✽สวัสดีฟามรัก✽ :: ตอนที่19 ❂ สวัสดีHappy Cow [Update 13/6/2019]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ✽สวัสดีฟามรัก✽ :: ตอนที่19 ❂ สวัสดีHappy Cow [Update 13/6/2019]  (อ่าน 7575 ครั้ง)

ออฟไลน์ Evilkun

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

★゜・。。・゜゜・。。・゜☆゜・。。・゜゜・。。・゜★

สวัสดีฟามรัก

บทนำ

เชื่อกันมั้ยล่ะครับ
ว่าตัวเองจะได้เข้าไปอยู่ในเกมล่าสุดที่เล่นก่อนตาย
ผมคนหนึ่งล่ะที่ไม่เชื่อ......
หลังจากโต้รุ่งนั่งเล่นเกมปลูกผักในตำนานไป
ก็เลยเล่นแชร์โพสท์แบบนั้นขึ้นหน้าเฟซบุ๊คเอาฮาต่อ
จนกระทั่งผมตาย แล้วลืมตาขึ้นมาอยู่ในโลกของเกมที่เพิ่งเล่นไปจริงๆ
ว่าแต่
ทำไมเหตุการณ์ที่ผมเจอมันไม่เห็นจะตามเนื้อเรื่องเกมเท่าไหร่เลยวะ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ไหงคนที่มันควรจะเป็นศัตรูหัวใจแข่งจีบสาวกับผมมันถึงหันมาจีบผมแทนอ่ะ...?

★゜・。。・゜゜・。。・゜☆゜・。。・゜゜・。。・゜★

ตอนที่1  •  ตอนที่2  •  ตอนที่3  •  ตอนที่4
ตอนที่5  •   ตอนที่6  •  ตอนที่7  •  ตอนที่8
ตอนที่9  •  ตอนที่10  •  ตอนที่11  •  ตอนที่12
ตอนที่13 •  ตอนที่14 •  ตอนที่15 •  ตอนที่16
ตอนที17 •  ตอนที่18 •  ตอนที่19 •  ตอนที่20(soon)

★゜・。。・゜゜・。。・゜☆゜・。。・゜゜・。。・゜★
สวัสดีค่า

ก่อนอื่นเลย ขอขอบคุณทุกท่านที่กดเข้ามามากๆค่ะ
เนื่องจากไม่ได้เขียนนิยายมาเป็นสิบปี...... แถมนิยายเรื่องนี้ยังเป็นนิยายวายเรื่องแรกที่เขียนเลย อาจมีติดขัดล่าช้าอะไรไปบ้าง ยังไงก็ขอน้อมรับคำติชมทุกประการนะคะ *โค้ง*
ผู้เขียนชอบเล่นเกมปลูกผักอย่างเกม Harvest M***ปนๆกับStardew V***** มากๆ (เซ็นเซอร์ทำไม...) พอมานอนคิดๆว่าปลูกผักเลี้ยงสัตว์จริงๆมันคงไม่ง่ายแบบในเกมหรอก ก็เลยเกิดเป็นนิยายเรื่องนี้ขึ้นมา
ทีแรกว่าจะเขียนออกมาเป็นฟิคชั่น แต่เพราะอยากเล่ามุมมองของตัวเอกผู้ปลูกผักมันก็ออกจะรู้สึกแปลกๆถ้าจะให้ตัวละครที่คิดขึ้นมาเองไปคู่กับตัวละครในเกมที่มีอยู่แล้ว ก็เลยสร้างมันขึ้นมาใหม่ให้หมดเลยแล้วกัน55555555
โดยตัวเกม ข้อมูลและตัวละครของเกมปลูกผักที่จะกล่าวถึงในนิยายนั้นเป็นสิ่งที่ผู้เขียนคิดขึ้นมาใหม่เองไม่มีอยู่จริง แต่เนื่องจากอยากให้บรรยากาศของตัวเกมออกมาเป็นสไตล์ปลูกผักจีบสาวจีบหนุ่มแบบดังสองเกมที่ว่า จึงจะมีส่วนที่ยังคล้ายคลึงกันพอสมควรค่ะ

หากใครชื่นชอบทั้งสองเกมนี้ก็สามารถมาคอมเม้นท์พูดคุยกันได้นะคะ! หรือจะติดแท็กทวิตเตอร์ #สวัสดีฟามรัก ก็ได้เหมือนกันค่ะ<3

#สวัสดีฟามรัก
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-06-2019 18:52:11 โดย Evilkun »

ออฟไลน์ Evilkun

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Re: #สวัสดีฟามรัก :: ตอนที่1 • Prologue
«ตอบ #1 เมื่อ30-04-2019 21:42:25 »

ตอนที่1 • Prologue
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย: ก่อนจะเริ่มทำฟาร์มตัวเอกก็ต้องย้ายมาอาศัยอยู่ก่อน

‘แชร์โพสท์นี้ แล้วชาติหน้าคุณจะได้เกิดอยู่ในเกมล่าสุดที่คุณเล่น’

พวกคุณก็คงเคยเล่นอะไรแบบนี้กันบ้างตามโซเชียลเน็ตเวิร์คเหมือนกันใช่มั้ยล่ะครับ

แน่นอนว่าผมก็เช่นกัน

Petye Zircon
‘วันเดอร์ฟาร์ม ไลฟ์ว่ะ5555555’

ผมพิมพ์ชื่อเกมที่เพิ่งเล่นล่าสุดลงไปก่อนที่จะกดแชร์โพสท์

วันเดอร์ฟาร์ม ไลฟ์คือเกมปลูกผักทำฟาร์มชื่อดังที่ทำลงเครื่องเกมต่างๆนานาออกมาหลายรุ่น เนื้อหาเกมหลักๆก็คือตัวเอกที่เราเล่นจะย้ายมาอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆเมืองหนึ่งที่ชื่อซันนี่วิลเลจ และก็จะได้บ้านกับที่ดินร้าง มาให้เราจัดการดูแลจนกลายเป็นฟาร์ม พร้อมทั้งต้องสร้างความสัมพันธ์กับคนในหมู่บ้านเพื่อเก็บอีเว้นท์เหตุการณ์ต่างๆในเรื่อง รวมไปถึงจีบสาวและแต่งงานด้วย ตั้งแต่ผมเด็กๆจนปัจจุบันนี้ตัวเกมก็ถูกพัฒนาออกมาหลายภาค ซึ่งแต่ละภาคที่รองรับแต่ละเครื่องเล่นก็จะมีความแปลกใหม่แฟนตาซีแตกต่างกันไป แต่ภาคที่ผมชอบที่สุดก็ยังคงเป็นภาคเก่าแก่ที่ลงในเครื่องเกมบอย ผมรู้สึกว่ามันคลาสสิคถูกใจและเป็นความทรงจำสมัยเด็กอีกต่างหาก สมัยเด็กๆผมชอบเกมนี้มากครับ ติดงอมแงมเข้าขั้นซื้อคู่มือเกมมานั่งอ่านบทสรุป

กล้าพูดได้เต็มปากเลยว่าตอนนั้นตั้งใจอ่านยิ่งกว่าหนังสือเรียนอีก......

และหลังจากที่ผมแชร์โพสท์นั้นออกไปไม่นาน ก็มีแจ้งเตือนว่าเพื่อนๆและของผมก็เข้ามาคอมเม้นท์กัน

ธีรภพ จบนะ เหยด นึกภาพคุณชายอย่างมึงทำไร่ทำนาไม่ออกจริงๆครัช
Wannakorn Phongsakul ชาตินี้พกสูตรโกงเงินมาเกิดแล้วก็อย่าลืมจำเผื่อชาติหน้าไปด้วยนะคุณหัวกะทิ5555555
ไกรวิทย์คนเดิม เพิ่มเติมเชิญหลังไมค์ โห น้ำหน้าอย่างไอ้ทายคงได้แต่จ้างภูติช่วยงานไปตลอดชีวิตแน่

อยากจะด่าเพื่อนว่าไอ้เวร แต่ก็จริงอย่างที่พวกมันว่า ผมแทบจะเรียกได้ว่าพกสูตรโกงเงินมาเกิด เมื่อลืมตาดูโลกธุรกิจที่บ้านก็อู้ฟู่พ่อแม่ก็ฐานะร่ำรวยอยู่แล้ว ชีวิตไม่เคยต้องลำบากลำบนอะไรสักนิด

ไม่อยากจะอวดเท่าไหร่ แต่จะบอกให้ว่าแม้แต่รถเมล์ผมยังไม่เคยที่จะต้องขึ้นเลยนะขอบอก!

อ๋อ จังหวัดที่ผมอยู่มันไม่มีรถเมล์ให้ขึ้นน่ะ555555555555555555555

มุกนี้ผมใช้เล่นได้จนถึงสมัยมัธยมปลาย เพราะพอย้ายมาเรียนมหาวิทยาลัยในกรุงเทพผมก็ต้องเคยขึ้นรถเมล์บ้างแล้วเหมือนกันน่า

ช่างประเด็นเรื่องรถเมล์ไปเถอะครับ จะว่าไปแล้วผมยังไม่ได้แนะนำตัวเลยนี่หว่า แถมเมื่อกี๊ยังมีหน้าไปแนะนำเกมปลูกผักก่อนอีกด้วย... อะแฮ่ม สวัสดีครับ กระผมนายเพทาย สมบัตินิรันดร เห็นไหม ขนาดชื่อนามสกุลยังดูรวยอ่ะ

ธุรกิจที่บ้านของผมคือร้านขายส่งวัสดุก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัด ทวดของผมเป็นชาวจีนแผ่นดินใหญ่ที่ย้ายถิ่นฐานมาทำมาหากินที่ประเทศไทย ทดลองค้าขายจับธุรกิจต่างๆนานาจนสุดท้ายมาได้ดีกับธุรกิจนี้ ผลพวงจากความขยันของบรรพบุรุษจึงตกมาอยู่แก่ลูกหลานอย่างผม วันๆไม่ต้องทำอะไรนอกจากทำตัวหรูและเรียนหนังสือ

พูดให้ถูกคือแทบไม่ได้รับอนุญาตให้ทำอย่างอื่นนอกจากเรียนหนังสือเลยดีกว่า

ก็ตามประสาลูกชายครอบครัวเชื้อสายจีนนั่นล่ะครับ ผลการเรียนต้องมาอันดับหนึ่ง สมัยเด็กๆที่ยังพอมีเวลาได้เล่นเกมบ้างก็เพราะเนื้อหาในบทเรียนมันไม่ยากจนทำเกรด4ได้ แต่พอขึ้นมัธยมปุ๊บชีวิตเปลี่ยนปั๊บ สิงสถิตอยู่กับสถาบันกวดวิชายิ่งกว่าบ้านของตัวเองอีก ตอนเข้ามหาลัยก็ต้องเป็นมหาลัยรัฐมีชื่อ เลือกคณะที่เป็นสายวิทยาศาสตร์เท่านั้น ยังดียังไม่บังคับให้ผมสอบหมอตามสูตรสำเร็จเป๊ปทีน

และแน่นอนว่าผมก็ต้องคว้าเกียรตินิยมเหรียญทองมาเป็นศรีแก่วงศ์ตระกูลและเพื่อให้พ่อให้แม่เอาไปเกทับญาติขี้อวดให้ได้อีก......

ขนาดเกรดเฉลี่ยรวมของผมล่าสุดได้ตั้ง 3.89 จนเพื่อนๆในภาคขนานนามว่ามหาเมพก็ยังโดนถามว่าแล้วอีก0.11หายไปไหนเลย

เฮ้อ......ชินละ

ผมนึกพลางแค่นยิ้มให้ตัวเอง เหลือบมองไอคอนเกมปลูกผักที่โหลดมาเล่นกับโปรแกรมเกมบอยซิมูเลเตอร์ในคอมพิวเตอร์ “ถ้าชาติหน้ามีจริงก็ขอไปทำฟาร์มเก๋ๆจีบสาวไปวันๆพอบ้างก็ดี จะได้ไม่ต้องมานั่งกดดันกับเรื่องตัวเลขบนใบเกรดแบบชาตินี้ สาธุ”

••••• 

ก่อนหน้านี้ผมเพิ่งผ่านการสอบไฟนอลครั้งสุดท้ายของช่วงมหาลัยไป ถือเป็นการสอบที่สูบวิญญาณผมมาที่สุดในชีวิต เพื่อที่จะได้จบภายในสามปีครึ่ง ผมอัดรายวิชาที่เหลืออยู่ให้หมดๆภายในเทอมแรกของปีสี่ เยอะถึงขนาดหน่วยกิตทะลุเกินจากที่มหาลัยจำกัดไว้จนต้องไปทำเรื่องขอเรียนเกินหน่วยกิต ซึ่งก็ได้รับการอนุมัติมาอย่างง่ายดายเนื่องจากผมมีเกรดเฉลี่ยอันสูงลิ่วมาการันตีว่าจะสามารถฝ่าฟันวิชาห่านเหวพวกนี้ให้รอดภายในเทอมเดียวได้

ใช่ ผ่านพ้นพวกมันมาได้เมื่อสองวันก่อน แทนที่ผมจะนอนพักผ่อนให้หายเหนื่อยจากการอ่านหนังสือโต้รุ่งติดๆกันหลายวัน ผมดันใช้เวลาหลังจากพาตัวเองกลับมาถึงห้องในคอนโดใกล้ๆมหาลัยโหลดเกมมาเล่นมาราธอนไม่หลับไม่นอนมาจนถึงเมื่อครู่นี้เอง

และแล้วตอนนี้ผลของการพักผ่อนไม่เพียงพอก็กำลังเริ่มเล่นงานผม

“ปวดหัวชิบ...” ผมพึมพำกับตัวเอง ยกมือกดหัวตาและนวดคลึงเบาๆ ไม่ไหว กระเพาะก็ส่งเสียงประท้วงราวกับกำลังด่าทอพฤติกรรมการเล่นเกมจนลืมกินข้าวของผมไปด้วย

ผมตัดสินใจว่าจะลงไปใต้คอนโดหาอะไรกินแล้วขึ้นห้องมาหลับให้ลืมโลก คว้ากระเป๋าสตางค์โทรศัพท์ก้าวออกจากห้องเดินไปลงบันไดหนีไฟ ผมอยู่ชั้นไม่สูงมาก เวลาลงมันไม่เมื่อยเท่าตอนขึ้นผมเลยมักขี้เกียจรอลิฟท์แล้วใช้บันไดแทน

แต่ถ้ารู้ก่อนว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น ผมก็คงยอมอดทนรอลิฟท์อ่ะนะ

ผมที่กำลังปวดหัวหนึบได้ที่เกิดวูบหน้ามืดในจังหวะที่ก้าวขาลงบันได

พรืด

และโลกก็หมุนติ้ว

มึงมาเป็นลมอะไรเอาจังหวะนี้อีเพทายยยยยยยยยยย

เออ... ตกบันไดไปตามระเบียบสิกู

ในจังหวะที่หมดแรงแม้กระทั่งจะส่งเสียงร้อง ผมก็เพิ่งรู้ว่าคนเราสามารถก่นด่าตัวเองในใจขณะที่กลิ้งตกบันไดได้หลายคำอยู่เหมือนกัน

ตึง โครม!   

ร่างผมไถลไปถึงตีนบันได รู้สึกได้ว่าศีรษะของตัวเองถูกกระแทกอย่างจัง ความเจ็บปลาบแล่นไปทั่วร่าง

หลังจากนั้นทุกอย่างก็มืดลง
.
.
.
...
......

ปวดหัว...

ปวดหัว ปวดหัว ปวดหัว ชีวิตนีกูมีแต่คำว่าปวดหัว โอ๊ย ปวดหัวโว้ย

หลังจากได้สติมาหลายนาทีผมจึงฝืนลืมตาขึ้น มุ่นคิ้วเล็กน้อยหลังจากพบว่าภาพที่เห็นไม่คุ้นตาเท่าไหร่  เท่าที่จำได้

......... ที่นี่ที่ไหนวะ......

จำได้ว่าโง่ตกบันไดเองแถวบันไดหนีไฟคอนโด ทำไมถึงได้ตื่นมาอยู่ในกระท่อมไม้ยังกับมีคนลักพาตัวมาได้เนี่ย

ไม่ใช่บันไดหนีไฟแน่ๆ และห้องผมก็ไม่ใช่เพดานแบบนี้ แต่จะบอกว่าเป็นเพดานโรงพยาบาลมันก็ดูเป็นโรงพยาบาลที่อินดี้เกินไป หรือว่าผมตายแล้ว? แบบนั้นที่นี่มันจะเป็นสวรรค์หรือนรกล่ะ... แต่โทรมงี้น่าจะเป็นนรกแหง นี่นรกของจริงมันงบน้อยขนาดนี้เลยเหรอ

“ดูเหมือนเจ้าจะฟื้นแล้วสินะ”

“เหี้ย!”

อยู่ๆก็มีเสียงพูดดังขึ้นมาข้างลำตัว อิแม่ หัวใจจะวาย คนยิ่งกำลังงงๆอยู่ พอหันศีรษะไปมองก็พบว่ามีสาวสวยกำลังยืนค้ำหัวจ้องมาทางผม ผมสีทองสว่างถูกถักเปียรวบไว้ครึ่งหัวส่วนที่เหลือยาวสยายไปถึงสะโพก ดวงตาเรียวโตสีเดียวกับเส้นผมหรี่ลงนิดๆ ริมฝีปากเล็กรูปกระจับสีแดงอมยิ้มหน่อยๆ ชุดกระโปรงยาวสีขาวลายปักสีฟ้าสวยงามแถมยังระยิบระยับด้วยพลอยเม็ดเล็กๆที่ติดชุดอยู่ประปราย
 
โว้ว นางฟ้า นางฟ้าชัดๆ! สรุปว่าผมตายแล้วได้ขึ้นสวรรค์ใช่มั้ยครับ ฟ้าคงประทับใจที่ผมมีผลการเรียนดีเด่นเลยส่งผมมาสวรรค์เป็นแน่ ไชโย

ว่าแต่ดูเป็นนางฟ้าที่หน้าตาคุ้นๆเหมือนผมเคยเห็นที่ไหนยังไงไม่รู้แฮะ

เหมือนสุดสวยตรงหน้าจะตัดสินจากท่าทางของผมว่าผมน่าจะตกใจจนสติหลุดไปอีกรอบแล้ว จึงได้เอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง “เจ้าไหวรึเปล่า”

ผมกระพริบตาปริบๆ ดึงสติตัวเองให้กลับมาอีกครั้งก่อนที่จะถามออกไปว่า “เอ่อ... ที่นี่คือที่ไหนเหรอครับ แล้วคุณคือ...?”

ริมฝีปากสวยยกยิ้มกว้างขึ้นและเอ่ยตอบสิ่งที่ผมถาม “ที่นี่คือกระท่อมในฟาร์มร้างของหมู่บ้านซันนี่วิลเลจ ส่วนตัวเรานั้นคือเทพธิดาแห่งทะเลสาบบนภูเขาหลังหมู่บ้านแห่งนี้”

ครับ

......อะไรนะ

เดี๋ยวก่อน

“หา?” นี่ผมฟังผิดหรือโดนอำ

“เจ้าไม่ต้องทำสีหน้าเหลือเชื่อขนาดนั้นก็ได้” สาวสวยที่เรียกตัวเองว่าเทพธิดากล่าวต่อ “ที่นี่คือโลกที่พวกเจ้าเรียกว่าเกมวันเดอร์ฟาร์ม ไลฟ์”

“.........” เดดแอร์เลยกู

ทำไมยิ่งคุณเธออธิบาย ผมถึงได้ยิ่งงงกว่าเดิมวะครับ

และผมคงทำหน้าโง่มาก คุณเทพธิดาก็เลยเงียบรอให้ผมทำความเข้าใจ ผ่านไปอีกหลายนาทีทีเดียวที่กว่าผมจะเรียกสติที่รู้สึกจะหลุดหายไปหลายรอบเหลือเกินตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาได้อีกครั้ง

“คือคุณกำลังจะบอกว่า... ผมตายแล้วมาเกิดใหม่ในโลกของเกม...?” ผมถามทวนพลางค่อยๆยันตัวลุกขึ้นมานั่งคุยดีๆโอย ปวดเนื้อปวดตัวไปหมด เพิ่งสังเกตเห็นว่าเนื้อตัวผมถลอกปอกเปิกด้วย ตายแบบไหนก็สภาพแบบนั้นแถมความเจ็บปวดด้วยเหรอเนี่ย โลกหลังความตายมันสมจริงอย่างนี้นี่เอง คัลเจอร์ช็อคเลยให้ตาย

พอกวาดสายตามองสาวผมทองขึ้นลงอีกครั้งก็นึกออกแล้วว่าเคยเห็นเจ้าหล่อนที่ไหนมาก่อน

เออ เทพธิดาในเกมปลูกผักที่ผมเล่นก็ผมสีทองตาสีทองชุดสีขาวพูดไปอมยิ้มไปแบบนี้เป๊ะๆเลยนี่หว่า!!

โธ่เอ๊ย ก็ผมเห็นภาพเธอเป็นภาพกากๆสองมิติมาตลอด มาเจอเป็นคนสามมิติสวยทะลุจอขนาดนี้ใครจะไปจำได้ในแว้บแรกเล่า!

คุณเทพธิดานิ่งไปชั่วครู่ “จะกล่าวอย่างนั้นก็ไม่ถูกเสียทีเดียว”

แล้วต้องกล่าวอย่างไหนถึงจะถูกล่ะครับ เห็นผมสอบได้ที่หนึ่งรัวๆนี่ไม่ได้แปลว่าผมจะเข้าใจได้ทุกเรื่องนะเฮ้ย

“เจ้าเคยเอ่ยว่าปรารถนาชีวิตเช่นนี้ไม่ใช่รึ...”

ผมนิ่งงัน พลันประโยคที่เคยกล่าวลอยๆเอาไว้ก็ดังขึ้นมาในสมอง

‘ถ้าชาติหน้ามีจริงก็ขอไปทำฟาร์มเก๋ๆจีบสาวไปวันๆก็พอบ้างก็ดี จะได้ไม่ต้องมานั่งกดดันกับเรื่องตัวเลขบนใบเกรดแบบชาตินี้ สาธุ’

“ข้าทำให้ปรารถนาของเจ้าให้เป็นจริงแล้วก็ลองมีความสุขกับวิถีชีวิตที่เจ้าต้องการดูเสียสิ”

“......”

คือชาติหน้ากูมันจะมาถึงเร็วไปมั้ยครับ


TBC.

******

สารภาพว่าเรื่องนี้เกิดไอเดียมาจากที่เบื่อๆจากงานบริษัทจนอยากจะหนีไปอยู่ในป่าในเขา
แต่คิดไปคิดมาชีวิตจริงมันก็คงไม่ง่าย ทำไมถึงดูไม่น่าสนุกเหมือนเกมปลูกผักเลยวะ <<<แล้วก็ปิ๊งไอเดียนิยายเรื่องนี้ขึ้นมาค่ะ5555555
ปัจจุบันเราแต่งถึงตอนที่16แล้วค่ะคาดว่าช่วงแรกๆคงมาอัพไวหน่อย
หลังจากนั้นก็คงช้ากว่าเดิมเพราะเราเป็นคนแต่งนิยายช้าค่ะ แง อย่างไรก็ขอฝากตัวด้วยนะคะ

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านมากนะคะ สามารถคอมเม้นท์ติชม+ทักท้วงคำผิดได้ทั้งในนี้หรือในแท็กทวิตเตอร์ #สวัสดีฟามรัก ได้เลยค่ะ<3
twitter:  @evilkunbk

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
o13
 :pig4:
รออ่านต่อน๊า
 :3123:

ออฟไลน์ Evilkun

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ตอนที่2 • สวัสดีครับหัวหน้า
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย: ก่อนที่จะเริ่มต้นทำฟาร์ม หัวหน้าหมู่บ้านจะพาเราทัวร์ก่อน

หลังจากที่ผมคุยไปงงไปกับเทพธิดาแห่งทะเลสาบอะไรนั่นอยู่พักใหญ่ ผมก็พอจะสรุปใจความได้ว่าผมเป็นลมตกบันไดตายแล้วเข้ามาเกิดใหม่ในเกมวันเดอร์ฟาร์ม ไลฟ์ เกมปลูกผักขวัญใจวัยรุ่นนั่นเอง (กรุณาอ่านด้วยน้ำเสียงทีวีแชมป์เปี้ยน)

คือผมอยากรู้ว่าคุณเทพธิดานั้นพาผมมาได้อย่างไร แต่พอผมถามเธอกลับบ่ายเบี่ยงและกล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า

“เจ้าเองก็คงจะพอรู้จักอะไรๆในโลกแห่งนี้มาพอสมควร แต่ข้าขอเตือนเอาไว้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันอาจไม่ได้เป็นไปตามที่เจ้ารู้มาเสมอไป หลังจากนี้เจ้าคงจะต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง หากมีปัญหาอะไรก็ไปหาข้าได้ที่ทะเลสาบ เจ้าคงรู้วิธีเรียกข้าออกมาสินะ”

ก่อนที่เธอจะปล่อยแสงชะว้าบชะแว้บออกมาจากตัวแล้วอันตรธานหายไป

ครับ คุณเทพธิดานั้นได้ทิ้งผมเอาไว้กลางทางเรียบร้อยแล้ว แม่งเอ๊ย คุยกันมาตั้งนานไม่เห็นได้อะไรที่เป็นประโยชน์เลย อย่ามาถือว่าผมท่องบทสรุปเกมได้ทั้งเล่มแล้วจะคิดว่าผมเอาตัวรอดได้เซ่ พาผมมาแล้วก็รับผิดชอบชีวิตผมให้มากกว่านี้ทีสิครับ ฮือ

แล้วไอ้ที่บอกว่าโลกนี้ไม่เหมือนที่ผมรู้นี่หมายความว่ายังไงวะ คือมันยังมีอะไรมากกว่าไอ้ที่ผมเคยเล่นในเกมมาอีกเรอะ นี่ผมยังช็อคที่ตัวเองตายไม่หายเลยนะ ใจบางไปหมดแล้วเนี่ย ช่วยอ่อนโยนกับผมทีได้มั้ย

อันที่จริงก่อนหน้านี้ผมก็ยังคิดว่าเธอเป็นแค่สาวคอสเพลย์เทพธิดากำลังมาเล่นรายการสาระแนกับผมอยู่หรอก จนกระทั่งเธอเหมือนจะรู้ทันความกังขานั้น เลยช่วยใช้พลังรักษาบาดแผลตามตัวของผมจนหายเป็นปลิดทิ้งยันอาการปวดหัวปวดตัว พร้อมทั้งเปลี่ยนชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นที่ผมใส่ไว้ก่อนตายให้เป็นเสื้อเชิ้ตแขนยาวกับเอี๊ยมยีนส์เต็มตัวพร้อมกระเป๋าเป้แบบที่ตัวเอกในเกมนี้ใส่แถมให้ด้วย ผมก็เลยต้องยอมเชื่อครับว่าเธอคือท่านเทพธิดาจริงๆไม่ได้จ้อจี้

ถึงในบทสรุปเกมมันจะไม่เคยบอกไว้ละเอียดว่าเทพธิดาทะเลสาบเขาใช้พลังทำอะไรได้บ้างก็เถอะ แต่ไอ้ที่ผมเห็นมันก็เข้าข่ายพลังวิเศษแหละน่า

“แล้วหลังจากนี้กูจะเริ่มอะไรยังไงดีล่ะวะ”

ผมหย่อนขาลงจากเตียงเดี่ยวขนาดหนึ่งคนนอนพอดิบพอดีที่นั่งอยู่ มองซ้ายมองขวาสำรวจบรรยากาศรอบตัว

กระท่อมที่ผมอยู่นั้นถือว่าเล็กพอสมควร กะเอาจากสายตาแล้วมีพื้นที่แค่ประมาณห้องรับแขกในคอนโดสุดหรูที่ผมเคยอยู่ ทั้งพื้นและผนังทำจากไม้ สภาพไม่ได้ใหม่เอี่ยมอ่องแต่ก็ไม่ได้เก่าจนถึงกับทนอยู่ไม่ได้ ภายในพื้นที่เล็กๆนี้ไม่ได้มีอะไรกั้นแบ่งสัดส่วนชัดเจน เตียงนอนถูกตั้งอยู่ที่มุมหนึ่งของกระท่อม กำแพงฝั่งเตียงนอนไม่มีอะไรนอกจากปฏิทินแขวนไว้เหนือเตียง ส่วนกำแพงฝั่งที่ติดกับหัวเตียงก็มีโต๊ะหัวเตียงตั้งอยู่ ถัดหัวเตียงไปก็เป็นหน้าต่างบานขนาดกลาง ส่วนกำแพงฝั่งปลายเตียงก็มีชั้นหนังสือ ถัดจากชั้นหนังสือไปไม่ไกลมีประตูบานหนึ่ง จากความทรงจำของผมแล้วมันน่าจะเป็นประตูที่ใช้เปิดออกไปกระท่อมนะ

ส่วนตรงกลางห้องมีโต๊ะญี่ปุ่นกลมๆกลับเบาะรองนั่งสองเบาะ อีกฝั่งของผนังตรงข้ามกับฝั่งเตียง มีโทรทัศน์ตูดใหญ่ที่ใช้กันสมัยผมยังเด็กๆตั้งอยู่บนตู้ลิ้นชักเตี้ย ข้างๆมีกระจกบานใหญ่ส่องได้เต็มตัว ถัดจากกระจกก็มีประตูอีกบาน... หืม?

ผมจำได้ว่าในเกมมันมีประตูกระท่อมบานเดียว แล้วอีกบานมาจากไหนวะ

ผมข้องใจจนอดลุกขึ้นไปสำรวจกำแพงฝั่งนั้นไม่ได้ หรือจะเป็นประตูบานที่พาผมมายังโลกนี้...? ไม่ดิ ผมตกบันไดมาแล้วจะมาจากประตูได้ยังไง หรือคุณเทพธิดาจะแบกผมมาวะ ไม่ อย่าคิดไปถึงเคสที่มันชวนน่าขายหน้าแบบนั้นดีกว่า ถูกสาวสวยร่างบางแบกร่างตัวเองขึ้นมาจริงๆนี่มันจะกลายเป็นจุดด่างพร้อยของชีวิตได้เลยนะ

เอาเป็นว่าเลิกเดามั่วซะ เดินมาถึงขนาดนี้ก็เปิดๆแม่งไปให้มันจบๆไปเลยเหอะ

ผมสูดหายใจหนึ่งทีก่อนจะกำลูกบิดเปิดประตูปริศนาบ้านนั้นออกมา

ผ่าง!

เหยดดดดดดดดดดดดด

ผมว่าผมเจอไอ้สิ่งที่คุณเทพธิดาบอกไว้ว่าโลกนี้ไม่เป็นแบบที่ผมรู้เสมอไปแล้วล่ะ

ข้างหลังประตูปริศนามันก็คือห้องน้ำครับ   

อ๊ะๆ อย่ามองเหมือนกับผมเป็นคนบ้าแค่เจอห้องน้ำแล้วมันจะน่าตกใจอะไรนักหนาแบบนั้นสิ ถ้าใครที่เคยเล่นเกมนี้จะทราบครับ ว่าไอ้กระท่อมบ้านี่มันไม่มีห้องน้ำ! สมัยที่ผมเล่นผมก็เคยสงสัยอยู่หรอกว่าไอ้ตัวละครมันไปปลดทุกข์กันที่ไหน ขอบคุณพระเจ้า... ไม่สิ ต้องขอบคุณคุณเทพธิดา ที่มอบของขวัญต้อนรับการมาเยือนของผมเป็นสุขา

พวกคุณคงไม่เถียงผมหรอกใช่มั้ยว่าสุขใดเล่าจะเท่าสุขา รึไม่จริง?

อะไรของกูวะเนี่ย

เอาเป็นว่าหลังจากนั้นผมก็สำรวจกระท่อมน้อยกลอยใจมันทุกซอกทุกมุมก่อนจะไปหยุดที่หน้ากระจก

“คนอะไรหล่อสัสๆ”

เออน่า ให้ผมชมตัวเองหน่อย ผมพูดคนเดียวเก่งนะรู้ยัง

ภาพที่สะท้อนอยู่ในกระจกคือตัวผมที่รูปร่างหน้าตาพิมพ์เดียวกับชาติก่อนเลย ผู้ชายวัยรุ่นผิวขาวตามประสาคนจีน สูงร้อยเจ็ดสิบกว่าตามมาตรฐานชายไทย...... สรุปกูจะเป็นคนชาติอะไรกันแน่ ผมมีตาชั้นเดียวสีดำที่เดชะบุญว่ามันไม่ได้ตี่จนกลายเป็นอาตี๋ขนาดนั้น ผมสีน้ำตาลเข้มยาวระต้นคอพอที่จะทำให้พ่อแม่ด่าว่าไปตัดได้แล้ว โห ผมหน้ายาวขนาดนี้แล้วเหรอวะ โลกนี้มีร้านตัดผมมั้ยอ่ะ ที่จำได้คือหมู่บ้านนี้ไม่มี แล้วผมจะทำยังไงล่ะทีนี่ แต่ขนาดห้องน้ำในกระท่อมยังมีเลย มันอาจเป็นหมู่บ้านที่ศิวิไลซ์กว่าในเกมก็เป็นได้น่า

ที่จริงมันก็น่าแปลกใจที่ผมทะลุข้ามโลกมาทั้งหน้าตาเดิมแล้วล่ะ ปกติมันไม่ใช่ว่าจะต้องมาเข้าร่างใครสักคนที่อาศัยอยู่ในโลกใหม่หรอกเรอะ งงนิดหน่อยแต่ไม่เข้าใจมากๆ มีแต่อะไรที่ผมไม่เข้าใจทั้งนั้นเลยว่ะ ไว้ว่างๆผมคงต้องไปนั่งจับเข่าคุยกับคุณเทพธิดาที่ริมทะเลสาบสักหน่อยแล้ว

แต่พอยังเป็นหน้าตาเดิมของตัวเองมันก็พาให้รู้สึกอุ่นใจกว่าเข้าร่างคนอื่นอย่างบอกไม่อยู่ถูกเหมือนกัน บางทีการทะลุมิติข้ามชาติของผมก็อาจไม่ได้แย่อย่างที่คิด ยิ่งคิดถึงความใส่ใจที่ได้รับจากท่านเทพธิดาเมื่อครู่ก็ทำให้ผมฮึกเหิมขึ้นมาได้

ได้! ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว นายเพทายคนนี้ก็ขอทิ้งชีวิตเก่าที่เอาแต่เครียดเรื่องเกรด มาใช้ชีวิตใหม่เป็นชาวไร่ทำฟาร์มชิคๆ ขุดแร่เก๋ๆ จีบสาวแบบร้ายๆซักตั้งก็แล้วกัน!!

เอาเป็นว่าตอนนี้ผมควรเลิกอุดอู้อยู่แต่ในกระท่อมแล้วออกไปเผชิญกับโลกใหม่ซักที! ฟาร์มจ๋า เพทายมาเยือนแล้วจ้า

••••• 

“สวัสดีเจ้าหนู”

ทันทีที่ผมเปิดประตูออกไป ผมก็เจอกับตาลุงหัวเถิกคนหนึ่งยืนยิ้มทักทายอยู่หน้าประตูกระท่อม

“เอ่อ สวัสดีครับ” ผมพยายามเทียบหน้าลุงกับภาพสองมิติในความทรงจำ ลุงคนนี้คือหัวหน้าหมู่บ้านสินะ ผมจำได้ว่าชื่อลุงแกเหมือนกับเป็ดตัวหนึ่ง

“เธอคงจะเป็นคนใหม่ที่ย้ายมาอยู่ที่นี่ตามที่เจมส์เล่าไว้ ฉันชื่อโดนัลด์ เป็นหัวหน้าดูแลซันนี่ วิลเลจเองนะ”

แต่ตอนนี้ลุงแกดันชื่อเหมือนประธานาธิปดีประเทศหนึ่งในชาติเก่าผมด้วยเช่นกัน หวังว่าลุงคงจะไม่โดนคนในหมู่บ้านด่าหรอกใช่มั้ย

“อ๋อ... ใช่ครับ ผมชื่อเพทาย... เอ่อ...”

ไอ้ผมก็มัวแต่ตื่นเต้นนู่นนี่นั่น จนลืมไปสนิทเลยว่าวันแรกของเกมจะมีอีเว้นท์หัวหน้าหมู่บ้านมาทักทายแล้วพาชมหมู่บ้านนี่หว่า

“สวัสดีเพทาย หลังจากนี้คงต้องฝากเนื้อฝากตัวด้วย” คุณโดนัลด์ส่งยิ้มตาหยีให้ “เธอสนใจจะให้ฉันพาไปแนะนำสถานที่ต่างๆในหมู่บ้านมั้ย?”

ปกติถ้าเป็นเกมจริงๆผมก็จะกดปฏิเสธไปเพราะรู้ทุกซอกทุกมุมของหมู่บ้านมาจากบทสรุปแล้ว แต่ผมไม่รู้ว่าในโลกนี้มันมีอะไรแตกต่างจากตัวเกมที่ผมเล่นบ้างเนี่ยสิ

“ตกลงครับ หากไม่เป็นการรบกวน” ผมส่งยิ้มเกรงใจไปให้หนึ่งที

จะว่าไป ไหนๆก็เข้ามาอยู่ในโลก พอเข้าอีเว้นท์ที่มีตัวเลือกให้นี่คือไม่มีช้อยส์เด้งขึ้นมาเป็นโฮโลแกรมล้ำๆให้เลือกหน่อยเหรอ ผมต้องคิดคำตอบเองหมดเลยจริงดิ เป็นโลกเกมที่ไม่รู้สึกว่าเป็นเกมเลยให้ตาย

“ฮ่าๆๆ ไม่รบกวนอะไรหรอกน่า นี่มันหน้าที่ของฉันนะ” ท่านหัวหน้าหัวเราะร่าอ้าปากกว้างจนเห็นฟันปลอมสีทองหนึ่งซี่ “ตามมาสิเจ้าหนู”

ผมเดินตามคุณโดนัลด์ออกมาหยุดที่หน้าแปลงดินรกๆที่เต็มไปด้วยซากหญ้าซากหินซากไม้จนแทบไม่มีทางให้เดิน กะเอาจากสายตาแล้วกว้างมาก กว้างจนสามารถสร้างตึกเรียนซักสองตึกพร้อมโรงอาหารได้เลย

“หลังจากนี้เป็นต้นไป ที่นี่คือฟาร์มของเธอ ที่อยู่ตรงหน้าเธอคือแปลงผัก ถ้าเธอจัดการกับเศษหินเศษไม้และวัชพืชต่างๆให้ได้หน้าดินที่เหมาะสม เธอจะสามารถปลูกผักตามฤดูกาลบนแปลงนี้ได้”

“ครับ” ผมพยักหน้ารับรู้พลางสบถอยู่คนเดียวในใจ

แม่ง...... ตอนเล่นเกมก็รู้สึกว่ามันรกฉิบหายแล้วนะ มาเจอของจริงนี่โคตรพ่อโคตรแม่รกเลย กว่ากูจะเคลียร์แปลงเสร็จคงหอบแดกไม่ต้องปลูกอะไรแล้วมั้ง

“ส่วนคอกวัวคอกม้าเล้าไก่ก็จะมีให้อยู่รอบๆแปลง เอาไว้เธอมาสำรวจดูเองหรืออยากให้ฉันพาแนะนำดีล่ะ”
“เอาไว้ผมมาสำรวจเองก็ได้ครับ” ที่จริงคือผมพอจะจำได้ว่าอะไรอยู่ตรงไหนอ่ะนะ อีกอย่างคือยังไม่อยากลิ้นห้อยตั้งแต่ยังเดินไม่พ้นฟาร์มตัวเองด้วย

“เอางั้นก็ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ออกไปที่หมู่บ้านกันเถอะ”

ถ้ามองด้วยมุมมองจากด้านบน กระท่อมน้อยๆจะอยู่ที่มุมขวาบนของฟาร์ม ส่วนประตูฟาร์มจะอยู่แถบเยื้องไปทางซ้ายของกระท่อม ออกไปยังหมู่บ้าน ที่จริงอีกฝั่งของฟาร์มมีอีกประตูที่เอาไว้ออกไปที่ภูเขาด้วย

ผมเดินตามคุณหัวหน้าโดนัลด์ออกมายังหมู่บ้าน

“ร้านแรกที่เธอเห็นคือร้านขายไวน์ เวลานี้น่าจะยังไม่เปิดหรอก” ผมจำได้ว่าร้านขายไวน์เปิดสิบโมง และร้านส่วนใหญ่ในหมู่บ้านมักจะเปิดเก้าโมงเช้า ซึ่งขณะนี้เป็นเวลาแปดโมง ไม่มีเวลาบอกที่หน้าจอเกมอะไรหรอกครับ แต่ทำไมผมรู้น่ะเหรอ? คุณเทพธิดาเจ้าเดิมเขาให้นาฬิกาข้อมือผมมาด้วย

นาฬิกานี่คุณเทพธิดาให้มาจริงๆนะ! ผมไม่ได้ยืมเพื่อนที่ไหนมา เพื่อนก็ยังไม่ตายด้วยเพราะกูตายก่อน

อันที่จริงเทพธิดาเองก็เอาใจใส่ผมดีเหมือนกันนะ หรือผมจะเลือกจีบเธอดี

นี่ผักเผิกยังไม่ทันเริ่มปลูกกูก็กะจะม่อสาวแล้วเนอะ

“ตรงข้ามกับร้านไวน์ จะเป็นร้านดอกไม้ ถัดไปในแถบนั้นจะเป็นคลินิกกับโบสถ์” คุณโดนัลด์ชี้ “ส่วนนั่นคือบ้านของฉันเอง ส่วนใหญ่ฉันก็มักจะอยู่ที่บ้านนั่นล่ะ มีช่วงบ่ายของบางวันที่จะออกไปเยี่ยมชาวบ้านน่ะนะ”

ผมเดินเล่นมองนู่นมองนี่ไปพลาง ฟังคุณหัวหน้าหมู่บ้านอธิบายไปพลาง หมู่บ้านไม่ใหญ่โตมากเท่าที่คิด เดินทอดน่องกันประมาณสองชั่วโมงก็วนครบทุกร้าน และผมก็พบว่าโครงสร้างของหมู่บ้านก็ไม่ต่างจากในเกมที่ผมเล่นเท่าไหร่

เออ ผมคงแพนิคคำพูดของเทพธิดามากเกินไปมั้ง

จะว่าไปแล้วผมก็เกิดเอะใจสิ่งหนึ่งขึ้นมาได้

เหมือนตอนที่หัวหน้าหมู่บ้านทักผมทีแรก เขาพูดว่ารู้เรื่องที่ผมย้ายมาจากคุณเจมส์ซึ่งเป็นชาวประมงของหมู่บ้าน ทั้งๆที่ความจริงผมถูกคุณเทพธิดาพาตัวมาไม่ใช่เรอะ

“เอ่อ... คุณโดนัลด์ครับ” ผมตั้งใจเอ่ยถามขึ้นมาขณะที่พวกเราวนกลับมาถึงหน้าร้านไวน์ ตรงข้ามกันนั้นเป็นบ้านของคุณโดนัลด์

“ว่าไง มีคำถามอะไรเหรอ”

“คือ......คุณเคยเจอกับ... เทพธิดาแห่งทะเลสาบ... บ้างรึเปล่าคลับ” ผมถามแบบค่อยๆแผ่วเสียงลงเมื่อพูดถึงคุณเทพธิดาด้วยความไม่มั่นใจ

คุณโดนัลด์เลิกคิ้วเข้มๆขึ้นสูงอย่างประหลาดใจ

“นี่เธอรู้เรื่องเทพธิดาแห่งทะเลสาบด้วยรึ แปลกดีจัง”

ตอบมาแบบเล่นเอาผมทำตัวไม่ถูกว่าควรพูดต่อหรือไม่ควรดีเลยว่ะ

“แฮะๆ ก็... เคยได้ยินมาบ้างน่ะครับ”

“ตำนานว่ากันว่าเทพธิดาแห่งทะเลสาบเป็นเทพที่คอยดูแลปกป้องภูเขาหลังหมู่บ้านของเรา” ท่านประธานา... เอ๊ย ท่านหัวหน้าหมู่บ้านเอ่ยต่อ “ทุกปีเองก็จะมีเทศกาลกราบไหว้บูชาที่ทะเลสาบเหมือนกัน ปีนี้เธอเองก็มาเข้าร่วมดูสิ”

ครับ ไอ้เรื่องนั้นผมก็รู้ครับ คู่มือเกมมันก็บอกอยู่

“แล้ว..... คุณว่าคุณเทพธิดานิสัยเป็นยังไงเหรอครับ”

“โอ๊ย ฉันไม่รู้หรอก ก็ไม่มีใครเคยเห็นท่านนี่นา เด็กวัยรุ่นในหมู่บ้านบางคนยังไม่เชื่อเรื่องนี้เล้ย” คุณโดนัลด์ทำหน้าเศร้าเล็กน้อย “แต่ว่าฉันเชื่อว่าท่านจะต้องมีจริงแน่นอน”

 นี่ถ้าลุงรู้ว่าก่อนหน้าที่ลุงจะมาหาผม เทพธิดายังมาเซย์ไฮอยู่ข้างเตียงผมเนี่ยมีหวังลุงได้ช็อคจนผมร่วงหมดหัวแหง

จากที่หัวหน้าหมู่บ้านกล่าว ทำให้ผมพอจะเดาได้ว่าคนในหมู่บ้านน่าจะไม่มีใครรู้ถึงตัวตนของท่านเทพธิดา แถมตามบทพูดเมื่อครู่แล้ว ผมแน่ใจว่าชาวบ้านคงจะเข้าใจว่าผมคงย้ายมายังหมู่บ้านแห่งนี้ด้วยการเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาด้วยเรือตามเนื้อเรื่องในเกมแน่นอน

โอเค  ในเมื่อเปิดมาตามสตอรี่ขนาดนี้แล้ว ผมก็จะเล่นให้สมกับเป็นผู้ที่รายละเอียดทุกซอกทุกมุมของเกมนี้ให้ดู!

ผมยิ้มหล่อให้กำลังใจ “ผมเองก็เชื่อเหมือนคุณโดนัลด์นะครับว่าเธอจะต้องมีจริงแน่นอน”

ก็เล่นลากคอกันข้ามมิติมาขนาดนี้แล้วไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่ะ

โดยปกติแล้วความสัมพันธ์ระหว่างคนในหมู่บ้านจะมีค่าความสนิทสนมอยู่โดยสามารถเพิ่มได้จากการให้ของขวัญหรืออีเว้นท์ต่างๆ และถึงบทสนทนานี้จะไม่ได้ระบุว่าเป็นอีเว้นท์ไหนของเกมที่เคยเล่น

“เพทาย” คนแก่กว่าถึงกับทำหน้าซึ้งใจ “เธอนี่เป็นเด็กดีจริงๆ”

แต่ผมมั่นใจว่าจากบทสนทนาเมื่อกี๊ผมต้องได้ค่าความสนิทสนมจากท่านโดนัลด์คนนี้บ้างแน่ๆ!!

TBC.

******

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านมากนะคะ สามารถคอมเม้นท์ติชม+ทักท้วงคำผิดได้ทั้งในนี้หรือในแท็กทวิตเตอร์ #สวัสดีฟามรัก ได้เลยค่ะ<3
twitter:  @evilkunbk


ออฟไลน์ Evilkun

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ตอนที่3 • สวัสดีคู่แข่ง
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย: การทักทายชาวบ้านครั้งแรกจะทำให้เราได้ของฟรีมาประทังชีวิตมากที่สุด และหากถูกจังหวะจะเกิดเหตุการณ์แรกพบกับสาวที่หมายปอง

“หากมีเรื่องเดือดร้อนอะไรก็เรียกฉันได้เสมอล่ะ” คุณโดนัลด์กล่าวเมื่อพาผมกลับมาส่งที่ฟาร์มหลังจากทัวร์หมู่บ้านจบลง

ถ้าให้วิเคราะห์ด้วยสมองอันชาญฉลาดของผมที่อัดแน่นไปด้วยทฤษฎีเกมนี้ เสร็จจากคุณโดนัลด์แล้ว เดี๋ยวคุณเจมส์ชาวประมงจะต้องมาแนะนำตัวต่อแน่ๆ

“สวัสดี”

บุคคลใหม่เดินเข้ามาในฟาร์มแทบจะทันทีที่หัวหน้าหมู่บ้านเดินหายออกจากฟาร์มไป

เห็นมั้ย เก่งจริงกู สมแล้วที่ได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งเหรียญทอง

ถึงจะตายมาก่อนได้เอาไปอวดใครเขาก็เถอะ ฮืออออ

“สวัสดีครับคุณเจมส์” ผมยิ้มทักทาย ตามเนื้อเรื่องเริ่มเกม ผมจะต้องเคยเจอชาวประมงคนนี้มาแล้ว เพราะเขาเป็นคนรอต้อนรับตัวละครของเราที่ท่าเรือและพาเรามาส่งที่ฟาร์ม

“เป็นยังไงบ้าง ชินกับที่นี่บ้างรึยัง” ชายฉกรรจ์กล้ามแน่นเอ่ยถามผมพร้อมฉีกยิ้มยิงฟันขาวออร่า

“ก็... พอเริ่มจะคุ้นเคยบ้างแล้วล่ะครับ เมื่อกี๊คุณโดนัลด์ก็พาเดินไปเล่นชมหมู่บ้านมาเหมือนกัน”

“ดีเลย ไว้ว่างๆก็ลองออกไปทักทายคนอื่นๆสิ” คุณเจมส์แนะนำเสริม “นานทีปีหนถึงจะมีคนย้ายมาที่นี่ ทุกคนตื่นเต้นกันใหญ่เลย”

“ผมไปแน่นอนครับ ไม่ต้องห่วง”

เห็นผมเป็นคนเฟรนด์ลี่หรอ อ๋อเปล่าครับ ผมตั้งใจจะไปเก็บอีเว้นท์แรกพบกับสาวๆที่หมายปองจะจีบต่างหาก ชาวบ้านน่ะจะยังไงก็ช่างเถอะ

เป็นคนแบบนี้แหละครับ ใครบอกว่าเป็นเด็กเนิร์ดต้องเรียบร้อย ผมก็ชอบส่องสาวเหมือนผู้ชายทั่วๆไปนั่นแหละ

“ดีเลยๆ ฮ่าๆๆ” เขาหัวเราะพลางเอามือใหญ่ๆมาตบไหล่ผมอย่างชอบใจ “อ๋อ แล้วก็มีอีกอย่างที่ฉันยังไม่ได้บอกนายวันนั้น”

คุณเจมส์ขยับร่างที่ยืนคุยกับผมอยู่หน้ากระท่อมหันหลังเดินออกไปทางแปลงผัก กวักมือให้ผมเดินตามไป ผมสาวเท้าตามไปแม้จะรู้อยู่แล้วว่าเขาต้องการจะบอกอะไร

เดินกันไปไม่กี่ก้าวก็มาหยุดที่หน้าส่วนหนึ่งของแปลงผัก ตรงนั้นมีหีบไม้ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงหน้าแปลงพอดิบพอดี แถมยังห่างจากประตูฟาร์มไม่มาก

“นี่คือหีบใส่ของที่จะส่งออกไปขายต่างเมือง นายอยากเอาผักผลไม้อะไรมาขายก็เอามาใส่ไว้ในนี้ได้ แล้วทุกเย็นวันธรรมดา ช่วงห้าโมงครึ่งฉันจะมาเอาของไป” คุณเจมส์อธิบาย “แล้วฉันจะวางเงินค่าของไว้แทนของที่เอาไป ไม่ต้องห่วงเรื่องกดราคาหรอกนะ สินค้าส่วนใหญ่ในเมืองนี้ถูกกำหนดราคาที่แน่นอนไว้แล้ว”

มีฟังก์ชั่นเร่งเสียงหรือกดข้ามมั้ย แบบว่าผมผ่านคำอธิบายนี้มาเป็นสิบรอบแล้วอ่ะดิ

ลองหยอดคำถามแปลกๆออกไปจะเป็นยังไงนะ

“ไม่ว่าคุณภาพสินค้าหรือแนวทางการตลาดจะเป็นยังไงก็จะขายให้คุณได้ราคาเท่าเดิมเหรอครับ มีทางเพิ่มมูลค่ารึเปล่า แบบถ้าสมมติผมเพาะแตงโมให้ออกมาเป็นทรงสี่เหลี่ยมสำเร็จ จะขายได้ราคาดีกว่าแบบธรรมดามั้ยครับ”

คุณเจมส์ทำหน้างง

“แต่หมู่บ้านเราปลูกแตงโมไม่ขึ้นนะ”

มันใช่ประเด็นนั้นมั้ยล่ะโว้ย


“สมมติว่าผมเพาะแตงกวาออกมาเป็นรูปแตงโมแทนก็ได้ครับ!”

“ทำแบบนั้นได้ด้วยเหรอ?”

เลิกสงสัยอะไรตรงนั้นแล้วตอบคำถามกูซักทีเถิ้ดดด

“เอาเป็นว่าถ้าผมปลูกแตงกว่าได้ลูกใหญ่มากๆ ผมจะขายให้คุณได้แพงขึ้นมั้ยอ่ะ”

“คงจะไม่ได้หรอก จะได้ลูกใหญ่ลูกเล็กก็ราคาเท่ากันนั่นล่ะ อันที่จริงเงินที่นายจะได้เป็นเงินที่หมู่บ้านจ่าย ถึงได้กำหนดราคารับซื้อเอาไว้แน่นอนแล้ว นายจะส่งขายแค่ผลผลิตเกรดไม่ค่อยดีก็ได้นะ แค่พอส่งออกไปขายต่างเมืองแล้วทางหมู่บ้านก็จะตั้งราคาได้ไม่สูงมาก กำไรที่ได้เข้าหมู่บ้านมาก็จะน้อย งบซ่อมบำรุงพัฒนาหมู่บ้านก็จะน้อยลงตาม ชาวบ้านส่วนใหญ่เห็นแก่จุดนี้กัน ทุกจนถึงได้ยอมส่งผลผลิตที่ดีที่สุดออกไปขายในนามหมู่บ้าน”

เขากำลังด่าผมว่า’หยุดขี้เหนียวแล้วหัดคิดถึงส่วมรวมซะบ้าง’ทางอ้อมปะวะ

“มีของบางอย่างที่ห้ามขายอยู่ด้วย ไว้จะหาคู่มือมาให้ก็แล้วกัน นอกเหนือจากนั้นถ้าไปเจอของแปลกๆอะไรเข้าแล้วเกิดอยากขาย ก็ลองเอามาให้ฉันตีราคาดูได้ล่ะ ฉันออกเรือไปต่างเมืองทุกสุดสัปดาห์ พอจะรู้ราคาในตลาดมาพอสมควร”

คือสมองอันชาญฉลาดที่ผ่านการอ่านสปอยล์เกมนี้มาเป็นสิบๆร้อยๆรอบมันจำรายละเอียดของเกมได้เกือบทั้งหมดแล้ว กะอีแค่ราคาไอเทมในเกมแค่เห็นผมก็กะราคาเองได้ แถมเห็นเกิดมารวยแบบนี้ผมก็งกนะครับ เรียกได้ว่าNPCโกงเงินผมนี่พร้อมต่อปากต่อคำทุกเวลาเลยดีกว่า

ยังไม่ทันได้เริ่มเกมดีก็พร้อมจะไปมีเรื่องแล้ว คนดีจริงๆ

แล้วคุณเจมส์ก็ยืนชวนผมคุยเรื่องสัพเพเหระอยู่อีกพักใหญ่กว่าจะบอกลาแล้วกลับไป

“เฮ้อ เหนื่อยเลย” เวลาเจออีเว้นท์ไกด์ไลน์ตอนที่เล่นเป็นเกมก็ว่าน่าเบื่อแล้วก็ยังกดข้ามบทสนทนารัวๆได้อยู่บ้าง แต่พอมาเจอเข้าจริงๆแล้วสาหัสกว่าเดิมแถมกินเวลาใช่เล่นอีกต่างหาก

ผมยกนาฬิกาดูก็พบว่าอีกไม่กี่นาทีก็จะเที่ยงเข้าไปแล้ว... ผมควรทำยังไงกับข้าวเที่ยงดี นี่ผมมาอยู่ในโลกของเกมแล้ว ผมยังต้องกินข้าวอยู่อีกมั้ย

ตามระบบในเกม ตัวละครที่เราเล่นไม่จำเป็นต้องกินอะไรก็ได้ แต่จะกินก็ต่อเมื่อเราต้องการเพิ่มพลังกายที่ถูกใช้ไปในการทำงานต่างๆนานา นี่ก็เป็นอีกอย่างที่ผมข้องใจอยู่ว่ากับโลกนี้แล้วตัวผมจะเป็นแบบนั้นไปด้วยรึเปล่า

จ๊อกก

โอเคชัดเจน กูต้องกินข้าวบัดเดี๋ยวนี้

ท้องร้องขนาดนี้ผมไม่มีอารมณ์เดินชิวขึ้นเขาหาผลหมากรากไม้มากินประทังชีวิตตอนนี้แน่ๆ เดินไปเคาะบ้านคุณหัวหน้าขอข้าวกินจะโดนมองแรงป่ะวะ

ในจังหวะที่ผมยังไม่ได้ใจกล้าหน้าด้านขนาดนั้น ผมเลยตัดสินใจว่าจะไปฝากท้องกับมื้อแรกที่คาเฟ่ของโรงแรมในหมู่บ้าน เวลานี้น่าจะมีชาวบ้านแวะเวียนมาบ้าง อาจฟลุคได้ทักทายแนะนำตัวกัน รวมถึงขากลับจะได้ถือโอกาสแวะซูเปอร์มาร์เก็ตสอดส่องของใช้จำเป็นด้วย

แต่ปัญหาตอนนี้ก็คือ... จากที่ไปทัวร์กับคุณโดนัลด์เมื่อเช้า โรงแรมไม่ได้อยู่ใกล้ฟาร์มผมเท่าไหร่เลย กลางหมู่บ้านมีลานกิจกรรมอยู่ ซึ่งฟาร์มมันอยู่คนละฟากลานกับแหล่งฝากท้องของผมเลยครับ ซึ่งผมต้องเดินๆวิ่งๆหิ้วท้องกิ่วๆไปให้ถึง......

คุณเจมส์ครับ สุดสัปดาห์ฝากซื้อมอเตอร์ไซด์เข้ามาที ฮือ

••••• 

ผมใช้เวลาถ่อมาจากหน้ากระท่อมของตัวเองกว่าจะถึงโรงแรมก็ล่อไปเกือบชั่วโมง ตอนนี้เรียกได้ว่าแทบจะหน้ามืดเลยดีกว่า

คอยดูนะ ผมจะซัดให้อิ่มไปถึงพรุ่งนี้เช้าเลย!

โรงแรมของหมู่บ้านมีสามชั้น ห้องพักอยู่สองชั้นบน ส่วนชั้นหนึ่งเป็นคาเฟ่ ตอนเย็นก็จะเป็นร้านอาหารกึ่งบาร์ขายเหล้าขายเบียร์ให้ชาวบ้านมารวมตัวสังสรรค์กัน พื้นและกำแพงของตัวคาเฟ่สร้างจากไม้ไม่ต่างกับกระท่อมของผม แต่มีการลงเงาให้ดูใหม่เอี่ยมสะอาดสะอ้าน แสงไฟสีส้มจากโคมระย้าที่ห้อยด้านบนทำให้บรรยากาศภายในดูสลัวๆแม้จะเป็นเวลากลางวันที่ดวงตะวันเผาหัวแล้ว โต๊ะที่นั่งถูกจัดไว้หลายขนาดเพื่อรองรับลูกค้าที่อาจมาเป็นกลุ่มหรือมาแค่คนเดียวอย่างผม

“ยินดีต้อนรับครับ” มีเสียงทุ้มละมุนโสตประสาทเอ่ยลอยขึ้นมาหลังจากผมก้าวเท้าเข้ามายังส่วนของคาเฟ่ เมื่อหันไปมองตามเสียงก็ทำเอาผงะ

“อาคาริ!”

หนุ่มหล่อหน้าคมหุ่นนายแบบ นัยน์ตาสีฟ้าซีดจนเกือบจะเป็นสีเทา ผมดำขลับตัดสั้นเรียบร้อยเสยขึ้น ปอยผมที่ตกลงมาตามหน้าผากทำให้เจ้าตัวดูดีเกินกว่าที่ผมจะแอบเรียบลับหลังว่าหัวทรงเถิกได้ ชุดทักซิโด้แบบที่สวมแต่กั๊ก ดูเป็นยูนิฟอร์มบ๋อยแต่เจ้าตัวใส่แล้วดันทำให้ดูเหมือนเจอไฮโซถอดสูทตัวนอกในงานเลี้ยงสังสรรค์ที่ชั้นบนสุดของโรงแรมหรูสักที่เสียมากกว่าจะมายืนถือถาดสเต็กให้โรงแรมกะจ้อยร้อยในหมู่บ้านเล็กๆแบบนี้

ขนาดท่ายืนเสิร์ฟสเต็กยังดูแพง บารมีผู้ดีจับกว่าผมที่เป็นลูกเศรษฐีจริงๆอีก...

เจ้าของชื่อที่ผมเรียกชะงักเล็กน้อยพร้อมกับหันมาเลิกคิ้วให้ “ไม่เคยเห็นหน้านายมาก่อน รู้จักฉันด้วยเหรอ”

รู้สิวะ

ก็เอ็งเคยแย่งสาวกูนี่โว้ยยยยยย

อาคาริ ลูกชายคนโตของร้านขายไวน์ ตอนกลางวันเป็นเด็กเสิร์ฟ ตอนกลางคืนเป็นบาร์เทนเดอร์

ผมจำหน้าและประวัติมันได้ขึ้นใจหลังจากที่โดนมันชิงขอแต่งงานสาวคนแรกที่ผมจีบในเกมนี้ไปต่อหน้าต่อตา บ้าเอ๊ย ผมก็ลืมสนิทเลยว่าถ้ามาคาเฟ่โรงแรมในเวลาแบบนี้จะต้องเจอศัตรูหัวใจตัวฉกาจทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟอยู่ด้วย

โอเค อันที่จริงคือเพราะเป็นช่วงที่เริ่มเล่นเกมนี้ใหม่ๆแบบงูๆปลาๆ เลยตอบตัวเลือกในอีเว้นท์ผิดๆถูกๆแถมยังเอาของขวัญไปให้สาวแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่ คิดเองเออเองว่าชิ้นไหนสาวน่าจะชอบ ไม่ได้สังเกตปฏิกิริยาจากคำพูดที่สาวตอบกลับมาเวลาได้รับของเลยสักนิด สุดท้ายความสัมพันธ์ไม่กระเตื้องจนNPCที่ถูกเซ็ทให้มาจีบสาวแข่งกับเราอย่างนายอาคาริคนนี้เลยชิงพัฒนาความสัมพันธ์กับสาวไปแทน

ผมก็รู้อยู่แก่ใจว่าตอนนั้นผมโง่เองที่ไม่ศึกษา แต่สมัยนั้นยังเด็กๆเลยช็อคมากอยู่ดีที่โดนแย่งสาวที่กำลังจีบไปต่อหน้าต่อตา ทำเอาผมฝังใจและโกรธทั้งคู่จนไม่จีบสาวคนนั้นอีกเลยต่อให้เริ่มเล่นวันเดอร์ฟาร์ม ไลฟ์นี้ใหม่อีกสักกี่หนก็ตาม

พอโตมาหน่อยผมก็เริ่มที่จะรู้จักแก้แค้นแล้วไปตามจีบน้องสาวของมันแทน ถึงมันจะไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรเพราะเนื้อเรื่องมันถูกกำหนดมายังไงมันก็แค่ทำไปตามนั้น......

เอาเป็นว่าจนตอนนี้ผมไม่ชอบมัน! ถึงจะถูกมองว่าเหตุผลมันหยุมหยิมแต่ผมผู้ซึ่งเป็นเด็กน้อยหัวใจเปราะบางจะรู้สึกฝังใจมาจนโตแล้วมันผิดตรงไหนกัน!

ยิ่งมาเห็นว่าตัวจริงดูดีกว่าในรูปฉิบหายก็ยิ่งพาลให้หมั่นไส้เข้าไปใหญ่

“โอ๊ะ เธอคือพ่อหนุ่มคนใหม่ที่เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่สินะ” ก่อนที่ผมจะได้โต้ตอบอะไรไปก็มีคุณลุงท่าทางภูมิฐานเดินเข้ามายืนข้างๆ

ผมเลยเลือกเมินไอ้เด็กเสิร์ฟนั่นแล้วหันมาแนะนำตัวกับชายอีกคนแทน “สวัสดีครับ ผมชื่อเพทาย เพิ่งย้ายมาอยู่สดๆร้อนๆเลย”

“ชื่อเพทายรึ ยินดีต้อนรับนะ ฉันชื่อไบรอัน เป็นเจ้าของโรงแรมนี้เอง ไหนๆก็ไหนๆให้ฉันได้เลี้ยงข้าวเป็นการต้อนรับเธอสักมื้อก็แล้วกัน” คุณไบรอันขยับปากยิ้มจนหนวดเขี้ยวเหนือริมฝีปากโค้งขึ้นเป็นรูปจันทร์เสี้ยวหงายสองอัน

“จะดีเหรอครับ... เกรงใจแย่เลย” ผมทำสีหน้าเกรงอกเกรงใจ ส่วนภายในใจนั้นกู่ร้องว่า เย้ข้าวฟรี วนไปวนมาเป็นสิบๆรอบ

ครับ เกิดบ้านรวยแล้วไง มีใครไม่ชอบของฟรีบ้างไหนตอบผมซิ

“ไม่หรอกๆ ยังต้องพึ่งพากันอีกนาน คิดซะว่าเป็นน้ำใจเล็กๆน้อยๆจากฉันก็พอ” คุณไบรอันว่าพลางหันไปเรียกพนักงานหน้าหล่อที่กำลังยกสเต็กไปเสิร์ฟให้ลูกค้าอีกโต๊ะ “อาคาริ พาเพทายไปหาที่โต๊ะนั่งหน่อย ส่วนเธออยากจะสั่งอะไรก็สั่งได้เลยไม่ต้องเกรงใจ”

“ครับ” หลังจากเสิร์ฟอาหารหมดจนถาดที่ถือโล่ง อาคาริก็เดินกลับมายังจุดที่พวกผมยืน เขาจ้องหน้าผมชั่วครู่ก่อนจะหันเดิน “ตามมา”

เป็นแค่บ๋อยอย่ามาทำเป็นสั่ง!

“กินอะไร” อาคาริถามขึ้นหลังจากที่พาผมมานั่งที่โต๊ะอาหารสำหรับ2ที่ในมุมหนึ่งของร้าน

ผมกวาดสายตาอ่านเมนูอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะ “อะไรก็ได้ที่อร่อย”

“อาหารฝีมือคุณเจนอร่อยทุกอย่าง” บริกรหน้าหล่อกล่าวเสียงเรียบ “อ้อ คุณเจนคือภรรยาคุณไบรอัน”

ดูเหมือนอาคาริจะไม่ได้ติดใจว่าทำไมผมถึงรู้จักชื่อเขาก่อนเท่าไหร่ ก็ดี ไม่งั้นผมคงไม่รู้จะต้องแถยังไงเหมือนกัน

ผมกลอกตาสองที “ถ้าอร่อยทุกอย่างงั้นก็เอาอะไรก็ได้นั่นแหละ”

“สตูว์ลิ้นวัวของที่นี่อร่อยมาก”

“งั้นเอาอันนั้น”

“แต่เป็นเมนูที่ขายเฉพาะตอนเย็น”

แล้วจะพูดทำไมวะ!

อาคาริว่าต่อหน้านิ่ง “เมนูพิเศษคือปลาเนื้อขาวย่างกับชุดผักประจำฤดู”

“อันนั้นก็ได้”

“ขอโทษด้วย เพิ่งเสิร์ฟชุดสุดท้ายไปก่อนนายเข้ามา”

“.........”

โว้ยย

“งั้นเอาสเต็ก”

“ระดับความสุกเอาแบบไหนดี”

ผมพ่นลมหายใจเบาๆหนึ่งที “มีเดียมแรร์”

“สเต็กมีเดียมแรร์หนึ่งที่นะครับ ส่วนเครื่องดื่มเป็นอะไรดี” ยัง ยังไม่จบอีก

“อะไรอร่อย” ผมถามคำถามเดิม

“ค็อกเทล”

......หลงตัวเองสัสๆ กูจำนะได้ว่าบาร์เทนเดอร์ผสมค็อกเทลของที่นี่ก็มึงไม่ใช่เรอะ!

“มันไม่ได้มีแค่รอบเย็นรึไง!” ผมโพล่งออกไป

คิ้วโก่งเข้มได้รูปเลิกขึ้นเล็กน้อย “ทีงี้รู้ดีจังนะ”

ไอ้เวร!

“เอาน้ำผักผลไม้รวม”

“ผักผลไม้อะไรบ้าง” ทำไมตอนเล่นเกมมันไม่เห็นจะยุ่งยากขนาดนี้เลย

“ผักโขมแครอทผสมกีวี่ ใส่แอปเปิ้ลด้วย” ผมตอบไปมั่วๆ

“ขอโทษด้วย ผักโขมกับแอปเปิ้ลเป็นพืชฤดูใบไม้ร่วง ตอนนี้ไม่มีใครเอามาใช้ปั่นน้ำขายกัน ส่วนกีวี่ก็เป็นผลไม้นำเข้า ไม่ได้มีขายทุกวัน”

สัส

“เอาน้ำเปล่าพอ!”

“ได้ครับ ขออนุญาตทวนรายการ สเต็กมีเดียมแรร์หนึ่งที่กับน้ำเปล่า” อาคาริกล่าวทวนรายการเสียงเรียบ สีหน้ายังเรียบเฉยตามปกติของเจ้าตัวแต่ผมเห็นนะว่าตาสีฟ้าซีดเป็นประกายสั่นระริกเบาๆ มันต้องแอบขำผมอยู่ในใจแน่ๆ เกลียดมันว่ะ

••••• 


หมู่บ้านเล็กๆแบบนี้ข่าวคราวก็แพร่กระจายกันเร็วดีนะ และดูเหมือนหัวข้อที่ชาวบ้านนิยมพูดถึงกันตอนนี้คือเรื่องของผมที่เพิ่งย้ายเข้ามาอาศัยอยู่ในฟาร์มท้ายหมู่บ้าน ดังนั้นพอมีชาวบ้านที่แวะเวียนมาหาอะไรกินในคาเฟ่แล้วหันมาเห็นเจ้าของโรงแรมกำลังยืนสนทนากับผมที่พวกเขาไม่คุ้นหน้ากันอยู่ ต่างก็เดินเข้ามาทักทายและทำความรู้จักผมกันใหญ่ บางคนที่ถืออะไรติดไม้ติดมือมาด้วยก็แบ่งนู่นแบ่งนี่มาเป็นของฝากรับขวัญผมจนเป้ที่สะพานหลังผมแน่นเอี๊ยด

อย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลเรื่องมื้อเย็นกับมื้อเช้าวันพรุ่งนี้แล้ว เป็นเด็กใหม่นี่มันดีจังครับ

เสียตรงที่ผมกะมาหลีสาวไปกินข้าวไปแท้ๆ ดันมีแต่ลุงๆป้าๆที่มานั่งยิงคำถามใส่ผม

“แล้วเมืองที่หนูเพทายเคยอาศัยอยู่เป็นเมืองแบบไหนเหรอจ๊ะ”

ผมนึกถึงอากาศในประเทศไทยเป็นอย่างแรก  “ก็... เป็นที่ๆร้อนมากครับ ร้อนตลอดปีเลย”

ที่เมืองนี้มีสี่ฤดูกาลหมุนเวียนผันเปลี่ยนไป ช่วงเริ่มต้นอย่างตอนนี้จะเป็นฤดูใบไม้ผลิ อากาศกำลังเย็นสบายมาก ตอนกลางวันถึงมีแดดก็เป็นแดดอุ่นๆ

“เหรอ ร้อนตลอดแบบนั้นคงลำบากแย่เลยน้า”

“ฮะๆ ก็ไม่เท่าไหร่หรอกครับ” สะดวกจะตาย แก๊สหมดก็ทอดไข่ด้วยพระอาทิตย์ได้ นี่ผมไม่ได้ประชดจริงๆนะ

“แล้วจากที่นั่นเดินทางมาที่นี่ใช้เวลานานมั้ย ตอนมาถึงคงจะเหนื่อยน่าดู”

“ก็ไม่นานขนาดนั้นนะครับ” แค่กูตกบันไดวูบเดียวก็มาอยู่ที่นี่แล้ว

 แล้วก็อีกสารพัดคำถามที่ถูกยิงมาให้ผมตอบ นอกจากจะได้ของฝากมาเต็มกระเป๋าแล้วบางคนก็ยังใจดีเลี้ยงน้ำเลี้ยงขนมผมเพิ่มจนผมแทบจะกลิ้งออกจากโรงแรม

พอท้องอิ่มแล้วเรี่ยวแรงก็กลับมา ทีนี้ได้เวลาไปช็อปปิ้ง ผมจำได้ว่าซูเปอร์มาร์เก็ตอยู่ซอยถัดไป ที่นั่นจะมีเมล็ดพันธุ์ของพืชผักตามฤดูกาลขายด้วย ผมเดินผ่านห้องสมุดที่อยู่ติดกับโรงแรมและกำลังจะเลี้ยวออกจากซอยเพื่อมุ่งไปยังจุดหมาย

“บ๊อก!”

หืม...?

TBC.

******
วันนี้โผล่มาแปะ2ตอนเพราะอยากดันพระเอกออกมาค่ะ55555555

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านมากนะคะ สามารถคอมเม้นท์ติชม+ทักท้วงคำผิดได้ทั้งในนี้หรือในแท็กทวิตเตอร์ #สวัสดีฟามรัก ได้เลยค่ะ<3
twitter:  @evilkunbk

ออฟไลน์ Evilkun

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ตอนที่4 • สวัสดีหมาน้อย
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย: เราควรจะอุ้มสุนัขอย่างน้อยวันละครั้งเพื่อเพิ่มพูนค่าความรัก

“บ๊อก!”

หืม...

ทันทีมีที่เสียงเห่าเล็กๆดังขึ้น ผมก็รู้สึกได้ถึงสัมผัสไหวๆที่ขา พอก้มลงไปมองก็เจอลูกสุนัขขนฟูสีน้ำตาลอ่อนตัวป้อมๆตัวหนึ่งกำลังดมสำรวจปลายกางเกงของผมอยู่ หางของมันสั่นดุ๊กดิ๊กไปมาเหมือนกำลังเจออะไรที่ถูกใจ

“จับหมาไว้ให้ที!” ผมได้ยินเสียงคุ้นหูของคุณเจมส์ตะโกนมาจากระยะไม่ไกลนัก และเจ้าตัวก็กำลังวิ่งมาทางผมเช่นกัน

หมับ

เจ้าขนตัวน้อยลอยหวือตามแรงของสองมือที่จับตัวมันยกขึ้น

“สุนัขคุณเจมส์เหรอครับ” เสียงทุ้มเป็นเอกลักษณ์ถามเมื่อเขาอุ้มลูกสุนัขออกมาจากขาของผม

อาคาริอีกแล้ว นี่มันโผล่มาจากไหนตอนไหนอีกเนี่ย!

“ก็ไม่เชิงหรอก ฉันไปเจอมันสองตัวร้องอยู่ที่บันไดริมชายหาด” คุณเจมส์เล่าพลางชูลูกสุนัขขนฟูอีกตัวที่เขาอุ้มตามมาด้วยให้ผมกับอาคาริดูเป็นการเสริม “นี่ก็ดูพวกมันมาหลายวันแล้วยังไม่เห็นวี่แววของแม่มันเลย”

“คงลำบากแย่เลยนะครับ”

“ก็นั่นล่ะน้า ซนเป็นลิงเลยล่ะ บ้านฉันยิ่งติดทะเลซะด้วย นี่ก็กลัวจะวิ่งไปตกน้ำตกท่าเข้าซักวัน” คุณเจมส์เหลือบมองเจ้าขนน้ำตาลในอ้อมแขนแล้วถอนหายใจ “ให้เลี้ยงพร้อมกันสองตัวนี่คงไม่ไหวจริงๆ”

ลูกสุนัขตัวที่คุณเจมส์กำลังอุ้มมีขนที่ตัวสีน้ำตาลอ่อนแซมดำ ใบหูพับๆของมันมีสีดำลากมาถึงขนแถวๆตา ส่วนเจ้าตัวที่ตอมผมและถูกอาคาริหิ้วไปมีสีน้ำตาลอ่อนทั้งตัว แต่ขนสีน้ำตาลตรงใบหูของมันออกจะสีเข้มกว่าขนส่วนอื่น ตาสีดำกลมโตแป๋วแหววของมันสองตัวกำลังจ้องมายังตัวผมผู้เงียบมาตลอดบทสนทนา

อาคาริพยักหน้าเข้าใจ ผมเห็นเจ้าขนฟูอีกตัวที่เขาอุ้มอยู่ดมตัวเขาฟุดฟิด “ลองยกให้ใครช่วยเลี้ยงสิครับ”

“ลองถามดูมาหลายคนแล้วล่ะ ยังไม่เจอใครที่สะดวกพร้อมเลี้ยงเลย นายสนใจมั้ยล่ะ?” คุณเจมส์เลิกคิ้วถามคู่สนทนา

“ขอโทษครับ ผมพักที่โรงแรม คงจะไม่สะดวก” คู่สนทนาปฏิเสธทันที

ครับ อาคาริเป็นมนุษย์มีบ้านมีช่องให้กลับแต่ไม่ยอมกลับบ้าน ยึดห้องพักห้องหนึ่งในโรงแรมของคุณไบรอันอาศัยอยู่หน้าตาเฉย ไม่รู้ว่าได้เพราะเป็นสวัสดิการพนักงานหรือเจ้าหมอนี่ซื้อห้องขาดเหมือนกัน เอาเถอะ ไม่เกี่ยวอะไรกับผม

แต่ถ้าถามว่าไม่เกี่ยวแล้วทำไมผมรู้น่ะเหรอ ก็คู่มือเกมมันมีตารางชีวิตของตัวละครในเกมทุกคนให้ผู้เล่นสอ ใส่ เกือกเลือกตามติดชีวิตNPCได้ตลอดเวลาเลยน่ะสิครับ

“ก็นั่นไง ฉันถึงยังไม่เจอใครที่ช่วยเลี้ยงได้ซักคน” เจ้าของปัญหาสุนัขถอนหายใจออกมาอีกครั้ง

“บ๊อก!” อยู่ๆเจ้าขนฟูที่อยู่ในมืออาคาริก็เห่าขึ้นมา

“บ๊อก!” และอีกตัวที่คุณเจมส์อุ้มอยู่ก็เห่าตาม ทำให้คนอุ้มหมาสองคนมองตามสายตาของหมามา เจ้าสุนัขน้อยๆสองตัวนี้มันจ้องผมเขม็งมาสักพักแล้ว พอผมมองมันกลับ หางฟูๆของพวกมันทั้งคู่ก็ส่ายพั่บๆไปมาจนฟาดลำตัวของคนอุ้มดังแปะๆ

“เงียบจนลืมไปเลยว่านายก็อยู่ตรงนี้ด้วย” คุณเจมส์กลั้วหัวเราะ “ดูเหมือนเจ้าพวกนี้จะชอบนายรึเปล่านะ?”

“..........” ผมยืนนิ่งไม่ตอบอะไร

ที่จริงก็นิ่งค้างไปตั้งแต่ที่เห็นลูกสุนัขขนฟูนั่นมาตอมขาแล้ว

“เห็นมันจ้องนายใหญ่มาตั้งแต่เมื่อครู่” อาคาริมองหน้าผมและยื่นเจ้าหูน้ำตาลมาหา “ลองอุ้มดูมั้ย”

ผมสะดุ้งเฮือก เผลอแสดงสีหน้าตื่นๆออกมาจนอีกฝ่ายชะงัก

“.........” ทั้งหมาทั้งคนยื่นหมาใส่ผมต่างมองผมเขม็ง ตัวหนึ่งมองตาใสสะบัดหางไปมาพลางร้องแฮ่กๆ ส่วนอีกคนหนึ่งมองด้วยสายตาแบบที่ผมอยากจะตะโกนใส่หน้าว่าอย่ามาจับผิดกูสิวะ

“.........”

“อย่าบอกนะว่านาย......” อาคาริขมวดคิ้ว “กลัวหมา?”

“.........”

ผมไม่อยากตอบคำถามนี้เลย แต่ทุกคนในที่นี้ก็เข้าใจได้เองว่าความเงียบของผมคือการยอมรับ

“.........”

“.........”

เงียบ เงียบกันยันคุณเจมส์ เงียบจนได้ยินแต่เสียงแฮ่กๆพั่บๆจากลูกหมาสองตัว

“ตัวเล็กแค่นี้มีอะไรน่ากลัว” อาคาริว่าพลางยกเจ้าสัตว์ขนฟูนั่นสำรวจไปมา

ก็คนมันกลัว จะตัวเล็กตัวใหญ่มันก็กลัวโว้ย!

ได้แต่โวยวายในใจ เพราะแค่โป๊ะแตกออกไปว่ากลัวหมาผมแม่งก็โคตรจะดูกากฉิบหายแล้ว

“แฮ่กๆๆ บ๊อก!” เจ้าขนฟูสีน้ำตาลล้วนก็ดูพยายามจะผูกมิตรกับผมแบบที่ไม่ได้รับรู้เลยว่ากูกลัวมึงอ่ะ ฮือ

 “กะ... ก็ไม่ได้กลัวขนาดนั้น แค่เมื่อกี๊ตกใจเฉยๆเอง” ผมเถียง

“เหรอ งั้นช่วยคุณเจมส์เอาไปเลี้ยงสิ”

“ไม่!”

“ไหนว่าไม่กลัว?”

“.........”

“กลัวสินะ หึ”

ไอ้... ไอ้.......

“เอาน่าๆ” คุณเจมส์เข้ามาช่วยไกล่เกลี่ยให้บรรยากาศดีขึ้นเมื่อเห็นผมเกือบจะกระโดดไปกัดหัวไอ้อาคาริ “ที่จริงถ้าเลี้ยงได้ฉันก็อยากให้นายเลี้ยงนะ เจ้าหนูพวกนี้เป็นพันธุ์คอลลี่ ถ้าฝึกดีๆมันจะช่วยต้อนแกะในฟาร์มได้ มันน่าจะมีประโยชน์กับนาย... แต่ถ้ากลัวก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ” คุณเจมส์หันมายิ้มปลอบผม

ผมจำได้นะ ผมจำได้ว่ามันต้องมีอีเว้นท์นี้ อีเว้นท์ที่เรารับลูกสุนัขจากคุณเจมส์มาเลี้ยงแล้วจะทำให้ค่าความสนิทสนมกับคุณเจมส์เพิ่มขึ้น ผมจำได้ว่ามันต้องเกิดขึ้นที่ชายหาด ไม่ใช่ถนนหน้าตรอกแบบนี้ นี่มันอะไรกัน ทำไมไม่ให้ผมเตรียมใจอะไรเลย!

ไม่ได้การ... ผมจะมาสูญเสียมิตรภาพเพราะความขี้ขลาดของตัวเองไม่ได้!

“เดี๋ยวครับคุณเจมส์” ผมเรียกคุณเจมส์ที่กำลังรับลูกหมาคืนจากอาคาริ “ผมเปลี่ยนใจแล้ว ผมจะเลี้ยงเจ้าสีน้ำตาลล้วนนั่นเองครับ!”

คุณเจมส์เลิกคิ้วอย่างงุนงง “แต่ว่านายกลัวหมา จะเลี้ยงได้ยังไง”

“แต่เหตุผลที่คุณเจมส์บอกว่าผมสามารถเลี้ยงมันเอาไว้ช่วยงานได้ พอคิดตามก็เป็นเหตุผลที่ดีครับ แล้วผมเองก็อยากจะก้าวข้ามความกลัวของตัวเองเหมือนกัน” ผมพูดด้วยสีหน้าจริงจัง

ส่วนเหตุผลที่แท้จริงน่ะเหรอ

กูจะมาหน้าแหกตั้งแต่วันแรกไม่ได้! แถมต่อหน้าชาวบ้านชาวช่องอย่างบริกรหน้าหล่อที่ผมหมั่นไส้เป็นพิเศษอยู่แล้ว ผมยอมไม่ได้โว้ย!

“ผมจำได้ว่าในฟาร์มของผมมีบ้านสุนัขอยู่ด้วย ผมน่าจะเลี้ยงมันในนั้นได้ใช่มั้ยครับ” ผมรีบออกตัวเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้ตัวเอง “คุณเจมส์เองก็ช่วยผมเอาไว้ตั้งเยอะ ผมเองก็อยากช่วยคุณเหมือนกัน”

ถ้าค่าความสนิทของคุณเจมส์ไม่ขึ้น คุณก็ไม่ยอมยกเบ็ดตกปลาให้ผมน่ะสิ!

ครับ พวกคุณก็รู้ว่าผมเป็นคนดี

“ถ้าเธอยืนยันว่าเลี้ยงได้ก็ช่วยฉันได้เยอะเลย” คุณเจมส์ฉีกยิ้มกว้าง พร้อมกับส่งเจ้าน้ำตาลล้วนมาให้ผมอุ้ม มันดูร่าเริงขึ้นมาทันทีเมื่อเข้ามาอยู่ในอกผม

“งั้นก็ฝากมันด้วย ขาดเหลืออะไรบอกฉันหรือไปถามที่ฟาร์มขายวัวแกะได้นะ ที่นั่นเองก็เลี้ยงหมาไว้เหมือนกัน น่าจะช่วยเหลือนายได้ เดี๋ยวฉันต้องไปรอพ่อค้าที่ริมท่าเรือแล้ว ขอตัวก่อนล่ะ ขอบใจนายมากนะเพทาย”

“โชคดีนะครับ” ผมยกยิ้มให้ดูเป็นธรรมชาติที่สุด ผงกหัวให้คุณเจมส์ที่เดินโบกมืออุ้มลูกสุนัขอีกตัวจากไป

เอาวะ จบอีเว้นท์นี้ผมต้องเข้าใกล้เบ็ดตกปลาฟรีไปอีกขั้นสองขั้นแล้วน่า

แต่

แล้วจากนี้ผมต้องทำยังไงต่อ...

“แฮ่กๆๆ” เฮ้ยเจ้าหน้าขน อย่ายื่นหน้ามาแบบน้านนน ไม่ อย่ามาทำท่าจะเลียหน้านะเว้ยย

“ฟุดฟิดๆ แผล่บ”

ม่ายยยยยยยยย

“กลัวหมาจนมือสั่นก็ยังจะปากกล้า” เจ้าของเสียงทุ้มที่ผมเกือบจะลืมตัวตนไปแล้วเอ่ยขึ้นพร้อมแย่งหมาไปจากมือผม

นี่มึงยังไม่ไปอีกเหรอวะ!

แต่เอาหมาไปอุ้มให้แบบนี้ก็ช่วยได้เยอะ กูขอบคุณก็ได้

“เออน่า เดี๋ยวเลี้ยงไปก็หายกลัวเอง” ผมกล่าว

“แต่ตอนนี้แค่อุ้มก็ตัวสั่นแล้ว” ดูมันสวน......

“ไม่ต้องยุ่งน่า ฉันบอกว่าจะเลี้ยงฉันก็จะเลี้ยงมันให้ดู” ผมพูดเสียงรำคาญ

“อย่าพูดเหมือนเป็นเรื่องง่าย” อาคาริทำเสียงดุ “เลี้ยงสัตว์ต้องมีความรับผิดชอบสูง ต้องเอาใจใส่มันด้วย แต่นี่นายยังกลัวมันอยู่เลย แล้วนายจะดูแลมันให้ดีได้ยังไง”

นี่น่าจะเป็นประโยคที่ยาวที่สุดที่ผมเคยเห็นอาคาริพูด ว่าแต่นี่มันกล้าดุผมแล้วเรอะ

“เออ ฉันก็รู้น่าว่าเลี้ยงหมามันไม่ใช่เรื่องง่าย” ผมกระแทกเสียง “แต่ถ้านายได้ยินที่ฉันคุยกับทุกคนในคาเฟ่ ตอนนี้ฉันเป็นเจ้าของฟาร์ม ซักวันฉันก็ต้องเลี้ยงสัตว์อย่างอื่นที่เลี้ยงยากกว่าสุนัข ต้องรับผิดชอบอีกหลายชีวิต แล้วกะอีแค่สุนัขตัวเดียวฉันยังดูแลไม่ได้ อนาคตฉันจะไปรับผิดชอบสิ่งมีชีวิตอื่นๆในฟาร์มฉันได้ยังไง ฉันก็บอกอยู่นี่ไงว่าฉันจะพยายามเลิกกลัวมันน่ะ!”

“.........”

“.........”

ทั้งอาคาริทั้งผมไม่มีใครพูดอะไรต่อ ความเงียบเข้าปกคลุมชั่วขณะหนึ่ง ขณะเดียวจริงๆเพราะต่อจากนั้นหมอนั่นก็ยื่นลูกสุนัขคอลลี่มาทางผม ผมสะดุ้งเบาๆและเงยมองหน้าอาคาริเป็นคำถาม

“ถ้าจะพยายามเลิกจริงๆก็ลองอุ้มมันให้ได้” แล้วมันก็เลิกคิ้วโก่งๆของมันเป็นเชิงท้าทายว่าถ้านายคิดว่าแค่นี้จริงๆก็ทำให้ได้สิ

ผมได้แต่ขบฟันตัวเอง เอื้อมสองมือออกไปช้อนใต้รักแร้ของขาหน้า แต่อาคาริกลับชักลูกหมาออก

“อุ้มท่านั้นไม่ได้ หมาจะเจ็บ นายต้องประคองเอาไว้ท่านี้” อาคาริดุ อาคาริเอามือข้างหนึ่งประคองช่วงขาหลังทั้งสองของลูกหมาไว้ มืออีกข้างยึดลำตัวช่วงบนของมันไว้แนบอก พร้อมส่งมันมาให้ผมลองอุ้มใหม่ ครั้งนี้ผมลองทำตาม แต่เจ้าตัวน้อยก็พุ่งเข้ามาจู่โจมหน้าของผมด้วยน้ำลายของมันทันที

“สั่นขนาดนั้นเดี๋ยวก็ทำมันร่วงหรอก” ผมโดนดุอีกแล้ว คนดุผมพ่นลมหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายและฉกลูกหมาคืนไป “เดี๋ยวฉันอุ้มมันไปให้จนถึงฟาร์มแล้วกัน”

“ฉันไม่อยากรบกวนนาย” เป็นคำสุภาพของคำว่าเลิกยุ่งกับกูซักที

“แต่ดูจากสภาพนายแล้ว ฉันว่านายไม่น่าจะพามันกลับไปถึงบ้านนายอย่างปลอดภัยได้”

“.........” แดกจุดจนอิ่มไปถึงพรุ่งนี้แล้วกู “แล้วนายไม่ไปเก็บผลม้งผลไม้บนเขาของนายรึไง” ผมจำตารางชีวิตช่วงแรกๆของหมอนี่ได้ หลังเลิกงานพิเศษช่วงกลางวัน อาคาริจะชอบขึ้นภูเขาไปเก็บผลไม้มาทดลองหมักเหล้า ก่อนจะกลับเข้าเมืองมาทำงานบาร์เทนเดอร์ช่วงเย็น

“ไป แต่ยังไงฟาร์มนายก็เป็นทางผ่านขึ้นเขา” หมู่บ้านเล็กๆแบบนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ชาวบ้านทุกคนจะรู้ว่าบ้านใครอยู่ทางไหนบ้าง

อาคาริมองผมอย่างจับผิด “ดูนายรู้จักชีวิตฉันดีเสียเหลือเกินนะ”

ฉิบหาย นี่กูหลุดอีกแล้ว

“ก็... ฉันได้ยินคนที่โรงแรมคุยให้ฟัง” ผมแถ

“แม้แต่ชื่อฉัน คุณเจมส์ก็เป็นคนบอกรึไง” นี่เขายังคาใจตอนแรกที่ผมเรียกเผลอชื่อเขาก่อนจะแนะนำตัวกันอยู่อีกเหรอ

“ก็งั้นแหละ ถ้านายจะช่วยฉันก็รีบๆเดินได้แล้ว” ผมรีบเปลี่ยนเรื่องแล้วออกเดินนำ ไม่ต้องปงต้องไปมันละซูเปอร์มาร์เก็ต อยู่ๆก็ช็อปปิ้งหมามาได้ตัวนึงแบบฟรีๆมีผู้ขายเป็นชาวประมงและมีบริการขนส่งสินค้าโดยผู้ชายที่เคยแย่งสาวกูไปเนี่ย

ระหว่างทางผมกับอาคาริไม่ได้คุยอะไรกันเป็นพิเศษ มีแต่เจ้าคอลลี่ขนน้ำตาลหันซ้ายหันขวามองสำรวจนู่นนี่นั่นไปเรื่อยพร้อมกับส่งเสียงเห่าบ๊อกให้ผมสะดุ้งอ่อนๆเป็นบางครั้ง

และหลังจากสะดุ้งเสียงหมาเป็นครั้งที่สี่ อาคาริก็ทำลายความเงียบระหว่างเรา “ทำไมถึงกลัวสุนัข”

“สมัยเด็กๆเคยถูกหมาเป็นฝูงวิ่งไล่” ผมตอบเสียงเรียบ อันที่จริงเรื่องผมกลัวหมาก็ไม่ใช่ความลับที่ต้องปิดบังอยู่แล้ว แต่มันก็ดูกากเกินกว่าจะมาพยักหน้าหงึกหงักแล้วบอกว่า’ใช่ๆ ผมกลัวหมาครับ’อยู่ดี

“ไปกวนประสาทจนมันวิ่งกวด?” นี่มึงเห็นกูเป็นคนยังไงวะ!

“ไม่ใช่เว้ย!” ผมเผลอหยาบคายใส่ “ฉันเป็นประเภทที่สัตว์ชอบเข้าหา ตอนเด็กๆเลยไม่รู้ว่ามันวิ่งใส่เพราะชอบ เจอหมาตัวใหญ่เป็นฝูงวิ่งเข้าใส่เด็กที่ไหนก็กลัวมั้ยล่ะ”

ถ้าจะให้เล่ารายละเอียดลงไป คืองี้น่ะครับ จากประสบการณ์เกี่ยวกับสิงสาราสัตว์ในชีวิตยี่สิบเอ็ดปีของผม ผมพอจะสังเกตได้ว่าตัวเองมีความสามารถพิเศษที่ไม่ได้ดูว้าวและมีประโยชน์ต่อชีวิตเท่าไหร่

นั่นคือผมมักเป็นที่รักของสัตว์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวอะไรพวกมันก็จะชอบเข้าหาและเชื่องกับผมเป็นพิเศษ

เห็นป่ะครับ มันไม่ได้มีประโยชน์เหี้ยอะไรกับชีวิตเลยเพราะกูเป็นแค่เด็กเนิร์ด ไม่ใช่สโนวไวท์ สมัยผมเด็กๆห้าหกขวบด้วยความไม่รู้เลยเดินผ่านฝูงหมาจรจัดพันธุ์ไทยแท้หลังอานที่คนงานร้านพ่อชอบให้อาหารมัน พวกหมาเลยวิ่งเข้าหาผมด้วยความพิศวาส แต่เด็กห้าขวบมันจะไปรับรู้ความรักของหมาได้ยังไง เจอหมาเป็นฝูงวิ่งไล่ก็กลัวจนวิ่งร้องไห้หนีสิครับ

จากนั้นผมก็เลยชอบหลีกเลี่ยงสุนัขไปโดยปริยาย แต่ถ้าถามว่าถึงกับเกลียดมั้ย ผมก็ไม่ได้เกลียดพวกมันหรอกนะ อย่างเจ้าตัวน้อยขนฟูสองตัวนี้ผมก็ว่าน่ารักดี แต่ที่เห่าเรียกแล้วโผล่มาตอมขาแบบไม่ได้ตั้งตัวนั่นก็ทำผมสะดุ้งไปพอสมควร ผมเดาเงียบๆไว้ว่าที่พวกมันโผล่มาให้ผมเลี้ยงก่อนจะเข้าเงื่อนไขอีเว้นท์จริงๆก็คงเพราะไอ้สกิลพิเศษติดตัวของผมนี่ล่ะ

ว่าไปนี่ผมก็มีเรื่องฝังใจเยอะจังวะ บอกแล้วว่าสมัยเด็กผมน่ะจิตใจบอบบาง

“อ๋อ” อาคาริลากเสียง พยักหน้าเข้าใจ “แต่ตอนนี้ก็โตกว่าหมาแล้วนี่”

“ปัญหามันอยู่ที่จิตใจ ไม่ใช่ขนาดว่ะ”
   
“พูดไม่เพราะ”

“ขออภัย!” ผมกระแทกเสียงประชด อาคาริไม่ได้ว่าอะไรต่อ แค่ส่งเสียงหึออกมาเบาๆให้ผมค้อนใส่หนึ่งครั้งแล้วต่างคนก็ต่างหันไปมองทางเดินข้างหน้า


TBC.
******
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านมากนะคะ สามารถคอมเม้นท์ติชม+ทักท้วงคำผิดได้ทั้งในนี้หรือในแท็กทวิตเตอร์ #สวัสดีฟามรัก ได้เลยค่ะ<3
twitter:  @evilkunbk
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-05-2019 23:14:26 โดย Evilkun »

ออฟไลน์ Evilkun

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ตอนที่5 • สวัสดีป่าเขา
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย: รายได้ในช่วงแรกมักจะมาจากของป่ามากกว่าผลผลิตจากฟาร์ม

“เฮ้ ก็อตซิลล่า อย่าวิ่ง”

ทันทีที่อาคาริปล่อยลูกสุนัขคอลลี่ลงพื้นหญ้าในฟาร์ม เจ้าขนฟูก็วิ่งไปรอบๆเหมือนรู้ว่าได้เวลาตื่นเต้นกันบ้านหลังใหม่แล้ว

อาคาริเหลือบมองผม “เมื่อกี๊เรียกมันว่าอะไรนะ”

“หา ก็อตซิลล่าไง” ผมเลิกคิ้วเป็นเชิงว่ามีปัญหาอะไร

“ชื่อมัน?”

“ใช่”

ผมถูกมองด้วยสายตาว่างเปล่าเป็นเวลาห้าวินาที

“ทำไม มีปัญหาอะไรกับชื่อที่ฉันตั้ง”

“คิดยังไงเอาชื่อจิ้งเหลนยักษ์จอมทำลายล้างมาตั้งชื่อหมา”

ผมเบิกตากว้าง “อ้าว รู้จักก็อตซิลล่าด้วยเหรอ”

ทำไมถึงได้มีก็อตซิลล่าอยู่ในเกมปลูกผักด้วยอ่ะ

อาคาริแทบจะเหลือกตาใส่ผม “บ้านฉันมีโทรทัศน์” และส่งสายตาที่เหมือนกับต้องการถามว่า ‘นี่นายย้ายมาจากหลังเขาเหรอ’ มาเป็นของแถม

เออ ขอโทษ!

ใครจะไปคิดว่าNPCจะดูการ์ตูนเรื่องเดียวกับกูล่ะวะ

เจ้าก็อตซิลล่าขนฟูวิ่งสำรวจบริเวณบ้านสุนัขข้างกระท่อมอยู่แค่แป๊บๆก็เดินกลับมานอนหมอบอยู่ใกล้กับจุดที่พวกผมยืน ผมกับอาคาริเดาว่ามันคงจะหิว จึงแบ่งขนมปังที่ผมได้มาจากชาวบ้านมาป้อนเติมพลังให้ลูกสุนัขคอลลี่กิน อ๋อ แน่นอนว่าคนป้อนไม่ใช่ผมแน่ๆ ขนาดอุ้มผมยังไม่มีปัญญา จะไปป้อนข้าวมันรอดได้ยังไง  พนักงานส่งหมาอย่างอาคาริก็เลยต้องอยู่บริการพิเศษป้อนข้าวป้อนน้ำด้วย

ตัวไร้ประโยชน์ต่อสุนัขอย่างผมเลยอาสาเดินไปตักน้ำในบ่อมาให้เจ้าก็อตซิลล่าแทน เมื่อวางขันน้ำลงแล้วจึงขยับตัวเว้นระยะออกมานั่งดูคุณบริกรกำลังบริการบิขนมปังใส่ปากหมา

“ลองป้อนสิ” อาคาริพูดขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยจนผมถึงกับเลิกคิ้วมอง สองมือของเขาฉีกขนมปังแบ่งหมาอย่างคล่องแคล่ว และส่งเหยื่อเข้าปากก็อตซิลล่าให้ดูเป็นตัวอย่างหนึ่งครั้ง “หรือถ้ากลัวก็รีบฝึกให้มันกินในชามซะ”

ผมยื่นมือออกไปรับช่วงต่อขนมปังที่เหลือ สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง เอาวะ ปากเก่งบอกว่าจะเลี้ยง จุดนี้ถึงจะกลัวก็ต้องกล้าแล้วล่ะ

ครั้งแรกล้มเหลว พอเจ้าก็อตซิลล่าน้อยเห็นผมเป็นคนถือเศษขนมปัง มันก็ระริกระรี้พุ่งเข้ามางับมือจนผมตกใจเผลอทำเศษขนมปังร่วงพื้น จนอาคาริต้องดันปาดมันไว้ไม่ให้ตามไปเก็บกินและผมก็กุลีกุจอเก็บเศษที่ตกพื้นไปโยนทิ้ง

“มองตามัน อย่าแสดงออกว่ากลัว อย่าใช้สองนิ้วคีบแบบนั้น มันหล่นง่าย วางไว้บนมือแล้วค่อยป้อนมัน” ผมป้อนอาหารสุนัขสำเร็จหลังจากสังเวยเศษขนมปังไปห้าชิ้นถ้วน ด้วยฝีมือกำกับทุกขั้นตอนจากบาร์เทนเดอร์ประจำหมู่บ้าน

หลังจากขนมปังหมดชิ้น เราสองคนลงความเห็นว่าในระหว่างที่เจ้าก็อตซิลล่ายังเป็นลูกสุนัข ผมควรเอามันไว้ในกระท่อมของผมก่อน แล้วรอจนมันโตแล้วค่อยปล่อยมันออกมาวิ่งเล่นในฟาร์มด้วยตัวมันเอง

ระหว่างที่ก็อตซิลล่าน้อยของผมกำลังเดินสำรวจภายในกระผม ผมก็จัดการหาเศษผ้ามาปูไว้แถวๆห้องน้ำเป็นที่นอนให้มัน แต่อาคาริกระชากผ้าออกมาจากมือผมแล้วเดินไปโปะไว้ที่ใกล้ๆกับโต๊ะหัวเตียงแทน

“ให้มันนอนไกลเกิดเป็นอะไรขึ้นมานายจะรู้สึกตัวไม่ทัน” ก็มันกลัวนี่โว้ย

แต่ผมก็ขี้เกียจเถียงแล้ว “แล้วแต่นายเลยละกัน”

พอสำรวจกระท่อมจนพอใจ ลูกหมาขนฟูก็เดินกลับมาซุกเศษผ้าที่ปูเอาไว้ให้อย่างรู้งาน จัดท่าทางอยู่ไม่นานก็ลงนอนและหลับตา ดูน่ารักน่าชังเสียจนผมคิดว่าผมอาจเข้ากับมันได้เร็วกว่าที่คิดไว้ก็ได้

“เรียบร้อยแล้วสินะ” ผมยืดเส้นบิดขี้เกียจพลางพึมพำกับตัวเอง “ลูกหมาตัวเดียวนี่ก็ทำเอาเหนื่อยเหมือนกัน”

อาคาริปรายตามองมาวูบหนึ่ง “เหนื่อยกับนายมากกว่าหมาอีก”

ไอ้แสรด

ผมเหลือกตาใส่มัน รู้จักกันยังไม่ถึงวันมันยังแซะผมจนแทบถลอกปอกเปิกขนาดนี้ ถ้าค่าความสนิทสูงขึ้นกว่านี้มันไม่ถอดรองเท้ามาตบหัวผมเป็นการทักทายเลยรึไงวะ

เอาเถอะ ก็ไม่ได้มีแผนจะตีสนิทมันอยู่แล้ว ศัตรูหัวใจมันก็มีบทบาทแค่มาแย่งสาวเราเท่านั้นนี่หว่า

“งั้นเดี๋ยวที่เหลือฉันจัดการเอง” ผมตัดบทแล้วกล่าวขอบคุณตามมารยาทของสมบัติผู้ดี

ผมเห็นอาคาริยกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกา ผมเองก็พอจะสำนึกได้ว่าที่เขามาช่วยผมก็คงจะเสียเวลาเขาไปมากพอดู

“ไปทำธุระของนายต่อเถอะ” เป็นคำสุภาพของคำว่าหมดประโยชน์แล้วก็ไสหัวไป “ต้องขึ้นเขาไปเก็บผลไม้อีกไม่ใช่เหรอ”

อาคาริพยักหน้ารับหนึ่งครั้ง แต่เจ้าตัวดันยังยืนอยู่หน้าประตูกระท่อมไม่ยอมขยับไปไหน ผมเลิกคิ้วมอง  มายืนพิรี้พิไรอะไรตรงนี้วะ

จะว่าก็ว่าเถอะ ใส่ชุดบริกรไปเก็บผลไม้บนเขา ยอมใจเลยว่ะ

......แขวะอะไรมากก็ไม่ได้เพราะผมเองก็น่าจะต้องใส่ชุดเอี๊ยมตลอดเวลาไม่ต่างกัน

“ฉันมีงานพิเศษตอนหกโมงเย็น” อาคาริพูดเสียงเรียบแล้วเงียบแบบไม่คิดจะเสริมอะไรต่อ จนกระทั่งผ่านไปเกือบนาทีเห็นผมยังทำหน้าไม่เข้าใจเขาจึงค่อยขยายความ “ไปช่วยฉันเก็บบลูเบอร์รี่ป่าหน่อย”

What?

“หา ทำไมฉันต้องไปช่วยนายด้วย”

อีเว้นท์ช่วยอาคาริเก็บบลูเบอร์รี่ป่านี่ผมไม่เห็นเคยอ่านสรุปเกมเจอว่ามีเลยนะ มั่นใจเลยล่ะว่าไม่มีแน่ๆ อีกอย่างผมไม่ได้อยากเพิ่มค่าความสนิทสนมกับคู่แข่งจีบสาวเลยซักนิด

“ฉันเสียเวลาไปมากกับการช่วยนายดูหมา” เสนอตัวเองแล้วยังจะมาพูดเหมือนผมผิดอีก แม่ง

เออ ก็ได้ ถ้าไม่ได้อาคาริช่วยผมก็พาก็อตซิลล่ากลับมาถึงบ้านไม่ได้แน่ เรื่องนี้ผมนึกขอบคุณมันนะ แต่มันคนละเรื่องกับตอนนี้นี่ อีกอย่างผมเพลียแล้วด้วย

“แต่ฉันเหนื่อยแล้วอ่ะ” ผมโอดครวญแล้วทำหน้าเพลียที่สุดในโลกใส่แทนคำปฏิเสธ

“ปวกเปียกแบบนี้ฟาร์มคงเจ๊งตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่ม” จึงได้คำค่อนแขวะและสายตาเหยียดหยามกลับมา

ฟาร์มจะรุ่งหรือจะเจ๊งก็เรื่องของกูไหมล่ะ!

“งั้นฝากเดินกลับไปโรงแรมบอกคุณไบรอันด้วยว่าวันนี้ฉันคงเข้างานสาย” อาคาริว่าพลางยักไหล่ “หักค่าแรงตามชั่วโมงที่สายตามปกติได้เลย” พูดจบแล้วเขาก็เปิดประตูออกจากกระท่อมของผมไป

“............”

••••• 


“โห หวานขนาดนี้เลยเหรอ อร่อยโคตร” ผมตาโตเมื่อลองเด็ดบลูเบอร์รี่ป่าจากต้นมาชิม ผลไม้สดจากธรรมชาติอร่อยกว่าผลไม้เร่งปลูกมากจริงๆ

ครับ สุดท้ายผมก็ทนความรู้สึกผิดไม่ไหวจนยอมตามขึ้นเขามาช่วยอาคาริเก็บบลูเบอร์รี่ป่านั่นแหละ

“อย่ากินจนลืมเก็บแล้วกัน” อาคาริที่เดินตามผมมาพูดเตือน ก่อนจะหันไปเด็ดบลูเบอร์รี่ใส่ตะกร้าสานที่ไม่รู้ว่าไปเอามาจากไหนและตั้งแต่เมื่อไหร่ “ไม่เคยกินรึไง”

“ที่เคยกินมันไม่หวานอร่อยแบบนี้อ่ะ” ผมพูดแล้วแอบโยนเข้าปากอีกลูก “ประเทศเมืองร้อนมันปลูกเองขึ้นที่ไหน ต้องนำเข้ามาแถมแพงอีกต่างหาก”

อาคาริครางอ๋อในลำคอ “ฉันนึกภาพการใช้ชีวิตที่สภาพอากาศเหมือนเดิมตลอดปีไม่ออก”

“ฉันก็นึกภาพการใช้ชีวิตในสภาพอากาศที่เปลี่ยนตลอดทุกเดือนไม่ออกเหมือนกันนั่นแหละ” ผมเดินกลับมาเทบลูเบอร์รี่กำโตลงบนกระจาด “เท่านี้พอรึยัง”

“เก็บอีก”

ผมพยักหน้า เริ่มจะสนุกมือกับการเก็บผลไม้และของป่า อากาศฤดูใบไม้ผลิเย็นสบายบวกกับบนเขานั้นอากาศเย็นกว่าในเมืองอยู่แล้วทำให้สามารถเดินได้เรื่อยๆไม่ค่อยเหนื่อยเท่าที่คิด ถ้าเป็นภูเขาในไทยหรือที่นี่ตอนฤดูร้อนผมน่าจะแห้งตายตั้งแต่ตีนเขาไปแล้ว

ทางเดินบนภูเขาหลังหมู่บ้านหน้าตาไม่ต่างจากระบบในเกมนัก แต่ก็ดูมีพรรณไม้หลายพันธุ์มากกว่าไอเทมที่ถูกระบุไว้ในเกมพอสมควร จำได้ว่าถ้าเลี้ยวไปอีกทางมันจะมีบ่อน้ำพุร้อนกลางแจ้งด้วย ผมเล็งมันไว้เป็นที่อาบน้ำประจำของผมเรียบร้อย

เมื่อเด็ดบลูเบอร์รี่จนลูกที่สุกพอจะกินได้หมดต้น เราสองคนก็พากันย้ายตำแหน่งหาต้นใหม่เด็ดกันไปเรื่อยๆ พอเดินผ่านเจอพวกหน่อไม้ที่จำได้ว่าเอาไปวางไว้ในกล่องขายของในฟาร์มได้ ผมก็แวะถอนใส่กระเป๋าเป้ตัวเองไปด้วย

ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ว่าต้นบลูเบอร์รี่กับต้นไผ่มันโตข้างๆกันได้ยังไง ต่อให้นึกปลงว่าช่างเถอะ จะเอาอะไรหนักหนากับเกม แต่บางเรื่องที่ผมเจอแม่งก็สมจริงเกินระบบเกมไปป่ะวะ

......เช่นNPCที่ควรไปสร้างอีเว้นท์ทักทายสาวตัดหน้าผู้เล่นดันอาสาเดินอุ้มลูกหมามาส่งให้ถึงบ้านแทนเป็นต้น

แล้วผมก็ฉุกคิดขึ้นมาได้

เฮ้ย ถ้าเหตุการณ์มันไม่เหมือนในเกมแบบนี้ สาวๆในเมืองที่ผมเล็งจะจีบไว้ไม่กิ๊กกับคู่แข่งคนอื่นไปก่อนผมหมดแล้วเหรอ

“นี่ นายมีแฟนรึยัง” ผมหันขวับไปถามอาคาริหน้าตื่น เขาดูอึ้งไป ผมถึงเพิ่งนึกได้ว่ามันไม่ใช่คำถามที่ควรถามคนที่เพิ่งรู้จักกันวันแรก ...เออ ผมนี่ก็ลืมตัวว่าที่จริงตัวเองรู้จักอาคาริอยู่ฝ่ายเดียวจนเผลอหลุดไปหลายทีตลอดเลย

“จะจีบฉัน?”

ผมแทบจะเขวี้ยงหน่อไม้ในมือใส่หน้ามัน

“เปล่าโว้ย!”

“แล้วถามทำไม”

“ก็... สงสัยเฉยๆไงวะ เออ คิดซะว่าไม่ได้ถามแล้วกัน” แม่งเอ๊ย ผมหลบตาแล้วรีบสาวเท้าไปที่ต้นบลูเบอร์รี่ต้นใหม่แก้เก้อ เลยไม่ทันได้เห็นคนหน้านิ่งยกมุมปากขึ้นยิ้มขำ

จากนั้นเราสองคนก็ต่างคนต่างเด็ดบลูเบอร์รี่กันไปแบบเงียบๆ ผ่านไปราวๆสิบห้านาที ผมก็ประจักษ์ได้ว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ขี้เสือกที่สุดในโลก

“แล้วสรุปนายมีแฟนยังอ่ะ”

หรือมนุษย์อย่างผมคนเดียวก็ไม่รู้แฮะ แต่เอาเป็นว่าผมขี้เสือก

อาคาริหันมามองผมด้วยสายตาว่างเปล่า ถึงงั้นรอบนี้ก็ยอมตอบคำถามดีๆ “ยังไม่มี”

“กิ๊กล่ะ”

“ไม่มี”

“แล้วคนคุย”

“ไม่มี”

“งั้นสาวที่เล็ง...”

“จะจีบฉันจริงๆสินะ” อาคาริสวนขึ้นมาจนผมถึงกับหุบปากฉับ “ไม่มี โสด จีบได้ ชงเหล้าเป็น”

...กวนตีน

ว่าแต่มันไปจำคำพูดแบบนั้นมาจากไหนวะเนี่ย

“ไม่ได้จะจีบเว้ย แค่คิดว่าหน้าอย่างนายน่าจะมีฟงมีแฟนอะไรกับเขาแล้วต่างหาก”

“จะบอกว่าฉันหล่อสินะ” เออ เอาที่มึงสบายใจเลยจ้า

ผมปาบลูเบอร์รี่หนึ่งเม็ดใส่อาคาริด้วยความหมั่นไส้ แต่อาคาริยกตะกร้าขึ้นรับได้อย่างงดงาม “อย่าเล่นของกิน”

“แล้วไม่มีสาวที่เล็งเอาไว้บ้างรึไงนายน่ะ” ไหนๆก็ไหนๆแล้วผมเลยถือโอกาสเสือกต่อแบบหน้าด้านๆ

“แค่เกรซคนเดียวก็ปวดหัวแล้ว... น้องสาวฉันน่ะ”

เกรซเป็นสาวน้อยร่าเริงสดใสยิ้มง่ายผิดกับพี่ชายอย่างอาคาริ และก็เป็นตัวละครหญิงอีกคนที่สามารถจีบได้ในเกมนี้ ส่วนเรื่องชื่อแซ่สองพี่น้องคู่นี้อย่าไปเสียเวลาหาความสอดคล้องเลย ผมน่ะถึงขั้นอยากเมลไปถามคนเขียนบทของเกมนี้ด้วยซ้ำว่าเอาเกณฑ์อะไรมาตั้งชื่อให้ครอบครัวนี้

พ่อชื่ออเล็กซานเดอร์ แม่ชื่อเหมย พี่ชายชื่ออาคาริ น้องสาวชื่อเกรซ มันสัมพันธ์กันตรงไหนบ้างวะ หรือมันเป็นปริศนาที่ผมต้องมาหาคำตอบเอาในโลกนี้ก็ไม่รู้

“ห้ามจีบน้องฉัน” แต่เสือกบอกให้ผมจีบตัวมันเองได้เนี่ยนะ เชื่อเขาเลย

ทำเป็นหวงไป กูเคยแต่งงานกับน้องมึงมาแล้วนะโว้ย

...สมัยเล่นเกมอ่ะน่ะ

“ถ้าน้องนายมาหลงเสน่ห์ฉันนั่นก็อีกเรื่องแล้วกัน” ผมยักคิ้วยียวน ถูกกวนตีนมาหลายนัดแล้วมีช่องว่างผมขอยิงกลับบ้างเหอะ

อาคาริส่ายหัว “น้องฉันไม่ชอบพวกเหยาะแหยะ”

โห พูดแบบนี้เอาตะกร้ามาฟาดหน้ากันเลยดีกว่า

แล้วผมจะกินบลูเบอร์รี่ให้หมดเลย... แค่ก ไม่ใช่!

“นี่นายลากฉันมาช่วยงานหรือลากมาไว้กวนประสาทกันแน่วะ” ผมบ่นแล้ววางบลูเบอร์รี่อีกกำลงตะกร้า เหลือสองสามลูกโยนเข้าปากตัวเอง

“อาจทั้งคู่” คนหน้านิ่งกล่าวนิ่งๆเหมือนกำลังพูดเรื่องดินฟ้าอากาศมากกว่ากำลังกวนตีนคน เขาเขย่าตะกร้าบลูเบอร์รี่เบาๆ “พอแล้ว”
ผมชะโงกดูปริมาณบลูเบอร์รี่ในตะกร้า “ได้มาเยอะเหมือนกันนะ กำลังเก็บเพลินๆเลย”

“เก็บสองคนไวกว่าจริงๆ” อาคาริหยิบบลูเบอร์รี่ลูกที่ไม่ค่อยสวยลูกหนึ่งขึ้นมาเข้าปาก “ขอบใจมาก”

“ไม่เป็นไร ทีนี้ก็เลิกมองเหมือนฉันทำอะไรไม่เป็นได้แล้ว” ว่าแล้วก็หันไปยักคิ้วให้แบบหล่อๆหนึ่งที

“แค่เก็บบลูเบอร์รี่ก็ไม่ถือว่าทำอะไรเป็น”

นี่กูเคยเถียงมึงชนะบ้างมั้ยวะ!

ตอนนี้พวกเราอยู่กันแถวๆทะเลสาบ ผมเลยนึกถึงท่านเทพธิดาขึ้นมา เจ้าหล่อนอยู่ในทะเลสาบนั่นแหละครับ ผมเรียกเธอให้ขึ้นมาลากคนกวนตีนลงไปเก็บในน้ำได้รึเปล่าเนี่ย

ไม่... ผมจะทำเหมือนเทพธิดาแสนดีของผมราวกับเป็นสัตว์เลื้อยคลานยอดฮิตตามมหาวิทยาลัยไม่ได้

“โวะ ถ้าเสร็จแล้วก็ลงเหอะ” พอแล้วเหนื่อย เหนื่อยกับไอ้บาร์เทนเดอร์นี่ฉิบหาย ถ้าอยู่ให้มันกวนตีนต่ออีกผมน่าจะต้องสติแตก

อาคาริยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู “เวลาเหลือ ขึ้นไปอีกนิดเป็นยอดเขา มีต้นเชอร์รี่ป่ากำลังออกผล”

“ไป!”


TBC.

******
เรื่องของเราจะออกแนวเอื่อยๆสบายๆ Slice of lifeไปเรื่อยๆน่ะค่ะ TvT เพราะอยากหยิบนู่นนี่นั่นในเกมมาเขียนถึงเรื่อยๆ

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านมากนะคะ สามารถคอมเม้นท์ติชม+ทักท้วงคำผิดได้ทั้งในนี้หรือในแท็กทวิตเตอร์ #สวัสดีฟามรัก ได้เลยค่ะ<3
twitter:  @evilkunbk

ออฟไลน์ Evilkun

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ตอนที่6 • สวัสดีครับสาวๆ<3
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย: หากถูกสถานที่และถูกเวลา เราอาจเจออีเว้นท์ทักทายสาวๆที่หมายปองได้

หลังจากลงเขากันมาแล้ว ผมก็แยกกับอาคาริที่หน้าทางเข้าฟาร์มผม ตัวเขาเดินเลี้ยวไปทางเข้าเมืองเพื่อไปเตรียมตัวเข้างานกะกลางคืนเป็นบาร์เทนเดอร์ ส่วนผมเดินกลับฟาร์มมาวางของป่านานาที่เก็บได้ลงกล่องขายของรอให้คุณเจมส์มาเอาไป แวะหยิบชามข้าวหมาจากหน้ากระท่อมเข้าไปข้างใน สะดุ้งหนึ่งโหยงเมื่อเห็นเจ้าหมาก็อตซิลล่าวิ่งดุ๊กดิ๊กมาต้อนรับ

“นี่ฉันต้องทำใจให้เลิกกลัวหมาเพราะแกจริงๆสินะ ก็อตซิลล่าเอ๊ย” ว่าแล้วก็เทนมขวดเล็กที่ได้มาจากลุงเจ้าของฟาร์มวัวเมื่อตอนแวะไปที่คาเฟ่ วางชามไว้ข้างๆกองผ้าอันเป็นที่นอนชั่วคราวของหมาน้อยอย่างเก้ๆกังๆ “ถ้าหิวก็กินนมในนี้นะ ”

เขาว่ากันว่ามนุษย์ที่เลี้ยงสัตว์มักจะมีสกิลพิเศษที่พูดคุยกับสัตว์เลี้ยงตัวเองได้ ผมว่าผมเริ่มแล้วล่ะ

หมาน้อยขนฟูเห่ารับเสียงแหลมเล็ก เลิกวิ่งพันแข้งพันขาผมและหันไปให้ความสนใจกับชามนม ผมนั่งลุ้นอยู่ไม่ไกลว่ามันจะกินเองได้รึเปล่า ถ้าต้องสอนนี่แย่เลยนะ คนกลัวหมาอย่างผมคงไม่มีปัญญาสอน ไม่งั้นผมต้องไปรับจ้างเก็บบลูเบอร์รี่เป็นค่าสอนหมากินอาหารจากชามอีกแน่ๆ

ก็อตซิลล่าน้อยดมนมในชามฟุดฟิดแล้วแลบลิ้นตวัดนมเข้าปากกิน

ดูเหมือนจะไม่มีปัญหา  หมาใครเนี่ยฉลาดจัง

ผมเลยวางใจแล้วผละออกมาเข้าห้องน้ำจัดการอาบน้ำขัดสีฉวีวรรณสารร่างที่เหนื่อยแทบแหลก พอออกมากก็แผ่สองสลึงลงบนเตียงและหลับคาที่ไปตั้งแต่ตะวันยังไม่ลับจากขอบฟ้าดี เป็นอันสิ้นสุดวันแรกที่แสนยาวนานของชีวิตใหม่ในโลกนี้

 

ไม่รู้ว่าเพราะเสียงเห่าแหลมๆของหมาน้อยที่บ้านหรือเพราะการชุมนุมประท้วงของน้ำย่อยในกระเพาะ ทำให้ผมลืมตาตื่นขึ้นมา มองไปทางหน้าต่างก็เห็นว่าฟ้าสว่างแล้ว

เชี่ย สลบไปตั้งแต่ยังไม่หกโมงเย็นดียันตอนนี้ฟ้าสว่าง ต้องเหนื่อยขนาดไหนกัน สมัยรับน้องผมยังไม่สลบยาวเหยียดขนาดนี้เลย หยิบนาฬิกาข้อมือที่ถอดไว้ขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นเวลาหกโมงเช้าพอดี

ตื่นตามเวลาในเกมเป๊ะ ผมคงไม่ถูกบังคับให้ตื่นเวลานี้ทุกวันใช่มั้ย ในเกมหากตื่นสายกว่าหกโมงเช้าแล้วเราไม่ไปสารภาพบาปว่าตื่นสายที่โบสถ์ก็จะถูกลดค่าความสนิทสนมจากชาวหมู่บ้าน

ผมก็เพิ่งรู้จากเกมนี้นี่ล่ะว่าการตื่นสายเป็นบาป... หากเป็นงั้นจริงตัวผมในชาติก่อนผู้ตื่นเที่ยงทุกวันที่ไม่มีเรียนก็น่าจะเป็นจ้าวนรกได้แล้วครับ

แต่หลังจากตกบันไดตายแล้วได้มาเป็นชาวนาแทนลงนรกก็เท่ากับว่าการตื่นสายไม่บาป เย้

ผมลุกมาล้างหน้าล้างตา ให้อาหารหมาอย่างทุลักทุเลจนเสร็จแล้วจึงออกจากกระท่อมมาเช็คกล่องขายของว่าคุณเจมส์มาเอาของเมื่อวานไปรึยัง เมื่อเดินไปถึงก็พบเงินสดจำนวนหนึ่งวางแทนที่ของป่าที่ผมวางทิ้งเอาไว้ หยิบมานับๆดูแล้วก็ได้มาหลายร้อยอยู่ รวมกับเงินห้าร้อยเหรียญที่ได้มาตอนเริ่มต้นเกม ตอนนี้ผมจึงมีเงินติดตัวอยู่พันเหรียญนิดๆ

ขาดอีกไม่กี่ร้อยก็น่าจะซื้อไก่มาเลี้ยงสักตัวได้แล้ว แต่ตอนนี้ผมต้องเอาหมาน้อยก็อตซิลล่าให้รอดก่อนดีกว่า สัตว์ตัวอื่นเดี๋ยวค่อยว่ากันอีกที ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะพากันฉิบหายวายป่วงไปหมด

เช้าๆอากาศเย็นสบายแบบนี้ผมจึงตัดสินใจว่าจะไปไล่เก็บของป่าลงมาขายอีกครั้งก่อนจะแวะเข้าเมืองไปหาข้าวเที่ยงกินและแวะซูเปอร์มาร์เก็ตที่กะจะไปตั้งแต่เมื่อวานแต่อดเสียก่อน

เมื่อผมมาถึงจุดเดิมที่เคยเก็บหน่อไม้ก็ต้องประหลาดใจ ว่าของป่าที่ถูกเก็บถูกถอนไปเมื่อวานมันงอกกลับขึ้นมาจำนวนเท่าเดิมและตำแหน่งที่ใกล้เคียงกับที่เดิมที่มันถูกเด็ดไปเลย แบบนี้ก็ง่ายสิ ผมสามารถคำนวณรายได้ต่อวันให้คงที่ได้ แบบที่ไม่ต้องกังวลว่าวันนี้จะหาพืชพรรณในป่ามาขายได้น้อยเกินไปรึเปล่าด้วย

ค่อยยังชั่ว หลังจากเจอความสมจริงมาหลายเรื่องจนเกือบจะลืม ค่อยรู้สึกว่าตัวเองตายมาอยู่ในเกมหน่อย

เอ๊ะ มันใช่เรื่องที่ควรจะดีใจเหรอวะ

แม้แต่บลูเบอร์รี่ป่าที่เพิ่งไล่เก็บกันไปก็ออกผลใหม่มาเต็มต้น ถ้าผมแย่งเก็บตั้งแต่ตอนนี้ ตอนบ่ายอาคาริก็จะปีนเขาเก้อแบบมาไม่เจอบลูเบอร์รี่สินะ วะฮ่าๆ

...แต่ผมขอไม่เสี่ยงหาเรื่องแย่งเก็บให้มันมาจองเวรผมไปมากกว่านี้ดีกว่า

ผมเดินอ้อยอิ่งรับอากาศบริสุทธิ์บนภูเขาอย่างไม่เร่งรีบ ได้มาใช้ชีวิตแบบนี้ก็ดูไม่เลวเท่าไหร่นะ ทำเอานึกถึงสมัยเด็กๆที่มีไปเที่ยวกับครอบครัวบนภูเขาในจังหวัดใกล้ๆ อากาศตอนนั้นก็สดชื่นงี้เลยล่ะ แต่พอโตขึ้นบวกกับภาระหน้าที่ของพ่อแม่ก็ทำให้ห่างหายการท่องเที่ยวกับครอบครัวไปพอสมควร สมัยมหาลัยผมก็มีไปเที่ยวแหล่งธรรมชาติกับเพื่อนๆอยู่บ้างแต่ก็วุ่นวายกันเกินกว่าจะได้มาเดินกินลมชมวิวอิ่มเอมกับป่าเขาแบบตอนนี้

ไม่รู้ป่านนี้ทั้งที่บ้านทั้งเพื่อนๆเป็นยังไงบ้าง รู้ข่าวการตายของผมแล้วรึยัง จะตกใจหรือเสียใจกันมั้ยนะ ยังไงก็เถอะ ผมยังมีน้องชายอีกคน ถึงตัวผมจะไม่อยู่แล้วอย่างน้อยก็ยังมีมันอยู่ดูแลพ่อกับแม่ได้ คิดไปคิดมาส่วนตัวผมก็ไม่ค่อยมีห่วงอะไรเท่าไหร่

ที่สำคัญแผ่นเอวีกับหนังสือโป๊ที่เคยซื้อไว้ก็บริจาคให้เหล่าสหายไปหมดแล้ว ถึงที่บ้านมาเก็บห้องผมก็คงไม่มีโป๊ะอะไรให้จับ โชคดีหน่อย แต่จะโชคดีกว่าถ้ากูไม่ได้มาตกบันไดตายแบบกากๆก่อนวัยอันควรแบบนี้อ่ะ

   เมื่อวานก็ดันวุ่นวายเสียจนลืมอาลัยอาวรณ์เหล่าคนที่ผมจากมา พอมาอยู่คนเดียวในสถานที่สงบๆแบบบนป่าบนเขาแบบนี้ก็ทำเอาผมรู้สึกเศร้าขึ้นมานิดหน่อยเหมือนกัน

นิดหน่อยจริงๆ เพราะผมเลิกเศร้าทันทีที่เห็นสาวสวยเดินผ่านมาทางนี้ นั่นมันฮานนา หลานสาวเจ้าของฟาร์มวัวแกะนี่หว่า คนนี้ก็จีบได้เหมือนกัน แต่เป็นสาวสวยสไตล์เท่ๆ ไม่ได้ตรงสเป็คผมมากนัก แต่คู่มือเกมระบุว่าจีบได้ก็ต้องเล็งไว้สักหน่อยละ

ควรจะส่งเสียงทักทายออกไปรึเปล่า ผมจำได้ว่าเหตุการณ์สวัสดีทักทายกับเธอจะเกิดขึ้นเมื่อผมไปพบเธอที่ฟาร์มเธอเอง หากทำความรู้จักกันไปก่อนจะไม่ตรงเงื่อนไขอีเว้นท์รึเปล่าเนี่ย ขณะที่ผมยืนลังเล คุณเธอก็หันมาเห็นผมเข้าเสียก่อน

“โอ๊ะ สวัสดี ใครกันล่ะเนี่ยไม่เคยเห็นหน้าเลย คนใหม่ที่ย้ายมางั้นสิ”

เล่นตัวไม่ทันแล้วว่ะ ทักกันซะขนาดนี้

“เอ่อ... สวัสดี เราชื่อเพทาย เพิ่งย้ายมาที่ฟาร์มตรงนั้นเมื่อวาน” ผมเลยได้แต่ทักทายกลับไป แล้วก็ยกนิ้วโป้งขึ้นชี้ไปทางเดินเส้นที่ใช้กลับไปยังฟาร์มตัวเองเสริมการอธิบาย

“ไงเพทาย ฉันชื่อฮานนา บ้านฉันเองก็เป็นฟาร์มเหมือนกัน ไว้แวะมาสิ ฉันกับลุงจะแนะนำการทำปศุสัตว์ให้นะ”

“ถ้าเธอยินดีช่วงจะดีใจมากเลย คือเรายังมือใหม่เรื่องทำฟาร์มสุดๆ คงต้องขอรบกวนหลายอย่างแล้ว” ผมอมยิ้มเล็กๆให้ เกาต้นคอเบาๆด้วยความเขิน ดูน่ารักมั้ยล่ะ ใช่ ผมจงใจแอ๊บเบาๆ เป็นเทคนิคส่วนตัวที่ใช้ในการเข้าหาสาว เนียนเป็นหนุ่มนุ่มนิ่มให้สาวนึกเอ็นดูคุยด้วยแล้วสบายใจจากนั้นจึงโชว์หล่อทีหลังมันกระแทกใจกว่าตั้งเยอะ ไม่คิดงั้นกันเหรอครับ

พูดให้ถูกคือเบ้าหน้ากับท่าทางมันพาให้ผมถนัดทางนี้ ใครๆก็รู้ว่าผมเป็นเด็กเนิร์ด แต่ถ้าคุณเป็นเด็กเนิร์ดที่จัดสรรเวลาได้อย่างดีเยี่ยม นอกจากจะฟันเกรดงามๆมาได้แล้วคุณก็เอาเวลาไปฟันหญิงงามๆได้ด้วยเช่นกัน

แล้วก็เพราะเบ้าหน้ากับท่าทางอีกนั่นล่ะ ส่วนใหญ่ที่ได้เลยมักจะเป็นผู้ชายเสียมากกว่า......

เอาเถอะยังเป็นวัยรุ่น ลองมันให้ครบๆขำๆไปไม่เสียหาย เครียดเรื่องเกรดแล้วผมไม่เอาเรื่องเพศของคู่นอนมาเก็บไปเครียดอีกเรื่องหรอกนะ อดแดกสิเครียดกว่า!
 
...แต่ก็ต้องป้องกันให้ถูกวิธีนะครับ เดี๋ยวจะกลายเป็นขำไม่ออกและเสียหายหลายโรคแทน เกิดเจอแจ็คพ็อตขึ้นมาจะกลายเป็นเครียดยิ่งกว่าเกรดตกแทนได้
 
“ถามมาเลยไม่ต้องเกรงใจ มีปัญหาตรงไหนเรียกได้เสมอ พอความรู้แน่นแล้วมาก็ซื้อวัวซื้อแกะบ้านฉันไปเลี้ยงด้วย!” ฮานนานี่ก็เนี๊ยนเนียนขายของได้ดูเป็นธรรมชาติเอาเรื่องเว้ย

“เตรียมพวกมันรอเราไปซื้อได้เลย” ผมพูดติดตลก ยังไงที่นี่ก็มีบ้านหล่อนขายวัวขายแกะอยู่เจ้าเดียวป่ะวะ

ฮานนาหัวเราะชอบใจ “รับมุกเก่งดีเหมือนกันนะนายเนี่ย”

เรายังเก่งอีกหลายอย่างเลยนะ อยากรู้ป่ะ เอาเบอร์มาเดี๋ยวเราโทรไปบอกให้ฟัง

...อยากหยอดสาวด้วยมุกนี้แต่ก็ยังไม่ได้เช็คว่าหมู่บ้านนี้เขาพกมือถือกันมั้ย อีกอย่างคือท่านเทพธิดาไม่ได้แถมมือถือมาให้ผมพกด้วยอ่ะดิ

ผมกับฮานนาเราเดินคุยกันสารพัดเรื่องไปเรื่อยๆจนถึงทางแยกไปบ่อน้ำพุร้อนกลางแจ้ง เธอแยกตัวไปทางนั้น เธอบอกว่าเธอชื่นชอบการแช่น้ำร้อนยามเช้า ข้อมูลนี้ผมเพิ่งทราบ สมัยเล่นเป็นเกมเจอเธอบนเขาเธอก็เอาแต่ยืนนิ่งๆน่าบ่อน้ำพุร้อนไม่ได้มีท่าทีจะลงไปแช่สักหน่อย อาจเป็นเพราะกราฟฟิคในเกมสมัยนั้นมีข้อจำกัดมั้ง

ผมเดินมาอีกทางเพื่อขึ้นไปบนยอดเขา บนนั้นนอกจากมีต้นเชอร์รี่ที่อร่อยโคตรๆแล้ว เมื่อวานผมเห็นว่ามีสมุนไพรหลายชนิดงอกขึ้นมาให้เก็บไปขายด้วย

จะว่าไปแล้ว ไหนๆก็ผ่านทะเลสาบแล้วแวะทักทายท่านเทพธิดาหน่อยดีกว่า ไม่ได้เจอกันวันนึงคิดถึ๊งคิดถึง

อะไร ผมเปล่าตอแหลนะ! ผมมีความคิดถึงให้สาวๆทุกวันต่างหาก!

วิธีเรียกเทพธิดาให้ขึ้นมาหานั่นไม่ยากเลย เราก็แค่หาพืชผลหรือผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติโยนลงไปในทะเลสาบให้ถูกตำแหน่ง จะเป็นของป่าก็ได้ หรือผักผลไม้ที่ปลูกเองก็ได้

ซึ่งทะเลสาบก็อยู่ท่ามกลางธรรมชาติป่าเขาอยู่แล้ว หาของเซ่นได้ง่ายมากเวอร์ ผมเลือกเด็ดบลูเบอร์รี่แถวๆนั้นมา กะตำแหน่งนิดหน่อยแล้วค่อยโยนลงไป พลันก็เกิดแสงสว่างจ้าขึ้นมาจากผิวน้ำ ไม่นานก็ปรากฏร่างหญิงงามผมสีทองพริ้วไหวยืนสง่าอยู่ตรงหน้าผม

โผล่ขึ้นมาจากน้ำแท้ๆทำไมตัวไม่เปียกซักนิดเลยล่ะครับท่าน

“สวัสดีครับท่านเทพธิดา” ผมยกมือไหว้ตามมารยาทไทยใจงาม ไม่รู้ล่ะว่าคุณเธออายุเท่าไหร่ เห็นเป็นเทพีผมเลยเดาว่าน่าจะแก่กว่าไว้ก่อน แต่เธอไม่น่าจะเป็นเทพธิดาสัญชาติไทยเพราะเธอไม่ได้รับไหว้ผม แค่กล่าวทักทายผมกลับมาสั้นๆว่าอรุณสวัสดิ์เพทายแล้วคุณเธอก็หายแว้บไปเลย

อ้าว...... รอบนี้ยังไม่ทันไปถึงกลางทางก็ทิ้งกูซะละ

สงสัยจะไม่ชอบบลูเบอร์รี่ ไว้ผมรวยแล้วจะปลูกแตงกวามาแบ่งนะ

หรือแบบนั้นเธออาจยิ่งโกรธว่าผมไปหาว่าเธอเป็นกัปปะ*ถึงได้เอาแตงกวามาล่อเธอ

ผมบ่นไปอย่างนั้นล่ะ ตามระบบเกมช่วงแรกๆเทพธิดาจะโผล่มาทักทายแค่สั้นๆอยู่แล้ว แถมยังเจอได้แค่วันละหนอีก ไว้ผมค่อยมาก่อกวน... เอ๊ย ทักทายเธอใหม่พรุ่งนี้

ถึงจะสงสัยนิดหน่อยว่าเป็นคนลากคอวิญญาณผมมายังโลกนี้เอง บอกผมเองด้วยว่ามีอะไรให้มาหาได้ แล้วคุณเธอจะทำเป็นคีพคาร์แรคเตอร์ตามระบบเกมอะไรตอนนี้วะ

“ก็เจ้าไม่ได้มีอะไรมาหาข้าเป็นพิเศษไม่ใช่หรอกรึ?”

“เหี้ย!!”

อยู่ๆก็มีเสียงพูดดังขึ้นมาจากข้างลำตัว... เฮ้ย เดจาวูว่ะ เมื่อกี๊เทพธิดาหายกลับลงน้ำไปแล้วไม่ใช่เรอะ

“อย่าอยู่ๆก็ไปอยู่ๆก็โผล่มาสิท่าน” ผมยกมือลูบอกปลอบขวัญตัวเอง ตกใจจริงๆนะเนี่ย ทำไมชอบปรากฏตัวมาให้คนสะดุ้งฮะ คุณเป็นเทพธิดานะ ไม่ใช่ผีจากหนังฝรั่งที่มักโผล่มาแบบตุ้งแช่สักหน่อย

“เจ้าดูเหมือนไม่ได้มีธุระอะไรเป็นพิเศษ ทักทายเสร็จแล้วข้าเลยไป แต่เห็นเจ้ายังทำหน้าไม่พอใจอยู่ตรงริมทะเลสาบต่อ ข้าจึงวกกลับมาถามเผื่อจะมีเรื่องเดือดร้อน”

ผมได้ยินแบบนั้นก็สลดลงนิดหน่อย รู้สึกเกรงใจขึ้นมาทันที

ผมว่าเสียงอ่อย “ก็... จริงๆผมก็มาทักทายเฉยๆ...  ขอโทษที่มารบกวนครับ” ขอโทษที่แอบบ่นในใจด้วย แต่ประโยคหลังไม่พูดดีกว่า กลัวโดนท่านเทพีด่า

เทพธิดาหัวเราะเบาๆ “ไม่เป็นไร เจ้ามาทักทายข้าทุกวันก็ยังได้ เมื่อครู่ข้าเองก็ผละออกมาเร็วไปหน่อย”

โอเค ในเมื่อเธอดูไม่ได้รำคาญอะไรผมก็ค่อยรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง

บ้างในระดับไหนเหรอ ก็ระดับที่กล้าออกปากแซวกลับไป “งั้นไว้ถ้าผมมาแถวนี้จะแวะมาทักท่านนะ อยากกินอะไรก็มาเข้าฝันผมบอกแล้วกัน ถ้าผมหาได้เดี๋ยวผมเอามาโยนให้ครับ”

เทพธิดายังยิ้มให้ผมอยู่นะ แต่ผมรู้สึกได้ว่าสายตาของคุณเธอว่างเปล่ากว่าเมื่อกี๊ยังไงไม่รู้.....

••••• 

รอบนี้นอกจากผมขึ้นมาเก็บของป่า ผมก็ตั้งใจมาสำรวจป่าบนเขาให้ละเอียดกว่าเมื่อวานด้วย มีข้างทางที่ไม่เคยไปในเกมมากกว่าที่คิดจนเผลอสำรวจเพลิน พอก้มมองเวลาอีกไม่นานก็จะเที่ยงแล้ว ผมคงหิ้วท้องรอไปถึงคาเฟ่ไม่ไหวก็เลยกินขนมปังที่พกมาเผื่อแทน หลังจากนั้นกว่าจะกลับลงมาถึงฟาร์มแล้ววางของที่เก็บมาลงกล่องขายเสร็จ เวลาก็ปาเข้าไปบ่ายโมงกว่าๆ ผมแวะเติมอาหารหมาแล้วรีบออกมาจากฟาร์มทันที

รอบนี้ต้องไปซื้อเมล็ดพืชจากซูเปอร์มาร์เก็ตให้ได้ เขาให้ผมมาทำฟาร์มนะ ไม่ได้ให้มาเก็บเห็ด!

“ไวน์องุ่นประจำฤดูกาลนี้ หากสนใจเชิญชิมฟรีเลยค่า”

ก้าวออกมาจากฟาร์มได้ไม่เท่าไหร่ผมก็พบกับสาวผมบ๊อบยืนถือถาดที่เต็มไปด้วยเครื่องดื่มตะโกนเรียกลูกค้าอยู่หน้าร้านไวน์ ผมตรงตัดสั้นประบ่ากับดวงตากลมโตสีฟ้าสดใสผิดกับสีฟ้าซีดของคนพี่ลิบลับ... ใช่แล้ว สาวน้อยที่ยืนอยู่ตรงนั้นคือเกรซ น้องสาวของอาคาริมัน

“โอ๊ะ พี่ชายตรงนั้น สนใจชิมไวน์องุ่นของปีนี้มั้ยคะ ปีนี้เราปรับวิธีการบ่ม ออกมารสชาติดีกว่าปีก่อนๆเยอะเลยน้า” เมื่อเห็นผมกำลังหยุดยืนและมองมายังเธอ เกรซจึงเดินเข้ามาทักทายพร้อมกับยื่นถ้วยเล็กๆที่บรรจุน้ำสีแดงเข้มไว้ไม่มากมาให้ “ทานกับชีสหรือสเต็กก็อร่อยมากๆเลยล่ะค่ะ”

วันนี้เหมือนจะเป็นวันดี มีแต่สาวเข้ามาหาผม เฮ้อ มีความสุขจังเลย

ผมยกถ้วยขึ้นจิบแล้วชมไปตามจริง “อร่อยจริงๆด้วย กลิ่นแอลกอฮอล์ไม่แรงเกินไปแถมรสยังนุ่มมาก” ดื่มง่ายกว่าไวน์ปกติที่ผมเคยลองพอสมควร ถ้าได้มาเป็นขวดเห็นทีคงมีดื่มเพลินจนเมาแอ๋แน่นอน

“แฮะๆ ใช่มั้ยล่ะคะ... แต่เอ๊ะ คุณคงจะเป็นคนที่เพิ่งย้ายมาที่นี่สินะ” เกรซเบิกตา ทำท่าเหมือนเพิ่งรู้สึกตัว ทำเอาผมรู้สึกเอ็นดูขึ้นมาเบาๆ

ผมฉีกยิ้มและพยักหน้าให้เป็นคำตอบ “ชื่อเพทายนะ ยินดีที่ได้รู้จัก”

“ฉันเกรซค่ะ ฝากตัวด้วยนะ เพทายชอบดื่มเหล้ามั้ย?”

เกรซเป็นสาวน้อยร่าเริงสดใส และก็เป็นสาวปาร์ตี้ชื่นชอบการดื่มแอลกอฮอล์มากด้วย สมเป็นลูกสาวร้านขายไวน์จริงๆ สมัยผมจีบเธอ(?) ผมซื้อแต่ไวน์ไม่ก็เบียร์มาอัดให้รัวๆทุกวัน นึกย้อนกลับแล้วถ้าผมจะจีบเธอด้วยวิธีเดิมอีกคงเป็นคู่รักลำยองกันน่าดู...

ทว่าเหนือสิ่งอื่นใดนั้น ผมจำสถานการณ์นี้ได้ดี เพราะมันคือ... มันคือ...

อีเว้นท์แรกพบสาวที่รอคอย!!

แถมยังเป็นอีเว้นท์ของผู้หญิงคนแรกในเกมนี้ที่ผมจีบสำเร็จไปถึงขึ้นแต่งงานด้วยนะเว้ย!!

ไม่ต้องมีตัวเลือกฉายขึ้นมาเป็นโฮโลแกรมล้ำๆผมก็จำได้ขึ้นใจว่าควรตอบเธอว่าอะไร

ชอบสิ ชอบดื่มเหล้าด้วย ชอบเธอด้วยอ่ะ น่อวววววว

แต่ยังไม่ทันได้อ้าปากตอบอะไรออกไป ก็มีน้ำหนักทิ้งลงมาที่บ่าผมแรงๆ

“บอกแล้วไงว่าห้ามจีบน้องฉัน”

“!!!”

ไอ้ อา คา ริ !!

ไอ้มารผจญ ทำไมเฮี้ยนจังวะ
 
TBC.

******

*กัปปะ พรายน้ำญี่ปุ่นที่ชื่นชอบแตงกวา

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านมากนะคะ สามารถคอมเม้นท์ติชม+ทักท้วงคำผิดได้ทั้งในนี้หรือในแท็กทวิตเตอร์ #สวัสดีฟามรัก ได้เลยค่ะ<3
twitter:  @evilkunbk

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
+1 o13 :katai2-1: ขอบคุณมากครับ :pig4:

ออฟไลน์ Evilkun

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ตอนที่7 • สวัสดีรักแรก(?)
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย: หากชักช้า หมาจะคาบไปแดกได้...... เอ๊ะ...

ผมทำหน้าเหวอแบบยิ่งกว่าเห็นผีทะเลสาบใส่อาคาริ ส่วนคู่กรณีนั้นก็ส่งสายตาดุๆกลับมาให้

อ้อ หมอนี่คงเป็นพวกหวงน้อง

พอนึกออกแบบนั้นผมเลยแกล้งยิ้มแฉ่งให้เกรซ พอสลับมามองอาคาริก็เห็นว่าสายตาดุๆนั่นดูก้าวร้าวขึ้นกว่าเมื่อกี๊เสียอีก

“อย่ามายุ่งกับเกรซ”

โอะ โอะ โอะโอ๊ยน่ากลัวจุงเบย ชั้นต้องกลัว ชั้นต้องกลัวรึป่าว~
ใส่ลิ้นเปลี้ยๆลงไปให้ดูน่าหมั่นไส้ไปงั้น ส่วนใครเผลออ่านเป็นทำนองเพลงก็ไปเช็คอายุกันเอาเองนะ เพทายม่ายเกี่ยว

และประทานโทษนะ คือน้องคุณมึงเป็นคนวิ่งมาขายไวน์บ้านมึงให้กูก่อนนะเว้ย ถ้าไม่หวงน้องจนหน้ามืดเกินไป แหกตาดูสภาพก็น่าจะรู้นะคุณ

“พี่!” เสียงหวานใสดูร่าเริงขึ้นหลายระดับเมื่อเห็นพี่ชายปรากฏตัวขึ้นต่อหน้า

“ไงเรา” อาคาริหันไปทักทายน้องสาว สีหน้าถึงจะเรียบนิ่งไม่กระดิกไปจากเดิมนักแต่สายตาดูอ่อนโยนกว่าตอนที่ใช้ตวัดมองผมมาก เจ้าตัวลดแขนที่ยกพาดไหล่ผมลงมากอดตอบเกรซที่วางถาดไวน์วิ่งเข้าใส่ ผมมองภาพสองพี่น้องกอดกันแล้วก็อดยิ้มตามไม่ได้

อ่อ ยิ้มให้เกรซน่ะ

“เดี๋ยวนี้ไม่กลับมานอนบ้านเลย” ทายาทร้านไวน์ผู้น้องว่าออกมาด้วยน้ำเสียงกระเง้ากระงอด “พ่อบ่นใหญ่เลย ฉันเบื่อจะฟังแล้วนะ”

ทายาทผู้พี่ผละออกมาจากการกอดและส่ายหัวเบาๆ “เจอกันก็ปัญหาเดิมอีก”

โอ ดูเหมือนจะมีดราม่าในครอบครัว เพทายจะไม่ยุ่ง

อะไรนะ อยากรู้กันงั้นเหรอ เฮ้อ... ช่วยไม่ได้ งั้นผมจะเสียสละตัวเองเข้าไปใส่ใจเพื่อทุกคนเอง

แต่ยังไม่ทันได้ตั้งเผือกขึ้นเตา อาคาริก็หันมาทางผมเสียก่อน

“พี่น้องคุยกัน นายจะไปไหนก็ไป” สัส คือกูอยู่ตรงนี้มาก่อนมึงไหม อยู่ๆก็โผล่มาทำลายอีเว้นท์ชาวบ้านละยังมีหน้ามาไล่เป็นหมูเป็นหมาอีก เฮ้ย...

เรื่องสำคัญเลยนี่หว่า อีเว้นท์แรกพบของผมกับสาวแม่งถูกไอ้เชี่ยนี่ป่นทิ้งแล้วลากเข้าอีเว้นท์ดราม่าบ้านตัวเองแถมยังมาไล่ไม่ให้กูเสือกอีก ไอ้อาคาริ ไอ้มารผจญ ไอ้ก้างปลากะโห้ขวางคอ

“เฮ้ แต่ฉันยังคุยกับเกรซไม่จบเลยนะ...”

“ฉันเตือนนายแล้ว” อีกฝ่ายกลับมาใช้สายตาดุๆจ้องมาที่ผม “ไปซะ”

มันจะมากไปแล้วนะ!

“อะไรของนายวะ! โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ กล่าวหากันเสร็จแล้วยังเสือกไล่กันอีก มีมารยาทบ้างสิโว้ย!!” ฟิวส์ขาดใส่แม่ง ถ้าไม่ติดว่าเตี้ยกว่าเป็นคืบกูจะพุ่งไปกระชากคอเสื้อมันมาเขย่าๆๆๆให้อ้วกแตกกันไปข้าง

ผมยกมือขึ้นเสยหน้าม้าอย่างอารมณ์เสีย แอบเห็นเกรซทำหน้าเลิ่กลั่กแล้วก็ใจบางลงนิดหน่อย แต่พอหันไปเห็นหน้าพี่ชายของเจ้าหล่อนแล้วก็กลับมาหัวร้อนเหมือนเดิม

“ไม่อยู่แล้วก็ได้วะ วันหลังเก็บบลูเบอร์รี่ไม่ทันก็ไม่ต้องมาง้อเลยสาส!”

ผมมองอาคาริตาขวางแถมท้ายก่อนจะสะบัดหน้าเดินออกมาจากตรงนั้น คราวนี้เรียกได้เต็มปากแล้วว่าอีเว้นท์แรกผมระหว่างผมกับเกรซจบแบบไม่มีชิ้นดี เละเยี่ยงขี้ ฮือ เราขอโทษ เราทนกับพี่เธอไม่ไหวจริงๆ อย่าเพิ่งเกลียดกันนะ เดี๋ยวเราเลี้ยงเบียร์เธอก็ได้ ส่วนอาคารินั้นถึงค่าความสนิทจะติดลบก็เรื่องของมึงเลยจ้า

แต่เอ๊ะ... ไอ้ประโยคตอนสุดท้ายมันดูขี้งอนไปมั้ยวะ แต่เดินออกมาแล้วจะเดินกลับไปด่าใหม่ก็ใช่เรื่อง ช่างมันเถอะ

ผมเดินเอามือเสยๆขยี้ๆหัวปรับมู้ดมาตลอดทางจนถึงซูเปอร์มาเก็ต ทักทายคุณอดัมเจ้าของร้านนิดหน่อย เห็นเขากำลังรับลูกค้าวุ่นวายอยู่ที่แคชเชียร์ก็เลยเลือกที่จะเดินสำรวจร้านเอง มีของขายเยอะกว่าที่จำได้จากสรุปเกม มีทั้งของสดและอุปกรณ์ของใช้เล็กๆน้อยๆ เห็นตะกร้าแบบที่อาคาริใช้เก็บผลไม้ขายด้วย ดูสะดวกดี เล็งเอาไว้ก่อน มีเงินพอจะกลับมาซื้อใช้บ้าง

เมื่อสำรวจร้านจนพอใจผมก็เดินไปที่มุมเมล็ดพืช สอดส่องดูว่าเมล็ดผักประจำฤดูใบไม้ผลิมีอะไรบ้าง ผมหยิบเมล็ดผักกาดกับมันฝรั่งขึ้นมาพิจารณาพร้อมกับขุดความทรงจำของตัวเองไปด้วยว่าเจ้าพืชสองชนิดนี้ใช้เวลาปลูกกี่วันถึงจะโต

ถ้าจำไม่ผิดเหมือนหัวผักกาดมันจะโตไวกว่ารึเปล่านะ... แต่มันฝรั่งขายได้แพงกว่า ท่าทางจะดูแลง่ายกว่าด้วย ยังไม่รู้เลยว่าต้องกังวลเรื่องแมลงหรือศัตรูพืชระหว่างปลูกมั้ย ถ้าผักมันโตโง่ๆแบบในเกมได้จะดีมากๆเลยอ่ะ

เอ๊ะ แต่แตงกวาก็ดีนะ แพงหน่อยแต่ปลูกทีเดียวเก็บได้หลายรอบเลย

“เฮ้”

“เหี้ย!”   

ในขณะที่กำลังยืนคิดเพลินๆก็มีเสียงดังขึ้นมาจากข้างหลัง... อะไรอีกวะ กูนี่ก็ติดอุทานเป็นนิสัยเลย

หลังจากหันไปก้มหัวขอโทษและส่งสัญญาณบอกว่าไม่มีอะไรให้คุณอดัมที่มองมาหน้าตื่น ผมจึงหันไปหาต้นเสียงที่ทำให้ตัวเองต้องลั่นคำหยาบออกมา พบว่าเป็นชายหนุ่มผมสีดำตาสีฟ้าผู้หล่อเหลากับชุดบาร์เทนเดอร์ของเขา

...มึงอีกแล้วเหรออาคาริ

“เมื่อกี๊ขอโทษ”

หืม?

“ที่กล่าวหานายหน้าร้าน” สงสัยอาคาริเห็นผมเลิกคิ้วใส่เลยอธิบายเสริม ที่จริงก็นึกออกว่าอาคาริขอโทษเรื่องอะไร แต่งงเพราะไม่คิดว่าจะมาขอโทษกันง่ายๆแบบนี้ แถมยังตามมาเพื่อขอโทษอีกต่างหาก

ไม่รีบไปเก็บบลูเบอร์รี่รึไง!

“ช่างมันเถอะ” ผมยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ “ฉันก็พูดไม่ดีใส่นายไปด้วย คิดซะว่าหายกัน”

“อืม ฉันก็ว่างั้น แต่เกรซโวยวายใหญ่ แล้วสั่งให้ฉันตามมาขอโทษนาย”

“.........” มองบนแป๊บ โธ่เว้ย ที่มาเพราะน้องด่านี่เอง ก็ว่าอยู่หรอกว่าอย่างมันน่ะเหรอจะสำนึกกับเขาได้

“เอาที่นายสบายใจเลย ไม่มีอะไรแล้วก็ไปทำธุระของนายเหอะ” ผมละความสนใจจากคู่สนทนากลับมาที่ถุงเมล็ดผัก ยืนชั่งใจต่อไม่นานก็ตัดสินใจเลือกที่จะปลูกมั่นฝรั่งดูก่อน ตัวผลมันฝรั่งอยู่ในดินตลอดน่าจะไม่ต้องดูแลมาก คงง่ายกว่าการปลูกผักกาดให้ใบสวยๆมั้ง

ทุกคนอย่าเพิ่งเชื่อ ผมเองก็เดาๆเอา ต้องถูกสิ นี่เซ้นส์ของเด็กเกียรตินิยมเชียวนะครับ ถึงผมจะ(เกือบ)จบวิศวะโยธามาก็เหอะ แต่ถ้าผมไปสอบเข้าคณะเกษตรยังไงผมก็ต้องเรียนให้ได้เกียรตินิยมตามที่ที่บ้านขออยู่ดีถูกมั้ย เพราะฉะนั้นผมจะติ๊ต่างว่าตัวเองก็ได้คะแนนดีเรื่องวิชาเกษตรด้วยคงไม่ผิดนักหรอกน่า เป็นไง แกทเชื่อมโยงเต็มร้อยห้าสิบไปเลย!

ขณะที่กำลังจะวางเมล็ดผักกาดกลับลงแผงก็มีมือยื่นเข้ามาหยิบถุงเมล็ดมันฝรั่งออกจากมือผมลงไปวางคืนแทน

“สำหรับคนไม่เป็น ผักกาดดูแลง่ายกว่า” นี่มึงยังไม่ไปอีกเหรอครับคุณบาร์เทนเดอร์ อย่ามาอ้อยอิ่งแถวนี้นานได้มั้ย ไอ้ที่ขู่ว่าจะไม่ไปช่วยเก็บบลูเบอร์รี่นี่พูดจริงนะเว้ย

แล้วหาว่าใครปลูกไม่เป็นฮะ ดูถูกกันฉิบหาย ไม่รู้ที่บ้านสอนมายังไง ถึงได้กล้าดูถูกคนที่เพิ่งจะรู้จักหน้าค่าตาได้ไม่ถึงสองวันดีแบบนี้
ดูถูกแบบ... ถูกเผง ถูกจนไม่รู้จะถูกยังไงเพราะผมก็ไม่เคยปลูกผักจริงๆนั่นล่ะ หรือว่าหน้าผากผมมันมีคำว่าทำฟาร์มไม่เป็นจ้าแปะเอาไว้ มันถึงดูออกทั้งที่รู้จักผมมาได้ไม่นาน แต่ผมจะทำอะไรเป็นหรือไม่เป็นมันไปเกี่ยวอะไรกับอาคาริล่ะวะ

ไอ้ผมก็รู้แหละว่าเจ้าตัวหวังดีอยากช่วย แต่ขอแขวะซักดอกเหอะ “นี่รู้ป่ะ ว่าโลกใบนี้น่ะ... มันมีศัพท์คำว่าเสือกอยู่ด้วย”

แต่แทนที่คนโดนด่ามันจะสลด นอกจากสีหน้าจะไม่กระดิกเปลี่ยนซักนิดแล้วมันยังมีหน้าอ้าปากตอบกลับมาว่า “อืมรู้ และโลกนี้ก็มีคำว่าโง่แล้วดื้อเหมือนกัน”

ไอ้นี่ ด่าอะไรให้เกียรติเกรดกูด้วย!!

“ทำไม่เป็นไม่ได้แปลว่าโง่เว้ย!”

“อืม ยอมรับเองนะว่าทำไม่เป็น เพราะงั้นก็ฟังซะ” โวะ ขออนุญาตไปถามคุณอเล็กซานเดอร์หน่อยได้มั้ยว่าเลี้ยงลูกออกมายังไงให้กวนตีนได้ขนาดนี้



สุดท้ายผมก็ต้องบอกลามันฝรั่งแล้วจ่ายเงินซื้อเมล็ดผักกาดมาปลูกตามที่อาคาริสั่งจนได้ ผมเดินหน้าบูดหอบเมล็ดผักกาดสี่ถุงกับเมล็ดแตงกวาอีกสองถุงไปตามทางข้างๆไอ้คนที่มีธุระต่อบนเขาหลังหมู่บ้าน

เปล่านะ ผมไม่ได้ทำหน้าบึ้งตึงเพราะกะอีแค่อดปลูกมันฝรั่ง ดีด้วยซ้ำที่มีคนมาแนะนำให้ว่าปลูกอะไรง่ายกว่า แต่ที่ผมกำลังไม่สบอารมณ์ก็เพราะผมโดนลากไปเก็บบลูเบอร์รี่ป่าอีกแล้วครับ! อาคาริมันโดนน้องสาวสั่งให้ตามมาขอโทษผมจนเสียเวลาไง อีตอนไล่ก็ไม่ยอมไปมัวแต่มาช่วยเลือกเมล็ดพันธุ์อยู่ได้ จบที่หลังจากเดินออกมาจากซูเปอร์มาเก็ตแล้วผมก็โดนหมอนี่ล็อคคอบังคับให้เลี้ยวขึ้นเขาไปด้วยกันเนี่ย

พอผมโวยวายจะรีบกลับไปเคลียร์แปลงผัก อาคาริก็ตอบกลับมาหน้าตาเฉยว่าพรุ่งนี้ไม่ต้องเข้าไปทำงานเสิร์ฟช่วงเช้า ดังนั้นจะเอาเวลาช่วงนั้นมาช่วยผมปลูกผักในฟาร์ม

“ไม่ต้องมายุ่ง! ฟาร์มฉัน ฉันจะทำเอง” ใครไปขอร้องให้มันต้องมาช่วยผมวะ

“ทำเป็น?”

“ไม่เป็น” ไม่ต้องมากลอกตาเลยไอ้นี่ เห็นนะเว้ย

“ไปช่วยเก็บบลูเบอร์รี่ก่อน เดี๋ยวเลี้ยงค็อกเทลเป็นค่าตอบแทน ไว้ถ้าปลูกผักกาดสำเร็จจะเอาไปทำสลัดให้ด้วย”

ผมแย่งตะกร้ามาถือเองแล้วรีบเดินนำขึ้นเขาไป “เออ บอกแบบนี้มาตั้งแต่แรกก็จบแล้ว”

“.........”

“มีปัญหาอะไรอีก?”

“นายนี่ตลกดี” ตลกยังไง ตั้งแต่รู้จักกันมาเคยเห็นกูปล่อยมุกตลกซักมุกรึยัง ผมหันขวับไปค้อนหนึ่งที แน่ะ ยังจะมายิ้มมุมปากใส่อีก นี่กะฆ่าผู้ชายคนอื่นให้ออร่าดับตายเลยใช่มะ แค่เดินข้างๆมันผมก็หมองจะแย่แล้วนะ

“ขึ้นมาเก็บของป่าแล้วเหรอ?”

ผมพยักหน้า ยกมือขึ้นปัดหน้าม้าพลางตอบคำถาม “เมื่อเช้ามาไปแล้วรอบนึง นี่นายมาบ่อยจนดูออกเลยเหรอ”

มันก็ไม่ได้มีแต่ผมกับอาคาริละมั้งที่ขึ้นมาเดินเล่นบนเขา เมื่อเช้ายังเจอคนอื่นเลย ทำไมถึงคิดว่าเป็นผมที่เก็บของป่าไปได้ล่ะ และเหมือนเจ้าตัวจะอ่านใจผมออก หรือผมแสดงออกว่างงมากไปก็ไม่รู้ อาคาริเลยกล่าวต่อ “ไม่เคยเห็นใครกวาดเรียบแบบนี้ เหลือแต่คนมาใหม่อย่างนายแล้วล่ะ”

อ้าว แล้วปกติเขาไม่ได้เก็บทุกอย่างที่ขวางหน้ากันเหรอ

“ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่ เดี๋ยวพรุ่งนี้มันก็งอกกลับมาใหม่ไม่ใช่รึไง”

“อืม ก็ไม่ได้ว่าอะไร......”

สงสัยต้องเหลือพวกสมุนไพรไว้บ้างแล้วมั้ง จำได้ว่ายังมีชาวบ้านคนอื่นๆที่ชอบขึ้นมาบนเขาบางวันเหมือนกัน อย่างเช่น......

“กรี๊ดดดดด”

เช่นผู้หญิงสักคนที่กำลังส่งเสียงกรี๊ดให้เจ้าป่าเจ้าเขาสะดุ้งโหยงแบบตอนนี้ ผมกับอาคาริรีบเดินไปยังทางที่ได้ยินเสียง มันไม่ใช่ทางที่มีต้นบลูเบอร์รี่มากนัก แต่จำได้ว่าเลี้ยวทางนี้จะไปยังทุ่งดอกไม้ ถ้าพูดถึงชาวบ้านที่เกี่ยวข้องกับดอกไม้ ผมเดาว่าคนที่อยู่ตรงนั้นคงจะเป็นไอริส สาวร้านดอกไม้

พอเดินไปจนเจอทุ่งดอกไม้ก็พบหญิงสาวผมบลอนด์สวมหมวกฟางกับเดรสสีขาวกำลังวิ่งปิดหน้าปิดตาพุ่งมาทางพวกเรา ลอนผมที่ม้วนอย่างดีพลิ้วไหวไปข้างหลังตามแรงลมที่สวนมาขณะเธอวิ่ง สุดท้ายเจ้าหล่อนก็เกือบจะชนผมถ้าอาคาริไม่กระชากผมหลบแล้วเรียกเธอไว้ก่อน

“เฮ้”

เธอลดสองมือลงแล้วเงยหน้ามองมา นัยน์ตาสีม่วงอ่อนคลอหน่วยไปด้วยน้ำตาพาให้ผมใจกระตุก

ไม่ได้กระตุกที่เห็นน้ำตาผู้หญิง แต่เพราะว่าใช่เธอจริงๆด้วย ไอริส เจ้าของร้านดอกไม้ NPCคนแรกในเกมที่ผมจีบ... ครับ คนเดียวกับผู้หญิงที่ผมเคยโดนอาคาริแย่งไปนั่นแหละ

“อ๊ะ... อาคาริ... คือ... สวัสดีค่ะ” ไอริสกล่าวทักทายเราสองคนเสียงสั่นๆ ผมมองเธอสลับกับอาคาริ ถ้าบทสนทนามันเป็นไปตามที่ผมคิด อย่าบอกนะว่าสถานการณ์นี้คือ...

คนตัวสูงข้างๆผมพยักหน้ารับคำทักทาย “เกิดอะไรขึ้น”

“เอ่อ... คือว่า... ฉันมาเก็บดอกไม้น่ะค่ะ” สาวสวยชุดขาวยกมือเล็กๆของเธอขึ้นมากุมๆบีบๆกันเอง สงสัยยังไม่หายตกใจจากเมื่อกี๊ดีนัก ผมเห็นเจ้าตัวเหลือบมองกลับไปทางทุ่งดอกไม้ด้วยสายตาตื่นๆก่อนจะอธิบายต่อ “แล้วพอเก็บเสร็จก็หันไปเห็นหนอนตัวใหญ่อยู่ในตะกร้าของฉัน... คือ... ฉันกลัวแมลงมากๆค่ะ” เธอกล่าวประโยคสุดท้ายด้วยน้ำเสียงที่เบาหวิว

พอเธอพูดจบคนฟังทั้งสองอย่างผมและอาคาริก็เลิกคิ้ว

“ไหนล่ะ” คนถามต่อก็ยังคงไม่ใช่ผม “เดี๋ยวเอาออกให้”

“เอ๊ะ จริงเหรอคะ ขอบคุณมากๆค่ะ!”

ผมยืนคิดระหว่างที่ยืนมองอาคาริเดินไปจัดการหนอนในตะกร้า ไดอะล็อกนี้มัน... อีเว้นท์แรกพบของอาคาริกับไอริสชัดๆ หรือก็คือเหตุการณ์คู่แข่งจีบสาวเหตุการณ์แรกที่จะเกิดขึ้นในเกมนี้

เกิดเร็วไปแล้วเว้ย! คือสมัยก่อนอ่ะโง่เองจนโดนแต่งงานตัดหน้า แต่รอบนี้ผมยังไม่ทันได้เจอหน้าสาวคนนี้ดีๆก็ดันมาเกิดเหตุการณ์ตัดหน้าเข้ารูทคู่แข่งก่อนไปแล้วอ่ะ อาคาริ มึงนี่มันเกิดมาเพื่อขัดขวางชีวิตรักกูแท้ๆเลย เชี่ยเอ๊ย

ไม่ได้ ผมจะมายืนเอ๋อๆอย่างเดียวแบบนี้ไม่ได้ ถ้าอาคาริมันพังอีเว้นท์ผมได้ ผมก็จะทำลายอีเว้นท์มันบ้าง!

ผมยังไม่รู้หรอกว่าจะจีบไอริสมั้ย แต่ดักคอไว้ได้ก็ขอดักไว้ก่อนเหอะ คิดได้แล้วผมก็รีบสาวเท้าเข้าไปแทรกสองคนที่นั่งมุงตะกร้าดอกไม้กันด้วยบรรยากาศสีชมพูอยู่... อ๋อ สีชมพูอะไรนั่นผมใส่ลงไปเองด้วยฟีลเตอร์คนพาล

“มีอะไรให้ฉันช่วยป้ะ โอ๊ะ” ทันทีที่ทรุดตัวลงไปอาคาริก็วางหนอนตัวอวบเท่านิ้วโป้งลงแปะที่หลังมือผม ผมก้มลงมองเจ้าอ้วนตัวเขียวๆที่ส่ายหัวดุ๊กดิ๊กไปมาอยู่บนมืออย่างสนใจ ก่อนจะขมวดคิ้วเงยหน้าขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงจิ๊ปากเบาๆ “โทษทีนะ ฉันไม่กลัวหนอนเว้ย”

...แต่ทำให้ผู้หญิงกลัวผมได้ เพราะพอไอริสเห็นว่าหนอนไปอยู่ในมือผม เจ้าหล่อนก็เขยิบออกห่างจากผมแบบอัตโนมัติ อย่าบอกนะว่านี่กะกันผมออกจากสาว เจ้าเล่ห์เหลือเกิน!

สุดท้ายผมก็ต้องเดินพาหนอนอ้วนไปปล่อยไกลๆ กว่าจะเดินกลับมาก็เห็นหนุ่มสาวเขากำลังยืนคุยกันแล้ว

“ขอบคุณมากๆเลยนะคะอาคาริ ยังไงถ้าว่างๆก็แวะมาที่ร้านฉันได้นะ เผื่อฉันจะได้ตอบแทนอะไรบ้าง” ไอริสยิ้มให้อาคาริ ยกมือขาวๆข้างหนึ่งขึ้นมาทัดผมไว้ที่หลังหู ก่อนจะหันมาทางผมที่เพิ่งเดินมา “แล้วก็... เอ่อ...”

“เพทาย” ผมแนะนำตัวพร้อมกับปรับตัวเองให้เข้าโหมดหนุ่มน้อยนุ่มนิ่มยิ้มละไม ไม่รู้หรอกว่ายังทันมั้ยแต่ก็เผื่อไว้ก่อนเผื่อยังพอแย่งซีนได้ “เพิ่งย้ายมาวันก่อน ยินดีที่ได้รู้จักนะ”

“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะ ฉันชื่อไอริส เปิดร้านดอกไม้อยู่ในหมู่บ้านนี้” ไอริสยิ้มให้ผมด้วย โอย สาวสวยนี่มาพร้อมกับรอยยิ้มสวยๆจริงๆ นี่มันงดงามเทียบชั้นท่านเทพธิดาได้เลยนะ หากเธออยู่ในโลกเก่าของผมเธอจะต้องได้เป็นดาวมหาลัยแน่ๆ เผลอๆเป็นดารายังได้เลย มาต๊อกต๋อยเปิดร้านดอกไม้อะไรอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆแบบนี้ฮะแม่คุณ

“ไว้มีโอกาสเราจะไปใช้บริการนะ” ผมเบิกตานิดหน่อยแล้วรีบแก้คำพูด “ไม่สิ จะไปแน่ๆเลย” ยกมือปัดผมหน้าให้ดูเก้อเขินอีกนิดแล้วยิ้มใส่อย่างเป็นธรรมชาติ

นี่ใคร เพทายเด็กเนิร์ดที่แบ่งเวลาเรียนกับเวลาเล่นได้อย่างไร้ที่ติไง!

“อื้อ แล้วฉันจะรอนะคะ ยังไงก็ต้องขอบคุณทั้งสองคนอีกครั้ง” ไอริสเหลือบไปแจกยิ้มอีกรอบให้อาคาริผู้ยังไม่เห็นเอ่ยปากพูดอะไรเลยตั้งแต่ผมเดินกลับมาถึง จากนั้นจึงขอตัวกลับไปที่ร้านของเธอ ไม่รู้สรุปอีเว้นท์แรกพบของไอ้คู่แข่งนี่มันจบลงด้วยดีรึเปล่า มีผมเข้ามาแทรกก็จริงแต่ไม่เห็นจะดูพังเละเทะแบบที่ผมโดนเลย

พอคล้อยหลังคนที่เดินหอบดอกไม้หลายชนิดไปได้เต็มตะกร้า คนหน้านิ่งจึงเริ่มอ้าปากพูด

“ทำร้านดอกไม้แต่ดันกลัวแมลง บ้ารึเปล่า”

ผมถึงกับหันขวับ

เดี๋ยวๆๆ ไม่ใช่ว่าเอ็งต้องจีบเขาหรอกเรอะ ไปแขวะเขาทำไมวะ

“เสียเวลากว่าเดิมอีก” อาคาริถอนหายใจหนึ่งทีแล้วหันหลังกลับไปทางเดิมที่มีต้นบลูเบอร์รี่ “รีบเถอะ” อ้าว เร่งกูอีก

จำได้ว่าหลังจากจบอีเว้นท์นี้อาคาริมันต้องอมยิ้มส่งท้ายตอนสาวเจ้าเดินจากไปสิ ไม่ใช่ทำหน้าเหม็นเบื่อแล้วร้องหาบลูเบอร์รี่แบบนี้โว้ย

“มัวแต่อ้าปากค้างอะไร ไปกันได้แล้ว”

......ไม่แปลกใจแล้วที่ผมจะโดนอาคาริพังอีเว้นท์ ขนาดอีเว้นท์ของมันเองมันยังปัดตกทิ้งไปแบบไม่ไยดี... ยอมใจมึงจริงๆว่ะ

••••• 

“กลัวหมาแต่ทำไมไม่กลัวหนอน” ขณะที่เดินหอบบลูเบอร์รี่ลงเขากันมาเงียบๆ อาคาริก็โพล่งขึ้นมา

แล้วตรรกะไหนมันบอกไว้ว่าถ้ากลัวหมาแล้วต้องกลัวหนอนเนี่ย

“ตอนเด็กๆฉันไม่ได้โดนหนอนพุ่งเข้าใส่เป็นฝูงแบบหมานี่”

“ไม่สนุกเลย” คือเมื่อกี๊มึงจงใจแกล้งกันจริงๆสินะ “มีอะไรที่กลัวนอกจากหมามั้ย” ...มาถามแบบนี้ใครมันจะตอบให้โง่กัน

“ไม่มีแล้ว นี่ถามจริงว่านายเห็นฉันเป็นอะไรกันแน่วะ” ผมมองอาคาริตาขวาง ตอบไม่ดีกูงับหูมึงแน่

“บอกไปแล้วว่านายตลก” อาคาริมองกลับ สีหน้าไม่กระดิกแต่แววตาไม่ปิดสักนิดว่ากำลังขำ

ขอย้ำอีกครั้งว่าตั้งแต่รู้จักกันมาสองวันผมยังไม่เคยเล่นมุกตลกให้อาคาริเห็นเลยแม้แต่รอบเดียว

“ตลกบ้าอะไร มีแต่นายมะที่กวนประสาทฉันอยู่ได้”

“นายก็บ้าเถียงฉันกลับทั้งที่รู้ว่าไม่ชนะ”

“ผิดอีกกู” ผมพึมพำเบาๆ สะบัดหัวไล่หน้าม้าที่ปรกหน้าลงมาแล้วเงยหน้าขึ้นเถียงต่อ “แล้วจะให้ฉันยิ้มรับคำค่อนแคะจากนายเฉยๆรึไงวะ”

“อืม แบบที่แสร้งยิ้มให้ไอริสเมื่อกี๊” อุ่ย มีคนดูออก นี่คิดว่าระดับตุ๊กตาทองแล้วนะ

“ไม่ได้แสร้งสักหน่อย เค้าเรียกปรับเปลี่ยนรอยยิ้มให้เหมาะสมกับคู่สนทนาต่างหาก” อย่างเช่นถ้าเป็นอาคารินี่ผมจะยิ้มแบบเบ้ปากใส่ แถมนิ้วกลางให้ด้วยเอ้า

“เห็นแล้วรำคาญลูกตา”

ก็ไม่ได้ยิ้มให้มึงมอง!!!

ในตอนที่ผมกำลังจะอ้าปากด่าต่อ พวกเราก็เดินมาถึงหน้าประตูฟาร์มพอดี

“พรุ่งนี้เตรียมจอบ เคียว แล้วก็บัวรดน้ำไว้ เจอกันแปดโมงที่ฟาร์มนาย” อาคาริสรุปนัดพรุ่งนี้แบบรวบรัด “แล้วก็นี่ แบ่งไปกินซะ”

ผมก้มลงมองตามมือที่ยื่นออกมาหา เลิกคิ้วแปลกใจนิดหน่อยเมื่อพบว่าเป็นบลูเบอร์รี่ส่วนนึงที่ไปเก็บมา

“ขอบใจ” มีน้ำใจกว่าที่คิดเอาไว้นิดหน่อย สงสัยเห็นผมยอมมาช่วยสองวันติด

“บลูเบอร์รี่พวกนี้ไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ ไม่อยากเอาไปขายลูกค้า”

......ไม่น่าเสียเวลามองว่ามันเป็นคนดีเลย
 

TBC.

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Evilkun

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ตอนที่8 • สวัสดีแปลงผัก
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย: อุปกรณ์ทำการเกษตรสามารถเพิ่มความสามารถได้ด้วยการหาแร่ต่างๆมาอัพเกรด

เช้าวันต่อมาผมก็ตื่นหกโมงเช้า สุดยอดไปเลย ขนาดสมัยก่อนมีเรียนเช้าแค่ไหนผมก็ยังไม่เคยตื่นเช้าได้ขนาดนี้เลยนะ ผมเห็นเจ้าหมาคอลลี่ที่นอนหมอบอยู่ไม่ไกลขยับหูเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงผมขยับตัว จากนั้นมันก็ตื่นขึ้นมาตามผม ลูกหมาน้อยลุกขึ้นยืดขาหน้าคล้ายกำลังบิดขี้เกียจแล้วสะบัดขนไล่ความง่วงสองสามที แล้วจึงหันมาเห่าใส่ผมด้วยเสียงเล็กๆหนึ่งที

“บ๊อก!”

ผมจะติ๊ต่างว่านี่คือการทักทายจากเจ้าก็อตซิลล่าน้อย แม่ง...น่ารักว่ะ

เริ่มเลี้ยงตั้งแต่ช่วงที่ยังเป็นลูกหมาตัวเล็กๆ ผมอาจชินกับมันจนหายกลัวสุนัขไวกว่าที่คิดก็ได้นะ แต่เอ๊ะ เจ้านี่เป็นสุนัขต้อนแกะได้ก็แปลว่าตอนโตก็ต้องตัวใหญ่อ่ะดิ ได้ยินคุณเจมส์กับอาคาริบอกแว่วๆว่าก็อตซิลล่าเป็นพันธุ์คอลลี่รัฟ ผมไม่คุ้นชื่อพันธุ์เท่าไหร่เลย ชีวิตนี้คลุกคลีวิ่งหนีอยู่กับแค่พันธุ์ไทยหลังอานเสียเป็นส่วนใหญ่

อาจโตมาป้อมๆกระปุ๊กลุกแบบคอร์กี้ก็ได้ม้างงง ชื่อพันธุ์ก็คอๆเหมือนกัน ไม่ต่างกันมากหรอก

...นี่จะเลี้ยงมันรอดจริงๆใช่มั้ยกู

ผมนั่งเพ้อเจ้อให้สมองทำงานอยู่ราวๆสิบนาทีจึงค่อยลุกไปล้างหน้าแปรงฟัน บรื๋อ ตอนเช้าของฤดูนี้อากาศเย็นชะมัด ขอไม่อาบน้ำได้มั้ย จะบาปเหมือนการนอนตื่นสายรึเปล่า

แต่ก็นะ... อาศัยอยู่ในประเทศเมืองร้อน(ฉิบหาย)จนติดนิสัยต้องอาบน้ำทุกเช้ามาร่วมยี่สิบเอ็ดปี เอาเข้าจริงพอคิดว่าวันนี้จะไม่อาบมันก็รับไม่ได้หน่อยๆ สุดท้ายผมก็ทนกัดฟันเอาน้ำราดตัว หนาวจนแทบร้องจ๊าก ความรู้สึกเดียวกับตอนอาบน้ำบนดอยสมัยที่ไปเข้าค่ายกับมหาลัยเลย เป็นความหนาวสั่นยันกระดูกที่ไม่ค่อยได้สัมผัสเท่าไหร่ ตอนไปค่ายก็คิดนะว่าคงได้ประสบการณ์ดีๆติดตัวกลับมาหลายเรื่อง แต่ก็ไม่คิดว่าที่จะได้เอามาใช้จริงๆจะเป็นเรื่องวิธีเตรียมใจก่อนอาบน้ำเย็นไปเสียได้ ใช้มาได้ถึงชีวิตชาติหน้าอย่างตอนนี้ด้วย มีประโยชน์จริงๆ แต่ที่แน่ๆต่อให้รู้สึกผิดบาปแค่ไหนผมก็ตัดสินใจได้แล้วว่าฤดูหนาวเมื่อไหร่กูจะไม่อาบน้ำตอนเช้าเด็ดขาด

ผมบ่นขิงบ่นข่าในใจจนกระทั่งอาบน้ำแต่งตัวเสร็จและย้ายร่างกายพาตัวเองมารับความอบอุ่นจากผ้าห่มบนเตียงอีกครั้ง คงไม่นอนต่อแล้วล่ะเพราะหนาวสัสๆจนตาสว่าง โชคดีที่อาคาริมันนัดตั้งแปดโมงผมเลยมีเวลาอ้อยอิ่งอบอุ่นร่างกายแบบนี้

ใช่แล้ว มันนัดตั้งแปดโมงทำไมผมไม่วิ่งขึ้นไปแช่น้ำพุร้อนบนเขาวะ... ทนหนาวอาบน้ำเย็นอยู่ทำซากอะไรเนี่ย ไอ้งั่งเอ๊ยยยยย

••••• 

พอใกล้แปดโมงผมเปิดประตูกระท่อมออกมาก็เห็นอาคาริยืนพิงหีบใส่เครื่องมือการเกษตรที่ตั้งอยู่หน้ากระท่อมด้วยท้วงท่าแบบที่ควรเปลี่ยนจากหีบไม้ผุๆไปยืนพิงรถสปอร์ตสักคัน มันจะดูหล่อรวยไฮโซเซเลบกว่านี้โข

คิดไปคิดมาให้มันพิงหีบโง่ๆต่อไปดีกว่า แค่นี้ผมก็โดนรัศมีมันจนกลบดับสนิทแล้ว

“พร้อมแล้วก็เริ่มเลย” พออาคาริเห็นผมเจ้าตัวก็เดินนำไปยังแปลงผักทันที ไม่พูดพร่ำทำเพลงกล่าวอรุณสวัสดิ์ทักทายอะไรซักนิด ก่อนลงมาเกิดพระเจ้าลืมเทน้ำยาอัธยาศัยดีมาให้เหรอ

ผมหมายถึงไอ้นั่นน่ะ มีช่วงนึงเคยฮิตกันในโซเชียลไง เคยเล่นกันมั้ยครับ ที่เป็นมีมรูปพระเจ้าสร้างเราด้วยการเทน้ำยาคุณสมบัติลงอ่างผสมแต่จะลืมใส่อะไรสักอย่างที่ทำให้ดูไม่ค่อยเป็นผู้เป็นคนเท่าไหร่ด้วย อย่างตอนพระเจ้าสร้างอาคารินี่น่าจะเทน้ำยารูปร่างหน้าตาดีให้จนเต็มอ่างเลยไม่พอเทน้ำยานิสัยดีลงไปด้วยแน่ๆ

ตอนนั้นผมก็ไล่อ่านของเพื่อนขำๆ แต่ไม่ได้เล่นของตัวเองครับ ไม่งั้นป่านนี้ผมอาจขาดๆเกินๆอยู่ในโลกไหนสักโลกที่ไม่ใช่โลกของเกมล่าสุดที่เล่นก่อนตายแบบนี้ชัวร์

“นายไปไล่เก็บกวาดเศษหินเศษไม้ ฉันจะตัดหญ้าให้” คุณบาร์เทนเดอร์ที่ผันตัวมาเป็นชาวสวนชั่วคราวหันมาแบ่งงานให้เสร็จสรรพ จัดการพับแขนเสื้อที่ใส่อยู่ขึ้นมาจนถึงข้อพับแล้วจึงรับเคียวตัดหญ้าจากมือผมไป

วันนี้อาคาริมาด้วยเสื้อเชิ้ตสีดำกับกางเกงยีนส์กระบอกสีเข้ม  NPCเปลี่ยนชุดได้ด้วยว่ะ นึกว่าจะใส่ชุดเดิมตลอดแบบในเกมที่เล่นเสียอีก

...แต่การจะให้อาคาริคงคาร์แรคเตอร์ตัวเองเอาไว้แล้วใส่ชุดบาร์เทนเดอร์มาช่วยผมถอนหญ้าก็ดูเป็นการกระทำที่โง่เง่าเกินไปอยู่ดี

“เคียวธรรมดานี่” อาคาริบ่น พลิกสำรวจเคียวที่ด้ามยาวหนึ่งศอกใบมีดยาวสองคีบในมือไปด้วย

“แล้วนายจะเอาเคียวปราบมารเรืองแสงเลเวลเก้าเก้ารึไง”

หรือที่จริงผมมาอยู่ในเกมRPGตีมอนสเตอร์ ไม่ใช่เกมปลูกผักฟะ บอสวัชพืชจะดรอปเมล็ดผักแรร์ปลูกขายได้เงินสิบล้านไหม เพ้อเจ้ออีกละกู

“สมัยนี้อย่างน้อยก็เข้าก็ใช้สีเงินกันหมดแล้ว”

“หือ?”

“ไม่มีใครอธิบายการพัฒนาอุปกรณ์ให้นายฟังรึไง”

ผมกลอกตาไปมา ไม่นานก็นึกออกว่าอาคาริกำลังพูดถึงเรื่องอะไร “อ้อ ที่เอาแร่มาอัพเกรดเครื่องมืออ่ะนะ”

“ใช่ เอาแร่จากเหมืองบนเขากับเครื่องมือไปให้คุณเฮลฟ์ที่ร้านตีเหล็ก” ประทานโทษเหอะ ขุดดินปลูกผักยังไม่รู้ว่าจะรอดไหมนี่จะไล่ให้ไปขุดเหมืองกันแล้วเนี่ยนะ

ถึงอย่างนั้นตอนที่เล่นในเกม การอัพเกรดเครื่องมือการเกษตรแล้วทำฟาร์มง่ายขึ้นเยอะจริงๆ อย่างเช่นบัวรดน้ำจากที่รดได้ที่ละช่อง พออัพเกรดจนระดับสูงสุดแล้วสาดทีเดียวผักเปียกไปครึ่งสวน ชีวิตดีมากครับ

“ฉันเพิ่งย้ายมาได้สองสามวันจะหวังอะไรนักหนา”

“ก็ไม่ได้หวังอะไรมากหรอก” ตะกี๊มึงยังร้องหาเคียวเงินเคียวทองอยู่เลย ไปถามหากับเทพธิดาไป๊ เผื่อมีคนทำตกน้ำงี้มะ “แค่ไม่ได้เห็นเครื่องมือธรรมดาจนเกือบลืมไปแล้ว”

“อัพเกรดแล้วมันจะทำให้ชีวิตดีขึ้นมากเลยเหรอ” จะขุดดินค่อนฟาร์มได้ในจอบเดียวแบบที่เคยเล่นรึเปล่า

“อืม ขวานแพลตตินั่มจะผ่าตอไม้ยักษ์กลางสวนตรงนั้นแหลกได้ในครั้งเดียว”

“แล้วบัวรดน้ำคอรันดัมนี่รดน้ำได้ทีละครึ่งสวนจริงป่ะ” คอรันดัมเป็นแร่ชนิดระดับสูงสุดที่ส่งไปตีบวกเครื่องมือได้ มีสีฟ้าเรียกว่าแซฟไฟร์กับสีแดงเรียกว่ารูบี้ ขุดได้สีไหนไปอัพเกรดเครื่องมือก็จะกลายเป็นสีนั้นด้วยล่ะ

“ไม่รู้ แร่หายากแบบนั้นไม่มีใครเอามาใช้พร่ำเพรื่อ” อีกฝ่ายตอบแล้วก็ขมวดคิ้วใส่ผม “นายงงตอนฉันพูดถึงเครื่องมือระดับเงิน แต่ดันรู้ความสามารถของแร่ระดับสูงเนี่ยนะ”

อ้าว โป๊ะอีกแล้วกู

“ฉันพูดมั่วดู ฉันก็มีความรู้นะว่าแร่คอรันดัมแข็งที่สุด”

“เพชรต่างหาก”

“รู้น่า แต่ใครที่ไหนเขาเอาเพชรมาใช้ถางหญ้ากันวะ” ไม่คุยกับมันแล้ว ผมค้นกระเป๋าเอี๊ยม หาหนังยางที่คุณเจมส์ใช้มัดเงินค่าของขายเมื่อวาน พอหยิบขึ้นมาได้แล้วก็เช็ดๆมันด้วยขากางเกงนิดหน่อย ใช้มันมัดผมหน้าม้าที่ยาวลงมาจนรำคาญขึ้นไปเป็นจุกน้ำพุ แล้วจึงหันไปเริ่มทำงานส่วนของตัวเอง ก้มๆเงยๆเก็บเศษหินเศษไม้ไปกองไว้ฝั่งหนึ่งของแปลง ตอนที่เล่นเกมนี้ผมไม่ค่อยหยิบทิ้งเท่าไหร่ ชอบเอามาใช้กั้นแปลงผักให้เป็นคอกแบบง่ายๆมากกว่า

สมัยเป็นภาพจากจอเกม รูปไอเทมซากหินซากไม้ก็ดูก้อนไม่เล็กมาก กั้นเป็นคอกสัตว์ได้ก็ไม่ค่อยน่าตกใจ แต่ตอนนี้พอมาเห็นเข้าจริงก็พบว่าแม่งใช้กั้นห่ากั้นเหวอะไรไม่ได้ทั้งนั้น ไซส์นิดเดียวสมกับถูกเรียกว่าเศษจริงๆ ไม่เข้าใจว่าในเกมทำไมตัวละครของเราต้องกระโดดข้ามเวลาวิ่งผ่านด้วยวะ แผนกั้นคอกรั้วแบบLow costของผมเลยต้องเป็นอันจบสิ้นไป

“วันนี้เคลียร์เฉพาะส่วนที่พอดีกับเมล็ดผักของนายก็พอ”

“แน่ล่ะ ให้เคลียร์ทั้งสวนหมดในวันเดียวฉันได้เป็นซากนอนอยู่กับกองไม้ตรงนั้นแหง”

“อยากนอนก็เชิญ”

“ก็บ้าแล้ว!” ผมกับอาคาริต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองไปเรื่อยๆและหันมาคุยกันเป็นพักๆ ซึ่งทุกครั้งก็จบด้วยการเถียงกันตลอด

ผมก้มรวบเศษไม้ที่เก็บได้ไปโยนรวมไว้ในกองของมัน ได้ยินเสียงฉับๆๆเป็นจังหวะที่รวดเร็วจนเผลอหันไปมอง ก็เห็นคนที่แปะป้ายอาชีพตัวเองว่าบาร์เทนเดอร์ไว้กำลังสะบัดเคียวตัดหญ้าอย่างคล่องแคล่ว รอบๆตัวก็มีหญ้าที่ถูกตัดกองไว้เป็นหย่อมๆ

“นี่งานประจำนายคือเสิร์ฟอาหารกับบาร์เทนเดอร์จริงดิ” ถ้าไม่รู้จักมาก่อนแล้วมาเห็นเข้าคงคิดว่าเป็นนักล่าเคียวสังหารในเกมต่อสู้สักเกม

“บ้านฉันทำสวนองุ่น สมัยก่อนก็ไปช่วยงานประจำ”

“คล่องขนาดนี้ ตอนแรกนายไม่ต้องร้องหาเคียวอัพเกรดก็ได้มั้ง”

“ถ้าอัพเกรดแล้วตัดหญ้าได้ทีละกอใหญ่กว่านี้เยอะ”

“แล้วทำไมนายไม่เตรียมมาเองตั้งแต่แรก”

“เครื่องมือทำสวนอยู่ที่บ้าน ฉันไม่อยากแวะเข้าไป”

“ทำไมอ่ะ”

“ยุ่งเก่งจริงๆ” ยุ่งเก่งอ่ะมึงต่างหาก อย่างกูนี่เรียกใส่ใจโว้ย

ถึงจะแวะมาแขวะผมแต่อาคาริก็ยอมเล่าต่อ “ฉันไม่ค่อยถูกกับพ่อเท่าไหร่”

อ่า ผมจำได้ เกมมันมีอีเว้นท์ที่อาคาริทะเลาะกับคุณอเล็กซานเดอร์จนเราต้องเข้าไปไกล่เกลี่ยทั้งสองฝ่าย รู้สึกจะเป็นเรื่องที่คุณอเล็กซานเดอร์ไม่ชอบงานบาร์เทนเดอร์ของอาคารินี่ล่ะ พออ่านสปอยล์มาก่อนก็เสือก เอ๊ย ใส่ใจได้เร็วขึ้น ดีเหมือนกันนะเนี่ย

แต่เพื่อไม่ให้หลุดโป๊ะไปมากกว่านี้ ผมแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องดีกว่า “เอ้า ไหงงั้นล่ะ”

“พ่ออยากให้ฉันดูแลธุรกิจของพ่อมากกว่าเป็นบาร์เทนเดอร์” นั่นไง ใช่จริงๆด้วย “แล้วก็ไม่ชอบที่ฉันมักจะหาผลไม้อย่างอื่นมาหมักเหล้าด้วย สำหรับเขาต้องไวน์องุ่นเท่านั้น”

“ก็นะ เจ้าของร้านไวน์ก็ต้องรักไวน์เป็นธรรมดานี่”

“ฉันไม่มีปัญหาถ้าต้องรับช่วงต่อร้านไวน์ แต่ก็ไม่อยากดักดานอยู่กับแค่ไวน์องุ่นไปตลอด”

“คุณอเล็กซานเดอร์ก็เลยไม่โอเคถ้านายจะหาเหล้าอย่างอื่นมาขายด้วยงั้นสิ”

“อืม” อาคาริหยุดมือแล้วหันกลับมาหาผม “ฉันเคยบอกชื่อพ่อด้วยเหรอ”

อ้าวเชี่ย สุดท้ายก็โป๊ะอีกแล้ว นี่ตอนสร้างผมพระเจ้าไม่ได้เทสติมาให้ใช่มั้ย

“คุณโดนัลด์เคยบอกไว้ต่างหาก” ผมแถเอาตัวรอดได้อย่างงดงาม และเนียนเปลี่ยนเรื่อง “เพราะแบบนี้นายเลยยังไม่ยอมดูแลร้านไวน์ต่อสินะ”

“ก็ไม่ใช่ทั้งหมด” อาคาริเล่าขณะที่ก้มลงรวบรวมเศษหญ้าให้เป็นกองเดียว “อีกอย่างคือฉันสนุกกับการคิดสูตรเหล้ากับค็อกเทล และการเป็นบาร์เทนเดอร์ก็ตอบโจทย์ของฉันได้”

นี่คงเป็นเหตุผลที่เขานอนพักที่โรงแรมแทนจะกลับบ้าน เพราะถ้ากลับไปเจอหน้าคุณอเล็กซานเดอร์ก็คงได้ทะเลาะกันทุกครั้ง

“ฉันล่ะนับถือนายจริงๆ”

อาคาริแตกต่างกับผมลิบลับ เราทั้งคู่ถูกครอบครัวตั้งความหวังใส่เหมือนกัน ผมยอมทำตามอย่างเคร่งครัดตามที่พวกเขาต้องการแทบทุกอย่าง บางครั้งผมก็รู้สึกเหนื่อยนะ แต่ก็หวาดกลัวน้ำเสียงผิดหวังที่ใช้ถามว่าทำไมเวลาที่ผมทำตามที่เขาต้องการไม่ได้ ส่วนอาคารินั้นกลับไม่แคร์และกล้าปฏิเสธเพื่อเดินไปตามทางของตัวเองต่อ

“ฉันก็เป็นลูกคนโตของบ้าน เวลาเรียนฉันต้องสอบได้ที่หนึ่งเท่านั้นด้วยล่ะ” ผมบ่นเรื่องของตัวเองบ้าง มือก็ยังหยิบเศษหินอยู่ “พอต้องทำให้ดีทุกอย่างเลยไม่ค่อยรู้ว่าตัวเองถนัดอะไรหรอก แอบอิจฉาคนที่รู้ว่าตัวเองชอบอะไรอยู่เหมือนกัน”

ที่บ้านผมยื่นคำขาดว่าถ้าไม่ยอมเรียนหมอก็ต้องเรียนอะไรก็ได้ที่เอามาใช้ดูแลธุรกิจที่บ้านต่อ ผมไม่มีปัญหากับวิชาไหนเป็นพิเศษเลยเลือกเรียนวิศวกรรมโยธา พอขึ้นปีสี่เขาก็เริ่มสั่งให้ผมหาที่เรียนต่อโทบริหารด้วยเหมือนกัน พยายามคิดในแง่บวกว่าก็สะดวกดีที่ไม่ต้องเลือกเอง

ซึ่งพอมาเห็นคนทำตามความชอบของตัวเองแม้จะถูกครอบครัวคัดค้าน ก็อดรู้สึกว่าคนๆนั้นโคตรเจ๋งไม่ได้
“เวลาส่วนมากที่มีก็เอาไปเรียนพิเศษหมด เพราะงั้นเลิกแขวะเวลาฉันทำสวนไม่เป็นสักที”

“.........”

“แต่ฉันเข้าใจนายว่ะ สมัยเรียนฉันก็ไม่ค่อยกลับบ้านเหมือนนายตอนนี้เลย กลับไปละขี้เกียจโดนถามว่าเรียนเป็นยังไงบ้าง” เพราะสอบติดมหาลัยรัฐชื่อดังที่บ้านเลยไม่มีปัญหาถ้าผมจะมาอยู่กรุงเทพ เมื่ออยู่ไกลหูไกลตาครอบครัว เพทายเด็กเนิร์ดก็ได้รับการตีบวก ปลดแอคชีฟเม้นท์ประสบการณ์เที่ยวกลางคืนกินเหล้าเคล้าบุรุษนารีสารพัดสิ่งที่อยากลองและไม่ผิดกฎหมาย แค่รักษาเกรดให้เอากลับไปอวดที่บ้านได้ก็พอ ตอนกลางวันนั่งเรียนอยู่กับกลุ่มเด็กเรียน ตกกลางคืนก็วิ่งเข้าร้านเหล้า ใกล้สอบก็ช่วยติวหนังสือให้เพื่อนแลกกับเหล้าฟรี

ประเด็นอยู่ตรงนี้ครับ อยากให้เพทายช่วยเหลืออะไรเอาเหล้าฟรีมาล่อกูก็กระโดดงับแล้วจ้า

“เรียนจนเป็นบ้ามันเป็นแบบนี้เอง”

“พูดแบบนี้ไปต่อยกันหลังฟาร์มเลยมั้ย” ห่านจิก คุยกันแบบซีเรียสแล้วยังจะวกกลับมาแซะกูได้อีกเนอะ

ผมเหลือกตาใส่อาคาริ จบบทสนทนาแล้วหันไปก้มหน้าก้มตารวบรวมเศษหินต่อ

“นายไม่ต้องนับถือหรืออิจฉาฉัน” แต่ดูเหมือนอีกคนจะยังไม่อยากจบบทสนทนาเท่าไหร่ “ไม่มีใครรู้ว่าการตอบสนองความต้องการของพ่อแม่เป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุดแล้วรึเปล่า ถ้านายเต็มใจจะทำให้พวกเขา ฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องดี”

“.........”

“ฉันก็นับถือที่นายทำตามความหวังของพวกเขาได้เหมือนกัน” ว่าจบอาคาริที่เดินเข้ามาใกล้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ก็เอามือขยี้หัวผม

ไอ้สัส มึงเพิ่งเอามือไปกวาดกองหญ้ามาไม่ใช่เรอะ

“เรื่องทำฟาร์มค่อยๆเรียนรู้ไป ถ้านายทำได้ดีทุกเรื่องอย่างที่ว่า เดี๋ยวทุกอย่างก็จะโอเคเอง” แล้วมือที่วางแปะอยู่บนหัวผมก็รูดเอาหนังยางออกไปจากจุกน้ำพุ

“โอ๊ย เจ็บนะเว้ย” ผมยกมือขึ้นกุมหัว หนังยางมัดถุงแกงมันไม่อ่อนโยนต่อหนังหัวอยู่แล้ว ดึงออกไปอย่างนั้นกระชากหนังหัวกันเลยก็ได้นะไอ้เวรนี่

“เอานี่ไปติดแทนซะ” อาคาริล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบอะไรบางอย่างยื่นมาให้ พบว่าเป็นกิ๊บติดผมสีฟ้าอ่อน

“เห็นนายเสยผมบ่อยๆตั้งแต่เมื่อวานเลยไปขอเกรซมาอันนึง”

ผมรับกิ๊บมาติดผมหน้าแทนหนังยาง

“แล้วทำไมไม่เอามาให้ตั้งแต่แรก”

ผมสังเกตมาหลายหนแล้วอาคาริเป็นพวกปากร้ายแต่ใจดี

“ก็จะหยิบให้แล้วแต่นายมัดจุกก่อน ตลกดีเลยปล่อยไว้”

...และขี้แกล้งโคตรๆ

ผมชูนิ้วกลางใส่อาคาริ แทนที่มันจะโกรธก็ดันเสือกหัวเราะเสียงต่ำกลับมาให้แทน แม่งเอ๊ย



หัวผักกาดใช้เวลาเติบโตห้าวัน ส่วนแตงกวากว่าจะเก็บผลได้ใช้เวลาสิบวัน ระหว่างนี้ชีวิตประจำวันของผมก็ไม่มีอะไรแปลกใหม่มาก ตื่นมาตอนหกโมงเป๊ะทุกเช้า เล่นกับหมาแบบกล้าๆกลัวๆพอหอมปากหอมคอก็ออกไปรดน้ำในสวนผัก วิ่งขึ้นเขาทักทายเทพธิดาและเก็บหน่อม้งหน่อไม้ลงมาวางขาย มีกิจวัตรที่เพิ่มเติมเข้ามาคือแวะขึ้นเขาอีกรอบไปแช่บ่อน้ำพุร้อนกลางแจ้งตอนเย็น มันสบายตัวมากๆ น้ำร้อนกำลังดีตัดกับอากาศเย็นๆนั้นช่วยบรรเทาความเหนื่อยล้าจากการทำงานทั้งวันได้อย่างยอดเยี่ยม ผมติดใจจนเดี๋ยวนี้ขึ้นเขาไปแช่ทุกเย็น

ผมมักใช้เวลาว่างช่วงบ่ายไปกับการเข้าห้องสมุดเพื่อค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับการทำฟาร์มต่างๆ หลังจากศึกษาหนังสือเรื่องการปลูกพืชไปหลายเล่ม ผมเลยนึกคึกไปซื้อเมล็ดมันฝรั่งกับกะหล่ำปลีมาทดลองปลูกด้วย พร้อมกับฝึกใช้เครื่องมือการเกษตรไปพลางๆโดยมีอาคาริคอยยืนแนะนำ บางวันมันก็แวะมาหาผมที่ฟาร์มเพื่อเช็คสภาพหมาก็อตซิลล่าว่าอยู่ดีกินดีไม่มีปัญหากับคนเลี้ยงหมาแต่เสือกกลัวหมาแบบผมใช่มั้ย

แล้วถ้าวันไหนผมหลวมตัวไปใช้งานอาคาริเข้า ก็จะโดนมันลากขึ้นภูเขาไปช่วยเก็บบลูเบอร์รี่ป่าอีกนั่นล่ะ หลังๆมานี่คุณบาร์เทนเดอร์ร้องจะเอาเชอร์รี่ด้วยก็เลยต้องพากันเดินไปถึงยอดเขาอีกต่างหาก ซึ่งกว่าจะลงจากเขามาผมก็เหนื่อยเกินจะไปห้องสมุดแล้ว เลยยืมหนังสือบางเล่มกลับมาเพื่อนอนอ่านที่บ้านแทนสำหรับวันแบบนี้

อีกเรื่องที่สำคัญคือ เมื่อไปห้องสมุดผมก็ได้เจอกับแพทริเซีย ลูกสาวบรรณารักษ์ เป็นอีกหนึ่งในNPCที่จีบได้ แต่ประเด็นคือเธอมีแฟนแล้ว!! ผู้ชายที่คบกับเธอก็คือคู่แข่งหัวใจประจำตัวแพทริเซียนั่นล่ะ ตั้งแต่วันแรกที่เหยียบห้องสมุดก็เจอมันนั่งเฝ้าแฟนอยู่หน้าเคาท์เตอร์ยืมหนังสือ ช็อคแดกไปดิ ทำเอาอีเว้นท์อาคาริกับไอริสที่เกิดตัดหน้าผมไปเมื่อตอนนั้นกระจอกไปเลย

 “คนในหมู่บ้านที่คบกันเองเนี่ย ถ้าเลิกกันจะเข้าหน้ากันติดเหรอ หมู่บ้านก็เล็กแค่นี้เองยังไงก็น่าจะต้องเจอกันป่ะ” ผมบ่นขณะที่กำลังเอี้ยวตัวไปเด็ดผลบลูเบอร์รี่ ใช่ครับ ตอนบ่ายที่ผ่านมาผมเผลอใช้อาคาริรดน้ำแตงกวาที่ลืมรดไปเมื่อเช้า เลยกำลังชดใช้กรรมผ่านบลูเบอร์รี่อยู่

“ก็ไม่นี่”

“พูดเหมือนนายเองก็มีประสบการณ์คบกับสาวในหมู่บ้านยังไงยังงั้น”

 “อืม”

ผมเบิกตา “เฮ้ย ใครอ่ะ”

อย่าบอกนะว่าอาคาริก็คบกับไอริสแล้ว ได้ไง ตอนไหน ที่เจอบนเขาวันนั้นก็ดูไม่เหมือนคนรักกันเลยไม่ใช่เรอะ

แต่ก็ผิดคาดเมื่ออาคาริตอบกลับมาว่า “เธอชื่อหลิน”

“ฮะ!?!”

หลินเป็นNPCสาวที่จีบได้คนสุดท้ายที่ผมยังไม่ได้พูดถึง เธอเป็นพยาบาลอยู่ในคลินิกของหมู่บ้าน และคู่แข่งหัวใจของเธอไม่ใช่อาคาริแน่นอน

อ้าวเฮ้ย ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่หน่า~

“หลินรักสุขภาพมาก เธอชอบสั่งให้ฉันเลิกเหล้า”

ก็แน่ล่ะ เจ้าหล่อนเป็นพยาบาล

“แล้วนายเลิกมั้ย”

“เลิก”

“โห”

อาคาริแม่งโคตรใจ

“เลิกกับหลิน”

...ใจหมานี่หว่า



TBC.



ออฟไลน์ Evilkun

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ตอนที่9 • สวัสดีน้องม้า
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย: กว่าม้าจะโตเต็มวัยจนขี่ไปไหนมาไหนได้ต้องใช้เวลาถึงหนึ่งปีเต็มๆ

“ช่วงที่เลิกเป็นช่วงที่ฉันต้องออกจากหมู่บ้านเพื่อไปเรียนต่อพอดี กลับมาก็ไม่คิดอะไรกันแล้ว” อาคาริเล่าเสริมประเด็นที่ผมบ่นไปในทีแรก “อีกอย่างตอนนี้หลินก็คบกับหมออยู่”

“ถึงงั้นก็เหอะนะ เคสนายมันไม่เห็นตรงกับที่ฉันถามเลยไม่ใช่เหรอ” ผมแย้ง แอบเสียดายในใจว่าNPCสาวมีเจ้าของไปอีกรายแล้ว ฮือ

ต่อให้หลินยังโสด แต่มาได้ยินแบบนี้ผมก็คงไม่คิดจะจีบหลินแล้วล่ะ เพราะผมเป็นชีสเลิฟเวอร์ หากคบกันแล้วเธอห้ามผมกินชีสขึ้นมาผมอาจยอมให้วัวเหยียบตายมากกว่าก็ได้

ใช่ๆๆ พอพูดแล้วก็นึกได้ว่าตอนนี้ผมเป็นเจ้าของฟาร์ม ผมเลี้ยงวัวเองก็แปลว่าผมก็ทำชีสเองได้!! โว้วว แบบนี้มันสุดยอดไปเลย ทำฟาร์มจงเจริญ เห็นทีผมต้องเตรียมตัวตั้งแต่เนิ่นๆแล้วล่ะ โอเค ตั้งแต่พรุ่งนี้ผมจะเปลี่ยนการเลือกหนังสือในห้องสมุดจากหมวดปลูกพืชไปเป็นหมวดเลี้ยงสัตว์

“ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อะไร”

ผมทำตาเป็นประกายใส่อาคาริ “ฉันอยากเลี้ยงวัว”

“มีเงินพอซื้อวัวแล้วเหรอ” อย่าเอาความจริงมาตบหน้ากันเซ่~

“ขายของไปเรื่อยๆเดี๋ยวก็พอซื้อเองเหอะ” ตอนนี้ผมพอจะเก็บเงินได้หลายพันแล้ว เพราะเป็นหมู่บ้านเล็กๆท่ามกลางป่าเขา ทำให้วันๆผมแทบจะไม่ได้ใช้เงินเท่าไหร่ นอกจากการลงทุนซื้อผักมาปลูกกับซื้อข้าวกิน ซึ่งบางวันก็จะแย่งอาคาริกินเอา เนื่องจากคุณบริกรประจำโรงแรมมักจะหอบข้าวหอบน้ำมาด้วยหลังเลิกงานเสิร์ฟ เห็นว่าเป็นสวัสดิการเพิ่มเติมสำหรับพนักงานอยู่แล้ว ซึ่งวันไหนที่อาหารเหลือเยอะผมก็จะได้รับอานิสงค์ด้วยอีกคน

ตอนแรกผมก็เกรงใจนะ จนกระทั่งอาคาริพูดกับผมด้วยสายตาว่างเปล่าว่า

“เมนูปลาทอดน่ะเหลือทุกวัน ฉันต้องกินจนแทบลืมรสชาติเนื้อชนิดอื่นไปแล้ว”

จากนั้นผมเลยกลายเป็นพนักงานกำจัดปลาทอดแทนอาคาริไป กินทุกวันจนรู้สึกฉลาดขึ้นมาอีกแปดเท่าแล้วเนี่ย ถ้าเป็นตอนนี้อาจกลับไปเอาเรียนมหาลัยใหม่เอาที่หายไปอีก0.11คืนมาสำเร็จก็ได้

เลิกเพ้อเจ้อเหอะ

“ไปเก็บเชอร์รี่ต่อได้แล้ว”

“ทำไมช่วงนี้ถึงต้องเก็บเชอร์รี่ด้วยอ่ะ เมนูใหม่อีกแล้วเหรอ”

“เปล่า อยากเก็บมานานแล้ว แต่มาคนเดียวไม่มีเวลาเลยเก็บแต่บลูเบอร์รี่มาตลอด” ปั๊ดโถ่ สนองนี้ดตัวเองนี่หว่า มิน่าพอลากผมมาเพิ่มเป็นสองคนก็เลยจัดเต็มได้สินะ

“แบบนี้ฉันควรเรียกร้องค่าแรงเพิ่มสิ”

“ข้าวกลางวันฟรียังไม่พออีกรึไง”

“นั่นส่วนของบลูเบอร์รี่” ผมหัวหมอตอบไปแบบนั้น

“ฉันช่วยงานในฟาร์มไปแล้วไง”

เขี้ยวจังวะ แต่ผมก็เถียงไม่ออกเพราะที่เจ้าตัวว่าก็เป็นความจริง จะว่าไปแล้วที่ผ่านมาผมกับอาคาริมักจะสลับกันช่วยงานกันคนละเรื่องๆจนกลายเป็นปกติ แบบนี้นับว่าเป็นเพื่อนกันได้มั้ยนะ

“นี่ ฉันกับนายถือว่าเป็นเพื่อนกันป้ะ” ผมถามพลางแอบจกบลูเบอร์รี่ป่าในตะกร้ากิน ถูกอาคาริตีมือ

“ถ้าจะกินก็กินลูกที่ไม่สวย”

โวะ ก็ได้

“จะบอกว่าเพื่อนก็คงไม่ผิด แต่ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นพี่เลี้ยงมากกว่า” ทำไมเป็นแบบน้านนนน

“ฉันว่าฉันก็ไม่ได้ดูอ้อแอ้ขนาดนั้นนะเว้ย!”

“เหรอ”

สัส ผมหมั่นไส้เลยคายเม็ดเชอร์รี่ที่กินหมดแล้วออกมาปาใส่อาคาริ แต่มันหลบได้แถมยังทำหน้ารังเกียจใส่ “สกปรก”

“ถ้าสะอาดฉันจะปามั้ยล่ะ โอ๊ย” ผมตอบกลับหน้ามึน จึงได้เชอร์รี่เน่าลอยกลับมาใส่หน้าผากลูกนึง ความที่เน่าแล้วผิวนอกมันก็เลยหยุ่นๆจนพอกระแทกเข้ากับหน้าผากผม น้ำสีแดงอมน้ำตาลระเบิดแผละออกมาเลอะเส้นผมเล็กน้อยก่อนลูกเชอร์รี่จะหล่นตุ้บลงพื้น ทำไมทีมันปาโดนผมได้อ่ะ ไม่ยุติธรรมเลยโว้ย “เชอร์รี่เน่ามันเลอะกว่าเม็ดเชอร์รี่อีกนะเว้ย”

“ถ้าไม่เลอะฉันจะปามั้ยล่ะ” ย้อนเก่ง!

ในเมื่อสู้ด้วยอาวุธระยะไกลไม่ได้ผมเลยพุ่งเข้าชาร์จหมายจี้เอวอาคาริ แต่ขยำเอวมันไปขนาดไหนคนตัวสูงกว่าก็แค่หันกลับมาทำหน้าเรียบใส่เท่านั้น

“ฉันไม่บ้าจี้”

“.........”

ฉิบหาย ละ

“ฮ่าๆๆๆๆๆๆ”

ครับ ผมก็โดนจี้คืนไปตามระเบียบ อ๊ากก อย่าจิ้มตรงนั้นมันขำ

“หยุด... ฮ่าๆๆ ฉันหะ... ฮ่าๆๆๆ หายใจไม่ออก ฮ่าๆๆๆ”

ผมพยายามขยับตัวหลบแต่อาคาริก็ยังไล่ตามมาจี้เอว นี่มันกะเอาให้ผมขำจนตายเลยใช่มั้ยวะ ผมอุตส่าห์คว้าข้อมือมันได้ข้างหนึ่งแล้วอาคาริก็ยังส่งอีกข้างมาทรมานเอวผมต่อ ผมหมุนตัวหนีไปมาจนสุดท้ายเจอต้นไม้ขวางทางอยู่ต้นหนึ่งเลยต้องย่อตัวหลบแทน

“หยุ๊ดด ฮ่าๆๆ พอได้แล้ว” ผมนอนกองอยู่กับพื้นและมีอาคาริที่ยังคงลงทุนย่อตามลงมารังแกผมต่อ คนบ้าอะไรจั๊กจี๋ชาวบ้านแล้วยังทำหน้านิ่งอยู่ได้อีกวะ แต่ผมรู้น่า มันต้องกำลังขำอยู่แน่ๆถึงได้เล่นไม่เลิกแบบนี้ แต่ว่าถ้าจี้กันต่ออีกนิดผมจะขาดอากาศตายรอบสองแล้วจริงๆด้วย เดี๋ยวชาติหน้ากูไปเกิดในเกมยิงซอมบี้นะ กูจะข้ามชาติมาแดกหัวมึง!

กว่าไอ้บาร์เทนเดอร์ที่คู่มือเกมเขียนอธิบายไว้ว่ามีคาร์แรคเตอร์สุดคูลแต่ความเป็นจริงนั้นสุดเหี้ยจะเลิกเล่น สภาพของผมก็เข้าขั้นอนาถทีเดียว นอนหอบหัวกระเซิงมีซากเชอร์รี่เน่าเลอะอยู่กลางหน้าผาก เยี่ยมไปเลยคนอื่นมาเห็นคงนึกว่าผมเป็นบ้า

“...สนุกมั้ย” ผมตวัดสายตามองมันอย่างเคืองๆหลังจากจังหวะลมหายใจกลับมาเป็นจังหวะปกติแล้ว

“สนุกมาก”

“ฉันประชด!”

“หึ” ไม่ต้องมาทำตาวิบวับเลย กูไม่ได้เป็นของเอาไว้แกล้งแก้เครียดมั้ยล่ะ

“ถ้าพอใจก็ลุกได้แล้ว” ท่าทางตอนนี้ไม่ดีเลย ผมกึ่งนั่งกึ่งนอนพิงต้นไม้โดยมีอาคาริเอามือยันก้อนหินแถวๆโคนต้นคร่อมตัวไว้ ถ้าใครมาเจอเข้าตอนนี้คงคิดว่าผมกับอาคาริกำลังจะได้กันกลางป่ากลางเข้าแน่ๆ ผมเพิ่งย้ายมาครึ่งเดือนเองนะ จะมาโดนมองว่าเป็นพวกชอบทำบัดสีเอาท์ดอร์ไม่ได้!

แต่แทนที่คนบนตัวผมจะยอมลุกออกไป มันกลับยกมือล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบผ้าเช็ดหน้าสีเรียบออกมาแทน “อยู่นิ่งๆ เดี๋ยวจะเช็ดผมให้”

เออดีเนอะ ทำเลอะแล้วมีบริการเช็ดให้ งั้นก็อย่าทำซะแต่แรกสิวะ

แต่ช้าก่อน เรื่องอะไรผมจะยอมถูกแกล้งอยู่ฝ่ายเดียวกัน

“ไม่ต้องอ่ะ” ผมปฏิเสธความหวังดีของอาคาริแล้วยกสองมือจับหน้าเจ้าตัวไว้ ยืดตัวขึ้นนาบหน้าผากเข้ากับริมฝีปากบางๆ ถูศีรษะไปมาให้แน่ใจว่าต้องมีเชอร์รี่เน่าติดเหนียวไปถึงปากอีกคนแล้วเรียบร้อยจึงค่อยผละออกมาพร้อมกับยิ้มแฉ่งให้ “เชอร์รี่ป่าอร่อยนะ ฉันก็อยากให้นายได้ชิมเหมือนกัน”

ผมรู้ตัวนะว่าตัวเองเอาหน้าผากไปให้เขาจูบ แต่นั่นเป็นเรื่องรอง ความพินาศ(?)ของอีกฝ่ายต่างหากที่ผมต้องการเห็น

หัวกูต้องไม่เละฟรี จัมวรั้ย

“อร่อยป้ะ” ผมถามย้ำเมื่อเห็นว่าอาคารินิ่งไป

“......ไม่คิดว่าจะเล่นแบบนี้”

พึมพำอะไรห่างกันแค่นี้ได้ยินนะเว้ย

“นายใช้แชมพูยี่ห้ออะไร”

“หา?” สิ่งที่อาคาริกำลังพูดถึงนั้นห่างจากจุดประสงค์การกลั่นแกล้งของผมเป็นโยชน์จนทำเอางงตึ้บ

“หอมดี” ปากบอกว่าหอมแต่สิ่งที่มันทำคือยกผ้าเช็ดหน้าในมือขึ้นมาถูปากถูกจมูก อะไรของมันวะ

“ก็ซื้อที่ซูเปอร์มาเก็ตนั่นล่ะ มีอยู่ไม่กี่ยี่ห้อเองนี่ อยู่มาตั้งนานไม่เคยซื้อมาลองบ้างเหรอ” แชมพูสบู่ของใช้นี่ก็เป็นไอเทมที่ผมไม่เคยเจอในเกมมาก่อน วันเดอร์ฟาร์มเรียลไลฟ์จริงๆชีวิตผมตอนนี้ จำได้ว่าแชมพูที่วางขายในซูเปอร์มาเก็ตมีแค่สามสี่ยี่ห้อเอง ผมหยิบมาสุ่มๆเสียด้วย

“ฉันใช้ของโรงแรม”

“แล้วมันไม่เหมือนที่ขายเหรอ”

“เป็นสบู่สั่งทำที่ใช้สมุนไพรในหมู่บ้าน ไว้โปรโมตนักท่องเที่ยว” ผมครางอ๋อเมื่อได้ยินคำตอบ จากนั้นก็ตออาคาริไปว่าตัวเองใช้แชมพูอันไหนในซูเปอร์มาเก็ต อีกฝ่ายพยักหน้า ไม่ได้ว่าอะไรต่อแล้วลุกขึ้นยืน ผมเลยได้ลุกขึ้นมาปัดเศษดินเศษฝุ่นตามตัว จากนั้นเราสองคนก็หันไปต่างคนต่างเก็บเชอร์รี่ป่ากันตามปกติเหมือนเมื่อกี๊ไม่ได้ตีกันแทบคลุกวงในใดๆทั้งสิ้น

จะว่าไปแล้วไอ้จังหวะการช่วยงานกันไปแกล้งกันไปแล้วก็หันกลับไปช่วยงานกันต่อหน้าตาเฉยนี่ก็กลายเป็นกิจวัตรปกติของผมกับคุณบาร์เทนเดอร์ไปแล้วเหมือนกัน

••••• 

“นายจะไปเทศกาลแข่งม้ามะรืนนี้ป้ะ” ผมเอ่ยถามอาคาริที่แวะเข้ามาล้างมือในบ้านของผมหลังเก็บผลไม้บนเขากันเสร็จแล้ว

“ไม่คิดจะไป”

“มันมีพนันม้าด้วยใช่มั้ย ไปสอนฉันเล่นหน่อยดิ” เรื่องอบายมุขนี่ขอให้บอก

“ทำไมนายถึงคิดว่าฉันเล่นพนันม้าเป็น”

อ้าว ก็เห็นเข้ามาเสือ— เอ๊ย ยุ่งกับทุกอย่างที่ผมทำ เลยนึกว่าจะเป็นหมดนี่หว่า

“ไว้จะแนะนำเพื่อนที่สอนเป็นให้” อาคาริยื่นข้อเสนอใหม่

“อ้าว มีเพื่อนกับเขาด้วยเหรอ”

แค่แซวเล่นเอง อย่าสะบัดน้ำใส่สิเฮ้ย

“เพื่อนฉันชื่อฮานนา ทำงานอยู่ที่ฟาร์มแกะ”

อาคาริ นี่เอ็งจะเกี่ยวข้องกับNPCสาวทุกคนไม่ได้...

“อ๋อ ฮานนา”

“รู้จักด้วยเหรอ?”

“อืม เคยเจอกันบ้างที่ภูเขาตอนเช้า” ตั้งแต่วันที่เจอกันครั้งแรกผมก็ยังเจอเธออยู่บ้างบางวันที่ขึ้นเขาไปหาของป่าตอนเช้า คุยกับเจ้าหล่อนระหว่างทางทีไรสุดท้ายฮานนาก็เนียนขายของและถามว่าเมื่อไหร่ผมจะไปอุดหนุนวัวที่ฟาร์มสักที บ้าเอ๊ย ที่จริงผมเองก็อยากเลี้ยงวัว(อ่านได้อีกความหมายว่าอยากทำชีส)จะแย่แล้วเหมือนกันนั่นล่ะ แต่หมาผมยังเลี้ยงไม่รอดเลย!

แต่ว่าตอนนี้ผมอยากจะเอาคืนที่โดนอาคาริสะบัดน้ำใส่เมื่อกี๊ชะมัด แต่รู้ว่าหมอนี่ต้องไปทำงานต่อเลยมีมารยาทพอที่จะยั้งมือไว้ จึงได้แต่เอามือมาแปะกางเกงตัวเองเพื่อซับน้ำอย่างลวกๆ “แปลกแฮะที่นายเป็นเพื่อนกับฮานนา”

“หมู่บ้านเล็กๆแบบนี้ก็รู้จักกันแทบทุกคน” อาคาริหยุดเช็คความเรียบร้อยของเสื้อผ้าตัวเองหน้ากระจกเล็กน้อยแล้วว่าต่อ “เด็กวัยเดียวกันที่อาศัยอยู่มาตั้งแต่เกิดก็เล่นด้วยกันมาทั้งนั้น”

“ปีนี้นายอายุเท่าไหร่อ่ะ”

“24” แสดงว่าอาคาริแก่กว่าผมสามปี ถึงการกระทำจะอยากให้ผมมองข้ามความอาวุโสแล้ววิ่งเข้าไปกระโดดตบหัวในบางทีก็เหอะนะ “ฮานนาเด็กกว่าฉันแถมเป็นผู้หญิง ยัยนั่นเลยสนิทกับเกรซมากกว่า แต่ก็ชอบชวนเกรซไปทำอะไรแผลงๆให้ฉันคอยตามดุอยู่เรื่อย”

“ดูคึกคักดีออก”

“เหรอ ปวดหัวมากกว่า” ผมเห็นเจ้าก็อตซิลล่าเดินดุ๊กดิ๊กมาหาอาคาริ คนตัวสูงก้มลงมองมัน “โทษที ฉันต้องไปทำงานต่อ คงเล่นด้วยไม่ได้”

ผมไม่มีสาเหตุต้องรักษาความอนามัยอะไรเป็นพิเศษเลยเดินเข้าไปช้อนตัวลูกหมาคอลลี่ขึ้นมา เดี๋ยวนี้ผมอุ้มมันได้แล้ว ป้อนข้าวมันได้ด้วย เก่งมั้ยๆ แสดงความยินดีกับผมหน่อย!

แต่วันก่อนเดินผ่านฟาร์มแกะแล้วได้ยินเสียงหมาตัวใหญ่เห่า ผมก็เผลอสาวเท้าหนีอยู่ดี......

“ปวดหัวกับอะไรแบบนี้ดีกว่าปวดหัวกับการเรียนตั้งเยอะน่า”

อาคาริคว้าตะกร้าผลไม้ที่วางอยู่บนโต๊ะญี่ปุ่นกลางบ้านเอียงหน้ามามองผมด้วยสายตาที่อ่อนโยนผิดปกติ “น่าสงสาร เรียนจนไม่มีเพื่อน”

“มีเว้ย!” เดี๋ยวปั๊ดปาขนหมาใส่ชุดเลยนี่ “ก็นั่งเรียนอยู่ด้วยกันกับเพื่อนนั่นล่ะวะ”

“เด็กในเมืองใหญ่นี่ก็น่าสงสารน่าดู”

“ก็ไม่ใช่ทุกคนหรอก แล้วแต่คนน่ะ บางบ้านที่ไม่คิดมากเรื่องเรียนก็มี” ผมวางก็อตซิลล่าลงกองผ้าประจำตัวของมันแล้วลุกพาอาคาริเดินไปที่ประตู “จะว่าไปเคยเห็นนายบอกว่าออกจากหมู่บ้านไปเรียนต่อ นายไปเรียนอะไรมาอ่ะ”

“บริหาร พอจบแล้วฉันก็ไปเรียนการครัวต่ออีกปี”

“โห เจ๋งว่ะ”

“ไม่ ถ้านายเห็นผลการเรียนฉันนายจะรู้เลยว่าฉันเกลียดวิชาไหนบ้าง” พูดแบบนี้เดาได้เลยว่าเกรดสมัยเรียนทำอาหารของอาคาริต้องดีกว่าตอนเรียนบริหารโขแน่ๆ

“เอาน่า ดีออก นายเลยรู้ว่าตัวเองชอบอะไรไง”

อาคาริเหลือบมองผม เห็นประกายวาบหนึ่งออกมาจากนัยน์ตาสีฟ้าซีด “งั้นมั้ง”

ทำไมจู่ๆก็รู้สึกเสียวสันหลังวูบขึ้นมาหว่า

ผมผลักประตูกระท่อมออกไป แต่ก่อนที่จะได้หันไปไล่ เอ๊ย กล่าวอำลาอาคาริ เงาดำๆขนาดใหญ่ก็พาดผ่านมาตามช่องว่างที่กำลังเปิดอ้าออก

“เหี้ย!”

อาคาริชะโงกหน้าผ่านไหล่ผมเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น “ม้าต่างหาก”

กูอุทานมั้ยล่ะมึง!

“สวัสดีเพทาย... อ้าว อาคาริ”

“.........”

พูดถึงฮานนา ฮานนาก็มา เธอดูงงนิดหน่อยที่เจออาคาริโผล่หัวออกมาจากบ้านผม ผมก็งงที่เจอเธอยืนอยู่หน้าบ้านตัวเองเหมือนกัน

“สวัสดีฮานนา มีธุระอะไรกับเราเหรอ” ผมปรับฟีลเตอร์ตัวเองให้พาสเทลขึ้นเล็กน้อยและทักทายตอบสาวเจ้าไป หันไปมองม้าสีน้ำตาลอมเทาตัวสูงเกือบเท่าศีรษะแล้วชักจะพอเดาเรื่องออก...

“คือว่า... ที่ฟาร์มได้ลูกม้ามาตัวหนึ่ง แต่จากเนื้อที่แล้วพวกฉันไม่สะดวกจะเลี้ยงมันเพิ่มเท่าไหร่...” โอเค ไม่ต่างจากที่ผมคิดเลย “ถ้าไม่เป็นการรบกวน นายพอจะช่วยเลี้ยงมันหน่อยได้มั้ย”

นี่ม้าทั้งตัวเลยนะ ฝากเป็นหมาเป็นแมวไปได้ ใช่ครับ ตอนนี้เรากำลังอยู่ในอีเว้นท์รับม้ามาเลี้ยงกัน แต่ตามจริงคนที่พาลูกม้ามาควรจะเป็นคุณลุงของฮานนาสิ

“ก็... ไม่มีปัญหาหรอก แต่เราไม่เคยเลี้ยงม้าอ่ะ”

“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ฉันเตรียมคู่มือเลี้ยงม้าแถมมาให้แล้ว!” โอ้โห เตรียมพร้อมเวอร์ “จากที่ฉันดูมันมาหลายวัน เจ้านี่เลี้ยงง่ายมากๆด้วยนะ”

ผมมองเจ้าลูกม้าสีน้ำตาลอมเทา มันเองก็กำลังใช้ลูกตาดำๆของมันจ้องผมอยู่ ลูกม้าน้อยแต่ขนาดตัวไม่น้อยโยกหัวตอบรับมือข้างหนึ่งของผมที่ยกขึ้นลูบใบหน้าของมัน ลายสีอ่อนที่พาดตรงกลางใบหน้ากับผมฟูๆสีเข้มของมันทำเอาผมนึกถึงกระรอกขึ้นมา

ถ้าบอกว่าเลี้ยงง่ายอยู่แล้ว บวกกับความสามารถส่วนตัวที่สัตว์มักจะเชื่องกับผม มันก็คงเลี้ยงไม่ยากเท่าไหร่หรอกมั้ง

เอาวะ ลองดูมันซักตั้ง

“ได้ เดี๋ยวเราเลี้ยงมันให้เอง”

“จริงนะ ขอบคุณนายมากเพทาย ช่วยได้มากเลย งั้นเดี๋ยวฉันพามันไปเก็บที่คอกม้าให้เอง” ฮานนารีบขอบคุณและรีบสรุปรวบรัดเหมือนกลัวผมจะเปลี่ยนใจ “แรกๆยังไม่ต้องซื้ออุปกรณ์อะไรมามาก ใช้แค่แปรงหวีขนให้มันทุกวันก็พอ ส่วนอาหารก็ปล่อยมันออกมาเล็มหญ้าในฟาร์มเอา ตกเย็นค่อยเก็บมันเข้าคอก”

ผมพยักหน้ารับหงึกหงัก รับคู่มือเลี้ยงม้ามาจากฮานนา

“ว่าแต่ไหงอาคาริถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ” สาวชาวฟาร์มเลิกคิ้วถามบุคคลที่สามที่ยืนเงียบพิงขอบประตูดูเหตุการณ์มาตั้งแต่ต้น

“ไม่ใช่เรื่องของเธอ” ดูมันตอบ ผมเป็นฮานนานี่คงเอาเกือกม้ายัดปากมันไปแล้ว “มาก็ดี วันเทศกาลแข่งม้าพาหมอนี่ไปด้วยสิ”

“อ๋อ ได้ๆ เพทายเพิ่งย้ายมานี่เนอะ” ฮานนาดูไม่ถือสาอะไรกับวาจาน่าต่อยปากของอาคาริมากนัก สงสัยจะชินแล้วแน่ “ไว้ไปด้วยกันสิ เดี๋ยวฉันสอนนายเล่นพนันม้าเอง สูบเงินเจ้ามือให้หมดตัวไปเลย”

กล่าวจบเธอก็ยิ้มมุมปากพลางขยิบตาให้

โอ๊ย เท่จัด ยอมแล้วว

“เพลาๆหน่อย...”

ผมคว้าหมับที่ข้อมืออาคาริเป็นสัญญาณให้หุบปาก ก่อนที่มันจะพูดเบรคฮานนาให้เสียงเรื่อง

“ไปสิๆ ต้องเตรียมอะไรไปเป็นพิเศษรึเปล่า”

“เตรียมตัวกับเตรียมเงินไปก็พอ ที่เหลือฉันจัดการเอง” ฮานนากระชับสายจูงม้า “ไว้เจอกันที่งานมะรืนนี้ เดี๋ยวฉันรออยู่แถวสนามแข่ง ถึงแล้วก็มาหาฉันได้เลย”

“โอเค”

“งั้นไปนะ ฝากดูแลเจ้านี่ด้วย”

“ได้” ผมลูบหัวสีน้ำตาลนั่นสองสามครั้ง “จากนี้ก็ฝากตัวด้วยล่ะ กระรอกน้อย”

“ฮะๆ ตั้งชื่อซะน่ารักเชียว ไว้มันโตแล้วอย่าลืมขี่กระรอกน้อยมาซื้อแกะที่ฟาร์มด้วยนะ!” และฮานนาก็จบด้วยการขายของอย่างแนบเนียนพร้อมกับเดินจูงม้าไปทางคอก “งั้นเก็บม้าเสร็จแล้วฉันกลับเลยแล้วกัน”

“อาฮะ ขอบคุณเธอมากนะฮานนา”

หลังจากร่ำลาปิดอีเว้นท์รับม้าแล้วผมก็หันไปไล่อาคาริบ้าง

“นายเองไม่รีบไปเดี๋ยวก็สายหรอก”

อาคาริพยักหน้า ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมองเวลา แต่สิ่งที่เจ้าตัวว่าออกมาดันไม่เกี่ยวกับหัวข้อที่ผมพูดด้วย “ฉันจะรอดูชื่อไก่นาย”

ผมทำตาโต “เออใช่ ต้องคิดชื่อไก่เผื่อไว้ด้วย”

กลอกตาใส่กันทำไม ตัวเองเป็นคนชี้โพรงเองนะเว้ย!

TBC.


ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Evilkun

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ตอนที่10 • สวัสดีเด็กใหม่


[Akari Side]
 
วันนี้เป็นวันปกติ ผมตื่นนอนตามเวลาปกติ เข้างานที่โรงแรมตามกะปกติ และตั้งใจว่าจะขึ้นเขาไปเก็บผลไม้เช่นปกติ
 
“ยินดีต้อนรับครับ”
 
แต่ที่ไม่ปกติก็คงเป็น...
 
“อาคาริ!”
 
…ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องเรียกกันด้วยน้ำเสียงแตกตื่นแบบนั้น แต่ที่ไม่เข้าใจยิ่งกว่า...คือคนที่กำลังเรียกผมอยู่เป็นใคร
 
“ไม่เคยเห็นหน้านายมาก่อน รู้จักฉันด้วยเหรอ” ตั้งแต่เริ่มทำงานมา จำได้ว่าไม่เคยมีนักท่องเที่ยวชาวเอเชียมาเป็นแขกของโรงแรมเสียหน่อย
 
เจ้าของเสียงเรียกชื่อผมเมื่อครู่เป็นชายวัยรุ่นที่น่าจะมีเชื้อสายตะวันออกอยู่เต็มเปี่ยม แต่ไม่รู้หรอกว่าเมืองไหน การมีแม่เป็นชาวตะวันออกก็ไม่ได้ทำให้ผมแยกหน้าตาคนแถบนั้นออกสักหน่อย เขาดูเด็กกว่าผมไม่เกินห้าปี ผมไม่ได้สังเกตรูปลักษณ์ละเอียดไรนัก ที่รู้ๆคือเขากำลังมองผมตาขวาง ท่าทีตั้งแง่แบบไม่ปิดบัง หากเป็นแมวหางก็คงจะตั้งฟูขึ้นมาแล้ว
 
ผมไปทำอะไรให้รึไง ก่อนอื่นคือผมไม่รู้จักเขาสักหน่อย
 
…ท่าจะยุ่งยาก
 
“โอ๊ะ เธอคือพ่อหนุ่มคนใหม่ที่เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่สินะ” ประจวบเหมาะที่คุณไบรอันเข้ามาแทรกสถานการณ์ที่ผมไม่รู้จะจัดการแมวตัวนี้ยังไงต่อพอดิบพอดี ซึ่งแมวตัวนั้นพอได้ยินว่าเขาจะให้ข้าวเท่านั้นล่ะ ก็ทำท่าเชื่องคนผิดจากที่ทำใส่ผมเมื่อครู่ ผมลอบกลอกตาแล้วหันไปเสิร์ฟอาหารต่อเมื่อเจอจังหวะที่ผละออกมาได้
 
แต่ไม่วายโดนเรียกให้กลับไปร่วมวงอีกครั้งเพื่อพาเขาไปนั่งที่โต๊ะ ได้ยินว่าชื่อเพทาย ซึ่งตอนนี้เปลี่ยนมาทำหน้าบูดใส่ผมต่อเหมือนเดิมแล้ว สรุปผมไปทำอะไรไว้กันแน่

สมัยเรียนก็เคยโดนไม่ชอบขี้หน้าโดยไม่มีสาเหตุอยู่บ้างเหมือนกัน ผมคิดว่าคนประเภทนี้คงเป็นพวกมีปม น่าสงสาร... แต่ไม่น่าใส่ใจ
 
เห็นสีหน้ายุ่งๆกำลังจ้องมองเมนูอาหารอย่างสับสน ซึ่งสุดท้ายก็โบ้ยภาระการเลือกอาหารมาให้บริกรอย่างผมเสียดื้อๆ ผมจึงนึกสนุกลองกวนประสาทไป
 
“อาหารฝีมือคุณเจนอร่อยทุกอย่าง... อ้อ คุณเจนคือภรรยาคุณไบรอัน”
 
“ถ้าอร่อยทุกอย่างงั้นก็เอาอะไรก็ได้นั่นแหละ”
 
“สตูว์ลิ้นวัวของที่นี่อร่อยมาก”
 
“งั้นเอาอันนั้น”
 
“แต่เป็นเมนูที่ขายเฉพาะตอนเย็น”
 
ผมเห็นนัยน์ตาดำกลอกไปมา ปากบางๆเบ้ออกนิดหน่อย เลยกล่าวต่อ “เมนูพิเศษคือปลาเนื้อขาวย่างกับชุดผักประจำฤดู”
 
“อันนั้นก็ได้”
 
...ไม่คิดจะเลือกเองจริงๆสินะ
 
“ขอโทษด้วย เพิ่งเสิร์ฟชุดสุดท้ายไปก่อนนายเข้ามา”
 
อาการเบ้ปากกลายเป็นถลึงตาขบฟันแทน และในที่สุดเจ้าตัวก็ยอมเลือกเมนูอาหารเองส่งๆมาให้ พอผมถามรายละเอียดต่อก็ทำท่าเหมือนอยากให้ผมรีบๆจบบทสนทนาเสียที
 
แต่ในเมื่อลูกค้ายังไม่ได้สั่งเครื่องดื่มผมก็ยังต้องทำตามหน้าที่ต่ออยู่ดี

...แล้วเขาก็ทนไม่ไหวหลุดกระแทกเสียงใส่ในท้ายที่สุด
 
ตลกดี
 
ขณะที่เดินเสิร์ฟอาหารก็สังเกตได้ว่าคนมาใหม่ค่อนข้างเป็นที่สนใจกับคนอื่นๆในหมู่บ้าน ได้ยินแว่วๆตอนเดินผ่านว่าเขาเป็นเจ้าของใหม่ของฟาร์มที่อยู่ใกล้ร้านไวน์บ้านผม ทำเอาถึงกับเผลอเหลือบไปพิจารณารูปร่างเขาอีกครั้ง ผิวออกขาวแบบไม่น่าจะได้ตากแดดบ่อยกับหุ่นก้างๆนั่นน่ะนะเจ้าของฟาร์ม? โอเค เขาไม่ได้ถึงกับผอมบางแต่ชาวตะวันออกก็ถือว่าตัวเล็กสำหรับผมอยู่ดี ฮานนาที่เป็นผู้หญิงยังน่าจะแข็งแรงกว่าเขาเลย ...ไม่ไหวเสียล่ะมั้ง

เพทายดูเป็นคนเฟรนด์ลี่คุยเก่งจนหากผมบอกคนอื่นไปว่าเมื่อกี๊โดนเขายืนถลึงตาใส่เป็นการทักทายก็คงไม่มีใครเชื่อ เขาตอบคำถามซ่อกแซ่กจากชาวบ้านที่ผมมองว่าน่ารำคาญอย่างเป็นกันเอง และยิ้มจนตาหยีเมื่อมีคนหยิบยื่นสิ่งของต้อนรับให้ เขาถูกดึงตัวไว้ให้นั่งอยู่นานมากแม้ว่าจะทานสเต็กหมดจนผมเดินไปเก็บจานบนโต๊ะมาแล้ว กระทั่งถึงเวลาออกงานของผมเขาก็ยังนั่งอยู่ตรงนั้น
 
ผมไม่ได้สนใจอะไรต่อและเข้าไปเก็บข้าวของ กล่าวขอตัวกับคุณเจนเสร็จก็เดินออกมาจากโรงแรมเพื่อตรงขึ้นเขา ช่วงฤดูนี้บลูเบอร์รี่ป่าออกผลดก เมนูค็อกเทลประจำฤดูนี้จึงมีบลูเบอร์รี่เป็นวัตถุดิบหลัก รวมถึงเอาไว้ให้คุณเจนใช้ขนมสำหรับคาเฟ่ตอนกลางวันด้วย ผมจึงต้องขึ้นเขามาเก็บบลูเบอร์รี่ป่าทุกวัน แม้ใจจะอยากเก็บเชอร์รี่บนยอดเขาไปพร้อมกันแต่ด้วยเวลาที่จำกัดทำให้ส่วนใหญ่จะได้มาแค่บลูเบอร์รี่เท่านั้น
 
เดินออกห่างจากโรงแรมไม่นานก็เหมือนมีเงาเล็กๆวิ่งผ่านไป เมื่อมองตามก็พบลูกสุนัขขนฟูกำลังยืนเกาะแข้งเกาะขาคนใหม่ประจำหมู่บ้านอยู่กลางถนน ได้ยินเสียงคุณเจมส์ตะโกนขอให้ช่วยจับหมาดังมาจากข้างหลังแต่คนที่อยู่ใกล้สุนัขก็ยังไม่ขยับจึงกลายเป็นผมที่เดินไปอุ้มลูกสุนัขคอลลี่ขึ้นมาแทน
 
“สุนัขคุณเจมส์เหรอครับ”
 
“ก็ไม่เชิงหรอก ฉันไปเจอมันสองตัวร้องอยู่ที่บันไดริมชายหาด นี่ก็ดูพวกมันมาหลายวันแล้วยังไม่เห็นวี่แววของแม่มันเลย”
 
คุณเจมส์เล่าปัญหาเกี่ยวกับสุนัขที่พบอยู่ตอนนี้ให้ผมกับเพทายฟัง
 
“ลองยกให้ใครช่วยเลี้ยงสิครับ” ผมเสนอ ก้มมองเจ้าตัวสีน้ำตาลในมือซึ่งกำลังดมสำรวจ นึกเอ็นดูขึ้นมานิดหน่อย
 
“ลองถามดูมาหลายคนแล้วล่ะ ยังไม่เจอใครที่สะดวกพร้อมเลี้ยงเลย นายสนใจมั้ยล่ะ?”
 
“ขอโทษครับ ผมพักที่โรงแรม คงจะไม่สะดวก” คุณเจมส์นี่ก็ประหลาด รู้ทั้งรู้ยังจะกล้าถามผมอีก ผมและเขาคุยกันบ่อยเพราะคุณเจมส์เองก็เป็นขาประจำที่บาร์
 
“บ๊อก!”
 
คิดไม่ตกกับปัญหาก็หันไปเห็นว่าลูกสุนัขสองตัวให้ความสนใจกับคนที่ยืนเงียบอยู่เป็นพิเศษ ทว่าเจ้าตัวกลับสะดุ้งโหยงทันทีที่ผมยื่นลูกสุนัขไปหา
 
ผมขมวดคิ้ว “อย่าบอกนะว่านาย...... กลัวหมา?”
 
เจ้าตัวทำหน้าไม่อยากจะยอมรับแต่ก็ไม่ได้พูดปฏิเสธ สายตายังจ้องสุนัขเขม็งเหมือนกลัวว่าจะถูกกระโจนใส่ทีเผลอตลอดเวลา
 
...เหมือนแมวยิ่งกว่าเดิมอีก
 
“กะ... ก็ไม่ได้กลัวขนาดนั้น แค่เมื่อกี๊ตกใจเฉยๆเอง” หน้าตื่นขนาดนั้นยังจะกล้าเถียงอีก
 
“เหรอ งั้นช่วยคุณเจมส์เอาไปเลี้ยงสิ”
 
“ไม่!”
 
“ไหนว่าไม่กลัว?”
 
“.........”
 
“กลัวสินะ หึ” เพิ่งค้นพบว่าแหย่แมวก็สนุกดี เจ้าตัวทำท่าเหมือนอยากจะกระโดดตะปบหน้าผม จนคุณเจมส์เข้ามาประนีประนอม ไปๆมาๆไม่รู้ว่ากลัวเสียหน้าหรืออะไร สุดท้ายเพทายก็ตกลงรับลูกสุนัขไปเลี้ยง ผมไม่คิดว่าเป็นผลลัพธ์ที่โอเคนัก ไม่ไหวก็ควรจะยอมรับตรงๆมากกว่ามาทนฝืนทำเรื่องที่ตัวเองไม่สะดวกใจ ยิ่งการดูแลชีวิตหนึ่งไม่ใช่เรื่องที่คิดจะทำก็ทำได้ง่ายเพียงปากบอก พอผมดุออกไปเขาก็เถียงกลับเสียจนผมอยากจะดีดหน้าผากสักที แค่ให้อุ้มก็ยังมือสั่นแล้วแท้ๆ และสุดท้ายผมก็รู้สึกทนปล่อยไว้ไม่ได้จนยอมเสียเวลาอุ้มลูกสุนัขพากลับไปที่ฟาร์มและสอนทักษะการเลี้ยงสุนัขเบื้องต้นให้ ...อันที่จริงพอได้ฟังเหตุผลที่เจ้าตัวกลัวสุนัขแล้วก็รู้สึกเอ็นดูขึ้นมาสามจุด มิน่าเมื่อครู่ถึงได้ถูกลูกหมาสองตัวจ้องตาเป็นประกายอย่างนั้น
 
กว่าจะสอนเจ้าของป้อนอาหารลูกสุนัขชื่อประหลาดได้สำเร็จก็เสียเวลาไปกว่าที่คิดไว้มาก ถ้าขึ้นไปเก็บบลูเบอร์รี่เอาป่านนี้คงเก็บได้เพียงส่วนของค็อกเทลแต่ไม่พอส่วนของวัตถุดิบขนมคุณเจนแน่ ผมไม่อยากให้เสียงานด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องจึงได้แต่ขอความช่วยเหลือจากคนต้นเหตุที่ทำให้ผมเสียเวลา เจ้าตัวทำท่าอิดออดแต่เมื่อผมกดดันนิดหน่อยก็ยอมตามขึ้นมาช่วย
 
“โห หวานขนาดนี้เลยเหรอ อร่อยโคตร” คนที่งอแงในตอนแรกเปลี่ยนท่าทีมาเป็นตื่นเต้นกับบรรยากาศบนป่าเขา เจออะไรที่น่าจะกินได้ก็ทดลองเอาเข้าปากไปหมด อย่างกับเด็กเพิ่งเคยมาเที่ยวธรรมชาติ อันที่จริงเขาดูเหมือนเด็กวัยรุ่นทั่วๆไปในเมืองใหญ่ศิวิไลซ์ ติดออกไปทางคุณหนูเสียด้วยซ้ำ ดูไม่น่าจะเป็นคนที่อยากย้ายเข้ามาเป็นเจ้าของฟาร์มในหมู่บ้านกลางป่ากลางเขาแบบนี้สักนิด อย่าว่าแต่ทำฟาร์ม...หุ่นอ้อนแอ้นแบบนั้นยกจอบสามครั้งก็น่าจะหอบแล้วด้วยซ้ำ ทีแรกผมตั้งแง่ในใจว่าไม่น่าจะรอดก็จริง แต่จากที่ได้คุยด้วยวันนี้ก็ดูไม่ใช่คนไร้ความรับผิดชอบอะไรนัก ก็คงต้องรอดูต่อไป...
 
แมวในชุดเอี๊ยมยังคงหันซ้ายหันขวาเที่ยวมองโน่นสำรวจนี่บนภูเขาไปมาแต่ก็ยังช่วยเด็ดบลูเบอร์รี่เรื่อยๆไม่ขาด ผมจึงไม่ได้ว่าอะไรมาก ต่างคนต่างเด็ดกันไปสักพักไม่รู้เกิดผีป่าพรายภูเขาที่ไหนดลใจให้เขาโพล่งถามขึ้นมาด้วยเสียงลนลาน
 
“นี่ นายมีแฟนรึยัง”
 
......อะไรของหมอนี่วะ
 
แว้บแรกผมคิดเช่นนั้น คนถามเองก็ดูเหมือนจะเพิ่งนึกได้ว่าถามคำถามที่ไม่ควรถามใส่คนที่เพิ่งเจอกันออกไป เห็นท่าทางเลิ่กลั่กนั่นแล้วก็นึกสนุกเป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ของวัน
 
“จะจีบฉัน?”
 
“เปล่าโว้ย!”
 
เถียงกันอีกนิดหน่อยแล้วเขาก็ทำท่าไม่อยากสนใจผมและหนีไปหาบลูเบอร์รี่ต้นใหม่ ดูเหมือนจะมีนิสัยเถียงแพ้แล้วชอบเปลี่ยนเรื่อง ผมไม่ได้สาวความอะไรต่อ ผ่านไปสักพักเขาก็ดูทนต่อความอยากรู้อยากเห็นไม่ไหวแล้วเอ่ยปากถามผมขึ้นมาอีกครั้ง
 
ผมไม่เข้าใจว่าทำไมคนเราชอบสนใจเรื่องรักๆใครๆคนอื่นนักทั้งที่มันก็ไม่เห็นจะเกี่ยวกับตัวเอง ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่เองต้องปิดบังอะไรผมจึงตอบไปตามปกติ แต่เจ้าตัวก็ยังถามไม่เลิกเปิดให้ผมได้โอกาสแหย่แมวกลับอีก ซึ่งปฏิกิริยาก็ทำเอาอยากขำเช่นเดิม
 
 ••••• 

 
ผมใช้จังหวะเมื่อตอนนั้นเตือนไม่ให้สมาชิกใหม่ของหมู่บ้านมายุ่มย่ามกับน้องสาวของผมแล้ว ทว่าวันต่อมาก็ยังเจอเขายืนยิ้มหวานให้เกรซอยู่ ผมไม่สบอารมณ์... เขาเล่นไม่ให้เกียรติเมินคำพูดกันแบบนี้ หลังจากที่ต่างคนต่างอารมณ์เสียใส่กันเรียบร้อยผมก็พบว่าตัวเองนั้นเข้าใจผิด แถมยังโดนเกรซโวยวายยกใหญ่ว่าผมทำเธอเสียลูกค้า
 
“อีกอย่าง... พี่ควรจะทำดีต่อคนที่เพิ่งย้ายมาใหม่ให้มากกว่านี้นะ!”
 
...นี่ถ้าเมื่อวานที่ผมช่วยเขาไม่เรียกว่าทำดี โลกนี้ก็คงไม่มีอะไรที่อ่อนโยนกับเจ้าหน้าใหม่นั่นแล้วล่ะมั้ง
 
“ไปขอโทษเขาเดี๋ยวนี้เลยค่ะ”
 
และผมที่พ่ายแพ้ให้แก่น้องสาวตัวเองก็ได้แต่เดินกลับไปยังทางที่เพิ่งผ่านมาเพื่อตามไปง้อแมวที่งอนจนเดินสะบัดก้นหนีไปทางซูเปอร์มาเก็ตจนได้ เห็นยืนจ้องถุงเมล็ดพืชอยู่นาน แต่ผมไม่นึกว่าเขาจะเพ่งสมาธิเสียจนสะดุ้งโหยงเมื่อผมส่งเสียงออกไป ถ้ามีขนคงฟูฟ่องไปแล้วมั้ง
 
พอเอ่ยขอโทษออกไป เขาก็ดูไม่ได้ใส่ใจเรื่องเมื่อครู่ขนาดนั้น ถือว่าดีเพราะอันที่จริงผมก็ไม่ได้รู้สึกผิดอะไรเท่าไหร่... เจ้าตัวหันไปจดจ่อกับเมล็ดพืชสองถุงต่อ ผมเองแทนที่เรื่องคลี่คลายแล้วจะรีบผละไปเพื่อจัดการธุระตัวเองก็ดันเกิดความอยากรู้อยากเห็นต่อว่าสุดท้ายแล้วคนตรงหน้าจะจัดการเลือกเมล็ดพืชแบบไหนมา จ้องเสียงเหมือนกับว่าผลมันงอกออกมาตรงนั้นได้ยังไงยังงั้น ผมหน้าม้าแทบจะทิ่มตาแล้วนั่นน่ะ
 
ผมรับรู้ได้ถึงความตั้งใจของเขานะ แต่จากการตัดสินใจเลือกเมล็ดขอเขาแล้ว... ก็ทำให้เข้าใจได้ทันทีว่าแมวไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่มีความรู้เรื่องการปลูกผัก ไหนๆวันนี้ก็เสียเวลาแล้วเลยจัดการมัดมือชกทุกอย่างพร้อมกับลากเพทายไปช่วยงานตัวเองก่อนเฉกเช่นเมื่อวานอีก ส่วนเรื่องอื่นค่อยว่าอีกทีวันต่อมาแล้วกัน
 
บนเขาวันนี้มีเรื่องนิดหน่อยเพราะเจอสาวร้านดอกไม้ที่วิ่งหนีตะกร้าดอกไม้ของตัวเอง ผมจัดให้มันอยู่ในเรื่องงี่เง่าระดับเดียวกับคนกลัวหมาแต่ขอหมามาเลี้ยงนั่นล่ะ อืม... แต่แบบหลังดูมีความพยายามให้เห็น อาจดีกว่านิดหน่อย
 
...ยังไงก็งี่เง่าอยู่ดี
 
เจ้าแมวที่ผมหอบมาด้วยทำท่าออดอ้อนเป็นมิตรใส่ไอริสดังที่ทำกับคนทุกคนยกเว้นผม

ไม่สิ… ดูจะอ่อนหวานมากเป็นพิเศษต่อหน้าสาวหน้าตาสะสวยที่ยืนคุยอยู่...
 
ผมอาจเป็นคนประเภทที่แมวเกลียด... แต่ช่างเถอะ ไม่ใช่อุปสรรคในเมื่อพอเอาของกินมาล่อก็ยอมเดินตามกันมาต้อยๆแบบนี้ ผมค่อนข้างแน่ใจแล้วว่าคนตรงหน้าซื้อได้ด้วยของกินหลังจากตกลงสนธิสัญญาสลัดกับค็อกเทลกันสำเร็จ อันที่จริงสองวันนี้ผมเก็บบลูเบอร์รี่ป่าได้มากกว่าปกติด้วยซ้ำเพราะมีคนคอยช่วย
 
หลังจากได้ผลไม้มามากพอที่จะเรียกว่ามากเกิน ผมกับเขาก็จัดการนัดแนะเวลาที่จะมาช่วยกันจัดการแปลงผักในฟาร์มของเพทายในวันพรุ่งนี้และแบ่งบลูเบอร์รี่ส่วนหนึ่งเป็นค่าตอบแทนล่วงหน้าให้แก่เจ้าตัวด้วย
 
“เกรซ ขอกิ๊บติดผมอันสิ”
 
“หือ? ก็ได้อยู่นะคะ พี่จะเอาไปทำอะไรเหรอ”
 
“ผมหน้ามันยาวแล้วน่ะ”
 
“ฉันว่ามันก็ดูไม่ได้ยาวขนาดนั้นนะ... อ่ะ อันนี้ได้รึเปล่าคะ สีฟ้าเหมือนตาพี่ชายเลยด้วยเป็นไง”
 
“อันไหนก็ได้หมด ขอบใจมาก”
 
...และพอหวังดีตั้งใจจะเอากิ๊บติดผมจากน้องสาวไปให้ใช้แก้ขัด วันต่อมาก็กลับเจอคนมัดจุกน้ำพุเสียก่อน แต่มองไปมองมาก็ตลกดี ปล่อยให้เป็นงั้นไว้สักพักแล้วกัน
 
ถึงภายนอกเพทายจะดูไม่เหมือนคนเคยทำงานใช้แรงบ่อยๆ แต่เขาก็ตั้งใจเก็บกวาดเศษหินเศษไม้เคลียร์พื้นที่เสียจนเรียบร้อย กลับกันกลายเป็นผมที่บ่นเรื่องอุปกรณ์ที่แสนจะไก่กาของเขาแทนไปเสียได้ บรรยากาศไม่ต่างจากตอนช่วยกันเก็บผลไม้บนเขาเท่าไหร่ ต่างคนต่างทำหน้าที่และหันมาเหน็บกันเป็นพักๆ ผมชินแล้ว เขาเองก็คงชิน ตั้งแต่ที่ได้คุยกันมาเพทายดูรู้เรื่องในหมู่บ้านมากกว่าที่คิดจนบางครั้งผมไม่คิดว่าเป็นข้อมูลที่คนเพิ่งย้ายมาจะรู้ได้ แต่กลับกันบางเรื่องที่ง่ายๆดันไม่รู้ ผมเองก็คร้านจะหาคำตอบ ไปๆมาๆก็คุยวกกลับไปเรื่องอุปกรณ์ทำสวนและลามไปถึงปัญหากับครอบครัว
 
เกินความคาดหมายไปมากที่ได้ยินเขาเอ่ยราวกับชื่นชม ผมไม่ได้คิดว่าตัวเองเจ๋งอะไรขนาดนั้น แค่ทนไม่ทำเรื่องที่ตัวเองชอบไม่ได้ก็เท่านั้น... กลับกันพอฟังอีกฝ่ายบ่นนู่นบ่นนี่เกี่ยวกับชีวิตเจ้าตัวแล้วก็คิดว่านั่นต่างหากที่น่าชื่นชม
 
ผมไม่ได้พูดถึงเรื่องปัญหาครอบครัวให้ใครฟังบ่อยนัก ...อันที่จริงคนในหมู่บ้านก็พอจะรู้ๆกันอยู่ ถือว่าครั้งนี้ผมได้ฟังประสบการณ์จากคนที่เลือกทางที่ตรงกันข้ามกับตัวเอง บวกกับท่าทางบ่นงุ้งงิ้งกึ่งปลอบใจผมมันทำให้ผมนึกเอ็นดูขึ้นมาอีกหน่อย พอแสดงความรู้สึกด้วยการเอามือเปื้อนหญ้าขยี้หัวไป ตาดำๆก็หันมาถลึงให้ พ่วงกับจุกน้ำพุบนหัวก็ทำเอาอยากจะหัวเราะ
 
“เอานี่ไปติดแทนซะ เห็นนายเสยผมบ่อยๆตั้งแต่เมื่อวานเลยไปขอเกรซมาอันนึง”
 
“แล้วทำไมไม่เอามาให้ตั้งแต่แรก”
 
“ก็จะหยิบให้แล้วแต่นายมัดจุกก่อน ตลกดีเลยปล่อยไว้”
 
อันที่จริงก็พอจะรู้ตัวแล้วว่าทำไมตัวเองถึงเป็นประเภทที่แมวเกลียด......
 
 •••••  a
 
หลังจากนั้นก็กลายเป็นว่าหากวันไหนสะดวกผมก็ไปหาเขาที่ฟาร์มเป็นปกติ ส่วนใหญ่ไปด้วยเหตุผลว่าเป็นห่วงลูกสุนัขก็อตซิลล่านั่นล่ะ ใครจะไปวางใจได้เมื่อรู้ว่ามีสุนัขถูกเลี้ยงโดยคนกลัวสุนัขน่ะ แต่เมื่อผ่านไปหลายวันเจ้าแมวก็ดูจะคุ้นเคยกับลูกสุนัขขึ้นมาพอสมควร อย่างน้อยตอนนี้ก็ไม่สั่นเวลาอุ้มแล้ว
 
ระหว่างที่ผมเล่นกับลูกสุนัขเพทายก็มักจะหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน ผมเห็นหนังสือตั้งใหญ่วางอยู่บนโต๊ะหัวเตียงของเขา ส่วนใหญ่จะเป็นคู่มือความรู้เกี่ยวกับการฟาร์ม สมกับที่เคยบอกไว้ว่าเรียนหนักจริงๆ อ่านหนังสือความรู้ได้ทีละเป็นตั้งๆแบบนี้ พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงดูเอาตัวไม่ค่อยจะรอดในชีวิตกลางป่าเขาแบบนี้ ไม่รู้ว่าที่บ้านยอมให้ย้ายมาอยู่ในฟาร์มได้ยังไง...
 
ผมมักจะยอมเสียเวลาช่วยแบ่งเบางานในฟาร์มซึ่งมีน้อยนิด แลกกับการได้ลากเจ้าของฟาร์มขึ้นไปช่วยเก็บผลไม้บนเขาที่ผมจะเก็บได้มากกว่าเดิมพอสมควร ทีแรกก็บ่นนักบ่นหนาแต่พอหอบข้าวกลางวันมาฝากแมวก็เริ่มจะเป็นมิตรกับผมมากขึ้น
 
“คนในหมู่บ้านที่คบกันเองเนี่ย ถ้าเลิกกันจะเข้าหน้ากันติดเหรอ หมู่บ้านก็เล็กแค่นี้เองยังไงก็น่าจะต้องเจอกันป่ะ”
 
...ยังไม่จบเรื่องรักๆใคร่ๆของชาวบ้านอีก                            
 
“ก็ไม่นี่”
 
ผมว่าผมเห็นหูแมวกระดิกเมื่อผมเอ่ยถึงแฟนเก่า ...อยากจะคืนคำว่าเสือกที่เคยโดนด่ากลับไปให้จริงๆ แต่พอผมเล่าว่าไม่มีอะไรมากไปกว่าการเลิกกันแบบโง่เง่าที่สุดในจักรวาลและต่างคนต่างไปตามทางของตัวเอง เจ้าตัวก็หมดความสนใจหันกลับเหม่อลอยยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ต่อคนเดียว
 
“นี่ ฉันกับนายถือว่าเป็นเพื่อนกันป้ะ” ผมถูกถามขึ้นมาขณะที่ขึ้นไปเก็บเชอร์รี่บนยอดเขา
 
......ผมไม่เคยมานั่งคิดว่าระหว่างผมกับเขามันเรียกว่าเพื่อนมั้ยหรือยังไง ความสัมพันธ์มันก็มีแค่ช่วยกันไปช่วยกันมาได้ประโยชน์ร่วมกัน แต่ถ้าให้ลองคิดๆดูแล้ว...
 
“ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นพี่เลี้ยงมากกว่า”
 
ผมได้เม็ดเชอร์รี่สดใหม่คายจากปากมาเปิดการโจมตี ...เขาช่างเป็นมนุษย์ที่ทำให้นึกหมั่นไส้ได้ตลอดเวลาจริงๆ หลังจากปาเชอร์รี่เน่ากลับไปก็กลายเป็นการก่อสงครามปัญญาอ่อน รู้สึกตัวอีกทีก็ลงไปกองอยู่ที่พื้นกันทั้งคู่ เมื่อก้มมองคนใต้ร่างที่กำลังนอนหอบแฮ่กจากการหัวเราะไม่หยุดแล้วก็นึกไปถึงคำถามที่ถูกถามเอาไว้
 
เพื่อนเหรอ? จะว่าไปผมไม่เคยเล่นกับเพื่อนคนไหนอย่างถึงเนื้อถึงตัวแบบนี้เลย
 
......แน่นอนว่าไม่เคยไปจูบหน้าผากเพื่อนคนไหนด้วยเหมือนกัน
 
แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าอีกฝ่ายจงใจแกล้งใช้ปากผมเช็ดคราบเชอร์รี่ที่ติดหัวอยู่... แต่เล่นทำเอาใจกระตุกไปวูบหนึ่ง
 
“เชอร์รี่ป่าอร่อยนะ ฉันก็อยากให้นายได้ชิมเหมือนกัน”
 
เอาตรงๆคือผมได้แต่กลิ่นแชมพูหอมๆจากผมลื่นๆผสมกับกลิ่นเฉพาะของเจ้าตัวที่มักได้กลิ่นเสมอเมื่อเข้าไปในบ้านของเขา
 
“อร่อยป้ะ” อีกฝ่ายนอกจากจะดูสบายๆไม่คิดอะไรทั้งที่เอาหน้าผากมาไล่บี้ปากชาวบ้านเขาแล้ว ก็ยังมีหน้ามาถามต่อด้วยใบหน้ากวนอวัยวะเบื้องเท้าอีก

“......ไม่คิดว่าจะเล่นแบบนี้”
 
ผมไม่ได้นึกรังเกียจที่ต้องมาจูบหน้าผากผู้ชายด้วยกัน แต่ก็สงสัยเป็นอย่างมากว่ามันเป็นเรื่องที่ทำกันได้ง่ายๆทั่วไปแบบนี้เลยเหรอ... เขาอยากเอาคืนผมจนเสียสติหรือเป็นผมที่ตามวัฒนธรรมเด็กในเมืองใหญ่ไม่ทันแล้วกันแน่

อีกอย่าง… ผมไม่ได้รับรู้รสชาติของเชอร์รี่ที่เจ้าตัวถวายหัวให้ชิมเลยแม้แต่นิด ไม่รู้ว่าก้อนสมองในหัวยุ่งๆนั่นคิดอะไรอยู่จนลืมรึไงว่าคราบเชอร์รี่มันแห้งติดผมขนาดนั้นแล้ว ถ้าไม่เอาน้ำลูบหรือแลบลิ้นเลียก็ไม่ได้รสอะไรหรอก

ควรจะตอบว่ายังไงเพราะไม่ได้อะไรจากเชอร์รี่นอกจากความเหนียว แต่สายตาที่รอคอยคำตอบอยู่ทำให้ผมต้องพูดอะไรสักอย่าง
 
“นายใช้แชมพูยี่ห้ออะไร”
 
จะคิดเสียว่าหอมหัวแมวก็แล้วกัน


ทว่าหลังจากนั้นผมก็พบว่าตัวเองเข้าขั้นอาการหนัก

แทบจะนึกถึงเหตุการณ์เมื่อตอนนั้นทุกครั้งที่หัวโล่ง ยิ่งในวันเดียวกันเมื่อกลับลงมาล้างไม้ล้างมือจัดการตัวเองก่อนออกไปทำงานกะเย็น ผมต้องบังคับตัวเองไม่ให้เหลียวมองตามเจ้าของกลิ่นหอมๆขณะที่เดินสวนกันไปมาในบ้านของเขา

ไหงกลายเป็นแบบนี้ไปได้... ผมไม่ได้อ่อนต่อโลกจนถึงขนาดไม่เข้าใจว่าที่กำลังเริ่มเป็นอยู่ตอนนี้หมายความว่าอย่างไร แต่ถึงเข้าใจมันก็ยังมีปัญหาอยู่ดี

หากไม่ใช่ปัญหาที่ว่าตัวผมเองอายุก็ไม่น้อยแล้วยังจะมีอาการใจสั่นกับสกินชิพนิดๆหน่อยๆเยี่ยงเด็กเพิ่งโต ก็คงเป็นปัญหาที่ว่าอีกฝ่ายที่รู้สึกอยู่ด้วยดันเป็นผู้ชาย...... แค่นี้ก็แทบจะถูกหมายหัวแล้ว ขืนเจ้าตัวรู้เข้ามีหวังตั้งท่าขู่ผมมากกว่าเดิมแน่นอน

ความรู้สึกชั่ววูบเหรอ... อาจเป็นเพราะพักนี้สนิทสนมล้อกันเล่นบ่อยจังเลยเถิดไปบ้าง อีกฝ่ายก็ดูไม่คิดอะไรเสียด้วยซ้ำ ไม่น่าจำเป็นที่ผมต้องเก็บเอามาใส่ใจขนาดนี้สักหน่อย

แต่ก็แอบสงสัยว่าที่อื่นจะหอมด้วยรึเปล่า

......อย่างที่ไปบอกนั่นล่ะว่ากำลังอาการหนัก

“อาคาริ”

“ครับ?” ขณะที่กำลังยืนเหม่อลอยเช็ดแก้วค็อกเทล คุณไบรอันก็เดินมาเรียกจนทำเอาเกือบสะดุ้ง

“ขอโทษทีที่ต้องพูดแบบนี้นะ... แต่ฉันมีเรื่องจะต้องรบกวนเธอแล้วล่ะ”

“...?”


TBC.

******

ตอนนี้เป็นตอนที่แต่งคั่นขึ้นมาหลังจากแต่งตอนใหม่(ซึ่งก็คือตอนหน้า)แล้วพบว่าความสัมพันธ์มันช่างอืด /ในความรู้สึกผู้แต่ง ทั้งที่เวลาในเรื่องเพิ่งจะไม่เท่าไหร่เอง5555555

ก็เลยบังเกิดตอนนี้ขึ้นมาค่ะ////

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Evilkun

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ตอนที่11 • สวัสดีเทศกาล
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย: การพูดคุยทักทายชาวบ้านที่เจอในงานเทศกาลจะเพิ่มค่าความสนิทสนมได้มากกว่าการพูดคุยธรรมดาทั่วไป

เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก เพราะวันนี้เป็นวันงานเทศกาลแข่งม้าแล้วครับ! เฮ้ย ผมไม่ได้ตื่นเต้นจนนอนหลับข้ามวันเพื่อให้วันเวลามันผ่านไปเร็วๆหรอกนะ ผมยังตื่นหกโมงเช้าทุกวันอยู่เช่นเคยน่า ถึงในเกมมันจะสามารถนอนต่อให้หมดวันทันทีได้ แต่เอาเข้าจริงมันทำได้ที่ไหนกัน เมื่อวานตอนเช้าคุณโดนัลด์ยังแวะมาหาผมเพื่อเตือนเรื่องงานเทศกาลอยู่เลย
 
วันงานเทศกาลนั้นเสมือนวันหยุดนักขัตฤกษ์ของหมู่บ้าน ร้านรวงทุกอย่างจะปิดหมดเพื่อให้ชาวบ้านทุกคนได้มาร่วมงานเทศกาล ถึงแม้จะมีบางบ้านที่ปิดแต่ไม่ยักโผล่หัวมาให้เห็นในงานบ้างก็ตาม วันแบบนี้คุณเจมส์เองก็จะไม่มาเก็บของจากฟาร์มผมไปเช่นกัน
 
แต่ชาวบ้านเขาหยุดไม่ได้แปลว่างานที่ฟาร์มของผมมันจะหยุดได้ครับ พืชผักมันก็ยังจำเป็นต้องได้รับการรดน้ำอยู่ดี ผมเลยกะว่าค่อยไปหาฮานนาที่งานแข่งม้าหลังจากเสร็จงานในฟาร์ม
 
สามวันแล้วที่ผมได้รับลูกม้ามาเลี้ยง ผมเข้ากับเจ้ากระรอกน้อยได้ดีไม่มีปัญหาอะไร มันเรียบร้อยเชื่อฟังดีเหมือนกับที่ฮานนาบอกไว้ ไม่รู้ว่าเพราะเป็นอภินิหารโลกแห่งเกมหรือไม่ก็อาจต้องขอบคุณพรสวรรค์ที่เพิ่งเคยจะเห็นประโยชน์ของตัวเอง
 
หรือผมควรทดลองเป็นสโนว์ไวท์ ใช้ความสามารถนี้สั่งนกสั่งกระรอกให้ช่วยงานในฟาร์มดูดีนะ แม่งเข้าข่ายทรมานสัตว์ยังไงไม่รู้ว่ะ
 
หลังจากจัดการกับแปลงผักเรียบร้อยแล้วผมก็เดินบิดขี้เกียจไปยังคอกม้าต่อ ม้ากระรอกน้อยของผมเดินกุบกับเข้ามาต้อนรับเมื่อผมเปิดคอกม้าเข้าไป และเป็นเด็กดียืนนิ่งๆให้ผมแปรงขนด้วยแปรงสำหรับสัตว์ที่ต้องถ่อไปซื้อถึงร้านตีเหล็ก แอบตะกุกตะกักเล็กน้อยเพราะยังมือใหม่ แต่เจ้ากระรอกน้อยยังเป็นลูกม้าที่ตัวไม่ใหญ่มากจึงไม่ได้ทำให้การแปรงขนนั้นกินเวลามากเท่าไหร่
 
“กระรอกน้อยมานี่” ผมเรียกลูกม้าให้เดินตามออกมานอกคอกราวกับเรียกเด็ก อย่าถามเชียวว่าทำไมถึงไม่เป่าปากเรียกแบบในเกม ผมทำไม่เป็นครับ! เออ จะว่าผมกากก็ได้ ผมพยายามแล้วนะแต่เสียงมันไม่เห็นออกเลยอ่ะ เป่าเท่าไหร่ก็ออกมาแต่ลมกับน้ำลาย เลยยอมแพ้แล้วอาศัยเรียกแบบมั่วๆแทน อดมีฉากเท่ๆแบบที่เป่าปากเรียกแล้วม้าวิ่งมาหาเลย
 
ตอนนี้งานในฟาร์มผมยังมีไม่มาก ใช้เวลาชั่วโมงกว่าๆก็เสร็จ ดังนั้นกว่างานเทศกาลจะเริ่มผมจึงมีเวลาเหลือเฟือพอที่จะอ้อยอิ่งเดินไปโกยของป่าแถวๆตีนเขากลับมาวางไว้ในกล่องขายของ จะว่าไปผมยังไม่ได้พูดถึงผักที่ปลูกไปเมื่อตอนนั้นเลยนี่เนอะ เป็นที่น่าภูมิใจว่าผักของผมโตมาอย่างปลอดภัยและสวยงามทุกต้น ผมยังจำความความรู้สึกเมื่อคราวปลูกผักกาดแปลงแรกสำเร็จได้อยู่เลย ดีใจสุดฤทธิ์จนไปดักรออาคาริระหว่างทางในถนนหมู่บ้านเพื่อลากมันมาดูผักถึงฟาร์ม คิดว่าต้องอารมณ์ดีแค่ไหนถึงขนาดโดนแขวะว่าขี้อวดยังยิ้มรับได้
 
เดี๋ยว! อย่าเพิ่งผ่านตรงนี้ไป ให้พื้นที่ผมได้ขิงก่อน พอผมทวงสลัดที่อาคาริสัญญาไว้ ผมก็ได้สลัดจากผักสดกรอบๆหวานๆ ไม่มีรสขมให้รู้สึกขุ่นเคืองใจเวลาเคี้ยวราดน้ำสลัดแค่นิดเดียวก็พอมาหนึ่งชามใหญ่ อร่อยจนแทบอยากจะให้มีบริการขนส่งข้ามชาติส่งผักแปลงแรกที่ปลูกเองกลับไปให้ครอบครัวและเพื่อนๆได้ลองกินกัน เพราะฉะนั้นแล้วก็มาปลูกผักทานเองกันเถอะครับ เชื่อผมสิ!
 
นี่คือซาบซึ้งจนเผลอคิดว่ารู้งี้กูเรียนคณะเกษตรแต่แรกก็ดีหรอก บอกเลย
 
ถ้ามีความรู้มาก่อนก็ไม่ต้องมานั่งอาศัยความช่วยเหลือจากมนุษย์บาร์เทนเดอร์ แล้วต้องตอบแทนน้ำใจอันงามล้ำของมันด้วยการถ่อขึ้นเขาวันละสองสามรอบเพื่อไปช่วยมันเก็บผลไม้แบบนี้
 
ตัดกลับมาที่ปัจจุบัน ผมเดินทอดน่องไปตามทางเพื่อไปยังงานเทศกาล ท้องถนนในหมู่บ้านเงียบสนิท ระหว่างทางไม่เจอกับชาวบ้านคนอื่น ในเกมเองก็เป็นแบบนี้ พอก้าวขาเข้างานเทศกาลปุ๊บชาวบ้านจะโผล่มาราวกับวาร์ปทันที นั่นไง! ผมเห็นงานอยู่ตรงนั้นแล้ว คนเต็มเลย

••••••

ถึงจะเป็นหมู่บ้านเล็กๆแต่บรรยากาศงานเทศกาลก็ดูคึกคักดี เพลงที่เปิดในงานก็เป็นเพลงBGMงานเทศกาลในเกมด้วย ผมถึงกับอ้าปากค้างไปแป๊บหนึ่ง
 
“อ้าว เพทาย มาแล้วเหรอ”
 
“สวัสดีครับคุณโดนัลด์” ผมเผลอยกมือไหว้คุณโดนัลด์ตามความเคยชิน
 
“สวัสดีๆ ขอให้สนุกกับงานนะ ถ้าอยากลองซื้อตั๋วพนันม้าก็มาหาฉันที่โต๊ะได้เลย” คุณโดนัลด์ไม่ได้รับไหว้แต่ก็ตอบกลับตามปกติแบบไม่ได้ติดใจอะไรกับท่าทางทักทายของผม
 
“ไว้ขอเดินดูรอบๆงานแล้วจะกลับมานะครับ”
 
“เอาสิ แข่งม้ารอบแรกจะเริ่มตอนสิบเอ็ดโมงครึ่ง อย่าลืมมาซื้อตั๋วไว้ก่อนแล้วกัน”
 
“ครับ”
 
บทสนทนาระหว่างผมกับคุณโดนัลด์จบลงเท่านั้นแล้วผมก็ขอแยกตัวมาแรด...อะแฮ่ม มาเดินดูรอบๆงาน บรรยากาศงานไม่ได้ยิ่งใหญ่มากมายอะไรแต่ค่อนข้างคึกคัก มีการแบ่งพื้นที่ของลานกิจกรรมเป็นสามส่วน ผู้เข้าร่วมงานยืนกระจายกันอยู่บริเวณขอบนอกของลานกว้าง เพราะพื้นที่ส่วนใหญ่ถูกกั้นไว้สำหรับสนามแข่งม้ารูปวงรี ส่วนพื้นที่ตรงกลางด้านในของสนามแข่งถูกจัดให้เป็นคอกพักม้าชั่วคราว
 
ผมเดินเป็นวงรีตามรูปร่างของทางเดินไปเรื่อยๆ แวะทักทายชาวบ้านที่สวนกันเล็กน้อยเพื่อเพิ่มความสนิทสนมไปด้วย
 
“ไงเพทาย งานแข่งม้าครั้งแรกเลยสิเนี่ย อย่าลืมพนันม้าเชียว!”
 
“อ้าวเพทาย ไม่ได้มากับอาคาริหรอกเหรอ”
 
“โอ้ มากับเขาด้วยเหรอ อาคาริพามารึไงน่ะ?”
 
“ฉันชอบม้านะ แต่ที่บ้านไม่สะดวกเลี้ยงก็เลยได้แต่เฝ้ารอวันงานเทศกาลแบบนี้”
 
“มาคนเดียวหรอกเหรอ นึกว่าจะได้เห็นหัวเจ้าอาคาริในงานแบบนี้สักครั้งเสียอีก”
 
ครับ นี่คือตัวอย่างคำทักทายที่ผมได้รับจากชาวหมู่บ้าน สองในสิบเป็นบทพูดตามบทในเกม และหกในสิบแม่งเป็นการถามถึงอาคาริ......
 
เห็นผมขาติดกับมันรึไง! อยากให้มันมาก็จ้างให้มันมาเดินขายเบียร์ในสนามแข่งเอาสิวะ!

แต่มันคงไม่มาหรอก ป่านนี้คงจะยุ่งหัวหมุนช่วยงานโรงแรมซึ่งอยู่ในช่วงวุ่นว่ายจากนักท่องเที่ยวที่เพิ่มมากขึ้นเพื่อเดินทางมาร่วมงานเทศกาลอยู่
 
ชาวบ้านส่วนใหญ่ที่ถามถึงอาคาริคือขาประจำโรงแรมที่สนิทกับอาคาริด้วยทั้งนั้น ผมขอมองในแง่ดีแล้วกันว่าคงเพราะเห็นพวกผมไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อย
 
จะว่าก็ว่าเถอะนะ... เดินไปได้ครึ่งงานแล้ว ผมยังไม่เห็นเงาฮานนาเลย แต่เจอกับเกรซที่ยืนเกาะรั้วสนามแข่งอยู่กับชายหนุ่มคนหนึ่ง ผมทองๆแบบนั้นน่าจะเป็นดาวิน น้องชายของฮานนาและNPCที่เคยจีบเกรซแข่งกับผม
 
“อ้าวเกรซ มางานนี้เหมือนกันเหรอ” ผมทักเธอออกไปก่อน พร้อมกับฉีกยิ้มให้ดูเป็นมิตรที่สุด ไม่คงไม่แคร์แม้จะเห็นเธอยืนอยู่กับศัตรูหัวใจประจำตัวก็ตาม แต่เกรซดูตกใจนิดหน่อยที่เจอผม
                                                                                                                     
“สวัสดีจ้ะเพทาย มางานนี้ด้วยสิเนอะ” สาวผมบ๊อบทำท่าเหมือนมองหาใครสักคน “เอ่อ... พี่ล่ะ?”
 
นี่ก็อีกคน พี่ชายตัวเองแท้ๆทำไมถึงมาถามหากับผมวะ

“ไม่มามั้ง เห็นวันก่อนบอกว่าไม่คิดจะมาอ่ะ”
 
ถ้าผมไม่ได้ตาฝาด ผมว่าเกรซดูเหมือนจะโล่งอกมากกว่าเสียดายที่ไม่เจออาคาริ
 
“นั่นสิเนอะ ปกติพี่ไม่ค่อยมางานแบบนี้เท่าไหร่อยู่แล้ว เห็นเพทายดูสนิทกับพี่เลยตกใจนิดหน่อย นึกว่าครั้งนี้จะมาด้วยกันเสียอีก”
 
ผมว่าเกรซไม่ได้ตกใจเพราะเหตุผลนั้นหรอกมั้ง ผมกลอกตามองทั้งคู่ ลดระดับจากฉีกยิ้มเป็นยิ้มอ่อน

ในบางวันที่ผมอารมณ์ดีหน่อย หลังจากอ่านหนังสือที่ห้องสมุดเสร็จผมก็จะยังไม่กลับฟาร์มแต่และไปนั่งกินข้าวเย็นและดื่มเหล้าที่โรงแรมอยู่บ้าง และเคยเจอสองคนนี้มานั่งดื่มนั่งคุยกันเป็นปกติ ถึงจะเกรซกับดาวินจะมากันคนละเวลาแถมชอบนั่งดื่มที่เคาท์เตอร์บาร์ให้ดูเหมือนมาเจอกันโดยบังเอิญ หรือไม่บางครั้งก็มีคนอื่นร่วมวงสนทนาอยู่ด้วยเพื่อความแนบเนียนไม่ให้พี่ชายสงสัยก็เหอะ แต่หลอกผมไม่ได้หรอก อย่าให้ผมตั้งวงเมาท์คู่นี้เลยเดี๋ยวยาว แต่ที่แน่ๆคือนอนตะแคงข้างขี่หมาแล้วกลับหลังหันดูยังรู้ว่าต้องมีซัมธิงกันแน่นอนอ่ะ ยิ่งแอบพี่ชายมางานเทศกาลด้วยกันแบบนี้ชัวร์ครับ
 
“เพทาย... คือ...”
 
“ว่า?”
 
“อย่าบอกพี่ได้มั้ย... ว่าฉันมากับดาวิน”
 
นั่นไง ซื้อหวยให้ถูกแบบนี้บ้างดิ อ้อแต่หมู่บ้านนี้ไม่มีหวยให้เล่นนี่หว่า
 
ผมพยักหน้ารับปากเกรซ ถ้าเขามีใจให้กันผมก็ไม่ควรไปขัดขวางไง ผมดูเป็นคนดีใช่มั้ย อันที่จริงคู่นี้ไม่ต้องขวางเองเดี๋ยวดาวินมันก็ต้องไปพบเจอกับอุปสรรคความรักอันเป็นไอ้คนหวงน้องอย่างอาคาริอยู่ดี ผมไม่ต้องทำอะไรแล้วดูคนอื่นโดนแดกหัวอยู่เงียบๆดีกว่าครับ
 
“เอ้อพอดีเลยดาวิน คือเรานัดฮานนาไว้ ดาวินรู้ป้ะว่าพี่นายอยู่ไหนอ่ะ” ฮานนาบอกผมว่ารอแถวสนามแข่ง แต่สนามแข่งมันก็เป็นวงกินพื้นที่งานส่วนมากอยู่แล้ว ไม่ได้ช่วยให้หาตัวง่ายขึ้นเลย...
 
“พี่เหรอ เพิ่งเดินแยกไปกับแจ็คก่อนจะเจอกับนายไม่นานเอง คงไปสำรวจม้าที่จะลงแข่งอยู่สักมุมของสนามนั่นล่ะมั้ง ลองเดินหาดู ถ้าไม่เจอจริงๆก็ไปรอที่โต๊ะพนันสิ ยังไงพอใกล้แข่งยัยนั่นต้องไปซื้อตั๋วพนันม้าอยู่แล้ว” สุดท้ายผมก็ต้องวนหาเองอยู่ดีนี่หว่า
 
“งั้นเหรอ โอเค เดี๋ยวจะลองไปหาดู แต๊งกิ้ว”
 
“ทางนี้เองก็ขอบคุณเหมือนกัน ขอให้สนุกกับงานนะ”
 
ผมปล่อยให้สองคนนั้นยืนสวีทกันเต็มที่ แล้วเดินออกมาตามหาฮานนาต่อ ปกติเวลาเจอกันเกรซกับดาวินมักรักษาระยะห่างให้เหมือนแค่เพื่อนกำลังนั่งคุยกันถูกคอ คงเพราะเวลาดื่มที่โรงแรมอาคาริก็ทำงานอยู่ตรงนั้นด้วยเลยไม่กล้าออกสื่อกันเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นงานนี้เชิญสวีทเต็มที่เล้ย
 
ว่าแต่นี่ยังเหลือสาวคนไหนในหมู่บ้านให้ผมจีบได้อีกบ้างวะ ฮานนาก็ได้ยินว่าอยู่กับแจ็คที่เป็นคู่แข่งเหมือนกัน นี่อย่าบอกว่าสุดท้ายผมต้องไปจีบไอริสแข่งกับอาคาริอีกแล้วนะ แล้วอย่างผมนี่จะเอาอะไรไปชนะมันได้


ผมเดินวนรอบงานไปอีกประมาณรอบครึ่งถึงจะเจอฮานนายืนถือกล้องส่องทางไกลอยู่ที่ริวรั้วสนาม แต่ไม่ยักเห็นใครคนอื่นยืนอยู่ด้วยเลยแฮะ

“ฮานนา กว่าจะหาเจอ!”

“อ้าว มาแล้วเหรอ” ฮานนาลดกล้องสองทางไกลในมือลง กระโดดลงจากเก้าอี้เตี้ยที่เจ้าตัวเหยียบอยู่ “พอดีเลย กำลังดูลาดเลาอยู่ว่าหน่วยก้านม้าแต่ละตัวเป็นยังไง”

ผมหันไปมองตรงจุดที่เธอยืนส่องอยู่เมื่อครู่ ทำให้รู้ว่าบริเวณนี้เป็นด้านหลังของคอกม้าที่ตั้งเรียงกันอยู่หลายคอก ขนาดของคอกม้าไม่ใหญ่มากเหมือนให้ม้าพักอยู่ได้ตัวละคอก ซึ่งด้านที่ผมเห็นนั้นมีช่องลมเล็กๆอยู่พอมองเข้าไปได้บ้าง ฮานนาคงพยายามใช้กล้องส่องทางไกลส่องทะลุเข้าไปดูม้าแต่ละตัวที่อยู่ในคอกแน่ๆ

“ส่องจากตรงนี้มันมองเห็นจริงดิ”

“เห็นสิไม่งั้นฉันจะทำเหรอ มืดหน่อยแต่ถ้าชินก็เห็นชัดเลย เห็นไปถึงหน้าเจ้าของม้าที่กำลังปรับบังเหียนด้วยซ้ำ เนี่ยๆคอกที่สามจากซ้ายเจ้าของหล่อมากอ่ะ กล้ามแน่นสุดอะไรสุด”

......จ้ะ

“นี่เธออยู่ตรงนี้มานานแค่ไหนแล้วน่ะ”

“ก็ตั้งแต่ชั่วโมงก่อน”

...ก็พอจะรู้แล้วทำไมถึงเหลือฮานนาอยู่แถวนี้คนเดียว

“มานี่ๆๆ ฉันจะสอนนายดูโหงวเฮ้งม้าคร่าวๆ นายดูเบอร์ที่สกรีนไว้ที่ผ้ารองอานม้าไว้นะ”

ฮานนายื่นกล้องส่องทางไกลมาให้ผมถือแล้วไล่ให้ผมปีนขึ้นเก้าอี้เตี้ย หลังจากนั้นเธอก็อธิบายเกี่ยวกับพันธุ์ม้า รูปร่างทรวดทรงกล้ามเนื้อ ท่าทางสภาพขนและอะไรไม่รู้เกี่ยวกับม้าอีกเยอะแยะ ซึ่งสุดท้ายแล้วผมก็แยกอะไรไม่เห็นออกสักอย่าง...... นี่ถ้าไม่เห็นตัวเลขที่สกรีนอยู่บนผ้ารองอานม้าคนผมก็ดูไม่ออกหรอกว่าม้าในคอกแรกกับคอกที่สี่มันคนละตัวกัน

“เอาเป็นว่าเดี๋ยวนายแทงตามฉันละกัน รับรองไม่ทำให้พลาดแน่นอน” ท้ายที่สุดฮานนาก็ยอมแพ้ให้กับอาการแยกม้าไม่ออกของผม “แรกๆก็แบบนี้แหละ ถ้านายดูบ่อยๆเดี๋ยวก็จำได้เอง”

ความรู้สึกตอนนี้มันเหมือนกับตอนเห็นรูปวงไอดอลที่น้องรหัสผมติ่งครั้งแรกเลยเลย แรกๆผมก็แยกไม่ออกว่าใครเป็นใครหน้าตาต่างกันตรงไหน แล้วพอเจอน้องรหัสมันเอารูปให้ดูพร้อมกับหวีดร้องให้ฟังมากๆผมก็เริ่มแยกออกว่าน้องมันเมนใคร และจำชื่อจำหน้าเมมเบอร์ได้ทั้งวงรวมไปถึงอีกหลายวงที่มันติ่งได้แล้ว น้องมันต้องดีใจที่มีพี่รหัสที่แสนประเสริฐแบบผม

ส่วนในตอนนี้ถ้าอยากจีบสาวเท่ที่ชื่อฮานนาให้ติดผมจะต้องไปจำหน้าม้าแข่งให้ได้ก่อนเป็นอันดับแรกสินะ...... และต่อไปก็ต้องเป็นการแยกหน้าวัวกับแกะอีกด้วยรึเปล่า รู้สึกตัวเองได้เอาทักษะแปลกๆจากชาติก่อนมาใช้ในชาตินี้เยอะจังวะ

ฮานนากับผมเดินกลับมาที่โต๊ะพนันก่อนถึงเวลาแข่งม้าประมาณสิบห้านาที ผมไม่รู้เกณฑ์การเดาหรอกว่าม้าตัวไหนจะชนะ สมัยเล่นเกมผมก็อาศัยวิธีการรีเซฟเกมเรื่อยๆจนกว่าจะเดาถูก แล้วก็ค่อยทุ่มหมดหน้าตักเอาตั๋วพนันที่ได้มาแลกแรร์ไอเทมไปขายต่อเพื่อปั๊มเงิน จบงานทีก็ได้ขายของได้เป็นหมื่นเหรียญ เดี๋ยวๆ ผมไม่ได้สอนใครโกงนะ แต่จะให้ทำตัวเป็นคนดีศรีหมู่บ้านนั่งปลูกผักเก็บไข่ขายเอาเงินวันละไม่กี่ร้อยทุกวันๆก็ไม่ไหวนี่หว่า

คุณโดนัลด์เอารายชื่อม้าที่ลงแข่งในรอบแรกออกมาให้ดู หลังชื่อของม้าจะมีตัวเลขอัตราการพนันเอาไว้ ซึ่งม้าแต่ละตัวมีตัวเลขอัตราการพนันไม่เท่ากัน ถ้าม้าที่อัตราเยอะหน่อยแข่งชนะ ก็จะเอาเงินที่แทงไว้คูณเข้ากับอัตรานั้น เงินรางวัลก็จะยิ่งได้เยอะ ม้าที่อัตราน้อยแข่งชนะคนแทงก็จะได้เงินน้อยหน่อย แปลว่านอกจากต้องลุ้นให้ม้าที่ตัวเองแทงชนะแล้วก็ต้องลุ้นด้วยว่าไอ้ม้าที่ชนะตัวนั้นอัตราการพนันมันจะเยอะด้วยรึเปล่า

“ถ้านายไม่คิดอะไรมาก ก็เลือกแทงม้าที่อัตราการพนันน้อยๆไว้ ไม่รู้ทำไมแต่ส่วนใหญ่มักจะชนะทุกที” ฮานนาสอนด้วยเสียงกระซิบเหมือนกลัวคนที่ต่อแถวซื้อตั๋วอยู่ข้างหลังจะมาได้ยินเข้า “แต่ก็ไม่เสมอไป ฉันเลยต้องไปส่องหน่วยก้านม้าก่อนมาลงพนัน เพื่อความคุ้มค่าสูงสุด”

เป็นการทุ่มเทที่ไม่รู้ว่าควรชื่นชมดีรึไม่ยังไงไม่รู้... แต่ถ้าไม่ถือว่าเป็นการโกงก็ช่างมันเถอะ อีกอย่างผมเองก็กำลังได้ประโยชน์อยู่ โดยสรุปคือควรชื่นชมเธอครับ

ผมไม่กล้าทุ่มหมดหน้าตักลงเงินซื้อตั๋วพนันจนหมดตัว เพราะชีวิตจริงไม่ได้รีเซฟได้แบบในเกม ถึงอย่างนั้นก็ยังเชื่อใจฮานนาวางเงินไปหลายพันเพื่อแทงม้าตัวที่เธอเก็งไว้ และปลอบใจตัวเองว่าวันๆไม่ได้เอาเงินไปใช้อะไรมาก สุรุ่ยสุร่ายบ้างก็ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรแหละน่า... ต้องชนะสิ!

พอจัดการเรื่องตั๋วพนันกันเสร็จผมกับฮานนาก็เดินไปเกาะขอบสนามรอเวลาแข่งขัน ยืนคุยนู่นคุยนี่กันสักพักแจ็คก็เดินเข้ามาสมทบ และเขาถูกฮานนากระโดดตบหัวไปหนึ่งป้าบข้อหาทิ้งเธอไว้คนเดียว

“ไม่ได้ทิ้งนะ ฉันบอกเธอแล้วว่าลุงเรียก เธอก็ตอบฉันว่าโอเคอยู่เลย” แจ็คโวยวาย ลูบหัวตัวเองป้อยๆ

“อ้าวเหรอ ตอนนั้นฉันส่องม้าอยู่ จำอะไรรอบข้างไม่ค่อยได้หรอกน่า”

แจ็คบ่นอุบอิบอีกเล็กน้อยแล้วจึงหันมาทักทายแนะนำตัวกับผม แจ็คเป็นหลานชายของคุณเจมส์ ส่วนใหญ่ชีวิตเขาจะวนเวียนอยู่แถวชายทะเลผมเลยยังไม่เคยเจอตัวเป็นๆมาก่อน

“แจ็คกับฉันสนิทกันมาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วเลยทำแบบนี้ได้ แต่ฉันไม่ตบหัวนายแน่ๆรับรองเลย ไม่ต้องกลัวไปนะเพทาย” ฮานนาหันมาแก้ตัวกับผม ผมยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร สมัยเรียนที่คณะก็มีเพื่อนสาวห้าวที่เล่นหัวกันได้แบบนี้เหมือนกัน

เมื่อถึงเวลาที่ม้าแต่ละตัวออกมาประจำที่ ผมไม่ได้สนใจม้าตัวอื่นนอกจากม้าตัวที่ผมแทงพนัน จำชื่อมันไม่ได้ด้วยซ้ำ จำได้แต่เบอร์เลยไล่มองหาม้าตัวนั้นเอาจากตัวเลขบนผ้ารองอาน ผิดกับฮานนาที่ร้องว้าวและบรรยายถึงรูปร่างอันงดงามของม้าแข่งอะไรไม่รู้ที่ผมก็ฟังแบบเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ได้ยินเสียงแจ็คกึ่งบ่นกึ่งปรามเป็นอยู่พักๆ พอเสียงให้สัญญาณดังขึ้นม้าทุกตัวก็เริ่มออกวิ่ง บรรยากาศภายในงานก็ยิ่งกระหึ่มไปด้วยเสียงโห่ร้องเชียร์จากผู้ชม ม้าแต่ละตัววิ่งเร็วกันมาก จนผมเริ่มมองตามไม่ทัน ม้าที่จ้องไว้ตั้งแต่ก่อนเริ่มวิ่งก็หายกลืนไปกับตัวอื่นๆ ม้าทุกตัววิ่งวนรอบสนามแข่งเป็นจำนวนสองรอบ ผมยังไม่ทันตั้งสติอะไรได้มากม้าตัวที่อยู่นำหน้าสุดวิ่งเข้าเส้นชัยไปแล้ว ในตอนนั้นมีเสียงเฮดังลั่น เมื่อมองไปรอบๆก็มีทั้งคนที่ทำท่าดีใจและคนที่ทำท่าผิดหวังปะปนกัน เมื่อผมพยายามจ้องเบอร์ม้าบนผ้ารองอานและเห็นว่าตัวที่วิ่งเข้าเส้นชัยไปตัวแรกคือเจ้าม้าที่ผมแทงพนันไว้ ผมก็เฮตามเขาและหันไปแปะมือกับฮานนา

“เป็นไงล่ะ เชื่อฉันแล้วจะไม่ผิดหวัง!” ฮานนาทำท่าภูมิใจมากเมื่อผลการแข่งขันเป็นไปตามที่ตัวเองคาดเดา เจ้าตัวลงเงินพนันไปไม่มากเท่าไหร่ ดูเหมือนจะสนุกกับการที่ได้ทำนายผลการแข่งขันเสียมากกว่า “มาๆ อีกสองรอบก็ไม่พลาดแน่ๆ เชื่อฉันสิ”

ผมยืนไล่อ่านรายการแลกไอเท็มจากตั๋วพนันแล้วคำนวณรายได้จากการนำของรางวัลไปขาย ถูกต้อง ของรางวัลบางอย่างสามารถเอาไปวางไว้ในกล่องขายของในฟาร์มได้ ซึ่งขายได้ราคาดีมากๆ ผมถึงได้ยอมลงเงินพนันไง ในการแข่งรอบต่อๆมาผมไม่ได้ซื้อตั๋วพนันเยอะเท่ารอบแรก รอบสุดท้ายของการแข่งมีม้าสองตัวที่ฮานนาบอกว่าดูสูสีกัน ผมจึงแทงพนันไปทั้งสองตัวด้วย เสียเงินฟรีไปเล็กน้อยแต่แต้มรางวัลที่ได้กลับมาก็ยังอยู่ระดับที่ไม่ขาดทุน สรุปคือเทศกาลแข่งม้าครั้งนี้ผมได้กำไรอื้อซ่า

ผมแลกแร่อัญมณีมาเป็นสิบ กะๆดูแล้วจบงานน่าจะได้เงินเพิ่มสักเกือบสองหมื่นเหรียญ ของรางวัลมีแรร์ไอเทมอย่างผลไม้มหัศจรรย์ที่กินแล้วเพิ่มพลังตัวละครด้วย ซึ่งต้องใช้แต้มแลกเยอะหน่อย แต้มผมไม่พออ่ะ ไว้รอบหน้าแล้วกัน ฮานนานั้นไม่ได้พนันเอาไว้เยอะจึงใช้แต้มที่ได้มาแลกของวัตถุดิบอย่างเห็ดสนที่ยามปกติหาได้เฉพาะป่าลึกตอนฤดูใบไม้ร่วงกลับบ้านไป ส่วนแจ็คผู้ใช้เซ้นส์มั่วๆของตัวเองแทงพนันม้าตัวอื่นไปก็เลยโดนกินเรียบ

“อ่ะนี่ ให้” ในรายการของรางวัลมีพวกเครื่องประดับกับเครื่องสำอางด้วย ผมใช้แต้มของตัวเองแลกครีมกันแดดออกมาสองหลอด

“หืม?” ฮานนามองของที่ผมยื่นให้อย่างงงๆ

“คิดซะว่าเป็นคำขอบคุณสำหรับวันนี้ก็ได้ เพราะเธอเราเลยชนะพนันม้าทุกรอบแบบนี้ไง”

“คิดยังไงถึงให้ครีมเนี่ย” ฮานนารับไว้ด้วยสีหน้างงๆ “แต่ยังไงก็ขอบใจนะ”

อันที่จริงผมรู้ดีว่าฮานนาไม่ได้ชื่นชอบเครื่องประทินผิวเป็นพิเศษ ออกจะเฉยๆเสียด้วยซ้ำ... จากบทสรุปเกมนั่นล่ะ

“เธอเองก็ทำงานในฟาร์ม เอาไว้ทาก่อนออกแดดเถอะ นี่ก็ใกล้จะเข้าหน้าร้อนแล้ว” ผมอธิบาย “ยังไงเธอก็เป็นผู้หญิงนะ ถ้าผิวสวยๆเสียเข้าก็น่าเสียดายจะตาย เลยอยากให้ดูแลเป็นพิเศษไว้” ผมเป็นผู้ชายผมยังต้องทาครีมกันแดดประจำเลยสมัยมีชีวิตอยู่ที่ประเทศไทย ไม่รู้หรอกว่าฤดูร้อนที่นี่เป็นแบบไหนแต่ระวังไว้ก่อนก็น่าจะดีไม่ใช่เหรอ

“อย่างนี้นี่เอง” เมื่อข้อสงสัยกระจ่างฮานนาก็ฉีกยิ้มกว้าง “เพิ่งเคยมีคนมาห่วงฉันกับเรื่องแบบนี้ เขินนิดหน่อยเลยแฮะ”

อ้าว ความหวังดีแบบไม่คิดอะไรกลายเป็นได้ใจสาวไปซะงั้น ยะฮู้ว

“เพราะทำฟาร์มเหมือนกันถึงได้เข้าใจนี่ล่ะ” งานมันแทบจะอยู่เอาท์ดอร์ตลอดเวลา ขนาดตอนนี้อากาศเย็นๆผมยังมีเหงื่อแตกช่วงเที่ยงๆเลย

“ไม่ต้องไปห่วงยัยนี่มากหรอกเพทาย ถึกกว่าที่นายคิดเยอะ” แจ็คกล่าวแทรกบทสทนา ยกมือขึ้นโยกหัวฮานนาไปด้วย “ทนแดดทนฝนยิ่งกว่ากำแพงบ้านอีก”

“ไอ้แจ็ค...”

“เหวออ” ผมหัวเราะเมื่อเห็นฮานนาเริ่มวิ่งไล่เตะแจ็คไปรอบๆจนสุดท้ายแจ็ควิ่งมาหลบข้างหลังผม และผมก็เป็นคนดีพอที่จะโยกหลบให้ฮานนาพุ่งเข้ามาประทุษร้ายแจ็คต่อได้ เมื่อเจ้าหล่อนกระโดดล็อคคอจับแจ็คก้มลงมาโบกหัวสำเร็จไปสองป้าบก็พอใจและปล่อยมือออกให้แจ็คโอดครวญที่ผมไม่ช่วยเขา

แหงดิ มันก็ต้องเข้าข้างสาวก่อนน่ะสิวะ

••••••

หกโมงเย็นงานเทศกาลก็จบลง ผู้คนเริ่มทยอยออกจากบริเวณงานและเริ่มมีคนเข้ามาเก็บกวาดรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างชั่วคราวแทบจะทันที แจ็คเองก็ขอตัวกลับไปช่วยงานคุณเจมส์ที่ท่าเรือ ทางนั้นก็ดูจะงานยุ่งเพราะมีผู้มาร่วมงานเทศกาลหลายคนเลือกเดินทางออกจากหมู่บ้านวันนี้แทนที่จะค้างคืน และช่วงนี้คงจะมีเรือเดินทางมายังหมู่บ้านมากกว่าปกติ ที่ฟาร์มของฮานนาเองก็มีรับฝากม้าแข่งเอาไว้ชั่วคราว เธอจึงจะกลับไปส่องม้าเหล่านั้นต่อ พวกเราสามคนจึงแยกย้ายกันในบริเวณงาน

ผมกลับมาถึงฟาร์มในเวลาเกือบทุ่ม วางของขายเสร็จเรียบร้อยก็เกิดรู้สึกว่างขึ้นมา เลยคว้าหนังสือที่ยืมห้องสมุดขึ้นมานอนอ่าน รอบนี้ผมยืมนิยายแฟนตาซีติดมาด้วยเพราะเริ่มเอียนการท่องจำอาการผิดปกติเมื่อสัตว์เลี้ยงป่วยแล้ว

ไม่รู้เหมือนกันว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่เพราะผมติดลมกับนิยายสุดๆ จนกระทั่งมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นให้ผมนึกฉงน ดึกดื่นป่านนี้ใครมันยังถ่อมาหาผมอีกวะ

พอเปิดไปก็เจอกับชายตัวสูงใบหน้าเหมือนพวกลูกครึ่งเอเชียฝรั่งยืนสะพายเป้ใบใหญ่อยู่ตรงหน้า

“อาคาริ?”

“โทษที คืนนี้ขอค้างด้วย”

“ห๊ะ...”

อีหยังวะ

TBC.

ออฟไลน์ Evilkun

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ตอนที่12 • สวัสดีวันฝนตก   
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย: การทำงานตากฝนในวันที่ฝนตกจะทำให้ร่างกายอ่อนล้าได้ไวขึ้น

อีเว้นท์อีกเหรอ... ดูแล้วก็ไม่น่าใช่

เกมนี้มีอีเว้นท์มากมายหลายสิบจนเกือบจะถึงหลักร้อย แน่นอนว่ามันต้องมีอีเว้นท์ที่NPCมาบุกบ้านเราบ้างแหละ แต่ว่าทุกเหตุการณ์แบบนั้นล้วนแล้วจะมีเงื่อนไขว่าเราต้องต่อเติมบ้านให้ใหญ่ขึ้นก่อน ถึงจะต้อนรับแขกได้

แล้วนี่มันอะไร... ผมเหล่มองแขกที่มารบกวนยามดึกกะทันหัน หลังจากอาคาริเข้าบ้านมาวางกระเป๋าแล้วเขาก็นั่งลงกับพื้นอุ้มหมาก็อตซิลล่าขึ้นมาเกาหน้าท้องเล่น

คิดๆดูแล้วก็นึกขึ้นได้ว่านายบาร์เทนเดอร์นี่ก็บุกเข้าบ้านผมตั้งแต่วันแรกที่ผมโผล่มาอยู่ในเกมนี้แล้วนี่หว่า ทำไมมันถึงทำตัวหลุดออกนอกบทของเกมได้ขนาดนี่เนี่ย หรือว่าก่อนหน้าที่ผมตายจะมีคนอื่นที่ชอบเกมนี้เหมือนกันตายแล้ววิญญาณย้ายมาสิงร่างอาคาริก่อนแล้วกันนะ

“นี่ นายเคยตายมั้ย เอ๊ย...” ฉิบหาย ผมตะครุบปากตัวเองไม่ทัน

อาคาริชะงักมือที่ขยำท้องหมาแล้วหันมาทางผมที่นอนกลิ้งอยู่บนเตียง

“ไม่พอใจที่ฉันมาขอค้างด้วยขนาดนั้นเลย?”

“เปล่าๆๆ คือฉัน... ฉันคิดอะไรเพลินไปหน่อยเฉยๆเว้ย จริงๆจตนนะ” ผมรีบโบกมือปฏิเสธ พร้อมกับรีบเปลี่ยนเรื่อง “เออ แล้วทำไมอยู่ดีๆถึงมาค้างด้วยอ่ะ”

นัยน์ตาสีฟ้าซีดเหลือบมองหนังสือข้างตัวผม “อ่านนิยายแฟนตาซีมากไป?”

“ไม่ใช่!” ขอยืนกรานปฏิเสธในแง่ไม่ได้อ่านนิยายแต่ชีวิตมันแฟนตาซีของมันเอง “ถามก็ตอบดิ!” ทำไมชอบให้มีน้ำโหเนี่ย

เขาหัวเราะหึหนึ่งทีอย่างน่าหมั่นไส้ ก่อนจะหมุนตัวให้นั่งหันมาทางผมแล้วเริ่มเล่า “พยากรณ์อากาศบอกว่าพรุ่งนี้ฝนตกหนัก เรือโดยสารรอบหลังสองทุ่มเลยหยุดให้บริการ”

ผมยกแขนขึ้นมาเท้าคางฟัง

“พอนักท่องเที่ยวออกจากหมู่บ้านไม่ได้เลยแห่มานอนโรงแรมจนห้องเต็ม” ผมมองริมฝีปากบางๆที่ขยับเล่าเหตุการณ์ออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ สลับกับเหลือบมองมือที่ลูบขนฟูๆของลูกสุนัขไปมาไม่หยุด “คุณไบรอันเลยมาขอให้ฉันสละห้องที่ฉันใช้อยู่ไปให้แขกพัก”

ผมครางอ๋อเบาๆเมื่อเข้าใจเรื่องราว แต่เดี๋ยว......

“แล้วนายมาบ้านฉันทำไม บ้านช่องก็มีให้กลับ”

“ก็กลับไปแล้วล่ะ... แต่เจอพ่อเลยทะเลาะกันอีก”

ผมกลอกตา “นายก็เลยหนีออกมานอนกับฉันแทนสินะ”

“อืม”

...ให้มันได้อย่างนี้สิ

“ตามสบายนายแล้วกัน” ผมเอื้อมมือไปคว้านิยายขึ้นมาอ่านต่อ “เสร็จแล้วก็ขึ้นมานอนล่ะ เตียงแคบไปก็ทนๆหน่อย”

“งั้นฉันนอนพื้นเอง”

“เหอะ ฉันไม่มีผ้าห่มหรือหมอนอีกชุดอ่ะ นอนๆไปเหอะ” ผมเห็นจากหางตาว่าอาคาริลุกขึ้นยืนแล้ว เขาคงกำลังจะไปอาบน้ำ “สมัยเรียนฉันนอนเบียดกับเพื่อนบ่อย แค่นี้ไม่เป็นไรหรอก”

“ถ้านายไม่ถือก็เอาแบบนั้นก็ได้” อาคาริจบบทสนทนาไว้แค่นั้นแล้วเขาก็หยิบเสื้อผ้าเดินเข้าห้องน้ำไป ผมกลับไปนอนตะแคงอ่านนิยายแฟนตาซีต่อ ไม่รู้เวลาผ่านไปกี่นาที แต่ผมพลิกอ่านไปได้ไม่กี่หน้าก็ได้ยินเสียงนิ่งๆกล่าวทักขึ้นมาว่าจะปิดไฟแล้ว ผมเลยวางหนังสือ หลังจากบ้านมืดได้ไม่กี่อึดใจ ผมก็รู้สึกได้ว่าพื้นที่บนเตียงข้างตัวนั้นยวบลง

...และผมดันลืมเรื่องพื้นฐานไซส์ร่างกายคนเอเชียกับฝรั่งมันต่างกัน ไม่เช่นนั้นก็อาจเพราะผมคงกะความกว้างของเตียงผิดไป

ตอนนี้ทั้งผมทั้งอาคาริไม่สามารถนอนหงายได้แม้คนใดคนหนึ่งก็ตาม ขนาดนอนตะแคงหลังยังชนกันเลยครับ

“แคบกว่าที่คิดว่ะ”

“ตอนแรกถึงจะได้นอนพื้นไง”

“นอนได้ป่ะ นี่พยายามทำตัวลีบที่สุดแล้วนะ” ผมพยายามกระดึ๊บเว้นระยะห่างออกมาอีกนิด แต่ก็ติดข้อจำกัดว่าใช้หมอนใบเดียวกันอีกทำให้ไปไหนไกลกว่านี้ไม่ได้

“ฉันไม่มีปัญหา นายเอาที่ถนัดเถอะ อย่าละเมอถีบกันก็พอ”

เท่าที่ผ่านมาผมยังไม่เคยโดนเพื่อนคนไหนบ่นว่าละเมอไปถีบมันตอนนอน เออแต่หมอนี่มันน่าหมั่นไส้ แกล้งละเมอถีบดีมั้ย ไหนๆก็มาชี้โพรงให้แล้ว

“ไม่งั้นฉันจะได้หาอะไรมาทับนายไว้”

“...…”

ถามจริงนี่ไม่ได้รู้ทันกันใช่ป่ะ

“ราตรีสวัสดิ์”
 
ไม่นานผมก็ได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอ หลับง่ายดีชะมัด ผมขยับหัวปรับท่าให้ถนัดอีกนิดหน่อย เกือบจะพลิกตัวแล้วแต่ระลึกขึ้นได้ก่อนว่าไม่ได้นอนบนเตียงคนเดียว ขณะที่กำลังเคลิ้มๆก็ดันนึกถึงนิยายที่อ่านเมื่อก่อนนอนขึ้นมา ในนั้นก็มีฉากที่พระเอกกับผู้หญิงที่เหมือนจะเป็นนางเอกนอนด้วยกันบนเตียงแล้วตื่นมาในสภาพที่กอดกันอยู่ด้วย

.........

ผมขำพรืดกับความคิดตัวเองเบาๆ ไม่น่านะ... ไม่ ชีวิตแฟนตาซีของผมคงไม่ต้องเจอพล็อตพวกนี้หรอกมั้ง

••••••

ไม่มีครับ

ฉากตื่นมากอดกันอะไรนั่น ซึ่งก็ดีแล้วไม่งั้นได้ขำตายชัก

เอาจริงๆคือไม่รู้หรอกว่าสรุปได้มีใครนอนดิ้นไปกอดใครรึเปล่า เพราะพอผมรู้สึกตัวลืมตาขึ้นมาอาคาริก็ลุกไปอาบน้ำแต่งตัวแล้ว

“กี่โมงแล้ว...” ผมพลิกตัวเอื้อมไปคว้านาฬิกาข้อมือบนหัวเตียงมายกดูในสภาพที่ยังตื่นไม่เต็มตา

“ใกล้จะหกโมง” อาคาริตอบไปผูกหูกระต่ายบนคอเสื้อไป

เวลาตื่นของผมพอดีเป๊ะ

“ทำไมตื่นไวจัง โรงแรมเปิดตั้งแปดโมง”

“ต้องไปช่วยเตรียมของก่อนคาเฟ่เปิด ที่นี่ไกลด้วยเลยต้องเสียเวลาเดินอีก” เขาจัดหูกระต่ายจนเข้าที่แล้วก็หันไปมองทางหน้าต่าง “ฝนตกแล้ว”

ผมผงกหัวขึ้นมามองตาม ก็เห็นหยดน้ำมากมายกำลังไหลผ่านหน้าต่างไป เงี่ยหูฟังอีกหน่อยก็จะได้ยินเสียงฝนแว่วออกมาจากข้างนอกบ้าน ท้องฟ้าเช้านี้จึงดูมืดเป็นพิเศษ

“ไม่ต้องรดน้ำแปลงผัก ก็ดีไปอีกแบบ” ผมว่าแล้วบิดขี้เกียจยืดเส้นยืดสายทั้งที่ยังนอนอยู่บนเตียงนั่นล่ะ

“ขี้เกียจเป็นแมวเลย”

ผมเหล่มองคนพูดที่เดินเข้ามายืนค้ำหัว

“ใครว่า ขยันกว่าตั้งเยอะ ฉันนอนทั้งวันแบบแมวที่ไหน”

อา... แต่ฝนตกแล้วอากาศเย็นดีจัง ไม่อยากลุกจากที่นอนเลย

“ลุกขึ้นมาให้อาหารหมาได้แล้ว” หนวกหูว่ะ มาอาศัยคนเขาค้างแท้ๆ ผมทำหน้ารำคาญใส่อาคาริแล้วแสร้งทำเป็นหลับตาลงอีกรอบ

“บ๊อก!”

“เฮ้ย” ผมสะดุ้งโหยงเมื่อลืมตาโพลงมาเจออาคาริอุ้มลูกสุนัขคอลลี่สีน้ำตาลมาจ่อห่างจากใบหน้าแค่คืบ “รู้แล้วๆ ตื่นแล้วว”

“ต้องให้แกล้งทุกที” เขาบ่นผมแบบไม่จริงจังแล้วย้ายลูกก็อตซิลล่าไปไว้ที่กองผ้าประจำตัว “ขอเปิดโทรทัศน์นะ”

ผมเลิกคิ้ว “ตามสบาย ดูอะไรอ่ะ ข่าวเหรอ?”

“พยากรณ์อากาศ อยู่ที่นี่ควรเช็คทุกวัน”

ผมพยักหน้าเป็นเชิงรับทราบ ไม่แปลกที่หมู่บ้านกลางป่ากลางเขาแถมติดทะเลจะให้ความสำคัญกับสภาพอากาศ ยิ่งผมทำงานในฟาร์มยิ่งต้องคอยวางแผนให้ดี

โทรทัศน์ในบ้านผมมีแค่สี่ช่อง ปกติผมดูแค่ช่องพยากรณ์อากาศที่จะบอกอากาศในวันรุ่งขึ้น ค่อนข้างแม่นพอสมควร ใช่ครับ แม่นกว่าประเทศเมืองร้อนที่เคยอยู่แน่นอนอ่ะ

พยากรณ์อากาศในวันนี้บอกว่าฝนจะตกหนักแบบนี้ไปทั้งวัน มันก็ต้องเป็นงั้นนั่นล่ะ ในเกมก็ไม่เคยเห็นจะมีฝนตกครึ่งวันแดดออกอีกครึ่งวันอะไรเสียหน่อย และอากาศไม่แปรปรวนหนาวเป็นร้อนร้อนเป็นโคตรร้อนแบบบางประเทศแน่ๆ

“พรุ่งนี้ถึงจะแดดออก แขกคงเริ่มเดินทางกลับพรุ่งนี้ ยังไงคืนนี้ก็น่าจะต้องรบกวนนายอีก” อาคาริสรุปแบบนั้น ซึ่งผมก็ไม่ได้ขัดข้องอะไร เจ้าตัวคุ้ยกระเป๋าเป้หยิบร่มพับสีดำออกมาแล้วทิ้งสัมภาระที่เหลือไว้ที่มุมหนึ่งในบ้านของผม ขณะที่เขาเดินไปทางประตูเตรียมตัวจะออกไปเข้างานก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ผมกำลังคลานลงจากเตียง

“แล้วก็” ผมหันไปตามเสียง เห็นคนทำท่าจะเปิดประตูออกไปแต่ยังทำเพียงแค่กำลูกบิดเอาไว้ “ช่วงนี้ห้ามมาโรงแรม แขกเยอะ ฉันไม่อยากทำงานเพิ่ม”

เอ๊า แบบนี้ก็ได้เรอะ

••••••

ผมยืนฟังเสียงฝนอยู่หน้าบานประตูบ้าน อีกความหมายก็คือยืนลังเลว่าจะใช้ชีวิตอย่างไรในวันที่อากาศเลวร้ายเช่นนี้ดี

ตอนเล่นWonderfarm lifeในเกมบอยผมจำได้ว่าวันฝนตกตัวละครในเกมมันวิ่งลุยฝนทั้งแบบนั้น และไม่มีNPCหน้าไหนถือร่มเดินไปมาสักราย… พิลึกเนอะ สงสัยว่าหมู่บ้านนี้เชื้อไวรัสหวัดแพร่มาไม่ถึง อาการที่เลวร้ายที่สุดที่เราเจอมีแค่ทำงานหนักจนเป็นลมเท่านั้น ดื่มแค่ยาชูกำลังก็หาย สะดวกสบาย ต่อให้วิ่งขึ้นเขาหรือผ่าฟืนกลางสายฝนตัวละครก็ไม่เป็นหวัดหรือไข้ขึ้นทั้งสิ้น

ผมชอบชีวิตในเกมนี้จัง

ร่มคงไม่ใช่ไอเทมที่จำเป็นนักสำหรับเกมนี้ เอ่อ... ผมจะทำเป็นลืมๆภาพที่อาคาริหยิบร่มออกมาเมื่อเช้า เพราะยังไงหมอนั่นก็เป็นNPCที่นอกบทที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมา ผมไม่ควรเก็บข้อมูลอะไรจากมันทั้งสิ้น เชื่อผมสิ เชื่อผม!

ผมยังคงยืนเหม่อฟังเสียงฝนอยู่ พอฝนตกแล้วอากาศในบ้านก็เย็นเสียจนอยากจะคลานกลับไปคลุกอยู่บนเตียงแล้วนอนอ่านหนังสือเหลือเกิน ทว่าม้ากระรอกน้อยของผมก็ยังรอให้ผมไปทักทายและแปรงขนอยู่ ผมจะมามัวขี้เกียจไม่ได้

เอาวะ แค่ลุยฝนเอง สมัยเรียนก็ทำบ่อยๆไม่เห็นเป็นไร วิ่งรวดเดียวไปให้ถึงคอกม้าเลยแล้วกัน

คิดได้ดังนั้นผมก็ฮึดจับลูกบิดหมุนเปิดประตูผลัวละออกไปวิ่งสู้ฟัดกลางสายฝน

“หนาวโว้ยยยยยยยย”

••••••

“ว้าย เพทายทำไมตัวเปียกแบบนั้นล่ะจ๊ะ”

แพททริเซียกับเน็กซ์ถามเสียงหลงทันทีเมื่อผมเอาสภาพลูกหมาตกน้ำของตัวเองเข้าไปทักทายที่ห้องสมุด

“ข้างนอกฝนตกหนักน่ะสิ” ผมยืนบิดเสื้ออยู่หน้าทางเข้า จะให้เดินเข้าไปข้างในทั้งอย่างนี้ก็ออกจะรู้สึกผิดเกินไปหน่อย “โทษที กลัวหนังสือเปียกเลยไม่ได้หยิบหนังสือมาคืน”

ว่าแต่ทำไมทุกคนตัวแห้งกันหมดล่ะ ไหงถึงมีผมคนเดียวที่เปียกเป็นลูกหมาตกน้ำแบบนี้ หนาวไปถึงกางเกงในแล้วเนี่ย

“ไม่เป็นไรจ้ะ แล้ว… ทำไมถึงไม่กางร่มมาล่ะ”

ผมถึงกับเลิกคิ้ว

“เอ๊ะ ใช้ร่มกันด้วยเหรอ?”

“.........”

“.........”

คู่สนทนาทำท่าเหมือนสมองรวนไปแล้ว แพททริเซียเบิกตาราวกับได้ยินว่ามีไดโนเสาร์ออกลูกเป็นแมวน้ำ แว่นกลมๆที่เจ้าตัวใส่อยู่กับผมสีน้ำตาลเข้มที่เปียไว้หลวมๆเสริมกับตาโตๆทำให้เธอดูเหมือนนกฮูกยังไงไม่รู้

“อย่าทำหน้าน่ารักแบบนั้นใส่คนอื่นสิ ฉันหึงนะ” จู่ๆแฟนหนุ่มของเจ้าตัวก็เอ็ดขึ้นมา แพททริเซียจึงมีอาการหน้าแดงเพิ่มด้วย กลายเป็นนกฮูกสายพันธุ์ใหม่

“เน็กซ์! พูดอะไรก็ไม่รู้”

“ฉันหวงของฉันได้มั้ยล่ะ ยัยนกฮูกเอ๊ย”

โอ๊ะ ไม่ได้มีผมคนเดียวสินะที่คิดว่าแพททริเซียเหมือนนกฮูก

“...คนบ้า” สุดท้ายสาวเจ้าก็ยอมแพ้ บ่นพึมพำแล้วก็ก้มหน้างุด จะชมว่าน่ารักดีก็ชมได้ไม่เต็มปากเพราะแฟนเขาก็นั่งอยู่ด้วยกัน ว่าแต่ข้างนอกฝนตกลงมาเป็นน้ำเชื่อมรึยังเนี่ย ข้างในเหม็นความรักไปหมดแล้ว ฝนไม่เป็นน้ำตาลก็น่าจะตกลงมาเป็นสีชมพูบ้างล่ะ ณ จุดนี้

ผมตัดสินใจได้ทันทีว่าวันนี้จะไม่ยืมนิยายรักกลับไป ไม่สิ ผมควรไปจากที่นี้เลยเสียมากกว่า ทีแรกงานเสร็จแล้วจึงตั้งใจแวะมานั่งอ่านคู่มือการรีดนมวัว แต่เจอบรรยากาศแบบนี้ผมก็ไม่มีหน้าอยู่เป็นก้างต่อแล้วครับ

“ฉันแค่แวะมาบอกเฉยๆ ว่าจะเอาหนังสือมาคืนวันที่ฝนไม่ตกแล้วน่ะ” เมื่อผมหาเหตุผลที่จะชิ่งได้แล้วก็ไม่รอช้า “ไปละ”

“เดี๋ยว สรุปแล้วนายไม่มีร่มจริงเหรอ” เน็กซ์เบรกผมไว้ก่อนที่ผมจะกลับหลังหันออกไป

“หึ ไม่มีอ่ะ” อย่าว่าแต่ยังไม่เคยเห็นตัวละครกางร่มในเกมเลย ผมไม่ยักเห็นจะมีร้านไหนขายร่มสักร้านด้วยนี่หว่า

“ทำไมไม่ไปซื้อร้านพ่อฉันอ่ะ”

อ้าว?

“หา ฉันไม่เคยเห็นร่มวางขายบนเชลฟ์ไหนสักเชลฟ์”

เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรกเลยว่าซูเปอร์มาเก็ตมีร่มขาย! เอ่อ... มันอาจเป็นเรื่องปกติทั่วไปแต่ในหมู่บ้านนี้ไม่ใช่ไงครับ ผมไปช็อปปิ้งมาตั้งหลายรอบแล้วไม่เห็นจะมีร่มวางไว้ที่มุมไหนสักมุม ผมถึงได้คิดเองเออเองว่าเดินตากฝนในหมู่บ้านกันเป็นปกติอ่ะ ผมไม่ผิดนะ ผมแค่เชื่อมโยงเก่ง!

“ของที่ขายออกไม่ค่อยบ่อยพ่อฉันจะเก็บเอาไว้หลังร้านแล้ววางแคตตาล็อกไว้ที่เคาท์เตอร์แทน นายไม่เคยรู้เลยรึไง”

“.........”

ถ้ารู้กูจะมาวิ่งเล่นน้ำฝนแบบนี้มั้ยล่ะ

••••••

มีใครหลายคนมักพูดว่าโลกใบนี้นั้นโหดร้าย ซึ่งตัวผมไม่เห็นด้วยกับคำพูดนั้น

เพราะจะเป็นโลกใบไหนแม่งก็โหดร้ายเหมือนกันหมด

“ฮัดชิ้ว!”

“วิ่งตากฝนตั้งแต่เช้ายันเย็นเลยเหรอ” เสียงทุ้มเป็นเอกลักษณ์ถามขึ้น ผมลืมตามองอาคาริที่ถือขวดอะไรสักอย่างเดินมาทรุดตัวนั่งบนเตียงที่ผมนอนอยู่ “นายบ้ารึเปล่า”

“......ฮัดชิ้ว!” ผมเถียงไม่ออกเลยจามกลบเกลื่อนไปอีกรอบ

ไหนใครว่าหมู่บ้านนี้ไม่มีเชื้อหวัดไง ผมป่วยเข้าเต็มๆเลยเนี่ย!!

อะไรนะ ผมบอกเองเหรอ ขอโทษครับ โง่เอง ด่าได้ครับแต่อย่างแรงเพราะโง่ไปแล้ว

พอกลับจากห้องสมุดผมก็เข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เผลองีบไปแป๊บเดียวตื่นมาก็ตัวร้อนจี๋ คงเพราะวิ่งตากฝนอยู่หลายชั่วโมงนั่นล่ะ ผมจึงหนีความจริงไม่พ้นนอนจับไข้หวัดกินเป็นซากสิ่งมีชีวิตอยู่บนเตียงให้อาคาริกลับมาด่าซ้ำหลังมันเลิกงาน

“ดื่มซะ” บุรุษพยาบาลจำเป็นยื่นขวดเล็กๆในมือมาให้ “เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็หาย”

ผมรับขวดมาจากมืออาคาริ พลิกดูแล้วก็พบว่าเป็นไอเทมที่คู่มือเกมอธิบายว่าคือยาชูกำลัง

…ถามจริง?

“ดื่มแค่ยาชูกำลังมันจะไปหายได้ยังไง” ผมท้วงด้วยเสียงอู้อี้ แทบจะเขวี้ยงขวดไปเป็นของกำนัลด้วย ถึงผมจะโง่แต่ก็โง่อย่างมีขอบเขตนะเว้ย

“ของที่นี่สกัดมาจากสมุนไพรบนเขา” อาคาริอธิบายสรรพคุณพร้อมบริการพิเศษฉกขวดกลับไปเปิดฝาให้แล้วส่งคืนมาอีกครั้ง “ ไม่เชื่อลองกินแล้วตื่นมาดูอาการพรุ่งนี้”

ผมทำหน้าไม่เชื่อถืออย่างแรง แต่เมื่อไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจึงได้แต่ยันตัวลุกขึ้นมากระดกยาชูกำลังปริศนานั่น รสชาติมันก็หวานๆเหมือนยาชูกำลังที่ผมเคยดื่มแต่มีติดกลิ่นฉุนแบบสมุนไพรด้วย

“ดื่มเสร็จแล้วก็นอนซะ”

ครับ สั่งกูเป็นแม่เลยครับ ผมไหลตัวกลับลงไปนอนแล้วกลิ้งไปชิดมุมด้านในของเตียง ได้ยินเสียงกุกกักอยู่อีกพักใหญ่อาคาริถึงปิดไฟและปีนขึ้นมานอน

ควับ

“………”

ผมรู้สึกได้ว่ามีท่อนอะไรบางอย่างวาดผ่านลำตัวและล็อคอยู่บริเวณขาของตัวเอง

“ราตรีสวัสดิ์”

“...นายเอาขามาพาดฉันทำไม”

“เมื่อคืนนายนอนกินที่ ถ้าไม่ติดว่าคืนนี้หนาวฉันก็จะเอาผ้าห่มมัดนายไว้อยู่หรอก”

สอบถามครับ แขกบ้านอื่นเขาเรื่องมากแบบที่ผมเจออยู่รึเปล่า

ผมจามหนึ่งทีก่อนจะพูดแก้ต่างให้ตัวเอง

“เวลานอนมันก็ต้องใช้พื้นที่ขยับตัวกันบ้าง เตียงมันแคบต่างหาก”

“ป่วยก็รีบๆนอนไป”

“แล้วใครมันเป็นคนก่อนเริ่มฮะ!?!”

“………”

ไม่มีเสียงตอบรับ มีแต่เสียงลมหายใจเข้าออก เฮ้ย มึงจะหลับไวเกินไปแล้ว

ผมได้แต่นอนอึดอัด ไม่สบายก็หายใจลำบากอยู่แล้วยังจะมาโดนล็อคขาไว้อีก พยายามขยับยุกยิกให้หลุดออกจากการพันธนาการแต่เตียงก็โคตรแคบจนแทบไม่มีพื้นที่ให้ใช้หนี เลยได้แต่ขยับขาขึ้นลงซึ่งก็ไม่ค่อยจะได้ผลเท่าไหร่…

หมับ

“ถ้ายังไม่หยุดดิ้นอีกฉันจะนอนทับนาย”

ผมได้ยินน้ำเสียงนิ่งๆพูดอยู่แถวใบหูพร้อมกับรับรู้ได้ว่ามันตวัดแขนมารัดลำตัวผมเพิ่มด้วย

ยังไม่หลับหรอกเร้ออออ

“รัดขนาดนี้แล้วก็ไม่ต่างอะไรจากนอนทับแล้วมั้ย… โอ๊ย อย่าทับจริงสิวะ หนัก หนักเว้ย โอเค ยอมแล้ว ไม่ดิ้นแล้ว นี่ฉันป่วยอยู่นะ!”

คือกูประชด ไม่ได้ชี้โพรงให้มึงกลิ้งมาทับกูจริงๆโว้ยยย

นี่มันกะเอาให้ผมตัวแบะติดเตียงชัดๆ เล่นทิ้งน้ำหนักลงมาทั้งตัวเนี่ย อาศัยสรีระคนตะวันตกที่ตัวใหญ่กว่ามารังแกกันแบบนี้แล้วผมจะไปชนะได้ยังไงวะฮะ เสียดายที่ตอนแรกผมนอนหันหลังให้อาคาริ ไม่เช่นนั้นผมก็คงมีจังหวะให้จามใส่หน้ามันเป็นการเอาคืนแล้ว

อาคาริกลิ้งลงจากตัวผม แต่ยังไม่ยอมปล่อยผมเป็นอิสระ

“ทำไมต้องกลัวฉันดิ้นขนาดนั้นด้วย” ผมบ่น พยายามยกแขนที่โดนรัดไว้ขึ้นมาถูจมูก

“ฉันสงสัย…”

สงสัยอะไรอีก ว่าแต่เมื่อกี๊ยังไล่ให้ผมนอน แม่งมาชวนคุยต่อซะงั้น

“นาย… ไม่รู้สึกแปลกๆบ้างเหรอที่เล่นถึงเนื้อถึงตัวขนาดนี้กับผู้ชายด้วยกัน…”

หือ?

“ฉันไปถึงเนื้อถึงตัวนายตอนไหน” มีแต่มึงเนี่ยที่กลิ้งมานอนกอดกู

“…......”

“?”

“ตอนนั้นนายยังเอาหัวนายมาแนบปากฉันอยู่เลย” เสียงทุ้มๆเหมือนจะขุ่นขึ้นนิดหน่อย หรือผมคิดไปเองก็ไม่รู้

“อ๋อ”

“………”

นี่ผ่านมาตั้งหลายวันแล้วยังคาใจเรื่องนั้นอยู่อีกเหรอ ผมถึงกับลืมไปแล้วด้วย

“ตอนนั้นมันคิดแค่อยากจะเอาคืนเฉยๆ อย่าซีเรียสน่า นอนเหอะ” ผมตอบปัด ชักจะเริ่มง่วงแล้ว เมื่อกี๊ผมดื่มยาชูกำลังเข้าไปจริงดิ ทำไมง่วงวะ ไปลาออกจากการเป็นยาชูกำลังไป๊

แต่จู่ๆแรงกอดรัดจากข้างหลังก็เพิ่มขึ้น

“โอ๊ย อึดอัด ปล่อยฉัน” อยากจะวอนขอให้เลิกรังแกคนป่วยสักที โกรธแค้นอะไรผมนักหนา กะอีแค่หลอกให้จุ๊บเหม่งทีเดียวเนี่ย

“หมั่นไส้เฉยๆ อย่าซีเรียสน่า”

ดูมันย้อน!

เล่นแบบนี้เหรอ อย่าคิดว่าผมป่วยแล้วผมจะยอมนะเว้ย

“นี่ ฉันว่าฉันลืมบอกนายไว้ก่อน…” ผมเปลี่ยนมาใช้น้ำเสียงที่เหมือนกับตอนใช้คุยกับสาวๆ แม้มันจะอู้อี้เหมือนเป็ดเพราะหวัดก็ตาม พร้อมกับยกมือข้างหนึ่งขึ้นแตะบนแขนที่รัดเอวของตัวเองไว้อยู่

“....!!”

ผมแกล้งลูบลำแขนแกร่งช้าๆ สัมผัสได้ว่าเขาเกร็งกว่าทีแรก ผมจึงหัวเราะอิอิในใจแล้วพูดต่อ “ที่จริง...ฉันเป็นไบน่ะ...”

“...ไบ?”

“ไบเซ็กชวลไง” ผมหยุดเมื่อไล้ลงมาถึงมือของอีกฝ่าย แกล้งกุมมือเขาเอาไว้แล้วใช้ปลายนิ้วเขี่ยเบาๆ “จะหญิงหรือชายฉันก็ชอบหมด เพราะงั้นถ้าเกิดฉันมีอารมณ์เพราะนาย รับผิดชอบด้วยแล้วกันนะ”

อาคาริดึงแขนพรวดออกจากตัวผมแทบจะทันที

ก๊ากกกก

“ฮ่าๆๆๆ แค่ก...” ผมหัวเราะตัวงอจนไอค่อกแค่ก

“...แกล้งฉันอยู่รึไง” ผมได้ยินเสียงขยับตัว พอเอี้ยวตัวไปมองก็เห็นว่าคนข้างๆยันตัวขึ้นมา เงาขยับไหวๆเหมือนกำลังยกแขน รู้ตัวอีกทีหน้าผากตัวเองก็ถูกเคาะเข้าเบาๆ

“ก็ส่วนนึงด้วย” ผมยกมือลูกหน้าผากป้อยๆ “แต่ฉันพูดจริงนะเรื่องที่ฉันเป็นไบน่ะ”

“เหรอ” เขาจับมือผมออกแล้ววางมือของตัวเองมาอังหน้าผากผมแทน “ฉันยังเห็นนายมองสาวๆในหมู่บ้านตาเป็นประกายอยู่เลย”

อ้าว ก็เกมนี้เขาเซ็ทมาให้จีบสาวนี่หว่า

“ฉันชอบมองผู้หญิงมากกว่า แต่ถ้ามีผู้ชายเข้ามาหาก็ไม่ได้รังเกียจ” ผมไม่ได้มีสเป็คผู้ชายตายตัวเท่าไหร่ ปกติที่เจอกันตามร้านเหล้าหากเขาเข้ามาจีบแล้วผมรู้สึกถูกชะตาก็ถึงจะยอมตามไปด้วย ยังไม่เคยเจอผู้ชายที่เข้าตาจนอยากเดินไปจีบเองเหมือนกัน

ผมได้ยินเสียงถอนหายใจ

“นี่ฉันตามคนเมืองไม่ทันแล้วหรือว่านายเพี้ยนกันแน่”

เอ็งนั่นล่ะเพี้ยน นี่มันศรรตวรรษที่เท่าไหร่แล้ว เขาเปิดกว้างเรื่องเพศกันจะตาย จะว่าไปแล้วในเกมนี้เขานับปีกันยังไงผมก็ไม่รู้เหมือนกัน......

ผมพลิกตัวให้นอนหงายแล้วหันหน้ามองไปทางอาคาริ “นายแค่ไม่เคยเจอคนแบบฉัน ไม่ได้แปลว่าฉันเพี้ยนสักหน่อย”

“ก็จริง” เขาย้ายหลังมือจากหน้าผากลงมาแนบเข้าที่ซอกคอผมต่อ “ตัวร้อนน้อยกว่าเมื่อกี๊แล้ว”

ผมว่าอาคาริต่างหากที่เพี้ยน เมื่อกี๊พอผมบอกว่าตัวเองชอบผู้ชายเขาก็ผละออกจากผมอย่างกับผีโดนพระเครื่อง พอเหมือนจะใจเย็นลงแล้วก็ดันมานอนลูบหัวลูบคอผมต่อหน้าตาเฉย

ผมแกล้งจับมืออาคาริอีกรอบ คราวนี้อาคาริไม่ได้ชักมือหนี แต่ดันจับมือผมกลับ

“ฉันไม่เคยนึกชอบเพศเดียวกัน” เขาว่างั้นแล้วขยับตัวมาคร่อมผม

เออ กูรู้ครับ ไม่งั้นจะแกล้งเหรอ

...เดี๋ยวนะ

“ที่จริงตั้งแต่วันนั้นฉันก็รู้สึกแปลกๆมาตลอด” เจ้าของเสียงทุ้มใช้มือข้างที่ยังว่างยกขึ้นมาเกาคางผมเล่น “คนที่ควรรับผิดชอบน่าจะต้องเป็นนายมากกว่า”

“.........”

ผมไม่แน่ใจนัก แต่ผมคิดว่าผมได้ยินเสียงหัวใจเต้นดังผิดปกติ ไม่รู้ว่าเสียงนั่นมาจากอีกฝ่ายหรือเป็นหัวใจของตัวเอง

“อย่างตอนนี้...ถ้าไม่ใช่เพราะฉันอยากแกล้งนายเกินกว่าที่จะคิดอะไรมากนัก” ปลายคางผมถูกล็อคแล้วดันให้หันหน้าเอียงไปทางซ้าย ต่อมาคนด้านบนก็ฝังจมูกลงที่บริเวณหลังใบหูและสูดลมหายใจเข้าไปฟอดใหญ่ “ก็อาจเป็นเพราะฉันเริ่มจะสนใจนายแล้วมั้ง”

ผมหาเสียงตัวเองไม่เจอไปพักใหญ่

นี่ผมกำลังไข้ขึ้นจนเกิดฝันแปลกๆใช่มั้ยครับ บอกผมทีว่ามันเป็นแบบนั้น

หลังจากพบว่าสมองป่วยๆของตัวเองในตอนนี้ไม่สามารถประมวลผลคำตอบที่เหมาะสมกับสิ่งที่ได้ยินออกมาได้ ก็เพิ่งรู้ตัวว่าเมื่อกี๊ตัวเองถูกหอมไปด้วย

“มะ... ไม่กลัวติดหวัดฉันเหรอ” ผมถามด้วยเสียงเบลอๆ เหมือนยังเก็บกวาดสติตัวเองกลับมาไม่ครบ

บัดซบ มันใช่เวลาที่กูจะพูดงั้นเสียเมื่อไหร่ แต่คำตอบของอาคาริทำให้ผมเหวอหนักกว่าเดิม

“กลัว ถ้าไม่กลัวคงจูบปากไปแล้ว”

“ฟัคยู!”

การด่าไม่จำเป็นต้องใช้สติครับ มาจากสันดานได้อัตโนมัติ

“รอนายหายดีก่อนค่อยทำก็แล้วกัน”

...จังไร

“กูด่ามึงต่างหากเว้ย”

อาคาริหัวเราะแล้วขยับออกไปทิ้งตัวนอนดีๆ “ก็นายเป็นซะแบบนี้ถึงได้น่าแกล้ง”

หา สรุปว่านี้แกล้งกันอยู่หรอกเหรอ ถึงผมจะเป็นคนพูดเองว่าอย่าซีเรียส แต่ที่อาคาริมันทำอยู่ออกจะเลยเถิดเกินไปมั้ง ทำเอาใจสั่นไปพักหนึ่งเชียวนะ

เออครับ... ยอมรับแบบแมนๆเลยครับว่าเมื่อกี๊เผลอหวั่นไหวไปกับมันด้วย แม่ง...

TBC.

******
รุกมารุกกลับไม่โกง /อาคาริไม่ได้พูด

     ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านมากนะคะ สามารถคอมเม้นท์ติชม+ทักท้วงคำผิดได้ทั้งในนี้หรือในแท็กทวิตเตอร์ #สวัสดีฟามรัก ได้เลยค่ะ<3

     twitter:  @evilkunbk

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0

ออฟไลน์ Evilkun

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ตอนที่13・ สวัสดีความสับสน
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย : ทักทายเทพธิดาบ่อยๆเธอจะมีของขวัญให้ด้วย
  
เช้าวันใหม่อากาศแจ่มใสแล้ว ผมเองก็เช่นกัน ร่างกายสดชื่นอาการป่วยหายเป็นปลิดทิ้งมีแรงลุกมารดน้ำแปลงผัก แข็งแรงราวกับเมื่อวานไม่ได้นอนซมไข้ขึ้นตัวร้อนใดๆทั้งที่ผมดื่มแค่ยาชูกำลังแล้วนอนตามปกติเท่านั้น

นี่มันเวอร์! เวอร์เกินไปแล้ว! เมื่อคืนนอนง่อยเปลี้ยเป็นผักโดนเหยียบแต่กลับตื่นมาด้วยสภาพปกติเหมือนทุกวันไม่มีอาการตกค้างหลงเหลือสักนิดได้ยังไง

รู้สึกประทับใจปนสะพรึงกับฤทธิ์ของสมุนไพรในยาขึ้นมาเลย… ผมจำได้ว่าเกมนี้ยังมีเควสลับ หากเราเด็ดสมุนไพรส่งขายตามปกติไปเรื่อยๆ จนครบร้อยต้นแล้วที่คลินิกจะขายยาชูกำลังขวดใหญ่ด้วยครับ

“หายจริงๆด้วย เหลือเชื่อว่ะ” ผมพูดขณะที่กำลังยืนบิดขี้เกียจอยู่ข้างเตียง

“บอกแล้วว่าหาย” อาคาริกำลังปรับสายข้างหลังเสื้อกั๊กเพื่อจัดชุดให้เข้ารูปอยู่คุยกลับมา “เมื่อคืนนายถีบฉัน”

อุ๊ยตาย

“ขอโทษน่า ก็ที่มันแคบให้ทำไง” ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆนะ! สาบานได้! หลังจากนอนหงุดหงิดที่ถูกแกล้งอยู่คนเดียวสักพักก็เริ่มเบลอๆเพราะพิษไข้จนผล็อยหลับไปตอนไหนไม่รู้ แสดงว่ายามันดีจริงนะเนี่ย โอเค ผมจะไปตามล่าหาสมุนไพรมาขาย เพื่อสุขภาพที่ดีของชาวเรา ติดแฮชแท็กของดีบอกต่อไปเลย

แต่ว่านะ ต่อให้อาคาริแค้นที่โดนถีบแค่ไหนก็อย่าหวังว่าจะได้เอาคืนเพราะมันควรไสหัวกลับห้องตัวเองไปได้แล้ว คืนนี้ผมตั้งปณิธานไว้อย่างแรงกล้าว่าจะครองเตียงคนเดียว

หลังจากนั้นผมก็เดินไปนั่งจุ้มปุ๊กที่โต๊ะญี่ปุ่นกลางบ้าน คว้าขนมปังทาแยมที่อาคาริน่าจะทำทิ้งไว้เข้าปาก มันไม่ได้ทำไว้ให้ผมกินหรอกครับ แต่ผมจะกินอ่ะ

“……เฮ้” นั่นไง เสียงประท้วงลอยมาแล้ว

“ค่าที่นอนไง ทำไม” อุตส่าห์ให้ค้างด้วยตั้งสองคืนแค่ขนมปังแผ่นเดียวยังถูกไปด้วยซ้ำเหอะ ผมยัดขนมปังคำสุดท้ายเข้าปากโชว์ “อร่อยมาก ขอบใจนะ”

“……พอหายดีแล้วก็กวนประสาท” ใครบอก ต่อให้ยังไม่หายก็กวนประสาทได้เหมือนกัน ว้าย

ว่าแล้วผมก็คิดขึ้นมาอีกว่าแค่ขนมปังทาแยมมันยังไม่คุ้มค่า เลยหยิบนมขวดที่วางไว้ด้วยกันมาเปิดดื่มด้วย โดยไม่ลืมลากชามข้าวเจ้าหมาคอลลี่ของผมมาใกล้ๆและเทแบ่งนมให้ครึ่งขวด อาคาริเองก็เหมือนจะปลงแล้วเลยไม่ได้ว่าอะไรต่อ พอเขาแต่งตัวเสร็จก็หันไปเก็บสัมภาระของตัวเอง

“ยังไงก็ขอบใจที่ให้ค้างด้วย ฉันไปแล้วนะ” ประโยคแรกอาคาริพูดกับผม แล้วมันก็เดินผ่านผมที่นั่งอยู่ที่พื้นไปพูดประโยคหลังกับหมาก็อตซิลล่าที่เลียนมในชามอยู่ใกล้ๆ นั่งยองๆลูบหัวลูบหางบอกลามันอยู่เกือบสิบนาทีจนผมชักจะหมั่นไส้ขึ้นมาตะหงิดๆ

“เฮ้ย  เดี๋ยวก็สายหรอก ไปทำงานไป๊”

คนเรานี่ก็แปลกกำลังจะออกไปทำงานที่ควรมือไม้สะอาดอย่างร้านอาหารแต่ดันใช้สองมือขยุ้มขนหมาก่อนออกจากบ้าน ผมแย้งในใจอยู่เพลินๆแล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อสองมือที่ว่านั้นย้ายขึ้นมาแปะบนแก้มผมแทน แถมสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายกำลังบีบเนื้อแก้มผมขึ้นมาแล้วขยี้ซ้ำ

“ไอ้…..” 

“ไล่เป็นเมียไปได้”

ผมกำลังจะด่าเรื่องที่อาคาริเอามือไปลูบหมาแล้วมาจับหน้าผมต่อถึงกับชะงัก

เฮ้ย มันชักจะล้อเล่นเกินไปทุกทีๆแล้วนะเว้ย

ตัวผมเองก็ด้วย เกลียดตัวเองที่เผลอใจเต้นตามทั้งที่รู้ว่ามันพูดเล่นจริงๆ……

ในจังหวะที่ผมตั้งสติได้ใหม่และกำลังจะเปิดปากเถียงอาคาริก็ถามพูดสวนขึ้นมาเสียก่อน “ไปแล้วก็ได้ ต้องจูบลารึเปล่า”

ผมได้แต่ทำสีหน้าว่างเปล่า รู้สึกเหมือนโดนทุบหัวจนคำด่าระลอกใหม่ที่ตั้งใจจะพ่นออกมามันกระเด็นออกไปจากสมอง

“……นี่นายโดนฉันนอนถีบไปคืนเดียวถึงกับนึกอยากเป็นผัวฉันขึ้นมาเลยเหรอ”

•••••

หลังจากแยกย้ายกับไอ้บาร์เทนเดอร์ที่หน้าบ้านแล้วผมก็วนกลับมาทำกิจวัตรประจำวันของตัวเองต่อ อันที่จริงช่วงแรกแม้จะเก้ๆกังๆไปหน่อย แต่พอคุ้นเคยกับงานในฟาร์มบ้างแล้วแต่ละวันก็แทบจะไม่มีอะไรแตกต่างไปจากเดิมเลย นี่สิชีวิตสโลว์ไลฟ์ในฝันที่แท้จริงโว้ย ยะฮู้

พอเข้าช่วงสายๆของวันงานส่วนมากก็เสร็จเรียบร้อย ตอนนี้ผมกำลังนั่งอ้อยอิ่งเด็ดบลูเบอร์รี่กินเล่นอยู่ที่ริมทะเลสาบบนภูเขาพร้อมเล่นกับกระรอกสองตัวและกระต่ายป่าอีกตัวหนึ่ง ช่วงนี้เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิแล้ว อากาศคงเริ่มอุ่นขึ้น สัตว์บนภูเขาจึงปรากฎตัวให้เห็นบ้างประปราย เมื่อพวกมันเห็นผมจึงกระโดดดึ๋งๆเข้ามาเล่นด้วย ตัวผมจึงมีความเป็นสโนวไวท์ขึ้นมาราวๆสี่ในสิบส่วน ที่เหลืออีกหกส่วนละเอาไว้เนื่องจากผมทำงานบ้านห่วย ร้องเพลงไม่เพราะและไม่ได้ไปโง่กินแอปเปิ้ลที่ไหนจนหมดสติให้ผู้ชายแปลกหน้ามาจุมพิตปลุก

…แต่ด้วยนิสัยเห็นแก่กินของตัวเองนี่ก็ไม่แน่ ถ้ามีใครเอาแอปเปิ้ลใส่ยาพิษมาหลอกให้กินผมอาจกินเข้าไปจริงๆก็ได้ว่ะ

พอนึกต่อไปถึงเจ้าชายใจบุญที่จะมาจุมพิตช่วยเหลือแล้วใบหน้าของคนที่เจอเป็นประจำในช่วงนี้ก็ดันลอยขึ้นมาเป็นรายแรกเสียจนผมต้องรีบโบกมือสะบัดเรื่องนี้ทิ้งออกจากหัวแล้วไปคิดถึงเรื่องอื่นแทน

ว่าแล้วไหนๆก็ทักทายคุณเทพธิดาเสียหน่อย คราวนี้ผมมีแตงกวามาปาลงน้ำแทนผลไม้ข้างทางแล้วนะ!

“เราไม่มีปัญหากับพืชผักชนิดไหนเป็นพิเศษ แต่เราก็ไม่ใช่กัปปะที่เจ้าจะมาให้แตงกวาทุกวี่ทุกวันเช่นกัน” หลังจากนางฟ้าแสนสวยปรากฎตัว เธอก็แซะผมแทนคำทักทายแทบจะทันที

“แหะๆ” ผมเกาหลังกระต่ายอ้วนบนตักแก้เก้อ “สวยขนาดนี้ผมจะไปมองเป็นกัปปะได้ยังไงกันแหม”

ผมเห็นนางฟ้าผมทองกลอกตาไปมาสองสามที บ้าจัง คนอุตส่าห์ชมนะ ช่วยมีปฎิกิริยามากกว่านี้ที หรือผมควรจะขอบคุณที่เธอยังไม่ถึงกับเบะปากกลับมามากกว่า

“เจ้าดูปรับตัวเข้ากับโลกนี้ได้ดีกว่าที่เราคาดการณ์ไว้มาก”

ผมกระพริบตาปริบๆ ส่งยิ้มแห้งๆให้ท่านเทพธิดา “ก็… คงเพราะเป็นเกมที่เคยเล่นมั้งครับ”

อันที่จริงช่วงแรกก็ตะกุกตะกักอยู่ไม่น้อย อดยอมรับไม่ได้ว่าหากไม่ได้อาคาริช่วยไว้ผมก็คงไม่คุ้นเคยกับงานในฟาร์มไวขนาดนี้เหมือนกัน

…อาคาริอีกแล้ว ขนาดแยกกันแล้วมันยังจะตามมาหลอกมาหลอนผมในความคิดทุกๆสิบนาทีอีก

ผมเบี่ยงเบนความสนใจของตัวเองด้วยการวนสายตากลับไปมองกระต่ายบนตักที่เคี้ยวบลูเบอร์รี่หยับๆจนขอบรอบปากเป็นสีม่วง

บลูเบอร์รี่……

โว้ย!

ผมเผลอยกมือขึ้นทึ้งศีรษะ คว้าเส้นผมไปมามั่วๆก็ไปสะดุดกับวัตถุแข็งๆที่อยู่แถวขมับ นิ่งไปสักพักก็นึกได้ว่ามันคือกิ๊บติดผมที่อาคาริให้มาเมื่อครั้งที่เริ่มปลูกผักใหม่ๆ ด้วยความที่จนปัจจุบันผมก็ยังไม่มีปัญญาจัดการกับผมหน้าม้าของตัวเองจึงยังคงใช้ติดหัวอยู่เป็นประจำ

ผมแกะกิ๊บออกมาถือไว้ในมือ จ้องมันอยู่สักพัก ตัวกิ๊บเป็นสีฟ้าซีด พลันภาพนัยน์ตานิ่งๆสีเดียวกันของคนให้ก็โผล่มาในความคิด

 ……ปาทิ้งลงน้ำแม่งดีมั้ยวะ

 “หากทิ้งขยะเรี่ยราดเจ้าอาจถูกชาวหมู่บ้านเกลียดเอารู้ไหม ต่อให้เจ้าไม่ไยดีเรื่องนั้นอย่างน้อยก็ควรระลึกไว้ว่าหากเจ้าทิ้งขยะลงทะเลสาบเราจะโกรธมาก” เสียงใสกังวานดังขัดขึ้นมาราวกับอ่านใจผมออก

  ฉิบหาย เกือบลืมไปเลยว่าไม่ได้อยู่คนเดียว…

“ขอโทษครับ!”

ดีนะที่ยังไม่มือไวปาลงไปจริงๆ ถ้าเทพธิดาโกรธขึ้นมาจะเป็นยังไงก็ไม่รู้ อาจเสกช็อกโกแลตไประเบิดลงแปลงผักที่ผมปลูกจนบรึ้มเป็นโกโก้ครันช์ก็ได้ แบบนั้นไม่ดีแน่ ผมยังอยากขายผักอยู่นะ อุตส่าห์ปลูก!

เฮ้อ เพ้อเจ้อ

“มีเรื่องลำบากใจอะไรรึ เจ้าสามารถเล่าให้เราฟังได้”

ผมเงยหน้ามองเทพธิดาคนสวยที่ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่บนผิวน้ำ

“……นี่ผมดูกลุ้มใจขนาดนั้นจริงดิ”

“เราเป็นคนพาเจ้ามาที่นี่ หากเจ้ามีเรื่องหนักใจแม้จะเล็กน้อยเพียงใดก็ต้องย่อมช่วยเหลือสิ”

ซึ้งจัง ได้ยินแบบนี้แล้วก็ทำให้ผมอุ่นใจขึ้นมาเป็นกอง อย่างน้อยก็ยังไม่ได้ถูกทิ้งอยู่ในต่างโลกอย่างโดดเดี่ยวละวะ มีเพียงเทพธิดาคนเดียวเสียด้วยที่รู้ที่มาที่ไปจริงๆของผม

ก็ยอมรับว่าทุกวันนี้สนุกกับชีวิตประจำวันค่อนข้างมาก แถมระยะเวลาที่ได้มาอยู่ที่นี่ก็ยังไม่นานพอที่จะทำให้คิดถึงโลกเก่าอะไรขนาดนั้น แต่เรื่องเหนือความคาดหมายต่างๆที่เกิดขึ้นก็ทำให้ผมอดตื่นตระหนกไม่ได้ อย่างที่เห็นกันอยู่นั่นล่ะครับ ต่อให้ผมจำบทสรุปของเกมนี้ได้ทั้งเล่มแต่ก็ยังขยันเจอเรื่องเซอร์ไพรส์เหลือเกิน ใช่ว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามสิ่งที่รู้มาเสียหน่อย ไม่กล้าฟันธงเลยว่าสิ่งที่จะต้องเจอต่อจากนี้จะง่ายเหมือนในเกมหรือยากไม่ต่างจากชีวิตจริงกันแน่ หากจะกล่าวว่าเป็นความเครียดในใจเล็กๆของผมก็คงไม่ผิดเท่าไหร่หรอกมั้งครับ

ยิ่งกับเรื่องNPCเนี่ย! เกินความคาดหมายของผมไปมากโข โดยเฉพาะไอ้คนที่คุณก็รู้กันว่าใครนั่นไง พอมันเล่นนอกบทไปคนหนึ่งแล้วผมก็แพนิคไปหมดว่าอย่างอื่นจะนอกบทตามมั้ย แล้วผมต้องทำตัวยังไง พอพูดมาถึงตรงนี้แล้วก็คิดขึ้นมาได้ เรื่องที่ผมกำลังกลุ้มใจอยู่เห็นทีจะต้องเป็นเรื่องนี้แน่ๆ ยิ่งพอเจออาคารินอกบทไปเมื่อเช้าความเครียดมันก็เลยตีตื้นขึ้นมาจนถึงกับมานั่งขยุ้มหัวต่อหน้าเทพธิดาแบบนี้ ใช่ อย่างนี้นี่เอง!

พอสรุปกับตัวเองได้แล้วผมจึงบ่นให้ท่านเทพธิดาฟังไปนิดหน่อย แต่ไม่ถึงขั้นเจาะจงว่าหมายถึงใคร อีกฝ่ายก็ไม่ได้ถามไถ่รายละเอียดนอกเหนือจากที่ผมเล่า เพียงแค่ยืนบนน้ำรับฟังเงียบๆอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งผมไม่มีอะไรจะบ่นจึงค่อยเริ่มเปิดปากกล่าวอะไรกลับมา

“ก็อย่างที่เราได้บอกเจ้าไปในแรกสุดว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไม่ได้เป็นไปตามที่เจ้ารู้มาเสมอไป”

จะว่าไปก่อนหน้านี้เทพธิดาก็ว่าไว้แบบนั้นจริงๆ

“สิ่งที่ถูกเขียนเอาไว้อาจเป็นความจริง หรืออาจเพียงด้านหนึ่งในวิถีชีวิตของชาวหมู่บ้านก็ได้ทั้งนั้น” 

ผมพยายามคิดตามในสิ่งที่ได้ยิน เหมือนเริ่มจะเข้าใจขึ้นมาหน่อยแล้ว

“เจ้าอย่ากังวลว่าเพราะเป็นโลกของเกมที่เจ้ารู้จักแล้วทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามบทบาทที่ถูกลิขิตเอาไว้เลย คิดเสียว่ากำลังใช้ชีวิตปกติธรรมดาที่คนทุกคนต่างก็มีความรู้สึกนึกคิดของตัวเองก็เพียงพอแล้ว เจ้าคงหาใช่คนโง่ หวังว่าจะเข้าใจในคำพูดของเรา”

ผมถึงกับบ้างอ้อ ไม่ได้อ๋อเพราะกลัวโง่นะ… แต่หมายถึงผมเข้าใจแล้วว่าเทพธิดาอยากให้ผมเลิกยึดติดกับเนื้อเรื่องของเกมและคิดว่าNPCก็เป็นมนุษย์เหมือนกันกับผมนี่เอง เออเนอะ... พอมองในมุมนั้นแล้วก็อาจพอยอมรับในเรื่องที่ไม่คาดคิดได้บ้างจริงๆ

“ในโลกที่เจ้าจากมาก็ใช่ว่าจะดำเนินไปตามการขีดเขียนของผู้ใด แทนที่เจ้าจะมัวแต่จดจ่อกับเรื่องราวที่เคยอ่าน เราว่าสู้โยนทิ้งไปเสียดีกว่า” เทพธิดาเว้นจังหวะการพูดไปชั่วครู่ ก่อนที่จะส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้ “เราอยากให้เจ้าใช้ชีวิตในโลกนี้อย่างปกติสบายใจได้ไม่ต่างไปจากโลกเก่าของเจ้านะ”

ผมยิ้มตอบกลับไป “ผมจะลองคิดแบบนั้นดู ขอบคุณมากครับที่แนะนำ”

“ยินดีเป็นอย่างยิ่ง เอาล่ะ เจ้าเองก็มาพบเราครบสิบวันตามเงื่อนไขแล้ว ถึงเวลาที่เราจะมอบมันให้เจ้าแล้วล่ะ”

“?”

ยังไม่ทันที่ผมจะตามบทสนทนาของเทพธิดาที่จู่ๆก็เปิดประเด็นใหม่ได้ทัน ก็มีแสงสว่างสีแดงดวงหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้า ยืนมองสักพักก็ดูเหมือนมันจะหล่นลงตามแรงโน้มถ่วงจนผมเผลอเอามือไปรองไว้ สักพักแสงสว่างก็จางลงเผยให้เห็นสิ่งที่หลงเหลืออยู่ในมือ

ผลไม้ในตำนาน

“รีบกินเสียล่ะ แล้วพบกันใหม่”

“……ขอบคุณครับ”

นี่ไง แล้วจะให้ทำตัวเหมือนใช้ชีวิตปกติได้ยังไงล่ะโว้ย!

•••••

Energetic Fruit ผลไม้แห่งพลัง… หรือที่เรียกกันติดปากว่าผลไม้ในตำนาน คือผลไม้หายากที่สามารถเพิ่มขีดจำกัดของพลังกายได้ เมื่อกินแล้วก็จะเป็นการบำรุงร่างกายให้ถึกทนขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง มีให้ตามหาทั้งหมดสิบผล แต่ละผลก็มีเงื่อนไขในการได้มาแตกต่างกัน มีทั้งเงื่อนไขที่ง่ายแสนง่ายไปจนถึงยากเสียยิ่งกว่าแก้โจทย์แคลคูลัส หรือผลที่ต้องตามหาด้วยการอาศัยดวงขุดดินในแปลงไปเรื่อยๆจนกว่าจะเจอก็มี หากกินจนครบสิบผลแล้วตัวคุณก็ตัวใหญ่โตขึ้น สูงกว่าหมี กล้ามแน่นกว่าควายไบซัน จนในที่สุดพัฒนาร่างกลายเป็นซุปเปอร์ฟาร์มเมอร์ ฮีโร่แห่งแปลงผัก

ครับ ช่วงหลังๆผมล้อเล่น แค่พลังงานจะมากขึ้นและเหนื่อยช้ากว่าเดิมเฉยๆ ถ้าอิงข้อมูลจากบทสรุปเกมน่ะนะ

ปกติหากเราใช้แรงจนพลังงานลดลงและเกิดความเหนื่อย หนทางแก้ไขที่ดีที่สุดคือการกินอะไรที่ดีต่อร่างกาย มีเงินหน่อยก็ซื้ออาหารดีๆไม่ก็ยาชูกำลังตุนไว้ ถ้ายังจนอยู่ก็เก็บผลหมากรากไม้หรือกินผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้ไปพลางๆก่อน

ซึ่งนั่นก็หมายถึงของซื้อของขาย สรุปง่ายๆก็คือเสียรายได้ไปส่วนหนึ่ง

การกินผลไม้ในตำนานจะช่วยยกระดับขีดจำกัดของร่างกาย รวมถึงช่วยให้สามารถประหยัดต้นทุนในส่วนนี้ไปได้ด้วย

 เพราะฉะนั้นต่อให้การตามหาเอเนอร์เจติกฟรุต10ผลมันจะยากกว่าคณิตศาสตร์วิศวกรรมผมก็จะต้องตามหามันมาให้ครบ!

หลังจากได้ทดลองผลไม้แรร์ผลแรกที่หน้าตาเหมือนมะเขือเทศลูกใหญ่แต่รสชาติเหมือนน้ำพันช์ ผมก็เกิดอยากลองของว่าร่างกายจะถึกทนแข็งแรงมากกว่าเดิมจริงไหม จึงตรงไปยังป่าไผ่เพื่อขุดล่าหาหน่อไม้

หน่อไม้บนภูเขานี้ถือว่ามีขนาดใหญ่พอสมควร โดยส่วนมากจะใหญ่กว่าแขนผมเสียอีก พอรวมกับของป่าอย่างอื่นก็ทำให้ผมมีปัญญาหอบลงเขาไปทีละ3-4หัวเท่านั้น ยังไม่นับเวลาโชคร้ายเจออันที่ฝังอยู่ในดินลึกๆก็จะยิ่งเปลืองแรงขุดมากกว่าเดิม

 สมัยเล่นเกมผมเห็นตัวละครของเราแค่ดึงปึ้ดเดียวหน่อไม้ก็ติดมือขึ้นมาแล้ว ไม่เห็นต้องเผื่อพลังกายมานั่งขุดจนลิ้นห้อยแบบที่ผมเจออยู่เลย แม่งเอ๊ย ทำไมกันวะ

ไม่สิ… ต้องเลิกคิดว่าโลกนี้คือเกมเสียที

ผมงัดจอบขุดที่ยังไม่ได้เอาไปอัพกงอัพเกรดอะไรทั้งนั้นออกมากำไว้ในมือด้วยท่าที่คิดว่าตัวเองถนัดที่สุด เมื่อสอดส่องสายตามองหาหน่อไม้อวบๆหน่อหนึ่งได้แล้วจึงเริ่มเปิดฉากลงมือทันที

“ย้ากก” ผมไม่ได้เป็นบ้านะ… ไม่รู้หรอกว่าเพื่ออะไรแต่ยังไงก็ส่งเสียงตะโกนเรียกขวัญกำลังใจให้ตัวเองไว้ก่อนเฉยๆ

ฉึก ฉึก ฉึก

ผมปักจอบลงดินรัวๆด้วยความกะปรี้กะเปร่ายิ่งกว่าวันไหนๆด้วยเชื่อว่าตัวเองแข็งแรงขึ้นแล้วจากผลไม้ในตำนาน ก้มๆเงยๆเก็บหน่อไม้อย่างกระฉับกระเฉงจนกระรอกสองตัวที่ตามผมมาด้วยตั้งแต่ทะเลสาบปีนลงจากไหล่ไปเกาะอยู่บนกระเป๋าเป้ที่ผมวางทิ้งเอาไว้แถวนั้นแทน

วันนี้จะต้องเก็บของป่าได้มากกว่าเดิมเยอะแน่ๆ!

•••••

“เพราะงั้นตอนนี้นายก็เลยมีสภาพแบบนี้สินะ”

“อาคาริ… เบาหน่อย”

“สมองนายมีปัญหารึเปล่า”

“หนวกหู” ผมหันหลังไปเอ็ดคนตัวสูงกว่าที่นั่งซ้อนหลังตัวเอง แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่ออีกฝ่ายเอาคืนด้วยการออกแรงบีบกลับมา “โอ๊ย บอกว่าเบาๆ”

“ช่วยนวดให้แล้วยังจะปากดี” หลังจากประทุษร้ายไหล่ผมจนพอใจ บาร์เทนเดอร์ที่แทบจะเป็นทุกอย่างให้แล้วก็สั่งผมให้ปลดเอี๊ยมช่วงบนลงมาเพื่อที่เขาจะได้นวดหลังให้ได้ “อดทนหน่อย จะคลายกล้ามเนื้อให้”

นี่มันทำเป็นหมดตั้งแต่ทำอาหาร ทำฟาร์ม ยันนวดเลยเหรอวะ…

ครับ จากการขุดหน่อไม้แบบบ้าพลังเมื่อวานทำให้วันต่อมาอาการปวดกล้ามเนื้อก็เล่นงานผมทันที กว่าจะแปรงขนม้ากับรดน้ำผักสำเร็จผมก็หมดแรงจะขึ้นเขาไปเก็บของป่า ตอนนี้แค่จะอุ้มลูกหมายังแขนสั่น พอตกบ่ายอาคาริผู้ไม่มีงานกะดึกในวันนี้เลยตั้งใจจะมาลากผมไปเก็บผลไม้มาหมักเหล้าเล่นส่วนตัว จึงได้กลายเป็นต้องมานั่งนวดคล้ายกล้ามเนื้อให้ผมแทน

สรุปผลไม้ในตำนานหนึ่งผลมันก็ไม่ได้ทำให้ร่างกายแข็งแรงมากขึ้นอะไรขนาดนั้น ผมได้ทดลองหาผลลัพธ์แล้วด้วยตัวเอง…

“ขึ้นไปแช่น้ำพุร้อนบนเขาน่าจะช่วยได้พอสมควร” อาคาริว่าขณะที่ออกแรงกดไปตามแนวสะบักหลัง “แต่ถ้าไปแช่ตั้งแต่เมื่อวาน วันนี้ตื่นมาก็คงไม่สภาพแย่ขนาดนี้”

กูผิดไปแล้วค้าบ เลิกดุกูเถอะค้าบ

ผมคร้านจะต่อล้อต่อเถียง เลยหลับตาแล้วปล่อยให้หมอนวดจำเป็นนวดไหล่นวดคอไปแล้วนั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยแทน ว่าไปก็รู้สึกเดจาวูนิดหน่อย เหมือนวันก่อนก็เพิ่งคิดเองเออเองเรื่องฝนจนสุดท้ายก็เอาสภาพอเนจอนาถของตัวเองไปขอความช่วยเหลืออาคาริไม่ต่างจากวันนี้สักเท่าไหร่ยังไงยังงั้น

จนกระทั่งความคิดไหลไปถึงเรื่องในคืนของวันนั้นที่ว่าอีกแล้ว…

โชคดีที่ผมนั่งหันหลังให้อาคาริ เพราะตอนนี้ผมก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่เหมือนกัน

ถ้าเอาตามที่เทพธิดาบอกว่าให้ผมโยนเนื้อเรื่องในเกมทิ้ง คิดไปคิดมาแล้วที่ผ่านมาผมโฟกัสแต่สาวๆ หากลองตัดเรื่องที่ว่าอาคาริเป็นNPCชายที่ตามบทในเกมแล้วจีบไม่ได้ออกไป ผมกับเขาก็ค่อนข้างมีความสัมพันธ์ที่น่าให้คิดลึกอยู่ไม่น้อย

ตัวผมเองน่ะไม่เท่าไหร่เพราะเดิมทีผมก็เป็นคนที่เข้ากับคนอื่นง่ายอยู่แล้ว… คิดว่านะ แต่ในมุมของอาคารินอกจากการเป็นลูกหาบขึ้นไปช่วยเก็บผลไม้บนภูเขาแล้วผมก็ไม่เห็นจะเป็นประโยชน์อะไรสำหรับเขาเลย ถึงอย่างนั้นหมอนี่ก็ยังคอยโผล่หน้ามาช่วยเหลือนู่นนี่นั่นอยู่ได้ทุกวี่ทุกวัน ถึงจะเคยคุยกันไปแล้วว่าเป็นเพื่อนกันก็เถอะ แต่ถ้าไม่ใช่เพื่อนที่สนิทกันมากๆก็คงไม่มีใครถ่อมาช่วยเหลือกันขนาดนี้หรอกใช่มั้ยล่ะครับ ต่อให้บอกว่าช่วยดูแลสมาชิกใหม่ของหมู่บ้าน หัวหน้าหมู่บ้านยังไม่เห็นโผล่มาเช็คสภาพผมขนาดเขาเลยด้วยซ้ำ

 ทั้งๆที่เจ้าตัวก็ดูไม่ใช่คนเฟรนด์ลี่อะไรขนาดนั้น นี่ถ้าสลับให้อาคาริเป็นผู้เล่นแล้วผมเป็นตัวละครแทน ป่านนี้มันคงจีบผมจนหัวใจเปลี่ยนสีไปสามระดับแล้วมั้ง

……เหอๆ

“ขำอะไร” เสียงนิ่งๆถามขึ้นหลังจากที่ผมกลั้นขำจนไหล่สั่น

“จู่ๆฉันก็สงสัยว่าทำไมนายถึงขยันมาช่วยงานฉันนัก”

“นายตลกเรื่องนั้น?” ผมไม่เห็นหน้าเขา แต่ผมเดาว่าเขาต้องเลิกคิ้วขณะพูดด้วยแน่ๆ

ผมไม่ได้ขำด้วยเหตุผลนั้น ซึ่งผมไม่มีทางบอกความเป็นจริงออกไปเด็ดขาด “ก็ไม่เชิง หน้านายไม่ได้ดูใจบุญ แต่นายดันชอบช่วยเหลือคนแบบผิดคาด”

“ก็ไม่ได้ชอบช่วยเหลือคนขนาดนั้น”

ผมได้ยินเสียงคนข้างหลังลุกขึ้น จากนั้นก็รู้สึกได้ถึงแรงกดแบบกำลังดีที่บริเวณท้ายทอย อาคาริคงยันตัวเองให้อยู่ในระดับสูงกว่าผมเพื่อที่จะนวดได้ถนัดขึ้น และผมน่าจะคิดถูกเพราะผมได้ยินเสียงทุ้มกล่าวประโยคต่อมาอยู่เหนือศีรษะ “แค่เห็นนายแล้วรู้สึกถ้าปล่อยไว้คงไม่รอด”

“…ฉันดูกากในสายตานายขนาดนั้นเลยเหรอ”

“ก็พอสมควร”

ฮึ่ย

ผมแหงนหน้าขึ้นถลึงตาใส่คนที่ช่วยกดจุดท้ายทอยให้อยู่ “ใครจะไปเก่งทุกเรื่องเหมือนนาย”

“ขอบใจที่ชม” กูแซะมึงอยู่ต่างหากโว้ย

“เกลียดนายว่ะ แม่ง”

“หึ”

อาจเป็นเพราะมุมภาพมันกลับหัวทำให้มองไม่ถนัด ซึ่งถ้าผมมองไม่ผิด อาคาริกำลังยิ้ม

หายากแฮะ… รอยยิ้มนอกเวลางานของอาคาริ

หากถามถึงจำนวนครั้งที่อาคาริจะไม่พูดแขวะหรือดุผมก็ว่าน้อยแล้ว แต่จำนวนครั้งที่เขายิ้มนี่น้อยเสียยิ่งกว่า ดูดีเสียจนเล่นเอาผมตาพร่าไปหมด เป็นคนที่ควรจะยิ้มให้บ่อยกว่าที่เป็นอยู่จริงๆ

“แต่ก็ไม่แน่ใจว่าต่อให้นายเก่งจนรอดแล้วฉันจะยังอยากปล่อยรึเปล่าอยู่ดี” เจ้าของดวงตาสีฟ้ายื่นหน้าเข้ามาใกล้ขณะกล่าว

…ที่อยากให้ทำมากกว่ายิ้มก็คงเป็นการเลิกพูดจาชวนให้คิดมากนี่ล่ะ ผมบ่นอยู่ในใจพลางหลับตาเมื่ออาคาริอ้อมมือข้างหนึ่งมาด้านหน้าเพื่อเกาคางผม

คืนนั้นเขาก็ทำแบบนี้…

ต่างกันตรงที่คราวนี้ผมรู้สึกได้ถึงสัมผัสอุ่นๆบนริมฝีปาก

“……”

ผมว่าผมน่าจะไม่ต้องคิดอะไรให้สับสนแล้ว ชัดละ ชัดเจนสุดๆเลย

สไปเดอร์แมนภาคแรกตอนห้อยหัวจูบกับนางเอกคงรู้สึกประมาณนี้สินะ

แต่นี่ไม่ได้มีใครกำลังปีนกำแพงสักหน่อย ทำไมต้องจูบกันแบบกลับหัวกลับหางด้วยก็ไม่รู้

อาคาริเองก็คงไม่ถูกใจท่าจูบแบบเดียวกับฉากโรแมนติกเลื่องชื่อจากหนังดังเหมือนกัน เขาถอนจูบออกมาแล้วขยับตัวมาอยู่ด้านหน้าผม จากนั้นจึงเริ่มเลื่อนใบหน้ามาหาเพื่อแนบริมฝีปากอีกครั้ง

และผมยังไม่ได้บอกสินะว่าสถานที่ที่ผมนั่งให้อาคารินวดให้คือบนเตียง

สถานการณ์ดูสุ่มเสี่ยงสุดๆ… หากแต่ก็ยังไม่มีฝ่ายใดคิดจะผละออกห่าง ซ้ำยังรู้สึกได้ว่าต่างขยับเข้ามาใกล้มากกว่าเดิม โสตประสาทได้ยินแต่เสียงดูดดึงของริมฝีปากขณะแลกลิ้นกันปะปนไปกับเสียงเต้นของหัวใจที่ดังเกินกว่าจะเป็นของใครคนเดียว คนๆนี้จูบเก่งจนน่าโมโห… ผมพยายามตั้งสติไล่ตามจังหวะของอาคาริให้ทันเพื่อไม่ให้ตัวเองขาดอากาศหายใจไปเสียก่อน เมื่อแอบเปิดตาขึ้นมองก็เห็นประกายสีฟ้าซีดกำลังจ้องกลับมาในระยะประชิด

…หัวใจจะวาย

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ผมคิดอะไรไม่ออกเลย ทำได้เพียงส่งเสียงอยู่ในลำคอเมื่อถูกคนตรงหน้าสอดมือเข้ามาใต้ชายเสื้อและลูบไล้ช่วงเอว เหมือนมีฝูงผีเสื้อนับร้อยตัวบินวนตั้งแต่ช่วงท้องขึ้นมาจนถึงสมอง รู้สึกตัวเองไม่ต่างจากสายไหมที่กำลังจะละลายคาปากของเขา แต่ในเมื่อผมเป็นมนุษย์ ผมละลายไม่ได้ จึงได้แต่เอนตัวตามน้ำหนักที่ค่อยๆทาบทับลงมาจนแผ่นหลังติดกับผืนเตียง

“อึ่ก”

ปวดหลัง…

ผมตีไหล่อาคาริเบาๆเป็นสัญญาณว่าให้ปล่อย เขายอมถอนจูบออกมาแต่ก็ยังไม่วายหอมแก้มผมไปอีกฟอดใหญ่เป็นการตบท้าย

“โอย…” ผมพลิกตัวตะแคงหาท่าที่นอนแล้วจะไม่รู้สึกปวดกล้ามเนื้อ นี่กูไม่ได้กล้ามเนื้อฉีกใช่มั้ย รู้สึกตัวเองแก่ลงไปอีกสามสิบปียังไงยังงั้น

ท่าของเราสองคนในตอนนี้ไม่ได้ดีต่อสุขภาพของผมเลย… หมายถึงสุขภาพของผมจริงๆ ถ้าเกิดมีอะไรเกินเลยไปมากกว่านี้ผมรับประกันได้ว่าไม่พ้นคืนนี้ผมได้นอนเป็นง่อยแน่นอน

อาคาริก้มมองผม แววตาไม่ปกปิดสักนิดว่ากำลังขบขัน “เย็นนี้ขึ้นเขาไปแช่น้ำร้อนเถอะ”

“…อืม……”
 
TBC.

 *********
 
ผ่านไปสิบสามตอนในที่สุดเขาก็จุ๊บกันแร้วววว *ไชโยโห่ร้อง*
 
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านมากนะคะ สามารถคอมเม้นท์ติดชมหรือพูดคุยกันได้ทั้งในนี่หรือแท็กทวิต #สวัสดีฟามรัก ได้เลยค่ะ<3 

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Evilkun

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ตอนที่14 ・เซย์ไฮจากใต้ดิน
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย : อย่าลืมพกอาหารเพิ่มพลังงานเพื่อรักษาพลังกายขณะลงเหมือง
  
  
ควรทำตัวอย่างไรเมื่อต้องไปอาบน้ำแช่ออนเซ็นกับเพื่อนที่เพิ่งทำการแลกจูบกันแบบดีพคิสมาหมาดๆ
 
ไม่ทราบว่าหมู่บ้านนี้มีเว็บบอร์ดแบบพันทิปมั้ยครับ คือว่าอยากจะไปตั้งกระทู้ถามปัญหาสักหน่อย
 
อันที่จริงต่อให้ก่อนหน้านี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นผมก็คงยังรู้สึกประดักประเดิดอยู่ดีที่ต้องมาแก้ผ้าอาบน้ำพร้อมกับคนอื่นอ่ะนะ ปกติผมมักจะมาแช่น้ำพุร้อนคนเดียว อาศัยจากการที่จำตารางชีวิตของคนในหมู่บ้านได้ด้วยคู่มือเกมจึงรู้ว่าเวลาช่วงไหนจะไม่มีคนมาใช้ที่นี่ คืออาบน้ำกับคนอื่นนี่… มันก็ออกจะเขินอยู่ ล่าสุดที่ได้อาบน้ำพร้อมกับคนอื่นก็คือตอนไปเขาชนไก่สมัยเรียนรด.นู่น อาบกันเป็นหมู่คณะเลยทีเดียว แต่นี่ก็อยู่บนเขาเหมือนกัน คิดเสียว่าคือๆกันไปอาจพอทำใจได้บ้างแหละ
 
…ซะที่ไหนกันล่ะ
 
“จ้องอะไรของนาย” ผมทำตาขวางเมื่อรู้สึกถึงสายตาที่มองมา
 
“ฉันสงสัยว่าถ้าเห็นเข้าจริงๆแล้วจะไหวมั้ย”  อาคาริไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรที่ถูกผมจับได้ แถมยังยกมือกอดอกยักไหล่ก่อนจะพูดต่อ “แต่เท่าที่ดูแล้วไม่น่าจะมีปัญหา”
 
นี่มึงหมายถึงเรื่องอะไรวะ!?
 
ผมผู้ตอนนี้เหลือแค่กางเกงชั้นในรีบคว้าผ้าเช็ดตัวมาพันรอบเอวไว้ก่อนจะหันหลังให้สายตาที่จับจ้องแล้วค่อยจัดการกับอาภรณ์ชิ้นสุดท้ายของตัวเอง
 
“ของตัวเองก็มีให้ดูมายืนจ้องของชาวบ้านทำไม” ปากบ่นคนที่เพิ่งถอดเสร็จแค่ช่วงบนไปมือก็พับเก็บเสื้อผ้าที่ถอดไป “หันไปถอดชุดตัวของตัวเองดิวะ”
 
“อยากรีบเห็นขนาดนั้นเลย”
 
“ไม่อยาก!!” ไม่กวนตีนกูสักวินาทีมันจะขาดใจตายรึไง ถ้าไม่ติดว่าปวดกล้ามเนื้ออยู่นี่กูโดดกัดหัวไปแล้วจริงๆ ผมได้แต่หัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่คนเดียวแล้วเดินแยกออกมาโซนที่ล้างตัวก่อนแบบไม่รอคนที่มัวแต่ชักช้า
 
ผมตักน้ำล้างตัวแบบลวกๆทั้งที่ช่วงเอวยังพันผ้าเอาไว้ ทำใจถอดให้หมดไม่ได้จริงๆ… จังหวะที่ผมลืมตัวว่าที่นี่มีเพียงน้ำธรรมดาให้ใช้ล้างตัวแล้วเงยหน้าขึ้นมองหาสบู่นั้นก็มีมือหนึ่งยืนขวดสบู่มาให้พอดี 
 
สมเป็นอาคาริ เตรียมพร้อมดีจัง ว่าแต่หน้าตาขวดดูคุ้นๆรึเปล่า
 
“……นี่นายหยิบสบู่บ้านฉันมาด้วยเหรอ” กะจากน้ำหนักของเหลวที่เหลือในขวดแล้วคิดว่าต้องใช่แน่ๆ
 
“หอมดี ฉันชอบ”
 
ผมทำท่าชี้ไปทางที่เป็นหมู่บ้าน “ซูเปอร์มาร์เก็ตเลย ไป ไปซื้อเอง เฮ้ย!” แล้วก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อถูกอาคาริแปะสบู่เหลวในมือของเขาเข้าที่แผ่นหลัง เจ้าตัวถูไถมือทำความสะอาดให้ตั้งแต่หลังจนขึ้นมาถึงหัวไหล่ ผ่านไปครู่หนึ่งผมก็รู้สึกได้ว่ามีสายน้ำราดผ่านหลังไป เมื่อตั้งใจจะหันหน้าไปเอ่ยขอบคุณจึงได้เห็นเต็มสองตาว่าคนที่ช่วยถูหลังเมื่อกี๊ก้มตัวลงมาฝังจมูกโด่งๆลงบนลาดไหล่พร้อมกับสูดลมหายใจ เมื่อหอมจนพอใจเขาก็เหลือบตาสีฟ้าซีดที่ดูพราวระยับผิดปกติขึ้นมาสบตาด้วย
 
“ใช้กับนายแล้วหอม ฉันชอบ”
 
เชี่ยแม่ง…
 
ยังไม่ทันไปกันถึงบ่อน้ำพุ หน้ากูก็ร้อนฉ่าแล้วอ่ะ
 
•••••
 
ผมขยับตัวออกมานั่งแช่น้ำห่างจากอาคาริไปประมาณสองช่วงตัว เอาแค่ให้ยังพอได้ยินเสียงกันหากมีการพูดคุยแต่ก็หลบหลีกได้ทันถ้าฝ่ายคิดจะทำอะไรแปลกๆอีก
 
อา… พอได้แช่น้ำร้อนแล้วรู้สึกความปวดเมื่อยมันคลายลง สบายตัวจังเลย ผมหลับตาพริ้มแล้วเงยหน้าพาดศีรษะกับโขดหินที่เป็นขอบบ่อ เอ่ยปากตอบรับแบบส่งๆเมื่อได้ยินเสียงคนข้างๆเตือนขึ้นมาว่าห้ามหลับเด็ดขาด หลังจากนั้นต่างคนต่างก็แช่น้ำกันเงียบๆไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมาอีก
 
เมื่อมีเวลาให้ได้ใช้ความคิดกับตัวเองผมจึงคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ทั้งเรื่องที่อีกไม่นานก็จะเข้าฤดูร้อน พืชผักที่จะปลูกขึ้นก็จะเปลี่ยนชนิดไป ถึงเวลานั้นผมจะปลูกอะไรขายดี หอมแดงก็ปลูกง่ายราคาโอเค แตงโมแม้จะขายได้ราคางามแต่ใช้เวลาปลูกนานเกินไป ต้องแบ่งสัดส่วนพื้นที่ปลูกดีๆให้ตัวเองดูแลไหวด้วย ผมคิดไปถึงเรื่องว่าตัวเองเริ่มชินกับงานที่มีอยู่ในตอนนี้แล้ว ควรจะเพิ่มแหล่งรายได้ใหม่ในฟาร์มเสียที แน่นอนว่ารายได้นอกจากการปลูกพืชก็คงไม่พ้นปศุสัตว์ ผมจึงเริ่มเปิดปาดทำลายความเงียบ “ฉันอยากซื้อวัวมาเลี้ยง”
 
“ก็เอาสิ”
 
ผมลืมตาหันไปมองคู่สนทนาเมื่อได้รับคำตอบที้ผิดคาด “ฉันนึกว่านายจะบ่นฉันไม่ก็ไล่ให้ฉันไปเลี้ยงไก่ให้รอดก่อนซะอีก” สัตว์เลี้ยงที่ให้รายได้ในเกมนี้มีอยู่สามชนิดคือไก่ วัว และแกะ ไก่เป็นสัตว์ที่เลี้ยงง่ายที่สุด เหมาะกับผู้เริ่มต้นทำฟาร์ม แต่ผมกลับทำตัวเปรี้ยวอยากจะเลี้ยงวัวเลย นึกว่าเขาจะไม่เห็นด้วยเสียอีก
 
อาคาริหันเสี้ยวหน้ามองกลับมา “ทำไมถึงคิดแบบนั้น”
 
“ก็นายชอบทำเหมือนฉันทำอะไรไม่ค่อยจะรอด”
 
“อยากเลี้ยงอะไรก็เลี้ยง ต่อให้นายจะเลี้ยงไก่หรือวัวฉันก็น่าจะต้องไปช่วยเลี้ยงอยู่ดี”
 
แปลว่าต่อให้กูเลี้ยงอะไรก็ไม่น่ารอดเหมือนกันสินะ ขอบคุณครับ สัส
 
ผมเหลือกตาค้อนใส่คนพูด จนได้ยินเสียงหัวเราะหึที่ได้ยินเป็นประจำจากเจ้าตัว
 
“ฉันเห็นนายอ่านหนังสือเป็นตั้ง แปลว่าน่าจะศึกษามาพอสมควร”
 
มันสังเกตด้วยแฮะ… ผมเลิกคิ้วเล็กน้อย แล้วพยักหน้าเป็นเชิงบอกว่าที่เขาพูดมาก็ไม่ผิด
 
“ในเมื่อทฤษฏีแน่นแล้ว ลองปฎิบัติจริงดูจะเป็นไรไป” 
 
“ในตำรากับของจริงมันไม่เหมือนกันนี่หว่า” ผมไถลตัวลงไปนั่งขดจนปลายคางจมลงไปอยู่ใต้ผิวน้ำ ไม่มั่นใจว่าที่ตัวเองกำลังกล่าวนั้นหมายถึงเรื่องเลี้ยงวัวอย่างเดียวหรือเปล่า “ฉันมันก็แค่เด็กจบใหม่ไม่เคยทำอะไรนอกจากเรียน แถมจบวิศวะมาอีก” ยังไม่ทันได้ดูเกรดเทอมสุดท้ายเลยด้วย…
 
“แล้วทำไมถึงมาทำฟาร์ม”
 
ต่อให้อยากจะตอบว่า ‘อ๋อ ก่อนตายดันเล่นเกมปลูกผักเลยมาโผล่อยู่ที่นี่ไง เนี่ยที่จริงมึงเป็นNPCนะเว้ย หน้าที่มึงคือไปจีบไอริสแข่งกับกูต่างหาก ไม่ใช่มาดูดปากคนเล่นแล้วพามาแช่น้ำแบบนี้’ ก็คงจะตอบไปไม่ได้ ผมทำเป็นไม่อยากพูดถึงมันแล้วบอกแบบอ้อมๆแอ้มๆว่า “……เหตุผลส่วนตัวนิดหน่อย”
 
อาคาริเลิกคิ้วกับคำตอบของผม แต่ไม่ได้ซักไซ้ต่อรวมถึงวกหัวข้อสนทนากลับไปที่เรื่องเลี้ยงวัว “จะไปซื้อวัวเมื่อไหร่”
 
ผมนิ่งคิดคำนวณรายได้ประจำวัน “อาทิตย์หน้ามั้ง ขอเก็บเงินอีกหน่อย” ที่จริงเงินที่มีมันก็พอซื้อวัวสักตัวแล้วล่ะ แต่ถ้าไม่เก็บอีกสักหน่อยผมคงได้กินแกลบ วิ่งไปขอข้าวฟรีกับอาคาริทั้งสัปดาห์แน่นอน
 
น้ำพุร้อนแช่แล้วสบายตัวก็จริงแต่ถ้าแช่นานเกินไปก็จะหน้ามืดเอาได้ พวกผมแช่กันไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ขึ้นจากน้ำมาแต่งตัว เมื่อเรียบร้อยแล้วจึงค่อยพากันเดินออกมาเพื่อลงจากเขา ทั้งผมทั้งอาคาริต่างก็ยังมิวายแวะเด็ดลูกบลูเบอร์รี่จากริมทางตามความเคยชิน อาคาริเด็ดมายัดใส่เป้สะพายหลังของผมที่อยู่ในมือเขา ส่วนผมนั้นเด็ดแล้วโยนใส่ปากทันที
 
“หวังว่าพรุ่งนี้จะหายดี ปวดขนาดนี้แค่วันเดียวก็เกินพอแล้ว” ขืนทำงานทำการไม่ได้มีหวังรายได้หายหมด
“คงเพราะอุปกรณ์นายมันเก่าแล้วด้วยส่วนหนึ่ง”
 
“งั้นฉันควรอัพเกรดจอบตัวเองอ่ะดิ”
 
อาคาริพยักหน้าในขณะที่ใช้สายตาคัดเลือกบลูเบอร์รี่ลูกที่ดูใช้ได้ใส่ในเป้ไปด้วย ส่วนลูกที่เขาไม่เอาเขาก็ส่งมันเข้าปากของผม “หายดีเมื่อไหร่ก็ลองไปขุดหาทองแดงที่เหมืองสิ สนุกดีเหมือนกัน”
 
ผมแทบสำลักบลูเบอร์รี่ในปาก “เป็นบาร์เทนเดอร์แล้วทำไมถึงไปขุดเหมือง…”
 
“นานๆครั้งก็ไปบ้างเวลาเบื่อๆ ได้แร่มาก็เอาไปสั่งทำพวกเครื่องเรือน” ผมชอบความตามหาวัตถุดิบมาคราฟท์อะไรกันเองแบบนี้จัง
 
“อย่าบอกว่าคนที่นี่ลงเหมืองขุดแร่กันเป็นหมดเลยนะ” ผมไม่เคยเจอNPCคนไหนในเหมืองมาก่อน ยกเว้นเทพพิทักษ์ประจำเหมืองที่ต้องขุดลงไปลึกหลักร้อยชั้นถึงจะมีโอกาสเจอ
 
“ถ้าผู้ชายล่ะก็ใช่ แต่ส่วนใหญ่ก็ลงไปกันไม่กี่ชั้น”
 
ผมครางอ๋อในลำคอ “แปลว่าถ้าไม่ลึกมาก ไปคนเดียวก็ไหวใช่มะ” ถ้าเป็นตอนเล่นเกมนะ ผมโซโล่คนเดียวเดี่ยวๆก็ไปได้เป็นร้อยชั้น แต่เวลานี้ผมไม่ขอเสี่ยง ไม่รู้หรอกว่าคนที่ตายแล้วจะตายอีกรอบได้รึเปล่าแต่ก็ไม่อยากจะเปลี่ยนเหมืองให้กลายเป็นสุสานใต้ดินของตัวเองอยู่ดี
 
“ก็ใช่” อาคาริชะงักมือที่ยื่นบลูเบอร์รี่มาให้พร้อมกับขมวดคิ้ว “พูดแบบนี้แสดงว่าจะไปคนเดียว?”
 
ผมพยักหน้า ชะโงกหัวออกไปงับบลูเบอร์รี่ที่ถูกถือค้างไว้มากินเอง “แค่ทองแดงเอง ชั้นแรกก็หาได้แล้ว ไม่ต้องลงไปชั้นอื่นก็ได้นี่”
 
“พนันเลยว่าร้อยทั้งร้อยถ้าขุดเจอบันไดยังไงก็ลงไป”
 
ฮั่นแน่ พูดแบบนี้แสดงว่าเคยมาก่อนสินะ
 
“ตอนนายลงไปครั้งแรกเป็นยังไงบ้างล่ะ”
 
“ปกติ” 
 
ตอบได้เป็นประโยชน์กับกูมากกกกกกก
 
“แต่นายเพิ่งมาใหม่ ไม่ได้คุ้นเคยเท่าคนเกิดที่นี่อย่างฉัน ไปคนเดียวตั้งแต่ครั้งแรกมันออกจะ…”
 
“นายไม่ต้องห่วงหรอก ใช้จอบขุดไปทีละตำแหน่งๆใช่มั้ยล่ะ เจอเศษหินบ้างเจอแร่บ้าง แต่ทุกชั้นจะมีบันไดเชื่อมกับชั้นล่าง ถ้าลงไปลึกหน่อยก็จะมีแร่ที่สวยกว่าและราคาดีกว่า เวลาอยากขึ้นก็แค่ปีนกลับทางเดิม” ผมไม่รอให้เขากล่าวจบก็รีบพูดสวนขึ้นมา
 
อาคาริยังหน้านิ่งไม่เปลี่ยน แต่ดูจากแววตาแล้วน่าจะกำลังตกตะลึงอยู่ “นี่นายแอบไปมาแล้วเหรอ”
 
อันที่จริงคือยัง แต่ถ้านับรวมตอนเล่นเกมด้วยก็ไปมาเป็นสิบๆรอบแล้วครับเพื่อน
 
ในเมื่อตอบแบบนั้นออกไปไม่ได้ ผมก็ได้แต่ยักคิ้วใส่เขาแล้วพูดเสริมข้อมูลเพื่อความน่าเชื่อถือ “ถ้าลงไปถึงชั้นสามจะเจอแร่ทองด้วย”
 
หลังจากผมกล่าวจบเขาก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา เอาแต่ยืนจ้องตาผมอยู่อย่างนั้น ผมจึงฉีกยิ้มแป้นแล้วจ้องกลับ ท้ายที่สุดคู่กรณีก็ถอนหายใจยอมแพ้ “ระวังตัวแล้วกัน”
 
รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังโกหกพ่อแม่เพื่อแอบไปเที่ยวยังไงก็ไม่รู้……
 
•••••
 
สองสามวันต่อมาหลังจากอาการปวดกล้ามเนื้อของผมหายดีแล้วผมจึงเดินทางมายังเหมืองข้างทะเลสาบ ภูเขานี้มีเหมืองสองแห่งด้วยกัน แห่งหนึ่งคือเหมืองที่ผมกำลังยืนอยู่ ส่วนอีกแห่งเป็นเหมืองที่ถูกลำธารบนภูเขากั้นไว้ แร่ดีกว่าเหมืองแรกก็จริงแต่ต้องทำเควสลับเก็บสะสมตอไม้ให้ครบสามร้อยท่อนจึงจะเกิดอีเว้นท์ซ่อมแซมสะพานข้ามลำธารให้ข้ามไปยังเหมืองแห่งที่สองได้
 
ช่างหัวอะไรที่มันยากๆไปเถอะ ตอนนี้ผมหวังแค่ขุดหาทองแดงสักชิ้นสองชิ้นมาตีบวกอุปกรณ์อย่างเดียว จะให้แบกจอบเหล็กโง่ๆที่มีไล่ขุดหาบันไดลงไปชั้นลึกๆมีหวังผมได้นอนกล้ามเนื้อฉีกอยู่แถวชั้นที่หกแน่นอน
 
ทองแดงเป็นขั้นต่ำสุดของการตีบวก หากสงสัยว่าทำไมผมไม่อดทนสักหน่อยแล้วหาแร่ที่ดีกว่านี้มาใช้ล่ะ
 
เราก็พร้อมที่จะแถลงไขว่าอุปกรณ์มันอัพเกรดได้ทีละขั้น… ผมจึงต้องเริ่มไต่จากแร่ลำดับกากสุดอย่างทองแดงก่อนแล้วค่อยขยับขึ้นไปใช้แร่เงิน แร่ทอง และแร่เทพขั้นถัดๆไป ตั้งใจไว้แล้วว่าต่อให้ลำบากลำบนอย่างไรสักวันก็ต้องพาอุปกรณ์ของตัวเองไปให้ถึงระดับคอรันดัม ถึงมันจะดูเกินจำเป็นไปหน่อยแต่ในเมื่อผมเข้ามาอยู่ในโลกนี้แล้วผมก็ต้องเทพที่สุดดิวะ ผมมันคอเกม ขออนุญาตขิงหน่อยสมัยวัยมัธยมหัวเกรียนนี่ไม่มีเกมไหนที่ผู้เล่นชื่อ ‘Zirconlnwsus จะไม่โด่งดังสักเกม
 
สมัยนี้แล้วไม่มีใครอ่านสองคำหลังออกหรอกเนอะ
 
ปากทางเข้าเหมืองเป็นเหมือนอุโมงค์ขนาดไม่ใหญ่ เดินเข้าไปแค่ราวๆสิบเมตรก็เจอกับพื้นที่โล่งกว้าง ตามกำแพงรอบๆมีตะเกียงติดเรียงกันเอาไว้จนภายในเหมืองสว่างสไว พื้นทุกส่วนเป็นดินทรายเรียบๆที่ดูเหมือนถูกปาดกลบเอาไว้อย่างดีเสียจนคล้ายกับมีใครกำลังมาเตรียมสร้างที่อยู่อาศัยในที่แห่งนี้เสียมากกว่า คงรู้สึกผิดน่าดูถ้าเกิดยกจอบขุดหน้าดินจนเละเทะ ดังนั้นต้องกราบขออภัยด้วยครับเพราะอย่างไรผมก็จะขุดอยู่ดี
 
ว่าแต่อีแบบนี้มันจะขุดเจอแร่เหรอวะ  ไม่ใช่ว่าทุกคนมาขุดชั้นแรกจนแร่หมดเกลี้ยงไปจากชั้นนี้แล้วใช่มั้ย ไม่เอาน่า โลกวันเดอร์ฟาร์มไลฟ์จะต้องไม่ทำให้เราผิดหวังสิ
 
เอาเป็นว่าจอบแรกต้องเปิดด้วยทำเลดีๆหน่อยเพื่อเป็นการรับขวัญกำลังใจ ผมหยุดยืนคำนวณระยะเล็งน้อย ตั้งใจจะขุดให้หลุมมันอยู่ตรงกลางพื้นที่พอดีเป๊ะ เอาเท้าขีดๆดินเป็นกากบาทเพื่อให้ง่ายต่อการเล็ง แล้วก็เริ่มง้างจอบลงขุด
 
ฉึก!
 
“โอ๊ะ ทองแดง”
 
ก้อนวัตถุแข็งๆสีน้ำตาลแดงปรากฎสู่สายตาทันทีที่ใช้จอบงัดดินขึ้นมา ขนาดไม่ใหญ่เท่าไหร่ กะจากความรู้สึกตอนถือแล้วไซส์น่าจะพอๆกับไอโฟนสักเครื่องได้ หากความหนาแน่นของทองแดงในโลกนี้เท่ากับโลกปกติ คำนวณคร่าวๆแล้วเจ้าก้อนนี้น่าจะหนักสักครึ่งกิโล
 
ในที่สุดความรู้ไก่กาที่เรียนมาก่อนตายก็ได้เอามาใช้ในโลกนี้เสียที น้ำตาจะไหลขอแชร์นะครับ
 
สรุปคือถ้าไม่ใช้พวกบ้าพลังก็คงเอาทองแดงกลับไปได้แค่ไม่กี่ก้อน ซึ่งผมจะไม่เอาตัวเองไปปวดกล้ามเนื้ออีกแน่ๆ อัพเกรดอุปกรณ์ก็ใช้แค่ก้อนเดียวด้วย นี่ผมถือว่ามาเสียเที่ยวรึเปล่า อุตส่าห์แบกของกินเพิ่มพลังมาเต็มกระเป๋าแต่ดันขุดทีเดียวเจอเนี่ย ง่ายจนเหมือนพระเจ้ากำลังประชด
 
ไหนๆก็มาแล้วขออีกหน่อยแล้วกัน
 
ฉึก!
 
ครืน
 
ครับ คราวนี้พอขุดเข้าไปที่ดินข้างๆหลุมเมื่อกี๊ ดินก็ร่วงกราวลงไปจนเกิดโพรงลึกขนาดที่คนหนึ่งคนจะหล่นลงไปได้พอดี มองดูดีๆปากหลุมมีบันไดพาดไว้อีกต่างหาก วันนี้ท่าทางจะดวงขึ้น เสียดายตอนตายเอาโทรศัพท์มาด้วยไม่ได้ ไม่งั้นคงได้เปิดเกมมาหมุนกาชาล่าการ์ดโคตรแรร์ที่อยากได้ไปแล้ว
 
ผมชะโงกหน้ามองลงไปยังด้านข้างของหลุม เบื้องล่างมืดสนิท ผมมองอะไรไม่เห็นเลย นี่เขาติดตะเกียงแค่ชั้นเดียวเองเหรอเนี่ย ขี้งกว่ะ เอาไว้ผมรวยแล้วผมจะมาติดเพิ่มให้แล้วกันนะ ตอนนี้ขอผมลังเลก่อนว่าจะลงไปสำรวจเองหรือกลับออกไปในเมืองดีในเมื่อบรรลุจุดประสงค์แล้ว แต่บันไดมันก็มาอยู่ตรงหน้าเนี่ยสิ…
 
หลุมที่เป็นบันไดจะมีแค่หลุมเดียวพื้นที่ของเหมืองชั้นนั้น การขุดให้เจอบันไดจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเมื่อต้องการลงไปชั้นล่างๆ หลายครั้งที่ผมเล่นแล้วตัวละครชอบหมดแรงก่อนจะลงไปถึงชั้นที่ต้องการตลอด การฟลุคเจอบันไดในสองขุดนั้นราวกับเหมืองกำลังเชิญชวนให้เราลงไปสำรวจข้างใต้สักยังไงยังงั้น เข้าใจอาคาริที่พูดดักเอาไว้วันก่อนขึ้นมาแล้วล่ะ 
 
และสุดท้ายการที่ผมหย่อนตัวลงหลุมเพื่อปีนลงไปก็เป็นสิ่งที่พิสูจน์นิสัยขี้เสือกของตัวเองได้เป็นอย่างดี
 
เมื่อเท้าแตะถึงพื้นก็ต้องพบว่ารอบๆนั้นสว่างสไวผิดกับที่ชะโงกลงมองจากชั้นแรก ผมจึงสันนิษฐานว่าหากไม่ลงมาให้ถึงชั้นเองก็จะมองสภาพชั้นต่อไปไม่เห็นก็สินะ ตลกดีแฮะ ผมค่อนข้างถูกใจความแฟนตาซีเล็กๆน้อยๆในโลกนี้พอสมควร เหมือนมันบ่งบอกว่านี่เรากำลังอยู่ในโลกของเกมไงล่ะ อะไรแบบนี้ รู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่นึกได้ 
 
แต่นึกได้บ่อยๆก็ไม่ดี เพราะชั่ววูบนั้นก็จะตระหนักขึ้นมาได้ด้วยว่าอันที่จริงตัวผมนั้นตายไปแล้ว…
 
เห็นแบบนี้ผมก็เสียใจไม่น้อยนะที่ตัวเองด่วนจากมาก่อนวัยอันควร ยังมีเรื่องที่อยากทำหลังจากเรียนจบตั้งเยอะแยะ อุตส่าห์วางแผนอนาคตเอาไว้มากมายทั้งเรื่องสมัครงานทั้งเรื่องเรียนต่อโท กับที่บ้านเองถึงจะรู้สึกอึดอัดไปบ้างแต่บุพการีท่านก็เลี้ยงดูผมได้ดีไม่ได้ให้โตมาอย่างยากลำบากอะไร ยังไม่ทันได้ตอบแทนบุญคุณก็ต้องด่วนจากมาก่อนแบบนี้เสียแล้ว แม้แต่แฟนก็ยังไม่เคยมีด้วยซ้ำ
 
ทว่าในเมื่อตายไปแล้วก็ทำอะไรไม่ได้ อย่างน้อยผมยังได้รับโอกาสให้มีชีวิตอีกครั้งนี่ก็ดีแค่ไหนแล้ว ถึงจะเป็นโลกอื่นก็ตามทีเหอะ 
 
ในขณะที่บ่นขิงบ่นข่าในใจเพลินๆไปนั้น ทุกท่านครับ ผมขุดลงมาถึงชั้นที่แปดแล้วล่ะ
 
……อีหยังวะเนี่ย ตั้งแต่ชั้นที่สองแล้ว พอผมลงจอบขุดปุ๊บก็เจอบันไดปั๊บ ขนาดย้ายลองไปขุดริมๆก็ยังออกมาเป็นบันได สงสัยวันนี้ดวงกาชาผมแรง พอไม่มีเกมกาชาให้หมุนเลยเอาดวงมาลงกับการขุดเหมืองแทนแบบนี้เหรอ ผมยังไม่ทันรู้สึกเหนื่อยหรือหิวจนต้องหยิบของกินที่เตรียมมาเพิ่มพลังเลย ถ้าเกิดดวงพุ่งเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ กว่าของกินหมดผมคงทะลุไปถึงชั้นที่ห้าสิบได้เสียล่ะมั้ง ตอนปีนกลับคงเหนื่อยน่าดู ไม่รู้ว่าตอนขึ้นต้องปีนทีละชั้นหรือแค่วิ่งไปชนบันไดก็โผล่กลับไปยังชั้นแรกได้ทันทีเหมือนตอนเล่นเกมรึเปล่า แต่ผมเดาว่าโลกนี้มันคงไม่อำนวยความสะดวกให้ขนาดนั้นแหงๆ
 
พอขุดลงมาเรื่อยๆแบบนี้แล้วผมจึงสรุปได้ว่าข้อสันนิษฐานของผมถูกต้อง ทุกชั้นที่ลงมามีตะเกียงติดอยู่รอบๆให้แสงสว่างครบหมด แต่จะมองจากชั้นบนลงไปไม่เห็น ต้องลงมาเองเท่านั้น ไม่รู้ทำไมทั้งๆที่ทุกชั้นหน้าตาแม่งก็เหมือนกันหมด 
 
ฉึก! ครืน
 
บันไดอีกแล้วครับ ผมเริ่มลืมว่าตัวเองลงมาถึงชั้นที่เท่าไหร่แล้ว แต่ชักเริ่มเหนื่อยว่ะ พักกินอะไรก่อนแล้วค่อยลงไปต่อแล้วกัน คิดได้ดังนั้นผมจึงวางจอบลงกับพื้นแล้วหยิบกระเป๋าเป้มาคุ้ยของกินที่นำมาด้วย มีทั้งข้าวปั้นกับแซนด์วิช หรือจะยาชูกำลังรวมถึงน้ำดื่มก็พกมา ตามหาทองแดงก้อนเดียวแต่ตุนอาหารมายังกับจะขุดลงไปให้เจอเทพพิทักษ์เหมืองเสียไม่มีอ่ะ ไม่ได้ครับ กองทัพต้องเดินด้วยท้องไง ของกินเหลือดีกว่าหิวตายคาเหมืองนะ ขืนเป็นลมอยู่ที่นี่ใครมันจะหาผมเจอกัน ถ้าร่วงไปแล้วร่างกายจะวาร์ปไปฟื้นที่คลินิคอัตโนมัติก็คงดี ผมจะได้ไม่ต้องปีนบันไดกลับขึ้นไป
 
แต่ทำงานจนเป็นลมมากๆชาวบ้านก็เกลียดอีก ชาวบ้านในเกมนี้เรื่องมากจริงโว้ย
 
ข้าวปั้นที่ได้มาเป็นข้าวปั้นไส้กุ้งทอด มีหางกุ้งสีเหลืองทองโผล่ออกมาจากปลายสามเหลี่ยมดูน่ารัก เมื่อวานนี้อาคาริทำไว้ให้ เขาเอาข้าวที่ผมซื้อจากซูเปอร์มาร์เก็ตมาปั้นยัดไส้กุ้งทอดที่เหลือจากครัวของคาเฟ่ มาวันนี้ผมแค่หยิบสาหร่ายมาห่อเพิ่มแล้วหย่อนใส่กระเป๋าพกมากินได้เลย 
 
อย่าสงสัยว่าทำไมผมได้กินฟรีบ่อย บาร์เทนเดอร์ของเมืองนี้เป็นพวกช่างสรรหาครับ ชอบเอาวัตถุดิบมาดัดแปลงเมนูไปเรื่อย บางครั้งเวลาต้องช่วยคุณเจนคิดเมนูใหม่ๆของคาเฟ่ อาคาริก็ได้ผมนี่แหละเป็นหนูทดลอง พอมีคนช่วยกินเจ้าตัวก็ยิ่งสนุกมือ ส่วนผมก็มีข้าวกิน วิน-วินกันไป ไชโย
 
ผมกัดข้าวปั้น สัมผัสแรกคือสาหร่ายกรอบๆ จากนั้นจึงเป็นข้าว แล้วก็กุ้ง กุ้งทอดชิ้นค่อนข้างใหญ่ นอกจากจะยาวเลยก้อนข้าวออกมาแล้ว กัดลงไปส่วนไหนก็เจอกุ้งทุกตรง แป้งที่ชุบทอดไม่หนาเตอะ จึงสามารถรับสัมผัสของกุ้งได้ชัดเจน เพราะทิ้งไว้นานแล้วแป้งชุบทอดเลยไม่ค่อยกรอบเท่าไหร่ แต่เนื้อกุ้งยังหวานอยู่เลย สมกับเป็นเมืองที่ติดทะเลจริงๆ ซอสเปรี้ยวที่ราดไว้กับตัวกุ้งทอดก็ช่วยตัดเลี่ยนได้ดีมาก กัดลงไปถึงครึ่งก้อนก็เจอกับซอสทาร์ทาร์ช่วยเปลี่ยนรสชาติทำให้ไม่รู้สึกเบื่อ
 
ผมว่าผมจีบอาคาริน่าจะดี จะได้มีของอร่อยกินตลอดไปในชาตินี้
 
หากเจ้าตัวรู้เจตนาที่แท้จริงหวังว่าคงไม่เอาขวดไวน์มาแพ่นกบาลผมหรอกนะ…
 
ผมใช้เวลาไม่นานข้าวปั้นสองก้อนก็หมดเกลี้ยง เมื่อเติมพลังเสร็จก็ลุกขึ้นเตรียมขุดต่อ ผมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูตามความเคยชิน พบว่าเป็นเวลาเดียวกันกับที่ผมก้าวเข้ามาในเหมือง
 
หยุดเวลางั้นเหรอ… ในเหมืองนี่ค่อนข้างแฟนตาซีใกล้เคียงกับฉบับเกมพอตัวเลยนะเนี่ย ปกติเวลาเล่นเกมหากอยู่ในเหมืองเวลาก็จะหยุดเหมือนกัน สงสัยเป็นสมดุลของระบบที่เซ็ทมาเพื่อเอื้อให้สามารถขุดเหมืองมีจำนวนชั้นมากมายเป็นหลักร้อยได้สำเร็จ
 
แอบอยากรู้นิดหน่อยว่าแล้วแบบนี้ข้างนอกจะเป็นอย่างไร แต่สงสัยไปก็เท่านั้นในเมื่อวินาทีที่ผมก้าวออกจากเหมืองเวลาก็คงกลับมาเดินตามปกติ เพราะฉะนั้นสนใจงานขุดตรงหน้าก่อนดีกว่า ดูซิว่าผมจะลุยไปได้ถึงชั้นที่เท่าไหร่ ท้องก็อิ่มไปรอบหนึ่งแล้วแต่ก็ยังมีของกินอีกเยอะ ผมมั่นใจว่าตัวเองยังไปได้อีกไกลแน่นอน
 
สู้เว้ย!

TBC.

******

ถ้าถามว่าทำไมเพทายมันจำความหนาแน่นของทองแดงได้… ก็มันเป็นเด็กเนิร์ดไงล่ะะะะ (ที่แม้แต่ไรท์ก็เกือบจะลืมไปแล้วว่ามันเป็นเด็กเรียนมาก่อน…55555)

     ในที่สุดก็ได้พูดถึงของกินแล้วเย้ <--ใช่ค่ะ ที่แต่งเรื่องนี้ขึ้นมาเพราะอยากหนีความจริงไปอยู่บนเขาและอยากพูดถึงของกินไปเรื่อยๆ เพทายมันจะเอนจอยอีตติ้งไปได้กี่มื้อจนกว่าจะโดนคนทำจับแดรกกันนะ------

ออฟไลน์ Evilkun

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ตอนที่15 ・ไม่สวัสดีอะไรทั้งนั้น ยังไม่ได้ออกจากเหมืองเลยโว้ย   
 เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย : ค่าความรักของตัวละครที่จีบได้จะแบ่งระดับหัวใจเป็นเจ็ดสี   
   
“ยินดีต้อนรับครับ”   
   
ผมชะงักมือจากการจัดขวดสุรามากล่าวทักทายแขกเจ้าประจำที่เดินเข้ามานั่งเก้าอี้หน้าเคาท์เตอร์บาร์   
   
“สายัณห์สวัสดิ์ โอ้ วันนี้ฉันเป็นลูกค้าคนแรกเลยเหรอเนี่ย”   
   
“หายากนะครับที่คุณเจมส์จะมาช่วงที่บาร์เพิ่งเปิดแบบนี้ได้”   
   
“พอดีวันนี้ของขายไม่เยอะเท่าทุกทีน่ะ เลยเสร็จเร็วกว่าที่คิด”   
   
“อย่างนั้นเหรอครับ”   
   
ผมเอื้อมมือไปหยิบขวดบรรจุเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เพิ่งจัดเก็บไปเมื่อครู่ออกมาขวดหนึ่ง ถือไว้ในมือพร้อมกับหันไปหาคุณเจมส์ ยกขวดขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงถามว่ารับเหมือนเดิมไหม   
   
คุณเจมส์ปฏิเสธ พร้อมกับชี้นิ้วไปที่เครื่องดื่มหนึ่งบนใบเมนูพิเศษประจำฤดูกาล “วันนี้อุตส่าห์มาเร็ว ขอเจ้านี่ดีกว่า”   
   
“ได้ครับ” ผมเก็บขวดเหล้าพื้นเมืองในมือกลับเข้าที่ แล้วขยับตัวไปยังอีกมุมเพื่อหยิบส่วนผสมค็อกเทลในเมนูมาจัดวางเตรียมเปิดใช้   
   
“ฤดูใบไม้ผลิมีของให้เก็บขายมากมาย แปลกนะครับที่วันนี้มีของขายน้อย” ผมต่อบทนทนาเมื่อครู่ การมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าถือเป็นสิ่งที่อาชีพผมควรกระทำ… หมายถึงหากคุณทราบว่าลูกค้าชอบให้คุยด้วยรึเปล่า   
   
“ของน่ะมีเท่าเดิมแต่ไม่มีคนเก็บลงมาให้น่ะสิ ไม่รู้เจ้าเพทายหายไปไหน ปกติทุกวันจะขนผลไม้หน่อไม้ลงมาจากเขาให้ตั้งเยอะตั้งแยะ แต่วันนี้ในกล่องที่ฟาร์มไม่มีอะไรวางอยู่เลย พักนี้ของขายส่วนใหญ่ก็มาจากเจ้านั่นทั้งนั้น พอไม่มีของงานฉันเลยน้อยลงกว่าเดิม”   
   
คนขี้งกอย่างหมอนั่นมีวันที่ไม่หาเงินด้วยเหรอ ผมฟังแล้วก็แอบฉงนในใจ แต่ไม่ได้พูดอะไรต่อเพราะกำลังเริ่มผสมค็อกเทล เริ่มด้วยการใส่น้ำแข็งจำนวนหนึ่งลงบนแก้วผสม ก่อนจะตวงวอดก้าเทลงไป จากนั้นจึงเป็นคิวของเหล้าหวานรสส้ม ตามด้วยน้ำมะม่วงกับน้ำบลูเบอร์รี่คั้นเอง ใช้ช้อนบาร์คนผสมพักหนึ่ง เมื่อเสร็จก็วางที่กรองน้ำแข็งรินเอาแต่ตัวน้ำสีแดงม่วงลงสู่แก้วทรงสูงปากกว้างรูปกรวยซึ่งแช่เตรียมไว้ในตู้เย็น ตบท้ายด้วยการหยิบผลบลูเบอร์รี่สดมาเสียบกับไม้เสียบที่ทำจากแก้วเพื่อจัดแต่งค็อกเทลก่อนจัดเสิร์ฟให้ลูกค้า   
   
“บลูเบอร์รี่มาร์ตินี่ได้แล้วครับ”   
   
คนสั่งรับแก้วไปจิบ แล้วจึงยิ้มอย่างพอใจ “นานๆทีจะได้กิน ปกติมาทีไรน้ำบลูเบอร์รี่หมดทุกที”   
   
ผมฉีกยิ้มบางๆก่อนจะเอ่ย “ต้องขออภัยด้วยจริงๆครับ” น้ำบลูเบอร์รี่ของโรงแรมทำจากผลบลูเบอร์รี่ที่ผมขึ้นภูเขาไปเก็บมา ซึ่งจำเป็นต้องแบ่งสรรปันส่วนผลบลูเบอร์รี่ไว้สำหรับทำเมนูต่างๆอีก น้ำบลูเบอร์รี่ที่คั้นได้ในแต่ละวันจึงมีปริมาณไม่มาก เมนูประจำฤดูกาลที่ใช้น้ำบลูเบอร์รี่สดเลยค่อนข้างมีจำกัดในแต่ละวัน   
   
“ช่างมันๆ ถ้าหากินได้ทุกวันมันก็ไม่พิเศษน่ะสิ” คุณเจมส์หัวเราะเสียงดังตามแบบฉบับของเขาก่อนยกแก้วขึ้นจิบอีกครั้ง ตอนนี้เขาเป็นลูกค้าเพียงคนเดียวในบาร์ ผมจึงยืนอยู่ไม่ห่างเพื่อเป็นเพื่อนสนทนาพร้อมกับทำความสะอาดอุปกรณ์ค็อกเทลไปด้วย ผ่านไปสักพักเมื่อแขกคนที่สองเปิดประตูร้านเข้ามาผมจึงต้องผละไปต้อนรับ   
   
“ยินดีต้อนรับครับ”   
   
“สวัสดีครับพี่อาคาริ อ้าว ผมว่าวันนี้ผมมาเร็วแล้วนะเนี่ย มีคนมาไวกว่าผมอีกแฮะ” นี่ก็แขกประจำอีกคน วัยรุ่นชายอารมณ์ดีที่ถือวิสาวะนับญาติกับผมหน้าตาเฉยทั้งที่ผมไม่เคยอนุญาต ดาวินเป็นเพื่อนสนิทชายของเกรซ ที่ดูท่าทางแล้วคงคิดกับน้องผมเกินเพื่อน เขานั่งลงที่เก้าอี้ด้านซ้ายของคุณเจมส์แล้วทั้งคู่ก็เริ่มคุยกันเอง   
   
   
“ไงดาวิน วันนี้ก็ว่างงานเหมือนกันเหรอ”   
   
“ไม่ได้ว่างครับ! แค่งานวันนี้เสร็จไวแล้วมันไม่มีอะไรทำพอดีเลยมานั่งเล่นที่บาร์ต่างหากครับ” ดาวินเถียงคุณเจมส์ แต่ผมคิดว่าที่เขาพูดมันก็แปลว่าเขาว่างไม่ใช่รึไง   
   
กวาดสายตาผ่านๆยังดูออกว่าเขาสนใจน้องสาวผมแค่ไหน แต่ในเมื่อเกรซก็ดูไม่ได้มีท่าทีรังเกียจ ผมจะไปขัดขวางก็กระไรอยู่ ซึ่งก็ใช่ว่าจะยอมออกปากอนุญาตให้คบกันได้อยู่ดี เท่าที่สังเกตมา วันที่ดาวินมาเที่ยวบาร์มักจะเป็นวันที่น้องสาวผมมาหาอะไรดื่มด้วยเช่นกัน อาจเพราะเกรงใจผมผู้เป็นพี่ชาย ดาวินจึงชอบทำเป็นไม่ได้ตั้งใจมาเพื่อเจอเกรซ พอเกรซมาถึงเขาก็จะทักทายว่า ‘อ้าวเกรซ บังเอิญจังนะ’ เกือบทุกครั้ง   
   
ไปหลอกแมวเถอะ…   
   
ไม่สิ ขนาดแมวยังดูออก หมายถึงมนุษย์ที่ผมชอบเรียกในใจว่าแมวนั่นล่ะ ขานั้นก็ชอบนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มองทั้งสองคนคุยกันแล้วก็เหล่สายตาสังเกตผมเป็นพักๆ เขาคิดว่าผมยุ่งอยู่กับการรับแขกแล้วจะไม่เห็นว่าเขาทำอะไรบ้างเวลามานั่งดื่มเหล้าที่นี่รึไง เพทายชอบโผล่มานั่งดื่มที่บาร์ประมาณสองสามวันครั้ง เวลาไหนที่ไม่มีคนเข้ามานั่งคุยด้วยเขาก็จะหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านแกล้มเหล้า… เล่นเอาอยากรู้ขึ้นมาว่าความประพฤติของหมอนี่สมัยเรียนเป็นยังไง ทำไมถึงได้ทำเสมือนว่าการอ่านหนังสือในร้านเหล้าถือเป็นเรื่องปกติไปได้   
   
…ยอมรับว่าตัวเองค่อนข้างอาการหนัก เผลอทีไรก็หันสายตาไปทางเขาทุกที มีพลาดถูกหมอนั่นจับได้เหมือนกันว่าแอบมอง แต่ผมก็ไม่ได้แคร์เท่าไหร่ หน้าด้านจ้องต่อไปเรื่อยๆเดี๋ยวเจ้าเหมียวก็จะหลบสายตาไปเอง   
   
ผมคงติดนิสัยไม่กล้าปล่อยให้เขาคลาดสายตา ห่วงหน้าพะวงหลังแทนเจ้าตัวไปหมด พอทำจนกลายความเคยชิน ภายในระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งฤดูกาลนี้ก็ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ความรู้สึกแปลกประหลาดได้เกิดขึ้นมา   
   
หลังจากสับสนอยู่สักพักจึงปลงว่าเมื่อเผลอคิดอะไรเกินเลยไปแล้วก็คงได้แต่ทำใจยอมรับความรู้สึกของตัวเอง ปัญหาชวนคิดไม่ตกข้อต่อมาคือการที่ผมกับเขานั้นเป็นเพศเดียวกัน แต่กังวลอยู่ได้ไม่นานปัญหาก็คลี่คลายอย่างรวดเร็วโดยคำบอกเล่าของอีกฝ่ายที่โอเคกับเพศเดียวกัน   
   
ถ้างั้นก็ไม่จำเป็นต้องคิดอะไรให้มากความแล้ว   
   
ไม่คิดอะไรทั้งนั้น ตอนที่ตัดสินใจจูบเขาไปก็เช่นกัน เป็นความอยากรู้อยากเห็นผสมกับคลื่นอารมณ์บางอย่าง และเมื่อได้ลิ้มลองก็หยุดไม่ได้ ก็ค่อนข้างประหลาดใจที่นอกจากจะไม่ปฎิเสธแล้วอีกฝ่ายยังโอนอ่อนตามอีกด้วย ผมจึงได้โอกาสตักตวงชิมรสริมฝีปากของเขาและสูดเอากลิ่นหอมๆที่เริ่มเข้าขั้นเสพย์ติดให้ฉ่ำปอด ซึ่งนับจากวันนั้นมาจนวันนี้เขาก็ไม่ยักโผล่หน้ามาที่บาร์อีก อาการปวดกล้ามเนื้อก็น่าจะหายดีแล้ว 
   
ผมไม่คิดว่าตัวเองกำลังถูกหลบหน้า เพราะช่วงบ่ายของเมื่อวานเจ้าแมวนั่นยังมาแย่งข้าวปั้นผมไปอยู่เลย 
   
จนกระทั่งช่วยคุณไบรอันปิดบาร์เสร็จเรียบร้อย ผมก็ยังแอบติดใจกับคำพูดที่คุณเจมส์บ่นให้ฟัง ถึงขั้นไม่ได้หาของมาขายนี่คงไม่ได้ไปทำอะไรให้ป่วยจนลุกไม่ขึ้นอีกหรอกนะ ทั้งที่ร่างกายยังไม่ชินกับการทำงานหนักแต่ก็ชอบหักโหมในทางผิดๆอยู่เรื่อย   
   
แต่ป่านนี้เจ้าแมวคงเข้านอนแล้ว ไว้พรุ่งนี้ผมค่อยไปเช็คสภาพเขาดู 
   
และในช่วงสายของวันต่อมา ซึ่งเป็นวันพุธที่คาเฟ่หยุดทำการ สิ่งที่ผมพบคือฟาร์มที่ปราศจากวี่แววเจ้าของ กล่องขายของที่ว่างเปล่า แปลงผักที่ยังไม่ได้จัดการรดน้ำ รวมถึงลูกสุนัขพันธุ์คอลลี่ที่คาบชามข้าวเดินมาถูขาอ้อนขออาหาร 
   
นี่ไม่ได้กลับบ้านเหรอ...? ถ้างั้นไปอยู่ที่ไหนล่ะ...? เกิดอะไรขึ้นบนภูเขารึเปล่า...? 
   
ผมควรเริ่มตามหาเขาจากที่ไหน...? ในขณะที่กำลังกระวนกระวาย พลันก็นึกได้ว่าหัวข้อสนทนาของเราสองคนเมื่อหลายวันก่อนมีเรื่องที่น่าจะพอเป็นเบาะแสได้   
   
เบาะแสที่ว่าพาผมเข้ามาสำรวจที่ชั้นแรกของเหมืองข้างทะเลสาบ ซึ่งผมพอจะเดาเอาไว้แล้วว่ามันต้องเป็นแบบนี้ 
   
เจ้างั่งนั่นลงบันไดไปจริงๆ!   
   
พื้นดินทั้งชั้นมีรอยขุดอยู่หนึ่งรอยกับหลุมที่ป็นบันได เอาจนได้สิ ไม่ผิดจากที่ผมพูดดักเขาไว้เลย สุดท้ายก็ติดลมขุดเหมืองเสียจนหายไปเป็นวันเข้าจริงๆ ขึ้นเมื่อไหร่ผมสมควรดุเขาแล้วจับกักบริเวณเสียดีไหม... มันน่านัก   
   
อย่างน้อยก็รู้แล้วว่าตัวอยู่ที่ไหน อย่างไรเสียการขุดเหมืองใช้เวลาเป็นวันอยู่แล้ว ผมคงกังวลเกินควรไป หากลงไปชั้นล่างเรื่อยๆ การจะอยู่ใต้เหมืองข้ามวันข้ามคืนก็ไม่ใช่เรื่องแปลก นักขุดที่ชำนาญอย่างคุณเฮลฟ์ก็มีหลายครั้งที่ลงเหมืองไปนานนับสัปดาห์เพื่อที่จะได้ขุดลงไปชั้นลึกๆเหมือนกัน 
   
ผมพูดถึงคนที่ชำนาญ แล้วเจ้านั่นชำนาญรึไง 
   
…   
   
โธ่เว้ย   
 
••••• 
 
คนเราก็ต้องเคยพบมีประสบการณ์การทำอะไรสักอย่างแล้วติดลมจนเผลอคิดว่าขออีกหน่อยแล้วค่อยพอกันทั้งนั้นแหละ เนอะ 
 
หลังจากผลาญข้าวปั้นไส้กุ้งหมดตอนนี้ผมก็กำลังยื่นเหม่อกัดแซนด์วิชอยู่ในชั้นที่สามสิบกว่าๆ เหลือเชื่อแฮะ  ไหงถึงมาไกลได้ขนาดนี้  พูดไปอาจหาว่าผมโม้ แต่ผมเจอบันไดในขุดเดียวทุกชั้นเลย คนมันมีดวงอ่ะนะ อะไรจะมาฉุดก็ฉุดไม่อยู่ครับ 
 
อันที่จริงก็กังวลนิดหน่อยว่าผมขุดลงมาไกลเกินสมควรของการสำรวจครั้งแรกไปรึเปล่า 
 
เฉาะ   
 
   
ปิ๊ง   
   
โอ๊ะ คราวนี้ไม่เจอบันไดแต่ผมขุดเจอผลไม้มหัศจรรย์ผลที่สอง! คนอะไรจะดวงดีได้ขนาดนี้วะ เริ่มน่ากลัวขึ้นมาแล้ว เขาว่ากันว่าเวลาที่ดวงดีสุดๆก็จะมีความโชคร้ายสุดๆตามมาด้วย ไม่ใช่พอออกจากเหมืองไปแล้วผมจะกลิ้งตกเขาขาหักอะไรแบบนี้ใช่มั้ย แบบนั้นไม่เอานะเว้ย 
 
แต่ในจังหวะที่คิดว่าควรหยุดได้แล้วผลไม้แรร์ก็เล่นโผล่มาเรียกขวัญกำลังใจแบบนี้ ไม่แน่สมบัติล้ำค่าใต้ถ้ำกำลังเรียกร้องให้ผมไปหามันอยู่... ก็เป็นได้ (กรุณาอ่านเป็นทำนองเสียงพากย์รายการล่าท้าผีรายการหนึ่งเพื่ออรรถรส)
   
ไม่ครับ ผมไม่บ้าพลังขนาดนั้น ของกินที่พกมาถึงจะเต็มกระเป๋าแต่มันก็ไม่ได้เป็นของที่เพิ่มแรงกายได้ดีอะไรมาก สักพักผมก็กะจะพอแล้วล่ะ ยังต้องเผื่อแรงปีนกลับขึ้นไปข้างบนอีก 
 
ยังไงก็เอาให้ถึงสักชั้นที่ห้าสิบแล้วกัน... ไหนๆก็ไหนๆ แร่ชั้นล่างขายได้แพงแถมน้ำหนักเบาด้วย กลับออกไปรับรองซื้อวัวได้ทันทีแน่นอน   
   
พอซัดผลไม้ชั้นดีที่ได้มาโดยบังเอิญเสร็จก็รู้สึกกะปรี้กะเปร่าขึ้นมาอีกหน่อย รอบนี้ผมจะระวังไม่ให้ตัวเองปวดกล้ามเนื้อแล้ว ผมค่อยๆขุดค่อยๆปีนลงบันไดไปทีละชั้นอย่างไม่เร่งรีบ ยังไงเสียเวลาก็ไม่เดินอยู่แล้ว สารภาพว่าก่อนหน้านี้ผมแอบงีบไปด้วย ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่เหมือนกันแต่ตื่นมาสดชื่นใช่ได้เลย
 
ขนาดในเหมืองกูยังหลับลง...
 
คิดอีกแง่ตัวละครของเราในเกมนี้มันก็หลับได้ทุกที่นั่นล่ะ เวลาเล่นเกมนี้ลองทิ้งจอไว้ไม่กดปุ่มอะไรเลยนานๆสิครับ ตัวละครเรามันจะหลับแหละ กลางถนนแม่งก็หลับ เพราะฉะนั้นในเมื่อผมโผล่มาเป็นตัวละครนั้นแล้วผมจะหลับที่ไหนก็ได้!
 
ตำนานอภินิหารบันไดของผมยังคงดำเนินต่อไป จนผมขี้เกียจจะนับชั้น เลยอาศัยการแวะขุดหาแร่แก้เบื่อเป็นพักๆ และสังเกตจากแร่ที่ได้มาว่าเป็นแร่ในชั้นที่เท่าไหร่ แต่กว่าจะขุดทำเนียบแร่จากคู่มือในสมองมาเทียบหน้าตากับแร่ที่หาเจอได้ก็เสียเวลาเอาเรื่อง พอเป็นภาพไอเทมแล้วมันเดายากกว่าหน้าNPCอีก แถมผมก็ไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องหินเรื่องแร่สักหน่อย กว่าจะนึกออกว่าไอ้ก้อนสีฟ้าๆในมือมันคือแร่อะไรในเกมก็พลิกไปพลิกมาจนตัวเองแทบหลับอีกรอบ
 
พอมั่นใจว่าตัวเองลงมาถึงชั้นที่ห้าสิบแล้วจริงๆ ผมก็เมินบันไดที่ขุดเจอแล้วเริ่มเล็งขุดพื้นที่อื่นเพื่อโกยแร่เข้ากระเป๋า ซึ่งเหมือนดวงของผมมันจะไปลงกับบันไดหมด… ขุดจนไม่เหลือที่ให้ขุดแล้วแต่กลับได้แร่มาแค่สองสามชิ้นเท่านั้น ผมเลยต้องลงบันไดไปอีกชั้นจนได้
 
เฉาะ
 
บันไดอีกแล้วว่ะ ความอยากรู้อยากเห็นชั้นต่อไปของผมมันหดหายไปหมดแล้ว และดวงแร่ของผมมันก็เกลืออีกแล้วเช่นกัน แถมหนักกว่าเก่าเพราะชั้นนี้ขุดเจอแค่ชิ้นเดียวเอง
 
เชี่ย… นี่ถ้ากูลงไปขุดหาชั้นล่างมีหวังเหนื่อยฟรีแน่ ขึ้นแล้วก็ได้
 
“ช้าก่อน”
 
“เหี้ย!!”
 
ผมสะดุ้งสุดตัว แทบโดดไปเกาะบันได ขนลุกซู่เลย เสียงใครวะ ที่นี่ชั้นห้าสิบกว่าๆที่ผมลงมาคนเดียวนะ ไอ้คู่มือเกม มึง… ทำไมไม่เขียนบอกกูไว้ว่าในถ้ำนี้มีผีด้วยวะเนี่ย รู้งี้ก่อนตายห้อยพระเอาไว้ด้วยก็ดีหรอก แล้วนี่ต้องสวดมนตร์บทไหนอ่ะ ไม่ได้เข้าแถวหน้าเสาธงมาสี่ห้าปีแล้วผมจำบทสวดอะไรไม่ได้เลยนอกจากการท่องนะโมสามจบ
 
“…เจ้าน่ะ”
 
แล้วก็เพิ่งจะนึกออกในตอนที่ยืนพนมมือสวดบทอนันตะปัดชะเยอาปัดติเถเถนามั่วๆอยู่ตั้งนานสองนานนี่ล่ะว่าในเหมืองยังมีNPCอยู่อีกหนึ่งราย เป็นจังหวะเดียวกับมีร่างมหึมาที่ผมต้องใช้คำว่า ‘ลอย’ เข้ามาเคาะหัวดังป๊อก 
 
“ทำเหมือนข้าเป็นผีสางไปได้”
 
“แหะ หวัดดีครับ” ผมลูบศีรษะป้อยๆ ยกมือไหว้หนึ่งทีพร้อมกับมองสำรวจบุรุษกล้ามแน่นที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่กลางอากาศ ผิวสีเงินเงาวับเหมือนโลหะอันเป็นเอกลักษณ์เป็นตัวบ่งบอกว่าเขาคือตัวละครที่สมควรสุ่มปรากฎตัวตามบริเวณชั้นที่ร้อยกว่าๆแต่ตอนนี้ดันโผล่มาทำหน้าบูดใส่ผมอยู่ในชั้นห้าสิบต้นๆ
 
เทพพิทักษ์เหมืองเองก็คงเหงาน่าดู…
 
“จ้องข้าเช่นนั้นเจ้าคิดอันใดอยู่หา” สำเนียงโบราณที่ท่านเทพใช้ทำเอาผมรู้สึกว่าเขาดูเป็นคนเก่าคนแก่ ทั้งๆที่เจ้าตัวก็หน้าเด็กกว่าที่ผมจินตานาการไว้จากภาพเกมสองมิติพอประมาณ
 
ผมกระพริบตาปริบๆก่อนจะถามอีกฝ่ายกลับไปแทนคำตอบ “นี่ผมว่าผมก็ไม่ได้นับชั้นผิดนะ ปกติเทพพิทักษ์เหมืองไม่ได้อยู่ลึกกว่านี้หรอกเหรอ” หรือไม่ควรจะคิดอะไรมากกับความนอกบทของเกมนี้แล้ว…
 
เทพแห่งเหมืองถอนหายใจ “ข้าก็ตั้งใจจะนอนรอดูหน้าเจ้าอยู่แถวนั้นนั่นละ เห็นเป็นถึงมนุษย์ที่นางผู้นั้นอุตส่าห์พามาทั้งที ไหนเล่านึกว่าจะเก่งกาจสักเพียงใด…” เดี๋ยว…ท่านบ่นอะไรของท่านครับ “ข้าอุตส่าห์ช่วยเหลือให้เจ้าเดินทางลงมาง่ายๆแล้ว กลับคิดถอดใจตั้งแต่ครึ่งทาง เสียแรงที่นางเลือกเจ้ามานัก”
 
“…ฮะ? นี่หมายความว่าที่ขุดเจอบันไดติดต่อกันมาห้าสิบกว่าชั้นนี่คือไม่ใช่เพราะดวงดี…” นี่ผมต้องมาทำหน้าโง่ใส่บรรดาเทพทั้งหลายในเกมนี้ไปอีกกี่ครั้งกัน นางที่พูดถึงหมายถึงท่านเทพธิดาสินะ
 
“หากไม่ใช่ข้าแล้วคนอย่างเจ้าน่ะหรือจะมาได้ถึงขั้นนี้” เออ ก็คิดอยู่ว่าดวงมันพุ่งแปลกๆ สรุปว่ามีNPCเทพมาสร้างบัคเอาไว้นี่เอง แสดงว่าที่ผมหาแร่ไม่เจอในชั้นก่อนหน้าก็เป็นเพราะพี่เทพแกอยากให้ผมโฟกัสกับการลงบันไดมากกว่าแหงเลย
 
ผมเกาหัวเล็กน้อย “แล้วจะอยากเห็นหน้าผมทำไมอ่ะ”
 
“คนที่โผล่มาด้วยวิธีผิดปกติเช่นเจ้า ผู้ที่รู้เรื่องก็อยากจะเห็นหน้าค่าตากันทั้งนั้น” ยังมีคนอื่นที่รู้เรื่องอีกเรอะ
 
“เอ่อ…” ผมควรจะพูดอะไรต่อดีล่ะ
 
“เป็นถึงมนุษย์ที่แม่นางผู้นั้นเลือกมากับมือ ข้าก็คิดเสียว่าจะมีดีหนักนา กลับดูเหยาะแหยะเพียงนี้ เหตุใดนางถึงเลือกเจ้ากัน” เพราะผมแชร์สเตตัสไง เทพธิดาอาจไปฮั้วกับพี่มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์กไว้ก็ได้นี่ 
 
“อุตส่าห์นอกบทขึ้นมาหากันขนาดนี้เพื่อด่าอย่างเดียวเลยนะครับ” ตั้งแต่โผล่มาพี่เทพแกก็ใส่ผมลูกเดียวเลย คือการที่ผมโผล่มันทำให้อำนาจพี่สั่นคลอนหรือยังไงวะ
 
“สำนึกเสียด้วยที่ข้าอุตส่าห์ยอมปรากฎกายให้เห็น” ยัง ยังไม่รู้ตัวว่ากูประชด
 
“ถ้าขึ้นมาเองได้แล้วจะให้ผมนั่งเสียเวลาขุดลงมาตั้งหลายสิบชั้นทำไม!”
 
“แล้วผู้ใดกันที่ไปนั่งคร่ำครวญกับเทพีแห่งทะเลสาบเรื่องผู้คนไม่เป็นดั่งในตำราหา!”
 
“แต่สุดท้ายก็นอกบทอยู่ดีไม่ใช่รึไง!”
 
“ข้าเป็นเทพ ข้าจะไปยังที่ใดก็ย่อมได้!”
 
ทำไมผมต้องมานั่งเถียงเรื่องไม่เป็นเรื่องกับเทพอยู่ใต้เหมืองแบบนี้ด้วยวะ
 
“เหตุใดข้าต้องมาโต้เถียงในเรื่องไร้สาระกับมนุษย์เช่นเจ้าด้วยเนี่ย” เออ ดันคิดเหมือนกันอีก
 
ผมทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิกับพื้น เงยหน้ามองอีกฝ่ายที่เปลี่ยนท่ามานั่งเท้าคางวางศอกไว้กับเข่าข้างหนึ่งที่ชันขึ้น…กลางอากาศ
 
“แล้วท่านต้องการอะไรจากผมกันแน่”
 
“เทพเช่นข้าน่ะรึยังต้องการอันใดจากคนอย่างเจ้า” หยุดกวนตีนสักประโยคเหมืองจะถล่มรึไงวะ “ข้าสิต้องถามว่าเจ้าต้องการสิ่งใดจากพวกเราถึงได้อยากมายังที่แห่งนี้”
 
“แล้วผมจะไปรู้ได้ไงว่าพูดแล้วจะได้มาเร็วแบบนี้เลยอ่ะ” ได้ข้อสรุปแน่ชัดกับตัวเองแล้วว่าไม่ได้โผล่มาที่นี่เพราะแชร์สเตตัส แต่เพราะดันไปพูดแบบนั้นไว้ก่อนตกบันไดต่างหาก “ถ้าถามว่าต้องการอะไรก็ต้องการรู้นี่แหละว่าทำยังไงกันผมถึงได้โผล่มาอยู่ในเกมที่ตัวเองเคยเล่น”
 
เทพพิทักษ์เหมืองยกมือขึ้นเสยผมยาวๆสีอ่อนเสียจนเกือบขาวของเขาหนึ่งครั้ง ถ้าไว้เคราด้วยผมคงคิดว่าที่นี่น่าจะเป็นถ้ำของฤๅษีมีกล้ามเสียมากกว่าจะเป็นเหมืองที่มีเทพประจำอยู่
 
“ในสายตาเจ้ามันคงเป็นเพียงการละเล่น แต่สำหรับพวกข้าดินแดนแห่งนี้คือสิ่งสำคัญที่ต้องปกปักษ์รักษา”
 
เอ่อ…… ขอโทษครับ ก็ผมซื้อเกมมาแล้วจะไม่เล่นก็ยังไงอยู่ แม้ล่าสุดผมจะโหลดเถื่อนมาเล่นก็เถอะ เอาเป็นว่าผมขอโทษ
 
เมื่อสัมผัสได้ถึงบรรยากาศซีเรียส ผมจึงยืดตัวขึ้นเล็กน้อยมานั่งหลังตรงเพื่อตั้งใจฟังสิ่งที่เทพพิทักษ์เหมืองกำลังจะเล่า
 
“ปกติแล้วข้ามักจะรับรู้ยามมีผู้มาเยือนดินแดน ทว่าการมาถึงของเจ้านั้นผิดแผกไปจากที่ข้าเคยรู้สึกได้”
 
ผมเกาหัวเป็นรอบที่สอง หรือสามก็ไม่รู้ “ยังไงเหรอครับ”
 
เทพพิทักษ์เหมืองถลึงตาสีเหลืองอำพันสว่างสไวของเขาใส่ผม “เข้าใจอะไรยากนัก!” 
 
ผมอยากขุดเศษแร่มาปาอัดพี่แกเหลือเกิน…
 
 “สิ่งที่ข้าเข้าใจอยู่เสมอคือหากมีผู้มาใหม่ ควรเป็นเจ้าชาวประมงนั่นพามนุษย์ต่างถิ่นข้ามน้ำข้ามทะเลมา แล้วคนพวกนั้นจักอยู่อาศัยในที่ๆเจ้าครอบครองในเพลานี้” ผมฟังแล้วเดาว่าเขาน่าจะหมายถึงเนื้อเรื่องช่วงต้นเกมที่คุณเจมส์จะเป็นคนขับเรือไปรับตัวละครของเรามายังฟาร์ม “แต่พอถึงเวลาที่มีคนใหม่อย่างเจ้าปรากฏตัวขึ้นจริงๆ กลับเป็นแม่นางผู้พิทักษ์ทะเลสาบที่พามา…”
 
ผมแย้ง “อันนั้นผมก็สงสัยเหมือนกัน แทนที่จะลากผมมาถามทำไมท่านไม่ไปถามกับเทพธิดาเองอ่ะ” 
 
“สมองเจ้ามิได้รับปุ๋ยบำรุงรึ หากนางตอบคำถามข้า ข้าจักเสียเวลาออกอุบายให้เจ้าลงมาหาเช่นนี้ไปทำพระแสงอันใด”
 
“……”
 
“……”
 
สงสารเขานะครับ สงสารตัวเองด้วย สรุปแล้วบรรยากาศซีเรียสก็มลายหายไปในพริบตาแถมยังไม่ได้รายละเอียดอะไรเพิ่มอีกต่างหาก
 
“ผมถามอีกข้อได้มั้ย… ช่วยขยายความตรงที่ท่านบอกว่ารู้เวลามีคนนอกเมืองเข้ามาได้เปล่าฮะ”
 
เทพพิทักษ์เหมืองยักไหล่ก่อนจะตอบคำถาม “ก็ไม่อย่างไร ข้าเป็นเทพในดินแดนแห่งนี้ ยามมีผู้ใดเข้าออกข้ากับแม่นางประจำทะเลสาบก็ย่อมรับรู้ อีกทั้งก่อนที่เจ้าจะปรากฎตัวขึ้น… ข้าก็รู้สึกว่าตัวตนของแม่นางหายไปเสียครู่ใหญ่”
 
ผมยกมือขึ้นลูบคางตัวเองแล้วเริ่มคิด เท่าที่ฟังมาเหมือนว่าNPCแนวเทพจะรับรู้สตอรี่ของเกมยังไงยังงั้น แล้วเทพพิทักษ์เหมืองที่น่าจะรู้เนื้อเรื่องในเกมอยู่บ้างก็เกิดสงสัยที่ผมโผล่มาด้วยวิธีประหลาดๆแบบไม่ตรงกับบทที่ตัวเองเคยรู้มาก่อน แต่ก็ดันโผล่มาแบบนอกบท ทุบเงื่อนไขที่เกมตั้งไว้ทิ้งเพื่อมาถามว่าทำไมผมกับเทพธิดาถึงเล่นนอกบทเนี่ยนะ…
 
หรือปัญหามันจะมาจากตัวไฟล์เกม… ผมไม่ได้เชี่ยวชาญด้านคอมขนาดนั้น ตอนนี้ก็ไม่มีเพื่อนสายไอทีอยู่ให้ถามอีก แต่ไฟล์เถื่อนบ้านไหนมันจะทำให้วิญญาณคนเล่นหลุดเข้ามาในเกมได้แบบนี้วะ!? นี่กูไปโหลดเกมเถื่อนอะไรมาเนี่ย
 
“ไยจึงทำสีหน้าหนักใจเช่นนั้น”
 
“ก็เปล่า… แค่คิดอะไรนิดหน่อยน่ะครับ ว่าแต่ท่านไม่รู้สินะว่าเทพธิดาใช้วิธีไหนพาผมมา”
 
พอจบคำถามผมคนฟังก็ทำสีหน้ารำคาญ “ข้าก็เพิ่งกล่าวไปว่าหากรู้จักเรียกเจ้าลงมาถามทำบิดามารดาไปไย!” แต่หลังจากที่พ่นคำผรุสวาทให้ผมหงุดหงิดเล่นเสร็จแล้วก็เขาก็ยอมพูดต่อ “ข้าต้องสนใจด้วยรึว่าเจ้าเป็นใครมาจากไหน? ไม่สิ… หากเป็นยามปกติข้าคงหาได้ใส่ใจ แต่ตอนนี้ข้าก็นึกสงสัยนักว่าโดยปกติคนอย่างพวกเจ้าคิดอย่างไรจึงเลือกเดินทางมายังดินแดนแห่งนี้กัน”
   
ผมลูบคาง ใช้เวลาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนเริ่มอธิบายจากมุมมองของตัวเองบ้าง “สำหรับผมแล้วที่นี่ก็คือเกมเกมหนึ่ง พวกผมก็แค่เล่นตามเนื้อเรื่อง พอกดเริ่มเกมมันก็เริ่มที่คุณเจมส์พามาเลย คือ… ท่านรู้จักสิ่งที่เรียกว่าเกมใช่ป่ะ” 
 
“เฮอะ ข้ามีชีวิตมาแต่โบราณทว่ามิได้คร่ำครึ แม้ข้าสถิตย์อยู่ใต้ดินแต่ข้าก็รู้ความเป็นไปของหมู่บ้านดี จักเป็นโทรทัศน์หรือหรืออินเตอร์เน็ตนั่นข้าก็รู้จักทั้งนั้น!” แล้วทำไมไม่หัดอัพเดทวิธีการพูดให้ทันยุคสมัยบ้างวะครับ 
 
แต่ก็ดี ผมจะได้เล่าอะไรๆต่อง่ายขึ้น ในที่สุดก็มีคนมานั่งฟังความอัดอั้นในใจที่เล่าให้ชาวบ้านคนอื่นฟังไม่ได้เพิ่มมาอีกคนแล้ว 
 
“นั่นล่ะ เพราะงั้นอันที่จริงโลกของท่านกับโลกที่ผมเคยอยู่มันถือว่าเป็นคนละมิติกันเลย ท่านนึกภาพออกใช่มั้ย คิดยังไงมันก็ไม่มีทางที่จะข้ามมาอยู่ในโลกของกันและกันได้ แล้วผมอ่ะนะเพิ่งสอบเสร็จเลยโหลดเกมนี้แหละมาเล่นซะโต้รุ่ง จนนอนไม่พอเลยเป็นลมตกบันไดไป ก็น่าจะเสียชีวิตแหละครับไม่งั้นคงไม่โผล่มาที่นี่ได้ ทีนี้พอรู้สึกตัวอีกทีก็เจอท่านเทพธิดายืนต้อนรับอยู่ในกระท่อมแล้ว ออกมาเจอทุกคนที่คิดมาตลอดว่าเป็นแค่ตัวละครสองมิติเดินดุ๊กดิ๊กโผล่มาเซย์ไฮงี้ ท่านลองนึกภาพดิว่าถ้าท่านเป็นผม ท่านควรจะรู้สึกยังไงอ่ะ” หลังจากเล่าเสียน้ำไหลไฟดับจนสาแก่ใจแล้วผมฉุกคิดได้  “เดี๋ยว… ที่นี่มีอินเตอร์เน็ตด้วยเหรอครับ”
 
“มีแค่เฉพาะที่โรงแรมน่ะ ถึงหมู่บ้านฉันจะอยู่ห่างไกลความเจริญแต่เดี๋ยวนี้ก็ต้องติดไวไฟไว้บริการแขกที่มาพักเหมือนกัน”
 
“อ๋อ…” ผมพยักหน้าตาม ถือว่าทันสมัยใช่ย่อย ถ้าผมมีโอกาสได้กลับไปโลกเก่าผมคงจะต้องมองเกมนี้ใหม่ซะแล้ว แต่ตายมาขนาดนี้ละคงไม่ได้กลับแล้วล่ะ
 
ว่าแต่เสียงเมื่อกี๊ที่ดังมาจากข้างหลังนี่มันคุ้นๆนะ ไม่ใช่เสียงของเทพที่คุยกับผมอยู่นี่หว่า พลันเมื่อนึกได้ว่าเป็นเสียงใครผมก็หน้าซีดทันที
 
“ไอ้เหี้ย! อาคาริ!”
 
“…นั่นนายสบถหรือด่าฉันอยู่”
 
อันที่จริงสบถ แต่ด่าด้วยก็ได้ โผล่มาได้สยองหัวใจกูมาก หันกลับไปเจอมึงยืนพิงบันไดจ้องมาด้วยสีหน้าเหมือนอยากเอาจอบเฉาะสมองกูซะเหลือเกินเนี่ย ยังไม่รวมเรื่องที่ว่ามึงโผล่มาได้ยังไงอีก
 
“ทะ… ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่ได้อ่ะ” คือว่าเมื่อครู่นี้ผมนั่งหันหลังให้บันไดอยู่ เลยจะไม่เห็นหากมีใครคนอื่นปีนลงมา มัวแต่คุยกับท่านเทพอยู่ด้วยเลยยิ่งไม่ได้สนใจเข้าไปใหญ่ ไม่สิ… ใครจะไปคิดว่าจะมีคนบ้าลงเหมืองมาห้าสิบกว่าชั้นแบบกูเพิ่มมาอีกคน
 
แต่ดูเหมือนคำถามผมจะไปทวีความหงุดหงิดของอาคาริเข้าให้ หัวคิ้วที่ชนกันอยู่นั่นแทบจะผูกเป็นเงื่อนพิรอดได้แล้ว บ่งบอกได้ว่าคงพิโรธมากๆ “นายหายหัวไปเป็นวัน…”
 
“อ้าว” ผมยกนาฬิกาข้อมือดู เข็มนาฬิกาทั้งสองยังชี้อยู่ที่เดิมตั้งแต่ตอนที่ผมอยู่ชั้นแรก “อยู่ใต้เหมืองเวลามันหยุดเดินไม่ใช่หรอกเหรอ… เนี่ย” ว่าแล้วก็หันหน้าปัดนาฬิกาให้เจ้าตัวดูเป็นหลักฐาน
 
แป๊ะ
 
“โอ๊ย”
 
“เพ้อเจ้อ นาฬิกานายมันตายต่างหาก” แล้วอาคาริก็เอานาฬิกาข้อมือของเขาเข้ามาใกล้หน้าผมจนแทบจะทิ่มตา ผมหดมือกลับมาลูบหน้าผากส่วนที่โดนอีกฝ่ายยกมือตีพร้อมกับอ่านรายละเอียดบนหน้าปัดนาฬิกา
 
เออแฮะ… เข็มกระดิกตามปกติแถมวันที่ที่แสดงอยู่บนหน้าปัดยังเป็นวันถัดจากวันที่ผมเริ่มขุดเหมืองอีกต่างหาก
 
บ้าเรอะ ใช้มายังไม่ทันพ้นหนึ่งฤดูทำไมนาฬิกากูพังแล้วเนี่ย หรือถ้ามันไม่ใช่รุ่นทนแดดทนฝนแล้วเทพธิดาจะเอามาให้ผมทำไมทั้งๆที่รู้ว่าผมต้องมาเล่นบทชาวไร่สมบุกสมบันวะ… เอ๊ะ…
 
ผมหันขวับไปหาNPCที่เงียบมาตั้งแต่ผมหันไปเจออาคาริ ซึ่งน่าจะเป็นต้นเหตุทำลายนาฬิกาผม “ท่านเทพ นี่ท่านไม่ได้ลงทุนพังนาฬิกาผมใช่มั้ย”
 
เจ้าของผิวสีเงินยักไหล่อย่างดูท่าทางไม่ยี่หระนัก “นาฬิกานั่นได้มาจากพลังของเทพ ข้าเองก็เป็นเทพ ข้าก็เล่นตุกติกกับมันได้เช่นกัน ขืนเจ้ารู้เวล่ำเวลาเจ้าก็ต้องจากไปก่อนจะได้พบข้ามิใช่รึ”
 
ผมแทบจะหมดคำพูด “……ถึงได้บอกไงว่าขึ้นมาหาผมเองซะตั้งแต่แรกก็จบแล้ว”

TBC.

******
มีใครคิดว่ามุกในเรื่องนี้มันเก่าเกินไปมั้ย(......) บทสวดน้องเพทายไปหาฟังกันได้ในยูทูบค่ะ5555555

พรุ่งนี้ติดภารกิจ คืนนี้เลยมาแปะรวดสองตอนค่ะ /__\
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-05-2019 22:26:09 โดย Evilkun »

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0

ออฟไลน์ suikajang

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 813
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
ในที่สุดก็ตามมาทันน้องเพทายผจญภัย  :กอด1:  :pig4:

ออฟไลน์ Evilkun

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ตอนที่16 ・สวัสดีคนขี้งอน 
 เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย : ถ้าไม่ได้เอาของที่เกลียดไปให้ทุกวันยังไงค่าความรักก็ไม่ลดลงหรอก

หลังจากวุ่นวายกันอยู่ใต้เหมืองอีกสักพัก สุดท้ายท่านเทพพิทักษ์เหมืองคงจะรำคาญที่อุตส่าห์ลงทุนก่อบัคเพื่อลากผมลงมาหาแล้วแทบจะไม่ได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติม ก็เลยจัดการเตะส่งผมกับอาคาริกลับขึ้นมายังหน้าเหมืองเรียบร้อย
 
เอาเถอะ มันอาจเป็นอภินิหารอะไรสักอย่างผสมกับความบังเอิญขณะงัดแงะแปลงไฟล์ROMเกมของเจ้าของไฟล์ที่เอาเกมมาแจกลงเว็บไซต์ละมั้ง คิดไปก็เท่านั้น ยังไงก็หลุดเข้ามาแล้ว ทำอะไรไม่ได้นี่หว่า ปล่อยให้เหล่าเทพเขาไปถกเถียงกันเองแล้วกัน ผมไม่อยากหาสาเหตุเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ตัวเองปวดหัวมากกว่าเดิม อะไรก็ไม่รู้ นอกจากจะโดนหลอกให้เสียแรงเสียเวลาลงไปตั้งชั้นลึกๆไม่พอ ยังได้แร่กลับมาแค่น้อยนิด ซ้ำยังทำความลับแตกให้ตัวละครอื่นได้ยินอีกต่างหาก นี่ยังไม่กล้าถามอาคาริเลยเนี่ยว่าเขามาได้ยินตั้งแต่ตรงไหน
 
ดูเผินๆมันอาจไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนักหรอก แต่ผมว่าการมาได้ยินว่าตัวเองเป็นแค่NPCในสายตาคนอื่นเป็นผมคงมีพูดไม่ออกอยู่บ้างแหละ ตั้งแต่ขึ้นมาข้างบนทั้งผมและเขาก็ยังไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีกเลย สีหน้าหมอนั่นดูหงุดหงิดมากเสียจนผมกลัวว่าถ้าเริ่มเปิดปากเอ่ยอะไรออกไปแล้วเขาจะหันมากระซวกผมไส้แตกได้
 
ซึ่งบรรยากาศก็มาคุใช่ย่อย… ปกติเราก็ไม่ได้คุยอะไรกันเข้าขั้นฝอยน้ำลายแตกฟอง แต่ที่ผ่านมาความเงียบของเขาไม่เคยทำให้ผมอึดอัดขนาดนี้
 
เออ ก็เข้าใจว่าผมก็ผิดแหละ แต่… แต่… กูจะเริ่มขอโทษยังไงดี อันที่จริงจะหลงเหมืองลงไปสักกี่ชั้นหายหัวไปสักกี่วันมันก็เรื่องของกูไม่ใช่เหรอวะ แต่หันไปเห็นหน้ามันแล้วกูขอโทษก็ได้ ผมยังไม่อยากโดนจับถ่วงทะเลสาบตอนนี้
 
ผมได้แต่เดินเจี๋ยมเจี๊ยมอยู่ข้างอาคาริ พยายามหาจังหวะเหมาะๆเพื่อที่จะกล่าวขอโทษแต่ก็ยังไม่ใจกล้าพอจะชนกับบาร์เทนเดอร์ผู้โกรธกริ้วสักที จนกระทั่งถึงหน้าประตูด้านหลังฟาร์มแล้วอาคาริทำท่าจะเดินเลี้ยวจากไปทางอื่น ผมถึงได้รั้งเขาไว้
 
“เดี๋ยว”
 
เขาเหลือบมองชายเสื้อที่ถูกผมคว้าเอาไว้เล็กน้อยก่อนใช้พูดด้วยระดับเสียงที่แข็งกว่าปกติ “ฉันต้องไปทำงาน”
 
ตอแหล มึงเข้างานห้าโมง นี่ดวงอาทิตย์เพิ่งจะเลยหัวไปเอง อย่างมากก็บ่ายสองเหอะ งอนกันอยู่เห็นๆ เออ ง้อก็ง้อ
 
“ฉัน…ขอโทษ” ผมเงยหน้าจ้องเจ้าของนัยน์ตาสีฟ้า “ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง วันหลังฉันจะ… บอกเอาไว้ก่อน…”
 
“ยังจะลงไปอีก?”
 
เสียงดุเชียวนะมึง แต่เหมืองมันคือแหล่งหาเงินประจำเกมอีกแห่งนี่ ผมจะไม่ลงไปอีกได้ยังไง
 
“แหะๆ ก็คิดว่าหลังจากนี้ก็น่าจะมีธุระกับที่นั่นอีกอ่ะแหละ” ผมเม้มปาก “แต่… จะไม่เป็นแบบหนนี้อีกแล้ว ขอโทษน่า… นะ”
 
อาคาริไม่ตอบอะไรนอกจากจ้องผมกลับมา ผมได้แต่กระพริบตาปิ๊งๆทำท่าสำนึกผิด หายเถอะ กูยังไม่เคยง้อแฟน(เก่า)กูคนไหนถึงขนาดนี้เลยนะ
 
และแล้วผ่านไปครู่ใหญ่เจ้าตัวก็ถอนหายใจออกมาเสียยาวเหยียด
 
“ฉันเป็นห่วงนายจนแทบบ้า”
 
“ก็บอกว่าขอโทษ… อุ๊บ” ยังไม่ทันพูดให้จบดีผมก็ถูกอาคาริใช้มือข้างเดียวบีบแก้มเสียจนปากยู่ หลังจากนั้นผมก็ได้ฟังบทสวดจากอาคาริเป็นครั้งแรก
 
“ฉันกังวลแทบตายตอนลงไปลึกเท่าไหร่ก็หายังนายไม่เจอ กลัวว่าจะเจอนายเป็นอะไรอยู่ใต้นั้นด้วยซ้ำ แล้วหากเป็นอะไรขึ้นมาแบบที่ไม่มีใครลงไปพบเลยจะทำยังไง เก่งนักเหรอถึงได้ลงไปขนาดนั้นคนเดียว ขนาดคนที่คล่องแล้วยังต้องวางแผนกันเป็นวันก่อนจะลงไปชั้นลึกๆ ชาวบ้านชาวช่องเขาต้องพาคนอื่นมาด้วยตั้งหลายรอบกว่าจะกล้าลงบันไดไปคนเดียว แล้วนี่นายใจกล้ามาจากไหน เป็นมือใหม่ที่ยังใช้จอบไม่ชินมือด้วยซ้ำ”
 
ผมล่ะอยากจะเถียงว่าผมอยู่คนเดียวที่ไหน มีเทพพิทักษ์เหมืองอยู่ใต้นั้นไง ก็เจออยู่ด้วยกันไม่ใช่เหรอ
 
“นายเองก็ลงมาหาฉันคนเดียวนี่ เกิดฉันเป็นอะไรจริงๆขึ้นมานายจะช่วยได้เหรอ” ผมถามกลับด้วยน้ำเสียงอู้อี้
 
“……”
 
อาคารินิ่งไปเหมือนเพิ่งคิดได้ ชะงักปากที่ทำท่ากำลังจะบ่นต่อ การเทศนาจึงจบลงเพียงเท่านี้ ผมอาศัยจังหวะนั้นจับมือเขาที่บีบแก้มอยู่ออก ใช้สองมือของตัวเองประคองมือข้างนั้นของเขาไว้แล้วบีบนวดไปมา “เอาเป็นว่าต่อไปจะไปไม่นาน ถ้าเกิดจะลงไปเกินสิบชั้นจะบอกก่อน และถ้าหายไปเกิดห้าชั่วโมงก็ตามหาได้เลย โอเคมะ”
 
“ห้าชั้น สี่ชั่วโมง”
 
…… มันจะไปขุดหาเศษซากอะไรเจอวะ
 
“ก็ได้ๆ ทำตัวเป็นพ่อฉันไปได้” ผมก็ไม่วายเผลอบ่นอุบอิบออกมาจนโดนอาคาริเอามืออีกข้างที่ว่างเคาะหัว
 
“พยายามทำอะไรด้วยตัวเองมันก็ดี แต่ก็หัดเรียกหาคนอื่นบ้างสิ” น้ำเสียงที่ใช้กลับมาเรียบนิ่งตามปกติ แสดงว่าหายโกรธแล้ว ผมหยอกได้แล้วสินะ
 
“งั้นวันหลังเรียกนายได้ป่ะ” เรียกNPCบาร์เทนเดอร์มาช่วยขุดแร่ ผู้สร้างเกมต้องประนามผมแน่ๆ
 
“ปกติถึงไม่เรียกฉันก็มาหานายอยู่แล้ว”
 
เอ้อ… ผมหมายถึงแค่เรื่องนี้สิ แต่ที่พูดมามันก็จริงอ่ะนะ และคำพูดของอาคาริทำให้ผมนึกอะไรขึ้นมาได้
 
“นี่ ฉันถามหน่อย ถ้าสมมุติว่าระดับความชอบมีเจ็ดสีแบบสีรุ้ง แบบสีม่วงแปลว่ารู้สึกเฉยๆแค่คนรู้จัก สีฟ้าคือเพื่อน สีน้ำเงินคือสนิท สีเขียวคือเริ่มชอบอะไรงี้ แล้วไล่สีเพิ่มระดับความชอบไปเรื่อยๆจนถึงสีแดงที่แปลว่าอยากแต่งงานด้วย ตอนนี้นายชอบฉันประมาณสีไหนเหรอ” คำถามออกจะดูมั่นหน้าไปเสียหน่อย แต่ผมฟันธงแล้วล่ะว่าอาคาริต้องชอบผม ดูจากการกระทำหลายๆอย่างที่ผ่านมาของเขา รวมถึงครั้งนี้ยิ่งทำให้แน่ใจเข้าไปใหญ่
 
ในเกมวันเดอร์ฟาร์มหากเราเลือกเป็นตัวละครหญิงตอนเริ่มเกม อาคาริก็ถือเป็นNPCหนุ่มที่จีบได้อยู่หรอก ซึ่งตัวละครที่จีบได้จะมีสีหัวใจแสดงให้เห็นว่าเขารู้สึกกับเราถึงขั้นไหนแล้ว ทว่าพอตัวผมหลุดเข้ามาอยู่ในโลกนี้เอง ต่อให้เป็นชาวบ้านหนุ่มสาวคนไหนก็ไม่มีไอคอนหัวใจสีๆโผล่ขึ้นมาแบบตอนเล่นเกมเลย เพราะฉะนั้นถ้าคาใจก็ถามเอาแม่งสิครับ แม้ไม่แน่ใจว่าใครจีบใครกันแน่ก็เถอะ
 
อาคาริเงียบไปสักพัก ผมเดาว่าเขาคงกำลังคิดตามคำถามที่ผมถามออกไป จนกระทั่งสีหน้าครุ่นคิดก็เปลี่ยนไปในทางตกตะลึงแทน
 
“เดี๋ยว ฉันเคยพูดว่าฉันชอบนายรึไง”
 
ผมฟังแล้วก็ได้แต่ทำสายตาว่างเปล่ากลับไปให้
 
โหมึง ต่อให้ตีลังกากลับหัวใช้จมูกไต่หลังคาเล้าไก่แล้วหันหลังมองลงมาด้วยส้นตีนใครๆเขาก็ดูออกว่ามึงชอบกูครับ ถามมาได้ แต่อย่าให้ผมไปปีนหลังคาท่านั้นจริงๆนะ… ผมทำไม่ได้ แต่เอาเป็นว่าผมดูออกก็แล้วกัน
 
“ถึงฉันจะโง่เรื่องปลูกผัก เลี้ยงหมาหรือขุดเหมืองแต่ก็ไม่ได้แปลว่าฉันจะโง่ทุกเรื่องเว้ย”
 
คนตัวสูงกว่าทำท่าเลิกคิ้ว “โทษที… นายชอบทำหน้าเหมือนคนไม่ค่อยฉลาด ฉันเลยเผลอเหมารวมไป… โอ๊ย”
 
ผมจิกเล็บใส่ฝ่ามือของเขาที่ผมจับเอาไว้ก่อนจะเริ่มต้นโวยวายต่อ “ฉันก็เป็นผู้ชายนะเว้ย เคยจีบสาวมาเหมือนกันทำไมแค่นี้จะดูไม่ออก นายก็เองดูไม่ได้ปิดบังซักนิดป่ะเหอะ ป่านนี้แล้วทำมาเป็นตกใจ โหย”
 
อาคาริชักมือหนีจากการกอบกุมของผม เขาลูบบริเวณที่ถูกผมจิกแล้วค่อยอธิบายกลับมา “มันก็ใช่ แค่ฉันประหลาดใจที่นายดูมั่นใจไปเรียบร้อยแล้วว่าฉันชอบนาย”
 
“แล้วสรุปชอบไม่ชอบ”
 
“……”
 
“……”
 
“…อืม” ผ่านไปอึดใจหนึ่งสุดท้ายเขาก็ยอมรับออกมาเสียงแผ่ว
 
“หา?” พูดให้มันชัดๆเหมือนเวลาด่ากูสิวะ
 
“ชอบ”
 
“เออ แค่นี้ก็จบ” นี่มันยุคไหนแล้ว ชอบใครก็บอกไปชัดๆ เวลาไม่คอยท่า นี่กูก็เสียเวลาคิดไม่ตกเรื่องมึงเป็นวันๆแล้วมึงก็อย่ามาพิรี้พิไรมาก เสียเวลาทำมาหากิน
 
แต่ผมมาอยู่ในบ้านนอกวิถีสโลว์ไลฟ์แล้วผมยังจะมาห่วงเรื่องเวลาไปทำไมอีกเนี่ย
 
จากนั้นผมก็ได้ยินอาคาริพึมพำไล่สีของสายรุ้งอยู่อีกสองสามครั้ง เห็นเขาตั้งใจกับคำถามไร้สาระของผมแบบนี้แล้วก็ดูน่ารักดี ซึ่งผมก็จ้องเขาเพื่อลุ้นกับคำตอบของคำถามไร้สาระกับตัวเองด้วยเช่นกัน
 
“สีเขียวอ่อน”
 
ทำไมถึงเป็นเขียวอ่อน เขียวเฉยๆไม่ได้เรอะ
 
ขณะที่ผมกำลังเหม่อคิดหาที่มาของสีเขียวอ่อน คำถามจากเจ้าของเสียงทุ้มๆตรงหน้าก็ดังขึ้น “ไปเอาไอเดียเรื่องสีรุ้งมาจากเกมไหนอีกล่ะ”
 
อุ้ย
 
“ก็… เกมนี้นี่แหละ… แหะๆ” ผมได้แต่ตอบเสียงอ่อยๆ แปลว่าเขาได้ยินที่ผมคุยกับท่านเทพจริงด้วย
 
จบคำพูดของผมความเงียบก็เข้ามาครอบงำพวกเราอีกระลอก รอบข้างจึงมีแต่เสียงใบไม้ในป่าพริ้วไหวไปตามสายลมที่พัดผ่านมาและผ่านไป
 
“เอ่อ… ถ้านายมีอะไรอยากถาม… จะถามก็ได้นะ” ผมเริ่มเปิดบทสนทนาก่อน มาถึงขนาดนี้แล้วปิดบังไปก็เท่านั้น จะปิดต่อไปหรือจะเล่าให้ฟังยังไงชีวิตผมก็คงไม่พลิกผันมากไปกว่านี้แล้วล่ะ
 
“ฉันไม่ได้เข้าใจเรื่องที่พวกนายคุยกันขนาดนั้น ไม่รู้จะถามอะไร” อาคาริกล่าวเสียงเรียบๆพลางดึงแขนผมให้เดินเข้าฟาร์มไปด้วยกัน “ถ้านายอยากเล่าให้ฉันฟังตั้งแต่แรกนายก็คงเล่าไปนานแล้ว”
 
ผมได้ยินแล้วรีบละล่ำละลักตอบ “ฉันก็ไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังอะไรเว้ย จริงๆนะ… แต่คืออยู่ๆให้ฉันพูดใส่นายว่า ‘ฉันหลุดมาจากอีกโลกนะ ที่นี่คือเกมที่ฉันเคยเล่นแหละ พวกนายคือตัวละครในเกมที่ฉันเคยเล่นทั้งนั้น’ งี้เหรอ? มันเหลือเชื่อเกินไปมั้ยวะ ขืนพูดออกไปจริงนายไม่ต่อยฉันก็ได้หาว่าฉันสติไม่ดีแน่”
 
เขาตัดพ้อเรื่องนี้แค่ประโยคเดียว ทำไมกูถึงรู้สึกผิดยิ่งกว่าตอนที่โดนมันงอนเมื่อกี๊อีกเนี่ย
 
“เหรอ สำหรับนายที่นี่ก็คือเกมงั้นสินะ”
 
“ก็… ใช่… แต่ไม่เหมือนซะทีเดียวหรอก เซ็ทติ้งอะไรพวกนี้เหมือนกันก็จริงแต่นายกับชาวบ้านก็ดูมีความคิดเป็นของตัวเอง ฉันเลยไม่ค่อยรู้สึกว่าตัวเองอยู่ในเกมซักเท่าไหร่ เลิกคิดว่าตัวเองกำลังอยู่ในเกมมานานแล้วนะ” ผมเว้นจังหวะการพูดเล็กน้อย แอบชั่งใจว่าควรเล่าดีรึเปล่า แต่สุดท้ายก็เอ่ยต่อ “ยกเว้นเวลาเริ่มทำอะไรใหม่ๆนี่ล่ะ ที่ฉันเอาบทสรุปเกมมาอ้างอิง ซึ่งก็ไม่ค่อยรอดอ่ะนะ…”
 
“อ๋อ ที่ชอบทำอะไรโง่ๆเพราะเอาตรรกะจากตอนเล่นเกมมาใช้? ที่ลงเหมืองไปก็ด้วยสินะ”
 
“ใช่ ช่วยอย่าย้ำคำว่าโง่ได้มะ” ผมทำหน้างอใส่ แต่ไอ้บารเทนเดอร์ดันยิ้มบางๆกลับมาให้ เห็นเขาดูไม่ค่อยติดใจอะไรกับประเด็นนี้มากนักผมก็โล่งใจขึ้นเยอะ ทว่าจู่ๆอีกฝ่ายก็หยุดเดินทำให้ผมต้องชะงักฝีเท้าตาม ทั้งที่อีกนิดเดียวก็ใกล้จะถึงบ้านผมแล้ว
 
อาคาริหันตัวมาประจันหน้ากับผม สีหน้าเขากลับมาซีเรียสอีกครั้ง “แล้วที่นายพูดว่าตัวเอง…… ตายแล้วนั่นน่ะ จริงเหรอ”
 
ผมฟังคำถามแล้วได้แต่หลุบตาลง “อ่า…เอาความจริงก็คือไม่รู้เหมือนกัน ความทรงจำสุดท้ายของฉันคือตกบันไดหัวกระแทก พอลืมตาก็มาอยู่ที่นี่้เรียบร้อยแล้ว… เลยคิดว่ามีความเป็นไปได้ที่จะตายแล้วนั่นแหละ” 
 
ผมรู้สึกทนไม่ได้กับสายตาของเขาที่จ้องมาเลยพยายามพูดต่อให้ติดตลก “แต่ก่อนตกบันไดฉันดันนั่งหน้าจอเกมแล้วพูดว่าถ้าชาติหน้ามีจริงขอมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ก็เลยได้มาโผล่ที่นี้มั้ง”
 
อาคาริไม่ได้ถามอะไรต่ออีก เขาจับมือผมเดินต่อ ผมผู้ยังเดาอารมณ์ตอนนี้ของอาคาริไม่ค่อยถูกจึงไม่กล้าจะทักท้วงอะไร ได้แต่ปล่อยให้อีกฝ่ายจับมือพาเดินไปจนถึงหน้ากระท่อม พอจะชวนอาคาริเข้ามานั่งพัก เจ้าตัวก็ดันทำสีหน้าประหลาดเสียจนผมสงสัยว่าตัวเองพูดอะไรผิดไป
 
“เดี๋ยวฉันต้องไปทำงาน”
 
“อ้าว ใกล้เวลาแล้วเหรอ” ผมไม่รู้ว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว นาฬิกาข้อมือผมยังเจ๊งอยู่เลย เทพพิทักษ์เหมืองลืมซ่อมคืนให้ก่อนส่งผมกลับขึ้นมา น่าโมโหมั้ยล่ะครับ
 
“อันที่จริงก็มีเวลาอีกหน่อย แต่เพิ่งลงไปใต้ดินมาฉันเลยอยากกลับไปอาบน้ำอีกรอบ”
 
ผมครางอ๋อในลำคอ เขาก็ดูไม่ได้เลอะเทอะเปรอะเปื้อนอะไรมาก… แน่ล่ะ หมอนี่แค่ปีนบันไดเฉยๆเองนี่หว่า ไม่ได้ลงไปกลิ้งเกลือกขุดดินแบบผม แต่งานเขาเกี่ยวกับอาหารควรทำตัวให้สะอาดสะอ้านจึงพอเข้าใจได้อยู่
 
“‘อ๋อ งั้นก็ตั้งใจทำงานล่ะ” ผมส่งยิ้มให้อาคาริ แต่อีกฝ่ายดันทำหน้าไม่สบอารมณ์กลับมาแทน
 
“…นายเนี่ยนะ”
 
“หือ?” 
 
“ให้ตายสิ” 
 
กูทำไมอีกล่ะคราวนี้ ผมไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร่ก็เลยได้แต่ส่งสายตางงงวยใส่อีกฝ่าย
 
“…ไม่มีอะไรจะคุยกับฉันต่อเหรอ”
 
ผมเลิกคิ้ว “คุยอะไรอ่ะ?”
 
“เรื่องเมื่อกี๊”
 
“เรื่องไหนล่ะ” เมื่อกี๊ก็คุยกันไปตั้งหลายเรื่อง
 
“……”
 
“……”
 
“ช่างเถอะ ฉันไปละ”
 
“อ้าว เดี๋ยวดิ” ผมกระโจนไปคว้าตัวอาคาริที่กำลังกลับหลังหันออกไปทางประตูหน้าฟาร์ม “นายงอนอะไรฉันอีกเนี่ย” ไม่เจอหน้ากันวันเดียวขี้งอนขึ้นเยอะเลยนะเรา
 
“ไม่ได้งอน”
 
“งอนอยู่ชัดๆ!”
 
“ถ้านายจะว่างั้นก็เอางั้นก็ได้” จะงอนหรือจะกวนตีนเลือกสักอย่างสิวะ
 
“แล้วสรุปงอนอะไร” ผมล็อคแขนเขาไว้ ไหนๆก็คุยแล้วมันควรเคลียร์ให้มันจบๆทุกเรื่องทีเดียวสิ “ตัวก็โตชิบหาย ขี้งอนไปได้”
 
อาคาริมุ่นคิ้วแล้วจ้องผมกลับ ผมรู้สึกว่าวันนี้ผ่านไปไม่ถึงวันแต่ผมกลับได้เห็นหลากหลายสีหน้าของเขาเหลือเกิน
 
“ก็น่าเคืองไหมล่ะ”
 
“หา… ก็ขอโทษเคลียร์กันไปแล้วนี่”
 
“ไม่ใช่เรื่องเหมือง”
 
“แล้วเรื่องไหน?”
 
นัยน์ตาสีฟ้ากลอกไปมาให้ผมดูสองสามที ก่อนที่ตัวเจ้าของจะเอ่ยตัดบท “โทษที ฉันงี่เง่าไปเอง”
 
อ้าว กูยังไม่รู้ว่ามึงโกรธอะไรมึงก็หายโกรธแล้วขอโทษกูแทนแล้ว ช้าก่อนสิ ยังตามไม่ทันเลย
 
“สรุปว่านายโกรธอะไร บอกมาเหอะน่า คราวหลังฉันจะได้ไม่ทำอีกไง”
 
“นายกำลังทำตัวเป็นแฟนฉันอยู่รึไง”
 
“หา?” คราวนี้ผมได้แต่ทำหน้าโง่ยิ่งกว่าเดิม ไหงมันกลายมาเป็นเรื่องนี้ได้ล่ะ
 
“นายมาเค้นให้ฉันบอกว่าชอบนาย แล้วเมื่อนายได้ยินจนพอใจแล้วนายก็ทำตัวราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งที่ก็รู้ไปแล้วว่าฉันชอบนาย” ไม่ว่าเปล่า เขาเอามือข้างที่เป็นอิสระมาดึงแก้มผมซ้ำด้วย “นายคิดว่ามันน่าโมโหไหมล่ะ”
 
ผมยืนเอ๋อปล่อยให้แก้มถูกดึงจนยืด รู้สึกเหมือนเครื่องแฮงค์เฉียบพลัน
 
“ก็แล้ว… ฉันต้องทำยังไงต่ออ่ะ?”
 
“ทีก่อนหน้าทำมาอวดว่าฉลาด คิดเอาเองสิ” จบประโยคเขาก็ย้ายมือขึ้นมาดีดหน้าผากผมดังเป๊าะ “ถ้ายังคิดเองไม่ได้อีกฉันก็ขอเปลี่ยนหัวใจกลับไปเป็นสีน้ำเงินแล้วกัน” เมื่อพูดเสร็จอาคาริก็บิดแขนออกจากการเกาะกุมของผมแล้วก็จะเดินจากไป
 
ผมลูบศีรษะบริเวณที่โดนดีดป้อยๆ สรุปก็ยังงอนกันอยู่นี่หว่า ว่าแต่หมอนั่นต้องการอะไรกันแน่วะ 
 
แล้วมันขอเปลี่ยนสีหัวใจกันงี้ได้ด้วยเรอะ สรุปว่าผมโง่เขาเลยจะไม่ชอบแล้วอย่างงั้นเหรอ…
 
ไม่ได้นะ!
 
Akari’s Side
 
ผมไม่ได้โกรธเขาขนาดนั้น ค่อนไปทางเคืองเสียงมากกว่า
 
หลังจากโดนบังคับให้สารภาพรักออกไป จังหวะที่ลุ้นให้อีกฝ่ายพูดอะไรสักอย่างกลับมาหมอนั่นก็เอาแต่เงียบจนผมทนไม่ไหวต้องชวนคุยเปลี่ยนเรื่อง
 
ผมมักจะถูกพูดใส่อยู่บ่อยๆว่าดูเป็นคนเย็นชา ไร้อารมณ์ หน้าตาย หรืออะไรประมาณนั้น แต่ใช่ว่าภายนอกผมจะดูนิ่งแล้วข้างในผมจะร้อนรนไม่เป็นสักหน่อย
 
ก็เห็นๆกันอยู่ ขาดสติปีนเหมืองตามลงไปหาเขาตั้งห้าสิบชั้นทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้เตรียมตัวอะไรไปเลย
 
ขณะที่กำลังบอกชอบออกไป รู้สึกได้เลยว่าหัวใจตัวเองมันเต้นดังแค่ไหน แล้วหลังจากนั้นมันก็ค่อยๆฝ่อลงเรื่อยๆเมื่ออีกฝ่ายไม่พูดถึงมันอีก… แถมยังทำตัวตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เห็นสีหน้ากับน้ำเสียงแบบไม่คิดอะไรมากตอนชวนเข้าบ้านของเจ้าแมวโง่นั่นทำเอาเส้นประสาทในสมองผมลั่นเปรี๊ยะ บวกกับที่ทำเรื่องเหมืองให้ผมโมโหเอาไว้ก่อนอีก เวลานั้นผมรู้ตัวเลยว่าถ้าไม่พาตัวเองออกมาจากที่นั่นให้เร็วที่สุด มีหวังได้เข้าไปจับหมอนั่นเขย่าแรงๆแล้วตะโกนใส่หน้าแน่ๆ
 
ก็รู้ว่าครั้งนี้ผมออกอาการงี่เง่าไปพอสมควร ไม่สมกับเป็นตัวเองสักนิด มีเรื่องไม่พอใจทว่ากลับไม่พูดออกไปตรงๆ กลับไปทำตัวพาลใส่อีกฝ่ายเสียได้
 
ผมไม่กล้าแม้แต่จะท้วงถามหาคำตอบจากเขา ด้วยหลังจากได้ยินความจริงว่าเจ้าเด็กนั่นมาที่นี่ได้ยังไง และตัวเองเป็นแค่อะไรในสายตาอีกฝ่ายมันก็ทำเอานิสัยพูดตรงๆของตัวเองมุดหายไปซ่อนตัวอยู่ในหลืบไหนสักหลืบของร่างกาย แม้จะอยากรู้แต่ก็กลัวคำตอบจะเป็นไปในทางที่เลวร้าย… 
 
ส่วนตัวแล้วผมไม่ได้คิดมากเรื่องที่ถูกมองว่าเป็นตัวละครในเกมอะไรขนาดนั้น ทว่าหากเรื่องนี้ก็มีโอกาสเป็นสาเหตุที่ทำให้อีกฝ่ายปฏิเสธผมได้ ซึ่งทุกอย่างก็คงจบเห่ เมื่อความกลัวเข้าครอบงำก็ทำได้เพียงแค่หงุดหงิดใส่เจ้าตัวโดยไม่บอกสาเหตุก่อนจะหนีออกมา
 
งานช่วงเย็นวันนั้นผมทำพยายามทำตัวเองให้ยุ่งเพื่อที่จะได้ไม่ฟุ้งซ่าน ขอบคุณตัวเองที่เป็นคนหน้านิ่ง ต่อให้ภายในรวนแค่ไหนก็ไม่ค่อยมีคนสังเกตเห็นเท่าไหร่
 
จนกระทั่งเลิกงานกะดึกผมจึงกลับมานั่งจิตตกกับตัวเองอีกรอบ พอเวลาผ่านไปสักระยะจนตกผลึกความคิดได้แล้ว ก็เกิดความกระวนกระวายว่าเมื่อบ่ายผมงี่เง่าเกินไปไหม แม้พยายามคิดปลอบใจตัวเองกว่าถือเสียว่าให้เวลาเขาคิดไตร่ตรองไปในตัวด้วย… ก็ยังไม่รู้สึกดีขึ้นเท่าไหร่ ไม่รู้พอเขาใช้เวลาคิดให้ดีแล้วคำตอบมันจะแย่กว่าเดิมรึเปล่าอีก
 
หรือผมควรจะนึกเสียใจที่ดันพูดออกไปกันแน่
 
ตอนเลิกกับหลินยังไม่เห็นต้องมานอนก่ายหน้าผากคิดมากขนาดนี้ เจ้าหมอนั่นโผล่มาเพื่อทำชีวิตผมวุ่นวายเสียจริง
 
แต่เหมือนเทพอะไรต่างๆที่สถิตย์อยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้จะไม่อยากให้ผมเป็นทุกข์แบบสงบๆนานนัก วันต่อมาขณะที่ผมทำงานกะเช้าที่คาเฟ่ ณ เวลาใกล้เลิกงานเจ้าแมวต้นเหตุของปัญหาหนักใจก็โผล่มาตะโกนเรียกผมเสียลั่นร้าน
 
“อาคาริ ไปตกปลากัน!”
 
ทำไมผมถึงไปหลงชอบมนุษย์น่าโมโหแบบนี้ได้วะ
 
TBC.

 ******
กลับตัวตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วอาคาริเอ๊ย

ช่วงหลังๆสองคนนี้จะคุยกันเยอะหน่อยค่ะ ปรับจูนวัฒนธรรมต่างโลก------
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-05-2019 21:00:20 โดย Evilkun »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ suikajang

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 813
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
ทำใจเถอะอาคาริ  :m20:  :pig4:

ออฟไลน์ Evilkun

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ตอนที่17 ・สวัสดีชายทะเล

 เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย : เมื่อฤดูกาลเปลี่ยนผัน ปลาที่ตกได้ก็จะแตกต่างสายพันธุ์กันไป

 

ผมเดินงงๆกลับเข้ามาในตัวบ้าน หยุดทักทายลูกสุนัขพันธุ์คอลลี่ที่เมื่อได้ยินเสียงผมก็เห่าแบ๊กๆวิ่งมาพันแข้งพันขา รวมถึงดีดดิ้นไปมาอย่างดีใจราวกับว่าเจ้านายที่หายหน้าหายตาไปสี่ปีได้กลับมาหามันอีกครั้ง

มนุษย์ผู้กลัวสุนัขแต่อยู่ร่วมกับลูกสุนัขมาร่วมพักใหญ่จึงพอจะละลายพฤติกรรมหวาดกลัวสุนัขไปพอสมควรแล้วอย่างผม ก็ได้แต่นึกมันเขี้ยวลงไปนั่งยองๆขยี้ขนฟูฟ่องของเจ้าหมาเล่น 

“คิดถึงฉันขนาดนั้นเลยเหรอ เวอร์จริงนะแก…” ผมชะงักเมื่อคิดได้ว่าในเมื่อผมหายหัวไปเป็นวัน งั้นเมื่อเช้าเจ้าก็อตซิลล่าก็ยังไม่ได้กินข้าวน่ะสิ พลันก็เหลือบไปเห็นชามข้าวที่มีเศษอาหารที่ถูกกินเหลือไว้ กับท่าทีของเจ้าก้อนขนนี่ที่วิ่งๆโดดๆรอบตัวผมอย่างคึกคัก ไร้ซึ่งท่าทางหิวโหย ท่าทางดูเหมือนมีคนให้ข้าวกินแล้วเรียบร้อย

อ๋อ… คนช่วยให้อาหารเจ้านี่ก็คงจะเป็นคนเดียวกับคนที่บุกมาลากตัวผมกลับขึ้นมาเหมืองนั่นล่ะ

ว่าแล้วผมก็เผลอถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง

คือตอนนั้นคิดน้อยไปหน่อย ยอมรับผิดก็ได้ครับ บอกตรงๆว่ามัวแต่กังวลเรื่องทะลุมิติที่โป๊ะแตกไปอ่ะ เลยเผลอมองเรื่องของอาคาริเป็นเรื่องเล็กกว่า อีกอย่างแต่แรกก็มั่นอกมั่นใจอยู่แล้วว่ายังไงหมอนั่นต้องชอบผมแน่นอน มั่นหน้าในระดับที่ว่าหากหมอนั่นปฏิเสธออกมาผมคงหน้าแตกละเอียดเป็นฝุ่นPM2.5ปลิวเข้าปอดมันไปเลย โธ่เอ๊ย ก็แสดงออกเสียชัดขนาดนั้น ดังนั้นพอคำตอบมันออกมาว่าใช่ดังที่คาดไว้ ปฏิกิริยาของผมมันก็เลย……เอ่อ นิ่งเกินควรไปนิดนึง…

ผมก็กลับไม่ได้นึกถึงความรู้สึกของฝ่ายที่ถูกบังคับให้พูดเท่าไหร่ คิดตามแล้วหากตัวเองเป็นอาคาริก็คงเสียเซลฟ์น่าดู บอกชอบออกมาแล้วผลตอบรับดันเงียบกริบ น่าสงสารฉิบหาย นี่กูทำอะไรลงไปวะเนี่ย เฮ้ย แต่ผมก็แค่หยุดงงแป๊บเดียวเองนะ คนที่ไม่อธิบายอะไรต่อแล้วชวนเปลี่ยนเรื่องไปก่อนคือหมอนั่นต่างหาก ถ้าอาคาริพูดหรือถามเกี่ยวกับเรื่องนั้นต่ออีกสักหน่อยผมก็มีคำตอบให้อยู่แล้วแหละน่า แต่น่าเสียดายที่ผมดันลืมไปว่าอาคาริแม่งเป็นมนุษย์ช่างประหยัดคำพูด นั่นก็โทษผมไม่ได้นะ วันนี้อาคาริเล่นสวดผมเสียยาวเหยียดเลยนี่

พอกลับมานั่งคิดแล้วก็ชักเคือง หากอยากได้คำตอบเรื่องนั้นก็ถามมาสิวะ ไม่เห็นต้องโวยกันเลยนี่หว่า มีอะไรทำไมถึงไม่ยอมพูดตรงๆ คนเริ่มหัวข้อสนทนาใหม่มันใช่ผมเสียที่ไหนกัน

พออารมณ์เสียแล้วผมก็เผลอออกแรงขยำขนลูกสุนัขผู้โชคร้ายจนเจ้าหมาส่งเสียงงี้ดๆประท้วงขึ้นมา ผมที่นั่งเหม่อลูบขนมันอยู่ถึงได้รู้ตัวก่อนจะลูบปลอบขอโทษก็อตซิลล่าน้อยไป อ๊ากก ไม่ อย่าปีนมาเลียหน้าเซ่ ยังใกล้ชิดระดับรับน้ำลายไม่ไหวนะ ม่ายยย

กว่าจะแงะลูกหมาที่ตัวโตขึ้นมาจากครั้งแรกที่เจอกันออกจากหน้าได้คางผมก็แทบแฉะ หลังจากผมถูกเจ้าหมาน้อยเบี่ยงเบนความสนใจจากเรื่องอาคาริไป จึงตัดสินใจช่างแม่งเรื่องนั้นไปก่อนแล้วพาสังขารตัวเองย้อนออกไปจัดการงานในฟาร์มให้เรียบร้อย 

“โอ๊ะ สวัสดีครับคุณเจมส์” ขณะที่ผมกำลังเด็ดผลแตงกวาในแปลงก็เป็นเวลาที่คุณเจมส์มารับของขายในฟาร์มพอดี

“สายัณห์สวัสดิ์ โอ้โห วันนี้มาเป็นแร่เลย ไปลงเหมืองมาเหรอ”

“แหะๆ”

“ฮ่าๆๆ ดีแล้ว เกิดเป็นผู้ชายก็ต้องลองทำอะไรหลายๆอย่าง ชีวิตจะได้มีสีสัน แต่ยังไงก็ระวังตัวด้วยล่ะ”

“ขอบคุณครับ” ผมรับคำ ว่าแล้วก็ส่งแตงกวากองที่เพิ่งเด็ดได้ให้พ่อค้าคนกลางไปด้วย

“เอ้อ พรุ่งนี้ถ้ามีเวลาก็มาที่บ้านหน่อย ฉันมีของจะให้”

“!!” 

เบ็ดตกปลาแน่!! อีเว้นท์ไอเทมกับคุณเจมส์ก็มีแค่เบ็ดตกปลาเท่านั้นล่ะ!

ผมทำเป็นปั้นหน้าสงสัยพลางพยักหน้า พยายามอย่างมากไม่ให้ตัวเองเผลอตะโกนว่า ‘เยส!’ ออกไป

การตกปลาก็ถือเป็นอีกความสนุกของเกมนี้เชียวนะ ผมค่อยข้างชอบกิจกรรมนี้ทีเดียว ถึงแม่งจะเสียเวลาทำมาหากินฉิบหายเลยก็เถอะ

หลังจากบอกลาคุณเจมส์ที่มารับของไปขายก็กลับเข้าบ้านมากินแซนด์วิชก้นกระเป๋าแล้วก็อาบน้ำพาร่างกายที่ไปสิงสู่อยู่ใต้เหมืองข้ามคืนเข้านอนทันที

เตียงจ๋า~

 

•••••

 

เมื่อพักผ่อนเต็มที่ร่วมสิบกว่าชั่วโมง ตื่นเช้ามาก็สดชื่นแจ่มใส สมองแล่น อารมณ์ดี มีไอเดียไปง้อคน

ปล่อยไว้นานไม่ได้เดี๋ยวหมอนั่นเลิกชอบขึ้นมาทำไง

หากอาคาริจะเลิกชอบแล้วผมต้องแคร์เหรอ...? ก็ต้องแคร์ดิวะ แคร์แล้วไงต่อ ก็ต้องไปง้อมันอ่ะดิ เนื่องในความผิดที่โง่ตามมันไม่ทัน ความผิดที่ไหลตามน้ำตอนมันชวนเปลี่ยนเรื่อง หรือจะความผิดอะไรก็แล้วแต่ ผมไม่รู้หรอก ไม่สนใจด้วย

ก็แค่อยากอยู่ด้วยกันต่อถึงได้ไปง้อเท่านั้น

เอาของที่ชอบไปให้จะหายมั้ย ตามบทสรุปเกมเขียนว่าอาคาริชื่นชอบผลไม้ทุกชนิด จากที่พบเจอตัวเป็นๆมาหมอนั่นก็คงชอบจริงแหละ แต่มันจะไปต่างอะไรกับที่กูช่วยมันเด็ดบลูเบอร์รี่อยู่ทุกวันนี้เนี่ย หรือเพราะผมเด็ดบลูเบอร์รี่ส่งให้มันทุกวี่ทุกวัน ค่าความรักมันเลยกระฉูดแบบไม่ทันตั้งตัวจนกลายเป็นถูกคู่แข่งจีบสาวมาหลงรักซะเอง เออ อาจเป็นไปได้

ไม่สิ ผมควรเลิกเล่นมุกเกมๆใส่คนในหมู่บ้านได้แล้ว

ผมใช้เวลาช่วงเช้าทำงานในฟาร์มไปพลาง ร่ายแผนการณ์ง้อบาร์เทนเดอร์ไปพลาง เนื่องจากใกล้สิ้นสุดฤดูกาล ช่วงนี้พอเก็บเกี่ยวพืชผักชุดสุดท้ายไปเมื่อวานแล้วผมจึงไม่ได้หว่านเมล็ดปลูกเพิ่ม พอไม่มีงานในแปลงผักผมก็มีเวลาเหลือเฟือ ดังนั้นจึงสามารถเข้าไปในตัวหมู่บ้านได้ตั้งแต่ช่วงสายของวัน หมายแวะร้านตีเหล็กเพื่อเอาอุปกรณ์ทำสวนไปตีบวกด้วย

คุณเฮลฟ์ช่างเจ้าของร้านเป็นคุณลุงหนวดเข้มคิ้วดก ตัวใหญ่กล้ามฟิตเป็นบ้า ผมไม่ค่อยสนิทกับคุณเฮลฟ์มากนัก เคยทักทายเขาตอนที่เจอกันที่บาร์สามสี่ครั้งได้ ดูเหมือนคุณเฮลฟ์แกน่าจะชอบคุยกับคุณไบรอันที่วัยไล่เลี่ยกันมากกว่าคนหนุ่มสาวอย่างพวกผมที่มักจะไปนั่งกองกันแถวๆจุดที่อาคาริประจำอยู่

“นี่ไปลงเหมืองหาแร่มาเองเลยรึ ใจกล้าไม่เบานี่เอ็ง” คุณเฮลฟ์กล่าวอย่างชอบใจเมื่อได้ฟังว่าผมได้แร่พวกนี้มาจากไหน

เห็นมั้ยว่าทุกคนชื่นชมที่ผมไปขุดเหมือง มีแต่อาคารินั่นแหละที่ด่า!

“แต่วันหลังเอามาพร้อมแร่เงินเลยนะ ทองแดงมันกระจอก ทำง่าย ทำเสร็จแล้วข้าจะได้ชุบเงินต่อให้” 

“อ้าว” ผมเหวอ ความล้ำเกินระบบเกมของโลกนี้ยังมีมาให้ผมประหลาดใจเสมอ… แถมแร่เงินที่ผมหามาได้ก็เอาให้คุณเจมส์ไปขายต่อหมดแล้ว รู้งี้เก็บไว้สักก้อนสองก้อนก็ดีหรอก โธ่เอ๊ย

“ไม่ได้เอามาเรอะ วุ้ย ไอ้หน้าไหนมันอุตส่าห์สอนแล้วบอกเอ็งไม่ครบวะ สมัยนี้เขาไม่ใช้ทองแดงกันแล้ว” คุณเฮลฟ์บ่นเสียงดัง พูดจาดุดันตามประสาคนเป็นช่างฝีมือ ซึ่งผมชินมาจากช่างก่อสร้างที่บ้านแล้วจึงไม่ได้ สะดุ้งตกใจอะไร “งั้นเดี๋ยวข้าตีเครื่องมือให้เอ็งสามอันเลย เอามาๆ”

ถ้ามันกากขนาดทำทีเดียวสามชิ้นได้งั้นแต่ก่อนคุณตีให้ผมทีละชิ้นไปทำไม!

ผมล่ะอยากจะกดลบข้อมูลเกมในสมองตัวเองทิ้งเหลือเกิน

หลังจากตกลงกันเสร็จสิ้น สรุปว่าคุณเฮลฟ์จะช่วยตีบวกจอบ ขวานกับบัวรดน้ำทองแดงให้ผมไปพร้อมกันทีเดียว และผมต้องฝากอุปกรณ์ไว้กับคุณเฮลฟ์สองวันโดยห้ามไปรบกวนร้านตีเหล็กเด็ดขาด

ดังนั้นแล้วผมจะไม่มีอุปกรณ์ทำสวนจนถึงวันมะรืน แต่ไม่เป็นไรหรอก เพราะหลังจากนี้ผมจะไปเอาอุปกรณ์ฆ่าเวลา… แค่ก เบ็ดตกปลาที่บ้านของคุณเจมส์ยังไงล่ะ จากนั้นก็ค่อยไปง้ออาคาริต่อ เมื่ออาคาริหายงอนแล้วหมอนั่นก็จะแล่ปลาให้ผมได้

แล้วทีนี้ผมก็จะหาซาชิมิที่ดีเหมือนฝันกินได้ทุกเวลา สุดยอดไปเลย!

ตั้งแต่หลุดมาอยู่ในโลกนี้ผมก็เพิ่งจะได้มาเหยียบทะเลนี่ล่ะ ซึ่งความจริงตามเนื้อเรื่องแล้ว มันควรจะเป็นสถานที่แรกของหมู่บ้านที่ตัวละครเราเหยียบเลยต่างหาก เอาเป็นว่าช่างเถอะ ที่แน่ๆระหว่างเดินมาผมพบว่าอากาศในหมู่บ้านร้อนกว่าบนเขาพอสมควร ยิ่งวันนี้ฟ้าโปร่ง แดดเปรี้ยงเข้าขั้นกว่าจะถึงทะเลก็ทำเอาเหงื่อซ่กเลยทีเดียว แต่เพราะยังไม่พ้นฤดูใบไม้ผลิดีจึงพอจะมีลมเย็นๆพัดผ่านให้รู้สึกดีอยู่บ้าง แต่นี่ขนาดยังไม่พ้นฤดูใบไม้ผลินะ ไม่อยากจะคิดถึงหน้าร้อนเลย ผมว่าต้องร้อนเชี่ยๆไม่แพ้ประเทศที่เคยอยู่แน่นอนอ่ะ

แต่ทะเลที่นี้น้ำใสแจ๋วเลย หาดทรายก็ขาวละเอียด ผมเห็นแล้วถึงกับร้องโอ้โห เสียงคลื่นกระทบฝั่งซัดสาดเป็นจังหวะตามการพัดพาของลมทะเลราวกับเรียกร้องให้ผมก้าวลงไปสัมผัสน้ำใสๆนั่น ถ้าไม่ติดว่ามีสถานที่จะต้องไปต่อคงจะกระโดดลงไปว่ายน้ำเล่นให้สะใจไปแล้ว น่าเสียดายนิดหน่อย

อีเว้นท์รับเบ็ดตกปลาจากคุณเจมส์ผ่านไปด้วยดี ซึ่งก็ควรมาเอาได้ตั้งนานแล้วแต่เพราะอยู่แต่บนเขาเลยไม่ได้มาทะเลสักที แถวนี้ไม่ค่อยมีไอเทมให้เก็บไปขายด้วยเลยไม่ค่อยมีธุระแถวนี้เท่าไหร่ ทำไมคุณเจมส์ถึงไม่รับซื้อเปลือกหอยครับ

พอเดินควงเบ็ดตกปลาออกมาจากบ้านคุณเจมส์เวลาก็ล่วงเลยเข้าสู่เที่ยงวันพอดี และสถานที่ที่ผมจะไปฝากท้องก็เป็นที่ไหนไปไม่ได้นอกจากคาเฟ่ของโรงแรม อยู่ใกล้ทะเลไม่พอ เหยื่อ… เอ๊ย เป้าหมายที่ผมต้องไปง้อก็ยังทำงานอยู่ที่นั่นด้วย

“อาคาริ ไปตกปลากัน!” ผมตะโกนเรียกอาคาริแทบจะทันทีที่สอดส่องสายตาเจอหมอนั่นยืนเสิร์ฟอาหารให้โต๊ะลูกค้ากลุ่มสมาคมแม่บ้านประจำเมืองอยู่ เขาหันมาตามเสียงเรียกและเอ่ยกลับมาด้วยน้ำเสียบราบเรียบราวกับย้อนกลับไปในวันแรกที่เจอกัน

“หนึ่งท่านนะครับ”

“คุณเจมส์ให้เบ็ดตกปลามาล่ะ เสร็จงานแล้วไปตกปลากันมะ?” ผมผู้หน้าด้านพอก็ยังคงเอ่ยปากชวนต่อเมื่อหย่อนก้นลงนั่งที่โต๊ะตรงเคาท์เตอร์บาร์

“เมนูพิเศษประจำวันนี้เป็นสลัดแซลมอนรมควันครับ” บริกรหน้าตึงก็ยังคงโต้ตอบเพียงประโยคตามหน้าที่กลับมาเท่านั้น

“เอาสปาเก็ตตี้มีทซอสกับน้ำเปล่า เดี๋ยวบ่ายโมงก็เลิกงานแล้วนี่ งั้นฉันรอนะ” ให้ความรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นหนุ่มขี้ตื๊อที่ดันทุรังจีบสาวที่เขาไม่เอาเรายังไงก็ไม่รู้แฮะ แต่ผมก็ยังชวนอาคาริทุกรอบที่มีโอกาสเรียกเขาเข้ามาที่โต๊ะ และเจ้าคนหยิ่งก็เอาแต่พูดจาภาษาเด็กเสิร์ฟกลับมา จนกระทั่งเขาเลิกงานนั่นล่ะ ผมเลยไปยืนดักที่ทางออก

“ไปตกปลากัน น้าา” ผมงัดไม้ตายส่งสายตาปิ๊งๆให้ ถ้าเราคิดว่าตัวเองน่ารักมันก็จะน่ารักครับ แล้วคนอื่นก็จะมองเราน่ารักตามไปเอง

“ถอย”

ไม่ได้ผลว่ะ…

ผมคอตก เหลือบตาขึ้นมองอีกฝ่ายที่ตั้งแต่เจอกันก็เอาแต่ตีสีหน้าเรียบเฉยใส่ “นี่ฉันง้อนายอยู่นะ”

“ที่ทำอยู่บ้านนายเรียกง้อเหรอ”

“ใช่”

“……” เพราะผมไม่ยอมเปิดทางให้ อาคาริจึงพยายามไล่ผมอีกครั้ง “หลบ”

ผมยังคงไม่ยอมแพ้ “ฉันอยากคุยเรื่องเมื่อวานต่อด้วย”

ผมว่าผมเห็นองศาของคิ้วของอาคาริขยับเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ เลยลองตื๊อต่ออีกนิด “นะ ไปตกปลากันเหอะ ทะเลใกล้ๆนี่เอง”

“ฉันต้องไปเก็บบลูเบอร์รี่”

“แหม อาคาริก็ นานๆจะไปเที่ยวเล่นบ้างก็ได้นี่ เพื่อนอุตส่าห์มาชวนทั้งที” เสียงอารมณ์ดีของคุณเจน ภรรยคุณไบรอันดังขัดขึ้นมา เมื่อหันไปก็พบว่าเธอกำลังเก็บเมนูบนโต๊ะอยู่ไม่ไกลจากจุดที่พวกเราทั้งคู่ยืนคุยกัน

“บลูเบอร์รี่ยังเหลือพอสำหรับคืนนี้อยู่บ้าง ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะ ไปเถอะ”

“เห็นมั้ย! คุณเจนอนุญาตแล้ว” ผมรีบเสริม ก่อนที่อาคาริจะหาเรื่องมาปฏิเสธได้อีก

นัยน์ตาสีฟ้าซีดกลอกไปมาใส่ผมอยู่สามสี่ทีก่อนที่เจ้าตัวจะถอนหายใจออกมา “นำไปสิ”

ขอบคุณครับคุณเจน เพื่อเป็นการตอบแทน ผมจะเลิกแอบกินบลูเบอร์รี่ในตะกร้าระหว่างช่วยอาคาริเก็บครับ!

 

•••••

 

ในที่สุดผมก็พบสิ่งที่อาคาริไม่ถนัดแล้ว

“ตอนหมุนรอกกลับมาอย่าหมุนเร็วนักสิ แบบนั้นปลามันไม่ว่ายตามมาหรอก” ผมบอก หลังจากที่อาคาริพลาดเป็นครั้งที่สาม

อาคาริถอนหายใจออกมาเบาๆก่อนจะยกคันเบ็ดขึ้นมาเหวี่ยงลงน้ำไปอีกครั้ง

ท่าเหวี่ยงเบ็ดโคตรหล่ออ่ะ แต่ติดตรงที่ยังตกไม่ได้ปลาสักตัว ผมเหลือบมองถังน้ำถังเล็กๆที่คุณเจนยกให้มาไว้ใส่ปลาที่ตกได้ ซึ่งปัจจุบันมีปลาขนาดเล็กความยาวไม่เกินหนึ่งฟุตกองอยู่ในถังประมาณสองสามตัว ด้วยฝีมือของผมเอง

ตอนนี้พวกเรานั่งกันอยู่บนโขดหินที่ตั้งอยู่ส่วนปลายของหาด เป็นมุมลับที่ผมเห็นมาตั้งแต่สมัยเล่นในเกมบอย แต่มันอยู่นอกเหนือบริเวณที่จะพาตัวละครเดินเข้าไปได้ ไม่รู้ผู้สร้างเกมจะทำเอาไว้ทำไม ซึ่งพอตัวเองได้มายืนอยู่ตรงนี้จริงๆก็พบว่าบรรยากาศโคตรดี ขนาดอาคาริยังไม่รู้เลยว่ามีสถานที่แบบนี้อยู่ด้วย หึ คนมันเคยเห็นแผนที่หมู่บ้านจากมุมสูงมาก่อนก็ดีแบบนี้แหละครับ มุมลับที่ว่านั้นเงียบสงบลมเย็นอีกทั้งรอบๆถูกโอบล้อมไปด้วยทะเลและหน้าผา ทิวทัศน์สวยจนอยากได้มือถือมาถ่ายอัพลงอินสตาแกรม หากมาในยามตะวันตกดินผมว่าต้องโรแมนติกมากแน่ๆ ถ้าได้มีโมเม้นท์ขอใครสักคนเป็นแฟนท่ามกลางบรรยากาศที่ว่า คงเป็นความทรงจำที่งดงามที่สุดเรื่องหนึ่งในชีวิตเลย

เสียอย่างเดียวตรงผมไม่สามารถรอจนตะวันตกดินได้เพราะเป้าหมายที่ผมกะจะขอเป็นแฟนมันดันมีงานพิเศษตอนเย็นเนี่ยดิ

อ้าว ผมลืมบอกไปเหรอ? ว่าแผนการณ์ง้อของผมคือการจีบอาคาริกลับ

ที่จริงก็ไม่มีแผนการณ์ขั้นตอนขนาดนั้นหรอกครับ ก็แค่อยากหาสถานที่ดีๆคุยเรื่องนี้ต่อแล้วขอหมอนั่นเป็นแฟน แต่เห็นอาคาริใช้โลเคชั่นภูเขา(หน้าฟาร์ม)เพื่อ(ถูกบังคับให้)สารภาพรักไปแล้วผมก็เลยพามาทะเลเท่านั้นเอง

ติดตรงที่มัวแต่เพลินกับของเล่นใหม่และประหลาดใจกับความห่วยแตกในด้านฝีมือขยับคันเบ็ดของคนที่มาด้วยกันไปหน่อย เลยยังไม่ได้เข้าเรื่องสักที

จ๋อม

โอ๊ะ ปลากำลังจะกินเหยื่อแล้ว ขอโทษที่บอกว่านายห่วยแตกนะอาคาริ… เดี๋ยวนะ

“เฮ้ย อย่าเพิ่งกระตุกแรงขนาดนั้นเดี๋ยวปลามันตื่น นั่นไง…” คราวนี้เขากระชากเบ็ดกลับมาเร็วเกินจนทำให้ปลาที่ยังไม่ทันได้ฮุบเหยื่อดีตกใจจนว่ายหายไป โอเค วันหลังฉันจะให้นายแล่ปลาอย่างเดียวแล้วกันนะ

“นายเอาไปตกเถอะ ฉันนั่งมองอย่างเดียวก็พอ” เมื่อพลาดเป็นหนที่สี่ อาคาริก็ส่งเบ็ดตกปลากลับมาให้ผมด้วยสีหน้าเรียบนิ่งที่ติดจะดำทะมึน

“มีเรื่องที่นายไม่เก่งด้วยว่ะ ความรู้ใหม่เลยนะเนี่ย” ผมอดแซวไม่ได้ นานๆทีจะมีเรื่องที่ผมเกทับหมอนั่นได้เชียวนะ!

อาคาริยกขาขึ้นนั่งชันเข่า ใช้มือเท้าคางแล้วเบือนหน้าหนีไปทางทะเล “ฉันก็ไม่เคยบอกว่าตัวเองเก่งทุกเรื่องสักหน่อย”

หมอนี่ขี้งอนกว่าที่คิดไว้จริงด้วยแฮะ ผมยกถังใส่ปลาที่กั้นเราสองคนอยู่ไปวางหลบไว้ด้านข้าง เหวี่ยงเบ็ดออกไป หมุนรอกให้เหยื่อลอยกลับมาในระยะที่ไม่ใกล้ไม่ไกล แล้วปล่อยให้เหยื่อกับทุ่นลอยเติ่งอยู่บริเวณผิวน้ำรอปลามาฮุบ จากนั้นก็ขยับเข้าไปนั่งชิดกับคนข้างๆ

“น่า มีเรื่องที่ไม่ถนัดบ้างก็น่ารักดีออก” ไหนลองหยอดไปสักดอก

ผลที่ได้คืออาคาริเหลือบหางตากลับมามองด้วยสายตาที่เหมือนจะอ่านได้ว่า ‘เป็นบ้าอะไรของนาย’ ยังไงยังงั้น

ไม่ชอบหรอกเรอะ ผมไม่ค่อยมีชั้นเชิงในการจีบแบบใครเขาด้วย มันต้องเปิดเรื่องยังไงให้อีกฝ่ายประทับใจดีวะ

อับจนปัญญา เมื่อเช้าตอนคิดแผนก็ยังรู้สึกถึงความฮึดอยู่หรอก แต่พอเอาเข้าจริงก็เหมือนสมองมันจะกลับมาตื้ออีกครั้ง เอาวะ ในเมื่อคิดคำพูดไม่ออกก็ไม่ต้องพูดแม่ง กับอีกฝ่ายที่เป็นคนไม่ค่อยพูด งั้นบอกด้วยการกระทำไปเลยแล้วกัน

คราวนี้ได้ผล อาคาริสะดุ้งแล้วหันกลับมามองผมเมื่อผมเอนศีรษะลงไปซบกับบ่าของเขา แหม แล้วมันก็ดันสูงในระดับพอดีกับศีรษะผมราวกับเกิดมาเพื่อให้ผมซบโดยเฉพาะเลยนะ อ๋อ… ผมพูดเวอร์ไปเองแหละครับ

“มาคุยเรื่องนั้นกันต่อได้มะ” ผมพูดพลางทอดสายตามองมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ มองไปถึงเส้นขอบฟ้าที่อยู่ไกลออกไป

“เรื่องไหน” วุ้ย ทำมาเป็นยอกย้อน

“เรื่องที่นายชอบฉันไง”

“……” อย่าเงียบสิใจไม่ดีเลย ผมดึงสายตากลับมาเหลือบมองคนที่ตัวเองกำลังซบอยู่

“คือ… เอ่อ… ก็ ฉันยังไม่ได้ให้คำตอบนายนี่”

“ลืมมันไปก็ได้นะ” จะไปทำแบบนั้นได้ยังไงวะ กูเป็นคนบังคับให้มึงพูดเอง ถ้ากูยังทำเป็นลืมอีกก็ใจดำเกินไปหน่อยมั้ง

ผมเอาหัวถูไหล่อีกฝ่าย “จะให้ฉันทำเป็นลืมแล้วนายก็จะค่อยๆเลิกชอบฉันอ่ะนะ ไม่เอาด้วยหรอก”

“แล้วจะเอายังไง”

“เป็นแฟนกัน”

สิ้นสุดคำพูดของผมรอบกายก็หลงเหลือเพียงเสียงคลื่นซัดสาดกระทบฝั่ง ผ่านไปอึดใจหนึ่งอาคาริจึงค่อยขยับท่านั่งให้ครึ่งตัวบนหันมาทางผม เป็นการบังคับทางอ้อมให้ผมโงศีรษะขึ้นมานั่งดีๆ ต่อมาเขาก็ตอบคำถามของผมด้วยคำถามที่ผมฟังแล้วอยากจะตีหน้าเหลือเกิน

“นายชอบฉัน?”

“ฮะ นี่นายดูไม่ออกเหรอ”

“ไม่มั่นใจ” เขาเว้นจังหวะพร้อมกับเบือนสายตากลับไปจ้องจุดใดสักจุดของท้องทะเลก่อนจะเอ่ยต่อ “นายเคยบอกว่าโอเคกับผู้ชาย เลยเดาว่านายคงไม่คิดมากกับแค่สกินชิพอยู่แล้วรึเปล่า”

จูบจนเกือบจะได้กันไปรอบแล้วบ้านนายเรียกว่าแค่สกินชิพเรอะ แล้วใครบอกมึงว่ากูไม่คิดมากวะ กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้คิดว่าผมไปนั่งตะโกนอยู่ริมทะเลสาบให้เทพธิดารำคาญอยู่กี่วันกัน

ผมเกาแก้ม “อันที่จริงฉันก็ไม่เคยชอบผู้ชายคนไหนจริงจังเลย เคยคบเป็นแฟนแค่กับผู้หญิงเอง ความรู้สึกมันเลยต่างกัน บอกไม่ถูกแฮะ… แต่ฉันคิดว่าอยากให้นายอยู่ข้างๆกันแบบนี้ไปตลอดนะ แถมรู้สึกดีที่นายยอมรับว่าชอบฉันด้วย… ก็น่าจะเท่ากับว่าฉันชอบนายแล้วไม่ใช่เหรอ”

“แม้ฉันจะเป็นแค่NPC?”

“นายเป็นแค่NPC แต่ฉันเป็นคนที่น่าจะตายแล้วเลยนะ”

“……”

“……”

“อย่าพูดแบบนั้นอีก”

“ขอโทษครับ…” ผมหน้าเสียนิดหน่อย ก่อนจะสัมผัสได้ถึงแรงขยี้บนศีรษะ อาคาริกำลังใช้มือขยี้หัวผมแบบที่เขาชอบทำ โอเค ผมจะพยายามลืมว่าก่อนหน้านี้หมอนี่ช่วยผมจับปลาที่ตกได้ใส่ถัง เดี๋ยวค่อยกลับไปสระผมทีเดียวก็ได้วะ

“จะยังไงก็ช่าง ที่แน่ใจคือตอนนี้ฉันรู้สึกดีที่เราได้เจอกัน” ผมเสริมต่อ

ความเงียบเกิดขึ้นอยู่ชั่วอึดใจ จากนั้นผมก็ได้ยินอีกฝ่ายตอบเสียงเรียบว่า “ฉันก็ด้วย” 

เมื่อเหลือบตามองอาคาริ เห็นมุมปากของเขายกยิ้มขึ้นมาบางๆ ซึ่งมันทำให้ผมยิ้มตาม “สรุปเป็นแฟนกับฉันนะ”

“อืม”

ผมยิ้มกว้างขึ้นกับคำตอบของเขา “จากนี้ไปก็ฝากตัวด้วยนะ คุณแฟน”

“เช่นกัน”

และแล้วการง้อของผมสำเร็จอย่างงดงาม บราโ

จ๋อม

ได้แฟนแล้ว ได้ปลาด้วย!

เมื่อได้ยินเสียงปลากินเหยื่อ พวกเราจึงพักบทสนทนาแล้วหันกลับมาสนใจคันเบ็ดต่อ ผมค่อยๆหมุนรอกกลับมาจึงได้พบว่าน้ำหนักที่ออกแรงต้านอยู่ค่อนข้างมากกว่าปลาสองสามตัวที่ตกได้มาพอสมควร

“ตัวใหญ่นะเนี่ย เบ็ดจะหักมั้ยวะ” คันเบ็ดผมเพิ่งได้ยังไม่ได้ตีบวกด้วย เหมาะจะตกพวกปลาเล็กๆมากกว่าปลาตัวใหญ่ แต่เหมือนรอบนี้ปลาที่กินเบ็ดจะตัวใหญ่ไม่เบา ปล่อยไปก็ไม่ได้ ให้กระชากกลับมาก็ไม่ไหว

“ปลาตัวนั้นสีแปลกๆ” เสียงทุ้มดังขึ้นจากด้านหลังพร้อมกับฝ่ามือใหญ่ยื่นเข้ามากุมมือผมที่กำคันเบ็ดอยู่แล้วช่วยออกแรงดึง

“อย่ากระชากแรงมากนะ เดี๋ยวเบ็ดหัก” ผมออกปากเตือนก่อนจะตั้งใจสังเกตหน้าตาคู่กรณีใต้น้ำที่ประชันเรี่ยวแรงกันอยู่ ประกายสว่างไสวอย่างผิดธรรมชาติวิบวับอยู่บริเวณผิวน้ำ แสงที่ว่าขยับไปขยับมาตามการแหวกว่ายของสิ่งมีชีวิตที่อยู่ปลายสายเบ็ด ผมไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องประเภทปลา แต่ปลาที่เปล่งออร่าได้ในเกมนี้มีไม่กี่ตัว เมื่อนึกขึ้นได้ผมจึงเผลออุทานเสียงหลง

“เฮ้ย ปลาในตำนาน!”

ตูมม

พลาดพลั้งเพียงชั่ววูบก็ถือว่าพ่ายแพ้ ร่างของผมถูกแรงกระชากปลิวลงสู่ทะเล เมื่อตั้งสติจนสามารถลืมตามองใต้น้ำได้ ปลาตัวใหญ่รูปร่างเพรียวยาว เกล็ดสีรุ้งที่มีประกายงดงามแหวกว่ายผ่านมาตรงหน้าราวกับให้ผมได้จดจำว่าสัตว์ทะเลที่ผมปราชัยให้หน้าตาเป็นอย่างไร ผมทำได้เพียงแค่มองมันว่ายจากไป แต่ยังไม่ทันที่มันจะว่ายหายไปจนลับสายตา ร่างของผมก็ถูกดึงขึ้นมาเหนือน้ำก่อน

“เพทาย!” เป็นอาคาริที่น่าจะตกน้ำมาด้วยกันนี่เอง “เป็นอะไรมั้ย”

“แค่กๆ”

ว้าว น่าจะเป็นครั้งแรกที่เขาเรียกชื่อผมเลย ผมนึกประทับใจอยู่เงียบๆทั้งที่ความเป็นจริงแล้วผมกำลังไอสำลักน้ำทะเลแถมยังแสบหูแสบตาไปหมด ปล่อยให้อาคาริลากตัวว่ายกลับเข้าไปใกล้โขดหิน โชคดีที่น้ำบริเวณนี้ลึกพอที่จะไม่ทำให้ร่างกายกระแทกเข้ากับพื้นใต้น้ำยามที่ร่วงหล่นลงไป จึงไม่พบบาดแผลใดเป็นพิเศษเมื่อสำรวจร่างกายหลังปีนกลับขึ้นมาบนฝั่งได้แล้ว

“เฮ้อ ตกใจหมด” ผมนอนแผ่ลงกับพื้นหิน “หมดแรงเลย”

“วันนี้พอก่อนมั้ย” อาคาริปลดเสื้อกั๊กตัวนอกกับโบว์ไทด์ของเขาออกจากตัว แม้แต่ก็คนหล่ออย่างเขาก็หมดสภาพ แต่ก็ยังถือว่าหมดสภาพแบบดูดี ไหนจะท่าเสยผมเปียกๆนั่นอีก หล่อจัง หมั่นไส้โว้ย

“เมื่อกี๊นายบอกว่าปลาอะไรนะ”

“อ๋อ ปลาในตำนานน่ะ ในเกม… เอ๊ย ในโลกนี้มันจะมีหกตัวให้ตก” ผมอธิบาย “สามตัวอยู่ในทะเล อีกสามตัวอยู่ตามแหล่งน้ำบนเขา”

“เหรอ”

“เหมือนแต่ละตัวจะมีชื่ออยู่แต่ฉันจำไม่ได้” ผมจำได้แค่เงื่อนไขการเจอพวกมันเท่านั้น การตกปลาในตำนานก็ไม่ต่างกับการตามหาEnergetic Fruit เท่าไหร่ มีทั้งแบบที่ต้องเคลียร์เงื่อนไขก่อนเจอ หรือแบบสุ่มเจอก็มีเช่นกัน อย่างตัวที่เพิ่งเจอไปนี่ไง “เบ็ดขั้นต้นแบบนี้ไม่แปลกที่จะตกมันไม่ได้ แค่มันโผล่มาให้เห็นก็น่าช็อคแล้วดีกว่า”

“อ๋อ” อาคาริตอบรับแค่นั้นแล้วก็ลุกขึ้นยืน พร้อมกับส่งมือให้ผมดึงตัวลุกขึ้นมาตาม จากนั้นเราสองคนก็ช่วยกันเก็บข้าวของกลับ เพราะถึงอยากจะตกปลาต่อก็ทำไม่ได้ สายเบ็ดของผมถูกเจ้าปลาสีรุ้งนั่นกระชากจนขาดหายไปในทะเลแล้ว ดีที่คันเบ็ดยังปลอดภัย อันที่จริงหลังจากผมปลิวลงน้ำผมก็ลืมสิ้นทุกอย่าง คงเป็นอาคาริที่เก็บเบ็ดขึ้นมาให้ด้วยนั่นล่ะ ผมว่าผมคงใช้แต้มบุญที่ทำไว้เมื่อชาติก่อนจนเกลี้ยงแล้วเพื่อมีแฟนแบบหมอนี่สักคน

“โรงแรมอยู่ใกล้กว่าฟาร์มนาย แวะไปล้างตัวที่ห้องฉันก่อน”

ผมแกล้งยิ้มล้อ “ไม่เบานี่ เป็นแฟนกันวันแรกก็ชวนเข้าโรงแรมเลยเหรอ”

อีกฝ่ายหันมาทำสายตาว่างเปล่าใส่ผมทันที “มากกว่านั้นก็ทำกันมาแล้วนี่”

ผมหัวเราะให้กับคำตอบนั้น ก่อนจะเข้าไปจับมือเขาและพากันเดินกลับไปทางหมู่บ้าน

 

TBC.

******
ในที่สุดก็เป็นแฟนกัน เย้ อาคาริปวดตับไปสามตลบได้5555
ของดีแบบนี้ปล่อยไปไม่ได้ เดี๋ยวไม่มีข้าวกิน--- /เพทายไม่ได้กล่าว

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านมากนะคะ สามารถคอมเม้นท์ติชม+ทักท้วงคำผิดได้ทั้งในนี้หรือในแท็กทวิตเตอร์ #สวัสดีฟามรัก ได้เลยค่ะ<3
twitter:  @evilkunbk

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ suikajang

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 813
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
 :mc4: เป็นแฟนกันแล้ว  :3123:   :pig4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด