ตอนที่12 • สวัสดีวันฝนตก
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย: การทำงานตากฝนในวันที่ฝนตกจะทำให้ร่างกายอ่อนล้าได้ไวขึ้น
อีเว้นท์อีกเหรอ... ดูแล้วก็ไม่น่าใช่
เกมนี้มีอีเว้นท์มากมายหลายสิบจนเกือบจะถึงหลักร้อย แน่นอนว่ามันต้องมีอีเว้นท์ที่NPCมาบุกบ้านเราบ้างแหละ แต่ว่าทุกเหตุการณ์แบบนั้นล้วนแล้วจะมีเงื่อนไขว่าเราต้องต่อเติมบ้านให้ใหญ่ขึ้นก่อน ถึงจะต้อนรับแขกได้
แล้วนี่มันอะไร... ผมเหล่มองแขกที่มารบกวนยามดึกกะทันหัน หลังจากอาคาริเข้าบ้านมาวางกระเป๋าแล้วเขาก็นั่งลงกับพื้นอุ้มหมาก็อตซิลล่าขึ้นมาเกาหน้าท้องเล่น
คิดๆดูแล้วก็นึกขึ้นได้ว่านายบาร์เทนเดอร์นี่ก็บุกเข้าบ้านผมตั้งแต่วันแรกที่ผมโผล่มาอยู่ในเกมนี้แล้วนี่หว่า ทำไมมันถึงทำตัวหลุดออกนอกบทของเกมได้ขนาดนี่เนี่ย หรือว่าก่อนหน้าที่ผมตายจะมีคนอื่นที่ชอบเกมนี้เหมือนกันตายแล้ววิญญาณย้ายมาสิงร่างอาคาริก่อนแล้วกันนะ
“นี่ นายเคยตายมั้ย เอ๊ย...” ฉิบหาย ผมตะครุบปากตัวเองไม่ทัน
อาคาริชะงักมือที่ขยำท้องหมาแล้วหันมาทางผมที่นอนกลิ้งอยู่บนเตียง
“ไม่พอใจที่ฉันมาขอค้างด้วยขนาดนั้นเลย?”
“เปล่าๆๆ คือฉัน... ฉันคิดอะไรเพลินไปหน่อยเฉยๆเว้ย จริงๆจตนนะ” ผมรีบโบกมือปฏิเสธ พร้อมกับรีบเปลี่ยนเรื่อง “เออ แล้วทำไมอยู่ดีๆถึงมาค้างด้วยอ่ะ”
นัยน์ตาสีฟ้าซีดเหลือบมองหนังสือข้างตัวผม “อ่านนิยายแฟนตาซีมากไป?”
“ไม่ใช่!” ขอยืนกรานปฏิเสธในแง่ไม่ได้อ่านนิยายแต่ชีวิตมันแฟนตาซีของมันเอง “ถามก็ตอบดิ!” ทำไมชอบให้มีน้ำโหเนี่ย
เขาหัวเราะหึหนึ่งทีอย่างน่าหมั่นไส้ ก่อนจะหมุนตัวให้นั่งหันมาทางผมแล้วเริ่มเล่า “พยากรณ์อากาศบอกว่าพรุ่งนี้ฝนตกหนัก เรือโดยสารรอบหลังสองทุ่มเลยหยุดให้บริการ”
ผมยกแขนขึ้นมาเท้าคางฟัง
“พอนักท่องเที่ยวออกจากหมู่บ้านไม่ได้เลยแห่มานอนโรงแรมจนห้องเต็ม” ผมมองริมฝีปากบางๆที่ขยับเล่าเหตุการณ์ออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ สลับกับเหลือบมองมือที่ลูบขนฟูๆของลูกสุนัขไปมาไม่หยุด “คุณไบรอันเลยมาขอให้ฉันสละห้องที่ฉันใช้อยู่ไปให้แขกพัก”
ผมครางอ๋อเบาๆเมื่อเข้าใจเรื่องราว แต่เดี๋ยว......
“แล้วนายมาบ้านฉันทำไม บ้านช่องก็มีให้กลับ”
“ก็กลับไปแล้วล่ะ... แต่เจอพ่อเลยทะเลาะกันอีก”
ผมกลอกตา “นายก็เลยหนีออกมานอนกับฉันแทนสินะ”
“อืม”
...ให้มันได้อย่างนี้สิ
“ตามสบายนายแล้วกัน” ผมเอื้อมมือไปคว้านิยายขึ้นมาอ่านต่อ “เสร็จแล้วก็ขึ้นมานอนล่ะ เตียงแคบไปก็ทนๆหน่อย”
“งั้นฉันนอนพื้นเอง”
“เหอะ ฉันไม่มีผ้าห่มหรือหมอนอีกชุดอ่ะ นอนๆไปเหอะ” ผมเห็นจากหางตาว่าอาคาริลุกขึ้นยืนแล้ว เขาคงกำลังจะไปอาบน้ำ “สมัยเรียนฉันนอนเบียดกับเพื่อนบ่อย แค่นี้ไม่เป็นไรหรอก”
“ถ้านายไม่ถือก็เอาแบบนั้นก็ได้” อาคาริจบบทสนทนาไว้แค่นั้นแล้วเขาก็หยิบเสื้อผ้าเดินเข้าห้องน้ำไป ผมกลับไปนอนตะแคงอ่านนิยายแฟนตาซีต่อ ไม่รู้เวลาผ่านไปกี่นาที แต่ผมพลิกอ่านไปได้ไม่กี่หน้าก็ได้ยินเสียงนิ่งๆกล่าวทักขึ้นมาว่าจะปิดไฟแล้ว ผมเลยวางหนังสือ หลังจากบ้านมืดได้ไม่กี่อึดใจ ผมก็รู้สึกได้ว่าพื้นที่บนเตียงข้างตัวนั้นยวบลง
...และผมดันลืมเรื่องพื้นฐานไซส์ร่างกายคนเอเชียกับฝรั่งมันต่างกัน ไม่เช่นนั้นก็อาจเพราะผมคงกะความกว้างของเตียงผิดไป
ตอนนี้ทั้งผมทั้งอาคาริไม่สามารถนอนหงายได้แม้คนใดคนหนึ่งก็ตาม ขนาดนอนตะแคงหลังยังชนกันเลยครับ
“แคบกว่าที่คิดว่ะ”
“ตอนแรกถึงจะได้นอนพื้นไง”
“นอนได้ป่ะ นี่พยายามทำตัวลีบที่สุดแล้วนะ” ผมพยายามกระดึ๊บเว้นระยะห่างออกมาอีกนิด แต่ก็ติดข้อจำกัดว่าใช้หมอนใบเดียวกันอีกทำให้ไปไหนไกลกว่านี้ไม่ได้
“ฉันไม่มีปัญหา นายเอาที่ถนัดเถอะ อย่าละเมอถีบกันก็พอ”
เท่าที่ผ่านมาผมยังไม่เคยโดนเพื่อนคนไหนบ่นว่าละเมอไปถีบมันตอนนอน เออแต่หมอนี่มันน่าหมั่นไส้ แกล้งละเมอถีบดีมั้ย ไหนๆก็มาชี้โพรงให้แล้ว
“ไม่งั้นฉันจะได้หาอะไรมาทับนายไว้”
“...…”
ถามจริงนี่ไม่ได้รู้ทันกันใช่ป่ะ
“ราตรีสวัสดิ์”
ไม่นานผมก็ได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอ หลับง่ายดีชะมัด ผมขยับหัวปรับท่าให้ถนัดอีกนิดหน่อย เกือบจะพลิกตัวแล้วแต่ระลึกขึ้นได้ก่อนว่าไม่ได้นอนบนเตียงคนเดียว ขณะที่กำลังเคลิ้มๆก็ดันนึกถึงนิยายที่อ่านเมื่อก่อนนอนขึ้นมา ในนั้นก็มีฉากที่พระเอกกับผู้หญิงที่เหมือนจะเป็นนางเอกนอนด้วยกันบนเตียงแล้วตื่นมาในสภาพที่กอดกันอยู่ด้วย
.........
ผมขำพรืดกับความคิดตัวเองเบาๆ ไม่น่านะ... ไม่ ชีวิตแฟนตาซีของผมคงไม่ต้องเจอพล็อตพวกนี้หรอกมั้ง
••••••
ไม่มีครับ
ฉากตื่นมากอดกันอะไรนั่น ซึ่งก็ดีแล้วไม่งั้นได้ขำตายชัก
เอาจริงๆคือไม่รู้หรอกว่าสรุปได้มีใครนอนดิ้นไปกอดใครรึเปล่า เพราะพอผมรู้สึกตัวลืมตาขึ้นมาอาคาริก็ลุกไปอาบน้ำแต่งตัวแล้ว
“กี่โมงแล้ว...” ผมพลิกตัวเอื้อมไปคว้านาฬิกาข้อมือบนหัวเตียงมายกดูในสภาพที่ยังตื่นไม่เต็มตา
“ใกล้จะหกโมง” อาคาริตอบไปผูกหูกระต่ายบนคอเสื้อไป
เวลาตื่นของผมพอดีเป๊ะ
“ทำไมตื่นไวจัง โรงแรมเปิดตั้งแปดโมง”
“ต้องไปช่วยเตรียมของก่อนคาเฟ่เปิด ที่นี่ไกลด้วยเลยต้องเสียเวลาเดินอีก” เขาจัดหูกระต่ายจนเข้าที่แล้วก็หันไปมองทางหน้าต่าง “ฝนตกแล้ว”
ผมผงกหัวขึ้นมามองตาม ก็เห็นหยดน้ำมากมายกำลังไหลผ่านหน้าต่างไป เงี่ยหูฟังอีกหน่อยก็จะได้ยินเสียงฝนแว่วออกมาจากข้างนอกบ้าน ท้องฟ้าเช้านี้จึงดูมืดเป็นพิเศษ
“ไม่ต้องรดน้ำแปลงผัก ก็ดีไปอีกแบบ” ผมว่าแล้วบิดขี้เกียจยืดเส้นยืดสายทั้งที่ยังนอนอยู่บนเตียงนั่นล่ะ
“ขี้เกียจเป็นแมวเลย”
ผมเหล่มองคนพูดที่เดินเข้ามายืนค้ำหัว
“ใครว่า ขยันกว่าตั้งเยอะ ฉันนอนทั้งวันแบบแมวที่ไหน”
อา... แต่ฝนตกแล้วอากาศเย็นดีจัง ไม่อยากลุกจากที่นอนเลย
“ลุกขึ้นมาให้อาหารหมาได้แล้ว” หนวกหูว่ะ มาอาศัยคนเขาค้างแท้ๆ ผมทำหน้ารำคาญใส่อาคาริแล้วแสร้งทำเป็นหลับตาลงอีกรอบ
“บ๊อก!”
“เฮ้ย” ผมสะดุ้งโหยงเมื่อลืมตาโพลงมาเจออาคาริอุ้มลูกสุนัขคอลลี่สีน้ำตาลมาจ่อห่างจากใบหน้าแค่คืบ “รู้แล้วๆ ตื่นแล้วว”
“ต้องให้แกล้งทุกที” เขาบ่นผมแบบไม่จริงจังแล้วย้ายลูกก็อตซิลล่าไปไว้ที่กองผ้าประจำตัว “ขอเปิดโทรทัศน์นะ”
ผมเลิกคิ้ว “ตามสบาย ดูอะไรอ่ะ ข่าวเหรอ?”
“พยากรณ์อากาศ อยู่ที่นี่ควรเช็คทุกวัน”
ผมพยักหน้าเป็นเชิงรับทราบ ไม่แปลกที่หมู่บ้านกลางป่ากลางเขาแถมติดทะเลจะให้ความสำคัญกับสภาพอากาศ ยิ่งผมทำงานในฟาร์มยิ่งต้องคอยวางแผนให้ดี
โทรทัศน์ในบ้านผมมีแค่สี่ช่อง ปกติผมดูแค่ช่องพยากรณ์อากาศที่จะบอกอากาศในวันรุ่งขึ้น ค่อนข้างแม่นพอสมควร ใช่ครับ แม่นกว่าประเทศเมืองร้อนที่เคยอยู่แน่นอนอ่ะ
พยากรณ์อากาศในวันนี้บอกว่าฝนจะตกหนักแบบนี้ไปทั้งวัน มันก็ต้องเป็นงั้นนั่นล่ะ ในเกมก็ไม่เคยเห็นจะมีฝนตกครึ่งวันแดดออกอีกครึ่งวันอะไรเสียหน่อย และอากาศไม่แปรปรวนหนาวเป็นร้อนร้อนเป็นโคตรร้อนแบบบางประเทศแน่ๆ
“พรุ่งนี้ถึงจะแดดออก แขกคงเริ่มเดินทางกลับพรุ่งนี้ ยังไงคืนนี้ก็น่าจะต้องรบกวนนายอีก” อาคาริสรุปแบบนั้น ซึ่งผมก็ไม่ได้ขัดข้องอะไร เจ้าตัวคุ้ยกระเป๋าเป้หยิบร่มพับสีดำออกมาแล้วทิ้งสัมภาระที่เหลือไว้ที่มุมหนึ่งในบ้านของผม ขณะที่เขาเดินไปทางประตูเตรียมตัวจะออกไปเข้างานก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ผมกำลังคลานลงจากเตียง
“แล้วก็” ผมหันไปตามเสียง เห็นคนทำท่าจะเปิดประตูออกไปแต่ยังทำเพียงแค่กำลูกบิดเอาไว้ “ช่วงนี้ห้ามมาโรงแรม แขกเยอะ ฉันไม่อยากทำงานเพิ่ม”
เอ๊า แบบนี้ก็ได้เรอะ
••••••
ผมยืนฟังเสียงฝนอยู่หน้าบานประตูบ้าน อีกความหมายก็คือยืนลังเลว่าจะใช้ชีวิตอย่างไรในวันที่อากาศเลวร้ายเช่นนี้ดี
ตอนเล่นWonderfarm lifeในเกมบอยผมจำได้ว่าวันฝนตกตัวละครในเกมมันวิ่งลุยฝนทั้งแบบนั้น และไม่มีNPCหน้าไหนถือร่มเดินไปมาสักราย… พิลึกเนอะ สงสัยว่าหมู่บ้านนี้เชื้อไวรัสหวัดแพร่มาไม่ถึง อาการที่เลวร้ายที่สุดที่เราเจอมีแค่ทำงานหนักจนเป็นลมเท่านั้น ดื่มแค่ยาชูกำลังก็หาย สะดวกสบาย ต่อให้วิ่งขึ้นเขาหรือผ่าฟืนกลางสายฝนตัวละครก็ไม่เป็นหวัดหรือไข้ขึ้นทั้งสิ้น
ผมชอบชีวิตในเกมนี้จัง
ร่มคงไม่ใช่ไอเทมที่จำเป็นนักสำหรับเกมนี้ เอ่อ... ผมจะทำเป็นลืมๆภาพที่อาคาริหยิบร่มออกมาเมื่อเช้า เพราะยังไงหมอนั่นก็เป็นNPCที่นอกบทที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมา ผมไม่ควรเก็บข้อมูลอะไรจากมันทั้งสิ้น เชื่อผมสิ เชื่อผม!
ผมยังคงยืนเหม่อฟังเสียงฝนอยู่ พอฝนตกแล้วอากาศในบ้านก็เย็นเสียจนอยากจะคลานกลับไปคลุกอยู่บนเตียงแล้วนอนอ่านหนังสือเหลือเกิน ทว่าม้ากระรอกน้อยของผมก็ยังรอให้ผมไปทักทายและแปรงขนอยู่ ผมจะมามัวขี้เกียจไม่ได้
เอาวะ แค่ลุยฝนเอง สมัยเรียนก็ทำบ่อยๆไม่เห็นเป็นไร วิ่งรวดเดียวไปให้ถึงคอกม้าเลยแล้วกัน
คิดได้ดังนั้นผมก็ฮึดจับลูกบิดหมุนเปิดประตูผลัวละออกไปวิ่งสู้ฟัดกลางสายฝน
“หนาวโว้ยยยยยยยย”
••••••
“ว้าย เพทายทำไมตัวเปียกแบบนั้นล่ะจ๊ะ”
แพททริเซียกับเน็กซ์ถามเสียงหลงทันทีเมื่อผมเอาสภาพลูกหมาตกน้ำของตัวเองเข้าไปทักทายที่ห้องสมุด
“ข้างนอกฝนตกหนักน่ะสิ” ผมยืนบิดเสื้ออยู่หน้าทางเข้า จะให้เดินเข้าไปข้างในทั้งอย่างนี้ก็ออกจะรู้สึกผิดเกินไปหน่อย “โทษที กลัวหนังสือเปียกเลยไม่ได้หยิบหนังสือมาคืน”
ว่าแต่ทำไมทุกคนตัวแห้งกันหมดล่ะ ไหงถึงมีผมคนเดียวที่เปียกเป็นลูกหมาตกน้ำแบบนี้ หนาวไปถึงกางเกงในแล้วเนี่ย
“ไม่เป็นไรจ้ะ แล้ว… ทำไมถึงไม่กางร่มมาล่ะ”
ผมถึงกับเลิกคิ้ว
“เอ๊ะ ใช้ร่มกันด้วยเหรอ?”
“.........”
“.........”
คู่สนทนาทำท่าเหมือนสมองรวนไปแล้ว แพททริเซียเบิกตาราวกับได้ยินว่ามีไดโนเสาร์ออกลูกเป็นแมวน้ำ แว่นกลมๆที่เจ้าตัวใส่อยู่กับผมสีน้ำตาลเข้มที่เปียไว้หลวมๆเสริมกับตาโตๆทำให้เธอดูเหมือนนกฮูกยังไงไม่รู้
“อย่าทำหน้าน่ารักแบบนั้นใส่คนอื่นสิ ฉันหึงนะ” จู่ๆแฟนหนุ่มของเจ้าตัวก็เอ็ดขึ้นมา แพททริเซียจึงมีอาการหน้าแดงเพิ่มด้วย กลายเป็นนกฮูกสายพันธุ์ใหม่
“เน็กซ์! พูดอะไรก็ไม่รู้”
“ฉันหวงของฉันได้มั้ยล่ะ ยัยนกฮูกเอ๊ย”
โอ๊ะ ไม่ได้มีผมคนเดียวสินะที่คิดว่าแพททริเซียเหมือนนกฮูก
“...คนบ้า” สุดท้ายสาวเจ้าก็ยอมแพ้ บ่นพึมพำแล้วก็ก้มหน้างุด จะชมว่าน่ารักดีก็ชมได้ไม่เต็มปากเพราะแฟนเขาก็นั่งอยู่ด้วยกัน ว่าแต่ข้างนอกฝนตกลงมาเป็นน้ำเชื่อมรึยังเนี่ย ข้างในเหม็นความรักไปหมดแล้ว ฝนไม่เป็นน้ำตาลก็น่าจะตกลงมาเป็นสีชมพูบ้างล่ะ ณ จุดนี้
ผมตัดสินใจได้ทันทีว่าวันนี้จะไม่ยืมนิยายรักกลับไป ไม่สิ ผมควรไปจากที่นี้เลยเสียมากกว่า ทีแรกงานเสร็จแล้วจึงตั้งใจแวะมานั่งอ่านคู่มือการรีดนมวัว แต่เจอบรรยากาศแบบนี้ผมก็ไม่มีหน้าอยู่เป็นก้างต่อแล้วครับ
“ฉันแค่แวะมาบอกเฉยๆ ว่าจะเอาหนังสือมาคืนวันที่ฝนไม่ตกแล้วน่ะ” เมื่อผมหาเหตุผลที่จะชิ่งได้แล้วก็ไม่รอช้า “ไปละ”
“เดี๋ยว สรุปแล้วนายไม่มีร่มจริงเหรอ” เน็กซ์เบรกผมไว้ก่อนที่ผมจะกลับหลังหันออกไป
“หึ ไม่มีอ่ะ” อย่าว่าแต่ยังไม่เคยเห็นตัวละครกางร่มในเกมเลย ผมไม่ยักเห็นจะมีร้านไหนขายร่มสักร้านด้วยนี่หว่า
“ทำไมไม่ไปซื้อร้านพ่อฉันอ่ะ”
อ้าว?
“หา ฉันไม่เคยเห็นร่มวางขายบนเชลฟ์ไหนสักเชลฟ์”
เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรกเลยว่าซูเปอร์มาเก็ตมีร่มขาย! เอ่อ... มันอาจเป็นเรื่องปกติทั่วไปแต่ในหมู่บ้านนี้ไม่ใช่ไงครับ ผมไปช็อปปิ้งมาตั้งหลายรอบแล้วไม่เห็นจะมีร่มวางไว้ที่มุมไหนสักมุม ผมถึงได้คิดเองเออเองว่าเดินตากฝนในหมู่บ้านกันเป็นปกติอ่ะ ผมไม่ผิดนะ ผมแค่เชื่อมโยงเก่ง!
“ของที่ขายออกไม่ค่อยบ่อยพ่อฉันจะเก็บเอาไว้หลังร้านแล้ววางแคตตาล็อกไว้ที่เคาท์เตอร์แทน นายไม่เคยรู้เลยรึไง”
“.........”
ถ้ารู้กูจะมาวิ่งเล่นน้ำฝนแบบนี้มั้ยล่ะ
••••••
มีใครหลายคนมักพูดว่าโลกใบนี้นั้นโหดร้าย ซึ่งตัวผมไม่เห็นด้วยกับคำพูดนั้น
เพราะจะเป็นโลกใบไหนแม่งก็โหดร้ายเหมือนกันหมด
“ฮัดชิ้ว!”
“วิ่งตากฝนตั้งแต่เช้ายันเย็นเลยเหรอ” เสียงทุ้มเป็นเอกลักษณ์ถามขึ้น ผมลืมตามองอาคาริที่ถือขวดอะไรสักอย่างเดินมาทรุดตัวนั่งบนเตียงที่ผมนอนอยู่ “นายบ้ารึเปล่า”
“......ฮัดชิ้ว!” ผมเถียงไม่ออกเลยจามกลบเกลื่อนไปอีกรอบ
ไหนใครว่าหมู่บ้านนี้ไม่มีเชื้อหวัดไง ผมป่วยเข้าเต็มๆเลยเนี่ย!!
อะไรนะ ผมบอกเองเหรอ ขอโทษครับ โง่เอง ด่าได้ครับแต่อย่างแรงเพราะโง่ไปแล้ว
พอกลับจากห้องสมุดผมก็เข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เผลองีบไปแป๊บเดียวตื่นมาก็ตัวร้อนจี๋ คงเพราะวิ่งตากฝนอยู่หลายชั่วโมงนั่นล่ะ ผมจึงหนีความจริงไม่พ้นนอนจับไข้หวัดกินเป็นซากสิ่งมีชีวิตอยู่บนเตียงให้อาคาริกลับมาด่าซ้ำหลังมันเลิกงาน
“ดื่มซะ” บุรุษพยาบาลจำเป็นยื่นขวดเล็กๆในมือมาให้ “เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็หาย”
ผมรับขวดมาจากมืออาคาริ พลิกดูแล้วก็พบว่าเป็นไอเทมที่คู่มือเกมอธิบายว่าคือยาชูกำลัง
…ถามจริง?
“ดื่มแค่ยาชูกำลังมันจะไปหายได้ยังไง” ผมท้วงด้วยเสียงอู้อี้ แทบจะเขวี้ยงขวดไปเป็นของกำนัลด้วย ถึงผมจะโง่แต่ก็โง่อย่างมีขอบเขตนะเว้ย
“ของที่นี่สกัดมาจากสมุนไพรบนเขา” อาคาริอธิบายสรรพคุณพร้อมบริการพิเศษฉกขวดกลับไปเปิดฝาให้แล้วส่งคืนมาอีกครั้ง “ ไม่เชื่อลองกินแล้วตื่นมาดูอาการพรุ่งนี้”
ผมทำหน้าไม่เชื่อถืออย่างแรง แต่เมื่อไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจึงได้แต่ยันตัวลุกขึ้นมากระดกยาชูกำลังปริศนานั่น รสชาติมันก็หวานๆเหมือนยาชูกำลังที่ผมเคยดื่มแต่มีติดกลิ่นฉุนแบบสมุนไพรด้วย
“ดื่มเสร็จแล้วก็นอนซะ”
ครับ สั่งกูเป็นแม่เลยครับ ผมไหลตัวกลับลงไปนอนแล้วกลิ้งไปชิดมุมด้านในของเตียง ได้ยินเสียงกุกกักอยู่อีกพักใหญ่อาคาริถึงปิดไฟและปีนขึ้นมานอน
ควับ
“………”
ผมรู้สึกได้ว่ามีท่อนอะไรบางอย่างวาดผ่านลำตัวและล็อคอยู่บริเวณขาของตัวเอง
“ราตรีสวัสดิ์”
“...นายเอาขามาพาดฉันทำไม”
“เมื่อคืนนายนอนกินที่ ถ้าไม่ติดว่าคืนนี้หนาวฉันก็จะเอาผ้าห่มมัดนายไว้อยู่หรอก”
สอบถามครับ แขกบ้านอื่นเขาเรื่องมากแบบที่ผมเจออยู่รึเปล่า
ผมจามหนึ่งทีก่อนจะพูดแก้ต่างให้ตัวเอง
“เวลานอนมันก็ต้องใช้พื้นที่ขยับตัวกันบ้าง เตียงมันแคบต่างหาก”
“ป่วยก็รีบๆนอนไป”
“แล้วใครมันเป็นคนก่อนเริ่มฮะ!?!”
“………”
ไม่มีเสียงตอบรับ มีแต่เสียงลมหายใจเข้าออก เฮ้ย มึงจะหลับไวเกินไปแล้ว
ผมได้แต่นอนอึดอัด ไม่สบายก็หายใจลำบากอยู่แล้วยังจะมาโดนล็อคขาไว้อีก พยายามขยับยุกยิกให้หลุดออกจากการพันธนาการแต่เตียงก็โคตรแคบจนแทบไม่มีพื้นที่ให้ใช้หนี เลยได้แต่ขยับขาขึ้นลงซึ่งก็ไม่ค่อยจะได้ผลเท่าไหร่…
หมับ
“ถ้ายังไม่หยุดดิ้นอีกฉันจะนอนทับนาย”
ผมได้ยินน้ำเสียงนิ่งๆพูดอยู่แถวใบหูพร้อมกับรับรู้ได้ว่ามันตวัดแขนมารัดลำตัวผมเพิ่มด้วย
ยังไม่หลับหรอกเร้ออออ
“รัดขนาดนี้แล้วก็ไม่ต่างอะไรจากนอนทับแล้วมั้ย… โอ๊ย อย่าทับจริงสิวะ หนัก หนักเว้ย โอเค ยอมแล้ว ไม่ดิ้นแล้ว นี่ฉันป่วยอยู่นะ!”
คือกูประชด ไม่ได้ชี้โพรงให้มึงกลิ้งมาทับกูจริงๆโว้ยยย
นี่มันกะเอาให้ผมตัวแบะติดเตียงชัดๆ เล่นทิ้งน้ำหนักลงมาทั้งตัวเนี่ย อาศัยสรีระคนตะวันตกที่ตัวใหญ่กว่ามารังแกกันแบบนี้แล้วผมจะไปชนะได้ยังไงวะฮะ เสียดายที่ตอนแรกผมนอนหันหลังให้อาคาริ ไม่เช่นนั้นผมก็คงมีจังหวะให้จามใส่หน้ามันเป็นการเอาคืนแล้ว
อาคาริกลิ้งลงจากตัวผม แต่ยังไม่ยอมปล่อยผมเป็นอิสระ
“ทำไมต้องกลัวฉันดิ้นขนาดนั้นด้วย” ผมบ่น พยายามยกแขนที่โดนรัดไว้ขึ้นมาถูจมูก
“ฉันสงสัย…”
สงสัยอะไรอีก ว่าแต่เมื่อกี๊ยังไล่ให้ผมนอน แม่งมาชวนคุยต่อซะงั้น
“นาย… ไม่รู้สึกแปลกๆบ้างเหรอที่เล่นถึงเนื้อถึงตัวขนาดนี้กับผู้ชายด้วยกัน…”
หือ?
“ฉันไปถึงเนื้อถึงตัวนายตอนไหน” มีแต่มึงเนี่ยที่กลิ้งมานอนกอดกู
“…......”
“?”
“ตอนนั้นนายยังเอาหัวนายมาแนบปากฉันอยู่เลย” เสียงทุ้มๆเหมือนจะขุ่นขึ้นนิดหน่อย หรือผมคิดไปเองก็ไม่รู้
“อ๋อ”
“………”
นี่ผ่านมาตั้งหลายวันแล้วยังคาใจเรื่องนั้นอยู่อีกเหรอ ผมถึงกับลืมไปแล้วด้วย
“ตอนนั้นมันคิดแค่อยากจะเอาคืนเฉยๆ อย่าซีเรียสน่า นอนเหอะ” ผมตอบปัด ชักจะเริ่มง่วงแล้ว เมื่อกี๊ผมดื่มยาชูกำลังเข้าไปจริงดิ ทำไมง่วงวะ ไปลาออกจากการเป็นยาชูกำลังไป๊
แต่จู่ๆแรงกอดรัดจากข้างหลังก็เพิ่มขึ้น
“โอ๊ย อึดอัด ปล่อยฉัน” อยากจะวอนขอให้เลิกรังแกคนป่วยสักที โกรธแค้นอะไรผมนักหนา กะอีแค่หลอกให้จุ๊บเหม่งทีเดียวเนี่ย
“หมั่นไส้เฉยๆ อย่าซีเรียสน่า”
ดูมันย้อน!
เล่นแบบนี้เหรอ อย่าคิดว่าผมป่วยแล้วผมจะยอมนะเว้ย
“นี่ ฉันว่าฉันลืมบอกนายไว้ก่อน…” ผมเปลี่ยนมาใช้น้ำเสียงที่เหมือนกับตอนใช้คุยกับสาวๆ แม้มันจะอู้อี้เหมือนเป็ดเพราะหวัดก็ตาม พร้อมกับยกมือข้างหนึ่งขึ้นแตะบนแขนที่รัดเอวของตัวเองไว้อยู่
“....!!”
ผมแกล้งลูบลำแขนแกร่งช้าๆ สัมผัสได้ว่าเขาเกร็งกว่าทีแรก ผมจึงหัวเราะอิอิในใจแล้วพูดต่อ “ที่จริง...ฉันเป็นไบน่ะ...”
“...ไบ?”
“ไบเซ็กชวลไง” ผมหยุดเมื่อไล้ลงมาถึงมือของอีกฝ่าย แกล้งกุมมือเขาเอาไว้แล้วใช้ปลายนิ้วเขี่ยเบาๆ “จะหญิงหรือชายฉันก็ชอบหมด เพราะงั้นถ้าเกิดฉันมีอารมณ์เพราะนาย รับผิดชอบด้วยแล้วกันนะ”
อาคาริดึงแขนพรวดออกจากตัวผมแทบจะทันที
ก๊ากกกก
“ฮ่าๆๆๆ แค่ก...” ผมหัวเราะตัวงอจนไอค่อกแค่ก
“...แกล้งฉันอยู่รึไง” ผมได้ยินเสียงขยับตัว พอเอี้ยวตัวไปมองก็เห็นว่าคนข้างๆยันตัวขึ้นมา เงาขยับไหวๆเหมือนกำลังยกแขน รู้ตัวอีกทีหน้าผากตัวเองก็ถูกเคาะเข้าเบาๆ
“ก็ส่วนนึงด้วย” ผมยกมือลูกหน้าผากป้อยๆ “แต่ฉันพูดจริงนะเรื่องที่ฉันเป็นไบน่ะ”
“เหรอ” เขาจับมือผมออกแล้ววางมือของตัวเองมาอังหน้าผากผมแทน “ฉันยังเห็นนายมองสาวๆในหมู่บ้านตาเป็นประกายอยู่เลย”
อ้าว ก็เกมนี้เขาเซ็ทมาให้จีบสาวนี่หว่า
“ฉันชอบมองผู้หญิงมากกว่า แต่ถ้ามีผู้ชายเข้ามาหาก็ไม่ได้รังเกียจ” ผมไม่ได้มีสเป็คผู้ชายตายตัวเท่าไหร่ ปกติที่เจอกันตามร้านเหล้าหากเขาเข้ามาจีบแล้วผมรู้สึกถูกชะตาก็ถึงจะยอมตามไปด้วย ยังไม่เคยเจอผู้ชายที่เข้าตาจนอยากเดินไปจีบเองเหมือนกัน
ผมได้ยินเสียงถอนหายใจ
“นี่ฉันตามคนเมืองไม่ทันแล้วหรือว่านายเพี้ยนกันแน่”
เอ็งนั่นล่ะเพี้ยน นี่มันศรรตวรรษที่เท่าไหร่แล้ว เขาเปิดกว้างเรื่องเพศกันจะตาย จะว่าไปแล้วในเกมนี้เขานับปีกันยังไงผมก็ไม่รู้เหมือนกัน......
ผมพลิกตัวให้นอนหงายแล้วหันหน้ามองไปทางอาคาริ “นายแค่ไม่เคยเจอคนแบบฉัน ไม่ได้แปลว่าฉันเพี้ยนสักหน่อย”
“ก็จริง” เขาย้ายหลังมือจากหน้าผากลงมาแนบเข้าที่ซอกคอผมต่อ “ตัวร้อนน้อยกว่าเมื่อกี๊แล้ว”
ผมว่าอาคาริต่างหากที่เพี้ยน เมื่อกี๊พอผมบอกว่าตัวเองชอบผู้ชายเขาก็ผละออกจากผมอย่างกับผีโดนพระเครื่อง พอเหมือนจะใจเย็นลงแล้วก็ดันมานอนลูบหัวลูบคอผมต่อหน้าตาเฉย
ผมแกล้งจับมืออาคาริอีกรอบ คราวนี้อาคาริไม่ได้ชักมือหนี แต่ดันจับมือผมกลับ
“ฉันไม่เคยนึกชอบเพศเดียวกัน” เขาว่างั้นแล้วขยับตัวมาคร่อมผม
เออ กูรู้ครับ ไม่งั้นจะแกล้งเหรอ
...เดี๋ยวนะ
“ที่จริงตั้งแต่วันนั้นฉันก็รู้สึกแปลกๆมาตลอด” เจ้าของเสียงทุ้มใช้มือข้างที่ยังว่างยกขึ้นมาเกาคางผมเล่น “คนที่ควรรับผิดชอบน่าจะต้องเป็นนายมากกว่า”
“.........”
ผมไม่แน่ใจนัก แต่ผมคิดว่าผมได้ยินเสียงหัวใจเต้นดังผิดปกติ ไม่รู้ว่าเสียงนั่นมาจากอีกฝ่ายหรือเป็นหัวใจของตัวเอง
“อย่างตอนนี้...ถ้าไม่ใช่เพราะฉันอยากแกล้งนายเกินกว่าที่จะคิดอะไรมากนัก” ปลายคางผมถูกล็อคแล้วดันให้หันหน้าเอียงไปทางซ้าย ต่อมาคนด้านบนก็ฝังจมูกลงที่บริเวณหลังใบหูและสูดลมหายใจเข้าไปฟอดใหญ่ “ก็อาจเป็นเพราะฉันเริ่มจะสนใจนายแล้วมั้ง”
ผมหาเสียงตัวเองไม่เจอไปพักใหญ่
นี่ผมกำลังไข้ขึ้นจนเกิดฝันแปลกๆใช่มั้ยครับ บอกผมทีว่ามันเป็นแบบนั้น
หลังจากพบว่าสมองป่วยๆของตัวเองในตอนนี้ไม่สามารถประมวลผลคำตอบที่เหมาะสมกับสิ่งที่ได้ยินออกมาได้ ก็เพิ่งรู้ตัวว่าเมื่อกี๊ตัวเองถูกหอมไปด้วย
“มะ... ไม่กลัวติดหวัดฉันเหรอ” ผมถามด้วยเสียงเบลอๆ เหมือนยังเก็บกวาดสติตัวเองกลับมาไม่ครบ
บัดซบ มันใช่เวลาที่กูจะพูดงั้นเสียเมื่อไหร่ แต่คำตอบของอาคาริทำให้ผมเหวอหนักกว่าเดิม
“กลัว ถ้าไม่กลัวคงจูบปากไปแล้ว”
“ฟัคยู!”
การด่าไม่จำเป็นต้องใช้สติครับ มาจากสันดานได้อัตโนมัติ
“รอนายหายดีก่อนค่อยทำก็แล้วกัน”
...จังไร
“กูด่ามึงต่างหากเว้ย”
อาคาริหัวเราะแล้วขยับออกไปทิ้งตัวนอนดีๆ “ก็นายเป็นซะแบบนี้ถึงได้น่าแกล้ง”
หา สรุปว่านี้แกล้งกันอยู่หรอกเหรอ ถึงผมจะเป็นคนพูดเองว่าอย่าซีเรียส แต่ที่อาคาริมันทำอยู่ออกจะเลยเถิดเกินไปมั้ง ทำเอาใจสั่นไปพักหนึ่งเชียวนะ
เออครับ... ยอมรับแบบแมนๆเลยครับว่าเมื่อกี๊เผลอหวั่นไหวไปกับมันด้วย แม่ง...
TBC.
******
รุกมารุกกลับไม่โกง /อาคาริไม่ได้พูด
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านมากนะคะ สามารถคอมเม้นท์ติชม+ทักท้วงคำผิดได้ทั้งในนี้หรือในแท็กทวิตเตอร์ #สวัสดีฟามรัก ได้เลยค่ะ<3
twitter:
@evilkunbk