My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่29-30 [P.10] --- 26/08/62 ---
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่29-30 [P.10] --- 26/08/62 ---  (อ่าน 33446 ครั้ง)

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ว้าย ว้าย ท่านแอชลีย์ถึงกับน็อทนี่แปลว่าคุมตัวเองไม่อยู่ซินะ อยากให้รักกันเร็ว ๆ จัง
ตอนนี้แบบว่าเหมือนจะหวานแต่มันจะหวานมากกว่านี้ถ้าพวกเขารักกันจริง ๆ ซะที

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ Funnycoco

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 252
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
หวังว่าจะไปกันได้ด้วยดี :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ monrita

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 38
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0



บทที่ 11
[/b]




ซินเธียรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาในช่วงเช้ามืด มันไม่ใช่ช่วงเวลาตื่นนอนตอนปกติ ยังเหลืออีกราวสองสามชั่วโมงแต่ว่าเขารู้สึกไม่ค่อยสบายตัวสักเท่าไหร่ เมื่อคืนหลังเกิดเรื่องแบบนั้นก็เคลิ้มหลับไปทั้งอย่างนั้นจนมารู้สึกตัวอีกทีก็รุ่งสาง เด็กหนุ่มขยับพลิกตัวออกไปทางฝั่งหน้าต่างบานโตมองจากรอยแยกยังเห็นว่าฟ้ามืดอยู่


หลังจากวันนี้ไปซินเธียจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของวินเทอร์ฟอลโดยแท้จริง ดำเนินชีวิตในฐานะคนของตระกูลคิม เป็นโอเมก้าของแอชลีย์ คิม อัลฟ่าหนึ่งในผู้นำสี่ตระกูลใหญ่ งานวิวาห์ในดินแดนแห่งความฝันได้จบลงแล้ว ต่อไปนี้จะเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่โดยแท้จริง


จะเป็นอย่างไรกันนะ ชีวิตต่อจากนี้ไป


ด้วยการขยับตัวเมื่อครู่ส่งผลให้คนด้านหลังขยับตามไปด้วย ท่อนแขนแข็งแรงที่เคยกอดรัดเอาไว้คลายออกเล็กน้อยแล้วเลื่อนลงไปพักอยู่บริเวณท้องน้อยของคนในอ้อมกอด อากาศช่วงเช้ามืดหนาวเย็นไม่ต่างจากช่วงกลางคืนแต่ไออุ่นจากร่างกายสูงใหญ่ของคนด้านหลังกลับแผ่กระจายโอบรั้งอยู่ภายใต้ผ้านวมสร้างความอบอุ่นทั้งจากภายในและภายนอก


ซินเธียก้มลงมอง ไม่บ่อยเลยกับการลืมตาตื่นขึ้นมาก่อนใครอีกคน ซ้ำยังนอนกันอย่างแนบชิดแบบนี้ เขาพิจารณาสิ่งที่วาดพาดบนช่วงเอวไล่ลงมาจนถึงมือใหญ่ซึ่งวางแนบอยู่บนผิวหน้าท้องเปลือยเปล่าของตนเอง เหม่อมองอยู่นานปล่อยให้เวลาค่อยๆ ผ่านพ้นไปด้วยหัวใจเป็นสุข


แขนของแอชลีย์มีรอยเส้นเลือดนูนขึ้นมาเล็กน้อย เด็กหนุ่มใช้ปลายนิ้วลูบไล้ไปตามรอยนูนนั้นอย่างหลงใหล มันไม่ได้ดูน่ากลัว กลับกัน มันทำให้ชายหนุ่มดูเซ็กซี่ เป็นเสน่ห์ที่ให้กลิ่นอายของบุรุษเพศชัดเจน ยิ่งยามท่อนแขนนี้กำลังเกร็งเพื่อออกแรงทำบางสิ่งบางอย่างรอยเส้นเลือดเหล่านั้นก็ยิ่งมองเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น


มันช่าง...


จู่ๆ ซินเธียก็รู้สึกอุ่นบนสองแก้มโดยไม่ทราบสาเหตุ นึกบริภาษให้กับความคิดบ้าบอของตัวเองจนไม่ทันรู้สึกตัวเลยว่าเจ้าของท่อนแขนที่ตัวเองกำลังแอบกระทำบางอย่างอยู่อย่างสุขสำราญนั้นได้ลืมตาตื่นขึ้นมาแล้ว และดวงตาอำพันคู่นั้นก็กำลังจับจ้องตัวเองอยู่


“ทำอะไร”


เสียงทุ้มติดแหบกระซิบชิดใบหูเล่นเอาคนเหม่อสะดุ้งตัวโยนด้วยไม่คาดว่าการลักลอบลูบไล้แขนคนอื่นอยู่นั้นจะทำให้คนอื่นที่ว่ารู้สึกตัวขึ้นมา


“คือ...”


คนถูกจับได้คาหนังคาเขากลอกตาหลุกหลิกหัวสมองพยายามคิดหาถ้อยคำมาแก้ต่างชำระความ ไม่กล้าแม้แต่จะหันไปมองเจ้าของน้ำเสียงได้แต่นอนตัวเกร็งอยู่ในอ้อมแขนที่พอคนรู้สึกตัวก็รวบกระชับโอบรัดแน่นขึ้นไม่คิดปล่อยให้จำเลยหลุดรอดหนีพ้นไป


“ยังต้องการอีกหรือ”


“เปล่านะ!” คราวนี้นับว่าตระหนกของจริง ซินเธียรีบโพล่งออกมาเสียงดังทำเอาคนที่นอนซ้อนอยู่ด้านหลังส่งเสียงหัวเราะในลำคอ ดูพึงพอใจกับการได้แกล้งคนยามรุ่งสางเป็นอย่างมาก


แอชลีย์หลุบตาลงมองคนที่ให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมหันมาสบตากัน เอื้อมปัดปอยผมยาวซึ่งไหลไปกองรวมกันอยู่ด้านหน้าปิดอำพรางเนินเนื้อสีน้ำผึ้งบริเวณแผ่นอกรวมถึงช่วงลำคอระหงออกไปทางด้านหลัง พอผิวเนื้อเปลือยเปล่าไร้สิ่งบดบังก็ค่อยรู้สึกสบายตาขึ้นมาหน่อย


มองนิ่งไร้วาจาไปช่วงหนึ่งก่อนจะลูบกลุ่มผมสีแปลกตาไปตามแนวความยาวทำเอาเจ้าของเคลิ้มแทบเข้าห้วงนิทราไปอีกรอบ ชายหนุ่มจับปอยผมขึ้นมาพินิจช่อหนึ่ง ผมของซินเธียยาวมากแต่กลับนุ่มสลวยราวเส้นไหม เป็นผมเส้นเล็กแต่มีน้ำหนักดูสุขภาพดีบ่งบอกว่าเจ้าของเส้นผมเหล่านี้คงดูแลพวกมันอย่างสม่ำเสมอ ยิ่งได้สัมผัสใกล้ก็ยิ่งได้กลิ่นหอมจนอกจะยกขึ้นมาดอมดมไม่ได้


เป็นกลิ่นคล้ายดอกไม้บางชนิด กลิ่นที่เหมือกับฟีโรโมนของอีกคน


ชื่นชมจนพอใจแล้วชายหนุ่มวางผมช่อนั้นลงดังเดิมอย่างทะนุถนอมพลางกล่าวเสียงเนือย


“ฟ้ายังไม่สว่าง นอนอีกสักหน่อยเถอะ”


“อื้ม”


ทางด้านคนอ่อนกว่านึกโล่งใจที่ไม่ถูกสืบสาวเอาความ เป็นอย่างที่อีกคนว่าตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาตื่นนอนแต่เป็นเพราะการเผลอหลับปล่อยให้สติดับวูบไปทั้งที่.... เอ่อ ยังเป็นแบบนั้นกันทั้งคู่อยู่ คิดถึงตรงนี้แล้วยิ่งกระดากอาย เขาเหนื่อยมากจริงๆ นะ


การร่วมรักเมื่อคืนมันแตกต่างจากที่ผ่านมาทั้งระยะเวลาและอะไรหลายสิ่งหลายอย่าง แต่ก็ยอมรับว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่แอชลีย์ คิมเป็นดังเช่นเมื่อคืนมันดีมากจริงๆ


ดีมากเสียจนความรู้สึกข้างในมันอัดอั้นจนแทบจะทะลักออกมา สิ่งที่กำลังเติบโตอยู่ภายในใจนั้นไม่อาจฉุดรั้งได้อีกต่อไป


ได้แต่ปล่อยให้มันเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ


เด็กหนุ่มกำลังจะผล็อยหลับไปอีกรอบ นึกโล่งอกที่อีกคนไม่ได้พูดถึงเรื่องเมื่อคืนหรือการกระทำแสนอุกอาจของตนเองเมื่อครู่พลันก็ได้ยินเสียงทุ้มกระซิบส่งท้าย เป็นประโยคเต็มของคำพูดก่อนหน้านี้ที่อีกฝ่ายยังไม่ได้เอ่ยออกมาจนจบ ทั้งยังจงใจเว้นระยะเพื่อให้เขาตายใจราวกับจะแกล้งกันให้ต้องอายจนถึงขีดสุด


“เมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็กินทั้งเวลาทั้งกำลังกายไปมากแล้ว เธอควรจะพักผ่อน วันนี้ลงไปทานมื้อเช้าสายหน่อยคุณพ่อกับคุณแม่ท่านคงเข้าใจ”


เราจะขอบคุณมากหากคุณไม่ขยายความ!


เด็กหนุ่มหวีดร้องอยู่ในใจ


---


   สองสามีภรรยาหมาดๆ เดินลงมาชั้นล่างในช่วงสายของวัน แอชลีย์เป็นฝ่ายเดินนำเข้าไปยังห้องอาหารก่อน ชายหนุ่มทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งซ้ายมือถัดจากหัวโต๊ะส่วนซินเธียก็นั่งลงข้างคนตัวสูงอีกทอดหนึ่ง ตำแหน่งประธานในวันนี้ไม่ใช่อัลฟ่าหนุ่มเหมือนทุกทีแต่ถูกจับจองด้วยอัลฟ่าวัยกลางคนแผ่กลิ่นอายเคร่งขรึมน่าเกรงขาม บนใบหน้ามีความละม้ายคล้ายแอชลีย์หลายส่วน ส่วนตำแหน่งที่นั่งฝั่งขวาเป็นของอัลฟ่าหญิงผู้มีใบหน้าใจดีส่งยิ้มมาให้


คฤหาสน์คิมวันนี้ไม่ได้มีเพียงแค่เจ้าบ้านสองคนดังปกติ บนโต๊ะอาหารมีผู้ร่วมรับประทานเพิ่มขึ้นมาอีกสองซึ่งก็คือคุณพ่อคุณแม่ของแอชลีย์แลดูครึกครื้นกว่าทุกวัน เนื่องจากการเดินทางมาร่วมงานวิวาห์ของผู้เป็นลูกชาย ในวันนี้อัลฟ่าทั้งสองท่านจึงยังคงอยู่พักในคฤหาสน์คิมต่ออีกหนึ่งคืน


“เมื่อคืนนอนหลับสบายดีไหมคะ” ท่านหญิงคิมเอ่ยทักทายใบหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน และเพราะความเป็นมิตรของอีกฝ่ายจึงทำให้ซินเธียไม่รู้สึกเกร็งนักถึงเมื่อวานจะเป็นการพบกันครั้งแรกระหว่างตนเองกับพ่อแม่ของฝ่ายคู่ชีวิต


“ครับ สบายมากเลยครับ” เด็กหนุ่มส่งยิ้มแห้ง หางตาแอบเหลือบมองคนข้างกายซึ่งนั่งจิบกาแฟด้วยท่าทางสบายอารมณ์


ดี ดีมากเลยจริง!


“ดีค่ะ แม่กับพ่อทานมื้อเช้าเสร็จไปสักพักแล้วแต่ก็ยังอยากอยู่คุยกับพวกลูกๆ ก่อน” เธอยิ้มแล้วหันไปเรียกพ่อบ้านที่ยืนรอรับคำสั่งอยู่ไม่ไกล ส่วนประโยคหลังนั้นหันมาเอ่ยกับซินเธีย


“อีริคเอาอาหารขึ้นโต๊ะเลยจ้ะ”


“ครับท่านหญิง อาหารพึ่งอุ่นเสร็จเมื่อสักครู่พอดีผมจะรีบให้เด็กๆ รีบนำมาขึ้นโต๊ะ” คุณพ่อบ้านโค้งตัวแล้วรีบเดินไปจัดการตามสิ่งที่เจ้าตัวพูดไว้


“ซินเธียก็ทานเยอะๆ นะคะ ดูสิตัวเล็กนิดเดียว ไม่รู้ว่าเจ้าแอชเค้าขี้เหนียวหรืออย่างไรไม่ดูแลน้องให้ดีเลย”


ประโยคหลังไม่วายหันไปตำหนิลูกชายเพียงคนเดียวแบบไม่จริงจัง


“ปกติก็กินน้อยแบบนี้แหละครับ อาจจะยังไม่ชินกับอาหารของทางเหนือ”


“จริงเหรอลูก” เธอทำสีหน้าตกใจ “แม่ก็ลืมไปเลยค่ะสงสัยคราวหลังต้องบอกให้อีริคเตรียมอาหารพื้นเมืองของทางใต้บ้างแล้ว”


“ไม่เป็นไรเลยครับ อาหารของที่นี่ก็อร่อยมากอยู่แล้วผมกินได้”


เขาต้องรีบท้วงเพราะดูเหมือนว่าคุณแม่ของแอชลีย์ท่านจะสั่งการเรื่องนี้กับคุณพ่อบ้านจริงๆ ซินเธียไม่ใช่คนเลือกกิน จริงอยู่ว่ารสชาติของอาหารทางเหนือจะค่อนข้างจืดและติดเลี่ยนมากกว่าอาหารพื้นเมืองของบ้านเกิดอันจะเน้นการปรุงด้วยเครื่องเทศ มีรสชาติจัดกว่าหลายส่วน


เดิมก็เป็นประเภทกินน้อยอยู่แล้ว ถึงจะมีรูปร่างสูงโปร่งกว่าโอเมก้าในดินแดนอื่นแต่ก็ติดจะผอมกว่าหลายส่วน ร่างกายส่วนใหญ่เป็นกล้ามเนื้อไม่ค่อยมีส่วนเนื้อหนังมากนั่นเป็นผลมาจากวิถีชีวิตอันแตกต่างระหว่างคนทั้งสองดินแดน


ในดินแดนของซินเธียถึงแม้โอเมก้าจะค่อนข้างเก็บตัวแต่พื้นฐานชีวิตก็ยังคงใกล้เคียงกัน ออกล่าสัตว์ ต่อสู้ ในแต่ละวันมีเรื่องมากมายให้ต้องทำ ค่อนข้างแตกต่างจากวิถีชีวิตของคนทางเหนือซึ่งตั้งแต่มาอยู่วินเทอร์ฟอลชีวิตประจำวันของเด็กหนุ่มแทบไม่ได้ทำอะไรเลย เรื่องของกำลังกายยิ่งไม่ต้องพูดถึง มีสาวใช้คอยอำนวยความสะดวกในทุกเรื่อง ตื่นเช้าลงมากินข้าว จากนั้นก็อ่านหนังสือบ้างเรียนบ้าง ยามบ่ายจิบน้ำชารอมื้อเย็น นับว่าไม่ได้ทำอะไรมากนอกจากกินๆ นอนๆ ใช้ชีวิตสงบเรียบง่าย สุขสำราญเกินไปจนซินเธียรู้สึกว่าตัวเองน้ำหนักเพิ่มขึ้นจากตอนเดินทางมาวันแรกเสียด้วยซ้ำ


อาหารที่ถูกนำไปอุ่นใหม่ถูกจัดเรียงขึ้นโต๊ะทีละอย่าง แก้วกาแฟของคนข้างกายถูกเก็บไปแล้วแทนที่ด้วยน้ำเปล่า ส่วนของซินเธียเป็นน้ำเปล่ากับน้ำผลไม้ อาหารจานหลักเป็นประเภทซุปเคียงด้วยขนมปังกับซอสและสลัด สิ่งแหล่านี้เป็นมื้อเช้าที่เห็นเป็นปกติ เพียงแต่ว่าในแต่ละวันมักจะเสิร์ฟวันละสองอย่างคู่กับเครื่องดื่ม แต่วันนี้จำนวนและชนิดอาหารดูละลานตาเป็นพิเศษ ไม่ต้องเดาก็พอรู้ได้เลยว่าคงเป็นฝีมือของอัลฟ่าหญิงวัยกลางคนตรงหน้า


เธอส่งยิ้มใจดีพร้อมเชื้อเชิญให้รีบจัดการมื้อเช้าเสียที เนื่องจากตอนนี้เป็นเวลาสายมากจนเลยเวลาอาหารปกติมาแล้วขืนช้ากว่านี้คงไม่ค่อยดีต่อสุขภาพ


ในระหว่างมื้ออาหารไม่ค่อยมีเสียงพูดคุยมากนัก หากจะมีก็มีเพียงแค่น้ำเสียงนุ่มหูของสตรีเพียงหนึ่งเดียวบนโต๊ะอาหาร คุณแม่ของแอชลีย์เป็นอัลฟ่าสาวท่าทางใจดีและชอบพูดคุย เธอคอยเล่าเรื่องราวต่างๆ ตั้งแต่ชีวิตประจำวันที่ผ่านมาไปจนถึงเรื่องในวัยเด็กของผู้เป็นลูกชายเพื่อไม่ให้บรรยากาศดูน่าอึดอัดจนเกินไป เพราะอัลฟ่าสองพ่อลูกต่างคนก็ต่างตั้งหน้าตั้งตาทำกิจกรรมของตนเองด้วยท่าทางราวกับถอดแบบกันออกมาไม่ผิดเพี้ยน ใบหน้าเรียบเฉย ดูไม่แยแส นิ่งเงียบแต่มองออกว่าคอยรับฟังสิ่งที่ผู้เป็นภรรยาและมารดาเล่าทุกประโยค


เป็นภาพที่ดูอบอุ่นอย่างประหลาดจนดูเหมือนเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของครอบครัวนี้


“เจ้าแอชน่ะนะ ตอนเด็กซนมาก แถมยังเป็นเด็กขี้แกล้งมากเลยค่ะ พาไปเล่นกับบ้านไหนก็ทำลูกบ้านนั้นโยเยทุกที”


ท่านหญิงคิมชี้ไม้ชี้มือขณะเล่าวีรกรรมของลูกชายอย่างออกรส พอได้ยินแบบนั้นก็อดจะเหลือบไปมองคนข้างกายอีกครั้งไม่ได้ พิจารณาจากท่าทีเย็นชาไม่แยแสสิ่งใดแล้วเขาดูไม่ใช่คนกระตือรือร้นแบบนั้นเลยนะ แต่พอนึกถึงเรื่องเมื่อคืนก็เริ่มรู้สึกว่ามีเค้าลางมาบ้างนิดหน่อยแล้ว


“แต่พอยิ่งโตก็ยิ่งดูขรึมลงทุกวัน ส่วนหนึ่งคงเพราะโดนพ่อเขาขัดเกลาด้วยกระมัง”


   ด้วยความเป็นทายาทเพียงคนเดียวความคาดหวังในตัวลูกชายคนนี้จึงยิ่งสูงขึ้น ทางด้านบิดาเป็นคนจริงจัง การฝึกฝนเรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างเริ่มขัดเกลาให้ลูกของเธอคนนี้เติบโตขึ้นมาเป็นอัลฟ่าผู้เพียบพร้อมทว่าก็ต้องแลกกับความสดใสในวัยเยาว์ที่ค่อยๆ จางหายไป


พื้นเพเดิมก็ไม่ใช่คนชอบสังคมมากอยู่แล้วพอเป็นแบบนี้ก็ยิ่งทำให้เขาหลีกหนีจากสังคมมากขึ้น ไม่สนเพื่อนพ้องไม่เที่ยวเล่นสนุกเพราะรู้สึกเสียเวลา ตั้งใจฝึกฝนเรียนรู้การทำงานมุ่งแสวงหาความก้าวหน้าจนในความคิดมีแต่เพียงเรื่องของผลประโยชน์และการค้ำชูวงศ์ตระกูล


อันที่จริงเธอก็ไม่ได้เลี้ยงลูกด้วยความเคร่งครัดมากมายอะไร เทียบกับตระกูลใหญ่อื่นๆ แล้วเรื่องกฎระเบียบข้อบังคับแทบจะไม่มีให้ระคายใจ แต่มันคงเป็นสายเลือดที่สืบทอดจากพ่อสู่ลูกเขานั่นล่ะถึงหล่อหลอมให้แอชลีย์เติบโตมาแบบนั้น


“แม่ยังคิดกังวลอยู่เลยว่าทั้งชีวิตนี้จะมีใครมาดูแลคอยอยู่เคียงข้างลูกของแม่หรือเปล่า” เธอเอ่ยทอดอารมณ์ ในแววตาเต็มไปด้วยความห่วงใยของบุพการี


“คุณแม่ก็พูดเกินไปครับ อย่างไรเสียเมื่อถึงเวลาเหมาะสมอะไรที่สมควรมีก็ต้องมีอยู่แล้ว”


“ดูพูดเข้า ไม่ใช่ว่าจะหาใครมาก็ได้นะคะ” เธอตำหนิ แต่มือก็ช่วยตักอาหารจานโปรดของลูกชายส่งไปถึงจาน


“ใช่ว่าทุกคนจะดีเสมอไป การเลือกคู่ชีวิตเป็นเรื่องที่ต้องใช้ใจให้มากๆ เพราะคนคนนั้นจะอยู่กับลูกไปชั่วชีวิต” เธอหันมามองคนอายุน้อยสุดบนโต๊ะอาหาร เล่นเอาคนที่กำลังพยายามทำตัวเป็นอากาศก้มหน้าก้มตาจัดการมื้อสายอย่างเอาเป็นเอาตายสะดุ้งเบาๆ


“ไม่ใช่ชาติตระกูลดีแล้วจะเป็นคนที่เหมาะสมเสมอไป แต่ก็ยังดีที่ไม่ได้ไปคว้าใครก็ไม่รู้มา พอเห็นเป็นหนูซินเธียแม่ค่อยสบายใจหน่อยค่ะ” เธอระบายรอยยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่จริงใจในสายตาของซินเธีย


เด็กคนนี้ถึงจะเป็นคนต่างถิ่นต่างแดน แต่ดูปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเนื้อแท้เป็นอย่างไร ถึงจะพึ่งเจอกันครั้งแรกเมื่อคืนในงานวิวาห์ ได้พูดคุยกันไม่กี่ประโยคคนที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตมาอย่างมากมายก็ดูออกได้ทันทีว่าคู่ชีวิตของลูกชายคนนี้จะไม่ทำให้เธอผิดหวัง


ได้ยินว่าเป็นถึงเจ้าชายจากดินแดนทางใต้แต่กลับไม่มีความถือตัวอวดตน รู้จักพูดรู้จักวางตัว ดีงามทั้งรูปกายวาจา สุภาพอ่อนโยนดูก็รู้ว่าได้รับการอบรมบ่มกิริยามาอย่างดีสมกับเป็นโอเมก้าจากตระกูลชั้นสูง


ส่วนเบื้องหลังการจัดงานาวิวาห์เชื่อมสัมพันธ์ในครั้งนี้เธอเองก็รู้เป็นอย่างดี ยังนึกกังวลอยู่เลยว่ามันคงน่าเสียดายและค่อนข้างเศร้าใจ อุตส่าห์เจอลูกสะใภ้คุณสมบัติเพียบพร้อมถูกอกถูกใจแบบนี้แต่เพราะทั้งสองเริ่มความสัมพันธ์กันในรูปแบบที่ไม่ค่อยดีนักถึงได้กังวลใจแทน ยิ่งมาอยู่ต่างบ้านต่างเมืองตัวคนเดียวแบบนี้คงลำบากน่าดู แต่พอได้เห็นท่าทีที่ลูกชายของตัวเองปฏิบัติต่อคู่ชีวิตแล้วความหวังของคนเป็นพ่อเป็นเป็นแม่อย่างเธอก็เริ่มส่องประกายอีกครั้ง


คุณหญิงคิมอมยิ้มดูกรุ้มกริ่ม แววตามีประกายบางอย่างวาบออกมาในเสี้ยววินาที


“อย่างน้อยก่อนจะตายไปแม่ก็อยากจะอุ้มหลานสักครั้งนะคะ”


ประโยคนั้นเล่นเอาคนตัวเล็กแทบสำลัก ยังดีที่กลืนอาหารทันไปก่อน ฝ่ายตัวหลักในบทสนทนาก็ทำเพียงกระแอมเบาๆ ครั้งหนึ่ง สีหน้ายังคงราบเรียบหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดปากก่อนจิบน้ำเปล่าตาม


“อย่าพูดเรื่องไม่ดีแบบนั้นสิครับ” คนเป็นลูกส่ายหน้าอ่อนใจ ต่อให้จิตใจด้านชาแค่ไหนก็คงไม่มีใครอยากได้ยินคนสำคัญในชีวิตพูดเรื่องเป็นตาย “อีกอย่าง ผมยังไม่ได้คิดถึงขั้นนั้น”


“พูดอะไรอย่างนั้น ถามน้องด้วยสิน้องอาจจะอยากมีก็ได้”


“เอ่อ คุณแม่ครับ...” ซินเธียรีบปรามใบหน้าดูจืดเจื่อน อยู่ๆ ก็รู้สึกว่าบทสนทนาเริ่มกระอักกระอ่วนขึ้นมา โชคยังดีที่ได้เสียงทุ้มต่ำอันเป็นเอกลักษณ์ของประมุขใหญ่ผู้นั่งครองตำแหน่งประธานหัวโต๊ะดึงทิศทางของบทสนทนาให้เบนไปด้านอื่นอย่างแนบเนียน


“จริงสิ ได้ยินว่าจะทำการขยายเขตการค้าหรือ”


“ครับคุณพ่อ ผมกำลังจะไปเจรจาเรื่องขอเช่าท่าเรือกับทางนายท่าแลมเบิร์ต”   


“อืม นั่นเป็นตระกูลผู้ถือครองสิทธิ์การค้าทางเรือที่ใหญ่ที่สุดเลยนะ เป็นตระกูลมากอำนาจในอีสเทิร์นพอร์ต เดิมความสัมพันธ์ของเรากับทางนั้นนับว่ายังผิวเผิน หากทำให้มันมั่นคงได้จะเป็นผลดีมาก”


ซินเธียนึกโล่งอกที่บทสนทนาในตอนนี้เอนเอียงไปไกล กลายเป็นเรื่องธุรกิจที่ฟังไม่เข้าใจไปเสียแล้ว


“ครับ”


“ฮิลล์ แลมเบิร์ต จัดเป็นพวกหน้าเลือดคนหนึ่งแต่เขาเป็นประเภทถึงขูดเลือดแต่ก็ใหญ่ ยิ่งเราให้เขามากเท่าไหร่สิ่งที่เขาจะให้กลับคืนมาก็ยิ่งทวีคูณ สิ่งสำคัญเลยคือคามจริงใจ มันไม่คุ้มหากคิดละโมบตลบหลังแล้วโดนทางนั้นเอาคืน แกไปถึงก็ทำตัวดีๆ ล่ะ ทำให้เขาพอใจให้ได้”


“ผมจะจดจำไว้”แอชลีย์พยักหน้ารับบันทึกทุกคำพูดของบิดาไว้ในใจ


“แล้วจะเดินทางไปเมื่อไหร่”


“ตามกำหนดการก็เป็นบ่ายนี้ครับ”


มันค่อนข้างฉุกละหุกไปหน่อย แต่แผนงานนี้แอชลีย์วางไว้มานานแล้วก่อนหน้าจะมีเรื่องงานวิวาห์เข้ามาเสียด้วยซ้ำ พูดตามตรง ฮิลล์ แลมเบิร์ตนั้นมีนิสัยคล้ายคลึงกับแอชลีย์ไม่น้อย คิดหาแต่ผลประโยชน์ที่ดีกับตนเอง เขาสนใจเงินและใช้ชีวิตอยู่เพื่อการหามันมาให้ได้มากๆ แน่นอนว่านั่นทำให้เวลาทุกวินาทีของเขาเป็นสิ่งมีค่ายิ่งกว่าเงินทอง การจะนัดพบเพื่อเจรจาเรื่องธุรกิจกับชายคนนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายและไม่ใช่ทุกคนที่จะมีโอกาสได้พูดคุยกับเขา


นี่เป็นโอกาสที่ไม่ควรปล่อยให้หลุดมือไป ขณะเดียวกันแอชลีย์ก็ไม่สามารถดึงงานวิวาห์ให้เร็วขึ้นหรือล่าช้าไปมากกว่านี้อีกเช่นกันด้วยเหตุผลหลายประการ การเดินทางครั้งนี้จึงสร้างความลำบากใจให้แก่อัลฟ่าหนุ่มไม่น้อย


อีสเทิร์นพอร์ตเป็นเมืองท่าทางตะวันออก ระยะทางจากวินเทอร์ฟอลนับว่าไม่ไกลนัก เดินทางช่วงบ่ายไปถึงช่วงหัวค่ำ คุยงานในตอนเช้าแล้วค่อยรีบกลับมาก็ถือว่าไม่แย่มากนัก เหตุผลในการเร่งรีบเดินทางครั้งนี้ส่วนหนึ่งเพราะนึกเป็นห่วงโอเมก้าในปกครอง ซินเธียคงรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่ที่คู่ของตนเองจะหายหน้าไปต่างเมืองทันทีในเช้าหลังแต่งงาน


“นั่นมันฉุกละหุกมากเลยนะ” ท่านหญิงคิมเอยด้วยสีหน้าไม่ค่อยสบายใจแม้แต่ผู้เป็นสามีเองก็ยังขมวดคิ้วเนื่องด้วยไม่คิดว่าจะต้องรีบเดินทางหลังงานแต่งงานพึ่งจะจบลงแบบนี้ ขนาดคนนอกยังคิดได้มีหรือผู้เกี่ยวข้องเต็มประตูอย่างซินเธียจะไม่รู้สึก


เด็กหนุ่มมีท่าทางซึมลงหลังได้ยินประโยคนั้นจากอัลฟ่าคู่ชีวิต ถึงจะพอเข้าใจเหตุผลโดยไม่ต้องรอให้อีกคนเอื้อนเอ่ยออกมาแต่จากที่ฟังก็พอรู้เรื่องพอสมความว่าการเดินทางครั้งนี้สำคัญมากแค่ไหน


“เรื่องนี้มันเลี่ยงไม่ได้น่ะครับ” ทางฝั่งแอชลีย์แม้จะยังคงรักษาความสุขุมเรียบเฉยเอาไว้ได้แต่ภายในใจก็ไม่ได้รู้สึกดีเท่าไหร่เช่นกัน


“แม่ว่าเอาอย่างนี้ดีไหมคะ พาน้องไปด้วยจะได้เป็นการเปิดหูเปิดตา ไปสักหลายวันหน่อยถือเป็นการฮันนีมูนไปด้วยเลย”


“พ่อว่าแบบนั้นก็ดีนะ เดี๋ยวพวกเราจะอยู่ดูแลทางคฤหาสน์ให้เอง”


ชายหนุ่มนิ่งคิดไปครู่หนึ่งหลังได้ยินข้อเสนอของบุพการีทั้งสอง เขาหันไปมองคนข้างกายแล้วเอ่ยถามความเห็น


“อยากไปไหม”


แวบหนึ่งมองเห็นประกายในดวงตากลมคู่นั้นฉายออกมาในเสี้ยววินาที ท่าทางเซื่องซึมก่อนหน้านี้นั้นได้หายไปเรียบร้อยแล้ว ดูก็รู้ว่าดีใจที่จะได้ไปเที่ยวมากแค่ไหน


“หากจะไม่ทำให้ไปเกะกะตอนคุณทำงานเราก็อยากไป แต่ความจริงเราอรอยู่ที่บ้านก็ได้” ทว่าเด็กหนุ่มก็ยังคงเก็บอาการได้ดีเอ่ยตอบมาด้วยท่าทางเกรงใจ ซินเธียคิดอย่างที่พูดออกไปจริงๆ เพราะอีกคนไปทำงานซ้ำยังเป็นงานสำคัญเกรงว่าไปแล้วจะเป็นภาระมากกว่า


แค่อีกคนหันมาเอ่ยชวนกันก็ดีใจมากพอแล้ว


“พูดอะไรอย่างนั้น” แอชลีย์ขมวดคิ้ว ไม่ได้มองเด็กหนุ่มเป็นภาระเลยสักนิด


“นั่นสิคะ เกะกะอะไรกัน อย่าคิดมากเลยลูก วันๆ เอาแต่อุดอู้อยู่ในคฤหาสน์เหงาแย่ แม่ว่าออกไปเปิดหูเปิดตากับพี่เขาน่ะดีแล้วค่ะ”


ท่านหญิงคิมรีบสนับสนุนอย่างกระตือรือร้น แน่นอนว่าการชักจูงในครั้งนี้มีเหตุผล สองคนพึ่งแต่งงานเป็นสามีภรรยากันหมาดๆ ต้องได้ใช้เวลาร่วมกันให้มากหน่อย ยิ่งได้เปลี่ยนบรรยากาศไปอยู่ในสถานที่อากาศดีๆ มีปัจจัยส่งเสริม เผื่ออะไรที่เธอหวังจะได้เป็นจริงขึ้นมาเร็วหน่อย


ยิ่งคิดหัวอกคนเป็นแม่ก็ยิ่งเบิกบานใจ


“นี่ก็สายมากแล้ว อย่ามัวช้ากันอยู่เลยค่ะ แอชลูกรีบพาน้องไปเก็บของเร็วเข้า!”





TBC

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1725
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
เขาน้อตกันแล้ววววววววว
หวังว่าจะได้ฮันนีมูนเหมือนที่คุณแม่ตั้งใจ  :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ Funnycoco

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 252
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ฮันนีมูนแรกของการแต่งงาน :mew1: :mew1: :mew1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ theindiez

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
ซินเธียน่ารักมากเลย แอชนี่ดูเป็นผู้ชายซึนๆ นะ แต่เค้าบอกว่าผู้ชายชอบแกล้งคนที่ตัวเองชอบ เนี่ย แอชชช เทอแกล้งซินเธียบ่อยเลย 555

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
 :jul1: :jul1: น่ารักกก

ออฟไลน์ monrita

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 38
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0



บทที่ 12





 เป็นครั้งแรกกับการเดินทางไกลไปต่างเมืองหากไม่นับตอนขบวนวิวาห์เมื่อเดือนก่อน จุดหมายครั้งนี้ใช้ระยะเวลาราว 5 วันทั้งทำงานและพักผ่อนไปในตัว พวกเขาใช้เวลาเก็บของไม่นานก่อนเริ่มออกเดินทาง ด้านแอชลีย์นั้นเจ้าตัวได้จัดเตรียมมันเอาไว้ล่วงหน้าแล้วส่วนซินเธียเดิมสัมภาระที่เขานำมาก็มีไม่มาก เป็นเสื้อผ้าจำนวนไม่กี่ชุดที่หลังจากวันนี้เป็นต้นไปคงจะไม่จำเป็นต้องใช้อีกแล้วยิ่งไม่ต้องใช้เวลามากในการจัดกระเป๋า


เมื่อต้องกลายเป็นส่วนหนึ่งของแดนเหนือ นอกจากปรับตัวเรื่องอาหารการกิน ชีวิตประจำวัน เครื่องแต่งกายก็เป็นอีกสิ่งหนึ่ง มันคงดูประหลาดน่าดูหากเขาจะใส่ชุดหนังสัตว์สีโทนเข้มเดินร่อนไปร่อนมาในวินเทอร์ฟอล อีกทั้งเสื้อผ้าของธอร์นไม่เหมาะสมสำหรับดินแดนแห่งนี้ มันบางมากเกินไป


การเดินทางครั้งนี้แอชลีย์ไม่ได้ขับรถด้วยตัวเอง คนขับรถประจำตระกูลถูกเรียกใช้งานอีกครั้งในรอบหนึ่งเดือน ปกติแล้วชายหนุ่มชื่นชอบเดินทางไปไหนมาไหนด้วยตนเองมากกว่าทั้งสะดวกและเป็นส่วนตัว ยกเว้นว่าต้องเดินทางไปทำงานสำคัญที่มีระยะทางไกลไม่สามารถสูญเสียพลังงานไปกับการขับรถได้


เดินทางกันอยู่ครึ่งค่อนวันโดยไม่หยุดพัก รถยนต์คันหรูเคลื่อนเข้าสู่เขตตัวเมืองของอีสเทิร์นพอร์ตเป็นเวลาในช่วงหัวค่ำพอดิบพอดี สถานที่พักในตลอดทริปฮันนีมูนควบคู่การทำงานครั้งนี้เป็นโรงแรมมีชื่อในย่านการค้าใกล้กับท่าเรือเพื่อง่ายและสะดวกในการเดินทาง


เมื่อถึงที่พักและจัดการทุกอย่างเรียบร้อยคนทั้งสองดำเนินมื้อค่ำกันอย่างเรียบง่าย ด้วยความเป็นโรงแรมใหญ่จึงสามารถเลือกทานอาหารในรสชาติที่คุ้นเคยได้ตามสะดวก หลังจากนั้นต่างคนก็ต่างแยกย้ายเข้านอนสิ้นสุดกิจกรรมวันแรกในฐานะคู่ชีวิตลงด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง


ซินเธียลืมตาตื่นขึ้นมาในช่วงเช้าของวันถัดมาด้วยนาฬิกาปลุกธรรมชาติอย่างแสงแดดอ่อนๆ ลอดมาตามรอยแยกของผ้าม่าน เด็กหนุ่มปิดปากหาววอดพลางขยับกายเพื่อยืดกล้ามเนื้อสลัดความง่วงงุน ตั้งสติชั่วครู่ถึงค่อยหยัดกายขึ้นเดินไปรูดม่านออกจนสุดรับเอาแสงรุ่งอรุณอาบไล้ผิวกายสีน้ำผึ้งภายใต้ชุดนอนผ้าแพรตัวบาง


นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่ได้เห็นแสงแดดแบบนี้


ซินเธียเลื่อนบานประตูกระจกใสเดินออกไปนอกระเบียงเพื่อสูดรับกลิ่นอายธรรมชาติและปล่อยให้ร่างกายได้รับแสงแดดอย่างเต็มที่


ตั้งแต่มาวินเทอร์ฟอลเป็นเวลาร่วมเดือนกว่าแล้วที่เด็กหนุ่มไม่เห็นแสงแดด มีเพียงหิมะหรือบรรยากาศหนาวเย็นให้เห็นจนเริ่มชินตา แม้จะเป็นวันที่ท้องฟ้าปลอดโปร่งแต่วินเทอร์ฟอลก็ยังไม่มีแสงแดดให้ได้พบเห็น คุณพ่อบ้านกล่าวว่าอาจต้องรอให้ถึงช่วงฤดูใบไม้ผลิคงจะมีแดดให้เชยชมบ้าง


อากาศของเมืองนี้ไม่หนาวเย็นเท่าวินเทอร์ฟอลทว่าก็ไม่ร้อนเท่าธอร์น


“ไปอาบน้ำสิ เดี๋ยวจะได้ลงไปทานมื้อเช้า”


เสียงทุ้มจากคนในห้องเรียกสายตาของเด็กหนุ่มให้หันกลับไป แอชลีย์กำลังเดินออกมาจากห้องน้ำบนเรือนกายสูงใหญ่ถูกคลุมด้วยเสื้อคลุมผูกปมเชือกเอาไว้หลวมๆ เผยแผ่นอกกว้างพราวไปด้วยหยาดน้ำเกาะตามผิวกาย เจ้าตัวเดินมาหยุดบริเวณกรอบประตูมือข้างหนึ่งใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กซับเส้นผมไปมาขณะเอื้อนเอ่ยประโยคแรกของวัน


ภาพนั้นมันออกจะเกินไปหน่อย ดวงตากลมโตอดจะเลื่อนมองหยดน้ำที่ไหลลงตามแรงโน้มถ่วงจากแผ่นอกสู่หน้าท้องอุดมกล้ามเนื้อเรียงตัวสวยไม่ได้ กระทั่งผลุบหายไปในผิวเนื้อภายใต้ปมเชือกบริเวณช่วงเอว


“เป็นอะไร หน้าแดง”


“หา! ปะ เปล่า” คนถ้ำมองอ่อนหัดสะดุ้งโหยง ผิวแก้มจากเป็นเพียงริ้วจางๆ กลับยิ่งแดงเถือกเมื่อโดนทัก รีบเอ่ยตอบตะกุกตะกักจับใจความเกือบไม่ได้เรียกรอยขมวดตรงหัวคิ้วเข้มจากคนพึ่งโดนลวนลามทางสายตาโดยไม่ตั้งใจและยังไม่รู้ตัว


“ระ เราจะไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้”


ว่าไว้แค่นั้นแล้วรีบจ้ำอ้าวเข้าห้อง ผลุบหายไปในห้องน้ำ




มื้อเช้าง่ายๆ อย่างขนมปัง ชาและกาแฟถูกนำมาเสิร์ฟหลังจัดการธุระส่วนตัวยามเช้าแล้ว สองสามีภรรยาหมาดๆ เดินเข้ามารับประทานอาหารยังห้องอาหารของทางโรงแรม ทุกอย่างถูกจัดเตรียมเอาไว้ให้เลือกสรรตามใจชอบ เต็มไปด้วยอาหารนานาชนิด แบ่งประเภทออกไปตามรสชาติท้องถิ่นของแต่ละเมือง รอบบริเวณมีพนักงานคอยอยู่รับรองตามจุดต่างๆ แต่ก็ยังให้บรรยากาศที่ดูเป็นส่วนตัวไม่รู้สึกอึดอัด


“ทำงานเสร็จแล้วจะพาไปดูรอบๆ เมืองก็แล้วกัน”


อัลฟ่าหนุ่มกล่าวขณะยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ ใบหน้าแสดงความพึงพอใจกับกลิ่นหอมจากเมล็ดกาแฟคุณภาพดี


ทางด้านคนฟังหลังได้ยินดังนั้นก็ตาโตไม่น้อย ในใจนึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ตั้งแต่เมื่อวานที่เดินทางมาถึงแล้วคนที่เอาแต่ใช้ชีวิตอยู่บนหลังม้า ออกล่าในทุ่งกว้างพอได้ออกเดินทางมาเยือนต่างเมืองต่างถิ่นแบบนี้ล้วนต้องอดจะตื่นตาตื่นใจไม่ได้


เมืองนี้ค่อนข้างแตกต่างจากวินเทอร์ฟอล ทั้งสภาพแวดล้อม อากาศ หรือแม้กระทั่งวิถีชีวิต การตกแต่งของตัวโรงแรมหรือบ้านเมืองล้วนแสดงถึงเอกลักษณ์ประจำท้องถิ่น ให้ความรู้สึกแปลกใหม่ ทว่าถึงจะตื่นเต้นมากแค่ไหนเด็กหนุ่มก็ยังคงเก็บอาการรักษากิริยาท่าทีเอาไว้ได้เป็นอย่างดีตามสิ่งที่ได้รับการขัดเกลามาตั้งแต่เยาว์วัย


“ต่อจากนี้เราต้องไปที่ไหนหรือครับ”


ซินเธียเอ่ยถามถึงจุดหมายแรกของวัน เขาตามมาโดยไม่รู้รายละเอียดอะไรมาก รู้แค่ว่าต้องมาเจรจาธุรกิจกับคู่ค้าคนสำคัญ ทางด้านคุณแม่ก็บอกให้ถือว่าการเดินทางครั้งนี้เป็นการฮันนีมูนไปในตัวด้วย



ชีวิตคู่

ฮันนีมูน

กับแอชลีย์ คิม อย่างนั้นหรือ จะเป็นอย่างไรกันนะ


“ท่าเรือนาวีเจี้ยน” คนตัวสูงว่า “เราจะไปพบฮิลล์ที่นั่น”


อีสเทิร์นพอร์ตคือเมืองท่าทางด้านตะวันออก มีภูมิศาสตร์ติดกับทะเลกว้างใหญ่ อาชีพหลักของคนท้องถิ่นคือการค้าขายโดยเน้นไปที่การค้าทางเรือ เมืองท่าแห่งนี้ในแต่ละวันจะมีเรือสินค้าจากต่างแดนมากมายเข้ามาเพื่อแลกเปลี่ยนสินค้าและเงินทอง มันจึงเต็มไปด้วยกลุ่มคนหลากหลายซึ่งเดินทางมาจากดินแดนอีกฟากหนึ่งของผืนสมุทร


ผังเมืองของที่นี่ค่อนข้างแปลกตา บ้านเรือนต่างเป็นตึกโทนสีอิฐอ่อนบ้างเข้มบ้างเรียงรายคละเคล้ากันไปอย่างเป็นระเบียบ ตรงกลางเป็นถนนสองเลน ฝั่งขวาเป็นตึกรามบ้านช่อง ฝั่งซ้ายเป็นคูน้ำทอดยาวไปจนสุดสายมีทางเท้าสำหรับสัญจรคึกคักไปด้วยผู้คนทั้งคนท้องถิ่นและพ่อค้าต่างสวมใส่อาภรณ์ด้วยผ้าเนื้อบางเน้นความคล่องตัวเหมาะสมต่อสภาพอากาศแบบร้อนชื้น


เมืองท่าแห่งนี้มีฝนตกบ้างเป็นบางครั้ง แต่ในฤดูหนาวอุณหภูมิไม่ได้ต่ำเท่าวินเทอร์ฟอล


ซินเธียรู้สึกสดชื่นกับความคึกคักของเหล่าผู้คนในเมืองนี้เป็นอย่างมาก ทั้งแสงแดด เสียงพูดคุยจอแจตลอดทาง เขาแอบเห็นคนตั้งแผงเครื่องเทศหลากหลายชนิดอยู่ข้างทางด้วย หมายมั่นปั้นมือเอาไว้ว่าก่อนกลับจะต้องได้แวะเวียนนำติดมือไปด้วยสักอย่างสองอย่าง


จากตัวเมืองเดินทางไปถึงท่าเรือนาวีเจี้ยนใช้เวลาไม่นานนัก แหล่งที่อยู่อาศัยเริ่มบางตาลงมองเห็นแต่เพียงผืนทะเลสีครามกว้างสุดลูกหูลูกตา ยามเปิดประตูออกมาจากรถสายลมโชยเอากลิ่นอายของทะเลพัดมาปะทะจมูก


แอชลีย์เล่าว่านาวีเจี้ยนแห่งนี้มีตระกูลอัลฟ่าเก่าแก่ตระกูลหนึ่งคอยควบคุมดูแลอยู่ นั่นก็คือตระกูลแลมเบิร์ต พวกเขามีอำนาจมากอีกทั้งยังสืบทอดสายเลือดกันด้วยเหล่าอัลฟ่าโดยแท้ ไม่มีสายเลือดอื่นใดปน


นับเป็นเจ้าของท่ารายใหญ่ ถือสิทธิ์ครอบครองจนแทบจะเรียกว่าผูกขาดการค้าทางเรือ นอกจากนี้ยังมีท่าเรือเล็กท่าเรือน้อยอยู่ในการควบคุมดูแลอีกไม่น้อย อำนาจล้นมือจนแม้แต่แอชลีย์ยังต้องเกรงใจ


ผู้นำคนปัจจุบันคือ ฮิลล์ แลมเบิร์ต อัลฟ่าในรุ่นเดียวกับแอชลีย์แต่เรื่องกิตติศัพท์นั้นนับว่าทิ้งห่างกันไปจนแทบไม่เห็นฝุ่น ทั้งหน้าเลือด หยิ่งผยอง ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา แต่ในมุมมองของความเป็นผู้นำแล้วฮิลล์นับว่าเป็นผู้นำตระกูลอายุน้อยแต่เขาสามารถพัฒนานาวีเจี้ยนให้พุ่งทะยานเกินเป้าหมาย ขยายเขตการค้าออกไปอย่างมากมาย ใช้เวลาเพียง 5 ปี ก็สามารถทำให้ตระกูลแลมเบิร์ตเกือบจะผูกขาดการค้าทางเรือในอีสเทิร์นพอร์ตเอาไว้แล้ว


และเพราะเหตุนั้นในวงธุรกิจหากใครสามารถทำการค้ากับแลมเบิร์ตได้ก็จะสามารถทำกำไรได้อย่างมหาศาล ถึงแม้ค่าเช่าท่าเรือจะแพงมากจนแทบเรียกได้ว่าขูดเนื้อแต่ผลตอบรับนั้นย่อมต้องดีแน่นอน


แน่นอน ใช่ว่าใครก็สามารถทำการค้ากับอัลฟ่าคนนี้ได้ มันไม่ง่ายเหมือนสิ่งที่วาดภาพฝันเอาไว้เลย คนผู้นี้มีความเป็นตัวเองค่อนข้างสูง เขาจะทำแค่สิ่งที่เขาพอใจ คบหากับคนที่เขารู้สึกว่าน่าคบหา


ซึ่งคนที่จะทำให้ฮิลล์สนใจได้จะต้องเป็นบุคคลที่ประเมินแล้วว่าสามารถสร้างผลประโยชน์ร่วมกันได้ในระดับเกินจุดคุ้มทุน


และข้อเสนอของทางตระกูลคิมนับว่าน่าสนใจไม่น้อย การนัดหมายสำคัญนี้จึงเกิดขึ้นด้วยความยินดีจากคนทั้งสองฝ่าย


“อรุณสวัสดิ์ครับ ท่านชายคิม ผมยินดีอย่างยิ่งที่จะได้พบคุณวันนี้”


อัลฟ่ารูปร่างสูงใหญ่ใกล้เคียงกันกล่าวทักทายอย่างยินดีขณะเชิญอาคันตุกะทั้งสองเข้ามานั่งในห้องรับรอง ใบหน้าแต้มไปด้วยรอยยิ้มกว้างที่ใครๆ ก็ต่างขนานนามว่านั่นเป็นรอยยิ้มของปีศาจ


“สวัสดีครับ” แอชลีย์ยื่นมือไปจับทักทายตามมารยาท “ส่วนนี่คือซินเธีย วาเลนเธียเขาเป็นคู่ของผม”


“โอ้ ยินดีที่ได้พบคุณ” แววตาของชายหนุ่มส่องประกายเพียงชั่ววินาทีในตอนที่หันไปมองโอเมก้าเจ้าของเรือนกายสีน้ำผึ้ง


ทางด้านผู้มาเยือนกระแอมครั้งหนึ่งเหลือบสายตามองต่ำก่อนจะเป็นฝ่ายทรุดตัวนั่งลงบนโซฟาโดยไม่ต้องรอให้เจ้าของสถานที่อนุญาตเมื่อสังเกตเห็นว่าฝ่ายนั้นทำท่าจะยื่นมือมาขอจับทักทายใครอีกคน


ฮิลล์หัวเราะเบาๆ ไม่นึกถือสา ยกมือข้างหนึ่งปลดกระดุมสองเม็ดแรกบนเชิ้ตสีดำด้วยท่วงท่าหย่อนอารมณ์ ชายหนุ่มเป็นอัลฟ่าที่ยังไม่แต่งงานและยังไม่คิดวางแผนจะจับคู่กับใครในช่วงเวลาอันใกล้นี้ เนื่องจากยังมีเป้าหมายอีกมากมายรอดำเนินการ


“วันนี้พวกเราจะไม่พูดอ้อมค้อมก็แล้วกัน  ได้ยินว่าไม่นานมานี้ทางตระกูลคิมพึ่งได้กรรมสิทธิ์เหมืองแร่บริสุทธิ์จากทางใต้มาไว้ในครอบครอง ผมพูดถูกไหม”


ชั่ววินาทีหนึ่งตอนเอ่ยประโยคหลังฮิลล์ปรายสายตาไปยังโอเมก้าที่นั่งอย่างสงบอยู่ข้างกายคู่ชีวิต


ใบหน้าเรียบเฉย แผ่นหลังยืดตรงรับฟังแต่ไม่แสดงท่าทีอยากรู้อยากเห็น ทุกท่วงท่าเต็มไปด้วยความสง่างามสมคำเล่าลือ


“ตามที่คุณได้ยินมา” แอชลีย์ยังคงท่าทีสงบ ได้ยินคำตอบนั้นทำเอานายท่าแลมเบิร์ตถึงกับตาวาว


เหมืองที่ว่าตั้งอยู่บริเวณดินแดนทางใต้ มันก็เหมือนสมบัติล้ำค่าที่ยังไม่ถูกค้นพบซุกซ่อนเอาไว้ลึกสุดขั้วต่อให้มีลายแทงอยู่ในมือก็ยังยากจะค้นหาได้ ตัวเหมืองมีขนาดใหญ่อุดมไปด้วยเหล่าอัญมณีมากมายโดยเฉพาะเพชรบริสุทธิ์ มูลค่าของมันมิอาจประเมินได้


เชื่อว่าเมื่อได้พวกมันไว้ในครอบครองตระกูลคิมคงจะนอนบนกองเงินกองทองไปอีกไม่รู้กี่ร้อยปี พื้นที่บริเวณนั้นอุดมสมบูรณ์มาก แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฮิลล์สนใจ ไม่ได้คิดจะไปแก่งแย่งสมบัติของผู้อื่น สิ่งที่อัลฟ่าหนุ่มสนใจคือส่วนแบ่งเล็กๆ น้อยๆ อย่างการรับซื้ออัญมณีในราคาต่ำกว่าตลาดต่างหาก


เพชรพลอยพวกนั้นเมื่อนำมาเจียระไน รู้จักแปรรูปให้ดีมูลค่าย่อมพุ่งทะยาน ราคาขายต่อของพวกมันต่างหากที่น่าสนใจ ไม่ต้องเดาเลยว่าเขาจะกอบโกยกำไรได้มากแค่ไหนจากการแทะเล็มผลประโยชน์เหล่านี้


“ส่วนเรื่องภาษีน่ะเราตกลงกันได้จริงไหม”


ชายหนุ่มเอนกายพิงพนัก ใบหน้ายังคงประดับไปด้วยรอยยิ้มของปีศาจแสดงท่าทางหย่อนอารมณ์อย่างถึงที่สุดหลังเลื่อนแฟ้มสัญญาและข้อตกลงในการขอเช่าท่าเรือไปให้คู่ค้าตรงหน้า


“อ้อ แล้วก็ขอแนะนำ แอนนา” ผายมือไปทางหญิงสาวผู้มาใหม่ซึ่งกำลังยกกาแฟเข้ามาเสิร์ฟ


“เธอเป็นผู้ช่วยของผมเอง ทำงานเยี่ยมมากเลยล่ะ”


“สวัสดีค่ะ”


หญิงสาวเอ่ยพร้อมรอยยิ้มขณะโน้มตัววางแก้วกาแฟให้แขกทั้งสอง เมื่อยืดตัวขึ้นเต็มความสูงถึงได้พึ่งสังเกตรูปร่างสูงเพรียวในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงเข้ารูปให้ความรู้สึกทะมัดทะแมง มีดวงตาสีฟ้าและเส้นผมสีบลอนด์ตามแบบฉบับประชากรส่วนใหญ่ มองแค่ปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นอัลฟ่า


“คงจะเป็นจริงอย่างที่คนเขาว่า ตระกูลแลมเบิร์ตเป็นอัลฟ่าสายเลือดบริสุทธิ์ ขนาดคนข้างกายก็ยังเป็นอัลฟ่า”


แอชลีย์กล่าวขณะเลื่อนสายอ่านรายละเอียดสัญญาในแฟ้ม คำพูดนั้นออกไปทางแฝงแนวจิกกัด แต่คนฟังกลับไม่มีท่าทีโกรธเคืองแม้แต่น้อย ซ้ำยังหัวเราะชอบใจ ไหวไหล่ยอมรับความจริงอย่างภาคภูมิ


ก็ในเมื่อสิ่งที่อาคันตุกะจากแดนเหนือผู้นี้กล่าวออกมาไม่มีตรงไหนผิดเพี้ยนเลยแม้แต่ครึ่งคำ เป็นจริงว่าคนของฮิลล์ทุกคนล้วนคัดสรรมาแต่อัลฟ่า มีทั้งสมองอันชาญฉลาดและพละกำลังที่มากกว่าคนปกติทั่วไป


ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมผู้ชายคนนี้ถึงสามารถก้าวขึ้นไปอยู่จุดสูงสุดได้ภายในเวลาไม่กี่ปี และคงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งว่าทำไมตระกูลแลมเบิร์ตถึงได้มีทั้งอำนาจและเงินทองอยู่เต็มสองกำมือ


ในสัญญาระบุการเช่าท่าเรือเป็นเวลา 8 ปี ซึ่งตามปกติแล้วการกำหนดเวลามักจะอยู่ในช่วงราวๆ 5 - 10 ปีอยู่แล้วแทนการทำสัญญาถาวรหรือในระยะยาวอันเสี่ยงจะนำปัญหายุ่งยากตามมาในอนาคต เมื่อถึงเวลาทั้งสองฝ่ายค่อยกลับมาคุยกันว่าสนใจจะทำธุรกิจกันต่อหรือไม่ นับว่าแนวคิดนี้ของฮิลล์ค่อนข้างดี


ส่วนค่าเช่าแทบไม่ต้องพูดถึง ราคาสมน้ำสมเนื้อกับฉายาปีศาจหน้าเลือด หากเป็นคนอื่นคงต้องใช้เวลาพิจารณาข้อเสนอที่ขูดเลือดเนื้อกันแบบนี้พอสมควร แอชลีย์อ่านทุกตัวอักษรอย่างละเอียดสมองก็ประมวลผลรวดเร็ววิเคราะห์ผลได้ผลเสีย สัญญาฉบับนี้ข้อเสียเปรียบเดียวคงจะเป็นราคาเช่าที่สูงลิบลิ่ว ทางด้านภาษีเรือสินค้าก็หนักหนาเอาการแต่เรื่องนั้นอีกฝ่ายบอกว่ายังคุยกันได้ก็พอรับได้ไม่มีอะไรเสียหาย นอกจากนั้นยังขอซื้ออัญมณีจากตระกูลคิมในราคาต่ำกว่าตลาดเกือบสองเท่าเรียกว่าฝ่ายนั้นได้เปรียบไปเต็มๆ


ก็พูดไปอย่างนั้น อันที่จริงก็ตัดสินใจมาตั้งแต่บ้านแล้ว เรื่องเงินน่ะไม่ใช่ปัญหาสักนิดในเมื่อผลตอบแทนหลังจากนี้ที่ทางเขาจะได้รับมันก็มากมายพอกัน


ขอแค่ได้ประโยชน์พึงพอใจกันทั้งสองฝ่ายเรื่องอื่นก็ไม่ต้องพูดมากแล้ว


ชายหนุ่มปิดแฟ้มพร้อมเลื่อนมันส่งคืนแก่เจ้าของ ทางนั้นเองก็อ่านสัญญาจากทางฝ่ายตระกูลคิมจบพอดี


“เป็นอย่างไรครับ”


“เราอาจต้องตกลงกันเรื่องภาษีอีกสักครั้ง”


“ไม่มีปัญหา” เอ่ยพร้อมยิ้มอารมณ์ดี ไม่ต้องพูดให้เปลืองน้ำลายดูจากท่าทีกับสีหน้าของฝ่ายนั้นแล้วก็รู้ได้ทันทีว่าต่างฝ่ายก็ต่างพึงพอใจในสัญญา


“บอกตามตรงว่าผมถูกชะตากับคุณมาก” เขาชอบคนที่พูดจากันง่ายๆ “แต่ถึงจะชอบมากก็ไม่มีลดค่าเช่าให้นะ เรือผมเป็นเรืออย่างดีให้ไปเลยสองลำฟรีๆ กับจุดจอดรับส่งสินค้าที่ดีที่สุด”


แน่นอนราคามันถึงได้สูงขนาดนี้ยังไงล่ะ


“ผมไม่เกี่ยง”


“คุยกันง่ายๆ แบบนี้สิถึงน่าคบหา” คราวนี้รอยยิ้มของอัลฟ่าหนุ่มเปลี่ยนไปเป็นแบบที่ว่าเขาพึงพอใจในความสัมพันธ์ครั้งนี้จริงๆ


เหมือนอย่างที่คุณพ่อพูดไว้ คนคนนี้ถึงจะหน้าเลือดแต่ก็ใจใหญ่ หากทำให้เขาพอใจสิ่งที่จะได้รับกลับมามันจะพิเศษสุดๆ ไปเลยล่ะ เพราะหลายคนกลัวตัวเองจะเสียประโยชน์ ไม่กล้าเสี่ยงลงทุนในราคาสูงถึงได้พลาดโอกาสทองแบบนี้ไปอย่างไรล่ะ


ยอมเสียมากในวันนี้หน่อยจะเป็นไรไป


“ว่าแต่ ท่านชายท่านนี้ผมเห็นคุณจิบกาแฟไปอึกเดียว ไม่อร่อยหรือครับ” ฝ่ายคนที่นั่งทำตัวเป็นอากาศมานานค่อยตื่นจากภวังค์ยามได้ยินเสียงทัก ก่อนหน้านี้ก็มัวฟังคู่ค้าทั้งสองคุยกันเสียเพลินรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ส่วนกาแฟเขาจิบชิมไปเพียงนิดเดียวเนื่องด้วยกลัวจะเสียน้ำใจ คนอุตส่าห์นำมาบริการจะปล่อยทิ้งไว้ก็กระไรอยู่ทั้งที่ตัวเองไม่ชอบรสชาติของเครื่องดื่มชนิดนี้เสียเท่าไหร่


จะให้พูดก็คือสมัยยังอยู่ในธอร์นพวกเขาไม่นิยมดื่มอะไรแบบนี้กัน สุราหมักนับเป็นเครื่องดื่มหลักรองลงมาจากน้ำเปล่า ตอนอยู่คฤหาสน์คิมเคยลองจิบไปครั้งหนึ่งรสขมปร่าแล่นไปทั่วลิ้นไม่น่าอภิรมย์เอาเสียเลย


“ภรรยาของผมเขาไม่ชอบดื่ม” ขณะกำลังอึกอักไม่รู้จะเรียบเรียงคำพูดอย่างไรไม่ให้เสียน้ำใจทั้งคนฟังและคนชง คนข้างกายก็เป็นฝ่ายช่วยตอบแทนไปเสียแล้วแถมยังเป็นคำตอบที่ตรงแสนจะตรง ซินเธียถึงได้แต่ส่งรอยยิ้มจืดเจื่อนกลับไปให้ทางนั้นแทน


“โอ้ ผมไม่ทราบมาก่อนต้องขออภัย คราวหลังจะให้แอนนาจัดเครื่องดื่มชนิดอื่นให้แทนนะครับ รับเป็นอะไรดี ชาดีไหม ผมได้ยินว่าคนทางเหนือชอบจิบชาเป็นกิจวัต”


“อย่างนั้นก็ได้ครับ” ซินเธียเลือกจะกลืนคำว่าตนมาจากดินแดนทางใต้ลงคอไป อย่างไรเสียตลอดเวลาเดือนกว่าๆ ในวินเทอร์ฟอลเขาก็เริ่มชินกับวิถีชีวิตเอ้อระเหยของคนดินแดนนี้แล้วล่ะ


“ผมอยากจะดูรอบๆ ท่าเรือของคุณสักหน่อย” แอชลีย์เอ่ยแทรก


“ย่อมได้” ฮิลล์ไหวไหล่ หยัดตัวขึ้นเต็มความสูง “ผมจะพาคุณชมความยิ่งใหญ่ของนาวีเจี้ยนสักหนึ่งรอบแล้วเราค่อยมาคุยเรื่องสัญญากันต่อ”


คนทั้งสี่เดินออกมาจากอาคารสำนักงานใหญ่ ฮิลล์ทำหน้าที่อธิบายรายละเอียดของสถานที่ไปตลอดทางด้วยตัวเอง ในส่วนของท่าเรือมีคนงานมากมายกำลังขนสินค้าหลากหลายชนิดขึ้นเรือขนส่งขนาดใหญ่


ซินเธียกวาดตามองรอบกายอย่างตื่นตาตื่นใจ ตลอดแนวชายฝั่งมีเรือลำมหึมาจอดเทียบท่าเรียงราย ด้านล่างเรือบนฝั่งเป็นจุดตรวจคัดสินค้าครั้งสุดท้าย เขามองเห็นเหล่ามนุษย์งานอัลฟ่าจำนวนมากแบกสินค้ามาวางเรียงรายเตรียมขนย้ายขึ้นเรือ มีทั้งเครื่องใช้ ของประดับจำพวกโถ แจกันหายาก เครื่องเทศ แม้แต่สัตว์ตัวเป็นๆ ก็ยังมีให้ได้พบเห็น


จากการนั่งฟังก่อนหน้านี้ ซินเธียพึ่งทราบว่าตระกูลคิมทำธุรกิจเกี่ยวกับเหมืองแร่ ส่งออกอัญมณีที่ยังไม่ผ่านการแปรรูปหรือเจียระไน ที่ผ่านมาเป็นการขายสู่ตลาดภายในหรือฝากขายไปกับเรือสินค้า ส่วนตอนนี้กำลังจะขยายขอบเขต ทำการส่งออกด้วยตนเอง อีกทั้งยังวางแผนจะเริ่มเจียระไนอัญมณีเองอีกด้วย


พอช่วงสายแดดเริ่มแรงขึ้น ซินเธียยกมือขึ้นบังดวงตาขณะเดินตามอัลฟ่าทั้งสองสำรวจท่าเรือเนื่องจากเริ่มสู้แสงไม่ค่อยไหว พอร่างกายมันเจอแต่อากาศหนาวเย็นมาตลอดจนเริ่มชินวันนี้โดนแดดเข้าหน่อยเลยรู้สึกมึนอยู่ไม่น้อย อีกทั้งกลิ่นเกลือจากทะเลโชยมาตามลมให้ความรู้สึกเหนียวตัว เดินเอียงไปเอียงมาจนเกือบจะชนคนงานแถวนั้นเข้าเสียแล้ว


ทางด้านคนที่พอเป็นเรื่องงานสมาธิก็จดจ่อแน่วแน่ ชั่วขณะหนึ่งพอหันมาเจอคนตัวเล็กก็เปลี่ยนไปพูดอะไรบางอย่างกับผู้ช่วยแอนนาสองสามคำก่อนเธอจะรับคำแล้วหายไปทางอาคารสำนักงาน


ตอนแรกเด็กหนุ่มไม่ได้สนใจกระทั่งเธอเดินกลับมาพร้อมหมวกสานในมือ แอชลีย์กล่าวคำขอบคุณเสียงเบาแล้วรับมันนำมาสวมให้กับคนตัวบาง ปีกหมวกกว้างจนสามารถบดบังแสงได้เกือบทั้งหมดค่อยรู้สึกสบายตาขึ้นมาหน่อย


“เดินระวังด้วยสิ” ดูเหมือนการเอ่ยตักเตือนจะยังไม่พอถึงได้ดึงภรรยาตัวน้อยเข้าไปใกล้จนสามารถโอบไหล่ได้ถนัดบังคับให้คนไม่ระวังเดินเคียงกันไป


ฮิลล์หยุดอธิบายคุณสมบัติของเรือรุ่นท็อปในคลังหันมาออกปากแซวคู่ข้าวใหม่ปลามันอย่างสนุกปากแทน


“ไม่น่าเชื่อว่าคนอย่างท่านแอชลีย์ คิมจะดูแลเอาใจใส่คู่ชีวิตได้ดีขนาดนี้ ผมนับถือคุณมากจริงๆ”


คนที่ตกเป็นประเด็นมีหรือจะสนใจยังคงตีหน้าตาย แผ่รังสีเคร่งขรึมไม่หยุดหย่อนขณะเดินโอบคู่ชีวิตในอ้อมแขนพากันเดินไปยังจุดถัดไป เลือกเมินคำเย้าแหย่แทรกด้วยคำถามเกี่ยวกับการขนส่ง จริงจังเสียจนดูขัดกับท่าทางที่แสดงออกมาในขณะนี้เสียจริง


ฮิลล์หัวเราะชอบใจ ก่อนจะรีบเดินตามไปอธิบายทุกประเด็นที่คู่ค้าคนสำคัญซักถามอย่างไม่มีปิดบัง



TBC

ออฟไลน์ Funnycoco

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 252
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
รอตอนต่อไปจ้า o13

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1725
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
หวงเหรอออ  :hao3:

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ theindiez

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
แอชโคตรซึนอ่ะ 555

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ห่วงละซิ

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
ยังไงๆน้องซินเธียก็อยู่กับแดด ขี่ม้า ล่าสัตว์มาเกือบทั้งชีวิต เจอแดดแล้วรู้สึกจะไม่ไหวแบบนี้เพราะกำลังท้องกำลังไส้อยู่หรือเปล่าน้า..  :m17:

 :pig4:

ออฟไลน์ Chakaimook

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 21
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
โอยยย อิชั้นชอบความซึนของพระเอก เขินนนน  :z3:  :ling1:  :o8:

ออฟไลน์ monrita

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 38
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0


บทที่ 13





เมื่อวานหลังตกลงทำสัญญากันทั้งสองฝ่ายผ่านไปอย่างราบรื่น แอชลีย์รั้งอยู่คุยเรื่องการขยายเขตการค้า ศึกษาจากประสบการณ์ของนายท่าแลมเบิร์ตจนใกล้ค่ำทางฝั่งนั้นเองเรื่องไหนพูดได้ก็พูดไปหมดไม่มีปิดบัง ไม่นึกหวงความรู้อยู่แล้วด้วยทราบดีว่าคนอย่างแอชลีย์คิมเองก็มีแนวทางของตัวเอง


คนสองคนที่มีความสนใจในเรื่องเดียวกันแลกเปลี่ยนประสบการณ์จนหลงลืมเวลา จบหนึ่งวันลงด้วยเรื่องงานอย่างเต็มคราบ


พอกลับห้องพักมาก็คิดว่าคงจะใช้เวลาพักผ่อน มันเป็นจริงดังคาดทว่าการพักผ่อนของท่านแอชลีย์ออกจะกินแรงคนอื่นไปเสียหน่อย ซินเธียไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมอีกคนถึงได้ชอบมาวนเวียนอยู่ใกล้ๆ ลำคอตนนัก สังเกตมาหลายครั้งจากการร่วมรักกันลำคอของเด็กหนุ่มเป็นส่วนที่อีกคนชอบมากที่สุด ซุกไซ้ งับเบาๆ เหมือนลูกสุนัขคันฟัน


ครั้งนี้ก็ไม่ยกเว้น


จากหยอกเย้าก็กลายเป็นจริงจัง โรมรันพันตูกันอยู่ค่อนคืนสาแก่ใจคนตัวโตแล้วถึงได้ปล่อยให้ภรรยาตัวบางได้พักผ่อนบ้าง


เช้าวันที่สองในอีสเทิร์นพอร์ตดูเหมือนอุณหภูมิจะอุ่นกว่าเมื่อวาน แผนการวันนี้ถูกจัดเตรียมโดยนายท่าแลมเบิร์ตแห่งนาวีเจี้ยน หลังพูดคุยกันจนถูกอกถูกคออัลฟ่าหนุ่มอาสาเป็นเจ้าบ้านที่ดีพาเยี่ยมชมรอบตัวเมืองด้วยตนเองและขอจบวันด้วยดินเนอร์หรูจากคฤหาสน์แลนเบิร์ต ถือเป็นงานเลี้ยงต้อนรับเล็กๆ ให้กับอาคันตุกะทั้งสอง


กำหนดการวันนี้ไม่ได้รีบเร่งเท่าเรื่องงานเหมือนเมื่อวาน ฝ่ายเจ้าบ้านอยากให้คู่แต่งงานใหม่ใช้ช่วงเวลายามเช้าด้วยกันอย่างเต็มที่ ตอนชายหนุ่มกล่าวประโยคนั้นพร้อมขยิบตาซินเธียยังไม่เข้าใจ แต่จากเหตุการณ์เมื่อคืนถึงได้เริ่มรู้ซึ้งขึ้นมาบ้าง


เด็กหนุ่มนอนคู้ตัวอยู่ในอ้อมแขนของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคู่ชีวิต กลิ่นอายความแข็งแกร่งเฉกเช่นอัลฟ่าโตเต็มวัยทำให้รู้สึกปลอดภัย จมลึกอยู่ในห้วงนิทราไร้ซึ่งความกังวล


อันที่จริงเขาตื่นมาสักพักแล้วแต่ก็ยังอยากซึมซับเอาช่วงเวลาแบบนี้ต่อไปอีกสักพัก เหม่อมองแสงแดดลอดผ่านรอยแยกของม่าน ไอร้อนจากฝ่ามือใหญ่ที่วางทาบอยู่บนท้องน้อยชวนให้รู้สึกหวิวในอก สัมผัสได้ถึงจังหวะหายใจสงบนิ่งเป่ารดอยู่เหนือใบหูบ่งบอกว่าอีกคนกำลังล่องลอยอยู่ในห้วงนิทรา ซินเธียปล่อยให้เวลาเดินไปอย่างช้าๆ กอบโกยความสุขสงบท่ามกลางบรรยากาศห้องพักที่มีแต่กลิ่นฟีโรโมนของกันและกันผสมผสาน จนกระทั่งเผลองีบไปอีกหนึ่งตื่น


นึกหลงใหลในช่วงเวลาแบบนี้เป็นที่สุด


---


ช่วงสายกายสูงใหญ่ที่เคยกกกอดก็ผละจากไป ซินเธียรู้สึกตัวขึ้นมาเป็นครั้งที่สองของวันจากเสียงสายน้ำกระทบพื้น ยังไม่ทันจะลุกเสียงน้ำก็หยุดลงแล้วพร้อมกับประตูถูกเปิดออกปรากฏร่างสูงสมส่วนของอัลฟ่าหนุ่มคู่ชีวิตด้วยสภาพที่คล้ายกับเมื่อวาน


ครั้งนี้ซินเธียบังคับสายตาไม่ให้มองต่ำกว่าใบหน้าของชายหนุ่ม ถึงแม้การต้องเงยหน้าเพื่อสบตากับแอชลีย์จะทำให้รู้สึกปวดคอไปบ้างก็ตาม


“ตื่นแล้วเหรอ”


“อื้ม” ตอบขณะประคองกายลุกขึ้นนั่งเป็นจังหวะเดียวกับเสื้อถูกคลุมลงบนลาดไหล่ทั้งสองโดยฝีมือใครอีกคน เหมาะเจาะเสียจนไม่ต้องเปลือยผิวกายท้าแดดท้าลม


ซินเธียใช้เวลาจัดการตัวเองไม่นานก็เรียบร้อยแล้วถึงค่อยพากันลงไปทานมื้อเช้าที่ห้องอาหารของโรงแรม สองคนรักษาเวลาเป็นอย่างดีถือโอกาสใช้เวลาที่เหลืออีกเล็กน้อยก่อนถึงเวลานัดเดินชมบรรยากาศยามสายของอีสเทิร์นพอร์ตบริเวณที่พัก


“เราซื้อเครื่องเทศกลับไปได้หรือเปล่า” คนอ่อนกว่าเงยหน้าถามเจ้าของกระเป๋าเงินด้วยท่าทางเกรงใจ แต่ในดวงตาสีเงินคู่นั้นกลับทอประกายแววออดอ้อนออกมาไม่รู้ตัว


ตอนเดินออกจากโรงแรมเลียบมาบนถนนเส้นเดิมทำให้ผ่านแผงเครื่องเทศร้านเมื่อวาน ซินเธียอยากได้พวกมันมากๆ แต่ตัวเขานั้นไม่ได้มีเงินติดตัวสักเหรียญจึงได้แต่ต้องอาศัยคนตัวสูงแล้ว


แอชลีย์เลิกคิ้ว ใบหน้ายังคงราบเรียบเหมือนทุกวัน ชายหนุ่มหันกลับไปมองแผงเครื่องเทศดังกล่าวชั่วขณะหนึ่งแล้วพยักหน้ารับเบาๆ


“ค่อยไปดูที่ตลาด คุณภาพจะดีกว่านี้”


หนึ่งในแผนเที่ยวชมวันนี้ ฮิลล์ แลมเบิร์ตกล่าวถึงตลาดพื้นเมืองด้วย ได้ยินว่าเป็นแหล่งแลกเปลี่ยนขนาดใหญ่มีสินค้าให้เลือกชมมากมาย พอคิดแบบนั้นเด็กหนุ่มเลยพยักหน้าเห็นด้วยเลิกสนใจเรื่องเครื่องเทศแล้วเปลี่ยนมาชื่นชมบรรยากาศอันแสนครึกครื้นของเมืองท่าแห่งนี้แทน


เนื่องจากเมื่อวานต้องรีบจัดการเรื่องงานก่อน ตอนเดินทางเลยไม่ได้สนใจรอบด้านนัก วันนี้พอได้โอกาสเดินชมอย่างเต็มที่ซินเธียจึงซึมซับกักเก็บทุกรายละเอียดที่ได้พบเห็นตามรายทาง เป็นการเปิดหูเปิดตาอย่างที่สุด


คนทั้งสองเดินมาจนถึงสะพานหินใช้ข้ามแม่น้ำสายหนึ่งที่ไหลตัดผ่านกลางเมือง ข้ามมาจนกระทั่งถึงจุดกึ่งกลางแล้วก็รีบปล่อยมือใหญ่ที่เจ้าของบอกให้จับเอาไว้ด้วยเหตุผลกลัวจะพลัดหลง ก้าวเท้าเร็วๆ เข้าไปเกาะขอบสะพานทอดสายตาไปตามลำน้ำไกลสุดลูกหูลูกตา


สะพานนี้ค่อนข้างสูงเพื่อจะสามารถให้เรือเล็กลอดผ่านไปได้ นอกจากแผงขายข้างทางแล้ว การค้าบนเรือเล็กเหล่านี้ก็คึกคักมากเช่นกัน ริมแม่น้ำจะมีชาวเมืองบางคนตะโกนทักทายคนบนเรือถามไถ่สารทุกข์สุขดิบไม่ก็ยืนจับจ่ายซื้อขาย สินค้าส่วนใหญ่มักเป็นพวกผลไม้ อาหารและเครื่องดื่ม


“เมืองนี้คึกคักมากเลยนะครับ”


“อืม” แอชลีย์เดินมายืนเคียงคนเด็กกว่า สองมือล้วงกระเป๋าส่วนดวงตาก็ทอดมองไปยังจุดเดียวกับซินเธีย “คงเพราะเป็นเมืองท่า”


เทียบกับวินเทอร์ฟอลแล้วแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ที่นั่นทั้งสงบ เงียบงัน ประชากรค่อนข้างน้อยผู้คนนิยมอาศัยอยู่ในที่พักของตัวเองมากกว่าจะออกมาเดินเตร็ดเตร่ภายนอกด้วยเพราะอากาศหนาวเย็น และต่อให้เป็นตัวเมืองอย่างจัตุรัสไวท์สแควร์ดูแล้วก็ยังไม่คึกครื้นเท่าเมืองท่าแห่งนี้อยู่ดี


“คุณเคยมาที่นี่ไหม”


“เคยแต่มาทำงาน”


ซินเธียพยักหน้ารับ ดูจากนิสัยของแอชลีย์แล้วก็คงเป็นพวกทำแต่งานคงไม่มีอารมณ์อยากจะมาเดินเล่นชมรอบเมืองแบบตอนนี้


“คุณดูนั่นสิ มีดอกไม้ป่าด้วย” เด็กหนุ่มชี้ไม้ชี้มือไปทางเรือลำหนึ่งที่พึ่งลอดผ่านสะพานไป บนเรือลำเล็กเต็มไปด้วยดอกไม้นานาชนิดแต่ทุกดอกล้วนเป็นดอกไม้ป่าสายพันธุ์ที่หาได้เฉพาะทางใต้เท่านั้น พอได้เห็นอะไรเกี่ยวกับบ้านเกิดของตนเองมันก็อดจะตื่นเต้นไม่ได้


เชื่อแล้วว่าเมืองท่าแห่งนี้เป็นจุดแลกเปลี่ยนสินค้าที่ใหญ่มากจริงๆ สิ่งของของทุกอย่างจากทุกดินแดนล้วนมารวมอยู่ภายในอีสเทิร์นพอร์ตแห่งนี้


ทว่า ดูเหมือนใครอีกคนจะไม่นึกตื่นเต้นด้วย


“ระวังหน่อยสิ เดี๋ยวได้ตกลงไปหรอก” คนตัวสูงส่งเสียงดุ ขมวดคิ้วขยับเข้าไปประชิดคนไม่ระวังตัวแล้วใช้แขนข้างหนึ่งโอบลาดไหล่มนเอาไว้ส่วนอีกข้างช่วยกันด้านหน้าไม่ให้เผลอทะเล่อทะล่าตกลงไป


“ขอโทษครับ...”


คนโดนดุซึมลงไปถนัดตา เดินถอยออกมาให้ห่างจากขอบสะพานตามแรงชักจูงของอัลฟ่าหนุ่ม พอออกมาในระยะปลอดภัยแล้วก็รีบช้อนตาขึ้นเอ่ยคำขอโทษทันที


ซินเธียยังไม่เคยโดนแอชลีย์ดุ ไม่รู้หรอกว่าเวลาแบบนั้นเจ้าตัวจะน่ากลัวแค่ไหน แล้วก็รู้ด้วยว่าครั้งนี้เป็นเพียงคำเตือนเพราะห่วงความปลอดภัยเฉยๆ แต่ไม่รู้ทำไมแค่สายตานิ่งๆ กับน้ำเสียงทุ้มต่ำแบบนั้นของอีกคนถึงได้ทำเอาเด็กหนุ่มต้องรีบทำตัวสงบเสงี่ยมยอมอยู่ในโอวาทโดยอัตโนมัติ


“โอ๊ะ!”


นั่นไม่ใช่เสียงอุทานของซินเธียหรือแม้แต่คนตัวโต แต่ก็ทำให้คนทั้งสองละสายตาออกจากกันเพื่อหันไปมองได้ในทันที อีกด้านหนึ่งของสะพานมีเด็กน้อยอายุราว 5 – 6 ปี กำลังวิ่งเข้ามาทางนี้ เมื่อก้มลงมองสิ่งที่กลิ้งมากระทบรองเท้าเมื่อครู่ก็พบเข้ากับลูกบอลหนังขนาดหนึ่งฝ่ามือ มันกำลังจะเริ่มกลิ้งไปทางอื่นอีกครั้งเพราะซินเธียขยับเท้าหมุนตัวกลับมามองเมื่อครู่เขาเลยรีบเดินไปหยิบขึ้นมาก่อนมันจะกลิ้งลงไปจากสะพานตามแรงโน้มถ่วง


“ขอบคุณครับ” เด็กน้อยเอ่ยขอบคุณเมื่อซินเธียย่อตัวลงไปช่วยส่งลูกบอลคืนให้ ดวงตากลมโตใสแจ๋วกระพริบปริบๆ อย่างน่ารัก


“คราวหลังอย่าทำหลุดมืออีกล่ะ”


“อื้ม แน่นอนอยู่แล้ว!”


เด็กชายตัวน้อยพยักหน้าจนผมพลิ้วสะบัดไปตามแรงขยับก่อนจะวิ่งกลับไปอีกด้านของสะพานที่มีครอบครัวของเจ้าตัวรออยู่


พอวิ่งไปแล้วก็เหมือนจะถูกคุณแม่ดุนิดหน่อยเดาจากท่าทางจ๋อยๆ แต่ก็สลดได้ไม่นานหันมาออดอ้อนผู้เป็นมารดาเสียจนเธอหลุดหัวเราะทั้งเอ็นดูและรักใคร่ สามคนพ่อแม่ลูกหันมาขอบคุณน้ำใจของซินเธียอีกครั้งก่อนจะจูงมือกันเดินออกไปพร้อมเสียงหัวเราะเต็มไปด้วยความสุขสันต์โดยมีเด็กชายตัวน้อยอยู่ตรงกลาง สองแขนถูกคุณพ่อคุณแม่จับจูงคนละข้างกระโดดโหยงเหยงไปมา ส่วนลูกบอลนั้นโดนคนพ่อยึดไปถือไว้แทนแล้ว


“บ๊ายบาย”


เดินห่างออกไปขนาดนั้นก็ยังอุตส่าห์หันมาโบกมือลาส่งท้าย ซินเธียเลยโบกมือกลับไปทั้งรอยยิ้ม เด็กหนุ่มยังคงย่อตัวนั่งอยู่ท่าเดิมขณะมองภาพครอบครัวตรงหน้าแล้วมันก็รู้สึกว่าเป็นภาพที่น่ารักเป็นพิเศษ


จนอดคิดไม่ได้ว่า... หากเขามีลูกน่ารักๆ แบบนั้นสักคนจะเป็นอย่างไรนะ


จะหน้าเหมือนตัวเองหรือใครอีกคน


ระหว่างนั้นก็ลอบมองเสี้ยวหน้าคนที่ยืนปั้นหน้านิ่งอยู่ข้างกายเงียบๆ


แต่คงจะแสบน่าดู



คิดบ้าอะไรอยู่กันเรา



ออฟไลน์ monrita

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 38
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0



ใช้เวลาเดินเตร็ดเตร่กันอีกพักใหญ่จนถึงเวลานัดหมายฮิลล์ก็พาสองสามีภรรยาข้าวใหม่ปลามันนั่งรถชมรอบตัวเมือง ระหว่างทางก็คอยอธิบายเรื่องราวภายในอีสเทิร์นพอร์ตไปด้วย


เมืองนี้ยึดทำอาชีพค้าขายกับการประมงเป็นหลัก อาหารขึ้นชื่อเป็นจำพวกของทะเลซึ่งมีความสดเป็นพิเศษ ตัวซินเธียตั้งแต่มาถึงที่นี่เขายังไม่เคยมีโอกาสได้ลองอาหารขึ้นชื่อเลยสักครั้ง ทานกันแต่พวกอาหารในโรงแรมพอได้ฟังอัลฟ่าหนุ่มสาธยายเหล่าเมนูน่าลิ้มลองออกมาไม่ขาดปากท้องมันก็เริ่มหิวขึ้นมาอีกแล้ว


ประชากรส่วนใหญ่ยังคงเป็นเบต้าไม่ต่างไปจากตัวเมืองหลักของดินแดนต่างๆ แต่สิ่งที่น่าแปลกคือจำนวนของอัลฟ่ามีอัตราการเกิดค่อนข้างต่ำ ฮิลล์เป็นอัลฟ่าอายุน้อยที่มีอำนาจในมือมากจนเรียกว่าแทบจะปิดแผ่นดินด้วยมือข้างเดียว ทว่า มันเป็นแค่เรื่องทางการค้าขาย ชายหนุ่มไม่ใช่อัลฟ่าจ่าฝูง หรือผู้นำของดินแดนแห่งนี้


เจ้าตัวเล่าว่าฝูงของพวกเขาอาศัยอยู่ในเมืองที่มีชื่อว่าคริสตัลสตรีม ห่างจากตัวอีสเทิร์นพอร์ตไปราว 2 ชั่วโมงสำหรับการเดินทางด้วยรถยนต์ และครึ่งวันสำหรับเดินเรือเนื่องจากเส้นทางน้ำต้องอ้อมผ่านนาวีเจี้ยนไปทางทิศตะวันออกระยะทางจึงไกลกว่า


เทียบจำนวนประชากรอัลฟ่ากับโอเมก้ารวมกันแล้วยังไม่ถึงครึ่งของจำนวนเบต้า ในอีสเทิร์นพอร์ตไม่ได้มีเพียงคนท้องถิ่นดั้งเดิมแต่ยังมีคนจากดินแดนอื่นหรืออีกฟากฝั่งหนึ่งของทะเลมาตั้งถิ่นฐานอาศัยปะปนกัน อัลฟ่าที่เห็นในเมืองส่วนมากก็มักจากมาจากที่อื่น


ส่วนตระกูลแลมเบิร์ตเดิมก็อาศัยอยู่ในคริสตัลสตรีม แต่เพราะพวกเขาเป็นตระกูลคหบดีเลยออกมาสร้างคฤหาสน์อยู่ในนาวีเจี้ยนเพื่อสะดวกต่อการทำงาน นานครั้งถึงจะกลับไปบ้านเดิม


“นี่คือตลาดพื้นเมือง เป็นศูนย์รวมแลกเปลี่ยนบนดินที่ใหญ่ที่สุดในอีสเทิร์นพอร์ต”


ฮิลล์แนะนำอย่างเจ้าบ้านที่ดีถึงหนึ่งในสถานที่มีชื่อเสียงของอีสเทิร์นพอร์ต ซินเธียก้าวออกมาจากรถตามหลังผู้เป็นสามี สองตาก็กวาดมองไปรอบๆ เชิงสำรวจ


ช่วงเวลาบ่ายแก่เป็นช่วงคึกคักที่สุดสำหรับตลาดพื้นเมืองแห่งนี้เนื่องจากช่วงเช้าจะเป็นเวลาขนส่งสินค้าทางเรือ นาวีเจี้ยนหรือแม้กระทั่งท่าเรือน้อยใหญ่แห่งอื่นจะวุ่นวายเป็นพิเศษ พวกพ่อค้าที่เดินทางมาจากต่างแดนจะนำสินค้าของตนเองมาขายที่ตลาดแห่งนี้ช่วงบ่าย พักกันอยู่สองถึงสามวันหรือนานที่สุดก็คือหนึ่งอาทิตย์รอจนกว่าสินค้าที่นำมาจะขายออกจนหมดแล้วค่อยซื้อของจากที่นี่กลับไปขายต่อในดินแดนของตน


ตัวตลาดค่อนข้างใหญ่ บรรยากาศคึกคักแออัดไปด้วยผู้คนมากมายหลากหลายเชื้อชาติ ตลอดทางเดินจะเต็มไปด้วยแผงสินค้ามากมายมีทั้งร้านค้าประจำของเจ้าถิ่นหรือแผงชั่วคราวสำหรับพ่อค้าขาจร
ไม่ต้องรอให้ใครบอกซินเธียก็เกาะแขนคนตัวสูงแน่นระหว่างเดินเข้าไปในตลาด รอบกายเต็มไปด้วยเสียงตะโกนพูดคุยกัน เสียงตะโกนเรียกลูกค้า เบียดเสียดวุ่นวายจนกลัวว่าหากไม่พยายามอยู่ใกล้อัลฟ่าของตัวเองเข้าไว้จะต้องพัดหลงกันเป็นแน่


“บรรยากาศอาจจะไม่ค่อยน่าอภิรมย์เท่าไหร่ แต่รับรองว่าของทุกอย่างที่คุณต้องการสามารถหาได้จากที่นี่ในราคาย่อมเยา”


ฮิลล์อธิบาย เขาเดินนำทางด้วยท่าทีผ่อนคลายและคุ้นชินเป็นอย่างมาก ซึ่งมันก็คงไม่แปลกสำหรับคนเป็นพ่อค้า ดูท่าแล้วคงจะมาที่นี่เป็นร้อยๆ ครั้ง


“อ้อ คุณบอกว่าอยากได้เครื่องเทศใช่ไหม ผมมีร้านดีๆ อยู่ร้านหนึ่ง” นายท่าแลมเบิร์ตทำท่านึกขึ้นได้ ก่อนมาถึงตลาดแอชลีย์เคยเอ่ยปากถึงแหล่งซื้อเครื่องเทศอยู่


“อืม”


“ทางนี้ครับ”


ร้านดังกล่าวอยู่ค่อนข้างลึกเข้าไปในตัวตลาด ใช้เวลาเดินราวสิบนาทีก็มาถึง ยังไม่ต้องเห็นของแต่กลิ่นฉุนอันเป็นเอกลักษณ์ก็ลอยมาแตะจมูก ซินเธียตาวาวทันที ร้านนี้ดูแล้วคงเป็นรายใหญ่ ตั้งขายอยู่ในอาคารคูหาคู่ ด้านหน้ามีถุงกระสอบบรรจุเครื่องเทศแต่ละชนิดตั้งเรียงรายให้เลือกสรรอย่างอิสระ


“สนใจอะไรเป็นพิเศษไหมครับ”


เจ้าของร้านร่างสูงใหญ่เป็นเอกลักษณ์สวมเสื้อแขนกุดกับกางเกงเข้ารูปอวดผิวสีแทนออกมาต้อนรับพร้อมรอยยิ้ม มองแค่ปราดเดียวก็รู้ได้ทันทีเลยว่าคนผู้นี้...


เป็นคนจากแดนใต้


“โอ้ดูเหมือนคุณจะมาจากดินแดนทางใต้เหมือนกันสินะ” พ่อค้าเครื่องเทศคนนั้นเมื่อมองซินเธียดีๆ ก็ทักออกมาบ้าง


“ครับ” เด็กหนุ่มเลยยิ้มตอบ


“ไม่ง่ายเลยนะกับการจะเจอคนจากธอร์น” พ่อค้าผิวแทนกล่าว แน่นอนว่าสิ่งที่เขาพูดมาล้วนไม่มีตรงไหนผิด ชาวธอร์นเร้นกายอยู่ในป่าลึกสุดของดินแดนทางใต้ ใช้ชีวิตบนหลังม้ากับทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ ไม่ชอบยุ่งเกี่ยวกับคนภายนอกดินแดนของตัวเองนัก แต่กับคนนอกคอกอย่างชายหนุ่มไม่ใช่


“ผมเองก็ออกมาค้าขายตั้งรกรากอยู่ที่นี่ได้เกือบ 20 ปีแล้ว วันหนึ่งพบเจอคนมากมายสนุกกับการค้าขายจนเกือบจะหลงลืมความเป็นธอร์นเสียแล้ว”


นั่นคงเป็นสาเหตุว่าทำไมอีกฝ่ายถึงจำซินเธียไม่ได้ และเด็กหนุ่มเองก็ไม่คิดจะแนะนำตัว ถึงอย่างไรตอนนี้เขากลายเป็นคนของวินเทอร์ฟอลแล้ว อาจจะมีความรู้สึกคะนึงหาเป็นบางคราแต่ชีวิตตอนนี้ก็มีความสุขดี ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้กลับไปบ้านเกิดอีกหรือไม่


ไม่ได้คิดหลงลืมดินแดนบ้านเกิดของตัวเอง แต่เขาแค่กำลังพยายามที่จะก้าวไปข้างหน้าก็เท่านั้น


หลังจบบทสนนาก่อนหน้าคนทั้งสองก็ไม่ได้พูดลำลึกความหลังอะไรกันอีก ซินเธียเลือกเครื่องเทศที่ตัวเองชื่นชอบมาหลายอย่าง เนื่องจากคุณพ่อค้าเสนอจะลดราคาให้เป็นพิเศษด้วยความเป็นคนบ้านเดียวกันเขาเลยได้ขนเจ้าพวกนั้นกลับวินเทอร์ฟอลไปหลายกระสอบใหญ่


“ร้านของคุณมีบริการขนส่งไหม” แอชลีย์ถามในระหว่างกวาดตามองบรรดากระสอบเครื่องเทศมากมายตรงหน้า ซื้อว่าเยอะแล้วของแถมยิ่งเยอะกว่าทำเอาอัลฟ่าหนุ่มรู้สึกหนักใจไม่น้อย ต่อให้ไม่มีนัดมื้อเย็นกับฮิลล์ต่อก็ยังคิดว่าการขนสิ่งเหล่านี้กลับโรงแรมด้วยตัวเองเป็นเรื่องยากอยู่ดี


“ต้องขออภัยนะครับท่านชาย วันนี้คนงานของผมลาหยุด ผมเองก็ไม่สะดวกจะไปส่งด้วยตัวเองถึงแม้จะยินดีทำแบบนั้นก็ตาม” เจ้าของร้านถอนหายใจ แสดงสีหน้าขออภัยอย่างจริงจัง ช่วงบ่ายการค้าขายกำลังคึกคักถ้าไม่มีคนช่วยเฝ้าร้านเขาก็ออกไปจากที่นี่ไม่ได้


“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวให้คนของผมช่วยขนไปก็ได้ ตระกูลแลมเบิร์ตเองก็มีร้านค้าตั้งอยู่ที่นี่เหมือนกัน”


ฮิลล์เสนอความเห็นและก็ได้รับความเห็นด้วยจากคนที่มีส่วนสูงไล่เลี่ยกัน


“ต้องรบกวนคุณแล้ว”


ยังไม่ทันจะพูดคุยอะไรกับต่อคนทั้งสามกลับต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงคนร้องโวยวายดังมาจากทางทิศใต้ เมื่อหันไปมองกลับพบชายร่างท้วมคนหนึ่งกำลังด่าทอร่วมทุบตีก้อนอะไรสักอย่างบนพื้น พวกเขามองเห็นไม่ชัดนักเนื่องจากเบื้องหน้าของชายร่างท่วมมีชายฉกรรจ์อีกสองสามคนกำลังรุมทุบตีสิ่งที่อยู่บนพื้นดินแดง


เสียงของคนกลุ่มดังกล่าวดังมากจนเรียกความสนใจคนในบริเวณโดยรอบ ทว่าก็เป็นเพียงชั่วครู่เท่านั้นก่อนที่ทุกคนจะหันไปไปทำกิจกรรมของตนเองต่อราวกับว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขณะนี้เป็นเพียงเรื่องธรรมดาสามัญคล้ายลมฟ้าอากาศ


แต่ไม่ใช่สำหรับคนต่างถิ่นอย่างแอชลีย์กับซินเธีย เด็กหนุ่มหรี่ตาพยายามเพ่งมองก้อนผ้าคลุกฝุ่นบนพื้น พอภาพตรงหน้าชัดขึ้นเขาก็เบิกตากว้างเผลอขยับเข้าชิดคนตัวสูงข้างกายโดยอัตโนมัติ


มัน... โหดร้ายเกินไปแล้ว


ใจกลางวงล้อมชายฉกรรจ์กลุ่มนั้นคือร่างของเด็กชายอายุราว 14 – 15 ปี กำลังนอนคู้ตัวอยู่บนพื้นรับแรงกระแทกทั้งเตะทั้งทุบตีจากคนอายุมากกว่า เสื้อผ้าขาดวิ่นเปรอะเปื้อนฝุ่นจนกลายเป็นสีแดงของดินแทบไม่เห็นเค้าโครงเดิมโดยเฉพาะใบหน้า เนื่องจากเด็กคนนั้นมุดหน้าเข้ากับอกของตัวเองใช้สองแขนกอดศีรษะเอาไว้เพื่อปกป้องไม่ให้บาดเจ็บ


“แกมันก็แค่เศษสวะ” ชายร่างท่วมชี้มือด่าทอถ้อยคำหยาบคายออกมาอีกหลายประโยค “เป็นแค่ขยะอย่ามาทำตัวกร่างให้มากนัก!!”


“เอ้า! สั่งสอนมันอีก คราวหลังจะได้ไม่กล้าอวดเก่งอีก!”


“อ๊ากก!!!”


ซินเธียเบือนหน้าหนีเมื่อชายกลุ่มนั้นเริ่มทุบตีเด็กบนพื้นอีกครั้ง


“นั่นคือทางเข้าตลาดมืด” ฮิลล์เอ่ยขึ้นหลังจากยืนมองภาพสะเทือนใจตรงหน้ามาพักใหญ่ด้วยสีหน้าว่างเปล่า เขาชี้บริเวณจุดเกิดเรื่องพลางอธิบายเสริมเมื่อเห็นท่าทีสนใจจากอัลฟ่าคู่ค้าต่างแดน


“คุณเห็นทางเข้าตรงนั้นไหม เดินผ่านประตูนั่นไปมันอยู่ใต้ดิน พวกคหบดีหรือคนจากตระกูลชั้นสูงมักจะชอบไปแลกเปลี่ยนกันที่นั่น แน่นอนว่าราคาสินค้าย่อมสูงกว่าบนดินเกือบสิบเท่า”


“มีอะไรอยู่ข้างใต้นั่น” แอชลีย์ถาม ดวงตายังไม่ละจากภาพความวุ่นวายกับเสียงด่าทอทุบตีตรงหน้า แต่หากสังเกตดีๆ แล้วจะพบว่าสายตาของอัลฟ่าหนุ่มมองเลยไปด้านหลังคนกลุ่มนั้นจับจ้องอยู่กับบานประตูทางเข้าของตลาดมืดที่ว่า


“หลายอย่าง” ฝ่ายเจ้าถิ่นไหวไหลด้วยท่าทางสบายๆ “พวกของหายาก แต่ถ้าสิ่งที่ขายดีที่สุดก็...”


“…”


“มนุษย์” เติมประโยคส่วนท้ายด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม


วูบหนึ่งซินเธียรู้สึกโหวงตรงหัวใจ สองมือเย็นเยียบขยับกอดแขนคนข้างกายแน่นขึ้นอีกระดับ ค้ามนุษย์อย่างนั้นหรือ ช่างโหดร้ายอะไรถึงเพียงนี้


ขึ้นชื่อว่าตลาดมืด ในโลกใต้ดินนั้นไม่แปลกหากจะเต็มไปด้วยสิ่งผิดบาป ไร้มนุษยธรรม เพียงแค่จิตนาการว่ามีสิ่งใดอยู่ข้างใต้นั่นบ้างเด็กหนุ่มก็รู้สึกหวาดกลัวจับใจ ต่อให้ผ่านเรื่องต่อสู้มามากมายแค่ไหนแต่ซินเธียก็ยังไม่เคยเห็นคนตายต่อหน้าตัวเองสักครั้งหรือแม้กระทั่งการทารุณเด็กที่ยังไม่แม้แต่จะบรรลุนิติภาวะแบบนั้น


ถึงคนในแดนใต้จะชอบต่อสู้เพื่ออวดเบ่งอำนาจหรือแสวงหาความแข็งแกร่ง ทว่า พวกเขามักจะเลือกสู้กับคนที่มีพละกำลังใกล้เคียงกัน สู้กันอย่างเสมอภาค เท่าเทียม ไม่ใช่รุมทำร้ายคนไร้ทางสู้อย่างโหดร้าย


“สิ่งที่คุณเห็นนับว่าเป็นเรื่องปกติมากของที่นี่เลยล่ะ” ฮิลล์เอ่ยอย่างเย็นชา “เด็กคนนั้นคงจะถูกซื้อตัวมาแล้วพยายามหนีก็เลยถูกนายหน้าทุบตี สั่งสอนให้หลาบจำ...”


“มีคหบดีหลายคนเดินทางมาถึงที่นี่เพื่อหาซื้อคนไปเป็นทาส บ้างก็หาคนไปบำเรอ มีปะปนกันทั้งโอเมก้า เบต้า โดยเฉพาะอัลฟ่าจะราคาสูงเป็นพิเศษ ยิ่งเด็กยิ่งราคาดี เพราะมันง่ายต่อการขัดเกลา ผมหมายถึงในกรณีของอัลฟ่าน่ะนะ เพราะถ้าเป็นโอเมก้าจะต้องเลือกพวกที่ใช้งานได้หน่อย”


“คุณรู้ไหมว่าทำไมอัลฟ่าถึงราคาสูง” ผู้ฟังทั้งสองไม่ได้ตอบอะไรแต่ฮิลล์ก็รู้ดีว่าย่อมมีคำถามแบบนี้เกิดขึ้นในใจ ด้วยความเป็นคนช่างเจรจาจึงเอ่ยเล่าต่อโดยไม่อิดออด


“เพราะอัลฟ่าเหล่านั้นหายากมากยังไงล่ะ ชนชั้นที่สูงส่ง โดดเด่นทั้งรูปลักษณ์และพละกำลังแถมยังมากปัญญา ตระกูลไหนล้วนยินดีหากทายาทของพวกเขาเกิดมาเป็นอัลฟ่า พวกเขาเหมือนสมบัติล้ำค่าน่าหวงแหน คุณว่าอย่างนั้นไหมครับท่านชายวาเลนเธีย”


“อะ อื้ม”


ซินเธียทำตัวไม่ถูกเมื่อจู่ๆ อีกฝ่ายก็ส่งรอยยิ้มประหลาดมาให้คล้ายต้องการจะหยอกเย้าเลยได้แต่พยักหน้ารับไป


ไม่แปลกหรอก ถ้าเกิดเด็กหนุ่มคลอดเด็กสักคนออกมาย่อมต้องดูแลปกป้องสายเลือดของตัวเองด้วยความหวงแหน ไม่ใช่แค่อัลฟ่า ไม่ว่าลูกของเขาจะเกิดมาเป็นอะไรก็จะรักและปกป้องพวกเขาทั้งนั้น


“แล้ว...” เด็กหนุ่มลังเลที่จะถาม แต่สุดท้ายก็เอ่ยมันออกไป “คนพวกนั้นมาจากไหนหรือครับ”


“มีหลายครอบครัวครับที่ไม่สามารถเลี้ยงดูลูกของตัวเองได้ โดยเฉพาะโอเมก้า พวกเขาถึงเลือกจะนำเด็กเหล่านั้นมาขายแลกเงิน แต่สำหรับอัลฟ่าอย่างที่พูดไปน้อยครั้งจะถูกครอบครัวตัวเองนำมาขายหากไม่จำเป็นจริงๆ โดยมากเด็กพวกนั้นมักจะถูกจับตัวมา...” อัลฟ่าหนุ่มเว้นไปจังหวะหนึ่ง


“คุณรู้อะไรไหม ราคาขายว่าสูงแล้วราคาซื้อยิ่งสูงกว่า นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมนายหน้าคนนั้นถึงไม่ยอมปล่อยเด็กนั่นไป” ฮิลล์หันไปมองยังจุดเดิมที่เคยมีเหตุการณ์รุนแรงเมื่อครู่ แต่ว่าขณะนี้พื้นที่ตรงนั้นว่างเปล่าไปแล้ว “แต่ก็มีกรณีที่คนบางคนเดินเข้ามาขายตัวเองด้วยความเต็มใจเหมือนกัน”


“ทำไม...”


“เพื่อเงินไงล่ะครับ” ชายหนุ่มคลี่ยิ้มจางๆ “บางครั้งชีวิตคนเรามันก็ไม่ง่ายเลย ยังมีคนอีกมากมายที่ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอด เบต้าบางคนยอมขายตัวเป็นทาสเพื่อหาเงิน อัลฟ่าบางคนก็ไม่ได้เกิดในครอบครัวร่ำรวยเสมอไป หรือแม้กระทั่งโอเมก้า พวกเขาไม่สามารถไปใช้แรงงานได้ จะไปทำงานอื่นๆ ยิ่งยาก บางครั้งการพลีกายเพื่อรับใช้เศรษฐีสักคนก็อาจจะทำให้พวกเขาไม่ต้องทนใช้ชีวิตแย่ๆ”


“มันก็ไม่ได้มีแต่เรื่องเลวร้ายเสมอไปหรอกครับ บ้างครั้งก็มีพวกตระกูลร่ำรวยแต่ไร้ทายาทมาที่นี่เพื่อซื้อเด็กสักคนไปชุบเลี้ยง ความหวังเล็กๆ เหล่านั้นอาจจะเกิดไม่มากนักแต่นั่นก็เป็นเรื่องของชะตาลิขิตแล้ว”


พูดมาเสียยืดยาวก็ชักเหนื่อย ฮิลล์หันไปหาคู่ค้าคนสำคัญซึ่งยืนปั้นหน้านิ่ง รับฟังเงียบๆ มาตั้งแต่ต้น


“ถ้าคุณแอชลีย์สนใจสักคนสองคนบอกผมได้นะครับ จะช่วยติดต่อให้รับรองว่าราคาไม่แพงคับคุณภาพหากผ่านมือผม”


คำพูดนั้นไม่ต้องอธิบายเพิ่มเติมก็รู้ได้เลยว่าคนที่ว่าน่ะเป็นคนประเภทไหน


แอชลีย์ขมวดคิ้ว ใบหน้าเฉยชาหันไปสบตาคู่ค้าตรงหน้า


“ไม่ล่ะ ขอบคุณ”



งานเลี้ยงต้อนรับเล็กๆ สำหรับอาคันตุกะแดนเหนือถูกจัดขึ้นในสวนด้านหลังคฤหาสน์ตระกูลแลมเบิร์ตหลังเหน็ดเหนื่อยกับการท่องเที่ยวมาทั้งวัน


คฤหาสน์ดังกล่าวตั้งอยู่บนเนินสูงริมชายฝั่งทะเลให้บรรยากาศสดชื่อไม่น้อย ตัวสวนด้านหลังถูกล้อมด้วยรั้วไม้สีขาวไม่สูงนักสามารถมองเห็นผืนทะเลใสสีครามได้อย่างชัดเจน


ฮิลล์แนะนำอาหารขึ้นชื่อของฮาวีเจี้ยนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ทุกอย่างบนโต๊ะล้วนเป็นของทะเลสดใหม่ถูกปรุงด้วยเครื่องเทศส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลายไม่ว่าจะเป็นกุ้ง หอย ปู ปลา ทุกอย่างถูกจัดตกแต่งอย่างประณีตสวยงาม ทานคู่กับไวน์รสเลิศกลมกล่อมเสียจนคนไม่ค่อยแตะของมึนเมาอย่างซินเธียยังพยักหน้ารับพอใจ อาหารทะเลเหล่านี้เด็กหนุ่มไม่เคยลิ้มลองมาก่อน เพราะเป็นครั้งแรกเลยลองตักชิมไปอย่างละนิดละหน่อย รสชาติดีสมคำอวดอ้างทีเดียว แต่ส่วนใหญ่ก็ยังเลือกม้วนพาสต้าครีมซอสเห็ดเข้าปากมากกว่าอยู่ดี


นอกจากของคาวก็ยังมีของหวานให้ได้ล้างปาก ผลไม้เขตร้อนหาทานได้ยากในวินเทอร์ฟอลถูกเสิร์ฟบนโต๊ะตัดแต่งเป็นชิ้นพอดีคำทำเอาทั้งแขกทั้งเจ้าบ้านรื่นเริงสำราญใจไปตามๆ กัน


ระหว่างรับประทานอาหารมื้อใหญ่ก็ได้ยินเสียงคลื่นกระทบชายฝั่งจากด้านล่างเป็นระยะ สายลมยามอาทิตย์อัสดงพัดผ่านมาช่วยเพิ่มให้บรรยากาศรอบกายดูผ่อนคลายจนลืมเลือนเรื่องเมื่อตอนบ่ายไปจนหมดสิ้น


เมื่อเวลาล่วงผ่านไป อาหารบนโต๊ะเริ่มพร่องลงขณะกำลังพูดคุยกันอยู่นั้นจู่ๆ เด็กหนุ่มก็รู้สึกมวนท้องโดยไม่ทราบสาเหตุ ฝ่ายคนนั่งข้างกันก็จับความผิดปกติของคู่ชีวิตได้ถึงได้หันไปมองคนที่วางช้อนส้อมในมือลงยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง


“เป็นอะไร” แอชลีย์ขมวดคิ้ว ใบหน้าเริ่มแสดงอาการเคร่งเครียดโอบคนตัวบางเข้ามาแนบอกเมื่อสังเกตเห็นใบหน้าหวานซีดเซียว เม็ดเหงื่อเย็นผุดเต็มสองข้างขมับกับหน้าผาก


“เรา... อึก! ไม่รู้” เด็กหนุ่มเอ่ยตอบกระท่อนกระแท่น รู้สึกคลื่นไส้คล้ายว่าของที่พึ่งกินไปทั้งหมดกำลังจะตีตื้นขึ้นมาในลำคอ ทั้งเวียนหัว ทั้งมวนท้องจนหน้ามืดโลกหมุนเคว้งไปหมด


“เกิดอะไรขึ้นครับ” ทางด้านฮิลล์เองก็ผุดลุขึ้นจากเก้าอี้เดินอ้อมหัวโต๊ะเข้ามาดูท่านชายโอเมก้าใกล้ๆ ด้วยความกังวลใจไม่ต่างกัน หนึ่งคือเป็นห่วงและสองคือเหตุการณ์นี้ดันเกิดขึ้นระหว่างมื้ออาหารในคฤหาสน์แลมเบิร์ต ไม่ว่าจะทางไหนก็ไม่ดีทั้งนั้น


“ซินเธีย ซินเธีย!”


แอชลีย์ไม่ได้สนใจคำถามของฮิลล์ ใบหน้าเขาเครียดขึงขณะพยายามประคองร่างอ่อนยวบของภรรยาในอ้อมอกซึ่งตอนนี้อาเจียนเอาของที่พึ่งกินเข้าไปออกมาจนหมด หน้าจากที่ซีดอยู่แล้วก็ยิ่งซีดไปกันใหญ่


เด็กหนุ่มได้ยินทุกคำพูดของคนที่พยายามโอบประคองตนไว้ ยังพอมีสติรับรู้แต่มันยากจะโต้ตอบกลับไปได้ เขาอยากจะหายใจให้สุดปอดยังทำไม่ได้ ขนาดอาเจียนออกมาแล้วยังไม่รู้สึกโล่งคอเลย อึดอัดไปเสียหมด


“โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดอยู่ที่ไหนครับ” กับอัลฟ่าผู้ซึ่งไม่แยแสสิ่งใดคนนี้น้อยครั้งจะได้เห็นท่านชายคิมแสดงท่าทางร้อนใจออกมา แม้ว่าใบหน้าเย็นชานั้นจะไม่ได้ต่างไปจากปกตินักแต่ฮิลล์ก็สัมผัสได้


“ผมจะให้คนออกรถเดี๋ยวนี้” นายท่าแลมเบิร์ตเอ่ยทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนรีบหายไปจัดการตามคำกล่าว


แอชลีย์หันกลับมามองคนในอ้อมแขนที่มีอาการไม่สู้ดีนัก สบถกับตัวเองคำหนึ่งแล้วรีบช้อนร่างของภรรยาขึ้น กระชับอ้อมแขนให้มั่นรีบพาคนป่วยไปขึ้นรถด้านหน้าคฤหาสน์ทันที




TBC

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Kungkakung

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ท้องเหรอ :katai2-1: :katai1: :katai4:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
แพ้อาหาร​อะไร​หรือ​เปล่า​

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1725
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
แพ้หรือโดนอะไรรึเปล่า  :hao5:
แต่ตลาดมืดจะมีเบื้องหลังอะไรอีกมั้ย

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ท้องแล้วใช่ไหม!?

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด