าของลูกชายอยู่ไม่ได้ให้ความสนใจตนกับน้อง คนตัวเล็กก็หันมาถามน้องชายที่กำลังนั่งบนตักพิงอกเขาอย่างสบายอารมณ์ในเรื่องที่ตัวเองสงสัย

“อาทิตย์ครับ อาทิตย์อยากฟังพินอคคิโอเหรอครับ?” ตะวันถาม พลางพลิกเล่มนิทานที่น้องพีถือมาให้ในมือผ่านๆ อาทิตย์ที่มองตามหน้ากระดาษที่พลิกไปพลิกมาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้ามาหาพี่ชายพลางส่งยิ้มตาหยีให้อย่างน่าเอ็นดู

“อาทิตย์รู้ว่าน้องพีอยากฟัง อาทิตย์ฟังเรื่องอะไรก็ได้ เพราะถ้าพี่ตะวันเล่าแปปเดียวอาทิตย์ก็หลับแล้ว”

ตะวันยิ้มให้คำตอบของน้องชายและรู้สึกภูมิใจมากที่ได้ยินแบบนี้ อาทิตย์เลือกที่จะเห็นแก่น้องพีมากกว่า เลือกที่จะตามใจน้องพีมากกว่า เพราะรู้ว่าวันนี้น้องพีมีเรื่องให้เศร้าใจ ซึ่งถึงแม้น้องชายของเขาจะไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แต่ตะวันก็รู้ดีว่า เจ้าตัวเล็กในอ้อมกอดเขารักและเป็นห่วงเพื่อนสนิทมากแค่ไหน และการแสดงออกถึงความใส่ใจเล็กๆ น้อยๆ นี่อาจจะทำให้น้องพีรู้สึกดีขึ้นบ้างก็ได้

ซึ่งก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีแค่พลัฎฐ์แล้วล่ะ ที่ภูมิใจในตัวเด็กน้อยที่เฝ้าเลี้ยงเฝ้าฟูมฟักมากับมือ เพราะตอนนี้ตะวันเองก็รู้สึกแบบนั้นไม่ต่างกัน

พอคิดอะไรเพลินๆ น้องพีก็ปีนขึ้นมาจุ้มปุกบนเตียงข้างๆ ตะวัน ก่อนจะใช้ศีรษะเล็กๆ มาถูไถต้นแขนของพี่ชายข้างบ้านด้วยท่าทางออดอ้อน

“พี่ตะวันค้าบ น้องพีหยักฟังนิทานแย้ว” ตะวันหัวเราะน้อยๆ เพราะรู้สึกจั๊กจี้ ก่อนจะยื่นมือไปลูบศีรษะเล็กๆ ของเจ้าหนูน้อยก่อนจะเอ่ยบอกอย่างอ่อนโยน

“งั้นเรามานอนกันเนาะ จะนอนยังไงดี น้องพีให้พี่ตะวันนอนตรงไหนครับ” ตะวันถาม ก่อนจะอุ้มอาทิตย์ที่อยู่บนตักให้นั่งลงบนเตียงแทน

ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าน้องพีกับอาทิตย์นั่งอยู่กลางเตียง แล้วตะวันนั่งอยู่ฝั่งขวา ในขณะที่หันรีหันขวางคิดว่าจะนอนตรงกลางแล้วให้เด็กๆ ขนาบข้าง เพื่อเวลาที่เล่านิทานเสียงจะได้ได้ยินกันทั่วถึงนั้นก็มีเหตุให้ต้องถอนหายใจ เพราะพลัฎฐ์ที่ก่อนหน้านั้นยืนพิงกำแพงอยู่แถวประตูห้อง ถลามานั่งอยู่ตรงฝั่งซ้ายของเตียงข้างน้องพี แล้วเอ่ยเสียงทุ้มปนเจ้าเล่ห์ที่ฟังยังไงตะวันก็รู้ทันว่าต้องมีแผนการแอบแฝงแน่ๆ

“ให้ปะป๊านอนด้วยได้ไหมลูก ปะป๊าอยากฟังพี่ตะวันเล่านิทานด้วยคน”

เด็กชายพีรยสถ์ทำตาโต ก่อนจะยิ้มร่าด้วยความชอบใจ “ได้สิคับปะป๊า ปะป๊านอนข้างน้องพีตรงนี้เยย”

มือเล็กๆ ของเจ้าหนูน้อยตบปุๆ ลงบนที่นอนข้างตัวอย่างกระตือรือร้น เพราะน้องพีชอบมากๆ เวลาที่ปะป๊ามานอนข้างๆ แขนของปะป๊าใหญ่ กอดน้องพีทีอุ่นไปทั้งตัว ดังนั้น เวลาที่เด็กชายได้นอนหลับไปทั้งที่มีคนเป็นพ่อนอนข้างกาย จึงเป็นอะไรที่เขาชอบมากที่สุด น้องพีจึงไม่คิดจะปฏิเสธหากพลัฎฐ์มาขอนอนด้วยแบบนี้

มีแต่ตะวันเท่านั้นที่รู้ทัน มองคนตัวโตกว่าตาขวาง แต่แทนที่พลัฎฐ์จะสลด กลับมาทำหน้าทำตากะลิ้มกะเหลี่ยใส่เขาเสียอีก ให้ตะวันต้องถอนใจปนๆ กับลอบอมยิ้มไม่ให้อีกฝ่ายเห็นอย่างอ่อนใจ

“แล้วคุณอาทิตย์ต้องนอนตรงไหนอ่ะน้องพี”

และคำถามของเพื่อนสนิทก็ทำเอาเด็กชายตัวน้อยผู้ทำหน้าที่จัดเรียงลำดับการนอนขมวดคิ้วน้อยๆ พร้อมๆ กับเอียงคอมองไปรอบๆ เตียง แล้วพูดเจื้อยแจ้วชี้ไปที่พื้นเตียงด้านขวาสุด ก่อนจะมองหน้าตะวันด้วยดวงตาใสแจ๋วที่มองแล้วน่าเอ็นดูไม่น้อย

“พี่ตะวันนอนตรงนั้นเยย แย้วก็คุณอาทิตย์นอนข้างพี่ตะวัน ให้พี่ตะวันกอดๆ” เจ้าเด็กรู้ดีพูดพลางจัดแจง ก่อนจะหันมาใช้นิ้วจิ้มอกตัวเองแล้วพูดต่อ

“ส่วนน้องพีนอนตงนี้ แย้วก็ปะป๊านอนข้างๆ น้องพี กอดๆ น้องพีเหมือนกัน”

จากการจัดแจงของน้องพีเรียกรอยยิ้มปนเสียงหัวเราะเบาๆ ของตะวันได้ไม่ยาก ส่วนพลัฎฐ์นั้นหน้ามุ่ย เพราะตัวเองโดนกันจากตะวันให้ห่างกันคนละฟากเตียง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากทำตามคำสั่งการของเด็กน้อยที่ตอนนี้กุมอำนาจสูงสุดในห้องนอนในฐานะเจ้าของห้อง

“โอเคครับ งั้นเรานอนกันเนาะ เดี๋ยวพี่ตะวันจะได้อ่านนิทานให้ฟัง”

ว่าแล้วทั้งสี่ก็จัดแจงล้มตัวนอน ในขณะที่อาทิตย์ขยับตัวชิดอกตะวันที่ตอนนี้กึ่งนอนกึ่งนั่งพิงหัวเตียงตะแคงเข้าหาเด็กๆ เพราะจะเล่านิทาน ส่วนน้องพีที่ร้องให้ปะป๊ากอดนั้น ก็ขยับชิดตัวอาทิตย์อีกที มือเล็กๆ ของเด็กชายพาดลงไปบนเอวของเพื่อนสนิทแน่นพลางมองสองพี่น้องข้างบ้านตาแป๋วให้ตะวันต้องก้มลงไปฟัดแก้มนิ่มนั่นอย่างมันเขี้ยว

“คิกๆ พี่ตะวันนน” น้องพีหัวเราะคิกให้อาทิตย์หัวเราะตาม เด็กสองคนนอนชิดกันจนแทบจะไม่เหลือช่องว่างให้ลมลอดผ่าน โดยมีแขนเรียวของตะวันโอบพาดเด็กทั้งสองไว้ด้วยความอ่อนโยน

ในขณะที่พลัฎฐ์มองคนทั้งสามกอดกันด้วยสายตาตัดพ้อ

“อ่าว น้องพี แล้วปะป๊าล่ะลูก ไหนบอกจะให้ปะป๊ากอดไง” พลัฎฐ์เล่นใหญ่ตัดพ้อ ให้น้องพีได้หัวเราะคิกคักกับอาทิตย์มากกว่าเดิม ก่อนที่เสียงของเจ้าลูกชายตัวแสบจะเอ่ยบอกอย่างทะเล้น

“ปะป๊าก็มากอดสิคับ กอดๆ ทับพี่ตะวันก็ได้”

คนที่รอฉวยโอกาสมานานได้ยินก็ลอบยิ้ม ก่อนจะถลาไปวาดแขนกำยำวางทับแขนเรียวเล็กของตะวันอย่างรวดเร็ว ทำเอาตะวันถึงกับอ้าปากค้างในความขี้ลวนลามของพลัฎฐ์ที่แบบได้นิดได้หน่อยเอาหมด ไม่ปล่อยให้โอกาสเล็กๆ น้อยๆ หลุดลอยเลย

แถมคนขี้แต๊ะอั๋งยังไม่ได้แค่วาดแขนทับ แต่กำลังไล้มือใหญ่ไปมาเบาๆ ที่ท่อนแขนตะวันอย่างเพลิดเพลินอีกตะหาก

ตะวันเลยได้แต่ถลึงตาคาดโทษคนที่นอนมองหน้าเขาอยู่อีกฝั่งของเตียง โดยที่พลัฎฐ์ไม่ได้หวาดกลัวเลยสักนิด

“อ่านนิทานสิครับพี่ตะวัน เด็กๆ รอฟังอยู่นะ” พลัฎฐ์แกล้งเย้าให้ตะวันได้ฮึดฮัดแต่ก็ทำอะไรมากไม่ได้ เพราะเด็กๆ จ้องอยู่ตาแป๋ว ที่ทำได้ก็มีแค่เพียง เริ่มอ่านนิทานเด็กๆ ฟังด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ...

.

.

.

- อ่านต่อด้านล่าง -
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 17th - 13/8/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 13-08-2019 19:50:46
- ต่อจากด้านบน -

ตะวันชะโงกมองเด็กทั้งสองที่อยู่ในอ้อมกอดที่กำลังหลับปุ๋ย แต่กลับมีรอยยิ้มบางๆ แต้มอยู่ที่มุมปากด้วยสายตาเอ็นดู ก่อนที่จะเผลอหันไปสบตากับคนที่นอนตะแคงข้างอยู่อีกฟากของเตียง ที่ตอนนี้กำลังมองมายังเขาด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก และกว่าที่ตะวันจะได้รู้ตัว พลัฎฐ์ก็ลุกลงจากเตียงแล้วอ้อมมานอนซ้อนอยู่ข้างหลังเขาเรียบร้อยแล้ว

“พี่พลัฎฐ์! พี่ทำอะไรเนี่ยครับ เดี๋ยวก็ตกเตียงหรอก”

คนถูกนอนกอดโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัวหรือขยับหนีหันไปดุคนตัวโตกว่าที่ตอนนี้ยิ้มร่าใส่เขาด้วยความตกใจ เพราะพื้นที่เตียงที่เหลือด้านหลังตะวันก็ใช่ว่าจะมาก จะขยับหนีก็ไม่ได้ เพราะกลัวเด็กๆ ที่อยู่ในอ้อมกอดเขาจะสะดุ้งตื่น ดังนั้นตะวันเลยจำเป็นต้องนอนนิ่งๆ ให้คนที่มานอนซ้อนหลังทั้งกอดทั้งรัดเสียแน่น ยิ่งด้วยความที่พื้นที่เหลือน้อย ยิ่งทำให้คนตัวโตกว่านอนเข้ามาทั้งชิดทั้งเบียดกับตะวันจนแทบจะรวมร่างกันได้อยู่แล้ว

“นี่ไง หนูให้พี่นอนเบียดๆ ยังไงก็ไม่ตกหรอก”

พลัฎฐ์ว่าเสียงระรื่น ดูก็รู้ว่ามีความสุขมากแค่ไหนที่ได้ตอดเล็กตอดน้อยแบบนี้ หนำซ้ำตอนนี้ไอ้ที่ว่านอนชิดๆ เบียดๆ นี่ไม่ร้ายเท่ากับมือใหญ่ของพลัฎฐ์เริ่มอยู่ไม่สุขแล้ว เพราะเดี๋ยวก็แตะสะโพก จับเอว ลูบหน้าท้องตะวัน คือพูดง่ายๆ ว่าได้จับนิด สะกิดหน่อยคือเอาหมด

“พี่พลัฎฐ์ ทำไมมือซนแบบนี้นะ” ตะวันกระซิบต่อว่าแต่ก็ใช่ว่าพลัฎฐ์จะหยุด

ใบหน้าหล่อเหลาที่ยื่นมาวางเกยบนไหล่เล็กของตะวัน ขยับเข้าจนชิด ลมหายใจร้อนๆ รินรดอยู่ตนต้นคอตะวันให้ต้องหดคอหนี และแทนที่อีกฝ่ายจะเลิกแกล้งให้เขาใจสั่น พลัฎฐ์กลับหัวเราะหึๆ ด้วยความชอบใจ

“พี่ไม่ได้ทำอะไรหนูเลยสักหน่อย แค่กอดเอง” พูดจบก็กดจูบที่หลังใบหูของตะวันเบาๆ ทำเอาคนถูกจูบตัวสั่น ใจสั่นไปหมดเมื่อถูกจู่โจม

“พี่พลัฎฐ์!” ตะวันกดเสียงเข้มปรามอีกฝ่ายเบาๆ เพราะไม่อยากให้เด็กๆ ตื่นมาได้ยิน

“ครับ?” แต่พลัฎฐ์กลับทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ให้ตะวันนึกโมโหเลยหันไปมองคนที่กำลังกอดตัวเองอยู่ตาขวาง “ก็ได้ๆ ขอโทษครับ พี่แค่อยากกอด อยากอ้อนขอกำลังใจจากหนูเท่านั้นเอง”

ตะวันชะงัก เมื่อนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น เขายอมรับว่ารู้สึกผิดนิดๆ ตอนที่พลัฎฐ์กำลังจะละมือออกจากเอวของตัวเอง พอคิดได้ว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาแง่งอนหรือเรียกร้องอะไรจากอีกฝ่าย เพราะตอนนี้พลัฎฐ์กำลังอยู่ในช่วงที่มีเรื่องมากมายให้คิด ดังนั้นตะวันจึงตัดสินใจยื่นมือเล็กของตัวไปยึดข้อมือใหญ่ของพลัฎฐ์ไว้ แล้วเองมาวางบนเอวของตัวเองตามเดิมแทน หนำซ้ำ มือเล็กยังหาญกล้าที่จะวางมือตัวเองทับลงบนมือใหญ่ของพลัฎฐ์อีกทีด้วย พร้อมกับสารภาพอ้อมแอ้ม

“พี่ก็กอดสิครับ ตะวันไม่ได้ไม่ให้กอดสักหน่อย ตะวันแค่ไม่อยากให้พี่ซน พอพี่ซนแล้วตะวัน.. คือ.. ตะวันเขิน แล้วเดี๋ยวจะพาลไปกวนให้เด็กๆ ตื่นเอา”

พลัฎฐ์ต้องกลั้นยิ้มจนแทบจะเป็นบ้า เพราะตะวันในเวลานี้น่ารักมาก แก้มแดง หูแดง แดงไปหมดลามมายันคอ แสดงว่าคนที่กำลังถูกเขากอดอยู่เขินจริง ใจจริงคงอยากให้เขาหยุดรังแกจะแย่ แต่อีกทางก็เป็นห่วงความรู้สึกของเขาที่เพิ่งเจอกับเรื่องราวแย่ๆ มา เลยยอมข่มความอาย เพื่อที่จะยอมทำให้เขาสบายใจ

น่ารักอะไรขนาดนี้นะตะวัน

“น่ารักจัง แฟนใครน้า” พลัฎฐ์แกล้งทำเสียงเล็กเสียงน้อยใส่ ให้ตะวันที่ได้ยินหลุดยิ้มขำออกมาเบาๆ ก่อนที่พลัฎฐ์จะนึกเอ็นดูปนมันเขี้ยว จึงยื่นจมูกโด่งไปฉกแก้มนิ่มของคนรักฟอดใหญ่

ตะวันตัดสินใจค่อยๆ พลิกตัวเบาๆ กลับไปหาพลัฎฐ์ ปล่อยให้อาทิตย์ที่เพิ่งจะพลิกตัวหนีอ้อมกอดตะวันหันไปกอดน้องพีแทน

ตอนนี้ตะวันจึงนอนอยู่ในอ้อมกอดอบอุ่นของพลัฎฐ์ทั้งตัว ให้เจ้าของอ้อมกอดได้นึกดีใจที่ตะวันให้ความสำคัญกับความรู้สึกของตัวเขาเองมากขนาดนี้ เพราะถึงตะวันจะไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่พลัฎฐ์แค่จ้องมองเข้าไปในตากลมสีน้ำตาลเข้มที่จ้องกลับมาด้วยความเป็นห่วง เขาก็นึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก

“พี่พลัฎฐ์ ถ้าพี่มีอะไรไม่สบายใจ... พี่รู้ใช่ไหมครับว่าตะวันอยู่ตรงนี้ อยู่ข้างๆ พี่ไม่ได้ไปไหนเลย”

พลัฎฐ์ยิ้มกว้างพร้อมกับพยักหน้ารับเบาๆ ก่อนจะกดจูบลงบนหน้าผากมนของคนรักเพื่อเป็นการแทนคำขอบคุณ

“พี่รู้ครับเด็กดี พี่รู้ว่าหนูพร้อมจะอยู่ข้างพี่ไม่ไปไหน” พลัฎฐ์กระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น จนตะวันแทบจะจมลงไปในอกกว้าง “พี่ขอบคุณหนูมาก ขอบคุณที่ให้พี่รักและรักพี่ ขอบคุณนะครับคนเก่ง”

ตะวันแหงนหน้าขึ้นไปมองใบหน้าหล่อเหลาที่ก้มลงมามองเขาอยู่ก่อนหน้าด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรัก คนตัวเล็กกว่ายิ้มให้อีกฝ่ายบางๆ ก่อนจะยื่นหน้าขึ้นไปแตะจูบเบาๆ ตรงสันกรามของคนรัก พลัฎฐ์ใจเต้นแรงจนแทบจะทะลุออกมา เพราะไม่บ่อยนักที่ตะวันจะแสดงท่าทางน่ารักและออดอ้อนแบบนี้ให้เห็น ซึ่งนี่เป็นครั้งแรก และเป็นครั้งแรกที่ทำให้ใจพลัฎฐ์เต้นแรงจนแทบพัง

คนตัวโตกว่าตัดสินใจก้มลงไปจูบริมฝีปากสีสดที่กำลังส่งยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยนอย่างหลงใหล เขาค่อยๆ ขบเม้ม เลาะเล็มความหอมหวานจากตะวันด้วยจูบที่เต็มไปด้วยความรู้สึกและคำขอบคุณ พลัฎฐ์อยากจะบอกน้องเหลือเกินว่าเขารู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากแค่ไหนเมื่อมาเจอกับตะวัน ตะวันที่สาดแสงส่องสว่างในชีวิตที่หม่นเทาของเขาให้กลับมาสดใส

พลัฎฐ์ค่อยๆ ขบริมฝีปากล่างสีสดของตะวันเบาๆ ราวกับร้องขอ และทันทีที่อีกฝ่ายเผยอริมฝีปากขึ้น พลัฎฐ์ก็แทรกลิ้นของตัวเองเข้าไปทันที พร้อมกับกวาดต้อนขโมยความหอมหวานที่มีกลิ่นคล้ายขนมเหมือนคนละโมบ ในขณะที่ตะวันเองก็เรียนรู้ที่จะจูบตอบคนรัก แม้มันจะงกๆ เงิ่นๆ ไปบ้างแต่ตะวันก็รับรู้ได้ว่าพลัฎฐ์ชอบและรู้สึกดีกับมัน หากสังเกตได้จากเสียงครางเบาๆ ในลำคอของอีกฝ่าย

และหลังจากแลกจูบกันจนแทบจะหายใจไม่ทัน พลัฎฐ์ก็จำใจต้องผละออกเพื่อให้ตะวันได้โกยอากาศเข้าปอด ก่อนที่จะจูบซับมุมปากของตะวันเบาๆ เพื่อเช็ดทำความสะอาดน้ำลายที่อาจจะไหลออกมาเลอะเทอะตอนไหนก็ได้ในระหว่างจูบ หากอารมณ์เราเตลิด ซึ่งนั่นก็ทำเอาพลัฎฐ์อดไม่ได้ที่จะจูบหนักๆ ลงไปปากสีแดงสดของตะวันแรงๆ อีกครั้ง

“พี่อยากจูบปากหนูทั้งวัน มันเขี้ยว” พลัฎฐ์กระซิบบอก ทำเอาตะวันหลุดขำ

“ไม่เอาครับ จูบแค่นี้พอแล้ว เอ่อ.. คือ ตะวันไม่อยากให้อารมณ์เราเตลิด เดี๋ยวมันจะเกินเลย เด็กๆ ก็นอนอยู่ตรงนี้ด้วย”

พลัฎฐ์พยักหน้ารับอารมณ์ประมาณว่าเห็นด้วย ก่อนจะพูดกระซิบตอบตะวันด้วยสีหน้ากรุ้มกริ่ม

“ใช่ๆ นี่ขนาดแค่จูบพี่ยังเตลิดเลย สงสัย... โอ๊ย!” มือเล็กฟาดดังเพี๊ยะลงบนไหล่กว้าง ก่อนจะมุ่ยหน้ามองอีกฝ่ายตาแทบกลับ

“พี่พลัฎฐ์! ทะลึ่ง!” ตะวันต่อว่าหน้างอ ให้พลัฎฐ์หัวเราะอย่างอารมณ์ดี

“ฮ่าๆ โอเคครับ โอเค พี่ไม่แกล้งแล้ว” ตะวันจ้องหน้าพลัฎฐ์พลางสำรวจคำพูดของอีกฝ่ายว่าเชื่อได้ขนาดไหน พอตะวันได้เห็นแววตาอ่อนโยนของพลัฎฐ์กลับมาเป็นปกติแล้วก็ได้แต่ถอนใจ เลยเผลอย่นจมูกใส่อีกฝ่ายด้วยอาการล้อเลียน

“นอนเถอะครับ ตะวันง่วงแล้ว” ตะวันอ้อน พลางขยับตัวซุกหน้ากับอกพลัฎฐ์ให้ใกล้ชิดกันมากกว่าเดิม

“ครับ นอนกัน เด็กดีของพี่.. หรือให้พี่กล่อมด้วยนิทานแบบน้องพีกับอาทิตย์ด้วยดี หื้ม?” ตะวันขำก่อนจะกดจูบเบาๆ ลงบนอกที่ข้างใต้แผ่นเนื้อมีก้อนเลือดก้อนเล็กๆ ที่เรียกว่าหัวใจเต้นอยู่ ซึ่งมันก็เต้น ดัง รัว เร็ว เหมือนของตะวันไม่มีผิด

“ไม่ต้องอ่านนิทานหรอกครับ แค่กอดตะวันแน่นๆ ก็พอ..” พอสิ้นคำขอ อ้อมกอดของพลัฎฐ์ก็กระชับแน่นขึ้น จนตะวันอุ่นไปทั้งใจ ทั้งตัว

“ตามคำบัญชาเลยครับที่รัก ... ขอบคุณที่เข้าใจ ขอบคุณที่เคียงข้าง ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะครับ” พลัฎฐ์จูบหนักๆ ลงบนศรีษะทุยของคนรัก “ฝันดีนะครับเด็กดีของพี่”

รอยยิ้มเหนื่อยๆ ที่พลัฎฐ์ไม่เห็น ปรากฏอยู่บนริมฝีปากบางสวยของตะวัน ก่อนที่ตะวันจะกระซิบบอกอีกฝ่ายเบาๆ ด้วยประโยคเดียวกัน

“ฝันดีเช่นกันครับพี่พลัฎฐ์”

ใช่ ตะวันเป็นเด็กดีของพี่พลัฎฐ์ ตะวันเข้าใจพี่พลัฎฐ์ ตะวันอยู่ตรงนี้ อยู่เสมอหากพี่ต้องการ แม้ว่าพี่พลัฎฐ์จะยังไม่ได้เล่าเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นให้ตะวันฟังเลยก็ตาม

.

.

.

“แผนของวันนี้คือ เราจะเข้าครัวทำอาหารทานด้วยกัน โดยมีพี่ตะวันเป็นพ่อครัว และทุกๆ คนเป็นลูกมือ”

สิ้นเสียงหวานของคนเป็นพ่อครัว ลูกมือทั้งสามก็ส่งเสียงเฮลั่นด้วยความชอบใจ โดยเฉพาะเสียงเล็กๆ ของเจ้าหนูน้อยทั้งสองที่ดูจะตื่นเต้นเป็นพิเศษ

“เย่ๆ”

“น้องพีทำ น้องพีทำ” จู่ๆ เด็กชายตัวน้อยที่ยืนอยู่บนเก้าอี้โซฟาก็ยกมือน้อยๆ ของตัวเองขึ้น พลางร้องบอกเจื้อยแจ้ว

“น้องพีอยากทำอะไรครับ” ตะวันถามอย่างใจดี ใบหน้าติดจะมีรอยยิ้มเอ็นดูอยู่น้อยๆ

“ทำขนมคับ ขนมอะหย่อยๆ แบบที่พี่ตะวันทำ”

น้องพีพูดเจื้อยแจ้วยิ้มแย้ม ดูอารมณ์ดีมากกว่าเมื่อวานจนคนเป็นพ่อที่ยืนแอบมองอยู่ถึงกับยิ้มกว้าง ก่อนที่คุณพ่อคนที่ว่าจะเบนสายตาไปสบกับครูสอนทำอาหารเฉพาะกิจ ที่วันนี้วางแผนจะดึงความสนใจเด็กน้อย เพื่อไม่ให้จดจ่อหรือหดหู่อยู่กับเหตุการณ์เมื่อวาน

“ได้สิครับ ว่าแต่เราจะทำขนมอะไรกันดีนะ” ตะวันว่าก่อนจะหันไปหาเจ้าน้องชายตัวน้อยที่ยืนอยู่บนโซฟาตัวเดียวกับน้องพี “อาทิตย์มีขนมที่อยากทำมาเสนอไหมครับ อยากทานอะไรเป็นพิเศษไหม?”

แน่นอนว่าตะวันไม่ได้ให้ความสนใจแค่เฉพาะน้องพีเป็นพิเศษ แต่ตะวันให้ความสนใจกับน้องชายตัวเองด้วยอย่างเท่าเทียม เพื่อไม่ให้เด็กคนใดคนหนึ่งน้อยใจ แต่ดูจากคำตอบแล้วตะวันคิดว่าอาทิตย์ไม่น่าจะน้อยใจเรื่องน้องพีง่ายๆ แน่ๆ

“ให้น้องพีเลือกก็ได้คับพี่ตะวัน อาทิตย์กินแบบที่น้องพีอยากกินได้” เจ้าอาทิตย์ดวงน้อยพูดพลางหันไปยิ้มกว้างให้เพื่อนสนิทที่ยืนอยู่ข้างๆ จนน้องพียื่นศีรษะตัวเองมาไถที่แขนของอาทิตย์อย่างออดอ้อนแทนคำขอบคุณ

... จะว่าไปแล้วคนที่สปอยล์เด็กชายพีรยสถ์ที่สุดคือเด็กชายภานวีย์เอง น้องพีว่าไง คุณอาทิตย์ว่าตามอย่างไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ เลยสักครั้ง

“ไม่เป็นไยนะ คุณอาทิตย์เยือกเยย เยือกๆ ให้น้องพี น้องพีให้คุณอาทิตย์เยือก” แต่แล้วตะวันก็ต้องแปลกใจเมื่อน้องพีปฏิเสธที่เลือก แต่กลับยกหน้าที่นี้ให้อาทิตย์แทน

“ถ้าคุณอาทิตย์เลือกให้ แล้วน้องพีจะชอบกินเหรอ?” เจ้าอาทิตย์ดวงน้อยถามอย่างเป็นกังวล แต่น้องพีกลับยิ้มกว้างพลางพยักหน้าหงึกๆ หงักๆ อย่างไม่ลังเล

“ชอบสิ น้องพีชอบหมด คุณอาทิตย์เยือกให้นี่นา” ว่าพลางยิ้มกว้างจนตาหยี ทำเอาอาทิตย์ยิ้มตามโดยอัตโนมัติ

“งั้นทำแพนเค้กกันไหมน้องพี” อาทิตย์ถามคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ก่อนที่จะหันไปหาตะวัน “แพนเค้กหอ.. หอ หออะไรนะพี่ตะวัน”

“แพนเค้กหอไอเฟลครับ อาทิตย์หมายถึงชื่อนี้ใช่ไหม?” ตะวันเฉลยด้วยรอยยิ้มบาง รู้สึกเอ็นดูท่าทางเอียงคอน้อยๆ ยามนึกชื่อแพนเค้กไม่ออกของน้องชายขึ้นมาเสียดื้อๆ

“ใช่ๆ แพนเค้กหอไอเฟ่น” ตะวันหลุดขำ ตอนได้ยินชื่อที่น้องชายเรียกไม่ชัด “ได้ไหมครับพี่ตะวัน ทำอันนี้ได้ไหม”

“ได้ครับ” ตะวันตกลง ก่อนจะแจกแจงหน้าที่เข้าครัวของแต่ละคน โดยมีพลัฎฐ์ทำหน้าตาปลื้มอกปลื้มใจอยู่ห่างๆ ให้ตะวันอดเขินไม่ได้กับสายตาอบอุ่นคู่นั้น “เอ่อ.. อะแฮ่มๆ”

พลัฎฐ์หัวเราะเบาๆ ตอนเห็นท่าทางเก้อเขินของตะวัน เลยได้รับสายตาดุๆ ส่งกลับมา จนต้องแกล้งยกมือขึ้นสองข้างเพื่อบอกว่าจะยอมแพ้ ทั้งที่แววตาคมยังคงพราวระยับ

“งั้นมื้อกลางวันวันนี้พวกเราจะทำสปาเก็ตตี้คาโบนาร่า กับแพนเค้กหอไอเฟลกันนะครับ” ตะวันว่าพลางกวักมือเรียกพลัฎฐ์ให้เดินเข้ามา “เดี๋ยวสปาเก็ตตี้จะเป็นหน้าที่ของพี่ตะวันกับปะป๊าพลัฎฐ์ ส่วนตกแต่งแพนเค้กหอไอเฟลเป็นหน้าที่ของน้องพีกับคุณอาทิตย์ตกลงไหมครับ”

เด็กน้อยสองคนพยักหน้ารับหงึกหงัก แววตากลมโตเต็มไปด้วยความตื่นเต้น พลัฎฐ์เดินไปจูงน้องพีกับอาทิตย์เข้ามาในครัวด้วยมือคนละข้าง เขาจับเด็กน้อยยืนบนบันไดเสริมที่เด็กๆ เอาไว้ใช้ปีนแปรงฟันในตอนเช้า ซึ่งตอนนี้เอามาตั้งตรงเคาน์เตอร์เตรียมอาหารในครัว เพื่ออำนวยความสะดวกแก่เจ้าหนูทั้งคู่ โดยที่พลัฎฐ์ไม่ยอมให้เด็กๆ เฉียดเข้ามายืนในโซนเตาและอุปกรณ์ร้อนๆ ทั้งหลายตามที่ได้คุยกันไว้แล้วกับตะวัน

ถึงแม้อยากจะให้พวกแกมีส่วนร่วมกับกิจกรรมของครอบครัว แต่เขาทั้งสองก็ควรที่จะต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของเด็กๆ เป็นอันดับแรกด้วย

พลัฎฐ์จึงพาเจ้าหนูทั้งสองไปยืนอยู่อีกฝั่งของเคาน์เตอร์ เพื่อให้เคาน์เตอร์ตัวที่ว่ากั้นเด็กๆ ออกจากพวกเตา และแก็สทั้งหลาย

“น้องพีกับคุณอาทิตย์ยืนตรงนี้นะครับ ปะป๊าพลัฎฐ์จะเข้าไปช่วยที่ตะวันที่ฝั่งนั้น สองคนห้ามดื้อห้ามซน รอให้พี่ตะวันอนุญาตก่อนค่อยทำตกลงไหม” พลัฎฐ์เอ่ยบอกเด็กๆ อย่างใจเย็นให้เจ้าหนูทั้งสองพยักหน้ารับเข้าใจ

“ตกลงคับ/ตกยงคับ”

พอเด็กๆ รับปากพลัฎฐ์ก็เดินไปหาตะวันที่ตอนนี้กำลังง่วงอยู่หน้าเตา ก็เลยไปได้ทันเห็นตะวันกำลังร่อนแป้งเค้ก ผงฟู และเกลือเข้าด้วยกัน จากนั้นคนตัวเล็กกว่าก็นำแป้งที่ร่อนจนเข้ากันแล้วใส่ลงไปในเครื่องปั่น เทนมสดลงไป ตามด้วยไข่ไก่ เนยสดละลาย และน้ำตาลทราย ตะวันปั่นส่วนผสมจนเข้ากัน แล้วก็เอามาพักไว้ ซึ่งในระหว่างรอตะวันก็หันเตรียมของตกแต่งที่ตะวันหาได้จากในตู้เย็นให้เด็กๆ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นผลไม้และขนมที่พลัฎฐ์ซื้อติดไว้ ซึ่งสิ่งที่พ่อครัวคนเก่งหาได้ก็มีกีวี่สด บลูเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ทั้งสดและแห้ง เพรทเซลแท่ง รวมถึงน้ำตาลไอซ์ซิ่ง ก่อนที่ตะวันจะนำสิ่งเหล่านั้นไปวางไว้บนเคาน์เตอร์ตรงหน้าเด็กๆ ที่ตอนนี้กำลังมองด้วยความสนใจ

ตะวันก็หันกลับมาที่หน้าเตาอีกครั้ง หยิบกระทะไปตั้งด้วยไฟอ่อนๆ ใส่เนยลงไป แล้วเอาแป้งที่พักไว้มาวาดลงในกระทะให้คล้ายกับรูปหอไอเฟล รอให้ฟองอากาศปุดขึ้นจึงกลับด้าน ทอดจนสุกทั้งสองด้าน แล้วก็เอามาจัดใส่จาน จากนั้นก็นำจานที่มีแป้งแพนเค้กที่ทอดจนสุก ฟู ดูนุ่มน่าทานมาวางตรงหน้าเด็กๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสนุกสนาน

“อ่ะ ทีนี้ก็เป็นหน้าที่ของน้องพีกับคุณอาทิตย์แล้วนะครับ ตกแต่งหอไอเฟลได้ตามใจชอบเลย อยากเอาผลไม้อะไรใส่ตรงไหน หนูทำได้เลยครับ แล้วเดี๋ยวพี่ตะวันไปทำสปาเก็ตตี้กับปะป๊าก่อน”

และในระหว่างที่ตะวันกำลังจะหันกลับไปทำของคาวต่อ พลัฎฐ์ก็พูดขึ้นอย่างนึกสนุก

“เรามาแข่งกันดีไหมนะ ว่าใครจะเสร็จก่อนกัน ปะป๊ากับพี่ตะวัน หรือน้องพีกับคุณอาทิตย์”

เด็กน้อยทั้งสองตาโต ก่อนที่จะปรบมือปรบไม้ด้วยความชอบใจ

“เอาคับ แข่งๆ ใครแพ้ขี่ม้าส่งเมืองเยย” น้องพียื่นข้อเสนอ โดยไม่ได้คิดเผื่อว่าตัวเองจะแพ้เลยสักนิด

“ได้ครับ ใครแพ้ขี่ม้าส่งเมืองนะ” พลัฎฐ์เองก็นึกครึ้มรับปาก ทำเอาตะวันที่กำลังช้อนเส้นสปาเก็ตตี้ที่เพิ่งต้มเสร็จมาแช่น้ำเย็นถึงกับหลุดขำ เขายอมรับว่านึกสภาพน้องพีกับอาทิตย์เอาพวกเขาขี่หลังไม่ออกเลย

“เย่ๆ ขี่ม้าส่งเมืองเยยเนาะคุณอาทิตย์”

“ใช่ๆ เราต้องชนะนะน้องพี”

น้ำเสียงมุ่งมั่นของเด็กทั้งสองทำเอาตะวันลอบส่ายศีรษะ... สรุปว่าต้องแกล้งแพ้สินะ

ซึ่งพอตกลงกติกากับเด็กๆ เรียบร้อย พลัฎฐ์ก็หันมาช่วยตะวันหั่นเบค่อนเป็นชิ้นเล็กๆ ในขณะที่ตะวันกำลังเอากระทะขึ้นตั้งอีกครั้งเพื่อเตรียมคั่วเบค่อน ซึ่งพอเบค่อนพร้อมแล้ว ตะวันก็เอาลงมาทอดโดยใส่น้ำมันเพียงเล็กน้อย และพอเห็นว่ามันน่าจะกรอบได้ที่แล้วก็ตักขึ้นจากกระทะเอามาวางพักให้สะเด็ดน้ำมัน จากนั้นก็หันไปทำครีมคาโบนาร่าต่อด้วยการใส่เนยลงในกระทะอีกรอบ ตั้งไฟกลางๆ พอเนยละลายก็ใส่หอมใหญ่ลงไปผัดจนหอม แล้วก็ใส่แฮมลงไปผัดตาม พอแฮมเริ่มสุกก็ตามด้วยใส่วิปปิ้งครีม รอให้เดือดก็ปรุงรสด้วยเกลือ และพริกไทยดำป่น ตามด้วยพาเมซานชีส แล้วลองชิมว่ารสชาติกลมกล่อมหรือยัง จากนั้นตะวันก็เคี่ยวต่ออีกนิดเพื่อให้ครีมเริ่มข้น

และพอคนได้ที่ พลัฎฐ์ก็จัดการส่งเส้นสปาเก็ตตี้ที่เขานำขึ้นมาจากน้ำเย็นและคลุกน้ำมันมะกอกเรียบร้อยแล้วมาส่งให้ตะวันนำลงไปผัดให้เข้ากันกับครีมคาโบนาร่าในกระทะ ซึ่งพอครีมเริ่มเกาะตัวกับเส้น ตะวันก็ปิดไฟที่เตา จากนั้นก็ใส่ไข่แดงที่แยกจากไข่ขาวไว้เรียบร้อยแล้วลงไปคนเร็วๆ ให้ไข่ผสมเข้ากับครีม เพราะไข่แดงจะทำให้ครีมข้นขึ้น เมื่อทุกอย่างเข้ากันดีแล้วตะวันก็ตักสปาเก็ตตี้แยกใส่จานสี่จาน จากนั้นก็ส่งให้พลัฎฐ์เอาไปโรยด้วยเบคอนกรอบที่ทอดไว้แต่แรก ก็เป็นอันว่าทุกอย่างเสร็จสิ้น

แต่เด็กๆ กลับยังแต่งแพนเค้กหอไอเฟลไม่เสร็จเลย พลัฎฐ์กับตะวันเลยเข้าไปช่วยเด็กๆ แต่งแพนเค้กต่อ

"ว้า ปะป๊ากับพี่ตะวันเส็ดแย้วอ่ะคุณอาทิตย์ เยาสองคนแพ้เยย" น้องพีว่าหน้ามุ่ย ให้ตะวันได้หัวเราะออกมาเบาๆ

"ไม่เป็นไรนะครับ เราเสมอกันก็ได้ ไม่มีใครแพ้ ใครชนะเนาะ" พอได้ยินแบบนั้นเด็กน้อยทั้งสองก็ยิ้มร่า จัดการลงมือแต่งแพนเค้กต่อ

"เอาอันนี้ไว้ตรงนี้สิน้องพี"

อาทิตย์ส่งกีวี่ฝานให้น้องพีเอาไปวางไว้ด้านข้างหอไอเฟล แล้วจากนั้นอาทิตย์ก็เอาเพรทเซลที่หักครึ่งไปวางใต้กีวี่ฝาน หน้าตามันเลยเหมือนต้นไม้ต้นใหญ่ๆ ขึ้นข้างหอไอเฟล

เด็กสองคนกับผู้ใหญ่สองคนช่วยกันแต่งจานแพนเค้กสนุกสนาน ซึ่งพลัฎฐ์เองก็อาศัยช่วงที่เด็กๆ เผลอ โน้มใบหน้าลงไปหอมแก้มตะวันฟอดใหญ่ ให้ตะวันสะดุ้งด้วยความตกใจ

"พี่พลัฎฐ์นี่!"

มือเล็กฟาดไปบนไหล่กว้างไม่จริงจัง ก่อนที่ใบหน้าหล่อเหลาจะก้มลงกระซิบอ้อน

"หนูครับ คืนนี้ค้างบ้านพี่อีกนะ พรุ่งนี้วันอาทิตย์แหละ"

ตะวันย่นจมูก ก่อนจะส่ายหน้า "ไม่เอาครับ พรุ่งนี้วันทำงานบ้าน ตะวันต้องตื่นทำงานบ้านแต่เช้า"

พลัฎฐ์ตีหน้าเศร้าเอาไหล่กระแซะคนรัก เหมือนสุนัขตัวใหญ่ๆ ตะกุยขอขนม

"เดี๋ยวพี่ให้แม่บ้านไปทำให้ หนูมานอนกับพี่เถอะนะ"

"ไม่เอาครับ" ตะวันค้อนพลัฎฐ์ตากลับ ก่อนจะยืนยันว่าไม่ยอม แต่แล้วจู่ๆ พลัฎฐ์ก็ตาโตราวกับนึกขึ้นได้

"งั้นคืนนี้พี่กับน้องพีไปนอนบ้านตะวันบ้างดีกว่า ผลัดกันๆ หึๆ" คนเจ้าเล่ห์ว่าพลางหัวเราะในลำคอ ให้ตะวันได้หันไปมองดุ

"เอ๊ะ พี่พลัฎฐ์นี่!" ซึ้งใบหน้ายามดุของตะวันช่างน่ารักจนพลัฎฐ์ห้ามใจไม่ไหว ต้องยื่นหน้าไปจุ๊บที่ริมฝีปากสีสดเบาๆ

จุ๊บ ~

"ฮึ่ยยย พี่พลัฎฐ์"

ซึ่งทั้งสองก็มัวแต่เถียงกัน จนไม่ทันได้สังเกตเลยว่าตอนนี้เด็กๆ ตกแต่งจานแพนเค้กเสร็จแล้ว และกำลังมองไปยังผู้ใหญ่ทั้งคู่ตาแป๋ว ก่อนจะหัวเราะคิกคักกันสองคน

"คิกๆๆๆ คุณอาทิตย์ดูสิ ปะป๊าโดนพี่ตะวันดุแหยะ"

"ใช่ๆ ฮ่าๆ พี่ตะวันก็หน้าแดงแปร๊ดเลย แดงเหมือนสตอร์เบอร์รี่ในจานคุณแพนเค้กเลยน้องพี"

ตะวันหันมามองเด็กๆ พลางอ้าปากค้างในขณะที่พลัฎฐ์หัวเราะร่าไม่หยุด

... และในขณะที่บ้านวัฒนไพศาลกุลเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะนั้น จู่ๆ เสียงออดหน้าบ้านก็ดังขัดขึ้น

ตะวันกับพลัฏฐ์หันมองไปตามเสียงที่ว่าพร้อมกัน และเมื่อมองเห็นแล้วว่าทั้งอาหารและขนมที่ช่วยกันทำเสร็จเรียบร้อยดีแล้ว จึงตัดสินใจพาเด็กๆ ออกมาจากครัว และจะได้ไปเปิดประตูให้คนที่มากดออดที่หน้าบ้านด้วย แม้พลัฎฐ์จะสงสัยมากกว่าตามว่าใครที่มาหาเขาในวันหยุดพักผ่อนแบบนี้ ทั้งที่ปกติถ้านอกจากตะวันแล้ว บ้านของเขาก็ไม่เคยรับแขกที่ไหนอีก

"ป่ะเด็กๆ ไปนั่งรอที่โต๊ะกินข้าวนะครับ เดี๋ยวอีกแปปนึงเราจะได้ทานสปาเก็ตตี้กัน"

พลัฎฐ์อุัมน้องพีไปนั่งที่เก้าอี้เด็กที่โต๊ะอาหาร ส่วนตะวันก็จูงอาทิตย์เดินตามไป ก่อนที่ผู้ใหญ่ทั้งสองจะพากันเดินไปตรงวีดีโออินเตอร์คอม

และภาพในวีดีโออินเตอร์คอมก็ทำให้ตะวันแปลกใจ เพราะปรากฏร่างของผู้หญิงคนหนึ่ง ผมยาวตรง ตากลมโต ใบหน้าสวยหวานดูมั่นใจ ผู้หญิงคนที่ว่ายิ้มหวานสวยสะกดตา ให้ตะวันมองคนในวีดีโออินเตอร์คอม ก่อนที่จะสลับมามองพลัฎฐ์ที่กำลังยืนนิ่งอยู่ข้างกายตนเอง

พลัฎฐ์ยืนนิ่ง ตาคมทอดมองไปยังคนที่ปรากฏในอินเตอร์คอม โดยที่แววตาไม่ปรากฏอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น

และก่อนที่ตะวันจะได้ถามอะไร เสียงหวานของหญิงสาวในอินเตอร์คอมก็ดังขึ้น และเป็นประโยคที่ตะวันไม่คาดคิดว่าตัวเองจะมาได้ยินอะไรแบบนี้กับหู

"พลัฎฐ์คะ ลินีมาแล้วค่ะ ลินีคนรักของคุณกลับมาแล้ว เปิดประตูให้ลินีเข้าไปหาคุณกับลูกหน่อยนะคะ"

.

.

.

To Be Continue

-----------------------------------

Talk: มาทำไมให้อาบ้านนาละนวลนว้องง ไม่ต้องกลับคืนมาาาาา~ พี่พลัฎฐ์ไม่ได้กล่าวไว้

ม่าไม่มากค่ะ กรุบกริบนิดหน่อยถือว่าเป็นทดสอบให้สองคนช่วยกันแก้และผ่านมันไปให้ได้เนาะ ^^

ฝากติดแท็ก #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว ในทวิตเตอร์ แล้วก็... ถ้าไม่ขอมากไป อยากอ่านเม้นท์สักกะนิดดดด นิดนึงก็ยังดีนะคะ
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 17th - 13/08/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 13-08-2019 23:25:12
 :pig4: :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 17th - 13/08/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 14-08-2019 14:47:44
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 17th - 13/08/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 15-08-2019 11:11:15
คุณลินีจะมาทวงใครคืน ตะวันต้องตั้งรับดีๆนะ
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 18th - 17/8/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 17-08-2019 16:26:31
:: Chapter 18th - เซอร์ไพร์ส ::


ตะวันพาอาทิตย์และตัวเองที่ยังมึนงงกลับมาที่บ้านของตัวเอง หลังจากที่พลัฎฐ์เปิดประตูรับให้ผู้หญิงคนนั้นเข้ามาในบ้าน น้องพีดูงงๆ แต่เกาะติดพลัฎฐ์ห่างไม่ไปไหน ตะวันเองเห็นว่าเป็นเรื่องในครอบครัวเลยขอตัวกลับมาก่อน แม้พลัฎฐ์จะทั้งรั้ง ทั้งขอร้องก็ตามว่าให้ตะวันอยู่ต่อ แต่ตะวันเองก็ยืนกรานเช่นกันว่าจะขอกลับ แล้วให้พวกเขามาคุยกันทีหลังอีกที


‘ดิฉันนลินีนะคะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะคุณตะวัน


นี่คือประโยคเดียวที่อีกฝ่ายมีปฏิสัมพันธ์กับเขา ซึ่งถ้าจะให้เขาอยู่ต่อ ตะวันก็รู้สึกแปลกๆ แล้วอีกอย่างตะวันยอมรับว่าตะวันน้อยใจ เพราะตอนนี้ตะวันแทบจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องครอบครัวเก่าของพลัฎฐ์เลย ดังนั้นตอนที่พลัฎฐ์ขอให้เขาอยู่เป็นเพื่อน เขาถึงตัดสินใจปฏิเสธไป



‘ตัวเล็ก อยู่กับพี่นะ ขอพี่คุยกับลินีแปปเดียว แล้วถ้าจากนี้ตัวเล็กอยากรู้อะไร พี่จะเล่าให้ฟังทั้งหมด’

‘ไม่เป็นไรครับพี่พลัฎฐ์ ตะวันว่าตะวันกลับก่อนดีกว่า ไว้พี่พร้อมแล้วเราค่อยคุยกันนะครับ’

‘หนู…’

‘ป่ะ อาทิตย์กลับบ้านเรากัน’



ซึ่งหลังจากนั้นตะวันก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่จูงน้องชายออกมาจากบ้านพลัฎฐ์เลย สปาเก็ตตี้ก็ไม่กิน ขนมแพนเค้กที่แต่งไว้ก็ไม่ได้เอามาทำต่อ ทุกอย่างที่ยังทำค้างไว้ถูกวางอยู่ในครัวของพลัฎฐ์... รวมทั้งความรู้สึกที่ค้างคาของตะวันด้วย

.

.

.

หลังจากกลับมาจากบ้านของพลัฎฐ์ ตะวันก็หาอะไรที่ทำง่ายๆ ให้อาทิตย์ทานก่อนจะพาน้องนอนกลางวัน ซึ่งเจ้าหนูตัวน้อยก็เหมือนจะรู้ว่าพี่ชายอารมณ์ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ เลยไม่ดื้อไม่ซน พูดอะไรก็ฟัง หนำซ้ำยังติดจะอ้อนให้ตะวันยิ้มออกในบางครั้งด้วย

ตะวันได้แต่มองน้องชายที่กำลังหลับด้วยสายตารักใคร่ เขารู้ดีว่าอาทิตย์อยากจะให้เขาพากลับไปน้องพีมากแค่ไหน แต่เจ้าหนูก็ไม่งอแงเอาแต่ใจเลยสักนิด ดังนั้นตะวันเลยต้องฝืนใจร้าย ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ไม่พาอาทิตย์ไปหาน้องพีจนเวลาล่วงเลยมาถึงตอนเข้านอนกลางวัน แต่ในขณะเดียวกัน ทางฝั่งของคนข้างบ้านเอง ก็ไม่ได้ติดต่อมาหาตะวันเช่นกัน พลัฎฐ์เงียบหายไปหลายชั่วโมง ไม่มีแม้แต่ข้อความหรือสัญญาณอะไรส่งมาบอก เงียบหายไปจนตะวันยอมรับว่าลึกๆ อดน้อยใจไม่ได้ เพราะเขารออยู่เสมอ รอให้พลัฎฐ์เล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟัง รอให้พลัฎฐ์พร้อม และยอมรับเขาในฐานะคนที่จะเดินเคียงข้างกันไป แม้ความรู้สึกไม่ดีที่อยู่ลึกๆ จะกัดกินใจแค่ไหนก็ตาม


Rrrrr


เสียงโทรศัพท์เครื่องเล็กที่อยู่บนหัวเตียงดังขึ้น ทำให้ตะวันรีบผวาไปรับเพราะกลัวเสียงที่ว่าจะรบกวนให้น้องชายตื่น และเมื่อเห็นว่าสายที่เรียกเข้าเป็นใคร ตะวันก็ยิ้มกว้าง แม้จะไม่ใช่คนที่เขาคิดถึง แต่ก็เป็นอีกคนที่ตะวันนึกอยากคุยอยู่ทุกวัน

“แม่ครับ ทำไมโทรมาได้ ตอนนี้ที่นั่นดึกมากแล้วไม่ใช่เหรอ” ตะวันเริ่มประโยคด้วยการออดอ้อนเสียงหวานเจื้อยแจ้วถามคนเป็นแม่ยาวเหยียด เขาลากเสียงใส่มารดา รวมไปถึงใบหน้าน่ารักฉีกที่ยิ้มกว้างแม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้เห็นก็ตาม ก่อนจะปิดท้ายด้วยประโยคเอื่อยๆ ที่อยากพูดเป็นที่สุดออกมา “ตะวันคิดถึง”

(แม่เพิ่งกลับจากงานเลี้ยงค่ะพี่ตะวัน ยังทำอะไรไม่เสร็จด้วยเลยยังไม่นอน พอดีกับคิดถึงพี่ตะวันเลยคิดว่าโทรหาสักหน่อยดีกว่า ว่าแต่พี่ตะวันบอกว่าคิดถึงแม่แล้วทำไมไม่โทรหาแม่ล่ะจ๊ะ แม่ไม่เห็นพี่ตะวันโทรมาเลย นี่พี่ตะวันแกล้งพูดหลอกให้แม่ดีใจหรือเปล่า)

ในขณะที่ปลายสายเย้าเสียงสนุก หล่อนพูดแหย่คนเป็นลูกไม่จริงจัง รู้ดีว่าที่ลูกชายคนโตไม่โทรหาเป็นเพราะไม่มีเวลา และอีกอย่างไทม์โซนที่ไทยกับที่สหรัฐอเมริกานั้นค่อนข้างต่างกันมาก ตะวันที่กลางวันน่าจะยุ่งทั้งเรื่องร้านและเรื่องอาทิตย์ พอตกเย็นก็อาจจะเหนื่อย ดึกหน่อยก็คงผล็อยหลับไปพร้อมน้อง เลยไม่ได้ค่อยได้คุยกับบิดาและมารดาที่อยู่คนละซีกโลกสักเท่าไหร่ แต่ถึงอย่างนั้นทั้งสามคนพ่อแม่ลูกก็ยังคงส่งข้อความและคุยกันในแอพลิเคชั่นสีเขียวทุกวัน หรือน้อยที่สุดก็ต้องอัพเดทให้รู้ว่าต่างฝ่ายต่างสบายดี

“โถ่แม่ครับ แม่ก็รู้ว่าร้านเพิ่งเปิด ตะวันยุ่งมากๆ ไม่ค่อยว่างเลย” คนเป็นพี่ที่มักจะวางตัวสุขุมนุ่มลึกอยู่เสมอยามอยู่กับน้อง กลับแสดงออกในสิ่งตรงข้ามเมื่ออยู่กับมารดา ตะวันส่งเสียงงอแงออดอ้อน จนคนเป็นแม่ที่อยู่ปลายสายได้ยินถึงกับหลุดหัวเราะ

(งอแงแบบนี้ พี่ตะวันของแม่จะทำร้านต่อไหวไหมเนี่ย หื้ม?) มารดาแกล้งส่งเสียงเย้าให้ตะวันได้ตาโตเล่น ก่อนจะตอบกลับอย่างรวดเร็ว

“แม่อ่ะ ทำไหวสิครับ แม่ก็รู้ว่าตะวันตั้งความหวังกับร้านนี้มากแค่ไหน หนี้ที่ยืมพ่อกับแม่มาลงทุนยังไม่ได้ใช้คืนสักบาท ยังไงตะวันก็ไม่มีวันเทหรือปล่อยให้ร้านล้มแน่ๆ”

คุณรวิวรรณได้แต่ยิ้มกว้างด้วยความภูมิใจเมื่อได้ยินถึงความมุ่งมั่นของลูกชาย เธอกับสามียอมรับยอมรับว่าตอนที่ลงทุนเปิดร้านให้ตะวันก็แอบกังวลอยู่ไม่น้อย เพราะตะวันยังเด็กและเพิ่งเรียนจบ เธอกลัวว่าลูกจะทนความลำบากและความกดดันไม่ไหว เมื่อต้องมารับผิดชอบกิจการของตัวเองไว้เพียงคนเดียว แต่ลึกๆ เธอกลับมั่นใจว่าตะวันลูกชายของเธอจะสามารถและทำมันได้ดีด้วยถ้าวัดจากความรับผิดชอบที่ตะวันมี

เพราะถึงแม้ขนาดว่าเธอกับสามีไม่ค่อยได้มีเวลาให้กับตะวันมากนัก ตะวันยังสามารถเติบโตมาได้เป็นอย่างดี รู้จักรับผิดชอบตัวเอง จนเธอสามารถวางใจปล่อยให้ตะวันได้เป็นคนเลี้ยงน้องชายตัวน้อย ที่เจ้าตัวถึงกับเอ่ยปากขอกับบิดาและมารดาเลยว่า ในช่วงที่พ่อกับแม่ต้องบินไปนั่นมานี่ เขาจะเป็นคนดูและเลี้ยงดูน้องชายเอง เพราะน้องยังเล็กครั้นจะให้กระเตงบินไปประเทศนั้นที ประเทศนี้ทีก็ไม่น่าจะไหว หรือครั้นจะให้พ่อกับแม่หยุดอาชีพเพื่อที่จะต้องมาเลี้ยงดูน้อง ตะวันก็ไม่เห็นด้วย เขารู้ดีว่าพ่อกับแม่พร้อมจะทิ้งทุกอย่างเพื่ออยู่ดูแลเลี้ยงดูเขากับน้อง แต่ตัวตะวันกลับเห็นแก่ตัวไม่ลง เพราะรู้ดีว่าอาชีพวิจารณ์อาหารเป็นอาชีพที่พ่อกับแม่กับเขารัก และท่านก็อายุมากขึ้นทุกปี ถ้าจะให้ท่านปล่อยเวลามาเพื่อมาอยู่กับเขาและน้องชาย ทั้งที่เขาเองก็โตมากพอที่จะดูแลน้องชายเองได้ เขาคงเลือกที่จะปล่อยให้พ่อกับแม่ไปท่องเที่ยวเสียตั้งแต่ตอนนี้ดีกว่า เผื่อว่าท่านจะอิ่มตัวกับชีวิตแบบนี้และรีไทร์กับมาอยู่กับเขาและน้องชายเร็วขึ้น

(แม่รู้ค่ะว่าพี่ตะวันของแม่ทำได้ เพราะว่าพี่ตะวันของแม่เก่งที่สุดอยู่แล้ว) เสียงไพเราะอบอุ่นแบบที่ตะวันชอบเอ่ยขึ้น ให้ตะวันได้ยิ้มออก (ยังไงรอให้แม่กับพ่อกลับไปชิมก่อนนะ อยากจะวิจารณ์อาหารร้านของคุณภานรินทร์จะแย่อยู่แล้วเนี่ย)

ตะวันหัวเราะเอิ๊กอ๊าก จนอาทิตย์ที่นอนอยู่ถึงกับขยับตัวน้อยๆ เมื่อได้ยินเสียงรบกวน ดังนั้น ตะวันจึงส่งเสียงจุ๊ปากเบาๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปลูบหลังน้องชายให้สงบลง และพอลมหายใจของอาทิตย์กลับมาสม่ำเสมอเหมือนเดิม ตะวันก็หันมาให้ความสนใจกับคนในสายอีกครั้ง

“น้องสะดุ้งน่ะครับ สงสัยตะวันจะหัวเราะดังไป แหะๆ” ตะวันสารภาพสียงแห้ง เวลาอยู่กับพ่อแม่ ร่างของเด็กชายภานรินทร์ตัวน้อยชอบเผลอออกมาทุกที

(ว่าแต่น้องอาทิตย์เป็นไงบ้างคะพี่ตะวัน ไปโรงเรียนเรียบร้อยดีหรือเปล่า แม่กับพ่อเห็นรูปน้องในชุดนักเรียนแล้วก็คิดถึง น่ารักเชียว)

น้ำเสียงที่พูดถึงลูกชายคนเล็กเต็มไปด้วยความรักและความเป็นห่วงเป็นใยจนตะวันสัมผัสได้ ตะวันยิ้มบางๆ ยามทอดมองไปที่เจ้าตัวเล็กที่ยังคงหลับอยู่อย่างเป็นสุข พลางเอ่ยตอบคนเป็นแม่ให้ได้คลายกังวล

“น้องสบายดีครับ ไปโรงเรียนก็ไม่งอแงเลย เก่งมากๆ แถมคุณครูประจำชั้น ประจำวิชายังชมเปราะว่าอาทิตย์หัวดี แถมยังฉลาดพูดฉลาดตอบด้วย”

ตะวันพูดถึงน้องชายตัวแสบด้วยน้ำเสียงภูมิใจ ให้มารดาที่อยู่อีกฝั่งของสายได้ยิ้มออก ... เธอโชคดีที่ลูกชายทั้งสองคนรักกัน โดยเฉพาะตะวันที่รักและดูแลอาทิตย์จนแทบจะเป็นพ่อเป็นแม่คนที่สองให้น้องได้แล้ว

(แม่ขอโทษนะคะพี่ตะวัน ที่ต้องให้พี่ตะวันช่วยดูแลน้องให้ตลอด แม่รู้ว่าพี่ตะวันเองก็มีเรื่องอยากจะทำเยอะแยะไปหมด แต่ติดว่าต้องมาดูแลน้องแทนพ่อกับแม่ เฮ้อ.. นึกถึงเรื่องนี้ทีไร แม่รู้สึกไม่ดีตลอดเลย)

คุณรวิวรรณพูดเสียงเศร้า เพราะการที่ตะวันจะดูแลอาทิตย์ได้ดีแค่ไหน ยิ่งตอกย้ำว่าเธอกับสามีเป็นพ่อแม่ที่ไม่ได้ความ แต่ตะวันกลับไม่คิดแบบนั้น

“แม่ครับ แม่ห้ามพูดแบบนี้กับตะวันอีกนะครับ” ตะวันถอนหายใจน้อยๆ ก่อนจะพูดต่อ “ตะวันรักแม่ รักพ่อ รักน้อง รักครอบครัวของเรา ตะวันบอกว่าไหวคือตะวันไหวจริงๆ ตะวันดูแลน้องได้ ไม่ลำบากอะไรเลย ถ้าวันไหนตะวันไม่ไหว ตะวันจะบอกโอเคไหมครับ? เพราะอาทิตย์ไม่ใช่เด็กดื้อ ติดจะพูดง่ายด้วยซ้ำแม่ก็รู้ ยิ่งเดี๋ยวนี้มีน้องพี อาทิตย์ยิ่งพูดง่ายยิ่งกว่าเดิม เพราะหันไปเอาใจน้องพีแทน”

พอตะวันพูดมาถึงตรงนี้ ก็นึกถึงเด็กชายตัวจ้อยข้างบ้านที่อาทิตย์ติดหนึบเสียยิ่งกว่าเขา อยู่กับน้องพีอาทิตย์กลายเป็นคนว่าง่าย น้องพีบอกซ้าย อาทิตย์ก็ไปซ้าย น้องพีอยากไปขวา อาทิตย์ก็ไม่เคยขัด ขนาดนิทานพินอคคิโอที่ไม่ใช่แนวของอาทิตย์เท่าไหร่ เจ้าตัวน้อยยังยอมนอนฟังจนจบเพียงเพราะน้องพีอยากฟัง

ดูเหมือนว่าเจ้าเด็กข้างบ้านจะมีอิทธิพลต่อน้องชายเขาไม่น้อยเลยแหละ ... เหมือนๆ กับที่พลัฎฐ์มีอิทธิพลกับหัวใจของเขา จนมันอ่อนแอและไม่เป็นตัวของตัวเอง

คิดอะไรอยู่น่ะตะวัน?... ตะวันสะบัดศีรษะเมื่อรู้สึกว่าตัวเองเริ่มฟุ้งซ่าน ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าแม่ที่อยู่ปลายสายคงกำลังฟังอยู่

(น้องพี? น้องพีคือใครหรอคะพี่ตะวัน?) คนเป็นแม่ถามด้วยความสงสัย สงสัยตั้งแต่เห็นรูปลูกชายที่ถ่ายมาคู่กับเด็กชายคนหนึ่งที่ตัวเล็กกว่าลูกชายเธอพอสมควร เด็กชายที่ฉีกยิ้มกว้างยามเจื้อยแจ้วเจรจากับน้องอาทิตย์ลูกชายของเธอ (ใช่เด็กที่อยู่ในรูปถ่ายกับน้องอาทิตย์หรือเปล่าคะพี่ตะวัน)

ตะวันยิ้มก่อนจะตอบ “ใช่ครับ น้องพีคือเด็กคนนั้นแหละครับแม่ น้องพีน่ารักนะครับ ปราบเจ้าอาทิตย์ของเราอยู่หมัดเลย”

คุณรวิวรรณหัวเราะ เมื่อได้ยินแบบนั้น (พี่ตะวันพูดแบบนี้แล้วแม่อยากเจอน้องพีขึ้นมาเลย)

“ก็ถ้าคุณแม่กลับมาเที่ยวนี้ ตะวันจะพาไปรู้จักน้องพีกับพี่พลัฎฐ์นะครับ เขาอยู่ข้างบ้านตะวันนี่แหละ น่ารักมากทั้งพ่อทั้งลูกเลย”

ตะวันพูดพลางนึกถึงใบหน้าหล่อเหลาของหนุ่มข้างบ้านที่อยู่ในฐานะคนรักของตนเอง และถึงแม้จะมีเรื่องราวบางอย่างที่ไม่ลงตัวระหว่างเขากับอีกฝ่าย แต่ตะวันก็คิดว่าเขาควรจะบอกแม่เรื่องที่ตัวเองคบกับพลัฎฐ์ให้ท่านได้รับรู้ และในขณะที่กำลังเรียงลำดับความคิดว่าจะบอกกับมารดายังไงดี คุณแม่คนเก่งก็พูดสวนลูกชายขึ้นมาเสียก่อน

(พ่อกับลูก? คุณพลัฎฐ์ที่อยู่ข้างบ้านพี่ตะวันป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวเหรอคะ?)

“ใช่ครับ พี่พลัฎฐ์เป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว เขาเก่งมากๆ เลยนะครับแม่ เขาเลี้ยงน้องพีได้น่ารักมากๆ รับรองว่าคุณแม่เจอแล้วจะต้องหลงรักแน่ๆ”

ตะวันลืมตัว พรั่งพรูเรื่องราวถึงคนข้างบ้านอย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่รู้ตัว ซึ่งคุณรวิวรรณเองก็แปลกใจไม่น้อยที่ตะวันดูสนิทสนมกับคนข้างบ้านพอสมควร ดูแล้วไม่น่าจะใช่แค่คู่เด็กน้อยหรอกที่สนิทกัน คู่ผู้ใหญ่เองก็คงไม่ต่าง ซึ่งเธอเองก็ได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ ก่อนจะเอ่ยประโยคที่ทำให้ตะวันเซอร์ไพร์สหนัก จนลืมที่จะพูดเรื่องความสัมพันธ์ของตัวเองกับพลัฎฐ์เสียสนิท

(พูดเสียแม่อยากเจอคุณพ่อคุณลูกข้างบ้านพี่ตะวันเลย อืม.. เอาเป็นสิ้นเดือนนี้พ่อกับแม่กลับไทยไปเยี่ยมลูกสองคนดีกว่า จะได้ไปดูความเป็นอยู่แล้วก็ไปทำความรู้จักคุณพลัฎฐ์กับน้องพีของพี่ตะวันกับน้องอาทิตย์ด้วย ดีไหมคะ?)

ตะวันตาเบิกโตก่อนจะถามย้ำ “แม่จะกลับมาสิ้นเดือนนี้เหรอครับ”

(ใช่ค่ะ พอดีแม่มีไปคุยเรื่องสัญญาจ้างเป็นคอลัมนิสต์วิจารณ์อาหารกับนิตยสารหัวหนึ่งน่ะค่ะ ทางท่านประธานฯ ของนิตยสารกับภรรยาอยากเชิญพ่อกับแม่ไปคุยด้วยตัวเอง เพราะคุ้นเคยกันดี ... เราเจอกันที่นี่น่ะลูก คุยกันถูกคอเลยอยากจะร่วมงานกัน เห็นว่าจะกลับประเทศไทยกัน พ่อกับแม่เลยถือโอกาสลาทางนี้ไปเยี่ยมลูกด้วยเลย ยิงปืนนัดเดียวได้นกตั้งสองตัว พี่ตะวันว่าดีไหมคะ?)

แม่ของตะวันหัวเราะร่าด้วยน้ำเสียงสดใส เพียงแค่คิดว่าจะได้เจอลูกน้อยทั้งสอง หัวใจเธอก็ชุ่มชื้นแล้ว ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ตะวันคิดได้ว่าควรบอกให้พ่อกับแม่รู้เรื่องพี่พลัฎฐ์ก่อนที่ท่าจะมารู้ด้วยตัวเอง

“เอ่อ แม่ครับ ตะวันมีเรื่องจะบอกแม่น่ะครับ”

(ทำไมคะ พี่ตะวันไม่ดีใจหรอที่พ่อกับแม่จะกลับไป ซ่อนอะไรไว้ไม่ให้พ่อกับแม่รู้หรือเปล่าเนี่ย)

“เอ่อ.. คือ...” ตะวันอึกอัก เหมือนตอกย้ำให้คุณรวิวรรณรู้ว่าสิ่งที่เธอคิดไม่ได้ผิดเพี้ยนสักเท่าไหร่นัก “ก็ไม่ได้ถึงกับซ่อนหรอกครับ เพียงแต่ตะวันยังไม่มีโอกาสได้บอก”

(ไหนบอกแม่สิคะว่าพี่ตะวันมีอะไร?) คุณแม่ลูกสองถามด้วยน้ำเสียงใจดี ตะวันเลยรวบรวมความกล้าพูดออกไปในที่สุด

“คือ.. ตะวันมีแฟนแล้วน่ะครับแม่ คบกันมาได้สองสามเดือนแล้ว” ตะวันพูดพร้อมกับก้มหน้างุด ทั้งที่แม่เองก็ไม่ได้เห็นสีหน้าและท่าทางของตะวัน แต่ทำไมตะวันถึงได้อายมากขนาดนี้ก็ไม่รู้

(หืม? จริงเหรอคะ? พี่ตะวันของแม่มีแฟนแล้วเหรอเนี่ย?) คุณรวิวรรณถามย้ำๆ ด้วยน้ำเสียงแปลกใจ ก่อนจะปรับเป็นยินดีที่ได้รู้ว่าลูกชายของตัวเองหัดรู้จักหาความสุขใส่ตัวเองเสียที หลังจากทุ่มเทเวลาและความรักทั้งหมดให้น้องชายคนเล็กมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว

(ดีจังเลยค่ะ แม่ดีใจด้วยนะคะพี่ตะวัน) ตะวันอมยิ้มที่แม่ไม่ได้ดุอะไร แถมจากน้ำเสียงยังดูเหมือนยินดีมากๆ ด้วยซ้ำ (ถ้างั้นกลับไทยไปเที่ยวนี้ พี่ตะวันพาแฟนมาให้พ่อกับแม่รู้จักด้วยได้ใช่ไหมคะ?)

พอสิ้นคำถามของมารดา ก็ดูเหมือนว่าจะเข้าทางของตะวันทันที เข้าทางที่พอจะสารภาพได้ว่าคนที่เขากำลังคบอยู่นั้นไม่ใช่ผู้หญิง แต่กลับเป็นผู้ชาย แถมเป็นผู้ชายพ่อลูกติดที่อยู่ข้างบ้านอีกต่างหาก

“ได้สิครับ ตะวันเองก็อยากให้พ่อกับแม่ได้รู้จักพี่เขาเหมือนกัน และอีกอย่างที่ตะวันจะต้องบอกแม่ก็คือ...”

(เดี๋ยวนะคะพี่ตะวัน เหมือนว่าแม่จะมีสายซ้อนเลยค่ะ พี่ตะวันถือสายรอแม่แปปนึงนะคะ) ตะวันอ้าปากค้าง ดูเหมือนว่าโอกาสจะไม่เป็นของเขาเสียที เพราะตอนนี้มารดาอันเป็นที่รัก สลับมาพักสายเขาแล้วไปรับสายอีกสายหนึ่งที่โทรเข้ามาแทน

และพอสายตัดกลับเข้ามาปกติ ตะวันก็รีบชิงพูดเพราะกลัวจะไม่ทันการณ์

“เอ่อ แม่ครับ...” แต่มารดากลับพูดสวนขึ้นมาเสียก่อน

(พี่ตะวันคะ ไว้ค่อยเล่าวันหลังได้ไหมลูก พอดีตอนนี้แม่ต้องไปคุยเรื่องงานกับอีกสายนึงที่โทรเข้ามาต่อ เลยจะมาบอกกับพี่ตะวันว่าแม่จะขอวางสายกับลูกก่อน)

ซึ่งก็ไม่ทันจริงๆ…

“ได้ครับแม่ ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวเราไว้คุยกันวันหลังก็ได้”

ตะวันยู่หน้าพลางครางรับเสียงหงอย เพราะสุดท้ายก็ไม่ได้บอกเรื่องสำคัญ เรื่องที่เขาคบกับพลัฎฐ์ให้แม่รู้อยู่ดี แต่พอเหลือบมองปฏิทินแล้วก็เห็นว่าเหลืออีกหลายวันกว่าจะถึงสิ้นเดือนเลยวางใจคิดว่าเดี๋ยวค่อยบอกตอนได้คุยโทรศัพท์กับมารดาคราวหน้าก็ได้

(แม่ขอโทษนะคะพี่ตะวัน แต่แม่สัญญาเลยนะว่ากลับไปเที่ยวนี้ แม่จะตามใจพี่ตะวันทุกอย่างเลย พี่ตะวันอยากได้อะไรบอกแม่ เดี๋ยวแม่จะหาซื้อให้)

คนเป็นแม่สัญญิงสัญญาด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกผิดเต็มที่ ให้ตะวันโกรธไม่ลงเลยสักนิด

“ไม่เป็นไรครับ ตะวันโอเค แม่ไปทำงานเถอะครับ แล้วแม่จะมาวันไหนก็โทรมาบอกตะวันนะครับ ตะวันจะได้เตรียมตัวทัน” ตะวันย้ำ โดยที่คนเป็นแม่ก็รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะบอกลูกชายก่อนเดินทางไปหา

(ได้ค่ะ เจอกันสิ้นเดือนนะคะพี่ตะวัน แม่กับพ่อคิดถึงพี่ตะวันกับน้องอาทิตย์นะคะ)

ตะวันยิ้มบาง ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงอ้อนๆ ที่เคยชินเวลาคุยกับบิดามารดา

“เจอกันครับ ตะวันกับน้องก็คิดถึงพ่อกับแม่มากเหมือนกัน .. รักแม่นะครับ แล้วก็ฝากความคิดถึงถึงพ่อด้วย”

(รักพี่ตะวันเหมือนกันค่ะลูก แม่ฝากหอมแก้มน้องอาทิตย์ด้วยนะคะ)

ตะวันยิ้มพลางรับปากมารดา ก่อนจะกดตัดสายเมื่อเห็นว่าเลยเวลาที่รวิวรรณต้องกลับไปคุยงานพอสมควรแล้ว

ตะวันได้แต่ถอนหายใจใส่เครื่องมือสื่อสารที่อยู่ในมือ เพราะสุดท้ายเขาก็ยังไม่ได้บอกแม่ตามที่ตั้งใจเอาไว้ ก่อนที่จะหันไปมองน้องชายที่หลับปุ๋ยอยู่บนเตียง พลางก้มลงหอมแก้มยุ้ยๆ ของเจ้าอาทิตย์ดวงน้อยตามที่แม่ฝากฝังมา และพอตะวันกำลังจะลุกเดินออกไปจากห้องอาทิตย์นั้น ดวงตากลมก็เหลือบมองออกไปจากหน้าต่างไปยังบ้านตรงข้าม พาลให้คนข้างบ้านอย่างเขาได้ถอนหายใจหนักๆ พร้อมๆ กับความรู้สึกที่อึดอัดที่อยู่ในหัวใจ

... ไม่รู้ป่านนี้พลัฎฐ์จะเป็นยังไงบ้าง ตะวันไม่รู้ ไม่รู้อะไรเลย

.

.

.

- อ่านต่อด้านล่าง -
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 18th - 17/8/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 17-08-2019 16:28:39
- ต่อจากด้านบน -


ผ่านจนมาถึงตอนเย็น พลัฎฐ์ยังคงเงียบหายไร้การติดต่อ ในขณะที่อาทิตย์ที่ตั้งแต่ตื่นนอนตอนบ่ายขึ้นมาก็เหลือบมองตะวันเป็นระยะๆ เจ้าตัวน้อยเอาแต่แอบมองคนเป็นพี่ โดยที่ไม่กล้าพูดอะไรออกมา ซึ่งตะวันเองก็พอจะรู้ว่าอาทิตย์คงอยากเจอน้องพีจะแย่ แต่ไม่กล้าบอกเขา เด็กชายน่าจะรู้โดยสัญชาตญาณของตัวเองว่าพี่ชายน่าจะยังไม่พร้อมจะพาเขาไปที่บ้านข้างๆ ในวันนี้ ดังนั้น อาทิตย์จึงไม่กล้าบอกถึงความต้องการของตัวเองออกไป เพราะกลัวพี่ชายจะปฏิเสธและเผลอๆ อาจจะโดนดุเลยด้วยซ้ำ

เอาเข้าจริงตะวันเองก็อดสงสารน้องไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเขาโกรธเคืองอะไรพลัฎฐ์ถึงไม่พาอาทิตย์ไปหาน้องพีที่บ้าน แต่ที่ไม่พาไปนั้นเป็นเพราะเขาไม่รู้ว่าจะรบกวนเวลาส่วนตัวของครอบครัวพลัฎฐ์หรือเปล่า อีกอย่างมันก็น่าจะเป็นเวลาที่พ่อแม่ลูกน่าจะได้อยู่ด้วยกัน ตะวันก็เลย...

“พี่ตะวันนน.. ฮึก.. คุณอาทิตย์ ฮืออออ”

เสียงร้องไห้และร้องเรียกของเด็กน้อยที่คุ้นเคยดังขึ้นมาให้ได้ยิน ตะวันจึงผุดลุกจากโซฟาที่นั่งอยู่ทันที แล้วเดินไปตรงประตูบ้านที่วันนี้ตะวันไม่ได้ปิด ปิดแต่ประตูใหญ่ตรงประตูรั้วไว้

“พี่ตะวัน อาทิตย์ได้ยินเสียงน้องพี”

น้องชายตัวจ้อยที่เดินตามพี่ชายมาติดๆ ร้องบอกด้วยเสียงสั่นๆ ใบหน้าน่ารักที่มักจะร่าเริงเสมอของคนเป็นน้องดูเหยเกต่างจากปกติ ดูก็รู้ว่าอาทิตย์รู้สึกไม่ดีเท่าไหร่นักที่ได้ยินเสียงน้องพีร้องไห้

“งั้นเราไปดูกันดีกว่า ป่ะ”

ตะวันจูงอาทิตย์เดินมาที่ประตูรั้วใหญ่ตรงหน้าบ้าน เสียงร้องกระซิกๆ ยังคงดังให้ตะวันได้ยิน และพอเปิดประตูรั้วออกไป เจ้าของบ้านเองก็ดูจะตกใจหน่อยๆ ที่เห็นน้องพีน้ำตาเปรอะแก้มทั้งสองข้าง โดยมีพลัฎฐ์ที่สีหน้าไม่ค่อยจะปกติเท่าไหร่อุ้มลูกชายอยู่ในอ้อมแขน

“ฮึก... พี่ ฮื่อออ พี่ตะวัน”

เด็กชายตัวน้อยในอ้อมแขนคนเป็นพ่อ ยื่นแขนทั้งสองข้างออก แล้วโผเข้าหาพี่ชายข้างบ้านทันทีที่เห็นหน้า น้ำตาที่เหือดแห้งไปบ้างแล้วกลับหยดเผาะลงมาอีก จนตะวันตกใจ ถลาไปรับเด็กน้อยไว้แทบไม่ทัน

และโดยที่ตะวันก็ยังไม่ได้ถามจากพลัฎฐ์ ดวงตากลมโตก็เหลือบไปเห็นผู้หญิงคนที่ปรากฎตัวเมื่อสายยืนกอดอกทำหน้าไม่พอใจอยู่ด้านหลัง ไม่ห่างจากประตูหน้าบ้านตะวันเท่าไหร่นัก

ตะวันตัดสินใจให้ความสำคัญกับน้องพีก่อนที่จะนึกถึงปัญหาคาราคาซังระหว่างตนเอง พลัฎฐ์ และคนรักเก่าอย่างนลินี จึงได้เอ่ยถามคนที่ดูหงุดหงิดทั้งที่เก็บอารมณ์ได้ดีเสมออย่างพลัฎฐ์ออกไป

“พี่พลัฎฐ์ น้องพีเป็นอะไรครับ ร้องไห้ทำไม?”

พลัฎฐ์ที่ยังคงหงุดหงิดกับบางสิ่งบางอย่างอยู่พยายามทำใจตัวเองให้สงบ แล้วเอ่ยตอบคนที่อยู่ตรงหน้าอย่างอ่อนโยน

“น้องพีร้องหาตะวันกับอาทิตย์ครับ แกงอแง แกไม่ชอบอยู่กับคนแปลกหน้า” พลัฎฐ์ว่าพลางลูบศรีษะกลมของลูกชายเบาๆ “ถ้ายังไงพี่ฝากลูกไว้กับตัวเล็กก่อนได้ไหม เดี๋ยวตอนเย็นพี่มารับ”

พลัฎฐ์ตัดสินใจเอ่ยขอร้องคนตรงหน้าด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง เขาเหนื่อยมากในเวลานี้ มีหลายอย่างที่เขาต้องจัดการ แต่ดูเหมือนอะไรๆ จะไม่เป็นอย่างที่คิด และที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ พลัฎฐ์รู้สึกผิดกับคนรักที่อยู่ตรงหน้ามาก เขามีเรื่องราวมากมายที่อยากจะเล่าให้ตะวันฟัง แต่ตราบเท่าที่เขายังไม่สามารถจัดการผู้หญิงคนนั้นได้ พลัฎฐ์รู้ดีว่าการคุยกับตะวันไปจะไม่มีความหมาย เพราะเขาจะยังไม่มีคำตอบที่ดีให้อีกฝ่ายได้ รวมไปถึงหนทางแก้ปัญหาที่เขาเคยผูกไว้ก่อนหน้านี้ด้วย

“ได้สิครับ แต่ว่าคุณเค้าจะไม่...”

คนตัวโตกว่าโน้มตัวลงมาจับไหล่ทั้งสองข้างของตะวันไว้ ก่อนจะมองลึกเข้าไปในดวงตากลมสีน้ำตาลเข้ม ที่ตอนนี้ไหววูบจนน่าสงสาร

พลัฎฐ์รู้ ว่าทุกอย่างเป็นความผิดของเขาทั้งหมด เขาไม่สามารถให้คำตอบอะไรที่กระจ่างชัดกับตะวันได้เลย หนำซ้ำตอนนี้ยิ่งทำให้อีกฝ่ายหวั่นใจเพิ่มไปอีก พลัฎฐ์รู้ดีว่าตอนนี้ในใจของตะวันคงเต็มไปด้วยคำถามและความกังวล แต่มันยังมีอีกหลายอย่างที่พลัฎฐ์ต้องจัดการให้เรียบร้อยก่อน

ความรู้สึกของพลัฎฐ์ในยามที่เห็นหน้าตะวันก็คืออยากดึงคนรักเข้ามากอดแน่นๆ พร้อมกับพรมจูบปลอบประโลมให้น้องอุ่นใจ เพราะถึงแม้ว่าตะวันจะพยายามทำตัวเข้มแข็งแค่ไหน แต่แววตาอ้อนวอนขอร้องให้เขาให้คำตอบนั้นบอกได้เป็นอย่างดีว่าข้างในของตะวันนั้นเปราะบางเหลือเกิน

แต่พลัฎฐ์ในตอนนี้มีทางเลือกไม่มากนัก โดยเฉพาะกับเรื่องของน้องพี มันจะเกิดจากการตัดสินใจของเขาคนเดียวไม่ได้ พ่อกับแม่ของเขาก็ควรที่จะได้เป็นคนตัดสินใจในเรื่องนี้ด้วย แต่ด้วยความที่ตอนนี้งานทางนั้นล้นมือมาก และพ่อกับแม่ของพลัฎฐ์เองก็ไม่มีเวลาว่างเลย ไม่ใช่ เขาไม่ร้อนใจ เขาเองก็พยายามที่จะหาทางคุยกับครอบครัวอยู่

ตอนแรกที่นลินียังไม่ปรากฏตัว พลัฎฐ์เลยคิดว่าเขาน่าจะยังพอรอได้ แต่ตอนนี้สถานการณ์มันต่างจากเดิม และหนำซ้ำดูเหมือนว่ามันจะแย่กว่าเดิมด้วยซ้ำ ...

“พี่รู้ว่าตอนนี้ตัวเล็กอาจจะมีคำถามมากมายอยากจะถามพี่ แต่ตัวเล็กรอพี่ก่อนได้ไหมครับ รอพี่อีกนิด แล้วพี่จะมาเล่าเรื่องทุกอย่างให้ตัวเล็กฟังนะ”

ตะวันพยักหน้ารับว่าเข้าใจ ทั้งที่ไม่เข้าใจเลยสักนิด…

ไม่เข้าใจว่าพลัฎฐ์จะให้เขารออะไร ในเมื่อตอนนี้ก็ยืนกันอยู่ตรงนี้ทั้งหมดแล้ว

ไม่เข้าใจว่าที่หายกันไปเกือบครึ่งวัน พลัฎฐ์ยังไม่ได้พูดคุยกับผู้หญิงคนนั้นอีกหรอ?

ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงพาน้องพีมาฝากไว้ที่เขา จะไปพูดคุยอะไรกันอีก แล้วทำไมต้องอยู่กันสองต่อสองด้วย...

ตอนนี้ตะวันไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง ยิ่งพลัฎฐ์ทำตัวมีลับลมคมในมากเท่าไหร่ตะวันยิ่งรู้สึกแย่ มันไม่ใช่แค่เรื่องคนรักเก่า แต่มันเป็นเรื่องที่ตะวันไม่เข้าใจสักนิดว่าทำไมมีอะไรพลัฎฐ์ไม่พูด ไม่บอกกับเขาตรงๆ จะให้เขาไปรู้จากใครยังไงการคุยกันมันต้องเป็นเรื่องระหว่างเขากับพลัฎฐ์ไม่ใช่หรือไงกัน

“ตะวัน...”

และก่อนที่ตะวันจะได้พูดอะไรออกไป นลินีคนรักเก่าของพลัฎฐ์ก็ตรงรี่เข้ามาเกาะแขนของชายหนุ่ม พร้อมทั้งพูดออดอ้อนจนใจของตะวันเจ็บไปหมด

“ไหนพลัฎฐ์ว่ามีเรื่องจะคุยเงียบๆ สองต่อสองกับลินีไงคะ? นี่ก็เอาน้องพีมาฝาก ‘คนข้างบ้าน’ ไว้แล้ว ก็น่าจะหมดธุระได้แล้วมั้งคะพลัฎฐ์”

เสียงหวานพูดเยาะๆ พลางปรายหางตามามองตะวันอย่างดูถูก สีหน้าของผู้ชนะที่ตะวันเห็นแล้วก็ได้แต่เจ็บในอก

“นลินี!!” พลัฎฐ์ปรามหญิงสาวข้างกายเสียงเข้ม ใบหน้าหล่อเหลาดูหงุดหงิดขึ้นมาอีกครั้งหลังจากอ่อนลงเมื่อตอนพูดคุยกับตะวัน แขนใหญ่ของพลัฎฐ์สะบัดออกจากการเกาะกุมของมือเรียวของหญิงสาว

พลัฎฐ์หมายจะเอื้อมมือมาจับต้นแขนของตะวันราวกับจะปลอบโยนและแก้ไขความเข้าใจผิด แต่ในเวลานี้ความรู้สึกของตะวันมันเกินจะรับไหว คนตัวเล็กกว่าจึงตัดสินใจเบี่ยงตัวหลบมือใหญ่ที่กำลังยื่นมาเพื่อที่จะโอบจับ ก่อนพูดตัดบทด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทั้งที่ในใจเจ็บไปหมด

“เชิญตามสบายครับ ตะวันขอตัวก่อน”

พูดได้แค่นั้นเจ้าของบ้านร่างเล็ก ก็ปิดประตูรั้วใส่เจ้าของบ้านข้างๆ ทันที ก่อนที่จะอุ้มน้องพีที่ตอนนี้หลับซุกหน้าเข้ากับซอกคอของตะวันไปแล้วเรียบร้อยเข้าบ้าน โดยที่อีกมือก็จูงเจ้าอาทิตย์ดวงน้อยตามมาติดๆ และพอวางน้องพีให้นอนราบบนโซฟาได้ ตะวันก็ต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“พี่ตะวัน...” อาทิตย์เรียกพี่ชายเสียงหงอย สายตาที่มองตรงไปยังน้องพีไม่กะพริบและติดจะกังวลใจตามประสาเด็กๆ ที่เห็นเพื่อนร้องไห้จนน้ำตาเปื้อนแก้มแบบนี้

“ไม่เป็นไรนะครับอาทิตย์ น้องพีแค่ไม่สบายเฉยๆ ก็เลยงอแง น้องพีไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกนะ”

ตะวันว่าพลางลูบศีรษะกลมของเด็กชายเล่น ก่อนที่อาทิตย์จะนั่งลงข้างๆ โซฟา เท้าศอกลงไปและใช้มือเล็กๆ ทั้งสองข้างยันคางตัวเองไว้ พร้อมกับจ้องมองไปที่น้องพีที่ยังคงหลับตาพริ้ม ขนตายาวงอนตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นชุ่มไปด้วยแพน้ำตา มือเล็กๆ เอื้อมไปจับมืออีกฝ่ายไว้เบาๆ พร้อมกับพูดในสิ่งที่ตะวันได้ยินแล้วรู้สึกดีมากๆ

“ไม่ร้องไห้นะน้องพี คุณอาทิตย์อยู่นี่ อยู่กับน้องพีไง”

ในขณะที่น้องพีเองพอได้ยินเสียงอาทิตย์ ก็ลืมตาตื่นขึ้น พร้อมกับหันใบหน้าน่ารักที่แก้มเปรอะไปด้วยคราบน้ำตาไปหาอาทิตย์พร้อมกับกลั้นก้อนสะอื้นไว้อย่างน่าสงสาร

“ฮึก.. คุณอาทิตย์อยู่กับน้องพีนะ น้องพีไม่ชอบคุณป้าคนนั้น ฮือออ”

เด็กน้อยว่าพลางปล่อยโฮอีกรอบให้ตะวันได้สงสัยทุกอย่างเต็มไปหมด เขาไม่เข้าใจว่าทำไมน้องพีถึงดูกลัวและไม่อยากที่จะอยู่ใกล้ผู้หญิงคนนั้น ทั้งที่ผู้หญิงคนนั้นเป็นแม่ของเจ้าหนูน้อยแท้ๆ

ตะวันได้แต่คิดเรื่องราวต่างๆ อย่างสับสน จะถามน้องพีก็ดูเหมือนว่าตอนนี้เด็กชายไม่พร้อมที่จะพูดหรือคุยอะไรกับใครทั้งนั้น จะว่าไปตั้งแต่ตะวันรู้จักกับพลัฎฐ์และน้องพีมา ตะวันไม่เคยเห็นน้องพีงอแงหนักขนาดนี้มาก่อนเลย สุดท้ายเจ้าของรูปร่างบอบบางก็ตัดสินใจอุ้มน้องพีมากอดไว้แนบอก พร้อมกับเอ่ยปลอบให้เด็กชายในอ้อมแขนรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น

“ไม่เป็นไรนะครับเด็กดี น้องพีอยากอยู่ที่นี่ก็อยู่นะ อยู่กับพี่ตะวัน อยู่กับคุณอาทิตย์ อยู่นานๆ หรือจะค้างที่นี่ก็ได้ พี่ตะวันอนุญาต... ไม่ร้องไห้นะครับคนเก่งของพี่ตะวัน”

“อื้อ... น้องพีอยู่ได้ นอนกับคุณอาทิตย์นะ ให้พี่ตะวันเล่านิทานให้ฟังไง” เจ้าอาทิตย์ดวงน้อยเสริม พร้อมกับชะโงกหน้าเข้าไปหาน้องพีที่ตอนนี้น้ำตาหยุดไหลแล้ว แต่ตัวยังสั่นและสะอึกน้อยๆ เพราะแรงสะอื้น

“น้องพีอยู่นี่ อยู่กับพี่ตะวัน อยู่กับคุณอาทิตย์.. อึ่ก”

“ครับ อยู่ที่นี่ครับ อยู่ด้วยกันสามคนเลยเนาะ” ตะวันพยายามพูดด้วยรอยยิ้ม เพื่อให้เด็กชายรู้สึกสบายใจขึ้น แม้ตัวเองจะยังคงหนักอึ้งอยู่ในอกก็ตาม

“ใช่ๆ อยู่กันสามคนเลย”

และพอจบคำของน้องชาย ตะวันก็ยกแขนข้างหนึ่งเข้าไปเกี่ยวอาทิตย์มาโอบไว้คู่กับน้องพี เด็กน้อยในอ้อมกอดของตะวันยิ้มให้กัน และตะวันเองก็ยิ้มให้กับรอยยิ้มไร้เดียงสานั้นด้วยความรู้สึกที่ปลอดโปร่งขึ้น เพราะรู้ดีว่าตอนนี้น้องพีผ่อนคลายมากขึ้นกว่าเมื่อกี้มาก เพราะได้อยู่กับคนที่อยากอยู่ด้วยอย่างเพื่อนสนิทแบบอาทิตย์

นั่นสิ ทุกคนย่อมอยากอยู่เคียงข้างคนที่ตัวเองรัก ไม่ว่าจะในสถานณ์ไหนการณ์ก็ตาม เพราะอย่างน้อย ถึงจะช่วยอะไรไม่ได้ แต่ร่วมแบ่งปันทุกข์สุขมาบ้างก็ยังดี

แต่ในขณะเดียวกันตะวันกลับมองไม่เห็นคนรักของตัวเอง อยู่ข้างกายเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียว เพราะถึงตะวันจะสงสัยอะไรมากมายแค่ไหน แต่ถ้าอย่างน้อยมีพลัฎฐ์อยู่เครียงข้างตะวันก็คงไม่รู้สึกโหวงๆ มากขนาดนี้แน่ๆ

.

.

.

To Be Continue

-----------------------------------

งงนิดๆ ทำไมตอนนี้มันสั้นจัง 555555555555

จะยังคงม่าไปอีกสักพักนะคะ แต่ไม่หนักหนาอะไร คล้ายจะหน่วงๆ มากกว่า เห็นใจพี่พลัฎฐ์นางสักนิด นางมีเหตุผลของนาง ตอนหน้าว่ากันจ้าาา

ฝากติดแท็ก #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว ในทวิตเตอร์ด้วยนะคะ ขอบคุณสำหรับทุกคอทเม้นท์และกำลังใจจ้าาา
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 18th - 17/08/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 17-08-2019 17:00:50
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 18th - 17/08/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 17-08-2019 17:58:45
อย่าให้รอนานนะ
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 18th - 17/08/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 17-08-2019 23:32:47
 :pig4: :pig4: :pig4:

ไม่เข้าใจอิพี่พะลัดว่าจะอมพะนำอะไร   ไม่อยากให้น้องพีรู้ก็แค่อย่าพูดให้ลูกได้ยิน  ก็แค่นั้น  แค่พูดกับคนรักให้เข้าใจจะปิดจะบังกันไปทำไม?   งงตรรกะเฮียแก
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 18th - 17/08/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 18-08-2019 05:25:34
คนพี่ต้องรีบเคลียร์ตัวเองแล้วกลับมาหาน้องนะ
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 18th - 17/08/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Kaamnutt ที่ 18-08-2019 10:13:17
ตามๆๆๆ ค่ะ
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 18th - 17/08/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 18-08-2019 17:51:47
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 19th - 20/8/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 20-08-2019 18:32:09
:: Chapter 19th - เรื่องราวในอดีต ::


[Palat’s Part]


“เรื่องของเรามันจบไปแล้วนะลินี คุณเป็นคนเลือกที่จะไปเอง แล้วนี่มันอะไร ทำไมคุณถึงกลับมา?”

ผมกำมือแน่นตอนถามคำถามนี้ออกไปยังผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้า ผู้หญิงที่มีใบหน้าสวยหวานและมั่นใจ ผู้หญิงที่ครั้งหนึ่งผมเคยคิดว่าจะร่วมชีวิตด้วย...

และใช่ เธอคือผู้หญิงที่ผมเคยรัก ... ซึ่งก็แค่ ‘เคย’ เพราะในปัจจุบันผมไม่เหลือใจให้รักใครแล้วนอกจากตะวัน

“พลัฎฐ์คะ ลินีรู้นะคะว่าสิ่งที่ลินีเคยทำไว้ ทำให้คุณเสียใจ ตอนนั้นลินีแค่ไม่พร้อมจะมีครอบครัว คุณก็รู้นี่คะ เรายังเด็ก เรายังอยู่ในช่วงที่กำลังสนุกกับชีวิต ลินีก็เลยตัดสินใจแบบนั้น แต่ตอนนี้ลินีคิดได้แล้วว่าลินีรักคุณ ลินีอยากสร้างครอบครัวกับคุณ ลินีเลยกลับมา”

ถ้อยคำสวยหวานที่คนรักเก่าตอบกลับมาทำให้ผมรู้สึกอยากจะหัวเราะ เธอเห็นผมไร้เดียงสาจนคิดว่าจะเชื่อคำพูดของเธองั้นเหรอ ผมไม่ใช่เด็ก และผมก็มีวิจารณญาณมากพอที่จะรู้ว่าใครจริงใจหรือไม่จริงใจ

“คุณใช้เวลาคิดนานไปหน่อยนะลินี นี่ผ่านไปเกือบจะสี่ปีแล้ว คุณเพิ่งคิดได้เหรอว่าอยากสร้างครอบครัวกับผม?”

ผมถามอีกฝ่ายกลับไปเสียงกร้าว ความพยายามในการที่จะรักษามารยาทของผมต่อคนรักเก่าหมดลงไปตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงที่แล้ว ตอนที่เธอตวาดลูกชายผม จนน้องพีร้องไห้จ้าไม่หยุด นั่นคือสาเหตุที่ผมต้องพาน้องพีไปฝากไว้กับตะวัน และที่ร้ายไปกว่านั้น เธอกลับทำให้ตะวันโกรธจนไม่ยอมให้ผมแตะต้องร่างกายอีกตะหาก


‘น้องพีคะมาหาคุณแม่สิคะ นี่คุณแม่ลินีไง เราเคยเจอกันเมื่อตอนนี้พีเด็กๆ น้องพีมาให้คุณแม่อุ้มหน่อยนะ’


ผมขมวดคิ้วมุ่น นึกไม่ชอบใจที่นลินีแทนตัวเองแบบนั้น น้องพีกำลังมีปมเรื่องแม่ ผมไม่อยากให้ลูกสับสน แต่ครั้นจะพูดตัดบทอะไรลงไปตอนนั้นก็คงไม่ดีเท่าไหร่ รังจะทำให้เจ้าตัวน้อยสับสนเปล่าๆ


‘แต่ปะป๊าบอกว่าคุณแม่ไม่อยู่ คุณแม่ไปที่ไกลๆ คุณป้าไม่ใช่คุณแม่หยอก’


น้องพีพูดไปตามประสาซื่อเหมือนที่ผมเคยบอก แต่นลินีกลับไม่ยอมแพ้ เธอพยายามจะดึงน้องพีเข้าไปกอด ซึ่งเป็นจังหวะที่ผมเองไม่ทันตั้งตัว เพราะเพิ่งถือแก้วน้ำออกมาจากครัว


‘บอกให้มาก็มาสิคะน้องพี เป็นเด็กพูดให้มันง่ายๆ หน่อย’

นลินีพยายามดึงน้องพีเข้าหา แต่น้องพีขืนตัวไว้จนผมต้องรีบปรี่เอาแก้วไปวางและกำลังจะเข้าไปอุ้มลูกชายออกมา

‘ไม่เอา น้องพีไม่ไป ป่อยย ปะป๊า’


เสียงของลูกชายที่ร้องเรียกทำให้ผมพุ่งเข้าไปช้อนตัวอุ้มลูกออกมาพ้นจากนลินีได้สำเร็จ ซึ่งในขณะนั้นใบหน้าน่ารักของเด็กน้อยก็เหยเกใกล้จะร้องไห้เต็มแก่ และทุกอย่างก็มาพังเอาตอนที่นลินีแหวลั่นใส่ลูกผม


‘เด็กอะไรทำไมดื้อ! คอยดูนะ ถ้าลินีได้เข้ามาในบ้านนี้อย่างเป็นทางการเมื่อไหร่ ลินีจะเป็นดูแลน้องพีเอง ถ้าดื้อนะ จะฟาดให้จำ!’

‘นลินี!!!!’


ผมเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงแข็ง ก่อนจะหันไปมองเห็นว่าน้ำตาเม็ดเล็กๆ หยดเผาะออกมาจากตากลมของลูกชายและไหลเปรอะเต็มสองแก้มเรียบร้อย


‘ฮึ่ก... ปะป๊า น้องพีไม่หยักถูกตี แง้ ปะป๊า น้องพีไม่เอา ไม่เอาคุณป้าคนนี้ ไม่เอา น้องพีจะหาพี่ตะวัน ฮึ่ก.. ฮืออออออ’


ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมต้องอุ้มน้องพีออกไปหาตะวันที่บ้านข้างๆ และกลับเข้ามาคุยกับนลินีต่อให้หมดเรื่องหมดราว เพราะดูเหมือนว่าตะวันจะโกรธผมเข้าให้อีกคนเพราะคำพูดของนลินี

... เธอร้ายกาจจนผมไม่รู้ว่าตอนนั้นผมตกหลุมรักเธอไปได้ยังไง


“แล้วไงล่ะคะพลัฎฐ์ ต่อให้ลินีจะใช้เวลาคิดนานกว่านี้อีกสักกี่ปี ลินีก็มั่นใจว่าคุณจะยังรอลินีอยู่”

ผู้หญิงตรงหน้าผมพูดด้วยสีหน้าและแววตาหยิ่งยะโส ดูเหมือนเธอจะมั่นใจเหลือเกินว่าที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ผมไม่ได้มีใคร และเธอก็ยังคงเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวที่ผมรักมาโดยตลอด เพราะทั้งผมและเธอเริ่มคบกันตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัยจนไปเรียนต่อเมืองนอก เพิ่งจะมาเลิกกันเอาตอนที่พี่ชายผมเสียชีวิต และผมเริ่มที่จะเข้ามาช่วยพ่อทำนิตยสารที่บริษัทนี่ล่ะ

แต่ถ้าถามว่าที่เลิกกันนั้นเป็นเพราะผมงานยุ่งจนไม่มีเวลาให้เธอหรือเปล่า ผมขอตอบไว้ตรงนี้เลยว่ามันไม่ได้เป็นแบบนั้น ตลอดระยะเวลาที่คบกัน ผมดูแลเธอดีมาก ต่อให้ผมจะเหนื่อยหรืองานยุ่งแค่ไหน แต่ผมก็ไม่เคยละเลยนลินีเลยสักครั้ง เธอขอให้ผมไปหา ผมก็ไปหา เธอขอให้ผมซื้อนั่นซื้อนี่ให้ผมก็ไม่เคยขัด แต่พอผมขอให้เธอรักน้องพีที่ขาดพ่อขาดแม่ไปอย่างกะทันหันเหมือนลูก เหมือนคนในครอบครัวเธอบ้าง เธอกลับโมโหใส่ผม และด่าทอว่าผมเห็นแก่ตัวใส่เธออย่างร้ายกาจ อนาคตที่วาดฝันว่าจะสร้างครอบครัวร่วมกันพังครืนไม่เป็นท่า เมื่อเธอยื่นคำขาดว่า ถ้าผมเลือกที่จะรับอุปการะน้องพีเป็นลูก เธอกับผมจะต้องเลิกกัน

เพราะเธอไม่มีวันรับกาฝากมาเป็นลูกของตัวเองแน่ๆ

ตอนได้ยินผู้หญิงที่ผมรักมากในเวลานั้นพูดแบบนั้น ใจผมพังไม่เป็นท่า เธอไม่รักน้องพีผมไม่ว่า ผมเข้าใจ แต่การที่เธอเรียกน้องพีว่ากาฝากนั้นผมรับไม่ได้อย่างที่สุด มันเหมือนเธอไม่เกียรติผมและครอบครัวของผมเลย เพราะถึงแม้น้องพีจะไม่ใช่ลูกชายผมแท้ๆ แต่เจ้าเด็กน้อยนั่นก็เป็นหลานในไส้ เป็นลูกชายของพี่ชายที่ผมเคารพและรักมาตลอดชีวิต

ซึ่งแน่นอนว่าผมเลือกน้องพี และผมไม่เลือกเธอ

หลังจากนั้นเธอก็หายจากชีวิตผมไปอย่างถาวร และถึงแม้ผมเองจะได้ข่าวคราวเธอจากแวดวงไฮโซหน่อยๆ แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจนัก เพราะยอมรับว่าแรกๆ ผมค่อนข้างเจ็บพอสมควร ผมยอมรับว่าผมอาจจะคาดหวังมากไปว่าทุกอย่างมันน่าจะง่าย แต่ผมลืมคิดไปว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะยอมรับเงื่อนไขแบบนี้ได้ง่ายๆ ซึ่งถ้าเธอบอกเหตุผลผมดีๆ ผมก็พร้อมที่จะเข้าใจ และเราอาจจะหาทางออกเพื่อพูดคุยและแก้ไขเรื่องนี้ด้วยกันได้ แต่นลินีกลับยื่นคำขาดให้ผมเลือก ว่าผมจะเลือกหันหลังให้ครอบครัวแล้วไปเลือกเธอ หรือเลือกที่หันหลังให้เธอแล้วไปเลือกครอบครัว

แน่นอนว่าผมเลือกครอบครัวอย่างไม่ลังเลสักนิด และผมก็ไม่เคยนึกเสียใจเลยที่เลือกตัดสินใจแบบนั้น

นลินีจะมีชีวิตอยู่ต่อได้ถึงแม้จะไม่มีผม แต่น้องพีจะอยู่ต่อไม่ได้เลย ถ้าผมเลือกที่จะหันหลังให้แก

... เพราะครอบครัวเราก็มีกันเท่านี้จริงๆ

และดูเหมือนว่าทันทีที่นลินีเลิกกับผมไป ผ่านไปไม่ถึงสัปดาห์ผมก็เห็นเธอเปิดตัวคบกับไฮโซชื่อดังผ่านกรอบข่าวเล็กๆ ในหน้าสังคม ผมถึงกับยิ้มฝืดเฝื่อนเมื่ออ่านเนื้อหาข่าวแล้วพบว่า นลินีคบหาดูใจกับไฮโซคนนั้นมาได้แล้วพักใหญ่ ก่อนจะตกลงเปิดตัวกับสื่อว่าเป็นแฟนกันเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา หรือถ้าให้พูดง่ายๆ ก็คือทันทีที่เลิกกับผมนั่นแหละ

และในส่วนของคำตอบของคำถามที่ว่านลินีไปคบหากับผู้ชายคนนั้นตอนไหน ในเมื่อช่วงนั้นเธอเองก็เป็นแฟนกับผมอยู่ ผมไม่คิดหา ผมเลือกที่จะให้มันจบลงไปดีกว่า เพราะยังไงเธอก็เลิกกับผมไปแล้ว และจากนั้นผมก็ทุ่มเทความสำคัญและเวลาทั้งหมดไปให้น้องพีลูกชายตัวน้อยของผม จนกระทั่งผมได้มาเจอกับตะวัน ได้มาเจอกับแสงแดดอบอุ่นและสดใสที่พัดพาความอึมครึมออกไปจากชีวิตผม ให้ผมได้พบกับความรักอีกครั้ง

ตะวันรักผม รักน้องพี ทุกอย่างลงตัว และครอบครัวผมกำลังจะรับรู้ทุกอย่าง

แต่แล้วจู่ๆ นลินีก็กลับมา กลับมาทำให้ตะวันเข้าใจผิด กลับมาตอกย้ำว่าเธอชิงชังลูกชายผมมากแค่ไหน ซึ่งนั่นทำให้ความอดทนของผมลดน้อยถอยลงไปทุกที

ดังนั้น เมื่อคำพูดที่มั่นอกมั่นใจเหลือเกินว่าผมจะคงรักและภักดีต่อเธอไม่ไปไหน หลุดออกมาจากริมฝีปากที่แต้มไปด้วยลิปสติกสีสวยที่ผมเคยหลงใหลนักหนา ผมจึงหันกลับไปเผชิญหน้ากับเธอแล้วถามเสียงกร้าว

เสียงที่พลัฎฐ์คนก่อนไม่เคยใช้กับนลินีสักครั้ง

“แล้วคุณแน่ใจได้ยังไงว่าผมยังรักคุณอยู่”

นลินีเชิดหน้าขึ้น แล้วตอบอย่างถือดี “ก็เพราะคุณไม่มีใครไงคะพลัฎฐ์ จนผ่านมากี่ปีแล้ว คุณยังไม่มีใครใหม่เลย ถ้าไม่ใช่เพราะว่าคุณยังรักลินีอยู่ ลินีก็มองไม่เห็นเหตุผลอื่นแล้วค่ะ”

“หึ” ผมหัวเราะ และเสียงหัวเราะของผมก็เรียกให้นลินีหันกลับมามองด้วยความสนใจ “คำถามเดิม แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าผมไม่มีใคร?”

ผมถามกลับติดรอยยิ้มไว้ที่มุมปาก นลินีดูแปลกใจ แววตาเธอวูบไหวเหมือนกำลังชั่งใจว่าควรเชื่อสิ่งที่ผมกำลังพูดอยู่ดีหรือเปล่า ซึ่งผมก็ไม่ปล่อยให้เธอได้สงสัยนาน จึงรีบเฉลยข้อข้องใจของอีกฝ่ายให้จบๆ

“การที่ผมไม่ได้ป่าวประกาศว่าผมกำลังคบใครอยู่ ไม่ได้หมายความว่าผมโสดนะลินี เพราะบางทีผมอาจจะแค่รอโอกาสและจังหวะเหมาะๆ เพียงเพราะผมอยากให้เกียรติคนรักของผมก็ได้”

“ไม่จริง คุณอย่ามาโกหกลินีเพลยค่ะพลัฎฐ์ ลินีไม่เชื่อหรอกว่าคุณจะมีใคร” ร่างบอบบางตรงหน้าเอ่ย พลางเดินเข้ามาเกาะแขนผมอย่างออดอ้อน “ลินีรู้ว่าคุณกำลังโกรธ คุณอาจจะอยากลงโทษลินี เลยพยายามพูดจาให้ลินีเข้าใจผิด ลินีว่าเรา...”

“นลินีฟังผม!” ผมหันมาเผชิญหน้ากับผู้หญิงที่ผมเคยรักอีกครั้งพร้อมกับเอ่ยเสียงเย็น ก่อนจะค่อยๆ ดึงแขนตัวเองออกจากการเกาะกุม “ผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับคุณแล้ว ไม่ได้โกรธ ไม่ได้ห่วงหา ไม่ได้คิดถึง.. และใช่ ผมไม่ได้รักคุณอีกแล้ว เราเลิกกันไปนานแล้วนลินี ยังไงก็ไม่มีวันกลับมาเหมือนเดิม”

“ไม่จริงค่ะพลัฎฐ์ ลินีไม่เชื่อ!!” นลินีจ้องผมตาวาว ผมไม่ได้รับรู้ถึงความรู้สึกเสียใจหรือผิดหวังตอนที่เธอได้ยินผมบอกว่าไม่รักเลยสักนิด สิ่งที่ผมเห็นจากแววตาเธอมีความเคียดแค้นและไม่พอใจราวกับว่าเธอกำลังโกรธที่ผมปฏิเสธการกลับมาของเธอ

“เชื่อเถอะนลินี” ผมสบตาเธอนิ่ง ไม่มีวอกแวก หลบตาให้เธอได้ใจ “ผมมีคนรักใหม่แล้ว และคนรักของผมก็คือเด็กผู้ชายคนที่อยู่กับผมเมื่อกี้ เด็กผู้ชายที่อยู่ข้างบ้าน เด็กผู้ชายที่น้องพีร้องหา ... เด็ผู้กชายที่ชื่อตะวัน นั่นแหละ คนที่ผมรัก”

นลนีเบิกตาโต เธอขมวดคิ้ว ลังเลอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะแค่นหัวเราะออกมา “เห๊อะ! คุณคิดว่าลินีจะเชื่อเรื่องแหกตาพรรค์นี้เหรอคะพลัฎฐ์! คุณที่เคยมีแฟนเป็นผู้หญิง แต่จู่ๆ จะมาเปลี่ยนรสนิยมเป็นพวกผิดเพศไปรักผู้ชายด้วยกัน คุณคิดว่าลินีโง่มากพอที่จะเชื่อเรื่องแบบนี้ได้เหรอคะ?”

หญิงสาวตรงหน้าถามพลางยิ้มเหยียดใส่ผม ผมเองก็ไม่ตอบอะไร นอกจากยิ้มบางๆ ให้เธอ แล้วก้มลงไปหยิบกรอบรูปสีขาว สิ่งตกแต่งบ้านชิ้นล่าสุดที่ผมเพิ่งเอามาวางเมื่อสัปดาห์ที่แล้วหลังจากกลับจากทะเล

“แล้วทำไมผมถึงจะเปลี่ยนใจไปรักเพศเดียวกันไม่ได้ล่ะครับลินี ในเมื่อตะวันของผมทั้งน่ารักและแสนดี” ผมพูดพลางยื่นกรอบรูปสีขาวในมือให้คนรักเก่า พลางพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง ยามที่ผมนึกถึงใบหน้าอ่อนโยนของเด็กหนุ่มร่างบางข้างบ้าน “แต่เอาเข้าจริงแล้ว ขอแค่ให้เป็นตะวัน ไม่ว่าเขาจะเป็นเพศไหนผมก็รัก เพราะผมรักตะวันที่ตะวันเป็นตะวัน ผมไม่ได้รักตะวันเพราะตะวันเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย”

นลินีก้มมองรูปภาพที่อยู่ในกรอบรูปที่ผมส่งให้ด้วยตาเบิกกว้าง เธอยกมือขึ้นปิดปากเพราะแสดงออกว่าตกใจกับสิ่งที่ได้เห็น

ภาพถ่ายที่ผมกำลังอุ้มน้องพีไว้ในอ้อมแขน และก้มลงไปหอมแก้มของตะวันที่กำลังยิ้มกว้างให้กล้อง โดยมีอาทิตย์ที่กำลังใช้แขนเล็กๆ คล้องคอคนเป็นพี่และฉีกยิ้มตาหยีในแบบเดียวกัน

“มะ..ไม่จริง พลัฎฐ์ ...ไม่จริง” นลินีดูช็อคไป ซึ่งผมก็ถือโอกาสฉวยกรอบรูปกลับมาวางลงที่เดิม

“จริงครับ และตอนนี้ผมก็หวังว่าคุณจะเข้าใจทุกอย่างสักที” ผมว่าก่อนจะเดินนำอีกฝ่ายไปยังประตูบ้านพร้อมผายมือ “พอเถอะครับลินี ให้มันจบลงแค่ตรงนี้ ให้ผมได้เหลือความทรงจำดีๆ กับคุณบ้าง อย่าทำให้อะไรมันแย่มากไปกว่านี้เลย ผมขอร้องล่ะ คุณกลับไปเถอะ”

ผมเอ่ยปากไล่ แม้จะรู้ว่าเสียมารยาท แต่ผมทนคุยกับผู้หญิงคนนี้ต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ และที่สำคัญตอนนี้ผมมีเรื่องต้องเคลียร์กับตะวันให้รู้เรื่องด้วย

“จำไว้นะคะพลัฎฐ์ ลินีไม่ยอมแพ้แค่นี้แน่” เธอพูดพร้อมกับสบตาผมนิ่ง “ไม่ว่ามันจะเป็นใคร เป็นผู้หญิงหรือผู้ชายลินีก็ไม่สน ลินีรู้ว่าคุณแค่หลงผิดไป ไม่ว่ายังไงลินีก็จะเอาคุณกลับมา ลินีไม่มีวันยอมเสียคุณไปอีกแน่ๆ จำคำลินีไว้นะคะพลัฎฐ์”

พอพูดจบ เธอก็เดินปึงปังออกไปจากบ้านผม ให้ผมได้ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ผมไม่สนใจหรอกว่าเธอจะมาดึงรั้งผมกลับไปด้วยวิธีไหน เพราะผมมั่นใจในตัวเองมากพอว่าผมไม่มีวันกลับไปแน่ๆ ไม่ว่าจะด้วยแหตุผลอะไรก็ตาม

.

.

.

หลังจากที่นลินีกลับไป ผมก็จัดการหยิบโทรศัพท์เคลื่อนที่คู่ใจขึ้นมากดโทรออกทันที โดยที่ไม่ได้สนใจแม้แต่นิดว่าตอนนั้นมันจะเป็นเวลากี่โมง ตอนแรกผมชั่งใจว่าจะไปรับน้องพีกลับมาบ้านก่อนดีหรือเปล่า แต่พอคิดไว้ว่าการไปบ้านตะวันครั้งนี้ผมควรมีเหตุผลที่ดีไปคุยกับน้อง ให้น้องได้เชื่อใจผมขึ้นมาบ้าง

ดังนั้น ผมเลยตัดสินใจยกหูโทรศัพท์ขึ้นโทรหามารดาที่อยู่ไกลกันคนละฟากทวีป เพื่อปรึกษาเรื่องที่เกิดขึ้นเสียก่อน อีกทั้ง ผมเองก็อยากจะบอกให้แม่ได้รับรู้ด้วยว่า ผมอยากจะเล่าถึงชาติกำเนิดของน้องพีให้กับตะวันฟัง ผมรู้ว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องสำคัญในครอบครัว และเพราะผมรู้นั่นแหละ ผมจึงรอปรึกษากับพ่อและแม่ก่อนที่จะได้เล่าให้น้องฟังออกไป ซึ่งผมก็ชะล่าใจ ปล่อยเวลาไว้เนิ่นนานจนถึงตอนนี้ และมันเกือบจะเลยเถิดถึงขั้นอาจจะทำให้น้องเสียความมั่นใจกับผมไปแล้ว ซึ่งนั่นคือเหตุผลว่าทำไมผมถึงไม่อยากรออีกต่อไป

ผมถือสายรออยู่ไม่นานปลายทางก็กดรับ เสียงหวานๆ นุ่มๆ ของแม่ก็ดังขึ้นทันที

(ว่าไงพลัฎฐ์ โทรมาตอนนี้มีอะไรหรือเปล่าลูก) ผมเม้มปาก พลางพรูลมหายใจออกมาเล็กน้อย แล้วเล่าถึงเหตุผลที่โทรมาให้แม่ฟัง

“ผมมีเรื่องยากจะปรึกษาแม่ครับ” ผมเริ่ม ก่อนที่จะเรียบเรียงคำพูดอย่างใจเย็น “แม่จำได้ใช่ไหมครับ เรื่องที่ผมเคยเล่าให้แม่ฟังว่าตอนนี้มีผนคนรักแล้ว”

(จำได้จ้ะ มีอะไรรึป่าวลูก? ทะลาะกันหรอ?) เสียงของแม่ที่ถามกลับมาดูตื่นตกใจพอสมควร ท่านคงแปลกใจว่าผมเพิ่งจะเล่าให้ฟังไปเมื่อไม่นานนี้เองว่าเราเพิ่งเริ่มคบ แต่ตอนนี้กลับมีปัญหามาปรึกษาเสียแล้ว และในสายตาของผู้ใหญ่ก็คงไม่พ้นเรื่องเลิกลากัน

ซึ่งมันใช่ที่ไหนล่ะครับแม่ อย่าพูดให้เป็นลางได้ไหม

“ไม่ใช่ครับแม่ คืองี้...”

แล้วผมก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้แม่ฟัง ตั้งแต่เรื่องน้องพีร้องงอแงที่โรงเรียนไปเมื่อวาน เรื่องท่าทางเหม่อลอยของตะวัน ลามมาถึงเรื่องที่นลินีตามมาขอคืนดี โดยไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม มารดาของผมดูตกใจพอสมควรเมื่อได้ทราบเรื่องราวทั้วหมด แต่เหนือสิ่งอื่นใดเลยก็คือ ผมยังไม่ได้อธิบายเรื่องที่ตะวันอาจจะกำลังสงสัยให้ตะวันได้ฟังเลยแม้แต่นิด

(ใช้ได้ที่ไหนกันพลัฎฐ์ เรื่องสำคัญแบบนี้ทำไมไม่บอกให้น้องฟัง ป่านนี้น้องเข้าใจผิดไปถึงไหนต่อไหนแล้ว)

ผมอดอมยิ้มออกมาไม่ได้ ตอนที่โดนแม่ดุออกมาแบบนั้น เพราะถึงแม้จะหน้าสิ่วหน้าขวาน แต่ผมก็สัมผัสได้จากคำพูดของแม่ว่าเป็นห่วงตะวันแค่ไหน คงกลัวว่าตะวันจะเข้าใจผมผิด และอาจจะลุกลามใหญ่โตไปเกินกว่าจะแก้ไขความเข้าใจกันได้อีก

“ก็เพราะเป็นเรื่องสำคัญน่ะสิครับ ผมเลยต้องปรึกษาแม่ก่อน” ผมพยายามอธิบายอย่างใจเย็น “ผมอยากจะมาขออนุญาตแม่ ว่าผมจะขอเล่าเรื่องชาติกำเนิดของน้องพีให้ตะวันฟัง ผมไม่อยากตัดสินใจเอาเรื่องของน้องพีไปเล่าโดยพลการ เพราะผมอยากให้พ่อกับแม่ได้รับรู้ก่อนว่าผมจริงจังกับตะวัน จริงจังมากพอที่จะให้น้องได้รับรู้เรื่องราวสำคัญของครอบครัวของเรา ที่ผมต้องปรึกษาเพราะเรื่องพ่อแม่ที่แท้จริงของน้องพีเราก็ไม่เคยเล่าให้ใครนอกครอบครัวได้รับรู้ เพราะกลัวจะเป็นปมด้อยของน้องพีถ้าหากว่าแกโตจนรู้ความมากกว่านี้”

มารดาของผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ (แม่เข้าใจแล้ว แม่ก็ลืมคิดถึงข้อนี้ไป)

“แล้วแม่คิดว่ายังไงครับ” ผมลองเชิงถามแม่อีกที “แม่จะอนุญาตไหมถ้าผมจะขอเล่า...”

(ฟังนะพลัฎฐ์ เรื่องนี้แม่แล้วแต่ลูก ลูกเป็นผู้ปกครองของน้องพี เป็นคนรักของหนูตะวัน ถ้าลูกจริงจังกับน้อง และอยากให้พิสูจน์ให้น้องได้เห็น ว่าอยากจะแบ่งปันและแชร์เรื่องในครอบครัวที่ทั้งสุขและทุกข์ให้น้องได้รับรู้ ลูกก็ทำเถอะ เพราะแม่เชื่อว่าหนูตะวันเป็นเด็กดี และรักน้องพีด้วยใจจริง เพราะจากที่ลูกเล่ามา แม่คิดว่าแม่เชื่อใจได้ว่าหนูตะวันจะไม่เอาเรื่องของน้องพีไปพูดสุ่มสี่สุ่มห้าแน่)

แม่ของผมพูดออกมายาวเหยียด และทุกประโยคของแม่ทำให้ผมยิ้มตามได้ไม่ยาก

“แม่เชื่อใจผมนะครับ ตะวันรักน้องพีเหมือนที่ผมรัก และจะมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้น้องพีแน่ๆ เพราะผมเองก็ผมเชื่อใจตะวัน ไม่ต่างจากที่ผมขอให้แม่เชื่อใจผมเหมือนกัน”

(ตามใจพลัฎฐ์เลยลูก ขอแค่ให้มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูกแล้วก็น้องพี แม่กับพ่อยินดีทั้งนั้นแหละ) มารดาของผมพูดย้ำ ให้ผมได้สบายใจมากขึ้น เมื่อสิ่งที่ผมตัดสินใจจะทำไม่ได้ขัดกับความรู้สึกหรือความต้องการของคนในครอบครัว

“ขอบคุณแม่มากนะครับที่เข้าใจ ผมเองก็เครียดเรื่องนี้มาหลายวัน ตอนแรกก็ตั้งใจว่าจะรอให้แม่กับพ่อกลับมาสิ้นเดือนนี้ก่อนค่อยปรึกษากัน แต่จู่ๆ ลินีดันกลับมา ผมก็เลยคิดว่าคงจะรอช้าไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว แค่ลำพังตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าน้องคิดมากไปถึงไหนต่อไหน ผมเองก็ร้อนใจเลยต้องโทรมาหาแม่เอาเวลานี้”

ผมร่ายยาว ยอมรับว่าความไม่สบายใจที่อัดแน่นอยู่ในอกเหมือนถูกยกออกให้บรรเทาเบาบางลง ก่อนที่จะเหลือบมองนาฬิกาเมื่อเห็นว่าใกล้จะสองทุ่มครึ่งแล้ว

(ไม่เป็นไรลูก แม่เพิ่งตื่นพอดี ... พลัฎฐ์ไปคุยกับน้องป่ะลูกป่ะ ก่อนจะดึกมากไปกว่านี้) น้ำเสียงใจดีของแม่ทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจ (อ้อ ส่วนเรื่องน้องพี แม่ยังเป็นห่วงความรู้สึกของหลานอยู่นิดๆ นะ แม่เลยคิดว่าแม่กับพ่อจะอยู่เคลียร์งานอีกสักสองสามวันแล้วบินกลับ ยังไงแม่จะโทรไปบอกพลัฎฐ์อีกทีนะลูกว่าจะกลับวันไหน)

ผมยิ้มกว้าง เมื่อรู้ว่าพ่อกับแม่กำลังจะกลับมา เพราะเรื่องน้องพีกับปมในใจเรื่องแม่ของเขา ทำให้ผมตระหนักได้ว่าไม่ใช่ผมคนเดียวที่จะแก้ปัญหานี้ได้ ถ้ามีพ่อกับแม่อยู่ด้วย น้องพีน่าจะลืมได้เร็วขึ้น เพราะได้รับความรักมากมายจากคนในครอบครัวทดแทนในส่วนที่ขาดไป

“ครับแม่ ผมคิดถึงแม่กับพ่อนะครับ แล้วเจอกันครับ”

(จ้าลูก ไปคุยกับน้องดีๆ ให้เข้าใจกันเร็วๆ นะ แม่อวยพรให้)

ผมยิ้มรับคำอวยพรของแม่ก่อนที่ท่านจะตัดสายไป และทันทีที่ผมจบการใช้งานมือถือระหว่างตนเองและแม่ เสียงเตือนข้อความก็ดังลั่นขึ้นมาทันที ราวกับว่ามันถูกส่งมาในขณะที่ผมกำลังใช้โทรศัพท์พูดสายกับแม่อยู่


‘เด็กๆ หลับแล้วนะครับ ตะวันเองก็กำลังจะนอนเหมือนกัน เพราะพรุ่งนี้มีลูกค้าสั่งอาหารเข้ามาด่วน ตะวันเลยต้องไปที่ร้านแต่เช้า แล้วเดี๋ยวตะวันจะพาน้องพีไปด้วย พี่พลัฎฐ์ไม่ต้องมารับน้องพีนะครับ คืนนี้ให้แกนอนที่นี่ไปเลยแล้วกัน ... วันนี้ตะวันไม่สะดวกจะรับแขกหรือพูดคุยอะไรอีก ไว้ค่อยว่ากันพรุ่งนี้นะครับ .... ตะวัน’



ผมได้แต่อ่านทวนข้อความในมือถือด้วยมือที่อ่อนแรง เพราะเอาเข้าจริงผมไม่อยากให้ความเข้าใจกันระหว่างเราลากยาวข้ามคืนขนาดนี้ แต่ในเมื่อตะวันต้องการแบบนี้ ผมเองก็ไม่อยากขัด ผมรู้ว่าน้องอาจจะต้องการเวลาเพื่อทบทวนถึงเรื่องราวต่างๆ และผมเองก็มีส่วนผิดที่ปล่อยให้มันคาราคาซังในความรู้สึกของตะวันจนมาถึงตอนนี้ ที่ผมทำได้ในคืนนี้ก็มีแค่อดทนรอ รอให้เช้า แล้วผมจะรีบไปหาตะวัน ไปพูดคุยกัน อย่างน้อยก็ก่อนตะวันออกจากร้านก็ยังดี ไม่งั้นมีหวังผมได้อกแตกตายไปทั้งวันแน่ ถ้าหากตะวันคนดีของผมยังคงหลบหน้ากันอยู่แบบนี้

.

.

.

- อ่านต่อด้านล่าง -
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 19th - 20/8/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 20-08-2019 18:37:21
- ต่อจากด้านบน -


[Tawan’s Part ]


ผมเดินวนไปวนมาอยู่ในบ้านของตัวเองด้วยใจที่ไม่สงบเท่าไหร่นัก ผมไม่รู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้ระหว่างพี่พลัฎฐ์กับคุณนลินีเป็นอย่างไรบ้าง เพราะหลังจากที่ผมปลอบจนน้องพีสงบไม่ร้องไห้โยเยแล้ว ผมก็ปล่อยให้เด็กๆ ไปนั่งเล่นต่อเลโก้อยู่ในห้องรับแขก โดยที่ตัวเองก็เดินวนไปวนมาอยู่หน้าประตูบ้าน ยอมรับว่าคาดหวังว่าพี่พลัฎฐ์จะมากดออดในอีกไม่นานนี้ และอธิบายทุกอย่างให้ผมฟัง

แต่รอจนแล้วจนเล่า จนตะวันตกดินแล้วพี่พลัฎฐ์ก็ยังไม่มา... ผมคาดหวังมากเกินไปเหรอในฐานะคนรัก ทำไมสิ่งที่ผมขอมันถึงไม่เป็นจริงสักอย่าง

Rrrrr

เสียงโทรศัพท์ที่ร้องเตือนลากผมออกจากภวังค์ ผมผวาเข้าไปรับเพราะคิดว่าคนที่โทรมาหา ต้องเป็นคนที่รอผมอยู่แน่ๆ แต่แล้วก็ผิดหวัง เมื่อเห็นเป็นเบอร์ของป้าวันดีโทรเข้ามาแทน

“สวัสดีครับป้าวันดี” ผมพยายามรับสายด้วยน้ำเสียงปกติ กดความผิดหวังที่ตีตื้นขึ้นมาให้ลึกสุดใจ

(สวัสดีค่ะคุณตะวัน คุณตะวันว่างไหมคะ ป้ามีเรื่องจะปรึกษาค่ะ) ป้าวันดีพูดอย่างเกรงใจ ผมเลยพยายามทำเสียงรื่นเริงเป็นกันเอง เพราะไม่อยากให้ป้าวันดีกำลังคิดว่ารบกวน

“ว่างสิครับป้า ป้ามีอะไรรึป่าวครับ”

(คือเมื่อสักครู่นี้อ่ะค่ะคุณตะวัน ลูกค้าเก่าป้าที่เคยรู้จักกันตอนที่ป้าทำอยู่ที่ร้านเก่าเขาโทรมาหา เขามาถามป้าว่า ป้าพอจะแนะนำร้านอาหารที่สามารถทำอาหารบุฟเฟ่ต์ส่งเขาได้ไหม พอดีเขาอยากได้อาหารด่วนในวันพรุ่งนี้น่ะค่ะ แล้วร้านประจำที่เคยทำให้กันอยู่ดันไม่ว่างเพราะมันฉุกละหุก ป้าเห็นว่าพรุ่งนี้เป็นวันอาทิตย์และร้านเราปิด วัตถุดิบหลายอย่างก็ยังพอมีขาดแต่พวกของสด เลยจะโทรมาปรึกษาคุณตะวันว่าจะรับงานนี้ดีไหม เขาสั่งอาหารไม่กี่อย่าง แถมยังไม่จำกัดงบด้วย ถือว่าหารายได้เสริมให้กับร้าน)

ผมนิ่งฟังสิ่งที่ป้าวันดีบอกอย่างสนใจ เรื่องอาหารทำให้ผมหยุดคิดเรื่องพี่พลัฎฐ์ได้พักใหญ่ และพอผมเห็นว่ามันสร้างประโยช์และรายได้ให้กับทุกคนมากพอสมควร ผมเลยตัดสินใจตกลงไป

“ได้ครับป้าวันดี ป้ารับมาเลยก็ได้ ถามเมนูจากทางนั้นมาเลยว่าต้องการเมนูอะไรบ้าง แล้วป้าส่งรายการอาหารมาให้ตะวันทางไลน์นะครับ แล้วเดี๋ยวเราลองมาลิสต์วัตถุดิบกับของสดที่ต้องซื้อเพิ่มดู”

ผมวางแผนคร่าวๆ ให้ป้าวันดีทราบ ถึงแม้มันจะดูขลุกขลัก แต่ผมว่าไม่น่าจะยุ่งยากอะไร

(ได้ค่ะ คุณตะวัน)

“อ้อ แล้วพรุ่งนี้ป้าวันดีเลยไปซื้อของที่ขาดที่ตลาดก่อนได้เลยนะครับ พาน้ำตาลไปเป็นเพื่อนด้วย เดี๋ยวร้านผมจะเข้าไปเปิดเอง ยังไงรบกวนป้าโทรหาพี่มีนากับเจ้าเมษให้หน่อยนะครับ ว่าให้ไปเจอผมที่ร้านตอนเจ็ดโมงเช้า จะได้ไปช่วยกันเตรียมอุปกรณ์เบื้องต้นก่อน”

ผมสรุปให้ป้าวันดีทราบ ซึ่งแกเองก็เห็นด้วย (ดีเลยค่ะคุณตะวัน ป้าจะได้ไม่ต้องย้อนไปย้อนมา ถ้าอย่างนั้นเจอกันพรุ่งนี้นะคะ ซื้อของเสร็จแล้วป้าจะรีบตามไป)

“ได้ครับ เจอกันพรุ่งนี้นะครับ แล้วยังไงตะวันก็ต้องขอบคุณป้าวันดีด้วยที่ช่วยตะวันหารายได้เข้าร้าน”

(ป้ายินดีค่ะคุณตะวัน ถ้าอย่างนั้นป้าขอวางสายก่อนนะคะ จะได้โทรหนูมีนกับเจ้าเมษต่อ)

“ครับป้า ฝากป้าด้วยนะครับ สวัสดีครับ”

ผมกับป้าวันดีสรุปหาข้อตกลงได้ก็แยกย้ายวางสายกันไป ก่อนที่ผมจะเหลือบไปมองนาฬิกาก็เห็นว่าเป็นเวลาสองทุ่มแล้ว เลยเดินไปหาเด็กๆ ที่ตอนนี้อาบน้ำอาบท่ากันเรียบร้อย นั่งดื่มนมพร้อมกับดูการ์ตูนอยู่ในห้องรับแขก

“อาทิตย์ครับ น้องพีครับ ง่วงหรือยัง หื้ม?” ผมเดินเข้าไปถามพลางลูบศีรษะของเด็กทั้งสองอย่างรักใคร่ นมในแก้วดูเหมือนจะหมดลงไปแล้ว พร้อมๆ กับที่ตากลมของเด็กชายพีรยสถ์ปรือปรอยลงอย่างเห็นได้ชัด ตรงข้ามกับอาทิตย์ที่ยังจ้องการ์ตูนตาแป๋ว ดูจะยังไม่ได้ง่วงสักเท่าไหร่

“น้องพีง่วงแย้ว”

“นอนเลยก็ได้ครับพี่ตะวัน”

แต่ก็นั่นแหละครับ ประโยคออดอ้อนของน้องพีถือเป็นคำตอบสุดท้ายของเด็กชายภานวีย์ด้วย ผมจึงไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่อาทิตย์ยอมเข้านอนทั้งที่ท่าทางเหมือนจะยังอยากดูการ์ตูนอยู่

“อาทิตย์จะดูการ์ตูนต่อให้จบก่อนก็ได้นะครับ เดี๋ยวพี่พาน้องพีเข้านอนก่อน แล้วพอการ์ตูนจบแล้วอาทิตย์ค่อยตามไป วันนี้พี่ตะวันให้ดูจบแค่นี้แล้วต้องเข้านอนเลย เพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า พี่ตะวันต้องเข้าร้านมีทำอาหารด่วนส่งลูกค้า”

ผมเสนอทางออกให้น้องชาย เพราะรู้ดีว่าถ้าหากเป็นวันหยุดอาทิตย์จะนอนดึกกว่าเดิมนิดหน่อย แต่ด้วยความที่พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า ผมเลยอยากให้อาทิตย์เข้าตอนตามเวลาปกติเหมือนวันไปโรงเรียน เพื่อที่ตื่นมาจะได้ไม่งอแง

แต่กับน้องพี ดูท่าว่าวันนี้ผมคงต้องพาแกนอนเร็ว เพราะดวงตากลมโตของเจ้าหนูน้อย ทั้งบวม ทั้งปรือปรอยเหมือนจะปิดลงให้ได้ ซึ่งถ้าให้ผมเดาคงน่าจะเป็นเพราะวันนี้น้องพีร้องไห้เยอะ และมีเรื่องมากมายวุ่นวายเกินกว่าร่างกายและจิตใจของเด็กน้อยจะรับไหว จึงได้เพลียกว่าปกติ

“อาทิตย์นอนพร้อมน้องพีเลยดีกว่าครับพี่ตะวัน” หลังจากที่ผมยื่นข้อเสนอไปก็ดูเหมือนว่าน้องพีจะหันไปมองอ้อนอาทิตย์ทันที ดูท่าก็รู้ว่าน้องพีไม่อยากนอนคนเดียว คงอยากให้อาทิตย์เข้านอนด้วย ซึ่งน้องชายผมก็ไม่เคยขัดใจเพื่อนข้างบ้านได้สักที

“อ่ะโอเคครับ งั้นเดี๋ยวน้องพีกับอาทิตย์ไปแปรงฟันในห้องน้ำนะ พี่ตะวันเตรียมแปรงกับบันไดปีนไว้ให้ตรงอ่างล้างหน้าแล้ว เดี๋ยวพี่ตะวันเก็บแก้วไปล้างกับปิดทีวีก่อน เสร็จแล้วพี่ตะวันจะตามไป”

ผมบอกพร้อมๆ กับที่เด็กๆ ปีนลงโซฟา แล้วเดินจูงมือพากันไปห้องน้ำที่อยู่ก่อนถึงห้องครัว จากนั้นผมจึงเก็บแก้วไปล้าง ปิดทีวี ปิดแอร์เครื่องที่ไม่ใช้ แต่ก่อนที่จะเดินตามน้องพีกับอาทิตย์ไปที่ห้องน้ำ ผมก็นึกอะไรขึ้นได้ จึงส่งข้อความบอกพี่พลัฎฐ์ให้ว่าไม่ต้องมา เพราะพวกเราจะเข้านอนแล้ว


‘เด็กๆ หลับแล้วนะครับ ตะวันเองก็กำลังจะนอนเหมือนกัน เพราะพรุ่งนี้มีลูกค้าสั่งอาหารเข้ามาด่วน ตะวันเลยต้องไปที่ร้านแต่เช้า แล้วเดี๋ยวตะวันจะพาน้องพีไปด้วย พี่พลัฎฐ์ไม่ต้องมารับน้องพีนะครับ คืนนี้ให้แกนอนที่นี่ไปเลยแล้วกัน ... วันนี้ตะวันไม่สะดวกจะรับแขกหรือพูดคุยอะไรอีก ไว้ค่อยคุยกันพรุ่งนี้นะครับ .... ตะวัน’


ผมโกหกนิดหน่อย เพราะถึงแม้เด็กๆ จะยังไม่เข้านอนก็ใกล้เต็มที .. อีกอย่าง ผมสารภาพเลยว่า ผมน่าจะยังไม่พร้อมคุยเรื่องอะไรกับพี่พลัฎฐ์ทั้งนั้น เพราะสิ่งที่เห็นเมื่อกลางวัน ทำให้ผมกลัว กลัวว่าตัวเองจะได้รับข่าวร้ายมากกว่าข่าวดี

.

.

.

เช้าวันต่อมาผมออกจากบ้านแต่เช้า แอบปลุกเด็กๆ ยากกว่าปกตินิดหน่อย พวกแกงอแงบอกว่าวันนี้วันอาทิตย์เป็นวันหยุด ทำไมต้องตื่นเช้า ผมเลยต้องหลอกล่อด้วยการบอกว่าวันนี้จะพาไปที่ร้าน ไปทำขนมอร่อยๆ ทานกัน เท่านั้นแหละ เด้งลุกกันมานั่งตัวตรงแหน่ว โดยเฉพาะเจ้าน้องชายตัวแสบของผม แทบจะถลาเข้าห้องน้ำ อาบน้ำแปรงฟันโดยที่ไม่ต้องกระตุ้นอะไรเลย

“พี่ตะวันค้าบ แล้วปะป๊าย่ะคับ ปะป๊าจะมาหาน้องพีไหม”

หลังจากขับรถออกมาจากหมู่บ้านได้ครึ่งทาง น้องพีที่นั่งอยู่ในคาร์ซีทที่เบาะหลังก็ถามขึ้น ผมอึกอักนิดหน่อยไม่กล้าบอกลูกชายเขาว่าหลบหน้าพ่อเขาอยู่ เลยเลือกที่แบ่งรับแบ่งสู้แทน

“ไว้เดี๋ยวถึงร้านพี่ตะวันจะโทรถามปะป๊าให้นะครับ” ผมพูดพร้อมหันไปยิ้มน้อยๆ ให้เด็กชายด้านหลังก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “ว่าแต่น้องพีกับคุณอาทิตย์หิวรึยังนะ”

“หิวแล้วคับ” เจ้าหมูอ้วนน้องชายผมรีบตอบ โดยมีน้องพีพยักหน้าหงึกหงักเป็นเชิงว่าเห็นด้วย

“หิวๆ น้องพีหยักกินโจ๊กได้ไหมคับพี่ตะวัน”

“ได้สิครับ ว่าแต่อาทิตย์อยากกินโจ๊กด้วยไหม? หรือเราอยากกินอย่างอื่น?” ผมถาม ก่อนที่จะมองจากกระจกหลัง ก็เห็นน้องชายยิ้มกว้างตาเป็นประกายวิบวับเลยนึกรู้คำตอบ “โอเค เดี๋ยวพอถึงร้านพี่ตะวันทำโจ๊กหมูสับให้น้องพีกับอาทิตย์กินนะครับ”

“เย่ๆ ขอบคุณคับพี่ตะวัน/ขอบคุณคับพี่ตะวัน”

เด็กน้อยทั้งสองประสานเสียงขอบคุณ พร้อมๆ กับที่พุ่มมือไว้ระหว่างอกเพื่อยกขึ้นไหว้ด้วย

ผมได้แต่มองไปยังเด็กทั้งสองด้วยสายตารักใคร่ ก่อนจะเร่งฝีเท้าเหยียบคันเร่งเพิ่มอีกนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้เร็วมาก เพื่อที่จะได้ถึงร้านไวๆ และจัดการอาหารเช้าให้แก้วตาดวงใจทั้งสองของผมได้ทานในสิ่งที่พวกแกอยากจะทาน

และด้วยความที่ยังเช้าอยู่ แถมเป็นเช้าวันอาทิตย์ถนนจึงโล่งเป็นพิเศษ ขับรถมาไม่นานก็ถึงร้าน ผมจอดรถไว้หน้าร้าน ไม่ได้อ้อมไปด้านหลังเพราะวันนี้ไม่ใช่วันปกติที่ร้านเปิด จึงไม่จำเป็นต้องเหลือเผื่อที่ไว้สำหรับลูกค้าจอดรถ

ผมลงจากรถก่อนจะอ้อมไปเปิดประตูรถทีละฝั่ง แล้วพาเด็กๆ ออกจากคาร์ซีท และเมื่อล็อครถเรียบร้อย ก็พากันจับจูงมือเล็กๆ คนละข้าง ไปหยุดไขกุญแจที่ประตูหน้า เปิดไฟ เปิดแอร์หน้าร้านเหมือนเวลาที่เปิดให้บริการปกติ เพราะไม่อยากให้ในร้านอุดอู้ อีกอย่าง ผมตั้งใจว่าวันนี้จะให้เด็กๆ นั่งเล่นกันอยู่ที่หน้าร้าน ไม่พาเข้าไปหลังร้านในส่วนออฟฟิศ เพราะน่าจะดูแลพวกแกได้ง่ายกว่า เพราะยังไงทั้งผมและเด็กในร้านก็ต้องเวียนเข้าเวียนออกหน้าร้านกับในครัวกันจ้าละหวั่นแน่ๆ เพราะงั้นให้น้องพีกับอาทิตย์นั่งอยู่ตรงนี้ น่าจะอยู่ในสายตามากกว่าไปอยู่ในห้องออฟฟิศโซนด้านหลัง

ดังนั้น ระหว่างรอให้พี่มีนากับเจ้าเมษมาถึง ผมก็เข้าไปทำปรุงโจ๊กง่ายๆ ในครัว ใช้เวลาในการเตรียมน้ำซุปก่อน พอน้ำซุปเดือด ก็เอาปลายข้าวที่ซาวพักให้สะเด็ดน้ำกับน้ำมันงานที่เตรียมไว้ใส่ลงไป คนไปเรื่อยๆ จนเดือดจากนั้นก็หรี่ไฟให้อ่อน แล้วเคี่ยวจนข้าวกับน้ำซุปสุกและเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วจึงเอาหมูบดหมักที่ฟรีซไว้ในตู้แช่ ปั้นเป็นก้อนๆ หยอดลงไป จากนั้นก็ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว น้ำตาลทราย คนให้เข้ากัน แล้วก็ปิดไฟที่เตา ตักใส่ชามให้เจ้าหนูทั้งสอง โรยผักโรยนิดหน่อย เพื่อฝึกให้ทั้งอาทิตย์และน้องพีกินผักได้ ส่วนโจ๊กที่ยังอยู่ในหม้อผมทำเผื่อเอาไว้สำหรับคนอื่นๆ หากมีใครยังไม่ได้กินข้าวเช้ามา

ผมยกชามโจ๊กออกมาให้น้องพีกับอาทิตย์ที่ระบายสีเล่นรออยู่ที่โต๊ะตัวที่ติดกับเคาน์เตอร์หน้าร้าน เด็กทั้งคู่ตื่นเต้นกันยกใหญ่ที่จะได้กินของชอบ

“กินดีๆ นะครับเด็กๆ ระวังร้อนนะ” ผมเลื่อนชามข้าวไปใกล้ๆ เจ้าหนูทั้งสอง “เป่าก่อนเอาเข้าปากนะครับ ไม่ต้องรีบ ถ้าไม่อิ่มมีให้ทานอีกได้นะ”

“คับ/คับ”

เด็กทั้งสองของผมรับคำ ผมได้แต่มองอย่างเอ็นดู และผ่านไปได้ไม่นาน พี่มีนากับเจ้าเมษาก็ผลักประตูร้านเข้ามา ก่อนจะทักทายผมอย่างอารมณ์ดี

“สวัสดีค่ะคุณตะวัน”

“สวัสดีครับพี่ตะวัน”

“สวัสดีครับทุกคน กินอะไรกันมารึยัง? ตะวันทำโจ๊กไว้ในครัว กินได้เลยนะ ระหว่างรอป้าวันดีกับน้ำตาล”

ผมบอกอย่างเอื้อเฟื้อ เลยได้รอยยิ้มกว้างจากสองพี่น้องพร้อมกับคำขอบคุณตอบกลับมา

“ยังไม่ได้ทานเลยค่ะคุณตะวัน ถ้าอย่างนั้นมีนากับเจ้าเมษขอฝากท้องสักมื้อ ขอบคุณคุณตะวันมากนะคะ”

ผมพยักหน้ารับ “ยินดีครับ ตามสบายเลยนะ”

“อ้อ พี่ตะวันรอป้าวันดีอยู่ที่หน้าร้านนี่ก็ได้นะครับ จะได้อยู่เป็นเพื่อนน้องพีกับน้องอาทิตย์ด้วย เดี๋ยวข้าวของอุปกรณ์ในครัว ผมกับพี่มีนาจัดการเตรียมให้”

เมษาเสนอตัว พอผมจะเอ่ยแย้ง สองพี่น้องก็ไม่ยอม

“ก็ได้ๆ งั้นพี่ฝากในครัวด้วยนะเมษ เด็กๆ ทานเสร็จเรียบร้อยแล้วจะตามเข้าไป”

“ครับ”

พอคล้อยหลังสองพี่น้องเดินเข้าครัวไป ผมก็นั่งดูน้องพีกับอาทิตย์ตักโจ๊กกินกันอย่างเรียบร้อยไม่หกเลอะเทอะ จนกระทั่งเครื่องมือสื่อสารของผมดังขึ้นนั่นแหละ ผมถึงได้เดินไปหยิบมาเพื่อจะรับ และพอเห็นชื่อที่โชว์อยู่บนหน้าจอก็นิ่งไป

‘พี่พลัฎฐ์’

ผมลังเลอยู่ไม่นานก็กดรับสาย เสียงทุ้มที่ผมคุ้นเคยดูร้อนรนจนผมที่ตั้งใจว่าจะใจแข็งขอเวลาเพราะยังไม่อยากคุย ก็เกิดพูดไม่ออกขึ้นมาเสียดื้อๆ

(ฮัลโหล ตัวเล็ก... ตัวเล็กครับ ตัวเล็กอยู่ไหน พี่มาหาที่บ้านแล้วประตูล็อค ตัวเล็กออกไปแล้วเหรอครับ?) ผมนิ่ง เพราะกำลังรวบรวมความคิดและคำพูดอยู่ แต่ดูเหมือนว่าพี่พลัฎฐ์จะไม่ได้ใจเย็นแบบที่ผมเป็น

(ตัวเล็ก... พี่ขอโทษ ตอบพี่หน่อยนะคนดี พี่ร้อนใจจะแย่แล้ว พี่รู้ว่าพี่ผิด ผิดเองทุกอย่างเลย ตัวเล็กคุยกับพี่ได้ไหม เราคุยกันนะ อยู่ที่ร้านใช่ไหม ให้พี่ไปหานะครับ)

ผมถอนหายใจ ก่อนจะตัดสินใจตอบไป

“ใจเย็นๆ ครับพี่พลัฎฐ์ ตอนนี้ตะวันอยู่ที่ร้าน พอดีเมื่อเช้าต้องรีบมาเปิดร้าน เลยออกจากบ้านเร็ว”

ผมพูดช้าๆ อย่างใจเย็น ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว ผมกล้ำกลืนพอสมควร ใจอยากจะถามๆๆๆ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเองอยากรู้ แต่อีกใจผมก็ไม่กล้าพอที่จะทำแบบนั้น ผมอึดอัดมาก เพราะผมไม่รู้ว่าพี่พลัฎฐ์ให้ผมยืนอยู่ข้างเขาในรูปแบบไหน จะเรียกตัวเองว่าแฟนหรือคนรักผมก็พูดได้ไม่เต็มปาก เพราะอะไรๆ มันก็ดูคลุมเครือไปหมด โดยเฉพาะการปรากฏตัวของผู้หญิงคนเมื่อวาน

(ตัวเล็ก ตัวเล็กโกรธพี่ใช่ไหมครับ?)

“ไม่ครับ ตะวันไม่ได้โกรธ” ในเมื่อพี่พลัฎฐ์ถามตรงๆ ผมก็เลือกที่จะตอบตรงๆ เช่นกัน “แต่ตะวันเสียใจ ตะวันไม่รู้แล้วว่าตอนนี้สำหรับพี่ตะวันอยู่ในฐานะอะไร ตะวันมีสิทธิ์รู้เรื่องของพี่และน้องพีมากแค่ไหน หรือความจริงแล้วตะวันไม่มีสิทธิ์อะไรเลย”

ผมพูดเสียงสั่น ข้างในใจมันเจ็บไปหมด พูดเองก็รู้สึกแย่เอง แต่พอได้พูดทุกอย่างมันพรั่งพรู และผมอดไม่ได้ที่จะตัดพ้อคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคนรักออกไป

(ตัวเล็กพี่ขอโทษ) เสียงของพี่พลัฎฐ์เศร้าและรู้สึกผิดจนใจผมอ่อนยวบ แต่ผมก็เลือกที่จะเงียบ ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธอะไร (ตัวเล็กรอพี่ได้ไหมครับ เดี๋ยวพี่ไปหาที่ร้าน รอพี่แปปเดียว พี่สัญญาว่าถ้าไปถึงแล้วพี่จะเล่าทุกอย่างให้ตัวเล็กฟัง รวมไปถึงเรื่องที่ตัวเล็กอยากรู้ด้วย ตัวเล็กถามอะไรพี่ พี่จะตอบทุกอย่าง แต่ขอโอกาสให้พี่หน่อยนะครับ ขอให้พี่ได้อธิบายว่าทำไมพี่ถึงปล่อยให้ตัวเล็กรอแบบนั้น)

ผมเงียบ พลางนิ่งคิดช้าๆ ... ใจหนึ่งก็อยากฟัง อยากรู้ทุกอย่าง แต่อีกใจก็ไม่อยากคาดหวัง และผมยอมรับว่าผมกลัวที่จะรอ กลัวว่ารอแล้วจะรอเก้อเหมือนที่ผ่านมา

(ขอร้องนะครับตัวเล็ก พี่ขอร้อง พี่กำลังขับรถไป ให้โอกาสพี่อธิบายเถอะนะครับ)

ผมถอนหายใจ พลางหันไปมองน้องพีกับอาทิตย์ที่กำลังกินโจ๊กอย่างเอร็ดอร่อย โดยเฉพาะน้องพี ที่ตอนนี้ยิ้มตาหยีส่งมาให้ เพราะเงยหน้าขึ้นมาเห็นผมกำลังมองไปยังแกพอดี

“ก็ได้ครับ เดี๋ยวพี่พลัฎฐ์ถึงร้านแล้วเราค่อยคุยกัน” ผมยอมใจอ่อนในที่สุด เพราะเอาเข้าจริงก็อดยอมรับไม่ได้ว่ากำลังรอคำอธิบายจากคนรักของตัวเองอยู่ “แล้วก็ไม่ต้องรีบนะครับ ขับมาช้าๆ ยังไงวันนี้ตะวันก็อยู่ที่ร้านทั้งวันนี่แหละ ไม่ได้ไปไหนหรอก”

และสุดท้าย ผมก็อดเป็นห่วงเป็นใยพี่พลัฎฐ์ไม่ได้อยู่ดี ...

(ครับๆ พี่จะขับระวังๆ แล้วก็รีบไปหาหนูนะครับ รอพี่ก่อนนะ)

เสียงพี่พลัฎฐ์ดีขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อย แถมตอนนี้ยังเปลี่ยนมาเรียกผมว่าหนูเนียนๆ นี่ถ้าเป็นตอนปกติ ผมคงนั่งหน้าแดงไปเรียบร้อยแล้ว แต่พอดีตอนนี้มันไม่ปกติไง ยอมรับว่าเขินหน่อยๆ ใจเต้นแรงนิดๆ อ่ะแหละ แต่ก็ไม่เท่ากับตอนที่ถูกเรียกด้วยสรรพนามนี้ในช่วงก่อนหน้านี้หรอก

“ครับ ได้ครับ”

ผมยอมรับปากก่อนจะกดวางสายไป เพราะพี่พลัฎฐ์บอกว่าตอนนี้กำลังขับรถออกมาถึงหน้าหมู่บ้านแล้ว ถ้าให้ผมประมาณเวลาก็คิดว่าอีกไม่เกินยี่สิบนาทีพี่พลัฎฐ์น่าจะถึง

ใจผมเต้นแรงนิดหน่อย ผมยอมรับว่าอยากรู้ว่าพี่พลัฎฐ์มีเหตุผลอะไรถึงเก็บเงียบทุกย่างไว้กับตัวเอง ไหนจะเรื่องแม่ของน้องพี ไหนจะเรื่องผู้หญิงคนเมื่อวาน ความสัมพันธ์ของพี่พลัฎฐ์กับคุณนลินี แล้วน้องพีอีก เพราะผมเองก็จำไม่ได้ว่ารูปผู้หญิงที่อุ้มเด็กน้อยที่ผมคาดว่าจะเป็นน้องพีในห้องทำงานพี่พลัฎฐ์ ใช่คนเดียวกับคุณนลินีหรือเปล่า เหมือนจะคุ้น แต่ผมก็ไม่คุ้น แล้วในขณะที่ในใจผมวุ่นวายเหมือนมีฝูงผึ้งบินวนอยู่ในก้านสมอง เสียงเรียกเจื้อยแจ้วของเด็กน้อยข้างบ้านก็ดังขึ้น

“พี่ตะวันค้าบบบ ปะป๊าโทมาหยอคับ?” น้องพีถามพลางเอียงคอน้อยๆ ผมมองแล้วอดอมยิ้มเอ็นดูไม่ได้

“ใช่ครับ ปะป๊าพลัฎฐ์โทรมา” ผมเดินไปดึงกระดาษทิชชู่มาเช็ดปากที่เลอะให้น้องพีอย่างเบามือ “ปะป๊ากำลังมาหาน้องพีนะครับ เดี๋ยวพอหนูสองคนกินกันเรียบร้อยแล้วก็ไปบ้วนปากนะครับ จะได้ปากหอมๆ รอปะป๊ากันเนาะ”

“อื้อ! ได้เยยคับ”

ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่อาทิตย์ทานอิ่มพอดีเหมือนกัน ผมเลยจัดการอุ้มเจ้าหนูทั้งคู่ลงจากเก้าอี้ แล้วปล่อยให้เด็กๆ วิ่งไปตรงห้องน้ำที่อยู่ใกล้ๆ กับห้องครัว เพราะเห็นเมษยืนอยู่แถวนั้นพอดี ผมเลยปล่อยให้เมษจัดการล้างมือล้างปากเด็กๆ ให้เรียบร้อย ส่วนผมก็เก็บถ้วยและแก้วน้ำของน้องพีกับอาทิตย์ไปวางหลังเคาน์เตอร์ ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ผมได้ยินเสียงประตูร้านเปิด

เอ๊ะ.. ทำไมพี่พลัฎฐ์มาถึงเร็วจัง อย่างน้อยก็น่าจะอีกสิบนาทีนี่นา

ผมได้แต่นึกสงสัยและหันไปเตรียมจะต่อว่า เพราะมั่นใจว่าพี่พลัฎฐ์จะต้องเหยียบจนมิดเข็มไมล์มาแน่ๆ แต่แล้วคนที่ผมเห็นตรงหน้าประตูก็ทำให้ผมต้องขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ

คุณนลินี ... เธอมาที่นี่ได้ยังไง

.

.

.

To Be Continue

--------------------------------------------

อย่าเพิ่งอารมณ์เสียกันน๊าาาา ใจเย็นน๊าาาา อีกตอนสองตอนก็หมดม่าแน้วววว ><

ขอบคุณทุกๆ คอมเม้นท์มากๆ เลยนะคะ ด่านังพี่พะลัดได้ แต่อย่าด่าเลา 555555555555 เจอกันตอนหน้าค่า ฝากติดแท็ก #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว ในทวิตเตอร์ด้วยเด้อ ... รักทุกคนมากๆ จ้า ^^❤
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 19th - 20/08/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 20-08-2019 19:39:57
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 19th - 20/08/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 21-08-2019 02:29:42
 :pig4: :pig4: :pig4:

อินังลินี  แกหาที่เกาะดูดทรัพย์ไม่ได้แล้วใช่ไหมหล่ะ  ถึงต้องย้อนกลับมาหาพะลัดเนี่ย

ป.ล.  อย่าบอกว่านังลินีเป็นคนสั่งออเดอร์อาหารบุฟเฟต์หล่ะ
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 19th - 20/08/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: noy ที่ 24-08-2019 02:37:46
รอตอน​ต่อไป​นะ​คะ​ :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 20th - 25/8/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 25-08-2019 17:41:20
:: Chapter 20th - เผชิญหน้า ::


ตะวันจ้องมองคนตรงหน้าด้วยความแปลกใจ แปลกใจที่จู่ๆ นลินีก็มายืนอยู่ที่ร้านของเขา โดยที่ตะวันเองก็มั่นใจว่าเขาไม่เคยบอกให้เธอรู้ว่าเขาทำงานที่ไหนหรือมีอาชีพอะไร ซึ่งอย่าว่าแต่บอกเลย เพราะเพิ่งจะได้รู้จักกันเมื่อวาน คุยกันไม่ถึงสี่ห้าประโยคด้วยซ้ำ แล้วเพราะอะไรเธอถึงรู้ ว่าเขาเปิดร้านอาหารอยู่ที่นี่ แต่สิ่งหนึ่งที่ตะวันมั่นใจคือนลินีไม่น่าจะรู้เรื่องของเขามาจากพลัฎฐ์ พลัฎฐ์ไม่น่าจะยอมบอก แต่ก็ช่างเถอะ เพราะไม่ว่าผู้หญิงใบหน้าสวยคมคนนี้จะรู้เรื่องร้านของตะวันได้ยังไง ก็ไม่สำคัญแล้ว เพราะตอนนี้เธอมายืนอยู่ตรงนี้ และด้วยมารยาทที่ดี ตะวันก็ควรเชื้อเชิญให้เธอเข้ามานั่ง ไม่ใช่ยืนขาแข็งมองหน้าเจ้าของร้านอย่างเขาด้วยแววตาเย็นชาแบบนี้

“สวัสดีครับคุณนลินี เชิญนั่งก่อนครับ”

ตะวันยกมือไหว้ เพราะคิดว่าคนรักเก่าของพลัฎฐ์น่าจะอายุมากกว่าตนเอง แต่แล้วคนเด็กกว่าก็ต้องหน้าชา เพราะนอกจากนลินีจะไม่รับไหว้หรือทักทายกลับแล้ว เธอยังเดินปึงปังเข้ามากระแทกไหล่เขาแล้วเดินผ่านเลยไปยังโต๊ะที่อยู่ด้านในตามคำเชิญที่แสนสุภาพของตะวันแทน

เจ้าของใบหน้าสวยนั่งไขว่ห้าง กอดอก เชิดหน้าน้อยๆ ราวกับนางพญา ทำเอาตะวันที่กำลังมองอยู่นึกผิดหวังกับท่าทีไม่เป็นมิตรของเธออยู่ในใจ เขาไม่เข้าใจว่าถ้าไม่ชอบกันจะมาเจอกันให้ลำบากใจทำไม แม้โดยส่วนตัวแล้วตะวันจะรู้สึกแปลกๆ กับนลินี แต่เขาก็ไม่ได้เกลียดหรือไม่ชอบ เพราะถึงจะเป็นคนรักเก่าของพลัฎฐ์ตะวันก็แยกแยะได้ แต่ดูเหมือนว่านลินีจะไม่ได้คิดแบบนั้น เพราะเธอดูไม่ชอบขี้หน้าตะวันพอสมควร

“ฉันมีเรื่องจะคุยกับนาย” น้ำเสียงแข็งกระด้างและท่าทีไม่เป็นมิตรถูกส่งผ่านทั้งภาษาพูดและภาษากายของนลีนีมายังตะวันโดยตรง เขาขมวดคิ้วนิดหน่อย อดไม่ชอบใจกับสิ่งที่ผู้หญิงตรงหน้าทำไม่ได้ ถึงแม้เขาจะเป็นผู้ชายและเด็กกว่า แต่มารดาของตะวันสอนเสมอว่าเราไม่ควรแสดงกิริยาแบบนี้ใส่ใคร โดยเฉพาะกับคนที่เพิ่งรู้จักกัน

“คุณนลินีมีอะไรหรือเปล่าครับถึงมาถึงที่ร้านได้ เพราะผมเองก็ไม่แน่ใจว่าคุณนลินีทราบได้ยังไงว่าผมเปิดร้านอาหารอยู่ที่นี่ แต่การที่คุณตรงมาหาผมโดยไม่ลังเลแบบนี้ ผมคิดว่าคุณคงมีธุระด่วนพอสมควร ไม่อย่างนั้นคุณคงไม่พยายามดั้นด้นมา”

ตะวันพูดเนิบนาบ น้ำเสียงไม่บ่งบอกอารมณ์ แต่คำพูดเชือดเฉือนนั้นน่าจะพอทำให้นลนีมองออก ว่าตะวันไม่ใช่คนที่เธอจะมาวางอำนาจใส่ได้ง่ายๆ

ภานรินทร์ไม่ใช่คนก้าวร้าว แต่ก็ไม่ใช่คนที่จะยอมให้ใครมารังแกง่ายๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคนนั้นมีท่าทีชัดเจนว่าไม่ชอบเขามากขนาดนี้

“มีสิ ฉันมีแน่ ไม่งั้นฉันไม่มีทางมาเหยีบบร้านเล็กๆ แคบๆ แบบนี้หรอก”

ริมฝีปากที่แต่งแต้มด้วยลิปสติกสีสวยที่เพิ่งพูดคำดูถูกเหยียดตรง รอยยิ้มที่ดูจะเป็นการแสยะมากกว่าการยิ้มโดยธรรมชาติถูกส่งมาให้ตะวันเห็น ในขณะคนที่ถูกดูถูกกลับยืนนิ่ง ไม่แสดงสีหน้าอารมณ์อะไรทั้งนั้น

“ถ้าคุณมีธุระอะไรก็พูดมาเถอะครับ พูดมาให้จบๆ คุณจะได้ไม่ต้องทนอยู่ในร้านเล็กๆ แคบๆ นานจนเกินไป” ตะวันพูดตอบกลับด้วยท่าทีสงบนิ่ง ทำเอานลินีอดร้อนรนไม่ได้ เพราะดูเหมือนที่เธอยั่วโมโหตะวันไปจะไม่ได้ผลเลยสักอย่าง

“ดี พูดกันง่ายๆ ฉันก็จะได้พูดตรงๆ” นลินีตวัดสายตากลับมาจ้องตะวัน ก่อนจะพูดเสียงดัง ฟังชัด แบบน่าจะที่ได้ยินพร้อมเพรียงกันโดยทั้งร้าน “ฉันมาทวงพลัฎฐ์คืน เขาเป็นของฉัน ฉันมาก่อนนาย ก่อนหน้านี้เราแค่มีเรื่องไม่เข้าใจกันก็เลยห่างกันไป แต่ตอนนี้ฉันกลับมาแล้ว เพราะฉะนั้นนายก็ควรออกไปจากชีวิตพลัฎฐ์ซะ เขาคงแค่นึกสนุก หรือไม่ก็อาจจะแค่เหงา ไม่ได้จริงจังอะไรกับนายหรอก เชื่อฉันสิ อีกไม่นานเดี๋ยวเขาก็เขี่ยนายทิ้ง”

นลินีพูดยาวเหยียดด้วยประโยคที่ไม่น่าฟังสักนิด ตะวันได้แต่ขมวดคิ้วมุ่นด้วยความไม่ชอบใจ เขาไม่ได้ไม่ชอบใจที่นลินีมาทวงคืนพลัฎฐ์ แต่เขาไม่ชอบใจที่ถ้อยคำที่เธอใช้ดูไม่ให้เกียรติใครเลยแม้กระทั่งตัวเอง

นึกจะไปก็ไป นึกจะมาก็มา ทวงคืนพลัฎฐ์อย่างกับพลัฎฐ์เป็นสิ่งของ และที่สำคัญนลินีไม่พูดถึงน้องพีเลยสักคำ ทำเหมือนกับว่าน้องพีไม่ใช่ส่วนหนึ่งของชีวิตพลัฎฐ์อย่างนั้นล่ะ

และโดยที่ตะวันยังไม่ทันจะตอบอะไร เจ้าตัวน้อยทั้งสองที่เพิ่งเข้าไปล้างปาก ล้างมือก็วิ่งออกมาจากห้องน้ำ ซึ่งเจ้าหนูทั้งคู่ก็วิ่งมากอดเอวตะวันคนละข้างพร้อมรอยยิ้มสดใส ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครเห็นว่าตะวันมีแขกเป็นผู้หญิงหน้าสวยคนเมื่อวาน ยืนอยู่ตรงนี้ด้วย

“พี่ตะวัน เสร็จแย้วคับ น้องพีเสร็จแย้ว” ใบหน้าน่ารักพูดเจื้อยแจ้วอย่างอารมณ์ดี ให้ตะวันที่ก้มลงไปมองได้รู้สึกดีขึ้นนิดหน่อย แต่แล้วก็ต้องขมวดคิ้วมุ่นเมื่อได้ยินเสียงของผู้หญิงตรงหน้าเรียกเด็กชายพีรยสถ์ที่กำลังเกาะแข้งเกาะขาเขาอย่างไม่ชอบใจ

“น้องพี! มาทำอะไรที่นี่คะ? แล้วคุณพ่อไปไหน? มาหาน้ามา!”

เสียงหวานแหลมที่ค่อนข้างดังทำให้น้องพีสะดุ้งโหย่งด้วยความตกใจ ใบหน้าน่ารักของเด็กน้อยยามหันไปมองนลินีดูบิดเบี้ยวเหยเก และเพียงไม่กี่วินาทีต่อมา มุมปากเล็กที่เคยยิ้มแย้มก็เริ่มเบะออก ก่อนจะกลายเป็นเสียงร้องไห้จ้าในที่สุด

“ฮึก.. ฮือออออ ฮือออออ ปะป๊า น้องพีจะหาปะป๊า”

จากความไม่ชอบใจของตะวันเปลี่ยนเป็นความตกใจอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นปฏิกริยาของน้องพี คนเป็นพี่ข้างบ้านรีบช้อนตัวเด็กชายขึ้นมาอุ้ม น้องพีเองพอเห็นว่าตัวเองอยู่ในอ้อมกอดที่ปลอดภัยของตะวันแล้วก็ก้มหน้างุดซบกับซอกคอที่คุ้นเคยทันที แรงสะอื้นทำให้ตะวันต้องกระชับอ้อมแขนโอบกอดเด็กน้อยให้แน่นขึ้น มือบางลูบหลังลูบไหล่ปลอบเด็กชายอย่างใจเย็น

“ไม่เป็นไรนะครับน้องพี พี่ตะวันอยู่นี่นะครับ ไม่ร้องไห้นะ”

“ฮึก.. พี่ตะวัน น้องพีกัว ไม่เอาคุณป้า กัว ฮือออ”

ยิ่งได้ยินเสียงเล็กๆ พึมพำบอกว่ากลัวตะวันยิ่งแปลกใจ เขาที่ผูกใจมาตั้งแต่เมื่อวานว่าผู้หญิงคนนี้คือภรรยาเก่าของพลัฎฐ์ และน่าจะเป็นมารดาแท้ๆ ของน้องพี ทำไมกลับทำให้น้องพีขวัญหนี กลัวจนตัวสั่นขนาดนี้ แต่ตะวันก็เลือกที่จะปัดผ่านทุกอย่างทิ้ง เพราะตอนนี้ ไม่ว่านลินีจะใช่หรือไม่ใช่แม่แท้ๆ ของเด็กชายพีรยสถ์ ตะวันก็ไม่วางใจที่จะให้เธอเข้าใกล้เจ้าตัวน้อยในความดูแลของเขาแล้ว สำหรับเขาท่าทางไม่เป็นมิตร และอาการหวาดกลัวของน้องพีถือเป็นคำตอบของทุกอย่าง และเขาจะไม่ยอมให้เธอมาทำให้น้องพีสติแตกมากไปกว่านี้แน่

“คุณป้า! ห้ามรังแกน้องพี! คุณป้าห้ามเข้ามานะ!”

แต่ยังไม่ทันที่ตะวันจะได้พูดอะไร เจ้าอาทิตย์ดวงน้อยที่เมื่อกี้ยังพันแข้งพันขาเขาอยู่ จู่ๆ ก็ก้าวออกมายืนขวางระหว่างตะวันกับนลินีไว้ ตะวันก้มลงมองน้องชายที่สูงแค่เอวของตัวเองด้วยความแปลกใจ เพราะเขาไม่เคยเห็นท่าทีแบบนี้ของอาทิตย์มาก่อน เจ้าหนูน้อยของตะวันดูโกรธและไม่พอใจมาก เพราะแก้มสองข้างแดงปลั่ง แถมไอ้อาการกอดอกแบบนี้ก็ไม่ใช่ท่าทางของอาทิตย์ที่ตะวันจะได้เห็นบ่อยนักด้วย

“ไอ้เด็กบ้า! อย่ามาลามปามฉันนะ!” นลินีตวาดอาทิตย์ก้อง ใบหน้าสวยหวานบิดเบี้ยวด้วยความไม่พอใจ ก่อนที่นิ้วเรียวจะถูกยื่นออกมาชี้หน้าน้องชายของตะวันด้วยท่าทางหยาบคาย

“ไอ้เด็กพ่อแม่ไม่สั่งสอน ไม่สั่งสอนเหมือนพี่แกนั่นแหละ อย่าให้ฉันจับได้นะ ถ้าจับได้จะฟาดให้ร้องเลยคอยดู!!”

อาทิตย์สะดุ้งกับเสียงหวานแหลมที่ตวาดก้องร้าน แต่ก็ยังยืนขวางไม่ยอมถอย ความกล้าหาญของน้องชายที่ตะวันได้เห็นทำให้ลึกๆ เขาอดชื่นชมและภูมิใจในตัวเด็กชายไม่ได้ แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือตะวันกำลังโกรธ โกรธมากแบบที่ไม่เคยมาก่อน เพราะตั้งแต่เยื้องย่างเข้ามาในร้าน นลินีก็มีท่าทีคุกคามทุกคนไม่เว้นแม้แต่เด็กตัวเล็กๆ อย่างน้องพีหรืออาทิตย์

เจ้าของรูปร่างบอบบางดึงน้องชายไปแอบไว้ข้างหลัง ก่อนจะก้าวมาเผชิญหน้ากับผู้หญิงร้ายกาจตรงหน้า ตะวันยอมรับว่าเขาไม่ใช่คนประเภทที่จะสู้รบปรบมือกับใคร แต่ถ้าใครมาแตะต้องน้องชายที่เป็นเหมือนแก้วตาดวงใจของเขาไม่ว่าจะด้วยคำพูดหรือการกระทำ ตะวันจะไม่ปล่อยเอาไว้ทั้งนั้น ต่อให้คนๆ นั้นจะเป็นภรรยาเก่าของพลัฎฐ์ หรือเป็นแม่แท้ๆ ของน้องพีตะวันก็จะไม่ละเว้น ... แต่เอาเข้าจริงตะวันแทบจะทำใจให้เชื่อไม่ได้เลยว่าผู้หญิงตรงหน้านี่จะเป็นแม่ใครได้ คนเป็นแม่คนไม่มีทางพูดกับเด็กเล็กๆ ด้วยท่าทางและคำพูดแบบนี้แน่

“หยุดเดี๋ยวนี้นะครับคุณนลินี ก่อนที่ผมจะทนไม่ไหว” ตะวันก้าวมายืนบังอาทิตย์ และกระชับอ้อมกอดโอบกอดน้องพีให้แน่นขึ้น พลางกล่าวเสียงนิ่ง เย็นชา และหนักแน่น ตากลมจ้องสบไปที่นลินีโดยที่แทบจะไม่กะพริบตาเลยสักนิด

“ถ้าคุณอยากคุยกับผม ก็คุยมา อย่ายุ่งกับเด็กๆ คุณไม่เห็นหรือไงครับ ว่าคุณกำลังทำให้พวกแกกลัว”

ตะวันลูบหลังของน้องพีเรื่อยๆ เพราะเด็กชายยังคงซุกหน้าอยู่กับไหล่ตะวัน พร้อมทั้งสะอื้นและร้องไห้ไม่หยุด เสียงตวาดของนลินีที่ตวาดอาทิตย์เมื่อครู่ยังคงทำให้เด็กชายตกใจอยู่

“อย่ามาสอนฉัน! ฉันอยากจะด่า ฉันก็จะด่า ไอ้เด็กนั่นมันพูดจาลามปามฉันก่อน ถึงฉันด่ามันฉันก็ไม่ผิด เอาเวลาที่แกคร่ำครวญโทษคนโน้นคนนี้ไปสั่งสอนน้องแกโน่น ไม่ต้องมาห้ามฉัน!”

ตะวันถึงกับถอนใจด้วยความเหนื่อยหน่าย เขาชักเริ่มไม่แน่ใจว่าตกลงแล้วใครกันแน่ที่ไม่ได้รับการสั่งสอน ซึ่งอาทิตย์อาจจะผิดจริงที่ไปพูดใส่นลินีแบบนั้น แต่ถ้าเธอไม่ตวาดใส่น้องพีจนร้องไห้ ตะวันก็มั่นใจว่าอาทิตย์ไม่มีทางพูดจาแบบนั้นใส่นลินีแน่ๆ เพราะที่แกทำแบบนั้นลงไปก็เพราะแค่อยากที่จะปกป้องเพื่อนสนิทของตัวเองไม่ให้ถูกตวาดจนร้องไห้หนักกว่าเดิมก็แค่นั้น

“ครับ ผมรู้ตัวว่าผมอาจจะผิดที่สอนน้องไม่ดี แต่ผมแค่สงสัยว่าคุณนลินีเองรู้ตัวหรือเปล่าว่าคุณเองก็กำลังทำกริยาและท่าทางแย่ๆ ใส่ผมและเด็กๆ อยู่เหมือนกัน... ไม่ทราบว่าอันนี้เป็นเพราะไม่ได้รับการสั่งสอนเหมือนที่คุณด่าว่าน้องชายผม หรือเป็นที่ ‘นิสัยดั้งเดิม’ ของคุณเองกันแน่ครับ”

ตะวันพูดเรียบๆ นิ่งๆ ไม่ใช่คำหยาบคายสักคำ เพราะยังไงสัยตรงนี้ก็มีเด็กๆ ยืนอยู่ด้วย ซึ่งตัวนลินีเองก็เหมือนจะอึ้งไปอยู่อึดใจหนึ่ง ก่อนจะส่งเสียงกรีดร้องออกมาดังลั่นร้าน เมื่อประมวลผลคำพูดของตะวันจนเข้าใจ

“แก.. แก! ไอ้ผิดเพศ! แกด่าฉันว่าสันดานเลวเหรอ?”

ตะวันถึงกับไพล่มือไปด้านหลัง เอื้อมไปปิดหูอาทิตย์ทันทีที่นลินีเริ่มผรุสวาท โชคดีที่น้องพีตกใจเสียงนลินีอยู่แล้ว เด็กน้อยจึงปิดหูตัวเองมาตั้งแต่ตอนที่ได้ยินเสียงนลินีตวาด ตะวันเลยต้องป้องกัน ไม่ให้น้องชายตัวเองได้ยินคำแย่ๆ พวกนี้ด้วย

“ผมไม่ได้พูดครับ คุณนลินีพูดของคุณเอง” ตะวันพูดหน้านิ่ง ริมฝีปากบางกระตุกยิ้มเย้ยน้อยๆ ราวกับอยากจะกวนประสาทคนตรงหน้า “แล้วอีกอย่าง ผิดเพศก็ดีกว่าผิดปกติทางจิตใจนะครับ เพราะอย่างหลังเนี่ย ดูแล้วยังไงก็คงเกินเยียวยา”


- อ่านต่อด้านล่าง -
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 20th - 25/8/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 25-08-2019 17:46:12
- ต่อจากด้านบน -


นลินีเลือดขึ้นหน้าทันทีที่ตะวันพูดจบ เธอกระทืบเท้าดิ้นเร่าๆ ส่งเสียงกรี๊ดจนสองพี่น้องอย่างมีนากับเมษาวิ่งออกจากครัวมาดู และดูเหมือนว่าหลังจากที่เธอกรี๊ดจนหมดเสียง เธอก็พุ่งตัวเข้ามาหาตะวัน เงื้อมือขึ้นสูงเตรียมฟาดลงบนแก้มขาวๆ ของคนที่กำลังยืนนิ่งปกป้องเด็กทั้งสองอย่างสุดแรง ตะวันก็ได้แต่เบิกตาโพลงเพราะตั้งรับไม่ทัน และคิดว่าคงหลบไม่พ้นแน่ๆ ใบหน้าน่ารักของชายหนุ่มจึงก้มลงเล็กน้อยและหลับตาเตรียมรับความเจ็บที่จะเกิดขึ้นยามที่ฝ่ามือเรียวปะทะลงมาที่แก้มตัวเอง ในหูได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองอื้ออึง จนไม่รู้ว่าเสียงใครเป็นเสียงใคร

“คุณตะวัน!!”

“พี่ตะวัน!!”

“ตัวเล็ก!!!!!!!!!”

ยกเว้น เสียงสุดท้าย เสียงของพลัฎฐ์ที่เหมือนดังอยู่ไม่ไกลจากตัวเท่าไหร่นัก...

และเมื่อตะวันลืมตาขึ้น เขาก็ได้เห็นแผ่นหลังกว้างที่มักจะคอยปกป้อง ดูแล เอาใจใส่เขาอยู่เสมอ แผ่นหลังที่คอยบดบังทั้งลม ทั้งฝน ทั้งแดด หรือแม้แต่อันตรายที่เข้ามาจู่โจม ... และในเวลานี้แผ่นหลังแผ่นเดิมที่คุ้นเคยก็กำลังทำหน้าที่โดยไม่ขาดตกบกพร่องเช่นกัน

... แผ่นหลังที่ตะวันรัก แผ่นหลังของพลัฎฐ์....

และเมื่อตะวันเงยหน้าขึ้นไปมองตามความยาวของเงาที่ทอดทับอยู่บนร่างกายตัวเอง เขาก็ได้เห็นว่ามือเรียวที่กำลังเงื้อขึ้นเตรียมฟาดลงบนแก้มเขา ยังคงถูกเงื้อไว้กลางอากาศเหมือนเดิม แต่ที่ต่างไปจากเดิมคือมีฝ่ามือใหญ่ของพลัฎฐ์กำลังกำแน่นอยู่บนข้อมือที่ถูกเงื้อไว้ พร้อมกับเสียงทุ้มต่ำเย็นชาที่เค้นผ่านลำคอของพลัฎฐ์อย่างน่ากลัว


“นลินี! ถ้าคุณกล้าแตะต้องตะวันและเด็กๆ ของผม ... ผมเอาคุณตายแน่!! คุณจะลองดูก็ได้!”


พอสิ้นคำของพลัฎฐ์ก็ดูเหมือนนลินีจะอึ้งไป ดวงตากลมโตที่ปัดมาสคาร่ามาอย่างดีถึงกับเบิกกว้าง เธอยอมรับว่าเธอไม่ได้คาดคิดว่าจะเจอพลัฎฐ์ที่นี่ เพราะตั้งใจจะมาทวงคนรักเก่าคืนจากตะวันแล้วก็จะรีบไป ทำวิธีไหนก็ได้ให้ผู้ชายข้างบ้านของพลัฎฐ์ผิดใจแล้วขอเลิกรากับคนรักเก่าเธอ เพื่อที่เธอจะได้เขากลับมาครอบครองอีกครั้ง เพราะหลังจากที่เลิกรากันไปหลายปี เธอก็พบว่าไม่ใครดีและสมบูรณ์แบบเท่ากับพลัฎฐ์อีกแล้ว ที่ตอนนั้นเธอเลิกรากับเขาไปเพราะเธอทำใจไม่ได้ที่จะต้องมาอุ้มชูเลี้ยงดูลูกคนอื่น ถึงแม้จะเป็นหลานชายแท้ๆ ของพลัฎฐ์ก็ตาม ประกอบกับตอนนั้นเธอมีไฮโซทายาทบริษัทนำเข้ารถมาติดพัน ทำให้เธอตัดสินใจทิ้งพลัฎฐ์ได้อย่างไม่ไยดี แต่ต่อมาเธอก็พบว่าผู้ชายที่คบหาเธอนั้น ไม่ใช่ก้อนเพชรอย่างที่เธอคาดหวัง ในขณะที่พลัฎฐ์ที่เธอทอดทิ้งไปต่างหากที่เป็นก้อนเพชรที่เลอค่าที่สุดที่เธอทำหลุดมือไป

พลัฎฐ์ประสบความสำเร็จทั้งในหน้าที่การงาน ทั้งฐานะทางสังคมและฐานะการเงิน ล้วนแล้วแต่สร้างความเสียดายให้เธอทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นวันนี้เธอจึงกลับมา กลับมาทวงผู้ชายที่ควรจะเป็นของเธอคืน ส่วนเรื่องเด็กชายลูกติดนั่นเธอวางแผนเอาไว้แล้วว่าจะเขี่ยทิ้งหลังจากที่เธอกลับมาคบกับพลัฎฐ์แล้ว เพราะเธอมั่นใจว่าพลัฎฐ์ยังคงรักเธออยู่และลืมเธอไม่ได้ เนื่องจากเธอเป็นรักแรกและรักปักใจของเขามาตลอดตั้งแต่คบกันตอนเรียนมหาวิทยาลัย ซึ่งสิ่งที่ตอกย้ำให้เธอมั่นใจแบบนั้นนั่นก็เพราะจนผ่านไปหลายปี นลนีก็ไม่เคยได้ข่าวว่าพลัฎฐ์มีแฟนใหม่หรือคบใครอีก

แต่พอเธอหวนกลับมาเมื่อวานพลัฎฐ์กลับมีท่าทีเปลี่ยนไป เขาเย็นชาใส่เธอ อีกทั้งยังประกาศกร้าวอีกว่าตอนนี้กำลังคบกับเด็กผู้ชายข้างบ้านเป็นแฟน ซึ่งนอกจากจะทำให้นลินีตกใจมากแล้ว ก็ยังทำให้เธอแค้นมากเช่นกัน เพราะคนรักเก่าที่เธอคาดหวังจะกลับมาหาปฏิเสธเธอเพียงเพราะเด็กผู้ชายธรรมดาๆ คนหนึ่ง แบบนี้มันเหมือนกับดูถูกศักดิ์ศรีของเธอเหลือเกิน

“คุณกล้าปกป้องมันต่อหน้าลินีเหรอคะพลัฎฐ์”

หญิงสาวที่ยามนี้สั่นไปทั้งตัวเพราะความโกรธสาดเสียงใส่เจ้าของร่างกายสูงใหญ่ด้วยความเคียดแค้น แต่คนที่ถูกต่อว่ากลับไม่สะทกสะท้านสักนิด แถมยังเหวี่ยงข้อมือที่จะเงื้อตีคนรักของเขาให้ออกไปพ้นทางโดยไม่สนใจว่าผู้หญิงตรงหน้าจะรู้สึกเจ็บอะไรตรงไหนทั้งนั้น

“ผมจะไม่แค่ปกป้องตะวัน... เพราะถ้าคุณยังมายุ่งวุ่นวายไม่เลิก ผมจะทำยิ่งกว่านี้แน่” พลัฎฐ์พูดอย่างเย็นชา “ในเมื่อพูดกันดีๆ แล้วไม่รู้เรื่องก็ไม่ต้องพูด ผมเองก็ไม่จำเป็นที่จะต้องทำดีกับคนที่คิดจะทำร้ายคนรักของผมเหมือนกัน”

ตะวันได้ยินถ้อยคำหนักแน่นและชัดเจนของพลัฎฐ์ก็อุ่นวาบไปทั้งใจ เขาไม่คิดเลยว่าพลัฎฐ์จะปรากฎตัวได้ทันช่วงเวลาพอดี เมื่อกี้ตะวันยอมรับว่าตกใจมาก เพราะไม่คิดว่านลินีจะถึงขั้นตบตีกัน ลำพังตัวเองเจ็บตะวันไม่กลัว แต่เขากลัวว่าเด็กๆ จะพลาดโดนลูกหลงเจ็บไปด้วยมากกว่า เพราะถ้าเป็นแบบนั้นตะวันคงรู้สึกแย่มากแน่ๆ

“ทำไมคะ คุณหลงอะไรมันนักหนา ถึงได้หน้ามืดตามัวขนาดนี้” นลินีแค่นยิ้ม ทำเสียงแหลมออกจมูก ทั้งคำพูดทั้งสายตาลากไปที่ตะวัน ด้วยประโยคที่ดูถูกเต็มที่ “หรือว่าพอได้ลองของแปลกแล้วมันติดใจ ถึงได้โงหัวไม่ขึ้นแบบนี้”

ตะวันตาเบิกโตกับถ้อยคำที่นลินีพูด มันทั้งหยาบคายและเต็มไปด้วยการเหยียดหยาม คนตัวเล็กหันซ้ายหันขวามองไปที่เด็กน้อยทั้งคู่ ก่อนที่ลากสายตาไปที่คู่พี่น้องที่ยังคงยืนอยู่ตรงมุมหน้าห้องครัว แล้วพยักเพลิดให้มาพาเด็กๆ ไปหลบที่โซนหลังร้าน ซึ่งเมษเองพอเห็นตะวันส่งสัญญาณมาแบบนั้นก็พุ่งตัวเข้าไปรับน้องพีที่ตะวันอุ้มอยู่กับจูงเจ้าอาทิตย์ที่เกาะขาพี่ชายแน่นให้เดินตามตนมาที่ออฟฟิศหลังร้าน พร้อมกับที่มีนาเองก็เดินตามน้องชายเข้าไปติดๆ เพราะที่ยังยืนกันอยู่เมื่อกี้นั้นเธอกับน้องตั้งใจว่า ถ้าผู้หญิงร้ายกาจคนนั้นทำร้ายตะวันอีกเมื่อไหร่ เธอกับเมษก็จะพุ่งเข้าไปจัดการและช่วยเหลือเจ้านายตัวเองทันที โดยไม่ลังเลเช่นกัน แต่ในเมื่อตอนนี้พลัฎฐ์มาแล้ว ทั้งสองเชื่อว่าคนรักของเจ้านายจะปกป้องและดูแลคุณตะวันของพวกเขาได้ จึงตัดสินใจหลบฉากออกมาเพื่อให้ทั้งสามคนได้จัดการปัญหากันตามลำพังต่อไป

“นลินี!! ผมบอกให้หยุด!!!”

เสียงที่เคยนิ่งเย็นชาของพลัฎฐ์ตอนนี้กลับสั่นพอๆ กับร่างกายใหญ่โตที่ดูเหมือนจะควบคุมตัวเองได้ยากเข้าไปทุกที ตะวันจึงอดไม่ได้ที่จะยื่นมือเล็กของตัวเองไปลูบต้นแขนของคนรักที่ยืนข้างกายไว้แผ่วเบา และไม่น่าเชื่อว่าการทำแบบนั้นของตะวันจะทำให้พลัฎฐ์ค่อยๆ สงบลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ

“ตะวันไม่เป็นอะไรครับพี่พลัฎฐ์ ตะวันไม่เป็นอะไร” เสียงหวานที่พลัฎฐ์ชอบฟังยังคงกระซิบแผ่วเบาขับกล่อมอยู่ไม่ไกล และสามารถกล่อมให้คนตัวโตกว่าอย่างพลัฎฐ์รวบรวมสติได้มากขึ้น

แต่คนมองมาอย่างนลินีกลับยิ่งคลั่งแค้น เมื่อเห็นสายตาของพลัฎฐ์ที่มองสบกับตะวันอย่างห่วงใยซึ่งกันและกัน ทำให้ไฟริษยาในตัวเธอลุกโชน ในสมองตอนนั้นของเธอเอาแต่สั่งการย้ำๆ ว่า …


เธอจะไม่มีวันยกพลัฎฐ์ให้ใคร เด็กคนนั้นไม่เหมาะสมและคู่ควรกับพลัฎฐ์ของเธอ เธอต่างหากคือคนที่เหมาะสมและคู่ควรที่จะยืนข้างพลัฎฐ์มากที่สุด!!


และพอคิดได้แบบนั้นเธอก็พุ่งเข้าหาคนทั้งคู่อีกรอบ จงใจจะยื้อแย่งดึงพลัฎฐ์ให้หวนกลับมาหาตัวเอง ซึ่งแม้จะเป็นเพียงการกระทำโง่ๆ แต่นลินีก็ไม่ได้เหลือสติให้ไต่ตรองอะไรทั้งนั้น

เมื่อพลัฎฐ์หันมาเห็นว่านลินีโถมตัวเข้ามาเขาก็หันกลับมาโอบกอดตะวันไว้ และพาตัวคนในอ้อมกอดออกมาจากวิถีที่นลินีจะเข้าถึงโดยสัญชาตญาณ ซึ่งการกระทำแบบั้นของพลัฎฐ์ก็ทำให้นลินีเสียหลักเนื่องจากถูกขยับหนีไป ร่างบอบบางของหญิงสาวจึงล้มลงไปนั่งบนพื้นอย่างน่าสงสาร เธอกรีดร้องลั่นเมื่อทุกอย่างไม่เป็นไปอย่างที่ใจเธอต้องการแม้แต่นิดเดียว

“กรี๊ดดดดดดดดดด!!”

ตะวันเบิกตามองนลินีที่ล้มไปนั่งบนพื้นด้วยสายตาตระหนกตกใจ ในขณะที่พลัฎฐ์ไม่ได้สนใจอะไรผู้หญิงคนนั้นเลยสักนิด เขามัวแต่ก้มลงมองสำรวจร่างกายนุ่มนิ่มในอ้อมกอดของตัวเอง ก่อนจะเอ่ยถามคนตัวเล็กกว่าอย่างร้อนใจ

“ตัวเล็ก ตัวเล็กเจ็บตรงไหนรึป่าวครับ หื้ม?”

และตะวันเอง พอได้ยินเสียงของพลัฎฐ์ที่ดังอยู่ข้างหูร้องถามก็ละสายตาจากหญิงสาวที่กำลังกรีดร้องขึ้นมาช้อนมองใบหน้าหล่อเหลาที่อยู่ห่างกันไม่ถึงคืบ

“ไม่ครับ ตะวันไม่เป็นอะไร” ตะวันส่ายหน้า ก่อนจะยกมือลูบตามแขนตามแก้มของพลัฎฐ์อย่างห่วงใยไม่ต่างกัน “แล้วพี่พลัฎฐ์ล่ะครับ เจ็บตรงไหนรึป่าว”

พลัฎฐ์เองก็ส่ายหน้า พร้อมกับยิ้มตอบคนที่ทำหน้าทำตาไม่สบายใจอยู่ในอ้อมกอดของตัวเองอย่างอ่อนโยน

“พี่ไม่เจ็บตรงไหนเลย ห่วงก็แต่ตัวเล็กมากกว่า” น้ำเสียงที่ดูกังวล คิ้วเข้มที่ขมวดมุ่น อีกทั้งใบหน้าหล่อเหลาที่ดูไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ยืนยันคำพูดของพลัฎฐ์ได้อย่างดี

“ไม่ต้องห่วงตะวันนะครับพี่พลัฎฐ์ ตะวันโอเค ห่วงก็แต่...” ตะวันพูดยังไม่ทันจบคำก็ลากสายตากลับไปที่หญิงสาวที่มาก่อเรื่องวุ่นวายในวันนี้ ก่อนที่จะพบว่าเธอลุกขึ้นยืนตอนไหนไม่รู้ และก็กำลังพุ่งเข้ามาหมายจะกระชากแขนพลัฎฐ์ให้ไปหาตัว

พลัฎฐ์เองก็มองตามสายตาตะวันไป พอเห็นว่านลินีจวนเจียนจะถึงตัวเขากับตะวันแล้ว พลัฎฐ์ก็ดันตะวันกลับเข้าอ้อมกอดอีกครั้งแล้วหันหลังให้นลินี เพื่อป้องกันไม่ให้ตะวันโดนลูกหลงอะไรจากนลินี แต่กลายเป็นว่าแขนของพลัฎฐ์กลับถูกเล็บของนลินีครูดยาวจนเลือดซึม เพราะหมายจะดึงรั้งพลัฎฐ์เข้าหาตัว

"พลัฎฐ์คะ ลินีรักคุณนะคะ ทำไมคุณถึงกับลินีแบบนี้ ลินีกลับมาเพราะลินีรักคุณนะคะ"

เมื่อไม่เห็นหนทางที่จะดึงรั้งพลัฎฐ์ไว้ หญิงสาวก็เอ่ยออดอ้อนเรียกคะแนนสงสาร ทำได้แม้กระทั่งยอมรับข้อเสนอที่พลัฎฐ์เคยขอไว้เมื่อหลายปีที่แล้ว

"ถ้าคุณอยากให้ลินีเป็นแม่น้องพี ลินีก็จะเป็น ลินีทำได้ทุกอย่างเพื่อคุณนะพลัฎฐ์"

จบคำพูดของนลินี ตะวันก็ขมวดคิ้วมุ่น ถ้านลินีพูดแบบนี้ก็หมายความว่า นลินีก็ไม่ใช่ภรรยาเก่าของพลัฎฐ์ ไม่ใช่แม่ของน้องพี แล้วตกลงแม่ของน้องพีคือใคร ในเมื่อนลินีเองก็ป่าวประกาศตั้งแต่แรกว่าเธอเป็นหญิงสาวคนเดียวที่คบกับพลัฎฐ์มาตลอด

ยิ่งคิดตะวันก็ยิ่งสับสน แต่อย่างน้อยสิ่งหนึ่งที่พอที่จะทำให้ตะวันโล่งใจได้ก็เห็นจะเป็นเรื่องที่ว่านลินีไม่ใช่มารดาแท้ๆ ของน้องพีนี่แหละ เพราะเอาเข้าจริงแล้ว ตะวันก็แทบนึกไม่ออกเลยว่าถ้านลินีเป็นแม่ของน้องพีจริงๆ น้องพีจะเป็นยังไง ถูกเลี้ยงดูแบบไหน เพราะท่าทางของนลินีนั้นเรียกได้ว่าแทบจะไม่มีคุณสมบัติข้อไหนเลยที่จะเป็นแม่ของคนๆ หนึ่งได้เลย

"ไม่จำเป็นแล้วลินี เพราะตอนนี้ผมมีคนที่พร้อมจะดูแลผมและลูก พร้อมจะอยู่เคียงข้าง พร้อมจะฝ่าฟันทุกอย่างและก้าวเดินไปกับผม แม้ว่าผมจะไม่ร้องขออะไรเลยก็ตาม"

พลัฎฐ์โอบกระชับอ้อมกอดคนที่เขาพูดถึงไว้แน่น พร้อมกับพูดถึงอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

"ผมเจอคนที่ผมอยากจะฝากชีวิตตัวเองกับลูกไว้ด้วยแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องกลับมาหาผมหรอก เราต่างคนต่างไปเถอะลินี อย่าให้ผมรู้สึกแย่มากไปกว่านี้เลย"

ถ้อยคำตอกย้ำหนักแน่นทำให้นลินีเคียดแค้นพลัฎฐ์จนแทบคลั่ง หนำซ้ำยังอิจฉาตะวันจนแทบกระอัก

มันควรเป็นเธอไม่ใช่เหรอที่ได้รับความรักดีๆ แบบนี้

มันควรเป็นเธอไม่ใช่เหรอที่พลัฎฐ์จะคอยโอบกอด และปกป้องแบบนี้

และด้วยความขาดสติ ทำให้นลินีฉวยกล่องใส่กระดาษทิชชู่บนโต๊ะใกล้มือขว้างออกไป หวังจะให้ทั้งสองผละออกจากกัน แต่มันกลับลอยสูงตรงเข้าสู่ใบหน้าสวยหวานของตะวัน ซึ่งพลัฎฐ์ก็ไวพอที่จะโอบตะวันไว้ แล้วเอาตัวเข้าบังแทน ทำให้กล่องกระดาษนั้นปะทะเข้าที่ไหล่ของพลัฎฐ์เต็มๆ

"พี่พลัฎฐ์!!'

"พลัฎฐ์คะ!!"

เสียงเรียกของทั้งตะวันและของทั้งนลินีดังขึ้นพร้อมกัน พร้อมๆ กับเส้นความอดทนของพลัฎฐ์ที่สิ้นสุดลงด้วย

คนตัวโตหันกลับมามองนลินีด้วยสายตาเย็นชา เสียงทุ้มที่เอ่ยออกมาเรียบนิ่ง แต่กลับทำให้คนที่ได้ยินสะท้านไปทั้งแผ่นหลัง

"ผมเตือนคุณแล้วนะนลินีว่าห้ามแตะต้องหรือทำร้ายตะวันของผม แต่ในเมื่อคุณไม่ฟัง อย่ามาหาว่าผมใจร้ายกับคุณก็แล้วกัน"

พูดจบพลัฎฐ์ก็ยกมือถือขึ้นมาแล้วโทรออกไปยังเบอร์ที่ไม่มีใครมองเห็น รอสายอยู่ไม่นานปลายทางก็กดรับ พลัฎฐ์จึงกรอกเสียงที่เป็นทางการลงไป

"ฮัลโหล หนึ่งเก้าหนึ่งใช่ไหมครับ ตอนนี้มีคนมาอาละวาดที่ร้านแฟนผมครับ.. ครับใช่ครับ ทำร้ายข้าวของด้วย"

ตะวันอ้าปากค้างในขณะที่นลินีดูเหมือนจะสติหลุดไปแล้ว เพราะคาดไม่ถึงว่าพลัฎฐ์จะโทรแจ้งความแบบนี้

"ผมรบกวนส่งสายตรวจมาระงับเหตุหน่อยได้ไหมครับ... ครับ ที่อยู่คือถนนxx ข้างตึกวัฒนไพศาลกุล ติดถนนใหญ่ ร้านเดอะซัน'ส์ เรสเตอรองครับ .. ครับขอบคุณครับ ผมจะรอนะครับ"

หลังจากพลัฎฐ์วางสายตะวันก็อ้าปากแล้วก็หุบแล้วก็อ้า เพราะหาคำที่ตัวเองจะพูดไม่เจอในขณะที่นลินีกรีดร้องลั่น รู้สึกทั้งอายทั้งเสียหน้า ก่อนที่จะชี้หน้าทั้งพลัฎฐ์ทั้งตะวันด้วยนิ้วเรียวที่สั่นเทาพอๆ กลับร่างกายบอบบางของเธอ

"จำไว้นะ ทั้งคู่นั่นแหละ!!" ดวงตาของเธอที่มองมาเต็มไปด้วยความก้าวร้าว และชิงชัง ซึ่งถ้อยคำที่ส่งออกมาก็ไม่ต่างกัน "ฉันจะทำลายความรักของแกสองคนให้ย่อยยับ อย่าหวังว่าจะมีความสุข เพราะฉันคนนี้นี่แหละจะขัดขวางแกสองคนเอง!!!"

ในขณะที่เสียงแหลมหวีดวี๊ดๆ ยังถูกสาดใส่คนทั้งสอง ก็ไม่ได้มีใครสังเกตเห็นชายหญิงค่อนข้างมีอายุสองคนที่เพิ่งจอดรถที่หน้าร้าน และกำลังเดินตรงมาที่ประตูร้านของตะวัน

ซึ่งนลินีเองก็ยังคงสาดความเกลียดชังใส่ทั้งพลัฎฐ์และตะวันไม่ยอมหยุด โดยเฉพาะอดีตคนรักเก่าของเธอ

"โดยเฉพาะคุณ! พลัฎฐ์!! ฉันอุตส่าห์กลับมา ยอมกลับมาให้โอกาสคุณ ยอมกลับมาเป็นแม่ปลอมๆ ให้ไอ้เด็กกาฝากนั่น! แต่คุณก็ยังปฏิเสธฉัน.. คอยดูเถอะ แล้วคุณจะเสียใจที่ทำแบบนี้"

ตะวันชักสีหน้าทันทีที่ได้ยินนลินีเรียกน้องพีว่าเด็กกาฝาก ในขณะที่ริมฝีปากจิ้มลิ้มกำลังจะต่อว่าผู้หญิงร้ายกาจตรงหน้า เสียงทุ้มของพลัฎฐ์กลับดังสวนขึ้นมาก่อน และเป็นประโยคที่ตะวันได้ยินแล้วก็ทึ่ง อดแปลกใจไม่ได้กับพลัฎฐ์ในเวอร์ชั่นแบบนี้


"เชื่อผมเถอะครับลินีว่าผมไม่มีวันเสียใจแน่ๆ ที่ไม่กลับไปหาคุณ ตรงกันข้ามผมออกจะดีใจและรู้สึกขอบคุณด้วยซ้ำ ไม่ได้ขอบคุณที่คุณกลับมานะครับ แต่ขอบคุณที่คุณปฏิเสธผมและลูกในวันนั้น เพราะถ้าคุณไม่ทำแบบนั้นผมคงไม่ได้เจอตะวันที่แสนดีในวันนี้แน่ๆ"

พลัฎฐ์ว่าพลางส่งยิ้มอ่อนโยนให้ตะวัน ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มแสยะ เมื่อหันกลับไปหานลินีอีกครั้ง

"เพราะฉะนั้น ออกไปได้แล้วครับนลินี ออกไปจากร้านนี้ และออกไปจากชีวิตเราสองคน เพราะถ้าคุณไม่ไป คุณก็น่าจะรู้นะว่าอะไรจะเกิดขึ้น คุณรู้ว่าผมเป็นยังไง ผมไม่เคยขู่ และผมก็ทำจริงเสมอ"

ดวงตานลินีวาววับ ก่อนจะกรี๊ดออกมาดังลั่น และพอเห็นว่าทำอะไรไม่ได้ เรียวขาสวยบนรองเท้าส้นสูงราคาแพงก็เดินกระแทกไปที่หน้าร้าน เรียกสายตาสองคู่ของทั้งพลัฎฐ์และตะวันให้มองตาม ก่อนที่ดวงตากลมของตะวันจะเบิกกว้างด้วยความตกใจ เมื่อเห็นว่าประตูหน้าร้านที่ควรจะว่างเปล่ากลับปรากฎร่างของชายหญิงสูงวัยที่ยังดูแข็งแรงและคล่องแคล่ว แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าทันสมัย อ่อนกว่าวัยที่ควรจะเป็น

ซึ่งนลินีก็แหวเสียงลั่นก่อนจะเดินกระแทกไหล่ชายหญิงคู่ดังกล่าวที่ยืนอยู่ตรงนั้นเพื่อผลักประตูเดินออกจากร้าน

แม้ว่ากำลังจะไป นลินีก็ยังคงแสดงท่าทีก้าวร้าวและหยาบคายจนหยดสุดท้าย เธอหันมาหาตะวันกับพลัฎฐ์ ริมฝีปากแดงที่ถูกแต่งแต้มด้วยลิปสติก ยิ้มเหยียด เธอพูดออกมาก่อนที่จะหันไปผลักประตูแล้วเดินออกไป

"อ้อ หวังว่าไอ้เด็กกาฝากนั่นมันจะไม่สับสนนะ พ่อก็เป็นผู้ชาย แม่ใหม่ก็เป็นผู้ชาย เตรียมตอบคำถามของมันให้ดีๆ ล่ะ ว่าทำไมพ่อกับแม่ใหม่มันถึงเป็นเพศเดียวกัน หึ! ท่าทางจะสนุกน่าดู"

คำพูดเสียดสีถูกเอ่ยทิ้งไว้ให้ลอยอยู่ในอากาศอย่างอึดอัด ทำให้ตะวันหลุกหลิกและหน้าซีดอย่างที่ไม่เคยเป็น

และพอคล้อยหลังผู้หญิงคนนั้นแล้ว เสียงทุ้มฟังดูทีอำนาจก็ดังกังวานในร้านอาหาร แม้เจ้าของเสียงจะไม่ได้ดุหรือพูดอย่างไม่พอใจก็ตาม


"พี่ตะวันนี่มันอะไรกัน? ใครจะให้คำตอบพ่อได้บ้าง หื้ม?"


พลัฎฐ์ตะลึงงัน แม้จะยังโมโหนลินีอยู่ แต่ดูเหมือนกับว่าชายหญิงสูงวัยตรงหน้าจะดึงความสนใจของเขาได้ไปทั้งหมด

และยังไม่ทันจะได้หันไปถามว่าทั้งสองท่านคือใคร เสียงแผ่วๆ ของตะวันที่ดังขึ้นก็กลายเป็นคำตอบได้อย่างดี


"คุณพ่อ คุณแม่ กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ...?"


พระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกหรือยังไงนะพลัฎฐ์!

.

.

.

To Be Continue

-------------------------------------

ข้าน้อยขอกราบประทานอภัย ไม่ได้ลงฟิคตามกำหนดสัญญา เพราะไปต่างจังหวัดมา เพิ่งกลับเลยจ้าาาา แหะๆ ><

เหมือนจะไม่หมดม่าเนาะ 5555555 แต่เชื่อเถอะว่าหลังจากนี้จะเบาขึ้นเยอะอย่ากังวลลลล อีกนิดก็คลี่คลายแล้วค้าบบบ

อย่างไรก็ดีฝากติดแท็ก #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว ในทวิตเตอร์ด้วยนะคะ แล้วก็ขอบคุณมากๆ สำหรับทุกคอมเม้นท์และกำลังใจ ตอนหน้าเจอกันวันอังคารเหมือนเดิมน้าา ... เริ้บทุกคน ❤
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 20th - 25/08/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 25-08-2019 18:34:35
 :pig4: :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 20th - 25/08/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 26-08-2019 11:58:21
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 21st - 27/8/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 27-08-2019 19:57:29
:: Chapter 21st - ครอบครัวรุ่งวิริยะจรรยา ::


Palat’s Part

หลังจากไปตะวันออกไปเคลียร์กับตำรวจสายตรวจที่แวะเข้ามาสอบถามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว ตัวเล็กของผมก็กลับเข้ามาในร้านอีกครั้ง ตอนนี้โต๊ะอาหารตัวใหญ่ของร้านถูกนำมาใช้ในการพูดคุยถึงเรื่องราวที่บิดาและมารดาของตะวันเห็นก่อนหน้า ท่านทั้งสองดูตกใจไม่น้อยที่เปิดประตูร้านเข้ามาแล้วเห็นว่ามีผู้หญิงมายืนชี้หน้าด่าลูกชายของตนเองเสียงดังลั่น แถมยังมีท่าทีคุกคามจ้องจะทำร้าย และถ้าผมเดาไม่ผิดท่านน่าจะตกใจมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมตอนที่ได้เห็นลูกชายตัวเองยืนกอดอยู่กับใครไม่รู้ และใครที่ไม่รู้ที่ว่าก็คือผมเอง

จากที่ตั้งใจจะมาเซอร์ไพร์สลูกชาย กลับกลายเป็นตัวเองเซอร์ไพร์สเสียเอง .... เล่นเอาผมทำหน้าไม่ถูกไปเลยเหมือนกัน

และดูเหมือนเวลาที่ผมลุ้นระทึกก็เดินทางมาถึง เพราะพอตะวันทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามบุพการีของตนเอง และมีผมนั่งข้างๆ ประมุขของบ้านรุ่งวิริยะจรรยา ก็เอ่ยปากถามขึ้นทันที

“เอาล่ะ ผมจะถามซ้ำอีกครั้ง ว่าที่ผมเห็นทั้งหมดเมื่อกี้มันอะไรกัน” สายตาคมที่ไม่บ่งบอกอารมณ์ของคนพูดสักเท่าไหร่ มองไล่จากบุตรชายตนเอง เลยมายังผม ก่อนที่จะหยุดมองผมพิจารณา “ผู้หญิงคนเมื่อกี้เป็นใคร เธอมาทำอะไร แล้วทำไมอาละวาดเสียใหญ่โตขนาดนี้ ... รวมถึงคุณด้วย คุณเป็นใคร เป็นอะไรกับลูกชายผม”

“พ่อครับ คือตะวัน...” ร่างเล็กข้างกายของผมกลายเป็นคนที่ร้อนรนขึ้นมาทันทีที่คุณว่าที่พ่อตาถามจบ ใบหน้าน่ารักดูตระหนกเล็กน้อย ปากเล็กเหมือนพยายามจะอ้าบอกอธิบายคนเป็นพ่อ แต่ผมเอื้อมมือไปจับมือเล็กที่วางอยู่บนหน้าตักนุ่มๆ นั่นเสียก่อน พอตะวันหันมามอง ผมก็ยิ้มบางๆ ให้อีกฝ่าย และส่งสัญญาณบอกตะวันว่าผมจะเป็นคนตอบคำถามของคุณภาสกรเอง

“ก่อนอื่น ผมขอสวัสดีและแนะนำตัวก่อนนะครับ”

มันอาจจะดูใจเย็นไปสักหน่อย แต่ท่านทั้งสองเป็นผู้ใหญ่กว่า ผมจึงไม่ควรละเลยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้

ผมปล่อยมือของตัวเองออกจากมือของตะวัน ก่อนที่จะลุกขึ้นเต็มความสูงพร้อมกับพุ่มมือไว้ที่อกยกไหว้บิดาและมารดาของคนรัก พลางเอ่ยแนะนำตัว

“สวัสดีครับคุณอาทั้งสอง ผมพลัฎฐ์ วัฒนไพศาลกุล” พอถึงตรงนี้ผมก็สูดหายใจเฮือกใหญ่เข้าปอดเพื่อเรียกความกล้า ก่อนที่จะพูดประโยคต่อมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ “และผมเป็นคนรักของตะวันครับ”

ปฏิกริยาที่ได้รับจากคุณพ่อและคุณแม่ของน้องไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่สำหรับผม แต่กับตะวันนั้นตอนนี้หน้าซีดเผือดไปแล้ว

คุณพ่อตะวันดูเก็บอาการได้ดีกว่าคุณแม่นิดหน่อย แต่ถึงอย่างนั้นท่านก็ยังดูตกใจมากอยู่ดี ใบหน้าคร้ามคมที่ดูไม่ค่อยคล้ายกับตะวันสักเท่าไหร่ ดูเรียบตึงขึ้นมาทันทีหลังจากได้ยินคำบอกเล่าของผม ในขณะที่คุณรวิวรรณคุณแม่ของน้อง ตอนนี้ตาเบิกโต มือเรียวสวยถูกยกมือขึ้นปิดปากน้อยๆ ราวกับไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ใบหน้าสวยหวานที่ตะวันถอดแบบแม่มาแทบจะทั้งหมด ยกเว้นจมูกโด่งเรียวที่ดูคล้ายว่าตะวันจะได้พ่อมาบ้าง แต่ถึงอย่างนั้นปลายจมูกของตะวันก็เชิดรั้นน้อยๆ ไม่ถึงกับเหมือนบิดาเสียทีเดียว ดูตกใจ แต่ก็ไม่ได้ถึงกับมากมายเท่าที่ผมหวั่นเกรงว่าจะเป็น

“คุณบอกว่าคุณเป็นอะไรกับพี่ตะวันนะคะ?” เสียงหวานของคุณแม่ของน้องไพเราะน่าฟังคล้ายๆ เสียงตะวันไม่มีผิด และเพราะเสียงหวานๆ นี่แหละเลยทำให้คำถามนั้นดูไม่น่ากลัวกับผมสักเท่าไหร่นัก ผมเลยตอบไปตามตรงอีกรอบ

“เป็นคนรักครับ... ผมเป็นแฟนของตะวัน”

ผมพูดย้ำ จนทำให้คนที่ถูกพาดพิงว่าเป็นแฟนถึงกับอยู่ไม่สุก ยื่นมือมาดึงไหล่ ดึงต้นแขน พยายามปรามผมให้ได้มากที่สุด แต่ผมไม่ฟัง

“แต่ .. แต่พี่ตะวันบอกคุณแม่ว่าคุณพลัฎฐ์เป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว อยู่ข้างบ้านของพี่ตะวันไม่ใช่หรอคะ?” คุณแม่ของตะวันหันไปถามตะวันด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก ในขณะที่ตัวตะวันเองก็อึกๆ อักๆ ก่อนจะตัดสินใจพูดออกมาเมื่อหันมาสบตาขอกำลังใจจากผม

“ใช่ครับ พี่พลัฎฐ์เป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวที่อยู่ข้างบ้านตะวัน วันนั้นตะวันกำลังจะบอกคุณแม่พอดีว่าคนที่ตะวันคบอยู่ก็คือพี่พลัฎฐ์ ... คนรักของตะวันคือคนข้างบ้านที่ตะวันเล่าให้แม่ฟัง คนนั้นแหละครับ”

ดูเหมือนว่าคุณแม่ของตะวันจะได้มีเรื่องให้ตกใจอีกรอบ ถ้าให้ผมเดา ผมคิดว่าคุณพ่อของน้องก็คงจะรู้สึกไม่ต่างจากคุณแม่สักเท่าไหร่ เพียงแต่ท่านไม่ได้แสดงออกอะไรมาก แต่ถ้าจะให้ผมสังเกตจากหัวคิ้วที่แทบจะชนกัน ก็คงจะบอกได้ว่าคุณพ่อน่าจะคิดมากไม่น้อยทีเดียว

“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน แต่เรื่องที่ผมอยากรู้มากกว่าคือเรื่องของผู้หญิงคนนั้น เธอเป็นใคร แล้วมาโวยวายอะไรที่นี่?”

คุณภาสกรถามและจ้องหน้าผมราวกับกำลังคาดคั้นเอาคำตอบ แต่ผมก็เลือกที่จะสบตาท่านไม่หลบตาไปไหน ไม่ใช่ว่าอยากจะก้าวร้าว แต่ผมแค่อยากแสดงความจริงใจให้คุณพ่อของตะวันเห็นก็แค่นั้นเอง

“ผู้หญิงคนที่คุณอาเห็นชื่อนลินีครับ เป็นคนรักเก่าของผม” ทุกคนเงียบไป แม้กระทั่งตะวันยังนั่งก้มหน้าบีบมือตัวเองที่ประสานอยู่บนตักแน่น ให้ผมต้องยื่นมือตัวเองไปกุมมือน้องไว้เบาๆ

“...”

“ผมกับเธอเลิกกันไปนานแล้วครับ แต่จู่ๆ เธอก็กลับมา แล้วพอได้รู้ว่าตะวันเป็นคนรักใหม่ของผมเธอก็มาหาเรื่องอาละวาด ทั้งที่ผมเองก็พยายามพูดคุยเรื่องนี้ให้เธอเข้าใจแล้ว แต่เธอก็ไม่ฟัง”

ผมพูดช้าๆ อย่างใจเย็น แม้ข้างในอกจะร้อนรุ่มเพราะเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็ตาม

“ซึ่งเรื่องนี้จะโทษว่าเป็นความผิดของเธอคนเดียวก็ไม่ได้ ผมเองก็ผิดที่ไม่ได้ดูแลตะวันให้ดีกว่านี้” ผมชี้แจงตามความเป็นจริง แต่ก็ไม่อยากจะโยนความผิดทั้งหมดให้นลินี เพราะในความเป็นจริงแล้วผมเองก็เป็นต้นเหตุ และประมาทเลินเล่อปล่อยให้น้องอยู่ลำพังกับเด็กๆ ทั้งที่เพิ่งเกิดเรื่อง ดังนั้น ถ้าจะหาคนผิด ผมเองก็ควรจะเป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน

“ผมยอมรับผิดทุกอย่างครับคุณอา ผมจะไม่ขอให้คุณอาเห็นใจ เพียงแต่ผมอยากจะขอโอกาส พิสูจน์ตัวเองให้คุณอาทั้งสองท่านเห็นว่าผมจะดูแลน้องให้ดีกว่าที่ผ่านมา และไม่ทำให้ตะวันกับอาทิตย์เดือดร้อนเพราะเรื่องแบบนี้อีก”

ผมสบตาคุณพ่อของตะวันอย่างแน่วแน่ พยายามให้ท่านมองเห็นความจริงใจผ่านทุกการแสดงออกของผม แต่แล้วผมก็ต้องรู้สึกเหมือนหัวใจถูกกระชาก เมื่อได้ยินเสียงเย็นเยียบดังออกมาจากริมฝีปากหยักลึก ด้วยประโยคที่ฟังแล้วผมอึดอัดไปทั้งหัวใจ

“ผมไม่ต้องการฟังคำพูดสวยหรูอะไรทั้งนั้น” น้ำเสียงเด็ดขาดของคุณภาสกรทำให้ผมหน้าซีด

“คุณพ่อ...” ในขณะเดียวกันก็ต้องเจ็บร้าวไปทั้งอกเมื่อได้ยินเสียงอ่อนแรงของตะวัน และยิ่งพอหันไปมองใบหน้าน้องก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกทั้งปวดใจและดีใจไปในคราวเดียวกัน

ผมดีใจเพราะเหตุการณ์นี้ทำให้เห็นว่าตะวันไม่อยากเลิกกับผม ถึงแม้เรากำลังจะมีเหตุการณ์ที่ไม่เข้าใจกัน แต่ตะวันก็ไม่อยากที่จะถูกพรากให้ห่างจากผม ด้วยเหตุผลที่ว่าครอบครัวน้องไม่โอเคที่เราจะคบกัน

แต่ผมก็ปวดใจ เพราะถึงแม้ตะวันจะอยากให้เราคบกันต่อมากแค่ไหน แต่ถ้าคุณพ่อกับคุณแม่น้องไม่ยอม เราสองคนจะช่วยกันฝ่าฟันเรื่องเหล่านี้ไปด้วยกันได้ยังไง

“ตัวเล็ก เดี๋ยวพี่คุยกับคุณอาให้นะครับ” ผมพยายามปลอบน้องก่อนที่จะหันไปทางบิดาของน้องอีกครั้งเพื่อขอร้อง แต่ยังไม่ทันที่จะเอ่ยพูดอะไร อีกฝ่ายก็พูดสวนออกมาก่อนจนผมนิ่งเงียบ เกิดพูดไม่ออกมาขึ้นมาเสียดื้อๆ

“คุณจะให้ผมยอมรับคุณง่ายๆ ทั้งที่การเจอกันครั้งแรกระหว่างเรา คือการที่คนรักเก่าของคุณมายืนด่าลูกชายผมฉอดๆ งั้นเหรอ? ผมถามคุณในฐานะที่เป็นพ่อคนเหมือนกันนะ ว่าคุณจะรับได้ไหมถ้าต้องให้ลูกชายตัวเองไปคบกับคนที่ทำให้ลูกชายของคุณถูกด่า ถูกว่า แถมจะถูกทำร้ายร่างกายแบบนี้น่ะ?”

“...”

“พ่อแม่ที่ไหนกันจะยอมให้ลูกตัวเองไปคบกับคนแบบนั้น จะมีอะไรมารับรองว่าถ้าผมปล่อยให้ลูกผมไปคบกับคุณแล้วลูกผมจะไม่เจอเหตุการณ์แบบนี้ซ้ำอีก ... ผมเลี้ยงของผมมาอย่างกับแก้วตาดวงใจ ทำไมผมถึงต้องยอมให้ใครหน้าไหนก็ไม่รู้มายืนว่าลูกผมปาวๆ ด้วย”

คุณพ่อของตะวันพูดเสียงเรียบ แต่ผมเห็นมือของท่านกำเข้าหากันแน่น ให้คุณแม่ของน้องต้องยื่นมือไปลูบต้นแขนของสามีไว้เบาๆ

“คุณคะ ใจเย็นๆ นะคะ ค่อยๆ พูดค่อยๆ จากัน”

ผมนิ่ง และทบทวนตามที่คุณพ่อน้องพูด ถ้าจะว่ากันตามตรงในฐานะที่ผมเป็นพ่อเหมือนกัน ผมเข้าใจความรู้สึกของท่านดี แต่ในฐานะคนรักของตะวันผมเองก็ไม่อยากจะยอมแพ้ง่ายๆ โดยที่ยังไม่ได้พยายามทำอะไรเช่นกัน

“ผมเข้าใจในสิ่งที่คุณอาพูดนะครับ ถ้ามีใครมาทำแบบนี้กับลูกชายผม ผมก็คงไม่ยอมเหมือนกัน”

มือของตะวันที่ผมกุมอยู่สั่นทันทีที่ผมพูดออกมาแบบนั้น ใบหน้าน่ารักก้มจนชิดอก และพยายามจะกระตุกมือตัวเองออกจากมือผม และก่อนที่น้องจะเข้าใจผิดมากขึ้นกว่าเดิม ผมก็รีบพูดต่อ

“แต่ในฐานะคนรักของตะวัน ผมยอมแพ้แค่เพียงเพราะคุณอาไม่ไว้ใจผมจากเหตุการณ์ๆ เดียวไม่ได้ครับ” ตะวันเงยหน้าขึ้นมามองผมทันที ผมเองก็หันไปยิ้มบางๆ ให้น้องก่อนจะหันกลับไปหาผู้ใหญ่ทั้งสองอีกครั้ง

“ผมยอมรับครับว่าการพบกันครั้งแรกอาจจะไม่ประทับใจคุณอาสักเท่าไหร่ แต่ผมขอโอกาสพิสูจน์ตัวเองให้คุณอาเห็นไม่ได้เหรอครับ” ผมตัดสินใจลองเสี่ยงดวงดูอีกนิด แม้มันอาจจะฟังดูก้าวร้าวไปหน่อย แต่ถึงยังไงผมก็ต้องพูด “คุณอาคงไม่อยากถูกมองว่าตัดสินคนแค่เพียงครั้งแรกที่เห็นใช่ไหมครับ?”

“นี่คุณ!!..” แน่นอนว่าพ่อของน้องโกรธ แต่ผมกระโจนเข้าถ้ำเสือแล้ว ผมถอยไม่ได้

“ขอร้องนะครับคุณอา ถ้าผมเป็นคนแบบที่คุณอาเห็นและคิดจริงๆ ต่อให้ผมพยายามจะสร้างภาพแค่ไหน สุดท้ายผมก็ยังคงจะเป็นคนแบบที่คุณอาปรามาสไว้ แต่ถ้าผมพิสูจน์ตัวเองให้คุณอาเห็นได้ว่าผมรัก ผมจริงใจ และผมพร้อมจะดูแลปกป้องตะวัน คุณอาก็จะได้เห็นนะครับว่าผมทำได้จริงอย่างที่พูดหรือเปล่า”

ผมหงายไพ่ใบสุดท้าย ไม่รู้ว่าคุณพ่อกับคุณแม่น้องจะว่ายังไง แต่ผมก็เทหมดหน้าตักแล้ว ขอให้ท่านเห็นใจกันบ้าง สักนิดก็ยังดี

“คุณพ่อครับ...” ผมหันไปมองหน้าน้องที่เรียกบิดาตัวเองเสียงเศร้า ให้คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเหลือบตามองมาเล็กน้อย ก่อนที่คุณพ่อของตะวันจะถอนหายใจออกมา

“ก็ได้ ผมจะยอมให้โอกาสคุณ” คุณพ่อของน้องพูดเสียงเข้ม “ไปจัดการเคลียร์ตัวเองมาให้เรียบร้อย อย่าให้มีเรื่องต้องเดือดร้อนมาถึงลูกชายผมได้อีก”

“ครับ” ผมรีบรับปาก พลางหันไปกุมมือน้องไว้

ในที่สุดก็พอจะมีเรื่องให้ยิ้มได้ออกสักที แต่แล้วผมก็ต้องหน้าถอดสี เมื่อได้ยินเงื่อนไขที่คุณพ่อของน้องสั่งมา

“แล้วในระหว่างที่คุณไปจัดการเรื่องที่มันยุ่งเหยิงวุ่นวายนี่ ก็ยังไม่ต้องมาเจอตะวัน เรียบร้อยเมื่อไหร่ค่อยว่ากันอีกที”

ใบหน้าราบเรียบของคนพูดไม่ปรากฎอารมณ์อะไรให้ผมคาดเดาได้เลย ผมขมวดคิ้วคิดหนัก ในขณะที่ตะวันเองก็มือสั่น ผมแอบมองเห็นน้องหันไปสบตากับคุณแม่ ก่อนจะได้ยินเสียงไพเราะอ่อนโยนของคุณแม่ของตะวันดังขึ้น

“คุณคะ จะไม่ใจร้ายไปหน่อยเหรอคะ ยังไงตะวันกับคุณพลัฎฐ์ก็กำลังคบหากันอยู่นะคะคุณ”

ตะวันยิ้มออกมาบางๆ เมื่อเห็นว่าคุณแม่ตัวเองยอมช่วยพูด ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะช่วยได้มากแค่ไหน เพราะคุณพ่อของน้องยังคงนิ่งเฉยอยู่

“ก็อยากจะพิสูจน์ตัวเองไม่ใช่หรือไง ถ้าทนจะเจอกันแค่นี้ไม่ได้ ก็ไม่ต้องมาทำเป็นพูดเรื่องของโอก่งโอกาสอะไรหรอก” ดวงตาคมปราบหันมามองหน้าผม พร้อมส่งสายตาเป็นคำถามปนท้าทายเล็กๆ “ว่าไง ยังอยากจะพิสูจน์ตัวเองอยู่รึป่างล่ะ?”

ผมหันไปมองหน้าตะวัน ซึ่งน้องเองก็มองมายังผมด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงและวิตกกังวล ให้ผมต้องส่งยิ้ม และกระชับมือที่กุมมือเล็กอยู่ให้แน่นขึ้นกว่าเดิม ก่อนจะหันไปหาคุณพ่อของน้องอีกครั้ง

“ได้ครับ ตกลงครับคุณอา ผมจะไปจัดการเคลียร์ตัวเองให้เรียบร้อย แล้วหลังจากทุกอย่างจบลง ผมจะพาคุณพ่อกับคุณแม่มาพบคุณอาทั้งสอง เพื่อยืนยันว่าผมจริงจังกับตะวันมากแค่ไหน”

ผมสบตาคุณอาทั้งสองอย่างมุ่งมั่น และแอบเห็นความตกใจเล็กๆ ที่ปรากฎอยู่วูบหนึ่งในดวงตาคมปราบของคุณพ่อของน้อง แต่กับคุณแม่ผมได้เห็นรอยยิ้มบางๆ ที่ดูเหมือนจะพอใจกับสิ่งที่ผมบอกแทน

“เอาเถอะค่ะ คุณแม่ว่ารอไว้ให้ทุกอย่างเรียบร้อยก่อนแล้วกัน จากนั้นคุณพลัฎฐ์จะพาใครมาอะไรยังไง คุณพ่อกับคุณแม่ไม่ห้ามหรอก” คุณแม่ของตะวันพูดเสียงหวาน ท่านแทนตัวเองว่าแม่ แถมหันมายิ้มให้ผมด้วยอารมณ์ของคนที่ถือหางฝั่งผมเต็มที่ ทำเอาผมใจชื้นขึ้นมาไม่น้อย

เอาวะ อย่างน้อยผมก็ยังมีพรรคพวกอยู่อย่างน้องหนึ่งคนแหละนะ อ่อ! รวมเจ้าอาทิตย์ไปอีกหนึ่งเป็นสองคนถ้วน

“คุณ...” แต่ดูเหมือนว่าคุณพ่อของน้องดูจะไม่ชอบใจเท่าไหร่นัก ถึงได้ส่งเสียงปรามออกมาแบบนั้น แต่คุณแม่ของน้องกลับไม่สะเทือนใดๆ ทั้งสิ้น หนำซ้ำยังปรายตาไปทางคุณพ่อด้วยท่าทางไม่ยี่หระแม้แต่น้อย

นั่นทำให้ผมกลั้นยิ้ม ไม่แปลกใจเลยว่าตะวันได้ท่าทีแสบเซี้ยวและกล้าต่อรองมาจากใคร... คุณแม่เต็มๆ

และก่อนที่จะเกิดสงครามระหว่างผู้ใหญ่ทั้งสอง ผมก็ตัดสินใจพูดขอร้องท่านทั้งสองอีกอย่าง

“เอ่อ.. คุณอาครับ ก่อนที่ผมจะต้องไปจัดการเรื่องต่างๆ ให้เรียบร้อย ผมขอคุยกับตะวันก่อนได้ไหมครับ” เมื่อเห็นท่าทีที่นิ่งเฉยของคุณพ่อของน้อง ผมก็ยิ่งรีบอธิบาย เพราะไม่อยากห่างจากน้อง ทั้งที่น้องยังมีเรื่องในใจอยู่

“....”

“ขอร้องนะครับคุณอา ผมไม่อยากให้ตะวันคิดมากคนเดียวอีก ขอให้ผมได้อธิบายเรื่องทุกอย่างให้น้องฟังสักนิดเถอะนะครับ อย่างน้อยผมจะได้วางใจไปเคลียร์เรื่องต่างๆ ให้จบ”

ผมของร้องด้วยท่าทางพินอบพิเทา และแน่นอนคุณแม่ของตะวันที่กำลังถือหางผม ก็ตัดสินใจช่วยพูด

“ให้เด็กๆ เขาคุยกันไปเถอะค่ะคุณ” แม่ของตะวันยื่นมือมาลูบศีรษะกลมของตะวันเบาๆ “คุณอยากเห็นลูกเราหงอยเศร้าเหรอคะ”

พอคุณแม่ของน้องพูดย้ำ ตะวันก็หันไปทำหน้าน่าสงสารใส่คนเป็นพ่อทันที

“อ่ะๆ จะไปคุยอะไรกันก็ไป เดี๋ยวก็มาหาว่าผมใจยักษ์ใจมารกันอีก” คุณพ่อว่าพลางโบกมือไล่ให้ผมได้ยิ้มกว้าง “แต่อย่าให้นานนักล่ะ... เข้าใจไหมพี่ตะวัน”

น้องพยักหน้ารับ พลางกระตุกมือผมให้แยกออกไปคุยกันต่างหาก ผมจึงค้อมศีรษะลงพร้อมกับยกมือไหว้ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ของตะวัน

“ขอบคุณครับคุณอา ถ้าอย่างนั้นผมขออนุญาตนะครับ”


- อ่านต่อด้านล่าง -
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 21st - 27/8/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 27-08-2019 20:00:22
- ต่อจากด้านบน -


ผมว่าพลางลุกขึ้นยืนแล้วจูงตะวันออกเดินไปที่ออฟฟิศหลังร้าน พอเข้าไปที่ออฟฟิศได้ก็เจอเจ้าเด็กน้อยทั้งสอง และทันทีที่น้องพีเห็นผม ก็พุ่งเข้ามากอดขาไว้ทันที น้ำตาที่เหือดแห้งไปจากตากลมโตแล้วไหลเผาะลงมาอีกรอบ ให้ผมต้องรีบก้มลงไปช้อนตัวเจ้าหนูน้อยมาอุ้มไว้แนบอก

“ฮึก.. ฮือออ ปะป๊า น้องพีกัวคุณป้า ไม่ชอบเยย น้องพี ฮึก.. ไม่ชอบ”

ใบหน้าเล็กที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาสะบัดไปมาอยู่อกผม เสียงร้องไห้ของลูกชายทำผมเจ็บหนึบไปทั้งใจ โกรธตัวเองที่มาช้า จนทำให้เจ้าหนูน้อยของผมต้องถูกนลินีทำร้ายด้วยคำพูดและการกระทำที่คุกคามจนลูกชายผมหวาดกลัวไปหมดแบบนี้

“ไม่เป็นไรนะครับ คุณป้าจะไม่มายุ่งกับน้องพีอีก ปะป๊าสัญญานะครับ”

ผมว่าพลางจูบขมับเล็กของลูกชายย้ำๆ ทั้งลูบหลัง ลูบไหล่ ทั้งโอ๋ ทั้งปลอบจนน้องพีค่อยๆ สงบลง เสียงร้องไห้หลงเหลือแค่เพียงการสะอื้นน้อยๆ ที่บ่งบอกว่าเจ้าตัวน้อยของผมหวาดหวั่นเพียงใดกับเหตุการณ์ตอนที่ผมไม่อยู่

“น้อง... อึก น้องพีอยากอยู่กับปะป๊า อยากอยู่กับพี่ตะวัน ฮึก.. แล้วก็คุณอาทิตย์ด้วย” ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของผมผละออกจากอก พลางบอกผมด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่นเพราะยังสะอึกสะอื้นอยู่น้อยๆ

“ได้สิครับ เราอยู่กันสี่คนเหมือนเมื่อก่อนเนาะ น้องพีไม่ต้องร้องไห้แล้วนะครับ” ผมว่าพลางลูบศีรษะกลมๆ เบาราวกับจะปลอบประโยน

น้องพีมองหน้าผมก่อนจะหันไปหาตะวันแล้วชูแขนทั้งสองข้างออก โผให้ตะวันอุ้มตัวเอง ซึ่งตะวันก็อ้าแขนมารับน้องพีเข้าไปไว้ในอ้อมกอดด้วยรอยยิ้ม

“พี่ตะวันอยู่นี่ครับ ไม่ร้องไห้แล้วนะครับคนเก่ง” ตัวเล็กของผมว่า ก่อนจะกดริมฝีปากจิ้มลิ้มลงบนแก้มของลูกชายผมเบาๆ “น้องพีไม่ต้องกลัวใครเลย พี่ตะวันก็อยู่นี่ ปะป๊าพลัฎฐ์ก็อยู่นี่ คุณอาทิตย์ก็อยู่นี่ พวกเราอยู่ตรงนี้ จะไม่มีใครทำอะไรน้องพีได้ทั้งนั้น เข้าใจไหมครับ”

“คับ” น้องพีพนักหน้ารับทั้งที่น้ำตายังชุ่มอยู่ที่แพขนตา แก้มและปลายจมูกแดงก่ำ ดูทั้งน่าสงสารและน่าเอ็นดูไปพร้อมๆ กัน

หลังจากอุ้มน้องพีอยู่พักหนึ่ง ตะวันก็ปล่อยเจ้าตัวน้อยลงยืนกับพื้น เพราะถูกเจ้าอาทิตย์น้องชายตัวแสบกระตุกชายเสื้อยิกๆ ให้ปล่อยน้องพีมาหาตน

และพอน้องพีแตะขาลงบนพื้น เจ้าอาทิตย์ก็ถลาเข้ามาจับจูงมือเล็กของเพื่อนสนิทไว้ทันที ก่อนจะพูดเจื้อยแจ้วแต่ก็หนักแน่นมากเท่าที่เด็กสามขวบกว่าจะทำได้

“น้องพีไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น เพราะคุณอาทิตย์จะเป็นคนปกป้องน้องพี ไม่ให้คนใจร้ายมารังแกได้เด็ดขาด”

ผมอมยิ้ม ในขณะที่ลูกชายของผมกลับพุ่งเข้าไปกอดอาทิตย์แน่น แถมยังพึมพำอู้อี้งอแงและอ้อนใส่เจ้าอาทิตย์ดวงน้อยไม่หยุด

“คุณอาทิตย์ไม่ทิ้งน้องพี สัญญานะ” และก็แน่นอนว่าการสปอยล์เด็กชายพีรยสถ์ไม่มีวันจบสิ้นก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง โดยเฉพาะกับเจ้าอาทิตย์ที่ยอมและตามใจลูกชายผมทุกเรื่อง

“อื้อ! คุณอาทิตย์สัญญา” แล้วพอได้ยินคำตอบที่ตัวเองพอใจ น้องพีก็ผละออกพร้อมกับยิ้มร่าดูอารมณ์ดีขึ้นมาถนัดตา ให้ผมกับตะวันที่หันมาสบตากันได้ยิ้มตามเจ้าหนูน้อยที่เป็นดังแก้วตาดวงใจของเราทั้งคู่

“เอาล่ะครับ ตอนนี้ก็ไม่มีใครทำอะไรน้องพีได้แล้วเนาะ” ตะวันทรุดตัวลงนั่งยองๆ จนความสูงเสมอกับเด็กทั้งคู่ ก่อนจะหันไปหาน้องชายพร้อมรอยยิ้มกว้าง

“ทีนี้ก็มาฟังข่าวดีกัน” ตะวันยังคงยิ้ม แม้ในนัยน์ตากลมของน้องจะยังคงมีความกังวลเรื่องของผมอยู่ก็ตาม แต่ตะวันก็ไม่ได้แสดงออกให้น้องชายเห็น “พี่ตะวันจะบอกอาทิตย์ว่า ตอนนี้คุณพ่อกับคุณแม่นั่งรออาทิตย์อยู่ที่ข้างหน้าร้านครับ”

อาทิตย์เบิกตากว้าง จากนั้นก็ยิ้มออกมาจนตายิบหยีสดใส

“คุณพ่อ คุณแม่มาหาอาทิตย์แล้วเหรอครับพี่ตะวัน”

“ใช่ครับ คุณพ่อกับคุณแม่กลับมาแล้ว อาทิตย์พาน้องพีไปสวัสดีคุณพ่อกับคุณแม่นะครับ” ตะวันว่า พลางลูบศีรษะกลมด้วยความเอ็นดู “คุณพ่อกับคุณแม่ต้องอยากรู้จักน้องพีมากแน่ๆ .. ไปครับ พาน้องพีไปก่อนนะเดี๋ยวพี่ตะวันตามไป”

ผมมองตะวันพูดพลางจับน้องหันหลังแล้วดันก้นเจ้าหนูเบาๆ เป็นสัญญาณให้ออกเดิน ทั้งที่ตะวันไม่ต้องทำอย่างนั้นก็ได้ เพราะอาทิตย์แทบจะทะยานถลาออกไป พร้อมกับจูงมือน้องพีไว้แน่น ตอนพากันเดินออกไป

“ป่ะ! น้องพี ไปหาคุณพ่อคุณแม่ของคุณอาทิตย์กัน”

“คุณพ่อ คุณแม่คุณอาทิตย์ใจดีไหม” น้องพีถาม น่าจะเพราะยังเข็ดจากนลินีอยู่ แต่น้องพีก็ตอบให้น้องพีสบายใจด้วยเสียงดังฟังชัด แถมยังหนักแน่นมั่นใจมากอีกต่างหาก

“คุณพ่อกับคุณแม่ใจดีที่สุดในโลกเลยนะน้องพี ชอบซื้อขนมกับตุ๊กตาหุ่นยนต์มาให้ด้วย ไปดูกันๆ”

“อื้อ!” อาทิย์ว่าพลางมือน้องพีจูงออกไป จนเด็กทั้งสองลับสายตา ผมก็พุ่งเข้ากอดตะวันจากด้านหลังทันที

“ตัวเล็กครับ พี่ขอโทษ... พี่ขอโทษจริงๆ”

ผมกระซิบพร่ำบอกคำขอโทษอยู่ข้างหูตะวันซ้ำไปซ้ำมา ในขณะที่ตะวันเองก็ไม่ได้พูดอะไร น้องยืนนิ่งให้ผมกอดพลางวางคางไว้ที่ไหล่เล็กๆ นั้นอย่างออดออ้อน

“พี่ขอโทษตะวันเรื่องไหนล่ะครับ เพราะตะวันรู้สึกว่ามันกลายเรื่องเหลือเกิน” น้องพูดค่อนขอด น้ำเสียงตัดพ้อน้อยใจ จนผมเจ็บที่หน้าอกไปหมด

“พี่ขอโทษทุกเรื่องเลยครับ ขอโทษเพราะพี่ผิดเอง” ผมว่าเสียงอ่อย ก่อนจะกดจูบเบาๆ ลงบนลาดไหล่เรียว

“...”

“พี่ผิดที่มีอะไรแล้วไม่พูดให้ตะวันฟัง” พอพูดจบผมก็ลากริมฝีปากจากไหล่มาที่ข้างแก้มนุ่ม ก่อนจะกดจูบเบาๆ

“....”

“พี่ผิดเพราะพี่ชะล่าใจ ปล่อยเวลาให้ล่วงเลย จนไม่รู้ว่าตะวันเจ็บมากแค่ไหน” และเป็นอีกครั้งที่ผมลากริมฝีปากที่เพิ่งพูดจบไปที่ขมับเล็กข้างศีรษะ

“...”

“แล้วพี่ก็ผิดที่ปล่อยให้นลินีเข้ามาทำร้ายตะวันได้ถึงที่นี่” จากนั้นผมก็ลากริมฝีปากของตัวเองมาจูบซับที่มุมปากน้องเบาๆ

ราวกับจะออดอ้อนและร้องของให้น้องให้อภัย

“พี่ผิดทุกอย่างเลย ตะวันจะลงโทษพี่ยังไงก็ได้ แต่ขอโอกาสให้พี่ เหมือนที่คุณพ่อของตะวันให้พี่สักครั้งนะครับ .. นะ”

ผมกำลังจะจูบที่มุมปากตะวันอีกครั้ง แต่พอดีตะวันหันกลับมาก่อน

“พี่ผิดจริงๆ นั่นแหละ” เรียวแขนเล็กถูกยกขึ้นมาไขว้กอดไว้บนอกและดูเหมือนแขนเล็กที่ว่านั่นกำลังกั้นไม่ให้ผมโน้มหน้าเข้าไปหาน้องได้ใกล้มากขึ้น “ที่จริงตะวันน่ะ โกรธพี่มาก โกรธจนไม่อยากจะพูดด้วย แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าปัญหาของคุณพ่อจะเป็นปัญหาที่ใหญ่มากกว่า... เพราะฉะนั้นพี่พลัฎฐ์เล่ามาให้หมดเดี๋ยวนี้เลยครับ”

ตะวันว่าพลางสูดลมหายใจเขาปอดลึก ก่อนจะตั้งคำถามยาวเยียดทำเอาผมที่ได้ยินแล้วถึงกับอึ้ง

“ตกลงคุณนลินีเป็นใครครับ ภรรยาพี่ แม่น้องพี หรือเป็นแค่อดีตคนรัก แล้วถ้าเขาเป็นแม่น้องพี ทำไมเขาถึงทำแบบนั้น แล้วถ้าคุณนลินีไม่ใช่แม่ แล้วใครเป็นแม่ พี่ไปทำผู้หญิงที่ไหนท้องมาเหรอ? ยังไงครับ? พี่บอกตะวันมาเร็ว”

“หึๆ”

ผมหลุดขำออกมาน้อยๆ ตอนที่น้องพรั่งพรูออกมาแบบนั้น ไม่ได้จะหัวเราะเยาะ บอกตามตรงว่าที่หัวเราะเพราะติดจะเอ็นดูมากกว่า และดูเหมือนว่าจะยิ่งทำให้ตะวันหน้างอง้ำยิ่งกว่าเดิม

“พี่ยังจะมาหัวเราะอีก จะไม่อยากคุยแล้วใช่ไหม ตะวันจะได้ออกไปหาคุณพ่อกับคุณแม่”

พอเห็นท่าทีเกรี้ยวกราดของคนเด็กกว่า ผมก็รีบกระชับอ้อมกอดของตัวเองให้แน่นทันที เพราะกลัวน้องจะสะบัดหลุดแล้วหนีออกไปข้างนอกจนไม่ได้คุยกัน

“ขอโทษครับ ขอโทษ” ผมยื่นหน้าเข้าไปจูบริมฝีปากสีสดที่เชิดขึ้นจนแทบจะติดจมูกเพราะไม่พอใจผมเบาๆ “พี่ไม่ได้หัวเราะเพราะจะล้อเลียน แต่พี่หัวเราะเพราะหนูน่ารัก น่ารักจนพี่อยากกอดหนูไว้แน่นๆ ไม่ปล่อยเลย”

น้องเขินผมนิดหน่อย แต่อารมณ์งอนๆ ยังมีมากกว่าเลยพยายามฮึดฮัดจะให้ผมปล่อย แต่ผมไม่ปล่อยหรอก หนำซ้ำยังกอดน้องแน่นกว่าเดิมอีกตะหาก

“คุยกันนะครับ ไหนตัวเล็กอยากรู้อะไรบ้างนะ?” ตะวันหันมามองค้อน ให้ผมต้องรีบพูด “พี่ไม่ได้ไม่ฟัง แต่พี่อยากให้ตัวเล็กถามทีละคำถาม พี่จะได้ตอบให้เคลียร์เป็นข้อๆ ไป ดีไหมครับ”

ผมพูดอ้อน ค่อยๆ ปะเหลาะน้องทีละนิด จนในที่สุดตะวันก็คลายแรงฟึดฟัดลงบ้าง ให้ผมได้ผ่อนแรงกอดรัดเหลือหลวมๆ แทน จากนั้นก็ลากเท้าทั้งที่มีตะวันอยู่ในอ้อมกอดไปนั่งที่เก้าอี้ที่อยู่ใกล้ๆ และดึงให้น้องนั่งลงมาบนตัก พร้อมกับโอบเอวบางไว้หลวมๆ เพราะไม่อยากให้น้องอึกอัดมากเกินไป

“คุณนลินีเป็นใครครับ” เสียงหวานที่ยังมีแววกระเง้ากระงอด ปลายเสียงสะบัดหน่อยๆ ให้ผมนึกรู้ว่าน้องน่าจะยังคงไม่ค่อยพอใจอยู่จึงรีบตอบคำถามน้องพลางคลอเคลียจมูกอยู่ที่แก้มนุ่มๆ ของตะวันไม่ห่าง

“นลินีเป็นคนรักเก่าของพี่ครับ เราคบกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย จนไปเรียนต่อเมืองนอกกลับมาไทยก็ยังคบอยู่ เธอเป็นผู้หญิงที่พี่วางแผนจะใช้ชีวิตคู่ด้วย” พอประโยคนี้จบลงก็ดูเหมือนร่างกายของตะวันจะเกร็งขึ้นมาเล็กน้อย ผมจึงลูบไปที่แผ่นหลังเล็กเบาๆ ราวกับจะปลอบประโลมแล้วพูดต่อ “แต่ทุกอย่างก็ไม่เป็นไปตามที่พี่ตั้งใจไว้ เพราะนลินีรับไม่ได้ที่พี่จะมีน้องพีเป็นลูกติด นลินีอยากแต่งงานกับพี่ แต่ไม่อยากมีลูก หรือถึงเธอจะมีลูก เด็กคนนั้นก็ต้องเกิดจากเธอเท่านั้น เธอไม่ค่อยรักและเอ็นดูน้องพีเท่าไหร่ เพราะคิดว่าน้องพีคืออุบัติเหตุและอุปสรรคชิ้นใหญ่ที่เข้ามาในชีวิตพี่และมาขวางทางเธอ เพราะฉะนั้นเธอจึงบังคับให้พี่เลือกระหว่างเธอกับน้องพี แน่นอนว่าพี่เลือกน้องพี พี่กับนลินีเลยเลิกกัน”

“แล้วทำไม?...” คิ้วเรียวสวยขมวดมุ่น ใบหน้าน่ารักยังคงเต็มไปด้วยความสงสัย มันน่าเอ็นดูเสียจนผมอดกดจมูกลงไปแรงๆ ไม่ได้ แค่คิดว่าจะไม่ได้เจอกันหลายวัน ในหัวใจผมก็วูบโหวงไปหมด ผมต้องคิดถึงตะวันมากแน่ๆ “ตะวันงง แล้วถ้าพี่พลัฎฐ์คบกับคุณนลินีคนเดียวมาโดยตลอด ไม่ได้คบคนอื่นเลย แล้วน้องพีเป็นลูกใครครับ?”

“คือว่า..” ผมกำลังจะตอบ แต่จู่ๆ ตะวันก็ตาโต แล้วฟาดมือเล็กลงบนไหล่ผมแรงๆ เสียหลายที จนผมอดโอดโอยออกมาไม่ได้ “โอ๊ย ตัวเล็ก ตีพี่ทำไมครับ?”

“พี่ตะวันมีกิ๊กแล้วพลาดใช่ไหม? พลาดจนทำผู้หญิงท้อง เลยมีน้องพีออกมาแบบนี้ ใช่ไหมครับ?” สีหน้าสงสัยของตะวันแปรเปลี่ยนเป็นโกรธจัด แก้มใสๆ แดงก่ำ แถมยังทำท่าจะดิ้นออกจากอ้อมกอดผมให้ได้

“เดี๋ยวๆ เดี๋ยวครับตัวเล็ก ไปกันใหญ่แล้ว เอาจากที่ไหนมาบอกกันว่าพี่คบซ้อน ไปทำผู้หญิงอื่นท้อง หื้ม?”

ใบหน้าน่ารักยังคงบูดบึ้ง ริมฝีปากบางสีสดยังคงขมุบขมิบต่อว่าผมไม่เลิก “ก็พี่พลัฎฐ์พูดเอง ว่าคุณนลินีบอกว่าน้องพีเป็นอุบัติเหตุในชีวิตพี่ เป็นอุปสรรคขวางทางเธอ”

ผมยิ้ม พร้อมกัมยื่นหน้าไปกัดปลายจมูกโด่งรั้นที่ดูดื้อดึงเหมือนเจ้าของเบาๆ ให้อีกฝ่ายได้ฟาดมือใส่ต้นแขนผมอีกรอบ

“บอกแล้วครับ บอกแล้ว” ผมปรับสีหน้าเป็นจริงจัง เพราะเรื่องที่จะพูดเกี่ยวกับน้องพีต่อจากนี้นั้นเป็นเรื่องที่ซีเรียสพอสมควร ซึ่งผมและครอบครัวไม่เคยได้บอกใครเลย “น้องพีไม่ใช่ลูกชายของพี่ครับ แต่เป็นลูกชายของพี่พลิศร์พี่ชายแท้ๆ ของพี่”

ตะวันตาเหลือก ตากลมที่โตอยู่แล้วกลับเบิกกว้างขึ้นยิ่งกว่าเดิม

“พี่ชายของพี่พลัฎฐ์เหรอครับ? แล้วตอนนี้เขา...” ผมยิ้มบางๆ ก่อนที่จะตอบตะวันด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย เพราะไม่อยากให้น้องตกใจ

“ใช่ครับ พี่ชายของพี่ ซึ่งตอนนี้เสียชีวิตไปแล้ว เสียชีวิตพร้อมกับภรรยาด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ตอนนั้นน้องพีน่าจะอายุได้ไม่กี่เดือน และด้วยเหตุผลอะไรหลายๆ อย่าง พี่เลยรับน้องพีเป็นลูกชายแทน”

ตะวันยกมือขึ้นปิดปาก ดูเหมือนตกใจมากที่เพิ่งได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมด ซึ่งนั่นก็ไม่แปลกเท่าไหร่ เพราะถึงแม้ครอบครัวผมจะเป็นที่รู้จักในวงสังคม แต่เรื่องราวภายในครอบครัวไม่ค่อยเป็นข่าวอะไรมากมาย อาจจะเพราะตัวพี่สะใภ้ผม หรือแม่ของน้องพีไม่ค่อยชอบเป็นที่รู้จัก นอกจากงานแต่งที่เป็นทางการที่คนทั่วไปรับรู้ เรื่องอื่นๆ ก็ไม่ได้หลุดรอดออกไปสักเท่าไหร่

ดังนั้น เรื่องที่เธอท้องและกำลังจะมีลูกกับพี่ชายผมจึงเป็นที่รับรู้กันในหมู่เพื่อนสนิทและญาติเท่านั้น และพอเมื่อพี่ชายและพี่สะใภ้ทั้งสองของผมเสียชีวิต ผมจึงรับน้องพีมาเป็นลูกบุญธรรมทันที แรกๆ ก็มีข่าวลือนั่นนี่นิดหน่อย แต่ผมไม่ได้ให้ความสนใจ ใครอยากพูดอะไรก็พูดไป จะนินทาอะไรผมๆ ก็ไม่ได้แคร์ แต่ผมคงยอมไม่ได้แน่ ถ้าจะมีใครมาพูดถึงหลานผมลับหลังว่าไม่มีพ่อมีแม่ หรือมาแสดงท่าทีเห็นอกเห็นใจจนเกินเหตุ ... สู้ให้คนคิดว่าผมเป็นพ่อลูกติดถูกเมียทิ้ง ยังดีกว่าให้คนนินทาว่าน้องพีเป็นลูกกำพร้าพ่อแม่เสียชีวิต เพราะอย่างน้อยมีผมเป็นพ่อ น้องพีก็ไม่จะถูกใครมองว่ากำพร้าด้วยสายตาเห็นอกเห็นใจทั้งนั้น

“ทำไมตะวัน?...” น้องดูเหมือนจะอยากพูดอะไร แต่ก็พูดไม่ออก เอาแต่อ้าปากแล้วหุบ หุบแล้วอ้าอยู่อย่างนั้น

ผมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆ แล้วยื่นหน้าไปจูบริมฝีปากเล็กๆ นั่นไว้ด้วยความเอ็นดู

“พี่ขอโทษนะครับตัวเล็กที่ไม่ได้บอกแต่แรก” ผมอธิบายต่อ เพราะไม่อยากให้คนที่อยู่ในอ้อมกอดสงสัยนาน “ที่พี่ไม่บอก ไม่ใช่เพราะไม่อยากบอก พี่เองก็รู้ว่าตัวเล็กกังวลในเรื่องนี้ แต่ด้วยความที่เรื่องนี้เป็นเรื่องค่อนข้างสำคัญ และพี่ตัดสินใจบอกตัวเล็กลำพังไม่ได้ พี่ต้องปรึกษาพ่อกับแม่ก่อน แต่พี่ดันใจเย็น เพราะเห็นว่าพวกท่านกำลังจะกลับมาไทยแล้ว เลยรั้งรอไปเรื่อย”

ผมถอนหายใจนิดหน่อยก่อนพูดต่อ “พี่เองก็ไม่คิดว่านลินีจะกลับมา เหตุการณ์มันเลยบานปลายจนพี่ร้อนใจ โทรไปปรึกษาแม่มาเมื่อคืน ก็เลยได้ข้อสรุปว่า...”

“ว่าไงครับ?” ตะวันเอียงคอน้อยๆ อย่างสงสัย ซึ่งช่างน่ารักเหลือเกินในสายตาผม

“ว่าพี่ควรรีบบอกตัวเล็ก เพราะตัวเล็กคือคนสำคัญของพี่ คือคนที่พี่อยากจะให้มาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว” ผมยิ้มบางๆ ก่อนจะเลื่อนใบหน้าเอาแก้มไปแนบกับแก้มน้องด้วยท่าทางออดอ้อน “หนูรู้ไหมว่าพี่โดนแม่ดุด้วย ที่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปนานจนหนูคิดมาก ... พี่ขอโทษนะครับ”

ตะวันย่นจมูกใส่ผม ก่อนที่จะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ตากลมมองค้อนผมจนใจผมวูบโหวงไปหมด เพราะกลัวว่าน้องจะโกรธแล้วไม่ยอมให้อภัย

“พี่นี่น่าตีจริงๆ” เสียงหวานต่อว่าไม่จริงจัง ก่อนที่แขนเรียวจะถูกยกมาโอบรอบคอผม “พี่บอกตะวันก็ได้นี่ครับว่าพี่ขอปรึกษาที่บ้านเรื่องน้องพีก่อน แล้วพี่จะมาเล่าให้ตะวันฟัง แต่นี่พี่เล่นเงียบเฉย ไม่พูดไม่บอกอะไรเลย แล้วจะไม่ให้ตะวันคิดมากได้ยังไง”

ผมหน้าเสีย รู้สึกแย่มากๆ เพราะที่จริงเรื่องมันก็ง่ายๆ แบบที่น้องบอก แต่ผมมัวไปคิดเยอะคิดแยะ คิดแทนทุกคนไปหมด จนเกือบที่จะทำให้เสียเรื่อง ยังดีที่น้องเข้าใจเรื่องทุกอย่างโดยง่าย ไม่งอแงหรือสร้างความหนักใจอะไรให้ผม

“พี่ขอโทษนะครับตัวเล็ก พี่ผิดเอง ผิดเต็มๆ เลยด้วยเรื่องนี้”

ผมรับสารภาพเสียงเศร้า ในขณะที่ตะวันเองก็ส่ายหน้าเบาๆ พร้อมกับส่งยิ้มน่ารักมากมาให้

“ช่างมันเถอะครับ ตอนนี้ตะวันเข้าใจทุกอย่างแล้ว” ตะวันขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะซุกตัวเข้ามาซบผม ให้ผมต้องขยับวงแขนกอดน้องให้แน่นขึ้น “แต่คราวหน้า พี่มีอะไรต้องบอกตะวันนะครับ เพราะพอพี่ปล่อยไว้เรื่องมันก็เลยเถิดแบบนี้ ยิ่งนี่คุณพ่อยื่นคำขาดแล้วด้วยว่า ให้พี่ไปจัดการเคลียร์ตัวเองให้เรียบร้อยแล้วค่อยมาเจอตะวัน ... แล้วอีกกี่วันถึงจะเรียบร้อยก็ไม่รู้”

ประโยคสุดท้ายเสียงหวานพูดงุ้งงิ้งเบาๆ แต่ผมก็ได้ยินชัดเจน ทำเอาผมอดหัวเราะออกมาไม่ได้

“พี่สัญญานะครับว่าจะรีบจัดการทุกอย่างให้เสร็จโดยเร็ว แล้วจะรีบกลับมากอดหนูนะ” ผมกระชับอ้อมกอดพร้อมๆ กับที่จูบหนักๆ ลงบนขมับของคนตัวเล็กกว่า

“แต่ตะวันว่าคุณนลินีเธอไม่ยอมแพ้ง่ายๆ แน่ ดูท่าทางจะโมโหเราสองคนมาก”

ตะวันพูดในสิ่งที่ผมเองก็แอบกังวลอยู่ลึกๆ แต่ผมก็มั่นใจว่าตัวเองน่าจะจัดการได้

“ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ พี่จะรีบเคลียร์ทุกอย่างให้เรียบร้อย ... แล้วถ้าเรียบร้อยแล้ว หนูให้รางวัลพี่ด้วยการให้พี่พาไปเที่ยวสวนสัตว์ได้ไหมครับ”

ผมพูดแหย่ ทำเอาตะวันแก้มแดงก่ำ ดูก็รู้ว่าน้องเข้าใจว่าผมไม่ได้หมายถึงการไปเที่ยวสวนสัตว์จริงๆ

“พี่นี่ทะลึ่ง!!” ตะวันผละออกพร้อมกับฟาดมือลงบนต้นแขนผมเต็มแรง

เขินรุนแรงเหลือเกินที่รักผมเนี่ย

“ฮ่าๆๆๆ” ผมขำออกมา ใจชื้นขึ้นนิดหน่อยที่เห็นตะวันของผมดูผ่อนคลายมากกว่าเมื่อกี้ และที่สำคัญผมรู้สึกโล่งใจมากที่เคลียร์กับตะวันรู้เรื่อง น้องเข้าใจในสิ่งที่ผมพูดบอกออกไปทุกอย่าง สมกับเป็นแสงอาทิตย์ที่สดใสของผมจริงๆ

“สู้ๆ นะครับพี่พลัฎฐ์ ตะวันเอาใจช่วย” น้องว่าพลางใช้มือเล็กๆ ตัวเองประคองแก้มทั้งสองข้างของผมไว้ ราวกับต้องการจะถ่ายทอดกำลังใจ “รีบกลับมาหาตะวันนะครับ ตะวันจะคอย”

“ครับ พี่จะรีบกลับมาหาหนูนะ”

ผมตอบรับพร้อมกับเคลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้วงหน้าน่ารักๆ ของน้อง พลางใช้มือข้างที่ว่างกดรั้งท้ายทอยของคนที่อยู่บนตักให้เข้ามาใกล้ ก่อนจะกดริมฝีปากลงไปบนริมฝีปากของอีกคนอย่างแผ่วเบา อ่อนโยน และทะนุถนอม

ผมดูดดึงริมมฝีปากของน้องเบาๆ ก่อนที่จะไล้ลิ้นไปตามร่องปากเล็ก ให้น้องได้เผยอริมฝีปากออกช้าๆ จนผมสอดลิ้นเข้าไปกวาดต้อนความหอมหวานภายในจนได้หมด เรียวลิ้นของเราทั้งสองเกี่ยวกระหวัดรัดรึงกันอย่างโหยหา ราวกับจะชดเชยเวลาในอีกไม่กี่วันข้างหน้าที่จะไม่ได้เจอกัน

เสียงน้ำลายเฉอะแฉะของเราทั้งคู่ดังอยู่ที่ข้างหูผม เรียวลิ้นเราเกี่ยวพันและดูดดึงกันอย่างไม่มีใครยอมใคร จนน้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้เพราะดูเหมือนลมหายกำลังจะขาดห้วง ถึงได้ยกมือเล็กๆ ขึ้นทุบอกผมเบาๆ เพื่อร้องขอให้ปล่อย

ผมตัดสินใจละริมฝีปากออกแล้วผละมามองใบหน้าน่ารักที่ตอนนี้เห่อแดงไปทั่วลามไปถึงยันคอ

ตะวันหอบหายใจน้อยๆ ริมฝีปากที่แดงอยู่แล้วกลับแดงมากขึ้นจนน่าจะจูบย้ำๆ ลงไปอีกสักรอบ ในขณะที่มุมปากนุ่มมีน้ำใสไหลติดอยู่นิดๆ ผมจึงก้มลงไปเลียเบาๆ เพื่อทำความสะอาดให้ และปิดท้ายด้วยการจูบหนักๆ ลงบนริมฝีปากหวานๆ นั้นอีกครั้ง

จูบที่เกิดขึ้นหลังจากที่เราเข้าใจกันมันหวานกว่าปกติ หวานจนผมแทบจะห้ามตัวเองไม่ให้ก้มลงไปขโมยริมฝีปากของน้องมาเป็นของตัวเองอีกครั้งไม่ไหว ดีที่เสียงเจื้อยแจ้วของเจ้าอาทิตย์ดังลั่นเข้ามาก่อนที่ร่างเล็กๆ จะวิ่งเข้ามา ทำให้ผมกับตะวันต้องผละออกจากกันอย่างน่าเสียดาย

“พี่ตะวันนน ปะป๊าพะลัดดดด”

“ครับๆ ว่าไงอาทิตย์” ตะวันขานรับพร้อมกับลุกขึ้นยืน ลูบหน้าลูบตาให้ดูปกติที่สุด แต่ผมกลับมองว่ายิ่งตะวันทำแบบนั้นมันยิ่งดูไม่ปกติมากกว่า

“คุณพ่อให้อาทิตย์มาบอกว่าออกไปได้แล้ว นานเกินไปแล้วครับ”

ผมหน้าตูมทันที เพราะรู้สึกว่ากำลังถูกว่าที่คุณพ่อตากลั่นแกล้ง แต่ตะวันกลับหัวเราะออกมาเบาๆ พร้อมกับก้มลงไปอุ้มน้องชายขึ้นมากอดไว้แนบอก พร้อมกับเตรียมจะเดินออกไป

“โอเคครับ ออกไปหาคุณพ่อกับคุณแม่กัน” ตะวันชะงัก ก่อนจะถามอาทิตย์ราวกับนึกขึ้นได้ “ว่าแต่น้องพีล่ะครับอาทิตย์ น้องพีอยู่ไหน หื้ม?”

ผมเองก็ขมวดคิ้วประหลาดใจอยู่ไม่น้อย เพราะปกติอาทิตย์น่ะตัวติดกับลูกชายผมอย่างกับอะไรดี

“อ๋อ น้องพีอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ครับ” อาทิตย์เล่าพลางทำสีหน้าภูมิอกภูมิใจ “คุณแม่บอกว่าน้องพีน่ารัก คุณพ่อก็บอก บอกว่าชอบน้องพีมาก อยากให้น้องพีมาอยู่บ้านเราทุกวัน”

ตะวันตาโตเมื่อได้ยินน้องชายพูดแบบนั้น ผมเองก็อดดีใจไม่ได้ที่ลูกชายเข้ากันได้ดีกับครอบครัวของตะวัน ก่อนที่ผมจะชะงักเพราะคิดอะไรขึ้นมาได้

“ท่าทางคุณพ่อกับคุณแม่คงจะหลงเสน่ห์น้องพีแล้วล่ะครับ พี่พลัฎฐ์ตกกระป๋องแน่ๆ”

ตะวันหันมาแซวผมพร้อมกับหัวเราะเอิ๊กอ๊าก โดยมีเจ้าอาทิตย์หัวเราะตาม ทั้งที่ก็ไม่ได้รู้หรอกว่าตะวันหัวเราะอะไร ทำเอาผมที่เห็นความร่าเริงของสองพี่น้องแล้วอดหัวเราะตามไม่ได้ จนกระทั่งเดินมาถึงส่วนของหน้าร้านนั่นแหละ ผมถึงต้องเงียบ เพราะว่าที่คุณพ่อตาจ้องเขม็งมองผมจนตาแทบหลุด

“ปะป๊าพะลัดมาแย้วววว” น้องพีที่นั่งอยู่บนตักของคุณพ่อของตะวันหันมามองหน้าผมพร้อมกับส่งยิ้มตาหยีมาให้ ก่อนที่จะหันกลับไปหาคุณพ่อของน้องอีกครั้ง แล้วเอ่ยขออนุญาตอย่างมีมารยาท ตามที่ผมเคยสอนไว้ “คุณตา น้องพีขอไปหาปะป๊าได้ไหมคับ”

“อื้อ ไปสิลูก” พอท่านอนุญาต ก็อุ้มน้องพีลงจากตักให้มายืนกับพื้น เจ้าตัวน้อยก็ถลามาให้ผมอุ้มทันที

“ว่าไงครับน้องพี ไปซนอะไรให้คุณตากับคุณยายปวดหัวหรือเปล่าครับ”

เจ้าตัวน้อยของผมส่ายหน้าหวือ ก่อนที่จะเอียงคอเล่าเจื้อยแจ้วอย่างอารมณ์ดี ซึ่งผมเองที่เห็นลูกลืมเหตุการณ์แย่ๆ เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าได้ก็ยิ้มออก

“น้องพีไม่ดื้อเยยคับ คุณตากับคุณยายใจดี ใจดีเหมือนคุณปู่กับคุณย่าเยย” ผมได้ยินก็ยิ้มออกมาบางๆ พร้อมกับเอ่ยบอกลูก

“ดีครับ ถ้าคุณตากับคุณยายใจดี น้องพีก็ต้องเชื่อฟังท่านนะครับ เพราะคุณตากับคุณยายเป็นคุณพ่อคุณแม่ของพี่ตะวันกับคุณอาทิตย์ น้องพีต้องเคารพพวกท่านเหมือนที่เคารพคุณปู่คุณย่า แล้วก็คุณตาคุณยายของน้องพีนะ”

ผมสอนลูก ซึ่งเจ้าหนูน้อยก็พยักหน้ารับหงึกหงัก ไม่รู้ว่าเข้าใจมากน้อยแค่ไหน แต่ผมเชื่อว่าน้องพีจะเข้ากันได้ดีกับครอบครัวของตะวันแน่ๆ

และในขณะที่ผมกำลังคิดอยู่ว่าจะขออยู่ทานข้าวอีกสักมื้อ ให้ได้อยู่กับตะวันอีกนานสักนิดก่อนกลับดีหรือไม่นั้น คุณพ่อของน้องก็เอ่ยเสียงเรียบขึ้น

“อยู่ทานข้าวกลางวันด้วยกันก่อนจะไปสิ” ผมยิ้มร่า เตรียมจะกล่าวขอบคุณเต็มที่ถ้าไม่ติดว่าได้ยินประโยคต่อมาเสียก่อน “กลัวน้องพีจะหิว เป็นเด็กต้องทานข้าวให้เป็นเวลา”

ผมยิ้มเจื่อน ในขณะที่ตะวันกับคุณแม่กลั้นขำจนไหล่สั่น “ได้ครับคุณอา ขอบคุณนะครับ”

แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังพยายามปลอบใจตัวเองว่า ยังไงเสียอย่างน้อย ตอนนี้คุณพ่อของน้องก็ดูใจอ่อนลงกว่าเมื่อกี้มาก ... ซึ่งผมคิดว่าน้องพีนี่แหละที่ทำให้ท่านยอมลงให้ผมมากขึ้น

แต่ประโยคต่อมาของคุณพ่อของน้องนี่สิที่ทำให้ผมเนื้อเต้นของจริง

“คุยกันมาเรียบร้อยแล้วใช่ไหม ยังไงก็นั่นแหละตามที่ผมบอก ไปจัดการตัวเองให้เรียบร้อย สำหรับน้องพีก็พามาเล่นกับเจ้าอาทิตย์ตามปกติได้ หรือจะไปรับไปส่งกันผมก็ไม่ได้ห้าม แต่... ให้เจอกันแค่ตอนพามารับมาส่งนะ ไม่ได้ให้เจอให้นั่งคุยกันเป็นชั่วโมงๆ แบบที่ผ่านมาได้ เข้าใจที่พ่อพูดใช่ไหมพี่ตะวัน”

ผมยิ้มกว้าง ได้แค่นี้ผมก็ดีใจแล้ว แค่ได้เห็นหน้าตะวันย่อมดีกว่าตัดการติดต่อเงียบหายไปเลยหลายวัน ไม่งั้นผมขาดใจแน่ ซึ่งน้องเองก็เหมือนดีใจไม่ต่าง เพราะตะวันหันมามองหน้าผมพร้อมส่งยิ้มกว้างให้

“เข้าใจครับคุณพ่อ ตะวันเข้าใจ”

ผมเองก็รีบเสนอหน้าตอบพร้อมรอยยิ้มกว้างเช่นกัน “ผมก็เข้าใจครับคุณอา”

“เอาเถอะ พี่ตะวันไปช่วยในครัวทำอาหารส่งได้แล้วไป เห็นวันดีมากจากตลาดแล้วเมื่อกี้ เสร็จแล้วก็ทำเผื่อมื้อกลางวันด้วยแล้วกัน พ่ออยากกินน้ำพริกกะปิฝีมือเราจะแย่แล้ว”

“ครับพ่อ เดี๋ยวตะวันจะทำให้ทานนะ” คุณพ่อของตะวันพยักหน้ารับยิ้มๆ ก่อนจะหันมากวักมือเรียกลูกชายผมกับลูกชายตัวเองที่ยืนอยู่ใกล้ๆ กัน

“อาทิตย์น้องพี มาทางนี้มาลูกมา ไหนมาบอกพ่อบอกตาสิ ว่าเราสองคนอยากกินอะไรกัน”

ใบหน้าที่เรียบตึงของว่าที่คุณพ่อตายามพูดกับผมเปลี่ยนเป็นยิ้มบางๆ อย่างอ่อนโยนยามพูดกับลูกชายคนเล็กของตัวเองและลูกชายของผม ... ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าเด็กเล็กๆ นี่สามารถสร้างปาฎิหารย์ที่ยิ่งใหญ่ได้จริงๆ

เอาเป็นว่าน้องพีลูกพ่อ ให้พ่อได้พึ่งใบบุญหน่อยแล้วกันนะลูกนะ อย่างน้อยก็ช่วงที่พ่อโดนภารทัณฑ์ก็ยังดี

.

.

.

To Be Continue

------------------------------------------

มันมีจริงๆ นะคะคนที่คิดเยอะจนกลายเป็นผิดพลาด ทั้งที่บางเรื่องมันก็ง่ายๆ แต่ดันไปทำให้มันยาก เพราะคิดแทนคนอื่น ซึ่งอิพี่พะลัดนี่ล่ะที่เป็นคนๆ นั้น 555555555555

ฝากคอมเม้นท์ และติดแท็ก #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว ในทวิตเตอร์นะคะ ขอบคุณทุกคนมากๆ ที่อยู่มาด้วยกันจนถึงทุกวันนี้ ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจและคอมเม้นท์ ขอบคุณมากจริงๆ ค่ะ

ไว้เจอกันตอนหน้านะคะ ... รักทุกคนมากๆ จ้า ❤
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 21st - 27/08/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 27-08-2019 20:32:53
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 21st - 27/08/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 27-08-2019 21:38:19
 :pig4: :pig4: :pig4:

คุณตาหลงหลานอ่ะ  อิอิ
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 21st - 27/08/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: noy ที่ 28-08-2019 01:37:59
 :mew1: :mew1: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 21st - 27/08/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 28-08-2019 08:07:12
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 22nd - 31/8/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 31-08-2019 17:46:27
:: Chapter 22nd - เปิดตัว ::


Palat’s Part

และแล้วสิ่งที่ผมกับตะวันกังวลก็เป็นจริง เมื่อผมเห็นกรอบข่าวเล็กๆ ในหน้าสังคม เป็นข่าวซุบซิบเรื่องของผมกับตะวันถูกเขียนขึ้น


‘แอบได้ยินมาว่าลูกชายของท่านประธานของนิตยสารหัวใหญ่รายหนึ่งจะแอบคั่วอยู่กับลูกชายของนักวิจารณ์อาหารชื่อดัง อ่านไม่ผิดหรอกค่ะ ลูกชายของทั้งสองฝั่งกำลังคั่วกันอยู่เงียบๆ เสียดายจังเลยนะคะเพราะโปรไฟล์และหน้าตาของทั้งคู่เรียกได้ว่าเพอร์เฟ็กต์ มากินกันเองแบบนี้ประชากรหญิงของไทยคงน้ำตาเช็ดหัวเข่าเป็นแถบๆ แต่ถึงจะกินกันแบบนี้ก็ไม่ต้องห่วงเรื่องทายาทค่ะ เพราะแว่วมาว่าฝั่งของลูกชายเจ้าของนิตยสารหนีบทายาทตัวน้อยๆ ไว้รออยู่แล้ว ไม่ต้องมีปัญหาเรื่องจ้างใครมาอุ้มบุญอุ้มบาปให้หนักอกหนักใจ’


ผมกำมือแน่นทันทีที่อ่านจบ ก่อนจะกดอินเอตร์คอมฯ เรียกเลขาคนสนิทเข้ามาหาโดยเร็ว

“คุณฝ้าย เชิญหน่อยครับ ผมมีเรื่องจะให้จัดการ”

.... ในเมื่อเล่นไม้นี้กับผม ผมก็จะเล่นไม้นี้ตอบเหมือนกัน

.

.

.

(จะดีเหรอครับพี่พลัฎฐ์?)

เสียงหวานของอีกฝั่งของสายเอ่ยถามผมอย่างไม่ค่อยสบายใจ เพราะตอนนี้ผมกับตะวันกำลังคุยโทรศัพท์กันอยู่ และผมก็บอกน้องถึงแผนการที่ผมวางไว้ ก็เลยเป็นที่มาให้น้องถามประโยคนั้นออกมานั่นแหละ

“สำหรับพี่ พี่คิดว่ามันดี และพี่ก็อยากทำ แต่พี่ต้องมาถามตัวเล็กก่อนว่าตัวเล็กจะโอเคไหม ถ้าพี่จะทำแบบนี้”

ผมถามน้องด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและไม่คิดกดดัน ผมตามใจน้องเสมอ ถ้าน้องตกลงผมก็เดินหน้าต่อ แต่ถ้าน้องไม่เห็นด้วยหรือไม่อยากทำตามแผนที่ผมคิดไว้ ผมก็แค่คิดแผนใหม่และล้มเลิกแผนการนี้ไปแค่นั้น

(ตะวันน่ะ ไม่ได้มีปัญหากับแผนที่พลัฎฐ์บอกนะครับเพราะตะวันเองก็เป็นแค่คนธรรมดา ไม่ได้มีใครรู้จักอะไรเท่าไหร่ แต่พี่พลัฎฐ์น่ะสิ พี่เป็นถึงรองประธานฯ บริษัท ถ้าทำแบบนี้ตะวันกังวลว่า...)

“ไม่เอาครับตัวเล็ก ตัวเล็กห้ามคิดแบบนี้” ผมรีบพูดสวนออกไปทันทีก่อนที่ตะวันจะพูดจบประโยค “ห้ามคิดว่าตัวเองเป็นแค่คนธรรมดา ไม่ได้มีชื่อเสียงเลยไม่จำเป็นที่จะต้องสนใจอะไรมากถ้ามีคนพูดถึง เพราะสำหรับพี่ ตัวเล็กคือคนสำคัญ เป็นคนที่พี่แคร์และพี่ต้องคิดถึงเป็นอันดับต้นๆ ในชีวิต”

(พี่พลัฎฐ์..)

“จำไว้นะครับไม่ว่าตัวเล็กจะเป็นคนธรรมดาหรือไม่ธรรมดา มีชื่อเสียงหรือไม่มีชื่อเสียงนั่นไม่ใช่ประเด็น ที่สำคัญคือตัวเล็กเป็นคนรักของพี่ เป็นคนที่พี่จริงจังและอยากร่วมชีวิตด้วย ดังนั้นพี่จะไม่ยอมเด็ดขาดถ้าตัวเล็กรู้สึกไม่โอเคที่จะให้ใครพูดถึงหรือนินทา เอาที่ตัวเล็กสบายใจที่สุด นั่นคือประเด็นหลักที่พี่มาถามตัวเล็กในวันนี้”

พอผมร่ายจบคนในสายก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะตอบเสียงใสน่าฟัง ให้นึกอยากจับมาฟัดให้หายคิดถึง

(ตะวันไม่มีปัญหาครับ ถ้าพี่พลัฎฐ์คิดมาแล้วว่าดี ตะวันก็สนับสนุน เพราะตะวันเชื่อใจพี่ ตะวันรู้ว่าพี่จะคิดและเลือกสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อตะวันเสมอ)

“เฮ้อ” ผมถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง หลังจากได้ยินตะวันพูดจบ จนน้องต้องร้องถามด้วยความแปลกใจ

(เป็นอะไรเหรอครับพี่พลัฎฐ์?)

“คิดถึงหนูจังเลยครับ ยิ่งได้ยินคำพูดคำจาน่ารักแบบบนี้พี่ยิ่งคิดถึงหนู” ผมพูดพลางยิ้มกริ่ม นึกรู้ว่าตอนนี้ตะวันต้องเขินจนแก้มใสทั้งสองข้างแดงก่ำแน่ๆ “อยากกอดอยากหอม ทุกวันนี้ได้เจอก็ได้แค่มองหน้าเฉยๆ เอง พี่ไม่หายคิดถึงเลยครับ”

ผมส่งเสียงออดอ้อนขอความเห็นใจ แต่น้องกลับไม่ได้พูดอะไรตอบเอาแต่หัวเราะอย่างเดียวจนผมนึกมันเขี้ยว

(พี่ต้องอดทนครับ เพราะคุณพ่อไม่ยอม หึๆ .. แต่ตะวันว่าอย่างน้อยก็ยังดีกว่าไม่ได้เจอกันเลยนะครับ เพราะสำหรับตะวันแล้ว แค่ได้เห็นว่าพี่สบายดี ไม่เจ็บไม่ป่วยอะไร ตะวันก็พอใจมากๆ แล้ว)

“หนู.. ยิ่งหนูพูดอย่างนี้พี่ยิ่งทรมานนะครับ ... อยากกอดมากกว่าเดิมอีกเนี่ย” ผมอ้อน ก่อนจะคิดอะไรบางอย่างออก เลยตั้งใจว่าจะหยอดน้องไว้สักหน่อย เผื่อน้องงงๆ อาจจะยอมตกลงก็ได้ “ถ้าทุกอย่างเรียบร้อยแล้วหนูยอมให้พี่พาไปเที่ยวสวนสัตว์ ก็คงจะดี ได้ไหมครับ?”

ตะวันเงียบไปจนผมต้องยกมือถือออกจากหูเพื่อดูว่าสายหลุดหรือเปล่า เมื่อเห็นว่าตัวเลขเวลาที่หน้าจอยังเดินปกติเหมือนกำลังใช้สายอยู่ ผมเลยเอาโทรศัพท์กลับมาแนบหูอีกครั้ง และตอนที่กำลังคิดว่าจะพูดแก้เก้อไปดีไหมว่าพูดเล่น ตะวันก็ตอบกลับมาก่อน

(กะ.. ก็ไปสิครับ ต.. ตะวันไม่ได้จะห้ามอะไรสักหน่อย) เสียงหวานพูดงุ้งงิ้ง ดูเหมือนจะเอ่ยไม่ได้เต็มปากสักเท่าไหร่ ในขณะที่ผมนี่เนื้อเต้นไปหมด พอได้ยินว่าน้องใจอ่อนยอมตกลง

“จริงนะครับตัวเล็ก! หนูพูดแล้ว!! ห้ามคืนคำนะครับ” ผมย้ำ จนน้องเขินตอบกลับมาเสียงสะบัดนั่นแหละ ผมถึงยอมหยุด ไม่กล้าเซ้าซี้ต่อกลัวน้องเปลี่ยนใจ

(อื้อ! พี่พลัฎฐ์อย่าย้ำนักสิครับ”)

“ฮ่าๆ ไม่ย้ำแล้วๆ” ผมเรีบเปลี่ยนเรื่อง เพราะกลัวน้องเปลี่ยนใจขึ้นมาจริงๆ “ว่าแต่คุณพ่อกับคุณแม่โอเคใช่ไหมครับกับแผนที่พี่บอกตะวันไว้”

ผมต้องรีบถามไว้ก่อน เพราะสิ่งที่ผมตั้งใจจะทำมันต้องกระทบเป็นวงกว้างแน่ๆ ... โอเค ใช่ สำหรับตะวัน น้องอาจจะยังไม่ได้เป็นที่รู้จักของคนหมู่มาก แต่คุณพ่อกับคุณแม่ของน้องเป็นนักวิจารณ์อาหาร แน่นอนว่าต้องมีคนจำนวนไม่น้อยที่พอจะรู้จักพวกท่านอยู่บ้าง ผมเลยจึงจำเป็นต้องถามความสมัครใจไปทางคุณพ่อคุณแม่ของน้องด้วย

“คุณพ่อบอกว่าให้พี่ตัดสินใจไปตามสมควรเลยครับ ท่านบอกว่าท่านเป็นคนบอกให้พี่หาทางจบปัญหาทุกอย่างเอง ดังนั้นถ้าพี่คิดอยากจะทำแบบนี้ก็ทำไปได้เลยครับ ท่านไม่ได้กังวลอะไร”

“ตกลงครับ งั้นเดี๋ยวพี่ไปถามทางทีมก่อนนะครับ แล้วพี่จะโทรไปบอกอีกที” ผมกำชับพร้อมกับรอยยิ้ม เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นเมื่อทางตะวันเองก็เห็นดีด้วย

(ได้ครับ พี่พลัฎฐ์นัดวันมานะ ตะวันจะได้เตรียมตัว) ผมได้ยินเสียงเรียกคนรักดังแว่วๆ มาในสาย เดาว่าน่าจะเป็นเสียงของเด็กในร้านแน่ๆ (ถ้างั้นตะวันไปก่อนนะครับพี่พลัฎฐ์ ลูกค้าเริ่มเยอะแล้ว)

“ครับ ไปเถอะครับ เดี๋ยวพี่ก็จะกลับไปทำงานเหมือนกันครับ”

ผมได้ยินเสียงน้องอึกๆ อักๆ เหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่พูดสักที จนผมจะอ้าปากจะถาม น้องถึงได้หลุดพูดออกมา เป็นเสียงเบาๆ ฟังดูเขินอาย แต่กลับทำให้ผมใจเต้นแรงจนแทบจะทะลุออกมานอกอก

(ตะวันคิดถึงพี่พลัฎฐ์นะครับ) อันนี้ว่าพีคแล้ว เจอประโยคต่อมายิ่งพีคมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม (รีบจัดการให้เสร็จไวๆ นะครับ.. แล้วเดี๋ยวเราไปเที่ยวสวนสัตว์กัน)

ถึงจะเป็นเสียงพูดเบาๆ งุ้งๆ งิ้งๆ แต่ผมกลับได้ยินชัดเจน ฟังแล้วหน้าบานจนหุบยิ้มแทบไม่ลง

“หนู!! รอเลย!! พี่บอกตามตรงว่าพี่ฮึกเหิมมาก อยากไปสวนสัตว์ที่สุด!!”

พอได้ยินผมสติหลุด หมดมาดของท่านรองประธานฯ ส่วนตะวันเอง พอได้ยินที่ผมพูด ก็หัวเราะออกมาเบาๆ ทำเอาผมขำไปด้วย

(พี่นี่ทะลึ่งจริงๆ ไม่คุยด้วยแล้ว ตะวันไปทำงานดีกว่า.. ไปนะครับพี่พลัฎฐ์ ไว้ค่อยคุยกัน)

“ครับ พี่รักหนูนะ” ผมบอกน้องเสียงหวานก่อนที่จะได้ยินน้องรับคำเบาๆ ให้ผมได้ชุ่มชื่นหัวใจ

(อื้อ ตะวันก็รักพี่ครับ)

พอสิ้นสุดประโยคนั้นสายก็ตัดไป ผมนั่งมองโทรศัพท์ในมือพร้อมกับยิ้มกว้างเป็นบ้าเป็นหลังไม่หุบ

... มาจัดการให้จบๆ ไปได้แล้วพลัฎฐ์!! สวนสัตว์รออยู่ไม่รู้รึไง!!!

.

.

.

และแล้ววันนี้ก็มาถึง

วันนี้เป็นวันที่ผมอารมณ์ดีมากที่สุด ไม่ใช่แค่เพราะว่าจะเป็นวันที่ผมจะได้จัดการเคลียร์ปัญหาของตัวเองให้เสร็จสิ้น แต่เป็นเพราะวันนี้เป็นวันที่ผมจะได้เจอตะวันด้วย เลยทำให้ผมอารมณ์ดีมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

ซึ่งผมก็รออยู่ไม่นาน คุณฝ้าย เลขาฯ คนสนิทของผมก็พาตะวันที่วันนี้อยู่ในชุดสูทแฟชั่นทับเสื้อยืดสีฟ้ากับกางเกงสกินนี่และรองเท้าผ้าใบ ซึ่งน่ารักมากๆ ในสายตาผม เข้ามาในห้อง ส่งผลให้ผมยิ้มกว้างดูสดใสมากจนผู้คนที่อยู่รอบข้างที่ไม่เคยเห็นผมในโหมดนี้ต่างพากันลอบมองด้วยความสนใจ และตัวผมเองก็ไม่คิดจะคีพลุคส์หรือรักษาภาพพจน์อะไรทั้งสิ้น เพราะผมมีความสุมากจริงๆ นี่ถ้าไม่ติดว่าพุ่งเข้าไปกอดแล้วจะโดนน้องด่า ผมคงพุ่งเข้าไปหาตั้งแต่ตะวันเปิดประตูเข้ามาแล้ว

“ตัวเล็ก.. มาแล้วหรอครับ”

ตะวันเดินเขินๆ เข้ามาหาผม ใบหน้าน่ารักดูประหม่าเล็กน้อย ในขณะที่ตากลมก็ดูเหมือนจะไม่กล้ามองไปตรงไหนเลย นอกจากใบหน้าของผม ซึ่งน่าจะเป็นเพราะตอนนี้ทุกคนต่างพุ่งความสนใจไปที่ตะวันทั้งหมด เลยทำให้น้องทำตัวไม่ค่อยจะถูก

“ครับ ตะวันมาแล้ว” น้องเดินตรงเข้ามาหาผมตอนที่ผมยื่นมือส่งไปให้น้องจับ ตะวันลังเล็กน้อยตอนเหลือบมองไปลอบๆ แต่เมื่อตากลมหันมาสบผม ความลังเลเหล่านั้นก็หมดไป มือเล็กยื่นมาจับมือผมไว้ทันที

มือของตะวันเย็นเฉียบ ผมเลยดึงน้องเบาๆ ให้เข้ามายืนใกล้ๆ ก่อนจะกระซิบบอกด้วยน้ำเสียงอบอุ่นแบบที่ตะวันชอบ

“ไม่ต้องตื่นเต้นนะ ตัวเล็กแค่เชื่อใจพี่ก็พอ”

ซึ่งพอตะวันพยักหน้ารับ ผมก็หันไปส่งสัญญาณให้คุณฝ้ายทันที และคุณฝ้ายก็ไม่ทำให้ผมผิดหวัง เธอจัดการปรบมือให้ดังพอสมควรอยู่สองสามที ก็เรียกความสนใจจากทุกคนที่ยืนประจำตามหน้าที่ให้หันมามองได้

“อ่ะ เอาล่ะค่ะ ตอนนี้ท่านรองประธานฯ กับคุณตะวันพร้อมแล้ว เดี๋ยวช่างหน้าช่างผมจัดการดูความเรียบร้อยได้เลยนะคะ” คุณฝ้ายว่าก่อนจะหันไปหาสาวประเภทสองที่ยิ้มอ้อล้อยืนอยู่ไม่ห่างด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มแต่ก็แฝงไว้ด้วยความจริงจัง “เดี๋ยวฝ้ายรบกวนขอแต่งบางๆ พอนะคะ อยากให้เป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะคุณตะวันไม่ต้องแต่งมากก็ได้ค่ะ เพราะผิวคุณตะวันดีอยู่แล้ว ถ่ายรูปออกมาน่าจะพอได้อยู่”

“จัดให้ค่ะคุณฝ้าย”

พอได้ยินสาวสองรับปากคุณฝ้ายก็หันไปอีกทาง พร้อมกับกำชับด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“แล้วคำถาม ฝ้ายขออนุญาตกำหนดนะคะว่าให้ถามตามสคริปต์ ไม่มีถามเพิ่ม ถามลด เอาตามที่ฝ้ายบรีฟไปและบอกไว้เท่านั้น”

“ได้ครับคุณฝ้าย”

ผมมองคุณฝ้ายสั่งงานนู่นนี่นั่นคร่าวๆ ก่อนจะหันมาหาคนที่นั่งข้างกาย ซึ่งตอนนี้หันไปทางนั้นทีทางนี้ทีจนคอแทบพลิก ตะวันดูตื่นตาตื่นใจกับการทำงานของทุกฝ่ายจนผมอดยื่นมือไปหยิกแก้มนิ่มของน้องด้วยความเอ็นดูไม่ได้

“สนใจอะไรครับตัวเล็ก พี่นั่งอยู่นี่ ไม่คิดจะมองมาที่พี่หน่อยเหรอ หื้ม?” ผมขยับเข้าไปถามน้องใกล้ๆ ให้ตะวันผงะตกใจตอนที่หันมามองแล้วเห็นว่าใบหน้าตัวเองอยู่ห่างจากผมไม่ถึงคืบ ก่อนที่มือเล็กจะจัดการดันใบหน้าของผมออก แล้วย่นจมูกใส่อย่างน่ารัก

“ก็พี่พลัฎฐ์ไม่น่าสนใจเท่าคนอื่นนี่ครับ” น้องบอกเสียงเย้ยๆ คงจะนึกซนอยากแหย่ผมเล่นแน่ๆ “ดูคุณฝ้ายสิ เท่มากกกกก ถ้าตะวันมีเลขาฯ เก่งๆ แบบคุณฝ้ายนะ จะให้โบนัสสักร้อยเท่า”

น้องพูดพลางมองไปยังเลขาฯ ของผมด้วยสายตาชื่นชม ให้ผมนึกหึงและหมั่นไส้อยู่หน่อยๆ เลยแกล้งพูดแหย่กลับไปบ้าง

“พูดชื่นชมขนาดนี้ พี่หึงนะ เดี๋ยวคุณฝ้ายจะถูกหักโบนัสแทนที่จะได้เพิ่มเอานะตัวเล็ก” ตะวันทำตาโต ก่อนที่จะตีลงมาเบาๆ ที่แขนของผม พร้อมกับพูดดุ ซึ่งมันดูน่ารักมากกว่าจะน่ากลัว

“พี่พลัฎฐ์นี่นิสัยไม่ดีเลย เป็นเจ้านายมารังแกลูกน้องแบบนี้ได้ยังไงครับ” คำพูดน่ารักๆ ของน้องทำให้ผมหลุดขำออกมาอย่างอารมณ์ดี จนตอนนี้สายตาใคร่รู้ของทุกคนกลับดูอยากรู้มากยิ่งกว่าเดิม

ในขณะที่ผมนั่งเล่นชวนตะวันคุย เพราะไม่อยากให้น้องประหม่าก่อนถึงเวลาจริง ก็ดูเหมือนว่าคุณฝ้ายจะบรีฟงานในส่วนต่างๆ จบแล้ว จึงพูดสรุปปิดท้ายอีกที ซึ่งก็เรียกความสนใจให้ผมกับตะวันตั้งใจฟังตามไปด้วย

“เอาล่ะค่ะ ฝ้ายขอสรุปปิดท้ายอีกทีนะคะว่าการสัมภาษณ์ท่านรองประธานฯ ในวันนี้ค่อนข้างสำคัญมาก เพราะข่าวที่ออกมาก่อนหน้าทำให้ความคลางแคลงสงสัยกระจายไปทั่ว และเพื่อชี้แจงให้คนทั่วไปที่สนใจข่าวนี้ได้รับทราบตรงกัน ท่านรองประธานฯ จึงตัดสินใจให้มีการจัดทำสกู๊ปพิเศษเกี่ยวกับตัวท่านขึ้น ซึ่งจะเป็นคอลัมน์พิเศษที่จะมีในเล่มนิตยสารฉบับหน้า แน่นอนว่าจะต้องมีการสัมภาษณ์รวมๆ ในเรื่องทั่วไป รวมไปถึงเรื่องส่วนตัวที่กำลังถูกพูดถึงตอนนี้ นั่นก็คือเรื่องคนรักของท่านรองประธานฯ”

คุณฝ้ายพักนิดหนึ่ง ก่อนจะหันมามองและค้อมศีรษะให้ตะวัน ราวกับจะบอกทุกคนที่อยู่ในห้องกลายๆ ว่า คนรักของผมที่คุณฝ้ายพูดถึงก็คือเด็กหนุ่มที่นั่งข้างผมตอนนี้

“ซึ่งก็คือคุณตะวัน คนที่นั่งอยู่ข้างท่านรองประธานฯ ในเวลานี้”

ตะวันส่งยิ้มเขินให้ทุกคนที่หันมามองตามหลังจากที่คุณฝ้ายพูดจบ เสียงเซ็งแซ่ดังขึ้นโดยรอบ ทุกคนดูตื่นเต้นแต่ไม่แปลกใจสักเท่าไหร่ที่ผมมีแฟนเป็นผู้ชาย ซึ่งมันก็แน่อยู่แล้วเพราะถึงแม้ตะวันจะเป็นผู้ชาย แต่ความน่ารักของน้องกลับทำให้ทุกคนไม่คิดว่ามันประหลาด อารมณ์คงแบบ ถ้ามีแฟนเป็นผู้ชายแล้วน่ารักขนาดนี้ใครกันบ้างจะไม่เอา อะไรประมาณนั้น

“กลยุทธ์ของเราก็คือ เราจะไม่สนใจในสิ่งที่ข่าวเขียนขึ้นมาลือ ทุกคนอาจจะคิดว่าเดี๋ยวไม่นานทางเราคงมีการออกไปแก้ข่าว แล้วพยายามกดให้เงียบ เพราะฉะนั้นเราจะทำให้แตกต่างค่ะ ท่านรองประธานฯ เลยครีเอทไอเดียว่าให้เราชิงเปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างท่านกับคุณตะวันออกไปเลย จะได้หมดข้อกังขา และดูจริงใจมากกว่าการออกไปแก้ข่าวหรือปิดบังข้อเท็จจริง”

ทุกคนฟังแล้วก็พยักหน้ารับเห็นด้วย แต่ก็มีบางส่วนแย้งว่ามันอาจจะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของบริษัท ที่ท่านรองประธานฯ มีคนรักเป็นผู้ชาย ซึ่งผมเองพอได้ยินแบบนั้นก็ยิ้ม ก่อนที่จะส่งสัญญาณให้คุณฝ้ายเงียบ แล้วเป็นคนตอบคำถามๆ นี้เอง

“เราทำนิตยสาร ข้อมูลที่อยู่ในนิตยสารของเราจึงมักสื่อสารโดยตรงถึงคนอ่าน แล้วคุณคิดว่าคนอ่านชอบข้อมูลที่ปิดบังซ่อนเร้นโกหกซ้ำแล้วซ้ำเล่า หรือข้อมูลที่จริงใจตรงไปตรงมามากกว่ากันครับ”

ทุกคนเงียบ ผมจึงพูดต่อ

“การที่ผมออกมายอมรับและตัดสินใจเปิดเผยตรงไปตรงมากับคนอ่านนั้น ผมมั่นใจว่าเราจะสร้างความมั่นใจและประทับใจให้กับทุกคนผ่านทางผมได้ ถ้าคนอ่านเห็นว่าผมไม่โกหกปิดบังแม้จะเป็นเรื่องส่วนตัว เขาก็จะเกิดการเรียนรู้ในทิศทางเดียวกันว่านิตยสารที่ผมบริหารอยู่นั้นก็จะเป็นแบบผมเหมือนกัน”

คนที่แย้งก่อนหน้าดูอึ้งไป ผมเลยชี้แจงในส่วนของตัวเองให้ครอบคลุมต่อ

“การที่ผมจะเปิดเผยเรื่องของตัวเองนั้นผมคิดดีแล้วว่ามันจะส่งผลในแง่ดีกับบริษัทของเรามากกว่าผลเสีย ผมไม่ได้จะเอาแต่ใจตัวเองเป็นที่ตั้ง ผมไม่ใช่ดารา ไม่ได้มีชื่อเสียงที่จะต้องให้ใครตามรักหรือติฉินนินทาไม่ได้ คนจะพูดถึงผมยังไงไม่สำคัญ แต่นิตยสารของเรานั้นต้องไปรอด ... ผมมั่นใจนะว่าจะไม่มีใครเลิกอ่านนิตยสารของเราเพราะผมมีคนรักเป็นผู้ชาย แต่เขาจะเลิกอ่านนิตยสารของเราแน่ถ้าเขารู้ว่าผมโกหกในสิ่งที่เป็นเรื่องจริง”

ผมมองไปรอบๆ เมื่อเห็นทุกคนคล้อยตามก็โล่งใจ และก็ยิ่งมีความสุขสุดๆ เมื่อได้หันมาสบตากับตะวันที่ส่งยิ้มกว้างน่ารักมาให้ผม แล้วไหนจะท่าทางยกนิ้วโป้งทั้งสองข้างขึ้นมานั่นอีก น่ารักจนผมนึกอยากจะก้มลงไปฝังจมูกลงบนแก้มนิ่มนั่นแรงๆ สักที

“ถ้ายังไงผมฝากทุกคนด้วยนะครับ ผมกับตะวันจะตั้งใจตอบคำถามและทำงานอย่างเต็มที่”

ผมได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ที่ดูผ่อนคลายมากกว่าตอนก่อนหน้า จากนั้นผมจึงจัดการเตรียมตัวให้สัมภาษณ์คู่กับตะวัน เพื่อนำไปตีพิมพ์ในนิตยสารฉบับหน้าของตัวเอง

ใช่ครับ.. ผมตัดสินใจแก้เกมของนลินี ด้วยการชิงให้สัมภาษณ์เปิดตัวว่าคบกับตะวัน ก่อนที่นลินีจะเดินหน้าแฉความสัมพันธ์ของผมกับตะวันจนเลยเถิดไปไกลกว่านี้ เพราะนอกจากภาพลักษณ์ผมจะเสียแล้ว น้องอาจจะถูกนินทามากกว่านี้ด้วย เพราะฉะนั้นเปิดตัวไปเลยให้จบๆ อย่างที่บอกไปใครจะมองผมยังไงผมไม่ได้สน แต่คนอ่านนิตยสารผมจะมองเห็นความจริงใจของผม และอีกอย่างน้องก็จะถูกนินทาน้อยลง เพราะผมให้เกียรติน้องเปิดตัวในฐานะคนรัก ไม่ว่าจะเป็นเพศไหนน้องก็คือคนรักของผม

ตอนนี้ทุกอย่างพร้อมแล้ว เราเก็บภาพคู่และภาพเดี่ยวของผมกับน้องก่อนเริ่มสัมภาษณ์นิดหน่อย ซึ่งแรกๆ ตะวันก็ดูเกร็งๆ ผมเลยบอกให้น้องทำตัวตามสบาย คิดเสียว่ากำลังถ่ายรูปเล่นก็ได้ หลังจากนั้นท่าทางการโพสของตะวันก็ดูเป็นธรรมชาติขึ้น จนช่างภาพชมเปราะว่าตะวันสดใสอย่างนั้นน่ารักอย่างนี้จนผมเกือบจะหึง ดีว่าที่ได้ช่างภาพผู้หญิงมา ไม่งั้นคงได้มียกเลิกสัมภาษณ์กลางคันแน่ๆ

และแล้วการสัมภาษณ์ก็เริ่มต้นขึ้น คนถามเริ่มจากการพูดประวัติความเป็นมาคร่าวๆ ของนิตยสาร แล้วไล่มาที่ประวัติของท่านประธานฯ ซึ่งก็คือพ่อผม แล้วไล่มาที่ผม และการสัมภาษณ์ประวัติส่วนตัวของผมก็เริ่มขึ้น จากเรื่องทั่วๆ ไปจนกลายเป็นเจาะลึกถึงเรื่องส่วนตัวแบบเนียนๆ เพราะอย่างที่บอกว่าเราเน้นการให้สัมภาษณ์แบบดูเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่การให้สัมภาษณ์เพราะจะแก้ข่าวที่นลินีปล่อยออกมา เราจึงต้องทำเสมือนหนึ่งว่าเราไม่รับรู้และไม่สนใจข่าวลือพวกนั้น แต่การสัมภาษณ์ของผมและตะวันในวันนี้เป็นความตั้งใจจริงของเราทั้งคู่ที่อยากจะเปิดตัวซึ่งกันและกันในฐานะคนรัก... แล้วคำถามสำคัญก็มาถึง

“แล้วทำงานหนักขนาดนี้ ไม่ทราบว่าตอนนี้คุณพลัฎฐ์อยู่ในช่วงโสดหรือคบหาดูใจกับใครอยู่หรือเปล่าคะ”

ผมยิ้มอ่อนโยนก่อนจะหันไปมองคนข้างตัวอัตโนมัติ มันเป็นไปเองโดยธรรมชาติ ซึ่งก็สามารถเรียกเสียงฮือฮาจากคนในห้องได้ โดยเฉพาะสาวๆ ทำเอาตะวันที่ถูกมองเขินจนแก้มแดงก่ำน่าเอ็นดู

“ผมมีคนรักแล้วครับ ตอนนี้เราสองคนอยู่ในช่วงคบหาดูใจกันอยู่ ซึ่งผมก็คบกับน้องเขามาสักระยะแล้ว” ผมตอบคำถามนี้ด้วยรอยยิ้ม “น้องชื่อตะวันครับ ตะวัน... ภานรินทร์ รุ่งวิริยะจรรยา ซึ่งวันนี้น้องก็อยู่ที่นี่กับผมด้วย”

แล้วการเชื่อมเนื้อหาการสัมภาษณ์ก็ถูกโยนกลับไปที่ตะวัน ว่าคุณตะวันคนที่ว่าเป็นใคร มาจากไหน ซึ่งในคอลัมน์ก็คงจะมีรูปตะวันเสริมไป และทุกคนก็จะเห็นว่าตะวันเป็นผู้ชายคำถามถัดไปจึงถูกส่งมาต่อ

“คุณตะวัน คนรักที่คุณพลัฎฐ์พูดถึงเป็นผู้ชายเหรอคะ”

“ครับ ตะวันเป็นผู้ชาย” เป็นอีกครั้งที่ปฏิกริยาอัตโนมัติของผมโต้ตอบ ผมยื่นมือไปกุมมือน้องที่วางไว้บนตักของน้องเองเบาๆ ซึ่งน้องก็หันมายิ้มตอบ

“แบบนี้ก็ถือว่าคุณพลัฎฐ์เป็นเกย์?”

“ไม่รู้สิครับ ผมไม่รู้จะจำกัดความความรักของผมกับตะวันยังไงเหมือนกัน” ผมยิ้ม ก่อนจะพูดต่อช้าๆ อย่างอ่อนโยน เมื่อหันไปมองหน้าน้อง “ถ้าผมรักตะวันแล้วผมต้องเป็นเกย์ ผมเป็นก็ได้ครับ ผมไม่รู้หรอกนะว่าคนจะเรียกหรือมองว่าผมเป็นอะไร ผมไม่ได้รักผู้ชายคนไหนก็ได้ แต่ผมรักได้แค่ตะวัน เพราะฉะนั้นสำหรับผม ถ้าได้รักตะวัน ให้ผมเป็นอะไรผมก็เป็นได้ทั้งนั้นครับ จะเกย์ จะกะเทย จะอะไรก็ได้ ผมไม่ซีเรียส ขอให้ผมได้รักเขาก็พอ”

น้องเขินจนแทบจะก้มหน้าลงไปชิดอก จากนั้นคำถามของตะวันก็ถูกถามขึ้น

“สวัสดีค่ะคุณตะวัน คุณเป็นผู้ชายที่หน้าหวานมากๆ หน้าหวานกว่าดิฉันอีก ฮ่ะๆ ดิฉันเห็นคุณตะวันแล้วก็ไม่แปลกใจเลยที่คุณพลัฎฐ์จะแสดงออกว่ารักคุณตะวันมากขนาดนี้”

แม้ตะวันจะเขินกับคำชมแต่ก็สามารถตอบกลับคนสัมภาษณ์ได้อย่างเป็นธรรมชาติ

“สวัสดีครับ แล้วก็.. ขอบคุณมากๆ ครับ” แม้จะพูดน้อย แต่ใบหน้าน่ารักและท่าทางที่ดูน่ามองนั้นทำให้คนทั้งห้องรวมไปถึงหญิงสาวที่กำลังทำหน้าที่สัมภาษณ์ถึงกับทำหน้าเคลิ้มไปชั่วขณะ

ก็บอกแล้วว่าตะวันของผมน่ะ... น่ารักมากๆ

“ดิฉันอิจฉาคุณตะวันได้ไหมคะเนี่ย? คุณรู้ใช่ไหมคะว่าคุณมีความรักและคนรักที่น่าอิจฉามากๆ”

ตะวันยิ้มเขินก่อนจะตอบเสียงหวานให้คนในห้องทำงานผมได้เคลิ้มยิ่งขึ้นกว่าเดิม

“ไม่รู้สิครับ เพราะผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าคู่รักคนอื่นๆ เขาเป็นกันยังไง แต่สำหรับผม พี่พลัฎฐ์เขาเสมอต้นเสมอปลายกับผมมาตลอด เขาถือให้ผมเป็นคนสำคัญ เขาให้เกียรติ และแคร์ผมมาก ผมรู้แค่ว่าผมโชคดีที่ได้เจอเขา และผมก็โชคดีมากยิ่งขึ้นไปอีกที่เขารักผม”

คำตอบของตะวันทำให้ผมยิ้มกว้าง และเสียงหวีดร้องของทีมงานสาวๆ ก็ดังขึ้นเบาๆ จนตะวันเขินหนัก หน้าแดงลามไปยันคอ

“ช่วยดิฉันด้วยค่ะคุณผู้อ่าน คุณพลัฎฐ์และคุณตะวันน่ารักกันมากๆ ดูรักและแคร์ความรู้สึกกันจนดิฉันเขินเทนไปหมด” หญิงสาวที่ทำหน้าที่สัมภาษณ์ดูเขินผมกับตะวันจริงๆ ไม่ใช่ตามสคริปต์ ทำเอาผมอดหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่ได้ ซึ่งเหมือนกับว่าเสียงหัวเราะของผมจะทำให้เธอได้สติ เลยเริ่มถามคำถามต่อไปแบบอายๆ

"ถัดมาที่คำถามต่อไปนะคะ แล้วคุณพลัฎฐ์กับคุณตะวันเปิดตัวว่าคบกันแบบนี้ ไม่กลัวว่าจะเกิดผลกระทบอื่นๆ ตามาเหรอคะ"

ผมเป็นคนตอบก่อนด้วยน้ำเสียงสบายๆ "ไม่เลยครับ ผมมองว่าความรักของเราสองคนก็เป็นความรักที่ปกติเหมือนๆ คู่อื่นๆ ไม่ใช่เพราะว่าเราเป็นผู้ชาย แล้วเราจะต้องแตกต่างหรืออายใคร" ผมยิ้มพลางเลื่อนมือไปกุมมือน้อง "ตรงกันข้าม ผมกลับภูมิใจมากด้วยซ้ำที่จะได้บอกใครต่อใครว่าเราสองคนเป็นแฟนกัน"

ผมเปลี่ยนเสียงให้ฟังดูเย้าหยอกเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อคล้ายกับพูดกับคนสัมภาษณ์มากกว่าที่จะพูดตรงๆ "คุณก็เห็นนี่ครับว่าตะวันน่ารักขนาดไหน เป็นคุณ คุณจะไม่อยากอวดใครเหรอครับว่าแฟนคุณน่ารักขนาดนี้"

ผมพูดพร้อมยิ้มกว้าง ทำเอาทีมงานเขินกันไปทั้งห้อง

ไม่เว้นแม้แต่ตะวัน ซึ่งก็เขินแก้มแดงไปหมด จนได้รับสายตากรุ้มกริ่มจากคนสัมภาษณ์ส่งมาล้อเลียนด้วย

"แล้วคุณตะวันล่ะคะ กังวลเรื่องผลกระทบอะไรรึป่าว?"

ตะวันยิ้มหวานตาหยี แม้จะเขินแต่น้องก็พยายามที่จะตอบคำถามอย่างจริงใจ

"ไม่เลยครับ ผมไม่มีอะไรต้องกังวลหรือวิตกเลยสักนิด" ตะวันกระชับมือที่ผมกุมไว้แน่น ก่อนที่จะพูดต่อ "ยอมรับเหมือนกันครับว่าก่อนหน้านี้ ผมกังวล ด้วยหน้าที่ ด้วยการงาน และสังคมของพี่พลัฎฐ์ แต่พี่พลัฎฐ์มักจะย้ำกับผมเสมอ ให้เกียรติผมเสมอ และไม่ใช่แค่ตัวผม พี่เขายังให้เกียรติครอบครัวผมไม่ต่าง และเพราะเขาให้เกียรติ ทำให้ผมคิดว่าผมเองก็ควรจะให้เกียรติเขาเหมือนกัน จะว่ายังไงดี อืม.. ไม่ใช่ผมไม่แคร์สายตาคนอื่นนะครับ แต่ถ้าผมมัวแต่แคร์คนอื่นจนลืมที่จะแคร์คนที่รักและให้เกียรติผมมาตลอด แบบนี้คงไม่น่าจะใช่ สุดท้าย ผมเลยคิดว่าเราสองคนแค่รักกัน ไม่ได้ทำอะไรผิด มันก็คงไม่น่าจะแปลกอะไร ถ้าเราจะบอกใครๆ ว่าเรารักกัน"

คำตอบของตะวันทำเอาผมยิ้มกว้างจนหุบปากไม่ลง น้องซื่อตรงกับความรู้สึกตัวเสมอ และผมก็คิดว่าทุกคนที่อยู่ในห้องนี้น่าจะรับรู้ด้วย ซึ่งนั่นยิ่งทำให้ผมมั่นใจว่าทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี

เราตอบคำถามที่ถูกบรีฟมาอีกสองสามคำถามจากนั้นการสัมภาษณ์ก็จบลง ผมเห็นตากล้องสาวสุดเท่ที่ชมตะวันไม่ขาดปาก เก็บภาพเบื้องหลังต่ออีกเล็กน้อย มีทั้งที่ตะวันรู้ตัวและไม่รู้ตัว เพื่อเอาไปลงประกอบในคอลัมน์ และใช้เวลาไม่นานการสัมภาษณ์ก็จบลง

คุณฝ้ายเข้ามาเช็คความเรียบร้อย ก่อนที่จะให้เอาเนื้อหาที่สัมภาษณ์ผมและตะวันไปดำเนินการต่อในขั้นต่อไป ซึ่งมีข้อแม้ว่าจะต้องทันปิดต้นฉบับของฉบับที่จะวางแผงในสัปดาห์หน้านี้

แน่นอนว่าเนื้อหาที่สัมภาษณ์ไม่มีเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับน้องพีเลยสักนิด เป็นเพราะเราคุยกันแล้วว่า การให้สัมภาษณ์ในครั้งนี้ ไม่ใช่การแก้ข่าวที่นลินีได้ให้ไปก่อนหน้านี้ แต่เป็นการชิงเปิดตัวก่อน เพราะยังไงเสียในข่าวลือ ข่าวก็อซซิบพวกนั้นมันไม่ได้เอ่ยหรือระบุถึงใครแต่แรกอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเราก็ทำเป็นไม่รู้เรื่องไปซะ แล้วเราก็เปิดตัวเราไปเนียนๆ ดีกว่า

ดังนั้น เรื่องของน้องพี เราเลยไม่จำเป็นต้องบอกให้ใครรู้ เพราะถ้าพูดถึง คนก็ต้องถามว่าน้องพีเป็นลูกใคร ทำไมมาเป็นลูกผม และคำถามอื่นๆ อีกมากมายก็จะตามมา เพราะฉะนั้นผมขอปิดเรื่องนี้ไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ เพื่อที่ลูกชายสุดที่รักของผมจะได้ไม่ต้องถูกสังคมมองด้วยสายตาตั้งคำถามตั้งแต่ยังเล็ก และเรื่องนี้ผมก็ปรึกษาตะวันแล้วซึ่งน้องเองก็เห็นด้วย เอาไว้ถึงเวลาที่สมควรเมื่อไหร่ ก็ค่อยว่ากันอีกที

.

.

.

- อ่านต่อด้านล่าง -
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 22nd - 31/8/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 31-08-2019 17:51:24
- ต่อจากด้านบน -


หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้น ผมก็ขับรถพาตะวันไปรับเด็กๆ ที่โรงเรียน ซึ่งมันเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ที่ผมจะได้อยู่กับน้อง เนื่องจากวันนี้ว่าที่คุณพ่อตาอนุโลมให้ผมได้อยู่กับน้องนานขึ้นอีกหน่อย เพราะถึงแม้ผมจะเปิดตัวผ่านการให้สัมภาษณ์แล้ว ก็ใช่ว่าทุกอย่างจะจบ จนกว่าหนังสือจะวางแผงนั่นแหละ

"พี่พลัฎฐ์ครับ" ระหว่างที่รถติดไฟแดง น้องก็เรียกชื่อผมให้ผมต้องหันไปมอง

"หื้ม? ว่าไงครับตัวเล็ก"

"เรื่องสัมภาษณ์นี่คุณพ่อกับคุณแม่พี่ทราบแล้วใช่ไหมครับ" น้องถามด้วยสีหน้าติดกังวลน้อยๆ ให้ผมต้องยิ้มบางๆ ตอบ

"ทราบแล้วครับตัวเล็ก ที่จริงคุณพ่อคุณแม่ท่านก็เห็นด้วยเลยล่ะ ท่านบอกว่าพี่ควรทำอะไรให้ชัดเจนตั้งนานแล้ว ไม่ควรจะต้องรอให้คุณพ่อของตะวันมากระตุ้นด้วยซ้ำ"

น้องย่นจมูกใส่ทันทีที่ผมพูดจบ

"ที่จริงตะวันว่าไม่จำเป็นเลย แค่เรากับครอบครัวเรารับรู้ก็พอ" ผมทำท่าจะพูดแก้ แต่ตะวันกลับพูดสวนมาก่อน "แต่ถ้าพี่พลัฎฐ์กับคุณพ่อคุณแม่เห็นว่าดีแล้ว ก็ดีก็ได้ครับ ตะวันยังไงก็ได้"

ตะวันหันมามองผมให้ผมต้องส่งยิ้มให้ ก่อนจะแกล้งถาม "ว่าแต่หนูอายไหมที่จะบอกใครต่อใครว่าเป็นแฟนกับพี่"

ตะวันหันมามองผมตาโต ก่อนจะตีเบาๆ ที่แขนผม

"ห้ามพูดแบบนี้นะครับพี่พลัฎฐ์" น้องพูดเสียงขึงขังจริงจัง ก่อนที่ประโยคต่อมาจะเปลี่ยนเป็นเสียงอ้อมแอ้ม และเป็นประโยคที่ผมได้ยินแล้วยิ้มแก้มแทบแตก "แฟนผมน่ารักแสนดีขนาดนี้ ผมจะไม่อยากอวดความน่ารักของแฟนให้คนอื่นเห็นได้ยังไงล่ะครับ"

ตะวันพูเดเองก็อายเอง แก้มแดงก่ำจนน่าฟัด ผมได้แต่ยื่นนิ้วชี้ไปเกลี่ยแก้มนิ่มๆ นั่นด้วยความหมั่นเขี้ยวแทน

"เฮ้อ อยากให้หนังสือวางแผงเร็วๆ จัง"

ตะวันเอียงคอเล็กน้อย ก่อนถาม "ทำไมล่ะครับ"

"ก็... พี่อยากไปสวนสัตว์แล้วนี่นา หนูไม่อยากไปกับพี่หรอ หื้ม?"

ตะวันเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะตาเบิกโตเมื่อนึกขึ้นได้

"พี่พลัฎฐ์!! ทะลึ่ง!!"

และแล้ว ผมด็โดนน้องฟาดแขนตามระเบียบ โดยมีเสียงหัวเราะลั่นของผมดังไปทั่วรถ

.

.

.

"น้องพีมาแย้วคับคุณตาคุณยาย" เด็กชายพีรยสถ์วิ่งเข้าบ้านตะวันอย่างคุ้นเคยราวกับเป็นบ้านของตัวเอง แถมยังวิ่งตรงดิ่งเข้าไปหาคุณพ่อคุณแม่ของตะวันอีกต่างหาก โดยมีเจ้าอาทิตย์ดวงน้อยวิ่งตามไปติดๆ ด้วยท่าทีร่าเริง

"น้องพีติดคุณพ่อกับคุณแม่มากเลยครับ อ้อนให้กอด อ้อนให้หอมตลอด พวกท่านก็ดูจะชอบมากเสียด้วย เพราะปกติอาทิตย์ไม่ค่อยได้อ้อนสักเท่าไหร่น่ะครับ"

ตะวันหันมาพูดกับผมยิ้มๆ ตอนที่ผมเดินตามน้องเข้าไปในบ้าน ให้ผมได้ยิ้มออกมาบางๆ รู้สึกโล่งใจที่น้องพีเข้ากับบ้านตะวันได้ดีเกินคาด

กลายเป็นผมเสียอีกที่ยังลุ่มๆ ดอนๆ สงสัยวันนี้ต้องรีบหาคะแนนให้ตัวเองสักหน่อยแล้ว

และพอเดินเข้ามาถึงห้องนั่งเล่น ผมก็ได้เห็นลูกชายตัวเองนั่งอยู่บนตักของคุณแม่ของตะวันพลางยิ้มแฉ่ง เล่านั่นเล่านี่เจื้อยแจ้วเสียงใส ในขณะลูกชายคนเล็กตัวจริงของบ้าน กลับนั่งอยู่บนโซฟาตรงกลางระหว่างคุณพ่อและคุณแม่แทน

เอ้อ... ลูกชายผม ให้มันได้อย่างนี้สิ

"สวัสดีครับคุณอา" ผมยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองของบ้าน คุณแม่ของอาทิตย์หันมายิ้มหวานให้ผม ในขณะที่คุณพ่อเพียงแค่พยักหน้ารับน้อยๆ ไม่ได้มีทีท่าอะไร

"นั่งก่อนสิจ๊ะคุณพลัฎฐ์ รถติดไหมวันนี้" ผมทรุดลงนั่งทันทีเพราะกลัวคุณพ่อไม่เห็นด้วยกับคุณแม่ แล้วไล่ผมออกจากบ้าน ก่อนจะยิ้มประจบ แล้วตอบคุณแม่ด้วยท่าทีนอบน้อม

"ไม่ติดเท่าไหร่ครับคุณอา"

คุณแม่ของตะวันยิ้มน้อยๆ ตอบ และพอเห็นลูกชายหัวแก้วห้วแหวนขยับตัวไปมาอยู่บนตักของคุณแม่น้องไม่หยุด ผมเลยตัดสินใจเรียกเจ้าตัวน้อยมาหาตัวเองแทน

"น้องพีมาหาปะป๊ามาลูกมา นั่งขยับไปขยับมาแบบนั้น เดี๋ยวคุณยายเจ็บตักนะครับ"

พอได้ยินผมพูดแบบนั้น เจ้าตัวน้อยก็เอียงคอหันไปถามเจ้าของตักด้วยหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูจนผมได้แต่อ่อนใจ เหมือนตอนที่อ้อนพ่อกับแม่ผมไม่มีผิด

"คุณยายเจ็บหยอคับ?" คุณแม่ของตะวันหัวเราะเสียงใสในขณะที่คุณพ่อของน้องอมยิ้มจนแก้มตุ่ย

"ไม่เจ็บเท่าไหร่ครับ แต่ถ้าน้องพีเมื่อย จะไปนั่งกับปะป๊าก็ได้นะลูก"

"ฮื่อออ" เจ้าตัวแสบของผมส่ายหน้าหวือ พร้อมกับขยับตัวไปซุกอกของคุณแม่ตะวันทันที ทำเอาผมอ้าปากห้ามแทบไม่ทัน "น้องพีไม่เมื่อย น้องพีหยักนั่งตักคุณยาย"

"น้องพีลูก..." และก่อนที่ผมจะได้พูดอะไรต่อ คุณพ่อของตะวันก็พูดสวนขึ้นมาก่อน

"ปล่อยลูกเถอะ ให้แกนั่งไป ไม่ได้ลำบากอะไรหรอก แกก็นั่งแบบนี้ทุกวัน"

ผมได้แต่ยิ้มแห้งๆ ก่อนจะอธิบายให้ทุกคนฟังว่าทำไมน้องพีถึงติดคุณพ่อกับคุณแม่ของตะวันเป็นพิเศษ

"ท่าทางแกจะคิดถึงคุณพ่อกับคุณแม่ผมน่ะครับ เพราะปกติน้องพีจะชอบอ้อนคุณปู่กับคุณย่าของแกมากกว่าผมอยู่แล้ว พอเห็นคุณอาทั้งสอง เลยเดาว่าน่าจะคิดถึงพ่อกับแม่ผมขึ้นมา"

พอผมอธิบายจบทุกคนก็พยักหน้าเข้าใจ แต่จู่ๆ ตะวันคงนึกอยากแกล้งเจ้าตัวน้อยของผม จึงแกล้งพูดลอยๆ ขึ้นมาเสียงดัง

"เฮ้อ พี่ตะวันน้อยใจจัง เพราะตั้งแต่คุณตากับคุณยายมา พี่ตะวันก็กลายเป็นหมาหัวเน่าซะแลัว"

ซึ่งก็ได้ผลชะงัดเพราะเจ้าอาทิตย์ดวงน้อยที่รักพี่ชายยิ่งกว่าใครก็ปีนลงจากโซฟา พุ่งเข้ามากอดเอวพี่ชายที่นั่งอยู่ทันที โดยมีน้องพีที่ปีนจากตักคุณแม่ของตะวันตามลงมาติดๆ ให้ตะวันได้ยกยิ้มกว้าง ตอนที่เด็กๆ หันมาให้ความสำคัญกับตัวเอง

ผมเองก็ได้แต่ยิ้มอ่อนโยนให้กับภาพที่เห็น ก่อนจะนึกขึ้นได้เลยหันไปพูดกับคุณพ่อคุณแม่ของน้องแล้วปล่อยให้เด็กน้อยกับเด็กใหญ่ฟัดกันได้ตามสบาย

"อ้อ คุณอาครับ" ผู้ใหญ่ทั้งสองหันมาทางผมทันทีที่ผมเอ่ยเรียก และจากหางตาผมก็เห็นว่าตะวันเองก็เงี่ยหูฟังอยู่ห่างๆ ด้วยเช่นกัน

"สิ้นเดือนนี้ คุณพ่อกับคุณแม่ของผมจะบินกลับจากต่างประเทศมาเคลียร์งานที่ไทย แล้วพวกท่านก็จะถือโอกาสนี้เข้ามาพบคุณอาทั้งสองด้วย" ผมทำท่าทางนอบน้อมยิ่งกว่าเก่า ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ ปนกับเกรงอกเกรงใจ "ไม่ทราบว่าคุณอาทั้งสองจะสะดวกนัดเจอกับคุณพ่อและคุณแม่ของผมไหมครับ"

ผมลุ้นคำตอบจนลมหายใจแทบขาดห้วง ก่อนที่เสียงหวานของคุณแม่จะเอ่ยขึ้นให้ผมได้พรูลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก

"เอาสิจ๊ะ คุณพ่อกับคุณแม่ของคุณพลัฎฐ์จะมาเยี่ยมมาหากันวันไหน คุณพลัฎฐ์ก็บอกมาได้เลยนะ จะได้เตรียมอาหารการกินไว้ให้พร้อม"

"ครับคุณอา ขอบคุณนะครับ" ผมรีบพุ่มมือยกมือไหว้ กะเรียกความสนใจจากคุณพ่อของน้องเต็มที และพอเห็นท่านยังเฉยอยู่ ใจผมก็แป้วลง ก่อนจะยิ้มกว้างออกมาได้ เมื่อได้ยินประโยคที่ราบเรียบติดจะเดาอารมณ์ยากดังมาจากปากของคุณพ่อของตะวัน ซึ่งในนาทีนั้นผมยอมรับเลยว่าเหมือนยกภูเขาออกจากอกได้อย่างแท้จริง

"จะพามาก็พามา รู้จักกันไว้ก็ดี ยังไงก็ตกกระไดพลอยโจนกันมาถึงนี่แล้วนี่"

คุณแม่ยิ้มขำพร้อมกับหันมาพยักเพยิดให้กำลังใจผมแบบไม่มีเสียง ก่อนที่ผมจะหันไปหาตะวันก็ได้เห็นว่าน้องมองมาที่ผมอยู่ก่อนแล้ว แถมยังยิ้มกว้างส่งมาเติมเต็มกำลังใจให้ผมได้อีกเฮือกใหญ่

"ว่าแต่ที่ไปสัมภาษณ์กันมาวันนี้ เป็นไงบ้างล่ะ" คุณพ่อของน้องเอ่ยถาม ให้ตะวันขยับเข้าไปนั่งใกล้ๆ คนเป็นพ่อ ก่อนจะเอ่ยอ้อนอย่างน่ารัก

"วันนี้ตะวันสนุกมากเลยครับ ทีมงานของพี่พลัฎฐ์ใจดีทุกคนเลย" ผมมองตะวันที่เล่าเรื่องวันนี้ให้พ่อฟังอย่างอารมณ์ดี ให้ต้องได้ยิ้มตามก่อนที่จะกล่าวเสริม

"วันนี้ทุกอย่างเรียบร้อยดีครับ ตะวันเก่งมาก เก่งจนทุกคนยังชม" แก้มขาวของน้องขึ้นริ้วสีแดงๆ ทันทีที่ผมตอบจบ ให้นึกเอ็นดูจนอยากจะยื่นมือไปหยิกแก้ม แต่ก็ต้องห้ามตัวเองไว้ และหันไปขยายความให้คุณพ่อและคุณแม่น้องฟังต่อ

"นิตยสารวางจะขายอีกสองอาทิตย์ข้างหน้าครับ ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนการดำเนินการ"

"อืม ดีแล้ว จัดการให้มันเสร็จเป็นเรื่องๆ ไป" คุณพ่อน้องพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะเอ่ยถามออกมาอีกเรื่อง "แล้วผู้หญิงคนนั้นล่ะ?"

ตะวันหันมาสบตาผมทันทีที่คุณพ่อถามจบ ซึ่งคุณแม่เองก็หันมาให้ความสนใจกับเรื่องนี้ไม่น้อยเหมือนกัน

"ผมให้เลขาฯ ของผม กับทนายของครอบครัวไปคุยกับเธอเรียบร้อยแล้วครับ ซึ่งทางนลินีเองก็ยอมเซ็นสัญญาว่าจะไม่มายุ่งเกี่ยวกับผมกับตะวันและทุกคนที่เกี่ยวข้องอีก"

ผมรู้สึกขอบคุณคุณพ่อของน้องมากที่ถามเรื่องนี้ขึ้นมา ผมหาจังหวะที่จะบอกเรื่องนี้ให้ตะวันและคุณพ่อคุณแม่ทราบอยู่แต่ยังไม่มีโอกาส ครั้นจะให้โพล่งขึ้นมาโต้งๆ ก็จะดูแปลกๆ ซึ่งพอคุณพ่อถามมาผมเลยได้โอกาสบอกทันที

"แล้วจะวางใจได้เหรอ? ดูท่าทางไม่พอใจขนาดนั้น"

คุณพ่อเอ่ยพาดพิงไปถึงเหตุการณ์วันที่นลินีมาอาละวาดที่ร้านของตะวัน ซึ่งผมเองก็ตอบไปอย่างชัดเจนและมั่นคงให้ท่านทั้งสองสบายใจ และไม่ใช่การตอบแบบขอไปที

"วางใจได้ครับคุณอา เพราะผมสั่งคนของผมไปแล้วว่าให้จัดการได้ตามสมควร ในกรณีที่อีกฝ่ายพยายามเรียกร้องหรือยื่นเงื่อนไขที่ทางเราไม่สามารถให้ได้"

คุณพ่อของน้องสบตาผมนิ่ง เพราะท่านรู้ดีว่านัยยะของประโยคที่ผมพูดคืออะไร ซึ่งท่านก็พยักหน้ารับเบาๆ ไม่พูดอะไรเพิ่ม คงเพราะรู้สึกเหมือนผมว่าให้ตะวันกับคุณแม่รู้และเข้าใจน้อยที่สุดน่าจะเป็นการดีกว่า

เพราะคำว่า ‘จัดการได้ตามสมควร’ นั้นไม่ใช่ความหมายที่ดีเท่าไหร่สำหรับนักธุรกิจแบบผม ซึ่งมันอาจจะหมายความว่า ‘บีบให้จนตรอกจนกว่าจะยอม’ ก็เป็นได้

นั่นคือสาเหตุที่ผมส่งคุณฝ้ายกับทนายไป คุณฝ้ายไปเพื่อยื่นข้อเสนอ และทนายไปเพื่อใช้ข้อกฎหมายบีบนลินีอีกที

จะหาว่าผมใจร้ายก็ได้ แต่คนอย่างนลินีต้องเจอแบบนี้แหละ ถึงจะสมเหตุสมผล

แต่ผมเองก็ไม่ได้จะบีบบังคับอะไรเธอเกินไป เพราะผมให้คุณฝ้ายเสนอเงินให้เธอไปหนึ่งก้อน ผมรู้ดีว่าที่เธอกลับมาไม่ใช่เพราะรักหรือพิศวาสผมมากอะไรขนาดนั้นหรอก แต่เป็นเพราะตอนนี้เธอกำลังเดือดร้อนเรื่องเงิน เพราะหลังจากเลิกรากับลูกชายบริษัทนำเข้ารถยนต์แล้ว นลินีก็ดูจะดวงตกหนัก ดังนั้นการที่เธอกลับมาหาผม จึงมีเหตุผลไม่กี่ข้อ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คงไม่พ้นเรื่องเงิน

ดังนั้นผมเลยให้คุณฝ้ายจ่ายเงินให้เธอไปก้อนหนึ่ง ไม่ได้มาก แต่ก็ไม่น้อยพอที่จะเอาไปต่อยอด จากนั้นก็ให้ทนายร่างสัญญากู้ยืมเงินขึ้นมา โดยให้นลินีเซ็นรับทราบและยอมรับเงื่อนไขที่ผมคิดมาแล้วอย่างดี

ซึ่งเงื่อนไขที่ว่าก็คือ นลินีต้องไม่มายุ่งเกี่ยวกับผม กับครอบครัวผม กับตะวัน กับน้องพี หรือแม้แต่คนที่เกี่ยวข้อง ถ้าหากเธอเข้ามาวุ่นวายไม่ว่าจะในทางใด เธอจะต้องชดใช้หนี้สินที่ก่อไว้เพิ่มจากเดิมหนึ่งร้อยเท่า หรือในกรณีที่ไม่มีเงินจ่าย เจ้าหนี้ซึ่งก็คือผมมีสิทธิ์แจ้งความจับเธอข้อหาฉ้อโกงได้ในทุกกรณี แต่ถ้านลินีทำตัวสาบสูญและไม่มาข้องเกี่ยวกันตลอดชีวิตผมจะยกหนี้ให้ และให้เราต่างคนต่างอยู่ไป โดยที่ผมจะไม่ทวงเงินเธอแม้แต่บาทเดียว

ซึ่งทางนลินีก็ยอมลงนามในสัญญาแต่โดยดี ทั้งที่รู้ว่าเสียเปรียบ นั่นก็เพราะเธอโลภ และอยากได้เงินจำนวนไม่น้อยนั้นมาเพื่อสนองความต้องการของตนเอง

และหลังจากคุณฝ้ายโทรมารายงานว่าสิ่งที่ผมสั่งให้ดำเนินการลุล่วงไปด้วยดี ผมก็สบายใจ และมาอธิบายให้คุณพ่อกับคุณแม่น้องรับฟังได้อย่างเต็มปาก

ซึ่งผมเองก็มั่นใจว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามที่ผมคิด และเชื่อว่ามันจะผ่านไปได้ด้วยดี

.

.

.

To Be Continue

-----------------------------------------------

*จุดพลุ* ... เย่ๆ เคลียร์ไปเป็นประเด็นๆ เนาะคะ ใกล้จบแล้วแหละจ้า อีกไม่กี่ตอน ^^

ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันมาจนถึงตอนนี้นะคะ ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์และกำลังใจ ยังไงก็ฝากติดแท็ก #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว ในทวิตด้วยน้าา เจอกันตอนหน้าค่ะ ... รักทุกคนมาก❤
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 22nd - 31/08/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 01-09-2019 00:48:54
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 22nd - 31/08/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: noy ที่ 01-09-2019 05:46:14
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 22nd - 31/08/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 01-09-2019 09:03:20
 :L2: :pig4:

comment ย้อนหลัง

... "หนูชอบทัวร์สวนสัตว์ของพี่ใช่ไหมครับ? วันหลังเรามาอัพเกรดทัวร์กันดีไหม"

เป็น nc ที่น่ารัก และ ทำให้เรามีมุมมองใหม่ๆกับสวนสัตว์ 55
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 23rd - 03/9/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 03-09-2019 20:12:53
:: Chapter 23rd - ความบังเอิญที่ไม่สิ้นสุด ::


หลังจากผ่านกระบวนการทุกอย่าง นิตยสาร W.World ปักษ์ล่าสุดก็ถูกวางจำหน่าย พลัฎฐ์อ่านสกู๊ปพิเศษที่ตนเองได้ให้สัมภาษณ์ไว้แล้วก็ต้องอมยิ้ม เพราะในนั้นนอกจากจะมีบทสัมภาษณ์ของเขากับตะวันแล้ว ยังมีรูปตะวันที่น่ารักๆ และดูดีมากๆ อยู่หลายรูปประกอบอยู่ด้วย

พลัฎฐ์ยอมรับเลยว่าตอนเห็นครั้งแรกก็รู้สึกแอบหวงหน่อยๆ เพราะไม่อยากให้ใครได้เห็นความน่ารักของตะวันนอกจากตัวเอง แต่พอคิดไปคิดมาอีกทีพลัฎฐ์ก็นึกภูมิใจขึ้นมาเสียแบบนั้น เพราะถ้าใครได้อ่านเนื้อหาการสัมภาษณ์ในสกู๊ปนี้จนจบก็จะรู้ว่าตะวันเป็นคนรักที่น่ารักของเขา ของพลัฎฐ์คนนี้คนเดียวเท่านั้น

แล้วแบบนี้จะไม่ให้คนขี้อวดแฟนแบบเขาภูมิใจและปลื้มปริ่มได้ยังไงกัน

“ท่านรองประธานฯ คะ ดิฉันเตรียมนิตยสารมาให้สามเล่มนะคะ เล่มนี้ของท่านรองประธานฯ เล่มนี้ของคุณตะวัน และเล่มนี้ของคุณพ่อคุณแม่คุณตะวันค่ะ”

นิตยสารสามเล่มถูกวางตรงหน้าพลัฎฐ์ พร้อมรอยยิ้มบางๆ จากเลขาฯ คนสนิท ในเวลานี้คุณฝ้ายรู้ดีว่าเจ้านายของเธออารมณ์ดีแค่ไหน เพราะตั้งแต่เช้ามาท่านรองประธานฯ ที่ชอบตีหน้าขรึม กลับยิ้มกว้าง ทำเอาพนักงานทั้งบริษัทงุนงงไปตามๆ กัน

“ขอบคุณมากครับคุณฝ้าย ว่าแต่ผลตอบรับเป็นยังไงบ้างครับ”

และเป็นอีกครั้งที่คำตอบของเธอ ทำให้ท่านรองประธานฯ ต้องยิ้มหน้าบานจนหุบไม่ลง

“ดีมากเลยค่ะ ในแฟนเพจ และในเว็บไซต์ของบริษัท มีแต่คนมาคอมเม้นท์ในทางที่ดี ส่วนใหญ่ดูเหมือนคนอ่านจะประทับใจในความตรงไปตรงมาของท่านรองประธานฯ ที่ออกมายอมรับด้วยตัวเองว่ามีคนรักแล้ว ถึงแม้จะเป็นเพศเดียวกันก็ไม่ได้คิดปิดบังและเห็นว่าเป็นเรื่องผิด นอกจากนั้นก็ยังชื่นชมเห็นว่าทั้งท่านรองประธานฯ และคุณตะวันดูเหมาะสมและเป็นคู่ที่น่ารักค่ะ”

เลขาฯ สาวต้องกลั้นหัวเราะจนไหล่สั่น เมื่อเธอเห็นว่าท่านรองประธานฯ ของเธอพยายามที่จะหุบยิ้ม แต่ก็ดูเหมือนจะทำได้ยากเหลือเกิน เธอเลยต้องทำเนียนเป็นไม่เห็น เพื่อที่เจ้านายของเธอจะได้ไม่รู้สึกประดักประเดิดจนเกินไป แต่เธอก็พอจะเข้าใจ เพราะด้วยความเคร่งขรึม และดูเป็นคนจริงจังของพลัฎฐ์ พอจะให้มาอยู่ในเวอร์ชั่นร่าเริง มีความสุข ยิ้มกว้างทุกนาที มันเลยอาจจะดูแปลกไปสักนิด เป็นธรรมดา

“แล้วผู้บริหารท่านอื่นๆ ล่ะ มีผลกระทบอะไรหรือเปล่า” พลัฎฐ์ถามทั้งที่ใบหน้าหล่อเหลายังมีรอยยิ้มแต่งแต้ม ถึงจะกังวลไม่น้อยแต่เขาคิดว่าตัวเองน่าจะแก้ปัญหาส่วนนี้ได้ แต่คำตอบที่ได้รับจากเลขาฯ คนสนิทกลับทำให้พลัฎฐ์ยิ้มได้กว้างมากกว่าเดิม

“มีบ้างค่ะ แต่ไม่ถึงกับเป็นปัญหาใหญ่อะไร โชคดีที่ผู้บริหารของเราเปิดรับกับเรื่องพวกนี้มากพอสมควร และอีกอย่างก็มองว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของท่านรองประธานฯ ด้วย เลยไม่ได้จะก้าวก่ายอะไร ถ้าไม่มีผลกระทบกับยอดขายนิตยสารหรือส่งผลด้านลบกับบริษัทค่ะ”

เลขาฯ สาวรายงานตามความเป็นจริง ยิ่งทำให้พลัฎฐ์ยิ่งกว่าโล่งใจ เขานึกกังวลอยู่หลายเรื่อง พอจนกระทั่งนิตยสารวางจำหน่าย ก็ทำให้เขาได้รู้ว่า สิ่งที่กังวลนั้นได้รับผลตอบรับในทางบวก ทีนี้ก็เหลือแค่...

Rrrr

เสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้น และหน้าจอที่โชว์ชื่อคนที่โทรมานั้น ยิ่งทำให้พลัฎฐ์ยิ้มกว้างมากกว่าเดิม

“สวัสดีครับแม่ แม่กับพ่อถึงสนามบินแล้วเหรอครับ”


... รอให้พ่อกับแม่ของตนเองได้มาเจอกับพ่อและแม่ของตะวันเสียที และตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะพร้อมอย่างที่พลัฎฐ์ตั้งใจแล้ว


(สวัสดีจ้ะลูก ตอนนี้พ่อกับแม่ถึงสนามบินเรียบร้อยแล้วนะ กำลังรอกระเป๋าอยู่จ้ะ)

น้ำเสียงอบอุ่นของคนเป็นแม่ที่พลัฎฐ์ได้ยินยิ่งทำให้เขารู้สึกดี เจ้าตัวกระวีกระวาดหยิบนิตยสารที่อยู่บนโต๊ะขึ้น เพราะพอเหลือบมองเวลาแล้วว่าใกล้จะเลิกงาน พลัฎฐ์เลยเตรียมจะวนรถไปรับพ่อกับแม่ที่สนามบิน แล้วค่อยวกกลับไปรับเด็กๆ ที่โรงเรียนอนุบาล เพราะเห็นว่าวันนี้เด็กๆ มีเรียนพิเศษกว่าจะเลิกก็คงเย็นพอสมควร แต่อาจจะต้องรีบหน่อย เพราะถ้าเกิดรถติดแล้ว มีหวังได้ให้เจ้าตัวน้อยทั้งสองคอยนานแน่ๆ

“ครับ งั้นพอแม่กับพ่อรับกระเป๋าเสร็จแล้วมารอผมที่ข้างนอกนะครับ เดี๋ยวผมไปรับ”

และในขณะที่พลัฎฐ์ส่งสัญญาณบอกเลขาฯ ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ว่าจะออกไปแล้ว แม่ของพลัฎฐ์ที่อยู่ในสายก็ส่งเสียงห้ามออกมาเสียก่อน

(พลัฎฐ์ลูก ไม่ต้องมาก็ได้ เดี๋ยวพ่อกับแม่กลับเอง) คนที่อยากไปรับพ่อกับแม่ทำท่าจะค้าน แต่พอได้ฟังเหตุผลของมารดา แล้วก็กลับรู้สึกเห็นด้วยอยู่ลึกๆ (พ่อกับแม่โทรให้คนขับรถที่บ้านมารับแล้ว เพราะว่าจะเอากระเป๋ากับข้าวของไปเก็บก่อน จะได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วย อีกอย่างลูกจะวกไปวกมาทำไม แม่ว่าพลัฎฐ์รีบไปรับเด็กๆ เถอะ แล้วเดี๋ยวเราค่อยไปเจอกันที่ร้านหนูตะวันเลยก็ได้)

พอคิดได้ว่ากว่าจะไปรับ ไปส่งพ่อกับแม่ รอพ่อกับแม่เปลี่ยนเสื้อผ้าคงจะนาน และถ้าเป็นแบบนั้นน้องพีกับเจ้าอาทิตย์ดวงน้อยจะต้องรอนานจนงอแงแน่ๆ เพราะฉะนั้นสิ่งที่คุณลินลดาบอกมาจึงน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด และสะดวกที่สุดแล้วในเวลานี้

“ก็ได้ครับ ถ้าอย่างนั้นเราเจอกันที่ร้านตะวันเลยนะครับแม่ เดี๋ยวผมไปรับน้องพีกับเจ้าอาทิตย์ก่อน”

(โอเคจ้ะ แล้วเจอกันนะลูก)

จากนั้นปลายสายก็ตัดไป สุดท้ายพลัฎฐ์ก็คว้ากุญแจรถมาถือไว้ในมืออีกข้าง แล้วเปลี่ยนเป้าหมายจากสนามบิน เป็นโรงเรียนอนุบาลของน้องพีกับเจ้าอาทิตย์แทน

.

.

.

“ปะป๊า เมื่อไหย่คุณปู่กับคุณย่าจะมาคับ น้องพียอ ย๊อ ยอ”

หลังจากไปรับสองหนุ่มน้อยที่โรงเรียนอนุบาลและขับรถพาไปที่ร้านอาหารของตะวันนั้น พลัฎฐ์ก็บอกกับลูกชายให้รู้ว่าวันนี้คุณปู่กับคุณย่าเดินทางกลับจากต่างประเทศแล้ว และกำลังจะมาเจอน้องพี ซึ่งสิ่งที่บอกก็ทำเอาเจ้าหนูตื่นเต้นยกใหญ่ เพราะนี่ก็เป็นรอบที่สามแล้วที่เด็กชายพีรยสถ์ถามคนเป็นพ่อ ว่าเมื่อไหร่จะได้เจอคุณปู่กับคุณย่าของตัวเองสักที

“รออีกนิดหนึ่งนะครับ คุณปู่กับคุณย่าน่าจะกำลังมา”

และนี่ก็เป็นรอบที่สามอีกเช่นกัน ที่พลัฎฐ์ตอบลูกชายไปแบบนี้

แต่ดูเหมือนคนที่ตื่นเต้นกว่าน้องพีจะเป็นคนที่คาดไม่ถึงอย่างตะวัน เพราะหลังจากที่เอ่ยปากว่าวันนี้ตนเองจะลงมือเข้าครัวด้วยตัวเอง โดยให้แค่ป้าวันดีเป็นลูกมือนั้น คนรักของพลัฎฐ์ก็ดูประหม่าอย่างเห็นได้ชัด จากคนที่มั่นใจในรสมือของตัวเองมาตลอด ก็เอาแต่เรียกให้พลัฎฐ์ลองชิม แล้วให้บอกว่ามีอะไรตรงไหนที่ต้องเพิ่มหรือลดหรือเปล่า เนื่องจากตะวันเองก็ไม่แน่ใจว่าพ่อและแม่ของพลัฎฐ์ชอบทานอาหารรสชาติแบบไหน พาลให้กังวลว่าอาหารที่ตนทำอาจจะเป็นรสชาติที่ไม่ถูกใจพ่อและแม่ของพลัฎฐ์เอา

“พี่พลัฎฐ์ พี่มาชิม..”

“ตัวเล็กฟังพี่... ทำแบบที่ตัวเล็กเคยทำ พี่มั่นใจว่าพ่อกับแม่พี่ต้องชอบ และชมว่าอร่อยแน่ๆ”

พลัฎฐ์ตัดสินใจพูดสวนให้กำลังใจตะวัน เพื่อให้อีกฝ่ายใจเย็นลง และทำอาหารในแบบที่ตัวเองถนัด ไม่ต้องทำเอาใจเขาหรือครอบครัวมากเกินไป เพราะพลัฎฐ์มั่นใจมากว่ากับข้าวฝีมือของตะวันจะทำให้พ่อกับแม่เขาประทับใจได้ไม่ยากแน่ๆ

“ก็ตะวันกลัวว่าจะไม่ถูกปากพวกท่านนี่นา”

คนตัวเล็กกว่าอ้อมแอ้มตอบ ให้พลัฎฐ์ต้องลุกไปยืนซ้อนคนที่ยืนหันหลังให้เพราะกำลังชั่งใจเรื่องรสชาติของอาหารอยู่หน้าเตา ก่อนจะอาศัยจังหวะที่ว่าหอมลงบนแก้มนิ่มเร็วๆ

“เชื่อพี่สิครับว่าพ่อกับแม่จะชอบอาหารฝีมือตะวันเหมือนที่พี่กับน้องพีชอบ ไม่ต้องกังวลนะ”

“แต่...” พอตะวันทำท่าจะแย้ง พลัฎฐ์ก็หันไปหาลูกชายตัวเองกับน้องชายของตะวันที่กำลังง่วนอยู่กับการช่วยป้าวันดีชิมขนมอย่างขะมักเขม้น

“น้องพีครับ อาหารพี่ตะวันอร่อยไหมครับ ไหนน้องพีบอกพี่ตะวันหน่อยเร็ว พี่ตะวันอยากรู้แหนะ”

น้องพีหันมามองคนถามด้วยสีหน้ามีความสุข มือเล็กๆ ถือขนมที่ป้าวันดีให้ไว้นิ่ง ในขณะที่ปากเล็กๆ ก็เคี้ยวหนุบหนับอย่างน่าเอ็นดู ซึ่งพอขนมหมดปากแล้ว เจ้าตัวเล็กก็ตะโกนตอบปะป๊าและพี่ตะวันเสียงจ๋อย

“อะหย่อยค้าบบบ พี่ตะวันทำข้าวกับขนมอะหย่อยที่สุดในโยก”

พอได้ยินคำชมจากเด็กชาย ใบหน้าน่ารักที่ดูกังวลในตอนแรกก็สดใสขึ้น ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นมั่นใจขึ้น เมื่อได้รับคำยืนยันจากน้องชายตัวเองอีกที

“ใช่ๆ ฝีมือพี่ตะวันอร่อย อร่อยกว่าใครเลย”

อาทิตย์ว่าพลางหันมายิ้มแฉ่งจนตาหยีส่งให้พี่ชาย จนทำให้ตะวันที่ได้รับรอยยิ้มนั้นอดยิ้มตามออกมาไม่ได้ เลยกลายเป็นว่าได้ยินเสียงทุ้มครางตัดพ้อมาแทน

“ตัวเล็กลำเอียง” ตะวันหันไปมองคนที่ยืนซ้อนหลังเอามือเท้าเคาน์เตอร์ปรุงอาหาร คล้ายๆ จะกักตะวันไว้ในอ้อมกอดกลายๆ ด้วยการทำหน้าสงสัยน้อยๆ เพราะไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ พลัฎฐ์ถึงได้กลายร่างเป็นเด็กงอแงไปได้ ทั้งที่เมื่อกี้ก็ปลอบเขาอยู่ดีๆ แท้ๆ

“หือ? ตะวันใจร้ายยังไครับ”

“ตัวเล็กใจร้ายที่เชื่อแต่เด็กๆ น่ะสิ” พลัฎฐ์ว่าพลางทำปากยื่นในแบบที่คิดว่าน่ารักสุดๆ แต่พอตะวันเห็นกลับเอาแต่หัวเราะไม่เลิกแทน “พี่พูดให้กำลังใจแทบแย่ ตัวเล็กไม่เห็นเชื่อเลย แต่พอน้องพีกับอาทิตย์พูดคนละประโยคกลับเชื่อง่ายๆ ซะงั้น พี่น้อยใจนะเนี่ย”

พลัฎฐ์แสร้งทำเป็นน้อยใจได้น่าหมั่นไส้มากๆ แต่ตะวันกลับไม่ถือสา ตรงกันข้ามคนตัวเล็กกว่ากลับรู้สึกอยากจะเอาใจคนตัวโตกว่าให้หายงอนเสียอีกด้วยซ้ำ

“ถ้างั้นตะวันง้อ” พอพูดจบ จู่ๆ คนที่กำลังง่วนอยู่หน้าเตาก็หันหน้ากลับมาหาคนขี้งอน แล้วเขย่งตัวพร้อมกับยื่นหน้าไปจูบเบาๆ เร็วๆ ลงบนริมฝีปากหยัก โดยที่คนถูกง้อแทบจะไม่ทันตั้งตัวเลยสักนิด

และยิ่งไปกว่านั้นพลัฎฐ์ยังถูกตะวันจู่โจมด้วยคำพูดน่ารักๆ จนทำเอาเขาเกือบใจละลายแทบไม่เป็นตัวของตัวเอง

“พี่พลัฎฐ์หายงอนตะวันนะครับ” แล้วมีหรือที่คนขี้สปอยล์ตะวันแบบพลัฎฐ์ จะไม่ใจอ่อนระทวยทำตามที่อีกฝ่ายขอโดยไม่มีบิดพริ้ว

“หายงอนแล้ว... คืนนี้ไปสวนสัตว์กับพี่นะ”

“พี่พลัฎฐ์!!!”

และสุดท้ายก็กลายเป็นตะวันงอนพลัฎฐ์ไปแทน เมื่อเจออีกฝ่ายขออะไรซึ่งๆ หน้าแบบนี้มา

.

.

.

ตอนนี้อาหารทุกจานที่ตะวันตั้งใจทำด้วยตัวเอง ถูกวางอยู่บนโต๊ะอาหารในร้านที่ถูกยกมาวางต่อกันให้กลายเป็นโต๊ะขนาดใหญ่ เพื่อรองรับสมาชิกที่เพิ่มขึ้น โดยมีพ่อและแม่ของตะวัน น้องพี พลัฎฐ์ อาทิตย์ และตะวัน นั่งรอท่าอยู่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้พลัฎฐ์โทรไปเช็คว่าพ่อกับแม่ตัวเองถึงไหนแล้ว ก็ได้รับคำตอบว่ารถติดนิดหน่อยจึงทำให้ถึงที่หมายช้ากว่าที่กะเวลาไว้ตอนแรก และอีกไม่นานน่าจะถึง เพราะกำลังจะลงทางด่วนแล้ว

และในระหว่างที่รอพ่อกับแม่ของตัวเอง พลัฎฐ์ก็ไม่อยากที่จะให้เสียเวลาไปเปล่าๆ เขาจึงยื่นนิตยสารปักษ์ล่าสุดที่เพิ่งวางจำหน่ายให้คุณพ่อกับคุณแม่ของตะวันดูทันที

พ่อของตะวันเป็นคนยื่นมือมารับไว้ และทันทีที่นิตยสารอยู่ในมือ ทั้งพ่อและแม่ของตะวันก็ขมวดคิ้วมุ่น พลางจ้องไปยังชื่อนิตยสารด้วยความไม่แน่ใจ

“ดับบลิว.เวิลด์ งั้นหรือ?”

พ่อของตะวันพึมพำชื่อหนังสือ ก่อนที่จะพยายามนึกว่าเขาเคยได้ยินชื่อนิตยสารนี้ที่ไหน เพราะมันคุ้นมาก ซึ่งไม่ใช่แค่พ่อของตะวันเท่านั้นที่คุ้น เพราะแม่ของตะวันเองก็รู้สึกคุ้นด้วยไม่ต่างกันเลย

“นั่นสิคะคุณ ฉันคุ้นจัง แต่นึกไม่ออกว่าได้ยินที่ไหน”

และเมื่อพลัฎฐ์เห็นว่าพ่อกับแม่ของตะวันมีท่าทีแปลกไป จึงรีบพูดอธิบายเพื่อทำคะแนน

“ใช่ครับ ดับบลิว.เวิลด์ เป็นนิตยสารของครอบครัวผมเองครับ”

แต่ยังไม่ได้ทันที่จะได้คุยอะไรต่อ เสียงกระดิ่งตรงประตูก็ดังขึ้น ราวกับจะบอกว่าตอนนี้มีคนมาใหม่กำลังจะเข้ามาในร้าน และเป็นพลัฎฐ์ที่หันไปเห็นพ่อกับแม่ของตัวเองก่อนใคร

“คุณพ่อ คุณแม่ มาแล้วเหรอครับ?”

เสียงทักของพลัฎฐ์ก็เรียกความสนใจให้ทุกคนที่ไม่ว่าจะนั่งดูนิตยสาร หรือตะวันที่กำลังง่วนอยู่กับการจัดโต๊ะ รวมไปถึงเด็กๆ เองที่กำลังหยอกล้อเล่นกันอย่างสนุกสนาน หันมามองกันโดยพร้อมเพรียง โดยมีเสียงน้องพีที่ตะโกนออกมาดังลั่นร้านด้วยความดีใจ

“คุณปู่ คุนย่า มาแย้วววว น้องพีคิดถึงมากกกกก” เจ้าตัวน้อยบอกพร้อมอ้าแขนกว้าง ราวกับเชื้อเชิญให้ผู้สูงวัยทั้งสองเข้าไปกอด ซึ่งทั้งคุณปู่และคุณย่าของน้องพีก็ไม่มีปฏิเสธ รีบตรงรี่เข้าไปหาหลานชายสุดที่รัก แล้วฟัดกอดด้วยความคิดถึง แถมยังเผื่อไปแผ่ไปโอบกอดเด็กชายตัวน้อยที่นั่งข้างหลานชายด้วยความเอ็นดูอีกด้วย

“นี่คงเป็นน้องอาทิตย์สินะลูก หน้าตาหล่อเหลาเชียว โตขึ้นสงสัยสาวต้องติดเต็มไปหมดแน่ๆ”

เจ้าอาทิตย์ดวงน้อยยิ้มแฉ่งหลังจากได้รับคำชมจากคุณย่าของน้องพี ก่อนที่จะพุ่มมือขึ้นสวัสดีอย่างนอบน้อม

“สวัสดีครับคุณปู่คุณย่า อาทิตย์ชื่อ อาทิตย์ครับ เด็กชายภานวีย์ รุ่งวิริยะจรรยาครับ”

เจ้าตัวจิ๋วพูดรายงานตัวเสียยาวเหยียดด้วยเสียงดังฟังชัด ทำเอาผู้ใหญ่ทั้งสองที่ได้ยิน อดยิ้มเอ็นดูไม่ได้

“ฉลาดจริงๆ ตัวแค่นี้เอง” บิดาของพลัฎฐ์เอ่ยชม ก่อนจะหันไปหาลูกชาย แล้วถามพลางหันไปมองรอบๆ ร้าน “ว่าแต่ไหนหนูตะวันแฟนเราล่ะ คุณพ่อคุณแม่ของน้องเขามาถึงแล้วใช่ไหม”

“นั่นสิลูก พวกคุณๆ เขาอยู่ไหนกันล่ะหื้ม?”

คุณลินลดากระซิบถามลูกชายเบาๆ พร้อมกับสามีที่เขยิบเข้ามายืนข้างๆ พลัฎฐ์จึงผายมือไปทางพ่อกับแม่ของตะวันที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามที่กำลังมองมาที่ใบหน้าของพ่อและแม่ของพลัฎฐ์อย่างอึ้งๆ จากนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นยิ้มกว้างจนพลัฎฐ์นึกแปลกใจ

“พ่อครับ แม่ครับ นั่น....”

แต่ยังไม่ทันที่พลัฎฐ์จะได้เอ่ยแนะนำ พ่อของเขาก็เอ่ยเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยท่าทีสนิทสนมเสียก่อน

“อ้าว.. คุณภาสกร คุณรวิวรรณ มาทำอะไรที่นี่ครับ” แต่แล้วบิดาของพลัฎฐ์ก็ชะงัก ก่อนที่จะพึมพำออกมาเบาๆ “หรือว่า...”

“สวัสดีครับ คุณพศิน คุณลินลดา ผมกับภรรยาคือพ่อกับแม่ของเจ้าตะวันกับเจ้าอาทิตย์ครับ ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งนะครับ”

ซึ่งพอจบคำของคุณภาสกรบิดาของตะวัน ทุกคนในร้านรวมถึงตะวันที่เดินมายืนข้างพลัฎฐ์ตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ ได้แต่มองแล้วอึ้งๆ ปนงงๆ ก่อนที่เสียงหัวเราะของบรรดาพ่อๆ และแม่ๆ จะดังประสานขึ้นราวกับชอบอกชอบใจอะไรนักหนาก็ไม่รู้

“นั่งๆ ครับ สงสัยวันนี้เราน่าจะได้คุยกันยาวๆ ฮ่า”

.

.

.

- อ่านต่อด้านล่าง -
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 23rd - 03/9/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 03-09-2019 20:16:12
- ต่อจากด้านบน -


Tawan’s Part


กลายผมกับพี่พลัฎฐ์ที่ทำหน้างงกันไปงงกันมา ในขณะที่พ่อกับแม่ของพวกเราหัวเราะร่วน พูดคุยกันสนิทสนม ราวกับรู้จักกันมาก่อน

เอ่อ... ก็รู้จักกันมาก่อนจริงๆ นั่นแหละ

“สรุปว่า... ที่พ่อกับแม่บอกว่ามีนิตยสารมาติดต่อขอให้เขียนคอลัมน์เกี่ยวกับการวิจารณ์อาหารนี่คือนิตยสารของคุณลุงกับคุณป้าเหรอครับ...?”

ผมถามด้วยสีหน้างงงวย ก่อนที่คุณแม่ของพี่พลัฎฐ์จะยื่นมือมาแตะที่ท่อนแขนของผมเบาๆ แล้วส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้

“ไม่เอาคุณลุงกับคุณป้าค่ะหนูตะวัน เรียกคุณพ่อคุณแม่แบบพี่เขาเถอะนะ ไหนๆ เราก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว” แม้คำตอบที่ผมได้รับ จะไม่ค่อยตรงกับคำถามที่ถามไปเท่าไหร่ แต่ได้ยินแล้วก็อดหน้าร้อนไม่ได้ “ส่วนที่หนูตะวันถาม.. คำตอบคือใช่ค่ะ คุณพ่อพศินกับคุณแม่น่ะ ติดต่อคุณภาสกรและคุณรวิวรรณ คุณพ่อและคุณแม่ของหนูให้มาทำงานด้วยกัน ที่เรากลับมาไทยเที่ยวนี้ นอกเหนือจากเรื่องของเจ้าลูกชายกับหลายชายตัวแสบแล้ว ก็กลับมาเพื่อที่จะคุยธุรกิจกับคุณพ่อคุณแม่หนูด้วยนี่ล่ะจ้ะ ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะบังเอิญขนาดนี้ ใช่ไหมคะคุณ”

ปลายประโยคคุณป้า เอ่อ.. คุณแม่ก็หันไปถาม อะ.. อืม คุณพ่อนั่นแหละ ก่อนที่คุณพ่อท่านจะยิ้มกว้างและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี

“นั่นสิครับ คนกันเองแบบนี้ ผมก็คงไม่กังวลอะไรมากแล้ว”

ผมกับพี่พลัฎฐ์ก็หันไปมองฝั่งคุณพ่อของผมบ้าง เพราะไม่แน่ใจว่าท่านจะมีปฏิกริยายังไงบ้างกับเรื่องนี้ เพราะถึงแม้พวกท่านจะดูสนิมสนมและมีวี่แววว่าจะร่วมงานกัน แต่เรื่องระว่างผมกับพี่พลัฎฐ์ก็เป็นอีกไม่เรื่อง ไม่แน่...

“ใช่ครับ ถ้าผมรู้ว่าคุณพลัฎฐ์เป็นลูกชายคุณพศินแต่แรก ก็คงไม่ต้องให้ทำเรื่องทำราวปกป้องตะวันอะไรขนาดนี้หรอก”

อ่าว... พ่อผม ทำไมยอมง่ายยอมดายขนาดนี้

ซึ่งสิ่งที่ได้ยินก็ทำเอาผมหน้ามุ่ยไม่น้อย ในขณะที่พี่พลัฎฐ์กลั้นขำจนไหล่สั่น แถมยังเอื้อมมือมาบีบจมูกผมเบาๆ อีกต่างหาก ตอนผมหันไปย่นจมูกใส่อีกฝ่ายที่เอาแต่ส่งสายตาล้อเลียนผมไม่เลิก

“โถ นั่นหนูตะวันหน้าบึ้งแล้ว ไม่เอาค่ะคุณ ไม่พูดล้อหนูตะวันแล้วนะคะ” และก็เป็นแม่พี่พลัฎฐ์ที่หันมามองและพูดกับผมด้วยน้ำเสียงใจดี ซึ่งผมเองพอมีคนเข้าข้างก็คิดเปลี่ยนฝั่งทันที เพราะท่าทางแล้วคุณแม่ของพี่พลัฎฐ์จะเอ็นดูผมอยู่ไม่น้อย ผมเลยจัดการพาตัวเองไปนั่งข้างคุณแม่ทันทีพร้อมกับเกาะแขนท่านเบาๆ ทำหน้าอ้อนๆ ยิ้มกว้างๆ แบบที่ผมชอบทำกับพี่พลัฎฐ์บ่อยๆ และมั่นใจมากว่าคุณแม่ของพี่พลัฎฐ์ต้องชอบมากแน่ๆ

“ตัวเล็กกกก ย้ายกลับมานั่งข้างพี่นี่มา มาอ้อนพี่ ไม่ต้องไปอ้อนแม่พี่เลย” ผมลอบยิ้ม เพราะยังไม่ทันที่คุณแม่จะออกอาการ กลับเป็นพี่พลัฎฐ์ที่ร้อนรนขึ้นมาแทน

พี่พลัฎฐ์น่ะ ขี้หวงผมจะตายไป ... คอยดูนะผมจะแกล้งคืนบ้าง ชอบแกล้งผมดีนัก

“คุณแม่ครับ ดูสิครับ พี่พลัฎฐ์ชอบแกล้งตะวัน ตะวันอยู่กับคุณแม่ดีกว่าเพราะคุณแม่ใจดี แถมยังปกป้องไม่ให้ใครแกล้งตะวันด้วย”

คุณพ่อกับคุณแม่ของพี่พลัฎฐ์หัวเราะชอบใจ ก่อนที่มือเรียวๆ นุ่มๆ ของคุณแม่จะยื่นมาลูบศีรษะผมด้วยความเอ็นดู

“ได้ค่ะ หนูตะวันอยู่กับแม่นะคะ แม่จะไม่ให้พี่พลัฎฐ์เข้าใกล้มาแกล้งหนูเลยดีไหมคะ”

ผมยิ้มกริ่มก่อนจะหันไปทำหน้าเยาะเย้ยใส่พี่พลัฎฐ์ ก่อนจะหันมาพยักหน้าหงึกหงักเป็นเชิงเห็นด้วยกับคุณแม่

“ดีครับ ดี ตะวันอยากอยู่กับคุณแม่ครับ”

“นี่พี่ตะวัน ได้ทีก็อ้อนคุณลินลดาใหญ่เลยนะคะลูก แบบนี้ให้คุณพลัฎฐ์มาอ้อนแม่บ้างดีไหมคะเนี่ย”

ผมตาโตทันทีที่ได้ยินแม่ตัวเองพูดแบบนั้น ก่อนจะหันมาส่งสายตาเป็นลูกหมาอ้อนให้กับแม่พี่พลัฎฐ์ พอคุณแม่ของพี่พลัฎฐ์พยักหน้าให้พร้อมกับรอยยิ้มอ่อนโยน ผมก็ลุกไปหาแม่ตัวเอง พร้อมกับทรุดตัวลงนั่งแล้วกอดเอวแม่เอาไว้แน่น

“ไม่เอาครับ ตะวันเหมาหมดเลยคนเดียว เหมาคุณพ่อกับคุณพ่อด้วย”

และคำพูดของผมก็เรียกเสียงหัวเราะได้จากทุกคน ไม่เว้นแม้แต่เจ้าเด็กน้อยทั้งสองที่เมื่อกี้นั่งเล่นวาดรูป ไม่ได้สนใจอะไรเลยสักนิด

“นี่ล่ะครับเจ้าตะวันลูกผม ร้ายน้อยที่ไหน ชอบขี้อ้อน บางทีติดอ้อนผมกับคุณรวิวรรณมากกว่าเจ้าอาทิตย์เสียอีก” พอจบคำพูดของคุณพ่อผมก็ได้ยินเสียงหัวเราะหึหึของพี่พลัฎฐ์ เลยจัดการหันไปย่นจมูกใส่ แต่ก่อนจะยิ้มหน้าบานเมื่อได้ยินพ่อพี่พลัฎฐ์พูด ผมก็เปลี่ยนเป็นยิ้มกริ่มทันที

“ดีครับ เอามาปราบลูกชายขี้เย็นชาของผมให้หนัก ดูท่าจะหลงหนูตะวันมาก ถึงกับโทรมาขอให้แม่เขาช่วยพูดกับผม ตอนที่จะไปขอหนูตะวันเป็นแฟน”

“โถ่ พ่อครับ เผาผมแบบนี้จะเหลืออะไร” จากที่กำลังยิ้มกริ่มก็เปลี่ยนเป็นรู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาทันที และยิ่งเหมือนโดนน็อคเอ้าท์พ่ายแพ้ราบคาบก็ตอนที่พี่พลัฎฐ์พูดยิ้มๆ ด้วยสีหน้าไม่สะทกสะท้านให้ทุกคนรับฟังโดยพร้อมเพรียงกัน

“ที่จริงก็ไม่ต้องให้ตะวันปราบอะไรผมหรอกครับ เพราะแค่ทุกวันนี้ผมก็ทั้งรักทั้งหลงน้องจะแย่ แค่เอ่ยปากสั่งคำเดียว ผมก็ยอมทุกอย่างแล้ว”

ผมอ้าปากค้าง ก่อนจะกวาดสายตามองบรรดาพ่อๆ และแม่ๆ ของผมกับพี่พลัฎฐ์ที่กำลังมองมาที่ผมซ้ำยังยิ้มล้อเลียนให้ผมได้ยิ่งเขินหนักกว่าเดิม

ฮึ่ยยย!! สรุปไอ้ที่แกล้งๆ มา ผมแพ้พี่พลัฎฐ์เพราะประโยคนี้ประโยคเดียวเนี่ย!

คอยดูนะไม่ต้องไปแล้วสวนส่งสวนสัตว์เนี่ย!!

.

.

.

อาหารเย็นมื้อนั้นจบลงพร้อมกับรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ คุณพ่อและคุณแม่ของพี่พลัฎฐ์เอ่ยชมไม่ขาดปากว่ากับข้าวอร่อยอย่างนั้น น่ากินอย่างนี้ ทำเอาพ่อครัวอย่างผมยิ้มกว้างจนปากแทบฉีก ไม่เสียแรงที่ลงมือทำเองทุกเมนูเพราะอยากให้พวกท่านประทับใจ และดูเหมือนทุกอย่างล้วนเป็นไปตามความตั้งใจผม ทำเอาผมมีความสุขจนหุบยิ้มไม่ได้

และแน่นอนว่าสถานการณ์ของคุณพ่อผมกับพี่พลัฎฐ์ก็ดีตามขึ้นลำดับ บรรยากาศกดดันและรังสีอำมหิตที่พ่อผมเคยแผ่ใส่พี่พลัฎฐ์ทุกครั้งที่เห็นหน้าก็หมดไป เหลือแต่รอยยิ้มใจดี และสายตาชื่นชมเมื่อได้พูดคุยกันแล้วรู้ว่าพี่พลัฎฐ์ต้องเสียสละและทำอะไรเพื่อครอบครัวบ้าง ซึ่งนั่นคือจุดอ่อนของพ่อ เพราะพ่อเป็นคนรักครอบครัว พอเห็นพี่พลัฎฐ์ทำทุกอย่างและเห็นความสุขของคนในครอบครัวเป็นหลักเลยทำให้พ่อเปิดใจให้พี่พลัฎฐ์มากขึ้น

ครอบครัวของเราทั้งสองเข้ากันได้ดี บรรดาพ่อๆ แม่ๆ ของพวกเราพูดคุยกันถึงคอลัมน์ใหม่ที่จะเพิ่มขึ้นมาในนิตยสารโดยให้พ่อกับแม่ของผมเป็นผู้เขียนหลัก ซึ่งน่าจะเป็นข้อมูลเกี่ยวกับร้านอาหารอร่อย ร้านอาหารขึ้นชื่อ หรือเมนูแนะนำอะไรต่างๆ ที่พ่อกับแม่ของพี่พลัฎฐ์เพิ่งคิดได้ว่าจะเอามาเสริมในนิตยสาร ถึงได้ติดต่อพ่อกับแม่ผมไปก่อนหน้านี้ นั่นเพราะพวกกท่านเคยมีโอกาสได้เจอกันในงานเลี้ยงงานหนึ่งตอนที่อยู่ที่อเมริกา พอหลังจากได้แลกเปลี่ยนความคิด ทัศนคติ ก็เลยเกิดคุยกันถูกคอ จนพ่อกับแม่ของพี่พลัฎฐ์วางแผนจะเชิญพ่อกับแม่ของผมมาร่วมงานด้วย แล้วก็จับพลัดจับผลูมาเจอกันในวันเปิดตัวคนรักของลูกชายของทั้งสองครอบครัวแทน


ผมไม่รู้ว่าจะเรียกสิ่งนี้ว่าความบังเอิญหรือพรหมลิขิตดี...


แต่ไม่ว่ามันจะเป็นเพราะอะไรก็แล้วแต่ สิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะบอกก็คือ ผมรู้สึกขอบคุณและมีความสุขมากๆ เพราะก่อนหน้าที่พวกท่านทั้งสี่จะได้พบกัน ผมกังวลไปล้านแปด กลัวพ่อกับแม่ผมจะไม่ยอมรับ กลัวพ่อกับแม่พี่พลัฎฐ์จะไม่ชอบผม กลัวไปทุกอย่าง แต่พอผลลัพธ์มันออกมาเป็นตรงข้ามแบบนี้ ผมก็สบายใจ และรู้สึกโล่งใจอย่างที่ไม่เคยเป็น แม้ตอนนี้จะมีบางอย่างทีทำให้ผมรู้สึกไม่ปลอดภัยก็ตาม

ผมว่าอันตราย ขืนสถานการณ์เป็นแบบนี้ ผมต้องตกอยู่ในอันตรายแน่ๆ

“พี่ตะวันคะ วันนี้พ่อกับแม่จะกลับไปนอนที่บ้านใหญ่นะคะ แล้วจะเอาน้องอาทิตย์ไปด้วย พี่ตะวันจะไปด้วยกัน หรือจะกลับไปบ้านตัวเองคะ”

ผมยิ้มร่าเริง เตรียมจะตอบแม่เต็มที่ว่าจะขอกลับไปนอนด้วย เพราะตั้งใจแล้วว่าจะขอนอนกอดแม่กับพ่อให้หายคิดถึง แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้อ้าปากพูด พี่พลัฎฐ์ก็พูดสวนขึ้นมาก่อนเสียแบบนั้น

“แต่คุณแม่ครับ ตะวันรับปากผมไว้น่ะครับว่าคืนนี้จะทำขนมให้ผม” พอเห็นคุณแม่ทำหน้างง พี่พลัฎฐ์ก็พูดเสริม “พอดีผมจะเอาขนมไปอวยพรวันเกิดให้กับลูกค้าของนิตยสาร เลยไหว้วานให้น้องช่วยทำขนมให้”

“อ่าวเหรอจ๊ะ” คุณแม่ผมพยักหน้ารับว่าเข้าใจ ก่อนจะพูดอย่างใจดี “งั้นพี่ตะวันอยู่ทำขนมให้พี่เขาแล้วกันนะลูก ไม่ต้องเป็นห่วงน้องอาทิตย์ เดี๋ยวคืนนี้คุณพ่อคุณแม่ดูแลน้องเอง”

พี่พลัฎฐ์ยิ้มกว้าง พร้อมกับยกมือไหว้คุณแม่ผมอย่างนอบน้อม “ขอบคุณมากครับคุณแม่”

ในขณะที่ทางฝั่งครอบครัวพี่พลัฎฐ์เองก็ดูเหมือนจะได้ยินในสิ่งที่พลัฎฐ์บอกเหมือนกันคุณแม่ของพี่พลัฎฐ์เลยหันมาหาเราสองคน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนไม่ต่างจากแม่ผมสักนิด

“พลัฎฐ์ไปรบกวนน้องทำไมล่ะลูก ทำไมไม่สั่งร้านให้ทำให้”

ผมหันไปมองพี่พลัฎฐ์ที่ถูกแม่ดุ ทั้งที่ยังงงๆ จับต้นชนปลายไม่ถูก ก่อนที่จะเห็นว่าพี่พลัฎฐ์กำลังยิ้มอ้อนแม่ตัวเอง พลางกอดเอวท่านไว้หลวมๆ

“ก็น้องทำขนมอร่อยนี่ครับแม่ ผมอยากให้ลูกค้าประทับใจ” ผมมองหน้าพี่พลัฎฐ์งงๆ และยังคงงงต่อไปเรื่อยๆ “แต่แม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ เพราะเดี๋ยววันนี้ผมจะไปช่วยน้องทำขนมเอง ซึ่งผมคงต้องฝากน้องพีไว้กับคุณแม่และคุณพ่อสักคืน”

“ดีจ้ะดี ไปรบกวนน้องเราก็ต้องไปช่วยน้องทำ” แม่พี่พลัฎฐ์หันยิ้มใจดีให้ผม “แม่ฝากพี่พลัฎฐ์ด้วยนะคะหนูตะวัน ส่วนน้องพีก็ไม่ต้องเป็นห่วงกัน เดี๋ยวแม่ดูแลเอง คิดถึงหลานจะแย่ คืนนี้จะนอนกอดให้หนำใจเลย”

พูดไม่พูดเปล่าคุณแม่ของพี่พลัฎฐ์ยังก้มไปอุ้มน้องพีที่ยืนเกาะกุมมือเธออยู่ข้างๆ ขึ้นมากอดอีกต่างหาก

“น้องพี คืนนี้ไปนอนกับย่านะลูก ย่าจะได้ฟังหนูเล่าเรื่องที่ไปโรงเรียนมาดีไหมครับ”

น้องพียิ้มกว้างพร้อมกับหยักหน้าหงึกหงักอย่างถูกใจ “ไปคับไป น้องพีหยักนอนกับคุณย่า น้องพีคิดถึงคุณย่า โอ๊ะๆ คิดถึงคุณปู่ด้วยยย”

และถ้อยคำแสนฉลาดของน้องพี ก็ทำเอาทุกคนส่ายหัวขำด้วยความเอ็นดู ก่อนที่น้องชายของผมจะพูดโพล่งขึ้นมาทำเอานิ่งอึ้งกันทั้งบาง ยกเว้นผม ที่ยังงงกับเรื่องที่พลัฎฐ์ พยายามนึก นึกยังไงก็นึกไม่ออก รู้แต่ว่าอันตราย อันตรายแน่ๆ

“แต่อาทิตย์อยากให้น้องพีไปนอนด้วยกันจังเลยครับคุณพ่อ ไม่ได้เหรอครับ”

แล้วคุณพ่อของผมก็ต้องหันไปส่งสายตาขอโทษขอโพยให้กับคุณพ่อและคุณแม่ของพี่พลัฎฐ์เมื่อเห็นว่าน้องพีเองก็ดูเหมือนจะชะงักไปเล็กน้อยเพราะคำพูดของเจ้าอาทิตย์ และดูคล้ายว่าจะมีเปอร์เซ็นต์สูงมากที่น้องพีกำลังจะเรียกร้องในสิ่งเดียวกับที่เจ้าอาทิตย์ของผมเพิ่งขอไป

“ไม่ได้นะครับน้องอาทิตย์ คุณปู่คุณย่าไม่ได้เจอน้องพีนานแล้ว น้องอาทิตย์เจอน้องพีทุกวัน ผลัดให้คุณปู่กับคุณย่าเจอกันบ้างนะลูก”

น้องชายผมหน้าจ๋อย แต่ก็พยักหน้ารับยอมเข้าใจ ในขณะที่น้องพีเองก็มีสภาพไม่ต่างกัน อาจะเป็นเพราะวันนี้เด็กสองคนเล่นด้วยกันและอยู่ด้วยกันนานเกินไป พอจะแยกจากกันเลยต้องมีดราม่ายกใหญ่สักหนึ่งยก

และก่อนที่จะได้พูดหรือได้แย้งอะไร คุณพ่อของพี่พลัฎฐ์ก็เอ่ยถามขึ้นเสียก่อน

“หรือว่าเอาแบบนี้ดีครับคุณภาสกร” คุณพ่อพี่พลัฎฐ์ยิ้มกริ่ม ก่อนที่จะเฉลย “คือถ้าคืนนี้ไม่รบกวนคุณกับคุณรวิวรรณมากเกินไป ผมกับภรรยาอยากจะขอไปค้างที่บ้านพวกคุณสักคืน น้องพีกับน้องอาทิตย์จะได้อยู่ด้วยกัน แล้วเราจะได้สังสรรค์กันตามภาษาผู้ใหญ่ด้วย”

และแน่นอนว่าทั้งสามคนที่เหลือเห็นด้วย เพราะดูจะพยักหน้าหงึกหงัก ริมฝีปากประดับด้วยรอยยิ้มกว้างราวกับชอบใจ

“ดีเหมือนกันนะคะคุณ เพราะฉันก็ยังคุยเรื่องอาหารขึ้นชื่อแถวนี้ยังไม่จบเลย จะได้คุยต่อด้วย ดีไหมคะคุณลินลดา”

ท้ายประโยค แม่ผมหันไปถามคุณแม่ของพี่พลัฎฐ์ ซึ่งแน่นอนว่าท่านเห็นดีเห็นงามด้วย

“ดีค่ะ ดีเลย”

แล้วพ่อผมก็ทำการจบบนสนทนาด้วยการเชื้อเชิญ พ่อและแม่ของพี่พลัฎฐ์ขึ้นรถ

“งั้นเชิญครับคุณพศิน คุณลินลดาทางนี้เลยครับ” พ่อของผมผายมือ ก่อนออกเดินนำ “พอดีเลย ผมมีไวน์ที่อยากเปิดชิมอยู่ เดี๋ยวคืนนี้อยู่ทานด้วยกันนะครับคุณพศิน”

“โอ้ ยินดีเลยครับคุณภาสกร ขอบคุณมากนะครับ” พ่อของพี่พลัฎฐ์หันมาขอบคุณคุณพ่อของผมเสียยกใหญ่ ก่อนที่คุณพ่อจะหันไปบอกข่าวดีให้น้องพีรู้

“น้องพีครับ คืนนี้เราไปนอนบ้านคุณตาคุณยายและคุณอาทิตย์กันนะครับ หนูขอบคุณคุณตาคุณยายก่อนเร็วลูก”

น้องพียิ้มกว้างก่อนจะยกมือไหว้ขอบคุณพ่อกับแม่ของผมอย่างน่ารัก ทำเอาพ่อกับแม่ผมอดไม่ได้ต้องยื่นหน้าหันไปหอมแก้มนิ่มที่ผมเองก็ชอบหอมเบาๆ

ฟอด ~

“เย่ๆ น้องพีได้ไปนอนกับคุณอาทิตย์แย้ว ไปกันๆ ไปกัน”

“ใช่ๆ ไปบ้านคุณอาทิตย์กันนะน้องพี”

เด็กทั้งสองดูมีความสุขมาก ผมเองก็ได้แต่มอง มองจนกระทั่งคุณแม่ของพี่พลัฎฐ์หันมาฝากฝัง

“พลัฎฐ์ดูแลน้องด้วยนะลูก ส่วนเด็กๆ เดี๋ยวพ่อกับแม่ดูแลเอง” ซึ่งพี่พลัฎฐ์ก็หันไปรับปากรับคำแม่ตัวเอง รวมถึงสัญญิงสัญญากับพ่อและแม่ผมเรียบร้อยเช่นกัน

“ได้ครับแม่ ผมจะดูแลน้องเอง ถ้ายังไงผมฝากน้องพีด้วยนะครับ” พี่พลัฎฐ์หันไปทางครอบครัวผมก่อนที่จะเอ่ยขอบคุณด้วยท่าทางสุภาพนอบน้อม “แล้วก็ขอบคุณคุณอากับคุณแม่มากนะครับ อุตส่าห์เชิญพ่อกับแม่ผมไปค้างที่บ้านด้วย”

“ไม่เป็นไรๆ” พ่อผมโบกมือปัดไปมา “เอาล่ะๆ แยกย้ายเถอะ ก่อนที่จะดึกเกินไป” พอจบคำพ่อก็เดินมาลูบหัวผม พร้อมๆ กับแม่ที่อุ้มเจ้าอาทิตย์เดินมาหอมแก้มผมคนละที

“แม่ไปนะคะพี่ตะวัน ถ้ายังไงพรุ่งนี้แม่จะโทรหานะคะ”

“ไม่ได้กอดอาทิตย์คืนนึง พี่ตะวันไม่ต้องเหงาน้า บ๊ายบายยย” ซึ่งผมก็ได้ยินประโยคคล้ายๆ แบบนี้จากไม่ใกล้ไม่ไกล น่าจะเป็นน้องพีที่บอกพ่อตัวเองอยู่ข้างๆ ผมด้วย

“น้องพีไปนะปะป๊า คืนนี้อยู่น้องพีไม่อยู่ด้วย โอ๋ๆ ให้ ฝันดีนะคับ”

“ครับๆ น้องพีก็อย่าดื้อกับคุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยายนะลูกเข้าใจไหม” ผมเลยหันไปมอง จึงได้เห็นพี่พลัฎฐ์ก้มลงหอมแก้มน้องพีที่กำลังหัวเราะเอิ๊กอ๊ากชอบใจฟอดใหญ่

“น้องพีไม่ดื้อๆ เป็นเด็กดีคับปะป๊า คุณอาทิตย์ด้วยๆ”

และนั่นก็เป็นประโยคสุดท้าย ในขณะที่พ่อกับแม่ของผมและของพี่พลัฎฐ์อุ้มอาทิตย์กับน้องพีไปขึ้นรถ แล้วขับตามกันไปในขณะที่ผมกับพี่พลัฎฐ์ยังยืนอยู่หน้าร้านเหมือนเดิม และผมก็ยังคงงงไม่หาย

งงว่าผมไปรับปากทำขนมอะไรให้พี่พลัฎฐ์เมื่อไหร่กัน ผมจำได้ว่าไม่มีจะมีก็แต่....

ฮึ่ยยย!!! …. พี่พลัฎฐ์!!! ไอ้คนเจ้าเล่ห์!!!

.

.

.

To Be Continue

----------------------------

ตอนหน้าไม่ต้องเดาค่ะ รอเจอกับ NC เต็มรูปแบบได้เลย 55555555555555555

อีกสองตอนจะจบแร้วจ้าาา ยังไงก็ต้องขอบคุณทุกๆคอมเม้นท์ด้วยนะคะ ที่อยู่มาด้วยกันจนถึงตอนนี้ ถึงจะไม่ได้มากมายอะไร แต่พวกคุณคือแรงใจที่ดีที่สุดในโลกสำหรับเราเลยยย ขอบคุณมากๆ จนไม่รู้จะเอ่ยขอบคุณอีกกี่ครั้งดี .. นิยายเรื่ิองนี้มาถึงตรงนี้ก็เพราะมีพวกคุณคอยสนับสนุน ขอบคุณอีกครั้งนะคะ

รักพวกคุณมากๆ เจอกันตอนหน้าจ้าาาา .. เริ้บ❤
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 23rd - 03/09/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 03-09-2019 20:38:02
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 23rd - 03/09/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 03-09-2019 22:10:59
 :L2: :L1: :pig4:

อ่าาาจะจบแล้ว เสียดาย อ่านสบายๆ มีเด็กๆน่ารักด้วย
ขอให้มีตอนพิเศษน้า
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 23rd - 03/09/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: noy ที่ 04-09-2019 01:05:33
น่ารัก​ อบอุ่น​มาก​ๆ​ค่ะ​ :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 23rd - 03/09/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 04-09-2019 02:15:03
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 24th - 07/9/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 07-09-2019 20:22:08
:: Chapter 24th - ขนมหวานที่ต้องทำในห้องนอน ::


"พี่บอกตะวันตอนไหนว่าจะให้ตะวันทำขนมไปให้ลูกค้า"

หลังจากที่คุณพ่อคุณแม่ของทั้งสองฝ่ายแยกย้ายไปพร้อมเจ้าตัวน้อยทั้งสอง คนถูกอ้างชื่อก็หันมาแหวใส่คนขี้โกหกที่ยืนยิ้มกริ่มอยู่ข้างๆ ทันที

แต่แทนที่พลัฎฐ์จะตอบคำถามของตะวันเขากลับดึงคนที่กำลังยืนทำหน้าเป็นยักษ์เข้าหาตัว ก่อนจะโอบเอวบางแน่น แล้วพาเดินไปขึ้นรถที่จอดอยู่ทันที

“....”

"พี่พลัฎฐ์!!" ตะวันตีลงบนท่อนแขนแข็งแรงที่โอบเอวตัวเองอยู่ซ้ำๆ แต่พลัฎฐ์กลับไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด เอาแต่โอบจนแทบจะอุ้มพาตะวันไปถึงรถจนได้

“.....”

"พี่พลัฎฐ์! ยังอีก ถ้าไม่ตอบตะวันดีๆ ตะวันจะไม่ไปกับพี่นะครับ"

พอได้ยินคนรักยื่นคำขาดด้วยน้ำเสียงเอาจริงเอาจัง แถมยังขืนตัวไว้ไม่ยอมเข้าไปนั่งในรถ พลัฎฐ์เลยต้องหันมาทำหน้าอ้อน พร้อมกับกอดตะวันไว้หลวมๆ แถมยังยื่นหน้ามาคลอเคลียกับแก้มนุ่มของตะวันเหมือนหมาตัวโตๆ ไม่หยุด

"หนูครับ ไหนหนูสัญญากับพี่ไว้ว่าจะไปเที่ยวสวนสัตว์ไง หนูจะผิดสัญญากับพี่เหรอ"

แม้จะรู้อยู่บ้างว่าทำไมพลัฎฐ์ถึงโกหกบรรดาพ่อกับแม่แบบนั้น แต่ตะวันก็ไม่ได้คิดเผื่อไว้ว่าจะต้องมาได้ยินพลัฎฐ์บอกตรงๆ กันขนาดนี้ ซี่งพอได้รับรู้ตะวันก็อดหน้าร้อนขึ้นมาไม่ได้

"แล้วพี่จะมาพูดอะไรตรงๆ แบบนี้เล่า"

พลัฎฐ์อมยิ้ม ตอนเห็นคนในอ้อมกอดเขินอาย

"พี่ไม่อยากอ้อมค้อมนี่" ว่าพลางไล้จมูกไปตามแก้มแดงๆ ที่ขึ้นสีระเรื่อเพราะความเก้อเขิน "พี่รอหนูมานานแล้วหนูก็รู้ หนูไม่เห็นใจพี่เหรอครับ หื้ม?" พอเห็นตะวันอึกอัก พลัฎฐ์ก็ยิ่งรุกอ้อนหนัก

"พี่รักหนูนะครับ รักมาก รักจนจะห้ามใจไม่ไหวมากขึ้นทุกที"

"แต่ตะวัน..."

พลัฎฐ์ก้มลงไปจูบเบาๆ ลงบนริมฝีปากสีสดที่คิดจะเอ่ยห้าม ก่อนแย้งบอกเหตุผล

"อีกอย่างคืนนี้เด็กๆ ก็มีพ่อกับแม่ของเราสองคนดูแลอยู่ เราจะได้ไม่ต้องกังวล นานๆ ครั้งเราจะได้มีเวลาอยู่ด้วยกันแบบนี้ หนูไม่อยากอยู่กับพี่เหรอครับ หรือว่ามีแค่พี่คนเดียวที่อยากอยู่กับหนูมากขนาดนี้"

ปลายประโยคแผ่วๆ ที่ตัดพ้อน้อยๆ ของพลัฎฐ์ทำให้ตะวันใจอ่อนยวบ เลยทำให้คนขี้ใจอ่อนเผลอโพล่งออกมา

"ไม่ใช่สักหน่อย! ตะวันไม่ได้ไม่อยากอยู่กับพี่พลัฎฐ์นะ ตะวันแค่.. แค่.." พอเห็นอีกฝ่ายไม่กล้าพูด พลัฎฐ์เลยไม่เซ้าซี้ แต่เลือกที่จะรอให้น้องบอกอย่างใจเย็นแทน

ตะวันเงยหน้าขึ้นสบตาเจ้าของอ้อมกอด ก่อนจะก้มงุดลงมองพื้นแล้วพึมพำตอบ

"ตะวันแค่.. แค่เขิน ตะวันไม่เคย คือ.. มัน.."

พลัฎฐ์เองพอได้ยินแบบนั้นก็กลั้นยิ้มจนแก้มตุ่ย ก่อนจะดึงตะวันเข้ามาโอบกอดไว้แน่น แล้วจูบลงบนหน้าผากมน พร้อมกับมองเข้าไปในดวงตากลมโตของตะวันอย่างแน่วแน่และมั่นคง พลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

"ตะวันครับ ตะวันเชื่อใจพี่ไหมครับ"

เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งตั้งแต่เริ่มคบกันเป็นแฟนที่พลัฎฐ์จะเรียกตะวันด้วยชื่อเต็มๆ แบบนี้ ซึ่งทุกครั้งที่พลัฎฐ์เรียกตะวันแบบนี้ก็เป็นทุกครั้งที่พลัฎฐ์จริงจัง และอยากให้ตะวันมั่นใจ

ซึ่งครั้งนี้ก็เช่นกัน…

พอได้มองสบเข้าไปในดวงตาคมที่เต็มไปด้วยความจริงใจของอีกฝ่าย ก็ให้ตะวันนึกโอนอ่อนเลยพยักหน้าตอบรับ สำหรับคำถามนั้น

"ถ้าตะวันเชื่อใจพี่ ก็ไม่มีอะไรที่ตะวันต้องกลัว เพราะพี่รักตะวันมาก พี่จะทำให้ตะวันมีความสุข ทำให้คืนนี้เป็นคืนที่ดีของเราสองคน พี่สัญญา"

แววตากลมที่พลัฎฐ์กำลังมองสบดูลังเลอยู่แค่เสี้ยววินาที แต่หลังจากที่พลัฎฐ์ถ่ายทอดทุกความรักและความจริงใจผ่านม่านตาของตัวเองนั้น ความลังเลและไม่แน่ใจของตะวันก็เลือนหายไป เหลือแต่ความรักและความเชื่อใจที่ส่งกลับมาแทน ทำเอาพลัฎฐ์เผลอยิ้มกว้างออกมาด้วยความยินดี

"พี่พลัฎฐ์สัญญาแล้วนะ"

คนตัวเล็กกว่าโผเข้าซุกอกกว้างพร้อมกับพูดอู้อี้ด้วยความเขินอาย ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมามองคนตัวโตกว่าสักนิด ให้พลัฎฐ์ต้องหัวเราะออกมาเบาๆ

"ครับ พี่สัญญา" พลัฎฐ์ตอบรับ ก่อนจะจูบหนักๆ ลงบนกระหม่อมของคนขี้อายที่อยู่ในอ้อมกอด "พี่รักหนูนะ"

ตะวันขยับยุกยิก ก่อนจะตอบกลับมาด้วยรูปประโยคและความรู้สึกแบบเดียวกัน

"อื้อ.. ตะวันก็รักพี่เหมือนกันครับ"

.

.

.

หลังจากที่กลับมาถึงบ้านของพลัฎฐ์ ตะวันก็วิ่งไปหยิบเสื้อผ้าที่ตัวเองเคยเอามาทิ้งไว้ที่นี่บางส่วน แล้วหนีเข้าไปในห้องน้ำทันที ส่วนพลัฎฐ์เองก็ไม่คิดจะเร่งรัดอะไรอีกฝ่าย เขาอยากให้ตะวันพร้อม และเต็มใจกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในคืนนี้มากที่สุด ถ้าถามว่าพลัฎฐ์กลัวว่าตะวันจะเปลี่ยนใจไหม แน่นอนว่าพลัฎฐ์กลัว แต่เขาก็เลือกที่จะเคารพการตัดสินใจของตะวันเสมอ ถ้าตะวันยังไม่พร้อมพลัฎฐ์ก็จะไม่เซ้าซี้ให้ตะวันลำบากใจ เพราะถึงแม้เขาอยากจะกอดตะวันมากแค่ไหน แต่ถ้าตะวันยังกลัวหรือยังไม่แน่ใจ พลัฎฐ์ก็ไม่คิดจะหักหาญน้ำใจตะวันเช่นกัน

หลังจากรออยู่นานจนเกือบจะถอดใจ ตะวันก็เดินก้มหน้างุดตัวหอมฟุ้งออกมาจากห้องน้ำ เป็นกลิ่นหอมปกติที่ติดตัวตะวันอยู่ทุกวัน แต่พลัฎฐ์กลับรู้สึกว่าวันนี้มันช่างหอมหวานจนเกินกว่าที่เขาจะห้ามใจได้ เขาจึงเดินเข้าไปโอบกอดอีกฝ่ายไว้ ก่อนที่จะต้องหน้าเสียเมื่อถูกมือเล็กๆ ของตะวันดันอกไว้ ไม่ให้ขยับเข้ามาใกล้กว่าที่เคย

"ตัวเล็ก..." พลัฎฐ์ครางเสียงหงอยให้ตะวันได้แอบอมยิ้ม ในใจก็นึกอยากจะแกล้งพลัฎฐ์ต่อ แต่อีกใจก็คิดว่าไม่อยากจะดึงให้เวลาผ่านไปนานจนเกินไป เพราะกว่าเขาจะทำใจรวบรวมความกล้า แล้วเตรียมตัวสำหรับเรื่องคืนนี้แล้ว ก็ต้องใช้เวลานานพอควร ตะวันไม่อยากให้ความกล้าของตัวเองหดหายหากต้องรอพลัฎฐ์นานเกิน

"พี่ไปอาบน้ำก่อนสิครับ เดี๋ยวตะวัน.. ตะวันจะรอ"

ใบหน้าและน้ำเสียงหงอยเหงาของพลัฎฐ์แปลเปลี่ยนเป็นยิ้มกว้างทันทีพอคนตรงหน้าบอกแบบนั้น เขาก้มลงยื่นหน้าไปจูบริมฝีปากจิ้มลิ้มที่เพิ่งจะพูดประโยคที่น่าฟังหนักๆ เร็วๆ ก่อนจะผละออกแล้วบอกอย่างเริงร่าก่อนจะวิ่งเข้าห้องน้ำไป

"รอพี่แปปเดียวนะตัวเล็ก แปปเดียวครับพี่สัญญา"

และพลัฎฐ์ก็ทำตามสัญญาอย่างเคร่งครัด เมื่อผ่านไปไม่ถึงสิบนาที เจ้าของรูปร่างสมบูรณ์แบบก็เดินออกมาจากห้องน้ำ พร้อมเสื้อคลุมที่ผูกเชือกไว้ที่เอวหลวมๆ เพียงตัวเดียว ทำเอาตะวันที่นั่งรออยู่ที่เตียงต้องเสหน้าไปมองทางอื่นทันที เมื่อสบตากับเจ้าของเรือนร่างที่ตะวันดันเผลอมองอย่างไม่ตั้งใจแทน

พลัฎฐ์ก็ไม่ปล่อยให้ตะวันรอนาน เขาตรงเข้ากอดร่างนุ่มนิ่มที่นั่งตัวหอมฟุ้งอยู่ตรงปลายเตียงทันที

"อื้อ.. พี่พลัฎฐ์"

ตะวันครางงุ้งงิ้งเมื่อถูกจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัว พลัฎฐ์ไม่พูดพร่ำ แต่ลากริมฝีปากหยักพรมจูบไปทั่วใบหน้าเล็กอย่างแสนรัก ตะวันเลยได้แต่หลับตาพริ้มรอรับสัมผัสของพลัฎฐ์ด้วยความเต็มใจ

"พี่รักตะวันนะครับ"

คำบอกรักที่อีกฝ่ายกระซิบข้างหู ทำให้ตะวันเผลอขยับเข้าซุกอกอุ่นๆ ของพลัฎฐ์อย่างออดอ้อน ท่าทางที่เป็นไปโดยธรรมชาติของตะวันทำให้พลัฎฐ์แทบคลั่ง เขาพยายามยั้งอารมณ์ตัวเองไม่ใผ้ผลีผลามเผลอผลักตะวันลงนอนราบบนเตียง แล้วรักแรงๆ อย่างที่ใจปรารถนา

เพราะนี่เป็นครั้งแรกของทั้งเขาและตะวัน พลัฎฐ์จึงอยากให้ทุกอย่างค่อยเป็นค่อยไปอย่างที่สุด เขาอยากจะถนอมตะวัน แม้สัญชาตญาณดิบในใจลึกๆ จะไม่เห็นด้วยก็ตาม

พลัฎฐ์ยอมรับแบบแมนๆ เลย ว่าทุกครั้งที่ได้ใกล้ชิดตะวัน พลัฎฐ์มักจะตื่นตัวตลอด แรกๆ ก็พอจะห้ามใจไว้ได้บ้าง แต่มาระยะหลังนี่ เขามักจะตอดนิดตอดหน่อยตะวันอยู่เรื่อย เมื่อได้สัมผัสแล้วก็อยากจะสัมผัสอีก ไม่มีวันที่จะรู้สึกพอเลยสักนิด

"ตะวันก็รักพี่พลัฎฐ์ครับ .. ขอบคุณนะครับที่พยายามทุกอย่างเพื่อความสัมพันธ์ของเราสองคน ตะวันดีใจที่พี่รักตะวัน และตะวันได้รักพี่"

จบประโยคหวานหูที่ตะวันบอก ก็ดูเหมือนความยับยั้งชั่งใจที่จะค่อยเป็นค่อยไปของพลัฎฐ์แทบจะต่ำเตี้ยจนติดลบ ใบหน้าหล่อเหลาจึงโน้มลงไปป้อนจูบให้ริมฝีปากช่างเจรจานั่นทันที เพื่อเป็นรางวัลให้คนน่ารักที่พูดจาได้น่าฟัดกว่าทุกวัน

ตะวันหลับตาพริ้ม พร้อมเผยอริมฝีปากน้อยๆ รอให้พลัฎฐ์ทาบทับริมฝีปากหยักลงมา คนป้อนจูบดูดดึง ขบเม้มริมฝีปากล่างของตะวันอย่างหยอกล้อผสมกับความเอาอกเอาใจ ให้ตะวันได้รู้สึกพอใจก่อนจะล่อลวงโดยการไล้ลิ้นไปตามร่องปากสีสดที่เผยออยู่นิดหน่อย ให้เปิดกว้างมากขึ้น ซึ่งตะวันเองก็เข้าใจได้ไม่ยาก จึงเปิดริมฝีปากให้ลิ้นร้อนของพลัฎฐ์แทรกเข้ามาในโพรงปาก พลางกวาดต้อนเรียวลิ้นไปทั่วราวกับกำลังสำรวจตรวจตราอย่างใกล้ชิด

เสียงน้ำลายเฉอะแฉะ และเสียงดูดดึงลิ้นของอีกฝ่ายดังอื้ออึงอยู่ในหูของทั้งคู่ แต่กลับไม่ได้มีผลอะไรกับคนที่กำลังหลงใหลอยู่ในรสสัมผัสที่ป้อนให้ซึ่งกันและกัน

พลัฎฐ์รั้งท้ายทอยของตะวันให้เข้ามาแนบชิด พร้อมกับเอาแขนอีกข้างที่ว่างของตัวเองโอบยกตะวันขึ้นมานั่งบนตัก โดยที่ริมฝีปากของทั้งสองไม่ได้ผละออกจากกันสักนิด

เสียงจูบที่ดังระงมไปทั้งห้อง ลมหายใจที่รดรินอยู่ข้างแก้มของกันและกันทำให้ตะวันหูอื้อและตาพร่าลาย ยอมทำตามการชักจูงของเรียวลิ้นร้อนและริมฝีปากหยักลึกของพลัฎฐ์ คนตัวเล็กกว่าเรียนรู้ที่จะดูดดึงริมฝีปากของพลัฎฐ์คืน และส่งลิ้นของตัวเองไปเกี่ยวกระหวัดกับอีกฝ่ายอย่างไร้เดียงสาและเก้ๆ กังๆ

แต่แทนที่จะทำให้พลัฎฐ์นึกรำคาญ กลับส่งผลตรงกันข้าม เพราะจูบที่ไม่ประสาของตะวันกลับเร้าอารมณ์ของพลัฎฐ์ให้พุ่งทะยานมากขึ้น จนเขาแทบทนไม่ไหว ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ลมหายใจของตะวันเริ่มถี่กระชั้น ประท้วงว่าอากาศที่อยู่ในปอดของอีกฝ่ายลดน้อยลงไปทุกที

ตะวันบีบเบาๆ ลงบนบ่าแกร่งทั้งสองข้างของพลัฎฐ์เป็นสัญญาณบอก ให้พลัฎฐ์ต้องผละออกจากอีกฝ่ายอย่างเสียดาย แต่ก็ไม่วายจูบย้ำๆ ลงไปริมฝีปากสีสดที่ตอนนี้กำลังบวมเจ่อ ราวกับยังไม่อยากจะหยุดรังแกคนในอ้อมกอดเลยสักนิด

"หวาน.. หนูหวานมากเลยรู้ไหมครับ"

พลัฎฐ์กระซิบชิดริมฝีปากบอกอีกฝ่ายราวกับอยากให้เข้าใจความนัยว่าเขาหมายถึงอะไรที่ว่าหวาน ยิ่งเห็นคนบนตักเขินอาย พลัฎฐ์ก็ยิ่งอยากจะย้ำคำพูดตัวเองด้วยการก้มลงไปใช้ลิ้นเลียลงไปบนมุมปากของตะวันเบาๆ เมื่อเห็นว่ามีน้ำใสไหลย้อยออกมาติดตอนที่พวกเขาจูบกันและกันอย่างหลงใหล

ตะวันเขินจนหน้าแดง คอแดง ตัวแดงไปหมด ทำให้พลัฎฐ์ที่กำลังมองอยู่ยิ่งหมดความอดทน เลยเอื้ิอมมือไปปลดกระดุมชุดนอนที่ตะวันใส่อยู่ช้าๆ พลางซุกใบหน้าและจมูกลงไปบนซอกคอหอมกรุ่นของคนขี้อาย โดยไล้จมูกสลับกับใช้ปากจูบเบาๆ ไปทั่วซอกคอขาวของตะวัน

คนถูกไล่ต้อนด้วยรสสัมผัสที่ไม่คุ้นจึงได้แต่แหงนคอขึ้นหลับตาพริ้ม สัมผัสของพลัฎฐ์ทำให้ตะวันลืมตัว เขารู้แต่ว่ามันดี มันทำให้เขามีความสุขและรู้สึกตัวลอยอย่างประหลาด ตะวันเคลิบเคลิ้มปล่อยให้พลัฎฐ์ลากริมฝีปากและจมูกไปทั่ว กว่าจะรู้ตัวอีกที แผ่นหลังเปลืิอยเปล่าของตัวเองก็สัมผัสกับพื้นที่นอนเย็นๆ บนเตียงหลังกว้างแล้ว และพอลืมตาขึ้นมาก็เห็นว่าร่างกายสูงใหญ่ของพลัฎฐ์ที่ตอนนี้สาบเสื้อคลุมหลุดลุ่ย เผยให้เห็นกล้ามเนื้อบางส่วนที่เรียงตัวสวยงามจนตะวันนึกอิจฉากำลังคร่อมทับบนตัวเขาอยู่

พลัฎฐ์หัวเราะเบาๆ ตอนเห็นสายตาเด็กน้อยขี้อิจฉา ก่อนจะยกแขนเรียวทั้งสองข้างของคนที่ราบอยู่กับที่นอนขึ้นมาคล้องรอบคอของตัวเอง จากนั้นก็ก้มลงไปจูบริมฝีปากสีสดที่บวมเจ่อยั่วเย้าสายตาของตะวันอีกครั้ง

จูบครั้งนี้ต่างจากครั้งแรกจนตะวันรู้สึกได้ เพราะก่อนหน้ามันทั้งอ่อนหวาน อ่อนโยน ค่อยเป็นค่อยไปชวนให้เคลิบเคลิ้ม แต่จูบครั้งนี้ของพลัฎฐ์กลับเร่งเร้า ร้อนแรง เต็มไปด้วยอารมณ์และความรู้สึก เสียงหอบหายใจถี่กระชั้นของตะวันดังผสมกับเสียงดูดดึงริมฝีปากที่ระงมไปทั่วทั้งห้อง

คนตัวเล็กกว่ารู้สึกถึงกระแสไฟฟ้าที่แล่นปราดอยู่ภายใน มันไม่ได้เป็นจูบที่แย่ แต่ในทางตรงกันข้าม มันเป็นจูบที่พิเศษที่สุดและทำให้ตะวันตื่นตัวกว่าที่เคย จนเผลอโน้มคอของพลัฎฐ์ลงมาให้มอบสัมผัสของจูบนี้ให้ลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม

คนตัวโตกว่าผละออกเมื่อรู้สึกว่าตะวันเริ่มหายใจไม่ทัน ก่อนที่เขาจะตัดสินใจเดินหน้าไปอีกขั้นโดยลากริมฝีปากไปที่แก้มนิ่ม เรื่อยไปจนถึงติ่งหู แล้วขบเม้มเบาๆ เพื่อกระตุ้นคนที่กำลังนอนอ่อนระทวยอยู่ใต้ร่างและแน่นอนว่ามันได้ผลดีเสียจนตะวันเผลอครางออกมาเบาๆ

"อือ..."

- อ่านต่อด้านล่าง -
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 24th - 07/9/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 07-09-2019 20:25:15
- ต่อจากด้านบน -

พลัฎฐ์นึกได้ใจจึงไล้ลิ้นไปตามติ่งหู ซอกหู และใบหูนิ่ม พอเห็นว่าเล้าโลมอารมณ์อีกฝ่ายได้มากพอแล้วคนเจ้าเล่ห์ก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นทิศทางของริมฝีปากลงมาที่ซอกคอ พรมจูบเบาๆ ไปตราแนวไหปลาร้า ให้ตะวันได้กระตุกสะท้านเป็นระยะๆ ก่อนที่พลัฎฐ์จะตัดสินใจรุกขยับไปอีกขั้นด้วยการยื่นนิ้วไปสะกิดที่ยอดอกสีิอ่อนที่ชูชันเพราะความเย็นของเครื่องปรับอากาศและแรงอารมณ์ที่โหมกระพือของตะวัน ซึ่งท้าสายตาของพลัฎฐ์มาได้พักใหญ่แล้ว

"อ๊ะ!"

ตะวันสะดุ้งเฮือก ความรู้สึกแปลกใหม่ที่ไม่เคยได้สัมผัสวิ่งพล่านไปทั่วร่างทันที ตากลมเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย และก็ต้องเผลอกระตุกตัวรั้งคอของพลัฎฐ์ลงมาให้ต่ำลง เมื่อคนตัวโตกว่าใช้ริมฝีปากครอบลงมาบนตุ่มไตสีอ่อนที่ชูชันเพราะแรงอารมณ์ ซึ่งนิ้วเรียวยาวอีกข้างของพลัฎฐ์ก็ทำหน้าที่ไม่ขาดตก ด้วยการสะกิดถี่รัวลงไปยอดอกอีกข้างที่ว่าง

"อ๊ะ.. พี่.. อื้อ.. พี่พลัฎฐ์ ตะวัน.. ตะวัน"

คนถูกปรนเปรอร้องครางเสียงหลง จัดการอารมณ์ที่ถูกปลุกปั่นของตัวเองไม่ถูก ตะวันรู้ว่าสิ่งที่พลัฎฐ์ทำอยู่มันน่าอาย แต่เขาก็ไม่อยากให้พลัฐฏ์หยุด เพราะรู้สึกดีเดินกว่าจะปฏิเสธได้

คนที่กำลังได้ใจเพราะเสียงครางหวานๆ จากอีกฝ่ายที่ได้ยินยังคงย้ำดูดยอดอกทั้งสองข้างของตะวันอย่างเท่าเทียม ยิ่งตะวันร้องคราง แผ่นอกลอยคว้างไม่ติดที่นอนพลัฎฐ์ยิ่งพอใจ ใช้ลิ้นเลียย้ำๆ จนกลายเป็นตัวเองที่ทนไม่ไหวแทน

พลัฎฐ์ตัดสินใจข้ามไปขั้นต่อไปก่อนที่เขาจะหมดความอดทน เขาจับขาเรียวของตะวันอ้ากว้าง แล้วใช้มือข้างหนึ่งเกี่ยวกางเกงยางยืดข้างหนึ่งของตะวัน ที่กำลังนอนตัวบิดเร่า แก้มแดงก่ำ นัยน์ตากลมโตคลอไปด้วยหยาดน้ำใสเพราะแรงอารมณ์ ริมฝีปากบวมเจ่อส่งเสียงครางน่าฟัง และสุดท้ายกางเกงของตะวันก็ไหลหลุดลงไปกองที่ข้อเท้าเล็ก และถูกพลัฎฐ์ถอดออกเหวี่ยงลงไปข้างเตียงในที่สุด

ตะวันรู้สึกตัวว่าตัวเองกำลังเปลือยเปล่าอยู่ต่อหน้าคนรักก็ตอนที่รู้สึกถึงความเย็นของเครื่องปรับอากาศลอยมากระทบกับแกนกายเล็กน่ารักที่ตอนนี้ตั้งชันเพราะแรงอารมณ์ที่ถูกพลัฎฐ์เล้าโลมก่อนหน้า

คนตัวเล็กกว่าพยายามจะหุบขาเข้าหากัน เมื่อสติอันน้อยนิดบอกให้เขารู้สึกถึงความเขินอาย แต่พลัฎฐ์กลับไม่ยอมให้ตะวันทำแบบนั้น

"ฮื่ออ.. พี่พลัฎฐ์"

พลัฎฐ์ยิ้มเจ้าเล่ห์ ไม่ใจอ่อนให้เสียงออดอ้อนของคนที่กำลังนอนระทดระทวยบนเตียงกว้าง

"ชู่ว เด็กดี... หนูไว้ใจพี่นะครับ"

พลัฎฐ์จัดการแทรกตัวเข้าไปตรงกลางหว่างขาที่แยกออกของตะวัน พลางใช้มือใหญ่กดรั้งสะโพกของคนตัวเล็กกว่าไว้ไม่ให้ขยับหนี ซึ่งนั่นยิ่งทำให้ตะวันเขินจนตัวแดงเป็นกุ้งสุกไปทั้งตัว เพราะท่านี้ทำให้เห็นชัดเจนว่าแกนกายน่ารักของตะวันตั้งชันมากขนาดที่ว่ามันชี้จ่ออยู่ตรงหน้าของพลัฎฐ์ ตะวันเลยได้แต่หันหน้าหนีไม่กล้าสบตาอีกฝ่าย ตอนได้ยินเสียงทุ้มหัวเราะด้วยความชอบใจ

ตะวันไม่รู้ว่าพลัฎฐ์จะทำอะไร แต่เขาคิดว่าตัวเองกำลังจะทนไม่ไหว จากทั้งสายตาของพลัฎฐ์ที่กำลังมองมา และจากทั้งแรงอารมณ์ที่ถูกกระตุ้นก่อนหน้า แกนกายของตะวันปวดหนึบ สะโพกเล็กได้แต่ขยับไปขยับมา เพื่อหวังว่าจะลดความกระหายอยากของตัวเอง

แต่สุดท้ายคนตัวเล็กก็ทนไม่ไหว เลยต้องหันไปสบกับเรียวตาคมที่มองมาอยู่ก่อนราวกับรู้ทัน ตะวันได้แต่ฮึดฮัด ก่อนจะขอร้องคนรักเสียงอ่อย

"พี่พลัฎฐ์.. อื้อ! ตะวัน ตะวันไม่ไหว"

"แล้ว..?" พลัฎฐ์แกล้งลากเสียงเย้า ตะวันเลยต้องร้องของพลัฐฏ์ออกมาตรงๆ

"ช่วยตะวัน.. ฮึ่ก! ช่วยตะวันหน่อยครับ"

"ได้ตามบัญชาครับที่รัก"

พลัฎฐ์ยิ้ม ก่อนจะโน้มหน้าลงไปจูบหนักๆ ที่ปากบวมเจ่อที่เพิ่งเอ่ยขอออกมาอย่างน่ารัก จากนั้นใบหน้าหล่อเหลาก็ถูกลดลงไปที่หว่างขาของคนรัก แล้วจัดการครอบริมฝีปากหยักลงบนแกนกายน่ารักของตะวันทันที

ทันทีที่ถูกสัมผัสด้วยริมฝีปาก ตัวของตะวันก็กระตุก ตากลมเบิกกว้าง จะเอ่ยห้ามก็ไม่ทัน เพราะเขาไม่คิดว่าพลัฎฐ์จะใช้ปากช่วย คิดว่าอีกฝ่ายอาจจจะใช้แค่มือเท่านั้น แต่แล้วทุกความคิดของตะวันก็หยุดชะงัก เมื่อพลัฎฐ์รูดริมฝีปากขึ้นลงตามความยาวของท่อนเนื้อน่ารักที่ตั้งชันราวกับกำลังรอการปลอบประโลม

"อ๊ะ.. อ๊า"

ตะวันครางเสียงหลง เมื่อพลัฎฐ์ดูดแกนกายของเขาขึ้นลงราวกับเป็นไอศรครีมแสนหวาน สลับกับการใช้มือรูดรั้งเป็นจังหวะ เสียงลามกดังประสานไปกับเสียงครางและเสียงหอบหายใจของตะวันยิ่งทำให้อารมณ์ของพลัฎฐ์ลุกฮือ

ยิ่งตะวันแอ่นเอวลอยคว้างจนสะโพกไม่ติดที่นอนยิ่งทำให้พลัฎฐ์ได้ใจ ออกแรงรูดรั้งหนักขึ้นพลางใช้มือสาวรั้งเข้าช่วย

ตะวันเริ่มเกร็งหน้าท้อง สัญญาณที่ว่าอีกฝ่ายใกล้ถึงฝั่งฝันมีมาให้เห็นเป็นระยะ พลัฎฐ์จึงยิ่งออกแรงและเร่งจังหวะมากขึ้น จนกระทั่งเสียงหอบหายใจของตะวันเริ่มกระชั้น เสียงครางเริ่มร้องสั่งไม่เป็นภาษา

"อ๊ะ อ๊า.. ฮึ่ก พี่พลัฎฐ์ ... ตะวัน ตะวันจะ..อ๊ะ! จะเสร็จ"

สะโพกของตะวันลอยไม่ติดที่นอน พลัฎฐ์จึงเร่งจัวหวะเร็วขึ้นจนหน้าท้องของตะวันกระตุก ปลายเท้าหงิกเกร็ง ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่น้ำรักของตะวันพุ่งทะลักเข้าปากพลัฎฐ์ พร้อมกับเสียงหวานที่ครางอย่างสุขสมที่ดังขึ้นมาอย่างน่าฟัง

"อาาาาา ฮึ่ก.."

ตะวันนอนหมดแรงตาปรือหลังจากปลดปล่อย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอดหลบตาคนที่กำลังคร่อมร่างตัวเองอยู่ไม่ได้ เมื่อเห็นว่าพลัฎฐ์กลืนน้ำรักของตัวเองลงไปทั้งหมด ทั้งยังยกมือปาดริมฝีปากลวกๆ อีก แล้วแบบนี้จะไม่ให้ตะวันอายได้ยังไงกัน

และผ่านไปไม่ถึงนาที พลัฎฐ์ก็โน้มตัวลงมาคร่อมทับตะวันอีกครั้ง พร้อมกับป้อนจูบที่มีรสชาติตัวตนของตะวันติดอยู่ ให้คนถูกจูบรู้สึกแปลกๆ แต่ก็เป็นความแปลกที่รู้สึกดี

เมื่อจูบกันจนหนำใจ พลัฎฐ์ก็ละริมฝีปากออก ก่อนจะกระซิบชิดริมฝีปากที่บวมเจ่อของตะวัน ให้ตะวันทำหน้าไม่ถูกเมื่อโดนโจมตีโดยตรง

"พี่ไม่ไหวแล้วครับเด็กดี หนูช่วยพี่หน่อยนะครับ"

พอจบคำพลัฎฐ์ก็ช้อนใต้รักแร้ตะวันขึ้นแล้วจับอีกฝ่ายนั่งพิงหัวเตียง ก่อนที่คนตัวโตกว่าจะถอดเสื้อคลุมที่คาอยู่บนร่างกายอย่างหมิ่นเหม่ออก โชว์มัดกล้ามเนื้อที่เรียงตัวสวยงามน่ามองให้ตะวันได้ดู

แต่ในเวลานี้สิ่งที่ตะวันเห็นกลับเป็น แกนกายของพลัฎฐ์ที่ขยับขยายอย่างใหญ่โต และดูเหมือนว่ามันจะใหญ่มากกว่าครั้งที่ช่วยกันเมื่อคราวที่แล้วเสียอีก

"หนูช่วยพี่หน่อยนะครับ มันอยากเข้าไปในปากหนูจะแย่แล้ว"

ตะวันเผลอเม้มปากแน่น คำพูดลามกที่ไม่ได้ยินบ่อยๆ จากพลัฎฐ์นอกเหนือจากช่วงเวลาแบบนี้ทำให้ตะวันเขินจนอยากจะกลั้นใจตาย แต่เขาก็อดยอมรับไม่ได้ว่าคำพูดสองแง่สองง่ามแบบนี้มันช่างกระตุ้นอารมณ์ดิบลึกๆ ในตัวเขาได้ดีเหลือเกิน

คนถูกอ้อนไม่พูดตอบอะไรพลัฎฐ์แต่เลือกที่จะลุกขึ้นคุกเข่า โน้มใบหน้าลงไปที่แกนกายของอีกฝ่ายที่ตอนนี้กำลังยืนเข่า และมีท่อนเนื้ิอใหญ่โตที่ขยายตามแรงอารมณ์ชี้ตั้งชันอยู่ตรงหน้าของตะวัน ที่กำลังพยายามโก้งโค้งเท้าแขนและศอกนาบไปกับพื้นที่นอน และกำลังอ้าริมฝีปากเล็กๆ ออกกว้าง เพื่อรับเอาทั้งหมดของพลัฎฐ์เข้าไปในปากของตัวเอง

"อ่ะ.. อาาาา" พลัฎฐ์สูดปาก เมื่อตะวันพยายามอ้ารับเอาท่อนเนื้อใหญ่โตเข้าไป มันดูทุลักทุเลเพราะปากจิ้มลิ้มของตะวันนั้นเล็กมากเมื่อเทียบกับแกนกายขนาดใหญ่ของพลัฎฐ์

"อึ่ก.. เด็กดี ค่อยๆ .. อา แบบนั้นแหละแบบนั้น"

พลัฎฐ์ยื่นมือไปลูบแก้มนิ่มของตะวันเบาๆ ราวกับอยากให้กำลังใจ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ตะวันได้ลองทำแบบนี้ เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่เคย แต่เพราะอยากให้เขามีความสุข จึงได้พยายามที่ทำ

เมื่อเจ้าของริมฝีปากจิ้มลิ้มรับเอาตัวตนของพลัฎฐ์เข้าไปไว้ในปากได้แล้ว ตะวันก็เริ่มรูดริมฝีปากเบาๆ ก่อนที่พลัฎฐ์จะนิ่วหน้าเล็กน้อยเพราะรู้สึกเจ็บ เนื่องจากความไม่เคยและอ่อนประสบการณ์ของร่างเล็กทำให้ฟันขาวเผลอครูดลงบนท่อนเนื้อของพลัฎฐ์โดยที่เจ้าตัวไม่ได้ตั้งใจ

"ระวังฟันหน่อยครับที่รัก.. อึ่ก..!"

ตะวันหยุดไปพักหนึ่ง ก่อนที่จะเริ่มใหม่ ชายหนุ่มค่อยๆ ขยับปากรูดรั้งช้าๆ สลับห่อปากเป็นจังหวะ โดยอาศัยจำเอาจากความรู้สึกที่เคยถูกพลัฎฐ์ทำให้

และในที่สุดตะวันก็จับจังหวะได้ แต่เนื่องจากเจ้ามังกรยักษ์ของพลัฎฐ์ใหญ่มากเกินไป ตะวันจึงต้องใช้มือคอยสาวรั้งช่วย โดยสลับกับใช้ลิ้นเล็กๆ แดงๆ ไล้เลียไปตามความยาวของแก่นกาย

พลัฎฐ์สูดปากด้วยความเสียวซ่าน อารมณ์ภายในปะทุ แต่ชายหนุ่มก็รู้ตัวเองดีว่าเขาไม่อยากเสร็จในปากตะวัน จึงตัดสินใจเอื้อมมือไปที่บั้นท้ายของร่างนุ่มนิ่มที่โก้งโค้งท้าสายตาอยู่ตรงหน้า แล้วแทรกนิ้วที่ชะโลมเจลหล่อลื่นจนชุ่มเข้าไปในช่องทางอ่อนนุ่มช้าๆ โดยอาศัยจังหวะที่ตะวันกำลังง่วนอยู่กับการปรนเปรอเจ้ามังกรยักษ์ของเขา

คนถูกลุกร้ำ สะดุ้งตัวโยน เผลอหยุดรูดริมฝีปาก พลัฎฐ์จึงต้องปลอบโยนด้วยการเอื้อมมืออีกข้างไปใต้ร่างขาว แล้วสาวแกนกายเล็กของตะวันให้อย่างเอาใจ พออิีกฝ่ายเคลิ้ม เขาก็ค่อยๆ ดันนิ้วชี้ที่เพิ่งแทรกเข้าไปในช่องทางได้นิดหน่อย ให้สอดลึกจนจมหายไปแทบจะมิดก้าน

พลัฎฐ์สวนนิ้วเข้าออกช้าๆ ที่ช่องทางของตะวันจนตะวันคุ้นชิน และเริ่มรู้สึกเสียวซ่านเมื่อพลัฎฐ์จับทางปรนเปรอไดั

ริมฝีปากเล็กๆ ค่อยๆ ผ่อนแรงในการรูดรั้งลง ซึ่งพลัฎฐ์เองก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะอย่างที่บอกว่าเขาตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่เสร็จด้วยปากของตะวัน

เมื่อเห็นว่าตะวันยอมโอนอ่อนและเกร็งน้อยลง พลัฎฐ์จึงอุ้มตะวันนอนราบลงบนที่นอนอีกครั้ง เรียวขาของตะวันถูกจับแยกกว้าง โดยที่ตัวของพลัฎฐ์แทรกอยู่ตรงกลาง

ใบหน้าของร่างเล็กในยามนี้ทั้งเซ็กซี่และน่าฟัดอย่างบอกไม่ถูก ริมฝีปากบวมเจ่อมีน้ำลายติดอยู่ที่มุมปาก ตากลมคลอไปด้วยหยาดน้ำใส ตามซอกคอมีรอยจูบจางๆ อยู่เป็นหย่อมๆ ตัวแดงไปทั้งตัว แถมแกนกายยังดีดชันขึ้นมาเพราะการถูกเล้าโลมก่อนหน้าอีก

พลัฎฐ์ลอบยิ้มด้วยความเอ็นดู ก่อนจะก้มลงไปจูบที่ปลายจมูกโด่งรั้นของคนรักเบาๆ

"เก่งมากเลยครัยเด็กดีของพี่.. จากนี้จะเจ็บนิดนึงนะครับ พี่สัญญาว่านิดเดียว แล้วจากนั้นพี่จะทำให้หนูน้อยของพี่มีความสุข ตกลงไหม"

ตะวันพยักหน้าเออออ เพราะตอนที่พลัฎฐ์พูด พลัฎฐ์เอื้อมมือไปสาวแกนกายเล็กๆ ของตะวันให้ด้วย

พอคนตัวโตกว่าเห็นว่าตะวันพร้อมมากพอแล้ว ในขณะที่ตัวเขาเองนี่แหละที่แทบจะทนไม่ไหว จึงจัดการก็ชะโลมเจลลงบนนิ้วมือ แล้วเอาหมอนมารองใต้สะโพกของตะวันไว้ให้ลอยเหนือที่นอนขึ้นมานิดหน่อย ก่อนจะจับเรียวขาของตะวันอ้าออกอีกนิดแล้วพลัฎฐ์ก็จัดการล้มลงไปใช้ลิ้นของตัวเองสอดเข้าไปที่ช่องทางสีหวานเพื่อเบิกทางกระตุ้นให้ตะวันรู้สึกและผ่อนคลายมากขึ้น

"อ๊ะ.. อ๊าาา"

และก็เป็นไปตาม เพราะตะวันครางร้องเสียงหลงทันทีที่ได้สัมผัสกับความรู้สึกแปลกใหม่ที่ได้รับ สะโพกสวยแอ่นคว้างลอยจนแทบไม่ติดกับที่นอนและหมอนที่วางรองอยู่ พลัฎฐ์แทรกลิ้นของตัวเองเข้าไปให้ลึกขึ้น แม้ก่อนหน้ามือเล็กจะพยายายามผลักพลัฎฐ์ออก เพราะสติอันน้อยนิดของตะวันเห็นว่ามันสกปรก แต่ก็ไม่สามารถสู้แรงปรารถนาและความต้องการที่ล้นทะลักได้ สุดท้ายมือเล็กที่ผลักไสก็เปลี่ยนเป็นเกาะกุมและร้องขอแทน

พลัฎฐ์ปรนเปรอให้ตามที่ตะวันต้องการ เขาหลอกล่อคนที่นอนระทดระทวยอยู่ใต้ร่างด้วยสัมผัสที่แปลกใหม่ ตะวันได้แต่นอนบิดเร่าหมดเรี่ยวแรง ก่อนที่พลัฎฐ์จึงตัดสินใจถอนลิ้นออกจากช่องทางแสนหวาน เพราะดูเหมือนว่าความอดทนของเขาจะลดน้อยลงทุกทีแล้วไม่ต่างกัน

และคนที่กำลังจะทนไม่ไหวก็ต้องหลุดหัวเราะเมื่อเห็นสีหน้างอแงของตะวันยามมองสบมาที่เขา ราวกับกำลังต่อว่าต่อขานที่อยู่ๆ ก็ผละออกกลางคัน พลัฎฐ์จึงไม่ทำให้คนขี้หงุดหงิดรอนาน เขาจัดการค่อยๆ แทรกนิ้วทั้งสองที่ชะโลมเจลหล่อลื่นจนชุ่ม เข้าไปในช่องทางสีหวานช้าๆ ตะวันนิ่วหน้าทันทีเมื่อรู้สึกว่ามีสิ่งแปลกปลอมดุนดันเข้ามา และเพราะความไม่เคยคนที่ถูกล่วงล้ำจึงพยายามถดกายหนี แต่พลัฎฐ์กลับรั้งสะโพกเล็กไว้แน่น พลางปลอบประโลมหยอกเย้าด้วยการโน้มหน้าลงไปดูดเลียที่ติ่งไตสีสวยแทนเพื่อเป็นการเบนความสนใจ

แน่นอนว่ามันได้ผล เพราะตอนนี้ตะวันหันมาครางเสียงแผ่วแทน และเลิกความพยายามที่จะถดกายหนีพลัฎฐ์ จนพลัฎฐ์สามารถดันนิ้วทั้งสองของตัวเองเข้าไปได้จนสุด พร้อมๆ กับการตอดรัดของช่องทางที่เกิดขึ้นในแทบจะทันทีทันใด จนพลัฎฐ์ตัวสั่นไปหมด เมื่อจินตนาการถึงการถูกช่องทางของตะวันตอดรัด ยามที่เขาฝังตัวเข้าไปแทนนิ้วตัวเอง

“อื้อ.. ฮ่ะ...”

ตะวันสะบัดส่ายศีรษะไปมา จนหน้าแดงตัวแดงไปหมด พลัฎฐ์รอให้อีกฝ่ายปรับตัวอยู่สักพัก ก่อนจะค่อยๆ ขยับนิ้วเข้าออก จนมันกระแทกกับจุดๆ หนึ่งที่ทำให้ตะวันร้องครางเสียงหลงออกมา

“อ๊า อ๊ะ!”

พลัฎฐ์โน้มใบหน้าลงไปจูบบนปากบวมเจ่อของตะวันก่อนจะกระซิบถามชิดริมฝีปากสีสด พร้อมกับขยับนิ้วเข้าออกเป็นจังหวะ

“ตรงนี้ใช่ไหมครับเด็กดี... ตรงนี้ใช่ไหม หื้ม?”

“พี่พลัฎฐ์ มัน.. มัน อ๊ะ!”

พลัฎฐ์ยังคงขยับนิ้วไม่หยุด ในขณะที่ตะวันเองก็ดูสับสนปนๆ กับพึงพอใจในรสสัมผัสที่พลัฎฐ์มอบให้

“มันทำไมครับหื้ม? ไหนบอกพี่สิ หนูชอบไหม?”

ตะวันยังคงไร้สติที่จะโต้ตอบคนรัก ใบหน้าหวานสวยชื้นไปด้วยเหงื่อยิ่งกลับกระตุ้นอารมณ์พลัฎฐ์ให้พุ่งสูงได้มากขึ้นยิ่งกว่าเดิม คนที่มองภาพร่างเล็กบิดเร่าอยู่ใต้ร่างแทบจะทนไม่ไหวเมื่อรู้สึกถึงการตอดรัดของช่องทางที่ยังคงเกิดขึ้นเรื่อยๆ ตอนที่นิ้วเขาขยับ พอพลัฎฐ์รู้สึกว่าตะวันน่าจะพร้อมมากพอแล้วเลยตัดสินใจถอนนิ้วของตัวเองออก และอาศัยช่วงที่ตะวันยังคงมึนงง จับขาของอีกฝ่ายให้อ้ากว้างขึ้น จนเห็นช่องทางสีสวยที่ตอนนี้แดงช้ำเล็กน้อย ยิ่งกลับทำให้ดูน่ารังแก พลัฎฐ์พยายามยั้งตัวไม่ให้ผลีผลามโถมกดแกนกายเข้าไปในช่องทางอย่างรีบร้อนเกินไป แม้ว่าความอดทนของเขาจะลดลงจนแทบไม่เหลือแล้วก็ตาม

“เจ็บนิดนะครับเด็กดี หนูอดทนเพื่อพี่หน่อยนะ”

ตะวันจ้องมองใบหน้าพลัฎฐ์ด้วยตากลมที่ปรือปรอย และฉ่ำคลอไปด้วยน้ำใสที่เพิ่มขึ้นเพราะแรงอารมณ์ ใบหน้าน่ารักที่ชื้นเหงื่อดูยั่วเย้าจนพลัฎฐ์อดใจไม่ไหว ต้องยื่นหน้าไปกดจมูกและปากของตัวเองฝังไปบนแก้มนิ่มของอีกฝ่ายแรงๆ ก่อนที่จะค่อย ขยับสะโพกของตัวเองกดทับและสอดแกนกายใหญ่โตที่ชะโลมเจลจนชุ่มไปในช่องทางสีสวยที่อวดสายตาอยู่ตรงหน้า ตะวันสะดุ้งเฮือกเมื่อสิ่งแปลกปลอมที่ว่ามีขนาดใหญ่ว่าที่ตัวเองเคยได้รับ

ใบหน้าสวยหวานเหยเกบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด น้ำใสไหลอาบแก้มทันทีเมื่อส่วนหัวที่ผลุบเข้ามาทำให้ช่วงล่างตรงช่องทางดังกล่าวรวดร้าวเหมือนแทบจะฉีกขาด ริมฝีปากบางกรีดร้องขอความเห็นใจ อยากให้พลัฎฐ์หยุดการล่วงล้ำที่กำลังทำอยู่ตอนนี้

“พี่พลัฎฐ์ ฮึ่ก.. ตะวัน ตะวันเจ็บ ... เอาออกไป ตะวัน ฮึ่ก เจ็บ”

พลัฎฐ์เองก็เกร็งตัวจนใบหน้าหล่อเหลาบิดเบี้ยว เขาต้องพยายามยั้งตัวเองไม่ให้โถมกายลงไปที่ช่องทางของตะวันแรงๆ แม้อยากจะทำอย่างนั้นใจจะขาด แต่เมื่อเห็นคนรักร้องไห้ เขาจึงต้องบอกตัวเองให้พยายามใจเย็นมากกว่านี้ เจ้าของร่างสูงใหญ่จึงตัดสินใจก้มลงไปจูบที่ริมฝีปากบวมช้ำ ริมฝีปากที่กำลังขอร้องให้เขาหยุด ด้วยรสจูบที่อบอุ่นและอ่อนโยน สลับกับการกระซิบย้ำๆ ให้อีกฝ่ายได้ยินและทำตาม

“หนูต้องไม่เกร็ง เชื่อพี่นะครับเด็กดี”

จากนั้นพลัฎฐ์ก็ก้มลงไปดูดเลียที่ติ่งไตตรงยอดอกสองข้างของตะวันสลับไปมา พยายามหลอกล่อด้วยการใช้ทั้งปากและนิ้วสะกิดเบี่ยงเบนให้ตะวันสนใจและรู้สึกเสียวซ่านมากกว่าที่จะจดจ่อกับแกนกายของเขาที่กำลังผลุบเข้าไปในช่องทางช้าๆ

“อ๊ะ อ๊า”

“อย่างนั้นแหละครับเด็กดี ผ่อนคลายให้พี่หน่อย หนูผ่อนคลายนะครับ”

พลัฎฐ์ว่าก่อนจะเอื้อมมือไปสาวรั้งแกนกายน่ารักของตะวันอีกครั้ง เพราะก่อนหน้ามันไม่ตั้งชันและไม่เกิดอารมณ์เพราะความเจ็บที่ตะวันได้รับ และตอนนี้ถือว่าการเบนความสนใจของพลัฎฐ์กำลังได้ผล เพราะช่องทางของตะวันไม่รัดแน่นจนเขาเข้าไม่ได้เหมือนตอนแรก แต่ตอนนี้มันกำลังขยับขยายให้เขาได้แทรกตัวเข้าไปช้าๆ จนในที่สุดมันก็เข้าไปจนมิดความยาวโดยที่ตะวันโอบรับมันไว้ได้หมดแทน

“อึ่ก.. อ่า เก่งมากเด็กดี เก่งมากครับ”

ตะวันนอนอ้าขากว้างอีกทั้งยังสะอื้นฮักเพราะยังเจ็บและปรับตัวไม่ได้ ให้พลัฎฐ์ต้องคอยจูบปาก คอยดูดยอดอก พร้อมๆ กับสาวรั้งแกนกายเล็ก จนตอนนี้มันเริ่มที่จะตั้งชันและมีอารมณ์ขึ้นมาอีกครั้ง

ความเจ็บแปรเปลี่ยนไป เมื่อพลัฎฐ์อดทนยอมแช่ค้างอยู่ท่านั้นเพื่อให้ได้ตะวันปรับตัว และเมื่อเห็นว่าสีหน้าของคนใต้ร่างดีขึ้น พลัฎฐ์จึงตัดสินใจค่อยๆ ขยับช้าๆ เพราะรู้ดีว่าถ้ายังถูกรัดแน่นโดยไม่ขยับแบบนี้อีกสักพักเขาต้องเสร็จก่อนถึงเวลาที่ควรจะเป็นแน่ๆ

“ให้พี่ขยับนะครับ ไม่งั้นขืนหนูรัดพี่อยู่เฉยๆ แบบนี้ พี่เสร็จแน่ๆ เลย”

ตะวันแก้มแดงก่ำ ตอนได้ยินถ้อยคำลามกของอีกฝ่าย จากนั้นจึงพยักหน้ายินยอมเมื่อรู้สึกว่าช่วงล่างของตัวเองไม่เจ็บเท่าตอนแรกแล้ว

และทันทีที่พลัฎฐ์ขยับ ตะวันก็หลุดเสียงครางทันที

“อ๊ะ อ๊า อ๊า”

“อะ อาา... ตรงนี้ใช่มั้ยครับ หื้ม?”

พลัฎฐ์โถมตัวเข้าหาตะวันเป็นจังหวะ เขาต้องยั้งตัวเองแทบแย่ตอนที่รู้ว่าตัวเองกระแทกถูกจุด เพราะตะวันตอดรัดถี่ยิบไม่หยุด แถมสีหน้าตอนเสียวซ่านของคนใต้ร่าง ยิ่งกระตุ้นให้อารมณ์ดิบของเขาลุกฮือ พลัฎฐ์ซอยเอวเป็นจังหวะเรื่อยๆ พร้อมๆ กับใช้มือสาวรั้งแกนกายเล็กช่วยอีกฝ่ายอย่างเอาอกเอาใจ ตะวันครางแทบจะไม่เป็นภาษา แถมยังเบียดตัวเข้าหาพลัฎฐ์ด้วยความลืมอาย สะโพกเล็กลอยแอ่นคว้างสอดรับแกนกายใหญ่โตของพลัฎฐ์ที่กำลังโถมเข้ามา พลัฎฐ์เร่งจังหวะกระแทกจนตะวันนึกจุก เลยใช้มือเล็กยันหน้าท้องอีกฝ่ายไว้ให้เพลามือหน่อย ก่อนที่เอวของเขาจะขาดเป็นสองท่อนเพราะความลืมตัวของพลัฎฐ์

“พี่.. อื้อ เบาหน่อย... ตะวัน อ๊ะ อ๊ะ จุก..”

พลัฎฐ์ผ่อนแรงลง แต่ยังโถมตัวเข้าออกเป็นจังหวะเรียกเสียงครางหวานได้จากตะวันไม่หยุด ตัวพลัฎฐ์เองก็อดยอมรับไม่ได้ว่าเขากำลังรู้สึกดีมากๆ ช่องทางอุ่นที่โอบรับตัวตนตนของเขาไว้ทั้งหมดกำลังตอดรัด จนทำให้เขาเผลอกระแทกแรงเข้าใส่ตะวันอยู่บ่อยครั้ง เสียงหอบหายใจ และเสียงเรียกชื่อเขาของตะวัน ยิ่งทำให้อุณหภูมิในห้องสูงจนแทบจะทะลุจุดเดือด

พลัฎฐ์ก้มลงไปซุกไซ้ซอกคอขาวของตะวันอย่างหมั่นเขี้ยว ในขณะที่ตะวันก็สอดมือเข้าไปขยุ้มกลุ่มผมของพลัฎฐ์ราวกับต้องการหาที่ระบายความเสียวซ่าน ต่างฝ่างต่างสอดรับและขยับหาเข้ากันอย่างค่อยไปค่อยไป และเมื่อพอพลัฎฐ์เร่งมือสาวรั้งแกนกายของตะวันพร้อมๆ กับขยับโถมสะโพกเข้าใส่ช่องทางของตะวันเร็วขึ้น เสียงครางเครือก็ยิ่งดังเร่งจังหวะ กระตุ้นให้พลัฎฐ์เผลอกระแทกตัวตนเข้าใส่ตะวันจนร่างเล็กบนที่นอนหัวสั่นหัวคลอน แล้วจังหวะสุดท้ายของทั้งสองฝ่ายก็มาถึง เมื่อตะวันเอ่ยปากเร่งเร้า พร้อมกับแรงตอดรัดที่ของผนังอุ่นที่โอบล้อมตัวตนของพลัฎฐ์ขมิบตอดรัดถี่รัว

“พี่พลัฎฐ์ อ๊ะ ตะวัน ฮึ่ก.. ตะวันจะเสร็จ”

“จะเสร็จแล้วเหรอครับ อึ่ก.. เด็กดี”

พลัฎฐ์ขยับข้อมือสาวรั้งถี่รัวขึ้น จนตะวันตัวกระตุก ปลายเท้าหงิกเกร็ง และปลดปล่อยออกมาเป็นรอบที่สอง พร้อมๆ กับเสียงครางหวาน จนเลอะมือพลัฎฐ์ไปหมด

“อะ.. อาห์”

พลัฎฐ์ยกมือข้างที่เลอะน้ำรักของตะวันยกขึ้นเลียช้าๆ ให้คนที่กำลังนอนอ้าขารองรับการกระแทกแอบมองด้วยใบหน้าและสายตาเขินอาย ก่อนที่ความเขินอายนั้นจะแปรเปลี่ยนเป็นความเสียวซ่านอีกระลอก เมื่อพลัฎฐ์ขยับกระแทกสะโพกเร็วขึ้นที่จุดเดิมซ้ำๆ ถี่รัวขึ้น ก่อนที่พลัฎฐ์จะค่อยๆ ผ่อนความเร็วลง แล้วถอนแกนกายออกมาจากช่องทางของตะวันจนแทบสุดแล้วสวนกระแทกกลับเข้าไปแรงๆ อยู่สองสามครั้ง ก่อนที่พลัฎฐ์จะเกร็งหน้าท้องแล้ว ครางเสียงทุ้มอย่างสุขสม พร้อมๆ กับที่ปลดปล่อยออกมามากมายจนน้ำสีขาวๆ ไหลย้อยออกมาตามช่องทางสีหวานที่ตอนนี้แดงช้ำอย่างเห็นได้ชัด

“อาห์”

พลัฎฐ์โถมตัวลงกอดตะวันไว้ทั้งตัวหลังจากความเร่าร้อนทั้งหมดจบลง พร้อมกับกดจูบซ้ำๆ ที่แก้มนิ่มของคนใต้ร่างที่ตอนนี้กำลังแดงก่ำเพราะแรงอารมณ์

คนตัวโตกว่าบอกรักตะวันอย่างมีความสุข สิ่งที่เขาเคยจินตนาการไว้ ไม่ผิดจากที่คิดเลยสักนิด พลัฎฐ์มีความสุขมาก และรู้ว่าตะวันเองก็คงมีความสุขไม่ต่างกัน

“พี่รักหนูนะครับ รักมาก มากที่สุดในชีวิตเลย หนูรู้ใช่ไหม”

ในขณะที่ตะวันเองยังคงไม่ตอบอะไร เพราะเหน็ดเหนื่อยและแทบจะหมดแรงจากการปลดปล่อยไปสองรอบ หนำซ้ำตอนนี้ร่างกายด้านล่างก็ทั้งปวดทั้งเมื่อยทั้งเจ็บไปหมด เขาจึงได้แต่ซุกหน้ากับอกให้พลัฎฐ์กอดนิ่งๆ ก่อนที่จะจูบลงไปบนไหปลาร้าของเจ้าของอ้อมกอด แล้วกระซิบเสีงยงแผ่วตอบอีกฝ่ายก่อนจะผล็อยหลับไป

“ตะวันก็รักพี่พลัฎฐ์มาก.. มากที่สุดเหมือนกันครับ”

.

.

.

To Be Continue

----------------------------------------

ตอนหน้าจบแล้วจ้าาา ตอนนี้เลยขอทิ้งทวนสักนิด จัดยาว จัดเต็ม จัดให้เกือบทั้งตอน 5555555555

ขอบคุณมากๆ นะคะสำหรับทุกคอมเม้นท์และทุกกำลังใจที่ผ่านมา เราหวังว่าทุกคนจะอยู่ถึงบทส่งท้ายในตอนหน้า เราอยากจะขอบคุณทุกคนจริงๆ จังๆ อีกสักครั้งในตอนนั้นค่ะ

เจอกันวันอังคารค้าบบบ อ่านให้สนุกน๊าาา

รักฉะเหมอ♡
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Chapter 24th - 07/09/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 07-09-2019 20:39:31
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Epilogue! 10/09/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 10-09-2019 20:42:52
:: Epilogue - บ้านของเรา ::


เมื่อทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดี พลัฎฐ์กับตะวันก็เปิดเผยความสัมพันธ์ของกันและกันมากขึ้น หลังจากนิตยสารที่มีบทสัมภาษณ์ของทั้งสองวางแผงไป กระแสทั้งทางบวกและลบมีเข้ามาตลอด แต่ในเมื่อไม่ได้กระทบอะไรกับงานของทั้งคู่จึงไม่มีอะไรที่ตะวันและพลัฎฐ์รู้สึกกังวล และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการไม่ปรากฎตัวอีกเลยของนลินี ทำให้ทั้งคู่ต่างเบาใจและอยู่อย่างสงบมากขึ้น จะมีก็แต่พลัฎฐ์ที่ยังคงขี้หึงไม่เลิก โดยเฉพาะกับคุณครูประจำชั้นของอาทิตย์กับน้องพี เรียกได้ว่าถ้าไม่ติดงานหรือธุระอะไรจริงๆ พลัฎฐ์ก็แทบไม่เคยปล่อยให้ตะวันไปรับเด็กๆ คนเดียวเลย

ดังนั้น สิ่งที่เห็นกันจนชินตาของพนักงานในออฟฟิศของพลัฎฐ์ ก็คงจะเป็นการที่ตะวันไปส่งข้าวส่งน้ำให้พลัฎฐ์บ่อยๆ ในตอนกลางวัน ส่วนในตอนเย็น ก็จะเป็นภาพตะวันที่จูงมือน้องพีกับอาทิตย์เดินข้ามาพร้อมกับแวะทักทายบรรดาพนักงานที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีตามรายทางในวันที่พลัฎฐ์ไม่สามารถไปรับเด็กๆ ด้วยได้ เพราะใครๆ ก็ล้วนแล้วแต่เอ็นดูเจ้าหนูน้อยทั้งสองทั้งนั้น แต่ก็มักจะน้อยครั้งมาก เพราะอย่างที่ว่าพลัฎฐ์ขี้หึงเกินกว่าจะปล่อยให้ตะวันไปเจอกับครูกวินทร์ของเด็กๆ ได้ตามลำพัง

และเมื่อเห็นว่าเหตุการณ์ทุกอย่างทางนี้เรียบร้อยดี และการตกลงกันร่วมงานของบรรดาพ่อๆ แม่ๆ ของทั้งสองฝ่ายเป็นอันเรียบร้อย เซ็นสัญญากันเสร็จสิ้น ทั้งพ่อและแม่ของพลัฎฐ์ รวมไปถึงพ่อและแม่ของตะวันและอาทิตย์ ก็ตัดสินใจกลับไปที่สหรัฐอเมริกาต่อ เพื่อสานงานต่างๆ ที่ค้างไว้ให้เสร็จสิ้น และจะได้กลับมาอยู่กับครอบครัว ทั้งลูกและหลานที่ไทยเป็นการถาวรเสียที

“น้องพีไม่หยักให้คุณปู่กับคุณย่า คุณตากับคุณยายไปประเทศเมืองนอกเยย น้องพีคิดถึง”

เจ้าหนูน้อยคนขี้อ้อนที่ตอนนี้กำลังกอดปู่กับย่าของตัวเองอยู่พูดจาออดอ้อน ฟังแล้วชวนให้ใจอ่อน จนคนเป็นปู่กับย่าเกือบจะเผลอเลื่อนเดินทางเพื่อจะได้ยืดเวลาอยู่กับหลานต่อ ซึ่งฝั่งของครอบครัวตะวันก็ไม่ต่าง เพราะตอนนี้เจ้าอาทิตย์ดวงน้อยกำลังกอดพ่อกับแม่ของตัวเองแน่น แม้จะไม่ได้พูดอ้อนอะไรเหมือนน้องพี แต่คนเป็นพี่อย่างตะวันรู้ดีว่าการทำแบบนี้ของอาทิตย์เป็นสิ่งที่ซื่อตรงที่สุดในความรู้สึกของน้องชายแล้ว

“อาทิตย์อยากอยู่กับคุณพ่อคุณแม่นานๆ ทำงานเสร็จแล้วรีบกลับมาหาอาทิตย์นะคับ” แม้จะเศร้าแต่เจ้าอาทิตย์ดวงน้อยของตะวันก็เข้มแข็งกว่าใคร

และไม่ใช่แค่จะดูแลความรู้สึกตัวเองได้เท่านั้น เพราะพออาทิตย์หันไปเห็นน้องพีที่กำลังยืนเศร้าอยู่ตรงหน้าคุณปู่กับคุณย่าของตัวเองแล้ว เจ้าตัวก็ผละออกจากพ่อกับแม่ แล้วหันเดินไปจับมือน้องพีมากุมไว้หลวมๆ ให้ตะวันและครอบครัวต้องอมยิ้มออกมาบางๆ เมื่อเห็นว่าอาทิตย์ทำหน้าที่ดูแลน้องพีได้ดีเพียงใด

“คุณปู่กับคุณย่าไปไม่นานหรอกน้องพี แปปเดียวก็กลับ กลับมาพร้อมคุณพ่อกับคุณแม่ของคุณอาทิตย์ไง น้องพีรอเจอคุณปู่กับคุณย่าพร้อมคุณอาทิตย์นะ”

คำพูดซื่อๆ หนักแน่น แต่ก็ฟังดูปลอบประโลมทำให้เด็กชายพีรยสถ์ยิ้มออก ก่อนที่จะหันไปขอสัญญาจากกคุณปู่กับคุณย่าของตัวเองแทน

“คุณปู่กับคุณย่ายีบกลับมาหาน้องพีนะคับ น้องพีจะเชื่อตามที่คุณอาทิตย์บอก ... สัญญาๆ”

เด็กชายพีรยสถ์ยื่นนิ้วก้อยของมือข้างที่ว่างออกมาตรงหน้าของปู่กับย่า ให้คนเป็นย่าดึงเจ้าหนูน้อยเข้ากอด ก่อนจะเอานิ้วก้อยของตัวเองเกี่ยวไว้กับนิ้วก้อยของหลานชายเบาๆ

“ครับลูก ย่าสัญญา ย่าทำงานเสร็จแล้วจะรีบกลับมาหาน้องพีนะครับ”

“เป็นเด็กดีนะครับน้องพี ตั้งใจเรียน ไม่ดื้อไม่ซนกับปะป๊า แล้วปู่กับย่าจะรีบกลับมานะ”

ส่วนคนเป็นปู่ก็ยื่นมือใหญ่มาลูบศีรษะกลมของลายชายเบาๆ ก่อนจะก้มลงมาหอมแก้มนุ่มๆ ของเจ้าหนูอย่างแสนรัก ซึ่งพอปู่กับย่าผละออก น้องพีก็กดจมูกเล็กของตัวเองลงไปบนแก้มของปู่กับย่าเช่นกัน

“น้องจะเป็นเด็กดี ไม่ดื้อไม่ซน แย้วก็ยักปะป๊าด้วย”

พอว่าจบพลัฎฐ์ก็ขยับมายืนซ้อนหลังลูกชาย พร้อมกับวางมือไว้บนไหล่เด็กชายหลวมๆ พลางบอกพ่อกับแม่ว่าไม่ต้องเป็นกังวล

“พ่อกับแม่ไปทำงานเถอะครับ เดี๋ยวน้องพีผมดูแลเอง ไม่ต้องห่วงนะครับ”

“ใช่ครับ มีตะวันทั้งคน รับรองน้องพีได้อ้วนจนพุงกางเหมือนเจ้าอาทิตย์แน่ๆ” ตะวันเลยจัดการพูดเสริม ให้พ่อกับแม่ของตะวันได้ส่ายหัวให้กับคำพูดลูกชายตัวแสบเบาๆ

“หายปวดหัวหรือจะปวดหนักกว่าเดิมให้พี่เขาต้องดูแลเราเพิ่มก็ไม่รู้นะคะพี่ตะวัน”

พอจบคำของคุณรวิวรรณทุกคนก็หัวเราะร่า ไม่เว้นแม้แต่เจ้าหนูน้อยทั้งสองรวมถึงพลัฎฐ์เองด้วย

“หัวเราะอะไรกันครับ?”

ตะวันระดมตีพลัฎฐ์คนเดียวโดยไม่ได้แตะตัวเด็กๆ ทั้งสองเพราะกลัวจะเจ็บ ซึ่งทุกคนก็ยืนคุยกันอีกนิดหน่อยจนทางสายการบินประกาศเรียกผู้โดยสารให้ขึ้นเครื่อง คุณภาสกรบิดาของตะวันจึงหันมาฝากฝังตะวันไว้กับพลัฎฐ์

“ฝากเจ้าพี่น้องสองคนด้วยไว้ด้วยนะคุณพลัฎฐ์ ให้อยู่กันเองยอมรับว่าลึกๆ ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ แต่พอมาตอนนี้ได้เห็นว่าพี่ตะวันมีคุณพลัฎฐ์มาดูแล เราสองคนก็เบาใจ”

พลัฎฐ์หันไปมองคนรักที่ตอนนี้กำลังเจื้อยแจ้วเจรจากับพ่อแม่เขาอยู่ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักความเอ็นดู ก่อนจะหันมารับปากให้พ่อและแม่ของคนรักได้สบายใจ

“คุณอา..”

“เรียกพ่อว่าพ่อ แล้วเรียกแม่ของตะวันว่าแม่เถอะคุณพลัฎฐ์ ไหนๆ ก็มาถึงขนาดนี้แล้ว”

และคำพูดของพ่อตะวันก็ทำให้พลัฎฐ์ยิ้มกว้างได้เต็มแก้ม เขายอมรับว่าแอบกังวลไม่น้อยเพราะกลัวว่าพ่อและแม่ของตะวันอาจจะยังไม่ยอมรับ แต่เมื่อผ่านการพิสูจน์ตัวเองมาได้จนถึงขนาดที่พ่อของตะวันฝากฝังตะวันไว้กับเขา ก็ไม่มีอะไรให้พลัฎฐ์ต้องหนักใจอีก

“ครับคุณพ่อ ... คุณพ่อไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมจะดูแลตะวันและอาทิตย์ให้ดีที่สุด คุณพ่อกับคุณแม่ทำงานให้สบายใจได้เลยครับ”

คุณภาสกรยกมือขึ้นตบบ่าของพลัฎฐ์เบาๆ เป็นเชิงขอบคุณ ก่อนที่พ่อและแม่ของพลัฎฐ์จะเดินมาสมทบ กลุ่มชายหนุ่มและเด็กน้อยทั้งสี่ จึงได้มีโอกาสร่ำลาบุพการีก่อนเดินทางอีกครั้ง

“เดินทางปลอดภัยนะครับ ไม่ต้องเป็นห่วงทางนี้ ผมจะดูแลทั้งตะวันและเด็กๆ เอง” พลัฎฐ์ว่า ก่อนที่จะเดินเข้าไปกอดคนเป็นพ่อและแม่ โดยมีน้องพีที่พลัฎฐ์อุ้มอยู่แทรกระหว่างกลาง โอบแขนรอบคอทั้งพ่อและปู่กับย่าไว้

“บ๊ายบายคับคุณปู่คุณย่า คิดถึงน้องพีเยอะๆ นะคับ”

“เดินทางปลอดภัยนะครับ” ตะวันบอกรวมๆ ก่อนที่จะหันไปหาพ่อกับแม่ของตัวเอง “อากาศที่นู่นหนาว คุณพ่อกับคุณแม่ต้องรักษาสุขภาพนะ แล้วตะวันจะโทรไปอ้อนบ่อยๆ”

เจ้าลูกชายคนโตของครอบครัวโผเข้ากอดพ่อกับแม่แน่น โดยมีเจ้าอาทิตย์กอดเอวทุกคนอยู่ตรงกลาง ก่อนที่คุณภาสกรจะอุ้มลูกชายคนเล็กที่ไม่ค่อยอ้อนเท่าพี่ชายมาหอมแก้มทั้งสองข้าง

“สวัสดีครับคุณพ่อคุณแม่ กลับมาไวๆ นะคับ”

เด็กชายตัวน้อยว่าพร้อมกับยกมือไหว้คนเป็นพ่อและแม่อย่างสวยงาม ทำเอาหัวอกของบุพการีรู้สึกทั้งตื้นตันและภูมิใจ

เมื่อร่ำลากันเรียบร้อย พลัฎฐ์และตะวันก็อุ้มอาทิตย์และน้องพีแยกออกมา ทั้งสี่ยกมือไหว้บรรดาพ่อกับแม่และโบกมือบ๊ายบายกลับ เมื่อพวกท่านโบกมือมาให้ก่อนจะหันหลังเดินเข้าไปในเกท

โดยที่พวกเขาก็ได้แต่รอเวลาเพื่อที่จะได้กลับมาพบกันอีกครั้ง

.

.

.

น้องพีหงอยลงไปถนัดตาเมื่อคุณปู่กับคุณย่าบินไปทำงานต่อที่ต่างประเทศอีกครั้ง ซึ่งพลัฎฐ์เองก็อธิบายให้ตะวันว่าเป็นอาการปกติของน้องพีที่มักจะเป็นอย่างนี้เสมอเมื่อต้องห่างกับคนในครอบครัว หรือมีใครเดินทางไปไหนไกลๆ ซึ่งพลัฎฐ์เดาว่าน่าจะเป็นเพราะน้องพีฝังใจเกี่ยวกับการที่แม่จากไปไม่ลา ทำให้เด็กน้อยกลัวว่าทุกคนจะทิ้งแกไปและทำให้แกอยู่คนเดียว

ตะวันได้ฟังแล้วก็นึกสงสาร ซึ่งพลัฎฐ์บอกว่าการกลับไปครั้งนี้ของพ่อกับแม่ยังถือว่าอาการของน้องพีดีกว่าครั้งที่ผ่านๆ มา น่าจะเป็นเพราะโชคดีที่มีอาทิตย์และตะวันอยู่ใกล้ๆ ทำให้เด็กน้อยยังอุ่นใจว่าจะยังมีตะวันและอาทิตย์ที่ไม่ทอดทิ้งตัวเองไปไหน

“พี่เองก็จนใจ บอกลูกไปก็หลายครั้งแล้ว แต่ตัวเล็กก็รู้ว่าปมในใจมันแก้ยาก คงจะต้องค่อยๆ ปรับๆ ค่อยๆ ฝังความรู้สึกใหม่ๆ ให้น้องพีไปเรื่อยๆ”

เวลานี้พวกเขากลับมาถึงบ้านแล้ว และเด็กๆ เองก็นั่งเล่นวาดรูปกันอยู่ที่ห้องรับแขก ในขณะที่พลัฎฐ์กำลังวอแวตะวันอยู่ในครัว เพราะนี่ขนาดว่าเล่าเรื่องน้องพี พลัฎฐ์ยังโอบแขนไว้รอบเอวตะวันแน่นไม่ปล่อยไปไหนเลย

ซึ่งตะวันเองก็รู้ดีว่าภายใต้ท่าทีเจ้าชู้ที่พลัฎฐ์แสดงออกกำลังแฝงไว้ด้วยความไม่สบายใจลึกๆ ของเจ้าตัวในเรื่องของลูกชาย คนตัวเล็กกว่าจึงปล่อยให้พลัฎฐ์กอดแล้วไล้จมูกโด่งคลอเคลียอยู่ที่แก้มนิ่มของตัวเองให้สมใจ ก่อนที่เขาจะนึกอะไรดีๆ ออก แล้วลากแขนของพลัฎฐ์ออกไปนั่งเล่นกับเด็กๆ แทน

พลัฎฐ์แม้จะงงๆ แต่ก็ยอมเดินตามแรงลากของตะวันออกมา ก่อนที่จะทรุดลงนั่งที่พื้นพรมข้างลูกชายของตัวเอง

“มาครับ วันนี้เราจะมาช่วยกันวาดรูปกับระบายสีดีไหม” ตะวันเอ่ยปากเริ่มพูด พร้อมกับวางกระดาษแผ่นใหญ่ไว้ตรงกลาง “พี่ตะวันวาดพี่ตะวันลงไปในกระดาษ อาทิตย์ก็วาดตัวอาทิตย์ลงไป น้องพีก็วาดน้องพี ส่วนปะป๊าพลัฎฐ์ก็จะวาดตัวเองด้วยเหมือนกัน”

ตะวันว่าพลางทำสีหน้าภูมิใจในไอเดียของตัวเอง ก่อนที่น้องพีจะเอ่ยถาม

“วาดเยาสี่คนยงไปในกระดาษใบนี้หยอคับพี่ตะวัน”

“ใช่ครับ วาดเราสี่คนลงไปด้วยกัน แทนคำสัญญาว่าเราสี่คนจะไม่ทิ้งกันไปไหน” ตะวันชี้แทนตัวเอง แล้วพูดเสียงหนักแน่น สบตากับพลัฎฐ์และน้องพีด้วยแววตาใสแจ๋วจริงใจ

“พี่ตะวันจะไม่ทิ้งปะป๊าพลัฎฐ์กับน้องพีไปไหน ยกเว้นแต่ว่าปะป๊าพลัฎฐ์กับน้องพีจะไม่อยากเจอพี่ตะวันอีก วันนั้นพี่ตะวันถึงจะไป”

พลัฎฐ์ยิ้มตอนที่ได้ยินตะวันพูดแบบนั้น เขารู้ดีว่านี่เป็นคำสัญญาที่ตะวันพยายามจะมอบให้เขากับลูกชายของเขา เพราะพลัฎฐ์รู้ว่าจะไม่มีวันที่เขาไม่ต้องการตะวัน เขารักตะวันมาก และก็ยิ่งรักมากขึ้นทุกวัน

“ฮื่อออ ไม่ทิ้ง น้องพีไม่ทิ้ง น้องพียักพี่ตะวัน” เด็กชายว่าพลางโผเข้าไปกอดพี่ชายข้างบ้านไว้แน่น ซึ่งเรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากพลัฎฐ์ได้ไม่ยาก

ส่วนตะวันเองพอเห็นท่าทางออดอ้อนของน้องพีก็ยิ้มกว้าง โอบรอบแขนกระชับอ้อมกอดไว้แน่น พร้อมทั้งใช้อีกมือลูบศีรษะกลมของเจ้าหนูน้อยเบาๆ

“ครับ พี่ตะวันก็รักน้องพี จะอยู่กับน้องพีไปเรื่อยๆ จนน้องพีตัวโตๆ เลยดีไหมครับ”

“อื้อ! ดีคับ” เด็กชายพยักหน้าหงึกหงักซุกอยู่กับอกอุ่นๆ ของตะวัน ท่าทางน่ารักนั้น ทำเอาตะวันต้องก้มลงไปจูบหนักๆ ที่ศีรษะเล็กอย่างมันเขี้ยวอยู่หลายที

แล้วจู่ๆ เจ้าอาทิตย์น้อยก็เดินมานั่งคุกเข่าตรงหน้า แล้วยกแขนเล็กๆ ของตัวเองขึ้นโอบน้องพีไว้อีกที

“คุณอาทิตย์ก็ไม่ทิ้ง จะอยู่กับน้องพีตลอดไปเลย”

“คุณอาทิตย์ห้ามหนีน้องพีไปนะ”

“อื้อ ไม่ไปไหน สัญญา”

เด็กชายตัวน้อยที่อยู่ในอ้อมกอดของตะวันได้ยินเพื่อนสนิทบอกแบบนั้น ก็หันมายิ้มกว้างให้อย่างน่ารัก ก่อนที่อาทิตย์ยิ้มตอบให้น้องพี และพอตะวันกดริมฝีปากลงไปบนแก้มนุ่มๆ ของเด็กชายพีรยสถ์ เจ้าหนูก็หันกลับไปให้ความสนใจกับพี่ชายคนโปรดแทน

ซึ่งในขณะที่ตะวันเผลอๆ งุ้งงิ้งอยู่กับน้องพี ก็เลยไม่ได้รู้ว่าน้องชายตัวเองโผไปกระโดดเกาะหลังพลัฎฐ์ตอนไหน หนำซ้ำยังหัวเราะคิกคัก ก่อนที่พลัฎฐ์จะยื่นหน้ามากระซิบเบาๆ ที่ข้างหูนิ่มด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“หนูสัญญาแล้ว ห้ามผิดสัญญานะครับ”

ตะวันหันไปยิ้มเจ้าเล่ห์ให้พลัฎฐ์ ก่อนจะเอ่ยเสียงใสอย่างน่ามันเขี้ยว “ตะวันสัญญากับน้องพี ไม่ได้สัญญากับพี่พลัฎฐ์สักหน่อย”

“อ่าว ทำไมใจร้ายกับพี่อย่างนี้ล่ะครับ” พลัฎฐ์โอดครวญ ซึ่งเจ้าหนูอาทิตย์ก็ได้ยินประโยคดังกล่าวพอดี เลยโอบแขนเล็กๆ ไปที่รอบคอของพลัฎฐ์แล้วพูดเสียงเจื้อยแจ้วแต่หนักแน่นตามประสาเด็กน้อยแทน

“งั้นเดี๋ยวอาทิตย์อยู่กับปะป๊าพะลัดก็ได้ อยู่ด้วยกันๆ”

และพอสิ้นเสียงคำตอบของน้องพี ทั้งพลัฎฐ์และตะวันก็หัวเราะขึ้น ราวกับว่าความไร้เดียงสาของเด็กๆ ช่างบริสุทธิ์และงดงามเกินกว่าที่พวกเขาจะเมินเฉยไม่สนใจได้ ก่อนที่ตะวันจะหันไปพูดจริงจังกับพลัฎฐ์อีกครั้ง

“ตะวันพูดจริงๆ นะครับ เพราะต่อถึงให้ความสัมพันธ์ของเราสองคนจบลงหรือไปไม่รอด ยังไงตะวันก็จะไม่ทิ้งน้องพี แกเป็น...”

พลัฎฐ์ก้มลงมาจูบเร็วๆ ที่ปากตะวันทันที ตอนที่เด็กๆ เผลอ โดยที่คนถูกจูบยังพูดไม่จบประโยคด้วยซ้ำ

“เหมือนที่ตะวันสัญญากับลูกชายพี่ พี่ก็ขอสัญญากับตะวันเหมือนกันว่าพี่จะไม่มีวันไปไหน จนกว่าตะวันจะไม่ต้องการ”

ตะวันยิ้มบางๆ ทันทีที่พลัฎฐ์พูดจบ ทั้งสองต่างมองสบตากันและกันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรัก เขาทั้งสองไม่รู้หรอกว่าเรื่องความรักและความสัมพันธ์ในอนาคตของเขาทั้งสองคนจะเป็นอย่างไร

แต่สิ่งหนึ่งที่พลัฎฐ์และตะวันมั่นใจคือเขาทั้งคู่จะประคับประคองความรักและครอบครัวที่มีอยู่ตอนนี้ให้ดีที่สุด เพราะอย่างน้อยการมีกันและกันในตอนนี้ก็ได้ทำให้เขาทั้งสองรู้ว่าพวกเขาจะผ่านมันไปได้ ไม่ว่าวันข้างหน้าจะมีอุปสรรคอะไรก็ตาม

และที่สำคัญ เขาทั้งสองจะทำให้บ้านทั้งสองหลังของทั้งพลัฎฐ์และตะวัน เป็นหลุมหลบภัยที่ดีที่สุดของเด็กชายภานวีย์และพีรยสถ์ เขาทั้งคู่จะทำให้เด็กๆ ได้มั่นใจว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายที่เด็กๆ จะต้องพบเจอเมื่อโตขึ้นในอีกสิบหรือยี่สิบปีข้างหน้า แต่ทันทีที่กลับมาที่นี่ เด็กน้อยทั้งคู่จะได้รับความรักและความอบอุ่นที่เต็มเปี่ยม ความรักและความอบอุ่นของการเป็นครอบครัวเสมอและตลอดไป


THE END

----------------------------------

Talk: *จุดพลุ* เย่ๆ ก็ลงตอนสุดท้ายให้แล้วนะคะ #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว ปิดฉากลงแล้ว เราอยากจะขอบคุณทุกคนมากๆ ที่อยู่ตรงนี้ อยู่ด้วยกันมาตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ ทุกกำลังใจ ทุกคลิก ทุกวิวที่เข้ามาอ่าน ขอบคุณมากๆ นะคะ นิยายเราอาจจะไม่สนุกอะไรมาก แต่ถ้าทุกครั้งที่คุณเข้ามาอ่านแล้วมีความสุข หรือได้รับรอยยิ้มกลับไป แค่นี้เราก็รู้สึกว่าเราประสบความสำเร็จมากๆ แล้ว

และถึงแม้นิยายของเราจะไม่ได้รับความนิยมอะไรมากมาย แต่เราก็ไม่ได้รู้สึกดาวน์อะไรขนาดนั้นนะ ฮ่าๆๆ หรือเรามันเป็นพวกหวังน้อยด้วยล่ะมั้ง เพราะสำหรับเรา แม้มีคนรออ่านแค่เพียงคนเดียว แค่นั้นก็อยากทำให้เราเขียนต่อจนจบแล้ว~

ดังนั้น ขอบคุณพวกคุณทุกคนมากนะคะ ทั้งจากในเด็กดี คุณ HongTea_ และคุณ tounoi_JJ

คุณ AkuaPink, คุณ Billie, คุณ fc_fic, คุณ route rover, คุณ B25, คุณ DrSlump, คุณ Tiffany, คุณ GBlk, คุณ Kaamnutt และคุณ noy จากเล้าเป็ด

และจากในธัญวลัย คุณ Natha, คุณโสม, คุณ Nin19901 รวมทั้ง Guest ทุกคนจากทุกๆ คอมเม้นท์ด้วยนะคะ

ขอบคุณมากๆ แล้วก็ขอบคุณนักอ่านเงา ที่อาจจะตามอ่านอยู่เงียบๆ ขอบคุณมากนะคะที่ติดตามนิยายเรื่องแรกของเรามาตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ ถ้ามีตรงไหนผิดพลาด อยากให้ปรับปรุง เรื่องหน้าขอแก้ตัวนะคะ เราเขียนแต่ฟิคมาตลอด เพิ่งจะจับนิยายเป็นเรื่องแรก เลยอาจจะมีอ๊องๆ งงๆ ออกทะเลไปบ้าง เรื่องหน้าสัญญาจะทำให้ดีกว่านี้ค่ะ อาจจะเป็น mpreg เพราะเริ่มเขียนไปบ้างแล้ว และถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ก็จะมีเรื่องของน้องพีกับอาทิตย์ต่อด้วย เพราะวางพล็อตไว้ในหัวคร่าวๆ แล้ว ยังไง ก็จะลองพยายามเขียนเนาะ เป็นกำลังใจให้เราด้วยย 555555555

ไปละค่ะ รู้สึกว่าจะทอล์คนานไปแล้ว 55555555555 ไว้เจอกันใหม่เรื่องหน้าเนาะ ... รักพวกคุณมากๆ
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Epilogue! - 10/09/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 10-09-2019 21:57:13
 :pig4: :pig4: :pig2:
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Epilogue! - 10/09/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 10-09-2019 23:57:39
 :L2: :pig4:

ขอบคุณคุณนัคเขียนสำหรับนิยายน่ารักๆเช่นกัน
น้องพี่กับอาทิตย์ต้องน่ารักแน่เลย รออ่าน  :L2:
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Epilogue! - 10/09/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: noy ที่ 11-09-2019 00:57:13
ขอบคุณ​ผู้แต่ง​มากๆค่ะ​ นิยาย​น่ารัก​ดี​ค่ะ​แต่จะติด​ตรงบทแฟนเก่า​ของพระเอก​ รู้​สึกยัง​แต่ง​ได้ไม่ลื่นไหล​เท่าที่ควร​ แต่บทของเด็​กๆน่ารัก​มาก​ค่ะ​ เป็น​กำลัง​ใจ​ให้​นะ​คะ​ :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Epilogue! - 10/09/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 11-09-2019 01:55:55
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Epilogue! - 10/09/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 11-09-2019 20:48:02
 :3123: :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Special CH. - 17/09/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 17-09-2019 17:26:53
:: Special Chapter - Together ::


“ไหนน้องพี บอกปะป๊าหน่อยสิครับ ว่าพวกหนูสองคนจะแสดงอะไรให้ปะป๊ากับพี่ตะวันดูในงานโรงเรียนที่จะถึงนี้ครับ?”

ตอนนี้พลัฎฐ์กับตะวันพาเด็กๆ ออกมานั่งกินข้าวในห้างสรรพสินค้าใกล้บ้าน เนื่องจากอยากจะเปลี่ยนบรรยากาศ และอยากจะเลี้ยงฉลองที่เจ้าอาทิตย์กับน้องพีได้เป็นตัวแทนอนุบาลหนึ่งเอ ห้องปลาโลมา แสดงละครเวทีโชว์ผู้ปกครองในงานวันคริสมาสต์ที่โรงเรียนจะจัดให้มีกิจกรรมรื่นเริงในทุกปี ซึ่งปีนี้ไฮไลท์สำคัญของงานก็อยู่ที่ละครเวทีที่เจ้าหนูสองคนได้ไปมีส่วนร่วมนี่แหละ

“น้องพีเย่นเป็นแองเจิ้น ส่วนคุณอาทิตย์เย่นเป็นพิ๊นซ์คับ”

เจ้าหนูน้อยตอบเสียงใสพร้อมรอยยิ้มกว้าง แม้จะยังพูดไม่ชัด แต่คนเป็นพ่อกับคนเป็นพี่ก็พอจะเดาออกว่าเด็กทั้งสองสวมบทบาทเป็นอะไร และตะวันก็ต้องหลุดขำออกมาเบาๆ เมื่อเห็นเจ้าน้องชายตัวแสบที่เมื่อกี้ยังก้มหน้าก้มตาสนใจจานข้าวตัวเองอยู่ แอบยืดตัวขึ้นช้าๆ เมื่อได้ยินน้องพีบอกจบว่าตัวเองได้แสดงเป็นเจ้าชาย ที่เปรียบเสมือนพระเอกของเรื่อง

“โอ้โห คุณอาทิตย์ได้เล่นเป็นเจ้าชายเลยเหรอเนี่ย?” ซึ่งพลัฎฐ์เองก็สังเกตเห็นท่าทีของเจ้าตัวแสบเหมือนกัน เลยเนียนแสดงอาการตื่นเต้นออกนอกหน้า ให้เจ้าอาทิตย์ได้ยืดหลังตรงยิ่งกว่าเดิม

ตะวันเห็นแล้วก็อดหมั่นไส้ไม่ได้ จึงพูดหยอกเจ้าน้องชายตัวแสบไปหนึ่งประโยค

“นั่นสิครับ ตะวันไม่ยักรู้ว่าเขาให้หมูตอนแสดงเป็นพระเอกได้ด้วย ฮ่าๆๆๆ”

“พี่ตะวันอ่ะ ไม่ใช่สักหน่อยนะ”

และแน่นอนว่าสำหรับอาทิตย์แล้ว เรื่องอ้วนเรื่องหล่อนี่ว่าไม่ได้ ความมั่นใจล้นเหลือมาตั้งแต่เด็ก ยิ่งพักหลังน้องพีสปอยล์ว่าอาทิตย์หล่อเหมือนพลัฎฐ์ เจ้าตัวแสบยิ่งปักใจเชื่อ ... จะไม่ให้เชื่อได้ยังไง ในเมื่อน้องพีของคุณอาทิตย์น่ะ ไม่เคยโกหกหรอก ถ้าน้องพีพูดว่าคุณอาทิตย์หล่อ นั่นก็หมายความว่าคุณอาทิตย์หล่อแบบที่น้องพีพูดจริงๆ

ตะวันยังคงหัวเราะไม่เลิกเมื่อเห็นน้องชายงอนตุ๊บป่อง เดือดร้อนต้องให้แองเจิ้ลตัวน้อยต้องเข้ามาไกล่เกลี่ยสถานการณ์

“คุณอาทิตย์ไม่อ้วนน้าพี่ตะวัน คุณอาทิตย์หย่อ หย่อที่สุดในห้องเยย คุณครูวินเก๊าะบอก”

“ช่ายๆ น้องพีก็น่ารัก น่ารักกว่ามะนาวอีก เลยได้เล่นเป็นแองเจิ้นที่อยู่บนท้องฟ้า”

อาทิตย์ยิ้มแฉ่งเปลี่ยนสีหน้าทันทีตอนน้องพีเอ่ยชม และชมน้องพีกลับทันทีเช่นกัน ทำเอาตะวันต้องยอมแพ้ให้กับความสปอยล์กันและกันของเด็กทั้งคู่

“โอเคๆ ก็ได้ๆ พี่ตะวันยอมแล้ววว ทั้งหล่อทั้งน่ารักสองคนนั่นแหละ”

เด็กน้อยหัวเราะร่าขึ้นมาทันทีพอได้ยินตะวันบอกแบบนั้น ทำเอาพลัฎฐ์อดยิ้มบางๆ ออกมาไม่ได้เมื่อเห็นบรรยากาศอบอุ่นในครอบครัว

“ถ้างั้นวันงาน คุณอาทิตย์กับน้องพีต้องทำให้เต็มที่นะครับ เดี๋ยวปะป๊ากับพี่ตะวันจะไปให้กำลังใจหน้าเวทีเลย”

มือใหญ่ของหัวหน้าครอบครัวยื่นไปลูบศีรษะกลมของเด็กทั้งสองที่กำลังเคี้ยวอาหารตุ้ยๆ อย่างน่าเอ็นดู และพอเคี้ยวจนกลืนอาหารหมดปาก เจ้าอาทิตย์ดวงน้อยก็รีบรับปากรับคำพลัฎฐ์ทันที

“ได้เลยคับปะป๊า ปะป๊ากับพี่ตะวันรอดูได้เลย”

“ใช่ๆ น้องพีเย่นเป็นแองเจิ้น ใส่ชุดมีปีกสวยๆ ด้วย ปะป๊ายอดูนะคับ”

เจ้าหนูทั้งสองพูดเจื้อยแจ้วนำเสนอยกใหญ่ ทำเอาผู้ปกครองทั้งสองอดแอบตื่นเต้นไม่ได้ จะว่าๆ พวกเขาเห่อไม่แพ้เจ้าหนูทั้งคู่ ก็คงไม่ผิดสักเท่าไหร่นัก ก็นี่เป็นกิจกรรมใหญ่ครั้งแรกตั้งแต่เจ้าหนูเริ่มเข้าเรียนมาได้สี่ห้าเดือน แล้วจะไม่ให้ตะวันกับพลัฎฐ์รู้สึกมีส่วนร่วมไปกับเด็กๆ ได้ยังไงกัน

“เก่งมากเลยครับเด็กๆ” ตะวันว่าพลางยิ้มใจดี ก่อนจะบอกในสิ่งที่ตนเองกับพลัฎฐ์ปรึกษากันไว้แล้วให้เจ้าหนูทั้งคู่ได้รับรู้ “แล้วพอแสดงละครเวทีที่โรงเรียนเสร็จ พวกเราไปเที่ยวกันดีไหมครับ” ตะวันเอ่ยบอกให้เด็กทั้งสองตาโตขึ้นมาอย่างตื่นเต้น

“ไปเที่ยวหยอคับพี่ตะวัน”

“ไปเที่ยวๆ อาทิตย์อยากไปเที่ยว”

ผู้ใหญ่ทั้งสองหันมามองหน้าพลางส่งยิ้มให้กันเมื่อเห็นอาการยินดีปรีดาของเด็กๆ ก่อนที่พลัฎฐ์จะเป็นคนหันไปตอบ

“ใช่ครับ ไปเที่ยวกัน” พลัฎฐ์ว่าพลางเอื้อมมือไปเช็ดปากให้น้องพีเบาๆ “พี่ตะวันกับปะป๊าจะพาหนูสองคนไปเที่ยวเชียงใหม่ อากาศช่วงนี้น่าจะกำลังเย็น อาทิตย์กับน้องพีอยากไปไหมลูก?”

“หยักคับ น้องพีหยักไปประเทศเชียงใหม่”

“ใช่ๆ อาทิตย์ก็อยากไปคับปะป๊าพะลัด”

ตะวันกับพลัฎฐ์ได้แต่ขำออกมาเบาๆ กับความไร้เดียงสาของเจ้าหนูน้อยทั้งคู่ จะไปเที่ยวทั้งที ยังไม่รู้เลยว่าเชียงใหม่อยู่ตรงไหน เอาเข้าจริงพลัฎฐ์ก็รู้ดีแหละว่าทั้งเจ้าหนูอาทิตย์และน้องพีไม่ได้สนใจหรอกว่าจะไปเที่ยวที่ไหน สำหรับเด็กสองคนแค่บอกว่าจะไปเที่ยวก็ดีใจจนเนื้อเต้นไปหมดแล้ว เพราะฉะนั้นขอแค่พาพวกแกไปด้วยกัน เท่านี้พวกเด็กๆ ก็มีความสุขแล้ว

อันที่จริงแผนการเที่ยวนี้ก็วางกันมาสักระยะแล้ว ตะวันกับพลัฎฐ์เห็นว่าพวกเขายังไม่เคยพาน้องพีกับอาทิตย์ไปเที่ยวพักผ่อนในที่ๆ อากาศและบรรยากาศดีๆ เลยสักครั้ง จึงตั้งใจว่าจะพากันหนีงานสักสี่ห้าวันแล้วพาเด็กๆ ไปพักผ่อนหย่อนใจกันตามประสาสี่คน แล้วมาได้จังหวะเอาที่โรงเรียนอนุบาลของอาทิตย์กับน้องพีปิดยาวช่วงคริสมาสต์ลากเลื้อยไปจนถึงปีใหม่ เลยทำให้ตะวันกับพลัฎฐ์ได้โอกาส ตัดสินใจพาเด็กๆ ไปเปิดหูเปิดตา ประกอบกับช่วงสิ้นปีแบบนี้อากาศทางเหนือจะดีเป็นพิเศษ พลัฎฐ์เลยเร่งเคลียร์งานและมอบหมายงานเร่งด่วนให้กับผู้บริหารที่ไว้ใจได้ช่วยดูแล ส่วนเขาก็จะขอลาพักร้อนยาวหนึ่งอาทิตย์เพื่อให้เวลากับครอบครัว ตะวันเองก็ไม่ต่าง เจ้าของร้านอาหารคนเก่งก็ตัดสินใจปิดร้านเพื่อให้ลูกจ้างในร้านได้ลากลับบ้าน หรือไปเที่ยวพักผ่อน ก่อนจะเริ่มงานกันใหม่ในปีถัดไป

ดังนั้น เมื่อตัดสินกันได้แล้ว ทั้งคู่จึงจัดการจองตั๋วเครื่องบินและที่พักเป็นอันเสร็จเรียบร้อย และยิ่งพอมาได้ข่าวจากเด็กๆ ว่าจะได้แสดงละครเวทีในกิจกรรมงานคริสมาสต์ของโรงเรียนก่อนหยุดยาวอีก เลยถือโอกาสเลี้ยงฉลองให้เด็กๆ พร้อมกันไปในตัว ถือว่าเป็นรางวัลให้กับเจ้าหนูทั้งคู่ด้วย

“โอเค งั้นวันหยุดยาวเราสี่คนไปเที่ยวกันนะครับ” ตะวันพูด ก่อนจะย้ำกำชับกับเจ้าหนูทั้งคู่ที่ตอนนี้ดูเหมือนจะดี๊ด๊าเป็นพิเศษ “แต่น้องพีกับคุณอาทิตย์ต้องตั้งใจซ้อมละครเวทีนะครับ คุณครูบอกอะไรก็ต้องทำตาม วันแสดงหนูสองคนจะได้แสดงดีๆ เก่งๆ ตกลงไหมครับ”

พอจบคำที่ตะวันสอน เจ้านหูทั้งคู่ก็พยักหน้ารับทันที

“ตกลงคับพี่ตะวัน/ตกยงคับพี่ตะวัน”

.

.

.

“พี่พลัฎฐ์ครับ คริสมาสต์นี้เราจะซื้ออะไรให้เด็กๆ ดี”

ตะวันถามหลังจากอาบน้ำเสร็จ และพอเดินออกมาจากห้องน้ำก็เห็นพลัฎฐ์ที่อาบน้ำเสร็จแล้วเหมือนกันกำลังนั่งพิงหัวเตียงอ่านเอกสารหน้าตาเคร่งเครียด และพอคนตัวโตกว่าเห็นแฟนเด็กเดินตัวหอมฉุยออกมาจากห้องน้ำ เอกสารที่ว่าก็กลายเป็นของไม่มีค่าทันที เมื่อพลัฎฐ์ปิดแฟ้มแล้ววางมันลงบนโต๊ะข้างหัวเตียง ก่อนจะเอื้อมมือไปกระตุกข้อมือของตะวัน จนคนตัวเล็กกว่าเสียหลัก ล้มลงมานั่งแอ้งแม้งทับอยู่บนตักแกร่งของคนตัวโตกว่าที่ทำหน้าเจ้าเล่ห์ไม่น่าไว้วางใจ

“พี่ตามใจหนูครับ แล้วแต่หนูเลย” พอพูดจบใบหน้าหล่อเหลาก็ยื่นมาประชิดกับใบหน้าน่ารักของตะวันทันที ก่อนที่เจ้าของจมูกโด่งเป็นสันจะฉกลงมาแก้มนุ่มของคนเด็กกว่า พลางซุกไซ้ดอมดมจนตะวันแทบจะระทวยไปทั้งตัวเพราะตั้งหลักรับการจู่โจมของคนเจ้าเล่ห์กว่าไม่ทัน

“พี่พลัฎฐ์ ทำไมเป็นคนแบบนี้?” ตะวันดิ้นขลุกขลัก แต่ก็ใช่ว่าพลัฎฐ์จะหยุดจู่โจม “ตะวันให้พี่ตอบ ไม่ใช่ให้มาทำแบบนี้สักหน่อย”

คนตัวเล็กกว่าต่อต้าน แต่ก็ไม่ถึงกับผลักไส ซึ่งพลัฎฐ์เองก็รู้ดีว่าตะวันไม่ปฏิเสธหรอก เพราะพวกเขาเองก็ต่างรอเวลานี้กันมาทั้งอาทิตย์ ตอนนี้พอมีโอกาสอยู่ด้วยกัน มีหรือที่ตะวันจะไม่อยากใกล้ชิดเขาแบบที่เคยเป็น

“เดี๋ยวพี่ค่อยตอบหนูได้ไหมครับ” พลัฎฐ์กระซิบเสียงพร่า ก่อนจะซุกจมูกลงที่ซอกคอขาวพร้อมกับไล้ไปไล้มาเบาๆ ให้ตะวันได้สะท้านไปทั้งตัว “พี่รอหนูมาทั้งอาทิตย์แล้ว พี่รอต่อไปไม่ไหวหรอก... หรือหนูไม่คิดถึงพี่ หื้ม?”

พลัฎฐ์เงยหน้าขึ้นมาจากซอกคอหอมๆ ก่อนจะเอ่ยถามตะวันอย่างตัดพ้อ ให้ตะวันได้ใจอ่อน และหน้าแดงก่ำไม่กล้าตอบ เพราะรู้ดีว่าตัวเองก็รู้สึกไม่ต่างจากพลัฎฐ์

“ไม่ใช่ไม่คิดถึงสักหน่อย แต่ตะวัน...”

“ไม่เอาไม่มีแต่สิครับ ขอพี่หน่อยนะ อาทิตย์นึงพี่จะได้กอดหนูแค่วันสองวันเอง เห็นใจพี่หน่อยนะครับ”

ตะวันจนใจ รู้สึกพูดไม่ออกขึ้นมาเสียดื้อๆ เพราะตัวเองก็รู้สึกไม่ต่างจากพลัฎฐ์เท่าไหร่ เนื่องจากวันธรรมดาเป็นวันที่เด็กๆ ต้องไปโรงเรียน ต่างคนต่างเลยต้องค้างอยู่ที่บ้านตัวเอง นอกจากวันหยุดเสาร์อาทิตย์ที่ตะวันกับพลัฎฐ์จะพาให้เด็กๆ มาค้างด้วยกัน ก็สุดจะแล้วแต่ว่าสัปดาห์ไหนสะดวกบ้านใคร บางทีก็ค้างบ้านตะวัน บางทีก็ค้างบ้านพลัฎฐ์ ดังนั้น พวกเขาทั้งคู่จึงมีเวลาที่จะได้กอดกันแค่อาทิตย์ละวันหรือสองวันเท่านั้น ซึ่งนั่นเป็นเงื่อนไขที่ตะวันตั้งไว้ตั้งแต่เริ่มคบกับพลัฎฐ์แรกๆ นั่นเพราะตะวันไม่อยากให้การคบกันของเขาทั้งคู่ไปเบียดเบียนเวลาที่ควรมีให้แก่เด็กๆ ซึ่งพลัฎฐ์เองก็เห็นด้วย... แต่ก็เห็นด้วยแค่ในช่วงแรกๆ เท่านั้น

เพราะช่วงหลังที่ผ่านมา ความรักทั้งคู่เริ่มสุกงอม เวลาที่มีให้กันแค่ครั้งหรือสองครั้งต่ออาทิตย์ทำให้พลัฎฐ์เริ่มงอแง เจ้าตัวอ้างว่า ถึงแม้เขากับตะวันจะค้างด้วยกันมากกว่าสองครั้งต่ออาทิตย์ก็ไม่เป็นปัญหา พลัฎฐ์มั่นใจว่าเขาสามารถดูแลทั้งอาทิตย์และน้องพีได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แต่ตะวันกลับไม่คิดแบบนั้น...


‘พี่ก็พูดได้สิ พี่ลองมาเป็นตะวันบ้างไหมล่ะ พอพี่ได้กอดตะวันที พี่ก็กวนตะวันทั้งคืน แล้วเช้ามาตะวันจะเอาแรงที่ไหนมาดูแลเด็กๆ’

ซึ่งพลัฎฐ์เองก็เถียงไม่ออก เพราะตะวันพูดเรื่องจริง

ทำไงได้ ใครไม่มานอนเตียงเดียวกับตะวันก็ไม่มีทางรู้หรอกว่ามันห้ามใจได้ยากแค่ไหน

สุดท้าย จึงวนกลับมาที่ข้อตกลงแรกนั่นก็คือการค้างด้วยกันสองคืนต่ออาทิตย์ นอกจากอาทิตย์ไหนจะมีวันหยุดเพิ่ม ตะวันจึงจะอนุโลมยอมให้พลัฎฐ์มาค้างด้วยได้

และถึงแม้ว่าตะวันจะมีข้อแม้ของตะวัน พลัฎฐ์เองก็มีเงื่อนไขไม่ต่างเช่นกัน ซึ่งเงื่อนไขของพลัฎฐ์นั้นไม่มากไม่มาย แต่เป็นเงื่อนไขที่ทำเอาตะวันพูดไม่ออก จะปฏิเสธก็ไม่ได้ เพราะคนตัวเล็กเองก็รู้ดีว่าในใจลึกๆ ของตัวเองนั้นรู้สึกดีกับสิ่งที่พลัฎฐ์ขอแค่ไหน


‘ถ้างั้น เสาร์อาทิตย์เป็นของพี่ หนูต้องตามใจพี่ ‘ทุกอย่าง’ ตามนี้นะครับ’


ซึ่ง... มันหมายรวมทุกอย่างจริงๆ โดยเฉพาะเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ด้วย

พลัฎฐ์ก้มลงซุกไซ้ซอกคอหอมของตะวันอีกครั้ง และตะวันเองก็เห็นว่าเปล่าประโยชน์ที่จะดื้อดึงในเมื่อตัวเขาเองก็ต้องการไม่ต่าง แขนเรียวจึงตัดสินใจยกขึ้นโอบรอบลำคอแกร่ง และแหงนเงยคอเพื่อให้พลัฎฐ์ซุกไซ้ได้ถนัดยิ่งขึ้น

“เด็กดี ... เด็กดีของพี่”

พลัฎฐ์ยังคงไล้ปลายจมูกไปเรื่อยๆ ในขณะที่มือใหญ่เองก็ทำหน้าที่ไม่ขาดตกบกพร่อง ด้วยการสอดเข้าไปในสาบเสื้อคลุมอาบน้ำที่คนตัวเล็กกว่าใส่ ก่อนจะลูบไล้ไปทั่วผิวเนียนของคนในอ้อมกอด

ตะวันเองก็ให้ความร่วมมือเต็มที่ด้วยการขยับแนบชิดกับอกกว้างที่คุ้นเคย ในขณะที่มือเล็กก็สอดเข้าไปในกลุ่มผมสีเข้มของคนรัก รวมทั้งออกแรงกดรั้งเบาๆ ราวกับจะบอกความต้องการของตัวเอง

“อื้ออ..”

เสียงครางหวานหลุดออกมาจากริมฝีปากสีสด ให้พลัฎฐ์ต้องก้มลงไปฉกชิมความหอมหวานที่สัมผัสกี่ครั้งก็ไม่รู้จักเบื่อ

ริมฝีปากหยักทาบทับลงบนอวัยวะเดียวกันของคนในอ้อมกอด ความหยุ่นนุ่มที่ประทับทำให้พลัฎฐ์รู้สึกดีจนไม่อยากถอนริมฝีปากออก และแน่นอนว่าตะวันเองก็คงไม่อยากให้พลัฎฐ์ทำแบบนั้น ร่างเล็กในอ้อมกอดคนตัวโตขยับแหงนเงยปรับองศาหน้าเพื่อรับจูบของพลัฎฐ์ให้ถนัดยิ่งขึ้น พร้อมๆ กับการเผยอริมฝีปากออก เพื่อรอรับการสอดแทรกลิ้นร้อนเข้ามาให้จูบของกันและกันลึกซึ้งมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

ซึ่งพลัฎฐ์ก็ไม่ทำให้ตะวันผิดหวังเขาสอดลิ้นของตัวเองเข้าไปในโพรงปากอุ่น เพื่อกวาดต้อนเอาความหอมหวานที่เขามักจะเสพติดได้อย่างไม่รู้เบื่อมาเป็นของตัวเอง เรียวลิ้นของคนทั้งสองเกี่ยวพันและรัดรึงกันจนแทบแยกไม่ออก เสียงน้ำลายเฉอะแฉะดังไปทั่วห้องกว้าง และถึงแม่อุณภูมิของเครื่องปรับอากาศที่อยู่ในห้องจะสูงแค่ไหน ก็ไม่สามารถบรรเทาความร้อนรุ่มจากร่างกายของชายหนุ่มทั้งสองที่ส่งผ่านไปถึงกันและกันได้ จนกระทั่งความอดทนของพลัฎฐ์จะสิ้นสุดลง


- อ่านต่อด้านล่าง -
หัวข้อ: Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว :: อัพเดท Special CH. - 17/09/2019 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 17-09-2019 17:39:16
- ต่อจากด้านบน -


คนตัวโตกว่าจับร่างเล็กในอ้อมกอดนอนราบลงกับที่นอนบนเตียง ก่อนจะพยายามปลดชุมคลุมอาบน้ำที่ตอนนี้หลุดลุ่ยจนแทบจะไม่เกาะอยู่บนร่างขาวๆ ของคนอายุน้อยกว่าออก ซึ่งตะวันเองก็ให้ความร่วมมืออย่างดี

“หนู... พี่ว่า.. พี่กำลังจะไม่ไหว”

พลัฎฐ์ไม่พูดอะไรให้มากความ เขาตัดสินใจจับมือเล็กของตะวันที่วางอยู่บนอกออก แต่เอาไปวางสัมผัสตรงกลางร่างกายที่ตอนนี้กำลังแข็งขืนเต็มกำลัง

ตะวันหน้าแดงก่ำ เพราะนึกรู้ว่าสิ่งที่ตนกำลังสัมผัสอยู่นั้นตอนนี้เต็มไปด้วยความต้องการมากแค่ไหน คนตัวเล็กกว่าตัดสินใจสอดมือเข้าไปตามรอยแยกของเสื้อคลุม ซึ่งเขาเดาได้ไม่ยากว่าไม่น่าจะมีปราการอะไรป้องกัน เพราะพลัฎฐ์น่าจะเตรียมพร้อมเสียยิ่งกว่าพร้อม แล้วก็ไม่ผิดจากที่ตะวันคิดสักเท่าไหร่นัก เมื่อมือเล็กสัมผัสเข้ากับเจ้ามังกรยักษ์ที่ตอนนี้กำลังแข็งขืนชูชันสู้มือเขาเต็มที่

คนตัวเล็กที่กำลังนอนระทดระทวยจ้องใบหน้าที่เต็มไปด้วยอารมณ์ของคนรัก ตัดสินใจขยับข้อมือช้าๆ รูดรั้ง ให้พลัฎฐ์ได้ครางคำรามในคออย่างคนที่กำลังจะหมดความอดทนในทุกขณะ

พลัฎฐ์ตัดสินใจจับตะวันพลิกร่างนอนคว่ำลงกับเตียง ก่อนที่จะยกสะโพกเล็กให้ลอยขึ้นมา ในขณะที่ตะวันก็โอนอ่อนไปกับทุกการกระทำ เพราะดูเหมือนสติจะยังไม่ถูกฟื้นฟูเต็มที่กว่าจะรู้ตัวอีกทีว่าตัวเองกำลังอยู่ในท่าทางที่ล่อแหลม ก็ตอนที่มือใหญ่ของพลัฎฐ์เอื้อมมารูดรั้งที่แก่นกาย ราวกับกำลังจะเอาใจ เพื่อให้คนที่อยู่ใต้ร่างคล้อยตาม

ซึ่งก็ไม่ผิดจากความตั้งใจของพลัฎฐ์เท่าไหร่นัก เพราะตอนนี้ตะวันแทบจะไม่หลงเหลือแรงให้ยั้งคิดอะไรอีกต่อไปแล้ว สิ่งที่คนตัวเล็กรู้สึกมีเพียงแค่สัมผัสจากมือใหญ่ที่ปรนเปรอเอาอกเอาใจอยู่ไม่ห่าง ให้เขาได้ครางเสียงหวานอย่างพึงพอใจโดยไม่มีทีท่าว่าจะได้สติง่ายๆ

“อ๊ะ.. อา”

และพอรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังอยู่ในห้วงอารมณ์ลึกล้ำ พลัฎฐ์ก็จัดการพาตัวเองเข้าไปซ้อนอยู่ด้านหลังสะโพกกลมกลึงของคนรักทันที ก่อนจะค่อยๆ แทรกก้านนิ้วที่เพิ่งชะโลมเจลหล่อลื่นเรียบร้อยแล้ว เข้าไปในช่องทางสีหวานช้าๆ ซึ่งตะวันก็เผลอเกร็งตัวในคราวแรกเพราะยังไม่ทันได้ตั้งรับ แต่เมื่อพลัฎฐ์ยังคงเอาอกเอาใจโดยการสาวรั้งแก่นกายน่ารักไม่หยุด ก็ทำให้ตะวันผ่อนคลายขึ้น จนพลัฎฐ์ดันนิ้วเรียวเข้าไปได้ในที่สุด

คนตัวโตกว่าสวนนิ้วเข้าออกสลับกับที่มืออีกข้างก็ยังคงรูดรั้งไม่หยุด ในขณะที่ตะวันยังคงครางเสียงหวานอย่างสุขสม พลัฎฐ์จึงค่อยๆ แทรกนิ้วเข้าไปเพิ่มจากหนึ่งเป็นสองและเป็นสามในที่สุด จนกระทั่งเห็นว่าช่องทางของตะวันพร้อมมากพอแล้วจึงถอนนิ้วออก ทำเอาคนที่กำลังเตลิดไปกับความพอใจหันมามองค้อนทั้งที่กำลังโก่งสะโพกใส่ ให้พลัฎฐ์ต้องลอบยิ้มด้วยความเอ็นดู

“อื้อ.. พี่พลัฎฐ์...”

“ชู่วว ใจเย็นๆ นะครับเด็กดี”

พลัฎฐ์จับเจ้ามังกรยักษ์ที่ตอนนี้ชะโลมเจลหล่อลื่นไว้จนชุ่มถูไถไปตามรอยจีบของช่องทาง ให้ตะวันตัวกระตุกด้วยความเสียวซ่านอย่างทรมาน เพราะไม่ได้รับการเติมเต็ม

“พี่.. พี่อย่า... อย่าแกล้ง”

“หึ...”

และเมื่อเห็นว่าร่างขาวบนเตียงที่กำลังบิดเร่าเพราะความต้องการที่ไม่ได้รับการสานต่อ พลัฎฐ์ก็จัดการดันท่อนเนื้อของตัวเองเข้าไปในช่องทางสีหวานของตะวันช้าๆ เพราะดูเหมือนว่าความยั่วยวนของสะโพกที่ลอยเด่นอยู่ตรงหน้า และท่าทางของตะวันที่ตอนนี้ทั้งเซ็กซี่และกระตุ้นอารมณ์ดิบของคนที่กำลังจ้องมองอย่างเขาให้พุ่งทะยานจนยากจะควบคุม

ตะวันครางเสียงหลงตอนที่มังกรของพลัฎฐ์ผลุบเข้าไปในช่องทางแม้จะแค่ส่วนหัว แต่มันก็ใหญ่โตและไม่คุ้นชิน จนพลัฎฐ์ต้องเบนความสนใจด้วยการเอื้อมมือไปด้านหน้าแล้วรูดรั้งแก่นกายน่ารักขึ้นลงตามความยาว พร้อมๆ กับก้มลงพรมจูบบนหลังเนียของคนรักเพื่อให้ตะวันได้รู้สึกผ่อนคลายขึ้น และดูเหมือนว่ามันจะได้ผล เพราะพอตะวันเลิกเกร็งอาวุธใหญ่โตของพลัฎฐ์ก็ค่อยๆ แทรกดันเข้าไปในช่องทางของตะวันได้จนสุดความยาว ตะวันสะท้านร่างเมื่อมันดันเข้าไปได้จนสุด เพราะการที่อยู่ในท่านี้ ทำให้เจ้าท่อนเอ็นที่ว่าเข้ามาได้ลึกกว่าทุกคราวกว่าที่ตะวันเคยรู้สึก

“อึก!... ลึก... ตะวัน อะ ... จุก”

คนตัวเล็กกว่าละล่ำละลักบอก พร้อมทั้งส่งมือมายันหน้าท้องที่เต็มไปด้วยลอนกล้ามเนื้อ ให้พลัฎฐ์ต้องยั้งตัว ไม่ผลีผลามโถมกายใส่เพราะดูเหมือนว่าตะวันยังไม่พร้อมเท่าไหร่นัก

พลัฎฐ์ตัดสินใจจับขาของตะวันให้แยกกว้างมากกว่าเดิมพร้อมทั้งขยับข้อมือและใช้นิ้วโป้งขยี้ส่วนหัวซ้ำ จนตะวันคล้อยตามมากขึ้น และพอเห็นว่าคนตัวเล็กกว่าไม่ได้มีท่าทีต่อต้านเท่าตอนแรกแล้ว จึงตัดสินใจเอ่ยขอคนใต้ร่างเสียงพร่า

“อ่า.. หนูรัดพี่แน่นมากเลยครับ ถ้าหนูยังตอดพี่ แล้วไม่ยอม.. อึก! ให้พี่ขยับ ... อีกสักพักพี่ต้องเสร็จทั้งที่ยังไม่ได้เริ่มแน่ๆ”

ตะวันหันมามองค้อนทันทีที่ได้ยินประโยคกึ่งๆ ลามกจากคนรัก ให้พลัฎฐ์ต้องหลุดขำออกมาเบาๆ เพราะดูท่าแล้วตะวันน่าจะต้องทั้งงอนทั้งอายแน่ๆ ไม่งั้นแก้มไม่แดงก่ำขนาดนั้นหรอก

แล้วก็เป็นพลัฎฐ์ที่อดใจไม่ไหวต้องช้อนใบหน้าน่ารักนั่นให้เอี้ยวขึ้นมา ก่อนจะก้มลงไปจูบแรงๆ บนริมฝีปากสีสดที่กำลังบวมเจ่อ จากนั้นก็กระซิบชิดริมฝีปากบาง เอ่ยขอตามความต้องการของตัวเองทันที

“ขอพี่ขยับนะครับ..เด็กดี”

ตะวันเลือกที่จะไม่ตอบอะไร แต่จูบกลับลงไปบนริมฝีปากหยักลึกของคนถามแทน

และเท่านั้น.. ก็ดูเหมือนความอดทนของพลัฎฐ์จะหมดลงทันที

คนตัวโตกว่าโยกขยับ โถมเอวใส่ร่างเล็กกว่าเต็มแรง ตะวันครางแทบจะไม่ได้ศัพท์เคล้ากับเสียงคำรามของพลัฎฐ์ดังระงมไปทั่วห้อง

“อ๊ะ.. อ๊ะ อ๊า..”

“อึก.. อาห์ ดี.. รัดพี่อีกเด็กดี”

และยิ่งได้ยินคำขอลามกของเสียงทุ้มที่กระซิบอยู่ข้างหูยิ่งทำให้ตะวันตอดรัดท่อนเนื้อของอีกฝ่ายไม่หยุด ตะวันยอมรับว่าคำพูดแบบนี้จากพลัฎฐ์เร้าอารมณ์ดิบของเขาให้พุ่งทะยาน ได้อย่างไม่น่าเชื่อ

เสียงหอบหายใจ เสียงหยาบโลนของเนื้อที่กระทบกัน แทนที่จะทำให้ร่างทั้งสองที่กำลังเชื่อมโยงและมัวเมาซึ่งกันและกันเขินอาย แต่กลับไม่เป็นแบบนั้น เพราะคนทั้งคู่กำลังหลงใหลในรสสัมผัสของอีกฝ่าย เกินกว่าจะให้ความสนใจกับเรื่องใดๆ

พลัฎฐ์โอบรัดร่างของตะวันให้แหงนเงยขึ้นใขณะที่เอวสอบยังคงโถมรั้งใส่ช่องทางของอีกฝ่ายไม่หยุด ริมฝีปากหยักพรมจูบไปทั่วต้นคอและหลังใบหูของร่างเล็กจนได้ยินเสียงครางหวานดังระงมไปทั้งห้อง

และในช่วงที่ทั้งคู่กำลังจะเดินทางไปแตะฝั่งฝัน พลัฎฐ์ก็รั้งใบหน้าน่ารัก ให้หันกลับมาพร้อมกับประกบริมฝีปากลงไปบนอวัยวะเดียวกัน เขาแทรกลิ้นดูดดึง เกี่ยวพัน จนเสียงน้ำลายเฉอะแฉะดังไม่หยุดหย่อน ในขณะเดียวกันเอวหนาก็ยังคงโถมรั้งใส่ช่องทางของตะวันไม่หยุด และมีแต่จะเร่งจังหวะเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนแก่นกายของตะวันที่ตอนนี้ไม่แม้แต่จะได้รับการปลอบประโลมหรือเอาอกเอาใจจากมือใหญ่ กลับตั้งชันและแข็งขืนขึ้นมา และยังไม่ทันที่พลัฎฐ์จะได้เอื้อมมือมาช่วยรูดรั้ง ตะวันก็กระตุก หน้าท้องหดเกร็ง พร้อมกับปลดปล่อยออกมาในที่สุด

“อื้อ....”

เสียงครางของตะวันดังอึกอักอยู่ในลำคอ เพราะพลัฎฐ์ไม่ยอมปล่อยให้ริมฝีปากรสหวานเป็นอิสระ คนตัวโตกว่ายังคงตะโบมจูบ และเร่งจังหวะขยับเอวเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนตัวกระตุก และปลดปล่อยเข้าไปในช่องทางคล้อยหลังจากที่ตะวันปลดปล่อยไม่นาน

พลัฎฐ์ค่อยๆ ละริมฝีปากออกจากริมฝีปากของคนตัวเล็กกว่าช้าๆ ในขณะที่ตะวันก็แทบทรุดลงไปกองกับเตียง ถ้าไม่ได้ท่อนแขนใหญ่โตของพลัฎฐ์ประคองร่างเอาไว้

เสียงหอบหายใจของคนที่เพิ่งผ่านศึกรักมาทั้งคู่ดังคละเคล้ากันจนไม่รู้ว่าเสียงใครเป็นเสียงใคร ก่อนที่พลัฎฐ์จะค่อยๆ จับตะวันนอนตะแคงราบไปกับเตียง ทั้งที่ยังไม่ถอนแกนกายออก

ริมฝีปากหยักพรมจูบไปทั่วแก้มและใบหูของคนรักที่ตอนนี้แดงไปทั้งตัว และนอนระทดระทวยอยู่บนเตียงอย่างน่ามอง ก่อนจะอ้อนขอในสิ่งที่ทำให้ตะวันต้องตาโต

“หนู.. เมื่อกี้มันดีมากเลยครับ..” สะโพกสอบขยับเบาๆ พร้อมกับการตื่นตัวของอวัยวะบางอย่างที่ยังคงค้างอยู่ในช่องทางของตะวัน “พี่.. ขออีกรอบนะ คือว่า.. มันแข็งอีกแล้วอ่ะครับ”

ตะวันหันมองตาเหลือก และในที่จะเอ่ยห้ามก็ถูกพลัฎฐ์จูบปิดปากไปเสียก่อน “พี่... อื้อๆๆๆ”

และจากเสียงห้ามก็กลายเป็นเสียงหอบหายใจและเสียงครางหวานน่าฟังแทน

.

.

.

“เจ้าปีศาจไปให้พ้นนะ อย่ามารังแกคนอื่นแบบนี้”

ตะวันกับพลัฎฐ์ที่นั่งอยู่หน้าเวทีกำลังยิ้มภูมิอกภูมิใจกับเจ้าหนูน้อยทั้งคู่ ที่ตอนนี้กำลังวาดลวดลายแสดงละคร ต่อหน้าผู้ปกครองหลายร้อยชีวิตที่มาดูการแสดงที่ทางโรงเรียนจัดขึ้นอย่างมั่นอกมั่นใจ ทำเอาทั้งตะวันและพลัฎฐ์อดไม่ได้ที่จะหน้าบาน เมื่อได้เห็นว่าพ่อแม่ของเด็กคนอื่นๆ ชื่นชมลูกและน้องชายของตัวเองมากแค่ไหน

“ข้าไม่ไป ข้าจะจับเทวดาตนนี้ไปต้มกินให้อิ่มเลย ฮ่าๆๆๆ”

“เจ้าชายย ช่วยแองเจิ้นด้วยยย”

แล้วทั้งเจ้าปีศาจ เจ้าชาย และแองเจิ้ลตัวน้อยๆ ก็วิ่งไล่กันไปมาบนเวที ก่อนที่เจ้าอาทิตย์ดวงน้อยที่รับบทเป็นเจ้าชายจะแกล้งฟันดาบปลอมลงไปเบาๆ บนตัวเจ้าปีศาจที่แสดงโดยเด็กชายจากห้องอนุบาลหนึ่งบี แล้วเจ้าปีศาจตัวน้อยที่ช่างแสดงได้สมบทบาทตามที่ได้ซ้อมมา ก็ล้มลงนอนแผ่หลา แกล้งตายได้เหมือนจริง ก่อนที่แองเจิ้ลตัวน้อยๆ ที่รับบทโดยน้องพีจะวิ่งออกมาจากหลังก้อนหินปลอมที่เป็นที่ซ่อน

“แองเจิ้นขอบคุณเจ้าชายมากๆ”

“ไม่เป็นไรแองเจิ้น หน้าที่ช่วยเหลือทุกคนเป็นของเจ้าชายอยู่แล้ว”

“ดีๆ เจ้าชายใจดี งั้นแองเจิ้นจะเสกคาถาให้พรนะ”

ตะวันกับพลัฎฐ์มองเด็กทั้งสองที่สวมบทบาทที่ตัวเองแสดงเจื้อยแจ้วอยู่บนเวทีก็อดยิ้มกว้างไม่ได้ ท่าทางที่ได้เห็น คำพูดที่ซุ่มซ้อมมานาน ทั้งอาทิตย์และน้องพีทำได้ดีโดยไม่มีผิดเพี้ยน ซึ่งเจ้าหนูทั้งคู่ ทำให้ผู้ปกครองอย่างพวกเขาปลื้มใจไม่หยุด

“โอมมมมม ขอให้เจ้าชายมีแต่ความสุข เพี้ยงๆๆๆ”

น้องพีทำท่าเสกคาถาได้น่ารักน่าหยิก จนบรรดาผู้ปกครองที่นั่งชมอยู่พากันหัวเราะและชื่นชมเด็กน้อยด้วยความเอ็นดู

ตัวตะวันและพลัฎฐ์เองก็ไม่ได้ต่างกัน...

จวบจนถึงฉากสุดท้ายของการแสดงจบลง เจ้าหนูนักแสดงทุกคนก็วิ่งออกมาหน้าเวที พลางโค้งศีรษะและกล่าวขอบคุณบรรดาคนดูและผู้ปกครองทุกคนด้วยท่าทางน่าเอ็นดู และจากนั้นก็เป็นช่วงวลาที่ทางโรงเรียนอนุญาตให้บรรดาพ่อแม่และผู้ปกครองทั้งหลายเอาของขวัญดอกไม้ และสิ่งต่างๆ ไปมอบให้เด็กๆ ซึ่งพลัฎฐ์กับตะวันเองก็เดินไปหน้าเวทีแต่เขาทั้งคู่ไม่ได้มีของขวัญอะไรให้เจ้าหนู เพียงแต่เดินไปถึงแล้วก็อุ้มเด็กทั้งสองมากอดไว้แนบอก พร้อมกับทั้งระดมจูบแก้มทั้งอาทิตย์และน้องพีด้วยความภาคภูมิใจ

“เก่งมากเลยลูก น้องพีของปะป๊าเก่งมาก”

พลัฎฐ์กอดลูกชายไว้แน่น พร้อมกับระดมหอมแก้มเด็กน้อยด้วยความรัก ทำเอาเจ้าหนูที่ถูกหอมถึงกับหัวเราะคิกอย่างชอบใจ ในขณะที่ตะวันเองก็ไม่ได้ต่างกับพลัฎฐ์เลยแม้แต่น้อย

“อาทิตย์ของพี่ตะวันเจ๋งที่สุด!! พี่ตะวันภูมิใจในตัวอาทิตย์มาก มากๆ ที่สุดในโลกเลย”

พอว่าจบตะวันก็จูบไปที่ริมฝีปากน้องชายอย่างแสนรัก ทำเอาเจ้าอาทิตย์ดวงน้อยยิ้มกว้าง เมื่อได้รับคำชมและความรักจากคนเป็นพี่อย่างเต็มเปี่ยม

แล้วตะวันก็ต้องหันมาตามเสียงเรียกของเด็กชายข้างบ้าน ที่คนเป็นพ่อยืนอุ้มอยู่ข้างกัน

“แล้วน้องพีเก่งมั้ยคับพี่ตะวัน”

ตะวันยิ้มก่อนที่เขยิบเข้าไปยืนใกล้ๆ พลัฎฐ์แล้วยื่นใบหน้าไปหอมแก้มนิ่มๆ ของเจ้าหนูข้างบ้าน พลางเอ่ยตอบ

“เก่งครับ เก่งมากๆ เลย แองเจิ้ลตัวน้อยของพี่”

เด็กชายพีรยสถ์ยิ้มกว้าง ก่อนจะขยับกลับไปซุกอกพ่ออย่างเขินๆ ให้ตะวันต้องอมยิ้มด้วยความเอ็นดู

“ป่ะ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วกลับบ้านเรากันดีกว่า ปะป๊ากับพี่ตะวันมีของขวัญวันคริสต์มาสจะให้น้องพีกับคุณอาทิตย์ด้วยน้า”

เจ้าหนูทั้งสองตาโตทันทีที่ได้ยินว่าจะได้ของขวัญ จึงพากันร้องอู้หูอ้าหา อยากจะรีบกลับกันยกใหญ่

“เย่ๆ กลับบ้านกันคุณอาทิตย์ น้องพีหยักได้ของขวัญแย้ว”

“กลับบ้านๆ ใช่ๆ น้องพี คุณอาทิตย์ก็อยากได้”

ซึ่งท่าทางตื่นเต้นของเจ้าหนูทั้งคู่ก็ทำเอาพลัฎฐ์และตะวันอดขำออกมาด้วยความเอ็นดูไม่ได้ และก็เป็นจังหวะเดียวกับที่คุณครูที่ดูแลเรื่องการแสดงมาขออนุญาพาเด็กๆ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าพอดี พวกเขาเลยปล่อยคืนน้องพีและอาทิตย์ให้ครูดูแล จะได้รีบพากลับบ้าน พาไปดูของขวัญให้สมใจเด็กๆ ทั้งคู่

.

.

.

พอกลับมาถึงบ้านตะวันกับพลัฎฐ์ก็มอบของขวัญให้เจ้าหนูทั้งคู่เป็นเซ็ทสีไม้ สีน้ำ และสีเทียน รวมไปถึงอุปกรณ์วาดรูปครบชุดเซ็ทใหญ่ให้น้องพีกับอาทิตย์คนละชุด เอาไว้ทั้งวาดเล่น และเอาไว้ทั้งใช้เวลาเรียน ซึ่งของขวัญชิ้นนี้ดูจะถูกใจเจ้าหนูทั้งคู่ไม่น้อย โดยเฉพาะอาทิตย์ที่ชอบวาดรูปเป็นทุนอยู่แล้ว ส่วนน้องพีเองก็ตื่นเต้นไม่น้อยหน้า เอาแต่พูดว่าดีใจ เพราะจะได้ให้คุณอาทิตย์สอนวาดรูปให้เยอะๆ

และหลังจากถูกอกถูกใจกับของขวัญกันแล้ว ตะวันกับพลัฎฐ์ก็จับเด็กๆ อาบน้ำแต่งตัวใหม่ เพราะต้องไปขึ้นเครื่องบินไปเชียงใหม่ตามแพลนที่ได้วางไว้ คาดว่าน่าจะถึงสนามบินเชียงใหม่ในช่วงเย็น และคงพาเด็กๆ เข้าโรงแรมที่พัก ทานอาหารเย็นและพักผ่อนเลย เพราะผู้ใหญ่ทั้งคู่ตั้งใจกันไว้ว่าจะพาเด็กๆ ไปเที่ยวม่อนแจ่มกันตั้งแต่เช้าในวันรุ่งขึ้น

ทั้งอาทิตย์และน้องพีดูตื่นเต้นกันยกใหญ่กับการได้นั่งเครื่องบิน ซึ่งนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้นั่ง แต่เป็นครั้งแรกที่เจ้าหนูทั้งคู่ได้ไปด้วยกัน อะไรๆ ก็เลยจะดูตื่นตาตื่นใจเป็นพิเศษ และถึงแม้เครื่องจะเทกออฟแล้ว น้องพีกับอาทิตย์ก็ยังคงชี้ชวนพากันดูนั่นนี่ไม่เลิก โชคดีที่พลัฎฐ์เลือกที่นั่งที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวและนั่งสบายมากพอให้เด็กๆ ได้พูดคุยกันได้โดยไม่รบกวนคนอื่น ซึ่งเจ้าหนูทั้งคู่ก็พากันกระซิบกระซาบคิกคักไปจนถึงปลายทางที่เชียงใหม่นั่นล่ะ ถึงจะพอสงบลงบ้างได้

“ปะป๊าๆ เยาถึงประเทศเชียงใหม่แย้วหยอคับ”

น้องพีเอ่ยถามคนเป็นพ่อที่อุ้มตัวเองอยู่ขณะเดินออกจากเครื่องมายังสายพานรับกระเป๋า โดยมีตะวันที่จูงอาทิตย์เดินตามมาติดๆ

“ถึงแล้วครับลูก” พลัฎฐ์จูบแก้มลูกชายเบาๆ ด้วยความเอ็นดูที่เด็กชายยังคงฝังใจว่าเชียงใหม่เป็นประเทศอยู่ ก่อนจะแก้ไขความเข้าใจผิดให้ลูกชายเสียใหม่ “แต่เชียงใหม่ไม่ใช่ประเทศนะครับน้องพี เชียงใหม่เป็นจังหวัด น้องพีต้องพูดว่าจังหวัดเชียงใหม่ ไม่ใช่ประเทศเชียงใหม่.. ไหนน้องพีลองพูดใหม่สิครับ”

“งืมๆ จังหวัดเชียงใหม่... ถูกไหมคับปะป๊า”

เด็กชายยิ้มร่าตอนคนเป็นพ่อพยักหน้ารับ “ถูกครับ น้องพีของปะป๊าเก่งมาก”

ทั้งสี่เดินมาตามทางเดินจนถึงจุดรับกระเป๋าตรงสายพานด้านล่างของอาคาร และพอหยิบฉวยสัมภาระมาครบ สองผู้ใหญ่กับสองเด็กน้อยก็เดินออกมานอกอาคารและได้เจอกับรถที่พลัฎฐ์จองไว้กับทางโรงแรมมาจอดรอรับพอดี

เนื่องจากทั้งสี่มาถึงที่เชียงใหม่เป็นเวลาเย็นมากแล้ว และเด็กๆ เองก็ดูจะเพลียกับการเดินทางไม่น้อย พลัฎฐ์และตะวันจึงให้รถของโรงแรมตรงกลับที่พักเลยตามแพลนที่เขาได้วางไว้แต่แรก เพราะตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะเริ่มออกเดินทางไปม่อนแจ่มแต่เช้า เพราะอยากให้เด็กๆ ได้สัมผัสกับอากาศดีๆ

.

.

.

เช้าวันต่อมาทั้งสี่คนเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรมตั้งแต่หกโมงเช้า เพราะตั้งใจว่าคืนนี้จะไปพักค้างที่บ้านม่อนม่วนใกล้ๆ กับม่อนแจ่ม ด้วยรถที่พลัฎฐ์จองไว้กับทางโรงแรม และเพราะต้องขับรถขึ้นเขา และมีความซับซ้อนสูงชันของเส้นทาง พลัฎฐ์จึงขอให้ทางโรงแรมหาคาร์ซีทสำหรับเด็กมาเสริมไว้ด้วย เพื่อความปลอดภัยของทั้งอาทิตย์และน้องพี

ทั้งสี่มาถึงบ้านม่อนม่วนก็แวะเช็คอินเอาสัมภาระเก็บ และกินอาหารเช้ากันที่นั่น โชคดีที่ตอนนี้เป็นหน้าหนาว อากาศช่วงเช้าเลยยิ่งเย็นสบายแทบไม่มีแดดให้เห็นแม้จะล่วงเลยเข้าเก้าโมงแล้วก็ตาม

เด็กๆ และตะวันดูมีความสุขมากจนพลัฎฐ์แทบจะหุบยิ้มไม่ได้ เสียงเจื้อยแจ้วของเจ้าหนูยามถามถึงสิ่งๆ ต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาให้เห็น ไม่ได้ทำให้คนเป็นพ่อและเป็นพี่นึกคร้านที่จะตอบ ตรงกันข้ามมันกลับยิ่งทำให้บรรยากาศอบอวลไปด้วยความสุขและความสดใสมากขึ้นทวีคูณ จนกระทั่งเมื่อพลัฎฐ์จอดรถและจับน้องพีขี่คอ จูงมือตะวันที่อุ้มอาทิตย์ไว้ในอ้อมกอด พากันเดินขึ้นทางสูงชันก่อนที่จะถึงม่อนแจ่ม ทำเอาหอบฮักจนหายใจแทบจะไม่ทัน และความสวยงามของสถานที่แห่งนี้ก็ทำให้ตะวันและพลัฎฐ์แทบจะลืมเหนื่อยจนเป็นปลิดทิ้ง

“พี่ตะวันๆ อันนี้ต้นอะไรคับ ทำไมดอกใหญ๊ใหญ่”

“ดอกทานตะวันครับ สวยมั้ย อาทิตย์อยากดูใกล้ๆ รึป่าว”

พอจบคำถามของพี่ชาย อาทิตย์ก็พยักหน้ารับ ให้ตะวันได้อุ้มเข้าไปดูใกล้ๆ ก่อนจะพากันได้ถ่ายรูป รัวชัตเตอร์กันสมใจ ก่อนที่ผู้ใหญ่จะเริ่มเหนื่อย เลยมาหาที่นั่งพักใกล้ๆ กับจุดชมวิว โดยมีอาทิตย์กับน้องพีนั่งกินน้ำส้มที่สั่งมาจากร้านค้าในม่อนอยู่ข้างๆ

พลัฎฐ์หันไปรอบๆ ม่อนที่วันนี้คนไม่เยอะมาก อาจจะเนื่องจากยังเช้าอยู่ด้วยความอิ่มเอมใจ ก่อนจะขยับเข้าใกล้ตะวันอีกนิด แล้วเอื้อมมือไปกระชับผ้าพันคอที่เขาเป็นคนพันให้ตะวันเองเมื่อเช้าให้เข้าที่มากขึ้นเมื่อสัมผัสได้ว่าคนข้างตัวมือเย็นขึ้นน่าจะเนื่องจากอากาศที่ค่อนข้างหนาวเมื่อมาอยู่ข้างบน

“ตัวเล็กชอบที่นี่ไหมครับ”

พลัฎฐ์ถามก่อนที่วาดแขนรั้งคนรักเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด ซึ่งตะวันเองก็ไม่ได้อิดออดเนื่องจากเห็นว่าคนไม่เยอะและไม่ได้มีใครสนใจพวกเขาสักเท่าไหร่

“ชอบครับ อากาศดี คนไม่เยอะและที่สำคัญ มีพี่กับเด็กๆ อยู่ด้วย.. ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนตะวันก็ชอบทั้งนั้น”

พลัฎฐ์ยิ้มให้กับคำตอบออดอ้อนของคนรัก ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ทำตามความตั้งใจที่เขาคิดมาตั้งแต่เริ่มวางแพลนทริปนี้


... อยากจะอาศัยบรรยากาศดีๆ ช่วงเวลาดีๆ และสถานที่ดีๆ มาเป็นตัวช่วยในสิ่งที่เขาคิดไว้ว่าจะพูดกับตะวัน


“ตะวันครับ.. พี่มีเรื่องอยากจะคุยด้วย ตะวันพอจะคุยกับพี่ได้ไหมครับ”

คนตัวเล็กกว่าผละออกจากอ้อมกอดอบอุ่นทันทีเมื่อได้ยินว่าพลัฎฐ์มีเรื่องอยากจะคุย ตะวันหันหน้าเข้าหาอีกฝ่าย เมื่อมองเห็นว่าพลัฎฐ์ดูจริงจังกับหัวข้อสนทนาไม่น้อย เขานึกรู้ได้ตั้งแต่พลัฎฐ์เรียกเขาด้วยชื่อที่นานๆ จะเรียกสักครั้งถ้ามีเหตุให้ต้องจริงจัง หรือซีเรียสพอสมควร

“ครับ? พี่พลัฎฐ์มีอะไรเหรอ?”

คนตัวเล็กกว่าใจตุ๊มๆ ต่อมๆ เพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีอะไรจะพูดด้วย เขาเองก็เดาไม่ออกเพราะช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาทั้งเขาและพลัฎฐ์ต่างก็ดูมีความสุขดีตั้งแต่เริ่มคบกัน แต่พอพลัฎฐ์มาเกริ่นๆ แบบนี้ตะวันก็อดแปลกใจปนกังวลนิดๆ ไม่ได้

“คือพี่คิดมาสักระยะแล้วเรื่องที่เราผลัดกันไปมาค้างบ้านอีกฝ่าย พี่ว่าเราเลิกทำแบบนี้กันดีไหมครับ”

ตะวันอึ้งพอได้ยินพลัฎฐ์พูดออกมาแบบนั้น ตัวเขาชาวาบไปหมด เพราะการพูดแบบนี้ของพลัฎฐ์แทบไม่ได้ต่างอะไรกับการขอเว้นระยะห่างเลยสักนิด

“พี่.. พี่พลัฎฐ์หมายความว่าไงครับ?”

และพลัฎฐ์เองก็คงเห็นความผิดปกติของตะวันเลยนึกขึ้นได้เมื่อมาทบทวนคำพูดของตัวเอง จึงต้องรีบแก้จนลิ้นแทบจะพันกันให้จ้าละหวั่น

“เฮ้ย!! พี่ไม่ได้หมายความแบบนั้นนะตะวัน พี่แค่หมายความว่า เรามาทุบกำแพงบ้านเรากันดีไหม ทำให้บ้านเราเป็นรั้วเดียวกัน จะได้ไม่ต้องผลัดค้างบ้านพี่ทีบ้านตะวันที หรืออีกทีก็คือพี่หมายถึงว่า...”

พลัฎฐ์จ้องมองสบไปที่ตากลมของคนข้างหน้าที่ตอนนี้กำลังมีสีหน้าแปลกๆ เพราะอารมณ์ที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาและดูสับสนของตัวเอง ก่อนที่ตากลมจะเบิกกว้างเพราะประโยคต่อมาของพลัฏฐ์


“แต่งงานกับพี่นะตะวัน เรามาอยู่ด้วยกัน มาสร้างครอบครัวเล็กๆ ด้วยกันนะครับ”


มือใหญ่ตรงเข้ากอบกุมมือเล็กที่เย็นเฉียบยิ่งกว่าเมื่อกี้ ตะวันอ้าปากค้างเพราะตกใจไม่คิดว่าสถานการณ์จะกลับตาลปัตรจากที่คิดว่าตัวเองจะถูกบอกเลิกกลับกลายเป็นถูกขอแต่งงานแทน และในขณะที่สมองยังคงไม่ประมวลผลนั้น จู่ๆ น้องพีที่เมื่อกี้ยังนั่งกินน้ำส้มคั้นอยู่จะคลานมานั่งจุ้มปุ้กอยู่ข้างๆ พร้อมกับพูดเสียงใสราวกับเตี๊ยมมากับคนเป็นพ่อแล้วอย่างดี

“มาอยู่กับน้องพีนะคับพี่ตะวัน น้องพีสัญญาว่าจะไม่ดื้อ จะเป็นเด็กดีที่สุดในโยกให้พี่ตะวันเยย”


ส่วนอีกข้างก็ขนาบด้วยเจ้าน้องชายตัวแสบ ที่ดูท่าจะรับสินบนมาจากปะป๊าพลัฎฐ์ไม่ต่าง


“เราสองคนไปอยู่กับปะป๊าพะลัดกับน้องพีเถอะนะพี่ตะวัน อาทิตย์สัญญาเหมือนกันว่าจะเป็นเด็กดี”


ตะวันหันมองเด็กทั้งสอง แล้วสลับกับมามองใบหน้าหล่อเหลา และสายตาที่เต็มไปด้วยความรักของพลัฎฐ์อีกครั้ง ก่อนที่น้ำตาแห่งความดีใจจะไหลมาคลอหน่วยที่หางตาอย่างห้ามไม่ได้

ตะวันรู้แค่ว่าตอนนี้เขามีความสุขมากเหลือเกิน มากจนบรรยายออกมาเป็นคำพูดแทบไม่ไหว

“ตะวันครับ...”

และแน่นอนตะวันไม่ยอมให้พลัฎฐ์พูดจบประโยค คนตัวเล็กกว่าโถมตัวเข้าหาอ้อมกอดอบอุ่นที่คุ้นเคย จนพลัฎฐ์ที่ยังไม่ทันตั้งตัวแทบจะอ้าแขนรับอีกฝ่ายไว้ไม่ทัน ก่อนที่เสียงอู้อี้ของคนที่กำลังพึมพำอยู่ที่อกกว้างของเขาจะทำให้คนตัวโตยิ้มกว้าง


“แต่งครับแต่ง พี่รับตะวันกับอาทิตย์ไปอยู่กับพี่กับน้องพีด้วยนะครับ”


คนตัวเล็กกว่าสะอื้นเบาๆ พร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาด้วยความดีใจ ให้พลัฎฐ์ต้องกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น ราวกับจะแทนคำสัญญาทั้งหมดที่มี


“ครับ เราสี่คนมาอยู่ด้วยกันนะ”


พลัฎฐ์จูบย้ำๆ ลงบนขมับของคนในอ้อมกอด ก่อนที่ตะวันจะหัวเราะออกมาเบาๆ จากนั้นน้องพีกับอาทิตย์ก็โถมตัวเข้ามากอดบ้างพอเห็นว่าพี่ตะวันกับปะป๊าพลัฎฐ์ไม่ยอมผละออกจากกันเสียที

“กอดด้วยๆ อาทิตย์กอดด้วยยย”

“ใช่ๆ ยักกันๆ น้องพีก็ย๊ากก”

พลัฎฐ์กับตะวันจึงผละออกมามองหน้ากันแล้วก็อุ้มเด็กทั้งสองมานั่งตรงกลาง พลางขยับเข้ามากอดกันเป็นก้อนกลมๆ โดยมีเจ้าหนูทั้งสองอยู่ในอ้อมแขนอันอุ่นทั้งของพลัฎฐ์และตะวัน

“พี่รักตะวันนะครับ”

พลัฎฐ์จูบลงหน้าผากมนเบาๆ ก่อนที่กระซิบถ้อยคำบอกรักให้ตะวันได้รับรู้

“ตะวันก็รักพี่พลัฎฐ์ครับ”

ซึ่งตะวันเองก็ตอบรับความรู้สึกของพลัฏฐ์ด้วยประโยคเดียวกัน


ด้วยความรักจนหมดหัวใจของคนทั้งสอง โดยมีท้องฟ้า ภูเขา และเด็กชายทั้งสองคนเป็นพยาน

.
.
.

THE END

อุทิศให้กับความรักที่บริสุทธิ์ของทุกคู่รักบนโลกใบนี้

-------------------------------

LAST TALK: ขอบคุณทุกการติดตามและการสนับสนุน ขอบคุณหลายๆ คน หลายๆ คอมเม้นท์ ที่อยู่กับ #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว มาจนถึงตอนนี้ ขอบคุณมากๆ นะคะที่แวะเข้ามาอ่าน เข้ามาให้กำลังใจ หวังว่านิยายเรื่องนี้จะทำให้ทุกคนที่คลิกเข้ามามีความสุขบ้างไม่มากก็น้อยเนาะ ^^

ไว้เจอกันใหม่เรื่องหน้าค่ะ ... รักพวกคุณมากๆ ♡♡
หัวข้อ: Re: [END] The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว - อัพเดท Special CH. - 17/09/2019
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 17-09-2019 18:29:06
 :pig4: :pig4: :pig4:
 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: [END] The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว - อัพเดท Special CH. - 17/09/2019
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 18-09-2019 02:51:18
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [END] The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว - อัพเดท Special CH. - 17/09/2019
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 18-09-2019 03:24:02
 :L1: :L2: :3123:
หัวข้อ: Re: [END] The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว - อัพเดท Special CH. - 17/09/2019
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 18-09-2019 04:24:09
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [END] The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว - อัพเดท Special CH. - 17/09/2019
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 18-09-2019 07:58:25
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: [END] The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว - อัพเดท Special CH. - 17/09/2019
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 19-09-2019 23:34:39
 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: [END] The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว - อัพเดท Special CH. - 17/09/2019
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 20-09-2019 20:18:12
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ อ่านแล้วรู้สึกอบอุ่นทั้งเรื่องเลย จะรอติดตามผลงานเรื่องต่อๆไปนะคะ
หัวข้อ: Re: [END] The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว - อัพเดท Special CH. - 17/09/2019
เริ่มหัวข้อโดย: BM_CBC ที่ 25-09-2019 08:58:29
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [END] The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว - อัพเดท Special CH. - 17/09/2019
เริ่มหัวข้อโดย: songsa1234 ที่ 25-09-2019 17:28:45
น่ารักมากๆค่ะ
น้องพีน่ารักน่าหยิกมากๆ
อยากมีลูกแบบน้องพีเลย  :-[
หัวข้อ: Re: [END] The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว - อัพเดท Special CH. - 17/09/2019
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 08:55:53
 :pig4: