<เรื่องสั้น> รอยพับบนกระดาษในวันคริสต์มาส -จบแล้ว-
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: <เรื่องสั้น> รอยพับบนกระดาษในวันคริสต์มาส -จบแล้ว-  (อ่าน 5444 ครั้ง)

ออฟไลน์ ammriss

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด


Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-12-2016 10:17:03 โดย ammriss »

ออฟไลน์ ammriss

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
รอยพับบนกระดาษในวันคริสต์มาส

by ammriss





หากรอยพับบนแผ่นกระดาษนั้นเปรียบเสมือนความทรงจำของคนเรา


บนแผ่นกระดาษของผมคงมีแต่รอยพับที่ตีตราชื่อ "ธันวา" เต็มไปหมด


ลมหนาวนำพา "เขา" มาให้กับผมในวันคริสต์มาสเมื่อปีที่แล้ว..


หากแต่ในวันคริสต์มาสปีนีั  ความรักของผมจะเป็นเช่นไร


วอนลมหนาว... อย่าเพิ่งพัดพา "เขา" ออกไปจากชีวิตผมเลย















-----------

้กลับมาอีกครั้งงงง กับเรื่องสั้นเรื่องที่สองค่ะ

ครั้งนี้เราเปลี่ยนแนวการเขียนเป็นอีกแบบ บรรยากาศในเรื่องจะต่างกันเลยค่ะ

เรื่องมันเกิดจากการที่เราอยากแต่งเรื่องสั้น บรรยากาศสีเทาๆแต่มีความละมุนอยู่ในตัวในช่วงวันคริสต์มาส

จึงเกิดเรื่องนี้ขึ้นมาค่ะ

ฝากเรื่องนี้ไว้ในอ้อมอกทุกคนด้วยนะคะ


หากใครอยากลองอ่านเรื่องสั้นเบาสมอง ไร้สาระ และปัญญาอ่อน

เชิญเรื่องนี้เลยค่ะ 5555555555


[เรื่องสั้น] จีบหมอ http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=53261.30http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=53261.30


อีกเรื่องนึงก็เป็นเรื่องสั้นเช่นกันค่ะ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สามที่เราแต่ง (หลังจากคริสต์มาส) ก็เป้นเรื่อง
เบาสมอง คลายเครียดนะคะ http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57125.msg3551748#msg3551748


จบแล้วค่ะ



-------------------------



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-01-2017 00:13:38 โดย ammriss »

ออฟไลน์ ammriss

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
25 December 2016

สัมผัสแผ่วเบาจากลมหนาวที่พัดโชยมาในเดือนธันวาคมทำให้ผมต้องเอามือกอดอกตัวเองที่เริ่มสั่นเบาๆ

เห็นที .. ที่กรมอุตุบอกไว้ว่าปีนี้อากาศประเทศไทยปลายปีจะหนาวผิดปกติ นั้นท่าจะเป็นความจริง

ผมพ่นลมหายใจเบาๆก่อนจะสอดสายตามองบรรยากาศรอบๆกาย



We wish you a merry christmas

We wish you a merry christmas

We wish you a merry christmas

And a happy newyear ..



ผมมองผู้คนรอบๆกายที่เดินผ่านหน้าผมไปมา..

เสียงหัวเราะ .. รอยยิ้ม.. มิตรภาพ และ ความรัก

ผมละสายตาจากภาพตรงหน้ามาก้มลงมองตัวเอง

นั่งคนเดียวในร้านกาแฟ.... เหงาดีมั้ยล่ะ

ผมพ่นลมหายใจด้วยความหน่ายใจเบาๆก่อนจะหาอะไรทำแก้เซ็งด้วยการหยิบกระดาษขาวแผ่นหนึ่งจากกระเป๋าขึ้นมาวางไว้บน

โต๊ะก่อนจะค่อยๆพับกระดาษแผ่นนั้นทีละส่วน.. สองส่วน.. และค่อยๆพับกระดาษแผ่นนั้นไปเรื่อยๆ

ผมคิดว่า ชีวิตของคนเรานั้น เหมือนกับกระดาษ ครับ

ในตอนแรก เราทุกคนต่างมีชีวิตที่เรียกว่า ความว่างเปล่า

เหมือนหน้ากระดาษสีขาวแผ่นหนึ่ง

แต่เมื่อเราเริ่มลงมือพับมัน ทีละทบ สองทบ

กระดาษก็เริ่มจะมีรอยพับ จากหนึ่ง เป็นสอง และมากขึ้นเรื่อยๆ

ผมคิดว่าการที่กระดาษโดนพับนั้น ก็ไม่ต่างอะไรกับการใช้ชีวิตของคนเรา

ทุกๆวัน กระดาษของเราจะมีการพับเสมอ อาจจะด้วยฝีมือของเราเอง

หรือคนอื่นๆรอบกาย

อาจจะเป็นการพับด้วยความตั้งใจ

หรือไม่ได้ตั้งใจก็ตาม

ผมเรียกรอยพับแต่ละรอยนั้นว่า.. ความทรงจำ

เมื่อครั้งที่กระดาษแผ่นนั้นมีรอยพับหนึ่งๆแล้ว

กระดาษแผ่นนั้นก็จะมีรอยพับนั้นติดตรึงตลอดไป

อาจจะจางไปบ้างตามกาลเวลา หากแต่มันไม่เคยหายไป

ไม่ว่าจะทำอย่างไร เราก็ไม่สามารถลบรอยพับนั้นจากกระดาษของเราได้

ซึ่งคงไม่ต่างอะไรกับความทรงจำ..

ผมหยุดมือที่กำลังพับกระดาษเมื่อย้อนคิดถึงคนสำคัญ ..

ที่เป็นคนสร้างรอยพับมากมายบนกระดาษชีวิตของผม

เมื่อภาพใบหน้าของคนๆนั้นฉายขึ้นมาในหัว ผมก็อดระบายยิ้มออกมาบางๆไม่ได้จริงๆ

เขาคือคนที่ผมกำลังนั่งรออยู่

เขาคือคนสำคัญของผม











24 December 2016

ธันวา กูมีอะไรอยากจะบอกมึง

ถ้ามึงยังอยากฟัง... มึงช่วยมาหากูพรุ่งนี้ที่ร้านเดิมตอน6โมงเย็นได้มั้ย

แต่ถ้ามึงไม่มา กูก็เข้าใจ และจะไปจากมึงเอง

จะรอนะ .. ปัณณ์



.



.



.



.



25 December 2015



1ปีที่แล้ว



ผมยังจำวันนั้นได้ดี

เสียงเพลงวันคริสมาสต์บรรเลงเบาๆคลอบรรยากาศคึกคักเสียงจอแจจากผู้คนมากมายที่แต่ละคนต่างมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบ

หน้าอย่างมีความสุขที่ได้มาร่วมงานเลี้ยงวันคริสต์มาสของมหาลัย

ทุกคนต่างยิ้มแย้มแจ่มใส หัวเราะกันเริงร่า เต้นรำกันอย่างสนุกสนาน

แต่ยกเว้นผมไว้คนนึงน่ะนะ..


ผมอยู่คุยกับเพื่อนๆในโถงที่จัดงานเพียงไม่นานนักก็เลือกที่จะเดินแยกตัวออกไปยืนมองท้องฟ้าคนเดียวเงียบๆที่ระเบียงเล็กๆด้าน

หลังงาน 



ผมไม่ชอบอยู่ในที่ที่มีคนเยอะ

ผมไม่ชอบความอึดอัด

ผมไม่ชอบเสียงเอะอะจากคนหมู่มาก …

แต่ผมก็ไม่ชอบอยู่คนเดียว

ผมเกลียดความเหงา

ผมไม่ได้แปลกนะ ผมแค่เป็นคนเลือกชอบอะไรบางอย่างที่พอดีกับใจผมจริงๆ

ขณะที่ผมยืนเท้าแขนกับระเบียง เงยหน้ามองท้องฟ้าไปพลางคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ข้างกายผมที่เคยว่างกลับมีร่างสูงเดินเข้ามา

ยืนเป็นเพื่อน

“หวัดดี”

คนมาใหม่ทักผม ผมไม่ตอบอะไร เพียงแต่ยิ้มให้เบาๆ

คนตรงหน้าเป็นคนร่างสูง ดวงตาคมโตรับกับจมูกโด่งสวย

ริมฝีปากสวยได้รูปและโครงหน้าเรียวแบบผู้ชาย ผิวสีขาวแต่ไม่จัด ดูผ่านแดดมาพอควร

โดยรวมแล้วหน้าตาดูดีน่ามองเลยทีเดียว

ไม่แปลกใจที่จะมีคนชื่นชอบอยู่ไม่น้อย

“กูชื่อธันวานะ มึงชื่ออะไรหรอ”

ใช่ มันชื่อธันวา ผมรู้จัก เพราะหนึ่ง ผมกับมันเรียนอยู่ชั้นปีเดียวกัน คณะเดียวกัน

และสอง

อย่างที่ผมได้บอกไป

เจ้าของใบหน้าหล่อคมนี้มีชื่อเสียงอยู่พอควรเลยทีเดียว

“กูชื่อปัณณ์” ผมตอบพลางส่งสายตามองมันด้วยความแปลกใจ

คนดังอย่างธันวาเดินเข้ามาทักผมมีเหตุผลอะไร?

“ยินดีที่ได้รู้จักนะปัณณ์”

ธันวายิ้มกว้าง ผมมองมันด้วยความสงสัยอีกครั้ง

“มึงมีอะไรรึเปล่า”

“เฮ่ย… เปล่าๆ ไม่มีอะไร มึงอย่ามองกูอย่างนั้นดิปัณณ์

กูก็แค่อยากทำความรู้จักมึงเฉยๆ”

“เหรอ”

“เออดิ กูเคยเห็นมึงบ่อยที่คณะน่ะ และเห็นมึงยืนอยู่คนเดียวเลยเดินมาทัก

นี่กูรบกวนมึงอยู่ป่ะเนี่ย”

“เปล่าๆ กูแค่งงเฉยๆ” ผมตอบ “และนี่ออกมาจากงานทำไมล่ะ”

“กูไม่ชอบเสียงดังน่ะ ขี้เกียจอยู่เต้นในงานด้วย” มันว่า

พลางยกแขนขึ้นเท้าที่ระเบียง มองไปบนฟ้าเหมือนที่ผมทำ

“จริงดิ?” ผมถามอย่างสงสัย ปกติผมจะเห็นมันตลอดผ่านการกิจกรรมต่างๆ

จะว่าเป็นคนทำงานก็ว่าได้

ดูน่าจะเป็นคนชื่นชอบการทำกิจกรรมมากพอควร ไม่น่าจะเกลียดเสียงดังนะ

“อืม ก็นานๆทีจะมีโอกาสดีๆมาหา จากสิ่งที่เคยชอบทำก็กลายเป็นไว้ค่อยทำทีหลังได้หมดแหละ”

“หมายความว่าไง”

นี่มันเมากัญชา หรือผมง่วงนอน...

ทำไมผมรู้สึกเหมือนเราคุยกันคนละเรื่อง

“เปล่าๆ ดึกแล้วกูชอบเพ้อเจ้อ”  มันหัวเราะเบาๆ “แล้วมึงล่ะ มายืนทำอะไรตรงนี้คนเดียว”

“กูก็ไม่ชอบเสียงดัง กูเบื่อ”

“อื้อ กูพอจะเดาออก แล้ว.. มึงชอบอยู่คนเดียวหรอ”

“ก็ไม่นะ ไม่ชอบอยู่คนเดียว แค่ไม่ชอบเสียงดัง” ผมหันไปมองคนข้างๆ “แปลกปะวะ”

“ไม่เห็นแปลกเลย” คนข้างๆผมยักไหล่ ก่อนจะหันมาสบตากับผม 

“กูก็เป็นเหมือนกันแหละ ไม่ชอบคนเยอะๆ แต่ก็ไม่ชอบอยู่คนเดียว”

“จริงดิ”

“เออ งั้นพอดีเลย ยังไงมึงกับกูก็คิดเหมือนกันแล้ว….งั้นคืนนี้กูขอยืนอยู่กับมึงแล้วกันนะ”

มันพูดเองเออเองแล้วส่งยิ้มให้ผม ... ยิ้มที่สว่างไสวยิ่งกว่าแสงไฟระยิบระยับที่ประดับบนต้นคริสต์มาส

ยิ้มที่สวยจนทำให้ผมไม่สามารถปฏิเสธคำพูดของมันได้...

เรายืนคุยกันไปเรื่อยๆอย่างไม่รู้เบื่อจนงานจบลง

น่าแปลก ที่ผมรู้สึกได้ถึงความเข้ากันได้อย่างดีระหว่างเราสองคน

ในวันนั้น ผมได้เพื่อนใหม่หนึ่งคน

และในตอนนั้น ผมไม่รู้เลยว่า

ธันวาคือของขวัญชิ้นสำคัญที่สุดของผม..ในวันคริสต์มาส










หลังจากวันนั้น

ผมกับเขาก็ได้มีโอกาสพูดคุยกันบ่อยครั้งขึ้นเรื่อยๆจากที่เจอกันผ่านๆตามกิจกรรมต่างๆ

กลายเป็นได้พบเจอและพูดคุยกันทุกวัน ทั้งในคณะ และนอกคณะ

ผมบังเอิญเจอเขาหลายครั้ง ทั้งในห้องเรียน ห้องสมุด โถงทางเดิน ห้องประชุม

หรือแม้กระทั่งโรงอาหาร อย่างเช่นวันนี้...

“กูกินข้าวด้วยคนนะ”

ผมเงยหน้าขึ้นมองตามเสียงก็ได้พบกับใบหน้าคุ้นตาของเพื่อนใหม่ที่นับวันผมยิ่งสนิทกับมันมากขึ้นเรื่อยๆ

“เอาดิ” ผมยิ้มให้ ธันวาบอกขอบใจแล้ววางอาหาร นั่งลงตรงข้ามกับผม

“เพื่อนมึงไปไหนหมดวะปัณณ์ ทำไมนั่งกินข้าวอยู่คนเดียว”

“ไปห้องสมุดกันหมดและ เดี๋ยวเซคกูมีสอบอะดิ”

“อ้าว แล้วมึงอะ ไม่รีบอ่านหนังสือเหมือนเพื่อนหรอวะ”

ธันวาถามผมพร้อมกับตักข้าวเข้าปาก

“อืม กูมีรายงานอีกวิชาว่ะ โดนกลับมาแก้เนี่ย เกือบเสร็จและเหลือลอกจากที่ร่างไว้ลงในเล่มจริง เยอะชิบหายเลย”

“อ้าว รายงานวิชานี้มึงยังไม่เสร็จอีกหรอวะ  เซคกูแม่งจบไปตั้งแต่สองอาทิตย์ที่แล้วและเนี่ย”

“เออดิ ลำบากกูต้องมานั่งแก้ แถมจะสอบอีกเนี่ย ส่งงานวันนี้ด้วย เสียเวลาสัดๆ”

ผมบ่นไปกินข้าวไป มืออีกข้างก็นั่งลอกรายงานที่ผมร่างไว้ใส่เล่มจริง

“อิจฉามึงว่ะ อาจารย์แม่งใจดี” ผมบอก มันนั่งนิ่งก่อนจะพูดขึ้นเบาๆ

“กูช่วยนะ”

“หือ..”

“เดี๋ยวกูช่วยมึงลอกงานเอง มึงจะได้ไปอ่านหนังสือ”

“เฮ่ย ไม่เป็นไรมึง กูบ่นเฉยๆ กูไม่ได้จะให้มึงช่วย” ผมรีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธ

เพื่อนสนิทก็ยังไม่เชิง ไม่กล้าใช้มันหรอกครับ

นั่งลอกรายงานเป็นปึกนี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ

ถ้าใครเคยทำจะรู้ว่าแม่ง น่าเบื่อชิบหาย

“น่า…มึง” มันเอื้อมมือมาคว้ารายงานเล่มหนาไปจากมือผม “กูว่าง ขอกูช่วยมึงเหอะ กูสงสาร มึงจะได้อ่านหนังสือสอบไง”

ผมพยายามยื้อรายงานเล่มนั้นกลับจากมือใหญ่

“มึงพูดเหมือนเซคมึงไม่มีสอบเลยนะไอ้ธันวา กูทำเองมึงไม่ต้องมายุ่งงงง”

“เรื่องของมึงกูก็อยากยุ่งหมดแหละ”

“อะไรนะ มึงพึมพำอะไร”

“เปล่า กูบอกว่าเซคกูสอบอาทิตย์หน้า กูช่วยมึงได้จริงๆ”

“หือ .. จริงดิ ทำไมกูได้ยินมาว่าเซคมึงสอบตรงกับกูวะ”

หรือเพื่อนแม่งปล่อยข่าวมั่ว?

“ป่าววววว ข่าวผิดละสัด กูไม่มีสอบจริงๆมึง”

“จริงเหรอวะ” ผมเหล่ตามองมันอีกครั้ง

นี่มันจะโบกไม้โบกมือปฏิเสธขนาดนั้นทำไม

“เออ จริงดิ “ มันพยักหน้าหงึกหงัก “นะปัณณ์ ขอกูช่วยมึงเหอะนะ”

“จะดีหรอวะมึง”

“ดีสิ กูว่างสัด กูอยากช่วย ให้กูช่วยมึงเหอะน่า อย่าคิดมาก”

“… เอางั้นก็ได้” ผมพยักหน้ายื่นรายงานเล่มหนาใส่มือมันอีกรอบ “เดี๋ยวกูตอบแทนทีหลังนะมึง”

“มึงเลี้ยงข้าวกูก็แล้วกัน” ธันวายิ้มจนตาหยี

กอดรายงานเล่มหนาของผมไว้ในอกแน่น

ผมมองภาพตรงหน้าแล้วหัวเราะออกมานิดหน่อย

ภาพของเด็กน้อยนั่งกอดตุ๊กตาลอยมาในหัวผมซะงั้น

เพียงแต่ว่าเด็กตรงหน้าผมเป็นเด็กโข่ง… ที่ตัวใหญ่มาก….

“ได้ดิ ตามนั้น งั้นกูไปอ่านหนังสือก่อนนะธันวา”

“เออ กูขอให้มึงทำข้อสอบได้นะ” มันชูสองนิ้วให้ผม

“อือ ขอบใจที่ช่วยทำรายงานให้กูนะ คนดีชิบเลยมึงเนี่ย”

ผมยิ้มในมันเล็กน้อยก่อนจะเดินจากมันไปยังห้องสมุด ทิ้งคนข้างหลังไว้กับรายงานเล่มโต

“กูไม่ใช่คนดีอะไรหรอก แต่แค่รอยยิ้มเล็กๆจากมึงก็พอแล้วล่ะ.. เหยดด พระเอกจัดเลยกู”

ธันวานั่งยิ้มกว้างมองรายงานเล่มหนาในมือ

ในตอนนั้น ผมไม่รู้เลยว่า ธันวาโกหกผม

เซคของมันไม่ได้สอบอาทิตย์หน้า

หากแต่เป็นวันเดียวกับที่มันนั่งลอกรายงานเล่มหนาให้ผมนั่นเอง











สองสามสัปดาห์ถัดมาหลังจากที่เราหมดสอบมิดเทอมและสอบยิบย่อยอะไรต่างๆมากมายเรียบร้อย

ธันวาก็ได้ทวงค่าตอบแทนจากผม ซึ่งก็คือการเลี้ยงข้าวนั่นเอง

นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ผมมานั่งจ้องหน้ามันในร้านอาหารเล็กๆในห้างแห่งหนึ่งใกล้ๆมหาลัยแห่งนี้

“ทำไมเลือกร้านนี้วะ”  ผมถามมันอย่างสงสัย พลางมองไปรอบๆกาย

บรรยากาศในร้านอบอุ่นสมกับร้านที่มีชื่อว่า ละมุนละไม

ผนังโทนสีครีมขาวนุ่ม ดูแล้วสบายตา

มีรูปภาพสวยงามตกแต่งตามมุมผนังพร้อมตัวหนังสือน่ารักๆ

มีมุมเล็กๆที่มีการจัดพื้นหลังเก๋ๆเอาไว้ให้ถ่ายรูปเวลามากินข้าวที่นี่

บางมุมมีชั้นหนังสือน่ารักๆพร้อมขวดโหลสวยๆวางขาย

มองยังไงร้านนี้ก็ละมุนละไม

และห่างไกลจากการที่จะชวนผู้ชายอีกคนมานั่งกินข้าวด้วยกัน เอาซะมากๆ

จะเลี้ยงข้าวทั้งทีทำไมไม่ชวนไปกินพิซซ่า หรืออะไรหนักๆก็ว่าไปอย่าง

มาร้านมุ้งมิ้งบรรยากาศสีอุ่นๆกับมันสองคนแล้วผมรู้สึกแปลกๆ

ตะหงิดใจยังไงๆชอบกล

“ทำไมล่ะ มึงไม่ชอบหรอ” มันทำหน้าเหวอๆยกมือเกาคอมองผมเลิ่กลั่ก

“เปล่า กูว่าร้านก็สวยดี แต่กูว่ามันเหมาะกับการใช้เดทสาวหรืออะไรทำนองนั้นมากกว่ามั้ง”

“ก็นั่นแหละ”

“ก็นั่นแหละอะไรของมึง”

“กูหมายความว่า จะลองมาดูร้านก่อนไงว่าเป็นยังไง  อาหารโอเคมั้ยก่อนจะลองพาสาวมาน่ะสิ”

“อ้าว นี่กูเป็นหนูทดลองของมึงหรอ”

ผมถลึงตามองมันอย่างติดตลก

“กูไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นนนน” มันขำ ยกมือขึ้นมาผลักหัวผมเบาๆ

“เออ เรื่องของมึงเหอะ”

ผมไม่ต่อความยาวสาวความยืด  เลิกสนใจจะถามอะไรมันต่อเนื่องจากอาหารที่ผมสั่งถูกนำมาเสิร์ฟตรงหน้าพอดี

แต่สิ่งแรกที่ผมจะทำนั้นไม่ใช่การกินข้าวทันที  หากแต่เป็นการ...

เขี่ยผักออกก่อน…

“ปัณณ์ มึงไม่ชอบกินผักหรอ”

“เออ”

เห็นกูเขี่ยๆนี่เก็บเอาไว้กินทีหลังมั้ง

“ทำไมมึงไม่กิน มันดีต่อสุขภาพนะมึง” คนตรงข้ามทำหน้าดุใส่ผม

“นี่แม่กูปะเนี่ย พูดเหมือนกันเด๊ะ”

“นั่นไง นี่มึงเป็นเด็กดื้อหรอปัณณ์ แม่มึงก็พูดทำไมไม่ยอมฟัง”

“ไม่ได้ไม่ฟัง แต่คนมันไม่ชอบ ก็แม่งไม่อร่อยอะ กูไม่ชอบ”

“มึงควรกิน มันดีต่อสุขภาพ”

“แต่ถ้ากูกินไป มันก็เสียสุขภาพจิตกู”

“คือมึงกินแต่เนื้อว่างั้น”

“เออ ก็เนื้อมันอร่อย กูเกิดมาเพื่อเนื้อ”

ผมจิ้มไก่ทอดใส่ปากแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ

“งั้นถ้ากูบอกว่ากูจะให้เนื้อมึงล่ะ..”

“เห้ย จริงดิ” ผมมองเนื้อหมูในจานมันด้วยตาลุกวาว ข้าวก็ยังไม่พร่อง อิ่มแล้วหรอจะให้เนื้อผมทำไม?

“จริง กูจะให้เนื้อมึง หนึ่งชิ้นต่อผักหนึ่งคำ”

“เหี้ย.. กูไม่กินผัก”

“แต่กินแล้วได้เนื้อนะมึง” มันยักคิ้วให้ผมแล้วยกยิ้มที่มุมปาก “เนื้อที่ไหนก็อร่อยไม่เท่าเนื้อในจานคนอื่น มึงเคยได้ยินหรือเปล่า

ล่ะ ถ้ามึงกินผักกูให้มึงแย่งเนื้อเลยฟรีๆ”


ช่างเป็นข้อเสนอที่น่าสนใจ หึหึ

ไม่รู้ว่ามีใครเป็นเหมือนกันกับผมไหม แต่การแย่งอาหารในจานเพื่อนมากินมันจะทำให้เราได้รับรสชาติอาหารที่อร่อยกว่าจานของ

เราประมาณ10เท่าครับ

ดังนั้น ผมเลยเถียงกับมันต่อนิดหน่อย ต่อรองเล็กน้อย จนในที่สุดผมก็ยอมฝืนกินผักที่ผมเกลียดนักเกลียดหนา เพื่อแลกกับเนื้อที่

ผมชอบ

ธันวาจิ้มเนื้อให้ผมหลายชิ้นแล้วนั่งเท้าคางมองผมกินผักด้วยรอยยิ้มดีใจ

“เห็นมั้ยเนี่ยมึงก็กินผักได้ กินหมดไปเป็นจาน”

“เออ กูกินได้แต่กูจะอ้วกละเนี่ยสัด”

“เอาน่า มึงก็ได้กินของโปรดมึงนี่ไง กูอุตส่าห์ให้เนื้อมึงเกือบหมดจาน”

“เออ กูล่ะนับถือมึงเลย วิธีเหี้ยอะไรล่อซะหลอกกูกินผักจนหมด..”

“กูเก่ง”

“เออ ในโลกนี้คงมีมึงคนเดียวเนี่ยแหละที่ทำให้กูกินผักได้เนี่ย ประสาท”

ผมบ่นอย่างหัวเสียก่อนจะต้องสะดุดเพราะรอยยิ้มกว้างๆบนหน้าไอ้คนตรงข้าม

“เดี๋ยวนะ มึงยิ้มเหี้ยไรธันวา”

“..เปล่านี่”

“เปล่าเหี้ยไรยิ้มกว้างอย่างกับจานบิน สะใจที่แกล้งกูได้ใช่มั้ยเนี่ย”

“ป่าว กูแค่มีความสุข”

“ได้แกล้งกูว่างั้น”

“กูหวังดี”

“ต้องทำขนาดนี้เลยใช่มั้ย ขนาดแม่กูยังไม่ทำ มึงนี่อะไร”

ผมส่งสายตาสงสัยไปให้มัน

เริ่มสงสัยจริงครับ

อยากให้ผมกินผักถึงขนาดยอมให้เนื้อกับผมมาหลายชิ้นแล้วตัวเองนั่งกินข้าวเปล่ากับผักแข็งๆ

มึงต้องทำขนาดนี้เลย?

“กูเป็นสัตว์ประเสิรฐขั้นสูงสุด กูกินได้แต่ผัก เพราะกูฉลาด มึงเป็นชนชั้นรากหญ้าก็กินเนื้อไป”

เดี๋ยวนะ ทำไมกูฟังแล้วรู้สึกแม่งขัดๆ

แต่ก็ช่างแม่งเหอะ ... ขี้เกียจเถียงครับ เพราะไม่รู้ว่าจะเถียงไปให้ได้อะไรขึ้นมา

“และนี่มึงไปไหนต่อเนี่ย” มันถาม

“กลับบ้านมั้ง ไม่รู้ว่ะ” ผมยักไหล่

“คือกูมีบัตรดูหนังฟรีสองใบอะ หมดเขตสิ้นเดือนนี้ เหลืออีกไม่กี่วันและเนี่ย มึงไปดูเป็นเพื่อนกูหน่อยดิ”

“อ้าว มึงก็ชวนเด็กมึงไปดิวะ น่ารักๆเยอะแยะ มาชวนกูทำไม”

“เห้ย เด็กเหี้ยไร ไม่มีแล้วมึง” ผมโบกไม้โบกมือปฏิเสธผมใหญ่ ส่ายหัวไปมา

“ทำเป็นกั๊ก”ผมยักไหล่

“เห้ย กูพูดจริงนะปัณณ์ กูไม่มีใคร กูไม่มีเด็กเลยจริงๆนะ กูไม่ได้โกหก”

มันโบกมือปฏิเสธไปมาไม่หยุด

“ใจเย็น กูถามเล่นๆไม่เห็นต้องปฏิเสธขนาดนั้น”

“ไม่รู้แหละเรื่องนี้กูซีเรียส กูไม่ได้คุยกับใครจริงๆนะเว่ย กูไม่ใช่คนเจ้าชู้”

“ไม่เจ้าชู้จริงดิ?”

“จริงครับ รักใครรักจริง รักเดียวใจเดียว ไม่เคยทิ้งให้เปล่าเปลี่ยว จะทำให้เธอเสียวทุกคืน ซี้ดดด”

“ไอ้สัด ลามก”

“กูล้อเล่น กูไม่ใช่คนเจ้าชู้จริงๆนะ”

“คือมึงไม่ได้จีบใครเลย?”

“.. ก็ไม่เชิงนะ จริงๆก็มีคนที่กูสนใจและกำลังจีบแหละ แต่แม่ง…เสือกไม่รู้ตัวสักที”

“อ้าว กูถามเล่นๆเสือกดราม่าซะงั้น“ ผมหัวเราะหน่อยๆเมื่อเห็นคนข้างๆทำหน้าหงอย

“ไม่ได้ดราม่าเว่ย กูกำลังพยายามอยู่เนี่ย”

“เออ สักวันเขาต้องรู้ สู้ๆมึง” ผมตบบ่ามันเบาๆ “ว่าแต่มึงชอบใครวะ”

“บอกไม่ได้ว่ะ ขนาดเจ้าตัวยังไม่รู้เลย ความลับเหี้ยๆ”

“เออ ไม่บอกกูอีก  กูไม่รู้ก็ได้ เอาเป็นว่า สู้ๆละกันมึง”

“กลัวเขาไม่ชอบกูว่ะ”

“เห้ย คิดมาก เพอร์เฟ็กต์แมนอย่างมึง มีใครหน้าไหนไม่ชอบด้วยหรอวะ”

“มีดิ กูนี่กลัวอกหัก”

“ไอ้สัด อย่าหงอย กูบอกเลยมึงจีบใครก็ติดหมดนั่นแหละ พยายามเข้า”

ผมตบบ่ามันเบาๆ

 “ไม่ว่าจะใคร..ถ้ากูจีบนี่มึงคิดว่าติดใช่ไหมวะปัณณ์”

“เออ” ผมพยักหน้า

“ถ้าเป็นผู้หญิงที่แบบน่ารักมากๆก็ติดใช่ปะ”

“เออ”

“หรือแบบสวยเอ็กซ์เซ็กซี่เว่อร์ก็จีบติด”

“เออ”

“หรือสวยโหดโฉดดุมีครูหวายใจร้ายเป็นไอดอลกูก็จีบติด?”

“เออ”

“และถ้ากูจีบมึง ก็ติดเหมือนกันใช่ป่ะ”

“เออ….. เดี๋ยว ไอ้สัด กวนตีนกู”  ผมหันไปเขกกบาลมันครั้งหนึ่งแรงๆ

ไอ้ห่านี่...

ไอ้เรารึอุตส่าห์ปลอบใจนึกว่ามันเครียด ไอ้นี่แม่งวอนโดนตีน

“หึๆ ขอบใจที่ให้กำลังใจกู แต่คนที่กูชอบแม่งยากสัด”

“ยากขนาดนั้นเลยหรอวะ”

“เออดิ มึงไม่เคยได้ยินหรอ...  คนน่ารักมักใจร้ายน่ะ....”

“สรุปชอบคนน่ารักว่างั้น”

“เออ... น่ารัก น่ารักเหี้ยๆ น่ารักจนอยากเลีย...”

“ลามก เพ้อเจ้อใหญ่ ไอ้สัด สรุปเอาไง จะชวนกูดูหนังหรืออะไรยังไง”

“เออ ชวนมึงเนี่ยแหละ ดูหนังกับกูหน่อยนะครับ”

“เออๆของฟรีกูก็ไป ”



.


.

.

.


“หนังแม่งสนุกชิบหาย พระเอกแม่งเกรียนสัดกูชอบ”

ผมเอ่ยขึ้นหลังจากที่เราสองคนเดินออกมาจากโรงหนังเมื่อหนังจบ

“เออ กูก็ชอบพระเอกเหมือนกัน”

ผมเหล่ตาไปมองมันก่อนจะพูดคุยกับมันต่อเรื่องหนัง

“แต่กูแม่งไม่ค่อยชอบตัวร้ายเลยว่ะ มึงว่าไงวะ”

“เออ กูก็ไม่ชอบตัวร้ายเหมือนมึงเลย”

“กูว่าตอนจบแม่งออกทะเลไปหน่อยว่ะ”

“เออ จบไม่ดีเลยเนอะ เลอะเทอะ”

“พ่อพระเอกไม่ควรตาย เฟลสัดๆ”

“เออ กูนี่น้ำตาปริ่มๆ”

“แต่กูชอบนางเอกนะ สวยชิบหาย”

“เออ ปัณณ์มึงพูดถูก นางเอกสวยจริงจัง กูนี่เป็นแฟนคลับมานาน”

“จริงดิ”

ผมหยุดเดิน หันไปมองหน้ามัน

“เออ จริงดิ กูนี่ดูหนังเขาแม่งทุกเรื่อง”

“แต่เรื่องนี้ไม่มีนางเอกนะมึง”

มันอ้าปากค้าง ดูสตั๊นไปสามวิก่อนจะพูดกับผมว่า…

“กูปวดขี้ว่ะ ไปก่อนนะ บาย!”

แล้วแม่งก็วิ่งหนีหายไปเลย…

ถุย ไอ้สัดเอ้ยยยย

ทำไมกูจะไม่รู้ว่าที่มึงตอบกูมาเนี่ยมึงแค่ไหลตามน้ำไปกับกู

ทำไมกูจะไม่รู้ว่ามึงไม่ได้ดูหนังเลย..

ไอ้ธันวา

ก็ตอนที่หนังฉายตลอดทั้งเรื่องมึงแม่งเอาแต่นั่งจ้องหน้ากูไง ไอ้สัด!











TALK

แอ้กกกก จบไปตอนนึงแล้วเป็นอย่างไรกันบ้างคะ
คิดยังไงกันบ้าง อิอิอิ

ปล.Merry Christmas ย้อนหลัง2ชั่วโมงนะคะทุกคน

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
น่ารักดีอ่ะ เมื่อไหร่นายเอกจะรู้ตัว รออ่านจ้า   :กอด1:

ออฟไลน์ nochildren

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เข้ามาติดตามอีกคนค่ะ รอตอนน่อไปนะคะ  :-[

ออฟไลน์ ammriss

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0


หลายสัปดาห์ผ่านไป…

ชีวิตผมดำเนินไปเรื่อยๆพร้อมกับคำว่า”ธันวา”ที่เริ่มเข้ามามีส่วนร่วมในทุกๆวันมากขึ้น

จากเพื่อนที่รู้จัก ตอนนี้มันได้ก้าวเข้ามาเหยียบคำว่าเพื่อนสนิทของผมได้แล้วครับ

ถึงแม้ว่ามันจะมีเพื่อนของมัน ผมก็มีเพื่อนของผม

แต่ผมกับมันกลับเป็นเพื่อนที่สนิทกันอย่างมาก

เวลาที่อยู่มหาลัยหรืออยู่ที่ไหนคนเดียวต้องการเพื่อนมานั่งด้วย มันก็จะมานั่งเป็นเพื่อน

เวลาไม่เข้าใจเนื้อหาอะไร มันก็จะสอนผม

เวลามันคิดอะไรอยู่…ผมดูออก และเวลาผมคิดอะไรอยู่..มันก็ดูออก

เวลาผมเบื่อๆเหงาๆไม่มีอะไรทำก็แค่โทรหามัน หรือเวลามันมีอะไรจะเล่า มันก็จะโทรหาผม

ผมเจอหน้ามันทุกวันจนลืมไปแล้วว่าช่วงเวลาก่อนจะเจอมันผมใช้ชีวิตยังไง

“และสรุปมึงเอาไง เย็นนี้ไปกินร้านใหม่กับกูป่าวเนี่ย” ธันวาที่นั่งตรงข้ามผมเอ่ยถามอีกครั้ง หลังจากที่มันชวนผมไปลองกินข้าวที่
ร้านอาหารที่เปิดใหม่แถวใกล้ๆมอ

“กูคิดแปปดิมึง สิ้นเดือนกูแม่งช็อตว่ะ”

“ปัณณ์มึงไปเหอะ กูเลี้ยงเองงงงง ไปเหอะนะ”

ไอ้ธันวาโน้มตัวมาเขย่าแขนผมทำเป็นออดอ้อนเสียงหวาน

“ขนลุก ไอ้สัด ออกไปไกลๆเลยมึงน่ะ”

“โหยยย ใจร้าย สรุปไปกับกูเหอะนะกูเลี้ยงเองงงง”

“ไม่ชวนเพื่อนมึงไปวะเยอะแยะ”

“กูชวนแล้ววว พวกมันไม่ไป แม่งจะไปแดกเหล้ากัน”

“แล้วมึงไม่ไป?”

“เออ ไม่ไปดิ ก็มึงไม่ชอบคนกินเหล้า”

“อ้าวไอ้สัด เกี่ยวอะไรกับกู”

“เออน่า… สรุปว่ามึงไปกินข้าวกับกูละกันนะ”

ไอ้ธันวายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ นั่งเท้าค้างจ้องหน้าผมด้วยสายตาอ้อนวอน เอียงคอประหนึ่งตัวเองเป็นน้องหมาตัวเล็กหน้ารักหน้าชัง

“น่ารักจังเลยนะมึงเนี่ย ถุย! ไปก็ไปวะ”

ยังไม่ทันที่ไอ้คนตรงข้ามกำลังจะร้องดีใจ  ก็มีเสียงเล็กๆดังขึ้นข้างหลังผมพร้อมกับสัมผัสสะกิดเบาๆที่หัวไหล่

“ปัณณ์ เราขอคุยอะไรด้วยหน่อยได้มั้ย”

ผมเงยหน้าขึ้นมองก็พบกับผู้หญิงคนหนึ่งพร้อมกับถุงขนมในมือ

ผมมองร่างบางตรงหน้าที่ก้มหน้าแดงระเรื่อมองพื้นอย่างเขินอาย

ผมพอจะเข้าใจอะไรบางอย่าง

ก่อนจะหันหน้าไปมองไอ้ธันวาที่นั่งทำหน้าเหมือนไม่ได้ขี้มาสิบชาติจ้องผู้หญิงที่ยืนข้างๆผม

“ธันวา เดี๋ยวกูมานะ”

“เห้ย อะไรวะ มึงนัดกับกูก่อน”

“ไอ้สัด กูคุยแปปเดียว มึงนั่งรอนี่เงียบๆไป”

“เดี๋ยวววว ไอ้เหี้ยยย ร้านมันปิดเร็วต้องรีบไปกินน มึงง อย่าเพิ่งไปไอ้ปัณณ์!!”

ผมไม่รอฟังมันบ่นโวยวายห่าอะไรมากมายต่อ แต่เดินนำผู้หญิงคนนั้นไปยังทางเดินข้างหลังโรงอาหาร

“มีอะไรจะพูดกับเราหรอ”

ผมถาม ก้มหน้ามองคนข้างหน้าที่ยืมก้มหน้างุดๆมองถุงขนมที่อยู่ในมือเล็กๆ

“เราชื่อแตงกวานะ.. เรียนคณะอักษร อยู่ปีหนึ่งเหมือนปัณณ์”

“ครับ”

“เราชอบปัณณ์นะ” ร่างเล็กเงยหน้าขึ้นมองผม ใบหน้าหวานขึ้นสีแดงระเรื่ออย่างน่ามอง  “เราอยากบอกให้ปัณณ์รู้..”

ผมจ้องร่างบางตรงหน้า

อืม..

น่ารักเหมือนกันนะเนี่ย

“ขอบคุณนะ” ผมยิ้มให้ ร่างเล็กยิ้มตอบผมอย่างดีใจ ก่อนจะยื่นมือเล็กส่งถุงขนมมาให้ผม

“ขนมนี้เราให้ปัณณ์นะ ทำเองกับมือเลย…”

“อือ ขอบคุณมากนะครับ”

“ถ้าปัณณ์มีเวลาว่าง… ลองกลับไปคิดเรื่องของเราดูหน่อยนะ”

“อือ ได้เลยๆ เราจะลองไปคิดดูนะ ขอบคุณนะแตงกวา”

ผมยิ้มให้ ก่อนที่ร่างเล็กจะพยักหน้าหงึกหงักแล้วรีบหันหลัง ก้มหน้างุดๆวิ่งกลับไปยังตึกอักษร

..เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีเลยนะเนี่ย ที่ผมมีคนมาสารภาพรัก

ความรู้สึกของการถูกใครสักคนรักมันเป็นอย่างนี้นี่เอง

ผมเดินกลับไปที่โต๊ะด้วยหัวใจที่พองโตก่อนจะพบกับร่างสูงที่นั่งเท้าแขนขมวดคิ้ว มองหน้าผมอย่างเคืองๆ

...เดี๋ยวนะ มึงเคืองอะไรกู

“ไอ้ธันวา มึงปวดขี้หรอ ทำหน้าบึ้งอย่างกับตูดควาย”

“ใครทำหน้าบึ้ง!! ป่าวสักหน่อย! มึงนั่นแหละ ยิ้มเหี้ยไรนักหนา”

“อ้าว กูมีความสุขก็ผิดเนอะ” ผมส่ายหัวเบาๆ เพลียใจกับความหาเรื่องของมัน

“มีความสุขอะไรของมึง แล้วนั่นถุงอะไร”

มันพูดไม่พอรีบเอื้อมมือมาคว้าถุงขนมจากมือผมไปอย่างรวดเร็ว

“เห้ย ไอ้สัด เอามา ขนมกู”

“ไม่ใช่ขนมมึง ขนมของผู้หญิงคนเมื่อกี้ต่างหาก” มันไม่ยอมคืนถุงขนมให้ผมหากแต่ดึงไปกอดไว้กับตัว

“ก็เขาให้กูมันก็ต้องเป็นของกูแล้วไงไอ้ห่านี่” ผมพยายามแย่ง แต่เนื่องจากมันสูงกว่าผมหลายเซนอยู่ ทำไมให้ผมแย่งไม่ถึง

เลยขี้เกียจแย่งมันครับ นั่งลงเงียบๆกับโต๊ะแล้วจ้องมันกอดถุงขนมของผมไว้กับอก

“เขาให้มึงทำไม มึงเป็นขอทานหรือไง และนี่หายไปคุยอะไรกันนานสองนาน”

“เขาบอกชอบกู”

“เหี้ย กูว่าละ”

“อะไร ทำไมมึงต้องทำหน้าตกใจอะไรขนาดนั้น กูหน้าตาแย่ถึงขนาดไม่น่าจะมีคนมาชอบเลยหรือไง”

“กูว่ากูก็กันแม่งทุกคนละนะ ไอ้สัด หลุดมาได้ไงวะ”

“มึงบ่นเหี้ยไรของมึง” ผมขมวดคิ้วมองไอ้ห่านี่บ่นพึมพำอย่างกับเมากัญชา

“ป่าว.. แล้วมึงว่าไงล่ะ”

“ก็ไม่ว่าไง” ผมยักไหล่ “เขาก็น่ารักดี”

“….หมายความว่า มึง…”

“ไม่รู้ว่ะ อาจจะลองคบดูก็ได้มั้ง ไม่เสียหายอะไร”

“เหี้ย!!!!”

“ไอ้สัด เหี้ยไร กูตกใจ ตบโต๊ะเสียงดังทำไมเนี่ย”

“มึงจะทำอย่างนั้นไม่ได้! มึงจะคบผู้หญิงคนนั้นไม่ได้!”

“อะไรของมึง กูขอเหตุผล”

“หนึ่ง ผู้หญิงคนนั้น…ไม่.. โอเค เออ ไม่โอเค กูไม่ให้ผ่าน”

“เดี๋ยวๆ มึงมีสิทธิ์อะไรมาตัดสินคนที่กูจะคบเนี่ย”

“สอง…” ไอ้ห่าธันวามันพูดต่อไม่ฟังที่ผมคัดค้าน “ มึงกำลังช็อต มึงไม่ควรมีแฟนตอนที่มึงกำลังไม่มีเงิน”

“กูเลี้ยงมาม่าเขาก็ได้”

“และสาม..”

“…” ผมนั่งนิ่งรอฟังมัน  เผื่อเหตุผลที่สามของมันแม่งจะฟังขึ้น

“….. สักวันมึงจะรู้เอง”

“เอ้า ไอ้สัด! อะไรของมึงเนี่ย”

“เออ เชื่อกูเหอะ อย่าเพิ่งคบเลย” มันตบบ่าผมสองสามครั้ง “เชื่อกู”

“ไอ้สัด ไม่รู้ว่ะ กูขอไปคิดดูก่อน”

“เหี้ยปัณณ์ เชื่อกูเถอะ”

“อะไรของมึงวะ”

“เชื่อกูสิ มึง ต้อง เชื่อ กู!”

“ไอ้สัด ชีวิตกู กูคิดเอง ไม่ต้องยุ่ง”



นิ่งครับ

นิ่งเลย

นิ่งสนิท ปิดทุกการเคลื่อนไหว

ไอ้คนตรงข้ามที่นั่งกอดถุงขนมนั่งนิ่งเงียบกริบก้มหน้าลงมองพื้นคอตก

โดนผมว่าเข้าหน่อยจ๋อยเลยครับ

จะว่าไปก็น่าสงสารนิดหน่อย

“เออ เอาเป็นว่าเดี๋ยวกูค่อยกลับไปคิดละกันนะ และจะไปเลยมั้ยร้านอาหารมึงเนี่ย”

“ไม่ไปละ”

“หะ?”

“กูไม่ไปกับมึงและ กูจะไปแดกเหล้า แดกเหล้า! ย้อมใจ!! รักแม่งเหี้ย!!!”

พูดจบก็ลุกขึ้นยืนสะบัดตูดวิ่งหนีผมออกจากโรงอาหารไปเลยครับ

เดี๋ยวนะ..

อะไรของแม่งวะ

งง

แล้วนั่นขนมกู

มึงทำเนียนใช่มั้ยไอ้สัด!










-อยากจะย้อน เวลา… กลับไป ช้าช้า…-


ตีสองห้าสิบ..

เหี้ย

ใครแม่งโทรมาตอนนี้วะวะ

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูก่อนจะพบรายชื่อคุ้นตาที่ผมตั้งไว้เป็นfavorite

ไอ้ธันวา!!!

มึงคิดว่าเวลาตีสองห้าสิบกูนั่งแคะขี้หูเล่นอยู่รึไงวะ!

“ฮัลโหล! มึงโทรมาทำเหี้ยอะไรตอนนี้!”

“ไอ้คนใจร้าย ใจดำ ใจไม้ไส้ระกำ ทำแบบนี้กับกู…เอื้อก…ได้ไง”

ยังไม่ทันได้ด่าสมใจอยาก เสียงในสายก็ดังขึ้นสวนมาอย่างไม่รอฟังผมพูดให้จบ

อื้อหือ .... กลิ่นเหล้ามึงนี่ออสโมซิสผ่านโทรศัพท์ส่งมาถึงกูเลยไอ้สัด

เมาแน่ๆ

“อะไรของมึง”

“ไอ้ปัณณ์คนเหี้ย …มึง มึงใจร้าย ทำร้ายกู มึงทำกับกูอย่างนี้ได้ไงวะ! ”

“เดี๋ยว … กูทำไรมึง ธันวา มึงเมาแล้วนะ”

“เมาเหี้ยไร เออ กูเมา ไม่ได้เมาเหล้า แต่กูเมารัก เอิ้ก….”

“มึงเมาละสัด กลับเองไหวไหมเนี่ย ใครจะมาส่งมึงวะ หรือแม่งเมาเรื้อนกันทั้งกลุ่ม”

ผมไม่ได้ถามคนในสาย แค่พึมพำกับตัวเอง

คุยกับมันตอนนี้ก็ไม่รู้เรื่องครับ

“ทำมาเปงงงง มึงแม่ง ทำมาเปง”

“ห่าไรเนี่ย”

“ทำมาเปงห่วงเปงใยกูววว จริงๆแม่งใจร้ายใจดำ ทำกับฉันได้ลงคอ ตอปิโด”

“โอ้ย เรื้อนสัด และกูไปใจร้ายกับมึงตอนไหนวะ”

 “ก็มึงจะมีแฟนอะ มึงจะหนีกูไปมีแฟนไง! ทำเป็นจำไม่ได้!!!! โธ่เว้ย! แดมอิทสะบิดสะบิ้ง!!!”

หือ?

แฟนไรของแม่งวะ นี่ผมจะมีแฟนตอนไหน..

อ้อ

เรื่องเมื่อเย็นสินะ

ผมขมวดคิ้วฟังคนในสายโวยวายต่อ ในใจก็นึกสงสัย

ไม่คิดว่าไอ้ธันวามันจะเอาเรื่องเมื่อเย็นไปคิดต่อเป็นตุเป็นตะตอนกินเหล้าอย่างนี้

“ทำอย่างกับเป็นเรื่องใหญ่นะ กับอีแค่มีสาวมาชอบกูเนี่ย”

“ม่ายด๊ายยยยยยยยยย มึงจะมีแฟนม่ายด้ายยยยย”

“ทำไม”

“เออน่า!!!”

“อ้าวไอ้ขี้เมานี่”

“กูเมาเพราะใครล่ะ! เฮ้ย ไม่ช่ายยยๆๆ กูไม่ได้เมา! บอกว่ากูไม่มาวววววไงงง”

“เออ มึงไม่เมาๆ มึงไม่เมาเลยไอ้ธันวา”

“เอออออ เชื่อกูซะที ดีๆๆเจ้าปัณณ์ ไอ้หมาน้อย มึงต้องฟังกูนะ เพราะกูหล่อ แมน และแฮนด์ซั่มมั่กๆ!”

กูจะข้ามประโยคด้านหลังที่มึงชมตัวเองไปแล้วกันนะเพื่อน.... “ฟังว่า?”

“อย่าเพิ่งมีแฟนเลยยยยยยยยย น้ามึง…”


“ทำไมวะ มึงกลัวกูตัดหน้ามีแฟนก่อนมึงหรอ”

“ไม่ใช่…ไม่ใช่ๆๆ ม่ายช่ายยยยย”

“งั้นเพราะอะไร หรือมึงชอบแตงกวา”

“ป่าววว กูไม่ได้ชอบแตงกวา แต่กูชอบฟักแฟงงง แตงโม ชายโย โห่ฮิ้วววว”

ไอ้สัด!
ปวดหัวเลยกู

“มึงวางสาย แดกวีต้าแล้วไปนอนนะ”

“หนีกูอีกแล้วววว นั่นไงๆๆๆ มึงจะหนีกูอีกแล้วววววว เอิ้กกกก กูไม่ให้ไปโว้ยยยยยย ได้ยินม้ายยยยยยย”

“ไอ้สัด เต็มสองหูกูเลย เออๆ ไม่ไปก็ได้โว้ย”

โอ้ย ผมปวดหัวเหมือนตัวเองกำลังคุยกับเด็กป.2ที่แม่งร้องไห้จะเอาของเล่น


ตื่นมาตอนดึกยังไม่พอ นี่กูต้องนั่งสนทนากับคนเมาอีกเหรอเนี่ย

“เอออดีๆๆๆๆ เอิ้กกๆๆๆ”

“กลับจากร้านได้แล้ว”

“ทำมาเปงงงงงงงห่วงกูวววว อีกแล้วน้า”

“กูเป็นห่วงมึงจริงๆ”

“…….. อย่างนี้แหละนะ….. กูถึงงงงงงง….”

“ถึงอะไร”

“บอกไม่ได้! ความลับของไอ้ธันวา มันห้ามกูบอกมึงงงงง เพราะมึงคือไอ้ปัณณ์!”

“อ้าว เดี๋ยวนะแล้วนี่กูคุยกับใคร”

“ธันวานัมเบอร์วันนนน”

“แล้วเมื่อกี้มึงพูดถึงความลับของธันวาไหน”

“ก็ธันวานัมเบอร์ทู ทรี โฟร์ ไฟฟฟฟฟฟ์ งายยยยยย”

โอ้ย กูปวดหัวกับแม่ง!

“ไอ้สัด มึงมีกี่ธันวาเนี่ยตอนเนี้ย”

“มีตั้งแต่ธันวานัมเบอร์วันไปจนถึงธันวานัมเบอร์วันไนน์ไนน์ ร้อยเก้าเก้าจ้า กระเป๋าถูกๆราคาย่อมยาวววว”

ไอ้สัด ขายกระเป๋ากูอีก

“พวกมึงร้อยเก้าเก้าคนเนี่ย มีความลับอะไรกับกู… เอ้ย กับไอ้ปัณณ์”

“มีสิ!!!!! เป็นความลับที่อยู่ในใจ เป็นความลับที่อยู่ข้างในนน แต่ไม่รู้จะบอกเธอมันอย่างไรรรรร”

“ความลับอะไรของมึงวะ”

กูอยากรู้จนหูกูจะทะลุโทรศัพท์ไปฟังมึงพูดแล้วเนี่ยไอ้หอกหัก กูเป็นคนขี้เสือกนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับกู
โดยตรง

พูดมาสักทีซิ ลีลาอยู่ได้ไอ้ห่านี่

“บอกก็ได้ ! คิคิคิ แต่มึงต้องสัญญากับกูก่อนนนนนน”

“สัญญาว่า”

“ห้ามบอกไอ้ปัณณ์คนใจร้ายโดยเด็ดขาดดดดด!”

“เออๆกูสัญญา กูไม่บอกไอ้ปัณณ์”

“ดีมากกกกก เอิ้กๆๆ ความลับบบมีอยู่ว่า อ้าอ้าอ้า”

“ว่า”

“ธันวามีทั้งหมดร้องเก้าเก้า วันไนน์ไนน์คน”

นี่ความลับมึงเรอะ!

“แต่ว่าทุกๆคน.. มีคนในหัวใจเป็นคนเดียวกัน”

“..” ผมเงียบ รอฟังอย่างใจจดใจจ่อ

“เพราะในใจฉันนั้นมีแต่เธอ มีแต่เธอคนเดียว นอกจากเธอไม่แลเหลียวครายยยยย”

สัด!

“และเธอคนนั้น ในดวงใจไอ้ธันวา คือคนน่ารักกกกกก”

ใกล้ละ.... ใกล้ได้เสือก

“เธอคนนั้นนนน.... มีชื่อว่า....”

ว่า.............

“ปัณณ์”

……..

.............

เดี๋ยวนะ นี่กูสมองพลิกได้ยินผิดหรือมึงประสาทเสียพูดอะไรมั่วซั่วปะวะ

“ปัณณ์คนน่ารักกกกมักใจร้ายยยย น่ารักเหี้ยๆ แต่ก็ใจร้ายกับกูเหี้ยๆ … เอิ้กกก”

“…”

“ฝากสายยยลมมม พัดพาข้อความฉันไปปป ฝากบอกไอ้ปัณณ์หน่อยครับ”

“…”

“ว่าผมชอบมัน”

“…”

“ปัณณ์ กูชอบมึงว่ะ”

“…”

“ล้อเล่น!!! กูไม่บอกไอ้ปัณณ์หรอก… เห้ย! มึงรู้แล้ว ก็ห้ามไปบอกปัณณ์นะโว้ยยย ห้ามบอกๆๆๆ ได้ยินมั้ย!”

“….”

“เฮ้ยยย ไอ้เหี้ยนี่ เงียบทำมายยย สัญญามาแล้วต้องรักษาสัญญานะเว้ย”

“…”

“เงียบทำไมมมม ตอบกูหน่อย… นะนะ มึงอย่าบอกไอ้ปัณณ์เลยนะ”

“……เออ กู…. กูไม่บอกหรอก”

“เอิ้กๆๆ ดีมากกก เพราะถ้าไอ้คนน่ารักของกูรู้ มันต้องเกลียดกู แน่ๆๆๆ! เพราะฉะนั้น มันจะรู้ไม่ได้!”

“…..”

“ไม่บอกแม่งอย่างนี้แหละ ดีแล้วววว”

“แล้วมึงคิดจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับไปถึงเมื่อไหร่วะ”

“ไม่รู้เว้ยยย ตอนนี้แค่กูได้แอบมอง แอบดูแลอยู่ใกล้ๆก็พอแล้วแหละ…

แต่ขออย่างเดียวไอ้ปัณณ์อย่าเพิ่งไปมีแฟนเลยนะ กูไม่อยากหลงรักคนมีเจ้าของ แอบมองอยู่ทุกวันนนนน ฮือออ”

“….”

“เรื่องบางเรื่อง ถ้าพูดออกไปแล้วมันไม่ดี.. มันก็สมควรถูกเก็บไว้ เป็นความลับตลอดไปนะมึง”

ผมไม่รู้ว่าเสียงในสายหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้แค่ผมยังนั่งขดตัวอยู่บนเตียง ถือโทรศัพท์คาไว้ที่หูอยู่อย่างนั้น

จากอารมณ์โกรธในตอนแรกที่ต้องตื่นมานั่งคุยกับไอ้ขี้เมาตอนดึก แปรเปลี่ยนเป็นอารมณ์เหี้ยอะไรไม่รู้ที่หมุนๆอยู่ในใจ

สิ่งที่ผมเพิ่งได้ยินและรับรู้จากปากของคนเมาอย่างไอ้ธันวา ทำให้ผมตกใจและยังไม่อยากจะเชื่อจริงๆ

บอกไม่ถูกว่ารู้สึกยังไง รู้แค่ว่าคำพูดของมันยังคงวนเวียนไปมาอยู่ในหัว  ทิ้งให้ผมนั่งครุ่นคิดเกี่ยวกับมันอยู่อย่างนั้นทั้งคืน




-อยากย้อน..เวลา กลับไปช้าช้า..-

เสียงโทรศัพท์ผมดังขึ้นในขณะที่ผมกำลังแต่งตัวเพื่อจะออกไปหาอะไรกินข้างนอกด้วยสภาพสโลสเล

สารภาพแมนๆเลยครับเมื่อคืนผมแทบไม่ได้นอน

ข่มตานอนไม่หลับครับในเมื่อเสียงสารภาพจากไอ้ธันวามันยังดังวนเวียนอยู่ในหัว วนไปเรื่อยๆแบบนอนสต๊อป

ไอ้ห่า....

สุดท้ายก็เลยไม่นอนแล้วนั่งหาอะไรอย่างอื่นทำแทน

ตอนนี้แม่งง่วงสัดๆ แต่เช้าแล้วเลยหาไรกินก่อนครับ ความหิวมันชนะความง่วง

ผมแหกขี้ตา หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนจะได้เห็นภาพหน้าของไอ้คนที่ทำให้ผมนอนไม่หลับทั้งคืน

ไอ้ธันวาโทรมา

จะรับไม่รับดีวะ...

เหี้ย มาขนาดนี้ละ เคลียร์ๆไปแม่งเลยละกัน!

"....ว่าไง" ผมเริ่มก่อน

"ไอ้ปัณณ์ เมื่อคืนกูโทรหามึงหรอวะ"  เสียงไอ้ธันวาสั่นๆ

"เออ"

"...เหี้ย จริงปะเนี่ย กูพูดอะไรไปบ้างปะวะ"

"พูด...ก็พูดนะ"

"ชิบหายละกูพูดอะไรไปบ้างวะมึง กูพูดอะไรแปลกๆบ้างปะวะ"

"แปลกเหรอ.... ก็แปลกแหละ”

แปลกเหี้ยๆ

"กูพูดอะไรไปบ้าง.. มึงจำได้ปะวะ"

"อืม ก็.. มึงบอกว่ามึงไม่เมา"

"เหี้ยย กูเมาสัด"

"มึงบอกว่ามีธันวา199คน"

"กูมีคนเดียว ตลกละ และกูพูดอะไรอีก"

"มึงบอกอีกว่า"

"..."

"มึงชอบกู"

"....."

"เรื่องจริงป่าววะ"

".......... ไม่จริง ไม่จริงเว่ย มึงก็รู้ว่ากูเมา"

"เขาบอกว่าคนเมาจะพูดแต่ความจริงไม่ใช่เหรอ"

"เอ้าไอ้สัด........  งั้นกูไม่เมาก็ได้ เมื่อคืนเพื่อนแม่งแกล้งกูว่ะ มึงอย่าคิดมากเลยนะ"

"..."

"ที่กูพูดเมื่อคืนแม่งไม่จริงเลยมึง โกหกแม่งหมด คนอย่างกูเนี่ยนะจะชอบมึง"

"..."

"มึงเป็นเพื่อนกูนะเว่ย กูไม่ชอบมึงหรอก"

"ไอ้ธันวา"

"อย่าคิดมากนะมึง"

"ธันวา.."

"เมื่อคืนกูล้อเล่น เพื่อนแกล้งกู"

"กูรู้ว่ามึงพูดจริง"

"...."

"มึงบอกความจริงกูมาเหอะ   กูไม่เกลียดมึงหรอก"

"....ไม่มีความจริงอะไรทั้งนั้นแหละ"

"ถ้ามึงยังไม่พูด กูจะเลิกคบมึง"

คนในสายเงียบไปพักใหญ่ก่อนจะเปล่งเสียงตอบผมมาอย่างแผ่วเบา

".... ก็ได้"

"ว่ามา"

"เมื่อคืนกูเมา และที่กูบอกว่าชอบมึง กูอยากให้เป็นเรื่องโกหกนะ แต่แม่ง...”

“...”

“กูหมายความว่าอย่างนั้นจริงๆ”

“...อืม”

“จริงๆแล้วตอนนี้กูพยายามจีบมึงอยู่นะ แต่มึงความรู้สึกช้า  คือกูชอบมึงมากไง เลยไม่กล้าบอกเพราะกลัวเสียมึงไป

กูขอโทษนะมึง"

"มึงจะมาขอโทษทำไม"

"แม่งผิดเวลาสัดๆ กูไม่น่าเมาเลยเมื่อคืน"

"และถ้าเป็นอนาคต ตอนที่มึงแน่ใจ ตอนที่มึงพร้อมบอกว่าชอบกู มึงจะทำยังไงต่อ"

“มันคงไม่มีวันที่กูแน่ใจว่ะมึง”

“ถ้าสมมติว่ามี”

"ถ้าเป็นตอนที่กูมั่นใจหรอ...”

“อืม”

“กูคง........คงขอมึงเป็นแฟนล่ะมั้ง....... ไอ้เหี้ย แปลกปะวะ กูอายว่ะ"



"ตกลง"

"หือ..."

"กูหมายถึงกูตกลงไง ที่มึงขอกูเป็นแฟนน่ะ"

"......................”

ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด

ตอนนี้ปลายสายแม่งชิงวางสายโทรศัพท์หนีผมไปแล้วครับ

สงสัยแม่งคงตกใจยิ่งกว่าผมตอนได้ยินคำสารภาพรักของมันเมื่อคืนอีก

ส่วนคำถามที่ว่าทำไมผมถึงตอบตกลงไป ทำไมถึงโอเคง่ายๆเหมือนไม่คิดอะไร

อืม... จริงๆผมก็นอนคิดนั่งคิดตีลังกาหกคะเมนอาบน้ำนั่งขี้คิดมาแล้วทั้งคืนน่ะครับ

ผมมองว่า....ไอ้ธันวามันเป็นเพื่อนที่เข้าใจผมทุกอย่าง

เราทำอะไรหลายๆอย่างมากมายด้วยกัน

อยู่กับมันแล้วผมก็มีความสุขดี มันเทคแคร์ ดูแลคนเก่ง

มันกับผมแม่ง... โคตรเข้ากันได้ดี

ถ้าการเป็นคนรักกันนั้นหมายถึงการที่เราคบกับคนที่เข้ากับเราได้อย่างลงตัวแล้วล่ะก็ ...

ผมคิดว่าไอ้ธันวาคงเป็นคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับผมแล้วล่ะ














หลังจากวันนั้นที่ผมได้ตกลงคบกับธันวาแบบมึนๆงงๆ

เราก็ได้เลื่อนสถานะจากเพื่อนสนิทมาเป็น คนรัก อย่างจริงจังแล้วครับ

เราคบกัน แต่ไม่เปิดเผยต่อผู้คนทั่วไปมากนัก มีเพียงเพื่อนสนิทผมและเพื่อนสนิทมันที่รู้เรื่องนี้

แต่ผมว่า การที่เราคบกัน มันก็ไม่ได้ทำให้อะไรๆระหว่างผมกับธันวาเปลี่ยนแปลงไปมากนะ

ธันวามันยังกวนตีนผมเหมือนเดิม คุยเล่นกันเหมือนเดิม ทำอะไรๆแบบเดิมๆ และดูแลผมดีเหมือนเดิม

เพียงแต่ว่า..กับเรื่องบางเรื่องที่เคยทำไม่ได้และไม่ได้ทำ .. ตอนนี้มันทำได้แล้วเท่านั้นเอง

อย่างเช่น..





วันนั้นที่ร้านบะหมี่เกี๊ยว



“เกี๊ยวที่นี่อร่อยดีเนอะมึง”

ในตอนนั้นพวกเรากำลังนั่งกินบะหมี่เกี๊ยวอยู่ในร้านอาหารใกล้ๆมอ ไอ้ธันวาพูดขึ้นก่อนจะยกตะเกียบคีบเกี๊ยวขึ้นชูให้ผมดู

“อือ อร่อยดี ทำไมกูเพิ่งเคยมากินวะเนี่ย” ผมตอบ

“หึหึ เดี๋ยวกูพามากินบ่อยๆ นี่มึง อยากได้เกี๊ยวเยอะๆมั้ย”

“..ถามไม”

“กินผักก่อนดิ เดี๋ยวกูให้กินเกี๊ยวกูเลย” มันพลิกเกี๊ยววนไปวนมาตรงหน้าผม

เกี๊ยวนะไม่ใช่จานบิน ไอ้ห่านี่

“พอเลยๆมึง กูโตแล้ว กูกินผักเองได้! ไม่ต้องมีของมาล่อเลย”

ผมพูดบ่นใส่มันก่อนจะคีบผักชิ้นโตเข้าปากอย่างรวดเร็ว

“คุณพระคุณช่วย!”

ไอ้ธันวาร้องตกใจเอามือทาบอกจีบปากจีบคอพูด

กระแดะจริงๆนะมึงงงง

“ทำไม กูจะกินผักได้แล้วมันทำไม”

“ก็ไม่ทำไม... ก็ดีไงงงง ดีจะตาย” มันยิ้มแฉ่ง เอื้อมมือใหญ่ๆมาลูบหัวผมเบาๆ “เก่งมาก เด็กดี”

...

กูไม่ใช่เด็กแล้วนะธันวา

....

แล้วนี่กูจะนั่งเคลิ้มที่มันลูบหัวทำไม...

“ยิ่งมึงกินผักได้เพราะกู กูยิ่งดีใจ”

ผมเงยหน้าขึ้นไปมองหน้ามัน

มันสบตาผมก่อนจะเผยยิ้มน่ารักๆที่มัดใจใครต่อใครมานับไม่ถ้วน

....เออ มัดใจกูด้วยคนเนี่ยตอนเนี้ย มัดเข้าไป ยังไงใจกูก็ดิ้นไม่หลุดจากมึงแล้ว ไอ้สัด...

“หน้าแดงเป็นไร” มันทำสีหน้าเป็นห่วง ก่อนจะเลื่อนมือใหญ่ที่วางอยู่บนหัวผมมาลูบที่แก้มผมเบาๆ

“...แดงเดิงเหี้ยไร ไม่มีอะ”

“หน้ามึงแดงจริงๆไอ้ปัณณ์” 

“...อากาศแม่งร้อน”

“ห้องแอร์ไอ้สัด” มันหลุดขำเบาๆ

“เออ” ผมไม่รู้จะตอบอะไรมัน

“เขินกูหรอ”

“...อะไร”

“มึงเขินกูแน่ๆ” มันจิ้มแก้มผมเบาๆ “ฮั่นแน่.... มึงเขินกูหรอ เขินกูล่ะสิ”

“...พ่องตาย”

“น่านนน มีด่ากลบเกลื่อนว่ะ เอ้า หน้าแดงใหญ่ละ” มันหัวเราะร่าก่อนจะละมือจากแก้มผมไปนั่งเท้าค้าง จ้องหน้าผมแทน

เออ เอาเข้าไป แกล้งกูได้ทีนี่เอาใหญ่เลยนะ

“สัด” ผมด่ามัน

“ปัณณ์ กูชอบตอนมึงเขินกูจัง...............   น่ารัก”

......

“แต่อย่าไปเขินใครอีกเลยนะ  ในโลกนี้ กูอนุญาตให้มึงเขินกูได้คนเดียวเท่านั้นนะ ”

...

“เข้าใจมั้ย”

“อือ”

จากนั้นผมกับมันก็ไม่ได้พูดอะไรกันต่อ ก้มหน้าก้มตากินบะหมี่เกี๊ยวที่แม่งก็ชามเดิมแต่รู้สึกว่ามันหวานนนนนนนสัดๆ

ไม่นานนักผมก็กินบะหมี่เสร็จ เงยหน้าจ้องคนตรงข้ามที่นั่งกินไปร้องซี้ดไปเพราะชามมันใส่พริกเยอะกว่าผมหลายช้อน

ใครใช้ให้แม่งเติมพริกหลายๆช้อนเองล่ะ สมน้ำหน้า แอ็คดีนัก

“แอบมองกูเหรอ”

ไอ้คนที่ก้มกินบะหมี่เงยหน้าขึ้นมาสบตากับผมแล้วเอ่ยพร้อมอมยิ้มที่มุมปาก

“สัด มึงกินเงียบๆไปไม่ได้เหรอ”

พูดมากจริงๆ

ขอกูมองมึงเงียบๆได้มั้ยล่ะ ไม่ต้องล้อ ไม่ต้องแซวห่าอะไรบ้างก็ด้ายยยยย

“ได้ครับ หึหึ” มันก้มหน้าลงกินต่อ แต่ผมนี่คงนั่งมองมันกินต่อไม่ลง

จะบอกว่าเขิน... ก็ยอมรับครับ

ผมหันไปมองบรรยากาศรอบๆร้านแทน ในร้านมีคนจำนวนไม่น้อยเลยที่มานั่งกินบะหมี่ ร้านนี้ค่อนข้างมีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ทีเดียว

ผมมองนู่นมองนี่ไปเรื่อยๆจนกระทั่งได้พบกับใบหน้าที่คุ้นตา...ซึ่งผมไม่ได้พบเห็นมานาน

พี่ธร?

ผมเพ่งสายตามองหน้าคนที่นั่งข้างหลังผม...  เขาไม่ได้นั่งก้มหน้ากินบะหมี่ในจาน หากแต่ก็มองผมกลับเช่นกัน

“น้องปัณณ์!”

“พี่ธร...”

ร่างสูงที่นั่งถนัดจากผมประมาณ 2 โต๊ะลุกขึ้นเดินจากที่นั่งมาหาผม

ผมยิ้มกว้างมองร่างพี่ชายตัวสูงที่กำลังเดินเข้ามาหา

“คิดถึงจังเลยน้องปัณณ์”

พี่ธรเอ่ย ลากเก้าอี้ที่อยู่ใกล้ๆมานั่งคุยกับผม

“สวัสดีครับพี่ธร ปัณณ์ไม่คิดว่าจะได้เจอพี่ธรที่นี่นะเนี่ย”

ผมตอบ พี่ธรคือพี่ที่ผมสนิทด้วยตอนเด็กๆครับ พี่เขาอาศัยอยู่ข้างบ้านของผม

เราเล่นด้วยกันตั้งแต่สมัยเด็ก พี่ธรเป็นคนสอนอะไรต่างๆมายมายให้กับผม

เราเคยสนิทกันมาก จนกระทั่งวันที่ผมย้ายบ้านออกมา

วันที่ผมต้องจากที่ธร และเป็นวันเดียวกันกับที่พี่ธรสารภาพรักกับผม

ใช่ครับ พี่ธรบอกว่าพี่ธรชอบผมมานานแล้ว

ในตอนนั้นผมยังเด็ก ยังไม่คิดอะไร รู้สึกตกใจอยู่มาก แต่เมื่อไม่ได้เจอหน้าพี่ธรอีกเลย ผมก็เลยลืมคำสารภาพรักนั้นไปแล้ว

จนผ่านมา5ปีนี่แหละครับ ถึงได้มาเจอเขาอีกในวันนี้

“อื้ม... พี่ก็ไม่คิดว่าจะได้เจอเราที่นี่เหมือนกัน”

“แล้วพี่ธรมาทำอะไรที่นี่เหรอครับ”

“อ๋อ..พี่มาหาเพื่อนที่มหาลัยนี้น่ะ เย็นแล้วเลยแวะมากินอาหารแถวนี้ก่อนกลับ แล้วเราล่ะ เรียนนี่หรอ”

“ครับ ปัณณ์เรียนที่นี่แหละ”

“แล้วนี่มากับใครล่ะ”





(ต่อด้านล่าง)

ออฟไลน์ ammriss

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
(ต่อจากด้านบน)


“แล้วนี่มากับใครล่ะ”

พี่ธรถาม  ผมเลยหมุนตัวไปจ้องหน้าคนที่นั่งตรงข้ามผม ที่ตอนนี้มันกำลังกำตะเกียบในมือแน่น มองผมกับพี่ธรอย่างไม่เป็นมิตร

ชิบหายละ เกือบลืมไอ้ธันวา

“เอ่อ... นี่.........เพื่อนผมครับ ชื่อธันวา”

ธันวาเหลือบตามองผมเล็กน้อย ก่อนจะหันไปเคี้ยวบะหมี่ตุ้ยๆต่อไป หากแต่สายตาก็ยังคงจ้องพี่ธรอยู่

“สวัสดีนะธันวา.... พี่ชื่อธร... แต่สงสัยจะไม่อยากรู้จักพี่เท่าไหร่ล่ะมั้ง ฮะๆ”

พี่ธรยิ้มแหยๆ หัวเราะแห้งๆเล็กน้อย

ผมไม่รู้จะพูดอะไรนอกจากถามไถ่สารทุกข์สุขดิบไปเรื่อย

ยิ่งได้พูดคุยยิ่งรู้สึกเหมือนช่วงเวลาสมัยเด็กๆนั้นย้อนคืนกลับมา จนกระทั่ง..

“กูอิ่มแล้ว”

สิ้นเสียงดังของไอ้คนอิ่ม... บทสนทนาของผมกับพี่ธรก็ได้จบลง

ผมลุกขึ้นบอกลาพี่ธร ยกมือไหว ก่อนจะเดินออกมาจากร้านกับไอ้ธันวา

แต่ยังไม่ทันที่เราจะก้าวพ้นจากร้าน   มือของผมก็โดนดึงไว้เบาๆ

“ปัณณ์”

“...ครับ”

พี่ธรวิ่งมาดึงแขนผมไว้ ยกมือผมขึ้นก่อนจะหยิบกระดาษแผ่นเล็กยัดใส่มือผม

“นี่เบอร์โทรพี่ ถ้าว่างปัณณ์ช่วยโทรหาพี่หน่อยนะ ไว้เรานัดมาหาอะไรอร่อยๆกินกัน พี่เลี้ยงเอง”

“เอ่อ...” ผมไม่รู้จะตอบอะไร หันหน้าไปมองไอ้คนข้างกายที่ตอนนี้อุณหภูมิสูงปรี้ด ยืนเดือดปุดๆแข่งกับพระอาทิตย์แล้วครับ

มึงใจเย็นนะ ธันวา มึงใจเย็น....

“ความรู้สึกพี่ยังเหมือนเดิมนะ... ถ้ามีเวลา ปัณณ์ช่วย...”

หมับ!

มือของผมถูกดึงไปกุมไว้แน่นโดยเจ้าของมือหนาที่ยืนเดือดอยู่ข้างๆ

ธันวาดึงแขนให้ตัวผมไปหลบอยู่ข้างหลังมัน ก่อนที่มันจะเดินหน้าออกมาพูดกับพี่ธร

“ไอ้ปัณณ์มันไม่ว่างหรอกครับ จะเวลาไหน วันไหนไอ้นี่มันก็ไม่ว่างหรอกครับ”

“น้องมายุ่งอะไรด้วย”

“ยุ่งสิครับ ก็พี่เนี่ย กำลังจีบเมียผม!”

ไอ้เหี้ย!

“ไอ้ปัณณ์มันไม่ว่าง ต่อไปนี้ห้ามติดต่อ ห้ามคุยกับมันอีกนะ ถ้ามีใครคนไหนคิดจะม่อไอ้ปัณณ์อีกก็ฝากบอกต่อไปด้วยนะครับ  ว่า
มันมีผัวแล้ว เลิกยุ่งกับไอ้ปัณณ์สักที ผัวดุ!”

พูดจบมันก็คว้าแขนผมเดินจ้ำๆๆออกจากร้านด้วยความโมโห ไม่สนใจพี่ธรที่ไอ้ห่านี่แม่งทำให้ยืมค้างอ้าปากหวอแดกแมลงวันอยู่
ตรงที่เดิม

“เป็นไรปะเนี่ย”

ผมถาม มันหยุดเดินเมื่อเราอยู่ห่างจากร้านพอสมควร 

ไอ้ธันวาก้มหน้าจ้องปลายเท้ามันนิ่งๆ ผมนิ่งเสียจนผมกลัว

ผมไม่เคยเจอธันวาในมุมแบบนี้มาก่อนเลย

ผมยืนเงียบ ไม่พูดอะไร เพราะผมไม่รู้จะพูดอะไรจริงๆ

ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้มันโกรธผม หรืออะไร แล้วผมผิดอะไร

“ปัณณ์” ในที่สุดธันวาก็เงยหน้ามามองผม

“อืม”

“กูขอโทษที”

ผมนิ่ง... ไม่นึกว่าผมจะได้ยินคำนี้

นึกว่าจะโดนดุด่าอะไรทำนองนั้นซะอีก

“ขอโทษทำไม มึงไม่ได้ทำอะไรผิด”

“กูผิดที่กู..กูหวงมึงมากไปหน่อย โทษทีว่ะ แม่ง ไม่เท่เลยกู... แต่กูไม่ขอโทษไอ้เหี้ยนั่นหรอกนะ”

มันทำตาขวาง “ใจเย็นมึง เขาเป็นรุ่นพี่ข้างบ้านที่กูรู้จัก ไม่มีอะไรหรอกมึง”

“แต่ดูจากสายตากูว่าแม่งมันคิดกับมึงไปไกลแล้วนะ ไอ้เหี้ย ทำมาเป็นแจกเบอร์ ... โว้ยยยย คิดแล้วแม่งขึ้น”

“ใจเย็นไอ้สัด” ผมขำนิดหน่อยกับท่าทางของมัน มันยืนเตะฝุ่นเอามือยีหัวอย่างโมโห

“คือกูพยายามจะทำตัวเป็นผู้ใหญ่แล้วนะมึง แค่กูไม่ต่อยมันตั้งแต่มันเข้ามาพูดคุยจ๊ะจ๋าข้ามหัวกูที่โต๊ะก็บุญมากพอแล้ว คิดว่ากู
มองไม่ออกหรอว่ามันชอบมึงอะ”

“.... เออ” ไม่มีข้อแก้ตัวครับ ก็พี่มันชอบผมจริงๆ

“กูไม่โกรธมึงหรอกนะ แต่มึงอะ ทำไมเวลาพูดกับมันต้องแทนตัวเองว่าปัณณ์อย่างโน้น ปัณณ์อย่างนี้ด้วยวะ!”

“อ้าว ก็กูเรียกแบบนี้ตั้งแต่เด็กๆแล้วอะ”

“กูหวง!!”

“.......เออ”

“กูหึงด้วย ทำไมอะ ทำไมมึงไม่เรียกตัวเองแบบนี้กับกูบ้าง!”

“เดี๋ยวนะมึง”

“ปัณณ์อยากกินติม ปัณณ์อยากไปเที่ยว ปัณณ์หิวน้ำอะธันวา.... อะไรแบบนี้อะ!”

“เดี๋ยวมึง เดี๋ยว”

ผิดประเด็นและไอ้สัด

“กูอิจฉาอะ ทำไมกูเป็นแฟนมึงกูถึงไม่ได้ยินแบบนั้นบ้างอะ”

“กลับบ้านไอ้สัด”

“น่ะ ทีกับแฟนอย่างกูนี่มึงพูดจาหยาบคายใส่นะ”

“กลับบ้านครับมึง”

“ไม่กลับ”

“กลับบ้าน”

“ไม่เอา”

“ปัณณ์อยากกลับบ้าน”

“....”

“ธันวาพาปัณณ์กลับบ้านหน่อยนะครับ”

สิ้นประโยคนั้นไอ้ธันวาก็แทบจะถลาตัวมาแบกผมขึ้นหลังแล้ววาร์ปหายไปจากที่นั่นทันที







นั่งนึกแล้วก็อดระบายยิ้มออกมาไม่ได้

คิดถึงช่วงเวลาตอนนั้นจัง

ผมแม่ง.... มีความสุขที่สุดเลย

ธันวาดูแลผมดีมากๆ  มันเป็นทั้งเพื่อน รุ่นพี่ รุ่นน้อง และแฟน ในคนเดียวกัน

มันทำอะไรให้ผมมากมายจริงๆ  ทุกๆอย่าง

ทุกอย่างที่ธันวาทำให้มีความหมายพิเศษในตัวของมันเสมอ

....เหมือนครั้งหนึ่งในความทรงจำ

วันนั้นเป็นวันเกิดของผม









“Happy Birthday to Pun

Happy Birthday to Pun

Happy Birthday Happy Birthday

Happy Birthday to…. Pun…

มีความสุขมากๆนะมึง สุขสันต์วันเกิดนะ”

เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นเหนือเค้กก้อนใหญ่ แสงเทียนท่ามกลางความมืดทำให้ใบหน้าของผู้ถือเค้กเป็นอย่างเดียวที่ผมมองเห็น

ผมเคยเห็นการเซอร์ไพร์สวันเกิดมามากมายตามหนังและละครต่างๆ

ผมไม่เคยเข้าใจ ว่าคนที่ได้รับการเซอร์ไพร์สจะรู้สึกดีใจได้อย่างไร

ในเมื่อเซอร์ไพร์สมันก็มีอยู่ไม่กี่อย่าง แต่ละอย่างล้วนเป็นอะไรที่เดาง่าย เคยเจอผ่านๆ มาบ้างอยู่แล้ว

จะตื่นเต้นทำไม จะร้องไห้ดีใจทำไม...

ในวันนี้ผมได้รู้แล้วครับ

ถึงผมจะเคยเห็นการเซอร์ไพร์สคนอื่นมามากมายแค่ไหนก็ตาม ความรู้สึกมันเทียบไม่ได้เลยจริงๆกับการที่เราจะได้รับเซอร์ไพร์ส

นั้นเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมันมาจากคนสำคัญ

“ขอบคุณนะมึง...”

“ครับ เฮ้ย อย่าร้องไห้ดิ ไอ้สัด กูไม่ได้เซอร์ไพร์สมึงเพื่อจะให้มึงร้องไห้นะ”

“...ที่เธอเห็นแค่ฝุ่นมันเข้าตา ฉันไม่ได้ร้องห้ายยย”

ผมร้องเพลงไปสูดจมูกฟื้ดๆไป ไอ้ธันวาขำนิดหน่อยที่ผมร้องเพลงท่ามกลางน้ำตา

น้ำตาแห่งความสุขน่ะครับ

“ยังจะมาตลก ไอ้สัด... ดีแล้ว วันเกิดมึงยิ้มมากๆนะ”

ผมยิ้มกว้างตามที่มันพูด

“ยิ้มกว้างๆ แต่อย่าไปยิ้มแจกใครพร่ำเพรื่อ กูหวงของกู เข้าใจมั้ย”

“...เออ”

“รับทราบนะ?”

“เอออออ”

เหยดเป็ด แล้วทำไมผมต้องยอมเชื่อฟังมันด้วยวะเนี่ย

“ดีมาก หึหึ ต่อไปจะเป็นโหมดซึ้งแล้วนะ”

“ไอ้สัด มึงไม่ต้องพูดนำก็ได้มั้ง เสียบรรยากาศเหี้ยๆ”

“ฮ่าๆๆ กูล้อเล่นน่า” มันวางเค้กลงบนโต๊ะ ก่อนจะเอื้อมมือใหญ่มากอบกุมมือผมไว้อย่างอ่อนโยน

“กูพูดตามตรงนะ ตอนนี้แม่งยังเหมือนฝันเลยว่ะ กูเคยได้แต่มองเห็นมึงตามห้องเรียน ตามที่ต่างๆ แต่ตอนนี้กูได้จับมือมึงเดินไป
ข้างๆกัน  ได้ดูแลมึง ได้หวงมึงอย่างถูกต้องซะที ฮ่าๆๆ .... กูขอบคุณนะ ที่มึงเลือกกู”

“อือ..”

“ขอบคุณที่เป็นแฟนกับกูนะ”

“อือ...”

“กูรักมึงนะปัณณ์”

“อือ... กูก็รักมึง ธันวา”

“กูอยากดูแลมึงตลอดไปเลย”

ผมยังจำความรู้สึกในวันนั้นได้ดี ยังจำสัมผัสได้ทุกสัมผัส คำพูดทุกคำที่มันบอกผม ความรู้สึกทุกขณะที่ผมรู้สึกในตอนนั้น

วันนั้นเป็นวันเกิดที่วิเศษมากจริงๆ

เพราะมันเป็นวันเกิดแรกของผม...ที่มีคำว่าเรา

และอาจเป็นเพียง

วันเกิดเดียว...











ในตอนนั้น ผมคิดว่าผมคือบุคคลที่มีความสุขที่สุดในโลก

ผมขอบคุณพระเจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรืออะไรก็แล้วแต่ ที่ทำให้เราได้มารู้จักกัน ..ได้เป็นแฟนกัน

ผมได้รับการดูแลและการใส่ใจที่ดีมาก...และอาจจะดีมากเกินไป

จนทำให้ผมมองข้ามอะไรบางอย่างไป...

บางอย่างที่สำคัญ

“ความรู้สึกของธันวา”

นี่คือสิ่งสำคัญที่ผมลืมคิดถึง

ผมไม่รู้ว่าจะมีใครเคยเป็นเหมือนกันกับผมไหม

ผมก็เป็นคนๆหนึ่ง ที่มีความรัก โลภ โกรธ และหลง

เมื่อได้รับความรักมา... ก็ไม่เคยรู้จักพอ

เมื่อได้รับแล้ว .. ก็อยากได้มากขึ้นเรื่อยๆ

ผมมองแต่มุมมองตัวเอง ผมอยากได้รับความรัก ได้รับความใส่ใจ

สิ่งๆนั้นเปรียบเสมือนยาเสพติดสำหรับผม

ผมอยากได้มากขึ้น เรียกร้องมากขึ้น ต้องการมากขึ้น

ผมไม่รู้ว่าจุดเริ่มต้นของรอยร้าวเล็กๆนี่เริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไหร่ และเริ่มต้นจากตอนไหน

บางที อาจจะเป็นตอนที่ธันวามีนัดไปกินเหล้ากับเพื่อน

แต่ผมไม่ให้ไป







หรืออาจจะเป็นตอนที่ธันวามีนัดเลี้ยงข้าวน้องรหัส

แต่ผมกลับขอไปนั่งกินข้าวกับมันด้วย




หรืออาจจะเป็นตอนที่มันอยากดูบอลอยู่ที่ห้อง

แต่ผมเรียกร้องให้มันพาผมไปดูหนัง





หรืออาจจะเป็นตอนที่มันต้องไปซ้อมบอล

แต่ผมโทรตามให้มันโดดออกมารับผมกลับบ้าน





หรืออาจจะเป็นตอนที่ผมบังคับให้มันนั่งดูหนังเป็นเพื่อน

ตอนที่มันใกล้จะหลับ





หรืออาจเป็นตอนที่ผมขอให้มันทำอะไรหลายๆอย่าง

ทั้งที่มันไม่อยากทำ..







ยิ่งผมใช้เวลาคิดมากเท่าไร ภาพความทรงจำแย่ๆ สิ่งแย่ๆที่ผมทำกับธันวาก็ยิ่งลอยขึ้นมามากเท่านั้น

ในตอนนั้น ในหัวของผมเต็มไปด้วยคำถามมากมาย

ทำไมเราถึงเพิ่งรู้สึกตัว ว่าเราได้ทำอะไรลงไป

ทำไมตอนนั้นที่ทำ เราถึงไม่คิดให้ดี

ทำไมตอนนั้น เราถึงได้เปลี่ยนไปเป็นคนละคนแบบนี้

ทำไมตอนนั้น เราถึงไม่เคยคิดถึงความรู้สึกของธันวาบ้าง

ทำไม ทำไม และทำไม....

ที่เขาบอกกันว่า ความรักมันทำให้คนตาบอด เห็นจะเป็นเรื่องจริงครับ

ผมไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน

ผมไม่รู้ว่าจุดเริ่มต้นเรื่องแย่ๆที่ผมทำมันเริ่มจากตรงไหน

แต่จุดจบของมัน เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง

วันที่ผมรู้สึกตัว

แต่กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว










24  December 2016

“ฮัลโหล”

“ฮัลโหล ปัณณ์ มึงอยู่ไหนวะ”

“กูอยู่ห้องสมุด รอมึงเนี่ย เมื่อไหร่จะเลิกเรียนวะ”

“กูเพิ่งเลิกๆ”

“รีบมาด้วยนะ”

“แต่กูมีนัดว่ะ คือเซคกูนัดประชุมงานใหญ่ที่ต้องส่งตอนไฟนอลอะมึง”

“นานป่ะวะ กูรอได้นะ”

“น่าจะนานว่ะ น่าจะเกิน2ทุ่มอีกว่ะ มันเป็นโปรเจ็กต์ใหญ่อะมึง”

“... แต่มึงนัดกูไว้แล้วนะ วันนี้วันคริสต์มาสอีฟนะมึง”

“พรุ่งนี้ได้ปะวะ พรุ่งนี้ก็วันคริสต์มาสไงปัณณ์ เดี๋ยวกูเลี้ยงทุกอย่างชดเชยเลย นะๆ”

“มึงนัดกูแล้วอะธันวา”

“กูรู้ แต่ว่างานมันโปรเจ็กต์ใหญ่ไงปัณณ์ แล้วเนี่ย คนอยู่ทั้งเซคเลยอะ กูจะขอตัวกลับแม่งก็ดูไม่ดีปะวะ”

“ส่งไฟนอลแม่งก็อีกนานไม่ใช่หรอวะ ทำไมรีบจังวะ ทำวันอื่นไม่ได้หรอ”

“มันเห็นด้วยกันเกินครึ่งเซคแล้วมึง เลื่อนวันไม่ได้หรอก .. นะปัณณ์นะ พรุ่งนี้ค่อยเที่ยวกัน”

“มึงนัดกูแล้ว”

“ทำไมวนมาประโยคเดิมอีกแล้ววะ กูก็อธิบายมึงไปแล้วไงปัณณ์ มึงไม่เข้าใจอะไรอะ”

“มันไม่ใช่ว่ากูไม่เข้าใจมึง แต่กูไม่ชอบที่มึงจะมาเบี้ยวนัดกูแบบนี้อีกแล้วอะ”

“แต่กูก็มีเหตุผลปะวะมึง”

“ไม่ไง คือเหตุผลมึงคือเห็นคนอื่นดีกว่ากูปะวะ”

“เห้ย เดี๋ยวๆ ไปกันใหญ่ละ... ปัณณ์มึงฟังกูก่อนนะ คืออันนี้อะ...”

“กูไม่ฟังและมึงแม่งก็พูดวนแบบเดิม กูจะรออยู่ห้องสมุดละกัน ไม่มาก็ไม่มา”

จากนั้นผมก็วางสายไป

ถ้าเป็นคนนอกมองมาก็คงมองว่าผมเป็นคนไร้สาระ งี่เง่า เอาแต่ใจ ไม่ฟังเหตุผลสินะครับ

แต่เชื่อเถอะ ถ้าคุณมาเป็นผมในตอนนั้น คุณจะเข้าใจผมเอง

ในตอนนั้น ผมแค่งอน แค่รู้สึกแย่ ที่มันเห็นงานดีกว่าผม ทั้งที่จริงๆแล้วมันก็เป็นเรื่องที่ธันวามันไม่ได้ตั้งใจให้เกิดนั่นแหละ

ธันวามันก็คงไม่อยากยกเลิกนัดของเราหรอก...

แต่ตอนนั้นความรู้สึกน้อยใจมันเริ่มกัดกินหัวใจผมจนทำให้ผมหลับหูหลับตาไม่คิดไม่มองเหตุผลและความเป็นจริง

ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ผมคงไม่ทำ

ได้แต่คิดอยู่อย่างนี้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว เรากลับทำอะไรไม่ได้เลย

ในตอนนั้น ผมนั่งรอไม่นาน ร่างของธันวาที่กำลังวิ่งมาอย่างเหนื่อยหอบก็ปรากฏขึ้นหน้าห้องสมุด ผมลุกขึ้นเดินไปหามันเพื่อหาที่

คุยกันข้างนอกและเตรียมตัวจะไปเที่ยวด้วยกัน

“กูว่าแล้วว่ามึงต้องมา” ผมยิ้มกว้าง มองร่างที่คุ้นเคยที่ยืนหอบอยู่ตรงหน้าผม

“....” มันไม่พูดอะไร ไม่ตอบอะไรผมกลับมา

ผมยืนนิ่ง รอจนกว่ามันจะหายใจเป็นปกติแล้วเริ่มพูด

“ปัณณ์”

“อืม... หายเหนื่อยแล้วหรอ ไปเที่ยวกันมึง”

“กูมีเรื่องจะพูดกับมึง”

“.....อะไรหรอ”

ในตอนนั้นผมไม่รู้ตัวจริงๆครับ

ไม่รู้จริงๆว่าประโยคต่อมามันจะพูดว่าอะไร

“กูว่า... ที่เราคบกันอย่างนี้ แม่งไม่ใช่ว่ะ”

“.... อะไรหมายความว่าไม่ใช่”

“กูอยู่อย่างนี้แล้วไม่มีความสุขเลยว่ะ”

“......... ไม่มีความสุขยังไงวะ ?  มึงมีปัญหาอะไรก็บอกกูดิ”

“กูพูดไปหลายรอบแล้วนะปัณณ์ กูพยายามพูดอธิบายให้มึงฟัง ว่ากูเหนื่อย ที่จะต้องมาตามใจอะไรที่แม่งไร้สาระแบบนี้ กูเหนื่อย

ที่จะต้องมานั่งทำในสิ่งที่กูไม่อยากทำ กูพูดมาตลอด แต่มึงถามตัวเองหน่อยได้ไหม ว่ามึงเคยสนใจคำพูดกูบ้างหรือเปล่า”

“...”

“มึงเคยสนใจกูบ้างหรือเปล่าปัณณ์”

คำถามของมันดังห้องอยู่ในหัวผม

ประโยคคำถามเดียวสั้นๆนั้นทำให้ผมยืนนิ่งคิด หาคำตอบอย่างจริงจัง

นั่นสิ

ที่ผ่านมาผมเคยสนใจมันบ้างหรือเปล่า

“กูชอบมึง  และยังชอบมึงอยู่นะปัณณ์ กูชอบที่จะดูแลมึง แต่กูไม่ชอบที่มึงจะเรียกร้องจากกูในเรื่องที่กูทำให้ไม่ได้ เรื่องที่มันงี่

เง่า กูเหนื่อยว่ะ”

“...”

“ยิ่งคบกันนานขึ้น มึงยิ่งห่างไกลจากปัณณ์คนเดิม เรื่องง่ายๆที่มึงเคยทำได้เองคนเดียว ตอนนี้มึงกลับทำไม่ได้ถ้าไม่มีกูอยู่ด้วย

แต่ก่อนมึงไม่เคยเช็คโทรศัพท์กู ไม่เคยทำตัวติดกู จะไปไหนมึงก็ไปคนเดียวได้ มึงไม่เคยห้ามกูเวลาที่กูจะเตะบอล หรือทำเหี้ย

อะไรที่กูอยากทำ..”

“...”

“หลังๆมานี้ มึงรู้ตัวหรือเปล่าว่ามึงเปลี่ยนไปขนาดไหน”

“...”

“กูขอโทษนะ ถ้ากูเป็นสาเหตุที่ทำให้มึงเปลี่ยน”

“...”

“แต่ตอนนี้กูพูดตามตรงนะ ความรู้สึกมึง กูยังไม่แน่ใจเลย ตอนนี้กูยังไม่รู้เลย ว่ามึงเคยรักกูบ้างหรือเปล่า”

“...”

“มึงไม่เคยสนใจ ไม่เคยใส่ใจ มึงไม่เคยเป็นห่วงกู”

“...”

“ลองกลับไปถามตัวมึงเองดูนะ ว่าเคยรักกูบ้างหรือเปล่า”

“....”

“ส่วนกูตอนนี้ ก็ยังรักมึงนะ... แต่กูรักมึง ตอนที่มึงยังเป็นมึง มึงที่ไม่ใช่ปัณณ์ในตอนนี้”

“...”

“ขอโทษนะ ปัณณ์ กูว่าเราลองกลับไปคิดเรื่องของเราอีกทีดีไหม ลองห่างกันก่อน เผื่ออะไรมันจะดีขึ้น”

ในตอนนั้น

ผมไม่สามารถเอ่ยคำพูดใดๆออกไปได้เลย ... ผมได้แต่ยืนมองธันวาที่เดินจากผมไปเรื่อยๆ... จนลับสายตา

ตอนนั้นผมจุกจนพูดอะไรไม่ออกจริงๆครับ

คำพูดของมันเพียงไม่กี่ประโยคเหมือนเป็นไม้หนักๆที่ตีลงมาที่หัวผมแรงๆ และทำให้ผมคิดได้ในทันที..

ทุกอย่างที่ผมทำแย่ๆกับมันค่อยๆฉายขึ้นมาชัดเจนในหัวผม... หนึ่งเรื่อง สองเรื่อง สามเรื่อง .... และชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

วินาทีนั้นจริงๆ ที่ผมเพิ่งรู้ตัว ว่าผม...ได้ทำพลาดไป

และที่ผมเสียใจที่สุดในวันนั้นคือ

แม้แต่คำว่า ขอโทษ

ผมยังไม่มีความกล้าที่จะพูดออกไป


















25 December 2016

เรื่องราวทั้งหมดคือสาเหตุที่ทำให้ผมยังคงนั่งรอธันวาอยู่ตรงนี้ แม้มันจะเลยเวลานัดไปหลายชั่วโมงแล้วก็ตาม

หลายๆคนอาจจะเข้าใจผมดี  เรื่องบางเรื่อง ถึงแม้ว่าเราจะรู้คำตอบอยู่แล้ว รู้ว่าสุดท้ายแล้วเรื่องนี้จะจบลงยังไง

แต่เราก็ยังคงฝืนทำ...

ทั้งๆที่รู้ว่าถึงยังไง .. ไอ้ธันวามันคงไม่มา

แต่ผมก็ยังคงนั่งรอ...

ภาพรอยยิ้ม ความทรงจำที่มีมันฉายวนซ้ำไปมาในความคิดของผม 

ได้แต่คิดถึง แต่ทำอะไรไม่ได้

ไลน์ไม่อ่าน ข้อความไม่ตอบ โทรไปหาก็ไม่รับสาย....

แต่ก็ถูกแล้วครับ ที่มันจะทำแบบนี้

เพราะหากมองกลับกัน ถ้าผมเป็นมัน ผมก็คงทำ..

ผมเพิ่งรู้สึกจริงๆว่าความทรมานเวลาที่อีกฝ่ายไม่ให้ความสนใจนั้น... มันเจ็บแค่ไหน

ตอนนั้นที่ผมไม่ใส่ใจในความรู้สึกมัน

มันจะรู้สึกแย่ขนาดไหนกันนะ....

“ขอโทษนะคะคุณลูกค้า ตอนนี้เป็นเวลา4ทุ่ม ร้านเราต้องปิดแล้วค่ะ ขอโทษด้วยนะคะ”

นั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยเพียงชั่วครู่เดียว ทำไมถึงกลายเป็น4ทุ่มได้ล่ะเนี่ย

ผมเพิ่งค้นพบว่าการคิดถึงธันวานั้นทำให้เวลาของผมผ่านไปเร็วกว่าปกติ

ผมพยักหน้า ยิ้มตอบรับพนักงาน ก่อนจะก้าวเดินออกจากร้าน

ทิ้งกระดาษแผ่นนั้นที่มีรอยพับจำนวนนับไม่ถ้วนไว้บนโต๊ะที่ผมเดินจากมา

“We wish you a merry Christmas

We wish you a merry Christmas

We wish you a merry Christmas

And a happy newyear”

เสียงเพลงต้อนรับเทศกาลวันคริส์ตมาสเปิดคลอเบาๆตลอดทางเดิน

ผมก้าวเดินพร้อมรอยยิ้ม...ทั้งน้ำตา

ชีวิตจริง มันไม่เหมือนกับในนิยาย

ไม่ใช่ทุกความรัก ที่จะมีตอนจบที่สมหวัง

แต่ผมไม่โกรธความรักหรอกนะ

เพราะความรักครั้งนี้ เป็นผมเอง ที่ทำลายมัน

ผมนึกถึงรอยยิ้มกว้างๆ  ตาหยีๆ และเสียงหัวเราะของธันวา

นึกขอบคุณ ที่มันเลือกเดินเข้ามาสร้างความรู้สึกพิเศษดีๆร่วมกันกับผม

แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ  จากคริสต์มาสหนึ่ง .. ถึงอีกคริสต์มาสหนึ่ง

แต่มันก็เป็นความทรงจำที่พิเศษสำหรับผมมากจริงๆ....







ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดพิมพ์ข้อความหาคนในความคิด

ขอบคุณนะที่ทำให้2016ของกูเป็นปีที่น่าจดจำ

น่าเสียดาย... ที่กูไม่สามารถรั้งมึงไว้ ให้เดินไปกับกูในปี2017

....




รอยพับบนกระดาษ

ก็ยังคงเป็นรอยพับเดิม   อาจจะซีดจางไปบ้างตามกาลเวลา หากแต่ไม่เคยหายไป

รอยพับนั้นจะติดตรึงบนกระดาษไปชั่วนิรันดร์




ขอบคุณนะ

ที่รักคนอย่างกู



‘ ธันวา ...

กูขอโทษนะ สำหรับเรื่องทุกเรื่องแย่ๆที่กูเคยทำ

แต่คำถามที่มึงให้กูมานั่งคิด ที่มึงถามว่ากูเคยรักมึงบ้างหรือเปล่า

กูได้คำตอบแล้วนะ

....

........กูรักมึงว่ะ กูรักมึงจริงๆ

ไม่เคยมีวันไหนที่กูจะไม่รักมึง ธันวา

ขอโทษนะ สำหรับทุกอย่าง

Merry Christmas

                               ปัณณ์. ‘





กูจะจดจำไว้ ว่าในคริสต์มาสหนึ่ง...



เราเคยได้ร่วมกันสร้างรอยพับต่างๆมากมายลงบนกระดาษของกันและกัน



...

.......























---------------------- TALK
จบลงแล้ววว ฮื่อ จริงๆอยากแต่งแล้วรีบลงวันคริสต์มาสจะได้ได้ฟีล
แต่ก็อย่างที่เห็นนี่แหละค่ะ (หึหึ ปาดน้ำตา)

ฟิคเรายังมีจุดบกพร่องมากมาย เขียนติชมได้เลยนะคะ
จะนำไปปรับปรุงค่ะ เพิ่งหัดเขียน มีอะไรก็บอกได้เลยนะคะ ^____^

ขอบคุณที่อ่านฟิคเรานะคะ ทุกคน

สุดท้ายนี้

Happy Newyear ล่วงหน้านะคะ ♥

ออฟไลน์ pimmpolar

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ปัณณ์ก็รักแหละเนาะ แต่อาจจะทำพลาดไปบ้าง ธันวาก็ให้โอกาสเขาอีกครั้งเถอะน้า

ออฟไลน์ KKKwanGGG

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-2
เฮ้อ ................................

ออฟไลน์ yunjae123

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 948
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-1
อ่านจบแล้วมีความรู้สึกแบบอยากร้องไห้
คือทั้งคู่รักกันแหละ แต่เพราะอยู่ด้วยกันตลอด ทำอะไรด้วยกันตลอด
เลยมองข้ามและละเลยจุดเล็กๆ ที่เป็นความรู้สึกของอีกฝ่ายไป
ยังอยากให้ทั้งคู่ปรับจูนความคิดกันใหม่
เพราะรู้เลยว่ายังรักกันมากๆอยู่...

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Kei

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1

ออฟไลน์ arij-iris

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2922
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9
จบแบบนี้จริงๆหรอ  :mew4: :mew4: :mew4:

ออฟไลน์ Kei

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1

ออฟไลน์ Aeflizm

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เราคิดว่า มันยังไม่สมเหตุสมผลในตอนจบ อย่างน้อยก็น่าจะเครียไปเลยว่า เลิกกันแล้ว คือแบบ ธันรักปัญมากกน่ะ จากที่เราอ่าน แล้วตอนที่ไม่เข้าใจกันเราก็คิดว่าก็รักอยู่ แต่แค่เผื่อเวลาปรับอารมณ์คือแบบ ทิ้งกันง่ายขนาดนั้นเลยหรอ รักกันขนาดนั้นไม่คิดจะให้โอกาศกันปรับตัวเลยหรือยังไง เราว่าถ้าคนมันรักกันจริงงมันก็พร้อมจะให้โอกาศกันได้เสมอน่ะ แล้วทะเลาะกันครั้งนี้ก็เพิ่งครั้งแรกเองป่ะจากที่เราอ่าน ถ้ามันจบแบบนี้ ในความคิดเราเราคิดว่า ธันไม่ได้รักปัญจริงๆอ่ะ

ออฟไลน์ mareya.no7

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 556
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
แล้วเคยบอกไหมว่าชอบ ไม่ชอบ อะไรแบบไหน อยู่ๆมาลงมาเหวี่ยง แล้วบอกเลิกแบบนี้ มึงเองหรือเปล่าธันวาที่เคยรู้สึกรักจริงๆ ไหม ไม่เคลียร์รู้สึกเสียเวลา  :m16:

ออฟไลน์ QXanth139

  • ♡동해 #Always13
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6

ออฟไลน์ mhaparn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด