❤#Heart To Heart #ใจแพ้รัก❤ 「ตอนที่22」-27/07/19-
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ❤#Heart To Heart #ใจแพ้รัก❤ 「ตอนที่22」-27/07/19-  (อ่าน 15248 ครั้ง)

ออฟไลน์ ิbanoffee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-07-2019 03:04:50 โดย ิbanoffee »

ออฟไลน์ ิbanoffee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-07-2019 03:05:55 โดย ิbanoffee »

ออฟไลน์ ิbanoffee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
Re: #Heart To Heart #ใจแพ้รัก 「บทนำ」-22/03/19-
«ตอบ #2 เมื่อ22-03-2019 20:29:07 »

บทนำ

    วันนี้ผมคาดเดาว่าจะเป็นข่าวดีของบ้านหลังใหญ่ที่อยู่รั้วติดกัน เมื่อป้าแม่บ้านกำลังทำความสะอาดครั้งใหญ่ในรอบหลายปี นั่นหมายความว่าเจ้าของบ้านที่จากไปนานกำลังจะกลับมา

        ใครบางคนที่ผมรอคอยจะได้กลับมาเจอหน้ากันอีกครั้ง…

        รักแรกของผม…

        คนที่สร้างความประทับใจให้กับผมตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน ผมเกิดปลื้มและชื่นชอบเขามาก ทว่าเพียงแค่หนึ่งเดือนที่ผมเพิ่งย้ายมาเป็นเพื่อนบ้านของเขา คนๆ นั้นก็ต้องย้ายไปอยู่อังกฤษเพราะธุรกิจของครอบครัว

        ผมไม่รู้เลยว่าเขาจะไปกี่วันกี่เดือนหรือกี่ปี มันเป็นการไปอยู่อย่างไม่มีวันกำหนดกลับที่แน่นอน เพราะอย่างนั้นผมจึงเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาชะโงกมองเข้าไปในรั้วใหญ่ทุกวัน

        เพื่อหวังว่าสักวันหนึ่ง ผมจะได้เห็นใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มใจดีของเขากำลังเดินออกมาพร้อมกับทักทายผมเหมือนอย่างที่เคยเป็น

        ผมรู้จักคนๆ นั้นตอนอายุเพียงแปดขวบและเขาที่มีอายุมากว่าผมสองปี ตอนนั้นผมมีความลับบางอย่างที่จำเป็นต้องปิดบังและเขายังไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนั้นกระทั่งมันผ่านมานานถึงแปดปีหลังจากที่เขาได้ร่ำลาไป

        ผมอายุสิบหกและเขาก็คงสิบแปดปีแล้ว ผมอดตื่นเต้นและดีใจไม่ได้ที่จะได้เจอเขาซะที ทว่าหากเขาเจอผมในตอนนี้ เขาจะยังจำเด็กข้างบ้านอย่างผมได้มั้ย หากเขาได้มาเห็นสภาพของผมในตอนนี้…


       ‘เขาจะผิดหวังหรือเปล่า’


        การรอคอยสิ้นสุดเมื่อผมเห็นรถแวนคันหรูสีดำขับเคลื่อนผ่านรั้วใหญ่เข้าไปจอดข้างใน เห็นดังนั้นผมที่ยังทำตัวมาชะโงกมองเฉกเช่นทุกวันจึงถือวิสาสะรีบเดินตามเข้าไปก่อนรั้วจะถูกปิดอัตโนมัติ

        ผมยืนฉีกยิ้มกว้างเพราะดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่พลางไล่สายตามองคนที่ทยอยลงจากรถมาทีละคน “คุณลุง คุณป้า สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้คนทั้งสองที่ลงมาจากรถก่อนจะตามมาด้วยลูกชายทั้งสามของพวกเขา

       “ใครกันเหรอครับ?” นั่นเขา…คนที่กำลังมองผมอย่างสงสัย ผมนึกไว้อยู่แล้วว่าเขาไม่มีทางจำผมได้

       ตอนนี้ทุกคนต่างยืนมองผมด้วยสีหน้าสงสัยว่าผมเป็นใครกัน แต่มีหนึ่งคนที่ขมวดคิ้วมองผมสักพักแล้วคลายยิ้มออกมา “เฮ้ย โชเหรอวะ”

       “เออ” ผมตอบ คงมีมันคนเดียวที่จำผมได้ เราทั้งคู่ดีใจจนโผกอดแล้วตบบ่าเบาๆ ทักทายกัน

       “นี่โชไงครับ…โชกุน” พอผมถูกแนะนำว่าเป็นใคร สีหน้าทุกคนต่างก็อึ้งและคงไม่อยากจะเชื่อว่าตรงหน้าคือคนที่พวกเขาเคยรู้จัก

       พวกเขายังคงสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรมาก เพราะเวลานี้เราต่างก็ทักทายกันก่อนตามประสาที่ไม่ได้เจอมานาน ยกเว้นแต่คนที่ผมเฝ้ารอคอยที่จะเจอมาตลอด ตอนนี้เขาไม่พูดอะไรสักคำและเอาแต่มองผมด้วยสายตาแบบนั้น…


       สายตาที่ดูผิดหวัง


       เขาคนนั้นเดินเข้าไปในบ้านด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนเป็นเย็นชาโดยไม่เอ่ยถามหรือรอฟังผมอธิบายอะไรเลย






Banoffee's zone
เรื่องอะไรที่ทำให้ใครคนนั้นต้องผิดหวังกันนะ...
โปรดติดตามตอนต่อไปของนิยายเรื่องนี้ด้วยนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-03-2019 20:34:08 โดย ิbanoffee »

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: #Heart To Heart #ใจแพ้รัก
«ตอบ #3 เมื่อ22-03-2019 21:34:35 »

ลุ้น

ออฟไลน์ ิbanoffee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
Re: #Heart To Heart #ใจแพ้รัก 「ตอนที่1」-23/03/19-
«ตอบ #4 เมื่อ23-03-2019 14:29:12 »

ตอนที่ 1


      โชกุน เธียรวาณิชย์…สอบได้…

      “เย้!!!”

      ครับ…นั่นชื่อของผมเอง หลังจากที่ผมเห็นผลการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ผมก็ดีใจจนตะโกนลั่นบ้าน

      พ่อที่ง่วนอยู่กับการปลูกต้นไม้อยู่สวนหน้าบ้านถึงกับวิ่งมาทั้งมือที่ยังเปอะเปื้อนดิน ส่วนแม่ที่กำลังทำกับข้าวในครัวก็วิ่งหน้าตื่นมาทั้งที่ตะหลิวยังคามืออยู่เลย “เกิดอะไรขึ้นลูก ร้องเสียงดัง แม่ตกใจหมด” แม่ถาม

      “ฮ่าๆๆ ใจเย็นกันนะครับทุกคน” ผมหัวเราะให้กับท่าทางที่ตลกของพวกท่าน นั่นทำให้พ่อเบิ้ดกระโหลกผมไปหนึ่งทีแล้วจ้องเขม็งเพื่อเร่งให้ผมตั้งโต๊ะแถลงการณ์ซะที ว่าสาเหตุอะไรที่ผมต้องตะโกนเสียงดังจนทำให้พวกเขามารวมตัวกันที่ห้องนั่งเล่นแบบนี้ “อะแฮ่ม…ผมสอบติดคณะบริหารครับผมมมม” ผมยืดอกอ้าแขนพูดอย่างภาคภูมิใจ

      “คณะน่ะใช่ แต่สถาบันไม่ใช่” พ่อพูดขึ้นหลังจากเดินมาดูโน้ตบุ๊คที่ยังค้างหน้าจอประกาศผลสอบไว้

      “โธ่พ่อ แต่นี่ก็เป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงไม่แพ้กันเลยนะ ผลประกาศออกก่อนและปรากฏว่าผมสอบติดด้วย ถ้าอย่างนั้นก็ให้ผมเรียนที่นี่เถอะ นะๆๆ พ่อนะ” ผมพูดพลางดึงแขนอ้อนพ่อไปมาเหมือนเด็ก

      “หึ หัวหมอนักนะ ฉันไม่สนว่าแกจะสอบติดที่นี่ก่อน” พ่อสะบัดมือผมออกอย่างไม่ไยดี “ทั้งพ่อและแม่ของแกเคยเป็นศิษย์เก่าที่มหาวิทยาลัยแห่งนั้นทั้งคู่ ดังนั้นแกจะต้องเจริญรอยตามโดยการเรียนที่นั่นด้วย เข้าใจมั้ย แล้วก็สามวันข้างหน้าแกค่อยมาบอกข่าวดีให้ฉันฟังอีกที โอเค้” สายตาประกาศิตจากพ่อได้ส่งมาถึงผมก่อนที่จะเดินออกไปปลูกต้นไม้ที่สวนหน้าบ้านต่อ


      “แม่คร้าบบบบ” ผมหันไปพูดเสียงอ้อนและทำตาแป๋วเพื่อขอความช่วยเหลือจากแม่

      “อย่ามองแบบนั้น แม่ช่วยไม่ได้หรอก เคยพูดให้แล้วแต่พ่อลูกน่ะคำไหนคำนั้น เอาเป็นว่าเรียนที่ที่พ่อเขาคาดหวังไว้เถอะนะ แม่ไปทำกับข้าวต่อละ”

      อย่างที่พ่อพูดแหละครับว่าผมต้องเรียนมหาวิทยาลัยที่ท่านเลือก ผมสอบติดสถาบันแห่งหนึ่งที่ผลประกาศออกก่อน โดยหวังว่าถ้าสอบติดท่านก็อาจจะใจอ่อนยอมให้ผมเรียนที่นี่เลย แต่ว่าพ่อผมเป็นคนหนักแน่นครับ ยังไงก็จะให้ผมเรียนที่เดียวกันกับที่พวกท่านเคยเรียนให้ได้ ซึ่งผลสอบที่ดังกล่าวก็จะประกาศในอีกสามวันข้างหน้านี้

      ผมมั่นใจว่าจะต้องสอบติดมหาวิทยาลัยแห่งนั้นได้แน่เพราะผมตั้งใจทำข้อสอบเป็นอย่างดี ในทางตรงกันข้ามถ้าผมสอบไม่ติด พ่อก็จะคิดว่าผมแกล้งไม่ตั้งใจสอบเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเรียนที่นั่น และถ้าเป็นอย่างนั้นท่านก็ถึงขั้นจะตัดขาดกับผม ความหนักแน่นของพ่อก็คือพูดจริงทำจริงครับ ผมเคยเจอมาแล้ว ดังนั้นผมจึงไม่อยากให้เกิดปัญหาแบบนั้นและไม่อาจทำให้ท่านผิดหวัง ยังไงซะผมก็คงต้องได้เรียนที่นั่น


      ที่เดียวกันกับเขาคนนั้น…


      ทำไมต้องเป็นที่แห่งนั้นและยังเป็นคณะเดียวกันอีกด้วยยยยยย






      วันปัจฉิมนิเทศ



      “กูสอบติดคณะและก็ที่เดียวกันกับมึงว่ะ”

      “จริงเหรอเพื่อน อย่างนี้มันต้องฉลอง” ไอ้นักทำท่าดีใจออกนอกหน้า

      “เชี่ยนักดูหน้ากูด้วย มึงก็รู้ว่ากูไม่อยากเรียนที่เดียวกันกับพี่มึง” ผมพูดด้วยสีหน้าที่โคตรเซ็ง

      “โอ้ย ไม่ต้องไปสนเฮียเขาหรอก กูดีใจที่มึงกับกูได้เรียนที่เดียวกันนะเว้ย”


      ไม่มีอะไรที่จะทำให้ผมหงุดหงิดเท่าเรื่องนี้…ใช่แล้วครับ ผมสอบติดมหาวิทยาลัยที่พ่อคาดหวังไว้ ท่านดีใจและมีความสุขมาก ตัดภาพมาที่ผมผู้ซึ่งเครียดกับการที่จะได้เผชิญหน้ากับคนๆ หนึ่งหากได้ไปเรียนที่นั่น

      คนนั้นที่ผมพูดถึงมาตลอดก็คือเฮียขุน เขาคือพี่ใหญ่ของไอ้นักเพื่อนผมเอง คนที่ผมเคยรอคอยมาแปดปีนั่นแหละครับ คนที่ผมเป็นปลื้มและชื่นชอบเขามาตลอดจนกระทั่ง…






      วันเดียวกันเมื่อสองปีที่แล้ว



      “เฮียขุน ไอ้โชมีของจะให้” ไอ้นักพูดพลางผลักผมเข้าไปในห้อง

      “ขะ…ของขวัญครับ” ผมยื่นกล่องของขวัญให้เฮียขุนอย่างเขินๆ

      “น้องโชไม่มีของขวัญให้พี่บ้างล่ะครับ โหย กูอิจฉามึงนะเนี่ยไอ้ขุน” ไอ้พี่ภามแซวผม หลังจากนั้นเพื่อนอีกสองสามคนที่นั่งอยู่ในห้องด้วยกันก็โห่ฮิ้วขึ้นมา เอาซะผมทำตัวไม่ถูกเลยล่ะครับ

      “น้องให้ก็รีบรับดิวะ มึงไม่เอากูเอานะเว้ย” พี่ภามคนเดิมพูด

      พี่ภามคือคู่กรณีของผมตอนเด็กครับ มันคือสาเหตุที่ทำให้เกิดรักแรกของผม มันชอบแกล้งและเฮียขุนก็จะเป็นคนที่ปกป้องผมตลอด ตอนนั้นผมโคตรจะเกลียดมันเลย พอโตขึ้นถึงมันจะยังชอบแซวอยู่แต่ผมก็ไม่ได้อะไรกับมันมาก ต้องขอบคุณมันด้วยซ้ำที่ทำให้ได้รู้จักถึงการอดทนที่จะรอใครสักคน อีกอย่างตอนนี้มันกับเฮียขุนก็ได้กลายมาเป็นเพื่อนสนิทกันซะงั้น

      “ถ้ามึงอยากได้ก็เอาไปดิ” เฮียขุนพูดกับพี่ภาม วินาทีนั้นผมรู้สึกหน้าเสียและชาไปทั้งตัว มันเหมือนกับว่าผมถูกหักอกยังไงยังงั้น

      “เฮ้ย กูพูดเล่น มึงจะบ้าเหรอ น้องเขาเอามาให้มึงนะ รีบๆ รับไป เสียน้ำใจคนให้หมด”

       เฮียขุนยื่นมือมารับของขวัญของผมไป ไม่ว่าเขาจะรับไปด้วยความเต็มใจหรือเป็นเพราะพี่ภามมันพูด ผมก็โคตรดีใจที่อย่างน้อยเขาก็ยังรับมันไว้

       “เอ่อ…วันปัจฉิมทั้งที ตามธรรมเนียมก็ต้องมีการเขียนเสื้ออ่ะเนาะ ไอ้โชเขียนเสื้อให้เฮียขุนสิ” ไอ้นักพูดตัดบรรยากาศแล้วยัดปากกาใส่มือผม

       ผมถือปากกาและมองหาที่ว่างบนเสื้อเฮียขุนด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ เขาเอาแต่ใช้สายตาที่เรียบเฉยจ้องมาที่ผมพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย เดาได้เลยว่าเขาคงไม่อยากให้ผมเขียนเสื้อให้

       ผมไล่สายตามองข้อความต่างๆ นานาบนเสื้อเต็มไปหมด อวยพรบ้างล่ะ ชมบ้างล่ะ แจกเบอร์ก็มี เป็นธรรมดาที่คนหล่อและดังอย่างเฮียขุนก็คงมีคนอยากจะเขียนเสื้อให้เขาทั้งนั้น

       ตอนนี้ผมหาพื้นที่จะเขียนแทบไม่ได้ ยังดีที่เหลือบไปเห็นพื้นที่ว่างแสนจะน้อยนิดตรงชายเสื้อด้านหน้าของเฮียขุน “ผมขออนุญาตเขียนเสื้อให้นะครับ” ผมพูดกับเขาก่อนที่จะตัดสินใจเลือกเขียนตรงนั้น ส่วนเขาไม่พูดอะไรและยังคงเอาแต่จ้องมองด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยพอใจสักเท่าไร



      ไม่ว่ายังไง…ถึงแม้เขาจะไม่อนุญาตหรือไม่เต็มใจ แต่ผมก็จะเขียนให้เขาอยู่ดี



      “มึงมีกรรไกรมั้ย” หลังจากที่ผมเขียนเสร็จ เฮียขุนก็ถามหากรรไกรจากเพื่อน

      “เอาไปทำอะไรวะ” เพื่อนของเขาคนหนึ่งถามพลางยื่นกรรไกรให้หลังจากก้มๆ มองๆ ดูในใต้โต๊ะแถวนั้น

      เฮียขุนมองมาที่ผมก่อนจะใช้กรรไกรนั้นตัดชายเสื้อตรงส่วนที่เป็นข้อความของผม เขาถือส่วนที่ตัดออกมาพร้อมกล่องของขวัญเดินไปที่หลังห้องซึ่งเป็นที่วางของถังขยะ…





      …แล้วเขาก็ทิ้งสิ่งที่ถือลงไปในนั้น





      “กูเกลียดมึง” เฮียขุนหันมาพูดประโยคนั้นกับผม





      เหมือนความรู้สึกและหัวใจของผมถูกทิ้งลงขยะเช่นกัน




      คำพูดและสีหน้าที่เย็นชาของเขามันทำให้ผมเจ็บจี้ดที่หัวใจ…มันเจ็บจนทำให้มีน้ำใสๆ เอ่อล้นออกมาจากดวงตาของผม

      “ไอ้โช เดี๋ยวก่อนดิวะ!” เสียงไอ้นักเรียกตามหลังผมที่วิ่งปาดน้ำตาออกมาจากห้อง

      ผมโคตรอายและทนที่จะมองหน้าคนๆ นั้นไม่ได้อีกต่อไป



      “โว้ยยยยยยยยยย” ผมตะโกนออกมาเสียงดังหลังจากที่วิ่งจนขึ้นมาถึงดาดฟ้า ปลดปล่อยความอัดอั้นไปกับน้ำตาและเสียงที่ตะโกนออกไป

      อันที่จริงผมก็รู้ตัวมาตลอดว่าเฮียขุนคงเกลียดผมไปซะแล้ว เพราะตั้งแต่วันที่เขากลับมาจากอังกฤษและได้เข้ามาเรียนมอปลายปีสุดท้ายที่โรงเรียนเดียวกัน เขาไม่พูดและไม่แม้แต่จะมองหน้าผมเลย มีแค่ผมฝ่ายเดียวที่ยังคงยิ้มและพยายามเข้าไปทักทายเขา แต่ก็โดนเมินหนีตลอด




      ‘มันผิดนักหรือไงที่ผมเป็นผม




      “ถ้าพี่มึงอยากเกลียดกู ก็ได้…กูก็จะเกลียดเขาเหมือนกัน” ผมพูดด้วยความรู้สึกปวดใจกับไอ้นักที่วิ่งตามผมขึ้นมา มันได้แต่เอามือแตะไหล่เบาๆ ปลอบผม


      และนั่นแหละครับ…สาเหตุที่ผมไม่อยากเรียนที่เดียวกันกับเฮียขุน







      “เย็นนี้ที่บ้านมีดินเนอร์มื้อใหญ่ฉลองที่กูเรียนจบมอปลาย มึงมาสิ เฮียขุนกับเฮียกุนก็กลับมากินข้าวที่บ้านในรอบหลายเดือนด้วยนะเว้ย มึงไม่อยากไปเห็นหน้าเฮียเขาหน่อยเหรอวะ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน” ไอ้นักพูดน้ำเสียงหยอกล้อ

      “กวนตีนละ มึงจะให้กูไปให้พี่มึงทำหน้าถมึงทึงใส่กูหรือไงล่ะ กูไม่ไปหรอก” ผมพูดพลางถอนหายใจออกมาเบาๆ

      “กูเชื่อว่ายังไงมึงก็ต้องไป”

      “กูบอกไม่ไปก็คือไม่ไป”

      “เออๆ ถ้างั้นตอนนี้มึงไปกินไอติมหวานเย็นให้ชื่นใจกับกูเปล่า ไม่ได้ไปกันแค่สองคนหรอกนะ น้องแอลกับน้องโบว์ก็ไปด้วย พวกน้องเขาอยากจะฉลองให้กูอ่ะ มึงไปด้วยเผื่อจะปิ๊งถูกใจใครสักคน น่ารักทั้งคู่เลยนะเว้ย ไปม่อสาวกับกู มึงจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปคิดมากเรื่องเฮียขุน ว่าไง สนใจมั้ย”

      “ไปม่อคนเดียวเลยไป” ผมผลักให้ไอ้นักรีบเดินไป เพราะทั้งน้องแอลและน้องโบว์ที่ยืนรออยู่หน้าประตูโรงเรียนกวักมือเรียกมันอยู่ไหวๆ

      “ไม่ไปด้วยกันจริงเหรอวะ”

      “รีบไป มาเซ้าซี้กูอยู่ได้” ผมถีบส่งมันไปอีก

      “ไว้เจอกัน ยังไงเย็นนี้ต้องได้เจอมึงที่บ้านกูแน่” ไอ้นักหันมาพูดทิ้งท้ายก่อนจะวิ่งไปหาสาวๆ ของมัน ผมส่ายหัวอย่างเบื่อหน่าย

      เรื่องอะไรที่ผมจะต้องไป…ก็ผมบอกกับตัวเองว่าเกลียดเขาไปแล้วนี่

      ตั้งแต่ที่เฮียขุนจบมอปลายไปแล้วสองปี เขาก็ได้ย้ายไปอยู่หอพักใกล้กับมหาวิทยาลัยที่ชานเมือง นานๆ ทีหรือไม่ก็ช่วงปิดเทอมเขาถึงจะกลับมาที่บ้าน ในบางครั้งที่ผมไปหาไอ้นัก ผมก็ได้แต่เกาะรั้วประตูเพราะไม่อยากที่จะเข้าไปเผชิญหน้ากับเขา…ได้แต่มองเขาที่เดินเพ่นพ่านอยู่ภายในบ้านจากหน้ารั้วเท่านั้น







      “โชกุน ไปบ้านใหญ่ด้วยกัน”

      “โอ้ยย ไม่ไป…ผมบอกพ่อแล้วว่าไม่อยากไป” พ่อของผมกำลังบังคับโดยการฉุดกระชากลากถูผมที่เอาแต่เกาะประตูหน้าบ้านแน่น

       “ทำไมแกถึงไม่ไปห้ะ บ้านใหญ่เขาอุตส่าห์ชวน นานๆ ทีจะได้ทานข้าวร่วมกัน อีกอย่างก็เป็นการฉลองทั้งแกแล้วก็นักได้เรียนจบมอปลาย แม่แกก็ทำอาหารเยอะแยะไปร่วมสบทบแล้วด้วย ยังไงแกก็ต้องไป!”

       “ม่ายยยยยยยยย”

       เป็นอย่างที่ไอ้นักพูดจริงๆ ครับว่าตอนเย็นจะได้เจอกันที่บ้านมัน เพราะผมไม่อาจต้านทานคำสั่งและแรงของพ่อได้ ตอนนี้ผมก็ถูกพ่อล็อคคอจนเดินเข้ามาในบ้านใหญ่แล้วด้วย

       บ้านหรูหราคลาสสิคถูกตกแต่งเป็นสไตล์ยุโรป ผมตื่นตาตื่นใจทุกครั้งที่ได้เดินผ่านประตูบานโอ่อ่าเข้ามา นั่นเป็นเหตุที่ทำให้ครอบครัวผมขนานนามบ้านหลังนี้ว่าบ้านใหญ่ เพราะบ้านของผมที่ตั้งอยู่ข้างๆ กลายเป็นบ้านเล็กไปเลยครับ

      “พ่อ สวัสดีครับ อ้าว ไอ้โช…กะไว้อยู่แล้วเชียวว่ามึงต้องมา” ไอ้นักยกมือไหว้พ่อก่อนหันมาพูดกับผมด้วยใบหน้ายิ้มแป้น ผมกัดฟันยิ้มให้มันพลางเดินไปที่โต๊ะอาหารกับพ่อ

       หึ มันรู้อยู่แล้วสินะว่าพ่อต้องบังคับให้ผมมาจนได้

       โต๊ะอาหารที่ยาวและหรูหราตระการตา มีคุณลุงที่เป็นพ่อของไอ้นักผู้ซึ่งเป็นเจ้าบ้านนั่งอยู่หัวโต๊ะ ผมไหว้ท่านก่อนนั่งลงข้างไอ้นักที่เป็นฝั่งตรงข้ามกับที่ผู้ใหญ่นั่งกัน โดยฝั่งผมมีเก้าอี้สองตัวถัดจากหัวโต๊ะเว้นว่างไว้ก่อนถึงที่นั่งของไอ้นัก แน่นอนว่าเป็นที่นั่งสำหรับเฮียขุนและเฮียกุนที่ยังมาไม่ถึง

       คุณป้าและแม่ที่แสดงฝีมือกันเองทยอยยกอาหารจากครัวมาวางที่โต๊ะ “นัก…โทรถามพวกเฮียซิว่าถึงไหนกันแล้ว” คุณป้าพูดขึ้น

      “โทรไปแล้ว พวกเฮียบอกว่าใกล้จะถึงแล้วครับม๊า” พอไอ้นักพูดจบ ผมก็ได้ยินเสียงรถมาจอดที่หน้าบ้านทันที

      เดินเข้ามาแล้ว…บุคคลที่ผมไม่อยากจะเผชิญหน้ากับเขา ส่วนคนที่ใส่แว่นเดินตามหลังมาก็คือเฮียกุน

      เพียงแค่เฮียขุนเดินผ่านข้างหลังไปก็เล่นซะผมได้แต่นั่งเกร็งและทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะต้องหันไปทักทายพวกเขาดีมั้ย ผมเอาแต่นั่งทื่อมองตรงไปข้างหน้า ไม่กล้าแม้แต่จะเหลียวหางตาไปมองด้วยซ้ำ ทว่าเดาได้เลยว่าสีหน้าของเฮียขุนคงไม่สบอารมณ์นักที่เห็นผมนั่งร่วมโต๊ะกับเขา

      เฮียขุนและเฮียกุนยกมือไหว้ผู้ใหญ่ก่อนที่จะนั่งลงประจำที่ของตัวเอง

      “แต่ละคนหล่อจริงๆ เลยลูกชายแม่” ดูเหมือนคุณป้าจะดีใจและปลาบปลื้มมากที่วันนี้ลูกชายทั้งสามของท่านได้มารวมตัวพร้อมหน้าพร้อมตากันแบบนี้ และก็ไม่ปฏิเสธเลยครับว่าลูกชายตระกูลนี้ดูดีกันทุกคน

      คนโต ‘ขุนศึก จรัสวาณิชย์’ หรือ เฮียขุน

      คนรอง ‘กุนซือ จรัสวาณิชย์’ หรือ เฮียกุน

      และคนเล็ก ‘นักรบ จรัสวาณิชย์’ หรือ ไอ้นักนั่นแหละครับ

      พวกเขาถูกรู้จักกันในนามว่า ‘สามพี่น้องจรัสวาณิชย์’ โดยมีพี่ใหญ่อย่างเฮียขุนเป็นผู้นำทัพในทุกด้าน นอกจากหน้าตาแล้ว ความรวย การแต่งตัวและแม้แต่การเรียน พวกเขาก็สมบูรณ์แบบไปซะหมด ไม่แปลกใจที่สาวๆ ในโรงเรียนต่างก็รู้จักและชื่นชอบ ยิ่งไปกว่านั่นเมื่อพวกเขากลายเป็นบุคคลที่รู้จักในวงกว้าง เพราะรูปภาพของทั้งสามคนได้ไปโผล่ในเพจไฮสคูลคิ้วท์บอย

      พอจบมอปลายออกไปเฮียขุนก็ได้ดีกรีเป็นถึงเดือนมหาวิทยาลัย ยิ่งทำให้มีคนรู้จักเพิ่มขึ้นไปอีก เฮียกุนไม่น้อยหน้าได้เป็นเดือนมหาวิทยาลัยในปีถัดมา ในปีนี้ตำแหน่งนั้นคงหนีไม่พ้นไอ้นัก มันอาจจะได้เจริญรอยตามพี่ๆ เป็นเดือนมหาวิทยาลัยเช่นเดียวกัน

      พวกเขาทั้งสามคนเรียนคณะบริหารเนื่องจากธุรกิจของครอบครัว ผมก็ด้วย แต่พี่น้องเรียนแตกต่างกันคนละสาขา ส่วนผมเลือกเรียนสาขาเดียวกันกับไอ้นัก ทั้งบ้านใหญ่และบ้านเล็กต่างก็ทำธุรกิจส่งออก พวกเขาส่งออกจิวเวอรี่ ส่วนครอบครัวผมส่งออกผลไม้ แม้จะเป็นธุรกิจแบบเดียวกันแต่ก็ดูต่างกันมาก เธียรวาณิชย์ของผมเทียบอะไรไม่ได้กับจรัสวาณิชย์เลยล่ะครับ

      แค่ชื่อของพวกเขาก็ดูมีความหมายและยิ่งใหญ่ ผมที่ชื่อโชกุน…ฟังดูเหมือนจะเป็นยิ่งใหญ่กว่าพวกเขา ไม่ใช่ท่านโชกุนแต่อย่างใด ที่จริงแล้วชื่อของผมมาจากสายพันธุ์ส้มที่ปลูกอยู่ที่บ้านสวนของคุณยายต่างหาก


      “ดูตอนนี้สิ โตเป็นหนุ่มแล้ว ตอนเด็กยังเป็นเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักอยู่เลย ใช่มั้ยโช”

      “วะ…ว่าอะไรนะครับ” มัวแต่คิดเรื่องสามพี่น้องจรัสวาณิชย์จนได้ยินเป็นเสียงแว่วว่าคุณป้าพูดอะไรสักอย่างเกี่ยวกับผม

      “ก็ตอนเด็กที่โชเป็นเด็กผู้หญิงไง ตอนกลับมาจากอังกฤษป้าแทบจำไม่ได้ว่าเป็นคนคนเดียวกัน ไม่คิดว่าเด็กผู้หญิงที่น่ารักคนนั้นจะโตขึ้นมาเป็นหนุ่มหล่อ ตอนนั้นขุนเขาชอบพามาเล่นที่บ้านบ่อยๆ เอาแต่มาพูดให้ฟังว่าโชน่ารักอย่างนั้นอย่างนี้ บอกว่าชอบโชมาก ขนาดไปอยู่อังกฤษก็เอาแต่บ่นคิดถึงทุกวี่วัน เคยบอกอีกด้วยนะว่าถ้าโตขึ้น…”

       “ม๊าครับ…” เฮียขุนพูดแทรกคุณป้าขึ้นมาด้วยสีหน้าที่เริ่มไม่ชอบใจ

      “แหม ไม่ต้องอายหรอกน่า” คุณป้าหัวเราะก่อนจะพูดต่อ “ขุนบอกว่าถ้าโตขึ้นจะแต่งงานกับโชด้วยล่ะ โอ้ย พอรู้ว่าโชเป็นผู้ชาย ป้านี่อดขำไม่ได้เลย” ทุกคนพากันหัวเราะให้กับเรื่องตลกบนโต๊ะอาหารของคุณป้า

      “เลิกพูดเรื่องนั้นเถอะครับม๊า!” แต่ดูเหมือนบางคนจะไม่ตลกด้วย เฮียขุนเกรี้ยวกราดพูดขึ้นมาเสียงดังจนทุกคนหัวเราะเจื่อนลงแล้วหันไปสนใจกับอาหารที่อยู่ตรงหน้ากันต่อ
 

      ผมควรจะดีใจมั้ยที่เขาเคยมีความรู้สึกกับผมแบบนั้น…


      ไม่สินะ…เพราะเรื่องมันกลับตาลปัตร พอเฮียขุนรู้ว่าผมเป็นผู้ชาย จากที่เคยชอบก็เปลี่ยนเป็นเกลียด ทำเหมือนกับผมไม่มีตัวตน



      ในใจของเขาคงมีแต่เด็กผู้หญิงที่ชื่อโช



      …ไม่ใช่ผู้ชายที่ชื่อโชอย่างผม





      มื้อค่ำจบลงที่ผู้ใหญ่นั่งทานของหวานและสนทนาพาทีกันต่อ ส่วนผม ไอ้นักและเฮียกุนย้ายมานั่งตีดอทกันที่ห้องนั่งเล่นรำลึกความหลังทิ้งท้ายสถานะมอปลายกันซะหน่อย อีกคนที่ผมไม่ได้เอ่ยถึง เขาอิ่มและขอตัวลุกจากโต๊ะอาหารก่อนใคร ถ้าไม่ติดว่าเป็นการทานข้าวกับครอบครัว เขาก็คงไม่อยากที่จะนั่งร่วมวงกับผมนานนัก

      จำได้ว่าตอนผมกับไอ้นักอยู่มอห้าแล้วเฮียกุนอยู่มอหก ผมมาตีดอทกับพวกเขาบ่อยๆ เพราะตอนนั้นเฮียขุนได้ย้ายไปอยู่หอพักแล้ว ผมจึงไม่ต้องกังวลที่จะมาที่นี่ อย่างน้อยมันก็ทำให้ผมยังพอได้มีความทรงจำที่บ้านใหญ่บ้างนอกเหนือจากตอนวัยเด็ก

       และถึงแม้เฮียกุนจะเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว เราก็ยังนัดออนไลน์ตีดอทกันอยู่ แต่วันนี้เป็นโอกาสดีที่เฮียแกได้กลับมานั่งสั่งการข้างๆ เหมือนตอนมัธยม ได้เล่นแบบเห็นหน้าคร่าตากันมันได้อรรถรสกว่ากันเยอะเลย

      “ไอ้โช ไปเตรียมเสบียงหน่อยดิวะ” ไอ้นักใช้ผม

      “เมื่อกี้มึงเดินไปเข้าห้องน้ำแล้วทำไมไม่หยิบมาวะ” ผมโวยวายใส่มันเล็กน้อย

      “กูลืมอ่ะ แล้วก็ขี้เกียจเดินไปแล้วด้วย มึงนั่นแหละไปเอามาให้หน่อยยยย” ไอ้นี่มาทำเสียงอ้อน ผมส่ายหัวให้กับความขี้เกียจของมัน แต่ก็เป็นผมอยู่แล้วที่ต้องไปเอาเสบียงมาเตรียมพร้อมระหว่างตีดอททุกครั้งไป





      “อย่าดื้อสิคร้าบบบ ตอนนี้เฮียกลับมาบ้าน ถ้าขับรถไปกว่าจะถึงก็คงดึกมาก เอาเป็นว่าไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ เดี๋ยวเฮียจะทดเวลาที่เสียไปให้ โอเคมั้ย ได้เลย…ไว้เจอกันนะคร้าบบบ” ผมยังไม่ทันก้าวเข้าไปในครัวก็ได้ยินเฮียขุนกำลังคุยโทรศัพท์เสียงหวานพลางในมือถือกระป๋องเบียร์กระดกดื่มไปด้วย “ตอนนี้เฮียไปไม่ได้ โอ๋~ ตาหวานอย่างอนนะ พรุ่งนี้สัญญาเลยว่าจะไปหาแน่ๆ ครับผมมม” เหอะ วางสายจากอีกคนหนึ่งแล้วมาพูดหยอดกับอีกสายหนึ่ง รถไฟจะชนกันมั้ยนั่น

      ไม่แปลกใจเลยว่าไอ้นักได้ความเจ้าชู้หน้าม่อมาจากใคร เพราะนอกจากที่เฮียขุนเป็นผู้นำในด้านที่ผมได้กล่าวมาแล้วเขาก็ยังเป็นผู้นำในด้านนี้อีกด้วย ยกเว้นเฮียกุนที่ตั้งแต่ผมเคยเห็นมาเฮียเขาก็คบทีละคน ไม่ได้ทำตัวเจ้าชู้ไปทั่วเหมือนสองคนนั้น


       “มึงแอบฟังกูเหรอ” ในขณะที่ผมนินทาเขาในใจอยู่ตรงประตูครัว เฮียขุนเขาคงเห็นผม

       “เปล่านะ ผมแค่…”

       “ไม่มีมารยาท” เฮียขุนพูดขณะที่เดินผ่านผมไป สายตาของเขาที่มองผมยังคงเย็นชาเช่นเดิม

      เขาเองก็ไม่มีมารยาทหรือเปล่านะ ผมยังพูดไม่จบก็แทรกขึ้นมา หึ่ย! หมั่นไส้โว้ย แต่ผมก็ทำได้แค่มองค้อนตามหลังเขาไปเท่านั้นแหละครับ





       “กูใช้มึงไปเอาขนมแค่นี้ ต้องหงุดหงิดใส่กูขนาดนั้นเลยเหรอวะ” ไอ้นักพูดขึ้นหลังจากที่ผมเดินมาแล้วฟาดถุงขนมใส่มัน ผมไม่ได้ถือสาเรื่องที่มันใช้ผมไปเอาขนม แต่ผมอารมณ์เสียมาจากพี่ของมันต่างหากล่ะ

       “โชจะกลับพร้อมกันมั้ย” พ่อที่เดินมาพร้อมแม่ถามผม พวกท่านคงสนทนากับคุณลุงและคุณป้าพอสมควรแล้วเพราะตอนนี้เวลาก็ปาไปห้าทุ่ม

       “กลับเลยก็ได้ครับ” ผมตอบ

      “เอ้อ เมื่อกี้พวกพ่อกับแม่พูดเรื่องหอพักกันว่าจะให้โชไปอยู่กับนัก อยากให้นักเป็นหูเป็นตาช่วยดูแลโชมันด้วย พ่อเป็นห่วง” พ่อหันมาพูดกับไอ้นัก

      “ไม่ครับพ่อ ผมจะไม่อยู่หอกับไอ้นัก” ผมขัด

      “ทำไมล่ะ เฮียขุนกับเฮียกุนเขาก็อยู่หอนั้นด้วย มีอะไรจะได้ช่วยเหลือกันนะ” พ่อพยักหน้าขอความเห็นจากเฮียกุน

      “เอ่อ…ครับ” เฮียกุนน่าจะรู้ว่าทำไมผมไม่อยากอยู่หอเดียวกับพวกเขา

      ก็เพราะมีเฮียขุนอยู่ด้วยนั่นแหละ แค่ผมได้ไปเรียนที่เดียวกันกับเขา ผมก็รู้สึกเครียดและอึดอัดตั้งแต่ยังไม่ทันได้เปิดเทอม ถ้าได้ไปอยู่หอเดียวกันแล้วต้องทนเห็นสายตาเย็นชาจากเขาคนนั้นทุกวันอีก…


      ผมได้อัดอั้นใจตายกันพอดี


       “ยังไงผมก็ไม่อยู่หอนั้น…ไม่เด็ดขาด!












Banoffee's zone

ที่แท้เฮียขุนก็ผิดหวังที่โชไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิด

ไม่รู้จะสงสารใครดีระหว่างเฮียขุนกับโช

แต่ว่าเฮียขุนใจร้ายอ่าาาา

#โชกุน #เฮียขุนศึก

ปล.สถานที่และตัวละครในนิยายเรื่องนี้เป็นเพียงแค่เรื่องที่แต่งขึ้นเท่านั้น


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-03-2019 19:17:15 โดย ิbanoffee »

ออฟไลน์ ิbanoffee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
Re: #Heart To Heart #ใจแพ้รัก 「ตอนที่2」-24/03/19-
«ตอบ #5 เมื่อ24-03-2019 00:18:33 »

ตอนที่2
   


      วันย้ายเข้ามาอยู่หอ


      ผมอยากจะร้องไห้จริงๆ ครับ ยังไงซะผมก็ไม่มีทางขัดพ่อได้ ตอนนี้ผมกำลังนั่งอยู่บนรถกับพ่อเพื่อไปยังหอพัก ท่านขับมาส่งผมด้วยตัวเองพร้อมกับของที่จำเป็นเต็มกระบะหลังรถ

      ผมไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เลยเพราะยังไงผมก็ยังขอเงินพ่อใช้อยู่ หากผมไปพักหออื่น ท่านก็จะไม่ให้เงินค่าเช่ากับผม…ไม่ให้แม้แต่ค่าเทอม พูดง่ายๆ ก็คือใช้ข้ออ้างตัดหางปล่อยวัดมาขู่นั่นแหละครับ

      ผมรู้ว่าที่จริงแล้วพ่อก็แค่เป็นห่วงผม ผมไม่ได้บอกและท่านก็ไม่ได้รู้เรื่องราวระหว่างผมกับเฮียขุนด้วย แต่ทำไมไม่ฟังผมบ้างเลย นี่พ่อมีข้อหากักขังผมให้ติดแหง็กกับเฮียขุนโดยไม่ได้ตั้งใจนะ

      เฮ้อออ ผมหน้ามุ่ยหันไปมองพ่อพลางถอนหายใจ ท่านเองก็หันมามองผมแต่ไม่ได้สนใจอะไรแล้วหันไปโฟกัสกับการขับรถต่อ




      “ไอ้นัก กูอยู่ข้างล่างหอแล้ว” ผมโทรหาไอ้นักให้ลงมาช่วยยกของ ซึ่งมันได้ย้ายเข้ามาอยู่หอก่อนผมเมื่อสองวันที่แล้ว

      รอสักพักไอ้นักก็เดินลงมา “พ่อ สวัสดีครับ” มันยกมือไหว้พ่อขณะที่ท่านกำลังช่วยผมขนของลงจากกระบะรถ

      “ขนขึ้นหอกันเองได้นะ พอดีพ่อต้องรีบไปทำธุระก่อน นัก…ยังไงพ่อก็ฝากดูแลโชด้วยนะ” พ่อพูดกับไอ้นัก หลังจากช่วยกันขนของลงเสร็จ

      “ไม่ต้องห่วงครับ ผมจะดูแลมันเป็นอย่างดี” ไอ้นักรับคำ

      “ผมโตแล้วนะพ่อ ไม่ต้องห่วงแล้วก็ไม่จำเป็นที่จะให้ไอ้นักมาดูแลผมหรอก”

      “เออๆ ถ้ามีอะไรก็โทรหาละกัน” พ่อตบบ่าทั้งผมและไอ้นักเบาๆ เป็นการบอกลาก่อนที่ท่านจะขึ้นรถแล้วสตาร์ทขับออกไป

     
      “ท่านมีลูกสาวคนเดียวก็ต้องห่วงเป็นธรรมดา” ไอ้นักหันมาพูดล้อผม

      “ลูกสาวพ่อง”

      “พ่อกูไม่มีลูกสาว”

      “ไอ้นี่…” ผมยันโคมความกวนตีนเข้าให้แต่มันหลบได้ทัน “แล้วนั่นมึงจะไปไหน ไม่ช่วยกูขนของหรือไง!” ผมตะโกนตามไอ้นักที่มันวิ่งหนีผมไปที่รถของมัน

      “โทษทีเพื่อน กูก็มีธุระที่ต้องไปทำกับพี่เมย์เหมือนกัน มึงขนขึ้นไปเองละกันนะ!” มันตะโกนกลับมาก่อนจะขึ้นรถแล้วสตาร์ทขับออกไปเช่นกัน

      “ไอ้นัก…ไอ้เพื่อนเวร!” ผมยังตะโกนด่าตามมันไป พ่อคิดผิดแท้ๆ ที่ฝากผมไว้กับมัน แต่ละวันคนไม่ได้เรื่องอย่างไอ้นักใช้เวลากับการม่อสาวไปทั่ว

      แล้วของจะทำยังไงล่ะทีนี้ ของเบาพอขนขึ้นไปได้แต่ของหนักนี่สิ…


      หอนี้ดูดีอยู่พอตัวแต่มีทั้งหมดแค่ห้าชั้นครับ และด้วยประการฉะนี้ จำนวนชั้นเพียงน้อยนิดจึงเป็นการสิ้นเปลืองหากต้องติดตั้งลิฟท์ มันหมายความว่าผมต้องขนของทั้งหมดนี้ขึ้นลงทางบันไดไปที่ห้องของผมซึ่งอยู่ชั้นสี่ นึกภาพแล้วก็เกิดความท้อแท้ใจเล็กน้อยที่จะต้องเหนื่อยกับการเดินขึ้นเดินลง

      ในขณะที่ผมกำลังคัดแยกของเบาที่พอจะขนขึ้นไปได้อยู่นั้น มีรถบีเอ็มสปอร์ตสีดำคันหรูขับมาจอดที่ลานจอดรถเทียบข้างหอ เจ้าของรถเปิดประตูแล้วย่างก้าวลงมา เผยให้เห็นออร่าแฟชั่นการแต่งตัวเป็นกางเกงยีนส์สีซีดและเสื้อเชิ้ตสีขาวที่เรียบง่ายทว่าดูสะดุดตา…

      เฮียขุน!

      ผมมัวแต่หลงเสน่ห์เขาไปชั่วครู่จนลืมไปว่านั่นเป็นโจทย์ของผมเอง เขากำลังเดินตรงมายังทางเข้าหอซึ่งของๆ ผมวางเต็มไปหมด ผมจึงละสายตาจากเขาแล้วรีบหันมาคัดแยกของต่อ

      ทำเป็นว่าไม่เห็นเขาละกัน

      ตุบ! เฮียขุนเดินสะดุดกล่องใส่รองเท้าของผม “เกะกะ” พูดแค่นั้นพลางเตะของๆ ผมให้พ้นทางแล้วเดินไป

      “นิสัยเสียว่ะ…ไม่มีน้ำใจ” ผมพูดกับตัวเองเบาๆ

      “มึงว่าไงนะ” แต่เขาดันได้ยิน

      “เปล่านี่” ผมทำหน้าไม่รู้ไม่ซี้

      ตาชั้นเดียวทว่ากลมโตและคมนั่นจ้องผมเขม็งอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะเดินจากไป

      ผมไม่ได้หวังให้เฮียขุนมาช่วยขนของอยู่แล้ว ผมแค่พูดขึ้นลอยๆ เพื่อจะดูปฏิกิริยาของเขาเท่านั้น และจากสายตาเมื่อครู่มันก็น่าจะย้ำเตือนได้ดีว่าเขาเกลียดขี้หน้าผมขนาดไหน


      ผมยกของในส่วนที่พอจะยกได้ขึ้นไปหมดแล้ว ทีนี้ก็เหลือแต่ของหนักๆ ว่าจะใช้วิธีไหนที่สามารถยกไปคนเดียวไหว

      “ไอ้โช” มีเสียงเรียกขณะที่ผมกำลังง่วนคิดหาวิธี

      “อ้าว พี่ภาม” ผมหันไปตอบทักไอ้พี่ภามที่เดินมาจากไหนไม่รู้

      “มึงเพิ่งย้ายมาเหรอ”

      “ใช่ แล้วพี่พักอยู่หอนี้เหมือนกันเหรอ”

      “เปล่า กูพักอยู่หอตรงข้าม แต่กูจะมาเอาของห้องไอ้ขุน แล้วนี่ไม่มีใครช่วยมึงเหรอไง ของพวกนี้ดูท่าจะหนัก มาๆ กูช่วย” พี่ภามพูดแล้วมันก็มาช่วยผมยกของขึ้นไป

      สถานการณ์มันดูแตกต่างจากตอนเด็กจังวะ ไอ้พี่ภามที่เคยชอบแกล้งผม ตอนนี้มันช่วยเหลือผม เฮียขุนคนใจดีที่เคยปกป้องผม มาตอนนี้กลับดูเป็นคนนิสัยไม่ค่อยดีสักเท่าไร อย่างว่าคนเรามันก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงกันบ้าง แต่คนหลังที่เปลี่ยนไปคงมีสาเหตุมาจากผม



      “ขอบคุณนะพี่ภาม ไว้ผมเลี้ยงข้าวตอบแทนทีหลังแล้วกัน”

      “เออ มันก็ต้องเป็นอย่างนั้น…ว่าแต่มึงก็เรียนคณะบริหารเหมือนไอ้สามพี่น้องจรัสวาณิชย์ใช่มั้ย”

      “อือ” ผมพยักหน้า

      “กูเรียนสัตวแพทย์ แต่ก็มาชวนไอ้ขุนที่คณะบริหารไปเฮฮาปาร์ตี้บ่อยๆ ถ้าเจอมึงที่นั่นกูค่อยทวงละกัน” ไอ้พี่ภามพูดเสร็จก็หันไปเคาะประตูห้องฝั่งตรงข้าม จากนั้นเฮียขุนก็เปิดประตูออกมา ผมที่ยืนมองอยู่ปิดประตูแทบไม่ทัน

      เหอะ เรียนสัตวแพทย์ยังมีเวลามาชวนคนอื่นไปปาร์ตี้ ผมนึกขำ แต่ก็นะ…ไม่คิดว่าไอ้เด็กเกเรที่มันชอบแกล้งผมตอนเด็กจะโตขึ้นมาเป็นผู้ชายอบอุ่นที่รักสัตว์ แล้วยังได้เป็นว่าที่สัตวแพทย์ในอนาคตอีกด้วย เท่ไม่หยอกนี่หว่า



      ผมกลับมาอยู่ในโหมดเซ็งกับการที่ต้องจัดของในห้องต่อ พลางนึกไปถึงความบังเอิญที่ทำให้ผมเซ็งเข้าไปใหญ่ว่าทำไมหอนี้ถึงเหลือเพียงห้องว่างห้องเดียวซึ่งอยู่ตรงข้ามกับห้องของเฮียขุน

      ห้องนี้กว้างพอสมควรและมีสองเตียงแบ่งเป็นโซนสำหรับสองคน ไอ้นักบอกว่าฝั่งตรงข้ามจะเป็นห้องเดี่ยวซึ่งเฮียขุนกับเฮียกุนอยู่คนละห้องแต่ก็อยู่ห้องข้างๆ กันนั่นแหละ เหตุผลที่พี่น้องไม่อยู่ห้องเดียวกันก็เพราะว่า เฮียกุนที่เป็นคนเงียบๆ ไม่ชอบความวุ่นวายจึงเลือกที่จะอยู่คนละห้องกับเฮียขุนผู้ซึ่งชอบพาผู้หญิงไม่ซ้ำหน้ามาที่ห้องบ่อยๆ พอไอ้นักเล่าให้ฟังแบบนั้นมันก็แซวผมใหญ่ เพราะหลังจากที่ได้ยินดังนั้นหน้าของผมก็ดูเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัดเลยล่ะครับ


     เกลียดตัวเองฉิบหายที่เป็นคนชอบเก็บอาการไม่ค่อยอยู่


      จัดของไปเพลินๆ จนไม่ได้ดูเวลาว่าตอนนี้ก็ล่วงเลยมาถึงทุ่มกว่าแล้ว พอนึกว่าจะทำอะไรต่อดี ท้องของผมมันก็ร้องโครกครากขึ้นมาทันควัน เป็นอันว่ามันช่วยให้ตัดสินใจได้ว่าผมควรจะลงไปหาอะไรกินข้างล่าง

      หอที่นี่นอกจากจะใกล้มหาวิทยาลัยแล้วก็ยังมีร้านสะดวกซื้อและร้านข้าวข้างล่าง ดีทุกอย่างครับยกเว้นการที่มีเฮียขุนอยู่ด้วย บางทีอยู่ไปก่อนเรื่อยๆ หลังจากนั้นผมก็อาจจะทำให้พ่อใจอ่อนเพื่อที่จะขอไปพักหออื่น

      “ป้าครับ/ป้าครับ” ในขณะที่ผมกำลังจะสั่งอาหารร้านๆ หนึ่งก็มีเสียงพูดขึ้นมาพร้อมกันกับผม “เชิญก่อนก็ได้ครับ” ผมบอกเขาให้สั่งก่อนเพราะตัวเองก็ยังลังเลว่าอยากจะกินอะไรกันแน่

       “ใช่โชกุนหรือเปล่า?”

       “…” ผมหันไปมองคนๆ นั้นพลางเพ่งพิจารณาใบหน้าของเขาว่าเป็นใครกัน ทำไมถึงรู้ชื่อผม “ไอ้คิ้วท์เหรอ?” มองสักพักผมก็เริ่มคุ้นหน้าคุ้นตาแล้วนึกออก

       “เออ กูเอง เป็นไงบ้างวะ มึงสบายดีมั้ย”

      “เฮ้ย สบายดี กูไม่ได้ป่วยออดๆ แอดๆ แล้ว” ผมยิ้มหน้าบานแล้วตบบ่าทักทายมัน ให้ตายเถอะ โคตรดีใจ ไม่ได้เจอกันนานมากอ่ะ

      “เช้ดดดดดด ตอนนี้มึงดูเป็นผู้ชายเลยนะ…ผู้ชายที่สวยๆ อ่ะ” ไอ้นี่…เพิ่งเจอก็แซวผมเลย

      “สวยบ้านมึงสิ หุบปากไปเลย มึงจะสั่งมั้ยข้าวเนี่ย” พูดเรื่องนี้ทีไรผมก็หงุดหงิดขึ้นมาเลยครับ จากตอนแรกที่มันเป็นความทรงจำที่ดีของผม แต่ตอนนี้มันกลายเป็นความทรงจำที่อยากจะลืมแต่ก็ลืมไม่ลงไปซะแล้ว




      เรื่องมีอยู่ว่า…

      ไอ้คิ้วท์เป็นเพื่อนของผมสมัยเด็กตอนที่อยู่บ้านสวนของคุณยาย ผมอยู่ที่นั่นก่อนที่ธุรกิจของพ่อจะเติบโตขึ้นจึงทำให้ย้ายมาอยู่ข้างบ้านใหญ่นี่แหละครับ แม้จะยังเด็กมากแต่ผมก็มีความผูกพันและจำมันได้ดี มันคือคนสนิทและเห็นพัฒนาการความเป็นมาของผม

      ตอนที่ผมอยู่บ้านสวนของคุณยาย ในตอนนั้นผมป่วยบ่อยโดยไม่รู้สาเหตุ หมอบอกว่าผมเป็นเพียงแค่ไข้หวัดธรรมดาแต่ก็เป็นอยู่นานไม่หายซะที ผู้เฒ่าผู้แก่อย่างคุณยายมักเชื่อเรื่องที่ได้ยินมาแต่โบราณจึงบอกว่าเป็นเพราะพ่อกับแม่อยากได้ลูกสาวจึงไปขอพร แต่กลับกลายเป็นว่าได้ลูกชายอย่างผมมาแทน นั่นจึงทำให้ผมเผชิญเคราะห์กรรมที่เป็นผลพวงมา

      คุณยายบอกวิธีแก้ว่าต้องให้ผมเป็นผู้หญิง หมายความว่าให้เลี้ยงดูผมเฉกเช่นเด็กผู้หญิง ไว้ผมยาว แต่งตัว และทั้งพ่อกับแม่ก็เอาแต่พร่ำบอกว่าผมเป็นเด็กผู้หญิง เพราะยังเด็กผมเลยไม่เข้าใจและเกลียดที่พวกท่านทำกับผมแบบนั้น แต่แม่บอกว่าถ้าผมไม่อยากป่วยก็ต้องเป็นเด็กผู้หญิงหนึ่งปี…แค่ปีเดียวเท่านั้น

      ทว่าอย่างที่บอกว่าระหว่างนั้นผมได้ย้ายมาอยู่ข้างบ้านใหญ่ ผมเป็นเด็กผู้หญิงได้อย่างไม่มีข้อบกพร่องเพราะหน้าตาที่หวานและน่ารัก การแต่งชุดกระโปรงจึงยิ่งทำให้ทุกคนเชื่อว่าเป็นเด็กผู้หญิง ยกเว้นแต่เสียงที่ถึงแม้ยังเด็กอยู่แต่มันก็ฟังดูทุ้มแหบขัดกับรูปลักษณ์ของผมเล็กน้อยในตอนนั้น

      แต่ทุกคนก็ไม่ได้เอะใจอะไร ทั้งพ่อ แม่และผมทำตัวปกติเหมือนกับว่าครอบครัวนี้มีลูกสาวที่น่ารัก พวกเราไม่ได้บอกใครเลยตามที่คุณยายกำชับนักหนา ว่าภายในหนึ่งปีต้องทำให้ผมดูเหมือนกับว่าเป็นเด็กผู้หญิงให้สมบูรณ์แบบที่สุด ไม่เช่นนั้นผมอาจจะกลับมาป่วยและเคราะห์กรรมอาจจะหนักกว่าเดิม

      มันฟังดูเป็นเรื่องไร้สาระนะครับ แต่ว่าพ่อกับแม่ของผมเชื่อฟังคุณยายและปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ดูเหมือนว่าพ่อของผมท่านจะดูมีความสุขมากเพราะเหมือนกับว่าได้ลูกสาวดั่งใจ แต่ว่ามันก็มีเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างเอกสารการยื่นเข้าเรียนของผมที่จะมีคำนำหน้าว่าเด็กหญิง เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าแม่จะขอให้คุณครูที่โรงเรียนช่วยทำเหมือนกับว่าผมเป็นเด็กผู้หญิง แต่เวลาเรียกชื่อ พวกเขาก็ขานเรียกผมว่าเด็กชายอยู่ดี

      ตอนนั้นเพื่อนในห้องทุกคนรู้ พวกเขาเองก็ยังเด็กและไม่เข้าใจ แต่ผมก็ใช้เหตุผลที่แม่เคยบอกอธิบายให้พวกเขาฟัง ทุกคนจึงไม่ได้คิดอะไรมากรวมถึงไอ้นักที่ตอนนั้นมันก็เรียนอยู่ชั้นและห้องเดียวกับผม ในตระกูลจรัสวาณิชย์จึงมีไอ้นักเพียงคนเดียวที่รู้ความลับและตัวตนของผมตั้งแต่แรก นอกนั้นก็ไม่มีใครรู้และสงสัยเลย

      ใช่ว่ามันจะราบรื่นเพราะการเป็นเด็กผู้หญิงของผมในบางครั้งก็ทำให้ผมโดนแกล้ง อย่างเช่นในวันหนึ่งที่ผมเดินเล่นอยู่หน้าบ้าน เด็กในหมู่บ้านเดียวกันอย่างไอ้พี่ภามก็มาแกล้งดึงผมเปียของผม เพราะมันไม่เชื่อว่าผมเป็นเด็กผู้หญิงจากน้ำเสียงทุ้มแหบที่ผมใช้พูดกับมัน

      ในขณะเดียวกันเด็กชายที่เปิดประตูรั้วมาจากบ้านใหญ่ก็เห็นเหตุการณ์เข้า เขารีบวิ่งมาช่วยผมโดยการผลักไอ้พี่ภามซะคว่ำ การกระทำเพียงแค่เล็กน้อยแต่ยิ่งใหญ่สำหรับเด็กอย่างผมในตอนนั้นทำให้ประทับใจและตกหลุมรักเขาอย่างจัง…

…เฮียขุน…

      เขาจะปกป้องผมทุกครั้งที่โดนรังแก ปลอบโยนและชวนไปเล่นที่บ้านใหญ่บ่อยๆ ความผูกพันจึงก่อขึ้นอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาหนึ่งเดือนก่อนที่เขาจะย้ายไปอังกฤษ ก่อนไปเขาบอกกับผมว่าให้รอเพื่อที่เราจะได้กลับมาเจอกันอีก…ไม่ว่ายังไงเขาก็จะกลับมาหาผม



      แต่ผมเห็นตัวเองทำให้สายตาของเขาผิดหวังในวันที่กลับมา…



      ผมไม่ใช่เด็กผู้หญิงที่เขาบอกให้รออีกต่อไป





      “เฮ้อออออออ”

      “มึงเป็นอะไรวะ ข้าวไม่อร่อยเหรอ” ผมคิดพลางถอนหายใจยาว ไอ้คิ้วท์เลยทักท้วงขึ้น

      “เปล่า…เออไอ้คิ้วท์ มึงอยู่หอตรงข้ามแล้วก็อยู่คนเดียวใช่มั้ยวะ”

      “อือ ทำไม”

      “ถ้ากูไปอยู่กับมึง…มึงจะอึดอัดเปล่าวะ” จู่ๆ ผมก็คิดเรื่องนี้ขึ้นมาได้

      ใช่…พ่อก็รู้จักไอ้คิ้วท์เหมือนกัน ถ้าท่านอ้างความเป็นห่วง ผมเองก็จะใช้ข้ออ้างว่าอยู่กับไอ้คิ้วท์ก็หายห่วงได้เหมือนกัน ถ้าเป็นแบบนั้นได้ ถึงจะอยู่ห่างกันแค่ฝั่งตรงข้ามแต่ก็ยังดีที่ไม่ต้องเสี่ยงเจอเฮียขุนทุกเวลา

      “จะอึดอัดอะไรวะ มึงก็เพื่อนกู ดีซะอีกได้มีคนมาแชร์ค่าห้อง อีกอย่างห้องก็ไม่ได้เล็กมากและถึงจะมีเตียงเดียวแต่มันก็เป็นขนาดเตียงคู่ซึ่งกว้างพอที่จะให้คนตัวไม่ใหญ่มากอย่างมึงนอนกลิ้งได้สบายเลยล่ะ ว่าแต่มึงเพิ่งย้ายมาอยู่หอนี้ไม่ใช่เหรอวะ มีอะไรหรือเปล่า หรือเพราะมึงก็อยู่คนเดียว”

      “กูอยู่กับเพื่อนที่เรียนคณะเดียวกันอ่ะ แต่ว่ามันมีเรื่องบางอย่างที่ทำให้กูไม่อยากอยู่หอนี้ ไว้กูค่อยเล่าให้ฟังทีหลัง เอาเป็นว่ากูอยากไปอยู่กับมึง แต่คงต้องพูดเรื่องนี้กับพ่อกูก่อนว่ะ” ผมพูดด้วยความไม่แน่ใจว่าพ่อจะให้ย้ายไปอยู่กับไอ้คิ้วท์ ท่านดูเหมือนอยากให้อยู่กับไอ้นักมากกว่าเพราะยังไงก็เรียนคณะเดียวกัน อีกอย่างหอมันก็อยู่แค่ฝั่งตรงข้าม เดี๋ยวท่านจะหาว่าผมเรื่องมากและเสียเวลาที่ย้ายไปมาใกล้แค่นี้

      แต่ยังไงผมก็จะลองดู เพราะผมไม่อยากอยู่ให้เขาคนนั้นเกลียดขี้หน้าผมมากไปกว่านี้หรอกครับ

      ผมกินข้าวกับไอ้คิ้วท์เสร็จก็แยกย้าย ไอ้คิ้วท์เองก็สอบติดมหาวิทยาลัยเดียวกันครับแต่มันเรียนคณะศิลปกรรมศาสตร์ ยังไงก็คงจะได้เจอมันที่มหาวิทยาลัยบ้างล่ะ



      สี่ทุ่มกว่าแล้ว ไอ้นักออกไปทั้งวันจนป่านนี้ก็ยังไม่กลับ ไม่สิ เร็วไปต่างหากที่มันจะกลับมาตอนนี้

      อยู่กับมันก็ดูน่าจะสบายเหมือนกันครับ เพราะจ่ายค่าเช่าครึ่งหนึ่งแต่เหมือนได้ครอบครองห้องคนเดียว ก็ดี…ผมจะได้ไม่ต้องปวดหัวที่มันชอบกวนตีนแล้วก็ชอบแซะผมเรื่องเฮียขุน แต่ผมกำลังคิดว่าเรื่องห้องต้องสงสัยที่อยู่ตรงข้ามกับห้องเฮียขุนนี้อาจจะเป็นฝีมือมันก็ได้

      ไอ้นักมันรู้ว่าความรู้สึกของผมเป็นยังไง แต่มันก็ยังชอบเอาเรื่องเฮียขุนมาเล่าให้ฟังอยู่นั่นแหละ…เพราะมันรู้ว่าลึกๆ แล้วผมก็ยังสนใจและอยากรู้เรื่องราวชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยของเขา

      มันคงรู้ว่าปากผมบอกว่าเกลียด…แต่ยังไงความเกลียดนั้นก็ยังคงซ่อนความชอบและคิดถึงไว้อยู่ดี

      ครืด~ ครืด~ ครืด…

      พูดถึงก็ตายยากครับ เพราะมือถือของผมสั่นขึ้น ผมก้มมองหน้าจอที่ปรากฏเป็นชื่อและรูปของไอ้นัก

      “ฮัลโหล ว่าไงไอ้เพื่อนเวร” รับสายปุ๊บผมก็อยากด่ามันเลย

      (พูดกับเพื่อนดีๆ หน่อยสิ แค่ให้ยกของขึ้นเองแค่นี้)

      “มึงมีหน้ามาพูดนะ ของกูเยอะแยะแถมยังมีบางอันที่หนัก ดีนะที่ไอ้พี่ภามมันอยู่หอตรงข้ามแล้วจะมาเอาของที่หอนี้มาเห็นเข้า มันก็เลยเข้ามาช่วยเพราะกูมีเพื่อนที่ดีมากหนีไปม่อสาว”

      (อย่าเพิ่งประชดเพื่อนเลยนะคร้าบบบ เพราะเดี๋ยวเพื่อนรักคนนี้จะชดเชยโดยการไปรับมึงมาแดกเหล้าด้วยกัน…)

      “กูไม่ไป” ผมพูดตัดบทโดยไม่ต้องคิด ผมไม่ใช่สายเรียบร้อยมากแต่นั่นก็ไม่ใช่ทางผมเหมือนกัน นานๆ ทีหรือบางโอกาสปลายลิ้นของผมถึงจะได้สัมผัสแอลกอฮอล์ ไม่ใช่ว่าต้องกระดกทุกวี่วันเหมือนไอ้นัก

      (คิดก่อนดิวะ ตอนนี้กูอยู่กับกลุ่มพี่ๆ คณะบริหารนะเว้ย เป็นเพื่อนในกลุ่มเฮียกุนอ่ะ ถือว่ามาทำความรู้จักพวกพี่เขาเอาไว้ก่อนเปิดเทอม แล้วกูก็อยากจะบอกว่ารุ่นพี่สาวๆ คณะเราแจ่มกันทั้งนั้น แต่ถ้ามึงไม่ถูกใจ…กูมีทีเด็ดสำหรับมึง)

      “อะไรวะ…”

      (เฮียขุนไง ถูกใจมึงมากพอมั้ย)

      “ไอ้สัดนัก!”

      ตึ้ดๆๆๆ

      ผมตัดสายทิ้งทันที ไอ้นักมันน่าจะรู้คำตอบของผมว่าไม่ไปเพราะประโยคสุดท้ายที่ผมด่ามัน ไอ้นี่…เฮียขุนก็อยู่นั่นด้วย ผมคงจะไปอยู่หรอก แซะไม่เลิกจริงๆ ไอ้เพื่อนคนนี้


      ผมไม่สนว่าใครจะทำอะไรอยู่ที่ไหนแล้วล่ะครับ เพราะตอนนี้หลังจากที่ผมอาบน้ำเสร็จก็รู้สึกว่าร่างกายอ่อนเปลี้ยเพลียแรงและเปลือกตาก็หนักจนฝืนยกขึ้นไม่ไหวแล้ว คงเพราะทั้งวันผมใช้แรงและเวลาไปกับการเดินขนของขึ้นลงจากข้างล่างไปชั้นสี่แล้วก็ต่อด้วยการจัดห้อง มันเลยส่งผลให้ผมทิ้งตัวลงที่นอนและหลับไปอย่างง่ายดาย

      แต่ผมรู้สึกตัวขึ้นมากลางดึกเพราะได้ยินเสียงใครอยู่หน้าประตูพลางดูนาฬิกาก็พบว่าเป็นเวลาตีสาม สงสัยไอ้นักคงจะกลับมาแล้ว พอคิดอย่างนั้นผมจึงหลับตาลงต่อ

      ‘อื้อ ชนแก้ววววว’ เสียงผู้หญิง!

      ตาของผมนี่เบิกโพลงขึ้นมาเลยครับ นี่อย่าบอกนะว่าไอ้นักพ่วงผู้หญิงมานอนที่ห้องด้วย ไอ้เพื่อนแสบจะทำอะไรไม่เกรงใจผมที่ย้ายมาอยู่กับมันเลย หรือมันลืมไปว่าผมก็อยู่ห้องเดียวกับมัน ผมคิดว่าอาจจะเป็นอย่างนั้น ทว่ารอสักพักประตูห้องก็ไม่เปิดเข้ามาซะที

      เพราะประตูห้องของผมที่ยังไม่ถูกเปิดแต่ว่าผมยังได้ยินเสียงผู้หญิงอยู่เลยครับ นั่นทำให้ผมอยากรู้อยากเห็นจึงลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินไปตรงประตู จากนั้นก็ทำตัวสอดแนมโดยการมองออกไปข้างนอกห้องผ่านช่องตาแมว

      ‘เร็วหน่อยสิคะ จะได้เข้าไปดื่มกันต่อในห้องงงง’ เสียงผู้หญิงที่ฟังดูเอื่อยเฉื่อย ดูจากท่าที่ปัดมือสะเปะสะปะไปมากลางอากาศแล้วน่าจะเมาแถมเป็นผู้หญิงที่ดูหน้าตาสะสวย แต่ถึงจะดูดีแค่ไหน ผู้หญิงทุกคนก็หมดสภาพตอนเมา ดูไม่ได้และไม่น่าสนใจ

      สิ่งที่ผมสนใจคือคนที่กำลังประคองเธอต่างหากล่ะ คนที่เป็นเจ้าของห้องตรงข้ามผมและดูท่าเขาจะไม่ได้เมาเพราะพูดจาฟังดูมีสติดี ‘ใจเย็นนะจ๊ะ เฮียไม่รู้ว่าเอากุญแจห้องไปไว้ไหน’ เฮียขุนที่มือหนึ่งข้างโอบเอวประคองหญิงสาวเอาไว้ ส่วนอีกข้างก็ควานหากุญแจห้องของตัวเองไปทั่วตัว ‘เจอแล้ว…เอาล่ะ เราจะได้เข้าไปดื่มต่อในห้องกัน’ จากนั้นเขาก็ค่อยๆ ไขกุญแจแล้วเดินเข้าไปในห้องพร้อมกับสาวสวยคนนั้น

      ผมยังคงมองภาพนั้นผ่านช่องตาแมวพลางน้ำตาของผมไหลออกมาดื้อๆ มันเป็นภาพที่ช้ำใจมาก ผมก็พอได้ยินกิตติศัพท์เสือผู้หญิงของเฮียขุนมาบ้าง แต่การที่ได้มาเห็นด้วยตาตัวเองนี่มัน…



      โคตรเจ็บเลยว่ะ



      หรือที่ผ่านมาผมมองเขาในแง่ดีมากเกินไป ผมไม่เคยเห็นเขาในด้านนี้และเพียงรู้จักกันแค่นั้นมันไม่ได้ทำให้ผมรู้นิสัยเขาดี นอกจากเขาจะดูใจร้าย เกรี้ยวกราดและทำตัวไม่ค่อยดีกับผมแล้ว…


      …เขาก็ยังไม่เป็นสุภาพบุรุษที่พาผู้หญิงเมาเข้าห้องอีกด้วย



      เขาเองก็คงไม่ใช่เฮียขุนของผมอีกต่อไป



      ผมหันหลังพิงประตูแล้วค่อยๆ นั่งลง ทำไมเข่าของผมมันอ่อนแรงจนยืนแทบไม่ไหว และทั้งที่ตอนนี้ผมรู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองมันกำลังชา…ชาจนไม่มีอารมณ์อยากจะร้องไห้ ทว่าไอ้เจ้าน้ำตามันกลับดื้อด้านไหลออกมาอยู่เรื่อย ผมรับรู้ถึงความเปียกชื้นบนแก้มและได้แต่เอามือปาดน้ำตาเหล่านั้นออกจากสีหน้าของผมที่ยังคงอึ้งกับภาพที่เห็นเมื่อครู่ ไม่อยากจะคิดเลยว่าพวกเขาจะไปดื่มอะไรกันต่อในห้อง


      พลางคิดว่าถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว…


      ผมจะทนช้ำใจอยู่หอเดียวกันกับเขาไปได้อีกนานสักเท่าไร














Banoffee's zone

ทำไมเฮียขุนเป็นคนแบบนี้

สงสารโชจัง TT

ตอนต่อไปจะเป็นยังไง โปรดติดตามด้วยนะคะ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-03-2019 00:26:38 โดย ิbanoffee »

ออฟไลน์ wanida023

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: #Heart To Heart #ใจแพ้รัก 「ตอนที่2」-24/03/19-
«ตอบ #6 เมื่อ24-03-2019 09:13:31 »

 o13

ออฟไลน์ ิbanoffee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
Re: #Heart To Heart #ใจแพ้รัก 「ตอนที่3」-25/03/19-
«ตอบ #7 เมื่อ25-03-2019 19:45:44 »

ตอนที่3


Nakrob’s part


สองอาทิตย์ก่อนจบมอปลายปีสุดท้าย


      ผมกับโชกำลังเร่งทำงานที่จะส่งก่อนสอบปลายภาคโดยนัดกันมาทำที่ห้องนั่งเล่นบ้านของผม ไม่ได้ทำตัวเป็นดินพอกหางหมูหรอกนะครับ แต่ไม่รู้ทำไมเวลาใกล้สอบ ทุกวิชามักจะมีงานแจกจ่ายมาให้ทำเพื่อเก็บคะแนนครั้งสุดท้าย ซึ่งมันชนกันจนทำให้ยุ่งหัวหมุนกันเลยทีเดียว

      ไอ้โชกำลังขะมักเขม้นในการค้นหาข้อมูลสำหรับทำรายงานจากโน้ตบุ๊ค ส่วนผมเองก็กำลังจดจ่ออยู่กับการจิ้มหน้าจอโทรศัพท์เช่นกัน…ข้อมูลน่าสนใจมาก

      เพจรวมสาวดาวมหาวิทยาลัยเป็นอะไรที่เจริญหูเจริญตาสำหรับผมมากในตอนนี้ ดูข้อมูลไว้เผื่อเข้ามหาวิทยาลัยแล้วผมจะได้ใช้เป็นแนวทางในการเข้าหาพวกเธอ

      “ไอ้โช มึงดูนี่ โอ้ยยยย กูอยากจะละลายไปกับโซฟา” ผมทำหน้าปลื้มปริ่มอิ่มเอมใจที่ได้เห็นภาพสาวๆ ที่โคตรจะน่ารักพลางยื่นหน้าจอมือถือให้ไอโชดูบ้าง

      ผลัวะ!

      “โอ้ยยย อะไรของมึงเนี่ย” ทันทีที่ไอ้โชเห็นหน้าจอมือถือผม มันก็ลงไม้ลงมือสอยท้ายทอยผมไปหนึ่งที ผมจึงได้แต่ลูบหัวตัวเองเบาๆ ไปมา

      “โบกเข้าให้ ไอ้นี่…มึงอยากจบมั้ยมอปลายปีสุดท้ายเนี่ย ใช่ว่ามึงเก่งแล้วทำข้อสอบได้เท่านั้นนะ ถ้างานไม่เสร็จ มึงก็ไม่จบหรอกไอ้เพื่อนเวร กูก็นึกว่ามึงกำลังขยันหาข้อมูลช่วยกู ที่แท้ก็ส่องสาว ไร้สาระฉิบหาย หันมาสนใจหาข้อมูลช่วยกูเร็วๆ เลย ไม่งั้นรายงานชิ้นนี้ไม่มีชื่อมึงอยู่แน่!” โชบ่นยาว มันใช้สายตาพิฆาตมองผมก่อนจะหันไปจดจ่อกับหน้าจอโน้ตบุ๊คต่อ

      “ครับๆ เพื่อนจะช่วยหาเดี๋ยวนี้แหละครับ” ผมรับคำไปส่งๆ แต่ที่จริงแล้วผมก็ยังคงส่องสาวๆ ต่อครับ

      พี่ไวน์...โอ้ย น่ากินทั้งชื่อทั้งคน ผมเลื่อนดูและกดเข้าไปส่องโปรไฟล์ผู้หญิงที่หน้าตาโคตรสวย ดีกรีดาวมหาวิทยาลัยปีล่าสุด ปีเดียวกันกับเฮียกุน ทั้งมหาวิทยาลัยและก็คณะเดียวกันกับเฮียกุนเลยนี่หว่า หึหึ อย่างนี้ก็เข้าทางเลย รู้จักกับพี่ชายก็ต้องได้รู้จักกับน้องชายด้วย พอถึงตอนนั้นต้องให้เฮียกุนแนะนำให้รู้จักซะหน่อยแล้ว

      ผมดูรูปของเธอไปเรื่อยๆ แต่ละภาพนี่สวย น่ารักกินใจผมสุดๆ แต่เอ๊ะ…ภาพนี้ดูสะดุดตาจังแฮะ ไม่ใช่ใครที่ไหนครับ หน้าจอมือถือของผมกำลังหยุดอยู่ที่รูปของผู้หญิงคนนี้ถ่ายคู่กับเฮียขุน ซึ่งเฮียขุนเองก็เป็นเดือนมหาวิทยาลัยปีก่อน ไม่เห็นจะแปลกเพราะอยู่คณะเดียวกัน เป็นรุ่นพี่รุ่นน้อง แต่ว่าภาพนี้ดูพวกเขาสนิทสนมกันพอควร แล้วก็มีคอมเม้นท์…

      ? : คู่นี้น่ารักสุด

      ?? : ดูเหมาะกันโคตรรรร

      ??? : อุ้ย อิจอ่ะ

      ???? : ฮือออ เฮียขุนศึกของหนู…ไม่เป็นไร ถ้าเป็นพี่ไวน์สุดสวย หนูยอมก็ได้

      แล้วก็บลาๆๆๆ เข้าทำนองว่าพวกเขาเหมือนจะเป็นแฟนกัน

      ผมเหลือบหันไปมองไอ้โช…

      ที่ผ่านมาหลังจากเฮียขุนย้ายเข้าไปเรียนมหาวิทยาลัย ถึงแม้โชจะตั้งปณิธานว่า ไม่ยุ่ง ไม่สนและจะเกลียดเฮียขุน แต่ผมรู้ว่าในทางกลับกันมันอยากจะรู้เรื่องเกี่ยวกับเฮียขุนมากกว่าใคร ดังนั้นผมจึงคอยเล่าเรื่องของเฮียเขาให้มันฟังตลอด แม้ปากมันบอกว่าไม่อยากฟังแต่ผมก็แอบเห็นว่ามันเงี่ยหูมาฟังที่ผมพูด

      ทว่าครั้งนี้ผมรู้สึกลังเล ถ้าผมเอารูปนี้ให้มันดู…โชคงมีสีหน้าที่เศร้าและปวดใจไม่น้อย ผมรู้ความรู้สึกของมันดีครับว่าคงจะเป็นอย่างนั้น แต่จะเป็นการดีกว่าถ้าให้มันรับรู้และทำใจไปเลย แบบนั้นมันจะได้ตัดสินใจให้เด็ดขาดว่าจะยังคงชอบเฮียขุนต่อไปมั้ย

      จุดประสงค์แท้จริงที่ผมคอยกระเซ้าเหย้าแหย่เรื่องเฮียขุนทั้งที่เพื่อนบอกว่าไม่ชอบและเสียใจ…ผมทำไปเพื่อให้มันยืดหยัดเพิ่มขึ้นไปอีกต่างหากครับ

      ยืนหยัดความชอบในตัวเฮียขุนของมันที่มั่นคงตลอดมา ผมเชื่อว่าพี่ชายผมก็คงจะใจอ่อนกับมันบ้าง ถึงผมจะรู้ว่าเฮียเขาเกลียดขี้หน้าเพื่อนรักของผมตั้งแต่รู้ว่ามันเป็นผู้ชาย…เฮียแกคงทำใจไม่ได้

      ความชอบหรือรักมันไม่มีขอบเขตหรอกครับ หากโชมันยังยืดหยัดที่จะชอบ ผมก็อยากช่วยให้มันได้เห็นหน้าและอยู่ใกล้กับเฮียขุนมากที่สุด

      แต่ติดอยู่ตรงที่ว่าไอ้โชมันปากอย่างใจอย่าง ปากบอกไม่อยากเห็นหน้าเขา แต่เวลาเฮียขุนกลับมาบ้านมันก็เอาแต่เกาะรั้วชะเง้อมองหาเขาคอแทบหัก ส่วนเฮียขุนก็เห็นได้ชัดว่าดูเกลียดไอ้โช ไม่อยากแทบจะมองหน้ามัน ผมเลยไม่รู้ว่าทั้งพี่ชายและเพื่อนรักของผมมันจะโคจรมาลงเอยกันได้ยังไง

      “ไอ้โชดูนี่ดิ” ผมยื่นหน้าจอมือถือให้ไอ้โชดู…ดูซิว่ามันจะมีปฏิกิริยาแบบไหน

      “มึงยังไร้สาระอยู่ใช่มั้ย กูไม่ดูโว้ยยยย!” มันปัดมือถือจากมือผมจนหล่นโดยที่ตามันยังคงจดจ้องอยู่กับหน้าจอโน้ตบุ๊ค โธ่ ไอ้เพื่อนเบื๊อก กูไม่ได้อยากเห็นปฏิกิริยาแบบนี้จากมึงนะ

      “หันมาดูก่อน กูเชื่อว่ามึงต้องอยากดูอันนี้” ผมเก็บมือถือขึ้นมาและโชว์หน้าจอที่เปิดค้างไว้ให้มันดูอีกครั้ง

      “ไอ้เชี่ยนัก มึงนี่มัน…” ไอ้โชชะงักทันทีที่เห็นภาพนั้นก่อนที่มันจะด่าผมจบ “แล้วไง ถ้าเป็นภาพพี่มึง กูยิ่งไม่อยากดู” เป็นอย่างที่คิด สีหน้ามันดูสลดไปเลย

      “เหรออออออ” ผมลากเสียงยาวประชดมัน

      ดูก็รู้ว่าโชมันคงอยากจะถามหลังจากเห็นรูปว่าพวกเขาเป็นอะไรกัน เฮียขุนเป็นแฟนกับผู้หญิงคนนี้เหรอ? คำถามคงผุดในใจกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของมันเต็มไปหมด แต่มันก็ยังปากแข็งพูดออกมาว่าไม่แม้แต่อยากจะดูรูปของเฮียขุน

      กูจะทำยังไงกับมึงดีเนี่ยไอ้โช…

      “โอเค ไม่อยากดูก็ไม่ต้องดู เดี๋ยวกูจะหันมาสนใจหาข้อมูลช่วยมึงละ”

      “เออ รีบๆ หา”

      ผมวางมือถือไว้แล้วหันไปสนใจการทำรายงาน แต่ผมตั้งใจเปิดค้างหน้าจอไว้ครับ ผมเห็นไอ้โชที่กำลังทำเป็นว่ากดแป้นคีย์บอร์ดเสิร์ชหาข้อมูลอยู่ แต่สายตามันนี่แอบชะโงกมองหน้าจอมือถือของผมอยู่เป็นเนืองๆ แล้วทำหน้าละห้อย หึ ละบอกไม่อยากดู ขำว่ะ ผมทั้งสงสารและก็ตลกท่าทางของมันตอนนี้เลยล่ะครับ
 



วันปัจฉิม


      หลังจากที่ผมไปกินไอติมกับน้องแอลแล้วก็น้องโบว์มา…อย่างที่บอกว่าไอ้โชก็คงยืดหยัดกับความรู้สึกที่ชอบเฮียขุนคนเดียว แม้ว่าผมจะชวนไปเดทกับสาวๆ สวยๆ มันก็ปฏิเสธตลอด แต่นั่นก็ดีครับ ถ้ามันมั่นคงกับพี่ชายของผมอยู่แต่ยังฝืนการกระทำของตัวเองล่ะก็…

      ได้เลยเพื่อน เดี๋ยวกูจัดการให้


      ผมบอกกับไอ้โชว่าวันนี้เฮียขุนกับเฮียกุนจะกลับมากินข้าวที่บ้านฉลองที่ผมเรียนจบมอปลายและผมก็ชวนมันมา แต่ผมรู้อยู่แล้วว่ามันจะต้องตอบว่าไม่มาและผมก็รู้วิธีที่จะทำให้มันต้องมาแน่ๆ ครับ

      ผมเดินมาบ้านไอ้โชและสังเกตการณ์เห็นว่าพ่ออ่านหนังสืออยู่ที่ห้องนั่งเล่นคนเดียวแล้วจึงเดินเข้ามาข้างใน ไอ้โชมันขึ้นไปบนห้องครับ ทางสะดวกล่ะทีนี้ “พ่อครับ วันนี้ม๊าให้มาชวนไปทานข้าวที่บ้าน ฉลองมื้อใหญ่ที่เรียนจบมอปลาย” ผมรีบบอกพ่อ

      “เป็นโอกาสดีเลย บ้านเราไม่ได้ทานข้าวร่วมกันมานานสักพักแล้ว” พ่อละความสนใจจากหนังสือหันมาพูดกับผม

      “พ่อครับ บอกให้โชมาด้วยนะครับ”

      “ไปสิ ยังไงโชมันก็ต้องไปอยู่แล้ว ทำไมจะไม่ไปล่ะ”

      “คือ…ถ้าโชบอกว่าไม่อยากมา พ่อก็ต้องบังคับให้มันมาให้ได้นะครับ” ผมย้ำ

      “แน่นอนว่าโชต้องไป”

      พอได้ยินอย่างนั้นผมก็ยิ้มอย่างพอใจและพูดลาพ่อไว้เจอกันที่บ้านตอนอาหารมื้อเย็น

      หึ เสร็จกูล่ะไอ้โช วิธีนี้ยังไงก็ได้ผลครับ โชมันไม่มีทางที่จะขัดหรือปฏิเสธพ่อมันได้สักครั้ง ถ้าผมบอกแล้วมันไม่มา ผมก็แค่มาบอกให้พ่อมันบอกให้มันมาอีกทีเท่านั้นแหละครับ ยังไงตอนเย็นผมก็ต้องได้เจอมันที่บ้านของผมแน่

      และแน่นอนครับว่าพ่อบังคับให้ไอ้โชมาจนได้ ผมทักและยิ้มให้มันอย่างสะใจ ที่จริงมันควรต้องขอบคุณผมนะ เพราะผมรู้ว่ามันอยากมาเจอหน้าเฮียขุนจะตายไป ที่ทำเป็นไม่อยากมาก็เพราะมัวแต่ทำตามปณิธานบ้าบอที่ตัวเองตั้งไว้ว่าจะเกลียดเฮียขุน แล้วมันก็คงไม่อยากเห็นสายตาเย็นชาที่พี่ของผมใช้มองมัน

      ผมสังเกตว่าไอ้โชเอาแต่นั่งตัวเกร็ง มันไม่กล้าหันไปมองเฮียขุนเลยตลอดอาหารมื้อเย็นที่ร่วมโต๊ะกัน ส่วนพี่ผมก็เอาแต่ทำหน้าดุ เกรี้ยวกราดเหมือนโมโหอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่เดินเข้าบ้านมา ผมก็พอเข้าใจเพื่อนผมในส่วนนี้ครับ เพราะบางทีก็หมั่นไส้พี่ตัวเองเหมือนกันที่เอาแต่เก๊กหน้ายักษ์อยู่นั่น ไม่เมื่อยบ้างหรือไง



      มื้อเย็นจบไปด้วยบรรยากาศที่อึดอัดหลังจากที่ม๊าพูดเรื่องที่เฮียขุนเคยบอกว่าอยากจะแต่งงานกับไอ้โช เฮียแกของขึ้นจนทุกคนไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมามากเลยล่ะครับ แต่มันจะจบแบบนี้ได้ยังไง พวกเขายังไม่ได้คุยกันสักคำ

      ดังนั้นตอนที่จะตีดอทกัน ผมเดินไปเข้าห้องน้ำแล้วเห็นเฮียขุนเดินไปเปิดตู้เย็นในครัวพอดี ผมจึงคิดแผนการออกว่าจะให้พี่ชายและเพื่อนรักของผมมีโอกาสได้คุยกัน

      ผมใช้ไอ้โชไปเอาเสบียงอย่างทุกครั้ง ทีนี้แหละมันก็จะเจอเฮียขุนอยู่ในครัว จากนั้นก็เป็นหน้าที่ของมันเองแล้วล่ะครับว่าจะทักทายหรือชวนเฮียแกพูดยังไง

      …แต่ดูเหมือนผลที่ออกมาจะไม่ดีเท่าไรแฮะ เพราะไอ้โชเดินมาหน้ามุ่ยมาเชียวแถมมันยังฟาดถุงขนมใส่ผมอย่างแรง คงจะโดนเฮียขุนฉุนใส่มาล่ะสิท่า

      แผนการพังแล้วพังอีก แต่ผมก็ไม่ได้ยอมแพ้แค่นั้นหรอกนะครับ เพราะหลังจากที่พ่อโชพูดเรื่องหอพักขึ้นมา ผมก็คิดอะไรดีๆ ออก




วันย้ายหอ…


      ผมย้ายเข้ามาอยู่ก่อนไอ้โชสองวันซึ่งเป็นหอพักเดียวกันกับเฮียขุนก็จริงครับ แต่ห้องที่ว่างดันอยู่ที่ชั้นสอง ส่วนพวกพี่ของผมพักอยู่ที่ชั้นสี่ แล้วมันจะไปสนุกอะไรล่ะครับ อยู่กันคนละชั้นแบบนั้น โอกาสได้เจอกันก็คงน้อย ดังนั้นเพื่อเพื่อนรักของผมแล้ว ผมได้ลงทุนเสนอจ่ายค่าเช่าหนึ่งเดือนให้กับคนที่พักอยู่ห้องตรงข้ามกับเฮียขุนแลกกับการให้เขาย้ายลงมาอยู่ชั้นสองแทน

      หึ คราวนี้แหละไอ้โชเอ้ย มึงจะได้เจอหน้าเฮียขุนบ่อยๆ แน่ แล้วมึงก็จะต้องมาขอบคุณกูทีหลัง


      ยังไม่จบแค่นั้นหรอกนะ วันที่ไอ้โชย้ายตามมา ผมก็จัดการโทรนัดสาวทั้งที่ต้องอยู่ช่วยเพื่อนมันยกของ หลังจากที่มันเอาของลงจากรถพ่อเสร็จ ผมก็ขับรถเผ่นหนีทันที แต่อย่าเพิ่งว่าผมไม่มีน้ำใจกับเพื่อนนะครับ เพราะผมจะโทรตามคนมาช่วยมันเดี๋ยวนี้แหละ

      ผมรู้ว่าคนๆ นั้นจะกลับมาหอเวลาไหน…ผมรีบต่อสายหาคนที่ไอ้โชอยากเจอหน้ามากที่สุด

      “ฮัลโหลเฮียขุน ตอนนี้เฮียอยู่ไหน”

      (กำลังขับรถเข้าหอ ทำไม?)

      “พอดีว่าโชมันย้ายเข้าหอวันนี้อ่ะ แล้วตอนนี้ผมก็ออกมาทำธุระและเฮียกุนก็ไม่อยู่หอเลยไม่มีใครยกของช่วยมัน คือมันเอาของมาเยอะมากแล้วก็มีอันที่หนักด้วย มันคงยกคนเดียวไม่ไหว”

      (แล้ว?)

      “พอดีที่เฮียกำลังจะกลับเข้าหอก็ช่วยโชมันหน่อยสิ”

      (ไม่ใช่เรื่องของกู เพื่อนมึง…มึงก็กลับมาช่วยมันเองสิ)

      “แต่ว่า…”

      ตึ้ดๆๆๆ

      “ฮัลโหลเฮียขุน…เดี๋ยวก่อน ฮัลโหล!” โธ่ วางสายซะแล้ว บทสนทนาเพียงสั้นๆ ที่ยังไม่ได้การได้งานอะไรเลย พี่ผมนี่มันก็เหลือเกินจริงๆ ดังนั้นเป็นอันว่าแผนการล้มเหลวครับ

      โทษทีนะไอ้โช มึงคงต้องขนของขึ้นไปเองแล้วแหละเพื่อน



ณ ร้านเหล้าแห่งหนึ่ง…


      อย่างว่า…ชีวิตมหาวิทยาลัยทำให้มีอิสระและสามารถตัดสินใจเองในเรื่องต่างๆ ได้มากขึ้น ดังนั้นนอกจากการเรียนแล้วพวกพี่ผมก็เลือกที่จะมาขลุกกับสุราและนารี เป็นการสังสรรค์เพื่อผ่อนคลายความเครียดบ้าง ส่วนผมก็เป็นน้องที่ดีครับ เจริญรอยตามพวกพี่เขามาแต่ไหนแต่ไร วันนี้ก็เช่นเดียวกัน เฮียกุนชวนผมมาสัมมนากับกลุ่มเพื่อนคณะบริหารด้วยกัน เป็นโอกาสที่ดีของผมครับที่ได้เจอรุ่นพี่สวยๆ เพื่อนของเฮียแก

      แต่มีสาวที่ทำผมตาค้างไม่กระพริบ…จำพี่ไวน์ที่ผมแอบส่องโปรไฟล์ได้มั้ยครับ ตอนนี้เธอเดินควงมากับเฮียขุนล่ะ โอ้ยย รู้สึกเสียดายนิดหน่อยเพราะเธอเป็นผู้หญิงในสเป็คผมเลย สาวคม ผิวสีน้ำผึ้งและผมสีดำยาว เห็นตัวจริงยิ่งสวยกว่าในรูปอีก แต่ก็ต้องยอมล่ะครับ เพราะผมรู้ตัวเองดีว่าเพอร์เฟคน้อยกว่าเฮียขุน


      “เฮ้อ ไอ้โชคงเหงาแย่เลย อยู่หอคนเดียวเปล่าเปลี่ยวหัวใจ” ผมพูดลอยๆ ไปทางเฮียขุน เฮียแกไม่ได้สำนึกอะไรหรอกครับแถมยังส่งสายตารำคาญมาให้ผม

      ผมบ่นให้พี่ชายตัวเองที่ใจร้ายเกินไปจนไม่ยอมช่วยเพื่อนผมขนของแล้วก็ไม่ชวนมันมาร้านเหล้าด้วยกันอีก เฮียขุนก็นั่งนิ่งฟังผมร่ายใส่นะครับ แต่สายตานี่ดุเหมือนอยากจะบีบคอผมซะเดี๋ยวนั้นที่ไปพล่ามเรื่องไอ้โชให้เฮียแกฟัง ผมนี่หุบปากแทบไม่ทันและค่อยๆ ขยับตัวออกห่าง

      หลบตีนเฮียขุนแป๊ป…



    ‘ไม่ได้มีความสงสารเมตตากับเพื่อนผมเล้ยที่มันอดทนรอคอยเฮียมาตลอด ก็แค่จากเด็กผู้หญิงแล้วโตขึ้นมาเป็นผู้ชาย จะอะไรกันนักกันหนาเชียว ยังไงโชกุนมันก็คือโชกุนนั่นแหละครับ ไม่รู้ว่าเฮียจะเกลียดอะไรมันขนาดนั้น ช่วยยอมพูดและทำตัวดีๆ กับมันซะที’



      พอเห็นว่าเฮียขุนมาแจมด้วย ผมก็นึกถึงวิธีที่จะไถ่โทษเพื่อนรักของผมที่ปล่อยให้มันขนของเองคนเดียว เดี๋ยวผมจะเป็นคนไปรับมันมาแดกเหล้าเองก็ได้ครับ…ก็ไม่รู้ว่าไถ่โทษหรือลงโทษด้วยการซ้ำเติม ผมอาจจะดูเป็นเพื่อนที่ใจร้ายทั้งที่รู้ว่าถ้าโชมันมาเห็นภาพบาดตาบาดใจนี้เข้ามันจะรู้สึกเจ็บปวดแค่ไหน

      แต่ก็นั่นแหละครับ…ถ้าไอ้โชรับไม่ได้ ผมก็อยากให้เพื่อนตัดใจไปมองคนอื่นแล้วเลิกเชียร์มันให้กับพี่ชายที่ใจดำของตัวเอง
เชื่อเถอะครับว่าโชมันก็อยากมาเห็นการใช้ชีวิตของเฮียขุนที่นอกเหนือจากการเรียน ผมว่าตัวเองเซียนเรื่องแอลกอฮอล์แล้วยังไม่สู้เฮียแกที่กระดกอย่างกับเหล้ามันคือน้ำเปล่าที่ไม่มีท่าทีจะเมา เพื่อนผมมันไม่รู้หรอกว่าเฮียขุนของมันเปลี่ยนไปขนาดไหน คอแข็งขึ้น นิ่งขึ้น เย็นชาขึ้น เกรี้ยวกราดขึ้นและเจ้าชู้ขึ้น ทั้งที่พี่ชายผมเขาไม่ได้มีนิสัยอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้สักเท่าไร และเขาเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดก็ตอนที่กลับมาจากอังกฤษนั่นแหละครับ…

      ก็น่าจะรู้สาเหตุกันดีว่าเป็นเพราะอะไร

      ผมต่อสายหาไอ้โช…เราจะมาดูกันว่าความอยากมาหรือความกลัวสายตาของเฮียขุน อย่างไหนที่เพื่อนรักของผมจะมีมากกว่ากัน


      ผมคุยกับไอ้โชเสร็จแล้วและผลลัพธ์ก็คือ…มันตัดสายทิ้งตั้งแต่ผมเอ่ยชื่อเฮียขุนเลยครับแถมยังโดนมันด่าอีกต่างหาก สรุปมันก็ยังเกลียดและกลัวที่เฮียขุนใช้สายตาเย็นชามองมันมากกว่าความอยากมาเผชิญหน้า ผมก็คิดแล้วว่าจะต้องเป็นอย่างนี้แต่ที่พยายามทำอยู่ก็คาดหวังว่ามันอาจจะมา

      เฮ้ออ ตัวเอกของเรื่องนี้เอาแต่ทำตัวเบื๊อกทั้งคู่ แล้วเมื่อไรตัวชงอย่างผมจะทำให้มิซซั่นคอมพลีทซะทีล่ะครับ

      ผมขอลืมเรื่องภารกิจช่วยเพื่อนรักชั่วคราว เพราะตอนนี้มีของบำเรอปากให้หายฝาดลิ้นอยู่ตรงหน้าและยังมีสาวสวยให้เจริญตาอยู่ข้างๆ แล้วผมจะไปเครียดทำไมกันล่ะเนี่ยยย



      “เออ พวกมึงนี่รุ่นน้องโรงเรียนเก่ากูชื่อคิ้วท์ มันติดคณะศิลปกรรม กูชวนมันมาแจมด้วย พวกมึงคงไม่ว่าอะไรนะ” พี่เหนือเพื่อนเฮียกุนแนะนำผู้มาใหม่ให้กับเพื่อนร่วมวง พลางรุ่นน้องของพี่เขาก็ยกมือไหว้พวกรุ่นพี่ที่นั่งอยู่ไปทั่วสารทิศ

      “อ้าว ไอ้น้องที่อยู่หอเดียวกันกับกูนี่หว่า” พี่ภามทักขึ้น

      “เออ หวัดดี นั่งๆ จะว่าอะไรวะ รุ่นน้องมึงก็เหมือนรุ่นน้องกู คนกันเอง ว่าแต่รุ่นน้องมึงดูคิ้วท์สมชื่อจังเลยนะ” เฮียกุนพูดพลางชงเหล้าแล้วยื่นให้ไอ้หมอนั่น

      “ขอบคุณครับ” มันรับแล้วยิ้มเขินๆ

      “เขินด้วย น่ารักดีเนาะ” แม้แต่รุ่นพี่ผู้หญิงยังชมมัน

      นั่นสิ…ทำไมมันดูน่ารักจังวะ เหมือนผู้ชายทั่วไป ไม่ได้ตัวเล็กมาก ผิวขาวๆ ตาโต จมูกนิด ปากกระจับ นอกจากไอ้โชเพื่อนรักผมแล้วเกิดมาก็ยังไม่เคยเห็นผู้ชายคนไหนดูน่ารักเท่านี้มาก่อนเลย เล่นเอาคนที่ไร้ขีดจำกัดและขอบเขตอย่างผมเป็นอันต้องละความสนใจจากสาวสวยข้างๆ หันมาสนใจมันตั้งแต่เดินเข้ามาเลยล่ะครับ

      รู้สึกแปลกๆ แฮะ เอาจริงๆ ถึงผมจะให้เสรีตัวเองกับเรื่องพวกนี้แต่ผมก็ยังไม่เคยรู้สึกชื่นชมหรือชอบผู้ชายมาก่อนหรอก หรือที่มีอาการแบบนี้อาจจะเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ผมกรอกลงคอหมดไปหลายแก้วแล้ว

      ผมส่ายหน้าเบาๆ เรียกสติตัวเองแต่ก็ยังจ้องไอ้คิ้วท์ มันเองก็คงรู้ตัวว่าโดนผมมองอยู่ มันก็เลยผงกหัวให้ผมเล็กน้อยเชิงทักทาย

      หึ น่ารักดีว่ะ

      ผมดื่มเข้าไปอีกพลางเอาแต่เท้าคางจ้องมองไอ้คิ้วท์ที่นั่งอยู่ตรงข้าม ดูเหมือนมันจะเริ่มรำคาญเพราะหลังๆ ที่มันมองผมกลับ คิ้วของมันสามัคคีพุ่งเข้าหากัน แต่ผมไม่สนและยังคงมองท่าทางที่มันพูดหยอกล้อแล้วหัวเราะกับรุ่นพี่ ผมเห็นอย่างนั้นก็อดยิ้มตามมันไม่ได้อ่ะครับ เวลาเหล้าเข้าปากแล้วเห็นคนที่รู้สึกว่าโดนใจผมก็มักจะมีอาการเคลิ้มๆ แบบนี้ คนที่โดนจ้องมันอาจจะกำลังคิดว่าผมเป็นโรคจิตหรือเปล่านะ

      ไอ้คิ้วท์คงทนสายตาที่ผมมองไม่ไหว มันจึงบอกกับรุ่นพี่ว่าจะไปเอาเหล้าเพิ่มแล้วลุกไปที่บาร์ ผมมองตามมันไปจนมันเองก็ระแวงหันกลับมามองค้อนผม

      “น้อยๆ หน่อย ถึงจะน่ารักแค่ไหนแต่นั่นก็รุ่นน้องเพื่อนกูแถมยังเป็นผู้ชายนะเว้ย ไอ้นี่” เฮียกุนผู้ฉลาดหลักแหลมก็รู้ทันน้องชายคนนี้ทุกที

      ผมมองไปที่บาร์ ดูเหมือนไอ้คิ้วท์กำลังรอเอาเหล้าที่สั่งและระหว่างนั้นผมเห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาหามัน เธอโคตรสวยเลยครับ เห็นอย่างนั้นสายตาผมก็ไม่รู้จะโฟกัสใครดี

      ผู้หญิงคนนั้นยืนพูดคุยกับไอ้คิ้วท์สักพักแล้วยื่นมือถือให้มัน ดูเหมือนเธอกำลังจีบไอ้คนที่กำลังยืนรอเหล้าและมันก็คุยกลับด้วยสีหน้าที่ยิ้มกริ่มเช่นกัน

      ผมลุกขึ้นและเดินไปที่บาร์แล้วแย่งมือถือของหญิงสาวก่อนที่ไอ้คิ้วท์จะยื่นมือรับไป “ขอเบอร์หมอนี่เหรอครับ” ผมถามผู้หญิง

      “ค่ะ” เธอยิ้มตอบอย่างไม่ลังเล

      “แล้วไม่อยากได้เบอร์ผมบ้างเหรอครับ” ผมยิ้มหว่านเสน่ห์ให้เธอแล้วหันไปยักคิ้วใส่ไอ้คิ้วท์ ไอ้คนที่โดนผมกวนก็มองผมกลับซะตาขวางเชียว

      “อยากได้เบอร์ทั้งสองคนเลยอ่ะค่ะ”

      “โลภมากจัง แค่ผมคนเดียวไม่พอเหรอ” ผมหันมาพูดกับผู้หญิงต่อ

      “อืม ก็ได้ค่ะ” เธอพูดอย่างฝืนๆ

      ผมจัดการกดเบอร์ของผมลงในมือถือให้เธอ ก่อนเดินไปหญิงสาวยิ้มให้ผมแต่ก็ไม่วายหันไปยิ้มโปรยให้ไอ้คิ้วท์ด้วย ร้ายกาจจริงๆ ผู้หญิงสมัยนี้


      “ทำเชี่ยอะไร มึงคิดว่ามึงหล่อกว่ากูงั้นสิ” ไอ้คิ้วท์ที่ยืนมองค้อนอยู่นานพูดขึ้น

      “ไอ้บ้าเอ้ย พูดห่าอะไรของมึง” มันสบถใส่ผมด้วยสีหน้าหงุดหงิดก่อนหันไปบอกบาร์เทนเดอร์ว่าเดี๋ยวกลับมาเอาเหล้าแล้วมันก็เดินไปไหนไม่รู้

      คนเหี้ยอะไรโคตรน่ารัก…ขนาดโดนมันพูดห่ามๆ ใส่ผมยังไม่รู้สึกเจ็บอะไรเลย เพราะสีหน้าที่มันด่าดูน่ารักเกิ๊น   

      ผมเดินตามไอ้คิ้วท์ที่เดินเข้าไปในห้องน้ำ มันกำลังยืนรูดซิปลงก่อนจะปล่อยของเหลวใส่โถที่อยู่ตรงหน้า ผมเดินไปยืนเทียบเคียงมันแล้วก็ปลดปล่อยบ้าง คนตัวเตี้ยกว่าผมเล็กน้อยมันหันมามองอย่างไม่สบอารมณ์ ผมทำท่าชะโงกมอง “ของมึงน่ารักดีเนาะ” ผมพูดกวน

      “เชี่ย! มึงโรคจิตป่ะเนี่ย” ไอ้คิ้วท์หันตัวหักหลบขวับก่อนจะรีบรูดซิปขึ้นแล้วเดินไปที่อ่างล้างมือ “เลิกเดินตามแล้วก็เลิกมองกูแบบนั้นซะที!” มันตะคอกใส่ผมเสียงดังหลังจากที่ผมทำธุระเสร็จแล้วเดินตามมา

      ผมมองไอ้คิ้วท์ขณะที่มันล้างมือแล้วยิ้มหวานสุดเท่าที่จะยิ้มได้ ผมยังรู้สึกตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ แต่ดูเหมือนจะมีอาการกึ่มๆ เข้ามาแทรกแซงเล็กน้อย ผมรู้ว่าผมกำลังมองคนตรงหน้าด้วยสายตาหวานเยิ้มพลางเชยคางมันขึ้นมา “ทำไมมึงน่ารักจังวะ”

      “มึงจะทำอะไร!” มันปัดมือผมออกก่อนจะรีบเผ่นแต่ผมดึงแขนมันกลับมา

      “ก็มึงมันน่ารักอ่ะ” ดูเหมือนผมกำลังถูกฤทธิ์แอลกอฮอล์เข้าครอบงำ

      ผมยื่นมือไปกุมหน้าไอ้คิ้วท์แล้วบีบแก้มขาวนวลนุ่มนิ่มของมันเบาๆ จากนั้นก็…

      ผลัวะ!

      “ไอ้สัด…ถ้าเมาก็กลับบ้านไปนอนไป!” ไอ้คิ้วท์ปล่อยหมัดใส่ปากผมก่อนที่มันจะยืนด่าปาวๆ แล้วเดินออกจากห้องน้ำไป
ผมล้มลงไปกองกับพื้นแต่ยังยิ้มได้ อ่า…แก้มมันโคตรหอมเลย นิ่มด้วย ผมดมไปฟอดใหญ่ แล้วอะไรเค็มๆ ในปากนะ ผมกลั้วปากตัวเองพลางยกมือขึ้นมาจับตรงจุดที่โดนต่อย

      โอ้ยเจ็บ…หมัดแรงเหมือนกันนี่หว่า

      จากนั้นผมก็ค่อยๆ พยุงตัวเองให้ลุกแล้วเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยสีหน้าที่มีความสุขแปลกๆ ถึงแม้จะเพิ่งโดนต่อยมาก็ตาม
       “ไอ้คิ้วท์ล่ะครับ” ผมถามขึ้นหลังจากเดินมาถึงโต๊ะแล้วมองหาแต่ไม่เห็นคนที่เอ่ยถึง

      “มันเอาเหล้ามาแล้วก็ขอตัวกลับไปแล้ว…ไอ้นัก มึงไปทำอะไรไอ้คิ้วท์หรือเปล่า ดูท่ามันหงุดหงิดน่าดู” เฮียกุนถาม

      “เปล่าซะหน่อย” ผมยิ้ม

      “อย่าให้กูรู้นะว่ามึงไปทำอะไรมัน ความเป็นนักล่าในตัวมึงอ่ะ กดให้มันเพลาๆ ลงหน่อย ไม่ใช่ม่อไม่ดูตาม้าตาเรือ” เฮียกุนปรามผม

      ใครสนล่ะ ไม่ว่าจะเป็นเหยื่อแบบไหนถ้ามันน่ากิน…ถึงตอนนั้นผมก็คงไม่สามารถยับยั้งสัญชาตญานความเป็นเสือของตัวเองได้หรอก

      หึ ว่าแต่เหยื่อของผมถึงกับหนีกลับไปเลยเหรอ…ยังไงซะมันก็เป็นรุ่นน้องของเพื่อนพี่ผมและถ้าผมถูกใจใครแล้วคนๆ นั้นหนีผมไม่พ้นหรอกครับ



      ไว้เจอกันอีกนะไอ้คิ้วท์คนคิ้วท์…









Banoffee's zone

ที่แท้เรื่องราวที่เกิดขึ้นก็เป็นเพราะฝีมือเพื่อนรักตัวแสบ

แถมยังเมาแล้วไปลวนลามเพื่อนของโชอีก

นักรบ...นายนี่มันร้ายกาจแท้

โปรดติดตามตอนต่อไปด้วยจ้าาา ><

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-03-2019 19:50:45 โดย ิbanoffee »

ออฟไลน์ ิbanoffee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
Re: #Heart To Heart #ใจแพ้รัก 「ตอนที่4」-26/03/19-
«ตอบ #8 เมื่อ26-03-2019 18:38:23 »

ตอนที่4


วันเปิดเทอม…


      “ไอ้นักตื่น!!”

      หลังจากที่ออกมาจากห้องน้ำ ผมก็เห็นไอ้เพื่อนตัวแสบยังนอนน้ำลายยืดอยู่เลยครับ คงเพราะอาการเมาค้างที่มันไปดื่มมา ซึ่งไม่ใช่แค่เมื่อคืนแต่ดื่มสามวันติดต่อกันก่อนจะถึงวันเปิดเทอมนี่แหละครับ

      ผมแหกปากตะโกนเสียงดังปลุกไอ้นักเแต่มันก็ยังไม่ลืมตา ผมจึงเอาหมอนฟาดมันแรงๆ ไปหลายที “ตื่นโว้ยยย สายแล้ว!!” สรุปแล้วผมต่างหากที่ต้องคอยห่วง คอยดูแลมัน พ่อต้องเป็นคนพูดกับผมว่า…ฝากดูแลนักด้วย…ต่างหากล่ะ ไม่ใช่จะให้ไอ้เพื่อนไม่ได้เรื่องคนนี้มาดูแลผม

       ผมแต่งตัวเสร็จสักพักแล้วแต่ก็ต้องรอไอ้คุณชายตื่นสายที่กว่ามันจะทำเสร็จแต่ละอย่าง ยังดีที่ผมตื่นเช้ามากก็เลยมีเวลาเหลือให้ไอ้นักได้ทำตัวโอ้เอ้ และผมก็ยังใจเย็นพอเพราะหอพักอยู่ใกล้มหาวิทยาลัย ขับรถไปใช้เวลาไม่กี่นาทีก็ถึง

      ระหว่างที่รอผมแอบเอามือถือไอ้นักเข้าไปดูหน้าโปรไฟล์เฮียขุน มีแต่รูปถ่ายคู่กับผู้หญิงที่แท็กเขามาทั้งนั้น เหมือนดาราดังอ่ะครับที่มีสาวๆ รุมขอถ่ายรูป

      ผมไม่ได้เป็นเพื่อนกับเฮียขุน ผมขอเป็นเพื่อนไปตั้งแต่วันที่เขาย้ายเข้ามาเรียนมอปลายปีสุดท้ายแล้วแต่เขาก็ไม่กดรับผมสักที จนเขาจบมอปลายในวันที่เขาบอกว่าเกลียดผม…ผมก็กดยกเลิกขอเป็นเพื่อนครับ

      “ฮั่นแน่…แอบเอามือถือกูไปส่องเฮียขุนอีกแล้ว” ไอ้นักที่ออกมาจากห้องน้ำแซวขึ้นมา

      “ส่องบ้าอะไร กู…เอามาโทรหาเครื่องตัวเอง ไม่รู้เอาไปไว้ไหน…อ๊ะ เจอแล้ว เอาของมึงคืนไป” ผมหยิบมือถือของตัวเองที่วางอยู่ข้างหมอนแล้วรีบโยนมือถือคืนให้ไอ้นักแก้เขินที่มันรู้ทัน


      ได้ฤกษ์ออกจากห้องซะทีครับ แต่ก่อนเปิดประตูผมก็ต้องสอดแนมความสะดวกผ่านช่องตาแมวซะก่อน

      “วันนี้เฮียขุนเข้ามอตอนบ่าย” ไอ้นักพูดกรอกหูผมจากข้างหลังจนผมสะดุ้งเล็กน้อย “มึงก็จะอะไรนักหนาวะ ถ้าเจอหน้าเฮียขุนแล้วไม่รู้จะพูดอะไรก็แค่ไม่ต้องพูด เผชิญหน้าเฮียแกไปเถอะ เพราะกูรู้ว่าแค่มึงได้เห็นหน้าเฮียเขาก็มีความสุขยิ้มหน้าบานไปทั้งวันแล้ว”

      ผลัวะ! “ทำเป็นรู้ดีนักนะมึง” ผมเบิ้ดกะโหลกไอ้นักแรงๆ หนึ่งทีก่อนเปิดประตูออกไป

      “โอ้ยยย รับความจริงไม่ได้ก็ชอบมาลงกับเพื่อนนะมึงเนี่ย”

      “พูดมาก รีบไป กูไม่อยากสายตั้งแต่วันแรก”

      ตั้งแต่มาอยู่หอนี้ เวลาจะเปิดประตูออกไปแต่ละทีผมก็ต้องระแวงว่าจะเปิดไปเจอเฮียขุนมั้ย อย่างที่ไอ้นักเข้าใจว่าแค่ได้เห็นหน้าเขาผมก็มีความสุขแล้ว แต่ผมอยากเห็นเขาแค่ฝ่ายเดียว ไม่อยากให้เขาเห็นผมแล้วใช้สายตาที่เกลียดมองผม…มันเจ็บอ่ะครับ



      “เฮ้ยๆ ไอ้นัก นั่นเพื่อนกู จอดรับมันไปด้วย” ผมสะกิดไอ้นักพลางชี้ให้มันดูคนที่กำลังเดินอยู่บนฟุตบาทข้างหน้า

      “นั่นเพื่อนมึงเหรอ” ไอ้นักถามแล้วขับรถไปจอดเทียบข้าง

      “ไอ้คิ้วท์ ขึ้นรถไปมอด้วยกัน” ผมเลื่อนกระจกลงแล้วตะโกนบอกมัน

      ไอ้คิ้วท์พยักหน้าแล้วเปิดประตูรถขึ้นมานั่งเบาะหลัง “พอดีเลย กูกำลังจะเรียกวินอยู่แล้วเชียว” มันบอก

      “จ๊ะเอ๋…”

      “เหี้ย!!” ไอ้คิ้วท์อุทานออกมาเสียงดังหลังจากที่ไอ้นักชะโงกหน้าไปทักทายมันที่เบาะหลัง

      “พรหมลิขิตชัดๆ เราต่างเป็นเพื่อนของไอ้โช” ไอ้นักพูดแล้วยิ้มทะเล้น

      “พวกมึงรู้จักกันด้วยเหรอวะ” ผมถามแทรก

      “ใช่แล้ว เจอกันเมื่อสามวันก่อนที่ร้านเหล้า พี่เหนือเพื่อนเฮียกุนบอกว่าเป็นรุ่นน้องที่โรงเรียนเก่าเลยชวนมาแจมด้วย ไม่คิดเลยว่าจะเป็นเพื่อนมึง”

      “เออ ไอ้คิ้วท์เป็นเพื่อนกูตอนเด็กอ่ะ” ผมบอกไอ้นัก

      “นี่เพื่อนคณะเดียวกันที่มึงพักอยู่ด้วยเหรอวะ”

      “ใช่ครับ ที่จริงเป็นเพื่อนที่โคตรจะสนิทต่างหาก” ไอ้นักตอบไอ้คิ้วท์แทนผม “อ่อใช่ กูอยากจะถามว่ามึงรู้มั้ยว่าวันนั้นทำไมปากกูแตก กูจำไม่ได้ว่าไปโดนอะไรมา เท่าที่จำได้กูคุยอยู่กับมึงในห้องน้ำแล้วจากนั้นกูรู้สึกว่าตัวเองล้มตึง เอาจริงกูมึนๆ ไม่รู้ว่าพูดอะไรกับมึงด้วยซ้ำ” มันถามไอ้คิ้วท์ต่อ

      ใช่แล้วครับ ผมก็สงสัยว่าปากไอ้นักไปโดนอะไรมา เพราะตื่นเช้ามาอีกวันผมเห็นว่าปากมันแตกแล้วก็ช้ำ พอถาม มันก็บอกว่าจำไม่ได้แล้วก็เอาแต่ทำหน้ามึนยิ้มกว้างใส่ผม ทำเหมือนไม่ได้รู้สึกเจ็บแผลนั่นเลย แถมยังมีหน้ามาบอกว่าคงโดนสาวสักคนกัดปากมา

      “กู…จะไปรู้มึงเหรอ มึงคงไปกวนตีนใครสักคน เขาก็เลยเอากำปั้นให้มึงกิน” ไอ้คิ้วท์ตอบ

      “ไม่มั้ง กูอัธยาศัยดีจะตาย”

      “มึงรู้ได้ไง มึงอาจจะเมาแล้วไม่รู้ตัวเองว่าไปกวนตีนใครเขาเข้า ขนาดกูแค่มองหน้ามึง…กูยังรู้สึกเกลียดขี้หน้าเลย” ทำไมไอ้คิ้วท์มันต้องหงุดหงิดขนาดนั้น

      “เกลียดขี้หน้าแต่มานั่งรถเขาเนาะคนเรา”

      “ถ้ารู้ว่าเป็นรถมึง กูคงไม่แม้แต่จะคิดก้าวขึ้นมาหรอก!”

      “เฮ้ยๆๆ ไอ้คิ้วท์มึงไม่ต้องลง ไปด้วยกันเนี่ยแหละ กูเป็นคนชวนมึงขึ้นรถ ดังนั้นไม่ต้องไปสนใจไอ้นักมัน” ผมรีบปรามไอ้คิ้วท์ก่อนที่มันจะเปิดประตูลงไป “ส่วนมึงก็หุบปากแล้วขับรถไปมอได้แล้ว เดี๋ยวได้สายกันจริงๆ” ผมหันมาบอกไอ้นัก

      ผมรีบตัดบทก่อนที่พวกมันจะเถียงกันไปมาให้เสียเวลามากกว่านี้ครับ ดูเหมือนไอ้นักคงไปกวนประสาทอะไรไอ้คิ้วท์เข้าสักอย่าง พวกมันถึงได้สนทนากันได้ฮาร์ดคอร์ขนาดนี้ทั้งที่เพิ่งรู้จักกัน


      “ไว้เจอกันนะครับคนคิ้วท์” ถึงคณะไอ้คิ้วท์ก่อนครับ ไอ้นักจอดรถให้มันลงแล้วพูดน้ำเสียงหยอก

      “…” โดนไปหนึ่งดอก ไอ้คิ้วท์ชูนิ้วกลางใส่ไอ้นักกลับ แต่ไอ้เพื่อนตัวแสบของผมมันไม่สะทกสะท้านอะไรหรอก ยิ้มสู้เฉย

      “มึงห้ามมายุ่งกับเพื่อนกูเลยนะ” ผมพูดกับไอ้นัก

      “กูก็เพื่อนมึง…เพื่อนรักด้วย มาทำหวงกับกูทำไมวะ”

      “ก็เพราะว่ามึงเป็นเพื่อนรักกู กูถึงได้รู้สันดานมึงดีไง ถ้ามึงมายุ่งกับไอ้คิ้วท์ กูนี่แหละจะเป็นคนขัดขวางมึงอย่างเต็มที่” ผมพูดจริงจังจนไอ้นักทำหน้าเซ็งเล็กน้อย แต่เชื่อเถอะครับมันไม่ได้สำเหนียกในสิ่งที่ผมพูดหรอก

      ไอ้นักเป็นเพื่อนรักผมก็จริงครับ แต่ผมจะไม่ยอมให้ไอ้คิ้วท์เข้าใกล้มันหรอก สันดานเสืออย่างมันน่ะไม่น่าไว้ใจ ดีแล้วที่ไอ้คิ้วท์ไม่ชอบขี้หน้าจะได้อยู่ห่างๆ มันไว้




      การเรียนวันแรกก็ไม่ได้มีอะไรมากครับ เป็นการทำความรู้จักกับอาจารย์แล้วก็แนะแนวเล็กๆ น้อยๆ และวันนี้ก็มีวิชาเรียนแค่ช่วงเช้า ส่วนช่วงบ่ายรุ่นพี่บอกว่าจะมีกิจกรรมต้อนรับน้อง และตอนนี้ก็เที่ยงแล้วด้วย ผมรู้สึกหิวจนไส้กิ่ว เพราะตอนเช้ามัวแต่เร่งไอ้นักจนไม่ได้กินอะไรรองท้องมา

      “ไปโรงอาหารกัน” ผมชวนไอ้นักหลังออกมาจากห้องเรียน

      “โทษที มึงไปคนเดียวละกันนะ กูมีนัดกับพี่ฟางไปกินข้าวข้างนอกว่ะ”

      ผมมองไอ้เพื่อนตัวแสบอย่างเบื่อหน่าย “ตอนบ่ายยังมีกิจกรรมอีกนะเว้ย” ผมเตือนมัน

      “เออน่า ถึงกูจะเสเพล แต่ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยมีแค่ครั้งเดียว ดังนั้นกูจะไม่พลาดกิจกรรมเหล่านี้แน่นอนแล้วก็จะไม่พลาดนัดกับพี่ฟางด้วย ไปนะ แล้วเจอกันเพื่อน” พูดจบมันก็วิ่งไปอย่างเร็วเลยครับ

      เปิดเทอมวันแรกผมก็ได้ไปกินข้าวคนเดียวซะแล้ว เซ็งฉิบ…


      โรงอาหารคณะบริหารใหญ่ดีครับ มีร้านอาหารหลากหลาย ดูเหมือนจะมีคนข้างนอกเข้ามาซื้อทานกันด้วย แต่ไม่ว่าโรงอาหารจะใหญ่แค่ไหน ตอนนี้ผมกลับรู้สึกว่าโรงอาหารเล็กลงยังไงก็ไม่รู้ครับ เพราะผมเห็นเฮียขุนกับกลุ่มเพื่อนสามสี่คนกำลังเดินมาทางผมที่ยืนรออาหารอยู่

      ผมก้มหน้าลงพื้นมองเท้าตัวเอง รอให้เขาเดินผ่านเพียงชั่วอึดใจ ความรู้สึกจากห่างตา…เฮียขุนเขาก็ไม่ได้มองมาหรืออะไรกับผมหรอกครับ เขาคงทำเหมือนกับว่าผมเป็นแมลงหวี่แมลงวันแถวนี้ ไม่ได้สนใจอะไร

      “โช” ผมสะดุ้งแล้วหันไปยังเสียงเรียก

      ตกใจหมด ไอ้พี่ภามที่เดินมาพร้อมเฮียขุนนั่นเอง คงไม่คิดว่าจะเป็นเฮียขุนหรอกครับที่เรียกผม คนนั้นเขาเดินผ่านผมไปนู้นแล้ว “โรงอาหารคณะตัวเองไม่มีเหรอไง ถึงได้ถ่อมาหาอะไรกินที่โรงอาหารคณะบริหาร” ผมพูดหยอกพี่ภามพลางยื่นมือรับก๋วยเตี๋ยวที่สั่ง

      “ก็มาทวงที่มึงบอกจะเลี้ยงข้าวกูไง”

       เออว่ะ เคยบอกไปว่าจะเลี้ยงข้าวตอบแทนที่พี่ภามมันช่วยผมขนของนี่หว่า “ถ้างั้นพี่อยากกินอะไรล่ะ” ผมถาม

      “อืม…เอาเหมือนมึงละกัน”

      ผมจัดการสั่งก๋วยเตี๋ยวอีกชามให้พี่ภามแล้วก็เดินไปหาที่นั่ง…

      แล้วไอ้พี่ภามมันจะเดินมานั่งกับผมทำไม “เอ้า มานั่งนี่ทำไม ผมก็เลี้ยงก๋วยเตี๋ยวพี่แล้ว เอาไปนั่งกินกับเพื่อนพี่นู้น” ผมพยักเพยิดหน้าไปข้างหลังที่กลุ่มของเฮียขุนนั่งห่างอยู่ไม่ไกลนัก

      “ก็กูอยากนั่งกินกับมึง” พี่ภามพูดแล้วก็โซ้ยก๋วยเตี๋ยวเข้าปาก มันไม่ร้อนหรือไงวะ

      ผมแอบหันไปมองข้างหลังและสบตาเข้ากับเฮียขุนพอดี ผมรีบหันขวับกลับมาแล้วพูดกับพี่ภาม “นี่พี่ภาม ดูเหมือนว่าเพื่อนพี่จะไม่พอใจที่มานั่งกับผมนะ” ผมบอกกับพี่ภามที่ดูไม่สนใจอะไร

      “มึงหมายถึงไอ้ขุนเหรอ” พี่ภามพูดพลางชะโงกไปมองข้างหลังผม “ดูเหมือนว่ามันจะกำลังมองมึงอยู่นะ”

      “ที่เขามองผมก็เพราะไม่ชอบที่เพื่อนเขามานั่งกับคนที่เขาเกลียดไง จ้องผมเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ” ผมพูดเสียงนอยๆ
 
      “กูไม่คิดอย่างนั้นนะ” พี่ภามพูดพลางโซ้ยก๋วยเตี๋ยวเข้าปากต่อ มันดูไม่สนอะไรเลยจริงๆ อ่ะ เอาแต่เคี้ยวตุ้ยๆ อยู่นั่น ไม่รู้ไปหิวมาจากไหน ส่วนผมรู้สึกเสียวสันหลังแปลกๆ เพราะรับรู้ได้ถึงรัศมีสายตาของเฮียขุนที่ยังคงมองมาทางผมอยู่

      “หมายความว่ายังไง”

       “ที่ไอ้ขุนมันมองมึงคงเพราะ…มันหึงมั้ง” พี่ภามมันพูดงึมงำเพราะก๋วยเตี๋ยวเต็มปาก แต่ผมก็ยังพอฟังออก

      “ตลก…หึงบ้าบออะไร”

      “หึงก็คือหึง มึงนี่เข้าใจยากจัง อย่าถามมาก ยังไงกูก็จะนั่งกินกับมึงนี่แหละ กูไม่สนหรอกว่าไอ้ขุนมันจะมองหรือคิดยังไง…กูจะไปซื้อน้ำ ก๋วยเตี๋ยวติดคอกูละเนี่ย มึงจะเอาน้ำอะไร เดี๋ยวกูซื้อมาให้” พี่ภามลุกขึ้นพลางถาม

      “เอา…”

      “เอาเหมือนกูละกัน” พี่ภามพูดเองเออเองเสร็จสรรพก่อนจะเดินไป แล้วมันจะถามผมเพื่อ?

      ไม่เข้าใจที่พี่ภามมันพูดอ่ะครับ ผมรู้ว่าหึงคืออะไร แต่จะมาบอกว่าเฮียขุนหึงผมน่ะเหรอ…เป็นไปไม่ได้ เขาไม่ได้ชอบผม คนเกลียดกันจะมาหึงกันได้ยังไง หรือจะหึงไอ้พี่ภามมัน…ไม่มั้ง คงไม่ได้หึงแบบนั้น ถ้าหึงก็คงแบบเพื่อน ก็บอกแล้วว่าเขาคงหวงแล้วก็ไม่พอใจที่เพื่อนเขามานั่งกับคนที่เขาเกลียดอย่างผมต่างหาก


      อย่าฝันเฟื่องคิดไปไกลกับคำพูดมั่วๆ ของไอ้พี่ภามเลยไอ้โชเอ้ย…




      บ่ายสองแล้ว…ดูซิว่าไอ้นักจะมาเข้ากิจกรรมอย่างที่ปากมันพูดมั้ย


      “ไอ้โช!”

      ผลัวะ! ผมโบกไอ้นักเข้าให้ เรียกดีๆ ไม่เป็น มันยังมาเสียงดังแล้วจี้เอวผมอีก

      “นี่เพื่อนเอง รุนแรงตลอด” มันพูดพลางลูบหัวตัวเอง

      “หมั่นไส้เพื่อนอย่างมึงไง ไปได้แล้ว เพื่อนเขาไปนั่งกันหมดแล้วเนี่ย”


      ผมกับไอ้นักเดินมานั่งยังลานกว้างหน้าตึกคณะรวมกับปีหนึ่งคนอื่นๆ ตามที่รุ่นพี่เรียก

      บรรยากาศมหาวิทยาลัยของจริงเริ่มขึ้นแล้วครับ ตอนนี้มีรุ่นพี่ปีสองยืนล้อมเราเต็มไปหมด ให้ความรู้สึกว่าน่าตื่นเต้นและหวังว่ากิจกรรมนี้จะมีอะไรที่สนุกๆ ให้ทำ

      “สวัสดีน้องๆ ปีหนึ่ง ขอต้อนรับเข้าสู่คณะบริหารของรั้วมหาวิทยาลัยแห่งนี้ พวกพี่ยินดีเป็นอย่างมากที่จะได้ทำความรู้จักกับพวกน้องๆ และหวังว่าพวกน้องเองก็อยากที่จะรู้จักพวกพี่เช่นกัน ดังนั้นกิจกรรมต้อนรับน้องนี้จึงเป็นโอกาสแรกที่ดีที่จะทำให้เราได้รู้จักกันมากขึ้น” เฮียกุนที่เป็นรุ่นพี่ปีสองกล่าวเปิด สาวๆ ปีหนึ่งที่นั่งอยู่ในแถวนี่แอบกรี๊ดกันใหญ่เลยครับ อย่างว่าใครจะไปทนเสน่ห์เดือนมหาวิทยาลัยไหว ถึงแม้เฮียกุนจะใส่แว่นแต่ก็ไม่ได้ทำให้หน้าหล่อๆ ของเขาดูเฉิ่มเลย ยิ่งดูดีและน่าหลงไหลเข้าไปอีก “แจกภารกิจให้น้อง” เฮียกุนบอกรุ่นพี่ปีสองคนอื่นแจกแผ่นกระดาษให้ปีหนึ่ง



   …ขุนศึก จรัสวาณิชย์…


   
      “เชี่ยอะไรเนี่ย!” ผมรับแผ่นกระดาษมาอ่านแล้วพบว่าเป็นกระดาษรายชื่อ และผมก็ต้องอุทานคำหยาบออกมาเมื่อไล่สายตาอ่านดูแล้วเห็นชื่อที่คุ้นเคย ชักจะไม่น่าสนุกแล้วสิ รู้สึกว่าลางไม่ค่อยจะดีเลย แน่นอนว่าภารกิจของผมต้องทำอะไรบางอย่างกับรายชื่อพวกนี้


      แล้วทำไมต้องมีชื่อเฮียขุนด้วยยยยยยย


      “เฮ้ย นั่นชื่อพี่กูนี่” ไอ้นักอ่านดูแผ่นกระดาษของผม

      “เออสิวะ ไหนกระดาษของมึง เอามาดู ถ้าไม่มีชื่อเฮียขุน มึงต้องเปลี่ยนกับกู”

      “กูไม่มีและกูไม่เปลี่ยน ฮ่าๆๆๆ” ไอ้นักถือกระดาษหลบไปมาพลางหัวเราะสะใจ ผมตามจับแต่ก็คว้าไม่ได้เพราะไอ้นักมันหลบเร็วเหลือเกิน

      “ไอ้เลว มึงเป็นเพื่อนกูเปล่าวะ” ผมด่ามันด้วยความน้อยใจที่ไม่ยอมเปลี่ยนแผ่นกระดาษกับผม

      “มึงจงไปเผชิญชะตากรรมกับเฮียขุนซะเถอะไอ้เพื่อนรัก ฮ่าๆๆ” ดูมันพูด ไอ้…เพื่อนชั่ว ผมไม่รู้ว่าจะด่ามันยังไง ครับ มันก็รู้ว่าพี่มันใจร้ายกับผม และผมก็รู้สึกเจ็บเวลาเขาด่าหรือมองผมด้วยสายตาที่เกลียดกัน ไอ้นักมันก็น่าจะรู้ความรู้สึกของผมดี แต่มันก็ยังกล้าส่งผมไปหาพี่มันอีก


      “ได้รับแผ่นกระดาษกันครบทุกคนแล้วใช่มั้ยครับ ในมือของน้องๆ ที่ถืออยู่คือรายชื่อรุ่นพี่ในคณะเรา รายชื่อรุ่นพี่ถูกคละกันมีตั้งแต่พี่ปีสองไปถึงพี่ปีสี่ ซึ่งน้องแต่ละคนจะได้ไปคนละยี่สิบชื่อ ง่ายๆ ครับ ถ้าอยากรู้จักพวกรุ่นพี่ล่ะก็…พวกน้องก็แค่ไปตามล่าลายเซ็นพวกพี่เขา แต่ไม่แค่นั้นนะครับ ได้ลายเซ็นแล้วก็ต้องเซลฟี่กับพวกพี่เขามาด้วย”


      ฉิบหายยยยยยยย…


      หลังจากที่เฮียกุนอธิบายรายละเอียดของภารกิจ ผมนี่เครียดจนต้องเอามือกุมขมับทั้งสองข้างของตัวเองเลยครับ สำหรับคนอื่นอาจจะเป็นภารกิจที่ง่าย สนุกและตื่นเต้นที่จะได้รู้จักรุ่นพี่ แต่สำหรับผมมันยากมาก…ยากตั้งแต่การมองหน้าและต้องพูดเพื่อขอลายเซ็น นี่ยังต้องขอเซลฟี่คนๆ นั้นอีกหรือเนี่ย


      เครียดโว้ยยยยยยยย…


      “ตอนนี้บ่ายสองครึ่ง” เฮียกุนพูดพลางก้มดูนาฬิกา “พี่จะให้เวลาน้องๆ ถึงห้าโมงเย็น ต้องทำภารกิจนี้ให้เสร็จแล้วมารวมตัวกันที่นี่อีกครั้ง เราจะตรวจสอบว่าน้องทำภารกิจสำเร็จหรือเปล่า และสำหรับคนที่ทำไม่สำเร็จ เราก็มีบทลงโทษให้ด้วย พี่หวังว่าพวกน้องจะสนุกและได้เริ่มรู้จักรุ่นพี่จากภารกิจนี้ เอาล่ะ แยกย้ายกันไปทำภารกิจได้ แล้วเจอกันตอนห้าโมงเย็นครับ”

      หลังจากเฮียกุนพูดจบ ผมก็นั่งซึมเลยครับ ไม่รู้ว่าผมจะเครียดที่ต้องไปล่าลายเซ็นเฮียขุนแล้วเซลฟี่ด้วยหรือเครียดที่ทำภารกิจไม่สำเร็จแล้วต้องโดนทำโทษ ไม่ว่ายังไงผมก็ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง…สรุปแล้วผมควรเครียดกับเรื่องไหนมากกว่ากัน


      ถ้าผมเครียดเรื่องที่จะต้องเผชิญหน้ากับเฮียขุนมากกว่า…


      ผมก็เลือกที่จะโดนลงโทษครับ



      พอสั่งแยกย้าย ไอ้นักก็หัวเราะทับถมผมอีกทีแล้วก็หายจ้อยไปเลย ส่วนผมยืนงงในดงรายชื่อที่ถืออยู่ในมือ ไม่รู้ว่าผมจะต้องเริ่มต้นจากตรงไหนดี

      ผมก้มหน้าอ่านแผ่นกระดาษรายชื่อ…มีชื่อเฮียกุนด้วยแฮะ มัวแต่ช็อกไปชั่วครู่ที่เห็นชื่อของเฮียขุนเลยอ่านรายชื่อยังไม่หมด…ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มจากเฮียกุนละกัน

      ถึงแม้ผมคิดว่าจะไม่ไปขอลายเซ็นเฮียขุนและยอมโดนลงโทษเพราะทำภารกิจไม่สำเร็จ แต่การล่าลายเซ็นจากรายชื่อที่เหลือก็ยังทำให้อย่างน้อยได้รู้จักรุ่นพี่คนอื่นๆ

      “เฮียกุน ขอลายเซ็นหน่อยครับ” ผมเดินไปหาเฮียกุนที่กำลังยืนคุยอยู่กับเพื่อน

      “มึงมีชื่อกูสินะ เอากระดาษมานี่”

      “เฮ้ย เดี๋ยวก่อนไอ้กุน มึงจะเซ็นให้น้องมันง่ายๆ เลยเหรอวะ มึงรู้จักกันเป็นการส่วนตัวใช่มั้ยเนี่ย อย่าเอาความสนิทเข้ามาเกี่ยวสิ มึงต้องให้น้องมันเล่น เต้นระบำหรือทำอะไรแลกเปลี่ยนเหมือนคนอื่นๆ ดิวะ อย่าลำเอียง” เพื่อนในกลุ่มเฮียกุนทักท้วงขึ้นก่อนที่เฮียแกจะจรดปลายปากกาลงกระดาษของผม

      “กูจะไม่ให้น้องมันทำอะไรยุ่งยากเพื่อแลกลายเซ็นกูหรอก เพราะกูเชื่อว่ามันจะต้องโดนอะไรที่ยากอยู่แล้ว เผื่อเวลาให้มันไปให้รุ่นพี่คนอื่นจัดการเถอะว่ะ” เฮียกุนอธิบายกับเพื่อนก่อนที่จะหันมาเซ็นลายเซ็นให้ผมโดยง่ายและจบด้วยการเซลฟี่ด้วยกัน
“โชคดีนะมึงอ่ะ” คำอวยพรจากเฮียกุนครับ ดูเหมือนเฮียแกจะรู้ซะตาของผมจากการที่ไล่สายตาดูรายชื่อแล้วคงเห็นชื่อของเฮียขุน

      แต่เฮียกุนไม่รู้หรอกว่าผมจะหลีกเลี่ยงโดยการไม่ไปขอลายเซ็นของพี่ชายเขา



      เครียดด้วยแล้วก็สนุกด้วยครับที่ได้ทำภารกิจนี้ รุ่นพี่ก็อยู่กันกระจายไปทั่วบริเวณคณะบริหารซึ่งกว้างอยู่พอสมควรเลย ผมก็เดินและถามว่าพวกเขามีชื่ออยู่ในกระดาษของผมมั้ย จากนั้นพอเจอตัวพวกพี่เขาก็ให้ทำโน้นทำนี่ก่อนแจกลายเซ็น เต้นบ้าๆ บ้างล่ะ ให้เดินไปขอเบอร์สาวให้บ้าง ใช้ผมไปซื้อน้ำให้ก็มี ก็ต้องทำล่ะครับ เป็นการกระตุ้นให้กล้าแสดงออกและประสบการณ์แปลกๆ ที่จะทำให้เรารู้จักและจดจำรุ่นพี่คนนั้นได้

      เฮ้อออ ผมเดินมานั่งพักและดูดชาไข่มุกเย็นๆ ให้ชื่นใจพลางมองชื่อที่เหลือเพียงชื่อเดียว นั่นก็คือชื่อของเฮียขุน คงหยุดการตามล่าแค่นี้แหละครับ เพราะยังไงผมก็ไม่ไปขอลายเซ็นเขาเด็ดขาด

      “เชี่ยย” ลมแรงเกินครับ มันทำให้แผ่นกระดาษรายชื่อในมือของผมปลิวไป

      เชี่ยยยยยย! ต้องสบถแรงกว่าเดิมครับ เพราะกระดาษของผมมันปลิวไปตกอยู่ตรงเท้าของเฮียขุนที่เดินมาพร้อมกับเพื่อนเขาพอดี…เขาเก็บมันขึ้นมาด้วย

      “ของมึงใช่มั้ย” เขาเดินมาแล้วพูดกับผมที่ยืนทื่อกลายเป็นภาพนิ่งไปแล้ว “กูถามว่าของมึงใช่มั้ย” เขาถามย้ำ

      “ใช่” ผมตอบสั้นๆ “ผมขอคืน” ผมแบมือออกไปโดยที่ตาก้มมองดูปลายเท้าตัวเอง ไม่กล้ามองหน้าเขาอ่ะครับ

      “พูดกับรุ่นพี่ไม่มีหางเสียงแถมยังไม่มองหน้ากูอีก”

      “เงยหน้าขึ้นมา!” รุ่นพี่ในกลุ่มคนหนึ่งตะโกนขึ้นมาจนผมสะดุ้ง

       ลืมไปครับว่าพวกเขาอยู่ปีสามซึ่งถูกวางให้อยู่ในสถานะพี่ว้าก ฟังจากคำสั่งเมื่อกี้ผมคิดว่าพี่เขาเพิ่งออกมาจากค่ายทหารซะอีก ส่วนเฮียขุนแม้จะไม่ได้เสียงดังแต่คำพูดที่เขาพูดกับผมก็ฟังดูเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน…ตามสไตล์คุณชายผู้เย็นชาน่ะครับ

      “เอ่อ…ผมขอกระดาษคืนครับ” ผมค่อยๆ เงยหน้าขึ้นด้วยความเกร็ง แต่ก็ไม่กล้ามองตาเฮียขุนหรอกครับ ผมเงยเท่าความสูงของตัวเองซึ่งระดับสายตาเห็นถึงแค่ปลายจมูกของเขาเท่านั้น แค่นี้ก็รู้ถึงรัศมีสายตาที่ดุดันของเขาจนทำให้ผมตัวสั่นขึ้นมานิดๆ แล้ว

      “เหลือชื่อกูอีกหนึ่ง มึงจะไม่เอาลายเซ็นเหรอ” เฮียขุนพูด
 
       “ถ้างั้น…ช่วยเซ็นให้ได้มั้ยครับ” ผมพูดไปอย่างนั้นแหละ เขาคงไม่เซ็นให้หรอก

      “ก็ได้ กูจะเซ็นให้…”

      หือ ทำไมจะเซ็นให้ง่ายๆ ผมแปลกใจ

      “…ถ้ามึงยอมปลดกระดุมสักสามสี่เม็ดพอให้ดูเซ็กซี่ขึ้นมาหน่อย แล้วไปเต้นรูดเสาพร้อมกับตะโกนเรียกให้คนแถวนี้มาดูสเต็ปแดนซ์ของมึง”

      ผมเงยหน้าขึ้นมามองตาเขาอย่างเคืองๆ หึ คิดไว้อยู่แล้วว่าคนอย่างเขาไม่มีทางเซ็นให้ผมง่ายๆ หรอก

      “มองหน้ากูอย่างนี้ แสดงว่าจะไม่ทำสินะ ถ้าเรื่องแค่นี้ขี้ขลาด มึงก็ไม่สมควรที่จะได้ลายเซ็นกูและกูก็จะไม่คืนกระดาษแผ่นนี้ให้”

      แล้วยังไงล่ะ ถ้าผมตั้งปณิธานกับตัวเองไว้ว่าจะเกลียดเขา ผมก็ควรจะทำให้ได้ซะที “ถึงผมจะขี้ขลาดที่ไม่ทำตามคำสั่ง แต่ผมก็กล้าที่จะยอมลงโทษก็ได้ และถึงจะไม่คืนกระดาษรายชื่อให้ผม ผมก็ไม่สนหรอก มันก็แค่กระดาษที่มีลายเซ็น มันไม่สำคัญเท่ากับว่าผมมีปฏิสัมพันธ์กับพวกรุ่นพี่ที่ผมไปขอลายเซ็นและเซลฟี่กับพวกเขามา ผมได้รู้จักกับพวกเขาแล้วและผมจะไปขอลายเซ็นพวกเขาใหม่ก็ได้ อีกอย่างลายเซ็นเดียวที่เหลือคงไม่ต้องก็ได้มั้ง…ผมไม่ได้อยากได้ขนาดนั้น” แม่งทำไมกูพูดยาวจังวะ ตื่นเต้นฉิบหายที่กล้าพูดใส่หน้าเฮียขุนขนาดนี้ เอาจริงตอนพูดนี่ตัวก็สั่นระริกไปหมดแล้วครับ

      หลังจากพูดกับเฮียขุนไปขนาดนั้น ผมก็รีบคว้าเป้แล้วเดินจ้ำอ้าวหนีไปเลย ไม่สนด้วยว่าพวกพี่เขาจะตะโกนเรียกให้หยุด ผมไม่แคร์อะไรแล้วครับ ไม่คืนก็ไม่ต้องคืน ผมจะยอมล้มภารกิจและไม่มีแม้แต่แผ่นกระดาษไปส่ง





      ถึงตั้งปณิธานว่าจะเกลียดเขา แต่ที่ผ่านมา…





      ไม่ว่ายังไงผมก็เกลียดเขาไม่ลงจริงๆ ซะที






-----TBC-----



ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: #Heart To Heart #ใจแพ้รัก 「ตอนที่4」-26/03/19-
«ตอบ #9 เมื่อ26-03-2019 20:57:27 »

 :hao3:
 :3123:
 :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: #Heart To Heart #ใจแพ้รัก 「ตอนที่4」-26/03/19-
« ตอบ #9 เมื่อ: 26-03-2019 20:57:27 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: #Heart To Heart #ใจแพ้รัก 「ตอนที่4」-26/03/19-
«ตอบ #10 เมื่อ28-03-2019 09:24:31 »

 :L2: :pig4:

ทำไมใจร้าย

ออฟไลน์ ิbanoffee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
Re: #Heart To Heart #ใจแพ้รัก 「ตอนที่5」-29/03/19-
«ตอบ #11 เมื่อ29-03-2019 22:57:47 »

ตอนที่5


      “พวกน้องๆ นั่งกันในแถวและเตรียมมือถือไว้นะครับ พวกพี่ปีสองจะไปตรวจกระดาษรายชื่อและรูปที่ไปขอรุ่นพี่เซลฟี่ว่าได้กันมาครบมั้ย”

   ตอนนี้เป็นเวลาห้าโมงเย็นซึ่งคือเวลานัดหมายให้เด็กปีหนึ่งมารวมตัวกันที่ลานหน้าตึกคณะอีกครั้งหลังจากที่ปล่อยให้ไปทำภารกิจ

   “แล้วกระดาษรายชื่อมึงล่ะ” ไอ้นักถามผม

   “อยู่กับพี่มึง” ผมพูดอย่างเคืองๆ

   “อยู่กับเฮียขุนอ่ะนะ”

   “เออสิ”

   “แล้วเฮียเขาเอาไปทำไม”

   “…” ผมมองหน้ามันอย่างคาดโทษ “มึงยังจะมีหน้ามาถาม เป็นเพราะมึงนั่นแหละที่ไม่ยอมเปลี่ยนกระดาษรายชื่อกับกู พี่มึงน่ะแกล้งกู จะให้กูอับอายโดยการให้ปลดกระดุมเสื้อไปเต้นรูดเสาแล้วก็เรียกให้คนมาดู พี่มึงมันร้ายกาจ นิสัยเสีย เรียกว่าชั่วไปเลยจะดีกว่า ไม่เซ็นให้กูแล้วก็ยังจะยึดกระดาษกูไปอีก นี่กูเคยชอบคนแบบนี้เข้าไปได้ยังไงวะ” ไม่ใช่ว่าเคยชอบแต่ชอบมาตลอดจนถึงตอนนี้ต่างหาก

   “มึง…กูขอโทษ เฮียขุนให้ทำเรื่องน่าอายขนาดนั้นเลยเหรอวะ” ผมพูดกับมันด้วยความโมโหจริงจัง หน้าไอ้นักมันสำนึกจริงๆ ครับ แต่สายไปแล้วมั้ง “ถ้างั้นเอาของกูไป” เหมือนไอ้นักจะไถ่โทษด้วยการยกแผ่นกระดาษของตัวเองที่มีลายเซ็นรุ่นพี่ครบให้ผม…แต่นี่ก็ไม่ทันแล้วเหมือนกันครับ

   “ไหนกระดาษของน้องล่ะคะ” รุ่นพี่ปีสองที่ตรวจภารกิจเดินมาถึงผมแล้ว

   “ผม…ทำหายครับ มีแต่รูปที่เซลฟี่” ผมบอกไปอย่างนั้น

   “โอเค ถ้างั้นก็รูปเซลฟี่”

   “คือ…รูปเซลฟี่ก็ไม่ครบครับ”

   “ถ้างั้นออกไปข้างหน้าเลยค่ะ” แล้วพี่เขาก็เดินตรวจต่อ

   “ทำไมมึงไม่บอกว่ากระดาษที่กูถืออยู่เป็นของมึง” ไอ้นักพูดกับผม

   “ช่างแม่ง จะทำงั้นได้ไง มึงต้องไปเหนื่อยทำโน้นนี่นั่นกว่าจะได้ลายเซ็นรุ่นพี่มา กูคงไม่ให้มึงมารับโทษแทนกูหรอก” ผมคนดีครับ ถึงจะยังเคืองไอ้นักเรื่องที่มันไม่ยอมเปลี่ยนกระดาษกับผมก็เถอะ

   เป็นอันว่าผมก็ได้ออกไปยืนหน้าแถวรวมกับเพื่อนที่ทำภารกิจไม่สำเร็จเหมือนกันอีกหกเจ็ดคนเพื่อรอรับบทลงโทษ



   “น้องๆ ครับ สวัสดีรุ่นพี่ปีสามกันหน่อยเร็ว” เฮียกุนกล่าวถึงกลุ่มพี่ปีสามหรือกลุ่มพี่ว้ากที่เดินมาเปิดตัวแก่เด็กปีหนึ่ง และแน่นอนหนึ่งในนั้นคือเฮียขุนที่กำลังมองมาที่ผม ผมเองก็จ้องเขาด้วยความหงุดหงิดเหมือนกัน

   เอาสิ ต่อไปนี้ผมจะใจกล้าสู้หน้าเขาแล้ว ไม่ยอมแล้วเว้ย ต้องทำใจดีสู้เสือบ้าง เผื่อเขาจะได้รู้ว่าผมก็เกลียดท่าทีที่เขาทำใส่ผมขนาดไหน

   “สวัสดีครับพี่ปีสาม” ปีหนึ่งพร้อมใจกันยกมือไหว้พวกเขา

   “สวัสดีน้องๆ ทุกคน ดีครับที่มีสัมมาคารวะกัน แต่ดูเหมือนจะมีอยู่หนึ่งคนที่ไม่มีสิ่งนั้น” เฮียขุนกล่าวทักทายเสียงเรียบ อะ…เมื่อกี้ผมมัวแต่จ้องเขาจนลืมตัวยกมือไหว้เลยนี่หว่า


   “ว่าไง” เขาเดินมาที่ผมพลางมองหาเรื่องและคนอื่นๆ ก็มองมาที่ผมเป็นตาเดียวกัน

   “สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้เขาลวกๆ และพูดน้ำเสียงแข็ง ก็บอกว่าลืมตัว ผมไม่ได้ตั้งใจที่จะหาเรื่องเขาโดยการไม่แสดงความเคารพหรอกครับ แค่ตอนนี้รู้สึกหมั่นไส้นิดๆ

   “ดูไม่เต็มใจไหว้นะ แต่ก็ช่างเถอะ กูมีวิธีสั่งสอนมึง” ดูสีหน้าที่เขาพูดสิ ไม่หลงเหลือภาพความใจดีอยู่เลย นับวันยิ่งดูร้ายกาจ “กูจะถามมึงเป็นครั้งสุดท้าย มึงอยากได้กระดาษคืนพร้อมลายเซ็นกูมั้ย…ถ้าอยากได้ก็ปลดกระดุมออกแล้วไปเต้นรูดเสาโชว์ต่อหน้าเพื่อนๆ ซะ” เขายังจะพูดกับผมแบบนั้น

   “ไม่ อยาก ได้”

   “มึงจะยอมลงโทษจริงๆ ว่างั้น”

   “ใช่ ผมจะยอมโดนลงโทษ” ผมพูดด้วยความมั่นใจ

   “ก็ได้ ถ้ามึงต้องการอย่างนั้น…บทลงโทษคืออะไร” พูดกับผมเสร็จก็หันไปถามเฮียกุน

   “ให้เพื่อนแต่ละคนรุมเขียนหน้า” เฮียกุนตอบ

   “อ่อน...” ขนาดน้องตัวเองก็ไม่เว้น เฮียกุนโดนว่าแบบนั้นเลยอดไม่ได้ที่จะหน้าเหวี่ยงใส่พี่ชายตัวเอง “ถ้างั้นก็ให้โดนรุมเขียนหน้า ยกเว้นไอ้นี่” เฮียขุนทำปากพยักเพยิดมาทางผม “ภารกิจต่อไปคือเข้าไปล้วงขวดโหลในห้องมืดกันเป็นกลุ่มใช่มั้ย…ถ้าอย่างนั้นลงโทษไอ้หมอนี่โดยการให้มันเข้าไปในห้องมืดคนเดียว”

   ห๊ะ…ฉิบหายละครับ!! จะเล่นกันอย่างนี้ใช่มั้ย เฮียขุนรู้ว่าผมโคตรจะกลัวที่มืด มันทำให้ผมกลัวแทบหายใจไม่ออกเลยล่ะ

   “หวังว่าวิธีนี้คงจะสั่งสอนให้มึงเคารพกูมากกว่านี้” เขาพูดพลางยิ้มเหมือนตัวร้าย ไม่กลัวหรอก ผมเองก็ทำหน้าเข้มเข้าสู้เหมือนกัน


   
       ทั้งที่จริงแค่คิดว่าจะได้เข้าห้องมืดก็กลัวจนรู้สึกเหมือนจะฉี่ราดยังไงก็ไม่รู้คร้าบบบ~

   

       ตอนนี้หกโมงเย็นเป็นเวลาโพล้เพล้ เหมาะกับการเพิ่มบรรยากาศให้น่ากลัวอย่างยิ่งสำหรับห้องมืดที่พวกรุ่นพี่จำลองห้องกว้างห้องหนึ่งให้กลายเป็นเสมือนบ้านผีสิง มีหลายสิ่งหลายอย่างเป็นอุปสรรคและกีดขวางท่ามกลางเขาวงกตในความมืดซึ่งเป็นหนทางให้ไปสู่ตำแหน่งที่อยู่ของขวดโหลใบหนึ่ง

       “ภารกิจนี้สำคัญมาก น้องๆ จะต้องไปให้ถึงขวดโหลและล้วงกระดาษในนั้นมาคนละหนึ่งใบ ทุกคนจะต้องทำให้สำเร็จเพราะกระดาษใบนั้นจะเป็นใบนำทางให้น้องไปสู่การรับรุ่น ถ้าใครที่ภารกิจล้มเหลวไม่ได้กระดาษนั้นมาก็อาจจะไม่ได้เป็นหนึ่งในรุ่นนี้ ดังนั้นเรามาปฏิบัติภารกิจเพื่อการได้รับเกียรตินั้นไปด้วยกันเถอะ เอาล่ะ พี่จะปล่อยให้น้องๆ ไปทีละกลุ่มตามแถวที่นั่งนะครับ ขอให้โชคดีและสนุกกับสิ่งที่พี่ๆ ได้เตรียมไว้ให้” เฮียกุนคนเดิมกล่าว

        อย่างที่ทราบกันว่าผมโดนลงโทษโดยการเข้าไปในห้องมืดคนเดียว ผมจึงถูกแยกนั่งเดี่ยวๆ ออกมาจากแถว พลางคิดว่าสิ่งที่พวกรุ่นพี่เตรียมไว้ให้ผมคาดว่าน่าจะเป็นอะไรแผลงๆ ที่กระตุ้นต่อมความกลัว ซึ่งเข้ากับบรรยากาศของเวลาตอนนี้บวกกับแสงไฟสลัวที่ถูกจัดฉากไว้

       ยิ่งบรรยากาศวังเวงแบบนี้ หันไปมองเพื่อนที่นั่งในแถวข้างๆ ผมนี่มีสะดุ้ง ก็คนที่โดนลงโทษแล้วถูกเพื่อนรุมเขียนหน้าซะเละ เห็นแต่ขอบตาและฟันขาวจากรอยยิ้ม หรือผมควรจะดีใจที่ไม่ถูกเขียนหน้าเหมือนพวกมัน

       “ทำไมมึงมานั่งคนเดียวตรงนี้วะ” พี่ภามถามผม ไม่รู้เขาเดินมาจากไหนครับ แต่เท่าที่รู้คณะสัตวแพทย์เนี่ยเรียนหนักและบางวันก็อยู่แล็ปจนดึก ผมละสงสัยจริงๆ ว่าสรุปไอ้พี่ภามมันเรียนอะไรกันแน่ถึงได้เห็นมันมาโผล่อยู่แต่ที่คณะบริหาร แล้วคณะมันไม่มีกิจกรรมเหมือนกันหรือไง

       “ผมโดนลงโทษให้เข้าห้องมืดคนเดียวอ่ะ แล้วพี่มาทำอะไร ไม่ไปต้อนรับน้องคณะตัวเองหรือไง”

       “กูทำหน้าที่ของตัวเองเสร็จแล้วก็เลยแวะมาดูมึง แล้วมีแค่มึงเหรอที่โดนลงโทษ”

       “มีหลายคนที่โดน พวกนั้นถูกรุมเขียนหน้าไปแล้ว แต่เพื่อนพี่อ่ะแกล้งจะให้ผมเข้าห้องมืดคนเดียว” ทำไมผมต้องทำเหมือนฟ้องไอ้พี่ภามด้วย

       “แล้วมึงกลัวมั้ย?”

       “ก็…”
“เออ ไม่ต้องพูดละ ดูก็รู้ว่ามึงกลัว ตัวสั่นตั้งแต่ยังไม่เข้าขนาดนี้ ไอ้ขุนก็คงรู้ว่ามึงกลัวสินะ มันถึงได้แกล้งมึง…ถ้างั้นรอเดี๋ยวกูจัดการให้”

       “ไม่ต้อง พี่ภาม!” ผมเรียกตามไม่ทันแล้วครับ ไอ้พี่ภามกำลังเดินไปหาเฮียขุนที่ยืนอยู่กับเพื่อน

       มันต้องไปพูดให้เฮียขุนเปลี่ยนใจไม่ส่งผมเข้าห้องมืดแน่เลยครับ อย่างนี้คนๆ นั้นเขาจะต้องคิดว่าผมกากแน่ๆ ไม่น่าฟ้องพี่ภามมันเลย แต่ผมคิดว่าคงไม่สำเร็จหรอก ถึงพี่ภามจะเป็นเพื่อนสนิทหรือพูดยังไงก็ไม่มีทางเปลี่ยนใจคนเย่อหยิ่ง นิสัยเสียคนนั้นได้ ผมมั่นใจ

       นั่นไง ดูจากสีหน้าพี่ภามที่หน้านิ่วคิ้วขมวดเถียงกับเฮียขุน ผมมั่นใจว่ายังไงเขาก็คงพูดว่าไม่ แล้วพี่ภามก็กำลังเดินกลับมาที่ผมด้วยใบหน้าที่เซ็ง

       “ช่างมันเถอะพี่” ผมพูดโดยที่พี่ภามยังไม่บอกอะไร

       “รู้ใจกันดีนักนะ มึงคงรู้ว่ามันไม่เปลี่ยนใจที่จะส่งมึงเข้าห้องมืดคนเดียว”

       “รู้ใจอะไรล่ะ รู้ดีว่าเขาเกลียดผมต่างหาก ผมจะยอมรับบทลงโทษที่เขาให้ เฮียขุนจะได้ไม่มองว่าผมอ่อน”

       “ถ้ามึงเข้าไปแล้วไม่ไหวก็ตะโกนดังๆ นะ เดี๋ยวกูจะเข้าไปช่วยมึงเอง”

       “มาแปลกว่ะ ยิ่งโตขึ้นก็ยิ่งทำตัวดีกับผมมากขึ้นนะพี่น่ะ เห็นตอนเด็กแกล้งผมจัง”

       “ก็กูโตขึ้นแล้ว เป็นผู้ใหญ่ก็ต้องแยกแยะมากขึ้น มีความรู้สึกมากขึ้น…” พี่ภามเงียบสักพักแล้วจ้องหน้าผม “เอ่อ รู้สึกผิดชอบชั่วดีมากขึ้นน่ะว่าไม่ควรแกล้งมึง”

       “ไม่ต้องมามองผมแบบนั้นเลย เอาเป็นว่าไม่ต้องสงสารผมหรอกที่โดนเพื่อนพี่แกล้งอ่ะ ยังไงซะผมก็จะทำภารกิจนี้ให้สำเร็จให้ได้โดยที่จะไม่ทำตัวอ่อนแอด้วยการกรีดร้องขอความช่วยเหลือสักแอะ”

       “เออ ให้มันจริงเหอะ อย่าให้กูได้ยินเสียงมึงตั้งแต่เพิ่งก้าวเข้าประตูไปละกัน”

       “เออ รีบๆ ไปยืนกับเพื่อนพี่นู้นไป มองตาขวางละนั่น” ผมผลักพี่ภามให้รีบไป เฮียขุนคงหงุดหงิดอีกตามเคยที่เห็นเพื่อนตัวเองมาพูดกับผมแล้วยังไปขอให้เขาเปลี่ยนใจไม่ส่งผมเข้าห้องมืดอีก

       บางทีผมก็คิดว่าไอ้พี่ภามกับเฮียขุนสลับร่างกันหรือเปล่า ทำไมเฮียขุนใจร้ายแล้วพี่ภามมันดูใจดีกับผมจัง




       กรี๊ดดดดดดดดดดดดด!!

       เสียงกรีดร้องของทั้งผู้หญิงและผู้ชายปีหนึ่งผสมปนเปดังมาเป็นระยะ ระหว่างทางเดินคงมีตุ๊กตาสิงสาราสัตว์ที่น่ากลัว หัวกะโหลกหรือผีปลอมอะไรทำนองนั้นที่มักพบเจอในบ้านผีสิง จึงทำให้พวกเขาตกใจกลัวกัน

       “เหลือแค่มึงแล้ว สู้ๆ นะมึง ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดหรอก ที่มันทำให้กลัวก็เพราะมันมองไม่เห็นอะไรเลยเนี่ยแหละ” ไอ้นักที่ออกมาพร้อมกลุ่มสุดท้ายบอกผม

       สิ่งนั้นแหละที่กลัว ความมืดสนิทที่มองไม่เห็นมันทำให้ผมทำอะไรไม่ถูกและได้แต่จินตนาการไปต่างๆ นานาถึงสิ่งที่ตัวเองกลัว และสำหรับผมภายใต้จิตสำนึกมันทำให้เกิดความกลัวมากกว่านั้น ไอ้นักมันไม่เคยรู้มาก่อนว่าผมกลัวความมืดมากแค่ไหน และพี่ภามก็ไม่เคยรู้แต่เขาคงดูออกจากอาการของผม ส่วนคนที่รู้ดีก็เป็นตัวการเอาความกลัวของผมมาแกล้งกันซะงั้น

       มันเหมือนกับคนที่เป็นโรคกลัวความสูงอ่ะครับ ส่วนผมกลัวความมืดจนขึ้นสมอง ตอนนี้แค่ผมก้าวเท้าเข้าประตูมา ถึงมันจะยังมีแสงรำไรพอให้เห็นทางข้างหน้าแต่ผมก็ขาสั่นแทบก้าวไม่ออกแล้ว

       ผมจะไม่ยอมแพ้หรอก แต่ว่ายิ่งเดินเข้ามาลึกก็ยิ่งเข้าสู่ความมืดขึ้นเรื่อยๆ ผมรับรู้ได้ถึงใบหน้าตัวเองที่เปียกชื้นจากเหงื่อที่แตกพลั่ก พลางเริ่มหายใจฟึดฟัดไม่สะดวกเพราะอาการหวาดกลัวเข้าครอบงำ ผมมองไม่เห็นอะไรเลยแม้แต่แสงเล็ดลอดเพียงนิดเดียว มันมืดสนิทจนทำให้คิดว่าตัวเองนั้นตาบอดไปแล้ว

       มือของผมที่สั่นกวาดไปมาสะเปะสะปะท่ามกลางความมืด คลำทางจากการสัมผัสกำแพงไม้อัดที่ถูกจัดฉากเป็นเขาวงกต

       ตุบ!

       เชี่ย!!

       อะไรก็ไม่รู้ครับหล่นใส่เท้าผม ผมหยิบขึ้นมาและสัมผัสได้ว่ามันเป็นลูกกลมๆ และมีรูโหว ลักษณะเหมือนหัวกระโหลกอะไรทำนองนั้น ผมนี่รีบโยนทิ้งไปเลย ถึงแม้จะรู้ว่ามันเป็นของปลอม แต่การได้มาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้เพียงคนเดียว มันทำให้ผมตกใจและก็กลัวไม่น้อย


       ปึก!

       เดินต่อไปก็มีวิกผมหล่นลงมาอีก เส้นผมสากๆ ที่สัมผัสแล้วทำให้ขนลุกซู่

       ผมหยุดสตั้นไปสักพักก่อนจะทำใจกล้าเดินไปต่อ ตอนนี้ใจเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้วครับ เสียงหายใจของผมก็ดังฟึดฟัดขึ้นไปอีก

       ไม่เป็นไรๆ บอกกับตัวเองอย่างนั้นพร้อมกับก้าวขาที่เริ่มจะต่อต้านไปอย่างช้าๆ ผมขอชมเชยตัวเองที่เดินเข้ามาลึกกว่าที่คิดไว้ และขอบคุณเฮียขุนที่ทำให้ผมคิดว่าจะต้องเอาชนะเขาให้ได้ถึงได้ฝืนตัวเองเดินมาขนาดนี้

       แต่ตอนนี้นอกจากจะมองไม่เห็นแล้ว อาการหวาดกลัวของผมมันกำลังส่งผลให้ผมเวียนหัวและหายใจไม่ออก เหมือนออกซิเจนกำลังจะหมดไปยังไงก็ไม่รู้ครับ ผมเริ่มเดินเซไปมา…

       ขวดโหลมันอยู่อีกไกลมั้ยนะ

       กล้ามเนื้อแขนขาที่อ่อนปวกเปียกอยู่แล้วตั้งแต่เดินเข้ามา ดูเหมือนจะอ่อนกำลังลงเรื่อยๆ และหมดไปจนทำให้ผมล้มพับลง
 
       ช่วยด้วยยย…อยากจะพูดออกไปแต่แม้แรงจะเปล่งเสียงยังไม่มี ผมล้มลงไปนอนกองกับพื้นด้วยเสียงหายใจหอบถี่ของตัวเองที่ดังริบหรี่ ดูเหมือนสติสตังของผมกำลังจะวูบไป แต่…

       มือของใครบางคนมากุมมือผมไว้ ดึงและประคองให้ค่อยๆ ลุกขึ้น “ใครอ่ะ” ผมถามอย่างไม่มีแรง

       ไม่มีเสียงตอบรับจากคนที่เข้ามาช่วย เขาพยุงโดยการเอาแขนผมคล้องคอเขาไว้แล้วพาเดินไป

       สัมผัสจากฝ่ามือที่ใหญ่กว่าผมเล็กน้อยนั้นมันทำให้คุ้นเคยกับสถานการณ์แบบเดจาวูที่ผุดขึ้นมาในหัวสมอง ผมไม่อยากคิดว่าเป็นเขา แต่ก็อดคิดไม่ได้…





       เมื่อตอนเด็กผมเคยเล่นซ่อนแอบและเข้าไปหลบอยู่ในห้องเก็บของเก่าของบ้านใหญ่ และถูกขังกุญแจเพราะแม่บ้านเอาของมาเก็บแล้วล็อคห้องไว้ พอผมรู้ตัวว่าโดนขังก็เอาแต่ตะโกนขอความช่วยเหลือ แต่ว่าเพราะห้องนั้นอยู่ใต้ดิน เสียงของผมจึงน่าจะกลายเป็นเพียงเสียงแผ่วเบาเมื่อเล็ดลอดออกไปข้างนอก

       ถึงจะอยู่ใต้ดินแต่แสงจากหลอดไฟก็สว่างจ้า ทว่าผมถูกขังอยู่ในนั้นสักพักไฟก็ดับลง อาจเป็นเพราะหลอดไฟที่เก่าแล้วหรือแม่บ้านลืมปิดไฟแล้วเดินมาปิด

       อะไรก็แล้วแต่…ช่วงวินาทีนั้นทำให้ผมตื่นกลัวมาก ผมทำอะไรไม่ถูกเพราะตัวแข็งทื่อ ตะโกนแล้วตะโกนเล่าก็ไม่มีเสียงตอบรับเพราะดูเหมือนจะไม่มีใครได้ยิน

       ผมเอาแต่นั่งกอดเข่าตัวสั่นเทาและร้องไห้สะอื้น ผมร้องไห้หนักจนหายใจไม่ค่อยออกและเป็นลมล้มไป ในขณะนั้นมีแสงจากไฟฉายส่องมาพร้อมกับเสียงตะโกนเรียกชื่อผม

       “โช…ไม่เป็นไรนะ พี่อยู่นี่ พี่หาโชเจอแล้ว” เด็กชายขุนศึกก็เขามาประคองผมไว้แล้วกอด เขากุมมือผมแน่นและปลอบผม
 พร้อมกอดอยู่อย่างนั้นสักพักรอจนผมมีแรงพอที่จะยืนให้เขาช่วยพยุงพาออกจากห้องไป


       เฮียขุนจึงเป็นคนเดียวที่รู้ว่าผมกลัวความมืด


       แต่ตอนนี้เขาเป็นคนละคนกับตอนนั้นแล้ว…


       เขาไม่ใช่คนที่จะมาช่วยผมแล้ว





       ไม่ว่าคนที่ประคองผมอยู่นี้จะเป็นใครก็ตาม…ผมรู้สึกขอบคุณเขามากๆ

       ผู้ไม่ประสงค์เอ่ยนามประคองผมมาโดยไม่ปริปากอะไรจนมาถึงที่อยู่ของขวดโหล เขาจับมือของผมที่อ่อนแรงให้ล้วงไปหยิบกระดาษในขวดโหลขึ้นมา ดูเหมือนเขาจะกำลังพยายามทำหน้าที่เป็นผู้นำทางให้ผมได้ทำภารกิจให้สำเร็จ

       เขาคนนั้นพาผมเดินมาเรื่อยๆ ระหว่างทางยังคงมีของแปลกๆ อะไรก็ไม่รู้หล่นลงมาให้ตกใจ แต่ดูเหมือนคนที่ช่วยผมจะไม่ได้กลัวหรือสนใจอะไรมาก เขาแค่เร่งนำทางพาผมมาจนถึงทางที่คิดว่าน่าจะเป็นทางออกเท่านั้น

       เห็นแสงสลัวอยู่เพียงเล็กน้อยและยังไม่สามารถทำให้มองเห็นอะไรได้ชัดเจน เขาคนนั้นบีบมือผมแน่น “ขอบคุณมากครับ” ผมพูดกับเขา

       มือนั้นปล่อยจากผมและแสงที่ทำให้เห็นเงาของเขาเพียงเลือนลางก็ทำให้ผมรู้ว่าเขาได้เดินกลับและหายเข้าไปในห้องมืดแล้ว

       ผมเดินต่อออกมาเองอย่างสะเปะสะปะด้วยอาการที่ยังรู้สึกว่าเวียนหัวและอ่อนแรงอยู่ ในที่สุดผมก็ได้เห็นแสงสว่างจ้ากระแทกเข้าตาจนต้องเอามือป้องเมื่อก้าวพ้นประตูทางออก


       “ไอ้โช มึงไหวเปล่าวะ”

       “พี่ภาม” พี่ภามเข้ามาประคองผมก่อนที่จะล้มพับไปอีกรอบ

       “เออ กูเอง กูมารอมึงอยู่ที่ทางออก มึงไหวมั้ยเนี่ย หน้ามึงดูซีดมาก”

       ในขณะที่พี่ภามประคองผมไปนั่งที่เก้าอี้ ผมเดินผ่านเฮียขุนที่ยืนมองด้วยสายตาที่เฉยชา “หึ” มีแค่เพียงเสียงนั้นดังออกมาจากลำคอของเขา ดูเหมือนเขาจะกำลังสมน้ำหน้ากับสภาพที่อ่อนแอของผม…

       คงสะใจมากสินะ

       “ดีขึ้นมั้ยวะ” พี่ภามเอาฟิวเจอร์บอร์ดพัดให้ผมแรงๆ พลางพี่ๆ สต๊าฟก็เอายาหอมยาดมมารุมมาตุ้ม “แล้วทำภารกิจสำเร็จมั้ย” พี่ภามถาม

       “สำเร็จสิ” ผมบอกพร้อมแบมือที่กำม้วนกระดาษเล็กๆ ให้เขาดู

       “เออ เก่งนะมึงเนี่ย” พี่ภามตีมือลงมาแปะมือผมแล้วกุมไว้

       สัมผัสนี่มัน…

       มืออุ่นๆ ที่กุมผมไว้และฝ่ามือที่ใหญ่กว่าผมเล็กน้อย มันให้ความรู้สึกเหมือนกับคนที่ช่วยผมเลย
 
       “พี่ภาม…” ผมมองหน้ามันอย่างสงสัย

       “อะไรของมึงวะ เรียกกูแล้วทำไมต้องขมวดคิ้วขนาดนั้นด้วย”

       “พี่คือ…”

       “กูทำไม”

       “เอ่อ…เปล่าๆ ไม่มีอะไร พัดต่อๆ”

       “อะไรของมึง”

       ผมไม่อยากถามครับว่าพี่ภามมันคือคนที่เข้าไปช่วยหรือเปล่า ถ้าใช่ก็ขอบคุณมันอีกรอบในใจละกัน เพราะถ้าไม่ใช่เดี๋ยวผมจะหน้าแตกแล้วไอ้พี่ภามจะหาว่าผมโม้ที่ไม่ได้ทำภารกิจสำเร็จด้วยตัวเอง อีกอย่างความรู้สึกของผมอาจจะผิดพลาดก็ได้ เพราะฝ่ามือของคนๆ นั้นที่กุมมือผม…สัมผัสนั้นมันก็ผ่านมานานหลายปีแล้ว

       ถึงไม่ใช่พี่ภามก็คงเป็นรุ่นพี่สักคนที่เขาสงสารแล้วเข้าไปช่วยผมล่ะมั้ง…



       คงไม่ใช่เฮียขุนอย่างแน่นอน




-----TBC-----




ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: #Heart To Heart #ใจแพ้รัก 「ตอนที่5」-29/03/19-
«ตอบ #12 เมื่อ30-03-2019 00:38:11 »

 :เฮ้อ:

 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ wanida023

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: #Heart To Heart #ใจแพ้รัก 「ตอนที่5」-29/03/19-
«ตอบ #13 เมื่อ31-03-2019 22:04:24 »

 o13

ออฟไลน์ ิbanoffee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
Re: #Heart To Heart #ใจแพ้รัก 「ตอนที่6」-02/04/19-
«ตอบ #14 เมื่อ02-04-2019 00:33:44 »

ตอนที่6


       …หวานบาดคอ ขมบาดใจ…

   “อะไรวะ?”
   


       “ปริศนาที่อยู่ในม้วนกระดาษจากภารกิจที่น้องๆ ได้เข้าไปล้วงขวดโหล มันก็คือคำใบ้ของพี่รหัส ซึ่งน้องทุกคนจะต้องหาพี่รหัสให้เจอก่อนวันรับรุ่น ในวันนั้นเราจะมาเฉลยพี่รหัสของแต่ละคนกัน หากใครทายพี่รหัสของตัวเองผิด…เช่นเดิมเราก็จะมีบทลงโทษให้แก่คนๆ นั้น” คำกล่าวประกาศจากเฮียกุน


   
       ประโยคปริศนาข้างต้นคือคำใบ้พี่รหัสของผมเอง และมันทำให้ผมเอาแต่ยืนงงงวยกับกระดาษใบนั้นที่ถืออยู่ในมือ คำใบ้ที่กำกวมจนไม่สามารถทำให้นึกออกได้ว่ารุ่นพี่คนไหนคือพี่รหัสของผมกัน…กลัวว่าตัวเองอาจจะได้รับบทลงโทษจากการทายพี่รหัสของตัวเองผิด

       เฮียขุนคงเตรียมบทลงโทษเอาไว้สำหรับผมอีกเป็นแน่


       “ไงมึง ดีขึ้นหรือยัง?” เฮียกุนทำหน้าที่ของตัวเองเสร็จก็เดินมาถามไถ่อาการของผมด้วยความเป็นห่วง

       “ดีขึ้นแล้วครับ”

       “ต้องดีอยู่แล้ว มีหมออย่างกูดูแลซะอย่าง” พี่ภามพูดพลางขยี้หัวผมเบาๆ

       “หมอหมาไม่ใช่เหรอพี่น่ะ” เฮียกุนถามหยอก นั่นสิ…ไอ้พี่ภามมันคิดว่าผมเป็นหมาหรือเปล่านะ

       “หมอหมาแต่กูก็รักษาคนได้” พี่ภามตอบ สองคนนี้สนทนากันเหมือนประชดประชันไปมา เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรครับ เพราะนอกจากผมแล้ว ตอนเด็กไอ้พี่ภามมันก็เอาแต่แกล้งแล้วก็ล้อเฮียกุนผู้เงียบขรึมและดูเป็นเด็กเรียนที่เรียบร้อยแถมยังเป็นผู้ชายที่หน้าหวานซะ เฮียกุนก็เลยไม่ค่อยชอบขี้หน้าพี่ภามสักเท่าไร


       “กูไม่รู้มาก่อนว่ามึงกลัวความมืดขนาดนั้น” เฮียกุนมองพี่ภามด้วยความหมั่นไส้ก่อนหันมาพูดกับผมต่อ

       “เออ นั่นสิ กูก็ไม่รู้ว่ามึงกลัวความมืด” ไอ้นักพูดเสริม

       “ก็…มันมีเหตุการณ์ฝั่งใจทำให้กลัวตั้งแต่เด็กแล้วอ่ะ อย่าพูดถึงมันเลยเฮีย ผมล่ะรู้สึกว่าตัวเองแม่งอ่อนยังไงก็ไม่รู้ อย่าล้อผมเชียวนะ มึงด้วยไอ้นัก”

       “เออ มึงเห็นกูเป็นคนแบบนั้นหรือไง” เฮียกุนไม่วายหันไปมองประชดไอ้พี่ภาม “แล้วมึงดันมาเกิดอาการแบบนี้ กูว่าจะชวนไปสังสรรค์ด้วยกันซะหน่อย”

       “ใครรู้ตัวว่าอ่อนก็ไม่ต้องไป” เฮียขุนพูดครับ เขาเดินเข้ามาร่วมวงสนทนาพร้อมกับแทรกคำพูดดูถูกและกวนประสาทที่ตั้งใจกระแทกผม

       “นั่นสิ กูว่าร่างกายมึงตอนนี้คงยังไม่พร้อมที่จะรับแอลกอฮอล์เข้าไปนะ ให้กูไปส่งที่หอดีกว่า”

       “ไม่ยักรู้ว่าคนแถวนี้หัดทำตัวเป็นผู้ปกครอง” เฮียกุนกับไอ้พี่ภามก็ยังคงพูดกวนกันอยู่นั่น

       “ผมจะไป ใครบางคนจะได้ไม่คิดว่าผมอ่อน” คงรู้ว่าผมพูดกระทบใครพลางจ้องเขาเขม็ง

       “เจอกันร้านเดิม ใครจะไปก็รีบไป มัวแต่พูดเปลืองน้ำลายอยู่ได้ เสียเวลา” เฮียขุนทิ้งท้ายยักคิ้วหน้านิ่งก่อนจะเดินไป

       ให้ตายเถอะ...คนแบบนี้ก็มี กวนประสาทได้หน้าตายจริงๆ คอยดูเถอะ คนอ่อนอย่างผมจะแสดงสปิริตให้ดู

     




       ณ ร้านเหล้า


       “มึงคุ้นหน้ามั้ยว่าผู้หญิงที่นั่งข้างเฮียขุนเป็นใคร” ท่ามกลางเสียงเพลงที่ดังในร้านเหล้า ไอ้นักกระซิบผมให้มองผู้หญิงที่เฮียขุนนั่งโอบอยู่ข้างๆ

       “ก็ดาวมหาวิทยาลัยปีล่าสุดแล้วก็เป็นรุ่นพี่ปีสองของคณะเราไง” ผมตอบไอ้นักด้วยน้ำเสียงเฉยชา…ทั้งที่จริงรู้สึกเจ็บแปลบอยู่ในหัวใจที่เห็นภาพบาดตาแบบนั้นจนต้องกลั้นเสียงที่สั่นเครือเอาไว้

       “ไม่ใช่แค่นั้นเว้ย เธอคือผู้หญิงในรูปที่ถ่ายคู่กับเฮียขุนที่กูเคยเอาให้มึงดูอ่ะ เป็นคนในข่าวลือที่หนาหูว่าเฮียขุนเลือกจะคบในความสัมพันธ์ที่เรียกว่าแฟน มึงเห็นอย่างนี้แล้ว…รู้สึกไงวะ” ไอ้เพื่อนชั่ว ผมเริ่มไม่เข้าใจว่ามันเป็นเพื่อนรักประสาอะไร มันควรจะหยุดกระเซ้าเย้าแหย่เรื่องพี่มันได้แล้ว...ผมเจ็บจนจะทนไม่ไหวแล้ว

       “แล้วไง จะให้กูรู้สึกอะไร ตอนนี้มันชาแล้วเว้ย กูเริ่มจะไม่สนอะไรแล้ว ช่างพี่มึงสิ จะไปควงไปคบกับใครเป็นแฟนก็เรื่องของเขา กูจะไม่รู้สึกเชี่ยอะไรแล้ว กูตอบแบบนี้ พอใจมึงมั้ยไอ้นัก” ไม่จริงหรอกครับ มันปวดใจมากต่างหาก และการกระทำที่สวนทางกับคำพูดก็น่าจะบ่งบอกให้ไอ้นักรู้ในความรู้สึกจริงๆ ของผม แก้วเหล้าที่อยู่ในมือ จากที่แค่จิบๆ ผมยกกระดกในรวดเดียวจนหมดแล้วยื่นแก้วให้ไอ้นักชงให้ใหม่

       ผมกระดกรวดเดียวไปสามแก้วติดต่อกันพลางเอาแต่มองคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม เฮียขุนกับผู้หญิงคนนั้นดูสนิทกันมากจริงๆ พวกเขาพูดคุยฉอเลาะกันไปมา กระซิบกระซาบหัวเราะมีความสุขกันน่าดู

       รอยยิ้มใจดีที่เฮียขุนยิ้มให้ผู้หญิงคนนั้น…มันเคยเป็นของผมเมื่อนานมาแล้ว ผมคิดถึงและปรารถนาจะได้จากเฮียขุนอีกครั้ง…

       อีกแค่ครั้งเดียวก็ได้

       แต่มันคงเป็นการขอที่มากเกินไป เขาคงไม่มีวันยิ้มแบบนั้นให้ผมอีกแล้ว

       “เฮ้ยๆๆ ใจเย็น ร่างกายมึงยิ่งอ่อนแออยู่เดี๋ยวจะรับไม่ไหวเอา” พี่ภามที่นั่งข้างๆ รีบปรามไว้ก่อนที่ผมจะกระดกเข้าไปเป็นแก้วที่ห้า

       “ชงให้ผมอีก”

       “พอแล้ว กูว่าหน้ามึงเริ่มแดงแล้วนะ กลับมั้ย เดี๋ยวกูไปส่ง”

       “ไม่ พี่รู้จักผมน้อยไป เห็นอย่างนี้ผมคอแข็งน่ะเว้ย อึดกว่าพี่อีกมั้ง อย่ามาว่าผมอ่อนเชียวนะ!” ผมตั้งใจพูดเสียงดังแขวะใครบางคนครับ

       “เออๆ กูเชื่อก็ได้แล้วก็ยังไม่ได้ว่าอะไรมึงเลย แต่ช้าๆ หน่อย เหล้าเบียร์เยอะแยะ ไม่มีใครแย่งมึงหรอก จะรีบกระดกไปไหนวะ”

       กระดกให้ไม่ต้องคิดมากกับคนที่มันนั่งนัวเนียกับผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าไง


       เจ็บ…เจ็บฉิบหายเลย


       แม้จะวางมาดด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมตามสไตล์ของเขา ทว่าสายตาคู่นั้นที่ปกติจะเย็นชากลับเปลี่ยนเป็นเยาะเย้ย และมุมปากก็เผยอยิ้มขึ้นเล็กน้อย

       เฮียขุนรู้…รู้ว่าผมชอบเขา แต่เขาเกลียดผมและเลือกที่จะทำร้ายความรู้สึกนั้นเพื่อให้ตัวเองสะใจที่เห็นผมต้องทรมานแบบนี้

       มันสำเร็จ…ภาพที่พวกเขานั่งโอบกันอย่างมีความสุขมันทำให้ผมโคตรจะปวดใจเลย


       “มึงจะไปไหน?” พี่ภามทักหลังจากที่ผมลุกพรวดพราดขึ้น

       “ไปห้องน้ำ” ไปจากตรงนี้ เพราะทนเห็นภาพบาดใจไม่ได้แล้วโว้ยยย

       “เดี๋ยวกูพาไป”

       “ไม่ต้องเลยนะ นี่พี่ไม่ต้องมาทำเป็นผู้ปกครองผมอย่างที่เฮียกุนพูดเลย ผมไม่ใช่เด็กแล้วก็ไม่ได้เมา อย่ามาดูถูกผม เดี๋ยวก่อนเหอะ พอผมกลับจากห้องน้ำแล้วเรามาดวลซ็อตกัน จะได้รู้ว่าผมน่ะคอแข็งกว่าพี่ซะอีก” ผมรู้สึกว่าตัวเองเริ่มพูดเสียงยานหรือเปล่านะ

       “รู้แล้วครับ ถ้าอย่างนั้นมึงก็รีบไปล้างคอเตรียมไว้เลยครับ”

       “ไอ้พี่ภาม พูดอย่างนี้ใช่มั้ย ได้ๆ เดี๋ยวจะได้เห็นดีกัน” ผมยกมือชี้หน้ามันลวกๆ ก่อนจะเดินไปเข้าห้องน้ำ





       ขณะที่ผมเดินออกมาจากห้องน้ำ จากอาการกึ่มๆ ผมกลับรู้สึกตาสว่างและได้สติขึ้นมาทันใดเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

       ตรงทางเดินเข้ามายังห้องน้ำ ชายหญิงคู่หนึ่งที่ยืนกอดกันอย่างไม่อายคนที่เดินผ่านไปมา ชายหนุ่มโน้มหน้าจูบหญิงสาวอย่างอ่อนโยนและคลอเคลียแก้มเธอไปมาด้วยความละมุนต่อหน้าต่อตาของผม พวกเขาทำราวกับว่าสถานที่นี้มีเพียงเราสองคน

       มันเป็นเรื่องธรรมดาที่สถานที่แบบนี้จะมีซีนประมาณนี้ให้เห็น และผมก็ไม่ได้สนใจหรือตกใจอะไรมากนักกับฉากตรงหน้า…ผมจะไม่รู้สึกอะไรเลยถ้าไม่ใช่เพราะว่าคนที่กำลังแสดงความรักกันอยู่คือเฮียขุนกับผู้หญิงของเขา



       ผมไม่ได้กำลังเจ็บปวด…


       ผมไม่ได้กำลังช้ำใจ…


       ผมไม่ได้อยากจะร้องไห้…


       ผม…


       เหมือนน้ำตาของผมกำลังจะไหลออกมา แต่เพราะพวกเขาเห็นแล้วว่าผมกำลังยืนดูอยู่ ผมจึงพยายามกลั้นมันเอาไว้ให้มันท่วมแววตาที่เศร้าสร้อยของตัวเอง

       ไม่รู้จะพูดยังไง ทำตัวไม่ถูกกับสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า เฮียขุนมองมายังผมทั้งที่มือของเขายังโอบเอวผู้หญิงคนนั้นอยู่ สายตาที่นิ่งสงบและดูเยือกเย็นกว่าทุกครั้งทำให้ผมเดาไม่ออกเลยว่าเขากำลังคิดอะไร

       อึดอัดว่ะ ยิ่งยืนอยู่ระหว่างทางเดินที่แคบแบบนี้ยิ่งทำให้อึดอัดและหงุดหงิด เหมือนพวกเขาจงใจให้ผมเห็น พวกเขาตั้งใจมาพรอดรักกันตรงนี้เพื่อให้ผมเดินมาเห็น

       เฮียขุน...แม่งโคตรใจร้ายเลย

       ใช่…ผมเจ็บ สาสมใจเฮียแล้วสินะ แต่ผมจะไม่ยืนทนอยู่อย่างนี้

       เพราะพวกเขายืนขวางทางอยู่และไม่มีช่องว่างให้เดินออกไป ผมจึงตัดสินใจเดินแทรกกลางระหว่างพวกเขาออกมาและรีบจ้ำอ้าวเพื่อไม่ให้คนๆ นั้นทันเห็นหยดใสๆ ที่ไหลแหมะออกมาจากดวงตาของผม


       เดินออกมาโดยพยายามทำเป็นไม่แยแสกับสิ่งที่เขาทำ...
     

       ทั้งที่ความเจ็บปวดครั้งนี้มันทรมานกว่าครั้งไหนๆ


       โคตรเจ็บเลย…




       ผมเดินมานั่งที่โต๊ะและไม่รอช้าจับแก้วซ็อตที่วางเรียงกันไว้ยกซดรัวๆ ดูเหมือนพี่ภามจะเตรียมไว้รอผมที่ได้ท้าทายมัน

       “เดี๋ยวก่อนดิวะ ใจเย็น มึงไปคึกมาจากไหนนักหนาเนี่ย กูยังไม่ได้บอกกติกาเลย” พี่ภามพูดพลางแย่งแก้วซ็อตไปจากมือผม

       “กติกาก็คือใครได้ซ็อตมากกว่ากัน คนนั้นชนะ” ผมกำหนดกติกาขึ้นมาเองสดๆ และทำการยกซดต่อทันที


       เกือบจะสิบซ็อตได้แล้วมั้ง ผมซึ่งกำลังจะยกต่อก็ถูกไอ้พี่ภามและรุ่นพี่คนอื่นๆ ที่นั่งลุ้นห้ามไว้ ดูเหมือนผมจะรู้ตัวเองดีว่าเมาได้ที่แล้ว เพราะรับรู้ได้ถึงเปลือกตาและหัวที่หนักอึ้ง ทว่าสายตากลับมองเห็นคนตรงข้ามที่กลับมาจากห้องน้ำพร้อมผู้หญิงของเขาได้ชัดเจน และเขาเองก็กำลังมองมาที่ผมเช่นกัน ด้วยสายตาแบบไหนนั้น...ก็ยังยากจะคาดเดา เพราะมันเฉยชาเหลือเกิน

       “เฮ้ย อะไรของพี่วะ ห้ามทำไม นี่เพิ่งผ่านไปไม่กี่ซ็อตเอง ปล่อยผม เดี๋ยวจะทำสถิติให้ดู” ผมพูดเหมือนคนโวยวาย

       “สถิติบ้าอะไร มึงนั่งคอพับไปมาจนจะหักแล้วนะ ไอ้โช”

       “หื้อ นี่พี่กำลังดูถูกผมอีกคนนะเนี่ย เฮียกุน”

       “เออ กูดูถูกแล้วว่ามึงโคตรเมาเลยตอนนี้ ดูท่าจะไม่ไหว กูว่ามึงต้องกลับหอแล้วล่ะ”

       “ไม่กลับๆๆ” ผมส่ายหน้าไปมาและรู้สึกว่าตัวเองกำลังงอแงเหมือนเด็ก

       “ไอ้นัก? ไอ้นักไปไหนของมัน” ดูเหมือนเฮียกุนจะมองหาไอ้นักเพื่อจะให้มันมาพาผมกลับหอ

       “เหมือนน้องมึงจะไม่อยู่นะ เพราะล่าสุดกูเห็นเดินไปกับผู้หญิงคนหนึ่งออกไปด้วยกัน” พี่ภามพูดขึ้น

       “ไอ้น้องเวร”

       “เอางี้ เดี๋ยวกูไปส่งมันเอง กูอยากกลับพอดี”

       “ไม่ต้อง ผมเอง ไอ้โชมันอยู่หอเดียวกันกับผม”

       “ไม่ต้อง มึงนั่งต่อกับเพื่อนเถอะ หออยู่แค่ตรงข้าม กูไปส่งได้”

       “ก็บอกว่าผมเอง พี่เลิกทำตัวเป็นผู้ปกครองไอ้โชได้แล้ว ไอ้โชมันเป็นน้องสนิทผม เดี๋ยวผมปกครองมันเอง”

       “กูจะไปส่ง…”

       “โอ้ยยยย เลิกเถียงกันไปมาเถอะครับ ผมไม่กลับกับใครทั้งนั้นแหละ จะดื่มต่ออออ” ทั้งที่ผมเมาแทบไม่ได้สติแต่ผมก็รู้สึกรำคาญมากเลยครับที่ไอ้พี่ภามกับเฮียกุนเอาแต่เถียงกันอยู่ได้

       “สรุปไอ้โชต้องกลับกับผม ส่วนพี่อยากกลับก็เรื่องของพี่”

       หลังจากนั้นผมก็ถูกเฮียกุนลากออกมาจากร้านด้วยสภาพที่ทุลักทุเลและยัดเข้าไปในรถทันที พร้อมกับเกี่ยวถุงไว้กับหูทั้งสองข้างของผม เฮียกุนคงไม่อยากทนเหม็นและล้างรถใหม่ เพราะผมทำท่าจะแหวะอยู่หลายครั้ง




       “อย่ามาดูถูกผมนะ ผมมันคนคอเหล็กนะเว้ยยยยย!!” เสียงเอื่อยเฉื่อยและการทรงตัวที่สะเปะสะปะของผมทำให้เฮียกุนพยุงขึ้นบันไดลำบากไม่น้อย

       “อย่าเสียงดัง เดี๋ยวคนทั้งหอได้ตื่นกันหมด ไอ้นี่…กูเพิ่งรู้ว่ามึงเมาแล้วเละเทะฉิบหาย แหวะ…ให้ตายสิ อ้วกมึงโคตรจะเหม็นเลย” เฮียกุนบ่น “เดินดีๆ จะถึงห้องแล้วเนี่ย”

       “ไม่กลับห้อง จะดื่มต่ออออออ”

       “ไอ้โช มึงจะไปไหน!” เฮียกุนรีบดึงผมที่สะบัดแขนออกแล้วกลับหันหลังเดินโซเซไปมา “มานี่เลย แล้วมึงเอากุญแจห้องไปไว้ไหนเนี่ย” ผมถูกเฮียกุนค้นจนทั่วตัว


       ตุบ!

       ทันทีที่เข้ามาในห้อง ผมก็ถูกเฮียกุนเหวี่ยงลงเตียงอย่างแรง

       “ทำไมเฮียทำกับผมแบบนี้”

       “ก็ตัวมึงหนักอ่ะ”

       “เฮียใจร้ายที่สุดเลยยยยย”

       “เอ้า ไอ้นี่ กูไม่ทิ้งมึงไว้ตรงบันไดก็ดีเท่าไรแล้ว บังอาจมาอ้วกใส่เสื้อกู เหม็นติดจมูกเลยเนี่ย”

       “เฮียแม่ง…ไอ้คนนิสัยไม่ดี ไอ้หน้าม่อ”

       “เฮ้ย กูเหวี่ยงมึงลงเตียงนะไม่ใช่พื้น ด่ากูขนาดนี้เลยเหรอ”

       “สะใจเฮียมากสินะที่เห็นผมเจ็บ เฮียมันร้ายกาจ ตั้งใจทำแบบนั้นต่อหน้าผมใช่มั้ย แค่ทำท่าทีรังเกียจใส่ผมก็เจ็บจะตายอยู่แล้ว ทำไมต้องทำแบบนั้นกับผมด้วยยยย” ผมรู้ตัวเองว่ากำลังพูดอะไรอยู่ แต่เพราะสมองเบลอๆ มันจึงสั่งการให้ผมระบายความในใจของตัวเองออกมาพลางร้องไห้ฟูมฟายไปด้วย

       “เดี๋ยวนะ นี่มึงไม่ได้พูดถึงกูอยู่เหรอ”

       “ฮือออออ อึก!”

        “เฮ้ยยย อย่าร้องๆ กูยิ่งเป็นคนปลอบคนไม่เป็น…มึงคงหมายถึงเฮียขุนสินะ กูรู้ว่ามึงชอบเฮียเขามากแต่พี่ชายกูก็ใจร้ายกับมึงมากเหมือนกัน ถ้าทนไม่ไหวก็ตัดใจซะเถอะนะ เพราะกูสงสารมึงจริงๆ เลยว่ะ ไอ้โช”

       ผมได้ยินเสียงเฮียกุนไม่ค่อยถนัดนัก และเสียงก็แผ่วลงไปเรื่อยๆ พร้อมกับเปลือกตาของผมก็ค่อยๆ ปิดเช่นกัน



       เฮียขุน~




       ผมคงตาฝาดไป…

       ก่อนเปลือกตาจะปิดสนิท ผมเห็นเฮียกุนเป็นเฮียขุนด้วยล่ะ





-----TBC-----




ออฟไลน์ Januarysky

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 507
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
Re: #Heart To Heart #ใจแพ้รัก 「ตอนที่6」-02/04/19-
«ตอบ #15 เมื่อ03-04-2019 09:36:18 »

โชกุนครัช ตัดใจแม่มเลยครัช
พี่ภามโอปป้ารอเสียบอยู่
เอาให้คนปากแข็ง ไม่ตรงกับใจชักดิ้นชักงอตายไปเลยครัช
 :mew3:
+1 ให้คิวท์ คิวท์น่ารัก อร๊ายยยยยย

ออฟไลน์ ิbanoffee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
Re: #Heart To Heart #ใจแพ้รัก 「ตอนที่7」-05/04/19-
«ตอบ #16 เมื่อ05-04-2019 21:26:25 »

ตอนที่7


      ผมกับไอ้นักมาเรียนด้วยอาการที่ยังแฮงค์ทั้งคู่ ไม่คิดเลยว่าผมจะกลายเป็นคนเถลไถลสำมะเลเทเมาเหมือนเพื่อนรักที่มันนอนน้ำลายยืดในคลาสเรียนอยู่โต๊ะข้างๆ และตัวผมเองก็ตาจะปิดอยู่รอมร่อเช่นกัน

      ผมเอาแต่ตาลอยตลอดทั้งคาบ เรียนอะไรก็ไม่เข้าหัวจนจบคลาส และวันนี้หลังจากซ้อมเชียร์เสร็จผมต้องกลับหอเองคนเดียวครับ เพราะเป็นไปตามคาดที่ไอ้นักถูกรุ่นพี่เรียกตัวไปคัดเป็นเดือน หลังจากนี้ก็จะเก็บตัวฝึกซ้อมประกวดเดือนคณะและคาดว่ามันก็อาจจะได้ครองตำแหน่งนั้นเพื่อไปประกวดเดือนมหาวิทยาลัย…ผมก็คงได้กลับหอคนเดียวอีกยาว

      “ไอ้โช รับ!”

      “เฮ้ย อะไรของเฮียเนี่ย” ระหว่างเดินอย่างเหม่อๆ ออกจากคณะ ผมก็หันไปรับขวดอะไรบางอย่างที่เฮียกุนโยนมาให้โดยไม่ทันตั้งตัว

      “กูเห็นมึงเบลอๆ คงยังแฮงค์อยู่ ถึงจะให้ช้า แต่ก็ดื่มซะ จะได้รู้สึกดีขึ้น มองสภาพมึงแล้วกูนึกว่าผีตายซากเดินได้”

      “นี่ผมดูแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ”

      “เออสิวะ นี่เป็นอีกเรื่องที่กูไม่รู้เกี่ยวกับมึงนะ เมื่อคืนนี้มึงดื่มโคตรเยอะ ยกเหล้าซดอย่างกับน้ำเปล่า เมาไม่เป็นท่า…คงมีเรื่องที่กระตุ้นให้มึงเป็นขนาดนั้นสินะ” เฮียกุนนี่ฉลาดสมหน้าตาจริงๆ เลยครับ เฮียแกมองผมทะลุปรุโปร่งไปหมดว่ากำลังมีเรื่องเครียดอะไรในใจ

      “เรื่องไร้สาระน่ะเฮีย”

      “แหม…นี่แค่เรื่องไร้สาระ มึงยังเป็นขนาดนี้ เออ แล้วนี่กำลังจะกลับหอใช่มั้ย มึงกลับไงวะ ไอ้นักก็อยู่กิจกรรมดาวเดือน ส่วนกูก็กำลังจะเดินไปประชุมที่สโมสร ยังมีงานให้เคลียร์ ไม่งั้นกูคงได้พามึงกลับแล้ว”

      “ไม่เป็นไรเฮีย ผม….”

      “นั่นเฮียขุนนี่” เฮียกุนเดินตรงไปหาเฮียขุนที่กำลังเดินไปยังรถของตัวเอง

      “ถ้างั้นผมกลับก่อนนะเฮีย” ส่วนผมเห็นคนๆ นั้นแล้วก็ปลีกตัวเดินไปอีกทาง

      “เดี๋ยวดิวะ มากับกูนี่” แต่ถูกเฮียกุนคว้าแขนให้เดินไปด้วยกันกับเขาซะอย่างนั้น

      ไม่นะ…ผมไม่อยากเห็นหน้าคนใจร้ายคนนั้น สภาพแบบนี้ก็ไม่ค่อยมีแรงจะขัดขืนจากการที่เฮียขุนเอาแต่ลากผมไปซะด้วย


      “เฮียขุนกำลังจะกลับหอใช่มั้ย ดีเลย ถ้างั้นก็ฝากไอ้โชกลับด้วยนะ” ตลกแล้ว เฮียกุนคิดยังไงมาฝากผมให้กลับกับพี่ชายเขาเนี่ย

      “พูดอะไรของเฮียเนี่ย ผมกลับเองได้”

      “ไม่ใช่ธุระของกู…กูไม่รับฝาก” ว่าแล้ว…คนใจร้ายอย่างเขา

      “เฮ้อ เฮียนี่จริงๆ เลยนะ ก็ได้ ให้ไอ้โชกลับเองก็ได้ แต่มันต้องแสดงน้ำใจตอบแทนเฮียก่อน เอ้า ไอ้โชพูดขอบคุณเฮียเขาซะสิ” เฮียกุนนี่ยังไง จะให้ขอบคุณคนที่ไม่ให้ผมกลับด้วยเนี่ยนะ

      “เฮียจะให้ผมขอบคุณเรื่องอะไร” ผมหันไปมองหน้าเฮียกุนด้วยความระคายใจ

      “ก็เครื่องดื่มแก้แฮงค์ที่มึงถืออยู่น่ะของเฮียขุน” ว่าไงนะ

      ผมหันไปมองเขาที่เอาแต่ยืนจ้องและไม่ได้เอ่ยหรือปฏิเสธอะไร…เขาให้ผมเหรอ? ไม่หรอก เฮียขุนเกลียดผมนะ เขาจะใจดีเอาเครื่องดื่มนี่มาให้ผมอย่างนั้นเหรอ…แล้วทำไมผมต้องแอบดีใจด้วย

      “กูเอาให้มึงต่างหาก ไอ้กุน มึงอย่าทำให้คนแถวนี้มันหลงดีใจดิวะ” เฮียขุนพูดกับเฮียกุน

      “เหมือนกันแหละน่า ก็เครื่องดื่มนี่เป็นของเฮีย มันก็เท่ากับว่าเฮียให้ไอ้โชนั่นแหละ”

      “ถ้างั้นเฮียเอาคืนไป เฮียขุนเขาให้เฮียไม่ใช่ผมและอย่างที่เฮียว่าถึงแม้เขาจะให้เฮียแล้วแต่มันก็ยังเป็นของเขา ดังนั้นผมคืนเครื่องดื่มนี่ไปแล้วผมจะได้ไม่ต้องขอบคุณใคร” พูดเสร็จผมก็ยัดขวดนั่นใส่มือเฮียกุน “ถ้างั้นผมกลับแล้วนะเฮีย เดี๋ยวรถเมล์หายาก ขี้เกียจเดินกลับ” ว่าแล้วผมก็โบกมือลาเฮียกุนแล้วเดินจากไปโดยที่ไม่สนใจว่ามีอีกคนยืนอยู่

      ทำไมล่ะ…เขาก็เคยทำราวกับผมไม่มีตัวตนเหมือนกัน

      เฮียกุนนะเฮียกุน จู่ๆ ทำไมมายัดเยียดไปฝากผมให้กลับกับเฮียขุน มาทำตัวเป็นไอ้นักไปได้ ทั้งๆ ที่เฮียกุนเข้าใจและคอยปลอบผมมากกว่าไอ้เพื่อนตัวแสบซะอีก แล้วยังจะเอาเครื่องดื่มนั่นซึ่งเป็นของเฮียขุนมาให้ผม คิดจะทำอะไรของเฮียเขากัน







      ซ่า~

      เสียงน้ำจากฝักบัวไหลอาบท่วมตัวจนเปียกปอนพลางเสยผมเปียกน้ำที่หล่นมาปรกหน้า สายน้ำที่กระทบผิวเกิดเป็นหยดและไหลลงไปสู่พื้น…ซึ่งผมก็แยกไม่ออกว่าน้ำที่ไหลรวมกันที่เท้าของผมมันมาจากฝักบัวหรือดวงตาของผมกันแน่ มันผสมปนเปกันหมด

      ผมเสียใจ…เสียใจที่ทำให้ตัวเองเกลียดเฮียขุนอย่างที่เขาเกลียดผมไม่ได้สักที เขายืนหยัดว่าไม่ขอรู้จักผู้ชายที่ชื่อโชและจะเกลียดคนที่ทำให้เขาเสียความรู้สึกและผิดหวัง

      …คนอย่างผม

      เฮียขุนบอกกับผมอีกว่า…เขาจะถือว่าเด็กผู้หญิงชื่อโชที่เขาเคยหลงรักตอนเด็กได้ตายไปแล้ว เขาไม่หลงเหลือความรู้สึกดีๆ แบบนั้นอีกแล้ว

      เขาไม่สามารถมอบความรู้สึกแบบนั้นให้กับผมได้


      ฮึก…กะว่าจะทำซีนดราม่าเป็นพระแอกเอ็มวีต่ออีกสักหน่อย แต่การยืนแช่น้ำมาสักพักทำให้ผมรู้สึกหนาวและตัวสั่นเทาไปหมด พอกันทีกับเรื่องของคนที่ชื่อขุนศึก ที่ผ่านมาผมเอาแต่คิดเรื่องเขาซึ่งมันทำให้เจ็บปวดและกำลังจะทำให้ผมเป็นหวัดซะเปล่าๆ คิดได้ดังนั้นผมจึงปิดฉากด้วยการเอื้อมมือไปปิดฝักบัว

      หือ?…

      ทำไมน้ำมันยังไหลอยู่ ไม่ว่าผมจะเปิดหรือจะปิด น้ำก็ยังคงไหลออกมาจากฝักบัว พอสำรวจดูดีๆ จึงเห็นว่าหัวของฝักบัวมีรอยร้าวจึงทำให้น้ำยังไหลซึมออกมา

      ผมไปหยิบเทปมาติดแปะไว้ก่อน มันพอช่วยได้แต่น้ำก็ยังไหลเล็ดลอดออกมา ประเด็นคือรอยร้าวมันไม่ใช่เล็กๆ น้ำที่ไหลออกมาเรื่อยก็ดูเหมือนจะท่วมพื้นห้องน้ำ ผมจึงตัดสินใจพันเทปจนมันเป็นมัมมี่ฝักบัวซะเลย

      ซ่า!!

      ทันทีที่ผมก้าวข้ามขอบประตูห้องน้ำ ฝักบัวที่คิดว่าเงียบสงบแล้วก็พ่นน้ำออกมาราวกับเขื่อนแตก มัมมี่ฝักบัวได้อัดอั้นจากการที่โดนเทปพันรอบตัวจนทำให้ระเบิดออกมาและความเสียหายอยู่ที่ว่าหัวฝักบัวไม่ใช่แค่ร้าวแล้ว แต่มันแตกจนยากที่จะใช้เรื่องง่ายๆ อย่างเอาเทปพันแก้ปัญหา

      ผมรีบหันกลับเข้าไปในห้องน้ำแล้วใช้มืออุดน้ำที่มันไหลออกมาจากสายฝักบัว ถ้าไม่มีหัวฝักบัว มีหวังน้ำได้ท่วมห้องแน่ เพราะตอนนี้น้ำก็เริ่มท่วมขึ้นมาถึงข้อเท้าแล้ว

      ดังนั้นผมจะต้องไปซื้อหัวฝักบัวที่ร้านเคหะภัณฑ์ ผมจึงปล่อยมือออกจากสายฝักบัวเพื่อจะไปใส่เสื้อผ้าแล้วลงไปซื้อ ทว่าเอามือออกน้ำมันก็ทะลักออกมาแรง ถ้าไม่มีใครช่วยอุดไว้ก่อน น้ำก็คงได้ท่วมห้องเร็วขึ้น

      วันนี้ก็ไม่ใช่วันที่ช่างประจำหอจะอยู่ซะด้วยสิ ผมจึงเลือกที่จะรีบกดมือถือต่อสายหาไอ้นัก เผื่อมันจะเลิกกิจกรรมแล้วให้รีบกลับมา


      “ไอ้นัก…ฉิบหายแล้ว น้ำกำลังจะท่วมห้อง มึงเลิกกิจกรรมยังเนี่ย รีบกลับหอด่วน”

      (ว่าไงนะ ทำไมน้ำถึงจะท่วมห้องวะ)

      “ฝักบัวมันแตกอ่ะ แล้วกูจะต้องไปซื้อมาเปลี่ยนใหม่ แต่ต้องมีคนอุดน้ำไว้ มึงอย่าเพิ่งถามมากดิ๊ ถ้ามึงเลิกแล้วก็รีบกลับมา กูออกมาโทรหามึงแล้วปล่อยให้น้ำไหลจนมันจะท่วมออกมานอกห้องน้ำแล้วเนี่ย”

      (คือ…กูยังไม่เลิกอ่ะเพื่อน คงอีกนานเลยกว่าจะเลิก)

      “มึงยังไม่เลิกหรือเลิกแล้วออกไปเที่ยวกับสาวกันแน่ ไอ้นัก…มึงจะปล่อยให้น้ำท่วมห้องจนข้าวของเปียกหมดหรือไง!”

      (โอ้ย กูยังกลับตอนนี้ไม่ได้จริงๆ มึงไปเคาะห้องให้เฮียกุนช่วยก่อนดิวะ หรือถ้าเฮียกุนยังไม่กลับก็เคาะห้องเฮียขุนให้มาช่วย)

      “ไม่ กูจะไม่เคาะห้องเฮียขุนเด็ดขาด!”

      (ถ้ามึงอยากปล่อยให้น้ำท่วมห้องก็ตามใจ)

      ตึ้ดๆๆๆ

      “ไอ้นัก…ไอ้เพื่อนบ้าเอ้ย!”

      หลังจากวางสายไอ้นัก ผมก็โทรหาไอ้คิ้วท์ แม้คิดว่าเกรงใจที่จะต้องให้มันข้ามหอมาช่วยแต่ก็ต้องโทรเรียกมาล่ะวะ



      ‘กูยังติดกิจกรรมที่คณะอ่ะมึง’

      …แต่ว่าไอ้คิ้วท์ก็ยังไม่กลับหอน่ะสิ



      ผมรีบวิ่งเข้าไปอุดน้ำต่อพลางคิดว่าจะเอาไงดี…ก็คงต้องลองเคาะห้องเฮียกุน เผื่อเฮียแกจะกลับมาแล้ว

      เทปถูกนำมาใช้แก้ปัญหาเฉพาะหน้าอีกรอบก่อนที่ผมจะออกไปเคาะห้องเฮียกุน แต่เคาะเท่าไรก็ไม่มีเสียงตอบรับ เฮียเขาน่าจะยังไม่กลับ ผมลองโทรหาก็ไม่รับสาย วินาทีนั้นสายตาของผมก็เอนเอียงเหลือบไปมองประตูที่อยู่ห้องติดกัน

      ไม่! ไร้ประโยชน์ที่จะขอความช่วยเหลือจากคนใจร้าย







      หนาว…โคตรหนาวเลย ผมกลับเข้าห้องและมาอุดน้ำต่อ ขนาดปิดแอร์แล้วแต่ก็ยังขนลุกชันเพราะยืนตัวเปียกอยู่อย่างนั้นมาครึ่งชั่วโมงได้แล้ว น้ำก็ยังไหลพุ่งออกมาไม่หยุด ยังไงก็จำเป็นจะต้องไปซื้อหัวฝักบัวก่อนร้านจะปิด

      พอคิดได้อย่างนั้นก็ออกไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอีกรอบและพอออกมาจากห้องน้ำเท่านั้นแหละ น้ำจากห้องน้ำก็ได้ล้นออกมาท่วมพื้นห้องแล้วครับ น้ำมันไหลออกมาจนต้องจัดแจงปลั๊กไฟที่อยู่บนพื้นโดยการเก็บเข้าที่ให้ดี



      ผมออกมาจากห้องและยืนจ้องประตูห้องตรงข้ามสักพัก พลางคิดว่าไม่อยากให้น้ำที่มันกำลังไหลแรงอยู่ขณะนี้ท่วมจนไหลออกมาเผื่อแผ่ห้องคนอื่นเขา

      ก๊อกๆ

      ผมตัดสินใจเคาะประตูห้องเฮียขุน เขาจะต้องด่าผมแน่ๆ เลย

      ก๊อกๆ

      ยังไม่เปิดอีก ไม่อยู่ห้องหรือไงนะ หรือไม่ก็คงเห็นแล้วว่าเป็นผมเลยไม่เปิด

      ก๊อก

      เชี่ย! เฮียขุนเปิดประตูในขณะที่ผมกำลังทำท่าเคาะ เสียงเมื่อครู่ไม่ใช่เสียงเคาะประตูอย่างใด แต่เป็นเสียงที่กลายเป็นว่าผมไปเขกหัวเขาต่างหาก

      “กล้าดียังไงมาเคาะห้องกู” เฮียขุนลูบหน้าผากตัวเองเบาๆ ก่อนจะมองผมอย่างเคืองๆ

      “ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ผมก็ไม่ได้อยากอยู่ห้องตรงข้ามเฮียด้วยซ้ำ แต่ผมต้องการความช่วยเหลือ”

      “เรื่องอะไรกูต้องช่วยมึง”

      “เฮียต้องช่วยถ้าไม่อยากให้น้ำมันไหลออกมาถึงห้องของเฮีย แล้วต้องเปลืองแรงและเสียเวลาภายหลัง ตอนนี้น้ำมันกำลังไหลออกมาจากห้องน้ำและท่วมพื้นห้องผมแล้ว ผมต้องการคนช่วยอุดเพื่อไม่ให้มันไหลออกมามากกว่านี้ ส่วนผมจะลงไปซื้อหัวฝักบัวมาปลี่ยน”

      “ถ้าไหลออกมาถึงห้องกู มึงต้องรับผิดชอบ”

      “ผมจะไม่รับผิดชอบอะไรทั้งนั้น หลังจากที่ผมกลับมาจากซื้อฝักบัวแล้วปรากฏว่าน้ำมันได้ไหลออกมาเผื่อแผ่ที่ห้องเฮีย…รู้ไว้ว่านั่นเป็นผลที่เกิดจากความไม่มีน้ำใจของเฮียเอง อยากจะนั่งเป็นนังแจ๋วเช็ดพื้นก็ตามใจ”

      “มึงขู่กูเหรอ” เขามองผมอย่างหาเรื่อง

      “ไม่ได้ขู่ อยากจะเป็นอย่างที่ผมพูดก็เชิญ” ผมยิ้มแป้นให้เขาแทน บ่งบอกว่าผมพูดจริงว่าเขาจะได้เหนื่อยนั่งเช็ดพื้นก่อนนอนแน่ถ้าไม่ช่วยผม แต่ไม่พูดเยอะแล้วล่ะ ผมบอกความจำเป็นกับเขาแล้ว รีบลงไปซื้อดีกว่า เดี๋ยวร้านได้ปิดกันพอดี

      “ฮึ่ย” ผมได้ยินเสียงขึ้นจมูกที่บอกอาการไม่พอใจ ผมจึงหันหลังกลับไปมองและพบว่าเฮียขุนกำลังเปิดประตูเข้าห้องผมไป…เขาคงเข้าไปแบบจำใจ

      ผมแอบยิ้มเล็กน้อยให้กับท่าทางหงุดหงิดของเฮียขุน ไม่คิดว่าตัวเองจะมีสติมากพอที่จะพูดต่อหน้าเขามากขึ้น และไม่คิดว่าเขาจะยอมช่วยผม




      แค่ไม่ต้องแยแสกับคำพูด สีหน้า หรือการกระทำของเขาให้มากนักก็คงไม่ต้องเจ็บเหมือนอย่างที่ผ่านมา




      ถ้าเกลียดตอบกลับเขาไม่ได้…ต่อจากนี้ไปก็แค่ทำใจชอบเขาให้น้อยลง



      ผมเกือบไปไม่ทันเพราะร้านกำลังปิดประตูพอดี แต่เจ้าของร้านก็ยังใจดีช่วยเลือกหัวฝักบัวจากคำบอกกล่าวของผมที่น่าจะเข้ากับอันที่อยู่หอให้ จากนั้นผมก็รีบสาวเท้ากลับมาอย่างรวดเร็ว กลัวว่าคนที่ช่วยจะไม่ทนรอและกลับห้องตัวเองไปซะก่อน

      ผมรีบเปิดประตูห้องเข้าไปแต่ก็ต้องยืนจังงังอยู่หน้าประตูห้องน้ำ เมื่อภาพเคลื่อนไหวที่เห็นตรงหน้ามันราวกับเป็นภาพในฝัน

       ภาพของชายหนุ่มที่ชื่อ ขุนศึก จรัสวาณิชย์ กำลังต่อสู้กับน้ำที่ไหลทะลักออกมา นั่นทำให้เสื้อเชิ้ตสีขาวของเขาเปียกปอนไปหมดและแนบไปกับเนื้อ เผยเรือนร่างที่งดงามราวกับรูปปั้น กล้ามเนื้อแขนและช่วงท้องที่ได้สัดส่วน มีหยดน้ำแวววาวประดับให้ดูเจิดจรัสสมชื่อ ทำให้เขาเซ็กซี่น่าชวนมองจนละสายตาไม่ได้

      เฮียขุนสะบัดผมที่เปียกปรกหน้าออกด้วยความรำคาญ แม้จะกำลังทำหน้านิ่วคิ้วขมวด แต่ก็ไม่ได้ทำให้รัศมีความหล่อของเขาลดน้อยลงเลย

      “เอ้า มึงจะยืนบื้ออยู่ทำไม รีบเอามาเปลี่ยนสิ!”

      “คะ…ครับ” เสียงเฮียขุนตะโกนออกมาจากห้องน้ำ นั่นจึงทำให้ผมตื่นจากภวังค์เสน่ห์ของเขา

      เราทั้งคู่ปลุกปล้ำและต่อสู้กับแรงดันของน้ำเพื่อที่จะหมุนหัวฝักบัวเข้าไป เป็นอย่างนั้นอยู่ประมาณสิบนาทีกว่าจะสำเร็จ เล่นเอาซะน้ำสาดกระเซ็นใส่แล้วใส่อีก จนทั้งผมและเฮียขุนดูไม่ต่างจากลูกหมาตกน้ำกันเลย

      พอสถานการณ์ในห้องน้ำสงบลง ผมก็ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อออกมาเจอกับน้ำขังพื้นห้องไปทั่ว ต้องนอนดึกล่ะคืนนี้กว่าเช็ดน้ำให้แห้งหมด


      “เฮียขุ…เชี่ย!!” ในขณะที่ผมกำลังยื่นผ้าเช็ดตัวให้เฮียขุน เท้าของผมก็ลื่นน้ำที่อยู่บนพื้นจนพลาดล้มคว้าตัวเขาลงไปด้วย
ผมอยู่ในสภาพที่มุดหน้าซบอกของเฮียขุนก่อนจะค่อยๆ เงยขึ้นมา วินาทีนั้นผมมองหน้าของเขาซึ่งอยู่ใกล้มากจนลมหายใจอุ่นของคนที่โดนทับปะทะเข้าใบหน้าผม

      ผมจ้องเขาราวกับว่ากำลังตกอยู่ในมนต์สะกดอีกครั้ง นัยน์ตาสวยสีน้ำตาลเข้มเองก็มองผมอย่างไม่วางตา ใจของผมเต้นไม่เป็นส่ำเมื่อจมูกอยู่ใกล้ริมฝีปากบางหยักได้รูปแต้มสีชมพูอ่อนของเขา พลางจมูกก็ทำหน้าที่สูดดมกลิ่นมิ้นที่คละคลุ้งเลือนลางออกมาจากปากนั่นเบาๆ

      “นี่เป็นแผนมึงสินะ”

      “วะ…ว่าไงนะ” และผมก็ลืมตาตื่นจากภวังค์อีกครั้งเมื่อได้ยินประโยคที่มันฟังดูทะแม่งๆ “หมายความว่าไง”

      “อยากมีโมเม้นหวานๆ แบบนี้กับกูถึงขนาดวางแผนทำให้หัวฝักบัวแตก จากนั้นก็ไปขอความช่วยเหลือจากกูสินะ”

      “เหอะ คิดได้เนาะคนเรา ถึงผมจะมีความรู้สึกแบบนั้นให้เฮีย แต่อย่าหลงตัวเองหน่อยเลย ตอนนี้คนตรงหน้าผมมันนิสัยเสียเกินไปจนทำให้ผมชอบไม่ลงแล้ว” ผมพูดออกไปด้วยความหงุดหงิดก่อนจะรีบดันตัวเองให้ลุกขึ้น ทว่า…

      ตุบ!

      ผมถูกเฮียขุนดึงแล้วพลิกตัวให้ไปอยู่ข้างล่างเขาแทน กลายเป็นว่าเขากำลังคร่อมผมพลางมองด้วยสายตาที่มีเลศนัย

      “หรือกูควรสนองมึงหน่อยดีมะ”

      “ปล่อยนะเว้ย!” มือของผมทั้งสองข้างที่ขึงอยู่เหนือหัวถูกคนข้างบนพันธนาการไว้ด้วยมือของเขาเพียงข้างเดียว คนอะไร ทำไมแรงเยอะจังวะ ทั้งที่ตัวก็ใหญ่กว่าผมไม่เท่าไร

       แม้ใจของผมจะเต้นกับเสน่ห์และกายที่ยั่วยวนของเขา แต่ผมก็ไม่ได้ต้องการสถานการณ์แบบนี้ เฮียขุนเขาแค่จะแกล้งผมเท่านั้น เผลอๆ ยิ่งเขาคิดว่านี่เป็นแผนของผม พรุ่งนี้คงเอาไปคุยกับเพื่อนสนุกปากให้ผมอับอายว่าวางแผนล่อให้เขาเข้ามาในห้องเพื่ออยากมีโมเม้นหวานๆ อย่างที่เขาว่า

      “หึ ไม่คิดมาก่อนว่าคนอย่างเฮียจะดูละครน้ำเน่ามากเกินไป จะบอกอะไรให้นะ ความรู้สึกของผมมันเปลี่ยนไปแล้ว เปลี่ยนไปตั้งแต่วันที่เฮียบอกว่าเกลียดผม ดังนั้นตอนนี้เฮียรู้สึกยังไงผมก็รู้สึกแบบนั้นแหละ เฮียเกลียด…ผมก็เกลียดเฮียเหมือนกัน”

      “เออ รู้แบบนั้นก็ดี กูจะได้ไม่ต้องพูดหลายครั้งว่ารู้สึกยังไงกับมึง แต่ว่า…มึงเกลียดกูจริงเหรอ”

      “เออสิ”

       “แล้วทำไมใจมึงต้องเต้นแรงด้วย” บ้าเอ้ย ไอ้หัวใจบ้า จะเต้นแรงให้เขารู้ทำไมวะ “ถ้าเกลียดจริง…คงต้องพิสูจน์กันหน่อยล่ะ” พูดเสร็จเขาก็โน้มหน้าลงมาหาผมเรื่อยๆ จนปลายจมูกของเฮียขุนแตะเบาๆ ที่ปลายจมูกผม

      เขาจะเล่นตลกอะไรกันเนี่ย

      เฮียขุนในตอนนี้…ผมไม่ไว้ใจเขาหรอก

      เขาไม่มีความจริงใจเหลือให้ผมแล้ว

      “ปล่อย…ไม่งั้นผมจะเอาหัวตัวเองโขกหัวของเฮียให้แตกกันไปข้าง” เหลืออวัยวะเพียงส่วนเดียวเนี่ยแหละครับที่ยังพอขยับเขยื้อนได้

      “ถ้ามึงกล้าก็ลองดู”

      ผมผงกหัวไปมาอย่างยากลำบากเพราะคนข้างบนพันธนาการไว้แน่นเหลือเกิน และเฮียขุนไม่ปล่อยให้ผมทำอย่างที่ว่า เขาก้มหน้าลงมาที่ซอกคอของผม หลังจากนั้นก็รู้สึกเจ็บจี้ดเบาๆ ที่ต้นคอของตัวเองและรับรู้ได้ถึงริมฝีปากบางที่เขาขบเข้ามาในผิวเนื้อ

      “ทำบ้าอะไรของเฮียเนี่ย!” ผมอึ้งและตกใจจนดวงตาเบิกกว้างกับการกระทำของเขา ใจของผมยิ่งเต้นแรงเข้าไปอีก

      เฮียขุนขบเน้นที่ต้นคอของผมอยู่อย่างนั้นสักพักก่อนที่เขาจะผละออกแล้วลุกขึ้นยืน ผมเองก็ลุกขึ้นมานั่งด้วยอาการที่ยังคงช็อคค้างอยู่อย่างนั้น

      “มิชชั่นคอมพลีท ขอบคุณกูซะสิ ที่ทำให้แผนของมึงสำเร็จ”

      “…” ผมเงยหน้ามองเขาอย่างอึ้งๆ

      "ชอบที่กูทำล่ะสิ...มึงไม่มีทางเกลียดกูหรอก"

      "อย่าเข้าข้างตัวเองให้มันมากนักเลย" พอได้ยินเขาพูดแบบนั้น สีหน้าของผมก็เปลี่ยนเป็นหมั่นไส้แทน

      “มึงนั่นแหละอย่าคิดเข้าข้างตัวเองให้มันมากนัก ความรู้สึกกูยังเป็นอย่างที่เคยพูด กูไม่สามารถมอบความรู้สึกเหมือนตอนเด็กให้กับคนขี้โกหกอย่างมึงได้”

       รู้แล้ว…ทำไมต้องตอกย้ำให้เจ็บด้วยวะ

      “สิ่งที่กูทำไปคงทำให้คนที่ได้เห็นสงสัยว่ามึงโดนกระทำอะไรมา”

      ผมจับไปที่คอตัวเอง ตำแหน่งที่เขาเพิ่งกัดไป…คนที่เห็นเขาก็ต้องดูออกว่าผมไปทำอะไรมา รอยช้ำแดงที่คอ มันก็คิดได้อยู่แค่เรื่องเดียว

      บ้าเอ้ย! เฮียขุนโคตรร้ายกาจเลย เขากะจะทำให้ผมอาย

      “คงอายไปหลายวัน” เขาพูดเย้ยราวกับว่าได้ยินความคิดของผมพลางใช้นิ้วเกลี่ยริมฝีปากตัวเอง

      “…” ผมขมวดคิ้วมองหน้าเขาอย่างเคืองๆ หมดคำจะพูดกับคนชั่วร้ายอย่างเขาเลย

      “อ่อ ครั้งนี้จะเป็นหนี้บุญคุณที่มึงบังอาจมาหลอกขอความช่วยเหลือจากกู” เฮียขุนทิ้งท้ายคำพูดหน้านิ่งก่อนจะเปิดประตูเดินออกไป

      เหอะ ทั้งๆ ที่คิดว่าเป็นแผนของผมเนี่ยนะ เขายังจะมีหน้ามาคิดเป็นบุญคุณ…อย่างนี้ก็ได้เหรอ

      ฮึ่ย! ไอ้…




      ผมอยากด่ากับการกระทำร้ายๆ ของเขา...




      แต่ทำไมอีกใจหนึ่งถึงต้องรู้สึกดีกับการกระทำนั้นด้วยนะ



      #โชกุนขุนศึก

-----TBC-----




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-04-2019 21:30:27 โดย ิbanoffee »

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: #Heart To Heart #ใจแพ้รัก 「ตอนที่7」-05/04/19-
«ตอบ #17 เมื่อ05-04-2019 21:44:21 »

 :z6:

ออฟไลน์ ิbanoffee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
Re: #Heart To Heart #ใจแพ้รัก 「ตอนที่8」-17/04/19-
«ตอบ #18 เมื่อ17-04-2019 05:42:03 »

ตอนที่ 8


      “โช”

      “มาอยู่นี่ได้ไง เหมือนผมจะเห็นพี่เกือบทั่วทุกมุมของมหา’ลัยเลยเนี่ย”

      หลังจากที่ผมเลิกเรียนและกำลังเดินไปหาไอ้คิ้วท์ที่คณะศิลปกรรม ซึ่งมันเป็นคนละเส้นทางกับคณะสัตวแพทย์ แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงมาเจอพี่ภามแถวนี้ได้

      “ตามมาดักมึง”

      “เป็นสต็อกเกอร์หรือไง น่ากลัวว่ะ มีเรื่องอะไรทำไมไม่ทักหรือโทรมาก็ได้ เบอร์ก็มี”

      “แล้วนี่มึงจะไปไหน”

      “ไปหาไอ้คิ้วท์ที่คณะศิลปกรรม”

      “แล้ว…ไอ้คิ้วท์นี่เป็นใครอ่ะ?”

      “เพื่อนผม…อะไรของพี่เนี่ย ถามนั่นนี้ สรุปมีธุระอะไรกับผม”

      “คอมึง…” นั่นไง กะแล้วว่าพี่ภามมันต้องทัก

      ตั้งแต่เช้าไอ้นักคือคนแรกที่ทัก ผมก็เข้าใจครับเพราะ…รอยนั่น ผมจึงต้องแปะพลาสเตอร์เอาไว้ แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่าพลาสเตอร์เป็นสีเหลืองเด่นมองเห็นมาแต่ไกลเนี่ยสิ มีลายการ์ตูนประดับให้น่าชวนมองอีกต่างหาก ผมซื้อมาไว้เผื่อมีดบาดหรือได้รับบาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ ไม่คิดว่าพลาสเตอร์คัลเลอร์ฟูลของผมจะถูกนำมาใช้เพราะการนี้

      นั่นทำให้ทุกคนในคลาสเรียนมองผมและซุบซิบนินทากันเชิงประมาณว่า ผมไปกระทำการอะไรแบบนั้นมา มันก็น่าคิด แต่ผมได้อธิบายกับไอ้นักและเพื่อนทุกคนในห้องให้คลายสงสัยแล้วล่ะครับ ตอนนี้ผมก็จะอธิบายแบบนั้นกับพี่ภามเช่นกัน “ไม่มีอะไร แค่โดนแมวจรแถวหอข่วนมาน่ะ” มันจะเชื่อผมมั้ยเท่านั้นแหละ

      “ว่าไงนะ…ไหนมาดูซิ ทำไมไม่ไปหาหมอให้ฉีดยา นั่นแมวจรนะเว้ย เราไม่รู้ที่มาที่ไป”

      “ไม่ต้อง ผมเคยฉีดเมื่อไม่นานมานี้ ไม่เป็นไรหรอกน่า พี่ภาม ไม่ต้องดู” ผมพูดพลางหลบหลีกไอ้พี่ภามที่ดึงตัวและจ้องแต่จะแกะพลาสเตอร์ดูคอของผม “อย่าแกะออกนะ!”

      “กูจะดูว่าเป็นรอยมากมั้ย”

      “ก็บอกว่าไม่ต้อง มันรอยเล็กนิดเดียว” ทำไมพี่ภามมันดื้อดึงจังวะ จะอยากดูอะไรนักหนา

      “ให้กูดูหน่อยน่า จะได้หายห่วง”

      “อย่า!!”

      “กูแค่อยาก…”

      จนได้…ยื้อไปมา พี่ภามก็คว้าแผ่นพลาสเตอร์ดึงออกไปจากคอผมจนได้ ไม่รอช้าผมรีบเอามือกุมเพื่อปิดบังรอยที่คอเอาไว้ แต่ช้าไป ดูเหมือนพี่ภามจะเห็นและรู้แล้วว่าไม่ใช่แมวข่วน เพราะนิ่งไปและเอาแต่มองผมตาค้าง

      “กูเรียนสัตวแพทย์ ถึงไม่ได้เรียนคนทั่วไปก็ดูออกว่านั่นไม่ใช่รอยแมวข่วน บอกกูว่ามึงไปโดนอะไรมา มึง…”

      “มันไม่ใช่อย่างที่พี่คิดนะ!” ผมตะโกนบอกแล้วรีบวิ่งหนีไปด้วยความอาย ท่าทางเก้ๆ กังๆ ของผมคงทำให้พี่ภามคิดไกลไปถึงไหนต่อไหน

      มันเป็นอย่างที่พี่คิด…มันเป็นรอยแบบนั้น แต่ผมไม่ได้ตั้งใจหรือเต็มใจกระทำการวาบหวิวให้มันเกิดรอยนี้ขึ้น ไอ้คนนิสัยเสียคนนั้นต่างหาก

       ไอ้เฮียขุนศึกบ้าเอ้ย!!

      เขาคิดไว้แล้วสินะว่าคนอื่นจะต้องมองผมแบบนี้ ทุกคนจะคิดว่าผมเป็นคนยังไงเนี่ย ทำอะไรต้องทิ้งร่องรอยไว้อวด…พวกเขาคงคิดแบบนั้น โอ้ย หงุดหงิดฉิบหายเลยโว้ยยย




   



      “เอ้าๆ เป็นอะไรของมึงเนี่ย เกาหัวจนยุ่งดูเป็นลิงเป็นค่าง”

      “หงุดหงิดโว้ย!”

      “แล้ว…คอมึงไปโดนอะไรมา”

      “ไอ้คิ้วท์…กูขอล่ะ ยกเว้นมึงคนเดียวได้มั้ยที่จะไม่ถามกูเนี่ย”

      “ทำไมต้องเป็นกูวะ ทุกคนได้รู้ แต่เพื่อนมึงไม่รู้ไม่ได้นะเว้ย แล้วรอยเด่นหราแบบนี้ ใครเห็นก็ต้องสงสัยว่าไปโดนอะไรมา”

       “เออๆ กูจะเล่าให้ฟังทุกอย่าง แต่เล่าไปด้วยกินไปด้วยได้มะ กูหิวแล้วเนี่ย ไปกัน แล้วจะได้ไปซื้อของมาทำงานด้วย อย่าพูดมากให้กูหงุดหงิดไปกว่านี้”

      “อะไรของมึงวะ…อ้าว นั่นเพื่อนมึงนี่” ไอ้คิ้วท์พยักเพยิดหน้าให้ดูคนที่อยู่ในรถกับสาวสวย

      คนนี้ไม่แปลกที่จะเจอได้ทุกที่ของมหาวิทยาลัย ไอ้นักเพื่อนรักของผมขับรถมาจอดเทียบหน้าตึกคณะศิลปกรรมและกำลังโบกไม้โบกมือลาสาวจากในรถที่มันขับมาส่ง

      “นั่นดาวคณะกู…เหอะ เพื่อนมึงนี่กะจะสอยดาวทุกคณะเลยหรือไงวะ วันก่อนกูก็เห็นเดินควงอยู่กับดาววิศวะ สอยดาวรุ่นพี่เลยนะ กูว่าดาวปีนี้เพื่อนมึงก็คงจะสอยเรียบเหมือนกัน”

      “เออ มันหว่านเสน่ห์ไปทั่วแหละ มึงอย่าไปสนใจเลย เดินอ้อมไป มันจะได้ไม่เห็น”


   
      ปิ๊บๆ

      อุตส่าห์เดินอ้อมมาข้างตึก แต่ไอ้นักมันก็ยังตาไวรีบขับรถตามมาพร้อมบีบแตรทักใส่ ทั้งผมและคิ้วท์จึงพากันเร่งสาวเท้าให้เร็วขึ้นจนกลายเป็นวิ่ง

      “ไงเพื่อน จะไปไหนกันวะ แล้วพวกมึงวิ่งหนีกูทำไมเนี่ย” ไอ้นักขับรถพลางเปิดกระจกตะโกนพูดกับพวกผม

      “รีบไป อย่าสนใจมัน” ผมบอกไอ้คิ้วท์ให้วิ่งเร็วขึ้นไปอีก

       เหมือนโดนมันแกล้งอ่ะครับ ยิ่งเห็นพวกผมวิ่งเหนื่อยหอบ ไอ้นักก็ยิ่งเร่งรถจี้ตูดพวกผมอยู่นั่น จากนั้นจู่ๆ มันก็…

       ปิ๊บบบบบบบ!! มันขับรถมาดักหน้าพวกผมแล้วก็บีบแตรยาวเสียงดังจนคนแถวนั้นพร้อมใจกันหันมอง

       “ไอ้นัก มึงแกล้งพวกกูใช่มั้ย ไอ้เพื่อนนิสัยเสีย แฮ่กๆ” ผมตะโกนด่าไอ้นักด้วยด้วยความเหนื่อย ส่วนไอ้คิ้วท์ล้มลงไปหอบนอนกับพื้นแล้ว

      “ก็พวกมึงวิ่งหนีกูทำไมอ่ะ”

       “กูรู้ว่ามึงจะไปด้วยน่ะสิ”

      “ถูกเผง…กูจะไปด้วยยยย” มันทำเสียงอ้อนกับผม แต่ส่งสายตาหวานไปมองไอ้คิ้วท์

       “กูไม่ให้มึงไป”

       “กูขอไปด้วยนะ พวกมึงจะได้ไม่ต้องเหนื่อยไปโบกรถเมล์ไง ขึ้นรถมานั่งตากแอร์เย็นๆ เดี๋ยวกูจะเป็นสารถีขับรถพาไปยังจุดหมายเอง”

      “กูไม่ไปกับมึง”

      “ไม่ไปก็เรื่องของมึง…แต่ว่าอีกคนไปใช่มั้ยครับ คนคิ้วท์ของผม” ประโยคหลังนี่เสียงสองเลยนะมึง

       “…” ไอ้คิ้วท์เหนื่อยจนหายใจไม่ทันจึงเปล่งเสียงออกมาไม่ได้แต่ผมก็พออ่านปากมันออกว่า “คนคิ้วท์ของป้ามึงน่ะสิ”

      “สรุปแล้วพวกกูไม่มีใครอยากไปกับมึง…มึงจะไปไหนก็ไป”

      “ตอนนี้กูไม่มีตุ๊กตาหน้ารถว่ะ” ไอ้นักพูดกำกวมและดูเหมือนว่าจะไม่สนที่ผมพูด มันเปิดประตูรถแล้วเดินลงมาอุ้มไอ้คิ้วท์ที่ยังเหนื่อยและไม่ทันตั้งตัว จึงถูกเพื่อนรักของผมมันอุ้มพาดขึ้นบ่าด้วยมือข้างเดียวราวกับพาดผ้าเช็ดตัว

       “ปล่อยกูนะ!”

      “ไอ้นัก มึงทำอะไรของมึงเนี่ย ปล่อยเพื่อนกูเลยนะ!” ผมพยายามแกะมือไอ้นักให้ปล่อยไอ้คิ้วท์ลง

      “กูก็เพื่อนมึง…ไม่รู้แหละ กูอยากได้ไอ้คิ้วท์มาเป็นตุ๊กตาหน้ารถกู” มันพูดเอาแต่ใจพลางเดินไปแล้วใช้มือข้างที่เหลือเปิดประตูรถอีกข้าง จากนั้นก็ยัดคนที่ถูกอุ้มเข้าไปพร้อมปิดประตูเสร็จสรรพ ทำอย่างกับไอ้คิ้วท์เป็นตุ๊กตาจริงๆ

      “ไอ้นัก มึงจะเยอะเกินไปแล้วนะ”

      “มึงนั่นแหละเกินไป ทำกับเพื่อนได้ ไม่รู้จะหวงอะไรนักหนา แล้วสรุปมึงไม่ไปใช่มั้ย” พูดเสร็จไอ้นักก็เดินมาเปิดประตูรถฝั่งคนขับ ส่วนผมก็ต้องรีบดีดตัวเองเข้ามานั่งในรถอย่างจำใจก่อนที่มันจะขับออกไป

      ได้ไงล่ะ…ผมไม่ปล่อยไอ้คิ้วท์ไว้กับเสือตัวนี้แน่ ถึงไอ้คนที่โดนอุ้มมาจะพยายามเอาตัวเองลงจากบ่ามายังไง แต่ดูเหมือนตอนนี้มันเต็มใจที่จะนั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถรับความเย็นจากแอร์ จนไม่สามารถปิดบังสีหน้าที่สดชื่นของมันได้

      ไอ้นักเอาแต่มองไอ้คิ้วท์อยู่เป็นเนื่องๆ แล้วยิ้มอย่างพอใจ มันคงคิดว่าเข้าทางมันล่ะสิ หึ อย่าหวังเลยไอ้นัก ผมจะกันท่ามันให้ถึงที่สุด ไอ้เจ้าชู้ ไอ้หน้าม่อเอ้ย เหมือนพี่มันไม่มีผิด









      “ไอ้นัก มึงจะนั่งมองอะไรนักหนาวะ”

      “นี่ ถามหน่อย ถ้ามึงเห็นของน่ารักๆ อยู่ตรงหน้า มึงจะไม่มองหรือไง”

      “มึงอย่ามาทำนิสัยเจ้าชู้แถวนี้” ผมพูดแล้วก็เขกหัวมันไปหนึ่งที

      ที่ไอ้คิ้วท์ไม่พูด ใช่ว่ามันกำลังนั่งหลงตัวเองที่ถูกชมอยู่ แต่มันขี้เกียจพูดด้วยเพราะน่ารำคาญ และที่ผมรู้ก็เพราะมันเป็นคนที่แสดงออกมาทางสีหน้าชัดเจนว่าโคตรจะเซ็งกับไอ้นักเลย ส่วนเพื่อนรักผมมันแยแสซะที่ไหน หน้าด้านหน้าทนที่จะมองเขาตาหวานเยิ้มอยู่นั่น

      “สนใจอาหารตรงหน้ามึงนั่น วิญญาณอุด้งลอยออกมาจนรสชาติจืดชืดหมดแล้วมั้ง”

      “ไม่เป็นไร กูอิ่มใจแล้ว อีกอย่างพอกูกินเข้าไปแล้วรู้สึกว่ากระดูกขวางคอว่ะ” ทำไมฟังดูแล้วมันทะแม่งๆ

      “มึงด่ากูเหรอไอ้นัก อุด้งบ้านมึงใส่กระดูกชิ้นใหญ่ลงไปหรือไงถึงได้ขวางคอมึงห้ะ มึงต่างหากที่เป็นส่วนเกิน พวกกูจะมากันแค่สองคน”

      “มึงพูดอย่างนี้มาเคลียร์กันเลยดีกว่าว่าสรุปกูยังเป็นเพื่อนมึงมั้ย ไอ้โช”

      “เพื่อนไง…เพื่อนหน้าม่อของกู บอกไว้เลยนะ ตราบใดที่มีกูอยู่ มึงไม่ได้แม้แต่แตะปลายผมไอ้คิ้วท์หรอก”

      “ไอ้โช!”

      “พวกมึงสองคนเลิกทะเลาะกันซะที กูอายคน!” เถียงเสียงดังกันไปมา ทั้งผมและไอ้นักก็สงบปากลง เพราะคำตักเตือนจากไอ้คิ้วท์และสายตาของคนในร้านที่มองมาอย่างรำคาญ “หุบปากแล้วรีบกินจะได้ไปซื้อของ”

      “คร้าบบบ จะกินให้หมดเลย”

      “ทีกับกูเสียงด้านเสียงแข็ง กับไอ้คิ้วท์เสียงสอง เชื่องอย่างกับแมว” ผมมองค้อนไอ้นักด้วยความหมั่นไส้



      หลังจากกินอะไรกันเสร็จ ผมคิดแผนว่าจะพาไอ้คิ้วท์ชิ่งหนีไอ้นัก แต่มันก็ดันโพล่งปากบอกว่าจะไปซื้อของทำงาน ไอ้เพื่อนรักของผมมันก็เลยได้โอกาสขอตามติดไปด้วย เพราะวิชานอกของเสคมันก็สั่งงานเดียวกัน

      ไอ้นักตามติดไอ้คิ้วท์แจ ไปเกาะแกะแอบแต๊ะอั๋งจับมือจนไอ้คิ้วท์จะฟาดหมับเข้าให้ ผมจึงพอจะคิดได้ว่าวันที่มันได้แผลที่ปากมาก็คงจะเป็นฝีมือของไอ้คิ้วท์ เพื่อนรักของผมคงไปลวนลามมันเข้า

      ยังดีที่ไอ้คิ้วท์ไม่ได้หลงคารมคนเจ้าสำราญแบบไอ้นัก ออกจะรำคาญและระวังตัว ผมจึงยังพอเบาใจ แต่ถ้ามันตกหลุมพรางของเพื่อนตัวแสบเมื่อไร มันก็อาจจะขึ้นมาได้ยากหรือขึ้นมาไม่ได้เลย และคงต้องเจ็บปวดที่ได้ตกลงไปในหลุมเสน่ห์ของไอ้เสือตัวนี้ ผมจึงคอยระวังไม่ให้มันเดินไปตกหลุมพรางนั้น

      ไม่อยากให้มันเป็นเหมือนผมที่ตกลงไปแล้วไม่สามารถขึ้นมาได้อีก…

      มีแต่จะจมลึกลงไปทุกวันและทุกครั้งที่ได้เจอหน้ากัน…

      …มันยากที่จะถอนตัวออกมาได้





     
      “พี่ภามมาทำอะไร”

      ผมมองไปยังกลุ่มนักศึกษากลุ่มใหญ่ที่เดินตรงเข้ามา…พี่ภามและเพื่อนๆ ในคณะของเขา ดูแปลกตานิดหน่อย เพราะปกติเห็นแต่เดินอยู่กับเฮียขุน นั่นจึงทำให้ผมตกใจหลังจากไอ้นักทักเพราะนึกว่าเดินมากับคนๆ นั้น

      “พวกกูเพิ่งไปรับบริจาคช่วยสัตว์จรจัด เลิกแล้วก็เลยจะมาหาอะไรกิน…เมื่อตอนบ่ายก็ว่าจะไปชวนมึงมาทำกิจกรรมด้วยกันเนี่ยแหละ แต่มึงบอกจะไปหาเพื่อนก็เลยยังไม่ได้พูด” ไอ้นักเป็นคนถาม แต่ดูเหมือนพี่ภามกำลังพูดกับผมอยู่

      “แล้ว…ทำไมพี่ไม่บอกให้มันเร็วๆ เล่า มัวแต่ถามนั่นนี่อยู่ได้”

      “พวกมึงมาจอยกับพวกกูมั้ย ว่าจะไปกินอาหารญี่ปุ่นกัน”

      “พวกผมเพิ่งกินมาอ่ะพี่” ไอ้นักพูด

      ผมเอาแต่ก้มหน้าก้มตาอาย ทั้งวันผมดูกระจกเป็นระยะ รอยที่คอมันไม่หายไปง่ายๆ จนถึงตอนนี้มันก็ยังคงเป็นอนุสรณ์สร้างความอายให้ผมอยู่ พี่ภามคงคิดไปไหนต่อไหน ผมยังหาคำอธิบายที่มันพอฟังขึ้นไม่ได้ แม้แต่ไอ้นักที่เห็นแล้วว่าไม่ใช่รอยแมวข่วน ผมก็ไม่รู้จะบอกยังไง เพราะโคตรอายเลยที่จะบอกไปว่าพี่มันทำ มีหวังมันคงได้แซะผมแล้วแซวผมอีก

      “งั้นไปหาของหวานกินกัน”

      “ได้ไง พี่ยังไม่ได้กินข้าว กินของหวานเลยจะอิ่มหรือไง” ไอ้นักเสริมต่อ

      “เออ กูอยากกินของหวานเลย…พวกมึง เดี๋ยวกูไปกับน้องกูนะ ไปหาอะไรกินกันเลยแล้วไว้เจอกันที่มอพรุ่งนี้” พี่ภามหันไปบอกเพื่อนแล้วพาเราเข้าร้านบิงซูที่ยืนอยู่ตรงหน้าร้านพอดี




      “สั่งเต็มที่เลยกูเลี้ยงเอง”

       บิงซู ฮันนี่โทสต์ ทั้งเครปฟรุต ถูกสั่งมาเต็มโต๊ะ ผมสดชื่นมากที่เห็นของหวานน่ากินตระลานตาตั้งอยู่ตรงหน้า แต่พอจะตักเข้าปากเท่านั้นแหละ ผมก็รู้สึกชะงักลงเพราะรัศมีพิกลแผ่ซ่าน พี่ภามเอาแต่จ้องมาที่ผมจนทำให้รู้สึกอึดอัด เขาคงอยากรู้เรื่องราวที่มาของรอยช้ำที่คอผมเต็มแก่

      ผมจึงพูดชวนให้เจ้ามือกินเยอะๆ เพราะเขายังไม่ได้กินข้าวเลย พี่ภามที่นั่งขมวดคิ้วอยู่นานจึงค่อยๆ คลายยิ้มแล้วตักบิงซูเข้าปาก แต่มันก็ยังมองผมไว้วางตา ไม่รู้จะมองอะไรนักหนา กินบิงซูไม่อร่อยเลยเนี่ย


      “มึงอย่าคิดว่ากูโง่นะ” ไอ้นักที่นั่งข้างผมพูดกระซิบ เพื่อนตัวแสบมันกะจะนั่งข้างไอ้คิ้วท์ ผมเลยรีบดึงตัวมันมานั่งกับผมแทน ไม่ยอมให้มีโอกาสหรอกเว้ย

      “กูก็ไม่ได้พูดว่ามึงโง่” ผมกระซิบมันกลับ

      “มึงไม่ได้พูด แต่มึงคิดว่ากูโง่หรือไงว่ารอยที่คอมึงเป็นรอยแมวข่วน รอยช้ำแบบเนี้ยกูชินตา”

      “ไม่ได้โง่แต่ก็อย่าฉลาดรู้ให้มากนักมึงน่ะ”

      “กูฉลาดอยู่แล้ว ไอ้พี่ภามจ้องมึงตาเยิ้มขนาดนี้แล้วยังยิ้มให้อีก กูว่ารอยนี่พี่ภามเป็นคนทำแน่ๆ”

      “ถุย มึงอย่ามาแต่งเรื่องเข้าใจไปเอง”

      “หึ กูคิดถูกล่ะสิไม่ว่า พี่ภามสนใจมึง ดูๆ แล้ว ถ้ามึงไม่มัวแต่ดักคอกูแล้วสลับคู่นั่งกัน กูว่าเป็นเดทคู่ก็ดีนะ”

      “คิดได้นะ ไม่ชงกูให้พี่มึงแล้วหรือไง”

      “ก็ถ้าเพื่อนรักกูชอบคนนี้ กูก็จะชงให้คนนี้”

      “มึงอย่ามาทำตัวเป็นพ่อสื่อ”

      “เออ พี่ภามช่วงนี้ผมติดกิจกรรมดาวเดือนอ่ะ บางวันเรียนบ่ายผมก็ต้องไปซ้อมแต่เช้า ไม่ได้ไปพร้อมกับไอ้โช แล้วตอนเลิกเพื่อนรักของผมมันก็กลับหอเองคนเดียว ถ้าพี่ว่างหรือเห็นมันเดินๆ อยู่ก็ช่วยรับหรือไปส่งมันด้วยนะ” ว่าแล้วไอ้นักก็พูดจาน่ามะเหงกลงหัว

   “ได้ดิวะ”

      “ไม่เป็นไรพี่ ดูรบกวน มหา’ลัยกับหอก็อยู่แค่นี้ อีกอย่างเรียนกันคนละชั้นปีคนละคณะคงไม่ได้บังเอิญเลิกพร้อมกันง่ายๆ” ผมพูดไปด้วยความเกรงใจ

      “ถ้ามึงอยากให้กูไปส่ง แค่โทรมากริ๊งเดียว ถึงอยู่แลปกูก็ออกไปส่งมึงได้”

      “ใช่ ผมล่ะเป็นห่วงมัน ผู้หญิงตัวคนเดียวเดินกลับหอเองตอนมืดๆ”

      “ผู้หญิงบ้านพ่อมึงสิ ไอ้นัก”

      “ก็บอกแล้วว่าพ่อกูไม่มีลูกสาว”

      “ไอ้…มึงจะไปไหน?” กำลังจะง้างปากด่าไอ้นัก ผมก็หันไปพูดกับไอ้คิ้วท์ที่ลุกขึ้นพรวดพราด

      “ไปเข้าห้องน้ำ…รำคาญพวกมึงสองคน”

      “พอดีเลย กูไปด้วย”

      “กูไปด้วย”

      “ไม่ต้องเลย มึงนั่งกับพี่ภามไป” ไอ้นักพูดพลางกดผมที่ยืนแล้วกำลังจะเดินตามไอคิ้วท์ไปให้นั่งลง จากนั้นมันก็รีบวิ่งไป จะวิ่งตามมันไปก็เกรงใจพี่ภามมัน

      “ไอ้คิ้วท์ มึงต้องระวังตัวนะเว้ย!” ผมก็เลยตะโกนตามไปด้วยความกังวล

      “ดูมึงห่วงไอ้คิ้วท์จังนะ”

      “พี่ก็รู้ว่าไอ้นักมันสันดานเสือ ผมกลัวมันไปลวนลามเพื่อนผม”

      “เอาน่า พวกมันไปห้องน้ำแค่แป๊บเดียว”

      ผมถูกทิ้งให้นั่งอยู่กับพี่ภามสองคน ยังคงรู้สึกอึดอัดเพราะคนตรงหน้ามันก็ยังเอาแต่จ้อง “พี่คงสงสัยรอยที่คอผม” ผมจึงพูดออกไปด้วยความที่คิดว่ามันคงอยากรู้เรื่องนี้

      “ช่างมันเถอะ กูไม่อยากรู้แล้ว” พี่ภามมันก็แค่พูดไปอย่างนั้น แต่สายตาดูจะอยากฟังคำอธิบายจากผมมาก

      “มันไม่ใช่รอยแมวข่วน…และมันก็ไม่ใช่อย่างที่พี่คิดจริงๆ นะ” ผมบอกได้แค่นี้ ยังไงผมก็อายที่จะพูดออกไปว่าเฮียขุนทำ แค่ไม่อยากให้พี่ภามคิดไปไกล

      “อือ กูเชื่อมึง” ยังดีที่เขาเข้าใจง่ายและไม่ถามเซ้าซี้ แต่ผมรู้ว่าลึกๆ ในใจพี่ภามก็ยังคงคิดหาสาเหตุต่างๆ ว่าผมได้รอยนี้มายังไง…ได้มาจากใคร

      ผมกับพี่ภามนั่งคอยสองคนนั้นมาพักใหญ่ มันเป็นการไปเข้าห้องน้ำที่นานผิดปกติ ผมจึงโทรหาทั้งไอ้นักและไอ้คิ้วท์ตั้งหลายรอบแต่ก็ถูกตัดสายทิ้งและปิดเครื่องไปเลยทั้งสองคน…ไอ้นักต้องทำอะไรไอ้คิ้วท์แน่ๆ

      พี่ภามจึงจ่ายเงินแล้วเราก็ไปตามหาพวกมันที่ห้องน้ำแต่ก็ไม่เจอ ผมเดินตามหาทั่วห้างแต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของสองคนนั้นเลย “ไอ้นักมันต้องลักพาตัวไอ้คิ้วท์ไปแน่” ผมพูดกับตัวเองด้วยความเจ็บใจ

      “มันขนาดนั้นเลยเหรอวะ”

      “ไอ้นักมันโคตรร้าย ผมไม่น่าปล่อยให้มันตามไอ้คิ้วท์ไป”

      “อย่าห่วงมันเลย ไอ้คิ้วท์มันไม่ได้ดูอ่อนแอให้ไอ้นักรังแกได้ง่ายๆ ขนาดนั้น ไปซื้อของกับกูดีกว่า แล้วก็กลับหอกัน” พอพี่ภามพูดแบบนี้ ผมก็โล่งใจขึ้นมานิดหน่อย เพราะไอ้คิ้วท์ก็คงสอยไอ้นักไปหลายหมัด ถ้าไอ้เพื่อนตัวแสบมันทำอะไรเกินเลย

    “ซื้ออะไร”

      “ซื้อสร้อยคอให้โบตั๋น”

      “โบตั๋น...แฟนพี่เหรอ”

      “ไปเถอะ เดี๋ยวมึงก็รู้” หึ ให้น้องสาว ให้แม่ก็ไม่ใช่ โบตั๋นนี่คงเป็นแฟนสินะ ยิ้มหน้าบานเชียว

      เดินๆ ไปยังไม่ถึงจุดหมายที่พี่ภามบอกพิกัดร้าน แต่ก็ต้องมาเจอใครบางคนซะก่อน ถึงแม้ผมจะไม่ค่อยอยากจะทักเขายิ่งเห็นเดินมากับผู้หญิง ผมอยากจะทำเป็นไม่เห็นด้วยซ้ำ แต่เพื่อนอย่างพี่ภามก็จำเป็นต้องทัก

      “พวกมึงมาทำอะไรกันสองคน” เฮียขุนกลับเป็นฝ่ายเดินพุ่งเข้ามาทักก่อน

      “พวกกูมากับไอ้นักแล้วก็ไอ้คิ้วท์ด้วย แต่ไม่รู้ว่าพวกมันสองคนหายไปไหน”

      “ยิหวา กลับเองได้มั้ย พอดีว่าเฮียมีธุระต้องทำ” พูดกับผู้หญิงของเขาเสร็จก็เดินมาคว้าแขนผม

      ขะ…เขามีธุระกับผมงั้นเหรอ ผมมองหน้าเฮียขุนอย่างงงๆ

      “ให้ยิหวาไปทำธุระด้วยได้มั้ยคะ”

      “ไม่ได้” เฮียขุนพูดเสียงนิ่งและเพียงแค่มองตา ผู้หญิงคนนั้นก็รู้ว่าไม่ควรพูดเซ้าซี้เป็นครั้งที่สอง แล้วเธอก็เดินสะบัดผมที่ยาวสลวยไปด้วยสีหน้าที่บูดบึ้ง

   “มึงมีธุระกับไอ้โชงั้นเหรอ”

      “ใช่ ไอ้ภามมึงกลับไปก่อนได้เลยนะ กูจะไปทำธุระบางอย่างกับไอ้หมอนี่” เฮียขุนมองผมเจ้าเล่ห์แล้วยังทำท่าเกลี่ยปากตัวเองไปมา

      เขาจงใจจะให้พี่ภามรู้ว่ารอยช้ำ…เกิดจากเขา และพี่ภามก็ดูออกในท่าทางของของเฮียขุนว่าสื่อความหมายว่ายังไง ไม่ใช่นะ…ผมไม่ได้ตั้งใจให้เขาทำ เขาแกล้งผม

      ผมรู้สึกใบ้กิน และส่งซิกท่าทางด้วยการส่ายหน้าบ้าง สื่อความหมายตอกย้ำว่ามันไม่ใช่อย่างที่เขาคิด แต่ว่าพี่ภามคงคิดอะไรเลยเถิดไปแล้วว่าผมกับเฮียขุน…

      “ถ้างั้น…มึงไปส่งไอ้โชด้วยนะ”

      “แน่นอน อย่าลืมสิว่ากูกับมันอยู่หอเดียวกัน”

      “อืม…งั้นไว้เจอกันนะมึง” พี่ภามพูดกับผมก่อนจะเดินไป เขาทิ้งรอยยิ้มจางๆ ไว้ให้และสายตาที่ดูเหมือนจะผิดหวัง...ทำไมสีหน้าเศร้า

      ผมมองค้อนตัวปัญหาที่ยิ้มอย่างพอใจ…เขานี่มันนิสัยเสียจริงๆ





   

      “ถึงเวลาต้องตอบแทนที่มึงหลอกขอความช่วยเหลือจากกู”





-----TBC-----



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-04-2019 00:56:06 โดย ิbanoffee »

ออฟไลน์ ิbanoffee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
Re: #Heart To Heart #ใจแพ้รัก 「ตอนที่9」-22/04/19-
«ตอบ #19 เมื่อ22-04-2019 17:10:06 »

ตอนที่ 9


      หลังจากที่เฮียขุนพูดออกมาแบบนั้น ผมก็ปล่อยให้เขาจูงมือมาตามอำเภอใจ นานเท่าไรแล้วที่ไม่ได้สัมผัสมืออันอบอุ่นนี้ ผมจึงไม่ได้ทำเป็นต่อต้านและเต็มใจให้เขาจับ ความรู้สึกเหมือนตอนเด็กหวนคืน แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าผู้ชายตรงหน้าไม่เหมือนเดิมแล้ว

      ผมแอบอมยิ้มให้กับการกระทำของเขา ดูเหมือนคนที่เดินอยู่ข้างหน้าจะยังไม่รู้ตัวว่าจูงมือผมอยู่…คนที่เขาบอกว่าเกลียด และยังไม่รู้ตัวจนกระทั่งถึงลานจอดรถชั้นล่างของห้าง เฮียขุนหันมาเห็นผมที่อมยิ้ม เขาจึงสะบัดมือผมทิ้งทันที

      ผมมองหน้าเขาและหุบยิ้ม…แน่นอนว่าเขาไม่ได้เต็มใจที่จะจับมือผมหรอก เขาอาจจะลืมตัว

      “เฮียจะพาผมไปไหน?”

      “เดี๋ยวก็รู้” เฮียขุนพูดแค่นั้นแล้วเขาก็เข้าไปนั่งที่คนขับ ส่วนผมก็เข้าไปนั่งข้างๆ เขา

      ทำไมผมต้องขึ้นรถตามเขามาโดยง่าย ทั้งๆ ที่ไม่รู้อะไรเลยว่าจะไปทำอะไร ที่ไหน กับผู้ชายที่ไม่น่าไว้ใจอย่างเขา

      …จะแกล้งอะไรผมอีก

      ครั้งแรกที่ได้ย่างก้าวเข้ามานั่งในรถหรูของเฮียขุน ผมอดไม่ได้ที่จะสาดส่องสายตาสำรวจไปรอบๆ รถก็เหมือนเจ้าของที่เรียบง่ายแต่หรูหรา สะอาดและเป็นระเบียบ พร้อมทั้งอบอวลไปด้วยกลิ่นน้ำหอมจางๆ
 
      ผมยิ้มขึ้นมาอีกครั้งพร้อมทั้งสูดดมไอกลิ่นที่น่าหลงใหลนี้ ตื่นเต้นและมีความสุขอย่างบอกไม่ถูกที่ได้มานั่งในรถข้างๆ เขา แม้เจ้าของรถจะทำหน้าบึ้งตึงใส่อยู่ก็ตาม

      “ตอนออกมา ดูมึงอาลัยอาวรณ์กับไอ้ภามจังนะ ทำไม…อยากกลับกับมันมากหรือไง” รถเริ่มเคลื่อนที่และจู่ๆ เฮียขุนก็เปิดบทสนทนาขึ้นมา

      “ก็ผมมากับเขา ผมก็ต้องกลับกับเขา” มากับไอ้นักต่างหาก นึกแล้วก็เคืองที่มันพาไอ้คิ้วท์ชิ่งหนีไปแล้วทิ้งผมไว้กับพี่ภาม เจอหน้าเมื่อไรได้เทศนามันยาวแน่ แต่ก็รู้สึกไม่ดีเลย พี่ภามอุตส่าห์เลี้ยงบิงซู ได้กินของฟรีจากเขาแล้วยังไม่ได้ขอบคุณแถมปล่อยให้เขากลับคนเดียวอีก

      “มึงกับมันไปสนิทกันตอนไหน เห็นแต่ก่อนไม่ชอบขี้หน้ามันจะตาย”

      “ก็นั่นมันแต่ก่อน ตอนนั้นพี่ภามก็แค่แกล้งผมตามประสาเด็ก แต่ตอนนี้เขาเลิกแกล้ง เลิกแซวผมแล้ว โตขึ้นมาในทางที่ดี ไม่เหมือนใครบางคนที่โตมาแล้วเข้าใจยาก ไม่เห็นถึงความจำเป็นของคนอื่น”

      “เหอะ เดี๋ยวนี้ฝีปากกล้า จะบอกให้กูเห็นใจกับความจำเป็นบ้าบอที่มึงต้องโกหกกูอย่างนั้นสิ”

      ผมพูดกระทบเขา…เขาเองก็พูดประชดให้ผมต้องรู้สึกผิดเช่นกัน ไม่รู้ว่าข้อเสียของใครมันจะร้ายแรงกว่ากัน หรือผมคิดง่ายไปที่จะให้เลิกใส่ใจว่าผมโกหกเขาตอนเด็ก มันก็แค่เรื่องบ้าบออย่างที่เขาว่า แต่ผมจำเป็นต้องโกหก ผมไม่คิดว่ามันจะทำให้เขารู้สึกเกลียดผม และไม่คิดว่าจะทำร้ายความรู้สึกเขาขนาดนี้

      แต่ผมก็ได้รับบทลงโทษที่สาสมแล้ว…บทลงโทษที่เขาไม่เหลือเยื่อใย ไม่แม้แต่จะมองหน้า ซึ่งมันก็ทำร้ายความรู้สึกของผมเช่นกัน

      “ถึงยังไงเฮียก็เกลียดผมไปแล้วนี่…ไม่ยอมเข้าใจ ขนาดพี่ภามยังรู้และเข้าใจผมเลย”

      “มึงก็เลยหันไปชอบไอ้ภามแทนงั้นสิ” เฮียขุนพูดประโยคที่ทำให้ผมต้องหันไปมองเขาอย่างสงสัย สีหน้าหงุดหงิดในขณะที่พูดแบบนั้นออกมามันอะไรกัน เขาทำให้ผมรู้สึกว่ากำลังเข้าข้างตัวเอง

      “ทำไม…หึงผมหรือไง” เช้ดดดดดด พูดออกมาได้ ฝีปากกล้าอย่างที่เขาว่า ผมเองซึ่งตอนนี้ก็รับรู้ได้ว่ามีความเปลี่ยนแปลง นอกจากจะกล้ามองหน้าเขาอย่างเต็มตา เริ่มชินกับความเย็นชาในแววตาคู่นั้น ผมยังกล้ามานั่งต่อล้อต่อเถียงกับเขาอีก

      “หึ มึงว่าไงนะ” เขาหัวเราะขบขันหน้าตาย

      “ก็เฮียหึง คงไม่คิดล่ะสิว่าผมจะเลิกสนใจเฮียแล้ว ผมไม่ชอบเฮียแล้วจริงๆ” ไม่จริงงงงงงง “พี่ภามทำตัวน่ารักกับผม ทำไมผมจะไม่ชอบเขาล่ะ”

      “มึงจะชอบมันก็เรื่องของมึง แต่อย่ามาคิดว่ากูหึง มึงโง่…ไม่เข้าใจความหมายของคำว่าเกลียดหรือไง กูเกลียดมึงแล้วกูจะไปหึงมึงเพื่อ…คิดได้นะ อย่าหลงตัวเอง”

      นั่นสิ…ทำไมผมถึงกล้าเข้าข้างตัวเอง พอเขาพูดแบบนั้นก็ทำให้ผมหงุดหงิดขึ้นมาและสงบปากเจียมตัวนั่งหงอย พลางคิดว่าอย่างเขาน่ะเหรอจะหึงผม

      แต่ประโยคที่เขาพูดมันทำให้ผมรู้สึกแบบนั้น ทำไมเขาต้องพูดเหมือนไม่อยากให้อยู่ใกล้หรือชอบพี่ภาม…อีกอย่างเขากำลังคิดหรือกำลังจะทำอะไรอยู่ ทั้งที่แต่ก่อนไม่แม้แต่อยากมองหน้า แต่ช่วงนี้เฮียขุนกลับเอ่ยปากที่จะพูดกับผม

      มันทำให้ผมแอบรู้สึกดีใจว่าเขาอาจจะชอบผม…เพียงแค่นี้ก็ทำให้คนอย่างผมคิดไปไกล

      ถ้าเขายังเย็นชาโดยไม่แม้แต่มองผมแบบก่อนหน้า ผมก็คงจะเลิกชอบไปจริงๆ แต่ทำไมต้องมาพูดคุยกับผม ถึงยังเป็นการสนทนาที่ไม่ได้ลงรอย แต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกดีและชอบเขา…

       …ไม่ว่ายังไงก็ชอบเฮียขุน






      รถที่ถูกขับเคลื่อนออกมาสักพักก็ได้เลี้ยวเข้าไปในสถานที่แห่งหนึ่ง…

      โรงแรม!

      ผมมองคนขับอย่างไม่ไว้ใจ เขาพาผมมาที่โรงแรมหรูนี่ทำไม ธุระหรือเรื่องตอบแทนที่เขาว่านี่มัน…

      “มองแบบนี้หมายความว่าไง มึงกำลังคิดอกุศลอยู่งั้นสิ”

      “แล้วพาผมมาที่นี่ทำไม”

      “กูไม่ได้พามึงมาทำอะไรแบบนั้นก็แล้วกัน…คนอย่างมึงไม่ได้มีอะไรให้พิศวาส”

      “…”
 
      การได้สนทนากับเขาทำให้รู้สึกดี แต่มันก็ทำให้ผมอารมณ์เสียด้วยเหมือนกัน




      หลังจากจอดรถ ผมก็ยังเดินตามเฮียขุนเข้าโรงแรมมาอย่างว่าง่าย เขาพูดกับพนักงานต้อนรับสองสามคำก็ถูกเธอผายมือเชิญให้เดินไปยังห้องอาหารของโรงแรม สถานที่แห่งนี้ดูโอ่อ่าและหรูหรามากเพราะจากที่เห็นชื่อของโรงแรมแล้วก็ทำให้ผมรู้ว่าอยู่ในระดับห้าดาว

      เมื่อถึงโต๊ะอาหาร ผมก็นั่งลงแล้วมองคนตรงหน้าด้วยความไม่เข้าใจ นี่คือสิ่งที่ผมต้องตอบแทนเขาอย่างนั้นเหรอ เขากลายเป็นคนที่มายุ่มย่ามสนใจให้ผมต้องตอบแทนเรื่องที่ขอความช่วยเหลือจากเขา ทั้งที่คนเกลียดกันไม่ต้องแยแสก็ได้

      ผมตะขิดตะขวางใจอะไรบางอย่าง เฮียขุนจะต้องแกล้งอะไรผมแน่

      “มึงเลี้ยงข้าวตอบแทนไอ้ภาม มึงก็ต้องเลี้ยงข้าวตอบแทนกู” เขาบอกแล้วก็เรียกพนักงานมาสั่งอาหาร “เอาลาซานญ่าครับ คาโบนาล่า ริซอตโต้ อกเป็ดย่างราดซอสเบอรี่แล้วก็ผักขมอบชีส เครื่องดื่มขอเป็นไวท์ไวน์หนึ่งขวด และของหวานตบท้ายด้วยทีรามิสุนะครับ”

      เฮียขุนสั่งอาหารไปหลายอย่าง โดยระหว่างนั้นผมก็เปิดเมนูอาหารดูตามเขา ทำให้รู้ว่าอาหารพวกนั้นเป็นอาหารอิตาเลี่ยนที่ราคาแพงสมภัตตาคารโรงแรมหรูระดับห้าดาว หลังจากนั้นผมก็คำนวณราคารวมอยู่สักพัก และผลลัพธ์ออกมาคือค่าอาหารเกินกว่าเงินในกระเป๋าผม

      เฮียขุนหัวเราะสะใจในลำคอ สีหน้าของผมที่กำลังเคร่งเครียดและคิ้วที่ขมวดหากันด้วยความหงุดหงิดมองเขาอย่างโมโห

      “ทำไม… ทีมึงยังเลี้ยงตอบแทนไอ้ภามได้”

      “พี่ภามเขากินแค่ก๋วยเตี๋ยวชามเดียวที่ผมสั่งให้ ไม่ได้สั่งมากมายแบบนี้ ผมไม่ได้รวยเหมือนเฮียหรอกนะ นี่ไม่ได้เป็นเรื่องของการตอบแทน แต่เป็นการแกล้งกันชัดๆ”

      “ถ้าให้คำนวณแล้ว…กูช่วยมึงเยอะกว่าไอ้ภาม และการช่วยเหลือพวกนั้นมึงก็หลอกให้กูทำ ดังนั้นมึงก็ต้องตอบแทนกูมากกว่าไอ้ภาม และแค่นี้มันก็ไม่ได้เพียงพอที่จะชดใช้ความรู้สึกที่เสียไปของกู”

      การช่วยเหลือที่ว่า เขาคงหมายถึงตอนเด็ก เขาเต็มใจช่วยเหลือเด็กผู้หญิงที่ชื่อโช ดังนั้นมันจึงกลายเป็นว่าผมหลอกเขาสินะ

      ถ้าเฮียขุนรู้ว่าผมเป็นผู้ชายตั้งแต่แรก…ตอนนั้นเขาก็คงไม่ช่วยผมจากการรังแกของพี่ภามงั้นสิ


      ถึงผมจะชอบคนตรงหน้าขนาดไหน…

      แต่เขาไม่มีวันชอบผม…

      ไม่ชอบตัวตนของผม


      เราทั้งสองคนนั่งไม่พูดอะไรกัน สักพักอาหารที่สั่งก็ถูกนำมาเสิร์ฟบนโต๊ะครบ เฮียขุนที่ก้มมองหน้าจอมือถือเงยหน้าขึ้นมามองผมที่นั่งจ้องเขาด้วยสีหน้าเครียดอยู่แทน

      “มึงต้องกินอาหารพวกนี้ให้หมด”

      “ว่าไงนะ”

      “กูบอกว่าให้มึงกินอาหารพวกนี้ให้หมด”

      “เฮียสั่งมาก็กินเองสิ อีกอย่างผมก็กินมากับพี่ภามจนอิ่มแปล้แล้ว พี่เขาเลี้ยงด้วย” ผมพูดประชดเขา นี่ยังมโนว่าเฮียขุนจะหึงผมหรือไงกันนะ ทำไมต้องบอกว่าพี่ภามเลี้ยง

      “แล้วถ้ากูบอกว่าเลี้ยงล่ะ มึงจะกินมั้ย”

      “อะไรของเฮีย ไหนบอกว่าให้ผมเลี้ยงตอบแทน”

      “พูดอย่างกับว่ามึงมีปัญญาจ่าย”

      “…” แน่ล่ะสิ แพงขนาดนี้ผมจ่ายไม่ไหวหรอก

      “กินสิ มัวแต่มองหน้ากูอยู่ได้ กูบอกให้กิน…แล้วก็กินให้หมดด้วยนะ”

      ผมยังคงมองหน้าเขาอย่างไม่เข้าใจ ไม่รู้จริงๆ ว่าเขาต้องการที่จะทำอะไรกับผมกันแน่ แต่ในประโยคที่เขาบอกให้ผมกิน มันเหมือนเผยความใจดีที่เขาซ่อนเอาไว้ สายตาของเขาลดความเย็นชาลงเล็กน้อย

      มือของผมค่อยๆ จับช้อนซ้อมอย่างงงๆ และสงสัยในตัวเขาอยู่ แต่คำสั่งเมื่อครู่เหมือนมีเวทมนต์บังคับให้ผมทำตาม

      ผมโอนอ่อนทำตามเพียงเพราะรู้สึกว่าเขาใจดี…
 
      อยากให้เฮียขุนศึกคนเดิมเหมือนตอนเด็กกลับมาจัง


      เฮียขุนเอาแต่นั่งมองผมกินอย่างเดียว ผมถามว่าทำไมไม่กินด้วยกัน เขาบอกว่าไม่หิวแล้ว เหตุผลที่ฟังดูไม่ขึ้นสำหรับคนที่สั่งอาหารมามากมาย เกินความจำเป็นสำหรับสองคนด้วยซ้ำ จะบอกว่าเขาสั่งอาหารทั้งหมดนี่มาให้ผมเพียงคนเดียวงั้นเหรอ และเขาก็บอกว่าจะเลี้ยงผมด้วย ทำเพื่ออะไรกันนะ ผมไม่เข้าใจเขาเลยจริงๆ

       แต่ถึงอย่างนั้นผมก็อดมีความสุขกับเหตุการณ์ที่ไม่สมเหตุสมผลนี่ไม่ได้ และมันราวกับว่าผมได้มาเดทกับเฮียขุน

      เขานั่งมองผมกินจนหมดแล้วเรียกเก็บค่าอาหาร ฟังไม่ผิดหรอกครับ แม้ก่อนหน้านี้ผมจะกินทั้งของหวานของคาวมาแล้ว แต่ผมก็กินอาหารที่เขาสั่งมาให้จนหมด กินตามที่เขาบอกและเพราะเสียดายอาหารแพงถึงแม้ผมจะไม่ได้จ่ายเองก็ตาม

      “เก็บที่คนนี้นะครับ” เฮียขุนพูดแค่นั้นก็ลุกเดินออกจากห้องอาหารไปเลย ทิ้งให้ผมนั่งค้างราวถูกสตาฟไว้กับพนักงานที่ยื่นบิลให้ผม

      นี่เป็นการแกล้งของเขาสินะ…ผมเข้าใจการกระทำของเขาแล้วล่ะ

      ผมยื่นมือรับบิลนั้นมาดูอย่างเกร็งๆ และทำท่าเปิดกระเป๋าเงินทั้งๆ ที่รู้ว่าเงินไม่พอจ่าย ราคาที่เห็นทำให้ผมลองบวกค่าขนมที่เหลืออยู่ของเดือนนี้ซึ่งรวมแล้วก็ยังไม่พอจ่ายอยู่ดี

      “คือ…ผมมีเงินไม่พออ่ะครับ” ผมบอกกับพี่พนักงาน จากสีหน้ายิ้มแย้มพี่เขาหุบยิ้มทันที

      “หมายความว่ายังไงคะ สั่งมาเยอะแยะแล้วก็กินจนหมดมาบอกว่าไม่มีเงินจ่าย จะชักดาบเหรอคะ ถ้าอย่างนี้พี่ไม่คุยด้วยนะ คงต้องคุยกับตำรวจ หน้าตาก็ดีแถมใส่ชุดนักศึกษา น้องไม่น่ามาทำอย่างนี้”

      “อย่าแจ้งตำรวจนะครับ คือ…เอาอย่างนี้นะครับ ผมจะจ่ายเท่าที่ผมมี ส่วนที่เหลือให้ผมชดใช้ยังไงก็ได้ ผมทำได้ทุกอย่างแต่อย่าแจ้งตำรวจเลยนะครับ”

      “ไม่มีอะไรให้น้องทำและพี่คงไม่เสียเวลาพูดกับน้องไปมากกว่านี้…ผู้จัดการคะ เชิญทางนี้ด้วยค่ะ”

      “ผมมีเงินที่เกินครึ่งราคา ขอล่ะครับให้ผมทำอะไรก็ได้เพื่อจ่ายค่าอาหารส่วนที่เหลือ ช่วยผมหน่อยนะครับพี่” ผมพูดพลางยกมือไหว้งกๆ เพื่อให้เขาเห็นใจ

      พี่เขาไม่ฟังคำขอร้องของผมและเรียกผู้จัดการมา ผมก็พูดกับผู้จัดการในแบบเดียวกัน แต่เขาก็ไม่สนและกดมือถือบอกว่าจะโทรหาตำรวจ ผมทำได้แค่ยื้อเอามือถือของเขามาและพยายามขอร้องสุดขีด ถ้าเรื่องถึงตำรวจก็จะบานปลาย ผมไม่อยากให้พ่อกับแม่รู้

      ผู้จัดการต่อว่าผมยกใหญ่และบอกว่ายังไงก็จะโทรหาตำรวจ ผมก็ยังคงเอาแต่ไหว้ขอโทษเขา เหตุกาณ์ที่น่าอายนี้เกิดเป็นจุดสนใจจนคนในห้องอาหารหันมามองผมเป็นตาเดียวกัน บางคนก็อดยกมือถือขึ้นมาถ่ายคลิปวีดีโอไม่ได้ตามกระแสที่มันเกิดขึ้นในปัจจุบัน

      “มีเรื่องอะไรกันครับ” ผู้ชายหน้าตาดีใส่สูทคนหนึ่งเดินเข้ามาถามถึงเหตุการณ์

      “นักศึกษาคนนี้กินแล้วไม่มีเงินจ่ายค่าอาหารครับ”

      ดูเหมือนผู้ชายคนดังกล่าวจะมีตำแหน่งที่สูงกว่าผู้จัดการ เพราะผู้จัดการให้ความเคารพและโค้งตัวให้เขาเล็กน้อย

      “เดี๋ยวผมจัดการเอง คุณไปทำหน้าที่ต่อเถอะ อ่อ ค่าอาหารให้ลงชื่อผมนะ”

      “ครับ”

      “ขอบคุณมากนะครับ ถ้าจะให้ผมทำอะไรก็บอก ผมทำได้ทุกอย่างเพื่อชดใช้ค่าอาหารคืนให้” พอได้ยินว่าผู้ชายคนนี้จะจ่ายให้ ผมก็เอาแต่ยกมือไหว้ขอบคุณเขา

      “อยู่ปีไหนแล้วคณะอะไร” เขาคงเห็นว่าผมใส่ชุดนักศึกษาจึงถามขึ้นมา

      “บริหารปีหนึ่งครับ”

      “รุ่นน้องที่คณะนี่หว่า”

       “พี่….”

      “พี่อยู่บริหารปีสี่ น้องคงยังไม่เคยเห็นหรอก ยังไม่ถึงเวลาที่ปีสี่จะเข้าไปยุ่งกับกิจกรรมรับน้อง”

      “ครับ ผมชื่อโช ฝากเนื้อฝากตัวกับรุ่นพี่ด้วยครับ” ผมแนะนำตัวไปตามมารยาทของรุ่นน้อง

      “พี่ชื่อเมฆ ยินดีที่ได้รู้จักครับ” เขายิ้มให้ผม ดูใจดีจัง ถึงผมจะเป็นรุ่นน้องที่คณะแต่เขาควรโกรธที่ผมจะชักดาบค่าอาหาร “แล้วทำไมถึงทำแบบนี้ล่ะ”

      “ผม…ขอโทษครับพี่ ผมไม่ได้ตั้งใจที่จะทำแบบนี้” ผมยกมือไหว้ขอโทษเขาอีกรอบ

       คงไม่ต้องบอกว่าเป็นความผิดหรือโยนโทษให้ใคร ผมเองที่ผิดและโง่เชื่อใจว่าเฮียขุนจะเลี้ยงผมจริงๆ…

      “ไม่เป็นไร ถือว่าพี่เลี้ยงต้อนรับน้องแล้วกัน”

      “ไม่ได้หรอกครับ แล้วไว้ผมจะจ่ายคืน…”

      “พี่เมฆ สวัสดีพี่” เสียงคำทักทายที่คุ้นเคย เฮียขุนที่ลุกเดินทิ้งผมไปเดินกลับมา “พี่ไม่ต้องเลี้ยงหรอก ผมบอกผู้จัดการให้ลงชื่อผมแล้ว”

      “ขุน…น้องมากับมึงหรอ”

      “ใช่พี่”

      “เอ้า แล้วมึงทิ้งน้องมันเหรอวะ”

      “…” เฮียขุนมองมาที่ผมด้วยแววตาเฉยชาแล้วหันไปพูดกับพี่เมฆต่อโดยที่ไม่ตอบคำถามของเขา “พี่นี่ก็ใจดีเลี้ยงคนอื่นตลอด ใจดีให้ถูกที่ถูกเวลา ใครกินก็ให้คนนั้นมันจ่ายเองสิ”

      คำพูดที่ฟังดูไม่ได้สำนึกผิดนั่นยิ่งตอกย้ำให้ผมโมโห เสียใจ และรู้ตัวเองว่าโง่แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ถึงเฮียขุนเป็นคนสั่งแต่ผมก็เป็นคนกิน มันจึงเกิดเป็นสำนึกขึ้นในใจว่าผมมีเปอร์เซ็นที่ต้องเป็นคนจ่ายอาหารมากกว่าเขา

      “รุ่นน้องกู กูเลี้ยงหมดแหละ”

      “พี่คงรู้จักไอ้หมอนี่แล้ว ถ้าอย่างนั้นผมกับมันขอตัวกลับก่อนนะพี่ แล้วไว้เจอกันที่มอ”

      “เออๆ อย่าทิ้งน้องมันอีกล่ะ ดูแลรุ่นน้องให้ดี”

      เฮียขุนยกมือไหว้ลาพี่เมฆก่อนเดินไป “ยืนบื้ออยู่ทำไมล่ะ จะกลับมั้ยหอ” เขาหันมาพูดกับผมที่ยืนนิ่ง รู้สึกโมโหจนตัวชาที่ถูกเขาทำกับผมแบบนั้น

      “พี่เมฆผมไปก่อนนะครับ ขอบคุณอีกครั้งที่ออกค่าอาหารให้ผม”

      “ไม่ต้องขอบคุณกูแล้ว ไปขอบคุณให้ขุนนู้น มันเป็นคนจ่ายค่าอาหารให้มึง”

      ขอบคุณเขาอย่างนั้นเหรอ…หึ ผมควรจะดีใจมั้ยนะที่อย่างน้อยเขาก็เลี้ยงผมอย่างที่เขาพูด

      ไม่ใช่แค่ใจร้าย ตอนนี้เฮียขุนดูเป็นคนน่ากลัวและโรคจิตที่เล่นกับความรู้สึกผม ดูเหมือนว่าเขาแค้นที่ผมโกหกเขาตอนเด็กทำให้เสียความรู้สึก เขาเลยจะเอาคืนผมบ้าง

      ผมเดินตามเขาออกจากโรงแรมมาห่างๆ เฮียขุนเปิดประตูแล้วเข้าไปนั่งในรถ ส่วนผมเดินไปยังทางออกของโรงแรมเอง ผมคงจะไม่กลับกับเขาและเขาเองก็คงไม่ได้ใจดีให้กลับด้วยหรอก

      ไม่มีเฮียขุนศึกที่ใจดีอีกแล้วไอ้โช…ก็บอกอย่างนี้กับตัวเองมาตลอด ทำไมต้องปล่อยให้ความรู้สึกตัวเองเป็นจุดอ่อนให้เขามาแกล้งได้


      ปิ๊บ!

      “มึงจะไปไหน” เฮียขุนขับรถตามผมมาแล้วบีบแตรใส่

      “กลับหอไง” ผมบอกเขาเสียงเรียบ

      “แล้วทำไมมึงไม่ขึ้นรถ”

      “เฮียทำกับผมแบบนั้น ยังจะให้ขึ้นรถอีกเหรอ”

      “ขึ้นมา!” เขาสั่งผมเสียงเข้ม

      แล้วทำไมผมต้องขึ้นรถมาอย่างง่ายดายอีกแล้ว เหมือนคำพูดของเขาแต่ละคำมีผลต่อจิตใจผมมาก ผมทำตามที่เขาบอกแต่ครั้งนี้ผมแค่อยากถามเขา “ทำไมเฮียต้องทำกับผมขนาดนี้ด้วย ถ้าเพราะเกลียด…เฮียก็ไม่แม้แต่จะมองหน้าหรือพูดกับผมอยู่แล้วนี่ ไม่เห็นต้องทำกับผมแบบนั้นก็ได้” ผมพูดโดยมองออกไปนอกกระจกในขณะที่รถกำลังเคลื่อนที่อยู่ ไม่อยากมองคนหน้าคนใจร้ายอย่างเขา

      “กูพอใจที่จะทำ” ก็ยังเป็นคำพูดที่เขาไม่มีท่าทีจะรู้สึกผิดต่อผม

      เรื่องวันนี้ยังไม่ได้ดูเป็นเรื่องใหญ่อะไรเพราะพี่เมฆเข้ามาช่วย แต่ผมอยากรู้ว่าถ้าไม่มีพี่เมฆ…เฮียขุนจะปล่อยให้ผู้จัดการโทรหาตำรวจมาจับผมมั้ย

      “กูเป็นคนจ่ายค่าอาหารให้ ดังนั้นมึงก็ยิ่งติดหนี้กูไปอีก”

      “ครับ” ผมตอบเสียงเรียบ พูดแบบนี้ เฮียขุนคงคิดหาวิธีแกล้งผมอีกสินะ

      ผมควรรู้สึกยังไงในตอนนี้ มันว่างเปล่า…แต่รับรู้ได้ว่าความรู้สึกที่ชอบคนข้างๆ เหมือนจะลดลงมานิดหน่อย เพราะผมไม่เคยโกรธเขาจริงจังขนาดนี้มาก่อนเลย





      ระหว่างทางมีผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังเปิดดูฝากระโปรงรถข้างทาง เหมือนรถเธอจะเสีย เห็นดังนั้นเฮียขุนจึงจอดรถลงไปดู และพอผมตามลงไปก็รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร

      พี่ไวน์…

      เฮียขุนคงคุ้นรถเธอเลยไม่ลังเลที่จะจอด

       “รถเป็นอะไรอ่ะไวน์”

       “อ้าว เฮียขุน...ไวน์ก็ไม่รู้อ่ะค่ะ ขับมาอยู่ดีๆ ก็ดับไปเลย”

      “เฮียก็ไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้ด้วยสิ คงดูให้ไม่ได้ว่าปัญหาเกิดจากอะไร” เฮียขุนหันมามองที่ผม สายตายิ้มกริ่มมีเลศนัยแบบนั้นทำให้ผมรู้สึกไม่ค่อยดี “ถ้างั้นเอาอย่างนี้…ไวน์ไปกับเฮีย ทิ้งรถไว้นี่แล้วค่อยมาเอาพร้อมให้ช่างมาดู”

      “ถ้าไวน์ไปกับเฮียแล้วน้องเขาล่ะคะ รถเฮียเป็นแบบ…”

      รถสปอร์ตที่มีที่นั่งสำหรับสองคนครับ นั่นหมายความว่าผมกำลังจะโดนทิ้งอีกแล้ว ขอบคุณพี่ไวน์ที่ยังห่วงผม ไม่เหมือนอีกคนที่นอกจากจะไม่ห่วงแล้วแต่นี่ยังเป็นวิธีที่ทำให้เขาได้สนุกไปอีก

      “หมอนี่เป็นผู้ชายมันกลับเองได้ ป้ายรถเมล์ก็อยู่ข้างหน้าไม่ไกลไม่ต้องไปห่วงมันหรอก ขึ้นรถเถอะไวน์”

      “แต่…”

      “ไวน์ขึ้นรถ”

      “พี่ขอโทษนะ” พี่ไวน์หันมาขอโทษผมก่อนจะเดินไปเปิดประตูเข้าไปนั่งในรถ

      “ไม่เป็นไรครับ” ผมบอกเธอ

      นอกจากพี่ไวน์จะเป็นคนสวยและมีดีกรีเป็นดาวมหาวิทยาลัยแล้ว เธอยังเป็นผู้หญิงที่นิสัยดีอีก ผิดกับเดือนมหาวิทยาลัยนิสัยเสียคนนั้น เขามองผมพร้อมกระตุกยิ้มมุมปากสะใจก่อนเข้าไปในรถและขับจากไป ผมถูกทิ้งไว้ข้างทางมืดๆ ที่มองเห็นแสงไฟและป้ายรถเมล์รำไรอยู่ข้างหน้า

      ดูไม่ไกลมากนักแต่ถ้าให้คาดเดาก็คงจะประมาณสี่ห้าร้อยเมตรเห็นจะได้ ไม่เป็นไรผมเดินไปได้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าสถานการณ์ที่ดูเศร้าแบบนี้ทำไมฝนมันชอบตก ผมไม่อยากเป็นพระเอกเอ็มวีตอนนี้

      ว่าแล้วสายฝนก็โปรยปรายตกลงมาเม็ดใหญ่ ผมจึงรีบวิ่งไปให้ถึงป้ายรถเมล์ให้เร็วที่สุด ผมจำใจเป็นพระเอกเอ็มวีกลางสายฝน เพราะเจ็บใจและโมโหเฮียขุน ระหว่างที่วิ่งไปนั้นความอ่อนแอของผมที่อัดอั้นไว้ตั้งแต่อยู่โรงแรมก็กลายเป็นน้ำตาไหลออกมา แถมยังมาโดนเทข้างทางอีก…


      เป็นใครบ้างที่จะไม่ร้องไห้เสียใจ




#โชกุนขุนศึก



-----TBC-----



Banoffee's zone

อย่าให้ถึงคราวของโชกุนบ้าง

ถ้าโชกุนไม่สนใจและเลิกชอบขึ้นมาจริงๆ แล้วเฮียขุนศึกจะเสียใจ!

ช่วงนี้นักเขียนอัพช้าต้องขอโทษด้วยนะคร้าบบบบ



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: #Heart To Heart #ใจแพ้รัก 「ตอนที่9」-22/04/19-
« ตอบ #19 เมื่อ: 22-04-2019 17:10:06 »





ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: #Heart To Heart #ใจแพ้รัก 「ตอนที่9」-22/04/19-
«ตอบ #20 เมื่อ22-04-2019 18:12:38 »

 แบบนี้เราไม่โอเคด้วยอย่างแรง​ ไม่ว่สจะด้วยสาเหตุอะไรก็ตามถ้ายังจะโง่งมงายกับคนแบบนี้อีกจะไม่เอาต่อแล้วนะ

ออฟไลน์ ิbanoffee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
Re: #Heart To Heart #ใจแพ้รัก 「ตอนที่10」-23/04/19-
«ตอบ #21 เมื่อ23-04-2019 18:33:59 »

ตอนที่10


Cute’s part

      “คนคิ้วท์!”

       “อะไรของมึงเนี่ย จะพากูไปไหน!”

      ผมเดินออกมาและเจอไอ้ตัวน่ารำคาญที่มีท่าทีอย่างกับโรคจิตดักอยู่หน้าห้องน้ำ มันพาตัวผมเดินมาอีกทางของพิกัดร้านบิงซู

      “ปล่อยกูนะ ปล่อยกู!” ไอ้นักโอบเอวผมไว้ให้เดินตามแรงของมัน ผมจึงใช้มือทั้งสองข้างของผมตีมันรัวๆ

       “โอ้ยย ตีทำไม เค้าเจ็บนะ”

      “มึงอย่ามาพูดค้งพูดเค้ากับกูนะ” สองมือยังตีไปที่ตัวของมันไม่ยั้ง แต่ก็ถูกกำราบด้วยมือหนาใหญ่ที่มันกุมไว้ทั้งสองข้าง

      “มึงนี่สมกับเป็นเพื่อนไอ้โชนะ รุนแรงกับกูจัง แต่หัวดื้อแบบเนี้ย เค้าชอบบบบ”

      ผมสะบัดมือของตัวเองออกแล้วแกะมือตุ๊กแกของไอ้นักที่จับเอวผม จากนั้นก็ผลักมันอย่างแรงจนล้มหงายหลัง เพื่อนไอ้โชคนนี้ถึงไม่บอกผมก็รู้ว่าต้องอยู่ให้ห่างๆ มันเข้าไว้ มือไม้ไวใช่หยอก ผมด่าว่าไปก็หลายครั้ง ยังจะตีหน้ามึนทะเล้นฉีกยิ้มกว้างให้ประหนึ่งว่าผมกำลังชมเชยมันซะงั้น

       “ไม่มีอะไรครับ แฟนงอนๆ” มันพูดกับคนที่เดินผ่านไปมา พอได้ยินไอ้นักพูดแบบนั้นสาวๆ ที่เดินผ่านก็กรี๊ดกร๊าดกันใหญ่ เหมือนจะเข้าข่ายจิ้นฟินอะไรทำนองนั้น

      ผมหันไปมองมันตาขวาง สภาพไอ้คนหน้าม่อกำลังประคองก้นที่ล้มจ้ำเบ้าของตัวเองขึ้นมาอย่างทุลักทุเล ตอนผมผลักมันลงไปได้ยินเสียงกระแทกดังอยู่พอควร มันคงเจ็บไม่น้อย หึ สมน้ำหน้า ผมไม่ช่วยมันหรอก รีบกลับไปที่ร้านบิงซูดีกว่า ป่านนี้ไอ้โชคงบ่นหาว่าออกมานานแล้ว

       “ช่วยผมด้วยครับ ช่วยกันแฟนผมไว้ที เขากำลังจะหนีผมไป!”

      ไอ้นี่ หน้าด้านพูดมาได้ ยิ่งมันตะโกนมาแบบนั้น ผมก็ยิ่งรีบสาวเท้าให้ไว ใจหนึ่งก็อยากเดินกลับไปปล่อยหมัดใส่ปากมันอีกสักรอบ แต่ก็อายสายตาคนที่ตอนนี้ยืนมองกันยกใหญ่

      เดินมาไม่กี่เมตร ฝีเท้าก็ต้องหยุดชะงักลงเมื่อเจอสาวๆ กลุ่มหนึ่งขวางทางผมไว้ด้วยสีหน้าจริงจัง

      “มีอะไรหรือเปล่าครับ” ผมถามพวกเธอ

      “อย่างอนเลยนะคะ”

      “คืนดีกลับแฟนเถอะนะคะ”

      ห้ะ นี่มันเรื่องบ้าอะไรเนี่ย ผู้หญิงพวกนี้เป็นเอ็กซ์ตร้าที่ไอ้นักจ้างมาหรือยังไงกัน ทำไมพวกเธอต้องอินทำตามที่มันบอกด้วย

      “คือ…ผมกับไอ้หมอนั่นไม่ได้เป็นแฟนกันนะครับ มันขี้ตู่น่ะครับ อย่าไปเชื่อมัน” ผมพูดและขอทางพวกเธอ แต่ก็ยังโดนกันทางไว้ด้วยท่าทีที่พวกเธอขอร้องให้ผมกลับไปคืนดีกับมัน

      “ผมไม่ได้เป็นแฟนมันจริงๆ นะครับ หลีกทางให้ผมเถอะ”

      “พวกเราไม่หลีกค่ะ จนกว่าพวกคุณจะคืนดีกัน”

       “อย่าให้เขาเดินหนีผมไปนะครับ” ไอ้นักที่เดินจับก้นตัวเองด้วยสีหน้าเจ็บปวดตามผมมาทัน และมันก็สวมกอดผมแน่นจากด้านหลังทันที “ขอบคุณนะครับที่ช่วยขวางทางไม่ให้แฟนผมหนีไปได้ แฟนผมเขางอนหนักมากน่ะครับ”

      “ทำอะไรของมึง ปล่อยกูเดี๋ยวนี้นะ!”

      “อุ้ยยย แฟนคุณน่ารักอ่ะ อย่างอนเขานานเลยนะคะ”

      “ผมบอกแล้วว่าไม่ใช่แฟนมัน พวกคุณไม่เชื่อผมหรือไง”

       “ที่ร้ากกก งอนทีไร ชอบบอกว่าไม่ใช่แฟนกันทุกที ไม่เอานะครับไม่พูด” ไอ้มือตุ๊กแกนี่มันกอดรัดผมแน่นสมฉายาที่ผมเพิ่งตั้งให้มันจริงๆ

      “คืนดีกันเร็วๆ นะคะ”

      “เป็นแฟนกันอย่างอนนานนะคะ มันไม่ดี”

      คำอวยพรจากเหล่าสาวๆ ที่มีอารมณ์ร่วมกับฉากตรงหน้าที่ไอ้นักมันเพ้อเจ้อแต่งเรื่องขึ้นมา

      “ปล่อยนะ มึงจะล้ำเส้นกูเกินไปแล้ว”

      “ถ้ากูปล่อย มึงสัญญานะว่าจะไม่หนีกูอ่ะ ถ้ามึงเดินหนีกูไปอีก กูจะตะโกนให้สาวๆ แถวนี้จับตัวมึงไว้แน่ พวกเธอพร้อมช่วยกูอยู่แล้ว สมัยนี้สาวๆ เขาอินฟินจิ้นกับคู่วายอย่างเราๆ กัน”

      “ใครไปเป็นคู่จิ้นคู่ฟินของมึง ห้ะ!”

      ครืด~ ครืด~

      ระหว่างที่ผมกับไอ้นักต่อล้อต่อเถียงกันในท่าที่มันยังกอดผมแน่น มือถือในกระเป๋ากางเกงของผมก็สั่นขึ้น ต้องเป็นไอ้โชโทรตามแน่ๆ

      ไอ้นักมันรู้ว่ามือถือของผมสั่น มันจึงเปลี่ยนเป็นรวบรัดผมด้วยแขนกำยำเพียงข้างเดียวแล้วมันก็จัดการล้วงมือถือในกระเป๋ากางเกงของผมออกมาดู และตามคาดเป็นไอ้โชที่โทรมา

      เห็นดังนั้นไอ้นักกดสายทิ้งทันที จากนั้นมันก็ปิดเครื่องแล้วยึดมือถือผมไป และไม่ทันไรมือถือของไอ้ตัวน่ารำคาญก็ดังขึ้นบ้าง มันล้วงของมันออกมาดูและเช่นเดิมเป็นไอ้โชโทรมา แต่ก็ถูกตัดสายทิ้งแล้วปิดเครื่องไปอีกเช่นกัน

      “มึงมีสิทธิ์อะไรมาทำแบบนี้ อย่าให้กูหลุดไปได้นะ กูเอามึงตายแน่!”

       “ชู่…อย่าเสียงดังสิ อายคนเขา”

      “มึงปล่อยกูสิ”

      “สัญญาก่อนสิว่ามึงจะไม่หนี”

      “เออ กูสัญญา”

      “ฮั่นแน่~~”

      พอไอ้นักค่อยๆ คลายมือออกจากตัวผม…ผมก็รีบดีดตัวเองออกจากอ้อมกอดมันทันที แต่มันรู้ทันว่าผมจะวิ่งหนีเลยถูกมือหนาของมันดึงไว้ จังหวะนั้นผมจึงใช้เท้ากระทืบเน้นๆ ไปที่รองเท้าหนังของไอ้บ้านี่ มันกลับอึดกุมข้อมือผมแน่นกว่าเดิมทั้งๆ ที่มันก็ร้องโอดครวญไว้อาลัยกับเท้าของตัวเอง

      “มึงจะซาดิสม์ไปถึงไหนเนี่ยยย”

      “ก็จนกว่ามึง…”

      “ไอ้นัก”

      “อ้าว เฮียขุน”

      ผมหันไปมองผู้ชายที่เดินเข้ามาทักไอ้มือตุ๊กแกนี่ เขาเองก็ชายตามองผมเพียงแว๊บเดียว นี่น่ะเหรอเฮียขุน…พี่ชายใจร้ายของไอ้นักที่ไอ้โชเล่าให้ฟัง ดูเย็นชาอย่างที่มันว่าจริงๆ สายตาที่เขาใช้มองคนไม่รู้จักอย่างผมเมื่อครู่ยังรับรู้ได้ว่าเยือกเย็น แถมยังมีสาวสวยคอยเดินประดับข้างกายอย่างที่เคยฟังมา

      “มึงมาทำอะไร”

      “อ๋อ ผมมากินข้าวกับแฟนอ่ะ” ต่อหน้าพี่ชายมันยังหน้าด้านพูด ผมจึงหันไปด่ามันด้วยสายตา แต่ดูเฮียขุนก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาตกใจอะไร ดูราวกับเป็นเรื่องปกติที่น้องชายของตัวเองจะมีแฟนเป็นผู้ชาย “เอ้อ เฮียขุน…เมื่อกี้เจอคู่ไอ้โชกับพี่ภามด้วยแหนะ”

      “พวกมันมาด้วยกันสองคนอย่างนั้นเหรอ”

      “ใช่เฮีย สงสัยมาเดทเหมือนกัน” พอไอ้นักพูดจบ เฮียขุนก็เดินไปเลยไม่มีปี่มีขลุ่ย

      ผมหันไปมองไอ้นักอีกรอบแต่ครั้งนี้ด้วยความสงสัย ทำไมมันต้องบอกพี่ชายมันไปแบบนั้นทั้งๆ ที่พวกเราทั้งสี่คนมาด้วยกัน พอมันเห็นว่าผมมองก็ทำท่ายักไหล่ไม่รู้ไม่ชี้

      “เฮียนักรบ”

      พี่ชายมันเดินพ้นไปไม่ถึงนาทีก็มีคนเดินเข้ามาทักมันอีกแล้วเป็นผู้หญิง ถ้าให้เดาเธอคงเป็นหนึ่งในฮาเร็มของมัน ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเนื้อหอมไม่น้อย ทั้งรุ่นพี่และเด็กกว่าต่างก็หลงคารมมันทั้งนั้น และสาวน้อยหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มนี่ก็คงเป็นอีกคนแต่เธอดูเด็กไปมั้ย

      “อ้าว น้องเกรซมาทำอะไรที่นี่จ้ะ”

      “ก็เฮียนั่นแหละบอกว่าไม่ว่าง หนูก็เลยออกมาเดินเที่ยวคนเดียว”

      “คือเฮีย…”

      “แล้วนี่เฮียมาทำธุระกับเพื่อนเหรอคะ”

       “นี่พี่คิ้วท์ ที่จริงแล้ว…เขาเป็นแฟนของเฮีย”

      “มึงเลิกพูดแบบนี้เลยนะ!” ผมพูดแล้วตีไปที่บ่ามันหนึ่งป้าบ

      “แฟนเฮียอย่างนั้นเหรอคะ”

      “ใช่ ที่เฮียบอกว่าไม่ว่างก็เพราะว่าเฮียจะมาดูหนังกับแฟน”

      “พี่เป็นแฟนเฮียนักรบจริงๆ เหรอคะ” เธอหันมาถามผมสีหน้าเศร้า น่าเอ็นดูจริงๆ ที่เธอต้องมาเสียใจกับไอ้หน้าม่อนักปั้นเรื่องนี่

       “คือพี่ไม่…” ก่อนที่ผมจะบอกเธอว่าไม่ได้เป็น ไอ้นักมันก็เอามืออีกข้างที่ไม่ได้จับมือผมมาปิดปากผมไว้

      “พวกเราเป็นแฟนกันจริงๆ ถ้าเกรซไม่เชื่อ เฮียจะพิสูจน์ให้ดู…มั้วะ!” ว่าแล้วมันก็เอาจมูกและปากของมันมาหอมแก้มผมฟอดใหญ่

      “ไอ้นัก มึงจะเกินไปแล้วนะ!” ผมปัดมือมันที่ปิดปากผมออกแล้วต่อว่า

      “เกรซไม่เชื่อหรอกค่ะ ว่าพวกพี่เป็นแฟน”

      “ไม่เชื่อใช่มั้ย…มั้วะ!”

      “ไอ้เชี่ยนัก!” ผมด่าที่มันมาจับหน้าผมไปหอมแก้มอีกข้าง

      “ยังไงเกรซก็ไม่เชื่อ” น้องผู้หญิงคนนี้ก็ไม่ยอมเชื่อ ในขณะที่เธอได้แต่ยืนมองไอ้นักมันหอมแก้มผม หน้าตาเธอก็เริ่มที่จะมีทีท่าร้องไห้ไปด้วย

      “ยังไม่เชื่อเฮียอีกอย่างนั้นเหรอ…ได้”

       “เชื่อเถอะครับว่าพวกพี่เป็นแฟนกัน!” ผมรีบเอามือเบรกหน้าไอ้นักไว้ก่อนที่มันจะพุ่งเข้ามา โดยครั้งนี้มีเป้าหมายเหมือนจะเป็นริมฝีปากผม จากนั้นผมก็เป็นคนพูดกับเธอเองว่าเราเป็นแฟนกันเพราะเดี๋ยวไอ้นักมันจะทำมากกว่านี้ ผมอายน้องเขาและสายตาผู้คนที่เดินผ่านไปมาจนอยากจะมุดหัวดำดินลงไปซะเดี๋ยวนี้

      “ถ้าพี่พูด…หนูจะยอมเชื่อก็ได้ค่ะ” เธอพูดและกลั้นร้องไห้ไปด้วยแล้วก็ยอมเดินจากไป

      “อุ้ย ยอมรับแล้วเหรอว่าเราเป็นแฟนกัน” ไอ้นักถือโอกาสถามกระเซ้าเย้าแหย่ผม

      “มึงอย่ามาทำเป็นได้ใจ ที่กูพูดไปเพราะให้มึงหยุดมาลวนลามกูซะที”

      “หยุดไม่ได้หรอก ก็บอกน้องเขาไปแล้วว่าจะไปดูหนังด้วยกัน”

      “มึงหมายความว่าไง เมื่อกี้น้องเขาก็ยอมเชื่อแล้วก็เดินหนีไปแล้ว”

      “หึ มึงยังไม่รู้จักน้องเกรซ” มันบอกผมอย่างนั้นแล้วก็ลากตัวผมไป

      “ปล่อยนะ กูไม่ไปกับมึงงงง”

      “เดินตามกูมาซะดีๆ ไม่อย่างนั้นกูปล้ำมึงกลางห้างแน่ น้องเกรซแอบเดินตามดูเราอยู่นะ”

      ผมหยุดดื้อกับมันแล้วแอบหันไปมองข้างหลังเป็นระยะก็พบว่าน้องเกรซแอบตามมาจริงๆ ผมเชื่อว่าไอ้หน้าด้านคนนี้มันจะต้องทำอย่างที่มันพูดแน่ถ้ายังขัดขืน ผมจึงปล่อยให้มันเดินจูงมือมาถึงโรงหนัง

      ไอ้นักจัดการซื้อตัวหนังสองใบแล้วรีบพาผมเดินเข้าโรงหนังเลยเพราะใกล้ถึงเวลาฉายพอดี ผมเห็นน้องเกรซก็ซื้อตัวหนัง และเดินตามพวกเราเข้ามาเช่นกัน

      “กูบอกแล้วว่าน้องเกรซไม่เชื่อเราง่ายๆ หรอก ยังไงเธอก็ต้องตามมาพิสูจน์ด้วยตัวเอง”

      “มึงรู้ตั้งแต่แรกแล้วมึงจะโชว์หอมแก้มกูให้น้องเขาดูทำไมห้ะ…ไอ้นี่” ผมง้างมือจะตีแต่ก็ไม่ทันความไวของมือมันที่มาคว้ามือผมลงไปก่อน

      “ก็ทำให้น้องเขาเชื่อมากขึ้นไง”

      ผมขี้เกียจฟังมันแถจึงรีบเดินเข้ามานั่งในโรงหนัง ไอ้นักมันก็เดินตามผมมาติดๆ พร้อมกันนั้นน้องเกรซที่ไม่คิดว่าเรารู้ตัวแล้วว่าเธอแอบตามมาก็เข้ามานั่งเช่นกัน โดยเธอเลือกที่นั่งถัดไปข้างหลังจากเรา นี่กะมานั่งระยะประชิดจับความผิดเราขนาดนี้ ถึงแม้จะเอาหมวกขึ้นมาใส่ปิดหน้าไว้ แต่เธอไม่คิดว่าเราจะเห็นแล้วหรือไงกันนะ

      “นั่งเฉยๆ ก็พอ ไม่ต้องมาจับมือ” ผมเอ็ดไอ้นักเบาๆ กลัวว่าน้องเกรซจะได้ยิน

      “ไม่ได้ ต้องแสดงให้สมจริงว่าเราเป็นแฟนกัน มึงก็เห็นว่าน้องเกรซเพ่งมองเราขนาดนั้น”

      เหตุผลที่มันพูดมาทำให้ผมต้องยอมทำตามมันโดยดี เพราะน้องเขาจับตามองเราอย่างจริงจังชนิดตาแทบไม่กระพริบ พูดได้ว่าถ้าเธอเข้ามาสิงเราได้ก็คงสิงไปแล้ว

      ในขณะที่หนังดำเนินเรื่องไป ระหว่างนั้นไม่ใช่แค่จับมือแต่ไอ้นักมันทั้งป้อนน้ำ ป้อนป๊อบคอร์น ซึ่งผมก็ยอมกินอย่างจำใจ มันยังจับหัวผมซบไหล่ แม้จะขืนแต่ก็สู้แรงมันไม่ได้และมันก็กดหัวผมไว้อย่างนั้น เดาออกได้เลยว่าสีหน้าของผมไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก คิ้วคงผูกโบว์กันเป็นปมใหญ่แต่ก็ทำอะไรหรือระบายโดยการตะโกนด่ามันออกมาไม่ได้

      “ที่รัก หนังจบแล้ว…ตื่นได้แล้วครับ”

      ผมลืมตาขึ้นมาด้วยอาการสะลืมละลือ ได้ยินเสียงพูดไอ้นักเลือนลาง ฟังไม่ถนัด ไม่รู้ตัวว่าหลับไปตอนไหน รู้แค่ว่าแม้เสียงของหนังจะดังกระหึ่มจนแทบนอนไม่ได้ แต่สำหรับผมแล้วบรรยากาศในโรงหนังชวนเผลอไผให้ต้องผล็อยหลับทุกครั้งไป

      ผมเงยหัวขึ้นมาจากไหล่ของคนข้างๆ และมองดูรอบๆ ก็เห็นคนทยอยพากันลุกออกจากโรงหนัง แต่ไม่เห็นน้องเกรซที่นั่งเป็นปาปารัซซี่จับตาดูเราจากด้านหลังแล้ว

      “น้องเขาไปไหน” ผมถามไอ้คนที่มันเอาแต่นั่งมองผมแล้วยิ้ม

       “น้องเห็นเราสวีทกันสมใจก็เลยลุกออกจากโรงหนังไปตั้งนานแล้ว”

       “แล้วทำไมมึงไม่ปลุกกู” ผมขมวดคิ้ว

      “ตอนมึงนอนน่ารักมากกก แล้วก็เห็นนอนหลับสบายเลยไม่กล้าปลุก ไหล่กูคงแทนหมอนนุ่มๆ ได้สินะ”

       “หุบปากไปเลย!” ผมลุกขึ้นแล้วไม่ลืมที่จะเตะไปที่ขาของมันคลายความหงุดหงิด

      ผมรีบเดินหนีออกมาจากโรงหนังและหลงดีใจว่าได้พ้นมาจากไอ้บ้านั่นซะที แต่ลืมไปว่ามือถือของผมอยู่ที่มัน จึงจำเป็นต้องยืนรอหน้ามุ่ยอยู่หน้าโรงหนัง


      “รอเค้าหยอ”

      “ไม่ต้องมาทำเสียงแบ้วใส่ เอามือถือกูคืนมา”

      แทนที่จะรีบล้วงเอามือถือให้ผม แต่คนเจ้าเล่ห์มันยังจะเล่นแง่ยื่นหน้าแล้วเอียงแก้มเข้ามาใกล้ “หอมแก้มเค้าก่อน”

      “ไอ้…ฝันไปเหอะ”

      “งั้นก็ไม่คืน อยากได้ก็ตามมาเอาเอง”

      กลายเป็นว่าไอ้นักวิ่งหนีโดยเอามือถือของผมมาล่อและผมก็ต้องวิ่งตามมันไปเพื่อเอาคืน ผมจะไม่ยอมไว้ไปเอาวันอื่นเพราะจะได้ไม่ต้องมีโอกาสเจอคนเจ้าเล่ห์อย่างมันอีก

      ผมวิ่งตามมาจนถึงลานจอดรถและคนเจ้าเล่ห์มันก็เปิดประตูรถผายมือเชิญผมขึ้นไป “กูไม่ไปไหนกับมึงทั้งนั้น เอามือถือกูคืนมา”

      “ไม่ได้พาไปไหน ก็จะพากลับหอไงครับ”

       “กูไม่เชื่อ”

      “เชื่อเถอะนะ ขึ้นรถแล้วเดี๋ยวคืนให้”

      “ถ้ามึงไม่คืนให้…กูจะฆ่ามึงหมกลานจอดรถเนี่ยแหละ คอยดู”

      “โหดจัง ขึ้นรถก่อนแล้วจะคืนให้จริงๆ” มันคะยั้นคะยอ แม้จะไม่ไว้ใจแต่ผมก็อยากได้มือถือคืนจึงได้เอนไปตามแรงที่มันผลักเข้ามาในรถ

      ไอ้นักมันมีเล่ห์เหลี่ยมไม่หยุดหย่อนทำเป็นจะคาดเบลท์ให้ผม หาโอกาสได้ทุกครั้งไป ใบหน้าของมันในขณะที่ยื้อเอาเบลท์อยู่ในระยะที่ใกล้มาก มันมองหน้าผมแล้วยิ้มพร้อมทั้งพ่นลมหายใจอุ่นปะทะ “ทำไมมึงน่ารักขนาดนี้นะ” มันชมเสียงกระเส่าจนผมทำตัวไม่ถูกจึงรีบเอามือผลักหน้ามันออกไป

      “มึงเลิกยิ้มแล้วก็คืนมือถือกูมาซะที”

      “ครับผม จะคืนให้เดี๋ยวนี้แหละครับ แต่ว่า…”

      ผมขมวดคิ้วหันไปมองคนข้างๆ ไอ้คำว่าแต่ว่าของมันเนี่ย...จะมาไม้ไหนอีก

      “กูขอเบอร์มึงนะ”

      “กูไม่ให้” ผมรีบสวนกลับทันที

      “ไม่ให้เบอร์ก็ไม่คืน”

      “…” ผมมองอย่างหาเรื่องและตักเตือนมันด้วยการขบกรามแน่น

      “อะๆ คืนก็ได้”

      ไอ้นักมันบอกจะคืนมือถือให้ผม แต่ก่อนคืนมันถือวิสาสะกดเปิดเครื่องและกดเบอร์โทรเข้าเครื่องตัวเอง กลายเป็นว่ามันได้เบอร์ของผมไปแล้วเรียบร้อย

      “ไอ้หน้าด้าน!” ผมด่ามัน แต่ไอ้บ้านี่ไม่ได้ทำหน้าสะทกสะท้านอะไร วางท่ายกไหล่ยิ้มอย่างพอใจพลางเมมชื่อจากเบอร์ที่มันได้จากผมไปด้วยความไม่เต็มใจ

      ผมไม่รู้จะทำยังไงกับคนน่าหมั่นไส้อย่างมันแล้ว…แค่แย่งเอามือถือของตัวเองคืนมาแล้วรีบโทรหาไอ้โชทันที

      “ฮัลโหลโช”

      (ไอ้คิ้วท์…ไอ้นักพามึงไปไหน กูตามหาทั่วห้างก็ไม่เจอ)

      “กูอยู่ในโรงหนัง”

      (มึงไปดูหนังกับไอ้นักเหรอวะ ทำไมมึงไปกับมันล่ะ กูบอกว่าให้อยู่ห่างๆ มันเข้าไว้)

      “ก็เพื่อนตัวปัญหาของมึงสร้างเรื่องไว้แล้วดึงกูเข้าไปเอี่ยวด้วย พอมันกลับหอไปมึงก็สั่งสอนมันด้วยนะ” ผมหันไปมองค้อนคนที่ถูกเอ่ยถึง มันยังทำหน้าระรื่นพลางผิวปากอารมณ์ดี

      (อืม กูจะเทศนาให้มันฟังสามวันสามคืนเลย)

      “มันปิดเครื่องแล้วก็ยึดมือถือกูไปด้วย กูเลยรับสายมึงไม่ได้…แล้วนี่มึงกลับถึงหอแล้วใช่ป่ะ”

      (กู…ยัง)

      “อ้าว แล้วมึงยังทำอะไร อยู่ที่ไหนวะ”

      (กูอยู่บนรถเมล์…กำลังจะกลับหอเนี่ยแหละ) เสียงไอ้โชฟังดูสั่นเครือ แล้วทำไมมันไม่ได้กลับกับพี่ภาม

      “ทำไมมึงอยู่บนรถเมล์แล้วพี่ภามล่ะ”

      “ฮึก พี่ภามกลับไปก่อนแล้ว…กูออกมากับเฮียขุนแล้วเขาก็ทิ้งกูไว้ข้างทางเพราะเจอพี่ไวน์รถเสียอยู่ เฮียขุนก็เลยไปส่งพี่เขา รถของเขามันไม่มีที่นั่งเหลือสำหรับกู กูเลยต้องนั่งรถเมล์กลับเองและระหว่างเดินมาที่ป้ายฝนมันก็ดันมาตก ตอนนี้กูอยู่บนรถเมล์แล้ว…แอร์แม่งโคตรจะหนาวเลย” ผมฟังออกว่าน้ำเสียงระหว่างที่อธิบายมันคงร้องไห้ไปด้วย โดนคนที่ชอบทิ้งไว้แล้วไปกับผู้หญิง…เป็นใครก็คงเสียใจ

      “มึง…อย่าร้องเลยนะ”

      “กูไม่ได้ร้อง ก็บอกว่าแอร์มันหนาวแล้วกูก็เพิ่งตากฝนมา เสียงมันเลยฟังดูสั่นๆ”

      “เออๆ กูเชื่อ ถ้างั้นถึงหอแล้วอย่าลืมทักกูมาแล้วกันนะ”

      “อืม…”

      ผมวางสายแล้วถอนหายใจ จากที่โชมันเคยเล่าเกี่ยวกับเฮียขุนให้ฟังและน้ำเสียงเมื่อครู่ มันร้องไห้อยู่แน่ๆ ฟังดูแล้วโคตรน่าสงสารเลย…เขาจะใจร้ายกับมันไปถึงไหน

      “มองเค้าแบบนั้นทำไม”

       ผมหันไปมองไอ้นักด้วยความโมโหพี่ชายมันแทนไอ้โช “พี่มึงทิ้งเพื่อนกูให้มันเดินตากฝนไปขึ้นรถเมล์ที่ป้ายเอง”

      “ว่าไงนะ นี่มันเลือกที่จะไปกับเฮียขุนเหรอ”

      “มึงนั่นแหละบอกว่าไอ้โชอยู่กับพี่ภาม พี่มึงก็เลยพามันไปไหนไม่รู้…จากนั้นก็ทิ้งมันไว้ข้างทางแล้วไปกับผู้หญิง”

      “ที่กูบอกเฮียขุนว่าไอ้โชอยู่กับพี่ภามเพราะแค่อยากสร้างตัวเลือกให้มัน…คนใจร้ายที่มันชอบหรือคนที่ดูเหมือนจะสนใจมันอย่างพี่ภาม ไอ้โชมันจะทำยังไงระหว่างสองคนนั้น มันจะจัดการกับตัวเองยังไง”

      “มันก็เลือกไปกับคนที่มันชอบ แล้วเป็นไงล่ะ ดูที่พี่มึงทำกับเพื่อนกูดิ”

      “ขอโทษ…อย่าอารมณ์เสียใส่เค้าสิ”

      “มึงก็เหมือนกัน ไอ้โชบอกว่ามึงก็เจ้าชู้นิสัยเสียได้พี่มึงมา”

      “กูกับเฮียขุนเป็นคนละคนกันนะ กูไม่ได้ใจร้ายแบบเขา”

     “ไม่ได้ใจร้ายแต่คารมของมึงก็ทำร้ายผู้หญิงได้ อย่างน้องเกรซ…มึงจีบน้องเขา คงให้ความหวังน้องเขาแล้วมึงก็ไม่ได้เต็มใจหรืออยากจะคบใช่มั้ย วันนี้มึงถึงต้องทำให้น้องเขาต้องเสียใจแบบนี้”

      “ก็น้องเขามาชอบกูเองและวันนี้ที่กูทำเพราะอยากให้น้องเขาตัดใจจากกู”

       “มึงอย่ามาพูดเห็นแก่ตัว มึงก็แค่บอกตัดจบกับน้องเขาไปตั้งแต่แรก ไม่เห็นต้องมาทำอะไรเสียเวลาแบบนี้แล้วยังถือโอกาสเอากูไปร่วมด้วย ที่มึงพูดมามันก็แค่คำแก้ตัวและแถไปเรื่อยของคนเจ้าชู้หน้าม่อ…คนอย่างมึงไม่มีทางรักหรือจริงใจกับใครจริงๆ หรอก”

      เอี๊ยด!

       ระหว่างที่ผมต่อว่ามันอยู่…ไอ้นักเบรกกะทันหันจนหัวผมแทบทิ่ม ในขณะเดียวกันรถก็ได้มาจอดอยู่หน้าหอของผมพอดี

       “คิ้วท์…คนเจ้าชู้อย่างกู ถ้าได้รักใครแล้วรักจริง กูพร้อมละทิ้งกิเลสเกี่ยวกับผู้หญิงที่มีอยู่ในตัวกูเพื่อที่จะรักคนๆ เดียวที่กูได้เลือกแล้ว” สีหน้าทะเล้นเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม น้ำเสียงหยอกล้อกลายเป็นจริงจัง คำพูดของคนข้างๆ ทำให้ผมต้องหันมองมันอย่างพิจารณา “ถ้ากูเลือกที่จะชอบมึง เลือกให้มึงเป็นแฟน จะให้กูลบเบอร์ ลบไลน์ของผู้หญิงทั้งหมดที่มีอยู่ในเครื่องตอนนี้เลยก็ได้”

      “แล้ว…ทำไมต้องยกกูเป็นตัวอย่าง มึงชอบใครแล้วจะลบเบอร์ผู้หญิงทิ้งสักกี่เบอร์ก็เรื่องของมึงสิ” ผมบอกมันแล้วเปิดประตูลงจากรถ จากนั้นก็รีบเดินเข้าหอ

      “กูไม่ได้ยกตัวอย่าง…กูชอบมึงนะคิ้วท์!” มันตะโกนออกมาจากรถ

      “หุบปากนะ!” ผมตะโกนกลับ

      คำพูดพล่อยๆ ของคนเล่ห์เหลี่ยมอย่างมัน ต่อให้ทำเป็นจริงจังแค่ไหนก็เชื่อได้ยาก อีกอย่างเพิ่งรู้จักกันเพียงผิวเผินแล้วไอ้นักมันจะมาชอบผู้ชายอย่างผมถึงขนาดยอมลบเบอร์สาวๆ สวยๆ ในฮาเร็มมันได้ยังไง


       สำหรับผู้ชาย…ใครทำแบบนั้นก็โง่เต็มทีแล้ว


       ผมไม่เชื่อคนอย่างมันหรอก!



      #นักรบคิ้วท์



-----TBC-----


Banoffee's zone

คู่นี้มุ้งมิ้ง

คิ้วท์น่าร้ากกก ถึงจะเกรี้ยวกราดไปหน่อย

ยังไงก็ติดตามต่อไปด้วยนะคร้าบบบ

ปล1.เฮียขุนไม่ได้ใจร้ายอย่างที่คิดเท่าไรน้าาา
     
ปล2.รอดูปฏิกิริยาของโชที่จะกำราบเฮียขุนกัน

   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-04-2019 20:09:50 โดย ิbanoffee »

ออฟไลน์ New_atcha

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: #Heart To Heart #ใจแพ้รัก 「ตอนที่10」-23/04/19-
«ตอบ #22 เมื่อ24-04-2019 18:00:44 »

โชตั้งสติหน่อย เริ่มตัดสินใจซะหรือไม่นั้นก็เอาคืนขุนให้สำนึก แล้วค่อยเดินหน้ารักต่อไป  :katai1: ตามๆกำลังสนุกเลย

ออฟไลน์ ิbanoffee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
Re: #Heart To Heart #ใจแพ้รัก 「ตอนที่11」-30/04/19-
«ตอบ #23 เมื่อ30-04-2019 17:10:21 »

ตอนที่ 11


      “โช…”

      ในโสตประสาทได้ยินเสียงเรียกหา น้ำเสียงช่างคุ้นเคยนักแต่ผมไม่แน่ใจว่าเป็นใคร

      ผมตกอยู่ในวังวนแห่งความเงียบและมืดสนิท…ผมกำลังขวนขวานหาเสียงที่เพรียกหา แต่ราวกับมีหินก้อนใหญ่และหนักเหลือเกินมาทับตัวผมไว้ให้ไม่สามารถตามเสียงนั้นไป และไม่แม้แต่เห็นแสงสว่างเพียงรำไรให้ผมได้คลำทางออกไปได้

      ไม่เห็นอะไรเลย



      “โช!”

      “หือ~” เสียงที่อ่อนแรงของผมขานรับ

      ปวดหัว…ปวดมากราวกับสมองมันจะระเบิดออกมา ผมรู้สึกว่าเหงื่อของตัวเองออกจนตัวเปียกโชกราวกับเอาความร้อนมาสุม ทว่าในทางกลับกันก็หนาวจนปวดร้าวไปถึงกระดูก ทำไมมันทรมานขนาดนี้

      เปลือกตาที่หนักราวกับเอาหินมาทับไว้ทำให้ยากจะลืมขึ้น ตอนนี้ผมจึงมองเห็นแสงสว่างเลือนรางและภาพตรงหน้าที่เบลอจนดูไม่ออก

      ผมแค่อยากรู้ว่าใครกำลังเรียกชื่อผม

      “โช ตัวมึงร้อนอย่างกับไฟ”

      “ใคร?” ผมถามคนตรงหน้า

      “กูไง…นักรบเพื่อนรักของมึง นี่มึงไข้ขึ้นจนขนาดจำกูไม่ได้เลยเหรอวะ”

      “หือ…ไอ้นักเองเหรอ”

      “ดูท่าแล้วมึงคงไปเรียนไม่ไหวหรอกสภาพนี้ ควรไปหาหมอต่างหาก ไป กูจะพาไปให้หมอฉีดยาให้สักเข็ม” มันพูดพร้อมพยุงผมขึ้นจากเตียง

      “กูไม่ไป” ผมสะบัดแล้วทึ้งตัวลงนอนอย่างเดิม “มึงนั่นแหละรีบไปเรียนเดี๋ยวสาย กูกินยาแล้วนอนพักก็หายแล้ว”

      “อย่าดื้อน่า ตัวมึงร้อนเกินไป ท่าทางไข้จะสูงมาก” มันพยายามพยุงผมขึ้นอีกรอบ

      “กูบอกว่าไม่ไป” ผมยังคงทำตัวเหนียวติดเตียงไม่ยอมลุกขึ้นง่ายๆ “ขอล่ะ มึงรีบไปเรียนเถอะนะ กูแค่อยากจะนอน พอตื่นมากูก็จะดีขึ้นเอง”

      “ก็ได้ ถ้ามึงได้ดื้อ…นอกจากพ่อมึงก็คงไม่มีใครขัดใจมึงได้ ถ้างั้นกินอะไรมั้ย เดี๋ยวกูลงไปซื้อมาให้ จะได้กินยาแล้วนอน”

      “ไม่ล่ะ กูจะกินยาแล้วนอนเลย”

      ไอ้นักยอมปล่อยให้ผมได้หลับต่อ มันเอายาและน้ำมาวางทิ้งให้ไว้ข้างเตียง พร้อมกันนั้นมันก็ต้มโจ๊กถ้วยสำเร็จรูปมาให้ด้วย ถึงแม้จะเหลวไหลแต่ผมก็ซึ้งในความเป็นเพื่อนรักของมันจริงๆ เลยครับ




      “อย่ามายุ่งกับเพื่อนผมอีก!”

      หลับตาลงได้ไม่ถึงนาทีหลังจากได้ยินเสียงไอ้นักปิดประตูตอนออกไป คิ้วของผมก็ต้องขมวดเข้าหากันด้วยความรำคาญเมื่อได้ยินคนคุยกันเสียงดังอยู่หน้าห้อง

      และเมื่อเงี่ยหูฟังดีๆ รูประโยคที่ได้ยินเหมือนจะเข้าข่ายว่าหมายถึงตัวผม…ผมจึงฝืนยกเปลือกตาและแบกร่างของตัวเองที่มันรู้สึกว่าหนักเป็นสองเท่าเดินไปที่ประตูเพื่อเปิดออกไปดู

      “เฮียแม่งทำเกินไปจริงๆ วะ”

      ผมเห็นสามพี่น้องจรัสวาณิชย์ยืนขวางทางเดินกันพร้อมหน้า และผมก็เปิดไปเห็นฉากที่ไอ้นักพ่นน้ำลายด่าเฮียขุนปาวๆ อยู่พอดี

      “ทำไมมึงยังไม่ไปเรียนอีกวะ” ผมพูดกับมัน

      แค่พูดกับไอ้นัก…ผมไม่อยากให้มันมาวุ่นวายอะไรกับเรื่องนี้มากนัก อยากลืม ผมจะถือซะว่าเมื่อวานไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น ผมไม่ได้ไปกับเฮียขุนและเขาไม่ได้ทิ้งผมไว้

      ไอ้นักยังไม่รู้เรื่อง ผมไม่ได้บอกและเฮียขุนก็คงไม่ได้เล่าว่าเขาแกล้งอะไรผมบ้าง ส่วนคนที่น่าสงสารเพราะเอาแต่ยืนงงก็คือเฮียกุน เพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแล้วได้แต่สงสัยว่าทำไมไอ้นักถึงกล้ามายืนด่าเฮียขุนแบบนี้

        “เฮียพาเพื่อนผมไปไหน…เฮียรู้มั้ยว่าทิ้งให้มันต้องวิ่งตากฝนไปป้ายรถเมล์ขึ้นรถกลับบ้านเอง” ผมไม่เคยเห็นไอ้นักมีสีหน้าจริงจังแบบนี้มาก่อน “เฮียเป็นพี่ผมป่ะเนี่ย ทำไมโคตรใจร้ายเลยวะ ถ้าจะพาเพื่อนรักผมไปไหนอ่ะ เฮียก็ดูแลมันดีๆ หน่อยสิ แต่ถ้ารับผิดชอบเรื่องแค่นี้ไม่ได้ เฮียก็ไม่ต้องมายุ่ง ทำเหมือนเดิม…แบบที่เฮียไม่อยากคุยหรือไม่แม้แต่จะมองหน้ามัน แบบนั้นยังจะดีกว่า”

        “นัก…มึงไปเรียนเถอะสายแล้ว” ผมยังคงบอกมันเรื่องเดิม ทำไมมันต้องพูดมากขนาดนี้ด้วย…พูดจนพี่ทั้งสองของมันเอาแต่ยืนเงียบ เฮียกุนก็พอรู้ว่าเงียบเพราะจะฟังเรื่องราว ส่วนอีกคนที่เงียบ…ไม่รู้เพราะกำลังรู้สึกผิดหรืออะไรกันแน่

      ใบหน้าที่เรียบนิ่งมองไอ้นักสลับกับผม…

      ไม่รู้จริงๆ ว่าเขาคิดอะไร

      “เฮียทำให้ไอ้โชไข้ขึ้นสูง ตัวร้อนอย่างกับไฟ ไปเรียนก็ไม่ไหว เฮียจะรับผิดชอบยังไงไหนพูดมาซิ”

      “ไอ้นัก กูบอกให้ไปเรียน” ไอ้เพื่อนคนนี้มันจะให้ผมฝืนสังขารตัวเองอีกนานมั้ย ตอนนี้ผมปวดหัวจนจะวูบซะให้ได้ แต่ผมก็เอาแต่บอกว่าให้มันรีบไปเรียนเพราะไม่อยากให้มายืนด่าพี่ตัวเองปาวๆ และไม่อยากจะข้องแวะกับคนอย่างเฮียขุนอีกแล้ว

      ให้มันหยุดแค่นี้…

      เพราะความทรงจำตอนเด็กเกี่ยวกับเขา…

      …จะไม่สำคัญกับผมอีกต่อไป

      “พูดมา…เฮียจะรับผิดชอบยังไง!”

      “ไอ้นัก กูบอกให้มึงไปเรียน!” ผมฮึดแรงตะโกนบอกเสียงดังใส่ไอ้นัก จะถามหาความรับผิดชอบอะไรกัน…คนใจร้ายอย่างเขาจะมารับผิดชอบอะไรกับคนที่เขาเกลียดอย่างผม “เลิกพูดเถอะไอ้นัก รับผิดชอบอะไร คนอย่างกูไม่ต้องให้ใครมารับผิดชอบ กูดูแลและรับผิดชอบตัวเองได้ มึงอย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่ได้มั้ยวะ มันก็แค่เรื่องไร้สาระ ไปๆ ไปเรียนได้แล้ว” ผมไล่มันพลางใช้มือผลัก ซึ่งแรงที่มีอยู่ก็ทำให้เกิดผลลัพธ์คือตัวไอ้นักขยับไปเพียงน้อยนิด

      “บอกกูมาว่าเฮียขุนพามึงไปไหน เขาทำอะไรกับมึงอีกนอกจากทิ้งมึงไว้” มันยังจะคาดคั้น

      ผมมองอย่างรำคาญ ทั้งไอ้นักและเฮียกุนก็เอาแต่ขมวดคิ้วสงสัยยืนรอฟังคำตอบ “ไม่ได้พาไปไหนทั้งนั้น มึงเลิกถามแล้วไปเรียน ถ้ามึงพูดอะไรขึ้นมาอีก กูจะเข้าไปเอาไม้เบสบอลมาตีหัวมึงเดี๋ยวนี้แหละ”

      “แต่…”

      “…” ผมมองมันจริงจังผสมกับน้ำโหที่เริ่มหลั่งออกมา ผมรำคาญเต็มทนเพราะอยากให้มันสงบปาก เลิกสงสัย และเซ้าซี้กับเรื่องที่ผมถือว่ามันไร้สาระไปแล้วซะที ผมปวดหัวจนอยากจะนอนเต็มทีแล้ว

      “ก็ได้ กูไปแล้วก็ได้ แต่กลับมา กูต้องได้ยินมึงเล่าเรื่องนี้ให้กูฟัง” ตอนนี้ผมไม่อยากให้ไอ้นักเป็นเพื่อนรักของผมมากสักเท่าไร มันแสดงออกถึงความเป็นห่วงเพื่อนแรงจริงๆ ราวกับว่ามันจะมีเรื่องกับพี่ชายตัวเองซะให้ได้ เพราะก่อนไปมันยังกล้าพูดและชี้หน้าใส่พี่ตัวเองแบบนั้น “ถ้าเฮียไม่ใช่พี่ เราคงได้มีเรื่องกันแน่”





      ก๊อกๆ

      และไม่ถึงยี่สิบนาทีหลังจากที่ผมได้กลับมานอนต่อก็มีเสียงเคาะประตูกวนใจให้ผมต้องขมวดคิ้วอีกครั้ง…ใครวะ ผมคิดในใจ จะเป็นไอ้นักเดินวกกลับมาก็ไม่ไช่ เพราะมันคงไม่เคาะประตู

      ก๊อกๆ เสียงเคาะเรียกให้ผมไปเปิดประตูให้อีกรอบ

      แม้จะสงสัยว่าใครแต่ผมก็ขี้เกียจฝืนสังขารตัวเองให้เดินไปเปิดประตู ผมจึงเอาผ้าห่มมาคุมโปงและเอาหมอนปิดหูเพื่อไม่ให้ได้ยินเสียงเคาะที่ดังอยู่ระลอก ดูเหมือนพิษไข้มันจะพาลให้ผมหงุดหงิด

      ถึงยังไงเสียงเคาะประตูก็เล็ดลอดเข้ามาในโสตประสาทของผมและมันทำให้รำคาญจนไม่ไหว “ใครวะ…” ผมถามและกำลังจะด่าออกไป แต่ก็หุบริมฝีปากลงได้ก่อนเมื่อเปิดประตูไปเจอ “เฮียกุน…” เฮียกุนผู้น่าสงสารที่เอาแต่ทำหน้าสำนึกผิด ดูเหมือนเขารู้ตัวว่ากำลังจะโดนด่า

      “กู…ขอโทษที่มารบกวนเวลามึงพักผ่อน”

      “คือ…ผมปวดหัวแล้วก็อยากนอนมากอ่ะ…เฮียมีอะไรหรือเปล่า”

       “ตัวมึงโคตรร้อนเลย” เฮียกุนพูดพลางยกมือแตะหน้าผากแล้วแตะที่คอผม “กูซื้อยาแล้วก็ข้าวต้มมาให้”

      “ไอ้นักจัดยาแล้วต้มโจ๊กถ้วยไว้ให้แล้วล่ะ” ผมบอก

      “แล้วมึงกินหรือยัง?”

      “…ยังอ่ะ”

      “กูว่าละ” พูดแค่นั้นเฮียกุนก็ผลักผมเข้ามาในห้องแล้วเขาก็ปิดประตูเดินตามเข้ามา “กูว่ามึงคงไม่กินแม้แต่ยาแล้วนอนเลย กูรู้นิสัยมึงดีว่าดื้อ ถ้าอย่างนั้นกูไม่เกรงใจถือวิสาสะเข้ามาล่ะนะ”

      เฮียกุนจัดแจงเอาข้าวต้มที่ซื้อมาเทใส่ถ้วย “ผมไม่อยากกินอ่าเฮีย” ผมบอกเขาแต่ก็โดนทำหน้าดุใส่

      “มึงต้องกิน กูไม่ยอมมึงเหมือนไอ้นักหรอกนะ กูต้องบังคับให้มึงกินให้ได้ จะได้หายเร็วๆ” เขายกถ้วยข้าวต้มพร้อมน้ำและยามา จากนั้นก็นั่งลงข้างๆ แล้วยื่นช้อนมาทำท่าจะป้อนผม

      “ทำอะไรเนี่ยเฮีย”

      “ก็ป้อนให้มึงกินไง”

       “ผมกินเองได้” ผมแย่งช้อนและถ้วยมาจากมือเฮียกุนแล้วตักข้าวต้มกินเอง รีบๆ กินปัดความรำคาญไป…

      เฮียกุนนี่ก็…มาทำตัวห่วงผมอะไรนักหนา ไอ้สามพี่น้องจรัสวาณิชย์นี่ซักจะกวนใจผมเกินไปแล้ว

      พอผมกินข้าวต้มและยาเสร็จ ยังมีอีกหนึ่งไอเทมที่เฮียกุนซื้อมานั่นก็คือปรอทวัดไข้ เขาทำตัวเป็นหมอ จัดแจงจนผมเอนตัวลงนอนและดูเหมือนเขาจะพอใจแล้วแต่ยังยืนมองผมอยู่ ผมจึงไล่ให้เขาออกไปเพราะทุกอย่างก็น่าจะเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว คงไม่มีอะไรที่ต้องบอกให้ผมทำอีก เฮียเขาก็ออกจากห้องไปโดยดี…หลังจากนี้ผมก็จะได้หลับพักผ่อนให้เต็มที่ซะทีล่ะ







      ก๊อกๆ

      เพราะพิษไข้และฤทธิ์ยามันทำให้ผมรู้สึกล้าไปทั้งร่างกาย ผมจึงคิดว่าจะหลับยาวพักผ่อนตลอดทั้งวัน แต่ก็ต้องมีเสียงเคาะประตูมารบกวนอีกรอบเป็นอันให้ผมต้องตื่นขึ้นมาเปิดประตูด้วยสีหน้ามุ่ย

      “เฮียกุนมีอะไรอีกอ่า”

      “กูแค่จะมาดูว่าไข้มึงลดยัง อะ อ้าปาก” เขายื่นปรอทมาที่ผม ผมก็ต้องอ้าตามที่บอกเพราะเขาคงเซ้าซี้ไม่เลิก “อืม…ไข้ลดลงองศาเดียว แต่ก็ยังถือว่าสูงอยู่” เฮียกุนเอาปรอทไปดูพลางวิเคราะห์

      “เสร็จยัง…งั้นผมกลับไปนอนต่อล่ะนะ”

      “เดี๋ยว…” เฮียกุนดึงประตูไว้ในขณะที่ผมจะปิด “นี่ก็บ่ายแล้วมึงหิวมั้ย กูซื้อก๋วยเตี๋ยวมาให้”

      “ผมไม่หิวอ่ะ”

      “เดี๋ยวสิ…” ผมกำลังจะปิดประตูแต่ถูกเฮียกุนดึงไว้อีกรอบ “ไม่กินก๋วยเตี๋ยว งั้นซดซุปมันฝรั่งก็ได้จะได้นอนหลับสบาย”

      “ผมไม่อยากกินอะไรเลย”

      “เดี๋ยว…”

      “เฮียกุนนนน” ผมลากเสียง ไม่ได้อ้อนนะครับ อารมณ์นี้คือรำคาญแล้วล่ะ เขากำลังจุกจิกกับผมมากเกิน พอเห็นสีหน้าและวาจาไล่เขาแบบเสียงอ้อน เฮียกุนก็เลยยอมให้ผมปิดประตูแต่โดยดี…

      เป็นอะไรของเขานะ ตั้งแต่รู้จักมาไม่เคยเห็นจะดูแลหรือเซ้าซี้กับผมขนาดนี้มาก่อน







      ก๊อกๆ

      โอ้ยยย อะไรนักหนาเนี่ย ผมอยากจะตะโกนออกไปด้วยความรำคาญ แต่ดูเหมือนอาการเจ็บคอจะไม่เป็นใจให้ผมใช้เสียง เป็นอีกครั้งที่ผมถูกรบกวนด้วยเสียงเคาะประตู คงเป็นเฮียกุนเจ้าเดิมอีกตามเคย

      “เฮียมีอะไรอีก…ผมไม่หิว ไม่อยากกินอะไรทั้งนั้น ผมแค่อยากนอน ปล่อยให้ผมนอนเถอะนะ”

      “กินเถอะนะ กูขอร้อง ไอ้นักคงกลับดึกเพราะติดกิจกรรมดาวเดือน ไม่มีใครดูแลมึง เดี๋ยวกูจะอุ่นซุปให้ มึงจะได้กินยาแล้วกูก็จะดูว่าไข้มึงลดลงอีกมั้ย ให้กูทำเถอะ จะได้เสร็จๆ ทีนี้กูก็จะปล่อยให้มึงนอนยาวไปถึงพรุ่งนี้เช้าเลย” ดูเหมือนเฮียกุนก็รู้ว่าผมรำคาญเขา และสายตาก็ดูขอร้องจริงๆ เขาจะอยากดูแลผมอะไรขนาดนั้น



      “เฮีย…ถามจริง จะอะไรนักหนาเนี่ย ปล่อยให้ผมนอนไปเลยไม่ได้หรือไง” ในขณะที่นั่งซดซุปที่เฮียกุนแกะใส่ถ้วยมาให้ ผมก็ถามเขา

      “เออ ช่วยๆ กินข้าว กินยาให้กูเถอะ ถือซะว่ากูห่วงมึง”

      “พูดอย่างกับว่าเฮียไม่ได้เป็นห่วงผม”

      “เป็นห่วง…กูอยากให้ไข้มึงลด กูอยากให้มึงหายเร็วๆ”

      “…” ผมมองเขาอย่างสงสัยและพิจารณา “หรือว่าเฮีย…จะเป็นพี่รหัสผม”

      “หึ…” เฮียเขาหัวเราะ “มึงคิดว่างั้นเหรอ อืม…กูอ่านกระดาษคำใบ้ที่มึงล้วงออกมาจากขวดโหล…หวานบาดคอ ขมบาดใจ…ใช่ป่ะ”

      “…” ผมพยักหน้า

      “แล้วมึงตีความยังไงถึงคิดว่าประโยคนั้นคือกู”

      “ผมตีความไม่ออกอ่ะ ไม่เข้าใจเลย แต่ผมคิดว่าที่เฮียมาดูแลเซ้าซี้ผมผิดปกติแบบนี้ เฮียอาจจะเป็นพี่รหัสผมก็ได้ เพราะคนอย่างเฮียถึงจะเป็นห่วงผมแต่ก็ไม่ได้แสดงออกมากมายขนาดนี้”

      “อืม อาจจะเป็นไปได้” เขาพยักหน้า “หรืออาจจะไม่ใช่” หันมามองเชิงผม

      “โธ่เฮีย เฉลยมาเถอะน่า คนกันเอง”

      “ถ้ากูเฉลย มึงก็เอาเปรียบคนอื่นสิวะ แล้วมันจะไปสนุกอะไร ให้มึงไปตีความเอาเอง”

      “โธ่~” ผมแอบเสียดาย นึกว่าเขาจะใจดีบอกผม

      หลังจากที่ผมซดซุปแล้วกินยาตามที่เฮียกุนสั่ง “ขอบคุณเฮียมากและเชิญออกไปได้แล้วคร้าบบบ” ผมผายมือเชิญเขา

      “เออๆ รู้แล้ว รีบไล่กูเชียวนะมึง” เฮียแกเก็บของให้และกำลังจะเดินออกไป แต่ว่า… “ไอ้โช…”

       “หื้อ?”

      “ตอนนี้มึง…จัดการกับความรู้สึกตัวเองยังไง”

      “…” ผมมองอย่างสงสัยที่จู่ๆ เฮียกุนก็ถามขึ้น
 
      “มึงยังชอบเฮียขุนอยู่มั้ย” เขาถามต่อ

       เฮียกุนคงรู้เรื่องแล้วสินะถึงได้ถามแบบนี้…ไม่คิดว่าเฮียขุนจะเล่าเรื่องที่แกล้งผมให้เฮียเขาฟัง

      “ผม…รู้สึกว่างเปล่า ไม่รู้สึกอะไรเลย ผมจะไม่โกรธที่เขาแกล้งหรือทิ้งผมไว้ ไม่สนถ้าเขายังจะไม่คุยหรือไม่มองหน้าผม และความหมายของคำว่าว่างเปล่าของผมตอนนี้ก็คงรวมถึง…ไม่ชอบแล้ว” ผมบอกเฮียกุนไปตามความรู้สึกจริงๆ

      แน่นอนว่าใครก็ไม่ชอบการกระทำที่ใจร้ายแบบนั้น ที่ผ่านมาผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทั้งๆ ที่เฮียขุนเฉยชาใส่ แต่ผมก็ยังอยากเห็นเขายิ้มให้ ตื่นเต้นเวลาเขามอง และดีใจที่เขามาพูดด้วย เพราะในความทรงจำตอนเด็กเขาใจดีกับผมเหลือเกินและผมก็ชอบเขามาก…มากเกินกว่าจนมองข้ามความเย็นชาของเขาไป

      แต่ดูเหมือนครั้งนี้มันตอกย้ำให้ผมรู้ว่าเขาคงผิดหวังและเกลียดผมมาก…มากเกินกว่าจนทำให้ผมไม่สามารถมองข้ามมันไปได้

      เมื่อวานคือวันที่ผมโกรธเฮียขุนมากที่สุดในชีวิต ผมจึงคิดว่าจะไม่แยแสเขาอีก…

      ไม่อีกแล้วจริงๆ

      “อืม กูเข้าใจ…ถ้ามึงจะไม่ชอบแล้ว” เฮียกุนเป็นคนเข้าใจง่าย เขาพูดกับผมแค่นั้นแล้วก็เดินออกจากห้องไป


 
      เฮียขุนจะเกลียดผมก็ช่าง…ปล่อยเขาเกลียดไป


      ผมไม่อยากคิดมากเรื่องเขาแล้ว…


      ผมเหนื่อย



-----TBC-----




ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: #Heart To Heart #ใจแพ้รัก 「ตอนที่11」-30/04/19-
«ตอบ #24 เมื่อ30-04-2019 17:30:46 »

ทำให้ได้จริงๆเถอะ

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: #Heart To Heart #ใจแพ้รัก 「ตอนที่11」-30/04/19-
«ตอบ #25 เมื่อ30-04-2019 22:07:24 »

 :3123:
 :pig4:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: #Heart To Heart #ใจแพ้รัก 「ตอนที่11」-30/04/19-
«ตอบ #26 เมื่อ01-05-2019 17:12:50 »

 :z6:

ปล่อยเขาไปเถอะ
รักตัวเองดีกว่า

 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ ิbanoffee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ตอนที่ 12


      แม้พิษไข้จะออกฤทธิ์ทรมานร่างกายของผมอยู่ แต่ว่าวิชานอกมีรายงานที่ยังไม่ทันจะได้ลงมือทำ หยุดเรียนแค่วันเดียว ไอ้นักก็มาบ่นให้ฟังว่าวิชาในสั่งรายงานเพิ่มเข้ามาซะแล้ว ดังนั้นแม้ยังปวดเนื้อตัวและหัวแต่ผมก็จะฝืนทนไปเรียนวันนี้ให้ได้…ยังพอที่จะพยุงสังขารตัวเองไหว

      เมื่อวานไอ้นักกลับมาก็ดึก แต่มันคงอดที่จะรู้เรื่องของผมไม่ได้และไม่สนใจว่าเพื่อนรักของมันจะนอนป่วยอยู่ เพราะมันถึงขนาดปลุกผมขึ้นมาถาม แต่อย่างที่บอกล่ะครับ ผมไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีก การเป็นไข้จึงเป็นข้ออ้างบ่ายเบี่ยงหลีกเลี่ยงไอ้นักที่จะไม่เล่าเรื่องนี้ให้มันฟัง

      วันนี้มีเรียนตอนบ่ายและเช่นเดิมไอ้นักต้องเข้าซ้อมกิจกรรมดาวเดือนตั้งแต่เช้า มันคงคิดว่าผมจะขาดเรียนอีกสักวัน เพื่อนรักที่แสนดีของผมก็เลยวางยาและซื้อข้าวต้มมาไว้ให้

      หึ ถ้าพี่มึงทำดีกับกูแบบนี้ก็คงจะดี…ผมหัวเราะแห้งให้กับตัวเองที่คิดโง่ๆ



      “มึงจะไปเรียนเหรอ”

      “ใช่เฮีย…ก็แต่งตัวเต็มยศซะขนาดนี้” ผมพูดกับเฮียกุนที่เปิดประตูออกมาเจอเฮียแกพอดี

      “กวนกูได้นะ แสดงว่าอาการคงดีขึ้นแต่ขัดกับหน้าตามึงวะที่ซีดอย่างกับไก่โดนต้มมา”

      “เปรียบเทียบซะเห็นภาพเลยเฮีย ผมส่องกระจกดูตัวเองมาแล้วไม่ได้ดูแย่ขนาดนั้นซะหน่อย”

      “เออๆ ถ้างั้นไปด้วยกัน กูกำลังจะไปมอพอดี”

      ในขณะที่ผมและเฮียกุนกำลังจะเดินไป ประตูห้องข้างๆ เฮียกุนที่อยู่ติดกันก็ถูกเปิดออกมา…

      เฮียขุนที่อยู่ในชุดนักศึกษาอย่างไม่เป็นทางการสักเท่าไร แขนเสื้อถูกพับและไม่มีเนคไท เขากำลังมองมาที่ผม อารมณ์ไหนก็เดาไม่ถูกครับ แค่เอาแต่จ้องผมเท่านั้น

      “วันนี้ฤกษ์งามยามดีอะไรเนี่ยได้ออกจากหอไปมอพร้อมกัน” เฮียกุนพูดขึ้นมา

      ผมว่าฤกษ์ไม่ค่อยจะดีต่างหาก เห็นหน้าคนๆ นี้แล้วจากที่อึดอัดเพราะกลัวสายตาเย็นชาจากเขา แต่ตอนนี้ผมอึดอัดเพราะสายตาที่เดาไม่ถูกนั่น…เรียบนิ่งเหมือนเดิม เฉยชาอย่างเดิม แต่ความเย็นชากลับไม่มี ความดุดันมันหายไป ดูนิ่งสงบไม่ไหวติง นี่มันอะไรกัน

      เป็นอย่างนี้ผมยิ่งไม่อยากมองหน้าเขานานๆ นอกจากจะเดาความคิดเขาไม่ออกแล้ว ไม่ใช่เพราะยังไม่กล้าและกลัว แต่เพราะความโกรธ…ยิ่งเห็นหน้าเขาก็ยิ่งโกรธในความโง่ของตัวเอง มองหน้าเขาแล้วไม่เคยรู้สึกว่าจะหงุดหงิดขนาดนี้มาก่อน

      “รีบไปกันเถอะเฮีย” ผมเร่งเร้าเฮียกุน

      “งั้นเจอกันที่มอนะเฮีย” ดูเหมือนเฮียกุนก็น่าจะรู้ว่าผมอึดอัด เฮียแกก็ไม่ได้มัวพูดพร่ำทำเพลงอะไรมาก เดินตามผมที่เดินนำมาก่อน


      “กูไม่เคยเห็นมึงเย็นชาแบบนี้มาก่อน ดูเหมือนมึงกำลังจะกลายเป็นแบบพี่กู” เฮียกุนพูดกับผมระหว่างเดินมาที่รถ

      “อย่าเอาผมไปเปรียบเทียบกับเขา ผมคงไม่เยือกเย็นเท่าพี่ชายเฮียหรอก”

      แค่ผมดูไม่สนใจเขาแล้ว ไม่เพียงแค่ชอบน้อยลงแต่พยายามจะเลิกชอบเฮียขุนอย่างจริงจัง…แค่นี่ผมก็กลายเป็นคนที่ดูเย็นชาไปแล้วหรือเนี่ย ถ้าเทียบกับคนๆ นั้นที่ผ่านมาก็คงต้องเรียกเขาว่าเจ้าพ่อแห่งความเย็นชาอย่างเต็มปาก เพราะแต่ละครั้งที่เขาใช้สายตาแบบนั้นมองมาที่ผมมันทำให้รู้สึกตัวชา แข็งทื่อ และหนาวเย็นไปทั่วขั้วหัวใจ แค่ผมไม่แม้แต่จะชายหางตามองเขาแค่นี้…


      มันเทียบกับความใจร้ายของเขาไม่ได้เลย







       
      “เลิกเรียนตอนไหนก็ทักก็มา เดี๋ยวมารับ” เฮียกุนบอกเมื่อรถมาจอดเทียบหน้าคณะ

      “ไม่เป็นไรเฮีย เฮียไม่มีเรียนหรือประชุมกิจกรรมอะไรหรือไง ทำไมต้องมารับผม”

      “ไม่มี…จะมีแค่ปรึกษาหารือเรื่องกิจกรรมนิดหน่อย กูมารับมึงได้อยู่แล้ว”

      ทำไมเฮียกุนต้องดูใส่ใจผมขนาดนี้ “ถามจริง…เฮียเป็นพี่รหัสผมใช่มั้ย”

      “หึ…ถ้ามึงตีความประโยคนั้นยังไม่ออกก็อย่ามาเดาว่าเป็นกู” เฮียแกหัวเราะให้ผมอีกแล้ว

      ผมคงดูโง่ที่มานั่งเดาว่าเฮียกุนเป็นพี่รหัสเพียงเพราะเขามายุ่มยามดูแลผมอย่างที่ไม่เคยเป็น และเพราะผมไม่พยายามที่จะตีความประโยคปริศนาที่ได้รับมา…ก็ใครจะไปรู้ บาดคอบาดใจบ้าบอ ตีความไม่ออกหรอกว่าจะเป็นรุ่นพี่คนไหน

      “ไม่รู้แหละ ผมเดาว่าเป็นเฮีย”

      “มาเดามั่วชั่ว ถึงวันเฉลยมึงทายไม่ถูกระวังโดนทำโทษ ซึ่งกติกาก็แล้วแต่ว่ารุ่นพี่คนไหนจะลงโทษมึง อะไร ยังไง”

      “ผมไม่กลัวหรอก” เฮียกุนคงหมายความว่าพี่ชายของเขาอาจจะใช้บทลงโทษเล่นงานผมอีกล่ะสิ “งั้นถ้าผมเลิกเรียนแล้วจะทักหานะเฮีย ขอบคุณว่าที่พี่รหัสครับ”

      “ไอ้นี่ ก็บอกว่าอย่าเพิ่งมาเดาว่าเป็นกู”

      ผมเปิดประตูลงรถและโบกมือให้เฮียกุนก่อนที่เฮียแกจะเคลื่อนรถไป จากนั้นผมก็เดินเข้าตึกคณะ ระหว่างที่เดินๆ อยู่ผมก็รู้สึกหน้ามืดเหมือนจะวูบจนต้องส่ายหัวแรงๆ เพื่อเรียกสติตัวเองคืนมา

      ผมพยายามที่จะทรงตัวเดินต่อแต่การมองเห็นภาพข้างหน้าของผมมันหมุนจนรับรู้ได้ว่าตัวเองกำลังเดินเซไปเซมา…ทำไมมันเวียนหัวขนาดนี้

      “เฮ้ย โช!”

      ในช่วงวินาทีที่ผมกำลังจะทิ้งตัวลงไปเพราะเดินต่อไม่ไหวแล้ว จู่ๆ ก็มีมือมาประคองแผ่นหลังของผมไว้แล้วซ้อนขึ้นไปเข้าอ้อมกอดของเขา สภาพของผมที่อ่อนแรงจึงได้แต่เอาคางเกยไหล่ภายใต้อ้อมแขนที่โอบผมไว้

      “นั่งก่อนๆ” เขากอดผมไว้และเซถลาพาตัวของผมให้นั่งลงม้านั่งที่อยู่แถวนั้น “ไม่สบายอยู่แล้วจะมาเรียนทำไมวะ”

      “พี่อีกแล้ว ทำไมคณะพี่มันว่างจัง” ผมพูดกับพี่ภามเมื่อผละออกจากกอดแล้วหรี่ตามองเห็นถนัดแล้วว่าเป็นเขา

      “กูแค่อยากมาหามึง” เขาพูดไปด้วยพลางแตะหน้าผากและตัวของผมไปทั่วตัว “ตัวยังร้อนอยู่เลย”

      “มาหาผมทำไม ก็บอกแล้วว่ามีอะไรให้โทรหา”

      “ไม่อยากโทร ยังไงกูก็จะมาหาที่คณะเลย…วันนี้คิดว่ามึงมีเรียนเช้า เลยมาตั้งแต่เช้าแต่เจอแค่ไอ้นักที่มาซ้อมกิจกรรม…”

      “นี่อย่าบอกนะว่าพี่มารอตั้งแต่เช้า”

      “เปล่า ใครจะโง่รอขนาดนั้น กูมีเลคเชอร์ตอนเช้าพอเสร็จก็ค่อยมาคณะมึง อืม…ตอนเจอไอ้นักมันบอกว่าเมื่อวานมึงถูกไอ้ขุนทิ้งให้กลับหอเองแถมต้องเดินตากฝนมาที่ป้ายรถเมล์จนไข้ขึ้น ไอ้ขุนมันพามึงไปทำอะไรที่ไหน”

      เรื่องนี้ก็มีแต่คนสงสัยที่จะอยากรู้…ผมผิดเองแหละ ที่อัดอั้นอยากเล่าให้ไอ้คิ้วท์ฟัง แต่ไอ้นักก็รู้เรื่องด้วย ซึ่งเพื่อนรักของผมคนนี้ปากมันอยู่นิ่งซะที่ไหน แม้จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับความใจร้ายของพี่ชายตัวเองแต่มันก็เอามาสาธยายบอกคนอื่นไปทั่ว และถึงพี่ภามจะเป็นเพื่อนแต่เขาก็ไม่จำเป็นต้องรู้หรอกว่าเพื่อนของเขาใจร้ายกับผมขนาดไหน

      “เฮียขุนช่วยซ่อมฝักบัวให้ ผมก็เลยเลี้ยงข้าวตอบแทนเขา แต่ระหว่างกลับเจอพี่ไวน์รถเสียอยู่ เขาเลยพาพี่ไวน์ไปส่งบ้าน…”

      “แล้วทิ้งมึงไว้?”

      “ก็รถเฮียขุนมีที่นั่งไม่พอ อีกอย่างเป็นใครก็ทำแบบนั้นแหละ ก็ต้องให้ความช่วยเหลือกับผู้หญิงก่อน ส่วนผมเป็นผู้ชาย ผมไม่เป็นไรกลับเองได้อยู่แล้ว”

      “ทั้งที่มีตัวเลือกอย่างอื่น อย่างโทรให้ใครมารับหรือโทรช่างให้มาซ่อมเลยก็ได้ ถ้ากลัวว่าผู้หญิงจะเป็นอันตรายที่ต้องอยู่คนเดียว ก็แค่รอช่างซ่อมให้เสร็จด้วยกัน ไม่เห็นต้องเลือกทิ้งมึงไว้ให้กลับบ้านเองคนเดียวเลย”

      “ก็…มันคงเสียเวลา เฮียขุนก็เลยพาพี่ไวน์ไปส่ง…”

      “มึงเลิกแก้ตัวให้มันซะทีได้มั้ย!” พี่ภามตะโกนเสียงดังแทรกคำพูดของผมขึ้นมา “ขอล่ะ…เลิกชอบมันซะทีได้มั้ย” เขาพูดเสริมด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง สายตาที่หงุดหงิดในประโยคแรกก็พลันเศร้าลงตามไปด้วย

      “…”

      “ในวันนั้นแม้ว่าไอ้ขุนจะบอกว่าเกลียดมึง แต่กูดูออกว่ามึงก็ยังจะชอบมัน…ชอบมาตลอด”

      “เลิกพูดเถอะ…ผมไม่ได้ชอบเขาแล้ว”

      “กูไม่เชื่อ!” พี่ภามดูอารมณ์ขุ่นมัว สีหน้าของเขาดูหงุดหงิดขึ้นมาอีกแล้ว

      “พี่เป็นอะไรของพี่เนี่ย ทำไมต้องเสียงดังใส่ผมด้วย แล้วถ้าไม่เชื่อ…พี่จะให้ผมทำยังไง” ทั้งๆ ที่ผมยังเวียนหัวจะวูบอยู่เมื่อกี้ แต่สติกลับมาโดยทันควันเพราะต้องมานั่งต่อล้อเถียงเรื่องนี้กับพี่ภาม มันเป็นไปอะไรนะ ทำไมต้องมาอารมณ์เสียใส่ผมด้วย

      “มึงบอกว่าเลิกชอบแล้ว…มันจะเป็นไปได้ยังไง คนที่เคยชอบมาตลอดจะเลิกชอบง่ายๆ ได้ยังไง เมื่อกี้มึงก็ยังแก้ตัวให้มันอยู่เลย”

      “ผมไม่ได้แก้ตัวให้เขา แต่มันต้องเป็นอย่างนั้นถึงแม้ว่าผมจะโดนทิ้ง…” พอพูดขยี้ถึงเรื่องนี้น้ำเสียงผมก็เกิดสั่นเครือ ไอ้พี่ภามมันจะเซ้าซี้ผมไปถึงไหน “ใช่ผมโกรธ เป็นใครก็ต้องโกรธทั้งนั้นแหละที่โดนทิ้งไว้ แม้ความเป็นสุภาพบุรุษจะต้องช่วยผู้หญิงก่อนและมีทางเลือกอื่นอย่างที่พี่ว่า แต่จะให้ทำยังล่ะ เฮียขุนเขาเลือกที่จะไปส่งพี่ไวน์แล้วทิ้งผมให้กลับหอเอง รถก็รถเขา เฮียขุนมีสิทธิ์ที่จะเลือกให้ใครไปนั่งข้างเขาก็ได้ แล้วคนที่เขาเกลียดอย่างผมจะมีสิทธิ์ไปพูดอะไร” พูดๆ อยู่น้ำตาของผมเกือบไหลออกมา ดีที่กลั้นไว้ได้ น้ำใสๆ จึงทำได้เพียงแค่รวมตัวกันอยู่แค่บริเวณขอบตาเท่านั้น แต่สีหน้าและแววตาที่เศร้าก็แสดงให้เห็นว่าผมยังเซ้นซิทีฟให้กับเรื่องไร้สาระนี้แค่ไหน

      “มานี่มา” พี่ภามดึงผมเข้าไปไว้ในอ้อมกอดของเขาอีกครั้ง
 
      ไอ้เด็กเกเรที่เคยแกล้งผมมันได้เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ…ตอนนี้เขากลายเป็นคนที่ปลอบโยนผมแทนคนๆ นั้น

      ผมเองก็เอาคางเกยไหล่รับการปลอบใจจากเขา อย่างน้อยความอ่อนแอที่สะสมไว้อยู่ก็เริ่มคลายลงเพราะอ้อมกอดของพี่ภาม “เพราะครั้งนี้ผมโกรธเขามาก ดังนั้นผมจึงไม่ชอบแล้ว พี่จะเชื่อผมมั้ยถ้าผมบอกว่าจะไม่ชอบเฮียขุนแล้วจริงๆ”

      “งั้นพิสูจน์สิ…พิสูจน์ว่ามึงไม่ได้ชอบมันแล้วโดยการคบกับกู”

      “…” ผมผละออกจากพี่ภามแล้วมองหน้าเขาด้วยความตกใจ เขาพูดอะไรออกมา

      “มึงชอบไอ้ขุนมาตลอด ส่วนกูก็ชอบมึงมาตลอด ที่กูชอบแกล้งหรือแซวมึงก็เพราะว่ากูอยากอยู่ใกล้ อยากหาเรื่องพูดด้วย และถึงไม่บอกกูก็รู้ว่ามึงเป็นผู้ชายมาตั้งแต่แรก ถึงมึงยังเด็กอยู่แต่เด็กผู้หญิงอะไรเสียงห้าวขนาดนั้น คงมีแต่ไอ้ขุนที่โง่ดูไม่ออกทั้งที่เป็นคนที่ใกล้ชิดมึงมากที่สุดในตอนนั้น…กูไม่ได้ผิดหวังเลยที่มึงเป็นผู้ชาย กูชอบที่มึงเป็นมึง ดังนั้น…” เขาเงียบไปชั่วครู่

      “…” ส่วนผมก็เงียบนั่งฟังเขาด้วยความตกใจอยู่


      “คบกับพี่…ได้มั้ย” เขาพูดพลางจับมือผม


      “…” ผมไม่รู้จะพูดอะไร ได้แต่ทำตาโตตกใจกับคำพูดของเขา ตั้งตัวไม่ทันและไม่คิดว่าพี่ภามเนี่ยนะจะชอบผม


      “ไอ้โช!” ในขณะที่ผมอยู่ในสถานการณ์ทำตัวไม่ถูก เราทั้งคู่ก็หันไปยังเสียงเรียก “ทำไมยังไม่เข้าเรียน…แล้วพี่เนี่ยย้ายจากสัตวแพทย์มาเรียนบริหารเลยมั้ย เห็นมาโผล่นี้บ่อยจัง” เฮียกุนพูดกับผมแล้วหันมาแซะพี่ภาม

      “กูก็คิดอยู่เหมือนกัน” ไอ้พี่ภามก็พูดไปเรื่อย

      “โชลุกมานี่ ไปเข้าเรียนได้แล้ว” เฮียกุนดึงแขนผมจากมือที่พี่ภามกุมอยู่ให้ลุกขึ้น

      “ไอ้โชมันคงเรียนไม่ไหวเพราะเมื่อกี้เดินมาก็เกือบจะเป็นลมล้มลงไป ถ้ากูมาประคองไม่ทันมันคงล้มหัวฟาดพื้นแล้ว กูว่าจะพามันไปหาหมอแล้วก็พากลับไปพักที่หอดีกว่า” พี่ภามดึงแขนผมกลับมา

      “ไม่ต้อง ผมพาไปเอง บอกแล้วไงว่าอย่ามาทำตัวเป็นผู้ปกครองมัน ถ้าใครที่จะดูแลไอ้โชก็ต้องเป็นผมเพราะสนิทกับมันมากกว่าพี่” เฮียกุนเองก็ดึงแขนผมกลับไป

      “กูไม่ได้ทำตัวเป็นผู้ปกครองมัน แต่กูอยากพามันไป” แขนของผมถูกดึงกลับมาอีก

      “ไม่ได้…ผมไม่ให้ไป” และก็ถูกดึงกลับไปอีกครั้ง

      แขนของผมถูกดึงกลับไปกลับมาอยู่อย่างนั้นจนผมเริ่มเจ็บและรำคาญ “ผมไม่ไปไหนทั้งนั้น ผมจะเข้าเรียน!” ผมตะโกนและสะบัดแขนตัวเองออกให้พวกเขาหยุด อันที่จริงผมตกใจกับการที่พี่ภามขอคบเมื่อครู่จนตื่นจากอาการสะลืมสะลือด้วยพิษไข้เลยล่ะ จะว่าดีขึ้นมั้ย…ก็ไม่ พอวูบเมื่อกี้ก็ทำให้อยากกลับหอไปพัก แต่พอพี่ภามและเฮียกุนเถียงกันไปมา เพื่อตัดความรำคาญก็เลยอยู่เข้าเรียนน่ะดีแล้ว “ผมจะเข้าเรียนเพราะวิชานี้เก็บคะแนนเช็คชื่อด้วย ดังนั้นพวกพี่ไม่ต้องพาผมไปไหนทั้งนั้น แยกย้ายกันไปทำธุระของตัวเองเถอะครับ”

      “ธุระของกูก็คือขึ้นไปเรียนกับมึง”

      “ห้ะ…เฮียจะไปเรียนกับผมด้วยทำไม”

      “ก็มึงไม่สบายอยู่ เผื่อเป็นลมอีกกูจะเป็นคนดูแลมึงเอง” พูดกับผมแต่หันไปมองเย้ยพี่ภาม ผมล่ะเพลียกับการประชดกันไปมาของสองคนนี้จริงๆ

      “ไอ้นักก็อยู่ ผมไม่เป็นไรหรอก”

      “ไอ้นักมันไม่ได้เรื่อง ไปๆ สายแล้วเนี่ย เดี๋ยวอาจารย์ไม่ไห้เข้าห้อง” เฮียกุนพูดตัดบทและกลายมาเป็นผู้ที่ครอบครองแขนของผมอีกครั้ง “อ่อ คณะเดียวกันเขาเข้าไปเรียนด้วยกันได้ คณะอื่นไม่เกี่ยว กลับไปได้แล้วไป” ก่อนจูงมือผมเดินไปเฮียแกยังหันมาพูดกับพี่ภาม

      พี่ภามเองก็ถอนหายใจออกมาด้วยความหงุดหงิด “ถ้างั้นอย่าลืมคิดเรื่องที่พี่พูดนะ” เขาทิ้งท้ายบอกผมและไม่ลืมยักคิ้วกวนประสาทใส่เฮียกุน

       “มึงกับพี่ภามพูดเรื่องอะไรกัน” เฮียกุนถาม

      “เอ่อคือ…” จะบอกว่าเรื่องอะไรดีวะ ให้บอกว่าพี่ภามขอคบไปเลยน่ะเหรอ ขนาดตัวเองยังตกใจและไม่ทันตั้งตัวแล้วจะบอกคนอื่นยังไง เฮียกุนก็ดูทำตัวแปลกๆ ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าว่าเฮียแกไม่ค่อยอยากให้ยุ่งกับพี่ภาม และใส่ใจผมถึงขนาดจะเข้าไปเรียนด้วย “พี่ภามแค่ชวนไปกินข้าวที่คณะเขาบ้าง…บอกว่าอยากให้ไปลองชิมร้านเด็ดของคณะสัตวแพทย์” แถไปนั่น

      “ไม่ต้องไป…บรรดาโรงอาหารในมอ คณะเราเด็ดสุดแล้ว” ดูสิครับ ไม่ได้คิดไปเองใช่มั้ยว่าเฮียกุนไม่ค่อยอยากให้ไปกับพี่ภาม





      “อ้าว เฮียเข้ามาทำไมเนี่ย ส่วนมึงยังไม่สบายอยู่รีบมาเรียนทำไม” ไอ้นักที่นั่งในห้องเรียนอยู่แล้วทักขึ้นที่เห็นเฮียกุนเดินเข้ามากับผม ส่วนทุกคนในห้องก็ไม่ได้แปลกใจอะไรกันมาก คณะนี้รุ่นพี่รุ่นน้องเดินเข้าออกกันว่าง่ายเพราะมีรุ่นพี่บางคนก็มาเก็บวิชาที่ตกเรียนรวมกับรุ่นน้อง และอาจารย์บางคนก็ไม่ได้ถือสาอะไรมาก ดีซะอีกที่มีนักศึกษาที่ไม่ได้ลงเรียนมานั่งเรียนด้วย

      “เพราะมันไม่สบาย กูเลยต้องตามมาดูแลไง ปล่อยไว้กับคนไม่ได้เรื่องอย่างมึง ไอ้โชมันคงได้เป็นไข้หนักกว่าเดิม”

       “แหม...เฮียก็พูดเกินไป”

      “ก็วิชานี้เก็บคะแนนเช็คชื่อ กูเลยมา แล้วก็เฮียกุนเป็นว่าที่พี่รหัสกูเองอ่ะ เฮียแกก็เลยตามติดดูแลกูเป็นพิเศษ” ผมพูดประชดใส่เฮียกุนเพราะทำตัวแปลกเป็นห่วงมากเกินไปทั้งที่บอกว่าอย่าเพิ่งเดาว่าเป็นเขา แต่คนอย่างเฮียกุนใส่ใจผมขนาดนี้ผมว่าใช่แล้วแหละ

      “ใช่เหรอวะ กูก็คิดว่าเฮียกุนเป็นพี่รหัสกู”

      “มึงรู้ได้ไง มึงได้รับคำใบ้ปริศนาว่าอะไร” ผมมองมันอย่างสงสัย

      “ถามอะไรตอบได้”

      “หื้อ…เนี่ยนะคำใบ้ของมึง ดูเหมือนพี่รหัสมึงเป็นอับดุลเอ้ยซะล่ะมั้ง คำใบ้แบบนั้นไม่รู้จะโยงถึงเฮียกุนยังไง”

      “ก็เฮียกุนซือผู้รอบรู้ไง คำใบ้ออกจะง่าย คนฉลาดอย่างกูตีความออกได้สบายอยู่แล้ว อีกอย่างเมื่อวันก่อนเฮียกุนเอาน้ำไปให้กูตอนซ้อมดาวเดือนด้วย เมื่อวานก็เอาขนมกับข้าวมาให้ คนวางตัวและขรึมอย่างเฮียเขาเคยทำให้กูซะที่ไหน” ก็จริงอย่างที่ไอ้นักพูด กุนซือก็คือผู้ที่ให้คำปรึกษาแนะนำและจะต้องรอบรู้ เฮียกุนก็ฉลาดและรู้เรื่องแทบทุกอย่างทั้งวิชาการและไม่วิชาการ อย่างนี้ความมั่นใจที่ว่าเฮียกุนเป็นพี่รหัสของผมก็ลดลงน่ะสิ

      “นี่…กูเป็นรุ่นพี่ดาวเดือน กูก็ต้องดูแลน้อง กูเอาข้าวเอาน้ำไปให้มึงคนเดียวซะที่ไหน น้องคนอื่นกูก็เอาไปให้ พวกมึงเลิกเถียงว่ากูเป็นพี่รหัสซะทีถ้ายังตีความไม่กระจ่าง เลิกพูดแล้วหันมาฟังที่อาจารย์พูดได้แล้ว เขาเรียนกันไปถึงไหนแล้ว”

      ทั้งผมและไอ้นักถูกเฮียกุนเอ็ด ไม่รู้ว่าเฮียแกมาดูแลผมหรือมาควบคุมน้องชายกันแน่ ไอ้นักเผลอหลับก็เลยโดนเฮียแกสะกิดด้วยการสอยท้ายทอยไป ต่างจากผมที่เฮียแกบอกให้งีบด้วยซ้ำถ้าไม่ไหว อย่างนี้ก็ดูออกชัดๆ ว่าเฮียกุนเป็นพี่รหัสใคร ไม่เห็นต้องรอให้ผมต้องตีความคำใบ้ปริศนาให้กระจ่างเลย








      “น้องโชใช่มั้ยคะ” หลังจากที่เลิกเรียนและผมกำลังเดินออกนอกห้อง จู่ๆ ก็มีรุ่นพี่ผู้หญิงปีสองที่ดูเหมือนมาดักรอเดินเข้ามาหาผม “อ่ะนี่ พี่รหัสฝากมาให้ แล้วพี่เขาก็ฝากมาบอกว่ากินให้อร่อยแล้วก็หายไข้เร็วๆ นะ” พี่เขายื่นกล่องขนาดโอบได้มาให้และ กล่องหนักอยู่พอสมควร ผมรับแล้วขอบคุณพี่เขา

      “เอามานี่ กูถือให้” เฮียกุนแย่งกล่องไปถือแทน “อะไร…ยังคิดว่ากูเป็นพี่รหัสมึงอยู่หรือไง” เฮียแกถามเพราะผมหรี่ตาเพ่งมองอย่างพิจารณา

      “เฮียอาจจะให้พี่คนเมื่อกี้เอาของมาให้ก็ได้ อีกอย่างพี่รหัสฝากมาบอกว่าให้หายไข้เร็วๆ…คนที่รู้ว่าผมไม่สบายก็คนใกล้ตัวทั้งนั้น ถ้าพี่รหัสผมเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่เฮียแล้วเขาจะรู้ว่าผมไม่สบายได้ยังไง”

      “ไม่รู้สิ…ก็แล้วแต่มึงจะคิดละกัน” เฮียกุนยักไหล่แล้วเดินถือกล่องนำหน้าผมไป ทิ้งให้ผมหันไปมองหน้ากันอย่างสงสัยกับไอ้นัก ซึ่งจากที่มั่นใจตอนแรกกลายเป็นว่าเพื่อนรักของผมมันก็เริ่มไม่แน่ใจและสับสนว่าควรจะยังคิดว่าเฮียกุนเป็นพี่รหัสของมันหรือเปล่า

      ส่วนผมถึงจะยังไม่มั่นใจเต็มร้อยแต่ก็แน่ใจมากขึ้นว่าอาจจะเป็นเฮียกุน เปอร์เซ็นที่ยังไม่แน่ใจคือเฮียแกเป็นคนที่รอบคอบจะตายแล้วจะมาเปิดเผยชัดเจนขนาดนี้ได้ยังไง ที่ผมยังสับสนลังเลก็เพราะคนอย่างเฮียแกเป็นห่วงและดูแลผมเป็นพิเศษเนี่ยแหละ…


      สรุปเฮียเป็นพี่รหัสผมป่ะเนี่ย?




-----TBC-----




Banoffe's zone

เอาล่ะสิ ภามดูเหมือนจะทำตัวเป็นพระเอกแทนขุนศึกซะแล้ว

ยังไงก็ติดตามตอนต่อไปด้วยนะคร้าบ



ออฟไลน์ bigbeeboom

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 381
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
Re: #Heart To Heart #ใจแพ้รัก 「ตอนที่11」-30/04/19-
«ตอบ #28 เมื่อ07-05-2019 01:05:40 »

อ่านรวดเดียวเลย สนุกมากๆจ้า เอาให้เสียใจ น้อยใจกว่านี้ไปอีก ขยี้ไปเลย เวลาเอาคืนได้สาแก่ใจ :)

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
 :pig4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด