[เรื่องสั้น] You've got the love I Need | เมธัส x อชิร | ตอนที่6 (จบ) | 010519
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [เรื่องสั้น] You've got the love I Need | เมธัส x อชิร | ตอนที่6 (จบ) | 010519  (อ่าน 9204 ครั้ง)

ออฟไลน์ kyliewonderland

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +565/-4
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-05-2019 20:02:35 โดย kyliewonderland »

ออฟไลน์ kyliewonderland

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +565/-4
'YOU คุณของผม' SERIE

ซีรีย์เรื่องสั้นของ 4 คู่รักวัยทำงาน ทั้งขมและหวาน ทั้งเรียนรู้และจดจำ

อ่านเรื่องของ กวิน X พระพาย : Simply Butterfly I
อ่านเรื่องของ กวิน X พระพาย : Simply Butterfly II


You've got the love I Need | เมธัส X อชิร
-1-




ซีดานสีแดงบึ่งขึ้นทางด่วน เมธัสรอให้เครื่องยนต์สับรอบอย่างใจจดใจจ่อ ก่อนที่รถทรงสปอร์ตคันคุ้นมือจะคิกออฟและพุ่งทะยานออกไปเร็วขึ้น แรงขึ้น ไม่ต่างจากใจเขาในตอนนี้

ปลายทางอยู่ที่ออฟฟิศย่านอโศก ออฟฟิศเมธัสไกลพอสมควรจากบ้าน แต่ถ้านับจากที่ทำงานของเพื่อนรักก็ไม่เรียกว่าไกลนัก แต่กระนั้นยามดึกดื่นมืดค่ำ รถก็ยังคงติดอยู่ เนื่องจากในคืนสิ้นเดือนแบบนี้ คนต่างสัญจรมาย่านท่องราตรีทั้งทางถนนและทางยกระดับ

เมธัสติดแหง็กอยู่ทางลงกลางเมืองสักพัก ใจกระเด็นไปถึงออฟฟิศแล้ว พอหลุดมาได้เขาเหยียบต่อ และซิ่งลงทางด่วนหน้าปากซอยออฟฟิศแบบไม่สนใจอะไร

ยางหนึบเบรกเอี๊ยดหน้าโฮมออฟฟิศออกแบบโมเดิร์นสี่ชั้น เมธัสลงจากรถรีบร้อน ไม่เอารถเข้าซองด้วยซ้ำ ไม่จำเป็น - สำหรับเมธัสที่เป็นลูกชายเพื่อนเจ้าของบริษัท ไม่มีใครกล้าอะไรเขาหรอก ก็เขาเข้า-ออก มาที่นี่กับพ่อตั้งแต่ยังเด็ก

เมธัสชอบพิสูจน์ตัวเองด้วยฝีมือและส่วนใหญ่มันก็ประสบความสำเร็จ เขาไม่ชอบเบ่ง โอ้อวด ใช้อำนาจในทางผิด แต่สำหรับตอนนี้ มีให้ใช้ก็ใช้ บทจะไม่แคร์ เขาก็ไม่แคร์ ในชีวิตเอาเข้าจริงมีอยู่ไม่กี่คนที่เขายอมลงให้ พ่อ แม่ ปู่ ย่า พี่สาว ป้าแม่นม พระพาย และคนๆนั้น

วิ่งไปที่ลิฟท์ กดขึ้นไปยังชั้นบนสุด เสียงเฮฮาในงานปาร์ตี้ในห้องประชุมใหญ่ดังมายังหน้าประตูลิฟท์ รุ่นพี่ที่ออฟฟิศคนหนึ่งกำลังจะกลับ แต่ดูทรงแล้วน่าจะไปต่ออาบอบนวดมากกว่า เดินสวนมาพอดี

“อ้าว เพิ่งมาเหรอ” รุ่นพี่ร่างสูง หน้าตาดูดี นามว่าพี่ทศทัก ใบหน้าแดงก่ำด้วยฤทธิ์เหล้า เขาเป็นผู้ชายวัยกลางคนทรงเสน่ห์ แต่ก็รู้กันดีว่าเจ้าชู้ประตูดินสุดๆ

“ครับ พอดีแวะไปหาเพื่อนมา”

“เพื่อนหรือว่าใคร” พี่ทศแซวเสียงยานคาง เมธัสยิ้มๆ ไม่ตอบ ซึ่งทศเองก็ไม่แคร์อะไร “นี่พี่จะไปฟาโรห์ต่อกับไอ้พวกแม็ค ไปด้วยกันเปล่า” เอ่ยชื่ออาบอบนวดทีเห็นถึงลิ้นไก่ พี่ทศทำหน้าเจ้าเล่ห์

“โห ไม่ไหวหรอกพี่ เมื่อคืนไม่ได้นอนด้วยเดี๋ยวไม่คุ้ม” เมธัสหาเรื่องปฏิเสธ พี่ทศทำหน้าเซ็ง

“อะไรวะเมธ ไร้สาระน่า”

“โหพี่ วันนี้ไม่ไหวจริงว่ะ วันหลังๆ” เมธัสโบกมือ

“เออๆ ก็ได้ รีบเข้าไปไป เบียร์จะหมดลังแล้ว เดี๋ยวก็ไม่ได้กินอะไรหรอก”

“ครับพี่ เจอกันวันจันทร์”

เมธัสก้มหัวลาก่อนก้าวฉับเข้าไปในงาน เสียเวลาคุยไปเกือบห้านาที ให้ตายเถอะ พวกสถาปนิกก็แบบนี้ ยิ่งบริษัทดังออกแบบโปรเจ็กต์ที่เป็นร้อยล้าน ส่วนแบ่งได้มาก็ใช้กันแบบหัวราน้ำ ไม่ใช่เมธัสไม่เป็น เขาก็เป็น แต่ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปเพราะอะไรบางอย่าง

เมธัสเปิดประตูห้องประชุมเข้าไป โชคดีที่ด้านในดับไฟสลัว สาดสปอร์ตไลท์และเปิดเพลงปาร์ตี้สนั่น ไม่มีใครสนใจเขาเท่าไหร่นัก หรือไม่ก็เมาเกินกว่าจะทักทายแล้ว บริษัทเพิ่งปิดโปรเจ็กต์ตึกสูงกลางมหานครไปได้ ปาร์ตี้เล็กๆ กันเองนี่จึงเป็นนโยบายของผู้บริหารที่ตั้งใจจะสร้างกำลังใจให้กับลูกน้อง

เมธัสกวาดสายตาหาหญิงสาวคนหนึ่ง ท่ามกลางคนนับสิบ ก่อนสายตาจะเพ่งเห็นเธอยืนกอดอกอยู่มุมห้อง เมธัสรีบเดินเข้าไปทันทีพร้อมเรียกชื่อ “น้ำตาล!”

สาวสวยผมดำขลับยาวถึงกลางหลัง กับหน้ามาตรงเป็นระเบียดเหนือคิ้วอ้าปากขึ้นเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง น้ำตาลสาวเท่ในเสื้อเชิ้ตกับยีน และร้องเท้าส้นสูงรีบคว้าแขนเมธัสไว้ทันที

“มาช้าชะมัด นี่คนอื่นเขาจะพาไปส่งแล้วเนี่ย”

“แล้วมึงบอกไปว่าไง” เมธัสถาม มองคนที่นั่งบนเก้าอี้ พิงกำแพงหลับไปนิ่งๆ เมธัสมองแก้มแดงเรื่อ ตัดผิวขาวจัด จมูกโด่งสัน ผมรองทรงสูงสีดำขลับปรกใบหน้า ราวกับเส้นไหมราคาแพงพริ้วไหว

“บอกว่ามึงกำลังจะมา บ้านใกล้กัน เดี๋ยวมึงไปส่ง”

“เหรอ ก็ดี”

“ใจคอไม่คิดจะขอบคุณหน่อยหรือไงยะ” น้ำตาลถอนหายใจ

“ขอบคุณครับ” เมธัสว่า น้ำตาลเหล่มองอย่างเสียมิได้

“มีอะไรก็ ค่อยๆพูดค่อยจาแล้วกัน อย่าเป็นหมาบ้า” น้ำตาลว่า ก่อนอาสาจะไปหยิบเครื่องดื่มให้

“อืม” เมธัสรับปากส่งๆ เขาทรุดตัวลงนั่งเก้าอี้ข้างๆผู้ชายคนนั้น มองนิ่งๆ หลากความรู้สึกปะปนกันไป



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-04-2019 00:41:31 โดย kyliewonderland »

ออฟไลน์ kyliewonderland

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +565/-4
You've got the love I Need | เมธัส X อชิร
-2-


 
แสงสีหลากเส้นสะท้อนกระจกบานหนาเข้ามาภายในห้องคอนโด เมธัสมองคนที่หลับเป็นตายอยู่บนเตียงกว้างขนาดหกฟุต คอนโดขนาดกว้าง ตกแต่งอย่างดี หนึ่งห้องนั่งเล่น หนึ่งห้องนอน สองห้องน้ำ ห้องครัวของคอนโดถูกจัดเป็นสัดเป็นส่วนอย่างดี คอนโดที่จัดว่าหรูพอสมควร ทำเลก็ติดกับรถไฟฟ้า คอนโดที่มาจากน้ำพักน้ำแรงของคนตรงหน้าเมธัส คอนโดที่ถูกคาดหวังว่าจะได้ใช้ชีวิตรวมกับใครคนหนึ่งไปตลอดชีวิต

แต่เรื่องแบบนั้นก็ไม่เกิดขึ้นอย่างน่าเสียดาย

รุ่นพี่ที่ออฟฟิศวัยใกล้สามสิบนอนหลับตานิ่ง คว่ำหน้าแนบกับหมอนผ้าคอตตอนนุ่มหลับไม่รู้เรื่อง ขณะที่เมธัสได้แต่นั่งริมขอบเตียง ดวดเบียร์กระป๋องแล้วกระป๋องเล่า มองออกไปนอกหน้าต่างกระจกบานใหญ่ เหมือนรอแสงแรกของวันให้สาดทอขึ้น

เมธัสเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไม ณ ตอนนี้ถึงได้มานั่งอยู่ตรงนี้

ห้องคอนโดตกแต่งด้วยไม้สีอ่อน ปูพื้นไม้แท้ กรุผนังด้วยวอลเปเปอร์และอิฐก้อน เฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่ก็ถูกออกแบบให้มีชิ้นเดียวในโลกด้วยไม้ราคาแพงขัดเงา นอกระเบียงฝั่งติดกับครัวมีส่วนต้นแคคตัสเล็กๆ กับไม้ระย้าห้อยลงมาปกปิดแสงแดดจัดจ้าในตอนเช้าของทุกวันได้เป็นอย่างดี ผ้าปูสีนอนสีครีมไข่ไก่ ทุกๆอย่างออกแบบด้วยความอบอุ่น ตัวตนของ ’อชิร’ ที่มีอยู่จริง ในห้องนี้ อะไรที่ช่างตรงข้ามกับเขาอย่างไร้ที่ติ

คนบนเตียงขยับตัวเล็กน้อยก่อนครางอือเมื่อรู้สึกปวดศีรษะขึ้นมา ก่อนค่อยๆ ปรือตาขึ้น อชิรสะดุ้งนิดหน่อยเมื่อรู้สึกตัวขึ้นมาว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ชายหนุ่มกระพริบตาพยายามเพ่งมองไปข้างหน้า สายตาที่ไม่ได้สวมแว่นทำให้เขามองเห็นไม่ชัด ส่วนคอนแท็กเลนส์กระเด็นไปไหนแล้วไม่แน่ใจ

“เมธ?” เขาเอ่ยเสียงเรียก เมธัสค่อยๆหันกลับมามอง ถอนหายใจ

“กินไปเท่าไหร่เนี่ย”

คนอาวุโสกว่าไม่ตอบ กดขมับแน่นแล้วนวดเบาๆ “กี่โมงแล้ว”

“จะตีสี่แล้ว” พูดจบเสียงเมสเสจไลน์จากมือถือเมธัสก็ดังขึ้น เด็กหนุ่มเอื้อมมือหยิบมาดูก่อนพบว่ามันเป็นไลน์จากเพื่อนรักพระพาย ที่ทักมาถามว่าอยู่ไหนแล้ว

“อืม” อชิรถอนหายใจ เขาเบี่ยงตัวหนุนหน้าไปอีกทาง

“คุณเป็นบ้าอะไรเนี่ย” เมธัสถามด้วยปลายเสียงติดหงุดหงิด

“เปล่า เครียดๆน่ะ มีหลายเรื่องเข้ามา งาน แล้วก็หลายเรื่อง” เขาตอบเป็นคำตอบปลายเปิด ไม่บอกอะไรชัดเจน แต่เมธัสก็พอจะเดาได้ ภรรยาเก่าของเขาน่าจะกลับเข้ามาในชีวิตอีกเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ เมธัสปวดหนึบในใจอยู่หน่อยๆ ก่อนเลื่อนตัวไปนั่งข้างๆคนที่นอนหลับตาอยู่ เขายกมือลูบหัวคนข้างกายเบาๆ นวดคลึงมันช้าๆอย่างเบามือ

เมธัสไม่ใช่คนพูดอะไรเยอะหรอก เขาทำให้เห็นมากกว่า เขารู้สึกยังไงก็ไม่เคยโกหก ไม่ใช่โกหกไม่เก่ง บทจะไม่ให้รู้เขาจะไม่แสดงออกแม้กระทั่งแววตา แต่กับอชิร มันเป็นอะไรที่ประหลาด เมธัสไม่พูดเยอะ  แสดงออกมาก แต่ไม่ตรงไปตรงมา และไม่เป็นตัวของตัวเอง เป็นกึ่งกลางของอะไรบางอย่างที่เขาอยากจะรู้และเข้าใจมันเหมือนกัน

เขาเลื่อนตัวลงนอนข้างๆคนที่หันหน้าหนี เลื่อนแขนให้อีกฝ่ายหนุนนอนสบาย อชิรถอนหายใจออกมาเบาๆอย่างผ่อนคลาย เขาเป็นผู้ชายอายุยี่สิบเก้าย่างสามสิบที่ยังดูอ่อนกว่าวัยนัก ดูเด็ก น่ารัก และเปราะบางในโมงยามนี้ แม้ว่าในเวลาทำงานเขาอาจจะเป็นอีกคนที่คล่องแคล่ว ฉลาด และหล่อเหลา อชิรผ่านการแต่งงานมาหนึ่งครั้ง และจากนั้นก็เลิกรากันไปทั้งที่ชีวิตข้าวใหม่ปลามันยังไม่ครบขวบปี

เมธัสมองคนในอ้อมแขนอย่างบอกไม่ถูก ผู้ชายที่สอนงานเขาในสามเดือนแรก ก่อนที่จะให้ผลักเขา กระโจนออกไปรู้งานด้วยตัวเองกับทีมอื่น ผู้ชายที่ใจดีแต่เหมือนมีอะไรในใจที่คุณไม่มีทางจะรู้ว่าในใจเขาคิดอะไรอยู่ ผู้ชายที่ปากอย่างใจอย่าง ผู้ชายที่ร้องไห้ได้น่ารักที่สุด

เด็กหนุ่มยกใบหน้าขึ้น ก่อนแตะริมฝีปากลงบนแก้มขาวเบาๆ เขาซุกจมูกลงบนซอกคอเรียวขาว กัดมัน ประทับมันไว้ด้วยริมฝีปาก ฝ่ามือร้อนเลื่อนแตะหน้าท้องอีกฝ่าย ปลดกระดุมอย่างรวดเร็ว อชิรครางอือ ส่ายหัว

“เมธ เราปวดหัว”

“เอาออกสักรอบเดี๋ยวก็หาย” เมธัสไม่ฟัง

“นี่” เสียงเล็กๆเหมือนเสียงของมดตะนอยฟังยังไงก็ไม่เหมือนคนที่ปฏิเสธจริงจัง เมธัสจับคนข้างกายนอนหงาย ก่อนเลื่อนตัวขึ้นนั่งคร่อม เด็กหนุ่มถอดเข็มขัดปลดกระดุมอย่างรวดเร็ว

“ทำให้หน่อยสิ”

“เมธ เราบอกว่า---” เมธัสเอาแต่ใครแค่ไหนใครๆก็รู้ แม้กระทั่งคนที่เขารักเขาก็ยิ่งเอาแต่ใจ นิสัยติดตัวแย่ๆที่อชิรไม่ชอบเอาเสียเลย เมธัสหวงอะไรเขาก็จะทำให้สิ่งนั้นสนใจแต่เขาอย่างเดียว

ท่อนเนื้อร้อนถูกสอดเข้าไปในโพรงปากอุ่น ปิดปากอชิรให้ไม่ต้องบริภาษอะไรใดๆอีกต่อไป เมธัสมองคนตรงหน้าที่นอนหอบหายใจหน้าแดง มีของๆเขาอยู่ในปากแล้วนึกคึกกว่าเดิม เขายกมือลูบเรือนผมนุ่มอย่างทะนุถนอม ขัดกับสะโพกหนาที่ขยับรัวเร็ว อชิรมองใบหน้าหล่อเหลาตรงหน้า

“อชิ” เสียงแตกพร่าเรียกชื่อคนที่นอนอยู่ด้วยหลากหลายความรู้สึก เมธัสเลื่อนตัวออก เขาจูบไล่ทั้งใบหน้าของคนใต้ร่าง ประกบปากจูบอย่างแนบชิดและโหยหา อชิรค่อยๆยกท่อนแขนขึ้นคล้องไหล่เมธัส ก่อนแผ่กายลงตรงหน้าอย่างสมยอมแล้วทุกๆอย่าง

-----

เซ็กซ์ที่ดีที่สุดเกิดขึ้นกับอชิร เมธัสไม่ปฏิเสธว่าอชิรคือผู้ชายคนแรกของเขา ส่วนเขาจะเป็นคนที่เท่าไหร่ของอชิรเขาไม่ใคร่รู้สักนิด เมธัสผินหน้ามองฟ้าหลากสี ตะวันของวันใหม่ เกิดขึ้นตรงหน้าสมใจอยาก บุหรี่มวนที่สองถูกจุดขึ้น ก่อนประตูระเบียงจะเปิดออกจากอีกฝั่งของห้องคอนโด อชิรสวมเสื้อคลุมอาบน้ำ ถือบัวรดน้ำออกมาด้วยจากประตูฝั่งห้องครัว ระเบียงห้องนอนและห้องครัวเชื่อมกัน แต่สวนเล็กๆของอชิรกินพื้นที่แค่บริเวณครัวเท่านั้น

“เบบี้กรีนคอสกินได้แล้วนี่ ตื่นมากินสลัดกันไหม”

“ได้หมด” เมธัสว่า เขาขยี้บุหรี่ทิ้ง อชิรไม่ชอบกลิ่นบุหรี่ ถึงไม่บอกตรงๆ เมธัสก็รู้  ซึ่งเมธัสก็ใส่ใจบ้างไม่ใส่ใจบ้างกับเรื่องนี้
มองเสี้ยวหน้าที่เอียงคอรดน้ำต้นไม่ของตัวเองอย่างรักใคร่ เมธัสเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ

“ผมเอาเสื้อผ้าลงไปทิ้งร้านซักรีดนะ จะได้นอนยาวๆ”

“เปิดแล้วเหรอ”

“ยัง แต่เดี๋ยวเขียนโน้ตไว้ก็ได้แหละ ไม่หายหรอก”

“อืม” อชิรพยักหน้าเบาๆ ไม่ตอบ

เมธัสเอาถุงเสื้อผ้าของทั้งเขาและอชิรไปทิ้งไว้หน้าร้านซักรีด ตลกชะมัดชีวิตช่วงนี้แทบไม่ได้กลับบ้าน ยังคิดอยู่เลยว่าถ้าพระพายเกิดอยากมานั่งเล่นเกมขึ้นมาจะบอกเพื่อนว่าอย่างไร แม้จะชอบปากดีชวนเพื่อนมานั่งเล่นบ้านตัวเองยิกๆ ก็เถอะ ระหว่างเขากับอชิรเกิดขึ้นมาได้เกือบสองเดือนแล้ว เป็นสองเดือนที่เขาไม่ได้เล่าให้พระพายฟัง ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง ไม่รู้ตัวเองรู้สึกยังไง ที่สำคัญไม่รู้อชิรรู้สึกยังไงหรือคิดอะไรอยู่ ไม่ปฏิเสธแต่ไม่เอ่ยปากต้อนรับ ไม่ขัดขืนแต่ไม่สมยอมเสียทุกครั้ง ให้เขาเข้าออกคอนโดนี้ได้แต่ก็ไม่พูดว่าเป็นอะไรกัน และบางครั้งอชิรยังแอบร้องไห้แล้วรีบปาดน้ำตา

หรือว่าอชิรเห็นว่าเขาเป็นลูกพ่อ พ่อซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกับคุณริค เจ้าของบริษัท พ่อด้วยซ้ำที่ให้เขามาเริ่มงานที่บริษัทนี้ ก่อนที่จะกลับไปสานต่อบริษัทของพ่อ พ่ออยากให้เขาปีกกล้าขาแข็งพอที่จะเถียงพ่อ คิดเห็นขัดแย้ง และไม่อยู่ในเงาพ่ออีกต่อไป

เพราะแบบนั้นอชิระเลยไม่กล้าหือกับเขา ใครๆก็รู้ว่าเขาเป็นเด็กเส้น เส้นใหญ่แค่ไหนเขาก็รู้กันหมด ซึ่งเมธัสก็ไม่แคร์หรอกเพราะฝีมือของเขาพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นอยู่แล้วตั้งแต่สองสามเดือนแรก

นี่ก็จะครบปีแล้วที่เขาทำงานที่นี่ พอครบปีก็อาจจะถึงเวลาที่เขาควรกลับไปยังที่ๆ เขามาเสียที

กลับขึ้นไปบนห้องนอนพบว่าแสงแดดอ่อนๆสาดส่องเข้ามาอย่างน่ามอง อชิระสวมชุดคลุมอาบน้ำเอนตัวอ่านหนังสืออยู่เงียบๆ เมธัสเข้าไปในห้อง ปิดประตูอย่างเบามือ เสียงสวบสาบของสลิปเปอร์ต่างหากที่ทำให้อชิรเงยหน้าขึ้นมาจากสิ่งที่จดจ่อ เด็กหนุ่มเดินเข้าไปหา ถอดเสื้อยืดวางไว้ที่โซฟาเบดปลายเตียง เดินไปปิดม่านให้สนิท

“นอนเถอะ” เมธัสว่า ดึงแว่นลงจากดั้งจมูกของอีกคน ผิวหน้าของอชิรเนียนละเอียดไม่แพ้พระพาย อชิรแค่ไม่ขาวเท่า และใบหน้าคมคายกว่าก็เท่านั้นเอง

เมธัสจูบเบาๆลงบนกระหม่อม เขาดึงตัวอชิรลงนอน กดรีโมทปิดไฟในห้อง เด็กหนุ่มดึงเชือกเสื้อคลุมออก ค่อยๆคลายเนื้อผ้า

“หนาว” เสียงคนแก่กว่าท้วง เมธัสไม่หยุดมือ เขาดึงจนเนื้อผ้าหลุดจากร่างขาว อชิระตัวสูงโปร่ง รูปร่างดี แม้จะเตี้ยกว่าเขานิดหน่อยก็ตาม

“เดี๋ยวก็อุ่น” เมธัสไม่ได้บอกไปว่าชอบแนบเนื้อขาวๆนี่มากกว่า

สอดแขนรองใต้คอให้อชิระหนุนนอน เมธัสกดจมูกลงบนเรือนผมหอม เด็กหนุ่มรั้งกายขาวแนบตัว ก่อนหลับจมสู่ห้วงนิทราไปด้วยกัน

-----
 
ถ้าบอกว่าอชิระควรได้รับรางวัลตุ๊กตาทองคำก็คงต้องเชื่อ เพราะเมื่อก้าวสู่ที่ทำงานแล้ว อชิรเป็นอีกคน ไม่ใช่คนเดิมที่เมธัสรู้จักในคอนโดห้องนั้น

อชิรซึ่งทำงานเก่ง เคร่งครัด เข้มงวดกับตัวเอง และเป็นที่ชื่นชอบของสาวๆ แม่ว่าเขาจะเป็นพ่อม่ายก็เถอะ

บางครั้งเมธัสก็แอบจะรำคาญ

แต่ตอนนี้เขาถูกย้ายมาทำงานภายใต้พี่อีกคนหนึ่ง ก็ทำอะไรไม่ได้ แม้แต่อาหารกลางวันจะไปกินด้วยกันก็ยังยากเลยถ้าไม่สบโอกาสดีจริงๆ เมธัสรู้ดีว่าถ้าดื้อด้าน เอาแต่ใจกับอชิร ทุกอย่างต้องจบลงอย่างรวดเร็วแน่นอน

ทั้งที่มันแทบไม่เริ่มต้นด้วยซ้ำ

“ขอบคุณครับเมธ” เมื่อเขาหยิบเอกสารที่อชิรขอดูส่งให้ อีกฝ่ายเงยหน้าจากโต๊ะและยิ้มจางๆ ดูดีเสมอในเสื้อเชิ้ตคอจีนสีขาว แขนสั้น กับกางเกงผ้าลินินสีครีม และรองเท้าแตะหนังสวมใส่สบาย เมธัสพยายามมองให้อีกฝ่ายสบตา แต่อีกฝ่ายไม่แม้แต่เงยหน้าขึ้นมอง

ช่วงมื้อกลางวัน แฟนหัวหน้าฝ่ายต้มแกงหม้อใหญ่มา คนอื่นเลยออกไปซื้อขนมจีนตะกร้าใหญ่ ต้มไข่ และซื้อไก่ทอดมาเสริม มื้อกลางวันวันนี้จึงไม่ต้องตากแดดปั่นจักรยานไปหาอะไรกิน เช่นกันกับไม่ต้องเสียเวลาทำงานมากนัก

เมธัสนั่งข้างน้ำตาลบนโต๊ะกินข้าวตัวใหญ่ของชั้นรับประทานอาหารซึ่งอยู่บนสุด เหนือชั้นประชุมขึ้นไป ออกแบบให้เปิดประตูออกไปสู่ระเบียงกว้างกลายเป็นลานสังสรรค์ได้  นักออกแบบทั้งหลายนั่งกิน ยืนกินอาหารมื้อกลางวันกันด้วยความผ่อนคลาย แม้จะเป็นชั่วโมงเดียวที่ได้ละจากหน้าจอคอม

“ทำงานแบบนี้เสียสุขภาพชะมัด” น้ำตาลบ่น กวาดเส้นขนมจีนเข้าปากเซ็งๆ ช่วงหลังๆ หญิงสาวเริ่มบ่นว่าปวดไหล่ เนื่องจากนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ทั้งวัน ส่วนเมธัสเองก็เริ่มนิดหน่อย แต่อาศัยลุกเดินเอา ช่วงหลังเขาห่างหายจากฟิตเนสไปมาก ตัวเริ่มย้วยยาน เพราะเอาแต่นอนจนเกือบเลยเวลาตื่นทุกที

เวลามาทำงานก็แปลก ทั้งๆ ที่เมธัสก็ค้างคืนที่คอนโด แต่อชิรไม่ยอมมาด้วยกัน มีแค่นานๆครั้ง เขาเลือกที่จะขึ้นรถไฟฟ้าและต่อรถมอเตอร์ไซค์ และบังคับให้เมธัสขับรถมา

มันเป็นกฏของอชิ ถ้าเมธัสอยากจะอยู่กับคนๆนี้ต่อไป เขาก็ต้องยอมรับว่ามันต้องเป็นแบบนี้ไปจนกว่าทุกอย่างจะชัดเจนขึ้น

“เออ อชิ” เสียงหัวหน้า พี่นพทักขึ้น อชิรที่นั่งกินข้าวเงียบๆอยู่ตรงข้ามเงยหน้าขึ้นมา “เดี๋ยวจะไปดูไซต์งานเลยปะ”

“เนี่ย ว่าจะออกแล้วครับพี่”

“ไปไง ไปด้วยกันดิ พี่ว่าจะไปดูด้วยพอดี”

“ได้สิพี่”

เมธัสหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเข้าโปรแกรมไลน์ ก่อนพิมพ์ไปหาคนที่นั่งจับช้อนส้อมแทบจะทันที

‘จะไปแถวไหน’

อชิรเหลือบมองหน้าเด็กหนุ่มทันทีที่โทรศัพท์สั่น สายตาดุขึ้นมานิดหนึ่งทั้งที่ปกติจะดูใจดี เมธัสจ้องตอบ จนอีกฝ่ายเบือนหน้าหนีไปเอง

เมธัสมองแผ่นหลังบางที่เดินหายออกไปกับหัวหน้าใหญ่ เขากินข้าวต่ออย่างเซ็งๆ สักพักโทรศัพท์ก็เสียงดังขึ้น เป็นข้อความจากอีกคนที่เพิ่งเดินออกไปได้สักห้านาที ส่งกลับมา ‘วันนี้ไม่ต้องมาหรอก กลับบ้านไปเถอะ กว่าจะกลับก็คงดึก’

เมธัสชักจะหงุดหงิด นับหนึ่งถึงสิบในใจแล้วเก็บโทรศัพท์ลง อชิรคงคิดว่าเขาจะยอมง่ายๆ แต่ก็คงฝันไปนั่นแหละ



tbc.


สวัสดีค่ะ ลี่กลับมาต่อซีรีย์เรื่องสั้นนี้แล้วนะคะ
แต่เนื่องจากหายไปนาน ตอนของคู่ที่ 1 พระพายเลยถูกลบไป
คู่ของเมธัส เป็นคู่ที่ 2 ในซีรีย์แล้วค่ะ

สามารถไปตามอ่านคู่ของพระพายและพี่กวิน ได้ในแฟนเพจของไคลี่นะคะ ลิงก์อยู่ด้านบนก่อนตอนที่ 1 เลยค่ะ
เร็วๆ นี้ลี่จะเปิดพรีเล่มซีรีย์เรื่องสั้นนี้ ซึ่งจะมีทั้งหมด 4 คู่นะคะ
และปีนี้ ลี่จะออก 'รักชาชารีเทิร์น' รวมเรื่องสั้นของเพื่อนน้ำชา-โฟล์ค ให้อ่านกันราวเดือนมิถุนายนเป็นต้นไปนะคะ
ฝากติดตามกันด้วยค่ะ เข้ามาทักทายในแฟนเพจกันได้นะคะ ^^


ออฟไลน์ TheSpaceOfM

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ความสัมพันธ์ของเมธกับอชิเป็นความสัมพันธ์คลุมเครือและไม่มีอะไรแน่นอนเลย จากชักษณะนิสัยของเมธดูไม่ใช่คนที่จะยอมแบบนี้เลย แต่เรื่องความรักอะไรก็เกิดขึ้นได้ รอติดตามความสัมพันธ์คลุมเครือไม่ชัดเจนของคู่นี้นะคะ
ป.ล.ดีใจมากๆเลยค่ะที่คุณไคลี่กลับมาเขียนนิยายอีกครั้ง คิดถึงคุณไคลี่เสมอเลย เป็นกำลังใจให้นะคะ และรอติดตามผลงานดีๆจากคุณไคลี่ไปเรื่อยๆ ขอบคุณสำหรับการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพค่ะ

ออฟไลน์ punthipha

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-0

ออฟไลน์ AeAng11

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 528
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ดีใจที่คุณลี่กลับมาค่ะเราชอบสำนวนการเขียนของคุณมากๆรอติดตามและรอเก็บเล่มค่ะ

ออฟไลน์ mareeyah

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 184
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ MyLavenderLand

  • ฉันสุขใจ เมื่อได้ Log in เล้า
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1582
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
ว้าวววว ติดถึงคุณไคลี่จังค่าาา ดีใจนะคะที่คุณลี่กลับมา ชอบงานเขียนคุณลี่ มันจะหม่นๆหน่อยแบบนี้ รออ่านคู่นี้และคู่อื่นๆต่อนะคะ อย่างทิ้งกันไปนานๆอีกน้าาาา  :กอด1:

ออฟไลน์ kyliewonderland

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +565/-4

ตอนที่ 3


ถ้าบอกว่าไม่น่าแปลกใจ ที่เมธัสจอมเอาแต่ใจจะมีกุญแจห้องของอชิร ก็ไม่แปลกเลย บอกแล้วว่าถ้าอยากได้ก็ต้องได้ กุญแจห้องของอชิรดอกสำรองพร้อมคีการ์ดถูกเขายึดมาตั้งแต่ยังไม่พ้นเดือนแรกของความสัมพันธ์ขาดๆ เกินๆ นี่หรอก แม้อชิรจะไม่พอใจ แต่ก็ไม่สามารถขัดใจเมธัสได้

เพราะฉะนั้นเมื่อราวสี่ทุ่มเกือบครึ่งที่อชิรเปิดประตูห้องกลับเข้ามา แล้วพบเมธัสนั่งทำงานอยู่บนโต๊ะทำงานของเขาหลังโซฟาตัวใหญ่ จึงไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่นักเช่นกัน

เจ้าของห้องหน้าแดงนิดหน่อย กึ่มๆ ด้วยฤทธิ์ไวน์ หลังจากไปดูไซต์งานมากับพี่นพ ซึ่งเป็นหัวหน้าใหญ่ฝ่ายออกแบบ น่าจะถูกชวนไปนั่งดื่มกันต่อ นั่นเป็นที่มาว่าทำไมคนตัวเล็กถึงออกตัวแต่แรกว่าวันนี้คงกลับดึก

เมธัสเหลือบสายตาขึ้นจากแล็ปท็อป เขาสบตากับอชิรที่มองมาคล้ายจะไม่ใส่ใจ เห็นแบบนั้นเลยฉุนขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็พยายามสงบสติอารมณ์ลงด้วยการพรูลมหายใจออกยาวๆ

“ไม่บอก จะได้ไปรับ”

“ก็ไม่นึกว่าอยู่” อชิรว่า ก้มลงถอดถุงเท้าแล้วโยนใส่ตะกร้าข้างชั้นวางรองเท้า “แล้วก็บอกไปแล้วด้วยว่าไม่ต้องมา”

“แล้ว?”

“เหนื่อย ร้อนชะมัดวันนี้” คนตัวเล็กกว่าบ่ายเบี่ยงไม่ตอบ เขาถอนหายใจตอบแทน แล้วบ่นเรื่องดิน ฟ้า อากาศ  ก่อนยกมือพาดไหล่พร้อมกับบีบนวดคอ

“ผมเปิดน้ำไว้ให้แล้ว น่าจะยังไม่เย็น คุณไปอาบน้ำสิ”

“อื้อ”

ไม่ทันขาดคำดี โทรศัพท์เมธัสที่วางอยู่ก็สั่นครืดคราด คนอายุน้อยกว่าหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาดู ก่อนกดรับ

“ว่าไงพาย” น้ำเสียงที่ติดจะร่าเริงและยินดีเล็กๆ ทำเอาเจ้าของห้องที่กำลังปลดกระดุมเสื้ออยู่ต้องเงี่ยหูฟังแม้จะพยายามทำเป็นไม่สนใจอยู่ก็ตาม

“กูยังไม่ถึงบ้านเลย วันนี้อาจจะไม่ได้กลับด้วยซ้ำ มาเอาพรุ่งนี้เช้าได้ไหม เข้าห้องไปเอาเลย”

“อะไรเนี่ย ทะเลาะกับพี่กวินมาแล้วอย่างอแง หัดง้อเขาซะบ้าง เออๆ เดี๋ยววันเสาร์นี้กูพาไป เออน่า”

“เคมึง แค่นี้แหละ”

เมธัสกดตัดสายแล้ววางมือถือไว้ที่เดิม เขาเงยหน้าขึ้นมองอชิรอีกครั้ง พอดีกับที่อีกฝ่ายเบือนสายตาหลบหนีทันเวลาพอดี
เมธัสมองตามแผ่นหลังเปลือยเปล่าที่เดินเข้าห้องน้ำไป โดยพาดเสื้อเชิ้ตสีขาวทิ้งไว้ที่พักแขนของโซฟานวมตัวนุ่ม เด็กหนุ่มเดินไปหยิบเสื้อตัวนั้นเดินไปทิ้งที่ตะกร้าผ้าซักโดยไม่ปริปาก ก่อนเดินไปชะโงกหน้าที่ประตูห้องน้ำที่แง้มเอาไว้

ร่างเล็กๆ ขาวจัดนอนหลับตานิ่งภายใต้ผืนน้ำกระเพื่อมอ่อนๆ กลิ่นหอมของเทียนหอมถูกจุดขึ้นสร้างบรรยากาศผ่อนคลาย

“วันนี้เป็นไงบ้าง งาน” เมธัสถามขึ้น เขาเดินไปนั่งริมขอบอ่างอาบน้ำ พลางยกมือเกลี่ยเส้นผมชื้นไอน้ำของอชิร

คนที่นอนหลับตาอยู่ไม่ลืมตาขึ้น แต่เลิกคิ้วขึ้นหน่อย “ก็ทั่วไป ลูกค้ายังไม่แน่ใจความต้องการตัวเองเหมือนเดิม”

“คุณทำได้อยู่แล้ว”

“ก็นั่นแหละ” ฝ่ามือเล็กๆ เอื้อมจับนิ้วของคนอายุน้อยกว่าที่เกลี่ยอยู่บนใบหน้าเขาเบาๆ เมธัสเกี่ยวนิ้วมือเล็กๆ ตอบ

“แล้วทำไมดูเหนื่อยขนาดนี้ ไม่ใช่เรื่องงานใช่ไหม” ใบหน้าของอชิรยังเรียบนิ่ง แต่ถ้าลืมตาขึ้นมา เมธัสอาจจะได้เห็นแววตาวูบไหวในนั้น ตั้งแต่คืนวันนั้นในงานเลี้ยง เขารู้สึกได้ว่าอชิรกำลังต่อสู้กับเรื่องราวบางอย่างที่เจ้าตัวไม่ใคร่อยากจะปริปากเล่านัก
ครั้งนี้ก็เหมือนกัน อชิรไม่ตอบ ซึ่งแม้เมธัสอยากจะรู้แค่ไหนก็รู้ดีว่ามันคงเป็นไปไม่ได้ เค้นคอให้ตาย อชิรก็อาจจะยังไม่เปิดปากอยู่ดี และจริงๆ เมธัสก็อาจจะรับไม่ได้ด้วยซ้ำกับคำตอบที่เป็นความจริง

ภายนอก อชิรก็คือผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง เป็นคนเนี๊ยบ สะอาด เรียบร้อย และอยู่ในกรอบ ที่แน่ๆ เป็นที่ต้องตาของสาวๆ แน่นอน แต่สำหรับเมธัส อชิรเหมือนลูกแมว เขาตัวเล็ก เปราะบาง บางทีก็อ้อนหา บางทีไม่อยากจะปฏิสัมพันธ์กับอะไร ก็ทำเมินเสียเฉยๆ จะเรียกว่าเดาใจยากก็คงถูก ทุกวันนี้ บางครั้งเมธัสก็ยอมรับว่า เดาใจคนตรงหน้าไม่ถูกอยู่ดี

เมธัสไม่เคยคิดว่าอชิรเป็นชายหรือหญิง มันไม่จำเป็น มันจำเป็นแค่ว่าเขารู้สึก และเขาก็เคยบอกไปแล้ว แม้จะทางอ้อมหรือทางตรงก็ตาม แต่แน่นอนว่าเขาแสดงออกไปแล้ว ว่าเขาต้องการอชิมากแค่ไหน อชิรเหมือนรับรู้อยู่หรอก แต่ก็ไม่เคยหือ อือ อะไรให้มันคืบหน้า

“ขึ้นได้แล้ว เดี๋ยวป่วยหรอก” เมื่อไม่ได้คำตอบใดๆ เมธัสจึงหันไปคว้าเสื้อคลุมจากราวแขวนด้านบนมาไว้ในมือ ก่อนเอื้อมมือส่งไปให้คนตรงหน้า อชิรเปรยตาขึ้นมอง ก่อนลุกขึ้นเต็มความสูงแล้วก้าวออกมาจากอ่างอาบน้ำ เขายืนนิ่งๆ ให้เมธัสสวมเสื้อคลุมให้ราวกับตุ๊กตา ก่อนยกมือคล้องคอคนตรงหน้าไว้หลวมๆ

“หนาว” ริมฝีปากสีซีดพึมพำเบาๆ เมธัสส่ายหัว

“คุณนี่นะ” เด็กหนุ่มแม้จะทำทีหน่ายใจ แต่เขาก็ช้อนตัวคนตรงหน้าขึ้นมาอุ้มเอาไว้แนบอก เป็นอีกครั้งที่เดาอะไรอชิรไม่ได้เลย แต่นี่อาจจะเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่ทำให้เขาไปจากคนๆ นี้ไม่ได้ ละสายตาก็ไม่ได้ เพราะกลัวว่าหากไม่จ้องเอาไว้ คนๆ นี้จะหายไปตลอดกาล
 

-----
 
ผิวขาวที่ตัดกับผิวสีเกือบแทนของเมธัสเป็นรอยแดงปื้นจากการบีบเค้นบริเวณหัวไหล่ ริมฝีปากร้อนจัดที่ครอบครองกลางลำตัวทำให้เมธัสต้องบิดริมฝีปากเหยียดเกร็งเกินทานไหว ศีรษะของคนตัวเล็กที่ขยับไปมาระหว่างหว่างขาขณะที่เขานั่งอยู่บนเตียงทำเอาอารมณ์เขากระเจิดกระเจิง ควบคุมไม่อยู่ เผลอกระชากเรือนผมนุ่มไปตั้งหลายที

อย่างที่บอก ไม่เคยถามว่าอชิรเคยผ่านใครมาหรือไม่ เขามีรสนิยมอย่างไร ชอบเพศไหน เคยผ่านผู้ชายคนไหน หรือผู้หญิงอื่นใดหรือไม่ แม้ใจหนึ่งอยากรู้ แต่อีกใจก็ไม่อยาก เรื่องของเขากับอชิรมันค่อนข้างจะซับซ้อน และบางครั้งเมธัสก็ยังเป็นเมธัสที่นิสัยไม่ดี ไม่คิดจะเคลียร์ แต่ไม่คิดจะหายไปเช่นกัน

“คุณ ผม...อึก” เสียงครางของเมธัสทำให้อชิรช้อนตาขึ้นมอง เห็นแค่นั้นก็ทนไม่ไหว เมธัสขบฟันแน่น ทั้งๆ ที่วันนี้ว่าจะพอแค่นี้ ไม่อยากให้ต้องเหนื่อยตัว

ฝ่ามือหนากระชากไหล่บางออกจากร่าง สอดแขนรั้งร่างผอมบางขึ้นนอนแผ่บนเตียง ส่วนสำคัญกลางร่างกายขยายขนาดจนเห็นเส้นเลือดปูดโปนชัดเจน นิ้วยาวจาบจ้วงเข้าช่องทางด้านหลังของคนที่นอนระทดระทวยอยู่บนเตียง

“คุณนี่มัน...”

อชิรพยายามกลั้นเสียงร้อง แต่ก็ทำไม่ได้ เขาหลุดออกมาแผ่วเบาแต่ก็ดังพอที่เมธัสได้ยิน ในจังหวะที่เมธัสสอดร่างกายเข้าไปในช่องทางคับแน่น เสือกร่างเขาไปอย่างไม่ยอมให้เสียจังหวะ “ผมว่าจะไม่ทำแล้วนะ แต่คุณก็ทำตัวเอง”

“อ๊ะ”

“คุณมันคนใจร้าย” เมธัสจ้องดวงตากลมโตราวกับดวงดาวที่เห็นได้จากยอดเขาที่สูงลิบเท่านั้น วูบไหวหนึ่งเด็กหนุ่มได้เห็นระเรื่อน้ำตาในนั้น ก่อนที่เจ้าของจะเลือกเบือนหนีพร้อมปิดตาลง

“เมธ เจ็บ” เสียงแผ่วเบาดังขึ้นซ่านข้างหู

“เจ็บมากไหม”

“ฮื่อ”

“ก็ดี จะได้จำ อย่าไปทำหน้าแบบนี้กับใครรู้ไหมอชิ”

 
เมธัสจัดการเช็ดตัวให้คนที่นอนแบ็บอยู่บนเตียงหมดฤทธิ์ แม้ปากจะเอ่ยไล่ไม่ให้เขาต้องมาหา แต่พอถึงเวลาที่ร่างกายสัมผัสกัน อชิรแปลงร่างเป็นแมวเหมียวที่อ้อนจะเอาทุกอย่างเท่าที่จะเอาได้ บางทีเมธัสก็ตามอารมณ์ไม่ทัน

ครั้งแรกที่เจอกัน อชิรคือรุ่นพี่ที่ใจดี แม้ภาพลักษณ์จะดูเรียบร้อย ไม่พูดคำหยาบคายห่ามๆ แบบที่ซีเนียร์อายุไล่เลี่ยกันเขาทำกันเวลาสบถเนื้องาน แต่ก็มีอารมณ์ขัน รับมุกกับคนอื่นได้เป็นอย่างดี แม้จะไม่ใช่เบอร์หนึ่งของบริษัทแต่ก็เป็นเบอร์ท็อปๆ ของสถาปนิกที่ผู้บริหารวางใจ อชิรคอยสอนงานเขา พาไปไซต์งาน แม้จะเป็นคนคนละขั้วกับเมธัสเลือดร้อน แต่ทุกครั้งที่ได้ไปไหนมาไหนด้วยกัน เขาไม่เคยรู้สึกถึงความตึงเครียดหรือความประหม่าอะไรเลย อชิรอัธยาศัยดีเสมอ และคอยเทกแคร์คนรอบตัว เมธัสก็เป็นหนึ่งคนที่ได้อานิสงส์จากความใจดีนั้น

ช่วงเวลาสามเดือนแรกทำให้เขาและอชิรสนิทกันจริงๆ ไม่แน่ใจว่ามีความรู้สึกแอบแฝงก่อตัวช่วงนั้นหรือไม่ แต่หลังจากพ้นโปร เมธัสก็ถูกย้ายทีมไปทำโปรเจ็กต์ที่ยากขึ้นเนื่องจากพี่นพเห็นศักยภาพ แต่พวกเขาก็ยังพูดคุยกัน อชิรเป็นคนที่พึ่งพาได้ บางครั้งพวกเขาก็ไปกินข้าวดื่มเบียร์กันบ้างหลังเลิกงาน

ได้มารู้ว่าอชิรเลิกกับภรรยาก็เมื่อราวรู้จักกันได้หกเดือน ก่อนหน้านั้นก็พอรู้แหละว่ารุ่นพี่แต่งงานแล้ว แต่ก็ดูจะไม่ได้เล่าอะไรมากเท่าไหร่นัก น่าจะมีปัญหากันมายืดเยื้อพอสมควร

แต่วันนั้น วันที่ทุกสิ่งเกิดขึ้น สองเดือนที่แล้ว เขากับอชิรเลิกงานไล่ๆ กัน เลยไปกินข้าวกันตบท้ายด้วยเบียร์ตามปกติ แต่อชิรร้องไห้ เมธัสไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นหรอก ณ วันนั้น ไม่รู้ว่าอชิรเผชิญอะไรมาและมันทำร้ายจิตใจมากแค่ไหน แต่เพียงแค่น้ำตาหยดเดียวที่ไหลอาบแก้มขาวเนียน ก็ทำเอาเมธัสต้องกำหมัดแน่น นั่นอาจจะเป็นสัญญานแผ่นดินไหวครั้งแรกที่เกิดขึ้นในใจของเขา อชิรเมามาย เมธัสก็เหมือนกันแม้จะเล็กน้อย แต่พอได้สัมผัสและแตะต้องร่างผอมบางเมื่อมาส่งที่ห้อง ทุกอย่างก็เกินเลย
แต่ที่น่าโมโห และที่เมธัสรู้สึกว่ายอมไม่ได้ ปล่อยมือไม่ได้มากที่สุด ก็คือเมื่อตื่นมาแล้ว อชิรทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำเป็นฝืนยิ้มเหมือนมันไม่มีอะไรอย่างนั้น

“นอนได้แล้ว”

 -----

เสียงลากเมาส์ดังขึ้นในห้องทำงานกว้างใหญ่ที่เกือบร้างไร้ผู้คน เมธัสคิ้วขมวดมุ่นอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ตัวใหญ่ วันนี้ส่วนใหญ่กลับไปตั้งแต่เย็น ขณะที่บางส่วนออกไปประชุมกับลูกค้าแล้วไม่ได้กลับเข้ามา

ฟากตรงข้ามกับฉากกั้นระหว่างโต๊ะออกไปอีกราวสองโต๊ะ อชิรยังคงนั่งกวาดตาอ่านอะไรอยู่อย่างมีสมาธิ มันอาจจะมีบางวันเท่านั้นแหละที่เมธัสใช้คำว่าโชคดีได้ ที่อชิยอมกลับบ้านด้วย ไม่งั้นฝ่ายนั้นพอเคลียร์งานเสร็จ หรือไม่เสร็จก็ตาม ก็หอบข้าวหอบของกลับคอนโดอย่างรวดเร็ว ไม่รอให้เมธัสได้เคลียร์งานแล้วกลับพร้อมกันสักเท่าไหร่

“มึง อีกนานปะ แดกเบียร์กัน” น้ำตาลเดินมายืนกอดอกมองเขาด้วยสีหน้าเซ็งๆ เมธัสเงยหน้าจากจอคอมพ์

“ก็สักสิบห้านาที เดี๋ยวโหลดขึ้นดร็อปบ็อกซ์ก่อน ทำไมอะมีไร”

“เออ เซ็ง โดนด่า แถมผัวแม่งขอเลิกอีกเมื่อคืน”

“ห้ะ รอบที่สิบแล้วมั้งพวกมึงเนี่ย” เมธัสส่ายหัวให้กับความรักของเพื่อนสาวกับแฟนหนุ่มนักบัญชีขี้งอแงของเธอ

“เอออออ กูรู้” สาวเจ้าหน้าง้ำ “ก็ไม่ได้อยากกวนหรอก แต่กูเซ็งจัดเลยอะ” หน้าบุ้ยใบ้ไปยังรุ่นพี่ที่รักของเพื่อนสนิทที่ยังนั่งหน้าจริงจังอยู่หน้าแล็ปท็อป แต่ตากลับเริ่มมีน้ำตาคลอปริ่มๆ

เมธัสมองหน้าเพื่อนสาว เคาะโต๊ะทำงานสองก๊อก ก่อนลุกขึ้นยืนแล้วตบไหล่น้ำตาลเบาๆ “เดี๋ยวกูมาแป๊บ แต่ไม่กลับดึกนะคืนนี้”

“ไปแป๊บเดียว กูก็มีงานต้องเคลียร์อีกเยอะ” น้ำตาลทำเสียงจะร้องไห้เต็มแก่

เมธัสพยักหน้ารับก่อนคว้ากุญแจรถเดินอ้อมโต๊ะไปหาคนที่อยู่ในสถานะรุ่นพี่ที่ยังไม่สนใจแวดล้อมรอบตัว เด็กหนุ่มเดินไปซ้อนหลังอีกฝ่าย ก่อนวางฝ่ามือลงบนไหล่แบบบางนั่น ทำให้อีกฝ่ายต้องหันกลับมามองด้วยสีหน้าตื่นเล็กน้อย

“มีอะไร” อชิถาม เมธปล่อยมือจากไหล่อีกฝ่าย ก่อนลากเก้าอี้ตัวข้างๆ มานั่ง

“คุณจะกลับยัง หิวข้าวไหม”

“สักพักจะกลับแล้ว” อชิรตอบแค่นั้น ก่อนจ้องตาเมธัสนิ่งๆ เด็กหนุ่มรู้ดีว่าวันนี้คนตรงหน้าคงจะอารมณ์ดีหรือไม่ก็คนน้อย จึงยอมที่จะกลับบ้านกับเขา แต่ยัยเพื่อนตัวแสบของเขานี่สิ กลับไม่ปล่อยให้เขาได้กลับบ้านอย่างสงบสุข “หิวแล้วเหรอ ว่าจะกลับไปทำ”

“เปล่า” เมธัสเกี่ยวมือเล็กๆ ขึ้นมาแกว่ง อชิรตกใจพยายามดึงมือออก แต่เมธัสกลับขืนเอาไว้แล้วดึงไปแอบใต้โต๊ะแทน “น้ำตาลมีปัญหาชีวิตนิดหน่อย ผมคงไม่ได้กลับด้วยกับคุณ คุณขับรถกลับเถอะป่านนี้รถไม่ติดแล้ว ผมขอสองชั่วโมงแล้วเดี๋ยวเจอกัน”
เมธัสเห็นสายตามึนตึงของฝ่ายตรงข้ามไหววูบ ก่อนที่มันจะหายวับไปในเสี้ยวจังหวะต่อมาทันที อชิรไม่พูดอะไร แต่รับกุญแจเมธัสไปไว้ในมือ

“ขอโทษนะ ผมก็อยากกลับกับคุณ”

“เรากลับเองได้ ไปดูเพื่อนเถอะ ร้องไห้แล้วมั้ง” เมธัสหันเหลือบกลับไปดู สาวเจ้าเดินไปคุยโทรศัพท์ริมกระจกพร้อมปาดน้ำตาป้อยๆ “หรือวันนี้จะกลับบ้านก็ได้นะ เอารถไปก็ได้”

“ไม่” เด็กหนุ่มปฏิเสธฉับพลัน เขากำมืออีกฝ่ายที่ถือกุญแจไว้แน่น

อชิรมองตารุ่นน้อง แววตาคมกริบดื้อดึงเสมอ ไม่ว่าจะวันแรกที่เจอกัน สองเดือนก่อนที่เผลอลึกซึ้ง หรือแม้กระทั่งตอนนี้ก็ตาม

“คุณขับรถดีๆ นะ จะให้ดีถึงห้องก็โทรหาผมด้วย”

“......”

“แล้วก็อย่าลืมหาข้าวกินเด็ดขาด”


เมธัสเดินไปส่งอชิรถึงประตูรถ รอจนอีกฝ่ายปรับเบาะ สตาร์ตรถเรียบร้อย เขาก็เกาะกระจกร่ำลาอยู่อีกเกือบนาที จนกระทั่งอชิรเอ่ยปากไล่ระคนรำคาญหงุดหงิดนั่นแหละ เมธัสถึงจะยอมเดินกลับมาหาเพื่อนสาวที่นั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่หน้าบันไดทางเข้าลิฟท์อาคาร พร้อมพ่นควันบุหรี่ออกมาแบบไม่ประสีประสา

“ดูดบุหรี่โคตรเปลืองมึงนี่” เมธัสส่ายหัว ดึงซองบุหรี่ของตัวเองบนตักเพื่อนกลับมา แล้วทรุดตัวนั่งลงข้างๆ ที่ขั้นบันไดที่เหลื่อมกัน

สถาปนิกหนุ่มจุดบุหรี่สูบ ก่อนนั่งเงียบๆ ดูว่าเพื่อนสาวจะบ่นอะไร

“มึง กูเบื่อ ชีวิตทำไมต้องมาคอยยอม คอยง้อมันแบบนี้วะ”

“มึงเลือกแล้วปะละ” เมธัสตอบตามความเป็นจริง “กูบอกแล้วว่าถ้าไม่ไหวก็ใจแข็งๆ หน่อย”

“มึงมันคนหลงเมียนี่ กูละอิจฉาพี่อชิเขาจริงๆ”

“จริงอะ” เมธส่ายหัว “กูนี่ยังนั่งสมเพชตัวเองอยู่เลย”

“แต่มึงก็ยังอยากทำให้เขานี่ กูนี่เบื่อ หมดความตั้งใจจะทำอะไรให้ทุกวันๆ โคตรงี่เง่า”

“มึงแค่โกรธแฟนมึง เดี๋ยวพอหายโกรธก็รักเหมือนเดิม”

“มันก็ใช่” น้ำตาลเบะปากน้ำตาซึมอีกระลอก “แล้วทำไมมึงยังอยากทำอะไรให้พี่อชิอยู่วะ เขาก็ดูใจร้ายกับมึง”

“ไม่รู้ดิ” เมธตอบตามตรง “พูดยาก ไม่รู้เพราะอะไร แต่เวลาเขาโกรธก็ยิ่งอยากแกล้งแล้วค่อยง้อ อยากชนะใจมั้ง กูก็ไม่เคยเป็นกับใครแบบนี้นะ แต่กูก็ไม่เคยมานั่งคิดว่ารักหรือไม่รัก รักคืออะไร”

“งั้นถ้าสักวันมึงเอาชนะพี่เขาได้แล้ว มึงก็คงจะเลิกทำอะไรให้เขาแล้วไหมวะ”

“ไม่ว่ะ ถ้าถามความรู้สึกตอนนี้ กูอยากดูแลเขาไปเรื่อยๆ”

น้ำตาลมองหน้าเพื่อนรักแบบเซ็งๆ เธอพรูลมหายใจทอดยาวเหยียด “เบื่อมึงอีเมธ ไปแดกเบียร์ดีกว่า”

“ไปร้านข้าวต้มลุงซ้งละกันมึง กูขี้เกียจยาว จะรีบกลับ”

“จ้า” หญิงสาวลากเสียงประชดประชันจนเมธัสนึกหมั่นไส้ตงิดๆ

-----

นั่งดื่มกับเพื่อนสาวจนกระทั่งราวห้าทุ่มกว่าๆ ที่ร้านข้าวต้มแถวแยกสุทธิสาร ที่อาหารถูกปากและราคาสมเหตุสมผล เบียร์หมดไปประมาณห้าขวด เมธัสเรียกว่าจิบดีกว่าถ้าเทียบกับการกินเหล้าปกติ เขากินเฉลี่ยไปราวสองขวดนิดๆ ที่เหลือน้ำตาลจัดเต็มด้วยความเซ็งชีวิต จนกระทั่งเบียร์ขวดสุดท้ายที่เมธัสยอมยืดเวลาให้เพื่อนสาวต่อขวดแล้วขวดเล่าหมดลง เขาหิ้วเพื่อนสาวที่ผมเริ่มมันแผล็บจากอากาศภายในร้านให้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ จ่ายเงินค่าอาหารและแอลกอฮอล์ จากนั้นเรียกบริการรถแกร็บเพื่อให้น้ำตาลถึงที่พักโดยปลอดภัย

ยืนสูบบุหรี่หน้าร้านราวเจ็ดนาที นิสสันอัลเมราก็จอดเทียบฟุตปาธ เมธส่งเพื่อนขึ้นรถ ก่อนที่เขาจะโบกแท็กซี่ที่หน้าร้านเพื่อกลับไปยังคอนโดของอชิร

ฤทธิ์แอลกอฮอล์เล่นงานเขาเล็กน้อย แต่ไปในเชิงง่วงหงาวหาวนอนเสียมากกว่า จะว่ายังหนุ่มยังแน่นก็ไม่ผิดหรอก แต่ว่าทำงานใช้สมองทั้งวัน กลางคืนก็ออกแรงไม่น้อยเวลาหยิบยื่นทั้งความสุขสมและความทุกข์ให้กับคนตัวเล็กกว่า ยิ่งเวลาอีกฝ่ายรวนหาเรื่อง หรือเล่นสงครามประสาท เมธัสก็เกิดอารมณ์หมั่นไส้และหมั่นเขี้ยวขึ้นมาตงิดๆ และจบลงที่บนเตียงเสมอ

ใช้เวลาราวยี่สิบนาทีเพราะรถติดแค่แยกเดียว ก่อนที่รถโดยสารจะถึงที่หมาย จ่ายเงินเรียบร้อย หยิบบัตรเข้าคอนโดที่ห้อยติดกุญแจออกมาจากกระเป๋ากางเกง เดินไปตามเส้นทางที่กลายเป็นเส้นทางที่เขาคุ้นเคยเสียยิ่งกว่าทางเข้าบ้านตัวเองไปแล้ว ก่อนกดชั้นเป้าหมายเมื่อลิฟท์ลงจอด

ประตูห้องของอชิรอยู่ด้านในสุด เป็นห้องคอนโดที่มีพื้นที่ราวห้าสิบตารางเมตร ไม่เล็กแบบห้องคอนโดตู้ปลาเท่าไหร่ เพราะอชิรยอมลงทุนกับมันเพื่อที่จะเป็นที่พักอาศัยที่เขาจะสร้างครอบครัว มีพื้นที่ห้องครัวติดกับประตูทางเข้า เคาน์เตอร์บาร์และเก้าอี้นั่งถัดเข้ามา จากนั้นก็เป็นห้องนั่งเล่นและโต๊ะสำหรับทั้งกินข้าวและทำงานทรงปารีเซียง ไดนิง เทเบิล ตามรสนิยมของเจ้าของ แบ่งแยกชัดเจนกับประตูห้องนอนที่ใช้กำแพงมิใช่ฉากบานเลื่อนกั้น

เมธัสไขประตูห้อง เสียงเงียบบนทางเดินเพราะเป็นคอนโดที่ค่อนข้างมีราคา วัสดุเลยดีกว่าคอนโดราคาอื่นๆ ที่ราคารองลงมา เขาผลักประตูเข้าไป กลิ่นเลมอนอ่อนๆ ของดิฟฟิวเซอร์ก้านไม้ที่เพิ่งซื้อกันเมื่อสองสัปดาห์ก่อน ตอนที่เมธัสลากอีกฝ่ายไปเดินเล่นจตุจักรแล้วซื้อกลับมาลอยแตะจมูก แต่ห้องกลับปิดมืดมีแค่แสงสลัวจากห้องน้ำเท่านั้น น่าแปลก ปกติเวลานี้อชิรน่าจะเปิดเพลงนอนอ่านหนังสือ หรือไม่ก็นั่งเล่นไอแพ็ดอยู่แท้ๆ

เขาเปิดไฟในห้อง ไม่มีอชิรในห้องนั่งเล่นที่ควรจะผล็อยหลับไป หรือจะในห้องนอนก็ว่างเปล่า ผ้าปูที่นอนที่เมธัสจัดระเบียบเมื่อเช้ายังรีดตึง ในห้องน้ำห้องเดียวที่มีไฟส้มสลัวก็ไม่มี มีเพียงรอยน้ำบนพื้นชื้นแฉะ แต่อชิรไม่น่าไปไหน เพราะมือถือก็ยังวางอยู่บนหัวเตียงคู่เคียงกับกระเป๋าเงินพอลสมิธ

เมธัสเดินไปกระชากม่านหน้าต่างห้องนอนออก เพราะระเบียงห้องอยู่ตรงนั้น ก่อนพบคนที่กำลังตามหายืนเนื้อตัวเปียกโชก เสื้อยืดสีขาวแนบแผ่นหลังเนียนไปตลอดทั้งลำตัว นิ้วเรียวคีบบุหรี่พร้อมแววตาที่เหม่อลอย คงจะเป็นบุหรี่ที่เขาวางทิ้งไว้ในห้องนอนนั่นแหละ เหมือนอชิจะไม่ได้สนใจบุหรี่ในมือเท่าไหร่นัก เพราะขี้เถ้ามอดไหม้เกือบครึ่งมวน

เมธัสเลื่อนบานกระจกออกด้วยหัวใจที่เต้นรัว เขาคว้าผ้าขนหนูที่พาดเก้าอี้แถวระเบียงออกมา เมื่อก้าวประชิดตัวอีกฝ่าย เมธัสคว้าขยี้ก้นกรองทิ้งกับถาดเขี่ยบุหรี่ของเขา พร้อมกับคลุมผ้าบนร่างเปียกปอนนั่นด้วยความรู้สึกโกรธที่แผดเผาลึกๆ ข้างใน แม้เด็กหนุ่มจะพยายามสงบสติอารมณ์ก็ตาม

“ทำบ้าอะไรของคุณ” น้ำเสียงเกรี้ยวกราด แต่นั่นคือความห่วงใยที่สุดที่เมธัสจะให้อีกฝ่ายได้

อชิรไม่ตอบ แววตากลมโตเหม่อลอย ทั้งมีน้ำตาเอ่อ ปลายจมูกแดงชื้น ตั่วสั่นระริกเพราะลมหายของคอนโดชั้นสูง

“ทำแบบนี้ทำไมเนี่ย ผมจะเป็นบ้าแล้วนะว้อย” เด็กหนุ่มว่า อชิรได้ยินเท่านั้น ทำนบน้ำตาที่อัดอั้นไว้ ทะลักทลายออกมาล้นเอ่อ อชิรร้องไห้อีกแล้ว แต่ไม่ใช่ร้องไห้เพราะสุขสมเหมือนทุกค่ำคืนที่ผ่านมา แต่ว่าเป็นเพราะความเศร้าชนิดลึกสุดใจ

มันคงไม่ใช่ครั้งแรกที่เมธัสเผชิญกับอชิรที่เป็นแบบนี้ เพราะค่ำคืนแรกของพวกเขา อชิรก็เหมือนลูกหมาตกน้ำ หลงทิศ หลงทาง หาบ้านไม่เจอแบบนี้ไม่มีผิด แถมยังเมาจนแทบไม่มีสติ คืนนี้ก็คล้ายกัน แต่ว่ามันคือครั้งที่เมธัสและอชิรผ่านการแนบชิด ร่วมรักกันนับครั้งไม่ถ้วน เพราะฉะนั้นมันจึงสะเทือนความรู้สึกเมธัสอย่างมาก ด้วยที่ว่าอชิร คนที่เขารู้สึกด้วยมากๆ เป็นได้ถึงขนาดนี้
เมธัสมือสั่น แต่เขาโอบประคองแผ่นหลังของอีกฝ่ายไว้ อชิรร้องไห้อย่างสุดกลั้น ทิ้งตัวลงบนไหล่ของเมธัสอย่างหมดหนทาง คนตัวเล็กเกาะเกี่ยวบ่ากว้างของคนอายุน้อยกว่าแนบสนิท

เท่านั้นเอง เมธัสที่โกรธจัดก็ต้องยอมประนีประนอมกับหัวใจของตัวเอง เขาสูดลมหายใจลึก พยายามที่จะสงบสติอารมณ์ ทั้งๆ ที่อารมณ์ร้อน แต่กับอชิร เขาไร้หนทางต่อกรเสมอ

“เข้าข้างในกันก่อนเถอะ คุณต้องอาบน้ำ ทำตัวให้อุ่น เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปทำงานไม่ได้หรอก” เมธัสกระซิบเสียงสั่น เขาเดินจูงมือเจ้าของห้องที่เหมือนจะสติกระเจิดกระเจิงไปไกลเข้ามาในห้องในที่สุด

-----

เมธัสไม่ได้คิดว่าตัวเองเมา แต่อาจจะนิดหน่อย แต่พอเจอสภาพอชิร ไอ้บรรดาอาการเหล่านั้นก็หายวับไปกับตา เขาจับอชิรอาบน้ำใหม่พร้อมกับจัดการตัวเองไปในเวลาเดียวกัน ใต้ฝักบัวนั่น อชิรไม่ค่อยสื่อสารอะไรนอกจากหือ หรืออือ ไม่รู้ว่าน้ำตามันไหลปนไปกับสายน้ำที่ไหลเทรดลงมาจากข้างบนหรือไม่ เมธัสกอดอชิรแน่น เนื้อแนบเนื้อ และก็น่าดีใจที่อย่างน้อย อชิรก็ยกมือที่เมธัสจับสัมผัสได้ว่ามันสั่นเทาโอบรอบตัวเขาตอบ

เมธัสแต่งตัวเสร็จ เดินออกมาหาอชิรที่นั่งเช็ดผมอย่างเลื่อนลอยที่ปลายเตียง เด็กหนุ่มลากสายไดร์เป่าผมมายืนเป่าให้อีกฝ่าอย่างทะนุถนอมและอ่อนโยน

“มีเรื่องอะไรหรือเปล่าอชิ” เมธัสเคยเรียกอชิรว่าพี่ แต่ตอนนี้ไม่ เขาคิดว่ามันเป็นรูปแบบโครงสร้างอำนาจหนึ่งที่เขาเลือกที่จะท้าทาย

คนตัวเล็กกว่ายังนั่งนิ่ง ไหล่ลู่ ทำให้ดูตัวเล็กกว่าความเป็นจริง เหมือนเด็กเลยด้วยซ้ำ เมธัสเป่าผมให้จนหมาดเกือบแห้ง ก่อนที่อชิรจะคว้าเอาฝ่ามือหนาเอาไว้ ทำให้คนที่ยืนอยู่ต้องปิดไดร์เป่าผมแล้วเลิกคิ้วมองคนที่กุมมือเขาเอาไว้แน่น

“เป็นอะไรครับ” เขาถามด้วยเสียงโทนอ่อนลง หลังจากที่หัวเย็นลงบ้างแล้ว อชิรส่ายหัว ก่อนยืดตัวขึ้น คนอายุมากกว่าช้อนสายตามองแล้วยื่นใบหน้าเข้าใกล้เมธัส ริมฝีปากสีอ่อนสัมผัสเบาๆ ที่แก้ม ระเรื่อยมายังลำคอ อชิรปลดเสื้อคลุมออก มันค่อยๆ หลุดเลื่อนไปตามแรงโน้มถ่วงหล่นไปที่พื้น ร่างขาวเปลือยเปล่า

ครั้งแรกเลยด้วยซ้ำมั้ง ที่อชิรเป็นคนเริ่ม เมธัสนึกฉงนในใจจนเจ็บจุกขึ้นมา ฝ่ามือหนาคว้ามือของคนที่กำลังป่ายแปะที่แก่นกายไว้แน่น ก่อนเค้นเสียงออกมาด้วยหลากความรู้สึก

“ทำอะไรอชิ”

“ไม่อยากทำเหรอ”

เมธเม้มปากแน่น เขารวบข้อมือเล็กสองข้าง “อยาก แต่ไม่ใช่แบบนี้”

“......”

“ถ้าคุณไม่ได้รู้สึกกับผม เท่าที่ผมรู้สึกกับคุณ ผมไม่ถือ แต่อย่าใช้ผมเพื่อแทนใคร”

อชิรมองเมธัส คนตัวโตกว่าส่งสายตาเจ็บปวด อชิรเองก็เจ็บปวด นัยน์ตาคนอายุมากกว่าวาวน้ำตา ก่อนที่มันจะหยดแหมะลงมาตามร่องแก้ม

อชิรสะอึกสะอื้นในที่สุด ร่างเล็กโถมตัวใส่คนตรงหน้าแล้วเริ่มต้นร้องไห้อย่างหมดความอดทน เมธัสได้แต่ยืนกอดประโลม ทั้งที่ใจเองก็แตกเป็นเสี่ยงๆ กับสิ่งที่ตัวเองก็ยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร

“ผมขอโทษแล้วกันถ้าเข้ามาในชีวิตคุณโดยถือวิสาสะ” เมธัสกระซิบ ใจหนึ่งก็อยากให้อชิรได้ยิน อีกใจหนึ่งก็ไม่

ถ้าอชิรตัดสินใจไล่เขาไปละก็… ไม่รู้เหมือนกันว่าตื่นมาวันพรุ่งนี้จะหายใจออกไหม




tbc.


ตอนที่ 3 มาแล้วค่า
เมธัสกับอชิร
ขอบคุณมากๆ นะคะ ที่ยังติดตามกันเสมอ ^^






ออฟไลน์ TheSpaceOfM

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
โอ้โห ความสัมพันธ์คลุมเครือและไม่ชัดเจนยิ่งกว่าเดิม แต่ความรู้สึกของเมธนี่ชัดเจนมาก รู้สึกว่าอชิก็มีความรู้สึกให้เมธนะคะ อย่างน้อยก็ไว้ใจพอที่จะอ่อนแอและร้องไห้กับเมธ แต่เหมือนว่าอชิยังติดอยู่กับอะไรบางอย่าง อาจจะเป็นความกลัวหรืออะไรก็ตาม แต่ส่วนหนึ่งเมธก็ไม่ได้ชัดเจนกับอชิพอที่จะทำให้อชิมั่นใจอะไรได้ อยากจะเห็นทั้งคู่ก้าวผ่านความรู้สึกอะไรก็ตามที่ติดค้างอยู่ในใจจะได้เข้าใจกันและกันซักทีค่ะ รอติดตามตอนต่อไปนะคะ ขอบคุณสำหรับผลงานที่ดีค่ะคุณไคลี่

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ AeAng11

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 528
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
หน่วงในใจมากๆๆๆๆอชิรก็คงรักแหละแล้วก็อาจจะไม่แน่ใจกับเมธัสเหมือนกันมั้งปัญหาอยู่ไม่คุยกันให้เคลียร์นี่แหละแงๆๆๆๆปวดใจ

ออฟไลน์ ดาวโจร500

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 649
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-3
เดายากกกกก แต่ดีใจมากเลยที่เห็นมาต่อแล้วสู้ๆนะคะ

ออฟไลน์ MyLavenderLand

  • ฉันสุขใจ เมื่อได้ Log in เล้า
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1582
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
อชิ เป็นแก้วบางๆที่พร้อมจะแตกมากเลย  :hao5:

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1

ออฟไลน์ kyliewonderland

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +565/-4

ตอนที่ 4




อชิรสวมชุดเรียบร้อยแล้ว เมธัสแม้รู้สึกปวดหนึบที่กลางลำตัว แต่เขาก็พยายามสงบสติอารมณ์กับคนตรงหน้า ทั้งเรื่องทางกาย และเรื่องทางใจ ระหว่างที่เขาออกไปสูบบุหรี่ อชิรนั่งดูอะไรบนมือถือด้วยท่าทางนิ่งเฉย แต่พอกลับมา เจ้าตัวก็ปิดหน้าจอแล้วเงยหน้าสบตาเมธัส ดูเหมือนจะเป็นอชิรคนเดิมขึ้นมานิดหน่อย

“กินข้าวหรือยัง”
“อื้อ” อชิรพยักหน้า เขาสวมเสื้อยืดตัวใหญ่กับกางเกงขาสั้นผ้าร่ม “ปวดหัวเลย”
“เอายาไหม”
“ก็ดีนะ” เมธัสไม่ตอบรับ แต่เขาเดินไปหยิบกระปุกยาแก้ปวดพร้อมกับน้ำเปล่าขวดเล็กมาให้ พร้อมกับทรุดตัวนั่งที่ขอบเตียงข้างๆ รั้งศีรษะอีกฝ่ายลงซบบนบ่า

ให้เดามันก็คงไม่พ้นเรื่องเดิมๆ เมธัสจะไม่ปริปากถามอีกแล้ว สองรอบก็เกินพอ อชิรไม่ตอบ ไม่หลุด ไม่ปล่อยวาง และยังยึดติด เท่านี้เมธัสก็ปวดหนึบร้าวไปทั้งใจแล้ว

“ขอโทษ” คนอาวุโสกว่ายอมเอ่ยคำที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นจนได้ เมธัสไม่ตอบอะไร เขาไม่ใช่คนพูดเก่งมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แล้วก็ไม่ใช่คนที่จะสรรหาคำอธิบายหรือถ้อยคำอะไรที่จะเกิดความจำเป็น แม้จะเป็นคนเลือดร้อน แต่เขาเป็นคนความอดทนสูงถ้าเป็นเรื่องที่ผูกกับทิฐิ ไม่อยากจะร้องขออะไรให้มาก ไม่อยากจะต้องเผยอีกด้านของความเข้มแข็งที่ตั้งกำแพงตระหง่านไว้ออกมา

“ไม่ถามแล้วเหรอ”

เมธัสมองคนในอ้อมกอดแล้วถอนหายใจออกมายาวเหยียด มันรุ่มร้อน แต่ก็ไม่อยากจะรู้ให้มันรวดร้าวสักเท่าไหร่ รู้ดีการมีอชิรในอ้อมกอดต่อไป บางทีมันอาจจะเป็นแค่ความฝัน เป็นเรื่องที่หลอกตัวเองไปเรื่อยๆ อยู่หรอก แต่ว่าถ้าเทียบกับความไม่มี กับความไม่ชัดเจนเช่นนี้

“หึ”
“สติแตกไปหน่อย”
“คุณไม่ต้องเล่าให้ผมฟังก็ได้”
“ระหว่างเรานี่แปลกๆ นะเมธ” อาจจะเป็นครั้งแรกเลยก็ได้ที่อชิรเปิดปากพูดถึงเรื่องระหว่างพวกเขาสองคน
“อืม คุณก็คงเป็นประเภทมาโคซิสม์”
“อืม”
“ผมไม่อยากปล่อยคุณไปไหน ผมเห็นแก่ตัว ผมยอม”
“......” เรือนผมที่นุ่มราวกับไหมพรมยังคงแนบนิ่งบนบ่ากว้างของเมธัส อชิรไม่ขืนตัว เมธัสได้ยินเสียงลมหายใจของคนข้างๆ “เราก็ไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้ เราก็ไม่ได้อยากให้เมธต้องมา…”
“......”
“แฟนเก่าเราโทรมา เขาทะเลาะกับสามี บอกจะมาหา” อชิรเคยแต่งงานเมื่อราวสองปีก่อน กับผู้หญิงที่เป็นรักแรกและรักเดียวของเขาตั้งแต่สมัยมหาวิทยาลัย อชิรเป็นผู้ชายเรียบร้อย จะว่างั้นก็ได้ เขาไม่ได้ห่ามเลือดเดือดแบบเมธัสที่พร้อมชนแน่นอน อชิรใจดี ค่อยเอาใจใส่คนอื่น ชีวิตที่ไม่หวือหวากับผู้หญิงที่กว่าจะได้มาครอบครองก็เกือบเรียนจบ ทำให้เขาไม่คิดจะผจญภัยอะไรกับชีวิตอีก ตั้งใจทำงานและขอเธอแต่งงานในวัยที่คิดว่าการเริ่มชีวิตคู่ไม่หนักหนาหรือเร็วเกินไป จนกระทั่งเธอคนนั้นหักหลังด้วยการเลือกที่จะขอเลิก ทั้งที่แต่งงานกันได้ไม่ถึงปี ไปยังเส้นทางใหม่กับคนใหม่ที่อชิรไม่มีอะไรเหมือน และเขาคนนั้นก็ไม่ใช่อชิร
จากวันนั้น เสียใจจนแทบใจสลาย อชิรเก็บกักทุกความรู้สึกไว้ แม้ว่าจะเศร้าสุดหัวใจก็ตาม แต่เขาพยายามแสร้งว่าไม่เป็นอะไร ใช้งานบังหน้า ยิ้มแย้มกับทุกคน แสร้งว่าเขายืนหยัดได้ และสุดท้ายเมธัสคือคนที่เข้ามาทำให้ชีวิตอชิรมีขึ้นและมีลง ชนิดที่หวาดเสียวหัวใจอีกครั้ง และไม่เคยไถ่ถามว่าอชิรต้องการไหม

“เขาจะมาเหรอ” เมธัสถามกลับ อยากรู้เหมือนกันว่าอชิรจะตอบว่าอะไร จะไล่เขาไปไหม
“เราไม่อยากเจอ”
“อืม” เมธัสสบดวงตากลมโตนิ่งๆ เขาไม่สาธยายเรื่องราวต่อแต่อย่างใด แต่กลับเปลี่ยนเรื่อง
“ออกไปเดินเล่นไหม ไปนั่งรถเล่นสักหน่อยน่าจะดีกว่า”

คนอาวุโสกว่าเหลือบตามอง มือเล็กที่ถูกกุมเกี่ยวไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ถูกกระชับมั่นอีกครั้ง “ไปแต่งตัวไหม”

เมธัสไม่บังคับเหมือนที่ผ่านมา แต่ใช้คำถามแทน อชิรพยักหน้าเบาๆ เมธไม่รู้หรอกว่าอีกฝ่ายคิดยังไง จะเริ่มรู้สึกอะไรกับเขาบ้างไหม ทำไมไม่ไล่ให้กลับทั้งๆ ที่นี่ก็ห้องของตัวเอง มีสิทธิ์จะให้นิติบุคคลพาใครมาลากคอออกไปได้ตลอดเสมอ อชิรทำได้ แต่ไม่ทำ และลงเอยด้วยความไม่ชัดเจนอีกครั้งและอีกครั้ง

เมธัสยืนขึ้น เขาเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าปลายเตียง ที่มีเสื้อผ้าหลายชุดของเขาเก็บไว้ในนั้น ยังไม่ทันจะเปิดบานประตู วงแขนของอชิรกลับสอดโอบกอดเขาไว้จากทางด้านหลัง ร่างกายเมธัสร้อนผ่าวขึ้นมาดั่งเวทมนต์

“เดี๋ยวก็ไม่ได้ออกไปไหนหรอก” เมธัสขู่ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ฟัง ริมฝีปากร้อนทาบทับลงที่ท้ายทอยของคนตัวสูงกว่าเบาๆ
เมธัสกัดฟันกรอด เขากระชากแขนอชิร ก่อนผลักให้แผ่นหลังเล็กแนบกระแทกเข้ากับตู้เสื้อผ้า เด็กหนุ่มกระชากกางเกงขาสั้นของอีกฝ่ายลง ไม่มีอะไรปกปิดอีกชั้นหลงเหลือ นิ้วยาวสอดอย่างจาบจ้วงเข้าไปในช่องทางผ่าวร้อน กระแทกเข้าออกอย่างไร้สิ้นอดทนอีกต่อไป

อชิรบิดตัว ยกมือปิดปากแน่นเมื่อถูกรั้งท่อนขาขึ้น เมธัสปลดกางเกงแล้วสอดร่างเข้าไปอย่างเชื่องช้า ที่ปลายทางเขากระแทกเข้าไปจนสุดจนคนรองรับสะดุ้งเฮือกร้องลั่น

“นี่ มองตาผมได้ไหม” เมธัสเสียงสั่นพร่า อชิรค่อยๆ เปิดเปลือกตามองอย่างแช่มช้า
“เมธ”
“ครับ” ตอบรับ แต่ก็กระแทกกลับไปด้วย จนอชิรเบือนหน้าร้องลั่น
“อย่าใจร้ายกับเราอีกคนได้ไหม”
เมธัสขบกรามแน่น เมื่ออชิรช้อนสายตามองอย่างออดอ้อน เขาจูบอชิรอย่างไร้ปรานี ให้สมกับที่อีกฝ่ายเล่นงานเขาขนาดนี้ “ใครกันแน่อชิ ที่ใจร้ายน่ะ”


-----

สุดท้ายของค่ำคืน เมธัสก็ยังขับรถพาอชิรมายังย่านเมืองเก่า เพราะไม่เห็นว่ามีประโยชน์ใดหากยังปล่อยให้อชิรอยู่ในห้องแคบๆ นั่นอยู่ดี เขาเลือกจอดรถไว้ที่วัดฝั่งตรงข้ามปากคลองตลาด ก่อนที่จะเดินพาคนตัวเล็กกว่าที่เริ่มตั้งสติได้บ้างแล้ว ขึ้นไปยังสะพานพุทธ ที่มีเด็กวัยรุ่นจำนวนหนาตาพอสมควร นั่งเล่น นั่งพูดคุยกันอยู่แล้ว เมธัสขึ้นไปนั่งบนคานเหล็ก หันหน้าประจันเข้ากับอชิร เขายื่นมือให้กับคนตรงหน้า

“มานั่งไหม”

อชิรพยักหน้า จับมือเด็กหนุ่มเอาไว้ แต่ก็ไม่ได้ไปนั่งด้วยหรอก เพราะเจ้าตัวเดินเข้าไปพิงศีรษะไว้กับไหล่ของเด็กหนุ่ม ก่อนที่จะยืนนิ่งเงียบไว้เช่นนั้น

“ผมเคยเรียนโรงเรียนข้างๆ ปากคลองนี่แหละ เกเรมากๆ เลยละอชิ” เมธัสเล่าขึ้นมาเรียบง่าย เขาเอามือโอบแผ่นหลังคนตรงหน้าเอาไว้ “คุณเคยเจอพายใช่ไหม นี่ก็ตัวเนิร์ดของห้องเลย คิดดูสิ บางทีจะหนีเรียน ต้องหนีไอ้พายมันด้วย”
“......”
“ผมชอบคุณนะอชิ”

ครั้งแรกที่เมธัสยอมกางไพ่ในมือ เปิดเปลือยออกมาขนาดนี้ เขาไม่เคยบอกชอบใครด้วยความสัตย์จริงและความซื่อตรงเช่นนี้มาก่อน ก่อนหน้านี้กับใครๆ มันอาจเหมือนจะเป็นแค่ลมปากที่ทำให้ใครดีใจก็เท่านั้น แต่สำหรับอชิร เขาอยากให้คนตรงหน้ารู้สึกถึงมันจริงๆ ทุกๆ สิ่งอย่างที่เขายินยอมจะทำให้และมอบให้ แน่นอนว่าไม่มีคำตอบ เมธัสรู้ดีแก่ใจว่าอชิรจะไม่ตอบ แต่กระนั้น อชิรก็ยังยอมวางศีรษะลงบนไหล่ของเมธัส และนิ่งเงียบอยู่อย่างนั้น ท่ามกลางความอึดอัดและคับข้องใดๆ เมธัสยังอ่อนโยนเสมอ และมันน่าจะเป็นแค่กับอชิรคนเดียวเท่านั้น เขาวางฝ่ามือลงบนศีรษะที่ปกคลุมด้วยกลุ่มผมนุ่ม สูดลมหายใจจากลมเย็นริมแม่น้ำไว้เต็มปอด จุมพิตอชิรที่ขมับเบาๆ หนึ่งที

-----


(ต่อด้านล่าง)

ออฟไลน์ kyliewonderland

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +565/-4

หลังมรสุมลูกแรกพัดผ่านในค่ำคืนนั้น เมธัสลืมตาตื่นมาบนเตียงด้วยความรู้สึกหนักหน่วงในใจ เพดานสีขาวนวลให้ความรู้สึกที่คล้ายจะแปลกจากเดิมก็ไม่เชิง อย่างไรก็ตามที่น่าแปลกอาจจะเป็นคนในอ้อมกอดของเขา ที่กอดก่ายเขาเอาไว้ทั้งค่ำคืน อชิรไม่ค่อยอยากจะสัมผัสเขาเท่าไหร่หรอกหลังร่วมรักกัน คนตัวเล็กจะขดตัวนอนที่อีกฝั่งของเตียงและเมธัสก็ต้องยอมพ่ายที่จะไม่โอบกอดคนๆ นี้ไปเสียทุกค่ำคืน

แต่วันนี้ลมหายใจอุ่นร้อนรินรดบนอกเปลือยเปล่า เมธัสอดใจไม่ได้ที่จะก้มลงหอมแก้มอชิรเบาๆ การกระทำแบบนี้สำหรับคนปากแข็งแบบเมธัส บางทีทำต่อหน้ามันก็เหมือนจะยากเหมือนกัน แต่จริงๆ แล้ว เวลาอชิรผล็อยหลับไป เขาชอบแอบมองใบหน้าของอีกฝ่ายเวลานอนหลับ น่ารักและไร้พิษสง

เหมือนอชิรจะรู้สึกถึงแรงขยับตัวของคนตัวโตกว่า จึงลืมตาขึ้นแล้วสบตากับเมธัสพอดี คราวนี้ไม่มีใครหลบตาใคร และอชิรก็ไม่ยกแขนออกจากร่างกายของเมธัส

“หิวข้าวไหม”
“ฮื่อ” อชิรส่ายหน้าเบาๆ ก่อนยกมือบิดขี้เกียจและหาววอด “ตื่นนานแล้วเหรอ กี่โมงแล้ว”
“เพิ่งตื่น แปดโมงแล้ว มีประชุมเหรอ”
“ไม่ วันนี้ไม่มีอะไรด่วน”
“ลากันไหม” เมธัสถามขึ้นมา และก็คงเพราะเป็นอะไรที่คุ้นเคยชิน ฝ่ามือหนาจึงสอดฝ่ามือสัมผัสเนื้อเนียนละเอียดของคนใต้ร่างที่เขาเท้าแขนนอนมองอยู่ใต้ร่มผ้าอย่างเผลอตัว “ไปหาไรทำกัน”
“ไม่มีงานเหรอ”
“เดี๋ยวเคลียร์ส่งสองชั่วโมงก็เสร็จแล้ว” เมธัสว่า “ผมก็ล่วงเวลามาหลายคืนแล้วด้วยช่วงนี้”
“อืม”
“แล้วแต่ ถ้าคุณจะไปทำงานผมก็ไป ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องอยู่ห้องเฉยๆ”
อชิรเผยยิ้มเล็กๆ ออกมา เป็นเรื่องที่นานทีปีหนตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันจะได้เห็น เมธัสเองก็เผลอยิ้มออกมาเหมือนกัน
“ยิ้มอะไร” อชิรถามเสียงเหมือนแมวขู่ฟ่อ
“ก็คุณยิ้ม”
“เปล่า”
“ผมก็เปล่า” เมธัสรวน ก่อนจะโดนคนตัวเล็กกว่ามองตาแข็ง
“หยิบโทรศัพท์ให้หน่อย ขี้เกียจไปทำงานเหมือนกัน ปวดหัว”
“ไปหาหมอก็ดีนะ ปวดหัวอะไรบ่อยขนาดนี้”
“ไม่รู้จักไมเกรนหรือไง”
“รู้ แต่คุณไม่ได้บอกนี่น่าว่าคุณเป็น” เมธยังนอนเท้าแขนจ้องคนข้างตัวอยู่
“ก็ไม่ได้เป็นอะไรเยอะแยะแล้ว นี่ก็หายไปนานเพิ่งกลับมาเป็นอีกทีในรอบปี” คนเป็นรุ่นพี่บอก ก่อนถดตัวขึ้นนอนเอนหนุนหมอน “หยิบโทรศัพท์มา จะให้ลาไหม ไม่ให้ลาก็ลุกไปอาบน้ำจะได้ทำงานทำการ”
“ขี้ดุว่ะ คุณอะ” เมธัสยิ้มออกมาจนเห็นเขี้ยวเล็กๆ เขาเพิ่งสังเกตว่าอชิรหน้าแดงหน่อยๆ นี่น่าจะเป็นบทสนทนาแรก หลังจากที่พวกเขามีอะไรกัน แล้วสามารถคุยกันได้ด้วยความรู้สึกรีแล็กซ์ขนาดนี้ เหมือนก่อนหน้านี้ที่เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องร่วมงานกันธรรมดา เหมือนที่ดื่มเหล้ากันหลังเลิกงานแล้วเมธัสคุยหยอกอีกฝ่ายได้เสมอๆ
“ก็นายชอบกวนนี่ แต่ไหนแต่ไรแล้วนะเมธ”
“ก็มันน่ากวนปะละ ดูดิ” เมธัสหยอกอีกฝ่ายด้วยการสะกิดติ่งไตบนอกแนบราบเบาๆ อชิรสะดุ้งเอือก ก่อนอ้าปากจะด่า ไม่ทันที่จะได้เอื้อนเอ่ยอะไร เมธัสก้มลงปิดปากด้วยริมฝีปากตัวเองอย่างรวดเร็ว และบดเบียดมันอยู่อย่างนั้น

อชิรนอนระทดระทวยกับสัมผัสนั้น รู้ตัวอีกทีกระดุมบนเสื้อก็หลุดออกเกือบหมด ในใจตั้งคำถามเหมือนกันว่าเมธัสมือไวแบบนี้กับคนอื่นหรือเปล่านะ แล้วเวลาที่อีกฝ่ายอยู่บนเตียงกับใครอื่น เมธัสจะเป็นคนน่าใจละลายแบบนี้ด้วยเหมือนกันหรือไม่

คนตัวเล็กกว่าเปิดปากโกยอากาศหายใจทันทีที่ริมฝีปากเป็นอิสระ เมธัสจ้องใบหน้าตรงหน้านิ่ง ดวงตาคมกริบ เขาปล่อยมือจากเรือนร่างของอชิร ก่อนติดกระดุมให้อีกฝ่ายหยาบๆ

“ไปอาบน้ำ โทรลาให้เสร็จ ผมจะไปเคลียร์งาน”
“......”
“ถ้ายังจะจ้องไม่หยุด ผมจะกินคุณแล้วนะ” เท่านั้นอชิรก็เด้งตัวดีดผึง คว้าโทรศัพท์ขึ้นมาค้นหาเบอร์ปลายทางที่จะสามารถทำให้วันนี้ของเขาเป็นวันหยุดได้อย่างรวดเร็ว


เกือบๆ สิบโมง เมธัสที่เคลียร์งานเสร็จเร็วกว่าที่คาด ก็อาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย เขาสวมเสื้อยืดพอดีตัวสีขาวกับกางเกงยีนขาตรงผ้าดิบ และรองเท้าคอนเวิร์ส ยืนรออชิรที่กำลังปิดคอมพิวเตอร์ของตัวเอง พวกเขายังท้องว่างกันทั้งคู่เนื่องจากเมธัสบอกว่าให้ไปกินก๋วยเตี๋ยวต้มยำเจ้าอร่อยแถวบ้านเขา

มาสด้าสีแดงของสถาปนิกเลือดร้อนทะยานไปตามท้องถนนของช่วงสายของวันที่รถระบายเข้าเมืองไปหมดแล้ว คอนโดอชิรไม่ได้อยู่กลางเมือง แต่ก็ไม่ห่างจากเมืองมากนัก เรียกได้ว่าเป็นชานเมืองต้นๆ ก็คงได้ ส่วนบ้านของเมธัสอยู่อีกโซนหนึ่งซึ่งหากขึ้นทางด่วนไปก็ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงจากคอนโดอชิ

ยิ่งตีนผีแบบเมธัสด้วยแล้ว พักเดียวรถก็มาหยุดจอดที่ตึกแถวเชิงพาณิชย์หน้าหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ในย่านชุมชนเขตเกือบๆ ใจกลางเมือง อชิรก็ถามอยู่หรอกตอนแรกว่าเมธัสจะมาทำอะไรที่บ้าน ซึ่งเด็กหนุ่มก็บอกแค่ว่ามาเอาของ อชิรอยากถามต่อว่าแวะเอาขากลับไม่ได้หรืออย่างไร แต่ก็รู้สึกว่าเมื่อวานมันก็เป็นวันหนักหน่วงของอีกฝ่ายพอสมควร วันนี้เขาจึงเลือกที่จะตามใจไม่ปริปากขัดอะไร

ร่างสูงกว่าเดินนำเข้าไปในร้านก๋วยเตี๋ยวต้มยำที่ตัวเองป่าวประกาศมาตลอดทางว่าอร่อยหนักหนา อชิรได้แต่เหลือบมองข้อมือตัวเองที่ถูกดึงตามเข้าไปหลวมๆ ด้วยความรู้สึกแปร่งประหลาด แต่ก็ไม่ขัดขืนอะไร เมื่อเมธัสเอ่ยทักทายลุงเจ้าของร้านอย่างสนิทสนมก็ทำให้อชิรรู้ได้ว่าน่าจะเป็นร้านโปรดของอีกฝ่าย เมธัสยื่นกระดาษให้อชิรช่วยจดเมนู โดยบอกชื่อเมนูที่ตัวเองจะสั่งด้วย ขณะที่มืออีกข้างก็ง่วนอยู่ที่การกดโทรศัพท์เพื่อโทรออกหาใครบางคน

“โหล พาย มึงออกไปทำงานยังวะ”
“ห้ะ เออกูอยู่ร้านเตี๋ยวนายแก้วเนี่ย เอาไรปะ”
“เออ ของพี่กวินเหรอ กูไม่ซื้อให้ได้ไหม หมั่นไส้”
“เออๆ อย่าร้องไห้ เสียงมึงแสบแก้วหูแล้ว แค่นี้นะ เดี๋ยวซื้อไปฝาก จะไปเอาของด้วย”

เด็กหนุ่มคว่ำจอโทรศัพท์ลงกับโต๊ะกินข้าว ก่อนเดินไปตักน้ำแข็งอย่างคล่องแคล่ว แล้วหยิบน้ำแก๊กฮวยบรรจุขวดติดมือมาด้วย เมธัสเปิดเทแล้วเลื่อนแก้วให้อชิรที่นั่งตรงกันข้าม

“กินเยอะๆ จะได้สดชื่น”
อชิรเหลือบตามองคนตรงหน้า ใช้มือจับหลอดคนน้ำแข็งในแก้วอย่างเนือยๆ
“เป็นไรคุณ”
“เปล่า”
“ทำตัวไม่น่ารักเลย”
“อะไร” อชิรมองตาคมกริบ ก่อนผลักมือเมธัสที่กำลังจะเอื้อมมากุมมือออก “พายคือใคร”
เมธัสทำหน้าเซอร์ไพรส์ทันที แล้วเผยรอยยิ้มบางๆ ออกมา เขาใช้นิ้วชี้เคาะโต๊ะเล่นเป็นจังหวะ
“เพื่อนข้างบ้าน ตั้งแต่เด็กแล้ว”
“มองอะไร” อชิรที่พอรู้สึกตัวว่าตัวเองถามอะไรไปก็รีบวางฟอร์มทันที
“มองคุณ คุณน่ารักดีวันนี้”
“เหอะ” อชิรเหยียดริมฝีปาก แต่ก็ไม่ได้ทำให้เมธัสละสายตาไปจากใบหน้ากลมเกลี้ยงนั้นได้เลยแม้แต่น้อย แม้กระทั่งจังหวะที่รับชามก๋วยเตี๋ยวจากเด็กเสิร์ฟมาวางลงให้คนตรง สิ่งเดียวที่เมธัสเห็นก็คือ ใบหน้าของอชิรเท่านั้น

-----

ขับรถต่อเข้ามาอีกนิดหน่อย แม้ว่าจะเป็นหมู่บ้านเก่า แต่การดูแลรักษาของส่วนกลางก็ไม่ได้แย่ บ้านเมธัสอยู่ค่อนข้างลึก หลังจากเลยวงเวียนหลักของหมู่บ้านเขาไป ขับแทรกไปตามร่มไม้ที่ปลูกเป็นริวแถวของขอบฟุตปาธ

ถัดจากบ้านสีขาวขนาดกลาง เมธัสหยุดลงหน้าประตูรั้วอัลลอยน์ขนาดใหญ่ เขารอจนประตูอัตโนมัติเปิดออกจึงเหยียบคันเร่งพารถมาสด้าสีแดงเข้าไปในตัวบ้าน มันเป็นบ้านเดี่ยวสามหลังโทนสีขาว ที่มีระเบียงไม้ระแนงเชื่อมทางเดินทะลุถึงกันอย่างน่ารัก กอปรกับสวนสไตล์กึ่งอังกฤษรอบตัวบ้าน สมแล้วที่เป็นบ้านของเจ้าของบริษัทรับออกแบบที่มีชื่อเสียงในวงการ

เมธัสหากดูแค่ภายนอก ผู้ชายคนนี้ไม่ได้ดูร่ำรวยอะไร อาจจะเพราะการทำตัว นิสัยกว้างขวางที่เข้ากับคนได้ทุกเพศ ทุกวัย ทุกฐานะ การเป็นที่รักของพี่ๆ น้องๆ ทุกคนในบริษัทนั่นก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามันจริง แต่อันที่จริงตั้งแต่วันแรกที่อชิรทราบว่าจะได้เทรนด์งานให้กับเด็กจบใหม่ที่ว่า เขาก็รู้อยู่แล้วว่าเมธัสเป็นใคร แม้ไม่ได้คาดหวัง อาจจะสบประมาทในใจเล็กๆ ด้วยซ้ำว่า ก็แค่ทายาทแต่อาจจะไร้ฝีมือ แต่งานเมธัสก็เป็นที่ประจักษ์ เขาทำได้ ทำได้ดีในระดับที่ลูกค้าเอ่ยปากชมเปาะ ที่สำคัญเมธัสไม่เคยบ่นเลยแม้ว่าจะต้องกรำงานขนาดไหน แม้กระทั่งทำจนเช้าแล้วจะต้องไปเสนองานลูกค้าต่อ เขาก็ทำมาแล้ว

เมธัสไหว้ทักทายป้าแม่บ้านที่กุลีกุจอออกมาต้อนรับ น่าจะเลี้ยงกันมาแต่เด็กเพราะป้าแกบ่นใหญ่เลยว่าหายหน้าหายตาไปหลายวัน ไม่ยอมกลับบ้าน อชิรได้แต่ยืนนิ่งๆ รอให้เมธัสแนะนำว่าเป็นรุ่นพี่ที่ทำงานหรืออะไรก็ว่าไป ก่อนยกมือสวัสดีคนสูงวัยกว่า เมื่อสอบถามสารทุกข์สุขดิบกันได้พักหนึ่ง ป้าแกก็รีบวิ่งไปหลังบ้านบอกเปิดเตาทิ้งไว้

“แม่ไม่อยู่อะ ไปโยคะมั้ง เดี๋ยวไปบ้านพายกัน แล้วออกเลย” เด็กหนุ่มบุ้ยใบ้ไปยังบ้านหลังข้างๆ ที่ขับผ่านมาตอนแรก พร้อมหิ้วถุงก๋วยเตี๋ยวลงมาจากหลังรถ เมธัสพาเดินนำออกไปยังประตูรั้วบ้านข้างๆ อชิรเดินตามแผ่นหลังใหญ่อย่างเอื่อยเฉื่อย ณ เวลานี้ ในวันที่เขาอ่อนแอ เมธัสคนเลือดเดือดดูโตกว่าอายุเหลือเกิน

เสียงกดกริ่งดังขึ้นไม่นาน ก็มีเด็กหนุ่มหน้าตาน่ารักวิ่งปรู้ดออกมาเปิดประตู พร้อมกับมีชายหนุ่มตี๋ตัวสูงหน้าตาสะอาดสะอ้านเดินตามออกมา เสียงเจื้อยแจ้วของคนแรกดังขึ้นทักทายเมธัสเสียงดัง ก่อนชะงักยิ้มแหยเมื่อเห็นอชิรยืนอยู่ด้วย ส่วนหนุ่มคนหลัง เมธัสกับเขาทำเพียงพยักเพยิดทักทายกันเท่านั้น

“สวัสดีครับ” คนตัวเล็กที่น่าจะคือคนที่เมธัสเรียกว่าพายเอ่ยทักเขาพร้อมยกมือไหว้สวยงาม ยิ้มแป้น “เตี๋ยวละ”
“อะนี่ แดกเป็นชูชกเลยนะมึง”
“ไรอะเมธ” พระพายทำหน้ายู่ “แล้วจะไปไหนอะ ทำไมวันนี้มาบ้านตอนกลางวัน”
“พาย พี่วิน นี่อชิ พี่ที่ออฟฟิศผม อชิ นี่พาย กับแฟนพาย พี่กวิน” เมธัสแนะนำทุกคนให้รู้จักกัน “ยังไม่รู้จะไปไหนอะ แล้วนี่ไปไหนกัน งานการไม่ทำ”
“ไปเชียงใหม่ ลาหยุดกันตั้งนานแล้ว” กวินว่า ขณะที่ร่างสูงก็ยืนค้ำแฟนตัวเองไว้จากทางด้านหลัง
“ยังไม่ออกกันอีก”
“บินห้าโมงเย็น”
“แล้วมาทำไรบ้านพระพายตั้งแต่เช้า”
“ก็บ้านแฟน”

พระพายทำหน้าแหยเมื่อเพื่อนรักกับแฟนเริ่มกวนประสาทกัน เป็นอย่างนี้ตั้งแต่พระพายกับกวินตกลงปลงใจกันได้นั่นแหละ แล้วมันก็ดูจะทวีความขึ้นเขม่นหน้ากันทุกครั้งที่ได้เจอหน้ากัน

ลึกๆ พระพายรู้แหละว่าเมธัสไม่ได้อะไรเลย แค่หวงเขาตามประสาพ่อคนที่สองเท่านั้น ส่วนกวินเองก็รู้ว่าพระพายกับเมธัสไม่ได้มีอะไรกัน และเมธัสไม่เคยคิดกับเขาเกินเพื่อน แต่ในฐานะแฟน และพ่อคนที่สาม (เพราะเมธัสไม่ยอมสละตำแหน่งคุณพ่อคนที่สอง) กวินก็ยังเบื่อหน้าไอ้เพื่อนรักหน้าหล่อของแฟนอยู่วันยังค่ำ ก็มันใช่ไหมละที่จะมีใครมาแคร์ มาห่วงพาย มากกว่าที่เขาควรจะทำได้น่ะ กวินคิดบ้าๆ บอๆ แค่นี้จริงๆ

วันนี้ที่จู่ๆ เมธัสก็พาคนหน้าแปลกมาเยือนถึงบ้าน ซึ่งพระพายก็กระซิบมาว่า ปกติเมธัสหวงพื้นที่ของครอบครัวจะตาย ทำให้กวินอดนึกตายใจหน่อยๆ ที่บางที นี่อาจจะเป็นสัญญาณที่ดี ที่ก้างขวางคอชิ้นใหญ่จะค่อยๆ ลดบทบาทลงไปเสียที

“แล้วเมธจะเอาไรเปล่า เห็นบอกจะเอาของ”
“เออ เอาหมวกกันน็อกที่กูเคยให้มึงยืมอะ อยู่กะมึงปะ”
“อยู่สิ” พระพายว่า “เมธเอาไปเลยก็ได้นะ พี่กวินซื้อใบใหม่ให้เราแล้ว” เพื่อนรักยิ้มเขินๆ
เมธัสส่ายหัว “นั่นสิ ได้ใหม่ก็ลืมกู”
“เปล่าสักหน่อย”
“ก็ของใหม่ดีกว่าอะ” กวินพูดลอยๆ จนพระพายต้องขึงตาใส่
“นี่เลิกเถียงกันเป็นเด็กๆ สักที พี่อชิรออยู่เห็นไหมน่ะเมธ” พระพายท้วงเพื่อนรัก ก่อนที่เมธัสจะเหลือบมองคนข้างตัวที่ยืนหน้านิ่ง “พี่กวิน ไปเอาหมวกเมธออกมาให้หน่อย อยู่ที่ชั้นวางของใกล้ๆ กับชั้นวางรองเท้าอะ”
พระพายบอกแฟน ก่อนที่ตัวเองจะกวักมือเรียกเพื่อนรัก และคนมาใหม่ให้เข้าไปนั่งรอที่เก้าอี้ในสวนหน้าบ้าน เมธัสกดไหล่อชิรให้นั่งลง ส่วนตัวเองถามเพื่อนว่ามีผู้ใหญ่อยู่บ้านไหม พอได้ความว่าไม่ ก็เลยจุดบุหรี่สูบ
“จะไปไหนกันมาเอาหมวก เมธจะขับมอเตอร์ไซค์ไปเหรอ ไม่ได้ขับนานละนี่ เห็นลุงบอกจะขายทิ้งหลายรอบละ”
“ไปใกล้ๆ นี่แหละ วันนี้แดดเริ่มร่มแล้ว เอาออกมาใช้บ้าง” เมธัสบอก “ว่าแต่นี่คบกันแล้ว ไอ้พี่นั่นพาซ้อนมอเตอร์ไซค์บ่อยเหรอ ถึงลงทุนหมวกใหม่ให้”
“อื้อ ช่วงนี้ใช้แทบทุกวันเลย งานพี่กวินเช้าน่ะ แล้วเขาก็จะไปส่งเราทำงานให้ได้ทุกเช้า บางวันเราก็ไปค้างบ้านพี่กวิน” พายบอกเสียงค่อย
“ก็ดีแล้ว”

กวินเดินกลับมาพอดี พร้อมกับหมวกกันน็อกสีดำด้านในมือ สมัยเรียนเมธัสขับมอเตอร์ไซค์บ่อยในวันว่างๆ โดยเฉพาะในวันไปเรียน ด้วยมหาวิทยาลัยอยู่ค่อนข้างไกลจากบ้าน แถมยังรถติดอีกต่างหาก เจ้าตัวเลยงอแงขอพ่อซื้อบิ๊กไบก์ตั้งแต่ปีหนึ่ง แต่พักหลังๆ พอทำงาน อุปกรณ์ข้าวของเยอะขึ้น ออกไซด์งานต่างๆ ก็เลยจำเป็นที่จะต้องใช้รถยนต์

“อะ” กวินยื่นหมวกให้เมธัส ยังดูใหม่เอี่ยมอยู่เลย เมธัสซื้อสำรองไว้สำหรับคนซ้อน ซึ่งจะเป็นใครก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นพระพายเท่านั้น
“มึงขับฮอนด้าเอสอาร์ใช่ไหม ถ้าจะออกทริปบ่อยๆ มึงไปซื้อหมวกดีๆ ให้คนของมึงเถอะ ใบนี้มันไซส์หัวมึง ไม่พอดีหรอก”
“รู้แล้วน่ะพี่” เมธัสตอบ ก่อนส่งหมวกให้อชิรที่นั่งอยู่ด้านหน้าเขาถือไว้ “คุณถือไว้ก่อน เดี๋ยวกลับมาผมค่อยพาไปซื้อหมวกดีๆ ไซส์คุณ วันนี้ทนใส่ไปก่อนนะ”
กวินกับพระพายลอบมองหน้ากันแบบอึ้งๆ

-----

ตอนแรกอชิรไม่คิดหรอกว่า เมธัสจะเอารถเข้าไปจอดในบ้าน แล้วเข็นมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ออกมาปัดฝุ่นยกใหญ่

แต่พอมันเกิดขึ้นจริง เขาก็เลือกที่จะไม่พูดอะไร ลอบมองคนที่ก้มๆ เงยๆ เช็กรถ โดยมีกวิน แฟนของเพื่อนรักที่ชื่อพระพาย คอยยื่นให้ความช่วยเหลือและคำแนะนำ ส่วนพระพายก็ยืนเกาะแขนแฟนตัวเองบ่นเมธัสเรื่อยเปื่อยอีกแรง

อชิรยืนกอดหมวกกันน็อกสีดำด้านอยู่ไม่ไกลจากพวกเขา เขาไม่มีความรู้อะไรในเรื่องพวกนี้เลย ชีวิตก็ค่อนข้างห่างไกลจากคำว่าผจญภัย ไม่เคยมีวิถีชีวิตแบบตื่นเต้น พระพาย เด็กที่ดูเรียบร้อยนั่น ลึกๆ คงแสบกว่าเขาอีกมากโขด้วยซ้ำ อชิรไม่เคยซ้อนบิ๊กไบก์ แต่วันนี้เขาก็ไม่ได้เปิดปากเถียงอะไรเมธัสสักคำ ไม่มีคำว่า ‘ไม่’ หลุดออกจากปาก เพราะรู้ดีว่า วันนี้ถ้าเขาขัดใจเมธัส อีกฝ่ายจะยอมทุกอย่าง แต่อชิรไม่อยากให้ท่าทีมีความสุขและใบหน้าประดับยิ้มนั่นเลือนหายไป

 “แล้วสรุปจะไปไหนกันเนี่ย” พระพายถามย้ำอีกครั้ง ครั้งนี้เมธัสเหลือบมองอชิร หลังจากที่ก้มลงไปเช็ดล้ออยู่นาน
“ไปไหนดีคุณ อยุธยาไหม”
“เออ รีบออกเดี๋ยวรถบรรทุกเยอะ”
“หรือจะไปทะเลใกล้ๆ บางปูก็ได้”
อชิรมองหน้าเด็กหนุ่มที่ยกแขนเสื้อปาดเหงื่อ ก่อนส่ายหัวเบาๆ “เมธเลือกเลยก็ได้ เราไปไหนก็ได้”
แค่นั้น เมธัสก็ยิ้มราวกับโลกทั้งใบสว่างสไว และเป็นของเขาเพียงคนเดียว

-----

อชิรถูกบังคับให้สวมแจ็กเก็ตยีนทับเสื้อยืดตัวด้านใน ก่อนที่เมธัสจะเช็กหมวกกันน็อกให้เรียบร้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แล้วจึงสวมแจ็กเก็ตหนังทับเสื้อยืดที่เพิ่งเปลี่ยนใหม่ของตัวเองบ้าง เด็กหนุ่มขึ้นคร่อมหลังมอเตอร์ไซค์ ก่อนตบเบาะเรียกอชิรที่ยังยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ข้างๆ รถ

“ขับระวังๆ นะเมธ ไม่ได้ไปคนเดียว” เสียงคนน่ารักอย่างพระพายบอกย้ำ ก่อนหน้านี้ก็พูดไปแล้วหลายรอบ ส่วนกวินยืนกอดอกอยู่ใกล้ๆ กัน
“เออ มึงก็ไปพักไป เดี๋ยวก็ต้องบินแล้วนี่” หนุ่มสถาปนิกโบกมือไล่เพื่อน หลังจากที่อชิรก้าวขึ้นซ้อนท้ายรถเมธัสเรียบร้อยแล้ว และเด็กหนุ่มก็จัดแจงยกขาอชิขึ้นวางบนที่พักเท้าให้เป็นท่าที่ถูกต้องและปลอดภัยที่สุด
“เดินทางปลอดภัยครับ” กวินหันมาบอกอชิร ก่อนโบกมือให้เมธัสที่ตบเกียร์แล้วบิดคันเร่ง ก่อนพาบิ๊กไบก์ฮอนด้าทรงคลาสสิกทะยานตัวออกจากซอยหมู่บ้าน

มันเป็นความรู้สึกที่ค่อนข้างแปลกใหม่ไม่น้อย กับการที่ได้นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ทางไกลครั้งแรก เมธัสติดกระเป๋าไว้ข้างรถสำหรับใส่สัมภาระที่อชิรก็ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรบ้าง จังหวะแรกที่รถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่กระชากตัวออกไป อชิตกใจหล่นวูบ ก่อนคว้าหาที่จับให้วุ่น สักพัก ก็ค่อยๆ เอื้อมมือเกาะไหล่เมธัสที่อยู่ตรงหน้า

ไม่ได้ถามเหมือนกันว่าทำไมเมธัสถึงเอามอเตอร์ไซค์ออกมาในวันนี้ เขาอาจจะแค่อยากเปลี่ยนบรรยากาศ หรืออยากจะแค่อยากขับรถเล่นเฉยๆ อชิรไม่ว่าอะไรหรอกเพราะว่าเขาเองก็ไม่รู้จะทำอะไรเหมือนกัน และการได้ทำอะไรแปลกใหม่ ก็น่าจะทำให้ใจดีขึ้นในช่วงเวลาแบบนี้

เสียงอื้ออึงของท้องถนนรอบตัวทำให้อชิรและเมธัสไม่ได้สื่อสารอะไรกันเท่าไหร่นัก จากบ้านของเมธัส ตัดออกมาถนนวิภาวดีใกล้เพียงนิดเดียว รถราที่ขวักไขว่ เอาเข้าจริง ใจของอชิรเองก็หวาดกลัวไม่น้อย เพราะไม่เคยพาตัวเองขึ้นมานั่งอยู่บนท้ายรถที่ขึ้นชื่อว่าเนื้อหุ้มเหล็กเช่นนี้ แต่มองแผ่นหลังกว้างใหญ่ของคนตรงหน้า ความรู้สึกปลอดภัยก็ค่อยๆ หลอมขึ้นในใจ เขาแนบใบหน้าลงกับแผ่นหลังเมธัสอย่างไม่รู้ตัว

คนขับชะงักหน่อยๆ เมื่อการกระทำแผ่วเบาเกิดขึ้น เมธัสเอี้ยวคอมามองพร้อมรอยยิ้มที่จุดที่มุมปาก ก่อนจะดึงแขนอชิรให้โอบรอบเอวตัวเองแน่นขึ้น และอชิรเองก็ยอมรับการกระทำดังกล่าว โดยกระชับรอบเอวเมธัสแน่นขึ้น ไม่สนใจสิ่งรอบตัวอีกแล้ว
ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ตึกสูงและความวุ่นวายก็ค่อยๆ ลดเลือนหายไปตามรายทาง เมธัสกดเบรกก่อนเลี้ยวเข้าไปในปั๊มน้ำมันใหญ่ริมทางหลวงเส้นมุ่งตรงไปอยุธยา เขาจอดรถไว้หน้าร้านสะดวกซื้อเชนใหญ่ ก่อนจะดับเครื่อง

อชิรค่อยๆ คลายมือออกจากเอวเมธัสอย่างเก้อๆ ดีที่หมวกปิดหน้าเกือบทั้งใบ ทำให้เขาเชื่อว่า สีหน้าของเขาคงไม่ได้ปรากฏต่อสายตาเมธัสไปเสียขนาดนั้น อชิรก้าวขาลงจากรถมอเตอร์ไซค์ ยืนรอจนเมธัสดึงกุญแจและลงจากรถอีกฝั่งหนึ่ง

“ถอดหมวกก่อน จะไปไหน” เมธัสยิ้มๆ เมื่อคนตัวเล็กทำท่าจะเดินตัวปลิวไปทั้งหมวก เขายึดไหล่อชิร ก่อนปลดล็อกใต้คางแล้วยกหมวกออกจากใบหน้า เมธัสยิ้มเอ็นดูเมื่อแก้มคนอายุใกล้จะสามสิบยังแดงจัดเหมือนเด็กอยู่นั่นแหละ “ร้อนเหรอคุณ”
อชิรพยักหน้าน้อยๆ เหงื่อผุดตามไรผม เมธัสถอดหมวกตัวเองออกบ้าง แล้วเอาหมวกแขวนไว้กับตัวล็อกของรถ ก่อนยกมือปาดเหงื่อให้คนตรงหน้า “เดี๋ยวผมไปซื้อผ้าเย็นให้”
“ไปด้วยกันก็ได้”
“คุณจะแวะเข้าห้องน้ำอะไรก่อนไหม” เด็กหนุ่มเอ่ยปากถาม อชิรพยักหน้า
“ไม่ไปด้วยกันเหรอ”
เมธัสชะงัก เขายิ้มแก้มแทบแตกเมื่ออชิรเรียกร้องจากเขาบ้าง น่ารักเอาเสียมากๆ จนเขาแทบอยากจะจุมพิตริมฝีปากช่างขอนั่น ตรงนี้ ตอนนี้
“คุณน่ารักว่ะ”
“พูดอะไร”
“คุณน่ารัก” เมธัสยิ้มบางๆ
“ทำไมเดี๋ยวนี้ไม่เรียกว่าพี่แล้ว” อชิรถาม ก่อนหน้านี้เมธัสเรียกเขาพี่อชิ แล้วก็ตามติดกันเป็นเงาตลอดเวลาที่เทรนงาน
“ทำไมต้องเรียกพี่ละ” เมธัสยิ้มให้กับคนตรงหน้า
“อายุกว่าตั้งเยอะ”
“ก็ไม่อยากเป็นพี่น้องแล้วนี่ครับ อชิ” รอยยิ้มเมธัสสว่างสไว ท่ามกลางแสงแดดจัดจ้า อชิรปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เมธัสนั่นแหละ เมธัสคนเดียว ที่ทำให้เขาตาพร่ามัวได้ขนาดนี้

เมธัสปล่อยให้คนข้างตัวนั่งเล็มแซนด์วิชกับดื่มน้ำชาจากขวดเย็นๆ อยู่ที่ม้านั่งหน้าเซเว่น ส่วนเขากระดกโค้กไป สูบบุหรี่ไปพลาง พอดับบุหรี่เสร็จแล้ว ก็ค่อยแกะผ้าเย็นมาเช็ดหน้าผากให้คนอายุมากกว่า ที่ส่งสายตาค้อนขวับกับการกระทำใส่ใจของเมธัสทันที เมธัสไม่คิดอะไรมาก เพราะรู้ว่าต่อให้อชิรด่า แต่ตราบใดที่ยังไม่ถดตัวหนีหรือปัดมือเขาออก นั่นแปลว่าอชิรเต็มใจจะให้เขาดูแล

“เราจะไปไหนกัน” คนตัวเล็กเปิดปากถามถึงจุดหมายปลายทางเป็นครั้งแรก หลังจากนั่งรับลมร้อนมาพักหนึ่ง
“อยุธยาแล้วกัน ผมนึกไม่ออกแล้ว นี่ก็ขับรถมาเรื่อยๆ”
“อื้อ ไม่ได้มานานแล้ว” อชิรกัดแซนด์วิชอีกคำ ชีสเลอะเล็กๆ ที่มุมปากจนเมธัสต้องเอื้อมมือปาดให้

อชิรหน้าแดงตอนที่อีกฝ่ายดูดชีสจากปลายนิ้วของตัวเอง ผมชื้นๆ ของเมธัสค่อยๆ ถูกลมพัดลู่ อชิรแอบมองเสี้ยวหน้าของเมธัสนิ่งๆ เขารู้แหละว่าเมธหน้าตาดี ใครๆ ก็บอกแบบนั้น แต่วันนี้เมธัสดูมีเสน่ห์กว่าที่เคย แล้วก็ดูดีกว่าใครๆ

“พรุ่งนี้มางานด่วนไหมคุณ”
“พรุ่งนี้เหรอ ศุกร์ใช่ไหม” อชิทำท่าคิด “ก็ไม่นะ ส่งงานอีกทีวันอังคารหน้า”
“ค้างสักคืนไหม” อชิรชะงักไปเมื่อเมธัสเอ่ยปากชวน “นี่ก็บ่ายแล้ว ขับรถกลับดึกๆ มันอันตรายด้วย”
“ไม่มีชุด”
“ผมหยิบมาเผื่อแล้ว อยู่ในกระเป๋าข้างไง” เมธัสว่า เขาเลือกที่จะไม่บอกอชิรตั้งแต่แรก เพราะรู้ดีว่าถ้าบอกไป อีกฝ่ายอาจจะไม่ยอมมาตั้งแต่แรก

แม้จะอยู่ด้วยกันแทบทุกเมื่อเชื่อวัน แต่มันก็ไม่เหมือนกันกับการเปลี่ยนที่นอนในครั้งนี้ การมาพักผ่อนมันเรียกร้องความเชื่อใจ ปลงใจกันมากกว่าทุกค่ำคืนที่อิงแอบกันบนเตียงคุ้นเคย

“นี่วางแผนหรือเปล่าเนี่ย”
เมธัสจ้องดวงตากลมโตใสข้างตัว ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ตอนแรกก็ว่าไม่หรอก จะเอารถยนต์มาด้วยซ้ำ แต่อยากให้คุณได้พักผ่อน ได้เจออะไรแปลกใหม่ ได้วางอะไรที่แบกไว้ลงไปบ้าง”
“......”
“ถ้าไม่สบายใจจะกลับเลยก็ได้นะ จากตรงนี้นิดเดียวเอง” เมธัสว่า ทำท่าจะผุดลุกขึ้น แต่มือเล็กกลับดึงแขนเขาไว้ก่อน
“คือ…”
“......”
“อยากพักที่พักริมน้ำ” เสียงแผ่วเบานั้นเหมือนราวกระซิบ เมธัสถอนหายใจออกมาพร้อมยกยิ้มบางๆ เขาขยี้หัวอชิรก่อนก้มลงประทับริมฝีปากบนนั้น แล้วรวบถุงขยะทั้งหลายไว้ด้วยมือเดียว ส่วนอีกมือเขาสอดประสานมือคนข้างกายไว้แน่น
“เดี๋ยวหาให้ คืนนี้ก็นอนหลับลึกๆ เลยนะ ไม่ต้องร้องไห้แล้วรู้ไหม”
อชิรมองแผ่นหลังกว้างตรงหน้า เขาเผลอยกยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว




tbc.


อีกประมาณสองตอนจบค่า ไม่รู้จะเอาใจช่วยใครดี  ระหว่างอชิรกับน้องเมธ555








ออฟไลน์ AeAng11

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 528
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
เอาใจช่วยทั้งคู่สักวันอชิรคงให้ใจเมธมาทั้งหมดคงไม่มีอะไรต้องเก็บเอาไว้ในใจคนเดียวอีกแล้วอยากให้วางใจทั้งหมดไว้ในมือเมธเราหลงรักตัวละครทุกตัวของคุณลี่ทุกตัวและทุกเรื่องจริงๆค่ะขอบคุณนะคะและเรื่องนี้จะเป็นอีกเรื่องทีที่เราตามเก็บเล่ม

ออฟไลน์ TheSpaceOfM

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ต่างคนต่างก็คิดว่าอีกคนใจร้าย ทั้งที่จริงๆก็ต้องการความรักที่ชัดเจนและมั่นคงจากอีกฝ่าย เอาใจช่วยทั้งคู่เลยค่ะ อยากให้ได้เปิดใจคุยกันว่าที่จริงแล้วรู้สึกอย่างไรและต้องการอะไร ก็ถือว่าคนปากหนักแบบเมธยอมอ่อนให้เล็กน้อยตรงที่บอกชอบอชิให้อชิได้รับรู้ไปเลย รอตอนที่สองคนจะเข้าใจกันและรักกันนะคะ ติดตามต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ ดาวโจร500

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 649
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-3
กรี๊ดดดด น่าร้ากกกกกก

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ kyliewonderland

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +565/-4
ตอนที่5



ด้วยราคาที่ค่อนข้างสูง ทำให้ที่พักค่อนข้างเป็นส่วนตัว แม้ว่าจะเป็นโรงแรมที่ใหม่ แต่ก็ปลูกด้วยไม้เกือบทั้งหลัง และไม่เป็นตึกสูงจนทำลายบรรยากาศ หลังพ้นรีเซปชั่นต้อนรับ และห้องโถงสำหรับรับประทานอาหาร ทางเดินที่นำเข้าไปด้านใน ร่มรื่นด้วยต้นไม้น้อยใหญ่และดอกไม้สวย ห้องพักถูกปลูกไว้ห่างกันอย่างสบายตา แต่ละหลังติดริมน้ำ แต่ละห้องพักมีระเบียงพร้อมที่นั่งยื่นออกไปในแม่น้ำ ตรงข้ามกันเป็นวัดพุทไธศวรรย์ การันตีความสวยงามยามค่ำคืนเป็นอย่างดี

ห้องพักสี่เหลี่ยมเล็กๆ กรุ่นหอมด้วยกลิ่นตะไคร้และใบเตยอบแห้ง มีฟูกเตียงขนาดใหญ่ตั้งบนพื้นไม้ยกสูง บานประตูเป็นแบบเก่า เป็นไม้แท้ที่ต้องผลักออกทั้งสองบาน  เช่นเดียวกันกับหน้าต่างกรอบไม้กรุกระจกที่มีม่านสีขาวชายพริ้ว เปิดรับลมเย็นจากนอกห้อง

ห้องน้ำมีอ่างจากุชชีตั้งอยู่ และประตูกรอบไม้กรุกระจกที่หันออกไปทางด้านแม่น้ำ หากต้องการความเป็นส่วนตัวก็สามารถดึงม่านปิดได้ แต่มันถูกออกแบบอย่างลงตัวสำหรับผู้ที่อยากนอนแช่น้ำและมองวิวแม่น้ำเมืองเก่าไปด้วย

เมธัสหิ้วกระเป๋าวางไว้ปลายเตียง ขณะที่อชิรเปิดหน้าต่างรับลมเย็นทันทีที่เข้ามาถึงห้อง แววตากลมโตที่หม่นหมองโดยส่วนใหญ่ วันนี้กลับวาววับเมื่อเห็นวิวสวยที่อยากจะเห็นมานานแสนนาน เขาเหมือนเด็กๆ เมธัสที่แอบมองแผ่นหลังเล็กๆ นั่นคิดในใจพลางยิ้มกับตัวเอง

ลมเย็นพัดเข้ามาจนรู้สึกได้ ต่างจากเมื่อครู่ที่แดดจัดจ้าน ฟ้าครึ้มเหมือนฝนจะตก แต่ก็ไม่ยังไม่ตกเสียทีเดียว ลมเย็นหอบเอาไอน้ำและไอดินเข้ามาในห้อง ความรู้สึกปลอดโปร่งและโล่งสบาย ทำให้อชิรดูระวังตัวน้อยกว่าปกติ

ไม่ทันระวังตัวด้วยซ้ำ เมธัสก็เข้าไปยืนใกล้ร่างผอมบางนั้นโดยเจ้าตัวแทบไม่รู้ตัว สองฝ่ามือค้ำกรอบหน้าต่างไว้จากทางด้านหลัง คล้ายกลายเหมือนโอบอชิรไปในตัว

อชิรสะดุ้งนิดหน่อย แต่เมื่อรู้ว่าจุดที่ยืนอยู่ตรงนี้เป็นส่วนตัวมากแค่ไหน เขาก็ไม่ปริปากอะไร กลับปล่อยกายสบายกว่าปกติ
“ชอบไหม”
“อื้อ สวยดี ลมเย็นด้วย”
“ฝนจะตกแล้ว” เมธัสกระซิบริมใบหูขาวเบาๆ เมื่อเห็นผืนน้ำสะท้อนหยดน้ำจากฟ้า
“มิน่า” อชิรพึมพำ ใบหูแดงจัดจากที่เมธัสเข้าใกล้เขามากเกินไป ก่อนที่แก้มจะแดงเรื่อด้วย เมื่อถูกประทับริมฝีปากบนแก้มอย่างทะนุถนอมจากคนข้างหลัง เมธัสไม่ค่อยจะอ่อนโยนสักเท่าไหร่ ก่อนหน้านี้พวกเขามีแต่แรงอารมณ์ เมื่ออชิรเผยด้านอ่อนแอออกมาแล้วยอมอ่อนลงให้เมธัสบ้าง กลายเป็นว่าเขาเองก็ใจหวิวไปด้วยอย่างไม่ตั้งตัว

เสียงเม็ดฝนเม็ดใหญ่กระทบผิวน้ำ ดังขึ้นเรื่อยๆ ภาพของวัดโบราณตรงหน้าถูกกลบด้วยสายน้ำ อชิรรู้ตัวเชื่องช้าเมื่อเมธัสวางปลายคางลงบนไหล่ของเขา โอบกอดเขาเอาไว้แน่น

“ผมพูดจริงนะเรื่องที่บอกว่าชอบคุณ”

อชิรพูดอะไรไม่ออก สัมผัสเบาๆ ที่ซอกคอทำเอาใจแทบละลาย เมธัสไม่เร่งเร้า แต่ก็ไม่รามือ เขาไม่ปล่อยให้อชิรขืนตัวอะไรได้สักนิด เมธัสโน้มใบหน้าไปจนริมฝีปากเกือบจะแตะริมฝีปากของอีกคน

“คุณชอบผมบ้างสักนิดไม่ได้เหรออชิ” เสียงฝนแทบกลบไปหมด แต่อชิรได้ยินคำร้องขอนั่นเต็มสองหู เขาไม่พูดอะไรออกมาสักคำ กลับสบตาเมธัสเต็มตา ดวงตาคมตรงหน้าอชิรนั่นเจ็บปวด อ้อนวอน เว้าวอน

อชิรหมุนตัวกลับมาแช่มช้า เขายกมือคล้องบ่าทั้งสองของเมธัสเอาไว้ ก่อนจูบเมธัสอย่างแผ่วเบา คนอายุน้อยกว่าได้แต่ตัวแข็งทื่อ นี่คือครั้งแรกที่อชิรเริ่มก่อน

ฝ่ามือหนาค่อยๆ ยกมือแตะแผ่นหลังเปียกชุ่มชื้นจากฝนห่าใหญ่ข้างนอก เขาดันอชิรจนอีกฝ่ายติดกรอบหน้าต่าง เมธัสสบตากลมโตนิ่งเมื่ออีกฝ่ายละริมฝีปากออกด้วยท่าทีประหม่า พยายามค้นหาอะไรหลายอย่างในนั้น ค้นหาคำตอบ ค้นหาคำถาม ค้นหาความรู้สึกที่เขาต้องการเสมอมา แต่วินาทีถัดมา เมธัสก็ไม่อยากจะสนใจอะไรอีกแล้ว นอกจากริมฝีปากของคนตรงหน้า
คำตอบคงจะมีให้ ในวันที่อชิรอยากจะมีให้ วันนี้ดีแค่ไหน ก็แค่นั้น เมธัสสนใจแค่อชิรคนเดียวเท่านั้น

-----

ชายผ้าม่านสะบัดปลิวตามแรงลมของกรอบหน้าต่างที่ถูกแง้มไว้ อชิรถูกรักซ้ำแล้วซ้ำเล่า ย้ำอีกหลายต่อหลายครั้งจนเสียงหวานแหบแห้ง บนเตียงหนานุ่ม

ห้องที่ไม่ได้แม้จะเปิดแอร์และแง้มหน้าต่างไว้เล็กน้อย เย็นสบายเพราะสายฝนและลมน้ำ หลังจากเมธัสปลดปล่อยเป็นครั้งที่สอง เขาถอนกายออกจากช่องทางชื้นแฉะ อชิรนอนคว่ำหอบหายใจฮั่ก ร่างเล็กปวกเปียกไร้เรี่ยวแรง ขายังสั่นจากการทำรักรุนแรง
เมธัสล้มตัวลงนอนข้างๆ ก่อนรั้งร่างเล็กขึ้นมากอดไว้แนบอก แล้วดึงผ้าห่มผืนบางมาห่มคลุมร่างชื้นเหงื่อทั้งสอง เขาจุมพิตขมับอชิรเบาๆ อชิรเองก็ได้แต่อิงแอบบนไหล่กว้างที่ผึ่งผายให้ซุกซบ

เมธัสเกี่ยวนิ้วเรียวไว้ในมือ เขายกขึ้นไปทางข้างเตียง ขณะที่นอนตะแคงตระกองกอดกันอยู่ ห่าฝนยังซัดซาด เห็นเป็นสายผ่านซอกนิ้วของคนทั้งสองที่เกี่ยวพันกันเอาไว้
“หิวไหม”
อชิรส่ายหน้าเบาๆ
“หิวก็บอกนะ”
“หิวแล้วเหรอ” อชิรถามกลับบ้าง
“นิดหน่อย รอคุณหิวก่อน เดี๋ยวออกไปหาอะไรอร่อยๆ กินกัน”


ถนนของเมืองเก่าสวยงามและเรืองรอง ด้วยซากโบราณสถานยังไม่มืดมิด และถูกทำให้สว่างไสวด้วยสปอร์ตไลท์สีเหลืองนวล อชิรดูผ่อนคลายขึ้นเมื่อขึ้นมาอยู่บนท้ายรถของเมธัส ผ่อนคลายมากกว่าเมื่อเช้า และผ่อนคลายมากกว่าจมจ่อมอยู่ในห้องด้วยซ้ำ
เขารู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น เมื่อได้อยู่ต่างสถานที่ มีแค่เมธัสคนเดียวเท่านั้นที่รู้จักเขา และเขาไม่รู้จักใคร เขาเผลอยิ้มให้เมธัสเมื่ออีกฝ่ายเอี้ยวคอกลับมาดูเขา ระหว่างรถติดไฟแดง นั่นทำให้เมธัสรู้สึกว่าเขาทำหน้าไม่ถูกเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน
เมธัสจอดรถที่หน้าร้านอาหารริมน้ำเจ้าดัง เป็นร้านที่พระพายแนะนำมาตอนที่เขาเมสเสจไปถามก่อนออกมา ตอนนี้ทั้งพระพายและกวินถึงเชียงใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้วมั้ง อชิรถอดหมวกแล้วส่งให้เจ้าของรถ เมธัสล็อกหมวกเสร็จเรียบร้อยก็ผลักไหล่อชิรเบาๆ เพื่อเข้าไปในร้าน

โชคดีที่พวกเขาได้ที่นั่งติดริมน้ำพอดี หลังจากโต๊ะก่อนหน้าเช็กบิลในจังหวะเดียวกัน เมธัสนั่งฝั่งตรงข้ามคนน่ารักของเขา เปิดเมนูแล้วยื่นไปให้

“ผมเลี้ยงเอง”
“ไม่ต้องหรอก เราเป็นซีเนียร์นะ” เมธัสส่ายหัว รินเบียร์เย็นๆ ให้ฝ่ายตรงข้าม
“วันนี้ไม่มีเจ้านายลูกน้อง”
“อืม แล้วแต่” อชิรไหวไหล่ เขายกเบียร์เย็นๆ ขึ้นจิบ
“คุณอยากทานอะไร”
“เอากุ้งอบชีส”
“ผัดผักชาโยเต้”
“ต้มยำทะเล”
“ทอดมันกุ้ง”
“น้ำพริกกะปิ”

รายชื่อเมนูถูกร่ายออกมาจากริมฝีปากสีสดที่เมธัสจูบไม่หยุดเมื่อชั่วโมงก่อน จนมันขึ้นสีเรื่อ เด็กหนุ่มเท้าคางมองคนตรงหน้าอย่างละสายตาไม่ได้อีกครั้ง กระทั่งอีกฝ่ายรู้ตัว แล้วจึงเงยหน้าขึ้นมาพร้อมขึงตาใส่

“มองอะไรเมธัส”
“กินหมดเหรอ”
“ทำไม”
“ปกติกินน้อยเดียว”
“แล้วนายละ ปกติกินข้าวเป็นหม้อ” อชิรเผลอหลุดออกมา แล้วก็ชะงักเพราะรู้ตัวว่าหลุดพูดเรื่องที่เขาใส่ใจเมธัสเหมือนกัน แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว เมธัสยิ้มไม่หุบ ทำให้คนอายุมากกว่าได้แต่ยกเบียร์ดื่มแก้เขิน “นิสัยเสีย” แถมด้วยการพึมพำกับตัวเองเบาๆ
“คุณรู้ไหม” เมธัสรอจนอีกฝ่ายปรับสีหน้าเป็นปกติ ก่อนโน้มตัวเข้ามาจ้องตาอชิร แบบที่ไม่ยอมให้อีกฝ่ายหลบตาหนีไปไหน
“......”
“เวลาไม่ได้อยู่ท่ามกลางสายตาคนอื่น คุณน่ารักมากเลยรู้ไหม คุณดูไม่กดดันตัวเอง”
“......”
“ผมอยากอยู่กับคุณแบบนี้ตลอดไปเลยว่ะ”
“......”
“คุณไม่ต้องตอบผมก็ได้นะ ไม่ต้องบอกผมหรอกว่าชอบหรือเกลียดผม แค่คุณอย่าไล่ผมให้ไปไหนก็พอ”
“......”

-----


เช้าตรู่วันถัดมา เมธัสลืมตาขึ้นหลังจากเมื่อคืนได้กอดอชิรอีกครั้ง แบบที่อีกฝ่ายไม่ขัดขืนเลยสักนิด ไม่เหมือนกับครั้งแรกๆ ที่ต้องใช้กำลังเพื่อจะได้มา มันดีกว่าทุกครั้ง อชิระเป็นของเขาคนเดียว ซ้ำๆ หลังจากพวกเขานอนดูหนังจบไปหนึ่งเรื่อง

ไม่จำเป็นต้องเปิดแอร์ด้วยซ้ำ ลมเย็นๆ จากแม่น้ำทำให้ใช้แค่เพียงผ้าแพรห่มกายก็เย็นสบาย เมธัสสอดแขนรองคอคนข้างกาย ส่วนอชิรที่ตัวชื้นทั้งเหงื่อและคราบไคล นอนระทดระทวยในอ้อมกอดนั้นอย่างไม่บริภาษใดๆ พวกเขานอนหลับใหลไปพร้อมๆ กัน
เมธัสนอนจ้องใบหน้าคนที่ยังหลับไม่ตื่น อชิรขนตางอนเป็นแพ ผิวเนียนกว่าผู้หญิงด้วยซ้ำ แต่สรีระก็ยังเป็นผู้ชายรูปร่างโปร่งบาง ไม่ได้ดูแข็งแกร่งแบบเมธัส แต่ไม่ได้ผอมบางขี้โรค เขาน่ารักในแบบของเขา ไม่จำเป็นต้องเป็นคนอื่น ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้หญิง แค่นี้เขาก็หัวปักหัวปำแล้ว

อชิรลืมตาตื่นในอีกไม่กี่นาทีถัดมา อาจจะเพราะเมธัสขยับตัวมากเกินไป ร่างเปลือยเปล่ากระชับผ้าห่มผืนบางแนบกาย

“กี่โมงแล้วอะเมธ”
“แปดโมง ผมนึกว่าคุณจะนอนนานกว่านี้เสียอีก”
“ตอนแรกว่าอยากตื่นมาดูพระอาทิตย์ด้วยซ้ำ” อชิรพึมพำ เค้าควานหยิบเสื้อยืดของเมธัสที่ข้างเตียงขึ้นมาสวมทับกาย
“ไว้ครั้งหน้า ไปนอนอีกโรงแรมหนึ่ง ที่เราผ่านเมื่อคืน”
“......”
“ไม่ต้องเยส หรือโน ยังไงผมก็ลากคุณมาอีกอยู่ดี” เด็กหนุ่มยกมือเกลี่ยแก้มนิ่ม ก่อนหอมแก้มอีกฝ่ายเบาๆ
“อยากกินกาแฟ”
“เดี๋ยวไปกินข้าวเช้า แล้วผมหากาแฟดีๆ ให้”
“อื้อ”
“จะกินข้าวเช้าที่นี่ หรือจะไปกินข้างนอก”
“กินที่นี่แหละ”

พวกเขาใช้เวลาในช่วงเช้าราวกับคู่รัก กินข้าวด้วยกัน อาบน้ำด้วยกัน ช่วยกันแพ็คของลงกระเป๋า ก่อนหยิบหมวกกันน็อกคนละใบไปเช็กเอาท์ เมธัสจัดการค่าใช้จ่ายทั้งหมดโดยไม่ให้อชิรควักสักบาท รวมถึงสัมภาระก็ด้วย เขาดูแลดีทุกอย่าง แม้กระทั่งการรีดเสื้อเชิ้ตสีฟ้าตุ่นของตนให้อชิสวมใส่ เพราะอีกฝ่ายไม่ได้หิ้วอะไรออกมาจากคอนโดเลย

แม้ว่าจะเป็นทริปที่เมธัสคิดได้ระหว่างที่นั่งทำงานที่คอนโดอชิรเมื่อช่วงสาย แต่เมธัสก็ตระเตรียมของมาอย่างไม่บกพร่อง เขาเลือกเสื้อเชิ้ตลินินที่แม่ซื้อให้สมัยเรียน สมัยที่เขาตัวเล็กกว่านี้นิดหน่อย สำหรับอชิรเปลี่ยนในวันนี้ เลือกเสื้อยืดลำลองติดมาหลายตัว และไม่ลืมที่จะบังคับอชิรสวมเสื้อคลุมในวันที่ร้อนจัดแบบนี้ ขณะที่เขาสวมเสื้อยืดสีเทากับกางเกงยีนตัวเมื่อวาน

เมธัสพาคนตัวเล็กแวะกินกาแฟดริปร้านที่ตบแต่งสไตล์ญี่ปุ่นหน่อยๆ ตรงเส้นทางเลี่ยงเมือง หลังจากเขาสอบถามเจ้าของที่พักที่เขามาตรวจงานเมื่อเช้า แล้วก็ได้ความว่า นอกจากบริหารโรงแรมแล้ว ยังเป็นคอกาแฟตัวยง งานนี้อชิรเลยได้ทานกาแฟดีๆ สมใจที่อยากมาหลายวัน เอาเข้าจริงไม่ใช่ว่าเมธัสไม่รู้ เขารู้ดีว่าอชิรชอบดื่มกาแฟ แถมดื่มวันละหลายแก้วหากคิดงานไม่ออก แต่สำหรับคนทำงานเกือบเทียบกรรมกรในวันที่ยุ่งสุดขีด กาแฟอย่างดีที่สุดที่จะหาได้ ก็คือกาแฟแคปซูลที่บริษัทจัดหาไว้ให้นั่นแหละ เมธัสสังเกตมาหลายทีแล้วว่า หากวันไหนหยุด และมีเวลาให้ตื่นสาย พอตื่นแล้ว อชิรจะเลือกเดินไปร้านกาแฟไม่ไกลจากคอนโด แล้วก็หิ้วกาแฟกลับมานั่งทำงานต่อเสมอ

ค่อนสายของวัน เมธัสก็คิดว่า พวกเขาควรจะหามื้อกลางวันระหว่างทาง แล้วมุ่งหน้าเข้าเมืองก่อนที่จะรถติดในช่วงเย็นวันศุกร์ ดังนั้นเขาจึงเก็บของให้เรียบร้อย ก่อนที่จะพาอชิรซ้อนท้ายกลับกรุงเทพฯ ใช้เวลาราวหนึ่งชั่วโมงเศษ ฮอนด้าอีอาร์คันสวยก็พากลับมายังหมู่บ้านจัดสรรของเมธัสได้โดยสวัสดิภาพ

“ไว้คราวหน้าถ้าคุณยอม ไปไกลกว่านี้ไหม สักกาญจนบุรี” เมธัสถาม หลังจากเอารถมอเตอร์ไซค์เก็บในโรงจอดเรียบร้อย พร้อมถอดกระเป๋าเดินทางออกจากข้างตัวรถ
“ไม่เขินหรือไง ผู้ชายซ้อนกันไปสองคน” อชิรที่ยืนอุ้มหมวกกันน็อกสองใบถาม
เมธัสส่ายหัว เขาหัวเราะ “เขินทำไม ดีใจจะตาย”
“คนบ้าหรือไงเนี่ย”
“คุณจะอาบน้ำ นอนพักหน่อยไหม สักค่ำๆ ค่อยกลับคอนโด ผมกลับด้วย”
“ไม่อยู่บ้านหรือไง”
“วันอาทิตย์ค่อยมาหาแม่” เมธัสตอบทันที “ว่าจะพาคุณมาด้วย อยู่แต่คอนโดเดี๋ยวก็เฉาหรอก มานั่งเล่นบ้านผมบ้าง เดี๋ยวจะพาไปเดินจตุจักรด้วย”
“เราอยู่คอนโดดีแล้ว”
“ไม่ดีหรอกเชื่อผมสิ ถ้าไม่มาบ้านผมก็ออกไปหาเพื่อนบ้าง”
“ไม่ค่อยว่างกันหรอก” อชิรเพื่อนน้อย เมธัสไม่ต้องถามก็รู้ แม้จะเป็นคนใจดีแต่ก็โลกส่วนตัวสูงไม่น้อยกว่าใคร เขาเข้าได้กับทุกคน แต่ไม่คิดจะเปิดใจให้ทุกคน นอกจากคนที่ทำให้เขาสบายใจจริงๆ เท่านั้น ซึ่งมันทำให้เมธัสรู้ดีว่า นั่นคือกำแพงที่สูงตระหง่านอย่างมาก ทันทีที่เขาคิดจะปีนเกลียวจากรุ่นน้องที่ทำงาน เป็นความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนกว่านั้น

“สรุปอาบน้ำไหม จะได้เย็นๆ หน้าแดงหมดแล้ว”
“อือ ก็ดีนะ”

เมธัสพาอชิรเข้าบ้านพร้อมกระเป๋าเสื้อผ้าใบกลาง เขาพาขึ้นบันไดก่อนตรงไปที่ห้องของเขาซึ่งอยู่ที่ชั้นสามของตัวบ้านทางปีกซ้าย ขนาดราวสี่สิบตารางเมตร กว้างใหญ่เกินกว่าจะอยู่คนเดียว

ห้องเมธัสห้องเดียว ก็เท่ากับคอนโดอชิรทั้งห้องแล้วละมั้ง

ผลักประตูไม้บานหนักเข้าไป กลิ่นหอมสะอาดของความสดชื่นเข้าปะทะความรู้สึก อชิรรู้ดีว่าห้องนี้ได้รับการดูแลอย่างดีแม้ว่าเจ้าของจะไม่ค่อยมาอยู่สักเท่าไหร่ก็ตาม หลังบานประตูเป็นโซฟาหนังสีน้ำตาลไหม้ทางขวา ตรงข้ามคือทีวีติดผนังตัวใหญ่ กั้นฉากกับส่วนเตียงนอนด้วยชั้นหนังสือและชั้นวางของสูงจากพื้นเสียดเพดาน เมธัสวางทั้งของสะสมและของมีค่าต่างๆ ไว้บนนั้นอย่างไม่จัดแจงเท่าไหร่

ตรงปลายเตียงคือตู้เสื้อผ้า ส่วนโต๊ะทำงานอยู่ด้านในชิดกับกระจกใสบานใหญ่ที่กินไปครึ่งกำแพง พร้อมม่านสีขาวสะอาดตา ดูก็รู้ดีว่าห้องนี้ได้รับการออกแบบมาอย่างดีเยี่ยม

“พ่อออกแบบบ้านนี้เอง นานแล้วละคุณ” เมธัสไขข้อข้องใจโดยไม่ต้องรอให้อชิรเอ่ยปาก “แต่วันหนึ่งผมก็อยากรีโนเวตนะ มีไอเดียเหมือนกัน เพียงแค่ว่า หลังๆ ผมก็ไม่ค่อยได้อยู่เท่าไหร่”
“อ่า”
“คุณไปอาบน้ำเถอะ หิวอะไรไหม”
“เอ่อ...ไม่หิวหรอก เดี๋ยวอาบน้ำเสร็จ กลับคอนโดเลยได้ไหม” อชิรเอ่ยปากขอในรอบสองวันที่อยู่ด้วยกันมาตลอด
เมธัสแม้จะสงสัยเล็กน้อย แต่ก็ไม่ติดขัดอะไร เล็กๆ น้อยๆ ถ้าเป็นอชิรขอ เขาไม่เคยปฏิเสธอยู่แล้ว
“ได้สิ”
“เกรงใจพ่อ แม่ เมธน่ะ ถ้าเจอก็ไม่รู้จะคุยอะไร”

คำตอบน่ารักของคนน่ารัก ทำเอาเมธัสอดกดปลายจมูกลงบนแก้มนุ่มไม่ได้ “ก็ได้ๆ เดี๋ยวคุณอาบเสร็จผมอาบต่อ ผมเอาผ้าลงไปให้ป้าเขาซักก่อน เดี๋ยวโดนดุอีก”
“เอ่อ เมธ” อชิรร้องทักขึ้นมาอย่างไม่มั่นใจเท่าไหร่
“ว่าไงครับ”
“เมธอยากกินอะไรไหม เราว่าเย็นนี้ก็คงไม่ได้ไปไหน เราว่าจะทำอาหารกินเอง”
เมธัสยิ้มแก้มแทบแตก
“ผมอยากกินเนื้อ”
“ข้าวหน้าเนื้อไหม”
“เอา แล้วก็เอาซุปนั่นด้วย ที่คุณชอบต้มอะ ใสๆ”
“ซุปเห็ดปลาแห้งเหรอ งั้นคงต้องแวะห้าง”
“ท็อปส์มาร์เก็ตหน้าซอยได้ไหม เดี๋ยวผมแวะให้”
“ได้สิ”
“งั้นคุณไปอาบน้ำเถอะ เดี่ยวรีบออกก่อนรถจะติด น่าจะถึงบ้านสักห้าโมงได้ละมั้ง”
“อื้อ”




tbc



จริงๆ ถ้าแบ่งตอนยาวๆ ก็จะได้ 2 ตอนแล้วจบ
แต่ลี่อยากจะแบ่งออกให้มีพาร์ทที่ 2 คนเขาหวานกันบ้าง
เพราะงั้นเดี๋ยวลี่จะมาลงอีกสองตอนที่เหลือ -จนจบ- นะคะ
น่าจะภายในวันอาทิตย์นี้แหละจ้า

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-05-2019 16:02:01 โดย kyliewonderland »

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
รอตอนตอนเปิดใจ  :hao6:

ออฟไลน์ AeAng11

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 528
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
อยากเห็นอชิรหวานๆกับเมธบ้างรอโอนค่าเล่มค่ะ

ออฟไลน์ kyliewonderland

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +565/-4
ตอนที่6 (จบ)


ทั้งชีวิตของเมธัส เขาก็ไม่เคยคิดเหมือนกันว่า สักวันหนึ่งจะมีโอกาสมาเข็นรถเดินตามใครสักคนที่ไม่ใช่แม่ ในซุปเปอร์มาร์เก็ตต้อยๆ แบบนี้

คำตอบเดียวก็คงเป็นเพราะว่า นี่คืออชิร เขาจึงยอมที่จะทำ ถ้าพระพายมาเห็น คงยิ้มกริ่ม ส่วนถ้ากวินมาเห็น หมอนั่นก็คงปากเปราะแซวเขาอีกนั่นแหละ

แต่ใครจะว่าอย่างไรก็ช่าง เมธัสไม่สน ไม่มีเหตุผลอะไรจะต้องสนใจ แค่มองคนตรงหน้าเดินเลือกของเข้าบ้านด้วยท่าทางสบายๆ ก็รู้สึกว่ามันพิเศษกว่าครั้งไหนๆ ปกติพวกเขาไม่เคยมาเดินซื้อของเข้าบ้านด้วยกันเป็นกิจจะลักษณะ หลายครั้งเป็นการแวะหลังเลิกงานแบบเร็วๆ ที่อชิรจำยอมให้เมธัสจอดรถแวะซื้อ เพราะจำเป็นจริงๆ ไม่อย่างนั้นอชิรก็จะมาซื้อเอง โดยไม่เอ่ยปากขอให้เมธัสช่วยสักคำ ทำเหมือนว่าเขาไม่มีตัวตน ไม่ได้ใช้ชีวิตร่วมกัน

ก็คงจริง เพราะเมธัสก็เข้ามาในชีวิตอชิรแบบที่อีกฝ่ายไม่เคยเอ่ยปากว่ายินดี เมธัสดื้อดึงเข้ามา พาตัวเองเข้ามา แค่อชิรไม่เฉดหัวทิ้งไปตั้งแต่แรกๆ ก็นับว่ามหัศจรรย์มากแล้ว

ขอเดาหน่อยๆ คงจะได้กระมัง ที่ว่าอชิรเริ่มจะเปิดใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เพราะอชิรดูไม่มีสีหน้าเครียดอีกต่อไป และดูมีปฏิสัมพันธ์กับเมธัสอย่างมีชีวิตชีวา เขาหันมาถามความคิดเห็น ถามว่าเมธัสชอบหรือไม่ชอบอะไร แม้จะเป็นสองสามคำถามเท่านั้น เพราะจบแล้วอชิก็ยังหันไปให้ความสนใจกับสิ่งตรงหน้าตัวเองต่อ แต่นี่ก็พิเศษมากแล้วจริงๆ สำหรับเมธัส

"เอาไวน์ไหมคุณ" เมธัสถาม เมื่ออชิรเดินนำผ่านล็อกเครื่องดื่ม คนตัวเล็กกว่าหยุดนิ่งอย่างครุ่นคิด ก่อนพยักหน้า
"ไวน์แดงไหม เอาสักขวดละพันพอ เปลือง"
"สถาปนิกดาวรุ่งเขาพูดคำนี้กันเหรอ" เมธัสเย้า
ร่างโปร่งไหวไหล่ "กินทุกวัน จนพอดี หมดแล้วค่อยซื้อใหม่"
"อื้อ เอาสิ"

จ่ายเงินเสร็จสรรพ พวกเขาหิ้วถุงคนละสองสามใบกลับไปที่รถ ใช้เวลาไม่ถึงห้านาที เมธัสก็เลี้ยวเข้าคอนโดของคนข้างตัว แล้วจอดรถเข้าที่จอดประจำ

อชิรขับรถได้ แต่เขาเอารถกลับไปให้ที่บ้านใช้ได้สักสองปีแล้ว บ้านเขาอยู่จังหวัดฉะเชิงเทรา อชิรเคยเล่าให้ฟังตั้งแต่สมัยร่วมงานกันแรกๆ มันไม่ไกลจากกรุงเทพฯมาก แต่อชิก็ไม่ค่อยได้กลับบ้าน ก็เลยไม่คิดว่ารถมันจำเป็นเท่าไหร่ และในตัวเมืองเอง เขาก็เดินทางด้วยรถไฟฟ้าสะดวกสบาย หรือเวลาไปทำงาน จะวินมอเตอร์ไซค์หรือแท็กซี ก็เที่ยวละประมาณห้าสิบบาท ดังนั้นที่จอดรถจึงกลายเป็นของเมธัสไปโดยปริยาย

“สรุปเมธพาเราโดดงานสองวันเลยอะ พรุ่งนี้ก็วันเสาร์แล้ว”
“เดี๋ยวช่วยทำงาน ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่” เมธัสว่า เขาหิ้วข้าวของหนักๆ ไว้ในมือ ส่วนบรรดาวัตถุดิบทำอาหาร เขาให้อชิรเป็นคนถือขึ้นมา
“งั้นมาช่วยขึ้นแบบเลย”
“ได้สิครับ สั่งงานมาเลยรุ่นพี่” เมธัสว่าอย่างอารมณ์ดี เมื่อถึงหน้าห้องพักอาศัย เขาหยิบคีย์การ์ดกับกุญแจออกมาก่อนเจ้าของห้องเสียอีก เมธัสวางถุงข้าวของไว้บนพื้นทางเดิน ก่อนเสียบกุญแจเข้าไปในรู ชายหนุ่มเลิกคิ้วฉงนเล็กน้อย เมื่อมันไม่ได้ล็อก
ปกติถ้าพวกเขาออกไปไหนไกลๆ หรือในวันทำงานที่ต้องทิ้งห้องไว้ทั้งวัน ประตูห้องจะถูกล็อกด้วยกุญแจทับอีกชั้นหนึ่งเพื่อความปลอดภัย

“อชิ คุณไม่ได้ล็อกกุญแจเหรอครับ เมื่อวาน”
อชิรขมวดคิ้วอีกคน “ล็อกสิเมธ เราล็อกเองกับมือ”
“ก็เนี่ย มันไม่ได้ล็อก...ไม่ได้ปิดไฟด้วย?” เมื่อผลักประตูเข้าไป เมธัสพบว่าไฟหน้าประตูถูกเปิด นอกจากนั้นเครื่องปรับอากาศก็ถูกเปิดด้วย

เขายกแขนกันอชิรไม่ให้เดินเข้าไปก่อน เพราะกังวลถึงความปลอดภัย แต่หลังจากแง้มประตูอยู่พักใหญ่ และได้กลิ่นเครื่องต้มยำลอยออกมาจากห้องพัก เขาก็หันมามองหน้าอชิรอย่างนึกประหลาดใจ เมธัสตัดสินใจผลักประตูเข้าไปจนเต็มบาน ก่อนที่จะชะงัก เมื่อเห็นร่างผอมบางของหญิงสาวบางคนที่เขาไม่รู้จัก หมุนตัวกลับมาหลังเคาน์เตอร์ครัว ประจันหน้ากับพวกเขาพอดี

เมธัสเหมือนจะปะติดปะต่อเรื่องได้ในช่วงเวลาที่รวดเร็ว หัวใจจากที่ลอยฟูฟ่อง มันเหมือนโดนเจาะลมอย่างช้าๆ จนเขาไม่แน่ใจนักเหมือนกันว่าควรจะรู้สึกอย่างไร และควรทำตัวอย่างไรในตอนนี้

หันไปมองคนข้างตัว อชิรตัวแข็งค้างไปแล้ว…

“...ทราย”


ความเงียบเหมือนกับว่ามันชั่วกัปชั่วกัลป์ แต่ในที่สุด ผู้หญิงผิวขาว หน้าหวานและอ่อนเยาว์เหมือนกับเด็กสาว ท่าทางนิ่มนวล ก็ยกยิ้มส่งมาให้พวกเขา เธอหันไปยกหม้อต้มยำมาวางลงบนเคาน์เตอร์หินแกรนิต ปลายหางม้าพริ้วไปตามแรงขยับตัว

สำหรับเมธัส ผู้หญิงแบบนี้ คือผู้หญิงที่เขาเจอแล้วคงคิดว่า น่ารัก แต่ถามว่าจะชอบไหม ก็คงไม่

แต่สำหรับอชิร ผู้หญิงแบบนี้ คือผู้หญิงที่อชิรพร้อมเทใจให้ ปกป้อง ดูแล และมอบให้ทุกสิ่ง

เธอคือภรรยาเก่าของอชิร คนที่จากไปในวันที่ฟ้าผ่าลงกลางใจ และทำอชิรเจ็บปวดจนแทบแตกสลาย

“อชิ” เสียงใสราวกับแก้วเรียกชื่อเจ้าของห้อง เรียกสติทุกคนให้กลับมา เมธัสขยับตัวเล็กน้อย เขาใช้ซีกซ้าย ป้องตัวอชิรอย่างไม่รู้ตัว ลึกๆ เมธัสไม่อยากให้หล่อนเข้ามาใกล้มากกว่านี้ และกลัวใจคนข้างๆ นี่ด้วย ไม่อยากให้อชิรเดินจากเขาไป
“ทรายขึ้นมาได้ยังไง” อชิรถามเป็นคำถามแรก หญิงสาวตรงหน้าทำท่าประหม่านิดหน่อย แต่เธอก็เลือกที่จะยิ้มให้กลบเกลื่อน
“แวะมาแถวนี้ ตอนแรกก็ว่าจะโทรหา” เมธัสจ้องหน้าเธอ รู้ดีว่าเธอโกหก เธอไม่คิดจะโทรหาแต่แรก เพราะถ้าโทร อชิรก็คงไม่ให้มา “พอดีนิติบุคคลจำเราได้ เขาเลยให้ขึ้นมาน่ะ เราเลยมาเตรียมอาหารไว้”

เมธัสหมดคำจะพูด เขากำหมัดแน่น มองแผ่นหลังอชิรที่อยู่ตรงหน้าเขา พยายามข่มใจให้ลึกที่สุด แม้จะรู้ดีว่าเขาอาจจะไม่มีสิทธิ์อะไรด้วยซ้ำ แต่ก็ทำไม่ได้ ในเมื่อหัวใจเขามีแต่อชิรอยู่เต็มไปหมด

“ทำไมวันนี้อชิกลับไว”
“วันนี้เราไม่ได้ไปทำงานน่ะ”
“อ้าวเหรอ” อชิรหันมามองหน้าเมธัสน้อย ก่อนพยักหน้าให้เบาๆ แล้วเดินนำเข้าไปในห้อง เมธัสก้มลงหยิบบรรดาถุงข้าวของที่ซื้อมา เดินตามเข้าไป

เมธัสวางของสดไว้ที่เคาน์เตอร์ครัว ก่อนหิ้วข้าวของเครื่องใช้ในบ้านเข้าไปในส่วนของห้องนอนอย่างที่ทำเป็นประจำ เขาเปิดไฟห้องน้ำ เปิดประตูตู้ใต้อ่างล้างหน้า เก็บบรรดาสบู่ แชมพู น้ำยาปรับผ้านุ่มต่างๆ ไว้ใต้นั้น เขาได้ยินเสียงแว่วๆ ของสองคนที่คุยกันอยู่ด้านนอก

“เพื่อนอชิเหรอ แปลกจัง เดี๋ยวนี้พาเพื่อนเข้าบ้านด้วย”
“น้องที่ออฟฟิศน่ะ”
“งั้นหรือ แปลกเข้าไปใหญ่”
“สนิทกันน่ะ”

ไม่รู้ว่าความหมายของคำว่าสนิท สำหรับอชิร จะหมายความว่าอย่างไร และเมธัสก็ไม่รู้ว่าเขาควรจะทำอย่างไรในสถานการณ์เช่นนี้ เขาไม่ใช่คนมีความอดทน แต่ก็ไม่ได้อยากจะฉีกหน้าอชิร หรือทำลายความรู้สึกอีกฝ่ายด้วยการประกาศว่าอชิรเป็นของเขาอย่างสมบูรณ์ แต่จะให้นั่งอดทน ทำตัวเหมือนเป็นแค่เพื่อนร่วมงานกันธรรมดา ก็ไม่แน่ใจนักว่า จะทนได้สักกี่น้ำกันเชียว
เมธัสเดินออกไปสูบบุหรี่ที่ระเบียงห้องนอนอยู่พักใหญ่ เขาค่อยๆ สงบสติอารมณ์ นึกอยากจะโทรไปหาพระพาย โวยวายใส่เพื่อนอยู่เหมือนกัน แต่ก็คิดได้ว่ามันไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นเลย

“มากินข้าวด้วยกันสิ” เมธัสเดินกลับเข้าไปในห้องด้วยความสับสน ถึงกับต้องยกนิ้วนวดขมับ เขาเห็นหลังไวๆ ของอชิรที่เดินไปหยิบจานมาตักข้าว แล้วมองมาด้วยสายตาที่เมธัสเองก็อ่านไม่ออก เสียงของภรรยาเก่าคนที่เขารักเอ่ยชวนกินข้าว เมธัสกลืนน้ำลายอย่างยากเย็น
“ครับ” เขาตอบกลับไป ก่อนนั่งลงตรงเก้าอี้ฝั่งที่หันหลังให้กับเคาน์เตอร์ เสียงกุกกักจากข้างหลัง และเสียงพูดคุยทำให้เขาสงบใจไม่ได้เลย

อชิรตามมานั่งตรงข้ามเขา เมธัสมองคนตรงหน้าอย่างตั้งคำถาม แต่อชิรกลับสบตาเขาแค่เพียงเสี้ยวเดียว แล้วหลุบตาหนี
ต้มยำกุ้งน้ำใสกับไข่เจียวร้อนๆ และผัดผักรวมมิตรถูกยกมาวางบนโต๊ะโดยหญิงสาวหนึ่งเดียว กลิ่นมันหอมยวนใจแต่ว่าเมธัสกลับไม่รู้สึกว่าจะกินอะไรลง รสมือของหล่อนน่าจะดีไม่น้อย แต่ตอนนี้เมธัสคิดถึงอาหารที่อชิรทำให้เขากิน แม้จะชอบแสดงท่าทีว่าทำอย่างเสียไม่ได้ก็เถอะ แต่ทุกจานที่ไม่สมบูรณ์แบบนั่น มันสมบูรณ์แบบสำหรับเขาที่สุดแล้ว

อชิรเองก็ดูจะกินอะไรไม่ค่อยลงเหมือนกัน เขาตักข้าวให้ตัวเองแค่ทัพพีเดียว ใช้วิธีอ้างว่าไม่หิวเท่าไหร่นัก ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าที่พวกเขาจะกลับมาคอนโด ทั้งคู่เรียกได้ว่าหิวโซด้วยซ้ำ น้ำย่อยเหมือนจะไม่ทำงานกะทันหัน แล้วทั้งโต๊ะก็พูดอะไรไม่ออก ยกเว้นภรรยาเก่าของอชิร ที่ชวนคุยอย่างไม่รู้ต้นรู้ปลาย

“น้องเมธทานเผ็ดได้ใช่ไหมคะ” เธอหันมาถามเมธัส เด็กหนุ่มได้แต่พยักหน้า แล้วจับช้อนส้อมขึ้นมาอย่างเสียมิได้
“ครับ”
“เมธทำงานกับอชินานยัง”
“ก็เกือบปีแล้วครับ”
“อชิเก่งไหม อชิชอบบ่นว่าตัวเองไม่เก่งตลอดเลย แต่พี่ว่าเขาแค่ไม่มั่นใจในตัวเองเท่าไหร่ต่างหาก”

เมธัสกำช้อนแน่น เขากลั้นลมหายใจแล้วพยายามสงบสติอารมณ์ อชิรช้อนตามองเขา เม้มริมฝีปากแน่น มือเล็กเหมือนจะเอื้อมมาแตะ แต่มันก็มาไม่ถึง

“เขาเก่งครับ” เมธัสตอบออกไปในที่สุด “เรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องที่ต้องตั้งคำถามเลย แม้เจ้าตัวจะไม่มั่นใจในตัวเองก็ตาม แต่ที่น่าเป็นห่วงมากกว่าเรื่องความมั่นใจนั่นน่ะ น่าจะเป็นเรื่องที่อชิคอยนึกถึงคนอื่นก่อนตัวเองเสมอมากกว่า”
“......” คนตัวเล็กมองใบหน้าของเมธัสเต็มๆ ตาในที่สุด
“กับผม แม้ผมจะทำตัวไม่ดีกับเขามากแค่ไหน เขาก็ยังดูแลผมเท่าที่เขาทำได้” สถาปนิกหนุ่ม จ้องใบหน้าหญิงสาวที่นั่งอยู่ที่มุมโต๊ะด้านขวามือของเขาอย่างไม่ละสายตา จนเธอเหวอไปขณะหนึ่ง “และเพราะเขานึกถึงคนรอบตัวก่อนเสมอ เขาเลยยอมตลอด คุณทรายเลยอาจจะคิดไปว่าอชิเขาเป็นคนไม่มั่นใจในตัวเอง ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วเคยคิดไหมครับว่าอชิเขาแค่ไม่ปฏิเสธใครเสียมากกว่า”

เมธัสพูด ทั้งที่ใจเองก็เจ็บปวดมากกว่าใคร เขาอาจจะเป็นคนแรกในชีวิตที่อชิรขัดขืน แต่สุดท้ายอชิรก็เปิดประตูยอมให้เมธัสเข้ามาในชีวิต ทั้งๆ เมธัสร้ายเสียขนาดนั้น แต่อชิรก็ยังทำดีด้วยในที่สุด

เขาอาจจะไม่ต่างจากทรายเลยด้วยซ้ำ เอาเปรียบอชิร จากจุดนั้น นิสัยอชิรที่ยอมให้คนอื่นเสมอ แต่เขาจะไม่เหมือนผู้หญิงคนนั้น เขารักอชิร และเขาจะไม่มีวันไปไหน ถ้าวันใดวันหนึ่ง อชิรยอมรับในตัวเขาให้อยู่ข้างๆ กันอย่างแท้จริง เมธัสจะถือครองพื้นที่ตรงนั้นไปชั่วชีวิต และไม่ปล่อยมือ

“ผมกลับก่อนดีกว่าครับ ไม่รบกวนแล้ว” เมธัสกัดฟันพูด ในที่สุดแล้ว ถ้ามีหล่อน เขาไม่รู้จะปั้นหน้าอย่างไรให้ทุกอย่างราบรื่น เขาอาละวาดแน่ กับทุกความรู้สึกที่ปะทุขึ้นในใจราวกับลาวาภูเขาไฟในตอนนี้

เมธัสว่า เขาผุดลุกขึ้นจากโต๊ะกินข้าว แล้วเดินออกไปเปิดประตูโดยไม่หันหลังกลับมาสักวินาทีเดียว หลังจากบานประตูปิดลง เป็นครั้งแรกในรอบสิบปีด้วยซ้ำ ที่จู่ๆ น้ำตาเขาก็ไหลออกมาอย่างที่เขาก็ไม่รู้สึกตัว อกซ้ายสะท้ายและวูบโหวงจนเจ็บไปหมด หัวใจแตกสลายกระมัง ความรู้สึกนี้ที่ทั้งชีวิตเขาไม่เคยเป็นมาก่อน ก่อนหน้านี้ที่เขาพร่ำด่าพระพายเรื่องความรัก เขาไม่เคยเข้าใจความรู้สึกเพื่อนด้วยซ้ำก่อนจะพูดไป ว่าการรักข้างเดียวรู้สึกอย่างไร ความผิดหวังรู้สึกอย่างไร

อชิรสอนให้เขารู้จักทุกอย่าง โดยไม่ต้องเอื้อยเอ่ยอะไรสักคำด้วยซ้ำ

ไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำ กระทั่งขาเมธัสถูกตรึงไว้ตรงหน้าลิฟต์ ท่ามกลางเสียงฝีเท้ากระทบพื้นกระเบื้องที่ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แขนซ้ายเขาถูกกระชากไปจากทางด้านหลัง เมธัสไม่อยากหันหลังกลับไป สัมผัสที่คุ้นเคยทำให้เขารู้ว่านี่คืออชิร แต่เขาไม่อยากอ่อนแอเลย เขาไม่อยากเสียอชิรให้ใครหน้าไหนก็ตาม

“เมธ” แต่เสียงสั่นเครือของคนที่เขารักหมดหัวใจ ก็ทำให้เมธัสต้องหันกลับไปเผชิญหน้าจนได้ ปลายจมูกคนตัวเล็กแดงก่ำ เสียงคุ้นเคยเรียกชื่อเขาแค่นั้น แล้วเงียบลง

ไม่มีใครรู้ว่าควรพูดอะไร

“คุณไปกินข้าวเถอะ” เมธัสบีบฝ่ามือคนตรงหน้าแน่น
“......”
“คุณไม่อยากกลับไปหาแฟนเก่าคุณเหรอ” สิ่งที่เมธัสกลัว ลึกๆ เขารู้ดีว่า อชิรรักทรายมากแค่ไหน เขาเจ็บปวดมากแค่ไหน และเขาอยากกลับไปแก้ไขอะไรๆ ให้ดีขึ้นแค่ไหน แต่สิ่งที่ไม่รู้ก็คือ อชิรยังรักทรายเท่าเดิมหรือไม่ แล้วหัวใจอชิร มีเขาบ้างหรือเปล่า
“......”

ไม่มีคำตอบ เมธัสรู้อยู่แก่ใจว่ามันเป็นเช่นนี้ เขาเข้ามาแบบเห็นแก่ตัว ทั้งๆ ที่ปล่อยคืนนั้นจบลง และกลับมาเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องที่สนิทสนมกันน้อยลงก็คงจะเป็นไปได้ แต่เขากลับหยุดตัวเองไม่ได้ หยุดมองหน้าอชิรไม่ได้ เขาเข้ามาทำให้ชีวิตอชิรพังทลายจากความธรรมดา เป็นอะไรที่อชิรไม่เคยคิดหรือตั้งตัว จะว่าอาศัยประโยชน์จากความเปราะบางของอีกฝ่าย เมธัสก็ไม่กล้าปฏิเสธเลย

ทั้งๆ ที่เอาแต่ใจมาตลอด แต่พอสถานการณ์จริงเกิดขึ้นตรงหน้า เมธัสกลับพูดไม่ออก ไม่กล้าตะคอก อาละวาด ว่าอชิรเป็นของเขา ไม่กล้าตีโพยตีพาย ไม่กล้าดื้อดึง

ถ้าก่อนหน้านี้ ก่อนที่อชิรจะใจดีกับเขาแบบนี้ เขาอาจจะทำ

แต่ตอนนี้ เมื่อเริ่มรู้ว่าอชิรมีใจให้ แม้อาจจะเพียงเศษเสี้ยวผุยผงก็ตาม เมธัสไม่กล้าทำให้อชิรเสียใจ ไม่กล้าจะบังคับจิตใจให้อีกฝ่ายต้องร้องไห้ หรือทำตาเศร้าใส่ใครอีกแล้ว

ความรักที่แท้จริงเป็นเช่นนี้ การเห็นความสุขของคนที่เรารัก มีค่ามากกว่าความสุขของตัวเราเองเสมอ

“ผมรู้คุณตอบไม่ได้หรอกตอนนี้”
“......”
“มีคำตอบ ค่อยบอกผมแล้วกัน”

-----


“ทำเป็นเท่ สุดท้ายก็มาเป็นหมาอยู่ที่เชียงใหม่”

เสียงเยาะขึ้นจมูกทำเอาคนพูดโดนทุบดังอั้กทันทีจากคนข้างกาย กวินร้องโอดโอยยู่หน้าอ้อนแฟน ก่อนจ้องอาฆาตไอ้ก้างขวางคอตัวเขื่องที่จู่ๆ เมื่อคืนก็โทรมาหาแฟนเขาพร้อมกับคลื่นเงียบลูกใหญ่ เมธัสคนปากร้ายไม่พูดไม่จาจนพระพายตกใจ แต่สุดท้ายพอได้ยินเสียงเพื่อนสะอื้น คนตัวเล็กของกวินก็คลายใจไปเปราะ หลังจากเสวนากันอยู่นานสองนานว่าเกิดอะไรขึ้น เมธัสก็ยอมปริปากให้เพื่อนรักฟัง สุดท้ายลงเอยด้วยการเอ่ยปากขอบินมาหา

กวินเอง แม้จะไม่ชอบเมธัสที่ชอบทำตัวยุ่มย่ามกับแฟนเขา แต่ก็ไม่ได้เกลียด จริงๆ ก็แอบเอ็นดูไอ้หมาดุนี่อยู่เหมือนกัน พอมาเป็นหมาหงอยก็นึกขำจนต้องด่าไปสักดอกสองดอก

ตอนขับรถไปรับที่สนามบิน เมธัสลงเครื่องมาตอนช่วงสิบโมง สภาพดูไม่จืดเลยทีเดียว ตาคล้ำดูไม่ได้นอน กลิ่นแอลกอฮอล์แรงจัดจนพระพายต้องไล่ให้ไปอาบน้ำ ก่อนที่เมธัสจะสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ เชิ้ตสีขาวปลดกระดุมกับชิโนสามส่วนสีกรม สวมแว่นตาดำปกปิดความเหนื่อยล้าออกมานั่งดื่มกาแฟร้านดังของเชียงใหม่กับพวกเขาอยู่ตอนนี้

“พี่กวิน ปากเสีย นี่เพื่อนพายนะ”
“โอ๊ย พาย เจ็บ พอแล้ว”
“นิสัยเสียอะ เมธอย่าไปฟังเลย หิวไหมเนี่ย” แฟนตัวเล็กของเขาก็น่ารักอยู่วันยังค่ำ วันก่อนโดนเมธัสแซวซะเสีย วันนี้ก็ยังทำหน้าตาน่ารัก คอยดูแลเอาใจใส่เพื่อนอยู่ไม่ห่าง

“หิว แต่กินไม่ลง” เมธัสเขี่ยบุหรี่ทิ้ง “ไม่ไหวว่ะ”
“ไม่ไหวก็ต้องกิน นี่อย่าบอกนะว่าจะไปดื่มเบียร์อะ” พระพายตาโตทันทีที่เห็นเพื่อนรักเสิร์ชชื่อร้านคราฟต์เบียร์ในเชียงใหม่
“มึงจะไปไหนกับพี่กวินก็ไปเหอะ ทิ้งกูไว้ในเมืองแหละ กูเอาตัวรอดได้”
“กูไม่ค่อยชัวร์เลยว่ะ” กวินขมวดคิ้วมุ่นบ้าง
“ผมอยู่ได้น่ะพี่ ไม่โง่จะฆ่าตัวตายหรอก”
“เมธ”
“พอๆ ไม่ต้องตีกัน” ช่างภาพหนุ่มสงบศึก “วันนี้ไม่ต้องไปไหนก็ได้ จริงๆ ทริปนี้พี่ก็ตั้งใจพาพายมาเที่ยวอยู่แล้ว จะไปกินเบียร์ก็ไป ไปด้วยกัน”
“พี่กวิน”
“ก็ดีกว่าปล่อยเมธไปกินคนเดียวไหมละ พายก็ไปด้วยกันนี่แหละ ไปขับรถให้พี่”

พระพายพอได้ฟังเหตุผล ก็ยอมพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้ เพราะพอนึกดีๆ แล้วเหตุผลพี่กวินก็มีน้ำหนักมากพอตัวอยู่

(ต่อ)

ออฟไลน์ kyliewonderland

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +565/-4
สรุปพวกเขาลงเอยที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่งที่ขายเบียร์และเบอร์เกอร์ด้วยในย่านนิมมานฯ กวินสั่งเบียร์มาดื่มเป็นเพื่อนเมธัสที่ซัดเอาแก้วแล้วแก้วเล่าเงียบๆ ไม่พูดไม่ตา ส่วนพระพายนั่งเท้าคางมองเมธัสอย่างเป็นห่วง ตั้งแต่เด็ก แก้ผ้าวิ่งเล่นกันมา พระพายไม่เคยเห็นเพื่อนเป็นแบบนี้เลยสักครั้ง มันเป็นครั้งแรกที่เมธัสหมดท่าเสียขนาดนี้ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่ต้องตามใครก็มีคนมากมายพร้อมดาหน้าเข้ามาในชีวิต

หลังจากดื่มมาตั้งแต่เที่ยง พอปริ่มๆ บ่ายสามเมธัสก็เริ่มเมาแล้ว ประกอบกับเมื่อคืนเขาไม่ได้นอนแม้จะพยายามข่มตาแค่ไหนก็ตาม สถาปนิกหนุ่มจึงหาววอด

“กลับไปนอนปะ เดี๋ยวดึกๆ ค่อยออกมาหาข้าวกินแล้วจะแดกเบียร์ต่อก็เรื่องของมึง” กวินเสนอทางเลือก
“งั้นไปส่งผมที่โรงแรมหน่อยแล้วกัน”
“เออ นอนนะมึงอย่าออกมาเพ่นพ่านให้กลายเป็นข่าว”
“รู้แล้วน่าพี่”

กวินกับพระพายบอกว่าจะไปดอยสุเทพกันต่อ ส่วนเมธัสถูกส่งเข้าห้องนอนที่เสริมเตียงเข้ามาอีกเตียงเพื่อเขาโดยเฉพาะ การอดนอนทำให้เขาเมาเร็วกว่าที่ควรจะเป็น ชายหนุ่มเปิดประตูเข้าไปในห้องพักของโรงแรมที่ตบแต่งสไตล์อาร์ทติส มีงานศิลปะของศิลปินชาวเชียงใหม่ประดับตามขอบมุม ผนังต่างๆ หลายชิ้น เขาทิ้งตัวลงบนฟูกริมกำแพงที่ยังเรียบตึง

แม้สติจะไม่ค่อยมั่นคงนัก แต่เมธัสก็ยังนึกถึงใบหน้าของคนๆ หนึ่ง ที่ป่านนี้แล้ว ในช่วงบ่ายวันเสาร์อีกฝ่ายมักจะใช้เวลานอนอ่านหนังสือ… ไม่รู้อชิรกำลังทำอะไรอยู่ จะคุยอะไรกับผู้หญิงคนนั้นต่อ จะคืนดีกันหรือไม่ ในห้องที่เมธัสบุกเข้าไปใช้ชีวิตยาวนานหลายเดือนนั่น ผู้หญิงคนนั้นจะกลับไปหรือยัง หรือพวกเขาจะตระกองกอดกันท่ามกลางแสงแดดยามบ่าย

เมธัสไม่รู้ แค่คิดหัวใจก็ปวดหนึบ ทรมานจนหายใจไม่ออก

เขาหยิบมือถือเลื่อนเปิดแอปพลิเคชั่นตัวเอฟสีน้ำเงิน กดไปยังชื่อของคนที่เขาค้นหาบ่อยที่สุดในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา อชิรไม่ค่อยอัพเดทอะไรเท่าไหร่ นอกจากแชร์บทความเกี่ยวกับสิ่งที่สนใจ หรือเพลงที่ชอบ

โพสต์ล่าสุดเป็นโพสต์เก่าจากเมื่อสองปีที่แล้ว ไม่ใช่อชิรเป็นคนแชร์ แต่เป็นภรรยาเก่าของเขา มันเป็นภาพที่พวกเขาลองชุดแต่งงานด้วยกัน แล้วถ่ายภาพคู่กันบนเงาสะท้อนของกระจก

‘อชิร ความสุขของธารีรัตน์’

เมธัสไม่รู้ว่ามันหมายความว่าอย่างไร เขาจนปัญญาจะคิด ไม่มีการติดต่อจากอชิรมาเลย แม้เมธัสจะรอคอยมันอยู่และพยายามโกหกตัวเองว่าไม่หวังอะไรลมๆ แล้งๆ เช่นนั้นก็ตามที เพราะไม่อยากเจ็บปวด

“อชิ ผมคิดถึงคุณว่ะ โคตรคิดถึงเลย”

-----

ชีวิตอชิรยุ่งเหยิงครั้งแรก เมื่อเมธัสเข้ามา และปั่นป่วนอีกครั้ง เมื่อเมธัสหายตัวไป

วันอังคารที่เขาต้องส่งงาน ทำให้สุดสัปดาห์และวันจันทร์ กลายเป็นวันที่อชิรต้องนั่งอยู่หน้าคอมทั้งวันและลุกหนีไปไหนไม่ได้ตามธรรมเนียมก่อนวันเส้นตาย

ไม่มีเมสเสจจากเมธัสนับตั้งแต่วันนั้น และอชิรก็ยังไม่มีคำตอบให้ใครทั้งสิ้น แม้จะพยายามคิดหัวแทบแตกแล้วก็ตาม ทรายพยายามหาบทสรุปเรื่องราวระหว่างพวกเขา แต่เพราะงานที่จ่ออยู่ตรงหน้า ทำให้อชิรไม่สามารถชี้แจงอะไรให้เป็นกิจจะได้ ถึงกระนั้นเขาก็ไม่แน่ใจตัวเองเหมือนกันว่าชีวิตเขาต้องการอะไรกันแน่

ในวันนั้นที่ธารีรัตน์เลือกปล่อยมือไป ฝากบาดแผลฉกรรจ์ไว้กับอชิร เขาขอร้องเธอให้อยู่ แต่อาจจะเพราะมันไม่มีน้ำหนักและน่าสนใจมากพอ เหมือนผู้ชายอีกคนของเธอ คนที่เธอเลือก

แต่พอมาวันนี้ ธารีรัตน์เป็นคนที่โดนหักหลังแทน จริงอยู่อชิรเจ็บใจและมันยากจะให้อภัย แต่ความรู้สึก ณ ตอนนี้ มันราวกับว่าของหายที่กำลังจะได้คืน

เขาไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไรดี และหากเขาเลือกจะให้โอกาสเมธัส มันจะเป็นไปได้ไหม สำหรับผู้ชายสองคนที่จะใช้ชีวิตร่วมกันให้ตลอดรอดฝั่งให้ได้

“อชิ งานเป็นไงบ้าง ให้พี่ดูไหม” พี่นพทักขึ้น ทำให้อชิรเงยหน้าขึ้นจากจอมอนิเตอร์ งานเขาล่าช้าเพราะจดจ่อไม่ได้ ขณะที่คนที่รับปากจะช่วยก็หายตัวไป ตั้งแต่เช้าวันนี้ยังไม่เห็นมาทำงานเลย ส่วนน้องในทีมก็ได้รับคำสั่งให้ไปลงพื้นที่เกาะช้างทั้งสัปดาห์ ทำให้อชิรรับเละไปเลยในงานนำเสนอครั้งนี้
“เดี๋ยวเสร็จแล้วผมเดินไปหา” บอกรุ่นพี่ไปเช่นนั้น อชิรค้อมหัวให้เล็กน้อย พี่นพโบกมือบอกไม่เป็นไร อชิรได้แต่นั่งถอนหายใจอยู่หน้าคอมพิวเตอร์

เขารอจนนพเดินลับสายตาเข้าห้องประชุมเล็กไปคุยโทรศัพท์ ชายหนุ่มจึงลุกจากที่นั่ง เดินไปอีกฝั่งของห้องทำงาน ที่ๆ ซึ่งทีมของเพื่อนเขานั่งทำงานอยู่ ทีมของทศ เพื่อนร่วมงานที่เข้ามาทำงานไล่ๆ กับเขา และปัจจุบันเป็นหัวหน้าทีมที่เมธัสทำงานอยู่ ทศดูสบายๆ ในวันนี้ เห็นมาเล่าอยู่เหมือนกันว่าสัปดาห์ก่อนนำเสนองานครบถ้วน มีแก้เล็กน้อยเท่านั้น อาทิตย์นี้ทีมเลยไม่หนักหน่วงเท่าไหร่

“อชิ” ทศเอ่ยทัก หน้าจอเปิดรายการบนยูทูปไปด้วย “มีไรเปล่ามึง”
“เปล่า”
“งานเยอะเหรอวะ”
“อืม พรุ่งนี้พิชงานลูกค้าว่ะ แต่งานมันชน น้องในทีมก็ไปต่างจังหวัด”
“เออ เอาน้ำตาลไปช่วยก่อนไหม น้องมันว่างๆ วันนี้” ทศเอ่ยปากถึงรุ่นน้องหน้าคมที่นั่งยิ้มแป้นอยู่ เขากับทศในเชิงการทำงานค่อนข้างสนิทกัน ดังนั้นการเทรดคนไปมาหาสู่กัน ก็ทำได้บ่อยๆ หากไม่ติดขัดอะไร เพราะบางครั้งความถนัดของคนมันก็แตกต่างเฉพาะทางกันอยู่
“ไม่เป็นไร”
“หรือมองหาไอ้เมธ มันไม่มาหรอก ลา”
“ไปไหน?” ก่อนที่สมองจะคิดได้ ปากมันก็ถามไปแล้ว
“มันบอกอยู่เชียงใหม่อะ ไปทำไรไม่รู้ ยังไม่บอกวันกลับเลย กูเห็นว่าช่วงนี้ยังไม่มีงานด่วนเลยให้มันลา”

-----


อชิรไม่เคยเมสเสจหาเมธัสก่อนเลยสักครั้ง และไม่ค่อยจะตอบในสิ่งที่เมธัสพิมพ์มาหา ดังนั้นการจะพิมพ์ไปหาก่อน เป็นเรื่องที่เขาก็ลังเลใจมากพอสมควร กระทั่งเขาเลิกจะตัดสินใจและสนใจงานแทน กระทั่งการออกไปนำเสนอผ่านพ้นไป และอชิรก็มานั่งหมดแรงอยู่ที่โต๊ะทำงานอยู่ตรงนี้

เขาเอนหัวพิงพนักเก้าอี้ นวดกระบอกตาอย่างเหนื่อยล้า ไม่ได้อยู่ย่ำรุ่งทำงานดึกมานานแล้ว แต่ว่าเมื่อคืนกว่าจะทำอะไรเรียบร้อยก็ปาไปตีสามได้ ถ้าเมธัสยังอยู่ คงมานั่งช่วยแล้วไล่เขาไปนอนไวๆ

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น อชิรเหลือบตามองหน้าจอมือถือ เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ อยากจะกดไม่รับเหมือนกันแต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำไปเพื่ออะไร

หลายวันมานี้ทรายพยายามกลับเข้ามาในชีวิตของเขา มากจนถึงขั้นขอเข้ามาอยู่ด้วย แต่อชิรว่ามันเป็นไปไม่ได้ ชีวิตเขา ในที่สุดเขาก็ตระหนักได้ว่า มันไม่ใช่ของเล่นหรือลูกปิงปองที่ใครจะโยนไปโยนมาได้

ที่สำคัญ ห้องของเขาเต็มไปด้วยเมธัส ไม่ว่าซอกมุมใดก็ตาม กลิ่นโคโลญจน์เย็นๆ ของเด็กคนนั้น กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่ม กลิ่นเชฟวิ่งครีม เสื้อผ้าและข้าวของที่เมธัสถือวิสาสะเอาเข้ามาแต่แรก และอชิรไม่ชอบและเจ็บใจยิ่งนัก แต่วันนี้เขากลับอุ่นใจที่มันยังอยู่ ดีใจที่เจ้าของมันยังไม่มาทวงคืนไปไหน

“หวัดดีทราย มีอะไรหรือเปล่า” อชิรกดรับปลายสาย เขานวดกระบอกตาไปพลาง
(อชิ ทรายจะชวนไปหาหมอด้วยกันหน่อย)
“ทรายเป็นอะไรหรือเปล่า” ต่อให้ธารีรัตน์ทำเขาเจ็บแค่ไหน แต่สำหรับอชิร เธอก็ยังเป็นเพื่อนคนหนึ่งอยู่วันยังค่ำ และเขาก็ไม่สามารถใจร้ายถึงขั้นจะละเลยไปได้
(ทรายคลื่นไส้น่ะ อ้วกมาตั้งแต่เช้า)
“แล้วแฟนทรายล่ะ”
(ไม่ ทรายไม่กลับบ้าน) เสียงหวานเข้มขึ้นดุดัน อชิรรู้ดีว่าเมื่อธารีรัตน์เอาแต่ใจแล้ว ใครก็ฉุดไม่อยู่ นี่คือสิ่งที่เขาเคยยอม แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว
“ทรายอยู่ไหนตอนนี้”
(ทรายอยู่วิลล่าแถวคอนโดเหมียว ทรายมาค้างกับเหมียว แต่เหมียวออกไปแล้ว ทรายว่าจะนั่งรถใต้ดินไปหาอชิที่ทำงาน)
“ไหวใช่ไหม”
(ก็ต้องไหวแหละ อชิว่างหรือไง)
“มีอะไรต้องเคลียร์นิดหน่อย แต่ถ้าสักบ่ายสามบ่ายสี่ เราไปโรง’บาลเป็นเพื่อนทรายได้”
(อื้อ ขอบคุณนะ)
“ทรายถึงแล้วก็นั่งรอที่ล็อบบี้ก่อนนะ”

เขาลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนชะงักเมื่อคนที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามไกลๆ เป็นคนที่เขาคิดถึงมาตลอดหลายวัน เมธัสที่หนวดขึ้นครึ้มไม่ได้โกนออก สวมเสื้อสีกรมผ้าป่านกับหมวกปีกกว้างสีครัม และกางเกงป้าขากระบอกสีเขียว ชายหนุ่มยืนคุยกับพี่ทศ หัวเราะออกรสกับเพื่อนร่วมทีม แต่สายตาคมกริบนั่น จ้องมองเขาอย่างไม่กระพริบตา

อชิรเกือบเผลอยกยิ้ม แต่ก็รู้สึกตัวขึ้นมา เขามองหน้าเมธัสตอบ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองทำหน้าอย่างไรออกไป วินาทีถัดมา เมธัสก็เบือนหน้าหนีไปเอง

อชิรสลัดความฟุ้งซ่าน เขาตัดสินใจลุกจากเก้าอี้ไปที่ห้องครัวเพื่อชงกาแฟแทน เขาเปิดเครื่องต้มกาแฟ ระหว่างยืนรอมันเดือด เขาหยิบกาแฟบดออกมาจากชัั้นวางอย่างเชื่องช้า ไม่มีกะใจจะทำอะไรเท่าไหร่นัก กระทั่งเสียงฝีเท้าคุ้นเคยดังขึ้น อชิรกลั้นหายใจวูบหนึ่ง ก่อนที่เสียงทุ้มจะเอ่ยทักทายเขา แล้วเอื้อมมือข้ามตัวเขาขึ้นไปหยิบแก้วกาแฟที่อยู่ชั้นวางเหนือหัวลงมา

“ไงคุณ”
“เมธ”
“พรีเซ็นต์งานเป็นไงบ้าง ฉลุยไหม” เด็กหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงเป็นธรรมชาติ อชิรที่เกร็งอยู่จึงค่อยๆ ผ่อนคลายลง
“รอลูกค้าฟีดแบ็ก แต่คิดว่ามันก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไรแล้ว”
“คุณเก่งอยู่แล้ว”
“ไหนบอกจะช่วยไง” อชิรท้วงขึ้นยิ้มๆ
“ขอโทษนะ ผมไม่มีสติกับเนื้อกับตัวน่ะ” เมธัสว่า “เลยหนีไปเกเรมา”
“อื้อ ช่างมันเถอะ”
“วันนี้ผมกลับไปกับคุณได้ไหม” จู่ๆ เมธัสก็ถามขึ้นมา ทำให้คนถูกถามตัวแข็งทื่อขึ้นมาทันที

อชิรเงียบไปพักหนึ่ง เพราะเขาเองก็ตั้งคำถามกับตัวเองอยู่เหมือนกัน

“ทรายโทรมาบอกว่า เขาป่วย เราว่าจะพาไปหาหมอสักหน่อย” แต่ในที่สุดอชิรก็เลือกจะพูดความจริงออกไป

แววตาเมธัสแข็งกร้าวขึ้นมาเล็กน้อย และมองหน้าอชิรอยู่เช่นนั้น หนึ่งคำถาม ล้านคำตอบ เมธัสรู้ดีว่าอชิรไม่มีคำตอบให้เขา
วันที่เขาเลือกปิดประตูห้องอชิร แล้วเดินหนีออกมา เมธัสพยายามบอกตัวเองว่าต้องให้เวลาอชิร แม้ในใจจะพังทลายแค่ไหน และร้อนใจอยากเขย่าตัวอชิรให้คำตอบหลุดออกมาแค่ไหนก็ตาม แต่เขาก็เลือกจะไม่ทำ เขาอยากจะรอคำตอบที่อยากได้ยิน และอีกใจหนึ่ง เขาก็กลัวว่าถ้าได้คำตอบแล้วมันไม่ใช่คำตอบที่เขาอยากได้ เขาจะใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างไร

“คุณคิดดีแล้วเหรอ ที่จะเอาชีวิตกลับไปตรงนั้นอีกครั้งน่ะ”
“......”
“เขาทำคุณเสียขนาดนั้น ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคุณต้องทำดีด้วย คุณไม่กลัวหรือไงว่ามันจะซ้ำรอยเดิม ไม่คิดหรือว่าเขามาหาคุณเพราะเขาไม่มีใครที่พึ่งพิงได้เท่าคุณน่ะ” แต่วันนี้เมธัสควบคุมตัวเองไม่ได้ แววตาอ่อนล้าของอชิร รอยยิ้มที่แสร้งฝืน ท่าทีอิดโรย อชิรกำลังถูกกลืนกินด้วยความรู้สึกและความถูกต้อง

อชิรชะงัก “เมธ เรารู้ เรารู้ทุกอย่าง แต่เราไม่รู้จะต้องทำยังไงเมธเข้าใจไหม”

“แล้วจะปล่อยไว้อย่างนี้เหรอ ผมเคยบอกนะว่าผมรอคุณได้ แต่ตอนนี้ผมไม่แน่ใจแล้วว่ะ ถ้ามันไม่ชัดเจนแบบนี้ คุณบอกผมได้ไหมว่าผมต้องทำยังไง ผมต้องไปไหม”
“......”
“ถ้าผมอยู่แล้วผมต้องทนดูคุณทุกข์ใจแบบนี้ ผมอยู่ไม่ได้ว่ะอชิ”
“......”
“ผมรู้มันยาก ถ้าคุณจะให้ผมไปผมจะไป จะไม่มาให้คุณเห็นอีกเลยก็ได้นะ” เมธัสเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด “แต่สิ่งเดียวที่ผมอยากรู้ ก็คือคุณเคยมีผมในใจบ้างไหม” 

เขาจ้องเข้าไปในดวงตาอชิร ค้นหาคำตอบอีกครั้งและอีกครั้ง เมธัสรู้ดี เขาเป็นผู้ชาย มีทุกอย่างที่เหมือนกับอชิร มันไม่ใช่ว่าสำหรับเขาจะไม่มีความเสี่ยงเลยที่จะคบผู้ชายสักคน ให้คนๆ นั้นเป็นคู่ชีวิต แต่ไม่มีเหตุผล เมธัสพร้อมเสี่ยง รับทุกความเป็นไปได้นั้นเข้ามาในชีวิต

คำถามคืออชิร อยากจะมีเขาไหม ในชีวิต เหมือนที่เขาอยากจะมี

“......”
“คุณใจร้ายรู้ไหมอชิ” น้ำตามันไหลออกมาเมื่อไหร่ เมธัสก็ไม่รู้ตัว เขารู้แค่ว่า ภาพอชิรตรงหน้ามันพร่ามัวไปหมด “คุณชอบบอกว่าผมใจร้าย คุณแม่งโคตรใจร้ายเลย”
“......”
“วันก่อนคุณกอดผมทำไม คุณจูบผมทำไม คุณใจดีกับผมทำไม ถ้าคุณไม่รู้สึกอะไรเลย”
เมธัสรู้ดีว่าอชิรแค่ไม่พูด แม้อชิรอาจจะรู้สึก แต่นั่นก็ทำให้เขาเจ็บปวดมากพอทีจะเลือกเดินหนีออกมาอีกครั้ง พร้อมกับเสียงแก้วกระเบื้องที่หล่นกระทบพื้นไม้ของออฟฟิศ และมันก็แตกกระจาย

เมธัสเดินดุ่มออกมาด้วยหลากหลายอารมณ์ที่ผสม ปนเปกันไป เสียงโหวกเหวกของคนในออฟฟิศดังขึ้น พร้อมกับพากันกรูไปที่ห้องครัวแคบๆ นั่น เขาได้ยินเสียงพี่ทศถามอชิรว่าพวกเขาทะเลาะอะไรกัน หลังจากนั้นเมธัสก็เลือกที่จะเดินออกมา โดยไม่สนใจอะไรเบื้องหลังอีกเลย

------


อชิรใช้เวลานั่งอยู่กับตัวเองเกือบชั่วโมงหลังจากเมธัสเดินหนีไป คำพูดที่เมธัสกระแทกเข้ามาทำให้เขาไร้เรี่ยวแรงกระทั่งแก้วในมือถึงกับหลุดร่วงหล่นลงพื้น และสร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้นในออฟฟิศ หลังสงบสติอารมณ์ อชิรกลับมานั่งที่โต๊ะเงียบๆ คนเดียว เขาอยากจะร้องไห้แต่ความรู้สึกมันจุกอกไปหมด แล้วไม่รู้ว่าควรจะเริ่มจากตรงไหนดีในการไล่เรียงออกมา ไม่รู้ว่าควรจะตัดสินใจอย่างไร

นาฬิกาบนโต๊ะบอกเวลาสี่โมงเย็น จริงๆ แล้วทรายมารอเขาตั้งแต่ชั่วโมงที่แล้ว แต่อชิรกลับโกหกว่าเขายังติดงานคั่งค้าง ทั้งที่อันที่จริงเขายังไม่อยากเจอเธอต่างหาก แต่สุดท้ายเมื่อรับปากแล้วก็ต้องไป เขาเก็บแล็ปท็อปลงกระเป๋า ปิดคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ แล้วคว้ากระเป๋าเดินออกมา

ลิฟต์พาอชิรลงจากชั้นสี่ สู่ชั้นล็อบบี้ของโฮมออฟฟิศ ด้านล่างเป็นล็อบบี้สำหรับแขกผู้มาเยือน และห้องประชุมสำหรับคุยงานกลุ่มใหญ่ๆ ในโฮมออฟฟิศเดียวกัน มีสองบริษัทเกี่ยวกับการออกแบบบ้านทำงานอยู่ด้วยกัน ชั้นสองเป็นบริษัทของเพื่อนเจ้าของที่อชิรทำงานอยู่ ส่วนชั้นสามและสี่เป็นบริษัทของอชิร

ธารีรัตน์นั่งรอเขาอยู่ที่โซฟากลางล็อบบี้ เธอเห็นเขาเดินมาพร้อมยกยิ้มให้ อชิรยิ้มตอบ ก่อนจะเดินเข้าไปหาเธอ

“ดีขึ้นไหม”
“เราดีขึ้นแล้วอชิ”
“แต่ไปเช็กหน่อยก็ดีนะ”
“อื้อ ไปโรง’บาลเดิมแล้วกัน ทรายมีประวัติที่นั่น”
“ครับ”

อชิรเอื้อมมือจะไปคว้ากระเป๋าทรายมาถือให้ตามความเคยชิน แต่เสียงวิ่งทั่กๆ ที่ดังมาจากบันไดอย่างรัวเร็ว พร้อมเสียงโวยวายที่ดังมาตามรายทาง ทำให้อชิรต้องชะงักก่อนหันกลับไปมองประตูทางเข้าลิฟต์

น้ำตาลวิ่งออกมาพร้อมกับมือถือในมือ ผมเผ้ายังกระเซอะกระเซิงไม่ได้รวบให้ดี เหมือนไม่มีเวลานัก ส่วนพี่ทศวิ่งตามมาพร้อมหอบฮั่ก ตามสไตล์หนุ่มกลางคนที่ไม่ค่อยออกกำลังกาย เอาแต่สังสรรค์

“ทศ มีอะไรเหรอ” อชิรขมวดคิ้ว น้ำตาลมองเขาสลับกับธารีรัตน์นิดหน่อย ก่อนเธอจะเป็นคนตอบ
“เมธรถชนอะพี่ มันเอามอเตอร์ไซค์มาวันนี้ ไม่รู้มันจะไปไหนของมัน แต่เพื่อนเมธโทรมาหาตาลบอกว่าเมธรถชนอยู่ตรงแยกรัชโยธิน”
“เป็นอะไรเยอะไหม” อชิรถามเสียงเบาหวิว
“ไม่รู้เลยพี่ แต่มันไม่ได้สติ อาจจะหนัก”

อชิรตัวชาวาบทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น หัวใจเขาเต้นแรงราวกับจะทะลุอกออกมา แล้วมันก็เจ็บเอาเสียมากๆ เหมือนร่างเขากำลังจมลงไปใต้ผิวน้ำช้าๆ จนกระทั่งสูญญากาศกลืนกินลมหายใจ เขาหายใจอย่างยากลำบาก ตะเกียกตะกายแล้วก็ตาม แต่ร่างเหมือนจมสู่จุดที่มืดมิดที่สุดของท้องทะเลอย่างไม่มีใครช่วยอะไรได้ เพียงแค่วูบเดียวที่นึกภาพชีวิตที่ไม่มีเมธัส เขาก็แทบจะขาดใจ

จู่ๆ อชิรก็เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองร้องไห้ออกมา แล้วความจริงที่ว่ามันก็พุ่งตรงเข้ามากระแทกทุกความรู้สึกให้ชัดเจน เขาสะอื้นฮั่กอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ อชิรร้องไห้เหมือนเด็กๆ จนทั้งน้ำตาล ทศ กระทั่งธารีรัตน์ต่างตกใจแล้วกรูกันมาถามเขาละลักละล่ำ

ภาพความทรงจำ ทั้งสุข และทุกข์ ทั้งตอนที่เมธัสร้ายกับเขา กระทั่งตอนที่พูดจาแรงๆ ร้ายๆ ใส่กัน ทุกอย่างทาบทับ แต่รู้อะไรหรือไม่? อชิรเองก็ไม่เคยปฏิเสธเมธัสไปตรงๆ สักครั้ง ไม่เคยชัดเจนว่าอยากให้เมธัสหยุด อยากให้เมธัสหายไป และในนิสัยร้ายกาจต่างๆ นั่น อันที่จริงแล้ว เมธัสไม่เคย ‘ร้าย’ กับเขาจริงๆ เลยสักครั้ง เมธัสปากร้าย แต่ใจดี ห่วงใย เอาแต่ดุว่าเขา แต่สุดท้ายก็ยอม และยอมเขาเสมอ

“พาไปหาเมธหน่อยได้ไหมทศ”
“เฮ้ย ใจเย็นๆ อชิ เมธมันไม่เป็นไรมากหรอก”
“เราอยากเจอเมธ อยากขอโทษ”
“เออ รู้แล้วๆ ไปรถกูไป น้ำตาลโทรเช็กให้อีกทีว่าเมธมันไปเข้าโรงพยาบาลไหน”

-----


การเดินทางราวกับยาวนานไม่สิ้นสุด เมธัสถูกส่งเข้าโรงพยาบาลในละแวกใกล้เคียง ซึ่งมันไม่ไกลจากออฟฟิศเท่าไหร่นัก แต่เพราะการก่อสร้างทำให้รถติดขนัด กว่าจะถึงโรงพยาบาลได้ก็ใช้เวลานานกว่าหนึ่งชั่วโมง

ทศปล่อยให้น้ำตาลกับอชิรเข้าไปในโรงพยาบาลก่อน อชิรเดินตามน้ำตาลไปราวกับคนไม่รู้สึกตัว ความรู้สึกมากมายตีกันอยู่ภายในอกจนเขาตั้งตัวไม่ถูก แต่สุดท้ายคนที่ฉุดสติเขาเอาไว้ก็คือผู้ชายตัวสูงหน้าตี๋ ที่เขาเคยเจอเพียงครั้งเดียวที่บ้านเมธัส

“คุณอชิ” เสียงเรียกของกวิน ดึงอชิรกลับสู่โลกความเป็นจริง ร่างสูงของช่างภาพหนุ่มเดินเข้ามาหาพวกเข พร้อมกับแก้วกาแฟเย็นสองใบในมือ
“เมธเป็นไงบ้าง”
“อยู่ห้องฉุกเฉินน่ะ เดี๋ยวรอหมอ เห็นว่าต้องผ่าตัด”
“......”
“ทะเลาะกันเหรอครับ” กวินเลือกที่จะถามไปตรงๆ
อชิรพยักหน้าเบาๆ ยอมรับ “ครับ”
“เมธกลับมาบ้านแล้วรอบหนึ่งตอนบ่ายๆ เอาแต่กินเหล้า จริงๆ ตอนเสาร์อาทิตย์ก็ตามพวกผมไปเชียงใหม่ ก็เอาแต่กินเหล้าแบบนี้เหมือนกัน พระพายก็คงรู้ว่าพูดอะไรไม่ได้มาก คุณรู้นิสัยเมธัสดีใช่ไหม” กวินบอก “ก่อนเกิดเหตุ เห็นว่าจะออกไปหารุ่นพี่ที่อยู่แถวลาดพร้าว พวกผมก็ห่วงนะ แต่ตอนนี้คนที่จะห้ามหรือพูดกับเขาได้ มีแค่คนเดียวก็คือคุณ รู้ใช่ไหมครับอชิ”
“......”
“เมธมันไม่ใช่คนไม่ดีหรือมันคิดหน้าคิดหลังไม่เป็นหรอก แต่รอบนี้คงสาหัสแหละ ถึงทำอะไรไม่ยั้งคิด”
“......”
“ถ้าอยากจะอยู่ด้วยกันต่อไป ผมว่าคุยกันเถอะครับ แล้วชีวิตมันจะไปทางไหน เดี๋ยวมันก็มีทางออกเอง”

-----


วินาทีที่รู้สึกตัว เขารู้สึกปวดร้าวไปทั้งแขนซ้าย มันเจ็บจี๊ด สมองเบลอหน่อยๆ ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามาจากไหน และอยู่ที่ไหน เมธัสยอมรับว่าเขาจำได้ครั้งสุดท้าย ตอนที่ดึงดันจะออกไปหารุ่นพี่คณะตอนประมาณบ่ายสี่ ส่วนพระพายเอาแต่ยืนห้าม ยืนด่าเขา ซึ่งมันไม่เป็นผล

รู้สึกผิดกับพายมันหน่อยๆ แฮะ เดี๋ยวคงต้องขอโทษ

กลิ่นยาฆ่าเชื้อและแอลกอฮอล์ฉุนจมูกทำให้เมธัสย่นหน้า เขาครางอือ รู้สึกคอแห้งผาก สักพักก็มีคนมายืนอยู่ข้างเตียงเขา เป็นหน้าของคนที่เขาหมั่นไส้ตงิดๆ ตลอดเวลา แต่เมื่อเวลาไหนก็ตามที่เขาต้องการความช่วยเหลือ กวินก็อยู่ทุกที่ และตามไปเก็บศพเขาเสมอ

“พาย เมธตื่นแล้ว” กวินว่า เอื้อมมือกดออดเรียกนางพยาบาล
“เมธตื่นแล้วๆ” พระพายร้องโหวกเหวกอย่างดีใจ พลางถลามาเขย่าแขนแฟนไปมา
“ยังไม่ตายน่า” เมธัสทำปากดี ทั้งๆ ที่เสียงแหบแห้ง
กวินกับพระพายไม่ดุที่เขาทำตัวไร้สาระตั้งแต่ลืมตา สักพักนางพยาบาลก็เข้ามา ก่อนที่เธอจะออกไปอีกครั้งเพื่อไปตามหมอ หลังพบว่าเมธัสฟื้นแล้วจากอาการบาดเจ็บต่างๆ
“เป็นไรบ้างเนี่ย”
“เมธโชคดีมากกก รู้ตัวไหม” พระพายลากเสียงยาว “เนี่ย เมธไปชนด้านข้างปิกอัพ แต่ตัวเมธลอยไปตกใส่มอเตอร์ไซค์อีกคันที่กำลังจะเลี้ยวออกมาพอดี เลยเจ็บน้อยลง ไม่อยากคิดเลยว่าถ้าไปตกกลางถนนแล้วรถทับจะทำยังไง”

เมธัสพยายามฟื้นความทรงจำ แต่จำได้ลางๆ เท่านั้นว่า เขาพยายามเบรกสุดกำลัง แต่สุดท้ายก็เอาไม่อยู่ แล้วหลังจากนั้นทุกอย่างก็โกลาหล เขาคงเจ็บจนหมดสติไป

ประตูห้องผู้ป่วยเปิดออกอีกครั้ง คงจะเป็นแพทย์ที่ดูแลเคสเขา แต่เมธัสไม่ได้คาดหวังเลยว่าจะเป็นคนๆ นั้น คนที่ทำให้เขามีความสุขที่สุดในชีวิต และลิ้มรสความเจ็บปวดที่สุดในชีวิตเช่นกัน

“สักวันเมธก็คงได้เจอคนที่ทำให้เมธนึกถึงเขาตลอดเวลานั่นแหละ”
จริงอย่างพระพายพูด เพราะแม้กระทั่งในฝัน มันก็คืออชิรคนเดียวเท่านั้น
“อชิ”

ใบหน้าอ่อนเยาว์ของคนที่อายุใกล้เลขสามโผล่จากขอบประตู อชิรหน้าเหวอนิดหน่อยเมื่อเห็นว่าเมธัสตื่นแล้ว และมองเขาไม่ละสายตา ก่อนที่เจ้าตัวจะค่อยๆ เดินเข้ามาอย่างประหม่าหน่อยๆ

“ไม่ทำงานเหรอ” เมธัสถาม อีกฝ่ายที่ถือถ้วยกาแฟในมือส่ายหน้า
“ลาน่ะ”
“เพราะผมเหรอ” เมธัสถาม ไม่อยากจะคาดหวังแต่ใจมันก็ไปแล้ว
“อื้อ”

คนเจ็บยิ้มกว้างออกมาในที่สุด เขาพยายามขยับตัว แต่ติดที่แขนซ้ายเข้าเฝือกจนรู้สึกเจ็บร้าวไปทั้งซีกร่าง อชิรยืนยิ้มบางๆ อยู่ข้างเตียง พวกเขาไม่พูดอะไร

“ป๊าตีแน่ ไอ้เมธ” เป็นพระพายที่ขัดบรรยากาศขึ้นมาอย่างน่ารัก เขาทั้งโกรธ ทั้งงอนเพื่อน แต่ก็ทำไรไม่ได้ และไม่อยากทำด้วยทันทีที่เห็นรอยยิ้มของเมธัสในรอบหลายวันนี้ “พี่กวิน พายหิวอะ” คนตัวเล็กหันไปบอกกับแฟน ก่อนพากันลากออกไปหาข้าวกิน ทิ้งห้องพักให้เหลือเพียงคนป่วย และอชิรเท่านั้น

“เจ็บไหม”
“อืม เจ็บโคตร”
“สมควร” อชิรไม่ปลอบใจเลยสักนิด แต่นั่นก็เหมาะสมกับความเป็นเขาดี
“ผมแค่แขนหักเหรอ”
“กระดูกข้อมือแตก กระแทกฟุตปาธมั้ง แล้วก็มีแผลถลอกนิดหน่อย หมอเขาผ่าตัดให้เลยทันทีที่เข้ามาถึงโรงพยาบาล นี่เมธก็หลับไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”
“กี่โมงแล้วอชิ”
“บ่ายสาม”
“โห การหลับที่ยาวนาน”
“ยังจะอารมณ์ดีอีก”
“พ่อแม่ผมละ”
“เมื่อวานก็เห็นมานะ แต่วันนี้ยังไม่เจอเลย จะโทรหาไหม อ้อ มือถือนายพังนะ หน้าจอแตกยับเลย”
“...เมื่อวาน คุณก็มาเหรอ” เมธัสถามอย่างอึ้งๆ เขาไม่คาดหวังด้วยซ้ำ
“มาคนแรกๆ เลย”

อชิรบอกเสียงเรียบๆ ไม่มีอะไรต้องปกปิดกันอีกต่อไป เขาลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียง ซบศีรษะลงบนไหล่ขวาของเมธัสที่ไม่ได้รับการกระทบกระเทือนใดๆ รุ่นพี่คนเก่งของเมธัสหลับตาลง นิ่งเงียบ ยาวนานอยู่ราวห้านาที ลมหายใจของพวกเขาดังขึ้นในห้องพักที่ไม่เล็กไม่ใหญ่ ไม่มีใครพูดอะไรออกมา

(ต่อ)

ออฟไลน์ kyliewonderland

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +565/-4
“เมธ”
“ครับ” เมธัสชะงัก เขารอคอยคำต่อไปของอชิรด้วยหัวใจเต้นรัว ไม่รู้เลยว่าอชิรจะพูดอะไร แม้จะรู้ว่าอชิรอาจจะปฏิเสธ แต่ลึกๆ ก็ยังคาดหวังให้มันไม่ใช่แบบนั้น
“เรามาลอง...คบกันไหม”

วินาทีถัดมา หัวใจเหมือนรัวเป็นกอง ความรู้สึกที่เจ็บปวดจนรู้สึกเจ็บแทบใจสลาย เมธัสลิ้มลองมาแล้ว แต่ความรู้สึกสุขจนล้นเอ่อ จนหัวใจแทบจะระเบิดออกมาเป็นเสี่ยงๆ เป็นสิ่งที่เขายังไม่เคยรู้สึก

ทุกสิ่ง ทุกอย่าง อชิรเป็บคนมอบให้เขา

“บ๊าเอ๊ย” เมธัสสบถ เขายกมือปิดหน้า พยายามเบือนหน้าซ่อนใบหน้าแดงก่ำและคราบน้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุด “คุณอย่าล้อผมเล่นนะเว้ย ไม่ตลก”
“คบกันแบบ...แฟนกันจริงๆ น่ะเมธ” อชิรเองก็สูดจมูกที่เปียกชื้นไม่แพ้กัน เขากุมมือเมธัสเบาๆ “เราไม่เคยคบผู้ชาย ไม่รู้เหมือนกันว่าต้องทำยังไง”
“......”
“หรือก็แค่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน เมธว่ายังไงดี”
“.....”
“เมธอยากบอกคนที่ทำงานไหม ถ้าไม่อยากบอก จะไม่ให้ใครรู้ก็ได้นะ”
“......”
“แต่แค่อยู่ด้วยกัน อย่าไปไหนอีกนะ” อชิรบอก เขายกมือเช็ดน้ำตาเบาๆ “เรามีคำตอบของเราแล้วเมธ”
“......”
“เมธมีคำตอบของเมธหรือยัง”
“...คุณจะถามอะไรผมอีก ผมให้คุณไปหมดแล้ว หมดหน้าตักเลยอชิ ตั้งแต่วันนั้น”
“ขอโทษนะเมธ”
“ผมก็ขอโทษ”

เมธัสยกมือขวาปาดน้ำตาให้กับคนรักของเขา ผู้ชายคนที่เขาหลงรักอย่างหมดหัวใจ ตลอดชีวิตไม่เคยคิดเหมือนกันว่าจะชอบคนที่มีเพศสภาพเดียวกัน คนที่ทำงานในสายอาชีพเดียวกัน คนที่หัวแข็งและดื้อด้านลึกๆ เหมือนจะควบคุมได้แต่ไม่ได้เลยสักนิดแบบอชิร

มันสุขสม ขม และหวาน ในเวลาเดียวกัน

มันยังยุ่งยากไม่น้อย ที่จะบอกใครต่อใครว่าจากวันนี้ไป พวกเขาคือคนรัก

แต่เมธัสไม่เคยกลัวเลย สิ่งที่กลัวที่สุดในชีวิต คือการที่อชิรขับไสเขาไปจากชีวิตเสียมากกว่า

-----


เมธัสคือคนเหล็กและคนขี้รำคาญในเวลาเดียวกัน เขาทนนอนโรงพยาบาลได้สามคืนแล้วก็รีบขอหมอกลับบ้าน เพื่อนหรือญาติยังวนมาเยี่ยมไม่ครบเลยด้วยซ้ำ

อย่างไรก็ตาม เมธัสถูกพ่อแม่ลากกลับไปอยู่บ้าน แม้เจ้าตัวจะอยากมาอยู่กับอชิรมากแค่ไหนก็ตาม แต่ก็ไม่ได้รับการอนุมัติ อชิรก็มองว่าดี เพราะกลางวันเขาก็ทำงาน จะมีเวลาไปดูแลไอ้ตัวแสบได้อย่างไร แล้วเอาจริงๆ เขาก็ยังไม่ชินด้วยซ้ำ กับสถานะใหม่ของพวกเขา

กับธารีรัตน์ อชิรไม่ได้ตอบอะไรไป แต่การกระทำเขาชัดเจนตั้งแต่วันนั้นแล้ว วันที่เลือกจะทิ้งทรายไว้ที่ล็อบบี้บริษัท แล้วกระโจนขึ้นรถทศไปพร้อมกับน้ำตาล และหลังจากวันนั้น ไม่ว่าทรายจะเมสเสจหรือโทรหาเขามากแค่ไหน เขาก็เลือกที่จะเงียบใส่ กระทั่งเมสเสจล่าสุดที่เขาได้รับระหว่างพักกลางวันของวันกลางสัปดาห์ถัดมา ที่ทำให้อชิรต้องยกมือถือขึ้นมาต่อสายหาเธอ

“ฮัลโหลทราย”
(อชิ) ปลายสายเสียงซีดเซียว หลังจากที่เธอรู้ผลการตรวจบางอย่างที่น่าจะเปลี่ยนชีวิตเธอไปตลอดกาล ซึ่งมันก็ควรจะเป็นเช่นนั้นนั่นแหละ
“เป็นไงบ้าง คลื่นไส้บ่อยเลยเหรอ นอนพักได้บ้างไหม”
(ก็อ้วกตอนตื่นน่ะ อชิ ทรายเครียดมากเลย) อชิรได้แต่เงียบ เมื่อได้ยินเธอพูดดังนั้น เขาไม่รู้จะให้คำแนะนำอย่างไร ท้ายที่สุดแล้ว เขาไม่ใช่คนที่มีส่วนได้ส่วนเสียที่สุด (ทรายไม่ได้อยากมีลูกตอนนี้ ก่อนหน้านี้น่ะใช่ แต่…)
“ทรายอย่าเพิ่งไปเครียด โอเค มันเพิ่งเกิด ทรายก็ไม่ทันตั้งตัวและไม่รู้จะรู้สึกยังไงใช่ไหมล่ะ”
(อืม)
“ทรายลองถามตัวเองดู ว่าอะไรคือทางออกที่ดีที่สุด มันคงไม่ได้สมหวังกันทุกฝ่ายหรอก”
(อชิว่าทรายควรทำยังไง อยู่กับพ่อของเด็กต่อเหรอ แล้วที่เขาทำกับทรายล่ะ เขามีคนอื่น)
“ถ้าทรายไม่คิดจะให้โอกาสเขา ทรายก็ต้องออกมา ทรายบอกพ่อกับแม่ยัง พ่อกับแม่ทรายต้องช่วยได้อยู่แล้ว ทรายจะกลับไปอยู่บ้านก็ได้นี่น่า”
(ทรายไม่…)
“ชีวิตคนเรามันต้องเจ็บปวดกันบ้างนะทราย ไม่มีใครสมหวังไปได้ตลอดหรอก” อชิรบอก ถ้าเป็นก่อนหน้านี้เขาคงจะไม่พูดแบบนี้กับทราย คงปลอบโยนและช่วยเธอหาทางออกอย่างสุดความสามารถ แต่มาวันนี้ เขาเองก็มีเส้นทางที่เขาเลือกจะเดินเหมือนกัน

“อชิ” เสียงเรียกของรุ่นน้องตัวดีที่เดินใส่เฝือก หน้าถลอกเข้ามา ทั้งๆ ที่ยังออกจากโรงพยาบาลไม่ครบอาทิตย์ดังขึ้น อชิรหันไปพยักเพยิดบอกประมาณว่าเขากำลังติดสายอยู่

เมธัสหย่อนตัวนั่งตรงขอบโต๊ะของอชิร ชายหนุ่มโยนถั่วลิสงเข้าปากไปด้วย เมธัสยังอยู่ในช่วงพักฟื้น แต่ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาล ก็งอแงจะมาหาอชิรอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน จนคุณแม่เหนื่อยหน่ายใจขั้นสุด ถึงกับต้องโทรมาปรึกษาอชิรว่าเอายังไงดี โชคดีที่พ่อและแม่ของเมธัส พวกเขาไม่ได้คาดหวังอะไรกับลูกชายมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว เขาแค่เลี้ยงดู เติบโต ให้เมธัสเป็นคนที่มีความสุขและมีความรับผิดชอบต่อตนเองเท่านั้น อย่างไรก็ตามเมธัสก็มีพ่อเป็นไอดอลอยู่เสมอ เขาจึงเลือกที่จะเรียนสถาปัตย์ฯ ตามพ่อ

อชิรมองหน้าคนรักหมาดๆ ของเขาเล็กน้อย ก่อนไปพูดกับคนในสายต่อ

“ทรายลองตัดสินใจดูนะ ทรายเก่งอยู่แล้ว เดี๋ยวก็ผ่านมันไปได้”

อชิรบอก เขาเองก็เป็นหนึ่งในนั้น นกปีกหักในวันนั้น วันที่ธารีรัตน์เลือกจากเขาไป มันยากลำบากนั่นแหละ แต่สุดท้ายเขาก็ยืนขึ้นมาได้จริงๆ ทุกคนล้วนหาทางที่จะมีความสุขในชีวิตกันทั้งนั้น

(คิดถึงอชิจัง) ปลายสายว่าเสียงเหนื่อยอ่อน อชิรได้แต่ถอนหายใจ
“มันเป็นไปไม่ได้หรอกทราย เราเอง ก็มีคนที่เราต้องห่วงความรู้สึกเขาอยู่เหมือนกัน เรากลับไปเป็นเหมือนเดิมกับทรายไม่ได้หรอกนะ”

“พูดแบบนั้น แฟนเก่าคุณเสียใจแย่” เมธัสเย้าขึ้นมาเมื่ออชิรวางสาย คนอายุมากกว่าถอนหายใจ จ้องหน้าเมธัสดุๆ
“อยากเสียใจเองไหมละเมธ”
“ไม่คร้าบ”
“แล้วนี่ทำไมมาถึงเร็ว”
“ไม่รู้จักนักซิ่งสายฟ้าซะแล้ว” เมธัสชูกุญแจรถขึ้นมา ทำเอาอชิรตาโตแล้วอ้าปากเตรียมโวยทันที “ล้อเล่นคุณ ผมยังไม่ขับหรอก เดี๋ยวแม่เป็นลมตาย นี่คนรถพ่อขับรถมาส่งแล้วทิ้งรถให้”
“ทำไมไม่นอนอยู่บ้านเนี่ย มาก็ทำงานไม่ได้”
“ผมคิดถึงคุณนี่ แล้วผมมีข่าวดีมาบอกด้วย”
“อะไร”
“นอกจากแม่จะยอมให้ผมมาหาคุณที่ทำงานแล้ว ยังยอมให้ผมไปค้างห้องคุณด้วย ดีใจไหมอชิ”
“ข่าวร้ายสิไม่ว่า”
“โห ผมคิดถึงจะแย่” เมธัสยิ้มเผล่ “ไม่คิดถึงผมหน่อยเหรอ”
“ไม่อะ เหนื่อยจะเถียงกับเด็กดื้อ”
“ผมไม่เด็กแล้วนะอชิ” คนอายุน้อยกว่าโวย “ถ้าคุณไม่มั่นใจ เดี๋ยวกลับห้องไปผมพิสูจน์ให้จนกว่าคุณจะเชื่อเลย”
“ไม่ต้องเลย”





END


จบแล้วค่า
จริงๆ เมธัสกับอชิร เป็นคู่ที่ลี่ชอบเขียนนะคะ แล้วก็สนุกในการทำให้พวกมีมิติความเป็นมนุษย์มากที่สุดด้วย
เหลืออีกสองคู่นะคะ ลี่ทยอยลงต่อเนื่องเลยละกันน้า
แล้วก็ ลี่จะเปิดพรีออเดอร์รวมเรื่องสั้น YOU คุณของผม พรุ่งนี้เช้า หน้าเพจนะคะ สนใจตามไปจองได้เลยค่า



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-05-2019 20:12:55 โดย kyliewonderland »

ออฟไลน์ AeAng11

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 528
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ชอบเรื่องของคุณลี่จังค่ะชอบมากๆๆๆ

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1

ออฟไลน์ maminmeaw

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 205
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
ชอบๆๆๆๆรออีก2คู่จ้า :mew1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด