ตอนที่ 16
ถ้าเธอไม่เชื่อคำพูดเรา ก็เชื่อความรู้สึกของตัวเองสิ
สิ่งเดียวที่ไม่ชอบเลยเวลาอยู่ในร่างของพลีสคือการต้องไปโรงเรียน ด้วยชีวิตเลยวัยมัธยมมานานมากและผมก็ขี้เกียจตื่นแต่เช้าด้วย
"น้องพลีส เร็วหน่อยค่ะ สายแล้วนะ"
"ครับๆ" ผมตอบรับตอนที่เดินลงมาจากบันไดขณะที่ยังแต่งตัวไม่เรียบร้อยดี เมื่อพี่หน่อยเห็นอย่างนั้นก็เดินตรงเข้ามาหา น้ำเสียงบ่นปนตำหนิเล็กน้อยที่ผมตื่นสายจนทำอะไรไม่ทัน พลางยื่นมือมาติดกระดุมเสื้อให้ทุกเม็ด และกำลังจะจับชายเสื้อยัดเข้าใส่กางเกงแต่ผมเบรกเอาไว้ก่อน
"พี่หน่อย! ผมทำเอง!"
"ทำไมล่ะคะ"
"ผมทำเองได้ ผมโตแล้วนะ" ว่าแล้วก็ขยับตัวหลบ ก่อนจะยัดชายเสื้อเข้ากางเกงแล้วจัดให้เรียบร้อย
"ทำเป็นเขิน อย่างกับหน่อยไม่เคยทำให้"
"ก็พี่หน่อยมัวแต่ทำทุกอย่างให้แบบนี้ พลีสก็เลยไม่โตสักที อะไรที่พลีสทำเองได้ก็ให้พลีสทำเองสิครับ"
พี่หน่อยนิ่งมองหน้าผมอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะยิ้มออกมานิดๆ คงรับรู้ได้ถึงความผิดปกติในตัวพลีสอีกครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นพี่หน่อยก็ไม่ได้ว่าอะไร
"โอเคค่ะ คราวหน้าหน่อยจะให้น้องพลีสทำเอง แต่วันนี้เราต้องไปโรงเรียนกันแล้วค่ะ สายมากแล้ว"
"กินข้าวไม่ทันแล้วใช่ไหมครับ"
"ไม่ทันค่ะ หน่อยทำแซนด์วิชให้ไปทานบนรถค่ะ"
"ไส้ทูน่าหรือเปล่า"
"ทูน่าค่ะ"
ผมแสดงท่าทางดีใจก่อนวิ่งไปรอบนรถ พี่หน่อยจัดการปิดบ้านแล้วก็ตามออกมาก่อนจะไปส่งผมที่โรงเรียนได้ทันเวลาพอดี ในระหว่างทางที่กำลังเดินไปยังห้องเรียน นักเรียนในห้องที่เดินมาพร้อมๆ กันหันมายิ้มให้ผมบ้าง หันมาทักผมบ้างก็มี
"หวัดดีพลีส"
"หวัดดี" ผมตอบกลับโดยอัตโนมัติด้วยการสวมบทบาทเป็นพลีสอย่างเต็มรูปแบบ และแอบแปลกใจเล็กน้อยที่
พลีสมีความสัมพันธ์ระหว่างคนในห้องขึ้นมาบ้าง ไม่ได้ถูกเมินเหมือนเก่า...
ทำได้ดีเหมือนกันนะพลีสในตอนที่กำลังพึงพอใจกับความเปลี่ยนแปลงของเรื่องราวนั้น ร่างผมก็ถูกไอ้ข้าวปั้นอันธพาลตัวโตแกล้งชนเข้าจังๆ จนไปติดกำแพง เจ็บจนเผลอร้องออกมาเสียงดัง
"เจ็บเหรอ"
"เจ็บดิ!"
"เอาคืนดิ" มันว่าพลางยิ้มกวนประสาท และในตอนที่มันกำลังเดินเข้าห้อง ผมก็ยกกำปั้นเล็กๆ ของพลีสทุบเข้ากลางกบาลมันเต็มๆ แรง
"โอ๊ย!" ไอ้ตัวใหญ่ร้องลั่นจนคนทั้งห้องหันมามอง
"เอาคืนไง"
"มึงกล้าสวนกูเหรอ"
"มึงทำกูก่อนอะ!"
ไอ้ปั้นนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วกระพริบตามองผมคล้ายว่ากำลังพิจารณาบางสิ่ง ก่อนจะโน้มตัวลงมากระซิบถามเบาๆ
"เอาอีกแล้วเหรอมึง"
"อะไร"
"ผีเข้าอีกแล้วไง ผีตัวเดิมป่ะเนี่ย"
"เออ คิดถึงกูไหม มาให้กูกอดหน่อยเร็ว!" ผมใช้จังหวะนั้นคว้าคอมันที่โน้มตัวอยู่แล้วดึงเข้ามาแนบตัว ก่อนใช้อีกมือขยี้หัวมันเต็มแรง
"ไอ้พลีส! ไอ้เชี่ย!" แรงของพลีสไม่ได้มากพอที่จะแกล้งมันต่อได้นาน แค่มันสะบัดตัวนิดหน่อยก็หลุดออกจากแขนของผม ก่อนรีบวิ่งเข้าห้องไปนั่งที่ ผมหันมองหัวยุ่งๆ กับใบหน้ายับๆ ของมันที่มองผมอย่างหวาดระแวงแล้วหลุดหัวเราะออกมา ตัวมันก็ได้แต่ยกมุมปากขึ้นยิ้มนิดๆ ไอ้อันธพาลข้าวปั้นเอ๊ย
โคตรจะไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมเวลาที่ผมมาเข้าร่างพลีส มันต้องตรงกับวันที่มีสอบคณิตทุกที ผมไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจและไม่มีความรู้ใดในสมองเหมือนเช่นเคย เลยสร้างความพังพินาศให้พลีสอีกครั้ง หวังว่าพลีสจะทำใจได้ตอนที่ได้เห็นคะแนนของตัวเอง ผมถอนหายใจสุดแรงหนึ่งทีตอนที่เดินออกมาจากห้อง ก่อนหันมองไอ้ปั้นที่เดินตามมา
"เป็นอะไร ดูทำหน้า"
"ทำข้อสอบไม่ได้"
"เออ หน้าหลังโคตรยากเลย"
"ฮะ! มีหน้าหลังด้วยเหรอวะ"
"อะไรของมึงวะเนี่ย ไม่ได้เปิดดูเลยหรือไง"
ผมได้แต่ส่ายหน้าหน่อยๆ แค่หน้าแรกก็เกือบจะส่งกระดาษเปล่าอยู่แล้ว มันไปมีหน้าหลังตอนไหนไม่ทราบ! ทำได้แค่ทำใจเลยต้องปล่อยวาง เดี๋ยวพอพลีสกลับมาก็ค่อยมากอบกู้คะแนนวันหลังก็แล้วกัน พี่ขอโทษจริงๆ นะ
ผมถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะก้าวเท้าตั้งใจจะเดินไปหาอะไรกินที่โรงอาหารเพราะถึงเวลาพักกลางวันพอดี แต่มือถือในกระเป๋าที่กำลังสั่นก็ดึงความสนใจของผมไปก่อนจึงต้องหยิบขึ้นมาดู ก่อนจะพบว่าเป็นไลน์จากพี่ต่อ
พี่ต่อ : เย็นนี้เจอกันที่คลินิกนะครับ นั่นแน่! ความสัมพันธ์พัฒนาไปขนาดที่ว่านัดเจอกันแบบนี้ได้แล้วเหรอ แม้ว่าจะเป็นผมที่อยู่ในร่างของพลีส แต่ผมจะพยายามไม่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพลีสกับพี่ต่อต้องชำรุดหรือเสียหาย ต้องรักษาไว้ซึ่งความสัมพันธ์นั้นเลยต้องตามน้ำไปก่อน ด้วยการตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว
พลีส : ครับ ดูห้วนไปหน่อยไหมนะ น่าจะต้องตามด้วยสติกเกอร์สักตัว ตัวไหนดี ปกติพลีสใช้ตัวไหนบ่อยๆ นะ
"ไอ้พลีส!"
"เฮ้ย!" ผมโวยลั่นตอนที่ไอ้ปั้นเข้ามาตบหลังเสียงดังป้าบ มือที่กำลังเลื่อนเลือกสติกเกอร์ พลาดกดส่งไปให้พี่ต่อแล้วด้วยสติกเกอร์โคนี่ส่งจูบเป็นรูปหัวใจ สองตัวติดๆ...
โคตรแรด"ไอ้พลีส กูรู้แล้วว่ามึงเป็นอะไร"
"อะไร" ผมยัดมือถือลงกระเป๋ากางเกงแล้วหันไปถาม
"โรคสองบุคลิก"
"ฮะ?"
"กูวิเคราะห์มาแล้วด้วยสมองอันชาญฉลาดของกู มึงมีบุคลิกที่สองที่มันแสดงออกมาโดยที่มึงไม่รู้ตัว อย่างที่มึงกำลังเป็นอยู่ที่ไง กูรู้หมดแล้วไม่ต้องมาปิดบังกู"
"เออ แล้วแต่มึงเลย"
"อ้าว! อะไรวะ แล้วมึงจะไปไหนเนี่ย"
"กินข้าวดิ"
"นี่ไง บุคลิกที่สองของมึงชัดมาก เพราะปกติมึงไม่กินข้าว กูรู้ๆ"
"วันหลังมึงก็นั่งกินข้าวเป็นเพื่อนกูดิ"
"เรื่องอะไร กูก็ไปกินกับเพื่อนกูดิ ทำไมต้องไปกินกับมึง"
"ก็กูไม่มีเพื่อนไง"
"ชินได้แล้ว" มันพูดแค่นั้น ผลักหัวผมทีหนึ่งก่อนจะเดินออกไป ผมไม่ได้สนใจอะไร เดินตรงไปที่โรงอาหารและร้านป้าพุกก็เป็นตัวแรกที่ผมเลือก ได้ข้าวแล้วก็มองหาที่นั่ง ในจังหวะเดียวกันกับที่ผมกำลังหย่อนตัวลงนั่ง ข้าวจานหนึ่งก็ถูกวางบนโต๊ะ ก่อนเจ้าของจานจะนั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม
"ข้าวปั้น"
"โต๊ะเพื่อนกูมันเต็มอะ นั่งไม่พอ"
ผมหันมองไปยังกลุ่มเพื่อนของไอ้ปั้นที่มีเก้าอี้ว่างพอที่จะนั่งได้ทั้งทีมฟุตบอลด้วยซ้ำ แต่ไอ้เด็กนี่ก็ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ตักข้าวกินไม่พูดไม่จา นิสัยร้ายๆ ของมันถูกตีกระจายด้วยความน่ารักเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่จนน่าเอ็นดู เลยเผลอยกมือขยี้หัวมันเบาๆ อย่างมันเขี้ยว
"น่ารักเหมือนกันนะเราเนี่ย"
มันตีมือผมเบาๆ แล้วปัดออก มองตาขวางๆ แล้วก้มลงกินข้าวเต็มปาก ก่อนมุมปากของแก้มตุ่ยๆ นั่นจะยิ้มออกมาบางๆ มันไม่ใช่ข้าวปั้นที่คอยแต่จะแกล้งพลีสตลอดเวลาเหมือนเก่า เรื่องราวตรงนี้ก็เปลี่ยนไปแล้วเหมือนกันสินะ ถึงจะเป็นไอ้เด็กเกเรขี้โวยวายไม่น่าคบก็เถอะ แต่อย่างน้อยๆ...
ก็มีเพื่อนแล้วนะพลีส ...
หลังเลิกเรียน ผมมาที่คลินิกของพี่ต่อตามนัด แต่พี่ต่อยังติดคนไข้อยู่ก็เลยให้ผมเข้ามานั่งรอที่ห้องพักก่อน เกือบสิบนาทีที่ผมรออยู่ ก่อนจะมีคนเปิดประตูเข้ามา
"ครืด" ผมหันมองคนที่เลื่อนประตูเปิดเข้ามาแต่ว่าไม่ใช่พี่ต่อ เป็นตามที่หันมายักคิ้วให้ทีหนึ่งตอนที่เข้ามาเจอผมราวกับรู้อยู่แล้วว่าผมอยู่ที่นี่ ผมไล่สายตามองตามที่สวมเสื้อยืดสีซีดกับกางเกงวอร์มและรองเท้าแตะง่ายๆ มือหนึ่งหิ้วถังน้ำ อีกมือถือไม้ถูกพื้น ยัดผ้าขี้ริ้วเอาไว้ที่กระเป๋ากางเกงข้างหนึ่ง อีกข้างเป็นน้ำยาเช็ดกระจก
"รับจ้างทำความสะอาดด้วยเหรอครับ"
"ทำทุกงานที่ได้เงิน"
ตามพูดขำๆ แล้วหันไปจริงจังกับการทำความสะอาด วางถังน้ำไว้ที่มุมหนึ่งแล้วเริ่มต้นด้วยการถูกพื้นจากอีกฝั่ง ไม่ได้สนใจผมที่กำลังนั่งอยู่ตรงนี้ ในขณะเดียวกันผมก็พลันคิดอะไรบางอย่างอยู่ในหัว
ผมต้องคุยกับตาม...มีเรื่องที่จะต้องบอกกับเขา"หลบดิ"
"ฮะ?"
"หลบหน่อย"
เพราะมัวแต่เหม่อลอยคิดอะไรไปไกล จึงไม่ทันได้เห็นว่าตามถูพื้นมาจนถึงตรงที่ผมนั่งอยู่ กำลังจะทำตามคำสั่งที่บอกให้หลบแต่คงไม่ทันใจ ตามจึงยกสองขาผมรวบขึ้นจนตัวลอยเกือบหล่นเก้าอี้
"เฮ้ย!"
"ป้าบ!""โอ๊ย!"
ตามร้องลั่นตอนที่ผมยกมือฟาดด้วยความเคยชิน มันเป็นการโต้ตอบโดยอัตโนมัติตอนที่ถูกตามแกล้งก็เลยไม่รู้ตัวคนถูกตีทำหน้างง คงคิดไม่ถึงว่าผมจะทำแบบนั้น
"พลีสตีพี่เหรอ"
"ใช่"
ตามเม้มริมฝีปากดูเคืองๆ ก่อนจะใช้ไม้ถูกพื้นแกล้งถูแรงๆ มาชนกับเท้าของผม จนต้องลุกขึ้นหลบ
"พี่แกล้งผมเหรอ"
"ใช่"
ผมยกกำปั้นต่อยแขนตาม ขณะที่ตามก็หันมาโต้ตอบทันทีด้วยการดีดหน้าผากผมเต็มแรง สงครามกำลังก่อตัวด้วยความรุนแรง ผมง้างมือทำท่าจะตบกลับอีกสักที แต่พี่ต่อเปิดประตูเข้ามาขัดจังหวะซะก่อน มองดูเราสองคนสลับกันไปมา
"ทะเลาะกันเหรอ"
"พี่ตามแกล้งผม"
"ก็พลีสตีพี่ก่อน"
"ก็พี่แกล้งผมอะ"
"แกล้งอะไร ก็แค่บอกให้หลบ"
"ก็พี่ทำผมเกือบตกเก้าอี้อะ!"
เราทั้งคู่พากันโวยวายใส่ราวกับเด็กที่กำลังต่างคนต่างฟ้องพี่ต่อ ผมแอบคิดอยู่ในใจว่าพี่ต่อจะเข้าข้างใครระหว่างน้องชายของเขากับคนที่ตัวเองชอบ ในขณะเดียวกันก็ย้อนคิดไปถึงตอนที่ผมยังมีชีวิต ทุกครั้งที่เถียงกับตามต่อหน้าพี่ต่อ ก็จะถูกห้ามปรามอย่างคนที่มีเหตุผลและใจเย็นอยู่เสมอ ไม่รู้ว่าพี่ต่อจะยังจำได้อยู่ไหม...
"ใครยอมแพ้ก่อนชนะนะ"
ทั้งผมและตามพากันเงียบ หลังจากได้ยินประโยคนั้น เป็นคำพูดนั้น...ที่เราได้ยินจากปากของพี่ต่ออยู่เสมอ ผมหันมองหน้าตาม ในตอนที่ตามก็หันมาสบตา ราวกับว่าเรากำลังเข้าใจซึ่งกันและกัน เพียงแต่ว่าผมที่ยืนอยู่ตรงนี้ดันไม่ใช่แสงก็เท่านั้นเอง
"ยอมให้ก็ได้" ตามพูดแค่นั้นแล้วหยิบไม้ถูกับถังน้ำเดินออกไปจากห้อง ผมได้แต่ทำหน้าย่นใส่ตามหลัง ก่อนที่ตามจะหันขวับกลับมาจึงต้องปรับสีหน้าเป็นปกติ แต่คนที่ย้อนกลับมาไม่ทันได้สนใจเพราะตั้งใจมาพูดกับพี่ต่อ
"เสร็จแล้ว ไปนะ"
"พรุ่งนี้มาอีกนะ"
"จ่ายเงินด้วย"
"ใส่ไว้ให้ในกระเป๋าแล้ว"
"ขอบคุณครับ"
พี่ต่อส่ายหน้ายิ้มๆ ก่อนจะหันมาหาผม
"น้อง วันนี้พี่คงไม่ได้ติวให้แล้ว"
"อ้าว ทำไมล่ะครับ"
"พี่มีคนไข้เข้ามา ไม่อยากให้น้องรอนาน เอาไว้วันหลังได้ไหมครับ"
"วันหลังก็ได้ครับ"
"ไม่โกรธนะ"
"ไม่โกรธครับ"
"เดี๋ยววันหลังพี่พาไปเลี้ยงไอติม"
"สัญญาแล้วนะ งั้นวันนี้ผมกลับก่อนนะครับ" ผมว่าก่อนจะหยิบกระเป๋าเดินออกจากห้อง แต่เสียงของพี่ต่อหยุดผมเอาไว้ก่อน
"เออ น้อง"
"ครับ?"
"สติกเกอร์ที่ส่งมา น่ารักดีนะ"
"..."
"เหมือนน้องเลย" เสียงทุ้มอบอุ่นกับมือนุ่มที่ยกขึ้นบีบแก้มผมเบาๆ ทีหนึ่งในระยะเวลาอันสั้นนั้น ได้สร้างพลังทำลายล้างที่ดูเหมือนว่าจะพาให้ผมเผลอเคลิ้มไปนิดหน่อย
พี่ต่อนี่มันแบบ..."ไปนะครับ" พูดแค่นั้นแล้วเลื่อนประตูออกมาจากห้องพัก ใจเต้นตึกตักอย่างไม่มีเหตุผล ผมไม่ได้ชอบพี่ต่อสักนิด หรือว่า...เพราะมันเป็นหัวใจของพลีสกันนะ มันเลยมีความสุขขนาดนี้
"เป็นไรเขี้ยวกุด"
ผมหันขวับมองตามที่เอ่ยทัก รวบริมฝีปากที่กำลังยิ้มแล้วปรับสีหน้าเป็นปกติ ส่ายหน้ายิกๆ ปฏิเสธส่งๆ แต่ไม่วายถูกแซวด้วยน้ำเสียงกวนๆ
"เขินบิดเลยน้า"
"อะไรเล่า!"
ตามยักไหล่หน่อยๆ ก่อนยกกระเป๋าในมือขึ้นสะพายแล้วเดินออกจากคลินิกไป ผมเองก็รีบเดินตามไปด้วย ใจคิดแต่ว่าต้องหาโอกาสคุยกับตามให้ได้
"พี่ตาม!"
"อะไร ตามมาทำไมเนี่ย"
"ไปกินข้าวกันไหมครับ"
"กินข้าว ตอนนี้อะนะ"
"ผมเลี้ยง"
"พี่เลือกร้าน"
ผมหลุดหัวเราะตอนที่อีกคนโต้ตอบกลับมาทันควันตอนที่บอกจะเลี้ยง เมื่อก่อนไม่ยอมให้ผมจ่ายเงินค่าข้าวสักมื้อ เดี๋ยวนี้ยอมให้เด็กเลี้ยงข้าวซะงั้น ผมเคยบอกว่าตามเหมือนหมูที่สวมหน้ากากมนุษย์เพราะตามจะตัวนุ่มนิ่ม จ้ำม่ำ แก้มก็พอง พุงก็ป่อง น่ารักเป็นบ้า แต่ว่าตอนนี้...มันไม่เป็นอย่างนั้นแล้ว
ตามเดินนำผมมายังร้านข้าวมันไก่ที่ไม่ไกลจากคลินิกมาก แต่ก่อนที่จะเดินเข้าร้านข้าวก็แวะสั่งลูกชิ้นปิ้งที่ขายหน้าร้านแล้วให้ผมยืนรอ ส่วนตัวเองตรงเข้าไปสั่งข้าวมันไก่และพูดคุยกับเจ้าของร้านอย่างดูสนิทสนม เมื่อผมได้ลูกชิ้นปิ้งที่สั่งแล้วก็เดินไปนั่งกับตาม ในตอนที่ข้าวมันไก่ถูกยกมาเสิร์ฟพอดี
"โห ทำไมได้เยอะจัง จานละเท่าไรเนี่ย" ปริมาณข้าวมันไก่ในจานนั่นเยอะจนผมเผลอส่งเสียงแปลกใจ
"พี่เคยเป็นเด็กเสิร์ฟที่นี่อะ เขาก็เลยให้เยอะ"
"พี่ตามทำงานเยอะจัง ทำมาหมดทุกอาชีพแล้วมั้งเนี่ย" ผมว่าพลางหยิบช้อนกับส้อมส่งให้ตาม
"หาเงินเที่ยว"
"จะเที่ยวไปถึงไหน ทำไมไม่หางานทำดีๆ แล้วก็เคยบอกว่าอยากต่อโทไม่ใช่เหรอ" ผมพูดด้วยน้ำเสียงปนตำหนิเล็กน้อย ก่อนจะตักไก่ที่มีชิ้นติดหนังในจานตัวเองไปใส่จานตาม เพราะผมไม่ชอบกินหนังแต่ตามโปรดปราณอะไรที่มันก่อไขมันได้ง่ายๆ ผมไม่รู้ตัว ทำไปเพราะความเคยชิน แต่ความเคยชินนั้น มันส่งผลให้อีกคนที่ไม่ชินถึงกับนิ่งไปชั่วขณะ ผมชะงักมือที่กำลังตักไก่ให้ตาม แล้วแถออกไปข้างๆ คูๆ
"ผมไม่กินหนัง คิดว่าพี่คงชอบ พี่ไม่ชอบเหรอ เอาคืนก็ได้"
ตามยกมือขึ้นจับมือผมที่กำลังจะตักไก่คืน หัวคิ้วที่ขมวดเข้าหากันทำให้ใบหน้านั่นดูเคร่งขรึมแปลกๆ ตามคงไม่คิดสงสัยอะไรเพียงเพราะตักไก่ติดหนังให้หรอกนะ
"พี่ตาม ผมแค่คิดว่าพี่คงจะชอบ..."
"รู้ได้ยังไงว่าพี่อยากต่อโท"
"ครับ?"
"เมื่อกี้ที่พลีสพูดไง"
ย้อนคิดถึงคำพูดเมื่อวินาทีก่อนที่ผมไม่ทันจะรู้ตัว เพราะเอาแต่บ่นอะไรไปเรื่อยเปื่อย จึงพบว่าตัวเองทำพลาดครั้งใหญ่ด้วยการพูดออกไปแบบนั้นแล้วหาข้อแก้ตัวไม่ทันจึงได้แต่อ้ำอึ้ง
"พี่ต่อบอกเหรอ"
"ครับ พี่ต่อบอก"
"ช่วงนี้คุยกับพี่ต่อเยอะเลยสินะ"
ผมพยักหน้าหน่อยๆ ก่อนที่ตามจะปล่อยมือผมออก ลอบถอนหายใจเบาๆ ตอนที่ตามไม่ได้ถามอะไรต่อแล้วก็ตักข้าวใส่ปาก ผมลังเลว่าจะหาโอกาสบอกตามยังไง ดูเหมือนว่ามันจะไม่ใช่จังหวะที่เหมาะสม อยู่ดีๆ ถ้าผมพูดว่าตัวเองคือแสง เป็นวิญญาณที่ตายแล้วแต่ยังไม่ไปไหนและสุดท้ายก็มาเข้าร่างเด็กคนนี้เพราะต้องการที่จะพูดคุยกับเขา ตามคงจะเชื่อหรอก แต่ผมไม่คิดว่าตัวเองจะมีเวลาอยู่ที่นี่มากพอขนาดนั้น ถ้าผมยังไม่พูด ผมอาจจะเสียโอกาสครั้งนี้ไป หรือไม่บางที อาจจะไม่มีโอกาสแล้วก็ได้...
เอาวะ!
"พี่ต่อไม่แก่ไปหน่อยเหรอ"
"ฮะ?" สติหลุดตอนตามพรวดขึ้นมาก่อน ไม่ได้ฟังด้วยซ้ำว่าพูดอะไร
"ห่างกันสิบบวก"
"อะไรสิบบวก"
"อายุของพี่ต่อกับพลีสไง ห่างกันสิบกว่าปี"
"พี่ต่อหน้าเด็กกว่าพี่ตามอีก"
"เดี๋ยวก็ต่อยเหล็กหลุดเลย"
"หลุดก็ดี จะได้ไปหาพี่ต่อที่คลินิก"
"เหอะ!" ตามทำหน้าไม่พอใจ ก่อนจะตักข้าวใส่ปากคำใหญ่
"ทำไมล่ะ ไม่ชอบพลีสเหรอ"
"เปล่า"
"หรือว่าหวงพี่ต่อ"
"อือ"
"ก็น่าหวงอยู่หรอก พี่ต่อทั้งหล่อ อบอุ่น หุ่นดี ยิ้มหวาน แถมยังใจดี...อื้อ!" คำพูดผมชะงักด้วยการที่ตามตักไก่สองสามชิ้นยัดใส่ปากผม
"อี๋! ติดหนังด้วย!"
"กินๆ เข้าไป พูดอยู่ได้ ปกติไม่พูดมากขนาดนี้นี่เราอะ"
ผมกำลังจะอ้าปากเถียง แต่เสียงมือถือของตามดังขัดขึ้นมาก่อน เมื่อเจ้าของหยิบมือถือขึ้นมาดู ดวงตาก็เบิกกว้าง ดูตกใจจนแทบจะสำลักข้าวที่กินเข้าไปคำโต
"ฉิบหายละ!"
"มีอะไรเหรอ"
"ลืมไปทำงาน โดนด่าแน่เลย พี่ไปก่อนนะ"
"อะ...อ้าว"
"เสียดายไก่" ตามว่าแล้วตักไก่ในจานที่เหลืออยู่ยัดเข้าไปคำเดียวจนแก้มจะแตก
"เดี๋ยวก็ติดคอหรอก!"
"ไปละ!" ควักแบงก์ร้อยใบหนึ่งวางบนโต๊ะ ก่อนจะรีบวิ่งออกไปจนผมเรียกเอาไว้ไม่ทัน
"ก็บอกว่าจะเลี้ยงไง" ผมพูดเบาๆ ก่อนยื่นมือไปหยิบเงินนั่น สายตาพลันไปเห็นถุงลูกชิ้นปิ้งที่ตามยังไม่ได้แตะสักคำ ดูเหมือนว่าจะอยากกินมากด้วย ช่วยไม่ได้แฮะ หาเรื่องเอาไปให้ที่ทำงานดีกว่า
ผมหลุดยิ้มก่อนลุกไปจ่ายเงินค่าข้าวมันไก่แล้วเดินออกมาจากร้าน ใจคิดแต่ว่าจะไปหาตาม ก่อนที่สองขาจะหยุดชะงักเมื่อต้องเลือกทางที่จะไปต่อ
ตามไปทำงานที่ไหนวะด้วยความที่ตามทำงานไม่เป็นหลักเป็นแหล่ง รับพาร์ทไทม์เยอะจนผมไม่แน่ใจว่าที่ตามรีบร้อนออกไปนั่นคือที่ไหน ก็เลยต้องไปทุกที่ เริ่มจากร้านกาแฟก่อนเพราะอยู่ใกล้ แต่พนักงานในนั้นบอกว่าตามไม่ได้ทำงานวันนี้ ผมจึงไปต่อที่ร้านตัดผมเพราะเป็นทางผ่านก่อนจะถึงร้านสะดวกซื้อ เช่นกันว่าไม่เจอตามที่นั่น แต่เจอสิ่งมีชีวิตสุดแสนน่ารักอย่างเจ้าหมาสามตัวที่เดาว่าน่าจะเป็นแม่ลูกกัน ทั้งหมดตัวซูบผอมเหมือนไม่ได้กินอะไรมาหลายวันโดยเฉพาะตัวแม่ คนรักหมาอย่างผมไม่อาจมองดูแล้วผ่านไปเฉยๆ นั่งลงลูบหัวเด็กๆ พวกนั้นที่ดูเชื่อง ในมือของผมมีลูกชิ้นปิ้ง แต่กลับลังเลที่จะยกให้หมาเพราะว่ามันเป็นของตาม
หมาหรือตาม...หมาหรือตาม..."ขอโทษนะที่รัก หมาดูหิวกว่าเธอเยอะเลย" ผมว่าก่อนจะหยิบลูกชิ้นปิ้งทั้งหมดนั่นรูดออกจากไม้ให้หมาพวกนี้กิน มองดูเจ้าสามตัวกินอย่างเป็นระเบียบไม่แย่งกัน อดยิ้มกับความนิสัยดีของเจ้าหมาจรจัดพวกนี้ไม่ได้ สุดท้ายเมื่อพวกมันกินหมดก็เลยลุก บอกลาแล้วเดินออกมาจากตรงนั้น
ไม่มีข้ออ้างไปหาตามแล้วแต่ก็ยังอยากไปหาอยู่ดี ไหนๆ ก็ไหนๆ เดินไปอีกหน่อยก็ร้านสะดวกซื้อแล้ว เลยทำตามใจตัวเองด้วยการแอบไปดูตามทำงานสักหน่อย แต่ในตอนที่ผมเดินเข้าไปไม่ได้มีใครหันมาสนใจเพราะลูกค้าในร้านค่อนข้างเยอะ ผมหลบเข้าไปในมุมชั้นวางของเพื่อมองดูตามในบทบาทของพนักงานร้านสะดวกซื้อ
ในขณะนั้นก็มีลูกค้าคนหนึ่งเดินเข้ามาสั่งบุหรี่ยี่ห้อหนึ่ง แต่ดูเหมือนว่าตามจะไม่รู้จักเลยทำหน้าเอ๋อไปครู่หนึ่ง ก่อนหันซ้ายหันขวา ในขณะที่ทุกเคาน์เตอร์กำลังวุ่นๆ ก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินออกมาพอดี ตามจึงเอ่ยปากถามกับผู้ชายคนนั้น ไม่เพียงแค่บอก แต่ชายคนนั้นเดินไปหยิบบุหรี่แล้วคิดเงินให้ลูกค้าด้วยตัวเอง ก่อนจะหยิบป้ายงดให้บริการเคาน์เตอร์มาวางแล้วเรียกตามไปที่หน้าห้องพนักงาน ผมขยับตัวหลบอีกชั้นใกล้ๆ เพื่อให้ได้ยินบทสนทนานั่น
"มึงทำงานมานานแค่ไหนแล้ว ยี่ห้อบุหรี่แค่นี้มึงจำไม่ได้เหรอ ต้องให้บอกอีกกี่ครั้ง"
"ขอโทษครับ"
"แล้ววันนี้มึงก็มาสายอีก มึงไม่รู้เหรอวะว่าตัวเองต้องทำงานกี่โมง เดือดร้อนคนอื่นเขาต้องมาอยู่กะแทนเนี่ย ไม่สำนึกบ้างเหรอ ความรับผิดชอบอะไรไม่เคยมี เรื่องแค่นี้มึงทำไม่ได้มึงก็ออกไปเลยไป"
"ผมขอโทษครับ"
"ไปถูพื้นไป"
"ครับ" ตามรับคำแค่นั้นก่อนจะเดินเข้าไปในห้องนั้น ก่อนที่ผู้ชายคนนั้นจะพูดอีกประโยคที่ดังพอจะให้คนอื่นได้ยินทั่วกัน
"กระจอกอย่างมึงจะไปทำมาหาแดกอะไรได้วะ"
กลายเป็นผมที่โกรธจนมือสั่นเพราะไอ้นั่นบังอาจมาต่อว่าตาม ซ้ำยังพูดต่อหน้าคนอื่นทั้งๆ ที่มันไม่ควรจะมายืนด่าตรงนี้ด้วยซ้ำ ตามของผมไม่สมควรที่จะโดนดูถูกแบบนี้
ผมรีบก้าวเท้าออกมาจากร้านด้วยความโกรธที่พุ่งถึงขีดสุด ถ้าตอนนี้เป็นผีจะหลอกไอ้นั่นให้หัวโกร๋นแต่ตอนนี้ทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากยืนกำหมัดแน่นด้วยความโมโห ขณะที่ผมกำลังโกรธ ไอ้เวรนั่นก็เดินออกมาจากร้านเพื่อสูบบุหรี่ ผมรีบหันหลังให้ก่อนในใจจะคิดอะไรได้บางอย่าง ผมถูกสอนให้ทำดีมาทั้งชีวิต แต่คิดบาปก็สักครั้งคงไม่เป็นไร จะสาปส่งให้ผมตกนรกก็ได้แต่ครั้งนี้ผมขอละกัน
ผมเหลือบตามองไอ้คนที่หันหลังสูบบุหรี่อย่างสบายใจ ก่อนที่ผมจะก้าวเท้าเร็วๆ เข้าไปหามันแล้วยกมือข้างหนึ่งฟาดกบาลเข้าไปเต็มๆ
"เฮ้ย! ไอ้ปั้น!"
"ป้าบ!""โอ๊ย!" ไอ้ตัวโตร้องลั่นยกมือกุมหัวตัวเองก่อนหันขวับมาหาผมอย่างดูเอาเรื่อง บทบาทที่คิดเอาไว้ในแผนตั้งแต่แรกก็เริ่มแสดงด้วยความสามารถในการแถที่ผมสั่งสมมานาน
"ขอโทษครับ! ผมนึกว่าเป็นเพื่อน!"
"น้องตบหัวพี่เต็มๆ เลยนะ!"
"ผมจำผิด คิดว่าพี่เป็นเพื่อนผมน่ะครับ ขอโทษจริงๆ ครับ อย่าทำอะไรผมเลยนะครับ" ทำท่าร้อนรนราวกับสำนึกผิด ใบหน้าของพลีสน่ารักอยู่แล้ว แค่ทำเป็นอ้อนหน่อยๆ ก็เรียกร้องความสงสารให้อีกคนยอมให้อภัยง่ายๆ ด้วยการพยักหน้ารับ
"เออๆ ไม่เป็นไร คราวหลังก็ดูดีๆ หน่อยแล้วกัน"
"ครับ ขอโทษอีกทีนะครับ" ผมรีบเดินออกมาจากตรงนั้นแล้วปรับสีหน้าให้เป็นปกติ หันกลับไปมองอีกทีไอ้นั่นยังคงยกมือลูบหัวตัวเองอยู่เดาว่าน่าจะยังไม่หายเจ็บ พอๆ กับผมที่ต้องยกมือขึ้นสะบัดเบาๆ...
มือชาเลยแม่งหลุดหัวเราะกับเรื่องบ้าๆ ที่ตัวเองก่อไปเมื่อครู่ ก่อนจะนั่งลงที่ขั้นบันไดของตึก มองย้อนกลับไปแล้วคิดถึงตามขึ้นมาอีกครั้ง ไม่อยากให้ใครมาแตะต้องตามของผมแบบนั้น ไม่อยากให้ชีวิตของตามลำบากแบบนั้น และเรื่องที่ผมจะบอกตามก็ยังไม่ได้พูดออกไป
เอาไว้คราวหน้านะ...เอาไว้คราวหน้าจะบอก มีต่อค่ะ