✿✿✿ He's my love ♥ เติมเต็มรัก ✿✿✿ (ตอนจบ) 19/07/2019
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ✿✿✿ He's my love ♥ เติมเต็มรัก ✿✿✿ (ตอนจบ) 19/07/2019  (อ่าน 119606 ครั้ง)

ออฟไลน์ ninewara

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
(ต่อค่ะ)


"เราก็ไปกันเถอะ" พี่เติมเต็มชวนผมพร้อมกับจับมือผมด้วย พอขึ้นมานั่งบนรถพี่เติมเต็มก็สตาร์ทรถและเปิดแอร์เย็นฉ่ำแต่ยังไม่ขับออกไป พี่เติมเต็มเอื้อมไปที่เบาะด้านหลังหยิบกระเป๋าที่ดูก็รู้ว่าใส่แล็ปท็อปอยู่ พี่เติมเต็มส่งให้ผม

"ขอบคุณนะครับ แล้วก็ขอโทษที่ผมยืมมาแล้วแต่ไม่รักษาของทิ้งไว้ในห้อง แถมยังไม่ล็อคห้องอีก ดีนะที่ไม่หาย"


"ตอนแรกพี่ไม่ได้คิดอะไรเลยนะ แต่พอคนเก่งพูดแบบนี้ พี่ก็เลยคิดว่างั้นพี่ควรจะลงโทษคนเก่งดีมั้ย"

"ลงโทษเหรอครับ" ผมถามกลับ พี่เติมเต็มยิ้มให้ผมและบอกว่า

"ไว้รอให้คนเก่งหายก่อนเนอะแล้วค่อยว่ากัน"

ตอนแรกผมไม่เข้าใจคำว่าหายของพี่เติมเต็ม แต่เพราะสายตาที่มองมามันแสดงออกชัดเจนเลยว่าหายที่ว่าหมายถึงอะไร ผมก็เลยเงียบไม่พูดอะไรที่มันเข้าตัว พี่เติมเต็มก็แค่หัวเราะแต่ไม่ได้พูดอะไร

"เราจะนั่งอยู่ในรถแบบนี้เหรอครับ" ผมถามเพราะพี่เติมเต็มไม่ขับรถออกไปสักที พี่เติมเต็มดึงมือผมไปจับไว้และจูบเบาๆที่นิ้วมือของผม ก่อนจะถอนหายใจออกมา

"มีอะไรเหรอครับ" ผมถามด้วยความเป็นห่วง

"คนเก่งต้องอยู่ดูแลแม่กับป้าใช่มั้ยล่ะ พี่ก็ต้องกลับไปทำโปรเจ็คเหมือนกัน ไม่ดีเลย ... เรายังไม่เคยห่างกันเลยนะ" น้ำเสียงพี่เติมเต็มดูหงอยลงมากๆเลย

"เมื่อสองสามวันก่อนเรายังห่างกันเลย" ผมพูดแซวขึ้นมา

"อันนั้นไม่นับสิ เพราะตอนนั้นเราไม่ได้ห่างตัว เรายังเจอกันอยู่ถึงแม้พี่จะฟอร์มจัดไม่คุยกับคนเก่งก็เถอะ" ผมอดหัวเราะพี่เติมเต็มไม่ได้ ยอมรับด้วยแฮะว่าตัวเองฟอร์มจัด

"แค่ไม่กี่วันเองครับ เมื่อก่อนผมไม่เจอพี่เต็มเป็นปีๆผมยังอดทนและผ่านมันมาได้เลย" ผมบอก

"ใช่สิ ได้พี่มาเป็นแฟนแล้วนี่ จะทิ้งจะขว้างยังไงก็ได้ แค่ไม่กี่วันเองเหรอ ... หึ!"

ผมโน้มตัวไปมองพี่เติมเต็มใกล้ๆ ผมต้องกลั้นยิ้มไว้เพราะพี่เติมเต็มทำหน้าเหมือนงอนผมเลย

"พี่เต็มครับ"

"....." เงียบครับ หันหน้าออกไปข้างนอกด้วย

"พี่เต็ม" ผมเรียกซ้ำและใช้มือเขย่าที่แขนพี่เติมเต็ม พี่เติมเต็มก็เลยหันมาทางผม

จุ๊บ!

ผมจูบที่ริมฝีปากของพี่เติมเต็มแบบเร็วๆครั้งหนึ่งก่อนจะกลับมานั่งตามปกติ สีหน้าพี่เติมเต็มดูตกใจมากเลยครับ

"ขอยืมคำพูดไอ้วินหน่อยนะ คนเก่งมาทำแบบนี้ตอนนี้พี่ก็แย่สิ จะจับฟัดก็ไม่ได้" พี่เติมเต็มพูดพร้อมกับโน้มตัวมาใกล้ผม

"ฟัดอะไรเล่า" ผมพูดออกมาเบาๆแต่รู้ว่าตัวเองหน้าแดงมาก พี่เติมเต็มใช้มือมาเกลี่ยที่แก้มของผมเบาๆ

"อยากลองบนรถดูมั้ย" ผมหดคอเล็กน้อยตอนที่พี่เติมเต็มกระซิบที่ข้างหู ผมเงียบไม่ตอบอะไร แต่ในใจก็แอบคิดตามที่พี่เติมเต็มพูด ... บนรถเหรอ

"ชอบทำหน้ายั่วอีกแล้ว"

"ไม่ได้ทำสักหน่อย" ผมรีบบอกเพราะผมมั่นใจว่าไม่ได้ทำหน้าแบบนั้นแน่ พี่เติมเต็มลูบหัวผมไปมาเบาๆก่อนที่จะถอนหายใจออกมา

"เฮ้ออออ ... ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะเราต่างคนก็ต่างมีหน้าที่ จะคิดถึงยังไงก็ต้องอดทน"

ผมยิ้มให้กับคำพูดพี่เติมเต็ม

"พี่เต็มกลับเลยก็ได้นะครับ" ผมหยิบมือถือมาดูเวลาตอนนี้บ่ายสองโมงกว่าแล้ว

"ทำไมให้กลับเร็วจัง พี่ยังไม่อยากกลับเลย"

"ผมไม่อยากให้พี่เต็มถึงค่ำมากเกินไป" ผมบอกพี่เติมเต็มเพราะไม่อยากให้พี่เขาขับรถเวลากลางคืน

"เพิ่งจะบ่ายสองเอง"

"กลับตอนนี้แหละครับ ถ้าค่ำกว่านี้ผมเป็นห่วงนะ"

"เล่นพูดอ้อนแบบนี้พี่ก็ต้องยอมนะสิ"

"ดีมากครับ"

"แล้วรายงานที่ต้องส่งอีกเยอะมั้ย เดี๋ยวพี่จัดการไปปริ้นท์แล้วก็เอาไปเข้าเล่มให้เลย จะได้ส่ง"

"อีกนิดหน่อยครับ ถ้าผมทำเสร็จเดี๋ยวผมบอกพี่เต็มอีกทีนะครับ"

"ตกลงครับ"

"จริงสิ ผมต้องกลับไปเอากระเป๋าที่ใส่เสื้อผ้ามาเมื่อคืนที่บ้านพี่เต็มด้วย"

"ถ้างั้นไปเลยมั้ย เดี๋ยวพี่ขับรถกลับมาส่งที่โรงพยาบาลอีกที"

"ครับ ไปเลยดีกว่า"



หลังจากนั้นพี่เติมเต็มก็ขับรถพาผมไปเอากระเป๋าและพวกของใช้ส่วนตัวที่บ้านพี่เติมเต็ม ก่อนที่พี่เติมเต็มจะขับรถกลับมาส่งผมที่โรงพยาบาลอีกครั้งหนึ่ง

"ไม่อยากกลับเลย แต่ก็ต้องกลับ เฮ้อออ" ตอนที่รถมาจอดหน้าโรงพยาบาลพี่เติมเต็มก็ดูเหมือนจะงอแงขึ้นมาอีกรอบ ผมก็ได้แต่ยิ้มให้

"ยิ้มอะไร ดูคนเก่งเฉยๆยังไงก็ไม่รู้ที่เราจะไม่ได้เจอกัน ไม่คิดถึงกันเลยรึไง"

"ต้องคิดถึงอยู่แล้วครับ เมื่อก่อนผมเคยไม่เจอพี่เต็มตั้งสองปีเพราะพี่เต็มเข้าเรียนมหาลัย ตอนนั้นผมคิดถึงพี่เต็มมากเลยนะ อยากเจอ อยากไปหา แต่ตอนนั้นด้วยระยะทาง แล้วก็ผมต้องเตรียมตัวเข้ามหาลัยด้วย อีกอย่างเห็นใครๆก็พูดกันว่าพี่เต็มคบกันกับพี่อิงค์ ผมยิ่งไม่กล้าไปเจอพี่เต็มใหญ่เลย ขนาดพี่เต็มกลับมาบ้านผมยังไม่กล้ามาหาเลย กลัวพี่รำคาญ"

พี่เติมเต็มใช้มือมาเกลี่ยแก้มผมเบาๆไปมา พร้อมกับสายตาที่อ่อนโยนมากไป

"ผมแค่จะบอกพี่เต็มว่าให้อดทนหน่อยนะครับ แค่ไม่กี่วันเอง ผมยังอดทนคิดถึงพี่เต็มมาตั้งหลายปี"

"คนเก่ง"

"ครับ"

"จูบอีกได้มั้ย"

"เมื่อกี้ตอนอยู่ที่ห้องนอนพี่เต็มก็ .. จูบ .. ไปแล้วไง"

"ก็อยากจูบอีกอะ"

ผมเม้มปากอยู่สักพักก่อนจะมองออกไปนอกรถว่ามีคนเดินผ่านไปมามั้ย ผมก็เลยพยักหน้า พี่เติมเต็มก็รีบดึงผมเข้าไปใกล้และจูบผม

"ไม่ดีเลย" หลังจากที่พี่เติมเต็มปล่อยให้ริมฝีปากผมเป็นอิสระ พี่เติมเต็มก็บ่นขึ้นมา ผมสวมกอดพี่เติมเต็ม

"เอาไว้โทรคุยกันนะครับ"

"เฮ้อออ ครับๆๆ"

"ผมไปแล้วนะ ขับรถดีๆนะครับ ถึงแล้วค่อยโทรมานะ อย่าโทรมาระหว่างที่ขับรถ ผมเป็นห่วง"

พี่เติมเต็มพยักหน้าและใช้มือมาบีบที่แก้มผมเบาๆ ผมมองหน้าพี่เติมเต็มนิดหนึ่งก่อนจะโน้มตัวเข้าไปใกล้และหอมแก้มพี่เติมเต็มแรงๆ

ฟอด!

หลังจากนั้นผมก็รีบลงจากรถมา พี่เติมเต็มลดกระจกรถลงมา พร้อมชี้นิ้วเหมือนคาดโทษผม ผมยืนหัวเราะแฟนตัวเองก่อนจะโบกมือให้ ไม่นานพี่เติมเต็มก็ขับรถออกไป


ผมขึ้นมาที่ห้องพักฟื้นของแม่และป้า พบว่าท่านทั้งสองกำลังนอนดูโทรทัศน์กันอยู่

"ตื่นแล้วเหรอครับ"

"หอบอะไรมาเยอะแยะลูก" ป้าผมถาม

"กระเป๋าเสื้อผ้ากับแล็ปท็อปครับป้า หนูจะเอามาทำงานส่งอาจารย์ด้วย"  ผมเอาของไปวางไว้ที่โซฟาก่อนจะเดินไปนั่งตรงเก้าอี้ที่อยู่ตรงกลางระหว่างเตียงของแม่และป้า

"แม่ครับ ป้าครับ พี่เต็มฝากขอโทษที่ไม่ได้ขึ้นมานะครับ พอดีพี่เขาจะต้องกลับไปทำงานกลุ่มกับเพื่อนน่ะครับ ผมเลยให้พี่เต็มเขากลับเลย จะได้ไม่ค่ำ"

"ขอโทษอะไรกัน ให้พี่เขากลับไปดีแล้วจ้ะ เสียงานเสียการเรียนหมด" แม่ผมบอก

หลังจากนั้นผมก็สอบถามถึงอาการของแม่กับป้าอยู่สักพัก ผมก็ย้ายไปนั่งที่โซฟาเพื่อที่จะรีบพิมพ์รายงานให้เสร็จ โชคดีมากที่เมื่อวานผมเอาสมุดโน๊ตที่จดเนื้อหาคร่าวๆใส่ไว้ในกระเป๋าที่ใส่แล็ปท็อป ทำให้ผมไม่ต้องเสียเวลามากนัก


ผ่านไปเกือบสองชั่วโมงก็มีข้อความทางไลน์เข้ามา

teimtem : วีดีโอคอลได้มั้ย

ผมกดเข้าไปอ่านก่อนจะมองไปที่แม่กับป้าที่เพิ่งทานข้าวเสร็จไปสักพักกำลังดูข่าวกันอยู่

ผมลังเลใจนิดหน่อยเพราะผมกับพี่เติมเต็มไม่เคยวีดีโอคอลคุยกันเลย ขนาดแค่โทรปกติยังน้อยเลยครับ เพราะพอเราเป็นแฟนกันเราก็เจอกันตลอด


teimtem : ตอบช้า

konkengg : อีกสิบนาทีนะครับ


ผมตอบพี่เติมเต็มก่อนที่จะขออนุญาตแม่กับป้าว่าจะออกไปคุยโทรศัพท์ข้างนอก แต่แค่ก้าวพ้นประตูเท่านั้น ยังไม่ถึงสิบนาทีตามที่ผมบอกเลย พี่เติมเต็มก็โทรมาแล้ว วิดีโอคอลมาเลยครับ

ผมเสียบหูฟังและกดรับสายแต่ยังไม่ได้เปิดกล้องฝั่งผม ฝั่งทางพี่เติมเต็มน่าจะอยู่ที่คอนโดครับ หน้าพี่เติมเต็มออกจะบึ้งๆนิดหน่อย ผมอดขำออกมาไม่ได้

(เปิดกล้องเดี๋ยวนี้)

"เพิ่งเดินออกมาจากห้องครับ กำลังจะเดินไปที่สวน เดี๋ยวถึงสวนก่อนนะครับ" ผมตอบออกไป

(เปิดกล้องครับ) น้ำเสียงดุขึ้นมาทันที ผมก็เลยต้องตามใจ ผมเปิดกล้องทางฝั่งผม

"เดี๋ยวถึงสวนค่อยคุยนะครับ ... นะ" ผมบอกเพราะไม่อยากเดินไปคุยไป พี่เติมเต็มแค่พยักหน้าตอบกลับมา และได้ยินเสียงคนคุยกันดังมาจากทางฝั่งของพี่เติมเต็ม คงจะเป็นเพื่อนๆของพี่เติมเต็ม


"โอเค ถึงแล้วครับ" ผมบอกทันทีที่หาที่นั่งได้ โชคดีหน่อยที่ตอนนี้คนไม่มานั่งเล่นที่นี่น้อยมาก

(กินไรหรือยัง) พี่เติมเต็มถามผม

"ยังเลยครับ เพิ่งจะห้าโมงเย็นเอง" ผมบอก

"แล้วถึงนานแล้วเหรอครับ" ผมถามต่อ

(ถึงเกือบยี่สิบนาทีแล้ว ว่าจะโทรหาตั้งแต่มาถึงแต่ไอ้พวกนี่มันพากันมาซะก่อน) พี่เติมเต็มบอกพร้อมกับได้ยินเสียงของเพื่อนๆพี่เขาดังลั่นห้อง ดูเหมือนกำลังคุยกันเรื่องของกิน สักพักเสียงก็ค่อยๆเบาและเงียบลง

(เข้ามาคุยในห้องดีกว่า ข้างนอกเสียงดัง)

"ครับ"

อยู่ๆมันก็เกิดเดธแอร์ขึ้นมา พี่เติมเต็มเองก็ไม่พูดอะไร เอาแต่จ้องหน้าผมผ่านหน้าจอมือถือ ผมเองพอเจอแบบนี้มันก็อดเขินไม่ได้

"พี่เต็ม .... " เมื่อเห็นว่าเงียบไปนานผมก็เลยจะเป็นคนที่เริ่มบทสนทนาแต่พี่เติมเต็มก็พูดแทรกขึ้นมาซะก่อน

(คิดถึง)

ตอนนี้ผมไม่กล้ามองที่หน้าจอมือถือตัวเองเลยครับ ไม่กล้ามองหน้าของพี่เติมเต็ม มันรู้สึกเขินไปหมด มือไม้ก็เหมือนจะเกะกะไม่รู้จะวางไว้ตรงไหน

(เงียบเลย ไม่มองหน้าด้วย)

"ก็มันเขินนี่"

(พี่ก็เขิน ไม่เคยคุยกันแบบนี้เลย ... มันก็รู้สึกดีเนอะ ใจเต้นแรงเลยเนี่ย) พี่เติมเต็มพูดพร้อมกับใช้มือจับที่หน้าอกตัวเองไปด้วย

"ผมก็คิดถึงพี่เต็มนะ"

(โอ๊ยยยย อยากกอด) เสียงพี่เติมเต็มดังมากจนผมแทบจะถอดหูฟังออก เหมือนพี่เติมเต็มตะโกนมากกว่าพูดปกติ

" .... เหมือนกันครับ" ผมพูดออกไปอย่างที่ตัวเองคิด

หลังจากนั้นเราก็คุยกันอยู่จนแบตผมแจ้งเตือนเหลืออีกแค่นิดเดียวแบตมือถือผมจะหมดแล้ว ผมมองดูเวลาไม่น่าเชื่อว่าผ่านมาเกือบสองชั่วโมงแล้วที่เราคุยกัน ไม่คิดว่าเราจะมีเรื่องคุยกันเยอะขนาดนี้

"พี่เต็มครับ แบตผมจะหมดแล้ว" ผมบอกพี่เติมเต็มที่ตอนนี้ออกมานั่งทำงานที่ห้องรับแขกกับเพื่อนๆแล้ว แต่ดูเหมือนพี่เขาไม่ค่อยได้ช่วยเพื่อนสักเท่าไหร่เพราะส่วนใหญ่จะคุยกับผมมากกว่า

(อ้าว หมดไวจัง)

"ไม่ไวครับ คุยกันตั้งสองชั่วโมงเลยนะ"

(เหรอ ไม่เห็นรู้สึกเลย .... ถ้างั้นเดินกลับไปที่ห้องได้แล้ว ไม่ต้องวางสายนะ ให้พี่เห็นว่าถึงแล้ว)

"ที่นี่โรงพยาบาลนะครับ ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก เจ้าหน้าที่เดินตลอดเลย"

(ความเป็นห่วงมันไม่เลือกสถานที่ ... โอเคมั้ย)

"โอเคครับ" ผมตอบรับ หลังจากนั้นก็เดินขึ้นมาที่ห้องพักฟื้นของแม่และป้า ผมยิ้มให้ท่านทั้งสองเล็กน้อย

"หายไปนานเลยลูก" แม่ผมถาม ผมได้แต่ยิ้มขอโทษแม่ไป

"ผมถึงห้องแล้วนะ" ผมนั่งลงที่โซฟาและบอกพี่เติมเต็ม

(โอเค ชาร์จแบตไว้ด้วยนะ เดี๋ยวพี่โทรหาตอนดึกๆนะ)

"ครับ"

(จุ๊บหน่อย) ผมตาโตเลยครับที่ได้ยินพี่เติมเต็มพูดแบบนี้

"แม่กับป้าก็อยู่" ผมพยายามพูดเสียงให้เบาที่สุด แล้วพี่เติมเต็มก็หัวเราะผม

(พูดเล่นครับ แต่อยากให้ทำจริงนะ)

" ... ไว้คราวหน้าล่ะกันครับ"

กว่าจะวางสายได้ พี่เติมเต็มก็ยื้อเวลาจนแบตผมมันร้องเตือนและปิดตัวเองโดยอัตโนมัติ ผมควานหาสายชาร์จแบตมือถือในกระเป๋า และเสียบชาร์จไว้ตรงปลั๊กที่อยู่ตรงโซฟา หลังจากนั้นผมก็เดินไปนั่งคุยกับแม่และป้า โดนแซวนิดหน่อยครับประมาณว่านึกว่าผมนั่งรถตู้ตามพี่เติมเต็มกลับไปแล้ว

.
.
.

แม่กับป้าผมท่านนอนหลับไปช่วงสามทุ่มนิดๆครับ ผมปิดไฟที่อยู่กลางห้อง แต่เปิดไฟที่ระเบียงไว้แทนเพราะโซฟาอยู่ติดกับระเบียง ผมอาบน้ำและมานั่งพิมพ์รายงานต่อ ผมมองดูเวลาที่หน้าจอมือถือ ตอนนี้ประมาณห้าทุ่มกว่าๆ ผมไม่แน่ใจว่าพี่เติมเต็มจะโทรมาตอนไหนและจะโทรมามั้ย พี่เติมเต็มยังไม่ได้ทักไลน์มาหาผมแสดงว่าพี่เขาน่าจะยังทำงานอยู่เพราะปกติแล้วพี่เติมเต็มจะไม่จับมือถือเลยถ้าต้องทำงานหรือเรียนอยู่ ผมลังเลใจนิดหน่อยแต่ก็ตัดสินใจส่งข้อความไปหาทางไลน์


konkengg : ดึกแล้ว ไม่ต้องโทรมาก็ได้นะครับ
konkengg : พรุ่งนี้ค่อยคุยกัน
konkengg : คิดถึงนะครับ


ผมส่งเสร็จผมก็รออยู่สักพักแต่ข้อความยังไม่ถูกอ่าน ผมก็เลยวางมือถือไว้ที่โซฟาและเก็บแล็ปท็อปให้เรียบร้อยก่อนที่จะเดินไปเข้าห้องน้ำและแปรงฟันอีกรอบ เพราะเมื่อสักพักผมเพิ่งจะดื่มนมเข้าไป

ผมเปิดไฟที่หน้าห้องน้ำเอาไว้ และเดินมานั่งที่โซฟาก่อนจะจัดหมอนและผ้าห่มที่ติวเตอร์น้องชายของพี่เติมเต็มแวะเอาให้ผมเมื่อตอนหัวค่ำ ติวเตอร์บอกว่าพี่เติมเต็มโทรไปสั่งติวเตอร์ให้เอามาให้ผมเพราะกลัวผมนอนไม่สบาย ผมนั่งกอดผ้าห่มอยู่สักพัก ติวเตอร์บอกว่าเป็นผ้าห่มของพี่เติมเต็มแต่เป็นผืนใหม่ที่เพิ่งซัก ผมดมกลิ่นดู ... ไม่รู้สิ มันเพิ่งซักแต่ผมรู้สึกผมได้กลิ่นของพี่เติมเต็มอยู่เต็มไปหมด

ผมลุกเดินไปดูแม่กับป้า ก่อนที่จะเดินไปปิดไฟที่ระเบียงก่อนจะมาล้มตัวลงนอน พอดึกมาแอร์ค่อนข้างเย็นเลยครับ หลังจากจัดแจงท่านอนและห่มผ้าเรียบร้อย ผมก็หยิบมือถือขึ้นมา ผมก็ต้องแปลกใจเพราะมีสายที่ผมไม่ได้รับหลายสิบสายทั้งโทรปกติและโทรไลน์ ผมกดเข้าไปดูเป็นพี่เติมเต็มครับ

teimtem : ไม่รับสาย
teimtem : อยู่ไหน
teimtem : จะโมโหแล้วนะ

และอีกหลายข้อความที่เหมือนจะโกรธจะงอนหรือจะตัดพ้อ ผมยิ้มออกมาทันที

teimtem : อ่านไม่ตอบ

ผมยิ้มให้กับมุมเด็กๆของพี่เติมเต็ม

konkengg : ครับ
teimtem : ไปไหนมา
konkengg : ไปแปรงฟันมาครับ
konkengg : ไม่ได้เปิดเสียงมือถือ
teimtem : จะนอนแล้วเหรอ
konkengg : ใช่ครับ
teimtem : ยังไม่ได้เห็นหน้าก่อนนอนเลย

ผมอ่านข้อความล่าสุดแล้วใจเต้นแรงเลยครับ ไม่คิดว่าพี่เติมเต็มจะมีโมเม้นท์อะไรแบบนี้ด้วย

konkengg : แม่กับป้านอนแล้วครับ
konkengg : ปิดไฟในห้องแล้วด้วย

teimtem : หงุดหงิดเลย

konkengg : แล้วทำงานเสร็จหรือยังครับ
teimtem : ยังเลย แต่จะเร่งให้เสร็จคืนนี้
teimtem : อีกนิดเดียว

หลังจากนั้นผมกับพี่เติมเต็มก็พิมพ์คุยกันอยู่อีกสักพัก พี่เติมเต็มก็ขอตัวไปทำงานต่อ

teimtem : ฝันดีนะ ห่มผ้าด้วย
konkengg : ครับ ฝันดีครับ

ผมยิ้มให้กับหน้าจอมือถืออยู่สักพัก ก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ แต่ดูเหมือนผมจะช้ากว่าอีกคนไปแค่นิดเดียว พี่เติมเต็มโพสเฟซบุ๊กและแท็กมาหาผมด้วย และเป็นข้อความที่ผมตั้งใจจะโพสคล้ายๆแบบนี้เหมือนกัน



Teimtem Paisanworrakit อยู่กับ Konkengg Peimthaworn

   อนึ่ง . .  คิดถึงเป็นอย่างมาก ❤️



มีคนเข้าไปกดไลค์อย่างรวดเร็ว แค่ไม่กี่นาทีก็เป็นร้อยแล้ว มีคอมเม้นเข้ามาอีกพอสมควร พี่เติมเต็มชอบโพสและแท็กหาผมเป็นประจำครับ จากตอนแรกที่มีหลายคนพยายามหาช่องทางที่จะติดตามหรือรู้จักผมก็รู้จากพี่เติมเต็มเนี่ยแหละ มีคนขอเป็นเพื่อนในเฟซบุ๊กผมมาเยอะมากจนช่วงแรกเฟซบุ๊กผมค้างไปเลย แต่พี่เติมเต็มไม่ได้ให้ผมรับทุกคนเป็นเพื่อนหรอกนะครับ พี่เติมเต็มจะเป็นคนมาดูและจะเลือกให้ว่าคนไหนกดรับได้

ผมเลื่อนอ่านคอมเม้นท์ไปเรื่อยๆ พวกเพื่อนๆพี่เขาก็เข้ามาแซวกันเยอะมาก

Thorn Saharit : ติดเมียชิบหาย
Touchpol Suppamongkol : ไม่ค่อยสนใจทำงาน คุยแต่มือถือ
Techin Prompattana : @Konkengg Peimthaworn เพื่อนพี่อาการหนักมาก



เชื่อมั้ยครับว่า ถึงแม้พี่เติมเต็มจะแท็กอะไรหาผมก็ตาม ผมก็ไม่เคยที่จะเข้าไปคอมเม้นท์เลย มีแค่กดหัวใจให้แค่นั้น ผมยอมรับว่าผมค่อนข้างกลัวและเกรงใจแฟนคลับและคนที่ติดตามพี่เติมเต็มอยู่ ผมกลัวว่าแฟนคลับพี่เติมเต็มจะไม่ชอบผมแล้วจะพาลเกลียดพี่เติมเต็มไปด้วย ผมก็เลยพยายามเลี่ยงทุกอย่าง โพสถึงพี่เติมเต็มหรือเคยลงรูปคู่ก็ไม่เคยแท็กพี่เขาเลย รวมทั้งคอมเม้นท์ผมก็ไม่เคย แต่วันนี้ผมอยากลองเปลี่ยนแปลงดู ผมคิดว่าพี่เติมเต็มคงจะชอบ และผมก็อยากทำ ผมตัดสินคอมเม้นท์ไปที่ใต้โพสต์ล่าสุดของพี่เติมเต็ม


Konkengg Peimthaworn : @Teimtem Paisanworrakit ❤️ อนึ่ง ... คิดถึงมากเหมือนกันครับ




TBC.
#เติมเต็มรัก
ninewara✿

◕ ขออภัยที่ผู้แต่งหายไปนานเลย เนื่องด้วยติดภารกิจหลายอย่างทางบ้านค่ะ
◕ หวังว่าผู้อ่านจะยังไม่ลืม #พี่เติมเต็มน้องคนเก่งนะคะ

ออฟไลน์ sailom_orn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
 :-[ หูยยยยย หวานมาก หลงน้อง รักน้อง ให้ได้ตลอดนะพี่เต็ม

ออฟไลน์ ninewara

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
✿ เติมเต็มรัก ✿ ครั้งที่ 30



ผมดีใจที่ผมคิดถูกเรื่องที่ผมคอมเม้นท์ใต้โพสต์ของพี่เติมเต็ม เพราะหลังจากที่ผมคอมเม้นท์ไปไม่นาน พี่เติมเต็มก็แคปหน้าจอข้อความที่ผมคอมเม้นท์และส่งเข้ามาที่ไลน์ พร้อมบอกว่า


teimtem : เม้นท์แรก
teimtem : นึกว่าจะไม่มีโอกาสได้เห็น
teimtem : ต้องฉลอง
teimtem : รู้มั้ยพี่โคตรดีใจ
teimtem : อยากทะลุมือถือไปกอด


ผมยิ้มขำกับคำพูดพี่เติมเต็มก่อนจะไล่ให้ไปทำงานต่อ ผมกดเข้าไปดูที่เฟซบุ๊กอีกครั้ง หลังจากที่ผมคอมเม้นท์ไป ขบวนการแซวก็ยิ่งมีมากขึ้นจากตอนแรกมีแค่เพื่อนพี่เติมเต็มแต่ตอนนี้มีเพื่อนผมมาร่วมด้วย และไม่น่าเชื่อว่ามีกลุ่มคนที่เป็นแฟนคลับของพี่เติมเต็มเข้ามาคอมเม้นท์ประมาณว่าดีใจและปลื้มปริ่มที่เห็นคอมเม้นท์จากผมซะที ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีคนคอยสังเกตเรื่องแบบนี้ด้วย และมีแฟนคลับพี่เติมเต็มบางคนแซวพี่เติมเต็มว่าถ้าผมไม่มาคอมเม้นท์ อีกสักพักจะเริ่มคิดกันแล้วว่าพี่เติมเต็มแอบรักผมข้างเดียว ผมหัวเราะกับคอมเม้นท์เหล่านั้น คิดกันได้ยังไงว่าพี่เติมเต็มแอบรักผมข้างเดียว

.
.
.

สามวันต่อมา
วันนี้ป๊าม๊าของพี่เติมเต็มเข้ามาเยี่ยมแม่และป้าของผมตอนช่วงประมาณสิบโมงเช้า และได้ยินว่าคู่กรณีที่เป็นคนชนจะเข้ามาเยี่ยมตอนบ่าย วันนี้คุณหมอบอกว่าอีกสองวันป้าผมก็น่าจะกลับบ้านได้แล้ว ส่วนแม่ผมคุณหมอบอกว่าจะรอดูอาการอีกสักสามสี่วันก่อน ถ้าไม่มีอาการอะไรก็น่าจะกลับไปรักษาตัวที่บ้านได้

หลังจากที่ป๊าม๊าของพี่เติมเต็มคุยกับคุณหมอเรียบร้อยท่านก็ขอตัวไปทำธุระก่อน แล้วจะเข้ามาอีกทีช่วงบ่าย ผมรู้สึกเกรงใจป๊าม๊าของพี่เติมเต็มมากเลยครับเพราะพวกท่านมาดูอาการของแม่กับป้าทุกวัน และยังคอยติดต่อเรื่องต่างๆให้ด้วยแต่ท่านก็บอกว่าไม่อยากให้ผมคิดมากเพราะเป็นคนกันเอง และถ้าเอาความจริงจากใจผมเลย ผมดีใจนะที่มีป๊าม๊าของพี่เติมเต็มอยู่ด้วย เพราะท่านเป็นผู้ใหญ่การมีผู้ใหญ่อยู่ด้วยมันก็ทำให้ผมอุ่นใจมากขึ้น เพราะบางเรื่องผมก็ยังไม่รู้ต้องทำหรือตัดสินใจยังไง

ผมหยิบมือถือขึ้นมาดู หลังจากที่แม่กับป้านอนพัก เมื่อเช้าพี่เติมเต็มไลน์มาหาผมตั้งแต่หกโมงบอกว่าวันนี้อาจจะยุ่งมากจนไม่ได้คุยกัน ถ้าว่างพี่เขาจะโทรหา ผมก็รับทราบและเข้าใจครับ ผมนั่งทำรายงานต่อเพราะใกล้จะเสร็จแล้ว วันนี้น่าจะได้ส่งให้ฟูจิปริ้นท์และเข้าเล่มเพื่อจะได้ส่งงานซะที ใกล้จะถึงวันเดดไลน์แล้วด้วย ก่อนหน้านี้ผมเครียดเรื่องที่ทะเลาะกันกับพี่เติมเต็มด้วยครับ ไม่ดีเลยที่แยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวไม่ได้

จนเวลาผ่านล่วงเลยมาถึงประมาณบ่ายสอง พี่เติมเต็มก็ยังไม่โทรหาผมเลยครับแต่ผมไม่ได้น้อยใจหรือว่างอนอะไรนะครับ เป็นห่วงมากกว่า



ก็อก ก็อก ก็อก

เสียงเคาะประตูห้องดังก่อนที่จะมีคนเปิดเข้ามา ม๊าของพี่เติมเต็มครับ มาพร้อมกับผู้ชายสองคน คนหนึ่งดูแล้วน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับแม่ผม ส่วนอีกคนดูแล้วยังวัยรุ่นอยู่ที่และผมรู้สึกคุ้นหน้ามากเลย

"สวัสดีครับ" ผมยกมือไหว้ม๊าและผู้ชายอีกคนที่เขาเป็นผู้ใหญ่กว่า

หลังจากนั้นม๊าของพี่เติมเต็มก็แนะนำว่าผู้ชายคนนี้คือคนที่ขับรถมาชนรถของแม่ จนทำให้แม่และป้าต้องบาดเจ็บ ซึ่งจากสายตาที่ผมมองคู่กรณีของแม่และป้าผม ก็มีบาดแผลเหมือนกัน

ผมนั่งฟังผู้ใหญ่เจรจาและตกลงกัน คุณน้าทวี (คู่กรณีของแม่ให้ผมเรียกแบบนี้) ตกลงที่จะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลให้ทั้งหมดถึงแม้ว่าทางเราจะมีประกันอยู่แล้วก็ตาม รวมทั้งรับผิดชอบชดเชยค่าสูญเสียรายได้ด้วย ตอนแรกทั้งแม่และป้าผมไม่ยอมรับในส่วนของเรื่องค่าสูญเสียรายได้แต่ม๊าพี่เติมเต็มบอกว่าเราสมควรที่จะได้รับชดเชยในส่วนนี้ แม่กับป้าผมก็เลยตอบตกลง


"นี่นาย" ผู้ชายที่มาพร้อมกับคุณน้าทวีที่ตอนนี้นั่งลงที่โซฟาตัวเดียวกันกับผมเอ่ยขึ้น ซึ่งก็คงจะหมายถึงผม

"ครับ" ผมไม่รู้ว่าเขาอายุเท่าไหร่เลยตอบรับแบบสุภาพไปก่อน

"นายชื่อคนเก่ง ที่เคยเรียนที่โรงเรียน xxx ใช่มั้ย" ผมมองเขาด้วยความแปลกใจเพราะเขารู้จักชื่อผมรวมทั้งโรงเรียนเก่าที่ผมเคยเรียนก่อนที่พ่อผมจะเสียด้วย

"ใช่ครับ เรารู้จักกันมั้ย ขอโทษนะถ้าจำไม่ได้" ผมก็คิดอยู่ว่าเขาหน้าคุ้นๆ

"ไม่ต้องพูดเพราะก็ได้ รุ่นเดียวกันเราชื่อกวี ตอนนั้นเราเรียนห้องสาม เราเจอนายบ่อยๆตอนที่มีแข่งอ่านออกเสียงไง" พอเขาพูดถึงเรื่องในอดีตผมก็พอจะเริ่มจะคลับคล้ายคลับคลาว่าผมเคยเจอเขาบ่อยจริงๆ

"อ๋อ นึกออกแล้ว เป็นไงบ้างสบายดีมั้ย" ผมถาม

"ก็ดี ทำไมตอนนั้นย้ายโรงเรียนกะทันหันล่ะ รู้อีกทีนายก็ย้ายไปแล้ว" กวีถามผม

"ตอนนั้นพ่อเราเสีย เราก็เลยต้องย้ายมาอยู่กับแม่น่ะ"

"ขอโทษๆ ไม่รู้จริงๆก็เลยถาม" กวีมีสีหน้าที่รู้สึกผิดมากครับ

"ไม่เป็นไรๆ" ผมตอบและยิ้มให้กับกวี ผมเห็นกวีชะงักนิดหนึ่งซึ่งผมไม่รู้ว่าทำไม

"เอ่อ ... ถ้าจำไม่ผิดเมื่อก่อนนายตัวอ้วนกว่านี้ใช่มั้ย" กวีถามผม

"ใช่แล้ว ลูกหมูตัวหย่อมๆเลยล่ะ" ผมหัวเราะออกมาเมื่อนึกถึงตัวเองเมื่อก่อน

"แต่ตอนนี้ดูจะผอมไปหน่อยนะ" กวีมองผมก่อนที่จะพูด

"ไม่ผอมนะ หุ่นดีๆ" ผมพูดและยิ้มให้กวี เป็นอีกครั้งที่ผมเห็นกวีชะงักและผมเห็นกวีหูแดงแจ๋เลยครับ ผมอดที่จะมองด้วยความสงสัยไม่ได้

สักพักผู้ใหญ่คุยกันเสร็จ ม๊าพี่เติมเต็มและคุณน้าทวีก็ขอตัวกลับครับ (กวีเป็นลูกชายของคุณน้าทวีครับ)

"ขอเบอร์โทรนายหน่อยสิ เผื่อมีอะไรไว้ติดต่อกัน" หลังจากที่ผมไหว้ลาผู้ใหญ่ทั้งสองท่าน กวีก็พูดขึ้นมา

"อ๋อ ได้เลย" ผมบอกเบอร์ของตัวเองไป และกวีก็โทรเข้ามาทันที ผมหยิบมือถือตัวเองขึ้นมาดู

"อย่าลืมเมมเบอร์เราไว้นะ" กวีพูดก่อนจะหันไปไหว้แม่และป้าของผม

"ไปล่ะ" กวีหันมาโบกมือลาผมอีกครั้งก่อนจะเดินออกจากห้องไป


ผมเดินมานั่งที่เก้าอี้ที่อยู่ระหว่างเตียงของแม่และป้า

"แม่ครับ ป้าครับ หนูไม่อยากให้แม่กับป้าขายของแล้วอะ" ผมพูดในสิ่งที่คิด ผมไม่อยากให้ท่านทั้งสองเหนื่อย ยิ่งต้องมาเจ็บตัวแบบนี้ถึงแม้ไม่ใช่เพราะขายของก็เถอะ

"ถ้าไม่ขายจะเอาเงินที่ไหนส่งคนเก่งเรียนล่ะลูก" แม่ผมพูดยิ้มๆ ในใจผมคิดว่าเงินสินไหมทดแทนตอนที่พ่อผมเสียชีวิตก็เพียงพอที่จะให้ผมเรียนจนจบ แต่ผมคิดว่าไม่พูดออกมาดีกว่า กลัวพูดไปแล้วแม่จะคิดถึงพ่อ

"ก็เก่งอยากให้แม่กับป้าพักผ่อนอยู่บ้านเฉยๆ" ผมบอกอีก

"นี่คนเก่งกำลังคิดว่าป้ากับแม่อายุหกสิบหรือไงจ้ะ เพิ่งจะสี่สิบนิดๆเองนะลูก" ป้าพูดพร้อมกับหัวเราะผม

"ไม่รู้ล่ะ อายุเท่าไหร่ก็อยากให้พัก" ผมพูด

"เอาไว้ออกจากโรงพยาบาลค่อยว่ากันอีกทีดีกว่านะ" แม่ผมบอก ซึ่งทำให้ผมยิ้มออกมาได้เพราะถ้าแม่พูดแบบนี้แสดงว่าแม่จะเก็บเรื่องนี้ไปคิด

ผมนั่งคุยกับแม่และป้าสักพักใหญ่ๆผมก็ปล่อยให้ท่านได้นอนพัก ส่วนผมหยิบมือถือขึ้นมาดูเกือบสี่โมงเย็น ยังไร้การติดต่อจากพี่เติมเต็ม จากที่ไม่ได้คิดอะไรตอนนี้เริ่มกังวลแล้วครับ พี่เติมเต็มไม่เคยหายไปนานขนาดนี้มันหลายชั่วโมงแล้วครับที่แม้แต่ไลน์ก็ไม่ส่งมา


ก็อก ก็อก

เสียงเคาะประตูดังเบาๆพร้อมกับประตูที่ค่อยๆเปิดเข้ามา ผมตาโตทันทีที่เห็นคนที่เดินเข้ามา

"พี่เต็ม!" ผมเผลอพูดเสียงดังแต่เหมือนแม่กับป้าผมคงจะหลับสนิทมากๆ พี่เติมเต็มเดินยิ้มเข้ามาหาผมและนั่งลงข้างๆ

"รีบบึ่งรถมาเลยนะเนี่ย" พี่เติมเต็มพูด

"ทำไมมาล่ะครับ แล้วต้องขับรถกลับไปอีกหรือเปล่า" ผมถามด้วยความกังวล

"รอกลับพร้อมคนเก่งทีเดียวเลย เมื่อคืนกับวันนี้พี่เคลียร์ทุกอย่างหมดแล้ว โปรเจคก็เสร็จเรียบร้อย งานอย่างอื่นส่งครบ อยู่ยาวได้เลย" พี่เติมเต็มพูดพร้อมกับจับมือผมขึ้นมาคลึงเล่นเบาๆ

"พี่เต็มมาแบบนี้แล้วใครจะเป็นคนส่งรายงานให้ผมล่ะครับ" ผมถามขึ้นเพราะอยากแกล้งพี่เติมเต็ม รายงานของผมผมส่งไฟล์ไปให้ฟูจิจัดการให้แล้วครับ

"เฮ้ย! จริงด้วยสิ เดี๋ยวพี่กลับไปจัดการให้เลย ถึงกำหนดส่งแล้วใช่มั้ย" พี่เติมเต็มถามผมด้วยน้ำเสียงจริงจัง

"พรุ่งนี้วันสุดท้ายครับ" ผมตอบตามจริง

พี่เติมเต็มมีสีหน้าครุ่นคิดอยู่สักพัก ก่อนจะพูดออกมา

"ถ้างั้นเดี๋ยวพี่กลับไปจัดการให้เลยดีกว่า เผื่อพรุ่งนี้ฉุกละหุก" พี่เติมเต็มมองดูเวลา

"จะขับรถกลับตอนนี้เลยเหรอครับ" ผมถาม

"ใช่ครับ เฮ้อออ คิดถึงจะแย่แล้วเนี่ย" พี่เติมเต็มพูดออกมา

"ถ้างั้นเดี๋ยวผมลงไปส่งนะครับ" ผมบอกและแอบยิ้มไม่ให้พี่เติมเต็มเห็น ผมหยิบมือถือและกระเป๋าเงินก่อนจะเดินลงมาที่รถพี่เติมเต็ม พอเดินมาถึงที่รถพี่เติมเต็มก็หยุดและยืนพิงรถตัวเองก่อนที่จะหันมามองผม

"เฮ้อออ เพิ่งรู้ตัวว่าเป็นคนติดแฟนเนี่ยแหละ" พี่เติมเต็มยื่นมือมาจับมือผม ผมก็เลยเดินเข้าไปยืนใกล้ๆ

"ที่เร่งทำงานเพราะอยากมาหาผมเหรอครับ" ผมถาม พี่เติมเต็มพนักหน้าสองสามครั้ง

"เพิ่งรู้ว่าเวลาที่คนที่เขามีแฟนแล้วต้องห่างจากแฟนมันรู้สึกแบบนี้นี่เอง"

"เดี๋ยวพอพี่เต็มเรียนจบเราก็ต้องห่างกัน" ผมบอกเรื่องจริงที่มันจะต้องเกิดขึ้นแน่นอน

"ไม่พูดเรื่องนี้ดีกว่า" พี่เติมเต็มลูบหัวผมเบาๆ และตามมาด้วยการบีบที่แก้มของผมทั้งสองข้าง

"เจอกันพรุ่งนี้นะ คนเก่งจะส่งไฟล์ให้พี่ทางไหนเมล์หรือจะยังไง" พอเห็นสีหน้าของแฟนตัวเองผมก็ไม่อยากแกล้งพี่เขาแล้วล่ะครับ

"ที่จริงผมส่งไฟล์ไปให้ฟูจิจัดการให้แล้วล่ะครับ" ผมพูดไม่ค่อยเต็มเสียงเท่าไหร่เพราะกลัวพี่เติมเต็มจะโกรธ

พี่เติมเต็มเงียบและมองผมนิ่งๆอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะยิ้มกว้างออกมาและเข้ามากอดที่เอวผมหลวมๆ

"หมายความว่าพี่ไม่ต้องกลับไปมหาลัยแล้วใช่มั้ย"

"ครับ ผมแค่แกล้งพี่เต็มเฉยๆ" ผมบอกยิ้มๆเพราะดูเหมือนพี่เติมเต็มไม่ได้โกรธหรือไม่พอใจ

"เดี๋ยวนี้ร้ายนะ แกล้งพี่เหรอ" พี่เติมเต็มพูดพร้อมกับบีบแก้มผมไปด้วย ผมหัวเราะไปกับท่าทีของพี่เติมเต็ม

"พี่เต็มหิวหรือยังครับ ไปหาอะไรทานกันมั้ย ผมหิวมากเลย" ผมเอ่ยปากชวน

"ทำไมหิวเร็วจัง" พี่เติมเต็มมองดูนาฬิกาก่อนจะพูดออกมา

"วันนี้ตอนเที่ยงทานแค่ขนมปังน่ะครับเพราะเร่งพิมพ์รายงานให้เสร็จ" ผมบอก พี่เติมเต็มส่ายหน้าไปมาอย่างไม่เห็นด้วย

"ต่อไปไม่ได้นะ ถึงเวลาก็ต้องทานไม่ใช่เลือกทานอะไรที่มันง่ายๆแต่สุดท้ายมาหิวโซแบบนี้"

"ครับ รับทราบครับผม"



หลังจากนั้นพี่เติมเต็มก็พาผมไปทานข้าวที่ร้านอาหารไม่ไกลจากโรงพยาบาลมากนัก ระหว่างทานมื้อเย็นผมก็เล่าเรื่องที่คนที่เขาขับรถชนแม่กับป้า เข้ามาแสดงตัวและรับผิดชอบค่าใช้จ่ายต่างๆให้ ซึ่งพี่เติมเต็มบอกว่าทางพี่ชายของพี่เติมเต็มได้โทรไปเล่าให้ฟังแล้ว

พอทานมื้อเย็นเรียบร้อย พี่เติมเต็มก็แวะซื้อพวกขนมของทานเล่นที่ร้านสะดวกซื้อหน้าโรงพยาบาล พี่เติมเต็มบอกเอาไว้เผื่อผมหิวอีก พี่เติมเต็มขึ้นมาที่ห้องพักฟื้นพร้อมผม และนั่งพูดคุยกับแม่และป้าของผมอยู่พักใหญ่ พี่เติมเต็มก็ขอตัวกลับเพราะอยากให้แม่และป้าพักผ่อน

ผมเดินลงมาส่งพี่เติมเต็มที่ลานจอดรถ

"ไม่ต้องรอส่งพี่หรอก ขึ้นไปข้างบนเถอะ พรุ่งนี้พี่จะมาหาแต่เช้านะ" พี่เติมเต็มบอกผมตอนที่ถึงที่รถแล้ว

"ครับ"

"จะทานมื้อเช้าด้วยกันมั้ย พี่จะมาทานด้วย"

"ทานครับ"

"อยากทานอะไรไปนึกมานะ เดี๋ยวพี่โทรมาหา" พี่เติมเต็มลูบที่หัวผมเบาๆหลายครั้งแบบที่ชอบทำบ่อยๆ

"ครับ" ผมรับปาก พี่เติมเต็มเดินไปขึ้นรถและสตาร์ทรถก่อนจะลดกระจกรถฝั่งคนขับลงมา

"ไปนะ"

ผมยิ้มและโบกมือให้พี่เติมเต็มก่อนจะเดินกลับขึ้นไปบนห้องพักฟื้น

.
.
.

เช้าวันต่อมา
พี่เติมเต็มมาถึงโรงพยาบาลตอนประมาณเจ็ดโมงเช้า แม่กับป้ากำลังนั่งทานมื้อเช้าที่ทางโรงพยาบาลจัดมาให้

"สวัสดีครับคุณน้า" พี่เติมเต็มยกมือไหว้แม่กับน้าของผม

"ทำไมมาแต่เช้าเลย" ป้าผมถาม

"ขอโทษที่มารบกวนแต่เช้านะครับ แต่กลัวมีคนรอทานมื้อเช้าครับเลยรีบมา" พี่เติมเต็มบอกพร้อมทั้งหันมายิ้มให้ผม

"อ๋อ มิน่าแม่บอกว่าให้ลงไปหาอะไรกินถึงได้นั่งเฉยไม่ลงไป" แม่ผมหันมาคุยกับผม

"เดี๋ยวผมเอาไปใส่ชามให้นะครับ" ผมรู้สึกเขินกับสายตาของทั้งสามคนในห้องที่มองมาก็เลยเลี่ยงเดินมาคว้าถุงที่อยู่ในมือพี่เติมเต็ม

เมื่อคืนพี่เติมเต็มโทรมาหาผมช่วงดึกและถามว่าอยากทานอะไรตอนเช้า อันที่จริงผมอยากทานกับข้าวหลายๆอย่างเลยแต่ที่บ้านพี่เติมเต็มจะทานมื้อเช้าต่างจากบ้านผมอย่างที่เคยเล่าให้ฟัง ถ้าจะบอกพี่เติมเต็มพี่เขาก็คงจะให้น้านวลแม่บ้านที่บ้านทำมาให้ทาน แต่ผมก็ไม่อยากจะรบกวนเพราะอันที่จริงผมทานอะไรก็ได้อยู่แล้ว ผมก็เลยไม่ได้ระบุเมนูอะไรไปให้พี่เติมเต็มเป็นคนจัดการ

และพอเปิดกล่องถนอมอาหารออกมาดูเป็นข้าวต้มทะเลครับ มีกุ้งมีปลาและมีปลาหมึกด้วย หอมและน่าทานสุดๆจากตอนแรกไม่ค่อยหิวก็เริ่มจะหิวแล้วครับ ผมตักแบ่งใส่ชามมาให้พี่เติมเต็มกับผมคนละชาม โดยผมกับพี่เติมเต็มนั่งทานกันอยู่ตรงใกล้ประตูที่จะมีโต๊ะทานข้าวตั้งอยู่

"เหนื่อยมั้ยครับ ทำงานจนไม่ได้นอนหลายคืนติดเลย เมื่อคืนกว่าจะคุยกันเสร็จก็ดึกมากวันนี้ยังมาแต่เช้าอีก" ผมมองสำรวจใบหน้าของพี่เติมเต็มไปด้วยระหว่างที่นั่งทานข้าวต้ม พี่เติมเต็มก็ยังดูดี ดูหล่อเสมอในสายตาผม อาจจะดูล้าๆบ้างแต่ความดูดีไม่เคยลดน้อยลง

"แค่ได้เจอคนเก่งพี่ก็หายเหนื่อยแล้ว" พี่เติมเต็มพูดเสียงไม่ดังมากแต่ถ้าแม่กับป้าตั้งใจฟังอยู่อาจจะได้ยิน ผมรีบหันไปมองแต่ท่านทั้งสองดูเหมือนจะสนใจดูข่าวทางโทรทัศน์มากกว่า

"ได้เจอผมไม่หายเหนื่อยหรอกครับ ต้องนอนพักถึงจะหาย วันนี้ต้องนอนให้ไวนะครับ" ผมบอกด้วยความเป็นห่วง

"ที่จริง .. พี่ก็นอนไม่หลับมาหลายคืนแล้วล่ะ นอนเกือบเช้า"

ผมขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยิน พี่เติมเต็มมีเรื่องไม่สบายใจอะไรหรือเปล่า

"มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ ทำไมถึงนอนไม่หลับ" ผมถามด้วยความเป็นห่วง

"ก็ ... มีนิดหน่อย" พี่เติมเต็มพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง จากที่กำลังทานข้าวต้มอร่อยๆผมก็รู้สึกอิ่มขึ้นมา จากน้ำเสียงของพี่เติมเต็มอาจจะไม่ใช่แค่นิดหน่อยล่ะมั้ง

"เล่าให้ผมฟังได้มั้ย ผมอาจจะช่วยอะไรไม่ได้แต่พี่เต็มระบายกับผมได้นะ" ผมบอกและพี่เติมเต็มก็มองหน้าผมนิ่งๆ

"เดี๋ยวทานข้าวเสร็จก่อนดีกว่า ... " พี่เติมเต็มบอกและถ้าอ่านจากสายตาของพี่เติมเต็ม พี่เขาคงอยากจะคุยกับผมตามลำพังมากกว่า


พอทานมื้อเช้าเสร็จระหว่างที่ผมกำลังล้างชามและกล่องใส่อาหารที่พี่เติมเต็มถือมา พี่เติมเต็มก็เข้าไปนั่งคุยกับแม่และป้าของผม ซึ่งคุณหมอก็เดินเข้ามาตรวจอาการพอดี ผมก็เลยรีบล้างชามให้เสร็จจะได้เดินไปฟังอาการของแม่และป้าด้วย


"สบายใจขึ้นแล้วใช่มั้ย" พี่เติมเต็มถามผมหลังจากที่คุณหมอเดินออกจากห้องไปแล้ว คุณหมอบอกว่าพรุ่งนี้ป้าสามารถกลับไปพักรักษาตัวที่บ้านได้เลย  ส่วนแม่อีกสักสองสามวันน่าจะกลับบ้านได้

"ครับ สบายใจมากเลย" ผมยิ้มให้พี่เติมเต็มและหันไปยิ้มให้แม่กับป้า

"เต็มจะพาคนเก่งออกไปข้างนอกใช่มั้ยลูก ไปกันเลยก็ได้" แม่ผมพูดขึ้นมา ผมหันมามองพี่เติมเต็มด้วยความแปลกใจว่าพี่เขาไปคุยกับแม่ตอนไหน

"ก่อนที่คุณหมอจะเข้ามา พี่ขออนุญาตคุณน้าว่าจะพาคนเก่งออกไปขับรถเล่นน่ะ" พี่เติมเต็มบอกผม ผมพยักหน้ารับทราบ


หลังจากนั้นไม่นานพี่เติมเต็มก็ขับรถพาผมออกมาข้างนอก พี่เติมเต็มขับรถพาผมมาที่สวนสาธารณะใกล้ๆตัวเมือง ช่วงสายๆแบบนี้คนเริ่มน้อยแล้ว พี่เติมเต็มจอดรถอยู่ใต้ต้นก้ามปูต้นใหญ่ที่กิ่งก้านของมันแผ่ขยายออกมาจนเป็นร่มเงาได้ดี

พี่เติมเต็มลดกระจกลงทั้งสี่ด้านและดับเครื่อง ลมเย็นๆพัดเข้ามาในรถ ผมปลดเข็มขัดนิรภัยออกก่อนจะนั่งหันหน้าไปหาพี่เติมเต็ม

"ผมรอฟังอยู่นะ" ผมบอกเพราะเห็นพี่เติมเต็มยังคงเงียบอยู่ พี่เติมเต็มปลดเข็มขัดนิรภัยของตัวเองบ้าง

"พี่จะพูดสั้นๆนะ" พี่เติมเต็มบอกและผมก็พยักหน้ารับรู้

"ที่พี่นอนไม่ค่อยหลับมาหลายคืนก็เพราะไม่ได้นอนกอดเมีย" พี่เติมเต็มมองหน้าผมและพูดประโยคนั่นออกมาด้วยสีหน้าที่จริงจัง ตอนแรกผมเลิกคิ้วใจด้วยความแปลกใจ แต่มานึกทบทวนสิ่งที่พี่เติมเต็มพูด

นอนไม่หลับมาหลายคืน
เพราะไม่ได้นอนกอดเมีย
นอนกอดเมีย
เมีย!!!!

ผมตาโตทันทีพร้อมๆกับความร้อนที่มันไหลมารวมกันบริเวณใบหน้าของผม พี่เติมเต็มดึงผมเข้าไปกอดผมได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆของพี่เติมเต็ม

"พี่พูดจริงนะ พี่คิดถึงคนเก่งมากเลยเพิ่งรู้สึกว่าเตียงมันโคตรกว้างก็ตอนที่ต้องนอนคนเดียว" พี่เติมเต็มพูดและใช้มือลูบหัวลูบหลังผมไปด้วย ผมเองก็กอดพี่เติมเต็มแน่นขึ้น

"คงเหมือนที่พวกไอ้ธรณ์มันพูด" พี่เติมเต็มพูดออกมาอีก

"พูดว่าอะไรเหรอครับ" ผมถาม

"พวกมันบอกว่าพี่ติดเมีย" ผมเม้มปากและยิ้มเขินไปกับคำพูดของพี่เติมเต็ม พี่เติมเต็มยังคงใช้มือลูบหลังผมไปมา

"คนเก่ง" พี่เติมเต็มเรียกผม

"ครับ"

"อย่าลืมที่พูดกับพี่เมื่อเช้านะ"

"เรื่องอะไรครับ" ผมถามเพราะเมื่อเช้าเราคุยกันตั้งหลายอย่าง

"ที่คนเก่งบอกว่า .. ถึงจะช่วยอะไรไม่ได้แต่ให้พี่ระบายกับคนเก่งได้"

อ๋อ ... ประโยคนี้นี่เอง

"ไม่ลืมหรอกครับ" ผมยิ้มกับตัวเอง พี่เติมเต็มก็มีมุมที่เป็นเด็กเหมือนกันนะเนี่ย

"งั้น ... " พี่เติมเต็มพูดแค่นั้นก่อนที่ปลายจมูกของพี่เติมเต็มจะกดลงที่ขมับผม และตามด้วยริมฝีปากที่ค่อยๆไล่จูบมาตั้งแต่หน้าผากมาถึงข้างแก้ม และขณะที่ริมฝีปากของพี่เติมเต็มจะแตะลงที่ริมฝีปากผม ผมก็รีบผละออกจากพี่เติมเต็มก่อน

"หืม?" พี่เติมเต็มมองผมด้วยสายตาที่แปลกใจ

"พี่เต็ม ... ที่นี่สวนสาธารณะนะ" ผมบอกพร้อมทั้งมองซ้ายมองขวาไปรอบๆรถ ปลอดภัยครับไม่มีใคร

"ก็เมื่อกี้คนเก่งบอกว่าไม่ลืมเรื่องที่ให้พี่ ... ระบายกับคนเก่งได้ไงล่ะครับ" พี่เติมเต็มพูดออกมาซึ่งผมยังไม่เข้าใจว่าเรื่องที่จะ .. เอ่อ ... ลวนลามผมเนี่ยมันเกี่ยวกับให้พี่เติมเต็มระบายกับผมได้ตรงไหน

"ก็ใช่ครับ ถ้าพี่เต็มมีอะไรก็ระบายกับผมได้ แต่มันไม่เห็นจะเกี่ยว ..... !!" ผมชะงักกับประโยคที่ตัวเองกำลังพูด

.... ผมว่าผมเข้าใจคำว่า ...
ระบาย ... ของพี่เติมเต็มแล้วล่ะครับ

"เข้าใจแล้วใช่มั้ยว่าเกี่ยวยังไง"

ยังจะพูดเหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดาอยู่ได้


"พี่เต็ม! พี่เต็มครับ!" ผมเอามือดันตัวพี่เติมเต็มออกจากการนัวเนียผม

"นี่มันบนรถนะ!" ถึงแม้ว่าตั้งแต่มาจอดรถจะยังไม่เจอใครเดินอยู่แถวนี้ แต่ก็ไม่ใช่สถานที่ที่จะมาทำอะไรแบบนี้

"ครับ ลองบนรถบ้างก็ .. น่าจะตื่นเต้นดี"

พี่เติมเต็มพูดออกมาพร้อมรอยยิ้มที่ดูร้ายกาจมากสำหรับผม

"พร้อมให้พี่ระบายหรือยัง ... อยากระบายแล้วเนี่ย"

หลังจากประโยคนี้ของพี่เติมเต็มไม่รู้ทำไมมันเป็นปฏิกิริยาโดยอัตโนมัติของร่างกายที่ทำให้สายตาของผมมองไปที่ตรงนั้นของพี่เติมเต็มทันที


โอ๊ยยยย!!!!
ผมจะทำยังไงดี
ดูท่าทางมันจะอึดอัดจนอยากจะระบายจริงๆด้วยครับ


พี่เติมเต็มนะ!!
จะเลือกสถานที่บ้างไม่ได้หรือไงเนี่ย!!



TBC.
#เติมเต็มรัก
ninewara✿

ออฟไลน์ ninewara

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
✿ เติมเต็มรัก ✿ ครั้งที่ 31



[เติมเต็ม part ]



อะ อะ เดี๋ยวก่อนนะครับ มีคนกำลังคิดว่าผมใจกล้าหน้าทน ไม่สงสารแฟน ไม่เลือกสถานที่ที่มันเหมาะสมกันอยู่ใช่มั้ย ผมไม่ใช่คนแบบนั้นนะครับ แต่ถ้าเป็นตอนกลางคืน .. ก็ไม่แน่นะครับ บนรถก็น่าสนใจดี

พอก่อนครับ เดี๋ยวภาพลักษณ์ของผมมันจะดูแย่มากไปกว่านี้


ความจริงก็คือ ..
ผมขับรถพาคนเก่งมาที่บ้านครับ เพราะที่บ้านช่วงกลางวันนอกจากแม่บ้านก็ไม่มีใครอยู่ และถึงมีใครอยู่ก็ไม่เป็นไรครับ ผมนับถือในความอดทนของตัวเองมากที่ขับรถมาได้จนถึงบ้าน ถ้ารู้แบบนี้ผมจะพาน้องกลับมาบ้านตั้งแต่แรกเลย ไม่ไปเสียเวลานั่งอยู่ที่สวนสาธารณะตั้งนานหรอกครับ

ตอนนั้นคิดแค่อยากนั่งคุยกับคนเก่ง อยากให้น้องรู้ว่าเวลาไม่เจอกันผมคิดถึงเขานะ ไม่มีน้องมานอนข้างๆผมโคตรเหงา ผมรักคนเก่ง และยิ่งพอไม่ได้เจอ ไม่ได้เห็นหน้าผมยิ่งรู้เลยว่าผมรักน้องมาก เพื่อนผมบอกว่าไม่ใช่แค่รักแต่ผมกำลังหลงน้อง .. อย่างหนัก

จากที่คิดแค่จะนั่งคุยกันแต่พอได้กอดน้อง กลิ่นของคนเก่งทำให้ผมอยากทำอะไรมากกว่านั้น ผมว่าผมไม่ใช่คนที่มีความต้องการในเรื่องนั้นสูงหรืออะไรนะแต่พอได้อยู่ใกล้คนเก่งแล้วผมรู้สึกทุกที บ่อยครั้งที่แค่น้องอยู่ใกล้ผม ผมก็รู้สึกได้ง่ายๆ

คนเก่งทำหน้าตกใจและมองไปรอบตัวด้วยสายตาที่ตื่นตระหนกตอนที่ผมบอกว่าจะทำบนรถ ตอนนั้นผมอดขำไม่ได้เพราะหน้าตาคนเก่งน่าเอ็นดูมากๆ ยิ่งตอนที่ผมบอกว่าถ้างั้นไปบ้านผมกัน คนเก่งยิ่งหน้าแดงและถามผมออกมาว่า

' ... มัน ... รู้สึกแล้วเหรอครับ'

ผมอยากจะถึงบ้านภายในห้านาทีเลยตอนนั้น คนเก่งคงไม่รู้หรอกว่าผมเริ่มรู้สึกตั้งแต่ที่กอดน้องแล้ว ตอนที่ขับรถมาถึงที่บ้าน เจอน้านวลแม่บ้านและลูกสาวของน้านวลอยู่บริเวณหน้าบ้านกำลังจะออกไปซื้อของกัน คนเก่งยกมือไหว้น้านวลและยืนคุยกับน้านวลสักพักเพราะน้านวลสอบถามเรื่องอาการของแม่และป้า ตลอดเวลาที่คนเก่งยืนคุยอยู่นั้นถ้าสังเกตดีๆจะรู้เลยว่าคนเก่งดูแปลกๆ ผมอมยิ้มขำกับท่าทางของน้อง

"ทำหน้าแบบนี้เดี๋ยวคนอื่นก็รู้หรอกว่ามาทำอะไร" ตอนที่น้านวลออกไปซื้อของแล้ว ผมก็พูดแซวน้องตอนที่พาน้องเดินขึ้นบันไดมา น้องใช้มือจับแก้มตัวเอง

เหมือนคนเก่งทำตัวไม่ถูกเพราะถึงแม้ว่าจะเคยมีอะไรกันมาหลายครั้งแล้วแต่ไม่เคยมีครั้งไหนเหมือนครั้งนี้ที่น้องรู้ตัวล่วงหน้าว่ากำลังจะมีอะไรเกิดขึ้น ทุกทีอารมณ์มันพาไปแล้วก็ ... มีอะไรกันเลยเพราะสถานที่มันโอเค แต่คราวนี้ต้องย้ายสถานที่ทำให้น้องรู้ตัวล่วงหน้า แต่ถึงจะฉุกละหุกไปหน่อยแต่อุปกรณ์ผมพร้อมนะ เพราะจากครั้งล่าสุดที่ผมไม่มีอุปกรณ์อะไรเลย คนเก่งเจ็บตัวมากพอดูเลยครับ

คนเก่งไม่ได้เชี่ยวชาญหรือเก่งในเรื่องอย่างว่า แต่สิ่งที่น้องเป็น ความไม่ประสีประสาของน้องทำให้ผมคลั่งได้เลยครับ ทุกครั้งที่มีอะไรกันคนเก่งไม่เคยปฏิเสธผม ไม่ว่าในคืนนั้นผมจะขอกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง น้องก็ยอมผมตลอด และไม่ว่าขอให้ทำอะไรน้องก็ทำให้ คนเก่งเรียนรู้ไวและพยายามให้ผมมีความสุขในทุกครั้งที่มีอะไรกัน อย่างที่คนเก่งเคยพูดอยากให้ผมมีความสุขบนร่างกายของน้อง ผมก็พูดได้อย่างไม่อายเลยว่าน้องทำให้ผมมีความสุขกับร่างกายของน้องมากจริงๆ



ผมมองข้างกายผมที่มีแฟนของผมนอนหลับอยู่ข้างๆ คนเก่งหมดแรงไปเยอะเพราะความเอาแต่ใจของผม น้องหลับไปตั้งแต่ที่โดนผมรังแกเสร็จแต่ผมถึงจะใช้พลังงานไปเยอะก็จริงแต่ผมไม่ได้รู้สึกเพลียหรือง่วง ผมก็เลยนั่งพิงหัวเตียงมองน้องอยู่แบบนั้นมาเป็นชั่วโมงแล้ว ผมก้มลงไปจูบเบาๆที่หัวไหล่ที่เปลือยเปล่าของน้อง เอาไว้อีกสักพักค่อยปลุกน้องก็ล่ะกันให้น้องได้นอนพักไปก่อน เพราะมันไม่ใช่แค่รอบเดียวที่ผมเอาแต่ใจ

ผมลุกขึ้นจากเตียงและเก็บเสื้อผ้าของผมกับคนเก่งที่กระจายอยู่ทั่วห้องด้วยฝีมือของผมเอง หลังจากนั้นผมก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนจะเดินมานั่งข้างเตียงและก้มลงจูบที่หน้าผากและที่ผมน้องเบาๆ ตั้งใจว่าจะเดินลงไปข้างล่าง แต่ก่อนที่ผมจะออกจากห้องไป ผมเหลือบไปเห็นหน้าจอมือถือของคนเก่งที่ผมเอาออกมาจากกระเป๋ากางเกงของน้องก่อนที่ผมจะไปอาบน้ำ แล้วเอามาวางไว้ที่โต๊ะหัวเตียง


kawee : โทรหาได้มั้ย


ผมขมวดคิ้วทันทีที่เห็นข้อความทางไลน์ในมือถือของคนเก่งแบบนั้น

กวีหรือคาวีว่ะ ชื่อนี้ไม่คุ้นเลย ผมแน่ใจว่าผมไม่เคยได้ยินชื่อประมาณนี้จากคนเก่งหรือในกลุ่มเพื่อนของน้อง ผมวางมือถือคนเก่งไว้ที่เดิม ถึงแม้ว่าผมจะกดเข้าไปอ่านก็ได้เพราะมือถือน้องไม่เคยล็อครหัสหน้าจออยู่แล้ว และถึงผมเข้าไปอ่านคนเก่งก็ไม่โกรธอะไรผมแน่นอน แต่ผมก็เลือกที่จะไม่ทำรอให้น้องตื่นมาค่อยคุยกันดีกว่าครับ


ผมเดินลงมาข้างล่างเจอทุกคนอยู่กันอย่างพร้อมหน้า ดูเหมือนจะเพิ่งเข้ามากัน

"ลงมาซะทีลูกชายตัวดีของคุณ" ม๊าผมพูดกับป๊า และม๊าก็มองผมด้วยสายตาที่เหมือนจะไม่พอใจนิดๆ

"มีอะไรหรือเปล่าครับม๊า ทำไมมองผมแบบนั้น" ผมนั่งลงข้างพี่ต่อภพพี่ชายของผมที่กำลังนั่งดูเอกสารต่างๆอยู่ ม๊าไม่ตอบผมครับแถมยังเบือนหน้าหนีผมอีก

"ตอนบ่ายม๊ากับขวัญเข้าไปที่โรงพยาบาลก็เลยรู้ว่าแกพาคนเก่งออกมาตั้งแต่เช้า ม๊าออกจากโรงพยาบาลมาตอนเกือบบ่ายสามแกก็ไม่พาคนเก่งกลับไปส่ง พอม๊ากลับบ้านมาเห็นรถแกจอดอยู่ก็เลยรู้ทันทีว่าแกพาคนเก่งไปไหน" พี่ชายผมเป็นคนพูด ผมหันไปมองทุกคนที่กำลังมองผมอยู่ ทุกคนยิ้มและขำผมมีคนเดียวคือม๊าที่หน้าบึ้งมาก

"ม๊าครับ" ผมย้ายไปนั่งที่ข้างม๊า

"โกรธอะไรผมล่ะครับ" ผมถามม๊า

"แน่ใจนะ ว่าที่ถามคือไม่รู้จริงๆ" ม๊าถามผมเสียงเย็นเลยครับ

"ผมก็แค่อยากอยู่กับแฟนผมอ่ะ" ผมบอก

ม๊าผมถอนหายใจและส่ายหน้าให้กับผม

"ถ้าแค่อยากอยู่ใช้เวลาด้วยกันดูหนังทานข้าว ม๊าจะไม่บ่นเลยแต่แค่เห็นเต็มเดินลงมาคนเดียวม๊าก็รู้แล้วว่าทำไมน้องไม่ลงมา"

"ม๊าคะ ใจเย็นค่ะ" พี่ขวัญพี่สะใภ้ผมพูดขึ้นมา

"ม๊าไม่อยากให้ผมล่วงเกินน้องเหรอครับ" ผมถามม๊าด้วยน้ำเสียงที่จริงจังเพราะเห็นจากท่าทางของม๊าดูเหมือนม๊าจะซีเรียสมากจริงๆ

"ก็ม๊าได้ยินมาว่า ... ม๊าไม่กล้าพูด" อยู่ๆม๊าผมก็ดูเหมือนจะอึกอักขึ้นมา

"ถามติวเตอร์ดูสิเพราะน้องชายเรามันเป็นคนบอกม๊า" ป๊าผมที่นั่งดูเอกสารอยู่นานเอ่ยขึ้นมา ผมหันไปมองติวเตอร์ทันที

"เรื่องอะไร?" ผมถามติวเตอร์

น้องชายผมยิ้มแห้งๆให้ผมก่อนจะบอกว่าคุยกับม๊าเรื่องอะไร พอผมฟังจบผมแทบอยากจะตบหัวน้องชายตัวเอง รู้ดีจริงๆ รู้เกินจริงด้วยซ้ำ แต่ก็ทำให้ผมรู้ว่าม๊าเป็นห่วงคนเก่งมากแค่ไหน ผมมองรอบๆตัวปกติที่บ้านผมก็ไม่เคยมีความลับกันอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้ผมก็คงจะไม่พูดทั้งหมดหรอกครับ

"คนเก่งคงจะดีใจแน่ๆที่รู้ว่าม๊าห่วงน้องมากขนาดนี้ แต่ม๊าไม่ต้องห่วงหรอกนะครับ น้องโอเคครับ บางอย่างติวเตอร์มันก็พูดเกินจริงไปนิดหนึ่ง และผมก็รู้ว่าจะต้องดูแลน้องยังไง" ผมบอกด้วยน้ำเสียงจริงจังให้ม๊าสบายใจ

"ก็ติวเตอร์พูดซะน่ากลัว บางคนเลือดตกยางออก ต้องไปเย็บที่โรงพยาบาลก็มี ม๊าก็อดเป็นห่วงและกังวลไม่ได้" ม๊าผมพูดออกมาบ้าง

"ม๊าครับ ม๊าเห็นลูกชายม๊าโหดร้ายขนาดนั้นเลยเหรอครับ ผมออกจะถนอมน้อง" ผมบอกก่อนจะหันไปคาดโทษความรู้ดีของน้องชายผม

ไม่คิดมาก่อนว่าครอบครัวเราจะมาถึงจุดที่สามารถนั่งพูดคุยเรื่องบนเตียงกันได้แล้ว ...


"แต่การที่เติมไปพาน้องมาแบบนี้ทั้งที่ก็รู้ว่าน้องต้องดูแลแม่กับป้า ม๊าว่ามันไม่ดีเลยนะ" ม๊าพูดครับ

"แล้วพาลูกเขาหายมาทั้งวันไม่คิดว่าแม่เขาจะเป็นห่วงบ้างหรือไง" ป๊าเองก็พูดเสริมขึ้นมา

"คือ .. ตอนแรกแค่จะพาน้องออกมานั่งคุยกันแค่แป๊บเดียวนะครับ" ผมบอก

"ดีนะ ม๊าออกตัวไปให้แล้วว่าเต็มพาคนเก่งไปทานข้าวและนั่งรถเล่นจะพาคนเก่งกลับไปส่งที่โรงพยาบาลอาจจะค่ำหน่อย" พอพี่ขวัญบอกผมรีบกอดม๊าทันทีเลย

"ม๊าน่ารักที่สุดเลยครับ" ผมพูด

"ถ้าม๊ารู้ว่าเต็มพาน้องมาทำอะไรแบบนี้ ม๊าจะไม่ออกหน้ารับให้หรอก" ม๊าดุผมแต่เสียงของม๊าก็อ่อนลงเยอะ

"ขอโทษครับ" ผมอ้อนม๊านิดหน่อย

"ม๊ารู้นะว่าเต็มต้องพูดจาหลอกล่อน้องให้น้องยอมเรา" ดูม๊าผมพูดสิครับ

"ม๊าครับ ผมไม่ได้เพิ่งจะมีอะไรกับน้องครั้งแรกสักหน่อย"

"พอเถอะคุณ ลูกมันก็โตแล้วมันรู้น่าว่ามันต้องทำยังไง ไม่ต้องคิดไรมากหรอกม๊าแกแค่กลัวว่า ว่าที่ลูกสะใภ้จะเจ็บตัวเท่านั้นแหละ ฟังน้องชายแกมาเยอะไง" ประโยคแรกป๊าผมพูดกับม๊า แต่ประโยคหลังป๊าพูดกับผม ผมกอดม๊าอีกครั้งอย่างเอาใจ

ผมนั่งคุยกับทุกคนอยู่สักพักก็ขอตัวขึ้นมาดูคนเก่งเพราะเริ่มจะเย็นมากแล้ว พอเดินขึ้นมาถึงบนห้องผม คนเก่งไม่ได้นอนอยู่บนเตียงแล้วครับ ตอนนี้น้องอาบน้ำอยู่เพราะได้ยินเสียงฝักบัว ผ้าปูที่นอนผ้าห่ม รวมทั้งปลอกหมอน คนเก่งถอดออกมาวางไว้ในข้างตะกร้าผ้าที่เตรียมเอาไว้ซัก ผมยิ้มให้กับสิ่งที่เห็น คนเก่งมักจะเป็นแบบนี้ทุกทีหลังจากที่ตื่นขึ้นมาหลังจากเรามีอะไรกัน

ผมนั่งรอคนเก่งอยู่ที่โซฟาในห้องไม่นานคนเก่งก็ออกมาจากห้องน้ำ ผมนึกว่าคนเก่งจะนุ่งแค่ผ้าเช็ดตัวออกมาซะอีก ที่ไหนได้น้องแต่งตัวออกมาเรียบร้อยแล้วครับ พอคนเก่งเห็นผมที่นั่งมองอยู่ น้องดูตกใจและมีท่าทีขัดเขิน

"ตื่นนานหรือยัง" ผมถามพลางยื่นมือไปหาเพื่อส่งสัญญาณให้น้องเดินมาหาผม คนเก่งเดินมาผมและผมดึงน้องให้นั่งลงบนตักโดยที่น้องนั่งหันข้างให้ผม

"หอม" ผมหอมแก้มคนเก่งไปสองสามครั้ง

"ก็เพิ่งอาบน้ำ" คนเก่งตอบผมเบาๆ

"ยังเจ็บอยู่มั้ย" ผมถาม คนเก่งเม้มปากนิดๆก่อนจะพยักหน้าและพูดเสริมออกมา

"แต่ไม่เป็นอะไรมากครับ"

สายตาของคนเก่งมองไปที่เตียงก่อนจะหันกลับมาถามผม

"ผมไม่รู้ว่าผ้าปูที่นอนชุดใหม่อยู่ตรงไหน"

"เดี๋ยวให้น้านวลมาจัดการ" ผมบอกเพราะผมไม่รู้หรอกว่าน้านวลเก็บของพวกนั้นไว้ที่ห้องไหน

"พี่เต็มถามน้านวลไม่ได้เหรอครับ เดี๋ยวผมทำเอง" คนเก่งถามผม

"ไม่ต้องทำ ให้น้านวลเขาจัดการเถอะ" ผมบอก คนเก่งนิ่งไปนิดก่อนจะพยักหน้า ก่อนน้องจะมองไปที่กองผ้าปูที่นอนที่อยู่ที่พื้น ผมรู้ความคิดคนเก่งทันที

"ไม่ต้องมองครับ เดี๋ยวให้น้านวลเอาไปลงเครื่องซักให้ ไม่ต้องเขินหรอกครับ นะ" ผมบอกคนเก่งที่มีสีหน้าลำบากใจ แต่ก็ยอมตกลง

"กลับคอนโดคราวนี้จะต้องบอกน้านวลให้เตรียมชุดผ้าปูที่นอนที่โน่นไปเพิ่มไว้อีกดีกว่า เพราะแฟนพี่เปลี่ยนผ้าปูที่นอนบ่อย" ผมหัวเราะให้กับแก้มแดงๆของแฟนผม

"ก็ใครล่ะ ที่ทำให้ต้องเปลี่ยนบ่อยๆ" คนเก่งพูดก่อนจะขอตัวลุกขึ้นไปหยิบโทรศัพท์มือถือและเดินกลับมานั่งข้างๆผม

"ไม่รู้แม่กับป้าจะว่ายังไงหายมาทั้งวันเลย" คนเก่งมีน้ำเสียงกังวลใจ

"เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงเพราะม๊าจัดการให้แล้ว" แล้วผมก็เล่าเรื่องที่ม๊าและพี่สะใภ้ผมไปที่โรงพยาบาลมา คนเก่งหันมามองผมตาโตและถามผม

"หมายความว่าม๊าพี่เต็มรู้ว่าเรา ..."

ใช่ .. นั่นคือคำตอบในใจผมแต่ผมไม่ได้พูดแบบนั้นออกไปหรอกนะครับ

"ม๊าคิดว่าพี่พาคนเก่งออกมาก็คงจะพาไปทานข้าวนั่งรถเล่นอะไรประมาณนี้แหละ ก็เลยบอกแม่กับป้าเราไว้ว่าจะกลับค่ำหน่อย" ผมตอบคนเก่งไปแบบนั้น

"ค่อยโล่งใจหน่อย" คนเก่งพูดก่อนจะสไลด์หน้าจอมือถือไปมา ผมเห็นคนเก่งกดเข้าไปที่แอพลิเคชั่นไลน์ และเห็นน้องกดเข้าไปที่ไลน์ของคนที่ชื่อ kawee ตอนแรกผมลืมเรื่องนี้ไปแล้ว แต่พอเห็นคนเก่งกดเข้าไปเลื่อนอ่านข้อความผมก็เลยนึกขึ้นมาได้

ผมมองดูคนเก่งพิมพ์ตอบข้อความของคนที่ชื่อ kawee และทางโน้นก็พิมพ์โต้ตอบกันไปมาอยู่สักพักจนผมรู้สึกหงุดหงิดเพราะตอนนี้คนเก่งไม่สนใจผมเลย

"คุยกับใครอยู่" ผมตัดสินใจถาม

"คุยกับกวีน่ะครับ" อ๋อ ชื่อกวี คนเก่งตอบโดยที่ไม่ให้หันมามองผม

"พี่ไม่เคยได้ยินชื่อนี้เลย เพื่อนเหรอ" ผมถามต่อ

"ไหนเอามาดูสิ คุยอะไรกัน" ผมยอมรับว่ารู้สึกหวงไม่อยากให้น้องคุยกับใครที่ผมไม่รู้จัก พอผมพูดแบบนั้นคนเก่งก็ยื่นมือถือมาให้ผมดู พร้อมกับเล่าให้ฟังว่ากวีคือใคร ผมเลื่อนอ่านข้อความในไลน์ทั้งหมด บางข้อความทำให้ผมต้องขมวดคิ้วแน่น


kawee : เล่นเฟซหรือเปล่า
konkengg : เล่นบ้าง
kawee : ขอแอดเฟรนด์นะ
konkengg : ได้ๆ

ผมหันไปมองคนเก่งที่นั่งข้างๆและกำลังมองผมอยู่ ข้อความที่บอกขอแอดเฟซบุ๊กเป็นบทสนทนาของเมื่อคืน ส่วนข้อความของวันนี้

kawee : เราจะแวะไปทำธุระแถวรพ.
kawee : ก็เลยว่าจะเข้าไปหาด้วย
kawee : เอาไรเปล่า


kawee : รำคาญเราเปล่าเนี่ย
kawee : เงียบเลย


kawee : สะดวกคุยเปล่า
kawee : เราขอ
kawee : โทรหาได้มั้ย

ดูจากเวลาที่ส่งคือเป็นช่วงเวลาที่คนเก่งอยู่กับผม น้องก็เลยไม่ได้สนใจมือถือ ผมอ่านข้อความที่คนเก่งเพิ่งพิมพ์ตอบกลับไปเมื่อสักครู่นี้

konkengg : โทษทีๆ
konkengg : มาหาเหรอ
konkengg : ไม่ได้อยู่ที่รพ.น่ะ

ผมเลื่อนอ่านอีกหลายข้อความที่ทางนั้นคุยกับน้อง ผมมองหน้าคนเก่งและคนเก่งก็ดูเหมือนจะสงสัยว่าผมกำลังทำอะไรหรือเป็นอะไร ผมกดเข้าไปดูที่เฟซบุ๊กของคนเก่ง เข้าไปดูที่บันทึกกิจกรรมว่าเมื่อวานหรือวันนี้น้องรับคนไหนเป็นเพื่อนบ้าง พอเห็นชื่อเฟซบุ๊กก็รู้เลยทันทีว่าใช่มันแน่ ... ไอ้กวี

"มีอะไรหรือเปล่าครับ" คนเก่งถามผมตอนที่เห็นผมเข้าไปส่องเฟซบุ๊กของเพื่อนในเฟซบุ๊กคนล่าสุดของตัวเอง

ผมส่องดูรูปโปรไฟล์ของมัน ก่อนจะเลื่อนมาดูที่หน้าไทม์ไลน์


Kawee SB.
        อยากไปเจอหน้าแต่ไม่รู้จะอ้างอะไรดี #KK


คิ้วผมกระตุกทันทีกับสเตตัสล่าสุดของมันที่เพิ่งโพสต์เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน

ผมเลื่อนไปอ่านสเตตัสก่อนหน้า


Kawee SB.
        ยิ้มโคตรน่ารัก #ใจบางเลยกรู #KK


เป็นสเตตัสที่มันโพสต์เมื่อวานนี้ ผมเลื่อนดูไปอีกแต่ไม่มีสเตตัสไหนที่เหมือนสองสเตตัสด้านบน และไม่มีสเตตัสไหนที่มี #KK แล้วจะเป็นใครได้ถ้าไม่ใช่แฟนผม เพราะคนเก่งบอกเพิ่งเจอกันเมื่อวานเพราะมันมากับพ่อที่เป็นคนขับรถชนคุณน้าทั้งสอง พอมาเจอกันก็เลยรู้ว่าเคยเรียนที่เดียวกัน

มันต้องคิดไม่ซื่อกับคนเก่งอย่างแน่นอน และผมเชื่อว่ามันเองก็ต้องมาส่องเฟซบุ๊กของแฟนผมเรียบร้อยแล้ว และมันก็ต้องรู้ว่าคนเก่งมีแฟนแต่มันก็ยังขึ้นสเตตัสแบบนั้น เจตนามันไม่บริสุทธิ์


"คนเก่งถ่ายรูปกัน" คนเก่งทำหน้างงที่อยู่ๆผมพูดขึ้นมาแบบนั้น ผมดึงน้องมานั่งที่ด้านหน้าตรงกลางระหว่างขาผม ผมโอบเอวน้องไว้ให้แนบชิดกับตัวผม ใช้คางเกยตรงไหล่น้องก่อนจะกดมือถือถ่ายไปหลายรูป คนเก่งดูอายมากเมื่อต้องอยู่ในท่าทางแบบนี้ พอถ่ายเสร็จผมก็ยังให้ไม่ปล่อยให้น้องลุกขึ้นยังให้น้องนั่งอยู่แบบนั้น ผมเลือกรูปอยู่สักพัก จนได้รูปที่ถูกใจ

"พี่เต็มจะโพสต์รูปเหรอครับ" คนเก่งถามผมทันทีที่เห็นว่าผมกำลังทำอะไร ผมโพสต์รูปพร้อมแคปชั่น



Konkengg Peimthaworn อยู่กับ Teimtem Paisanworrakit

     ขอบคุณที่อยู่ข้างๆในวันที่ไม่สบายใจนะครับ

     รักมากนะ ... รู้ยัง ❤️  #TtwKk


คนเก่งแย่งมือถือของตัวเองไปจากมือผม

"พี่เต็มโพสต์ที่เฟซบุ๊กผมนะ"

"ใช่ ตั้งใจโพสต์" ผมไม่ได้แย่งมือถือจากคนเก่งกลับมา ผมยังคงกอดเอวคนเก่งแน่นๆ ผมมองดูหน้าน้องเพราะอยากจะรู้ว่าคนเก่งไม่โอเคหรือไม่พอใจหรือเปล่า แต่น้องแค่หน้าแดงและยิ้มเขินตอนที่ดูรูปและเลื่อนอ่านคอมเม้นท์

"แฟนคลับพี่เต็มเนี่ยไวกันจังเลยนะครับ แป๊บเดียวเข้ามากดไลค์และคอมเม้นท์กันแล้ว" คนเก่งบอกยิ้มๆ

ผมหยิบมือถือตัวเองขึ้นมาก่อนจะตั้งเป็นโหมดถ่ายวิดีโอ และเลือกมุมที่น่าจะเห็นชัดเจนที่สุด ระหว่างที่คนเก่งยังคงสนใจอ่านคอมเม้นท์ผมก็จัดวางมือถือเพื่อถ่ายคลิปเรียบร้อย


"แฟนคลับพี่เหรอ เขาว่ายังไงบ้าง" ผมถามคนเก่งที่ยังสนใจอ่านคอมเม้นท์อยู่

"เขาก็บอกน่ารักดี แต่ส่วนใหญ่เขาก็จะชมว่าพี่เต็มหล่อมาก"

"แล้ว .. คนเก่งว่าพี่หล่อมั้ย"

"ถามอะไรเนี่ย ก็เคยบอกแล้วไง"

"เคยบอกตั้งนานแล้ว พอได้เราแล้วไม่เห็นจะเคยชมว่าหล่อ"

"พูดอะไรเนี่ย!!" คนเก่งโวยวายโคตรน่ารัก

"สรุปว่าไงครับ หล่อไม่หล่อ" ผมถามอีก

และไม่คาดคิดครับคนเก่งหันมาเอาแขนทั้งสองข้างมากอดที่คอของผมไว้

"พี่เต็มของผมหล่อที่สุดเลย"

คนเก่งพูด แต่แค่นั้นยังไม่พอ คนเก่งยังจุ๊บที่ริมฝีปากผมเบาๆด้วยอีกหนึ่งครั้ง

"พอใจหรือยังครับคุณแฟน"

โอ๊ยยยย ... แฟนผมโคตรน่ารัก

ผมคิดในใจว่าคนเก่งเล่นแบบนี้กับผมเลยเหรอมาแบบตั้งตัวไม่ทันและไม่คาดหมายว่าน้องจะทำแบบนี้ แต่พอน้องทำแบบนั้นเสร็จคนเก่งเขินหนักมากครับ ผมปล่อยให้คนเก่งลุกไปนั่งข้างๆแทน น้องถึงขั้นนั่งหันหลังให้ผม รู้เลยว่าน้องเขินมากเพราะหน้าแดงคอแดงไปหมด

หลังจากนั้นผมก็กดหยุดคลิปที่ถ่ายและหาหูฟังมาเสียบที่มือถือและกดเข้าไปดู ผมตัดตอนท้ายคลิปที่คนเก่งลุกไปนั่งคนเดียวออก และกดดูอีกรอบด้วยความพอใจ ผมอัพโหลดคลิปลงในเฟซบุ๊กของผมทันที



Teimtem Paisanworrakit อยู่กับ Konkengg Peimthaworn

ตอนแรกตั้งใจแอบถ่ายเพราะอยากแกล้งแฟน แต่ไม่คิดว่าจะเจอแฟนทำแบบนี้ สตั้นไปสิบวิเลยครับ

PS : ถ้าเห็นคลิปนี้อย่างอนนะครับ

วันที่แอบถ่าย : 19/xx/20xx
เวลาแอบถ่าย : 17:36 น.




ผมมองดูคลิปที่อัพโหลดและโพสต์ลงเฟซบุ๊กเรียบร้อยด้วยความพอใจ


ไอ้กวี ...
หวังว่าคงจะไม่ต้องถึงขึ้นต้องดื่มน้ำใบบัวบกแก้ช้ำในหรอกนะ




TBC.
#เติมเต็มรัก
ninewara✿


◕ เพิ่งรู้ว่าพี่เติมเต็มเป็นคนนิสัยแบบนี้นะเนี่ย
◕ ขอบคุณที่ติดตามและขอบคุณทุกคอมเม้นนะคะ
       


ออฟไลน์ sripaerrr

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
ขี้หวงมากเว่อร์ ขี้อวดอีกต่างหาก ขี้หึงสุดๆ ทั้งรักทั้งหลง ผ่านช่วงโกรธ​ๆงอนๆกันไปแล้วพี่เต็มก็จัดหนักจัด​เต็ม​เรื่องความหวาน  แอบสงสัย พี่เต็มนี่ลูกม๊าจริงๆใช่ไหมคะ 555555
ขอบคุณ​นะคะ  เรื่องน่ารักฟีลกู๊ด ชูใจเรามากกกก เป็นกำลัง​ใจ​ให้​นะคะ​

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
อย่าดราม่ากับนายกวีอีกนะครับ ^^"

ออฟไลน์ memozy

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
ขี้หวง ขี้ห่วง จริงๆ

รอติดตามอยู่นะ  o22 o13

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ Aimlovelove

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 34
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อิพี่ร้ายนะคะ ขี้หวงขั้นสุด แต่น้องก็น่ารักไง

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Sutharat

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
พี่เต็มนี่ขี้หวงเว่อร์มากขนาดคนเก่งรักมากไม่เคยมองใครเลยนะ

ออฟไลน์ Tonson777

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 50
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :hao3: :hao3: :hao3: คุณเติมเต็มครับคุณนี่มันวร้ายๆๆๆจริงๆ  ทั้งขี้อวด ขี้หวง แถมยังเจ้าแผนการอีกต่างหาก ระวังเถอะคนเก่งเห็นคลิปละจะโดนงอล  โดนทิ้งให้นอนคนเดียวละก็จะสมน้ำหน้าให้  :z1: :z1: :z1:

ออฟไลน์ sailom_orn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
 :katai2-1: ทำดีมากพี่เต็ม เราต้องเเสดงความเป็นเจ้าของ

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1725
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
เป็นวิธีสะกัดแบบเนียนๆ  :katai2-1:

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
ร้ายกาจมากนะเติมเต็ม,,,

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
อิพี่มันร้ายยย แสดงความเป็นเจ้าของสุด น้องก็ไม่รู้เรื่องเลยเดี๋ยวโดนงอนแน่5555

ออฟไลน์ DraCo_SLa13

  • I swear that, will love Super Junior forever..........
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +314/-3
นอกจากจะขี้หวงแล้ว ยังขี้อวดอีก คนเรา

ออฟไลน์ ninewara

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
✿ เติมเต็มรัก ✿ ครั้งที่ 32



พี่เติมเต็มขับรถพาผมกลับมาส่งที่โรงพยาบาลประมาณเกือบๆหนึ่งทุ่ม พี่เติมเต็มเดินขึ้นมาส่งผมที่ห้องพักฟื้นที่แม่และป้าผมนอนรักษาตัวอยู่ ตอนที่เปิดประตูห้องเข้าไปผมก็ต้องแปลกใจเพราะมีพยาบาลนั่งอยู่ในห้องด้วยคนหนึ่ง ซึ่งแม่ผมบอกว่าเป็นพยาบาลที่ม๊าของพี่เติมเต็มจ้างมาให้อยู่ดูแลแม่และป้าของผม

"แม่ครับ ป้าครับ เก่งขอโทษนะครับที่หายไปทั้งวัน ทำให้ต้องจ้างพยาบาลมาดูแลแทนเลย" ผมเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ตรงกลางระหว่างเตียงของแม่และป้าหลังจากที่พยาบาลคนนั้นเดินออกจากห้องไป ผมเอ่ยขอโทษออกมาด้วยความรู้สึกแย่จริงๆ พี่เติมเต็มที่นั่งอยู่ที่โซฟาก็แค่มองผมยิ้มๆ เหมือนไม่รู้สึกผิดอะไรเลย

"ไม่ต้องขอโทษหรอกลูก แม่กับป้าอยากให้ลูกออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกบ้างเพราะดูแลแม่กับป้ามาหลายวันแล้วไม่ได้ไปไหนเลย" แม่ผมเอื้อมมือมาลูบหัวของผมเบาๆ

"อีกอย่างนะคือเรื่องพยาบาล คุณฤดีวรรณ ม๊าของพี่เต็มก็เป็นคนจัดการให้ แล้วป้ากับแม่เราก็มาคิดดู มีพยาบาลมาคอยดูแลก็ดีเหมือนกันเพราะถึงแม้ว่าหนูจะดูแลป้ากับแม่ได้แต่เดี๋ยวหนูก็ต้องกลับไปเรียน" ผมนั่งคิดตามสิ่งที่ป้าผมพูด ก็จริงนะมีพยาบาลมาคอยดูแลก็ดีครับเพราะผมก็กังวลน้อยลง และอีกอย่างด้วยความที่ผมเป็นผู้ชาย บางทีเรื่องส่วนตัวอะไรของผู้หญิงก็ทำให้ผมเขิน ทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน

"สบายใจแล้วใช่มั้ย" พี่เติมเต็มถามผมยิ้มๆ ดูท่าทางแล้วพี่เติมเต็มคงจะรู้เรื่องนี้อยู่แล้วแน่เลย

"พี่เต็มรู้เรื่องนี้อยู่แล้วใช่มั้ยครับ" ผมถาม

"เพิ่งรู้ตอนที่นั่งทานข้าวเมื่อกี้นี่แหละว่ามาถึงแล้วจะเจอพยาบาล แต่เรื่องที่ว่าอยากจ้างพยาบาล ม๊าคุยตั้งแต่วันแรกที่มาแล้วล่ะ" พี่เติมเต็มบอก ตอนที่นั่งทานข้าวอยู่ที่ร้านอาหารก่อนจะมาโรงพยาบาล ม๊าของพี่เติมเต็มโทรเข้ามาคุยกับพี่เติมเต็ม สงสัยจะโทรมาคุยเรื่องพยาบาลเพราะพี่เติมเต็มไม่ได้บอกและผมเองก็ไม่ได้ถาม

ไม่นานพี่เติมเต็มก็ขอตัวกลับ และบอกว่าพรุ่งนี้จะมาใหม่ ผมเดินลงมาส่งพี่เติมเต็มที่หน้าลิฟท์ พี่เติมเต็มไม่ยอมให้ผมเดินไปส่งที่รถเหตุผลเพราะไม่อยากให้ผมเดินขึ้นมาคนเดียว และอีกเหตุผลคือ ...

"พี่รู้ว่าคนเก่งเดินไม่สะดวกเท่าไหร่  ยังเจ็บอยู่แน่ๆ"

ผมเขินทุกทีที่พี่เติมเต็มพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังและเป็นห่วงแบบนี้

"แล้วค่าจ้างพยาบาลพิเศษแบบนี้วันละเท่าไหร่เหรอครับ " ผมถามตอนที่เดินมาถึงหน้าลิฟท์ ผมถามเพราะไม่ทราบจริงๆ

"ชั่วโมงละสองร้อยบาท ถ้าเหมาทั้งวันก็สองพันห้า" พี่เติมเต็มบอกผมกำลังคิดคำนวณตัวเลขในใจ ราคานี้น่าจะต่อคนใช่มั้ย

"คิดอะไรอยู่"พี่เติมเต็มถามผม

"กำลังคิดคำนวณค่าใช้จ่ายดูน่ะครับ"

"คิดทำไมไม่ได้ให้ที่บ้านคนเก่งจ่ายสักหน่อย" พี่เติมเต็มบอกผม ผมมองด้วยความสงสัย คู่กรณีเขาไม่น่าจะมาจ่ายให้นะสำหรับค่าจ้างพยาบาลพิเศษ

"พี่จะเป็นคนจัดการเอง" ผมตาโตกับคำพูดของพี่เติมเต็ม

"ไม่ได้นะครับ พี่เต็มจะมาจ่ายให้ได้ยังไง" ผมเอื้อมมือไปจับแขนพี่เติมเต็มและพูดออกมาแบบไม่ยอม

"ทำไมจะจ่ายไม่ได้ครับ นั่นแม่ยายพี่เลยนะ" พี่เติมเต็มพูดพร้อมกับหัวเราะออกมาด้วย

"แม่ยายอะไรล่ะ" คำพูดของพี่เติมเต็มทำให้ผมเขินอีกแล้ว พี่เติมเต็มดึงมือของผมที่เกาะแขนอยู่ไปจับ

"นอกจากเรื่องที่อยากให้มีพยาบาลที่เก่งๆมาดูแลแล้ว ก็ยังมีอีกอย่างคือพี่อยากมีเวลาอยู่กับคนเก่งและอยากให้คนเก่งได้พักผ่อนด้วย ถือว่าเป็นการซื้อเวลาที่คุ้มค่ามากเลย" พี่เติมเต็มพูดกับผมด้วยครับจริงจัง พอทราบเหตุผล ผมก็พอที่จะเข้าใจได้นะ แต่มันก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี

"ไม่ต้องคิดมาก รับรองพี่เอาคืนจากเราคุ้มแน่" พี่เติมเต็มพูดออกมาอีก ก่อนจะจูบที่ริมฝีปากผมเบาๆหนึ่งครั้ง ลิฟท์มาพอดีเลยครับ

"ไปนะ ถึงบ้านแล้วพี่จะโทรหา" พี่เติมเต็มบอกก่อนที่จะเดินเข้าลิฟท์ไป

ผมเดินกลับเข้ามาที่ห้องพักฟื้น แม่กับป้ากำลังดูละครทางโทรทัศน์กันอยู่ ผมมานั่งเล่นมือถืออยู่สักพักก็ตัดสินใจเข้าไปอาบน้ำ ระหว่างที่อาบน้ำผมก็คิดถึงเรื่องที่พี่เติมเต็มทำเมื่อช่วงเย็น

พี่เติมเต็มใช้เฟซบุ๊กของผม โพสต์รูปคู่ของเราพร้อมกับแคปชั่นซึ่งผมจำได้ว่าผมเคยเขียนข้อความแบบนี้ในการ์ดให้พี่เติมเต็มแต่มันผ่านมาหลายปีมากแล้ว ตอนนั้นเป็นช่วงที่ผมโดนโจ้แกล้งแบบหนักมากๆ จนผมท้อมากแอบร้องไห้บ่อย

วันนั้นหลังจากที่ผมไปแอบร้องไห้มาจนพอใจแล้ว ผมกำลังจะกลับบ้าน ผมเดินผ่านสนามบาสเกตบอลเห็นพี่เติมเต็มกำลังเล่นบาสเกตบอลกับเพื่อนๆอยู่ ตอนนั้นเองที่พี่เติมเต็มหันหน้ามามองผม และเดินออกจากสนามมาหาผม อันที่จริงในตอนนั้นผมไม่รู้ว่าพี่เติมเต็มเดินออกมาหาผมหรือเปล่า แต่ตอนนั้นไม่มีใครอยู่ตรงนั้นเลย ผมก็เลยคิดว่าพี่เติมเต็มคงเดินมาหาผม

ตอนนั้นทั้งผมและพี่เติมเต็มไม่มีใครพูดอะไรออกมา ผมตื่นเต้นด้วยเพราะไม่คิดว่าพี่เติมเต็มจะเดินมาหา พี่เติมเต็มเดินมายืนตรงหน้าและมองหน้าผมอยู่สักพัก พี่เติมเต็มก็วิ่งกลับไปที่ข้างสนามที่วางพวกกระเป๋าเป้ไว้ พี่เติมเต็มไม่ได้พูดหรือส่งสัญญาณอะไรที่บอกให้ผมรอ แต่ผมเข้าใจไปเองว่าพี่เติมเต็มอยากให้ผมรอ

พี่เติมเต็มเดินกลับมาพร้อมกับในมือกำอะไรบางอย่างไว้

"แบมือ" พี่เติมเต็มบอกแบบนั้นตอนที่กลับมายืนตรงหน้าผมอีกครั้ง ผมแบมือออกไปทั้งสองข้าง สิ่งที่พี่เติมเต็มวางบนฝ่ามือของผมคือลูกอมประมาณสี่ห้าเม็ด ซึ่งผมจำได้ว่าเป็นลูกอมที่ผมเพิ่งให้พี่เขาไปเมื่อเช้านี้นีเอง

"กินซะ จะได้อารมณ์ดี" พี่เติมเต็มบอกแค่นั้นก่อนจะวิ่งกลับไปเล่นบาสเกตบอลกับเพื่อนต่อ

ผมยังจำความรู้สึกวันนั้นได้อยู่เลยว่าหัวใจผมเต้นแรงแค่ไหน ข้อความที่ผมเขียนในการ์ดวันนั้นที่ส่งให้พร้อมลูกอม ผมเขียนไปว่า



To ... พี่เติมเต็ม

      ลูกอมหวานๆ ช่วยให้อารมณ์ดีได้นะครับ
                             เทคแคร์ครับ
                                   คนเก่ง
                             25/xx/20xx




พอพี่เติมเต็มเอาลูกอมมาให้ (ถึงมันจะเป็นลูกอมของผมเองที่ซื้อมาก็เถอะ) พร้อมกับพูดแบบนั้นทำให้ผมใจเต้นแรงมากๆ สิ่งที่คิดในตอนนั้นคือพี่เติมเต็มใจดีมากเลย ถึงบ่อยครั้งจะไม่ค่อยคุยกับผมแต่พี่เขาก็ยังใจดี

วันต่อมาผมก็เลยเขียนการ์ดไปให้พี่เติมเต็มโดยข้อความในการ์ดก็คือ



To ... พี่เติมเต็ม

       ขอบคุณที่อยู่ข้างๆในวันที่ไม่สบายใจนะครับ

                          เทคแคร์ครับ
                             คนเก่ง
                         26/xx/20xx



มันเป็นข้อความเดียวกันกับที่พี่เติมเต็มโพสต์ในเฟซบุ๊กของผมในวันนี้เลย ไม่รู้เพราะพี่เติมเต็มจำได้หรือเพราะคิดว่าถ้าเป็นผม ผมอาจจะโพสต์ประมาณนี้หรือเปล่า ตอนที่พี่เติมเต็มขับรถมาส่งที่โรงพยาบาล ผมก็ถามนะว่าทำไมต้องใช้เฟซบุ๊กผมโพสต์อะไรแบบนั้น ไม่ใช่อะไรหรอกนะครับ ถ้าอยากได้แบบนี้เดี๋ยวผมโพสต์ให้ก็ได้แต่พี่เติมเต็มก็ไม่ได้พูดถึงเหตุผล

แต่ที่ร้ายมากกว่านั้นคือการที่พี่เติมเต็มแอบถ่ายคลิป ผมไม่รู้ว่าเพราะผมไม่คิดอะไรหรือเพราะพี่เติมเต็มมีทักษะในการแอบถ่ายก็ไม่รู้ เพราะพี่เติมเต็มจะเป็นคนที่เนียนมากครับ ผมไม่เคยจับได้เลยถ้าแอบถ่าย เพราะพี่เติมเต็มจะชวนผมคุยหรือดึงความสนใจผมไม่ให้สนใจว่าพี่เขาทำอะไรอยู่

ส่วนเรื่องที่ชอบแอบไลฟ์สด พี่เติมเต็มไม่ทำนานแล้วครับตั้งแต่ที่ไลฟ์ครั้งล่าสุดที่แอบถ่ายผม แล้วบังเอิญว่าในไลฟ์มันเห็นช่วงหน้าอกและหน้าท้องของผมโดยที่ผมไม่ตั้งใจเพราะไม่รู้ว่าพี่เติมเต็มกำลังไลฟ์อยู่ ตั้งแต่นั้นมาพี่เติมเต็มก็ไม่ไลฟ์อีกเลย บอกว่าการไลฟ์มันควบคุมเหตุการณ์ไม่ได้



(มีต่อนะคะ)

ออฟไลน์ ninewara

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
.
.

วันต่อมา
พี่เติมเต็มมาหาผมแต่เช้าและมาพร้อมกับมื้อเช้าครับ ช่วงเช้าคุณหมอมาตรวจดูอาการของป้าอีกครั้งก่อนที่จะอนุญาตให้ป้าผมกลับบ้านได้ เราก็เลยต้องวุ่นวายย้ายห้องกันอีกครั้ง การย้ายห้องไม่ได้ยุ่งยากหรือวุ่นวายหรอกครับ เพราะทางโรงพยาบาลเขาเตรียมห้องไว้ให้แล้ว แต่ที่วุ่นวายเพราะของใช้ต่างๆที่อยู่ในห้องมากกว่าครับ

หลังจากที่ย้ายห้องเรียบร้อยแล้ว ป้าผมก็ไม่ได้กลับบ้านไปพักผ่อนนะครับ ป้าบอกจะอยู่ดูแลแม่ ทั้งที่ผมอยากให้ป้าไปนอนสบายๆอยู่บ้าน แต่ป้าไม่ยอมครับ ดูก็รู้ว่าป้าเป็นห่วงแม่มากเพราะอยู่ด้วยกันสองคนพี่น้องมาตลอด

"แล้ววันนี้จะพาคนเก่งไปไหนหรือเปล่า ถ้าจะไปไหนกันแม่ไม่ว่านะ ตามสบายเลย" แม่ผมพูดกับพี่เติมเต็มหลังจากที่ผมกับพี่เติมเต็มช่วยกันถือของมาวางในห้อง พี่เติมเต็มหันมามองหน้าผม

"ไปไหนดี" แล้วดูสิมาโยนให้ผมตอบ

"ไม่ไปครับ จะอยู่ที่นี่" ผมตอบแบบตั้งใจแกล้งพี่เติมเต็ม

"ตามใจเลย" พี่เติมเต็มตอบพร้อมกับส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้ ผิดคาดเลยตอนแรกนึกว่าจะดื้อชวนผมไปไหนซะอีก

"จะอยู่ทำไมคนเก่ง ป้าก็อยู่ หนูจะให้พี่เขานั่งอยู่กับหนูแบบนี้ทั้งวันพี่เขาก็เบื่อแย่สิ" ป้าผมพูดขึ้นมา ผมมองพี่เติมเต็มและพี่เติมเต็มก็แค่ส่งยิ้มกลับมา

"ก็ ... ค่อยออกไปก็ได้นี่ครับ" ผมตอบและเห็นพี่เติมเต็มยิ้มกว้างออกมา

จนประมาณสิบโมงกว่าๆผมก็ตัดสินใจชวนพี่เติมเต็มออกมาข้างนอก อย่างที่แม่กับป้าบอกนั่นแหละครับ ผมกลัวพี่เติมเต็มจะเบื่อถึงแม้ว่าพี่เขาจะไม่ได้พูดบ่นอะไร แต่การที่ให้พี่เติมเต็มมานั่งอยู่เฉยๆหรือมานั่งเล่นมือถืออยู่แบบนี้ จากที่ไม่เบื่อก็อาจจะเบื่อขึ้นมาก็ได้

"อยากไปไหน" พี่เติมเต็มถามหลังจากที่ขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว ... นั่นสิไปไหนดี ตอนที่ชวนออกมายังไม่ได้คิดเลยว่าจะไปไหน

"พี่เต็มอยากดูหนังมั้ยครับ" ผมถามเพราะผมคิดไม่ออกจริงๆว่าจะไปไหนดี

"เอาสิ ไม่ได้ดูหนังนานแล้วด้วย ล่าสุดที่ไปดูก็ตั้งแต่วันที่พี่ขอคนเก่งเป็นแฟน" พี่เติมเต็มจับมือผมไว้และพูดออกมาด้วยน้ำเสียงปกติใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่ผมใจเต้นระรัวขึ้นมาเลย ไม่คิดว่าพี่เติมเต็มจะจำได้และพูดขึ้นมา

"เขินอะไร หน้าแดงเลย" อยู่ๆเติมเต็มก็ทักขึ้นมา

"ก็ ... มัน ... ไม่รู้สิ ผมแค่ดีใจที่พี่เต็มจำได้ด้วย" ผมพูดออกมา พี่เติมเต็มจับมือผมขึ้นมาและจูบที่นิ้วมือของผมแผ่วเบา

"พี่ใส่ใจทุกอย่างที่เกี่ยวกับคนเก่งนะ ... ถ้าเราไม่รู้ ก็รู้ไว้เลย" พี่เติมเต็มบอกผมด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง ผมไม่รู้ตัวเลยครับว่าตัวเองยิ้มกว้างมากแค่ไหน มองไปที่พี่เติมเต็มพี่เขาก็ยิ้มกว้างไม่แพ้กัน

.
.
.

ประมาณยี่สิบนาทีพี่เติมเต็มก็ขับรถมาถึงที่ห้างสรรพสินค้าใจกลางเมืองที่มีโรงภาพยนตร์อยู่ชั้นบนสุด ระหว่างที่ผมกับพี่เติมเต็มกำลังยืนเลือกว่าจะดูหนังเรื่องอะไรกันดี ก็ได้ยินเสียงคนเรียกชื่อผมอยู่ใกล้ๆ

"คนเก่ง"

พอหันไปมองคนที่เรียกผมคือกวีนั่นเอง

"อ้าว กวี มาดูหนังเหรอ" ผมถาม และอยู่ๆมือของพี่เติมเต็มที่ตอนแรกแค่โอบเอวผมไว้หลวมๆ แต่ตอนนี้กลับกอดเอวผมแน่นมาก ผมหันไปมองพี่เติมเต็มเห็นพี่เติมเต็มกำลังมองกวีอยู่ด้วยสายตาที่ไม่ค่อยชอบใจเท่าไรนัก

"จริงสิ เดี๋ยวแนะนำให้รู้จักนะ กวี .. นี่พี่เต็ม ... พี่เต็มครับ นี่กวีที่ผมเล่าให้ฟังเมื่อวานไงครับ" ผมแนะนำให้ทั้งคู่รู้จักกัน

"ที่บอกว่าเป็นเพื่อนที่โรงเรียนเก่าใช่มั้ย" พี่เติมเต็มถามผม

"ใช่ครับ" ผมตอบ

"แล้วพี่เต็มเป็นใครเหรอครับ" กวีถามพี่เติมเต็ม ผมรู้สึกถึงมือของพี่เติมเต็มที่บีบแน่นที่เอวของผม

"พี่เต็มเป็นรุ่นพี่ที่โรงเรียนใหม่ที่เราย้ายมาน่ะ" ผมเป็นคนตอบ

"แค่นั้นเหรอ" กวีถามออกมาอีก

"แล้วก็เป็นรุ่นพี่ที่มหาลัยที่เราเรียนอยู่ด้วย" ผมบอกเพิ่มเติมออกมา ผมเห็นเหมือนกวียิ้มที่มุมปาก

"อ๋อ รุ่นพี่นี่เอง" กวีพูดออกมา ผมรีบคว้ามือของพี่เติมเต็มมาจับเอาไว้ตอนที่พี่เติมเต็มปล่อยมือจากเอวของผม ผมสอดนิ้วมือประสานกับนิ้วมือของพี่เติมเต็ม ผมจับมือพี่เขาแน่นแต่พี่เติมเต็มไม่จับมือผมตอบกลับมาเลย

"แล้วก็เป็นแฟนเราด้วย" ผมตัดสินใจพูดออกไปตรงๆ ปฏิกิริยาของทั้งคู่คือมีอาการชะงักไปนิดหน่อย กวีดูตกใจ แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมาเพื่อนของกวีก็เดินมาตามซะก่อน

"ไว้โทรหานะคนเก่ง" กวีพูดแค่นั้นก่อนจะเดินไปกับเพื่อน

ส่วนพี่เติมเต็มเองก็ดูเหมือนจะยืนนิ่งอยู่ จนผมต้องบีบมือแรงๆ พี่เติมเติมหันมามองผม ผมเห็นพี่เติมเต็มเม้มปากและหันซ้ายหันขวา เหมือนกำลังหาใครอยู่

"พี่เต็มมองหาใครเหรอครับ" ผมถามด้วยความสงสัย แต่พี่เติมเต็มปฏิเสธว่าไม่ได้มองหาใครและจูงมือผมไปซื้อตั๋วหนัง

หนังที่พี่เติมเต็มเลือกเป็นหนังแนวแฟนตาซี อันที่จริงจะพูดว่าพี่เติมเต็มเป็นคนเลือกหนังก็ไม่ถูกต้องซะทีเดียว ตอนที่อยู่หน้าเคาน์เตอร์ขายตั๋ว พี่เติมเต็มบอกพนักงานที่ขายตั๋วว่า

"เอาเรื่องอะไรก็ได้ที่เร็วที่สุดและขอที่นั่งแบบฮันนีมูนครับ"

ตอนนั้นผมเห็นพนักงานมองผมกับพี่เติมเต็มสลับกันไปมา และยิ้มให้ ตอนที่พนักงานยื่นตั๋วหนังมาให้ เขาพูดว่า


'รักกันนานๆนะคะ'


ผมเขินมากเลยครับ พี่เติมเต็มรีบจูงมือผมเดินเข้าไปในโรงหนัง หลังจากหาที่นั่งกันได้แล้ว ไฟในโรงหนังก็ค่อยๆหรี่ลง เก้าอี้ที่ผมกับพี่เติมเต็มนั่งอยู่แถวบนสุด มีเก้าอี้ในแถวเดียวกันถัดไปอีกสองตัวซึ่งไม่มีคนนั่ง ผมมองไปด้านล่างมีคนดูอยู่ไม่ถึงสิบคน อาจจะเป็นเพราะวันนี้เป็นวันธรรมดาและหนังเรื่องนี้ก็เข้าฉายมานานแล้ว คนที่ชอบดูหนังก็น่าจะมาดูเรื่องนี้ก่อนหน้านี้แล้ว

ที่จอหนังเบื้องหน้ากำลังฉายหนังตัวอย่างอยู่ ผมรู้สึกเหมือนพี่เติมเต็มกำลังมองผมอยู่ ผมหันไปมองพี่เติมเติมที่ตั้งแต่เดินเข้ามายังไม่ยอมปล่อยมือจากผม

"ครับ?" ผมถาม

"ตั้งแต่เป็นแฟนกันมา วันนี้เป็นวันแรกเลยมั้งที่เรียกว่าเดท" พี่เติมเต็มพูดเบาๆที่ข้างหูผม ซึ่งมันก็จริงตามที่พี่เติมเต็มพูด

ตั้งแต่ที่เป็นแฟนกันมา ผมกับพี่เติมเต็มไม่เคยออกมาดูหนังทานข้าวกันเลยครับ ชีวิตปกติของเราก็คือไปเรียน มาทานข้าวด้วยกันช่วงกลางวันบ้าง และมื้อเย็นส่วนใหญ่ก็จะทำอะไรทานกันที่คอนโดของพี่เติมเต็ม มีออกไปสังสรรค์กลางคืนกับเพื่อนพี่เติมเต็มบ้าง

พอพี่เติมเต็มพูดแบบนี้ผมก็อดที่จะรู้สึกใจเต้นแรงไม่ได้ เพราะผมเองยอมรับเลยว่าก่อนที่จะเป็นแฟนกัน ผมเคยคิดภาพในหัวว่าถ้าได้เป็นแฟนกับพี่เติมเต็มผมจะทำอะไร จะไปไหนด้วยกันบ้าง แต่พอเป็นแฟนกันจริงๆแล้วสิ่งที่คิดเอาไว้แทบจะไม่เกิดขึ้นเลย แต่ถึงไม่ได้ทำอะไรแบบที่เคยคิดเอาไว้ผมก็ไม่ได้รู้สึกว่าเราขาดอะไรไป

"เราเดทกันช้าเกินไปมั้ยครับ" ผมถามเบาๆและหัวเราะออกมาตอนท้าย แต่ผมก็ต้องขนลุกขึ้นมาทันทีตอนที่รู้สึกถึงลมหายใจของพี่เติมเต็มที่รดอยู่ที่ข้างแก้ม

"รู้มั้ยว่า .. อยากจูบมากเลย" เสียงที่ดังแผ่วๆของพี่เติมเต็มทำให้ผมใจสั่นระรัวมากยิ่งขึ้น

"ไม่ได้ครับ เราอยู่ในที่สาธารณะนะ" ผมรีบบอกเพราะกลัวพี่เติมเต็มจะจูบผมขึ้นมาจริงๆ และถ้าพี่เขาทำผมก็ต้องยอม ไม่ใช่เพราะพี่เติมเต็มบังคับแต่มันเป็นเพราะผมยอมให้พี่เติมเต็มเองครับ

พี่เติมเต็มโอบไหล่ผมและใช้มือข้างที่กำลังโอบไหล่ผมอยู่ลูบหัวผมไปมาเบาๆ

"จริงๆตั้งใจว่าจะรีบเข้าโรงหนังมาแล้วจะได้จูบนะเนี่ย" พอพี่เติมเต็มพูดแบบนั้นออกมา ผมรีบมองหน้าพี่เติมเต็มทันที

"พี่เต็มต้องเลือกสถานที่บ้างนะ" ผมโวยออกมาเบาๆด้วยความอาย

"ก็คนเก่งทำตัวน่ารักทำไมล่ะ พี่ก็อยากแสดงความรัก" แล้วฟังดูพูดเข้าสิ .. ทำตัวน่ารักอะไรล่ะ แล้วพี่เติมเต็มก็พูดต่อว่า

"ทำตัวน่ารักที่บอกคนอื่นว่าพี่เป็นแฟน" ผมยิ้มออกมาทันทีที่ได้ยิน นึกว่าน่ารักเรื่องอะไร

"ถ้าใครได้พี่เติมเต็มเป็นแฟนก็อยากจะอวดทั้งนั้นแหละครับ" ผมบอกตามที่คิด

"จริงอ่ะ แล้วทำไมกว่าจะบอกว่าพี่เป็นแฟนได้ เราก็บอกว่าเป็นรุ่นพี่อยู่นั่นแหละ" พี่เติมเต็มมีน้ำเสียงเหมือนจะงอนผม

"หนังจะฉายแล้ว เดี๋ยวดูหนังจบค่อยคุยกันนะครับ" ผมบอกเพราะกลัวว่าถ้าคุยจะยาวไปกว่านี้คงไม่ได้ดูหนังแน่ ผมได้ยินเสียงพี่เติมเต็มถอนหายใจออกมา ผมก็เลยรีบเอนตัวไปซบไหล่ของพี่เติมเต็ม

"นะครับ เดี๋ยวค่อยคุย ผมเคยคิดเอาไว้ว่าอยากจะนั่งซบไหล่พี่เติมเต็มแล้วดูหนังไปด้วยแบบนี้มานานแล้วนะ" สิ่งที่ผมพูดเป็นเรื่องจริงครับ พี่เติมเต็มโอบไหล่ผมแน่นขึ้นและผมสัมผัสได้ว่าพี่เติมเต็มจูบลงที่ผมของผม

"ครับๆ พูดแบบนี้ใครจะไม่ยอมล่ะ" พี่เติมเต็มพูดออกมาอย่างอ่อนโยน หลังจากนั้นเราก็นั่งดูหนังกันไปเงียบๆไม่ได้คุยอะไรกันอีก

เวลาผ่านไปเกือบสองชั่วโมง หลังจากที่ดูหนังจบพี่เติมเต็มก็พาผมมาทานมื้อกลางวันที่ร้านอาหารปิ้งย่างสไตล์เกาหลี ซึ่งเมื่อหลายวันก่อนผมเคยบ่นๆว่าอยากทานไม่คิดว่าพี่เติมเต็มจะจำได้ด้วย

ระหว่างที่นั่งรออาหารที่สั่งไป ผมที่กำลังนั่งมองหน้าพี่เติมเต็มอย่างลังเลใจว่าจะเริ่มพูดเรื่องนี้ยังไงดี

"พูดมาครับ" อยู่ๆพี่เติมเต็มก็พูดขึ้นมาแบบนี้ ผมหยิบมือถือขึ้นมากดอยู่สักพักก่อนจะเปิดที่หน้าแชทไลน์ที่ผมคุยกับใครบางคนล่าสุดเมื่อคืนนี้ แล้วยื่นให้พี่เติมเต็มดู  ตอนแรกพี่เติมเต็มก็ทำหน้างงครับแต่พอพี่เติมเต็มได้อ่านข้อความบนหน้าจอสีหน้าก็เปลี่ยนไป .. ดูจะไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่

ข้อความที่ผมให้พี่เติมเต็มดูคือเป็นข้อความแชทไลน์ระหว่างผมกับกวีที่คุยกันเมื่อคืนนี้


kawee : นี่
kawee : คนนี้ใคร
kawee : แฟน?


และกวีก็ส่งรูปที่เป็นการแคปหน้าจอเฟซบุ๊กของผมที่เป็นรูปคู่ที่พี่เติมเต็มเป็นคนโพสต์แนบมาด้วย


konkengg : ใช่
konkengg : แฟน


kawee : มีแฟนแล้ว
kawee : ก็จีบไม่ได้แล้วสิ


ตอนนั้นผมงงกับข้อความของกวีมาก .. จีบ? หมายถึงผมเหรอ


konkengg : จีบ .. เราเหรอ


ผมถามกลับไปทันทีในตอนนั้น


kawee : ถ้าใช่ จีบได้มั้ยล่ะ
konkengg : จีบไม่ได้


ผมตอบกลับไปทันที


kawee : เพราะมีแฟนเหรอ
kawee : เรารอได้นะ
konkengg : จะรอทำไม
konkengg : ถึงเราไม่มีแฟน
konkengg : เราก็ไม่ได้ชอบกวี
kawee : ปิดโอกาสตัวเองจังเลยนะ
konkengg : แล้วทำไมเราต้องเปิดโอกาส
konkengg : ในเมื่อเรามีแฟนแล้ว
konkengg : และเราก็รักกันกับแฟนเราดี


ข้อความขึ้นมาว่าอ่านแล้วแต่กวีไม่ได้โต้ตอบอะไรกลับมาอีก และผมก็ไม่คิดว่าจะได้เจอกันกับกวีวันนี้ที่หน้าโรงหนัง แต่ผมก็คิดว่าเรื่องที่กวีบอกว่าจะจีบผมเป็นเรื่องที่กวีล้อเล่นมากกว่าเพราะไม่น่าเป็นไปได้


ผมเห็นพี่เติมเต็มสไลด์หน้าจอมือถือของผมไปมาสักพัก ก่อนที่จะเงยหน้ามามองหน้าผม อาหารมาเสิร์ฟพอดีแต่พี่เติมเต็มยังไม่เงียบอยู่


"พี่เต็มครับ" ผมลองเรียกพี่เติมเต็มที่ดูจะวุ่นวายกับการนำอาหารลงไปปิ้งย่างที่เตาไฟฟ้าที่อยู่ตรงหน้า

"เดี๋ยวค่อยคุย" พี่เติมเต็มตอบกลับมาสั้นๆน้ำเสียงไม่ได้โมโหหรือไม่พอใจใดๆ

หลังจากพี่เติมเต็มย่างของที่อยู่บนเตาไปสักพักพออาหารเริ่มสุกพี่เติมเต็มก็คีบมาวางไว้บนจานของผม


"มันก็รู้ว่าพี่เป็นแฟนกับเรา แต่เมื่อเช้าที่เจอมัน แสดงว่ามันตั้งใจที่จะกวนประสาท" พี่เติมเต็มเอ่ยขึ้นมาหลังจากที่นั่งทานไปเงียบๆอยู่สักพัก ซึ่งผมก็เห็นด้วยในสิ่งที่พี่เติมเต็มพูด

"แต่คนเก่งก็พอๆกันแทนที่จะพูดขึ้นมาเลยว่าพี่เป็นแฟน ทำไมต้องบอกว่าเป็นรุ่นพี่ในเมื่อมันก็รู้อยู่แล้ว ยิ่งมาเห็นแชทแบบนี้ยิ่งอารมณ์เสีย" น้ำเสียงพี่เติมเต็มหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย

"คือ ... มันเป็นครั้งแรกที่มีคนอื่นมาถามผมว่าพี่เต็มเป็นใคร ผมก็ไม่แน่ใจว่าอยู่ต่อหน้าคนอื่นแบบนี้ ถ้าผมแนะนำว่าพี่เต็มเป็นแฟน พี่เต็มจะโอเคมั้ย ... แต่เพราะผมมองว่ากวีดูตั้งใจจะกวน และผมก็ขอเข้าข้างตัวเองนิดหน่อยว่าพี่เต็มน่าจะอยากให้แนะนำว่าเป็นแฟนมากกว่าด้วย" ผมอธิบายให้ฟังและดูเหมือนสีหน้าพี่เติมเต็มจะดูมีรอยยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย

"แล้วตอนอยู่ในโรงหนังใครพูดว่าถ้าใครได้พี่เป็นแฟนก็อยากจะอวดทั้งนั้น"

"ก็มันจริงนี่ครับ ผมอยากจะอวดจริงๆแต่ก็ต้องดูด้วยว่าพี่เต็มโอเคมั้ย"

"แล้วคิดว่าพี่โอเคมั้ยล่ะ"

"ก็ ... น่าจะโอเค ... มั้ง" ผมตอบด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ ถึงแม้จะมั่นใจเกินครึ่งแล้วก็เถอะ

"ไม่ต้องมั้งแล้ว อยากอวดแค่ไหนก็เต็มที่เลย" ตอนนี้พี่เติมเต็มยิ้มให้ผมมากขึ้นแล้วครับ

หลังจากนั้นเราก็นั่งทานมื้อกลางวันที่แสนอร่อยและพูดคุยเรื่องต่างๆกันไปจนผ่านไปเกือบสองชั่วโมงมื้อกลางวันก็จบลง ผมกับพี่เติมเต็มก็เดินเล่นที่ห้างกันต่อ พี่เติมเต็มบอกว่าอยากจะได้กางเกงยืนส์ใหม่ พอไปถึงร้านกางเกงยีนส์แบรนด์ดัง ผมเข้าไปในร้านด้วยก็จริงแต่ไม่ได้ช่วยพี่เติมเต็มเลือกหรอกครับ เพราะผมไม่ใช่คนที่รู้เรื่องพวกเสื้อผ้าหรือแฟชั่นสักเท่าไหร่ แต่ในความเป็นจริงแล้ว พี่เติมเต็มเป็นผู้ชายที่รูปร่างดี หุ่นดีอยู่แล้ว ผมว่าใส่แบบไหนสีไหนทรงไหนก็รอดทั้งนั้นแหละ

หลังจากใช้เวลาไปหลายชั่วโมงในการเดินเข้าออกร้านนั้นร้านนี้ นอกจากกางเกงยีนส์แล้ว ยังได้อย่างอื่นมาอีกหลายอย่างเลย จนเริ่มรู้สึกเมื่อยขาพี่เติมเต็มเลยชวนผมมานั่งที่ร้านไอศครีมชื่อดังที่ผมไม่เคยมานั่งทานเลยเพราะราคามันค่อนข้างแพง

"เพิ่งรู้ว่าทำไมคนที่เป็นแฟนกันเขาต้องมานั่งทานไอศครีมด้วยกัน .. มันรู้สึกแบบนี้นี่เอง" พี่เติมเต็มพูดขึ้นมาหลังจากที่สั่งไอศครีมไปแล้ว

"รู้สึกยังไงเหรอครับ" ผมถาม พี่เติมเต็มนั่งมองหน้าผมนิ่งๆแต่สายตาที่มองมามันทำให้ผมรู้สึกใจสั่น

"รู้สึก ... อุ่นๆหวานๆ อะไรประมาณนี้ล่ะมั้ง" พี่เติมเต็มบอก ผมเขินกับสิ่งที่พี่เติมเต็มพูด และมือไม้เริ่มเกะกะเพราะสายตาที่ส่งมา

"วันนี้จะเป็นเดทแรกของเราที่มันจะดีมากๆเลยถ้าเมื่อเช้าไม่เจอไอ้กวีนั่น" อยู่ๆพี่เติมเต็มก็ทำน้ำเสียงเบื่อหน่ายขึ้นมาซะงั้น

"พูดถึงเขาทำไมล่ะครับ" ผมถาม

"ไม่อยากพูดถึงมันหรอก แต่ยิ่งคิดยิ่งหงุดหงิด" ผมเอื้อมมือไปจับมือพี่เติมเต็มที่วางอยู่บนโต๊ะ

"ไม่หงุดหงิดนะครับ .. ไอศครีมมาแล้ว มาทานกันดีกว่า" ผมบอกเมื่อพนักงานเดินมาเสิร์ฟพอดี

"ป้อนด้วย" พี่เติมเต็มพูดขึ้นมา ผมชะงักเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองรอบๆร้าน มีลูกค้านั่งอยู่สี่ห้าโต๊ะ และบางโต๊ะก็นั่งหันหน้ามาทางโต๊ะผมด้วย

ผมตักไอศครีมใส่ปากของพี่เติมเต็ม ผมรู้ว่าต้องมีคนมองแน่แต่ก็ไม่เป็นไรเพราะผมอยากให้พี่เติมเต็มรู้สึกดี

"อย่ามัวแต่ป้อนพี่ล่ะ เราก็ต้องทานด้วย" พี่เติมเต็มบอก หลังจากที่ผมป้อนไอศครีมพี่เติมเต็มไปสองสามคำ ผมพยักหน้าและหยิบช้อนคันใหม่ขึ้นมากำลังจะตักไอศครีมมาทาน

"เดี๋ยว ทำไมต้องเปลี่ยนช้อน" พี่เติมเต็มถาม

"ก็คันนี้ของพี่เติมเต็ม ส่วนคันนี้ของผม" ผมบอก

"แล้วทำไมทานช้อนเดียวกันไม่ได้ รังเกียจเหรอ" แล้วน้ำเสียงหาเรื่องผมได้อีก

"รังเกียจอะไรล่ะครับ ไม่เคยรังเกียจเลย แต่ผมกลัวพี่เติมเต็มไม่ชอบหรือรังเกียจผมมากกว่า"

"พี่จะรังเกียจคนเก่งทำไม แค่ทานช้อนเดียวกัน ทำมากกว่านี้ยังไม่เคยรังเกียจเลย แล้วแค่นี้จะรังเกียจทำไม" พี่เติมเต็มบอกผม และไม่รู้ทำไมจะต้องเน้นตรงประโยคที่บอกว่า ... ทำมากกว่านี้ยังไม่เคยรังเกียจเลย ... ด้วยก็ไม่รู้

"ครับๆๆ ทานช้อนเดียวกันเนอะ" ผมรีบป้อนไอศครีมให้พี่เติมเต็มต่อ เพราะอยากให้พี่เขาเลิกมองผมด้วยสายตาที่เหมือนจะลวนลามผมซะทีเถอะ

"ว่าแต่คนเก่งรู้ตั้งแต่แรกหรือเปล่าว่าไอ้กวีนั่นมันชอบเรา" หลังจากที่นั่งป้อนไอศครีมกันไปมาจนเกือบจะหมดถ้วยแล้ว พี่เติมเต็มก็เอ่ยถามผมขึ้นมา

"ไม่ทราบหรอกครับ ผมแค่รู้สึกว่าพี่เต็มดูหงุดหงิด เมื่อวานตอนที่พี่เต็มอ่านไลน์แล้วก็ไปส่องเฟซบุ๊กของกวีผมก็คิดว่ามันต้องมีอะไรแน่เลย" ผมบอก

"เห็นแค่นี้พี่ก็รู้แล้วว่ามันคิดอะไรกับเราแน่ๆ"

"แต่พี่เต็มรู้ใช่มั้ยว่าผมไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นกับกวี .. หรือกับคนอื่นเลย" ถึงแม้ว่ามันจะเขินมากๆที่ต้องพูดอะไรแบบนี้ แต่ผมก็อยากให้พี่เติมเต็มมั่นใจในตัวผม

"พี่ต้องรู้สิ ว่าคนเก่งไม่มีทางรักคนอื่นนอกจากพี่หรอก แต่เรื่องหึงหวงมันเป็นเรื่องที่มันห้ามกันไม่ได้" พี่เติมเต็มบอกพร้อมกับขยี้ผมของผมเล่นเบาๆ

"หนูรักพี่เต็มมากนะ"

พี่เติมเต็มชะงักมือที่กำลังขยี้ผมของผม ผมเห็นพี่เติมเต็มเม้มปากและพูดเสียงเหมือนขู่ผมออกมาเบาๆ

"มันใช่เวลาที่จะมาพูดอะไรแบบนี้มั้ย"

ผมหัวเราะขำพี่เติมเต็มออกมา

"อยากเจ็บตัวใช่มั้ย ถึงได้แทนตัวเองว่าหนูเนี่ย" พี่เติมเต็มพูดออกมาอีก

"ก็หนูอยากให้พี่เต็มรู้ ว่าหนูรัก" ผมพูดออกมาอีก

"พอครับ พอ" พี่เติมเต็มพูดห้ามผมออกมา

ผมขำพี่เติมเต็มที่เหมือนจะทำตัวไม่ถูก

ความลับอย่างหนึ่งระหว่างผมกับพี่เติมเต็มคือ ... เวลาที่เรามีอะไรกัน พี่เติมเต็มจะให้ผมแทนตัวเองว่า .. หนู ..

พี่เติมเต็มบอกว่าชอบที่ผมพูดแทนตัวเองแบบนี้เวลาที่ผมคุยกับป้า ตอนแรกพี่เติมเต็มบอกว่าอยากให้ผมแทนตัวเองว่าหนูแทนคำว่าผม แต่มันไม่ชินเท่าไหร่ ก็เลยมีการต่อรองกันเกิดขึ้น

บทสรุปก็เลยได้ออกมาเป็นแบบนี้คือ .. ให้ผมเรียกแทนตัวเองว่า  .. หนู .. เวลาที่เรามีอะไรกัน


"คืนนี้ไปค้างบ้านพี่นะ" ผมเป็นฝ่ายที่ชะงักบ้าง

"เพิ่งไปเมื่อวานเอง ... ไม่ดีกว่าครับ เกรงใจคุณลุงคุณป้าด้วย" ผมบอก ถึงเมื่อวานจะไม่ได้นอนค้างแต่แค่เมื่อวานที่เดินลงมาข้างล่างแล้วเจอทุกคนในบ้านพี่เติมเต็ม ผมก็อายจะแย่เพราะสายตาที่ทุกคนมองมาเหมือนรู้เลยว่า ... ผมทำอะไรมา และผมยิ่งอายมากขึ้นตอนที่คุณป้า ม๊าของพี่เติมเต็มพูดขึ้นมาว่า


'ทำไมไม่อุ้มน้องเดินลงมา น้องเดินไหวเหรอ'

ผมทำหน้าไม่ถูกเลยครับ



"ก็ได้ยินว่าแทนตัวเองว่าหนู ก็เลยคิดว่าคงอยาก .... จะเจ็บตัว" ดูแฟนผมพูดสิ แล้วจะเว้นตรงคำว่าอยาก ... ด้วย

แค่แซวเล่นเองไม่คิดว่าจะเข้าตัว


ผมเห็นพี่เติมเต็มเงียบไปและหยิบมือถือขึ้นมากดและสไลด์ไปมาอยู่สักพัก


"โอเค ไม่อยากไปค้างที่บ้านก็ไม่ไป" พี่เติมเต็มพูดออกมา ผมยิ้มทันที


มันก็ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากจะมีอะไรกับพี่เติมเต็มนะ แต่ผมไม่อยากไปมีอะไรที่บ้านพี่เติมเต็มแล้วเพราะรู้สึกอายมากจริงๆ ถึงแม้จะไม่มีใครพูดหรือว่าอะไรก็เถอะ


"ไปที่โรงแรม xxx กัน"

ผมตาโตเลยครับตอนที่พี่เติมเต็มเอ่ยชื่อโรงแรม นั่นมันโรงแรมของที่บ้านพี่เติมเต็มนี่นา

"คงไม่ลืมใช่มั้ยครับว่า ที่บ้านพี่ทำกิจการโรงแรม" พี่เติมเต็มพูดเสริมออกมาอีก

"และคนเก่งก็น่าจะรู้ว่าพี่เองก็มีห้องพักส่วนตัวที่โรงแรมเหมือนกัน" ผมเห็นว่าพี่เติมเต็มกำลังเหมือนกลั้นหัวเราะ

"ตอนแรกก็ว่าจะปล่อยกลับโรงพยาบาลโดยสวัสดิภาพ แต่ดูเหมือนหนูจะอยากโดนจับกิน"

ผมจะพูดอะไรออกไปมันก็พูดได้ไม่เต็มปาก อย่างที่บอกยังไงผมก็ตามใจพี่เติมเต็มอยู่แล้ว เพียงแต่ ... เมื่อวานก็เพิ่งมีอะไรกันไปเอง แบบนี้ต้องได้ค้างคืนแน่เลย


จะบอกแม่กับป้าว่ายังไงดีเนี่ย!?






TBC.
#เติมเต็มรัก
ninewara✿


มาอัพแล้วนะคะ ^^ หายไปนานเลย
ขอบคุณทุกการติดตามนะคะ


   

     
     

ออฟไลน์ ninewara

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
✿ เติมเต็มรัก ✿ ครั้งที่ 33




[เติมเต็ม part]


ผ่านมาอีกประมาณอาทิตย์กว่าๆ ผมกับคนเก่งกลับมามหาวิทยาลัยแล้วครับ แม่ของคนเก่งกลับไปรักษาตัวที่บ้านได้ประมาณสามสี่วันแล้ว โดยรวมไม่มีอะไรที่ให้ต้องเป็นกังวล พยาบาลพิเศษที่จ้างมาก็ดูแลดีและไว้ใจได้ ทำให้คนเก่งที่ตอนแรกน้องไม่สบายใจมากๆที่ต้องให้แม่กับป้าอยู่กันแค่สองคน แต่เพราะที่บ้านผมก็ไม่ได้ห่างกับบ้านน้องมากนัก ติวเตอร์มันก็แวะเวียนไปดูให้ด้วยอีกแรงหนึ่ง คนเก่งดูสบายใจมากขึ้นถึงแม้จะยังเกรงใจผมและคนที่บ้านผมอยู่ก็ตาม



"คนเก่งไม่ต้องไปก็ได้นะ แดดมันร้อนด้วย" ผมบอกคนเก่งระหว่างที่ขับรถมากับน้อง

"พี่เต็มไม่อยากให้ผมไปเหรอครับ" คนเก่งถามผม

วันนี้พวกผมและรุ่นน้องรุ่นพี่ในคณะวิศวกรรมศาสตร์ จะไปเดินและยืนขอรับเงินบริจาคที่จะไปออกค่ายกันครับ โดยจะมีจุดที่จะไปยืนขอรับบริจาคก็จะมีที่แถวๆสโมสรนักศึกษา หอสมุดกลาง โรงอาหารคณะต่างๆ และช่วงเย็นจะไปที่ตลาดนัดถนนคนเดินที่อยู่ด้านหลังมหาวิทยาลัย อันที่จริงเท่าที่ผมทราบมาเงินที่มีคนช่วยบริจาคมาก่อนหน้านี้ก็เป็นจำนวนที่เยอะพอประมาณ แต่เพราะมีนักศึกษาจากคณะอื่นๆ ทักไปถามรุ่นพี่ที่รับผิดชอบโครงการนี้ว่าไม่มีให้บริจาคเหรอ รุ่นพี่ก็เลยคุยกันว่าขอรับบริจาคอีกสักหน่อยก็น่าจะดี เงินบริจาคเยอะขึ้น จะได้ซื้อของไปให้เด็กๆที่โรงเรียนที่พวกเราจะไปเพิ่มขึ้นด้วย

"ที่ไม่อยากให้ไปเพราะอากาศมันร้อน เหนื่อยนะ ปีที่แล้วพี่ยืนยิ้มจนเหนื่อย"

"ก็ปีนี้ผมจะเหนื่อยเป็นเพื่อนไง .. นะครับ" คนเก่งเอ่ยขอ

"อยากให้เก็บแรงไว้เหนื่อยตอนกลางคืนดีกว่า"

"นอกเรื่องอีกแล้วนะ" คนเก่งโวยออกมา ผมใช้มือไปจับที่หัวของคนเก่งและโยกไปมาเบาๆ แต่ไม่ได้พูดอะไรอีก

ผมขับรถไปจอดที่ลานจอดรถของคณะวิศวกรรมศาสตร์ ก่อนจะดับเครื่องยนต์ผมก็ยื่นมือถือและกระเป๋าสตางค์ของตัวเองไปให้คนเก่ง

"ฝากไว้ที่กระเป๋าคนเก่งนะ พี่จะไม่เอากระเป๋าสะพายลงไป" ผมบอกก่อนที่น้องจะรับกระเป๋าสตางค์และโทรศัพท์มือถือมาเก็บไว้ที่กระเป๋าของตัวเอง

ผมพาคนเก่งเดินมาที่จุดรวมตัว 'หนุ่มหล่อวิศวะ' ที่ต้องเสียสละแรงกายในการขอรับบริจาค คนเก่งมองเห็นฟูจิก็เลยขอตัวไปหาเพื่อน ส่วนผมก็เดินเข้าไปคุยกับกลุ่มเพื่อนที่กำลังแบ่งจุดไปเดินกัน

"ไงมึง หล่อมาแต่ไกล" ไอ้ธาวินมันเดินมาตบที่บ่าผมเบาๆและพูดขึ้นมา

"อย่างกับมึงไม่หล่อ" ผมพูดแย้งมันกลับไป ไอ้ธาวินมันถอนหายใจและมองไปตรงที่คนเก่งนั่งคุยอยู่กับฟูจิ

"ถ้ากูหล่อแฟนกูต้องชมกูบ้างเว้ย ไม่เหมือนแฟนมึง เมื่อกี้ยังพูดกับแฟนกูอยู่เลยว่า ... พี่เต็มหล่อเนอะฟูจิ ... " พอได้ยินไอ้ธาวินมันเล่าผมก็มองไปที่คนเก่งที่น้องมองมาทางผมพอดี ผมก็เลยส่งยิ้มไปให้ ส่วนน้องก็แค่โบกมือกลับมา

เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผมชอบที่คนเก่งเป็นแบบนี้ คนเก่งมักจะพูดจาชื่นชมผมและมีสายตาที่ผมมองดูแล้วเหมือนน้องจะหลงใหลผมอยู่ตลอดเวลา การพูดจาชื่นชมของคนเก่งที่มีให้ผม มันไม่ใช่การยกยอที่เกินจริง แต่มันเป็นคำพูดที่ออกมาจากใจที่ทำให้ผมรู้สึกได้


ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงบรรดา 'หนุ่มหล่อวิศวะ' ก็มากันครบ เพื่อนในกลุ่มผมก็มาช่วยเหมือนกันแต่พวกมันจะเป็นฝ่ายเอ็นเตอร์เทนให้ความบันเทิงมากกว่า หลังจากที่แบ่งพื้นที่และสรุปจุดที่จะไปกันได้เรียบร้อยแล้ว ผมก็เดินกลับมาหาคนเก่งที่นั่งรออยู่ ผมมีกล่องพลาสติกสีน้ำเงินที่ไม่ทึบมากอยู่ในมือ และไอ้ธาวินก็เดินตามผมมาด้วย

"พร้อมยัง" ผมถามคนเก่งล้อๆเพราะดูเหมือนเจ้าตัวจะตื่นเต้นมากกว่าผมซะอีก

"พร้อมแล้วครับ" คนเก่งตอบกลับมาโดยไม่ได้คิดว่ากำลังโดนผมแซวอยู่

คนเก่งเดินตามมากับฟูจิ โดยผมและเพื่อนๆรวมทั้งไอ้ธาวินและเพื่อนของมันเดินนำหน้ามาก่อน ไอ้ธาวินกับผมตกลงกันว่าเราจะอยู่จุดเดียวกันตลอดทั้งวันนี้ เหตุผลก็เพราะผมอยากให้คนเก่งมีเพื่อนคุย และไอ้ธาวินมันก็คิดเหมือนกันมันก็กลัวฟูจิจะเบื่อ

จุดแรกที่พวกผมเลือกมาคือบริเวณลานเกียร์ที่คณะวิศวะ เป็นความคิดของไอ้ธาวินครับ มันบอกว่าตรงนี้มีนักศึกษาผู้หญิงเดินผ่านเยอะ ผมคิดในใจทันทีว่ามันรู้ดีจริงๆเพราะเมื่อก่อนมันก็เคยมานั่งมองผู้หญิงแถวลานเกียร์อยู่เหมือนกัน ผมเห็นสายตาที่ฟูจิมองไอ้ธาวิน ผมก็รู้สึกหวาดๆแทนมันเลย และมันก็เห็นสายตานั้นเหมือนกันมันก็เลยรีบเข้าไปง้อฟูจิทันที ดีนะที่คนเก่งไม่เคยส่งสายตาแบบนี้กับผมสักครั้ง หรืออาจจะเป็นเพราะผมทำตัวดีก็เป็นได้

คนเก่งและฟูจินั่งอยู่ที่โต๊ะม้าหินอ่อนที่อยู่เยื้องด้านหลังของพวกผมที่ยืนกันอยู่เล็กน้อย มีครั้งหนึ่งผมหันไปมองไม่เจอทั้งคนเก่งและฟูจิ ผมสอดส่ายสายตามองว่าน้องไปอยู่ที่ไหน แต่ไม่นานผมก็เห็นน้องเดินกลับมาพร้อมหิ้วถุงใส่เครื่องดื่มและของกินอีกหลายอย่าง พอคนเก่งวางของไว้ที่โต๊ะเรียบร้อย ผมก็เดินเข้าไปหาน้อง

"ถ้ารู้ว่าจะไปซื้อนะ จะไม่ให้ไป" ผมพูดเสียงแข็ง

"ทำไมล่ะครับ" คนเก่งถาม

"ก็ไอ้พวกนั้นมันเคยตัวกันน่ะสิ มันรู้ว่าคนเก่งต้องไปซื้อมา" ผมบ่น เพราะมันเป็นแบบนั้นจริงๆ พอคนเก่งซื้อโน่นซื้อนี่มาให้ทานกันบ่อยๆพวกมันก็เคยตัว ไม่ยอมออกไปหาอะไรทานกันเอง มันไม่ใช่เพราะพวกมันไม่จ่ายเงินนะครับ พวกมันก็จ่ายกันทุกครั้ง จ่ายเกินด้วยซ้ำ บอกว่าให้ทิปน้องเป็นค่าเหนื่อย ผมคิดในใจตอนนั้นว่า .. พวกมันยังรู้อีกเนอะว่าคนเก่งเหนื่อยแค่ไหนที่ถือมาให้ สบายกันจริง!!

"เคยตัวก็ไม่เป็นไรหรอกครับพวกพี่เขาเป็นเพื่อนพี่เต็มนะ .. . อีกอย่างถ้าไม่ใช่เพราะซื้อมาเผื่อพี่เต็มด้วย ผมก็คงไม่ซื้อมา" คนเก่งบอกพร้อมกับยิ้มน่ารักๆส่งกลับมาให้ผม ไอ้ธาวินมันตะโกนเรียกผมให้กลับไปทำหน้าที่ของตัวเอง ผมกลับไปยืนที่เดิม จนมาถึงช่วงบ่ายหลังจากที่ทานข้าวกันเสร็จเรียบร้อย ผมและเพื่อนๆก็มายืนทำหน้าที่กันต่อ พวกเพื่อนๆผมดูจะสนุกสนานในการร้องเพลงแซวนักศึกษาผู้หญิงที่เดินผ่านไปมา

ผมหันไปมองด้านข้างของตัวเองเพราะสัมผัสได้ถึงลมเย็นๆที่ข้างแก้ม คนเก่งนั่นเองที่ยืนอยู่และกำลังใช้พัดอันเล็กๆพัดให้ผมอยู่

"พี่ไม่ร้อนหรอก" ผมบอกคนเก่งเพราะมันยังไม่ร้อนมากมายอะไร

"เหงื่อเริ่มเยอะแล้วครับ" คนเก่งบอกพร้อมทั้งก้มควานหาอะไรบางอย่างในกระเป๋า สักพักคนเก่งก็หยิบกระดาษเช็ดหน้าอย่างดีออกมา

"เดี๋ยวผมเช็ดเหงื่อให้นะครับ" คนเก่งบอกผม ผมก็เลยก้มหน้าลงมาให้น้องเล็กน้อยเพื่อน้องจะได้เช็ดได้สะดวก

" โอเคแล้ว หน้าใสเหมือนเดิม" คนเก่งบอกและยิ้มให้ผมแบบที่ทำให้ผมรู้สึกใจมันกระตุกเลย คนเก่งยังคงยืนพัดให้ผมอยู่ไม่ห่าง


"พี่เติมเต็มคะ"

ในตอนนั้นมีกลุ่มนักศึกษาผู้หญิงมายืนอยู่ตรงหน้าและหนึ่งในนั้นก็เรียกชื่อผม ดูจากการแต่งตัวแล้วน่าจะเป็นรุ่นน้องปีหนึ่ง

"ปกติต้องบริจาคเท่าไหร่เหรอคะ"

"เท่าไหร่ก็ได้ครับ แล้วแต่ความสะดวกเลยครับ จะหนึ่งบาท ห้าบาท สิบบาทไปจนถึงหลักร้อยก็ยินดีนะครับ" ผมตอบออกไป ผมเห็นพวกเธอหันกลับไปคุยกันเหมือนกำลังตกลงอะไรกันบางอย่าง

"พวกหนูจะบริจาคคนละห้าร้อยบาท แต่พวกหนูของแลกกับการถ่ายรูปคู่กับพี่เติมเต็มได้มั้ยคะ" พอได้ยินข้อเสนอแบบนั้น ผมไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน

"ได้เลยครับน้อง" เสียงไอ้ธรณ์ดังขึ้นไม่รู้มันมายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่ตอนไหน

"แล้วก็พวกหนูจะให้เพิ่มอีกคนละพันถ้าได้ถ่ายรูปคู่กับพี่เติมเต็มกับคนเก่ง" ผมรีบหันไปมองคนเก่งที่ยืนทำหน้างงอยู่

"แค่รูปพี่คนเดียวก็พอแล้วล่ะครับ" ผมบอกด้วยน้ำเสียงนิ่งๆแต่ก็พยายามที่จะยังยิ้มให้อยู่ ผมไม่อยากให้ใครมาวุ่นวายกับคนเก่ง และเท่าที่รู้จักน้องมาน้องไม่ใช่คนที่ชอบอะไรวุ่นวายแบบนี้ ผมเองก็ไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวายนะ แต่เพราะผมเจอเหตุการณ์ประมาณที่มีคนมาขอถ่ายรูปตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมแล้ว ผมเลยค่อนข้างชินแต่กับคนเก่งมันต่างกัน

"พี่เติมเต็มหวงคนเก่งเหรอคะ" หนึ่งในกลุ่มนั้นถามผม ด้วยน้ำเสียงที่เหมือนจะตื่นเต้น

"ครับ" ผมตอบไปแบบนั้น และตามมาด้วยเสียงกรีดร้องเบาๆจากกลุ่มนั้น


"โอ๊ยยยย .. แกได้ยินมั้ย โมเม้นๆ"

"มีใครถ่ายคลิปไว้มั้ย"

"ถ่ายๆ กูถ่ายทัน"

"ไหนดู"


ผมได้ยินเสียงคนในกลุ่มนั้นคุยกันประมาณนี้ คนเก่งขยับมายืนใกล้ผมและถามผมเบาๆ

"ถ้าให้เขาถ่ายรูปกับเรา เขาจะบริจาคหนึ่งพันเลยเหรอครับ"

"ใช่" ผมตอบคนเก่ง

สมัยตอนทำกิจกรรมนี้ตอนปีหนึ่ง รุ่นพี่เคยให้คนที่จะบริจาคถ่ายรูปกับหนุ่มคนไหนก็ได้ในคณะวิศวะที่ยืนอยู่ แลกกับเงินบริจาคโดยตอนนั้นค่าตัวผมไม่แพงครับแค่หนึ่งร้อยบาทเท่านั้น


"ถ้างั้นเราให้เขามาถ่ายรูปกับเราสิครับ คณะพี่เต็มก็จะได้เงินบริจาคเยอะๆไง" คนเก่งพูดออกมาเหมือนเป็นเรื่องสนุกแต่มันสนุกแค่ช่วงแรกๆเท่านั้นแหละครับ

"ถ้าอยากได้เงินทำบุญเพิ่ม เดี๋ยวให้ป๊าจัดการให้ก็ได้" ผมบอกเพราะผมไม่เห็นเหตุผลอะไรที่คนเก่งจะต้องไปเหนื่อย


"ถ้าทำแบบนั้นจะเรียกว่าทำบุญได้ไงล่ะครับ" คนเก่งบอก พร้อมส่งสายตาที่เหมือนอ้อนวอนมาให้ผม


"เฮ้อออ ..  ก็ได้ แต่พี่เตือนแล้วนะ ห้ามบ่นล่ะว่าเหนื่อย" ผมบอกน้อง คนเก่งยิ้มแฉ่งออกมาทันทีที่ผมอนุญาต


หลังจากนั้นความวุ่นวายเล็กๆก็เกิดขึ้นเมื่อมีคนมาขอถ่ายรูปกับเราสองคนเพิ่มมากขึ้น จากกลุ่มแรกที่มีอยู่สี่คน ก็เริ่มมีมายืนๆมองและเข้ามารอถ่ายรูปด้วย และหนึ่งในคนที่วุ่นวายก็มีแฟนผมอยู่ด้วย เพราะคนเก่งจะขอดูรูปทุกรูปที่ถ่าย (ผมจำกัดให้ถ่ายได้ไม่เกินคนละสองรูปครับไม่งั้นไม่ไหว)

"น่ารักทุกรูปนั่นแหละครับ" ผมบอกคนเก่งเพราะคนเก่งบอกว่ากลัวรูปที่ออกไปตัวเองจะน่าเกลียด

"ผมลืมคิดไปเลยว่า ถ้าถ่ายรูป เขาก็จะมีรูปเราในมือถือเขา แล้วถ้ารูปมันดูไม่ดี เราก็แก้ไขอะไรไม่ได้"

"รับรองว่าน่ารักทุกรูปเพราะพี่เป็นคนถ่ายนะ" ผมบอกให้คนเก่งสบายใจเพราะทุกรูปที่ได้เซลฟี่ไปผมเป็นคนกดถ่ายเอง ผมมองดูคนเก่งทุกรูปอยู่แล้ว



(มีต่อนะคะ)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ninewara

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
(ต่อค่ะ)


จนเวลาล่วงเลยมาจนถึงช่วงเย็น จากตอนแรกมีแค่คู่ผมกับคนเก่งที่ถ่ายรูปคู่แลกกับเงินบริจาค แต่ตอนนี้คู่ของไอ้ธาวินกับฟูจิก็เหมือนกัน แต่ฟูจิไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่ ได้ยินฟูจิพูดว่าตัวเองไม่ได้น่ารักเหมือนคนเก่ง กลัวถ่ายออกมาแล้วตลกมันจะอายคนอื่น ผมก็เห็นด้วยกับฟูจินะที่บอกว่าไม่น่ารักเท่าคนเก่งเพราะฟูจิหน้าตาหล่อครับ ถ้าไม่ใช่เพราะผมรู้ว่าคนเก่งชอบผม ตอนนั้นผมก็อาจจะคิดว่าสองคนนี้เป็นแฟนกันก็ได้


ตอนนี้พวกเราย้ายมารวมตัวกันที่ตลาดนัดถนนคนเดินที่อยู่หลังมหาวิทยาลัยครับ  แถวนั้นจะมีหน่วยงานราชการรวมตัวกันอยู่ ไม่ว่าจะเป็นศาลากลางจังหวัด สำนักงานเทศบาลหรือศาลจังหวัด พวกผมเดินไปตามถนนที่บริเวณด้านข้างพ่อค้าแม่ค้าวางของขายกันเต็มไปหมดทั้งสองข้างทาง หลังจากเดินเสร็จก็มารวมตัวกันตรงลานกิจกรรมที่ทางตลาดนัดถนนคนเดินจะจัดเอาไว้เผื่อมีใครอยากจะเล่นดนตรีหรือทำกิจกรรมแบบที่พวกผมกำลังทำก็ได้เช่นกันครับ

ตอนที่มายืนรวมตัวกันที่ลานกิจกรรม ช่วงนี้ค่อนข้างคึกคักครับ คนเดินกันเยอะ และพวกเพื่อนๆผมก็เล่นดนตรีกันจัดเต็มมากๆจนนึกว่าพวกมันเป็นนักร้องตัวจริงมาเอง คนเก่งกับฟูจิผมไม่ให้มายืนกับพวกผมครับ ผมให้น้องไปนั่งรอที่ซุ้มขายน้ำที่อยู่ไม่ไกล มองมาก็เห็นพวกผมที่ยืนอยู่

เวลาล่วงเลยจนถึงสองทุ่ม รุ่นพี่และพวกผมก็เห็นว่าสมควรที่เราน่าจะกลับกันได้แล้ว คนเก่งยื่นขวดน้ำเปล่าเย็นๆมาให้ผมดื่ม

"เหนื่อยมั้ยครับ" คนเก่งถามผม

"หายแล้ว" ผมตอบไปแบบนั้นเพราะมันหายเหนื่อยแล้วจริงๆแค่ได้เห็นรอยยิ้มของคนเก่ง

หลังจากนั้นพวกเราทุกคนก็กลับมาที่มหาวิทยาลัยอีกครั้งเพราะจะต้องมานับเงินที่ทุกคนช่วยกันบริจาค และจะได้จัดทำบัญชีรายรับในครั้งนี้ด้วย แต่ไอ้ธาวินมันขอตัวกลับไปก่อนพร้อมกับฟูจิเพราะดูเหมือนฟูจิจะปวดขามาก


"มีคู่รักมันก็ดีแบบนี้นะมึง" ไอ้ธรณ์มันพูดขึ้นมาตอนที่มันกับไอ้ทัตพลช่วยกันสรุปยอดเงินที่ได้จากการที่มีคนมาขอถ่ายรูปคู่ของผมและคู่ของไอ้ธาวิน มันสองคนทำบัญชีละเอียดมากเลยครับ มันลงเวลาที่ถ่าย ชื่อและคณะของคนที่มาขอถ่าย

"กูเห็นด้วย แค่เงินที่เขาให้มาถ่ายรูปพวกมันก็เกินครึ่งแสนแล้ว ปีนี้โรงเรียนที่พวกเราจะไปสบายเลย" รุ่นพี่ปีสี่พูดออกมาอย่างอารมณ์ดี

"แล้วไม่มีค่าตัวให้เพื่อนผมกับแฟนมันหน่อยเหรอพี่ มันเอาตัวเข้าแลกเลยนะ" ไอ้ชินท์มันพูดขึ้นมา ผมหันไปมองคนเก่ง น้องรับส่ายหน้าไปมาและรีบปฏิเสธทันที

"เอ่อ .. ไม่ต้องหรอกครับ แค่มีส่วนช่วยให้ยอดเงินเยอะขึ้นก็ดีใจมากแล้วครับ จะได้มีเงินซื้อพวกอุปกรณ์กีฬาให้น้องๆเพิ่มด้วย"

"ไอ้เต็ม หาแบบนี้ที่ไหนว่ะ บอกกูบ้าง" รุ่นพี่อีกคนเอ่ยแซว

"เออ!! น่ารักชิบ" รุ่นพี่อีกคนพูดขึ้นมาอีก

"เลิกแซวแฟนผมได้แล้วครับ" ผมบอกเพราะคนเก่งดูเหมือนจะหน้าแดงมากขึ้นกว่าเดิม

"เออๆ เอาไว้นัดรวมตัวกันฉลองกันสักมื้อล่ะกัน" รุ่นพี่ผมพูดและมองมาที่คนเก่ง คนเก่งก็ยิ้มรับตอบกลับไป

หลังจากที่ตรวจสอบยอดเงินต่างๆเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็แยกย้ายกันกลับ พอขับรถกลับมาถึงคอนโดผมเพิ่งจะรู้ตัวเนี่ยแหละว่าเหนื่อยมาก ระหว่างที่คนเก่งกำลังจัดอาหารใส่จานซึ่งเราแวะซื้อมาก่อนที่จะถึงคอนโด ผมก็ขอตัวเข้าไปอาบน้ำก่อนเพราะไม่ไหวจริงๆ ตัวเหนียวมาก

ใช้เวลาอาบน้ำอยู่นานพอสมควร พออาบน้ำแต่งตัวเสร็จผมก็เดินออกมาที่ห้องครัว

"บอกแล้วว่าให้ทานก่อนเลย" ผมบอกเมื่อเห็นคนเก่งยังไม่ลงมือทาน

"ก็อยากรอทานพร้อมกันนี่ครับ" คนเก่งตอบกลับมา หลังจากนั้นเราสองคนก็นั่งทานข้าวมื้อดึกกันไปแบบเงียบๆคงเพราะเหนื่อยและหิวเกินกว่าจะคุยกัน

"คนเก่งไปอาบน้ำเลยครับ เดี๋ยวพี่ล้างให้เอง" ผมเอื้อมมือไปคว้าจานของคนเก่งที่ทานเสร็จเรียบร้อยแล้วมาก่อนที่เจ้าตัวจะเดินไปล้างเอง

"ก็ได้ครับ งั้นผมไปอาบน้ำก่อนนะ" คนเก่งบอกผมก่อนที่จะเดินเข้าห้องนอนไป

หลังจากผมล้างจานและเก็บในครัวจนเรียบร้อย ผมยังไม่เดินเข้าไปในห้องนอนครับ แต่เปิดทีวีและหาซีรีย์ดีๆดูฆ่าเวลาให้อาหารย่อย จนเวลาผ่านไปน่าจะสักเกือบๆชั่วโมงเห็นจะได้ ผมก็เลยลองเดินเข้าไปในห้องนอนเพราะคิดว่าคนเก่งอาจจะอาบน้ำเสร็จออกมาแล้วคงจะขึ้นเตียงแล้วหลับเลย

แต่บนเตียงไม่มีใครอยู่ครับ ผมไปยืนอยู่หน้าห้องน้ำไม่ได้ยินเสียงฝักบัวหรือว่าเสียงน้ำอะไรเลย ผมเอาหูแนบที่ประตูห้องน้ำ เงียบสนิทเลยครับ

"คนเก่ง" ผมเรียกน้องพร้อมกับเคาะประตูไปด้วย

"ครับ" ผมโล่งใจที่ได้ยินเสียงคนเก่งตอบกลับมา

"อาบน้ำเสร็จหรือยัง ทำไมอาบนาน" ผมถามเพราะปกติคนเก่งไม่อาบน้ำนานแบบนี้ ... ถ้าน้องอาบคนเดียวอ่ะนะ

ไม่มีเสียงตอบใดๆจากน้องกลับมา แต่ในตอนที่ผมกำลังจะเคาะประตูเรียกคนเก่งอีกครั้ง ประตูห้องน้ำก็เปิดออก

"อาบเสร็จแล้วครับ"

ตอนนี้คนเก่งอยู่ในชุดเสื้อคลุมอาบน้ำ ผมมองน้องด้วยความแปลกใจ ผมคนเก่งที่ดูเหมือนใกล้จะแห้งแล้วแสดงว่าน้องน่าจะอาบน้ำเสร็จสักพักแล้ว และพอผมมองเลื่อนลงมาที่บริเวณท้ายทอยเรื่อยลงมาจนถึงลำคอของคนเก่ง ผมก็เห็นสิ่งที่มันผิดปกติ

ผมรีบเปิดเสื้อคลุมออกทันที สิ่งที่ผมเห็นคือมีผื่นแดงขึ้นเต็มไปหมดที่บริเวณร่างกายช่วงบนทั้งหน้าอกไล่ลงมาจนถึงหน้าท้อง ผมเดินไปดูที่แผ่นหลังของคนเก่งก็เต็มไปด้วยผื่นแดงไม่ต่างกัน

"คนเก่งเป็นอะไร ทำไมเป็นแบบนี้" ผมถามน้องด้วยความเป็นห่วง

"เป็นผื่น .. แพ้เหงื่อตัวเองครับ" คนเก่งพูดออกมาเสียงไม่ดังมากนัก เจ้าตัวยกมือข้างขวาขึ้นมาเกาแถวๆคอ พอคนเก่งยกแขนขึ้นทำให้ผมได้เห็นว่าที่แขนก็มีผื่นขึ้น

ผมจูงแขนคนเก่งออกมาที่ห้องแต่งตัวและบอกให้น้องแต่งตัว ผมเดินออกมาด้านนอกเพื่อกดโทรศัพท์มือถือหาพี่ชาย เพราะพี่ชายผมมีเพื่อนที่เป็นหมออยู่ที่โรงพยาบาลเอกชนที่อยู่ไม่ไกลแต่ผมไม่รู้ว่าเพื่อนพี่ต่อภพเป็นหมอเฉพาะทางด้านไหน

คนเก่งเดินออกมาในขณะที่ผมกำลังจะวางสายจากพี่ชาย ผมหันไปมองคนเก่งที่ใส่เสื้อกล้ามและกางเกงขาสั้น

"ทำไมแต่งตัวแบบนี้" ผมถามด้วยความไม่พอใจที่เห็นคนเก่งแต่งตัวแบบนี้ออกไปข้างนอก

"เวลาหมอเขาขอดูผื่นจะได้สะดวกครับ" คนเก่งบอกผม ดูแล้วคนเก่งน่าจะเคยเป็นแบบนี้มาก่อนแน่ๆ ผมเดินกลับเข้าไปในห้องนอนและหยิบเสื้อแขนยาวเนื้อผ้าบางๆมาให้คนเก่งสวมทับ

"ตอนหมอตรวจค่อยถอดเสื้อออก" ผมบอก และแย่งกระเป๋าที่อยู่ในมือน้องมาถือไว้เอง


ไม่ถึงสิบห้านาทีผมก็ขับรถพาคนเก่งมาถึงโรงพยาบาล แต่ผมไม่ได้เจอเพื่อนพี่ชายที่เป็นหมอเพราะออกเวรไปแล้ว แต่เพื่อนพี่ชายผมบอกว่าหมอเวรที่อยู่ตอนนี้เป็นหมอเฉพาะทางผิวหนังโดยเฉพาะซึ่งผมค่อยโล่งใจขึ้นมาหน่อย

ผมไปทำประวัติต่างๆให้คนเก่งและนั่งรอไม่นานหมอก็เรียกคนเก่งเข้าห้องตรวจโดยผมเดินเข้าไปพร้อมกับน้อง

คนเก่งยกมือไหว้หมอ หมอรับไหว้และมองมาทางผม

"เติมเต็มใช่มั้ย น้องของไอ้ต่อ" ผมมองหมอ และงงๆนิดหน่อยที่หมอรู้จักพี่ชายผมด้วย สรุปคนไหนเป็นเพื่อนพี่ชายผมกันแน่ แต่ผมไม่ได้ถามออกไป ผมอยากให้หมอดูอาการของแฟนผมมากกว่า

"ใช่ครับ" ผมตอบหมอไปแค่นั้น และหมอก็ไม่ได้พูดอะไรอีก

"ไหนหมอขอดูหน่อยครับว่าผื่นขึ้นตรงไหนบ้าง" พอหมอพูดขึ้นมาคนเก่งก็ถอดเสื้อแขนยาวที่ใส่คลุมอยู่ออก หมอมองดูที่แขนของคนเก่งและจับแขนขึ้นมาดูทีละแขน ก่อนจะมองหน้าคนเก่งและใชัมือจับใบหน้าของคนเก่งให้หันซ้ายขวาไปมา ก่อนจะจับคางของคนเก่งให้เชิดขึ้นเพื่อจะดูบริเวณลำคอ

"คันมากมั้ย"

"ก็พอสมควรครับ"

"เป็นมากี่วันแล้ว"

"เพิ่งเป็นวันนี้ครับ รู้สึกคันตามตัวมาตั้งแต่กลางวันแล้วครับ แต่มาเห็นว่ามีผื่นขึ้นตอนที่อาบน้ำสักพักนี่เองครับ"

"ผื่นน่าจะขึ้นตั้งแต่ที่คนไข้รู้สึกคันแล้วล่ะครับ"

ผมมองคนเก่งที่รู้ว่าน้องคงจะคันมากเพราะน้องพยายามเอามือลูบตามแขนตัวเองไปมา

"หมอขอดูตามตัวหน่อยได้มั้ยครับ"

คนเก่งกำลังทำท่าเหมือนจะถอดเสื้อออก

"เดี๋ยว!" ผมรีบร้องห้ามไว้ เรื่องอะไรผมจะให้แฟนผมมาถอดเสื้อให้คนอื่นดู ถึงจะเป็นหมอก็เถอะ ที่สำคัญไอ้หมอคนนี้ก็ดูหน้าตาไม่น่าไว้ใจ ผมรู้สึกว่าแววตาที่มันมองแฟนผมมันดูกรุ้มกริ่มผิดปกติ

"ผมไม่ให้แฟนผมถอดได้มั้ยครับหมอ ผื่นที่ขึ้นก็เหมือนที่ขึ้นที่แขนครับ ขึ้นทั้งตัว" ผมพูดออกไปตรงๆและเน้นตรงคำว่าแฟน และอธิบายลักษณะของผื่นที่ขึ้นให้ฟัง หมอแค่ยิ้มออกมาก่อนจะบอกว่า

"ไม่ถอดก็ได้ครับ ถ้างั้นหมอขอสอบถามอาการอื่นๆเพิ่มเติมนะ"

หมอใช้เวลาสักถามอาการอยู่สักพักใหญ่ๆ หมอฉีดยาแก้แพ้ให้คนเก่งหนึ่งเข็ม และให้ยาไปทานที่บ้านจำนวนหนึ่ง

สรุปอาการของคนเก่งก็คือน้องมีอาการแพ้เหงื่อของตัวเอง คนเก่งบอกว่าน้องเคยเป็นมาก่อนแล้วแต่ครั้งนี้เหมือนมันขึ้นเยอะมาก มีแค่ที่ใบหน้าของคนเก่งเท่านั้นที่ไม่มีผื่นขึ้น


หลังจากกลับมาถึงคอนโด คนเก่งก็นั่งลงที่โซฟา และผมก็นั่งลงข้างๆพร้อมกับหยิบยามาดูว่าต้องทานเวลาไหนบ้าง

"คนเก่งบอกว่าเคยเป็นมาก่อน สาเหตุของมันคืออะไร .. แพ้เหงื่อตัวเองเหรอ เคยได้ยินแต่ยังไม่เคยเจอคนที่เป็น" ผมถามด้วยความเป็นห่วง ผมไม่รู้ว่ามันร้ายแรงจนถึงขนาดที่เรียกว่าโรคประจำตัวหรือเปล่า เพราะถ้าใช่ผมก็ต้องดูแลน้องให้มากขึ้น เมื่อกี้ตอนที่คุยกับหมอ หมอก็บอกว่าไม่ใช่โรคติดต่อ อาหารก็ทานได้ปกติแต่หลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่น สวมเสื้อผ้าที่ระบายอากาศ อยู่ในสถานที่ที่ไม่ร้อนไม่แออัด

"สาเหตุก็ตามชื่อโรคเลยครับ แพ้เหงื่อตัวเอง ถ้าเหงื่อออกมากแล้วบวกกับอากาศร้อน แล้วถ้าคนเยอะยิ่งเป็นการกระตุ้นอาการแพ้ได้ดีครับ"

ปกติคนเก่งเป็นคนที่เหงื่อน้องออกน้อยมากจนแทบจะไม่มีเลย ถ้าอากาศร้อนอย่างมากก็มีเหงื่อซึมที่ปลายจมูกและที่ไรผมบ้างแค่นั้น วันนี้คนเก่งเจอแดดและอากาศร้อนจัด อยู่กับผมทั้งวัน ผมไม่ได้สังเกตด้วยว่าคนเก่งมีอาการหรืออะไรมั้ย ผมเองก็พลาดที่ไม่คอยดูแลน้องให้ดี

"พี่ถึงบอกไงว่าไม่ต้องไปช่วย แล้วกลับมาป่วยแบบนี้อีก ดีนะไม่มีไข้แต่หมอก็บอกว่าต้องให้สังเกตตัวเองด้วยว่ามีไข้หรือเปล่า" ผมอดที่จะบ่นออกมาไม่ได้

"ไม่กี่วันก็หายแล้วครับ แค่ต้องดูแลตัวเองเพิ่มนิดหน่อย ... อย่าทำหน้าแบบนั้นนะครับ นะ นะ" ก็เล่นมาอ้อนผมแบบนี้ผมจะไปโกรธลงได้ยังไงกันล่ะ

"เข้าไปนอนได้แล้วล่ะ มียาที่ต้องทานก่อนนอนด้วยนะ" ผมบอก คนเก่งก็พยักหน้ารับทราบ ผมให้คนเก่งเดินเข้าไปในห้องนอนก่อน ผมเดินมาหยิบน้ำเปล่าและนมให้คนเก่งด้วยกล่องหนึ่งเพราะปกติคนเก่งจะต้องดื่มก่อนนอน

พอผมเดินเข้ามาในห้องนอน ผมเกือบทำถาดที่ถือมาหล่นเพราะภาพที่ผมเห็นตรงหน้า และคนเก่งก็ตกใจผมเหมือนกัน คนเก่งกำลังถอดเสื้ออยู่ครับ

"พี่เต็ม ... หันไปก่อนครับแป๊บเดียว" คนเก่งบอกผม ผมก็ยอมหันหลังให้น้องแต่โดยดี จนเวลาผ่านไปสักพัก

"เสร็จแล้วครับ" คนเก่งบอกผม พอผมหันกลับไปมองพบว่าคนเก่งนั่งห่มผ้าอยู่บนโซฟาในห้องนอน และแค่มองแว่บเดียวก็รู้เลยว่า น้องกำลังโป๊อยู่

"ใจร้ายนะเนี่ย" ผมอดแซวไม่ได้

"ผมเหรอ .. ใจร้ายเรื่องอะไรครับ"

"ก็เรื่องที่นุั่งไม่ใส่เสื้อผ้าอยู่ในห้องเดียวกันนี่ไง" ผมบอกก่อนจะเดินไปนั่งข้างคนเก่งและยื่นนมกล่องให้

"ถ้าทานนมจะมีผลกับยาหรือเปล่า ... ไม่ต้องดื่มนมหรอก อะ ทานยาเลยดีกว่าจะได้นอน คนเก่งรับยาและน้ำเปล่าที่ผมส่งให้

"ผมนอนตรงนี้นะ" หลังจากที่ทานยาเรียบร้อยคนเก่งก็พูดออกมาแบบนี้

"จะนอนตรงนี้ได้ยังไง นอนบนเตียงนั่นแหละ"

"แต่ผมเป็นผื่นเต็มตัวเลยนะ ดูสิ .. มันน่ารังเกียจจะตาย" คนเก่งยื่นแขนทั้งสองข้างมาให้ผมดู ผมก็เลยดึงผ้าห่มลงมาเพื่อดูตามตัวน้องไปด้วย ผื่นแดงขึ้นเต็มตัวเลยครับ

"แล้วข้างล่างมีผื่นขึ้นมั้ย" ผมถาม

"ขึ้นครับแต่ไม่เยอะ มีตามตัวที่เยอะแล้วก็มีที่หัวด้วยนิดหน่อย" พอได้ยินคนเก่งบอกแบบนั้นผมก็เลยขยับเข้าไปใกล้น้องและใช้มือสางผมน้องดู บริเวณหนังศีรษะมีผื่นขึ้นจริงๆ

"ถ้าเคยเป็นแบบนี้มาก่อนก็ควรจะบอกพี่รู้มั้ย พี่จะได้รู้ว่าเราเป็นอะไร ตอนที่เห็นตัวเราเต็มไปด้วยผื่นพี่ตกใจมาก" ผมบอกและใช้มือจัดทรงผมน้องไปด้วย

"มันเคยเป็นหลายปีแล้วครับ ล่าสุดเป็นช่วงมอสี่ แล้วก็ไม่ได้เป็นอีกเลยเพราะปกติก็ไม่ได้ทำอะไรที่ทำให้เหงื่อออกเยอะๆหรืออยู่กลางแดดนานๆน่ะครับ"

"คนเก่งถึงได้ไม่ชอบเล่นกีฬา?"

"ก็ ... ประมาณนั้นครับ"

"วันนี้ก็เลยแย่" ผมบ่นออกมาอีกเพราะไม่ชอบเลยที่ผิวใสๆแบบคนเก่งต้องมาเป็นแบบนี้

"ก็คิดว่ามันคงไม่เป็นอะไร แต่แค่สองสามวันก็หายแล้วครับ"

"แล้วข้างล่างใส่อะไรมั้ยเนี่ย" ผมถามตรงๆก่อนที่น้องจะส่ายหน้าพร้อมใบหน้าที่แดงจัด

"ก็ ... เวลาเสื้อผ้ามันโดนตัวมันจะคันมากๆเลยครับ .. ถึงได้บอกไงจะนอนที่โซฟา"

"ไปนอนบนเตียงนั่นแหละ เตียงกว้างขนาดนี้ รับรองคืนนี้จะให้นอนสบายๆพี่จะไม่กวนเลย ... ถึงแม้ว่าแฟนจะมานอนแก้ผ้าอยู่ข้างๆก็เถอะ" ผมพูดออกมา

คนเก่งมองผม เม้มปากแน่นและพูดออกมา

"ถ้า .. พี่เต็มไม่รังเกียจที่ผมเป็นแบบนี้ ก็ ... ได้นะครับ"

พอได้ยินแบบนั้นผมก็อดที่จะดึงน้องเข้ามากอดไม่ได้ เพราะคนเก่งเป็นแบบนี้ไง ผมถึงได้รักและหวงน้องมากไป ตามใจผมตลอด

"เรื่องรังเกียจน่ะ ตัดทิ้งไปได้เลย แต่พี่ก็ไม่อยากรังแกคนป่วย พี่ว่ารอคนเก่งหายก่อนดีกว่ามันจะได้เต็มที่ .. ทำรอยตอนนี้ก็เห็นไม่ชัดน่ะสิ" ผมบอกออกไปและตามด้วยหน้ามุ่ยๆของคนเก่ง ผมยิ้มขำก่อนที่จะบอกให้น้องขึ้นไปนอนบนเตียง ผมเดินไปเปิดไฟที่หน้าห้องน้ำที่เป็นทางเดินไปห้องแต่งตัวเอาไว้ ก่อนจะเดินไปปิดไฟดวงใหญ่ที่อยู่กลางห้อง

ผมลงไปนอนและห่มผ้าผืนเดียวกับน้อง คนเก่งดูตกใจตอนที่ตัวของผมไปสัมผัสโดนตัวของน้องที่ปราศจากเสื้อผ้า

"ไหนบอกจะให้นอนสบายๆไงครับ"

"ไม่ได้ทำอะไรเลยครับ แค่ขอนอนใกล้ๆแค่นั้นเอง" ผมพูดพร้อมกับหัวเราะขำคนเก่ง

ผมนอนตะแคงหันหน้าไปหาคนเก่งที่ตอนนี้น้องนอนหงายอยู่ ผมกอดไปที่เอวของน้องหลวมๆ

"พี่ขอถามอะไรหน่อยนะ" ผมเกริ่นขึ้นมาเพราะเห็นว่าน้องยังไม่หลับและเป็นเรื่องที่ผมอยากรู้มาสักพักแล้ว

"ครับ" คนเก่งตอบรับ และเปลี่ยนจากนอนหงายมานอนตะแคงและหันหน้ามามองผม

"เวลาที่พี่มีอะไรด้วย ทำไมถึงได้ไม่เคยปฏิเสธพี่เลย ไม่ว่าพี่จะขอต่ออีกกี่ครั้งคนเก่งก็ตามใจพี่เสมอ ถึงพี่ไม่รู้ว่ามันเจ็บมากแค่ไหน แต่พี่ก็รู้ว่ามันต้องเจ็บมาก แค่เดินลำบากพี่ก็รู้ว่ามันทรมาน"

ผมมีคำถามคำพูดอีกหลายอย่างนะที่อยากพูดแต่พอเห็นสายตาของคนเก่งที่มองมา มันก็ทำให้พูดไม่ออก สายตาที่มองผมเต็มไปด้วยความรัก

"คำตอบง่ายมากเลยครับ ก็เพราะผมรักพี่เต็มไงครับ มัน ... เจ็บมากก็จริง แต่เวลาที่ผมเห็นพี่เต็มมีความสุข ผมก็รู้สึกเจ็บน้อยลง หัวใจมันพองโตขึ้น ตอนที่เห็นว่าพี่เต็มมีความสุขมากแค่ไหน"

ผมรู้สึกเขินกับคำพูดของคนเก่งมากครับ เพราะคำที่น้องพูดว่า ... เห็นผมมีความสุข ... มันหมายถึงช่วงเวลาที่เรามีอะไรกัน ไม่รู้ว่าตอนนั้นหน้าของตัวเองเป็นยังไง มันเลยอดเขินไม่ได้

ผมดึงน้องมาซุกที่บริเวณหน้าอกและกอดน้องไว้แบบนั้น ผมก็นึกอีกหนึ่งคำถามขึ้นมาได้

"มีอีกเรื่องที่พี่แปลกใจ ทำไมตอนที่เรามีอะไรกันคนเก่งไม่มีผื่นขึ้นทั้งๆที่เหงื่อก็ออก ถึงจะไม่ออกมาก อืม .. แต่เรื่องนี้พี่คิดว่าพี่หาคำตอบให้ตัวเองได้นะ อาจจะเป็นเพราะทุกครั้งที่เราทำ เราอยู่ในห้องแอร์ เปิดแอร์ตลอดทำให้คนเก่งไม่เป็นอะไร คนเก่งว่าใช่มั้ย"

ผมถามแต่ไม่มีเสียงตอบใดๆกลับมา พอก้มลงมองก็พบว่าคนเก่งหลับไปแล้ว ผมก้มลงไปหอมที่หัวคนเก่งย้ำๆสองสามครั้ง ก่อนจะขยับตัวไปหยิบมือถือของตัวเองและเปิดไฟที่หัวเตียงฝั่งที่คนเก่งนอน มันจะได้สว่างขึ้นพอที่จะถ่ายรูปได้

ผมห่มผ้าให้คนเก่งทั้งตัวจนถึงที่คอเพราะไม่อยากให้ใครเห็นแขนของน้อง คนเก่งยังนอนซุกที่บริเวณหน้าอกของผมอยู่ ผมปรับกล้องให้เป็นกล้องหน้าก่อนจะตั้งเวลา เอาสักสามวินาทีก็พอ ผมกดถ่ายก่อนที่ตัวเองจะจูบลงไปที่หน้าผากคนเก่ง และหอมที่หัวของน้อง ผมถ่ายแบบนั้นอยู่ไม่ต่ำกว่าสิบรูป พอถ่ายเรียบร้อยก็มานั่งเลือกรูป เลือกมาได้สองรูปครับ รูปที่จูบหน้าผากผมโพสต์ลงที่เฟซบุ๊ก ส่วนรูปที่หอมหัวโพสต์ลงที่อินสตาแกรม โดยใช้แคปชั่นเดียวกัน


Teimtem Paisanworrakit อยู่กับ Konkengg Peimthaworn

    วันนี้เดินทั้งวัน กลับมาป่วยเลย หายไวไวนะครับ



หลังจากโพสต์รูปเสร็จผมก็เดินไปเข้าห้องน้ำอีกรอบ ตอนที่เดินกลับมาบนเตียงเห็นแสงจากมือถือของคนเก่งสว่างขึ้น ผมก็เลยเดินไปหยิบมาดู


kawee : เป็นห่วง


เป็นข้อความทางไลน์ของไอ้กวีครับ สำหรับผมไอ้กวีมันเหมือนยุงที่น่ารำคาญตัวหนึ่งครับ มันจะชอบมาบินวนเวียนอยู่ใกล้ให้เราหงุดหงิดรำคาญ แต่มันก็ไม่ทำอันตรายเราจนเราต้องตีมัน จะกัดก็ไม่กัดได้แต่บินวนเวียนไปมาให้ได้ยินเสียงอยู่ข้างหู

ตั้งแต่เหตุการณ์วันนั้นที่เจอไอ้กวีที่หน้าโรงหนังครั้งแรก ผมก็มีโอกาสได้เจอมันอีกครั้งวันที่แม่ของคนเก่งออกจากโรงพยาบาล ไอ้กวีมันมาพร้อมพ่อที่เป็นคู่กรณีขับรถชนแม่และป้าของคนเก่ง สายตาที่มันมองคนเก่งมีสายตาชื่นชอบอย่างชัดเจนแต่มันก็ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น มันไลน์มาหาคนเก่งบ้าง ส่วนใหญ่จะคุยเรื่องของมันมากกว่า มีครั้งหนึ่งที่มันบอกคนเก่งว่า

... ถ้าเลิกกับผมเมื่อไหร่ให้นึกถึงมันคนแรก ...

คนเก่งก็ตอบกลับไปว่า ...

... ถัาเลิกกับผมจะโสดตลอดชีวิต ...

ตอนที่เห็นข้อความนั้นของคนเก่งผมก็เลยพูดกับน้องว่า .. ใครจะปล่อยให้โสดตลอดชีวิต ไม่มีทางเลิกหรอกบอกมันด้วย

คนเก่งไม่ได้ตอบไอ้กวีตามที่ผมพูดหรอกครับ น้องแค่กอดผมและหัวเราะผมเบาๆแค่นั้น

คือบางทีผมก็อยากให้ไอ้กวีมันมาพูดกับผมชัดๆไปเลยว่ามันชอบคนเก่ง เพราะผมจะได้หาเรื่องชกหน้ามันได้ มันทำตัวเป็นยุงแบบนี้ ถ้าผมหาเรื่องมันก่อนผมก็จะกลายเป็นเลวทันที

ผมไม่อยากเป็นคนที่ดูโหดร้ายหรือชอบลงไม้ลงมือในสายตาของคนเก่ง เอาเป็นว่าถ้ามันยังเป็นแบบนี้อยู่ผมก็จะอยู่เฉยๆเพราะถือว่ามันยังไม่ได้ล้ำเส้นมาก และมันก็ยังไม่ได้ใช้คำพูดอะไรที่ล่วงเกินแฟนผมมากเกิน ผมก็จะปล่อยมันไป

แต่ในใจโคตรจะหงุดหงิดเลย!!





TBC.
#เติมเต็มรัก
ninewara✿

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ ninewara

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
✿ เติมเต็มรัก ✿ ครั้งที่ 34




วันต่อมา
ผมตื่นมาตอนเกือบสิบโมง ตอนที่ผมลืมตาตื่นขึ้นมายังรู้สึกงงอยู่ว่าทำไมตัวเองนอนไม่ใส่เสื้อผ้า พอนึกถึงสาเหตุได้ก็เลยรีบสำรวจตามเนื้อตัว พบว่าผื่นเริ่มลดลงไปเยอะแล้วครับแม้ว่าจะยังไม่หายไปทั้งหมด ผมมองไปทั่วห้องพี่เติมเต็มไม่ได้อยู่ในห้องนอน ผมก็เลยรีบลุกและรีบวิ่งไปเข้าห้องน้ำเพื่ออาบน้ำก่อน ปกติถ้าตื่นแล้วผมจะเก็บที่นอนพับผ้าห่มจัดเตียงให้เรียบร้อยแต่เพราะกลัวพี่เติมเต็มจะเข้ามาตอนที่กำลังจัดเก็บที่นอนอยู่ผมก็เลยเปลี่ยนใจของอาบน้ำก่อนดีกว่า (เพราะผมโป๊อยู่)


หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ พี่เติมเต็มก็ยังไม่ได้เข้ามาในห้องนอนครับ ผมก็เลยจัดการกับเตียงนอนให้เรียบร้อย เปิดผ้าม่านในห้องออกจนหมดเพื่อให้แสงแดดส่องเข้ามาถึงในห้องนอน ผมหอบผ้าห่มออกมาเพราะจะเอาไปผึ่งที่ราวตากผ้าห่มที่อยู่ตรงระเบียงที่ห้องซักรีด


พอเดินออกมาจากห้องนอน ผมก็ต้องแปลกใจเพราะพี่เติมเต็มไม่ได้อยู่คนเดียวแต่มีพี่ธาวินและเพื่อนสนิทผมคือฟูจินั่งอยู่ด้วย

"ตื่นเร็วจัง พี่ตั้งใจว่าจะเข้าไปปลุกสักสิบเอ็ดโมง" พี่เติมเต็มบอกและเดินมารับผ้าห่มไปจากผมที่ยืนทำหน้างงอยู่

"ผมจะเอาไปผึ่งแดดครับ" ผมบอกพี่เติมเต็ม

"เดี๋ยวพี่เอาไปทำให้ คนเก่งนั่งคุยกับเพื่อนเถอะ" พี่เติมเต็มบอกผมก่อนที่จะเดินไปทางห้องครัว

"สวัสดีครับพี่วิน" ผมยกมือไหว้พี่ธาวิน และนั่งลงตรงโซฟาที่พี่เติมเต็มเพิ่งลุกออกไป

"เป็นไงเรา ตัวแดงเลย" พี่ธาวินมองมาที่แขนและขาของผม ผมใส่เสื้อกล้ามและกางเกงขาสั้นเพราะไม่คิดว่าจะมีใครมาหา ไม่รู้จะโดนพี่เติมเต็มดุมั้ยแต่คิดว่าน่าจะไม่โดนนะครับ เพราะเมื่อกี้พี่เติมเต็มแค่มองเท่านั้น

"เมื่อคืนตอนกูกลับไป กูยังคิดเลยว่าอาการมึงจะกำเริบหรือเปล่า" ฟูจิเป็นคนพูดครับ เพราะฟูจิเคยเห็นผมมีอาการแพ้เหงื่อตัวเองแบบนี้มาสองสามครั้ง ตอนที่เรียนวิชาพลศึกษา จนตอนหลังมาอาจารย์วิชาพลศึกษาต้องให้ผมทำงานส่งเพิ่มเติมแทน ที่จริงผมก็พอจะเล่นกีฬาหรือออกกำลังกายได้นะครับ แต่แค่อย่าปล่อยให้เหงื่อออกนานต้องรีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าทันทีผื่นก็จะไม่ขึ้นครับ

"กูก็ไม่คิดว่าจะเป็นเพราะมันนานแล้วไง อีกอย่างกูไม่ได้เล่นกีฬามันแค่เดินแค่ยืนเอง" ผมพูด

"แต่มันหลายชั่วโมงไงมึง อยู่กลางแดดอย่างน้อยสี่ห้าชั่วโมง" ก็จริงอย่างที่ฟูจิมันพูดครับ

"แล้วที่มึงปวดขาเป็นไงบ้าง" เมื่อคืนพี่ธาวินขอตัวพาฟูจิกลับไปก่อนครับเพราะฟูจิมันเริ่มเดินกะเผลกตอนขากลับมามหาวิทยาลัย

"หายแล้ว พี่วินพาไปโรงพยาบาลมาเมื่อคืน อายเขาจะแย่ เป็นแค่นี้ถึงขั้นพาไปโรงพยาบาล" ฟูจิบ่นพร้ อมกับมองไปที่พี่ธาวินไปด้วย

"ก็คนเป็นห่วงนี่หว่า ปกติก็แข็งแรงดี แล้วอยู่ๆก็ปวดขาขึ้นมา ใครจะไม่เป็นห่วง" พี่ธาวินผลักหัวของฟูจิเบาๆอย่างหยอกล้อ ฟูจิทำหน้างอกลับไปเล็กน้อยแต่ริมฝีปากก็มีรอยยิ้มออกมา

"ว่าแต่รู้ได้ไงว่ากูไม่สบาย" ผมถามฟูจิเพราะเมื่อคืนนอกจากพี่เติมเต็มแล้ว ผมก็ยังไม่ได้คุยได้บอกใครเลย

"ไอ้นู่นไง" พี่ธาวินพูดพร้อมกับส่งสายตาไปทางด้านหลังผม พี่เติมเต็มเดินมาพอดีครับ

"คนเก่ง อยากทานอะไร พี่ดูในตู้เย็นแล้วของสดเยอะเลย .... มีอะไรหรือเปล่า" พี่เติมเต็มพูดพร้อมกับที่เดินมานั่งข้างผม ก่อนจะถามด้วยความสงสัยเพราะทุกคนหันไปมองพี่เติมเต็มกันหมด

"เปล่าครับ แล้วพูดถึงกับข้าวพี่เต็มอยากทานอะไร บอกมาได้เลยครับ เดี๋ยวผมทำให้" ผมบอก

"เดี๋ยวพี่จะเป็นคนทำเอง ... ถ้าถามคนเก่งสงสัยจะไม่ได้คำตอบ ถ้างั้นเดี๋ยวพี่นึกเมนูเองดีกว่า .... แล้วมึงจะอยู่ทานด้วยกันมั้ย" พี่เติมเต็มพูดกับผมก่อนที่ประโยคหลังจะพูดกับพี่ธาวิน พี่ธาวินหันไปมองหน้าฟูจิ แล้วเหมือนใช้สายตาคุยกันแค่ไม่นานพี่ธาวินก็บอกว่าจะอยู่ทานด้วย

"อยู่สิ ตั้งใจจะมาทานด้วยอยู่แล้ว งั้นเดี๋ยวกูไปช่วยมึงดีกว่า เผื่อเพื่อนเขามีอะไรจะคุยกัน" พี่ธาวินพูดก่อนจะลุกเดินตามพี่เติมเต็มไป พอทั้งสองคนเดินเข้าไปในครัว ผมก็ย้ายมานั่งข้างฟูจิเพราะประโยคสุดท้ายที่พี่ธาวินพูดเหมือนเป็นการสื่อว่าฟูจิมีเรื่องที่อยากคุยกับผม


"มีเรื่องอะไร" ผมถามทันทีที่นั่งลง

"กูมีเรื่องที่ลังเลใจ ตัดสินใจไม่ได้ กูก็เลยอยากคุยกับมึง เพราะมึงกับกูสถานะก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่" ฟูจิเปิดประเด็นมาด้วยน้ำเสียงที่ดูไม่ค่อยมั่นใจจริงๆ

"ลังเลใจเรื่องอะไรว่ะ แล้วที่บอกกูสถานะไม่ต่างจากมึงคืออะไร" ผมถามด้วยความสงสัย

"อีกไม่เกินสองเดือนพวกเราก็ต้องย้ายออกไปอยู่หอนอกไงล่ะ"

"อ๋อ เรื่องนี้นี่เอง แล้วยังไงว่ะ"

"ของมึง ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าพี่เต็มชวนมึงมาอยู่ด้วยที่นี่ใช่มั้ย"

ผมพยักหน้ารับ ทุกวันนี้ก็แทบจะเรียกว่ามาอยู่แล้วได้เลยแหละ

"ของกูก็ไม่ต่างกัน พี่วินก็ชวนกู"

"แล้วที่มึงบอกลังเลใจคืออะไร" ตอนแรกผมเข้าใจว่าพี่ธาวินไม่ชวนหรือไม่ยอมให้ไปอยู่ที่คอนโดด้วยซะอีก

ฟูจิมันถอนหายใจออกมายาวๆก่อนที่จะพูดออกมา

"กูลังเลใจว่า ถ้าไปอยู่ด้วยกันจริงๆมันจะดีมั้ยน่ะสิ"

"ทำไมคิดแบบนั้น"

"กูเคยได้ยินว่า เวลาที่เรามีแฟน โลกมันจะต้องแบ่งเป็นสามโลกเว้ย คือโลกของเรา โลกของเขา และโลกของแฟน อะไรประมาณนี้แหละกูก็จำไม่ค่อยได้ เขาบอกถ้าเป็นแบบนี้ความรักมันก็จะตลอดรอดฝั่ง แต่กูว่าถ้าไปอยู่ด้วยกันโลกของเรากับเขามันก็หายไปจะมีแค่โลกของแฟน แรกๆมันก็ดีแต่พอเวลาผ่านไปความเบื่อความเคยชินมันก็จะเกิดขึ้น อีกอย่างที่กูเคยอ่านเจอคือเราควรจะมีพื้นที่ส่วนตัวให้เราและให้เขาบ้าง กูก็เลยมาคิดอีกว่าถ้ากูมีห้องของตัวเอง ถ้าวันไหนที่กูกับพี่มันทะเลาะกัน กูก็ยังมีที่หลบภัย ..... "

"เดี๋ยวนะ ... " ผมพูดขัดขึ้นมาก่อนที่ฟูจิจะพูดจบ

" ......... "

"ที่มึงกำลังเครียดอยู่ก็เพราะมึงไปอ่านบทความ อ่านหนังสือมาเนี่ยนะ" ผมถาม

"อืม"

"มึงเคยบอกว่ากูเป็นคนคิดมาก และกูก็รู้ตัวว่าเป็นคนคิดมากจริงๆ แต่เรื่องนี้สำหรับกู กูคิดน้อยมากเลยนะฟูจิ ... แทบจะไม่คิดเลยดีกว่า แต่มึงกลับมาเป็นคนคิดมากซะเอง" ผมบอก

"แล้วทำไมมึงไม่คิดว่ะ" มันถาม

"แล้วทำไมมึงถึงคิด" และผมก็ถามมันกลับไปทันที

"เอาตรงๆคือกูกลัวพี่วินเบื่อกูว่ะ กูไม่ได้ทำกับข้าวเก่ง ดูแลงานบ้านได้ดีเหมือนมึงนะ ไม่ได้อ่อนโยนเท่ามึงด้วย ถ้ามาอยู่ด้วยกันทุกวันกูกลัวพี่มันเห็นมุมที่แย่มุมที่ไม่ดีของกูแล้วพี่มันจะเบื่อ ... และสุดท้ายกูก็ต้องเสียพี่มันไป"

พอได้ฟังฟูจิพูดผมก็เข้าใจสิ่งที่ฟูจิกังวลได้ทันที เพราะผมก็เคยรู้สึกแบบนั้นเหมือนกันแต่เป็นแค่ช่วงระยะเวลาแค่ไม่นาน

"กูก็เคยรู้สึกเหมือนมึงนะฟูจิ แต่กูกลัวไม่ได้อยู่กับพี่เต็มมากกว่า กูอยากตื่นมาแล้วเจอพี่เขาทุกวัน อยากให้พี่เขานอนข้างๆกู มันรู้สึกอบอุ่นมากๆเวลาที่เรารู้สึกว่ามีเขานอนอยู่ข้างๆเราแม้ว่าเราในบางคืนเราจะไม่ได้นอนกอดกันก็ตาม มันไม่ใช่แค่อุ่นกายแต่มันอุ่นใจ เมื่อมาคิดดูแล้วกูก็เลยขอเลือกปัจจุบันดีกว่าเพราะอนาคตกูมองไม่เห็นและมันยังไม่เกิด แต่เพราะปัจจุบันมันจะส่งผลไปถึงอนาคตเพราะฉะนั้นก็แค่ทำปัจจุบันให้มันดีที่สุดก็พอ ส่วนที่มึงกังวลเรื่องที่ว่ามึงทำกับข้าวไม่เก่งหรืออะไรก็ตามที่มึงกังวล กูว่าที่พี่วินเขารักมึงมันคงไม่เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้หรอก แต่กูก็ตอบแทนพี่วินไม่ได้ว่าทำไม มึงต้องคุยกับพี่วินเอง แต่กูว่าพี่เขาไม่เบื่อมึงแค่เพราะมึงทำกับข้าวไม่เก่งหรอก แต่ถ้ามึงทำการบ้านไม่เก่งพี่เขาอาจจะเบื่อมึงก็ได้" ผมพูดประโยคสุดท้ายและหัวเราะออกมา

"ไอ้คนเก่ง!!" ฟูจิมันร้องเรียกชื่อผมเสียงดังก่อนที่จะเอาหมอนใบเล็กๆที่อยู่บนโซฟามาตีผมไม่ยั้งเลยครับ

"หยุดๆ ทะเลาะอะไรกัน" พี่เติมเต็มวิ่งเข้ามาแล้วดึงผมให้ลุกออกมาจากโซฟา ส่วนพี่ธาวินก็ไปกอดฟูจิเอาไว้

"ฟูจิ ทำเพื่อนทำไม" พี่ธาวินถามฟูจิเสียงเครียดเลยครับ

"ไม่มีอะไรครับ เราแค่เล่นกัน ... พี่เต็มครับ ไม่มีอะไรครับเราไม่ได้ทะเลาะกัน" ผมรีบบอกเพราะเห็นสีหน้าพี่เติมเต็มแล้วเหมือนพี่เขาจะต่อยฟูจิเลย

ผมกับฟูจิมองหน้ากันก่อนที่เราสองคนจะหัวเราะออกมา

"เพราะมึงเลย ถ้าเมื่อกี้กูโดนพี่เต็มต่อยนะ เป็นความผิดของมึง" ฟูจิพูดหลังจากที่เราหยุดหัวเราะกัน

"กูไม่ขอโทษเพราะเรื่องที่กูพูดมันเรื่องจริง" ผมพูดก่อนที่จะบอกให้พี่เติมเต็มกับพี่ธาวินกลับเข้าไปในครัว ทั้งสองคนยังยืนลังเลอยู่แต่พอเห็นว่าพวกเราไม่ได้ทะเลาะกันจริงๆก็เลยเดินไป

"มึงนะ ... พูดมาซะยาวจนกูเคลิ้ม สุดท้ายมาหักมุม" ฟูจิพูดออกมาเบาๆ ผมหัวเราะฟูจิออกมาอีก

"แล้วการบงการบ้านอะไรของมึง รู้สึกจะรู้ดีเหลือเกินเรื่องพวกนี้น่ะ" ฟูจิมันพูดพร้อมกับหน้าที่แดงมากขึ้น

พอนึกถึงสิ่งที่ตัวเองพูดไปมันก็อดที่รู้สึกเขินขึ้นมาไม่ได้เหมือนกัน แต่ตอนนั้นแค่อยากให้ฟูจิมันอารมณ์ดีขึ้นและเลิกเครียด

"กูแค่อยากให้มึงอารมณ์ดีขึ้นและไม่อยากให้เครียด แต่เรื่องนั้นมันก็สำคัญจริงๆนะมึง โดยเฉพาะพี่วินเมื่อก่อนเป็นเสือผู้หญิงขนาดไหนเราก็พอรู้ๆกันอยู่ แต่พี่เต็มเคยบอกกูว่าเรื่องเซ็กส์มันก็แค่ส่วนหนึ่งแต่ไม่ใช่ทั้งหมดที่ทำให้เรารัก"

ที่ผมพูดแบบนี้เพราะผมเคยดูรายการสัมภาษณ์รายการหนึ่งรายการหนึ่งพร้อมกับพี่เติมเต็ม มีผู้หญิงคนหนึ่งเคยให้สัมภาษณ์ในรายการว่าเธอเป็นคนที่มั่นใจในเรื่องบนเตียงมากๆว่าผู้ชายทุกคนต้องหลงเธอ รวมทั้งความคิดที่ว่าเรื่องบนเตียงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้รักยืนยาว เธอบอกว่าผู้ชายทุกคนหลงใหลเธอแต่ก็แค่เรื่องบนเตียงจริงๆ ไม่มีใครรักเธอทั้งๆที่เธอก็หน้าตาสวยและพร้อมทุกด้าน วันนั้นผมก็เลยถามพี่เติมเต็มถึงเรื่องนี้ พี่เติมเต็มก็บอกว่าเรื่องเซ็กส์ไม่ใช่ทั้งหมดแต่ส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่สำหรับผมผมก็ยังมองว่าเรื่องเซ็กส์สำคัญนะครับ เพราะทั้งผมและพี่เติมเต็มเป็นผู้ชายทั้งคู่มันต้องมีความรู้สึกอยู่แล้ว ผมรู้ว่าพี่เติมเต็มไม่นอกใจนอกกายผมหรอกแต่ผมก็ไม่อยากให้แฟนผมรู้สึกขาด ... ไม่งั้นจะมีแฟนทำไมล่ะครับ

หลังจากนั้นไม่นานพี่เติมเต็มก็เดินมาเรียกผมไปทานมื้อแรกของวันสำหรับผม ผมก็เลยถามพี่เติมเต็มไปว่าเมื่อเช้าได้ทานอะไรหรือยัง พี่เติมเต็มบอกว่าดื่มแค่นมกล่องไปแค่นั้น พี่เติมเต็มกับพี่ธาวินทำเมนูง่ายๆอย่างสปาเก็ตตี้ และมีผัดบล็อกโคลี่มาด้วยหนึ่งจาน เพราะผมชอบทานครับ

"เอาไว้ตอนเย็นพี่จะพาไปทานอะไรอร่อยๆกว่านี้นะ" พี่เติมเต็มเอามือมาลูบหัวผมและพูดออกมา ผมตักสปาเก็ตตี้ทานไปหนึ่งคำพร้อมกับผัดบล็อกโคลี่

"ไม่ต้องถึงตอนเย็น ตอนนี้ก็อร่อยครับ" ผมไม่ได้พูดเอาใจนะครับแต่ว่ามันอร่อยถูกปากผมจริงๆ

หลังจากที่เราสี่คนนั่งทานมื้อกลางวันกันไป พี่เติมเต็มกับพี่ธาวินพูดเรื่องออกค่ายกันไปด้วย เห็นว่าพี่เติมเต็มกับพี่ธาวินอาจจะขอไม่เดินทางไปด้วย เพราะต้องเดินทางอีกสองสามวันข้างหน้า แล้วผมก็ยังไม่หายจากผื่น ซึ่งผมก็พูดแย้งไปว่าไม่ต้องเป็นห่วงผม อยากให้พวกพี่ๆไปเพราะเดี๋ยวคนอื่นจะมองว่าผมเป็นภาระเป็นตัวปัญหา พี่เติมเต็มบอกว่าไม่มีปัญหาอะไรหรอกถ้าไม่ไปแต่เดี๋ยวค่อยคุยกันอีกที


"คุยกับคนเก่งแล้วใช่มั้ย" พี่ธาวินหันมาถามฟูจิที่นั่งทานสปาเก็ตตี้อยู่ข้างๆ ผมมองพี่เติมเต็มสีหน้าดูไม่แปลกใจแสดงว่าต้องรู้แล้วว่าฟูจิคุยกับผมเรื่องอะไร

"คุยแล้ว" ฟูจิตอบพี่ธาวิน

"สรุปว่า?" พี่ธาวินถามฟูจิทันที พร้อมกับสายตาที่รู้เลยว่าลุ้นมาก แต่ก่อนที่ฟูจิจะตอบออกมา ผมก็ชิงพูดขึ้นมาซะก่อน

"ผมกับฟูจิคุยกันว่า เราจะย้ายหอไปอยู่ด้วยกันแค่สองคนครับ"

เกิดสภาวะเดธแอร์และผมได้ยินเสียงส้อมหล่นบนจานของใครสักคนหนึ่ง

"เดี๋ยวๆๆๆ" พี่เติมเต็มพูดขึ้นมาคนแรก ส่วนพี่ธาวินมองหน้าฟูจิเหมือนต้องการคำอธิบาย ฟูจิได้แต่ส่ายหน้าไปมา และมองผมอย่างไม่เข้าใจ

"เราสองคนคิดว่าถ้าเราสองคนมีที่อยู่ของเราเอง ถ้าเกิดวันไหนที่ทะเลาะกันกับพวกพี่ หรือเลิกกันพวกเราก็จะยังมีที่อยู่ ไม่ต้องลำบากในการหาห้องแบบกะทันหัน" ผมพูดต่อ

"พี่ไม่ยอม!!"

"เฮ้ย!!"

"กูจะอยู่กับพี่วิน!!"

ทั้งสามเสียงพูดขึ้นมาเกือบจะพร้อมกัน ผมยิ้มขึ้นมาทันทีที่ได้ยินเสียงของเพื่อนรัก

"โอเค งั้นมึงก็น่าจะตัดสินใจได้แล้วว่าจะย้ายของไปคอนโดพี่วินวันไหนดี"

ทุกคนดูจะงงกับการกระทำของผม

"ยังไงๆ" พี่เติมเต็มลูบหัวผมเบาๆก่อนจะขยี้ผมให้แรงขึ้น

"ผมแค่แกล้งฟูจิเท่านั้นเอง อยากให้มันพูดให้ตรงกับใจ" ผมบอก

"ไอ้คนเก่ง วันนี้มึงหลายรอบแล้วนะ" ฟูจิมันว่าผมออกมาเบาๆ

"ตอนแรกกูคิดว่ามึงมีแฟนน่ารักใสๆอ่อนต่อโลกนะเนี่ย ที่แท้ร้ายว่ะ" พี่ธาวินพูดแซวผมขึ้นมา

"โห พี่วิน ผมช่วยพี่แท้ๆนะ" ผมโวยนิดๆ

"คร้าบบบ ขอบคุณมากนะคนเก่ง ถ้าไม่ใช่เมียเพื่อนนะจะกอดแล้วเนี่ย"

"พอได้แล้วมึง แล้วเลิกมองเมียกูซะที ถ้าไม่จำเป็นกูไม่ยอมให้แต่งตัวแบบนี้หรอกนะ"

ผมรู้สึกเขินที่ถูกเรียกว่าเมีย พี่เติมเต็มไม่ค่อยเรียกผมแบบนี้หรอกครับ นอกว่าเวลาอยู่กับเพื่อนแล้วเพื่อนแซวมา พี่เติมเต็มก็เล่นกลับไป


(มีต่อนะคะ)

ออฟไลน์ ninewara

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
(ต่อค่ะ)


หลังจากทานมื้อกลางวันเรียบร้อย พี่เติมเต็มเอายาหลังอาหารมาให้ผมทาน พี่ธาวินกับฟูจิอยู่คุยด้วยอีกเล็กน้อยแล้วก็กลับไป ผมลืมถามเลยว่าสรุปรู้ได้ยังไงว่าผมไม่สบาย ไลน์ไปถามฟูจิดีกว่า

"พี่เต็มครับ เห็นมือถือผมมั้ย" ผมมองหาโทรศัพท์มือถือของตัวเองไม่เจอ เลยคิดว่าพี่เติมเต็มน่าจะเก็บไว้ให้ผมตั้งแต่เมื่อคืนที่ไปโรงพยาบาล

"เดี๋ยวพี่ดูให้" พี่เติมเต็มบอกก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้องนอน สักพักพี่เติมเต็มก็เดินออกมาพร้อมชูมือถือของผมให้ดู

"แบตหมด เดี๋ยวพี่ชาร์จให้ อะ เอามือถือของพี่ไปเล่นก่อน" พี่เติมเต็มบอกพร้อมกับยื่นมือถือของตัวเองมาให้ผม ส่วนมือถือของผมพี่เติมเต็มเอาไปชาร์จแบตให้

ผมรับมือถือของพี่เติมเต็มมา ก่อนจะกดรหัสปลดล็อคหน้าจอ พี่เติมเต็มบอกรหัสทุกๆอย่างของพี่เติมเต็มให้ผมทราบ แต่ผมก็ไม่เคยละลาบละล้วงยุ่งวุ่นวายอะไรกับมือถือของพี่เติมเต็มเลยครับ ผมกำลังคิดที่จะล็อคอินเฟซบุ๊กของตัวเองผ่านเบราว์เซอร์เพราะถ้าเข้าผ่านแอพฯของเฟซบุ๊กก็ต้องล็อคเอ้าท์ของพี่เติมเต็ม แต่ในระหว่างที่ผมกำลังจะล็อคอินเข้าเฟซบุ๊กของตัวเอง มันมีข้อความแชทที่เข้ามาทางเฟซบุ๊กของพี่เติมเต็มที่แจ้งเตือนขึ้นมา

"พี่เต็มครับ พี่ธรณ์ทักแชทในเฟซมาครับ" ผมบอกพี่เติมเต็มที่กำลังนั่งดูหนังอยู่ข้างๆ

"มันว่าไง" พี่เติมเต็มถามแต่ไม่ได้ขอดูมือถือ

"แชทมันเด้งเตือนมาแค่ว่า ... ตอบๆๆ" ผมบอกตามที่เห็น

"กดเข้าไปอ่านเลยครับ" พี่เติมเต็มบอกผมแบบนั้น ก่อนที่จะเปลี่ยนจากนั่งดูสบายๆ มาเป็นนอนบนตักผมแทน พี่เติมเต็มขยับตัวอยู่สักพัก

"หนักมั้ย" พี่เติมเต็มถามผม ผมสบตากับพี่เขาที่นอนมองผมอยู่

"ไม่หนักครับ แต่กลัวพี่เต็มนอนไม่สบาย"

"สบาย ... แล้วไอ้ธรณ์มันว่าไง" พี่เติมเต็มถาม ผมก็เลยรีบกดเข้าไปอ่านที่แชทของพี่ธรณ์

"พี่ธรณ์บอกว่า หัดอ่านไลน์บ้างนะมึง ...  ให้เวลาดูแล ... เมีย แค่วันนี้เท่านั้น พรุ่งนี้ต้องมาสรุปเรื่องออกค่าย ... มีแค่นี้ครับ" ผมอ่านตามที่พี่ธรณ์ส่งข้อความมา อยู่กับเพื่อนคงจะเรียกแทนตัวผมว่าเมียกันจนติดปากสินะ

"พิมพ์ตอบมันไปเลยว่า ดูแลเมียอยู่ไม่มีเวลาอ่านไลน์อ่านแชทหรอก"

"ใครจะไปพิมพ์แบบนั้นล่ะครับ" ผมบอกพี่เติมเต็มก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ผมไม่รู้ว่าปกติพวกพี่เขาเวลาคุยกันมีแบบที่อ่านแล้วไม่ตอบมั้ย แต่ผมว่ามันดูยังไงก็ไม่รู้ครับ อย่างน้อยเราก็ควรจะตอบ

"คนเก่งนะครับพี่ธรณ์ พอดีพี่เต็มให้ผมตอบแทนน่ะครับ พี่เต็มรับทราบเรื่องวันพรุ่งนี้แล้วครับ"

ผมพิมพ์ตอบพี่ธรณ์ไปแบบนั้น ไม่นานพี่ธรณ์ก็พิมพ์กลับมาสอบถามเรื่องอาการป่วย ผมก็เลยถามในเรื่องที่ผมสงสัยว่าทุกคนรู้กันได้ยังไง พอพี่ธรณ์บอก ผมยอมเสียมารยาทรีบกดดูที่หน้าไทม์ไลน์ของเฟซบุ๊กพี่เติมเต็มเลยครับ


ผมรู้สึกหน้ามันร้อนผ่าวขึ้นมาทันทีที่เห็นรูปที่พี่เติมเต็มโพสต์เมื่อคืน เป็นรูปที่ผมนอนหลับแล้วหน้าซุกอยู่ที่หน้าอกของพี่เติมเต็ม และพี่เติมเต็มก็จูบที่หน้าผากของผม พี่เติมเต็มไม่ได้มองที่กล้องครับ รูปมันดูสวยและมันดูหวานมากเลย ผมกำลังจะถามพี่เติมเต็มเกี่ยวกับรูปที่โพสต์ แต่พอมองดูคนที่นอนอยู่ที่ตักของผม ตอนนี้หลับไปแล้วครับ ถ้างั้นเอาไว้ตื่นมาค่อยคุยกันก็ได้ ผมเลื่อนอ่านคอมเม้นท์ มีคนมาคอมเม้นท์ใต้โพสต์เป็นร้อยข้อความเลยครับ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเพื่อนๆของพี่เติมเต็มและเพื่อนๆของผม รวมทั้งแฟนคลับของพี่เติมเต็ม มีบางคอมเม้นท์ผมอ่านแล้วผมก็รู้สึกเขินเหมือนกัน


comments 22 : เนี่ยเคยสงสัยว่าน้องอยู่คอนโดกับพี่เติมเต็มหรือเปล่า วันนี้ชัดเลยจ้า
comments 29 : จริงๆคนน้องอยู่หอในค่ะ แต่คนพี่ไม่ยอมให้คนน้องกลับหอเลย
Thorn Saharit : เพื่อนผมมันร้ายครับ
comments 37 : น้องไม่สบายพี่ไม่อยากให้อยู่คนเดียว พี่ดูแลน่ะถูกแล้ว
comments 48 : เป็นรูปที่ดีต่อใจมากเลยค่ะพี่เติมเต็ม
comments 62 : ดูพี่รักน้องมากเลยอ่ะ งื้ออออ ><
comments 78 : โอ๊ยยยย!!ในเฟซจุ๊บเหม่ง ในไอจีหอมหัว ไปอี๊กกก



พออ่านคอมเม้นท์นี้ผมขมวดคิ้วทันทีเลยครับ อะไรคือหอมหัว ผมเสียมารยาทอีกทีในการกดเข้าไปที่แอพฯอินสตาแกรม ชัดเลยในอินสตาแกรมของพี่เติมเต็มเป็นรูปที่ถ่ายเมื่อคืนเหมือนกันแต่เปลี่ยนเป็นหอมที่หัวผมแทน ผมเม้มปากเพราะรู้สึกทำตัวไม่ถูก ผมเลื่อนอ่านคอมเม้นท์ ข้อความก็คล้ายๆกับในเฟซบุ๊ก แต่ที่ทำให้ผมเกือบทำมือถือหล่นใส่หน้าของพี่เติมเต็มที่นอนอยู่บนตักผมก็เพราะมีคอมเม้นท์จากม๊าของพี่เติมเต็ม และติวเตอร์น้องชายของพี่เติมเต็มด้วย


tiiwterr : ทำพี่สะใภ้ป่วยเหรอ จะฟ้องม๊า @deewaan9
deewaan9 : คนเก่งเป็นอะไร? น้องป่วยเหรอ? เดี๋ยวม๊าโทรหา


แล้วแฟนคลับพี่เติมเต็มก็เข้ามาคอมเม้นท์กันใหญ่เลยว่าที่บ้านพี่เติมเต็มรับรู้เรื่องของพวกเรา และไม่รังเกียจยอมรับได้ ทั้งๆที่ทราบมาว่าทางบ้านพี่เติมเต็มมีธุรกิจใหญ่โตและเป็นที่รู้จัก ผมอดยิ้มและนึกขอบคุณครอบครัวของผมและครอบครัวของพี่เติมเต็มไม่ได้ที่ยอมรับเรา

และคนที่สำคัญมากที่สุดที่ผมอยากขอบคุณคือคนที่นอนอยู่บนตักของผม ที่เขายอมให้ผมรักและยอมรับคำว่ารักของผมในที่สุด

ผมตั้งใจว่าจะออกจากอินสตาแกรมของพี่เติมเต็มแต่มือผมมันกดเลื่อนมาตรงที่เป็นไดเร็คแมสเสจของอินสตราแกรม มีข้อความที่ไม่ได้อ่านเยอะมากเลยครับ ผมเลื่อนดูมีแต่ส่งมาจากผู้หญิงทั้งนั้น บางข้อความเพิ่งส่งมาก็มีแต่บางข้อความก็นานหลายเดือนแล้ว ข้อความที่ส่งมาเท่าที่ผมเห็นมากกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ที่ลักษณะการทักมาไม่ค่อยโอเคต่อใจของผมเลย คือผมอ่านแค่ข้อความที่ค้างอยู่นะ ผมไม่ได้กดเข้าไปอ่านหรอกเพราะกลัวพี่เติมเต็มจะรู้ และถ้ากดเข้าไปอ่านคนที่เขาส่งมาก็ต้องคิดว่าพี่เติมเต็มเป็นคนเปิดอ่าน เดี๋ยวมีปัญหาตามมาอีกผมก็เลยไม่เข้าไปอ่านดีกว่า อีกอย่างคือการที่พี่เติมเต็มไม่กดเข้าไปอ่านและเลือกข้ามที่จะไม่เข้าไปตอบก็แสดงว่าพี่เติมเต็มไม่ได้สนใจ

แต่ถึงจะคิดแบบนั้น แต่ผมก็เลื่อนลงมาเจอข้อความที่พี่เติมเต็มกดเข้าไปอ่านและตอบ ผมดูวันที่ล่าสุดที่มีการคุยกันในแชทคือประมาณหกเดือนที่แล้ว ผมเลื่อนดูข้อความด้านบนๆดูจะคุยกันบ่อยเป็นแนวถามทั่วไป ทานข้าวยัง ทำอะไรอยู่ ต่อมาเริ่มมีออกไปเจอกัน น่าจะค่อนข้างบ่อย


และวันสุดท้ายที่คุยกันคือผู้หญิงคนนั้นถามว่า
... คืนนี้จะออกมาหามั้ย ไม่เจอกันนาน


และพี่เติมเต็มก็ตอบไปว่า ... ขอโทษนะ จะไม่ออกไปเจออีกแล้ว


ผู้หญิงก็ถามกลับมาว่า ... มีแฟนเหรอ


พี่เติมเต็มก็ตอบกลับไปว่า ... ใช่ กำลังจะมี


ผู้หญิงคนนั้นก็ตอบกลับมาแค่ ... โอเค


ผมคำนวณระยะเวลาอีกครั้ง มันประมาณหกเดือนที่แล้ว ตอนนี้ผมกับพี่เติมเต็มคบกันเป็นแฟนมาได้ประมาณห้าเดือน ผมกำลังคิดว่ามันคาบเกี่ยวกับช่วงเวลาที่พี่เติมเต็มบอกว่าลองคุยกันดูก่อนมั้ยหรือเปล่า

ผมนั่งคิดไปคิดมาก็เปลี่ยนใจไม่คิดดีกว่าเพราะยิ่งคิดยิ่งรู้สึกไม่ดีเลย ถึงในแชทมันไม่ได้มีข้อความอะไรที่ชัดเจนแต่ผมก็ไม่ใช่เด็กที่จะไม่รู้เลยว่าเขาออกไปเจอเขาทำอะไรกัน

เคยเป็นมั้ยครับที่เรารู้ว่าก่อนที่เขาจะมาเป็นแฟนเรา เขาก็ต้องเคยมีอะไรกับคนอื่นมาบ้าง ปากเราก็บอกว่าไม่เป็นไรเป็นเรื่องอดีตที่ผ่านมา แต่นั่นมันเป็นตอนที่เราแค่เคยได้ยินคนอื่นเล่ามา ไม่ใช่ที่เราเห็นด้วยตาตัวเองแบบนี้

เฮ้อออออ ... ผู้หญิงหน้าตาน่ารัก สวยมากด้วยครับ

เฮ้ออออ ... ไม่รู้จะคิดให้บั่นทอนความรู้สึกตัวเองทำไม แต่มันก็อดคิดไม่ได้

ตอนนั้นมันยังนึกภาพไม่ออกว่าเวลาพี่เติมเต็มไปมีอะไรกับใครมันเป็นยังไง เมื่อก่อนผมเคยนึกนะแต่ภาพในหัวคือมันมืดๆมันเป็นเงา แต่ตอนนี้ภาพมันกลับชัดเจน

หยุดๆๆๆ หยุดคิดเลย!! คนเก่ง



ผมสะดุ้งเล็กน้อยเพราะพี่เติมเต็มพลิกตัวนอนหันหน้าเข้ามาที่หน้าท้องของผม ก่อนที่จะสัมผัสความรู้สึกอุ่นๆที่บริเวณหน้าท้อง

พี่เติมเต็มจูบเบาๆผ่านเสื้อลงที่หน้าท้องของผม

"ตื่นแล้วเหรอครับ" ผมถามเพราะพี่เติมเต็มกอดเอวผมแน่นแถมเล่นจูบแบบนี้ แสดงว่าตื่นแล้ว พี่เติมเต็มพยักหน้าแต่ยังไม่ลืมตา

"ตื่นเร็วจังครับ หลับไปแค่ชั่วโมงเดียวได้มั้ง"

"ไม่ได้ง่วงเลยแต่พอหนุนตักแฟนแล้วมันก็เผลอหลับไป ตักแฟนนิ่มนอนสบาย"

"อยู่ๆดีก็ปากหวาน" ผมพูดและพี่เติมเต็มก็ลุกขึ้นมานั่งอย่างรวดเร็วและประกบริมฝีปากของตัวเองที่ริมฝีปากของผมทันที พี่เติมเต็มจูบผมอ้อยอิ่งอยู่แบบนั้นสักพัก ก่อนจะพูดออกมาแบบนี้

"ไม่นะ ปกติก็หวานอยู่แล้ว"

ผมเลือกที่จะเงียบดีกว่าเพราะรู้สึกว่าถ้าตอบอะไรไปผมน่าจะแพ้พี่เติมเต็มอย่างแน่นอน

สายตาของพี่เติมเต็มมองมาที่มือถือของตัวเองที่อยู่ในมือผม ก่อนจะทำหน้าแปลกใจที่เห็นว่าผมเปิดอะไรค้างไว้ พี่เติมเต็มยื่นมือมาขอมือถือของตัวเองจากผม ผมก็ส่งให้แต่โดยดี คิดในใจว่าอาจจะโดนพี่เติมเต็มต่อว่าก็ได้ที่เปิดอ่านข้อความส่วนตัวโดยพละการ

พี่เติมเต็มเลื่อนอ่านข้อความเก่าๆอยู่สักพักก่อนจะวางมือถือเอาไว้ข้างตัวและดึงผมเข้าไปกอด

"อยากถามอะไรครับ" พี่เติมเต็มพูดขึ้นมาพร้อมกับใช้มือลูบผมไปมาอย่างอ่อนโยน

"ผมขอโทษนะครับที่เข้าไปอ่าน ตอนแรกผมไม่ได้ตั้งใจที่จะอ่านนะ พี่ธรณ์บอกว่าพี่เต็มโพสต์รูปเมื่อคืนนี้ พอเข้าไปอ่านคอมเม้นท์ก็มีแฟนคลับพี่เต็มบอกว่าในไอจีก็ลง ผมก็เลยเข้าไปดู พอจะออกมือมันไปเลื่อนหน้าจอเลยไปเจอ ... ก็เลยอ่าน แต่ผมไม่ได้อ่านของคนอื่นเลยนะ .... อ่านของคนนี้คนเดียว" ผมรีบอธิบายยาวเหยียดให้พี่เติมเต็มฟังเพราะกลัวพี่เขาไม่พอใจ

"ไม่ต้องอธิบายก็ได้ พี่ไม่โกรธครับ คนเก่งรู้รหัสเข้ามือถือของพี่ นั่นก็หมายความว่าพี่ไม่มีความลับกับคนเก่ง และถึงมีพี่ก็ยินดีให้คนเก่งรู้ความลับของพี่ได้ .... อยากถามอะไรหรือเปล่า" พี่เติมเต็มถามผมอีกครั้ง

"ผม ... ไม่รู้จะเริ่มถามยังไงดี"

"ผู้หญิงคนนี้พี่รู้จักกับเขาตอนที่ไปเที่ยวผับ แล้วเขาก็เข้ามาทักว่าพี่ใช่คนนี้มั้ย เขาบอกตามไอจีอยู่ หลังจากนั้นก็ทักไอจีมาหาบ้างอย่างที่เห็น แต่ไม่บ่อยเพราะปกติก็จะเจอกันตอนที่ไปเที่ยวที่ผับอยู่แล้ว พี่ไม่เคยขอเบอร์ติดต่อเขาและเขาก็ไม่เคยขอเบอร์ติดต่อพี่ .... พี่ไม่รู้ว่าคนเก่งเข้าใจในเรื่องแบบนี้มากแค่ไหนนะ เพราะถ้าเทียบกันแล้ว ตอนที่พี่อายุเท่าคนเก่ง คนเก่งเป็นเด็กดีกว่าพี่เยอะเลย ... หลังจากนั้นพี่กับเขาก็มีอะไรกันโดยที่ไม่มีคำว่ารักเข้ามาเกี่ยวข้อง ตอนนั้นมันเหมือนเราแค่ต้องการปลดปล่อยความต้องการทางกาย พอมีอะไรกันเรียบร้อยเราก็ต่างแยกย้าย ไม่เคยมีนอนค้างด้วยกัน .... พี่เริ่มไปเที่ยวที่ผับน้อยลงตั้งแต่ช่วงที่คนเก่งเข้ามาเรียนที่นี่ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมไม่อยากไปเที่ยวแล้ว จนผ่านไปสักพักพี่ก็เริ่มรู้สึกผิดกับคนเก่งถ้าพี่ยังจะไปทำอะไรแบบนั้นอยู่ พี่ก็เลยตัดสินใจที่จะไม่ไปเที่ยวอีกแต่อย่างที่เล่าไป พี่กับผู้หญิงคนนั้นเราไม่ได้คบกัน พี่ก็ไม่ได้ติดต่อหรืออะไรไป จนเมื่อหลายเดือนก่อนที่เขาทักมาเพราะไม่เจอพี่นานแล้ว พี่ก็เลยบอกเขาไปว่าพี่กำลังจะมีแฟน ... ซึ่งในเวลานั้นพี่ก็เพิ่งตัดสินใจที่จะลองคุยกับคนเก่งดู ... ทั้งหมดก็มีเท่านี้ ระหว่างพี่กับเขาก็คุยกันแค่เท่าที่คนเก่งเห็นไม่มีอะไรนอกเหนือจากนี้"

ผมฟังพี่เติมเต็มอธิบายโดยที่ผมไม่ต้องถาม มีบางช่วงที่พี่เติมเต็มหยุดชะงักเหมือนกลัวว่าถ้าพูดออกมาผมอาจจะเสียใจ ซึ่งผมยอมรับว่าผมเสียใจตอนที่พี่เติมเต็มเล่าถึงตอนที่บอกว่ามีอะไรกันน้ำตาผมจะร่วงและรู้ตัวเลยว่ากอดพี่เติมเต็มแน่นขึ้น และพี่เติมเต็มก็กอดผมแน่นๆกลับมาเช่นเดียวกัน

"เราสามารถลืมคนที่เป็นคนแรกของเราได้เหรอครับ" ผมถามด้วยความสงสัย พี่เติมเต็มชะงักไปนิดหน่อยแต่ยังไม่ตอบออกมาทันที

" .... ผู้หญิงคนนั้นเขาไม่ใช่คนแรกของพี่หรอกนะ" ผมอึ้งไปเลยตอนที่ได้ยิน ผมดันตัวเองออกจากอ้อมกอดพี่เติมเต็ม

"อะไรนะ! แล้วพี่เต็มมี ... เอ่อ .. คนแรกตอนไหน"

พี่เติมเต็มยกมือขึ้นเกาที่ท้ายทอยไปมา

"ก็ ... ตั้งแต่มอปลายแล้ว รู้แค่นี้พอ"

ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ผมหงุดหงิดอะไรกันแน่ระหว่างผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่คนแรกของพี่เติมเต็ม หรือพี่เติมเต็มเสียความบริสุทธิ์ตั้งแต่สมัยหัวเกรียน หรือที่ผมเพิ่งจะเสียความบริสุทธิ์ตอนอายุสิบเก้า

"ถ้ารู้ว่าพี่เต็มมีเซ็กซ์ตั้งแต่มอปลายนะ ผมจะไม่รอจนถึงมหาลัยหรอก มีเซ็กซ์กับคนอื่นไปตั้งแต่มอปลายแล้ว" ผมพูดเสร็จผมก็เดินเข้าห้องนอนไป ได้ยินเสียงพี่เติมเต็มเดินตามมาข้างหลังพร้อมกับพูดว่า

"เดี๋ยวๆ หมายถึงใครที่จะมีด้วยตั้งแต่มอปลาย พี่ไม่ยอมนะ"


ผมก็พูดไปอย่างนั้นแหละ จะไปมีอะไรกับใครได้ไงล่ะ ก็รักก็ชอบอยู่คนเดียว แต่ที่พูดออกไปเพราะมันรู้สึกหงุดหงิดยังไงก็ไม่รู้

ฮอร์โมนพลุ่งพล่านเหลือเกินนะพี่เติมเต็ม ถนัดเรื่องบนเตียงมาตั้งแต่มอปลายเลยเหรอเนี่ย!!!





TBC.
#เติมเต็มรัก
ninewara✿




ออฟไลน์ Tonson777

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 50
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
พี่เต็มนี่สมาชิคสมาคมคนหวงเมียแห่งชาติแน่ๆ

ออฟไลน์ sailom_orn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
 :katai2-1: :katai2-1: จัดมาชุดใหญ่ ไฟกระพริบ ขอบคุณมากๆเลยค่า

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :o8: แป่ววววว  พี่เต็มโดนเต็มๆ   เปรี้ยวแต่เด็ก

 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ ninewara

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
✿ เติมเต็มรัก ✿ ครั้งที่ 35


ถัดมาอีกสี่วัน ตอนนี้พี่เติมเต็มและเพื่อนๆพร้อมทั้งรุ่นพี่ในคณะวิศวกรรมศาสตร์ (รวมถึงผมและฟูจิ) มารวมตัวกันที่บริเวณลานจอดรถของคณะวิศวะเพื่อรวมพลเตรียมตัวที่จะเดินทางไปออกค่ายเพื่อช่วยเหลือโรงเรียนที่อยู่ห่างไกล โรงเรียนที่พวกเรากำลังจะเดินทางไปอยู่ในอำเภอที่อยู่ถัดจากนี้ไปประมาณสี่ชั่วโมงตามที่ผมได้ยินรุ่นพี่ในคณะวิศวะฯเขาคุยกัน


ส่วนเรื่องที่ผมรู้สึกแย่หลังจากที่เห็นข้อความแชทของพี่เติมเต็มกับคู่นอนเก่า (ฟูจิมันเรียกแบบนี้) หลังจากที่พี่เติมเต็มอธิบายทุกอย่างให้ผมฟัง ถ้าถามว่าผมเข้าใจมั้ย ก็คงเข้าใจล่ะมั้ง ...  และมีอีกเรื่องที่พี่เติมเต็มมาเฉลยทีหลังคือวันนั้นแบตโทรศัพท์มือถือผมไม่ได้หมดหรอกครับ แต่พี่เติมเต็มปิดเครื่องเอาไว้เพราะกวีไลน์มาและโทรมาหาผมหลายสายพี่เติมเต็มไม่อยากให้คุยครับ ก็เลยเอามือถือของตัวเองมาให้ผมเล่นแทน ผมได้ทีเลยแซวว่าเป็นไงล่ะ แกล้งกวี ผมก็เลยรู้ความลับ แต่พี่เติมเต็มก็บอกว่ายังไงสักวันก็ต้องเล่าให้ผมฟังอยู่ดี


วันต่อมา ที่พี่เติมเต็มไปประชุมเรื่องออกค่าย ผมก็เลยมาปรึกษาเรื่องนี้กับฟูจิและส้มส้ม ตอนแรกก็คิดว่าจะเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจเพราะผมมองว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของพี่เติมเต็ม แต่ผมเองก็รู้สึกว่าถ้าไม่ได้ระบายให้ใครฟัง ผมต้องอึดอัดแน่ๆ และที่สำคัญผมอยากรู้ด้วยว่าเพื่อนผมรู้สึกยังไงกับเรื่องนี้ และคำตอบที่ผมได้จากส้มส้มเพื่อนสนิทที่เป็นผู้หญิงของผมก็คือ


"เราว่ามันเป็นเรื่องธรรมดานะ ก็ตอนนั้นพี่เต็มยังไม่มีใคร การจะไปมีอะไรกับใครมันก็ไม่แปลก แล้วพอพี่เต็มเริ่มคุยกับคนเก่งแบบจริงจัง พี่เขาก็ไม่ทำเรื่องแบบนั้นแล้ว เราว่าพี่เต็มโคตรโอเคอ่ะ"

"ส้มเป็นผู้หญิง ก็คิดว่าเรื่องแบบนี้มันธรรมดาเหรอ" ผมถาม

"ก็ .. ธรรมดานะ เฮ้ย! แต่เราไม่ได้ทำแบบนั้นน่ะ เราก็แค่มองว่ามันก็เป็นเรื่องปกติของความสัมพันธ์สมัยนี้ไง"

"เปล่าๆเราก็ไม่ได้มองว่าส้มเป็นแบบนั้น" ผมรีบบอกเพราะกลัวเพื่อนคิดว่าผมคิดไม่ดีกับตัวเอง

"ที่มึงคิดมากอยู่เนี่ย เพราะมึงกำลังคิดว่าในขณะที่มึงตามจีบพี่เขาอยู่ แต่พี่เขาก็ไปนอนกับคนอื่นหรือเปล่า" ฟูจิที่นั่งฟังเงียบๆอยู่สักพักก็พูดขึ้น


ผมนิ่งคิดสิ่งที่ฟูจิถาม มันก็ไม่ใช่แบบนั้นนะเพราะถึงผมจะชอบและส่งการ์ดให้พี่เติมเต็มอยู่ตลอด แต่ระยะเวลาสองปีที่พี่เติมเต็มมาเรียนที่นี่ผมก็ไม่ได้เจอพี่เขาเลย การที่พี่เขาจะไปมีอะไรกับใครในช่วงเวลาสองปีนั้นพอมาคิดดู มันก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกแย่

"มึงว่า คนเราสามารถมีอะไรกับคนที่ตัวเองไม่รักได้ด้วยเหรอวะ" ผมถามสิ่งหนึ่งที่ค้างในใจผม

"กับผู้หญิงกูไม่รู้ แต่กับผู้ชายถึงไม่รักก็มีอะไรได้อยู่แล้ว มึงก็เป็นผู้ชาย ผู้ชายมันก็เกิดอารมณ์ได้ง่ายกว่าผู้หญิงอยู่แล้ว แค่โดนตัวนิดหน่อย ผู้ชายก็ของขึ้นแล้วเปล่าว่ะ เมื่อวานมึงยังบอกให้กูขยันทำการบ้านอยู่เลย ลืมหรือไง" ฟูจิมันพูดออกมา ผมมองส้มส้มเพราะกลัวเพื่อนจะเขินอายหรือทำหน้าไม่ถูกที่พูดเรื่องแบบนี้ แต่ส้มส้มกลับนั่งฟังด้วยสีหน้าปกติ

"ยังไงไหนเล่าสิ คนเก่งสอนให้ฟูจิทำการบ้านมัดใจพี่วินเหรอ" ส้มส้มพูดขึ้นมาทันทีที่ฟูจิพูดจบ น้ำเสียงตื่นเต้นมากครับ

"อย่าเพิ่งนอกเรื่องสิส้ม เรายังคุยเรื่องนี้ไม่จบเลยนะ" ผมรีบพูดเพราะยังไม่อยากเล่าที่ไปที่มาให้ส้มส้มฟัง

"เราเห็นด้วยกับที่ฟูจิพูดนะ ขอเสริมนิดหนึ่งตรงที่ผู้หญิงส่วนใหญ่จะไม่มีอะไรกับผู้ชายง่ายๆหรอกถัาไม่มีใจให้ผู้ชายคนนั้น แต่ก็มีผู้หญิงจำนวนหนึ่งที่ไม่ได้คิดอะไร เห็นเป็นเรื่องสนุก ยิ่งบางคนก็เก็บแต้มแข่งกับเพื่อนก็มีนะ แล้วเอามาอวดกันอ่ะ ว่าเคยมีอะไรกับผู้ชายคนนี้แล้ว ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นผู้ชายที่โปรไฟล์เจ๋งๆหน่อย เช่น หล่อ รวย เด่น หรือดังๆ"

"ทำไมน่ากลัวจัง"

พอผมฟังส้มส้มพูด ผมก็รู้สึกเลยว่าผมคงจะอ่อนต่อโลกอย่างที่พี่ธาวินพูดจริงๆ เรื่องพวกนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ใหม่สำหรับผมมาก ผมเคยได้ยินแต่ผมคิดว่ามันเป็นแค่เรื่องเล่าเท่านั้น


"ผู้หญิงคนนั้นเขาก็ไม่ได้ติดต่อพี่เต็มมาอีกไม่ใช่เหรอ ตามที่มึงเล่า" ฟูจิถามผม

"อืม พอพี่เต็มบอกเขาไปว่ากำลังจะมีแฟน ผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ทักมาอีก"

"ก็แสดงว่าเขาก็โอเคนี่หว่า" ฟูจิพูด และพอผมคิดตามสิ่งที่พวกเราคุยกัน มันก็ไม่มีอะไรที่ผมต้องคิดมาก เพราะที่ผ่านมาตั้งแต่ที่พี่เติมเต็มเลือกที่จะคุยกับผม พี่เขาก็ไม่เคยทำอะไรให้ผมต้องกังวลใจเรื่องแบบนี้เลย




"ไปขึ้นรถกันได้แล้ว" เสียงของพี่ธาวินที่ดังขึ้นใกล้ๆทำให้ความคิดของผมที่กำลังนึกถึงเรื่องเมื่อหลายวันก่อนหยุดลง และกลับมาที่สถานการณ์ปัจจุบัน

"ปะ มึง" ฟูจิหันมาชวนผมให้เดินไปขึ้นรถด้วยกัน

"เป็นอะไรหรือเปล่า" พี่เติมเต็มเดินเข้ามาหาและถามผมด้วยน้ำเสียงที่เป็นห่วงพร้อมกับลูบผมของผมเล่นเบาๆ

"เปล่าครับ" ผมตอบพลางยิ้มให้พี่เติมเต็ม พี่เติมเต็มยิ้มกลับมาก่อนจะจับมือผมและพาเดินไปที่รถ

พี่ธาวินกับพี่เติมเต็มคุยกันว่าจะเอารถส่วนตัวไปเอง มีรุ่นพี่จำนวนหนึ่งขับรถส่วนตัวไปเหมือนกัน พี่ธาวินก็เลยตกลงเอารถฟอร์จูนเนอร์คันที่ให้ฟูจิใช้อยู่มาขับ

"เราไม่นั่งรถไปกับคนอื่นจะไม่โดนว่าเหรอครับ" ผมถามเพราะกังวลด้วยกลัวคนอื่นมองไม่ดี

"ไม่มีใครว่าหรอก เพราะเดี๋ยวคนที่ขับรถไปกันเองต้องแบ่งงานกันแวะซื้อของด้วย ตอนแรกอุตส่าห์เล่นตัวว่าจะไม่มาแล้ว" พี่ธาวินเป็นคนพูดครับ

"มาดีแล้วครับ ผมยังไม่เคยไปออกค่ายแบบนี้เลย อยากไป" ผมบอกเพราะตอนแรกพี่เติมเต็มปฏิเสธที่จะไม่ไปเพราะผมป่วยมีผื่นขึ้น แต่ผมไม่อยากให้คนอื่นมองพี่เติมเต็มไม่ดีเพราะที่ผ่านมาพี่เติมเต็มก็ไปตลอด ผมก็เลยขอร้องพี่เติมเต็มให้เปลี่ยนใจเพราะผมเองก็อยากมาด้วย


ผมกับพี่เติมเต็มนั่งอยู่ที่เบาะหลังด้วยกันครับ ฟูจินั่งหน้าคู่กับพี่ธาวินที่เป็นคนขับ ตอนนี้เวลาประมาณหกโมงเช้า รถบัสของคณะวิศวะขับออกไปแล้ว ส่วนรถของพวกผมเพิ่งจะขับออกมาได้สักพัก พี่เติมเต็มบอกว่าเดี๋ยวรถเราจะต้องแวะซื้อพวกเครื่องเขียนอุปกรณ์การเรียนด้วยจำนวนหนึ่งเพราะรุ่นพี่ไปซื้อมาก่อนหน้านี้แล้วแต่มาดูจำนวนแล้วคาดว่าน่าจะไม่พอ


"เดี๋ยวแวะทานข้าวแล้วก็ทานยาด้วยนะ" พี่เติมเต็มที่นั่งจับมือผมเอาไว้ตั้งแต่ขึ้นรถ พูดขึ้นมา

"ยังต้องทานยาอีกเหรอครับ หายแล้วนะ" ตอนนี้ผื่นผมหายสนิทแล้วครับ และหมอก็บอกว่าให้ทานยาเฉพาะตอนมีอาการเท่านั้น

"กันไว้ก่อนไง" พี่เติมเต็มบอก

"แต่ยาต้องทานตอนมีอาการเท่านั้นนะครับ ทานตอนไม่ได้เป็นอะไรก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น" ผมแย้ง

"โอเคๆ แต่ถ้ามีอาการขึ้นมา แค่รู้สึกคันหรือแค่เป็นผื่นขึ้นมาแค่นิดเดียวก็ต้องทานยานะ ตกลงมั้ย" พี่เติมเต็มย้ำ

"ครับ" ผมตอบตกลงไป ก่อนที่พี่เติมเต็มจะก้มลงมาจูบที่ริมฝีปากผมเบาๆ

"เกรงใจกันหน่อยมึง" เสียงพี่ธาวินพูดแซวขึ้นมา ผมรู้สึกอายมากๆเลยเพราะพี่เติมเต็มไม่ค่อยทำแบบนี้เวลาที่มีคนอื่นอยู่ด้วยสักเท่าไหร่ พี่เติมเต็มแค่ยักไหล่ให้พี่ธาวินและไม่ได้พูดอะไรออกมา


ผมนั่งมองไปนอกหน้าต่าง ต่างจังหวัดอากาศตอนเช้ามันดีมากเลยครับ ผมมองกลับมาในรถเห็นพี่ธาวินเอื้อมมือมาจับมือของฟูจิ และเหมือนฟูจิจะขืนมือตัวเองไว้ แต่พี่ธาวินเองก็ไม่ยอมเหมือนกัน สุดท้ายพี่ธาวินก็เป็นฝ่ายชนะ พี่ธาวินสอดนิ้วมือของตัวเองประสานกับนิ้วมือของฟูจิ และกุมมือฟูจิไว้ ตอนแรกฟูจิไม่ยอมกุมมือตอบแต่สักพักก็ยอม ผมเห็นรอยยิ้มที่มุมปากของพี่ธาวิน ดูท่าทางสงสัยจะมีเรื่องงอนกันและพี่ธาวินก็พยายามง้ออยู่ มิน่าล่ะตั้งแต่เจอฟูจิเมื่อเช้าดูฟูจิเงียบผิดปกติ และตอนแรกที่ขึ้นรถมาฟูจิอยากจะขอนั่งเบาะหลังกับผมด้วย แต่พี่ธาวินพูดขึ้นมาว่าแฟนกันเขาก็ต้องอยากนั่งด้วยกัน ฟูจิก็เลยนั่งเบาะหน้าตามเดิม ผมเองก็มัวแต่คิดเรื่องของตัวเองจนไม่ได้สังเกตุเพื่อนเลย



(มีต่อนะคะ)

ออฟไลน์ ninewara

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
(ต่อค่ะ)


หลังจากแวะทานมื้อเช้ากันเรียบร้อย พี่ธาวินขับรถมาอีกไม่ไกลก็มาถึงห้างสรรพสินค้าขายส่งขนาดใหญ่ที่อยู่ถนนเส้นรอบเมือง ผมมองดูเวลาที่มือถือเพราะมันยังเช้าเกินกว่าที่ห้างจะเปิด แล้วผมก็นึกได้ว่าห้างนี้จะเปิดเช้ากว่าห้างทั่วไป

ตอนที่เดินลงมาจากรถพี่เติมเต็มกับพี่ธาวินถือรายการของที่จะซื้อคนละใบ เพื่อความรวดเร็วในการซื้อของ ตอนแรกฟูจิเดินมาเกาะแขนจะไปกับผม แต่พี่ธาวินเดินเข้ามาจับมือของฟูจิและดึงตัวของฟูจิออกไปเลย ดูแล้วพี่ธาวินก็ไม่ได้ออกแรงดึงอะไรมาก ผมว่าฟูจิก็อยากไปกับพี่ธาวินอยู่แล้วล่ะ



ในระหว่างที่ผมกับพี่เติมเต็มเดินเลือกซื้อของเสร็จแล้วและกำลังเดินมาเพื่อจ่ายเงินก็มีเสียงผู้หญิงเรียกชื่อพี่เติมเต็ม

"เต็ม!"

ผมและพี่เติมเต็มหันไปมองเห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ห่างจากเราพอสมควรและกำลังเดินเข้ามา ผู้หญิงคนนี้หน้าตาสวยเลยครับ ผิวขาว จัดว่าเป็นผู้หญิงที่สูงเพราะดูเหมือนเขาจะเตี้ยกว่าผมนิดเดียว หุ่นดีเลย ที่ผมรู้ว่าเขาหุ่นดีเพราะเขาใส่เสื้อกล้ามแบบรัดรูปและกางเกงขาสั้น และหางตาผมเห็นว่าพี่เติมเต็มหันมามองผม


ผมรู้สึกคุ้นหน้าผู้หญิงคนนี้จัง


"มองเห็นนานแล้วล่ะ แต่ไม่แน่ใจว่าใช่หรือเปล่า" ผู้หญิงคนนี้เขาพูดขึ้นมา

"เป็นไงบ้าง" พี่เติมเต็มถาม

"ก็ดี เรื่อยๆ  .. แล้วมาซื้อของอะไรเยอะแยะเลย"

"มาซื้อของจะไปออกค่ายน่ะ แล้วกอหญ้ามาซื้ออะไร" พอพี่เติมเต็มเอ่ยชื่อผู้หญิงคนนี้ออกมา ผมก็รู้ทันทีว่าผมเคยเจอผู้หญิงคนนี้ที่ไหน ในอินสตาแกรมของพี่เติมเต็ม


เขาคือผู้หญิงคนที่พี่เติมเต็มเคยมีสัมพันธ์ด้วย


"พี่เต็มคุยกับเพื่อนไปก่อนก็ได้นะครับ ผมจะเดินไปดูขนมตรงนั้นแป๊บนึง" ผมรู้สึกว่าผมไม่อยากยืนอยู่ตรงนี้เลย มันรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก แต่พี่เติมเต็มไม่ยอมให้ผมทำแบบนั้น พี่เติมเต็มจับมือผมเอาไว้แน่น

"เดี๋ยวค่อยเดินไปด้วยกัน คุยไม่นานหรอก" พี่เติมเต็มพูดกับผมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน และสายตาที่มองผมก็เหมือนกำลังอ้อนวอนผมอยู่ ผมก็เลยต้องยืนอยู่ที่เดิม

"พรุ่งนี้วันเกิดว่าที่แฟนกอหญ้าน่ะ ก็เลยว่าจะไปทำบุญที่บ้านเด็กกำพร้ากัน เขาก็เลยพามาซื้อของ โน่นยืนอยู่ตรงโน้น" ผู้หญิงคนนี้ชี้นิ้วไปทางด้านหลังของตัวเองและโบกมือ มองเห็นผู้ชายที่ใส่เสื้อสีดำยืนโบกมือตอบกลับมา

"มาแต่เช้าเลย" พี่เติมเต็มพูดออกมา

"วันนี้ต้องไปทำธุระหลายที่ ก็เลยต้องมาซื้อของกันแต่เช้า ... ว่าแต่น้องคนนี้ใช่มั้ย ที่บอกเป็นแฟน เคยเห็นรูปในไอจี" อยู่ๆผู้หญิงคนนี้ก็หันมาหาผม

"อืม คนนี้แหละ ก็มีอยู่คนเดียว" พี่เติมเต็มพูดพร้อมกับเอามือมาขยี้ผมของผมเล็กน้อย ผมรู้สึกทำตัวไม่ถูก แต่ก็ยกมือขึ้นมาไหว้ผู้หญิงคนนี้

"สวัสดีครับ"

"จริงๆก็แปลกใจนะที่เต็มมีแฟนเป็นผู้ชาย แต่ก็ดูเหมาะกับเต็มดี" ผู้หญิงคนนี้มองผมและยิ้มให้ผม ผมก็ไม่เก่งเรื่องดูคนสักเท่าไหร่หรอกนะ แต่ผมรู้สึกว่ารอยยิ้มของเธอที่ส่งให้ผมมันดูเป็นรอยยิ้มที่จริงใจ

"ถ้างั้นไว้มีโอกาสค่อยเจอกันใหม่นะ แค่แวะมาทักน่ะ กอหญ้าไปล่ะ" ผู้หญิงคนนี้บอกพี่เติมเต็มและหันหลังวิ่งกลับไป


"เราก็ไปกันเถอะ" พี่เติมเต็มพูดกับผม ก่อนที่จะเข็นรถเข็นไปที่เคาน์เตอร์จ่ายเงิน พี่ธาวินกับฟูจิยืนรออยู่ไม่ไกลมาก

"ผมไปรอข้างนอกกับฟูจินะครับ" ผมบอกพี่เติมเต็มที่กำลังยืนรอให้แคชเชียร์คิดเงินอยู่

ผมเดินออกมาหาฟูจิที่ยืนรอพี่ธาวินอยู่ก่อนแล้ว ก่อนที่จะชวนฟูจิออกมารอข้างนอก

"เป็นไรว่ะ" ฟูจิถามผม อาจจะเป็นเพราะเห็นสีหน้าของผมก็ได้ แต่ผมก็ไม่รู้หรอกว่าสีหน้าของผมตอนนี้เป็นยังไง

"แล้วมึงล่ะ เป็นไร ทะเลาะกับพี่วินเหรอ" ผมถามฟูจิกลับบ้าง

"ไม่รู้เรียกทะเลาะกันหรือเปล่า กูแค่เบื่อๆเซ็งๆ"

"มึงอย่าบอกนะ ว่ามึงเบื่อพี่วิน เฮ้ย! ถ้ามึงรู้สึกแบบนี้ กูว่าอันตรายแล้วนะ" ผมตกใจที่ได้ยินฟูจิพูดแบบนี้

"มันไม่ใช่กูเบื่อพี่วินเว้ย กูเบื่อเรื่องที่ต้องเจอ และกูก็เบื่อตัวเอง"

"เกิดอะไรขึ้น" ผมถามฟูจิด้วยความเป็นห่วง

"มึงรู้สึกแย่ที่เห็นแชทเก่าๆของพี่เต็มกับคนที่พี่เขาเคยมีอะไรด้วย แต่นั้นคือเขาเลิกติดต่อไปแล้วไง ... แต่กับพี่วิน ทุกวันนี้อดีตคู่นอนพี่วินยังทักมาหาอยู่เลย บางคนไม่ได้มีอะไรกันเป็นปีแล้วก็ยังทักมา ทั้งๆที่ก็รู้ว่าพี่วินมีกูแล้ว บางทีพี่วินนั่งทานข้าวอยู่กับกู ก็มีมาชวนไปรำลึกเรื่องเก่าๆ พี่วินไม่ได้อะไรกับอดีตพวกนั้นหรอก ไม่เคยอ่านหรือตอบแชท ไม่เคยทำอะไรให้กูระแวง เคลียร์ทุกอย่างชัดเจน แต่มันเป็นที่ตัวกู ที่มันไม่อดทนรับเรื่องพวกนี้ได้ กูไม่ยึดติดกับเรื่องในอดีตของพี่วินมันหรอกนะ แต่กูก็ไม่โอเคที่คนในอดีตของพี่มันบางคนยังชอบมาก่อกวน" ฟูจิมันพูดออกมาเหมือนมันอดกลั้นมานาน พอฟังเรื่องของฟูจิ ผมว่าเรื่องของผมเบาไปเลย เพราะอย่างน้อยผมก็เจอแค่คนเดียว และก็เลิกติดต่อกันไปแล้ว และจากที่เจอวันนี้ก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรแล้ว


"มึงเห็นผู้หญิงที่ยืนคุยกับพี่เต็มเมื่อกี้ใช่มั้ย" ผมถามและฟูจิก็พยักหน้า

"เขาเป็นเจ้าของแชทในไอจีของพี่เต็มที่กูเล่าให้มึงฟัง" ผมบอกและฟูจิมันก็ชะงักไป


"เรียบร้อยแล้ว"

ยังไม่ทันที่จะได้คุยอะไรกันต่อ พี่เติมเต็มก็เดินเข้ามาหาพวกผมที่นั่งอยู่ที่ม้านั่งบริเวณประตูทางออก ผมหันไปชวนฟูจิและเดินไปตรงที่จอดรถด้วยกัน พี่เติมเต็มเดินตามมาด้านหลัง พอมาถึงที่รถก็เห็นพี่ธาวินกำลังจัดของใส่รถใกล้จะเสร็จแล้ว

"เปลี่ยนกันขับมั้ยมึง" พี่เติมเต็มถามพี่ธาวิน พี่ธาวินลังเลใจอยู่สักพักก่อนที่จะตอบตกลง พี่ธาวินยื่นกุญแจรถให้พี่เติมเต็ม พี่เติมเต็มเดินไปขึ้นรถฝั่งคนขับ และผมก็รู้ตำแหน่งตัวเองว่าต้องนั่งเบาะหน้าคู่กับพี่เติมเต็มเพราะพี่ธาวินคงจะไม่มานั่งเบาะหน้ากับพี่เติมเต็มหรอก


หลังจากพี่เติมเต็มขับรถออกจากห้างมา ในรถถือว่าเงียบกริบมากเลยครับ ผมสังเกตเห็นว่าพี่เติมเต็มหันมามองผมบ่อยๆ พี่เขาคงอยากจะพูดกับผมเรื่องของผู้หญิงคนเมื่อกี้ที่เราเจอ แต่เพราะไม่ได้อยู่กันสองคนพี่เติมเต็มก็เลยยังไม่พูด แต่ผมก็ยอมรับอย่างหนึ่งคือตั้งแต่ที่แยกจากผู้หญิงคนนั้นมา ผมยังไม่มองหน้าพี่เติมเต็มตรงๆเลยครับ


"อ้าว ไอ้วินหลับเหรอ" พี่เติมเต็มเป็นคนที่พูดทำลายความเงียบขึ้นมา

"ครับ เมื่อคืนพี่วินนอนดึกน่ะครับ เกือบเช้า" ฟูจิตอบ ผมหันไปมองที่เบาะหลัง เห็นฟูจิกำลังจัดท่าทางให้พี่ธาวินนอนพิงไหล่ตัวเองดีๆ พี่ธาวินขยับตัวนิดหน่อยเพื่อให้ตัวเองนอนสบายก่อนที่จะได้ที่พร้อมกับยกแขนข้างหนึ่งมากอดเอวฟูจิเอาไว้


"ง่วงมั้ย" พี่เติมเต็มถามผม

"ถ้าง่วงก็หลับไปก่อนได้นะ อีกนานกว่าจะถึง" พี่เติมเต็มพูดออกมาอีก

"ไม่ง่วงครับ ผมจะนั่งเป็นเพื่อน" ผมตอบ พี่เติมเต็มยิ้มให้ผมและยกมือขึ้นมาขยี้ผมของผมไม่เบานัก

"ยอมมองหน้าพี่ซะที" พี่เติมเต็มพูดออกมา ผมมองหน้าพี่เติมเต็มก่อนจะจับมือของพี่เติมเต็มที่ยังคงขยี้ผมของผมเล่นอยู่ มาจับเอาไว้

"คนเก่ง"

"ครับ"

"อย่านอยด์ อย่าคิดมาก อย่าคิดเยอะ ตกลงมั้ย"

"ทำไมหย่าเยอะจัง ยังไม่ทันแต่งเลย" ผมแอบเล่นมุขแต่เหมือนจะไม่ขำ

" ..... "

"จะคุยตอนนี้เลยเหรอครับ" ผมถาม

"พี่อยากเคลียร์เลย" พี่เติมเต็มพูดขึ้นมา

ผมถอนหายใจออกมาเบาๆ

"ตอนแรกผมจำเขาไม่ได้แค่รู้สึกหน้าคุ้นๆ แต่ตอนที่พี่เต็มพูดชื่อเขาก็เลยจำได้ครับ ... ความรู้สึกแรกเลยก็นอยด์แหละ คงไม่มีใครโอเคหรอกครับมาเจอแบบนี้ ... เขาสวยน่ารักหุ่นดี เขาเป็นผู้หญิง ... และเขาเคยมีอะไรกับพี่เต็มด้วย" ผมไม่ได้ตั้งใจที่จะให้มันดราม่าหรืออะไร แต่พอนึกถึงว่าพี่เติมเต็มมีอะไรกับเขา มันก็อดที่จะรู้สึกแย่ขึ้นมาอีกไม่ได้

"ผมไม่ได้อยากดราม่านะ แต่มันอดไม่ได้" ผมพูดออกมาอีก

"เราจะต้องทะเลาะกันทุกครั้งที่พูดถึงหรือนึกถึงเรื่องนี้หรือเปล่า" พี่เติมเต็มถามผมด้วยน้ำเสียงที่ปกติครับ ไม่ได้มีอารมณ์ที่ไม่พอใจในน้ำเสียง

"ผมก็ไม่ได้อยากทะเลาะซะหน่อย"

"พี่ไม่เคยคิดที่จะบอกเรื่องนี้เลยนะแต่ถ้ามันจะทำให้คนเก่งสบายใจหรือรู้สึกดีขึ้น พี่ก็คงจะต้องบอก" พี่เติมเต็มพูดขึ้นมา ทำให้ผมอยากรู้ทันที

"อะไรเหรอครับ"

"คนเก่งเป็นคนแรกที่พี่มีอะไรด้วยแล้วไม่เคยใช้ถุงยางอนามัย พี่มีอะไรกับคนเก่งนับเป็นจำนวนครั้งมากกว่าที่พี่เคยมีอะไรกับกอหญ้าหลายเท่า เวลาเจอกันพี่มีอะไรกับกอหญ้าแค่ครั้งเดียวแต่กับคนเก่งอย่างน้อยก็ต้องสามครั้ง"


พี่เติมเต็มเงียบไปสักครู่ ก่อนจะพูดต่อ


"และสิ่งที่พี่เคยบอกไปแล้ว ... พี่มีเซ็กซ์กับคนเก่งเพราะความรัก ซึ่งกับคนอื่นไม่เคยมีคำว่ารักเข้ามาเกี่ยวข้อง มีแค่คำว่าอยากปลดปล่อยล้วนๆ"

ผมอึ้งไปสักพักใหญ่เลยครับ

"พี่เต็ม! พูดออกมาได้ไงเนี่ย พูดเรื่องแบบนั้นอ่ะ ไม่ได้อยู่กันสองคนน่ะ แถมยังขับรถอยู่ด้วย"

ผมโวยออกมา ผมหันไปมองเบาะหลัง เห็นฟูจิมันนั่งหน้าแดงแจ๋ ส่วนพี่ธาวินยังหลับตาอยู่แต่ผมรู้ว่าพี่เขาคงไม่ได้หลับหรืออาจจะตื่นแล้ว เพราะผมเห็นรอยยิ้มพี่ธาวิน

"ก็พี่อยากเคลียร์ให้เราเข้าใจกัน ไม่ว่าในอดีตมันจะเป็นยังไงพี่ก็จะไม่แก้ตัวเพราะมันเป็นสิ่งที่พี่ทำจริงๆ ... แต่มันก็ทำให้พี่นึกถึงคำพูดของไอ้บุ๊คที่มันบอกว่า ... ถ้ามันรู้ว่าอนาคตจะได้เจอกับไอ้โจ้มันจะไม่นอนกับคนอื่นมาก่อนเลย ... พี่ก็เหมือนกันถ้าพี่รู้ว่าสุดท้ายแล้วพี่จะมารักคนเก่ง พี่ก็อาจจะไม่มีอะไรกับคนอื่นมาก่อนก็ได้"

ผมฟังสิ่งที่พี่เติมเต็มพูด ถึงแม้ว่ามันจะดูชวนฝันเกินจริงไปหน่อยที่บอกว่าถ้ารู้ว่าจะได้รักผมแล้วพี่เขาจะไม่ไปมีอะไรกับคนอื่น แต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกดี

"อย่างน้อยพี่ก็ดีกว่าไอ้วินมันนะ ไอ้วินมันมีครั้งแรกตั้งแต่ยังเป็นเด็กชายอยู่เลย" พี่เติมเต็มพูดออกมา ผมตาโตทันทีที่ได้ยิน

"ไอ้เชี้ยเต็ม!! กูอยู่ดีๆเสือกมาวางเพลิงบ้านกู" พี่ธาวินไม่ได้นอนจริงๆด้วยครับ พี่ธาวินใช้เท้าถีบที่เบาะหน้าที่เป็นที่นั่งคนขับที่พี่เติมเต็มเป็นคนนั่ง

"ไม่ต้องไปฟังมันพูด" พี่ธาวินหันไปบอกฟูจิ

"เด็กชายเนี่ยปอไหนครับ" ฟูจิถามพี่ธาวิน

"ปออะไรล่ะ มอสองมอสามแล้ว" พี่ธาวินพูดออกมาเบาๆ

"ความต้องการมาเร็วเนอะ" ฟูจิพูดออกมา ก่อนที่พี่ธาวินจะเข้าไปกอดฟูจิ ผมก็เลยรีบหันกลับมามองถนนเพราะไม่อยากมองภาพที่ทำให้รู้สึกเขิน ได้ยินเสียงพี่ธาวินกับฟูจิพูดคุยกันเบาๆ และผมก็รู้สึกหน้าร้อนๆขึ้นมาตอนที่ได้ยินเสียง .. จุ๊บๆ .. ดังมาจากเบาะหลัง

เขินแทนฟูจิขึ้นมาเลยครับ

ผมมองพี่เติมเต็มแว่บหนึ่งก่อนที่ ...

"คนเก่ง!" พี่เติมเต็มส่งเสียงดุผมไม่ดังนัก

ผมยิ้มขำออกมาเบาๆที่เห็นสีหน้าของพี่เติมเต็ม ผมก็แค่จูบที่นิ้วของพี่เติมเต็มเท่านั้นเอง ไม่เห็นต้องดุผมเลย

"ไม่ทำแล้วครับ" แต่เพื่อสวัสดิภาพในการเดินทางของทุกคนผมก็เลยเลิกทำ ก่อนที่จะเปลี่ยนมากุมมือของพี่เติมเต็มเอาไว้แทน

"หนูรักพี่เต็มนะ"

พี่เติมเต็มหันมามองผมอย่างคาดโทษ และคงกำลังนึกเสียใจที่เป็นคนขับรถ


เรื่องอดีตก็ปล่อยให้เป็นอดีตไปดีกว่า ถ้าเอาเรื่องในอดีตมาคิดในปัจจุบันและส่งผลไม่ดีกับอนาคต ผมว่ามันก็มีแต่จะทำให้ทุกอย่างแย่ลง

ผมว่าทำปัจจุบันให้ดี เพื่ออนาคตจะได้ดีมากกว่าเดิมจะดีกว่า จริงมั้ยครับ


.
.
.


"ขอบคุณครับพี่วิน" ผมยกมือไหว้ขอบคุณพี่ธาวิน และโบกมือลาฟูจิที่ขับรถมาส่งที่คอนโดของพี่เติมเต็มในตอนเย็น หลังจากที่กลับมาจากไปออกค่ายของคณะวิศวะกันมา ตลอดห้าวันของการได้ไปออกค่ายทำกิจกรรมต่างๆเป็นสิ่งที่แปลกใหม่สำหรับผม และผมก็ชอบมันมากด้วย ผมเรียนโรงเรียนในตัวจังหวัดที่มีพร้อมทุกอย่าง ไม่เคยได้ไปสัมผัสโรงเรียนที่เขาขาดแคลนมากขนาดนี้ เด็กๆที่นั่นก็น่ารักและมีจิตใจที่บริสุทธิ์ มีความคิดแบบเด็กจริงๆ ซึ่งค่อนข้างแตกต่างจากเด็กในตัวจังหวัด

"เป็นอะไร" พี่เติมเต็มถามผมที่ยืนยิ้มอยู่ที่หน้าลิฟท์

"มีความสุขครับ" ผมบอกพี่เติมเต็ม และตลอดทางที่กลับมาผมก็พูดแต่เรื่องดีๆที่ไปเจอมา

"อยากเป็นคุณครูขึ้นมาเลยหรือเปล่า" พี่เติมเต็มถามผม เพราะช่วงที่อยู่ที่โน่น ผมมีไปช่วยสอนหนังสือเด็กๆบ้าง มันก็มีแว่บเข้ามาในความคิดบ้างเหมือนกันครับ แต่ผมว่าผมคงจะไม่เก่งพอที่จะเป็นคุณครูได้ อีกอย่างที่สำคัญเลยคือผมมีความรักแบบนี้ ถ้าเลือกที่จะเป็นพ่อพิมพ์ของชาติโอกาสที่จะได้รับการยอมรับคงจะเป็นเรื่องที่ยาก จะกลายเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีกับเด็กไปซะมากกว่า

"ไม่ครับ" ผมตอบ

"ดีแล้ว เพราะพี่อยากให้คนเก่งทำอย่างอื่นมากกว่าเป็นครู" พี่เติมเต็มบอกตอนที่เดินเข้ามาในลิฟท์

"ทำอะไรเหรอครับ" ผมถาม

"เป็นแม่บ้านให้พี่ก็พอ" พี่เติมเต็มพูดยิ้มๆ

"แม่บ้านอะไรล่ะครับ" ผมทำหน้ามุ่ยใส่พี่เติมเต็มที่ชอบพูดเหมือนผมเป็นผู้หญิง

"งั้นพ่อบ้านก็ได้" ยังไม่หยุดอีก

"ไม่ได้ต่างกันเลย" ผมโวยออกมา

"งั้นเป็นเมียพี่ก็พอ ..... จบ"

ผมอ้าปากจะพูดต่อแต่พี่เติมเต็มก็บอกว่าจบ ผมก็เลยต้องเงียบไป ... เผด็จการจัง


พอถึงหน้าห้องของพี่เติมเต็ม พี่เติมเต็มยืนอยู่สักพักและไม่แตะคีย์การ์ดที่อยู่ในมือ

"ทำไมไม่เข้าห้องล่ะครับ" ผมถามด้วยความแปลกใจ

"รอฤกษ์ดีแป๊บ" พี่เติมเต็มพูดจาแปลกๆแต่ก็เห็นพี่เติมเต็มมองเวลาบนนาฬิกาข้อมือที่ใส่อยู่ ผมก็ยืนมองและรอเวลาที่พี่เติมเติมบอกว่าเป็นฤกษ์ดี ถึงจะไม่เข้าใจก็เถอะ ผ่านไปหลายนาที พี่เติมเต็มก็แตะคีย์การ์ดและกดรหัสผ่าน เสียงปลดล็อคที่ประตูดังขึ้น และพี่เติมเต็มเป็นคนให้ผมเดินเข้าห้องไปก่อน

ผมเดินเข้ามาในห้องของพี่เติมเต็มด้วยความงงๆและพอเข้าห้องมาก็ยิ่งต้องแปลกใจ พอมองไปที่มุมห้องทางด้านซ้ายมือที่ปกติจะว่างแต่ตอนนี้มีตุ๊กตาหมีตัวใหญ่มากวางอยู่ ตัวสูงมากกว่าผมด้วยซ้ำ ผมหันไปมองพี่เติมเต็มอย่างงงๆ แต่พี่เติมเต็มแค่ยิ้มกลับมา ผมเดินเข้าไปดูตุ๊กตาหมีตัวนั้นใกล้ๆ ที่มือของตุ๊กตาหมีมีการ์ดขนาดครึ่งเอสี่มีข้อความว่า

"welcome"

ยินดีต้อนรับเหรอ? แค่กลับมาจากค่ายแค่นี้ต้องมีตุ๊กตาอะไรแบบนี้ด้วย ผมยิ้มให้กับพี่เติมเต็ม

และที่ถัดจากตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ก็คือห้องที่พี่เติมเต็มเอาไว้ใช้นั่งทำงาน และเก็บพวกหนังสือเรียน แต่ปกติพี่เติมเต็มจะชอบมานั่งที่ห้องรับแขกมากกว่า และผมก็ยิ่งแปลกใจเพิ่มเข้าไปอีกก็เพราะที่ประตูหน้าห้องนี้ปกติจะว่างเปล่าไม่มีข้อความไม่มีป้ายอะไรทั้งสิ้น แต่ตอนนี้กลับมีป้ายแขวนที่ประตูห้อง


      คนเก่ง ❤️


นี่คือป้ายข้อความที่หน้าประตูห้อง


ผมสะดุ้งเล็กน้อยตอนที่กำลังยืนงงอยู่ พี่เติมเต็มเข้าสวมกอดผมที่ด้านหลังและหอมแก้มผม

"คืออะไรเหรอครับ" ผมถามพร้อมกับชี้นิ้วไปที่ตัวอักษรที่ป้ายหน้าประตู

"เปิดประตูเข้าไปดู" พี่เติมเต็มบอก แต่ผมรู้สึกไม่กล้าที่จะเปิดประตูห้องนี้เข้าไป มันรู้สึกกลัว รู้สึกระแวง จนไม่กล้า

"เร็ว" พี่เติมเต็มจับมือผมให้ไปจับที่ลูกบิดประตู ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆก่อนจะหมุนลูกบิดประตูห้องเข้าไป

สิ่งที่ผมเห็นทำให้ผมงงมาก เพราะนอกจากที่มีการเปลี่ยนวอลเปเปอร์ในห้องใหม่แล้วยังมีเฟอร์นิเจอร์แบบบิ้วอินอีกหลายชิ้น รวมทั้งมีโซฟาตัวหนึ่งที่คล้ายกับโซฟาที่หอพักของผมที่ผมซื้อตอนที่ย้ายมาอยู่หอ ผมเดินไปดูใกล้ๆ มันไม่ใช่แค่คล้ายแต่มันคือโซฟาที่อยู่ที่หอพัก ในห้องมีเตียงนอนที่บนเตียงก็มีผ้าห่มผ้าปูที่นอนและปลอกหมอนที่สีและลวดลายเหมือนของที่ผมใช้ประจำ เพื่อความแน่ใจผมเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า และเป็นอย่างที่ผมคิดจริงๆ

ผมกำลังจะหันไปถามพี่เติมเต็มที่ยืนอยู่ตรงประตูแต่พอผมหันกลับไปก็ถูกพี่เติมเต็มที่เดินเข้ามาใกล้ผมตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้สวมกอดผมเอาไว้ ตอนนี้ใบหน้าของผมซุกอยู่ที่หน้าอกของพี่เติมเต็ม


"มาอยู่ด้วยกันนะ"


พี่เติมเต็มเอ่ยขึ้นมาพร้อมกับกอดผมแน่นมากขึ้น

"เก็บของมาให้ขนาดนี้จะปฏิเสธได้เหรอครับ" ผมถามขึ้นมาแบบไม่จริงจังนัก

"ก็ไม่คิดที่จะให้ปฏิเสธอยู่แล้ว" พี่เติมเต็มบอกก่อนจะพาผมไปนั่งทั่โซฟาที่อยู่ภายในห้อง

"ไปจัดการตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ ไม่เห็นบอกผมก่อนเลย" ผมถาม

"พี่ก็บอกคนเก่งตั้งนานแล้วนะ เรื่องที่จะให้มาอยู่ด้วยกัน วันที่พี่ไปขออนุญาตแม่กับป้าคนเก่งไง"

"พี่เต็มขี้โกงอ่ะ ตั้งนานแล้ว แล้วก็ไม่เคยพูดเรื่องนี้อีกเลย" ผมอดที่จะโวยออกมาไม่ได้

"แล้วเนี่ยคือยังไงครับ ไปขนของมาแบบนี้คนที่เขาดูแลหอเขาไม่ว่าเหรอครับ แล้วยังไม่ถึงกำหนดต้องย้ายออกด้วย เสียค่าหอที่เหลือฟรีเลย" เพราะค่าหอพักที่นี่คือจ่ายครั้งเดียวตลอดปีการศึกษา

"พี่ไปแจ้งเขาล่วงหน้าก่อนแล้วว่าจะย้าย พี่ไปเก็บของของคนเก่งแพ็คเรียบร้อยตั้งแต่ก่อนไปออกค่ายแล้ว ที่เหลือก็แค่ใช้บริการบริษัทขนส่งของพี่ต่อแค่นั้นเอง ให้เขาขนของมาให้ แต่ ... ของในห้องพี่เป็นรื้อออกมาจัดให้เองนะ"

ผมคิดตามสิ่งที่พี่เติมเต็มพูด ช่วงสี่วันก่อนที่จะไปออกค่ายกัน ผมก็สังเกตอยู่เหมือนกันว่าพี่เติมเต็มดูจะยุ่งๆแต่ผมเข้าใจว่าพี่เขายุ่งเรื่องจะไปออกค่าย แต่ถ้าผมช่างจับผิดสักนิดก็อาจจะจับได้ เพราะช่วงนั้นพี่เติมเต็มไม่ให้ผมอยู่คอนโดเลยถ้าพี่เติมเต็มไม่อยู่ด้วย ส่วนเรื่องกลับหอปกติผมจะกลับไปอาทิตย์ละครั้งหรือสองครั้ง และผมก็เพิ่งไปมาเพราะฉะนั้นก็หมดกังวลเรื่องที่ผมจะกลับหอได้เลย

"แล้วตุ๊กตาหมีมายังไงครับ วันที่เราไปออกค่ายผมจำได้นะว่าไม่มี" ผมถามด้วยความสงสัย

"ก็รบกวนให้พี่ขวัญจัดการให้ พร้อมทั้งป้ายหน้าห้อง" พอพี่เติมเต็มพูดถึงป้ายหน้าห้องทำให้ผมนึกขึ้นมาได้

"ป้ายหน้าห้องเป็นชื่อคนเก่ง แสดงว่าต่อไปผมนอนห้องนี้เหรอครับ" ผมถามด้วยความสงสัย และแอบหวั่นในใจนิดหน่อยว่าพี่เติมเต็มอาจจะอยากให้แยกห้องนอน

พี่เติมเต็มจับผมนั่งหันหน้ามาตรงๆ ก่อนที่จะพูดขึ้น

"วันนั้นที่คนเก่งเล่าให้พี่ฟังเรื่องที่ฟูจิบอกว่าไม่สบายใจถ้าหากย้ายไปอยู่กับไอ้วินแล้วเกิดทะเลาะกัน งอนกันขึ้นมา แล้วฟูจิจะไปอยู่ที่ไหน พี่ก็เก็บเอาสิ่งที่ฟูจิพูดมาคิดดู พี่ว่าก็ดูมีเหตุผลดี เพราะฉะนั้นนี่คือข้อตกลงอีกข้อหนึ่งของเรา ... ถ้ามีเหตุุการณ์ที่ทำให้คนเก่งน้อยใจหรือโกรธหรืองอนพี่ หรือมีความรู้สึกแย่เรื่องอะไรก็ตาม ห้องนี้จะเป็นพื้นที่ส่วนตัวของคนเก่งในเวลาแบบนั้น คนเก่งต้องรับปากว่าจะไม่ไปไหน จะต้องมาอยู่ในห้องนี้เท่านั้น พี่ไม่อนุญาตให้ไปที่อื่นหรือข้างนอก"

"ข้อตกลงหรือข้อบังคับกันแน่ครับเนี่ย" ผมอดที่จะหัวเราะกับข้อตกลงของพี่เติมเต็มไม่ได้

"ก็เป็นข้อตกลงที่พี่บังคับ"

พี่เติมเต็มพูดออกมาพร้อมกับยิ้มมุมปาก

"ตกลงนะครับ" พี่เติมเต็มถามผม

"ครับ ตกลง" ผมตอบรับ

ผมยิ้มให้พี่เติมเต็ม ก่อนที่พี่เติมเต็มจะดึงผมเข้าไปจูบ พี่เติมเต็มจับแขนของผมให้โอบรอบคอพี่เติมเต็มเอาไว้ พี่เติมเต็มจูบผมช้าๆและอ้อยอิ่งอยู่นานพอสมควร จนผมรู้สึกเหมือนปากผมน่าจะแดงช้ำ

"ถ้างั้นเรามาฉลองห้องใหม่กันดีกว่านะครับ" พี่เติมเต็มที่ตอนนี้ถอดเสื้อของตัวเองออกแล้วพูดออกมา ผมกลืนน้ำลายลงคอทันทีที่เห็นร่างกายของพี่เติมเต็ม

"อาบน้ำก่อนได้มั้ยครับ" ผมต่อรองเพราะถึงผมจะมั่นใจว่าตัวผมสะอาดและตัวไม่เหม็นแต่ผมก็อยากให้ร่างกายสะอาดกว่านี้

"เดี๋ยวค่อยอาบทีเดียว ไม่ได้ทำตั้งหลายวันแล้วนะ ... ไม่อยากรอแล้ว" พี่เติมเต็มพูดพร้อมกับถอดเสื้อของผมและเริ่มโถมตัวมาซุกไซร้ที่ซอกคอและบริเวณหน้าอก

ผมกับพี่เติมเต็มไม่ได้มีอะไรกันหลายวันอย่างที่พี่เติมเต็มบอก เพราะปกติอย่างน้อยก็ต้องอาทิตย์ละสองถึงสามวัน แต่ตั้งแต่ที่ผมเป็นผื่นจนไปออกค่ายกลับมาวันนี้ก็ประมาณสิบวันเห็นจะได้ แล้วดูท่าทางพี่เติมเต็มเหมือนจะกินผมลงไปทั้งตัวอย่างนั้นแหละ

ผมว่าคืนนี้ผมต้องเจอศึกหนักแน่เลยครับ ปกติพี่เติมเต็มก็ทำแต่ละรอบนานอยู่แล้ว แล้วยิ่งมาพูดว่าไม่ได้ทำหลายวันแบบนี้ ผมไม่รู้ว่าคืนนี้จะนานแค่ไหน

แต่ไม่ว่าจะยังไงผมก็สู้เต็มที่อยู่แล้ว

บอกแล้วไงว่าผมอยากให้พี่เติมเต็มมีความสุขกับร่างกายของผม

แต่ยังไงก็เอาใจช่วยผมให้ผ่านคืนนี้ไปด้วยดีด้วยนะครับ



TBC.
#เติมเต็มรัก
ninewara✿






ออฟไลน์ ninewara

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
✿ เติมเต็มรัก ✿ ครั้งที่ 36



[เติมเต็ม part]


"วิศวะเนี่ยเป็นอย่างที่เคยได้ยินเลยนะครับ ดื่มเก่ง สังสรรค์เก่ง" คนเก่งพูดขึ้นมาพร้อมกับมองไปรอบร้าน

ตอนนี้ผมกับคนเก่งอยู่ที่ร้านอาหารกึ่งผับที่เป็นร้านประจำของนักศึกษาคณะวิศวะฯ เพราะเจ้าของร้านเป็นรุ่นพี่ที่เป็นศิษย์เก่า ที่พวกเราชอบมากันก็เพราะอายุไม่ถึงก็สามารถเข้ามาดื่มได้ แต่ต้องเป็นเด็กวิศวะเท่านั้น ตอนแรกที่ผมเคยพาคนเก่งมา ผมบอกพี่เจ้าของร้านว่าคนเก่งเป็นน้องใหม่คณะวิศวะฯ พี่เจ้าของร้านบอกว่าเห็นหน้าก็รู้แล้วว่าเมียผม ก็เลยได้สิทธิพิเศษอายุไม่ถึงยี่สิบก็เข้าได้

คืนนี้ที่ต้องออกมานั่งดื่มกันอยู่แบบนี้แทนที่จะได้พักผ่อนและนอนกอดแฟนสบายๆอยู่บนเตียงก็เป็นเพราะช่วงบ่ายในกรุ๊ปไลน์ที่ไปออกค่ายกันมาบอกว่า มีรุ่นพี่คนหนึ่งที่แจ้งเข้ามาในกรุ๊ปไลน์ว่าวันนี้เป็นวันเกิด และการออกค่ายก็ผ่านไปได้ด้วยดีก็เลยอยากนัดรวมตัวกันคืนนี้เลย และอย่างที่คนเก่งพูดเมื่อตอนต้น เด็กวิศวะทุกคนมากันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา เรื่องเหล้า เรื่องเฮฮาปาร์ตี้ไม่มีขาด

เนื่องจากรุ่นพี่เจ้าของงานจองพื้นที่ไว้ค่อนข้างใหญ่ มีทั้งแบบโต๊ะกลมทรงสูงที่ยืนดื่มพร้อมเต้นไปได้ด้วย และโชคดีที่รุ่นพี่ยังจองในส่วนที่เป็นโซฟาไว้ด้วยเพราะคนเก่งคงจะไปยืนหรือไปนั่งเก้าอี้ที่ไม่มีเบาะไม่ไหว แต่ถึงรุ่นพี่ไม่จองไว้ผมก็ตั้งใจที่จะเปิดอีกโต๊ะที่เป็นโซฟาให้น้องนั่งอยู่แล้ว

เมื่อคืนผมฉลองห้องใหม่กับคนเก่งยาวนานมากครับ ผมจำไม่ได้ว่ากี่รอบแต่รู้ว่าตัวเองใจร้ายกับคนเก่งไปพอสมควรเลย รอบสุดท้ายถ้าคนเก่งไม่หลับไปก่อน ผมต้องขอต่ออีก เมื่อคืนเป็นครั้งแรกที่คนเก่งหมดแรงและหลับไปทั้งๆที่ตัวผมยังอยู่ในตัวน้องอยู่เลย ทำไงได้ล่ะครับผมไม่ได้มีอะไรกับน้องเลยเกือบสองอาทิตย์

"ไม่ต้องมามองแบบนี้เลยนะ คืนนี้ไม่ใจอ่อนแล้ว" ผมไม่รู้ว่าผมใช้สายตาแบบไหนมองคนเก่ง น้องถึงได้พูดแบบนั้นออกมา ผมได้แต่ยิ้มและโยกหัวน้องไปมาเบาๆ

ช่วงสายที่คนเก่งตื่นมาน้องงอแงนิดหน่อยครับคงจะเพราะความเจ็บและความหิวด้วย เพราะน้องไม่ได้ทานอะไรเลยตั้งแต่กลับถึงคอนโดเมื่อวานจนกระทั่งตื่น

"คืนนี้พี่ให้พักผ่อนครับ นอนเต็มที่เลย" ผมรีบพูดอย่างเอาใจ ก่อนจะหันไปคุยกับเพื่อนๆพี่ๆน้องๆร่วมคณะวิศวะที่เข้ามาทัก

"พี่เต็มไปสนุกกับเพื่อนๆเถอะครับ เดี๋ยวฟูจิก็มาแล้ว" ผมลังเลใจเพราะไม่อยากให้น้องนั่งอยู่คนเดียวแบบนี้ และกลัวน้องคิดว่าผมพามาแล้วก็มาทิ้งน้องเอาไว้ ถึงแม้ว่ามันไม่ได้ห่างกันมากก็เถอะ

"พี่เป็นห่วงน่ะ ร่างกายยิ่งยังไม่ค่อยโอเคอยู่ด้วย" ผมพูดด้วยความกังวล

"ไม่ต้องห่วงหรอกครับ นั่นไงฟูจิมาแล้ว" ผมมองตามนิ้วของคนเก่ง ไอ้ธาวินเดินจับมือฟูจิเดินเข้ามาในโซนที่รุ่นพี่จองเอาไว้ ฟูจิยกมือไหว้รุ่นพี่แทบจะรอบร้านก่อนไอ้ธาวินจะพาเดินมาหาคนเก่ง

"ดื่มได้แต่อย่าให้เมามากนะ" ไอ้ธาวินบอกฟูจิที่นั่งลงที่โซฟาตรงกันข้ามกับคนเก่ง

"แล้วผมดื่มได้มั้ย" คนเก่งถามผม ปกติน้องจะไม่ค่อยดื่มครับแต่ถ้ามีเพื่อนมาด้วยก็จะดื่มบ้าง

"ได้ครับ แต่อย่าดื่มจนเมา ดูแลกันด้วยล่ะ" ผมบอกน้อง พร้อมทั้งบอกฟูจิไปด้วย

"อย่าเว่อร์ไอ้เต็ม โต๊ะอยู่ห่างกันแค่ฟุตเดียวมึงทำเหมือนไกลกันมาก" ไอ้ธาวินมันพูดขึ้นมา

"หึ งั้นมึงก็ไม่ต้องหันมาสนใจแฟนมึงล่ะเพราะอยู่แค่นี้เอง" ผมบอกมัน

"ไม่สนได้ไง กูรักของกู" ไอ้ธาวินพูดเสร็จก็ก้มลงไปจูบปากแฟนมันอย่างหมั่นเขี้ยวครั้งหนึ่ง ผลคือมันโดนแฟนมันต่อยที่ท้องไปหนึ่งที ดูก็รู้ว่ามันไม่เจ็บแต่แกล้งสำออยอ้อนแฟน 

ผมมองคนเก่งที่ทำตาโตกับฉากเลิฟซีนเล็กๆของเพื่อนตัวเอง จนอดที่จะลูบหัวน้องไปมาไม่ได้ สักพักผมกับไอ้ธาวินก็ไปรวมกลุ่มกับชาววิศวะที่มากันพร้อมหน้า ผมดื่มและพูดคุยกับทุกคนในขณะที่ก็คอยมองคนเก่งไปด้วย

ประมาณสี่ทุ่มรุ่นพี่ที่เป็นเจ้าของวันเกิดก็มาถึง รุ่นพี่บอกว่าวันนี้เตรียมโชว์สุดพิเศษมาให้พวกเราชาววิศวะและลูกค้าในร้านด้วย หลังจากพูดเสร็จเสียงดนตรีในร้านก็เงียบไป ก่อนจะมีเสียงดนตรีดังขึ้นมาอีกรอบพร้อมกับแสงไฟต่างๆในร้านที่จัดเต็มมาก และตามมาด้วยผู้ชายน่าจะเกือบสิบคนได้ที่เดินเข้ามาภายในร้าน ผมถึงบางอ้อทันทีเพราะตอนแรกที่มาถึงร้านผมคิดว่าทางร้านจัดพื้นที่ในร้านใหม่ เพราะลักษณะคือมีการปูพรมแดงตั้งแต่ประตูร้านจนเข้ามาด้านใน และแยกเป็นทางเดินซ้ายขวา

ผู้ชายกลุ่มนี้เดินเข้ามาตามจังหวะดนตรีและหยุดยืนประจำที่ของตัวเอง เดาว่าคงจะโชว์อะไรสักอย่าง พอทุกคนยืนเรียบร้อยแล้วดนตรีก็หยุดลงก่อนจะเปลี่ยนเป็นเพลงที่มีจังหวะสนุก

"พี่เอกจัดเต็มไปมั้ยมึง" เพื่อนผมพวกไอ้ชินท์ไอ้ธรณ์ พูดถึงความเล่นใหญ่ของรุ่นพี่ เพราะพอท่อนแรกของเพลงที่เปิดอยู่ขึ้นมา พี่เอกรุ่นพี่ที่เป็นเจ้าของวันเกิดก็ลงไปยืนอยู่จุดตรงกลางของร้านและเต้นแบบจัดเต็มมาก

"ก็ธรรมดานิสัยพี่แก อีกอย่างแกคงกลัวว่าพวกเราจะลืมว่าแกเคยอยู่ทีมโคฟเวอร์มาก่อน"

อย่างที่ไอ้ทัตพลพูด พี่เอกที่เป็นเจ้าของงานแกเคยเต้นโคฟเวอร์มาก่อนแต่เท่าที่รู้แกก็เลิกเต้นมาประมาณสองปีเพราะเรียนหนัก ตอนนี้แกอยู่ปีสี่แล้วแกก็คงจะอยากจะเต้นส่งท้าย

ตอนนี้สาวๆในร้านส่งเสียงร้องออกมาด้วยความถูกใจ ผมหันไปมองคนเก่งที่ตอนนี้สีหน้าน้องที่ผมเห็นดูน้องจะชอบการแสดงมากเพราะน้องนั่งร้องเพลงและปรบมือตามจังหวะเพลงไปด้วย และหันมาคุยกับฟูจิเป็นระยะ

"มึง" ไอ้ธาวินเดินมาประชิดตัวผมก่อนจะสะกิดที่หัวไหล่ ผมส่งสายตาเป็นคำถามไปให้มัน

"มึงเห็นผู้ชายที่เต้นอยู่ตรงนั้นมั้ย ที่ใส่เสื้อกล้ามดำกางเกงส้ม" ผมมองตามที่ไอ้ธาวินมันบอก ผู้ชายคนนี้เป็นหนึ่งในทีมเต้นและอยู่ไม่ไกลจากพวกผมมากนัก

"ทำไมว่ะ" ผมถาม

"มึงว่ามันมองใคร ... แฟนมึงหรือแฟนกู" พอไอ้ธาวินมันพูด ผมขมวดคิ้วทันทีและพอมองที่ผู้ชายคนนั้น สายตาและรอยยิ้มมันส่งไปตรงจุดที่คนเก่งและฟูจินั่งอยู่บ่อยมาก

"แฟนกู" ผมบอกไอ้ธาวินด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจ และมันก็หัวเราะออกมา

"กูก็ว่างั้น"พอไอ้ธาวินพูดเสร็จมันก็เดินไปหาฟูจิและกระซิบข้างหู ก่อนที่ฟูจิจะลุกเดินออกไปกับไอ้ธาวิน ผมเดาว่ามันคงชวนฟูจิไปห้องน้ำ และพอคนเก่งนั่งอยู่คนเดียว ทุกอย่างก็ยิ่งชัดขึ้น ผู้ชายคนนั้นมันมองคนเก่งจริงๆ

ผมก็เลยรีบเดินไปนั่งข้างคนเก่งพร้อมทั้งโอบไหล่น้องไว้แต่แค่นั้นมันยังไม่พอ ผมเพิ่มเติมด้วยการหอมแก้มน้องด้วย ผมไม่ได้มองไปทางผู้ชายคนนั้นก็เลยไม่รู้ว่ามันทำหน้ายังไง แต่แฟนผมตอนนี้ทั้งตกใจทั้งหน้าแดงจนผมอยากพากลับคอนโด

"ชอบเหรอ" ผมถามกลางๆไม่ได้สื่อว่าหมายถึงเรื่องอะไร

"ครับ ผมชอบดูอะไรแบบนี้พวกเต้นน่ะครับ คนที่เต้นได้เขาเก่งดี เพราะผมเต้นไม่เป็น" คนเก่งบอกน้ำเสียงเต็มไปด้วยความชื่นชม จนผมรู้สึกหงุดหงิด

"พี่เต็มก็เต้นเก่งเหมือนกันนี่ครับ ไม่ได้เห็นพี่เต็มเต้นนานแล้วเหมือนกันเนอะ" คนเก่งพูดขึ้นมาอีก และตอนนี้ดูเหมือนน้องจะหันมาสนใจที่จะคุยกับผมมากกว่าดูเต้นโคฟเวอร์แล้วครับ

เรื่องที่น้องบอกว่าผมเต้นเก่งมันเป็นเรื่องตั้งแต่สมัยที่เรียนมอปลายครับ อย่างที่รู้กันคือผมชอบทำกิจกรรม เวลามีร้องมีเต้นให้ผมทำผมก็ทำหมด แต่พอเข้าเรียนมหาวิทยาลัยผมก็ลดกิจกรรมทุกอย่างเพราะอยากจะเรียนมากกว่า และอีกอย่างกิจกรรมในมหาวิทยาลัยมันมีเยอะกว่าสมัยเรียนมัธยมมากจนเลือกไม่ถูกว่าจะทำอะไรดี

"แก่แล้วไม่มีแรงเต้นแล้วครับ" ผมบอกคนเก่ง น้องหัวเราะขำผมออกมาอย่างน่ารัก

"ยี่สิบเอ็ดเนี่ยแก่เหรอ ไม่ใช่แล้วครับ" น้องบอก

"ก็แก่สำหรับการเต้น แต่แรงยังมีอีกเยอะสำหรับบางเรื่อง" ผมบอกคนเก่งที่ข้างหูพร้อมกับจูบคลอเคลียน้องไปมาที่ข้างแก้มและใบหู คนเก่งไม่ได้เบี่ยงตัวหนีหรือหลบผม น้องยินยอมให้ผมนัวเนียแต่โดยดี

"ถ้าไม่ห้ามจะเลยเถิดแล้วนะ" ผมบอกคนเก่งเสียงพร่า มือผมเริ่มจะลวนลามน้องมากขึ้นแล้วครับ

"พี่เต็มไม่ทำหรอกครับ เพราะพี่เต็มรับปากแล้วว่าคืนนี้จะให้ผมนอนสบายๆ" ผมชะงักไปนิดหน่อยตอนที่ได้ยินน้องพูด ผมกอดคนเก่งไว้นิ่งๆก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ  แต่ยังไม่ได้พูดอะไรกันต่อ ก็มีเสียงกรี๊ดดังลั่นร้าน พอผมหันไปมองก็รู้ที่มาของเสียงกรี๊ดเพราะเหล่านักเต้นทั้งหลายตอนนี้ถอดเสื้อที่ใส่กันมาจนเปลือยช่วงบน เผยให้เห็นซิกแพคของแต่ละคนอย่างชัดเจน

พอหันมามองแฟนตัวเอง คนเก่งมองตาค้างเลยครับ จนผมยกมือขึ้นมาปิดตาน้องไว้

"ห้ามมอง" ผมบอก

"ทำไมล่ะครับ" คนเก่งถามผมแต่น้องก็ไม่ได้จับมือผมที่ปิดตาน้องอยู่ออก

"ก็เรามองผู้ชายคนอื่นแล้วตาโตแบบนี้ใครจะชอบล่ะ" ผมบอกก่อนจะสะดุ้งเพราะสัมผัสเย็นๆที่บริเวณหน้าท้อง ผมก้มลงมองก่อนจะเห็นว่าเป็นมือของคนเก่งที่ล้วงเข้ามาภายในเสื้อเชิ้ตของผม ผมรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องทันที

"มันอยู่ตรงหน้าถึงไม่อยากมองเราก็ต้องมองครับ แต่แค่พี่เต็มคนเดียวที่ผมอยากมอง ... และอยากสัมผัสนะครับ"

คนเก่งพูดด้วยน้ำเสียงปกติพร้อมกับยิ้มไปด้วย เสียงน้องมันไม่ได้ยั่วยวนแต่พอผมได้ยินผมแทบจะทนไม่ไหว

"ยั่วเก่งนะ" น้องตาโตตอนที่ผมพูด

"ร้านกูไม่มีห้องนะเว้ย จะทำอะไรกันก็กลับบ้าน" เสียงรุ่นพี่ที่เป็นเจ้าของร้านดังขึ้นมาผมกันไปมองพี่เขายืนอยู่ที่บริเวณหน้าโต๊ะ

"ทำอะไรล่ะพี่ แค่แสดงความรักกันนิดหน่อย" ผมบอก

"กูมองสักพักแล้ว อีกนิดเดียวกูว่า .... " พี่เขาพูดแค่นั้นพร้อมกับส่ายหน้าไปมา

"เขามาสังสรรค์กัน เสือกมาสร้างโลกส่วนตัว"

"ผมขอโทษนะครับ" คนเก่งหน้าเสียขึ้นมาทันที

"เฮ้ย!ไม่ต้องขอโทษๆ กูแค่หมั่นไส้ก็เลยเข้ามาแซวมันเท่านั้นแหละ" พี่มันรีบพูดด้วยความตกใจคงเพราะเห็นสีหน้าของคนเก่ง

หลังจากนั้นคนเก่งก็ได้รับเหล้าปั่นปลอบใจหนึ่งโถใหญ่พร้อมกับแกล้มชุดใหญ่ หลังจากการแสดงเล่นใหญ่ของเจ้าของงานผ่านไปภายในร้านก็กลับมาสู่ความสงบอีกครั้ง วงดนตรีและนักร้องขึ้นร้องเพลงบนเวทีด้วยเพลงที่คึกคัก บรรดาเพื่อนผมไม่รู้เมากันจริงมั้ย แต่ลักษณะการเต้นเหมือนมันจะเมากันพอสมควรครับ

"เพื่อนพี่เต็มตลกเนอะ" คนเก่งมองกลุ่มเพื่อนผมที่กำลังจับกลุ่มเต้นกันด้วยท่าเต้นที่สามารถเรียกอวัยวะเบื้องล่างได้ ถ้าไปเต้นที่อื่นไม่ใช่ที่นี่ผมว่าคงโดนกันยกกลุ่ม แต่ปกติพวกมันก็เต้นกวนๆแบบนี้เฉพาะที่นี่เท่านั้นแหละครับ

"กวนตีนน่ะสิ ถ้าไม่ใช่ที่นี่มันโดนรุมกันแล้ว" ผมบอกพลางนั่งดื่มเหล้าที่ไอ้ชินท์มันคอยชงมาให้ ส่วนคนเก่งน้องก็นั่งดื่มเหล้าปั่นอยู่ข้างๆผม โดยมีฟูจิและไอ้ธาวินนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

"ไอ้เต็ม จะว่ากูเสือกก็ได้นะ มึงหัดถนอมแฟนหน่อยไม่ได้หรือไง" ไอ้ธาวินมันพูดพร้อมกับใช้นิ้วตัวเองจิ้มไปที่คอของตัวเองหลายจุด สายตามันพยักเพยิดให้มองคนข้างตัวผม พอผมมองตามก็เลยเข้าใจสิ่งที่มันพูด

"ในเมื่อแฟนกูไม่บ่น ก็หมายความว่าแฟนกูโอเค" ดูเหมือนคนเก่งจะไม่ได้ยินว่าผมกับไอ้ธาวินพูดอะไรกัน น้องแค่หันมามองผมและยิ้มให้อย่างงงๆ ที่คอของคนเก่งมีรอยแดงนิดหน่อยครับ ไม่ได้น่าเกลียดหรือเยอะอย่างที่ไอ้ธาวินมันพูด

"พอดีเมื่อคืนกูฉลองที่คนเก่งย้ายมาอยู่กับกูอย่างเป็นทางการ" ผมบอกไอ้ธาวินด้วยน้ำเสียงอวดๆ

"ย้ายออกจากหอแล้วเหรอ" ไอ้ธาวินถามและผมก็ยักคิ้วให้มัน

"ฟูจิ ไหนบอกว่าต้องอยู่จนครบกำหนดถึงย้ายหอได้ไง ทำไมคนเก่งย้ายออกมาอยู่ที่คอนโดไอ้เต็มได้แล้วล่ะ" ไอ้ธาวินหันไปเล่นงานฟูจิ ฟูจิทำหน้าแปลกใจมองผมทีมองคนเก่งที ผมรู้สึกว่าผมกำลังจะมีงานเข้านะครับ

"มึงย้ายของมาอยู่กับพี่เต็มแล้วเหรอ" ฟูจิถามคนเก่ง

"ใช่ พี่เต็มจัดการให้อ่ะ เมื่อวานกลับจากค่ายมา ขึ้นห้องพี่เต็มไป ของก็ขนมาหมดแล้ว" คนเก่งบอกฟูจิ

"กูเคยไปถามคนดูแลเขาบอกต้องออกตอนที่ครบกำหนดอ่ะ ไม่งั้นเงินค่ามัดจำก็ไม่ได้ ต้องเสียค่าปรับด้วย" ฟูจิอธิบาย ... เงื่อนไขที่แท้จริงออกมา

"ไอ้เต็มมันก็ต้องจ่ายให้คนเก่งเหมือนกัน บอกแล้วว่าจะจ่ายให้ทั้งค่ามัดจำทั้งค่าปรับก็ไม่เอา" ไอ้ธาวินบ่นให้แฟนมัน

"ผมไม่อยากให้พี่มาเสียตังค์ไง ค่ามัดจำมันเป็นเงินของผมที่จะต้องได้อยู่แล้วแค่รอสักหน่อย และถ้าเรารอค่าปรับก็ไม่ต้องเสีย เห็นมั้ยเรามีแต่ได้" ฟูจิอธิบาย

ผมมองคนเก่งตลอดเพราะลุ้นว่าน้องจะพูดอะไรออกมาหรือเปล่า เพราะผมไม่ได้บอกน้องถึงเรื่องรายละเอียดพวกนี้ แต่คนเก่งแค่นั่งเงียบๆและนั่งดื่มเหล้าปั่นไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้ถามผมเรื่องที่ผมพูดความจริงไม่หมดเรื่องย้ายหอ



(มีต่อนะคะ)

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด