บทส่งท้าย
เราทุกคนล้วนสวยงามแม้ในความไม่สมบูรณ์แบบ
พลีส : ผมหยุดเรียนไปสองสามวันเพราะอาการป่วย จนวันนี้หายดีแล้วหน่อยจึงมาส่งที่โรงเรียนแต่เช้า ผมเคยเกลียดการมาโรงเรียนยิ่งกว่าอะไร แต่ความรู้สึกเหล่านั้นมันค่อยๆ เลือนหายไปเองโดยที่ผมก็ไม่ได้พยายามจนในที่สุดแล้วการเดินเข้าโรงเรียนในตอนเช้ามันก็ไม่ใช่เรื่องลำบากใจสำหรับผมอีกต่อไป เมื่อมาหยุดอยู่ที่หน้าโรงเรียนก็เผลอกวาดตามองไปรอบๆ ด้วยความรู้สึกแปลกๆ ในใจ จริงๆ ก็ไม่เคยจากไปไหนแต่รู้สึกเหมือนไม่ได้มาที่นี่ซะนาน
"เฮ้ย!"
ถึงจะไม่ใช่การเรียกชื่อแต่ผมก็รู้ว่ากำลังถูกเรียกและคนเดียวที่มักจะทักทายผมแบบนั้นก็มีแค่ปั้น ช่วงขายาวๆ ก้าวมาหยุดยืนอยู่ข้างๆ
"หายแล้วเหรอ"
"หายแล้ว"
"ดีเลย ไม่มีคนให้ลอกการบ้านมาสามวันแล้ว" ว่าแล้วก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นตบไหล่ให้ผมเดินต่อ แต่ตบแรงไปหน่อยจึงทำเอาผมเซเกือบจะล้มและคนที่ตบผมก็เป็นคนเดียวกันที่ช่วยดึงแขนผมเอาไว้ไม่ให้ล้ม
"แตะนิดแตะหน่อยไม่ได้เลย ล้มตลอด"
"ก็ปั้นเล่นแรงนี่"
"ก็ปกติ"
"แต่มันเจ็บนะ"
"เอาคืนดิ" พูดจากวนๆ อย่างที่ชอบพูด พลางโน้มไหล่ให้ผมตบคืน แต่ผมไม่คิดเอาคืนเพราะตบไปก็เจ็บมือเองเปล่าๆ จึงทำได้แค่เบ้ปากใส่นิดๆ แล้วทำท่าจะเดินต่อ แต่ดูเหมือนว่าการที่ผมไม่สวนคืนจะทำให้ปั้นสงสัยจนต้องยกสองมือคว้าไหล่ผมเอาไว้ให้หันกลับไปที่เดิม
"เดี๋ยวๆ"
"อะไร"
สายตาของปั้นจ้องมองผมอยู่อย่างนั้น หัวคิ้วขมวดแล้วก็คลายออกก่อนเกิดเป็นคำถาม
"มึงกลับมาแล้วเหรอ"
"อะ...อะไรนะ"
"พลีสเวอร์ชั่นหนึ่งไง ผีออกไปแล้วเหรอ"
ปั้นคงปักใจเชื่อกับความคิดที่ว่าผมมีสองบุคลิกอยู่ในตัวหรือไม่ก็ผีเข้าผีออกอยู่ตลอดเวลาแต่เอาจริงๆ แล้วความคิดนั้นก็ไม่ได้ผิดเท่าไร ผมจึงพยักหน้าตอบรับ
"อืม"
"..."
"เรากลับมาแล้ว"
อีกฝ่ายพยักหน้ายิ้มๆ ปล่อยมือออกจากไหล่ผมแล้วตบเบาๆ ให้เดินต่อ ยังคงหันมามองแล้วก็หลุดยิ้มออกมาอีกทีจนผมต้องหันไปถาม
"ทำไม ชอบเราแบบเวอร์ชั่นสองมากกว่าเหรอ"
"โอ๊ย! ไม่ชอบหรอก ขี้เถียงไม่เคยยอม มือก็หนัก พูดจาก็ไม่เพราะด้วย แบบนี้แหละดีแล้ว"
ผมเผลอยิ้มออกมาบางๆ พลางคิดถึงบุคลิกที่ปั้นกำลังพูดถึงแม้เจ้าตัวจะดูไม่ชอบแต่ทั้งหมดก็เป็นเพราะเขาที่ทำให้เราเป็นเพื่อนกันได้...
เป็นเพราะพี่แสง"แต่ก็เอาเหอะ จะนิสัยแบบไหนยังไงมันก็เป็นมึงอยู่ดีอะ พี่พลีส"
"ฮะ?"
"หมายถึงยังไงมันก็คือพี่พลีสไง"
"เดี๋ยว...ปั้นเรียกเราว่า..."
"พี่พลีสไง"
"ไม่เอานะ!"
"ก็ตกลงกันแล้วนี่"
"ไม่เอา"
"ทำไมเล่า ก็แก่กว่าไม่ใช่เหรอ พี่พลีสน่ะถูกแล้ว"
"ไม่! ไม่เอานะปั้น! ข้าวปั้น!" ปั้นไม่ได้สนใจเสียงโวยวายของผมแม้แต่น้อย เดินเข้าห้องเรียนอย่างไม่รู้ไม่ชี้ ก็จริงที่ว่าผมอายุมากกว่าเขาถึงสองปีแต่การถูกเรียกพี่จากคนที่นั่งเรียนด้วยกันมันก็ทำให้รู้สึกประหลาดเล็กน้อย ถึงผมจะไม่ค่อยพอใจก็เถอะแต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้สนใจสักนิด สุดท้ายก็ต้องยอมรับการถูกเรียกแบบนั้นอย่างช่วยอะไรไม่ได้
"พี่พลีส! พี่พลีส!"
ถูกเรียกมาครึ่งวันมันก็เริ่มชินไปเอง อือ...พี่ก็พี่
"พี่พลีส"
"อะไร"
"ไปกินข้าวกัน"
ผมส่ายหน้าหน่อยๆ แล้วตั้งใจจะหยิบการบ้านขึ้นมาทำแต่ถูกปั้นเบรกเอาไว้ด้วยการจับสมุดผมยัดกลับเข้าไปที่เดิม
"เรากินข้าวด้วยกันทุกวันนะพี่"
"ฮะ?"
"กูทิ้งเพื่อนคนอื่นมานั่งกินข้าวกับพี่เนี่ย แล้ววันนี้จะมาเทกูเหรอ" นอกจากสับสนกับสรรพนามที่ใช้มั่วซั่วอย่างเอาแต่ใจแล้วยังสับสนอีกว่าทำไมปั้นถึงมานั่งกินข้าวกับผมทุกวัน
"ไปเร็ว หิวแล้ว"
"..."
"พี่พลีส"
"อืม ไปก็ไป"
เพราะถูกเรียกแบบนั้นหรือเปล่านะ ถึงได้ทำเอาใจอ่อนได้ง่ายๆ และถึงจะไม่รู้ว่าพี่แสงไปทำยังไงปั้นถึงได้ยอมมานั่งกินข้าวด้วย แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ทำให้ผมได้กลับมานั่งกินข้าวในโรงอาหารอีกครั้ง...ได้อย่างสบายใจ
คาบเรียนในช่วงบ่ายของวันนี้ถูกงดเพราะมีกิจกรรมแนะแนวการศึกษาต่อจากรุ่นพี่ที่จบไปแล้ว อย่างที่รู้กันว่าผมหยุดเรียนไปสองปีเพราะฉะนั้นรุ่นพี่ที่มาร่วมกิจกรรมในวันนี้ส่วนหนึ่งก็เป็นเพื่อนผมทั้งนั้น
กิจกรรมเริ่มต้นจากการให้ทำความรู้จักกับรุ่นพี่ จากนั้นก็ถูกแบ่งกลุ่มออกเป็นคณะ สาขาที่พวกเขากำลังเรียนอยู่ เพื่อให้คำปรึกษากับนักเรียนที่สนใจ เพื่อนที่รู้จักส่วนใหญ่แล้วจะเรียนต่อในคณะแพทย์ พยาบาล เภสัชฯ ที่นักเรียนส่วนใหญ่ให้ความสนใจและเลือกเข้าไปฟังคำแนะแนวกันก่อน
"พี่พลีส จะไปฟังคณะไหน"
"ไม่รู้สิ แล้วปั้นอยากเรียนอะไร"
"กูไม่เรียน บ้านกูรวย เดี๋ยวพอพ่อตายมรดกก็ต้องตกเป็นของกูคนเดียวอยู่ดี ไม่เห็นต้องเรียนให้ลำบากเลย"
"อุดมการณ์มั่นคงดีแต่ทรพีไปหน่อย"
"โห! นั่นด่าป่ะ!"
ผมยักไหล่หน่อยๆ ก่อนที่จะหันมองหาว่าจะไปนั่งฟังรุ่นพี่กลุ่มไหนดี ส่วนตัวผมไม่ได้สนใจคณะไหนเป็นพิเศษรวมถึงปั้นที่ดูไม่ได้สนใจการเรียนต่อเลยด้วยซ้ำ ก็เลยพากันไปนั่งฟังรุ่นพี่ในกลุ่มที่คนน้อย จนกระทั่งหมดเวลาช่วงกิจกรรม ผมได้พูดคุยกับเพื่อนเก่าที่เข้ามาทักทายนิดหน่อยแต่ไม่ทันได้คุยอะไรกันมากมาย เพราะยังมีนักเรียนบางคนสนใจในการเรียนต่อจึงเข้ามาขอคำปรึกษาจากพวกเพื่อนๆ ผมเป็นส่วนตัว เราจึงต้องแยกกันไปก่อน ส่วนข้าวปั้นหายตัวไปจากตรงนี้อย่างไร้ร่องรอย ทิ้งผมให้ยืนเคว้งไม่รู้จะเอาตัวเองไปไว้ตรงไหนดี
"ไอ้ตี๋เล็ก!"
ด้วยหน้าตาที่ได้มาจากพ่อซึ่งเป็นลูกหลานคนจีนแท้ๆ ทำให้ผมไม่อาจปฏิเสธการถูกเรียกแบบนั้นได้ว่ามันหมายถึงผมและคนๆ เดียวที่เอาแต่เรียกผมแบบนั้นตั้งแต่สมัยเรียนก็คือเขา...
"ไอ้บ้าติณ" ผมหันขวับไปเรียกชื่อ เติมคำยกย่องให้อีกสักหน่อยเพื่อให้สมกับความเป็นเขา คนถูกเรียกหัวเราะชอบใจก่อนก้าวเท้าเข้ามาหา ผมเลื่อนสายตามองติณหัวจรดเท้า อาจจะเป็นเพราะชุดนักศึกษาจึงทำให้เพื่อนคนนี้ดูโตกว่าผมไปเยอะ ไม่เกี่ยวกับส่วนสูงที่มากกว่าผมเกือบยี่สิบเซ็นฯ นั่นหรอกนะ
"ไงตี๋"
"ไปอยู่ไหนมา เมื่อกี้ไม่เห็นเลย"
"ไปหาขนมกินที่โรงอาหารมา"
"มันใช่เวลาไหม คนอื่นเขาทำกิจกรรมกันอยู่เนี่ย"
"คนอย่างกูจะไปให้คำแนะนำใครได้ กูเลยแอบไปหาอะไรกินดีกว่า"
ผมพยักหน้ารับก่อนติณจะหาที่นั่งชวนผมคุยหลังจากที่ไม่ได้เจอกันนาน ติณก็เป็นหนึ่งในนักศึกษาคณะแพทย์ ถึงสมัยเรียนจะดูไม่ค่อยได้สนใจการเรียนเท่าไรเพราะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเล่นกีฬามากกว่า แต่ผลการเรียนกลับเป็นที่หนึ่งมาโดยตลอด หลังจากที่ผมหยุดเรียนไปจึงไม่ได้ติดต่อกับใครในห้องเลยแต่ติณเป็นคนเดียวที่ผมได้คุยด้วย ในตอนที่ผมยังต้องรักษาบำบัดกับจิตแพทย์หลังจากเหตุการณ์วันนั้นและจิตแพทย์คนนั้นก็เป็นแม่ของติณ เราจึงบังเอิญได้เจอกันบ้างหรือบางครั้งก็ตั้งใจ เรื่องราวของผมติณเองก็รู้ดีแต่มักจะแกล้งทำเป็นไม่รู้ หาเรื่องอื่นมาชวนคุยเสียมากกว่า อย่างในตอนนี้ก็เช่นกัน เอาแต่พูดเรื่องร้านข้าวในโรงอาหารไม่หยุด
"กูโคตรคิดถึงร้านขนมหวานของป้าอ้อยเลย มึงจำได้ป่ะที่พวกเราไปถ่ายรูปหน้าร้านป้าอ้อยลงหนังสือรุ่นด้วยอะ เลย ที่สุดของความทรงจำสมัยมัธยมแล้ว"
"หนังสือรุ่น?"
"เออ อยู่หน้าสุดท้ายที่เป็นภาพรวมๆ อะ"
"เราไม่มีหนังสือรุ่นเล่มนั้น"
"..."
"ก็ไม่ได้จบพร้อมกันซะหน่อย"
ติณเงียบไปเพราะประโยคนั้นของผม ดูเหมือนอีกคนเพิ่งจะรู้ตัวและคิดได้ ต่างฝ่ายต่างเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่อีกคนจะรีบเปลี่ยนเรื่องไปซะก่อน
"แล้วมึงเลือกยังว่าจะเรียนต่อคณะไหน"
"เราเรียนอะไรก็ได้"
"อะไรก็ได้?"
"อืม อะไรก็ได้" ในคำว่าอะไรก็ได้มันมีความหมายที่แท้จริงว่า อะไรก็ได้ที่แม่เลือกให้ ถึงแม้ว่าตอนนี้พ่อกับแม่จะดูเข้าใจผมมากขึ้นแต่ผมคิดว่าความคิดของแม่เกี่ยวกับอนาคตของผมยังไม่เปลี่ยนไป ยังไงแล้วผมก็คงต้องเดินต่อในเส้นทางที่แม่ได้เลือกไว้ให้แล้ว
"อะไรก็ได้ไม่ได้หรอกนะ"
ผมหันมองคนข้างๆ อย่างไม่เข้าใจในประโยคสั้นๆ นั้น ก่อนที่เขาจะพูดต่อ
"แม่มึงเลือกให้ใช่ไหมล่ะ"
ติณรู้ดีอยู่แล้ว ผมจึงทำได้แค่พยักหน้ารับ
"มึงเคยบอกแม่มึงไหมว่ามึงอยากหรือไม่อยากเรียนอะไร"
"เราก็ไม่รู้"
"ไม่ใช่ไม่รู้หรอกแต่มึงไม่เคยคิดต่างหาก เพราะมึงเชื่อไปแล้วไงว่ามึงต้องทำอย่างที่แม่มึงบอกไง มึงบอกว่าอะไรก็ได้แต่มึงแน่ใจใช่ไหมว่าทำได้โดยที่มึงไม่ได้ฝืนใจ มึงลองกลับไปคิดดูดีๆ นะตี๋ นี่มันชีวิตของมึง"
ผมได้แต่เงียบไปเพราะประโยคเหล่านั้น ดูเหมือนสิ่งที่ติณพูดจะทำให้ผมได้คิดขึ้นมาบ้างว่าผมจะยังคงยืนหยัดอยู่บนความคาดหวังของแม่ต่อไปหรือว่าจะลองเลือกเส้นทางใหม่ด้วยตัวเองดูบ้าง
"ติณ!"
ทั้งผมและติณหันมองผู้หญิงคนหนึ่งที่เดินเข้ามาเรียก ดูเหมือนว่าพวกรุ่นพี่จะทยอยกลับกันแล้ว ติณจึงหันมาบอกลาผม
"ไปก่อนนะตี๋"
ผมพยักหน้ารับ ขณะที่อีกคนอ้าแขนออกทำท่าจะเข้ามากอด ผมจึงโต้ตอบกอดนั้นด้วยสองแขนของตัวเองเช่นกัน ก่อนติณจะใช้มือที่โอบร่างผมอยู่ตบหลังผมเบาๆ แล้วพูดกับผม
"กอดได้แล้วนี่"
"..."
"หายดีแล้วนะ"
ติณคลายกอดออกจากผมไปขณะที่ผมเพิ่งจะรู้ตัวว่าผมได้โต้ตอบอ้อมกอดนั้นอย่างไม่ลังเลที่จะให้ใครมาแตะเนื้อต้องตัวอย่างที่เคยเป็นมาก่อนหน้านี้ ติณบอกลาผมอีกทีก่อนจะเดินออกไปจากตรงนี้ ผมยังย้อนกลับไปคิดถึงการกระทำของตัวเองเมื่อครู่อย่างสงสัย ไม่รู้จริงๆ ว่า การโอบกอดกับใครสักคน มันกลายเป็นเรื่องง่ายไปตั้งแต่เมื่อไร
"แฟนเหรอ"
ผมเผลอสะดุ้งเพราะเสียงกระซิบข้างหูจากปั้นที่ไม่รู้มายืนอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไร
"แฟนอะไร"
"คนเมื่อกี้ไง"
"เพื่อนเหอะ"
"เพื่อนที่ไหนกอดกัน"
"ทำไมเพื่อนจะกอดกันไม่ได้"
"กูกอดมึงได้ป่ะล่ะ"
"เฮ้ย..." ผมถอยหลังหนีปั้นที่ทำท่าจะเข้ามากอด อีกฝ่ายยกมุมปากขึ้นยิ้มแล้วส่ายหน้าเบาๆ ก่อนลดมือตัวเองลง แต่ในจังหวะนั้นกลายเป็นผมที่ขยับตัวเองเข้ายืนข้างๆ แล้วจับแขนข้างหนึ่งของปั้นขึ้นคล้องไหล่ตัวเอง
"ทำอะไรวะ"
"อย่าปล่อยสิ!" ผมทำเสียงดุนิดหน่อย เจ้าของแขนที่ผมยกขึ้นมาคล้องเอาไว้เฉยๆ ก็ขยับมือกอดไหล่ผมเอาไว้โดยไม่ต้องร้องขอ ผมยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นอย่างไม่คิดขยับหนี หัวใจก็เต้นเป็นปกติทั้งๆ ที่เราใกล้กันขนาดนั้น ความมั่นใจหลั่งไหลจากไหนก็ไม่รู้และมันมากพอที่จะทำให้ผมยกสองมือขึ้นโอบเอวปั้นเพื่อกอดเอาไว้จนอีกฝ่ายโวยลั่น
"เฮ้ย! พี่พลีส!"
"เฉยๆ น่า"
"พี่ทำอะไรวะ!"
แค่อยากมั่นใจว่าผมสามารถทำแบบนั้นได้โดยไม่มีอาการต่อต้านหรือหวาดกลัวอย่างที่เคยเป็น แล้วทุกอย่างก็ปกติเสียจนตัวผมเองยังสงสัย หรือว่าอาการเหล่านั้นมันจะหายดีแล้วจริงๆ
"ไอ้พี่พลีส ถ้ามึงไม่ปล่อยกูจับทุ่มจริงๆ ด้วยนะ"
"เอาสิ"
"คิดว่ากูไม่กล้าเหรอ!"
"ก็เอาสิ!"
ผมเสียงดังสู้ปั้น อีกคนก็ได้แต่กระทืบเท้างอแงไม่กล้าจับผมทุ่มจริงๆ นอกจากขยับปากด่าแล้วบ่นพึมพำ
"ผีเข้าอีกแล้วหรือไงวะ"
คำพูดของปั้นทำให้ผมคิดถึงคนที่เคยเข้ามาอยู่ในร่าง ตอนที่พี่แสงอยู่ในตัวผม มันเหมือนกับว่าจิตวิญญาณของผมเองก็ไม่ได้หายไปไหนและในบางครั้งบางคราวก็มีความทรงจำของพี่แสงโผล่เข้ามาในหัวของผมเป็นภาพทับซ้อนราวกับผมและพี่แสงได้กลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ผมว่าผมได้คำตอบจากสิ่งที่พยายามถามตัวเองว่าความกล้าและความมั่นใจเหล่านั้นมันมาจากไหน...
น่าจะเป็นพี่แสงที่ทิ้งมันเอาไว้ให้ผม
...
ผมเคยบอกกับตัวเองว่า บ้านพี่แสง จะเป็นที่สุดท้ายในโลกนี้ที่ผมเลือกจะไป ด้วยความรู้สึกผิดที่มีต่อเขาอย่างมากมายมันทำให้ผมไม่สามารถที่จะพาตัวเองไปพบเจอกับครอบครัวของเขาได้ ไม่แม้แต่จะกล้าสู้หน้าเพื่อจะเอ่ยคำว่าขอโทษหรือขอบคุณและไม่เคยหวังที่จะได้รับการให้อภัยแต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร...สุดท้ายแล้วผมก็มายืนอยู่ที่นี่จนได้
มาถึงที่นี่แล้วแต่ความลังเลยังปะปนอยู่ในความสับสนจนไม่กล้าพอที่จะเปิดประตูร้านเข้าไป ผมยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นนานพอควร ก่อนรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีก้าวเท้าไปที่หน้าประตู ในตอนที่มองเห็นภาพสะท้อนของตัวเองผ่านประตูกระจกนั่น พลันคิดถึงใครบางคนขึ้นมาเมื่อจ้องมองเข้าไปในแววตาของตัวเอง
พี่แสง...ช่วยผมด้วยนะ
"กริ๊ง"
เสียงกระดิ่งที่ประตูพาให้สายตาของคนที่อยู่ในร้านหันมามองผม ก่อนเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งอยู่ใกล้ประตูจะหันมาร้องเรียก ผมรู้ว่านั่นคือสายป่าน น้องสาวพี่แสง
"พี่!" ร้องเรียกผมเสียงดังพลางลุกขึ้นยืน แต่ด้วยขาที่กำลังใส่เฝือกและลุกอย่างไม่ทันระวังจึงทำเอาเกือบล้ม ดีที่ผมพุ่งตัวเข้าไปเข้าไปรับเอาไว้ได้ก่อน
"พี่...พลีส"
ชื่อของผมถูกเอ่ยออกมาด้วยเสียงที่เบาลงคล้ายอีกฝ่ายกำลังรู้ตัวว่าคนที่ยืนอยู่ตรงนี้ไม่ใช่พี่แสงแล้ว สายป่านปล่อยมือออกจากผมแต่ยังคงยิ้มให้ แล้วชี้ให้ผมนั่งที่เก้าอี้อีกตัวด้วยความเป็นมิตร
"นั่งก่อนสิคะ"
ผมพยักหน้ารับแล้วหย่อนตัวลงนั่งช้าๆ ก่อนที่สายป่านจะยื่นหน้าเข้ามาถาม
"กินอะไรดีคะ"
"ไม่เป็นไรครับ พี่แค่..."
"ไม่สั่งไม่ให้นั่งในร้านนะ" พูดเป็นเชิงล้อเล่นแล้วยิ้มจนตาหยี ความน่ารักของน้องพี่แสงทำเอาผมเผลอยิ้มตามไปด้วย ก่อนคะยั้นคะยอให้ผมสั่งน้ำสักแก้ว ผมจึงเอ่ยปากสั่งเมนูโกโก้โอริโอ้ปั่นด้วยเป็นเมนูเดียวที่คิดขึ้นมาได้
"ป่าน มาดูมือถือให้พ่อหน่อยสิ ทำไมพ่อต่อไวไฟไม่ได้"
"อีกแล้วเหรอพ่อ"
สายป่านตอบรับพ่อพี่แสงที่เดินเข้ามาเรียก ก่อนใช้ไม้ค้ำยันพาตัวเองเดินไปหาพ่อที่โต๊ะอีกตัว ไม่นานนักแม่ของพี่แสงก็เป็นคนเดินเอาน้ำแก้วนั้นมาเสิร์ฟ ไม่มีบทสนทนาใดนอกเสียจากรอยยิ้มและคำทักทายเล็กน้อย ด้วยทั้งหมดรู้ดีว่าคนที่อยู่ตรงนี้ไม่ใช่พี่แสงอีกต่อไปแล้วและที่สำคัญพวกเขายังไม่รู้ว่าผมคือเด็กคนนั้น คนที่พี่แสงช่วยเหลือเอาไว้ ผมได้แต่มองหน้าแม่พี่แสงแล้วเอาแต่เงียบ แต่อีกฝ่ายคงรู้ดีว่าผมมีบางอย่างที่ต้องการจะพูด จึงเอ่ยถามเบาๆ
"มีอะไรหรือเปล่าจ้ะ"
ก่อนที่จะตอบ ผมเลื่อนสายตามองไปยังพ่อของพี่แสงกับสายป่านที่โต๊ะอีกตัว ความในใจของผมถูกแม่พี่แสงอ่านออกอย่างง่ายดาย
"อยากคุยกับพวกเขาด้วยใช่ไหม"
ผมพยักหน้ารับ ก่อนที่ทั้งหมดจะมานั่งอยู่ที่โต๊ะเดียวกัน ด้วยสายตา ด้วยความเงียบ ด้วยความรู้สึกอะไรหลายๆ อย่างมันกลับทำให้ผมไม่กล้าสบตา ได้แต่อึกอักลังเลไม่รู้จะเริ่มตรงไหน
"คือ...พี่แสง..."
"แสงไปแล้ว พวกเรารู้ดี"
ผมเงยหน้าขึ้นมองเมื่อพ่อพี่แสงพูดประโยคนั้น ก่อนสายป่านจะหันมาถาม
"แล้วพี่ไม่เป็นอะไรใช่ไหมอะ ที่พี่แสงเขาแบบ...มาเข้าร่างพี่"
"ไม่เป็นไรครับ"
ทุกคนยังเอาแต่ยิ้มให้เพราะไม่มีใครรู้ถึงความจริงที่เกิดขึ้น ไม่มีเหตุผลที่ผมจะต้องปกปิดมันเอาไว้และผมก็จะพูดมันออกไปอย่างที่ได้ตั้งใจมาตั้งแต่แรก
"ผมขอโทษ"
"..."
"ผมขอโทษครับ"
"ขอโทษเรื่องอะไรจ้ะ"
"ผมคือเด็กคนนั้น"
"..."
"คนที่พี่แสงช่วยเอาไว้"
จบประโยคของผมทุกคนก็พากันเงียบ ผมเองได้แต่ก้มหน้าลงต่ำเผลอหลับตาเพื่อยอมรับทุกการโต้ตอบไม่ว่าผมจะถูกต่อว่า ด่าแรงๆ หรือตบหน้าผมสักครั้ง ผมก็จะ...
"ขอบคุณนะพลีส"
การโต้ตอบที่ผมได้รับกลับมา มันผิดจากที่ผมคิดไปมากมาย
"เพราะอย่างนี้นี่เอง พลีสเลยเป็นคนพาแสงกลับมา ขอบคุณที่ทำให้พวกเรามีโอกาสได้คุยกับแสงอีกครั้งนะ"
คำขอบคุณถูกเอ่ยอีกครั้งพร้อมรอยยิ้มของทุกคนในครอบครัวพี่แสงอย่างที่ผมรู้สึกได้ว่าคำขอบคุณนั้นดูจริงใจเหลือเกิน แต่ด้วยรอยยิ้มและความอ่อนโยนจากคนในครอบครัวพี่แสงมันกลับทำให้หัวใจของผมรู้สึกผิดมากยิ่งกว่าเก่า ผมไม่คู่ควรกับคำขอบคุณนั้น...ไม่คู่ควร
"มันเป็นเพราะผม"
ผมไม่ได้ทำให้พวกเขาได้กลับมาคุยกับพี่แสงอีกครั้ง แต่ผมทำให้พวกเขาหมดโอกาสที่จะได้คุยกับพี่แสงไปตลอดชีวิตต่างหาก
"เป็นเพราะผม พี่แสงถึงได้..."
คำพูดของผมหยุดชะงักตอนที่แม่พี่แสงยื่นมือมากุมมือผมเอาไว้ ถ้อยคำปลอบโยนถูกพูดออกมาจากทุกคนในครอบครัวของพี่แสง
"ไม่ใช่เพราะพลีส"
"ไม่ใช่ความผิดพลีสเลย"
"พี่พลีสไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย"
เพียงเท่านั้นผมก็ไม่สามารถกักเก็บความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในใจแล้วหลั่งระบายออกมาเป็นน้ำตาที่ยากเกินกว่าจะกลั้นเอาไว้ อีกฝ่ายยังคงมีแต่รอยยิ้ม เป็นรอยยิ้ม...ที่แสนอบอุ่นและอ่อนโยน
และมันทำให้ผมคิดได้ว่าที่ผ่านมาผมมัวทำอะไรอยู่ ผมเพิกเฉยต่อความรู้สึกของพวกเขาเพียงเพราะเอาแต่คิดถึงความรู้สึกของตัวเองที่ไม่อาจยอมรับได้ว่าผมเป็นสาเหตุที่ทำให้พี่แสงต้องจากไป ผมเอาโทษตัวเองแต่คนที่ต้องสูญเสีย...ไม่เคยคิดโทษผมเลย และแม้จะรู้ดีว่าคำว่าขอโทษไม่อาจชดใช้ให้ชีวิตที่ต้องจากไปได้แต่ผมก็ยังคงพูดมันออกมา ซ้ำแล้วซ้ำอีก
"ผมขอโทษครับ"
"..."
"ผมขอโทษจริงๆ ครับ"
"ไม่ต้องขอโทษแล้ว ไม่มีใครโกรธพลีสหรอกนะ รู้ไหม" มือที่กุมมือผมเอาไว้เลื่อนขึ้นมาเช็ดน้ำตาที่ไหลนองหน้าผมเบาๆ ผมเผลอมองใบหน้าของแม่พี่แสงอยู่นานครู่หนึ่ง แม้ว่าผมจะไม่ได้รู้จักพี่แสงเลยสักนิดแต่ผมรู้ว่าเขาเป็นคนดี ด้วยความรักจากครอบครัวที่เขามีทำให้เขาเป็นพี่แสงที่แสนดี แม้ในวินาทีสุดท้ายที่ต้องจากไป
"ถ้ามีอะไรที่ผมพอจะทำได้เพื่อชดใช้ให้กับพี่แสง ช่วยบอกผมเลย ผมจะทำทุกอย่าง"
"แค่พลีสใช้ชีวิตให้ดีแล้วก็มีความสุขมากๆ ก็พอแล้ว"
"..."
"แสงเองก็คงต้องการแค่นั้น"
จงใช้ชีวิตให้ดี ไม่ต้องหนี ไม่มีอะไรต้องกลัว ต้องมีความสุขมากๆ นะ... ผมพยักหน้ารับก่อนหยดน้ำตาจะไหลออกมาอีกครั้ง ชีวิตผมเคยหมดความหมายคิดเพียงแค่ว่ายิ่งตายเร็วเท่าไรได้ก็ยิ่งดี มันไร้ค่าเสียจนผมเคยคิดที่จะจบชีวิตด้วยตัวผมเอง แต่มันจะไม่เป็นเช่นนั้นอีกแล้ว พี่แสงจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมอยากมีชีวิตอยู่ต่อ ผมจะใช้ชีวิตนั้นเพื่อตัวผมเองและใช้มันเผื่อให้กับพี่แสง จะใช้ชีวิตให้ดี...ให้สมกับที่ยังมีชีวิต
"กริ๊ง"
เสียงกริ่งที่หน้าประตูดังอีกครั้งก่อนที่ลูกค้ากลุ่มใหญ่จะเดินเข้ามานั่งเต็มทุกโต๊ะ แม่พี่แสงเลยต้องกลับเข้าไปในเคาน์เตอร์โดยที่พ่อพี่แสงก็ลุกไปช่วย ส่วนสายป่านยังนั่งอยู่กับผมพลางสะกิดให้กินโกโก้ปั่นที่วางอยู่ตรงหน้า
"รีบกินเลยพี่พลีส ละลายหมดแล้ว"
ผมพยักหน้ารับแล้วก้มลงดูดน้ำตรงหน้า ด้วยความอร่อยของรสชาติที่เพิ่งเคยลองเป็นครั้งแรกทำเอาผมเผลอทำตาโตแล้วยกแก้วขึ้นมาดูดอีกครั้ง
"อร่อยไหมคะ"
"อร่อยมากครับ"
"เมนูเด็ดของแม่เลย พี่รู้ได้ไงว่าต้องสั่งอันนี้"
"พี่แสงบอก"
"พี่แสงนี่ขี้โม้จริงๆ" สายป่านหลุดขำพลางส่ายหน้าเบาๆ ก่อนเสียงเรียกของแม่พี่แสงจะดังขึ้น
"สายป่าน! มายกไปเสิร์ฟที"
"แม่! หนูขาหักอยู่!" คนตรงนี้ตะโกนตอบหน้ายุ่ง ผมจึงวางแก้วในมือลงแล้วลุกไปที่หน้าเคาน์เตอร์เพื่ออาสาช่วยเสิร์ฟเอง
"ผมช่วยครับ"
"จะดีเหรอพลีส ป้าไม่อยากใช้งานหนูนะ"
"ให้ผมช่วยเถอะครับ"
"งั้นยกไปเลยจ้ะ ระวังด้วยนะ" ผมพยักหน้ารับพลางยกถาดแก้วน้ำนั้นอย่างระวังอย่างที่แม่พี่แสงบอกแล้วเดินไปเสิร์ฟ ด้วยลูกค้าที่เต็มร้านทำให้ผมไม่หมดหน้าที่แค่นั้น หันไปรับเมนูใหม่ที่อีกโต๊ะสั่งเดินไปส่งที่เคาน์เตอร์ แล้วรับเมนูที่ทำเสร็จแล้วเดินกลับมาเสิร์ฟ วนไปวนมาจนกว่าทุกโต๊ะจะได้เครื่องดื่มครบตามที่สั่ง เมื่อหันไปเห็นลูกค้าใหม่ที่กำลังจะเข้ามาในร้าน ผมที่ยืนอยู่หน้าประตูพอดีจึงเปิดประตูให้พลางกล่าวต้อนรับด้วยสัญชาตญาณ
"เชิญครับ"
"ขอบคุณจ้ะ" ผู้หญิงคนนั้นยิ้มให้ผมนิดหน่อยก่อนเดินไปที่เคาน์เตอร์ ดูท่าทางว่าจะรู้จักกับแม่พี่แสงดีเพราะทักทายกันอย่างคนสนิท สั่งกาแฟเสร็จก็ชวนคุยในระหว่างรอ
"ได้แล้วค่ะพี่อุ่น"
"เท่าไรจ้ะ"
"กาแฟสี่สิบ โกโก้ปั่นสี่สิบห้า เค้กชิ้นละยี่สิบห้า สามชิ้นก็..."
"ร้อยหกสิบบาทครับ"
ทั้งแม่พี่แสงและป้าคนนั้นต่างหลุดหัวเราะที่ผมคำนวณราคาทั้งหมดและพูดออกไปได้ไวกว่าเครื่องคิดเงินนั่น ผมจึงได้แต่ยิ้มกลบเกลื่อนความเก้อเขิน
"นี่เด็กเสิร์ฟใหม่เหรอ"
แม่พี่แสงไม่ทันได้ตอบ คงเพราะไม่รู้ว่าจะแนะนำผมว่าอย่างไร ผมจึงพยักหน้ารับ เพราะเพิ่งจะแอบคิดเล่นๆ อยู่ในใจว่า ผมได้กลายเป็นเด็กเสิร์ฟมืออาชีพไปแล้ว
"น่ารักจังเลย"
ผมหลุดยิ้มตอนที่ได้รับคำชมนั่น เหมือนไม่ได้ยินคำนั้นมานานแล้ว น่าจะตั้งแต่ตอนที่นิสัยผมเริ่มเปลี่ยนแปลงไป ผมก็ทำตัวไม่น่ารักใส่คนรอบข้างมาตลอดจนกระทั่งคำว่าน่ารักไม่เหมาะกับนิสัยของผมเลย
"พลีสคิดเลขไวมากเลย ชอบเรียนคณิตเหรอลูก"
"ชอบครับ"
"ต่างกับพี่แสงมาก พี่แสงนี่ไม่ได้เรื่องเลย เลขสองหลักยังต้องใช้เครื่องคิดเลขคิดส่วนเกรดวิชาคณิตนี่ไม่ต้องพูดถึง ตกทุกเทอมจริงๆ"
"จริงครับ" ผมตอบรับขำๆ ก็เพราะพี่แสงทำผมสอบตกคณิตมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนเลย
"เก่งจังเลย" รอยยิ้มของผมกว้างขึ้นตอนที่ได้รับคำชื่นชมเล็กๆ น้อยๆ นั่นบวกกับฝ่ามือของแม่พี่แสงที่ยกขึ้นลูบหัวผมเบาๆ ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าแค่การบวกเลขง่ายๆ มันจะสามารถทำให้ผมได้กลายเป็นคนเก่งในสายตาของใครสักคนหนึ่ง
ผมอยู่ช่วยงานที่บ้านพี่แสงจนกระทั่งลูกค้าทยอยกลับหมดร้าน เมื่อเห็นว่าเย็นมากแล้วและดูเหมือนว่าฝนทำท่าจะตกด้วยพ่อแม่พี่แสงเลยบอกให้ผมกลับบ้านเพราะกลัวจะต้องเปียกฝน ยังคงมีรอยยิ้มให้ผมจนกระทั่งตอนที่ผมบอกลาแล้วก้าวเท้าออกมา สองขาของผมหยุดเดินแล้วหันกลับไปมองอีกที
"ถ้าไม่ว่าอะไร...ผมมาที่นี่อีกได้ไหมครับ"
"ได้เลย!" เสียงดังของสายป่านตะโกนตอบเป็นคนแรก พ่อกับแม่พี่แสงก็พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง ผมหันหลังกลับไปหยุดอยู่ที่ประตู กระจกใสบานเดิมสะท้อนใบหน้าของผมที่กำลังยิ้มได้กว้างกว่าที่เคย
พี่แสงทิ้งอะไรเอาไว้ให้ผมหลายอย่าง ทั้งชีวิตและความเชื่อมั่น คล้ายกับว่ามีตัวตนของพี่แสงคงค้างอยู่ในร่างกายของผมรวมถึงจิตวิญญาณ ผมจึงมั่นใจที่จะเดินต่อไปและใช้ชีวิตเพราะคิดว่ามีพี่แสงอยู่ตรงนี้ด้วย นอกจากคำว่าขอโทษที่ผมได้พูดออกไปแล้วคงมีอีกคำที่อยากให้พี่แสงได้ยินจริงๆ
ขอบคุณนะครับ...พี่แสง ...