✿✿✿ He's my love ♥ เติมเต็มรัก ✿✿✿ (ตอนจบ) 19/07/2019
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ✿✿✿ He's my love ♥ เติมเต็มรัก ✿✿✿ (ตอนจบ) 19/07/2019  (อ่าน 119601 ครั้ง)

ออฟไลน์ ninewara

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
(ต่อค่ะ)


เวลาผ่านไปจนเกือบตีสอง ตอนนี้ร้านปิดแล้วครับแต่กลุ่มที่มางานวันเกิดยังคงนั่งดื่มกันอยู่ภายในร้าน เริ่มดื่มกันเงียบๆและนั่งคุยปรับทุกข์และอัพเดตชีวิตกันมากกว่า เพราะช่วงเที่ยงคืน พวกรุ่นพี่วิศวะที่เป็นศิษย์เก่าก็เข้ามาสมทบกันหลายคน คืนนี้ยาวแน่นอนครับ

ผมหันไปมองคนเก่งที่ตอนนี้นั่งหลับตาเอนตัวอยู่บนโซฟาพร้อมกับฟูจิที่นั่งอยู่ข้างๆในท่าเดียวกัน

"พวกมึงพาเมียกลับกันได้แล้วไป สงสารมัน คิดผิดจริงๆที่มาเอาผัววิศวะ ต้องมานอนเฝ้าผัวกินเหล้า" รุ่นพี่ที่นั่งดื่มอยู่หันมามองผมกับไอ้ธาวิน ผมกับไอ้ธาวินก็เลยขอตัวกลับเลยเพราะตั้งใจว่าจะขอตัวกลับอยู่เหมือนกัน

ไอ้ธาวินมันไม่ปลุกฟูจิครับแต่มันเข้าไปช้อนตัวอุ้มขึ้นมาเลย จนโดนพวกรุ่นพี่โห่แซว ผมเองก็อยากจะทำแบบนั้นหรอกนะแต่ว่าเพราะเสียงโห่แซวที่ดังขึ้นทำให้คนเก่งลืมตาขึ้นมา ผมขยับไปจัดทรงผมให้น้องนิดหนึ่งก่อนจะชวนน้องกลับ น้องดูจะยังงงอยู่ แต่ก็พยักหน้ารับ

"พี่เต็มครับ" ตอนที่ผมลุกขึ้นยืนคนเก่งดึงเสื้อผมไว้

"ว่าไง" ผมถาม

"หนูเดินไม่ไหว หนูขี่หลังพี่เต็มได้มั้ย" ผมมองน้องด้วยความใจระทีกเพราะคนเก่งอ้อนผมเบอร์แรงมาก ทั้งน้ำเสียงทั้งสายตา ทั้งใช้คำว่าหนู .... ปกติน้องจะใช้คำว่าหนูแทนตัวเองเฉพาะเวลาที่มีอะไรกันกับผม เพราะผมขอให้น้องพูด แล้วประโยคเมื่อกี้ที่พูด ปกติถ้าอยู่บนเตียงคนเก่งจะต้องพูดว่า

... หนูไม่ไหวแล้ว พี่เต็ม xxx ให้หนูได้มั้ย

หรือ

... หนูไม่ไหวแล้ว หนูขอ xxx ให้พี่เต็มได้มั้ย

ผมว่าผมเริ่มจะหน้ามืดแล้วล่ะครับ


ผมนั่งลงหันหลังให้น้อง ก่อนที่น้องจะขึ้นมาขี่หลังผม ผมจับขาน้องและขยับตัวให้น้องขี่หลังดีๆ ก่อนจะหันไปดูที่โซฟาว่าลืมอะไรหรือทำอะไรหล่นไว้หรือเปล่า ผมหันมากล่าวลาพวกรุ่นพี่ ส่วนคนเก่งเองที่ถ้าไม่เมาหรือมึนมากก็คงจะยกมือไหว้ลาพวกพี่ๆ แต่สิ่งที่น้องทำคือยกมือขึ้นมาโบกและพูดว่าบ๊ายบายทั้งที่ยังขี่หลังผมอยู่

ผมพาคนเก่งเดินมาจนถึงรถ เอาน้องลงและจัดให้น้องนั่งดีๆพร้อมคาดเข็มขัดนิรภัยให้ ผมเดินมานั่งประจำที่ฝั่งคนขับ หลังจากที่สตาร์ทรถแต่ยังไม่ทันได้ขับรถออกไป ผมหันไปมองน้องที่กำลังลืมตามองผมอยู่ ผมเอื้อมมือไปเล่นผมนิ่มๆของน้อง

"ไปขับรถเล่นก่อนได้มั้ยครับ" คนเก่งถามผมซึ่งผมไม่ขัดใจน้องอยู่แล้ว

"ได้ครับ อยากไปไหนหรือเปล่า หรือแค่อยากให้พี่ขับรถเล่นรอบๆเมืองเฉยๆ" ผมถามคนเก่งอย่างเอาใจ

"ตามใจพี่เต็มเลยครับ" คนเก่งบอกแค่นั้นแล้วน้องก็หลับตาลง ผมปิดแอร์ในรถและลดกระจกลงเพื่อให้อากาศเย็นๆภายนอกได้พัดเข้ามา ผมขับรถออกมาสักพักหันไปมองน้องก็เห็นว่าน้องลืมตาขึ้นมาและมองออกไปนอกหน้าต่าง

ผมขับรถรอบเมืองไปหนึ่งรอบ ก่อนจะขับรถมาที่หนองน้ำขนาดใหญ่ที่อยู่ชานเมือง ถ้าเป็นช่วงเย็นแถวนี้คนจะพลุกพล่านพอสมควรเพราะมีคนมาออกกำลังกายรอบๆหนองน้ำ

ผมจอดรถตรงริมหนองน้ำที่มองดูแล้วไม่เปลี่ยวมากเกินไป มีแสงไฟส่องสว่างอยู่รอบบริเวณ ผมลดกระจกฝั่งคนเก่งลงจนหมดและดับเครื่องยนต์

"ดีขึ้นมั้ย เมามากหรือเปล่า" ผมปลดเข็มขัดนิรภัยตัวเองและหันไปถามคนเก่ง

"ไม่เมาครับ แค่มึน" คนเก่งตอบและเราสองคนก็ต่างคนต่างเงียบ แต่มันไม่ใช่ความเงียบที่อึดอัด

"คนเก่ง" ผมเรียกน้องและน้องก็ขยับตัวหันมามองผมทั้งตัวพร้อมทั้งปลดเข็มขัดนิรภัย

"ครับ"

"ทำไมตอนที่คนเก่งรู้เรื่องย้ายหอ ... เรื่องที่พี่ไม่บอกความจริงเรื่องค่าปรับค่ามัดจำ ทำไมคนเก่งไม่ถามหรือไม่โกรธพี่เลยล่ะ" ผมถามด้วยความสงสัยเพราะตอนแรกคิดว่าคนเก่งจะต้องงอนผมแน่

"ที่พี่เต็มทำแบบนั้นเพราะพี่เต็มอยากจะอยู่กับผมใช่มั้ยครับ" คนเก่งไม่ตอบแต่ถามผมกลับ

"อยากสิ .. อยากมากด้วย ถึงแม้ทุกวันนี้คนเก่งจะอยู่กับพี่อยู่แล้ว แต่ตราบใดที่คนเก่งยังไม่ย้ายของออกมา ยังไม่แจ้งย้ายพี่ก็ไม่แน่ใจอะไรทั้งนั้น พี่ก็เลยใช้วิธีลัด อย่างน้อยก็ทำให้พี่มั่นใจว่าสุดท้ายยังไงคนเก่งก็ต้องมาอยู่กับพี่" ผมตอบตามความจริงที่ในใจมันรู้สึก

"ที่ผมไม่โกรธที่พี่เต็มไม่บอกผมเรื่องย้ายหอ ก็เพราะผมเองก็อยากอยู่กับพี่เต็มเหมือนกันครับ" คำตอบของคนเก่งทำให้ผมใจพองโต ผมดึงน้องเข้ามากอดและหอมที่แก้มที่ผมน้องหลายต่อหลายครั้ง

"พี่เต็มครับ" เสียงของคนเก่งเรียกผมในขณะที่น้องอยู่ในอ้อมกอดผม

"หืม" ผมขานรับ

"ทำกันมั้ย"

ห๊ะ?! ผมได้ยินสิ่งที่คนเก่งพูดนะแต่แค่แปลกใจที่น้องเป็นคนพูด

"ทำกันนะ นะครับ" คนเก่งเงยหน้ามามองผมพร้อมส่งสายตาที่อ้อนมากๆมาให้ผม แค่ตอนที่อยู่ในร้านผมก็อดทนตั้งนาน แล้วอยู่คนเก่งก็มาชวนผมแบบนี้

"ตอนนี้?" ผมถามเหมือนยื้อเวลาให้คนเก่งเปลี่ยนใจ

"ครับ"

"บนรถ"

"ครับ"

"หายเจ็บแล้วเหรอ" ผมไม่ใช่แค่ถามธรรมดานะครับ ผมใช้มือบีบลงไปที่สะโพกน้องเบาๆด้วย จะได้เข้าใจว่าผมหมายถึงตรงไหน

"ยังครับ แต่ทนได้" คนเก่งตอบเสียงแผ่วๆพร้อมกับเริ่มปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตผมออก ปลดไปได้สามสี่เม็ดคนเก่งก็เริ่มใช้ริมฝีปากจูบลงที่แผ่นอกของผม และก่อนที่เจ้าตัวจะทำให้ผมร้องครางออกมา เพราะคนเก่งกำลังใช้ลิ้นเล็กๆของตัวเองเลียที่จุดสีน้ำตาลอ่อนบนตัวของผมไปมาหลายครั้ง โดยไม่ยอมให้ข้างใดข้างหนึ่งต้องน้อยใจ

"จะมาบอกให้พี่หยุด ก็ไม่ได้แล้วนะ" ผมพูดออกมาเสียงพร่า คนเก่งละสายตาออกจากหน้าอกผมและน้องก็ปีนขึ้นมานั่งบนตักผม

"อย่าหยุดนะครับ" คนเก่งพูดออกมาและเริ่มจูบที่ริมฝีปากผมก่อน ผมก็จูบตอบน้องกลับไป ตอนนี้ผมรู้สึกตื่นเต้นและตื่นตัวไปหมดแล้วครับ พื้นที่คับแคบบนรถแต่สร้างความตื่นเต้นให้ผมเป็นอย่างมาก

ตอนนี้ผมนั่งอยู่ที่เบาะฝั่งคนขับและน้องก็นั่งคร่อมอยู่บนตัวผม เราจูบกันโต้ตอบไปมาอย่างไม่มีใครยอมใคร ผมสัมผัสบางอย่างจากร่างกายของคนเก่งที่บ่งบอกถึงความต้องการที่มันดันอยู่ตรงบริเวณหน้าท้องของผม ผมปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตที่คนเก่งใส่มาจนหมด ก่อนจะเปลี่ยนไปจัดการกับจุดสีชมพูเข้มทั้งสองข้างที่อยู่เบื้องหน้า เสียงครางของคนเก่งทำให้ผมตื่นตัวขึ้นมาเรื่อยๆ

"รู้มั้ยว่าหนูกำลังจะทำให้พี่คลั่งตาย" ผมพูดออกมาด้วยน้ำเสียงพยายามสกัดอารมณ์ความต้องการของตัวเอง และผมก็ต้องสะดุ้งและร้องครางออกมาอีกครั้ง เพราะคนเก่งใช้มือล้วงเข้าไปในกางเกงยีนส์ของผมและจับเข้าตรงส่วนนั้นของผมอย่างเต็มมือ

คนเก่งรั้งคอของผมเข้ามาจูบอีกครั้งโดนที่มืออีกข้างยังคงจับส่วนนั้นของผมอยู่ เหมือนน้องจะพยายามที่จะถอดกางเกงผมแต่ด้วยพื้นที่ในรถที่มันไม่ได้กว้างมากทำให้ค่อนข้างลำบาก

"พี่เต็มครับ เลื่อนเบาะหน่อย"

คนเก่งบอกผมเสียงเบาๆ กลายเป็นว่าน้องเป็นคนที่รู้ว่าผมควรจะเลื่อนเบาะไปด้านหลัง อันที่จริงผมก็ควรจะนึกได้แต่อาจจะเป็นเพราะตื่นเต้นมากจนเกินไปก็ได้

หลังจากเลื่อนเบาะออกไปจนสุด ทำให้ตอนนี้บริเวณเบาะที่ผมนั่งอยู่มีพื้นที่มากขึ้น ผมมองน้องที่อยู่บนตัวผมกำลังปลดกระดุมบนกางเกงยีนส์ของผมออก ตอนนี้คนเก่งตัวแดงไปทั้งตัวผมว่าน้องเองก็คงจะต้องอายมากแน่ๆ ผมดึงตัวน้องขึ้นมารับจูบจากผมอีกครั้งเมื่อน้องปลดกระดุมกางเกงยีนส์ของผมเรียบร้อย ผมขยับสะโพกและใช้มือข้างหนึ่งถอดกางเกงของตัวเองออกจนตอนนี้กางเกงยีนส์ไปกองอยู่ที่ข้อเท้าของผม

คนเก่งใช้มือของตัวเองจับส่วนนั้นของผมอีกครั้ง พร้อมทั้งขยับไปมาขึ้นลง ผมหลุดครางออกมาอีกครั้งทำให้จากที่เราจูบกันอยู่ ริมฝีปากต้องผละออกไป คนเก่งค่อยจูบไล้บนตัวผมลงไปเรื่อยไปจนกระทั่งถึงขอบกางเกงบ็อกเซอร์ คนเก่งปล่อยมือจากส่วนนั้นของผมแต่ก้มลงจูบที่ส่วนนั้นของผมที่มันกำลังแสดงความใหญ่โตอยู่ภายใต้กางเกงบ็อกเซอร์

คนเก่งที่ตอนนี้น้องกำลังนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้นที่เล็กๆระหว่างพวงมาลัยกับเบาะที่ผมนั่งที่ตอนนี้เลื่อนจนสุด คนเก่งดึงกางเกงบ็อกเซอร์พร้อมด้วยกางเกงในของผมลงไปพร้อมกัน คนเก่งนั่งจ้องที่ส่วนนั้นของผมอยู่หลายวินาทีพร้อมกับผมเห็นน้องกลืนน้ำลาย จนทำให้ผมรู้สึกเขิน หลังจากผ่านไปหลายวินาทีคนเก่งก็ใช้มือจับที่ส่วนนั้นของผม ขยับขึ้นลงไปมาก่อนที่น้องจะค่อยบรรจงจูบลงไปที่ส่วนนั้นของผมอย่างแผ่วเบา จนใจผมหวิวๆ การกระทำแบบนี้ของคนเก่งทำให้ผมใจเต้นแรง

".... หนู" ผมครางเรียกคนเก่งออกมาตอนที่ส่วนนั้นของผมสัมผัสกับลิ้นและหายเข้าไปในโพรงปากของคนเก่ง ผมมองภาพตรงหน้าด้วยใจเต้นระรัวมากขึ้น

"อึก!" ผมรีบหยิบกระดาษทิชชู่เพื่อจะส่งให้น้อง เพราะผมปลดปล่อยออกมาโดยที่ทั้งผมและน้องไม่ทันตั้งตัว

"อย่ากลืน คายออกมา" ผมบอกน้องที่ตอนนี้น้องนั่งทำหน้าแปลกๆอยู่ และเอากระดาษทิชชู่ไปรองที่ตรงปากน้องเพื่อจะให้น้องคายออกมา แต่สุดท้ายคนเก่งกลับกลืนมันเข้าไปแทน

"รสชาติมันแปลกๆ" คนเก่งพูดออกมาจนผมอดยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดูไม่ได้ ไม่ใช่ครั้งแรกที่น้องใช้ปากทำให้ผม แต่ทุกครั้งผมจะไม่ยอมปลดปล่อยออกมาก่อนแบบนี้

"บอกแล้วว่าอย่ากลืน" ผมบอก

"ก็ .... อยากรู้ว่ารสชาติของพี่เต็ม ... เป็นยังไง ... แปลกแต่โอเคครับ" คนเก่งพูดต่อก่อนที่น้องจะใช้มือขยับที่ส่วนนั้นของผมอีกครั้ง ผมดึงตัวน้องขึ้นมาบนตัวผม คลอเคลียและจูบน้อง รสชาติของผมที่อยู่ในปากของน้องมันแปลกอย่างที่คนเก่งบอกจริงๆ

ผมว่ารสชาติของคนเก่งมันดีกว่าของผมเยอะครับ

ระหว่างที่ผมกำลังนัวเนียและเล้าโลมน้องอยู่ คนเก่งก็จัดการตัวเองด้วยการถอดกางเกงของตัวเองออก พอผมเห็นน้องทำแบบนั้น ผมรีบควานหาเจลหล่อลื่นรวมทั้งถุงยางอนามัยที่ผมจะมีติดรถติดกระเป๋าเอาไว้เสมอเผื่อฉุกเฉิน ... แบบนี้

หลังจากหาเจอเรียบร้อย ผมรีบช่วยเตรียมความพร้อมให้น้อง หลังจากนั้นผมก็แกะกล่องถุงยางอนามัยไปด้วย

"พี่เต็มจะใช้ถุงยางเหรอครับ" คนเก่งถามผมด้วยน้ำเสียงเขินอาย ผมจูบคลอเคลียกับน้อง

"ต้องใส่ครับ อยู่ข้างนอกแบบนี้ เดี๋ยวหนูจะลำบากกว่าจะกลับถึงคอนโด" คนเก่งพยักหน้ารับรู้

หลังจากที่ผมจัดการใส่ถุงยางอนามัยให้ตัวเองแล้วเรียบร้อย

"เดี๋ยวหนูทำเองครับ"

ผมเลิกคิ้วขึ้นมาด้วยความแปลกใจ คนเก่งโถมตัวเข้าจูบผม ก่อนที่น้องจะขยับตัวเองให้ตรงนั้นตรงกับส่วนนั้นของผม

"ฮึก .. " คนเก่งพยายามจับส่วนนั้นของผมให้เข้าไปที่ส่วนนั้นของตัวเอง ผมกอดเอวน้องไว้โดยพยายามที่จะระงับอารมณ์ของตัวเอง การได้มองน้องทำอะไรแบบนี้มันทำให้อารมณ์ผมขึ้นชะมัด

"พี่เต็ม .. ไม่ต้อง .. หนูจะทำเอง"

คนเก่งบอกผมตอนที่ส่วนนั้นของผมมันเข้าไปได้ครึ่งหนึ่งแล้ว ผมก็เลยดันกระแทกเข้าไปเพราะผมเองใกล้จะไม่ไหวแล้ว ผมโอบกอดน้องและดึงเข้ามากอด พยายามดึงความสนใจให้น้องสนใจที่การเล้าโลมของผมเพื่อผมจะได้ช่วยให้น้องกลืนกินผมได้จนหมด ผมช่วยคนเก่งด้วยการดันสะโพกตัวเองขึ้นไปหาร่างกายของน้องที่อยู่ด้านบน จนในที่สุดส่วนนั้นของผมก็เข้าไปที่ร่างกายน้องจนหมด

ผมกอดคนเก่งอยู่นิ่งๆจูบซับเหงื่อของน้องที่เริ่มซึมออกมาบริเวณหน้าอกและลำคอ

"พี่ขยับนะ"

ผมบอกเพื่อให้น้องได้เตรียมตัว คนเก่งที่ซบหน้าอยู่ที่บ่าของผมพยักหน้าออกมาสองสามครั้ง ผมขยับเบาๆก่อนจะเริ่มกระแทกแรงขึ้นตามแรงอารมณ์และความต้องการ คนเก่งเองก็เหมือนจะไม่ยอมผมเหมือนกัน น้องขย่มผมบนร่างกายของผมจนผมแทบจะปลดปล่อยอีกรอบ

"อ๊ะ!"

ผมจับตรงส่วนนั้นของน้องขยับไปมารูดรั้งเพื่อช่วยให้น้องได้ปลดปล่อยพร้อมๆกับผม ปกติถ้าเรามีอะไรกันในห้องคนเก่งไม่เคยกลั้นเสียงตัวเองแบบนี้เลย แต่ตอนนี้ผมรู้เลยว่าน้องกำลังห้ามเสียงร้องของตัวเอง


"พี่เต็ม .. หนูจุก .. อึก"


ผมเบาจังหวะของสะโพกลงพอได้ยินน้องพูดแบบนี้ ก่อนจะค่อยๆเริ่มขยับใหม่จนเริ่มแรงขึ้น ผมเริ่มได้ยินเสียงคนเก่งร้องครางออกมาเบาๆ ผมคลอเคลียจูบไปทั่วใบหน้าและแผ่นอกของน้อง มือของผมก็ยังรูดรั้งส่วนนั้นของน้องไปตามจังหวะของสะโพก

ไม่นานคนเก่งก็แหงนหน้าและแอ่นอกไปด้านหลัง หลังของน้องติดอยู่ที่พวงมาลัยรถ น้องร้องครางออกมาถี่ๆทำให้ผมรู้ว่าน้องใกล้จะถึงที่หมายแล้ว ทำให้ผมยิ่งต้องเร่งจังหวะทั้งมือตัวเองที่กำลังทำให้น้อง และสะโพกตัวเองที่กำลังรัวอยู่

ไม่กี่วินาทีคนเก่งก็ปลดปล่อยออกมาเต็มบริเวณหน้าท้องของผม และไม่กี่วินาทีต่อมาผมเองก็ปลดปล่อยตามน้องไปเช่นกัน คนเก่งยังคงนั่งพิงที่พวงมาลัยรถอยู่ น้องหายใจหอบด้วยความเหนื่อย ผมยิ้มกับภาพตรงหน้า ตอนนี้คนเก่งเซ็กซี่และยั่วยวนมากๆ น้องอยู่ในสภาพที่ท่อนบนมีเสื้อเชิ้ตที่ปลดกระดุมจนหมด เผยให้เห็นหน้าอกที่แดงจัดและมีเหงื่อไหลลงมา ส่วนท่อนล่างที่เปลือยเปล่ามีชายเสื้อเชิ้ตปิดบังตรงส่วนนั้นของน้องให้เห็นพอวับๆแวมๆ และผมยังไม่เอาส่วนนั้นออกมาจากร่างกายของน้อง

ผมลุกขึ้นนั่งและดึงตัวน้องมากอดและจูบอย่างปลอบขวัญ

"วันนี้หนูเก่งมากครับ" ผมเอ่ยปากชมคนเก่ง และหน้าน้องก็แดงมากกว่าเดิม

"เอาออกได้แล้วครับ .. " คนเก่งพูดออกมาเสียงแผ่วเบา ผมพยักหน้าและน้องเองก็ขยับตัวค่อยๆลุกออกจากตัวผม เห็นสีหน้าคนเก่งตอนที่ลุกออกจากตัวผม ผมรู้สึกสงสารน้องมากเลยครับ ทุกครั้งที่มีอะไรกันผมรู้สึกรักคนเก่งมากขึ้นเรื่อยๆ คนๆหนึ่งเขาต้องรักเรามากขนาดไหนกัน เขาถึงได้ยอมเจ็บตัวแบบนี้

ผมช่วยให้คนเก่งขยับไปนั่งที่เบาะข้างคนขับ น้องหยิบกางเกงที่วางอยู่ที่เบาะมาค่อยๆใส่ หลังจากนั้นผมก็กลับมาจัดการตัวเอง ผมหยิบกระดาษทิชชู่มาเช็ดร่องรอยความรักของคนเก่งที่อยู่บริเวณหน้าท้องของผม และจัดการถอดถุงยางอนามัยออก ผมเอากระดาษทิชชู่ห่อถุงยางอนามัยก่อนจะวางไว้ที่บริเวณเท้า ผมดึงกางเกงของผมที่ร่นอยู่ที่ข้อเท้าขึ้นมาใส่ และติดกระดุมเสื้อเชิ้ตของตัวเอง ผมหยิบกระดาษทิชชู่ที่ผมเตรียมจะทิ้ง และเปิดประตูรถลงมาก่อนจะเดินไปทิ้งที่ถังขยะที่อยู่ไม่ไกล

ผมเดินกลับมาที่รถและเดินไปเปิดประตูฝั่งด้านข้างคนขับที่คนเก่งนั่งอยู่ ตอนนี้น้องแต่งตัวเรียบร้อยแล้วและกำลังนวดที่ปลายเท้าข้างขวาของตัวเองอยู่

"พี่นวดให้"

"ไม่ต้องครับ .. มันเป็นเท้านะ'

"พี่ไม่รังเกียจคนเก่งอยู่แล้ว"

ผมนั่งคุกเข่าชันขาข้างหนึ่งอยู่ตรงข้างรถฝั่งที่คนเก่งนั่ง คนเก่งนั่งหันข้างโดยหันหน้ามาหาผม ผมจับเท้าข้างขวาของน้องมานวดเบาๆ ที่ต้องทำแบบนี้เพราะคนเก่งจะมีอาการชาที่ปลายเท้าทุกครั้งที่ถึงจุดสุดยอด คนเก่งเคยชาจนถึงขั้นเป็นตะคริวตอนที่ถึงจุดสุดยอดหลายครั้งติดกัน

ผมว่ามันเป็นอาการที่น่ารักดี มันเหมือนเป็นหลักฐานว่าผมเจ๋งที่ทำให้น้องมีความสุขกับเรื่องบนเตียง

"ผมรักพี่เต็มนะ"

อยู่ๆคนเก่งพูดขึ้นมา ผมยืดตัวไปหอมที่แก้มของน้อง

"วันนี้ทำไมอ้อนจังเลย หืม .... พี่ก็รักคนเก่งนะ ... รักมากด้วย" ผมบอกรักน้องออกมาบ้าง

"จริงอ่ะ" คนเก่งมองผมและพูดด้วยน้ำเสียงล้อเลียนผม

"หลงจะตายอยู่แล้วเนี่ย หลงมากขึ้นทุกวัน" ผมพูดพร้อมกับเอื้อมมือไปบีบที่สะโพกน้องเบาๆ คนเก่งตีที่มือของผมเบาๆ

"ลามก" ผมหัวเราะกับคำพูดของคนเก่ง .. นี่คือด่าใช่มั้ย



"คนเก่ง .... ถ้าเรียนจบแล้วเราแต่งงานกันนะ"

ผมเอ่ยขึ้นมาหลังจากที่เราทั้งสองคนเงียบเพราะกำลังดื่มด่ำกับบรรยากาศรอบข้าง มันเป็นสิ่งที่ผมคิดมาสักพักแล้วว่าจะต้องบอกคนเก่ง ซึ่งถึงแม้ว่าน้องจะรักผมแต่ผมก็ไม่ได้มั่นใจว่าน้องจะเห็นด้วย หรืออยากแต่งงานกับผมหรือเปล่า

คนเก่งมองหน้าผมด้วยสายตาที่ตกใจ จนผมไม่แน่ใจว่าน้องคิดเหมือนกับผมหรือเปล่า

คงต้องมาลุ้นกับคำตอบของคนเก่งอีกทีครับ






TBC.
#เติมเต็มรัก
ninewara✿

จะจบแล้วนะคะ
ขอบคุณทุกๆคอมเม้นนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-07-2019 05:37:25 โดย ninewara »

ออฟไลน์ sailom_orn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
 :hao7: พี่เค้าหลงหนูขนาดนี้ ตอบตกลงไปเถอะ

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
หูย ... จะจบแล้วอ่ะครับ

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
พี่เต็มรักและหวงคนเก่งมาก o18

ออฟไลน์ kunt

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 702
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-1
เริ่มหมั่นไส้พี่เต็มแล้วจ้า 5555

เยอะตลอดละช่วงนี้

ออฟไลน์ Tonson777

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 50
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ใกล้จะจบแล้วรู้สึกเศร้าจัง หลงความน่ารักของคนเก่งตามพี่เต็มถอนตัวไม่ขึ้นแล้ว

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :pig4: :L1:

น่ารักทั้งคู่
น้องโคตรแฟนเลย เซ็กซี่ด้วย

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
ขี้อ้อน,,,

ออฟไลน์ ninewara

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
✿ เติมเต็มรัก ✿ ครั้งที่ 37


สามปีต่อมา

ตอนนี้ผมเรียนอยู่ปีสี่แล้วครับ ส่วนพี่เติมเต็มก็เพิ่งจะเปิดบริษัทเป็นของตัวเองเมื่อประมาณครึ่งปีที่ผ่านมา โดยเป็นบริษัทที่ต่อยอดมาจากกิจการของพี่ต่อภพพี่ชายของพี่เติมเต็มอีกที ถ้าจะว่าไปมันก็เป็นธุรกิจในเครือของครอบครัว เพราะครอบครัวพี่เติมเต็มมีธุรกิจที่ทำอยู่หลายอย่าง ป๊าของพี่เติมเต็มไม่ได้เข้ามาข้องเกี่ยวในการตัดสินใจและรวมถึงกำไรขาดทุนต่างๆของบริษัทพี่เติมเต็ม ป๊าของพี่เติมเต็มให้เงินทุนมาก้อนหนึ่งเพื่อมาใช้ลงทุนทำธุรกิจ ซึ่งป๊าของพี่เติมเต็มบอกว่าให้แค่ก้อนเดียวเท่านั้น ถ้าขาดทุนก็ต้องยอมรับและให้แก้ไขปัญหา


พูดถึงระยะเวลาสามปีที่ผ่านมาก็มีเรื่องราวเกิดขึ้นหลายอย่างครับ ช่วงที่พี่เติมเต็มเรียนปีสี่พี่เติมเต็มไปฝึกงานกับบริษัทของพี่ต่อภพ ที่ทำเกี่ยวกับรับเหมาเดินสายระบบสื่อสารวางระบบต่างๆ ซึ่งบริษัทนี้แรกเริ่มคือป๊าของพี่เติมเต็มเป็นคนดูแลมาก่อน ก่อนจะให้พี่ต่อภพดูแลต่อ ช่วงที่ฝึกงานทุกเย็นที่กลับมาถึงคอนโดหรือไปรับผมที่มหาวิทยาลัย พี่เติมเต็มจะบ่นให้พี่ชายตัวเองตลอดว่าใช้งานหนัก พี่เติมเต็มบอกว่าแทบจะไม่ได้อยู่ที่ออฟฟิศเลย และเพิ่งรู้ว่างานในบริษัทเยอะขนาดนี้ แต่พี่เติมเต็มก็ไม่ได้บ่นจริงจังอะไรหรอกครับ เพราะพอผ่านไปสักพักก็ดูเหมือนจะมีความสุขกับการฝึกงาน ผมเคยไปหาพี่เติมเต็มที่บริษัทของพี่ต่อภพ พอผมไปถึงแผนกช่าง ผมเจอรุ่นพี่สองสามคนที่เคยเจอเมื่อวันที่ไปงานวันเกิดรุ่นพี่ในคณะของพี่เติมเต็ม เพิ่งรู้ว่ามีรุ่นพี่ของพี่เติมเต็มทำงานที่นี่ พี่เติมเต็มก็เลยเลิกบ่นเพราะมีเพื่อน (ผมคิดว่านะ)


พี่เติมเต็มเรียนจบปริญญาตรีด้วยคะแนนเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง พี่เติมเต็มต้องดีใจมากอยู่แล้ว แต่คนที่ดีใจจนเว่อร์ก็คือตัวผมเอง เจอใครก็ต้องพูดอวดว่าพี่เติมเต็มได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ดีใจเหมือนได้เองเลยครับ


หลังจากเรียนจบได้ไม่นาน ผมคิดว่าพี่เติมเต็มจะเลือกเรียนต่อปริญญาโททันทีเพราะผมจำได้ว่าพี่เติมเต็มเคยแพลนไว้แบบนั้น แต่ตอนที่พี่เติมเต็มพาผมไปที่บ้าน อยู่ๆพี่เติมเต็มก็พูดกับทุกคนว่าพี่เติมเต็มจะบวชก่อน ผมเห็นสีหน้าของป๊าและม๊าของพี่เติมเต็มดูแปลกใจ แสดงว่าท่านไม่เคยทราบมาก่อนว่าพี่เติมเต็มจะบวชหลังเรียนจบ วันนั้นม๊าของพี่เติมเต็มก็บอกว่าจะไปคุยรายละเอียดกับหลวงพ่อที่วัดใกล้บ้านและจะไปดูวันเวลาที่ดีที่เหมาะสม


"ไม่เคยได้ยินพี่เต็มพูดเรื่องจะบวชมาก่อนเลยครับ หมายถึงบวชหลังเรียนจบน่ะครับ เท่าที่จำได้พี่เต็มบอกวางแผนไว้อีกสักสี่ห้าปี" คืนนั้นผมถามพี่เติมเต็มหลังจากที่เราอยู่กันเป็นส่วนตัว

"เมื่อก่อนพี่ตั้งใจว่าพอเรียนจบ พี่ก็จะเรียนต่อโททันที พอจบโทก็ทำงานสักปีสองปีค่อยบวช" ผมเงียบฟังพี่เติมเต็มพูด พี่เติมเต็มเคยพูดประมาณนี้จริงๆครับ

"แต่แผนมันก็สามารถที่จะเปลี่ยนได้ ตามความเหมาะสมของสถานการณ์" พี่เติมเต็มพูดมาแบบนี้ ผมก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ


ตอนแรกม๊าพี่เติมเต็มบอกว่ากลัวถึงเวลาจริงๆแล้วพี่เติมเต็มจะเปลี่ยนใจเพราะพี่เติมเต็มค่อนข้างจะติดผมมาก ตอนนั้นผมก็เผลอคิดเหมือนกันว่ามันจะเป็นอย่างไรเพราะเราจะได้เจอคนรักของเราในสถานะที่เราไม่สามารถแสดงความรักออกไปได้ และผมก็ไม่รู้ว่าแบบไหนที่มันเกินงาม


พี่เติมเต็มใช้เวลาบวชศึกษาพระธรรมอยู่นานถึงสามเดือน ซึ่งหลวงตาที่วัดท่านบอกว่าถ้าไม่ติดขัดอะไรก็อยากให้บวชสักหนึ่งพรรษาเป็นอย่างน้อย ซึ่งทุกคนก็เห็นดีด้วยรวมทั้งผม ช่วงระยะเวลาที่พี่เติมเต็มบวชเป็นช่วงที่ผมกำลังเรียนชั้นปีที่สามเพิ่งเปิดเรียนได้แค่อาทิตย์เดียวเท่านั้น ทำให้หลังจากพี่เติมเต็มบวชผมมีโอกาสได้ไปใส่บาตรเพียงแค่อาทิตย์ละครั้ง เพราะวัดที่บวชเป็นวัดที่อยู่แถวบ้านของพี่เติมเต็ม ทำให้ผมที่เรียนอยู่อีกที่คนละจังหวัดไม่สะดวก แต่ทุกครั้งที่ไปใส่บาตร พี่เติมเต็ม (ในตอนนั้นคือหลวงพี่) มักจะทักผมว่า


'โยมผอมลงหรือเปล่า'

'พักผ่อนบ้างนะโยม'

'มาเดือนละครั้งก็ได้โยม'



ซึ่งผมรู้ดีว่าตอนนั้นพี่เติมเต็มคงจะเป็นห่วงผมมาก ผมก็ได้แค่บอกว่า...ผมจะดูแลตัวเองให้ดี


หลังจากที่สึกออกมาพี่เติมเต็มก็เข้าไปช่วยงานธุรกิจของที่บ้าน ช่วงแรกๆก็เข้าไปดูงานทุกบริษัทในเครือของครอบครัว แต่สุดท้ายดูเหมือนจะชอบงานในบริษัทของพี่ต่อภพมากที่สุด พี่เติมเต็มทำงานอยู่กับพี่ชายประมาณหนึ่งปี ก็ตัดสินใจที่จะเปิดบริษัทของตัวเอง  ถ้าในความคิดผมผมก็มองว่าพี่เติมเต็มเริ่มธุรกิจตัวเองเร็วเกินไปเพราะเพิ่งจะยี่สิบต้นๆ แต่พี่เติมเต็มบอกว่าเริ่มต้นทำธุรกิจตั้งแต่ตอนนี้เหมาะสมที่สุดเพราะอายุยังน้อยมีโอกาสลองผิดลองถูกได้ พี่เติมเต็มบอกพี่ชายของพี่เติมเต็มเองเข้าไปจับธุรกิจตั้งแต่ที่ยังเรียนไม่จบด้วยซ้ำ


"พี่เต็มไม่เรียนต่อโทเหรอครับ" ผมถาม

"พี่คิดว่าพี่จะรอเรียนพร้อมคนเก่งดีกว่า"


นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่แผนของพี่เติมเต็มเปลี่ยนไป พี่เติมเต็มบอกว่าช่วงที่ผมเรียนปีสุดท้าย พี่เติมเต็มก็จะเอาเวลาไปเรียนรู้เรื่องบริษัทใหม่ที่เปิดด้วย พอผมเรียนจบมาค่อยมาเรียนปริญญาโทด้วยกัน ถึงจะคนละสาขาก็เถอะ


ผมตัดสินใจเข้าฝึกงานที่โรงแรมของครอบครัวพี่เติมเต็ม ที่มีสาขาอยู่ที่จังหวัดที่มหาวิทยาลัยที่ผมเรียนตั้งอยู่ ซึ่งสาขาที่นี่ใหญ่กว่า สาขาแรกที่เปิดที่จังหวัดที่บ้านผม  เหตุผลที่ผมเลือกฝึกงานที่นี่ เหตุผลหลักๆผมยอมรับว่าเป็นเพราะครอบครัวของพี่เติมเต็มเพราะม๊าของพี่เติมเต็มอยากให้ผมเข้ามาช่วยดูแลและทำงานที่นี่ ใจผมเองก็ชอบงานด้านนี้อยู่แล้วเพราะเรียนทางด้านภาษามาแต่ถ้าจะให้ผมเข้าไปถึงขั้นช่วยดูแลผมก็มองว่ามันมากเกินไปหรือเปล่าเพราะไม่ว่ายังไงผมก็คือคนนอก ผมเคยพูดเรื่องนี้กับพี่เติมเต็ม พี่เติมเต็มก็บอกว่าอย่าเพิ่งไปคิดอะไรมาก รอเรียนจบก่อนค่อยคุยกันอีกที ฟูจิและส้มส้มเองก็มาฝึกงานที่โรงแรมของครอบครัวพี่เติมเต็มเหมือนกัน


ช่วงที่ผมเข้าไปฝึกงาน ทุกครั้งที่มีงานสังสรรค์ งานสัมมนา งานแต่งงาน หรืออะไรก็ตามที่มีลูกค้ามาใช้บริการที่โรงแรมพี่เติมเต็มจะเข้ามาช่วยดูแลด้วย รวมทั้งผมที่ก็ต้องเข้าไปมีส่วนร่วมในการดูแล ดูเหมือนครอบครัวของพี่เติมเต็มอยากให้ผมมีส่วนร่วมแทบทุกอย่างในโรงแรมเลยครับ มีหลายครั้งที่ม๊าของพี่เติมเต็มจัดประชุมผู้บริหารหรือผู้จัดการแผนกต่างๆ ม๊าของพี่เติมเต็มก็จะให้ผมเข้าประชุมด้วย คือให้เข้าไปฟังว่าประชุมเรื่องอะไร

เพิ่มเติมคือคนในครอบครัวของพี่เติมเต็มเริ่มพาผมออกงานด้วย ไม่ว่าจะเป็นงานเล็กหรืองานใหญ่ หรือออกไปทานข้าวกับลูกค้ารายใหญ่ๆ มีหลายคนที่สงสัยว่าผมคือใคร ป๊ากับม๊าของพี่เติมเต็มก็จะแนะนำให้รู้จักผมในฐานะแฟนของลูกชายคนกลาง ซึ่งตอนแรกผมก็ไม่สบายใจเท่าไหร่เพราะกลัวมีผลกระทบกับครอบครัวของพี่เติมเต็มแต่ทุกคนบอกว่ามันเป็นเรื่องจริงที่สักวันก็ต้องมีคนรู้ แนะนำให้เขารู้ไปเลยดีกว่า และทุกคนรู้ว่าผลกระทบอาจจะมีบ้าง แต่เชื่อว่ามันไม่ได้แย่อย่างแน่นอน


เล่ามาซะยาวเลย ต้องมีหลายคนที่อยากจะรู้ว่าคืนนั้นที่พี่เติมเต็มพูดเรื่องแต่งงานผมตอบพี่เติมเต็มไปว่ายังไง



"ผมดีใจนะที่พี่เต็มอยากแต่งงานกับผม เพราะการแต่งงานมันหมายถึงการที่คนสองคนอยากจะใช้ชีวิตร่วมกัน แชร์ทุกอย่างในชีวิตร่วมกันไปตลอดชีวิต ... พี่เต็มขอผมแต่งงานก็แสดงว่าพี่เต็มอยากจะใช้ชีวิตร่วมกันกับผม"

"ใช่ พี่คิดแบบนั้น"

"ผมจะไม่ถามหรอกนะว่าพี่เต็มแน่ใจแล้วเหรอเพราะถ้าไม่แน่ใจพี่เต็มคงไม่พูด"

"ใช่"

"แต่ถ้าถามความคิดของผม ผมคิดว่าเรารักกันแต่ไม่จำเป็นต้องแต่งงานกันก็ได้นะครับ ความรักแบบเราจะเปิดเผย จะแสดงออกมากไปมันก็จะดูไม่ดี ไม่ใช่ตัวผมนะครับ แต่เป็นครอบครัวและตัวของพี่เต็มเองที่อาจจะเสียชื่อเสียง ครอบครัวของพี่เต็มไม่ใช่ครอบครัวที่ไม่มีใครรู้จักนะครับ"

พี่เติมเต็มเงียบไปพักใหญ่เลยครับ จนผมใจเสียว่าตัวเองคงจะพูดอะไรผิด

"ไม่อยากแต่งงานกับพี่เหรอ"

"มันก็ไม่เชิงว่าไม่อยากแต่งนะครับ แต่ว่าความรักแบบของเรามัน ... เราแค่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันก็ได้นี่ครับ"

ผมตอบไปแบบนั้น ทั้งที่ในใจผมอยากแต่งงานกับพี่เติมเต็มอยู่แล้วล่ะครับ ถ้าผมเป็นผู้หญิงผมคงจะไม่คิดมากแบบนี้ แต่ผมก็ไม่ได้อยากเป็นผู้หญิงหรอกนะครับ

"ตามใจครับ"

พี่เติมเต็มจบการสนทนาของเราด้วยคำพูดนี้ หลังจากนั้นพี่เติมเต็มก็ไม่เคยพูดเรื่องแต่งงานอีกเลย แม้จะผ่านมาถึงสามปีแล้วก็ยังไม่เคยได้ยินพี่เติมเต็มพูดถึงเลยสักครั้ง


"เลิกแล้วใช่มั้ย พี่กำลังจะไปรับ" วันนี้เป็นวันที่ผมฝึกงานวันสุดท้ายและพี่เติมเต็มก็โทรมาว่าจะมารับแล้วจะพาผมกลับบ้าน เพราะช่วงที่ฝึกงานอยู่ผมแทบจะไม่ได้กลับบ้านเลยครับ


อ้อ! จริงสิ มีสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับแม่และป้าของผมคือหลังจากที่อาการดีขึ้นจากอุบัติเหตุครั้งนั้น ก็คือแม่กับป้าเลิกขายของที่ตลาดตามที่ผมเคยขอ แต่ท่านทั้งสองเปลี่ยนเป็นรับทำกับข้าวและทำขนมพวกงานเลี้ยง งานขึ้นบ้านใหม่ งานบุญต่างๆ รวมทั้งข้าวกล่องหรืองานประชุมสัมมนาแทนครับ ท่านบอกว่าถ้าให้อยู่บ้านเฉยๆคงไม่ได้เพราะท่านทั้งสองอายุก็ยังไม่เยอะ ยังมีแรงทำอะไรได้อีกหลายอย่าง แต่แค่เปลี่ยนวิธีการเท่านั้น และแค่สร้างแฟนเพจในเฟซบุ๊กได้ไม่นานก็มีลูกค้ามาใช้บริการกันเยอะเลยครับ ด้วยเพราะร้านของท่านตอนที่ขายอยู่ตลาดก็มีลูกค้าประจำหลากหลายอาชีพ ช่วงแรกๆท่านก็ยังทำกันแค่สองคนครับ แต่เริ่มทำไม่ไหวเพราะลูกค้าเริ่มหลากหลายขึ้น แต่แม่กับป้าผมก็ขอรับออเดอร์ได้เต็มที่ไม่เกินสองหรือสามเจ้าต่อวันเท่านั้นครับ ได้ยินว่าคิวจองยาวเป็นเดือนเลยครับ

และม๊าของพี่เติมเต็มก็ใจดีมากเลยครับ ให้คนงานที่บ้านมาช่วยโดยบอกว่าไม่ต้องจ่ายค่าแรง แต่แม่กับป้าผมท่านไม่ยอมครับ เพราะถ้าจะให้มาช่วยจริงๆก็ต้องได้รับค่าเหนื่อยค่าแรง แต่ม๊าพี่เติมเต็มก็บอกว่าคนงานที่บ้านได้เงินเดือนจากม๊าอยู่แล้ว แค่ให้เปลี่ยนหน้าที่จากทำงานบ้านมาช่วยเป็นลูกมือทำกับข้าวทำขนมแทน แต่ยิ่งเป็นแบบนี้แม่กับป้าผมยิ่งไม่ยอมครับเพราะมันเป็นการเอาเปรียบม๊าของพี่เติมเต็มมากเกินไป สุดท้ายก็เลยสรุปกันว่าถ้าวันไหนที่มาช่วยก็จะได้ค่าแรงเป็นรายวันไปเพื่อความสบายใจของท่านทั้งสอง



"หิวหรือเปล่า" พี่เติมเต็มถามผมขณะที่เรากำลังอยู่บนรถใกล้จะถึงบ้านของผม

"หิวครับ พี่เต็มแวะทานข้าวที่บ้านก่อนนะครับ" ผมเอ่ยชวนพี่เติมเต็ม

"พี่ขอตัวดีกว่า เพราะนัดกับป๊าม๊าเอาไว้" พี่เติมเต็มบอก

"ครับ" ผมตอบรับด้วยเสียงแผ่วเบา


ผมลอบถอนหายใจออกมาเพราะครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่พี่เติมเต็มปฏิเสธผม ช่วงสองสามเดือนมานี้เหมือนพี่เติมเต็มจะยุ่งตลอดเลยครับ ยุ่งทั้งเรื่องบริษัทของตัวเองและของครอบครัว แต่พอผมเห็นว่าพี่เติมเต็มน่าจะมีเวลาว่าง พี่เติมเต็มก็บอกว่านัดลูกค้าไว้บ้าง นัดเพื่อนไว้บ้าง หรืออยากพักผ่อนบ้าง แต่ไม่มีเวลาให้ผมเลย


ยิ่งช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเราเจอหน้ากันน้อยมาก ผมอยู่ที่คอนโด ส่วนพี่เติมเต็มก็กลับมาช่วยงานที่บ้านทำให้พี่เติมเต็มต้องนอนที่บ้าน นึกถึงเมื่อก่อนที่พี่เติมเต็มสามารถขับรถมาหาผมได้เพราะความคิดถึงแม้จะต้องขับรถเกือบสองชั่วโมง แต่โมเมนต์แบบนั้นมันหายไปแล้วล่ะครับ เป็นแฟนกันมาสามปีแล้ว โปรคงจะหมดแล้วล่ะมั้ง ... จริงๆมันก็เพิ่งหมดเมื่อช่วงนี้แหละครับ

ผมไม่อยากคิดมากหรอกนะ แต่ช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ผมกับพี่เติมเต็มเราไม่ได้มีอะไรกันเลยครับ พี่เติมเต็มแสดงออกค่อนข้างชัดว่าเลี่ยงที่จะใกล้ชิดกับผม ปกติถ้าผมเข้าใกล้ไปคลอเคลีย ไม่นานพี่เติมเต็มก็ต้องรู้สึก พี่เติมเต็มไม่สามารถที่จะควบคุมตัวเองได้ถ้าผมเริ่มเข้าใกล้ แต่มันไม่ใช่ช่วงหนึ่งเดือนนี้


มันเหมือนพี่เติมเต็มเลือกกลับไปนอนที่บ้านก็เพราะ... ไม่อยากมีอะไรกับผม



(มีต่อนะคะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-07-2019 20:19:18 โดย ninewara »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ninewara

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
(ต่อค่ะ)



"พี่เต็มครับ บ้านใกล้เสร็จแล้วนี่ครับ" ผมพยายามไม่คิดอะไรมากเรื่องที่พี่เติมเต็มปฏิเสธไม่ไปทานข้าวที่บ้านผม และพอดีกับที่พี่เติมเต็มขับรถผ่านบ้านหลังหนึ่งที่สร้างใกล้จะเสร็จ

เป็นบ้านของพี่เติมเต็มครับ

ที่ตรงนี้ตอนแรกเป็นแค่ที่ดินที่มีหญ้าขึ้นสูงครับ เป็นที่ดินผืนใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างบ้านผมและบ้านพี่เติมเต็ม ซึ่งเมื่อตอนที่พี่เติมเต็มเรียนจบเคยพาผมมาดูที่ดินผืนนี้แล้วถามผมว่าผมชอบมั้ย ผมไม่เข้าใจในสิ่งที่พี่เติมเต็มถามว่าทำไมต้องถามเรื่องความชอบจากผม พี่เติมเต็มเลยบอกว่าจะขอให้ป๊ากับม๊าซื้อที่ดินผืนนี้ให้เป็นของขวัญเรียนจบ ยอมรับว่าตอนนั้นผมตาโตเลยครับ คนมีตังค์เขาให้ของขวัญกันราคาหลักล้านกันเลย

พี่เติมเต็มพาผมมาที่นี่อีกครั้งหลังจากวันที่พี่เติมเต็มรับปริญญา มาคราวนี้ไม่มีต้นหญ้ารกๆให้เห็นแล้วครับ พื้นดินมีการกลบอย่างดีเหมือนเตรียมที่จะก่อสร้าง ตอนแรกผมคิดว่าพี่เติมเต็มจะก่อสร้างบริษัทที่นี่แต่ไม่ใช่ครับ เพราะบริษัทของพี่เติมเต็มอยู่อีกที่หนึ่งที่เป็นอาคารสำนักงานเก่าของครอบครัวซึ่งปรับปรุงใหม่

"พี่จะสร้างบ้านตรงนี้" พี่เติมเต็มบอกผมในวันนั้น

"สร้างบ้านของพี่เติมเต็มเหรอครับ"

"ใช่ เรียนจบแล้วต้องแยกออกมามีบ้านของตัวเอง"

ด้วยความที่ครอบครัวผมเป็นครอบครัวเล็กที่มีแต่แม่ป้าและผม ผมถึงไม่เคยคิดเรื่องที่จะมีบ้านเป็นของตัวเองเลยเพราะอยู่กับแม่และป้าก็มีความสุขดี แต่กับครอบครัวของพี่เติมเต็มเป็นครอบครัวใหญ่ ที่เมื่อถึงเวลาลูกชายก็ต้องออกมามีครอบครัวของตัวเอง จำได้ว่าตอนที่พี่ต่อภพจะแต่งงาน พี่เติมเต็มเคยเล่าให้ฟังว่าพี่ต่อภพเองก็สร้างบ้านใหม่เหมือนกัน


ตอนนั้นผมอดตื่นเต้นไม่ได้ว่าพี่เติมเต็มคงจะเอ่ยปากชวนผมมาอยู่ด้วยกัน แต่พี่เติมเต็มก็ยังไม่เคยเอ่ยเลยสักครั้ง ... เหมือนกับเรื่องแต่งงาน ... ที่พี่เติมเต็มก็ไม่เคยพูดอีกเลย มันก็คงเป็นเพราะผมเองที่พูดปฏิเสธไปแบบนั้น


แต่มันก็ไม่ใช่ว่ามันจะเปลี่ยนความคิดไม่ได้ สิ่งหนึ่งที่พี่เติมเต็มไม่รู้ก็คือหลังจากที่เติมเต็มเรียนจบ ผมก็รอว่าพี่เติมเต็มจะพูดเรื่องแต่งงานอีกครั้งหรือเปล่า แต่ตอนนี้พี่เติมเต็มเรียนจบมาสองปีแล้วครับ ก็ยังไม่ได้พูดเรื่องแต่งงาน ผมก็เลยคิดว่าพี่เติมเต็มคงจะไม่พูดเรื่องนี้แล้วล่ะครับ


"ใช่ เหลือตกแต่งอีกนิดหน่อย" พี่เติมเต็มบอก ผมอยากเข้าไปดูข้างในบ้านจัง แต่ตั้งแต่เริ่มมีการตกแต่งภายในผมก็ไม่มีโอกาสได้มาดู เพราะอย่างที่บอกไปว่าตั้งแต่ฝึกงานผมก็ไม่ได้กลับมาบ้านเลย


พี่เติมเต็มจอดรถส่งผมที่หน้าบ้าน เราจูบลากันนิดหน่อย ผมก็ลงมาจากรถและพี่เติมเต็มก็ขับรถออกไป ผมยืนมองตามหลังรถของพี่เติมเต็มไปด้วยความรู้สึกหน่วงในใจ





"เป็นอะไรหรือเปล่าลูก" แม่ผมถามผมในขณะที่เรากำลังนั่งทานข้าวกันอยู่

"กับข้าวไม่ถูกปากหรือเปล่า" ป้าผมถามขึ้นมาอีกคน

"เปล่าครับ พอดีมีเรื่องให้คิดนิดหน่อยครับ" ผมตอบ

"ไม่นิดล่ะมั้งแม่ว่า กับข้าวมีแต่ของโปรดทั้งนั้นเลยนะ แต่ลูกทานน้อยมากเหมือนไม่อร่อย" แม่ผมพูดขึ้นมาอีก

"อยากเล่าให้ป้ากับแม่ฟังมั้ย" ป้าผมถามผมขึ้นมา ผมยอมรับว่าลังเลใจไม่อยากเล่าเท่าไหร่ กลัวโดนมองว่าคิดมาก แต่คนที่อยู่ด้วยกันทุกวันตลอดสามปีที่ผ่านมา ถ้ามีคนหนึ่งเปลี่ยนไปเราก็ต้องรู้

"เก่งไม่รู้ว่าระหว่างเก่งกับพี่เต็มเรายังเหมือนเดิมหรือเปล่า" ผมพูดออกมาในที่สุด

"คนเก่งไม่เหมือนเดิมเหรอลูก" แม่ถามผมด้วยน้ำเสียงที่ดูตกใจเล็กน้อย

"ไม่ใช่ครับ เก่งจะไม่เหมือนเดิมได้ยังไงครับ เก่งหมายถึงพี่เต็มต่างหากที่ไม่เหมือนเดิม" ผมตอบ และผมเห็นแม่กับป้าสบตากัน

"พี่เขาไม่เหมือนเดิมยังไง" ป้าถามผม

"ก็ช่วงสองสามเดือนมานี่ พี่เต็มไม่มีเวลาให้หนูเลยครับ เราไม่เคยได้ไปทานข้าวหรือใช้เวลาอยู่ด้วยกันเหมือนเมื่อก่อน ตอนแรกหนูก็เข้าใจว่าพี่เต็มยุ่งกับเรื่องงานที่บริษัทเปิดใหม่ แต่พอหนูเห็นว่าพี่เต็มเริ่มมีเวลาว่างพอหนูชวนทานข้าวหรือดูหนังพี่เต็มต้องติดธุระตลอด อย่างเมื่อก่อนตอนหนูเข้าไปฝึกงานช่วงแรกพี่เต็มเรียกได้ว่าไปเฝ้าหนูเลยดีกว่า พอมีออกงานอะไรที่ตัวเองต้องไปก็จะพาหนูไปด้วยทุกครั้ง แต่ช่วงหลังมากลายเป็นหนูที่ต้องไปออกงานกับครอบครัวของพี่เต็มคนเดียว แต่พี่เต็มไม่เคยไปด้วยเลยครับ" พอได้โอกาสผมก็เลยเล่ายาวเลยครับ แม่กับป้ายิ้มให้กัน ก่อนที่แม่จะถามผม

"แล้วคนเก่งคิดว่าทำไมพี่เขาถึงเป็นแบบนี้"

"เก่งคิดว่าพี่เต็มกำลัง .... เบื่อเก่งครับแม่ พี่เต็มอาจจะยังไม่ได้นอกใจหรือมีใคร แต่พี่เขาต้องเบื่อเก่งแล้วแน่ๆ" ผมพูดออกมาพร้อมกับหัวใจที่มันรู้สึกเจ็บปวด ตอนนี้ผมคิดได้อย่างเดียวว่าพี่เติมเต็มกำลังเบื่อผม

"เคยถามพี่เขามั้ย" ป้าผมถาม

"เคยถามครับ ผมถามว่าเรายังเหมือนเดิมหรือเปล่า ตอนนั้นพี่เต็มเขาบอกว่าเรายังเหมือนเดิม ... พอมันบ่อยขึ้นผมเลยไม่แน่ใจแล้วครับว่าเรายังเหมือนเดิมหรือเปล่า" ผมพูดอย่างตัดพ้อ

"ลูกเชื่อใจพี่เขามั้ย" แม่ถามผม

"ครับ เก่งเชื่อใจพี่เต็ม แต่เก่งก็ไม่มั่นใจกับสถานการณ์ในตอนนี้"

"ไม่มีอะไรหรอกลูกอย่าคิดมาก เต็มก็ยังรักลูกเหมือนเดิมนั่นแหละ"

"พี่เขาคงจะแค่ทุ่มเทให้กับงานมากเกินไปมากกว่า อีกสักพักพอทุกอย่างลงตัวพี่เขาก็จะกลับมาสนใจหนูเหมือนเดิม" ป้าผมพูดเสริมแม่ขึ้นมา

ก่อนหน้านี้ผมก็เคยไปปรึกษาเรื่องนี้กับฟูจิและส้มส้ม และไม่น่าเชื่อว่าส้มส้มที่เป็นผู้หญิงจะแนะนำผมมาแบบนี้

"ส้มคิดว่าคนเก่งควรจะหาท่าทางลีลาใหม่ๆมาใช้เวลาที่มีเซ็กส์กับพี่เต็มนะ"

แต่นั่นก็ไม่เท่ากับที่ผมทำตามที่ส้มส้มพูด เพราะผมไปอ่านในอินเตอร์เน็ตมาบอกว่าคู่รักสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เบื่อหน่ายกันก็คือเรื่องบนเตียง บางคนก็มีลีลาเดิมๆจนคู่นอนรู้แล้วว่าต่อไปจะทำอะไร

แต่เรื่องเซ็กส์ระหว่างผมกับพี่เติมเต็มผมก็ว่ามันปกติน่ะ พี่เติมเต็มที่เคยหลงใหลในร่างกายของผมก็ยังเหมือนเดิม พี่เขายังสม่ำเสมอในเรื่องนี้ นั่นทำให้ผมตัดเรื่องที่พี่เขามีคนอื่นออกไป


ยกเว้น ... หนึ่งเดือนที่ผ่านมา เราไม่มีอะไรกันเลย ... หรือพี่เติมเต็มจะไปปลดปล่อยกับคนอื่นไปแล้ว


เก่งเรื่องคิดบั่นทอนความรู้สึกของตัวเองจริงๆครับ .. ผมเนี่ย


เรื่องเขียนการ์ดผมก็ยังคงเขียนให้พี่เติมเต็มครับ แต่เพราะไม่ได้เจอกันทำให้พี่เติมเต็มไม่ได้รับการ์ดจากมือผมเลย พี่เติมเต็มจะเข้าไปส่องที่ไอจีของผมว่าการ์ดในแต่ละครั้งเขียนว่าอะไร เพราะผมจะถ่ายรูปการ์ดทุกใบของทุกชิ้นที่ให้พี่เติมเต็ม แล้วผมจะมาอัพลงไอจีส่วนตัวของตัวเอง ส่วนการ์ดตัวจริงพี่เติมเต็มให้ผมเอาเก็บไว้ที่โต๊ะทำงานของพี่เติมเต็มที่คอนโด

เฮ้อออออ ... ไม่อยากคิดแล้วครับ ยิ่งคิดยิ่งเครียด



วันนี้เป็นวันที่สี่ที่ผมหยุดอยู่ที่บ้านกับแม่และป้า เพราะหลังจากฝึกงานเสร็จผมจะมีเวลาหยุดเกือบสองอาทิตย์จึงจะได้กลับไปส่งงานในบางวิชา



(ลงมาหาพี่หน่อย)

ขณะที่ผมนอนเล่นอยู่บนห้องนอน พี่เติมเต็มก็โทรมาหาและพอพูดเสร็จก็วางสายไปเลย ผมรีบวิ่งลงมาข้างล่างตั้งแต่วันนั้นที่พี่เติมเต็มมาส่งผมเราก็ไม่ได้เจอหน้ากันเลยครับ เพราะพี่เติมเต็มบอกงานยุ่ง

เฮ้อออออ ... ความรักหวานแหววในช่วงชีวิตมหาวิทยาลัยกำลังจะหมดไปแล้วครับ ถ้าเราสองคนต่างทำงานผมไม่รู้เลยว่าเราจะห่างกันมากขึ้นแค่ไหน

ผมลงมาข้างล่างและเดินไปเปิดประตูรั้วหน้าบ้านเพราะตอนนี้ผมอยู่บ้านคนเดียว พอเปิดประตูออกไปก็เจอพี่เติมเต็ม แต่พี่เติมเต็มไม่ได้มาคนเดียวครับ มีพี่ขวัญพี่สะใภ้ของพี่เติมเต็มมาด้วย ผมยกมือไหว้พี่ขวัญ และพี่เติมเต็ม


อยากกอดพี่เติมเต็มจัง


นี่คือความรู้สึกของผมที่ได้เจอหน้าแฟนตัวเอง


"อยู่บ้านคนเดียวเหรอจ้ะ" พี่ขวัญถามผม

"ครับ แม่กับป้าออกพบลูกค้าที่จะจ้างทำกับข้าวครับ" ผมตอบพร้อมกับเชิญทุกคนเข้ามานั่งในบ้าน

ผมเดินไปในครัวเพื่อหาน้ำเย็นๆมาให้ทุกคนดื่ม หลังจากที่ให้ทุกคนนั่งรอที่โซฟาในห้องรับแขก

"จะไปไหนกันเหรอครับ" ผมถามเมื่อนั่งลงที่โซฟาเรียบร้อยแล้ว

"คือวันศุกร์นี้พี่จะทำบุญขึ้นบ้านใหม่น่ะ ... บ้านหลังใหม่" พี่เติมเต็มบอก ผมทำหน้างงเล็กน้อยเพราะไม่รู้มาก่อนว่าพี่เติมเต็มจะทำบุญขึ้นบ้านใหม่ .. แต่ถ้าจะพูดให้ถูกคือพี่เติมเต็มแทบจะไม่พูดถึงเลยด้วยซ้ำ อีกแค่สามวันเท่านั้นแต่พี่เติมเต็มเพิ่งมาบอกทั้งๆที่พี่เติมเต็มต้องรู้ล่วงหน้านานกว่านี้อยู่แล้ว แต่พี่เติมเต็มกลับไม่บอกผม

ไม่รู้สิมันอาจจะฟังดูงี่เง่าที่ผมคิดแบบนี้

ผมรู้สึกน้อยใจครับ


"อ๋อ ครับ" ผมไม่รู้ว่าจะตอบว่าอะไรดี เพราะในใจผมกำลังรู้สึกแย่

"เป็นอะไรหรือเปล่า" พี่เติมเต็มจับมือผมและถามผมด้วยน้ำเสียงที่ห่วงใย

"เปล่าครับ แล้วมีอะไรให้ผมช่วยมั้ยครับ" ผมถามกลับไป เพราะงานทำบุญขึ้นบ้านใหม่ของพี่เติมเต็มผมเดาว่าแขกน่าจะมากันเยอะเหมือนกัน เพราะป๊าม๊าของพี่เติมเต็มเป็นที่รู้จักนับหน้าถือตา อาจจะเชิญผู้ใหญ่คนสำคัญในจังหวัดมาด้วย ผมอาจจะต้องไปช่วยดูแลแขกที่มา

"เดี๋ยววันนี้พี่ขวัญจะพาไปลองชุด" พี่เติมเต็มเอ่ยขึ้นมา ผมทำหน้างงอีกรอบ

"ชุดอะไรเหรอครับ" ผมถาม

"ชุดที่จะใส่วันงานไงล่ะ" พี่เติมเต็มบอกออกมาอีก

"ต้องไปลองชุดใหม่เลยเหรอครับ" ผมถามด้วยความแปลกใจเพราะถึงผมจะไม่มีชุดที่ดูหรูหราราคาแพง แต่ผมก็มั่นใจว่าตัวเองมีชุดที่เหมาะสมกับงานทำบุญขึ้นบ้านใหม่

แต่ว่า ... ผมเคยไปร่วมงานทำบุญบ้านเพื่อนนะ แต่เป็นการทำบุญประจำปี แต่คราวนี้เป็นการทำบุญบ้านหลังใหม่ที่ยังไม่เคยเข้าไปอยู่เลย มันไม่เหมือนกันหรือเปล่านะ

"ใช่จ้ะ เดี๋ยวพอไปลองชุดเสร็จเราจะได้ไปทำธุระอย่างอื่นกันต่อด้วย" พี่ขวัญพูดเสริมขึ้นมา

ผมขอตัวขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและหยิบกระเป๋าสตางค์พร้อมทั้งโทรศัพท์มือถือ ตอนที่ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จผมก็โทรหาแม่เพื่อจะบอกท่านว่าผมจะออกไปกับพี่เติมเต็ม



(ว่าไงคนเก่ง)

"แม่ครับ พอดีพี่เต็มมาที่บ้าน พี่เต็มบอกว่าวันศุกร์นี้จะทำบุญขึ้นบ้านใหม่ พี่เต็มก็เลยจะพาผมไปลองชุดครับ" ผมบอกแม่ไปรวดเดียวเพื่อให้แม่รับทราบ

(จ้ะ แม่รู้แล้วล่ะ พอดีตอนนี้แม่อยู่กับคุณฤดีวรรณ กำลังคุยกันอยู่)

"งั้นเหรอครับ"

(คนเก่งก็ออกไปลองชุดกับพี่เขาให้เรียบร้อยนะ เอากุญแจบ้านไปด้วยเลยนะ แม่มีอีกชุดหนึ่ง)

"ครับแม่"

(แค่นี้นะลูก)

แล้วแม่ผมก็วางสายไป ตอนแรกผมคิดว่าแม่อาจจะแปลกใจที่ผมจะต้องไปลองชุดแต่แม่กลับบอกให้ผมไปลองชุดให้เรียบร้อย ทั้งที่ผมมั่นใจว่าชุดที่ผมมีไม่ทำให้ครอบครัวพี่เติมเต็มขายหน้าแน่นอน

หรือบางทีพี่เติมเต็มอาจจะไม่มั่นใจในรสนิยมเสื้อผ้าของผมก็ได้


เฮ้ออออออออ...


เอาจริงนะ ... ผมว่าที่ผมรู้สึกไม่โอเคตอนนี้จนพาลไปถึงเรื่องชุด อาจจะเป็นเพราะผมไม่เจอหน้าแฟนหลายวันทั้งที่บ้านอยู่ห่างกันแค่ไม่กี่ซอย รวมทั้งเรื่องที่ผมเพิ่งทราบว่าพี่เติมเต็มจะทำบุญขึ้นบ้านใหม่

งี่เง่าเกินไปหรือเปล่านะ

หลังจากที่ผมจัดการล็อคกุญแจบ้านเรียบร้อยผมก็เดินตามไปที่รถของพี่เติมเต็มที่จอดรออยู่หน้าบ้าน พอผมเดินไปถึงตอนแรกผมเปิดประตูรถที่ด้านหลัง แต่พี่ขวัญนั่งอยู่ที่เบาะหลัง ผมก็เลยต้องมานั่งที่เบาะหน้าคู่กับพี่เติมเต็ม

พี่เติมเต็มขับรถไม่นานก็มาจอดรถที่บริเวณหน้าร้านที่เป็นร้านรับตัดสูทและเสื้อผ้าขนาดใหญ่ที่อยู่ใจกลางเมือง พอจอดรถเรียบร้อยพี่ขวัญเดินเข้าไปในร้านก่อน ผมปลดเข็มขัดนิรภัยและกำลังจะเปิดประตูรถลงไป แต่พี่เติมเต็มเรียกผมพร้อมทั้งจับมือของผมเอาไว้


"เป็นอะไร งอนอะไรพี่หรือเปล่า" พี่เติมเต็มถามผมพร้อมกับมองผมด้วยสายตาที่มันยังคงแสดงความรักอย่างชัดเจน

"น้อยใจนิดหน่อยครับ" ผมพูดไปตามตรง และพี่เติมเต็มก็หันมาคุยกับผมทั้งตัว

"น้อยใจเรื่องที่พี่ไม่มีเวลาให้ใช่มั้ย" พี่เติมเต็มใช้มือจัดทรงผมของผมไปมาและลูบอย่างอ่อนโยน พยักหน้ารับเพราะเป็นเรื่องที่ทำให้ผมคิดมากและน้อยใจจริงๆ

"ผมน้อยใจเรื่องที่พี่เต็มจะทำบุญขึ้นบ้านใหม่ด้วย ทำไมเพิ่งมาบอกผมล่ะครับ เหมือนผมไม่สำคัญเลย" พอพูดออกไปแล้วก็รู้สึกว่าตัวเองงี่เง่ายังไงก็ไม่รู้ พี่เติมเต็มดึงผมเข้าไปกอดและลูบหลังผมไปด้วย

"ถ้าพี่ทำให้คนเก่งคิดมาก พี่ต้องขอโทษนะ แต่คนเก่งไม่ต้องกังวลใจอะไรทั้งนั้นรู้มั้ย คนเก่งสำคัญสำหรับพี่เสมอ หลังจากงานวันศุกร์ผ่านไปพี่ก็จะมีเวลาให้คนเก่งเหมือนเดิมแล้ว" พี่เติมเต็มบอกผม ผมกอดพี่เติมเต็มแน่นขึ้น

"เรายังเหมือนเดิมใช่มั้ยครับ" ผมถามคำถามที่เคยถามพี่เติมเต็มไปแล้วครั้งหนึ่ง

"ไม่มีอะไรที่จะมาทำให้พี่เปลี่ยนไป แต่ถ้ามันจะมีอะไรเปลี่ยนระหว่างเรา มันต้องเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น"

ผมเงียบฟังพี่เต็มเต็มพูด

"เลิกคิดมากนะครับ ... ลงไปลองชุดกันเถอะ" พี่เติมเต็มพูดอีกครั้ง ผมได้แต่พยักหน้ารับ พี่เติมเต็มหอมแก้มผมทั้งสองข้างหนักๆก่อนจะปล่อยผมออกจากอ้อมกอด



ผมมองชุดที่ทางร้านเตรียมไว้ให้ผมลองในห้องลองชุดด้วยความแปลกใจ จนผมต้องเดินกลับออกมาถามทางร้านว่าหยิบชุดให้ผมถูกหรือไม่ ซึ่งคนที่ตอบผมคือพี่ขวัญ

"ถูกแล้วจ้ะ รีบไปลองเร็ว ถ้าไม่พอดีตรงไหนจะได้แก้"

ผมเดินกลับเข้าไปในห้องลองชุด ถ้าชุดนี้คือชุดที่ผมต้องใส่ในวันงานจริง ผมก็ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมต้องตัดชุดใหม่ ไม่ให้ผมใส่ชุดที่ผมมีอยู่เพราะผมไม่มีทางที่จะมีชุดที่ดูหรูและดูดีเป็นทางการขนาดนี้

ชุดที่ผมต้องลองคือเป็นชุดสูทสีครีมครับ เป็นชุดสูทสไตล์ทันสมัย


ก๊อก ก๊อก

"ใส่ได้มั้ย คนเก่ง" ผ่านไปประมาณสิบนาทีเสียงของพี่เติมเต็มก็ดังขึ้นที่หน้าห้องลองชุด ในขณะที่ผมสวมใส่ชุดสูทเรียบร้อยและกำลังยืนส่องกระจกอยู่

"ครับ" ผมตอบออกไป

"พี่ขอดูหน่อย" พี่เติมเต็มพูดขึ้นมาอีกก่อนที่ผมจะเปิดประตูให้พี่เติมเต็มเข้ามา พี่เติมเต็มเข้ามาพร้อมกับปิดประตูห้องลองชุด

พี่เติมเต็มยืนมองผมแบบสำรวจอยู่นิ่งๆสักพัก ก่อนจะยิ้มออกมาด้วยความพอใจ

"พอดีตัวเกินไปมั้ย อึดอัดหรือเปล่า" พี่เติมเต็มถามผม ผมก็ลองเดินและขยับตัวไปมา

"ไม่อึดอัดครับ ... ชุดนี้ตัดใหม่เหรอครับ" ผมถาม

"ใช่ มีอะไรหรือเปล่า" พี่เติมเต็มถาม

"แค่สงสัยน่ะครับว่ารู้ไซส์ผมได้ไง" ผมถามเรื่องที่สงสัยเพราะชุดมันพอดีกับตัวผมมาก ไม่น่าจะใช้การคาดเดาจากรูปร่าง

พี่เติมเต็มยิ้มออกมาและเอามือมาลูบหัวของผม

"เดือนที่แล้วที่คนเก่งยังฝึกงานอยู่ที่โรงแรม ตอนนั้นที่ฝ่ายบุคคลเขามีวัดตัวที่บอกว่าจะตัดชุดพนักงาน จำได้มั้ย" พี่เติมเต็มบอก ทำให้ผมนึกย้อนไป เมื่อเดือนก่อนมีคนมาวัดตัวผมจริงๆครับบอกว่าต้องตัดชุดพนักงานแบบใหม่ ตอนแรกผมก็งงนิดหน่อยเพราะเป็นแค่นักศึกษาฝึกงานคงไม่จำเป็นต้องวัดตัว แต่พี่ที่ฝ่ายบุคคลบอกว่าให้วัดตัวไปด้วยเลย ไหนๆทางร้านก็มาแล้ว

แต่พอมาคิดดูแล้ว ....

"เป็นแผนของพี่เต็มหรือเปล่าครับเนี่ย" ผมถามแต่พี่เติมเต็มแค่ยิ้มและไม่พูดอะไร เอาแต่มองผมในชุดนี้ด้วยสายตาที่ทำเอาผมใจสั่น

แต่ว่า ... ถ้าการวัดตัวเป็นแผนของพี่เติมเต็มเพื่อจะได้ขนาดตัวผมมาตัดชุดสูทชุดนี้ งั้นก็แสดงว่าพี่เติมเต็มมีแพลนล่วงหน้าเรื่องวันทำบุญขึ้นบ้านใหม่เอาไว้แล้ว แต่เพิ่งจะมาบอกผมวันนี้

"เป็นอะไรครับ" พี่เติมเต็มถามผมด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน ผมได้แต่ส่ายหน้าเพราะรู้สึกเหมือนถ้าผมพูดอะไรออกมาน้ำตาผมอาจจะไหล

น้อยใจ งี่เง่าอีกแล้วผม

ในขณะเดียวกันผมได้ยินเสียงสั่นของมือถือพี่เติมเต็มที่มันดังออกมาจากกระเป๋ากางเกง ผมมองพี่เติมเต็มที่หยิบมือถือออกมาดูพร้อมกับยิ้มให้กับหน้าจอมือถือที่เห็นชื่อคนโทรมา

... คุณบัว ...

ถ้าผมมองไม่ผิด ชื่อที่หน้าจอมือถือของพี่เติมเต็มปรากฏชื่อนี้ครับ ผมไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน ไม่น่าจะเป็นเพื่อนเพราะพี่เติมเต็มเมมชื่อเอาไว้ว่าคุณ อาจจะเป็นลูกค้า

"เดี๋ยวผมโทรกลับนะครับ" พี่เติมเต็มกดรับสายก่อนจะตอบไปแบบนั้น ผมรู้สึกว่าดวงตาของพี่เติมเต็มมันมีประกายที่มากกว่าปกติ

"ไหนให้พี่ดูอีกที" พี่เติมเต็มจับผมหมุนไปมา และถามผมอีกครั้งว่าใส่โอเคใช่มั้ย เมื่อผมบอกว่าผมใส่ได้ไม่อึดอัดหรือพอดีตัวมากเกินไป พี่เติมเต็มก็พาผมเดินออกมาจากห้องมีพนักงานในร้านยืนรออยู่สองคน ทั้งคู่ช่วยผมดูชุดสูทที่ผมใส่ เพื่อจะดูว่าต้องแก้อะไรมั้ย ผมมองไปที่พี่เติมเต็มพี่เขาเดินออกไปจากบริเวณนั้นและผมเห็นพี่เติมเต็มหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรออก ผ่านไปสักพักทางร้านก็ให้ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าได้

หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ผมเดินออกมาจากห้องลองชุด ผมเดินมานั่งตรงส่วนที่รับรองลูกค้า พี่ขวัญกำลังนั่งคุยกับพนักงานในร้านอยู่ ส่วนพี่เติมเต็มกำลังนั่งคุยโทรศัพท์มือถืออยู่ครับ แต่พอพี่เติมเต็มเห็นผม พี่เติมเต็มก็ลุกและเดินออกไปคุยโทรศัพท์ด้านนอก

ผมรู้สึกแย่มากเลยครับ พี่เติมเต็มไม่เคยที่จะไม่คุยโทรศัพท์ต่อหน้าผม ไม่เลยสักครั้งแต่มันมีครั้งนี้ที่พี่เขาทำ และหน้าตาพี่เติมเต็มก็ดูมีความสุขมากครับ

"ใส่ได้พอดีใช่มั้ย" พี่ขวัญถามผมตอนที่ผมเดินเข้ามานั่ง

"ครับ" ผมตอบไปสั้นๆ

"เป็นอะไรหรือเปล่า" พี่ขวัญถามผม

"สงสัยเมื่อคืนนอนดึกครับก็เลยเพลียๆ" ผมตอบเพราะไม่รู้จะตอบว่าอะไรดี

หลังจากนั้นทางพนักงานในร้านที่ผมเดาว่าน่าจะเป็นเจ้าของร้าน ก็เดินเข้ามาคุยกับพี่ขวัญว่า

"ทางร้านจะเอาชุดไปส่งให้ที่บ้านคุณนายในวันพรุ่งนี้นะคะน้องขวัญ"

หลังจากที่ตกลงเรื่องเวลาเรียบร้อย เราสองคนก็เดินออกจากร้านเป็นจังหวะเดียวกับที่พี่เติมเต็มกำลังจะเดินเข้ามาในร้าน

"เรียบร้อยแล้วเหรอ" พี่เติมเต็มถามผม ผมก็ได้แต่พยักหน้ากลับไป

หลังจากนั้นพี่เติมเต็มก็ขับรถมาที่ร้านดอกไม้ พี่เติมเต็มและพี่ขวัญลงไปด้วยกัน ส่วนผมพี่เติมเต็มให้นั่งรออยู่บนรถ

ไม่นานพี่เติมเต็มกับพี่ขวัญก็กลับขึ้นรถมา

"ไปดูร้านตรงแถวๆวงเวียนดีกว่ามั้ย" พี่ขวัญถามพี่เติมเต็ม พี่เติมเต็มปลายตามามองผม ผมรู้สึกเหมือนพี่เติมเต็มไม่อยากให้ผมรู้ ตอนแรกผมก็ตั้งใจจะถามนะ แต่พอเห็นปฏิกิริยาแบบนี้ของพี่เติมเต็มผมก็รู้สึกไม่อยากจะรู้แล้วล่ะครับ

"เดี๋ยวผมออกมาดูอีกทีดีกว่าครับ" พี่เติมเต็มบอก หลังจากนั้นพี่เติมเต็มก็พาผมและพี่ขวัญไปทานข้าวที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในตัวเมือง หลังจากทานเสร็จพี่ต่อภพ พี่ชายของพี่เติมเต็มก็มารับพี่ขวัญและบอกว่าจะพาพี่ขวัญไปทำธุระต่อเอง

"อยากไปที่ไหนหรือเปล่า" ระหว่างที่พี่เติมเต็มขับรถมาใกล้จะถึงบ้านของผมพี่เติมเต็มก็ถามขึ้นมา

"พี่เต็มว่างเหรอครับ" ผมถามด้วยความแปลกใจและระคนดีใจ

"อืมมมมม ... ก็ ... จริงๆก็ไม่ว่างนะ เอาไว้รอขึ้นบ้านใหม่เสร็จก่อน คนเก่งอยากไปที่ไหนพี่จะพาไป โอเคมั้ย ช่วงนี้พี่ยุ่งมากจริงๆ"

และคำตอบของพี่เติมเต็มก็ทำให้ผมอดที่จะเสียใจไม่ได้

หลังจากที่พี่เติมเต็มมาส่งผมที่บ้าน พี่เติมเต็มก็บอกว่าถ้าเสร็จธุระแล้วจะรีบโทรหา ซึ่งผมก็รับทราบเพราะเรื่องการโทร พี่เติมเต็มก็ยังเหมือนเดิม ยังสม่ำเสมอครับ เพียงแค่ ... ผมอยากเจอหน้า อยากอยู่ด้วยกันเหมือนก่อน มากกว่าการที่โทรคุยกัน

ผมไม่รู้ว่าธุระของพี่เติมเต็มจะเสร็จกี่โมงเพราะตอนที่พี่เติมเติมลงไปที่ร้านดอกไม้ พี่เติมเต็มไม่ได้เอามือถือลงไปด้วย ตอนนั้นมีข้อความทางไลน์เข้ามาพอดี


คุณบัว : รอที่ร้านนะคะ
คุณบัว : 4 โมงเย็น


ผมไม่กล้าถามกับสิ่งที่เห็น และผมก็ไม่กล้าหยิบมือถือพี่เติมเต็มขึ้นมา ผมไม่รู้ว่ารหัสหน้าจอมือถือของพี่เติมเต็มยังเป็นรหัสเดิมมั้ย ผมกลัวว่ามันจะเป็นรหัสที่ผมเข้าไม่ได้อีกแล้ว

ผมยอมรับว่าผมคิดมาก แต่เพราะเหตุการณ์และสถานการณ์หลายๆอย่างในตอนนี้มันทำให้ผมคิดมาก


ระหว่างที่ผมกำลังนั่งคิดมากอยู่ที่ห้องรับแขกที่บ้าน มือถือผมที่วางเอาไว้ข้างตัวก็สั่น ผมหยิบมือถือขึ้นมาดู พอเห็นชื่อที่หน้าจอมือถือก็แปลกใจเพราะเป็นพี่เติมเต็มโทรมา ผมมองดูเวลาตอนนี้ประมาณสี่โมงครึ่ง พี่เติมเต็มที่น่าจะทำธุระอยู่กับคุณบัวอะไรนั่น กลับโทรมาหาผม งั้นพี่เติมเต็มก็อาจจะทำธุระเสร็จแล้ว



"ครับ พี่เต็ม" ผมกดรับสาย

(เมื่อกี้ตอนที่เจอกัน พี่มีเรื่องจะบอกคนเก่งแต่พี่ลืม) พี่เติมเต็มเอ่ยขึ้นมา

"ครับ เรื่องอะไรเหรอครับ"

(ตั้งแต่ที่คนเก่งเขียนการ์ดให้พี่เมื่อสามสี่วันก่อน คนเก่งได้เขียนเพิ่มอีกหรือเปล่า) ผมงงกับสิ่งที่พี่เติมเต็มถาม

"ยังไม่เขียนครับ" ผมตอบ อันที่จริงผมมีการ์ดที่เขียนไว้ครับ แต่ยังไม่ได้ส่งให้ เพราะอย่างที่ผมบอกไปว่าช่วงนี้เราแทบจะไม่ได้เจอกันเลยม

(เหรอ .... ) พี่เติมเต็มพูดออกมาและเงียบไป

"มีอะไรเหรอครับ"

(พี่อยากให้คนเก่งงดส่งการ์ดให้พี่ไปก่อนสักระยะ)

ผมเงียบไปกับสิ่งที่พี่เติมเต็มเอ่ยขอ

"งดส่งเหรอครับ" ผมทวนสิ่งที่พี่เติมเต็มพูด

(ใช่ อย่างน้อยก็แค่ช่วงสองสามวันนี้นะ อย่าเพิ่งเขียนให้พี่)

"มีอะไรหรือเปล่าครับ" ผมถามด้วยความสงสัย พร้อมกับหัวใจที่มันหน่วง

(ก็ช่วงสองสามวันนี้พี่ยุ่งเรื่องเตรียมงาน ถ้าคนเก่งให้การ์ดมา พี่คงจะไม่มีเวลาอ่าน)

ถึงแม้ว่ามันจะฟังดูไม่ค่อยมีเหตุผล แต่ผมก็รับปากพี่เติมเต็มไป

"แล้วพี่เติมเต็ม ทำธุระเสร็จแล้วเหรอครับ ถึงได้โทรมา" ผมถาม แต่ได้ยินเสียงผู้หญิงพูดขึ้นมา ซึ่งผมไม่แน่ใจในตอนแรกว่าเขาคุยกับใคร

'เรียบร้อยมั้ยคะ'

แต่เพราะพี่เติมเต็มตอบกลับไปว่า

'เรียบร้อยครับ'

ทำให้ผมรู้ว่าพี่เติมเต็มอยู่กับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง คงจะเป็นคุณบัว

(ยังทำธุระไม่เสร็จเลย เพิ่งมาถึงแต่พี่นึกได้ว่ายังไม่ได้คุยกับคนเก่งเรื่องการ์ด พี่เลยรีบโทรมาก่อน)

พี่เติมเต็มบอก เราคุยกันอีกสองสามประโยค พี่เติมเต็มก็ขอวางสายไปก่อน



ให้งดส่งการ์ดไปก่อนงั้นเหรอ?



ผมอาจจะไม่ค่อยฉลาดแต่ผมก็รับรู้ได้ว่าระหว่างเรามันเปลี่ยนไป




TBC.
#เติมเต็มรัก
ninewara✿

◕ เด็กน้อยคิดเยอะจริงๆ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-07-2019 15:07:57 โดย ninewara »

ออฟไลน์ ninewara

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
✿ เติมเต็มรัก ✿ ครั้งที่ 38


วันต่อมา
ผมตื่นมาตั้งแต่เช้ามืดเพราะนอนไม่ค่อยหลับ เมื่อคืนพี่เติมเต็มโทรมาหาผมตอนประมาณสองทุ่ม ท่าทีของพี่เติมเต็มก็ดูปกติครับ ผมคุยกับพี่เติมเต็มเกือบหนึ่งชั่วโมง ก็ได้ยินเสียงม๊าของพี่เติมเต็มเข้ามาเรียกพี่เติมเต็มให้ออกไปคุยกับป๊า ผมก็เลยวางสายและไม่ได้รอให้พี่เติมเต็มโทรกลับมาเพราะปกติถ้าพี่เติมเต็มคุยกับที่บ้านจะใช้เวลาค่อนข้างนาน

ผมเดินลงมาข้างล่างตอนประมาณหกโมงเช้า เจอป้ากำลังกับข้าวอยู่ในครัว

"อ้าว หิวหรือยัง" ป้าถามผม

"นิดหน่อยครับ ป้าทำอะไรครับ หนูช่วยมั้ย" ผมถามป้า

"ไม่ต้องช่วยจ้ะ ป้าทำข้าวผัดกับต้มจืดจะได้ทานง่ายๆ ... แม่หนูลงมาพอดี" ป้าบอกผมก่อนจะมองไปทางด้านหลังของผม แม่ผมเดินเข้ามาในครัวและไปหยิบน้ำในตู้เย็นมาดื่ม

"วันนี้แม่กับป้าไม่มีงานเหรอครับ" ผมถามเพราะถ้าเป็นปกติท่านต้องเตรียมของหรือกำลังทำของที่จะส่งให้ลูกค้า

"หยุดยาวสักสี่ห้าวันจ้ะ ถามแบบนี้แสดงว่าไม่ได้เข้าไปดูในเพจเลยใช่มั้ย" แม่ผมพูดขึ้นมาและยิ้มให้ผม

"ไม่ได้เข้าโซเชียลเลยครับ ทำไมหยุดล่ะครับ แต่หยุดก็ดีครับเก่งอยากให้แม่กับป้าพักผ่อน" ผมบอก แม่เดินมาลูบหัวผมเบาๆ

"แม่กับป้าเคลียร์คิวไว้รองานที่บ้านของพี่เต็มวันศุกร์นี้ไงล่ะ เพราะแม่กับป้าทำกับข้าวและขนมให้ในวันงานจ้ะ" แม่ผมพูดออกมาเพิ่มเติม ผมได้แต่พยักหน้ารับทราบเพราะก็แอบคิดเอาไว้อยู่ว่าพี่เติมเต็มน่าจะให้แม่กับป้าดูแลเรื่องนี้

"เดี๋ยวเก่งช่วยนะครับ" ผมบอกพร้อมทั้งเห็นแม่กับป้าสบตากันนิ่งๆ

"ไม่ต้องช่วยทางนี้หรอกลูก เดี๋ยวทางบ้านพี่เต็มเขาจะส่งคนมาช่วย แต่คนเก่งต้องไปช่วยทางบ้านพี่เต็มแทนนะ" แม่บอก ผมมองแม่อย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก

"เมื่อวานนี้แม่คุยกับคุณฤดีวรรณ เขาอยากให้ลูกไปช่วยงานทางโน้นจ้ะ เดี๋ยวช่วงสายๆลูกก็ไปที่บ้านโน้นนะ"

"ไปวันนี้เลยเหรอครับ งานมีวันมะรืนนี่ครับ"

"ไปวันนี้เลยจ้ะ เอาเสื้อผ้าไปเผื่อนอนด้วยนะลูก อยู่จนถึงวันงานเลย"

"ครับ" ผมรับปากแม่อย่างงงๆ

หลังจากทานข้าวเสร็จผมก็ขึ้นมาบนห้องเพื่ออาบน้ำแต่งตัว แต่ก่อนที่จะเข้าไปอาบน้ำ ผมทักไลน์ไปหาพี่เติมเต็ม และบอกเรื่องที่จะเข้าไปที่บ้านพี่เติมเต็ม พออาบน้ำแต่งตัวเสร็จหยิบมือถือขึ้นมาดูก็เห็นว่าพี่เติมเต็มตอบข้อความไลน์แล้ว


teimtem : เพิ่งตื่น
teimtem : คนเก่งจะมากี่โมง
teimtem : ให้ไปรับมั้ย


konkengg : ผมไปเองก็ได้ครับ

ผมคิดไปมาก็เลยตัดสินใจไปเองดีกว่า

konkengg : แล้วพี่เต็มอยู่บ้านมั้ยครับ

ผมถามเพราะไม่แน่ใจว่าพี่เติมเต็มจะออกไปข้างนอกหรือเปล่า

teimtem : (แนบรูป)

พี่เติมเต็มส่งรูปตัวเองมาให้ดู เป็นรูปเซลฟี่ที่ถ่ายครึ่งตัวบนแบบที่ไม่ใส่เสื้อ


teimtem : กำลังแต่งตัว
teimtem : จะออกไปทำธุระกับป๊าม๊า


ผมมองภาพของพี่เติมเต็มแล้วอดใจสั่นระรัวไม่ได้ ดูเหมือนหุ่นพี่เติมเต็มจะดูดีขึ้นจากเดิมที่ดีอยู่แล้ว ไม่รู้ว่าพี่เติมเต็มออกกำลังกายฟิตหุ่นตัวเองมากขึ้นหรือเปล่า ยิ่งเห็นแบบนี้ยิ่งคิดถึง


ก็ ... ไม่รู้สิ อาจจะเพราะผมห่างเหินกับเรื่องอย่างว่ากับพี่เติมเต็มมานานแล้วก็ได้มั้ง เลยทำให้ผมหัวใจเต้นแรงกับภาพที่หน้าจอมือถือ

konkengg : ผมคงจะไปช่วงสิบโมงน่ะครับ
teimtem : ติวเตอร์น่าจะอยู่บ้าน
teimtem : มาถึงแล้ว
teimtem : ขึ้นมาบนห้องพี่เลยก็ได้

ผมคุยไลน์กับพี่เติมเต็มอีกสักพัก จนพี่เติมเต็มบอกว่าจะต้องออกไปแล้ว

ผมเก็บเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวเล็กน้อยลงในกระเป๋าเป้ ตอนที่เดินลงมาข้างล่าง ก็ต้องแปลกใจเล็กน้อยเพราะเจอติวเตอร์อยู่ข้างล่าง

"ลงมาพอดี น้องมารับคนเก่งน่ะลูก" แม่ผมเป็นคนบอก

ติวเตอร์ยกมือไหว้ผม

"ผมมารับพี่สะใภ้ไปที่บ้านครับ"

ผมยิ้มออกมาตอนนี้ติวเตอร์สูงพอๆกับพี่เติมเต็มแล้วครับ และติวเตอร์ก็เข้าเรียนที่คณะวิศวกรรมศาสตร์เหมือนพี่ชายทั้งสองคน

"พี่ไปเองก็ได้ ไม่เห็นต้องมารับเลย" ผมบอก

"ด้วยความเต็มใจครับ อีกอย่างถ้าไม่มารับเดี๋ยวผมโดนพี่เต็มบ่นแน่เลย" ผมยิ้มกว้างออกมาที่ได้ยินแบบนี้มันเหมือนพี่เติมเต็มยังคงเป็นห่วงผมอยู่


"ติวเตอร์พาพี่แวะดูบ้านหลังใหม่ของพี่เต็มได้มั้ย พี่ยังไม่เคยเข้าไปดูเลย" ผมถามติวเตอร์ตอนที่ติวเตอร์ขับรถพาผมออกมาจากบ้านได้สักพัก เพราะผมนึกขึ้นมาได้ว่าต้องขับรถผ่านบ้านหลังใหม่ของพี่เติมเต็มอยู่แล้ว

"พี่สะใภ้ให้ห้พี่เต็มพามาดูดีกว่านะครับ ผมกลัวโดนดุ" พอติวเตอร์พูดมาแบบนี้ ผมก็ไม่รู้จะขัดยังไง

ตอนที่ขับรถผ่านบ้านหลังใหม่ของพี่เติมเต็มรั้วบ้านเปิดไว้เล็กน้อย มองไปเห็นคนงานเดินกันไปมาพอสมควร ผมมองดูแล้ว พื้นที่ค่อนข้างเยอะมากเลย อยากเห็นข้างในจัง คงต้องรอวันงานล่ะมั้งถึงจะได้เห็น




ตอนนี้ผมนั่งอยู่บนเตียงนอนในห้องของพี่เติมเต็มครับ หลังจากที่ติวเตอร์มาส่งผม ติวเตอร์ก็ขอตัวออกไปข้างนอกเลย ที่บ้านดูเหมือนจะมีคนทำงานในบ้านอยู่สองสามคน

"มื้อกลางวัน น้าจะตั้งโต๊ะตอนสิบเอ็ดโมงสี่สิบห้า ลงมาทานได้เลยนะคะ"

ตอนที่มาถึงผมเจอน้านวลที่เป็นแม่บ้านและน้านวลก็บอกผมเรื่องอาหารมื้อเที่ยง

"น้านวลทำอะไรทานเหรอครับ เดี๋ยวผมลงมาช่วยดีกว่า" ผมถามเพราะถ้าจะให้มาอยู่เฉยๆมันก็จะดูไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ อีกอย่างจะได้ถามน้านวลด้วยว่ามีอะไรให้ผมช่วยเรื่องงานทำบุญขึ้นบ้านใหม่พี่เติมเต็มบ้างมั้ย

"น้าว่าจะทำราดหน้า ทำผัดซีอิ๊วน่ะค่ะ" พอน้านวลบอกผมก็รู้สึกนึกอยากทานราดหน้าขึ้นมาเหมือนกัน

"ถ้างั้นเดี๋ยวผมเอาของขึ้นไปเก็บก่อนนะครับ เดี๋ยวผมลงมาช่วย"

หลังจากที่ลงไปช่วยน้านวลและจัดการกับมื้อเที่ยงเรียบร้อยก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรให้ผมทำแล้วผมก็เลยกลับขึ้นมานั่งแกร่วบนเตียงในห้องนอนพี่เติมเต็มแบบนี้ ผมหยิบมือถือขึ้นมาดู ผมไลน์บอกพี่เติมเต็มตั้งแต่ที่ผมมาถึงที่บ้านพี่เติมเต็มแล้วครับ พี่เติมเต็มตอบมาแค่ทำธุระกับป๊าม๊าเสร็จแล้วจะรีบกลับ

ผมเปิดโทรทัศน์ที่อยู่ในห้องนอนของพี่เติมเต็ม แล้วมานั่งดูรายการเกมส์โชว์อยู่สักพัก สายตาผมก็มองไปเห็นตู้สีขาวใบใหญ่ที่ผมจำได้ดีว่าเป็นตู้ที่พี่เติมเต็มใช้เก็บการ์ดและของที่ผมเคยให้ ผมลังเลใจอยู่นานพอสมควรว่าควรจะไปเปิดดูดีมั้ย เพราะเจ้าของห้องไม่อยู่แต่เพราะมีความรู้สึกบางอย่างรบกวนในใจทำให้ผมตัดสินใจไปเปิดดู


... ว่างเปล่า ...


นั่นคือสิ่งที่ผมเจอ ในตู้สีขาวใบนั้นที่มันเคยเต็มไปด้วยการ์ดของผมแต่ในตอนนี้ไม่มีเหลืออยู่เลยสักใบ ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นและผมก็ไม่ทราบว่าสิ่งของทุกอย่างในตู้ใบนี้มันหายไปไหน ผมนึกย้อนไปเมื่อช่วงก่อนที่ผมจะฝึกงานผมมานอนค้างที่นี่และยังเคยเห็นพี่เติมเต็มเอาการ์ดของผมใส่ไว้ในตู้ใบนี้ นั่นหมายความว่าของในตู้มันต้องหายไปหลังจากนั้น เพียงแต่ว่าผมไม่ทราบว่าเมื่อไหร่แค่นั้นเอง

ผมปิดตู้และกลับมานั่งอยู่บนเตียงอีกครั้ง ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ผมควรจะรู้สึกอะไรดี มันปะปนกันไปหมด

คำพูดของพี่เติมเต็มที่เมื่อวานบอกผมว่า อย่าเพิ่งให้การ์ดพี่เติมเต็มในช่วงนี้ ผมไม่รู้ว่ามันเกี่ยวกับเรื่องที่การ์ดในตู้หายไปหรือเปล่าหรือว่าพี่เติมเต็มจะเอาการ์ดของผมไปทิ้งหมดแล้ว แต่มันก็ดูจะไม่มีเหตุผลถ้าพี่เติมเต็มจะทำแบบนั้น แต่ว่า ... ช่วงหลังมาผมก็มองว่าความสัมพันธ์ของเรามันเปลี่ยนไป

เฮ้ออออออ ....พอคิดแบบนี้แล้ว ทุกๆอย่างมันก็รู้สึกแย่ไปหมด



ผมนอนคิดเอาเรื่องโน้นมาโยงใส่เรื่องนี้จนเผลอหลับไป รู้สึกตัวตื่นมาอีกทีตอนที่รู้สึกสัมผัสอุ่นๆที่แก้มของตัวเอง ผมลืมตาขึ้นมาด้วยความตกใจ

"ตกใจอะไร หืม?" เป็นพี่เติมเต็มครับที่หอมแก้มผม พอรู้ว่าเป็นพี่เติมเต็มที่กำลังนอนอยู่ข้างๆผม ผมก็โผเข้าไปนอนกอดพี่เติมเต็มทันที พี่เติมเต็มชะงักไปเลยตอนที่ผมกอดเข้าไปเต็มตัว

"เป็นอะไร" น้ำเสียงพี่เติมเต็มยังคงอ่อนโยน มือของพี่เติมเต็มลูบไปมาอยู่ที่แผ่นหลังของผม

"ผมคิดถึง" ผมตอบเสียงอู้อี้อยู่ที่แผ่นอกของพี่เติมเต็ม พี่เติมเต็มหอมที่หัวของผม ก่อนจะบอกว่า

"คิดถึงเหมือนกันครับ"

เรานอนกอดกันอยู่บนเตียงสักพัก ปฏิกิริยาบางอย่างทางร่างกายของผมมันก็เกิดขึ้น อาจจะเป็นเพราะผมไม่ได้มีอะไรกับพี่เติมเต็มนานแล้ว รวมทั้งคนที่ผมกอดอยู่คือคนที่ผมรัก และผมอยากให้เรื่องอย่างว่ามันเกิดขึ้น และถ้าความรู้สึกของผมไม่หลอกตัวเอง ตอนนี้พี่เติมเต็มเองก็รู้สึกไม่ต่างจากผม

แต่ ...

"ไปทานข้าวกันดีกว่าป๊ากับม๊ารออยู่"

ขณะที่ผมกำลังจะจูบพี่เติมเต็ม พี่เติมเต็มก็พลันลุกขึ้นจากเตียง และนั่งอยู่ปลายเตียงโดยที่ผมยังนอนอยู่บนเตียง ปฏิกิริยาแบบนี้ของพี่เติมเต็มทำให้ผมรู้สึกเจ็บจี๊ดในใจ มันเหมือนพี่เขาปฏิเสธผมและไม่อยากมีอะไรกับผม

ผมลุกขึ้นนั่งเม้มปากพร้อมทั้งมองแผ่นหลังของพี่เติมเต็มที่นั่งหันหลังอยู่ที่ปลายเตียงด้วยความน้อยใจเสียใจ

"เดี๋ยวผมขอไปล้างหน้าก่อนนะครับ" ผมบอกและรีบลงจากเตียงเดินเข้าห้องน้ำไป

ผมว่าผมน่าจะมั่นใจได้แล้วล่ะ ว่าพี่เติมเต็มไม่อยากจะมีอะไรกับผม บางทีพี่เติมเต็มอาจจะคิดได้แล้วว่าไม่ชอบในความสัมพันธ์ในรูปแบบนี้ เวลาสามปีที่คบกันมาพี่เติมเต็มคงจะรู้แล้วว่าตัวเองต้องการอะไร

ห้าปีที่ผมรักข้างเดียว
สามปีที่เป็นแฟนกัน

มันอาจจะหมดเวลาแค่นี้ก็ได้ล่ะมั้ง



ตอนที่ผมเดินออกมาจากห้องน้ำ พี่เติมเต็มมองมาทางผมพอดี ผมก็เลยยิ้มให้ และชวนพี่เติมเต็มลงไปข้างล่างเพื่อทานข้าว สีหน้าของพี่เติมเต็มไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ อาจจะกำลังคิดมากเรื่องผมหรือเปล่า

ผมอยากจะพูดออกไปนะ ว่าอย่าคิดมากเรื่องผม ถ้าอะไรๆมันจะไม่เหมือนเดิม ผมโอเค

แต่นั่นมันคือสิ่งที่คิดได้แค่ในใจครับ ผมก็ไม่ได้เข้มแข็งอะไรแบบนั้นหรอกครับ เพียงแค่ผมอยากให้พี่เติมเต็มคนที่ผมรักมีความสุข และไม่อยากให้ลำบากใจเรื่องผม


พอเดินลงมาก็เจอทุกคนในครอบครัวของพี่เติมเต็มครับ ตอนนี้ทุกคนนั่งอยู่ในห้องรับแขก ผมยกมือไหว้ทุกคนในบ้านของพี่เติมเต็ม

"สวัสดีครับ คุณลุงคุณป้า สวัสดีครับพี่ต่อพี่ขวัญ"

"มาตั้งแต่เช้าเลยใช่มั้ยจ้ะคนเก่ง" ม๊าของพี่เติมเต็มถามผม

"ใช่ครับ"  ผมตอบ

ป๊าของพี่เติมเต็มพูดคุยกับผมเล็กน้อยก่อนจะขอตัวขึ้นไปพักผ่อนข้างบน ส่วนพี่ต่อภพพี่ชายของพี่เติมเต็มก็ขอตัวไปนั่งดูหนังในห้องสตูดิโอรออาหารมื้อเย็น

"แล้วคนเก่งหิวหรือยัง" พี่ขวัญถามผม ผมมองดูเวลาที่นาฬิกาที่แขวนอยู่ผนังห้องรับแขก เกือบจะห้าโมงเย็น มันดูจะเร็วเกินไปถ้าจะทานมื้อเย็น

"ยังไม่หิวเลยครับ แต่ถ้าทุกคนหิวแล้ว ผมทานเลยก็ได้ครับ" ผมบอกด้วยความเกรงใจ

"ที่ถามเพราะพี่กลัวคนเก่งจะหิว คงต้องรออีกสักพักใหญ่เลยกว่ากับข้าวจะเสร็จ" พี่ขวัญพูดต่อ

"อ๋อ ผมยังไม่หิวหรอกครับ" ผมตอบออกไป ก่อนจะมองไปที่พี่เติมเต็มที่นั่งมองผมอยู่สักพักใหญ่ พี่เติมเต็มใช้มือขยี้ที่ผมของผมเบาๆ

"อยากทานอะไรเป็นพิเศษมั้ย" พี่เติมเต็มถามผม

"ไม่ครับ" ผมตอบพี่เติมเต็มกลับไปยิ้มๆ สายตาของพี่เติมเต็มมีความไม่สบายใจแฝงอยู่ คงจะด้วยเรื่องที่อยู่บนห้องเมื่อสักครู่นี้ ผมยิ้มให้พี่เติมเต็มเพราะไม่อยากให้พี่เขากังวลใจเรื่องของผม

"จริงสิ นวลบอกว่าชุดที่คนเก่งจะใส่วันงานเอามาส่งแล้วนะ เดี๋ยวม๊าให้เด็กเอาขึ้นไปไว้บนห้องให้" ม๊าของพี่เติมเต็มเอ่ยขึ้นมา ผมยกมือไหว้ขอบคุณม๊าของพี่เติมเต็มอีกครั้งก่อนที่จะถามเรื่องที่จะให้ผมช่วยงาน

"เห็นแม่บอกว่าคุณป้าอยากให้ผมมาช่วยงาน ไม่ทราบว่ามีอะไรให้ผมช่วยบ้างครับ บอกได้เลยนะครับคุณป้า"

ที่ผมต้องถามเพราะว่าตั้งแต่มาถึงบ้านพี่เติมเต็มก็ดูเหมือนไม่มีอะไรให้ผมทำสักเท่าไหร่ พอผมถามออกไปดูเหมือนทั้งสามคนที่นั่งอยู่กับผมจะสบตากันโดยอัตโนมัติ จนผมรู้สึกแปลกใจ

"เอาไว้พรุ่งนี้นะ พี่มีเรื่องที่จะให้คนเก่งช่วยทั้งวันเลยจ้ะ" พี่ขวัญบอกผม

"ครับ มีอะไรก็บอกได้เลยนะครับ" ผมบอก

หลังจากนั้น ม๊าของพี่เติมเต็มก็ชวนผมคุยเรื่องเกี่ยวกับโรงแรม และเรื่องทั่วไป จนกระทั่งมื้อเย็นที่ทุกคนมาทานข้าวพร้อมกันยกเว้นติวเตอร์ที่ได้ยินว่าจะกลับดึก และหลังจากที่ทานมื้อเย็นเรียบร้อยจากที่ผมคิดกังวลว่าคืนนี้ผมควรจะคุยกับพี่เติมเต็มแบบจริงจังเรื่องความสัมพันธ์ของเราดีมั้ยหรือควรจะรอก่อนดี แต่ดูเหมือนพี่เติมเต็มจะเป็นคนที่ตัดสินใจแทนผมแล้วในเรื่องนี้

เพราะพี่เติมเต็มบอกผมว่าจะนอนที่บ้านหลังใหม่จนกว่าจะถึงวันงานเพราะบ้านยังไม่เรียบร้อย ผมลอบถอนหายใจออกมาส่วนหนึ่งเป็นเพราะผมก็ยังไม่แน่ใจตัวเองว่าพร้อมที่จะรับความจริงได้มากแค่ไหน แต่ก็ยอมรับว่าผมเศร้าใจที่พี่เติมเต็มไม่นอนค้างด้วยกันกับผมที่นี่

มันเหมือนพี่เติมเต็มตัดสินใจเรื่องความสัมพันธ์ของเราไปเรียบร้อยแล้ว

"พรุ่งนี้พี่จะมาหาแต่เช้านะ" พี่เติมเต็มพูดกับผมตอนที่ผมเดินมาส่งพี่เติมเต็มที่รถ

"ครับ" ผมไม่รู้จะตอบว่าอะไรดี

"แล้วก็ ... พี่รู้นะว่าตอนนี้คนเก่งมีเรื่องกังวลในใจ เอาไว้หลังจากวันงานมีอะไรเราค่อยคุยกัน ... นะครับ" พี่เติมเต็มพูดออกมาพร้อมทั้งลูบผมและแก้มผมไปมา ผมนิ่งมองหน้าพี่เติมเต็มด้วยความรักทั้งหมดที่ผมมี

ไม่รู้ว่าผมจะยังมองพี่เติมเต็มด้วยสายตาแบบนี้ได้อีกนานแค่ไหน

"ครับ เอาไว้หลังวันงานเราค่อยคุยกันนะครับ" ผมตอบกลับไป พี่เติมเต็มดึงผมเข้าไปกอดและหอมแก้มผมย้ำๆหลายครั้ง

"พี่รักคนเก่งนะ รักมาก"

ผมกอดพี่เติมเต็มแน่นตอนที่พี่เติมเต็มพูดออกมา

"ทำไมเงียบ ไม่บอกรักพี่เหรอ" พี่เติมเต็มถามผมหลังจากที่พี่เติมเต็มพูดแล้วผมกอดพี่เติมเต็มแน่นๆโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา

"ผม ... ผมรักพี่เต็มครับ ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน ผมก็รักพี่เต็มครับ" ผมพูดออกไปพร้อมกับรู้สึกถึงก้อนสะอื้นที่มันมาจุกอยู่ที่คอ รวมทั้งรู้สึกถึงน้ำตาที่มันเริ่มจะคลอที่ดวงตา

"ขี้แย" พี่เติมเต็มพูดพร้อมกับโยกตัวผมไปมา คงเพราะได้ยินน้ำเสียงที่สั่นเครือของผม ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไปแค่กอดให้แน่นยิ่งกว่าเดิมเท่านั้น




วันต่อมา
จากที่พี่เติมเต็มบอกว่าจะเข้ามาหาผมแต่เช้า พี่เติมเต็มมาหาผมจริงครับ แต่ผมไม่ได้อยู่ที่บ้านเพราะพี่ขวัญพาผมออกมาข้างนอกตั้งแต่เช้า พี่ขวัญบอกว่าวันนี้จะให้ผมช่วยเตรียมงานที่จะมีในวันพรุ่งนี้ ผมก็ขึ้นรถออกมากับพี่ขวัญ และสถานที่ที่พี่ขวัญพาผมมาดูเหมือนว่าจะเป็นสปาที่มีชื่อเสียงในจังหวัดพอสมควร

ตอนแรกที่มาถึงผมคิดว่าพี่ขวัญจะเป็นคนที่มาทำสปา แต่ตอนที่นั่งรอเรียกคิวตามนัด ชื่อที่จองเอาไว้เป็นชื่อของผม ผมมองพี่ขวัญอย่างงงๆ พี่ขวัญบอกว่าพรุ่งนี้เป็นวันสำคัญ เพราะฉะนั้นวันนี้ผมต้องเตรียมตัว ผมรู้ว่าพรุ่งนี้เป็นวันสำคัญแต่มันก็เป็นวันสำคัญสำหรับพี่เติมเต็ม ผมไม่เคยทำสปาหรือทำอะไรแบบนี้มาก่อน ผมไม่รู้ว่าทำแล้วมันจะเป็นยังไง


"ต้องทำจ้ะ พี่จองคิวนานเป็นเดือนเลยนะ จ่ายเงินเรียบร้อยแล้วด้วย"

ตอนที่ผมยืนยันว่าผมจะไม่ทำ พี่ขวัญก็พูดแบบนี้ขึ้นมา ทำให้ผมที่ปฏิเสธคนไม่ค่อยเก่งอยู่แล้ว ยิ่งไม่รู้จะปฏิเสธอะไรออกไปได้อีก

สิ่งที่ผมเจอตลอดทั้งวันคือช่วงเช้าหมดเวลาไปกับการทำสปาผิวทรีทเม้นท์ผิว ตอนแรกผมตกใจกับการที่ต้องถอดเสื้อผ้าจนหมดเพราะนอกจากพี่เติมเต็มแล้วผมก็ไม่เคยต้องโป๊ต่อหน้าใครมาก่อน และดูเหมือนพี่ขวัญจะทราบสิ่งที่ผมกังวล พี่ขวัญบอกว่าพนักงานที่นี่มีความเป็นมืออาชีพมาก แต่เพื่อความสบายใจและสะดวกใจของผม พี่ขวัญเลือกคนที่มาทำสปาให้เป็นผู้ชายที่อายุค่อนข้างเยอะและมีประสบการณ์สูง ถึงแม้จะลดความกังวลลงไปได้บ้าง แต่มันก็ไม่เต็มร้อยหรอกครับ

หลังจากการทำสปาผิวสปาตัวผ่านไป ก็มีทำสปาผมและสปาหน้าทรีทเม้นท์หน้า ซึ่งเวลาทั้งวันของผมหมดไปกับการเสริมหล่อตามที่พี่ขวัญบอก และตามความรู้สึกผมคือผมยังมองไม่เห็นประโยชน์ของการทำอะไรแบบนี้เลย แต่ก็ต้องยอมรับครับว่าพอทำออกมาแล้วดูเหมือนผิวผมจะดูใสและดูสว่างขึ้น

"ขนาดโปรแกรมเร่งรัดนะเนี่ย ออร่ามากเลยคนเก่ง พร้อมสำหรับพรุ่งนี้แล้วล่ะ คุ้มค่ากับเงินที่เสียไป" พี่ขวัญพูดออกมาด้วยความพอใจ ตอนที่เห็นผมเดินออกมา

"พรุ่งนี้ยังไงผมก็ต้องใส่เสื้อสูทอยู่ดี ใครจะมองเห็นล่ะครับพี่ขวัญ จริงๆแล้วไม่จำเป็นต้องทำเลย สิ้นเปลืองเปล่าๆ" ผมพูดอย่างที่ใจคิดเพราะพรุ่งนี้วันงานผมต้องใส่ชุดสูทอยู่แล้ว พี่ขวัญหัวเราะออกมาเบาๆอย่างชอบใจ ก่อนจะบอกว่า

"อยากให้บางคนเห็นหลังจากงานเสร็จแล้วมากกว่า"

ผมไม่เข้าใจที่พี่ขวัญพูดแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก หลังจากนั้นพี่ขวัญก็ขับรถกลับมาที่บ้าน ผมกลับมาถึงบ้านพี่เติมเต็มเกือบหนึ่งทุ่ม ระหว่างที่นั่งรถกลับมาผมก็ตอบไลน์พี่เติมเต็มไปด้วย เพราะตอนที่ทำสปาอยู่ผมไม่ได้ดูโทรศัพท์มือถือเลย ช่วงแรกๆพี่เติมเต็มก็โทรเข้ามาหลายสาย และพอผมไม่รับสายก็ไลน์เข้ามา พอเห็นผมไม่ตอบก็คงจะถามพี่ขวัญว่าพาผมมาทำอะไร เพราะข้อความหลังๆมาบอกแค่ว่าถ้าเสร็จแล้วให้โทรหาด้วย


konkengg : กำลังกลับบ้านแล้วครับ
konkengg : เพิ่งเสร็จ


ผมไลน์บอกพี่เติมเต็มไปแบบนี้ และพี่เติมเต็มก็ตอบกลับมาทันที

teimtem : กลับบ้านพี่ใช่มั้ย

konkengg : ใช่ครับ

teimtem : ถึงบ้านแล้วโทรหาพี่ด้วยนะ

konkengg : ครับ

หลังจากนั้นประมาณสิบนาที พี่ขวัญก็ขับรถมาถึงที่บ้านพี่เติมเต็ม พอเดินเข้ามาในบ้านก็เจอป๊าม๊าพี่ชายน้องชายของพี่เติมเต็มนั่งคุยกันอยู่ และเหมือนพอผมเดินเข้ามาทุกคนดูจะเงียบกันไปทันที

"เป็นไงคะทุกคน" พี่ขวัญพูดพร้อมกับผายมือมาทางผม จนผมรู้สึกเขินที่ทุกคนมองผม

"ไหนคนเก่งมานั่งข้างๆม๊าสิลูก" ม๊าของพี่เติมเต็มลุกขึ้นมาจับแขนผมและดึงผมไปนั่งที่โซฟาตัวเดียวกัน

"ปกติคนเก่งผิวก็ดีอยู่แล้ว พอแบบนี้ดูสิผิวขาวขึ้นใสขึ้นเลยลูก แล้วดูสิจับแล้วเนียนนุ่มด้วย หน้าก็ใสปิ๊งเลย" ผมรู้สึกเขินกับคำพูดของม๊า

"แล้วทานอะไรกันมาหรือยัง ไปหาอะไรทานกันก่อนไป ทางนี้ทานเรียบร้อยกันแล้ว" ป๊าของพี่เติมเต็มพูดขึ้นมา

"ยังเลยครับ" ผมตอบ ก่อนที่ติวเตอร์จะเป็นคนชวนผมไปนั่งทานข้าวด้วยกันเพราะติวเตอร์เองก็ยังไม่ทาน ส่วนพี่ขวัญบอกว่าขอตัวเพราะกลัวพรุ่งนี้ใส่เสื้อผ้าไม่สวย ของดมื้อเย็นวันนี้ดีกว่า

"เดี๋ยวพี่ขอโทรหาพี่เต็มก่อนนะ" ผมบอกติวเตอร์ที่เดินนำผมมาที่โต๊ะทานข้าว


ผมเดินเลี่ยงมาตรงประตูเล็กข้างห้องทานข้าวที่เปิดออกไปแล้วจะมีบ่อเลี้ยงปลาคาร์ฟเล็กๆอยู่


(ถึงบ้านแล้วใช่มั้ย) พี่เติมเต็มถามผมทันทีที่รับสาย

"ถึงสักพักแล้วครับ พอดีนั่งคุยกับป๊าม๊าพี่เต็มอยู่" ผมตอบ

(พี่ขวัญแย่งคนเก่งไปจากพี่ทั้งวันเลยนะ วันนี้พี่ตั้งใจจะอยู่กับคนเก่งทั้งวันแท้ๆ) ได้ยินพี่เติมเต็มพูดแบบนี้แล้ว ผมรู้สึกเหมือนผมได้พี่เติมเต็มคนเดิมกลับมา

"ผม .. คิดถึงพี่เต็มนะครับ" ผมบอกในสิ่งที่ผมคิดอยู่ในตอนนี้

(พี่ก็คิดถึง) พี่เติมเต็มตอบผมกลับมา หลังจากนั้นเราทั้งสองคนก็ต่างคนต่างเงียบ

(ตื่นเต้นอ่ะ) อยู่พี่เติมเต็มก็พูดขึ้นมา

"ตื่นเต้นอะไรครับ"

(ก็ .... ตื่นเต้นเรื่องพรุ่งนี้อ่ะ ไม่รู้คืนนี้จะนอนหลับมั้ย)

น้ำเสียงของพี่เติมเต็มดูจะตื่นเต้นมากจริงๆครับ

"อย่านอนดึกนะครับพี่เต็ม พรุ่งนี้เป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่งของพี่เต็มเลยนะครับ ถ้านอนน้อยเดี๋ยวพรุ่งนี้จะเพลียนะครับ" ผมบอกพี่เติมเต็มด้วยความเป็นห่วง

(คนเก่งก็อย่านอนดึกนะรู้มั้ย พรุ่งนี้คนเก่งก็น่าจะเหนื่อยไม่ต่างไปจากพี่)

"ครับ คืนนี้ตั้งใจว่าจะนอนเร็วเพราะพี่ขวัญบอกกำหนดการมา พรุ่งนี้คงต้องตื่นเร็ว" ผมบอกพี่เติมเต็ม

พี่ขวัญบอกผมตอนที่นั่งรถกลับมาจากสปาว่าพรุ่งนี้ต้องไปถึงที่บ้านใหม่ของพี่เติมเต็มตอนตีห้า และพี่ขวัญนัดช่างแต่งหน้าทำผมมาตอนตี่สี่ซึ่งตอนแรกผมเข้าใจว่าพี่ขวัญนัดช่างมาแต่งหน้าทำผมให้ตัวเอง แต่พี่ขวัญบอกว่านัดมาให้ผมต่างหาก

ผมคุยกับพี่เติมเต็มอีกสักพักก่อนจะวางสาย ผมเดินกลับเข้ามาที่โต๊ะทานข้าว พอเห็นว่าติวเตอร์นั่งรอทานข้าวพร้อมผมอยู่ก็ทำให้ผมตกใจเล็กน้อยเพราะลืมไปจริงๆว่าติวเตอร์รออยู่

"โทษทีติวเตอร์" ผมรีบเอ่ยขอโทษติวเตอร์

"ไม่เป็นไรครับ คุยกับแฟนก็แบบนี้แหละ" ติวเตอร์พูดออกมายิ้มได้ ผมก็ยิ้มตอบกลับไปแต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป

หลังจากที่ทานมื้อเย็นเรียบร้อย ผมก็ขึ้นไปที่ห้องนอนของพี่เติมเต็ม ผมโทรคุยกับแม่และป้าเล็กน้อย ก่อนที่จะนัดเวลาที่จะเจอกัน หลังจากวางสายผมก็เข้าไปอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อจะเตรียมตัวนอน

พอเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จผมก็มายืนมองดูชุดสูทที่ผมจะต้องใส่ในวันพรุ่งนี้ หลังจากนั้นผมก็ชาร์จแบตฯโทรศัพท์มือถือ ปิดไฟและขึ้นไปนอนบนเตียง


konkengg : ฝันดีนะครับ
konkengg : ❤️


ก่อนนอนผมหยิบโทรศัพท์มือถือและส่งไลน์หาพี่เติมเต็ม ก่อนที่จะล้มตัวลงนอน

และถ้าผมรออีกสักประมาณห้านาที ผมจะเห็นสเตตัสในเฟซบุ๊กของพี่เติมเต็ม



Teimtem Paisanworrakit

     วันสุดท้ายกับสถานะแฟน



ซึ่งดีแล้วที่ผมไม่เห็นสเตตัสนี้เพราะมันคงทำให้ผมนอนไม่หลับทั้งคืน





TBC.
#เติมเต็มรัก
ninewara✿

◕ พรุ่งนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นน๊าา

ออฟไลน์ ninewara

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
✿ เติมเต็มรัก ✿ ครั้งที่ 39


[เติมเต็ม part]


เมื่อสามปีก่อนที่ผมถามคนเก่งเรื่องแต่งงาน คำตอบที่ผมได้รับจากน้องก็ไม่ได้ต่างจากที่ผมคิดสักเท่าไหร่ ผมเป็นแฟนกับคนเก่งมาสามปีทำไมผมจะไม่รู้ว่าคนเก่งคิดอะไรอยู่ มันไม่ใช่ว่าน้องไม่อยากแต่งงานกับผม แต่สิ่งที่คนเก่งกำลังแคร์นั่นคือครอบครัวผมและสถานะทางสังคมของครอบครัวผม ผมเคยปรึกษาป๊ากับม๊าเรื่องที่ผมอยากแต่งงานกับคนเก่ง ซึ่งป๊ากับม๊าให้ผมเป็นคนที่ตัดสินใจเองเพราะในที่สุดแล้วมันก็คือชีวิตของผม

ตอนที่ผมเรียนปีสุดท้าย ผมตัดสินใจอย่างจริงจังและคุยกับป๊าม๊าอีกครั้งเรื่องที่ผมจะแต่งงานกับคนเก่ง ผมรู้ดีว่าการแต่งงานมันหมายถึงเราต้องพร้อมที่จะดูแลใครอีกคนไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ต้องพร้อมที่จะแชร์ทุกอย่าง ทั้งความสุขและความทุกข์ ถึงแม้คนเก่งจะไม่ใช่ผู้หญิง แต่ผมก็อยากให้เกียรติเขาในฐานะคนรักของผม

และสิ่งที่สำคัญที่สุดในใจผมคือผมอยากมีคนเก่งอยู่ในชีวิตของผมตลอดไป


หลังจากที่ตัดสินใจเรื่องแต่งงาน แพลนหลายอย่างในชีวิตผมเปลี่ยนไป สิ่งแรกที่ผมทำเลยคือผมพาคนเก่งไปดูที่ดินที่อยู่แถวบ้านผมมันเป็นที่ดินเปล่าขนาดใหญ่ ผมตั้งใจว่าจะซื้อที่ตรงนี้เพื่อจะสร้างเป็นเรือนหอของผมกับคนเก่ง ผมชอบที่ดินตรงนี้นะและผมคิดว่าคนเก่งเองก็น่าจะชอบ เพราะครอบครัวคนเก่งมีแค่แม่กับป้า และคนเก่งเองก็เป็นห่วงแม่กับป้ามาก ถ้าสร้างบ้านตรงนี้ก็ไม่ไกลจากบ้านของแม่กับป้าคนเก่ง เพราะมันอยู่ตรงกลางระหว่างบ้านของเราทั้งคู่ ... เพียงแค่คนเก่งยังไม่ทราบเท่านั้นเองว่าผมสร้างเรือนหอ


เรื่องต่อมาที่ผมต้องทำคือผมตัดสินใจบวชเพื่อทดแทนบุญคุณป๊าม๊าทันทีที่เรียนจบ ตอนนั้นป๊ากับม๊าแซวผมใหญ่ว่าท่าทางจะอยากเบียดมากเลยต้องรีบบวช คนเก่งเองก็แปลกใจที่อยู่ๆผมบอกน้องว่าผมจะบวช เพราะผมเคยคุยกับคนเก่งว่าอีกสักสี่ห้าปีถึงจะบวช

หลังจากที่สึกออกมา สิ่งที่ผมต้องทำต่อมาคือเรื่องงาน ป๊ากับม๊าลงทุนทำธุรกิจให้ผมก้อนหนึ่ง โดยเป็นการต่อยอดขยายธุรกิจเดิมของครอบครัวออกมาอีกโซนหนึ่งเพื่อให้ได้ลูกค้าเพิ่ม

ช่วงที่คนเก่งมาฝึกงานที่โรงแรมในเครือของครอบครัว ป๊าและม๊าผมท่านก็พาคนเก่งไปออกงานพบปะลูกค้าด้วยบ้าง โดยม๊าจะเริ่มแนะนำให้ลูกค้าที่สนิทสนมให้รู้จักคนเก่งในฐานะแฟนของผม เพราะม๊าเองก็อยากจะทราบว่าลูกค้าที่เป็นลูกค้าประจำหรือใช้บริการกับทางโรงแรมเราบ่อยๆจะมีฟีดแบ็กกลับมายังไง ซึ่งเท่าที่ม๊าบอกมายังไม่เจอฟีดแบ็กอะไรที่มันไม่ดี ม๊าบอกม๊าได้รับคำชมด้วยซ้ำว่าใจกว้างและไม่ปิดกั้นในเรื่องเพศ

ช่วงที่คนเก่งเข้าไปฝึกงานที่โรงแรมเป็นช่วงเวลาที่คนเก่งกับผมค่อนข้างที่จะยุ่งมากเพราะน้องฝึกงานตลอดวันจันทร์ถึงเสาร์ ส่วนผมไม่มีเวลายิ่งกว่าเพราะทั้งเรื่องบริษัทที่เปิดใหม่ ทั้งเรื่องสร้างเรือนหอเพราะผมเป็นคนที่คิดและพยายามออกแบบในสิ่งที่คิดว่าน้องจะชอบ

หลังจากนั้นผมก็ให้ป๊าม๊าพาผมเข้าไปพูดคุยกับแม่และป้าของคนเก่งเพื่อให้ป๊าม๊าทาบทามและสู่ขอคนเก่งให้ผม ... พอนึกถึงตอนนั้นแล้วเขินชะมัด วันนั้นแม่และป้าของคนเก่งตกใจมากครับเพราะไม่คิดว่าผมจะมาขอน้องแต่งงาน ท่านทั้งสองบอกว่าไม่ได้คิดว่าผมจะไม่จริงจังกับคนเก่งนะ เพียงแค่ไม่คิดว่าผมจะจริงจังถึงขนาดต้องแต่งงาน วันนั้นม๊าผมถามถึงเรื่องสินสอดว่าทางแม่กับป้าคนเก่งคิดว่าเท่าไหร่จึงจะเหมาะสม ซึ่งท่านก็ตอบม๊าผมว่าขอแค่รักและดูแลคนเก่งให้ดี สินสอดในรูปแบบของเงินทองท่านไม่ต้องการ แต่ป๊าม๊าก็บอกว่าจะจัดสินสอดให้ตามความเหมาะสม

ผมยอมรับว่าช่วงสองสามเดือนมานี้ผมทำให้คนเก่งน้อยใจผมค่อนข้างมาก แต่เพราะมันเป็นช่วงที่ผมต้องเร่งงานในทุกๆอย่างเพื่อให้ทันกับฤกษ์วันแต่งงานที่ม๊าไปขอฤกษ์มาจากหลวงพ่อวัดที่ผมไปบวช ซึ่งท่านบอกว่าถ้าเลยฤกษ์นี้ไป ก็ต้องรอไปอีกประมาณหนึ่งปี ซึ่งผมไม่อยากจะรอนานขนาดนั้น

ยิ่งในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เป็นช่วงที่ทรมานกายและใจสำหรับผมมาก เพราะม๊าบอกว่าม๊าไปดูดวงมาให้ผม เขาบอกว่าถ้าอยากอยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่าห้ามผมมีเซ็กส์กับแฟนจนกว่าจะถึงคืนแต่งงานตามฤกษ์ ตอนที่ผมได้ยินผมได้แต่ค้านหัวชนฝา เพราะผมว่ามันยากเกินไปสำหรับผม แค่น้องแตะตัวผมนิดๆหน่อยๆผมก็ไปหมดแล้วครับ แต่พี่ขวัญพี่สะใภ้ผมก็บอกว่าหมอดูคนนี้เป็นหมอดูที่ม๊านับถือมาก ลองเชื่อดูก็ไม่น่าจะเป็นอะไร ดีกว่าเสี่ยงที่ต้องเลิกกัน

ผมเป็นคนไม่ค่อยเชื่อเรื่องหมอดูอะไรพวกนี้เท่าไหร่ แต่ผมก็ไม่อยากที่จะลบหลู่ ผมก็เลยยอมเนียนๆทำตามที่ม๊าบอก ตอนแรกม๊าไม่ทราบหรอกครับว่าผมทำตาม แต่พอผมกลับมานอนที่บ้านบ่อยรวมทั้งไปนอนที่บ้านพี่ต่อภพพี่ชายเป็นประจำ ม๊าก็ทราบ และในที่สุดทั้งบ้านก็ทราบกันหมดว่าผมทำตามที่หมอดูแนะนำ ป๊าเจอผมป๊ายังหัวเราะเลยครับ บอกว่าผมโดนม๊าแกล้งแต่ม๊าก็แย้งกลับมาว่าให้ไปถามหมอดูเลย

ช่วงสองเดือนแรกผมไม่มีเวลาให้น้อง แต่เรื่องเซ็กส์เราก็ไม่เคยขาด ช่วงนั้นเราเจอกันบ้างไม่เจอบ้าง คนเก่งมีท่าทีน้อยใจบ้างแต่ดูเหมือนไม่ได้น้อยใจใหญ่โตอะไร แต่ช่วงเดือนหนึ่งที่ผ่านมาค่อนข้างหนักเลยน่ะผมว่า เพราะเป็นตัวผมเองที่จะเลี่ยงไม่เจอ ไม่อยากอยู่กับน้องสองต่อสอง เพราะถ้าผมอยู่กับน้องเรื่องเซ็กส์มันจะไม่เกิดขึ้นได้ยังไงล่ะครับ ยิ่งช่วงหลังมาผมไม่รู้คนเก่งไปสรรหาศึกษาวิธีทำให้ผมมีความสุขมาจากไหน จนผมยอมรับว่าบ่อยครั้งที่ผมรอคอยการมีเซ็กส์ครั้งต่อไปกับคนเก่งตลอด

แต่หนึ่งเดือนที่ผ่านมาผมได้เห็นแววตาที่น้อยใจของคนเก่งนับครั้งไม่ถ้วนทุกครั้งที่ผมแสดงท่าทีออกมาว่าไม่อยากมีเซ็กส์กับน้อง จนอย่างที่บอกสุดท้ายเลือกที่จะไม่ค้างที่คอนโดเพราะผมไม่อยากเห็นแววตาตัดพ้อของคนเก่งบ่อยๆ และเมื่อวันก่อนที่ผมกับน้องนอนกอดกันอยู่บนเตียง ผมรู้ว่าเราทั้งคู่ต่างก็รู้สึก แต่ผมยังทำแบบนั้นไม่ได้ ตอนที่คนเก่งกำลังจะจูบผม ผมก็เลยต้องรีบตัดใจและลุกออกมาให้ห่างจากตัวน้อง และพยายามที่จะไม่มองสายตาที่เสียใจของน้อง แต่คนเก่งก็คือคนเก่งที่น้องยังคงยิ้มให้ผมเสมอแม้ว่าตัวเองกำลังน้อยใจ

ม๊าและแม่กับป้าของคนเก่งเป็นคนที่จัดการเรื่องฤกษ์ในการแต่งงานของผมกับคนเก่ง เพราะพอเรือนหอตกแต่งใกล้จะเสร็จเรียบร้อย ผมก็เรียนให้ม๊าและแม่กับป้าของคนเก่งไปหาฤกษ์ดีๆในผมหน่อย โดยผมขอให้ทุกคนไม่ต้องบอกคนเก่งเพราะผมอยากจะเซอร์ไพรส์น้อง ผมก็เลยคิดมุขเรื่องทำบุญขึ้นบ้านใหม่มาอ้าง คนเก่งขอมาดูที่เรือนหอบ่อยครับแต่ผมก็เลี่ยงมาตลอดเพราะถ้าคนเก่งมามันก็ไม่เซอร์ไพร์สน่ะสิครับ

พิธีแต่งงานที่ผมคุยกับทางผู้ใหญ่ไว้ก็ไม่ได้มีอะไรมากครับแค่มีพิธีสงฆ์ในช่วงเช้าเท่านั้นเพื่อเป็นสิริมงคลกับชีวิตคู่ของเรา และเพื่อไม่ให้คนเก่งแปลกใจด้วย แต่อันที่จริงสำหรับคนอื่นอาจจะแปลกใจตั้งแต่ที่ให้ไปลองชุดสูทแล้ว แต่คนเก่งเป็นคนแบบนี้ล่ะครับ ไม่ค่อยสงสัยหรือถามอะไรเท่าไหร่ ให้ทำอะไรก็ทำ

เมื่อวานนี้ ผมตั้งใจเอาไว้ว่าจะขอใช้เวลาพาคนเก่งไปทานข้าวหรือดูหนังเดินเล่นกันสองคนก่อนที่จะถึงวันสำคัญ แต่พอผมตื่นมาผมเจอข้อความไลน์จากพี่ขวัญบอกว่าวันนี้ขอยืมตัวคนเก่งหนึ่งวันจะพาไปเสริมความหล่อ ตอนแรกผมยังไม่เข้าใจจนคนเก่งบอกว่าพี่ขวัญพาไปทำสปา ผมไม่ทราบรายละเอียดในการทำรู้แค่ว่าเมื่อวานนี้คนเก่งหายไปทั้งวัน ช่วงบ่ายผมแวะเข้าไปที่ร้านสปาที่พี่ขวัญบอก แต่เจอแค่พี่ขวัญที่นั่งดื่มชาเย็นและขนมเค้กรออยู่ตรงร้านที่ติดกันกับร้านสปา ผมหงุดหงิดนิดหน่อยที่ไม่เจอคนเก่ง และอยากจะรอเจอน้องแต่พี่ขวัญบอกว่าให้รอเจอน้องพรุ่งนี้เลย ผมมองดูเวลา ผมต้องเข้ามาดูความเรียบร้อยที่เรือนหออีกรอบ ผมก็เลยต้องตัดใจไม่เจอคนเก่งในวันนี้ พอผมขับรถออกมาได้ไม่นานพี่ขวัญก็ส่งข้อความทางไลน์มาหาผมว่า


porkwan : ถือว่าเป็นของขวัญแต่งงานจากพี่ต่อและพี่นะ


ผมอ่านด้วยความไม่เข้าใจในตอนแรก แต่ก็คงจะหมายถึงเรื่องที่พาคนเก่งมาทำสปา เพราะเท่าที่ทราบราคาก็หลักหมื่นครับ แต่พอได้มาเจอคนเก่งเช้านี้ ผมเข้าใจคำว่าของขวัญแต่งงานของพี่ชายและพี่สะใภ้ผมแล้วครับ

คนเก่งมาถึงที่เรือนหอตอนตีห้า ตอนที่ผมเห็นน้องเดินเข้ามาในบ้านผมยอมรับว่าผมมองน้องไม่วางตาเลยครับ คนเก่งอยู่ในชุดสูทสีครีมผมถูกเซ็ทอย่างดีเผยให้เห็นใบหน้าของคนเก่งชัดเจน พอผมเดินเข้ามาใกล้ๆน้อง ทำให้ผมเห็นว่าคนเก่งแต่งหน้าอ่อนๆมาด้วย แต่ผมว่าน้องไม่ได้ดูเด่นหรือดูดีขึ้นเพราะการแต่งหน้าหรือทำผม แต่มันมีอะไรบางอย่างที่น้องดูเปลี่ยนไป ผมหมายถึงคนเก่งดูดีขึ้น ดูมีเสน่ห์มากขึ้น

คนเก่งเองก็มองดูผมด้วยสายตาที่ชื่นชมจนปิดไม่มิด ผมเคยบอกแล้วใช่มั้ยครับว่าผมชอบสายตาของคนเก่งที่มองผมด้วยสายตาที่หลงใหล ผมใส่ชุดสูทสีเดียวกับคนเก่งครับ แตกต่างกันที่ดีไซน์นิดหน่อยแต่ถ้าดูก็รู้ว่าเป็นชุดสูทที่ใส่คู่กัน

ผมเห็นสายตาของคนเก่งที่มองไปทั่วบ้านด้วยความตื่นเต้นผมก็อดที่จะรู้สึกว่าหัวใจมันพองโตขึ้นมาไม่ได้ อยากพาน้องเดินชมบ้านจริงๆครับ

คนที่มาร่วมงานพิธีสงฆ์ในตอนเช้า นอกจากครอบครัวผมและครอบครัวของคนเก่งแล้ว ก็มีเพื่อนในกลุ่มผม ไอ้ธาวิน ฟูจิ และส้มส้มกับแฟน นอกนั้นก็จะเป็นพนักงานของบริษัทออแกไนซ์ซึ่งเป็นบริษัทเพื่อนของพี่ขวัญที่ช่วยดูแลงานให้

"เพิ่งรู้ว่าพี่เต็มชวนฟูจิกับส้มส้มมาด้วย สองคนนั้นไม่เห็นบอกอะไรผมเลย รวมทั้งพี่เต็มด้วยไม่เห็นบอกผมเลย" คนเก่งถามผม หลังจากที่คนเก่งเดินไปทักทายเพื่อนเสร็จ ผมชอบน้ำเสียงงอนๆแบบนี้ของน้องจัง

"อย่างอนนะครับ พี่แค่อยากเซอร์ไพรส์คนเก่งเท่านั้น" ผมบอกและตามมาด้วยสีหน้าที่งงๆของน้องที่คงจะสงสัยว่าทำไมจะต้องเซอร์ไพรส์เจ้าตัวด้วย

"ทำไมต้องเซอร์ไพร์สล่ะครับ แต่ว่าทำไมแขกน้อยจังเลยครับ ตอนแรกผมคิดว่าต้องมีผู้ใหญ่มากันเยอะแน่เลย" คนเก่งถาม

"พี่เชิญแค่คนที่สนิทน่ะ พี่อยากให้เป็นส่วนตัวหน่อย" ผมบอกน้องซึ่งคนเก่งก็แค่พยักหน้ารับรู้ไม่ได้ถามอะไรอีก

เพื่อนสนิทผมและเพื่อนสนิทคนเก่งทุกคนรู้เรื่องที่ผมจะจัดงานวันนี้รวมถึงเซอร์ไพร์สคนเก่งด้วย ซึ่งผมต้องขอบคุณทุกคนมากจริงๆที่ทุกคนปิดเงียบไม่บอกอะไรคนเก่งเลย แม้แต่ฟูจิและส้มส้มที่คนเก่งเคยไปปรึกษาเรื่องที่ผมดูแปลกไป ทั้งสองคนก็ใจแข็งไม่บอกคนเก่งถึงแม้ว่าจะสงสารเพื่อนก็ตาม


"กว่าจะมาได้นะมึง" ผมทักไอ้บุ๊คกับไอ้โจ้ที่เดินเข้ามาในบ้านผมมองดูเวลาตอนนี้ตีห้าครึ่ง คนเก่งมองทั้งสองคนด้วยความแปลกใจก่อนจะยกมือไหว้ไอ้บุ๊ค

"ทันเวลาน่า คนเก่งดูน่ารักขึ้นหรือเปล่าเนี่ย" พอพูดกับผมเสร็จไอ้บุ๊ค มันก็พูดกับคนเก่งทันที

"แฟนกู เดี๋ยวกูชมเอง พูดอะไรดูหน้าเมียมึงด้วย" ผมบอกเพราะเห็นไอ้โจ้ยืนหน้างออยู่

"ไอ้อ้วนพากูไปหาอะไรกินหน่อย" ไอ้โจ้จับแขนคนเก่งและกำลังจะดึงแขนคนเก่งเดินออกไป

"เดี๋ยว!" ผมพูดพร้อมกับแกะมือของไอ้โจ้ที่จับแขนคนเก่งไว้

"ไม่ต้องจับ เดินไปด้วยกันเฉยๆก็พอ" ผมบอกไอ้โจ้ ก่อนที่มันจะส่งยิ้มกวนประสาทให้ผม

"ก็ได้ครับเฮีย ไปกันเถอะไอ้อ้วน กูมีความลับบางอย่างจะบอก" ดูมันครับ

"เออๆจะจับก็จับ แต่แค่นี้พอนะ" ผมบอกกลับไปในขณะที่คนเก่งมองผมกับไอ้โจ้สลับไปมาอย่างไม่เข้าใจ ไอ้โจ้ส่งยิ้มเหมือนเอาชนะผมได้ก่อนจะจับแขนคนเก่งอีกครั้ง

"โจ้ก็รู้ใช่มั้ยว่าพี่ไม่ชอบให้แตะตัวผู้ชายคนอื่น" เสียงไอ้บุ๊คพูดขึ้นมาทำให้ไอ้โจ้ชะงักก่อนจะปล่อยแขนคนเก่ง

"นี่ไอ้อ้วนน่ะ คนอื่นที่ไหน" ไอ้โจ้มันแย้งขึ้นมา

"ผู้ชายมั้ย?" ไอ้บุ๊คถามกลับ

"ผัวมันก็ยืนอยู่นี่" ไอ้โจ้บอกพร้อมกับชี้มาที่ผม

"ผัวโจ้ก็ยืนอยู่นี่เหมือนกันครับ" ไอ้บุ๊คบอกเสียงเย็นๆ

"ไปดีกว่า ปะ ไอ้อ้วน" ไอ้โจ้พูดก่อนจะหันไปชวนคนเก่งเหมือนตัดบทสนทนา

"ขี้หวงน่ะมึงน่ะ" ผมแซวไอ้บุ๊ค

"แน่ใจนะว่าหมายถึงกูคนเดียว" ไอ้บุ๊คมันย้อนผม


ผมจ้างให้ไอ้บุ๊คมาเป็นช่างภาพในงานครับเพราะไอ้บุ๊คมันรับถ่ายภาพแบบเต็มตัวช่วงสองปีที่ผ่านมา มันเปิดเพจและมีผลงานดีๆออกมาพอสมควรทำให้ลูกค้ามันค่อนข้างเยอะเหมือนกัน ผมเลยตัดสินใจจ้างคนกันเองดีกว่าอย่างน้อยถึงมันจะเป็นเพื่อนผมแต่มันก็มืออาชีพ และผมก็ยังคงประทับใจกับผลงานที่มันถ่ายให้ผมเมื่อวันที่ผมขอคนเก่งเป็นแฟนได้อยู่

"แล้วมึงมากี่คนว่ะ" ผมถามเพราะผมรู้ว่ามันจะมีทีมงานมาด้วย

"มีผู้ช่วยมาอีกสองคน กำลังเตรียมอุปกรณ์ เดี๋ยวกูเดินไปดูก่อน" ไอ้บุ๊คบอกก่อนที่ผมจะเห็นมันเริ่มถ่ายภาพเก็บบรรยากาศในงาน

จนเวลาผ่านไปสักพัก พระเก้ารูปที่นิมนต์มาจากวัดใกล้บ้านก็มาถึงหลังจากนั้นก็เข้าสู่พิธีสงฆ์อย่างจริงจัง

ตอนที่กำลังจะเริ่มพิธี น้องมีสีหน้าแปลกใจจนเห็นได้ชัดตอนที่ผมกับน้องเริ่มจุดธูปเทียน ผมว่าน้องคงจะต้องเริ่มคิดบ้างแล้วล่ะว่าทำไมมีแต่ผมกับน้องที่ทำพิธีตามที่ออแกไนซ์บอก

ใช้เวลาผ่านไปพอสมควร ต่อมาผมกับคนเก่งก็มาถึงช่วงตักบาตรร่วมกัน เป็นอีกช่วงเวลาที่คนเก่งมองไปรอบตัวด้วยความสงสัยที่ไม่มีใครมาร่วมตักบาตรด้วยเลย

หลังจากผ่านขั้นตอนต่างๆจนถึงขั้นตอนรับพรจากพระสงฆ์เรียบร้อยโดยรวมถือว่าเสร็จพิธีสงฆ์ครับ

"พี่เต็มครับ ผมว่าพิธีมันดูแปลกๆนะครับ" คนเก่งถามผม

"แปลกยังไงครับ" ผมถาม คนเก่งขมวดคิ้วเหมือนกำลังคิดว่ามันแปลกยังไง

"ก็ทุกอย่างเลยครับ ดูสิทำไมมีเราสองคนที่นั่งเก้าอี้ด้านหน้าสุด มันเหมือน ... คือมันไม่เหมือนทำบุญขึ้นบ้านใหม่เลยครับ" คนเก่งพูดออกมา และถ้าผมไม่พูดความจริงกับคนเก่งตอนนี้ บางทีพอถึงเวลาที่จะสวมแหวน งานผมอาจจะล่มก็ได้
ผมมองดูเวลาซึ่งโดยรวมผมถือว่ายังพอมีเวลาเหลือที่จะอธิบายกับคนเก่ง

ผมหันไปมองผู้ใหญ่และทุกคนที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ด้านหลัง ผมเดินไปบอกทุกคนว่าขอเวลาคุยกับคนเก่งสักครู่ แต่ให้ทุกคนเตรียมงานขั้นตอนต่อไปได้เลย ผมเดินกลับมาหาคนเก่งและจูงมือน้องไปคุยกันอีกห้องหนึ่ง ซึ่งห้องนี้ผมทำเป็นห้องหนังสือและห้องทำงาน


"ห้องสวยจังครับ"

คนเก่งเอ่ยชมทันทีที่เข้ามาในห้อง และน้องก็หันมามองผมพร้อมกับทำตาโต เพราะน้องมองเห็นกรอบรูปบานใหญ่ที่ติดอยู่ที่ผนังห้อง มันเป็นรูปคู่ของผมกับคนเก่งครับ เป็นรูปที่เราถ่ายเซลฟี่กัน รูปมันอาจจะไม่ได้สวยอะไรมากแต่ผมชอบทุกรูปที่มีคนเก่งอยู่ด้วยและทุกห้องในบ้านหลังนี้ รวมถึงหลายๆพื้นที่ในบ้านก็จะมีกรอบรูปแบบนี้ติดอยู่


"พี่เต็ม .. นี่คือ" คนเก่งถามผมออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่แน่ใจ

ผมหยิบมือถือของผมขึ้นมา และกดเข้าไปที่แอพฯเฟซบุ๊ก ก่อนจะยื่นหน้าจอที่แสดงสเตตัสล่าสุดของผมที่โพสต์เมื่อคืนให้คนเก่งดู สเตตัสนี้ของผมสร้างความแปลกใจ ตกใจ และประหลาดใจให้กับหลายคนมากจริงๆครับ ส่วนใหญ่คิดว่าผมกับคนเก่งเลิกกันแล้ว มีแฟนคลับของผมหลายคนที่ยังคงติดตามผมอยู่แม้ผมจะเรียนจบแล้ว คอมเม้นท์บอกว่าไม่น่าเชื่อว่าผมจะเลิกกับคนเก่ง และมีอีกหลายคนถึงกับบอกว่าจะเลิกติดตามผมถ้าผมเลิกกับน้อง

ผมมองดูสีหน้าของคนเก่งหลังจากที่น้องเห็นสเตตัสของผม รู้เลยว่าน้องยังไม่ได้เห็นสเตตัสนี้ ผมรู้สึกว่าน้องมือสั่นอย่างเห็นได้ชัด

"คนเก่งยังไม่เห็นใช่มั้ย" ผมถาม

" ... ยังครับ ตั้งแต่ตื่นมา ยังไม่ได้จับมือถือเลย" ผมเห็นน้องใช้มือจับไปตามกระเป๋ากางเกง ดูเหมือนว่าน้องอาจจะลืมเอามือถือมาหรืออาจจะเก็บไว้ในกระเป๋าเป้ที่พกเป็นประจำ

"แล้วรู้มั้ยว่า ... สเตตัสของพี่หมายความว่ายังไง" ผมถาม

คนเก่งเงียบสักพักก่อนจะพูดออกมา

"พี่เต็มจะเลิกกับผม .. ใช่มั้ยครับ"

เอาจริงเลยนะตอนคนเก่งพูดคำว่าเลิก ใจผมโคตรแกว่ง ไม่ชอบคำๆนี้เลยจริงๆ

คนเก่งเสียงสั่นเครือจนผมรู้สึกสงสารที่ทำให้น้องเป็นแบบนี้

"เราใช้สถานะแฟนเมื่อวานเป็นวันสุดท้าย ... แต่ ... ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปสถานะของเราคือคู่ชีวิต คือสามีภรรยา คือคนสองคนที่จะใช้ชีวิตร่วมกันจนแก่เฒ่า ... " ผมหยุดนิดหน่อยเพื่อดูปฏิกิริยาของคนเก่ง ที่น้องดูจะอึ้งไปเลย

"......"

"แต่งงานกับพี่นะ"

"......"

"ไม่สิ จะพูดว่าอะไรดีล่ะ เพราะเราทำพิธีสงฆ์เสร็จแล้ว ก็น่าจะถือว่าแต่งงานกันแล้วเนอะ"

"......"

"เงียบเลย .. ตกใจเหรอครับ" ผมดึงคนเก่งเข้ากอดพร้อมกับลูบหลังคนเก่งไปมา

"......"

"พี่ใจเสียนะเนี่ย" พอคนเก่งเงียบแบบนี้ผมก็เริ่มจะใจคอไม่ดี

"ผม .. ผมแค่ตกใจ" คนเก่งพูดอึกอักออกมา

"เราแต่งงานกันแล้วนะ" ผมบอก

"สรุปคือเมื่อกี้เรา ... คือไม่ใช่ทำบุญขึ้นบ้านใหม่เหรอครับ"

"ไม่ใช่ครับ"

"แล้ว ... "

"เอาไว้หลังเสร็จพิธีทุกอย่างแล้วพี่จะอธิบายให้ฟังนะ แต่ตอนนี้เราต้องออกไปทำพิธีต่อก่อน ไม่งั้นเราอาจจะไม่ทันฤกษ์ที่เตรียมไว้ก็ได้" ผมบอกน้องเพราะมองดูเวลามันจะถึงฤกษ์สวมแหวนแล้ว

"พี่เต็มเล่นมัดมือชกแบบนี้ ผมก็ปฏิเสธไม่ได้น่ะสิครับ" คนเก่งพูดขึ้นมายิ้มๆ

"ถึงจะปฏิเสธพี่ก็ไม่ยอมหรอก งานนี้ลงทุนไปเยอะใครจะยอม หลังจากนี้ต้องทำงานใช้หนี้ป๊าม๊ายาวเลย" ผมบอกยิ้มๆพร้อมทั้งจูงมือคนเก่งเดินออกมาข้างนอก ไปที่ห้องที่เตรียมพิธีสวมแหวน

ตอนที่คนเก่งเดินเข้ามาในห้องรอบนี้คนเก่งมีท่าทีเขินอายและหน้าแดงตลอดเวลา นั่นคงเป็นเพราะน้องรู้แล้วว่ากำลังอยู่ในพิธีอะไร

"คุยกันเรียบร้อยใช่มั้ย" ม๊าผมถามทันทีที่ผมพาน้องเดินกลับมา

"ครับม๊า" ผมบอกก่อนจะหันไปทางพี่ขวัญเพื่อจะเริ่มพิธีต่อ

แต่อยู่ๆในหัวของผมก็นึกภาพบางอย่างขึ้นมาซึ่งเป็นสิ่งที่ผมเคยนึกภาพไว้ว่าอยากจะทำแบบนี้ ผมจูงมือคนเก่งให้ไปยืนที่กลางห้อง

"คนเก่ง" ผมจับมือน้องไว้แล้วคุกเข่าลงตรงหน้าน้องคนเก่งตกใจมากที่ผมทำแบบนี้

"พี่เต็มทำอะไรครับ!ลุกขึ้นครับ!" คนเก่งร้องห้ามผมเสียงดัง

"แต่งงานกับพี่นะ" ผมพูดแทรกคนเก่งขึ้นมาและน้องก็หยุดการกระทำทั้งหมด

"ห๊ะ"

"ขอโอกาสให้พี่ดูแลคนเก่งนับจากวันนี้เป็นต้นไป แต่งงานกับพี่นะครับ"

"ก็ ... ไหนบอกทำพิธีแต่งเสร็จแล้วไงครับ"

"ก็เสร็จแต่งแล้ว แต่พี่ยังไม่ได้พูดขอแต่งงานอย่างเป็นทางการเลยนะ ... ตอบเร็ว อายแล้วเนี่ย"

คนเก่งหลุดขำผมออกมาเล็กน้อย

"ครับ ตกลงครับ"

สิ้นคำตอบตกลงของคนเก่งทุกคนที่อยู่ในห้องปรบมือและโห่ร้องขึ้นมา ผมลุกขึ้นสวมกอดน้อง จากนั้นพี่ขวัญก็ให้ผมพาน้องกลับไปนั่งที่พื้นต่อหน้าผู้ใหญ่

(มีต่อนะคะ)

ออฟไลน์ ninewara

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
(ต่อค่ะ)


ผมมองดูเวลาใกล้จะถึงฤกษ์ในการสวมแหวนแล้วครับ ผมกับคนเก่งนั่งหันหน้าออกมาด้านนอก ที่มีบรรดาเพื่อนๆของเราสองคนนั่งมองมาด้วยรอยยิ้ม ผมเพิ่งเคยเห็นคนเก่งเขินมากๆก็วันนี้แหละครับ

พี่ขวัญนำพานที่มีกล่องใส่แหวนสองวงมาวางไว้ตรงหน้าเราสองคน ก่อนที่จะเป็นคนบอกขั้นตอนที่เราต้องทำ คนเก่งกราบผมหนึ่งครั้ง โดยผมรับมือที่กราบของคนเก่งเอาไว้ก่อนที่จะสวมแหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายของคนเก่ง ผมรู้สึกว่าตัวเองมือสั่นนิดๆตื่นเต้นหน่อยๆ ผมว่าตอนนี้ผมมือเย็นไม่ต่างจากคนเก่งเลยครับ ผมมองคนเก่งกราบขอบคุณผมอีกครั้ง หลังจากนั้นคนเก่งก็สวมแหวนให้ผมที่นิ้วนางข้างซ้ายเช่นเดียวกัน

หลังจากนั้นผมและคนเก่งก็ก้มลงกราบที่ญาติผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายของเรา และพวกท่านก็อวยพรให้กับพวกเราสองคน

"วันนี้ป๊าถือว่าเป็นวันที่ดีวันหนึ่งเลยในการที่เราสองคนจะเริ่มต้นชีวิตคู่อย่างเป็นทางการ หนักนิดเบาหน่อยก็ต้องให้อภัยกัน พูดคุยกันด้วยความเข้าใจ ให้นึกถึงวันแรกที่รักกัน สำหรับเต็มแกมีครอบครัวแล้วมีอีกคนที่ต้องดูแล แกก็ต้องเป็นผู้นำและเป็นผู้ใหญ่คอยดูแลน้อง สำหรับคนเก่งต่อไปนี้มาเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของป๊าแล้ว เรื่องความเหมาะสมเรื่องทางสังคมอะไรต่างๆก็เลิกคิดนะ ป๊าฝากดูแลลูกชายป๊าด้วย แล้วก็ต่อไปให้เรียกป๊า อย่าเรียกคุณลุง" นี่คือคำอวยพรจากป๊าของผม ป๊าที่ไม่ค่อยได้พูดอะไรยาวๆสักเท่าไหร่ก็พูดออกมาจนผมรู้สึกตื้นตัน

"ขอบคุณครับคุณลุง เอ่อ ... ขอบคุณครับป๊า" คนเก่งยกมือไหว้ขอบคุณป๊า

"ม๊าดีใจมากนะที่วันนี้ม๊าได้คนเก่งมาเป็นสะใภ้ของม๊าอย่างเป็นทางการจริงๆซะที ม๊าขอบคุณคนเก่งนะที่ดีกับลูกชายม๊าและรักลูกชายที่ไม่ค่อยเอาไหนของม๊ามาตลอดแปดปี ถ้าต่อไปโดนรังแกมาบอกม๊านะลูกม๊าจะจัดการพี่เขาให้" ดูม๊าผมสิครับ เข้าข้างคนเก่งตลอดแต่ถึงม๊าจะพูดแบบนี้มันก็ทำให้ผมยิ้มไม่หุบอยู่ดี

"แม่ดีใจกับคนเก่งด้วยนะลูก ต่อไปนี้ลูกมีครอบครัวเป็นของตัวเอง มีใครอีกคนที่ลูกต้องแชร์ทุกๆอย่างในชีวิตด้วย ทำอะไรต้องมีสติ วันไหนที่ทะเลาะกัน ให้นึกถึงความรู้สึกดีๆในวันนี้เอาไว้นะลูก ... แม่ฝากเต็มดูแลน้องด้วยนะ ถึงแม้คนเก่งจะเป็นผู้ชายแต่ก็เป็นลูกชายคนเดียวของแม่ ทำให้แม่อดที่จะเป็นห่วงน้องไม่ได้" แม่ของคนเก่งครับ

"ผมจะรักและดูแลน้อง ให้เท่ากับชีวิตของผมเลยครับ" ผมจับมือน้องเอาไว้พร้อมกับบอกกับแม่ของคนเก่งด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

"รักและดูแลกันและกันตลอดไปเลยนะ ทำทุกวันให้เหมือนวันแรกๆที่คบกัน เข้าใจกันให้มากและเชื่อใจกันด้วย ... ป้าดีใจกับหนูด้วยนะคนเก่ง และเต็ม ป้าฝากดูแลหัวใจของป้าด้วยนะลูก" ป้าคนเก่งพูดออกมา พอป้าพูดเสร็จคนเก่งก็ร้องไห้และเข้าไปกอดแม่กับป้า

"ผมขอขอบคุณแม่และป้านะครับที่ไว้ใจให้ผมดูแลคนเก่ง ผมจะไม่มีวันทำให้น้องเสียใจ ผมจะรักน้องและดูแลน้องเป็นอย่างดี ด้วยชีวิตของผม" ผมกล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจังและหนักแน่น

"ผม ... หนู .." คนเก่งพูดออกมาด้วยเสียงสั่นเครือ เหมือนน้องกำลังเรียบเรียงคำพูด ผมบีบมือน้องเป็นการให้กำลังใจ

"ผมขอบคุณป๊าม๊าพี่ต่อพี่ขวัญติวเตอร์ที่ต้อนรับผมให้เป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวนะครับ ... และหนูขอบคุณแม่และป้าที่เข้าใจหนูในทุกๆเรื่อง ขอบคุณครับ" คนเก่งก้มลงกราบที่ตักของแม่และป้า



หลังจากผ่านพิธีการสวมแหวนเรียบร้อยยังมีอีกขั้นตอนหนึ่งที่ผมข้ามไปให้มาอยู่หลังพิธีสวมแหวน เหตุผลเพราะผมกลัวคนเก่งไม่เห็นด้วย แล้วมันจะพาลให้พิธีสวมแหวนจะไม่เกิดขึ้น

นั่นคือเรื่องสินสอด ซึ่งจะมีแค่คนในครอบครัวผมและคนเก่ง รวมทั้งทนายความของครอบครัวผมที่มาร่วมรับทราบ

ซึ่งเพื่อนๆผมและเพื่อนๆของคนเก่งทราบกำหนดการนี้กันทุกคน หลังจากที่พิธีสวมแหวนเรียบร้อยทุกคนก็ออกจากห้องไป

"ยังไม่เสร็จเหรอครับ" คนเก่งถามผมเมื่อผมจับมือน้องและฉุดน้องที่นั่งอยู่ที่พื้นให้ขึ้นมานั่งที่เก้าอี้ที่ทางออแกไนซ์จัดวางให้ใหม่

"ยังครับ อีกขั้นตอนเดียวก็เสร็จแล้ว" ผมบอกคนเก่งที่ใบหน้ายังมีคราบน้ำตาอยู่เล็กน้อย ผมเอาผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตาให้น้อง

"โอเคแล้ว ไม่ค่อยมอมแมมเท่าไหร่" ผมเอ่ยปากแซวคนเก่ง ผลคือน้องทำหน้ามุ่ยปากยื่นออกมา จนผมอดจะหัวเราะไม่ได้

"ผมขอแนะนำก่อนนะครับ ท่านนี้คือทนายณรงค์เป็นทนายประจำของป๊ากับม๊า รวมทั้งดูแลครอบครัวผมด้วยครับ" ผมเริ่มเกริ่นขึ้นมา ดูเหมือนแม่กับป้าคนเก่งน่าจะพอเข้าใจว่าผมกำลังจะพูดเรื่องอะไร แต่คนเก่งยังทำหน้างงอยู่

"สิ่งที่ผมจะกล่าวต่อไปนี้คือรายการของสินสอดที่ผมมอบให้กับแม่และป้าเพื่อเป็นการตอบแทนที่ท่านทั้งสองได้เลี้ยงดูคนเก่งมาเป็นอย่างดี จนทำให้ผมได้เจอกับน้องและได้รักกัน" คนเก่งมองผมตาโต

"พี่เต็มครับ" คนเก่งเรียกชื่อผมพร้อมกับจับที่แขนของผมไว้

"ฟังพี่เขาก่อนนะคนเก่ง" ม๊าผมพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ใจดี

"ครับ ขอโทษครับ" คนเก่งยกมือไหว้ขอโทษม๊าผม น้องหน้าเสียเล็กน้อยจนผมอดที่จะใช้มือลูบหัวน้องไปมาไม่ได้ ผมยิ้มให้คนเก่งก่อนจะกลับเข้าเรื่องอีกครั้ง

"ผมขอมอบเงินสดจำนวนห้าสิบล้านบาทให้กับแม่และป้าของคนเก่งโดยแบ่งให้คนละยี่สิบห้าล้านบาท นอกจากนี้ผมขอมอบทองคำมูลค่าสองล้านบาทโดยแบ่งให้คนละหนึ่งล้านบาทนะครับ .... ผมทราบว่ามันคงไม่เพียงพอกับความรักของแม่กับป้าที่มีให้น้อง ผมไม่เคยแต่งงานมาก่อน ผมพยายามคิดในแง่ของความเหมาะสม หวังว่ามันคงไม่น้อยมากเกินไปนะครับ" ผมกล่าวออกมา

"แม่ว่ามันมากเกินไปนะเต็ม อันที่จริงตามที่แม่เคยคุยกับเต็มไว้ สินสอดเงินทองอะไรแม่ไม่ได้ต้องการเลยนะลูก แค่เต็มดูแลน้องรักน้องก็พอ" แม่ของคนเก่งพูดขึ้นมา ผมสบตากับม๊าเพื่อให้ม๊าเป็นคนพูดต่อ

"ไม่มากเกินไปหรอกค่ะถ้าเทียบกับความเหนื่อยยากลำบากในการเลี้ยงลูกขึ้นมาให้เป็นเด็กดี และคนเก่งก็เป็นเด็กดีมากๆ ใครได้ไปเป็นลูกชายก็โชคดี เพราะฉะนั้นดิฉันดีใจมากค่ะที่ได้คนเก่งมาเป็นลูกชายอีกคน" ม๊าผมพูดเสร็จ แม่กับป้าของคนเก่งก็หันไปปรึกษากัน

"ก็ถือว่าเก็บเอาไว้ให้คนเก่งก็ได้ครับ เพราะคุณแม่กับคุณป้าจะโอนทรัพย์สินให้คนเก่งก็ได้นะครับ ทางเราไม่ได้มีเงื่อนไขอะไร" ป๊าผมพูดเสริมขึ้นมา ซึ่งพอได้ยินแบบนี้แม่กับป้าของคนเก่งก็ดูเหมือนจะไม่ปฏิเสธอีก

"คนเก่ง" ผมเรียกน้อง ตอนที่น้องกำลังทำหน้าไม่สบายใจอยู่

"ครับ" น้องขานรับและหันมาสนใจผม

"พี่รู้ว่าความรักของคนเก่งที่มีให้พี่มันเทียบเป็นเงินทองไม่ได้ รวมทั้งความรักที่พี่มีให้คนเก่งมันก็ไม่สามารถวัดเป็นมูลค่าได้เช่นเดียวกัน แต่เพราะพี่อยากให้คนเก่งรู้ว่าพี่รักและจริงจังอยากใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันไปอีกสามสิบสี่สิบปี พี่ไม่อยากให้คนเก่งคิดว่าพี่ตีค่าความรักของเราด้วยเงินทอง แต่เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่พี่จะสามารถแสดงออกมาว่าพี่รักคนเก่งมากแค่ไหน เพราะพี่ไม่รู้จริงๆว่าต้องใช้อะไรมาแสดงให้เห็นถึงความรักที่พี่มีให้" ผมหยุดพูดชั่วครู่ เพราะเห็นน้ำตาที่คลอขึ้นมาที่ดวงตาของน้อง ผมส่งให้ทนายณรงค์เป็นคนจัดการต่อจากผม ผมโอบเอวคนเก่งและดึงน้องให้เข้ามานั่งชิดกับตัวผม

"รายการต่อไปนี้จะเป็นสิ่งที่คุณเติมเต็มมอบให้กับคุณคนเก่งนะครับ โดยมีดังนี้ .... " คนเก่งฟังสิ่งที่ทนายณรงค์พูดพร้อมกับนั่งตัวเกร็งไปด้วย น้องเงยหน้ามามองผมเป็นระยะกับสิ่งที่ตัวเองได้ยิน

สิ่งที่ผมให้น้องคืออย่างแรกบ้านหลังนี้ที่เป็นเรือนหอของเรา ซึ่งน้องเพิ่งมาทราบว่าบ้านหลังนี้ผมสร้างเพื่อเป็นเรือนหอไม่ใช่สร้างเพื่อให้ผมอยู่คนเดียว อย่างที่สองคือเงินสดจำนวนห้าสิบล้านบาทซึ่งไม่รวมกับเงินรายเดือนที่ผมจะมอบให้น้องอีกเป็นประจำทุกเดือน อย่างที่สามคือรถยนต์ยุโรปคันใหม่ป้ายแดงที่ผมเพิ่งให้ทางโชว์รูมเอามาส่ง ป่านนี้พวกเพื่อนๆด้านนอกคงกำลังยลโฉมกันอยู่ และอย่างที่สี่คือที่ดินส่วนตัวของผมจำนวนห้าสิบไร่

ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่ผมให้กับคนเก่งมันมากหรือน้อย แต่นี่คือสิ่งที่ผมจะให้น้องเบื้องต้นเพื่อแทนคำว่ารักจากผม แทนคำขอบคุณจากผมสำหรับความรักที่ดีๆของคนเก่งที่มีให้ผมตลอดมา

และเพราะความรักในรูปแบบนี้ของเราทำให้ผมไม่สามารถที่จะจดทะเบียนสมรสกับคนเก่งได้ในตอนนี้ ทำให้เหมือนน้องเองก็ไม่มีหลักประกันอะไรเลยในชีวิตคู่ของเรา และเพราะอนาคตมันไม่แน่นอนผมไม่รู้ว่าผมจะตายก่อนคนเก่งหรือเปล่า ถ้าผมเกิดเป็นอะไรขึ้นมาก่อน สิ่งที่ผมคิดคือน้องจะอยู่ยังไง จะใช้ชีวิตยังไง ถ้าเป็นผู้ชายผู้หญิงแต่งงานจดทะเบียนสมรสกัน หากสามีเป็นอะไรไปก่อน ภรรยาก็ยังได้รับสิทธิทุกอย่างทั้งทรัพย์สินเงินทอง แต่เพราะเราทำแบบนั้นไม่ได้ ผมจึงตัดสินใจที่จะให้กับคนเก่งแบบนี้ อย่างน้อยถ้าผมเป็นอะไรไปก่อนน้อง ผมก็มั่นใจว่าถึงไม่มีผม คนเก่งก็ไม่ลำบากอย่างแน่นอน

หลังจากที่คนเก่งรับรู้ในสิ่งที่ผมมอบให้น้องก็เอาแต่กอดผมร้องไห้ไม่หยุด จนม๊าชวนทุกคนให้ออกไปจากห้องเพราะเห็นว่าไม่มีอะไรแล้ว

"หยุดร้องได้แล้ว" ผมลูบหลังน้องไปมาอย่างปลอบใจ อยากลูบผมน้องนะแต่เพราะผมของน้องถูกเซ็ทไว้จนแข็งไปหมด ผมไม่ชอบเลยจริงๆ

"มัน ... มัน มากเกินไป ผม ผมไม่อยากได้ ผมแค่รักพี่เต็ม .. เท่านั้นเอง ผม .. ไม่อยากได้  อะไร  .." คนเก่งสะอื้นพร้อมพูดออกมาอย่างน่าสงสาร

"ชู่ว์ พอแล้วครับ เลิกร้อง ก็ถือซะว่าคนเก่งช่วยพี่ดูแลทรัพย์สินก็ล่ะกันนะ แต่ถ้าคนเก่งไม่อยากได้จริงๆมันก็มีอยู่วิธีหนึ่งนะ" ผมบอก

"วิธีอะไรครับ"

"คนเก่งนอกใจพี่สิ ถ้าคนเก่งนอกใจพี่นะ พี่จะขอทุกอย่างคืนหมดเลย" ผมพูดออกมาขำแต่คนเก่งอาจจะไม่ขำไปกับผมเพราะน้องต่อยเข้าที่ท้องผมแรงประมาณหนึ่งเลย

"ใครจะไปนอกใจล่ะ! รักจะตายอยู่แล้วเนี่ย! ฮือๆๆๆๆ"

คนเก่งโวยวายออกมาอย่างน่ารักและร้องไห้ออกมาอีก

"อย่าคิดว่าสิ่งที่พี่ให้มันมากเกินไปเลยนะ ถ้ามองในแง่ความรักความซื่อสัตย์ความเอาใจใส่ที่คนเก่งมีให้พี่ตลอดมามันยังน้อยไปด้วยซ้ำ และตั้งแต่เราเป็นแฟนกันมาพี่ยังไม่เคยให้อะไรคนเก่งเป็นชิ้นเป็นอันเลยนะ ... นึกแล้วก็ตลกตัวเองที่เคยเอาลูกอมของคนเก่งมาให้คนเก่ง" ผมพูดแล้วก็นึกขำตัวเอง เมื่อก่อนสมัยเรียนมอปลายมีหลายครั้งที่ผมเคยเห็นเหมือนคนเก่งไม่สบายใจ ผมก็หาลูกอมหรือของกินในกระเป๋าให้คนเก่ง แต่ในกระเป๋าผมก็มีแต่ของที่น้องให้ครับ

คนเก่งหัวเราะออกมาก่อนจะพูดว่า

"ไม่จริงซะหน่อย วันเกิดผม วันครบรอบพี่เต็มก็ให้ตลอด" คนเก่งแย้งผมขึ้นมา ซึ่งมันไม่จริงเลยครับ คำว่าให้ตลอดของคนเก่งคือการที่เราไปนั่งทานข้าวสวีทกันเล็กๆครับ เพราะคนเก่งเป็นคนไม่ชอบสิ่งของ อย่างเช่นคนอื่นอาจจะชอบนาฬิกา แต่คนเก่งเป็นคนไม่ใส่นาฬิกา ถ้าสิ่งที่คนเก่งจะชอบจริงๆเลยนะก็คือพวกสมุดบันทึก ไดอารี่ หรือหนังสือมากกว่า

ผมกอดปลอบคนเก่งไปอีกสักพักน้องก็คลายจากอาการสะอื้น

"ออกไปข้างนอกกันนะ" ผมบอกคนเก่งที่ตอนนี้หน้าตาค่อนข้างมอมแมมเลย อดที่จะยิ้มด้วยความเอ็นดูไม่ได้

"แล้วเรื่องทำบุญขึ้นบ้านใหม่ล่ะครับ" คนเก่งถามผม

"กำหนดการทางการจริงๆคืออีกสองอาทิตย์ แต่ก่อนหน้านี้เมื่ออาทิตย์ที่แล้วมีทำพิธีไปแล้วล่ะ" ผมบอกคนเก่ง

"ทุกคนรู้กันหมดเลยใช่มั้ยครับ" คนเก่งถาม น้องคงหมายถึงเรื่องงานวันนี้

"ใช่ครับ แต่เพราะทุกคนเขาอยากให้เราสองคนมีความสุขนะ เพราะถ้าพี่ไม่ทำแบบนี้ คนเก่งก็คงจะปฏิเสธแน่ มัดมือชกแบบนี้แหละดีแล้วคนเก่งจะได้ไม่มีข้ออ้างกับพี่" ผมบอก


ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นก่อนที่ประตูจะค่อยๆเปิดแง้มเข้ามา

"ครับ พี่ขวัญ" ผมพูดเมื่อเห็นหน้าคนที่โผล่เข้ามา

"พี่กลัวจะเจอภาพยี่สิบบวกเลยค่อยๆแง้มประตูดู" พี่ขวัญพูดเสร็จพร้อมกับหัวเราะ

"พี่ขวัญมีอะไรเหรอครับ" ผมถามยิ้มๆ ตอนนี้คนเก่งไม่ได้กอดผมแล้วครับ เราแค่นั่งจับมือกันแค่นั้น

"ออกไปถ่ายรูปรวมกันเถอะ เสร็จจากนี้จะได้ไปทานข้าวกันด้วย ... ตายจริงคนเก่ง" พี่ขวัญพูดเสียงดังขึ้นมาเล็กน้อยตอนที่เห็นหน้าคนเก่ง

"เดี๋ยวคนเก่งล้างหน้าล้างตาแล้วแต่งหน้าใหม่นะ หน้าช้ำหมดแล้วเนี่ย" พี่ขวัญบอก

"ไม่ต้องแต่งก็ได้มั้งครับ แค่ล้างหน้าก็พอ" คนเก่งบอก

"ไม่ได้ๆ วันนี้เป็นวันสำคัญของเรานะ เชื่อพี่ ดีนะที่วันนี้จ้างช่างแต่งหน้าทำผมไว้ทั้งวัน เต็มออกไปข้างนอกก่อนนะ เดี๋ยวให้คนเก่งแต่งหน้าก่อน" พี่ขวัญพูดเสร็จก็โทรตามช่างแต่งหน้าที่นั่งอยู่ด้านนอกเข้ามา ตอนแรกผมจะนั่งอยู่กับน้องแต่พี่ขวัญก็ดันตัวผมให้ออกมาข้างนอก คนเก่งส่งยิ้มให้ผมเหมือนจะบอกว่าไม่เป็นไร ผมก็ส่งยิ้มกลับไปให้น้องก่อนจะเดินออกมา

ป๊าม๊าและแม่กับป้าของคนเก่งนั่งคุยกันอยู่ตรงห้องรับแขกบริเวณทางเข้าบ้าน

"เรียบร้อยใช่มั้ยลูก" ม๊าถามผม

"เรียบร้อยครับ แต่พี่ขวัญกำลังจับน้องแต่งหน้าใหม่อยู่ครับ เมื่อกี้ร้องไห้หน้ามอมแมมเลย" ผมพูด ออกมาด้วยความเอ็นดู ก่อนที่ผมจะขอตัวเดินออกมาดูรถที่ลานจอดรถ

ผมเดินออกมาหาพี่ต่อภพและติวเตอร์ที่ยืนอยู่ที่รถคันใหม่ที่ผมซื้อให้คนเก่ง

"ผู้จัดการจะเอาเอกสารมาให้คนเก่งเซ็นพรุ่งนี้นะ"

พี่ต่อภพบอกผม

"พี่เต็มโคตรเล่นใหญ่" ติวเตอร์มันแซวผม ทั้งๆที่มีหลายอย่างที่มันเป็นคนเสนอผม

"ขอบคุณพี่ต่อมากนะครับที่ช่วยผมทุกอย่าง ติวเตอร์ด้วย" ผมเอ่ยขอบคุณพี่ชายและน้องชายผม

"เห็นแกมีความสุข พี่ก็ดีใจ" พี่ชายผมตบไหล่ผมเบาๆ ส่วนติวเตอร์มันแค่ยกไหล่แบบกวนๆ

ผมเดินแยกจากพี่ชายและน้องชายผมมาหากลุ่มเพื่อนที่นั่งอยู่และกำลังสนุกกับการถ่ายรูป

"บ้านโคตรสวย" ไอ้ธรณ์มันบอก

"เออ มุมถ่ายรูปโคตรเยอะ" ไอ้ชินท์พูด

"สระว่ายน้ำลงได้เลยมั้ย" ไอ้ทัตพลถามผม

"ลงได้ดิ" ผมบอก

"ไว้พรุ่งนี้ค่อยมากันดีกว่ามึง วันนี้ให้มีเวลาส่วนตัวกับเมียมันก่อนเถอะ กูว่าคืนนี้คนเก่งเจอศึกหนัก" ไอ้ธรณ์มันพูดขึ้นมา พวกมันรู้เรื่องที่ผมถูกห้ามไม่ให้มีเซ็กส์กับคนเก่งครับ

"เออ! กูว่าจะทักมึงอยู่ไอ้เต็ม สายตามึงมองคนเก่งอย่างกับจะกินน้องมัน" ไอ้ชินท์พูดออกมาบ้าง

"เหรอว่ะ" ผมไม่รู้หรอกว่าผมใช้สายตาแบบไหนมองคนเก่ง แต่มันก็เป็นไปได้ที่ผมจะมองน้องแบบที่พวกมันพูด

"มึงแม่งโคตรทุ่มอะ บ้านสวยมาก" ไอ้ธาวินที่นั่งอยู่ใกล้ๆพูดขึ้นมา

ผมสร้างบ้านหลังนี้ด้วยไอเดียทั้งของผมและของน้อง เพราะผมเองก็คอยถามน้องบ่อยๆเรื่องบ้านแบบที่น้องชอบหรือสิ่งที่น้องอยากให้มีในบ้าน คนเก่งหลอกถามข้อมูลไม่ยากครับ

บริเวณบ้านผมค่อนข้างมีพื้นที่เยอะ ผมมีแปลงปลูกพืชผักสวนครัวให้คนเก่งเพราะน้องเคยบอกว่าอยากให้ที่บ้านมีพื้นที่ปลูก มีซุ้มปลูกดอกกล้วยไม้และมีแปลงปลูกดอกมะลิ รวมทั้งมีสระว่ายน้ำในร่มที่บริเวณหลังบ้าน และพื้นที่ข้างบ้านผมทำเป็นห้องห้องหนึ่งแยกออกมาเป็นลักษณะของห้องเรียนเพราะคนเก่งเคยพูดว่าอยากจะรับสอนพิเศษภาษาอังกฤษให้กับเด็กระดับประถมหรือมัธยมต้น คนเก่งค่อนข้างโดดเด่นในเรื่องวิชาที่เกี่ยวกับภาษาครับ ไม่ว่าจะเป็นภาษาไทย ภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศส ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วเรื่องที่จะรับสอนพิเศษน้องจะทำจริงมั้ย แต่ผมก็ตัดสินใจทำห้องเผื่อเอาไว้ก่อนครับ

ผมรู้นะว่าผมรักคนเก่ง แต่ยิ่งพอมาสร้างบ้านหลังนี้ผมยิ่งรู้ว่าผมรักน้องมากแค่ไหน เพราะไม่ว่าจะทำตรงไหนผมก็จะนึกตลอดว่าน้องจะชอบมั้ย งานนี้บอกเลยว่าผมต้องทำงานใช้หนี้ป๊ากับม๊าระยะยาวเลยครับ แต่ถือว่าคุ้มค่ากับสิ่งที่ผมได้มา

"แต่มึงเล่นแบบนี้ ทำเอากูแย่เลย" ไอ้ธาวินมันพูดขึ้นมาอีก

"เรื่องไรวะ" ผมถาม ไอ้ธาวินมันมองไปทางฟูจิที่กำลังนั่งทานขนมอยู่กับส้มส้มอยู่ห่างออกไป

"ก็ถ้ากูเกิดอยากเซอร์ไพรส์ฟูจิบ้างคงไม่ใหญ่เท่ามึง ไม่รู้น้องมันจะน้อยใจกูหรือเปล่า" ไอ้ธาวินมันพูด

"พวกพี่เนี่ยแปลกเนอะ ทำไมชอบคิดมากเปรียบเทียบอะไรกันก็ไม่รู้ ต่อให้พวกพี่จะทำไม่ทำ จะเซอร์ไพรส์ไม่เซอร์ไพรส์ มันก็ไม่ได้ทำให้พวกผมรักพวกพี่น้อยลงป่ะ ตราบใดที่พวกผมรักพวกพี่อยู่ต่อให้พวกพี่ไม่ทำอะไร พวกผมก็รักอยู่ดี" ไอ้โจ้มันมานั่งลงข้างๆผม ตามมาด้วยไอ้บุ๊ค ผมมองไอ้โจ้ที่พูดออกมาอย่างงงๆ พอมันพูดเสร็จไอ้บุ๊คก็ลูบหัวไอ้โจ้ไปมา สงสัยไอ้โจ้จะงอนไอ้บุ๊คมาแน่

"เดี๋ยวไปคุยกับไอ้หัวหน้าห้องดีกว่า" ไอ้หัวหน้าห้องที่ไอ้โจ้พูดถึงหมายถึงฟูจิครับ

"โจ้ครับ" ไอ้บุ๊คจับมือไอ้โจ้ไว้พร้อมกับเรียกไอ้โจ้เสียงนุ่ม ... ขนลุกเลยผม

ไอ้ธาวินรีบลุกไปหาฟูจิทันที โอเค สงสัยพวกมันอาจมีเรื่องที่ต้องเคลียร์กัน

สักพักพี่ขวัญก็พาคนเก่งเดินออกมา

"โอเค หน้าตาดูดีแล้ว" ผมบอกน้องที่ยิ้มให้ผมหลังจากนั้นพวกเราก็ถ่ายรูปร่วมกัน

หลังจากนั้นม๊าก็นัดหมายเวลาและสถานที่ที่จะไปทานอาหารร่วมกันในตอนเย็น ซึ่งรวมทั้งบรรดาเพื่อนๆของผมและคนเก่งด้วย

ผมเดินมาส่งเพื่อนๆผมขึ้นรถ ก่อนจะนัดเจอกันช่วงค่ำเรียบร้อย ผมเดินกลับเข้ามาในบ้าน ป๊าม๊าและแม่กับป้าของคนเก่งยืนรอผมอยู่

"พอดีม๊าคุยกับแม่ของคนเก่ง เรายังเหลืออีกขั้นตอนหนึ่ง" ม๊าบอกผม

"อะไรเหรอครับ" ผมถาม

"พาม๊าขึ้นไปห้องนอนหน่อย" ม๊าบอกผม

"ห้องนอนผมเหรอครับ ผมถามด้วยความตกใจ

"จ้ะ ถ้าจะพูดให้ถูกคือห้องหอนะจ้ะลูกชาย" ม๊าบอกผม

"จะไปทำไมเหรอครับ" ผมถาม ม๊าหรี่ตามองผมอย่างจับผิด

"มีอะไรหรือเปล่า" ม๊าถามผม ผมมองไปที่คนเก่งที่ยืนอยู่ข้างผม

"แล้วม๊าจะไปขึ้นไปทำอะไรเหรอครับ" ผมถามม๊า

"ก็ถึงแม้ว่าเราอาจจะไม่ได้เคร่งครัดกับพิธีมากนักแต่ม๊าคิดว่าเราก็ควรจะส่งตัวบ่าวสาวเข้าหอนะ" ม๊าผมพูดออกมายิ้มๆ ผมมองคนเก่งที่ยืนหน้าแดงอยู่

"แต่ม๊าครับ คือ ... " ผมอึกอักเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจพาพวกผู้ใหญ่ขึ้นไปข้างบน แต่ผมให้คนเก่งรออยู่ข้างล่าง

และสิ่งที่ทุกคนเจอเมื่อเปิดประตูห้องนอนเข้ามาก็คือภายในห้องเต็มไปด้วยดอกไม้นานาชนิดทั้งดอกทิวลิป ดอกคาร์เนชั่น ดอกลิลลี่ ดอกกุหลาบ ที่ผมสั่งซื้อมาจากร้านดอกไม้ทั่วจังหวัดเพื่อจะเอามาเซอร์ไพรส์คนเก่งตอนที่น้องเข้ามาในห้องนอน บนเตียงนอนก็มีกลีบกุหลาบที่ผมบรรจงทำไว้ตั้งแต่เช้ามืด ในห้องเปิดแอร์ไว้เย็นฉ่ำเพื่อให้ดอกไม้คงความสด

"เล่นใหญ่จริงๆลูกชายฉัน" ม๊าผมพูด แม่กับป้าของคนเก่งได้แต่หัวเราะขำผม

"เดี๋ยวตอนเย็นกลับมาจากทานข้าวค่อยว่ากันอีกทีละกัน" ป๊าผมบอกก่อนที่พวกเราจะเดินลงมาข้างล่าง

"เรากลับบ้านป๊าม๊ากันก่อนนะ" ผมบอกคนเก่งทันทีที่เดินลงมา ซึ่งน้องก็พยักหน้ารับ ผมให้คนเก่งกลับไปพร้อมป๊ากับม๊าก่อนเพราะผมอยากจะอยู่เคลียร์บ้าน และพวกค่าใช้จ่ายต่างๆก่อน โดยพี่ต่อภพกับพี่ขวัญอยู่ด้วย

"ขอบคุณสำหรับของขวัญแต่งานนะครับพี่ต่อพี่ขวัญ" ผมเอ่ยขอบคุณพี่ชายและพี่สะใภ้ พี่ต่อภพทำหน้างงๆ พี่ขวัญเข้าไปกระซิบที่ข้างหูพี่ต่อภพ ก่อนที่พี่ต่อภพจะหัวเราะออกมา

"เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยขอบคุณ เพราะของขวัญจริงๆแกจะได้เห็นคืนนี้" พี่ต่อภพกับพี่ขวัญส่งยิ้มให้กัน ผมมองด้วยความไม่เข้าใจแต่ไม่ได้ถามอะไรอีก

ผมขับรถกลับมาที่บ้านของป๊าม๊า ผมเจอม๊าที่เหมือนจะกำลังนั่งรอผมอยู่

"อีกเรื่องที่ม๊าต้องเตือน" ม๊าผมเอ่ยขึ้นมา

"จำที่ม๊าบอกเรื่องหมอดูได้ใช่มั้ย"

"จำได้ครับ"

"ต้องหลังสามทุ่มเก้านาทีนะถึงจะพ้น"

สิ่งที่ม๊าบอกทำเอาผมนิ่งจนพูดอะไรไม่ออกเพราะผมขอพูดแบบลูกผู้ชายแมนๆเลยว่า ผมตั้งใจที่จะมาทำเรื่องอย่างว่ากับคนเก่งทันทีที่กลับมาบ้าน แต่คำพูดของม๊าก็แทบจะดับอารมณ์ผมจนหมด

ผมเดินขึ้นมาบนห้องนอนของตัวเอง ผมเห็นคนเก่งนอนหลับอยู่บนเตียงซึ่งมันดีแล้วที่น้องนอนหลับเพราะคืนนี้ผมคงจะไม่ปล่อยให้น้องนอนหลับง่ายๆหรอก ผมอดทนมาเป็นเดือนจนผมจะไม่ไหวอยู่แล้วครับ แล้วดูสิมีคนที่เรารักมานอนอยู่บนเตียงเดียวกันแบบนี้อีก

ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูเพราะรู้สึกถึงแรงสั่น

"เออ ว่าไง" ไอ้บุ๊คมันโทรมาครับ

(รูปที่มึงบอกให้ทำให้ก่อน กูทำแล้วนะ เดี๋ยวส่งให้ทางไลน์) ไอ้บุ๊คพูดเสร็จก็วางสายไป

สักพักมีแจ้งเตือนทางไลน์เข้ามา ผมกดเข้าไปดูรูปด้วยความพอใจ ผมขอดูรูปจากในกล้องของไอ้บุ๊คแล้วผมชอบรูปที่ผมกับน้องกำลังสวมแหวนให้กันมากๆ เลยขอให้ไอ้บุ๊คแต่งรูปนี้ให้ผมก่อน มันเป็นรูปที่เห็นแค่มือของเราทั้งคู่ครับ แต่มันให้ความรู้สึกที่อบอุ่นมากๆ

ผมโพสต์รูปสามรูปลงในเฟซบุ๊ก โดยสามรูปที่ว่าก็คือรูปแรกเป็นรูปที่ผมสวมแหวนให้น้อง รูปที่สองเป็นรูปที่น้องสวมแหวนให้ผม และรูปที่สามเป็นรูปที่มือที่สวมแหวนของเราทั้งคู่จับมือกัน



Teimtem Paisanworrakit อยู่กับ Konkengg Peimthaworn

                แต่งแล้วนะ ❤️
        #TtKkHappyDay 24/xx/20xx






TBC.
#เติมเต็มรัก
ninewara✿


◕ ตอนหน้าจบแล้วนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-07-2019 15:08:59 โดย ninewara »

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ ninewara

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
✿ เติมเต็มรัก ✿ ครั้งสุดท้าย



"พี่เต็มครับ พอแล้ว ..."

ผมสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่มันอยู่แถวๆสะโพกของผม

"พี่ยังอยากอยู่เลย ... " พี่เติมเต็มพูดพร้อมทั้งคลอเคลียผมไปมาที่แถวท้ายทอยและใบหู

"แต่หนูเหนื่อย ไม่ไหวแล้ว" ผมบอกเพราะรู้สึกแบบนี้จริงๆ

"หนูนอนเฉยๆก็พอ ..." พี่เติมเต็มพูดเหมือนมันง่ายแต่มันไม่ง่ายแบบนั้นหรอกครับ นอนนิ่งๆให้อีกฝ่ายทำมันเป็นไปได้ยากที่เราจะไม่มีความรู้สึกร่วมด้วย

"หนูต้องโทษตัวเองนะที่ทำให้พี่คลั่ง" พี่เติมเต็มที่กำลังไล่จูบที่แผ่นหลังของผมพูดขึ้นมาด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความต้องการ

"หนูไม่ได้ทำอะไรเลยนะ" ผมพูดออกมาเพราะผมไม่รู้ว่าผมไปทำอะไรให้พี่เติมเต็มมีความต้องการมากขนาดนี้ แต่พอคิดอีกทีมันก็คงไม่แปลกเพราะผมกับพี่เติมเต็มห่างหายเรื่องบนเตียงกันไปเป็นเดือน

"หยุดพูดได้แล้ว ใช้ปากมาทำอย่างอื่นดีกว่าเนอะ" พี่เติมเต็มพูดแค่นั้นก่อนที่ผมจะตามใจพี่เติมเต็มอย่างที่พี่เขาร้องขอ

.
.
.



ผมมองดูนาฬิกา มันเป็นช่วงเวลาเกือบจะตีสี่ของเช้าวันใหม่ ผมยกมือข้างซ้ายของตัวเองขึ้นมาดูพร้อมกับยิ้มให้กับแหวนที่อยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายของตัวเอง ไม่คาดคิดจริงๆว่าพี่เติมเต็มจะทำแบบนี้ให้ผม และทุกคนก็รู้เห็นเป็นใจกันหมด แต่การที่พี่เติมเต็มทำแบบนี้เหมือนมัดมือชกผมแบบนี้มันก็อาจจะเป็นสิ่งที่โอเคสำหรับผมก็ได้ เพราะถ้าพี่เติมเต็มขอแต่งงานโดยที่ไม่มีสถานการณ์เหล่านี้มากดดัน ผมก็ไม่รู้ว่าผมจะยอมรับคำขอแต่งงานมั้ย

เมื่อคืนนี้หลังจากที่เราหยุดพักจากการเรื่องบนเตียง พี่เติมเต็มก็เล่าทุกอย่างให้ผมฟัง แผนการต่างๆ รวมทั้งบอกว่ามีหมอดูบอกม๊าว่าให้พี่เติมเต็มกับผมห้ามมีอะไรกันจนกว่าจะถึงวันแต่งงาน ไม่งั้นอาจจะต้องเลิกกัน พอผมฟังเหตุผลของพี่เติมเต็มมันก็ทำให้ผมยิ้มอย่างมีความสุขเพราะที่พี่เติมเต็มฝืนตัวเองไม่ยอมมีอะไรกันกับผม นั่นก็เพราะพี่เติมเต็มไม่อยากเลิกกับผม แต่ถ้าพี่เติมเต็มบอกผมสักหน่อยมันน่าจะดีกว่านี้เพราะอย่างน้อยผมก็ไม่ต้องคิดมากอยู่ตั้งนาน

"ยิ้มอะไรครับ" ผมหันไปมองพี่เติมเต็มที่นอนตะแคงลืมตามองผมอยู่

"มีความสุขครับ" ผมตอบ พี่เติมเติมขยับเข้ามากอดผมและหอมที่แก้มผมเบาๆย้ำๆหลายครั้ง

"พอแล้วนะครับ" ผมรีบบอกเพราะกลัวจะเลยเถิด ตอนที่ป๊าม๊าและแม่กับป้าบอกว่าจะมาส่งตัวเข้าหอ ผมอดที่จะเขินอายไม่ได้เลยครับ และพอเปิดประตูห้องนอนเข้ามายิ่งทำให้ผมรู้สึกเหมือนแก้มมันจะระเบิด เพราะในห้องนอนเต็มไปด้วยดอกไม้ กลิ่นหอมฟุ้งกระจายไปทั่วทั้งห้อง บนเตียงเต็มไปด้วยกลีบกุหลาบสีแดงที่ทำเป็นรูปหัวใจ ไม่เคยรู้มาก่อนว่าพี่เติมเต็มมีมุมแบบนี้ด้วย

แต่สภาพของห้องนอนตอนนี้ มันไม่ได้ดูดีเท่าไหร่นัก

"ครับๆ ไม่ทำแล้ว ถึงจะอยากทำก็เถอะ พี่เจ็บน้องชายไปหมดแล้ว สงสัยมันจะระบมใช้งานหนัก" ดูสิ่งที่พี่เติมเต็มพูดครับ

"พูดอะไรเนี่ย" หน้าผมร้อนขึ้นมาทันที

"ก็พูดเรื่องจริง .... รู้มั้ยพี่ขวัญบอกว่าการที่พาคนเก่งไปทำสปาถือว่าเป็นของขวัญวันแต่งงาน ตอนแรกพี่ยังไม่เข้าใจนะว่าหมายความว่ายังไง แต่พอพี่มาเห็นคนเก่งเต็มตามันทำให้รู้ว่าสื่งที่พี่ขวัญพูดมันเป็นแบบนั้นจริง เป็นของขวัญที่เหมาะกับคืนวันแต่งงานจริงๆ เพราะจับไปตรงไหน ลูบไปตรงไหนก็ลื่นก็นุ่มไปหมด แถมผิวจากที่ขาวใสอยู่แล้วก็ยิ่งขาวมากกว่าเดิม ... ทุกจุดเลย"

"พูดเฉยๆก็ได้ครับ มือไม่ต้องเลย .. ปากด้วย" ผมบอกพี่เติมเต็มที่ตอนนี้เริ่มจะกวนผมอีกแล้ว ไหนบอกว่าระบมไปหมดแล้วไง

"พี่เต็มชอบเหรอครับ แต่ผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่" ผมพูดออกมา

"หืม? ทำไมล่ะมันเจ็บเหรอ"

"เปล่าครับ ไม่เจ็บแต่มันอายที่ต้องโป๊ต่อหน้าคนอื่น"

"ห๊ะ! โป๊" เสียงพี่เติมเต็มดังลั่นห้องเลยครับ

"ครับ ต้องถอดเสื้อผ้าหมดเลยเพื่อให้เขาขัดผิว ลงทรีทเม้นท์อะไรก็ไม่รู้เยอะแยะเลย แล้วต้องนอนให้เขาทำอยู่แบบนั้นตั้งสองสามชั่วโมง"

"โว้ย! แล้วพี่ขวัญพาไปทำทำไมเนี่ย" พี่เติมเต็มโวยวายออกมาอีก

"แต่พี่เต็มก็บอกว่าชอบนี่ครับ แล้วยังอยากให้ผมไปทำอีกหรือเปล่า"

"ไม่เอาแล้ว ถ้าต้องเปลืองเนื้อตัวขนาดนั้น" น้ำเสียงของพี่เติมเต็มหงุดหงิดมากจริงๆครับ ผมกอดพี่เติมเต็มอย่างเอาใจ

"อย่าโมโหเลยนะครับ" ผมบอก พี่เติมเต็มถอนหายใจออกมาแรงๆ

"แค่คิดว่ามีคนอื่นเห็นคนเก่งโป๊พี่ก็จะแย่แล้วเนี่ย"

"เขาไม่ได้คิดอะไรหรอกครับ มันเป็นงานเป็นหน้าที่ของเขา เลิกโมโหนะ นะครับ"

"ถ้างั้นหนูคงต้องทำอะไรที่มันมากกว่าแค่กอดแล้วล่ะ" พี่เติมเต็มพูดเสียงพร่าพร้อมทั้งเอามือมาจับตรงส่วนนั้นของผม

"ยังไม่พออีกเหรอครับ" ผมถาม พี่เติมเต็มจูบผมย้ำๆหลายที ก่อนที่พี่เติมเต็มจะแสดงให้ผมรู้ว่าพี่เติมเต็มยังไม่พอจริงๆ




เช้าวันต่อมา
ผมตื่นขึ้นมาด้วยความงงเล็กน้อยเพราะยังตั้งสติไม่ได้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ผมลุกขึ้นมานั่งและมองไปรอบห้องนอน พี่เติมเต็มไม่ได้อยู่ในห้อง ผมเห็นสภาพของห้องนอนแล้วรู้สึกร้อนที่หน้ามากเลยครับ ต้องรุนแรงขนาดไหนน่ะห้องถึงได้เละขนาดนี้ ผมลองขยับตัวดู ค่อนข้างเจ็บพอสมควรเลยครับแต่ผมก็ทนเห็นห้องอยู่ในสภาพนี้ไม่ได้

ดอกไม้บางส่วนกระจัดกระจายทั่วห้อง แต่ส่วนใหญ่ยังอยู่ในสภาพที่ดีครับ ผมเก็บดอกไม้จัดใส่แจกันให้เข้าที่ ดึงผ้าปูที่นอนและผ้าห่มมาวางไว้เพื่อจะได้เอาไปซัก ผมยังไม่ได้เดินสำรวจบ้านเลยครับว่าห้องอะไรอยู่ตรงไหนบ้าง

หลังจากที่ผมฝืนพาร่างกายตัวเองไปอาบน้ำจนเรียบร้อยผมก็เดินออกมานอกห้องนอน เพื่อจะลงไปสำรวจว่าเครื่องซักผ้าอยู่ตรงไหน ผมมองดูกรอบรูปที่แขวนอยู่ตามผนัง ในบ้านจะมีรูปของผมและพี่เติมเต็มแขวนไว้ตามจุดต่างๆทั่วบ้านเลยครับ ในห้องนอนผนังฝั่งหนึ่งเป็นวอลเปเปอร์รูปคู่ของเราเลยครับ ผมรู้สึกหัวใจมันพองขึ้นจนแน่นในอกข้างซ้าย มันเหมือนเราเป็นคนสำคัญสำหรับในชีวิตของใครอีกคนมากจริงๆ

"คนเก่ง!" พี่เติมเต็มที่เดินขึ้นบันไดมาเจอผมพอดีที่กำลังจะก้าวขาเดินลงบันได

"พี่กำลังจะไปปลุกเลย เดินไหวเหรอ" พี่เติมเต็มรีบเดินมาประคองผมทันที

"ผมเดินได้ครับ .. แค่ช้าหน่อย" ผมรีบบอกพี่เติมเต็มเพราะพี่เติมเต็มทำท่าจะเข้ามาอุ้มผม

"แต่พี่อยากดูแล" พี่เติมเต็มพูดแค่นั้นก่อนจะอุ้มผมเดินลงบันไดมา พี่เติมเต็มอุ้มผมมานั่งตรงที่โซฟาที่ห้องนั่งเล่นที่อยู่ติดกับสระว่ายน้ำ และพี่เติมเต็มก็นั่งลงข้างผม

"เดี๋ยวจะมีพนักงานของทางศูนย์รถเขาเอาเอกสารเข้ามาให้คนเก่งเซ็นนะ" พี่เติมเต็มบอกผม

"พี่เต็มครับ ... " ผมกำลังจะพูดบางอย่างและเหมือนว่าพี่เติมเต็มจะทราบว่าผมจะพูดอะไร เพราะพี่เติมเต็มพูดแทรกขึ้นมา

"ไม่มีคำว่าแต่นะครับ"

ผมรู้ตัวเลยว่าตอนนี้ตัวเองหน้างอมากแน่ๆ เพราะผมมองไม่เห็นความจำเป็นที่ผมจะต้องมีรถใช้ หรือถ้าพี่เติมเต็มจะให้ก็ไม่ควรจะเป็นรถยุโรปที่ราคาแพงขนาดนี้ไง

พี่เติมเต็มลูบแก้มผมไปมาเบาๆ

"อย่าทำหน้าแบบนี้ พี่แค่อยากให้คนเก่งเดินทางสะดวก ถ้าวันไหนที่พี่ไม่ว่างติดงานหรือเวลาฉุกเฉินจริงๆคนเก่งจะได้มีรถใช้ และรถยี่ห้อนี้ก็มั่นใจได้ในเรื่องความปลอดภัย รองรับแรงกระแทกได้ดี ทนทานด้วย"

ผมอดที่จะหัวเราะพี่เติมเต็มไม่ได้ที่พูดคุณสมบัติของรถเหมือนตัวเองเป็นพนักงานขายรถ

"พูดเหมือนเป็นเซลล์เลย" ผมพูดแซวออกมา

"ตอนนี้พี่ก็ไม่ต่างจากเซลล์เท่าไหร่หรอก พยายามพูดจาโน้มน้าวใจลูกค้าที่ดื้อมากๆอย่างคนเก่งอยู่เนี่ย" ผมยิ้มอ่อนๆให้พี่เติมเต็มก่อนจะขยับตัวไปกอดพี่เติมเต็ม

"ขอบคุณนะครับป๋า" ผมอดที่จะพูดล้อเล่นกับพี่เติมเต็มไม่ได้ พี่เติมเต็มชะงักนิดหน่อยก่อนจะหอมแก้มผมแรงๆ

"หนูก็ต้องตอบแทนป๋าให้เต็มที่หน่อยนะ รู้มั้ย" ผมไม่ได้ตอบแค่พยักหน้ายิ้มๆ

"สิบโมงกว่าแล้ว หิวมั้ย" พี่เติมเต็มถามผม

"หิวครับ" ผมรีบบอกเพราะรู้สึกหิวมากจริงๆ

"เมื่อเช้าน้านวลทำข้าวต้มมาให้ ทานข้าวต้มไปก่อนนะ เดี๋ยวมื้อเที่ยงค่อยทานอย่างอื่น" พี่เติมเต็มบอก ก่อนจะลุกเดินไปทางห้องครัว

พอมานั่งนึกๆดูก็รู้สึกอุ่นใจยังไงก็ไม่รู้ครับ เรื่องเมื่อวานเหมือนความฝัน แต่เพราะผมยังรู้สึก .... ปวดเมื่อยตามตัวทำให้รู้ว่านี่คือเรื่องจริง

เมื่อคืนระหว่างที่นั่งทานข้าวร่วมกันกับครอบครัวของพี่เติมเต็ม ป๊าม๊าบอกว่ายินดีที่จะจัดงานแต่งงานให้อีกครั้งแบบเป็นทางการมากกว่านี้ แต่ผมรู้สึกว่าแค่นี้ก็เพียงพอมากแล้ว เพราะผมเองก็ไม่เคยวาดภาพว่าตัวเองจะต้องมีงานแต่งงานและผมก็รู้สึกสบายใจมากกว่าที่เป็นแบบนี้ ผมรู้ว่าทุกคนในครอบครัวของพี่เติมเต็มดีกับผมและไม่สนใจหากมีใครมองไม่ดี แต่ผมก็คิดว่ามันไม่ใช่ทุกคนหรอกที่เข้าใจ ผมยอมรับว่ากังวลใจมาก กลัวภาพลักษณ์ของครอบครัวพี่เติมเต็มดูแย่ เพราะธุรกิจของครอบครัวพี่เติมเต็มมันไม่ใช่ธุรกิจหลักสิบล้าน มันมากกว่านั้นเยอะครับ

"ให้พี่ป้อนนะ" พอพี่เติมเต็มยกถาดที่ใส่ชามข้าวต้มพร้อมกับน้ำเปล่าเข้ามาถึง พี่เติมเต็มก็บอกทันทีว่าจะป้อนผม

"ผมทานเองได้ครับ" ผมบอกยิ้มๆ

"ก็แค่อยากดูแล" คำพูดนี้มาอีกแล้วครับ

"ครับๆ ก็ได้ครับ ป้อนก็ป้อน" ผมบอกเพราะพี่เติมเต็มตักข้าวต้มขึ้นมาจะป้อนผมให้ได้

ผมหยิบมือถือขึ้นมาเล่นระหว่างที่พี่เติมเต็มป้อนข้าวต้มผม เลื่อนมาดูหน้าไทม์ไลน์เฟซบุ๊กของตัวเองแล้วก็อดที่จะรู้สึกเขินๆขึ้นมาไม่ได้ พี่เติมเต็มโพสต์รูปที่สวมแหวนแต่งงานเมื่อวานพร้อมแคปชั่นที่เข้าใจง่ายๆ

'แต่งแล้วนะ'

ถึงในรูปมีแค่รูปมือไม่มีหน้าของเราสองคนแต่การที่พี่เติมเต็มแท็กมาที่เฟซบุ๊กของผมด้วย มันก็ทำให้ใครๆก็รู้สถานะปัจจุบันของเรา จากที่คืนก่อนพี่เติมเต็มเขียนสเตตัสในเฟซบุ๊กว่า

'สถานะแฟนวันสุดท้าย'

เมื่อวานนี้ที่ผมเข้าไปดูในเฟซบุ๊กของพี่เติมเต็มมีคนเข้าไปแสดงความคิดเห็นเยอะมากครับ มีหลายคนที่ผมไม่คุ้นชื่อเฟซบุ๊กเข้ามาแสดงความคิดเห็นในเชิงลบประมาณว่าคิดแล้วว่าไปกันไม่รอด แต่ส่วนใหญ่ก็จะเป็นความคิดเห็นในทำนองที่ไม่อยากให้คู่เราเลิกกันเพราะคู่เราน่ารักมาก

แต่พอสเตตัสถัดมาของพี่เติมเต็มสร้างความแตกตื่นให้บรรดาแฟนคลับและเพื่อนๆในเฟซบุ๊กของพี่เติมเต็มและผมพอสมควร บางคนก็ไม่เชื่อว่าจะแต่งจริงๆ แต่ส่วนใหญ่ทุกคนต่างก็เข้ามาแสดงความยินดี ผมเห็นพี่เติมเต็มเข้าไปตอบคอมเม้นท์คนที่เข้ามาแสดงความยินดี

พอเวลาล่วงเลยมาจนถึงตอนเย็น รูปที่ถ่ายในงานช่วงเช้าก็ถูกอัพลงโซเชียลด้วยฝีมือของทุกคนที่มางานเมื่อเช้า ทำให้คนที่ไม่แน่ใจว่าแต่งกันจริงมั้ยมั่นใจว่าเราแต่งงานกันจริงๆ

"มีความสุขมั้ย" พี่เติมเต็มที่ตอนนี้ป้อนข่าวต้มผมเสร็จเรียบร้อยแล้ว เอ่ยขึ้นหลังจากที่ให้ผมดื่มน้ำพร้อมกับทานยาแก้ปวดและแก้อักเสบ

"ครับ แล้วพี่เต็มล่ะครับ" ผมถามกลับยิ้มๆ พี่เติมเต็มดึงผมเข้ามาให้ซบลงตรงไหล่

"โคตรมีความสุขเลย ช่วงก่อนหน้านี้ที่เราไม่ได้เจอกันพี่รู้สึกแย่มาก มันคิดถึง มันอยากเห็นหน้า มันอยากกอด พอมาถึงวันนี้ได้ พี่รู้สึกนับถือในความอดทนของตัวเองเลย" ผมกอดเอวพี่เติมเต็มแน่นขึ้น

"หนูรักพี่เต็มนะ" ผมพูด ได้ยินเสียงพี่เติมเต็มหัวเราะในลำคอ

"อยากเจ็บตัว" ผมหัวเราะพี่เติมเต็มที่พูดแบบนั้นพร้อมขยี้ผมของผมอย่างไม่เบามือนัก


สักพักพนักงานของที่ศูนย์รถมาที่บ้านแต่พี่เติมเต็มไม่ได้ให้พนักงานมาเจอผม พี่เติมเต็มให้พนักงานรอที่ห้องรับแขกและพี่เติมเต็มเป็นคนเอาเอกสารจากพนักงานมาให้ผมเซ็นด้วยเหตุผลที่ว่าไม่อยากให้ใครมาเห็นสภาพร่างกายผมในตอนนี้ คือมันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นแต่ถามว่าร่างกายมีร่องรอยอะไรมั้ย ก็มีบ้างครับแต่ในจุดที่มองเห็นได้มันไม่เยอะมาก แต่ถ้าจุดที่มองไม่เห็นก็ .... พอนึกภาพเมื่อคืนแล้วก็รู้สึกอายครับเพราะพี่เติมเต็มดูจะโหยหาร่างกายของผมมาก

"คิดอะไรลามกหรือเปล่าทำไมหน้าแดง" พี่เติมเต็มที่หายไปคุยกับพนักงานศูนย์รถ เดินมานั่งลงข้างๆผมแล้วถามขึ้น

"ก็ .. นิดหน่อยครับ" ผมตอบตามจริง

"อย่ามามองแบบนี้บ่อย ยังไม่อยากจับฟัดตอนนี้" พี่เติมเต็มพูดพร้อมกับโยกหัวไปมา พี่เติมเต็มหยิบมือถือขึ้นมา ผมมองเห็นว่าพี่เติมเต็มกำลังอัพคลิปอะไรบางอย่างลงไปที่เฟซบุ๊ก พี่เติมเต็มหันมามองผมพร้อมกับบอกว่า

"เดี๋ยวก็เห็นเพราะพี่แท็กคนเก่งแล้ว"

ไม่นานก็มีแจ้งเตือนที่เฟซบุ๊กของผม ผมเข้าไปกดรับแท็กของพี่เติมเต็ม ผมอ่านแคปชั่นก่อน


.... ขอบคุณป๊าม๊ามากนะครับ ....


พอเห็นแคปชั่นผมหันไปมองพี่เติมเต็ม

"ดูคลิปสิ" พี่เติมเต็มบอก ผมก็เลยกดเข้าไปดู


'เดี๋ยวเราจะขออนุญาตไปสัมภาษณ์ความรู้สึกของพ่อแม่เจ้าบ่าวกันดูนะครับ ...'

"เสียงติวเตอร์นี่นา" ผมพูดขึ้นเบาๆ แล้วในคลิปก็เป็นภาพของป๊าม๊าที่กำลังนั่งอยู่ในห้องรับแขกเมื่อวาน

ติวเตอร์ : สวัสดีครับ ผมอยากถามความรู้สึกป๊าม๊าหน่อยนะครับ ไม่ทราบว่ารู้สึกยังไงกับลูกสะใภ้คนนี้ครับ

ม๊า : ถูกใจค่ะ

ติวเตอร์ : แล้วได้ยินมาว่าสินสอดจัดหนักมากจริงหรือเปล่าครับ

ม๊า : จัดหนักมั้ยคุณ (ม๊าหันไปถามป๊ายิ้มๆ)

ป๊า : เจ้าเต็มมันต้องทำงานใช้หนี้อย่างน้อยสักยี่สิบปี (ป๊าพูดแล้วก็หัวเราะออกมา)

ติวเตอร์ : แสดงว่าสินสอดไม่ธรรมดา

ม๊า : ก็ตามความเหมาะสม สำหรับลูกสะใภ้ของครอบครัวเรา และเหมาะสมกับคนที่ลูกชายรักค่ะ

ติวเตอร์ : ขอเป็นตัวเลขได้มั้ยครับ

ป๊า : ไอ้นี่เซ้าซี้เว้ย (ป๊าพูดออกมาพร้อมหัวเราะขำติวเตอร์)

ม๊า : ไม่รู้น้อยเกินไปหรือเปล่าม๊าไม่กล้าพูด (เสียงของม๊าเบาลงเล็กน้อย)

ติวเตอร์ : บอกเป็นหลักก็ได้ครับ

ม๊า : เก้าหลักค่ะ

ติวเตอร์ : โห! เก้าหลัก จัดหนักจริงๆครับงานนี้

ม๊า : ลูกชายหาสะใภ้ได้ถูกใจค่ะ (ม๊าพูดพร้อมหัวเราะออกมา)

ติวเตอร์ : มีอะไรอยากฝากถึงลูกสะใภ้มั้ยครับ

ม๊า : มาอยู่เป็นลูกชายของม๊าอีกคนนะคนเก่ง

ป๊า : ยินดีต้อนรับสู่ครอบครัวของเรา





คลิปจบลงตรงที่เป็นภาพรอยยิ้มของป๊ากับม๊าที่ยิ้มให้กัน


"ขี้แย" เสียงพี่เติมเต็มที่นั่งอยู่ข้างๆผมดังขึ้นมา ผมเพิ่งรู้ตัวว่าน้ำตาตัวเองไหลออกมา

"ผม ... แค่ดีใจ" ผมพูดออกมา พี่เติมเต็มมองหน้าผมและลูบแก้มผมไปมา

"พี่ก็ดีใจ" พี่เติมเต็มยิ้มและดึงผมเข้าไปกอด

ผมว่าผมอาจจะสำลักความสุขตายเร็วๆนี้ก็ได้

"เดี๋ยวเดือนหน้าเราไปฮันนีมูนกันนะ" ผมตกใจที่พี่เติมเต็มพูดเรื่องนี้ขึ้นมา

"ต้องไปฮันนีมูนด้วยเหรอครับ" ผมถาม

"ต้องไปสิ หลังแต่งงานต้องไปฮันนีมูน จริงๆแล้วพี่ตั้งใจว่าจะรออีกสักสองสามเดือนถึงจะพาคนเก่งไปเที่ยว แต่บังเอิญว่ามีสปอนเซอร์รายใหญ่สนับสนุนค่าใช้จ่ายพี่ก็เลยอยากพาไปเที่ยวเดือนหน้าเลย"

"ไปที่ไหนเหรอครับ"

"คนเก่งเคยบอกว่าอยากไปเที่ยวญี่ปุ่นใช่มั้ย"

ผมตาโตด้วยความตื่นเต้นเพราะญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ผมอยากไปมาก พี่เติมเต็มบอกว่าเคยไปเที่ยวกับที่บ้านตอนช่วงมอปลาย

"ญี่ปุ่นเหรอครับ เราจะไปญี่ปุ่นกันเหรอ"

"ใช่"

"แต่ค่าใช้จ่ายน่าจะเยอะนะครับ" ผมอดกังวลไม่ได้เพราะถึงพี่เติมเต็มจะไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงิน แต่ผมก็รู้ว่าพี่เติมเต็มหมดกับการแต่งงานไปค่อนข้างเยอะ

"บอกแล้วไงว่ามีสปอนเซอร์" พี่เติมเต็มพูดออกมายิ้มๆ

"ใครเหรอครับ"

"ม๊าน่ะ"

"ไม่ต้องไปรบกวนม๊าก็ได้ครับ ไปช้าหน่อยก็ได้ เก็บเงินไปเองดีกว่า" ผมพูดเพราะรู้สึกเกรงใจม๊า หมดไปเยอะเลยครับงานนี้

"ม๊าเป็นคนเสนอให้เอง เพื่อเป็นการปลอบใจที่แกล้งพี่" พี่เติมเต็มพูดแล้วก็หัวเราะออกมาเล็กน้อย

"แกล้งเรื่องอะไรเหรอครับ"

"ก็เรื่องที่บอกว่าหมอดูไม่ให้เรามีเซ็กส์กันไงล่ะ ม๊าบอกว่าม๊าแค่แกล้งพี่เท่านั้นและไม่คิดว่าพี่จะทำจริงๆ ตอนแรกก็ไม่เชื่อที่ม๊าพูดหรอก แต่พี่ก็ไม่อยากเลิกกับคนเก่ง พี่ก็เลยต้องทำตาม แถมม๊ายังบอกอีกว่าไม่ทำการบ้านมาเป็นเดือน ถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่คนเก่งคงโดนทิ้งไปแล้ว"

ผมยอมรับว่าตกใจที่ได้ยินเพราะไม่คิดว่าม๊าจะแกล้งพี่เติมเต็มแบบนี้ ผมหัวเราะพี่เติมเต็มที่ยังบ่นเรื่องนี้อยู่




ล่วงเลยมาช่วงบ่ายแก่ๆที่บ้านก็ครื้นเครงด้วยบรรดาเพื่อนๆของพี่เติมเต็ม พี่ธรณ์ พี่ชินท์ พี่ทัตพล พี่กอล์ฟ พี่คิว พี่ธาวิน พี่บุ๊คและพ่วงมาด้วยฟูจิและโจ้ ซึ่งก่อนที่ทุกคนจะมาพี่เติมเต็มได้ให้ผมไปเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ที่ไม่ใช่เสื้อกล้ามกางเกงขาสั้น

พวกพี่ๆยึดพื้นที่ตรงสระว่ายน้ำเป็นพื้นที่สังสรรค์ครับ และดูเหมือนทุกคนจะเตรียมการณ์มาแล้วว่าจะนอนค้างที่นี่เพราะเห็นฟูจิและโจ้บอกว่าเอากระเป๋าเสื้อผ้ามาด้วย

"สภาพโทรม แต่หน้าตาสดใสเนอะ" ประโยคแรกที่โจ้ทักผมทันทีที่เจอหน้า

"ก็ .. ปกติอ่ะ" ไม่รู้จะตอบโจ้ไปว่าอะไรก็เล่นมาแซวผมแบบนี้

"โอเคใช่มั้ยมึง" ฟูจิถามผมพร้อมมองผมแบบหัวจรดเท้า

"โอเคๆ" ผมตอบ

"พี่เต็มคงจะเก็บแต้มย้อนหลังหนึ่งเดือนที่ผ่านมาจนคุ้ม" ฟูจิพูดขึ้นมาอีก ผมว่าผมก็ไม่ได้ดูแย่ขนาดนั้นซะหน่อย

"แล้วจะทำอะไรทานกันเหรอ" ผมถามทั้งฟูจิและโจ้ เพราะมองผ่านกระจกออกไปเห็นพวกพี่ๆกำลังวุ่นวายกันอยู่ที่ริมสระว่ายน้ำ

"พวกพี่ๆเขาจะทำพวกปิ้งย่างกัน เห็นซื้อของสดมากันเพียบ" ฟูจิบอก

"แต่มึงไม่ต้องออกไปช่วยเขาหรอก เฮียเต็มบอกให้พวกเรารอทานอย่างเดียว" โจ้พูดขึ้นมา ผมก็ได้แต่พยักหน้ารับ ก่อนที่ทั้งฟูจิและโจ้จะเดินออกไปเอาของกินเล่นพร้อมเครื่องดื่มเข้ามาทาน

ผมสามคนนั่งดูหนังและนั่งคุยกันเรื่อยเปื่อย มองออกไปนอกกระจกเห็นพวกพี่ๆเริ่มดื่มกันบ้างแล้ว

"เดี๋ยวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ" ผมบอกฟูจิและโจ้ที่นั่งอยู่ด้วยกัน

"เดินไหวมั้ยมึง" ฟูจิถามผม

"ไหวดิ" ผมตอบก่อนจะเดินไปห้องน้ำอย่างช้าๆ หลังจากทำธุระเรียบร้อย ผมเดินออกมาจากห้องน้ำขณะที่กำลังจะเดินกลับไปหาฟูจิและโจ้ ผมก็ได้ยินเสียงพี่เติมเต็มดังอยู่ไม่ไกลมาก


"ครับ เรียบร้อยแล้วครับคุณบัว"


... คุณบัว ...

จริงสิ ... ผมลืมเรื่องนี้ไปเลย


(มีต่อนะคะ)

ออฟไลน์ ninewara

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
(ต่อค่ะ)




ผมตัดสินใจอยู่สักพักก่อนจะเดินตามเสียงของพี่เติมเต็ม พี่เติมเต็มยืนหันหลังคุยโทรศัพท์มือถืออยู่

"ครับ ขอบ ... คุณครับ" พี่เติมเต็มชะงักตอนที่หันมาเจอผมยืนอยู่ด้านหลัง แล้วพี่เติมเต็มก็วางสายไป

"คุยกับใครเหรอครับ" ผมถามและยิ้มให้พี่เติมเต็ม

"ลูกค้าน่ะ" พี่เติมเต็มตอบมาพร้อมกับแววตาที่ค่อนข้างมีพิรุธ

"จริงเหรอครับ" ผมลองพูดออกไป

"จริงสิ ... ปะ ออกไปนั่งข้างนอกกับพวกนั้นกัน" พี่เติมเต็มพูดก่อนจะจูงมือผมให้เดินออกไปนั่งที่ริมสระว่ายน้ำกับพวกพี่ๆ พี่เติมเต็มให้ผมนั่งลงที่โซฟาก่อนที่ตัวเองจะนั่งลงข้างผม

"เดี๋ยวพี่หาอะไรมาให้ทานนะ" พี่เติมเต็มลุกไปที่เตาปิ้งย่างที่พี่ชินท์กับพี่ทัตพลกำลังย่างอยู่

"เป็นไรมึง" ฟูจิเดินมาพร้อมพี่ธาวินและโจ้ โจ้เดินไปหาพี่บุ๊คที่กำลังนั่งชงเครื่องดื่มอยู่ ฟูจินั่งลงที่โซฟาข้างๆผมและถามขึ้นมา

"กูแสดงท่าทางชัดขนาดนั้นเลยเหรอ" ผมถามฟูจิ

"ก็หน้าตามึงดูเหมือนงอนๆหรือไม่พอใจอะไรสักอย่าง" สมกับที่เป็นเพื่อนกันมาหลายปีครับ

"กูแค่ ... รู้สึกว่าพี่เต็มมีเรื่องปิดบังกู  ... เรื่องผู้หญิง" ผมบอกฟูจิ ฟูจิมันตาโตมองผมด้วยความตกใจ

"เฮ้ย! มึงจะบอกว่าผัวมึงนอกใจมึงเหรอ" ฟูจิมันพูดขึ้นมาเสียงเบาๆ

"มัน .. ไม่รู้สิ กูบอกไม่ถูก เรื่องนอกใจกูว่าคงไม่ใช่"

"แล้วยังไงวะ เพิ่งแต่งงานเมื่อวานเองนะเว้ย"

ผมเล่าเรื่องที่ผมกังวลเรื่องคุณบัวให้ฟูจิฟัง ซึ่งฟูจิมันก็แอบคิดเหมือนผมเพราะปกติพี่เติมเต็มไม่เคยมีความลับกับผม

"พี่เต็มมีอะไรจะเซอร์ไพรส์มึงเปล่าว่ะ" ฟูจิพูดขึ้นมา ซึ่งผมก็แอบคิดบ้างเหมือนกัน แต่มันผ่านเรื่องเซอร์ไพรส์งานแต่งงานมาแล้ว ผมว่ามันก็ไม่น่าจะมีอะไรที่ต้องเซอร์ไพรส์อีก

"กูก็แอบคิดเรื่องเซอร์ไพรส์เหมือนกันแต่งานแต่งมันก็ผ่านมาแล้วนี่หว่า" ผมบอกฟูจิตามที่คิด

"มาแล้วครับ" พี่เติมเต็มเดินมาพร้อมกับของที่ย่างมาจนเต็มจาน

"พี่เต็มครับ ผมขอยืมมือถือหน่อยได้มั้ยครับ" พี่เติมเต็มชะงักตอนที่ผมพูด พี่เติมเต็มดูลังเลใจซึ่งท่าทางแบบนั้นมันทำให้ผมใจเสียเพราะพี่เติมเต็มไม่เคยมีท่าทีแบบนี้มาก่อนเวลาที่ผมขอยืมมือถือ พี่เติมเต็มนั่งลงข้างผมและยื่นมือถือให้ ผมรับมือถือจากพี่เติมเต็มมา ฟูจิเดินเลี่ยงไปหาพี่ธาวินที่กำลังนั่งดื่มกับเพื่อนๆอยู่ คงอยากจะให้ผมคุยกับพี่เติมเต็มเป็นส่วนตัว

ผมปลดรหัสหน้าจอมือถือด้วยความรู้สึกกลัวๆว่ามันจะยังคงเป็นรหัสเดิมมั้ย ซึ่งผมลอบถอนหายใจอย่างโล่งใจที่มันยังคงเป็นรหัสเดิม ผมทำเป็นเลื่อนดูนั้นดูนี้ไปเรื่อยเปื่อยทั้งที่ใจจริงอยากจะกดเข้าไปดูประวัติการโทรเข้าออก และอยากเข้าไปดูในแชทไลน์ แต่เพราะผมไม่เคยทำแบบนี้มาก่อนมันก็เลยทำให้ผมไม่กล้าทำ มันเหมือนเราละลาบละล้วงความเป็นส่วนตัว และเหมือนไม่ให้เกียรติแฟนตัวเอง สุดท้ายผมก็ยื่นมือถือคืนให้พี่เติมเต็ม พี่เติมเต็มมองผมอย่างงงๆแต่ไม่ได้ถามอะไรออกมา

จนเวลาผ่านไปหลายชั่วโมง พวกพี่ๆเริ่มอยากจะลงว่ายน้ำในสระว่ายน้ำกัน ผมนั่งมองพี่ๆที่เริ่มถอดเสื้อผ้ากัน ผมกำลังนั่งมองเพลินๆพลางกำลังคิดในใจว่าพี่บุ๊คเนี่ยหุ่นดีพอๆกับพี่เติมเต็มเลย

"ห้ามมอง" พี่เติมเต็มเอามือมาปิดตาผมพร้อมกับห้ามไม่ให้ผมมอง แต่ผมจับมือพี่เติมเต็มออก

"อยากมองครับ" ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยจะได้ใช้กับพี่เติมเต็มบ่อยนัก น้ำเสียงเอาแต่ใจตัวเอง

"หืม? เป็นอะไร งอนอะไรครับ" พี่เติมเต็มบีบแก้มผมเบาๆ

"พี่เต็มมีความลับกับผม" หลังจากที่ผมใช้เวลาคิดว่าจะทำยังไงผมถึงจะรู้เรื่องคุณบัว ผมก็เลยคิดว่าต้องใช้แผนล่อเสือออกจากถ้ำ (?)

"ความลับอะไร ... ไม่มีแล้วนะที่เป็นความลับเมื่อวานก็เฉลยไปแล้วไง" พี่เติมเต็มพูดด้วยน้ำเสียงปกติไม่มีแววกังวล

ผมเม้มปากตัวเองนิดๆก่อนจะตัดสินใจพูดออกไปตามที่ตั้งใจเอาไว้

"แล้วเรื่องคุณบัวล่ะครับ"

ได้ผลครับ พี่เติมเต็มจากที่กำลังลูบหน้าลูบผมผมอยู่ก็ชะงักทันที

"คนเก่งรู้จักคุณบัวเหรอ" พี่เติมเต็มถามผม

"ครับ" ผมตอบรับออกไปพร้อมกับนึกขอโทษพี่เติมเต็มในใจที่โกหก

พี่เติมเต็มเงียบไปนิดหนึ่ง ก่อนจะหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง ผมใจหายทันทีเพราะกลัวพี่เติมเต็มจะโทรไปถามคุณบัว ผมรีบจับมือพี่เติมเต็มข้างที่จับโทรศัพท์มือถือเอาไว้

"แล้วสรุปเรื่องคุณบัวยังไงครับ" ผมรีบถามขึ้นมาเพื่อให้พี่เติมเต็มสนใจผมมากกว่าสนใจมือถือ

พี่เติมเต็มยังคงเงียบอยู่ซึ่งผมไม่ชอบเลย จากที่ไม่คิดผมจะเริ่มคิดแล้วนะ

"พี่เต็มครับ ทำไมไม่พูดล่ะครับ"

" ....... "

"พี่เต็มนอกใจผม ... ใช่มั้ย"

"เฮ้ย!!! บ้าเหรอ!!!"

พี่เติมเต็มพูดเสียงดังลั่นจนทุกคนหันมามองกันหมด

"เราต้องคุยกันหน่อยแล้ว" น้ำเสียงพี่เติมเต็มค่อนข้างจะหงุดหงิดพี่เติมเต็มจับแขนผมเพื่อให้ลุกเดินตามเข้าไปในบ้าน ผมเดินตามแรงของพี่เติมเต็มไปสักพัก ก่อนจะจับผมนั่งลงตรงห้องนั่งเล่นที่อยู่ติดกับสระว่ายน้ำที่ผมนั่งเมื่อช่วงเช้า ผมมองออกไปนอกกระจก เห็นว่าทุกคนกำลังมองมาที่เรากันหมด

"ไหนยังไง นอกใจอะไร" พี่เติมเต็มยืนอยู่ข้างหน้าผมพร้อมถามผมเสียงดุเชียว

ผมคิดว่าในเมื่อมันเป็นแบบนี้แล้วก็ควรจะคุยกับพี่เติมเต็มไปตรงไปเลยดีกว่าไม่งั้นผมก็จะคิดมากอยู่แบบนี้ และผมอยากได้ความชัดเจนด้วย ผมก็เลยตัดสินใจเล่าเรื่องที่ผมกังวลตั้งแต่วันที่ไปลองชุดสูทที่ร้าน เรื่องที่เห็นข้อความในไลน์ที่นัดกันกับคุณบัว และล่าสุดที่ได้ยินพี่เติมเต็มคุยโทรศัพท์มือถือกับคุณบัว

พอผมเล่าเสร็จ พี่เติมเต็มก็นั่งลงข้างผมและดึงผมเข้าไปกอด พี่เติมเต็มลูบหัวผมเบาๆ

"พี่ขอโทษนะที่ทำให้คิดมาก พี่ก็ทำตัวให้น่าสงสัยจริงๆนั่นแหละ"

"แล้ว ... " ผมพูดขึ้นแต่พี่เติมเต็มพูดแทรกขึ้นมาก่อน

"ขึ้นไปข้างบนกัน พี่มีอะไรจะให้ดู" พี่เติมเต็มจับมือผมและชวนให้ขึ้นไปข้างบน พี่เติมเต็มพาผมมาหยุดที่หน้าห้องห้องหนึ่งที่เดินขึ้นบันไดมาแล้วจะอยู่ห้องแรก ผมมองหน้าพี่เติมเต็มเพราะพี่เติมเต็มยังไม่เปิดประตูเข้าไปในทันที ผมรู้สึกเหมือนพี่เติมเต็มกำลังตื่นเต้น

"มีอะไรในห้องนี้เหรอครับ" ผมถามเพราะผมเพิ่งเข้ามาเห็นภายในบ้านเมื่อวานนี้ และยังไม่ได้เดินดูว่าในบ้านมีห้องอะไรบ้าง

"เข้าไปดูกัน" พี่เติมเต็มบอกก่อนที่จะเปิดประตูห้องเข้าไป

ผมเดินตามพี่เติมเต็มที่เดินเข้าไปก่อน ห้องนี้ขนาดของห้องค่อนข้างใหญ่เฟอร์นิเจอร์ชิ้นเดียวในห้องนี้คือโซฟาที่อยู่มุมห้อง ผมจับมือพี่เติมเต็มแน่นเมื่อผมเห็นสิ่งที่อยู่บนผนัง มันเป็นกรอบรูปขนาดเล็กๆที่ด้านในเป็นการ์ดที่ผมเคยเขียนให้พี่เติมเต็ม ผมเริ่มมองรอบห้องและเดินดูกรอบรูปแต่ละอันใกล้ๆ ผมรู้สึกเหมือนตัวลอยๆ เพราะตอนนี้ผมรู้แล้วว่าทำไมตู้สีขาวในห้องนอนที่บ้านป๊าม๊าถึงได้ไม่มีการ์ดของผมที่เคยให้พี่เติมเต็มอยู่เลยสักใบ นั่นเป็นเพราะ...

การ์ดทุกใบมารวมกันอยู่ในห้องนี้ การ์ดทุกใบถูกใส่กรอบเอาไว้อย่างดีครับ ผมมองดูกรอบรูปภายในห้อง มันมีเป็นพันใบเลยครับ เพราะมันเป็นการ์ดที่ผมส่งให้พี่เติมเต็มตลอดแปดปีที่ผ่านมา การ์ดถูกจัดวางเรียงตามลำดับของวันที่ที่ผมเขียนในการ์ด และการ์ดใบสุดท้ายผมเห็นที่ผนังคือเป็นการ์ดที่ผมเขียนให้พี่เติมเต็มเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว

นอกจากการ์ดที่ใส่กรอบแล้ว ยังมีตู้โชว์ที่ในนั้นมีของที่ผมเคยให้พี่เติมเต็มซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นของเล็กๆน้อยๆทั้งนั้น เช่น พวงกุญแจ แก้วน้ำ ตุ๊กตา ขวดโหลที่ผมพับนก พับดาวให้ ซึ่งของทุกชิ้นมีวันที่ระบุไว้ด้วยว่าผมให้วันไหน

ผมโผเข้าไปกอดพี่เติมเต็มที่ยืนอยู่ใกล้ๆผม

"พี่เต็ม ... ขอบคุณนะครับ .. " น้ำเสียงผมเริ่มจะสั่นเครือเพราะน้ำตาผมกำลังจะไหล ผมไม่คิดว่าพี่เติมเต็มจะทำแบบนี้ แค่ผมรู้ว่าพี่เติมเต็มเก็บการ์ดของผมไว้เป็นอย่างดี ผมก็ดีใจมากๆแล้วแต่พอมาเจอแบบนี้ซึ่งผมไม่เคยคิด

"พี่ต่างหากที่ต้องขอบคุณคนเก่ง ขอบคุณทุกอย่างที่ทำให้พี่ตลอดมา ขอบคุณในความรักที่มีให้พี่ตลอดแปดปีที่ผ่านมา ..."

หลังจากนั้น พี่เติมเต็มก็พาผมมานั่งที่โซฟา พี่เติมเต็มก็พูดถึงเรื่องคุณบัว คุณบัวเป็นเจ้าของร้านรับทำกรอบรูปตามสั่ง รวมทั้งมีธุรกิจพวกตกแต่งภายในอยู่ พี่เติมเต็มเคยปรึกษาพี่ต่อภพและพี่ขวัญว่าอยากจะทำอะไรสักอย่างกับการ์ดที่ผมให้ ไม่อยากเก็บไว้แค่ในตู้ พี่ขวัญเลยมีไอเดียแบบนี้ขึ้นมา และพี่ขวัญก็ให้ติดต่อเข้าไปคุยกับคุณบัวเรื่องการสั่งทำกรอบรูป รวมทั้งให้คุณบัวช่วยมาดูให้ด้วยว่าจะจัดวางแบบไหนถึงจะพอดีกับการ์ดที่มี พี่เติมเต็มบอกว่าตอนที่คุณบัวเห็นจำนวนการ์ดที่วางอยู่คุณบัวยังตกใจเลยที่มันมีเยอะเป็นพันๆใบแบบนี้ แล้วที่พี่เติมเต็มบอกว่าให้งดส่งการ์ดสักพักก็เพราะว่าอยากให้การ์ดในห้องนี้เป็นการ์ดที่เกิดขึ้นก่อนการแต่งงาน และอันที่จริงพี่เติมเต็มตั้งใจว่าจะให้ผมเป็นของขวัญวันแต่งงานรวมกับวันครบรอบ ซึ่งห้องมันยังไม่เรียบร้อยดีแต่เพราะผมเข้าใจผิดเรื่องคุณบัวพี่เติมเต็มเลยต้องบอกผมก่อน พอคิดๆดูแล้วเรื่องมันไม่มีอะไรเลยพี่เติมเต็มก็ทำตัวน่าสงสัยเกินเหตุ

"ที่จริงพี่เต็มไม่ต้องทำตัวมีพิรุธขนาดนี้ก็ได้ ปกติผมก็ไม่เซ้าซี้อะไรอยู่แล้ว"

"ไม่รู้สิ มันรู้สึกกังวลยังไงไม่รู้ ก็คนไม่เคยโกหกแฟนอ่ะ" พี่เติมเต็มทำเสียงอ้อนผม

"ไม่โกหกเลยเหรอครับ เรื่องงานเมื่อวานไม่โกหกเลยเนอะ" ผมแซวพี่เติมเต็มอย่างขำๆ

"เรื่องนี้ไม่ถือว่าโกหกครับ"

"ครับๆไม่โกหกก็ได้"

"พี่รอรับการ์ดหลังจากแต่งงานอยู่นะ"

"ทำไมต้องทำอะไรมากมายแบบนี้ให้ผมด้วย" ผมกอดเอวและซุกอยู่ที่หน้าอกของพี่เติมเต็ม

"พี่ว่ามันน้อยเกินไปด้วยซ้ำ" พี่เติมเต็มพูดออกมาพร้อมหอมแก้มผมไปด้วย

"จริงสิ พี่ว่าจะถามนานแล้ว"

"ครับ" ผมเงยหน้ามองพี่เติมเต็ม

"ทำไมคนเก่งถึงชอบพี่ล่ะ"

ผมนั่งนึกอยู่สักพัก

"เพราะพี่เต็มหล่อมั้งครับ"

"หล่อเนี่ยนะ เหตุผมไม่เท่เลย นึกว่าจะมีเหตุการณ์อะไรที่พี่เข้าไปช่วยคนเก่ง แล้วคนเก่งประทับใจจนตกหลุมรัก" พี่เติมเต็มมีน้ำเสียงโวยวายเล็กน้อย

"พี่เต็มมีโมเม้นท์ที่รู้สึกอะไรแบบนี้ด้วยเหรอครับ" ผมหัวเราะให้กับสิ่งที่พี่เติมเต็มคิด

"ถ้ามีคนถามว่าทำไมคนเก่งชอบพี่ ระหว่างตอบว่าหล่อกับเป็นฮีโร่ อย่างหลังมันก็ต้องดูดีกว่า"

"พี่เต็มกลายเป็นคนกังวลเรื่องแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ"

"ก็ตั้งแต่เป็นแฟนกับเรามั้ง อยากเท่แบบฮีโร่ในสายตาแฟนมากกว่าหล่อในสายตาแฟน"

ผมยิ้มขำก่อนจะพูดออกมาเมื่อนึกเรื่องราวในอดีตได้

"ผมคิดว่าพี่เต็มคงจำไม่ได้หรอกว่าเราเจอกันครั้งแรกตอนไหน" ผมพูดและพี่เติมเต็มมีสีหน้าเหมือนรู้สึกผิด

"ผมไม่ได้รู้สึกเสียใจนะครับพี่เต็มไม่ต้องรู้สึกแย่ก็ได้ ... ตอนนั้นเป็นวันแรกที่ผมต้องไปยื่นเอกสารเรื่องที่ย้ายโรงเรียนมา อาจารย์เห็นพี่เต็มอยู่แถวนั้นพอดี เลยให้พี่เต็มพาผมไป อืมมมม...ก็ถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่ช่วยผมนะ แบบนี้เรียกว่าฮีโร่ได้มั้ยครับ แต่วันนั้นฮีโร่หน้าบึ้งมากไม่ยิ้มให้ผมเลย" ผมเล่าย้อนเหตุการณ์ในวันที่เจอพี่เติมเต็มครั้งแรก

"แล้วคนเก่งเริ่มชอบพี่ตั้งแต่ตอนไหน" พี่เติมเต็มเกลี่ยแก้มผมไปมา

"ถ้ารู้ตัวว่าชอบก็วันที่ผมเขียนจดหมายแล้วฟูจิเอาไปส่งให้พี่เต็มครับ แต่ถ้าเริ่มสนใจ ผมก็สนใจตั้งแต่ที่เจอพี่เต็มวันแรกเลยครับ คือไปไหนในโรงเรียนก็เจอรูปพี่เต็มติดบอร์ดที่โรงเรียนเต็มไปหมด จนผมสนใจว่าพี่คนที่ผมเจอวันแรกที่มาเรียนที่นี่คือใคร ตอนแรกผมไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่ผมรู้สึกกับพี่เต็มคืออะไร แต่ฟูจิเป็นคนบอกผมว่าสิ่งที่ผมกำลังรู้สึกในตอนนั้นคือผมกำลังตกหลุมรัก ตอนนั้นผมก็สงสัยนะว่าทำไมฟูจิถึงเข้าใจผมมากกว่าตัวผมเอง ... ผมเพิ่งมาเข้าใจเมื่อตอนที่รู้ว่าฟูจิเองก็เคยแอบชอบพี่วิน"

"พี่ชอบนะ เวลาคนเก่งเล่าเรื่องเก่าๆให้ฟัง เรื่องความรู้สึกที่มีให้พี่ พี่รู้สึกตัวมันเบาๆลอยๆยังไงก็ไม่รู้ .. มีความสุขจัง"

ผมยิ้มกว้างและกอดพี่เติมเต็ม

"พี่ยังจำวันแรกที่ไอ้ธรณ์มันพาพี่ไปหาคนเก่งที่ห้องเรียนได้อยู่เลย ไม่น่าเชื่อว่าสุดท้ายก็มาตกหลุมรักเด็กคนนี้จนได้"

ผมนั่งพิงพี่เติมเต็ม และเราก็นั่งอยู่แบบนั้นเงียบๆ

"คนเก่ง"

"ครับ"

พี่เติมเต็มยื่นกรอบรูปที่ด้านในไม่ใช่การ์ดใบเล็กเหมือนอันอื่น แต่สิ่งที่อยู่ในกรอบรูปคือเป็นกระดาษรักษ์โลกขนาดเอสี่ที่มีลายมือของผมอยู่บนกระดาษแผ่นนั้น และผมจำได้ทันทีเพราะมันคือจดหมายฉบับแรกที่ผมเขียนไปสารภาพรักกับพี่เติมเต็ม

"ไหนพี่เต็มบอกว่ามันหายไปไม่ได้เก็บไว้แล้วไงครับ" ผมถามด้วยความตื่นเต้น

"ตอนแรกพี่ก็คิดว่าทำหาย แต่ตอนที่ไปรวบรวมการ์ดที่บ้าน พี่ก็ลองไปค้นดูในกระเป๋านักเรียนและกระเป๋าเป้ตอนสมัยเรียนมัธยม พี่ก็เลยไปเจอ ตอนเจอพี่ร้องลั่นบ้านด้วยความดีใจเพราะไม่คิดว่าจะหาเจอ" น้ำเสียงของพี่เติมเต็มแสดงถึงความดีใจมากจริงไปครับ ก่อนจะพูดต่อ

"วันแรกที่พี่ได้รับจดหมายฉบับนี้พี่ไม่สนใจจะเปิดอ่านเลยด้วยซ้ำ ผ่านไปหลายวันจนไอ้ธรณ์มันถาม ก็เลยต้องเปิดอ่าน ... ถ้าไม่ใช่เพราะจดหมายฉบับนี้พี่ก็คงจะไม่ได้แฟนน่ารักๆแบบนี้" พี่เติมเต็มบีบแก้มผมเบาๆ


"พี่รักคนเก่งนะ ขอบคุณที่อดทนรอคอยพี่มาหลายปี ขอบคุณที่ไม่ถอดใจจากพี่ไปซะก่อน ขอบคุณที่เข้ามาเติมเต็มทุกอย่างในชีวิตพี่ ขอบคุณความรักดีๆที่มีให้พี่ทุกวันนะครับ"

ผมกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่พอได้ยินสิ่งที่พี่เติมเต็มพูด

"อย่าร้อง" พี่เติมเต็มพูดพร้อมกับจูบซับน้ำตาผมไปด้วย แต่สักพักมันก็ค่อยๆเปลี่ยนไปจากจูบซับน้ำตา กลายเป็นเลื่อนมาจูบที่ริมฝีปาก และมือของพี่เติมเต็มที่เริ่มจะไม่อยู่นิ่ง

"เพื่อนๆพี่เต็มอยู่ข้างล่างกันนะครับ" ผมรีบบอกเพราะรู้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น

"อยู่ก็ช่างมัน มันเห็นพี่พาคนเก่งหายขึ้นมานานมันก็รู้แล้วล่ะ"

"แต่ว่า .." ผมอยากจะแย้ง

"จริงสิ คนเก่งคงจะยังเจ็บอยู่" พี่เติมเต็มชะงักเหมือนนึกขึ้นมาได้ แต่ผมก็อยากตามใจแฟนเหมือนกัน

"เจ็บครับ แต่ ... ไหวครับ"

"แบบนี้จะไม่ให้รักยังไงไหว .. สัญญาจะทำรอบเดียว ... "

พี่เติมเต็มทำรอบเดียวอย่างที่สัญญาไว้ แต่ก็เป็นรอบเดียวที่นานพอสมควร




และคืนนั้น พี่เติมเต็มก็โพสต์รูปจดหมายที่ผมเขียนถึงพี่เติมเต็มเมื่อแปดปีที่แล้วลงในเฟซบุ๊กและอินสตาแกรมพร้อมแคปชั่นที่เป็นคำพูดพี่เติมเต็มพูดกับผมก่อนหน้านี้



"ถ้าไม่ใช่เพราะจดหมายฉบับนี้พี่ก็คงจะไม่ได้แฟนน่ารักๆแบบนี้ พี่รักคนเก่งนะ ขอบคุณที่อดทนรอคอยพี่มาหลายปี ขอบคุณที่ไม่ถอดใจจากพี่ไปซะก่อน ขอบคุณที่เข้ามาเติมเต็มทุกอย่างในชีวิตพี่ ขอบคุณความรักดีๆที่มีให้พี่ทุกวันนะครับ

ไทม์ไลน์ความรักของผม
20xx - 20xx  ห้าปีที่ผมเป็นคนโง่
20xx - 20xx  สามปีที่ผมฉลาดในเรื่องอื่นนอกจากเรื่องเรียน
20xx - forever ใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อดูแลคู่ชีวิตที่แสนดีของผม"




ถ้าตอนนี้คุณมีความรักขอให้คุณดูแลความรักของคุณให้ดีๆไม่ใช่เรื่องง่ายที่คนบนฟ้าจะเหวี่ยงคนที่ใช่มาให้เรา รักษาคนที่คุณรักไว้ให้ดีด้วยหัวใจของคุณเอง

ขอให้คุณมีความรักที่ดีนะครับ




THE END.



◕ He's My Love ❤️ เติมเต็มรัก จบแล้วนะคะ
◕ ขอบคุณทุกการติดตามตลอดสามเดือนที่ผ่านมา
◕ ขอบคุณทุกคอมเม้นท์
◕ ขอบคุณทุกกำลังใจนะคะ
◕ เจอกันใหม่ในนิยายเรื่องต่อไปนะคะ

      ขอบคุณจากใจค่ะ
                 ninewara✿


ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
หวาน
พี่เต็มจัดเต็ม
 :L2: :pig4:

ขอบคุณมากสำหรับนิยายดีดี :L1:

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
พี่เต็มอยากจะเซอร์ไพรส์น้องแต่มีพิรุธมากน้องก็ตกตกใจดิ แต่พี่เต็มหวานมากเลย มีความสุขมากๆ ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Tonson777

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 50
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :mew1:หวานกันจนน้้ำตาลอายเลย ใจหายเลยที่ถึงตอนจบแล้ว ขอบคุณสำหรับนิยายที่ดีที่ไรท์สรรสร้างขึ้นมาคะ :mew1:

ออฟไลน์ ninewara

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ



:mew1:หวานกันจนน้้ำตาลอายเลย ใจหายเลยที่ถึงตอนจบแล้ว ขอบคุณสำหรับนิยายที่ดีที่ไรท์สรรสร้างขึ้นมาคะ :mew1:

ออฟไลน์ ninewara

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ ^^


พี่เต็มอยากจะเซอร์ไพรส์น้องแต่มีพิรุธมากน้องก็ตกตกใจดิ แต่พี่เต็มหวานมากเลย มีความสุขมากๆ ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ

ออฟไลน์ ninewara

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ  :mew1:

หวาน
พี่เต็มจัดเต็ม
 :L2: :pig4:

ขอบคุณมากสำหรับนิยายดีดี :L1:

ออฟไลน์ ninewara

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ  :-[


:pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ข้าวสวย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
 :o8: :-[
น่ารักมากกกกกๆๆๆๆ​ ขอบคุณ​สำหรับ​นิยาย​น่ารัก​ๆนะคะ​
รอติดตามเรื่องใหม่นะ

ออฟไลน์ มนุษย์บิน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 408
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
คนเก่งน่ารักอ่าาาหลายปีที่รอมาสมหวังแล้ว แต่นี่หมั่นไส้อิพี่วินไม่หายยอยากให้เจ็บๆด้วยซ้ำวงวารฟูจิลูกกกก

ออฟไลน์ เลยร์มุจา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
จบแบบหวานเจี๊ยบเลยนะ ทำให้เราอินไปด้วย จนคิดว่าไม่อยากให้จบเลยค่ะอยากให้แต่งเรื่อยๆให้อ่านตลอดเลย มีบางตอนถึงกับร้องไห้เลยทีเดียว ทั้งซึ้งทั้งหวาน ครบรสเลยทีเดียวค่ะ ขอบคุณคุณนักเขียนที่ทำให้เรา ได้อ่านนิยายสนุกๆแบบนี้นะคะ  :mew2:

ออฟไลน์ memozy

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ นิยายเรื่องนี้
ครบทุกอารมณ์จริงๆ สนุก เศร้า และหวานหนักมาก  o13

ขอบคุณจริงๆนะ  :-[ :o8: :pig4:

ออฟไลน์ ninewara

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1

ขอบคุณที่ชื่นชอบนะคะ เรื่องใหม่เร็วๆนี้นะคะ

:o8: :-[
น่ารักมากกกกกๆๆๆๆ​ ขอบคุณ​สำหรับ​นิยาย​น่ารัก​ๆนะคะ​
รอติดตามเรื่องใหม่นะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด