บทที่ 1
คนชั่ว
‘ดิเรก’ แปลว่า รุ่งเรือง
ชื่อสั้นๆ ความหมายดีที่พระผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเมตตาตั้งให้
หากวันนี้ไม่บังเอิญเหลือบไปเห็นบัตรประชาชนที่ใส่ถุงพลาสติกมัดหนังยางเอาไว้ ชายหนุ่มก็คงลืมไปแล้วว่านี่คือชื่อจริงของตน คงเพราะไม่เคยมีใครสักคนเรียกเขาด้วยชื่อนี้ นับตั้งแต่ครูบาอาจารย์ฉุดกระชากลากถู นำเด็กเกเรอย่างเขาเข้าสู่ชีวิตของการเข้าแถวเคารพธงชาติ เรียนบ้างหลับบ้างท่ามกลางเด็กชนบทรุ่นราวคราวเดียวกัน
ห้องเรียนโรงเรียนวัดเล็กๆ บนเกาะ กลายเป็นสถานที่ที่เขาเอาชีวิตไปวนเวียนอยู่เป็นหลายปี หากช่วงเวลาดังกล่าวก็คล้ายเสียเปล่าโดยสิ้นเชิง วิชาความรู้ใดๆ ไม่เคยเข้าสู่เนื้อสมอง
เขาเข้าไม่ถึงจิตวิญญาณของวิชาศิลปะ พอๆ กับที่ไม่เคยเข้าใจหลักการคำนวณทางคณิตศาสตร์
ไม่มีวิชาใดที่เด็กชายดิเรกทำได้ดีมากกว่าไปวิชาพละ เขาสอบไปซ่อมไป คะแนนมากที่สุดของเขา เมื่อเอาไปเทียบกับเพื่อนก็คือเศษคะแนน แถมงานหรือการบ้านก็ไม่ค่อยสนใจทำส่ง เวลาครูสอนคือเวลานอนหลับ พฤติกรรมหัวโจกหลังห้องขนานแท้จนครูทุกคนอิดหนาระอาใจ ยังดีที่หลับหูหลับตาปล่อยให้เขาเรียบจบป.หก ทั้งที่ขาดเรียนบ่อยที่สุด ใครก็ล้มล้างสถิติไม่ได้
หลังจากนั้น...ไอ้ดิเรกคนนั้นก็เอาตัวเองออกจากชนชั้นคนมีการศึกษา
พอไม่ไปโรงเรียน ชื่อไพเราะเพราะพริ้ง สมบัติติดตัวชิ้นเดียวที่เขาภูมิใจ ก็คล้ายจะถูกใครต่อใครลืมไปเสียหมด
นามแทนตัวใหม่ ‘ไอ้ดำ’ กลายเป็นชื่อที่คุ้นเคยเสียมากกว่า ที่มาของชื่อนี้ก็ไม่มีอะไรซับซ้อน เพราะเป็นเด็กต่างจังหวัด แถมบรรพบุรุษรุ่นปู่รุ่นย่าก็ไม่มีใครขาวผุดผ่องเป็นยองใย เด็กทะเลขนานแท้ ใช้ชีวิตสมบุกสมบัน ผิวหนังสัมผัสแดดแรกของวันยันแสงตะวันสุดท้าย
เด็กชายตัวดำเป็นก้อนถ่าน...
อันที่จริงนับตั้งแต่จำความได้ ก็ไม่เคยเห็นตัวเองมีผิวสีอื่นเลย แต่เขาก็ไม่เคยจะสนใจ อยู่เมืองใต้ การมีผิวสีนี้ไม่เห็นจะแปลก เด็กรุ่นๆ วัยกำลังคะนอง ใครจะไปสนละว่าต้องทาครีมเอสพีเอสห้าสิบหกสิบ สำออยขนาดนั้นให้ผู้หญิงเขาทำกันจะดีกว่า
ผิวยิ่งไหม้ ยิ่งเกรียม เหมือนยิ่งเยอะประสบการณ์
สโลแกนแอบจำมาจากโฆษณาผงซักฟอก แต่ดำชอบ...เลยเอามาเป็นคติประจำใจ
“ไอ้เด็กเวร! มึงไปไหนมา!”
เสียงตะคอกอันคุ้นเคยต้อนรับเขาทันทีที่มุดลอดสังกะสีรั้วบ้าน
เพิงโกโรโกโส สภาพผุพัง ดูไม่น่าเป็นที่อยู่ของมนุษย์หน้าไหน แต่ก็ไม่น่าเชื่อว่าดำจะพึ่งพาไอ้เพิงหมาแหงนนี้มาได้เป็นสิบๆ ปี เรียกได้ว่าอยู่มาตั้งแต่เกิด และก็คงต้องอยู่ต่อไปอีกนาน ระหว่างบ้านพังกับคนอาศัยตาย...บอกไม่ได้หรอกว่าเหตุการณ์ไหนจะเกิดขึ้นก่อนกัน
บ้านหลังนี้มีเขากับชายแก่ซ่อมซอหน้าตาเหมือนโจร สองตา-หลานอยู่กันมาสองคน ก่อนหน้านี้มีเมียตาอีกคน แต่ก็หมดอายุขัย ตายไปเสียนานแล้ว
ดำไม่ได้เกิดจากกระบอกไม้ไผ่ เขาไม่ได้กำพร้า มีพ่อแม่ครบถ้วนเหมือนชาวบ้านชาวเมืองเขา เพียงแต่ชีวิตนี้เจอหน้าคนพวกนั้นประมาณสามสี่ครั้งเห็นจะได้ พ่อแม่ของเด็กหนุ่มก็เหมือนวัยรุ่นใจแตกทั่วไป ได้เสียกันตั้งแต่แตกเนื้อหนุ่มสาว ท้องโย้จนต้องออกจากโรงเรียน จากนั้นก็ค้นพบว่าอยู่กันฉันผัวเมียแล้วไม่รอด เจอเมียใหม่ ผัวใหม่ไฉไลกว่า สุดท้ายก็แยกย้ายกันไป
ค่านิยมของคนรุ่นพ่อแม่เขาคือ ถ้าอยากลืมตาอ้าปากก็ให้เข้าเมืองใหญ่ไปหางานทำ
ดำจำที่ตาพร่ำเพ้อให้ฟังเมื่อตอนเมาได้ดี พ่อเขาหนีตำรวจจากการส่งยา หัวซุกหัวซุนไปถึงไหนไม่มีใครรู้ ความเป็นไปได้ที่อาจจะตายแล้วดูจะมากกว่ายังมีชีวิตอยู่ ส่วนแม่ก็ทนความยากจนขัดสนบนเกาะไม่ไหว ไปหางานทำที่เมืองกรุง และถึงจะไม่มีใครพูดใครบอก ดำก็พอจะเดาได้ว่า แม่อาจจะมีลูกมีผัว มีครอบครัวใหม่ อาจจะลืมไปแล้วว่าเคยหย่อนไข่ใบหนึ่งทิ้งเอาไว้
ครั้งสุดท้ายที่แม่มาเยี่ยมเขากับตาคือตอนเรียนอยู่ป.สี่ หลังจากนั้น...ดำก็ไม่เคยเจอหน้าผู้หญิงคนนั้นอีกเลย จนถึงตอนนี้แม้แต่หน้าตา ก็ยังจดจำไม่ค่อยจะได้
“เอ้าๆ กูถามนี่มีหูไหม มึงหายหัวไปไหนมาทั้งคืน บ้านช่องไม่กลับ จะไปตายที่ไหนก็ไม่รู้จักบอก จะให้กูถ่างตารอทั้งคืนหรือยังไง”
“โอ๊ย! จะบ่นทำไมนักหนาวะ ก็กลับมาแล้วนี่ไง” คนฟัง ฟังแล้วของขึ้นจนได้
ก่อนกลับมาก็ทำใจแล้วว่าต้องเจออย่างนี้ แต่พอมาเจอเข้ากับของจริง ไอ้ที่คิดว่าจะทำเป็นนิ่งหูทวนลม ทุกสิ่งล้วนล้มละลาย สงสัยความอดทนเขาจะต่ำเกินไป
เหอะ!
คนอย่างตาแก่นี่น่ะหรือ จะถ่างตารอใคร...ไม่มีทาง!
ไม่ปิดไฟเข้ามุ้งนอนแต่หัววัน ก็เมาหัวราน้ำ หลับคาขวดเหล้าไม่รู้เรื่องรู้ราว ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะมีใครเข้าออกในบ้านตอนไหน โจรถือมีดเข้ามาปาดคอตาย ก็คงยังไม่รู้ตัวอยู่นั่นเอง
ก็บ้านมันเป็นเสียแบบนี้ มีอะไรให้น่าอยู่กันเล่า...
ดวงตาดุดันจ้องมองคนตรงหน้า ความรู้สึกห่วงใยและเกลียดชังผสมปนเปกัน แยกไม่ถูกว่าเอนเอียงไปทางไหน เป็นครอบครัวเดียวกันประสาห่าเหวอะไรไม่รู้ แค่เห็นหน้ากันก็พาลหงุดหงิด ครั้นเปิดปากพูดจากันก็ยิ่งหัวร้อนไปกันใหญ่
“ลูกหลานบ้านอื่นเค้าตั้งอกตั้งใจเรียนกัน เรียนให้มันสูงๆ จะได้หาเงินมาให้ใช้ ไอ้เหี้ยเอ๊ย! ไม่รู้เวรกรรมอะไรของกู มีลูก...ลูกก็แรดไปมีผัวตั้งแต่เด็ก อาศัยอะไรไม่ได้ แถมยังเอาภาระมาโยนให้กูนี่!”
“...”
“ส่วนมึง...ไอ้หลานเหี้ย! มึงนี่มันก็ไม่รักดี ยิ่งโตก็ยิ่งเหี้ย เหมือนพ่อมึงไม่มีผิด ”
สารพัดคำพ่นด่าเหยียดยาว เห็นได้ชัดว่ายังเมาค้าง
คนเป็นตาพูดวนมาเรื่องเก่า ราวกับด่าทอได้ไม่รู้เบื่อ แต่ไอ้คนโดนบ่นนี่สิเกินคำว่าเบื่อไปไกลลิบ อยากจะอาละวาดเต็มทน
“เอ้า! เอาไป จะได้หุบปากเสียที”
ตัดปัญหาโดยวิธียอดฮิตในละครไทย...ใช้เงินปิดปากแม่ง!
ธนบัตรเขียวๆ แดงๆ ถูกควักออกจากกระเป๋าเสื้อ กึ่งส่งกึ่งโยนไปให้ พอเงินถึงมืออีกฝ่าย คำด่าก็ดูจะเบาลงโดยอัตโนมัติ ชายแก่นับแบงก์ยับๆ ในมือ เมื่อพลิกซ้ายพลิกขวา นับสองรอบแล้วยังลงความเห็นว่าจำนวนไม่เป็นที่น่าพอใจ คนเอาแต่เมาทำมาหากินเองไม่ได้ก็นิ่วหน้า
“กะอีแต่เงินขี้ปะติ้ว มันจะไปพอยาไส้อะไร ซื้อเหล้ากูขวดเดียวก็หมดแล้ว!” ค่อนแคะว่าขี้ปะติ้ว แต่เจ้าตัวก็เก็บเงินทั้งหมดยัดลงกระเป๋าเสื้อว่องไว “แทนที่จะไปโรงร่ำโรงเรียนเหมือนลูกชาวบ้านเค้า เรียนสูงๆ หาเงินมาให้กูเยอะๆ ก็เสือกเกกมะเหรกเกเร คบแต่เพื่อนชั่วๆ แต่ละตัวชาวบ้านเค้าสาปส่งกันทั้งนั้น ระวังเถอะ...มึงจะสันดานชั่วตามพวกมัน”
“พอได้แล้วโว้ย! กูจะบ้าตายอยู่แล้ว!”
“นี่มึงขึ้นมึงกูกับกูเลยเหรอ! ไอ้เด็กเนรคุณ!”
“เออ กูรำคาญ! ทนฟังมานานแล้ว ด่ากูไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นหรอก เลี้ยงกูมาแบบเหี้ยๆ โตมามันก็ต้องเหี้ยอย่างนี้แหละ”
“ไอ้ดำ! มึงนี่มัน...แล้วนั่น จะไปไหนอีกหา ไอ้เด็กเหี้ย...@#$%”
คำพูดหลังจากนั้นดำไม่ได้อยู่ฟังต่อ...
ร่างสูงเดินดุ่มๆ ออกมา อยากตะโกนใส่หน้าตาแก่นั่นเหลือเกินว่า หากเขายังไปโรงเรียน เงินที่ยัดใส่มือให้เมื่อกี้จะมีปัญญาหามาจากไหน คนเป็นหลาน แม้อายุยังไม่บรรลุนิติภาวะ ยังเป็นวัยเยาว์ เขาจึงทำได้เพียงรับจ็อบเล็กๆ รับจ้างแบกนั่นแบกนี่ไปเรื่อย ใครใจดีหน่อยก็ตบรางวัลกันไป รายได้เท่าหยิบมือ แต่ค่ากินค่าอยู่ โดยเฉพาะค่าเหล้า ติดหนี้เจ้าของร้านยาดองเป็นประจำ ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป คงอดตายเข้าสักวัน
ใครจะรู้ว่าไม่ถึงเดือนหลังจากตีกันบ้านแตกวันนั้น ไอ้แก่ขี้บ่นที่ดำชอบด่าลับหลังก็ตายจากไป
เมาแล้วล้ม...
หัวกระแทกหิน สมองกระทบกระเทือน เลือดคลั่งตาย
ครอบครัวคนสุดท้ายหายไปจากเขาแล้ว...
ต่อให้เมื่อตอนมีชีวิตทั้งเบื่อทั้งหน่าย เกลียดขี้หน้า แถมรำคาญขนาดไหน แต่เมื่อกลับมาบ้านแล้วพบเจอความอ้างว้าง ไม่เหลือใคร คนหัวใจหยาบกระด้างอย่างเขาก็ได้รู้จักกับความวูบไหว มันเหมือนตัวเองกลายเป็นเรือลำหนึ่ง ลอยคว้างกลางทะเล มองไปทางไหนก็มืดมิด ไม่เห็นเงาของมนุษย์คนใด
ทว่าความเศร้าแบบนั้น คนอย่างไอ้ดำแกร่งเกินกว่าจะมานั่งหมดอาลัยตายอยาก เขาเรียนรู้การอยู่บนลำแข้งของตัวเองมาตั้งแต่เด็ก ไม่นานต้นไม้ต้นหนึ่งก็พยุงตัวเองรอดพ้นจากพายุที่โหมกระหน่ำ หยั่งรากลึกอยู่บนโลกต่อไปได้
ข้อดีที่ดำค้นพบจากการอยู่คนเดียวนั่นคือ ไม่ต้องฟังตาบ่น ชีวิตเป็นของตนเต็มที่ เขาจะสำมะเลเทเมา ไม่กลับบ้านกลับช่อง ร่อนไปร่อนมาแห่งหนตำบลใด คราวนี้ไม่มีใครห้ามได้แล้ว เขาเที่ยวเตร่ไปกับกลุ่มเพื่อนที่มีชีวิตคล้ายๆ กัน ไอ้พวกเด็กมีปัญหา กร้านโลก ปากกัดตีนถีบ มีด้านมืดมากกว่าด้านสว่าง
สุภาษิตไทยกล่าวว่า ‘คบคนพาล พาลพาไปหาผิด’
คบคนแบบใด นิสัยสันดานก็จะพาลไปเหมือนคนกลุ่มนั้น ดำเคยคิดเสมอว่าเขามีปัญญาควบคุมตัวเองได้ ทว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่โอนเอน อ่อนไหวกับสิ่งเร้า นานวันเข้าเขากลับกลายเป็นใครอีกคน โดยที่ตัวเองไม่ได้ตั้งใจ เพื่อนที่รายล้อมรอบข้างมีอิทธิพลมากกว่าที่คิด ดำซึมซับความเลวร้ายเข้าสู่สันดาน
เขากลายเป็นอันธพาล ต่อยตีกับคนถ้วนหน้า เห็นเลือดคนไหลรินแทบทุกวัน ยิ่งมีพวกพ้องคอยส่งเสริม ผสมกับความคึกคะนอง ต้องการความยิ่งใหญ่ ในที่สุดความถูกผิดและเหตุผลความดีงามใดๆ ก็พ่ายแพ้ให้กับความสะใจไปวันๆ
ไอ้เลว
โคตรเหี้ย
คนชั่ว!
คำว่า ชั่ว...ชั่ว และชั่ว...กลายเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของไอ้หนุ่มอันธพาลไปโดยปริยาย
แค่ดำเอาหน้าตาเหมือนมหาโจรไปโผล่ที่ไหน คนละแวกนั้นจะทำทีไม่คบค้า ชาวบ้านร้านตลาดล้วนถอยห่าง พ่อแม่เตือนลูกเล็กของตน อย่าเอาเขาเป็นเยี่ยงอย่าง
เข้าตำรา รูปชั่ว...ตัวดำ...สันดานเลว...
หึ!
ชั่วช้าสารเลวสิ้นดี...