พิมพ์หน้านี้ - ❤#Heart To Heart #ใจแพ้รัก❤ 「ตอนที่22」-27/07/19-

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: ิbanoffee ที่ 22-03-2019 19:59:16

หัวข้อ: ❤#Heart To Heart #ใจแพ้รัก❤ 「ตอนที่22」-27/07/19-
เริ่มหัวข้อโดย: ิbanoffee ที่ 22-03-2019 19:59:16
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
หัวข้อ: Re: #Heart To Heart #ใจแพ้รัก
เริ่มหัวข้อโดย: ิbanoffee ที่ 22-03-2019 20:12:20
『Heart To Heart ใจแพ้รัก❤ 』

(https://sv1.picz.in.th/images/2019/03/23/tOwHtD.png)

“หลีกหนียังไงก็หนีหัวใจตัวเองไม่พ้น
ยิ่งใจอยากหลีกหนีเท่าไร แต่ก็แพ้ใจตัวเองอยู่ดี”
Banoffee.

สารบัญ
บทนำ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69890.msg3957841#msg3957841)
#ใจแพ้รัก ตอนที่1 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69890.msg3958062#msg3958062)
#ใจแพ้รัก ตอนที่2 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69890.msg3958289#msg3958289)
#ใจแพ้รัก ตอนที่3 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69890.msg3958795#msg3958795)
#ใจแพ้รัก ตอนที่4 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69890.msg3959031#msg3959031)
#ใจแพ้รัก ตอนที่5 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69890.msg3960011#msg3960011)
#ใจแพ้รัก ตอนที่6 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69890.msg3960982#msg3960982)
#ใจแพ้รัก ตอนที่7 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69890.msg3962070#msg3962070)
#ใจแพ้รัก ตอนที่8 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69890.msg3965396#msg3965396)
#ใจแพ้รัก ตอนที่9 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69890.msg3967274#msg3967274)
#ใจแพ้รัก ตอนที่10 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69890.msg3967556#msg3967556)
#ใจแพ้รัก ตอนที่11 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69890.msg3969594#msg3969594)
#ใจแพ้รัก ตอนที่12 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69890.msg3971601#msg3971601)
#ใจแพ้รัก ตอนที่13 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69890.msg3971949#msg3971949)
#ใจแพ้รัก ตอนที่14 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69890.msg3973612#msg3973612)
#ใจแพ้รัก ตอนที่15 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69890.msg3974249#msg3974249)
#ใจแพ้รัก ตอนที่16 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69890.msg3975462#msg3975462)
#ใจแพ้รัก ตอนที่17 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69890.msg3978173#msg3978173)
#ใจแพ้รัก ตอนที่18 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69890.msg3980143#msg3980143)
#ใจแพ้รัก ตอนที่19 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69890.msg3982446#msg3982446)
#ใจแพ้รัก ตอนที่20 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69890.msg3984310#msg3984310)
#ใจแพ้รัก ตอนที่21 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69890.msg3987417#msg3987417)
#ใจแพ้รัก ตอนที่22 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69890.msg3992580#msg3992580)
หัวข้อ: Re: #Heart To Heart #ใจแพ้รัก 「บทนำ」-22/03/19-
เริ่มหัวข้อโดย: ิbanoffee ที่ 22-03-2019 20:29:07
บทนำ

    วันนี้ผมคาดเดาว่าจะเป็นข่าวดีของบ้านหลังใหญ่ที่อยู่รั้วติดกัน เมื่อป้าแม่บ้านกำลังทำความสะอาดครั้งใหญ่ในรอบหลายปี นั่นหมายความว่าเจ้าของบ้านที่จากไปนานกำลังจะกลับมา

        ใครบางคนที่ผมรอคอยจะได้กลับมาเจอหน้ากันอีกครั้ง…

        รักแรกของผม…

        คนที่สร้างความประทับใจให้กับผมตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน ผมเกิดปลื้มและชื่นชอบเขามาก ทว่าเพียงแค่หนึ่งเดือนที่ผมเพิ่งย้ายมาเป็นเพื่อนบ้านของเขา คนๆ นั้นก็ต้องย้ายไปอยู่อังกฤษเพราะธุรกิจของครอบครัว

        ผมไม่รู้เลยว่าเขาจะไปกี่วันกี่เดือนหรือกี่ปี มันเป็นการไปอยู่อย่างไม่มีวันกำหนดกลับที่แน่นอน เพราะอย่างนั้นผมจึงเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาชะโงกมองเข้าไปในรั้วใหญ่ทุกวัน

        เพื่อหวังว่าสักวันหนึ่ง ผมจะได้เห็นใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มใจดีของเขากำลังเดินออกมาพร้อมกับทักทายผมเหมือนอย่างที่เคยเป็น

        ผมรู้จักคนๆ นั้นตอนอายุเพียงแปดขวบและเขาที่มีอายุมากว่าผมสองปี ตอนนั้นผมมีความลับบางอย่างที่จำเป็นต้องปิดบังและเขายังไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนั้นกระทั่งมันผ่านมานานถึงแปดปีหลังจากที่เขาได้ร่ำลาไป

        ผมอายุสิบหกและเขาก็คงสิบแปดปีแล้ว ผมอดตื่นเต้นและดีใจไม่ได้ที่จะได้เจอเขาซะที ทว่าหากเขาเจอผมในตอนนี้ เขาจะยังจำเด็กข้างบ้านอย่างผมได้มั้ย หากเขาได้มาเห็นสภาพของผมในตอนนี้…


       ‘เขาจะผิดหวังหรือเปล่า’


        การรอคอยสิ้นสุดเมื่อผมเห็นรถแวนคันหรูสีดำขับเคลื่อนผ่านรั้วใหญ่เข้าไปจอดข้างใน เห็นดังนั้นผมที่ยังทำตัวมาชะโงกมองเฉกเช่นทุกวันจึงถือวิสาสะรีบเดินตามเข้าไปก่อนรั้วจะถูกปิดอัตโนมัติ

        ผมยืนฉีกยิ้มกว้างเพราะดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่พลางไล่สายตามองคนที่ทยอยลงจากรถมาทีละคน “คุณลุง คุณป้า สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้คนทั้งสองที่ลงมาจากรถก่อนจะตามมาด้วยลูกชายทั้งสามของพวกเขา

       “ใครกันเหรอครับ?” นั่นเขา…คนที่กำลังมองผมอย่างสงสัย ผมนึกไว้อยู่แล้วว่าเขาไม่มีทางจำผมได้

       ตอนนี้ทุกคนต่างยืนมองผมด้วยสีหน้าสงสัยว่าผมเป็นใครกัน แต่มีหนึ่งคนที่ขมวดคิ้วมองผมสักพักแล้วคลายยิ้มออกมา “เฮ้ย โชเหรอวะ”

       “เออ” ผมตอบ คงมีมันคนเดียวที่จำผมได้ เราทั้งคู่ดีใจจนโผกอดแล้วตบบ่าเบาๆ ทักทายกัน

       “นี่โชไงครับ…โชกุน” พอผมถูกแนะนำว่าเป็นใคร สีหน้าทุกคนต่างก็อึ้งและคงไม่อยากจะเชื่อว่าตรงหน้าคือคนที่พวกเขาเคยรู้จัก

       พวกเขายังคงสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรมาก เพราะเวลานี้เราต่างก็ทักทายกันก่อนตามประสาที่ไม่ได้เจอมานาน ยกเว้นแต่คนที่ผมเฝ้ารอคอยที่จะเจอมาตลอด ตอนนี้เขาไม่พูดอะไรสักคำและเอาแต่มองผมด้วยสายตาแบบนั้น…


       สายตาที่ดูผิดหวัง


       เขาคนนั้นเดินเข้าไปในบ้านด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนเป็นเย็นชาโดยไม่เอ่ยถามหรือรอฟังผมอธิบายอะไรเลย






Banoffee's zone
เรื่องอะไรที่ทำให้ใครคนนั้นต้องผิดหวังกันนะ...
โปรดติดตามตอนต่อไปของนิยายเรื่องนี้ด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: #Heart To Heart #ใจแพ้รัก
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 22-03-2019 21:34:35
ลุ้น
หัวข้อ: Re: #Heart To Heart #ใจแพ้รัก 「ตอนที่1」-23/03/19-
เริ่มหัวข้อโดย: ิbanoffee ที่ 23-03-2019 14:29:12
ตอนที่ 1


      โชกุน เธียรวาณิชย์…สอบได้…

      “เย้!!!”

      ครับ…นั่นชื่อของผมเอง หลังจากที่ผมเห็นผลการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ผมก็ดีใจจนตะโกนลั่นบ้าน

      พ่อที่ง่วนอยู่กับการปลูกต้นไม้อยู่สวนหน้าบ้านถึงกับวิ่งมาทั้งมือที่ยังเปอะเปื้อนดิน ส่วนแม่ที่กำลังทำกับข้าวในครัวก็วิ่งหน้าตื่นมาทั้งที่ตะหลิวยังคามืออยู่เลย “เกิดอะไรขึ้นลูก ร้องเสียงดัง แม่ตกใจหมด” แม่ถาม

      “ฮ่าๆๆ ใจเย็นกันนะครับทุกคน” ผมหัวเราะให้กับท่าทางที่ตลกของพวกท่าน นั่นทำให้พ่อเบิ้ดกระโหลกผมไปหนึ่งทีแล้วจ้องเขม็งเพื่อเร่งให้ผมตั้งโต๊ะแถลงการณ์ซะที ว่าสาเหตุอะไรที่ผมต้องตะโกนเสียงดังจนทำให้พวกเขามารวมตัวกันที่ห้องนั่งเล่นแบบนี้ “อะแฮ่ม…ผมสอบติดคณะบริหารครับผมมมม” ผมยืดอกอ้าแขนพูดอย่างภาคภูมิใจ

      “คณะน่ะใช่ แต่สถาบันไม่ใช่” พ่อพูดขึ้นหลังจากเดินมาดูโน้ตบุ๊คที่ยังค้างหน้าจอประกาศผลสอบไว้

      “โธ่พ่อ แต่นี่ก็เป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงไม่แพ้กันเลยนะ ผลประกาศออกก่อนและปรากฏว่าผมสอบติดด้วย ถ้าอย่างนั้นก็ให้ผมเรียนที่นี่เถอะ นะๆๆ พ่อนะ” ผมพูดพลางดึงแขนอ้อนพ่อไปมาเหมือนเด็ก

      “หึ หัวหมอนักนะ ฉันไม่สนว่าแกจะสอบติดที่นี่ก่อน” พ่อสะบัดมือผมออกอย่างไม่ไยดี “ทั้งพ่อและแม่ของแกเคยเป็นศิษย์เก่าที่มหาวิทยาลัยแห่งนั้นทั้งคู่ ดังนั้นแกจะต้องเจริญรอยตามโดยการเรียนที่นั่นด้วย เข้าใจมั้ย แล้วก็สามวันข้างหน้าแกค่อยมาบอกข่าวดีให้ฉันฟังอีกที โอเค้” สายตาประกาศิตจากพ่อได้ส่งมาถึงผมก่อนที่จะเดินออกไปปลูกต้นไม้ที่สวนหน้าบ้านต่อ


      “แม่คร้าบบบบ” ผมหันไปพูดเสียงอ้อนและทำตาแป๋วเพื่อขอความช่วยเหลือจากแม่

      “อย่ามองแบบนั้น แม่ช่วยไม่ได้หรอก เคยพูดให้แล้วแต่พ่อลูกน่ะคำไหนคำนั้น เอาเป็นว่าเรียนที่ที่พ่อเขาคาดหวังไว้เถอะนะ แม่ไปทำกับข้าวต่อละ”

      อย่างที่พ่อพูดแหละครับว่าผมต้องเรียนมหาวิทยาลัยที่ท่านเลือก ผมสอบติดสถาบันแห่งหนึ่งที่ผลประกาศออกก่อน โดยหวังว่าถ้าสอบติดท่านก็อาจจะใจอ่อนยอมให้ผมเรียนที่นี่เลย แต่ว่าพ่อผมเป็นคนหนักแน่นครับ ยังไงก็จะให้ผมเรียนที่เดียวกันกับที่พวกท่านเคยเรียนให้ได้ ซึ่งผลสอบที่ดังกล่าวก็จะประกาศในอีกสามวันข้างหน้านี้

      ผมมั่นใจว่าจะต้องสอบติดมหาวิทยาลัยแห่งนั้นได้แน่เพราะผมตั้งใจทำข้อสอบเป็นอย่างดี ในทางตรงกันข้ามถ้าผมสอบไม่ติด พ่อก็จะคิดว่าผมแกล้งไม่ตั้งใจสอบเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเรียนที่นั่น และถ้าเป็นอย่างนั้นท่านก็ถึงขั้นจะตัดขาดกับผม ความหนักแน่นของพ่อก็คือพูดจริงทำจริงครับ ผมเคยเจอมาแล้ว ดังนั้นผมจึงไม่อยากให้เกิดปัญหาแบบนั้นและไม่อาจทำให้ท่านผิดหวัง ยังไงซะผมก็คงต้องได้เรียนที่นั่น


      ที่เดียวกันกับเขาคนนั้น…


      ทำไมต้องเป็นที่แห่งนั้นและยังเป็นคณะเดียวกันอีกด้วยยยยยย






      วันปัจฉิมนิเทศ



      “กูสอบติดคณะและก็ที่เดียวกันกับมึงว่ะ”

      “จริงเหรอเพื่อน อย่างนี้มันต้องฉลอง” ไอ้นักทำท่าดีใจออกนอกหน้า

      “เชี่ยนักดูหน้ากูด้วย มึงก็รู้ว่ากูไม่อยากเรียนที่เดียวกันกับพี่มึง” ผมพูดด้วยสีหน้าที่โคตรเซ็ง

      “โอ้ย ไม่ต้องไปสนเฮียเขาหรอก กูดีใจที่มึงกับกูได้เรียนที่เดียวกันนะเว้ย”


      ไม่มีอะไรที่จะทำให้ผมหงุดหงิดเท่าเรื่องนี้…ใช่แล้วครับ ผมสอบติดมหาวิทยาลัยที่พ่อคาดหวังไว้ ท่านดีใจและมีความสุขมาก ตัดภาพมาที่ผมผู้ซึ่งเครียดกับการที่จะได้เผชิญหน้ากับคนๆ หนึ่งหากได้ไปเรียนที่นั่น

      คนนั้นที่ผมพูดถึงมาตลอดก็คือเฮียขุน เขาคือพี่ใหญ่ของไอ้นักเพื่อนผมเอง คนที่ผมเคยรอคอยมาแปดปีนั่นแหละครับ คนที่ผมเป็นปลื้มและชื่นชอบเขามาตลอดจนกระทั่ง…






      วันเดียวกันเมื่อสองปีที่แล้ว



      “เฮียขุน ไอ้โชมีของจะให้” ไอ้นักพูดพลางผลักผมเข้าไปในห้อง

      “ขะ…ของขวัญครับ” ผมยื่นกล่องของขวัญให้เฮียขุนอย่างเขินๆ

      “น้องโชไม่มีของขวัญให้พี่บ้างล่ะครับ โหย กูอิจฉามึงนะเนี่ยไอ้ขุน” ไอ้พี่ภามแซวผม หลังจากนั้นเพื่อนอีกสองสามคนที่นั่งอยู่ในห้องด้วยกันก็โห่ฮิ้วขึ้นมา เอาซะผมทำตัวไม่ถูกเลยล่ะครับ

      “น้องให้ก็รีบรับดิวะ มึงไม่เอากูเอานะเว้ย” พี่ภามคนเดิมพูด

      พี่ภามคือคู่กรณีของผมตอนเด็กครับ มันคือสาเหตุที่ทำให้เกิดรักแรกของผม มันชอบแกล้งและเฮียขุนก็จะเป็นคนที่ปกป้องผมตลอด ตอนนั้นผมโคตรจะเกลียดมันเลย พอโตขึ้นถึงมันจะยังชอบแซวอยู่แต่ผมก็ไม่ได้อะไรกับมันมาก ต้องขอบคุณมันด้วยซ้ำที่ทำให้ได้รู้จักถึงการอดทนที่จะรอใครสักคน อีกอย่างตอนนี้มันกับเฮียขุนก็ได้กลายมาเป็นเพื่อนสนิทกันซะงั้น

      “ถ้ามึงอยากได้ก็เอาไปดิ” เฮียขุนพูดกับพี่ภาม วินาทีนั้นผมรู้สึกหน้าเสียและชาไปทั้งตัว มันเหมือนกับว่าผมถูกหักอกยังไงยังงั้น

      “เฮ้ย กูพูดเล่น มึงจะบ้าเหรอ น้องเขาเอามาให้มึงนะ รีบๆ รับไป เสียน้ำใจคนให้หมด”

       เฮียขุนยื่นมือมารับของขวัญของผมไป ไม่ว่าเขาจะรับไปด้วยความเต็มใจหรือเป็นเพราะพี่ภามมันพูด ผมก็โคตรดีใจที่อย่างน้อยเขาก็ยังรับมันไว้

       “เอ่อ…วันปัจฉิมทั้งที ตามธรรมเนียมก็ต้องมีการเขียนเสื้ออ่ะเนาะ ไอ้โชเขียนเสื้อให้เฮียขุนสิ” ไอ้นักพูดตัดบรรยากาศแล้วยัดปากกาใส่มือผม

       ผมถือปากกาและมองหาที่ว่างบนเสื้อเฮียขุนด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ เขาเอาแต่ใช้สายตาที่เรียบเฉยจ้องมาที่ผมพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย เดาได้เลยว่าเขาคงไม่อยากให้ผมเขียนเสื้อให้

       ผมไล่สายตามองข้อความต่างๆ นานาบนเสื้อเต็มไปหมด อวยพรบ้างล่ะ ชมบ้างล่ะ แจกเบอร์ก็มี เป็นธรรมดาที่คนหล่อและดังอย่างเฮียขุนก็คงมีคนอยากจะเขียนเสื้อให้เขาทั้งนั้น

       ตอนนี้ผมหาพื้นที่จะเขียนแทบไม่ได้ ยังดีที่เหลือบไปเห็นพื้นที่ว่างแสนจะน้อยนิดตรงชายเสื้อด้านหน้าของเฮียขุน “ผมขออนุญาตเขียนเสื้อให้นะครับ” ผมพูดกับเขาก่อนที่จะตัดสินใจเลือกเขียนตรงนั้น ส่วนเขาไม่พูดอะไรและยังคงเอาแต่จ้องมองด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยพอใจสักเท่าไร



      ไม่ว่ายังไง…ถึงแม้เขาจะไม่อนุญาตหรือไม่เต็มใจ แต่ผมก็จะเขียนให้เขาอยู่ดี



      “มึงมีกรรไกรมั้ย” หลังจากที่ผมเขียนเสร็จ เฮียขุนก็ถามหากรรไกรจากเพื่อน

      “เอาไปทำอะไรวะ” เพื่อนของเขาคนหนึ่งถามพลางยื่นกรรไกรให้หลังจากก้มๆ มองๆ ดูในใต้โต๊ะแถวนั้น

      เฮียขุนมองมาที่ผมก่อนจะใช้กรรไกรนั้นตัดชายเสื้อตรงส่วนที่เป็นข้อความของผม เขาถือส่วนที่ตัดออกมาพร้อมกล่องของขวัญเดินไปที่หลังห้องซึ่งเป็นที่วางของถังขยะ…





      …แล้วเขาก็ทิ้งสิ่งที่ถือลงไปในนั้น





      “กูเกลียดมึง” เฮียขุนหันมาพูดประโยคนั้นกับผม





      เหมือนความรู้สึกและหัวใจของผมถูกทิ้งลงขยะเช่นกัน




      คำพูดและสีหน้าที่เย็นชาของเขามันทำให้ผมเจ็บจี้ดที่หัวใจ…มันเจ็บจนทำให้มีน้ำใสๆ เอ่อล้นออกมาจากดวงตาของผม

      “ไอ้โช เดี๋ยวก่อนดิวะ!” เสียงไอ้นักเรียกตามหลังผมที่วิ่งปาดน้ำตาออกมาจากห้อง

      ผมโคตรอายและทนที่จะมองหน้าคนๆ นั้นไม่ได้อีกต่อไป



      “โว้ยยยยยยยยยย” ผมตะโกนออกมาเสียงดังหลังจากที่วิ่งจนขึ้นมาถึงดาดฟ้า ปลดปล่อยความอัดอั้นไปกับน้ำตาและเสียงที่ตะโกนออกไป

      อันที่จริงผมก็รู้ตัวมาตลอดว่าเฮียขุนคงเกลียดผมไปซะแล้ว เพราะตั้งแต่วันที่เขากลับมาจากอังกฤษและได้เข้ามาเรียนมอปลายปีสุดท้ายที่โรงเรียนเดียวกัน เขาไม่พูดและไม่แม้แต่จะมองหน้าผมเลย มีแค่ผมฝ่ายเดียวที่ยังคงยิ้มและพยายามเข้าไปทักทายเขา แต่ก็โดนเมินหนีตลอด




      ‘มันผิดนักหรือไงที่ผมเป็นผม




      “ถ้าพี่มึงอยากเกลียดกู ก็ได้…กูก็จะเกลียดเขาเหมือนกัน” ผมพูดด้วยความรู้สึกปวดใจกับไอ้นักที่วิ่งตามผมขึ้นมา มันได้แต่เอามือแตะไหล่เบาๆ ปลอบผม


      และนั่นแหละครับ…สาเหตุที่ผมไม่อยากเรียนที่เดียวกันกับเฮียขุน







      “เย็นนี้ที่บ้านมีดินเนอร์มื้อใหญ่ฉลองที่กูเรียนจบมอปลาย มึงมาสิ เฮียขุนกับเฮียกุนก็กลับมากินข้าวที่บ้านในรอบหลายเดือนด้วยนะเว้ย มึงไม่อยากไปเห็นหน้าเฮียเขาหน่อยเหรอวะ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน” ไอ้นักพูดน้ำเสียงหยอกล้อ

      “กวนตีนละ มึงจะให้กูไปให้พี่มึงทำหน้าถมึงทึงใส่กูหรือไงล่ะ กูไม่ไปหรอก” ผมพูดพลางถอนหายใจออกมาเบาๆ

      “กูเชื่อว่ายังไงมึงก็ต้องไป”

      “กูบอกไม่ไปก็คือไม่ไป”

      “เออๆ ถ้างั้นตอนนี้มึงไปกินไอติมหวานเย็นให้ชื่นใจกับกูเปล่า ไม่ได้ไปกันแค่สองคนหรอกนะ น้องแอลกับน้องโบว์ก็ไปด้วย พวกน้องเขาอยากจะฉลองให้กูอ่ะ มึงไปด้วยเผื่อจะปิ๊งถูกใจใครสักคน น่ารักทั้งคู่เลยนะเว้ย ไปม่อสาวกับกู มึงจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปคิดมากเรื่องเฮียขุน ว่าไง สนใจมั้ย”

      “ไปม่อคนเดียวเลยไป” ผมผลักให้ไอ้นักรีบเดินไป เพราะทั้งน้องแอลและน้องโบว์ที่ยืนรออยู่หน้าประตูโรงเรียนกวักมือเรียกมันอยู่ไหวๆ

      “ไม่ไปด้วยกันจริงเหรอวะ”

      “รีบไป มาเซ้าซี้กูอยู่ได้” ผมถีบส่งมันไปอีก

      “ไว้เจอกัน ยังไงเย็นนี้ต้องได้เจอมึงที่บ้านกูแน่” ไอ้นักหันมาพูดทิ้งท้ายก่อนจะวิ่งไปหาสาวๆ ของมัน ผมส่ายหัวอย่างเบื่อหน่าย

      เรื่องอะไรที่ผมจะต้องไป…ก็ผมบอกกับตัวเองว่าเกลียดเขาไปแล้วนี่

      ตั้งแต่ที่เฮียขุนจบมอปลายไปแล้วสองปี เขาก็ได้ย้ายไปอยู่หอพักใกล้กับมหาวิทยาลัยที่ชานเมือง นานๆ ทีหรือไม่ก็ช่วงปิดเทอมเขาถึงจะกลับมาที่บ้าน ในบางครั้งที่ผมไปหาไอ้นัก ผมก็ได้แต่เกาะรั้วประตูเพราะไม่อยากที่จะเข้าไปเผชิญหน้ากับเขา…ได้แต่มองเขาที่เดินเพ่นพ่านอยู่ภายในบ้านจากหน้ารั้วเท่านั้น







      “โชกุน ไปบ้านใหญ่ด้วยกัน”

      “โอ้ยย ไม่ไป…ผมบอกพ่อแล้วว่าไม่อยากไป” พ่อของผมกำลังบังคับโดยการฉุดกระชากลากถูผมที่เอาแต่เกาะประตูหน้าบ้านแน่น

       “ทำไมแกถึงไม่ไปห้ะ บ้านใหญ่เขาอุตส่าห์ชวน นานๆ ทีจะได้ทานข้าวร่วมกัน อีกอย่างก็เป็นการฉลองทั้งแกแล้วก็นักได้เรียนจบมอปลาย แม่แกก็ทำอาหารเยอะแยะไปร่วมสบทบแล้วด้วย ยังไงแกก็ต้องไป!”

       “ม่ายยยยยยยยย”

       เป็นอย่างที่ไอ้นักพูดจริงๆ ครับว่าตอนเย็นจะได้เจอกันที่บ้านมัน เพราะผมไม่อาจต้านทานคำสั่งและแรงของพ่อได้ ตอนนี้ผมก็ถูกพ่อล็อคคอจนเดินเข้ามาในบ้านใหญ่แล้วด้วย

       บ้านหรูหราคลาสสิคถูกตกแต่งเป็นสไตล์ยุโรป ผมตื่นตาตื่นใจทุกครั้งที่ได้เดินผ่านประตูบานโอ่อ่าเข้ามา นั่นเป็นเหตุที่ทำให้ครอบครัวผมขนานนามบ้านหลังนี้ว่าบ้านใหญ่ เพราะบ้านของผมที่ตั้งอยู่ข้างๆ กลายเป็นบ้านเล็กไปเลยครับ

      “พ่อ สวัสดีครับ อ้าว ไอ้โช…กะไว้อยู่แล้วเชียวว่ามึงต้องมา” ไอ้นักยกมือไหว้พ่อก่อนหันมาพูดกับผมด้วยใบหน้ายิ้มแป้น ผมกัดฟันยิ้มให้มันพลางเดินไปที่โต๊ะอาหารกับพ่อ

       หึ มันรู้อยู่แล้วสินะว่าพ่อต้องบังคับให้ผมมาจนได้

       โต๊ะอาหารที่ยาวและหรูหราตระการตา มีคุณลุงที่เป็นพ่อของไอ้นักผู้ซึ่งเป็นเจ้าบ้านนั่งอยู่หัวโต๊ะ ผมไหว้ท่านก่อนนั่งลงข้างไอ้นักที่เป็นฝั่งตรงข้ามกับที่ผู้ใหญ่นั่งกัน โดยฝั่งผมมีเก้าอี้สองตัวถัดจากหัวโต๊ะเว้นว่างไว้ก่อนถึงที่นั่งของไอ้นัก แน่นอนว่าเป็นที่นั่งสำหรับเฮียขุนและเฮียกุนที่ยังมาไม่ถึง

       คุณป้าและแม่ที่แสดงฝีมือกันเองทยอยยกอาหารจากครัวมาวางที่โต๊ะ “นัก…โทรถามพวกเฮียซิว่าถึงไหนกันแล้ว” คุณป้าพูดขึ้น

      “โทรไปแล้ว พวกเฮียบอกว่าใกล้จะถึงแล้วครับม๊า” พอไอ้นักพูดจบ ผมก็ได้ยินเสียงรถมาจอดที่หน้าบ้านทันที

      เดินเข้ามาแล้ว…บุคคลที่ผมไม่อยากจะเผชิญหน้ากับเขา ส่วนคนที่ใส่แว่นเดินตามหลังมาก็คือเฮียกุน

      เพียงแค่เฮียขุนเดินผ่านข้างหลังไปก็เล่นซะผมได้แต่นั่งเกร็งและทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะต้องหันไปทักทายพวกเขาดีมั้ย ผมเอาแต่นั่งทื่อมองตรงไปข้างหน้า ไม่กล้าแม้แต่จะเหลียวหางตาไปมองด้วยซ้ำ ทว่าเดาได้เลยว่าสีหน้าของเฮียขุนคงไม่สบอารมณ์นักที่เห็นผมนั่งร่วมโต๊ะกับเขา

      เฮียขุนและเฮียกุนยกมือไหว้ผู้ใหญ่ก่อนที่จะนั่งลงประจำที่ของตัวเอง

      “แต่ละคนหล่อจริงๆ เลยลูกชายแม่” ดูเหมือนคุณป้าจะดีใจและปลาบปลื้มมากที่วันนี้ลูกชายทั้งสามของท่านได้มารวมตัวพร้อมหน้าพร้อมตากันแบบนี้ และก็ไม่ปฏิเสธเลยครับว่าลูกชายตระกูลนี้ดูดีกันทุกคน

      คนโต ‘ขุนศึก จรัสวาณิชย์’ หรือ เฮียขุน

      คนรอง ‘กุนซือ จรัสวาณิชย์’ หรือ เฮียกุน

      และคนเล็ก ‘นักรบ จรัสวาณิชย์’ หรือ ไอ้นักนั่นแหละครับ

      พวกเขาถูกรู้จักกันในนามว่า ‘สามพี่น้องจรัสวาณิชย์’ โดยมีพี่ใหญ่อย่างเฮียขุนเป็นผู้นำทัพในทุกด้าน นอกจากหน้าตาแล้ว ความรวย การแต่งตัวและแม้แต่การเรียน พวกเขาก็สมบูรณ์แบบไปซะหมด ไม่แปลกใจที่สาวๆ ในโรงเรียนต่างก็รู้จักและชื่นชอบ ยิ่งไปกว่านั่นเมื่อพวกเขากลายเป็นบุคคลที่รู้จักในวงกว้าง เพราะรูปภาพของทั้งสามคนได้ไปโผล่ในเพจไฮสคูลคิ้วท์บอย

      พอจบมอปลายออกไปเฮียขุนก็ได้ดีกรีเป็นถึงเดือนมหาวิทยาลัย ยิ่งทำให้มีคนรู้จักเพิ่มขึ้นไปอีก เฮียกุนไม่น้อยหน้าได้เป็นเดือนมหาวิทยาลัยในปีถัดมา ในปีนี้ตำแหน่งนั้นคงหนีไม่พ้นไอ้นัก มันอาจจะได้เจริญรอยตามพี่ๆ เป็นเดือนมหาวิทยาลัยเช่นเดียวกัน

      พวกเขาทั้งสามคนเรียนคณะบริหารเนื่องจากธุรกิจของครอบครัว ผมก็ด้วย แต่พี่น้องเรียนแตกต่างกันคนละสาขา ส่วนผมเลือกเรียนสาขาเดียวกันกับไอ้นัก ทั้งบ้านใหญ่และบ้านเล็กต่างก็ทำธุรกิจส่งออก พวกเขาส่งออกจิวเวอรี่ ส่วนครอบครัวผมส่งออกผลไม้ แม้จะเป็นธุรกิจแบบเดียวกันแต่ก็ดูต่างกันมาก เธียรวาณิชย์ของผมเทียบอะไรไม่ได้กับจรัสวาณิชย์เลยล่ะครับ

      แค่ชื่อของพวกเขาก็ดูมีความหมายและยิ่งใหญ่ ผมที่ชื่อโชกุน…ฟังดูเหมือนจะเป็นยิ่งใหญ่กว่าพวกเขา ไม่ใช่ท่านโชกุนแต่อย่างใด ที่จริงแล้วชื่อของผมมาจากสายพันธุ์ส้มที่ปลูกอยู่ที่บ้านสวนของคุณยายต่างหาก


      “ดูตอนนี้สิ โตเป็นหนุ่มแล้ว ตอนเด็กยังเป็นเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักอยู่เลย ใช่มั้ยโช”

      “วะ…ว่าอะไรนะครับ” มัวแต่คิดเรื่องสามพี่น้องจรัสวาณิชย์จนได้ยินเป็นเสียงแว่วว่าคุณป้าพูดอะไรสักอย่างเกี่ยวกับผม

      “ก็ตอนเด็กที่โชเป็นเด็กผู้หญิงไง ตอนกลับมาจากอังกฤษป้าแทบจำไม่ได้ว่าเป็นคนคนเดียวกัน ไม่คิดว่าเด็กผู้หญิงที่น่ารักคนนั้นจะโตขึ้นมาเป็นหนุ่มหล่อ ตอนนั้นขุนเขาชอบพามาเล่นที่บ้านบ่อยๆ เอาแต่มาพูดให้ฟังว่าโชน่ารักอย่างนั้นอย่างนี้ บอกว่าชอบโชมาก ขนาดไปอยู่อังกฤษก็เอาแต่บ่นคิดถึงทุกวี่วัน เคยบอกอีกด้วยนะว่าถ้าโตขึ้น…”

       “ม๊าครับ…” เฮียขุนพูดแทรกคุณป้าขึ้นมาด้วยสีหน้าที่เริ่มไม่ชอบใจ

      “แหม ไม่ต้องอายหรอกน่า” คุณป้าหัวเราะก่อนจะพูดต่อ “ขุนบอกว่าถ้าโตขึ้นจะแต่งงานกับโชด้วยล่ะ โอ้ย พอรู้ว่าโชเป็นผู้ชาย ป้านี่อดขำไม่ได้เลย” ทุกคนพากันหัวเราะให้กับเรื่องตลกบนโต๊ะอาหารของคุณป้า

      “เลิกพูดเรื่องนั้นเถอะครับม๊า!” แต่ดูเหมือนบางคนจะไม่ตลกด้วย เฮียขุนเกรี้ยวกราดพูดขึ้นมาเสียงดังจนทุกคนหัวเราะเจื่อนลงแล้วหันไปสนใจกับอาหารที่อยู่ตรงหน้ากันต่อ
 

      ผมควรจะดีใจมั้ยที่เขาเคยมีความรู้สึกกับผมแบบนั้น…


      ไม่สินะ…เพราะเรื่องมันกลับตาลปัตร พอเฮียขุนรู้ว่าผมเป็นผู้ชาย จากที่เคยชอบก็เปลี่ยนเป็นเกลียด ทำเหมือนกับผมไม่มีตัวตน



      ในใจของเขาคงมีแต่เด็กผู้หญิงที่ชื่อโช



      …ไม่ใช่ผู้ชายที่ชื่อโชอย่างผม





      มื้อค่ำจบลงที่ผู้ใหญ่นั่งทานของหวานและสนทนาพาทีกันต่อ ส่วนผม ไอ้นักและเฮียกุนย้ายมานั่งตีดอทกันที่ห้องนั่งเล่นรำลึกความหลังทิ้งท้ายสถานะมอปลายกันซะหน่อย อีกคนที่ผมไม่ได้เอ่ยถึง เขาอิ่มและขอตัวลุกจากโต๊ะอาหารก่อนใคร ถ้าไม่ติดว่าเป็นการทานข้าวกับครอบครัว เขาก็คงไม่อยากที่จะนั่งร่วมวงกับผมนานนัก

      จำได้ว่าตอนผมกับไอ้นักอยู่มอห้าแล้วเฮียกุนอยู่มอหก ผมมาตีดอทกับพวกเขาบ่อยๆ เพราะตอนนั้นเฮียขุนได้ย้ายไปอยู่หอพักแล้ว ผมจึงไม่ต้องกังวลที่จะมาที่นี่ อย่างน้อยมันก็ทำให้ผมยังพอได้มีความทรงจำที่บ้านใหญ่บ้างนอกเหนือจากตอนวัยเด็ก

       และถึงแม้เฮียกุนจะเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว เราก็ยังนัดออนไลน์ตีดอทกันอยู่ แต่วันนี้เป็นโอกาสดีที่เฮียแกได้กลับมานั่งสั่งการข้างๆ เหมือนตอนมัธยม ได้เล่นแบบเห็นหน้าคร่าตากันมันได้อรรถรสกว่ากันเยอะเลย

      “ไอ้โช ไปเตรียมเสบียงหน่อยดิวะ” ไอ้นักใช้ผม

      “เมื่อกี้มึงเดินไปเข้าห้องน้ำแล้วทำไมไม่หยิบมาวะ” ผมโวยวายใส่มันเล็กน้อย

      “กูลืมอ่ะ แล้วก็ขี้เกียจเดินไปแล้วด้วย มึงนั่นแหละไปเอามาให้หน่อยยยย” ไอ้นี่มาทำเสียงอ้อน ผมส่ายหัวให้กับความขี้เกียจของมัน แต่ก็เป็นผมอยู่แล้วที่ต้องไปเอาเสบียงมาเตรียมพร้อมระหว่างตีดอททุกครั้งไป





      “อย่าดื้อสิคร้าบบบ ตอนนี้เฮียกลับมาบ้าน ถ้าขับรถไปกว่าจะถึงก็คงดึกมาก เอาเป็นว่าไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ เดี๋ยวเฮียจะทดเวลาที่เสียไปให้ โอเคมั้ย ได้เลย…ไว้เจอกันนะคร้าบบบ” ผมยังไม่ทันก้าวเข้าไปในครัวก็ได้ยินเฮียขุนกำลังคุยโทรศัพท์เสียงหวานพลางในมือถือกระป๋องเบียร์กระดกดื่มไปด้วย “ตอนนี้เฮียไปไม่ได้ โอ๋~ ตาหวานอย่างอนนะ พรุ่งนี้สัญญาเลยว่าจะไปหาแน่ๆ ครับผมมม” เหอะ วางสายจากอีกคนหนึ่งแล้วมาพูดหยอดกับอีกสายหนึ่ง รถไฟจะชนกันมั้ยนั่น

      ไม่แปลกใจเลยว่าไอ้นักได้ความเจ้าชู้หน้าม่อมาจากใคร เพราะนอกจากที่เฮียขุนเป็นผู้นำในด้านที่ผมได้กล่าวมาแล้วเขาก็ยังเป็นผู้นำในด้านนี้อีกด้วย ยกเว้นเฮียกุนที่ตั้งแต่ผมเคยเห็นมาเฮียเขาก็คบทีละคน ไม่ได้ทำตัวเจ้าชู้ไปทั่วเหมือนสองคนนั้น


       “มึงแอบฟังกูเหรอ” ในขณะที่ผมนินทาเขาในใจอยู่ตรงประตูครัว เฮียขุนเขาคงเห็นผม

       “เปล่านะ ผมแค่…”

       “ไม่มีมารยาท” เฮียขุนพูดขณะที่เดินผ่านผมไป สายตาของเขาที่มองผมยังคงเย็นชาเช่นเดิม

      เขาเองก็ไม่มีมารยาทหรือเปล่านะ ผมยังพูดไม่จบก็แทรกขึ้นมา หึ่ย! หมั่นไส้โว้ย แต่ผมก็ทำได้แค่มองค้อนตามหลังเขาไปเท่านั้นแหละครับ





       “กูใช้มึงไปเอาขนมแค่นี้ ต้องหงุดหงิดใส่กูขนาดนั้นเลยเหรอวะ” ไอ้นักพูดขึ้นหลังจากที่ผมเดินมาแล้วฟาดถุงขนมใส่มัน ผมไม่ได้ถือสาเรื่องที่มันใช้ผมไปเอาขนม แต่ผมอารมณ์เสียมาจากพี่ของมันต่างหากล่ะ

       “โชจะกลับพร้อมกันมั้ย” พ่อที่เดินมาพร้อมแม่ถามผม พวกท่านคงสนทนากับคุณลุงและคุณป้าพอสมควรแล้วเพราะตอนนี้เวลาก็ปาไปห้าทุ่ม

       “กลับเลยก็ได้ครับ” ผมตอบ

      “เอ้อ เมื่อกี้พวกพ่อกับแม่พูดเรื่องหอพักกันว่าจะให้โชไปอยู่กับนัก อยากให้นักเป็นหูเป็นตาช่วยดูแลโชมันด้วย พ่อเป็นห่วง” พ่อหันมาพูดกับไอ้นัก

      “ไม่ครับพ่อ ผมจะไม่อยู่หอกับไอ้นัก” ผมขัด

      “ทำไมล่ะ เฮียขุนกับเฮียกุนเขาก็อยู่หอนั้นด้วย มีอะไรจะได้ช่วยเหลือกันนะ” พ่อพยักหน้าขอความเห็นจากเฮียกุน

      “เอ่อ…ครับ” เฮียกุนน่าจะรู้ว่าทำไมผมไม่อยากอยู่หอเดียวกับพวกเขา

      ก็เพราะมีเฮียขุนอยู่ด้วยนั่นแหละ แค่ผมได้ไปเรียนที่เดียวกันกับเขา ผมก็รู้สึกเครียดและอึดอัดตั้งแต่ยังไม่ทันได้เปิดเทอม ถ้าได้ไปอยู่หอเดียวกันแล้วต้องทนเห็นสายตาเย็นชาจากเขาคนนั้นทุกวันอีก…


      ผมได้อัดอั้นใจตายกันพอดี


       “ยังไงผมก็ไม่อยู่หอนั้น…ไม่เด็ดขาด!












Banoffee's zone

ที่แท้เฮียขุนก็ผิดหวังที่โชไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิด

ไม่รู้จะสงสารใครดีระหว่างเฮียขุนกับโช

แต่ว่าเฮียขุนใจร้ายอ่าาาา

#โชกุน #เฮียขุนศึก

ปล.สถานที่และตัวละครในนิยายเรื่องนี้เป็นเพียงแค่เรื่องที่แต่งขึ้นเท่านั้น


หัวข้อ: Re: #Heart To Heart #ใจแพ้รัก 「ตอนที่2」-24/03/19-
เริ่มหัวข้อโดย: ิbanoffee ที่ 24-03-2019 00:18:33
ตอนที่2
   


      วันย้ายเข้ามาอยู่หอ


      ผมอยากจะร้องไห้จริงๆ ครับ ยังไงซะผมก็ไม่มีทางขัดพ่อได้ ตอนนี้ผมกำลังนั่งอยู่บนรถกับพ่อเพื่อไปยังหอพัก ท่านขับมาส่งผมด้วยตัวเองพร้อมกับของที่จำเป็นเต็มกระบะหลังรถ

      ผมไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เลยเพราะยังไงผมก็ยังขอเงินพ่อใช้อยู่ หากผมไปพักหออื่น ท่านก็จะไม่ให้เงินค่าเช่ากับผม…ไม่ให้แม้แต่ค่าเทอม พูดง่ายๆ ก็คือใช้ข้ออ้างตัดหางปล่อยวัดมาขู่นั่นแหละครับ

      ผมรู้ว่าที่จริงแล้วพ่อก็แค่เป็นห่วงผม ผมไม่ได้บอกและท่านก็ไม่ได้รู้เรื่องราวระหว่างผมกับเฮียขุนด้วย แต่ทำไมไม่ฟังผมบ้างเลย นี่พ่อมีข้อหากักขังผมให้ติดแหง็กกับเฮียขุนโดยไม่ได้ตั้งใจนะ

      เฮ้อออ ผมหน้ามุ่ยหันไปมองพ่อพลางถอนหายใจ ท่านเองก็หันมามองผมแต่ไม่ได้สนใจอะไรแล้วหันไปโฟกัสกับการขับรถต่อ




      “ไอ้นัก กูอยู่ข้างล่างหอแล้ว” ผมโทรหาไอ้นักให้ลงมาช่วยยกของ ซึ่งมันได้ย้ายเข้ามาอยู่หอก่อนผมเมื่อสองวันที่แล้ว

      รอสักพักไอ้นักก็เดินลงมา “พ่อ สวัสดีครับ” มันยกมือไหว้พ่อขณะที่ท่านกำลังช่วยผมขนของลงจากกระบะรถ

      “ขนขึ้นหอกันเองได้นะ พอดีพ่อต้องรีบไปทำธุระก่อน นัก…ยังไงพ่อก็ฝากดูแลโชด้วยนะ” พ่อพูดกับไอ้นัก หลังจากช่วยกันขนของลงเสร็จ

      “ไม่ต้องห่วงครับ ผมจะดูแลมันเป็นอย่างดี” ไอ้นักรับคำ

      “ผมโตแล้วนะพ่อ ไม่ต้องห่วงแล้วก็ไม่จำเป็นที่จะให้ไอ้นักมาดูแลผมหรอก”

      “เออๆ ถ้ามีอะไรก็โทรหาละกัน” พ่อตบบ่าทั้งผมและไอ้นักเบาๆ เป็นการบอกลาก่อนที่ท่านจะขึ้นรถแล้วสตาร์ทขับออกไป

     
      “ท่านมีลูกสาวคนเดียวก็ต้องห่วงเป็นธรรมดา” ไอ้นักหันมาพูดล้อผม

      “ลูกสาวพ่อง”

      “พ่อกูไม่มีลูกสาว”

      “ไอ้นี่…” ผมยันโคมความกวนตีนเข้าให้แต่มันหลบได้ทัน “แล้วนั่นมึงจะไปไหน ไม่ช่วยกูขนของหรือไง!” ผมตะโกนตามไอ้นักที่มันวิ่งหนีผมไปที่รถของมัน

      “โทษทีเพื่อน กูก็มีธุระที่ต้องไปทำกับพี่เมย์เหมือนกัน มึงขนขึ้นไปเองละกันนะ!” มันตะโกนกลับมาก่อนจะขึ้นรถแล้วสตาร์ทขับออกไปเช่นกัน

      “ไอ้นัก…ไอ้เพื่อนเวร!” ผมยังตะโกนด่าตามมันไป พ่อคิดผิดแท้ๆ ที่ฝากผมไว้กับมัน แต่ละวันคนไม่ได้เรื่องอย่างไอ้นักใช้เวลากับการม่อสาวไปทั่ว

      แล้วของจะทำยังไงล่ะทีนี้ ของเบาพอขนขึ้นไปได้แต่ของหนักนี่สิ…


      หอนี้ดูดีอยู่พอตัวแต่มีทั้งหมดแค่ห้าชั้นครับ และด้วยประการฉะนี้ จำนวนชั้นเพียงน้อยนิดจึงเป็นการสิ้นเปลืองหากต้องติดตั้งลิฟท์ มันหมายความว่าผมต้องขนของทั้งหมดนี้ขึ้นลงทางบันไดไปที่ห้องของผมซึ่งอยู่ชั้นสี่ นึกภาพแล้วก็เกิดความท้อแท้ใจเล็กน้อยที่จะต้องเหนื่อยกับการเดินขึ้นเดินลง

      ในขณะที่ผมกำลังคัดแยกของเบาที่พอจะขนขึ้นไปได้อยู่นั้น มีรถบีเอ็มสปอร์ตสีดำคันหรูขับมาจอดที่ลานจอดรถเทียบข้างหอ เจ้าของรถเปิดประตูแล้วย่างก้าวลงมา เผยให้เห็นออร่าแฟชั่นการแต่งตัวเป็นกางเกงยีนส์สีซีดและเสื้อเชิ้ตสีขาวที่เรียบง่ายทว่าดูสะดุดตา…

      เฮียขุน!

      ผมมัวแต่หลงเสน่ห์เขาไปชั่วครู่จนลืมไปว่านั่นเป็นโจทย์ของผมเอง เขากำลังเดินตรงมายังทางเข้าหอซึ่งของๆ ผมวางเต็มไปหมด ผมจึงละสายตาจากเขาแล้วรีบหันมาคัดแยกของต่อ

      ทำเป็นว่าไม่เห็นเขาละกัน

      ตุบ! เฮียขุนเดินสะดุดกล่องใส่รองเท้าของผม “เกะกะ” พูดแค่นั้นพลางเตะของๆ ผมให้พ้นทางแล้วเดินไป

      “นิสัยเสียว่ะ…ไม่มีน้ำใจ” ผมพูดกับตัวเองเบาๆ

      “มึงว่าไงนะ” แต่เขาดันได้ยิน

      “เปล่านี่” ผมทำหน้าไม่รู้ไม่ซี้

      ตาชั้นเดียวทว่ากลมโตและคมนั่นจ้องผมเขม็งอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะเดินจากไป

      ผมไม่ได้หวังให้เฮียขุนมาช่วยขนของอยู่แล้ว ผมแค่พูดขึ้นลอยๆ เพื่อจะดูปฏิกิริยาของเขาเท่านั้น และจากสายตาเมื่อครู่มันก็น่าจะย้ำเตือนได้ดีว่าเขาเกลียดขี้หน้าผมขนาดไหน


      ผมยกของในส่วนที่พอจะยกได้ขึ้นไปหมดแล้ว ทีนี้ก็เหลือแต่ของหนักๆ ว่าจะใช้วิธีไหนที่สามารถยกไปคนเดียวไหว

      “ไอ้โช” มีเสียงเรียกขณะที่ผมกำลังง่วนคิดหาวิธี

      “อ้าว พี่ภาม” ผมหันไปตอบทักไอ้พี่ภามที่เดินมาจากไหนไม่รู้

      “มึงเพิ่งย้ายมาเหรอ”

      “ใช่ แล้วพี่พักอยู่หอนี้เหมือนกันเหรอ”

      “เปล่า กูพักอยู่หอตรงข้าม แต่กูจะมาเอาของห้องไอ้ขุน แล้วนี่ไม่มีใครช่วยมึงเหรอไง ของพวกนี้ดูท่าจะหนัก มาๆ กูช่วย” พี่ภามพูดแล้วมันก็มาช่วยผมยกของขึ้นไป

      สถานการณ์มันดูแตกต่างจากตอนเด็กจังวะ ไอ้พี่ภามที่เคยชอบแกล้งผม ตอนนี้มันช่วยเหลือผม เฮียขุนคนใจดีที่เคยปกป้องผม มาตอนนี้กลับดูเป็นคนนิสัยไม่ค่อยดีสักเท่าไร อย่างว่าคนเรามันก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงกันบ้าง แต่คนหลังที่เปลี่ยนไปคงมีสาเหตุมาจากผม



      “ขอบคุณนะพี่ภาม ไว้ผมเลี้ยงข้าวตอบแทนทีหลังแล้วกัน”

      “เออ มันก็ต้องเป็นอย่างนั้น…ว่าแต่มึงก็เรียนคณะบริหารเหมือนไอ้สามพี่น้องจรัสวาณิชย์ใช่มั้ย”

      “อือ” ผมพยักหน้า

      “กูเรียนสัตวแพทย์ แต่ก็มาชวนไอ้ขุนที่คณะบริหารไปเฮฮาปาร์ตี้บ่อยๆ ถ้าเจอมึงที่นั่นกูค่อยทวงละกัน” ไอ้พี่ภามพูดเสร็จก็หันไปเคาะประตูห้องฝั่งตรงข้าม จากนั้นเฮียขุนก็เปิดประตูออกมา ผมที่ยืนมองอยู่ปิดประตูแทบไม่ทัน

      เหอะ เรียนสัตวแพทย์ยังมีเวลามาชวนคนอื่นไปปาร์ตี้ ผมนึกขำ แต่ก็นะ…ไม่คิดว่าไอ้เด็กเกเรที่มันชอบแกล้งผมตอนเด็กจะโตขึ้นมาเป็นผู้ชายอบอุ่นที่รักสัตว์ แล้วยังได้เป็นว่าที่สัตวแพทย์ในอนาคตอีกด้วย เท่ไม่หยอกนี่หว่า



      ผมกลับมาอยู่ในโหมดเซ็งกับการที่ต้องจัดของในห้องต่อ พลางนึกไปถึงความบังเอิญที่ทำให้ผมเซ็งเข้าไปใหญ่ว่าทำไมหอนี้ถึงเหลือเพียงห้องว่างห้องเดียวซึ่งอยู่ตรงข้ามกับห้องของเฮียขุน

      ห้องนี้กว้างพอสมควรและมีสองเตียงแบ่งเป็นโซนสำหรับสองคน ไอ้นักบอกว่าฝั่งตรงข้ามจะเป็นห้องเดี่ยวซึ่งเฮียขุนกับเฮียกุนอยู่คนละห้องแต่ก็อยู่ห้องข้างๆ กันนั่นแหละ เหตุผลที่พี่น้องไม่อยู่ห้องเดียวกันก็เพราะว่า เฮียกุนที่เป็นคนเงียบๆ ไม่ชอบความวุ่นวายจึงเลือกที่จะอยู่คนละห้องกับเฮียขุนผู้ซึ่งชอบพาผู้หญิงไม่ซ้ำหน้ามาที่ห้องบ่อยๆ พอไอ้นักเล่าให้ฟังแบบนั้นมันก็แซวผมใหญ่ เพราะหลังจากที่ได้ยินดังนั้นหน้าของผมก็ดูเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัดเลยล่ะครับ


     เกลียดตัวเองฉิบหายที่เป็นคนชอบเก็บอาการไม่ค่อยอยู่


      จัดของไปเพลินๆ จนไม่ได้ดูเวลาว่าตอนนี้ก็ล่วงเลยมาถึงทุ่มกว่าแล้ว พอนึกว่าจะทำอะไรต่อดี ท้องของผมมันก็ร้องโครกครากขึ้นมาทันควัน เป็นอันว่ามันช่วยให้ตัดสินใจได้ว่าผมควรจะลงไปหาอะไรกินข้างล่าง

      หอที่นี่นอกจากจะใกล้มหาวิทยาลัยแล้วก็ยังมีร้านสะดวกซื้อและร้านข้าวข้างล่าง ดีทุกอย่างครับยกเว้นการที่มีเฮียขุนอยู่ด้วย บางทีอยู่ไปก่อนเรื่อยๆ หลังจากนั้นผมก็อาจจะทำให้พ่อใจอ่อนเพื่อที่จะขอไปพักหออื่น

      “ป้าครับ/ป้าครับ” ในขณะที่ผมกำลังจะสั่งอาหารร้านๆ หนึ่งก็มีเสียงพูดขึ้นมาพร้อมกันกับผม “เชิญก่อนก็ได้ครับ” ผมบอกเขาให้สั่งก่อนเพราะตัวเองก็ยังลังเลว่าอยากจะกินอะไรกันแน่

       “ใช่โชกุนหรือเปล่า?”

       “…” ผมหันไปมองคนๆ นั้นพลางเพ่งพิจารณาใบหน้าของเขาว่าเป็นใครกัน ทำไมถึงรู้ชื่อผม “ไอ้คิ้วท์เหรอ?” มองสักพักผมก็เริ่มคุ้นหน้าคุ้นตาแล้วนึกออก

       “เออ กูเอง เป็นไงบ้างวะ มึงสบายดีมั้ย”

      “เฮ้ย สบายดี กูไม่ได้ป่วยออดๆ แอดๆ แล้ว” ผมยิ้มหน้าบานแล้วตบบ่าทักทายมัน ให้ตายเถอะ โคตรดีใจ ไม่ได้เจอกันนานมากอ่ะ

      “เช้ดดดดดด ตอนนี้มึงดูเป็นผู้ชายเลยนะ…ผู้ชายที่สวยๆ อ่ะ” ไอ้นี่…เพิ่งเจอก็แซวผมเลย

      “สวยบ้านมึงสิ หุบปากไปเลย มึงจะสั่งมั้ยข้าวเนี่ย” พูดเรื่องนี้ทีไรผมก็หงุดหงิดขึ้นมาเลยครับ จากตอนแรกที่มันเป็นความทรงจำที่ดีของผม แต่ตอนนี้มันกลายเป็นความทรงจำที่อยากจะลืมแต่ก็ลืมไม่ลงไปซะแล้ว




      เรื่องมีอยู่ว่า…

      ไอ้คิ้วท์เป็นเพื่อนของผมสมัยเด็กตอนที่อยู่บ้านสวนของคุณยาย ผมอยู่ที่นั่นก่อนที่ธุรกิจของพ่อจะเติบโตขึ้นจึงทำให้ย้ายมาอยู่ข้างบ้านใหญ่นี่แหละครับ แม้จะยังเด็กมากแต่ผมก็มีความผูกพันและจำมันได้ดี มันคือคนสนิทและเห็นพัฒนาการความเป็นมาของผม

      ตอนที่ผมอยู่บ้านสวนของคุณยาย ในตอนนั้นผมป่วยบ่อยโดยไม่รู้สาเหตุ หมอบอกว่าผมเป็นเพียงแค่ไข้หวัดธรรมดาแต่ก็เป็นอยู่นานไม่หายซะที ผู้เฒ่าผู้แก่อย่างคุณยายมักเชื่อเรื่องที่ได้ยินมาแต่โบราณจึงบอกว่าเป็นเพราะพ่อกับแม่อยากได้ลูกสาวจึงไปขอพร แต่กลับกลายเป็นว่าได้ลูกชายอย่างผมมาแทน นั่นจึงทำให้ผมเผชิญเคราะห์กรรมที่เป็นผลพวงมา

      คุณยายบอกวิธีแก้ว่าต้องให้ผมเป็นผู้หญิง หมายความว่าให้เลี้ยงดูผมเฉกเช่นเด็กผู้หญิง ไว้ผมยาว แต่งตัว และทั้งพ่อกับแม่ก็เอาแต่พร่ำบอกว่าผมเป็นเด็กผู้หญิง เพราะยังเด็กผมเลยไม่เข้าใจและเกลียดที่พวกท่านทำกับผมแบบนั้น แต่แม่บอกว่าถ้าผมไม่อยากป่วยก็ต้องเป็นเด็กผู้หญิงหนึ่งปี…แค่ปีเดียวเท่านั้น

      ทว่าอย่างที่บอกว่าระหว่างนั้นผมได้ย้ายมาอยู่ข้างบ้านใหญ่ ผมเป็นเด็กผู้หญิงได้อย่างไม่มีข้อบกพร่องเพราะหน้าตาที่หวานและน่ารัก การแต่งชุดกระโปรงจึงยิ่งทำให้ทุกคนเชื่อว่าเป็นเด็กผู้หญิง ยกเว้นแต่เสียงที่ถึงแม้ยังเด็กอยู่แต่มันก็ฟังดูทุ้มแหบขัดกับรูปลักษณ์ของผมเล็กน้อยในตอนนั้น

      แต่ทุกคนก็ไม่ได้เอะใจอะไร ทั้งพ่อ แม่และผมทำตัวปกติเหมือนกับว่าครอบครัวนี้มีลูกสาวที่น่ารัก พวกเราไม่ได้บอกใครเลยตามที่คุณยายกำชับนักหนา ว่าภายในหนึ่งปีต้องทำให้ผมดูเหมือนกับว่าเป็นเด็กผู้หญิงให้สมบูรณ์แบบที่สุด ไม่เช่นนั้นผมอาจจะกลับมาป่วยและเคราะห์กรรมอาจจะหนักกว่าเดิม

      มันฟังดูเป็นเรื่องไร้สาระนะครับ แต่ว่าพ่อกับแม่ของผมเชื่อฟังคุณยายและปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ดูเหมือนว่าพ่อของผมท่านจะดูมีความสุขมากเพราะเหมือนกับว่าได้ลูกสาวดั่งใจ แต่ว่ามันก็มีเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างเอกสารการยื่นเข้าเรียนของผมที่จะมีคำนำหน้าว่าเด็กหญิง เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าแม่จะขอให้คุณครูที่โรงเรียนช่วยทำเหมือนกับว่าผมเป็นเด็กผู้หญิง แต่เวลาเรียกชื่อ พวกเขาก็ขานเรียกผมว่าเด็กชายอยู่ดี

      ตอนนั้นเพื่อนในห้องทุกคนรู้ พวกเขาเองก็ยังเด็กและไม่เข้าใจ แต่ผมก็ใช้เหตุผลที่แม่เคยบอกอธิบายให้พวกเขาฟัง ทุกคนจึงไม่ได้คิดอะไรมากรวมถึงไอ้นักที่ตอนนั้นมันก็เรียนอยู่ชั้นและห้องเดียวกับผม ในตระกูลจรัสวาณิชย์จึงมีไอ้นักเพียงคนเดียวที่รู้ความลับและตัวตนของผมตั้งแต่แรก นอกนั้นก็ไม่มีใครรู้และสงสัยเลย

      ใช่ว่ามันจะราบรื่นเพราะการเป็นเด็กผู้หญิงของผมในบางครั้งก็ทำให้ผมโดนแกล้ง อย่างเช่นในวันหนึ่งที่ผมเดินเล่นอยู่หน้าบ้าน เด็กในหมู่บ้านเดียวกันอย่างไอ้พี่ภามก็มาแกล้งดึงผมเปียของผม เพราะมันไม่เชื่อว่าผมเป็นเด็กผู้หญิงจากน้ำเสียงทุ้มแหบที่ผมใช้พูดกับมัน

      ในขณะเดียวกันเด็กชายที่เปิดประตูรั้วมาจากบ้านใหญ่ก็เห็นเหตุการณ์เข้า เขารีบวิ่งมาช่วยผมโดยการผลักไอ้พี่ภามซะคว่ำ การกระทำเพียงแค่เล็กน้อยแต่ยิ่งใหญ่สำหรับเด็กอย่างผมในตอนนั้นทำให้ประทับใจและตกหลุมรักเขาอย่างจัง…

…เฮียขุน…

      เขาจะปกป้องผมทุกครั้งที่โดนรังแก ปลอบโยนและชวนไปเล่นที่บ้านใหญ่บ่อยๆ ความผูกพันจึงก่อขึ้นอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาหนึ่งเดือนก่อนที่เขาจะย้ายไปอังกฤษ ก่อนไปเขาบอกกับผมว่าให้รอเพื่อที่เราจะได้กลับมาเจอกันอีก…ไม่ว่ายังไงเขาก็จะกลับมาหาผม



      แต่ผมเห็นตัวเองทำให้สายตาของเขาผิดหวังในวันที่กลับมา…



      ผมไม่ใช่เด็กผู้หญิงที่เขาบอกให้รออีกต่อไป





      “เฮ้อออออออ”

      “มึงเป็นอะไรวะ ข้าวไม่อร่อยเหรอ” ผมคิดพลางถอนหายใจยาว ไอ้คิ้วท์เลยทักท้วงขึ้น

      “เปล่า…เออไอ้คิ้วท์ มึงอยู่หอตรงข้ามแล้วก็อยู่คนเดียวใช่มั้ยวะ”

      “อือ ทำไม”

      “ถ้ากูไปอยู่กับมึง…มึงจะอึดอัดเปล่าวะ” จู่ๆ ผมก็คิดเรื่องนี้ขึ้นมาได้

      ใช่…พ่อก็รู้จักไอ้คิ้วท์เหมือนกัน ถ้าท่านอ้างความเป็นห่วง ผมเองก็จะใช้ข้ออ้างว่าอยู่กับไอ้คิ้วท์ก็หายห่วงได้เหมือนกัน ถ้าเป็นแบบนั้นได้ ถึงจะอยู่ห่างกันแค่ฝั่งตรงข้ามแต่ก็ยังดีที่ไม่ต้องเสี่ยงเจอเฮียขุนทุกเวลา

      “จะอึดอัดอะไรวะ มึงก็เพื่อนกู ดีซะอีกได้มีคนมาแชร์ค่าห้อง อีกอย่างห้องก็ไม่ได้เล็กมากและถึงจะมีเตียงเดียวแต่มันก็เป็นขนาดเตียงคู่ซึ่งกว้างพอที่จะให้คนตัวไม่ใหญ่มากอย่างมึงนอนกลิ้งได้สบายเลยล่ะ ว่าแต่มึงเพิ่งย้ายมาอยู่หอนี้ไม่ใช่เหรอวะ มีอะไรหรือเปล่า หรือเพราะมึงก็อยู่คนเดียว”

      “กูอยู่กับเพื่อนที่เรียนคณะเดียวกันอ่ะ แต่ว่ามันมีเรื่องบางอย่างที่ทำให้กูไม่อยากอยู่หอนี้ ไว้กูค่อยเล่าให้ฟังทีหลัง เอาเป็นว่ากูอยากไปอยู่กับมึง แต่คงต้องพูดเรื่องนี้กับพ่อกูก่อนว่ะ” ผมพูดด้วยความไม่แน่ใจว่าพ่อจะให้ย้ายไปอยู่กับไอ้คิ้วท์ ท่านดูเหมือนอยากให้อยู่กับไอ้นักมากกว่าเพราะยังไงก็เรียนคณะเดียวกัน อีกอย่างหอมันก็อยู่แค่ฝั่งตรงข้าม เดี๋ยวท่านจะหาว่าผมเรื่องมากและเสียเวลาที่ย้ายไปมาใกล้แค่นี้

      แต่ยังไงผมก็จะลองดู เพราะผมไม่อยากอยู่ให้เขาคนนั้นเกลียดขี้หน้าผมมากไปกว่านี้หรอกครับ

      ผมกินข้าวกับไอ้คิ้วท์เสร็จก็แยกย้าย ไอ้คิ้วท์เองก็สอบติดมหาวิทยาลัยเดียวกันครับแต่มันเรียนคณะศิลปกรรมศาสตร์ ยังไงก็คงจะได้เจอมันที่มหาวิทยาลัยบ้างล่ะ



      สี่ทุ่มกว่าแล้ว ไอ้นักออกไปทั้งวันจนป่านนี้ก็ยังไม่กลับ ไม่สิ เร็วไปต่างหากที่มันจะกลับมาตอนนี้

      อยู่กับมันก็ดูน่าจะสบายเหมือนกันครับ เพราะจ่ายค่าเช่าครึ่งหนึ่งแต่เหมือนได้ครอบครองห้องคนเดียว ก็ดี…ผมจะได้ไม่ต้องปวดหัวที่มันชอบกวนตีนแล้วก็ชอบแซะผมเรื่องเฮียขุน แต่ผมกำลังคิดว่าเรื่องห้องต้องสงสัยที่อยู่ตรงข้ามกับห้องเฮียขุนนี้อาจจะเป็นฝีมือมันก็ได้

      ไอ้นักมันรู้ว่าความรู้สึกของผมเป็นยังไง แต่มันก็ยังชอบเอาเรื่องเฮียขุนมาเล่าให้ฟังอยู่นั่นแหละ…เพราะมันรู้ว่าลึกๆ แล้วผมก็ยังสนใจและอยากรู้เรื่องราวชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยของเขา

      มันคงรู้ว่าปากผมบอกว่าเกลียด…แต่ยังไงความเกลียดนั้นก็ยังคงซ่อนความชอบและคิดถึงไว้อยู่ดี

      ครืด~ ครืด~ ครืด…

      พูดถึงก็ตายยากครับ เพราะมือถือของผมสั่นขึ้น ผมก้มมองหน้าจอที่ปรากฏเป็นชื่อและรูปของไอ้นัก

      “ฮัลโหล ว่าไงไอ้เพื่อนเวร” รับสายปุ๊บผมก็อยากด่ามันเลย

      (พูดกับเพื่อนดีๆ หน่อยสิ แค่ให้ยกของขึ้นเองแค่นี้)

      “มึงมีหน้ามาพูดนะ ของกูเยอะแยะแถมยังมีบางอันที่หนัก ดีนะที่ไอ้พี่ภามมันอยู่หอตรงข้ามแล้วจะมาเอาของที่หอนี้มาเห็นเข้า มันก็เลยเข้ามาช่วยเพราะกูมีเพื่อนที่ดีมากหนีไปม่อสาว”

      (อย่าเพิ่งประชดเพื่อนเลยนะคร้าบบบ เพราะเดี๋ยวเพื่อนรักคนนี้จะชดเชยโดยการไปรับมึงมาแดกเหล้าด้วยกัน…)

      “กูไม่ไป” ผมพูดตัดบทโดยไม่ต้องคิด ผมไม่ใช่สายเรียบร้อยมากแต่นั่นก็ไม่ใช่ทางผมเหมือนกัน นานๆ ทีหรือบางโอกาสปลายลิ้นของผมถึงจะได้สัมผัสแอลกอฮอล์ ไม่ใช่ว่าต้องกระดกทุกวี่วันเหมือนไอ้นัก

      (คิดก่อนดิวะ ตอนนี้กูอยู่กับกลุ่มพี่ๆ คณะบริหารนะเว้ย เป็นเพื่อนในกลุ่มเฮียกุนอ่ะ ถือว่ามาทำความรู้จักพวกพี่เขาเอาไว้ก่อนเปิดเทอม แล้วกูก็อยากจะบอกว่ารุ่นพี่สาวๆ คณะเราแจ่มกันทั้งนั้น แต่ถ้ามึงไม่ถูกใจ…กูมีทีเด็ดสำหรับมึง)

      “อะไรวะ…”

      (เฮียขุนไง ถูกใจมึงมากพอมั้ย)

      “ไอ้สัดนัก!”

      ตึ้ดๆๆๆ

      ผมตัดสายทิ้งทันที ไอ้นักมันน่าจะรู้คำตอบของผมว่าไม่ไปเพราะประโยคสุดท้ายที่ผมด่ามัน ไอ้นี่…เฮียขุนก็อยู่นั่นด้วย ผมคงจะไปอยู่หรอก แซะไม่เลิกจริงๆ ไอ้เพื่อนคนนี้


      ผมไม่สนว่าใครจะทำอะไรอยู่ที่ไหนแล้วล่ะครับ เพราะตอนนี้หลังจากที่ผมอาบน้ำเสร็จก็รู้สึกว่าร่างกายอ่อนเปลี้ยเพลียแรงและเปลือกตาก็หนักจนฝืนยกขึ้นไม่ไหวแล้ว คงเพราะทั้งวันผมใช้แรงและเวลาไปกับการเดินขนของขึ้นลงจากข้างล่างไปชั้นสี่แล้วก็ต่อด้วยการจัดห้อง มันเลยส่งผลให้ผมทิ้งตัวลงที่นอนและหลับไปอย่างง่ายดาย

      แต่ผมรู้สึกตัวขึ้นมากลางดึกเพราะได้ยินเสียงใครอยู่หน้าประตูพลางดูนาฬิกาก็พบว่าเป็นเวลาตีสาม สงสัยไอ้นักคงจะกลับมาแล้ว พอคิดอย่างนั้นผมจึงหลับตาลงต่อ

      ‘อื้อ ชนแก้ววววว’ เสียงผู้หญิง!

      ตาของผมนี่เบิกโพลงขึ้นมาเลยครับ นี่อย่าบอกนะว่าไอ้นักพ่วงผู้หญิงมานอนที่ห้องด้วย ไอ้เพื่อนแสบจะทำอะไรไม่เกรงใจผมที่ย้ายมาอยู่กับมันเลย หรือมันลืมไปว่าผมก็อยู่ห้องเดียวกับมัน ผมคิดว่าอาจจะเป็นอย่างนั้น ทว่ารอสักพักประตูห้องก็ไม่เปิดเข้ามาซะที

      เพราะประตูห้องของผมที่ยังไม่ถูกเปิดแต่ว่าผมยังได้ยินเสียงผู้หญิงอยู่เลยครับ นั่นทำให้ผมอยากรู้อยากเห็นจึงลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินไปตรงประตู จากนั้นก็ทำตัวสอดแนมโดยการมองออกไปข้างนอกห้องผ่านช่องตาแมว

      ‘เร็วหน่อยสิคะ จะได้เข้าไปดื่มกันต่อในห้องงงง’ เสียงผู้หญิงที่ฟังดูเอื่อยเฉื่อย ดูจากท่าที่ปัดมือสะเปะสะปะไปมากลางอากาศแล้วน่าจะเมาแถมเป็นผู้หญิงที่ดูหน้าตาสะสวย แต่ถึงจะดูดีแค่ไหน ผู้หญิงทุกคนก็หมดสภาพตอนเมา ดูไม่ได้และไม่น่าสนใจ

      สิ่งที่ผมสนใจคือคนที่กำลังประคองเธอต่างหากล่ะ คนที่เป็นเจ้าของห้องตรงข้ามผมและดูท่าเขาจะไม่ได้เมาเพราะพูดจาฟังดูมีสติดี ‘ใจเย็นนะจ๊ะ เฮียไม่รู้ว่าเอากุญแจห้องไปไว้ไหน’ เฮียขุนที่มือหนึ่งข้างโอบเอวประคองหญิงสาวเอาไว้ ส่วนอีกข้างก็ควานหากุญแจห้องของตัวเองไปทั่วตัว ‘เจอแล้ว…เอาล่ะ เราจะได้เข้าไปดื่มต่อในห้องกัน’ จากนั้นเขาก็ค่อยๆ ไขกุญแจแล้วเดินเข้าไปในห้องพร้อมกับสาวสวยคนนั้น

      ผมยังคงมองภาพนั้นผ่านช่องตาแมวพลางน้ำตาของผมไหลออกมาดื้อๆ มันเป็นภาพที่ช้ำใจมาก ผมก็พอได้ยินกิตติศัพท์เสือผู้หญิงของเฮียขุนมาบ้าง แต่การที่ได้มาเห็นด้วยตาตัวเองนี่มัน…



      โคตรเจ็บเลยว่ะ



      หรือที่ผ่านมาผมมองเขาในแง่ดีมากเกินไป ผมไม่เคยเห็นเขาในด้านนี้และเพียงรู้จักกันแค่นั้นมันไม่ได้ทำให้ผมรู้นิสัยเขาดี นอกจากเขาจะดูใจร้าย เกรี้ยวกราดและทำตัวไม่ค่อยดีกับผมแล้ว…


      …เขาก็ยังไม่เป็นสุภาพบุรุษที่พาผู้หญิงเมาเข้าห้องอีกด้วย



      เขาเองก็คงไม่ใช่เฮียขุนของผมอีกต่อไป



      ผมหันหลังพิงประตูแล้วค่อยๆ นั่งลง ทำไมเข่าของผมมันอ่อนแรงจนยืนแทบไม่ไหว และทั้งที่ตอนนี้ผมรู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองมันกำลังชา…ชาจนไม่มีอารมณ์อยากจะร้องไห้ ทว่าไอ้เจ้าน้ำตามันกลับดื้อด้านไหลออกมาอยู่เรื่อย ผมรับรู้ถึงความเปียกชื้นบนแก้มและได้แต่เอามือปาดน้ำตาเหล่านั้นออกจากสีหน้าของผมที่ยังคงอึ้งกับภาพที่เห็นเมื่อครู่ ไม่อยากจะคิดเลยว่าพวกเขาจะไปดื่มอะไรกันต่อในห้อง


      พลางคิดว่าถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว…


      ผมจะทนช้ำใจอยู่หอเดียวกันกับเขาไปได้อีกนานสักเท่าไร














Banoffee's zone

ทำไมเฮียขุนเป็นคนแบบนี้

สงสารโชจัง TT

ตอนต่อไปจะเป็นยังไง โปรดติดตามด้วยนะคะ


หัวข้อ: Re: #Heart To Heart #ใจแพ้รัก 「ตอนที่2」-24/03/19-
เริ่มหัวข้อโดย: wanida023 ที่ 24-03-2019 09:13:31
 o13
หัวข้อ: Re: #Heart To Heart #ใจแพ้รัก 「ตอนที่3」-25/03/19-
เริ่มหัวข้อโดย: ิbanoffee ที่ 25-03-2019 19:45:44
ตอนที่3


Nakrob’s part


สองอาทิตย์ก่อนจบมอปลายปีสุดท้าย


      ผมกับโชกำลังเร่งทำงานที่จะส่งก่อนสอบปลายภาคโดยนัดกันมาทำที่ห้องนั่งเล่นบ้านของผม ไม่ได้ทำตัวเป็นดินพอกหางหมูหรอกนะครับ แต่ไม่รู้ทำไมเวลาใกล้สอบ ทุกวิชามักจะมีงานแจกจ่ายมาให้ทำเพื่อเก็บคะแนนครั้งสุดท้าย ซึ่งมันชนกันจนทำให้ยุ่งหัวหมุนกันเลยทีเดียว

      ไอ้โชกำลังขะมักเขม้นในการค้นหาข้อมูลสำหรับทำรายงานจากโน้ตบุ๊ค ส่วนผมเองก็กำลังจดจ่ออยู่กับการจิ้มหน้าจอโทรศัพท์เช่นกัน…ข้อมูลน่าสนใจมาก

      เพจรวมสาวดาวมหาวิทยาลัยเป็นอะไรที่เจริญหูเจริญตาสำหรับผมมากในตอนนี้ ดูข้อมูลไว้เผื่อเข้ามหาวิทยาลัยแล้วผมจะได้ใช้เป็นแนวทางในการเข้าหาพวกเธอ

      “ไอ้โช มึงดูนี่ โอ้ยยยย กูอยากจะละลายไปกับโซฟา” ผมทำหน้าปลื้มปริ่มอิ่มเอมใจที่ได้เห็นภาพสาวๆ ที่โคตรจะน่ารักพลางยื่นหน้าจอมือถือให้ไอโชดูบ้าง

      ผลัวะ!

      “โอ้ยยย อะไรของมึงเนี่ย” ทันทีที่ไอ้โชเห็นหน้าจอมือถือผม มันก็ลงไม้ลงมือสอยท้ายทอยผมไปหนึ่งที ผมจึงได้แต่ลูบหัวตัวเองเบาๆ ไปมา

      “โบกเข้าให้ ไอ้นี่…มึงอยากจบมั้ยมอปลายปีสุดท้ายเนี่ย ใช่ว่ามึงเก่งแล้วทำข้อสอบได้เท่านั้นนะ ถ้างานไม่เสร็จ มึงก็ไม่จบหรอกไอ้เพื่อนเวร กูก็นึกว่ามึงกำลังขยันหาข้อมูลช่วยกู ที่แท้ก็ส่องสาว ไร้สาระฉิบหาย หันมาสนใจหาข้อมูลช่วยกูเร็วๆ เลย ไม่งั้นรายงานชิ้นนี้ไม่มีชื่อมึงอยู่แน่!” โชบ่นยาว มันใช้สายตาพิฆาตมองผมก่อนจะหันไปจดจ่อกับหน้าจอโน้ตบุ๊คต่อ

      “ครับๆ เพื่อนจะช่วยหาเดี๋ยวนี้แหละครับ” ผมรับคำไปส่งๆ แต่ที่จริงแล้วผมก็ยังคงส่องสาวๆ ต่อครับ

      พี่ไวน์...โอ้ย น่ากินทั้งชื่อทั้งคน ผมเลื่อนดูและกดเข้าไปส่องโปรไฟล์ผู้หญิงที่หน้าตาโคตรสวย ดีกรีดาวมหาวิทยาลัยปีล่าสุด ปีเดียวกันกับเฮียกุน ทั้งมหาวิทยาลัยและก็คณะเดียวกันกับเฮียกุนเลยนี่หว่า หึหึ อย่างนี้ก็เข้าทางเลย รู้จักกับพี่ชายก็ต้องได้รู้จักกับน้องชายด้วย พอถึงตอนนั้นต้องให้เฮียกุนแนะนำให้รู้จักซะหน่อยแล้ว

      ผมดูรูปของเธอไปเรื่อยๆ แต่ละภาพนี่สวย น่ารักกินใจผมสุดๆ แต่เอ๊ะ…ภาพนี้ดูสะดุดตาจังแฮะ ไม่ใช่ใครที่ไหนครับ หน้าจอมือถือของผมกำลังหยุดอยู่ที่รูปของผู้หญิงคนนี้ถ่ายคู่กับเฮียขุน ซึ่งเฮียขุนเองก็เป็นเดือนมหาวิทยาลัยปีก่อน ไม่เห็นจะแปลกเพราะอยู่คณะเดียวกัน เป็นรุ่นพี่รุ่นน้อง แต่ว่าภาพนี้ดูพวกเขาสนิทสนมกันพอควร แล้วก็มีคอมเม้นท์…

      ? : คู่นี้น่ารักสุด

      ?? : ดูเหมาะกันโคตรรรร

      ??? : อุ้ย อิจอ่ะ

      ???? : ฮือออ เฮียขุนศึกของหนู…ไม่เป็นไร ถ้าเป็นพี่ไวน์สุดสวย หนูยอมก็ได้

      แล้วก็บลาๆๆๆ เข้าทำนองว่าพวกเขาเหมือนจะเป็นแฟนกัน

      ผมเหลือบหันไปมองไอ้โช…

      ที่ผ่านมาหลังจากเฮียขุนย้ายเข้าไปเรียนมหาวิทยาลัย ถึงแม้โชจะตั้งปณิธานว่า ไม่ยุ่ง ไม่สนและจะเกลียดเฮียขุน แต่ผมรู้ว่าในทางกลับกันมันอยากจะรู้เรื่องเกี่ยวกับเฮียขุนมากกว่าใคร ดังนั้นผมจึงคอยเล่าเรื่องของเฮียเขาให้มันฟังตลอด แม้ปากมันบอกว่าไม่อยากฟังแต่ผมก็แอบเห็นว่ามันเงี่ยหูมาฟังที่ผมพูด

      ทว่าครั้งนี้ผมรู้สึกลังเล ถ้าผมเอารูปนี้ให้มันดู…โชคงมีสีหน้าที่เศร้าและปวดใจไม่น้อย ผมรู้ความรู้สึกของมันดีครับว่าคงจะเป็นอย่างนั้น แต่จะเป็นการดีกว่าถ้าให้มันรับรู้และทำใจไปเลย แบบนั้นมันจะได้ตัดสินใจให้เด็ดขาดว่าจะยังคงชอบเฮียขุนต่อไปมั้ย

      จุดประสงค์แท้จริงที่ผมคอยกระเซ้าเหย้าแหย่เรื่องเฮียขุนทั้งที่เพื่อนบอกว่าไม่ชอบและเสียใจ…ผมทำไปเพื่อให้มันยืดหยัดเพิ่มขึ้นไปอีกต่างหากครับ

      ยืนหยัดความชอบในตัวเฮียขุนของมันที่มั่นคงตลอดมา ผมเชื่อว่าพี่ชายผมก็คงจะใจอ่อนกับมันบ้าง ถึงผมจะรู้ว่าเฮียเขาเกลียดขี้หน้าเพื่อนรักของผมตั้งแต่รู้ว่ามันเป็นผู้ชาย…เฮียแกคงทำใจไม่ได้

      ความชอบหรือรักมันไม่มีขอบเขตหรอกครับ หากโชมันยังยืดหยัดที่จะชอบ ผมก็อยากช่วยให้มันได้เห็นหน้าและอยู่ใกล้กับเฮียขุนมากที่สุด

      แต่ติดอยู่ตรงที่ว่าไอ้โชมันปากอย่างใจอย่าง ปากบอกไม่อยากเห็นหน้าเขา แต่เวลาเฮียขุนกลับมาบ้านมันก็เอาแต่เกาะรั้วชะเง้อมองหาเขาคอแทบหัก ส่วนเฮียขุนก็เห็นได้ชัดว่าดูเกลียดไอ้โช ไม่อยากแทบจะมองหน้ามัน ผมเลยไม่รู้ว่าทั้งพี่ชายและเพื่อนรักของผมมันจะโคจรมาลงเอยกันได้ยังไง

      “ไอ้โชดูนี่ดิ” ผมยื่นหน้าจอมือถือให้ไอ้โชดู…ดูซิว่ามันจะมีปฏิกิริยาแบบไหน

      “มึงยังไร้สาระอยู่ใช่มั้ย กูไม่ดูโว้ยยยย!” มันปัดมือถือจากมือผมจนหล่นโดยที่ตามันยังคงจดจ้องอยู่กับหน้าจอโน้ตบุ๊ค โธ่ ไอ้เพื่อนเบื๊อก กูไม่ได้อยากเห็นปฏิกิริยาแบบนี้จากมึงนะ

      “หันมาดูก่อน กูเชื่อว่ามึงต้องอยากดูอันนี้” ผมเก็บมือถือขึ้นมาและโชว์หน้าจอที่เปิดค้างไว้ให้มันดูอีกครั้ง

      “ไอ้เชี่ยนัก มึงนี่มัน…” ไอ้โชชะงักทันทีที่เห็นภาพนั้นก่อนที่มันจะด่าผมจบ “แล้วไง ถ้าเป็นภาพพี่มึง กูยิ่งไม่อยากดู” เป็นอย่างที่คิด สีหน้ามันดูสลดไปเลย

      “เหรออออออ” ผมลากเสียงยาวประชดมัน

      ดูก็รู้ว่าโชมันคงอยากจะถามหลังจากเห็นรูปว่าพวกเขาเป็นอะไรกัน เฮียขุนเป็นแฟนกับผู้หญิงคนนี้เหรอ? คำถามคงผุดในใจกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของมันเต็มไปหมด แต่มันก็ยังปากแข็งพูดออกมาว่าไม่แม้แต่อยากจะดูรูปของเฮียขุน

      กูจะทำยังไงกับมึงดีเนี่ยไอ้โช…

      “โอเค ไม่อยากดูก็ไม่ต้องดู เดี๋ยวกูจะหันมาสนใจหาข้อมูลช่วยมึงละ”

      “เออ รีบๆ หา”

      ผมวางมือถือไว้แล้วหันไปสนใจการทำรายงาน แต่ผมตั้งใจเปิดค้างหน้าจอไว้ครับ ผมเห็นไอ้โชที่กำลังทำเป็นว่ากดแป้นคีย์บอร์ดเสิร์ชหาข้อมูลอยู่ แต่สายตามันนี่แอบชะโงกมองหน้าจอมือถือของผมอยู่เป็นเนืองๆ แล้วทำหน้าละห้อย หึ ละบอกไม่อยากดู ขำว่ะ ผมทั้งสงสารและก็ตลกท่าทางของมันตอนนี้เลยล่ะครับ
 



วันปัจฉิม


      หลังจากที่ผมไปกินไอติมกับน้องแอลแล้วก็น้องโบว์มา…อย่างที่บอกว่าไอ้โชก็คงยืดหยัดกับความรู้สึกที่ชอบเฮียขุนคนเดียว แม้ว่าผมจะชวนไปเดทกับสาวๆ สวยๆ มันก็ปฏิเสธตลอด แต่นั่นก็ดีครับ ถ้ามันมั่นคงกับพี่ชายของผมอยู่แต่ยังฝืนการกระทำของตัวเองล่ะก็…

      ได้เลยเพื่อน เดี๋ยวกูจัดการให้


      ผมบอกกับไอ้โชว่าวันนี้เฮียขุนกับเฮียกุนจะกลับมากินข้าวที่บ้านฉลองที่ผมเรียนจบมอปลายและผมก็ชวนมันมา แต่ผมรู้อยู่แล้วว่ามันจะต้องตอบว่าไม่มาและผมก็รู้วิธีที่จะทำให้มันต้องมาแน่ๆ ครับ

      ผมเดินมาบ้านไอ้โชและสังเกตการณ์เห็นว่าพ่ออ่านหนังสืออยู่ที่ห้องนั่งเล่นคนเดียวแล้วจึงเดินเข้ามาข้างใน ไอ้โชมันขึ้นไปบนห้องครับ ทางสะดวกล่ะทีนี้ “พ่อครับ วันนี้ม๊าให้มาชวนไปทานข้าวที่บ้าน ฉลองมื้อใหญ่ที่เรียนจบมอปลาย” ผมรีบบอกพ่อ

      “เป็นโอกาสดีเลย บ้านเราไม่ได้ทานข้าวร่วมกันมานานสักพักแล้ว” พ่อละความสนใจจากหนังสือหันมาพูดกับผม

      “พ่อครับ บอกให้โชมาด้วยนะครับ”

      “ไปสิ ยังไงโชมันก็ต้องไปอยู่แล้ว ทำไมจะไม่ไปล่ะ”

      “คือ…ถ้าโชบอกว่าไม่อยากมา พ่อก็ต้องบังคับให้มันมาให้ได้นะครับ” ผมย้ำ

      “แน่นอนว่าโชต้องไป”

      พอได้ยินอย่างนั้นผมก็ยิ้มอย่างพอใจและพูดลาพ่อไว้เจอกันที่บ้านตอนอาหารมื้อเย็น

      หึ เสร็จกูล่ะไอ้โช วิธีนี้ยังไงก็ได้ผลครับ โชมันไม่มีทางที่จะขัดหรือปฏิเสธพ่อมันได้สักครั้ง ถ้าผมบอกแล้วมันไม่มา ผมก็แค่มาบอกให้พ่อมันบอกให้มันมาอีกทีเท่านั้นแหละครับ ยังไงตอนเย็นผมก็ต้องได้เจอมันที่บ้านของผมแน่

      และแน่นอนครับว่าพ่อบังคับให้ไอ้โชมาจนได้ ผมทักและยิ้มให้มันอย่างสะใจ ที่จริงมันควรต้องขอบคุณผมนะ เพราะผมรู้ว่ามันอยากมาเจอหน้าเฮียขุนจะตายไป ที่ทำเป็นไม่อยากมาก็เพราะมัวแต่ทำตามปณิธานบ้าบอที่ตัวเองตั้งไว้ว่าจะเกลียดเฮียขุน แล้วมันก็คงไม่อยากเห็นสายตาเย็นชาที่พี่ของผมใช้มองมัน

      ผมสังเกตว่าไอ้โชเอาแต่นั่งตัวเกร็ง มันไม่กล้าหันไปมองเฮียขุนเลยตลอดอาหารมื้อเย็นที่ร่วมโต๊ะกัน ส่วนพี่ผมก็เอาแต่ทำหน้าดุ เกรี้ยวกราดเหมือนโมโหอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่เดินเข้าบ้านมา ผมก็พอเข้าใจเพื่อนผมในส่วนนี้ครับ เพราะบางทีก็หมั่นไส้พี่ตัวเองเหมือนกันที่เอาแต่เก๊กหน้ายักษ์อยู่นั่น ไม่เมื่อยบ้างหรือไง



      มื้อเย็นจบไปด้วยบรรยากาศที่อึดอัดหลังจากที่ม๊าพูดเรื่องที่เฮียขุนเคยบอกว่าอยากจะแต่งงานกับไอ้โช เฮียแกของขึ้นจนทุกคนไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมามากเลยล่ะครับ แต่มันจะจบแบบนี้ได้ยังไง พวกเขายังไม่ได้คุยกันสักคำ

      ดังนั้นตอนที่จะตีดอทกัน ผมเดินไปเข้าห้องน้ำแล้วเห็นเฮียขุนเดินไปเปิดตู้เย็นในครัวพอดี ผมจึงคิดแผนการออกว่าจะให้พี่ชายและเพื่อนรักของผมมีโอกาสได้คุยกัน

      ผมใช้ไอ้โชไปเอาเสบียงอย่างทุกครั้ง ทีนี้แหละมันก็จะเจอเฮียขุนอยู่ในครัว จากนั้นก็เป็นหน้าที่ของมันเองแล้วล่ะครับว่าจะทักทายหรือชวนเฮียแกพูดยังไง

      …แต่ดูเหมือนผลที่ออกมาจะไม่ดีเท่าไรแฮะ เพราะไอ้โชเดินมาหน้ามุ่ยมาเชียวแถมมันยังฟาดถุงขนมใส่ผมอย่างแรง คงจะโดนเฮียขุนฉุนใส่มาล่ะสิท่า

      แผนการพังแล้วพังอีก แต่ผมก็ไม่ได้ยอมแพ้แค่นั้นหรอกนะครับ เพราะหลังจากที่พ่อโชพูดเรื่องหอพักขึ้นมา ผมก็คิดอะไรดีๆ ออก




วันย้ายหอ…


      ผมย้ายเข้ามาอยู่ก่อนไอ้โชสองวันซึ่งเป็นหอพักเดียวกันกับเฮียขุนก็จริงครับ แต่ห้องที่ว่างดันอยู่ที่ชั้นสอง ส่วนพวกพี่ของผมพักอยู่ที่ชั้นสี่ แล้วมันจะไปสนุกอะไรล่ะครับ อยู่กันคนละชั้นแบบนั้น โอกาสได้เจอกันก็คงน้อย ดังนั้นเพื่อเพื่อนรักของผมแล้ว ผมได้ลงทุนเสนอจ่ายค่าเช่าหนึ่งเดือนให้กับคนที่พักอยู่ห้องตรงข้ามกับเฮียขุนแลกกับการให้เขาย้ายลงมาอยู่ชั้นสองแทน

      หึ คราวนี้แหละไอ้โชเอ้ย มึงจะได้เจอหน้าเฮียขุนบ่อยๆ แน่ แล้วมึงก็จะต้องมาขอบคุณกูทีหลัง


      ยังไม่จบแค่นั้นหรอกนะ วันที่ไอ้โชย้ายตามมา ผมก็จัดการโทรนัดสาวทั้งที่ต้องอยู่ช่วยเพื่อนมันยกของ หลังจากที่มันเอาของลงจากรถพ่อเสร็จ ผมก็ขับรถเผ่นหนีทันที แต่อย่าเพิ่งว่าผมไม่มีน้ำใจกับเพื่อนนะครับ เพราะผมจะโทรตามคนมาช่วยมันเดี๋ยวนี้แหละ

      ผมรู้ว่าคนๆ นั้นจะกลับมาหอเวลาไหน…ผมรีบต่อสายหาคนที่ไอ้โชอยากเจอหน้ามากที่สุด

      “ฮัลโหลเฮียขุน ตอนนี้เฮียอยู่ไหน”

      (กำลังขับรถเข้าหอ ทำไม?)

      “พอดีว่าโชมันย้ายเข้าหอวันนี้อ่ะ แล้วตอนนี้ผมก็ออกมาทำธุระและเฮียกุนก็ไม่อยู่หอเลยไม่มีใครยกของช่วยมัน คือมันเอาของมาเยอะมากแล้วก็มีอันที่หนักด้วย มันคงยกคนเดียวไม่ไหว”

      (แล้ว?)

      “พอดีที่เฮียกำลังจะกลับเข้าหอก็ช่วยโชมันหน่อยสิ”

      (ไม่ใช่เรื่องของกู เพื่อนมึง…มึงก็กลับมาช่วยมันเองสิ)

      “แต่ว่า…”

      ตึ้ดๆๆๆ

      “ฮัลโหลเฮียขุน…เดี๋ยวก่อน ฮัลโหล!” โธ่ วางสายซะแล้ว บทสนทนาเพียงสั้นๆ ที่ยังไม่ได้การได้งานอะไรเลย พี่ผมนี่มันก็เหลือเกินจริงๆ ดังนั้นเป็นอันว่าแผนการล้มเหลวครับ

      โทษทีนะไอ้โช มึงคงต้องขนของขึ้นไปเองแล้วแหละเพื่อน



ณ ร้านเหล้าแห่งหนึ่ง…


      อย่างว่า…ชีวิตมหาวิทยาลัยทำให้มีอิสระและสามารถตัดสินใจเองในเรื่องต่างๆ ได้มากขึ้น ดังนั้นนอกจากการเรียนแล้วพวกพี่ผมก็เลือกที่จะมาขลุกกับสุราและนารี เป็นการสังสรรค์เพื่อผ่อนคลายความเครียดบ้าง ส่วนผมก็เป็นน้องที่ดีครับ เจริญรอยตามพวกพี่เขามาแต่ไหนแต่ไร วันนี้ก็เช่นเดียวกัน เฮียกุนชวนผมมาสัมมนากับกลุ่มเพื่อนคณะบริหารด้วยกัน เป็นโอกาสที่ดีของผมครับที่ได้เจอรุ่นพี่สวยๆ เพื่อนของเฮียแก

      แต่มีสาวที่ทำผมตาค้างไม่กระพริบ…จำพี่ไวน์ที่ผมแอบส่องโปรไฟล์ได้มั้ยครับ ตอนนี้เธอเดินควงมากับเฮียขุนล่ะ โอ้ยย รู้สึกเสียดายนิดหน่อยเพราะเธอเป็นผู้หญิงในสเป็คผมเลย สาวคม ผิวสีน้ำผึ้งและผมสีดำยาว เห็นตัวจริงยิ่งสวยกว่าในรูปอีก แต่ก็ต้องยอมล่ะครับ เพราะผมรู้ตัวเองดีว่าเพอร์เฟคน้อยกว่าเฮียขุน


      “เฮ้อ ไอ้โชคงเหงาแย่เลย อยู่หอคนเดียวเปล่าเปลี่ยวหัวใจ” ผมพูดลอยๆ ไปทางเฮียขุน เฮียแกไม่ได้สำนึกอะไรหรอกครับแถมยังส่งสายตารำคาญมาให้ผม

      ผมบ่นให้พี่ชายตัวเองที่ใจร้ายเกินไปจนไม่ยอมช่วยเพื่อนผมขนของแล้วก็ไม่ชวนมันมาร้านเหล้าด้วยกันอีก เฮียขุนก็นั่งนิ่งฟังผมร่ายใส่นะครับ แต่สายตานี่ดุเหมือนอยากจะบีบคอผมซะเดี๋ยวนั้นที่ไปพล่ามเรื่องไอ้โชให้เฮียแกฟัง ผมนี่หุบปากแทบไม่ทันและค่อยๆ ขยับตัวออกห่าง

      หลบตีนเฮียขุนแป๊ป…



    ‘ไม่ได้มีความสงสารเมตตากับเพื่อนผมเล้ยที่มันอดทนรอคอยเฮียมาตลอด ก็แค่จากเด็กผู้หญิงแล้วโตขึ้นมาเป็นผู้ชาย จะอะไรกันนักกันหนาเชียว ยังไงโชกุนมันก็คือโชกุนนั่นแหละครับ ไม่รู้ว่าเฮียจะเกลียดอะไรมันขนาดนั้น ช่วยยอมพูดและทำตัวดีๆ กับมันซะที’



      พอเห็นว่าเฮียขุนมาแจมด้วย ผมก็นึกถึงวิธีที่จะไถ่โทษเพื่อนรักของผมที่ปล่อยให้มันขนของเองคนเดียว เดี๋ยวผมจะเป็นคนไปรับมันมาแดกเหล้าเองก็ได้ครับ…ก็ไม่รู้ว่าไถ่โทษหรือลงโทษด้วยการซ้ำเติม ผมอาจจะดูเป็นเพื่อนที่ใจร้ายทั้งที่รู้ว่าถ้าโชมันมาเห็นภาพบาดตาบาดใจนี้เข้ามันจะรู้สึกเจ็บปวดแค่ไหน

      แต่ก็นั่นแหละครับ…ถ้าไอ้โชรับไม่ได้ ผมก็อยากให้เพื่อนตัดใจไปมองคนอื่นแล้วเลิกเชียร์มันให้กับพี่ชายที่ใจดำของตัวเอง
เชื่อเถอะครับว่าโชมันก็อยากมาเห็นการใช้ชีวิตของเฮียขุนที่นอกเหนือจากการเรียน ผมว่าตัวเองเซียนเรื่องแอลกอฮอล์แล้วยังไม่สู้เฮียแกที่กระดกอย่างกับเหล้ามันคือน้ำเปล่าที่ไม่มีท่าทีจะเมา เพื่อนผมมันไม่รู้หรอกว่าเฮียขุนของมันเปลี่ยนไปขนาดไหน คอแข็งขึ้น นิ่งขึ้น เย็นชาขึ้น เกรี้ยวกราดขึ้นและเจ้าชู้ขึ้น ทั้งที่พี่ชายผมเขาไม่ได้มีนิสัยอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้สักเท่าไร และเขาเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดก็ตอนที่กลับมาจากอังกฤษนั่นแหละครับ…

      ก็น่าจะรู้สาเหตุกันดีว่าเป็นเพราะอะไร

      ผมต่อสายหาไอ้โช…เราจะมาดูกันว่าความอยากมาหรือความกลัวสายตาของเฮียขุน อย่างไหนที่เพื่อนรักของผมจะมีมากกว่ากัน


      ผมคุยกับไอ้โชเสร็จแล้วและผลลัพธ์ก็คือ…มันตัดสายทิ้งตั้งแต่ผมเอ่ยชื่อเฮียขุนเลยครับแถมยังโดนมันด่าอีกต่างหาก สรุปมันก็ยังเกลียดและกลัวที่เฮียขุนใช้สายตาเย็นชามองมันมากกว่าความอยากมาเผชิญหน้า ผมก็คิดแล้วว่าจะต้องเป็นอย่างนี้แต่ที่พยายามทำอยู่ก็คาดหวังว่ามันอาจจะมา

      เฮ้ออ ตัวเอกของเรื่องนี้เอาแต่ทำตัวเบื๊อกทั้งคู่ แล้วเมื่อไรตัวชงอย่างผมจะทำให้มิซซั่นคอมพลีทซะทีล่ะครับ

      ผมขอลืมเรื่องภารกิจช่วยเพื่อนรักชั่วคราว เพราะตอนนี้มีของบำเรอปากให้หายฝาดลิ้นอยู่ตรงหน้าและยังมีสาวสวยให้เจริญตาอยู่ข้างๆ แล้วผมจะไปเครียดทำไมกันล่ะเนี่ยยย



      “เออ พวกมึงนี่รุ่นน้องโรงเรียนเก่ากูชื่อคิ้วท์ มันติดคณะศิลปกรรม กูชวนมันมาแจมด้วย พวกมึงคงไม่ว่าอะไรนะ” พี่เหนือเพื่อนเฮียกุนแนะนำผู้มาใหม่ให้กับเพื่อนร่วมวง พลางรุ่นน้องของพี่เขาก็ยกมือไหว้พวกรุ่นพี่ที่นั่งอยู่ไปทั่วสารทิศ

      “อ้าว ไอ้น้องที่อยู่หอเดียวกันกับกูนี่หว่า” พี่ภามทักขึ้น

      “เออ หวัดดี นั่งๆ จะว่าอะไรวะ รุ่นน้องมึงก็เหมือนรุ่นน้องกู คนกันเอง ว่าแต่รุ่นน้องมึงดูคิ้วท์สมชื่อจังเลยนะ” เฮียกุนพูดพลางชงเหล้าแล้วยื่นให้ไอ้หมอนั่น

      “ขอบคุณครับ” มันรับแล้วยิ้มเขินๆ

      “เขินด้วย น่ารักดีเนาะ” แม้แต่รุ่นพี่ผู้หญิงยังชมมัน

      นั่นสิ…ทำไมมันดูน่ารักจังวะ เหมือนผู้ชายทั่วไป ไม่ได้ตัวเล็กมาก ผิวขาวๆ ตาโต จมูกนิด ปากกระจับ นอกจากไอ้โชเพื่อนรักผมแล้วเกิดมาก็ยังไม่เคยเห็นผู้ชายคนไหนดูน่ารักเท่านี้มาก่อนเลย เล่นเอาคนที่ไร้ขีดจำกัดและขอบเขตอย่างผมเป็นอันต้องละความสนใจจากสาวสวยข้างๆ หันมาสนใจมันตั้งแต่เดินเข้ามาเลยล่ะครับ

      รู้สึกแปลกๆ แฮะ เอาจริงๆ ถึงผมจะให้เสรีตัวเองกับเรื่องพวกนี้แต่ผมก็ยังไม่เคยรู้สึกชื่นชมหรือชอบผู้ชายมาก่อนหรอก หรือที่มีอาการแบบนี้อาจจะเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ผมกรอกลงคอหมดไปหลายแก้วแล้ว

      ผมส่ายหน้าเบาๆ เรียกสติตัวเองแต่ก็ยังจ้องไอ้คิ้วท์ มันเองก็คงรู้ตัวว่าโดนผมมองอยู่ มันก็เลยผงกหัวให้ผมเล็กน้อยเชิงทักทาย

      หึ น่ารักดีว่ะ

      ผมดื่มเข้าไปอีกพลางเอาแต่เท้าคางจ้องมองไอ้คิ้วท์ที่นั่งอยู่ตรงข้าม ดูเหมือนมันจะเริ่มรำคาญเพราะหลังๆ ที่มันมองผมกลับ คิ้วของมันสามัคคีพุ่งเข้าหากัน แต่ผมไม่สนและยังคงมองท่าทางที่มันพูดหยอกล้อแล้วหัวเราะกับรุ่นพี่ ผมเห็นอย่างนั้นก็อดยิ้มตามมันไม่ได้อ่ะครับ เวลาเหล้าเข้าปากแล้วเห็นคนที่รู้สึกว่าโดนใจผมก็มักจะมีอาการเคลิ้มๆ แบบนี้ คนที่โดนจ้องมันอาจจะกำลังคิดว่าผมเป็นโรคจิตหรือเปล่านะ

      ไอ้คิ้วท์คงทนสายตาที่ผมมองไม่ไหว มันจึงบอกกับรุ่นพี่ว่าจะไปเอาเหล้าเพิ่มแล้วลุกไปที่บาร์ ผมมองตามมันไปจนมันเองก็ระแวงหันกลับมามองค้อนผม

      “น้อยๆ หน่อย ถึงจะน่ารักแค่ไหนแต่นั่นก็รุ่นน้องเพื่อนกูแถมยังเป็นผู้ชายนะเว้ย ไอ้นี่” เฮียกุนผู้ฉลาดหลักแหลมก็รู้ทันน้องชายคนนี้ทุกที

      ผมมองไปที่บาร์ ดูเหมือนไอ้คิ้วท์กำลังรอเอาเหล้าที่สั่งและระหว่างนั้นผมเห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาหามัน เธอโคตรสวยเลยครับ เห็นอย่างนั้นสายตาผมก็ไม่รู้จะโฟกัสใครดี

      ผู้หญิงคนนั้นยืนพูดคุยกับไอ้คิ้วท์สักพักแล้วยื่นมือถือให้มัน ดูเหมือนเธอกำลังจีบไอ้คนที่กำลังยืนรอเหล้าและมันก็คุยกลับด้วยสีหน้าที่ยิ้มกริ่มเช่นกัน

      ผมลุกขึ้นและเดินไปที่บาร์แล้วแย่งมือถือของหญิงสาวก่อนที่ไอ้คิ้วท์จะยื่นมือรับไป “ขอเบอร์หมอนี่เหรอครับ” ผมถามผู้หญิง

      “ค่ะ” เธอยิ้มตอบอย่างไม่ลังเล

      “แล้วไม่อยากได้เบอร์ผมบ้างเหรอครับ” ผมยิ้มหว่านเสน่ห์ให้เธอแล้วหันไปยักคิ้วใส่ไอ้คิ้วท์ ไอ้คนที่โดนผมกวนก็มองผมกลับซะตาขวางเชียว

      “อยากได้เบอร์ทั้งสองคนเลยอ่ะค่ะ”

      “โลภมากจัง แค่ผมคนเดียวไม่พอเหรอ” ผมหันมาพูดกับผู้หญิงต่อ

      “อืม ก็ได้ค่ะ” เธอพูดอย่างฝืนๆ

      ผมจัดการกดเบอร์ของผมลงในมือถือให้เธอ ก่อนเดินไปหญิงสาวยิ้มให้ผมแต่ก็ไม่วายหันไปยิ้มโปรยให้ไอ้คิ้วท์ด้วย ร้ายกาจจริงๆ ผู้หญิงสมัยนี้


      “ทำเชี่ยอะไร มึงคิดว่ามึงหล่อกว่ากูงั้นสิ” ไอ้คิ้วท์ที่ยืนมองค้อนอยู่นานพูดขึ้น

      “ไอ้บ้าเอ้ย พูดห่าอะไรของมึง” มันสบถใส่ผมด้วยสีหน้าหงุดหงิดก่อนหันไปบอกบาร์เทนเดอร์ว่าเดี๋ยวกลับมาเอาเหล้าแล้วมันก็เดินไปไหนไม่รู้

      คนเหี้ยอะไรโคตรน่ารัก…ขนาดโดนมันพูดห่ามๆ ใส่ผมยังไม่รู้สึกเจ็บอะไรเลย เพราะสีหน้าที่มันด่าดูน่ารักเกิ๊น   

      ผมเดินตามไอ้คิ้วท์ที่เดินเข้าไปในห้องน้ำ มันกำลังยืนรูดซิปลงก่อนจะปล่อยของเหลวใส่โถที่อยู่ตรงหน้า ผมเดินไปยืนเทียบเคียงมันแล้วก็ปลดปล่อยบ้าง คนตัวเตี้ยกว่าผมเล็กน้อยมันหันมามองอย่างไม่สบอารมณ์ ผมทำท่าชะโงกมอง “ของมึงน่ารักดีเนาะ” ผมพูดกวน

      “เชี่ย! มึงโรคจิตป่ะเนี่ย” ไอ้คิ้วท์หันตัวหักหลบขวับก่อนจะรีบรูดซิปขึ้นแล้วเดินไปที่อ่างล้างมือ “เลิกเดินตามแล้วก็เลิกมองกูแบบนั้นซะที!” มันตะคอกใส่ผมเสียงดังหลังจากที่ผมทำธุระเสร็จแล้วเดินตามมา

      ผมมองไอ้คิ้วท์ขณะที่มันล้างมือแล้วยิ้มหวานสุดเท่าที่จะยิ้มได้ ผมยังรู้สึกตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ แต่ดูเหมือนจะมีอาการกึ่มๆ เข้ามาแทรกแซงเล็กน้อย ผมรู้ว่าผมกำลังมองคนตรงหน้าด้วยสายตาหวานเยิ้มพลางเชยคางมันขึ้นมา “ทำไมมึงน่ารักจังวะ”

      “มึงจะทำอะไร!” มันปัดมือผมออกก่อนจะรีบเผ่นแต่ผมดึงแขนมันกลับมา

      “ก็มึงมันน่ารักอ่ะ” ดูเหมือนผมกำลังถูกฤทธิ์แอลกอฮอล์เข้าครอบงำ

      ผมยื่นมือไปกุมหน้าไอ้คิ้วท์แล้วบีบแก้มขาวนวลนุ่มนิ่มของมันเบาๆ จากนั้นก็…

      ผลัวะ!

      “ไอ้สัด…ถ้าเมาก็กลับบ้านไปนอนไป!” ไอ้คิ้วท์ปล่อยหมัดใส่ปากผมก่อนที่มันจะยืนด่าปาวๆ แล้วเดินออกจากห้องน้ำไป
ผมล้มลงไปกองกับพื้นแต่ยังยิ้มได้ อ่า…แก้มมันโคตรหอมเลย นิ่มด้วย ผมดมไปฟอดใหญ่ แล้วอะไรเค็มๆ ในปากนะ ผมกลั้วปากตัวเองพลางยกมือขึ้นมาจับตรงจุดที่โดนต่อย

      โอ้ยเจ็บ…หมัดแรงเหมือนกันนี่หว่า

      จากนั้นผมก็ค่อยๆ พยุงตัวเองให้ลุกแล้วเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยสีหน้าที่มีความสุขแปลกๆ ถึงแม้จะเพิ่งโดนต่อยมาก็ตาม
       “ไอ้คิ้วท์ล่ะครับ” ผมถามขึ้นหลังจากเดินมาถึงโต๊ะแล้วมองหาแต่ไม่เห็นคนที่เอ่ยถึง

      “มันเอาเหล้ามาแล้วก็ขอตัวกลับไปแล้ว…ไอ้นัก มึงไปทำอะไรไอ้คิ้วท์หรือเปล่า ดูท่ามันหงุดหงิดน่าดู” เฮียกุนถาม

      “เปล่าซะหน่อย” ผมยิ้ม

      “อย่าให้กูรู้นะว่ามึงไปทำอะไรมัน ความเป็นนักล่าในตัวมึงอ่ะ กดให้มันเพลาๆ ลงหน่อย ไม่ใช่ม่อไม่ดูตาม้าตาเรือ” เฮียกุนปรามผม

      ใครสนล่ะ ไม่ว่าจะเป็นเหยื่อแบบไหนถ้ามันน่ากิน…ถึงตอนนั้นผมก็คงไม่สามารถยับยั้งสัญชาตญานความเป็นเสือของตัวเองได้หรอก

      หึ ว่าแต่เหยื่อของผมถึงกับหนีกลับไปเลยเหรอ…ยังไงซะมันก็เป็นรุ่นน้องของเพื่อนพี่ผมและถ้าผมถูกใจใครแล้วคนๆ นั้นหนีผมไม่พ้นหรอกครับ



      ไว้เจอกันอีกนะไอ้คิ้วท์คนคิ้วท์…









Banoffee's zone

ที่แท้เรื่องราวที่เกิดขึ้นก็เป็นเพราะฝีมือเพื่อนรักตัวแสบ

แถมยังเมาแล้วไปลวนลามเพื่อนของโชอีก

นักรบ...นายนี่มันร้ายกาจแท้

โปรดติดตามตอนต่อไปด้วยจ้าาา ><

หัวข้อ: Re: #Heart To Heart #ใจแพ้รัก 「ตอนที่4」-26/03/19-
เริ่มหัวข้อโดย: ิbanoffee ที่ 26-03-2019 18:38:23
ตอนที่4


วันเปิดเทอม…


      “ไอ้นักตื่น!!”

      หลังจากที่ออกมาจากห้องน้ำ ผมก็เห็นไอ้เพื่อนตัวแสบยังนอนน้ำลายยืดอยู่เลยครับ คงเพราะอาการเมาค้างที่มันไปดื่มมา ซึ่งไม่ใช่แค่เมื่อคืนแต่ดื่มสามวันติดต่อกันก่อนจะถึงวันเปิดเทอมนี่แหละครับ

      ผมแหกปากตะโกนเสียงดังปลุกไอ้นักเแต่มันก็ยังไม่ลืมตา ผมจึงเอาหมอนฟาดมันแรงๆ ไปหลายที “ตื่นโว้ยยย สายแล้ว!!” สรุปแล้วผมต่างหากที่ต้องคอยห่วง คอยดูแลมัน พ่อต้องเป็นคนพูดกับผมว่า…ฝากดูแลนักด้วย…ต่างหากล่ะ ไม่ใช่จะให้ไอ้เพื่อนไม่ได้เรื่องคนนี้มาดูแลผม

       ผมแต่งตัวเสร็จสักพักแล้วแต่ก็ต้องรอไอ้คุณชายตื่นสายที่กว่ามันจะทำเสร็จแต่ละอย่าง ยังดีที่ผมตื่นเช้ามากก็เลยมีเวลาเหลือให้ไอ้นักได้ทำตัวโอ้เอ้ และผมก็ยังใจเย็นพอเพราะหอพักอยู่ใกล้มหาวิทยาลัย ขับรถไปใช้เวลาไม่กี่นาทีก็ถึง

      ระหว่างที่รอผมแอบเอามือถือไอ้นักเข้าไปดูหน้าโปรไฟล์เฮียขุน มีแต่รูปถ่ายคู่กับผู้หญิงที่แท็กเขามาทั้งนั้น เหมือนดาราดังอ่ะครับที่มีสาวๆ รุมขอถ่ายรูป

      ผมไม่ได้เป็นเพื่อนกับเฮียขุน ผมขอเป็นเพื่อนไปตั้งแต่วันที่เขาย้ายเข้ามาเรียนมอปลายปีสุดท้ายแล้วแต่เขาก็ไม่กดรับผมสักที จนเขาจบมอปลายในวันที่เขาบอกว่าเกลียดผม…ผมก็กดยกเลิกขอเป็นเพื่อนครับ

      “ฮั่นแน่…แอบเอามือถือกูไปส่องเฮียขุนอีกแล้ว” ไอ้นักที่ออกมาจากห้องน้ำแซวขึ้นมา

      “ส่องบ้าอะไร กู…เอามาโทรหาเครื่องตัวเอง ไม่รู้เอาไปไว้ไหน…อ๊ะ เจอแล้ว เอาของมึงคืนไป” ผมหยิบมือถือของตัวเองที่วางอยู่ข้างหมอนแล้วรีบโยนมือถือคืนให้ไอ้นักแก้เขินที่มันรู้ทัน


      ได้ฤกษ์ออกจากห้องซะทีครับ แต่ก่อนเปิดประตูผมก็ต้องสอดแนมความสะดวกผ่านช่องตาแมวซะก่อน

      “วันนี้เฮียขุนเข้ามอตอนบ่าย” ไอ้นักพูดกรอกหูผมจากข้างหลังจนผมสะดุ้งเล็กน้อย “มึงก็จะอะไรนักหนาวะ ถ้าเจอหน้าเฮียขุนแล้วไม่รู้จะพูดอะไรก็แค่ไม่ต้องพูด เผชิญหน้าเฮียแกไปเถอะ เพราะกูรู้ว่าแค่มึงได้เห็นหน้าเฮียเขาก็มีความสุขยิ้มหน้าบานไปทั้งวันแล้ว”

      ผลัวะ! “ทำเป็นรู้ดีนักนะมึง” ผมเบิ้ดกะโหลกไอ้นักแรงๆ หนึ่งทีก่อนเปิดประตูออกไป

      “โอ้ยยย รับความจริงไม่ได้ก็ชอบมาลงกับเพื่อนนะมึงเนี่ย”

      “พูดมาก รีบไป กูไม่อยากสายตั้งแต่วันแรก”

      ตั้งแต่มาอยู่หอนี้ เวลาจะเปิดประตูออกไปแต่ละทีผมก็ต้องระแวงว่าจะเปิดไปเจอเฮียขุนมั้ย อย่างที่ไอ้นักเข้าใจว่าแค่ได้เห็นหน้าเขาผมก็มีความสุขแล้ว แต่ผมอยากเห็นเขาแค่ฝ่ายเดียว ไม่อยากให้เขาเห็นผมแล้วใช้สายตาที่เกลียดมองผม…มันเจ็บอ่ะครับ



      “เฮ้ยๆ ไอ้นัก นั่นเพื่อนกู จอดรับมันไปด้วย” ผมสะกิดไอ้นักพลางชี้ให้มันดูคนที่กำลังเดินอยู่บนฟุตบาทข้างหน้า

      “นั่นเพื่อนมึงเหรอ” ไอ้นักถามแล้วขับรถไปจอดเทียบข้าง

      “ไอ้คิ้วท์ ขึ้นรถไปมอด้วยกัน” ผมเลื่อนกระจกลงแล้วตะโกนบอกมัน

      ไอ้คิ้วท์พยักหน้าแล้วเปิดประตูรถขึ้นมานั่งเบาะหลัง “พอดีเลย กูกำลังจะเรียกวินอยู่แล้วเชียว” มันบอก

      “จ๊ะเอ๋…”

      “เหี้ย!!” ไอ้คิ้วท์อุทานออกมาเสียงดังหลังจากที่ไอ้นักชะโงกหน้าไปทักทายมันที่เบาะหลัง

      “พรหมลิขิตชัดๆ เราต่างเป็นเพื่อนของไอ้โช” ไอ้นักพูดแล้วยิ้มทะเล้น

      “พวกมึงรู้จักกันด้วยเหรอวะ” ผมถามแทรก

      “ใช่แล้ว เจอกันเมื่อสามวันก่อนที่ร้านเหล้า พี่เหนือเพื่อนเฮียกุนบอกว่าเป็นรุ่นน้องที่โรงเรียนเก่าเลยชวนมาแจมด้วย ไม่คิดเลยว่าจะเป็นเพื่อนมึง”

      “เออ ไอ้คิ้วท์เป็นเพื่อนกูตอนเด็กอ่ะ” ผมบอกไอ้นัก

      “นี่เพื่อนคณะเดียวกันที่มึงพักอยู่ด้วยเหรอวะ”

      “ใช่ครับ ที่จริงเป็นเพื่อนที่โคตรจะสนิทต่างหาก” ไอ้นักตอบไอ้คิ้วท์แทนผม “อ่อใช่ กูอยากจะถามว่ามึงรู้มั้ยว่าวันนั้นทำไมปากกูแตก กูจำไม่ได้ว่าไปโดนอะไรมา เท่าที่จำได้กูคุยอยู่กับมึงในห้องน้ำแล้วจากนั้นกูรู้สึกว่าตัวเองล้มตึง เอาจริงกูมึนๆ ไม่รู้ว่าพูดอะไรกับมึงด้วยซ้ำ” มันถามไอ้คิ้วท์ต่อ

      ใช่แล้วครับ ผมก็สงสัยว่าปากไอ้นักไปโดนอะไรมา เพราะตื่นเช้ามาอีกวันผมเห็นว่าปากมันแตกแล้วก็ช้ำ พอถาม มันก็บอกว่าจำไม่ได้แล้วก็เอาแต่ทำหน้ามึนยิ้มกว้างใส่ผม ทำเหมือนไม่ได้รู้สึกเจ็บแผลนั่นเลย แถมยังมีหน้ามาบอกว่าคงโดนสาวสักคนกัดปากมา

      “กู…จะไปรู้มึงเหรอ มึงคงไปกวนตีนใครสักคน เขาก็เลยเอากำปั้นให้มึงกิน” ไอ้คิ้วท์ตอบ

      “ไม่มั้ง กูอัธยาศัยดีจะตาย”

      “มึงรู้ได้ไง มึงอาจจะเมาแล้วไม่รู้ตัวเองว่าไปกวนตีนใครเขาเข้า ขนาดกูแค่มองหน้ามึง…กูยังรู้สึกเกลียดขี้หน้าเลย” ทำไมไอ้คิ้วท์มันต้องหงุดหงิดขนาดนั้น

      “เกลียดขี้หน้าแต่มานั่งรถเขาเนาะคนเรา”

      “ถ้ารู้ว่าเป็นรถมึง กูคงไม่แม้แต่จะคิดก้าวขึ้นมาหรอก!”

      “เฮ้ยๆๆ ไอ้คิ้วท์มึงไม่ต้องลง ไปด้วยกันเนี่ยแหละ กูเป็นคนชวนมึงขึ้นรถ ดังนั้นไม่ต้องไปสนใจไอ้นักมัน” ผมรีบปรามไอ้คิ้วท์ก่อนที่มันจะเปิดประตูลงไป “ส่วนมึงก็หุบปากแล้วขับรถไปมอได้แล้ว เดี๋ยวได้สายกันจริงๆ” ผมหันมาบอกไอ้นัก

      ผมรีบตัดบทก่อนที่พวกมันจะเถียงกันไปมาให้เสียเวลามากกว่านี้ครับ ดูเหมือนไอ้นักคงไปกวนประสาทอะไรไอ้คิ้วท์เข้าสักอย่าง พวกมันถึงได้สนทนากันได้ฮาร์ดคอร์ขนาดนี้ทั้งที่เพิ่งรู้จักกัน


      “ไว้เจอกันนะครับคนคิ้วท์” ถึงคณะไอ้คิ้วท์ก่อนครับ ไอ้นักจอดรถให้มันลงแล้วพูดน้ำเสียงหยอก

      “…” โดนไปหนึ่งดอก ไอ้คิ้วท์ชูนิ้วกลางใส่ไอ้นักกลับ แต่ไอ้เพื่อนตัวแสบของผมมันไม่สะทกสะท้านอะไรหรอก ยิ้มสู้เฉย

      “มึงห้ามมายุ่งกับเพื่อนกูเลยนะ” ผมพูดกับไอ้นัก

      “กูก็เพื่อนมึง…เพื่อนรักด้วย มาทำหวงกับกูทำไมวะ”

      “ก็เพราะว่ามึงเป็นเพื่อนรักกู กูถึงได้รู้สันดานมึงดีไง ถ้ามึงมายุ่งกับไอ้คิ้วท์ กูนี่แหละจะเป็นคนขัดขวางมึงอย่างเต็มที่” ผมพูดจริงจังจนไอ้นักทำหน้าเซ็งเล็กน้อย แต่เชื่อเถอะครับมันไม่ได้สำเหนียกในสิ่งที่ผมพูดหรอก

      ไอ้นักเป็นเพื่อนรักผมก็จริงครับ แต่ผมจะไม่ยอมให้ไอ้คิ้วท์เข้าใกล้มันหรอก สันดานเสืออย่างมันน่ะไม่น่าไว้ใจ ดีแล้วที่ไอ้คิ้วท์ไม่ชอบขี้หน้าจะได้อยู่ห่างๆ มันไว้




      การเรียนวันแรกก็ไม่ได้มีอะไรมากครับ เป็นการทำความรู้จักกับอาจารย์แล้วก็แนะแนวเล็กๆ น้อยๆ และวันนี้ก็มีวิชาเรียนแค่ช่วงเช้า ส่วนช่วงบ่ายรุ่นพี่บอกว่าจะมีกิจกรรมต้อนรับน้อง และตอนนี้ก็เที่ยงแล้วด้วย ผมรู้สึกหิวจนไส้กิ่ว เพราะตอนเช้ามัวแต่เร่งไอ้นักจนไม่ได้กินอะไรรองท้องมา

      “ไปโรงอาหารกัน” ผมชวนไอ้นักหลังออกมาจากห้องเรียน

      “โทษที มึงไปคนเดียวละกันนะ กูมีนัดกับพี่ฟางไปกินข้าวข้างนอกว่ะ”

      ผมมองไอ้เพื่อนตัวแสบอย่างเบื่อหน่าย “ตอนบ่ายยังมีกิจกรรมอีกนะเว้ย” ผมเตือนมัน

      “เออน่า ถึงกูจะเสเพล แต่ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยมีแค่ครั้งเดียว ดังนั้นกูจะไม่พลาดกิจกรรมเหล่านี้แน่นอนแล้วก็จะไม่พลาดนัดกับพี่ฟางด้วย ไปนะ แล้วเจอกันเพื่อน” พูดจบมันก็วิ่งไปอย่างเร็วเลยครับ

      เปิดเทอมวันแรกผมก็ได้ไปกินข้าวคนเดียวซะแล้ว เซ็งฉิบ…


      โรงอาหารคณะบริหารใหญ่ดีครับ มีร้านอาหารหลากหลาย ดูเหมือนจะมีคนข้างนอกเข้ามาซื้อทานกันด้วย แต่ไม่ว่าโรงอาหารจะใหญ่แค่ไหน ตอนนี้ผมกลับรู้สึกว่าโรงอาหารเล็กลงยังไงก็ไม่รู้ครับ เพราะผมเห็นเฮียขุนกับกลุ่มเพื่อนสามสี่คนกำลังเดินมาทางผมที่ยืนรออาหารอยู่

      ผมก้มหน้าลงพื้นมองเท้าตัวเอง รอให้เขาเดินผ่านเพียงชั่วอึดใจ ความรู้สึกจากห่างตา…เฮียขุนเขาก็ไม่ได้มองมาหรืออะไรกับผมหรอกครับ เขาคงทำเหมือนกับว่าผมเป็นแมลงหวี่แมลงวันแถวนี้ ไม่ได้สนใจอะไร

      “โช” ผมสะดุ้งแล้วหันไปยังเสียงเรียก

      ตกใจหมด ไอ้พี่ภามที่เดินมาพร้อมเฮียขุนนั่นเอง คงไม่คิดว่าจะเป็นเฮียขุนหรอกครับที่เรียกผม คนนั้นเขาเดินผ่านผมไปนู้นแล้ว “โรงอาหารคณะตัวเองไม่มีเหรอไง ถึงได้ถ่อมาหาอะไรกินที่โรงอาหารคณะบริหาร” ผมพูดหยอกพี่ภามพลางยื่นมือรับก๋วยเตี๋ยวที่สั่ง

      “ก็มาทวงที่มึงบอกจะเลี้ยงข้าวกูไง”

       เออว่ะ เคยบอกไปว่าจะเลี้ยงข้าวตอบแทนที่พี่ภามมันช่วยผมขนของนี่หว่า “ถ้างั้นพี่อยากกินอะไรล่ะ” ผมถาม

      “อืม…เอาเหมือนมึงละกัน”

      ผมจัดการสั่งก๋วยเตี๋ยวอีกชามให้พี่ภามแล้วก็เดินไปหาที่นั่ง…

      แล้วไอ้พี่ภามมันจะเดินมานั่งกับผมทำไม “เอ้า มานั่งนี่ทำไม ผมก็เลี้ยงก๋วยเตี๋ยวพี่แล้ว เอาไปนั่งกินกับเพื่อนพี่นู้น” ผมพยักเพยิดหน้าไปข้างหลังที่กลุ่มของเฮียขุนนั่งห่างอยู่ไม่ไกลนัก

      “ก็กูอยากนั่งกินกับมึง” พี่ภามพูดแล้วก็โซ้ยก๋วยเตี๋ยวเข้าปาก มันไม่ร้อนหรือไงวะ

      ผมแอบหันไปมองข้างหลังและสบตาเข้ากับเฮียขุนพอดี ผมรีบหันขวับกลับมาแล้วพูดกับพี่ภาม “นี่พี่ภาม ดูเหมือนว่าเพื่อนพี่จะไม่พอใจที่มานั่งกับผมนะ” ผมบอกกับพี่ภามที่ดูไม่สนใจอะไร

      “มึงหมายถึงไอ้ขุนเหรอ” พี่ภามพูดพลางชะโงกไปมองข้างหลังผม “ดูเหมือนว่ามันจะกำลังมองมึงอยู่นะ”

      “ที่เขามองผมก็เพราะไม่ชอบที่เพื่อนเขามานั่งกับคนที่เขาเกลียดไง จ้องผมเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ” ผมพูดเสียงนอยๆ
 
      “กูไม่คิดอย่างนั้นนะ” พี่ภามพูดพลางโซ้ยก๋วยเตี๋ยวเข้าปากต่อ มันดูไม่สนอะไรเลยจริงๆ อ่ะ เอาแต่เคี้ยวตุ้ยๆ อยู่นั่น ไม่รู้ไปหิวมาจากไหน ส่วนผมรู้สึกเสียวสันหลังแปลกๆ เพราะรับรู้ได้ถึงรัศมีสายตาของเฮียขุนที่ยังคงมองมาทางผมอยู่

      “หมายความว่ายังไง”

       “ที่ไอ้ขุนมันมองมึงคงเพราะ…มันหึงมั้ง” พี่ภามมันพูดงึมงำเพราะก๋วยเตี๋ยวเต็มปาก แต่ผมก็ยังพอฟังออก

      “ตลก…หึงบ้าบออะไร”

      “หึงก็คือหึง มึงนี่เข้าใจยากจัง อย่าถามมาก ยังไงกูก็จะนั่งกินกับมึงนี่แหละ กูไม่สนหรอกว่าไอ้ขุนมันจะมองหรือคิดยังไง…กูจะไปซื้อน้ำ ก๋วยเตี๋ยวติดคอกูละเนี่ย มึงจะเอาน้ำอะไร เดี๋ยวกูซื้อมาให้” พี่ภามลุกขึ้นพลางถาม

      “เอา…”

      “เอาเหมือนกูละกัน” พี่ภามพูดเองเออเองเสร็จสรรพก่อนจะเดินไป แล้วมันจะถามผมเพื่อ?

      ไม่เข้าใจที่พี่ภามมันพูดอ่ะครับ ผมรู้ว่าหึงคืออะไร แต่จะมาบอกว่าเฮียขุนหึงผมน่ะเหรอ…เป็นไปไม่ได้ เขาไม่ได้ชอบผม คนเกลียดกันจะมาหึงกันได้ยังไง หรือจะหึงไอ้พี่ภามมัน…ไม่มั้ง คงไม่ได้หึงแบบนั้น ถ้าหึงก็คงแบบเพื่อน ก็บอกแล้วว่าเขาคงหวงแล้วก็ไม่พอใจที่เพื่อนเขามานั่งกับคนที่เขาเกลียดอย่างผมต่างหาก


      อย่าฝันเฟื่องคิดไปไกลกับคำพูดมั่วๆ ของไอ้พี่ภามเลยไอ้โชเอ้ย…




      บ่ายสองแล้ว…ดูซิว่าไอ้นักจะมาเข้ากิจกรรมอย่างที่ปากมันพูดมั้ย


      “ไอ้โช!”

      ผลัวะ! ผมโบกไอ้นักเข้าให้ เรียกดีๆ ไม่เป็น มันยังมาเสียงดังแล้วจี้เอวผมอีก

      “นี่เพื่อนเอง รุนแรงตลอด” มันพูดพลางลูบหัวตัวเอง

      “หมั่นไส้เพื่อนอย่างมึงไง ไปได้แล้ว เพื่อนเขาไปนั่งกันหมดแล้วเนี่ย”


      ผมกับไอ้นักเดินมานั่งยังลานกว้างหน้าตึกคณะรวมกับปีหนึ่งคนอื่นๆ ตามที่รุ่นพี่เรียก

      บรรยากาศมหาวิทยาลัยของจริงเริ่มขึ้นแล้วครับ ตอนนี้มีรุ่นพี่ปีสองยืนล้อมเราเต็มไปหมด ให้ความรู้สึกว่าน่าตื่นเต้นและหวังว่ากิจกรรมนี้จะมีอะไรที่สนุกๆ ให้ทำ

      “สวัสดีน้องๆ ปีหนึ่ง ขอต้อนรับเข้าสู่คณะบริหารของรั้วมหาวิทยาลัยแห่งนี้ พวกพี่ยินดีเป็นอย่างมากที่จะได้ทำความรู้จักกับพวกน้องๆ และหวังว่าพวกน้องเองก็อยากที่จะรู้จักพวกพี่เช่นกัน ดังนั้นกิจกรรมต้อนรับน้องนี้จึงเป็นโอกาสแรกที่ดีที่จะทำให้เราได้รู้จักกันมากขึ้น” เฮียกุนที่เป็นรุ่นพี่ปีสองกล่าวเปิด สาวๆ ปีหนึ่งที่นั่งอยู่ในแถวนี่แอบกรี๊ดกันใหญ่เลยครับ อย่างว่าใครจะไปทนเสน่ห์เดือนมหาวิทยาลัยไหว ถึงแม้เฮียกุนจะใส่แว่นแต่ก็ไม่ได้ทำให้หน้าหล่อๆ ของเขาดูเฉิ่มเลย ยิ่งดูดีและน่าหลงไหลเข้าไปอีก “แจกภารกิจให้น้อง” เฮียกุนบอกรุ่นพี่ปีสองคนอื่นแจกแผ่นกระดาษให้ปีหนึ่ง



   …ขุนศึก จรัสวาณิชย์…


   
      “เชี่ยอะไรเนี่ย!” ผมรับแผ่นกระดาษมาอ่านแล้วพบว่าเป็นกระดาษรายชื่อ และผมก็ต้องอุทานคำหยาบออกมาเมื่อไล่สายตาอ่านดูแล้วเห็นชื่อที่คุ้นเคย ชักจะไม่น่าสนุกแล้วสิ รู้สึกว่าลางไม่ค่อยจะดีเลย แน่นอนว่าภารกิจของผมต้องทำอะไรบางอย่างกับรายชื่อพวกนี้


      แล้วทำไมต้องมีชื่อเฮียขุนด้วยยยยยยย


      “เฮ้ย นั่นชื่อพี่กูนี่” ไอ้นักอ่านดูแผ่นกระดาษของผม

      “เออสิวะ ไหนกระดาษของมึง เอามาดู ถ้าไม่มีชื่อเฮียขุน มึงต้องเปลี่ยนกับกู”

      “กูไม่มีและกูไม่เปลี่ยน ฮ่าๆๆๆ” ไอ้นักถือกระดาษหลบไปมาพลางหัวเราะสะใจ ผมตามจับแต่ก็คว้าไม่ได้เพราะไอ้นักมันหลบเร็วเหลือเกิน

      “ไอ้เลว มึงเป็นเพื่อนกูเปล่าวะ” ผมด่ามันด้วยความน้อยใจที่ไม่ยอมเปลี่ยนแผ่นกระดาษกับผม

      “มึงจงไปเผชิญชะตากรรมกับเฮียขุนซะเถอะไอ้เพื่อนรัก ฮ่าๆๆ” ดูมันพูด ไอ้…เพื่อนชั่ว ผมไม่รู้ว่าจะด่ามันยังไง ครับ มันก็รู้ว่าพี่มันใจร้ายกับผม และผมก็รู้สึกเจ็บเวลาเขาด่าหรือมองผมด้วยสายตาที่เกลียดกัน ไอ้นักมันก็น่าจะรู้ความรู้สึกของผมดี แต่มันก็ยังกล้าส่งผมไปหาพี่มันอีก


      “ได้รับแผ่นกระดาษกันครบทุกคนแล้วใช่มั้ยครับ ในมือของน้องๆ ที่ถืออยู่คือรายชื่อรุ่นพี่ในคณะเรา รายชื่อรุ่นพี่ถูกคละกันมีตั้งแต่พี่ปีสองไปถึงพี่ปีสี่ ซึ่งน้องแต่ละคนจะได้ไปคนละยี่สิบชื่อ ง่ายๆ ครับ ถ้าอยากรู้จักพวกรุ่นพี่ล่ะก็…พวกน้องก็แค่ไปตามล่าลายเซ็นพวกพี่เขา แต่ไม่แค่นั้นนะครับ ได้ลายเซ็นแล้วก็ต้องเซลฟี่กับพวกพี่เขามาด้วย”


      ฉิบหายยยยยยยย…


      หลังจากที่เฮียกุนอธิบายรายละเอียดของภารกิจ ผมนี่เครียดจนต้องเอามือกุมขมับทั้งสองข้างของตัวเองเลยครับ สำหรับคนอื่นอาจจะเป็นภารกิจที่ง่าย สนุกและตื่นเต้นที่จะได้รู้จักรุ่นพี่ แต่สำหรับผมมันยากมาก…ยากตั้งแต่การมองหน้าและต้องพูดเพื่อขอลายเซ็น นี่ยังต้องขอเซลฟี่คนๆ นั้นอีกหรือเนี่ย


      เครียดโว้ยยยยยยยย…


      “ตอนนี้บ่ายสองครึ่ง” เฮียกุนพูดพลางก้มดูนาฬิกา “พี่จะให้เวลาน้องๆ ถึงห้าโมงเย็น ต้องทำภารกิจนี้ให้เสร็จแล้วมารวมตัวกันที่นี่อีกครั้ง เราจะตรวจสอบว่าน้องทำภารกิจสำเร็จหรือเปล่า และสำหรับคนที่ทำไม่สำเร็จ เราก็มีบทลงโทษให้ด้วย พี่หวังว่าพวกน้องจะสนุกและได้เริ่มรู้จักรุ่นพี่จากภารกิจนี้ เอาล่ะ แยกย้ายกันไปทำภารกิจได้ แล้วเจอกันตอนห้าโมงเย็นครับ”

      หลังจากเฮียกุนพูดจบ ผมก็นั่งซึมเลยครับ ไม่รู้ว่าผมจะเครียดที่ต้องไปล่าลายเซ็นเฮียขุนแล้วเซลฟี่ด้วยหรือเครียดที่ทำภารกิจไม่สำเร็จแล้วต้องโดนทำโทษ ไม่ว่ายังไงผมก็ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง…สรุปแล้วผมควรเครียดกับเรื่องไหนมากกว่ากัน


      ถ้าผมเครียดเรื่องที่จะต้องเผชิญหน้ากับเฮียขุนมากกว่า…


      ผมก็เลือกที่จะโดนลงโทษครับ



      พอสั่งแยกย้าย ไอ้นักก็หัวเราะทับถมผมอีกทีแล้วก็หายจ้อยไปเลย ส่วนผมยืนงงในดงรายชื่อที่ถืออยู่ในมือ ไม่รู้ว่าผมจะต้องเริ่มต้นจากตรงไหนดี

      ผมก้มหน้าอ่านแผ่นกระดาษรายชื่อ…มีชื่อเฮียกุนด้วยแฮะ มัวแต่ช็อกไปชั่วครู่ที่เห็นชื่อของเฮียขุนเลยอ่านรายชื่อยังไม่หมด…ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มจากเฮียกุนละกัน

      ถึงแม้ผมคิดว่าจะไม่ไปขอลายเซ็นเฮียขุนและยอมโดนลงโทษเพราะทำภารกิจไม่สำเร็จ แต่การล่าลายเซ็นจากรายชื่อที่เหลือก็ยังทำให้อย่างน้อยได้รู้จักรุ่นพี่คนอื่นๆ

      “เฮียกุน ขอลายเซ็นหน่อยครับ” ผมเดินไปหาเฮียกุนที่กำลังยืนคุยอยู่กับเพื่อน

      “มึงมีชื่อกูสินะ เอากระดาษมานี่”

      “เฮ้ย เดี๋ยวก่อนไอ้กุน มึงจะเซ็นให้น้องมันง่ายๆ เลยเหรอวะ มึงรู้จักกันเป็นการส่วนตัวใช่มั้ยเนี่ย อย่าเอาความสนิทเข้ามาเกี่ยวสิ มึงต้องให้น้องมันเล่น เต้นระบำหรือทำอะไรแลกเปลี่ยนเหมือนคนอื่นๆ ดิวะ อย่าลำเอียง” เพื่อนในกลุ่มเฮียกุนทักท้วงขึ้นก่อนที่เฮียแกจะจรดปลายปากกาลงกระดาษของผม

      “กูจะไม่ให้น้องมันทำอะไรยุ่งยากเพื่อแลกลายเซ็นกูหรอก เพราะกูเชื่อว่ามันจะต้องโดนอะไรที่ยากอยู่แล้ว เผื่อเวลาให้มันไปให้รุ่นพี่คนอื่นจัดการเถอะว่ะ” เฮียกุนอธิบายกับเพื่อนก่อนที่จะหันมาเซ็นลายเซ็นให้ผมโดยง่ายและจบด้วยการเซลฟี่ด้วยกัน
“โชคดีนะมึงอ่ะ” คำอวยพรจากเฮียกุนครับ ดูเหมือนเฮียแกจะรู้ซะตาของผมจากการที่ไล่สายตาดูรายชื่อแล้วคงเห็นชื่อของเฮียขุน

      แต่เฮียกุนไม่รู้หรอกว่าผมจะหลีกเลี่ยงโดยการไม่ไปขอลายเซ็นของพี่ชายเขา



      เครียดด้วยแล้วก็สนุกด้วยครับที่ได้ทำภารกิจนี้ รุ่นพี่ก็อยู่กันกระจายไปทั่วบริเวณคณะบริหารซึ่งกว้างอยู่พอสมควรเลย ผมก็เดินและถามว่าพวกเขามีชื่ออยู่ในกระดาษของผมมั้ย จากนั้นพอเจอตัวพวกพี่เขาก็ให้ทำโน้นทำนี่ก่อนแจกลายเซ็น เต้นบ้าๆ บ้างล่ะ ให้เดินไปขอเบอร์สาวให้บ้าง ใช้ผมไปซื้อน้ำให้ก็มี ก็ต้องทำล่ะครับ เป็นการกระตุ้นให้กล้าแสดงออกและประสบการณ์แปลกๆ ที่จะทำให้เรารู้จักและจดจำรุ่นพี่คนนั้นได้

      เฮ้อออ ผมเดินมานั่งพักและดูดชาไข่มุกเย็นๆ ให้ชื่นใจพลางมองชื่อที่เหลือเพียงชื่อเดียว นั่นก็คือชื่อของเฮียขุน คงหยุดการตามล่าแค่นี้แหละครับ เพราะยังไงผมก็ไม่ไปขอลายเซ็นเขาเด็ดขาด

      “เชี่ยย” ลมแรงเกินครับ มันทำให้แผ่นกระดาษรายชื่อในมือของผมปลิวไป

      เชี่ยยยยยย! ต้องสบถแรงกว่าเดิมครับ เพราะกระดาษของผมมันปลิวไปตกอยู่ตรงเท้าของเฮียขุนที่เดินมาพร้อมกับเพื่อนเขาพอดี…เขาเก็บมันขึ้นมาด้วย

      “ของมึงใช่มั้ย” เขาเดินมาแล้วพูดกับผมที่ยืนทื่อกลายเป็นภาพนิ่งไปแล้ว “กูถามว่าของมึงใช่มั้ย” เขาถามย้ำ

      “ใช่” ผมตอบสั้นๆ “ผมขอคืน” ผมแบมือออกไปโดยที่ตาก้มมองดูปลายเท้าตัวเอง ไม่กล้ามองหน้าเขาอ่ะครับ

      “พูดกับรุ่นพี่ไม่มีหางเสียงแถมยังไม่มองหน้ากูอีก”

      “เงยหน้าขึ้นมา!” รุ่นพี่ในกลุ่มคนหนึ่งตะโกนขึ้นมาจนผมสะดุ้ง

       ลืมไปครับว่าพวกเขาอยู่ปีสามซึ่งถูกวางให้อยู่ในสถานะพี่ว้าก ฟังจากคำสั่งเมื่อกี้ผมคิดว่าพี่เขาเพิ่งออกมาจากค่ายทหารซะอีก ส่วนเฮียขุนแม้จะไม่ได้เสียงดังแต่คำพูดที่เขาพูดกับผมก็ฟังดูเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน…ตามสไตล์คุณชายผู้เย็นชาน่ะครับ

      “เอ่อ…ผมขอกระดาษคืนครับ” ผมค่อยๆ เงยหน้าขึ้นด้วยความเกร็ง แต่ก็ไม่กล้ามองตาเฮียขุนหรอกครับ ผมเงยเท่าความสูงของตัวเองซึ่งระดับสายตาเห็นถึงแค่ปลายจมูกของเขาเท่านั้น แค่นี้ก็รู้ถึงรัศมีสายตาที่ดุดันของเขาจนทำให้ผมตัวสั่นขึ้นมานิดๆ แล้ว

      “เหลือชื่อกูอีกหนึ่ง มึงจะไม่เอาลายเซ็นเหรอ” เฮียขุนพูด
 
       “ถ้างั้น…ช่วยเซ็นให้ได้มั้ยครับ” ผมพูดไปอย่างนั้นแหละ เขาคงไม่เซ็นให้หรอก

      “ก็ได้ กูจะเซ็นให้…”

      หือ ทำไมจะเซ็นให้ง่ายๆ ผมแปลกใจ

      “…ถ้ามึงยอมปลดกระดุมสักสามสี่เม็ดพอให้ดูเซ็กซี่ขึ้นมาหน่อย แล้วไปเต้นรูดเสาพร้อมกับตะโกนเรียกให้คนแถวนี้มาดูสเต็ปแดนซ์ของมึง”

      ผมเงยหน้าขึ้นมามองตาเขาอย่างเคืองๆ หึ คิดไว้อยู่แล้วว่าคนอย่างเขาไม่มีทางเซ็นให้ผมง่ายๆ หรอก

      “มองหน้ากูอย่างนี้ แสดงว่าจะไม่ทำสินะ ถ้าเรื่องแค่นี้ขี้ขลาด มึงก็ไม่สมควรที่จะได้ลายเซ็นกูและกูก็จะไม่คืนกระดาษแผ่นนี้ให้”

      แล้วยังไงล่ะ ถ้าผมตั้งปณิธานกับตัวเองไว้ว่าจะเกลียดเขา ผมก็ควรจะทำให้ได้ซะที “ถึงผมจะขี้ขลาดที่ไม่ทำตามคำสั่ง แต่ผมก็กล้าที่จะยอมลงโทษก็ได้ และถึงจะไม่คืนกระดาษรายชื่อให้ผม ผมก็ไม่สนหรอก มันก็แค่กระดาษที่มีลายเซ็น มันไม่สำคัญเท่ากับว่าผมมีปฏิสัมพันธ์กับพวกรุ่นพี่ที่ผมไปขอลายเซ็นและเซลฟี่กับพวกเขามา ผมได้รู้จักกับพวกเขาแล้วและผมจะไปขอลายเซ็นพวกเขาใหม่ก็ได้ อีกอย่างลายเซ็นเดียวที่เหลือคงไม่ต้องก็ได้มั้ง…ผมไม่ได้อยากได้ขนาดนั้น” แม่งทำไมกูพูดยาวจังวะ ตื่นเต้นฉิบหายที่กล้าพูดใส่หน้าเฮียขุนขนาดนี้ เอาจริงตอนพูดนี่ตัวก็สั่นระริกไปหมดแล้วครับ

      หลังจากพูดกับเฮียขุนไปขนาดนั้น ผมก็รีบคว้าเป้แล้วเดินจ้ำอ้าวหนีไปเลย ไม่สนด้วยว่าพวกพี่เขาจะตะโกนเรียกให้หยุด ผมไม่แคร์อะไรแล้วครับ ไม่คืนก็ไม่ต้องคืน ผมจะยอมล้มภารกิจและไม่มีแม้แต่แผ่นกระดาษไปส่ง





      ถึงตั้งปณิธานว่าจะเกลียดเขา แต่ที่ผ่านมา…





      ไม่ว่ายังไงผมก็เกลียดเขาไม่ลงจริงๆ ซะที






-----TBC-----


หัวข้อ: Re: #Heart To Heart #ใจแพ้รัก 「ตอนที่4」-26/03/19-
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 26-03-2019 20:57:27
 :hao3:
 :3123:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: #Heart To Heart #ใจแพ้รัก 「ตอนที่4」-26/03/19-
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 28-03-2019 09:24:31
 :L2: :pig4:

ทำไมใจร้าย
หัวข้อ: Re: #Heart To Heart #ใจแพ้รัก 「ตอนที่5」-29/03/19-
เริ่มหัวข้อโดย: ิbanoffee ที่ 29-03-2019 22:57:47
ตอนที่5


      “พวกน้องๆ นั่งกันในแถวและเตรียมมือถือไว้นะครับ พวกพี่ปีสองจะไปตรวจกระดาษรายชื่อและรูปที่ไปขอรุ่นพี่เซลฟี่ว่าได้กันมาครบมั้ย”

   ตอนนี้เป็นเวลาห้าโมงเย็นซึ่งคือเวลานัดหมายให้เด็กปีหนึ่งมารวมตัวกันที่ลานหน้าตึกคณะอีกครั้งหลังจากที่ปล่อยให้ไปทำภารกิจ

   “แล้วกระดาษรายชื่อมึงล่ะ” ไอ้นักถามผม

   “อยู่กับพี่มึง” ผมพูดอย่างเคืองๆ

   “อยู่กับเฮียขุนอ่ะนะ”

   “เออสิ”

   “แล้วเฮียเขาเอาไปทำไม”

   “…” ผมมองหน้ามันอย่างคาดโทษ “มึงยังจะมีหน้ามาถาม เป็นเพราะมึงนั่นแหละที่ไม่ยอมเปลี่ยนกระดาษรายชื่อกับกู พี่มึงน่ะแกล้งกู จะให้กูอับอายโดยการให้ปลดกระดุมเสื้อไปเต้นรูดเสาแล้วก็เรียกให้คนมาดู พี่มึงมันร้ายกาจ นิสัยเสีย เรียกว่าชั่วไปเลยจะดีกว่า ไม่เซ็นให้กูแล้วก็ยังจะยึดกระดาษกูไปอีก นี่กูเคยชอบคนแบบนี้เข้าไปได้ยังไงวะ” ไม่ใช่ว่าเคยชอบแต่ชอบมาตลอดจนถึงตอนนี้ต่างหาก

   “มึง…กูขอโทษ เฮียขุนให้ทำเรื่องน่าอายขนาดนั้นเลยเหรอวะ” ผมพูดกับมันด้วยความโมโหจริงจัง หน้าไอ้นักมันสำนึกจริงๆ ครับ แต่สายไปแล้วมั้ง “ถ้างั้นเอาของกูไป” เหมือนไอ้นักจะไถ่โทษด้วยการยกแผ่นกระดาษของตัวเองที่มีลายเซ็นรุ่นพี่ครบให้ผม…แต่นี่ก็ไม่ทันแล้วเหมือนกันครับ

   “ไหนกระดาษของน้องล่ะคะ” รุ่นพี่ปีสองที่ตรวจภารกิจเดินมาถึงผมแล้ว

   “ผม…ทำหายครับ มีแต่รูปที่เซลฟี่” ผมบอกไปอย่างนั้น

   “โอเค ถ้างั้นก็รูปเซลฟี่”

   “คือ…รูปเซลฟี่ก็ไม่ครบครับ”

   “ถ้างั้นออกไปข้างหน้าเลยค่ะ” แล้วพี่เขาก็เดินตรวจต่อ

   “ทำไมมึงไม่บอกว่ากระดาษที่กูถืออยู่เป็นของมึง” ไอ้นักพูดกับผม

   “ช่างแม่ง จะทำงั้นได้ไง มึงต้องไปเหนื่อยทำโน้นนี่นั่นกว่าจะได้ลายเซ็นรุ่นพี่มา กูคงไม่ให้มึงมารับโทษแทนกูหรอก” ผมคนดีครับ ถึงจะยังเคืองไอ้นักเรื่องที่มันไม่ยอมเปลี่ยนกระดาษกับผมก็เถอะ

   เป็นอันว่าผมก็ได้ออกไปยืนหน้าแถวรวมกับเพื่อนที่ทำภารกิจไม่สำเร็จเหมือนกันอีกหกเจ็ดคนเพื่อรอรับบทลงโทษ



   “น้องๆ ครับ สวัสดีรุ่นพี่ปีสามกันหน่อยเร็ว” เฮียกุนกล่าวถึงกลุ่มพี่ปีสามหรือกลุ่มพี่ว้ากที่เดินมาเปิดตัวแก่เด็กปีหนึ่ง และแน่นอนหนึ่งในนั้นคือเฮียขุนที่กำลังมองมาที่ผม ผมเองก็จ้องเขาด้วยความหงุดหงิดเหมือนกัน

   เอาสิ ต่อไปนี้ผมจะใจกล้าสู้หน้าเขาแล้ว ไม่ยอมแล้วเว้ย ต้องทำใจดีสู้เสือบ้าง เผื่อเขาจะได้รู้ว่าผมก็เกลียดท่าทีที่เขาทำใส่ผมขนาดไหน

   “สวัสดีครับพี่ปีสาม” ปีหนึ่งพร้อมใจกันยกมือไหว้พวกเขา

   “สวัสดีน้องๆ ทุกคน ดีครับที่มีสัมมาคารวะกัน แต่ดูเหมือนจะมีอยู่หนึ่งคนที่ไม่มีสิ่งนั้น” เฮียขุนกล่าวทักทายเสียงเรียบ อะ…เมื่อกี้ผมมัวแต่จ้องเขาจนลืมตัวยกมือไหว้เลยนี่หว่า


   “ว่าไง” เขาเดินมาที่ผมพลางมองหาเรื่องและคนอื่นๆ ก็มองมาที่ผมเป็นตาเดียวกัน

   “สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้เขาลวกๆ และพูดน้ำเสียงแข็ง ก็บอกว่าลืมตัว ผมไม่ได้ตั้งใจที่จะหาเรื่องเขาโดยการไม่แสดงความเคารพหรอกครับ แค่ตอนนี้รู้สึกหมั่นไส้นิดๆ

   “ดูไม่เต็มใจไหว้นะ แต่ก็ช่างเถอะ กูมีวิธีสั่งสอนมึง” ดูสีหน้าที่เขาพูดสิ ไม่หลงเหลือภาพความใจดีอยู่เลย นับวันยิ่งดูร้ายกาจ “กูจะถามมึงเป็นครั้งสุดท้าย มึงอยากได้กระดาษคืนพร้อมลายเซ็นกูมั้ย…ถ้าอยากได้ก็ปลดกระดุมออกแล้วไปเต้นรูดเสาโชว์ต่อหน้าเพื่อนๆ ซะ” เขายังจะพูดกับผมแบบนั้น

   “ไม่ อยาก ได้”

   “มึงจะยอมลงโทษจริงๆ ว่างั้น”

   “ใช่ ผมจะยอมโดนลงโทษ” ผมพูดด้วยความมั่นใจ

   “ก็ได้ ถ้ามึงต้องการอย่างนั้น…บทลงโทษคืออะไร” พูดกับผมเสร็จก็หันไปถามเฮียกุน

   “ให้เพื่อนแต่ละคนรุมเขียนหน้า” เฮียกุนตอบ

   “อ่อน...” ขนาดน้องตัวเองก็ไม่เว้น เฮียกุนโดนว่าแบบนั้นเลยอดไม่ได้ที่จะหน้าเหวี่ยงใส่พี่ชายตัวเอง “ถ้างั้นก็ให้โดนรุมเขียนหน้า ยกเว้นไอ้นี่” เฮียขุนทำปากพยักเพยิดมาทางผม “ภารกิจต่อไปคือเข้าไปล้วงขวดโหลในห้องมืดกันเป็นกลุ่มใช่มั้ย…ถ้าอย่างนั้นลงโทษไอ้หมอนี่โดยการให้มันเข้าไปในห้องมืดคนเดียว”

   ห๊ะ…ฉิบหายละครับ!! จะเล่นกันอย่างนี้ใช่มั้ย เฮียขุนรู้ว่าผมโคตรจะกลัวที่มืด มันทำให้ผมกลัวแทบหายใจไม่ออกเลยล่ะ

   “หวังว่าวิธีนี้คงจะสั่งสอนให้มึงเคารพกูมากกว่านี้” เขาพูดพลางยิ้มเหมือนตัวร้าย ไม่กลัวหรอก ผมเองก็ทำหน้าเข้มเข้าสู้เหมือนกัน


   
       ทั้งที่จริงแค่คิดว่าจะได้เข้าห้องมืดก็กลัวจนรู้สึกเหมือนจะฉี่ราดยังไงก็ไม่รู้คร้าบบบ~

   

       ตอนนี้หกโมงเย็นเป็นเวลาโพล้เพล้ เหมาะกับการเพิ่มบรรยากาศให้น่ากลัวอย่างยิ่งสำหรับห้องมืดที่พวกรุ่นพี่จำลองห้องกว้างห้องหนึ่งให้กลายเป็นเสมือนบ้านผีสิง มีหลายสิ่งหลายอย่างเป็นอุปสรรคและกีดขวางท่ามกลางเขาวงกตในความมืดซึ่งเป็นหนทางให้ไปสู่ตำแหน่งที่อยู่ของขวดโหลใบหนึ่ง

       “ภารกิจนี้สำคัญมาก น้องๆ จะต้องไปให้ถึงขวดโหลและล้วงกระดาษในนั้นมาคนละหนึ่งใบ ทุกคนจะต้องทำให้สำเร็จเพราะกระดาษใบนั้นจะเป็นใบนำทางให้น้องไปสู่การรับรุ่น ถ้าใครที่ภารกิจล้มเหลวไม่ได้กระดาษนั้นมาก็อาจจะไม่ได้เป็นหนึ่งในรุ่นนี้ ดังนั้นเรามาปฏิบัติภารกิจเพื่อการได้รับเกียรตินั้นไปด้วยกันเถอะ เอาล่ะ พี่จะปล่อยให้น้องๆ ไปทีละกลุ่มตามแถวที่นั่งนะครับ ขอให้โชคดีและสนุกกับสิ่งที่พี่ๆ ได้เตรียมไว้ให้” เฮียกุนคนเดิมกล่าว

        อย่างที่ทราบกันว่าผมโดนลงโทษโดยการเข้าไปในห้องมืดคนเดียว ผมจึงถูกแยกนั่งเดี่ยวๆ ออกมาจากแถว พลางคิดว่าสิ่งที่พวกรุ่นพี่เตรียมไว้ให้ผมคาดว่าน่าจะเป็นอะไรแผลงๆ ที่กระตุ้นต่อมความกลัว ซึ่งเข้ากับบรรยากาศของเวลาตอนนี้บวกกับแสงไฟสลัวที่ถูกจัดฉากไว้

       ยิ่งบรรยากาศวังเวงแบบนี้ หันไปมองเพื่อนที่นั่งในแถวข้างๆ ผมนี่มีสะดุ้ง ก็คนที่โดนลงโทษแล้วถูกเพื่อนรุมเขียนหน้าซะเละ เห็นแต่ขอบตาและฟันขาวจากรอยยิ้ม หรือผมควรจะดีใจที่ไม่ถูกเขียนหน้าเหมือนพวกมัน

       “ทำไมมึงมานั่งคนเดียวตรงนี้วะ” พี่ภามถามผม ไม่รู้เขาเดินมาจากไหนครับ แต่เท่าที่รู้คณะสัตวแพทย์เนี่ยเรียนหนักและบางวันก็อยู่แล็ปจนดึก ผมละสงสัยจริงๆ ว่าสรุปไอ้พี่ภามมันเรียนอะไรกันแน่ถึงได้เห็นมันมาโผล่อยู่แต่ที่คณะบริหาร แล้วคณะมันไม่มีกิจกรรมเหมือนกันหรือไง

       “ผมโดนลงโทษให้เข้าห้องมืดคนเดียวอ่ะ แล้วพี่มาทำอะไร ไม่ไปต้อนรับน้องคณะตัวเองหรือไง”

       “กูทำหน้าที่ของตัวเองเสร็จแล้วก็เลยแวะมาดูมึง แล้วมีแค่มึงเหรอที่โดนลงโทษ”

       “มีหลายคนที่โดน พวกนั้นถูกรุมเขียนหน้าไปแล้ว แต่เพื่อนพี่อ่ะแกล้งจะให้ผมเข้าห้องมืดคนเดียว” ทำไมผมต้องทำเหมือนฟ้องไอ้พี่ภามด้วย

       “แล้วมึงกลัวมั้ย?”

       “ก็…”
“เออ ไม่ต้องพูดละ ดูก็รู้ว่ามึงกลัว ตัวสั่นตั้งแต่ยังไม่เข้าขนาดนี้ ไอ้ขุนก็คงรู้ว่ามึงกลัวสินะ มันถึงได้แกล้งมึง…ถ้างั้นรอเดี๋ยวกูจัดการให้”

       “ไม่ต้อง พี่ภาม!” ผมเรียกตามไม่ทันแล้วครับ ไอ้พี่ภามกำลังเดินไปหาเฮียขุนที่ยืนอยู่กับเพื่อน

       มันต้องไปพูดให้เฮียขุนเปลี่ยนใจไม่ส่งผมเข้าห้องมืดแน่เลยครับ อย่างนี้คนๆ นั้นเขาจะต้องคิดว่าผมกากแน่ๆ ไม่น่าฟ้องพี่ภามมันเลย แต่ผมคิดว่าคงไม่สำเร็จหรอก ถึงพี่ภามจะเป็นเพื่อนสนิทหรือพูดยังไงก็ไม่มีทางเปลี่ยนใจคนเย่อหยิ่ง นิสัยเสียคนนั้นได้ ผมมั่นใจ

       นั่นไง ดูจากสีหน้าพี่ภามที่หน้านิ่วคิ้วขมวดเถียงกับเฮียขุน ผมมั่นใจว่ายังไงเขาก็คงพูดว่าไม่ แล้วพี่ภามก็กำลังเดินกลับมาที่ผมด้วยใบหน้าที่เซ็ง

       “ช่างมันเถอะพี่” ผมพูดโดยที่พี่ภามยังไม่บอกอะไร

       “รู้ใจกันดีนักนะ มึงคงรู้ว่ามันไม่เปลี่ยนใจที่จะส่งมึงเข้าห้องมืดคนเดียว”

       “รู้ใจอะไรล่ะ รู้ดีว่าเขาเกลียดผมต่างหาก ผมจะยอมรับบทลงโทษที่เขาให้ เฮียขุนจะได้ไม่มองว่าผมอ่อน”

       “ถ้ามึงเข้าไปแล้วไม่ไหวก็ตะโกนดังๆ นะ เดี๋ยวกูจะเข้าไปช่วยมึงเอง”

       “มาแปลกว่ะ ยิ่งโตขึ้นก็ยิ่งทำตัวดีกับผมมากขึ้นนะพี่น่ะ เห็นตอนเด็กแกล้งผมจัง”

       “ก็กูโตขึ้นแล้ว เป็นผู้ใหญ่ก็ต้องแยกแยะมากขึ้น มีความรู้สึกมากขึ้น…” พี่ภามเงียบสักพักแล้วจ้องหน้าผม “เอ่อ รู้สึกผิดชอบชั่วดีมากขึ้นน่ะว่าไม่ควรแกล้งมึง”

       “ไม่ต้องมามองผมแบบนั้นเลย เอาเป็นว่าไม่ต้องสงสารผมหรอกที่โดนเพื่อนพี่แกล้งอ่ะ ยังไงซะผมก็จะทำภารกิจนี้ให้สำเร็จให้ได้โดยที่จะไม่ทำตัวอ่อนแอด้วยการกรีดร้องขอความช่วยเหลือสักแอะ”

       “เออ ให้มันจริงเหอะ อย่าให้กูได้ยินเสียงมึงตั้งแต่เพิ่งก้าวเข้าประตูไปละกัน”

       “เออ รีบๆ ไปยืนกับเพื่อนพี่นู้นไป มองตาขวางละนั่น” ผมผลักพี่ภามให้รีบไป เฮียขุนคงหงุดหงิดอีกตามเคยที่เห็นเพื่อนตัวเองมาพูดกับผมแล้วยังไปขอให้เขาเปลี่ยนใจไม่ส่งผมเข้าห้องมืดอีก

       บางทีผมก็คิดว่าไอ้พี่ภามกับเฮียขุนสลับร่างกันหรือเปล่า ทำไมเฮียขุนใจร้ายแล้วพี่ภามมันดูใจดีกับผมจัง




       กรี๊ดดดดดดดดดดดดด!!

       เสียงกรีดร้องของทั้งผู้หญิงและผู้ชายปีหนึ่งผสมปนเปดังมาเป็นระยะ ระหว่างทางเดินคงมีตุ๊กตาสิงสาราสัตว์ที่น่ากลัว หัวกะโหลกหรือผีปลอมอะไรทำนองนั้นที่มักพบเจอในบ้านผีสิง จึงทำให้พวกเขาตกใจกลัวกัน

       “เหลือแค่มึงแล้ว สู้ๆ นะมึง ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดหรอก ที่มันทำให้กลัวก็เพราะมันมองไม่เห็นอะไรเลยเนี่ยแหละ” ไอ้นักที่ออกมาพร้อมกลุ่มสุดท้ายบอกผม

       สิ่งนั้นแหละที่กลัว ความมืดสนิทที่มองไม่เห็นมันทำให้ผมทำอะไรไม่ถูกและได้แต่จินตนาการไปต่างๆ นานาถึงสิ่งที่ตัวเองกลัว และสำหรับผมภายใต้จิตสำนึกมันทำให้เกิดความกลัวมากกว่านั้น ไอ้นักมันไม่เคยรู้มาก่อนว่าผมกลัวความมืดมากแค่ไหน และพี่ภามก็ไม่เคยรู้แต่เขาคงดูออกจากอาการของผม ส่วนคนที่รู้ดีก็เป็นตัวการเอาความกลัวของผมมาแกล้งกันซะงั้น

       มันเหมือนกับคนที่เป็นโรคกลัวความสูงอ่ะครับ ส่วนผมกลัวความมืดจนขึ้นสมอง ตอนนี้แค่ผมก้าวเท้าเข้าประตูมา ถึงมันจะยังมีแสงรำไรพอให้เห็นทางข้างหน้าแต่ผมก็ขาสั่นแทบก้าวไม่ออกแล้ว

       ผมจะไม่ยอมแพ้หรอก แต่ว่ายิ่งเดินเข้ามาลึกก็ยิ่งเข้าสู่ความมืดขึ้นเรื่อยๆ ผมรับรู้ได้ถึงใบหน้าตัวเองที่เปียกชื้นจากเหงื่อที่แตกพลั่ก พลางเริ่มหายใจฟึดฟัดไม่สะดวกเพราะอาการหวาดกลัวเข้าครอบงำ ผมมองไม่เห็นอะไรเลยแม้แต่แสงเล็ดลอดเพียงนิดเดียว มันมืดสนิทจนทำให้คิดว่าตัวเองนั้นตาบอดไปแล้ว

       มือของผมที่สั่นกวาดไปมาสะเปะสะปะท่ามกลางความมืด คลำทางจากการสัมผัสกำแพงไม้อัดที่ถูกจัดฉากเป็นเขาวงกต

       ตุบ!

       เชี่ย!!

       อะไรก็ไม่รู้ครับหล่นใส่เท้าผม ผมหยิบขึ้นมาและสัมผัสได้ว่ามันเป็นลูกกลมๆ และมีรูโหว ลักษณะเหมือนหัวกระโหลกอะไรทำนองนั้น ผมนี่รีบโยนทิ้งไปเลย ถึงแม้จะรู้ว่ามันเป็นของปลอม แต่การได้มาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้เพียงคนเดียว มันทำให้ผมตกใจและก็กลัวไม่น้อย


       ปึก!

       เดินต่อไปก็มีวิกผมหล่นลงมาอีก เส้นผมสากๆ ที่สัมผัสแล้วทำให้ขนลุกซู่

       ผมหยุดสตั้นไปสักพักก่อนจะทำใจกล้าเดินไปต่อ ตอนนี้ใจเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้วครับ เสียงหายใจของผมก็ดังฟึดฟัดขึ้นไปอีก

       ไม่เป็นไรๆ บอกกับตัวเองอย่างนั้นพร้อมกับก้าวขาที่เริ่มจะต่อต้านไปอย่างช้าๆ ผมขอชมเชยตัวเองที่เดินเข้ามาลึกกว่าที่คิดไว้ และขอบคุณเฮียขุนที่ทำให้ผมคิดว่าจะต้องเอาชนะเขาให้ได้ถึงได้ฝืนตัวเองเดินมาขนาดนี้

       แต่ตอนนี้นอกจากจะมองไม่เห็นแล้ว อาการหวาดกลัวของผมมันกำลังส่งผลให้ผมเวียนหัวและหายใจไม่ออก เหมือนออกซิเจนกำลังจะหมดไปยังไงก็ไม่รู้ครับ ผมเริ่มเดินเซไปมา…

       ขวดโหลมันอยู่อีกไกลมั้ยนะ

       กล้ามเนื้อแขนขาที่อ่อนปวกเปียกอยู่แล้วตั้งแต่เดินเข้ามา ดูเหมือนจะอ่อนกำลังลงเรื่อยๆ และหมดไปจนทำให้ผมล้มพับลง
 
       ช่วยด้วยยย…อยากจะพูดออกไปแต่แม้แรงจะเปล่งเสียงยังไม่มี ผมล้มลงไปนอนกองกับพื้นด้วยเสียงหายใจหอบถี่ของตัวเองที่ดังริบหรี่ ดูเหมือนสติสตังของผมกำลังจะวูบไป แต่…

       มือของใครบางคนมากุมมือผมไว้ ดึงและประคองให้ค่อยๆ ลุกขึ้น “ใครอ่ะ” ผมถามอย่างไม่มีแรง

       ไม่มีเสียงตอบรับจากคนที่เข้ามาช่วย เขาพยุงโดยการเอาแขนผมคล้องคอเขาไว้แล้วพาเดินไป

       สัมผัสจากฝ่ามือที่ใหญ่กว่าผมเล็กน้อยนั้นมันทำให้คุ้นเคยกับสถานการณ์แบบเดจาวูที่ผุดขึ้นมาในหัวสมอง ผมไม่อยากคิดว่าเป็นเขา แต่ก็อดคิดไม่ได้…





       เมื่อตอนเด็กผมเคยเล่นซ่อนแอบและเข้าไปหลบอยู่ในห้องเก็บของเก่าของบ้านใหญ่ และถูกขังกุญแจเพราะแม่บ้านเอาของมาเก็บแล้วล็อคห้องไว้ พอผมรู้ตัวว่าโดนขังก็เอาแต่ตะโกนขอความช่วยเหลือ แต่ว่าเพราะห้องนั้นอยู่ใต้ดิน เสียงของผมจึงน่าจะกลายเป็นเพียงเสียงแผ่วเบาเมื่อเล็ดลอดออกไปข้างนอก

       ถึงจะอยู่ใต้ดินแต่แสงจากหลอดไฟก็สว่างจ้า ทว่าผมถูกขังอยู่ในนั้นสักพักไฟก็ดับลง อาจเป็นเพราะหลอดไฟที่เก่าแล้วหรือแม่บ้านลืมปิดไฟแล้วเดินมาปิด

       อะไรก็แล้วแต่…ช่วงวินาทีนั้นทำให้ผมตื่นกลัวมาก ผมทำอะไรไม่ถูกเพราะตัวแข็งทื่อ ตะโกนแล้วตะโกนเล่าก็ไม่มีเสียงตอบรับเพราะดูเหมือนจะไม่มีใครได้ยิน

       ผมเอาแต่นั่งกอดเข่าตัวสั่นเทาและร้องไห้สะอื้น ผมร้องไห้หนักจนหายใจไม่ค่อยออกและเป็นลมล้มไป ในขณะนั้นมีแสงจากไฟฉายส่องมาพร้อมกับเสียงตะโกนเรียกชื่อผม

       “โช…ไม่เป็นไรนะ พี่อยู่นี่ พี่หาโชเจอแล้ว” เด็กชายขุนศึกก็เขามาประคองผมไว้แล้วกอด เขากุมมือผมแน่นและปลอบผม
 พร้อมกอดอยู่อย่างนั้นสักพักรอจนผมมีแรงพอที่จะยืนให้เขาช่วยพยุงพาออกจากห้องไป


       เฮียขุนจึงเป็นคนเดียวที่รู้ว่าผมกลัวความมืด


       แต่ตอนนี้เขาเป็นคนละคนกับตอนนั้นแล้ว…


       เขาไม่ใช่คนที่จะมาช่วยผมแล้ว





       ไม่ว่าคนที่ประคองผมอยู่นี้จะเป็นใครก็ตาม…ผมรู้สึกขอบคุณเขามากๆ

       ผู้ไม่ประสงค์เอ่ยนามประคองผมมาโดยไม่ปริปากอะไรจนมาถึงที่อยู่ของขวดโหล เขาจับมือของผมที่อ่อนแรงให้ล้วงไปหยิบกระดาษในขวดโหลขึ้นมา ดูเหมือนเขาจะกำลังพยายามทำหน้าที่เป็นผู้นำทางให้ผมได้ทำภารกิจให้สำเร็จ

       เขาคนนั้นพาผมเดินมาเรื่อยๆ ระหว่างทางยังคงมีของแปลกๆ อะไรก็ไม่รู้หล่นลงมาให้ตกใจ แต่ดูเหมือนคนที่ช่วยผมจะไม่ได้กลัวหรือสนใจอะไรมาก เขาแค่เร่งนำทางพาผมมาจนถึงทางที่คิดว่าน่าจะเป็นทางออกเท่านั้น

       เห็นแสงสลัวอยู่เพียงเล็กน้อยและยังไม่สามารถทำให้มองเห็นอะไรได้ชัดเจน เขาคนนั้นบีบมือผมแน่น “ขอบคุณมากครับ” ผมพูดกับเขา

       มือนั้นปล่อยจากผมและแสงที่ทำให้เห็นเงาของเขาเพียงเลือนลางก็ทำให้ผมรู้ว่าเขาได้เดินกลับและหายเข้าไปในห้องมืดแล้ว

       ผมเดินต่อออกมาเองอย่างสะเปะสะปะด้วยอาการที่ยังรู้สึกว่าเวียนหัวและอ่อนแรงอยู่ ในที่สุดผมก็ได้เห็นแสงสว่างจ้ากระแทกเข้าตาจนต้องเอามือป้องเมื่อก้าวพ้นประตูทางออก


       “ไอ้โช มึงไหวเปล่าวะ”

       “พี่ภาม” พี่ภามเข้ามาประคองผมก่อนที่จะล้มพับไปอีกรอบ

       “เออ กูเอง กูมารอมึงอยู่ที่ทางออก มึงไหวมั้ยเนี่ย หน้ามึงดูซีดมาก”

       ในขณะที่พี่ภามประคองผมไปนั่งที่เก้าอี้ ผมเดินผ่านเฮียขุนที่ยืนมองด้วยสายตาที่เฉยชา “หึ” มีแค่เพียงเสียงนั้นดังออกมาจากลำคอของเขา ดูเหมือนเขาจะกำลังสมน้ำหน้ากับสภาพที่อ่อนแอของผม…

       คงสะใจมากสินะ

       “ดีขึ้นมั้ยวะ” พี่ภามเอาฟิวเจอร์บอร์ดพัดให้ผมแรงๆ พลางพี่ๆ สต๊าฟก็เอายาหอมยาดมมารุมมาตุ้ม “แล้วทำภารกิจสำเร็จมั้ย” พี่ภามถาม

       “สำเร็จสิ” ผมบอกพร้อมแบมือที่กำม้วนกระดาษเล็กๆ ให้เขาดู

       “เออ เก่งนะมึงเนี่ย” พี่ภามตีมือลงมาแปะมือผมแล้วกุมไว้

       สัมผัสนี่มัน…

       มืออุ่นๆ ที่กุมผมไว้และฝ่ามือที่ใหญ่กว่าผมเล็กน้อย มันให้ความรู้สึกเหมือนกับคนที่ช่วยผมเลย
 
       “พี่ภาม…” ผมมองหน้ามันอย่างสงสัย

       “อะไรของมึงวะ เรียกกูแล้วทำไมต้องขมวดคิ้วขนาดนั้นด้วย”

       “พี่คือ…”

       “กูทำไม”

       “เอ่อ…เปล่าๆ ไม่มีอะไร พัดต่อๆ”

       “อะไรของมึง”

       ผมไม่อยากถามครับว่าพี่ภามมันคือคนที่เข้าไปช่วยหรือเปล่า ถ้าใช่ก็ขอบคุณมันอีกรอบในใจละกัน เพราะถ้าไม่ใช่เดี๋ยวผมจะหน้าแตกแล้วไอ้พี่ภามจะหาว่าผมโม้ที่ไม่ได้ทำภารกิจสำเร็จด้วยตัวเอง อีกอย่างความรู้สึกของผมอาจจะผิดพลาดก็ได้ เพราะฝ่ามือของคนๆ นั้นที่กุมมือผม…สัมผัสนั้นมันก็ผ่านมานานหลายปีแล้ว

       ถึงไม่ใช่พี่ภามก็คงเป็นรุ่นพี่สักคนที่เขาสงสารแล้วเข้าไปช่วยผมล่ะมั้ง…



       คงไม่ใช่เฮียขุนอย่างแน่นอน




-----TBC-----



หัวข้อ: Re: #Heart To Heart #ใจแพ้รัก 「ตอนที่5」-29/03/19-
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 30-03-2019 00:38:11
 :เฮ้อ:

 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: #Heart To Heart #ใจแพ้รัก 「ตอนที่5」-29/03/19-
เริ่มหัวข้อโดย: wanida023 ที่ 31-03-2019 22:04:24
 o13
หัวข้อ: Re: #Heart To Heart #ใจแพ้รัก 「ตอนที่6」-02/04/19-
เริ่มหัวข้อโดย: ิbanoffee ที่ 02-04-2019 00:33:44
ตอนที่6


       …หวานบาดคอ ขมบาดใจ…

   “อะไรวะ?”
   


       “ปริศนาที่อยู่ในม้วนกระดาษจากภารกิจที่น้องๆ ได้เข้าไปล้วงขวดโหล มันก็คือคำใบ้ของพี่รหัส ซึ่งน้องทุกคนจะต้องหาพี่รหัสให้เจอก่อนวันรับรุ่น ในวันนั้นเราจะมาเฉลยพี่รหัสของแต่ละคนกัน หากใครทายพี่รหัสของตัวเองผิด…เช่นเดิมเราก็จะมีบทลงโทษให้แก่คนๆ นั้น” คำกล่าวประกาศจากเฮียกุน


   
       ประโยคปริศนาข้างต้นคือคำใบ้พี่รหัสของผมเอง และมันทำให้ผมเอาแต่ยืนงงงวยกับกระดาษใบนั้นที่ถืออยู่ในมือ คำใบ้ที่กำกวมจนไม่สามารถทำให้นึกออกได้ว่ารุ่นพี่คนไหนคือพี่รหัสของผมกัน…กลัวว่าตัวเองอาจจะได้รับบทลงโทษจากการทายพี่รหัสของตัวเองผิด

       เฮียขุนคงเตรียมบทลงโทษเอาไว้สำหรับผมอีกเป็นแน่


       “ไงมึง ดีขึ้นหรือยัง?” เฮียกุนทำหน้าที่ของตัวเองเสร็จก็เดินมาถามไถ่อาการของผมด้วยความเป็นห่วง

       “ดีขึ้นแล้วครับ”

       “ต้องดีอยู่แล้ว มีหมออย่างกูดูแลซะอย่าง” พี่ภามพูดพลางขยี้หัวผมเบาๆ

       “หมอหมาไม่ใช่เหรอพี่น่ะ” เฮียกุนถามหยอก นั่นสิ…ไอ้พี่ภามมันคิดว่าผมเป็นหมาหรือเปล่านะ

       “หมอหมาแต่กูก็รักษาคนได้” พี่ภามตอบ สองคนนี้สนทนากันเหมือนประชดประชันไปมา เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรครับ เพราะนอกจากผมแล้ว ตอนเด็กไอ้พี่ภามมันก็เอาแต่แกล้งแล้วก็ล้อเฮียกุนผู้เงียบขรึมและดูเป็นเด็กเรียนที่เรียบร้อยแถมยังเป็นผู้ชายที่หน้าหวานซะ เฮียกุนก็เลยไม่ค่อยชอบขี้หน้าพี่ภามสักเท่าไร


       “กูไม่รู้มาก่อนว่ามึงกลัวความมืดขนาดนั้น” เฮียกุนมองพี่ภามด้วยความหมั่นไส้ก่อนหันมาพูดกับผมต่อ

       “เออ นั่นสิ กูก็ไม่รู้ว่ามึงกลัวความมืด” ไอ้นักพูดเสริม

       “ก็…มันมีเหตุการณ์ฝั่งใจทำให้กลัวตั้งแต่เด็กแล้วอ่ะ อย่าพูดถึงมันเลยเฮีย ผมล่ะรู้สึกว่าตัวเองแม่งอ่อนยังไงก็ไม่รู้ อย่าล้อผมเชียวนะ มึงด้วยไอ้นัก”

       “เออ มึงเห็นกูเป็นคนแบบนั้นหรือไง” เฮียกุนไม่วายหันไปมองประชดไอ้พี่ภาม “แล้วมึงดันมาเกิดอาการแบบนี้ กูว่าจะชวนไปสังสรรค์ด้วยกันซะหน่อย”

       “ใครรู้ตัวว่าอ่อนก็ไม่ต้องไป” เฮียขุนพูดครับ เขาเดินเข้ามาร่วมวงสนทนาพร้อมกับแทรกคำพูดดูถูกและกวนประสาทที่ตั้งใจกระแทกผม

       “นั่นสิ กูว่าร่างกายมึงตอนนี้คงยังไม่พร้อมที่จะรับแอลกอฮอล์เข้าไปนะ ให้กูไปส่งที่หอดีกว่า”

       “ไม่ยักรู้ว่าคนแถวนี้หัดทำตัวเป็นผู้ปกครอง” เฮียกุนกับไอ้พี่ภามก็ยังคงพูดกวนกันอยู่นั่น

       “ผมจะไป ใครบางคนจะได้ไม่คิดว่าผมอ่อน” คงรู้ว่าผมพูดกระทบใครพลางจ้องเขาเขม็ง

       “เจอกันร้านเดิม ใครจะไปก็รีบไป มัวแต่พูดเปลืองน้ำลายอยู่ได้ เสียเวลา” เฮียขุนทิ้งท้ายยักคิ้วหน้านิ่งก่อนจะเดินไป

       ให้ตายเถอะ...คนแบบนี้ก็มี กวนประสาทได้หน้าตายจริงๆ คอยดูเถอะ คนอ่อนอย่างผมจะแสดงสปิริตให้ดู

     




       ณ ร้านเหล้า


       “มึงคุ้นหน้ามั้ยว่าผู้หญิงที่นั่งข้างเฮียขุนเป็นใคร” ท่ามกลางเสียงเพลงที่ดังในร้านเหล้า ไอ้นักกระซิบผมให้มองผู้หญิงที่เฮียขุนนั่งโอบอยู่ข้างๆ

       “ก็ดาวมหาวิทยาลัยปีล่าสุดแล้วก็เป็นรุ่นพี่ปีสองของคณะเราไง” ผมตอบไอ้นักด้วยน้ำเสียงเฉยชา…ทั้งที่จริงรู้สึกเจ็บแปลบอยู่ในหัวใจที่เห็นภาพบาดตาแบบนั้นจนต้องกลั้นเสียงที่สั่นเครือเอาไว้

       “ไม่ใช่แค่นั้นเว้ย เธอคือผู้หญิงในรูปที่ถ่ายคู่กับเฮียขุนที่กูเคยเอาให้มึงดูอ่ะ เป็นคนในข่าวลือที่หนาหูว่าเฮียขุนเลือกจะคบในความสัมพันธ์ที่เรียกว่าแฟน มึงเห็นอย่างนี้แล้ว…รู้สึกไงวะ” ไอ้เพื่อนชั่ว ผมเริ่มไม่เข้าใจว่ามันเป็นเพื่อนรักประสาอะไร มันควรจะหยุดกระเซ้าเย้าแหย่เรื่องพี่มันได้แล้ว...ผมเจ็บจนจะทนไม่ไหวแล้ว

       “แล้วไง จะให้กูรู้สึกอะไร ตอนนี้มันชาแล้วเว้ย กูเริ่มจะไม่สนอะไรแล้ว ช่างพี่มึงสิ จะไปควงไปคบกับใครเป็นแฟนก็เรื่องของเขา กูจะไม่รู้สึกเชี่ยอะไรแล้ว กูตอบแบบนี้ พอใจมึงมั้ยไอ้นัก” ไม่จริงหรอกครับ มันปวดใจมากต่างหาก และการกระทำที่สวนทางกับคำพูดก็น่าจะบ่งบอกให้ไอ้นักรู้ในความรู้สึกจริงๆ ของผม แก้วเหล้าที่อยู่ในมือ จากที่แค่จิบๆ ผมยกกระดกในรวดเดียวจนหมดแล้วยื่นแก้วให้ไอ้นักชงให้ใหม่

       ผมกระดกรวดเดียวไปสามแก้วติดต่อกันพลางเอาแต่มองคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม เฮียขุนกับผู้หญิงคนนั้นดูสนิทกันมากจริงๆ พวกเขาพูดคุยฉอเลาะกันไปมา กระซิบกระซาบหัวเราะมีความสุขกันน่าดู

       รอยยิ้มใจดีที่เฮียขุนยิ้มให้ผู้หญิงคนนั้น…มันเคยเป็นของผมเมื่อนานมาแล้ว ผมคิดถึงและปรารถนาจะได้จากเฮียขุนอีกครั้ง…

       อีกแค่ครั้งเดียวก็ได้

       แต่มันคงเป็นการขอที่มากเกินไป เขาคงไม่มีวันยิ้มแบบนั้นให้ผมอีกแล้ว

       “เฮ้ยๆๆ ใจเย็น ร่างกายมึงยิ่งอ่อนแออยู่เดี๋ยวจะรับไม่ไหวเอา” พี่ภามที่นั่งข้างๆ รีบปรามไว้ก่อนที่ผมจะกระดกเข้าไปเป็นแก้วที่ห้า

       “ชงให้ผมอีก”

       “พอแล้ว กูว่าหน้ามึงเริ่มแดงแล้วนะ กลับมั้ย เดี๋ยวกูไปส่ง”

       “ไม่ พี่รู้จักผมน้อยไป เห็นอย่างนี้ผมคอแข็งน่ะเว้ย อึดกว่าพี่อีกมั้ง อย่ามาว่าผมอ่อนเชียวนะ!” ผมตั้งใจพูดเสียงดังแขวะใครบางคนครับ

       “เออๆ กูเชื่อก็ได้แล้วก็ยังไม่ได้ว่าอะไรมึงเลย แต่ช้าๆ หน่อย เหล้าเบียร์เยอะแยะ ไม่มีใครแย่งมึงหรอก จะรีบกระดกไปไหนวะ”

       กระดกให้ไม่ต้องคิดมากกับคนที่มันนั่งนัวเนียกับผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าไง


       เจ็บ…เจ็บฉิบหายเลย


       แม้จะวางมาดด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมตามสไตล์ของเขา ทว่าสายตาคู่นั้นที่ปกติจะเย็นชากลับเปลี่ยนเป็นเยาะเย้ย และมุมปากก็เผยอยิ้มขึ้นเล็กน้อย

       เฮียขุนรู้…รู้ว่าผมชอบเขา แต่เขาเกลียดผมและเลือกที่จะทำร้ายความรู้สึกนั้นเพื่อให้ตัวเองสะใจที่เห็นผมต้องทรมานแบบนี้

       มันสำเร็จ…ภาพที่พวกเขานั่งโอบกันอย่างมีความสุขมันทำให้ผมโคตรจะปวดใจเลย


       “มึงจะไปไหน?” พี่ภามทักหลังจากที่ผมลุกพรวดพราดขึ้น

       “ไปห้องน้ำ” ไปจากตรงนี้ เพราะทนเห็นภาพบาดใจไม่ได้แล้วโว้ยยย

       “เดี๋ยวกูพาไป”

       “ไม่ต้องเลยนะ นี่พี่ไม่ต้องมาทำเป็นผู้ปกครองผมอย่างที่เฮียกุนพูดเลย ผมไม่ใช่เด็กแล้วก็ไม่ได้เมา อย่ามาดูถูกผม เดี๋ยวก่อนเหอะ พอผมกลับจากห้องน้ำแล้วเรามาดวลซ็อตกัน จะได้รู้ว่าผมน่ะคอแข็งกว่าพี่ซะอีก” ผมรู้สึกว่าตัวเองเริ่มพูดเสียงยานหรือเปล่านะ

       “รู้แล้วครับ ถ้าอย่างนั้นมึงก็รีบไปล้างคอเตรียมไว้เลยครับ”

       “ไอ้พี่ภาม พูดอย่างนี้ใช่มั้ย ได้ๆ เดี๋ยวจะได้เห็นดีกัน” ผมยกมือชี้หน้ามันลวกๆ ก่อนจะเดินไปเข้าห้องน้ำ





       ขณะที่ผมเดินออกมาจากห้องน้ำ จากอาการกึ่มๆ ผมกลับรู้สึกตาสว่างและได้สติขึ้นมาทันใดเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

       ตรงทางเดินเข้ามายังห้องน้ำ ชายหญิงคู่หนึ่งที่ยืนกอดกันอย่างไม่อายคนที่เดินผ่านไปมา ชายหนุ่มโน้มหน้าจูบหญิงสาวอย่างอ่อนโยนและคลอเคลียแก้มเธอไปมาด้วยความละมุนต่อหน้าต่อตาของผม พวกเขาทำราวกับว่าสถานที่นี้มีเพียงเราสองคน

       มันเป็นเรื่องธรรมดาที่สถานที่แบบนี้จะมีซีนประมาณนี้ให้เห็น และผมก็ไม่ได้สนใจหรือตกใจอะไรมากนักกับฉากตรงหน้า…ผมจะไม่รู้สึกอะไรเลยถ้าไม่ใช่เพราะว่าคนที่กำลังแสดงความรักกันอยู่คือเฮียขุนกับผู้หญิงของเขา



       ผมไม่ได้กำลังเจ็บปวด…


       ผมไม่ได้กำลังช้ำใจ…


       ผมไม่ได้อยากจะร้องไห้…


       ผม…


       เหมือนน้ำตาของผมกำลังจะไหลออกมา แต่เพราะพวกเขาเห็นแล้วว่าผมกำลังยืนดูอยู่ ผมจึงพยายามกลั้นมันเอาไว้ให้มันท่วมแววตาที่เศร้าสร้อยของตัวเอง

       ไม่รู้จะพูดยังไง ทำตัวไม่ถูกกับสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า เฮียขุนมองมายังผมทั้งที่มือของเขายังโอบเอวผู้หญิงคนนั้นอยู่ สายตาที่นิ่งสงบและดูเยือกเย็นกว่าทุกครั้งทำให้ผมเดาไม่ออกเลยว่าเขากำลังคิดอะไร

       อึดอัดว่ะ ยิ่งยืนอยู่ระหว่างทางเดินที่แคบแบบนี้ยิ่งทำให้อึดอัดและหงุดหงิด เหมือนพวกเขาจงใจให้ผมเห็น พวกเขาตั้งใจมาพรอดรักกันตรงนี้เพื่อให้ผมเดินมาเห็น

       เฮียขุน...แม่งโคตรใจร้ายเลย

       ใช่…ผมเจ็บ สาสมใจเฮียแล้วสินะ แต่ผมจะไม่ยืนทนอยู่อย่างนี้

       เพราะพวกเขายืนขวางทางอยู่และไม่มีช่องว่างให้เดินออกไป ผมจึงตัดสินใจเดินแทรกกลางระหว่างพวกเขาออกมาและรีบจ้ำอ้าวเพื่อไม่ให้คนๆ นั้นทันเห็นหยดใสๆ ที่ไหลแหมะออกมาจากดวงตาของผม


       เดินออกมาโดยพยายามทำเป็นไม่แยแสกับสิ่งที่เขาทำ...
     

       ทั้งที่ความเจ็บปวดครั้งนี้มันทรมานกว่าครั้งไหนๆ


       โคตรเจ็บเลย…




       ผมเดินมานั่งที่โต๊ะและไม่รอช้าจับแก้วซ็อตที่วางเรียงกันไว้ยกซดรัวๆ ดูเหมือนพี่ภามจะเตรียมไว้รอผมที่ได้ท้าทายมัน

       “เดี๋ยวก่อนดิวะ ใจเย็น มึงไปคึกมาจากไหนนักหนาเนี่ย กูยังไม่ได้บอกกติกาเลย” พี่ภามพูดพลางแย่งแก้วซ็อตไปจากมือผม

       “กติกาก็คือใครได้ซ็อตมากกว่ากัน คนนั้นชนะ” ผมกำหนดกติกาขึ้นมาเองสดๆ และทำการยกซดต่อทันที


       เกือบจะสิบซ็อตได้แล้วมั้ง ผมซึ่งกำลังจะยกต่อก็ถูกไอ้พี่ภามและรุ่นพี่คนอื่นๆ ที่นั่งลุ้นห้ามไว้ ดูเหมือนผมจะรู้ตัวเองดีว่าเมาได้ที่แล้ว เพราะรับรู้ได้ถึงเปลือกตาและหัวที่หนักอึ้ง ทว่าสายตากลับมองเห็นคนตรงข้ามที่กลับมาจากห้องน้ำพร้อมผู้หญิงของเขาได้ชัดเจน และเขาเองก็กำลังมองมาที่ผมเช่นกัน ด้วยสายตาแบบไหนนั้น...ก็ยังยากจะคาดเดา เพราะมันเฉยชาเหลือเกิน

       “เฮ้ย อะไรของพี่วะ ห้ามทำไม นี่เพิ่งผ่านไปไม่กี่ซ็อตเอง ปล่อยผม เดี๋ยวจะทำสถิติให้ดู” ผมพูดเหมือนคนโวยวาย

       “สถิติบ้าอะไร มึงนั่งคอพับไปมาจนจะหักแล้วนะ ไอ้โช”

       “หื้อ นี่พี่กำลังดูถูกผมอีกคนนะเนี่ย เฮียกุน”

       “เออ กูดูถูกแล้วว่ามึงโคตรเมาเลยตอนนี้ ดูท่าจะไม่ไหว กูว่ามึงต้องกลับหอแล้วล่ะ”

       “ไม่กลับๆๆ” ผมส่ายหน้าไปมาและรู้สึกว่าตัวเองกำลังงอแงเหมือนเด็ก

       “ไอ้นัก? ไอ้นักไปไหนของมัน” ดูเหมือนเฮียกุนจะมองหาไอ้นักเพื่อจะให้มันมาพาผมกลับหอ

       “เหมือนน้องมึงจะไม่อยู่นะ เพราะล่าสุดกูเห็นเดินไปกับผู้หญิงคนหนึ่งออกไปด้วยกัน” พี่ภามพูดขึ้น

       “ไอ้น้องเวร”

       “เอางี้ เดี๋ยวกูไปส่งมันเอง กูอยากกลับพอดี”

       “ไม่ต้อง ผมเอง ไอ้โชมันอยู่หอเดียวกันกับผม”

       “ไม่ต้อง มึงนั่งต่อกับเพื่อนเถอะ หออยู่แค่ตรงข้าม กูไปส่งได้”

       “ก็บอกว่าผมเอง พี่เลิกทำตัวเป็นผู้ปกครองไอ้โชได้แล้ว ไอ้โชมันเป็นน้องสนิทผม เดี๋ยวผมปกครองมันเอง”

       “กูจะไปส่ง…”

       “โอ้ยยยย เลิกเถียงกันไปมาเถอะครับ ผมไม่กลับกับใครทั้งนั้นแหละ จะดื่มต่ออออ” ทั้งที่ผมเมาแทบไม่ได้สติแต่ผมก็รู้สึกรำคาญมากเลยครับที่ไอ้พี่ภามกับเฮียกุนเอาแต่เถียงกันอยู่ได้

       “สรุปไอ้โชต้องกลับกับผม ส่วนพี่อยากกลับก็เรื่องของพี่”

       หลังจากนั้นผมก็ถูกเฮียกุนลากออกมาจากร้านด้วยสภาพที่ทุลักทุเลและยัดเข้าไปในรถทันที พร้อมกับเกี่ยวถุงไว้กับหูทั้งสองข้างของผม เฮียกุนคงไม่อยากทนเหม็นและล้างรถใหม่ เพราะผมทำท่าจะแหวะอยู่หลายครั้ง




       “อย่ามาดูถูกผมนะ ผมมันคนคอเหล็กนะเว้ยยยยย!!” เสียงเอื่อยเฉื่อยและการทรงตัวที่สะเปะสะปะของผมทำให้เฮียกุนพยุงขึ้นบันไดลำบากไม่น้อย

       “อย่าเสียงดัง เดี๋ยวคนทั้งหอได้ตื่นกันหมด ไอ้นี่…กูเพิ่งรู้ว่ามึงเมาแล้วเละเทะฉิบหาย แหวะ…ให้ตายสิ อ้วกมึงโคตรจะเหม็นเลย” เฮียกุนบ่น “เดินดีๆ จะถึงห้องแล้วเนี่ย”

       “ไม่กลับห้อง จะดื่มต่ออออออ”

       “ไอ้โช มึงจะไปไหน!” เฮียกุนรีบดึงผมที่สะบัดแขนออกแล้วกลับหันหลังเดินโซเซไปมา “มานี่เลย แล้วมึงเอากุญแจห้องไปไว้ไหนเนี่ย” ผมถูกเฮียกุนค้นจนทั่วตัว


       ตุบ!

       ทันทีที่เข้ามาในห้อง ผมก็ถูกเฮียกุนเหวี่ยงลงเตียงอย่างแรง

       “ทำไมเฮียทำกับผมแบบนี้”

       “ก็ตัวมึงหนักอ่ะ”

       “เฮียใจร้ายที่สุดเลยยยยย”

       “เอ้า ไอ้นี่ กูไม่ทิ้งมึงไว้ตรงบันไดก็ดีเท่าไรแล้ว บังอาจมาอ้วกใส่เสื้อกู เหม็นติดจมูกเลยเนี่ย”

       “เฮียแม่ง…ไอ้คนนิสัยไม่ดี ไอ้หน้าม่อ”

       “เฮ้ย กูเหวี่ยงมึงลงเตียงนะไม่ใช่พื้น ด่ากูขนาดนี้เลยเหรอ”

       “สะใจเฮียมากสินะที่เห็นผมเจ็บ เฮียมันร้ายกาจ ตั้งใจทำแบบนั้นต่อหน้าผมใช่มั้ย แค่ทำท่าทีรังเกียจใส่ผมก็เจ็บจะตายอยู่แล้ว ทำไมต้องทำแบบนั้นกับผมด้วยยยย” ผมรู้ตัวเองว่ากำลังพูดอะไรอยู่ แต่เพราะสมองเบลอๆ มันจึงสั่งการให้ผมระบายความในใจของตัวเองออกมาพลางร้องไห้ฟูมฟายไปด้วย

       “เดี๋ยวนะ นี่มึงไม่ได้พูดถึงกูอยู่เหรอ”

       “ฮือออออ อึก!”

        “เฮ้ยยย อย่าร้องๆ กูยิ่งเป็นคนปลอบคนไม่เป็น…มึงคงหมายถึงเฮียขุนสินะ กูรู้ว่ามึงชอบเฮียเขามากแต่พี่ชายกูก็ใจร้ายกับมึงมากเหมือนกัน ถ้าทนไม่ไหวก็ตัดใจซะเถอะนะ เพราะกูสงสารมึงจริงๆ เลยว่ะ ไอ้โช”

       ผมได้ยินเสียงเฮียกุนไม่ค่อยถนัดนัก และเสียงก็แผ่วลงไปเรื่อยๆ พร้อมกับเปลือกตาของผมก็ค่อยๆ ปิดเช่นกัน



       เฮียขุน~




       ผมคงตาฝาดไป…

       ก่อนเปลือกตาจะปิดสนิท ผมเห็นเฮียกุนเป็นเฮียขุนด้วยล่ะ





-----TBC-----



หัวข้อ: Re: #Heart To Heart #ใจแพ้รัก 「ตอนที่6」-02/04/19-
เริ่มหัวข้อโดย: Januarysky ที่ 03-04-2019 09:36:18
โชกุนครัช ตัดใจแม่มเลยครัช
พี่ภามโอปป้ารอเสียบอยู่
เอาให้คนปากแข็ง ไม่ตรงกับใจชักดิ้นชักงอตายไปเลยครัช
 :mew3:
+1 ให้คิวท์ คิวท์น่ารัก อร๊ายยยยยย
หัวข้อ: Re: #Heart To Heart #ใจแพ้รัก 「ตอนที่7」-05/04/19-
เริ่มหัวข้อโดย: ิbanoffee ที่ 05-04-2019 21:26:25
ตอนที่7


      ผมกับไอ้นักมาเรียนด้วยอาการที่ยังแฮงค์ทั้งคู่ ไม่คิดเลยว่าผมจะกลายเป็นคนเถลไถลสำมะเลเทเมาเหมือนเพื่อนรักที่มันนอนน้ำลายยืดในคลาสเรียนอยู่โต๊ะข้างๆ และตัวผมเองก็ตาจะปิดอยู่รอมร่อเช่นกัน

      ผมเอาแต่ตาลอยตลอดทั้งคาบ เรียนอะไรก็ไม่เข้าหัวจนจบคลาส และวันนี้หลังจากซ้อมเชียร์เสร็จผมต้องกลับหอเองคนเดียวครับ เพราะเป็นไปตามคาดที่ไอ้นักถูกรุ่นพี่เรียกตัวไปคัดเป็นเดือน หลังจากนี้ก็จะเก็บตัวฝึกซ้อมประกวดเดือนคณะและคาดว่ามันก็อาจจะได้ครองตำแหน่งนั้นเพื่อไปประกวดเดือนมหาวิทยาลัย…ผมก็คงได้กลับหอคนเดียวอีกยาว

      “ไอ้โช รับ!”

      “เฮ้ย อะไรของเฮียเนี่ย” ระหว่างเดินอย่างเหม่อๆ ออกจากคณะ ผมก็หันไปรับขวดอะไรบางอย่างที่เฮียกุนโยนมาให้โดยไม่ทันตั้งตัว

      “กูเห็นมึงเบลอๆ คงยังแฮงค์อยู่ ถึงจะให้ช้า แต่ก็ดื่มซะ จะได้รู้สึกดีขึ้น มองสภาพมึงแล้วกูนึกว่าผีตายซากเดินได้”

      “นี่ผมดูแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ”

      “เออสิวะ นี่เป็นอีกเรื่องที่กูไม่รู้เกี่ยวกับมึงนะ เมื่อคืนนี้มึงดื่มโคตรเยอะ ยกเหล้าซดอย่างกับน้ำเปล่า เมาไม่เป็นท่า…คงมีเรื่องที่กระตุ้นให้มึงเป็นขนาดนั้นสินะ” เฮียกุนนี่ฉลาดสมหน้าตาจริงๆ เลยครับ เฮียแกมองผมทะลุปรุโปร่งไปหมดว่ากำลังมีเรื่องเครียดอะไรในใจ

      “เรื่องไร้สาระน่ะเฮีย”

      “แหม…นี่แค่เรื่องไร้สาระ มึงยังเป็นขนาดนี้ เออ แล้วนี่กำลังจะกลับหอใช่มั้ย มึงกลับไงวะ ไอ้นักก็อยู่กิจกรรมดาวเดือน ส่วนกูก็กำลังจะเดินไปประชุมที่สโมสร ยังมีงานให้เคลียร์ ไม่งั้นกูคงได้พามึงกลับแล้ว”

      “ไม่เป็นไรเฮีย ผม….”

      “นั่นเฮียขุนนี่” เฮียกุนเดินตรงไปหาเฮียขุนที่กำลังเดินไปยังรถของตัวเอง

      “ถ้างั้นผมกลับก่อนนะเฮีย” ส่วนผมเห็นคนๆ นั้นแล้วก็ปลีกตัวเดินไปอีกทาง

      “เดี๋ยวดิวะ มากับกูนี่” แต่ถูกเฮียกุนคว้าแขนให้เดินไปด้วยกันกับเขาซะอย่างนั้น

      ไม่นะ…ผมไม่อยากเห็นหน้าคนใจร้ายคนนั้น สภาพแบบนี้ก็ไม่ค่อยมีแรงจะขัดขืนจากการที่เฮียขุนเอาแต่ลากผมไปซะด้วย


      “เฮียขุนกำลังจะกลับหอใช่มั้ย ดีเลย ถ้างั้นก็ฝากไอ้โชกลับด้วยนะ” ตลกแล้ว เฮียกุนคิดยังไงมาฝากผมให้กลับกับพี่ชายเขาเนี่ย

      “พูดอะไรของเฮียเนี่ย ผมกลับเองได้”

      “ไม่ใช่ธุระของกู…กูไม่รับฝาก” ว่าแล้ว…คนใจร้ายอย่างเขา

      “เฮ้อ เฮียนี่จริงๆ เลยนะ ก็ได้ ให้ไอ้โชกลับเองก็ได้ แต่มันต้องแสดงน้ำใจตอบแทนเฮียก่อน เอ้า ไอ้โชพูดขอบคุณเฮียเขาซะสิ” เฮียกุนนี่ยังไง จะให้ขอบคุณคนที่ไม่ให้ผมกลับด้วยเนี่ยนะ

      “เฮียจะให้ผมขอบคุณเรื่องอะไร” ผมหันไปมองหน้าเฮียกุนด้วยความระคายใจ

      “ก็เครื่องดื่มแก้แฮงค์ที่มึงถืออยู่น่ะของเฮียขุน” ว่าไงนะ

      ผมหันไปมองเขาที่เอาแต่ยืนจ้องและไม่ได้เอ่ยหรือปฏิเสธอะไร…เขาให้ผมเหรอ? ไม่หรอก เฮียขุนเกลียดผมนะ เขาจะใจดีเอาเครื่องดื่มนี่มาให้ผมอย่างนั้นเหรอ…แล้วทำไมผมต้องแอบดีใจด้วย

      “กูเอาให้มึงต่างหาก ไอ้กุน มึงอย่าทำให้คนแถวนี้มันหลงดีใจดิวะ” เฮียขุนพูดกับเฮียกุน

      “เหมือนกันแหละน่า ก็เครื่องดื่มนี่เป็นของเฮีย มันก็เท่ากับว่าเฮียให้ไอ้โชนั่นแหละ”

      “ถ้างั้นเฮียเอาคืนไป เฮียขุนเขาให้เฮียไม่ใช่ผมและอย่างที่เฮียว่าถึงแม้เขาจะให้เฮียแล้วแต่มันก็ยังเป็นของเขา ดังนั้นผมคืนเครื่องดื่มนี่ไปแล้วผมจะได้ไม่ต้องขอบคุณใคร” พูดเสร็จผมก็ยัดขวดนั่นใส่มือเฮียกุน “ถ้างั้นผมกลับแล้วนะเฮีย เดี๋ยวรถเมล์หายาก ขี้เกียจเดินกลับ” ว่าแล้วผมก็โบกมือลาเฮียกุนแล้วเดินจากไปโดยที่ไม่สนใจว่ามีอีกคนยืนอยู่

      ทำไมล่ะ…เขาก็เคยทำราวกับผมไม่มีตัวตนเหมือนกัน

      เฮียกุนนะเฮียกุน จู่ๆ ทำไมมายัดเยียดไปฝากผมให้กลับกับเฮียขุน มาทำตัวเป็นไอ้นักไปได้ ทั้งๆ ที่เฮียกุนเข้าใจและคอยปลอบผมมากกว่าไอ้เพื่อนตัวแสบซะอีก แล้วยังจะเอาเครื่องดื่มนั่นซึ่งเป็นของเฮียขุนมาให้ผม คิดจะทำอะไรของเฮียเขากัน







      ซ่า~

      เสียงน้ำจากฝักบัวไหลอาบท่วมตัวจนเปียกปอนพลางเสยผมเปียกน้ำที่หล่นมาปรกหน้า สายน้ำที่กระทบผิวเกิดเป็นหยดและไหลลงไปสู่พื้น…ซึ่งผมก็แยกไม่ออกว่าน้ำที่ไหลรวมกันที่เท้าของผมมันมาจากฝักบัวหรือดวงตาของผมกันแน่ มันผสมปนเปกันหมด

      ผมเสียใจ…เสียใจที่ทำให้ตัวเองเกลียดเฮียขุนอย่างที่เขาเกลียดผมไม่ได้สักที เขายืนหยัดว่าไม่ขอรู้จักผู้ชายที่ชื่อโชและจะเกลียดคนที่ทำให้เขาเสียความรู้สึกและผิดหวัง

      …คนอย่างผม

      เฮียขุนบอกกับผมอีกว่า…เขาจะถือว่าเด็กผู้หญิงชื่อโชที่เขาเคยหลงรักตอนเด็กได้ตายไปแล้ว เขาไม่หลงเหลือความรู้สึกดีๆ แบบนั้นอีกแล้ว

      เขาไม่สามารถมอบความรู้สึกแบบนั้นให้กับผมได้


      ฮึก…กะว่าจะทำซีนดราม่าเป็นพระแอกเอ็มวีต่ออีกสักหน่อย แต่การยืนแช่น้ำมาสักพักทำให้ผมรู้สึกหนาวและตัวสั่นเทาไปหมด พอกันทีกับเรื่องของคนที่ชื่อขุนศึก ที่ผ่านมาผมเอาแต่คิดเรื่องเขาซึ่งมันทำให้เจ็บปวดและกำลังจะทำให้ผมเป็นหวัดซะเปล่าๆ คิดได้ดังนั้นผมจึงปิดฉากด้วยการเอื้อมมือไปปิดฝักบัว

      หือ?…

      ทำไมน้ำมันยังไหลอยู่ ไม่ว่าผมจะเปิดหรือจะปิด น้ำก็ยังคงไหลออกมาจากฝักบัว พอสำรวจดูดีๆ จึงเห็นว่าหัวของฝักบัวมีรอยร้าวจึงทำให้น้ำยังไหลซึมออกมา

      ผมไปหยิบเทปมาติดแปะไว้ก่อน มันพอช่วยได้แต่น้ำก็ยังไหลเล็ดลอดออกมา ประเด็นคือรอยร้าวมันไม่ใช่เล็กๆ น้ำที่ไหลออกมาเรื่อยก็ดูเหมือนจะท่วมพื้นห้องน้ำ ผมจึงตัดสินใจพันเทปจนมันเป็นมัมมี่ฝักบัวซะเลย

      ซ่า!!

      ทันทีที่ผมก้าวข้ามขอบประตูห้องน้ำ ฝักบัวที่คิดว่าเงียบสงบแล้วก็พ่นน้ำออกมาราวกับเขื่อนแตก มัมมี่ฝักบัวได้อัดอั้นจากการที่โดนเทปพันรอบตัวจนทำให้ระเบิดออกมาและความเสียหายอยู่ที่ว่าหัวฝักบัวไม่ใช่แค่ร้าวแล้ว แต่มันแตกจนยากที่จะใช้เรื่องง่ายๆ อย่างเอาเทปพันแก้ปัญหา

      ผมรีบหันกลับเข้าไปในห้องน้ำแล้วใช้มืออุดน้ำที่มันไหลออกมาจากสายฝักบัว ถ้าไม่มีหัวฝักบัว มีหวังน้ำได้ท่วมห้องแน่ เพราะตอนนี้น้ำก็เริ่มท่วมขึ้นมาถึงข้อเท้าแล้ว

      ดังนั้นผมจะต้องไปซื้อหัวฝักบัวที่ร้านเคหะภัณฑ์ ผมจึงปล่อยมือออกจากสายฝักบัวเพื่อจะไปใส่เสื้อผ้าแล้วลงไปซื้อ ทว่าเอามือออกน้ำมันก็ทะลักออกมาแรง ถ้าไม่มีใครช่วยอุดไว้ก่อน น้ำก็คงได้ท่วมห้องเร็วขึ้น

      วันนี้ก็ไม่ใช่วันที่ช่างประจำหอจะอยู่ซะด้วยสิ ผมจึงเลือกที่จะรีบกดมือถือต่อสายหาไอ้นัก เผื่อมันจะเลิกกิจกรรมแล้วให้รีบกลับมา


      “ไอ้นัก…ฉิบหายแล้ว น้ำกำลังจะท่วมห้อง มึงเลิกกิจกรรมยังเนี่ย รีบกลับหอด่วน”

      (ว่าไงนะ ทำไมน้ำถึงจะท่วมห้องวะ)

      “ฝักบัวมันแตกอ่ะ แล้วกูจะต้องไปซื้อมาเปลี่ยนใหม่ แต่ต้องมีคนอุดน้ำไว้ มึงอย่าเพิ่งถามมากดิ๊ ถ้ามึงเลิกแล้วก็รีบกลับมา กูออกมาโทรหามึงแล้วปล่อยให้น้ำไหลจนมันจะท่วมออกมานอกห้องน้ำแล้วเนี่ย”

      (คือ…กูยังไม่เลิกอ่ะเพื่อน คงอีกนานเลยกว่าจะเลิก)

      “มึงยังไม่เลิกหรือเลิกแล้วออกไปเที่ยวกับสาวกันแน่ ไอ้นัก…มึงจะปล่อยให้น้ำท่วมห้องจนข้าวของเปียกหมดหรือไง!”

      (โอ้ย กูยังกลับตอนนี้ไม่ได้จริงๆ มึงไปเคาะห้องให้เฮียกุนช่วยก่อนดิวะ หรือถ้าเฮียกุนยังไม่กลับก็เคาะห้องเฮียขุนให้มาช่วย)

      “ไม่ กูจะไม่เคาะห้องเฮียขุนเด็ดขาด!”

      (ถ้ามึงอยากปล่อยให้น้ำท่วมห้องก็ตามใจ)

      ตึ้ดๆๆๆ

      “ไอ้นัก…ไอ้เพื่อนบ้าเอ้ย!”

      หลังจากวางสายไอ้นัก ผมก็โทรหาไอ้คิ้วท์ แม้คิดว่าเกรงใจที่จะต้องให้มันข้ามหอมาช่วยแต่ก็ต้องโทรเรียกมาล่ะวะ



      ‘กูยังติดกิจกรรมที่คณะอ่ะมึง’

      …แต่ว่าไอ้คิ้วท์ก็ยังไม่กลับหอน่ะสิ



      ผมรีบวิ่งเข้าไปอุดน้ำต่อพลางคิดว่าจะเอาไงดี…ก็คงต้องลองเคาะห้องเฮียกุน เผื่อเฮียแกจะกลับมาแล้ว

      เทปถูกนำมาใช้แก้ปัญหาเฉพาะหน้าอีกรอบก่อนที่ผมจะออกไปเคาะห้องเฮียกุน แต่เคาะเท่าไรก็ไม่มีเสียงตอบรับ เฮียเขาน่าจะยังไม่กลับ ผมลองโทรหาก็ไม่รับสาย วินาทีนั้นสายตาของผมก็เอนเอียงเหลือบไปมองประตูที่อยู่ห้องติดกัน

      ไม่! ไร้ประโยชน์ที่จะขอความช่วยเหลือจากคนใจร้าย







      หนาว…โคตรหนาวเลย ผมกลับเข้าห้องและมาอุดน้ำต่อ ขนาดปิดแอร์แล้วแต่ก็ยังขนลุกชันเพราะยืนตัวเปียกอยู่อย่างนั้นมาครึ่งชั่วโมงได้แล้ว น้ำก็ยังไหลพุ่งออกมาไม่หยุด ยังไงก็จำเป็นจะต้องไปซื้อหัวฝักบัวก่อนร้านจะปิด

      พอคิดได้อย่างนั้นก็ออกไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอีกรอบและพอออกมาจากห้องน้ำเท่านั้นแหละ น้ำจากห้องน้ำก็ได้ล้นออกมาท่วมพื้นห้องแล้วครับ น้ำมันไหลออกมาจนต้องจัดแจงปลั๊กไฟที่อยู่บนพื้นโดยการเก็บเข้าที่ให้ดี



      ผมออกมาจากห้องและยืนจ้องประตูห้องตรงข้ามสักพัก พลางคิดว่าไม่อยากให้น้ำที่มันกำลังไหลแรงอยู่ขณะนี้ท่วมจนไหลออกมาเผื่อแผ่ห้องคนอื่นเขา

      ก๊อกๆ

      ผมตัดสินใจเคาะประตูห้องเฮียขุน เขาจะต้องด่าผมแน่ๆ เลย

      ก๊อกๆ

      ยังไม่เปิดอีก ไม่อยู่ห้องหรือไงนะ หรือไม่ก็คงเห็นแล้วว่าเป็นผมเลยไม่เปิด

      ก๊อก

      เชี่ย! เฮียขุนเปิดประตูในขณะที่ผมกำลังทำท่าเคาะ เสียงเมื่อครู่ไม่ใช่เสียงเคาะประตูอย่างใด แต่เป็นเสียงที่กลายเป็นว่าผมไปเขกหัวเขาต่างหาก

      “กล้าดียังไงมาเคาะห้องกู” เฮียขุนลูบหน้าผากตัวเองเบาๆ ก่อนจะมองผมอย่างเคืองๆ

      “ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ผมก็ไม่ได้อยากอยู่ห้องตรงข้ามเฮียด้วยซ้ำ แต่ผมต้องการความช่วยเหลือ”

      “เรื่องอะไรกูต้องช่วยมึง”

      “เฮียต้องช่วยถ้าไม่อยากให้น้ำมันไหลออกมาถึงห้องของเฮีย แล้วต้องเปลืองแรงและเสียเวลาภายหลัง ตอนนี้น้ำมันกำลังไหลออกมาจากห้องน้ำและท่วมพื้นห้องผมแล้ว ผมต้องการคนช่วยอุดเพื่อไม่ให้มันไหลออกมามากกว่านี้ ส่วนผมจะลงไปซื้อหัวฝักบัวมาปลี่ยน”

      “ถ้าไหลออกมาถึงห้องกู มึงต้องรับผิดชอบ”

      “ผมจะไม่รับผิดชอบอะไรทั้งนั้น หลังจากที่ผมกลับมาจากซื้อฝักบัวแล้วปรากฏว่าน้ำมันได้ไหลออกมาเผื่อแผ่ที่ห้องเฮีย…รู้ไว้ว่านั่นเป็นผลที่เกิดจากความไม่มีน้ำใจของเฮียเอง อยากจะนั่งเป็นนังแจ๋วเช็ดพื้นก็ตามใจ”

      “มึงขู่กูเหรอ” เขามองผมอย่างหาเรื่อง

      “ไม่ได้ขู่ อยากจะเป็นอย่างที่ผมพูดก็เชิญ” ผมยิ้มแป้นให้เขาแทน บ่งบอกว่าผมพูดจริงว่าเขาจะได้เหนื่อยนั่งเช็ดพื้นก่อนนอนแน่ถ้าไม่ช่วยผม แต่ไม่พูดเยอะแล้วล่ะ ผมบอกความจำเป็นกับเขาแล้ว รีบลงไปซื้อดีกว่า เดี๋ยวร้านได้ปิดกันพอดี

      “ฮึ่ย” ผมได้ยินเสียงขึ้นจมูกที่บอกอาการไม่พอใจ ผมจึงหันหลังกลับไปมองและพบว่าเฮียขุนกำลังเปิดประตูเข้าห้องผมไป…เขาคงเข้าไปแบบจำใจ

      ผมแอบยิ้มเล็กน้อยให้กับท่าทางหงุดหงิดของเฮียขุน ไม่คิดว่าตัวเองจะมีสติมากพอที่จะพูดต่อหน้าเขามากขึ้น และไม่คิดว่าเขาจะยอมช่วยผม




      แค่ไม่ต้องแยแสกับคำพูด สีหน้า หรือการกระทำของเขาให้มากนักก็คงไม่ต้องเจ็บเหมือนอย่างที่ผ่านมา




      ถ้าเกลียดตอบกลับเขาไม่ได้…ต่อจากนี้ไปก็แค่ทำใจชอบเขาให้น้อยลง



      ผมเกือบไปไม่ทันเพราะร้านกำลังปิดประตูพอดี แต่เจ้าของร้านก็ยังใจดีช่วยเลือกหัวฝักบัวจากคำบอกกล่าวของผมที่น่าจะเข้ากับอันที่อยู่หอให้ จากนั้นผมก็รีบสาวเท้ากลับมาอย่างรวดเร็ว กลัวว่าคนที่ช่วยจะไม่ทนรอและกลับห้องตัวเองไปซะก่อน

      ผมรีบเปิดประตูห้องเข้าไปแต่ก็ต้องยืนจังงังอยู่หน้าประตูห้องน้ำ เมื่อภาพเคลื่อนไหวที่เห็นตรงหน้ามันราวกับเป็นภาพในฝัน

       ภาพของชายหนุ่มที่ชื่อ ขุนศึก จรัสวาณิชย์ กำลังต่อสู้กับน้ำที่ไหลทะลักออกมา นั่นทำให้เสื้อเชิ้ตสีขาวของเขาเปียกปอนไปหมดและแนบไปกับเนื้อ เผยเรือนร่างที่งดงามราวกับรูปปั้น กล้ามเนื้อแขนและช่วงท้องที่ได้สัดส่วน มีหยดน้ำแวววาวประดับให้ดูเจิดจรัสสมชื่อ ทำให้เขาเซ็กซี่น่าชวนมองจนละสายตาไม่ได้

      เฮียขุนสะบัดผมที่เปียกปรกหน้าออกด้วยความรำคาญ แม้จะกำลังทำหน้านิ่วคิ้วขมวด แต่ก็ไม่ได้ทำให้รัศมีความหล่อของเขาลดน้อยลงเลย

      “เอ้า มึงจะยืนบื้ออยู่ทำไม รีบเอามาเปลี่ยนสิ!”

      “คะ…ครับ” เสียงเฮียขุนตะโกนออกมาจากห้องน้ำ นั่นจึงทำให้ผมตื่นจากภวังค์เสน่ห์ของเขา

      เราทั้งคู่ปลุกปล้ำและต่อสู้กับแรงดันของน้ำเพื่อที่จะหมุนหัวฝักบัวเข้าไป เป็นอย่างนั้นอยู่ประมาณสิบนาทีกว่าจะสำเร็จ เล่นเอาซะน้ำสาดกระเซ็นใส่แล้วใส่อีก จนทั้งผมและเฮียขุนดูไม่ต่างจากลูกหมาตกน้ำกันเลย

      พอสถานการณ์ในห้องน้ำสงบลง ผมก็ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อออกมาเจอกับน้ำขังพื้นห้องไปทั่ว ต้องนอนดึกล่ะคืนนี้กว่าเช็ดน้ำให้แห้งหมด


      “เฮียขุ…เชี่ย!!” ในขณะที่ผมกำลังยื่นผ้าเช็ดตัวให้เฮียขุน เท้าของผมก็ลื่นน้ำที่อยู่บนพื้นจนพลาดล้มคว้าตัวเขาลงไปด้วย
ผมอยู่ในสภาพที่มุดหน้าซบอกของเฮียขุนก่อนจะค่อยๆ เงยขึ้นมา วินาทีนั้นผมมองหน้าของเขาซึ่งอยู่ใกล้มากจนลมหายใจอุ่นของคนที่โดนทับปะทะเข้าใบหน้าผม

      ผมจ้องเขาราวกับว่ากำลังตกอยู่ในมนต์สะกดอีกครั้ง นัยน์ตาสวยสีน้ำตาลเข้มเองก็มองผมอย่างไม่วางตา ใจของผมเต้นไม่เป็นส่ำเมื่อจมูกอยู่ใกล้ริมฝีปากบางหยักได้รูปแต้มสีชมพูอ่อนของเขา พลางจมูกก็ทำหน้าที่สูดดมกลิ่นมิ้นที่คละคลุ้งเลือนลางออกมาจากปากนั่นเบาๆ

      “นี่เป็นแผนมึงสินะ”

      “วะ…ว่าไงนะ” และผมก็ลืมตาตื่นจากภวังค์อีกครั้งเมื่อได้ยินประโยคที่มันฟังดูทะแม่งๆ “หมายความว่าไง”

      “อยากมีโมเม้นหวานๆ แบบนี้กับกูถึงขนาดวางแผนทำให้หัวฝักบัวแตก จากนั้นก็ไปขอความช่วยเหลือจากกูสินะ”

      “เหอะ คิดได้เนาะคนเรา ถึงผมจะมีความรู้สึกแบบนั้นให้เฮีย แต่อย่าหลงตัวเองหน่อยเลย ตอนนี้คนตรงหน้าผมมันนิสัยเสียเกินไปจนทำให้ผมชอบไม่ลงแล้ว” ผมพูดออกไปด้วยความหงุดหงิดก่อนจะรีบดันตัวเองให้ลุกขึ้น ทว่า…

      ตุบ!

      ผมถูกเฮียขุนดึงแล้วพลิกตัวให้ไปอยู่ข้างล่างเขาแทน กลายเป็นว่าเขากำลังคร่อมผมพลางมองด้วยสายตาที่มีเลศนัย

      “หรือกูควรสนองมึงหน่อยดีมะ”

      “ปล่อยนะเว้ย!” มือของผมทั้งสองข้างที่ขึงอยู่เหนือหัวถูกคนข้างบนพันธนาการไว้ด้วยมือของเขาเพียงข้างเดียว คนอะไร ทำไมแรงเยอะจังวะ ทั้งที่ตัวก็ใหญ่กว่าผมไม่เท่าไร

       แม้ใจของผมจะเต้นกับเสน่ห์และกายที่ยั่วยวนของเขา แต่ผมก็ไม่ได้ต้องการสถานการณ์แบบนี้ เฮียขุนเขาแค่จะแกล้งผมเท่านั้น เผลอๆ ยิ่งเขาคิดว่านี่เป็นแผนของผม พรุ่งนี้คงเอาไปคุยกับเพื่อนสนุกปากให้ผมอับอายว่าวางแผนล่อให้เขาเข้ามาในห้องเพื่ออยากมีโมเม้นหวานๆ อย่างที่เขาว่า

      “หึ ไม่คิดมาก่อนว่าคนอย่างเฮียจะดูละครน้ำเน่ามากเกินไป จะบอกอะไรให้นะ ความรู้สึกของผมมันเปลี่ยนไปแล้ว เปลี่ยนไปตั้งแต่วันที่เฮียบอกว่าเกลียดผม ดังนั้นตอนนี้เฮียรู้สึกยังไงผมก็รู้สึกแบบนั้นแหละ เฮียเกลียด…ผมก็เกลียดเฮียเหมือนกัน”

      “เออ รู้แบบนั้นก็ดี กูจะได้ไม่ต้องพูดหลายครั้งว่ารู้สึกยังไงกับมึง แต่ว่า…มึงเกลียดกูจริงเหรอ”

      “เออสิ”

       “แล้วทำไมใจมึงต้องเต้นแรงด้วย” บ้าเอ้ย ไอ้หัวใจบ้า จะเต้นแรงให้เขารู้ทำไมวะ “ถ้าเกลียดจริง…คงต้องพิสูจน์กันหน่อยล่ะ” พูดเสร็จเขาก็โน้มหน้าลงมาหาผมเรื่อยๆ จนปลายจมูกของเฮียขุนแตะเบาๆ ที่ปลายจมูกผม

      เขาจะเล่นตลกอะไรกันเนี่ย

      เฮียขุนในตอนนี้…ผมไม่ไว้ใจเขาหรอก

      เขาไม่มีความจริงใจเหลือให้ผมแล้ว

      “ปล่อย…ไม่งั้นผมจะเอาหัวตัวเองโขกหัวของเฮียให้แตกกันไปข้าง” เหลืออวัยวะเพียงส่วนเดียวเนี่ยแหละครับที่ยังพอขยับเขยื้อนได้

      “ถ้ามึงกล้าก็ลองดู”

      ผมผงกหัวไปมาอย่างยากลำบากเพราะคนข้างบนพันธนาการไว้แน่นเหลือเกิน และเฮียขุนไม่ปล่อยให้ผมทำอย่างที่ว่า เขาก้มหน้าลงมาที่ซอกคอของผม หลังจากนั้นก็รู้สึกเจ็บจี้ดเบาๆ ที่ต้นคอของตัวเองและรับรู้ได้ถึงริมฝีปากบางที่เขาขบเข้ามาในผิวเนื้อ

      “ทำบ้าอะไรของเฮียเนี่ย!” ผมอึ้งและตกใจจนดวงตาเบิกกว้างกับการกระทำของเขา ใจของผมยิ่งเต้นแรงเข้าไปอีก

      เฮียขุนขบเน้นที่ต้นคอของผมอยู่อย่างนั้นสักพักก่อนที่เขาจะผละออกแล้วลุกขึ้นยืน ผมเองก็ลุกขึ้นมานั่งด้วยอาการที่ยังคงช็อคค้างอยู่อย่างนั้น

      “มิชชั่นคอมพลีท ขอบคุณกูซะสิ ที่ทำให้แผนของมึงสำเร็จ”

      “…” ผมเงยหน้ามองเขาอย่างอึ้งๆ

      "ชอบที่กูทำล่ะสิ...มึงไม่มีทางเกลียดกูหรอก"

      "อย่าเข้าข้างตัวเองให้มันมากนักเลย" พอได้ยินเขาพูดแบบนั้น สีหน้าของผมก็เปลี่ยนเป็นหมั่นไส้แทน

      “มึงนั่นแหละอย่าคิดเข้าข้างตัวเองให้มันมากนัก ความรู้สึกกูยังเป็นอย่างที่เคยพูด กูไม่สามารถมอบความรู้สึกเหมือนตอนเด็กให้กับคนขี้โกหกอย่างมึงได้”

       รู้แล้ว…ทำไมต้องตอกย้ำให้เจ็บด้วยวะ

      “สิ่งที่กูทำไปคงทำให้คนที่ได้เห็นสงสัยว่ามึงโดนกระทำอะไรมา”

      ผมจับไปที่คอตัวเอง ตำแหน่งที่เขาเพิ่งกัดไป…คนที่เห็นเขาก็ต้องดูออกว่าผมไปทำอะไรมา รอยช้ำแดงที่คอ มันก็คิดได้อยู่แค่เรื่องเดียว

      บ้าเอ้ย! เฮียขุนโคตรร้ายกาจเลย เขากะจะทำให้ผมอาย

      “คงอายไปหลายวัน” เขาพูดเย้ยราวกับว่าได้ยินความคิดของผมพลางใช้นิ้วเกลี่ยริมฝีปากตัวเอง

      “…” ผมขมวดคิ้วมองหน้าเขาอย่างเคืองๆ หมดคำจะพูดกับคนชั่วร้ายอย่างเขาเลย

      “อ่อ ครั้งนี้จะเป็นหนี้บุญคุณที่มึงบังอาจมาหลอกขอความช่วยเหลือจากกู” เฮียขุนทิ้งท้ายคำพูดหน้านิ่งก่อนจะเปิดประตูเดินออกไป

      เหอะ ทั้งๆ ที่คิดว่าเป็นแผนของผมเนี่ยนะ เขายังจะมีหน้ามาคิดเป็นบุญคุณ…อย่างนี้ก็ได้เหรอ

      ฮึ่ย! ไอ้…




      ผมอยากด่ากับการกระทำร้ายๆ ของเขา...




      แต่ทำไมอีกใจหนึ่งถึงต้องรู้สึกดีกับการกระทำนั้นด้วยนะ



      #โชกุนขุนศึก

-----TBC-----




หัวข้อ: Re: #Heart To Heart #ใจแพ้รัก 「ตอนที่7」-05/04/19-
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 05-04-2019 21:44:21
 :z6:
หัวข้อ: Re: #Heart To Heart #ใจแพ้รัก 「ตอนที่8」-17/04/19-
เริ่มหัวข้อโดย: ิbanoffee ที่ 17-04-2019 05:42:03
ตอนที่ 8


      “โช”

      “มาอยู่นี่ได้ไง เหมือนผมจะเห็นพี่เกือบทั่วทุกมุมของมหา’ลัยเลยเนี่ย”

      หลังจากที่ผมเลิกเรียนและกำลังเดินไปหาไอ้คิ้วท์ที่คณะศิลปกรรม ซึ่งมันเป็นคนละเส้นทางกับคณะสัตวแพทย์ แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงมาเจอพี่ภามแถวนี้ได้

      “ตามมาดักมึง”

      “เป็นสต็อกเกอร์หรือไง น่ากลัวว่ะ มีเรื่องอะไรทำไมไม่ทักหรือโทรมาก็ได้ เบอร์ก็มี”

      “แล้วนี่มึงจะไปไหน”

      “ไปหาไอ้คิ้วท์ที่คณะศิลปกรรม”

      “แล้ว…ไอ้คิ้วท์นี่เป็นใครอ่ะ?”

      “เพื่อนผม…อะไรของพี่เนี่ย ถามนั่นนี้ สรุปมีธุระอะไรกับผม”

      “คอมึง…” นั่นไง กะแล้วว่าพี่ภามมันต้องทัก

      ตั้งแต่เช้าไอ้นักคือคนแรกที่ทัก ผมก็เข้าใจครับเพราะ…รอยนั่น ผมจึงต้องแปะพลาสเตอร์เอาไว้ แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่าพลาสเตอร์เป็นสีเหลืองเด่นมองเห็นมาแต่ไกลเนี่ยสิ มีลายการ์ตูนประดับให้น่าชวนมองอีกต่างหาก ผมซื้อมาไว้เผื่อมีดบาดหรือได้รับบาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ ไม่คิดว่าพลาสเตอร์คัลเลอร์ฟูลของผมจะถูกนำมาใช้เพราะการนี้

      นั่นทำให้ทุกคนในคลาสเรียนมองผมและซุบซิบนินทากันเชิงประมาณว่า ผมไปกระทำการอะไรแบบนั้นมา มันก็น่าคิด แต่ผมได้อธิบายกับไอ้นักและเพื่อนทุกคนในห้องให้คลายสงสัยแล้วล่ะครับ ตอนนี้ผมก็จะอธิบายแบบนั้นกับพี่ภามเช่นกัน “ไม่มีอะไร แค่โดนแมวจรแถวหอข่วนมาน่ะ” มันจะเชื่อผมมั้ยเท่านั้นแหละ

      “ว่าไงนะ…ไหนมาดูซิ ทำไมไม่ไปหาหมอให้ฉีดยา นั่นแมวจรนะเว้ย เราไม่รู้ที่มาที่ไป”

      “ไม่ต้อง ผมเคยฉีดเมื่อไม่นานมานี้ ไม่เป็นไรหรอกน่า พี่ภาม ไม่ต้องดู” ผมพูดพลางหลบหลีกไอ้พี่ภามที่ดึงตัวและจ้องแต่จะแกะพลาสเตอร์ดูคอของผม “อย่าแกะออกนะ!”

      “กูจะดูว่าเป็นรอยมากมั้ย”

      “ก็บอกว่าไม่ต้อง มันรอยเล็กนิดเดียว” ทำไมพี่ภามมันดื้อดึงจังวะ จะอยากดูอะไรนักหนา

      “ให้กูดูหน่อยน่า จะได้หายห่วง”

      “อย่า!!”

      “กูแค่อยาก…”

      จนได้…ยื้อไปมา พี่ภามก็คว้าแผ่นพลาสเตอร์ดึงออกไปจากคอผมจนได้ ไม่รอช้าผมรีบเอามือกุมเพื่อปิดบังรอยที่คอเอาไว้ แต่ช้าไป ดูเหมือนพี่ภามจะเห็นและรู้แล้วว่าไม่ใช่แมวข่วน เพราะนิ่งไปและเอาแต่มองผมตาค้าง

      “กูเรียนสัตวแพทย์ ถึงไม่ได้เรียนคนทั่วไปก็ดูออกว่านั่นไม่ใช่รอยแมวข่วน บอกกูว่ามึงไปโดนอะไรมา มึง…”

      “มันไม่ใช่อย่างที่พี่คิดนะ!” ผมตะโกนบอกแล้วรีบวิ่งหนีไปด้วยความอาย ท่าทางเก้ๆ กังๆ ของผมคงทำให้พี่ภามคิดไกลไปถึงไหนต่อไหน

      มันเป็นอย่างที่พี่คิด…มันเป็นรอยแบบนั้น แต่ผมไม่ได้ตั้งใจหรือเต็มใจกระทำการวาบหวิวให้มันเกิดรอยนี้ขึ้น ไอ้คนนิสัยเสียคนนั้นต่างหาก

       ไอ้เฮียขุนศึกบ้าเอ้ย!!

      เขาคิดไว้แล้วสินะว่าคนอื่นจะต้องมองผมแบบนี้ ทุกคนจะคิดว่าผมเป็นคนยังไงเนี่ย ทำอะไรต้องทิ้งร่องรอยไว้อวด…พวกเขาคงคิดแบบนั้น โอ้ย หงุดหงิดฉิบหายเลยโว้ยยย




   



      “เอ้าๆ เป็นอะไรของมึงเนี่ย เกาหัวจนยุ่งดูเป็นลิงเป็นค่าง”

      “หงุดหงิดโว้ย!”

      “แล้ว…คอมึงไปโดนอะไรมา”

      “ไอ้คิ้วท์…กูขอล่ะ ยกเว้นมึงคนเดียวได้มั้ยที่จะไม่ถามกูเนี่ย”

      “ทำไมต้องเป็นกูวะ ทุกคนได้รู้ แต่เพื่อนมึงไม่รู้ไม่ได้นะเว้ย แล้วรอยเด่นหราแบบนี้ ใครเห็นก็ต้องสงสัยว่าไปโดนอะไรมา”

       “เออๆ กูจะเล่าให้ฟังทุกอย่าง แต่เล่าไปด้วยกินไปด้วยได้มะ กูหิวแล้วเนี่ย ไปกัน แล้วจะได้ไปซื้อของมาทำงานด้วย อย่าพูดมากให้กูหงุดหงิดไปกว่านี้”

      “อะไรของมึงวะ…อ้าว นั่นเพื่อนมึงนี่” ไอ้คิ้วท์พยักเพยิดหน้าให้ดูคนที่อยู่ในรถกับสาวสวย

      คนนี้ไม่แปลกที่จะเจอได้ทุกที่ของมหาวิทยาลัย ไอ้นักเพื่อนรักของผมขับรถมาจอดเทียบหน้าตึกคณะศิลปกรรมและกำลังโบกไม้โบกมือลาสาวจากในรถที่มันขับมาส่ง

      “นั่นดาวคณะกู…เหอะ เพื่อนมึงนี่กะจะสอยดาวทุกคณะเลยหรือไงวะ วันก่อนกูก็เห็นเดินควงอยู่กับดาววิศวะ สอยดาวรุ่นพี่เลยนะ กูว่าดาวปีนี้เพื่อนมึงก็คงจะสอยเรียบเหมือนกัน”

      “เออ มันหว่านเสน่ห์ไปทั่วแหละ มึงอย่าไปสนใจเลย เดินอ้อมไป มันจะได้ไม่เห็น”


   
      ปิ๊บๆ

      อุตส่าห์เดินอ้อมมาข้างตึก แต่ไอ้นักมันก็ยังตาไวรีบขับรถตามมาพร้อมบีบแตรทักใส่ ทั้งผมและคิ้วท์จึงพากันเร่งสาวเท้าให้เร็วขึ้นจนกลายเป็นวิ่ง

      “ไงเพื่อน จะไปไหนกันวะ แล้วพวกมึงวิ่งหนีกูทำไมเนี่ย” ไอ้นักขับรถพลางเปิดกระจกตะโกนพูดกับพวกผม

      “รีบไป อย่าสนใจมัน” ผมบอกไอ้คิ้วท์ให้วิ่งเร็วขึ้นไปอีก

       เหมือนโดนมันแกล้งอ่ะครับ ยิ่งเห็นพวกผมวิ่งเหนื่อยหอบ ไอ้นักก็ยิ่งเร่งรถจี้ตูดพวกผมอยู่นั่น จากนั้นจู่ๆ มันก็…

       ปิ๊บบบบบบบ!! มันขับรถมาดักหน้าพวกผมแล้วก็บีบแตรยาวเสียงดังจนคนแถวนั้นพร้อมใจกันหันมอง

       “ไอ้นัก มึงแกล้งพวกกูใช่มั้ย ไอ้เพื่อนนิสัยเสีย แฮ่กๆ” ผมตะโกนด่าไอ้นักด้วยด้วยความเหนื่อย ส่วนไอ้คิ้วท์ล้มลงไปหอบนอนกับพื้นแล้ว

      “ก็พวกมึงวิ่งหนีกูทำไมอ่ะ”

       “กูรู้ว่ามึงจะไปด้วยน่ะสิ”

      “ถูกเผง…กูจะไปด้วยยยย” มันทำเสียงอ้อนกับผม แต่ส่งสายตาหวานไปมองไอ้คิ้วท์

       “กูไม่ให้มึงไป”

       “กูขอไปด้วยนะ พวกมึงจะได้ไม่ต้องเหนื่อยไปโบกรถเมล์ไง ขึ้นรถมานั่งตากแอร์เย็นๆ เดี๋ยวกูจะเป็นสารถีขับรถพาไปยังจุดหมายเอง”

      “กูไม่ไปกับมึง”

      “ไม่ไปก็เรื่องของมึง…แต่ว่าอีกคนไปใช่มั้ยครับ คนคิ้วท์ของผม” ประโยคหลังนี่เสียงสองเลยนะมึง

       “…” ไอ้คิ้วท์เหนื่อยจนหายใจไม่ทันจึงเปล่งเสียงออกมาไม่ได้แต่ผมก็พออ่านปากมันออกว่า “คนคิ้วท์ของป้ามึงน่ะสิ”

      “สรุปแล้วพวกกูไม่มีใครอยากไปกับมึง…มึงจะไปไหนก็ไป”

      “ตอนนี้กูไม่มีตุ๊กตาหน้ารถว่ะ” ไอ้นักพูดกำกวมและดูเหมือนว่าจะไม่สนที่ผมพูด มันเปิดประตูรถแล้วเดินลงมาอุ้มไอ้คิ้วท์ที่ยังเหนื่อยและไม่ทันตั้งตัว จึงถูกเพื่อนรักของผมมันอุ้มพาดขึ้นบ่าด้วยมือข้างเดียวราวกับพาดผ้าเช็ดตัว

       “ปล่อยกูนะ!”

      “ไอ้นัก มึงทำอะไรของมึงเนี่ย ปล่อยเพื่อนกูเลยนะ!” ผมพยายามแกะมือไอ้นักให้ปล่อยไอ้คิ้วท์ลง

      “กูก็เพื่อนมึง…ไม่รู้แหละ กูอยากได้ไอ้คิ้วท์มาเป็นตุ๊กตาหน้ารถกู” มันพูดเอาแต่ใจพลางเดินไปแล้วใช้มือข้างที่เหลือเปิดประตูรถอีกข้าง จากนั้นก็ยัดคนที่ถูกอุ้มเข้าไปพร้อมปิดประตูเสร็จสรรพ ทำอย่างกับไอ้คิ้วท์เป็นตุ๊กตาจริงๆ

      “ไอ้นัก มึงจะเยอะเกินไปแล้วนะ”

      “มึงนั่นแหละเกินไป ทำกับเพื่อนได้ ไม่รู้จะหวงอะไรนักหนา แล้วสรุปมึงไม่ไปใช่มั้ย” พูดเสร็จไอ้นักก็เดินมาเปิดประตูรถฝั่งคนขับ ส่วนผมก็ต้องรีบดีดตัวเองเข้ามานั่งในรถอย่างจำใจก่อนที่มันจะขับออกไป

      ได้ไงล่ะ…ผมไม่ปล่อยไอ้คิ้วท์ไว้กับเสือตัวนี้แน่ ถึงไอ้คนที่โดนอุ้มมาจะพยายามเอาตัวเองลงจากบ่ามายังไง แต่ดูเหมือนตอนนี้มันเต็มใจที่จะนั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถรับความเย็นจากแอร์ จนไม่สามารถปิดบังสีหน้าที่สดชื่นของมันได้

      ไอ้นักเอาแต่มองไอ้คิ้วท์อยู่เป็นเนื่องๆ แล้วยิ้มอย่างพอใจ มันคงคิดว่าเข้าทางมันล่ะสิ หึ อย่าหวังเลยไอ้นัก ผมจะกันท่ามันให้ถึงที่สุด ไอ้เจ้าชู้ ไอ้หน้าม่อเอ้ย เหมือนพี่มันไม่มีผิด









      “ไอ้นัก มึงจะนั่งมองอะไรนักหนาวะ”

      “นี่ ถามหน่อย ถ้ามึงเห็นของน่ารักๆ อยู่ตรงหน้า มึงจะไม่มองหรือไง”

      “มึงอย่ามาทำนิสัยเจ้าชู้แถวนี้” ผมพูดแล้วก็เขกหัวมันไปหนึ่งที

      ที่ไอ้คิ้วท์ไม่พูด ใช่ว่ามันกำลังนั่งหลงตัวเองที่ถูกชมอยู่ แต่มันขี้เกียจพูดด้วยเพราะน่ารำคาญ และที่ผมรู้ก็เพราะมันเป็นคนที่แสดงออกมาทางสีหน้าชัดเจนว่าโคตรจะเซ็งกับไอ้นักเลย ส่วนเพื่อนรักผมมันแยแสซะที่ไหน หน้าด้านหน้าทนที่จะมองเขาตาหวานเยิ้มอยู่นั่น

      “สนใจอาหารตรงหน้ามึงนั่น วิญญาณอุด้งลอยออกมาจนรสชาติจืดชืดหมดแล้วมั้ง”

      “ไม่เป็นไร กูอิ่มใจแล้ว อีกอย่างพอกูกินเข้าไปแล้วรู้สึกว่ากระดูกขวางคอว่ะ” ทำไมฟังดูแล้วมันทะแม่งๆ

      “มึงด่ากูเหรอไอ้นัก อุด้งบ้านมึงใส่กระดูกชิ้นใหญ่ลงไปหรือไงถึงได้ขวางคอมึงห้ะ มึงต่างหากที่เป็นส่วนเกิน พวกกูจะมากันแค่สองคน”

      “มึงพูดอย่างนี้มาเคลียร์กันเลยดีกว่าว่าสรุปกูยังเป็นเพื่อนมึงมั้ย ไอ้โช”

      “เพื่อนไง…เพื่อนหน้าม่อของกู บอกไว้เลยนะ ตราบใดที่มีกูอยู่ มึงไม่ได้แม้แต่แตะปลายผมไอ้คิ้วท์หรอก”

      “ไอ้โช!”

      “พวกมึงสองคนเลิกทะเลาะกันซะที กูอายคน!” เถียงเสียงดังกันไปมา ทั้งผมและไอ้นักก็สงบปากลง เพราะคำตักเตือนจากไอ้คิ้วท์และสายตาของคนในร้านที่มองมาอย่างรำคาญ “หุบปากแล้วรีบกินจะได้ไปซื้อของ”

      “คร้าบบบ จะกินให้หมดเลย”

      “ทีกับกูเสียงด้านเสียงแข็ง กับไอ้คิ้วท์เสียงสอง เชื่องอย่างกับแมว” ผมมองค้อนไอ้นักด้วยความหมั่นไส้



      หลังจากกินอะไรกันเสร็จ ผมคิดแผนว่าจะพาไอ้คิ้วท์ชิ่งหนีไอ้นัก แต่มันก็ดันโพล่งปากบอกว่าจะไปซื้อของทำงาน ไอ้เพื่อนรักของผมมันก็เลยได้โอกาสขอตามติดไปด้วย เพราะวิชานอกของเสคมันก็สั่งงานเดียวกัน

      ไอ้นักตามติดไอ้คิ้วท์แจ ไปเกาะแกะแอบแต๊ะอั๋งจับมือจนไอ้คิ้วท์จะฟาดหมับเข้าให้ ผมจึงพอจะคิดได้ว่าวันที่มันได้แผลที่ปากมาก็คงจะเป็นฝีมือของไอ้คิ้วท์ เพื่อนรักของผมคงไปลวนลามมันเข้า

      ยังดีที่ไอ้คิ้วท์ไม่ได้หลงคารมคนเจ้าสำราญแบบไอ้นัก ออกจะรำคาญและระวังตัว ผมจึงยังพอเบาใจ แต่ถ้ามันตกหลุมพรางของเพื่อนตัวแสบเมื่อไร มันก็อาจจะขึ้นมาได้ยากหรือขึ้นมาไม่ได้เลย และคงต้องเจ็บปวดที่ได้ตกลงไปในหลุมเสน่ห์ของไอ้เสือตัวนี้ ผมจึงคอยระวังไม่ให้มันเดินไปตกหลุมพรางนั้น

      ไม่อยากให้มันเป็นเหมือนผมที่ตกลงไปแล้วไม่สามารถขึ้นมาได้อีก…

      มีแต่จะจมลึกลงไปทุกวันและทุกครั้งที่ได้เจอหน้ากัน…

      …มันยากที่จะถอนตัวออกมาได้





     
      “พี่ภามมาทำอะไร”

      ผมมองไปยังกลุ่มนักศึกษากลุ่มใหญ่ที่เดินตรงเข้ามา…พี่ภามและเพื่อนๆ ในคณะของเขา ดูแปลกตานิดหน่อย เพราะปกติเห็นแต่เดินอยู่กับเฮียขุน นั่นจึงทำให้ผมตกใจหลังจากไอ้นักทักเพราะนึกว่าเดินมากับคนๆ นั้น

      “พวกกูเพิ่งไปรับบริจาคช่วยสัตว์จรจัด เลิกแล้วก็เลยจะมาหาอะไรกิน…เมื่อตอนบ่ายก็ว่าจะไปชวนมึงมาทำกิจกรรมด้วยกันเนี่ยแหละ แต่มึงบอกจะไปหาเพื่อนก็เลยยังไม่ได้พูด” ไอ้นักเป็นคนถาม แต่ดูเหมือนพี่ภามกำลังพูดกับผมอยู่

      “แล้ว…ทำไมพี่ไม่บอกให้มันเร็วๆ เล่า มัวแต่ถามนั่นนี่อยู่ได้”

      “พวกมึงมาจอยกับพวกกูมั้ย ว่าจะไปกินอาหารญี่ปุ่นกัน”

      “พวกผมเพิ่งกินมาอ่ะพี่” ไอ้นักพูด

      ผมเอาแต่ก้มหน้าก้มตาอาย ทั้งวันผมดูกระจกเป็นระยะ รอยที่คอมันไม่หายไปง่ายๆ จนถึงตอนนี้มันก็ยังคงเป็นอนุสรณ์สร้างความอายให้ผมอยู่ พี่ภามคงคิดไปไหนต่อไหน ผมยังหาคำอธิบายที่มันพอฟังขึ้นไม่ได้ แม้แต่ไอ้นักที่เห็นแล้วว่าไม่ใช่รอยแมวข่วน ผมก็ไม่รู้จะบอกยังไง เพราะโคตรอายเลยที่จะบอกไปว่าพี่มันทำ มีหวังมันคงได้แซะผมแล้วแซวผมอีก

      “งั้นไปหาของหวานกินกัน”

      “ได้ไง พี่ยังไม่ได้กินข้าว กินของหวานเลยจะอิ่มหรือไง” ไอ้นักเสริมต่อ

      “เออ กูอยากกินของหวานเลย…พวกมึง เดี๋ยวกูไปกับน้องกูนะ ไปหาอะไรกินกันเลยแล้วไว้เจอกันที่มอพรุ่งนี้” พี่ภามหันไปบอกเพื่อนแล้วพาเราเข้าร้านบิงซูที่ยืนอยู่ตรงหน้าร้านพอดี




      “สั่งเต็มที่เลยกูเลี้ยงเอง”

       บิงซู ฮันนี่โทสต์ ทั้งเครปฟรุต ถูกสั่งมาเต็มโต๊ะ ผมสดชื่นมากที่เห็นของหวานน่ากินตระลานตาตั้งอยู่ตรงหน้า แต่พอจะตักเข้าปากเท่านั้นแหละ ผมก็รู้สึกชะงักลงเพราะรัศมีพิกลแผ่ซ่าน พี่ภามเอาแต่จ้องมาที่ผมจนทำให้รู้สึกอึดอัด เขาคงอยากรู้เรื่องราวที่มาของรอยช้ำที่คอผมเต็มแก่

      ผมจึงพูดชวนให้เจ้ามือกินเยอะๆ เพราะเขายังไม่ได้กินข้าวเลย พี่ภามที่นั่งขมวดคิ้วอยู่นานจึงค่อยๆ คลายยิ้มแล้วตักบิงซูเข้าปาก แต่มันก็ยังมองผมไว้วางตา ไม่รู้จะมองอะไรนักหนา กินบิงซูไม่อร่อยเลยเนี่ย


      “มึงอย่าคิดว่ากูโง่นะ” ไอ้นักที่นั่งข้างผมพูดกระซิบ เพื่อนตัวแสบมันกะจะนั่งข้างไอ้คิ้วท์ ผมเลยรีบดึงตัวมันมานั่งกับผมแทน ไม่ยอมให้มีโอกาสหรอกเว้ย

      “กูก็ไม่ได้พูดว่ามึงโง่” ผมกระซิบมันกลับ

      “มึงไม่ได้พูด แต่มึงคิดว่ากูโง่หรือไงว่ารอยที่คอมึงเป็นรอยแมวข่วน รอยช้ำแบบเนี้ยกูชินตา”

      “ไม่ได้โง่แต่ก็อย่าฉลาดรู้ให้มากนักมึงน่ะ”

      “กูฉลาดอยู่แล้ว ไอ้พี่ภามจ้องมึงตาเยิ้มขนาดนี้แล้วยังยิ้มให้อีก กูว่ารอยนี่พี่ภามเป็นคนทำแน่ๆ”

      “ถุย มึงอย่ามาแต่งเรื่องเข้าใจไปเอง”

      “หึ กูคิดถูกล่ะสิไม่ว่า พี่ภามสนใจมึง ดูๆ แล้ว ถ้ามึงไม่มัวแต่ดักคอกูแล้วสลับคู่นั่งกัน กูว่าเป็นเดทคู่ก็ดีนะ”

      “คิดได้นะ ไม่ชงกูให้พี่มึงแล้วหรือไง”

      “ก็ถ้าเพื่อนรักกูชอบคนนี้ กูก็จะชงให้คนนี้”

      “มึงอย่ามาทำตัวเป็นพ่อสื่อ”

      “เออ พี่ภามช่วงนี้ผมติดกิจกรรมดาวเดือนอ่ะ บางวันเรียนบ่ายผมก็ต้องไปซ้อมแต่เช้า ไม่ได้ไปพร้อมกับไอ้โช แล้วตอนเลิกเพื่อนรักของผมมันก็กลับหอเองคนเดียว ถ้าพี่ว่างหรือเห็นมันเดินๆ อยู่ก็ช่วยรับหรือไปส่งมันด้วยนะ” ว่าแล้วไอ้นักก็พูดจาน่ามะเหงกลงหัว

   “ได้ดิวะ”

      “ไม่เป็นไรพี่ ดูรบกวน มหา’ลัยกับหอก็อยู่แค่นี้ อีกอย่างเรียนกันคนละชั้นปีคนละคณะคงไม่ได้บังเอิญเลิกพร้อมกันง่ายๆ” ผมพูดไปด้วยความเกรงใจ

      “ถ้ามึงอยากให้กูไปส่ง แค่โทรมากริ๊งเดียว ถึงอยู่แลปกูก็ออกไปส่งมึงได้”

      “ใช่ ผมล่ะเป็นห่วงมัน ผู้หญิงตัวคนเดียวเดินกลับหอเองตอนมืดๆ”

      “ผู้หญิงบ้านพ่อมึงสิ ไอ้นัก”

      “ก็บอกแล้วว่าพ่อกูไม่มีลูกสาว”

      “ไอ้…มึงจะไปไหน?” กำลังจะง้างปากด่าไอ้นัก ผมก็หันไปพูดกับไอ้คิ้วท์ที่ลุกขึ้นพรวดพราด

      “ไปเข้าห้องน้ำ…รำคาญพวกมึงสองคน”

      “พอดีเลย กูไปด้วย”

      “กูไปด้วย”

      “ไม่ต้องเลย มึงนั่งกับพี่ภามไป” ไอ้นักพูดพลางกดผมที่ยืนแล้วกำลังจะเดินตามไอคิ้วท์ไปให้นั่งลง จากนั้นมันก็รีบวิ่งไป จะวิ่งตามมันไปก็เกรงใจพี่ภามมัน

      “ไอ้คิ้วท์ มึงต้องระวังตัวนะเว้ย!” ผมก็เลยตะโกนตามไปด้วยความกังวล

      “ดูมึงห่วงไอ้คิ้วท์จังนะ”

      “พี่ก็รู้ว่าไอ้นักมันสันดานเสือ ผมกลัวมันไปลวนลามเพื่อนผม”

      “เอาน่า พวกมันไปห้องน้ำแค่แป๊บเดียว”

      ผมถูกทิ้งให้นั่งอยู่กับพี่ภามสองคน ยังคงรู้สึกอึดอัดเพราะคนตรงหน้ามันก็ยังเอาแต่จ้อง “พี่คงสงสัยรอยที่คอผม” ผมจึงพูดออกไปด้วยความที่คิดว่ามันคงอยากรู้เรื่องนี้

      “ช่างมันเถอะ กูไม่อยากรู้แล้ว” พี่ภามมันก็แค่พูดไปอย่างนั้น แต่สายตาดูจะอยากฟังคำอธิบายจากผมมาก

      “มันไม่ใช่รอยแมวข่วน…และมันก็ไม่ใช่อย่างที่พี่คิดจริงๆ นะ” ผมบอกได้แค่นี้ ยังไงผมก็อายที่จะพูดออกไปว่าเฮียขุนทำ แค่ไม่อยากให้พี่ภามคิดไปไกล

      “อือ กูเชื่อมึง” ยังดีที่เขาเข้าใจง่ายและไม่ถามเซ้าซี้ แต่ผมรู้ว่าลึกๆ ในใจพี่ภามก็ยังคงคิดหาสาเหตุต่างๆ ว่าผมได้รอยนี้มายังไง…ได้มาจากใคร

      ผมกับพี่ภามนั่งคอยสองคนนั้นมาพักใหญ่ มันเป็นการไปเข้าห้องน้ำที่นานผิดปกติ ผมจึงโทรหาทั้งไอ้นักและไอ้คิ้วท์ตั้งหลายรอบแต่ก็ถูกตัดสายทิ้งและปิดเครื่องไปเลยทั้งสองคน…ไอ้นักต้องทำอะไรไอ้คิ้วท์แน่ๆ

      พี่ภามจึงจ่ายเงินแล้วเราก็ไปตามหาพวกมันที่ห้องน้ำแต่ก็ไม่เจอ ผมเดินตามหาทั่วห้างแต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของสองคนนั้นเลย “ไอ้นักมันต้องลักพาตัวไอ้คิ้วท์ไปแน่” ผมพูดกับตัวเองด้วยความเจ็บใจ

      “มันขนาดนั้นเลยเหรอวะ”

      “ไอ้นักมันโคตรร้าย ผมไม่น่าปล่อยให้มันตามไอ้คิ้วท์ไป”

      “อย่าห่วงมันเลย ไอ้คิ้วท์มันไม่ได้ดูอ่อนแอให้ไอ้นักรังแกได้ง่ายๆ ขนาดนั้น ไปซื้อของกับกูดีกว่า แล้วก็กลับหอกัน” พอพี่ภามพูดแบบนี้ ผมก็โล่งใจขึ้นมานิดหน่อย เพราะไอ้คิ้วท์ก็คงสอยไอ้นักไปหลายหมัด ถ้าไอ้เพื่อนตัวแสบมันทำอะไรเกินเลย

    “ซื้ออะไร”

      “ซื้อสร้อยคอให้โบตั๋น”

      “โบตั๋น...แฟนพี่เหรอ”

      “ไปเถอะ เดี๋ยวมึงก็รู้” หึ ให้น้องสาว ให้แม่ก็ไม่ใช่ โบตั๋นนี่คงเป็นแฟนสินะ ยิ้มหน้าบานเชียว

      เดินๆ ไปยังไม่ถึงจุดหมายที่พี่ภามบอกพิกัดร้าน แต่ก็ต้องมาเจอใครบางคนซะก่อน ถึงแม้ผมจะไม่ค่อยอยากจะทักเขายิ่งเห็นเดินมากับผู้หญิง ผมอยากจะทำเป็นไม่เห็นด้วยซ้ำ แต่เพื่อนอย่างพี่ภามก็จำเป็นต้องทัก

      “พวกมึงมาทำอะไรกันสองคน” เฮียขุนกลับเป็นฝ่ายเดินพุ่งเข้ามาทักก่อน

      “พวกกูมากับไอ้นักแล้วก็ไอ้คิ้วท์ด้วย แต่ไม่รู้ว่าพวกมันสองคนหายไปไหน”

      “ยิหวา กลับเองได้มั้ย พอดีว่าเฮียมีธุระต้องทำ” พูดกับผู้หญิงของเขาเสร็จก็เดินมาคว้าแขนผม

      ขะ…เขามีธุระกับผมงั้นเหรอ ผมมองหน้าเฮียขุนอย่างงงๆ

      “ให้ยิหวาไปทำธุระด้วยได้มั้ยคะ”

      “ไม่ได้” เฮียขุนพูดเสียงนิ่งและเพียงแค่มองตา ผู้หญิงคนนั้นก็รู้ว่าไม่ควรพูดเซ้าซี้เป็นครั้งที่สอง แล้วเธอก็เดินสะบัดผมที่ยาวสลวยไปด้วยสีหน้าที่บูดบึ้ง

   “มึงมีธุระกับไอ้โชงั้นเหรอ”

      “ใช่ ไอ้ภามมึงกลับไปก่อนได้เลยนะ กูจะไปทำธุระบางอย่างกับไอ้หมอนี่” เฮียขุนมองผมเจ้าเล่ห์แล้วยังทำท่าเกลี่ยปากตัวเองไปมา

      เขาจงใจจะให้พี่ภามรู้ว่ารอยช้ำ…เกิดจากเขา และพี่ภามก็ดูออกในท่าทางของของเฮียขุนว่าสื่อความหมายว่ายังไง ไม่ใช่นะ…ผมไม่ได้ตั้งใจให้เขาทำ เขาแกล้งผม

      ผมรู้สึกใบ้กิน และส่งซิกท่าทางด้วยการส่ายหน้าบ้าง สื่อความหมายตอกย้ำว่ามันไม่ใช่อย่างที่เขาคิด แต่ว่าพี่ภามคงคิดอะไรเลยเถิดไปแล้วว่าผมกับเฮียขุน…

      “ถ้างั้น…มึงไปส่งไอ้โชด้วยนะ”

      “แน่นอน อย่าลืมสิว่ากูกับมันอยู่หอเดียวกัน”

      “อืม…งั้นไว้เจอกันนะมึง” พี่ภามพูดกับผมก่อนจะเดินไป เขาทิ้งรอยยิ้มจางๆ ไว้ให้และสายตาที่ดูเหมือนจะผิดหวัง...ทำไมสีหน้าเศร้า

      ผมมองค้อนตัวปัญหาที่ยิ้มอย่างพอใจ…เขานี่มันนิสัยเสียจริงๆ





   

      “ถึงเวลาต้องตอบแทนที่มึงหลอกขอความช่วยเหลือจากกู”





-----TBC-----



หัวข้อ: Re: #Heart To Heart #ใจแพ้รัก 「ตอนที่9」-22/04/19-
เริ่มหัวข้อโดย: ิbanoffee ที่ 22-04-2019 17:10:06
ตอนที่ 9


      หลังจากที่เฮียขุนพูดออกมาแบบนั้น ผมก็ปล่อยให้เขาจูงมือมาตามอำเภอใจ นานเท่าไรแล้วที่ไม่ได้สัมผัสมืออันอบอุ่นนี้ ผมจึงไม่ได้ทำเป็นต่อต้านและเต็มใจให้เขาจับ ความรู้สึกเหมือนตอนเด็กหวนคืน แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าผู้ชายตรงหน้าไม่เหมือนเดิมแล้ว

      ผมแอบอมยิ้มให้กับการกระทำของเขา ดูเหมือนคนที่เดินอยู่ข้างหน้าจะยังไม่รู้ตัวว่าจูงมือผมอยู่…คนที่เขาบอกว่าเกลียด และยังไม่รู้ตัวจนกระทั่งถึงลานจอดรถชั้นล่างของห้าง เฮียขุนหันมาเห็นผมที่อมยิ้ม เขาจึงสะบัดมือผมทิ้งทันที

      ผมมองหน้าเขาและหุบยิ้ม…แน่นอนว่าเขาไม่ได้เต็มใจที่จะจับมือผมหรอก เขาอาจจะลืมตัว

      “เฮียจะพาผมไปไหน?”

      “เดี๋ยวก็รู้” เฮียขุนพูดแค่นั้นแล้วเขาก็เข้าไปนั่งที่คนขับ ส่วนผมก็เข้าไปนั่งข้างๆ เขา

      ทำไมผมต้องขึ้นรถตามเขามาโดยง่าย ทั้งๆ ที่ไม่รู้อะไรเลยว่าจะไปทำอะไร ที่ไหน กับผู้ชายที่ไม่น่าไว้ใจอย่างเขา

      …จะแกล้งอะไรผมอีก

      ครั้งแรกที่ได้ย่างก้าวเข้ามานั่งในรถหรูของเฮียขุน ผมอดไม่ได้ที่จะสาดส่องสายตาสำรวจไปรอบๆ รถก็เหมือนเจ้าของที่เรียบง่ายแต่หรูหรา สะอาดและเป็นระเบียบ พร้อมทั้งอบอวลไปด้วยกลิ่นน้ำหอมจางๆ
 
      ผมยิ้มขึ้นมาอีกครั้งพร้อมทั้งสูดดมไอกลิ่นที่น่าหลงใหลนี้ ตื่นเต้นและมีความสุขอย่างบอกไม่ถูกที่ได้มานั่งในรถข้างๆ เขา แม้เจ้าของรถจะทำหน้าบึ้งตึงใส่อยู่ก็ตาม

      “ตอนออกมา ดูมึงอาลัยอาวรณ์กับไอ้ภามจังนะ ทำไม…อยากกลับกับมันมากหรือไง” รถเริ่มเคลื่อนที่และจู่ๆ เฮียขุนก็เปิดบทสนทนาขึ้นมา

      “ก็ผมมากับเขา ผมก็ต้องกลับกับเขา” มากับไอ้นักต่างหาก นึกแล้วก็เคืองที่มันพาไอ้คิ้วท์ชิ่งหนีไปแล้วทิ้งผมไว้กับพี่ภาม เจอหน้าเมื่อไรได้เทศนามันยาวแน่ แต่ก็รู้สึกไม่ดีเลย พี่ภามอุตส่าห์เลี้ยงบิงซู ได้กินของฟรีจากเขาแล้วยังไม่ได้ขอบคุณแถมปล่อยให้เขากลับคนเดียวอีก

      “มึงกับมันไปสนิทกันตอนไหน เห็นแต่ก่อนไม่ชอบขี้หน้ามันจะตาย”

      “ก็นั่นมันแต่ก่อน ตอนนั้นพี่ภามก็แค่แกล้งผมตามประสาเด็ก แต่ตอนนี้เขาเลิกแกล้ง เลิกแซวผมแล้ว โตขึ้นมาในทางที่ดี ไม่เหมือนใครบางคนที่โตมาแล้วเข้าใจยาก ไม่เห็นถึงความจำเป็นของคนอื่น”

      “เหอะ เดี๋ยวนี้ฝีปากกล้า จะบอกให้กูเห็นใจกับความจำเป็นบ้าบอที่มึงต้องโกหกกูอย่างนั้นสิ”

      ผมพูดกระทบเขา…เขาเองก็พูดประชดให้ผมต้องรู้สึกผิดเช่นกัน ไม่รู้ว่าข้อเสียของใครมันจะร้ายแรงกว่ากัน หรือผมคิดง่ายไปที่จะให้เลิกใส่ใจว่าผมโกหกเขาตอนเด็ก มันก็แค่เรื่องบ้าบออย่างที่เขาว่า แต่ผมจำเป็นต้องโกหก ผมไม่คิดว่ามันจะทำให้เขารู้สึกเกลียดผม และไม่คิดว่าจะทำร้ายความรู้สึกเขาขนาดนี้

      แต่ผมก็ได้รับบทลงโทษที่สาสมแล้ว…บทลงโทษที่เขาไม่เหลือเยื่อใย ไม่แม้แต่จะมองหน้า ซึ่งมันก็ทำร้ายความรู้สึกของผมเช่นกัน

      “ถึงยังไงเฮียก็เกลียดผมไปแล้วนี่…ไม่ยอมเข้าใจ ขนาดพี่ภามยังรู้และเข้าใจผมเลย”

      “มึงก็เลยหันไปชอบไอ้ภามแทนงั้นสิ” เฮียขุนพูดประโยคที่ทำให้ผมต้องหันไปมองเขาอย่างสงสัย สีหน้าหงุดหงิดในขณะที่พูดแบบนั้นออกมามันอะไรกัน เขาทำให้ผมรู้สึกว่ากำลังเข้าข้างตัวเอง

      “ทำไม…หึงผมหรือไง” เช้ดดดดดด พูดออกมาได้ ฝีปากกล้าอย่างที่เขาว่า ผมเองซึ่งตอนนี้ก็รับรู้ได้ว่ามีความเปลี่ยนแปลง นอกจากจะกล้ามองหน้าเขาอย่างเต็มตา เริ่มชินกับความเย็นชาในแววตาคู่นั้น ผมยังกล้ามานั่งต่อล้อต่อเถียงกับเขาอีก

      “หึ มึงว่าไงนะ” เขาหัวเราะขบขันหน้าตาย

      “ก็เฮียหึง คงไม่คิดล่ะสิว่าผมจะเลิกสนใจเฮียแล้ว ผมไม่ชอบเฮียแล้วจริงๆ” ไม่จริงงงงงงง “พี่ภามทำตัวน่ารักกับผม ทำไมผมจะไม่ชอบเขาล่ะ”

      “มึงจะชอบมันก็เรื่องของมึง แต่อย่ามาคิดว่ากูหึง มึงโง่…ไม่เข้าใจความหมายของคำว่าเกลียดหรือไง กูเกลียดมึงแล้วกูจะไปหึงมึงเพื่อ…คิดได้นะ อย่าหลงตัวเอง”

      นั่นสิ…ทำไมผมถึงกล้าเข้าข้างตัวเอง พอเขาพูดแบบนั้นก็ทำให้ผมหงุดหงิดขึ้นมาและสงบปากเจียมตัวนั่งหงอย พลางคิดว่าอย่างเขาน่ะเหรอจะหึงผม

      แต่ประโยคที่เขาพูดมันทำให้ผมรู้สึกแบบนั้น ทำไมเขาต้องพูดเหมือนไม่อยากให้อยู่ใกล้หรือชอบพี่ภาม…อีกอย่างเขากำลังคิดหรือกำลังจะทำอะไรอยู่ ทั้งที่แต่ก่อนไม่แม้แต่อยากมองหน้า แต่ช่วงนี้เฮียขุนกลับเอ่ยปากที่จะพูดกับผม

      มันทำให้ผมแอบรู้สึกดีใจว่าเขาอาจจะชอบผม…เพียงแค่นี้ก็ทำให้คนอย่างผมคิดไปไกล

      ถ้าเขายังเย็นชาโดยไม่แม้แต่มองผมแบบก่อนหน้า ผมก็คงจะเลิกชอบไปจริงๆ แต่ทำไมต้องมาพูดคุยกับผม ถึงยังเป็นการสนทนาที่ไม่ได้ลงรอย แต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกดีและชอบเขา…

       …ไม่ว่ายังไงก็ชอบเฮียขุน






      รถที่ถูกขับเคลื่อนออกมาสักพักก็ได้เลี้ยวเข้าไปในสถานที่แห่งหนึ่ง…

      โรงแรม!

      ผมมองคนขับอย่างไม่ไว้ใจ เขาพาผมมาที่โรงแรมหรูนี่ทำไม ธุระหรือเรื่องตอบแทนที่เขาว่านี่มัน…

      “มองแบบนี้หมายความว่าไง มึงกำลังคิดอกุศลอยู่งั้นสิ”

      “แล้วพาผมมาที่นี่ทำไม”

      “กูไม่ได้พามึงมาทำอะไรแบบนั้นก็แล้วกัน…คนอย่างมึงไม่ได้มีอะไรให้พิศวาส”

      “…”
 
      การได้สนทนากับเขาทำให้รู้สึกดี แต่มันก็ทำให้ผมอารมณ์เสียด้วยเหมือนกัน




      หลังจากจอดรถ ผมก็ยังเดินตามเฮียขุนเข้าโรงแรมมาอย่างว่าง่าย เขาพูดกับพนักงานต้อนรับสองสามคำก็ถูกเธอผายมือเชิญให้เดินไปยังห้องอาหารของโรงแรม สถานที่แห่งนี้ดูโอ่อ่าและหรูหรามากเพราะจากที่เห็นชื่อของโรงแรมแล้วก็ทำให้ผมรู้ว่าอยู่ในระดับห้าดาว

      เมื่อถึงโต๊ะอาหาร ผมก็นั่งลงแล้วมองคนตรงหน้าด้วยความไม่เข้าใจ นี่คือสิ่งที่ผมต้องตอบแทนเขาอย่างนั้นเหรอ เขากลายเป็นคนที่มายุ่มย่ามสนใจให้ผมต้องตอบแทนเรื่องที่ขอความช่วยเหลือจากเขา ทั้งที่คนเกลียดกันไม่ต้องแยแสก็ได้

      ผมตะขิดตะขวางใจอะไรบางอย่าง เฮียขุนจะต้องแกล้งอะไรผมแน่

      “มึงเลี้ยงข้าวตอบแทนไอ้ภาม มึงก็ต้องเลี้ยงข้าวตอบแทนกู” เขาบอกแล้วก็เรียกพนักงานมาสั่งอาหาร “เอาลาซานญ่าครับ คาโบนาล่า ริซอตโต้ อกเป็ดย่างราดซอสเบอรี่แล้วก็ผักขมอบชีส เครื่องดื่มขอเป็นไวท์ไวน์หนึ่งขวด และของหวานตบท้ายด้วยทีรามิสุนะครับ”

      เฮียขุนสั่งอาหารไปหลายอย่าง โดยระหว่างนั้นผมก็เปิดเมนูอาหารดูตามเขา ทำให้รู้ว่าอาหารพวกนั้นเป็นอาหารอิตาเลี่ยนที่ราคาแพงสมภัตตาคารโรงแรมหรูระดับห้าดาว หลังจากนั้นผมก็คำนวณราคารวมอยู่สักพัก และผลลัพธ์ออกมาคือค่าอาหารเกินกว่าเงินในกระเป๋าผม

      เฮียขุนหัวเราะสะใจในลำคอ สีหน้าของผมที่กำลังเคร่งเครียดและคิ้วที่ขมวดหากันด้วยความหงุดหงิดมองเขาอย่างโมโห

      “ทำไม… ทีมึงยังเลี้ยงตอบแทนไอ้ภามได้”

      “พี่ภามเขากินแค่ก๋วยเตี๋ยวชามเดียวที่ผมสั่งให้ ไม่ได้สั่งมากมายแบบนี้ ผมไม่ได้รวยเหมือนเฮียหรอกนะ นี่ไม่ได้เป็นเรื่องของการตอบแทน แต่เป็นการแกล้งกันชัดๆ”

      “ถ้าให้คำนวณแล้ว…กูช่วยมึงเยอะกว่าไอ้ภาม และการช่วยเหลือพวกนั้นมึงก็หลอกให้กูทำ ดังนั้นมึงก็ต้องตอบแทนกูมากกว่าไอ้ภาม และแค่นี้มันก็ไม่ได้เพียงพอที่จะชดใช้ความรู้สึกที่เสียไปของกู”

      การช่วยเหลือที่ว่า เขาคงหมายถึงตอนเด็ก เขาเต็มใจช่วยเหลือเด็กผู้หญิงที่ชื่อโช ดังนั้นมันจึงกลายเป็นว่าผมหลอกเขาสินะ

      ถ้าเฮียขุนรู้ว่าผมเป็นผู้ชายตั้งแต่แรก…ตอนนั้นเขาก็คงไม่ช่วยผมจากการรังแกของพี่ภามงั้นสิ


      ถึงผมจะชอบคนตรงหน้าขนาดไหน…

      แต่เขาไม่มีวันชอบผม…

      ไม่ชอบตัวตนของผม


      เราทั้งสองคนนั่งไม่พูดอะไรกัน สักพักอาหารที่สั่งก็ถูกนำมาเสิร์ฟบนโต๊ะครบ เฮียขุนที่ก้มมองหน้าจอมือถือเงยหน้าขึ้นมามองผมที่นั่งจ้องเขาด้วยสีหน้าเครียดอยู่แทน

      “มึงต้องกินอาหารพวกนี้ให้หมด”

      “ว่าไงนะ”

      “กูบอกว่าให้มึงกินอาหารพวกนี้ให้หมด”

      “เฮียสั่งมาก็กินเองสิ อีกอย่างผมก็กินมากับพี่ภามจนอิ่มแปล้แล้ว พี่เขาเลี้ยงด้วย” ผมพูดประชดเขา นี่ยังมโนว่าเฮียขุนจะหึงผมหรือไงกันนะ ทำไมต้องบอกว่าพี่ภามเลี้ยง

      “แล้วถ้ากูบอกว่าเลี้ยงล่ะ มึงจะกินมั้ย”

      “อะไรของเฮีย ไหนบอกว่าให้ผมเลี้ยงตอบแทน”

      “พูดอย่างกับว่ามึงมีปัญญาจ่าย”

      “…” แน่ล่ะสิ แพงขนาดนี้ผมจ่ายไม่ไหวหรอก

      “กินสิ มัวแต่มองหน้ากูอยู่ได้ กูบอกให้กิน…แล้วก็กินให้หมดด้วยนะ”

      ผมยังคงมองหน้าเขาอย่างไม่เข้าใจ ไม่รู้จริงๆ ว่าเขาต้องการที่จะทำอะไรกับผมกันแน่ แต่ในประโยคที่เขาบอกให้ผมกิน มันเหมือนเผยความใจดีที่เขาซ่อนเอาไว้ สายตาของเขาลดความเย็นชาลงเล็กน้อย

      มือของผมค่อยๆ จับช้อนซ้อมอย่างงงๆ และสงสัยในตัวเขาอยู่ แต่คำสั่งเมื่อครู่เหมือนมีเวทมนต์บังคับให้ผมทำตาม

      ผมโอนอ่อนทำตามเพียงเพราะรู้สึกว่าเขาใจดี…
 
      อยากให้เฮียขุนศึกคนเดิมเหมือนตอนเด็กกลับมาจัง


      เฮียขุนเอาแต่นั่งมองผมกินอย่างเดียว ผมถามว่าทำไมไม่กินด้วยกัน เขาบอกว่าไม่หิวแล้ว เหตุผลที่ฟังดูไม่ขึ้นสำหรับคนที่สั่งอาหารมามากมาย เกินความจำเป็นสำหรับสองคนด้วยซ้ำ จะบอกว่าเขาสั่งอาหารทั้งหมดนี่มาให้ผมเพียงคนเดียวงั้นเหรอ และเขาก็บอกว่าจะเลี้ยงผมด้วย ทำเพื่ออะไรกันนะ ผมไม่เข้าใจเขาเลยจริงๆ

       แต่ถึงอย่างนั้นผมก็อดมีความสุขกับเหตุการณ์ที่ไม่สมเหตุสมผลนี่ไม่ได้ และมันราวกับว่าผมได้มาเดทกับเฮียขุน

      เขานั่งมองผมกินจนหมดแล้วเรียกเก็บค่าอาหาร ฟังไม่ผิดหรอกครับ แม้ก่อนหน้านี้ผมจะกินทั้งของหวานของคาวมาแล้ว แต่ผมก็กินอาหารที่เขาสั่งมาให้จนหมด กินตามที่เขาบอกและเพราะเสียดายอาหารแพงถึงแม้ผมจะไม่ได้จ่ายเองก็ตาม

      “เก็บที่คนนี้นะครับ” เฮียขุนพูดแค่นั้นก็ลุกเดินออกจากห้องอาหารไปเลย ทิ้งให้ผมนั่งค้างราวถูกสตาฟไว้กับพนักงานที่ยื่นบิลให้ผม

      นี่เป็นการแกล้งของเขาสินะ…ผมเข้าใจการกระทำของเขาแล้วล่ะ

      ผมยื่นมือรับบิลนั้นมาดูอย่างเกร็งๆ และทำท่าเปิดกระเป๋าเงินทั้งๆ ที่รู้ว่าเงินไม่พอจ่าย ราคาที่เห็นทำให้ผมลองบวกค่าขนมที่เหลืออยู่ของเดือนนี้ซึ่งรวมแล้วก็ยังไม่พอจ่ายอยู่ดี

      “คือ…ผมมีเงินไม่พออ่ะครับ” ผมบอกกับพี่พนักงาน จากสีหน้ายิ้มแย้มพี่เขาหุบยิ้มทันที

      “หมายความว่ายังไงคะ สั่งมาเยอะแยะแล้วก็กินจนหมดมาบอกว่าไม่มีเงินจ่าย จะชักดาบเหรอคะ ถ้าอย่างนี้พี่ไม่คุยด้วยนะ คงต้องคุยกับตำรวจ หน้าตาก็ดีแถมใส่ชุดนักศึกษา น้องไม่น่ามาทำอย่างนี้”

      “อย่าแจ้งตำรวจนะครับ คือ…เอาอย่างนี้นะครับ ผมจะจ่ายเท่าที่ผมมี ส่วนที่เหลือให้ผมชดใช้ยังไงก็ได้ ผมทำได้ทุกอย่างแต่อย่าแจ้งตำรวจเลยนะครับ”

      “ไม่มีอะไรให้น้องทำและพี่คงไม่เสียเวลาพูดกับน้องไปมากกว่านี้…ผู้จัดการคะ เชิญทางนี้ด้วยค่ะ”

      “ผมมีเงินที่เกินครึ่งราคา ขอล่ะครับให้ผมทำอะไรก็ได้เพื่อจ่ายค่าอาหารส่วนที่เหลือ ช่วยผมหน่อยนะครับพี่” ผมพูดพลางยกมือไหว้งกๆ เพื่อให้เขาเห็นใจ

      พี่เขาไม่ฟังคำขอร้องของผมและเรียกผู้จัดการมา ผมก็พูดกับผู้จัดการในแบบเดียวกัน แต่เขาก็ไม่สนและกดมือถือบอกว่าจะโทรหาตำรวจ ผมทำได้แค่ยื้อเอามือถือของเขามาและพยายามขอร้องสุดขีด ถ้าเรื่องถึงตำรวจก็จะบานปลาย ผมไม่อยากให้พ่อกับแม่รู้

      ผู้จัดการต่อว่าผมยกใหญ่และบอกว่ายังไงก็จะโทรหาตำรวจ ผมก็ยังคงเอาแต่ไหว้ขอโทษเขา เหตุกาณ์ที่น่าอายนี้เกิดเป็นจุดสนใจจนคนในห้องอาหารหันมามองผมเป็นตาเดียวกัน บางคนก็อดยกมือถือขึ้นมาถ่ายคลิปวีดีโอไม่ได้ตามกระแสที่มันเกิดขึ้นในปัจจุบัน

      “มีเรื่องอะไรกันครับ” ผู้ชายหน้าตาดีใส่สูทคนหนึ่งเดินเข้ามาถามถึงเหตุการณ์

      “นักศึกษาคนนี้กินแล้วไม่มีเงินจ่ายค่าอาหารครับ”

      ดูเหมือนผู้ชายคนดังกล่าวจะมีตำแหน่งที่สูงกว่าผู้จัดการ เพราะผู้จัดการให้ความเคารพและโค้งตัวให้เขาเล็กน้อย

      “เดี๋ยวผมจัดการเอง คุณไปทำหน้าที่ต่อเถอะ อ่อ ค่าอาหารให้ลงชื่อผมนะ”

      “ครับ”

      “ขอบคุณมากนะครับ ถ้าจะให้ผมทำอะไรก็บอก ผมทำได้ทุกอย่างเพื่อชดใช้ค่าอาหารคืนให้” พอได้ยินว่าผู้ชายคนนี้จะจ่ายให้ ผมก็เอาแต่ยกมือไหว้ขอบคุณเขา

      “อยู่ปีไหนแล้วคณะอะไร” เขาคงเห็นว่าผมใส่ชุดนักศึกษาจึงถามขึ้นมา

      “บริหารปีหนึ่งครับ”

      “รุ่นน้องที่คณะนี่หว่า”

       “พี่….”

      “พี่อยู่บริหารปีสี่ น้องคงยังไม่เคยเห็นหรอก ยังไม่ถึงเวลาที่ปีสี่จะเข้าไปยุ่งกับกิจกรรมรับน้อง”

      “ครับ ผมชื่อโช ฝากเนื้อฝากตัวกับรุ่นพี่ด้วยครับ” ผมแนะนำตัวไปตามมารยาทของรุ่นน้อง

      “พี่ชื่อเมฆ ยินดีที่ได้รู้จักครับ” เขายิ้มให้ผม ดูใจดีจัง ถึงผมจะเป็นรุ่นน้องที่คณะแต่เขาควรโกรธที่ผมจะชักดาบค่าอาหาร “แล้วทำไมถึงทำแบบนี้ล่ะ”

      “ผม…ขอโทษครับพี่ ผมไม่ได้ตั้งใจที่จะทำแบบนี้” ผมยกมือไหว้ขอโทษเขาอีกรอบ

       คงไม่ต้องบอกว่าเป็นความผิดหรือโยนโทษให้ใคร ผมเองที่ผิดและโง่เชื่อใจว่าเฮียขุนจะเลี้ยงผมจริงๆ…

      “ไม่เป็นไร ถือว่าพี่เลี้ยงต้อนรับน้องแล้วกัน”

      “ไม่ได้หรอกครับ แล้วไว้ผมจะจ่ายคืน…”

      “พี่เมฆ สวัสดีพี่” เสียงคำทักทายที่คุ้นเคย เฮียขุนที่ลุกเดินทิ้งผมไปเดินกลับมา “พี่ไม่ต้องเลี้ยงหรอก ผมบอกผู้จัดการให้ลงชื่อผมแล้ว”

      “ขุน…น้องมากับมึงหรอ”

      “ใช่พี่”

      “เอ้า แล้วมึงทิ้งน้องมันเหรอวะ”

      “…” เฮียขุนมองมาที่ผมด้วยแววตาเฉยชาแล้วหันไปพูดกับพี่เมฆต่อโดยที่ไม่ตอบคำถามของเขา “พี่นี่ก็ใจดีเลี้ยงคนอื่นตลอด ใจดีให้ถูกที่ถูกเวลา ใครกินก็ให้คนนั้นมันจ่ายเองสิ”

      คำพูดที่ฟังดูไม่ได้สำนึกผิดนั่นยิ่งตอกย้ำให้ผมโมโห เสียใจ และรู้ตัวเองว่าโง่แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ถึงเฮียขุนเป็นคนสั่งแต่ผมก็เป็นคนกิน มันจึงเกิดเป็นสำนึกขึ้นในใจว่าผมมีเปอร์เซ็นที่ต้องเป็นคนจ่ายอาหารมากกว่าเขา

      “รุ่นน้องกู กูเลี้ยงหมดแหละ”

      “พี่คงรู้จักไอ้หมอนี่แล้ว ถ้าอย่างนั้นผมกับมันขอตัวกลับก่อนนะพี่ แล้วไว้เจอกันที่มอ”

      “เออๆ อย่าทิ้งน้องมันอีกล่ะ ดูแลรุ่นน้องให้ดี”

      เฮียขุนยกมือไหว้ลาพี่เมฆก่อนเดินไป “ยืนบื้ออยู่ทำไมล่ะ จะกลับมั้ยหอ” เขาหันมาพูดกับผมที่ยืนนิ่ง รู้สึกโมโหจนตัวชาที่ถูกเขาทำกับผมแบบนั้น

      “พี่เมฆผมไปก่อนนะครับ ขอบคุณอีกครั้งที่ออกค่าอาหารให้ผม”

      “ไม่ต้องขอบคุณกูแล้ว ไปขอบคุณให้ขุนนู้น มันเป็นคนจ่ายค่าอาหารให้มึง”

      ขอบคุณเขาอย่างนั้นเหรอ…หึ ผมควรจะดีใจมั้ยนะที่อย่างน้อยเขาก็เลี้ยงผมอย่างที่เขาพูด

      ไม่ใช่แค่ใจร้าย ตอนนี้เฮียขุนดูเป็นคนน่ากลัวและโรคจิตที่เล่นกับความรู้สึกผม ดูเหมือนว่าเขาแค้นที่ผมโกหกเขาตอนเด็กทำให้เสียความรู้สึก เขาเลยจะเอาคืนผมบ้าง

      ผมเดินตามเขาออกจากโรงแรมมาห่างๆ เฮียขุนเปิดประตูแล้วเข้าไปนั่งในรถ ส่วนผมเดินไปยังทางออกของโรงแรมเอง ผมคงจะไม่กลับกับเขาและเขาเองก็คงไม่ได้ใจดีให้กลับด้วยหรอก

      ไม่มีเฮียขุนศึกที่ใจดีอีกแล้วไอ้โช…ก็บอกอย่างนี้กับตัวเองมาตลอด ทำไมต้องปล่อยให้ความรู้สึกตัวเองเป็นจุดอ่อนให้เขามาแกล้งได้


      ปิ๊บ!

      “มึงจะไปไหน” เฮียขุนขับรถตามผมมาแล้วบีบแตรใส่

      “กลับหอไง” ผมบอกเขาเสียงเรียบ

      “แล้วทำไมมึงไม่ขึ้นรถ”

      “เฮียทำกับผมแบบนั้น ยังจะให้ขึ้นรถอีกเหรอ”

      “ขึ้นมา!” เขาสั่งผมเสียงเข้ม

      แล้วทำไมผมต้องขึ้นรถมาอย่างง่ายดายอีกแล้ว เหมือนคำพูดของเขาแต่ละคำมีผลต่อจิตใจผมมาก ผมทำตามที่เขาบอกแต่ครั้งนี้ผมแค่อยากถามเขา “ทำไมเฮียต้องทำกับผมขนาดนี้ด้วย ถ้าเพราะเกลียด…เฮียก็ไม่แม้แต่จะมองหน้าหรือพูดกับผมอยู่แล้วนี่ ไม่เห็นต้องทำกับผมแบบนั้นก็ได้” ผมพูดโดยมองออกไปนอกกระจกในขณะที่รถกำลังเคลื่อนที่อยู่ ไม่อยากมองคนหน้าคนใจร้ายอย่างเขา

      “กูพอใจที่จะทำ” ก็ยังเป็นคำพูดที่เขาไม่มีท่าทีจะรู้สึกผิดต่อผม

      เรื่องวันนี้ยังไม่ได้ดูเป็นเรื่องใหญ่อะไรเพราะพี่เมฆเข้ามาช่วย แต่ผมอยากรู้ว่าถ้าไม่มีพี่เมฆ…เฮียขุนจะปล่อยให้ผู้จัดการโทรหาตำรวจมาจับผมมั้ย

      “กูเป็นคนจ่ายค่าอาหารให้ ดังนั้นมึงก็ยิ่งติดหนี้กูไปอีก”

      “ครับ” ผมตอบเสียงเรียบ พูดแบบนี้ เฮียขุนคงคิดหาวิธีแกล้งผมอีกสินะ

      ผมควรรู้สึกยังไงในตอนนี้ มันว่างเปล่า…แต่รับรู้ได้ว่าความรู้สึกที่ชอบคนข้างๆ เหมือนจะลดลงมานิดหน่อย เพราะผมไม่เคยโกรธเขาจริงจังขนาดนี้มาก่อนเลย





      ระหว่างทางมีผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังเปิดดูฝากระโปรงรถข้างทาง เหมือนรถเธอจะเสีย เห็นดังนั้นเฮียขุนจึงจอดรถลงไปดู และพอผมตามลงไปก็รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร

      พี่ไวน์…

      เฮียขุนคงคุ้นรถเธอเลยไม่ลังเลที่จะจอด

       “รถเป็นอะไรอ่ะไวน์”

       “อ้าว เฮียขุน...ไวน์ก็ไม่รู้อ่ะค่ะ ขับมาอยู่ดีๆ ก็ดับไปเลย”

      “เฮียก็ไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้ด้วยสิ คงดูให้ไม่ได้ว่าปัญหาเกิดจากอะไร” เฮียขุนหันมามองที่ผม สายตายิ้มกริ่มมีเลศนัยแบบนั้นทำให้ผมรู้สึกไม่ค่อยดี “ถ้างั้นเอาอย่างนี้…ไวน์ไปกับเฮีย ทิ้งรถไว้นี่แล้วค่อยมาเอาพร้อมให้ช่างมาดู”

      “ถ้าไวน์ไปกับเฮียแล้วน้องเขาล่ะคะ รถเฮียเป็นแบบ…”

      รถสปอร์ตที่มีที่นั่งสำหรับสองคนครับ นั่นหมายความว่าผมกำลังจะโดนทิ้งอีกแล้ว ขอบคุณพี่ไวน์ที่ยังห่วงผม ไม่เหมือนอีกคนที่นอกจากจะไม่ห่วงแล้วแต่นี่ยังเป็นวิธีที่ทำให้เขาได้สนุกไปอีก

      “หมอนี่เป็นผู้ชายมันกลับเองได้ ป้ายรถเมล์ก็อยู่ข้างหน้าไม่ไกลไม่ต้องไปห่วงมันหรอก ขึ้นรถเถอะไวน์”

      “แต่…”

      “ไวน์ขึ้นรถ”

      “พี่ขอโทษนะ” พี่ไวน์หันมาขอโทษผมก่อนจะเดินไปเปิดประตูเข้าไปนั่งในรถ

      “ไม่เป็นไรครับ” ผมบอกเธอ

      นอกจากพี่ไวน์จะเป็นคนสวยและมีดีกรีเป็นดาวมหาวิทยาลัยแล้ว เธอยังเป็นผู้หญิงที่นิสัยดีอีก ผิดกับเดือนมหาวิทยาลัยนิสัยเสียคนนั้น เขามองผมพร้อมกระตุกยิ้มมุมปากสะใจก่อนเข้าไปในรถและขับจากไป ผมถูกทิ้งไว้ข้างทางมืดๆ ที่มองเห็นแสงไฟและป้ายรถเมล์รำไรอยู่ข้างหน้า

      ดูไม่ไกลมากนักแต่ถ้าให้คาดเดาก็คงจะประมาณสี่ห้าร้อยเมตรเห็นจะได้ ไม่เป็นไรผมเดินไปได้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าสถานการณ์ที่ดูเศร้าแบบนี้ทำไมฝนมันชอบตก ผมไม่อยากเป็นพระเอกเอ็มวีตอนนี้

      ว่าแล้วสายฝนก็โปรยปรายตกลงมาเม็ดใหญ่ ผมจึงรีบวิ่งไปให้ถึงป้ายรถเมล์ให้เร็วที่สุด ผมจำใจเป็นพระเอกเอ็มวีกลางสายฝน เพราะเจ็บใจและโมโหเฮียขุน ระหว่างที่วิ่งไปนั้นความอ่อนแอของผมที่อัดอั้นไว้ตั้งแต่อยู่โรงแรมก็กลายเป็นน้ำตาไหลออกมา แถมยังมาโดนเทข้างทางอีก…


      เป็นใครบ้างที่จะไม่ร้องไห้เสียใจ




#โชกุนขุนศึก



-----TBC-----



Banoffee's zone

อย่าให้ถึงคราวของโชกุนบ้าง

ถ้าโชกุนไม่สนใจและเลิกชอบขึ้นมาจริงๆ แล้วเฮียขุนศึกจะเสียใจ!

ช่วงนี้นักเขียนอัพช้าต้องขอโทษด้วยนะคร้าบบบบ


หัวข้อ: Re: #Heart To Heart #ใจแพ้รัก 「ตอนที่9」-22/04/19-
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 22-04-2019 18:12:38
 แบบนี้เราไม่โอเคด้วยอย่างแรง​ ไม่ว่สจะด้วยสาเหตุอะไรก็ตามถ้ายังจะโง่งมงายกับคนแบบนี้อีกจะไม่เอาต่อแล้วนะ
หัวข้อ: Re: #Heart To Heart #ใจแพ้รัก 「ตอนที่10」-23/04/19-
เริ่มหัวข้อโดย: ิbanoffee ที่ 23-04-2019 18:33:59
ตอนที่10


Cute’s part

      “คนคิ้วท์!”

       “อะไรของมึงเนี่ย จะพากูไปไหน!”

      ผมเดินออกมาและเจอไอ้ตัวน่ารำคาญที่มีท่าทีอย่างกับโรคจิตดักอยู่หน้าห้องน้ำ มันพาตัวผมเดินมาอีกทางของพิกัดร้านบิงซู

      “ปล่อยกูนะ ปล่อยกู!” ไอ้นักโอบเอวผมไว้ให้เดินตามแรงของมัน ผมจึงใช้มือทั้งสองข้างของผมตีมันรัวๆ

       “โอ้ยย ตีทำไม เค้าเจ็บนะ”

      “มึงอย่ามาพูดค้งพูดเค้ากับกูนะ” สองมือยังตีไปที่ตัวของมันไม่ยั้ง แต่ก็ถูกกำราบด้วยมือหนาใหญ่ที่มันกุมไว้ทั้งสองข้าง

      “มึงนี่สมกับเป็นเพื่อนไอ้โชนะ รุนแรงกับกูจัง แต่หัวดื้อแบบเนี้ย เค้าชอบบบบ”

      ผมสะบัดมือของตัวเองออกแล้วแกะมือตุ๊กแกของไอ้นักที่จับเอวผม จากนั้นก็ผลักมันอย่างแรงจนล้มหงายหลัง เพื่อนไอ้โชคนนี้ถึงไม่บอกผมก็รู้ว่าต้องอยู่ให้ห่างๆ มันเข้าไว้ มือไม้ไวใช่หยอก ผมด่าว่าไปก็หลายครั้ง ยังจะตีหน้ามึนทะเล้นฉีกยิ้มกว้างให้ประหนึ่งว่าผมกำลังชมเชยมันซะงั้น

       “ไม่มีอะไรครับ แฟนงอนๆ” มันพูดกับคนที่เดินผ่านไปมา พอได้ยินไอ้นักพูดแบบนั้นสาวๆ ที่เดินผ่านก็กรี๊ดกร๊าดกันใหญ่ เหมือนจะเข้าข่ายจิ้นฟินอะไรทำนองนั้น

      ผมหันไปมองมันตาขวาง สภาพไอ้คนหน้าม่อกำลังประคองก้นที่ล้มจ้ำเบ้าของตัวเองขึ้นมาอย่างทุลักทุเล ตอนผมผลักมันลงไปได้ยินเสียงกระแทกดังอยู่พอควร มันคงเจ็บไม่น้อย หึ สมน้ำหน้า ผมไม่ช่วยมันหรอก รีบกลับไปที่ร้านบิงซูดีกว่า ป่านนี้ไอ้โชคงบ่นหาว่าออกมานานแล้ว

       “ช่วยผมด้วยครับ ช่วยกันแฟนผมไว้ที เขากำลังจะหนีผมไป!”

      ไอ้นี่ หน้าด้านพูดมาได้ ยิ่งมันตะโกนมาแบบนั้น ผมก็ยิ่งรีบสาวเท้าให้ไว ใจหนึ่งก็อยากเดินกลับไปปล่อยหมัดใส่ปากมันอีกสักรอบ แต่ก็อายสายตาคนที่ตอนนี้ยืนมองกันยกใหญ่

      เดินมาไม่กี่เมตร ฝีเท้าก็ต้องหยุดชะงักลงเมื่อเจอสาวๆ กลุ่มหนึ่งขวางทางผมไว้ด้วยสีหน้าจริงจัง

      “มีอะไรหรือเปล่าครับ” ผมถามพวกเธอ

      “อย่างอนเลยนะคะ”

      “คืนดีกลับแฟนเถอะนะคะ”

      ห้ะ นี่มันเรื่องบ้าอะไรเนี่ย ผู้หญิงพวกนี้เป็นเอ็กซ์ตร้าที่ไอ้นักจ้างมาหรือยังไงกัน ทำไมพวกเธอต้องอินทำตามที่มันบอกด้วย

      “คือ…ผมกับไอ้หมอนั่นไม่ได้เป็นแฟนกันนะครับ มันขี้ตู่น่ะครับ อย่าไปเชื่อมัน” ผมพูดและขอทางพวกเธอ แต่ก็ยังโดนกันทางไว้ด้วยท่าทีที่พวกเธอขอร้องให้ผมกลับไปคืนดีกับมัน

      “ผมไม่ได้เป็นแฟนมันจริงๆ นะครับ หลีกทางให้ผมเถอะ”

      “พวกเราไม่หลีกค่ะ จนกว่าพวกคุณจะคืนดีกัน”

       “อย่าให้เขาเดินหนีผมไปนะครับ” ไอ้นักที่เดินจับก้นตัวเองด้วยสีหน้าเจ็บปวดตามผมมาทัน และมันก็สวมกอดผมแน่นจากด้านหลังทันที “ขอบคุณนะครับที่ช่วยขวางทางไม่ให้แฟนผมหนีไปได้ แฟนผมเขางอนหนักมากน่ะครับ”

      “ทำอะไรของมึง ปล่อยกูเดี๋ยวนี้นะ!”

      “อุ้ยยย แฟนคุณน่ารักอ่ะ อย่างอนเขานานเลยนะคะ”

      “ผมบอกแล้วว่าไม่ใช่แฟนมัน พวกคุณไม่เชื่อผมหรือไง”

       “ที่ร้ากกก งอนทีไร ชอบบอกว่าไม่ใช่แฟนกันทุกที ไม่เอานะครับไม่พูด” ไอ้มือตุ๊กแกนี่มันกอดรัดผมแน่นสมฉายาที่ผมเพิ่งตั้งให้มันจริงๆ

      “คืนดีกันเร็วๆ นะคะ”

      “เป็นแฟนกันอย่างอนนานนะคะ มันไม่ดี”

      คำอวยพรจากเหล่าสาวๆ ที่มีอารมณ์ร่วมกับฉากตรงหน้าที่ไอ้นักมันเพ้อเจ้อแต่งเรื่องขึ้นมา

      “ปล่อยนะ มึงจะล้ำเส้นกูเกินไปแล้ว”

      “ถ้ากูปล่อย มึงสัญญานะว่าจะไม่หนีกูอ่ะ ถ้ามึงเดินหนีกูไปอีก กูจะตะโกนให้สาวๆ แถวนี้จับตัวมึงไว้แน่ พวกเธอพร้อมช่วยกูอยู่แล้ว สมัยนี้สาวๆ เขาอินฟินจิ้นกับคู่วายอย่างเราๆ กัน”

      “ใครไปเป็นคู่จิ้นคู่ฟินของมึง ห้ะ!”

      ครืด~ ครืด~

      ระหว่างที่ผมกับไอ้นักต่อล้อต่อเถียงกันในท่าที่มันยังกอดผมแน่น มือถือในกระเป๋ากางเกงของผมก็สั่นขึ้น ต้องเป็นไอ้โชโทรตามแน่ๆ

      ไอ้นักมันรู้ว่ามือถือของผมสั่น มันจึงเปลี่ยนเป็นรวบรัดผมด้วยแขนกำยำเพียงข้างเดียวแล้วมันก็จัดการล้วงมือถือในกระเป๋ากางเกงของผมออกมาดู และตามคาดเป็นไอ้โชที่โทรมา

      เห็นดังนั้นไอ้นักกดสายทิ้งทันที จากนั้นมันก็ปิดเครื่องแล้วยึดมือถือผมไป และไม่ทันไรมือถือของไอ้ตัวน่ารำคาญก็ดังขึ้นบ้าง มันล้วงของมันออกมาดูและเช่นเดิมเป็นไอ้โชโทรมา แต่ก็ถูกตัดสายทิ้งแล้วปิดเครื่องไปอีกเช่นกัน

      “มึงมีสิทธิ์อะไรมาทำแบบนี้ อย่าให้กูหลุดไปได้นะ กูเอามึงตายแน่!”

       “ชู่…อย่าเสียงดังสิ อายคนเขา”

      “มึงปล่อยกูสิ”

      “สัญญาก่อนสิว่ามึงจะไม่หนี”

      “เออ กูสัญญา”

      “ฮั่นแน่~~”

      พอไอ้นักค่อยๆ คลายมือออกจากตัวผม…ผมก็รีบดีดตัวเองออกจากอ้อมกอดมันทันที แต่มันรู้ทันว่าผมจะวิ่งหนีเลยถูกมือหนาของมันดึงไว้ จังหวะนั้นผมจึงใช้เท้ากระทืบเน้นๆ ไปที่รองเท้าหนังของไอ้บ้านี่ มันกลับอึดกุมข้อมือผมแน่นกว่าเดิมทั้งๆ ที่มันก็ร้องโอดครวญไว้อาลัยกับเท้าของตัวเอง

      “มึงจะซาดิสม์ไปถึงไหนเนี่ยยย”

      “ก็จนกว่ามึง…”

      “ไอ้นัก”

      “อ้าว เฮียขุน”

      ผมหันไปมองผู้ชายที่เดินเข้ามาทักไอ้มือตุ๊กแกนี่ เขาเองก็ชายตามองผมเพียงแว๊บเดียว นี่น่ะเหรอเฮียขุน…พี่ชายใจร้ายของไอ้นักที่ไอ้โชเล่าให้ฟัง ดูเย็นชาอย่างที่มันว่าจริงๆ สายตาที่เขาใช้มองคนไม่รู้จักอย่างผมเมื่อครู่ยังรับรู้ได้ว่าเยือกเย็น แถมยังมีสาวสวยคอยเดินประดับข้างกายอย่างที่เคยฟังมา

      “มึงมาทำอะไร”

      “อ๋อ ผมมากินข้าวกับแฟนอ่ะ” ต่อหน้าพี่ชายมันยังหน้าด้านพูด ผมจึงหันไปด่ามันด้วยสายตา แต่ดูเฮียขุนก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาตกใจอะไร ดูราวกับเป็นเรื่องปกติที่น้องชายของตัวเองจะมีแฟนเป็นผู้ชาย “เอ้อ เฮียขุน…เมื่อกี้เจอคู่ไอ้โชกับพี่ภามด้วยแหนะ”

      “พวกมันมาด้วยกันสองคนอย่างนั้นเหรอ”

      “ใช่เฮีย สงสัยมาเดทเหมือนกัน” พอไอ้นักพูดจบ เฮียขุนก็เดินไปเลยไม่มีปี่มีขลุ่ย

      ผมหันไปมองไอ้นักอีกรอบแต่ครั้งนี้ด้วยความสงสัย ทำไมมันต้องบอกพี่ชายมันไปแบบนั้นทั้งๆ ที่พวกเราทั้งสี่คนมาด้วยกัน พอมันเห็นว่าผมมองก็ทำท่ายักไหล่ไม่รู้ไม่ชี้

      “เฮียนักรบ”

      พี่ชายมันเดินพ้นไปไม่ถึงนาทีก็มีคนเดินเข้ามาทักมันอีกแล้วเป็นผู้หญิง ถ้าให้เดาเธอคงเป็นหนึ่งในฮาเร็มของมัน ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเนื้อหอมไม่น้อย ทั้งรุ่นพี่และเด็กกว่าต่างก็หลงคารมมันทั้งนั้น และสาวน้อยหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มนี่ก็คงเป็นอีกคนแต่เธอดูเด็กไปมั้ย

      “อ้าว น้องเกรซมาทำอะไรที่นี่จ้ะ”

      “ก็เฮียนั่นแหละบอกว่าไม่ว่าง หนูก็เลยออกมาเดินเที่ยวคนเดียว”

      “คือเฮีย…”

      “แล้วนี่เฮียมาทำธุระกับเพื่อนเหรอคะ”

       “นี่พี่คิ้วท์ ที่จริงแล้ว…เขาเป็นแฟนของเฮีย”

      “มึงเลิกพูดแบบนี้เลยนะ!” ผมพูดแล้วตีไปที่บ่ามันหนึ่งป้าบ

      “แฟนเฮียอย่างนั้นเหรอคะ”

      “ใช่ ที่เฮียบอกว่าไม่ว่างก็เพราะว่าเฮียจะมาดูหนังกับแฟน”

      “พี่เป็นแฟนเฮียนักรบจริงๆ เหรอคะ” เธอหันมาถามผมสีหน้าเศร้า น่าเอ็นดูจริงๆ ที่เธอต้องมาเสียใจกับไอ้หน้าม่อนักปั้นเรื่องนี่

       “คือพี่ไม่…” ก่อนที่ผมจะบอกเธอว่าไม่ได้เป็น ไอ้นักมันก็เอามืออีกข้างที่ไม่ได้จับมือผมมาปิดปากผมไว้

      “พวกเราเป็นแฟนกันจริงๆ ถ้าเกรซไม่เชื่อ เฮียจะพิสูจน์ให้ดู…มั้วะ!” ว่าแล้วมันก็เอาจมูกและปากของมันมาหอมแก้มผมฟอดใหญ่

      “ไอ้นัก มึงจะเกินไปแล้วนะ!” ผมปัดมือมันที่ปิดปากผมออกแล้วต่อว่า

      “เกรซไม่เชื่อหรอกค่ะ ว่าพวกพี่เป็นแฟน”

      “ไม่เชื่อใช่มั้ย…มั้วะ!”

      “ไอ้เชี่ยนัก!” ผมด่าที่มันมาจับหน้าผมไปหอมแก้มอีกข้าง

      “ยังไงเกรซก็ไม่เชื่อ” น้องผู้หญิงคนนี้ก็ไม่ยอมเชื่อ ในขณะที่เธอได้แต่ยืนมองไอ้นักมันหอมแก้มผม หน้าตาเธอก็เริ่มที่จะมีทีท่าร้องไห้ไปด้วย

      “ยังไม่เชื่อเฮียอีกอย่างนั้นเหรอ…ได้”

       “เชื่อเถอะครับว่าพวกพี่เป็นแฟนกัน!” ผมรีบเอามือเบรกหน้าไอ้นักไว้ก่อนที่มันจะพุ่งเข้ามา โดยครั้งนี้มีเป้าหมายเหมือนจะเป็นริมฝีปากผม จากนั้นผมก็เป็นคนพูดกับเธอเองว่าเราเป็นแฟนกันเพราะเดี๋ยวไอ้นักมันจะทำมากกว่านี้ ผมอายน้องเขาและสายตาผู้คนที่เดินผ่านไปมาจนอยากจะมุดหัวดำดินลงไปซะเดี๋ยวนี้

      “ถ้าพี่พูด…หนูจะยอมเชื่อก็ได้ค่ะ” เธอพูดและกลั้นร้องไห้ไปด้วยแล้วก็ยอมเดินจากไป

      “อุ้ย ยอมรับแล้วเหรอว่าเราเป็นแฟนกัน” ไอ้นักถือโอกาสถามกระเซ้าเย้าแหย่ผม

      “มึงอย่ามาทำเป็นได้ใจ ที่กูพูดไปเพราะให้มึงหยุดมาลวนลามกูซะที”

      “หยุดไม่ได้หรอก ก็บอกน้องเขาไปแล้วว่าจะไปดูหนังด้วยกัน”

      “มึงหมายความว่าไง เมื่อกี้น้องเขาก็ยอมเชื่อแล้วก็เดินหนีไปแล้ว”

      “หึ มึงยังไม่รู้จักน้องเกรซ” มันบอกผมอย่างนั้นแล้วก็ลากตัวผมไป

      “ปล่อยนะ กูไม่ไปกับมึงงงง”

      “เดินตามกูมาซะดีๆ ไม่อย่างนั้นกูปล้ำมึงกลางห้างแน่ น้องเกรซแอบเดินตามดูเราอยู่นะ”

      ผมหยุดดื้อกับมันแล้วแอบหันไปมองข้างหลังเป็นระยะก็พบว่าน้องเกรซแอบตามมาจริงๆ ผมเชื่อว่าไอ้หน้าด้านคนนี้มันจะต้องทำอย่างที่มันพูดแน่ถ้ายังขัดขืน ผมจึงปล่อยให้มันเดินจูงมือมาถึงโรงหนัง

      ไอ้นักจัดการซื้อตัวหนังสองใบแล้วรีบพาผมเดินเข้าโรงหนังเลยเพราะใกล้ถึงเวลาฉายพอดี ผมเห็นน้องเกรซก็ซื้อตัวหนัง และเดินตามพวกเราเข้ามาเช่นกัน

      “กูบอกแล้วว่าน้องเกรซไม่เชื่อเราง่ายๆ หรอก ยังไงเธอก็ต้องตามมาพิสูจน์ด้วยตัวเอง”

      “มึงรู้ตั้งแต่แรกแล้วมึงจะโชว์หอมแก้มกูให้น้องเขาดูทำไมห้ะ…ไอ้นี่” ผมง้างมือจะตีแต่ก็ไม่ทันความไวของมือมันที่มาคว้ามือผมลงไปก่อน

      “ก็ทำให้น้องเขาเชื่อมากขึ้นไง”

      ผมขี้เกียจฟังมันแถจึงรีบเดินเข้ามานั่งในโรงหนัง ไอ้นักมันก็เดินตามผมมาติดๆ พร้อมกันนั้นน้องเกรซที่ไม่คิดว่าเรารู้ตัวแล้วว่าเธอแอบตามมาก็เข้ามานั่งเช่นกัน โดยเธอเลือกที่นั่งถัดไปข้างหลังจากเรา นี่กะมานั่งระยะประชิดจับความผิดเราขนาดนี้ ถึงแม้จะเอาหมวกขึ้นมาใส่ปิดหน้าไว้ แต่เธอไม่คิดว่าเราจะเห็นแล้วหรือไงกันนะ

      “นั่งเฉยๆ ก็พอ ไม่ต้องมาจับมือ” ผมเอ็ดไอ้นักเบาๆ กลัวว่าน้องเกรซจะได้ยิน

      “ไม่ได้ ต้องแสดงให้สมจริงว่าเราเป็นแฟนกัน มึงก็เห็นว่าน้องเกรซเพ่งมองเราขนาดนั้น”

      เหตุผลที่มันพูดมาทำให้ผมต้องยอมทำตามมันโดยดี เพราะน้องเขาจับตามองเราอย่างจริงจังชนิดตาแทบไม่กระพริบ พูดได้ว่าถ้าเธอเข้ามาสิงเราได้ก็คงสิงไปแล้ว

      ในขณะที่หนังดำเนินเรื่องไป ระหว่างนั้นไม่ใช่แค่จับมือแต่ไอ้นักมันทั้งป้อนน้ำ ป้อนป๊อบคอร์น ซึ่งผมก็ยอมกินอย่างจำใจ มันยังจับหัวผมซบไหล่ แม้จะขืนแต่ก็สู้แรงมันไม่ได้และมันก็กดหัวผมไว้อย่างนั้น เดาออกได้เลยว่าสีหน้าของผมไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก คิ้วคงผูกโบว์กันเป็นปมใหญ่แต่ก็ทำอะไรหรือระบายโดยการตะโกนด่ามันออกมาไม่ได้

      “ที่รัก หนังจบแล้ว…ตื่นได้แล้วครับ”

      ผมลืมตาขึ้นมาด้วยอาการสะลืมละลือ ได้ยินเสียงพูดไอ้นักเลือนลาง ฟังไม่ถนัด ไม่รู้ตัวว่าหลับไปตอนไหน รู้แค่ว่าแม้เสียงของหนังจะดังกระหึ่มจนแทบนอนไม่ได้ แต่สำหรับผมแล้วบรรยากาศในโรงหนังชวนเผลอไผให้ต้องผล็อยหลับทุกครั้งไป

      ผมเงยหัวขึ้นมาจากไหล่ของคนข้างๆ และมองดูรอบๆ ก็เห็นคนทยอยพากันลุกออกจากโรงหนัง แต่ไม่เห็นน้องเกรซที่นั่งเป็นปาปารัซซี่จับตาดูเราจากด้านหลังแล้ว

      “น้องเขาไปไหน” ผมถามไอ้คนที่มันเอาแต่นั่งมองผมแล้วยิ้ม

       “น้องเห็นเราสวีทกันสมใจก็เลยลุกออกจากโรงหนังไปตั้งนานแล้ว”

       “แล้วทำไมมึงไม่ปลุกกู” ผมขมวดคิ้ว

      “ตอนมึงนอนน่ารักมากกก แล้วก็เห็นนอนหลับสบายเลยไม่กล้าปลุก ไหล่กูคงแทนหมอนนุ่มๆ ได้สินะ”

       “หุบปากไปเลย!” ผมลุกขึ้นแล้วไม่ลืมที่จะเตะไปที่ขาของมันคลายความหงุดหงิด

      ผมรีบเดินหนีออกมาจากโรงหนังและหลงดีใจว่าได้พ้นมาจากไอ้บ้านั่นซะที แต่ลืมไปว่ามือถือของผมอยู่ที่มัน จึงจำเป็นต้องยืนรอหน้ามุ่ยอยู่หน้าโรงหนัง


      “รอเค้าหยอ”

      “ไม่ต้องมาทำเสียงแบ้วใส่ เอามือถือกูคืนมา”

      แทนที่จะรีบล้วงเอามือถือให้ผม แต่คนเจ้าเล่ห์มันยังจะเล่นแง่ยื่นหน้าแล้วเอียงแก้มเข้ามาใกล้ “หอมแก้มเค้าก่อน”

      “ไอ้…ฝันไปเหอะ”

      “งั้นก็ไม่คืน อยากได้ก็ตามมาเอาเอง”

      กลายเป็นว่าไอ้นักวิ่งหนีโดยเอามือถือของผมมาล่อและผมก็ต้องวิ่งตามมันไปเพื่อเอาคืน ผมจะไม่ยอมไว้ไปเอาวันอื่นเพราะจะได้ไม่ต้องมีโอกาสเจอคนเจ้าเล่ห์อย่างมันอีก

      ผมวิ่งตามมาจนถึงลานจอดรถและคนเจ้าเล่ห์มันก็เปิดประตูรถผายมือเชิญผมขึ้นไป “กูไม่ไปไหนกับมึงทั้งนั้น เอามือถือกูคืนมา”

      “ไม่ได้พาไปไหน ก็จะพากลับหอไงครับ”

       “กูไม่เชื่อ”

      “เชื่อเถอะนะ ขึ้นรถแล้วเดี๋ยวคืนให้”

      “ถ้ามึงไม่คืนให้…กูจะฆ่ามึงหมกลานจอดรถเนี่ยแหละ คอยดู”

      “โหดจัง ขึ้นรถก่อนแล้วจะคืนให้จริงๆ” มันคะยั้นคะยอ แม้จะไม่ไว้ใจแต่ผมก็อยากได้มือถือคืนจึงได้เอนไปตามแรงที่มันผลักเข้ามาในรถ

      ไอ้นักมันมีเล่ห์เหลี่ยมไม่หยุดหย่อนทำเป็นจะคาดเบลท์ให้ผม หาโอกาสได้ทุกครั้งไป ใบหน้าของมันในขณะที่ยื้อเอาเบลท์อยู่ในระยะที่ใกล้มาก มันมองหน้าผมแล้วยิ้มพร้อมทั้งพ่นลมหายใจอุ่นปะทะ “ทำไมมึงน่ารักขนาดนี้นะ” มันชมเสียงกระเส่าจนผมทำตัวไม่ถูกจึงรีบเอามือผลักหน้ามันออกไป

      “มึงเลิกยิ้มแล้วก็คืนมือถือกูมาซะที”

      “ครับผม จะคืนให้เดี๋ยวนี้แหละครับ แต่ว่า…”

      ผมขมวดคิ้วหันไปมองคนข้างๆ ไอ้คำว่าแต่ว่าของมันเนี่ย...จะมาไม้ไหนอีก

      “กูขอเบอร์มึงนะ”

      “กูไม่ให้” ผมรีบสวนกลับทันที

      “ไม่ให้เบอร์ก็ไม่คืน”

      “…” ผมมองอย่างหาเรื่องและตักเตือนมันด้วยการขบกรามแน่น

      “อะๆ คืนก็ได้”

      ไอ้นักมันบอกจะคืนมือถือให้ผม แต่ก่อนคืนมันถือวิสาสะกดเปิดเครื่องและกดเบอร์โทรเข้าเครื่องตัวเอง กลายเป็นว่ามันได้เบอร์ของผมไปแล้วเรียบร้อย

      “ไอ้หน้าด้าน!” ผมด่ามัน แต่ไอ้บ้านี่ไม่ได้ทำหน้าสะทกสะท้านอะไร วางท่ายกไหล่ยิ้มอย่างพอใจพลางเมมชื่อจากเบอร์ที่มันได้จากผมไปด้วยความไม่เต็มใจ

      ผมไม่รู้จะทำยังไงกับคนน่าหมั่นไส้อย่างมันแล้ว…แค่แย่งเอามือถือของตัวเองคืนมาแล้วรีบโทรหาไอ้โชทันที

      “ฮัลโหลโช”

      (ไอ้คิ้วท์…ไอ้นักพามึงไปไหน กูตามหาทั่วห้างก็ไม่เจอ)

      “กูอยู่ในโรงหนัง”

      (มึงไปดูหนังกับไอ้นักเหรอวะ ทำไมมึงไปกับมันล่ะ กูบอกว่าให้อยู่ห่างๆ มันเข้าไว้)

      “ก็เพื่อนตัวปัญหาของมึงสร้างเรื่องไว้แล้วดึงกูเข้าไปเอี่ยวด้วย พอมันกลับหอไปมึงก็สั่งสอนมันด้วยนะ” ผมหันไปมองค้อนคนที่ถูกเอ่ยถึง มันยังทำหน้าระรื่นพลางผิวปากอารมณ์ดี

      (อืม กูจะเทศนาให้มันฟังสามวันสามคืนเลย)

      “มันปิดเครื่องแล้วก็ยึดมือถือกูไปด้วย กูเลยรับสายมึงไม่ได้…แล้วนี่มึงกลับถึงหอแล้วใช่ป่ะ”

      (กู…ยัง)

      “อ้าว แล้วมึงยังทำอะไร อยู่ที่ไหนวะ”

      (กูอยู่บนรถเมล์…กำลังจะกลับหอเนี่ยแหละ) เสียงไอ้โชฟังดูสั่นเครือ แล้วทำไมมันไม่ได้กลับกับพี่ภาม

      “ทำไมมึงอยู่บนรถเมล์แล้วพี่ภามล่ะ”

      “ฮึก พี่ภามกลับไปก่อนแล้ว…กูออกมากับเฮียขุนแล้วเขาก็ทิ้งกูไว้ข้างทางเพราะเจอพี่ไวน์รถเสียอยู่ เฮียขุนก็เลยไปส่งพี่เขา รถของเขามันไม่มีที่นั่งเหลือสำหรับกู กูเลยต้องนั่งรถเมล์กลับเองและระหว่างเดินมาที่ป้ายฝนมันก็ดันมาตก ตอนนี้กูอยู่บนรถเมล์แล้ว…แอร์แม่งโคตรจะหนาวเลย” ผมฟังออกว่าน้ำเสียงระหว่างที่อธิบายมันคงร้องไห้ไปด้วย โดนคนที่ชอบทิ้งไว้แล้วไปกับผู้หญิง…เป็นใครก็คงเสียใจ

      “มึง…อย่าร้องเลยนะ”

      “กูไม่ได้ร้อง ก็บอกว่าแอร์มันหนาวแล้วกูก็เพิ่งตากฝนมา เสียงมันเลยฟังดูสั่นๆ”

      “เออๆ กูเชื่อ ถ้างั้นถึงหอแล้วอย่าลืมทักกูมาแล้วกันนะ”

      “อืม…”

      ผมวางสายแล้วถอนหายใจ จากที่โชมันเคยเล่าเกี่ยวกับเฮียขุนให้ฟังและน้ำเสียงเมื่อครู่ มันร้องไห้อยู่แน่ๆ ฟังดูแล้วโคตรน่าสงสารเลย…เขาจะใจร้ายกับมันไปถึงไหน

      “มองเค้าแบบนั้นทำไม”

       ผมหันไปมองไอ้นักด้วยความโมโหพี่ชายมันแทนไอ้โช “พี่มึงทิ้งเพื่อนกูให้มันเดินตากฝนไปขึ้นรถเมล์ที่ป้ายเอง”

      “ว่าไงนะ นี่มันเลือกที่จะไปกับเฮียขุนเหรอ”

      “มึงนั่นแหละบอกว่าไอ้โชอยู่กับพี่ภาม พี่มึงก็เลยพามันไปไหนไม่รู้…จากนั้นก็ทิ้งมันไว้ข้างทางแล้วไปกับผู้หญิง”

      “ที่กูบอกเฮียขุนว่าไอ้โชอยู่กับพี่ภามเพราะแค่อยากสร้างตัวเลือกให้มัน…คนใจร้ายที่มันชอบหรือคนที่ดูเหมือนจะสนใจมันอย่างพี่ภาม ไอ้โชมันจะทำยังไงระหว่างสองคนนั้น มันจะจัดการกับตัวเองยังไง”

      “มันก็เลือกไปกับคนที่มันชอบ แล้วเป็นไงล่ะ ดูที่พี่มึงทำกับเพื่อนกูดิ”

      “ขอโทษ…อย่าอารมณ์เสียใส่เค้าสิ”

      “มึงก็เหมือนกัน ไอ้โชบอกว่ามึงก็เจ้าชู้นิสัยเสียได้พี่มึงมา”

      “กูกับเฮียขุนเป็นคนละคนกันนะ กูไม่ได้ใจร้ายแบบเขา”

     “ไม่ได้ใจร้ายแต่คารมของมึงก็ทำร้ายผู้หญิงได้ อย่างน้องเกรซ…มึงจีบน้องเขา คงให้ความหวังน้องเขาแล้วมึงก็ไม่ได้เต็มใจหรืออยากจะคบใช่มั้ย วันนี้มึงถึงต้องทำให้น้องเขาต้องเสียใจแบบนี้”

      “ก็น้องเขามาชอบกูเองและวันนี้ที่กูทำเพราะอยากให้น้องเขาตัดใจจากกู”

       “มึงอย่ามาพูดเห็นแก่ตัว มึงก็แค่บอกตัดจบกับน้องเขาไปตั้งแต่แรก ไม่เห็นต้องมาทำอะไรเสียเวลาแบบนี้แล้วยังถือโอกาสเอากูไปร่วมด้วย ที่มึงพูดมามันก็แค่คำแก้ตัวและแถไปเรื่อยของคนเจ้าชู้หน้าม่อ…คนอย่างมึงไม่มีทางรักหรือจริงใจกับใครจริงๆ หรอก”

      เอี๊ยด!

       ระหว่างที่ผมต่อว่ามันอยู่…ไอ้นักเบรกกะทันหันจนหัวผมแทบทิ่ม ในขณะเดียวกันรถก็ได้มาจอดอยู่หน้าหอของผมพอดี

       “คิ้วท์…คนเจ้าชู้อย่างกู ถ้าได้รักใครแล้วรักจริง กูพร้อมละทิ้งกิเลสเกี่ยวกับผู้หญิงที่มีอยู่ในตัวกูเพื่อที่จะรักคนๆ เดียวที่กูได้เลือกแล้ว” สีหน้าทะเล้นเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม น้ำเสียงหยอกล้อกลายเป็นจริงจัง คำพูดของคนข้างๆ ทำให้ผมต้องหันมองมันอย่างพิจารณา “ถ้ากูเลือกที่จะชอบมึง เลือกให้มึงเป็นแฟน จะให้กูลบเบอร์ ลบไลน์ของผู้หญิงทั้งหมดที่มีอยู่ในเครื่องตอนนี้เลยก็ได้”

      “แล้ว…ทำไมต้องยกกูเป็นตัวอย่าง มึงชอบใครแล้วจะลบเบอร์ผู้หญิงทิ้งสักกี่เบอร์ก็เรื่องของมึงสิ” ผมบอกมันแล้วเปิดประตูลงจากรถ จากนั้นก็รีบเดินเข้าหอ

      “กูไม่ได้ยกตัวอย่าง…กูชอบมึงนะคิ้วท์!” มันตะโกนออกมาจากรถ

      “หุบปากนะ!” ผมตะโกนกลับ

      คำพูดพล่อยๆ ของคนเล่ห์เหลี่ยมอย่างมัน ต่อให้ทำเป็นจริงจังแค่ไหนก็เชื่อได้ยาก อีกอย่างเพิ่งรู้จักกันเพียงผิวเผินแล้วไอ้นักมันจะมาชอบผู้ชายอย่างผมถึงขนาดยอมลบเบอร์สาวๆ สวยๆ ในฮาเร็มมันได้ยังไง


       สำหรับผู้ชาย…ใครทำแบบนั้นก็โง่เต็มทีแล้ว


       ผมไม่เชื่อคนอย่างมันหรอก!



      #นักรบคิ้วท์



-----TBC-----


Banoffee's zone

คู่นี้มุ้งมิ้ง

คิ้วท์น่าร้ากกก ถึงจะเกรี้ยวกราดไปหน่อย

ยังไงก็ติดตามต่อไปด้วยนะคร้าบบบ

ปล1.เฮียขุนไม่ได้ใจร้ายอย่างที่คิดเท่าไรน้าาา
     
ปล2.รอดูปฏิกิริยาของโชที่จะกำราบเฮียขุนกัน

   
หัวข้อ: Re: #Heart To Heart #ใจแพ้รัก 「ตอนที่10」-23/04/19-
เริ่มหัวข้อโดย: New_atcha ที่ 24-04-2019 18:00:44
โชตั้งสติหน่อย เริ่มตัดสินใจซะหรือไม่นั้นก็เอาคืนขุนให้สำนึก แล้วค่อยเดินหน้ารักต่อไป  :katai1: ตามๆกำลังสนุกเลย
หัวข้อ: Re: #Heart To Heart #ใจแพ้รัก 「ตอนที่11」-30/04/19-
เริ่มหัวข้อโดย: ิbanoffee ที่ 30-04-2019 17:10:21
ตอนที่ 11


      “โช…”

      ในโสตประสาทได้ยินเสียงเรียกหา น้ำเสียงช่างคุ้นเคยนักแต่ผมไม่แน่ใจว่าเป็นใคร

      ผมตกอยู่ในวังวนแห่งความเงียบและมืดสนิท…ผมกำลังขวนขวานหาเสียงที่เพรียกหา แต่ราวกับมีหินก้อนใหญ่และหนักเหลือเกินมาทับตัวผมไว้ให้ไม่สามารถตามเสียงนั้นไป และไม่แม้แต่เห็นแสงสว่างเพียงรำไรให้ผมได้คลำทางออกไปได้

      ไม่เห็นอะไรเลย



      “โช!”

      “หือ~” เสียงที่อ่อนแรงของผมขานรับ

      ปวดหัว…ปวดมากราวกับสมองมันจะระเบิดออกมา ผมรู้สึกว่าเหงื่อของตัวเองออกจนตัวเปียกโชกราวกับเอาความร้อนมาสุม ทว่าในทางกลับกันก็หนาวจนปวดร้าวไปถึงกระดูก ทำไมมันทรมานขนาดนี้

      เปลือกตาที่หนักราวกับเอาหินมาทับไว้ทำให้ยากจะลืมขึ้น ตอนนี้ผมจึงมองเห็นแสงสว่างเลือนรางและภาพตรงหน้าที่เบลอจนดูไม่ออก

      ผมแค่อยากรู้ว่าใครกำลังเรียกชื่อผม

      “โช ตัวมึงร้อนอย่างกับไฟ”

      “ใคร?” ผมถามคนตรงหน้า

      “กูไง…นักรบเพื่อนรักของมึง นี่มึงไข้ขึ้นจนขนาดจำกูไม่ได้เลยเหรอวะ”

      “หือ…ไอ้นักเองเหรอ”

      “ดูท่าแล้วมึงคงไปเรียนไม่ไหวหรอกสภาพนี้ ควรไปหาหมอต่างหาก ไป กูจะพาไปให้หมอฉีดยาให้สักเข็ม” มันพูดพร้อมพยุงผมขึ้นจากเตียง

      “กูไม่ไป” ผมสะบัดแล้วทึ้งตัวลงนอนอย่างเดิม “มึงนั่นแหละรีบไปเรียนเดี๋ยวสาย กูกินยาแล้วนอนพักก็หายแล้ว”

      “อย่าดื้อน่า ตัวมึงร้อนเกินไป ท่าทางไข้จะสูงมาก” มันพยายามพยุงผมขึ้นอีกรอบ

      “กูบอกว่าไม่ไป” ผมยังคงทำตัวเหนียวติดเตียงไม่ยอมลุกขึ้นง่ายๆ “ขอล่ะ มึงรีบไปเรียนเถอะนะ กูแค่อยากจะนอน พอตื่นมากูก็จะดีขึ้นเอง”

      “ก็ได้ ถ้ามึงได้ดื้อ…นอกจากพ่อมึงก็คงไม่มีใครขัดใจมึงได้ ถ้างั้นกินอะไรมั้ย เดี๋ยวกูลงไปซื้อมาให้ จะได้กินยาแล้วนอน”

      “ไม่ล่ะ กูจะกินยาแล้วนอนเลย”

      ไอ้นักยอมปล่อยให้ผมได้หลับต่อ มันเอายาและน้ำมาวางทิ้งให้ไว้ข้างเตียง พร้อมกันนั้นมันก็ต้มโจ๊กถ้วยสำเร็จรูปมาให้ด้วย ถึงแม้จะเหลวไหลแต่ผมก็ซึ้งในความเป็นเพื่อนรักของมันจริงๆ เลยครับ




      “อย่ามายุ่งกับเพื่อนผมอีก!”

      หลับตาลงได้ไม่ถึงนาทีหลังจากได้ยินเสียงไอ้นักปิดประตูตอนออกไป คิ้วของผมก็ต้องขมวดเข้าหากันด้วยความรำคาญเมื่อได้ยินคนคุยกันเสียงดังอยู่หน้าห้อง

      และเมื่อเงี่ยหูฟังดีๆ รูประโยคที่ได้ยินเหมือนจะเข้าข่ายว่าหมายถึงตัวผม…ผมจึงฝืนยกเปลือกตาและแบกร่างของตัวเองที่มันรู้สึกว่าหนักเป็นสองเท่าเดินไปที่ประตูเพื่อเปิดออกไปดู

      “เฮียแม่งทำเกินไปจริงๆ วะ”

      ผมเห็นสามพี่น้องจรัสวาณิชย์ยืนขวางทางเดินกันพร้อมหน้า และผมก็เปิดไปเห็นฉากที่ไอ้นักพ่นน้ำลายด่าเฮียขุนปาวๆ อยู่พอดี

      “ทำไมมึงยังไม่ไปเรียนอีกวะ” ผมพูดกับมัน

      แค่พูดกับไอ้นัก…ผมไม่อยากให้มันมาวุ่นวายอะไรกับเรื่องนี้มากนัก อยากลืม ผมจะถือซะว่าเมื่อวานไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น ผมไม่ได้ไปกับเฮียขุนและเขาไม่ได้ทิ้งผมไว้

      ไอ้นักยังไม่รู้เรื่อง ผมไม่ได้บอกและเฮียขุนก็คงไม่ได้เล่าว่าเขาแกล้งอะไรผมบ้าง ส่วนคนที่น่าสงสารเพราะเอาแต่ยืนงงก็คือเฮียกุน เพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแล้วได้แต่สงสัยว่าทำไมไอ้นักถึงกล้ามายืนด่าเฮียขุนแบบนี้

        “เฮียพาเพื่อนผมไปไหน…เฮียรู้มั้ยว่าทิ้งให้มันต้องวิ่งตากฝนไปป้ายรถเมล์ขึ้นรถกลับบ้านเอง” ผมไม่เคยเห็นไอ้นักมีสีหน้าจริงจังแบบนี้มาก่อน “เฮียเป็นพี่ผมป่ะเนี่ย ทำไมโคตรใจร้ายเลยวะ ถ้าจะพาเพื่อนรักผมไปไหนอ่ะ เฮียก็ดูแลมันดีๆ หน่อยสิ แต่ถ้ารับผิดชอบเรื่องแค่นี้ไม่ได้ เฮียก็ไม่ต้องมายุ่ง ทำเหมือนเดิม…แบบที่เฮียไม่อยากคุยหรือไม่แม้แต่จะมองหน้ามัน แบบนั้นยังจะดีกว่า”

        “นัก…มึงไปเรียนเถอะสายแล้ว” ผมยังคงบอกมันเรื่องเดิม ทำไมมันต้องพูดมากขนาดนี้ด้วย…พูดจนพี่ทั้งสองของมันเอาแต่ยืนเงียบ เฮียกุนก็พอรู้ว่าเงียบเพราะจะฟังเรื่องราว ส่วนอีกคนที่เงียบ…ไม่รู้เพราะกำลังรู้สึกผิดหรืออะไรกันแน่

      ใบหน้าที่เรียบนิ่งมองไอ้นักสลับกับผม…

      ไม่รู้จริงๆ ว่าเขาคิดอะไร

      “เฮียทำให้ไอ้โชไข้ขึ้นสูง ตัวร้อนอย่างกับไฟ ไปเรียนก็ไม่ไหว เฮียจะรับผิดชอบยังไงไหนพูดมาซิ”

      “ไอ้นัก กูบอกให้ไปเรียน” ไอ้เพื่อนคนนี้มันจะให้ผมฝืนสังขารตัวเองอีกนานมั้ย ตอนนี้ผมปวดหัวจนจะวูบซะให้ได้ แต่ผมก็เอาแต่บอกว่าให้มันรีบไปเรียนเพราะไม่อยากให้มายืนด่าพี่ตัวเองปาวๆ และไม่อยากจะข้องแวะกับคนอย่างเฮียขุนอีกแล้ว

      ให้มันหยุดแค่นี้…

      เพราะความทรงจำตอนเด็กเกี่ยวกับเขา…

      …จะไม่สำคัญกับผมอีกต่อไป

      “พูดมา…เฮียจะรับผิดชอบยังไง!”

      “ไอ้นัก กูบอกให้มึงไปเรียน!” ผมฮึดแรงตะโกนบอกเสียงดังใส่ไอ้นัก จะถามหาความรับผิดชอบอะไรกัน…คนใจร้ายอย่างเขาจะมารับผิดชอบอะไรกับคนที่เขาเกลียดอย่างผม “เลิกพูดเถอะไอ้นัก รับผิดชอบอะไร คนอย่างกูไม่ต้องให้ใครมารับผิดชอบ กูดูแลและรับผิดชอบตัวเองได้ มึงอย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่ได้มั้ยวะ มันก็แค่เรื่องไร้สาระ ไปๆ ไปเรียนได้แล้ว” ผมไล่มันพลางใช้มือผลัก ซึ่งแรงที่มีอยู่ก็ทำให้เกิดผลลัพธ์คือตัวไอ้นักขยับไปเพียงน้อยนิด

      “บอกกูมาว่าเฮียขุนพามึงไปไหน เขาทำอะไรกับมึงอีกนอกจากทิ้งมึงไว้” มันยังจะคาดคั้น

      ผมมองอย่างรำคาญ ทั้งไอ้นักและเฮียกุนก็เอาแต่ขมวดคิ้วสงสัยยืนรอฟังคำตอบ “ไม่ได้พาไปไหนทั้งนั้น มึงเลิกถามแล้วไปเรียน ถ้ามึงพูดอะไรขึ้นมาอีก กูจะเข้าไปเอาไม้เบสบอลมาตีหัวมึงเดี๋ยวนี้แหละ”

      “แต่…”

      “…” ผมมองมันจริงจังผสมกับน้ำโหที่เริ่มหลั่งออกมา ผมรำคาญเต็มทนเพราะอยากให้มันสงบปาก เลิกสงสัย และเซ้าซี้กับเรื่องที่ผมถือว่ามันไร้สาระไปแล้วซะที ผมปวดหัวจนอยากจะนอนเต็มทีแล้ว

      “ก็ได้ กูไปแล้วก็ได้ แต่กลับมา กูต้องได้ยินมึงเล่าเรื่องนี้ให้กูฟัง” ตอนนี้ผมไม่อยากให้ไอ้นักเป็นเพื่อนรักของผมมากสักเท่าไร มันแสดงออกถึงความเป็นห่วงเพื่อนแรงจริงๆ ราวกับว่ามันจะมีเรื่องกับพี่ชายตัวเองซะให้ได้ เพราะก่อนไปมันยังกล้าพูดและชี้หน้าใส่พี่ตัวเองแบบนั้น “ถ้าเฮียไม่ใช่พี่ เราคงได้มีเรื่องกันแน่”





      ก๊อกๆ

      และไม่ถึงยี่สิบนาทีหลังจากที่ผมได้กลับมานอนต่อก็มีเสียงเคาะประตูกวนใจให้ผมต้องขมวดคิ้วอีกครั้ง…ใครวะ ผมคิดในใจ จะเป็นไอ้นักเดินวกกลับมาก็ไม่ไช่ เพราะมันคงไม่เคาะประตู

      ก๊อกๆ เสียงเคาะเรียกให้ผมไปเปิดประตูให้อีกรอบ

      แม้จะสงสัยว่าใครแต่ผมก็ขี้เกียจฝืนสังขารตัวเองให้เดินไปเปิดประตู ผมจึงเอาผ้าห่มมาคุมโปงและเอาหมอนปิดหูเพื่อไม่ให้ได้ยินเสียงเคาะที่ดังอยู่ระลอก ดูเหมือนพิษไข้มันจะพาลให้ผมหงุดหงิด

      ถึงยังไงเสียงเคาะประตูก็เล็ดลอดเข้ามาในโสตประสาทของผมและมันทำให้รำคาญจนไม่ไหว “ใครวะ…” ผมถามและกำลังจะด่าออกไป แต่ก็หุบริมฝีปากลงได้ก่อนเมื่อเปิดประตูไปเจอ “เฮียกุน…” เฮียกุนผู้น่าสงสารที่เอาแต่ทำหน้าสำนึกผิด ดูเหมือนเขารู้ตัวว่ากำลังจะโดนด่า

      “กู…ขอโทษที่มารบกวนเวลามึงพักผ่อน”

      “คือ…ผมปวดหัวแล้วก็อยากนอนมากอ่ะ…เฮียมีอะไรหรือเปล่า”

       “ตัวมึงโคตรร้อนเลย” เฮียกุนพูดพลางยกมือแตะหน้าผากแล้วแตะที่คอผม “กูซื้อยาแล้วก็ข้าวต้มมาให้”

      “ไอ้นักจัดยาแล้วต้มโจ๊กถ้วยไว้ให้แล้วล่ะ” ผมบอก

      “แล้วมึงกินหรือยัง?”

      “…ยังอ่ะ”

      “กูว่าละ” พูดแค่นั้นเฮียกุนก็ผลักผมเข้ามาในห้องแล้วเขาก็ปิดประตูเดินตามเข้ามา “กูว่ามึงคงไม่กินแม้แต่ยาแล้วนอนเลย กูรู้นิสัยมึงดีว่าดื้อ ถ้าอย่างนั้นกูไม่เกรงใจถือวิสาสะเข้ามาล่ะนะ”

      เฮียกุนจัดแจงเอาข้าวต้มที่ซื้อมาเทใส่ถ้วย “ผมไม่อยากกินอ่าเฮีย” ผมบอกเขาแต่ก็โดนทำหน้าดุใส่

      “มึงต้องกิน กูไม่ยอมมึงเหมือนไอ้นักหรอกนะ กูต้องบังคับให้มึงกินให้ได้ จะได้หายเร็วๆ” เขายกถ้วยข้าวต้มพร้อมน้ำและยามา จากนั้นก็นั่งลงข้างๆ แล้วยื่นช้อนมาทำท่าจะป้อนผม

      “ทำอะไรเนี่ยเฮีย”

      “ก็ป้อนให้มึงกินไง”

       “ผมกินเองได้” ผมแย่งช้อนและถ้วยมาจากมือเฮียกุนแล้วตักข้าวต้มกินเอง รีบๆ กินปัดความรำคาญไป…

      เฮียกุนนี่ก็…มาทำตัวห่วงผมอะไรนักหนา ไอ้สามพี่น้องจรัสวาณิชย์นี่ซักจะกวนใจผมเกินไปแล้ว

      พอผมกินข้าวต้มและยาเสร็จ ยังมีอีกหนึ่งไอเทมที่เฮียกุนซื้อมานั่นก็คือปรอทวัดไข้ เขาทำตัวเป็นหมอ จัดแจงจนผมเอนตัวลงนอนและดูเหมือนเขาจะพอใจแล้วแต่ยังยืนมองผมอยู่ ผมจึงไล่ให้เขาออกไปเพราะทุกอย่างก็น่าจะเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว คงไม่มีอะไรที่ต้องบอกให้ผมทำอีก เฮียเขาก็ออกจากห้องไปโดยดี…หลังจากนี้ผมก็จะได้หลับพักผ่อนให้เต็มที่ซะทีล่ะ







      ก๊อกๆ

      เพราะพิษไข้และฤทธิ์ยามันทำให้ผมรู้สึกล้าไปทั้งร่างกาย ผมจึงคิดว่าจะหลับยาวพักผ่อนตลอดทั้งวัน แต่ก็ต้องมีเสียงเคาะประตูมารบกวนอีกรอบเป็นอันให้ผมต้องตื่นขึ้นมาเปิดประตูด้วยสีหน้ามุ่ย

      “เฮียกุนมีอะไรอีกอ่า”

      “กูแค่จะมาดูว่าไข้มึงลดยัง อะ อ้าปาก” เขายื่นปรอทมาที่ผม ผมก็ต้องอ้าตามที่บอกเพราะเขาคงเซ้าซี้ไม่เลิก “อืม…ไข้ลดลงองศาเดียว แต่ก็ยังถือว่าสูงอยู่” เฮียกุนเอาปรอทไปดูพลางวิเคราะห์

      “เสร็จยัง…งั้นผมกลับไปนอนต่อล่ะนะ”

      “เดี๋ยว…” เฮียกุนดึงประตูไว้ในขณะที่ผมจะปิด “นี่ก็บ่ายแล้วมึงหิวมั้ย กูซื้อก๋วยเตี๋ยวมาให้”

      “ผมไม่หิวอ่ะ”

      “เดี๋ยวสิ…” ผมกำลังจะปิดประตูแต่ถูกเฮียกุนดึงไว้อีกรอบ “ไม่กินก๋วยเตี๋ยว งั้นซดซุปมันฝรั่งก็ได้จะได้นอนหลับสบาย”

      “ผมไม่อยากกินอะไรเลย”

      “เดี๋ยว…”

      “เฮียกุนนนน” ผมลากเสียง ไม่ได้อ้อนนะครับ อารมณ์นี้คือรำคาญแล้วล่ะ เขากำลังจุกจิกกับผมมากเกิน พอเห็นสีหน้าและวาจาไล่เขาแบบเสียงอ้อน เฮียกุนก็เลยยอมให้ผมปิดประตูแต่โดยดี…

      เป็นอะไรของเขานะ ตั้งแต่รู้จักมาไม่เคยเห็นจะดูแลหรือเซ้าซี้กับผมขนาดนี้มาก่อน







      ก๊อกๆ

      โอ้ยยย อะไรนักหนาเนี่ย ผมอยากจะตะโกนออกไปด้วยความรำคาญ แต่ดูเหมือนอาการเจ็บคอจะไม่เป็นใจให้ผมใช้เสียง เป็นอีกครั้งที่ผมถูกรบกวนด้วยเสียงเคาะประตู คงเป็นเฮียกุนเจ้าเดิมอีกตามเคย

      “เฮียมีอะไรอีก…ผมไม่หิว ไม่อยากกินอะไรทั้งนั้น ผมแค่อยากนอน ปล่อยให้ผมนอนเถอะนะ”

      “กินเถอะนะ กูขอร้อง ไอ้นักคงกลับดึกเพราะติดกิจกรรมดาวเดือน ไม่มีใครดูแลมึง เดี๋ยวกูจะอุ่นซุปให้ มึงจะได้กินยาแล้วกูก็จะดูว่าไข้มึงลดลงอีกมั้ย ให้กูทำเถอะ จะได้เสร็จๆ ทีนี้กูก็จะปล่อยให้มึงนอนยาวไปถึงพรุ่งนี้เช้าเลย” ดูเหมือนเฮียกุนก็รู้ว่าผมรำคาญเขา และสายตาก็ดูขอร้องจริงๆ เขาจะอยากดูแลผมอะไรขนาดนั้น



      “เฮีย…ถามจริง จะอะไรนักหนาเนี่ย ปล่อยให้ผมนอนไปเลยไม่ได้หรือไง” ในขณะที่นั่งซดซุปที่เฮียกุนแกะใส่ถ้วยมาให้ ผมก็ถามเขา

      “เออ ช่วยๆ กินข้าว กินยาให้กูเถอะ ถือซะว่ากูห่วงมึง”

      “พูดอย่างกับว่าเฮียไม่ได้เป็นห่วงผม”

      “เป็นห่วง…กูอยากให้ไข้มึงลด กูอยากให้มึงหายเร็วๆ”

      “…” ผมมองเขาอย่างสงสัยและพิจารณา “หรือว่าเฮีย…จะเป็นพี่รหัสผม”

      “หึ…” เฮียเขาหัวเราะ “มึงคิดว่างั้นเหรอ อืม…กูอ่านกระดาษคำใบ้ที่มึงล้วงออกมาจากขวดโหล…หวานบาดคอ ขมบาดใจ…ใช่ป่ะ”

      “…” ผมพยักหน้า

      “แล้วมึงตีความยังไงถึงคิดว่าประโยคนั้นคือกู”

      “ผมตีความไม่ออกอ่ะ ไม่เข้าใจเลย แต่ผมคิดว่าที่เฮียมาดูแลเซ้าซี้ผมผิดปกติแบบนี้ เฮียอาจจะเป็นพี่รหัสผมก็ได้ เพราะคนอย่างเฮียถึงจะเป็นห่วงผมแต่ก็ไม่ได้แสดงออกมากมายขนาดนี้”

      “อืม อาจจะเป็นไปได้” เขาพยักหน้า “หรืออาจจะไม่ใช่” หันมามองเชิงผม

      “โธ่เฮีย เฉลยมาเถอะน่า คนกันเอง”

      “ถ้ากูเฉลย มึงก็เอาเปรียบคนอื่นสิวะ แล้วมันจะไปสนุกอะไร ให้มึงไปตีความเอาเอง”

      “โธ่~” ผมแอบเสียดาย นึกว่าเขาจะใจดีบอกผม

      หลังจากที่ผมซดซุปแล้วกินยาตามที่เฮียกุนสั่ง “ขอบคุณเฮียมากและเชิญออกไปได้แล้วคร้าบบบ” ผมผายมือเชิญเขา

      “เออๆ รู้แล้ว รีบไล่กูเชียวนะมึง” เฮียแกเก็บของให้และกำลังจะเดินออกไป แต่ว่า… “ไอ้โช…”

       “หื้อ?”

      “ตอนนี้มึง…จัดการกับความรู้สึกตัวเองยังไง”

      “…” ผมมองอย่างสงสัยที่จู่ๆ เฮียกุนก็ถามขึ้น
 
      “มึงยังชอบเฮียขุนอยู่มั้ย” เขาถามต่อ

       เฮียกุนคงรู้เรื่องแล้วสินะถึงได้ถามแบบนี้…ไม่คิดว่าเฮียขุนจะเล่าเรื่องที่แกล้งผมให้เฮียเขาฟัง

      “ผม…รู้สึกว่างเปล่า ไม่รู้สึกอะไรเลย ผมจะไม่โกรธที่เขาแกล้งหรือทิ้งผมไว้ ไม่สนถ้าเขายังจะไม่คุยหรือไม่มองหน้าผม และความหมายของคำว่าว่างเปล่าของผมตอนนี้ก็คงรวมถึง…ไม่ชอบแล้ว” ผมบอกเฮียกุนไปตามความรู้สึกจริงๆ

      แน่นอนว่าใครก็ไม่ชอบการกระทำที่ใจร้ายแบบนั้น ที่ผ่านมาผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทั้งๆ ที่เฮียขุนเฉยชาใส่ แต่ผมก็ยังอยากเห็นเขายิ้มให้ ตื่นเต้นเวลาเขามอง และดีใจที่เขามาพูดด้วย เพราะในความทรงจำตอนเด็กเขาใจดีกับผมเหลือเกินและผมก็ชอบเขามาก…มากเกินกว่าจนมองข้ามความเย็นชาของเขาไป

      แต่ดูเหมือนครั้งนี้มันตอกย้ำให้ผมรู้ว่าเขาคงผิดหวังและเกลียดผมมาก…มากเกินกว่าจนทำให้ผมไม่สามารถมองข้ามมันไปได้

      เมื่อวานคือวันที่ผมโกรธเฮียขุนมากที่สุดในชีวิต ผมจึงคิดว่าจะไม่แยแสเขาอีก…

      ไม่อีกแล้วจริงๆ

      “อืม กูเข้าใจ…ถ้ามึงจะไม่ชอบแล้ว” เฮียกุนเป็นคนเข้าใจง่าย เขาพูดกับผมแค่นั้นแล้วก็เดินออกจากห้องไป


 
      เฮียขุนจะเกลียดผมก็ช่าง…ปล่อยเขาเกลียดไป


      ผมไม่อยากคิดมากเรื่องเขาแล้ว…


      ผมเหนื่อย



-----TBC-----



หัวข้อ: Re: #Heart To Heart #ใจแพ้รัก 「ตอนที่11」-30/04/19-
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 30-04-2019 17:30:46
ทำให้ได้จริงๆเถอะ
หัวข้อ: Re: #Heart To Heart #ใจแพ้รัก 「ตอนที่11」-30/04/19-
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 30-04-2019 22:07:24
 :3123:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: #Heart To Heart #ใจแพ้รัก 「ตอนที่11」-30/04/19-
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 01-05-2019 17:12:50
 :z6:

ปล่อยเขาไปเถอะ
รักตัวเองดีกว่า

 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❤#Heart To Heart #ใจแพ้รัก❤「ตอนที่12」-07/05/19-
เริ่มหัวข้อโดย: ิbanoffee ที่ 07-05-2019 00:11:58
ตอนที่ 12


      แม้พิษไข้จะออกฤทธิ์ทรมานร่างกายของผมอยู่ แต่ว่าวิชานอกมีรายงานที่ยังไม่ทันจะได้ลงมือทำ หยุดเรียนแค่วันเดียว ไอ้นักก็มาบ่นให้ฟังว่าวิชาในสั่งรายงานเพิ่มเข้ามาซะแล้ว ดังนั้นแม้ยังปวดเนื้อตัวและหัวแต่ผมก็จะฝืนทนไปเรียนวันนี้ให้ได้…ยังพอที่จะพยุงสังขารตัวเองไหว

      เมื่อวานไอ้นักกลับมาก็ดึก แต่มันคงอดที่จะรู้เรื่องของผมไม่ได้และไม่สนใจว่าเพื่อนรักของมันจะนอนป่วยอยู่ เพราะมันถึงขนาดปลุกผมขึ้นมาถาม แต่อย่างที่บอกล่ะครับ ผมไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีก การเป็นไข้จึงเป็นข้ออ้างบ่ายเบี่ยงหลีกเลี่ยงไอ้นักที่จะไม่เล่าเรื่องนี้ให้มันฟัง

      วันนี้มีเรียนตอนบ่ายและเช่นเดิมไอ้นักต้องเข้าซ้อมกิจกรรมดาวเดือนตั้งแต่เช้า มันคงคิดว่าผมจะขาดเรียนอีกสักวัน เพื่อนรักที่แสนดีของผมก็เลยวางยาและซื้อข้าวต้มมาไว้ให้

      หึ ถ้าพี่มึงทำดีกับกูแบบนี้ก็คงจะดี…ผมหัวเราะแห้งให้กับตัวเองที่คิดโง่ๆ



      “มึงจะไปเรียนเหรอ”

      “ใช่เฮีย…ก็แต่งตัวเต็มยศซะขนาดนี้” ผมพูดกับเฮียกุนที่เปิดประตูออกมาเจอเฮียแกพอดี

      “กวนกูได้นะ แสดงว่าอาการคงดีขึ้นแต่ขัดกับหน้าตามึงวะที่ซีดอย่างกับไก่โดนต้มมา”

      “เปรียบเทียบซะเห็นภาพเลยเฮีย ผมส่องกระจกดูตัวเองมาแล้วไม่ได้ดูแย่ขนาดนั้นซะหน่อย”

      “เออๆ ถ้างั้นไปด้วยกัน กูกำลังจะไปมอพอดี”

      ในขณะที่ผมและเฮียกุนกำลังจะเดินไป ประตูห้องข้างๆ เฮียกุนที่อยู่ติดกันก็ถูกเปิดออกมา…

      เฮียขุนที่อยู่ในชุดนักศึกษาอย่างไม่เป็นทางการสักเท่าไร แขนเสื้อถูกพับและไม่มีเนคไท เขากำลังมองมาที่ผม อารมณ์ไหนก็เดาไม่ถูกครับ แค่เอาแต่จ้องผมเท่านั้น

      “วันนี้ฤกษ์งามยามดีอะไรเนี่ยได้ออกจากหอไปมอพร้อมกัน” เฮียกุนพูดขึ้นมา

      ผมว่าฤกษ์ไม่ค่อยจะดีต่างหาก เห็นหน้าคนๆ นี้แล้วจากที่อึดอัดเพราะกลัวสายตาเย็นชาจากเขา แต่ตอนนี้ผมอึดอัดเพราะสายตาที่เดาไม่ถูกนั่น…เรียบนิ่งเหมือนเดิม เฉยชาอย่างเดิม แต่ความเย็นชากลับไม่มี ความดุดันมันหายไป ดูนิ่งสงบไม่ไหวติง นี่มันอะไรกัน

      เป็นอย่างนี้ผมยิ่งไม่อยากมองหน้าเขานานๆ นอกจากจะเดาความคิดเขาไม่ออกแล้ว ไม่ใช่เพราะยังไม่กล้าและกลัว แต่เพราะความโกรธ…ยิ่งเห็นหน้าเขาก็ยิ่งโกรธในความโง่ของตัวเอง มองหน้าเขาแล้วไม่เคยรู้สึกว่าจะหงุดหงิดขนาดนี้มาก่อน

      “รีบไปกันเถอะเฮีย” ผมเร่งเร้าเฮียกุน

      “งั้นเจอกันที่มอนะเฮีย” ดูเหมือนเฮียกุนก็น่าจะรู้ว่าผมอึดอัด เฮียแกก็ไม่ได้มัวพูดพร่ำทำเพลงอะไรมาก เดินตามผมที่เดินนำมาก่อน


      “กูไม่เคยเห็นมึงเย็นชาแบบนี้มาก่อน ดูเหมือนมึงกำลังจะกลายเป็นแบบพี่กู” เฮียกุนพูดกับผมระหว่างเดินมาที่รถ

      “อย่าเอาผมไปเปรียบเทียบกับเขา ผมคงไม่เยือกเย็นเท่าพี่ชายเฮียหรอก”

      แค่ผมดูไม่สนใจเขาแล้ว ไม่เพียงแค่ชอบน้อยลงแต่พยายามจะเลิกชอบเฮียขุนอย่างจริงจัง…แค่นี่ผมก็กลายเป็นคนที่ดูเย็นชาไปแล้วหรือเนี่ย ถ้าเทียบกับคนๆ นั้นที่ผ่านมาก็คงต้องเรียกเขาว่าเจ้าพ่อแห่งความเย็นชาอย่างเต็มปาก เพราะแต่ละครั้งที่เขาใช้สายตาแบบนั้นมองมาที่ผมมันทำให้รู้สึกตัวชา แข็งทื่อ และหนาวเย็นไปทั่วขั้วหัวใจ แค่ผมไม่แม้แต่จะชายหางตามองเขาแค่นี้…


      มันเทียบกับความใจร้ายของเขาไม่ได้เลย







       
      “เลิกเรียนตอนไหนก็ทักก็มา เดี๋ยวมารับ” เฮียกุนบอกเมื่อรถมาจอดเทียบหน้าคณะ

      “ไม่เป็นไรเฮีย เฮียไม่มีเรียนหรือประชุมกิจกรรมอะไรหรือไง ทำไมต้องมารับผม”

      “ไม่มี…จะมีแค่ปรึกษาหารือเรื่องกิจกรรมนิดหน่อย กูมารับมึงได้อยู่แล้ว”

      ทำไมเฮียกุนต้องดูใส่ใจผมขนาดนี้ “ถามจริง…เฮียเป็นพี่รหัสผมใช่มั้ย”

      “หึ…ถ้ามึงตีความประโยคนั้นยังไม่ออกก็อย่ามาเดาว่าเป็นกู” เฮียแกหัวเราะให้ผมอีกแล้ว

      ผมคงดูโง่ที่มานั่งเดาว่าเฮียกุนเป็นพี่รหัสเพียงเพราะเขามายุ่มยามดูแลผมอย่างที่ไม่เคยเป็น และเพราะผมไม่พยายามที่จะตีความประโยคปริศนาที่ได้รับมา…ก็ใครจะไปรู้ บาดคอบาดใจบ้าบอ ตีความไม่ออกหรอกว่าจะเป็นรุ่นพี่คนไหน

      “ไม่รู้แหละ ผมเดาว่าเป็นเฮีย”

      “มาเดามั่วชั่ว ถึงวันเฉลยมึงทายไม่ถูกระวังโดนทำโทษ ซึ่งกติกาก็แล้วแต่ว่ารุ่นพี่คนไหนจะลงโทษมึง อะไร ยังไง”

      “ผมไม่กลัวหรอก” เฮียกุนคงหมายความว่าพี่ชายของเขาอาจจะใช้บทลงโทษเล่นงานผมอีกล่ะสิ “งั้นถ้าผมเลิกเรียนแล้วจะทักหานะเฮีย ขอบคุณว่าที่พี่รหัสครับ”

      “ไอ้นี่ ก็บอกว่าอย่าเพิ่งมาเดาว่าเป็นกู”

      ผมเปิดประตูลงรถและโบกมือให้เฮียกุนก่อนที่เฮียแกจะเคลื่อนรถไป จากนั้นผมก็เดินเข้าตึกคณะ ระหว่างที่เดินๆ อยู่ผมก็รู้สึกหน้ามืดเหมือนจะวูบจนต้องส่ายหัวแรงๆ เพื่อเรียกสติตัวเองคืนมา

      ผมพยายามที่จะทรงตัวเดินต่อแต่การมองเห็นภาพข้างหน้าของผมมันหมุนจนรับรู้ได้ว่าตัวเองกำลังเดินเซไปเซมา…ทำไมมันเวียนหัวขนาดนี้

      “เฮ้ย โช!”

      ในช่วงวินาทีที่ผมกำลังจะทิ้งตัวลงไปเพราะเดินต่อไม่ไหวแล้ว จู่ๆ ก็มีมือมาประคองแผ่นหลังของผมไว้แล้วซ้อนขึ้นไปเข้าอ้อมกอดของเขา สภาพของผมที่อ่อนแรงจึงได้แต่เอาคางเกยไหล่ภายใต้อ้อมแขนที่โอบผมไว้

      “นั่งก่อนๆ” เขากอดผมไว้และเซถลาพาตัวของผมให้นั่งลงม้านั่งที่อยู่แถวนั้น “ไม่สบายอยู่แล้วจะมาเรียนทำไมวะ”

      “พี่อีกแล้ว ทำไมคณะพี่มันว่างจัง” ผมพูดกับพี่ภามเมื่อผละออกจากกอดแล้วหรี่ตามองเห็นถนัดแล้วว่าเป็นเขา

      “กูแค่อยากมาหามึง” เขาพูดไปด้วยพลางแตะหน้าผากและตัวของผมไปทั่วตัว “ตัวยังร้อนอยู่เลย”

      “มาหาผมทำไม ก็บอกแล้วว่ามีอะไรให้โทรหา”

      “ไม่อยากโทร ยังไงกูก็จะมาหาที่คณะเลย…วันนี้คิดว่ามึงมีเรียนเช้า เลยมาตั้งแต่เช้าแต่เจอแค่ไอ้นักที่มาซ้อมกิจกรรม…”

      “นี่อย่าบอกนะว่าพี่มารอตั้งแต่เช้า”

      “เปล่า ใครจะโง่รอขนาดนั้น กูมีเลคเชอร์ตอนเช้าพอเสร็จก็ค่อยมาคณะมึง อืม…ตอนเจอไอ้นักมันบอกว่าเมื่อวานมึงถูกไอ้ขุนทิ้งให้กลับหอเองแถมต้องเดินตากฝนมาที่ป้ายรถเมล์จนไข้ขึ้น ไอ้ขุนมันพามึงไปทำอะไรที่ไหน”

      เรื่องนี้ก็มีแต่คนสงสัยที่จะอยากรู้…ผมผิดเองแหละ ที่อัดอั้นอยากเล่าให้ไอ้คิ้วท์ฟัง แต่ไอ้นักก็รู้เรื่องด้วย ซึ่งเพื่อนรักของผมคนนี้ปากมันอยู่นิ่งซะที่ไหน แม้จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับความใจร้ายของพี่ชายตัวเองแต่มันก็เอามาสาธยายบอกคนอื่นไปทั่ว และถึงพี่ภามจะเป็นเพื่อนแต่เขาก็ไม่จำเป็นต้องรู้หรอกว่าเพื่อนของเขาใจร้ายกับผมขนาดไหน

      “เฮียขุนช่วยซ่อมฝักบัวให้ ผมก็เลยเลี้ยงข้าวตอบแทนเขา แต่ระหว่างกลับเจอพี่ไวน์รถเสียอยู่ เขาเลยพาพี่ไวน์ไปส่งบ้าน…”

      “แล้วทิ้งมึงไว้?”

      “ก็รถเฮียขุนมีที่นั่งไม่พอ อีกอย่างเป็นใครก็ทำแบบนั้นแหละ ก็ต้องให้ความช่วยเหลือกับผู้หญิงก่อน ส่วนผมเป็นผู้ชาย ผมไม่เป็นไรกลับเองได้อยู่แล้ว”

      “ทั้งที่มีตัวเลือกอย่างอื่น อย่างโทรให้ใครมารับหรือโทรช่างให้มาซ่อมเลยก็ได้ ถ้ากลัวว่าผู้หญิงจะเป็นอันตรายที่ต้องอยู่คนเดียว ก็แค่รอช่างซ่อมให้เสร็จด้วยกัน ไม่เห็นต้องเลือกทิ้งมึงไว้ให้กลับบ้านเองคนเดียวเลย”

      “ก็…มันคงเสียเวลา เฮียขุนก็เลยพาพี่ไวน์ไปส่ง…”

      “มึงเลิกแก้ตัวให้มันซะทีได้มั้ย!” พี่ภามตะโกนเสียงดังแทรกคำพูดของผมขึ้นมา “ขอล่ะ…เลิกชอบมันซะทีได้มั้ย” เขาพูดเสริมด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง สายตาที่หงุดหงิดในประโยคแรกก็พลันเศร้าลงตามไปด้วย

      “…”

      “ในวันนั้นแม้ว่าไอ้ขุนจะบอกว่าเกลียดมึง แต่กูดูออกว่ามึงก็ยังจะชอบมัน…ชอบมาตลอด”

      “เลิกพูดเถอะ…ผมไม่ได้ชอบเขาแล้ว”

      “กูไม่เชื่อ!” พี่ภามดูอารมณ์ขุ่นมัว สีหน้าของเขาดูหงุดหงิดขึ้นมาอีกแล้ว

      “พี่เป็นอะไรของพี่เนี่ย ทำไมต้องเสียงดังใส่ผมด้วย แล้วถ้าไม่เชื่อ…พี่จะให้ผมทำยังไง” ทั้งๆ ที่ผมยังเวียนหัวจะวูบอยู่เมื่อกี้ แต่สติกลับมาโดยทันควันเพราะต้องมานั่งต่อล้อเถียงเรื่องนี้กับพี่ภาม มันเป็นไปอะไรนะ ทำไมต้องมาอารมณ์เสียใส่ผมด้วย

      “มึงบอกว่าเลิกชอบแล้ว…มันจะเป็นไปได้ยังไง คนที่เคยชอบมาตลอดจะเลิกชอบง่ายๆ ได้ยังไง เมื่อกี้มึงก็ยังแก้ตัวให้มันอยู่เลย”

      “ผมไม่ได้แก้ตัวให้เขา แต่มันต้องเป็นอย่างนั้นถึงแม้ว่าผมจะโดนทิ้ง…” พอพูดขยี้ถึงเรื่องนี้น้ำเสียงผมก็เกิดสั่นเครือ ไอ้พี่ภามมันจะเซ้าซี้ผมไปถึงไหน “ใช่ผมโกรธ เป็นใครก็ต้องโกรธทั้งนั้นแหละที่โดนทิ้งไว้ แม้ความเป็นสุภาพบุรุษจะต้องช่วยผู้หญิงก่อนและมีทางเลือกอื่นอย่างที่พี่ว่า แต่จะให้ทำยังล่ะ เฮียขุนเขาเลือกที่จะไปส่งพี่ไวน์แล้วทิ้งผมให้กลับหอเอง รถก็รถเขา เฮียขุนมีสิทธิ์ที่จะเลือกให้ใครไปนั่งข้างเขาก็ได้ แล้วคนที่เขาเกลียดอย่างผมจะมีสิทธิ์ไปพูดอะไร” พูดๆ อยู่น้ำตาของผมเกือบไหลออกมา ดีที่กลั้นไว้ได้ น้ำใสๆ จึงทำได้เพียงแค่รวมตัวกันอยู่แค่บริเวณขอบตาเท่านั้น แต่สีหน้าและแววตาที่เศร้าก็แสดงให้เห็นว่าผมยังเซ้นซิทีฟให้กับเรื่องไร้สาระนี้แค่ไหน

      “มานี่มา” พี่ภามดึงผมเข้าไปไว้ในอ้อมกอดของเขาอีกครั้ง
 
      ไอ้เด็กเกเรที่เคยแกล้งผมมันได้เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ…ตอนนี้เขากลายเป็นคนที่ปลอบโยนผมแทนคนๆ นั้น

      ผมเองก็เอาคางเกยไหล่รับการปลอบใจจากเขา อย่างน้อยความอ่อนแอที่สะสมไว้อยู่ก็เริ่มคลายลงเพราะอ้อมกอดของพี่ภาม “เพราะครั้งนี้ผมโกรธเขามาก ดังนั้นผมจึงไม่ชอบแล้ว พี่จะเชื่อผมมั้ยถ้าผมบอกว่าจะไม่ชอบเฮียขุนแล้วจริงๆ”

      “งั้นพิสูจน์สิ…พิสูจน์ว่ามึงไม่ได้ชอบมันแล้วโดยการคบกับกู”

      “…” ผมผละออกจากพี่ภามแล้วมองหน้าเขาด้วยความตกใจ เขาพูดอะไรออกมา

      “มึงชอบไอ้ขุนมาตลอด ส่วนกูก็ชอบมึงมาตลอด ที่กูชอบแกล้งหรือแซวมึงก็เพราะว่ากูอยากอยู่ใกล้ อยากหาเรื่องพูดด้วย และถึงไม่บอกกูก็รู้ว่ามึงเป็นผู้ชายมาตั้งแต่แรก ถึงมึงยังเด็กอยู่แต่เด็กผู้หญิงอะไรเสียงห้าวขนาดนั้น คงมีแต่ไอ้ขุนที่โง่ดูไม่ออกทั้งที่เป็นคนที่ใกล้ชิดมึงมากที่สุดในตอนนั้น…กูไม่ได้ผิดหวังเลยที่มึงเป็นผู้ชาย กูชอบที่มึงเป็นมึง ดังนั้น…” เขาเงียบไปชั่วครู่

      “…” ส่วนผมก็เงียบนั่งฟังเขาด้วยความตกใจอยู่


      “คบกับพี่…ได้มั้ย” เขาพูดพลางจับมือผม


      “…” ผมไม่รู้จะพูดอะไร ได้แต่ทำตาโตตกใจกับคำพูดของเขา ตั้งตัวไม่ทันและไม่คิดว่าพี่ภามเนี่ยนะจะชอบผม


      “ไอ้โช!” ในขณะที่ผมอยู่ในสถานการณ์ทำตัวไม่ถูก เราทั้งคู่ก็หันไปยังเสียงเรียก “ทำไมยังไม่เข้าเรียน…แล้วพี่เนี่ยย้ายจากสัตวแพทย์มาเรียนบริหารเลยมั้ย เห็นมาโผล่นี้บ่อยจัง” เฮียกุนพูดกับผมแล้วหันมาแซะพี่ภาม

      “กูก็คิดอยู่เหมือนกัน” ไอ้พี่ภามก็พูดไปเรื่อย

      “โชลุกมานี่ ไปเข้าเรียนได้แล้ว” เฮียกุนดึงแขนผมจากมือที่พี่ภามกุมอยู่ให้ลุกขึ้น

      “ไอ้โชมันคงเรียนไม่ไหวเพราะเมื่อกี้เดินมาก็เกือบจะเป็นลมล้มลงไป ถ้ากูมาประคองไม่ทันมันคงล้มหัวฟาดพื้นแล้ว กูว่าจะพามันไปหาหมอแล้วก็พากลับไปพักที่หอดีกว่า” พี่ภามดึงแขนผมกลับมา

      “ไม่ต้อง ผมพาไปเอง บอกแล้วไงว่าอย่ามาทำตัวเป็นผู้ปกครองมัน ถ้าใครที่จะดูแลไอ้โชก็ต้องเป็นผมเพราะสนิทกับมันมากกว่าพี่” เฮียกุนเองก็ดึงแขนผมกลับไป

      “กูไม่ได้ทำตัวเป็นผู้ปกครองมัน แต่กูอยากพามันไป” แขนของผมถูกดึงกลับมาอีก

      “ไม่ได้…ผมไม่ให้ไป” และก็ถูกดึงกลับไปอีกครั้ง

      แขนของผมถูกดึงกลับไปกลับมาอยู่อย่างนั้นจนผมเริ่มเจ็บและรำคาญ “ผมไม่ไปไหนทั้งนั้น ผมจะเข้าเรียน!” ผมตะโกนและสะบัดแขนตัวเองออกให้พวกเขาหยุด อันที่จริงผมตกใจกับการที่พี่ภามขอคบเมื่อครู่จนตื่นจากอาการสะลืมสะลือด้วยพิษไข้เลยล่ะ จะว่าดีขึ้นมั้ย…ก็ไม่ พอวูบเมื่อกี้ก็ทำให้อยากกลับหอไปพัก แต่พอพี่ภามและเฮียกุนเถียงกันไปมา เพื่อตัดความรำคาญก็เลยอยู่เข้าเรียนน่ะดีแล้ว “ผมจะเข้าเรียนเพราะวิชานี้เก็บคะแนนเช็คชื่อด้วย ดังนั้นพวกพี่ไม่ต้องพาผมไปไหนทั้งนั้น แยกย้ายกันไปทำธุระของตัวเองเถอะครับ”

      “ธุระของกูก็คือขึ้นไปเรียนกับมึง”

      “ห้ะ…เฮียจะไปเรียนกับผมด้วยทำไม”

      “ก็มึงไม่สบายอยู่ เผื่อเป็นลมอีกกูจะเป็นคนดูแลมึงเอง” พูดกับผมแต่หันไปมองเย้ยพี่ภาม ผมล่ะเพลียกับการประชดกันไปมาของสองคนนี้จริงๆ

      “ไอ้นักก็อยู่ ผมไม่เป็นไรหรอก”

      “ไอ้นักมันไม่ได้เรื่อง ไปๆ สายแล้วเนี่ย เดี๋ยวอาจารย์ไม่ไห้เข้าห้อง” เฮียกุนพูดตัดบทและกลายมาเป็นผู้ที่ครอบครองแขนของผมอีกครั้ง “อ่อ คณะเดียวกันเขาเข้าไปเรียนด้วยกันได้ คณะอื่นไม่เกี่ยว กลับไปได้แล้วไป” ก่อนจูงมือผมเดินไปเฮียแกยังหันมาพูดกับพี่ภาม

      พี่ภามเองก็ถอนหายใจออกมาด้วยความหงุดหงิด “ถ้างั้นอย่าลืมคิดเรื่องที่พี่พูดนะ” เขาทิ้งท้ายบอกผมและไม่ลืมยักคิ้วกวนประสาทใส่เฮียกุน

       “มึงกับพี่ภามพูดเรื่องอะไรกัน” เฮียกุนถาม

      “เอ่อคือ…” จะบอกว่าเรื่องอะไรดีวะ ให้บอกว่าพี่ภามขอคบไปเลยน่ะเหรอ ขนาดตัวเองยังตกใจและไม่ทันตั้งตัวแล้วจะบอกคนอื่นยังไง เฮียกุนก็ดูทำตัวแปลกๆ ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าว่าเฮียแกไม่ค่อยอยากให้ยุ่งกับพี่ภาม และใส่ใจผมถึงขนาดจะเข้าไปเรียนด้วย “พี่ภามแค่ชวนไปกินข้าวที่คณะเขาบ้าง…บอกว่าอยากให้ไปลองชิมร้านเด็ดของคณะสัตวแพทย์” แถไปนั่น

      “ไม่ต้องไป…บรรดาโรงอาหารในมอ คณะเราเด็ดสุดแล้ว” ดูสิครับ ไม่ได้คิดไปเองใช่มั้ยว่าเฮียกุนไม่ค่อยอยากให้ไปกับพี่ภาม





      “อ้าว เฮียเข้ามาทำไมเนี่ย ส่วนมึงยังไม่สบายอยู่รีบมาเรียนทำไม” ไอ้นักที่นั่งในห้องเรียนอยู่แล้วทักขึ้นที่เห็นเฮียกุนเดินเข้ามากับผม ส่วนทุกคนในห้องก็ไม่ได้แปลกใจอะไรกันมาก คณะนี้รุ่นพี่รุ่นน้องเดินเข้าออกกันว่าง่ายเพราะมีรุ่นพี่บางคนก็มาเก็บวิชาที่ตกเรียนรวมกับรุ่นน้อง และอาจารย์บางคนก็ไม่ได้ถือสาอะไรมาก ดีซะอีกที่มีนักศึกษาที่ไม่ได้ลงเรียนมานั่งเรียนด้วย

      “เพราะมันไม่สบาย กูเลยต้องตามมาดูแลไง ปล่อยไว้กับคนไม่ได้เรื่องอย่างมึง ไอ้โชมันคงได้เป็นไข้หนักกว่าเดิม”

       “แหม...เฮียก็พูดเกินไป”

      “ก็วิชานี้เก็บคะแนนเช็คชื่อ กูเลยมา แล้วก็เฮียกุนเป็นว่าที่พี่รหัสกูเองอ่ะ เฮียแกก็เลยตามติดดูแลกูเป็นพิเศษ” ผมพูดประชดใส่เฮียกุนเพราะทำตัวแปลกเป็นห่วงมากเกินไปทั้งที่บอกว่าอย่าเพิ่งเดาว่าเป็นเขา แต่คนอย่างเฮียกุนใส่ใจผมขนาดนี้ผมว่าใช่แล้วแหละ

      “ใช่เหรอวะ กูก็คิดว่าเฮียกุนเป็นพี่รหัสกู”

      “มึงรู้ได้ไง มึงได้รับคำใบ้ปริศนาว่าอะไร” ผมมองมันอย่างสงสัย

      “ถามอะไรตอบได้”

      “หื้อ…เนี่ยนะคำใบ้ของมึง ดูเหมือนพี่รหัสมึงเป็นอับดุลเอ้ยซะล่ะมั้ง คำใบ้แบบนั้นไม่รู้จะโยงถึงเฮียกุนยังไง”

      “ก็เฮียกุนซือผู้รอบรู้ไง คำใบ้ออกจะง่าย คนฉลาดอย่างกูตีความออกได้สบายอยู่แล้ว อีกอย่างเมื่อวันก่อนเฮียกุนเอาน้ำไปให้กูตอนซ้อมดาวเดือนด้วย เมื่อวานก็เอาขนมกับข้าวมาให้ คนวางตัวและขรึมอย่างเฮียเขาเคยทำให้กูซะที่ไหน” ก็จริงอย่างที่ไอ้นักพูด กุนซือก็คือผู้ที่ให้คำปรึกษาแนะนำและจะต้องรอบรู้ เฮียกุนก็ฉลาดและรู้เรื่องแทบทุกอย่างทั้งวิชาการและไม่วิชาการ อย่างนี้ความมั่นใจที่ว่าเฮียกุนเป็นพี่รหัสของผมก็ลดลงน่ะสิ

      “นี่…กูเป็นรุ่นพี่ดาวเดือน กูก็ต้องดูแลน้อง กูเอาข้าวเอาน้ำไปให้มึงคนเดียวซะที่ไหน น้องคนอื่นกูก็เอาไปให้ พวกมึงเลิกเถียงว่ากูเป็นพี่รหัสซะทีถ้ายังตีความไม่กระจ่าง เลิกพูดแล้วหันมาฟังที่อาจารย์พูดได้แล้ว เขาเรียนกันไปถึงไหนแล้ว”

      ทั้งผมและไอ้นักถูกเฮียกุนเอ็ด ไม่รู้ว่าเฮียแกมาดูแลผมหรือมาควบคุมน้องชายกันแน่ ไอ้นักเผลอหลับก็เลยโดนเฮียแกสะกิดด้วยการสอยท้ายทอยไป ต่างจากผมที่เฮียแกบอกให้งีบด้วยซ้ำถ้าไม่ไหว อย่างนี้ก็ดูออกชัดๆ ว่าเฮียกุนเป็นพี่รหัสใคร ไม่เห็นต้องรอให้ผมต้องตีความคำใบ้ปริศนาให้กระจ่างเลย








      “น้องโชใช่มั้ยคะ” หลังจากที่เลิกเรียนและผมกำลังเดินออกนอกห้อง จู่ๆ ก็มีรุ่นพี่ผู้หญิงปีสองที่ดูเหมือนมาดักรอเดินเข้ามาหาผม “อ่ะนี่ พี่รหัสฝากมาให้ แล้วพี่เขาก็ฝากมาบอกว่ากินให้อร่อยแล้วก็หายไข้เร็วๆ นะ” พี่เขายื่นกล่องขนาดโอบได้มาให้และ กล่องหนักอยู่พอสมควร ผมรับแล้วขอบคุณพี่เขา

      “เอามานี่ กูถือให้” เฮียกุนแย่งกล่องไปถือแทน “อะไร…ยังคิดว่ากูเป็นพี่รหัสมึงอยู่หรือไง” เฮียแกถามเพราะผมหรี่ตาเพ่งมองอย่างพิจารณา

      “เฮียอาจจะให้พี่คนเมื่อกี้เอาของมาให้ก็ได้ อีกอย่างพี่รหัสฝากมาบอกว่าให้หายไข้เร็วๆ…คนที่รู้ว่าผมไม่สบายก็คนใกล้ตัวทั้งนั้น ถ้าพี่รหัสผมเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่เฮียแล้วเขาจะรู้ว่าผมไม่สบายได้ยังไง”

      “ไม่รู้สิ…ก็แล้วแต่มึงจะคิดละกัน” เฮียกุนยักไหล่แล้วเดินถือกล่องนำหน้าผมไป ทิ้งให้ผมหันไปมองหน้ากันอย่างสงสัยกับไอ้นัก ซึ่งจากที่มั่นใจตอนแรกกลายเป็นว่าเพื่อนรักของผมมันก็เริ่มไม่แน่ใจและสับสนว่าควรจะยังคิดว่าเฮียกุนเป็นพี่รหัสของมันหรือเปล่า

      ส่วนผมถึงจะยังไม่มั่นใจเต็มร้อยแต่ก็แน่ใจมากขึ้นว่าอาจจะเป็นเฮียกุน เปอร์เซ็นที่ยังไม่แน่ใจคือเฮียแกเป็นคนที่รอบคอบจะตายแล้วจะมาเปิดเผยชัดเจนขนาดนี้ได้ยังไง ที่ผมยังสับสนลังเลก็เพราะคนอย่างเฮียแกเป็นห่วงและดูแลผมเป็นพิเศษเนี่ยแหละ…


      สรุปเฮียเป็นพี่รหัสผมป่ะเนี่ย?




-----TBC-----




Banoffe's zone

เอาล่ะสิ ภามดูเหมือนจะทำตัวเป็นพระเอกแทนขุนศึกซะแล้ว

ยังไงก็ติดตามตอนต่อไปด้วยนะคร้าบ


หัวข้อ: Re: #Heart To Heart #ใจแพ้รัก 「ตอนที่11」-30/04/19-
เริ่มหัวข้อโดย: bigbeeboom ที่ 07-05-2019 01:05:40
อ่านรวดเดียวเลย สนุกมากๆจ้า เอาให้เสียใจ น้อยใจกว่านี้ไปอีก ขยี้ไปเลย เวลาเอาคืนได้สาแก่ใจ :)
หัวข้อ: Re: ❤#Heart To Heart #ใจแพ้รัก❤ 「ตอนที่12」-07/05/19-
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 07-05-2019 01:24:19
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❤#Heart To Heart #ใจแพ้รัก❤ 「ตอนที่12」-07/05/19-
เริ่มหัวข้อโดย: Januarysky ที่ 07-05-2019 10:10:35
ใครจะได้ตำแหน่งพระเอกกันหนอ
เฮียกุนหรือเฮียขุน
 :hao3:

หัวข้อ: Re: ❤#Heart To Heart #ใจแพ้รัก❤ 「ตอนที่13」-08/05/19-
เริ่มหัวข้อโดย: ิbanoffee ที่ 08-05-2019 01:15:04
ตอนที่ 13


    อาทิตย์หน้าก็เป็นการจัดกิจกรรมประกวดดาวเดือนของคณะบริหาร ช่วงนี้ตารางเวลาของไอ้นักจึงแน่นขนัด เช้าซ้อม บ่ายเรียน เย็นก็ซ้อมอีก แต่มันก็ยังเผื่อเวลาไปเดทกับสาวๆ ของมันตอนค่ำคืนได้เพราะกลับตีสองตีสามทุกวัน และหลังจากเลิกเรียนมันก็ปลีกตัวออกไป

      ส่วนผมตามจริงแล้วต้องเข้าซ้อมเชียร์เหมือนคนอื่นๆ แต่เพราะเฮียกุนอนุญาตให้ผมกลับไปพักผ่อนได้แล้วก็จะเป็นสารถีไปส่งผมอีกด้วย ทั้งที่เมื่อครู่เพื่อนเฮียแกมาเรียกไปประชุมกิจกรรม

      “เฮียกุนไปประชุมกับเพื่อนเถอะ ผมกลับเองได้ ผมดีขึ้นแล้ว ไม่เป็นไรหรอก” ผมพูดกับเฮียกุนระหว่างอยู่ในลิฟต์และกำลังลงมาชั้นล่างของตึก

      “ไม่ได้ กูต้องไปส่งมึงให้ถึงหอ”

      “นี่เฮีย ถึงจะเป็นพี่รหัสผมแต่ก็ไม่ต้องใส่ใจขนาดนี้ก็ได้”

      “กูบอกแล้วไงว่าอย่าเพิ่งปักใจเชื่อว่าเป็นกู…และยังไงก็แล้วแต่มึงไม่ต้องพูดอะไรมากเพราะกูจำเป็นต้องไปส่งมึงที่หอ กูจะได้ไม่ต้อง…” เฮียกุนหยุดพูดกะทันหัน

      “ไม่ต้องอะไรเฮีย?” ผมมองเฮียแกอย่างสงสัย

      “ไม่ต้อง…เป็นห่วงและกังวลว่ามึงอาจจะไปเป็นลมอยู่แถวไหนไง”

      “ก็บอกแล้วว่าไม่ต้องห่วง…”

      ตุ้บ?

      ระหว่างที่ผมพูด…ลิฟต์ก็ถึงชั้นล่างและเปิดออกพอดี ผมที่เดินออกไปและหันหน้ามาคุยกับเฮียกุนไปด้วยจึงไม่ทันได้มองว่าตัวเองเดินออกไปชนใครบางคนที่ยืนอยู่หน้าลิฟต์เข้า

      ผมชนกับคนนั้นอย่างจังจนทำให้หงายหลังแต่มือยาวๆ ของเขาดึงผมไว้ทัน และแรงดึงนั้นก็ทำให้ตัวของผมพุ่งเข้าไปแนบอกของเขา

      เฮียขุนจับข้อมึงที่ช่วยดึงผมไว้ ส่วนอีกข้างก็รวบเอวผมไม่ให้ล้มลงไป ในวินาทีนั้นสายตาของเราต่างจ้องมองกันและกัน เช่นเดิมว่าผมเดาไม่ออกว่านัยน์ตาคมคู่นั้นกำลังคิดอะไร…

      หากรู้ว่าเป็นผม เขาจะช่วยประคองผมไว้มั้ย

      แทนที่จะรีบปล่อยตัวผมออกจากอ้อมอกของเขา เฮียขุนกลับกำข้อมือผมแน่น แต่มือที่โอบเอวผมกลับผละออกแล้วยกขึ้นมาแตะหน้าผากของผมเบาๆ สายตาที่เดายากมองตามมือของตัวเองก่อนเลื่อนผลุบลงมามองตาผมเช่นเดิม

      ผมไม่เข้าใจกับการกระทำของเขาอีกแล้ว และการไม่เข้าใจนี้มักทำให้กระตุ้นโชว์ความโง่เง่าของตัวเองออกมา เหมือนเมื่อวันก่อนที่ผมโดนเขาหลอกเพราะเฮียขุนใช้การกระทำหรือคำพูดที่อ่อนโยนแกล้งผม…ไม่เข้าใจว่าคนใจร้ายอย่างเขาจะมาอ่อนโยนกับผมทำไม

      แต่ครั้งนี้ผมจะไม่ทำตัวโง่เหมือนวันนั้นหรอกนะ

      ฟึบ!

      พอคิดได้อย่างนั้นผมก็ปัดมือหนาของเขาที่แตะหน้าผากผมอยู่ออกอย่างแรง แล้วใช้มือทั้งสองข้างผลักแผงอกของเขาให้ตัวเองหลุดออกจากพันธนาการ

      “เฮียกุน ผมไปรอที่รถนะ” ผมพูดกับเฮียกุนที่จะต้องอยู่ทักทายพี่ชายของตัวเอง แต่ผม…ผมจะถือว่าเมื่อกี้ผมชนเข้ากับท่อนไม้ที่แข็งทื่อ ไม่มีคนที่ชื่อขุนศึกยืนอยู่ตรงนั้น และผมกับเขาก็ไม่ได้มีอะไรที่จำเป็นจะต้องทักกันอยู่แล้ว

      ผมเดินจากมาโดยไม่เหลียวมองหน้าเขาคนนั้นด้วยซ้ำ ปกติเขาก็ทำเหมือนผมไม่มีตัวตนอยู่บ่อย จากนี้ไปผมก็จะทำแบบนั้นเช่นกัน

 
      ตุ้บ!

      “ขอโทษครับ ขอโทษ”

      ก่อนถึงบันไดหน้าตึก…ด้วยความที่อารมณ์คุกรุ่นของตัวเองจึงเป็นอีกครั้งที่ทำให้ผมเดินชนใครบางคนโดยไม่ระวัง แต่ครั้งนี้ผมชนแรงจนอีกฝ่ายเซถลาเกือบล้มและเป็นผมที่พยุงเธอไว้ได้ก่อน

       “พี่ไวน์เป็นอะไรหรือเปล่าครับ เจ็บตรงไหนมั้ย”

       “พี่ไม่เป็นไรจ่ะ” เธอบอกหลังจากที่กลับมายืนทรงตัวบนส้นสูงของตัวเองได้

      “ผมขอโทษอีกครั้งนะครับที่ไม่ทันระวัง ชนแรงด้วยเมื่อกี้”

      “พี่โอเค ไม่ได้เจ็บตรงไหน…อันที่จริงพี่ต่างหากที่ต้องขอโทษ”

        ผมไม่เข้าใจที่เธอพูด “พี่จะขอโทษผมทำไม ผมเป็นคนเดินชนพี่นะ”

       “พี่ขอโทษที่ทำให้โชต้องกลับบ้านเองคนเดียว พี่ได้ยินมาว่าโชต้องตากฝนไปที่ป้ายรถเมล์จนทำให้เป็นไข้”

      “เฮียขุน…บอกเหรอครับ”

      “จ่ะ” พี่ไวน์พยักหน้า

      ทำไมคนๆ นั้นต้องบอกเรื่องของผมซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่เกิดจากการกระทำที่ใจร้ายของเขาด้วยนะ “ไม่ใช่ความผิดพี่ไวน์ซะหน่อย ไม่ต้องขอโทษผมหรอกครับ ผมไม่ได้เป็นอะไรมาก ตอนนี้ก็ดีขึ้นแล้ว”

       “ดีแล้ว พี่ขอให้หายไวๆ นะ…งั้นพี่ไปก่อนแล้วไว้เจอกัน”

       ผมพยักหน้าให้และมองตามหลังเธอไป พี่ไวน์กำลังเดินไปหาคนที่ผมเดาไว้ เธอเดินไปหาเฮียขุนที่กำลังยืนคุยอยู่กับเฮียกุน

       พี่ไวน์ชี้มาทางผม ดูเหมือนเธอกำลังบอกว่าเพิ่งเจอกับผมและเฮียขุนเองก็มองตามมาทางนี้ด้วย เขาเห็นผมที่ยืนมองอยู่ นั่นจึงทำให้ผมหันกลับแล้วรีบลงบันไดเดินมารอเฮียกุนที่รถ

      เหมือนความรู้สึกของตัวเองทำตามที่พูดซะที ผมรู้สึกเฉยๆ ที่เห็นเขาอยู่กับพี่ไวน์…

      รู้สึกว่าตัวเองแยแสเขาน้อยลงจริงๆ

      ถ้าเป็นแบบนี้ได้ ความชอบที่มีต่อเขาก็อาจจะลดลงไปเรื่อยๆ และไม่เหลือความชอบอีกเลย…


      ผมจะได้ไม่ต้องเจ็บปวดกับสายตาที่เย็นชาของเฮียขุนอีก






      “จัดการกับความรู้สึกตัวเองได้ดีนะมึงเนี่ย” เฮียกุนพูดกับผมระหว่างที่รถกำลังเคลื่อนที่ “กูไม่เคยเห็นมึงทำกับเฮียขุนแบบนั้นมาก่อน…มึงปัดมือเฮียแกออกแรงมาก”

      “พอเห็นหน้าเขาแล้วหงุดหงิดอ่ะ”

      “จากที่เมื่อก่อนมึงไม่แม้แต่จะกล้ามองหน้าเฮียเขา”

      “ใช่เฮีย ผมกลัวสายตาของเขา แต่เพราะเฮียขุนทำให้ผมโกรธมาก มันก็เลยดูเหมือนว่าความโกรธในครั้งนี้จะกลบและทับถมความกลัวนั้นไปซะหมด”

      “โช…ถ้ากูถาม มึงอย่าโกรธนะ”

      “ถามอะไรอ่ะเฮีย” ผมเบี่ยงสายตาจากมองออกนอกกระจกหันมาคาดหวังกับคำถามที่คนขับคิดว่าผมจะโกรธ

      “ไม่ชอบแล้วของมึงเนี่ย…ลึกๆ ในใจคือยังหลงเหลือความชอบเฮียขุนอยู่เกินครึ่งใช่มั้ย”

      “…” ผมเงียบแทนคำตอบ ไม่รู้จะโกรธกับคำถามนั้นดีมั้ยเพราะรู้ดีแก่ใจว่าความชอบมันลดลงไปจริง…แต่ลดลงแค่น้อยนิด ผมจึงคิดว่าควรโกรธตัวเองต่างหากและอายที่จะตอบว่ามันเหลือเกินครึ่งไปมากมาย

      “เอ่อ…ไม่ต้องตอบกูก็ได้”

      “ก็…ชอบมาตั้งนาน มันไม่ได้เลิกชอบกันง่ายๆ นี่เฮีย”

      “อืม…ก็นั่นน่ะสิ” เฮียกุนพยักหน้า “แล้วไอ้พี่ภามล่ะ?”

      ผมหันขวับ…ถามถึงพี่ภามทำไม หรือเฮียกุนรู้แล้วว่าพี่ภามมันขอผมคบ “พี่ภามทำไมเหรอเฮีย”

      “กูดูออกนะว่าพี่ภามมันสนใจมึง แต่ก่อนตอนมาหาเฮียขุนที่คณะก็ไม่ได้มาบ่อยขนาดนี้ ช่วงนี้มาทุกวันและเหตุผลก็คือมาหามึง” สมกับเป็นเฮียกุนผู้ฉลาดรอบรู้จริงๆ ไม่ต้องบอกต้องพูดเฮียแกก็ดูออกหมด “นี่…กูขอเตือนไว้นะว่าอย่ายุ่งกับไอ้พี่ภามให้มันมากนัก”

      “ทำไมล่ะเฮีย ถึงพี่ภามจะเคยเกเรแต่ตอนนี้ดูเขาทำตัวน่ารักขึ้นนะ”

      “พูดอย่างนี้…หลงเสน่ห์พี่ภามมันเข้าให้หรือไง” เฮียกุนหรี่ตามองผม “ตอนเด็กก็เกเรแบบเด็กๆ พอโตขึ้นก็เกเรแบบผู้ใหญ่ มึงรู้จักมั้ยคาสโนว่าอ่ะ”

      “ผมก็ไม่เห็นว่าพี่ภามจะควงผู้หญิงไปทั่วเหมือนไอ้นัก” …เหมือนพี่ชายเฮียด้วย

      “คนแบบนั้นน่ะเขาเรียกว่าร้ายเงียบ ถ้ามาชวนมึงไปไหน…ปฏิเสธเลยว่าไม่ไป แต่ถ้ามึงจะไปกับพี่ภามต้องโทรมาบอกกูนะว่าจะไปที่ไหนแล้วทำอะไรกัน เข้าใจป่ะ”

      “…” ผมยิ้มแห้งรับคำเฮียแก

      ดูเหมือนเฮียกุนจะห่วงเกินหน้าที่พี่รหัสไปหรือเปล่านะ หรือเพราะไม่ชอบและมีอคติกับพี่ภามอยู่แล้วเลยไม่อยากให้ผมไปยุ่งกับเขานัก ช่วงนี้เฮียแกก็ชอบทำตัวแปลกๆ ถ้าเป็นพี่รหัสจริงก็ถือว่าแสดงตัวออกจะโจ่งแจ้งมากเกินไป ทั้งที่ไม่ใช่วิสัยของเฮียเขาเลย

      ถ้ารู้ว่าพี่ภามขอผมคบ…เฮียแกจะไม่ตามติดผมแจแล้วพาผมไปซ่อนไม่ให้พี่ภามมันหาเจอเลยหรือไง







      ถึงหอแล้วเฮียกุนก็ช่วยยกกล่องของพี่รหัสขึ้นมาให้ บอกจะถือเองเฮียแกก็ห่วงความบอบบางของผมที่ยังโดนไข้เล่นงานอยู่

      “โชคดีนะมึงเนี่ย ได้พี่รหัสสายเปย์ ให้ของมาทั้งทีก็ให้มาเป็นกล่องใหญ่แถมหนักใช่เล่น”

      “ก็เฮียเป็นคนใจดีนี่” ผมยิ้มกว้างใส่

      “ที่พูดไม่ได้หมายถึงตัวกู…แนะนำนะว่าให้มึงไปถอดความปริศนาคำใบ้ให้ดีและรอบคอบ ถ้ามั่นใจแล้วจะยังคิดว่าเป็นกู…ก็รอดูผลวันเฉลยแล้วกัน”

      “ครับ” ผมยิ้มรับคำและกล่องมาจากเฮียกุนเมื่อเดินมาหน้าห้องและเปิดประตูไว้เรียบร้อยแล้ว

      “ครับๆ ไปอย่างนั้นแหละมึงอ่ะ ถ้าได้เชื่อว่าเป็นกูไปแล้วมึงก็เชื่ออยู่อย่างนั้น”

      “ก็เฮียแสดงออกเป็นห่วงเป็นใยแล้วก็เทคแคร์ผมซะขนาดนี้”

      “เฮ้อ…กูก็ไม่ค่อยอยากจะทำสักเท่าไรหรอก”

      “ว่าไงนะเฮีย” เฮียกุนบ่นงึมงำอะไรสักอย่างตอนหันหลังจะเดินไปที่ประตูห้องของตัวเอง ผมจึงได้ยินไม่ถนัดว่าเฮียแกพูดอะไรกันแน่

      “เปล่า…อ่อ ในกล่องมีโน้ตจากพี่รหัสด้วยนะ ดูให้ดีกระดาษมันเล็ก” หันมาบอกผมเสร็จก็ไขประตูเปิดเข้าห้องตัวเองไป

      ผมเองก็เดินเข้าห้องมาและวางกล่องไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือ…อย่างที่เฮียกุนพูดว่าสายเปย์เอาการแฮะ ทั้งขนมนมเนยหลายแพค ช็อกโกแลต น้ำผลไม้ มีทั้งวิตามินแล้วก็ยาลดไข้

      เป็นพี่รหัสที่โคตรจะดีเลย

      ผมเอาของออกมาจากกล่องจนหมดจึงเห็นกระดาษโพสอิทสีชมพูเล็กๆ ก้นกล่อง




กินเยอะๆ นะ...

กินวิตามินเสริมด้วยจะได้แข็งแรง

แล้วก็อย่าลืมกินยาลดไข้จะได้หายไวๆ

                                    เป็นห่วงนะ…



      ผมยิ้มให้กับข้อความที่เขียนในกระดาษโพสอิท “จะกินให้อย่างดีเลย” ผมพูดตอบรับกับข้อความนั้น มีความสุขแล้วก็โชคดีจริงๆ ที่มีพี่รหัสน่ารักแบบนี้

      หึ…เฮียกุนสายเปย์

      เขานั่นแหละครับ เฮียกุนเป็นคนที่ชอบเลี้ยงน้องมาแต่ไหน ไปสังสรรค์เฮียแกก็มักเป็นเจ้ามือ วันเกิดไอ้นักหรือผมไม่ว่าพวกเราอยากได้อะไรเฮียแกก็หามาให้หมด

      เฮียกุนเป็นคนที่วางท่าและเงียบขรึม ทว่าใจดีและเป็นกันเองแต่ก็ไม่ได้จะไปยุ่มย่ามหรือเกี่ยวข้องให้มากนัก อย่างใสใจดูแลเป็นห่วงผมขนาดนี้ เฮียแกก็ไม่เคยเป็นมาก่อน…อย่างมากก็แค่รับรู้ว่าไม่สบายและเป็นห่วงอยู่ห่างๆ เท่านั้น ไม่ได้ถึงกับขนาดต้องมาป้อนข้าวป้อนยาผม อันนี้แหละที่ยังทำให้มีเปอร์เซ็นที่สับสน



      ครืด~ครืด~

      ระหว่างที่ผมจัดแจงเอาขนมเอานมเข้าตู้เย็นอยู่ หน้าจอมือถือก็แจ้งเตือนว่ามีข้อความ


      Prime: ถึงหอยัง?

      Shogun: ถึงสักพัก…

      Prime: อย่าลืมกินข้าวกินยาก่อนนอนนะ จะได้หายเร็วๆ

      Shogun: รู้แล้วล่ะน่า ไม่อยากวูบแล้ว

      Prime: โช…เรื่องที่พูดวันนี้ โชค่อยๆ คิดก็ได้ไม่ต้องรีบ พี่แค่ถามโชไว้ ไม่ได้จะเร่ง แค่เก็บไปคิดพี่ก็ดีใจแล้ว

      Shogun: ขอบคุณนะพี่ภาม…ขอบคุณที่เข้าใจ

      Prime: คร้าบบบ ก็จู่ๆ พี่ก็ถามโชปุบปับนี่ โชคงไม่ทันตั้งตัว

      Shogun: อืม…โคตรตกใจเลยแหละ

      Prime: นั่นสินะ โชคงไม่คิดว่าเด็กเกเรขี้แกล้งอย่างพี่จะชอบโช 5555

      Shogun: ใช่สิ…ไอ้เด็กเกเรคนนั้น 555

      Prime: ดีใจนะที่โชรู้แล้วว่าพี่ชอบแต่ไม่ได้รังเกียจ

      Shogun: จะรังเกียจอะไรเล่า

      Prime: แต่ก็ไม่ได้ชอบ…

      Shogun: ……

       Prime: ไม่เป็นไร สำหรับโชพี่รอได้เสมอคร้าบบบ…แล้วพรุ่งนี้มีเรียนกี่โมง?

      Shogun: แต่เช้าแล้วก็ทั้งวันอ่ะ

      Prime: งั้นพรุ่งนี้ไปกินข้าวเที่ยงด้วยได้มั้ย?

       Shogun: ได้สิ

      Prime: >< งั้นเจอกันพรุ่งนี้นะ…ฝันดีคร้าบบบ

      Prime: (อิโมจิบอกฝันดี)

      Shogun: (อิโมจิลากหมอน)


      พอคุยกับพี่ภามแบบนี้แล้วแปลกๆ แฮะ เราไม่เคยคุยกันแบบนี้มาก่อน ผมไม่ได้รังเกียจแต่ก็ยังไม่ได้ชอบอย่างที่ว่าไป…

      แต่การที่รู้ว่ามีคนมาชอบมันก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน

      แม้เฮียกุนจะบอกให้อยู่ห่างจากพี่ภาม ถ้าทำตัวแบบนั้นเขาคงเสียใจที่ปฏิกิริยาของผมจะเอาแต่หลีกเลี่ยง เป็นการทำลายน้ำใจที่เขามีให้โดยที่ผมไม่ตั้งใจ


      ดังนั้นก็แค่ทำตัวปกติเหมือนอย่างที่เคยเป็นน่าจะดีที่สุด


-----TBC-----


หัวข้อ: Re: ❤#Heart To Heart #ใจแพ้รัก❤ 「ตอนที่14」-13/05/19-
เริ่มหัวข้อโดย: ิbanoffee ที่ 13-05-2019 21:25:26
ตอนที่ 14


      ก๊อกๆ

      ในเช้าวันนี้ผมได้นั่งกินข้าวเช้าซึ่งเป็นอาหารง่ายๆ อย่างซีเรียลกับไอ้นัก…ในรอบอาทิตย์ผมกับมันได้ตื่นเช้าเพื่อที่จะไปมอพร้อมกัน และในเช้าวันนี้ก็มีใครบางคนมาเคาะประตูตั้งแต่เช้าในรอบเดือนตั้งแต่เปิดเทอมมาอีกด้วย

      ไอ้นักที่กำลังง่วนอยู่กับนมในตู้เย็นจึงเป็นคนเดินไปเปิดประตู เพราะผมเองก็กำลังยุ่งอยู่กับการใส่ชุดนักศึกษา

      “อ้าวเฮีย มีธุระอะไรแต่เช้า” เฮียกุนไม่ตอบคำถามไอ้นักและเดินเข้ามาพร้อมชูถุงน้ำเต้าหูและปาท่องโก๋ให้ผมดู

      “อันนี้ของมึง พี่รหัสเขาฝากกูไปซื้อมาให้” เฮียเขาบอกผม

      “ขอบคุณครับพี่รหัส” ผมยิ้มกริ่ม

      “ถ้าพี่รหัสมึงไม่บังคับกูมา กูคงไม่ทำให้ขนาดนี้จนมึงต้องคิดว่ากูเป็นพี่รหัสของมึงหรอก” เฮียกุนทำหน้าเซ็งแล้วเอาน้ำเต้าหู้ไปวางไว้ที่โต๊ะให้

      “ไม่เห็นมีของผม” ไอ้นักบ่นพลางดูในถุงแล้วพบว่ามีน้ำเต้าหู้เพียงถุงเดียว

      “กูก็บอกอยู่ว่าพี่รหัสฝากมาให้ไอ้โช แล้วจะมีของมึงได้ไง”

      “แล้วทำไมเฮียไม่ซื้อมาให้ผมมั่งอ่ะ” ไอ้นักบ่นหน้ามุ่ย “เพราะว่าผมจับกึ๋นเฮียได้ล่ะสิ ถึงทำเป็นซื้อมาให้ไอ้โช ยังไงเฮียก็เป็นพี่รหัสผม ไม่ใช่ของไอ้โชซะหน่อย…มึงกับกูมารอดูวันเฉลย มึงตอบว่าเฮียกุนเป็นพี่รหัสมึง กูก็จะตอบว่าเฮียกุนเป็นพี่รหัสของกูเหมือนกัน ไม่มึงก็กูจะต้องโดนทำโทษ ฮึ่ย ไอ้พี่รหัสไม่ได้เรื่อง ถึงจะไม่ซื้อในฐานะพี่รหัส แต่ในฐานะพี่ชายก็ควรจะซื้อน้ำเต้าหู้มาฝากน้องบ้าง” ไอ้นักบ่นใส่ผมสลับกับเฮียกุนไปมาเหมือนเด็ก สงสัยมันจะโมโหหิว ผมกับเฮียกุนนี่ได้แต่ส่ายหน้ารำคาญ

      “ขอบคุณครับเฮียกุน” ผมหันมาบอกเฮียเขา

      “เออๆ กินให้อร่อย…แล้วไม่ต้องแบ่งไอ้นักนะ เพราะพี่รหัสซื้อมาให้แค่มึงคนเดียว” เฮียกุนพูดกับผมก่อนจะหันไปมองไอ้นักด้วยความหมั่นไส้

      ผมจัดการเทน้ำเต้าหู้ใส่แก้ว “น้ำเต้าหู้ไม่ใส่เครื่อง...รู้ใจซะด้วย”

      ไม่ใส่เครื่องเหรอ…

      ปกติแล้วผมก็ไม่ได้กินน้ำเต้าหู้บ่อยนักหรอกและเวลาซื้อก็มักจะสั่งว่าไม่เอาเครื่อง ดังนั้นนอกจากพ่อและแม่แล้วก็ยังมีอีกเพียงหนึ่งคนที่รู้ว่าผมกินน้ำเต้าหู้แบบนี้

      “มึงชอบกินแบบไม่ใส่เครื่องเหรอ ไม่เห็นจะอร่อย ไม่มีอรรถรสในการกินน้ำเต้าหู้เอาซะเลยนะมึงเนี่ย” แม้แต่ไอ้นักก็ไม่รู้ว่าผมไม่ชอบแบบใส่เครื่อง

      แล้วเฮียกุนรู้ได้ยังไงกันนะ หรือเฮียเขาเองก็ไม่ชอบแบบมีเครื่องเหมือนกันก็เลยสั่งแบบนี้มาให้ผม เฮียกุนคงไม่ได้รู้จากคนๆ นั้นหรอกมั้ง…










      ผมล่ะดีใจจริงๆ นอกจากวันนี้จะได้กินเช้าเช้าพร้อมเพื่อนรักของผมแล้ว…ผมยังจะได้กินข้าวเที่ยงกับมันอีกด้วยซึ่งเป็นในรอบเดือนตั้งแต่เปิดเทอมมาอีกเช่นกัน เพราะปกติแล้วไอ้นักมักจะออกไปกินข้าวเที่ยงกับสาวๆ ในฮาเร็มของมัน เดือนที่ผ่านมาผมจึงได้ไปโรงอาหารคนเดียวอยู่บ่อยๆ

      “ทำไม…ปกติถึงมีเรียนต่อตอนบ่ายแต่มึงก็จะออกไปกินข้าวข้างนอกกับสาวของมึงนี่ แล้ววันนี้คิดยังไงถึงไปกินข้าวเที่ยงกับกูที่โรงอาหารได้”

      “ต่อจากนี้ผมจะประพฤติตัวดีๆ ไม่นอกลู่นอกทาง มีนัดกับสาวที่ไหนจะยกเลิกให้หมดเลย เพื่อที่จะพิสูจน์ให้ท่านโชกุนได้เห็นว่าผมนั้นจริงจังและจริงใจกับเพื่อนของท่านโชกุนขนาดไหน”

      “เหอะ คนอย่างมึงคงพูดได้แต่ปาก ไม่กี่วันมึงก็คงอดไม่ไหวที่จะออกไปกับสาวๆ ของมึง” ผมหรี่ตามองเพื่อนรักหน้าม่อของผมด้วยความดูถูกในคำพูดพล่อยๆ ของมัน

      ควรจะดีใจมั้ยที่มันอยู่กินข้าวกับผมด้วยเหตุผลนี้เนี่ย…




      เพราะเมื่อวานตอนแชทกันเขาขอผมมากินข้าวด้วย…วันนี้ผมเลยเห็นพี่ภามมารออยู่ที่ตึกเรียนคณะ

       “อ้าว พี่มาทำไมเนี่ย” ไอ้นักเอ่ยถามด้วยความสงสัย

      “วันนี้ไอ้นักอยู่กินด้วยเหรอ” เขาไม่ตอบไอ้นักแล้วหันมาถามผม

      “อืม…วันนี้มันขี้เกียจออกไปกินข้างนอกอ่ะ”

      “…” พี่ภามพยักหน้า ดูเหมือนเขาจะผิดหวังเล็กน้อย

      “หน้าพี่เหมือนไม่อยากให้ผมไปกินด้วยเลยอ่ะ…อยากกินข้าวกับไอ้โชสองต่อสองล่ะสิ ถ้างั้นผมไม่ไปดีกว่ามั้ยน้า กลัวว่าก้างจะติดคอพี่เอา”

      “มึงหุบปากไปเลย ไปกินด้วยกันเนี่ยแหละ” ผมล่ะรำคาญเพื่อนรักของผมจริงๆ เลย คงมีเรื่องให้มันได้แซวผมสนุกปากอีกแล้ว…

      นี่ขนาดยังไม่ได้บอกมันว่าพี่ภามขอผมคบ…

      ถ้าเผลอบอก…เชื่อเถอะนักชงอย่างไอ้นักน่ะ







      “พี่ภามจะกินอะไร”

      “เอาเหมือนมึง” เขาตอบแล้วยิ้มให้

      แม้จะพยายามทำตัวปกติแต่ผมก็รู้สึกผิดนิดหน่อยที่เห็นเขาทำตัวน่ารักใส่ผม…

      เพราะผมยังชอบเขาไม่ได้

      ผมจัดการสั่งเส้นเล็กน้ำตกอย่างที่ชอบกินให้ตัวเองและพี่ภาม จากนั้นก็ไปนั่งโต๊ะที่ไอ้นักนั่งอยู่ก่อน…

      แต่ไม่ได้มีเพียงไอ้นักที่นั่งอยู่คนเดียวน่ะสิ

       “วันนี้พวกกูนั่งกินข้าวด้วยนะ” เฮียกุนบอก

      ไม่ได้มีแค่เฮียกุนเท่านั้นแต่ยังมีเขา…เฮียขุน

      ผมนั่งลงตรงข้ามและตรงหน้าเขาพอดี มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอที่คนอย่างเขาจะมานั่งกินข้าวร่วมกับผมแบบนี้…นี่เป็นรอบหลายปีที่เฮียขุนมานั่งกินข้าวกับผม ทั้งๆ ที่เขาก็น่าจะรู้ว่ามีผมอยู่ด้วย...เขาเต็มใจที่จะนั่งด้วยหรือไง

      ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมก็คงตื่นเต้น ดีใจ และทำตัวไม่ถูก แต่บอกเลยการกินข้าวครั้งนี้…ต่อหน้าคนๆ นี้มันทำให้ผมอึดอัดและเหมือนจะกินไม่ลงที่เขาเอาแต่จ้องมอง แม้จะเป็นของที่ชอบแต่ก็คงกินไม่อร่อย

      “เออ…เหมือนอาทิตย์นี้กูยังไม่ได้กินข้าวกับมึงนะไอ้ขุน ดีๆ วันนี้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน” พี่ภามพูดพลางหัวเราะแห้ง ดูหน้าเขาเหมือนจะผิดหวังกว่าตอนที่รู้ว่าไอ้นักจะมากินข้าวด้วยซะอีก

      ผมเอาแต่นั่งก้มหน้าเขี่ยเส้นก๋วยเตี๋ยวในชามของตัวเองไปมา เช่นเดียวกับคนตรงข้ามที่เขาใช้ช้อนเขี่ยข้าวในจานของตัวเองไปมาเช่นกัน แต่ว่าอย่างที่บอกว่าเขาเอาแต่จ้องผม…มองอยู่อย่างนั้นตั้งแต่ผมเดินมานั่ง ไม่รู้จะมองอะไรนักหนา

      ทั้งที่ผมไม่คิดจะยุ่งแล้ว ไม่อยากเจอ ไม่อยากที่จะมองหน้าเขา แต่ทำไมเฮียขุนถึงต้องโผล่มาให้ผมเห็นและอึดอัดอยู่บ่อยๆ

      “เอานี่ไป” พี่ภามตักลูกชิ้นทั้งหมดในชามของตัวเองมาให้ผม

      “ทำไมพี่ไม่กินล่ะ ตักมาให้ผมทำไม ของผมก็มี”

      “ก็เห็นว่ามึงชอบกินลูกชิ้นเลยยกให้”

      ผมยิ้มแล้วขอบคุณพี่ภามโดยไม่ได้คิดอะไร แต่ดูเหมือนอีกสามคนที่เงียบและมองพวกเราสองคนจะคิดอะไรไปหลายอย่าง

      “แน่ะ…มียกของที่ชอบกินให้กันด้วย” ไอ้นักจอมแซว

      “เงียบแล้วกินข้าวไปเลยมึงอ่ะ” ผมบอกมัน

      ส่วนอีกสองคน…คนนึงก็ยังเอาแต่มองผมเช่นเดิมและอีกคน เฮียกุนที่บอกผมว่าอย่ายุ่งกับพี่ภามให้มากนักก็ขมวดคิ้วใส่ผม

      สองคนนี้อะไรนักหนานะ ทำตัวพิลึกทั้งคู่

      “น้องโชคะ พี่รหัสฝากน้ำมาให้” รุ่นพี่ผู้หญิงคนเดิมที่เคยเอากล่องขนมมาให้เดินมาพร้อมกับถือชาเย็นในมือ

      “ขอบคุณครับ” ผมบอกเธอ “อยากกินชาเย็นพอดีเลย” ผมพูดกับเฮียกุน อันนี้เฮียเขารู้แน่นอนว่าผมชอบ เพราะผมกินชาเย็นบ่อย

      “แล้วแต่มึงเลยโช” เฮียกุนพูดแบบปลงๆ เขาบอกกับผมแบบนั้นแทนที่จะเน้นย้ำให้กลับไปตีความเหมือนครั้งที่แล้ว

     ผมอดขำไม่ได้...ก็มันบังเอิญเกินไปนี่นาที่พี่รหัสของผมจะรู้อะไรหลายๆ อย่างที่ผมชอบ





      “พรุ่งนี้พี่จะมากินข้าวด้วยอีกนะ” พี่ภามบอกผมหลังจากที่กินข้าวกันเสร็จ

      “คณะมึงว่างมากนักหรือไง” ตลอดที่นั่งกินข้าวเขาไม่เอ่ยเสียงสักแอะ นั่งตั้งนานเฮียขุนเพิ่งจะพูดออกมา

      “มึงก็รู้ว่าไม่ได้ว่างขนาดนั้น แต่กูก็มาหามึงที่คณะออกบ่อย”

      “ครั้งนี้ก็มาหากูงั้นสิ?”

      “ก็…มากินข้าวกับโชมัน แต่ก็ดีที่ได้มากินข้าวกับมึงด้วย”

      “หึ จุดประสงค์วันนี้มึงคงไม่ได้อยากมากินข้าวกับกูสักเท่าไรมั้ง” เขาพูดแล้วยิ้มให้เพื่อนแบบผ่านๆ

      “มึงเป็นจุดประสงค์รอง” พี่ภามบอกเสียงเรียบแล้วยิ้มให้เช่นกัน

      พวกเขาสนทนาหยอกล้อปนจริงจังกันแบบนี้บ่อยหรือไงกันนะ ฟังดูเหมือนพูดล้อกันเล่นแต่ก็ทำให้มีเคืองได้








   
      ในคลาสเรียนช่วงบ่ายอยู่ระหว่างที่สอบควิซก่อนเรียน มีเสียงสั่นของมือถือผมดังออกมาจากในกระเป๋ากางเกงบ่อยมาก ดังครืดๆ มาเป็นระยะจนไอ้นักและคนที่นั่งข้างๆ หันมามองแล้วมองอีก

      หลังจากสอบควิซเสร็จผมจึงรีบเอามือถือออกมาเปิดดู


      Prime: โช…พรุ่งนี้พี่ลืมไปเลยว่ามีวิชาที่เลคเชอร์ยาวอ่า

      Prime: กว่าจะเสร็จก็บ่าย ซึ่งก็คงหมดเวลาพักเที่ยงของโชพอดี

      Prime: อดไปกินข้าวด้วยเลย TT

      Prime: งั้นไว้มะรืนละกันเนอะ

      Prime: จะพยายามไปกินข้าวกับโชทุกวัน…

      Prime: อยากได้คะแนนจากโชเยอะๆ

      Prime: อย่าเพิ่งเบื่อแล้วก็รำคาญพี่นะคร้าบบบบ


      หึ…ผมอ่านข้อความพลางยิ้มไปด้วย ในยิ้มนี้ก็ยังคงความรู้สึกผิดเพราะผมไม่รำคาญเขาหรอก เพียงแต่ว่าผมชอบที่พี่ภามเป็นพี่ชายที่ทำตัวดีกับผม

      “ใครทักมานักหนาวะ” ไอ้นักถามพลางชะโงกหน้ามาจะมองหน้าจอมือถือ แต่ผมปิดทันซะก่อน

      “ไม่บอกมึงหรอก”

      “ไม่บอกกูก็รู้…พี่ภามล่ะสิ”

      “รู้มาก…เดี๋ยวกูไปเข้าห้องน้ำก่อน” ผมทำหน้าดุใส่และบอกมัน จากนั้นก็รีบลุกไปเพราะอั้นไว้ตั้งแต่นั่งควิซแล้ว







      “เฮ้อ ค่อยโล่งหน่อย” ผมกลับมาจากห้องน้ำและนั่งลงอย่างสบายตัวก่อนจะหันไปมองไอ้นักที่นั่งยิ้มกริ่ม “ยิ้มอะไรของมึง”

      “…” มันไม่พูดแต่มองมาที่มือถือของผมบ่งบอกเป็นคำตอบแทน

      เชี่ยยย…ผมรีบไปเข้าห้องน้ำแล้ววางมือถือไว้ ไอ้นักมันต้องเห็นพี่ภามทักมาแน่ๆ ผมลนลานที่จะเปิดมือถือ ดูซิเขาส่งมาว่ายังไงต่อ


   Prime: ถึงโชจะเบื่อหรือรำคาญ…พี่ก็จะรุกต่อไปเพื่อคำตอบที่พี่ขอคบกับโช


      บ้าเอ้ยยย…ไอ้พี่ภามจะส่งมาอีกทำไมเนี่ย ก่อนไปเข้าห้องน้ำก็คิดว่าจะส่งมาบอกแค่นั้นซะอีก

      ผมเงยหน้าขึ้นมาจากมือถือแล้วหันไปมองไอ้นักที่ยิ้มกว้างตาหยีใส่พร้อมปากของมันที่กำลังจะอ้าปากแซวผม “มึงหุบปากเลยนะไอ้นัก”

      “ไม่ได้ กูคันปากอยากจะพูด” มันพูดพลางเขยิบเก้าอี้เข้ามาใกล้ “ตกลงคบไปเลยมึง”

      “มึงจะให้กูตกลงง่ายๆ เลยหรือไง กูไม่ได้ชอบพี่ภามแบบนั้น”

      “ตกลงคบไปก่อน เดี๋ยวมึงก็ชอบเอง พี่ภามมันอุตส่าห์รุกขนาดนี้”

      “มึงชงไม่ดูตาม้าตาเรือนะไอ้นัก” ผมเบิ้ดกะโหลกมันไปหนึ่งที

      “มึงจะได้ตัดใจจากพี่ชายใจร้ายของกูได้ง่ายขึ้นไง กูพร้อมเชียร์มึงให้พี่ภามเพราะกูหมั่นไส้เฮียขุน กูจะไม่ชงมึงให้เขาแล้ว”

      “กูตัดใจจากเขาเองได้ ไม่จำเป็นต้องใช้พี่ภามมาเป็นตัวช่วย ถ้าตกลงคบไปทั้งที่ไม่ได้ชอบแบบนี้จะเป็นการทำร้ายน้ำใจเขาเปล่าๆ”

      “โธ่ กูแค่อยากเห็นเพื่อนรักมีความสุขที่มีคนมาชอบซะทีหลังจากที่เป็นคนแอบชอบมานาน”

      “มึงเงียบ…”

      “นักศึกษาสองคนนั้นน่ะ…ถ้าไม่อยากเรียนก็เชิญออกจากห้องได้นะคะ” ผมเผลอพูดเสียงดังจนอาจารย์ต้องบอกเตือน

      “มึงเงียบไปเลย ไม่ต้องมาชงกูให้พี่ภามอีก” ผมพูดเสียงกระชิบกับไอ้นักก่อนจะหันไปสนใจสไลด์บนหน้ากระดาน เพื่อนรักมันยิ้มรับ ดูเหมือนมันคงไม่ทำตามที่ผมบอกหรอก

      ว่าแล้วเชียว…ถ้ามันได้รู้








     หลังจากเรียนเสร็จไอ้นักก็ปลีกตัวออกไปซ้อมดาวเดือนเช่นเดิม…ผมอดตื่นเต้นแทนมันไม่ได้ เพราะไม่กี่วันก็จะประกวดแล้ว ไอ้นักมีเปอร์เซ็นต์เยอะมากที่จะได้เจริญรอยตามพวกพี่ๆ ของมัน เพราะแค่ยังไม่ประกวดมันก็ได้คะแนนท่วมท้นจากสาวๆ ในคณะไปเกือบทั้งหมด

       “ตั้งใจซ้อมล่ะมึงน่ะ อย่ามัวแต่เหล่สาว”ผมบอกและแยกจากไอ้นักตรงหน้าลิฟต์ จากนั้นในขณะที่กำลังเดินลงบันไดสายตาของผมก็เห็นใครบางคนยืนอยู่หน้าตึก

      เฮียขุน…

      เมื่อเห็นแล้วว่าเป็นเขาผมจึงไม่สนใจและหันมองในขณะเดินผ่าน แต่หางตารู้สึกได้ว่าเขากำลังมองมาที่ผมราวกับว่าเขามาดักรอ…

      ผมเดินผ่านเขาและรู้สึกได้ว่าคนๆ นั้นกำลังเดินตามผมมา ไม่ได้คิดไปเองแน่นอนครับ เพราะเสียงฝีเท้าและหางตาของผมเหลือบมองไปข้างหลังเป็นระยะ…

      เฮียขุนเขาเดินตามผมมาทำไม

      เขาอาจจะมาหาเรื่องแกล้งผมอีก คิดได้อย่างนั้นผมจึงเร่งฝีเท้าให้ตัวเองเดินเร็วขึ้น

      หมับ!

      แต่ผมถูกเขาคว้าแขนเอาไว้ “เฮียต้องการจะทำอะไรกับผมอีก!” ผมหันไปตะโกนใส่หน้าเขา

      “มึงเป็นอะไรกับไอ้ภาม” นี่คือเหตุผลที่เขาตามผมมางั้นเหรอ…

      “เป็นอะไรก็เรื่องของผม เฮียเกี่ยวอะไรด้วย”

      “เป็นอะไรกัน” เขาย้ำคำถามด้วยน้ำเสียงที่จริงจังกว่าเดิม

      “ปล่อย…ผมเจ็บ” และบีบข้อมือของผมแรงขึ้นอีกด้วย

      “แกล้งอะไรน้องมันอีก ห้ะ ไอ้ขุน” พี่เมฆที่บังเอิญเดินผ่านมาทักขึ้น เฮียขุนจึงคลายและปล่อยข้อมือของผม

      “สวัสดีพี่/สวัสดีครับ” เราทั้งสองยกมือไหว้พี่เมฆพร้อมกัน

      “หวัดดีๆ” พี่เมฆยกมือรับไหว้ “ว่าไง แกล้งอะไรน้องมัน”

      “ก็…ทักทายกันธรรมดาตามประสารุ่นพี่รุ่นน้องน่ะพี่” หน้าด้านพูดมาได้ รุ่นพี่เขาทักรุ่นน้องด้วยการกระชากแขนกันแบบนี้หรือไง

      “เหรอ…กูนึกว่าแกล้งน้องมันอีก” พี่เมฆพยักหน้ารับทราบที่ดูไม่ค่อยอยากจะเชื่อ “เอ้อ วันหลังก็ไปกินข้าวที่โรงแรมพี่อีกสิ คราวนี้พี่เลี้ยงเอง” พี่เขาหันมาพูดกับผม

      “อืม…ผมเกรงใจ” ผมบอกพลางส่ายหน้าเบาๆ

      “ไม่ต้องเกรงใจแล้วก็ไม่ต้องกลัวว่าพี่จะหลอกให้กินอาหารจนเงินไม่พอจ่ายแล้วแจ้งตำรวจมาจับ…พี่ไม่ได้ใจร้ายอย่างไอ้ขุนที่จะแกล้งน้องได้ลงคอหรอกนะ”

      “ว่าไงนะ?” เสียงไอ้นักที่เดินมาจากไหนไม่รู้พูดขึ้น

      “ไอ้นัก…มึงซ้อมดาวเดือนอยู่ไม่ใช่เหรอ” ผมหันไปถามมันอย่างลนๆ

      “กูจะเดินไปเอาพร็อพที่รถ” มันบอกผมแต่กลับมองหน้าเฮียขุน “วันนั้นนอกจากเฮียขุนจะทิ้งมึงไว้แล้ว เขายังทำแบบนั้นกับมึงเหรอ”

      “เอ่อ…” ผมตะกุกตะกัก ไอ้นักเริ่มมีสีหน้าโมโห คนอย่างมันเวลาเดือดขนาดเพื่อนรักอย่างผมก็อดกลัวไม่ได้

      “ทำไมต้องแกล้งไอ้โชขนาดนั้นด้วย เฮียต้องการอะไร” ไอ้นักพูดพลางเดินเข้าใกล้พี่ชายของตัวเองอย่างหาเรื่อง ส่วนอีกคนก็ยืนเก๊กนิ่งไม่รู้หนาวรู้ร้อนอะไรเลย

      ผมก็ไม่เคยเห็นพี่น้องจรัสวาณิชย์มีเรื่องกันเลยสักครั้ง แม้เฮียขุนจะดูไม่แยแสที่น้องชายตัวเองกำลังหาเรื่อง แต่สายตาของเขาก็ดุและกำลังเตือนไอ้นักว่าอย่าล้ำเส้นความเป็นพี่ชายของเขา

      ดูแล้ว…น่ากลัวทั้งคู่

      “ช่างมันเถอะ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร” ผมพูดพลางจับตัวไอ้นักไว้ มันเอาแต่มองหน้าและวางมาดหาเรื่องเฮียขุนอยู่นั่น

      “หึ…อย่างนี้มึงคงตัดใจได้ง่าย ดีเลยจะได้เปิดทางให้พี่ภามเต็มที่” มันถอยออกห่างเฮียขุนแล้วทำใจเย็นหันมาพูดกับผม

      เฮียขุนเองก็หันมามองผมเช่นกัน เหมือนเขากำลังรอฟังคำตอบที่เขาถามจากผมอยู่

      “จะพูดเรื่องนี้ทำไม มึงรีบไปเอาพร็อพแล้วไปซ้อมดาวเดือนได้แล้ว” ผมลนกว่าเดิม
 
      ไม่ใช่เรื่องน่าอายอะไรที่มีคนมาชอบและขอผมคบด้วย แต่มันก็เป็นเรื่องของผมกับพี่ภาม ผมไม่จำเป็นต้องให้เฮียขุนรู้แล้วยิ่งมีพี่เมฆยืนฟังอยู่ด้วย

      ไอ้นักยืนนิ่งไม่ขยับในขณะที่ผมผลักให้มันรีบไป “กูขอสั่ง…” มันจ้องหน้าเฮียขุนก่อนจะหันมามองที่ผมอีกรอบ





   
      “รับคำขอคบกับพี่ภามซะ”




-----TBC-----



Banoffee's zone

หึ...เฮียขุน พอเห็นว่าโชเริ่มไม่สนใจจริงๆ ก็เลยเป็นฝ่ายเข้าหาก่อนเลยนะ

ส่วนนักรบ...ใจเย็นๆ นะ นายจะสั่งให้เพื่อนไปคบกับใครก็ได้ไม่ด้ายยย

โปรดติดตามตอนต่อไปด้วยคร้าบบบ


หัวข้อ: Re: ❤#Heart To Heart #ใจแพ้รัก❤ 「ตอนที่14」-13/05/19-
เริ่มหัวข้อโดย: double9JH ที่ 13-05-2019 21:42:33
ติดตามเลยค่าาาา

อยากร้ายกับโชดีนัก เฮียขุน  :laugh: :hao3:
หัวข้อ: Re: ❤#Heart To Heart #ใจแพ้รัก❤ 「ตอนที่14」-13/05/19-
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 14-05-2019 11:58:07
น้องโชต้องเอาคืนเฮียขุนเยอะๆนะ
หัวข้อ: Re: ❤#Heart To Heart #ใจแพ้รัก❤ 「ตอนที่14」-13/05/19-
เริ่มหัวข้อโดย: Januarysky ที่ 14-05-2019 12:06:45
เอาล่ะซิ นักเป็นพิษขึ้นมาซะแล้น
เฮียขุนตายแน่ อุอุ
หัวข้อ: Re: ❤#Heart To Heart #ใจแพ้รัก❤ 「ตอนที่15」-16/05/19-
เริ่มหัวข้อโดย: ิbanoffee ที่ 16-05-2019 04:09:21
ตอนที่ 15



      วันประกวดดาวเดือนของคณะบริหารธุรกิจ


   
      “ไอ้โช…คนคิ้วท์ของกูล่ะ”

      “แหม…คนคิ้วท์ของกู จะมะเหงกเข้าให้” ผมพูดพลางทำท่า

      “อะไรเล่า…ก็สักวันเพื่อนมึงจะต้องเป็นของกู”

      “กูจะทำโทษมึงแทนไอ้คิ้วท์ เพราะถ้ามันมาได้ยินมึงพูดอย่างนี้ มึงได้เจ็บตัวกว่ากินมะเหงกกูแน่ อีกอย่างกูยังไม่ได้อนุญาตให้มึงจีบไอ้คิ้วท์ได้ซะหน่อย มันจะเป็นของมึงได้ไง”

      “ไม่อนุญาตกูก็จะเอา แบร่!” มันแลบลิ้นทำหน้าทะเล้นใส่ผม

      “ไอ้…” กวนดีนัก ผมจะถีบส่งมันเข้าให้

      ผมมาหาไอ้นักหลังเวทีประกวดเพราะมันแชทเรียกผมมา เพื่อนรักของผมซึ่งอยู่ในชุดนักรบชาวโรมันสมชื่อและมันเป็นคนเลือกธีมนี้เอง แต่ชุดของมันจากที่ดูพะรุงพะรังอยู่แล้วทั้งผ้าคุมที่ยาวสยายปลิวลม เกราะและดาบ ยิ่งมันทำตัวอยู่ไม่สุข เอาแต่ชะโงกหน้ามองหาไอ้คิ้วท์และตวัดพร็อพอย่างดาบแกว่งไปมายิ่งทำให้ชุดเหมือนจะพัง ดูยุ่งเหยิงเข้าไปใหญ่

      “นี่ไอ้นัก กูบอกแล้วว่าไม่รู้ไอ้คิ้วท์มันจะมาได้มั้ย มันติดกิจกรรมไปถ่ายรูปกับรุ่นพี่ที่คณะ อาจจะมาไม่ทันดูมึงหรือถ้าทันแต่มันอาจจะขี้เกียจมาก็ได้”

     “ไม่ได้นะ ต้องมา กูเตรียมโชว์เท่ๆ ไว้ แล้วก็อยากให้คนคิ้วท์มาถ่ายรูปให้กูด้วย” มันพูดพลางขมวดคิ้วเหมือนเด็กกำลังจะร้องไห้

      เกลียดจังเวลามันงอแงเนี่ย “แล้วมึงไม่ถามไอ้คิ้วท์ว่ามันอยากมาถ่ายรูปให้มึงมั้ย”

      “ไอ้โช!” มันตะโกนใส่หน้าผม

      เฮ้อออ…ผมส่ายหน้าด้วยความระอา

      ครืดๆ

      ‘ข้อความจาก Prime’ ผมเปิดหน้าจอมือถืออ่านข้อความที่แจ้งเตือน


      Prime: พี่อยู่หน้าเวทีแล้ว…โชอยู่ตรงไหน พี่ไม่เห็นเลย

      Shogun: โชมาหาไอ้นักหลังเวที…เดี๋ยวออกไปหานะ


      หลังจากที่แชทบอกพี่ภาม ผมก็เดินออกไปหาเขาเลย ทิ้งให้ไอ้เพื่อนรักมันชักดิ้นชักงอไปคนเดียวเพราะไอ้คิ้วท์ไม่อ่านแชทมัน แล้วยังจะมาโวยวายใส่ผมที่ไม่ยอมทักไปบอกไอ้คิ้วท์ให้รีบมาอีก

      จริงๆ เลยไอ้เพื่อนคนนี้

      ผมเดินเบียดเสียดผู้คนที่ออกันอยู่หน้าเวทีเพื่อมองหาพี่ภาม…สายตาสาดส่องชะโงกไปมาทำให้เห็นคนที่มีลักษณะคุ้นตาอยู่ไหวๆ

      เฮียกุน?

      เมื่อผมเห็นเฮียกุนผมจึงเดินตรงดิ่งไปหาเฮียแกทันที…เพราะผมรู้ว่าถ้าเจอเฮียกุนที่ไหนก็จะเจอพี่ภามที่นั่น และถ้าเห็นพี่ภามที่ไหน บางทีก็มักจะเห็นเฮียกุนด้วยเช่นกัน

      ช่วงแรกที่สังเกตคือเฮียกุนเริ่มจุกจิกกับผม ช่วงหลังตามติดแจแทบจะเข้าสิงร่างผมอยู่แล้ว

      ผมไม่รู้ว่าเฮียแกเป็นอะไร…ไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร ทำไมต้องเอาแต่ตามติดผมหรือไม่ก็พี่ภาม และเฮียเขามักจะกันผมไว้ถึงขนาดไม่ให้พี่ภามเข้าใกล้ในระยะสองเมตร

      เป็นอย่างนี้มาได้พักหนึ่ง เท่าที่สังเกตเฮียกุนเริ่มยุ่มย่ามกับผมหนักขึ้นตั้งแต่วันรุ่งขึ้นหลังจากเหตุการณ์วันนั้น…






      “คบกับพี่ภาม…มึงจะได้ลืมไอ้คนใจร้ายแบบนี้ไง” ไอ้นักพูดด้วยความหงุดหงิดพลางชี้หน้าเฮียขุน “ทำเรื่องไร้สาระให้มันกลายเป็นเรื่องดราม่าที่หนักหน่วงไปได้…ไม่รู้จะผิดหวังอะไรนักหนาแค่ไอ้โชมันเป็นผู้ชาย”

      “ไอ้นัก…ไม่ต้องพูดมากแล้ว” ผมรีบปรามแล้วเอาแต่ผลักให้มันเดินไปเอาของที่รถ แต่ไอ้เพื่อนคนนี้มันก็เอาแต่วกกลับมายืนตะโกนใส่หน้าพี่ชายตัวเองอยู่นั่น

      คนที่บังเอิญเดินผ่านมาอย่างพี่เมฆก็เลยบังเอิญได้ยินเรื่องไร้สาระที่ไอ้นักว่า…

      อดีตอันไร้สาระที่ผมอยากลืมแต่ก็ลืมไม่ลง

      “ไอ้ภามขอมึงคบอย่างนั้นเหรอ” เฮียขุนซึ่งเอาแต่ยืนมองผมทั้งๆ ที่โดนน้องตัวเองตะโกนบ่นใส่เอ่ยถาม

      “ใช่…ไอ้โชมันกำลังอยู่ในช่วงตัดสินใจ และผมออกความคิดเห็นเพื่อให้มันตัดสินใจง่ายขึ้น” ไอ้นักตอบแทนผม

      “มึงคิดจะคบกับมันอย่างนั้นเหรอ” เขาถามผมต่อ

      “ไอ้โชมันจะต้องคบกับพี่ภามแน่ๆ”

      “มึงหุบปาก” เฮียขุนหันไปมองตาขวางใส่ไอ้นัก คำสั่งเรียบนิ่งทว่าน้ำเสียงแอบแฝงไปด้วยความเยือกเย็น นี่เป็นการตักเตือนน้องชายจอมกวนของเขา “กูถามว่ามึงคิดจะคบกับไอ้ภามเหรอ…มึงชอบมันหรือไง?”

      “…” ผมเงียบ

   สิ่งที่สงสัยไปมากกว่าการจะตอบเขาว่ายังไงคือทำไมเฮียขุนถึงต้องอยากรู้ด้วยว่าผมคิดจะคบกับพี่ภามมั้ย

      “หึ…ไม่อยากเห็นไอ้โชไปชอบคนอื่นล่ะสิ” ไอ้นักมันยังจะกล้าแทรกขึ้นมา “อย่าทะนงตัวไปเลยเฮียขุน…เฮียโรคจิตหรือไง จะให้ไอ้โชชอบเฮียคนเดียวไปตลอดทั้งที่เฮียก็ไม่ได้ชอบมันแถมเกลียดด้วยซ้ำ แล้วเฮียจะมาถามในทำนองเหมือนกั๊กหรือหวงเพื่อนผมทำไม”

      “…” เขาเงียบ “ก็แค่อยากรู้ว่ามึงเลิกชอบกูได้จริงๆ อย่างนั้นเหรอ ถ้าเลิกชอบได้…ก็ดี ความรู้สึกน่ารำคาญมันจะได้หายไป เพราะกูก็ไม่ต้องการให้คนอย่างมึงมาชอบกูหรอก”

      นั่นสินะ…นี่คือเหตุผลที่เขาอยากรู้

      ถ้าผมเลิกชอบเฮียขุนได้…เขาคงจะโล่งใจชะมัด

      “ถึงไม่คบกับพี่ภามผมก็เลิกชอบเฮียได้อยู่แล้ว…แต่อย่างที่เขาว่ากัน ชอบคนที่เขาชอบเราดีกว่าไปมัวแอบชอบคนที่เขาไม่มีวันจะชอบเรา…ประโยคนี้เป็นจริงเสมอ” ผมตอบเขาอย่างกำกวม

      และความเป็นจริงคือผมยังไม่ได้ชอบพี่ภาม จะให้ตอบตรงๆ ไปว่าคบหรือไม่คบก็กระดากใจแปลกๆ

      แต่ความหมายมันแฝงอยู่ในประโยคที่ผมพูดและอาจจะเป็นอย่างที่ไอ้นักพูดว่าในเมื่อเฮียขุนเขาเกลียดผม…

      แล้วจะให้ผมชอบเขาคนเดียวไปตลอดได้ยังไง

      วันไหนที่ผมไม่หลงเหลือความรู้สึกชอบเฮียขุนแล้ว…

      ผมก็อาจจะหันไปชอบและคบกับพี่ภามก็ได้

      ผมกับเฮียขุนยืนมองหน้ากันอยู่สักพัก…ไม่แน่ใจว่าเขาอยู่ในโหมดไหน สายตานิ่งที่ทอดมองผมนั้นไม่รู้ว่าพอใจในคำตอบหรือเปล่า

      ทำไมช่วงหลังๆ ผมถึงดูไม่ออกเลยว่าสายตาของเขาจะเย็นชาหรือหงุดหงิดใส่ผม

      ทำไมสายตาคู่นั้นถึงไม่เป็นเหมือนเมื่อก่อน

      ทำไมเอาแต่สงบนิ่งไม่เคลื่อนไหว ทำให้คาดเดาไม่ออก

      ทำไม…

      หรือผมแค่คิดไปเอง…

      “ไปไอ้นัก ไปเอาพร็อพที่รถแล้วกลับไปซ้อมดาวเดือนได้แล้ว” ผมลากแขนไอ้นักมา ครั้งนี้มันไม่เดินวกกลับไปตะโกนใส่หน้าพี่มันอีกและผมก็ไม่ลืมลาไหว้คนนอกอย่างพี่เมฆที่ดันมารู้เรื่องภายในอันไร้สาระของเรา







      วันนั้นผมด่าไอ้นักไปยกใหญ่ว่ามันจะพูดเรื่องพี่ภามขอผมคบขึ้นมาทำไม…พูดให้คนอื่นได้รับรู้ ทั้งที่ผมไม่อยากให้เพื่อนอย่างมันรู้ด้วยซ้ำ

      ผมแค่อยากคิดและตัดสินใจเองคนเดียวเงียบๆ แต่ไอ้เพื่อนปากมากมันก็ดันมารู้ได้ และหลังจากวันนั้นเฮียกุนก็คงรู้จากปากใครสักคน

      ไอ้นักปากมากหรือไม่ก็เฮียขุนที่เขาอาจจะเล่าเป็นเรื่องตลกให้เฮียกุนฟัง

      เฮียกุนก็เลยเอาแต่ตามผมขนาดนี้ เหตุผลคงเพราะเฮียเขาไม่อยากให้คบกับพี่ภามเพราะอคติที่มี…แต่มันอาจจะมากไปหน่อยจนทำให้พี่ภามคิดเลยเถิดว่าเฮียเขาชอบผมซะอย่างนั้น

      ตัวผมรู้ดีว่ามันไม่ใช่ ผมรู้จักพี่ชายอย่างเฮียกุนมานาน เฮียแกไม่ได้มีความรู้สึกชอบผมแบบนั้นหรอก นอกจากเหตุผลที่ผมบอกแล้วอีกอย่างก็น่าจะเป็นเพราะเขาทำหน้าที่พี่รหัสผู้คอยห่วงใยและเทคแคร์ผมทุกอย่าง

      เฮียเขารู้เวลาเลิกเรียนของผมจากการเอาตารางเรียนมาจากไอ้นัก จึงคอยไปรับไปส่งทั้งที่ตัวเองก็ยุ่งเรื่องกิจกรรม ซึ่งการกระทำพวกนี้ผมคิดว่ามันออกจะเกินหน้าที่ไปสักหน่อย…ว่ามั้ย

      ดังนั้นเหตุผลแท้จริงที่เฮียกุนเอาแต่กันพี่ภามออกจากผม…
   
      อันนั้นก็ไม่สามารถรู้ได้


      พี่ภาม เฮียกุน และผม พวกเรายืนเรียงกันอยู่บริเวณหน้าเวทีประกวด สังเกตดูสิครับว่าระหว่างผมและพี่ภามถูกเฮียกุนคั่นกลางไว้

      ตั้งแต่ผมเดินมาเฮียกุนก็เอาตัวเองมาแทรกไว้ทันทีจนพี่ภามแสดงออกสีหน้าว่าเซ็งอย่างเห็นได้ชัด แล้วพวกเขาก็เริ่มเถียงกัน พูดประชดกันไปมาอยู่อย่างนั้นและมักจะทำให้ผมรำคาญอยู่เสมอไป

      “อ้าว เฮียขุน” เฮียกุนทักพี่ชายของเขาที่เดินแทรกผู้คนเข้ามา

      นี่ก็อีกคน…ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองอีกหรือเปล่าว่าช่วงนี้เขามาขลุกอยู่กับเฮียกุนบ่อยๆ ทั้งที่เขามักจะอยู่กับกลุ่มเพื่อนที่อยู่ชั้นปีเดียวกัน

      ดังนั้นเจอพี่ภามที่ไหนก็มักจะเห็นเฮียกุนและพ่วงด้วยเฮียขุนเสมอ ซึ่งเวลาเจอเขาก็มักใช้สายตาที่เรียบนิ่งอยู่อย่างนั้นมองมาที่ผมเป็นเนืองๆ

      รู้สึกอึดอัดชะมัด

      พี่ภาม เฮียกุน ผม และเฮียขุน สังเกตอีกว่าเฮียขุนยืนอยู่ข้างผมเพราะเขาเดินฝ่าฝูงชนเข้ามาทางนี้ และกลายเป็นว่าเรายืนข้างกันเพราะมันลำบากที่เขาจะเดินอ้อมเบียดผู้คนไปยืนข้างพี่ภาม

      ผมจึงอึดอัดเข้าไปใหญ่

      และยิ่งไปกว่านั้นเวลามีคนเดินเบียดเพื่อจะไปยืนติดขอบเวที เบียดมาแต่ละครั้งจากที่แขนของผมและเฮียขุนสัมผัสกันอยู่แล้วกลายเป็นว่าตัวของผมถูกผลักไปชนแผงอกเขาอัตโนมัติ

      ระยะติดประชิดจนลมหายใจอุ่นของเขาพ่นออกมาปะทะใบหูบางๆ ของผมและรับรู้ได้ถึงแรงลมจนทำให้ผมต้องเอียงหัวหลบเล็กน้อยจากแรงสัมผัสนั้น

      “จะเบียดอะไรนักหนา เนอะโช” เฮียกุนบ่นกับผม แต่ทำไมผมรู้สึกว่าสีหน้าเฮียแกดูไม่ได้หงุดหงิดอินไปกับประโยคที่บ่นออกมา แถมยังอมยิ้มแปลกๆ

      “ขอทางหน่อยค่า” มาอีกแล้วผู้หญิงกลุ่มใหญ่ที่แต่ละคนเดินถือพวงมาลัยคล้องคอกันมาเต็มกำมือ ดูเหมือนพวกเธอจะไปรวมตัวกันเพื่อเชียร์ผู้ประกวดใครสักคนอยู่หน้าชิดติดขอบเวที

      เป็นอีกครั้งที่ผมต้องเอี้ยวตัวจากแรงแหวกของหญิงสาวกลุ่มนั้นจนชนแผงอกของเฮียขุน บางคนขอทางซะกว้าง ต้องเอามือแหวกทางจนผู้คนที่ยืนอยู่ตัวเอียงไปทางเดียวกันเหมือนโดมิโนที่กำลังจะล้ม

      ในจังหวะนั้นผมขยับตัวเองเล็กน้อยจึงทำให้ปลายเท้าสะดุดข้อขาของตัวเอง เกือบจะล้มจนไปผลักเฮียกุนหัวทิ่มลงไปแล้วเชียว ยังดีที่ผมพลิกตัวกลับมาทัน แต่กลายเป็นว่าผมหันหน้ามาคะมำมุดจมปุกซุกแผงอกของเฮียขุนแทนซะอย่างนั้น

      ผมเงยหน้ามองเขาและทันทีที่ปะทะสายตากันจึงรีบหลุบต่ำลงมาเช่นเดิมพลางถอนหายใจด้วยความอึดอัด…จะดึงตัวเองออกก็ไม่ได้เพราะพื้นที่ว่างช่างคับแคบเหลือเกินขนาดจะขยับตัวก็ยังลำบาก

      “เฮ้ย ระวัง!” เฮียกุนตะโกนบอกในขณะที่ตัวของเฮียเขาดันหลังผมมาจนทำให้ผมผลักเฮียขุนล้มลงไปอีกที

      ตุบ!

      อุ้บ?

      สถานการณ์ปัจจุบันคือผมล้มลงไปทับตัวเฮียขุนเต็มๆ ผมได้แต่หลับตาปี๋และพยายามเกร็งตัวไม่ทิ้งน้ำหนักทั้งหมดลงไป

      ในความหลับตาปี๋นั้น…แม้จะทำให้มองไม่เห็นแต่สัมผัสได้ถึงความอ่อนนุ่มและเปียกชื้นนิดหน่อยที่ปลายริมฝีปาก ผมจึงลืมตาขึ้นมาและพบว่าไม่ใช่แค่ตัวแต่ปากของผมก็กำลังทับอยู่บนริมฝีปากของเขาด้วย!

      “ว้าย…ผู้ชายเขาจุ๊บกันล่ะแก”

      เสียงผู้คนที่ยืนล้อมเราพากันกรี๊ดและโห่แซวที่เห็นภาพนั้น ผมจึงรีบเอามือผลักให้ตัวเองให้ลุกขึ้นจากตัวเฮียขุนทันที

      ทำไมต้องมีซีนนางเอกล้มทับพระเอกเหมือนในละครด้วยนะ…เกลียดที่สุดเลย

      “เอ่อ…โชเจ็บตรงไหนมั้ย” พี่ภามถามผมตะกุกตะกัก

      เขาคงตกใจและผมเองก็ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ปัดเสื้อผ้าของตัวเองไปมาพลางส่ายหน้าเป็นคำตอบให้เขา

      “ไหน…พี่ขอดูหน่อยเผื่อมีรอยถลอก”

      “เดี๋ยวผมดูให้เอง” เฮียกุนก็ยังทำตัวเป็นกระดูกชิ้นใหญ่ขวางคอเอาไว้ เฮียเขาปัดมือพี่ภามออกก่อนจะถึงตัวผมแล้วช่วยจัดแจงเสื้อที่มันยับให้ “คนเจ็บน่าจะเป็นเฮียขุนซะมากกว่าเพราะโดนไอ้โชทับ…เฮียเจ็บปากป่ะ” เฮียแกชะโงกถามคนที่ยืนถัดจากผมด้วยสีหน้าอมยิ้ม

      ผมหันขวับมองเฮียกุน…เฮียจะถามน่าอายแบบนั้นทำไมเนี่ย

      ผมได้แต่งุดหน้ามองพื้นด้วยความอาย…ถามไปแบบนั้นผมยิ่งทำตัวไม่ถูกและเฮียกุนก็พูดเหมือนจะให้ผมขอบคุณพี่ชายเขาด้วยที่ตัวของเฮียขุนรองรับตัวผมเอาไว้

      ผมแอบชำเลืองตาไปมองเฮียขุนแล้วกลอกตากลับทันทีเพราะเขาเองก็หันมามองผมเช่นกันก่อนจะหันหน้ามองตรงไปทางเวทีต่อ

      เฮียขุนเขาไม่พูด เอาแต่ทำสีหน้านิ่งไม่รู้ร้อนรู้หนาว ไม่ได้เจ็บปวดอะไร ไม่ได้ร้องตอนผมล้มทับ มันเป็นอุบัติเหตุ…



      ผมคงไม่ต้องขอบคุณเขาก็ได้มั้ง




-----TBC-----



หัวข้อ: Re: ❤#Heart To Heart #ใจแพ้รัก❤ 「ตอนที่15」-16/05/19-
เริ่มหัวข้อโดย: Januarysky ที่ 16-05-2019 09:40:56
อ้างถึง
      “…” เขาเงียบ “ก็แค่อยากรู้ว่ามึงเลิกชอบกูได้จริงๆ อย่างนั้นเหรอ ถ้าเลิกชอบได้…ก็ดี ความรู้สึกน่ารำคาญมันจะได้หายไป เพราะกูก็ไม่ต้องการให้คนอย่างมึงมาชอบกูหรอก”
เจอแบบนี้ก็ไม่ไหวอ่ะ
ขอถอยมาเชียร์เฮียกุนกะพี่ภามดีก่า
 :mew3:
หัวข้อ: Re: ❤#Heart To Heart #ใจแพ้รัก❤ 「ตอนที่15」-16/05/19-
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 16-05-2019 17:26:50
 :pig4:
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ❤#Heart To Heart #ใจแพ้รัก❤ 「ตอนที่15」-16/05/19-
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 16-05-2019 18:58:44
ถอยมาตั้งหลักดีกว่านะน้องโช พอได้ที่แล้วก็กระโดดถีบขาคู่ใส่เฮียขุนเลยนะลูก ขอเน้นๆ จัดๆ เลยนะ หึ
หัวข้อ: Re: ❤#Heart To Heart #ใจแพ้รัก❤ 「ตอนที่16」-20/05/19-
เริ่มหัวข้อโดย: ิbanoffee ที่ 20-05-2019 05:10:27
ตอนที่ 16


      ครืด~ ครืด~

      ‘ข้อความจาก Cute’

      Cute: มึงอยู่ตรงไหนเนี่ย…คนเยอะชิบ

      ครืด~ ครืด~

      Nakrob: คนคิ้วท์ของกูมายัง

      Nakrob: ถ้ามาแล้วพามาหากูหน่อย…กูอยากได้กำลังใจ~

      ราวกับว่าไอ้นักเพื่อนรักของผมมันรู้ว่าไอ้คิ้วท์กำลังมา หลังจากที่ไอ้คิ้วท์ทักมาบอกผม ไอ้เพื่อนตัวแสบมันก็ทักตามมาทันที

      ครืด~ ครืด~

      ผมก้มมองที่หน้าจอมือถืออีกครั้ง ไม่ได้เป็นการแจ้งเตือนข้อความแต่อย่างใด การสั่นคราวนี้คือไอ้นักโทรเข้ามาทั้งที่ผมกำลังจะตอบข้อความมัน…ใจร้อนเหลือเกินไอ้เพื่อนคนนี้

      “ว่าไง”

      (พาคนคิ้วท์มาหากูด่วนๆ เลย)

      “จะพาไปทำไมวะ มันอยู่หน้าเวทีแล้วเนี่ย คนยิ่งเยอะๆ อยู่ มันเข้าออกลำบาก” ผมตอบพลางชะโงกมองเห็นไอ้คิ้วท์ที่กำลังเบียดผู้คนเข้ามาอยู่ไหวๆ

      (ก็กูบอกว่าอยากได้กำลังใจ…พาเพื่อนมึงมาหากูเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นกูจะออกไปหาเอง!)

      ไอ้นักมันตะโกนเสียงดังจนผมเอามือถืออกห่างจากหูแทบไม่ทัน พอมันได้งอแงหรือดื้อด้านขึ้นมาแล้วโคตรจะน่ารำคาญเลยครับ แต่เพราะต้องปัดความรำคาญนี้ออกไปผมจึงจำเป็นต้องทำตามที่ไอ้พื่อนรักมันต้องการทุกที “มึงไม่ต้องมา เดี๋ยวกูจะพาไอ้คิ้วท์ไปหาเอง ไอ้นี่นิ…จริงๆ เลย”

      ผมวางสายจากไอ้นักและขยับตัวเพื่อจะเดินไปหาไอ้คิ้วท์ในขณะที่มันกำลังฝ่าฟันกับฝูงชน

      “จะไปไหน?”

      เพราะไอ้คิ้วท์เดินเข้ามาทางเฮียขุน ผมจึงจำเป็นต้องเบียดผ่านเขาไป แต่ถูกเขาจับข้อมือผมเอาไว้…เขาถามและทำสีหน้าเคร่งขรึมราวกับว่าเป็นพ่อแม่ที่พาลูกมาเที่ยวแล้วลูกก็เดินเล่นซนไปทั่ว

      “จะเดินไปไหน ผู้คนยิ่งเบียดเสียดกันเข้าออกลำบาก” เขาถามต่อ

      เขาอยากรู้ว่าผมจะไปไหนตั้งแต่เมื่อไหร่…จะรู้ไปเพื่ออะไร  “ไปไหนก็เรื่องของผม” ผมตอบ

      “ที่กูถามเพราะมึงกำลังเบียดกูอยู่”

      “…” ผมมองค้อนไปที่เขา

      เฮียขุนก็รู้ว่าผู้คนหนาหูหนาตากันซะขนาดนี้ นี่เขาจะไม่มีน้ำใจกับผมถึงขนาดไม่ให้เบียดผ่านออกไปเลยหรือไง “ก็ได้…ขอโทษแล้วกันนะที่เบียด” ผมสะบัดข้อมือที่เขาจับออกแล้วเดินเบียดออกไปทางพี่ภามแทน ผมยอมอ้อมไปก็ได้ถ้ามันจะไปทำความลำบากให้กับคนเห็นแก่ตัวอย่างเขา

      ผมโกรธ หมั่นไส้และโมโหเฮียขุน อารมณ์พวกนี้มันมีมากกว่าแต่ก่อนเพราะเขาพูดกับผมมากขึ้น เป็นฝ่ายที่พูดกับผมก่อนและแต่ละครั้งคำพูดคำจาของเขาก็มักจะกวนประสาทและยั่วโมโหผมเสมอ

      นับวันเลเวลความอดทนของผมที่มีต่อเฮียขุนจึงเพิ่มขึ้นสูงเรื่อยๆ และทั้งที่ผมโมโหเขาแต่ผมก็ยังไม่มั่นใจว่าเลเวลความชอบมันลดลงมาอีกมั้ย…

      ทำไมมันอยู่นิ่งไม่ขยับ…

      ทำไมความชอบมันถึงได้สลัดออกยากนัก…

      ทำไมมันไม่ง่ายเหมือนตอนเริ่มชอบเลย…

      โคตรเกลียดตัวเองที่ชอบคนอย่างเขาง่ายดาย

      แต่ผมก็ชมเชยที่ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น ไม่ได้ทำตัวอ่อนแอเอาแต่ร้องไห้เวลาเผชิญหน้ากับเฮียขุนหรือโดนเขาแกล้ง

      ผมคิดว่าอีกไม่นานผมคงจะทำใจให้ชอบคนอื่นได้



      “โชจะไปไหนเหรอ” พี่ภามถามที่เห็นผมขอทางเขาเดินออกไป

      “โชจะไปหาไอ้คิ้วท์ เดี๋ยวโชมานะ”

      “โอเคครับ” เขายิ้ม

      แตกต่างกันใช่มั้ยล่ะครับ พี่ภามที่พูดจาดีๆ กับผม กับอีกคนที่เอาแต่พูดยั่วกระตุ้นต่อมโมโหผม


      ผมเบียดฝูงชนจนมาถึงไอ้คิ้วท์ที่ติดแหงก และไม่รีรอที่จะรีบลากแขนมันออกมาเพื่อที่จะไปหาไอ้นัก ก่อนที่จะถึงคิวไอ้เพื่อนรักและมันทนไม่ไหวเดินมาหาเอง ซึ่งผมจะปล่อยมันทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะนี่ก็เริ่มโชว์การแสดงของแต่ละคู่แล้วและผมก็ไม่รู้ว่าใกล้จะถึงคิวของมันหรือยัง

      ส่วนไอ้คิ้วท์ที่สงสัยก็ได้แต่ถามว่าจะพามันไปไหน และผมก็ได้แต่บอกมันว่าให้เดินตามเท่านั้นแหละครับ


      “เอ้า จะทำอะไรก็รีบทำ” เมื่อมาถึงหลังเวทีประกวด ผมก็เหวี่ยงไอ้คิ้วท์ไปให้ไอ้เพื่อนรักทันที

      “อะไรของมึงเนี่ยไอ้โช ไหนบอกให้อยู่ห่างเพื่อนมึงเอาไว้ แล้วทำไมทำกับกูแบบนี้อ่ะ” ไอ้คิ้วท์ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่กลายเป็นเชลยจำเป็นไปซะแล้ว

      “โทษทีวะคิ้วท์ ครั้งนี้กูขอนะ กูรำคาญมันจริงๆ”

      “มานี่เลย ขอกำลังใจหน่อยยย” ไม่พูดพร่ำทำเพลง ไอ้นักรีบดึงไอ้คิ้วท์เข้าไปสวมกอดแน่น หน้าของมันที่หันมาทางผมกำลังฉีกยิ้มกว้าง…มันคงจะได้ใจใหญ่

      ไอ้คิ้วท์ถูกกอดแน่นจนมันบ่นหายใจไม่ออกแล้วได้แต่เอามือทุบไอ้นัก แต่ตัวที่เล็กกว่าไม่สามารถขัดขืนกำลังของเพื่อนตัวแสบของผมได้ และไอ้นักก็ไม่สะทกสะท้านอะไรเลยที่โดนไอ้คิ้วท์ตี

      ผมล่ะสงสัยจริงๆ ว่าไอ้เพื่อนรักของผมมันไปปิ๊งไอ้คิ้วท์เข้าได้ยังไง แล้วก็ดูท่าทางมันจะชอบมากถึงขนาดมาบอกกับผมว่ามันจะเลิกแชทคุยกับสาวๆ ในฮาเร็มของมันอย่างจริงจังแล้วหันมาคุยและสนใจไอ้คิ้วท์คนเดียว…เลิกคุยทั้งอำเภอเพื่อเธอคนเดียว อะไรของมันทำนองนั้น

      แต่ผมจะเชื่อใจเสือร้ายอย่างมันได้เหรอ…

      “พอเลยไอ้นัก มึงชักจะเอาใหญ่แล้ว” ผมพูดพลางช่วยแยกให้ไอ้คิ้วท์หลุดจากอ้อมกอดไอ้เพื่อนรัก

      “อะไรเล่า…กูยังไม่หนำใจเลย” มันบอกหน้าหงิกหน้างอแล้วดึงไอ้คิวท์ไปกอดอีกครั้ง

      “ไอ้นัก!” ผมช่วยดึงไอ้คิ้วท์ออกมาอีกรอบ

      “อะไรของพวกมึงเนี่ย เห็นกูไม่มีชีวิตจิตใจหรือไง เดี๋ยวกอดเดี๋ยวดึง คิดจะทำอะไรกับกูก็ได้ว่างั้น…โดยเฉพาะมึงไอ้โช จะพากูมาหาเพื่อนหน้าม่อของมึงทำไม กูจะโกรธมึงละนะ” ไอ้คิ้วท์หันมาพูดกับผมด้วยสีหน้าหงุดหงิดแล้วสะบัดมือปลาหมึกของไอ้นักออกก่อนจะเดินไป

      “คิ้วท์เดี๋ยวก่อน!” ผมตะโกนตามมันไป “เพราะมึงเลยไอ้นัก ไอ้คิ้วท์พาลโกรธกูแล้วเนี่ย”

      “เออน่า…เดี๋ยวกูง้อให้”

      “มึงไม่ต้องเลย” ผมบอกมันทิ้งท้ายแล้วรีบวิ่งตามไอ้คิ้วท์ไป




      ไอ้นัก…ไอ้เพื่อนตัวปัญหา มันเกือบจะทำให้ไอ้คิ้วท์โกรธผมจริงๆ ตั้งแต่เป็นเพื่อนกันมาไอ้คิ้วท์ยังไม่เคยโกรธผมเลยสักครั้ง ยังดีที่มันเป็นคนไม่ถือสาว่าความอะไรมาก แต่มันบ่นให้ผมฟังว่าคนที่รักสงบและใช้ชีวิตสบายๆ อย่างมัน ในช่วงนี้กลับไม่เป็นอย่างนั้น เพราะไอ้นักมักไปวนเวียนและวอแวกับมันที่คณะศิลปกรรมอยู่บ่อยๆ

      ผมก็พอเข้าใจแหละครับว่าคนเซ้าซี้จอมวุ่นวายอย่างไอ้นักอยู่กับใครก็คงไม่สงบสุขนักหรอก

       นี่ถ้าผมไม่ขอร้องให้ไอ้คิ้วท์มา มันก็คงไม่มาให้ ว่าแล้วก็รู้สึกผิดกับเพื่อนแฮะ ทั้งที่เป็นคนบอกกับมันเองว่าให้อยู่ห่างๆ ไอ้นักเข้าไว้แต่ผมดันเป็นคนพามันมาหาไอ้เพื่อนตัวแสบซะเอง

      ถึงอย่างนั้นผมก็เกลี่ยกล่อมไอ้คิ้วท์อยู่นานกว่ามันจะยอมอยู่ดูโชว์ของไอ้นัก เพราะเพื่อนรักมันขู่ผมว่าถ้าคิ้วท์มันกลับไป…หลังจากประกวดเสร็จไอ้เพื่อนตัวแสบของผมมันจะบุกไปหาไอ้คิ้วท์ให้ถึงหอเลย

      ทั้งที่ผมถือไพ่เหนือกว่าเพราะไอ้คิ้วท์เองก็เป็นเพื่อนรักของผมและผมคือคนที่จะสามารถอนุญาตให้ไอ้นักจีบได้หรือไม่ได้ แต่ตอนนี้ดูเหมือนผมจะแพ้ให้กับความงอแงและน่ารำคาญของมันยังไงไม่รู้


      ผมกับคิ้วท์จึงเดินกลับเข้ามาบริเวณหน้าเวทีประกวดพร้อมกับพวงมาลัยคล้องคอที่ซื้อมาจำนวนหนึ่ง เพื่อใช้เป็นคะแนนโหวตให้กับผู้ประกวด

      ผมทักไปบอกพี่ภามว่าไม่สามารถเบียดเสียดฝ่าฝูงชนที่ดูเหมือนจะหนาแน่นมากกว่าเดิมเข้าไปได้ ผมและคิ้วท์จึงยืนกันอยู่บริเวณข้างเวที

      พี่ภามจึงบอกว่าจะออกมาหาแต่ผมก็เบรกไว้ก่อนโดยใช้ข้ออ้างว่าออกมาลำบาก…ที่จริงแล้วถ้าพี่ภามออกมาหา เฮียกุนก็จะตามมาด้วยและเฮียขุนก็คงมาเช่นกัน

      ผมรำคาญที่พี่ภามกับเฮียกุนเถียงกันแล้วก็เบื่อที่จะต่อคารมณ์กับเขาคนนั้นอ่ะครับ


      “โช”

      ผมหันไปมองคนที่สะกิดเรียก “อ้าว สวัสดีครับพี่เมฆ”

      “หวัดดีๆ โชมากับใครเหรอ”

      “นี่คิ้วท์เพื่อนโชเองครับอยู่คณะศิลปกรรม คิ้วท์นี่พี่เมฆรุ่นพี่ปีสี่” ผมแนะนำให้พวกเขารู้จักกัน

      “สวัสดีครับพี่เมฆ”

      “หวัดดีครับ” พี่เมฆยกมือรับไหว้ไอ้คิ้วท์ “อะ นี่น้ำ อากาศร้อนๆ พี่ซื้อติดมือมา” พี่เขายื่นขวดน้ำเย็นๆ มาให้ผมแล้วก็อีกขวดให้ไอ้คิ้วท์ ดูเหมือนพี่เขาจะสละน้ำของตัวเองให้

      ผมกับไอ้คิ้วท์จึงรับน้ำใจที่พี่เมฆให้มาอย่างเกร็งๆ…อากาศร้อนมากจริงๆ เพราะสังเกตได้จากเหงื่อของพี่เขาที่ไหลย้อยเป็นหยดลงมาที่คาง พี่เมฆคงเดินตากแดดจากตึกที่ปีสี่เรียนมายังใต้ตึกใหม่ที่ใช้จัดการประกวด

       ผมจึงเปิดฝาและดื่มไปหลายอึกด้วยความกระหายเช่นกัน จากนั้นก็ยื่นให้พี่เมฆ “พี่เมฆดื่มด้วยกันนะครับ…ดับกระหายแล้วก็คลายร้อน เหงื่อของพี่ยังไหลออกมาอยู่เลย” ผมชี้แก้มพี่เขาที่เหงื่อกำลังไหลลงมา

      “ขอบคุณครับ” พี่เมฆรับไปดื่ม พี่เขาดื่มอย่างเร็วแทบจะกลายเป็นกระดกด้วยซ้ำ ดื่มเสร็จก็ยื่นกลับคืนมาให้ผมแล้วพูดขอบคุณอีกครั้งแล้วยิ้มให้ นี่พี่เขาเป็นคนซื้อมานะ…ทำไมต้องเกรงใจซะเองแล้วทำไมต้องมีน้ำใจให้กับรุ่นน้องขนาดนี้ด้วย

      “พี่เขาเป็นอีกคนที่ตกหลุมเสน่ห์มึงเหมือนพี่ภามสินะ” ไอ้คิ้วท์พูดกระซิบข้างหูผม

      “พูดอะไรของมึง ตกหลุมเสน่ห์บ้าบออะไรกัน”

      “ก็ยิ้มแพรวพราวของพี่เมฆเมื่อกี้ มันคือยิ้มอ่อยมึงชัดๆ”

      “อ่อยบ้าอะไร พี่เมฆเขาเป็นคนใจดี เขาคือคนที่กูเล่าให้มึงฟังว่าช่วยกูตอนที่โดนเฮียขุนแกล้งที่โรงแรมไง”

      “เออ…กูรู้แล้ว มึงไม่คิดว่าที่พี่เขาใจดีกับมึงเพราะว่าเขาสนใจมึงหรือไง”

      “ไม่ใช่…” ผมหันขวับไปยิ้มให้พี่เมฆในขณะที่พี่เขาชะโงกหน้ามามองพวกเราอย่างสงสัยว่ากระซิบกระซาบอะไรกัน

       ผมจึงจับหน้าไอ้คิ้วท์ให้หันไปสนใจเวทีประกวดที่เขากำลังประกาศชื่อไอ้นักให้เป็นโชว์ลำดับถัดไป

      “มึงนี่ชอบโง่ในเรื่องแบบนี้เนาะ” ดูมันด่าผม

      “…” เวลาโดนไอ้คิ้วท์ด่าหน้าตายแบบนั้น…เจ็บที่สุดเลยครับ



      กรี๊ดดดดดดด! ผู้คนกรี๊ดกันเกรียวกราวโดยเฉพาะผู้หญิง และตามมาด้วยเสียงปรบมือกระหึ่มต้อนรับไอ้นักที่เดินออกมาด้วยชุดนักรบโรมันแสนเท่

      ที่แท้ผู้หญิงกลุ่มใหญ่ที่เบียดผ่านผมไปก็คือกองเชียร์ของไอ้นักนี่เอง พวกเธอถือพวงมาลัยคล้องคอกันไปเต็มมือขนาดนั้น ไอ้นักคงไม่พ้นรางวัลป๊อปปูล่าโหวตเป็นแน่

      “ทำไมเพื่อนมึงทำท่าแบบนั้น” ไอ้คิ้วท์สะกิดให้ผมเงยหน้าจากสาวๆ ล่างเวทีขึ้นมองดูไอ้นักบนเวทีที่กำลังเดินออกมาด้วยท่าทางแปลกๆ

      ไอ้เพื่อนรักมันเอาแต่ชะโงกพลางกวาดสายตาไปมา ทำเอาผู้ชมเงียบและคงกำลังงงงันว่ามันจะแสดงอะไร

      “มันมองหามึงไง” ผมบอกไอ้คิ้วท์ “แล้วก็ดูเหมือนว่ามันจะเห็นมึงแล้วด้วย” ผมบอกต่อเมื่อเห็นไอ้เพื่อนรักมันหยุดสายตามาทางผมแล้วยิ้มกว้างออกมา

      ไอ้นักมันใช้ดาบชี้มาทางไอ้คิ้วท์แล้วยิ้มจากนั้นก็กระพริบตาหว่านเสน่ห์ให้ด้วย ก่อนที่มันจะกระโจนหาเอ็กซ์ตร้าที่แสดงเป็นศัตรูและทำท่าทางต่อสู้ด้วยมาดเท่อย่างนักรบโรมันเพื่อที่จะแย่งชิงคนรักหรือคู่ประกวดที่แสดงร่วมกันคืนมา

      “เพื่อนมึงนี่ปัญญาอ่อนเนาะ” ไอ้คิ้วท์บอกกับผม

      “อือ…” ผมพยักหน้าเห็นด้วย

      ผมก็ไม่คิดว่าเพื่อนรักของผมมันจะติ๊งต๊องขนาดนี้เหมือนกัน

      แต่ถึงอย่างนั้นความหล่อเหลาของไอ้นักก็บดบังความติ๊งต๊องของมันไว้ ต้องยอมรับว่ามันแสดงออกมาได้ดีและเท่จนสาวๆ กรี๊ดกันเกรียวจนมันเดินลงเวที

      “ทำไมโชถึงไม่ได้ขึ้นประกวดนะ”

      “ครับ?” ผมหันไปทางพี่เมฆ ดูเหมือนว่าพี่เขาจะพูดขึ้นมาลอยๆ

      “ก็โชทั้งหล่อแล้วก็น่ารัก ทำไมถึงไม่ได้คัดเลือกให้ไปประกวด”

      “มีคนที่หน้าตาดีกว่าโชตั้งหลายคน…อีกอย่างโชคงสู้ไอ้นักมันไม่ได้หรอกครับ” ผมหัวเราะเขินๆ ที่จู่ๆ พี่เขาก็ชมออกมา

      “แต่พี่ว่าถ้าโชขึ้นไปประกวด โชก็ต้องได้สักรางวัลแน่ๆ”

       “แฮะๆ” ผมเกาหัวแก้เขิน “อะไร?” ผมหันไปถามไอ้คิ้วท์เพราะมันเอาแต่จ้องผมแล้วยิ้มอย่างมีเลศนัย

      “หน้ามึงแดงชิบหาย”

      “ไม่ใช่อย่างที่มึงคิด!” ผมทำหน้าดุใส่มัน

      ไม่ใช่อย่างที่ไอ้คิ้วท์คิดจริงๆ นะครับ ผมแค่เขินเพราะไม่ค่อยมีใครชมผมแบบนี้บ่อยนัก…คนเราเวลาโดยชม ไม่ว่าใครชมก็ต้องเขินเป็นธรรมดาใช่มั้ยล่ะ



      ถึงเวลาให้คะแนนโหวตจากคนชม…ไอ้นักมันทักแชทมาดักว่าให้ไอ้คิ้วท์เอาพวงมาลัยไปคล้องคอให้มันด้วย พอไอ้เพื่อนตัวแสบมันจับทางได้ว่าผมแพ้ความน่ารำคาญของมัน มันก็ชักจะเอาใหญ่ แต่ผมก็ต้องแพ้มันทุกครั้งไปรวมถึงไอ้คิ้วท์ด้วยที่มันก็ไม่ชอบให้เกิดความรำคาญโดยเฉพาะลูกตามลูกตื้อของไอ้เพื่อนรักที่ชอบมาตามรังควานกวนใจมัน

      ไอ้คิ้วท์จึงจำใจเดินถือพวงมาลัยไปด้วยสีหน้าที่เบื่อหน่ายและเซ็งขั้นสุด

      พอไอ้นักเห็นก็รีบดันตัวเองมาที่ขอบหน้าเวทีทันที มันยิ้มร่าหน้าบานแล้วโค้งตัวอย่างงามเพื่อที่จะให้ไอ้คิ้วท์คล้องมาลัยให้

      “ขอบคุณคร้าบบบ คนคิ้วท์”

      “เฮ้ย จะทำอะไรของมึง!” ไอ้คิ้วท์ตกใจจึงรีบหลบหน้าออกมา

      ระหว่างที่ไอ้เพื่อนรักมันโค้งรับพวงมาลัยจากไอ้คิ้วท์ แทนที่รับเสร็จมันจะยืนขึ้นแต่ไอ้นักมันเงยหน้าขึ้นมาแล้วจ้องหน้าไอ้คิ้วท์ตาหวานเยิ้มพลางทำท่าจะหอมแก้ม…ดีที่ไอ้คิ้วท์หลบทัน แต่ก็ไม่พ้นสายตาของสาวๆ แถวนั้นที่เห็นกันแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

      “เดี๋ยวเถอะไอ้นัก” ผมก็คือผู้เห็นเหตุการณ์ซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ด้วย

      “มึงไม่ต้องมาก็ได้นะไอ้โช กูได้พวงมาลัยจากการคนคิ้วท์คนเดียว กูก็พอใจละ” ไอ้เพื่อนรักมันหันมาพูดกับผม

      “พอมีไอ้คิ้วท์อยู่ มึงก็เลยจะไม่เห็นหัวกูเลยว่างั้น”

      “อือ” มันพยักหน้าด้วยรอยยิ้มกวน

      ผมจึงคล้องพวงมาลัยแกมโยนให้ไอ้นักด้วยท่าทางไม่เต็มใจเพราะหมั่นไส้มัน


      หลังจากที่โหวตคะแนนจากคนชมเรียบร้อย แน่นอนว่ามองด้วยตาเปล่าดูก็รู้ว่าไอ้นักได้รางวัลป๊อปปูล่าโหวตไป จากนั้นรางวัลอื่นๆ เช่นผิวสวยหรือโชว์เด่นก็ประปรายไปให้คนอื่น

      จนมาถึงประกาศรางวัลเดือนและดาวประจำคณะ…และแน่นอนว่าไอ้นักได้เป็นเดือนของคณะและเป็นตัวแทนไปประกวดเดือนมหาวิทยาลัยตามคาด ดูเหมือนนอกจากจะได้คะแนนจากคนชมแล้วหน้าตาของมันก็ยังทำให้ได้ใจคณะกรรมการไปอย่างไม่มีข้อกังขา

       ไอ้นักดีใจใหญ่พลางเอาแต่มองมาทางไอ้คิ้วท์ซึ่งมันกำลังจะเดินออกไป

      “ไปไหนวะ” ผมถาม

      “ก็การประกวดจบแล้วนี่ กูอยากกลับหอแล้วอ่ะ วันนี้ทำกิจกรรมเยอะมาก กูโคตรเพลียเลย”

      “โอเค เดี๋ยวกูจัดการไอ้นักให้ เพราะมันต้องมาโวยวายกับกูแน่ที่มึงไม่ได้อยู่รอมัน”

      “เออๆ แล้วไว้เจอกัน…สวัสดีครับพี่” ไอ้คิ้วท์ไม่ลืมที่จะลาพี่เมฆ

       ผมโบกมือให้ไอ้คิ้วท์และมองมันเดินไป จากนั้นผมก็ต้องทำคิ้วฉงนเพราะเห็นใครวิ่งตามไอ้คิ้วท์ไปอย่างเร็ว

      ผมหันไปมองรอบๆ เวทีก็เห็นผู้คนงงไม่ต่างจากผมและเอาแต่กระซิบกระซาบถึงคนที่มันกระโดดจากเวทีลงมากะทันหันก่อนจะวิ่งไป

      “ไอ้นัก!” ผมอุทาน

      เป็นไอ้เพื่อนรักของผมเองครับ มันกำลังรับรางวัลและเขาก็กำลังถ่ายรูปกันอยู่ มันกลับกระโดดลงมาปุบปับแล้ววิ่งตามไอ้คิ้วท์ไปทั้งช่อดอกไม้และสายสะพายที่คล้องให้ไม่เสร็จดี

      ให้ตายเหอะ…ความบ้าบิ่นของมันเนี่ย

      มันสนไอ้คิ้วท์มากจนไม่สนคนรอบข้างเลย


      ผมกับพี่เมฆจึงรีบวิ่งตามมันไป

      “คนคิ้วท์จะรีบไปไหน” พอผมไปถึงก็เห็นไอ้นักคว้าแขนและกำลังเซ้าซี้ไอ้คิวท์

      “กูก็จะกลับหอสิ”

      “รีบกลับทำไม ไปหาอะไรกินก่อนมั้ย”

      “กูไม่ไป กูไม่หิว มึงเลิกเซ้าซี้ได้แล้ว กูก็มาดูมึงประกวดแล้วไง จะเอาอะไรอีก”

      “งั้นกูไปส่งนะ…ส่วนมึงไอ้โช นู้น พี่ภามเดินมานู้นแล้ว มึงก็กลับกับเขาแล้วกันนะ” มันพูดกับไอ้คิ้วท์แล้วหันมาบอกผม จากนั้นไอ้คิ้วท์ก็โดนมันลากแขนไปโดนที่ยังไม่เอ่ยปากอะไรเลย และไอ้คิ้วท์ผู้แสนเหนื่อยล้าจากการทำกิจกรรมของวันนี้ก็ปลิวไปตามแรงดึงของไอ้นักไป

      “แค่ไปส่งนะ ห้ามพาไอ้คิ้วไปไหน!” ผมตะโกนบอกไอ้เพื่อนตัวแสบ

   
       “โช จะกลับเลยมั้ย”

      “ไม่ต้องเลยนะพี่ภาม ไอ้โชมันจะกลับกับผม”

      ทันทีที่พี่ภามเดินมาถึงและเอ่ยปากถามผมแบบนั้นก็มักจะมีเฮียกุนมาขัดคออีกตามเคย มันเป็นเหตุการณ์เดจาวูที่เกิดขึ้นบ่อยตั้งแต่ที่เฮียกุนเอาแต่ตามติดผมแล้วล่ะ

       “พี่เมฆ สวัสดีครับ” ถึงอย่างนั้นเฮียกุนก็ยังเห็นว่ามีรุ่นพี่ยืนอยู่

       และเฮียขุนที่เดินมาด้วยก็ทักพี่เมฆเช่นกัน

      “หวัดดีๆ งั้นก็คงแยกย้ายกันกลับเพราะพี่ก็มีธุระต้องไปทำ…พี่กลับก่อนนะโช แล้วไว้เจอกัน” พี่เมฆบอกลาพลางขยี้หัวผม “กลับกันดีๆ ล่ะ” ก่อนจะโบกมือให้ทุกคนแล้วเดินไป

       “กลับดีๆ ครับพี่เมฆ ขอบคุณสำหรับน้ำด้วย” ผมชูขวดน้ำเปล่าที่ยังถืออยู่ในมือให้พี่เขา

      และขณะนั้นผมก็รับรู้ได้ถึงรัศมีบางอย่าง จึงค่อยๆ ลดมือที่กำลังโบกให้พี่เมฆลงแล้วหันดูรอบๆ

      พี่ภาม เฮียกุนและเฮียขุนกำลังจ้องมองมาที่ผมเป็นตาเดียวกัน นี่พวกเขาคิดบ้าบอเหมือนไอ้คิ้วท์หรือเปล่านะ รุ่นพี่รุ่นน้องบอกลากันมันแปลกตรงไหน ทำไมต้องมองผมด้วยสายตาที่สงสัยกันแบบนั้นด้วย

      “น้องโชหรือเปล่าคะ” ในขณะที่ผมกำลังทำตัวไม่ถูกที่โดนจ้องมองก็มีรุ่นพี่ผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาทัก

      “ใช่ครับ”

      “พี่รหัสฝากของมาให้ค่ะ”

      “อ่อ ขอบคุณครับ” ผมรับกล่องมาจากเธอ ดูเหมือนจะกล่องใหญ่และหนักกว่าครั้งที่แล้ว และรุ่นพี่ที่เอามาให้ก็ไม่ใช่คนเดิมด้วย

      ผมมองพลางอมยิ้มไปที่เฮียกุน…ทำเป็นเปลี่ยนคนเอาของมาให้ ยังไงผมก็คิดว่าเป็นเฮียเขาอยู่ดีนั่นแหละ

      “โชเลือกได้นะว่าจะกลับกับใคร” จู่ๆ พี่ภามก็ถามขึ้นมาข้ามหน้าข้ามตาเฮียกุน

      “เอ่อ…” ผมมองรอบๆ เพิ่งสังเกตว่าเฮียขุนไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้แล้ว ไม่รู้เขาเดินไปตอนไหน ดีแล้วล่ะ…เห็นหน้าคนๆ นั้นแล้วรำคาญตา

      “ก็บอกแล้วไงว่าไอ้โชมันจะกลับกับผม มันอยู่หอเดียวกันกับผมแล้วทำไมมันต้องกลับกับพี่ด้วย”

      “ก็กูอยากไปส่ง”

      “ไม่ต้องก็ได้มั้ง”

      “นี่ ไอ้กุน มึงจะขัดกูไปถึงไหน”

      เฮ้ออ พวกเขาเถียงกันเรื่องเดิมๆ อีกแล้ว เวลาหลังเลิกเรียนของผมทุกวันนี้ช่างวุ่นวายจริงๆ “กลับกับเฮียกุนนั่นแหละครับ” ผมพูดและพยักหน้าให้พี่ภามเพื่อเป็นการบอกว่าตัดปัญหาเพราะยังไงเฮียกุนก็ไม่ยอมให้ผมกลับกับพี่ภามง่ายๆ หรอก และขืนมัวแต่ยืนเถียงกันอยู่อย่างนี้คงไม่ต้องกลับกันพอดี

       “งั้นถึงหอแล้วทักมาบอกพี่นะ” พี่ภามบอกก่อนจะเดินไปและไม่วายหันมามองตาขวางส่งท้ายให้เฮียกุน ส่วนเฮียกุนเองก็กอดอกและยิ้มอย่างพอใจ

      “ไปรอที่รถก่อนเดี๋ยวกูไปคุยกับเพื่อนแป๊ป”

      “ครับเฮีย” ผมพยักหน้า


      ผมเดินถือกล่องที่พี่รหัสเอามาให้…ที่ผ่านมาก็ฝากของมาให้เรื่อยๆ ขนมกล่องที่เอามาให้ครั้งที่แล้วก็ยังเหลืออยู่เต็มตู้เย็นเลย เฮียกุนนี่ใจป๋าจริงๆ ผมคิดว่าผมน่าจะเป็นน้องรหัสที่โชคดีกว่าใคร

      “ดูมีความสุขจังนะ”

      รอยยิ้มของผมที่กำลังเป็นปลื้มกับของที่ได้รับจากพี่รหัสเป็นอันต้องหุบลงเมื่อเห็นเฮียขุนยืนพิงรถเฮียกุนอยู่

      “เนื้อหอมใช่เล่น คนนั้นคนนี้มารุมจีบ ทั้งไอ้ภามแล้วก็พี่เมฆ”

      “…” แล้วมันเป็นธุระกงการอะไรของเขากันนะ ผมมองเขาอย่างเคืองๆ

      “มีคนมาให้เลือก อย่างนี้ก็คงเลิกชอบกูได้แล้วสิ”

       ที่แท้ก็มาตอกย้ำความสบายใจให้กับตัวเองว่าไม่มีคนอย่างผมชอบเขาแล้ว “หึ ก็คงอย่างนั้นแหละครับ ผมเคยบอกแล้วนี่ว่าชอบคนที่มาชอบเราดีกว่ามัวไปแอบชอบคนที่มันไม่เคยจะสนใจเรา ดังนั้นบอกไว้ตรงนี้เลยนะว่าผมจะไม่ทำตัวโง่ชอบเฮียแล้ว” ผมพูดด้วยสีหน้าเย้ยเขา ให้เขาเลิกทะนงตัวซะทีว่าผมจะเลิกชอบคนอย่างเขาไม่ได้

      ผมจะทำให้เขารู้ว่าผมจะไม่แยแสเขาแล้ว เฮียขุนเขาจะได้โล่งใจที่ไม่มีคนอย่างผมไปชอบเขา…ดังนั้นเขาต้องทำหน้าดีใจหรือไม่ก็สีหน้าเฉยชาอย่างที่เป็นอยู่สิ แต่ทำไมจากที่มองหน้าเขาตอนนี้ เฮียขุนกลับขมวดคิ้ว ผมรับรู้ได้ว่าเขากำลังหัวเสีย สายตาของเขากำลังโกรธและกำลังเดินพุ่งตรงมาที่ผม

      เขาเดินมาจับและบีบแก้มของผมอย่างแรงให้เชิดขึ้นมองหน้าและนัยน์ตาดุของเขา “อย่าให้กูรู้แล้วกันว่ามึงยังชอบกูอยู่” เขาพ่นประโยคนั้นออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

      ผมมองสู้สายตาเฮียขุนให้ถึงที่สุดและอยากจะสื่อออกไปว่า…



      ครับ...ผมจะไม่ชอบคนอย่างเฮียอีกต่อไป





-----TBC-----
หัวข้อ: Re: ❤#Heart To Heart #ใจแพ้รัก❤ 「ตอนที่16」-20/05/19-
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 20-05-2019 19:33:51
เมื่อไหร่ที่น้องปากตรงกับใจจริงๆ แล้วเฮียจะดิ้นแบบไหนดี หึหึ
หัวข้อ: Re: ❤#Heart To Heart #ใจแพ้รัก❤ 「ตอนที่17」-30/05/19-
เริ่มหัวข้อโดย: ิbanoffee ที่ 30-05-2019 05:54:14
ตอนที่ 17


      “เฮียขุน”

      จังหวะเหมาะที่เฮียกุนเดินมาพอดี ก่อนที่พี่ชายของเฮียเขาที่เอาแต่จ้องผมราวกับจะกินเลือดกินเนื้อกำลังบีบแก้มของผมแทบจะบุบเข้าไปอยู่แล้ว

      “เฮียทำอะไรไอ้โชมันน่ะ”

      “ทำอะไร…กูกำลังกินข้าวกับมันอยู่มั้ง” เขาตอบกวนก่อนจะสะบัดมือออกจากแก้มของผม

      “อ๋อเหรอ…ผมเพิ่งรู้ว่ากินข้าวกันแบบนี้” เฮียกุนเองก็ยียวนเช่นกัน “เออไอ้โช เดี๋ยวเฮียขุนกลับด้วยนะ พอดีรถเฮียเขาเสีย”

      “…” ผมขมวดคิ้วหันไปมองเฮียกุนทันทีหลังจากที่เฮียเขาบอกผม มิน่าล่ะเฮียขุนถึงได้มายืนอยู่นี่ “ถ้าอย่างนั้นผมจะกลับเอง”

      “ไม่ได้/ไม่ได้” สองพี่น้องพูดพร้อมกัน

      เฮียกุนน่ะไม่แปลกและผมไม่สงสัยอะไรที่เฮียเขาจะพูดแบบนั้น เพราะยังไงทุกครั้งที่ผมบอกว่าจะกลับเองแต่เฮียกุนก็จะดั้นด้นไปส่งที่หออยู่ดีทั้งที่มันใกล้แค่หนึ่งป้ายรถเมล์จะเดินกลับก็ยังได้

      แต่เมื่อกี้ถ้าผมได้ยินไม่ผิด…เฮียขุนก็พูดออกมาเช่นกัน
 
      ทำไมเขาไม่ต้องการให้ผมกลับเองทั้งที่เขาก็จะกลับรถเฮียกุนด้วย เฮียขุนน่าจะดีใจที่ผมไม่ต้องนั่งรถกลับกับเขา…เขาจะได้ไม่ต้องรู้สึกอึดอัดและรำคาญ

      “มึงจะกลับเองทำไมวะ ก็กลับด้วยกันเนี่ยแหละ ไม่ต้องห่วงถึงเฮียขุนจะกลับด้วยแต่รถกูก็มีที่นั่งเหลือเฟือที่จะทำให้มึงเหยียดแขนขา ตีลังกานั่งก็ยังได้” เฮียกุนบอกผมหรือกำลังพูดเสียดสีพี่ชายตัวเองกันแน่

      แต่ผมไม่ได้ห่วงเรื่องนั้นหรอก เฮียเขาน่าจะรู้ว่าทั้งพี่ชายของเขาและผมอึดอัดที่จะนั่งรถกลับด้วยกัน

      หลังๆ มานี่นอกจากจะแปลกที่เอาแต่ทำตัวติดผมแล้วเฮียกุนก็ยังทำเหมือนไม่เข้าใจผม ทั้งที่เฮียเขารู้ดีว่าผมไม่กล้าที่จะมองสายตาที่เย็นชาของเฮียขุนและตอนนี้ผมก็ไม่อยากเห็นหน้าเพราะกำลังพยายามลบความรู้สึกชอบที่ผมมีให้กับเขา

      “ผมจะกลับเองครับ” ผมย้ำคำเดิม

      “ก็บอกว่าไม่ได้ นี่มันจะสี่ทุ่มแล้ว รถเมล์ก็หายาก จะเดินกลับก็เปลี่ยว”

      “งั้นผมจะนั่งวิน”

      “ไอ้โช…ทำไมมึงดื้อจังวะ” เฮียกุนรีบคว้ามือผมไว้ก่อนจะเดินไป

      “เฮียนั่นแหละ…ทำไมช่วงนี้ต้องทำตัวไม่เข้าใจผม เฮียรู้ดีว่าทำไมผมถึงจะกลับเอง…” ผมเหลือบหันไปมองพี่ชายของเฮียเขา “เพราะถ้าเฮียขุนกลับด้วย…ผมก็จะไม่กลับกับเฮีย”

      “มึงจะกลับเองไม่ได้ ช่วงนี้ยิ่งมีขโมยชอบชุกซ่อนตัวอยู่ในที่มืดและถึงมึงจะเป็นผู้ชายก็ไม่ได้ทำให้ปลอดภัยมากขึ้น ถ้ามันจะขโมยไม่ว่าผู้หญิงผู้ชายก็โดนปล้นได้เหมือนกัน…ใช่ว่ากูไม่เข้าใจว่ามึงอึดอัดที่จะนั่งรถกลับกับเฮียขุน แต่ที่พูดเพราะกูเป็นห่วง มึงแค่กลั้นใจนั่งรถแป๊ปเดียวก็ถึงหอแล้ว” เฮียกุนพูดยาวเหยียด

      “ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องเป็นห่วง…เดี๋ยวผมจะโทรบอกให้พี่ภามมารับก็ได้”

      “นั่นยิ่งไม่ได้!” เฮียกุนตะโกนใส่ผม “ไอ้พี่ภามมันยิ่งกว่าขโมยซะอีก”

      “แต่…” จู่ๆ แขนของผมก็ถูกกระชาก “ทำอะไรของเฮียเนี่ย…ปล่อยผมนะ!” เฮียขุนเดินมาดึงแขนของผม จากนั้นเขาก็เปิดประตูรถแล้วจับหัวผมยัดเข้าไปข้างในทันที “นี่…”

      ปัง!

      แถมยังจะปิดประตูรถใส่หน้าผมอีก

      “แล้วนั่นเฮียจะไปไหน” เฮียกุนถามพี่ชายหลังจากที่เขาปิดประตูใส่ผมแล้วเขาก็ไม่ได้ขึ้นรถตามมาแต่จะเดินไปไหนไม่รู้

      “กูจะกลับเอง” เขาบอกแค่นั้นก่อนจะหันมามองผมผ่านกระจกด้วยสายตาที่ปัดรำคาญ



      “ทำไมพี่ชายเฮียต้องกลับเองด้วยล่ะ ผมเป็นคนนอก…ผมต่างหากที่จะต้องกลับเอง มาทำตัวแปลกให้ผมไม่เข้าใจอีกแล้ว…ไม่ว่ายังไงผมก็ยืนยันว่าจะไม่นั่งรถกลับกับเขาก็เลยทำเป็นว่าเสียสละจะกลับเองว่างั้น เพื่ออะไร ทั้งที่จริงคนใจร้ายและเห็นแก่ตัวอย่างเขาน่าจะยิ้มอย่างพอใจที่เห็นผมได้เดินกลับหอเองแต่ตรงข้ามดันมาทำตัวเกรี้ยวกราดใส่ผมแทน” ทันทีที่เฮียกุนเคลื่อนรถออกผมก็บ่นให้เขาฟังด้วยความหงุดหงิด

      “เฮียเขาคงเป็นห่วงมึงมั้ง” เฮียกุนพูดผ่านๆ ในขณะที่กำลังหมุนพวงมาลัย

      “เฮียว่าไงนะ…ตลกละ พี่ชายเฮียจะมาห่วงอะไรผม ทำตัวพิลึกพิลั่น เฮียก็ด้วย!” ผมหันไปตะคอกใส่คนขับ “เฮียเลิกตามผม เลิกคอยไปรับไปส่งได้แล้ว เฮียไม่เป็นตัวเองเลยรู้มั้ย ถึงเฮียจะไม่ชอบพี่ภามแต่ก็จะไม่เข้ามายุ่งวุ่นวายเรื่องของใครไม่ใช่เหรอ ถึงเป็นห่วงก็เป็นห่วงอย่างห่างๆ แต่นี่มันแปลกมากสำหรับคนอย่างเฮียนะที่ต้องมาคอยเจ้ากี้เจ้าการกับผม ตอนนี้ผมไม่เข้าใจทั้งเฮียแล้วก็พี่ชายของเฮียเลยว่ากำลังทำบ้าอะไรกันอยู่” ผมพูดแล้วพรูลมหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยที่บ่นใส่เฮียเขายาว

      “กูก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องมายุ่งวุ่นวายกับเรื่องของพวกมึงขนาดนี้ด้วยเนี่ย”
 
      เฮ้ออ…ทั้งเฮียกุนและผมเองต่างก็ถอนหายใจออกมาพร้อมกัน


Kunsue’s part


      “นี่เฮียเดินกลับเหรอ” ผมถามเฮียขุนก่อนที่ตัวเองจะเปิดประตูเข้าห้องแต่เห็นเฮียเขาเดินมาพอดี

      “ถ้าเดินกลับกูจะตามมึงมาทันติดๆ แบบนี้หรือไง” นั่นสิ ผมเพิ่งมาถึงและยังไม่ทันเข้าห้องด้วยซ้ำ เฮียขุนก็ตามมาเว้นไม่ถึงนาที

      ตั้งแต่ที่เฮียเขาเย็นชามากขึ้น ไม่แค่กับไอ้โชนะครับแต่กับน้องกับนุ่งก็ไม่เว้นและยังแถมคำพูดคำจาที่ประชดประชันหน้าตายแบบนั้นอีก…เป็นเอาหนักนะพี่ชายผม

      ไม่แปลกที่โชมันจะกลัวสายตาเย็นชาของเฮียแก…ที่ผ่านมามันจึงเอาแต่หลบหน้า

      “นี่เฮีย…ผมเบื่อที่จะเป็นตัวแทนของเฮียแล้วนะ เฮียให้ผมคอยเทคแคร์ กีดกันไอ้พี่ภามและสังเกตว่าโชมันยังชอบเฮียอยู่มั้ยจนมันคิดว่าผมเป็นพี่รหัสแล้วพี่ภามก็คิดว่าผมชอบไอ้โชซะเองไปแล้ว…ทั้งที่จริงเฮียต่างหากที่ชอบ”

      “หุบปากเลยนะ” เฮียขุนรีบเอามือปิดปากผมเพราะกลัวไอ้โชที่อยู่ห้องตรงข้ามได้ยิน

      “ทำไมเฮียไม่บอกโชมันไปเลยว่าเฮียยังชอบมันและไม่อยากให้มันเลิกชอบ มาทำตัวใจร้ายไม่ยอมรับหัวใจตัวเองแบบนี้ ระวังเถอะ ถ้าไอ้โชมันหมดพิศวาสเฮียแล้ว ผมจะไม่ช่วยและจะสมน้ำหน้าให้” ผมพูดเบาลง

      “มึงไม่เป็นกูไม่เข้าใจหรอก ถ้ามึงเคยชอบใครมากๆ จนเรียกว่ารักและเป็นรักแรกซึ่งเขาคือเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ น่ารักไร้เดียงสาที่ขโมยหัวใจกูไปจนกูปลักใจหลงรักหัวปักหัวปำว่าโตขึ้นมาถึงขนาดจะแต่งงานด้วย แต่กลับกลายเป็นว่าความฝันนั้นของกูต้องสลายเพราะคนนั้นของกูโตมาเป็นผู้ชาย…เป็นมึงจะยอมรับได้ง่ายๆ มั้ย ทำไมไอ้นักรู้แล้วก็บอกให้มึงรู้ ทำไมมีแค่กูคนเดียวที่ไม่รู้ โชโกหกกู ทำให้กูดูโง่ที่ดูไม่ออกว่าเขาเป็นเด็กผู้ชาย แล้วกูจะทำใจยังไงให้รักเขาเหมือนเดิม…มันจะเปลี่ยนทั้งชีวิตกูไปเลยนะ” เฮียขุนพูดแบบนี้กับผมรอบที่เท่าไรแล้วไม่รู้

      ตั้งแต่ที่เฮียเขารู้ว่าคนที่ชอบเป็นผู้ชาย พี่ชายที่ใจดีและร่าเริงก็เปลี่ยนไป เขาเอาแต่นั่งเหม่อและบ่นเรื่องนี้ให้ผมฟังไม่รู้กี่รอบ เขากลายเป็นคนที่เอาแต่บอกว่าเกลียดไอ้โช…เกลียดที่ทำไมต้องโกหกและกลายเป็นเรื่องเรื้อรังที่ทำให้เขาเจ็บปวดเมื่อมารู้ตอนโต

      แต่ในความที่บอกว่าเกลียดมันกลับมีอะไรซ่อนอยู่…คนเราจะเลิกรักง่ายๆ ได้ยังไง แม้ว่าเฮียขุนจะยังทำใจไม่ได้ที่โชมันเป็นผู้ชาย แต่ความรักความชอบที่หลงเหลือก็ยังทำให้เขาสนใจและแอบสังเกตไอ้โชอยู่ห่างๆ ด้วยสายตาที่อาลัยอาวรณ์อย่างเห็นได้ชัดจนผมดูออก

      ทุกครั้งที่ผมจับได้ว่าเขาแสดงท่าทีสนใจโชมันกลายเป็นว่าเฮียเขากลับบ่ายเบี่ยงและกลบเกลื่อนด้วยความโมโห

      เพราะความดื้อด้านไม่ยอมรับหัวใจของตัวเองที่ไม่ว่าโชมันจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายแต่เฮียขุนก็ยังรักมันอยู่ดี แต่ความรักนั้นจากที่อ่อนโยนกลายเป็นว่าเขาแสดงออกมาในทางที่ใจร้าย ไม่ว่าวาจาหรือการกระทำ เฮียแกก็โหดใส่โชจนมันไม่กล้ามองหน้าและเดินเฉียดใกล้เลยล่ะ

      ผมเข้าใจที่เฮียขุนต้องเป็นแบบนั้นเพราะเขาโมโหและต้องปวดใจแค่ไหน แต่ไม่เข้าใจที่ไม่ยอมทำตามหัวใจตัวเองสักทีแล้วใช้ผมเป็นหุ่นเชิดเนี่ยสิ

      “ถ้าอย่างนั้นผมจะไม่ตามไอ้โชแล้ว ไม่กีดกันใครให้เฮียทั้งนั้น โชมันจะเลิกชอบเฮียแล้วไปตกลงปลงใจเป็นแฟนกับใครก็เรื่องของมัน”

      “ไม่ได้” เฮียขุนทำหน้าเกรี้ยวกราดใส่ผม

      “นี่ ผมไม่ใช่ไอ้โชนะ เฮียไม่ต้องมาแสดงท่าทีหัวเสียใส่ผม แล้วก็นะถ้าเฮียมัวแต่ใจร้ายและไม่แสดงออกชัดเจนว่าเฮียทั้งชอบทั้งหึงโชมันล่ะก็…ก่อนที่เฮียจะทำใจได้ว่าชอบโชคนที่เป็นผู้ชายได้แล้ว ผมคิดว่าเฮียคงจะได้ทำใจว่าโชมันไม่ชอบเฮียแต่ไปชอบคนอื่นแล้วน่ะสิ จะเสียใจทีหลังไม่ได้นะ”

      “มึงถึงต้องคอยกีดกันไอ้ภามให้กู…อ่อ ตอนนี้เพิ่มพี่เมฆมาอีกคน”

      “ไม่เอาแล้ว ผมไม่ทำแล้ว เฮียไปเทคแคร์เอง กีดกันเอง หึงเอาเองเลยไป”

      “หรือมึงจะให้กูบอกไอ้ภาม” เฮียขุนเอาเรื่องนั้นขึ้นมาพูดขู่ผมอีกแล้ว

      “เรื่องมันนานมาแล้ว อีกอย่างนะตอนนั้นผมแค่ปลื้มพี่ภามมัน ไม่ได้ชอบแบบนั้นซะหน่อย”

      “อย่างนั้นเหรอ ถึงเรื่องมันจะเป็นอย่างนั้นแต่กูก็เอามาขู่มึงได้ผลนี่”

      “…” ผมมองค้อนพี่ชายตัวเอง

      ตอนเด็กผมเคยแอบปลื้มพี่ภามเพราะเห็นตอนช่วยแมวแถวบ้านโดนรถชนครับ เหมือนเป็นฮีโร่อะไรประมาณนั้น แล้วผมก็เอามาเล่าให้เฮียขุนฟังบ่อยๆ จนเฮียเขาคิดว่าผมชอบพี่ภามมันซะอย่างนั้น

      แต่พอได้รู้จักพี่ภามความปลื้มก็หายไป เพราะถึงจะเป็นฮีโร่ช่วยแมวแต่ความกวนและนิสัยชอบล้อคนอื่นก็ทำให้ลบภาพความเป็นฮีโร่ไป และตรงข้ามกลายเป็นหัวโจกคอยรังแกเขาไปทั่ว
 
      ผมจึงหมั่นไส้และหงุดหงิดทุกครั้งที่เห็นหน้าไอ้พี่ภาม เรื่องราวมันก็มีแค่นี้แต่ผมก็ไม่อยากให้พี่ภามมันรู้นี่ครับว่าผมเคยแอบปลื้ม…ถ้ารู้ได้เสียหน้ากันพอดี

      “ก็ได้…ผมจะให้เวลาเฮียถึงวันเฟรชชี่ ผมจะช่วยเฮียแค่นั้น ถ้าหัวใจเฮียยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะแสดงออกว่ารักไอ้โชหรือจะยังปิดบังด้วยการกระทำที่ใจร้ายกับมัน พอถึงตอนนั้นถ้าเฮียยังเป็นแบบอย่างหลัง มีสองทางคือปล่อยโชมันไป อย่ามากั๊กมันไว้ด้วยการกระทำที่สวนกระแสหัวใจ หรือทางที่สอง ผมจะเอาไอ้โชไปประเคนให้พี่ภามให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย แค่นี้นะ รู้เรื่อง” พูดจบผมก็เปิดประตูห้องเดินเข้าไปทันที

      “เดี๋ยว ไอ้กุน วันเฟรชชี่เหลือไม่ถึงเดือนเองนะ”

    
      มันเป็นเวลาที่มากเกินไปสำหรับเฮียขุนด้วยซ้ำที่จะยอมทำตามหัวใจตัวเอง

      ถ้าให้ผมต้องเห็นใจที่เฮียขุนโดนโชมันโกหกมาแปดปี กับไอ้โชที่โดยเฮียขุนทั้งดุ ทั้งไม่แยแส แล้วก็ใจร้ายกับมันสารพัดมาแค่สามปี ผมเลือกเห็นใจไอ้โชมากกว่าครับ เพราะยังไงมันก็ยังชอบเฮียขุนมาได้ถึงสิบเอ็ดปี

      ผมรู้ว่าเฮียขุนก็ไม่เคยเลิกรักเลิกชอบไอ้โช แม้จะมาสะดุดตอนกลับมาจากอังกฤษแล้วเพิ่งมารู้ว่าโชมันเป็นผู้ชายแต่เฮียเขาก็ยังคงชอบไอ้โชอยู่ดีแค่ไม่รู้วิธีที่จะแสดงมันออกมา

      ผมแอบสังเกตว่าเฮียขุนยังแสดงความชอบนั้นชัดเจนก็ในวันปัจฉิมนิเทศจบมอปลายของเฮียแก





     หลังเสร็จกิจกรรมผมมาตามเฮียขุนที่ห้องเรียนเพื่อที่จะไปฉลอง

      “เฮียมัวทำอะไรอยู่”

      “เปล่า” เฮียเขารีบปฏิเสธและทำตัวเลิกลั่กซ่อนอะไรบางอย่างไว้ข้างหลัง อันที่จริงผมก็ก้าวเข้าห้องมาทันเห็นว่าพี่ชายของผมกำลังงุดก้มคุ้ยหาบางอย่างที่ว่านั้นในถังขยะ

      แต่ผมก็ไม่ได้ถามหรืออยากรู้อยากเห็นอะไรมากจนตอนอยู่ที่ห้องจัดเลี้ยงฉลอง เฮียขุนเอาแต่มองกล่องของขวัญสีขาว แล้วก็มีสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นเศษเสื้อที่เฮียเขาควักออกมาจากกางเกงแล้วจ้องมันอยู่นาน

      ผมได้โอกาสตอนที่เฮียขุนไปเข้าห้องน้ำแล้วไม่ได้เอากล่องนั้นไปด้วยแอบเปิดดู ผมเอามันออกมาจากใต้โต๊ะที่เฮียเขาซ่อนไว้คงเพราะไม่อยากให้ใครเห็น…ไม่ได้อยากเป็นคนยุ่งวุ่นวายกับเรื่องของพี่ชายตัวเองสักเท่าไรเลยครับ แต่กล่องปริศนานั่นชวนให้สงสัยจริงๆ

      สิ่งที่อยู่ในกล่องคือตุ๊กตาดนตรีที่มีรูปปั้นคนถือหัวใจ ตัวรูปปั้นที่เห็นน่าจะเป็นเฮียขุนเพราะดูคล้ายกับเฮียเขามาก และยังมีการ์ดแนบมาด้วย…


‘ยินดีด้วยนะครับ…ผมตั้งใจทำของขวัญปัจฉิมชิ้นนี้เองเลยนะ’


      การ์ดไม่ได้บอกชื่อคนให้ มันจึงทำให้ผมกระวนกระวายอยากจะรู้มากว่าใครเป็นคนที่ทำให้เฮียขุนมองกล่องของขวัญนี้ไม่วางตา

       และก่อนที่ผมจะรู้สึกหงุดหงิดที่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนให้ ตาของผมก็เหลือบเห็นเศษเสื้อชิ้นนั้นที่ดูเหมือนว่าเฮียขุนจะเอามาใส่ไว้ในกล่องก่อนจะไปห้องน้ำ


‘หัวใจที่ถืออยู่มันคือของโชนะ…แค่หวังว่าเฮียขุนจะยังคงถือมันไว้’


      ข้อความบนเศษเสื้อที่ดูสอดคล้องกับของขวัญที่อยู่ในกล่อง…ที่แท้ของขวัญกล่องนี้ก็เป็นของไอ้โชนั่นเอง มันคงตั้งใจทำมาให้เฮียขุน แต่ว่าทำไมเฮียเขาถึงได้เอามันมาจากในถังขยะได้นะ

      เฮียขุนรู้ว่ามันเป็นของขวัญของไอ้โชคนที่เขาบ่นให้ผมฟังว่าเกลียดมัน แต่เฮียเขาจะรู้มั้ยว่าเผลอใช้สายตาที่อ่อนโยนผสมปนเปกับดีใจมองกล่องของขวัญชิ้นนั้นอยู่ไม่ละสายตา


   
      เฮียขุนแอบมองบ้านเล็กทุกครั้งที่กลับบ้านในวันปิดเทอม เอาแต่ชะโงกมองหาไอ้โช ผมรู้ว่าเฮียเขาแสร้งเป็นเก๊กแต่แอบดีใจที่โชมันติดมหาวิทยาลัยแล้วย้ายมาอยู่หอเดียวกัน

      เมื่อโชมันเข้ามหาวิทยาลัยแล้วการแสดงถึงความรักของคนที่ไม่ยอมรับหัวใจตัวเองอย่างเฮียขุนก็มีมากขึ้น เพราะเจอบ่อยขึ้น ความรู้สึกที่ทะลักออกมาจึงมากขึ้นและทำให้เขาแสดงท่าทีที่ขัดกับหัวใจของตัวเองมากขึ้น

      ในวันต้อนรับน้องที่โชมันทำภารกิจไม่สำเร็จนั่นก็เป็นเพราะเฮียขุนที่แกล้งมันแล้วยังกำหนดบทลงโทษมันเอง ตอนแรกเฮียเขาก็ดูเหมือนจะสะใจที่ได้แกล้งให้โชมันกลัว แต่ตอนหลังกลับหน้าเสียแล้วมาสารภาพกับผมว่าโชมันเป็นโรคกลัวความมืดมาก

       เฮียขุนเป็นห่วงกลัวว่าโชมันจะเป็นอะไรไปเลยมาวานให้ผมเข้าไปช่วยมันในห้องมืด แต่ผมก็สะใจเหมือนกันที่เห็นเฮียเขามีท่าทีกระวนกระวายใจ อยากจะแกล้งเขาเองแต่มารู้สึกเสียใจทีหลัง ผมเลยไม่ยอมเข้าไปช่วยไอ้โชให้

      ตอนนั้นเฮียขุนยังไม่เอาเรื่องพี่ภามมาขู่ผมและเฮียเขาก็เสียอาการจนทนไม่ไหวเลยรีบวิ่งเข้าไปช่วยโชมันเอง

      ห้องนั้นมืดสมชื่อและมองอะไรไม่เห็นเลย ไอ้โชไม่เห็นคนที่มาช่วยและเฮียขุนเองก็คงไม่เปิดเผยตัวตน ตอนออกมาโชมันเลยเอาแต่สงสัยว่าเป็นใคร

      ผมสะใจเฮียขุนยกใหญ่จนเขาโมโหนึกถึงข้อผิดพลาดของผมอย่างการเคยแอบปลื้มไอ้พี่ภาม เฮียเขาจึงเอามาเป็นข้อต่อรองให้ผมช่วยกีดกันเพราะเห็นท่าทีของพี่ภามที่ดูเหมือนจะสนใจไอ้โช

      ผมคือคนเดียวที่รู้ว่าแท้จริงแล้วเฮียขุนรู้สึกยังไงกับไอ้โช ผมจึงกลายเป็นผู้รับคำสั่งให้กีดกันพี่ภามตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

      ตอนแกล้งปล่อยโชมันไว้ข้างทางแล้วต้องเดินตากฝนมาที่ป้ายรถเมล์จนเป็นไข้ก็กลายเป็นภาระของผมอีก

      ซื้อข้าวซื้อยามาเองแต่ต้องบังคับให้ผมเอาไปป้อนไอ้โชถึงปากเพราะกลัวมันไม่กิน

      ทั้งเช้า ทั้งเที่ยงและตกเย็น ผมไปเคาะประตูจนไอ้โชต้องมองคนอย่างผมว่าน่ารำคาญไปแล้วและมันยังคิดว่าผมเป็นพี่รหัสซะอย่างนั้น

      กล่องขนมจากพี่รหัสกล่องแรกเฮียขุนก็เป็นคนไปซื้อของมาเอง แล้วให้คนที่เอาไปให้แอบอ้างว่าเป็นของพี่รหัส

      ทั้งน้ำเต้าหู้ที่วานให้ผมเอาไปให้และชาเย็นที่บอกว่าเป็นของพี่รหัสแท้จริงคือของเฮียขุนนั้นแหละที่ซื้อให้โชมัน เฮียเขายังจำได้และเป็นคนที่รู้ดีว่าไอ้โชมันชอบกินอะไร

      อาการเป็นห่วงไอ้โชหนักขนาดนี้ยังจะไม่ยอมทำตามหัวใจของตัวเองอีก

      ถ้าถึงวันเฟรชชี่แล้วเฮียขุนยังไม่สารภาพบาปกับไอ้โชล่ะก็…ผมจะไม่สนคำขู่ของเฮียขุนแล้วล่ะครับ

      ผมจะแก้เผ็ดพี่ชายตัวเองแทนไอ้โชโดยการเป็นคนประเคนมันไปให้พี่ภาม…ดูซิจะยังคงเก็บอาการอยู่มั้ย

      ถึงตอนนั้นเฮียขุนคงจะอกแตกตายที่เห็นโชมันไปเป็นของคนอื่นแล้ว







      วันนี้ก็เป็นอีกวันที่เห็นพี่ภามมายืนดักรอไอ้โชอยู่หน้าคณะ สงสัยมารอเพื่อที่จะไปกินข้าวเที่ยงกับโชมันอีกตามเคย

      “มารอไอ้โชอีกล่ะสิ…เสียใจนะวันนี้ผมจะพามันไปกินข้าวนอกมอ พี่คงมีเวลาไม่พอที่จะไปกินด้วยเพราะพักได้แป๊ปเดียวเดี๋ยวก็กลับไปเลคเชอร์ต่อ” ผมพูดเย้ยใส่เขา

      “มึงนี่เป็นน้องที่ดีนะ คอยกันกูซะเกือบหลงเชื่อว่ามึงเองก็ชอบโชเหมือนกัน”

      “พี่รู้เหรอว่าผมกันไอ้โชไว้ให้เฮียขุน”

      “เออ”

      “งั้นพี่ก็รู้ว่าเฮียขุนยังชอบไอ้โชอยู่ไม่ได้เกลียดมันเหมือนการกระทำ”

      “กูรู้มาตลอด”

      “ถ้าอย่างนั้นพี่ก็เป็นเพื่อนที่ดีนะที่จะมาแย่งคนของเพื่อน”

      “คนของเพื่อนเหรอ โชไม่ได้เป็นอะไรกับไอ้ขุนซะหน่อย…กูรู้ว่าโชชอบไอ้ขุนมาก และรู้ว่าไอ้ขุนก็ยังชอบโช แต่พี่มึงไม่ชัดเจนแล้วยังใจร้ายกับโชอีก ดังนั้นกูก็มีสิทธิ์ที่จะทำให้โชเลิกชอบพี่มึงแล้วมาชอบกูแทน”

      “…” ผมเถียงไม่ออกเพราะมันจริงอย่างที่เขาพูดครับที่เฮียขุนไม่ชัดเจนแถมยังแสดงออกตรงกันข้าม แต่ผมขอเปลี่ยนคำพูดได้มั้ยที่ว่าจะประเคนไอ้โชให้พี่ภามมัน เพราะตอนนี้ผมหมั่นไส้ไอ้คนที่มันอยู่ตรงหน้าของผมเหลือเกิน “ก็ลองดูสิ” ผมท้าเขา

      “ได้…มาลองดูกันว่าโชจะตกลงเป็นแฟนกับกูมั้ย” พี่ภามรับคำท้าอย่างมั่นใจ

      ผมไม่รู้ว่าพี่ภามแค่มีท่าทีมั่นใจขู่ผมหรือว่ามั่นใจจริงๆ เพราะว่าโชมันแสดงออกว่าเริ่มชอบพี่ภามเข้าซะแล้ว

      ถ้าเป็นอย่างนั้นผมก็จะไม่เข้าข้างเฮียขุน เพราะการกระทำของเฮียเขาก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้โชมันเลิกชอบ…อยากใจร้ายกับมันเอง ไม่แปลกหรอกที่มันจะไปชอบพี่ภามแทน

      ถึงอย่างนั้นผมก็จะช่วยเฮียขุนกีดกันพี่ภามให้ถึงที่สุด แต่อย่างที่บอก…


      แค่ถึงวันเฟรชชี่เท่านั้น




-----TBC-----


หัวข้อ: Re: ❤#Heart To Heart #ใจแพ้รัก❤ 「ตอนที่17」-30/05/19-
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 30-05-2019 08:32:19
 :3123:
ยอมจำนนแต่โดยดีเหอะเฮียขุน55
 o13
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❤#Heart To Heart #ใจแพ้รัก❤ 「ตอนที่17」-30/05/19-
เริ่มหัวข้อโดย: Januarysky ที่ 30-05-2019 12:45:30
เชียร์เฮียกุนกะอิพี่ภามคนขี้แกล้งดีก่า
 :mew3:
หัวข้อ: Re: ❤#Heart To Heart #ใจแพ้รัก❤ 「ตอนที่17」-30/05/19-
เริ่มหัวข้อโดย: BABYBB ที่ 30-05-2019 20:29:13
ถ้านี่เป็นโชนะ หนีแม่งให้หมดทุกคน ยุ่งวุ่นวายอะไรชีวิตกูนักวะ  :ruready
หัวข้อ: Re: ❤#Heart To Heart #ใจแพ้รัก❤ 「ตอนที่18」-06/06/19-
เริ่มหัวข้อโดย: ิbanoffee ที่ 06-06-2019 05:16:05
ตอนที่ 18


Kunsue’s part


      วันมอบรุ่น


      วันนี้แล้วสินะที่จะต้องเฉลยพี่รหัส ผมกับเพื่อนๆ จึงกำลังจัดเตรียมงานและสถานที่เพื่อจะทำกิจกรรมมอบรุ่นให้น้องปีหนึ่ง

      ตอนที่มามหาวิทยาลัยกับไอ้โชผมจึงถามย้ำว่ามันคิดดีแล้วใช่มั้ยว่าผมเป็นพี่รหัสของมัน…สีหน้ามันมั่นใจและยืนกรานว่าเป็นผม
 
      แน่ล่ะสิ หลายๆ อย่างที่เฮียขุนสั่งให้ผมทำราวกับเป็นหุ่นเชิดของเขามันทำให้ไอ้โชปักใจเชื่อ มันก็น่าคิดเป็นอย่างนั้นอยู่หรอก เพราะขนาดตัวของผมยังรำคาญตัวเองที่ไปยุ่มย่ามกับไอ้โชมากเกินไป เป็นใครก็อดสงสัยไม่ได้

      ดังนั้นที่น่าเป็นห่วงคือหากไอ้โชมันทายว่าเป็นผม…ผลลัพธ์ก็คือผิด ทั้งผมและเฮียขุนต่างก็รู้ดีว่าใครเป็นพี่รหัสที่แท้จริงของมัน

      ผมไม่รู้ว่านี่เป็นส่วนหนึ่งในแผนของเฮียขุนมั้ยที่ตั้งใจให้ไอ้โชเข้าใจผิดว่าพี่รหัสเป็นผม เพราะถ้าทายผิดเฮียเขาจะได้หาเรื่องลงโทษ…มันเป็นแนวทางของเฮียแกน่ะครับที่จะได้หาเรื่องพูดคุยกับไอ้โชมัน

      แต่ใครมันจะไปชอบวิธีการเข้าหาแบบหยอกล้อและกลั่นแกล้งกันแบบนั้น…มันเป็นวิถีของคนโรคจิตที่มีแต่เฮียขุนเท่านั้นแหละทำ

      เท่าที่สังเกตไอ้โชมีปฏิกิริยาที่อาจหาญกว่าแต่ก่อน ผมเดาว่ามันคงเหลือทนกับเฮียขุนแล้วจริงๆ ถึงได้กล้าต่อปากต่อคำกับเฮียเขา และนั่นหมายความว่ามันคงทำใจว่าต้องตัดใจจากเฮียขุนเพื่อปฎิวัติและเปิดโอกาสให้ตัวเองรับคนอื่นเข้ามา
 
      มันจึงกระตุ้นให้เฮียขุนออกอาการมากขึ้น เมื่อตัวรุกอย่างพี่ภามคือคนที่กล้าและชัดเจนกับไอ้โชมากกว่าพี่ชายของผม…

      หากยังใช้ผมเป็นตัวแทนของเขาผมก็ทำได้อย่างมากแค่กันพี่ภามออกให้…แค่ถ่วงเวลาให้เฮียเขาเคลียร์กับใจตัวเองให้ได้เพื่อที่จะยอมรับและสารภาพความรู้สึกของตัวเองออกมา

       แต่ไม่ว่าผมจะถ่วงเวลาให้ได้นานมากแค่ไหน…คนที่จะทำลายเวลานั้นไม่ใช่ใครแต่เป็นไอ้โชเอง ถ้ามันเป็นฝ่ายตัดใจได้ก่อนแล้วเลือกพี่ภาม ถึงตอนนั้นถึงแม้พี่ชายของผมจะเว้าวอนยังไงก็คงทำให้สถานการณ์กลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้ว
 
      ผมจึงเป็นคนกำหนดเวลาซะเองเพื่อเร่งให้เฮียขุนรีบเคลียร์กับใจตัวเองให้เร็วไว เพราะวันนี้เป็นวันมอบรุ่นและพรุ่งนี้ก็คือวันเฟรชชี่…

      ดังนั้นพี่ชายผมจึงเหลือเวลาแค่น้อยนิดแล้ว


      “น้องๆ มานั่งรวมกลุ่มกันตรงนี้ครับ” ผมเป็นตัวแทนของปีสองที่ต้องจัดแจงและระเบียบให้กับน้องปีหนึ่งที่ทยอยกันเดินมา

      ตอนนี้เป็นเวลาหนึ่งทุ่ม หลังจากปีหนึ่งเลิกเรียนและซ้อมเชียร์กันเสร็จ พวกเขาจึงถูกต้อนให้มายังศูนย์รวมนั่นคือลานกว้างหน้าคณะ

      สถานที่ถูกจัดเตรียมเรียบร้อยโดยมีการจุดเทียนที่นอกจากจะสร้างบรรยากาศแล้ว แสงเทียนที่สว่างไสวรอบบริเวณนี้ยังเป็นปลายทางและเป็นแสงสว่างผลักดันให้น้องปีหนึ่งได้พยายามทำกิจกรรมอะไรก็ตามที่รุ่นพี่ได้มอบหมายให้เพื่อที่จะชิงรุ่นมา

      พร้อมกันนั้นใกล้ๆ ที่วางเทียนประกอบด้วยแก้วน้ำหลายใบที่ถูกเติมเต็มด้วยน้ำที่หลากหลายและส่งกลิ่นรุนแรงจนน่าจะพอเดาออกว่ามันคือน้ำสมุนไพรที่มีสรรพคุณสุดลึกล้ำแต่รสชาติสุดโหด

      “วันนี้พวกพี่ได้จัดเตรียมพิธีมอบรุ่นให้น้องปีหนึ่ง แต่อย่างที่เคยบอกไปแล้วว่าพวกน้องจะต้องหาพี่รหัสให้พบเพื่อที่จะนำพาไปสู่การมอบรุ่น…น้องๆ คงได้เห็นแก้วน้ำที่วางอยู่รอบๆ แล้ว น้ำเหล่านั้นประกอบไปด้วยน้ำสมุนไพรที่รสชาติจะทำให้โอดครวญและน้ำหวานที่จะทำให้พวกน้องโชคดีไม่ต้องลิ้นชาหากทายถูกตั้งแต่ครั้งแรก” ผมกล่าว

      กิจกรรมทายพี่รหัสเริ่มต้นขึ้นโดยให้น้องปีหนึ่งลุกขึ้นออกมาหน้าแถวทีละคนแล้วให้เดินไปถามรุ่นพี่ว่าใช่พี่รหัสของตัวเองหรือไม่…

      รุ่นพี่ที่ถูกเลือกจะเดินไปหยิบน้ำหนึ่งแก้วมาให้น้อง หากน้ำนั้นเป็นน้ำสมุนไพรขมๆ ก็หมายความว่าน้องทายผิดและจะต้องกลับไปนั่งที่เพื่อเวียนมาทายใหม่จนกว่าจะได้ดื่มน้ำหวานจากรุ่นพี่ที่ตัวเองเลือก เพราะใครที่ได้ดื่มน้ำหวานก็จะหมายความว่ารุ่นพี่คนนั้นคือพี่รหัสที่ตัวเองทายถูกต้อง

      ระหว่างที่กิจกรรมกำลังดำเนินไปผมจึงเดินไปหาไอ้โชที่นั่งอยู่ในแถว “ถ้ามึงไม่อยากจะทรมานจากการดื่มน้ำสมุนไพรไปหลายแก้วเพราะทายไม่ถูกซะทีล่ะก็…มึงรีบหาตัวเลือกใหม่ที่ไม่ใช่กูซะก่อนที่จะถึงคิวของมึง” ผมบอกมันด้วยความหวังดี

      “ใช่…เพราะกูไต่ตรองดีแล้วว่าเฮียกุนน่ะพี่รหัสกูไม่ใช่ของมึง” ไอ้นักที่นั่งหลังไอ้โชพูดแทรกขึ้นมา

      “เฮียอย่ามาทำให้ผมเขวน่า ผมเดาไม่ออกแล้วว่าจะเป็นใครได้นอกจากเฮีย” นั่นน่ะสิครับ ไม่ผิดที่มันจะคิดอย่างนั้น ก็ทั้งของกินและสิ่งของที่ไอ้โชมันเคยได้รับต่างเป็นของที่คนรู้ใจเท่านั้นแหละที่ให้…

      ก็เฮียขุนรู้ใจไอ้โชมันนี่นา

      “งั้นมึงก็ลองเดาดูว่าเป็นกูแล้วกัน” ผมเปลี่ยนใจบอกมันในทางกลับกันเพราะดูเหมือนไอ้โชจะไม่มีตัวเลือกสำรองไว้…มันคงจะได้ลิ้นชาไปหลายรอบ


      กิจกรรมดำเนินไปเรื่อยๆ จนมาถึงคิวของไอ้โช…มันกำลังเดินออกมาจากแถวด้วยสีหน้าที่เห็นได้ชัดว่ากำลังสับสน อย่างน้อยมันก็คงยังคิดได้ว่าพี่รหัสอาจจะไม่ใช่ผม…

      แต่ถ้ามันยังทายว่าเป็นผม ไอ้โชก็อาจจะโดยเฮียขุนแกล้งโดยการให้ปีสองเอาน้ำที่โหดสุดให้มันดื่ม

      ที่จริงพี่ชายผมไม่ควรเสียเวลามาหาเรื่องแกล้งมันแล้ว ควรจะเริ่มเผยตัวและเผยใจจะได้ไม่สายเกินไป จากที่มองตรงนี้เฮียขุนที่ยืนดูอยู่กับกลุ่มเพื่อนปีสามอีกด้านก็คงสับสนไม่แพ้กัน คิ้วกรูเข้าหากันจนทำให้สีหน้าที่มองตามไอ้โชดูกระวนกระวาย คงยังกลุ้มมากที่ไม่รู้ว่าจะจัดการกับหัวใจตัวเองยังไง

      โชมันกำลังยืนอยู่ข้างหน้าแถวพลางกวาดสายตามองรุ่นพี่ปีสองที่ยืนอยู่รอบๆ ก่อนที่จะมาหยุดสายตานั้นที่ผม

      “ใช่มั้ยๆ” ผมอ่านปากไอ้โชได้แบบนั้นพลางมันพยักหน้าเชิงเค้นคำตอบจากผมเพื่อจะยืนยันและเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเอง

      ผมส่ายหน้าให้แล้วถอนหายใจออกมาพรืด…ไอ้โช กูบอกมึงแล้วว่าไม่ใช่กู ยังจะคิดว่ากูพูดให้เขวอีก

      “พี่รหัสของน้องคือใครคะ…เดินไปถามเลยค่ะ” ปีสองรีบเร่งให้ไอ้โชดำเนินกิจกรรมเพราะมันเอาแต่ยืนงงงวยกับตัวเอง

      ราวกับว่าถ่วงเวลาเอาไว้ให้ตัดสินใจ โชมันเดินผ่านรุ่นพี่ทุกคนแล้วก็วกไปวนมาอยู่อย่างนั้นเป็นนาทีแต่ก็ยังไม่เลือกหยุดตรงหน้าใครสักที จนในที่สุดมันก็หยุดตรงหน้าผม

      “กูก็ส่ายหน้าเป็นสัญญาณบอกแล้วว่าไม่ใช่กู มึงยังจะมาหยุดตรงหน้ากูอีก” ผมบอกมัน

      “ก็ผมไม่รู้ว่าใคร ถึงไม่ใช่เฮียผมก็ทายผิดอยู่ดีนั่นแหละ”

      “เตรียมลิ้นไว้ให้ดีเลยมึงอ่ะ” ผมพูดขู่

      ผมเดินไปยังเฮียขุนเพื่อที่จะดูเชิงเฮียแกหน่อย เห็นไอ้โชมันตอบผิดแต่เฮียแกเงียบไร้การเคลื่อนไหวรวมทั้งสายตาที่เอาแต่จ้องไอ้โชก็ไม่ขยับ “ไงเฮีย จะช่วยผมเลือกน้ำให้ไอ้โชมันดื่มหน่อยมั้ย” ผมถามแซว

      “จะเอาน้ำอะไรให้ก็เรื่องของมึง” เฮียเขาบอกผมแบบนั้นโดยไม่ละสายตาจากไอ้โชเลย

      “คิดว่าเฮียจะอยากหาเรื่องหยอกเย้ากระเซ้าแหย่แทะโลมไอ้โชมันแบบโรคจิตสไตล์เฮียซะอีก”

      “…” เฮียขุนหันมามองค้อนผมแทน

      “ถ้างั้นเอาน้ำนี่ละกัน” ผมหยิบแก้วน้ำบอระเพ็ดที่วางอยู่ด้านหน้าเฮียขุน

      “เดี๋ยว…ทำไมมึงไม่เอาแค่น้ำขมิ้นก็พอ”

      “ก็คิดว่าเฮียจะสะใจตอนได้เห็นไอ้โชมันทรมานจากความขมขึ้นสมองจนอยากจะเป็นลม ความสุขแบบจิตๆ ของเฮียไม่ใช่เหรอ ทำไม…หรือเพิ่งนึกสงสารมันขึ้นมา”

      “…” พี่ชายของผมเงียบพลางขบกรามใส่ผมแน่น ดูเหมือนเขาจะกำลังรู้สึกหงุดหงิดกับคำพูดของผมและที่เงียบคงเพราะเถียงไม่ออกว่าที่ผ่านมาแกล้งไอ้โชมันไว้เยอะ

      ผมทั้งช่วยกันพี่ภามให้แล้วก็พูดกระตุ้นให้เฮียสำนึกขนาดนี้…

      มันยากนักหรือไงที่จะมองข้ามในสิ่งที่เป็นแล้วแสดงความรู้สึกออกมา


      “น้ำอะไรอ่ะเฮีย” ไอ้โชถามทันทีที่ผมยื่นแก้วให้มัน

      “เดี๋ยวมึงก็รู้เองแหละ”

      ผมยกมุมปากยิ้มด้วยความรู้สึกสะใจ…ไม่ได้สะใจที่เห็นไอ้โชต้องดื่มน้ำมหาโหดนี่นะครับ แต่สะใจพี่ชายตัวเองที่เอาแต่ยืนมองด้วยสีหน้ากังวล คงเป็นห่วงไอ้โชมันน่ะครับ…หึหึ ก็ผมให้เขาช่วยเลือกแล้ว

       “แหวะ!” เพียงแค่อึกเดียวเท่านั้นที่ลิ้นไอ้โชสัมผัสน้ำบอระเพ็ด ตัวมันก็สั่นยุกยิก ท่าทางพะอืดพะอมและมีสีหน้าที่เหยเกจนขนาดทำแก้วน้ำที่ถืออยู่หล่นลงพื้นก่อนจะรีบวิ่งไปหยิบขวดน้ำเปล่าเพื่อไปล้างปากตัวเอง

      สมุนไพรที่ช่วยบำรุงร่างกายกลับสู้รสชาติที่รุนแรงจนทำให้หน้าซีดเหมือนลมจับไม่ได้….ดูไอ้โชคงทรมานน่าดู

      เฮียขุนที่เอาแต่ชะโงกมองก็ทำท่าก้าวขาจะวิ่งตามไปดูไอ้โชอยู่หลายครั้ง ผมยืนลุ้นตัวเกร็งว่าเฮียแกจะวิ่งตามไปมั้ยแต่พี่ชายผมก็ไม่ตามไปซะที…เอาแต่ทำหน้าขัดขืนใจตัวเองแล้วก็ถอนหายใจทิ้งแล้วทิ้งเล่าอยู่นั่นแหละ

      ไม่รู้จะห้ามใจตัวเองไปทำไม

      จนผมต้องวิ่งตามไปดูมันเอง “มึงมาซะไกลเลยไอ้โช” ผมพูดขึ้นหลังจากเห็นมันมายืนล้างปากตัวเองที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ด้านข้างอาคารของคณะ

      “ใครจะอยากให้คนอื่นเห็นตัวเองอ้วกล่ะเฮีย” มันบอกผมก่อนจะยกขวดน้ำเพื่อบ้วนปากตัวเองต่อ ผมจึงช่วยลูบหลังให้

      “เด็กปีหนึ่งคนอื่นก็เป็นกันแล้วเขาก็ดื่มกันเกือบหมดแก้ว แต่มึงแค่อึกเดียวก็ไปซะแล้ว”

      “ก็ผมทนกับอะไรแบบนี้ไม่ได้นี่…ทำไมเฮียไม่เลือกเอาอันที่มันซอฟกว่านี้หน่อย”

      “กูอยากเห็นใครบางคนทรมานใจ”

      “นี่เฮียอยากเห็นผมทรมานอย่างนั้นเหรอ”

      ไม่ได้หมายถึงมึง กูหมายถึงพี่ชายกูนู้น “กูจะบอกใบ้ให้ก็ได้ สงสารหรอกนะแล้วก็กูกลัวตัวเองที่อาจจะต้องเหนื่อยหลายรอบเพราะวิ่งหามึงตามต้นไม้ เดี๋ยววิ่งหลบไปอ้วกที่ไหนอีก… ฟังนะ พี่รหัสของมึงคือคนที่มึงคิดว่าเป็นศัตรูหัวใจ ไม่สิ เคยคิดว่าเขาเป็นศัตรูหัวใจของมึง”

       “ศัตรูหัวใจของผมเหรอ?” ไอ้โชทำหน้าครุ่นคิด

       ผมว่ามันน่าจะคิดได้ว่าผมหมายถึงใครและที่ผมบอกใบ้ไปแบบนั้นเพราะมั่นใจว่าไอ้โชมันเคยคิดอย่างที่ผมพูด

      คำใบ้ของผมชัดเจนขนาดนี้ก็หวังว่ามันจะคาดเดาได้ เมื่อรู้แล้วมันคงจะเซอร์ไพร์ไม่น้อย แต่หลังจากนั้นไอ้โชคงได้เซอร์ไพร์กับเรื่องที่ตามมามากกว่า

      …และดูเหมือนว่ามันจะรู้แล้ว

      ผมช่วยพยุงพลางลูบหลังให้ระหว่างเดินมาเพราะไอ้โชยังทำท่าแหวะอยู่หลายครั้ง…ดื่มไปแค่อึกเดียวก็ทำให้หน้าซีดเผือดขนาดนี้ ดูอ่อนแอชิบหายเลยนะมึงเนี่ย

      ผมน่ะไม่กังวลกับมันเท่าไร นู้น…คนที่ดูเหมือนจะเป็นกังวลมากกว่าคือพี่ชายของผมที่ยังอยู่ท่าเดิมคือชะเง้อคอคอยมองหาอยู่ไปมา

       ดูเหมือนนอกจากตัวมันเองแล้วเฮียขุนก็เป็นอีกคนที่รู้ดีว่าไอ้โชมันไม่ทนกับอะไรแบบนี้ ถึงออกอาการเป็นห่วงชัดเจน…เสียดายที่ไม่แสดงออกให้ไอ้โชมันเห็นบ้าง

      เฮียขุนเดินมา…ดูเหมือนเฮียเขาอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ดูท่าทางเลิกลั่กไม่มั่นใจในตัวเอง “เอ่อ…คนที่ไม่พยายามตามหาพี่รหัสตัวเองก็ต้องโดนแบบนี้แหละ” เฮียแกพูดกับไอ้โชก่อนจะเดินกลับไป คำพูดสมน้ำหน้าแต่ท่าทางดูฝืนใจพูดซะ

      เดินมาพูดแค่นี้ก็จะเอา…ขอให้ได้พูดด้วย ที่จริงคงอยากจะเดินมาตรวจสอบอาการและถามว่าเป็นยังไงมากกว่าล่ะสิ

       “พี่ชายเฮียคงจะสะใจสินะที่เห็นผมหมดสภาพแบบนี้เนี่ย”

      “งั้นมั้ง”


      กิจกรรมยังคงดำเนินต่อไป…ผมโดนไอ้นักบ่นใส่เป็นการใหญ่ เพราะถัดจากไอ้โชก็คือคิวของไอ้นักและมันก็ทายว่าพี่รหัสเป็นผมแต่ไม่เห็นและตามหาผมไม่เจอ มันจึงถูกรุ่นพี่เอาน้ำสมุนไพรให้ดื่มและรอเวียนทายใหม่ในรอบต่อไป

      “คราวนี้มึงก็รู้แล้วนะว่าใครเป็นพี่รหัส” ผมบอกไอ้โชหลังจากพามันมาส่งในแถว

      “อือ” มันพยักหน้า

      เป็นอีกครั้งที่ถึงคิวไอ้โชเดินออกมาหน้าแถวเพื่อจะทายพี่รหัส ครั้งนี้มันเดินออกมาโดยไร้ความสับสนแต่มั่นใจกว่าเดิม และไม่ต้องรอให้รุ่นพี่บอกโชมันก็เดินตรงไปหาคนที่มันคิดว่าเป็นพี่รหัสของตัวเองทันที

      “พี่ไวน์คือพี่รหัสของผมใช่มั้ยครับ” โชถาม

      ใช่แล้วครับ…ที่จริงแล้วคำปริศนา หวานบาดคอ ขมบาดใจ ความหมายก็คือไวน์ มันเดาได้ง่ายๆ ถ้าไอ้โชไม่มัวแต่มาสงสัยในพฤติกรรมที่โดนบังคับให้ทำของผม

      และมันก็บอกว่าคำปริศนาหวานบาดใจคือผมที่มีใบหน้าหวานบาดใจ ดูมันคิด…โยงคำมั่วชั่วไปหมด ถ้าไม่ติดว่าเห็นอาการแล้วสงสารก็อยากจะให้มันทายผิดแล้วโดนน้ำสมุนไพรอีกสักแก้ว

      ไวน์ยิ้มไม่ตอบอะไรแล้วเดินไปหยิบน้ำมาให้ไอ้โช ดูเหมือนจะเป็นน้ำเก๊กฮวย พอไอ้โชดื่มเข้าไปมันก็ยิ้มออกมาทันที

       ท่าทางไอ้โชมันจะพอใจพี่รหัสอยู่พอสมควร มันก็คงไม่ได้มีอคติอะไรกับไวน์มากนัก ในทางตรงกันข้ามมันจะต้องเห็นใจเธอถ้าได้รู้ว่าเธออยู่ในสถานการณ์ที่โดนบังคับเช่นเดียวกันกับผม

      กิจกรรมดำเนินไปด้วยดี สนุกสนานเคล้าน้ำตาเพราะหลายคนก็โดนดื่มน้ำขมๆ ไปหลายแก้ว และแน่นอนไอ้นักมันทายถูกว่าผมเป็นพี่รหัสของมัน…มันยังมาบ่นให้ผมไม่จบสิ้นว่าถ้าผมอยู่ตอนถึงคิวมันครั้งแรกมันก็คงไม่ต้องทนขมขื่นดื่มน้ำบอระเพ็ดเข้าไป

      “เอาล่ะครับ คราวนี้ก็เป็นกิจกรรมมอบรุ่นจริงๆ แล้ว น้องๆ ทุกคนก็ได้รู้พี่รหัสไปแล้ว ดังนั้นสิ่งที่น้องต้องทำคือที่ข้อมือของพวกน้องจะต้องมีด้ายแดงทั้งหมดสามเส้นโดยได้มาจากการผ่านสามด่าน ด่านพี่รหัส ลุงหรือป้ารหัสและปู่หรือย่ารหัส ซึ่งพวกน้องจะต้องทำภารกิจอะไรก็แล้วแต่ที่พวกเขาสั่งให้ทำจึงจะได้ด้ายแดงมา และด่านสุดท้ายพวกน้องก็จะได้ด้ายแดงเส้นสุดท้ายและแหวนรุ่นจากพี่ปีสี่ เป็นอันเสร็จพิธีมอบรุ่นของคณะบริหาร”

      หลังจากอธิบายเสร็จผมก็ให้ปีหนึ่งแยกย้ายไปหาพี่รหัสของตัวเองเพื่อที่จะได้ด้ายแดงเส้นแรก จากนั้นพี่รหัสก็จะพาไปหาปีสามซึ่งเป็นลุงหรือป้ารหัสเป็นสเต็ปท์ต่อไป

      ก่อนที่ผมจะผูกด้ายแดงให้ไอ้นัก ด้วยความหมั่นไส้ที่มันยังบ่นผมไม่หยุด ผมจึงแกล้งมันโดยการสั่งให้ไปวิ่งรอบสนามบอลหน้าคณะสามรอบ และระหว่างนี้ผมก็จะไปสำรวจเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นกับไอ้โชซะหน่อย

      ผมมองหาไวน์จึงเห็นว่าเธอกำลังผูกด้ายแดงให้ไอ้โชซะแล้ว เลยไม่รู้ว่าก่อนหน้าเธอมอบภารกิจอะไรให้มัน

      ตอนนี้แหละเซอร์ไพร์ที่ไอ้โชจะได้เจอ เมื่อไวน์กำลังพามันไปหาพี่ปีสาม

      และปีสามที่เป็นสายรหัสโดยตรงของไวน์ก็คือ…


      เฮียขุนนั่นเองครับ


      ไอ้โชดูเซอร์ไพร์ไม่น้อยที่ได้รู้ว่าเฮียขุนเป็นลุงรหัส มันเอาแต่มองหน้าไวน์ราวกับจะถามว่าใช่เฮียขุนจริงๆ น่ะเหรอ

      จะใช่หรือไม่ใช่ ถึงไม่อยากให้ใช่แต่มันก็ยืนอยู่ต่อหน้าเฮียเขาแล้วล่ะครับ…ผมอยากรู้จริงๆ ว่าเฮียขุนจะให้ไอ้โชมันทำอะไร จะแกล้งมันอีกมั้ย

      “เต้นไก่ย่าง”

     ห้ะ? ว่าไงนะ…

     ถึงผมจะยืนดูอยู่ห่างๆ แต่ผมก็พอได้ยินสิ่งที่พวกเขาสนทนากันและสิ่งที่ผมได้ยินคำสั่งของเฮียขุนที่สั่งให้ไอ้โชทำคือสิ่ง
ง่ายๆ อย่างการเต้นไก่ย่าง

      ไม่แกล้งแถมยังให้ทำภารกิจที่ง่ายอีก คงเอ็นดูไอ้โชมันล่ะสิ

      ส่วนไอ้คนที่ถูกสั่งให้ทำก็ยืนงงงวยบวกกับเคลือบแคลง โชมันคงไม่เข้าใจอีกตามเคยว่าทำไมเฮียขุนถึงให้มันเต้นแค่ไก่ย่างแล้วก็คงระแวงกลัวว่าหลังจากนั้นเฮียแกอาจจะแกล้งอะไรมันอีก

      “จะไม่เอาใช่มั้ยด้ายเนี่ย” ไอ้โชไม่เต้นตามคำสั่งซะที เฮียขุนจึงถามขึ้นมา

      แม้จะสับสนและระแวงแต่โชมันก็เริ่มเต้นไก่ย่างตามคำสั่งที่ได้รับ

      พี่ชายผมจะกำลังพยายามเข้าหาไอ้โชตามคำเรียกร้องหัวใจของตัวเอง เพราะถึงแม้โชมันจะเต้นด้วยสีหน้าบูดบึ้งที่ไม่พอกับใจลุงรหัสคนนี้ แต่ตรงกันข้ามเฮียขุนพอใจที่ได้มองดูมันเต้น เขาดูสนใจในทุกท่วงท่า…เหมือนจะชอบใจไม่น้อย

      หลังจากที่เต้นเสร็จไอ้โชก็ยื่นแขนด้วยท่าทางแข็งกระด้างใส่หน้าเฮียขุนเหมือนมันจะให้รีบๆ ผูกให้เสร็จจะได้ไม่ต้องทนอยู่เห็นหน้าเฮียแกนานหรือไม่ก็กลัวว่าจะโดนแกล้งอีก

      ดูไอ้โชจะรำคาญหน้าเฮียขุนซะเหลือเกิน

      “ภารกิจยังไม่เสร็จ” เฮียขุนพูดด้วยสีหน้าหงอยๆ

      พี่ชายผมก็เสียใจเป็นเหมือนกันแฮะที่โดนไอ้โชไม่สนใจบ้าง

      “เต้นไก่ย่าง…เวอร์ชั่นทหาร แบบแข็งแรงแล้วก็ฮึกเหิมน่ะเต้นเป็นมั้ย” เฮียเขาพูดต่อ

      ไอ้โชทำสีหน้าเซ็งและหายใจพรูออกมา แม้จะไม่อยากเต็มใจทำแต่เพราะจำเป็นต้องผูกด้ายแดงให้ครบและอยากให้รีบเสร็จ มันจึง…

      “ไก่ย่างถูกเผา!” ร้องเพลงออกมาเสียงดังและเต้นด้วยท่าทางที่แข็งแรงราวกับว่ากำลังถูกฝึกอยู่ในค่ายทหาร

      “ไก่ย่างถูกเผา!” เสียงตะโกนดังไปทั่วบริเวณแถวนั้นและท่าเต้นที่ดึงดูดก็ทำให้ทุกคนที่กำลังทำกิจกรรมเป็นอันต้องหันมามองด้วยความสนใจและหัวเราะ

      ทั้งผมที่ยืนมองดูอยู่และพี่รหัสอย่างไวน์ที่ยืนอยู่ข้างๆ ต่างอดหัวเราะให้กับท่าทางของโชมันไม่ได้ ไม่เว้นกระทั่งคนที่สั่งอย่างเฮียขุน ดูเหมือนว่าเฮียเขาจะพยายามกลั้นหัวเราะด้วยการเม้มปากตัวเองไว้ แต่ถึงอย่างนั้นมุมปากที่ยกขึ้นและสายตาของเขาก็ปิดบังไม่ได้ว่ากำลังมีความสุขที่ได้เห็นไอ้โชเต้นต่อหน้าตัวเองอยู่

      “มันจะถูกไม้เสียบ!” ไอ้โชมันมัวแต่ขะมักขะเม้นในการเต้นจนไม่ทันสังเกตเห็นว่าเฮียขุนเผลอยิ้มให้

      “เสียบตูดซ้าย เสียบตูดขวา ร้อนจริงๆๆ !!” จนจบเพลงเฮียขุนจึงหุบยิ้มและเก็บอาการหันมาทำหน้านิ่งอย่างเดิม

      “คราวนี้เฮียจะผูกด้ายให้ผมได้หรือยัง” โชมันปาดเหงื่อตัวเองพลางถามหลังเต้นเสร็จ

      “ยัง”

       “…” ไอ้โชได้ยินอย่างนั้นคิ้วมันก็ขมวดเข้าหากันทันทีพลางมองเฮียขุนอย่างหาเรื่อง

      “คราวนี้เต้นไก่ย่างเวอร์ชั่นน่ารัก…เอาให้น่ารักที่สุด ถ้าไม่น่ารักกูไม่ผูกด้ายให้”

      ดูเหมือนไอ้โชจะหงุดหงิดกับลุงรหัสของตัวเองจนต้องเอามือยกขึ้นขยี้หัวเพื่อระบายความรู้สึกนั้นออกมา

      “รีบทำเถอะนะ พี่ว่าเฮียเขาน่าจะให้ทำแค่นี้แหละ” ไวน์ที่เห็นท่าทีของไอ้โชจึงช่วยกล่อม

      จากไก่ย่างเวอร์ชั่นทหารครั้งที่แล้วโชมันก็คงเขินแต่ก็ต้องจำใจทำไป ครั้งนี้มันต้องมาเต้นแบบน่ารักแบ๊วๆ อีก มันก็ต้องถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่อีกรอบก่อนจะฝืนใจเริ่มเต้น

      เวอร์ชั่นนี้ดูไอ้โชมันเล่นหูเล่นตาแม้สีหน้าจะดูฝืนๆ แต่ทำไงได้ก็มันเป็นเวอร์ชั่นน่ารักและมันคงอยากให้จบภายในรอบเดียว โชมันจึงใส่ท่าทางเต็มที่

      คนเต้นก็เต้นไป คนสั่งที่สั่งคงเพราะอยากเห็นคนเต้นทำท่าน่ารักให้ดู…มองตาไม่กระพริบเชียว ผมเห็นเฮียเขาทำเป็นก้มหน้าแล้วแอบผุดยิ้มออกมาด้วยล่ะครับ

      “เฮียกุน นี่เฮียหายตัวอีกแล้วนะ ผมเหนื่อยจากการที่เฮียสั่งให้วิ่งแล้วยังต้องมาเหนื่อยตามหาตัวเฮียอีก” ไอ้นักที่วิ่งเหนื่อยหอบมาบ่นใส่ผม

      “มึงนี่ก็บ่นกูอย่างเดียวเลย” ผมพูดพลางเบิ้ดกะโหลกมันเข้าให้ “กูขอดูอะไรสนุกๆ ก่อนเดี๋ยวค่อยพาไปหาป้ารหัส”

      “ดูอะไรของเฮีย” ไอ้นักเบนสายตามองตามผม “ไอ้โชเหรอ…นั่นก็เฮียขุน นี่อย่าบอกนะว่าเฮียขุนเป็นลุงรหัสไอ้โช”

      “เออ” ผมตอบมัน

       “เฮียขุนสั่งให้มันเต้นไก่ย่างเนี่ยนะ แล้วทำไมเฮียเขาต้องยิ้มด้วย”

       “มึงคิดว่าไงล่ะที่เฮียเขายิ้ม”

      “ทำไมต้องยิ้มที่ไอ้โชมันเต้นท่าน่ารักๆ ใส่ด้วย เฮียขุนไม่ชอบมันไม่ใช่เหรอ ปกติหน้าเฮียเขาเวลาเห็นไอ้โชดูถมึงทึงแล้วก็ดุจะตาย”

      “ก็เพราะว่าเฮียเขาชอบไงก็เลยยิ้ม”

       ไอ้นักที่ทำหน้าครุ่นคิดในสิ่งที่ผมพูด มันเข้าใจที่ผมพูดแต่มันคงไม่เข้าใจเฮียขุน ผมจึงปล่อยให้มันตั้งคำถามไปแล้วค่อยอธิบายให้ฟังทีหลัง

      เฮียขุนสั่งให้ไอ้โชเต้นไก่ย่างเวอร์ชั่นน่ารักถึงสองรอบก่อนที่จะผูกด้ายแดงที่ข้อมือให้ ตอนจบเฮียแกคงต้องทนเก็บอาการเอาไปฟินเพราะไอ้โชทำท่าดอกไม้บานแถมยังขยิบตาวิ้งค์ใส่อีก

      อยากจะฉีกยิ้มออกมาแต่ก็ทำไม่ได้ เพราะไอ้โชมองอยู่เฮียแกเลยต้องฝืนตัวเองด้วยการเม้มปากเอาไว้อีกครั้ง

       สเต็ปท์สุดท้ายคือการพาไปหาปู่หรือย่ารหัสเพื่อรับแหวนรุ่น ผมจึงลากไอ้นักเพื่อตามไปดูด้วยกัน

      เซอร์ไพร์สุดท้ายที่ไอ้โชเจอคือ…พี่เมฆคือปู่รหัสของมัน

      เครือญาติในสายพี่รหัสต่างก็เป็นคนกันเองทั้งนั้น ไอ้โชจึงหัวเราะออกมาด้วยความแปลกใจ

      “พี่เมฆเองเหรอครับที่เป็นปู่รหัสของผม”

      “ใช่…ทำไม โชไม่ดีใจเหรอ”

      “ดีใจครับ…โชดีใจที่ได้พี่เมฆเป็นปู่รหัส”

      อย่างที่รู้กันว่านอกจากพี่ภามแล้วก็มีพี่เมฆที่ดูเหมือนจะสนใจไอ้โช เฮียขุนจึงบอกให้ผมกันเขาออกไปอีกคน แต่ยากกว่าพี่ภามอีกครับ ผมจะกล้ากันพี่เขาได้ยังไง…เป็นรุ่นพี่ที่อยู่คณะเดียวกัน จะใช้ข้ออ้างไล่กลับคณะไปเหมือนพี่ภามก็ไม่ได้ หลังๆ พี่เมฆก็มากินข้าวที่โรงอาหารบ่อยอีกด้วยเพราะเขารู้ว่าจะได้เจอไอ้โช

      “อืม…พี่ไม่รู้ว่าจะให้โชทำอะไร ได้ยินมาว่าไอ้ขุนสั่งให้ทำหลายอย่างแล้ว งั้นพี่จะผูกด้ายแล้วก็มอบแหวนรุ่นให้เลยแล้วกันนะ”

      “ไม่ได้” เฮียขุนพูดแทรกขึ้นมา “พี่ต้องให้น้องมันทำอะไรสักอย่าง ถึงผมจะสั่งให้ทำหลายอย่างแต่เทียบกับน้องคนอื่นที่เขาได้ทำอะไรที่ยากกว่าไม่ได้เลย แล้วคำสั่งก็ของใครของมันนะพี่จะเหมารวมกันไม่ได้” เฮียขุนพูดทีเล่นทีจริง

      “เออๆ ก็ได้ ถ้าอย่างนั้น…” พี่เมฆคิดอยู่สักพัก “ให้โชตะโกนบอกชอบพี่ดังๆ สามครั้ง”

      “ครับ?”

      “ก็แค่ภารกิจขำๆ ที่รุ่นพี่คนอื่นเขาก็สั่งให้ทำกัน”

      ครับ…ภารกิจขำๆ ที่ดูเหมือนเฮียขุนจะไม่ขำด้วย เพราะหลังจากที่เฮียเขาได้ยินคำสั่งแบบนั้นจากพี่เมฆ เฮียแกก็ออกอาการทางสีหน้าว่าไม่พอใจ…คำสั่งที่ทำให้พี่ชายของผมต้องรู้สึกหงุดหงิด

      ผมกับไอ้นักหันมามองหน้ากันแล้วหัวเราะ…ตลกพี่ชายของตัวเองน่ะครับ ก็พี่เมฆเขาบอกว่าจะไม่ให้ไอ้โชทำอะไรแล้ว เฮียเขายังไปคาดคั้นให้ออกคำสั่ง พอรู้ว่าพี่เมฆจะให้ไอ้โชทำอะไรก็เลยหน้าหงอยไป

      อย่างที่พี่เมฆบอกว่ารุ่นพี่คนอื่นก็สั่งให้น้องตะโกนนั่นนี่แล้วก็ร้องเพลงบ้าง แต่มันไม่แปลกไปหน่อยหรือไงที่จะให้ไอ้โชมันตะโกนบอกชอบตัวเอง

      ว่าพี่ภามกล้ารุกแล้ว…พี่เมฆถึงกับรุกฆาต

      ก็ดี…อย่างนี้คงกระตุ้นให้เฮียขุนรุกบ้าง

      “โอเคครับ โชจะทำ”

      แม้จะแปลกแต่ไอ้โชมันคงไม่ได้คิดอะไรมาก คนที่คิดมากคือพี่ชายของผมต่างหากที่จำต้องขบกรามระงับความรู้สึกหงุดหงิดตัวเองไว้…
      ถ้ากล้าพูดออกมาได้เฮียเขาคงอยากจะห้ามไม่ให้ไอ้โชตะโกนบอกชอบพี่เมฆ

      “ผมชอบพี่เมฆ…ผมชอบพี่เมฆ…ผมชอบพี่เมฆ!!”

      ไอ้โชทำตามคำสั่งเสร็จง่ายดาย พี่เมฆยิ้มอย่างพอใจส่วนอีกคน…เฮียขุนได้แต่เก็บอาการของตัวเองไว้ หึหึ ดูเหมือนผมจะเห็นควันสีขาวพุ่งออกมาจากหูเฮียแก

      เฮียเขาคงจะโกรธพี่เมฆจนลมออกหูเลยน่ะครับ

      พี่เมฆผูกด้ายแดงเส้นสุดท้ายให้ไอ้โชและตามธรรมเนียมปีสี่คือผู้ที่จะมอบแหวนรุ่นให้

      มือของไอ้โชถูกพี่เมฆจับขึ้นมาและค่อยๆ บรรจงสวมแหวน…มันคือธรรมเนียมของรุ่นพี่รุ่นน้องคณะบริหารเราครับ แต่ทำไมนะภาพที่เห็นมันกลับให้ฟิลลิ่งเป็นอย่างอื่นไปได้

      พี่เมฆมองไอ้โชตาหวานเยิ้มไม่ละสายตาในขณะที่สวมแหวน นี่ถ้าเปลี่ยนจากนิ้วชี้เป็นนิ้วนางล่ะก็…ผมว่าซีนนี้มันคุ้นๆ นะว่ามั้ย

      เฮียขุนที่ยืนจ้องเขม็งมองพี่เมฆสวมแหวนให้ไอ้โชต่อหน้าต่อตาได้แต่ยืนกัดฟันกรอดพลางกำมือแล้วก็ขบกรามแน่นกว่าเดิม

      ถึงแม้จะไม่พอใจและหงุดหงิดขนาดไหนก็คงได้แต่ยืนมองพวกเขา

      กลายเป็นว่ามีตัวเลือกเพิ่มเข้ามาให้ไอ้โชอีกหนึ่ง…



      ดูซิ…ว่าเฮียขุนจะรับมือกับคนพวกนั้นและหัวใจตัวเองยังไง




-----TBC-----


หัวข้อ: Re: ❤#Heart To Heart #ใจแพ้รัก❤ 「ตอนที่18」-06/06/19-
เริ่มหัวข้อโดย: double9JH ที่ 06-06-2019 07:30:32
ใกล้ถึงวันเฟรชชี่แล้วด้วย
พี่ขุนยอมรับความรู้สึกได้รึยัง?

น้องมีตัวเลือกเพิ่มมาอีกแล้วนะ
 :hao3:
หัวข้อ: Re: ❤#Heart To Heart #ใจแพ้รัก❤ 「ตอนที่18」-06/06/19-
เริ่มหัวข้อโดย: FrozenSnow2019 ที่ 06-06-2019 10:33:38
น้ำตาคลอเลย..
หัวข้อ: Re: ❤#Heart To Heart #ใจแพ้รัก❤ 「ตอนที่18」-06/06/19-
เริ่มหัวข้อโดย: kungverrycool ที่ 06-06-2019 18:56:14
ตามจ้า  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ❤#Heart To Heart #ใจแพ้รัก❤ 「ตอนที่18」-06/06/19-
เริ่มหัวข้อโดย: FrozenSnow2019 ที่ 09-06-2019 22:40:01
เอาคืนหนักๆเลยนะโช อย่าไปใจอ่อนง่ายๆนะ ตอนนี้เราสวยแล้วมีตัวเลือกเยอะแยะ 555
หัวข้อ: Re: ❤#Heart To Heart #ใจแพ้รัก❤ 「ตอนที่18」-06/06/19-
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 10-06-2019 06:06:19
มีตัวเลือกที่น่าสนใจตั้ง 2 คน เชียร์พี่เมฆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ❤#Heart To Heart #ใจแพ้รัก❤ 「ตอนที่18」-06/06/19-
เริ่มหัวข้อโดย: ิbanoffee ที่ 14-06-2019 02:07:25
ตอนที่ 19     
   


        ครับ…เซอร์ไพร์มากที่พี่ไวน์เป็นพี่รหัสของผม ถึงไม่ใช่เฮียกุนแต่ผมก็คงไม่คาดเดาว่าเป็นเธอ ไม่ใช่ว่าผมไม่ชอบพี่เขาแต่แค่ไม่อยากพัวพันกับอะไรที่มันสอดคล้องกับเฮียขุน

   ช่วงนี้เขายิ่งตัวติดกับเฮียกุนแล้วเฮียกุนก็เอาแต่ตามผมแจ ยิ่งมีพี่ไวน์มาเป็นพี่รหัสอีก…พอคิดจะห่างเหินกลับยิ่งมีเรื่องเข้ามาให้ยุ่งเกี่ยว

   “พี่จะไม่ให้โชทำอะไรแล้วกัน เพราะพี่คิดว่าโชอาจจะเหนื่อย หน้าโชก็ยังดูซีดๆ จากที่ดื่มน้ำบอระเพ็ดเข้าไปเมื่อกี้อยู่เลย”
   “ไม่เป็นไรครับ ผมไหว พี่ไวน์อยากให้ทำอะไรก็บอกมาได้เลย จะได้รุ่นทั้งทีก็ต้องฟันฝ่าอุปสรรคกันหน่อย ผมจะได้ภูมิใจในตัวเอง” ผมพูดพลางยิ้มให้เธอ

   “คือพี่คิดว่าโชอาจจะเหนื่อยที่ต้องได้รับภารกิจจากลุงแล้วก็ปู่รหัสอ่ะ เอาเป็นว่าพี่ผูกด้ายแดงให้เลยแล้วกันนะ” พี่ไวน์ไม่รอให้ผมพูด เธอก็รีบคว้าข้อมือผมไปผูกด้ายให้
   ได้ยินพี่เขาพูดแบบนั้นแล้วผมก็อดไม่ไหวที่จะเห็นหน้าคร่าตาของปู่กับลุงรหัสซะเดี๋ยวนี้ ฟังดูเหมือนจะเป็นคนที่เข้มๆ ขรึมๆ เอาเรื่องแล้วก็คงไม่ผูกด้ายแดงให้ผมง่ายๆ

   “โอเค ไปหาลุงรหัสกัน”

   หลังจากที่พี่ไวน์กล่าวต้อนรับ อวยพรและผูกด้ายแดงให้ผมเสร็จ เธอก็นำทางผมเดินไปหาลุงรหัส…ไปยังซุ้มที่จัดเตรียมไว้ให้กับพี่ปีสาม

   มองดูบรรยากาศรอบๆ แล้วผมก็อดยิ้มตามไม่ได้เพราะพิธีมอบรุ่นนี้ให้ความรู้สึกถึงการได้เป็นเด็กมหาวิทยาลัยเต็มตัว บรรดาเด็กปีหนึ่งต่างกำลังสนุกสนานและตื่นเต้นที่ได้ทำภารกิจที่รุ่นพี่มอบให้…ผมเองก็เช่นกัน

   ทว่ากลับมีบางคนยืนเก็กขรึมที่ผมเห็นแล้วก็หุบยิ้มแทบไม่ทัน บรรยากาศรื่นเริงเมื่อคู่มันสูญเสียและหายวับไปกับตาเมื่อผมกำลังจะเดินผ่านหน้าเฮียขุน

   ตุบ!

   ผมรู้สึกเริ่มหงุดหงิดที่เห็นหน้าเขาจนไม่ทันสังเกตว่าพี่ไวน์ที่เดินนำหน้าได้หยุดกะทันหัน

   “มีอะไรเหรอครับพี่ไวน์” ผมถามเธอ

   ส่วนเธอก็ชายตาหันไปมองที่เฮียขุนเป็นนัยๆ …นี่อย่าบอกนะว่า!

   ผมหันไปมองหน้าเฮียขุนก่อนจะกลับหันมามองพี่ไวน์ด้วยสีหน้าตั้งคำถามและคาดหวังประโยคที่เธอจะบอกว่าเฮียขุนไม่ใช่พี่รหัสของผม แต่เธอกลับพยักหน้าให้เป็นคำตอบว่าใช่ซะอย่างนั้น

   ไม่จริงใช่มั้ยยยยยย

   “เฮียขุนเป็นพี่รหัสของพี่และเป็นลุงรหัสของโช” พี่ไวน์บอก

   ผมไม่อยากจะเชื่อและไม่อยากได้คนอย่างเขาเป็นลุงรหัส…นี่สินะเซอร์ไพร์มากกว่าที่เฮียกุนบอก

   ผมออกสีหน้าไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัดที่ได้รู้ว่าลุงรหัสของตัวเองเป็นใคร ถ้าทำได้ก็อยากจะเหวี่ยงใส่คนตรงหน้าและระบายออกมาดังๆ ว่า ทำไมเฮียขุนต้องเป็นลุงรหัสของผมด้วยยยยย!

   “เฮียขุนจะให้น้องทำอะไรคะ”

   ใช่…จะให้ทำอะไรก็รีบๆ สั่งมา ยืนเก็กหล่ออยู่นั่น ผมล่ะรำคาญท่าทางแบบนั้นของเขาเต็มที

   “ไก่ย่าง”

   “ว่าไงนะ?” ผมโพล่งถามเขาออกมาด้วยความหงุดหงิด คิดไว้อยู่แล้วว่าเฮียขุนจะต้องแกล้งให้ผมทำอะไรแปลกๆ บ้าๆ ที่ชาวบ้านชาวช่องเขาไม่ทำกัน “เฮียจะให้ผมไปหาไก่ย่างจากที่ไหนมาให้เฮียเวลานี้”

   “ไม่ใช่ให้ไปหาไก่ย่าง หมายถึงให้เต้นไก่ย่างต่างหาก” เขาอธิบาย

   แล้วไป…ก็คนอย่างเฮียขุนสำหรับผมแล้วเขาไม่น่าไว้ใจและสิ่งที่เขาจะทำกับผมก็ไม่มีอะไรให้คิดเป็นเรื่องปกติได้เลย

   สิ่งที่เขาเพิ่งบอกให้ทำเมื่อกี้ก็ด้วย คนอย่างเขาน่ะเหรอจะให้ผมทำแค่เรื่องง่ายๆ อย่างการเต้นไก่ย่าง ผมไม่คิดอย่างนั้นหรอก

   “รีบๆ เต้นเร็วเข้า”

   ถึงจะระแวงว่าเฮียขุนจะมีแผนแกล้งอะไรผมอีก แต่เพราะว่าต้องมีด้ายแดงครบสามเส้นถึงจะได้รุ่น ผมจึงไม่รอรีและรีบเต้นตามที่เขาบอก

   รู้สึกได้เลยว่าไก่ย่างเวอร์ชั่นนี้เป็นเวอร์ชั่นที่หน้าเหวี่ยงและเสียงร้องกระแทกแดกดันที่สุดในชีวิตผม…ก็ต้องมาเต้นไก่ย่างในขณะที่อารมณ์บ่จอยแบบนี้ ผมไม่มีอินเนอร์ที่จะเอ็นเตอร์เทนไปตามเนื้อร้องและทำนองเพลงหรอกครับ

   หลังจากที่ผมใช้เวลาอันรวดเร็วไปกับการเต้นไก่ย่างผมก็รีบยื่นข้อมือไปให้เฮียขุน รู้ทั้งรู้ว่าคงไม่จบภารกิจง่ายๆ แค่นี้ เขาคงจะเล่นแง่อะไรกับผมอีกเป็นแน่ แต่ในเมื่อผมทำตามที่สั่งแล้วผมก็แค่คาดหวังว่าเขาจะผูกให้…จะได้ไม่ต้องเสียเวลาหงุดหงิดรำคาญใจที่ต้องทนเห็นหน้าเขาไปมากกว่านี้

   “ภารกิจยังไม่เสร็จ” แล้วก็เป็นอย่างที่ผมคิด เฮียขุนจะยอมผูกด้ายแดงให้ผมง่ายๆ ได้ยังไง “เต้นไก่ย่างเวอร์ชั่นทหาร แบบแข็งแรงแล้วก็ฮึกเหิมน่ะทำเป็นมั้ย”

   ผมมองค้อนไปที่เขาพลางพรูลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่…ที่จริงภารกิจก็ไม่ได้ยากอะไร หากเป็นรุ่นพี่คนอื่นผมก็คงทำมันไปด้วยความเต็มใจและสนุกสนาน แต่นี่เป็นเฮียขุนผมจึงมีท่าทีกะบึงกะบอนไม่พอใจที่จะเต้นสักเท่าไร

   ถึงอย่างนั้นผมก็ต้องเต้น ยิ่งเป็นเวอร์ชั่นนี้แล้วผมยิ่งเพิ่มความดุดันจนคนรอบข้างหันมามองแล้วเราะกัน

   ผมรู้สึกเขินอายนิดหน่อยแต่ไม่สน แค่เต้นๆ ให้มันรีบจบๆ ไป

   แต่ยังไม่หมดแค่นั้นครับ เฮียขุนยังจะให้ผมเวอร์ชั่นน่ารักอะไรนี่อีก ผมออกอาการหงุดหงิดมากกว่าเดิมจนพี่ไวน์บอกให้อดทนทำไปเพราะเขาคงจะให้ผมทำเพียงแค่นี้ ผมก็หวังว่าอย่างนั้น…แต่ถ้ายังมีเวอร์ชั่นอื่นมาอีก ผมก็จะไม่เอามันแล้วแหวนร่งแหวนรุ่นเนี่ย ไม่อยากได้ตั้งแต่รู้ว่าเฮียขุนเป็นลุงรหัสแล้ว

   ผมเต้นด้วยท่าทางน่ารักที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้…ไม่ได้อยากจะโชว์ความน่ารักให้เฮียขุนดูหรืออะไรหรอกนะครับเพราะในสายตาของเขาผมก็คงไม่น่ารักอะไรอยู่แล้ว แค่อยากจะทำให้มันจบภายในรอบเดียวเท่านั้น

   แต่ไม่ว่าผมจะทำให้ดูน่ารักขนาดไหน เฮียขุนเขาก็ใช้ข้ออ้างว่ามันยังน่ารักไม่พอแล้วสั่งให้ผมเต้นอีกเป็นรอบที่สอง ผมได้แต่กัดฟันและกำมือมือแน่นระงับความหงุดหงิดของตัวเองไว้ จากนั้นก็ได้แต่ทำใจเต้นอีกรอบ

   ผมแอบเห็นเฮียขุนยิ้มด้วย…รอยยิ้มนั้นจะบอกว่าให้ความรู้สึกสะใจมั้ย ก็ไม่ใช่ เพราะภารกิจมันก็ไม่ได้ยากและสร้างความอับอายให้ผมขนาดนั้น เขาคงแค่เห็นผมเป็นตัวตลกที่จะแกล้งยังไงก็ได้จึงได้ยิ้มให้กับท่าทางเปิ่นๆ ของผม

   “ทีนี้ก็ผูกด้ายแดงให้ผมซะทีนะ ถ้าเฮียยังไม่ยอมผูก ผมก็จะไม่เอามันแล้วรุ่น” ผมพูดน้ำเสียงขวานผาซากใส่เขา

   “ก็ได้”

   ไม่คิดว่าเขาจะตกลงอย่างว่าง่าย คิดว่าเฮียขุนจะยกเหตุผลอะไรมาขู่ผมเพื่อบังคับให้จำยอมทำตามที่เขาจะสั่งให้ทำต่อไปซะอีก แต่เขากลับพูดว่าก็ได้แล้วล้วงด้ายแดงออกจากกระเป๋ากางเกงมาผูกที่ข้อมือให้กับผม

   ระหว่างที่ผูกให้เขาก็เอาแต่เงียบ ไม่คิดจะแยกแยะเหตุผลส่วนตัวแล้วทำหน้าที่เป็นรุ่นพี่ที่ดีโดยการกล่าวอวยพรให้รุ่นน้องหรือไงกันนะ พูดแค่ว่าให้ทำตัวเป็นรุ่นน้องที่ดี ตั้งใจเรียนหรืออะไรก็ได้ พูดแค่นี้ดอกพิกุลคงไม่ร่วงหมดปากหรอก

   “รีบไปหาปู่รหัสกันเถอะครับพี่ไวน์” หลังจากผูกเสร็จผมก็บอกพี่ไวน์แล้วรีบเดินนำหน้าเธอไปก่อนเลย ยังไม่รู้หรอกครับว่าปู่รหัสเป็นใครแค่เกลียดน้ำหน้าคนแถวนี้จนเกินจะทนเลยเดินๆ ไปก่อน


   “โช” พอเดินเข้ามาในบริเวณซุ้มที่พี่ปีสี่อยู่ ผมก็ถูกพี่เมฆเดินเข้ามาทัก “มองหาปู่รหัสเหรอ”

   “ครับ…พี่เมฆรู้มั้ยครับว่าปู่รหัสของโชคือใคร”

   “รู้สิ…ก็ยืนอยู่ตรงหน้าโชนี่ไง”

   “ครับ?” เซอร์ไพร์ครั้งที่สาม “พี่เมฆเองเหรอครับที่เป็นปู่รหัสผม”

   “ทำไม…ไม่ดีใจเหรอ”

   “ดีใจครับ” จะไม่ดีใจก็ตรงที่พี่เมฆมีน้องรหัสเป็นเฮียขุนนั่นแหละ

   แล้วพี่ไวน์และคนที่ผมเพิ่งเอ่ยถึงในใจก็เดินตามมาสบทบ

   พี่เมฆไม่รอช้าเสียเวลาเหมือนใครบางคน พี่เขาบอกว่าไม่รู้จะให้ผมทำภารกิจอะไรเลยจะผูกด้ายแดงแล้วมอบแหวนให้เลย แต่ใครบางคนที่ว่านั้นก็ดันสกัดกั้นและยุยงให้พี่เมฆหาภารกิจมาให้ผมทำจนได้

   เขาจะนอนไม่หลับหรือไงถ้าได้เห็นผมได้แหวนรุ่นมาอย่างง่ายดาย หรือไม่เขาก็คงไม่อยากรับผมเป็นรุ่นน้องสินะ

   “’งั้นให้โชตะโกนบอกชอบพี่ดังๆ สามครั้ง”

   หือ? ผมทำหน้าตกใจเล็กน้อย ก็เป็นภารกิจง่ายๆ แต่มันฟังดูแปลกๆ

   “ผมว่ามันง่ายไปนะ เปลี่ยนภารกิจเถอะ หรือไม่ถ้าจะให้น้องมันทำอะไรง่ายๆ แบบนี้พี่ก็ผูกด้ายให้มันเลยก็แล้วกัน”

   “เอ้า…ไอ้ขุน ตกลงมึงจะเอายังไงกับกูเนี่ย สรุปจะให้น้องมันทำภารกิจของกูหรือจะให้ผูกด้ายมอบแหวนให้เลยกันแน่วะ”

   “โอเคครับ โชจะทำ” ผมพูดแทรก “จะได้ดูภูมิใจเพราะได้ทำภารกิจเพื่อชิงรุ่นมา อีกอย่างคนแถวนี้จะได้ไม่ต้องคิดว่าโชได้เปรียบมากกว่าคนอื่นที่มีปู่รหัสที่ใจดีมากเกินไป” และผมคงจะไม่รอให้เขาหาหนทางที่จะเสี้ยมให้พี่เมฆมอบภารกิจที่มันยากซับซ้อนมาให้ผมทำเพื่อเขาจะได้สนุกและสะใจหรอก

   พูดจบผมก็ตะโกนบอกชอบพี่เมฆดังๆ สามครั้งและก็จบเพียงแค่นั้น ดูเหมือนว่าเฮียขุนจะไม่พอใจมากถึงได้ยืนกัดฟันกรอดจนเส้นเลือดปูดมองดูผมที่ได้ทำเพียงภารกิจง่ายๆ

   ใครจะไปสนเขากันล่ะครับ…ยังดีที่เฮียขุนไม่ใช่คนมอบแหวนไม่อย่างนั้นผมก็จะถอดใจไม่รับรุ่นจริงๆ แต่เป็นคนใจดีอย่างพี่เมฆ ตอนนี้ผมจึงสนแหวนที่อยู่ในมือพี่เขาเท่านั้น

   สถานการณ์ที่ผมต้องดีใจแต่บรรยากาศกลับคุกรุ่นเพราะรัศมีความไม่พอใจของเฮียขุนแผ่ซ่าน…เขาไม่อยากรับผมเป็นรุ่นน้องขนาดทนไม่ได้ที่เห็นแหวนรุ่นสวมอยู่บนนิ้วผมเลยหรือไง ถึงได้เอาแต่จ้องมองในขณะที่พี่เมฆสวมแหวนให้ผมด้วยสายตาดุดันขนาดนั้น

   “ไปหาอะไรกินกัน พี่เลี้ยงเอง” จบพิธีการมอบรุ่นโดยการที่พี่เมฆชวนพวกเราไปหาอะไรกิน “ถือว่าเป็นการเลี้ยงต้อนรับหลานรหัส ส่วนเสี้ยงสายรหัสอย่างเป็นทางการไว้พี่จะบอกอีกที”

   “พวกเราไปด้วย” เสียงของเฮียกุนตะโกนมาก่อนตัวจะถึง เฮียเขาเดินมาพร้อมกับไอ้นัก พี่เหนือแล้วก็พี่เต้ เดาได้เลยว่าพวกเขาก็คือเครือญาติสายรหัสเดียวกัน “กำลังหิวพอดีเลยพี่”

   “เออ ไปดิ พวกเราสายรหัสติดกันไปกินเลี้ยงด้วยกันตลอด ไปๆ กูเลี้ยงหมดเนี่ยแหละ” พี่เมฆบอก
   
   
   พี่เมฆชวนผมให้ติดรถไปกับพี่เขาส่วนคนอื่นๆ ก็แยกย้ายไปรถของตัวเองขับตามกันมา

   ในขณะที่นั่งอยู่บนรถของพี่เมฆ ผมก็รับรู้ได้ถึงบรรยากาศที่คุกรุ่นอีกครั้ง เรด้ารัศมีถูกส่งสัญญาณมาจากเบาะข้างหลังทำให้ผมที่นั่งอยู่เบาะหน้าอึดอัดพอสมควร

   เพราะเฮียขุนอ้างว่ารถของเขายังอยู่ที่อู่จึงจำเป็นต้องติดรถคนอื่นไป แต่ว่ารถคันอื่นก็ว่างทำไมเขาถึงไม่ไปรถเฮียกุนหรือรถไอ้นักก็ได้ แต่เขาเป็นคนเลือกเองที่จะติดรถพี่เมฆ…คันที่ผมก็นั่งไปด้วย

   ครั้นผมจะปลีกตัวไปกับไอ้นักแต่ก็เกรงใจพี่เมฆที่อุตส่าห์ชวนให้ไปรถของพี่เขา ก็เลยได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่ายแล้วเดินขึ้นรถมา

   “ร้านที่พี่จะพาไปเป็นร้านชาบูที่พี่ชอบมากแล้วก็เป็นร้านที่อร่อยที่สุดเลยนะ”

   “โชชอบกินชาบูครับ”

   “งั้นเหรอ…ถ้าอย่างนั้นพี่จะพาไปกินบ่อยๆ ”

   “นั่นมันร้านประจำของพวกเราไม่ใช่เหรอพี่” เฮียขุนพูดแทรกขึ้นมา

   “ก็เออสิวะ ตอนนี้โชก็เป็นพวกเราแล้วไง”

   นั่นแหละครับ…เฮียขุนจะพูดขัดขึ้นมาตลอด จุดประสงค์อะไรนั้นก็ไม่แน่ชัด แต่เดาได้ว่าเขาไม่พอใจที่ผมจะได้มีส่วนเกี่ยวเนื่องในชีวิตประจำวันเขามากขึ้น พอพี่เมฆพูดขัดขึ้นมาบ้างผมก็จะได้ยินเสียงฮึดฮัดเสียอารมณ์ดังมาจากเบาะหลัง

   ผมก็ไม่อยากจะข้องเกี่ยวด้วยเหมือนกัน แต่ทำไงได้สายรหัสมันดันมาเกี่ยวพันกันแบบนี้


   ตอนนี้เป็นเวลาสี่ทุ่มกว่าแต่บรรยากาศของร้านชาบูยังดูครื้นเครงกันอยู่เลย พี่เมฆบอกว่าร้านนี้ลูกค้าเยอะเขาก็เลยปิดดึกกว่าร้านอื่น เราจึงพอมีเวลาที่จะกินกันโดยไม่ต้องเร่งรีบ

   พวกเราแยกกันนั่งเป็นสองโต๊ะโดยนั่งกันเป็นสายรหัส ผมนั่งข้างพี่เมฆส่วนเฮียขุนนั่งข้างพี่ไวน์ซึ่งเขาอยู่ตรงข้ามข้างหน้าผม
   ผมเพิ่งสังเกตว่าพวกเขาดูไม่ค่อยออดอ้อนฉอเลาะกันเหมือนตอนที่ไปดื่ม ทั้งเฮียขุนและพี่ไวน์พูดคุยกันธรรมดาเหมือนสถานะรุ่นพี่รุ่นน้อง ไม่ได้ถึงเนื้อถึงตัวอย่างที่เคยเห็น...ไม่ได้ดูเหมือนคนคบกัน

   หรือพวกเขาเลิกกันแล้ว?

   ผมไม่ได้คิดอะไร ไม่ได้ดีใจถ้าพวกเขาไม่ได้คบกันแล้วจริงๆ แต่ลักษณะพวกเขามันชวนให้แปลกใจ คนเราเลิกกันแล้วจะทำใจได้ให้มองหน้ากันติดอย่างรวดเร็วมานั่งคุยกันชิลๆ แบบนี้ได้ยังไง สถานการณ์หวานหยาดเยิ้มตอนที่อยู่ร้านเหล้าก็เพิ่งผ่านมาไม่นาน ภาพพวกเขากอดกันยังคาตาผมอยู่เลย

   อีกอย่างคนตรงหน้านี่ก็ทำตัวตรงกันข้าม แทนที่จะสนใจและเอาแต่มองพี่ไวน์อย่างที่เคยทำแต่เขากลับเอาแต่จ้องผมตาแทบไม่กระพริบ

   หรือผมอาจคิดมากไปเองว่าคนเป็นแฟนกันไม่จำเป็นต้องนั่งเกาะกันเป็นปลิงตลอดเวลาก็ได้ อีกอย่างนี่ก็ร้านชาบูไม่ใช่ร้านเหล้า ผมคงจะกินได้ไม่มาก คงจะเลี่ยนซะก่อนหากพวกเขาประพฤติตัวแบบนั้นกัน

   ทำไมผู้หญิงดีๆ น่ารักอย่างพี่ไวน์ต้องมาเจอคนหน้าม่ออย่างเฮียขุนด้วย ตอนที่ผมเพิ่งย้ายเข้าหอแล้วเห็นเขาพาผู้หญิงเมาเข้าห้อง…ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าพี่ไวน์จะรู้มั้ยว่าเฮียขุนคุยกับผู้หญิงคนอื่นแล้วทำตัวไม่ดีแบบนั้น

   “โช กินเยอะๆ นะ” พี่เมฆบอก ผมจึงสลัดความคิดแล้วหันมาสนใจเนื้อและน้ำชุบหอมๆ ที่พี่เขาตักมาใส่ถ้วยให้ผมแทน

   “พี่เมฆก็กินด้วยสิ มัวแต่ตักให้โชอยู่อยู่ได้” พี่เมฆเอาแต่ลวกเนื้อแล้วก็โยนมาใส่แต่ถ้วยของผม ผมเห็นถ้วยของพี่เขายังไม่มีเนื้อเลยสักชิ้น

   “ตักให้โชก่อน พี่อยากให้โชกินเยอะๆ อยากเห็นโชทำหน้าอร่อยและถ้าโชชอบพี่ก็จะพามากินที่ร้านนี้ให้กลายเป็นร้านประจำของเรา…เอ่อ ร้านประจำของพวกเรา”

   “ขอบคุณครับ” ผมทำได้แค่พูดขอบคุณตอบแทนพี่เมฆ จากนั้นก็ลงมือโซ้ยชิ้นเนื้องามๆ ที่ลวกจนสุกหอมกรุ่นยั่วน้ำลาย “อื้ม…โคตรอร่อยเลยครับพี่เมฆ” ผมทำหน้าฟินและอิ่มเอมไปกับชิ้นเนื้อนั้นที่กำลังเคี้ยวอยู่ในปาก

   จะอร่อยมากกว่านี้ถ้าระหว่างที่ผมกำลังก้มกินไม่ได้ชะงักปะทะเข้ากับสายตาที่กำลังมองผมอย่างเคร่งขรึม

        มันอะไรกันนักหนานะไอ้คนที่นั่งอยู่ตรงหน้าผมเนี่ย ไม่กิน ไม่จิ้ม ไม่ลวกแล้วก็ไม่ย่าง คงมองหน้าผมแล้วกินไม่ลงแต่ก็ยังจะเอาแต่จ้องอยู่นั่น…ไม่สนแล้วเว้ย จะมองก็มองไป ผมหิวจนไส้กิ่วไปหมดแล้ว

        โซ้ยเนื้อไปหลายชิ้นแล้วผมจึงอยากกินอาหารทะอย่างกุ้งบ้าง ได้ยินพี่เมฆออเดอร์มาด้วยก็คิดว่ามันจะอยู่ในหม้อชาบูแต่พอลองตักๆ ดูกลับไม่เจอแม้แต่วิญญาณกุ้ง ผมจึงมองหาตามจานที่วางตระลานอยู่บนโต๊ะแล้วก็เจอว่าจานกุ้งนั้นวางอยู่ตรงหน้าเฮียขุนนั่นเอง

        ถึงว่ามันจะเจอกุ้งในหม้อได้ยังไงในเมื่อคนตรงหน้าไม่เทกุ้งลงไปลวก…ผมจึงได้แต่มองกุ้งที่อยู่ไกลเกินเอื้อมด้วยสายตาละห้อยและไม่อยากพูดรบกวนวานให้เขายื่นมาให้

        กินแต่เนื้อกับผักที่อยู่วางอยู่ตรงหน้าใกล้ๆ มือตัวเองก็ได้วะ

        ไม่รู้ว่าเฮียขุนเห็นผมมองไปที่กุ้งตรงหน้าเขาหรือว่าเขาเพิ่งเกิดความรู้สึกอยากจะกินขึ้นมา เพราะทันทีที่ผมพรูลมหายใจละความสนใจจากมัน เขาก็จัดการยกจานกุ้งขึ้นมาเทลงไปในหม้อชาบู

        ผมยิ้มออกมาอย่างดีใจพลางตามองจดจ่อไปที่กุ้งในหม้อที่ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีส้มแล้วเผลอลอบเกินน้ำลาย…จะได้กินกุ้งแล้วโว้ย

        พอเห็นว่าสุกได้ที่แล้วผมจึงยื่นมือเพื่อที่จะไปหยิบกระบวยตักชาบูที่วางคาอยู่ในหม้อ แต่กลับถูกเฮียขุนคว้าเอาไปซะก่อน
ผมมองหน้าเขาด้วยสายตาที่ไม่พอใจ…แต่ดูเหมือนคนตรงหน้าจะไม่เห็นหรือทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แกล้งชิงกระบวยตัดหน้าผมไปก็ไม่ทราบ

        คนอย่างเขาเรื่องเล็กน้อยก็ยังจะแกล้งผมให้ได้ โอ้ยย…หงุดหงิด อยากจะเขวี้ยงตะเกียบที่ถืออยู่ในมือใส่หน้าคนมากเลยตอนนี้

        หลังจากที่เขาวางกระบวยกลับไว้ที่เดิมผมก็รีบคว้าแล้วคนหากุ้งในหม้อทันที…แต่ก็ต้องหงุดหงิดขึ้นอีกครั้งเมื่อคนหาเท่าไรก็ไม่เจอกุ้งเลยสักตัว

        กุ้งไม่มีเหลือแล้ว…กุ้งไปอยู่ที่จานของเฮียขุนหมดแล้ว

        “โช เป็นอะไร อิ่มแล้วเหรอ” พี่เมฆถามผมขึ้นมา

        “เปล่าครับ” ยังไม่อิ่ม…ผมแค่อยากกินกุ้ง

        “ถ้างั้นเอาอะไรเพิ่มอีกมั้ย”

        “เอาครับ เอา….” ผมกำลังจะบอกว่าเอากุ้งเพิ่มอีกจานแล้วจู่ๆ กุ้งที่ถูกแกะแล้วก็ถูกวางในจานของผม

        เฮียขุนเขาแกะกุ้งแล้วลุกขึ้นยืนยื่นแขนยาวๆ คีบมันมาวางใส่จานผมแล้วเขาก็นั่งลงก้มหน้าแกะกุ้งต่อโดยไม่พูดอะไร

        นี่เขาคิดจะทำอะไร อยู่ในอารมณ์ไหน จะเล่นแง่อะไร ทำไมถึงได้แกะกุ้งมาให้ผม

        ทั้งผม พี่เมฆแล้วก็พี่ไวน์ต่างก็มองเฮียขุนเป็นสายตาเดียวกัน เดาได้ว่าทุกคนต่างงุนงงและสงสัยในการกระทำที่ไม่บอกกล่าวของเขาโดยเฉพาะผม…เขาเนี่ยนะแกะกุ้งให้ผม แกะให้ทำไม ต้องการจะทำอะไรอีก

        “แล้วโชจะเอาอะไรเพิ่ม พี่จะได้เขียนออเดอร์สั่งให้” พี่เมฆหันเหความสนใจมาถามผมต่อ

        “เอ่อ…โชอยากได้เนื้อเพิ่มครับ”

        “ได้ เดี๋ยวพี่สั่งเพิ่มให้”

        ผมอยากจะสั่งกุ้งเพิ่มต่างหาก แต่ตอนนี้กุ้งมันได้อยู่บนจานของผมแล้ว

        ผมกำลังลังเล อยากกินก็อยากกินแต่อดใจที่จะไม่กินเพราะเฮียขุนเป็นคนแกะให้…ผมไม่อยากเชื่อการกระทำหรือคำพูดของเขาอีกแล้วครับ คนอย่างเขาแค่อยากจะแกล้ง เขาไม่มีความจริงใจให้กับผมหรอก

        พอคิดได้อย่างนั้นผมจึงใช้ตะเกียบคีบกุ้งไปใส่จานพี่เมฆทั้งหมด

        “อ้าว ทำไมโชไม่กินล่ะ” พี่เขาถาม

        “โชเกลียดกุ้งครับ…โชไม่ชอบกินกุ้ง” ทั้งที่จริงชอบมากเลยต่างหาก

        เฮียขุนมองหน้าผมด้วยความเรียบเฉยแล้วในมือก็ค่อยๆ วางกุ้งที่กำลังแกะอยู่พลางก้มหน้า…ผมเองก็มองเขาด้วยความสงสัยและเคลือบแคลง

        ทำไมเขาชอบทำให้ผมคาดเดาไม่ออกอยู่เรื่อย…การกระทำหลายๆ อย่างมันไม่ชัดเจนเอาซะเลย เฮียขุนต้องการจะทำอะไรกันแน่ ผมไม่เข้าใจเขาเลยจริงๆ

        และกลายเป็นว่ากุ้งที่เหลืออยู่ในจานเฮียขุนก็แกะให้พี่ไวน์แทน

        “พี่ไวน์ครับ ผมคิดมาตลอดว่าเป็นน้องรหัสที่โชคดีมากเพราะได้พี่รหัสสายเปย์อย่างพี่ ได้ทั้งขนมกล่องใหญ่ตั้งสองกล่อง ยา วิตามินซี ชาเย็น แล้วขนมจุกจิกที่เอามาให้อยู่เป็นเนืองๆ ขอบคุณมากนะครับที่ใส่ใจน้องรหัสคนนี้” ผมบอกเธอ

        “กล่องใหญ่สองกล่อง?” พี่ไวน์ขมวดคิ้วสงสัย

        “ก็ที่พี่ไวน์ให้คนเอามาให้ กล่องแรกที่ให้มาก็เหลือเฟือ กล่องใหญ่กล่องที่สองก็เว้นระยะตามมาติดๆ”

        “อ๋อ…ใช่ พี่อยากให้น้องรหัสของพี่กินเยอะๆ” ทำไมพี่ไวน์ถึงมีสีหน้าฉงนเหมือนไม่รู้เรื่องว่าได้ให้อะไรผม

        “ให้เยอะจนลืมใช่มั้ยครับเนี่ยว่าเคยให้อะไรผมบ้าง”

        “อ๋อ…ใช่ พี่ก็คิดว่าอย่างนั้นแหละ” เธอยิ้มให้ด้วยสีหน้าเลิกลั่กแล้วก็ยังดูสงสัยในตัวเองอยู่

        “แล้วพี่ไวน์ก็เป็นพี่รหัสที่รู้ใจผมอีกด้วย ชาเย็นนี่เฮียกุนคงบอกใช่มั้ยครับว่าผมชอบ แต่ที่สงสัยคือพี่รู้ได้ยังไงว่าผมชอบน้ำเต้าหู้ไม่ใส่เครื่อง เรื่องนี้แม้แต่เฮียกุนหรือไอ้นักยังไม่รู้เลย” มีแต่คนที่นั่งข้างพี่ไวน์นั่นแหละที่รู้ แต่ผมคิดว่าเขาคงลืมไปแล้วว่าผมชอบอะไร เขาคงไม่อยากจดจำอะไรเกี่ยวกับผมให้รกสมองหรอก

        “น้ำเต้าหู้ไม่ใส่เครื่อง?” พี่ไวน์ยิ่งทำหน้าฉงนสนเท่ห์หนักเข้าไปอีก

        “ก็เฮียกุนบอกว่าพี่ไวน์ส่งข้อความฝากให้เฮียเขาไปซื้อน้ำเต้าหู้มาให้ผมตอนเช้า”

        “อ๋อ…ใช่ พี่จำได้แล้วเช้าวันนั้น คือพี่ก็ชอบกินน้ำเต้าหู้ไม่มีเครื่องน่ะ พี่ก็เลยฝากให้กุนสั่งให้โชแบบนั้น”

        “ผมว่าแล้วเชียว แท็กหน่อย เราคอเดียวกัน” ผมลุกขึ้นแล้วยกมือไฮไฟว์กับพี่ไวน์ ส่วนเธอก็ลุกขึ้นมาแปะมือกับผมด้วยสีหน้าที่ยังงุนงง

        ผมดีใจจริงๆ เลยครับที่ได้พี่ไวน์เป็นพี่รหัส เธอดูใส่ใจที่เอาของมาให้อย่างสม่ำเสมอ แต่ดูเหมือนเธอจะให้มาเยอะจนลืมใส่ใจว่าให้ของอะไรผมมาบ้างถึงได้ดูงุนงงสับสนทำราวกับว่าเธอไม่ได้เป็นคนให้ของพวกนั้นกับผม


        พวกเรากินชาบูกันอย่างอิ่มหน่ำสำราญจนเวลาร่วงเลยไปเที่ยงคืนซึ่งลูกค้าคนอื่นก็เริ่มทยอยหายและร้านก็ใกล้จะปิด

        “หอโชอยู่ใกล้กับมอใช่มั้ย เดี๋ยวพี่ไปส่ง”

        “ไม่เป็นไรหรอกพี่เมฆ เดี๋ยวให้มันกลับรถไอ้กุนหรือไอ้นักก็ได้ พวกเราหออยู่เดี๋ยวกัน ถึงถนนใหญ่เป็นทางผ่านแต่พี่จะต้องเสียเวลาแวะเข้าไปส่งในซอยอีก”

        ผมขมวดคิ้วหันไปมองคนพูด...ผมก็จะบอกพี่เมฆแบบนั้น แต่ทำไมเฮียขุนต้องตอบพี่เขาแทนผมด้วย

        “ไม่เป็น…”

        “เอาอย่างนี้แหละพี่ ไม่ต้องเสียเวลาไปส่งน้องมัน แยกย้ายกันกลับแล้วเจอกันที่มอพรุ่งนี้นะ” พี่เมฆกำลังจะพูดต่อแต่เฮียขุนก็รวบรัดพูดตัดบทพี่เขา

        “ปล่อยผมนะ เฮียจะมาลากผมทำไม” แล้วเขาก็ยังรวบรัดคว้าข้อมือของผมให้เดินนำไปก่อน ผมยังไม่ทันไหว้ลาพวกรุ่นพี่เลยด้วยซ้ำ เขาจะรีบลากผมเดินมาทำไมทั้งที่ยังไงก็ต้องเดินมาที่ลานจอดรถด้วยกัน

        “ไอ้กุน ไอ้นัก รีบเดินสิวะ” แล้วก็ยังเร่งน้องทั้งสองคนให้รีบเดินตามเขามาอีกด้วย


        “ปล่อย…ผมบอกให้ปล่อย!” แม้เขาจะกำมือผมแน่นแต่ผมก็ใส่แรงทั้งหมดสะบัดมือเขาออกแล้วมองหน้าเฮียขุนอย่างไม่สบอารมณ์ “เฮียจะทำอะไร ถ้าเกลียดผม ไม่ชอบผมก็อย่ามายุ่มย่าม อย่ามาแกล้งกันได้มั้ย ผมก็พยายามหลบไม่โผล่หน้ามาให้เฮียเห็นแล้วไง เฮียจะเอาอะไรอีก จะให้ผมหายไปจากชีวิตเฮียเลยมั้ยล่ะ เฮียกับผมจะได้ไม่ต้องเห็นหน้ากันให้รำคาญใจแบบนี้” ผมโพล่งออกไปด้วยความโมโห

        “…” เขาเงียบแล้วเอาแต่มองหน้าผมด้วยสีหน้าเรียบนิ่งเดาไม่ถูกอีกแล้ว

        “อย่าเงียบ…เฮียจะเอาไงก็พูดมาดิ ปากอมดอกพิกุลไว้อยู่หรือไง”

        “กู…”

        “ไอ้โชมึงเลือกมาเลยว่าจะกลับกับกู หรือ จะ กลับ กับ เฮีย กุน” ไอ้นักตะโกนแทรกเสียงดังขึ้นมาแต่ไกล พอเข้าใกล้สถานการณ์ที่เห็นว่าเราทั้งสองกำลังตึงเครียดอยู่มันจึงพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาลง พลางมองผมกับเฮียขุนที่กำลังปะทะสายตาใส่กันไปมา

        “กลับกับมึง…ส่วนพี่ชายมึงหวังว่าเขาคงจะกลับรถเฮียกุน แต่ถ้าเขาอยากจะกลับรถมึง กูก็จะกลับรถเฮียกุนแทน” ผมจะไม่ทนอึดอัดนั่งรถกลับกับเฮียขุนแน่

        ผมละสายตารำคาญจากคนตรงหน้าแล้วเดินไปยังรถไอ้นักทันที

        “โช กลับดีๆ นะ” พี่เมฆที่เดินตามมาตะโกนบอก

        “กลับดีๆ เหมือนกันครับพี่เมฆ พี่ไวน์” ผมที่กำลังจะเอื้อมมือไปเปิดประตูรถไอ้นักจึงยกมือขึ้นมาไหว้ลาพวกพี่เขาซะก่อนและไม่ลืมที่จะไหว้ลุงแล้วก็ปู่รหัสของไอ้นักด้วย “ไอ้นัก เร็วดิวะ มึงมัวทำอะไรอยู่ กูง่วง อยากรีบกลับไปนอนแล้ว” ผมตะโกนบอกไอ้เพื่อนรักที่มันมัวยืนโอ้เอ้พูดอะไรบางอย่างกับเฮียขุน คงจะถามเซ้าซี้อยากรู้อยากเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่ล่ะสิ


        ทันทีที่เข้ามานั่งในรถไอ้นักมันก็รีบถาม “เฮียขุนทำอะไรมึง”

        “พี่มึงน่ะประสาทกลับ ตอนกินชาบูอยู่จู่ๆ เขาก็แกะกุ้งให้กู”

        “เออ…น่าจะประสาทกลับ ทำไมถึงได้ทำตัวดีกลับมึง”

        “เมื่อกี้กูก็เลยถามว่าจะเอายังไง กูก็พยายามหลบหน้าไม่โผล่ไปให้เขาเห็นแล้ว แต่ไม่รู้ทำไมช่วงนี้กลับยิ่งเจอกันบ่อยขึ้น ที่ทำตัวดีด้วยก็ไม่รู้ว่ามีแผนจะแกล้งอะไรกูอีก”

        “แต่เฮียขุนก็ไม่ได้แกล้งมึงนี่ ที่แกะกุ้งให้ก็เพราะเฮียเขาแค่อยากแกะให้มึงเท่านั้นมั้ง”

        “กูไม่รู้…ยิ่งพูดยิ่งคิดกูยิ่งจะประสาทกินตามไปด้วยแล้วเนี่ย เลิกพูดถึงพี่มึงเถอะ พูดแล้วกูก็เริ่มจะปวดหัว น่ารำคาญวะ”

        “ถ้าอย่างนั้นเปลี่ยนเรื่องก็ได้” ไอ้นักยิ้มด้วยความอยากรู้ “มึงรู้สึกยังไงที่ได้พี่ไวน์เป็นพี่รหัส?” มันถาม

        “ดีใจแต่เฮงซวยเพราะพี่ไวน์ดันมีพี่รหัสเป็นพี่มึง กูไม่อยากได้เขาเป็นลุงรหัส”

        “ถ้างั้นเปลี่ยนกับกูมั้ย กูโคตรเซ็งเลยที่ได้พี่ชายตัวเองเป็นพี่รหัส แล้วในสายก็มีแต่เครือญาติที่เป็นผู้ชาย ไม่เห็นมีผู้หญิงสวยๆ ให้กูเชยชมเหมือนพี่รหัสของมึงเลย” มันพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูออกว่าคงจะเซ็งจริงอย่างที่มันบอก

        “เปลี่ยนก็ได้ แต่แลกกับการที่มึงห้ามไปวอแวไอ้คิ้วท์ที่คณะอีก มันน่ะรำคาญมึงอยู่แล้ว กูก็ยิ่งจะกรีดกัน ไม่ช่วยอะไรมึงเรื่องไอ้คิ้วท์ทั้งนั้น แล้วก็จะบอกให้มันหลบให้พ้นไม่ให้มันโผล่มาให้มึงเห็นแม้แต่เงาเลย” ผมมองไอ้นักอย่างคาดโทษ

        “ไม่เปลี่ยนแล้วคร้าบ ไม่เปลี่ยนแล้ว แหม…กูก็พูดไปอย่างนั้นแหละ มันเปลี่ยนกันได้ซะที่ไหนล่ะเพื่อน”

        “ทำตัวดีได้แป๊ปเดียวก็เก็บลายไม่อยู่ซะแล้วนะมึง” ผมชี้หน้าตักเตือน

        ไอ้นัก…กูไม่มีทางให้มึงไปยุ่งวุ่นวายกับไอ้คิ้วท์มากกว่านี้แน่ ใครใช้ให้มึงเป็นน้องเฮียขุนแล้วสืบทอดเอาสันดานหน้าม่อมา

        ฮึ่ย! รู้สึกหงุดหงิดแล้วอยากพาลเว้ย



-----TBC-----







หัวข้อ: Re: ❤#Heart To Heart #ใจแพ้รัก❤ 「ตอนที่19」-14/06/19-
เริ่มหัวข้อโดย: double9JH ที่ 14-06-2019 03:29:28
เฮียขุนทำไมไม่ตอบน้องไปล่ะเนี่ยยย

 :serius2: :m31:
หัวข้อ: Re: ❤#Heart To Heart #ใจแพ้รัก❤ 「ตอนที่19」-14/06/19-
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 14-06-2019 11:49:14
 :pig4:
 :ruready
หัวข้อ: Re: ❤#Heart To Heart #ใจแพ้รัก❤ 「ตอนที่19」-14/06/19-
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 14-06-2019 13:13:22
อย่าใจอ่อน ยอมง่ายนะโช หัดอ่อยไปเรื่อยบ้างก็ดีนะ อยากเห็นคนปากแข็งแสบๆคันๆหัวใจดิ้นหึงโชบ้าง หมั่นไส้เฮียขุนว่ะ ดูซิจะยอมรับใจตัวเอง เลิกปากแข็งได้เมื่อไหร่? คึคึๆ  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❤#Heart To Heart #ใจแพ้รัก❤ 「ตอนที่20」-21/06/19-
เริ่มหัวข้อโดย: ิbanoffee ที่ 21-06-2019 13:57:39
ตอนที่ 20


Kunsuek’s part


Freshy Day


   
      ยอมรับครับว่าผมมันเป็นคนขี้เก๊ก นิสัยไม่ดีและใจร้าย เป็นคนแบบนี้มาตั้งแต่รู้ตัวตนของคนที่เป็นรักแรกและรักคนๆ นั้นมาก
 
      แม้ความรักตอนนั้นจะยังเป็นแค่เด็กสิบขวบแต่ผมก็เก็บรักนั้นให้มันผลิบานในใจเสมอมา แต่วันนั้น…วันที่ใจผมควรจะเบ่งบานมากที่สุดกลับกลายเป็นห่อเหี่ยวมากที่สุด

      ความโกรธ ไม่เข้าใจ ผิดหวัง ความรู้สึกเหล่านั้นมันประเดประดังถาโถมมาใส่หัวใจผมดังโครมใหญ่ จะให้ผมทำใจยอมรับยังไงไหวกับความรักและความรู้สึกดีๆ ที่มันเสียไป

      หากผมรู้ตั้งแต่แรกอาจจะปรับตัวปรับใจได้ง่ายกว่านี้

      ตอนนั้นผมผิดหวังและโกรธมาก รับรู้ได้เลยว่ามันทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กับตัวเอง รับรู้ได้ว่านิสัย ตัวตนและหัวใจของผมมันด้านชาและเยือกเย็นไปหมดแล้ว

      ที่ผ่านมาผมยอมรับเรื่องโชไม่ได้และกลายเป็นว่าผมต้องแอนตี้หัวใจตัวเองมาตลอดเช่นกัน เพราะในความรู้สึกลึกๆ แล้วยิ่งผมโกรธและผิดหวังมากนั่นก็เพราะหัวใจของผมมันรักมาก เพียงแต่ว่าความรู้สึกมันช่างขัดกับหัวใจรุนแรงเหลือเกิน การแสดงออกของผมที่มีต่อโชมันถึงได้ดูใจร้ายใจดำนัก

      มันทำให้โชเจ็บและผมก็เจ็บเหมือนกันที่ด่าว่าแล้วก็แกล้งน้องรุนแรงแบบนั้น เพราะเห็นหน้าทีไรผมก็ทั้งโมโหแล้วก็โกรธที่ไม่ยอมบอกผมตั้งแต่แรก…ผมเหมือนคนโง่ที่ตกหลุมรักเด็กผู้ชายที่คิดว่าเป็นเด็กผู้หญิงที่น่ารักคนหนึ่ง

      แต่ถึงจะโกรธยังไง…ในขณะเดียวกันผมก็อยากถามไถ่ อยากพูดคุยและอยากกอดด้วยความคิดถึง แต่ผมไม่กล้าทำ…ไม่กล้าที่จะแสดงมันออกไป

      และเพราะความขี้ขลาดของผม ตอนนี้เลยดูเหมือนว่าโชกำลังจะแบ่งใจให้กับคนที่มีความกล้ามากกว่า…อย่างไอ้ภามที่ผมพอดูออกว่ามันแอบชอบโชมานานแล้ว ไม่แน่ใจว่าตั้งแต่เด็กเลยมั้ย และพี่เมฆอีกคนที่กล้ารุกแบบเนียนๆ

      ถ้ายังขี้ขลาดโดยใช้ไอ้กุนเป็นตัวแทนอยู่แบบนี้…แล้วโชจะเห็นถึงความรู้สึกจริงๆ ของผมได้ยังไง

      ผมจะไม่สนตัวตนจริงๆ ของโช จะเลิกแอนตี้หัวใจของตัวเองสักที ปล่อยให้หัวใจได้รักและเปิดเผยความรู้สึกที่เก็บไว้…มองข้ามความโกรธและผิดหวังแล้วทำตามเสียงเรียกร้องของใจ

      ดังนั้นวันนี้ผมจะปลดปล่อยความกล้าของตัวเองออกมา

      โชจะได้ไม่หวั่นไหวกับคนอื่น โชจะต้องไม่ตกลงคบกับไอ้ภาม โชจะต้องไม่ชอบพี่เมฆ โชจะต้องชอบผมคนเดียว…

      …เป็นของผมแค่คนเดียว


      “ไอ้กุน มึงต้องจับตาดูโชทุกย่างก้าวและการกระทำ ต้องคอยกันไอ้ภามให้อยู่ห่างจากโชมากที่สุด” ผมบอกภารกิจให้กับผู้ที่เป็นตัวแทนของผม

      ใช่ว่าผมจะยังขี้ขลาดไม่ยอมทำตามใจของตัวเองอย่างที่บอก แต่เพราะผมอยู่ปีสามซึ่งมีหน้าที่อยู่ดูแลซุ้มคณะของกิจกรรมเฟรชชี่ในวันนี้ ผมจึงจำเป็นต้องไหว้วานให้ไอ้กุนซึ่งเป็นพี่ติดน้องปีหนึ่งไปทำกิจกรรมตามซุ้มต่างๆ ให้ดูแลโชอย่าให้ไอ้ภามเข้าใกล้

      “นี่ ผมบอกเฮียแล้วว่าจะช่วยแค่ถึงวันเฟรชชี่”

      “ก็วันนี้วันเฟรชชี่” ผมพูดกับน้องชายผู้ดูเหมือนจะสับสนกับตัวเองหรือผมเข้าใจอะไรผิด

      “มันเลยเวลามาแล้ว เวลาของผมที่จะช่วยเฮียมันหมดไปตั้งแต่จุดเริ่มต้นของวันนี้ นั่นก็คือตอนเที่ยงคืนที่ผ่านมา”

      “ไอ้กุน มึงจะมาพูดหัวหมอกับพี่ชายแบบนี้ไม่ได้นะ”

      “เฮียต้องทำด้วยตัวเอง ถ้าเฮียจะไป…เฮียก็ไปได้นี่” มันบอกผมกำกวมแล้วก็เดินไป

      ความหมายก็คือจะให้ผมไปกันไอ้ภามออกจากโชเองสินะ ถึงแม้ว่าผมจะมีหน้าที่รอต้อนรับน้องปีหนึ่งคณะอื่น แต่สักช่วงเวลาหนึ่งผมก็อาจจะปลีกตัวออกไปได้ เพื่อนคนอื่นมันก็คงแค่บ่นให้ว่าหายหัวไปไม่บอกไม่กล่าวและไม่อยู่ช่วยงาน

      แค่ปลีกตัวออกไปแป๊ปเดียว…ผมจะแอบไปแค่ตอนที่คณะบริหารเวียนไปพบกับคณะสัตวแพทย์เท่านั้น

      ผมจะไปทำหน้าที่หัวใจด้วยตัวเอง


      แต่ก่อนจะเริ่มกิจกรรมพาน้องปีหนึ่งวิ่งทั่วมหาวิทยาลัยเพื่อไปพบปะทำความรู้จักกับคณะอื่น พวกเขาก็ถูกต้อนมาเตรียมตัวยังซุ้มประจำคณะของตัวเองก่อน

      เดินมาแล้ว…โชถูกจับใส่โจงกระเบนและเนคไทสีน้ำเงิน ที่คอก็มีกระติกน้ำเล็กๆ ห้อยด้วย เอาไว้ให้น้องแก้กระหายระหว่างวิ่งทำกิจกรรม ส่วนผมก็ถูกมัดจุกแล้วผูกด้วยโบว์สีขาว

      น่ารักจัง…ขนาดพี่เมฆก็ยังเอาแต่มองโชตั้งแต่เดินเข้ามานั่ง

      “มองไม่วางตาเลยนะเฮียขุน”

      “เรื่องของกู” ผมว่าอย่างไม่ใส่ใจกับคำพูดคำจาที่ชอบล้อชอบแซวของไอ้กุน เพราะมันรู้ความรู้สึกของผมหมดไส้หมดพุงมานานแล้วผมก็เลยชินและปล่อยให้พูดไป “เอามานี่” ผมแย่งแป้งสีมาจากมือน้องชาย

      “เฮียจะเอาไปไหน”

      “ปีสองทำงานไม่ได้เรื่อง มึงดูหน้าน้องยังโล่งอยู่เลย” ผมเดินถือแป้งสีไว้ในมือแล้วบอกกับน้องปีหนึ่งว่าจะทาเพิ่มให้สำหรับคนที่เหลือพื้นที่ว่างบนใบหน้ามากเกินไปถ้าเทียบกับคนอื่น

      ที่จริงแล้วมันคือข้ออ้าง…

      ผมเดินมายังโชที่นั่งในแถว จากนั้นผมก็ย่อตัวลงพลางกำแป้งสีออกมาจากถุงที่ถืออยู่…ทั้งที่ใบหน้าของโชก็เต็มไปด้วยแป้งสีต่างๆ มากพอสมควร…แต่ผมแค่อยากมามองหน้าใกล้ๆ แล้วหาเรื่องสัมผัสแก้มนุ่มๆ ของเขาเท่านั้น

      โชรู้ตัวดีว่าจะโดนผมปะแป้งเพิ่ม…เขาไม่มองผมเลย นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดเบนสายตาไปทางอื่น จากที่เขาหลบหน้าผมเพราะไม่กล้าสบตาแต่มาตอนนี้ผมรับรู้ได้ว่าเขากำลังหลบหน้าเพราะรำคาญ

      เข้าใจแล้วครับ…ผมเข้าใจแล้ว จากที่มั่นใจว่าถึงผมจะไม่แยแสโชยังไงแต่เขาก็จะยังคงชอบผมอยู่ดี พอมาตอนนี้ความมั่นใจมันได้สั่นคลอนเพราะการกระทำใจร้ายของตัวผมเองบวกกับมีบุคคลที่สามที่สี่เพิ่มเข้ามา และไอ้กุนก็บอกว่าโชชอบผมน้อยลง…เขารำคาญและไม่ให้ความสนใจผมเหมือนเดิม ผมจึงเข้าใจแล้วว่าการโดนคนที่ชอบทำท่างแบบนั้นใส่บ้างมันทรมานใจขนาดไหน

      โชยังคงไม่มองหน้าผมแต่หันไปสบตาแล้วยิ้มกับพี่เมฆที่ยืนอยู่พลางทำปากขมุบขมิบถามสารทุกข์สุขดิบกัน…อยู่ก็ตั้งไกลทำราวกับว่าจะพูดคุยกันรู้เรื่องอย่างนั้นน่ะ

      ผมจึงเรียกร้องความสนโดยการโปะแป้งใส่เยอะๆ และมันก็ได้ผล ทว่าความสนใจนั้นกลายเป็นว่าโชหันมามองเขม่นใส่ เขาคงโกรธที่ผมปะแป้งให้เขาเยอะเกินไป ผมนี่มัน…

      ไม่ได้เรื่องจริงๆ

      “หน้าผมก็โล่งเหมือนกันนะเฮีย” ไอ้นักที่นั่งอยู่ถัดไปพูดขึ้นพลางยิ้มกริ่มในขณะที่ผมลูบแป้งบนแก้มโชไปมา

      ได้~ ไอ้นัก…ถ้าไอ้น้องชายมันจะเรียกร้องความสนใจเหมือนกัน ผมจึงย้ายมือจากแก้มของโชมากำแป้งสีจากในถุงเพิ่มก่อนจะเอาไปโปะหน้าไอ้นักเต็มๆ จนมันสำลักแป้งออกมา

      วันนี้ไอ้นักต้องขึ้นประกวดดาวเดือนมหาวิทยาลัยครับ แต่ตอนกลางวันก็มาร่วมกิจกรรมก่อนเพราะการประกวดจัดขึ้นตอนเย็น ดังนั้นมันจึงได้มานั่งเสนอหน้าแซวผมได้ มันคงได้รับรู้รายละเอียดทั้งหมดจากไอ้กุนแล้วล่ะสิ

      กระทั่งผมลุกขึ้นและกำลังจะเดินจากไป โชก็ไม่แม้แต่จะชายตามอง นี่ผมคงกลายเป็นคนที่เขาไม่อยากมอง ไม่อยากเห็นหน้าไปแล้ว การกระทำที่ผมเคยทำกับโชมันกำลังสะท้อนกลับเข้าตัวผมเอง

      โชเกลียดขี้หน้าผม…อย่างที่ผมเคยพูดไว้กับเขา


      “แหม ไหนบอกว่าจะปะแป้งเพิ่มให้น้องที่เหลือพื้นที่ว่างบนใบหน้าเยอะ แต่เฮียเล่นเดินผ่านน้องพวกนั้นแล้วพุ่งตรงไปยังไอ้โชทั้งที่มันก็ถูกปะแป้งเยอะพอสมควรแล้วเนี่ยนะ…หาเรื่องแต๊ะอั๋งมันชัดๆ” ไอ้กุนนี่ก็แซวไม่ดูหน้าสลดของผมที่เดินมาเลย

      “ไอ้กุน…ยังไงมึงก็ต้องช่วยกู” ผมไม่สนคำพูดน้องชายแล้วหันมาตื่นตัวกับเรื่องที่จะกันไอ้ภามออกจากโช ส่วนปีสี่อย่างพี่เมฆผมยังไม่ค่อยกังวลมากเพราะต้องอยู่ดูแลความเรียบร้อยที่ซุ้ม “คณะเราจะเวียนไปเจอคณะสัตวแพทย์เป็นคณะที่หก ดังนั้นเหลืออีกหนึ่งคณะก่อนที่จะไปถึงมึงต้องรีบส่งข้อความหรือไม่ก็โทรมาบอกกู”

      “รับทราบครับเฮีย” ไอ้น้องชายมันรับคำอย่างว่าง่ายและเข้าใจ เพราะเรื่องที่ให้ช่วยมันไม่ใช่การเป็นตัวแทนของผมแล้ว มันแค่เป็นกำลังเสริมให้…แล้วหลังจากนั้นก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผมเอง

      ผมจะไม่มีวันยอมให้โชตกลงคบกับไอ้ภามเด็ดขาดและจะไม่ทนให้โชเมินเฉยใส่อย่างนี้แน่…

      ผมจะทำให้เขากลับมาชอบผมเหมือนเดิมแล้วก็ชอบยิ่งขึ้นไปอีก


      ตอนนี้ผมกำลังทำหน้าที่ต้อนรับน้องปีหนึ่งคณะสถาปัตย์ซึ่งเป็นคณะแรกที่มาเยือนซุ้มคณะเรา ทั้งที่กิจกรรมเพิ่งจะเริ่มต้นแต่ผมกลับคิดถึงโชที่เพิ่งจะถูกปีสองพาวิ่งไปเยือนคณะอื่น

      ใจผมอยู่ไม่เป็นสุข กระวนกระวายเอาแต่มองหน้าจอมือถือรอการส่งสัญญาณจากไอ้กุน อยากจะวิ่งตามน้องไปด้วยให้มันรู้แล้วรู้รอด แต่เพราะมันไม่ใช่หน้าที่ของปีสามผมจึงต้องทำใจให้สงบแล้วหันมาจดจ่อกับน้องปีหนึ่งคณะสถาปัตย์ตรงหน้าที่รอการแนะนำตัวจากผม

      คณะที่สองผ่านไป คณะที่สามก็แล้ว คณะที่สี่กำลังจะมาและคณะที่ห้าคือคณะที่ผมจะได้รับสัญญาณจากไอ้กุน

      “เป็นไรวะ จิตใจไม่อยู่กับร่องกับรอย มึงมีหน้าที่แค่พูดแนะนำและทำความรู้จักกับคณะอื่นที่มาเยือนซุ้มเราแค่เนี่ย คนหล่อและเก่งโคตรเทพอย่างขุนศึกทำไม่ได้เหรอวะ สาวที่ไหนมาทำให้หัวใจมึงว้าวุ่นถึงกับเอาแต่จ้องหน้าจอมือถือไม่วางตาขนาดนี้ ห้ะ” ผมยังไม่แอบออกไปจากซุ้มด้วยซ้ำก็โดนไอ้เหนือเดินมาบ่นใส่ซะแล้ว

      “ไม่มี” ผมพูดปัดรำคาญให้ไอ้เหนือเลิกสนใจ อาการผมคงเป็นเอามากจนแสดงออกมาชัดเจนสินะ

      ที่จริงผมก็เป็นแบบนี้มานานแล้วตอนที่เห็นมีคนมายุ่งกับโชไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่ช่วงหลังผมเก็บอาการไม่ค่อยอยู่และรู้ตัวเองดีว่าเริ่มควบคุมไม่ได้…ก็เพราะมีคนจะมาแย่งโชไปจากผมและโชที่เคยหนักแน่นกับผมคนเดียวก็ดูเหมือนจะหวั่นไหวไปกับมันด้วย

      ผมจึงไม่สามารถทนรอไอ้กุนได้แล้วตอนนี้ ระหว่างที่พวกเพื่อนๆ มันเผลอและมัวแต่ให้ความสนใจน้องปีหนึ่งคณะวิศวะอยู่ ผมเลยได้โอกาสเดินออกมาจากซุ้มโดยที่ไม่มีใครทันสังเกตเห็นและใส่ใจมากนัก

      เพราะเป็นวันกิจกรรม บนเส้นทางถนนของมหาวิทยาลัยจึงเต็มไปด้วยนักศึกษาที่เดินกันเพ่นพ่าน ผมไม่สามารถใช้รถได้และคณะสัตวแพทย์ก็อยู่ไกลพอสมควร กว่าจะเดินไปถึง…บริหารคงเวียนไปพบปะแล้วก็คงทำกิจกรรมเสร็จกันพอดี

      ผมกลัวว่าจะไปไม่ทันและถ้าเป็นอย่างนั้นไอ้ภามคงได้โอกาสพูดคุยและทำคะแนนกับโช ผมไม่อยากให้มันอยู่ใกล้ มองหน้าหรือเดินผ่านโชแม้แต่สักวินาทีเดียวเลยด้วยซ้ำ

      ครืด~ครืด~

      ขณะที่ผมกำลังเร่งสปีดฝีเท้าตัวเองให้ทำความเร็วมากที่สุด มือถือของผมก็สั่นขึ้นเพราะสัญญาณเตือนจากไอ้กุนที่บอกให้ผมออกจากซุ้มได้แล้ว

      ขนาดผมออกมาก่อนที่มันจะส่งข้อความมาบอกผมก็ยังไปไม่ถึงไหนเลย ตอนนี้บริหารก็คงอยู่ที่ซุ้มคณะนิติศาสตร์ซึ่งเป็นคณะก่อนหน้าสัตวแพทย์และอยู่ห่างกันเพียงแค่ร้อยเมตร หากเสร็จกิจกรรมเร็วก็คงถูกปล่อยตัวไปคณะถัดไปเลย ดังนั้นผมจึงต้องทำเวลาและสวมบทบาทเป็นนักวิ่งวิบากฝ่าผู้คนที่ทำกิจกรรมเต็มท้องถนนแล้วล่ะ

      สักพักผมก็วิ่งมาถึงคณะนิติศาสตร์ ค่อยสมคุ้มค่าเหนื่อยที่รีบวิ่งมาและโล่งใจที่น้องบริหารยังอยู่ที่ซุ้มนี้ แต่ก็กำลังจะถูกปล่อยตัวพอดี

      “มาถึงเร็วนี่เฮีย” น้องชายของผมเดินมาพร้อมน้ำเย็นหนึ่งขวดแล้วยื่นให้กับพี่ชายที่กำลังปาดเหงื่อแล้วเอามือก้มเท้าเข่าตัวเองด้วยความเหนื่อยหอบ

      ไม่รอช้าผมรีบเปิดขวดน้ำกระดกดื่มจนไหลล้นปาก “ทุกอย่างเรียบร้อยดีมั้ย” ก่อนจะหันไปถามน้องชายที่มันยืนดูอาการผมอยู่

      “เฮียหมายถึงพวกน้องๆ ปีหนึ่งของเราทั้งหมดหรือแค่น้องโชกุนของเฮียคนเดียวล่ะ” ไอ้กุนถามลองเชิงผม

      “กูก็หมายถึงทุกคนนั้นแหละ”

      “มีน้องหน้ามืดคนนึงอ่ะ แต่ปฐมพยาบาลให้แล้ว น้องบอกไม่เป็นอะไรมากแล้วก็ขอทำกิจกรรมต่อ”

      “ดีแล้ว ถ้างั้นกูจะไปรอที่คณะสัตวแพทย์นะ” ทันทีที่กลืนน้ำอึกสุดท้ายลงคอผมก็บอกไอ้กุนแล้วนำพาร่างที่เหนื่อยอ่อนจากการวิ่งของตัวเองเดินล่วงหน้ามายังซุ้มของไอ้ภาม


      “อ้าว ไอ้ขุน มึงมาทำอะไรที่นี่ ปีสามมีหน้าที่เฝ้าซุ้มไม่ใช่เหรอวะ” ผมกะไว้อยู่แล้วว่าไอ้ภามมันต้องถาม

      “กูมาดูความเรียบร้อยว่าปีสองดูแลน้องดีมั้ย เมื่อกี้ก็มีน้องเป็นลมคนนึงแต่ไม่ได้เป็นอะไรมาก กูก็เลยจะดูน้องทำกิจกรรมซุ้มมึงด้วย พอเห็นว่าเรียบร้อยดีแล้วเดี๋ยวกูก็กลับซุ้มตัวเอง” และคนฉลาดอย่างผมก็หาเหตุผลยกขึ้นมาอ้างอย่างฉับไวและแถไปแบบเนียนๆ

      ไม่กี่นาทีคณะบริหารที่ถูกปล่อยตัวมาจากซุ้มนิติศาสตร์ก็เดินมาถึง

      “โชเหนื่อยมั้ย” เพิ่งจะเดินเข้ามาในซุ้มไอ้ภามก็ดีดตัวไปพูดคุยกับโชทันที

      “ไม่เหนื่อย…พวกกูดูแลน้องดี ดูสิ มีกระติกน้ำประจำตัวกันทุกคน” ผมเลยตามมาตอบคำถามมันซะเอง ไม่เปิดโอกาสให้คุยกันสองคนง่ายๆ หรอกเว้ย

      “เออ น่ารักดีว่ะ” ไอ้ภามมันพูดพลางหยิบกระติกน้ำที่ห้อยคอโชขึ้นมาดู…นี่กูไม่ได้พูดให้มึงได้มีโอกาสจับนั่นจับนี่บนตัวโชนะ! “กิจกรรมซุ้มพี่มีอะไรน่าตื่นเต้นให้ทำด้วยล่ะ เป็นอะไรที่…”

      “กิจกรรมอะไรวะ” ผมรีบแย่งถาม

      “ไม่บอก…บอกไปเดี๋ยวโชไม่สนุกด้วย”

      “อะไรอ่ะพี่ภาม…ที่บอกว่าไม่สนุกด้วยเพราะพี่รู้ว่ามันคือสิ่งที่ทำให้โชกลัวใช่มั้ย”

      “เดี๋ยวก็รู้” ไอ้ภามยิ้มมีเลศนัย

      พวกเขาสองคนคุยกันไปยิ้มกันไปสองคนลอยหน้าลอยตาทำราวกับผมไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้…นี่ผมมาเพื่อกันไอ้ภามไม่ใช่หรือไงแต่ทำไมปล่อยให้เป็นแบบนี้ได้

      “ปีหนึ่งเข้ามาแล้วก็ไปนั่งให้เรียบร้อยไป” ผมพูดน้ำเสียงออกคำสั่งกระตุ้นให้โชหยุดคุยกับไอ้ภามแล้วไปนั่งในแถวกับเพื่อนๆ ซะที

      เจ้าตัวพอได้ยินก็หันมามองผมตาขวางหนึ่งทีก่อนจะเดินไปนั่ง…ที่ผมทำอะไรไม่ได้มากเพราะโชเองก็อยากจะพูดคุยกับไอ้ภามเหมือนกันสินะ

      “มึงรู้มั้ยว่าคณะสัตวแพทย์จัดกิจกรรมอะไร” ผมเดินมาถามไอ้กุน

      “ได้ยินมาว่าให้ล้วงกล่องดำ ในนั้นน่ะมีพวกสัตว์เลื้อยคลานอะไรทำนองนั้นด้วยนะเฮีย”

      เหอะ…ไอ้ภามมันร้ายกว่าที่ผมคิด มันรู้ว่าโชไม่ชอบอะไรพวกนั้นก็เลยกะจะทำให้กลัวแล้วถือโอกาสปลอบประโลมน้องว่างั้น

      เป็นอย่างที่ไอ้กุนบอก…กล่องดำถูกนำมาเรียงไว้ด้านหน้าห้ากล่อง วิธีการดำเนินกิจกรรมก็คืออยากให้น้องได้สัมผัสและทายว่าสัตว์ต่างๆ ที่อยู่ในกล่องดำคืออะไร แต่ในห้ากล่องที่ว่านั้นมีเพียงกล่องเดียวที่เป็นสัตว์ที่มีชีวิตจริงๆ ที่เหลืออีกสี่กล่องเป็นตุ๊กตาหมีบ้าง ลอดช่องบ้าง ของเล่นของกินต่างๆ ที่เอามาหลอก

      ไอ้ภามบอกให้น้องออกไปทีละห้าคนเพื่อทำกิจกรรม จะสลับและเปลี่ยนกล่องให้น้องเล่นในแต่ละรอบ น้องที่ไปยืนอยู่หลังกล่องเพื่อรอล้วงแน่นนอนว่าจะไม่รู้ว่าของข้างในคืออะไร แต่ด้านหน้ากล่องเป็นอะครีลิคใส น้องๆ ด้านหน้าที่นั่งอยู่จึงเห็นว่าห้าคนที่ออกไปทำกิจกรรมนั้นแต่ละคนจะได้สัมผัสอะไรบ้างในกล่อง

      กิจกรรมดำเนินไปอย่างนี้เรื่อยๆ จนถึงรอบของโช…ขอเพียงแค่เลือกถูกกล่องที่ไม่ใช่สัตว์ที่ทำให้โชกลัวก็พอแล้ว ไอ้ภามมันจะได้ไม่ต้องทำตัวเป็นห่วงว่าน้องอาจจะกลัวจนเปิดโอกาสให้มันได้เข้าใกล้

      ทว่าพอโชเลือกกล่องแล้วก็เปิดให้ทุกคนเห็นว่าข้างในคืออะไรเท่านั้นแหละ…เพื่อนที่นั่งดูก็พากันโห่บิ้วอารมณ์กันใหญ่

      แม่ง กล่องก็มีตั้งห้าใบ ทำไมโชต้องเลือกถูกกล่องที่เป็นทากยักษ์ด้วยวะ…มันก็ไม่ได้น่ากลัวสักเท่าไร แต่โชดันเป็นคนที่กลัวสัตว์อะไรทำนองนี้น่ะสิ

      ทุกคนจับจ้องสายตาไปยังกล่องของโชพลางส่งเสียงโห่ร้องกันจนทำให้เจ้าตัวต้องออกสีหน้าเหยเก เพราะคงรู้แล้วว่าตัวเองได้กล่องที่ไม่เข้าพวกและคงคิดกลัวกับของที่อยู่ในกล่องไปต่างๆ นาๆ

      คนที่ไม่รู้จึงกล้าๆ กลัวๆ เอามือล้วงเข้าล้วงออกบวกกับทำสีหน้าเหมือนจะร้องไห้ กลายเป็นอากัปกิริยาตลกชวนให้เพื่อนที่นั่งดูอยู่หัวเราะอย่างสนุกสนาน

      แต่ผมกลับไม่สนุกด้วย…

      เพราะโชไม่กล้าล้วงกล่องดำซะที ไอ้ภามมันจึงเดินไปจับมือโชจากด้านหลังให้พยายามล้วงเข้าไป…

      นี่มันหลอกจับมือแล้วก็กอดโชจากด้านหลังแบบเนียนๆ ไอ้…ฮึ่ย!

      ผมได้แต่ยืนดูด้วยสายตาดุดันและอารมณ์หงุดหงิด ทำอะไรไม่ได้เพราะไม่สมควรไปก้าวก่ายกิจกรรมของซุ้มคณะอื่น

      เป็นอยู่อย่างนั้นสักพักจนคนอื่นทายกล่องของตัวเองได้หมดแล้ว เหลือก็แต่เพียงโชที่ยังมีท่าทางกลัวล้วงเข้าไปไม่สุดแขนเลยยังไม่ได้แม้แต่จะสัมผัสถูกตัวทากยักษ์เลยด้วยซ้ำ…แล้วจะทายถูกตอนไหน อย่างนี้ไอ้ภามที่ยืนอยู่ข้างหลังก็ได้ใจใหญ่ ดูมันมีความสุขหัวเราะชอบใจที่ได้จับมือโชอยู่อย่างนั้น

      โธ่เว้ย…ล้วงให้โดนซะทีสิโช ผมล่ะอยากจะเดินไปกระซิบคำตอบให้กิจกรรมมันรีบจบๆ ซะเดี๋ยวนี้

      “มึงก็ปล่อยมือน้องดิวะ มึงยิ่งทำให้น้องกลัวไม่กล้าล้วงเข้าไปใหญ่…ปล่อยให้น้องล้วงเข้าไปเอง!” ผมยืนทนดูไม่ได้จึงตะโกนบอกไอ้ภาม

      ยังดีเป็นเหตุผลสำหรับคนที่ไม่ได้มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับตรงนี้อย่างผมใช้ขึ้นมาพูดซึ่งพอฟังดูเข้าท่าและทุกคนก็น่าจะเห็นด้วย…ยังไงผมก็ต้องสรรหาวิธีมาสกัดกั้นไอ้ภามจนได้ล่ะวะ

      มันปล่อยมือโชให้ล้วงเองอย่างที่ผมบอก…

      “เชี่ย!” โชจึงกลั้นใจแล้วล้วงเข้าไปในกล่องอย่างรวดเร็วและดูเหมือนว่ามือจะสัมผัสโดนทากยักษ์เข้าให้แล้ว โชจึงร้องออกมาด้วยความตกใจก่อนจะเซล้มหงายหลังลงไป

      “โช เป็นอะไรมั้ย” ไอ้ภามถามพลางพยุง

      ผมเห็นอย่างนั้นจึงรีบวิ่งไปดู “ไหนดูซิ” ผมผลักไอ้ภามออกก่อนจะเป็นคนพยุงเองแล้วจับข้อศอกแขนของโชที่ดูเหมือนจะกระแทกกับพื้นมาดู “ได้เลือดด้วยนี่”

      “เดี๋ยวพี่ทำแผลให้”

      “ไม่ต้อง พวกกูมีหน่วยพยาบาลและมีกล่องยาเตรียมมาพร้อม” ผมปัดมือไอ้ภามที่จะมาพยุงโชออกอีกครั้ง

      ผมพาโชออกมานั่งข้างนอกซุ้มแล้วบอกให้ไอ้กุนเอากล่องยามาให้ จากนั้นก็ไล่มันไปดูแลน้องคนอื่นเพราะผมจะเป็นคนทำแผลให้เอง

      ก่อนไปมันยังมากระซิบแซวผมว่าให้หน่วยพยาบาลทำให้ก็ได้…ไอ้นี่ มันน่าจะรู้ดี ก็ผมอยากจะดูแลเอง

      แม้แผลจะเล็กแต่ก็ถลอกจนเลือดซิบ พอทายาให้โชก็เลยร้องโอดครวญเพราะคงจะแสบน่าดู…หรือเป็นเพราะผมเป็นคนทำแผลให้ คนเจ็บก็เลยเอาแต่ทำหน้ามุ่ยแล้วก็บ่นทั้งที่ก็ผมก็พยายามมือเบาให้มากที่สุดแล้ว

      “โอ้ย เจ็บ”

      “ขอโทษ” ผมบอก

      คนฟังเงียบและผมก็รับรู้ได้ว่าเขากำลังมองผมอย่างสงสัยและพิจารณา…จะมีกี่ครั้งที่ผมพูดขอโทษเขาอย่างง่ายดาย ไม่สิ ตั้งแต่ผมรู้ว่าเขาและตัวเองไม่เหมือนเดิม แม้ผมจะทำร้ายจิตใจคนตรงหน้าสักกี่ครั้ง…

      ผมก็ไม่เคยพูดขอโทษเขาเลย

      “เบาๆ ก็บอกว่ามันเจ็บ”

      “ก็เบามือแล้ว”

      “นี่น่ะเหรอเบา เจ็บมากกว่าเดิมอีก ไม่ต้องทำแล้ว!” โชปัดมือผมออก

      “ทำไม…ถ้าไอ้ภามเป็นคนทำให้คงไม่เจ็บสินะ”

      “เออ”

      “ถ้างั้นก็ไปให้มันทำให้ซะสิ”

      เชี่ย…พูดอะไรออกไปเนี่ยกู พอพูดออกไปแบบนั้นโชก็กำลังจะลุกขึ้นไปจริงๆ แต่ยังไม่ทันที่จะรั้งตัวไว้ไอ้ภามก็เดินมาซะก่อน

      “โช เจ็บมากมั้ย” มันถามพลางนั่งลงข้างๆ แล้วจับแขนโชมาดู

      “มึงจัดกิจกรรมอะไรเนี่ย....เห็นมั้ยว่ามีคนต้องเจ็บตัว กิจกรรมมึงมันไม่ได้เรื่องเลย” ผมว่ามันด้วยความโมโห

      “กูก็แค่อยากให้น้องได้สนุก ตื่นเต้นไปกับสัตว์ต่างๆ ที่นำมาให้ดู…พี่ขอโทษนะโช” ไอ้ภามพูดกับผมก่อนจะหันไปบอกโช

      “เฮ้ย…ไม่เป็นไร กิจกรรมที่พี่ภามจัดไม่ใช่กิจกรรมที่ไม่ได้เรื่องซะหน่อย มันทั้งสนุกแล้วก็ตื่นเต้นอย่างที่พี่บอกจริงๆ น่ะแหละ” พูดแล้วก็ส่งรอยยิ้มหวานละมุนไป

      ทั้งที่ตัวเองกลัวแล้วก็ได้รับบาดเจ็บแต่ก็ยังพูดเข้าข้างแล้วก็ปลอบใจมัน…ทั้งที่ผมบอกว่าไม่ได้เรื่องแต่โชกลับว่าทั้งสนุกแล้วก็ตื่นเต้นเอาใจมัน

    นี่โช…


      ชอบไอ้ภามมันไปแล้วจริงๆ ใช่มั้ย


----TBC----


Banoffee's zone

แหม...เฮียขุน เป็นห่วงน้อง หวงน้อง แล้วไปโยนความผิดว่ากิจกรรมของคนอื่นไม่ดี

หน้าหงอยไปสิ...เพราะโชดันเข้าข้างพี่ภาม

ยังไงก็โปรดติดตามภารกิจทวงรักคืนใจให้กับใจที่แพ้รักโชของเฮียขุนด้วยนะคร้าบบบบ

หัวข้อ: Re: ❤#Heart To Heart #ใจแพ้รัก❤ 「ตอนที่20」-21/06/19-
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 21-06-2019 16:06:15
หึหึหึ
หัวข้อ: Re: ❤#Heart To Heart #ใจแพ้รัก❤ 「ตอนที่21」-04/07/19-
เริ่มหัวข้อโดย: ิbanoffee ที่ 05-07-2019 00:20:46
ตอนที่ 21


       ถ้าหากเป็นเมื่อก่อนผมก็คงคิดเข้าข้างตัวเองไปแล้วที่เฮียขุนโผล่มาดักคอพี่ภามราวกับว่ามาตามหึงหวงผม แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ การแสดงออกที่ผิดเพี้ยนไปของเขามันทำให้ผมสงสัยว่าแท้จริงแล้วคนอย่างเฮียขุนมีจุดประสงค์อะไรที่ต้องการจากผมกันแน่

      วันนี้เป็นวันเฟรชชี่ซึ่งเราปีหนึ่งมีกิจกรรมวิ่งพบปะคณะต่างๆ ทั่วมหาวิทยาลัยโดยมีพี่ปีสองตามติด ทว่าผมกับเห็นพี่ปีสามที่มีหน้าที่เฝ้าซุ้มอย่างเฮียขุนติดตามมาด้วย

      จะให้ไม่คิดเลยก็ไม่ได้ เฮียกุนที่เห็นผมอยู่กับพี่ภามตามปกติเฮียแกก็จะมาขัดนั่นนี่ตลอด แต่หน้าที่นั้นกลับเป็นของเฮียขุนซะอย่างนั้น

      ผมไม่อยากถามว่าทำไม ต้องการจะทำอะไร ไม่อยากถามอะไรอีกเพราะไม่อยากเสวนาพาทีกับคนๆ นั้นให้รำคาญใจ ได้แต่สงสัยเองคนเดียวเงียบๆ และแค่เห็นหน้าเขาผมก็รู้สึกหงุดหงิดไปหมดแล้ว

      ไม่ใช่แค่เฮียขุนและเฮียกุน แต่พฤติกรรมและวิสัยทัศน์ของไอ้นักก็ดูแปลกไป ก่อนหน้าโกรธพี่ชายของตัวเองแทนผมจนแทบจะต่อยหน้าเขา หลังๆ กลับเออออห่อหมกไปกับเฮียขุนซะทุกอย่าง ดูไม่ค่อยปกป้องผมจากพี่ชายอันตรายของมันเหมือนอย่างเคย

      ไม่รู้ไอ้พวกสามพี่น้องจรัสวาณิชย์มันเป็นอะไรกันไปหมด


      “ทำกิจกรรมต่อไหวมั้ย ถ้าไม่ไหวก็พักที่ซุ้มพี่ก่อนเดี๋ยวพี่ดูแลเอง” พี่ภามบอกผม แต่ฟังแล้วความหมายโดยนัยเหมือนกำลังบอกใครอีกคน

      “ไม่ต้อง แค่แขนศอกถลอกไม่ตายหรอก ยังไงก็วิ่งต่อไหวอยู่แล้ว” ใครอีกคนที่ว่านั้นก็ปากเสียชวนวาจาไม่น่าฟังเช่นเดิม

      “แต่โชไม่ไหวอ่ะ มันหน้ามืดเหมือนจะวูบ แล้วก็รู้สึกเริ่มปวดระบมที่แผลด้วย” ผมบอกพลางยกแขนศอกให้พี่ภามดูผิวรอบๆ ของพลาสเตอร์ซึ่งมันกำลังเปลี่ยนเป็นสีเขียวม่วง

      ที่จริงผมก็ไม่ได้อ่อนแอถึงขนาดจะทำกิจกรรมต่อไม่ไหวหรอก แต่อยากแสดงละครขัดใจใครบางคนที่บอกว่าผมแค่แขนศอกถลอกไม่ถึงตาย เพราะพอได้เห็นสีหน้าที่ไม่พอใจของเฮียขุนแล้วผมรู้สึกได้ใจอย่างบอกไม่ถูก

      “ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนพี่ภามด้วยนะครับ”

      “เหอะ…รุ่นพี่คณะตัวเองก็ยืนอยู่ทนโท่ยังมีหน้าไปรบกวนรุ่นพี่คณะอื่นอีก”

       “ไม่เป็นไรไอ้ขุน ไม่ต้องเกรงใจ ไม่ว่ารุ่นน้องคณะไหนก็เป็นรุ่นน้องเหมือนกัน โดยเฉพาะรุ่นน้องอย่างโช กูจะดูแลให้อย่างดีเลย”

      สถานการณ์ชวนให้คิดไปเองอีกแล้ว ถ้าไม่ติดว่าอีกคนเป็นเฮียขุน คนที่เขาเกลียดขี้หน้าผมนักหนา…ผมก็คงคิดว่าสถานกาณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าคือพระเอกและพระรองกำลังแย่งตัวนางเอกอย่างผม

       ก็ทั้งสองคนยืนปะทะสายตาและคารมณ์ราวกับจะฟาดฟันกัน…มันเลยทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองสำคัญยังไงก็ไม่รู้สิ

      “ถ้าไม่ไหวเดี๋ยวจะพากลับซุ้มคณะ” เฮียขุนพูดขึ้นมาในขณะที่สายตายังจ้องเขม่นพี่ภาม

      “ไม่อ่ะ ผมคงเดินกลับไม่ไหว กว่าจะถึงแถมแดดที่ร้อนจัดจนทำให้ไข่สุกได้แบบนี้ผมคงได้เป็นลมกลางทางกันพอดี” ผมจะขัดเขาทุกอย่าง แล้วก็เป็นอย่างที่ผมคิดว่าสีหน้าของเขาดูไม่พอใจจริงๆ

      “นั่นสิ โชอยู่นี่แหละ” พี่ภามพูดเสริม

      “เดินไม่ไหวใช่มะ…ได้”

      “โอ้ย…เฮียทำบ้าอะไรเนี่ย”

      เฮียขุนละสายตาปะทะจากพี่ภามหันมามองผม จากนั้นเขาก็กระชากแขนผมที่นั่งอยู่อย่างแรงจนผมต้องเด้งตัวยืนขึ้นตามแรงของเขา

      “ไอ้ขุน ทำไมมึงต้องทำอะไรแรงๆ วะ มึงก็รู้ว่าโชแขนเจ็บ…ไหนมาให้พี่ดูซิ แขนระบมเพิ่มหรือเปล่าเนี่ย”

      โอ้ยย…ไอ้พี่ภาม แขนผมจะระบมเพิ่มเพราะมันเนี่ยแหละ ว่าให้เฮียขุนแต่ตัวเองก็กระชากกลับแรงเหมือนกัน

      ทั้งคู่เหมือนไม่ได้สนจริงๆ หรอกว่าผมจะเจ็บ สถานการณ์ที่จ้องเขม่นกันแล้วก็กระชากแขนผมไปมาอยู่นี่คงเพื่อจะเอาชนะกันเท่านั้นน่ะผมว่า

      “ปล่อย!” เฮียขุนปัดมือพี่ภามออกจากแขนผม จากนั้นเขาก็ดึงผมจนเซถลาทำให้ใบหน้าไปจุมปุกที่แผงหน้าอกของเขา

       “เฮียขุน!” ผมเงยขึ้นมาแล้วเอามืออีกข้างหน้าปัดหน้าปัดตาก่อนตะคอกใส่เขาเสียงดัง ชักจะหงุดหงิดจนเริ่มทนไม่ไหว เห็นแขนผมเป็นเชือกที่ใช้เล่นชักเย่อหรือไง ดึงกันไปมาอยู่นั่นแหละ

      “เดินไม่ไหวใช่มั้ย…งั้นก็ไม่ต้องเดิน” ทันทีที่บอกผมแบบนั้นเฮียขุนก็ยกตัวผมขึ้นพาดบ่าตัวเองอย่างง่ายดาย ทำราวกับผมเป็นเพียงหมอนปุยนุ่นที่เบาหวิวอย่างนั้นน่ะ

      “ไอ้ขุน ปล่อยโชเดี๋ยวนี้นะ”

      “มึงอย่างมายุ่งไอ้ภาม กูบอกแล้วว่ารุ่นน้องคณะกู กูจะดูแลเอง” เขาชี้หน้าพูดกับพี่ภามก่อนจะออกสเต็ปท์เท้าก้าวเดินไป

       ส่วนพี่ภามก็ยืนนิ่งทำราวกับว่าคำพูดของเฮียขุนเป็นคำประกาศิตสาปไว้ให้ไม่เดินตามมาช่วยผม ได้แต่มองผมถูกแบกไปอย่างนี้เนี่ยนะ

       แต่แน่นอนว่าผมไม่อยู่เฉย ผมทั้งออกแรงดิ้นแล้วก็เอาแต่ทุบกลางหลังคนแบกอย่างแรงหวังจะให้เขาปล่อยแต่กลับไม่เป็นผล เพราะกำลังแขนที่เขาใช้รัดขาผมไว้นั้นดูเหมือนว่าจะมีมากกว่าผมเยอะ

      เฮียขุนแบกผมเดินผ่านสายตาผู้คนที่จ้องมอง…ผมรู้สึกอายที่ตกเป็นเป้าสายตาและผมก็ไม่คิดเลยว่าคนอย่างเฮียขุนจะทำอะไรแบบนี้…นี่มันไม่ใช่วิสัยของเขา ยิ่งกับผมแล้วด้วย

      เขากำลังแบกคนที่ไม่อยากให้ยุ่งเกี่ยวกับชีวิตเขาอยู่นะ คนที่เขาชอบใช้สายตาและท่าทีผลักไส เขาไม่อยากให้ผมอยู่ใกล้ เขาไม่อยากให้ผมชอบเขาและผมก็กำลังทำตามที่เขาต้องการ

      แต่แล้วทำไมเขากลับกลายเป็นคนที่ต้องเข้ามายุ่งกับผมซะเองด้วยยยยย

      น่ารำคาญใจฉิบหายเลยโว้ย…ไอ้คนๆ นี้

      “ไอ้นัก…ไอ้นักช่วยกูด้วย!” ผมเรียกไอ้เพื่อนรักในขณะที่เดินผ่าน มันเอาแต่มองผมแล้วยังยิ้มร่าทั้งยังโบกมือให้

      แทนที่ไอ้นักจะต้องรีบมาช่วยผมจากการกระทำของพี่มัน แต่นี่มันกลับยืนมองดูด้วยสายตาที่สนับสนุน…มันโกรธที่พี่มันแกล้งผมไม่ใช่หรือไงแล้วทำไมมันกลับปล่อยให้เพื่อนรักของมันอยู่ในสภาพที่ถูกห้อยหัวโตงเตงแบบนี้ ผมเริ่มรู้สึกเวียนหัวจริงๆ แล้วนะ

      ไอ้นัก…รีบมาช่วยกูสิโว้ยยย

      “เฮียขุน…ปล่อย!” ผมทั้งทุบทั้งตะโกนสั่งให้เฮียขุนปล่อยผมจนเขาเดินเลยเถิดกลับมาถึงคณะนิติศาสตร์ “ไม่ปล่อยใช่มั้ย” นาทีนั้นทำอะไรไม่ได้มากครับ ถ้าทุบแล้วยังไม่ปล่อย งั้นเจอนี่…

      “โอ้ยยย!”

       ผมกัดเข้าไปกลางหลังเฮียขุนเต็มแรงจนเขาต้องปล่อยตัวผมลงแล้วรีบเอามือลูบไปที่หลังของตัวเอง สาบานได้ว่าถ้าหากเขายังไม่ปล่อยอีกผมก็จะกัดเขาให้ฝังเขี้ยวจนได้เลือดกันไปเลย

      “มันเจ็บนะ” เขาโอดครวญ

      “คนอย่างอย่างเฮียเจ็บเป็นด้วยหรือไง เฮียทำแบบนี้ทำไม ผมเคยถามเฮียแล้วใช่มั้ยว่าต้องการอะไรจากผมก็พูดมาเลยดิ เกลียดผม บอกให้ผมเลิกชอบแล้วจะมายุ่งกับผมเองทำไม”

      “เลิกชอบกูแล้วไปชอบไอ้ภามเนี่ยนะ”

      “มันเรื่องของผมปะ ผมจะชอบใครก็ได้ ผมเลิกชอบเฮียได้มันก็ดีไม่ใช่เหรอ เฮียต้องการแบบนั้นไม่ใช่หรือไง”

      “…” เขาเงียบ

      เงียบอีกแล้ว สีหน้าคาดเดาไม่ออก ไม่รู้ว่าคิ้วที่ขมวดเข้าหากันนั้นกำลังครุ่นคิดอะไร คำถามที่ผมถามเขาไปไม่เห็นจะยากตรงไหน ก็ตอบมาสิว่า ก็ดีที่มึงเลิกชอบกูได้ อย่างที่เขาควรจะพูด ทำไมต้องคิดมาก

      “ตอบมาว่าเฮียมายุ่มย่ามกับผมทำไม”

      “ก็…ก็กูบอกแล้วว่ามึงเป็นรุ่นน้องคณะกู กูก็แค่ทำตามหน้าที่รุ่นพี่ที่ดี”

      “คนอย่างเฮียไม่เห็นจำเป็นต้องทำก็ได้นี่ แต่ถ้าห่วงภาพพจน์การเป็นรุ่นพี่นัก ถ้าอย่างนั้น…พรุ่งนี้ผมจะไปย้ายคณะให้มันรู้แล้วรู้รอด เฮียจะได้ไม่ต้องเหนื่อยมาแสร้งทำตัวเป็นรุ่นพี่ที่ดีกับผม และถึงแม้จะยังอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยแต่ถ้าผมย้ายคณะไปอย่างน้อยเฮียก็จะได้ไม่ขัดหูขัดตาเห็นผมเดินในคณะบริหารอีก ผมทำให้ได้เท่านี้แหละ อ่อ เดี๋ยวจะย้ายออกจากหอให้ด้วย โอเคมะ?” พูดจบผมก็พรูลมหายใจออกมายาวตัดความรำคาญใจก่อนจะเดินไป

      “ไม่ คือ…แล้วนั่นจะเดินไปไหน กลับไปหาไอ้ภามอย่างนั้นเหรอ” เฮียขุนถามเพราะเห็นผมกำลังเดินกลับไปทางคณะสัตวแพทย์

      “จะกลับไปทำกิจกรรมต่อ” ผมหันไปบอกเขา

      “ไหนบอกว่าทำต่อไม่ไหว”

      “เมื่อกี้ไม่ไหว…แต่ตอนนี้ผมไหวแล้ว” ขัดใจเขาจนวินาทีสุดท้ายและผมคงไม่เดินกลับซุ้มไปกับเขาหรอก

      ผมเดินกลับมายังคณะสัตวแพทย์ในขณะที่เพื่อนๆ ทำกิจกรรมเสร็จและกำลังจะถูกปล่อยตัวให้ไปคณะถัดไป ผมจึงรีบเดินพุ่งตรงเข้าไปหาไอ้นักในแถวทันที

      “ไอ้นัก…ทำไมมึงไม่ช่วยกู” ผมสอยท้ายทอยไอ้เพื่อนรักโดยที่มันไม่ทันตั้งตัว

      “อ้าว เพื่อนรัก แหม…จะให้ช่วยอะไรล่ะ เพื่อนรักไม่ได้ตกอยู่ในอันตรายอะไรซะหน่อย” พูดแบบนี้ทั้งที่มันก็รู้ดี

      “การที่กูได้อยู่กับพี่มึงนั่นแหละคืออันตราย มึงไม่สงสัยอะไรเลยหรือไงว่าทำไมจู่ๆ พี่มึงก็เข้าหากู มึงก็ด้วยไอ้นัก มึงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟที่เฮียขุนทิ้งเพื่อนรักของมึงไว้กลางทางไม่ใช่หรือไง ไหนมึงบอกว่าจะไม่แซว ไม่ชงกูให้พี่มึงแล้ว…แล้วนี่มันเรื่องเชี่ยอะไรเนี่ย”

      “ฟังกูนะเพื่อน กูคิดว่าตอนนี้เฮียขุนเขากำลังสำนึกผิดกับมึงอยู่ เฮียเขาก็เลยเข้าหาแล้วก็ทำตัวดีๆ กับมึงไง”

      เหตุผลฟังขึ้นแต่ไม่ใช่กับเฮียขุน คนอย่างเขาน่ะเหรอจะสำนึกผิดกับผม

      “พี่มึงบอกว่าทำไปเพราะเป็นหน้าที่ของรุ่นพี่ที่ดี เขาก็แค่รักษาภาพพจน์ให้ตัวเอง กูก็เลยบอกเขาไปว่ากูจะย้ายคณะเพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องเหนื่อยแสร้งเป็นรุ่นพี่ที่ดีกับกู แล้วกูก็จะย้ายออกจากหอด้วยให้สมกับความต้องการของพี่มึงที่ไม่อยากเห็นหน้ากู”

      “เชี่ย!” ไอ้นักอุทานออกมาเสียงดังจนเพื่อนรอบข้างหันมามอง “มึงแค่พูดออกไปเพราะหงุดหงิดเฮียขุนใช่ป่ะวะ”

      “เออ…แต่กูก็จะทำอย่างที่กูพูด”

      “ไม่เอาอ่ะ อย่าทิ้งกูไป เวลาเรียนกูจะนั่งกับใครแล้วเวลานอนกูจะนอนกับใคร กูไม่อยากนอนหอคนเดียว กูกลัวววว” มันพูดพลางเกาะแล้วเอาหัวถูไถแขนของผม

      ผมจึงผลักมันออก “มึงเป็นเด็กหรือไง ห๊ะ ไม่รู้แหละ กูพูดยังไงออกไปกูก็จะทำอย่างที่พูด”

      “ไอ้โช ทำไมมึงพูดง่ายๆ วะ ย้ายหอไม่เท่าไหร่แต่นี่ย้ายคณะเลยนะเว้ย”

      แม้จะไม่ได้ตั้งใจและตั้งตัวที่จะทำอย่างที่พูด แต่เพราะคนที่ผมพูดด้วยคือเฮียขุน ผมจึงจะต้องทำตามที่ว่าและต้องยอมรับผลที่ตามมา แต่ผลที่ผมคิดไม่ถึงเพราะยั้งปากตัวเองไม่ทันคือ…แล้วจะบอกพ่อยังไงว่าจะย้ายหอแล้วก็จะย้ายคณะด้วย ถ้าบอกไปมีหวังพ่อได้บึ่งรถมาหาถึงที่แล้วจับเข่าคุยด้วยความซีเรียสก่อนจะตะโกนใสหน้าผมว่า…ไม่ได้! แน่ๆ เลยครับ

      ปีหนึ่งคณะบริหารถูกปล่อยตัวออกมาจากซุ้มสัตวแพทย์ นั่นทำให้ผมเห็นเฮียขุนกำลังยืนคุยกับเฮียกุนอยู่นอกซุ้ม พลันสายตาของเขาจับจ้องมาที่ผมทันทีที่เดินออกมา

      นี่เขาไม่ได้กลับซุ้มบริหารแต่เดินตามผมกลับมาที่ซุ้มสัตวแพทย์

      จะเอาอะไรอีก ยังไม่พอใจอีกหรือไงที่ผมบอกว่าจะย้ายออกจากคณะแล้วก็ย้ายออกจากหอให้ด้วย

      จะให้ผมออกห่างจากชีวิตเขาไกลขนาดไหนถึงจะพอใจ

      แล้วผมจะต้องไปไกลขนาดไหนถึงจะตัดความรำคาญใจของตัวเองที่มีให้เขาได้

      เมื่อก่อนอยากเข้าใกล้เขาก็ไม่กล้าเข้าใกล้…ตอนนี้อยากหลีกหนีจากเขาแต่ก็ทำอะไรตามใจตัวเองได้ไม่มากอีก

      เฮ้อออ~

      “โช เสร็จกิจกรรมแล้วพี่ไปหานะ” พี่ภามตะโกนบอกผมในขณะที่กำลังเดินไปคณะถัดไป

      “ครับ” ผมพยักหน้า

      แน่นอนว่าพี่ภามตะโกนเสียงดังอยู่พอควร ใครหลายคนได้ยินและหนึ่งในหลายคนนั้นก็คงมีเฮียขุนรวมอยู่ด้วย เขาจึงไม่วายที่จะหันไปมองค้อนพี่ภามก่อนจะหันสายตาดุมามองผม

      นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกัน…ทำไมเฮียขุนต้องดูเหมือนไม่อยากให้ผมชอบพี่ภามหรือเพราะพี่ภามเป็นเพื่อน เขาก็แค่ไม่อยากให้ผมไปยุ่งกับเพื่อนเขา…

      แต่ความรู้สึกผมมันไม่ได้บอกแบบนั้น

      ปีหนึ่งวิ่งทำกิจกรรมไปอีกหกคณะ โดยมีพี่ปีสามอย่างเฮียขุนตามไปจนจบกิจกรรมและตลอดที่ผมทำกิจกรรมเขาก็ไม่ละเว้นสายตาไปจากผมเลย สายตาดุๆ สายตาที่ดูกังวล สายตาอะไรก็ไม่รู้ที่มีความรู้สึกหลากหลายผสมปนเปกันไปหมด

       คนถูกจ้องมองอย่างผมจึงอยากจะบอกว่า…อึดอัดฉิบหาย

      จนเราวนกลับมาที่คณะของตัวเอง รุ่นพี่ก็ดูแลโดยการคอยบริการน้ำเย็นๆ ให้ดื่มจากความเหนื่อยแล้วก็แจกแจงถึงกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นในตอนเย็นคือการประกวดดาวเดือนมหาวิทยาลัยและจบลงด้วยคอนเสิร์ต

      ซึ่งเวลาก่อนที่จะถึงกิจกรรมนั้นถูกจัดสรรให้เพียงพอกับการปล่อยตัวให้กลับไปบ้านหรือหอ เพื่อจัดการกับสภาพที่เลอะเทอะและกลิ่นเหงื่อไคลของตัวเองจากการทำกิจกรรมตอนกลางวัน แล้วค่อยมาเจอกันอีกทีตอนหนึ่งทุ่มที่หน้าเวทีของกิจกรรม

      นั่นเป็นเหตุผลที่พี่ภามบอกกับผมตอนที่เดินออกมาจากซุ้มของคณะเขา

      “โช” มาได้ตรงเวลามาก พอผมถูกรุ่นพี่ปล่อยปุ๊ป พี่ภามก็มาทันที “ไปกัน”

       “ไปไหนวะ” ไอ้นักที่ยืนอยู่ข้างๆ ถาม

      “ก็กลับหอไง” ผมบอกมัน

      ที่พี่ภามชวนผมกลับหอด้วยเพราะรู้อยู่แล้วว่าผมจะได้กลับหอคนเดียว ไอ้นักมันอยู่ที่มหาวิทยาลัยเพราะต้องไปเตรียมตัวขึ้นประกวด มันได้เตรียมของมาพร้อมแล้วและไม่ต้องกลับไปอาบน้ำผลัดผ้าที่หอ ส่วนเดือนมหาวิทยาลัยปีก่อนอย่างเฮียกุนก็อยู่เตรียมตัวที่มหาวิทยาลัยเช่นกัน

      ดังนั้นพี่ภามจึงเสนอตัวมารับผมกลับหอด้วยกันเพราะคิดว่าคงไม่มีใครมาดักคอเขาแล้ว แต่…

      “ไม่ได้!” เสียงของจรัสวาณิชย์อีกคนที่ผมไม่ได้เอ่ยถึงและคิดไม่ถึงว่านอกจากเขาจะตามผมไปขัดพี่ภามเวลาอยู่กับผมอย่างหาเหตุผลไม่ได้แล้ว เขายังจะมาขัดไม่ให้ผมกลับกับพี่ภามอีก

      “ถึงไอ้นักกับผมจะไม่ได้กลับหอ แต่ยังมีอีกคนที่อยู่หอเดียวกันกับไอ้โชนะครับพี่ภาม” เฮียกุนที่เดินมาด้วยพูดขึ้น

      รู้ครับว่าเฮียกุนหมายถึงใคร “แต่ผมจะกลับกับพี่ภาม ไปเถอะพี่ภาม” ผมบอกก่อนจะคว้ามือพี่ภามให้เดินไปด้วยกัน

      “ก็บอกว่าไม่ได้!” เฮียขุนคว้ามือของผมไว้แล้วกระชากกลับ

      “ไอ้ขุน ปล่อยโช โชเลือกแล้วว่าจะไปกับกู”

      “แต่กูไม่ให้ไป…มานี่” เขาบอกกับพี่ภาม จากนั้นแขนทั้งสองข้างก็รวบเอวผมจากข้างหลังแล้วยกผมอุ้มแล้วเดินไป

      “ปล่อยนะเว้ย!”

      “โช!” ส่วนพี่ภามก็ถูกทั้งไอ้นักและเฮียกุนพร้อมใจกันรวบตัวไว้ไม่ให้ตามมา

      “พี่ภาม!” ผมตะโกนในสภาพที่ตัวเองถูกหิ้ว “หลังจบคอนเสิร์ตแล้วโชจะให้คำตอบที่พี่ภามเคยถาม!”

      “…” พี่ภามพยักหน้าแล้วยิ้มให้

      สถานการณ์นี้ดูราวกับฉากในละครที่พระเอกและนางเอกถูกจับให้พรากจากกันยังไงยังงั้น…และเป็นสถานการณ์ที่ผมหงุดหงิดกับไอ้สามพี่น้องจรัสวาณิชย์นี่เหลือเกิน

      “ตัดสินใจแล้วสินะ” ผมได้ยินเสียงงึมงำอะไรไม่รู้จากไอ้คนที่กำลังอุ้มผม

      “ก็บอกให้ปล่อยไงวะ!” ผมแหกปากตะโกนพลางแกะมือที่รัดเอวผมแน่น

      “ถ้าไม่อายคนก็เงียบแล้วจะปล่อย แต่ต้องเดินตามมาดีๆ”

      พอเฮียขุนพูดออกมาแบบนั้นผมจึงหุบปากลงทันทีแล้วหันมองผู้คนที่กำลังมองเราเป็นจุดสนใจเดียวกัน “งั้นก็ปล่อย” ผมบอก

      “พูดมาก่อนว่าจะเดินตามมาดีๆ”

      ทำไมผมต้องทำตามข้อต่อรองของเขาด้วยวะ “เออ จะเดินตามไปดีๆ”

      เฮียกุนจึงปล่อยผมลงและดูเหมือนเขาจะรู้ทัน…เพียงแค่ผมก้าวเท้าทำท่าจะวิ่งเท่านั้นแหละ เขาก็คว้าหมับที่ข้อมือผมแน่นแล้วก็ลากจูงให้เดินตามเขาไป

      ผมใช้เวลาที่มีไม่กี่นาทีตลอดที่นั่งรถจนถึงหอไปกับการครุ่นคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับไอ้คนขับที่นั่งข้างๆ ดูไม่ออกเลยว่ากำลังร้ายหรือดี แต่ที่ดูออกและมั่นใจคือเขากำลังพยายามกันพี่ภามออกจากผม
 
      ซึ่งผมก็ไม่รู้อีกว่าสิ่งที่เขาทำอยู่นี้มันหมายความว่ายังไงกันแน่


      “ให้เวลายี่สิบนาทีแล้วเจอกันหน้าห้อง”

      ผมเปิดประตูเข้าห้องมาโดยไม่ได้ตอบรับหรือแม้แต่พยักหน้ากับประโยคที่เฮียขุนบอก ไม่สิ นั่นมันประโยคคำสั่งชัดๆ

      ยี่สิบนาทีเหรอ…หึ นานไปมั้ง ผมจะใช้เวลาให้เร็วก่อนยี่สิบนาทีแล้วก็ออกไปก่อนเฮียขุน ผมจะได้ไม่ต้องเจอแล้วก็จะไม่นั่งรถกลับมหาวิทยาลัยไปกับเขาแน่

      ผมถึงขนาดเอามือถือมาจับเวลาไว้ ถอดเสื้อผ้าแล้วอาบน้ำ อาบน้ำเสร็จแล้วก็ใส่เสื้อผ้า ทั้งหมดนี้ผมจะพยายามใช้เวลาเพียงแค่สิบนาทีเท่านั้น หรืออย่างมากก็สักสิบสองถึงสิบสามนาที จากนั้นก็จะเปิดประตูออกไปแล้วเดินย่องให้เบาที่สุด

      แต่ว่า…

      ก๊อกๆ
ทันทีที่ผมก้าวออกมาจากห้องน้ำและเพิ่งใช้เวลาไปทั้งหมดแค่แปดนาทีเท่านั้น

      ผมได้เดินไปที่ประตูเพื่อส่องดูว่าใครมาเคาะ

      เฮียขุน!

      เขาอยู่ในเสื้อเชิ้ตสีดำและกางเกงยีนส์สีเข้ม ปลายผมดูเปียกชื้นบ่งบอกว่าผ่านการอาบน้ำมาเรียบร้อยแล้ว แต่ว่าวิ่งผ่านน้ำหรือไงวะ ทำไมถึงได้เสร็จเร็วนัก…ไหนบอกว่าให้เวลายี่สิบนาทีค่อยเจอกันหน้าห้องแล้วเขาจะรีบมาเคาะประตูห้องผมทำไม

      “ผมยังไม่เสร็จ!” ผมตะโกนบอกออกไป

      “จะเข้าไปรอในห้อง” เฮียขุนตะโกนกลับเข้ามา

      นี่มันอะไรวะเนี่ย…จะเข้ามารอห้องผมเพื่ออะไรแล้วทำไมไม่นั่งรอห้องตัวเอง จะว่าไปแล้วนี่เป็นครั้งแรกที่เฮียขุนมาเคาะประตูห้องผมแล้วยังบอกว่าจะเข้ามาในห้องผมอีก

      แล้วผมควรจะทำยังไง “เฮียรออยู่ข้างนอกนั่นแหละ ผมแต่งตัวแป๊ปเดียวก็เสร็จแล้ว”

      “ก็บอกว่าจะเข้าไปรอข้างใน เปิดประตู!” แถมมาใช้ประโยคคำสั่งกับผมอีก

      “ไม่เปิด!”

      “ถ้าไม่เปิดจะพังเข้าไป เปิดเดี๋ยวนี้!” เฮียขุนพูดพร้อมกับเคาะประตูรัวๆ

      ผมสับสนมากกับสถานการณ์ที่เจออยู่นี้ ราวกับว่ามีโรคจิตพยายามเคาะห้องเพื่อที่จะเข้ามาในห้องผมให้ได้และโรคจิตที่ว่านั้นก็คือเฮียขุน ผมไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเขาต้องการอะไรจากผม

      ด้วยความรำคาญกับเสียงประตูที่ดังถี่ๆ ผมจึงเปิดประตูให้เฮียขุนเข้ามาด้วยสีหน้าที่ไม่เต็มใจและด้วยสภาพที่ไม่เต็มตัวเพราะมีเพียงผ้าขนหนูผืนเดียวที่ปิดบังส่วนล่างของผมไว้เท่านั้น

      เฮียขุนใช้สายตาเรียบนิ่งตรวจสภาพผมตั้งแต่หัวจรดเท้า…นี่ไม่ได้ตาฝาดหรือมองผิดใช่มั้ยว่าผมเห็นเฮียขุนแอบอมยิ้มตอนเดินเข้ามาด้วย

      พอเขาเข้ามาอยู่ในห้องผมก็รู้สึกอึดอัดและเกร็งแปลกๆ และเพิ่งมารู้สึกวาบหวิวตรงท่อนบนที่เปลือยเปล่าเพราะอีกคนที่อยู่ในห้องยังคงเอาแต่จ้องมองไม่วางตา

      ผมจึงรีบเดินไปที่ตู้แล้วจัดแจงเสื้อผ้าเอาเข้าไปใส่ในห้องน้ำ

      กลายเป็นว่าผมเสร็จช้ากว่าเฮียขุนทั้งๆ ที่ผมอุตส่าห์กำหนดเวลาให้ตัวเองเร็วกว่าที่เขาบอก และไหนๆ แผนการก็ถูกเปลี่ยนแล้ว ผมจึงหยิบเอาไดร์เป่าผมออกมาทำให้ผมตัวเองแห้งและเซตให้เรียบร้อยที่จะก่อนออกไป

      ในขณะที่กำลังเป่าผมอยู่ เฮียขุนก็เอาแต่มองผมอยู่นั่น วันนี้โดนเขามองทั้งวี่วันแต่ผมก็ยังรู้สึกอึดอัดและไม่ชินกับสายตาของคนๆ นี้อยู่ดี เลยจะคิดซะว่าผมได้เลี้ยงหมาเลี้ยงแมวไว้ในห้องแล้วมันก็กำลังนั่งจ้องผมอยู่ละกัน

      “เจ็บอ่ะ”

      ผมได้ยินเฮียขุนพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่เพราะเสียงของไดร์เป่าผมทำให้ผมได้ยินไม่ถนัดนักจึงกดปิดแล้วหันไปมอง

      หรือผมหูแว่วไปเอง พอหันไปมองก็ไม่เห็นว่าเขาจะบอกหรือพูดอะไร และเฮียขุนก็ยังคงอยู่ในรีแอคชั่นท่าเดิมคือจ้องมอง…ผมจึงหันมาเปิดไดร์เป่าผมอีกครั้ง

      “เจ็บ”

      ผมได้ยินอีกแล้ว เฮียขุนพูดอะไรสักอย่าง ผมปิดไดร์เป่าผมแล้วหันไปมองเขาอีกรอบ “เฮียพูดอะไร” ผมขมวดคิ้วถาม

      “พูดว่าเจ็บ” เขาบอก

      “เจ็บอะไรของเฮีย”

      “ก็ที่กัดข้างหลัง”

      “สมน้ำหน้า บอกให้ปล่อยแล้วไม่ปล่อยเอง” ผมหันหน้ากลับมาพูดกับตัวเองเบาๆ จากนั้นก็เปิดไดร์เป่าผมต่อโดยไม่ได้สนใจที่เขาบอกเมื่อครู่มากนัก

      “ก็บอกว่าเจ็บ”

      “เชี่ย!” ผมอุทานออกมาด้วยความตกใจที่เห็นเฮียขุนมายืนอยู่ข้างหลังจากในกระจกที่ส่องอยู่

      “มันเจ็บ” เขายังคงบอกผมคำเดิมราวกับว่ากำลังเรียกร้องความสนใจ

      “แล้วไง เฮียมาบอกผมทำไม” ผมหันหน้าไปหาเขาแล้วผลักอกเขาออกไป

      “ตอนอาบน้ำส่องกระจกแล้วหันหลังดู มันบวมเป็นรอยฟันแล้วก็ช้ำ ตอนนี้มันเจ็บมากแล้วก็ไม่มียาทาด้วย”

      “…” หลังจากที่งุดๆ กับการเก็บไดร์เป่าผมเสร็จ ผมก็เงยหน้าขึ้นมามองคนที่ผมไม่คิดว่าจะมาทำตัวอ่อนแอต่อหน้าผม

      แล้วที่พูดเนี่ย ต้องการจะให้ผมรู้สึกผิดหรือว่าอะไร

       แล้วทำไมพอฟังเขาพูดแบบนั้นแล้วผมถึงต้องอยากดูข้างหลังของเขาด้วย

       “มียามั้ย ทาให้หน่อย”

      ว่าไงนะ…ทั้งงุนงงและสงสัย ไม่คิดไม่ฝันว่าจะมีวันที่ขุนศึกมาขอให้โชกุนทายาให้

      มันเกิดอะไรขึ้นกับคนตรงหน้าผมเนี่ย

      การได้อยู่กับเฮียขุนมันเป็นอะไรที่ผมไม่ไว้ใจและระแวงไปหมดว่าเขาจะมาไม้ไหน

      ถึงอย่างนั้นคนอย่างผมก็ไม่ได้ใจร้ายแบบเขา ถึงคนๆ นี้จะกลายเป็นคนที่ผมเห็นหน้าแล้วรู้สึกหงุดหงิดและรำคาญตาไปแล้ว แต่ผมก็จะรับผิดชอบที่ทำให้เขาเจ็บโดยการทายาให้ก็ได้

      ผมเลิกเสื้อของคนที่นั่งหันหลังให้ผมขึ้น

      อืม…หนักเอาการ ผมเบ้ปากสมน้ำหน้าหลังจากได้เห็นรอยฟันของตัวเองฝังอยู่บนแผ่นหลังขาวๆ ของเฮียขุน ไม่ได้แปลกใจหรือตกใจกับรอยที่มันช้ำมาก เพราะตอนที่กัดเขาผมก็กดเขี้ยวลงไปหนักพอควร ผมจึงพอเดาสภาพออกว่าผลมันจะเป็นแบบนี้

      ยังถือว่าหนังด้านพอควรที่กัดแรงขนาดนั้นแล้วเลือดไม่ออก สำหรับเขาแล้วผมว่านี่ยังถือว่าน้อยไปด้วยช้ำ ใจเสาะฉิบหาย แค่นี้ทำเป็นมาบ่นว่าเจ็บอยู่ได้

      ที่ผ่านมาผมไม่เจ็บมากกว่าหรือไง ถึงแม้จะไม่ได้โดนทำร้ายร่างกายสาหัสก็เถอะ แต่เจ็บกายของเฮียคงไม่สู้กับความเจ็บปวดใจของผมหรอก

      ผมป้ายยาแล้วก็ถูวนๆ สองสามที “เสร็จแล้ว” ผมบอกแล้วก็เอาเสื้อลงให้เขา

      “ทำไมเสร็จไว” เฮียขุนหันหน้ามาถาม

      “รอยเท่ามดกัด จะทาอะไรมากมาย”

      “เดี๋ยว” ผมปิดฝายาแล้วก็กำลังทำท่าจะลุกเอายาไปเก็บแต่กลับถูกเฮียขุนดึงแขนให้นั่งลงท่าเดิม

      เขาหันหน้ามาหาผม

      “เฮียจะทำอะไร!” ผมตกใจที่จู่ๆ เฮียขุนก็ค่อยๆ ก้มหน้าลงมาซุกที่ไหล่ของผม “ทำบ้าอะไรอีก!” ผมผลักเขา ส่วนตัวเองก็ขยับก้นถอดกรูดออกมา

      “…” เขาเงยหน้าขึ้นมามอง แววตาชัดเจนที่เขาใช้จ้องผมตอนนี้ ผมดูออก…มันทั้งอ่อนโยนและเว้าวอน แต่เพื่ออะไรกัน?

      “เฮียทำแบบนี้ทำไม บอกมาเลยดีกว่าว่าต้องการอะไรจากผมกันแน่ คนใจร้ายและเกลียดผมอย่างเฮีย มาเข้าใกล้ มาทำตัวดีกับผมเพื่ออะไร”

      “ก็แค่…อยากจะบอกว่า…”

       “…” ผมมองและตั้งใจฟังสิ่งที่เขาจะพูดออกมา

      “ไม่ต้องย้ายคณะ ไม่ต้องย้ายหอไปไหนทั้งนั้น แล้วก็…”

      “แล้วก็อะไร?”



      “ไม่ชอบไอ้ภามได้มั้ย”



-----TBC-----
หัวข้อ: Re: ❤#Heart To Heart #ใจแพ้รัก❤ 「ตอนที่21」-04/07/19-
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 10-07-2019 23:39:24
เอาแล้ววววววๆ เฮียขุนผู้อ่อนโยนกลับมาแล้ววววววว
หัวข้อ: Re: ❤#Heart To Heart #ใจแพ้รัก❤ 「ตอนที่22」-27/07/19-
เริ่มหัวข้อโดย: ิbanoffee ที่ 27-07-2019 03:04:09
ตอนที่ 22


Khunsuek’s part


       “ทำไม?” โชถามผมด้วยน้ำเสียงหนักแน่นที่คาดหวังกับคำตอบ…ซึ่งฟังแล้วทำให้ผมรู้สึกกระวนกระวายใจซะเหลือเกิน

       รู้คำตอบอยู่แล้ว…แต่ผมกลับเลิกลั่กไม่กล้าตอบคำถามนั้นไป

       รู้อยู่แล้วว่าต้องตอบไปว่ายังไง…ทว่าความขี้ขลาดของผมมัวแต่ทำให้ยืดเยื้ออมพะนำไว้

       “ผมถามว่าทำไม?” คนตรงหน้าย้ำถามอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่เน้นความคาดคั้นขึ้นอีกเล็กน้อยทั้งยังส่งสายตาดุดันให้

       “คือ…” พูดออกไปเลยขุนศึก…บอกออกไปว่าที่จริงแล้วชอบโชมากขนาดไหน

       ที่จริงแล้วไม่เคยเกลียดเลย…ที่ทำไปเพราะโกรธแล้วทำเป็นฝืนความรู้สึกเพราะยังสับสนในหัวใจตัวเองก็เท่านั้น

       แต่ตอนนี้ยอมรับแล้ว…เข้าใจแล้วว่าชอบแล้วก็หวงมากมายเวลาที่มีทั้งผู้หญิงและผู้ชายคนอื่นมายุ่งกับโช

       และตอนนี้ก็ทนให้เป็นแบบนั้นไม่ได้อีกแล้ว…

       “คือว่า…” ผมลอบกลืนน้ำลายให้กำลังใจตัวเองไปหนึ่งอึก “คือว่าที่จริงแล้ว…”

       ครืด~ ครืด~

       ในขณะที่ความมั่นใจกำลังถึงขีดสุดในการที่จะบอกความรู้สึกของผมให้โชรับรู้ เสียงสั่นเตือนมือถือเจ้ากรรมของโชก็ดังขึ้นขัดจังหวะจนความมั่นใจของผมถอยกลับลดฮวบฮาบลง

       “ครับพี่ภาม” แล้วโชก็หยิบมือถือขึ้นมารับสายจากการสั่นเตือนนั้นทันที “เสร็จแล้วครับ ผมโชแห้งพอดี เดี๋ยวก็ออกไปแล้ว” ตอบกลับคนในสายพลางลุกขึ้นไปเก็บไดร์เป่าผมให้เข้าที่ก่อนจะส่องกระจกแล้วขยี้ผมยุ่งๆ ของตัวเองเซ็ตเป็นทรงให้ดูดี

        พอไอ้ภามโทรมา สีหน้าที่เต็มไปด้วยความสนใจที่ถามผมกลับเลือนหาย แววตาดุดันเมื่อครู่ละเลยคำตอบที่ผมกำลังจะเอ่ย

        ช่างมันเถอะ…ไม่ได้สำคัญอะไร ความรู้สึกบอกผมว่าโชน่าจะคิดอย่างนั้น เพราะตอนนี้เจ้าตัวดูให้ความสนใจกับคนที่ถือสายด้วยการเร่งรีบแต่งตัวให้ดูดีเพื่อเตรียมจะไปหาซะมากกว่า

       ทั้งๆ ที่สำคัญตัวมาตลอด…ที่ผ่านมาโชให้ความสนใจกับผมเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น

       แต่เป็นเพราะผมที่ใช้เวลาจัดการกับหัวใจตัวเองนานเกินไป ปล่อยให้ความรู้สึกที่สับสนทำร้ายโชครั้งแล้วครั้งเล่า

       ปล่อยให้มันเลยเถิดจนมันมีวันนี้จนได้…

       วันที่โชให้ความสำคัญและความสนใจกับคนอื่นมากกว่าผม

       ยิ่งได้เห็นรอยยิ้มนั้นที่ควรจะเป็นของผมกลับกลายเป็นของไอ้ภาม ทั้งที่มันก็อยู่ในสาย…โชกลับดูมีความสุขราวกับว่าได้ยืนคุยกับมันต่อหน้า

       ผมซึ่งอยู่ด้วยในห้องกลับดูไร้ตัวตน…กลายเป็นธาตุอากาศที่บางเบาไปเลยด้วยซ้ำ

       ตุ้บ!

       ผมเดินไปกระชากมือถือออกจากหูของโชก่อนจะกดตัดสายแล้วโยนทิ้งไปที่เตียงนอน

       “เฮียทำบ้าอะไรอีกเนี่ย!” เจ้าของมือถือขมวดคิ้วไม่พอใจพลางเอ็ดใส่ผมเสียงดัง

       ครืด~ ครืด~

       ไอ้ภามโทรกลับมาทันทีที่ถูกตัดสาย แต่ก็ถูกผมคว้ามากดสายทิ้งอีกรอบแล้วปิดเครื่องไป…โชที่เอื้อมถึงมือถือช้ากว่าผมจึงได้แต่ยืนกอดอกแล้วมองค้อน   

       “ยังไม่รู้คำตอบเลยว่าทำไมถึงห้ามไม่ให้ชอบไอ้ภาม”

       “…” โชชักสีหน้ารำคาญ “เฮียมัวแต่อึกอัก ดูเหมือนยังหาคำตอบแน่ชัดให้ตัวเองไม่ได้ว่าทำไมถึงต้องห้ามผมไม่ให้ชอบพี่ภาม ผมเลยไม่อยากรู้แล้ว ถึงรู้…แล้วไง เหตุผลบ้าๆ อะไรก็เรื่องของเฮียสิ เฮียมีสิทธิ์อะไรมาห้ามผมไม่ให้ชอบพี่ภาม ผมจะชอบหรือไม่ชอบใคร ผมคือคนตัดสินใจเองไม่ใช่เฮีย” ไม่ชินเลย…แววตาเย็นชาและคำพูดไร้เยื่อใยที่ออกมาจากปากโช

       นั่นสิ…ผมมีสิทธิ์อะไรห้ามโชไม่ให้ชอบไอ้ภาม ทำตัวไม่ดี ทำตัวไม่น่ารักใส่ตั้งมากมายแล้วผมถือสิทธิ์อะไรไปหึงหวง

       ผมจะยอมรับในสิ่งที่โชพูด หากไม่หลงเหลือความรู้สึกนั้นให้ผมแม้แต่เพียงนิดเดียว…แต่ถ้าโชยังหลงเหลือความชอบให้ผมอยู่บ้าง ถึงเหลือเพียงน้อยนิดแต่ผมก็ยังมีสิทธิ์ใช่มั้ย

        “แล้ว…ยังจะพอเหลือสิทธิ์นั้นให้บ้างมั้ย?” รู้ตัวเองดียังจะหน้าด้านถามออกไปแบบนั้น…

       “…” โชมองผมอย่างพิจารณาก่อนจะก้มหน้าถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ จากนั้นจึงเงยมองผมอีกครั้งด้วยสีหน้าที่บ่งบอกราวกับว่าเขากำลังจะสิ้นสุดความอดทน “พูดให้มันชัดเจนเลยดีกว่าว่าเฮียคิดจะทำอะไรกับผมกันแน่…อย่ามาพูดคลุมเครือ ผมไม่อยากเล่นสงครามประสาทกับคนอย่างเฮียอีกแล้ว ผมเหนื่อย เข้า.ใจ.มั้ย!” โชจบประโยคด้วยน้ำเสียงโมโหและเน้นย้ำโดยการใช้นิ้วจิ้มมาที่อกผมสองสามที

       หมับ!

       ผมจึงจับนิ้วเรียวยาวนั้นไว้แล้วค่อยๆ กุมทั้งมือของโชให้มาทาบที่อกผมแทน

       “คือว่า…เฮียกำลังขอโอกาสจากโชอยู่” ผมแสดงแววตาที่จริงจังและจริงใจกับสิ่งที่พูด

       การที่ให้โชสัมผัสที่หัวใจของผมนั้นก็เพื่อจะให้รับรู้ว่าผมไม่ได้คิดจะแกล้งหรือเล่นสงครามประสาทกับเขา…หวังว่าเสียงและอัตราการเต้นเร็วของหัวใจผมจะทำให้โชใจเย็นลง

       คนตรงหน้าผมคลายสีหน้าที่มีน้ำโหเปลี่ยนมาเป็นการขมวดคิ้วที่เต็มไปด้วยความครุ่นคิด

       “ที่ไม่อยากให้ชอบไอ้ภามเพราะ…เฮียอยากให้โชชอบเฮียแค่คนเดียว อยากให้โชชอบเฮียเหมือนเดิม”

       “หึ..ฮ่าๆๆ” โชสะบัดมือออกพลางหัวเราะขบขัน ถึงอย่างนั้นผมก็พอดูแววตาของเขาออกว่าเป็นการหัวเราะที่เต็มไปด้วยความสับสน “เฮียตลกนักเหรอวะ…เฮียจะเล่นอะไรกับความรู้สึกผมอีก ที่ผ่านมาไม่ว่าเฮียจะโกรธ จะด่าหรือเย็นชาใส่ผมแค่ไหน ผมก็ยังมีความรู้สึกเดิมเหมือนตอนเด็กให้เฮียเสมอมา ชอบยังไงก็ชอบอย่างนั้น ผมไม่เคยโกรธหรือเกลียดเฮียกลับเพราะมันเป็นความผิดของผม ผมโทษตัวเองที่ทำให้เฮียโกรธและผิดหวัง…ผมโทษตัวเองที่ผมมันดันเป็นผู้ชายไม่ใช่เด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักอย่างที่เฮียเคยหวังไว้” ดูเหมือนแววตาสับสนในขณะที่พูดนั้นกำลังปะปนไปด้วยความเศร้า

       ผมยิ่งรู้สึกผิดที่ทำให้โชโทษตัวเองขนาดนั้นและปล่อยให้เขาโทษตัวเองมานานเกินไป “เฮีย…ไม่ได้จะเล่นกับความรู้สึกของโชนะ”

       “ทุกครั้งที่เจอหน้าหรือแค่เดินผ่าน แม้ผมจะกลัวสายตาที่เย็นชาของเฮียแต่อีกด้านของความกลัวผมก็อยากเดินเข้าไปพูด เข้าไปอธิบายและขอโทษ แต่เฮียก็ไม่ให้โอกาสนั้นกับผมเลย หลายครั้งที่เฮียทำเป็นพูดดีและผมดีใจทุกครั้งเพราะคิดว่าเฮียอาจจะหายโกรธผมแล้ว แต่มันเป็นการเสแสร้งเพื่อที่จะแกล้งผมให้อับอายเท่านั้น…การกระทำที่จริงใจของเฮียมันไม่มีให้ผมอีกแล้ว เฮียรู้ว่าผมชอบเฮียขนาดไหน เฮียจึงได้ใช้มันมาแก้แค้นให้ความโกรธตัวเอง ทุกครั้งมันมักจะจบลงด้วยการหัวเราะสะใจและเฮียก็ตอกย้ำต่อหน้าเพื่อนๆ ว่าเฮียไม่มีวันชอบผู้ชายอย่างผม แม้ว่าผมจะแสดงออกชัดเจนว่าชอบเฮียขนาดไหนแต่ผลลัพธ์สุดท้ายก็ได้ความเย็นชาตอบกลับมาอยู่ดี ผมรู้ว่าผมผิด แต่เฮียลงโทษด้วยการทำร้ายความรู้สึกผมมากเกินไปแล้วนะ…ดังนั้นเฮียสมควรที่จะให้ผมยังความรู้สึกชอบเหมือนเดิมอยู่อีกอย่างนั้นเหรอ ทั้งๆ ที่ผมกำลังปล่อยให้ความรู้สึกนั้นค่อยๆ ล่องลอยออกห่างจากเฮียไป  แล้วทำไมเฮียถึงต้องเรียกร้องให้มันกลับมาด้วย เฮียควรจะดีใจสิที่ไม่มีคนอย่างผมชอบเฮียแล้ว” ความเศร้าที่ปะปนกำลังถูกครอบคลุมด้วยน้ำใสๆ เต็มรอบดวงตาของโช

       “ฟังนะ ที่เฮียจะพูดต่อไปนี้คือความรู้สึกจริงๆ ของเฮียทั้งหมด” ผมบอกก่อนจะจับมือมากุมที่หัวใจของผมอีกรอบและกำลังจะพูดต่อ แต่ว่า…

       “ผมไม่อยากฟังอะไรแล้ว” โชสะบัดมือออก

       “โชต้องฟังเฮียก่อนนะ” ผมยื้อมือเขามากุมไว้อีกรอบ

       “ไม่ฟัง ปล่อย!”

       “โชฟังก่อน”

       “บอกว่าไม่ฟังไง ปล่อยผม ผมจะไปหาพี่ภาม!”

       “ไม่ เฮียไม่ให้โชไปหาไอ้ภามเด็ดขาด!” ผมกระชากแขนโชมาอย่างแรงเมื่อได้ยินเขาบอกว่าจะไปหาไอ้ภาม คงอยากจะรีบไปบอกตกลงคบมันเร็วๆ ล่ะสิ

       ผมกับโชยื้อฉุดกระชากลากถูดึงแขนกลับไปมาจน…

       ตุ้บ!

       โชผลักผมจนหลังไปกระแทกกับผนัง

        “ผมบอกแล้วไงว่าไม่อยากฟัง!”

       “โชต้องฟัง!” ผมรีบดึงแขนของโชก่อนที่เขาจะวิ่งหนีผมไป จากนั้นก็ดึงรวบมากอดทั้งตัว ผมกอดเขา…กอดเขาจากด้านหลังไว้แนบแน่น “โชฟังเฮียนะ ที่ผ่านมาเฮียไม่เคยเกลียดโชเลย เฮียแค่โกรธมากแล้วก็รู้สึกสับสนไปหมด เฮียแค่ยังทำใจไม่ได้ที่รู้ว่าโชเป็นผู้ชาย…”

       “ปล่อยผม…ผมไม่อยากฟัง ปล่อย!” โชเอามืออุดหูทั้งสองข้างพลางดิ้นพล่านในอ้อมกอดของผม เขาไม่เชื่อและไม่อยากรับรู้อะไรจากปากผมทั้งนั้น

       ตุ้บ!

       “โอ้ยย!” ผมโดนโชเอาศอกกระทุ้งท้องก่อนจะผลักอีกรอบแต่คราวนี้ลงไปกองกับพื้น “โช เดี๋ยวก่อน” จากนั้นคนที่ผมเรียกก็วิ่งหนีออกจากห้องของตัวเองไป

       ผมรีบพยุงตัวเองขึ้นและวิ่งตามไปทันที

       ผมเห็นหลังไหวๆ ของโชตอนวิ่งตามลงบันได คิดว่าจะวิ่งตามคว้าไว้ทันแต่ก็ไม่ทันซะทีจนถึงชั้นแรกของหอโชก็วิ่งออกไปถนน ส่วนผมวิ่งไปที่รถแล้วรีบขับตามเขาไป

       ผมขับเทียบเคียงพลางลดกระจกตะโกนบอกให้โชขึ้นรถแต่เขาไม่สนใจเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาวิ่ง ผมจึงตัดสินใจเหยียบคันเร่งไปจอดรถดักหน้าไว้

       ในขณะที่ผมกำลังเปิดประตูรถลง โชก็วิ่งมาถึงพอดี เขาจึงเร่งฝีเท้าวิ่งแซงไป แต่ระยะของเขาห่างจากผมไม่ถึงสองเมตร ผมวิ่งตามไม่กี่ก้าวก็ทันจากนั้นจึงรีบคว้ามือเขาไว้“โช เฮียบอกให้ฟังเฮียก่อน”

       “ปล่อย แฮ่กๆ” โชพูดด้วยความเหนื่อยหอบพลางพยายามสะบัดมือออก “บอกแล้วไงว่าผมไม่ฟังอะไรทั้งนั้น ผมจะรีบไปหาพี่ภาม”

       “ไม่ พี่ไม่ให้ไปหามัน…มานี่” ผมดึงโชให้มาขึ้นรถ

       “ไม่ไป ผมไม่ไปกับเฮีย” โชแกะมือผมออกก่อนจะดีดตัววิ่งหนีอีกรอบแต่ถูกผมดักทางไว้ทัน

       “เฮียบอกให้ไปขึ้นรถ”

       “อย่ามาพูดน้ำเสียงบังคับผมนะ…ถอยไป!” ตะโกนใส่หน้าพลางผลักผมให้หลีกทาง

       “อย่าดื้อเลยนะ ขึ้นรถเถอะ” ผมอ่อนเสียงลง

       “ไม่ขึ้น!” ผมพยายามรวบดึงตัวที่เอาแต่บ่ายเบี่ยงของเขา “เฮียไม่มีสิทธิ์มาลากผมไปตามใจแบบนี้นะ เฮียไม่มีสิทธิ์มาพูดหรือมาสั่งให้ทำตามที่เฮียต้องการ เฮียไม่มีสิทธิ์มาแตะต้องตัวผมด้วย…ผมไม่เหลือสิทธิ์อะไรให้เฮียทั้งนั้น อย่ามายุ่งกับผม เข้าใจมั้ย!”

       วินาทีนั้นผมรู้สึกจุกกับคำพูดของโชไปถึงขั้วหัวใจ มือไม้อ่อนแรงกำลังจนปล่อยให้เขาหลุดออกจากพันธนาการ…เจ้าของถ้อยคำที่ไม่เหลือเยื่อใยจ้องผมเขม็ง

       ความรู้สึกที่โดนคนที่ชอบผลักไสมันเป็นแบบนี้เอง…สายตาที่ถูกมองอย่างน่ารำคาญมันทำให้ผมโคตรเจ็บเลย

       เจ็บแล้วก็หงุดหงิดใจทุกครั้งที่โดนโชมองแบบนั้น…และครั้งนี้รู้สึกเจ็บกว่าทุกครั้งที่นอกจากจะโดนผลักไสแล้ว โชก็ยังเอาแต่จะหลีกหนีผมเพื่อเร่งรีบไปหาไอ้ภาม

       เป็นแบบนี้ยิ่งรู้สึกเจ็บราวกับว่าโชตกลงคบกับไอ้ภามไปแล้ว

        “โอเค เฮียยอมแล้ว เฮียยอม…เฮียจะไม่แตะต้องตัวโชก็ได้ แต่โชขึ้นรถเถอะนะ เราจะไปมอด้วยกัน”

       “ไม่…ผมจะไปเอง”

       “โช…” ผมเดินไปดักหน้าโชไว้ไม่ให้เขาเดินไป

       ถึงจะไม่อยากฟังผมตอนนี้ก็ไม่เป็นไร แต่ขอร้องล่ะ…แค่ให้เขายอมขึ้นรถ ผมจะไม่ปล่อยให้เขาเดินมืดๆ ไปมหาวิทยาลัยเองคนเดียวแน่

       ผมจะไม่ทิ้งโชไว้ข้างทางอีก

       “เฮีย…ขอร้อง ขึ้นรถไปกับเฮียนะ”

       “เหอะ…ว่าไงนะ นี่เฮียพูดว่าขอร้องผมอย่างนั้นเหรอ”

       ใช่…ผมขอร้อง โชคงไม่เชื่อหูตัวเองว่าคนที่เย็นชา ชอบพูดจาร้ายๆ ใส่เขามาตลอดจะมาพูดจาอ้อนวอนกับเขาได้…โชคงคิดว่าผมกำลังเล่นแง่อะไรสักอย่างเขาถึงได้หัวเราะให้กับสิ่งที่คนอย่างขุนศึกพูดอย่างขบขัน

      เขาหัวเราะ…เพราะไม่เหลือความเชื่อใจในตัวผมแล้ว

       “เฮียไม่ได้จะแกล้งอะไรโชจริงๆ นะ เชื่อเถอะ” ผมแสดงแววตาที่จริงใจ…แค่หวังว่าเขาจะเห็น

       “…” โชงียบพลางมองผมด้วยความระแวงและสับสน “หึ…ก็ได้ คนอย่างเฮียอุตส่าห์ขอร้อง ผมจะยอมขึ้นรถด้วยก็ได้ เพราะถ้าผมยังยืนยันที่จะไม่ขึ้นรถไปกับเฮีย เฮียก็คงจะเดินมาดักหน้าตามผมไปเรื่อยๆ สินะ”

       “…” ผมพยักหน้า

       ถ้าโชไม่ยอมขึ้นรถไปด้วย ผมก็คงจอดรถทิ้งไว้อย่างนั้นแล้วก็เดินตามเขาไปจนถึงมหาวิทยาลัย

       “น่ารำคาญใจจริงๆ เลยว่ะ” โชสบถพูดด้วยอารมณ์หงุดหงิดก่อนจะหันหลังเดินกลับไปที่รถด้วยความไม่เต็มใจนัก

       แม้จะถูกมองด้วยความรำคาญขนาดนั้นแต่ผมก็ดีใจที่โชยอมขึ้นรถไปกับผม…แล้วก็สมน้ำหน้าตัวเองจริงๆ ที่โดนโชไม่แยแสใส่บ้าง

       “บอกไว้เลยนะ ถ้าเฮียเล่นแง่อะไรหรือขับรถพาผมไปไหนที่ไม่ใช่มอล่ะก็…ผมจะกระโดดออกจากรถเฮียให้มันรู้แล้วรู้รอดไป” โชบอกผมทันทีที่ขึ้นรถมา

       ราวกับว่ารู้ทัน…เหตุผลอีกประการที่ผมอยากให้โชขึ้นรถมากับให้ได้ก็เพราะว่าผมไม่อยากให้เขาไปหาไอ้ภาม ผมคิดว่าจะพาเขาไปที่ไหนสักแห่งเพื่อที่จะปรับความเข้าใจและพูดคุยให้รู้เรื่อง

        แต่ถ้าพูดมาแบบนี้แล้ว…แม้ผมไม่อยากให้ไป มันกลับกลายเป็นว่าผมเป็นคนไปส่งประเคนโชให้ไอ้ภามเองกับมือ

       ดูจากอากัปกิริยาของคนข้างๆ ตอนนี้ทำให้ผมกลัว…ผมกลัวว่ามันจะมีแนวโน้มที่โชจะตกลงปลงใจคบกับไอ้ภามในเปอร์เซ็นที่เอนเอียงไปค่อนข้างสูง

       ถ้าเป็นอย่างนั้น…ใจของผมที่ระหองระแหงเพราะทำตัวเองคงได้เหี่ยวเฉาอย่างเดียวดายเพราะต้องทนเห็นคนที่ให้ใจไปแล้วตั้งแต่ตอนเด็กไปชอบและเป็นของคนอื่น

       “เฮียจะพาไปหาไอ้ภาม…พอใจมั้ย?” แม่งเอ้ย…กัดฟันพูดแท้ๆ เลยผม ประชดทั้งโชแล้วยังประชดใจตัวเองไปอีก

       “ดี…งั้นก็รีบขับไปเร็วๆ เลย”

       ผมขับรถไปมหาวิทยาลัยด้วยใจที่โหวงเหวง…รู้สึกโกรธและโมโหตัวเองมากจนน้ำใสๆ ท่วมดวงตาแทบจะร่วงอยู่แล้ว


       พอมาถึงมหาวิทยาลัย ทันทีที่รถจอดโชก็รีบปลดเข็มขัดแล้วลงจากรถไปโดยไม่เอ่ยอะไรกับผมสักคำ…คงจะรำคาญผมมากสินะ

       ผมเดินตามโชมาบริเวณเวทีประกวดที่จัดอยู่ลานสนามกว้างของมหาวิทยาลัย เบียดเสียดผู้คนตามเขาเข้าไปตรงที่ไอ้ภามยืน

       ครืด~ ครืด~

       Kunsue: เป็นไงบ้างเฮีย

       ไอ้กุนส่งข้อความมาหาผม ตอนนี้มันคงอยู่หลังเวทีและมันคงกำลังคิดว่าผมจัดการเรื่องของตัวเองไปถึงไหนแล้ว ก่อนที่คอนเสิร์ตของค่ำคืนนี้จะสิ้นสุดและผมอาจจะต้องสูญเสียสิ่งที่สำคัญอย่างโชไป

       Khunseuk: ตอนนี้กูยืนประกบไอ้ภามกับโชอยู่หน้าเวที

       Kunsue: ว่าไงนะ…ทำไมเฮียไม่ลักพาตัวไอ้โชไปที่อื่น พามันมาหาไอ้พี่ภามทำไม…ทำไมเฮียโง่แบบนี้เนี่ย

        Khunseuk: ไอ้กุน…กูพี่มึงนะ ไอ้นี่นิ

                      : ตอนแรกกูก็คิดงั้น แต่ตอนนั่งรถมาโชบอกว่าถ้ากูพาไปที่อื่น เขาจะโดดลงรถ

       Kunsue : ขนาดนั้นเลย…

       Khunseuk: ตอนอยู่ที่หอกูพยายามอธิบาย บอกความรู้สึกจริงๆ ของกูออกไป โชก็ไม่ฟังแล้วก็ไม่เชื่อกูเลย

        Kunsue: ก็เฮียใจร้ายกับมันไว้เยอะนี่…สม

       Khunseuk: ไอ้กุน…นี่กูเป็นพี่มึงป่ะ

       Kunsue: ครับๆ เพราะเฮียเป็นพี่ผม ผมถึงเคยบอกเฮียหลายครั้งแล้วว่าให้รีบบอกความรู้สึกของตัวเองไป

                 : แต่เฮียก็มัวทำใจอยู่นั่น…ทีนี้เป็นไงล่ะ ถ้าโชมันตกลงคบพี่ภาม เฮียจะมาเรียกร้องก็สายไปแล้วนะ

                 : คงได้แต่ทำใจ


       Khunseuk: กูไม่ยอมง่ายๆ แน่




-----TBC-----
หัวข้อ: Re: ❤#Heart To Heart #ใจแพ้รัก❤ 「ตอนที่22」-27/07/19-
เริ่มหัวข้อโดย: MonsterBowbie ที่ 27-07-2019 09:10:22
 :angry2:

เอาจริงเราเชียร์ภามว่ะ อยากให้ได้รับโอกาสบ้าง ก็คือขุนไม่ควรสมหวังในตอนนี้นะ ขุนคือตอนแรกๆเอาคนนั้นควงคนนี้ อยากให้โชรับรกพี่ภามอ่ะเอาจริง แล้วนักรบจะทำอะไรก็คิดดีๆ โชหมดความอดทนขึ้นมา มันจะยุ่ง
หัวข้อ: Re: ❤#Heart To Heart #ใจแพ้รัก❤ 「ตอนที่22」-27/07/19-
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 27-07-2019 09:59:31
ใจร้ายสารพัดมาหลายปี  จะให้มาดีด้วยในเร็ววันเหรอ​ มันไม่ง่ายขนาดนั้นนะ​ เชียร์​ภามถึงจะเชียร์ไม่จึ้นก็เถอะ
หัวข้อ: Re: ❤#Heart To Heart #ใจแพ้รัก❤ 「ตอนที่22」-27/07/19-
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 27-07-2019 11:27:23
 :laugh: มันสะใจที่ขุนเจ็บบ้าง ถ้ากลับไปรักขุนง่ายๆ มันก็ดูใจร้ายกับภามเกินไปนะ
หัวข้อ: Re: ❤#Heart To Heart #ใจแพ้รัก❤ 「ตอนที่22」-27/07/19-
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 31-07-2019 13:59:04
เอาเป็นว่า กลับไปง้อน้องมันด้วย พี่ขุนทำน้องมันคิดมากมาหลายปี จะให้ดีวันเดียวก็คงไม่ได้ สู้หน่อยนะ
หัวข้อ: Re: ❤#Heart To Heart #ใจแพ้รัก❤ 「ตอนที่22」-27/07/19-
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 18-05-2020 08:10:59
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: ❤#Heart To Heart #ใจแพ้รัก❤ 「ตอนที่22」-27/07/19-
เริ่มหัวข้อโดย: kungverrycool ที่ 24-05-2020 21:39:56
ยังรออยู่นร๊าาาาาา
 :mew6: