❤#Heart To Heart #ใจแพ้รัก❤ 「ตอนที่22」-27/07/19-
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ❤#Heart To Heart #ใจแพ้รัก❤ 「ตอนที่22」-27/07/19-  (อ่าน 15226 ครั้ง)

ออฟไลน์ Januarysky

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 507
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
ใครจะได้ตำแหน่งพระเอกกันหนอ
เฮียกุนหรือเฮียขุน
 :hao3:


ออฟไลน์ ิbanoffee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ตอนที่ 13


    อาทิตย์หน้าก็เป็นการจัดกิจกรรมประกวดดาวเดือนของคณะบริหาร ช่วงนี้ตารางเวลาของไอ้นักจึงแน่นขนัด เช้าซ้อม บ่ายเรียน เย็นก็ซ้อมอีก แต่มันก็ยังเผื่อเวลาไปเดทกับสาวๆ ของมันตอนค่ำคืนได้เพราะกลับตีสองตีสามทุกวัน และหลังจากเลิกเรียนมันก็ปลีกตัวออกไป

      ส่วนผมตามจริงแล้วต้องเข้าซ้อมเชียร์เหมือนคนอื่นๆ แต่เพราะเฮียกุนอนุญาตให้ผมกลับไปพักผ่อนได้แล้วก็จะเป็นสารถีไปส่งผมอีกด้วย ทั้งที่เมื่อครู่เพื่อนเฮียแกมาเรียกไปประชุมกิจกรรม

      “เฮียกุนไปประชุมกับเพื่อนเถอะ ผมกลับเองได้ ผมดีขึ้นแล้ว ไม่เป็นไรหรอก” ผมพูดกับเฮียกุนระหว่างอยู่ในลิฟต์และกำลังลงมาชั้นล่างของตึก

      “ไม่ได้ กูต้องไปส่งมึงให้ถึงหอ”

      “นี่เฮีย ถึงจะเป็นพี่รหัสผมแต่ก็ไม่ต้องใส่ใจขนาดนี้ก็ได้”

      “กูบอกแล้วไงว่าอย่าเพิ่งปักใจเชื่อว่าเป็นกู…และยังไงก็แล้วแต่มึงไม่ต้องพูดอะไรมากเพราะกูจำเป็นต้องไปส่งมึงที่หอ กูจะได้ไม่ต้อง…” เฮียกุนหยุดพูดกะทันหัน

      “ไม่ต้องอะไรเฮีย?” ผมมองเฮียแกอย่างสงสัย

      “ไม่ต้อง…เป็นห่วงและกังวลว่ามึงอาจจะไปเป็นลมอยู่แถวไหนไง”

      “ก็บอกแล้วว่าไม่ต้องห่วง…”

      ตุ้บ?

      ระหว่างที่ผมพูด…ลิฟต์ก็ถึงชั้นล่างและเปิดออกพอดี ผมที่เดินออกไปและหันหน้ามาคุยกับเฮียกุนไปด้วยจึงไม่ทันได้มองว่าตัวเองเดินออกไปชนใครบางคนที่ยืนอยู่หน้าลิฟต์เข้า

      ผมชนกับคนนั้นอย่างจังจนทำให้หงายหลังแต่มือยาวๆ ของเขาดึงผมไว้ทัน และแรงดึงนั้นก็ทำให้ตัวของผมพุ่งเข้าไปแนบอกของเขา

      เฮียขุนจับข้อมึงที่ช่วยดึงผมไว้ ส่วนอีกข้างก็รวบเอวผมไม่ให้ล้มลงไป ในวินาทีนั้นสายตาของเราต่างจ้องมองกันและกัน เช่นเดิมว่าผมเดาไม่ออกว่านัยน์ตาคมคู่นั้นกำลังคิดอะไร…

      หากรู้ว่าเป็นผม เขาจะช่วยประคองผมไว้มั้ย

      แทนที่จะรีบปล่อยตัวผมออกจากอ้อมอกของเขา เฮียขุนกลับกำข้อมือผมแน่น แต่มือที่โอบเอวผมกลับผละออกแล้วยกขึ้นมาแตะหน้าผากของผมเบาๆ สายตาที่เดายากมองตามมือของตัวเองก่อนเลื่อนผลุบลงมามองตาผมเช่นเดิม

      ผมไม่เข้าใจกับการกระทำของเขาอีกแล้ว และการไม่เข้าใจนี้มักทำให้กระตุ้นโชว์ความโง่เง่าของตัวเองออกมา เหมือนเมื่อวันก่อนที่ผมโดนเขาหลอกเพราะเฮียขุนใช้การกระทำหรือคำพูดที่อ่อนโยนแกล้งผม…ไม่เข้าใจว่าคนใจร้ายอย่างเขาจะมาอ่อนโยนกับผมทำไม

      แต่ครั้งนี้ผมจะไม่ทำตัวโง่เหมือนวันนั้นหรอกนะ

      ฟึบ!

      พอคิดได้อย่างนั้นผมก็ปัดมือหนาของเขาที่แตะหน้าผากผมอยู่ออกอย่างแรง แล้วใช้มือทั้งสองข้างผลักแผงอกของเขาให้ตัวเองหลุดออกจากพันธนาการ

      “เฮียกุน ผมไปรอที่รถนะ” ผมพูดกับเฮียกุนที่จะต้องอยู่ทักทายพี่ชายของตัวเอง แต่ผม…ผมจะถือว่าเมื่อกี้ผมชนเข้ากับท่อนไม้ที่แข็งทื่อ ไม่มีคนที่ชื่อขุนศึกยืนอยู่ตรงนั้น และผมกับเขาก็ไม่ได้มีอะไรที่จำเป็นจะต้องทักกันอยู่แล้ว

      ผมเดินจากมาโดยไม่เหลียวมองหน้าเขาคนนั้นด้วยซ้ำ ปกติเขาก็ทำเหมือนผมไม่มีตัวตนอยู่บ่อย จากนี้ไปผมก็จะทำแบบนั้นเช่นกัน

 
      ตุ้บ!

      “ขอโทษครับ ขอโทษ”

      ก่อนถึงบันไดหน้าตึก…ด้วยความที่อารมณ์คุกรุ่นของตัวเองจึงเป็นอีกครั้งที่ทำให้ผมเดินชนใครบางคนโดยไม่ระวัง แต่ครั้งนี้ผมชนแรงจนอีกฝ่ายเซถลาเกือบล้มและเป็นผมที่พยุงเธอไว้ได้ก่อน

       “พี่ไวน์เป็นอะไรหรือเปล่าครับ เจ็บตรงไหนมั้ย”

       “พี่ไม่เป็นไรจ่ะ” เธอบอกหลังจากที่กลับมายืนทรงตัวบนส้นสูงของตัวเองได้

      “ผมขอโทษอีกครั้งนะครับที่ไม่ทันระวัง ชนแรงด้วยเมื่อกี้”

      “พี่โอเค ไม่ได้เจ็บตรงไหน…อันที่จริงพี่ต่างหากที่ต้องขอโทษ”

        ผมไม่เข้าใจที่เธอพูด “พี่จะขอโทษผมทำไม ผมเป็นคนเดินชนพี่นะ”

       “พี่ขอโทษที่ทำให้โชต้องกลับบ้านเองคนเดียว พี่ได้ยินมาว่าโชต้องตากฝนไปที่ป้ายรถเมล์จนทำให้เป็นไข้”

      “เฮียขุน…บอกเหรอครับ”

      “จ่ะ” พี่ไวน์พยักหน้า

      ทำไมคนๆ นั้นต้องบอกเรื่องของผมซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่เกิดจากการกระทำที่ใจร้ายของเขาด้วยนะ “ไม่ใช่ความผิดพี่ไวน์ซะหน่อย ไม่ต้องขอโทษผมหรอกครับ ผมไม่ได้เป็นอะไรมาก ตอนนี้ก็ดีขึ้นแล้ว”

       “ดีแล้ว พี่ขอให้หายไวๆ นะ…งั้นพี่ไปก่อนแล้วไว้เจอกัน”

       ผมพยักหน้าให้และมองตามหลังเธอไป พี่ไวน์กำลังเดินไปหาคนที่ผมเดาไว้ เธอเดินไปหาเฮียขุนที่กำลังยืนคุยอยู่กับเฮียกุน

       พี่ไวน์ชี้มาทางผม ดูเหมือนเธอกำลังบอกว่าเพิ่งเจอกับผมและเฮียขุนเองก็มองตามมาทางนี้ด้วย เขาเห็นผมที่ยืนมองอยู่ นั่นจึงทำให้ผมหันกลับแล้วรีบลงบันไดเดินมารอเฮียกุนที่รถ

      เหมือนความรู้สึกของตัวเองทำตามที่พูดซะที ผมรู้สึกเฉยๆ ที่เห็นเขาอยู่กับพี่ไวน์…

      รู้สึกว่าตัวเองแยแสเขาน้อยลงจริงๆ

      ถ้าเป็นแบบนี้ได้ ความชอบที่มีต่อเขาก็อาจจะลดลงไปเรื่อยๆ และไม่เหลือความชอบอีกเลย…


      ผมจะได้ไม่ต้องเจ็บปวดกับสายตาที่เย็นชาของเฮียขุนอีก






      “จัดการกับความรู้สึกตัวเองได้ดีนะมึงเนี่ย” เฮียกุนพูดกับผมระหว่างที่รถกำลังเคลื่อนที่ “กูไม่เคยเห็นมึงทำกับเฮียขุนแบบนั้นมาก่อน…มึงปัดมือเฮียแกออกแรงมาก”

      “พอเห็นหน้าเขาแล้วหงุดหงิดอ่ะ”

      “จากที่เมื่อก่อนมึงไม่แม้แต่จะกล้ามองหน้าเฮียเขา”

      “ใช่เฮีย ผมกลัวสายตาของเขา แต่เพราะเฮียขุนทำให้ผมโกรธมาก มันก็เลยดูเหมือนว่าความโกรธในครั้งนี้จะกลบและทับถมความกลัวนั้นไปซะหมด”

      “โช…ถ้ากูถาม มึงอย่าโกรธนะ”

      “ถามอะไรอ่ะเฮีย” ผมเบี่ยงสายตาจากมองออกนอกกระจกหันมาคาดหวังกับคำถามที่คนขับคิดว่าผมจะโกรธ

      “ไม่ชอบแล้วของมึงเนี่ย…ลึกๆ ในใจคือยังหลงเหลือความชอบเฮียขุนอยู่เกินครึ่งใช่มั้ย”

      “…” ผมเงียบแทนคำตอบ ไม่รู้จะโกรธกับคำถามนั้นดีมั้ยเพราะรู้ดีแก่ใจว่าความชอบมันลดลงไปจริง…แต่ลดลงแค่น้อยนิด ผมจึงคิดว่าควรโกรธตัวเองต่างหากและอายที่จะตอบว่ามันเหลือเกินครึ่งไปมากมาย

      “เอ่อ…ไม่ต้องตอบกูก็ได้”

      “ก็…ชอบมาตั้งนาน มันไม่ได้เลิกชอบกันง่ายๆ นี่เฮีย”

      “อืม…ก็นั่นน่ะสิ” เฮียกุนพยักหน้า “แล้วไอ้พี่ภามล่ะ?”

      ผมหันขวับ…ถามถึงพี่ภามทำไม หรือเฮียกุนรู้แล้วว่าพี่ภามมันขอผมคบ “พี่ภามทำไมเหรอเฮีย”

      “กูดูออกนะว่าพี่ภามมันสนใจมึง แต่ก่อนตอนมาหาเฮียขุนที่คณะก็ไม่ได้มาบ่อยขนาดนี้ ช่วงนี้มาทุกวันและเหตุผลก็คือมาหามึง” สมกับเป็นเฮียกุนผู้ฉลาดรอบรู้จริงๆ ไม่ต้องบอกต้องพูดเฮียแกก็ดูออกหมด “นี่…กูขอเตือนไว้นะว่าอย่ายุ่งกับไอ้พี่ภามให้มันมากนัก”

      “ทำไมล่ะเฮีย ถึงพี่ภามจะเคยเกเรแต่ตอนนี้ดูเขาทำตัวน่ารักขึ้นนะ”

      “พูดอย่างนี้…หลงเสน่ห์พี่ภามมันเข้าให้หรือไง” เฮียกุนหรี่ตามองผม “ตอนเด็กก็เกเรแบบเด็กๆ พอโตขึ้นก็เกเรแบบผู้ใหญ่ มึงรู้จักมั้ยคาสโนว่าอ่ะ”

      “ผมก็ไม่เห็นว่าพี่ภามจะควงผู้หญิงไปทั่วเหมือนไอ้นัก” …เหมือนพี่ชายเฮียด้วย

      “คนแบบนั้นน่ะเขาเรียกว่าร้ายเงียบ ถ้ามาชวนมึงไปไหน…ปฏิเสธเลยว่าไม่ไป แต่ถ้ามึงจะไปกับพี่ภามต้องโทรมาบอกกูนะว่าจะไปที่ไหนแล้วทำอะไรกัน เข้าใจป่ะ”

      “…” ผมยิ้มแห้งรับคำเฮียแก

      ดูเหมือนเฮียกุนจะห่วงเกินหน้าที่พี่รหัสไปหรือเปล่านะ หรือเพราะไม่ชอบและมีอคติกับพี่ภามอยู่แล้วเลยไม่อยากให้ผมไปยุ่งกับเขานัก ช่วงนี้เฮียแกก็ชอบทำตัวแปลกๆ ถ้าเป็นพี่รหัสจริงก็ถือว่าแสดงตัวออกจะโจ่งแจ้งมากเกินไป ทั้งที่ไม่ใช่วิสัยของเฮียเขาเลย

      ถ้ารู้ว่าพี่ภามขอผมคบ…เฮียแกจะไม่ตามติดผมแจแล้วพาผมไปซ่อนไม่ให้พี่ภามมันหาเจอเลยหรือไง







      ถึงหอแล้วเฮียกุนก็ช่วยยกกล่องของพี่รหัสขึ้นมาให้ บอกจะถือเองเฮียแกก็ห่วงความบอบบางของผมที่ยังโดนไข้เล่นงานอยู่

      “โชคดีนะมึงเนี่ย ได้พี่รหัสสายเปย์ ให้ของมาทั้งทีก็ให้มาเป็นกล่องใหญ่แถมหนักใช่เล่น”

      “ก็เฮียเป็นคนใจดีนี่” ผมยิ้มกว้างใส่

      “ที่พูดไม่ได้หมายถึงตัวกู…แนะนำนะว่าให้มึงไปถอดความปริศนาคำใบ้ให้ดีและรอบคอบ ถ้ามั่นใจแล้วจะยังคิดว่าเป็นกู…ก็รอดูผลวันเฉลยแล้วกัน”

      “ครับ” ผมยิ้มรับคำและกล่องมาจากเฮียกุนเมื่อเดินมาหน้าห้องและเปิดประตูไว้เรียบร้อยแล้ว

      “ครับๆ ไปอย่างนั้นแหละมึงอ่ะ ถ้าได้เชื่อว่าเป็นกูไปแล้วมึงก็เชื่ออยู่อย่างนั้น”

      “ก็เฮียแสดงออกเป็นห่วงเป็นใยแล้วก็เทคแคร์ผมซะขนาดนี้”

      “เฮ้อ…กูก็ไม่ค่อยอยากจะทำสักเท่าไรหรอก”

      “ว่าไงนะเฮีย” เฮียกุนบ่นงึมงำอะไรสักอย่างตอนหันหลังจะเดินไปที่ประตูห้องของตัวเอง ผมจึงได้ยินไม่ถนัดว่าเฮียแกพูดอะไรกันแน่

      “เปล่า…อ่อ ในกล่องมีโน้ตจากพี่รหัสด้วยนะ ดูให้ดีกระดาษมันเล็ก” หันมาบอกผมเสร็จก็ไขประตูเปิดเข้าห้องตัวเองไป

      ผมเองก็เดินเข้าห้องมาและวางกล่องไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือ…อย่างที่เฮียกุนพูดว่าสายเปย์เอาการแฮะ ทั้งขนมนมเนยหลายแพค ช็อกโกแลต น้ำผลไม้ มีทั้งวิตามินแล้วก็ยาลดไข้

      เป็นพี่รหัสที่โคตรจะดีเลย

      ผมเอาของออกมาจากกล่องจนหมดจึงเห็นกระดาษโพสอิทสีชมพูเล็กๆ ก้นกล่อง




กินเยอะๆ นะ...

กินวิตามินเสริมด้วยจะได้แข็งแรง

แล้วก็อย่าลืมกินยาลดไข้จะได้หายไวๆ

                                    เป็นห่วงนะ…



      ผมยิ้มให้กับข้อความที่เขียนในกระดาษโพสอิท “จะกินให้อย่างดีเลย” ผมพูดตอบรับกับข้อความนั้น มีความสุขแล้วก็โชคดีจริงๆ ที่มีพี่รหัสน่ารักแบบนี้

      หึ…เฮียกุนสายเปย์

      เขานั่นแหละครับ เฮียกุนเป็นคนที่ชอบเลี้ยงน้องมาแต่ไหน ไปสังสรรค์เฮียแกก็มักเป็นเจ้ามือ วันเกิดไอ้นักหรือผมไม่ว่าพวกเราอยากได้อะไรเฮียแกก็หามาให้หมด

      เฮียกุนเป็นคนที่วางท่าและเงียบขรึม ทว่าใจดีและเป็นกันเองแต่ก็ไม่ได้จะไปยุ่มย่ามหรือเกี่ยวข้องให้มากนัก อย่างใสใจดูแลเป็นห่วงผมขนาดนี้ เฮียแกก็ไม่เคยเป็นมาก่อน…อย่างมากก็แค่รับรู้ว่าไม่สบายและเป็นห่วงอยู่ห่างๆ เท่านั้น ไม่ได้ถึงกับขนาดต้องมาป้อนข้าวป้อนยาผม อันนี้แหละที่ยังทำให้มีเปอร์เซ็นที่สับสน



      ครืด~ครืด~

      ระหว่างที่ผมจัดแจงเอาขนมเอานมเข้าตู้เย็นอยู่ หน้าจอมือถือก็แจ้งเตือนว่ามีข้อความ


      Prime: ถึงหอยัง?

      Shogun: ถึงสักพัก…

      Prime: อย่าลืมกินข้าวกินยาก่อนนอนนะ จะได้หายเร็วๆ

      Shogun: รู้แล้วล่ะน่า ไม่อยากวูบแล้ว

      Prime: โช…เรื่องที่พูดวันนี้ โชค่อยๆ คิดก็ได้ไม่ต้องรีบ พี่แค่ถามโชไว้ ไม่ได้จะเร่ง แค่เก็บไปคิดพี่ก็ดีใจแล้ว

      Shogun: ขอบคุณนะพี่ภาม…ขอบคุณที่เข้าใจ

      Prime: คร้าบบบ ก็จู่ๆ พี่ก็ถามโชปุบปับนี่ โชคงไม่ทันตั้งตัว

      Shogun: อืม…โคตรตกใจเลยแหละ

      Prime: นั่นสินะ โชคงไม่คิดว่าเด็กเกเรขี้แกล้งอย่างพี่จะชอบโช 5555

      Shogun: ใช่สิ…ไอ้เด็กเกเรคนนั้น 555

      Prime: ดีใจนะที่โชรู้แล้วว่าพี่ชอบแต่ไม่ได้รังเกียจ

      Shogun: จะรังเกียจอะไรเล่า

      Prime: แต่ก็ไม่ได้ชอบ…

      Shogun: ……

       Prime: ไม่เป็นไร สำหรับโชพี่รอได้เสมอคร้าบบบ…แล้วพรุ่งนี้มีเรียนกี่โมง?

      Shogun: แต่เช้าแล้วก็ทั้งวันอ่ะ

      Prime: งั้นพรุ่งนี้ไปกินข้าวเที่ยงด้วยได้มั้ย?

       Shogun: ได้สิ

      Prime: >< งั้นเจอกันพรุ่งนี้นะ…ฝันดีคร้าบบบ

      Prime: (อิโมจิบอกฝันดี)

      Shogun: (อิโมจิลากหมอน)


      พอคุยกับพี่ภามแบบนี้แล้วแปลกๆ แฮะ เราไม่เคยคุยกันแบบนี้มาก่อน ผมไม่ได้รังเกียจแต่ก็ยังไม่ได้ชอบอย่างที่ว่าไป…

      แต่การที่รู้ว่ามีคนมาชอบมันก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน

      แม้เฮียกุนจะบอกให้อยู่ห่างจากพี่ภาม ถ้าทำตัวแบบนั้นเขาคงเสียใจที่ปฏิกิริยาของผมจะเอาแต่หลีกเลี่ยง เป็นการทำลายน้ำใจที่เขามีให้โดยที่ผมไม่ตั้งใจ


      ดังนั้นก็แค่ทำตัวปกติเหมือนอย่างที่เคยเป็นน่าจะดีที่สุด


-----TBC-----


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-05-2019 01:45:32 โดย ิbanoffee »

ออฟไลน์ ิbanoffee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ตอนที่ 14


      ก๊อกๆ

      ในเช้าวันนี้ผมได้นั่งกินข้าวเช้าซึ่งเป็นอาหารง่ายๆ อย่างซีเรียลกับไอ้นัก…ในรอบอาทิตย์ผมกับมันได้ตื่นเช้าเพื่อที่จะไปมอพร้อมกัน และในเช้าวันนี้ก็มีใครบางคนมาเคาะประตูตั้งแต่เช้าในรอบเดือนตั้งแต่เปิดเทอมมาอีกด้วย

      ไอ้นักที่กำลังง่วนอยู่กับนมในตู้เย็นจึงเป็นคนเดินไปเปิดประตู เพราะผมเองก็กำลังยุ่งอยู่กับการใส่ชุดนักศึกษา

      “อ้าวเฮีย มีธุระอะไรแต่เช้า” เฮียกุนไม่ตอบคำถามไอ้นักและเดินเข้ามาพร้อมชูถุงน้ำเต้าหูและปาท่องโก๋ให้ผมดู

      “อันนี้ของมึง พี่รหัสเขาฝากกูไปซื้อมาให้” เฮียเขาบอกผม

      “ขอบคุณครับพี่รหัส” ผมยิ้มกริ่ม

      “ถ้าพี่รหัสมึงไม่บังคับกูมา กูคงไม่ทำให้ขนาดนี้จนมึงต้องคิดว่ากูเป็นพี่รหัสของมึงหรอก” เฮียกุนทำหน้าเซ็งแล้วเอาน้ำเต้าหู้ไปวางไว้ที่โต๊ะให้

      “ไม่เห็นมีของผม” ไอ้นักบ่นพลางดูในถุงแล้วพบว่ามีน้ำเต้าหู้เพียงถุงเดียว

      “กูก็บอกอยู่ว่าพี่รหัสฝากมาให้ไอ้โช แล้วจะมีของมึงได้ไง”

      “แล้วทำไมเฮียไม่ซื้อมาให้ผมมั่งอ่ะ” ไอ้นักบ่นหน้ามุ่ย “เพราะว่าผมจับกึ๋นเฮียได้ล่ะสิ ถึงทำเป็นซื้อมาให้ไอ้โช ยังไงเฮียก็เป็นพี่รหัสผม ไม่ใช่ของไอ้โชซะหน่อย…มึงกับกูมารอดูวันเฉลย มึงตอบว่าเฮียกุนเป็นพี่รหัสมึง กูก็จะตอบว่าเฮียกุนเป็นพี่รหัสของกูเหมือนกัน ไม่มึงก็กูจะต้องโดนทำโทษ ฮึ่ย ไอ้พี่รหัสไม่ได้เรื่อง ถึงจะไม่ซื้อในฐานะพี่รหัส แต่ในฐานะพี่ชายก็ควรจะซื้อน้ำเต้าหู้มาฝากน้องบ้าง” ไอ้นักบ่นใส่ผมสลับกับเฮียกุนไปมาเหมือนเด็ก สงสัยมันจะโมโหหิว ผมกับเฮียกุนนี่ได้แต่ส่ายหน้ารำคาญ

      “ขอบคุณครับเฮียกุน” ผมหันมาบอกเฮียเขา

      “เออๆ กินให้อร่อย…แล้วไม่ต้องแบ่งไอ้นักนะ เพราะพี่รหัสซื้อมาให้แค่มึงคนเดียว” เฮียกุนพูดกับผมก่อนจะหันไปมองไอ้นักด้วยความหมั่นไส้

      ผมจัดการเทน้ำเต้าหู้ใส่แก้ว “น้ำเต้าหู้ไม่ใส่เครื่อง...รู้ใจซะด้วย”

      ไม่ใส่เครื่องเหรอ…

      ปกติแล้วผมก็ไม่ได้กินน้ำเต้าหู้บ่อยนักหรอกและเวลาซื้อก็มักจะสั่งว่าไม่เอาเครื่อง ดังนั้นนอกจากพ่อและแม่แล้วก็ยังมีอีกเพียงหนึ่งคนที่รู้ว่าผมกินน้ำเต้าหู้แบบนี้

      “มึงชอบกินแบบไม่ใส่เครื่องเหรอ ไม่เห็นจะอร่อย ไม่มีอรรถรสในการกินน้ำเต้าหู้เอาซะเลยนะมึงเนี่ย” แม้แต่ไอ้นักก็ไม่รู้ว่าผมไม่ชอบแบบใส่เครื่อง

      แล้วเฮียกุนรู้ได้ยังไงกันนะ หรือเฮียเขาเองก็ไม่ชอบแบบมีเครื่องเหมือนกันก็เลยสั่งแบบนี้มาให้ผม เฮียกุนคงไม่ได้รู้จากคนๆ นั้นหรอกมั้ง…










      ผมล่ะดีใจจริงๆ นอกจากวันนี้จะได้กินเช้าเช้าพร้อมเพื่อนรักของผมแล้ว…ผมยังจะได้กินข้าวเที่ยงกับมันอีกด้วยซึ่งเป็นในรอบเดือนตั้งแต่เปิดเทอมมาอีกเช่นกัน เพราะปกติแล้วไอ้นักมักจะออกไปกินข้าวเที่ยงกับสาวๆ ในฮาเร็มของมัน เดือนที่ผ่านมาผมจึงได้ไปโรงอาหารคนเดียวอยู่บ่อยๆ

      “ทำไม…ปกติถึงมีเรียนต่อตอนบ่ายแต่มึงก็จะออกไปกินข้าวข้างนอกกับสาวของมึงนี่ แล้ววันนี้คิดยังไงถึงไปกินข้าวเที่ยงกับกูที่โรงอาหารได้”

      “ต่อจากนี้ผมจะประพฤติตัวดีๆ ไม่นอกลู่นอกทาง มีนัดกับสาวที่ไหนจะยกเลิกให้หมดเลย เพื่อที่จะพิสูจน์ให้ท่านโชกุนได้เห็นว่าผมนั้นจริงจังและจริงใจกับเพื่อนของท่านโชกุนขนาดไหน”

      “เหอะ คนอย่างมึงคงพูดได้แต่ปาก ไม่กี่วันมึงก็คงอดไม่ไหวที่จะออกไปกับสาวๆ ของมึง” ผมหรี่ตามองเพื่อนรักหน้าม่อของผมด้วยความดูถูกในคำพูดพล่อยๆ ของมัน

      ควรจะดีใจมั้ยที่มันอยู่กินข้าวกับผมด้วยเหตุผลนี้เนี่ย…




      เพราะเมื่อวานตอนแชทกันเขาขอผมมากินข้าวด้วย…วันนี้ผมเลยเห็นพี่ภามมารออยู่ที่ตึกเรียนคณะ

       “อ้าว พี่มาทำไมเนี่ย” ไอ้นักเอ่ยถามด้วยความสงสัย

      “วันนี้ไอ้นักอยู่กินด้วยเหรอ” เขาไม่ตอบไอ้นักแล้วหันมาถามผม

      “อืม…วันนี้มันขี้เกียจออกไปกินข้างนอกอ่ะ”

      “…” พี่ภามพยักหน้า ดูเหมือนเขาจะผิดหวังเล็กน้อย

      “หน้าพี่เหมือนไม่อยากให้ผมไปกินด้วยเลยอ่ะ…อยากกินข้าวกับไอ้โชสองต่อสองล่ะสิ ถ้างั้นผมไม่ไปดีกว่ามั้ยน้า กลัวว่าก้างจะติดคอพี่เอา”

      “มึงหุบปากไปเลย ไปกินด้วยกันเนี่ยแหละ” ผมล่ะรำคาญเพื่อนรักของผมจริงๆ เลย คงมีเรื่องให้มันได้แซวผมสนุกปากอีกแล้ว…

      นี่ขนาดยังไม่ได้บอกมันว่าพี่ภามขอผมคบ…

      ถ้าเผลอบอก…เชื่อเถอะนักชงอย่างไอ้นักน่ะ







      “พี่ภามจะกินอะไร”

      “เอาเหมือนมึง” เขาตอบแล้วยิ้มให้

      แม้จะพยายามทำตัวปกติแต่ผมก็รู้สึกผิดนิดหน่อยที่เห็นเขาทำตัวน่ารักใส่ผม…

      เพราะผมยังชอบเขาไม่ได้

      ผมจัดการสั่งเส้นเล็กน้ำตกอย่างที่ชอบกินให้ตัวเองและพี่ภาม จากนั้นก็ไปนั่งโต๊ะที่ไอ้นักนั่งอยู่ก่อน…

      แต่ไม่ได้มีเพียงไอ้นักที่นั่งอยู่คนเดียวน่ะสิ

       “วันนี้พวกกูนั่งกินข้าวด้วยนะ” เฮียกุนบอก

      ไม่ได้มีแค่เฮียกุนเท่านั้นแต่ยังมีเขา…เฮียขุน

      ผมนั่งลงตรงข้ามและตรงหน้าเขาพอดี มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอที่คนอย่างเขาจะมานั่งกินข้าวร่วมกับผมแบบนี้…นี่เป็นรอบหลายปีที่เฮียขุนมานั่งกินข้าวกับผม ทั้งๆ ที่เขาก็น่าจะรู้ว่ามีผมอยู่ด้วย...เขาเต็มใจที่จะนั่งด้วยหรือไง

      ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมก็คงตื่นเต้น ดีใจ และทำตัวไม่ถูก แต่บอกเลยการกินข้าวครั้งนี้…ต่อหน้าคนๆ นี้มันทำให้ผมอึดอัดและเหมือนจะกินไม่ลงที่เขาเอาแต่จ้องมอง แม้จะเป็นของที่ชอบแต่ก็คงกินไม่อร่อย

      “เออ…เหมือนอาทิตย์นี้กูยังไม่ได้กินข้าวกับมึงนะไอ้ขุน ดีๆ วันนี้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน” พี่ภามพูดพลางหัวเราะแห้ง ดูหน้าเขาเหมือนจะผิดหวังกว่าตอนที่รู้ว่าไอ้นักจะมากินข้าวด้วยซะอีก

      ผมเอาแต่นั่งก้มหน้าเขี่ยเส้นก๋วยเตี๋ยวในชามของตัวเองไปมา เช่นเดียวกับคนตรงข้ามที่เขาใช้ช้อนเขี่ยข้าวในจานของตัวเองไปมาเช่นกัน แต่ว่าอย่างที่บอกว่าเขาเอาแต่จ้องผม…มองอยู่อย่างนั้นตั้งแต่ผมเดินมานั่ง ไม่รู้จะมองอะไรนักหนา

      ทั้งที่ผมไม่คิดจะยุ่งแล้ว ไม่อยากเจอ ไม่อยากที่จะมองหน้าเขา แต่ทำไมเฮียขุนถึงต้องโผล่มาให้ผมเห็นและอึดอัดอยู่บ่อยๆ

      “เอานี่ไป” พี่ภามตักลูกชิ้นทั้งหมดในชามของตัวเองมาให้ผม

      “ทำไมพี่ไม่กินล่ะ ตักมาให้ผมทำไม ของผมก็มี”

      “ก็เห็นว่ามึงชอบกินลูกชิ้นเลยยกให้”

      ผมยิ้มแล้วขอบคุณพี่ภามโดยไม่ได้คิดอะไร แต่ดูเหมือนอีกสามคนที่เงียบและมองพวกเราสองคนจะคิดอะไรไปหลายอย่าง

      “แน่ะ…มียกของที่ชอบกินให้กันด้วย” ไอ้นักจอมแซว

      “เงียบแล้วกินข้าวไปเลยมึงอ่ะ” ผมบอกมัน

      ส่วนอีกสองคน…คนนึงก็ยังเอาแต่มองผมเช่นเดิมและอีกคน เฮียกุนที่บอกผมว่าอย่ายุ่งกับพี่ภามให้มากนักก็ขมวดคิ้วใส่ผม

      สองคนนี้อะไรนักหนานะ ทำตัวพิลึกทั้งคู่

      “น้องโชคะ พี่รหัสฝากน้ำมาให้” รุ่นพี่ผู้หญิงคนเดิมที่เคยเอากล่องขนมมาให้เดินมาพร้อมกับถือชาเย็นในมือ

      “ขอบคุณครับ” ผมบอกเธอ “อยากกินชาเย็นพอดีเลย” ผมพูดกับเฮียกุน อันนี้เฮียเขารู้แน่นอนว่าผมชอบ เพราะผมกินชาเย็นบ่อย

      “แล้วแต่มึงเลยโช” เฮียกุนพูดแบบปลงๆ เขาบอกกับผมแบบนั้นแทนที่จะเน้นย้ำให้กลับไปตีความเหมือนครั้งที่แล้ว

     ผมอดขำไม่ได้...ก็มันบังเอิญเกินไปนี่นาที่พี่รหัสของผมจะรู้อะไรหลายๆ อย่างที่ผมชอบ





      “พรุ่งนี้พี่จะมากินข้าวด้วยอีกนะ” พี่ภามบอกผมหลังจากที่กินข้าวกันเสร็จ

      “คณะมึงว่างมากนักหรือไง” ตลอดที่นั่งกินข้าวเขาไม่เอ่ยเสียงสักแอะ นั่งตั้งนานเฮียขุนเพิ่งจะพูดออกมา

      “มึงก็รู้ว่าไม่ได้ว่างขนาดนั้น แต่กูก็มาหามึงที่คณะออกบ่อย”

      “ครั้งนี้ก็มาหากูงั้นสิ?”

      “ก็…มากินข้าวกับโชมัน แต่ก็ดีที่ได้มากินข้าวกับมึงด้วย”

      “หึ จุดประสงค์วันนี้มึงคงไม่ได้อยากมากินข้าวกับกูสักเท่าไรมั้ง” เขาพูดแล้วยิ้มให้เพื่อนแบบผ่านๆ

      “มึงเป็นจุดประสงค์รอง” พี่ภามบอกเสียงเรียบแล้วยิ้มให้เช่นกัน

      พวกเขาสนทนาหยอกล้อปนจริงจังกันแบบนี้บ่อยหรือไงกันนะ ฟังดูเหมือนพูดล้อกันเล่นแต่ก็ทำให้มีเคืองได้








   
      ในคลาสเรียนช่วงบ่ายอยู่ระหว่างที่สอบควิซก่อนเรียน มีเสียงสั่นของมือถือผมดังออกมาจากในกระเป๋ากางเกงบ่อยมาก ดังครืดๆ มาเป็นระยะจนไอ้นักและคนที่นั่งข้างๆ หันมามองแล้วมองอีก

      หลังจากสอบควิซเสร็จผมจึงรีบเอามือถือออกมาเปิดดู


      Prime: โช…พรุ่งนี้พี่ลืมไปเลยว่ามีวิชาที่เลคเชอร์ยาวอ่า

      Prime: กว่าจะเสร็จก็บ่าย ซึ่งก็คงหมดเวลาพักเที่ยงของโชพอดี

      Prime: อดไปกินข้าวด้วยเลย TT

      Prime: งั้นไว้มะรืนละกันเนอะ

      Prime: จะพยายามไปกินข้าวกับโชทุกวัน…

      Prime: อยากได้คะแนนจากโชเยอะๆ

      Prime: อย่าเพิ่งเบื่อแล้วก็รำคาญพี่นะคร้าบบบบ


      หึ…ผมอ่านข้อความพลางยิ้มไปด้วย ในยิ้มนี้ก็ยังคงความรู้สึกผิดเพราะผมไม่รำคาญเขาหรอก เพียงแต่ว่าผมชอบที่พี่ภามเป็นพี่ชายที่ทำตัวดีกับผม

      “ใครทักมานักหนาวะ” ไอ้นักถามพลางชะโงกหน้ามาจะมองหน้าจอมือถือ แต่ผมปิดทันซะก่อน

      “ไม่บอกมึงหรอก”

      “ไม่บอกกูก็รู้…พี่ภามล่ะสิ”

      “รู้มาก…เดี๋ยวกูไปเข้าห้องน้ำก่อน” ผมทำหน้าดุใส่และบอกมัน จากนั้นก็รีบลุกไปเพราะอั้นไว้ตั้งแต่นั่งควิซแล้ว







      “เฮ้อ ค่อยโล่งหน่อย” ผมกลับมาจากห้องน้ำและนั่งลงอย่างสบายตัวก่อนจะหันไปมองไอ้นักที่นั่งยิ้มกริ่ม “ยิ้มอะไรของมึง”

      “…” มันไม่พูดแต่มองมาที่มือถือของผมบ่งบอกเป็นคำตอบแทน

      เชี่ยยย…ผมรีบไปเข้าห้องน้ำแล้ววางมือถือไว้ ไอ้นักมันต้องเห็นพี่ภามทักมาแน่ๆ ผมลนลานที่จะเปิดมือถือ ดูซิเขาส่งมาว่ายังไงต่อ


   Prime: ถึงโชจะเบื่อหรือรำคาญ…พี่ก็จะรุกต่อไปเพื่อคำตอบที่พี่ขอคบกับโช


      บ้าเอ้ยยย…ไอ้พี่ภามจะส่งมาอีกทำไมเนี่ย ก่อนไปเข้าห้องน้ำก็คิดว่าจะส่งมาบอกแค่นั้นซะอีก

      ผมเงยหน้าขึ้นมาจากมือถือแล้วหันไปมองไอ้นักที่ยิ้มกว้างตาหยีใส่พร้อมปากของมันที่กำลังจะอ้าปากแซวผม “มึงหุบปากเลยนะไอ้นัก”

      “ไม่ได้ กูคันปากอยากจะพูด” มันพูดพลางเขยิบเก้าอี้เข้ามาใกล้ “ตกลงคบไปเลยมึง”

      “มึงจะให้กูตกลงง่ายๆ เลยหรือไง กูไม่ได้ชอบพี่ภามแบบนั้น”

      “ตกลงคบไปก่อน เดี๋ยวมึงก็ชอบเอง พี่ภามมันอุตส่าห์รุกขนาดนี้”

      “มึงชงไม่ดูตาม้าตาเรือนะไอ้นัก” ผมเบิ้ดกะโหลกมันไปหนึ่งที

      “มึงจะได้ตัดใจจากพี่ชายใจร้ายของกูได้ง่ายขึ้นไง กูพร้อมเชียร์มึงให้พี่ภามเพราะกูหมั่นไส้เฮียขุน กูจะไม่ชงมึงให้เขาแล้ว”

      “กูตัดใจจากเขาเองได้ ไม่จำเป็นต้องใช้พี่ภามมาเป็นตัวช่วย ถ้าตกลงคบไปทั้งที่ไม่ได้ชอบแบบนี้จะเป็นการทำร้ายน้ำใจเขาเปล่าๆ”

      “โธ่ กูแค่อยากเห็นเพื่อนรักมีความสุขที่มีคนมาชอบซะทีหลังจากที่เป็นคนแอบชอบมานาน”

      “มึงเงียบ…”

      “นักศึกษาสองคนนั้นน่ะ…ถ้าไม่อยากเรียนก็เชิญออกจากห้องได้นะคะ” ผมเผลอพูดเสียงดังจนอาจารย์ต้องบอกเตือน

      “มึงเงียบไปเลย ไม่ต้องมาชงกูให้พี่ภามอีก” ผมพูดเสียงกระชิบกับไอ้นักก่อนจะหันไปสนใจสไลด์บนหน้ากระดาน เพื่อนรักมันยิ้มรับ ดูเหมือนมันคงไม่ทำตามที่ผมบอกหรอก

      ว่าแล้วเชียว…ถ้ามันได้รู้








     หลังจากเรียนเสร็จไอ้นักก็ปลีกตัวออกไปซ้อมดาวเดือนเช่นเดิม…ผมอดตื่นเต้นแทนมันไม่ได้ เพราะไม่กี่วันก็จะประกวดแล้ว ไอ้นักมีเปอร์เซ็นต์เยอะมากที่จะได้เจริญรอยตามพวกพี่ๆ ของมัน เพราะแค่ยังไม่ประกวดมันก็ได้คะแนนท่วมท้นจากสาวๆ ในคณะไปเกือบทั้งหมด

       “ตั้งใจซ้อมล่ะมึงน่ะ อย่ามัวแต่เหล่สาว”ผมบอกและแยกจากไอ้นักตรงหน้าลิฟต์ จากนั้นในขณะที่กำลังเดินลงบันไดสายตาของผมก็เห็นใครบางคนยืนอยู่หน้าตึก

      เฮียขุน…

      เมื่อเห็นแล้วว่าเป็นเขาผมจึงไม่สนใจและหันมองในขณะเดินผ่าน แต่หางตารู้สึกได้ว่าเขากำลังมองมาที่ผมราวกับว่าเขามาดักรอ…

      ผมเดินผ่านเขาและรู้สึกได้ว่าคนๆ นั้นกำลังเดินตามผมมา ไม่ได้คิดไปเองแน่นอนครับ เพราะเสียงฝีเท้าและหางตาของผมเหลือบมองไปข้างหลังเป็นระยะ…

      เฮียขุนเขาเดินตามผมมาทำไม

      เขาอาจจะมาหาเรื่องแกล้งผมอีก คิดได้อย่างนั้นผมจึงเร่งฝีเท้าให้ตัวเองเดินเร็วขึ้น

      หมับ!

      แต่ผมถูกเขาคว้าแขนเอาไว้ “เฮียต้องการจะทำอะไรกับผมอีก!” ผมหันไปตะโกนใส่หน้าเขา

      “มึงเป็นอะไรกับไอ้ภาม” นี่คือเหตุผลที่เขาตามผมมางั้นเหรอ…

      “เป็นอะไรก็เรื่องของผม เฮียเกี่ยวอะไรด้วย”

      “เป็นอะไรกัน” เขาย้ำคำถามด้วยน้ำเสียงที่จริงจังกว่าเดิม

      “ปล่อย…ผมเจ็บ” และบีบข้อมือของผมแรงขึ้นอีกด้วย

      “แกล้งอะไรน้องมันอีก ห้ะ ไอ้ขุน” พี่เมฆที่บังเอิญเดินผ่านมาทักขึ้น เฮียขุนจึงคลายและปล่อยข้อมือของผม

      “สวัสดีพี่/สวัสดีครับ” เราทั้งสองยกมือไหว้พี่เมฆพร้อมกัน

      “หวัดดีๆ” พี่เมฆยกมือรับไหว้ “ว่าไง แกล้งอะไรน้องมัน”

      “ก็…ทักทายกันธรรมดาตามประสารุ่นพี่รุ่นน้องน่ะพี่” หน้าด้านพูดมาได้ รุ่นพี่เขาทักรุ่นน้องด้วยการกระชากแขนกันแบบนี้หรือไง

      “เหรอ…กูนึกว่าแกล้งน้องมันอีก” พี่เมฆพยักหน้ารับทราบที่ดูไม่ค่อยอยากจะเชื่อ “เอ้อ วันหลังก็ไปกินข้าวที่โรงแรมพี่อีกสิ คราวนี้พี่เลี้ยงเอง” พี่เขาหันมาพูดกับผม

      “อืม…ผมเกรงใจ” ผมบอกพลางส่ายหน้าเบาๆ

      “ไม่ต้องเกรงใจแล้วก็ไม่ต้องกลัวว่าพี่จะหลอกให้กินอาหารจนเงินไม่พอจ่ายแล้วแจ้งตำรวจมาจับ…พี่ไม่ได้ใจร้ายอย่างไอ้ขุนที่จะแกล้งน้องได้ลงคอหรอกนะ”

      “ว่าไงนะ?” เสียงไอ้นักที่เดินมาจากไหนไม่รู้พูดขึ้น

      “ไอ้นัก…มึงซ้อมดาวเดือนอยู่ไม่ใช่เหรอ” ผมหันไปถามมันอย่างลนๆ

      “กูจะเดินไปเอาพร็อพที่รถ” มันบอกผมแต่กลับมองหน้าเฮียขุน “วันนั้นนอกจากเฮียขุนจะทิ้งมึงไว้แล้ว เขายังทำแบบนั้นกับมึงเหรอ”

      “เอ่อ…” ผมตะกุกตะกัก ไอ้นักเริ่มมีสีหน้าโมโห คนอย่างมันเวลาเดือดขนาดเพื่อนรักอย่างผมก็อดกลัวไม่ได้

      “ทำไมต้องแกล้งไอ้โชขนาดนั้นด้วย เฮียต้องการอะไร” ไอ้นักพูดพลางเดินเข้าใกล้พี่ชายของตัวเองอย่างหาเรื่อง ส่วนอีกคนก็ยืนเก๊กนิ่งไม่รู้หนาวรู้ร้อนอะไรเลย

      ผมก็ไม่เคยเห็นพี่น้องจรัสวาณิชย์มีเรื่องกันเลยสักครั้ง แม้เฮียขุนจะดูไม่แยแสที่น้องชายตัวเองกำลังหาเรื่อง แต่สายตาของเขาก็ดุและกำลังเตือนไอ้นักว่าอย่าล้ำเส้นความเป็นพี่ชายของเขา

      ดูแล้ว…น่ากลัวทั้งคู่

      “ช่างมันเถอะ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร” ผมพูดพลางจับตัวไอ้นักไว้ มันเอาแต่มองหน้าและวางมาดหาเรื่องเฮียขุนอยู่นั่น

      “หึ…อย่างนี้มึงคงตัดใจได้ง่าย ดีเลยจะได้เปิดทางให้พี่ภามเต็มที่” มันถอยออกห่างเฮียขุนแล้วทำใจเย็นหันมาพูดกับผม

      เฮียขุนเองก็หันมามองผมเช่นกัน เหมือนเขากำลังรอฟังคำตอบที่เขาถามจากผมอยู่

      “จะพูดเรื่องนี้ทำไม มึงรีบไปเอาพร็อพแล้วไปซ้อมดาวเดือนได้แล้ว” ผมลนกว่าเดิม
 
      ไม่ใช่เรื่องน่าอายอะไรที่มีคนมาชอบและขอผมคบด้วย แต่มันก็เป็นเรื่องของผมกับพี่ภาม ผมไม่จำเป็นต้องให้เฮียขุนรู้แล้วยิ่งมีพี่เมฆยืนฟังอยู่ด้วย

      ไอ้นักยืนนิ่งไม่ขยับในขณะที่ผมผลักให้มันรีบไป “กูขอสั่ง…” มันจ้องหน้าเฮียขุนก่อนจะหันมามองที่ผมอีกรอบ





   
      “รับคำขอคบกับพี่ภามซะ”




-----TBC-----



Banoffee's zone

หึ...เฮียขุน พอเห็นว่าโชเริ่มไม่สนใจจริงๆ ก็เลยเป็นฝ่ายเข้าหาก่อนเลยนะ

ส่วนนักรบ...ใจเย็นๆ นะ นายจะสั่งให้เพื่อนไปคบกับใครก็ได้ไม่ด้ายยย

โปรดติดตามตอนต่อไปด้วยคร้าบบบ



ออฟไลน์ double9JH

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1809
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-7
ติดตามเลยค่าาาา

อยากร้ายกับโชดีนัก เฮียขุน  :laugh: :hao3:

ออฟไลน์ Tiffany

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
น้องโชต้องเอาคืนเฮียขุนเยอะๆนะ

ออฟไลน์ Januarysky

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 507
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
เอาล่ะซิ นักเป็นพิษขึ้นมาซะแล้น
เฮียขุนตายแน่ อุอุ

ออฟไลน์ ิbanoffee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ตอนที่ 15



      วันประกวดดาวเดือนของคณะบริหารธุรกิจ


   
      “ไอ้โช…คนคิ้วท์ของกูล่ะ”

      “แหม…คนคิ้วท์ของกู จะมะเหงกเข้าให้” ผมพูดพลางทำท่า

      “อะไรเล่า…ก็สักวันเพื่อนมึงจะต้องเป็นของกู”

      “กูจะทำโทษมึงแทนไอ้คิ้วท์ เพราะถ้ามันมาได้ยินมึงพูดอย่างนี้ มึงได้เจ็บตัวกว่ากินมะเหงกกูแน่ อีกอย่างกูยังไม่ได้อนุญาตให้มึงจีบไอ้คิ้วท์ได้ซะหน่อย มันจะเป็นของมึงได้ไง”

      “ไม่อนุญาตกูก็จะเอา แบร่!” มันแลบลิ้นทำหน้าทะเล้นใส่ผม

      “ไอ้…” กวนดีนัก ผมจะถีบส่งมันเข้าให้

      ผมมาหาไอ้นักหลังเวทีประกวดเพราะมันแชทเรียกผมมา เพื่อนรักของผมซึ่งอยู่ในชุดนักรบชาวโรมันสมชื่อและมันเป็นคนเลือกธีมนี้เอง แต่ชุดของมันจากที่ดูพะรุงพะรังอยู่แล้วทั้งผ้าคุมที่ยาวสยายปลิวลม เกราะและดาบ ยิ่งมันทำตัวอยู่ไม่สุข เอาแต่ชะโงกหน้ามองหาไอ้คิ้วท์และตวัดพร็อพอย่างดาบแกว่งไปมายิ่งทำให้ชุดเหมือนจะพัง ดูยุ่งเหยิงเข้าไปใหญ่

      “นี่ไอ้นัก กูบอกแล้วว่าไม่รู้ไอ้คิ้วท์มันจะมาได้มั้ย มันติดกิจกรรมไปถ่ายรูปกับรุ่นพี่ที่คณะ อาจจะมาไม่ทันดูมึงหรือถ้าทันแต่มันอาจจะขี้เกียจมาก็ได้”

     “ไม่ได้นะ ต้องมา กูเตรียมโชว์เท่ๆ ไว้ แล้วก็อยากให้คนคิ้วท์มาถ่ายรูปให้กูด้วย” มันพูดพลางขมวดคิ้วเหมือนเด็กกำลังจะร้องไห้

      เกลียดจังเวลามันงอแงเนี่ย “แล้วมึงไม่ถามไอ้คิ้วท์ว่ามันอยากมาถ่ายรูปให้มึงมั้ย”

      “ไอ้โช!” มันตะโกนใส่หน้าผม

      เฮ้อออ…ผมส่ายหน้าด้วยความระอา

      ครืดๆ

      ‘ข้อความจาก Prime’ ผมเปิดหน้าจอมือถืออ่านข้อความที่แจ้งเตือน


      Prime: พี่อยู่หน้าเวทีแล้ว…โชอยู่ตรงไหน พี่ไม่เห็นเลย

      Shogun: โชมาหาไอ้นักหลังเวที…เดี๋ยวออกไปหานะ


      หลังจากที่แชทบอกพี่ภาม ผมก็เดินออกไปหาเขาเลย ทิ้งให้ไอ้เพื่อนรักมันชักดิ้นชักงอไปคนเดียวเพราะไอ้คิ้วท์ไม่อ่านแชทมัน แล้วยังจะมาโวยวายใส่ผมที่ไม่ยอมทักไปบอกไอ้คิ้วท์ให้รีบมาอีก

      จริงๆ เลยไอ้เพื่อนคนนี้

      ผมเดินเบียดเสียดผู้คนที่ออกันอยู่หน้าเวทีเพื่อมองหาพี่ภาม…สายตาสาดส่องชะโงกไปมาทำให้เห็นคนที่มีลักษณะคุ้นตาอยู่ไหวๆ

      เฮียกุน?

      เมื่อผมเห็นเฮียกุนผมจึงเดินตรงดิ่งไปหาเฮียแกทันที…เพราะผมรู้ว่าถ้าเจอเฮียกุนที่ไหนก็จะเจอพี่ภามที่นั่น และถ้าเห็นพี่ภามที่ไหน บางทีก็มักจะเห็นเฮียกุนด้วยเช่นกัน

      ช่วงแรกที่สังเกตคือเฮียกุนเริ่มจุกจิกกับผม ช่วงหลังตามติดแจแทบจะเข้าสิงร่างผมอยู่แล้ว

      ผมไม่รู้ว่าเฮียแกเป็นอะไร…ไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร ทำไมต้องเอาแต่ตามติดผมหรือไม่ก็พี่ภาม และเฮียเขามักจะกันผมไว้ถึงขนาดไม่ให้พี่ภามเข้าใกล้ในระยะสองเมตร

      เป็นอย่างนี้มาได้พักหนึ่ง เท่าที่สังเกตเฮียกุนเริ่มยุ่มย่ามกับผมหนักขึ้นตั้งแต่วันรุ่งขึ้นหลังจากเหตุการณ์วันนั้น…






      “คบกับพี่ภาม…มึงจะได้ลืมไอ้คนใจร้ายแบบนี้ไง” ไอ้นักพูดด้วยความหงุดหงิดพลางชี้หน้าเฮียขุน “ทำเรื่องไร้สาระให้มันกลายเป็นเรื่องดราม่าที่หนักหน่วงไปได้…ไม่รู้จะผิดหวังอะไรนักหนาแค่ไอ้โชมันเป็นผู้ชาย”

      “ไอ้นัก…ไม่ต้องพูดมากแล้ว” ผมรีบปรามแล้วเอาแต่ผลักให้มันเดินไปเอาของที่รถ แต่ไอ้เพื่อนคนนี้มันก็เอาแต่วกกลับมายืนตะโกนใส่หน้าพี่ชายตัวเองอยู่นั่น

      คนที่บังเอิญเดินผ่านมาอย่างพี่เมฆก็เลยบังเอิญได้ยินเรื่องไร้สาระที่ไอ้นักว่า…

      อดีตอันไร้สาระที่ผมอยากลืมแต่ก็ลืมไม่ลง

      “ไอ้ภามขอมึงคบอย่างนั้นเหรอ” เฮียขุนซึ่งเอาแต่ยืนมองผมทั้งๆ ที่โดนน้องตัวเองตะโกนบ่นใส่เอ่ยถาม

      “ใช่…ไอ้โชมันกำลังอยู่ในช่วงตัดสินใจ และผมออกความคิดเห็นเพื่อให้มันตัดสินใจง่ายขึ้น” ไอ้นักตอบแทนผม

      “มึงคิดจะคบกับมันอย่างนั้นเหรอ” เขาถามผมต่อ

      “ไอ้โชมันจะต้องคบกับพี่ภามแน่ๆ”

      “มึงหุบปาก” เฮียขุนหันไปมองตาขวางใส่ไอ้นัก คำสั่งเรียบนิ่งทว่าน้ำเสียงแอบแฝงไปด้วยความเยือกเย็น นี่เป็นการตักเตือนน้องชายจอมกวนของเขา “กูถามว่ามึงคิดจะคบกับไอ้ภามเหรอ…มึงชอบมันหรือไง?”

      “…” ผมเงียบ

   สิ่งที่สงสัยไปมากกว่าการจะตอบเขาว่ายังไงคือทำไมเฮียขุนถึงต้องอยากรู้ด้วยว่าผมคิดจะคบกับพี่ภามมั้ย

      “หึ…ไม่อยากเห็นไอ้โชไปชอบคนอื่นล่ะสิ” ไอ้นักมันยังจะกล้าแทรกขึ้นมา “อย่าทะนงตัวไปเลยเฮียขุน…เฮียโรคจิตหรือไง จะให้ไอ้โชชอบเฮียคนเดียวไปตลอดทั้งที่เฮียก็ไม่ได้ชอบมันแถมเกลียดด้วยซ้ำ แล้วเฮียจะมาถามในทำนองเหมือนกั๊กหรือหวงเพื่อนผมทำไม”

      “…” เขาเงียบ “ก็แค่อยากรู้ว่ามึงเลิกชอบกูได้จริงๆ อย่างนั้นเหรอ ถ้าเลิกชอบได้…ก็ดี ความรู้สึกน่ารำคาญมันจะได้หายไป เพราะกูก็ไม่ต้องการให้คนอย่างมึงมาชอบกูหรอก”

      นั่นสินะ…นี่คือเหตุผลที่เขาอยากรู้

      ถ้าผมเลิกชอบเฮียขุนได้…เขาคงจะโล่งใจชะมัด

      “ถึงไม่คบกับพี่ภามผมก็เลิกชอบเฮียได้อยู่แล้ว…แต่อย่างที่เขาว่ากัน ชอบคนที่เขาชอบเราดีกว่าไปมัวแอบชอบคนที่เขาไม่มีวันจะชอบเรา…ประโยคนี้เป็นจริงเสมอ” ผมตอบเขาอย่างกำกวม

      และความเป็นจริงคือผมยังไม่ได้ชอบพี่ภาม จะให้ตอบตรงๆ ไปว่าคบหรือไม่คบก็กระดากใจแปลกๆ

      แต่ความหมายมันแฝงอยู่ในประโยคที่ผมพูดและอาจจะเป็นอย่างที่ไอ้นักพูดว่าในเมื่อเฮียขุนเขาเกลียดผม…

      แล้วจะให้ผมชอบเขาคนเดียวไปตลอดได้ยังไง

      วันไหนที่ผมไม่หลงเหลือความรู้สึกชอบเฮียขุนแล้ว…

      ผมก็อาจจะหันไปชอบและคบกับพี่ภามก็ได้

      ผมกับเฮียขุนยืนมองหน้ากันอยู่สักพัก…ไม่แน่ใจว่าเขาอยู่ในโหมดไหน สายตานิ่งที่ทอดมองผมนั้นไม่รู้ว่าพอใจในคำตอบหรือเปล่า

      ทำไมช่วงหลังๆ ผมถึงดูไม่ออกเลยว่าสายตาของเขาจะเย็นชาหรือหงุดหงิดใส่ผม

      ทำไมสายตาคู่นั้นถึงไม่เป็นเหมือนเมื่อก่อน

      ทำไมเอาแต่สงบนิ่งไม่เคลื่อนไหว ทำให้คาดเดาไม่ออก

      ทำไม…

      หรือผมแค่คิดไปเอง…

      “ไปไอ้นัก ไปเอาพร็อพที่รถแล้วกลับไปซ้อมดาวเดือนได้แล้ว” ผมลากแขนไอ้นักมา ครั้งนี้มันไม่เดินวกกลับไปตะโกนใส่หน้าพี่มันอีกและผมก็ไม่ลืมลาไหว้คนนอกอย่างพี่เมฆที่ดันมารู้เรื่องภายในอันไร้สาระของเรา







      วันนั้นผมด่าไอ้นักไปยกใหญ่ว่ามันจะพูดเรื่องพี่ภามขอผมคบขึ้นมาทำไม…พูดให้คนอื่นได้รับรู้ ทั้งที่ผมไม่อยากให้เพื่อนอย่างมันรู้ด้วยซ้ำ

      ผมแค่อยากคิดและตัดสินใจเองคนเดียวเงียบๆ แต่ไอ้เพื่อนปากมากมันก็ดันมารู้ได้ และหลังจากวันนั้นเฮียกุนก็คงรู้จากปากใครสักคน

      ไอ้นักปากมากหรือไม่ก็เฮียขุนที่เขาอาจจะเล่าเป็นเรื่องตลกให้เฮียกุนฟัง

      เฮียกุนก็เลยเอาแต่ตามผมขนาดนี้ เหตุผลคงเพราะเฮียเขาไม่อยากให้คบกับพี่ภามเพราะอคติที่มี…แต่มันอาจจะมากไปหน่อยจนทำให้พี่ภามคิดเลยเถิดว่าเฮียเขาชอบผมซะอย่างนั้น

      ตัวผมรู้ดีว่ามันไม่ใช่ ผมรู้จักพี่ชายอย่างเฮียกุนมานาน เฮียแกไม่ได้มีความรู้สึกชอบผมแบบนั้นหรอก นอกจากเหตุผลที่ผมบอกแล้วอีกอย่างก็น่าจะเป็นเพราะเขาทำหน้าที่พี่รหัสผู้คอยห่วงใยและเทคแคร์ผมทุกอย่าง

      เฮียเขารู้เวลาเลิกเรียนของผมจากการเอาตารางเรียนมาจากไอ้นัก จึงคอยไปรับไปส่งทั้งที่ตัวเองก็ยุ่งเรื่องกิจกรรม ซึ่งการกระทำพวกนี้ผมคิดว่ามันออกจะเกินหน้าที่ไปสักหน่อย…ว่ามั้ย

      ดังนั้นเหตุผลแท้จริงที่เฮียกุนเอาแต่กันพี่ภามออกจากผม…
   
      อันนั้นก็ไม่สามารถรู้ได้


      พี่ภาม เฮียกุน และผม พวกเรายืนเรียงกันอยู่บริเวณหน้าเวทีประกวด สังเกตดูสิครับว่าระหว่างผมและพี่ภามถูกเฮียกุนคั่นกลางไว้

      ตั้งแต่ผมเดินมาเฮียกุนก็เอาตัวเองมาแทรกไว้ทันทีจนพี่ภามแสดงออกสีหน้าว่าเซ็งอย่างเห็นได้ชัด แล้วพวกเขาก็เริ่มเถียงกัน พูดประชดกันไปมาอยู่อย่างนั้นและมักจะทำให้ผมรำคาญอยู่เสมอไป

      “อ้าว เฮียขุน” เฮียกุนทักพี่ชายของเขาที่เดินแทรกผู้คนเข้ามา

      นี่ก็อีกคน…ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองอีกหรือเปล่าว่าช่วงนี้เขามาขลุกอยู่กับเฮียกุนบ่อยๆ ทั้งที่เขามักจะอยู่กับกลุ่มเพื่อนที่อยู่ชั้นปีเดียวกัน

      ดังนั้นเจอพี่ภามที่ไหนก็มักจะเห็นเฮียกุนและพ่วงด้วยเฮียขุนเสมอ ซึ่งเวลาเจอเขาก็มักใช้สายตาที่เรียบนิ่งอยู่อย่างนั้นมองมาที่ผมเป็นเนืองๆ

      รู้สึกอึดอัดชะมัด

      พี่ภาม เฮียกุน ผม และเฮียขุน สังเกตอีกว่าเฮียขุนยืนอยู่ข้างผมเพราะเขาเดินฝ่าฝูงชนเข้ามาทางนี้ และกลายเป็นว่าเรายืนข้างกันเพราะมันลำบากที่เขาจะเดินอ้อมเบียดผู้คนไปยืนข้างพี่ภาม

      ผมจึงอึดอัดเข้าไปใหญ่

      และยิ่งไปกว่านั้นเวลามีคนเดินเบียดเพื่อจะไปยืนติดขอบเวที เบียดมาแต่ละครั้งจากที่แขนของผมและเฮียขุนสัมผัสกันอยู่แล้วกลายเป็นว่าตัวของผมถูกผลักไปชนแผงอกเขาอัตโนมัติ

      ระยะติดประชิดจนลมหายใจอุ่นของเขาพ่นออกมาปะทะใบหูบางๆ ของผมและรับรู้ได้ถึงแรงลมจนทำให้ผมต้องเอียงหัวหลบเล็กน้อยจากแรงสัมผัสนั้น

      “จะเบียดอะไรนักหนา เนอะโช” เฮียกุนบ่นกับผม แต่ทำไมผมรู้สึกว่าสีหน้าเฮียแกดูไม่ได้หงุดหงิดอินไปกับประโยคที่บ่นออกมา แถมยังอมยิ้มแปลกๆ

      “ขอทางหน่อยค่า” มาอีกแล้วผู้หญิงกลุ่มใหญ่ที่แต่ละคนเดินถือพวงมาลัยคล้องคอกันมาเต็มกำมือ ดูเหมือนพวกเธอจะไปรวมตัวกันเพื่อเชียร์ผู้ประกวดใครสักคนอยู่หน้าชิดติดขอบเวที

      เป็นอีกครั้งที่ผมต้องเอี้ยวตัวจากแรงแหวกของหญิงสาวกลุ่มนั้นจนชนแผงอกของเฮียขุน บางคนขอทางซะกว้าง ต้องเอามือแหวกทางจนผู้คนที่ยืนอยู่ตัวเอียงไปทางเดียวกันเหมือนโดมิโนที่กำลังจะล้ม

      ในจังหวะนั้นผมขยับตัวเองเล็กน้อยจึงทำให้ปลายเท้าสะดุดข้อขาของตัวเอง เกือบจะล้มจนไปผลักเฮียกุนหัวทิ่มลงไปแล้วเชียว ยังดีที่ผมพลิกตัวกลับมาทัน แต่กลายเป็นว่าผมหันหน้ามาคะมำมุดจมปุกซุกแผงอกของเฮียขุนแทนซะอย่างนั้น

      ผมเงยหน้ามองเขาและทันทีที่ปะทะสายตากันจึงรีบหลุบต่ำลงมาเช่นเดิมพลางถอนหายใจด้วยความอึดอัด…จะดึงตัวเองออกก็ไม่ได้เพราะพื้นที่ว่างช่างคับแคบเหลือเกินขนาดจะขยับตัวก็ยังลำบาก

      “เฮ้ย ระวัง!” เฮียกุนตะโกนบอกในขณะที่ตัวของเฮียเขาดันหลังผมมาจนทำให้ผมผลักเฮียขุนล้มลงไปอีกที

      ตุบ!

      อุ้บ?

      สถานการณ์ปัจจุบันคือผมล้มลงไปทับตัวเฮียขุนเต็มๆ ผมได้แต่หลับตาปี๋และพยายามเกร็งตัวไม่ทิ้งน้ำหนักทั้งหมดลงไป

      ในความหลับตาปี๋นั้น…แม้จะทำให้มองไม่เห็นแต่สัมผัสได้ถึงความอ่อนนุ่มและเปียกชื้นนิดหน่อยที่ปลายริมฝีปาก ผมจึงลืมตาขึ้นมาและพบว่าไม่ใช่แค่ตัวแต่ปากของผมก็กำลังทับอยู่บนริมฝีปากของเขาด้วย!

      “ว้าย…ผู้ชายเขาจุ๊บกันล่ะแก”

      เสียงผู้คนที่ยืนล้อมเราพากันกรี๊ดและโห่แซวที่เห็นภาพนั้น ผมจึงรีบเอามือผลักให้ตัวเองให้ลุกขึ้นจากตัวเฮียขุนทันที

      ทำไมต้องมีซีนนางเอกล้มทับพระเอกเหมือนในละครด้วยนะ…เกลียดที่สุดเลย

      “เอ่อ…โชเจ็บตรงไหนมั้ย” พี่ภามถามผมตะกุกตะกัก

      เขาคงตกใจและผมเองก็ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ปัดเสื้อผ้าของตัวเองไปมาพลางส่ายหน้าเป็นคำตอบให้เขา

      “ไหน…พี่ขอดูหน่อยเผื่อมีรอยถลอก”

      “เดี๋ยวผมดูให้เอง” เฮียกุนก็ยังทำตัวเป็นกระดูกชิ้นใหญ่ขวางคอเอาไว้ เฮียเขาปัดมือพี่ภามออกก่อนจะถึงตัวผมแล้วช่วยจัดแจงเสื้อที่มันยับให้ “คนเจ็บน่าจะเป็นเฮียขุนซะมากกว่าเพราะโดนไอ้โชทับ…เฮียเจ็บปากป่ะ” เฮียแกชะโงกถามคนที่ยืนถัดจากผมด้วยสีหน้าอมยิ้ม

      ผมหันขวับมองเฮียกุน…เฮียจะถามน่าอายแบบนั้นทำไมเนี่ย

      ผมได้แต่งุดหน้ามองพื้นด้วยความอาย…ถามไปแบบนั้นผมยิ่งทำตัวไม่ถูกและเฮียกุนก็พูดเหมือนจะให้ผมขอบคุณพี่ชายเขาด้วยที่ตัวของเฮียขุนรองรับตัวผมเอาไว้

      ผมแอบชำเลืองตาไปมองเฮียขุนแล้วกลอกตากลับทันทีเพราะเขาเองก็หันมามองผมเช่นกันก่อนจะหันหน้ามองตรงไปทางเวทีต่อ

      เฮียขุนเขาไม่พูด เอาแต่ทำสีหน้านิ่งไม่รู้ร้อนรู้หนาว ไม่ได้เจ็บปวดอะไร ไม่ได้ร้องตอนผมล้มทับ มันเป็นอุบัติเหตุ…



      ผมคงไม่ต้องขอบคุณเขาก็ได้มั้ง




-----TBC-----




ออฟไลน์ Januarysky

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 507
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
อ้างถึง
      “…” เขาเงียบ “ก็แค่อยากรู้ว่ามึงเลิกชอบกูได้จริงๆ อย่างนั้นเหรอ ถ้าเลิกชอบได้…ก็ดี ความรู้สึกน่ารำคาญมันจะได้หายไป เพราะกูก็ไม่ต้องการให้คนอย่างมึงมาชอบกูหรอก”
เจอแบบนี้ก็ไม่ไหวอ่ะ
ขอถอยมาเชียร์เฮียกุนกะพี่ภามดีก่า
 :mew3:

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
 :pig4:
 :katai2-1:

ออฟไลน์ kunt

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-1
ถอยมาตั้งหลักดีกว่านะน้องโช พอได้ที่แล้วก็กระโดดถีบขาคู่ใส่เฮียขุนเลยนะลูก ขอเน้นๆ จัดๆ เลยนะ หึ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ❤#Heart To Heart #ใจแพ้รัก❤ 「ตอนที่15」-16/05/19-
« ตอบ #39 เมื่อ: 16-05-2019 18:58:44 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ิbanoffee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ตอนที่ 16


      ครืด~ ครืด~

      ‘ข้อความจาก Cute’

      Cute: มึงอยู่ตรงไหนเนี่ย…คนเยอะชิบ

      ครืด~ ครืด~

      Nakrob: คนคิ้วท์ของกูมายัง

      Nakrob: ถ้ามาแล้วพามาหากูหน่อย…กูอยากได้กำลังใจ~

      ราวกับว่าไอ้นักเพื่อนรักของผมมันรู้ว่าไอ้คิ้วท์กำลังมา หลังจากที่ไอ้คิ้วท์ทักมาบอกผม ไอ้เพื่อนตัวแสบมันก็ทักตามมาทันที

      ครืด~ ครืด~

      ผมก้มมองที่หน้าจอมือถืออีกครั้ง ไม่ได้เป็นการแจ้งเตือนข้อความแต่อย่างใด การสั่นคราวนี้คือไอ้นักโทรเข้ามาทั้งที่ผมกำลังจะตอบข้อความมัน…ใจร้อนเหลือเกินไอ้เพื่อนคนนี้

      “ว่าไง”

      (พาคนคิ้วท์มาหากูด่วนๆ เลย)

      “จะพาไปทำไมวะ มันอยู่หน้าเวทีแล้วเนี่ย คนยิ่งเยอะๆ อยู่ มันเข้าออกลำบาก” ผมตอบพลางชะโงกมองเห็นไอ้คิ้วท์ที่กำลังเบียดผู้คนเข้ามาอยู่ไหวๆ

      (ก็กูบอกว่าอยากได้กำลังใจ…พาเพื่อนมึงมาหากูเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นกูจะออกไปหาเอง!)

      ไอ้นักมันตะโกนเสียงดังจนผมเอามือถืออกห่างจากหูแทบไม่ทัน พอมันได้งอแงหรือดื้อด้านขึ้นมาแล้วโคตรจะน่ารำคาญเลยครับ แต่เพราะต้องปัดความรำคาญนี้ออกไปผมจึงจำเป็นต้องทำตามที่ไอ้พื่อนรักมันต้องการทุกที “มึงไม่ต้องมา เดี๋ยวกูจะพาไอ้คิ้วท์ไปหาเอง ไอ้นี่นิ…จริงๆ เลย”

      ผมวางสายจากไอ้นักและขยับตัวเพื่อจะเดินไปหาไอ้คิ้วท์ในขณะที่มันกำลังฝ่าฟันกับฝูงชน

      “จะไปไหน?”

      เพราะไอ้คิ้วท์เดินเข้ามาทางเฮียขุน ผมจึงจำเป็นต้องเบียดผ่านเขาไป แต่ถูกเขาจับข้อมือผมเอาไว้…เขาถามและทำสีหน้าเคร่งขรึมราวกับว่าเป็นพ่อแม่ที่พาลูกมาเที่ยวแล้วลูกก็เดินเล่นซนไปทั่ว

      “จะเดินไปไหน ผู้คนยิ่งเบียดเสียดกันเข้าออกลำบาก” เขาถามต่อ

      เขาอยากรู้ว่าผมจะไปไหนตั้งแต่เมื่อไหร่…จะรู้ไปเพื่ออะไร  “ไปไหนก็เรื่องของผม” ผมตอบ

      “ที่กูถามเพราะมึงกำลังเบียดกูอยู่”

      “…” ผมมองค้อนไปที่เขา

      เฮียขุนก็รู้ว่าผู้คนหนาหูหนาตากันซะขนาดนี้ นี่เขาจะไม่มีน้ำใจกับผมถึงขนาดไม่ให้เบียดผ่านออกไปเลยหรือไง “ก็ได้…ขอโทษแล้วกันนะที่เบียด” ผมสะบัดข้อมือที่เขาจับออกแล้วเดินเบียดออกไปทางพี่ภามแทน ผมยอมอ้อมไปก็ได้ถ้ามันจะไปทำความลำบากให้กับคนเห็นแก่ตัวอย่างเขา

      ผมโกรธ หมั่นไส้และโมโหเฮียขุน อารมณ์พวกนี้มันมีมากกว่าแต่ก่อนเพราะเขาพูดกับผมมากขึ้น เป็นฝ่ายที่พูดกับผมก่อนและแต่ละครั้งคำพูดคำจาของเขาก็มักจะกวนประสาทและยั่วโมโหผมเสมอ

      นับวันเลเวลความอดทนของผมที่มีต่อเฮียขุนจึงเพิ่มขึ้นสูงเรื่อยๆ และทั้งที่ผมโมโหเขาแต่ผมก็ยังไม่มั่นใจว่าเลเวลความชอบมันลดลงมาอีกมั้ย…

      ทำไมมันอยู่นิ่งไม่ขยับ…

      ทำไมความชอบมันถึงได้สลัดออกยากนัก…

      ทำไมมันไม่ง่ายเหมือนตอนเริ่มชอบเลย…

      โคตรเกลียดตัวเองที่ชอบคนอย่างเขาง่ายดาย

      แต่ผมก็ชมเชยที่ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น ไม่ได้ทำตัวอ่อนแอเอาแต่ร้องไห้เวลาเผชิญหน้ากับเฮียขุนหรือโดนเขาแกล้ง

      ผมคิดว่าอีกไม่นานผมคงจะทำใจให้ชอบคนอื่นได้



      “โชจะไปไหนเหรอ” พี่ภามถามที่เห็นผมขอทางเขาเดินออกไป

      “โชจะไปหาไอ้คิ้วท์ เดี๋ยวโชมานะ”

      “โอเคครับ” เขายิ้ม

      แตกต่างกันใช่มั้ยล่ะครับ พี่ภามที่พูดจาดีๆ กับผม กับอีกคนที่เอาแต่พูดยั่วกระตุ้นต่อมโมโหผม


      ผมเบียดฝูงชนจนมาถึงไอ้คิ้วท์ที่ติดแหงก และไม่รีรอที่จะรีบลากแขนมันออกมาเพื่อที่จะไปหาไอ้นัก ก่อนที่จะถึงคิวไอ้เพื่อนรักและมันทนไม่ไหวเดินมาหาเอง ซึ่งผมจะปล่อยมันทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะนี่ก็เริ่มโชว์การแสดงของแต่ละคู่แล้วและผมก็ไม่รู้ว่าใกล้จะถึงคิวของมันหรือยัง

      ส่วนไอ้คิ้วท์ที่สงสัยก็ได้แต่ถามว่าจะพามันไปไหน และผมก็ได้แต่บอกมันว่าให้เดินตามเท่านั้นแหละครับ


      “เอ้า จะทำอะไรก็รีบทำ” เมื่อมาถึงหลังเวทีประกวด ผมก็เหวี่ยงไอ้คิ้วท์ไปให้ไอ้เพื่อนรักทันที

      “อะไรของมึงเนี่ยไอ้โช ไหนบอกให้อยู่ห่างเพื่อนมึงเอาไว้ แล้วทำไมทำกับกูแบบนี้อ่ะ” ไอ้คิ้วท์ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่กลายเป็นเชลยจำเป็นไปซะแล้ว

      “โทษทีวะคิ้วท์ ครั้งนี้กูขอนะ กูรำคาญมันจริงๆ”

      “มานี่เลย ขอกำลังใจหน่อยยย” ไม่พูดพร่ำทำเพลง ไอ้นักรีบดึงไอ้คิ้วท์เข้าไปสวมกอดแน่น หน้าของมันที่หันมาทางผมกำลังฉีกยิ้มกว้าง…มันคงจะได้ใจใหญ่

      ไอ้คิ้วท์ถูกกอดแน่นจนมันบ่นหายใจไม่ออกแล้วได้แต่เอามือทุบไอ้นัก แต่ตัวที่เล็กกว่าไม่สามารถขัดขืนกำลังของเพื่อนตัวแสบของผมได้ และไอ้นักก็ไม่สะทกสะท้านอะไรเลยที่โดนไอ้คิ้วท์ตี

      ผมล่ะสงสัยจริงๆ ว่าไอ้เพื่อนรักของผมมันไปปิ๊งไอ้คิ้วท์เข้าได้ยังไง แล้วก็ดูท่าทางมันจะชอบมากถึงขนาดมาบอกกับผมว่ามันจะเลิกแชทคุยกับสาวๆ ในฮาเร็มของมันอย่างจริงจังแล้วหันมาคุยและสนใจไอ้คิ้วท์คนเดียว…เลิกคุยทั้งอำเภอเพื่อเธอคนเดียว อะไรของมันทำนองนั้น

      แต่ผมจะเชื่อใจเสือร้ายอย่างมันได้เหรอ…

      “พอเลยไอ้นัก มึงชักจะเอาใหญ่แล้ว” ผมพูดพลางช่วยแยกให้ไอ้คิ้วท์หลุดจากอ้อมกอดไอ้เพื่อนรัก

      “อะไรเล่า…กูยังไม่หนำใจเลย” มันบอกหน้าหงิกหน้างอแล้วดึงไอ้คิวท์ไปกอดอีกครั้ง

      “ไอ้นัก!” ผมช่วยดึงไอ้คิ้วท์ออกมาอีกรอบ

      “อะไรของพวกมึงเนี่ย เห็นกูไม่มีชีวิตจิตใจหรือไง เดี๋ยวกอดเดี๋ยวดึง คิดจะทำอะไรกับกูก็ได้ว่างั้น…โดยเฉพาะมึงไอ้โช จะพากูมาหาเพื่อนหน้าม่อของมึงทำไม กูจะโกรธมึงละนะ” ไอ้คิ้วท์หันมาพูดกับผมด้วยสีหน้าหงุดหงิดแล้วสะบัดมือปลาหมึกของไอ้นักออกก่อนจะเดินไป

      “คิ้วท์เดี๋ยวก่อน!” ผมตะโกนตามมันไป “เพราะมึงเลยไอ้นัก ไอ้คิ้วท์พาลโกรธกูแล้วเนี่ย”

      “เออน่า…เดี๋ยวกูง้อให้”

      “มึงไม่ต้องเลย” ผมบอกมันทิ้งท้ายแล้วรีบวิ่งตามไอ้คิ้วท์ไป




      ไอ้นัก…ไอ้เพื่อนตัวปัญหา มันเกือบจะทำให้ไอ้คิ้วท์โกรธผมจริงๆ ตั้งแต่เป็นเพื่อนกันมาไอ้คิ้วท์ยังไม่เคยโกรธผมเลยสักครั้ง ยังดีที่มันเป็นคนไม่ถือสาว่าความอะไรมาก แต่มันบ่นให้ผมฟังว่าคนที่รักสงบและใช้ชีวิตสบายๆ อย่างมัน ในช่วงนี้กลับไม่เป็นอย่างนั้น เพราะไอ้นักมักไปวนเวียนและวอแวกับมันที่คณะศิลปกรรมอยู่บ่อยๆ

      ผมก็พอเข้าใจแหละครับว่าคนเซ้าซี้จอมวุ่นวายอย่างไอ้นักอยู่กับใครก็คงไม่สงบสุขนักหรอก

       นี่ถ้าผมไม่ขอร้องให้ไอ้คิ้วท์มา มันก็คงไม่มาให้ ว่าแล้วก็รู้สึกผิดกับเพื่อนแฮะ ทั้งที่เป็นคนบอกกับมันเองว่าให้อยู่ห่างๆ ไอ้นักเข้าไว้แต่ผมดันเป็นคนพามันมาหาไอ้เพื่อนตัวแสบซะเอง

      ถึงอย่างนั้นผมก็เกลี่ยกล่อมไอ้คิ้วท์อยู่นานกว่ามันจะยอมอยู่ดูโชว์ของไอ้นัก เพราะเพื่อนรักมันขู่ผมว่าถ้าคิ้วท์มันกลับไป…หลังจากประกวดเสร็จไอ้เพื่อนตัวแสบของผมมันจะบุกไปหาไอ้คิ้วท์ให้ถึงหอเลย

      ทั้งที่ผมถือไพ่เหนือกว่าเพราะไอ้คิ้วท์เองก็เป็นเพื่อนรักของผมและผมคือคนที่จะสามารถอนุญาตให้ไอ้นักจีบได้หรือไม่ได้ แต่ตอนนี้ดูเหมือนผมจะแพ้ให้กับความงอแงและน่ารำคาญของมันยังไงไม่รู้


      ผมกับคิ้วท์จึงเดินกลับเข้ามาบริเวณหน้าเวทีประกวดพร้อมกับพวงมาลัยคล้องคอที่ซื้อมาจำนวนหนึ่ง เพื่อใช้เป็นคะแนนโหวตให้กับผู้ประกวด

      ผมทักไปบอกพี่ภามว่าไม่สามารถเบียดเสียดฝ่าฝูงชนที่ดูเหมือนจะหนาแน่นมากกว่าเดิมเข้าไปได้ ผมและคิ้วท์จึงยืนกันอยู่บริเวณข้างเวที

      พี่ภามจึงบอกว่าจะออกมาหาแต่ผมก็เบรกไว้ก่อนโดยใช้ข้ออ้างว่าออกมาลำบาก…ที่จริงแล้วถ้าพี่ภามออกมาหา เฮียกุนก็จะตามมาด้วยและเฮียขุนก็คงมาเช่นกัน

      ผมรำคาญที่พี่ภามกับเฮียกุนเถียงกันแล้วก็เบื่อที่จะต่อคารมณ์กับเขาคนนั้นอ่ะครับ


      “โช”

      ผมหันไปมองคนที่สะกิดเรียก “อ้าว สวัสดีครับพี่เมฆ”

      “หวัดดีๆ โชมากับใครเหรอ”

      “นี่คิ้วท์เพื่อนโชเองครับอยู่คณะศิลปกรรม คิ้วท์นี่พี่เมฆรุ่นพี่ปีสี่” ผมแนะนำให้พวกเขารู้จักกัน

      “สวัสดีครับพี่เมฆ”

      “หวัดดีครับ” พี่เมฆยกมือรับไหว้ไอ้คิ้วท์ “อะ นี่น้ำ อากาศร้อนๆ พี่ซื้อติดมือมา” พี่เขายื่นขวดน้ำเย็นๆ มาให้ผมแล้วก็อีกขวดให้ไอ้คิ้วท์ ดูเหมือนพี่เขาจะสละน้ำของตัวเองให้

      ผมกับไอ้คิ้วท์จึงรับน้ำใจที่พี่เมฆให้มาอย่างเกร็งๆ…อากาศร้อนมากจริงๆ เพราะสังเกตได้จากเหงื่อของพี่เขาที่ไหลย้อยเป็นหยดลงมาที่คาง พี่เมฆคงเดินตากแดดจากตึกที่ปีสี่เรียนมายังใต้ตึกใหม่ที่ใช้จัดการประกวด

       ผมจึงเปิดฝาและดื่มไปหลายอึกด้วยความกระหายเช่นกัน จากนั้นก็ยื่นให้พี่เมฆ “พี่เมฆดื่มด้วยกันนะครับ…ดับกระหายแล้วก็คลายร้อน เหงื่อของพี่ยังไหลออกมาอยู่เลย” ผมชี้แก้มพี่เขาที่เหงื่อกำลังไหลลงมา

      “ขอบคุณครับ” พี่เมฆรับไปดื่ม พี่เขาดื่มอย่างเร็วแทบจะกลายเป็นกระดกด้วยซ้ำ ดื่มเสร็จก็ยื่นกลับคืนมาให้ผมแล้วพูดขอบคุณอีกครั้งแล้วยิ้มให้ นี่พี่เขาเป็นคนซื้อมานะ…ทำไมต้องเกรงใจซะเองแล้วทำไมต้องมีน้ำใจให้กับรุ่นน้องขนาดนี้ด้วย

      “พี่เขาเป็นอีกคนที่ตกหลุมเสน่ห์มึงเหมือนพี่ภามสินะ” ไอ้คิ้วท์พูดกระซิบข้างหูผม

      “พูดอะไรของมึง ตกหลุมเสน่ห์บ้าบออะไรกัน”

      “ก็ยิ้มแพรวพราวของพี่เมฆเมื่อกี้ มันคือยิ้มอ่อยมึงชัดๆ”

      “อ่อยบ้าอะไร พี่เมฆเขาเป็นคนใจดี เขาคือคนที่กูเล่าให้มึงฟังว่าช่วยกูตอนที่โดนเฮียขุนแกล้งที่โรงแรมไง”

      “เออ…กูรู้แล้ว มึงไม่คิดว่าที่พี่เขาใจดีกับมึงเพราะว่าเขาสนใจมึงหรือไง”

      “ไม่ใช่…” ผมหันขวับไปยิ้มให้พี่เมฆในขณะที่พี่เขาชะโงกหน้ามามองพวกเราอย่างสงสัยว่ากระซิบกระซาบอะไรกัน

       ผมจึงจับหน้าไอ้คิ้วท์ให้หันไปสนใจเวทีประกวดที่เขากำลังประกาศชื่อไอ้นักให้เป็นโชว์ลำดับถัดไป

      “มึงนี่ชอบโง่ในเรื่องแบบนี้เนาะ” ดูมันด่าผม

      “…” เวลาโดนไอ้คิ้วท์ด่าหน้าตายแบบนั้น…เจ็บที่สุดเลยครับ



      กรี๊ดดดดดดด! ผู้คนกรี๊ดกันเกรียวกราวโดยเฉพาะผู้หญิง และตามมาด้วยเสียงปรบมือกระหึ่มต้อนรับไอ้นักที่เดินออกมาด้วยชุดนักรบโรมันแสนเท่

      ที่แท้ผู้หญิงกลุ่มใหญ่ที่เบียดผ่านผมไปก็คือกองเชียร์ของไอ้นักนี่เอง พวกเธอถือพวงมาลัยคล้องคอกันไปเต็มมือขนาดนั้น ไอ้นักคงไม่พ้นรางวัลป๊อปปูล่าโหวตเป็นแน่

      “ทำไมเพื่อนมึงทำท่าแบบนั้น” ไอ้คิ้วท์สะกิดให้ผมเงยหน้าจากสาวๆ ล่างเวทีขึ้นมองดูไอ้นักบนเวทีที่กำลังเดินออกมาด้วยท่าทางแปลกๆ

      ไอ้เพื่อนรักมันเอาแต่ชะโงกพลางกวาดสายตาไปมา ทำเอาผู้ชมเงียบและคงกำลังงงงันว่ามันจะแสดงอะไร

      “มันมองหามึงไง” ผมบอกไอ้คิ้วท์ “แล้วก็ดูเหมือนว่ามันจะเห็นมึงแล้วด้วย” ผมบอกต่อเมื่อเห็นไอ้เพื่อนรักมันหยุดสายตามาทางผมแล้วยิ้มกว้างออกมา

      ไอ้นักมันใช้ดาบชี้มาทางไอ้คิ้วท์แล้วยิ้มจากนั้นก็กระพริบตาหว่านเสน่ห์ให้ด้วย ก่อนที่มันจะกระโจนหาเอ็กซ์ตร้าที่แสดงเป็นศัตรูและทำท่าทางต่อสู้ด้วยมาดเท่อย่างนักรบโรมันเพื่อที่จะแย่งชิงคนรักหรือคู่ประกวดที่แสดงร่วมกันคืนมา

      “เพื่อนมึงนี่ปัญญาอ่อนเนาะ” ไอ้คิ้วท์บอกกับผม

      “อือ…” ผมพยักหน้าเห็นด้วย

      ผมก็ไม่คิดว่าเพื่อนรักของผมมันจะติ๊งต๊องขนาดนี้เหมือนกัน

      แต่ถึงอย่างนั้นความหล่อเหลาของไอ้นักก็บดบังความติ๊งต๊องของมันไว้ ต้องยอมรับว่ามันแสดงออกมาได้ดีและเท่จนสาวๆ กรี๊ดกันเกรียวจนมันเดินลงเวที

      “ทำไมโชถึงไม่ได้ขึ้นประกวดนะ”

      “ครับ?” ผมหันไปทางพี่เมฆ ดูเหมือนว่าพี่เขาจะพูดขึ้นมาลอยๆ

      “ก็โชทั้งหล่อแล้วก็น่ารัก ทำไมถึงไม่ได้คัดเลือกให้ไปประกวด”

      “มีคนที่หน้าตาดีกว่าโชตั้งหลายคน…อีกอย่างโชคงสู้ไอ้นักมันไม่ได้หรอกครับ” ผมหัวเราะเขินๆ ที่จู่ๆ พี่เขาก็ชมออกมา

      “แต่พี่ว่าถ้าโชขึ้นไปประกวด โชก็ต้องได้สักรางวัลแน่ๆ”

       “แฮะๆ” ผมเกาหัวแก้เขิน “อะไร?” ผมหันไปถามไอ้คิ้วท์เพราะมันเอาแต่จ้องผมแล้วยิ้มอย่างมีเลศนัย

      “หน้ามึงแดงชิบหาย”

      “ไม่ใช่อย่างที่มึงคิด!” ผมทำหน้าดุใส่มัน

      ไม่ใช่อย่างที่ไอ้คิ้วท์คิดจริงๆ นะครับ ผมแค่เขินเพราะไม่ค่อยมีใครชมผมแบบนี้บ่อยนัก…คนเราเวลาโดยชม ไม่ว่าใครชมก็ต้องเขินเป็นธรรมดาใช่มั้ยล่ะ



      ถึงเวลาให้คะแนนโหวตจากคนชม…ไอ้นักมันทักแชทมาดักว่าให้ไอ้คิ้วท์เอาพวงมาลัยไปคล้องคอให้มันด้วย พอไอ้เพื่อนตัวแสบมันจับทางได้ว่าผมแพ้ความน่ารำคาญของมัน มันก็ชักจะเอาใหญ่ แต่ผมก็ต้องแพ้มันทุกครั้งไปรวมถึงไอ้คิ้วท์ด้วยที่มันก็ไม่ชอบให้เกิดความรำคาญโดยเฉพาะลูกตามลูกตื้อของไอ้เพื่อนรักที่ชอบมาตามรังควานกวนใจมัน

      ไอ้คิ้วท์จึงจำใจเดินถือพวงมาลัยไปด้วยสีหน้าที่เบื่อหน่ายและเซ็งขั้นสุด

      พอไอ้นักเห็นก็รีบดันตัวเองมาที่ขอบหน้าเวทีทันที มันยิ้มร่าหน้าบานแล้วโค้งตัวอย่างงามเพื่อที่จะให้ไอ้คิ้วท์คล้องมาลัยให้

      “ขอบคุณคร้าบบบ คนคิ้วท์”

      “เฮ้ย จะทำอะไรของมึง!” ไอ้คิ้วท์ตกใจจึงรีบหลบหน้าออกมา

      ระหว่างที่ไอ้เพื่อนรักมันโค้งรับพวงมาลัยจากไอ้คิ้วท์ แทนที่รับเสร็จมันจะยืนขึ้นแต่ไอ้นักมันเงยหน้าขึ้นมาแล้วจ้องหน้าไอ้คิ้วท์ตาหวานเยิ้มพลางทำท่าจะหอมแก้ม…ดีที่ไอ้คิ้วท์หลบทัน แต่ก็ไม่พ้นสายตาของสาวๆ แถวนั้นที่เห็นกันแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

      “เดี๋ยวเถอะไอ้นัก” ผมก็คือผู้เห็นเหตุการณ์ซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ด้วย

      “มึงไม่ต้องมาก็ได้นะไอ้โช กูได้พวงมาลัยจากการคนคิ้วท์คนเดียว กูก็พอใจละ” ไอ้เพื่อนรักมันหันมาพูดกับผม

      “พอมีไอ้คิ้วท์อยู่ มึงก็เลยจะไม่เห็นหัวกูเลยว่างั้น”

      “อือ” มันพยักหน้าด้วยรอยยิ้มกวน

      ผมจึงคล้องพวงมาลัยแกมโยนให้ไอ้นักด้วยท่าทางไม่เต็มใจเพราะหมั่นไส้มัน


      หลังจากที่โหวตคะแนนจากคนชมเรียบร้อย แน่นอนว่ามองด้วยตาเปล่าดูก็รู้ว่าไอ้นักได้รางวัลป๊อปปูล่าโหวตไป จากนั้นรางวัลอื่นๆ เช่นผิวสวยหรือโชว์เด่นก็ประปรายไปให้คนอื่น

      จนมาถึงประกาศรางวัลเดือนและดาวประจำคณะ…และแน่นอนว่าไอ้นักได้เป็นเดือนของคณะและเป็นตัวแทนไปประกวดเดือนมหาวิทยาลัยตามคาด ดูเหมือนนอกจากจะได้คะแนนจากคนชมแล้วหน้าตาของมันก็ยังทำให้ได้ใจคณะกรรมการไปอย่างไม่มีข้อกังขา

       ไอ้นักดีใจใหญ่พลางเอาแต่มองมาทางไอ้คิ้วท์ซึ่งมันกำลังจะเดินออกไป

      “ไปไหนวะ” ผมถาม

      “ก็การประกวดจบแล้วนี่ กูอยากกลับหอแล้วอ่ะ วันนี้ทำกิจกรรมเยอะมาก กูโคตรเพลียเลย”

      “โอเค เดี๋ยวกูจัดการไอ้นักให้ เพราะมันต้องมาโวยวายกับกูแน่ที่มึงไม่ได้อยู่รอมัน”

      “เออๆ แล้วไว้เจอกัน…สวัสดีครับพี่” ไอ้คิ้วท์ไม่ลืมที่จะลาพี่เมฆ

       ผมโบกมือให้ไอ้คิ้วท์และมองมันเดินไป จากนั้นผมก็ต้องทำคิ้วฉงนเพราะเห็นใครวิ่งตามไอ้คิ้วท์ไปอย่างเร็ว

      ผมหันไปมองรอบๆ เวทีก็เห็นผู้คนงงไม่ต่างจากผมและเอาแต่กระซิบกระซาบถึงคนที่มันกระโดดจากเวทีลงมากะทันหันก่อนจะวิ่งไป

      “ไอ้นัก!” ผมอุทาน

      เป็นไอ้เพื่อนรักของผมเองครับ มันกำลังรับรางวัลและเขาก็กำลังถ่ายรูปกันอยู่ มันกลับกระโดดลงมาปุบปับแล้ววิ่งตามไอ้คิ้วท์ไปทั้งช่อดอกไม้และสายสะพายที่คล้องให้ไม่เสร็จดี

      ให้ตายเหอะ…ความบ้าบิ่นของมันเนี่ย

      มันสนไอ้คิ้วท์มากจนไม่สนคนรอบข้างเลย


      ผมกับพี่เมฆจึงรีบวิ่งตามมันไป

      “คนคิ้วท์จะรีบไปไหน” พอผมไปถึงก็เห็นไอ้นักคว้าแขนและกำลังเซ้าซี้ไอ้คิวท์

      “กูก็จะกลับหอสิ”

      “รีบกลับทำไม ไปหาอะไรกินก่อนมั้ย”

      “กูไม่ไป กูไม่หิว มึงเลิกเซ้าซี้ได้แล้ว กูก็มาดูมึงประกวดแล้วไง จะเอาอะไรอีก”

      “งั้นกูไปส่งนะ…ส่วนมึงไอ้โช นู้น พี่ภามเดินมานู้นแล้ว มึงก็กลับกับเขาแล้วกันนะ” มันพูดกับไอ้คิ้วท์แล้วหันมาบอกผม จากนั้นไอ้คิ้วท์ก็โดนมันลากแขนไปโดนที่ยังไม่เอ่ยปากอะไรเลย และไอ้คิ้วท์ผู้แสนเหนื่อยล้าจากการทำกิจกรรมของวันนี้ก็ปลิวไปตามแรงดึงของไอ้นักไป

      “แค่ไปส่งนะ ห้ามพาไอ้คิ้วไปไหน!” ผมตะโกนบอกไอ้เพื่อนตัวแสบ

   
       “โช จะกลับเลยมั้ย”

      “ไม่ต้องเลยนะพี่ภาม ไอ้โชมันจะกลับกับผม”

      ทันทีที่พี่ภามเดินมาถึงและเอ่ยปากถามผมแบบนั้นก็มักจะมีเฮียกุนมาขัดคออีกตามเคย มันเป็นเหตุการณ์เดจาวูที่เกิดขึ้นบ่อยตั้งแต่ที่เฮียกุนเอาแต่ตามติดผมแล้วล่ะ

       “พี่เมฆ สวัสดีครับ” ถึงอย่างนั้นเฮียกุนก็ยังเห็นว่ามีรุ่นพี่ยืนอยู่

       และเฮียขุนที่เดินมาด้วยก็ทักพี่เมฆเช่นกัน

      “หวัดดีๆ งั้นก็คงแยกย้ายกันกลับเพราะพี่ก็มีธุระต้องไปทำ…พี่กลับก่อนนะโช แล้วไว้เจอกัน” พี่เมฆบอกลาพลางขยี้หัวผม “กลับกันดีๆ ล่ะ” ก่อนจะโบกมือให้ทุกคนแล้วเดินไป

       “กลับดีๆ ครับพี่เมฆ ขอบคุณสำหรับน้ำด้วย” ผมชูขวดน้ำเปล่าที่ยังถืออยู่ในมือให้พี่เขา

      และขณะนั้นผมก็รับรู้ได้ถึงรัศมีบางอย่าง จึงค่อยๆ ลดมือที่กำลังโบกให้พี่เมฆลงแล้วหันดูรอบๆ

      พี่ภาม เฮียกุนและเฮียขุนกำลังจ้องมองมาที่ผมเป็นตาเดียวกัน นี่พวกเขาคิดบ้าบอเหมือนไอ้คิ้วท์หรือเปล่านะ รุ่นพี่รุ่นน้องบอกลากันมันแปลกตรงไหน ทำไมต้องมองผมด้วยสายตาที่สงสัยกันแบบนั้นด้วย

      “น้องโชหรือเปล่าคะ” ในขณะที่ผมกำลังทำตัวไม่ถูกที่โดนจ้องมองก็มีรุ่นพี่ผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาทัก

      “ใช่ครับ”

      “พี่รหัสฝากของมาให้ค่ะ”

      “อ่อ ขอบคุณครับ” ผมรับกล่องมาจากเธอ ดูเหมือนจะกล่องใหญ่และหนักกว่าครั้งที่แล้ว และรุ่นพี่ที่เอามาให้ก็ไม่ใช่คนเดิมด้วย

      ผมมองพลางอมยิ้มไปที่เฮียกุน…ทำเป็นเปลี่ยนคนเอาของมาให้ ยังไงผมก็คิดว่าเป็นเฮียเขาอยู่ดีนั่นแหละ

      “โชเลือกได้นะว่าจะกลับกับใคร” จู่ๆ พี่ภามก็ถามขึ้นมาข้ามหน้าข้ามตาเฮียกุน

      “เอ่อ…” ผมมองรอบๆ เพิ่งสังเกตว่าเฮียขุนไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้แล้ว ไม่รู้เขาเดินไปตอนไหน ดีแล้วล่ะ…เห็นหน้าคนๆ นั้นแล้วรำคาญตา

      “ก็บอกแล้วไงว่าไอ้โชมันจะกลับกับผม มันอยู่หอเดียวกันกับผมแล้วทำไมมันต้องกลับกับพี่ด้วย”

      “ก็กูอยากไปส่ง”

      “ไม่ต้องก็ได้มั้ง”

      “นี่ ไอ้กุน มึงจะขัดกูไปถึงไหน”

      เฮ้ออ พวกเขาเถียงกันเรื่องเดิมๆ อีกแล้ว เวลาหลังเลิกเรียนของผมทุกวันนี้ช่างวุ่นวายจริงๆ “กลับกับเฮียกุนนั่นแหละครับ” ผมพูดและพยักหน้าให้พี่ภามเพื่อเป็นการบอกว่าตัดปัญหาเพราะยังไงเฮียกุนก็ไม่ยอมให้ผมกลับกับพี่ภามง่ายๆ หรอก และขืนมัวแต่ยืนเถียงกันอยู่อย่างนี้คงไม่ต้องกลับกันพอดี

       “งั้นถึงหอแล้วทักมาบอกพี่นะ” พี่ภามบอกก่อนจะเดินไปและไม่วายหันมามองตาขวางส่งท้ายให้เฮียกุน ส่วนเฮียกุนเองก็กอดอกและยิ้มอย่างพอใจ

      “ไปรอที่รถก่อนเดี๋ยวกูไปคุยกับเพื่อนแป๊ป”

      “ครับเฮีย” ผมพยักหน้า


      ผมเดินถือกล่องที่พี่รหัสเอามาให้…ที่ผ่านมาก็ฝากของมาให้เรื่อยๆ ขนมกล่องที่เอามาให้ครั้งที่แล้วก็ยังเหลืออยู่เต็มตู้เย็นเลย เฮียกุนนี่ใจป๋าจริงๆ ผมคิดว่าผมน่าจะเป็นน้องรหัสที่โชคดีกว่าใคร

      “ดูมีความสุขจังนะ”

      รอยยิ้มของผมที่กำลังเป็นปลื้มกับของที่ได้รับจากพี่รหัสเป็นอันต้องหุบลงเมื่อเห็นเฮียขุนยืนพิงรถเฮียกุนอยู่

      “เนื้อหอมใช่เล่น คนนั้นคนนี้มารุมจีบ ทั้งไอ้ภามแล้วก็พี่เมฆ”

      “…” แล้วมันเป็นธุระกงการอะไรของเขากันนะ ผมมองเขาอย่างเคืองๆ

      “มีคนมาให้เลือก อย่างนี้ก็คงเลิกชอบกูได้แล้วสิ”

       ที่แท้ก็มาตอกย้ำความสบายใจให้กับตัวเองว่าไม่มีคนอย่างผมชอบเขาแล้ว “หึ ก็คงอย่างนั้นแหละครับ ผมเคยบอกแล้วนี่ว่าชอบคนที่มาชอบเราดีกว่ามัวไปแอบชอบคนที่มันไม่เคยจะสนใจเรา ดังนั้นบอกไว้ตรงนี้เลยนะว่าผมจะไม่ทำตัวโง่ชอบเฮียแล้ว” ผมพูดด้วยสีหน้าเย้ยเขา ให้เขาเลิกทะนงตัวซะทีว่าผมจะเลิกชอบคนอย่างเขาไม่ได้

      ผมจะทำให้เขารู้ว่าผมจะไม่แยแสเขาแล้ว เฮียขุนเขาจะได้โล่งใจที่ไม่มีคนอย่างผมไปชอบเขา…ดังนั้นเขาต้องทำหน้าดีใจหรือไม่ก็สีหน้าเฉยชาอย่างที่เป็นอยู่สิ แต่ทำไมจากที่มองหน้าเขาตอนนี้ เฮียขุนกลับขมวดคิ้ว ผมรับรู้ได้ว่าเขากำลังหัวเสีย สายตาของเขากำลังโกรธและกำลังเดินพุ่งตรงมาที่ผม

      เขาเดินมาจับและบีบแก้มของผมอย่างแรงให้เชิดขึ้นมองหน้าและนัยน์ตาดุของเขา “อย่าให้กูรู้แล้วกันว่ามึงยังชอบกูอยู่” เขาพ่นประโยคนั้นออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

      ผมมองสู้สายตาเฮียขุนให้ถึงที่สุดและอยากจะสื่อออกไปว่า…



      ครับ...ผมจะไม่ชอบคนอย่างเฮียอีกต่อไป





-----TBC-----

ออฟไลน์ kunt

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-1
เมื่อไหร่ที่น้องปากตรงกับใจจริงๆ แล้วเฮียจะดิ้นแบบไหนดี หึหึ

ออฟไลน์ ิbanoffee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ตอนที่ 17


      “เฮียขุน”

      จังหวะเหมาะที่เฮียกุนเดินมาพอดี ก่อนที่พี่ชายของเฮียเขาที่เอาแต่จ้องผมราวกับจะกินเลือดกินเนื้อกำลังบีบแก้มของผมแทบจะบุบเข้าไปอยู่แล้ว

      “เฮียทำอะไรไอ้โชมันน่ะ”

      “ทำอะไร…กูกำลังกินข้าวกับมันอยู่มั้ง” เขาตอบกวนก่อนจะสะบัดมือออกจากแก้มของผม

      “อ๋อเหรอ…ผมเพิ่งรู้ว่ากินข้าวกันแบบนี้” เฮียกุนเองก็ยียวนเช่นกัน “เออไอ้โช เดี๋ยวเฮียขุนกลับด้วยนะ พอดีรถเฮียเขาเสีย”

      “…” ผมขมวดคิ้วหันไปมองเฮียกุนทันทีหลังจากที่เฮียเขาบอกผม มิน่าล่ะเฮียขุนถึงได้มายืนอยู่นี่ “ถ้าอย่างนั้นผมจะกลับเอง”

      “ไม่ได้/ไม่ได้” สองพี่น้องพูดพร้อมกัน

      เฮียกุนน่ะไม่แปลกและผมไม่สงสัยอะไรที่เฮียเขาจะพูดแบบนั้น เพราะยังไงทุกครั้งที่ผมบอกว่าจะกลับเองแต่เฮียกุนก็จะดั้นด้นไปส่งที่หออยู่ดีทั้งที่มันใกล้แค่หนึ่งป้ายรถเมล์จะเดินกลับก็ยังได้

      แต่เมื่อกี้ถ้าผมได้ยินไม่ผิด…เฮียขุนก็พูดออกมาเช่นกัน
 
      ทำไมเขาไม่ต้องการให้ผมกลับเองทั้งที่เขาก็จะกลับรถเฮียกุนด้วย เฮียขุนน่าจะดีใจที่ผมไม่ต้องนั่งรถกลับกับเขา…เขาจะได้ไม่ต้องรู้สึกอึดอัดและรำคาญ

      “มึงจะกลับเองทำไมวะ ก็กลับด้วยกันเนี่ยแหละ ไม่ต้องห่วงถึงเฮียขุนจะกลับด้วยแต่รถกูก็มีที่นั่งเหลือเฟือที่จะทำให้มึงเหยียดแขนขา ตีลังกานั่งก็ยังได้” เฮียกุนบอกผมหรือกำลังพูดเสียดสีพี่ชายตัวเองกันแน่

      แต่ผมไม่ได้ห่วงเรื่องนั้นหรอก เฮียเขาน่าจะรู้ว่าทั้งพี่ชายของเขาและผมอึดอัดที่จะนั่งรถกลับด้วยกัน

      หลังๆ มานี่นอกจากจะแปลกที่เอาแต่ทำตัวติดผมแล้วเฮียกุนก็ยังทำเหมือนไม่เข้าใจผม ทั้งที่เฮียเขารู้ดีว่าผมไม่กล้าที่จะมองสายตาที่เย็นชาของเฮียขุนและตอนนี้ผมก็ไม่อยากเห็นหน้าเพราะกำลังพยายามลบความรู้สึกชอบที่ผมมีให้กับเขา

      “ผมจะกลับเองครับ” ผมย้ำคำเดิม

      “ก็บอกว่าไม่ได้ นี่มันจะสี่ทุ่มแล้ว รถเมล์ก็หายาก จะเดินกลับก็เปลี่ยว”

      “งั้นผมจะนั่งวิน”

      “ไอ้โช…ทำไมมึงดื้อจังวะ” เฮียกุนรีบคว้ามือผมไว้ก่อนจะเดินไป

      “เฮียนั่นแหละ…ทำไมช่วงนี้ต้องทำตัวไม่เข้าใจผม เฮียรู้ดีว่าทำไมผมถึงจะกลับเอง…” ผมเหลือบหันไปมองพี่ชายของเฮียเขา “เพราะถ้าเฮียขุนกลับด้วย…ผมก็จะไม่กลับกับเฮีย”

      “มึงจะกลับเองไม่ได้ ช่วงนี้ยิ่งมีขโมยชอบชุกซ่อนตัวอยู่ในที่มืดและถึงมึงจะเป็นผู้ชายก็ไม่ได้ทำให้ปลอดภัยมากขึ้น ถ้ามันจะขโมยไม่ว่าผู้หญิงผู้ชายก็โดนปล้นได้เหมือนกัน…ใช่ว่ากูไม่เข้าใจว่ามึงอึดอัดที่จะนั่งรถกลับกับเฮียขุน แต่ที่พูดเพราะกูเป็นห่วง มึงแค่กลั้นใจนั่งรถแป๊ปเดียวก็ถึงหอแล้ว” เฮียกุนพูดยาวเหยียด

      “ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องเป็นห่วง…เดี๋ยวผมจะโทรบอกให้พี่ภามมารับก็ได้”

      “นั่นยิ่งไม่ได้!” เฮียกุนตะโกนใส่ผม “ไอ้พี่ภามมันยิ่งกว่าขโมยซะอีก”

      “แต่…” จู่ๆ แขนของผมก็ถูกกระชาก “ทำอะไรของเฮียเนี่ย…ปล่อยผมนะ!” เฮียขุนเดินมาดึงแขนของผม จากนั้นเขาก็เปิดประตูรถแล้วจับหัวผมยัดเข้าไปข้างในทันที “นี่…”

      ปัง!

      แถมยังจะปิดประตูรถใส่หน้าผมอีก

      “แล้วนั่นเฮียจะไปไหน” เฮียกุนถามพี่ชายหลังจากที่เขาปิดประตูใส่ผมแล้วเขาก็ไม่ได้ขึ้นรถตามมาแต่จะเดินไปไหนไม่รู้

      “กูจะกลับเอง” เขาบอกแค่นั้นก่อนจะหันมามองผมผ่านกระจกด้วยสายตาที่ปัดรำคาญ



      “ทำไมพี่ชายเฮียต้องกลับเองด้วยล่ะ ผมเป็นคนนอก…ผมต่างหากที่จะต้องกลับเอง มาทำตัวแปลกให้ผมไม่เข้าใจอีกแล้ว…ไม่ว่ายังไงผมก็ยืนยันว่าจะไม่นั่งรถกลับกับเขาก็เลยทำเป็นว่าเสียสละจะกลับเองว่างั้น เพื่ออะไร ทั้งที่จริงคนใจร้ายและเห็นแก่ตัวอย่างเขาน่าจะยิ้มอย่างพอใจที่เห็นผมได้เดินกลับหอเองแต่ตรงข้ามดันมาทำตัวเกรี้ยวกราดใส่ผมแทน” ทันทีที่เฮียกุนเคลื่อนรถออกผมก็บ่นให้เขาฟังด้วยความหงุดหงิด

      “เฮียเขาคงเป็นห่วงมึงมั้ง” เฮียกุนพูดผ่านๆ ในขณะที่กำลังหมุนพวงมาลัย

      “เฮียว่าไงนะ…ตลกละ พี่ชายเฮียจะมาห่วงอะไรผม ทำตัวพิลึกพิลั่น เฮียก็ด้วย!” ผมหันไปตะคอกใส่คนขับ “เฮียเลิกตามผม เลิกคอยไปรับไปส่งได้แล้ว เฮียไม่เป็นตัวเองเลยรู้มั้ย ถึงเฮียจะไม่ชอบพี่ภามแต่ก็จะไม่เข้ามายุ่งวุ่นวายเรื่องของใครไม่ใช่เหรอ ถึงเป็นห่วงก็เป็นห่วงอย่างห่างๆ แต่นี่มันแปลกมากสำหรับคนอย่างเฮียนะที่ต้องมาคอยเจ้ากี้เจ้าการกับผม ตอนนี้ผมไม่เข้าใจทั้งเฮียแล้วก็พี่ชายของเฮียเลยว่ากำลังทำบ้าอะไรกันอยู่” ผมพูดแล้วพรูลมหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยที่บ่นใส่เฮียเขายาว

      “กูก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องมายุ่งวุ่นวายกับเรื่องของพวกมึงขนาดนี้ด้วยเนี่ย”
 
      เฮ้ออ…ทั้งเฮียกุนและผมเองต่างก็ถอนหายใจออกมาพร้อมกัน


Kunsue’s part


      “นี่เฮียเดินกลับเหรอ” ผมถามเฮียขุนก่อนที่ตัวเองจะเปิดประตูเข้าห้องแต่เห็นเฮียเขาเดินมาพอดี

      “ถ้าเดินกลับกูจะตามมึงมาทันติดๆ แบบนี้หรือไง” นั่นสิ ผมเพิ่งมาถึงและยังไม่ทันเข้าห้องด้วยซ้ำ เฮียขุนก็ตามมาเว้นไม่ถึงนาที

      ตั้งแต่ที่เฮียเขาเย็นชามากขึ้น ไม่แค่กับไอ้โชนะครับแต่กับน้องกับนุ่งก็ไม่เว้นและยังแถมคำพูดคำจาที่ประชดประชันหน้าตายแบบนั้นอีก…เป็นเอาหนักนะพี่ชายผม

      ไม่แปลกที่โชมันจะกลัวสายตาเย็นชาของเฮียแก…ที่ผ่านมามันจึงเอาแต่หลบหน้า

      “นี่เฮีย…ผมเบื่อที่จะเป็นตัวแทนของเฮียแล้วนะ เฮียให้ผมคอยเทคแคร์ กีดกันไอ้พี่ภามและสังเกตว่าโชมันยังชอบเฮียอยู่มั้ยจนมันคิดว่าผมเป็นพี่รหัสแล้วพี่ภามก็คิดว่าผมชอบไอ้โชซะเองไปแล้ว…ทั้งที่จริงเฮียต่างหากที่ชอบ”

      “หุบปากเลยนะ” เฮียขุนรีบเอามือปิดปากผมเพราะกลัวไอ้โชที่อยู่ห้องตรงข้ามได้ยิน

      “ทำไมเฮียไม่บอกโชมันไปเลยว่าเฮียยังชอบมันและไม่อยากให้มันเลิกชอบ มาทำตัวใจร้ายไม่ยอมรับหัวใจตัวเองแบบนี้ ระวังเถอะ ถ้าไอ้โชมันหมดพิศวาสเฮียแล้ว ผมจะไม่ช่วยและจะสมน้ำหน้าให้” ผมพูดเบาลง

      “มึงไม่เป็นกูไม่เข้าใจหรอก ถ้ามึงเคยชอบใครมากๆ จนเรียกว่ารักและเป็นรักแรกซึ่งเขาคือเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ น่ารักไร้เดียงสาที่ขโมยหัวใจกูไปจนกูปลักใจหลงรักหัวปักหัวปำว่าโตขึ้นมาถึงขนาดจะแต่งงานด้วย แต่กลับกลายเป็นว่าความฝันนั้นของกูต้องสลายเพราะคนนั้นของกูโตมาเป็นผู้ชาย…เป็นมึงจะยอมรับได้ง่ายๆ มั้ย ทำไมไอ้นักรู้แล้วก็บอกให้มึงรู้ ทำไมมีแค่กูคนเดียวที่ไม่รู้ โชโกหกกู ทำให้กูดูโง่ที่ดูไม่ออกว่าเขาเป็นเด็กผู้ชาย แล้วกูจะทำใจยังไงให้รักเขาเหมือนเดิม…มันจะเปลี่ยนทั้งชีวิตกูไปเลยนะ” เฮียขุนพูดแบบนี้กับผมรอบที่เท่าไรแล้วไม่รู้

      ตั้งแต่ที่เฮียเขารู้ว่าคนที่ชอบเป็นผู้ชาย พี่ชายที่ใจดีและร่าเริงก็เปลี่ยนไป เขาเอาแต่นั่งเหม่อและบ่นเรื่องนี้ให้ผมฟังไม่รู้กี่รอบ เขากลายเป็นคนที่เอาแต่บอกว่าเกลียดไอ้โช…เกลียดที่ทำไมต้องโกหกและกลายเป็นเรื่องเรื้อรังที่ทำให้เขาเจ็บปวดเมื่อมารู้ตอนโต

      แต่ในความที่บอกว่าเกลียดมันกลับมีอะไรซ่อนอยู่…คนเราจะเลิกรักง่ายๆ ได้ยังไง แม้ว่าเฮียขุนจะยังทำใจไม่ได้ที่โชมันเป็นผู้ชาย แต่ความรักความชอบที่หลงเหลือก็ยังทำให้เขาสนใจและแอบสังเกตไอ้โชอยู่ห่างๆ ด้วยสายตาที่อาลัยอาวรณ์อย่างเห็นได้ชัดจนผมดูออก

      ทุกครั้งที่ผมจับได้ว่าเขาแสดงท่าทีสนใจโชมันกลายเป็นว่าเฮียเขากลับบ่ายเบี่ยงและกลบเกลื่อนด้วยความโมโห

      เพราะความดื้อด้านไม่ยอมรับหัวใจของตัวเองที่ไม่ว่าโชมันจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายแต่เฮียขุนก็ยังรักมันอยู่ดี แต่ความรักนั้นจากที่อ่อนโยนกลายเป็นว่าเขาแสดงออกมาในทางที่ใจร้าย ไม่ว่าวาจาหรือการกระทำ เฮียแกก็โหดใส่โชจนมันไม่กล้ามองหน้าและเดินเฉียดใกล้เลยล่ะ

      ผมเข้าใจที่เฮียขุนต้องเป็นแบบนั้นเพราะเขาโมโหและต้องปวดใจแค่ไหน แต่ไม่เข้าใจที่ไม่ยอมทำตามหัวใจตัวเองสักทีแล้วใช้ผมเป็นหุ่นเชิดเนี่ยสิ

      “ถ้าอย่างนั้นผมจะไม่ตามไอ้โชแล้ว ไม่กีดกันใครให้เฮียทั้งนั้น โชมันจะเลิกชอบเฮียแล้วไปตกลงปลงใจเป็นแฟนกับใครก็เรื่องของมัน”

      “ไม่ได้” เฮียขุนทำหน้าเกรี้ยวกราดใส่ผม

      “นี่ ผมไม่ใช่ไอ้โชนะ เฮียไม่ต้องมาแสดงท่าทีหัวเสียใส่ผม แล้วก็นะถ้าเฮียมัวแต่ใจร้ายและไม่แสดงออกชัดเจนว่าเฮียทั้งชอบทั้งหึงโชมันล่ะก็…ก่อนที่เฮียจะทำใจได้ว่าชอบโชคนที่เป็นผู้ชายได้แล้ว ผมคิดว่าเฮียคงจะได้ทำใจว่าโชมันไม่ชอบเฮียแต่ไปชอบคนอื่นแล้วน่ะสิ จะเสียใจทีหลังไม่ได้นะ”

      “มึงถึงต้องคอยกีดกันไอ้ภามให้กู…อ่อ ตอนนี้เพิ่มพี่เมฆมาอีกคน”

      “ไม่เอาแล้ว ผมไม่ทำแล้ว เฮียไปเทคแคร์เอง กีดกันเอง หึงเอาเองเลยไป”

      “หรือมึงจะให้กูบอกไอ้ภาม” เฮียขุนเอาเรื่องนั้นขึ้นมาพูดขู่ผมอีกแล้ว

      “เรื่องมันนานมาแล้ว อีกอย่างนะตอนนั้นผมแค่ปลื้มพี่ภามมัน ไม่ได้ชอบแบบนั้นซะหน่อย”

      “อย่างนั้นเหรอ ถึงเรื่องมันจะเป็นอย่างนั้นแต่กูก็เอามาขู่มึงได้ผลนี่”

      “…” ผมมองค้อนพี่ชายตัวเอง

      ตอนเด็กผมเคยแอบปลื้มพี่ภามเพราะเห็นตอนช่วยแมวแถวบ้านโดนรถชนครับ เหมือนเป็นฮีโร่อะไรประมาณนั้น แล้วผมก็เอามาเล่าให้เฮียขุนฟังบ่อยๆ จนเฮียเขาคิดว่าผมชอบพี่ภามมันซะอย่างนั้น

      แต่พอได้รู้จักพี่ภามความปลื้มก็หายไป เพราะถึงจะเป็นฮีโร่ช่วยแมวแต่ความกวนและนิสัยชอบล้อคนอื่นก็ทำให้ลบภาพความเป็นฮีโร่ไป และตรงข้ามกลายเป็นหัวโจกคอยรังแกเขาไปทั่ว
 
      ผมจึงหมั่นไส้และหงุดหงิดทุกครั้งที่เห็นหน้าไอ้พี่ภาม เรื่องราวมันก็มีแค่นี้แต่ผมก็ไม่อยากให้พี่ภามมันรู้นี่ครับว่าผมเคยแอบปลื้ม…ถ้ารู้ได้เสียหน้ากันพอดี

      “ก็ได้…ผมจะให้เวลาเฮียถึงวันเฟรชชี่ ผมจะช่วยเฮียแค่นั้น ถ้าหัวใจเฮียยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะแสดงออกว่ารักไอ้โชหรือจะยังปิดบังด้วยการกระทำที่ใจร้ายกับมัน พอถึงตอนนั้นถ้าเฮียยังเป็นแบบอย่างหลัง มีสองทางคือปล่อยโชมันไป อย่ามากั๊กมันไว้ด้วยการกระทำที่สวนกระแสหัวใจ หรือทางที่สอง ผมจะเอาไอ้โชไปประเคนให้พี่ภามให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย แค่นี้นะ รู้เรื่อง” พูดจบผมก็เปิดประตูห้องเดินเข้าไปทันที

      “เดี๋ยว ไอ้กุน วันเฟรชชี่เหลือไม่ถึงเดือนเองนะ”

    
      มันเป็นเวลาที่มากเกินไปสำหรับเฮียขุนด้วยซ้ำที่จะยอมทำตามหัวใจตัวเอง

      ถ้าให้ผมต้องเห็นใจที่เฮียขุนโดนโชมันโกหกมาแปดปี กับไอ้โชที่โดยเฮียขุนทั้งดุ ทั้งไม่แยแส แล้วก็ใจร้ายกับมันสารพัดมาแค่สามปี ผมเลือกเห็นใจไอ้โชมากกว่าครับ เพราะยังไงมันก็ยังชอบเฮียขุนมาได้ถึงสิบเอ็ดปี

      ผมรู้ว่าเฮียขุนก็ไม่เคยเลิกรักเลิกชอบไอ้โช แม้จะมาสะดุดตอนกลับมาจากอังกฤษแล้วเพิ่งมารู้ว่าโชมันเป็นผู้ชายแต่เฮียเขาก็ยังคงชอบไอ้โชอยู่ดีแค่ไม่รู้วิธีที่จะแสดงมันออกมา

      ผมแอบสังเกตว่าเฮียขุนยังแสดงความชอบนั้นชัดเจนก็ในวันปัจฉิมนิเทศจบมอปลายของเฮียแก





     หลังเสร็จกิจกรรมผมมาตามเฮียขุนที่ห้องเรียนเพื่อที่จะไปฉลอง

      “เฮียมัวทำอะไรอยู่”

      “เปล่า” เฮียเขารีบปฏิเสธและทำตัวเลิกลั่กซ่อนอะไรบางอย่างไว้ข้างหลัง อันที่จริงผมก็ก้าวเข้าห้องมาทันเห็นว่าพี่ชายของผมกำลังงุดก้มคุ้ยหาบางอย่างที่ว่านั้นในถังขยะ

      แต่ผมก็ไม่ได้ถามหรืออยากรู้อยากเห็นอะไรมากจนตอนอยู่ที่ห้องจัดเลี้ยงฉลอง เฮียขุนเอาแต่มองกล่องของขวัญสีขาว แล้วก็มีสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นเศษเสื้อที่เฮียเขาควักออกมาจากกางเกงแล้วจ้องมันอยู่นาน

      ผมได้โอกาสตอนที่เฮียขุนไปเข้าห้องน้ำแล้วไม่ได้เอากล่องนั้นไปด้วยแอบเปิดดู ผมเอามันออกมาจากใต้โต๊ะที่เฮียเขาซ่อนไว้คงเพราะไม่อยากให้ใครเห็น…ไม่ได้อยากเป็นคนยุ่งวุ่นวายกับเรื่องของพี่ชายตัวเองสักเท่าไรเลยครับ แต่กล่องปริศนานั่นชวนให้สงสัยจริงๆ

      สิ่งที่อยู่ในกล่องคือตุ๊กตาดนตรีที่มีรูปปั้นคนถือหัวใจ ตัวรูปปั้นที่เห็นน่าจะเป็นเฮียขุนเพราะดูคล้ายกับเฮียเขามาก และยังมีการ์ดแนบมาด้วย…


‘ยินดีด้วยนะครับ…ผมตั้งใจทำของขวัญปัจฉิมชิ้นนี้เองเลยนะ’


      การ์ดไม่ได้บอกชื่อคนให้ มันจึงทำให้ผมกระวนกระวายอยากจะรู้มากว่าใครเป็นคนที่ทำให้เฮียขุนมองกล่องของขวัญนี้ไม่วางตา

       และก่อนที่ผมจะรู้สึกหงุดหงิดที่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนให้ ตาของผมก็เหลือบเห็นเศษเสื้อชิ้นนั้นที่ดูเหมือนว่าเฮียขุนจะเอามาใส่ไว้ในกล่องก่อนจะไปห้องน้ำ


‘หัวใจที่ถืออยู่มันคือของโชนะ…แค่หวังว่าเฮียขุนจะยังคงถือมันไว้’


      ข้อความบนเศษเสื้อที่ดูสอดคล้องกับของขวัญที่อยู่ในกล่อง…ที่แท้ของขวัญกล่องนี้ก็เป็นของไอ้โชนั่นเอง มันคงตั้งใจทำมาให้เฮียขุน แต่ว่าทำไมเฮียเขาถึงได้เอามันมาจากในถังขยะได้นะ

      เฮียขุนรู้ว่ามันเป็นของขวัญของไอ้โชคนที่เขาบ่นให้ผมฟังว่าเกลียดมัน แต่เฮียเขาจะรู้มั้ยว่าเผลอใช้สายตาที่อ่อนโยนผสมปนเปกับดีใจมองกล่องของขวัญชิ้นนั้นอยู่ไม่ละสายตา


   
      เฮียขุนแอบมองบ้านเล็กทุกครั้งที่กลับบ้านในวันปิดเทอม เอาแต่ชะโงกมองหาไอ้โช ผมรู้ว่าเฮียเขาแสร้งเป็นเก๊กแต่แอบดีใจที่โชมันติดมหาวิทยาลัยแล้วย้ายมาอยู่หอเดียวกัน

      เมื่อโชมันเข้ามหาวิทยาลัยแล้วการแสดงถึงความรักของคนที่ไม่ยอมรับหัวใจตัวเองอย่างเฮียขุนก็มีมากขึ้น เพราะเจอบ่อยขึ้น ความรู้สึกที่ทะลักออกมาจึงมากขึ้นและทำให้เขาแสดงท่าทีที่ขัดกับหัวใจของตัวเองมากขึ้น

      ในวันต้อนรับน้องที่โชมันทำภารกิจไม่สำเร็จนั่นก็เป็นเพราะเฮียขุนที่แกล้งมันแล้วยังกำหนดบทลงโทษมันเอง ตอนแรกเฮียเขาก็ดูเหมือนจะสะใจที่ได้แกล้งให้โชมันกลัว แต่ตอนหลังกลับหน้าเสียแล้วมาสารภาพกับผมว่าโชมันเป็นโรคกลัวความมืดมาก

       เฮียขุนเป็นห่วงกลัวว่าโชมันจะเป็นอะไรไปเลยมาวานให้ผมเข้าไปช่วยมันในห้องมืด แต่ผมก็สะใจเหมือนกันที่เห็นเฮียเขามีท่าทีกระวนกระวายใจ อยากจะแกล้งเขาเองแต่มารู้สึกเสียใจทีหลัง ผมเลยไม่ยอมเข้าไปช่วยไอ้โชให้

      ตอนนั้นเฮียขุนยังไม่เอาเรื่องพี่ภามมาขู่ผมและเฮียเขาก็เสียอาการจนทนไม่ไหวเลยรีบวิ่งเข้าไปช่วยโชมันเอง

      ห้องนั้นมืดสมชื่อและมองอะไรไม่เห็นเลย ไอ้โชไม่เห็นคนที่มาช่วยและเฮียขุนเองก็คงไม่เปิดเผยตัวตน ตอนออกมาโชมันเลยเอาแต่สงสัยว่าเป็นใคร

      ผมสะใจเฮียขุนยกใหญ่จนเขาโมโหนึกถึงข้อผิดพลาดของผมอย่างการเคยแอบปลื้มไอ้พี่ภาม เฮียเขาจึงเอามาเป็นข้อต่อรองให้ผมช่วยกีดกันเพราะเห็นท่าทีของพี่ภามที่ดูเหมือนจะสนใจไอ้โช

      ผมคือคนเดียวที่รู้ว่าแท้จริงแล้วเฮียขุนรู้สึกยังไงกับไอ้โช ผมจึงกลายเป็นผู้รับคำสั่งให้กีดกันพี่ภามตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

      ตอนแกล้งปล่อยโชมันไว้ข้างทางแล้วต้องเดินตากฝนมาที่ป้ายรถเมล์จนเป็นไข้ก็กลายเป็นภาระของผมอีก

      ซื้อข้าวซื้อยามาเองแต่ต้องบังคับให้ผมเอาไปป้อนไอ้โชถึงปากเพราะกลัวมันไม่กิน

      ทั้งเช้า ทั้งเที่ยงและตกเย็น ผมไปเคาะประตูจนไอ้โชต้องมองคนอย่างผมว่าน่ารำคาญไปแล้วและมันยังคิดว่าผมเป็นพี่รหัสซะอย่างนั้น

      กล่องขนมจากพี่รหัสกล่องแรกเฮียขุนก็เป็นคนไปซื้อของมาเอง แล้วให้คนที่เอาไปให้แอบอ้างว่าเป็นของพี่รหัส

      ทั้งน้ำเต้าหู้ที่วานให้ผมเอาไปให้และชาเย็นที่บอกว่าเป็นของพี่รหัสแท้จริงคือของเฮียขุนนั้นแหละที่ซื้อให้โชมัน เฮียเขายังจำได้และเป็นคนที่รู้ดีว่าไอ้โชมันชอบกินอะไร

      อาการเป็นห่วงไอ้โชหนักขนาดนี้ยังจะไม่ยอมทำตามหัวใจของตัวเองอีก

      ถ้าถึงวันเฟรชชี่แล้วเฮียขุนยังไม่สารภาพบาปกับไอ้โชล่ะก็…ผมจะไม่สนคำขู่ของเฮียขุนแล้วล่ะครับ

      ผมจะแก้เผ็ดพี่ชายตัวเองแทนไอ้โชโดยการเป็นคนประเคนมันไปให้พี่ภาม…ดูซิจะยังคงเก็บอาการอยู่มั้ย

      ถึงตอนนั้นเฮียขุนคงจะอกแตกตายที่เห็นโชมันไปเป็นของคนอื่นแล้ว







      วันนี้ก็เป็นอีกวันที่เห็นพี่ภามมายืนดักรอไอ้โชอยู่หน้าคณะ สงสัยมารอเพื่อที่จะไปกินข้าวเที่ยงกับโชมันอีกตามเคย

      “มารอไอ้โชอีกล่ะสิ…เสียใจนะวันนี้ผมจะพามันไปกินข้าวนอกมอ พี่คงมีเวลาไม่พอที่จะไปกินด้วยเพราะพักได้แป๊ปเดียวเดี๋ยวก็กลับไปเลคเชอร์ต่อ” ผมพูดเย้ยใส่เขา

      “มึงนี่เป็นน้องที่ดีนะ คอยกันกูซะเกือบหลงเชื่อว่ามึงเองก็ชอบโชเหมือนกัน”

      “พี่รู้เหรอว่าผมกันไอ้โชไว้ให้เฮียขุน”

      “เออ”

      “งั้นพี่ก็รู้ว่าเฮียขุนยังชอบไอ้โชอยู่ไม่ได้เกลียดมันเหมือนการกระทำ”

      “กูรู้มาตลอด”

      “ถ้าอย่างนั้นพี่ก็เป็นเพื่อนที่ดีนะที่จะมาแย่งคนของเพื่อน”

      “คนของเพื่อนเหรอ โชไม่ได้เป็นอะไรกับไอ้ขุนซะหน่อย…กูรู้ว่าโชชอบไอ้ขุนมาก และรู้ว่าไอ้ขุนก็ยังชอบโช แต่พี่มึงไม่ชัดเจนแล้วยังใจร้ายกับโชอีก ดังนั้นกูก็มีสิทธิ์ที่จะทำให้โชเลิกชอบพี่มึงแล้วมาชอบกูแทน”

      “…” ผมเถียงไม่ออกเพราะมันจริงอย่างที่เขาพูดครับที่เฮียขุนไม่ชัดเจนแถมยังแสดงออกตรงกันข้าม แต่ผมขอเปลี่ยนคำพูดได้มั้ยที่ว่าจะประเคนไอ้โชให้พี่ภามมัน เพราะตอนนี้ผมหมั่นไส้ไอ้คนที่มันอยู่ตรงหน้าของผมเหลือเกิน “ก็ลองดูสิ” ผมท้าเขา

      “ได้…มาลองดูกันว่าโชจะตกลงเป็นแฟนกับกูมั้ย” พี่ภามรับคำท้าอย่างมั่นใจ

      ผมไม่รู้ว่าพี่ภามแค่มีท่าทีมั่นใจขู่ผมหรือว่ามั่นใจจริงๆ เพราะว่าโชมันแสดงออกว่าเริ่มชอบพี่ภามเข้าซะแล้ว

      ถ้าเป็นอย่างนั้นผมก็จะไม่เข้าข้างเฮียขุน เพราะการกระทำของเฮียเขาก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้โชมันเลิกชอบ…อยากใจร้ายกับมันเอง ไม่แปลกหรอกที่มันจะไปชอบพี่ภามแทน

      ถึงอย่างนั้นผมก็จะช่วยเฮียขุนกีดกันพี่ภามให้ถึงที่สุด แต่อย่างที่บอก…


      แค่ถึงวันเฟรชชี่เท่านั้น




-----TBC-----



ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
 :3123:
ยอมจำนนแต่โดยดีเหอะเฮียขุน55
 o13
 :pig4:

ออฟไลน์ Januarysky

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 507
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
เชียร์เฮียกุนกะอิพี่ภามคนขี้แกล้งดีก่า
 :mew3:

ออฟไลน์ BABYBB

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
ถ้านี่เป็นโชนะ หนีแม่งให้หมดทุกคน ยุ่งวุ่นวายอะไรชีวิตกูนักวะ  :ruready

ออฟไลน์ ิbanoffee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ตอนที่ 18


Kunsue’s part


      วันมอบรุ่น


      วันนี้แล้วสินะที่จะต้องเฉลยพี่รหัส ผมกับเพื่อนๆ จึงกำลังจัดเตรียมงานและสถานที่เพื่อจะทำกิจกรรมมอบรุ่นให้น้องปีหนึ่ง

      ตอนที่มามหาวิทยาลัยกับไอ้โชผมจึงถามย้ำว่ามันคิดดีแล้วใช่มั้ยว่าผมเป็นพี่รหัสของมัน…สีหน้ามันมั่นใจและยืนกรานว่าเป็นผม
 
      แน่ล่ะสิ หลายๆ อย่างที่เฮียขุนสั่งให้ผมทำราวกับเป็นหุ่นเชิดของเขามันทำให้ไอ้โชปักใจเชื่อ มันก็น่าคิดเป็นอย่างนั้นอยู่หรอก เพราะขนาดตัวของผมยังรำคาญตัวเองที่ไปยุ่มย่ามกับไอ้โชมากเกินไป เป็นใครก็อดสงสัยไม่ได้

      ดังนั้นที่น่าเป็นห่วงคือหากไอ้โชมันทายว่าเป็นผม…ผลลัพธ์ก็คือผิด ทั้งผมและเฮียขุนต่างก็รู้ดีว่าใครเป็นพี่รหัสที่แท้จริงของมัน

      ผมไม่รู้ว่านี่เป็นส่วนหนึ่งในแผนของเฮียขุนมั้ยที่ตั้งใจให้ไอ้โชเข้าใจผิดว่าพี่รหัสเป็นผม เพราะถ้าทายผิดเฮียเขาจะได้หาเรื่องลงโทษ…มันเป็นแนวทางของเฮียแกน่ะครับที่จะได้หาเรื่องพูดคุยกับไอ้โชมัน

      แต่ใครมันจะไปชอบวิธีการเข้าหาแบบหยอกล้อและกลั่นแกล้งกันแบบนั้น…มันเป็นวิถีของคนโรคจิตที่มีแต่เฮียขุนเท่านั้นแหละทำ

      เท่าที่สังเกตไอ้โชมีปฏิกิริยาที่อาจหาญกว่าแต่ก่อน ผมเดาว่ามันคงเหลือทนกับเฮียขุนแล้วจริงๆ ถึงได้กล้าต่อปากต่อคำกับเฮียเขา และนั่นหมายความว่ามันคงทำใจว่าต้องตัดใจจากเฮียขุนเพื่อปฎิวัติและเปิดโอกาสให้ตัวเองรับคนอื่นเข้ามา
 
      มันจึงกระตุ้นให้เฮียขุนออกอาการมากขึ้น เมื่อตัวรุกอย่างพี่ภามคือคนที่กล้าและชัดเจนกับไอ้โชมากกว่าพี่ชายของผม…

      หากยังใช้ผมเป็นตัวแทนของเขาผมก็ทำได้อย่างมากแค่กันพี่ภามออกให้…แค่ถ่วงเวลาให้เฮียเขาเคลียร์กับใจตัวเองให้ได้เพื่อที่จะยอมรับและสารภาพความรู้สึกของตัวเองออกมา

       แต่ไม่ว่าผมจะถ่วงเวลาให้ได้นานมากแค่ไหน…คนที่จะทำลายเวลานั้นไม่ใช่ใครแต่เป็นไอ้โชเอง ถ้ามันเป็นฝ่ายตัดใจได้ก่อนแล้วเลือกพี่ภาม ถึงตอนนั้นถึงแม้พี่ชายของผมจะเว้าวอนยังไงก็คงทำให้สถานการณ์กลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้ว
 
      ผมจึงเป็นคนกำหนดเวลาซะเองเพื่อเร่งให้เฮียขุนรีบเคลียร์กับใจตัวเองให้เร็วไว เพราะวันนี้เป็นวันมอบรุ่นและพรุ่งนี้ก็คือวันเฟรชชี่…

      ดังนั้นพี่ชายผมจึงเหลือเวลาแค่น้อยนิดแล้ว


      “น้องๆ มานั่งรวมกลุ่มกันตรงนี้ครับ” ผมเป็นตัวแทนของปีสองที่ต้องจัดแจงและระเบียบให้กับน้องปีหนึ่งที่ทยอยกันเดินมา

      ตอนนี้เป็นเวลาหนึ่งทุ่ม หลังจากปีหนึ่งเลิกเรียนและซ้อมเชียร์กันเสร็จ พวกเขาจึงถูกต้อนให้มายังศูนย์รวมนั่นคือลานกว้างหน้าคณะ

      สถานที่ถูกจัดเตรียมเรียบร้อยโดยมีการจุดเทียนที่นอกจากจะสร้างบรรยากาศแล้ว แสงเทียนที่สว่างไสวรอบบริเวณนี้ยังเป็นปลายทางและเป็นแสงสว่างผลักดันให้น้องปีหนึ่งได้พยายามทำกิจกรรมอะไรก็ตามที่รุ่นพี่ได้มอบหมายให้เพื่อที่จะชิงรุ่นมา

      พร้อมกันนั้นใกล้ๆ ที่วางเทียนประกอบด้วยแก้วน้ำหลายใบที่ถูกเติมเต็มด้วยน้ำที่หลากหลายและส่งกลิ่นรุนแรงจนน่าจะพอเดาออกว่ามันคือน้ำสมุนไพรที่มีสรรพคุณสุดลึกล้ำแต่รสชาติสุดโหด

      “วันนี้พวกพี่ได้จัดเตรียมพิธีมอบรุ่นให้น้องปีหนึ่ง แต่อย่างที่เคยบอกไปแล้วว่าพวกน้องจะต้องหาพี่รหัสให้พบเพื่อที่จะนำพาไปสู่การมอบรุ่น…น้องๆ คงได้เห็นแก้วน้ำที่วางอยู่รอบๆ แล้ว น้ำเหล่านั้นประกอบไปด้วยน้ำสมุนไพรที่รสชาติจะทำให้โอดครวญและน้ำหวานที่จะทำให้พวกน้องโชคดีไม่ต้องลิ้นชาหากทายถูกตั้งแต่ครั้งแรก” ผมกล่าว

      กิจกรรมทายพี่รหัสเริ่มต้นขึ้นโดยให้น้องปีหนึ่งลุกขึ้นออกมาหน้าแถวทีละคนแล้วให้เดินไปถามรุ่นพี่ว่าใช่พี่รหัสของตัวเองหรือไม่…

      รุ่นพี่ที่ถูกเลือกจะเดินไปหยิบน้ำหนึ่งแก้วมาให้น้อง หากน้ำนั้นเป็นน้ำสมุนไพรขมๆ ก็หมายความว่าน้องทายผิดและจะต้องกลับไปนั่งที่เพื่อเวียนมาทายใหม่จนกว่าจะได้ดื่มน้ำหวานจากรุ่นพี่ที่ตัวเองเลือก เพราะใครที่ได้ดื่มน้ำหวานก็จะหมายความว่ารุ่นพี่คนนั้นคือพี่รหัสที่ตัวเองทายถูกต้อง

      ระหว่างที่กิจกรรมกำลังดำเนินไปผมจึงเดินไปหาไอ้โชที่นั่งอยู่ในแถว “ถ้ามึงไม่อยากจะทรมานจากการดื่มน้ำสมุนไพรไปหลายแก้วเพราะทายไม่ถูกซะทีล่ะก็…มึงรีบหาตัวเลือกใหม่ที่ไม่ใช่กูซะก่อนที่จะถึงคิวของมึง” ผมบอกมันด้วยความหวังดี

      “ใช่…เพราะกูไต่ตรองดีแล้วว่าเฮียกุนน่ะพี่รหัสกูไม่ใช่ของมึง” ไอ้นักที่นั่งหลังไอ้โชพูดแทรกขึ้นมา

      “เฮียอย่ามาทำให้ผมเขวน่า ผมเดาไม่ออกแล้วว่าจะเป็นใครได้นอกจากเฮีย” นั่นน่ะสิครับ ไม่ผิดที่มันจะคิดอย่างนั้น ก็ทั้งของกินและสิ่งของที่ไอ้โชมันเคยได้รับต่างเป็นของที่คนรู้ใจเท่านั้นแหละที่ให้…

      ก็เฮียขุนรู้ใจไอ้โชมันนี่นา

      “งั้นมึงก็ลองเดาดูว่าเป็นกูแล้วกัน” ผมเปลี่ยนใจบอกมันในทางกลับกันเพราะดูเหมือนไอ้โชจะไม่มีตัวเลือกสำรองไว้…มันคงจะได้ลิ้นชาไปหลายรอบ


      กิจกรรมดำเนินไปเรื่อยๆ จนมาถึงคิวของไอ้โช…มันกำลังเดินออกมาจากแถวด้วยสีหน้าที่เห็นได้ชัดว่ากำลังสับสน อย่างน้อยมันก็คงยังคิดได้ว่าพี่รหัสอาจจะไม่ใช่ผม…

      แต่ถ้ามันยังทายว่าเป็นผม ไอ้โชก็อาจจะโดยเฮียขุนแกล้งโดยการให้ปีสองเอาน้ำที่โหดสุดให้มันดื่ม

      ที่จริงพี่ชายผมไม่ควรเสียเวลามาหาเรื่องแกล้งมันแล้ว ควรจะเริ่มเผยตัวและเผยใจจะได้ไม่สายเกินไป จากที่มองตรงนี้เฮียขุนที่ยืนดูอยู่กับกลุ่มเพื่อนปีสามอีกด้านก็คงสับสนไม่แพ้กัน คิ้วกรูเข้าหากันจนทำให้สีหน้าที่มองตามไอ้โชดูกระวนกระวาย คงยังกลุ้มมากที่ไม่รู้ว่าจะจัดการกับหัวใจตัวเองยังไง

      โชมันกำลังยืนอยู่ข้างหน้าแถวพลางกวาดสายตามองรุ่นพี่ปีสองที่ยืนอยู่รอบๆ ก่อนที่จะมาหยุดสายตานั้นที่ผม

      “ใช่มั้ยๆ” ผมอ่านปากไอ้โชได้แบบนั้นพลางมันพยักหน้าเชิงเค้นคำตอบจากผมเพื่อจะยืนยันและเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเอง

      ผมส่ายหน้าให้แล้วถอนหายใจออกมาพรืด…ไอ้โช กูบอกมึงแล้วว่าไม่ใช่กู ยังจะคิดว่ากูพูดให้เขวอีก

      “พี่รหัสของน้องคือใครคะ…เดินไปถามเลยค่ะ” ปีสองรีบเร่งให้ไอ้โชดำเนินกิจกรรมเพราะมันเอาแต่ยืนงงงวยกับตัวเอง

      ราวกับว่าถ่วงเวลาเอาไว้ให้ตัดสินใจ โชมันเดินผ่านรุ่นพี่ทุกคนแล้วก็วกไปวนมาอยู่อย่างนั้นเป็นนาทีแต่ก็ยังไม่เลือกหยุดตรงหน้าใครสักที จนในที่สุดมันก็หยุดตรงหน้าผม

      “กูก็ส่ายหน้าเป็นสัญญาณบอกแล้วว่าไม่ใช่กู มึงยังจะมาหยุดตรงหน้ากูอีก” ผมบอกมัน

      “ก็ผมไม่รู้ว่าใคร ถึงไม่ใช่เฮียผมก็ทายผิดอยู่ดีนั่นแหละ”

      “เตรียมลิ้นไว้ให้ดีเลยมึงอ่ะ” ผมพูดขู่

      ผมเดินไปยังเฮียขุนเพื่อที่จะดูเชิงเฮียแกหน่อย เห็นไอ้โชมันตอบผิดแต่เฮียแกเงียบไร้การเคลื่อนไหวรวมทั้งสายตาที่เอาแต่จ้องไอ้โชก็ไม่ขยับ “ไงเฮีย จะช่วยผมเลือกน้ำให้ไอ้โชมันดื่มหน่อยมั้ย” ผมถามแซว

      “จะเอาน้ำอะไรให้ก็เรื่องของมึง” เฮียเขาบอกผมแบบนั้นโดยไม่ละสายตาจากไอ้โชเลย

      “คิดว่าเฮียจะอยากหาเรื่องหยอกเย้ากระเซ้าแหย่แทะโลมไอ้โชมันแบบโรคจิตสไตล์เฮียซะอีก”

      “…” เฮียขุนหันมามองค้อนผมแทน

      “ถ้างั้นเอาน้ำนี่ละกัน” ผมหยิบแก้วน้ำบอระเพ็ดที่วางอยู่ด้านหน้าเฮียขุน

      “เดี๋ยว…ทำไมมึงไม่เอาแค่น้ำขมิ้นก็พอ”

      “ก็คิดว่าเฮียจะสะใจตอนได้เห็นไอ้โชมันทรมานจากความขมขึ้นสมองจนอยากจะเป็นลม ความสุขแบบจิตๆ ของเฮียไม่ใช่เหรอ ทำไม…หรือเพิ่งนึกสงสารมันขึ้นมา”

      “…” พี่ชายของผมเงียบพลางขบกรามใส่ผมแน่น ดูเหมือนเขาจะกำลังรู้สึกหงุดหงิดกับคำพูดของผมและที่เงียบคงเพราะเถียงไม่ออกว่าที่ผ่านมาแกล้งไอ้โชมันไว้เยอะ

      ผมทั้งช่วยกันพี่ภามให้แล้วก็พูดกระตุ้นให้เฮียสำนึกขนาดนี้…

      มันยากนักหรือไงที่จะมองข้ามในสิ่งที่เป็นแล้วแสดงความรู้สึกออกมา


      “น้ำอะไรอ่ะเฮีย” ไอ้โชถามทันทีที่ผมยื่นแก้วให้มัน

      “เดี๋ยวมึงก็รู้เองแหละ”

      ผมยกมุมปากยิ้มด้วยความรู้สึกสะใจ…ไม่ได้สะใจที่เห็นไอ้โชต้องดื่มน้ำมหาโหดนี่นะครับ แต่สะใจพี่ชายตัวเองที่เอาแต่ยืนมองด้วยสีหน้ากังวล คงเป็นห่วงไอ้โชมันน่ะครับ…หึหึ ก็ผมให้เขาช่วยเลือกแล้ว

       “แหวะ!” เพียงแค่อึกเดียวเท่านั้นที่ลิ้นไอ้โชสัมผัสน้ำบอระเพ็ด ตัวมันก็สั่นยุกยิก ท่าทางพะอืดพะอมและมีสีหน้าที่เหยเกจนขนาดทำแก้วน้ำที่ถืออยู่หล่นลงพื้นก่อนจะรีบวิ่งไปหยิบขวดน้ำเปล่าเพื่อไปล้างปากตัวเอง

      สมุนไพรที่ช่วยบำรุงร่างกายกลับสู้รสชาติที่รุนแรงจนทำให้หน้าซีดเหมือนลมจับไม่ได้….ดูไอ้โชคงทรมานน่าดู

      เฮียขุนที่เอาแต่ชะโงกมองก็ทำท่าก้าวขาจะวิ่งตามไปดูไอ้โชอยู่หลายครั้ง ผมยืนลุ้นตัวเกร็งว่าเฮียแกจะวิ่งตามไปมั้ยแต่พี่ชายผมก็ไม่ตามไปซะที…เอาแต่ทำหน้าขัดขืนใจตัวเองแล้วก็ถอนหายใจทิ้งแล้วทิ้งเล่าอยู่นั่นแหละ

      ไม่รู้จะห้ามใจตัวเองไปทำไม

      จนผมต้องวิ่งตามไปดูมันเอง “มึงมาซะไกลเลยไอ้โช” ผมพูดขึ้นหลังจากเห็นมันมายืนล้างปากตัวเองที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ด้านข้างอาคารของคณะ

      “ใครจะอยากให้คนอื่นเห็นตัวเองอ้วกล่ะเฮีย” มันบอกผมก่อนจะยกขวดน้ำเพื่อบ้วนปากตัวเองต่อ ผมจึงช่วยลูบหลังให้

      “เด็กปีหนึ่งคนอื่นก็เป็นกันแล้วเขาก็ดื่มกันเกือบหมดแก้ว แต่มึงแค่อึกเดียวก็ไปซะแล้ว”

      “ก็ผมทนกับอะไรแบบนี้ไม่ได้นี่…ทำไมเฮียไม่เลือกเอาอันที่มันซอฟกว่านี้หน่อย”

      “กูอยากเห็นใครบางคนทรมานใจ”

      “นี่เฮียอยากเห็นผมทรมานอย่างนั้นเหรอ”

      ไม่ได้หมายถึงมึง กูหมายถึงพี่ชายกูนู้น “กูจะบอกใบ้ให้ก็ได้ สงสารหรอกนะแล้วก็กูกลัวตัวเองที่อาจจะต้องเหนื่อยหลายรอบเพราะวิ่งหามึงตามต้นไม้ เดี๋ยววิ่งหลบไปอ้วกที่ไหนอีก… ฟังนะ พี่รหัสของมึงคือคนที่มึงคิดว่าเป็นศัตรูหัวใจ ไม่สิ เคยคิดว่าเขาเป็นศัตรูหัวใจของมึง”

       “ศัตรูหัวใจของผมเหรอ?” ไอ้โชทำหน้าครุ่นคิด

       ผมว่ามันน่าจะคิดได้ว่าผมหมายถึงใครและที่ผมบอกใบ้ไปแบบนั้นเพราะมั่นใจว่าไอ้โชมันเคยคิดอย่างที่ผมพูด

      คำใบ้ของผมชัดเจนขนาดนี้ก็หวังว่ามันจะคาดเดาได้ เมื่อรู้แล้วมันคงจะเซอร์ไพร์ไม่น้อย แต่หลังจากนั้นไอ้โชคงได้เซอร์ไพร์กับเรื่องที่ตามมามากกว่า

      …และดูเหมือนว่ามันจะรู้แล้ว

      ผมช่วยพยุงพลางลูบหลังให้ระหว่างเดินมาเพราะไอ้โชยังทำท่าแหวะอยู่หลายครั้ง…ดื่มไปแค่อึกเดียวก็ทำให้หน้าซีดเผือดขนาดนี้ ดูอ่อนแอชิบหายเลยนะมึงเนี่ย

      ผมน่ะไม่กังวลกับมันเท่าไร นู้น…คนที่ดูเหมือนจะเป็นกังวลมากกว่าคือพี่ชายของผมที่ยังอยู่ท่าเดิมคือชะเง้อคอคอยมองหาอยู่ไปมา

       ดูเหมือนนอกจากตัวมันเองแล้วเฮียขุนก็เป็นอีกคนที่รู้ดีว่าไอ้โชมันไม่ทนกับอะไรแบบนี้ ถึงออกอาการเป็นห่วงชัดเจน…เสียดายที่ไม่แสดงออกให้ไอ้โชมันเห็นบ้าง

      เฮียขุนเดินมา…ดูเหมือนเฮียเขาอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ดูท่าทางเลิกลั่กไม่มั่นใจในตัวเอง “เอ่อ…คนที่ไม่พยายามตามหาพี่รหัสตัวเองก็ต้องโดนแบบนี้แหละ” เฮียแกพูดกับไอ้โชก่อนจะเดินกลับไป คำพูดสมน้ำหน้าแต่ท่าทางดูฝืนใจพูดซะ

      เดินมาพูดแค่นี้ก็จะเอา…ขอให้ได้พูดด้วย ที่จริงคงอยากจะเดินมาตรวจสอบอาการและถามว่าเป็นยังไงมากกว่าล่ะสิ

       “พี่ชายเฮียคงจะสะใจสินะที่เห็นผมหมดสภาพแบบนี้เนี่ย”

      “งั้นมั้ง”


      กิจกรรมยังคงดำเนินต่อไป…ผมโดนไอ้นักบ่นใส่เป็นการใหญ่ เพราะถัดจากไอ้โชก็คือคิวของไอ้นักและมันก็ทายว่าพี่รหัสเป็นผมแต่ไม่เห็นและตามหาผมไม่เจอ มันจึงถูกรุ่นพี่เอาน้ำสมุนไพรให้ดื่มและรอเวียนทายใหม่ในรอบต่อไป

      “คราวนี้มึงก็รู้แล้วนะว่าใครเป็นพี่รหัส” ผมบอกไอ้โชหลังจากพามันมาส่งในแถว

      “อือ” มันพยักหน้า

      เป็นอีกครั้งที่ถึงคิวไอ้โชเดินออกมาหน้าแถวเพื่อจะทายพี่รหัส ครั้งนี้มันเดินออกมาโดยไร้ความสับสนแต่มั่นใจกว่าเดิม และไม่ต้องรอให้รุ่นพี่บอกโชมันก็เดินตรงไปหาคนที่มันคิดว่าเป็นพี่รหัสของตัวเองทันที

      “พี่ไวน์คือพี่รหัสของผมใช่มั้ยครับ” โชถาม

      ใช่แล้วครับ…ที่จริงแล้วคำปริศนา หวานบาดคอ ขมบาดใจ ความหมายก็คือไวน์ มันเดาได้ง่ายๆ ถ้าไอ้โชไม่มัวแต่มาสงสัยในพฤติกรรมที่โดนบังคับให้ทำของผม

      และมันก็บอกว่าคำปริศนาหวานบาดใจคือผมที่มีใบหน้าหวานบาดใจ ดูมันคิด…โยงคำมั่วชั่วไปหมด ถ้าไม่ติดว่าเห็นอาการแล้วสงสารก็อยากจะให้มันทายผิดแล้วโดนน้ำสมุนไพรอีกสักแก้ว

      ไวน์ยิ้มไม่ตอบอะไรแล้วเดินไปหยิบน้ำมาให้ไอ้โช ดูเหมือนจะเป็นน้ำเก๊กฮวย พอไอ้โชดื่มเข้าไปมันก็ยิ้มออกมาทันที

       ท่าทางไอ้โชมันจะพอใจพี่รหัสอยู่พอสมควร มันก็คงไม่ได้มีอคติอะไรกับไวน์มากนัก ในทางตรงกันข้ามมันจะต้องเห็นใจเธอถ้าได้รู้ว่าเธออยู่ในสถานการณ์ที่โดนบังคับเช่นเดียวกันกับผม

      กิจกรรมดำเนินไปด้วยดี สนุกสนานเคล้าน้ำตาเพราะหลายคนก็โดนดื่มน้ำขมๆ ไปหลายแก้ว และแน่นอนไอ้นักมันทายถูกว่าผมเป็นพี่รหัสของมัน…มันยังมาบ่นให้ผมไม่จบสิ้นว่าถ้าผมอยู่ตอนถึงคิวมันครั้งแรกมันก็คงไม่ต้องทนขมขื่นดื่มน้ำบอระเพ็ดเข้าไป

      “เอาล่ะครับ คราวนี้ก็เป็นกิจกรรมมอบรุ่นจริงๆ แล้ว น้องๆ ทุกคนก็ได้รู้พี่รหัสไปแล้ว ดังนั้นสิ่งที่น้องต้องทำคือที่ข้อมือของพวกน้องจะต้องมีด้ายแดงทั้งหมดสามเส้นโดยได้มาจากการผ่านสามด่าน ด่านพี่รหัส ลุงหรือป้ารหัสและปู่หรือย่ารหัส ซึ่งพวกน้องจะต้องทำภารกิจอะไรก็แล้วแต่ที่พวกเขาสั่งให้ทำจึงจะได้ด้ายแดงมา และด่านสุดท้ายพวกน้องก็จะได้ด้ายแดงเส้นสุดท้ายและแหวนรุ่นจากพี่ปีสี่ เป็นอันเสร็จพิธีมอบรุ่นของคณะบริหาร”

      หลังจากอธิบายเสร็จผมก็ให้ปีหนึ่งแยกย้ายไปหาพี่รหัสของตัวเองเพื่อที่จะได้ด้ายแดงเส้นแรก จากนั้นพี่รหัสก็จะพาไปหาปีสามซึ่งเป็นลุงหรือป้ารหัสเป็นสเต็ปท์ต่อไป

      ก่อนที่ผมจะผูกด้ายแดงให้ไอ้นัก ด้วยความหมั่นไส้ที่มันยังบ่นผมไม่หยุด ผมจึงแกล้งมันโดยการสั่งให้ไปวิ่งรอบสนามบอลหน้าคณะสามรอบ และระหว่างนี้ผมก็จะไปสำรวจเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นกับไอ้โชซะหน่อย

      ผมมองหาไวน์จึงเห็นว่าเธอกำลังผูกด้ายแดงให้ไอ้โชซะแล้ว เลยไม่รู้ว่าก่อนหน้าเธอมอบภารกิจอะไรให้มัน

      ตอนนี้แหละเซอร์ไพร์ที่ไอ้โชจะได้เจอ เมื่อไวน์กำลังพามันไปหาพี่ปีสาม

      และปีสามที่เป็นสายรหัสโดยตรงของไวน์ก็คือ…


      เฮียขุนนั่นเองครับ


      ไอ้โชดูเซอร์ไพร์ไม่น้อยที่ได้รู้ว่าเฮียขุนเป็นลุงรหัส มันเอาแต่มองหน้าไวน์ราวกับจะถามว่าใช่เฮียขุนจริงๆ น่ะเหรอ

      จะใช่หรือไม่ใช่ ถึงไม่อยากให้ใช่แต่มันก็ยืนอยู่ต่อหน้าเฮียเขาแล้วล่ะครับ…ผมอยากรู้จริงๆ ว่าเฮียขุนจะให้ไอ้โชมันทำอะไร จะแกล้งมันอีกมั้ย

      “เต้นไก่ย่าง”

     ห้ะ? ว่าไงนะ…

     ถึงผมจะยืนดูอยู่ห่างๆ แต่ผมก็พอได้ยินสิ่งที่พวกเขาสนทนากันและสิ่งที่ผมได้ยินคำสั่งของเฮียขุนที่สั่งให้ไอ้โชทำคือสิ่ง
ง่ายๆ อย่างการเต้นไก่ย่าง

      ไม่แกล้งแถมยังให้ทำภารกิจที่ง่ายอีก คงเอ็นดูไอ้โชมันล่ะสิ

      ส่วนไอ้คนที่ถูกสั่งให้ทำก็ยืนงงงวยบวกกับเคลือบแคลง โชมันคงไม่เข้าใจอีกตามเคยว่าทำไมเฮียขุนถึงให้มันเต้นแค่ไก่ย่างแล้วก็คงระแวงกลัวว่าหลังจากนั้นเฮียแกอาจจะแกล้งอะไรมันอีก

      “จะไม่เอาใช่มั้ยด้ายเนี่ย” ไอ้โชไม่เต้นตามคำสั่งซะที เฮียขุนจึงถามขึ้นมา

      แม้จะสับสนและระแวงแต่โชมันก็เริ่มเต้นไก่ย่างตามคำสั่งที่ได้รับ

      พี่ชายผมจะกำลังพยายามเข้าหาไอ้โชตามคำเรียกร้องหัวใจของตัวเอง เพราะถึงแม้โชมันจะเต้นด้วยสีหน้าบูดบึ้งที่ไม่พอกับใจลุงรหัสคนนี้ แต่ตรงกันข้ามเฮียขุนพอใจที่ได้มองดูมันเต้น เขาดูสนใจในทุกท่วงท่า…เหมือนจะชอบใจไม่น้อย

      หลังจากที่เต้นเสร็จไอ้โชก็ยื่นแขนด้วยท่าทางแข็งกระด้างใส่หน้าเฮียขุนเหมือนมันจะให้รีบๆ ผูกให้เสร็จจะได้ไม่ต้องทนอยู่เห็นหน้าเฮียแกนานหรือไม่ก็กลัวว่าจะโดนแกล้งอีก

      ดูไอ้โชจะรำคาญหน้าเฮียขุนซะเหลือเกิน

      “ภารกิจยังไม่เสร็จ” เฮียขุนพูดด้วยสีหน้าหงอยๆ

      พี่ชายผมก็เสียใจเป็นเหมือนกันแฮะที่โดนไอ้โชไม่สนใจบ้าง

      “เต้นไก่ย่าง…เวอร์ชั่นทหาร แบบแข็งแรงแล้วก็ฮึกเหิมน่ะเต้นเป็นมั้ย” เฮียเขาพูดต่อ

      ไอ้โชทำสีหน้าเซ็งและหายใจพรูออกมา แม้จะไม่อยากเต็มใจทำแต่เพราะจำเป็นต้องผูกด้ายแดงให้ครบและอยากให้รีบเสร็จ มันจึง…

      “ไก่ย่างถูกเผา!” ร้องเพลงออกมาเสียงดังและเต้นด้วยท่าทางที่แข็งแรงราวกับว่ากำลังถูกฝึกอยู่ในค่ายทหาร

      “ไก่ย่างถูกเผา!” เสียงตะโกนดังไปทั่วบริเวณแถวนั้นและท่าเต้นที่ดึงดูดก็ทำให้ทุกคนที่กำลังทำกิจกรรมเป็นอันต้องหันมามองด้วยความสนใจและหัวเราะ

      ทั้งผมที่ยืนมองดูอยู่และพี่รหัสอย่างไวน์ที่ยืนอยู่ข้างๆ ต่างอดหัวเราะให้กับท่าทางของโชมันไม่ได้ ไม่เว้นกระทั่งคนที่สั่งอย่างเฮียขุน ดูเหมือนว่าเฮียเขาจะพยายามกลั้นหัวเราะด้วยการเม้มปากตัวเองไว้ แต่ถึงอย่างนั้นมุมปากที่ยกขึ้นและสายตาของเขาก็ปิดบังไม่ได้ว่ากำลังมีความสุขที่ได้เห็นไอ้โชเต้นต่อหน้าตัวเองอยู่

      “มันจะถูกไม้เสียบ!” ไอ้โชมันมัวแต่ขะมักขะเม้นในการเต้นจนไม่ทันสังเกตเห็นว่าเฮียขุนเผลอยิ้มให้

      “เสียบตูดซ้าย เสียบตูดขวา ร้อนจริงๆๆ !!” จนจบเพลงเฮียขุนจึงหุบยิ้มและเก็บอาการหันมาทำหน้านิ่งอย่างเดิม

      “คราวนี้เฮียจะผูกด้ายให้ผมได้หรือยัง” โชมันปาดเหงื่อตัวเองพลางถามหลังเต้นเสร็จ

      “ยัง”

       “…” ไอ้โชได้ยินอย่างนั้นคิ้วมันก็ขมวดเข้าหากันทันทีพลางมองเฮียขุนอย่างหาเรื่อง

      “คราวนี้เต้นไก่ย่างเวอร์ชั่นน่ารัก…เอาให้น่ารักที่สุด ถ้าไม่น่ารักกูไม่ผูกด้ายให้”

      ดูเหมือนไอ้โชจะหงุดหงิดกับลุงรหัสของตัวเองจนต้องเอามือยกขึ้นขยี้หัวเพื่อระบายความรู้สึกนั้นออกมา

      “รีบทำเถอะนะ พี่ว่าเฮียเขาน่าจะให้ทำแค่นี้แหละ” ไวน์ที่เห็นท่าทีของไอ้โชจึงช่วยกล่อม

      จากไก่ย่างเวอร์ชั่นทหารครั้งที่แล้วโชมันก็คงเขินแต่ก็ต้องจำใจทำไป ครั้งนี้มันต้องมาเต้นแบบน่ารักแบ๊วๆ อีก มันก็ต้องถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่อีกรอบก่อนจะฝืนใจเริ่มเต้น

      เวอร์ชั่นนี้ดูไอ้โชมันเล่นหูเล่นตาแม้สีหน้าจะดูฝืนๆ แต่ทำไงได้ก็มันเป็นเวอร์ชั่นน่ารักและมันคงอยากให้จบภายในรอบเดียว โชมันจึงใส่ท่าทางเต็มที่

      คนเต้นก็เต้นไป คนสั่งที่สั่งคงเพราะอยากเห็นคนเต้นทำท่าน่ารักให้ดู…มองตาไม่กระพริบเชียว ผมเห็นเฮียเขาทำเป็นก้มหน้าแล้วแอบผุดยิ้มออกมาด้วยล่ะครับ

      “เฮียกุน นี่เฮียหายตัวอีกแล้วนะ ผมเหนื่อยจากการที่เฮียสั่งให้วิ่งแล้วยังต้องมาเหนื่อยตามหาตัวเฮียอีก” ไอ้นักที่วิ่งเหนื่อยหอบมาบ่นใส่ผม

      “มึงนี่ก็บ่นกูอย่างเดียวเลย” ผมพูดพลางเบิ้ดกะโหลกมันเข้าให้ “กูขอดูอะไรสนุกๆ ก่อนเดี๋ยวค่อยพาไปหาป้ารหัส”

      “ดูอะไรของเฮีย” ไอ้นักเบนสายตามองตามผม “ไอ้โชเหรอ…นั่นก็เฮียขุน นี่อย่าบอกนะว่าเฮียขุนเป็นลุงรหัสไอ้โช”

      “เออ” ผมตอบมัน

       “เฮียขุนสั่งให้มันเต้นไก่ย่างเนี่ยนะ แล้วทำไมเฮียเขาต้องยิ้มด้วย”

       “มึงคิดว่าไงล่ะที่เฮียเขายิ้ม”

      “ทำไมต้องยิ้มที่ไอ้โชมันเต้นท่าน่ารักๆ ใส่ด้วย เฮียขุนไม่ชอบมันไม่ใช่เหรอ ปกติหน้าเฮียเขาเวลาเห็นไอ้โชดูถมึงทึงแล้วก็ดุจะตาย”

      “ก็เพราะว่าเฮียเขาชอบไงก็เลยยิ้ม”

       ไอ้นักที่ทำหน้าครุ่นคิดในสิ่งที่ผมพูด มันเข้าใจที่ผมพูดแต่มันคงไม่เข้าใจเฮียขุน ผมจึงปล่อยให้มันตั้งคำถามไปแล้วค่อยอธิบายให้ฟังทีหลัง

      เฮียขุนสั่งให้ไอ้โชเต้นไก่ย่างเวอร์ชั่นน่ารักถึงสองรอบก่อนที่จะผูกด้ายแดงที่ข้อมือให้ ตอนจบเฮียแกคงต้องทนเก็บอาการเอาไปฟินเพราะไอ้โชทำท่าดอกไม้บานแถมยังขยิบตาวิ้งค์ใส่อีก

      อยากจะฉีกยิ้มออกมาแต่ก็ทำไม่ได้ เพราะไอ้โชมองอยู่เฮียแกเลยต้องฝืนตัวเองด้วยการเม้มปากเอาไว้อีกครั้ง

       สเต็ปท์สุดท้ายคือการพาไปหาปู่หรือย่ารหัสเพื่อรับแหวนรุ่น ผมจึงลากไอ้นักเพื่อตามไปดูด้วยกัน

      เซอร์ไพร์สุดท้ายที่ไอ้โชเจอคือ…พี่เมฆคือปู่รหัสของมัน

      เครือญาติในสายพี่รหัสต่างก็เป็นคนกันเองทั้งนั้น ไอ้โชจึงหัวเราะออกมาด้วยความแปลกใจ

      “พี่เมฆเองเหรอครับที่เป็นปู่รหัสของผม”

      “ใช่…ทำไม โชไม่ดีใจเหรอ”

      “ดีใจครับ…โชดีใจที่ได้พี่เมฆเป็นปู่รหัส”

      อย่างที่รู้กันว่านอกจากพี่ภามแล้วก็มีพี่เมฆที่ดูเหมือนจะสนใจไอ้โช เฮียขุนจึงบอกให้ผมกันเขาออกไปอีกคน แต่ยากกว่าพี่ภามอีกครับ ผมจะกล้ากันพี่เขาได้ยังไง…เป็นรุ่นพี่ที่อยู่คณะเดียวกัน จะใช้ข้ออ้างไล่กลับคณะไปเหมือนพี่ภามก็ไม่ได้ หลังๆ พี่เมฆก็มากินข้าวที่โรงอาหารบ่อยอีกด้วยเพราะเขารู้ว่าจะได้เจอไอ้โช

      “อืม…พี่ไม่รู้ว่าจะให้โชทำอะไร ได้ยินมาว่าไอ้ขุนสั่งให้ทำหลายอย่างแล้ว งั้นพี่จะผูกด้ายแล้วก็มอบแหวนรุ่นให้เลยแล้วกันนะ”

      “ไม่ได้” เฮียขุนพูดแทรกขึ้นมา “พี่ต้องให้น้องมันทำอะไรสักอย่าง ถึงผมจะสั่งให้ทำหลายอย่างแต่เทียบกับน้องคนอื่นที่เขาได้ทำอะไรที่ยากกว่าไม่ได้เลย แล้วคำสั่งก็ของใครของมันนะพี่จะเหมารวมกันไม่ได้” เฮียขุนพูดทีเล่นทีจริง

      “เออๆ ก็ได้ ถ้าอย่างนั้น…” พี่เมฆคิดอยู่สักพัก “ให้โชตะโกนบอกชอบพี่ดังๆ สามครั้ง”

      “ครับ?”

      “ก็แค่ภารกิจขำๆ ที่รุ่นพี่คนอื่นเขาก็สั่งให้ทำกัน”

      ครับ…ภารกิจขำๆ ที่ดูเหมือนเฮียขุนจะไม่ขำด้วย เพราะหลังจากที่เฮียเขาได้ยินคำสั่งแบบนั้นจากพี่เมฆ เฮียแกก็ออกอาการทางสีหน้าว่าไม่พอใจ…คำสั่งที่ทำให้พี่ชายของผมต้องรู้สึกหงุดหงิด

      ผมกับไอ้นักหันมามองหน้ากันแล้วหัวเราะ…ตลกพี่ชายของตัวเองน่ะครับ ก็พี่เมฆเขาบอกว่าจะไม่ให้ไอ้โชทำอะไรแล้ว เฮียเขายังไปคาดคั้นให้ออกคำสั่ง พอรู้ว่าพี่เมฆจะให้ไอ้โชทำอะไรก็เลยหน้าหงอยไป

      อย่างที่พี่เมฆบอกว่ารุ่นพี่คนอื่นก็สั่งให้น้องตะโกนนั่นนี่แล้วก็ร้องเพลงบ้าง แต่มันไม่แปลกไปหน่อยหรือไงที่จะให้ไอ้โชมันตะโกนบอกชอบตัวเอง

      ว่าพี่ภามกล้ารุกแล้ว…พี่เมฆถึงกับรุกฆาต

      ก็ดี…อย่างนี้คงกระตุ้นให้เฮียขุนรุกบ้าง

      “โอเคครับ โชจะทำ”

      แม้จะแปลกแต่ไอ้โชมันคงไม่ได้คิดอะไรมาก คนที่คิดมากคือพี่ชายของผมต่างหากที่จำต้องขบกรามระงับความรู้สึกหงุดหงิดตัวเองไว้…
      ถ้ากล้าพูดออกมาได้เฮียเขาคงอยากจะห้ามไม่ให้ไอ้โชตะโกนบอกชอบพี่เมฆ

      “ผมชอบพี่เมฆ…ผมชอบพี่เมฆ…ผมชอบพี่เมฆ!!”

      ไอ้โชทำตามคำสั่งเสร็จง่ายดาย พี่เมฆยิ้มอย่างพอใจส่วนอีกคน…เฮียขุนได้แต่เก็บอาการของตัวเองไว้ หึหึ ดูเหมือนผมจะเห็นควันสีขาวพุ่งออกมาจากหูเฮียแก

      เฮียเขาคงจะโกรธพี่เมฆจนลมออกหูเลยน่ะครับ

      พี่เมฆผูกด้ายแดงเส้นสุดท้ายให้ไอ้โชและตามธรรมเนียมปีสี่คือผู้ที่จะมอบแหวนรุ่นให้

      มือของไอ้โชถูกพี่เมฆจับขึ้นมาและค่อยๆ บรรจงสวมแหวน…มันคือธรรมเนียมของรุ่นพี่รุ่นน้องคณะบริหารเราครับ แต่ทำไมนะภาพที่เห็นมันกลับให้ฟิลลิ่งเป็นอย่างอื่นไปได้

      พี่เมฆมองไอ้โชตาหวานเยิ้มไม่ละสายตาในขณะที่สวมแหวน นี่ถ้าเปลี่ยนจากนิ้วชี้เป็นนิ้วนางล่ะก็…ผมว่าซีนนี้มันคุ้นๆ นะว่ามั้ย

      เฮียขุนที่ยืนจ้องเขม็งมองพี่เมฆสวมแหวนให้ไอ้โชต่อหน้าต่อตาได้แต่ยืนกัดฟันกรอดพลางกำมือแล้วก็ขบกรามแน่นกว่าเดิม

      ถึงแม้จะไม่พอใจและหงุดหงิดขนาดไหนก็คงได้แต่ยืนมองพวกเขา

      กลายเป็นว่ามีตัวเลือกเพิ่มเข้ามาให้ไอ้โชอีกหนึ่ง…



      ดูซิ…ว่าเฮียขุนจะรับมือกับคนพวกนั้นและหัวใจตัวเองยังไง




-----TBC-----


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-06-2019 05:37:41 โดย ิbanoffee »

ออฟไลน์ double9JH

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1809
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-7
ใกล้ถึงวันเฟรชชี่แล้วด้วย
พี่ขุนยอมรับความรู้สึกได้รึยัง?

น้องมีตัวเลือกเพิ่มมาอีกแล้วนะ
 :hao3:

ออฟไลน์ FrozenSnow2019

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
น้ำตาคลอเลย..

ออฟไลน์ kungverrycool

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ตามจ้า  :katai2-1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ❤#Heart To Heart #ใจแพ้รัก❤ 「ตอนที่18」-06/06/19-
« ตอบ #49 เมื่อ: 06-06-2019 18:56:14 »





ออฟไลน์ FrozenSnow2019

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
เอาคืนหนักๆเลยนะโช อย่าไปใจอ่อนง่ายๆนะ ตอนนี้เราสวยแล้วมีตัวเลือกเยอะแยะ 555

ออฟไลน์ wutwit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 259
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2
มีตัวเลือกที่น่าสนใจตั้ง 2 คน เชียร์พี่เมฆๆๆๆๆ

ออฟไลน์ ิbanoffee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ตอนที่ 19     
   


        ครับ…เซอร์ไพร์มากที่พี่ไวน์เป็นพี่รหัสของผม ถึงไม่ใช่เฮียกุนแต่ผมก็คงไม่คาดเดาว่าเป็นเธอ ไม่ใช่ว่าผมไม่ชอบพี่เขาแต่แค่ไม่อยากพัวพันกับอะไรที่มันสอดคล้องกับเฮียขุน

   ช่วงนี้เขายิ่งตัวติดกับเฮียกุนแล้วเฮียกุนก็เอาแต่ตามผมแจ ยิ่งมีพี่ไวน์มาเป็นพี่รหัสอีก…พอคิดจะห่างเหินกลับยิ่งมีเรื่องเข้ามาให้ยุ่งเกี่ยว

   “พี่จะไม่ให้โชทำอะไรแล้วกัน เพราะพี่คิดว่าโชอาจจะเหนื่อย หน้าโชก็ยังดูซีดๆ จากที่ดื่มน้ำบอระเพ็ดเข้าไปเมื่อกี้อยู่เลย”
   “ไม่เป็นไรครับ ผมไหว พี่ไวน์อยากให้ทำอะไรก็บอกมาได้เลย จะได้รุ่นทั้งทีก็ต้องฟันฝ่าอุปสรรคกันหน่อย ผมจะได้ภูมิใจในตัวเอง” ผมพูดพลางยิ้มให้เธอ

   “คือพี่คิดว่าโชอาจจะเหนื่อยที่ต้องได้รับภารกิจจากลุงแล้วก็ปู่รหัสอ่ะ เอาเป็นว่าพี่ผูกด้ายแดงให้เลยแล้วกันนะ” พี่ไวน์ไม่รอให้ผมพูด เธอก็รีบคว้าข้อมือผมไปผูกด้ายให้
   ได้ยินพี่เขาพูดแบบนั้นแล้วผมก็อดไม่ไหวที่จะเห็นหน้าคร่าตาของปู่กับลุงรหัสซะเดี๋ยวนี้ ฟังดูเหมือนจะเป็นคนที่เข้มๆ ขรึมๆ เอาเรื่องแล้วก็คงไม่ผูกด้ายแดงให้ผมง่ายๆ

   “โอเค ไปหาลุงรหัสกัน”

   หลังจากที่พี่ไวน์กล่าวต้อนรับ อวยพรและผูกด้ายแดงให้ผมเสร็จ เธอก็นำทางผมเดินไปหาลุงรหัส…ไปยังซุ้มที่จัดเตรียมไว้ให้กับพี่ปีสาม

   มองดูบรรยากาศรอบๆ แล้วผมก็อดยิ้มตามไม่ได้เพราะพิธีมอบรุ่นนี้ให้ความรู้สึกถึงการได้เป็นเด็กมหาวิทยาลัยเต็มตัว บรรดาเด็กปีหนึ่งต่างกำลังสนุกสนานและตื่นเต้นที่ได้ทำภารกิจที่รุ่นพี่มอบให้…ผมเองก็เช่นกัน

   ทว่ากลับมีบางคนยืนเก็กขรึมที่ผมเห็นแล้วก็หุบยิ้มแทบไม่ทัน บรรยากาศรื่นเริงเมื่อคู่มันสูญเสียและหายวับไปกับตาเมื่อผมกำลังจะเดินผ่านหน้าเฮียขุน

   ตุบ!

   ผมรู้สึกเริ่มหงุดหงิดที่เห็นหน้าเขาจนไม่ทันสังเกตว่าพี่ไวน์ที่เดินนำหน้าได้หยุดกะทันหัน

   “มีอะไรเหรอครับพี่ไวน์” ผมถามเธอ

   ส่วนเธอก็ชายตาหันไปมองที่เฮียขุนเป็นนัยๆ …นี่อย่าบอกนะว่า!

   ผมหันไปมองหน้าเฮียขุนก่อนจะกลับหันมามองพี่ไวน์ด้วยสีหน้าตั้งคำถามและคาดหวังประโยคที่เธอจะบอกว่าเฮียขุนไม่ใช่พี่รหัสของผม แต่เธอกลับพยักหน้าให้เป็นคำตอบว่าใช่ซะอย่างนั้น

   ไม่จริงใช่มั้ยยยยยย

   “เฮียขุนเป็นพี่รหัสของพี่และเป็นลุงรหัสของโช” พี่ไวน์บอก

   ผมไม่อยากจะเชื่อและไม่อยากได้คนอย่างเขาเป็นลุงรหัส…นี่สินะเซอร์ไพร์มากกว่าที่เฮียกุนบอก

   ผมออกสีหน้าไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัดที่ได้รู้ว่าลุงรหัสของตัวเองเป็นใคร ถ้าทำได้ก็อยากจะเหวี่ยงใส่คนตรงหน้าและระบายออกมาดังๆ ว่า ทำไมเฮียขุนต้องเป็นลุงรหัสของผมด้วยยยยย!

   “เฮียขุนจะให้น้องทำอะไรคะ”

   ใช่…จะให้ทำอะไรก็รีบๆ สั่งมา ยืนเก็กหล่ออยู่นั่น ผมล่ะรำคาญท่าทางแบบนั้นของเขาเต็มที

   “ไก่ย่าง”

   “ว่าไงนะ?” ผมโพล่งถามเขาออกมาด้วยความหงุดหงิด คิดไว้อยู่แล้วว่าเฮียขุนจะต้องแกล้งให้ผมทำอะไรแปลกๆ บ้าๆ ที่ชาวบ้านชาวช่องเขาไม่ทำกัน “เฮียจะให้ผมไปหาไก่ย่างจากที่ไหนมาให้เฮียเวลานี้”

   “ไม่ใช่ให้ไปหาไก่ย่าง หมายถึงให้เต้นไก่ย่างต่างหาก” เขาอธิบาย

   แล้วไป…ก็คนอย่างเฮียขุนสำหรับผมแล้วเขาไม่น่าไว้ใจและสิ่งที่เขาจะทำกับผมก็ไม่มีอะไรให้คิดเป็นเรื่องปกติได้เลย

   สิ่งที่เขาเพิ่งบอกให้ทำเมื่อกี้ก็ด้วย คนอย่างเขาน่ะเหรอจะให้ผมทำแค่เรื่องง่ายๆ อย่างการเต้นไก่ย่าง ผมไม่คิดอย่างนั้นหรอก

   “รีบๆ เต้นเร็วเข้า”

   ถึงจะระแวงว่าเฮียขุนจะมีแผนแกล้งอะไรผมอีก แต่เพราะว่าต้องมีด้ายแดงครบสามเส้นถึงจะได้รุ่น ผมจึงไม่รอรีและรีบเต้นตามที่เขาบอก

   รู้สึกได้เลยว่าไก่ย่างเวอร์ชั่นนี้เป็นเวอร์ชั่นที่หน้าเหวี่ยงและเสียงร้องกระแทกแดกดันที่สุดในชีวิตผม…ก็ต้องมาเต้นไก่ย่างในขณะที่อารมณ์บ่จอยแบบนี้ ผมไม่มีอินเนอร์ที่จะเอ็นเตอร์เทนไปตามเนื้อร้องและทำนองเพลงหรอกครับ

   หลังจากที่ผมใช้เวลาอันรวดเร็วไปกับการเต้นไก่ย่างผมก็รีบยื่นข้อมือไปให้เฮียขุน รู้ทั้งรู้ว่าคงไม่จบภารกิจง่ายๆ แค่นี้ เขาคงจะเล่นแง่อะไรกับผมอีกเป็นแน่ แต่ในเมื่อผมทำตามที่สั่งแล้วผมก็แค่คาดหวังว่าเขาจะผูกให้…จะได้ไม่ต้องเสียเวลาหงุดหงิดรำคาญใจที่ต้องทนเห็นหน้าเขาไปมากกว่านี้

   “ภารกิจยังไม่เสร็จ” แล้วก็เป็นอย่างที่ผมคิด เฮียขุนจะยอมผูกด้ายแดงให้ผมง่ายๆ ได้ยังไง “เต้นไก่ย่างเวอร์ชั่นทหาร แบบแข็งแรงแล้วก็ฮึกเหิมน่ะทำเป็นมั้ย”

   ผมมองค้อนไปที่เขาพลางพรูลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่…ที่จริงภารกิจก็ไม่ได้ยากอะไร หากเป็นรุ่นพี่คนอื่นผมก็คงทำมันไปด้วยความเต็มใจและสนุกสนาน แต่นี่เป็นเฮียขุนผมจึงมีท่าทีกะบึงกะบอนไม่พอใจที่จะเต้นสักเท่าไร

   ถึงอย่างนั้นผมก็ต้องเต้น ยิ่งเป็นเวอร์ชั่นนี้แล้วผมยิ่งเพิ่มความดุดันจนคนรอบข้างหันมามองแล้วเราะกัน

   ผมรู้สึกเขินอายนิดหน่อยแต่ไม่สน แค่เต้นๆ ให้มันรีบจบๆ ไป

   แต่ยังไม่หมดแค่นั้นครับ เฮียขุนยังจะให้ผมเวอร์ชั่นน่ารักอะไรนี่อีก ผมออกอาการหงุดหงิดมากกว่าเดิมจนพี่ไวน์บอกให้อดทนทำไปเพราะเขาคงจะให้ผมทำเพียงแค่นี้ ผมก็หวังว่าอย่างนั้น…แต่ถ้ายังมีเวอร์ชั่นอื่นมาอีก ผมก็จะไม่เอามันแล้วแหวนร่งแหวนรุ่นเนี่ย ไม่อยากได้ตั้งแต่รู้ว่าเฮียขุนเป็นลุงรหัสแล้ว

   ผมเต้นด้วยท่าทางน่ารักที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้…ไม่ได้อยากจะโชว์ความน่ารักให้เฮียขุนดูหรืออะไรหรอกนะครับเพราะในสายตาของเขาผมก็คงไม่น่ารักอะไรอยู่แล้ว แค่อยากจะทำให้มันจบภายในรอบเดียวเท่านั้น

   แต่ไม่ว่าผมจะทำให้ดูน่ารักขนาดไหน เฮียขุนเขาก็ใช้ข้ออ้างว่ามันยังน่ารักไม่พอแล้วสั่งให้ผมเต้นอีกเป็นรอบที่สอง ผมได้แต่กัดฟันและกำมือมือแน่นระงับความหงุดหงิดของตัวเองไว้ จากนั้นก็ได้แต่ทำใจเต้นอีกรอบ

   ผมแอบเห็นเฮียขุนยิ้มด้วย…รอยยิ้มนั้นจะบอกว่าให้ความรู้สึกสะใจมั้ย ก็ไม่ใช่ เพราะภารกิจมันก็ไม่ได้ยากและสร้างความอับอายให้ผมขนาดนั้น เขาคงแค่เห็นผมเป็นตัวตลกที่จะแกล้งยังไงก็ได้จึงได้ยิ้มให้กับท่าทางเปิ่นๆ ของผม

   “ทีนี้ก็ผูกด้ายแดงให้ผมซะทีนะ ถ้าเฮียยังไม่ยอมผูก ผมก็จะไม่เอามันแล้วรุ่น” ผมพูดน้ำเสียงขวานผาซากใส่เขา

   “ก็ได้”

   ไม่คิดว่าเขาจะตกลงอย่างว่าง่าย คิดว่าเฮียขุนจะยกเหตุผลอะไรมาขู่ผมเพื่อบังคับให้จำยอมทำตามที่เขาจะสั่งให้ทำต่อไปซะอีก แต่เขากลับพูดว่าก็ได้แล้วล้วงด้ายแดงออกจากกระเป๋ากางเกงมาผูกที่ข้อมือให้กับผม

   ระหว่างที่ผูกให้เขาก็เอาแต่เงียบ ไม่คิดจะแยกแยะเหตุผลส่วนตัวแล้วทำหน้าที่เป็นรุ่นพี่ที่ดีโดยการกล่าวอวยพรให้รุ่นน้องหรือไงกันนะ พูดแค่ว่าให้ทำตัวเป็นรุ่นน้องที่ดี ตั้งใจเรียนหรืออะไรก็ได้ พูดแค่นี้ดอกพิกุลคงไม่ร่วงหมดปากหรอก

   “รีบไปหาปู่รหัสกันเถอะครับพี่ไวน์” หลังจากผูกเสร็จผมก็บอกพี่ไวน์แล้วรีบเดินนำหน้าเธอไปก่อนเลย ยังไม่รู้หรอกครับว่าปู่รหัสเป็นใครแค่เกลียดน้ำหน้าคนแถวนี้จนเกินจะทนเลยเดินๆ ไปก่อน


   “โช” พอเดินเข้ามาในบริเวณซุ้มที่พี่ปีสี่อยู่ ผมก็ถูกพี่เมฆเดินเข้ามาทัก “มองหาปู่รหัสเหรอ”

   “ครับ…พี่เมฆรู้มั้ยครับว่าปู่รหัสของโชคือใคร”

   “รู้สิ…ก็ยืนอยู่ตรงหน้าโชนี่ไง”

   “ครับ?” เซอร์ไพร์ครั้งที่สาม “พี่เมฆเองเหรอครับที่เป็นปู่รหัสผม”

   “ทำไม…ไม่ดีใจเหรอ”

   “ดีใจครับ” จะไม่ดีใจก็ตรงที่พี่เมฆมีน้องรหัสเป็นเฮียขุนนั่นแหละ

   แล้วพี่ไวน์และคนที่ผมเพิ่งเอ่ยถึงในใจก็เดินตามมาสบทบ

   พี่เมฆไม่รอช้าเสียเวลาเหมือนใครบางคน พี่เขาบอกว่าไม่รู้จะให้ผมทำภารกิจอะไรเลยจะผูกด้ายแดงแล้วมอบแหวนให้เลย แต่ใครบางคนที่ว่านั้นก็ดันสกัดกั้นและยุยงให้พี่เมฆหาภารกิจมาให้ผมทำจนได้

   เขาจะนอนไม่หลับหรือไงถ้าได้เห็นผมได้แหวนรุ่นมาอย่างง่ายดาย หรือไม่เขาก็คงไม่อยากรับผมเป็นรุ่นน้องสินะ

   “’งั้นให้โชตะโกนบอกชอบพี่ดังๆ สามครั้ง”

   หือ? ผมทำหน้าตกใจเล็กน้อย ก็เป็นภารกิจง่ายๆ แต่มันฟังดูแปลกๆ

   “ผมว่ามันง่ายไปนะ เปลี่ยนภารกิจเถอะ หรือไม่ถ้าจะให้น้องมันทำอะไรง่ายๆ แบบนี้พี่ก็ผูกด้ายให้มันเลยก็แล้วกัน”

   “เอ้า…ไอ้ขุน ตกลงมึงจะเอายังไงกับกูเนี่ย สรุปจะให้น้องมันทำภารกิจของกูหรือจะให้ผูกด้ายมอบแหวนให้เลยกันแน่วะ”

   “โอเคครับ โชจะทำ” ผมพูดแทรก “จะได้ดูภูมิใจเพราะได้ทำภารกิจเพื่อชิงรุ่นมา อีกอย่างคนแถวนี้จะได้ไม่ต้องคิดว่าโชได้เปรียบมากกว่าคนอื่นที่มีปู่รหัสที่ใจดีมากเกินไป” และผมคงจะไม่รอให้เขาหาหนทางที่จะเสี้ยมให้พี่เมฆมอบภารกิจที่มันยากซับซ้อนมาให้ผมทำเพื่อเขาจะได้สนุกและสะใจหรอก

   พูดจบผมก็ตะโกนบอกชอบพี่เมฆดังๆ สามครั้งและก็จบเพียงแค่นั้น ดูเหมือนว่าเฮียขุนจะไม่พอใจมากถึงได้ยืนกัดฟันกรอดจนเส้นเลือดปูดมองดูผมที่ได้ทำเพียงภารกิจง่ายๆ

   ใครจะไปสนเขากันล่ะครับ…ยังดีที่เฮียขุนไม่ใช่คนมอบแหวนไม่อย่างนั้นผมก็จะถอดใจไม่รับรุ่นจริงๆ แต่เป็นคนใจดีอย่างพี่เมฆ ตอนนี้ผมจึงสนแหวนที่อยู่ในมือพี่เขาเท่านั้น

   สถานการณ์ที่ผมต้องดีใจแต่บรรยากาศกลับคุกรุ่นเพราะรัศมีความไม่พอใจของเฮียขุนแผ่ซ่าน…เขาไม่อยากรับผมเป็นรุ่นน้องขนาดทนไม่ได้ที่เห็นแหวนรุ่นสวมอยู่บนนิ้วผมเลยหรือไง ถึงได้เอาแต่จ้องมองในขณะที่พี่เมฆสวมแหวนให้ผมด้วยสายตาดุดันขนาดนั้น

   “ไปหาอะไรกินกัน พี่เลี้ยงเอง” จบพิธีการมอบรุ่นโดยการที่พี่เมฆชวนพวกเราไปหาอะไรกิน “ถือว่าเป็นการเลี้ยงต้อนรับหลานรหัส ส่วนเสี้ยงสายรหัสอย่างเป็นทางการไว้พี่จะบอกอีกที”

   “พวกเราไปด้วย” เสียงของเฮียกุนตะโกนมาก่อนตัวจะถึง เฮียเขาเดินมาพร้อมกับไอ้นัก พี่เหนือแล้วก็พี่เต้ เดาได้เลยว่าพวกเขาก็คือเครือญาติสายรหัสเดียวกัน “กำลังหิวพอดีเลยพี่”

   “เออ ไปดิ พวกเราสายรหัสติดกันไปกินเลี้ยงด้วยกันตลอด ไปๆ กูเลี้ยงหมดเนี่ยแหละ” พี่เมฆบอก
   
   
   พี่เมฆชวนผมให้ติดรถไปกับพี่เขาส่วนคนอื่นๆ ก็แยกย้ายไปรถของตัวเองขับตามกันมา

   ในขณะที่นั่งอยู่บนรถของพี่เมฆ ผมก็รับรู้ได้ถึงบรรยากาศที่คุกรุ่นอีกครั้ง เรด้ารัศมีถูกส่งสัญญาณมาจากเบาะข้างหลังทำให้ผมที่นั่งอยู่เบาะหน้าอึดอัดพอสมควร

   เพราะเฮียขุนอ้างว่ารถของเขายังอยู่ที่อู่จึงจำเป็นต้องติดรถคนอื่นไป แต่ว่ารถคันอื่นก็ว่างทำไมเขาถึงไม่ไปรถเฮียกุนหรือรถไอ้นักก็ได้ แต่เขาเป็นคนเลือกเองที่จะติดรถพี่เมฆ…คันที่ผมก็นั่งไปด้วย

   ครั้นผมจะปลีกตัวไปกับไอ้นักแต่ก็เกรงใจพี่เมฆที่อุตส่าห์ชวนให้ไปรถของพี่เขา ก็เลยได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่ายแล้วเดินขึ้นรถมา

   “ร้านที่พี่จะพาไปเป็นร้านชาบูที่พี่ชอบมากแล้วก็เป็นร้านที่อร่อยที่สุดเลยนะ”

   “โชชอบกินชาบูครับ”

   “งั้นเหรอ…ถ้าอย่างนั้นพี่จะพาไปกินบ่อยๆ ”

   “นั่นมันร้านประจำของพวกเราไม่ใช่เหรอพี่” เฮียขุนพูดแทรกขึ้นมา

   “ก็เออสิวะ ตอนนี้โชก็เป็นพวกเราแล้วไง”

   นั่นแหละครับ…เฮียขุนจะพูดขัดขึ้นมาตลอด จุดประสงค์อะไรนั้นก็ไม่แน่ชัด แต่เดาได้ว่าเขาไม่พอใจที่ผมจะได้มีส่วนเกี่ยวเนื่องในชีวิตประจำวันเขามากขึ้น พอพี่เมฆพูดขัดขึ้นมาบ้างผมก็จะได้ยินเสียงฮึดฮัดเสียอารมณ์ดังมาจากเบาะหลัง

   ผมก็ไม่อยากจะข้องเกี่ยวด้วยเหมือนกัน แต่ทำไงได้สายรหัสมันดันมาเกี่ยวพันกันแบบนี้


   ตอนนี้เป็นเวลาสี่ทุ่มกว่าแต่บรรยากาศของร้านชาบูยังดูครื้นเครงกันอยู่เลย พี่เมฆบอกว่าร้านนี้ลูกค้าเยอะเขาก็เลยปิดดึกกว่าร้านอื่น เราจึงพอมีเวลาที่จะกินกันโดยไม่ต้องเร่งรีบ

   พวกเราแยกกันนั่งเป็นสองโต๊ะโดยนั่งกันเป็นสายรหัส ผมนั่งข้างพี่เมฆส่วนเฮียขุนนั่งข้างพี่ไวน์ซึ่งเขาอยู่ตรงข้ามข้างหน้าผม
   ผมเพิ่งสังเกตว่าพวกเขาดูไม่ค่อยออดอ้อนฉอเลาะกันเหมือนตอนที่ไปดื่ม ทั้งเฮียขุนและพี่ไวน์พูดคุยกันธรรมดาเหมือนสถานะรุ่นพี่รุ่นน้อง ไม่ได้ถึงเนื้อถึงตัวอย่างที่เคยเห็น...ไม่ได้ดูเหมือนคนคบกัน

   หรือพวกเขาเลิกกันแล้ว?

   ผมไม่ได้คิดอะไร ไม่ได้ดีใจถ้าพวกเขาไม่ได้คบกันแล้วจริงๆ แต่ลักษณะพวกเขามันชวนให้แปลกใจ คนเราเลิกกันแล้วจะทำใจได้ให้มองหน้ากันติดอย่างรวดเร็วมานั่งคุยกันชิลๆ แบบนี้ได้ยังไง สถานการณ์หวานหยาดเยิ้มตอนที่อยู่ร้านเหล้าก็เพิ่งผ่านมาไม่นาน ภาพพวกเขากอดกันยังคาตาผมอยู่เลย

   อีกอย่างคนตรงหน้านี่ก็ทำตัวตรงกันข้าม แทนที่จะสนใจและเอาแต่มองพี่ไวน์อย่างที่เคยทำแต่เขากลับเอาแต่จ้องผมตาแทบไม่กระพริบ

   หรือผมอาจคิดมากไปเองว่าคนเป็นแฟนกันไม่จำเป็นต้องนั่งเกาะกันเป็นปลิงตลอดเวลาก็ได้ อีกอย่างนี่ก็ร้านชาบูไม่ใช่ร้านเหล้า ผมคงจะกินได้ไม่มาก คงจะเลี่ยนซะก่อนหากพวกเขาประพฤติตัวแบบนั้นกัน

   ทำไมผู้หญิงดีๆ น่ารักอย่างพี่ไวน์ต้องมาเจอคนหน้าม่ออย่างเฮียขุนด้วย ตอนที่ผมเพิ่งย้ายเข้าหอแล้วเห็นเขาพาผู้หญิงเมาเข้าห้อง…ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าพี่ไวน์จะรู้มั้ยว่าเฮียขุนคุยกับผู้หญิงคนอื่นแล้วทำตัวไม่ดีแบบนั้น

   “โช กินเยอะๆ นะ” พี่เมฆบอก ผมจึงสลัดความคิดแล้วหันมาสนใจเนื้อและน้ำชุบหอมๆ ที่พี่เขาตักมาใส่ถ้วยให้ผมแทน

   “พี่เมฆก็กินด้วยสิ มัวแต่ตักให้โชอยู่อยู่ได้” พี่เมฆเอาแต่ลวกเนื้อแล้วก็โยนมาใส่แต่ถ้วยของผม ผมเห็นถ้วยของพี่เขายังไม่มีเนื้อเลยสักชิ้น

   “ตักให้โชก่อน พี่อยากให้โชกินเยอะๆ อยากเห็นโชทำหน้าอร่อยและถ้าโชชอบพี่ก็จะพามากินที่ร้านนี้ให้กลายเป็นร้านประจำของเรา…เอ่อ ร้านประจำของพวกเรา”

   “ขอบคุณครับ” ผมทำได้แค่พูดขอบคุณตอบแทนพี่เมฆ จากนั้นก็ลงมือโซ้ยชิ้นเนื้องามๆ ที่ลวกจนสุกหอมกรุ่นยั่วน้ำลาย “อื้ม…โคตรอร่อยเลยครับพี่เมฆ” ผมทำหน้าฟินและอิ่มเอมไปกับชิ้นเนื้อนั้นที่กำลังเคี้ยวอยู่ในปาก

   จะอร่อยมากกว่านี้ถ้าระหว่างที่ผมกำลังก้มกินไม่ได้ชะงักปะทะเข้ากับสายตาที่กำลังมองผมอย่างเคร่งขรึม

        มันอะไรกันนักหนานะไอ้คนที่นั่งอยู่ตรงหน้าผมเนี่ย ไม่กิน ไม่จิ้ม ไม่ลวกแล้วก็ไม่ย่าง คงมองหน้าผมแล้วกินไม่ลงแต่ก็ยังจะเอาแต่จ้องอยู่นั่น…ไม่สนแล้วเว้ย จะมองก็มองไป ผมหิวจนไส้กิ่วไปหมดแล้ว

        โซ้ยเนื้อไปหลายชิ้นแล้วผมจึงอยากกินอาหารทะอย่างกุ้งบ้าง ได้ยินพี่เมฆออเดอร์มาด้วยก็คิดว่ามันจะอยู่ในหม้อชาบูแต่พอลองตักๆ ดูกลับไม่เจอแม้แต่วิญญาณกุ้ง ผมจึงมองหาตามจานที่วางตระลานอยู่บนโต๊ะแล้วก็เจอว่าจานกุ้งนั้นวางอยู่ตรงหน้าเฮียขุนนั่นเอง

        ถึงว่ามันจะเจอกุ้งในหม้อได้ยังไงในเมื่อคนตรงหน้าไม่เทกุ้งลงไปลวก…ผมจึงได้แต่มองกุ้งที่อยู่ไกลเกินเอื้อมด้วยสายตาละห้อยและไม่อยากพูดรบกวนวานให้เขายื่นมาให้

        กินแต่เนื้อกับผักที่อยู่วางอยู่ตรงหน้าใกล้ๆ มือตัวเองก็ได้วะ

        ไม่รู้ว่าเฮียขุนเห็นผมมองไปที่กุ้งตรงหน้าเขาหรือว่าเขาเพิ่งเกิดความรู้สึกอยากจะกินขึ้นมา เพราะทันทีที่ผมพรูลมหายใจละความสนใจจากมัน เขาก็จัดการยกจานกุ้งขึ้นมาเทลงไปในหม้อชาบู

        ผมยิ้มออกมาอย่างดีใจพลางตามองจดจ่อไปที่กุ้งในหม้อที่ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีส้มแล้วเผลอลอบเกินน้ำลาย…จะได้กินกุ้งแล้วโว้ย

        พอเห็นว่าสุกได้ที่แล้วผมจึงยื่นมือเพื่อที่จะไปหยิบกระบวยตักชาบูที่วางคาอยู่ในหม้อ แต่กลับถูกเฮียขุนคว้าเอาไปซะก่อน
ผมมองหน้าเขาด้วยสายตาที่ไม่พอใจ…แต่ดูเหมือนคนตรงหน้าจะไม่เห็นหรือทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แกล้งชิงกระบวยตัดหน้าผมไปก็ไม่ทราบ

        คนอย่างเขาเรื่องเล็กน้อยก็ยังจะแกล้งผมให้ได้ โอ้ยย…หงุดหงิด อยากจะเขวี้ยงตะเกียบที่ถืออยู่ในมือใส่หน้าคนมากเลยตอนนี้

        หลังจากที่เขาวางกระบวยกลับไว้ที่เดิมผมก็รีบคว้าแล้วคนหากุ้งในหม้อทันที…แต่ก็ต้องหงุดหงิดขึ้นอีกครั้งเมื่อคนหาเท่าไรก็ไม่เจอกุ้งเลยสักตัว

        กุ้งไม่มีเหลือแล้ว…กุ้งไปอยู่ที่จานของเฮียขุนหมดแล้ว

        “โช เป็นอะไร อิ่มแล้วเหรอ” พี่เมฆถามผมขึ้นมา

        “เปล่าครับ” ยังไม่อิ่ม…ผมแค่อยากกินกุ้ง

        “ถ้างั้นเอาอะไรเพิ่มอีกมั้ย”

        “เอาครับ เอา….” ผมกำลังจะบอกว่าเอากุ้งเพิ่มอีกจานแล้วจู่ๆ กุ้งที่ถูกแกะแล้วก็ถูกวางในจานของผม

        เฮียขุนเขาแกะกุ้งแล้วลุกขึ้นยืนยื่นแขนยาวๆ คีบมันมาวางใส่จานผมแล้วเขาก็นั่งลงก้มหน้าแกะกุ้งต่อโดยไม่พูดอะไร

        นี่เขาคิดจะทำอะไร อยู่ในอารมณ์ไหน จะเล่นแง่อะไร ทำไมถึงได้แกะกุ้งมาให้ผม

        ทั้งผม พี่เมฆแล้วก็พี่ไวน์ต่างก็มองเฮียขุนเป็นสายตาเดียวกัน เดาได้ว่าทุกคนต่างงุนงงและสงสัยในการกระทำที่ไม่บอกกล่าวของเขาโดยเฉพาะผม…เขาเนี่ยนะแกะกุ้งให้ผม แกะให้ทำไม ต้องการจะทำอะไรอีก

        “แล้วโชจะเอาอะไรเพิ่ม พี่จะได้เขียนออเดอร์สั่งให้” พี่เมฆหันเหความสนใจมาถามผมต่อ

        “เอ่อ…โชอยากได้เนื้อเพิ่มครับ”

        “ได้ เดี๋ยวพี่สั่งเพิ่มให้”

        ผมอยากจะสั่งกุ้งเพิ่มต่างหาก แต่ตอนนี้กุ้งมันได้อยู่บนจานของผมแล้ว

        ผมกำลังลังเล อยากกินก็อยากกินแต่อดใจที่จะไม่กินเพราะเฮียขุนเป็นคนแกะให้…ผมไม่อยากเชื่อการกระทำหรือคำพูดของเขาอีกแล้วครับ คนอย่างเขาแค่อยากจะแกล้ง เขาไม่มีความจริงใจให้กับผมหรอก

        พอคิดได้อย่างนั้นผมจึงใช้ตะเกียบคีบกุ้งไปใส่จานพี่เมฆทั้งหมด

        “อ้าว ทำไมโชไม่กินล่ะ” พี่เขาถาม

        “โชเกลียดกุ้งครับ…โชไม่ชอบกินกุ้ง” ทั้งที่จริงชอบมากเลยต่างหาก

        เฮียขุนมองหน้าผมด้วยความเรียบเฉยแล้วในมือก็ค่อยๆ วางกุ้งที่กำลังแกะอยู่พลางก้มหน้า…ผมเองก็มองเขาด้วยความสงสัยและเคลือบแคลง

        ทำไมเขาชอบทำให้ผมคาดเดาไม่ออกอยู่เรื่อย…การกระทำหลายๆ อย่างมันไม่ชัดเจนเอาซะเลย เฮียขุนต้องการจะทำอะไรกันแน่ ผมไม่เข้าใจเขาเลยจริงๆ

        และกลายเป็นว่ากุ้งที่เหลืออยู่ในจานเฮียขุนก็แกะให้พี่ไวน์แทน

        “พี่ไวน์ครับ ผมคิดมาตลอดว่าเป็นน้องรหัสที่โชคดีมากเพราะได้พี่รหัสสายเปย์อย่างพี่ ได้ทั้งขนมกล่องใหญ่ตั้งสองกล่อง ยา วิตามินซี ชาเย็น แล้วขนมจุกจิกที่เอามาให้อยู่เป็นเนืองๆ ขอบคุณมากนะครับที่ใส่ใจน้องรหัสคนนี้” ผมบอกเธอ

        “กล่องใหญ่สองกล่อง?” พี่ไวน์ขมวดคิ้วสงสัย

        “ก็ที่พี่ไวน์ให้คนเอามาให้ กล่องแรกที่ให้มาก็เหลือเฟือ กล่องใหญ่กล่องที่สองก็เว้นระยะตามมาติดๆ”

        “อ๋อ…ใช่ พี่อยากให้น้องรหัสของพี่กินเยอะๆ” ทำไมพี่ไวน์ถึงมีสีหน้าฉงนเหมือนไม่รู้เรื่องว่าได้ให้อะไรผม

        “ให้เยอะจนลืมใช่มั้ยครับเนี่ยว่าเคยให้อะไรผมบ้าง”

        “อ๋อ…ใช่ พี่ก็คิดว่าอย่างนั้นแหละ” เธอยิ้มให้ด้วยสีหน้าเลิกลั่กแล้วก็ยังดูสงสัยในตัวเองอยู่

        “แล้วพี่ไวน์ก็เป็นพี่รหัสที่รู้ใจผมอีกด้วย ชาเย็นนี่เฮียกุนคงบอกใช่มั้ยครับว่าผมชอบ แต่ที่สงสัยคือพี่รู้ได้ยังไงว่าผมชอบน้ำเต้าหู้ไม่ใส่เครื่อง เรื่องนี้แม้แต่เฮียกุนหรือไอ้นักยังไม่รู้เลย” มีแต่คนที่นั่งข้างพี่ไวน์นั่นแหละที่รู้ แต่ผมคิดว่าเขาคงลืมไปแล้วว่าผมชอบอะไร เขาคงไม่อยากจดจำอะไรเกี่ยวกับผมให้รกสมองหรอก

        “น้ำเต้าหู้ไม่ใส่เครื่อง?” พี่ไวน์ยิ่งทำหน้าฉงนสนเท่ห์หนักเข้าไปอีก

        “ก็เฮียกุนบอกว่าพี่ไวน์ส่งข้อความฝากให้เฮียเขาไปซื้อน้ำเต้าหู้มาให้ผมตอนเช้า”

        “อ๋อ…ใช่ พี่จำได้แล้วเช้าวันนั้น คือพี่ก็ชอบกินน้ำเต้าหู้ไม่มีเครื่องน่ะ พี่ก็เลยฝากให้กุนสั่งให้โชแบบนั้น”

        “ผมว่าแล้วเชียว แท็กหน่อย เราคอเดียวกัน” ผมลุกขึ้นแล้วยกมือไฮไฟว์กับพี่ไวน์ ส่วนเธอก็ลุกขึ้นมาแปะมือกับผมด้วยสีหน้าที่ยังงุนงง

        ผมดีใจจริงๆ เลยครับที่ได้พี่ไวน์เป็นพี่รหัส เธอดูใส่ใจที่เอาของมาให้อย่างสม่ำเสมอ แต่ดูเหมือนเธอจะให้มาเยอะจนลืมใส่ใจว่าให้ของอะไรผมมาบ้างถึงได้ดูงุนงงสับสนทำราวกับว่าเธอไม่ได้เป็นคนให้ของพวกนั้นกับผม


        พวกเรากินชาบูกันอย่างอิ่มหน่ำสำราญจนเวลาร่วงเลยไปเที่ยงคืนซึ่งลูกค้าคนอื่นก็เริ่มทยอยหายและร้านก็ใกล้จะปิด

        “หอโชอยู่ใกล้กับมอใช่มั้ย เดี๋ยวพี่ไปส่ง”

        “ไม่เป็นไรหรอกพี่เมฆ เดี๋ยวให้มันกลับรถไอ้กุนหรือไอ้นักก็ได้ พวกเราหออยู่เดี๋ยวกัน ถึงถนนใหญ่เป็นทางผ่านแต่พี่จะต้องเสียเวลาแวะเข้าไปส่งในซอยอีก”

        ผมขมวดคิ้วหันไปมองคนพูด...ผมก็จะบอกพี่เมฆแบบนั้น แต่ทำไมเฮียขุนต้องตอบพี่เขาแทนผมด้วย

        “ไม่เป็น…”

        “เอาอย่างนี้แหละพี่ ไม่ต้องเสียเวลาไปส่งน้องมัน แยกย้ายกันกลับแล้วเจอกันที่มอพรุ่งนี้นะ” พี่เมฆกำลังจะพูดต่อแต่เฮียขุนก็รวบรัดพูดตัดบทพี่เขา

        “ปล่อยผมนะ เฮียจะมาลากผมทำไม” แล้วเขาก็ยังรวบรัดคว้าข้อมือของผมให้เดินนำไปก่อน ผมยังไม่ทันไหว้ลาพวกรุ่นพี่เลยด้วยซ้ำ เขาจะรีบลากผมเดินมาทำไมทั้งที่ยังไงก็ต้องเดินมาที่ลานจอดรถด้วยกัน

        “ไอ้กุน ไอ้นัก รีบเดินสิวะ” แล้วก็ยังเร่งน้องทั้งสองคนให้รีบเดินตามเขามาอีกด้วย


        “ปล่อย…ผมบอกให้ปล่อย!” แม้เขาจะกำมือผมแน่นแต่ผมก็ใส่แรงทั้งหมดสะบัดมือเขาออกแล้วมองหน้าเฮียขุนอย่างไม่สบอารมณ์ “เฮียจะทำอะไร ถ้าเกลียดผม ไม่ชอบผมก็อย่ามายุ่มย่าม อย่ามาแกล้งกันได้มั้ย ผมก็พยายามหลบไม่โผล่หน้ามาให้เฮียเห็นแล้วไง เฮียจะเอาอะไรอีก จะให้ผมหายไปจากชีวิตเฮียเลยมั้ยล่ะ เฮียกับผมจะได้ไม่ต้องเห็นหน้ากันให้รำคาญใจแบบนี้” ผมโพล่งออกไปด้วยความโมโห

        “…” เขาเงียบแล้วเอาแต่มองหน้าผมด้วยสีหน้าเรียบนิ่งเดาไม่ถูกอีกแล้ว

        “อย่าเงียบ…เฮียจะเอาไงก็พูดมาดิ ปากอมดอกพิกุลไว้อยู่หรือไง”

        “กู…”

        “ไอ้โชมึงเลือกมาเลยว่าจะกลับกับกู หรือ จะ กลับ กับ เฮีย กุน” ไอ้นักตะโกนแทรกเสียงดังขึ้นมาแต่ไกล พอเข้าใกล้สถานการณ์ที่เห็นว่าเราทั้งสองกำลังตึงเครียดอยู่มันจึงพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาลง พลางมองผมกับเฮียขุนที่กำลังปะทะสายตาใส่กันไปมา

        “กลับกับมึง…ส่วนพี่ชายมึงหวังว่าเขาคงจะกลับรถเฮียกุน แต่ถ้าเขาอยากจะกลับรถมึง กูก็จะกลับรถเฮียกุนแทน” ผมจะไม่ทนอึดอัดนั่งรถกลับกับเฮียขุนแน่

        ผมละสายตารำคาญจากคนตรงหน้าแล้วเดินไปยังรถไอ้นักทันที

        “โช กลับดีๆ นะ” พี่เมฆที่เดินตามมาตะโกนบอก

        “กลับดีๆ เหมือนกันครับพี่เมฆ พี่ไวน์” ผมที่กำลังจะเอื้อมมือไปเปิดประตูรถไอ้นักจึงยกมือขึ้นมาไหว้ลาพวกพี่เขาซะก่อนและไม่ลืมที่จะไหว้ลุงแล้วก็ปู่รหัสของไอ้นักด้วย “ไอ้นัก เร็วดิวะ มึงมัวทำอะไรอยู่ กูง่วง อยากรีบกลับไปนอนแล้ว” ผมตะโกนบอกไอ้เพื่อนรักที่มันมัวยืนโอ้เอ้พูดอะไรบางอย่างกับเฮียขุน คงจะถามเซ้าซี้อยากรู้อยากเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่ล่ะสิ


        ทันทีที่เข้ามานั่งในรถไอ้นักมันก็รีบถาม “เฮียขุนทำอะไรมึง”

        “พี่มึงน่ะประสาทกลับ ตอนกินชาบูอยู่จู่ๆ เขาก็แกะกุ้งให้กู”

        “เออ…น่าจะประสาทกลับ ทำไมถึงได้ทำตัวดีกลับมึง”

        “เมื่อกี้กูก็เลยถามว่าจะเอายังไง กูก็พยายามหลบหน้าไม่โผล่ไปให้เขาเห็นแล้ว แต่ไม่รู้ทำไมช่วงนี้กลับยิ่งเจอกันบ่อยขึ้น ที่ทำตัวดีด้วยก็ไม่รู้ว่ามีแผนจะแกล้งอะไรกูอีก”

        “แต่เฮียขุนก็ไม่ได้แกล้งมึงนี่ ที่แกะกุ้งให้ก็เพราะเฮียเขาแค่อยากแกะให้มึงเท่านั้นมั้ง”

        “กูไม่รู้…ยิ่งพูดยิ่งคิดกูยิ่งจะประสาทกินตามไปด้วยแล้วเนี่ย เลิกพูดถึงพี่มึงเถอะ พูดแล้วกูก็เริ่มจะปวดหัว น่ารำคาญวะ”

        “ถ้าอย่างนั้นเปลี่ยนเรื่องก็ได้” ไอ้นักยิ้มด้วยความอยากรู้ “มึงรู้สึกยังไงที่ได้พี่ไวน์เป็นพี่รหัส?” มันถาม

        “ดีใจแต่เฮงซวยเพราะพี่ไวน์ดันมีพี่รหัสเป็นพี่มึง กูไม่อยากได้เขาเป็นลุงรหัส”

        “ถ้างั้นเปลี่ยนกับกูมั้ย กูโคตรเซ็งเลยที่ได้พี่ชายตัวเองเป็นพี่รหัส แล้วในสายก็มีแต่เครือญาติที่เป็นผู้ชาย ไม่เห็นมีผู้หญิงสวยๆ ให้กูเชยชมเหมือนพี่รหัสของมึงเลย” มันพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูออกว่าคงจะเซ็งจริงอย่างที่มันบอก

        “เปลี่ยนก็ได้ แต่แลกกับการที่มึงห้ามไปวอแวไอ้คิ้วท์ที่คณะอีก มันน่ะรำคาญมึงอยู่แล้ว กูก็ยิ่งจะกรีดกัน ไม่ช่วยอะไรมึงเรื่องไอ้คิ้วท์ทั้งนั้น แล้วก็จะบอกให้มันหลบให้พ้นไม่ให้มันโผล่มาให้มึงเห็นแม้แต่เงาเลย” ผมมองไอ้นักอย่างคาดโทษ

        “ไม่เปลี่ยนแล้วคร้าบ ไม่เปลี่ยนแล้ว แหม…กูก็พูดไปอย่างนั้นแหละ มันเปลี่ยนกันได้ซะที่ไหนล่ะเพื่อน”

        “ทำตัวดีได้แป๊ปเดียวก็เก็บลายไม่อยู่ซะแล้วนะมึง” ผมชี้หน้าตักเตือน

        ไอ้นัก…กูไม่มีทางให้มึงไปยุ่งวุ่นวายกับไอ้คิ้วท์มากกว่านี้แน่ ใครใช้ให้มึงเป็นน้องเฮียขุนแล้วสืบทอดเอาสันดานหน้าม่อมา

        ฮึ่ย! รู้สึกหงุดหงิดแล้วอยากพาลเว้ย



-----TBC-----








ออฟไลน์ double9JH

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1809
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-7
เฮียขุนทำไมไม่ตอบน้องไปล่ะเนี่ยยย

 :serius2: :m31:

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
 :pig4:
 :ruready

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
อย่าใจอ่อน ยอมง่ายนะโช หัดอ่อยไปเรื่อยบ้างก็ดีนะ อยากเห็นคนปากแข็งแสบๆคันๆหัวใจดิ้นหึงโชบ้าง หมั่นไส้เฮียขุนว่ะ ดูซิจะยอมรับใจตัวเอง เลิกปากแข็งได้เมื่อไหร่? คึคึๆ  :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ิbanoffee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ตอนที่ 20


Kunsuek’s part


Freshy Day


   
      ยอมรับครับว่าผมมันเป็นคนขี้เก๊ก นิสัยไม่ดีและใจร้าย เป็นคนแบบนี้มาตั้งแต่รู้ตัวตนของคนที่เป็นรักแรกและรักคนๆ นั้นมาก
 
      แม้ความรักตอนนั้นจะยังเป็นแค่เด็กสิบขวบแต่ผมก็เก็บรักนั้นให้มันผลิบานในใจเสมอมา แต่วันนั้น…วันที่ใจผมควรจะเบ่งบานมากที่สุดกลับกลายเป็นห่อเหี่ยวมากที่สุด

      ความโกรธ ไม่เข้าใจ ผิดหวัง ความรู้สึกเหล่านั้นมันประเดประดังถาโถมมาใส่หัวใจผมดังโครมใหญ่ จะให้ผมทำใจยอมรับยังไงไหวกับความรักและความรู้สึกดีๆ ที่มันเสียไป

      หากผมรู้ตั้งแต่แรกอาจจะปรับตัวปรับใจได้ง่ายกว่านี้

      ตอนนั้นผมผิดหวังและโกรธมาก รับรู้ได้เลยว่ามันทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กับตัวเอง รับรู้ได้ว่านิสัย ตัวตนและหัวใจของผมมันด้านชาและเยือกเย็นไปหมดแล้ว

      ที่ผ่านมาผมยอมรับเรื่องโชไม่ได้และกลายเป็นว่าผมต้องแอนตี้หัวใจตัวเองมาตลอดเช่นกัน เพราะในความรู้สึกลึกๆ แล้วยิ่งผมโกรธและผิดหวังมากนั่นก็เพราะหัวใจของผมมันรักมาก เพียงแต่ว่าความรู้สึกมันช่างขัดกับหัวใจรุนแรงเหลือเกิน การแสดงออกของผมที่มีต่อโชมันถึงได้ดูใจร้ายใจดำนัก

      มันทำให้โชเจ็บและผมก็เจ็บเหมือนกันที่ด่าว่าแล้วก็แกล้งน้องรุนแรงแบบนั้น เพราะเห็นหน้าทีไรผมก็ทั้งโมโหแล้วก็โกรธที่ไม่ยอมบอกผมตั้งแต่แรก…ผมเหมือนคนโง่ที่ตกหลุมรักเด็กผู้ชายที่คิดว่าเป็นเด็กผู้หญิงที่น่ารักคนหนึ่ง

      แต่ถึงจะโกรธยังไง…ในขณะเดียวกันผมก็อยากถามไถ่ อยากพูดคุยและอยากกอดด้วยความคิดถึง แต่ผมไม่กล้าทำ…ไม่กล้าที่จะแสดงมันออกไป

      และเพราะความขี้ขลาดของผม ตอนนี้เลยดูเหมือนว่าโชกำลังจะแบ่งใจให้กับคนที่มีความกล้ามากกว่า…อย่างไอ้ภามที่ผมพอดูออกว่ามันแอบชอบโชมานานแล้ว ไม่แน่ใจว่าตั้งแต่เด็กเลยมั้ย และพี่เมฆอีกคนที่กล้ารุกแบบเนียนๆ

      ถ้ายังขี้ขลาดโดยใช้ไอ้กุนเป็นตัวแทนอยู่แบบนี้…แล้วโชจะเห็นถึงความรู้สึกจริงๆ ของผมได้ยังไง

      ผมจะไม่สนตัวตนจริงๆ ของโช จะเลิกแอนตี้หัวใจของตัวเองสักที ปล่อยให้หัวใจได้รักและเปิดเผยความรู้สึกที่เก็บไว้…มองข้ามความโกรธและผิดหวังแล้วทำตามเสียงเรียกร้องของใจ

      ดังนั้นวันนี้ผมจะปลดปล่อยความกล้าของตัวเองออกมา

      โชจะได้ไม่หวั่นไหวกับคนอื่น โชจะต้องไม่ตกลงคบกับไอ้ภาม โชจะต้องไม่ชอบพี่เมฆ โชจะต้องชอบผมคนเดียว…

      …เป็นของผมแค่คนเดียว


      “ไอ้กุน มึงต้องจับตาดูโชทุกย่างก้าวและการกระทำ ต้องคอยกันไอ้ภามให้อยู่ห่างจากโชมากที่สุด” ผมบอกภารกิจให้กับผู้ที่เป็นตัวแทนของผม

      ใช่ว่าผมจะยังขี้ขลาดไม่ยอมทำตามใจของตัวเองอย่างที่บอก แต่เพราะผมอยู่ปีสามซึ่งมีหน้าที่อยู่ดูแลซุ้มคณะของกิจกรรมเฟรชชี่ในวันนี้ ผมจึงจำเป็นต้องไหว้วานให้ไอ้กุนซึ่งเป็นพี่ติดน้องปีหนึ่งไปทำกิจกรรมตามซุ้มต่างๆ ให้ดูแลโชอย่าให้ไอ้ภามเข้าใกล้

      “นี่ ผมบอกเฮียแล้วว่าจะช่วยแค่ถึงวันเฟรชชี่”

      “ก็วันนี้วันเฟรชชี่” ผมพูดกับน้องชายผู้ดูเหมือนจะสับสนกับตัวเองหรือผมเข้าใจอะไรผิด

      “มันเลยเวลามาแล้ว เวลาของผมที่จะช่วยเฮียมันหมดไปตั้งแต่จุดเริ่มต้นของวันนี้ นั่นก็คือตอนเที่ยงคืนที่ผ่านมา”

      “ไอ้กุน มึงจะมาพูดหัวหมอกับพี่ชายแบบนี้ไม่ได้นะ”

      “เฮียต้องทำด้วยตัวเอง ถ้าเฮียจะไป…เฮียก็ไปได้นี่” มันบอกผมกำกวมแล้วก็เดินไป

      ความหมายก็คือจะให้ผมไปกันไอ้ภามออกจากโชเองสินะ ถึงแม้ว่าผมจะมีหน้าที่รอต้อนรับน้องปีหนึ่งคณะอื่น แต่สักช่วงเวลาหนึ่งผมก็อาจจะปลีกตัวออกไปได้ เพื่อนคนอื่นมันก็คงแค่บ่นให้ว่าหายหัวไปไม่บอกไม่กล่าวและไม่อยู่ช่วยงาน

      แค่ปลีกตัวออกไปแป๊ปเดียว…ผมจะแอบไปแค่ตอนที่คณะบริหารเวียนไปพบกับคณะสัตวแพทย์เท่านั้น

      ผมจะไปทำหน้าที่หัวใจด้วยตัวเอง


      แต่ก่อนจะเริ่มกิจกรรมพาน้องปีหนึ่งวิ่งทั่วมหาวิทยาลัยเพื่อไปพบปะทำความรู้จักกับคณะอื่น พวกเขาก็ถูกต้อนมาเตรียมตัวยังซุ้มประจำคณะของตัวเองก่อน

      เดินมาแล้ว…โชถูกจับใส่โจงกระเบนและเนคไทสีน้ำเงิน ที่คอก็มีกระติกน้ำเล็กๆ ห้อยด้วย เอาไว้ให้น้องแก้กระหายระหว่างวิ่งทำกิจกรรม ส่วนผมก็ถูกมัดจุกแล้วผูกด้วยโบว์สีขาว

      น่ารักจัง…ขนาดพี่เมฆก็ยังเอาแต่มองโชตั้งแต่เดินเข้ามานั่ง

      “มองไม่วางตาเลยนะเฮียขุน”

      “เรื่องของกู” ผมว่าอย่างไม่ใส่ใจกับคำพูดคำจาที่ชอบล้อชอบแซวของไอ้กุน เพราะมันรู้ความรู้สึกของผมหมดไส้หมดพุงมานานแล้วผมก็เลยชินและปล่อยให้พูดไป “เอามานี่” ผมแย่งแป้งสีมาจากมือน้องชาย

      “เฮียจะเอาไปไหน”

      “ปีสองทำงานไม่ได้เรื่อง มึงดูหน้าน้องยังโล่งอยู่เลย” ผมเดินถือแป้งสีไว้ในมือแล้วบอกกับน้องปีหนึ่งว่าจะทาเพิ่มให้สำหรับคนที่เหลือพื้นที่ว่างบนใบหน้ามากเกินไปถ้าเทียบกับคนอื่น

      ที่จริงแล้วมันคือข้ออ้าง…

      ผมเดินมายังโชที่นั่งในแถว จากนั้นผมก็ย่อตัวลงพลางกำแป้งสีออกมาจากถุงที่ถืออยู่…ทั้งที่ใบหน้าของโชก็เต็มไปด้วยแป้งสีต่างๆ มากพอสมควร…แต่ผมแค่อยากมามองหน้าใกล้ๆ แล้วหาเรื่องสัมผัสแก้มนุ่มๆ ของเขาเท่านั้น

      โชรู้ตัวดีว่าจะโดนผมปะแป้งเพิ่ม…เขาไม่มองผมเลย นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดเบนสายตาไปทางอื่น จากที่เขาหลบหน้าผมเพราะไม่กล้าสบตาแต่มาตอนนี้ผมรับรู้ได้ว่าเขากำลังหลบหน้าเพราะรำคาญ

      เข้าใจแล้วครับ…ผมเข้าใจแล้ว จากที่มั่นใจว่าถึงผมจะไม่แยแสโชยังไงแต่เขาก็จะยังคงชอบผมอยู่ดี พอมาตอนนี้ความมั่นใจมันได้สั่นคลอนเพราะการกระทำใจร้ายของตัวผมเองบวกกับมีบุคคลที่สามที่สี่เพิ่มเข้ามา และไอ้กุนก็บอกว่าโชชอบผมน้อยลง…เขารำคาญและไม่ให้ความสนใจผมเหมือนเดิม ผมจึงเข้าใจแล้วว่าการโดนคนที่ชอบทำท่างแบบนั้นใส่บ้างมันทรมานใจขนาดไหน

      โชยังคงไม่มองหน้าผมแต่หันไปสบตาแล้วยิ้มกับพี่เมฆที่ยืนอยู่พลางทำปากขมุบขมิบถามสารทุกข์สุขดิบกัน…อยู่ก็ตั้งไกลทำราวกับว่าจะพูดคุยกันรู้เรื่องอย่างนั้นน่ะ

      ผมจึงเรียกร้องความสนโดยการโปะแป้งใส่เยอะๆ และมันก็ได้ผล ทว่าความสนใจนั้นกลายเป็นว่าโชหันมามองเขม่นใส่ เขาคงโกรธที่ผมปะแป้งให้เขาเยอะเกินไป ผมนี่มัน…

      ไม่ได้เรื่องจริงๆ

      “หน้าผมก็โล่งเหมือนกันนะเฮีย” ไอ้นักที่นั่งอยู่ถัดไปพูดขึ้นพลางยิ้มกริ่มในขณะที่ผมลูบแป้งบนแก้มโชไปมา

      ได้~ ไอ้นัก…ถ้าไอ้น้องชายมันจะเรียกร้องความสนใจเหมือนกัน ผมจึงย้ายมือจากแก้มของโชมากำแป้งสีจากในถุงเพิ่มก่อนจะเอาไปโปะหน้าไอ้นักเต็มๆ จนมันสำลักแป้งออกมา

      วันนี้ไอ้นักต้องขึ้นประกวดดาวเดือนมหาวิทยาลัยครับ แต่ตอนกลางวันก็มาร่วมกิจกรรมก่อนเพราะการประกวดจัดขึ้นตอนเย็น ดังนั้นมันจึงได้มานั่งเสนอหน้าแซวผมได้ มันคงได้รับรู้รายละเอียดทั้งหมดจากไอ้กุนแล้วล่ะสิ

      กระทั่งผมลุกขึ้นและกำลังจะเดินจากไป โชก็ไม่แม้แต่จะชายตามอง นี่ผมคงกลายเป็นคนที่เขาไม่อยากมอง ไม่อยากเห็นหน้าไปแล้ว การกระทำที่ผมเคยทำกับโชมันกำลังสะท้อนกลับเข้าตัวผมเอง

      โชเกลียดขี้หน้าผม…อย่างที่ผมเคยพูดไว้กับเขา


      “แหม ไหนบอกว่าจะปะแป้งเพิ่มให้น้องที่เหลือพื้นที่ว่างบนใบหน้าเยอะ แต่เฮียเล่นเดินผ่านน้องพวกนั้นแล้วพุ่งตรงไปยังไอ้โชทั้งที่มันก็ถูกปะแป้งเยอะพอสมควรแล้วเนี่ยนะ…หาเรื่องแต๊ะอั๋งมันชัดๆ” ไอ้กุนนี่ก็แซวไม่ดูหน้าสลดของผมที่เดินมาเลย

      “ไอ้กุน…ยังไงมึงก็ต้องช่วยกู” ผมไม่สนคำพูดน้องชายแล้วหันมาตื่นตัวกับเรื่องที่จะกันไอ้ภามออกจากโช ส่วนปีสี่อย่างพี่เมฆผมยังไม่ค่อยกังวลมากเพราะต้องอยู่ดูแลความเรียบร้อยที่ซุ้ม “คณะเราจะเวียนไปเจอคณะสัตวแพทย์เป็นคณะที่หก ดังนั้นเหลืออีกหนึ่งคณะก่อนที่จะไปถึงมึงต้องรีบส่งข้อความหรือไม่ก็โทรมาบอกกู”

      “รับทราบครับเฮีย” ไอ้น้องชายมันรับคำอย่างว่าง่ายและเข้าใจ เพราะเรื่องที่ให้ช่วยมันไม่ใช่การเป็นตัวแทนของผมแล้ว มันแค่เป็นกำลังเสริมให้…แล้วหลังจากนั้นก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผมเอง

      ผมจะไม่มีวันยอมให้โชตกลงคบกับไอ้ภามเด็ดขาดและจะไม่ทนให้โชเมินเฉยใส่อย่างนี้แน่…

      ผมจะทำให้เขากลับมาชอบผมเหมือนเดิมแล้วก็ชอบยิ่งขึ้นไปอีก


      ตอนนี้ผมกำลังทำหน้าที่ต้อนรับน้องปีหนึ่งคณะสถาปัตย์ซึ่งเป็นคณะแรกที่มาเยือนซุ้มคณะเรา ทั้งที่กิจกรรมเพิ่งจะเริ่มต้นแต่ผมกลับคิดถึงโชที่เพิ่งจะถูกปีสองพาวิ่งไปเยือนคณะอื่น

      ใจผมอยู่ไม่เป็นสุข กระวนกระวายเอาแต่มองหน้าจอมือถือรอการส่งสัญญาณจากไอ้กุน อยากจะวิ่งตามน้องไปด้วยให้มันรู้แล้วรู้รอด แต่เพราะมันไม่ใช่หน้าที่ของปีสามผมจึงต้องทำใจให้สงบแล้วหันมาจดจ่อกับน้องปีหนึ่งคณะสถาปัตย์ตรงหน้าที่รอการแนะนำตัวจากผม

      คณะที่สองผ่านไป คณะที่สามก็แล้ว คณะที่สี่กำลังจะมาและคณะที่ห้าคือคณะที่ผมจะได้รับสัญญาณจากไอ้กุน

      “เป็นไรวะ จิตใจไม่อยู่กับร่องกับรอย มึงมีหน้าที่แค่พูดแนะนำและทำความรู้จักกับคณะอื่นที่มาเยือนซุ้มเราแค่เนี่ย คนหล่อและเก่งโคตรเทพอย่างขุนศึกทำไม่ได้เหรอวะ สาวที่ไหนมาทำให้หัวใจมึงว้าวุ่นถึงกับเอาแต่จ้องหน้าจอมือถือไม่วางตาขนาดนี้ ห้ะ” ผมยังไม่แอบออกไปจากซุ้มด้วยซ้ำก็โดนไอ้เหนือเดินมาบ่นใส่ซะแล้ว

      “ไม่มี” ผมพูดปัดรำคาญให้ไอ้เหนือเลิกสนใจ อาการผมคงเป็นเอามากจนแสดงออกมาชัดเจนสินะ

      ที่จริงผมก็เป็นแบบนี้มานานแล้วตอนที่เห็นมีคนมายุ่งกับโชไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่ช่วงหลังผมเก็บอาการไม่ค่อยอยู่และรู้ตัวเองดีว่าเริ่มควบคุมไม่ได้…ก็เพราะมีคนจะมาแย่งโชไปจากผมและโชที่เคยหนักแน่นกับผมคนเดียวก็ดูเหมือนจะหวั่นไหวไปกับมันด้วย

      ผมจึงไม่สามารถทนรอไอ้กุนได้แล้วตอนนี้ ระหว่างที่พวกเพื่อนๆ มันเผลอและมัวแต่ให้ความสนใจน้องปีหนึ่งคณะวิศวะอยู่ ผมเลยได้โอกาสเดินออกมาจากซุ้มโดยที่ไม่มีใครทันสังเกตเห็นและใส่ใจมากนัก

      เพราะเป็นวันกิจกรรม บนเส้นทางถนนของมหาวิทยาลัยจึงเต็มไปด้วยนักศึกษาที่เดินกันเพ่นพ่าน ผมไม่สามารถใช้รถได้และคณะสัตวแพทย์ก็อยู่ไกลพอสมควร กว่าจะเดินไปถึง…บริหารคงเวียนไปพบปะแล้วก็คงทำกิจกรรมเสร็จกันพอดี

      ผมกลัวว่าจะไปไม่ทันและถ้าเป็นอย่างนั้นไอ้ภามคงได้โอกาสพูดคุยและทำคะแนนกับโช ผมไม่อยากให้มันอยู่ใกล้ มองหน้าหรือเดินผ่านโชแม้แต่สักวินาทีเดียวเลยด้วยซ้ำ

      ครืด~ครืด~

      ขณะที่ผมกำลังเร่งสปีดฝีเท้าตัวเองให้ทำความเร็วมากที่สุด มือถือของผมก็สั่นขึ้นเพราะสัญญาณเตือนจากไอ้กุนที่บอกให้ผมออกจากซุ้มได้แล้ว

      ขนาดผมออกมาก่อนที่มันจะส่งข้อความมาบอกผมก็ยังไปไม่ถึงไหนเลย ตอนนี้บริหารก็คงอยู่ที่ซุ้มคณะนิติศาสตร์ซึ่งเป็นคณะก่อนหน้าสัตวแพทย์และอยู่ห่างกันเพียงแค่ร้อยเมตร หากเสร็จกิจกรรมเร็วก็คงถูกปล่อยตัวไปคณะถัดไปเลย ดังนั้นผมจึงต้องทำเวลาและสวมบทบาทเป็นนักวิ่งวิบากฝ่าผู้คนที่ทำกิจกรรมเต็มท้องถนนแล้วล่ะ

      สักพักผมก็วิ่งมาถึงคณะนิติศาสตร์ ค่อยสมคุ้มค่าเหนื่อยที่รีบวิ่งมาและโล่งใจที่น้องบริหารยังอยู่ที่ซุ้มนี้ แต่ก็กำลังจะถูกปล่อยตัวพอดี

      “มาถึงเร็วนี่เฮีย” น้องชายของผมเดินมาพร้อมน้ำเย็นหนึ่งขวดแล้วยื่นให้กับพี่ชายที่กำลังปาดเหงื่อแล้วเอามือก้มเท้าเข่าตัวเองด้วยความเหนื่อยหอบ

      ไม่รอช้าผมรีบเปิดขวดน้ำกระดกดื่มจนไหลล้นปาก “ทุกอย่างเรียบร้อยดีมั้ย” ก่อนจะหันไปถามน้องชายที่มันยืนดูอาการผมอยู่

      “เฮียหมายถึงพวกน้องๆ ปีหนึ่งของเราทั้งหมดหรือแค่น้องโชกุนของเฮียคนเดียวล่ะ” ไอ้กุนถามลองเชิงผม

      “กูก็หมายถึงทุกคนนั้นแหละ”

      “มีน้องหน้ามืดคนนึงอ่ะ แต่ปฐมพยาบาลให้แล้ว น้องบอกไม่เป็นอะไรมากแล้วก็ขอทำกิจกรรมต่อ”

      “ดีแล้ว ถ้างั้นกูจะไปรอที่คณะสัตวแพทย์นะ” ทันทีที่กลืนน้ำอึกสุดท้ายลงคอผมก็บอกไอ้กุนแล้วนำพาร่างที่เหนื่อยอ่อนจากการวิ่งของตัวเองเดินล่วงหน้ามายังซุ้มของไอ้ภาม


      “อ้าว ไอ้ขุน มึงมาทำอะไรที่นี่ ปีสามมีหน้าที่เฝ้าซุ้มไม่ใช่เหรอวะ” ผมกะไว้อยู่แล้วว่าไอ้ภามมันต้องถาม

      “กูมาดูความเรียบร้อยว่าปีสองดูแลน้องดีมั้ย เมื่อกี้ก็มีน้องเป็นลมคนนึงแต่ไม่ได้เป็นอะไรมาก กูก็เลยจะดูน้องทำกิจกรรมซุ้มมึงด้วย พอเห็นว่าเรียบร้อยดีแล้วเดี๋ยวกูก็กลับซุ้มตัวเอง” และคนฉลาดอย่างผมก็หาเหตุผลยกขึ้นมาอ้างอย่างฉับไวและแถไปแบบเนียนๆ

      ไม่กี่นาทีคณะบริหารที่ถูกปล่อยตัวมาจากซุ้มนิติศาสตร์ก็เดินมาถึง

      “โชเหนื่อยมั้ย” เพิ่งจะเดินเข้ามาในซุ้มไอ้ภามก็ดีดตัวไปพูดคุยกับโชทันที

      “ไม่เหนื่อย…พวกกูดูแลน้องดี ดูสิ มีกระติกน้ำประจำตัวกันทุกคน” ผมเลยตามมาตอบคำถามมันซะเอง ไม่เปิดโอกาสให้คุยกันสองคนง่ายๆ หรอกเว้ย

      “เออ น่ารักดีว่ะ” ไอ้ภามมันพูดพลางหยิบกระติกน้ำที่ห้อยคอโชขึ้นมาดู…นี่กูไม่ได้พูดให้มึงได้มีโอกาสจับนั่นจับนี่บนตัวโชนะ! “กิจกรรมซุ้มพี่มีอะไรน่าตื่นเต้นให้ทำด้วยล่ะ เป็นอะไรที่…”

      “กิจกรรมอะไรวะ” ผมรีบแย่งถาม

      “ไม่บอก…บอกไปเดี๋ยวโชไม่สนุกด้วย”

      “อะไรอ่ะพี่ภาม…ที่บอกว่าไม่สนุกด้วยเพราะพี่รู้ว่ามันคือสิ่งที่ทำให้โชกลัวใช่มั้ย”

      “เดี๋ยวก็รู้” ไอ้ภามยิ้มมีเลศนัย

      พวกเขาสองคนคุยกันไปยิ้มกันไปสองคนลอยหน้าลอยตาทำราวกับผมไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้…นี่ผมมาเพื่อกันไอ้ภามไม่ใช่หรือไงแต่ทำไมปล่อยให้เป็นแบบนี้ได้

      “ปีหนึ่งเข้ามาแล้วก็ไปนั่งให้เรียบร้อยไป” ผมพูดน้ำเสียงออกคำสั่งกระตุ้นให้โชหยุดคุยกับไอ้ภามแล้วไปนั่งในแถวกับเพื่อนๆ ซะที

      เจ้าตัวพอได้ยินก็หันมามองผมตาขวางหนึ่งทีก่อนจะเดินไปนั่ง…ที่ผมทำอะไรไม่ได้มากเพราะโชเองก็อยากจะพูดคุยกับไอ้ภามเหมือนกันสินะ

      “มึงรู้มั้ยว่าคณะสัตวแพทย์จัดกิจกรรมอะไร” ผมเดินมาถามไอ้กุน

      “ได้ยินมาว่าให้ล้วงกล่องดำ ในนั้นน่ะมีพวกสัตว์เลื้อยคลานอะไรทำนองนั้นด้วยนะเฮีย”

      เหอะ…ไอ้ภามมันร้ายกว่าที่ผมคิด มันรู้ว่าโชไม่ชอบอะไรพวกนั้นก็เลยกะจะทำให้กลัวแล้วถือโอกาสปลอบประโลมน้องว่างั้น

      เป็นอย่างที่ไอ้กุนบอก…กล่องดำถูกนำมาเรียงไว้ด้านหน้าห้ากล่อง วิธีการดำเนินกิจกรรมก็คืออยากให้น้องได้สัมผัสและทายว่าสัตว์ต่างๆ ที่อยู่ในกล่องดำคืออะไร แต่ในห้ากล่องที่ว่านั้นมีเพียงกล่องเดียวที่เป็นสัตว์ที่มีชีวิตจริงๆ ที่เหลืออีกสี่กล่องเป็นตุ๊กตาหมีบ้าง ลอดช่องบ้าง ของเล่นของกินต่างๆ ที่เอามาหลอก

      ไอ้ภามบอกให้น้องออกไปทีละห้าคนเพื่อทำกิจกรรม จะสลับและเปลี่ยนกล่องให้น้องเล่นในแต่ละรอบ น้องที่ไปยืนอยู่หลังกล่องเพื่อรอล้วงแน่นนอนว่าจะไม่รู้ว่าของข้างในคืออะไร แต่ด้านหน้ากล่องเป็นอะครีลิคใส น้องๆ ด้านหน้าที่นั่งอยู่จึงเห็นว่าห้าคนที่ออกไปทำกิจกรรมนั้นแต่ละคนจะได้สัมผัสอะไรบ้างในกล่อง

      กิจกรรมดำเนินไปอย่างนี้เรื่อยๆ จนถึงรอบของโช…ขอเพียงแค่เลือกถูกกล่องที่ไม่ใช่สัตว์ที่ทำให้โชกลัวก็พอแล้ว ไอ้ภามมันจะได้ไม่ต้องทำตัวเป็นห่วงว่าน้องอาจจะกลัวจนเปิดโอกาสให้มันได้เข้าใกล้

      ทว่าพอโชเลือกกล่องแล้วก็เปิดให้ทุกคนเห็นว่าข้างในคืออะไรเท่านั้นแหละ…เพื่อนที่นั่งดูก็พากันโห่บิ้วอารมณ์กันใหญ่

      แม่ง กล่องก็มีตั้งห้าใบ ทำไมโชต้องเลือกถูกกล่องที่เป็นทากยักษ์ด้วยวะ…มันก็ไม่ได้น่ากลัวสักเท่าไร แต่โชดันเป็นคนที่กลัวสัตว์อะไรทำนองนี้น่ะสิ

      ทุกคนจับจ้องสายตาไปยังกล่องของโชพลางส่งเสียงโห่ร้องกันจนทำให้เจ้าตัวต้องออกสีหน้าเหยเก เพราะคงรู้แล้วว่าตัวเองได้กล่องที่ไม่เข้าพวกและคงคิดกลัวกับของที่อยู่ในกล่องไปต่างๆ นาๆ

      คนที่ไม่รู้จึงกล้าๆ กลัวๆ เอามือล้วงเข้าล้วงออกบวกกับทำสีหน้าเหมือนจะร้องไห้ กลายเป็นอากัปกิริยาตลกชวนให้เพื่อนที่นั่งดูอยู่หัวเราะอย่างสนุกสนาน

      แต่ผมกลับไม่สนุกด้วย…

      เพราะโชไม่กล้าล้วงกล่องดำซะที ไอ้ภามมันจึงเดินไปจับมือโชจากด้านหลังให้พยายามล้วงเข้าไป…

      นี่มันหลอกจับมือแล้วก็กอดโชจากด้านหลังแบบเนียนๆ ไอ้…ฮึ่ย!

      ผมได้แต่ยืนดูด้วยสายตาดุดันและอารมณ์หงุดหงิด ทำอะไรไม่ได้เพราะไม่สมควรไปก้าวก่ายกิจกรรมของซุ้มคณะอื่น

      เป็นอยู่อย่างนั้นสักพักจนคนอื่นทายกล่องของตัวเองได้หมดแล้ว เหลือก็แต่เพียงโชที่ยังมีท่าทางกลัวล้วงเข้าไปไม่สุดแขนเลยยังไม่ได้แม้แต่จะสัมผัสถูกตัวทากยักษ์เลยด้วยซ้ำ…แล้วจะทายถูกตอนไหน อย่างนี้ไอ้ภามที่ยืนอยู่ข้างหลังก็ได้ใจใหญ่ ดูมันมีความสุขหัวเราะชอบใจที่ได้จับมือโชอยู่อย่างนั้น

      โธ่เว้ย…ล้วงให้โดนซะทีสิโช ผมล่ะอยากจะเดินไปกระซิบคำตอบให้กิจกรรมมันรีบจบๆ ซะเดี๋ยวนี้

      “มึงก็ปล่อยมือน้องดิวะ มึงยิ่งทำให้น้องกลัวไม่กล้าล้วงเข้าไปใหญ่…ปล่อยให้น้องล้วงเข้าไปเอง!” ผมยืนทนดูไม่ได้จึงตะโกนบอกไอ้ภาม

      ยังดีเป็นเหตุผลสำหรับคนที่ไม่ได้มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับตรงนี้อย่างผมใช้ขึ้นมาพูดซึ่งพอฟังดูเข้าท่าและทุกคนก็น่าจะเห็นด้วย…ยังไงผมก็ต้องสรรหาวิธีมาสกัดกั้นไอ้ภามจนได้ล่ะวะ

      มันปล่อยมือโชให้ล้วงเองอย่างที่ผมบอก…

      “เชี่ย!” โชจึงกลั้นใจแล้วล้วงเข้าไปในกล่องอย่างรวดเร็วและดูเหมือนว่ามือจะสัมผัสโดนทากยักษ์เข้าให้แล้ว โชจึงร้องออกมาด้วยความตกใจก่อนจะเซล้มหงายหลังลงไป

      “โช เป็นอะไรมั้ย” ไอ้ภามถามพลางพยุง

      ผมเห็นอย่างนั้นจึงรีบวิ่งไปดู “ไหนดูซิ” ผมผลักไอ้ภามออกก่อนจะเป็นคนพยุงเองแล้วจับข้อศอกแขนของโชที่ดูเหมือนจะกระแทกกับพื้นมาดู “ได้เลือดด้วยนี่”

      “เดี๋ยวพี่ทำแผลให้”

      “ไม่ต้อง พวกกูมีหน่วยพยาบาลและมีกล่องยาเตรียมมาพร้อม” ผมปัดมือไอ้ภามที่จะมาพยุงโชออกอีกครั้ง

      ผมพาโชออกมานั่งข้างนอกซุ้มแล้วบอกให้ไอ้กุนเอากล่องยามาให้ จากนั้นก็ไล่มันไปดูแลน้องคนอื่นเพราะผมจะเป็นคนทำแผลให้เอง

      ก่อนไปมันยังมากระซิบแซวผมว่าให้หน่วยพยาบาลทำให้ก็ได้…ไอ้นี่ มันน่าจะรู้ดี ก็ผมอยากจะดูแลเอง

      แม้แผลจะเล็กแต่ก็ถลอกจนเลือดซิบ พอทายาให้โชก็เลยร้องโอดครวญเพราะคงจะแสบน่าดู…หรือเป็นเพราะผมเป็นคนทำแผลให้ คนเจ็บก็เลยเอาแต่ทำหน้ามุ่ยแล้วก็บ่นทั้งที่ก็ผมก็พยายามมือเบาให้มากที่สุดแล้ว

      “โอ้ย เจ็บ”

      “ขอโทษ” ผมบอก

      คนฟังเงียบและผมก็รับรู้ได้ว่าเขากำลังมองผมอย่างสงสัยและพิจารณา…จะมีกี่ครั้งที่ผมพูดขอโทษเขาอย่างง่ายดาย ไม่สิ ตั้งแต่ผมรู้ว่าเขาและตัวเองไม่เหมือนเดิม แม้ผมจะทำร้ายจิตใจคนตรงหน้าสักกี่ครั้ง…

      ผมก็ไม่เคยพูดขอโทษเขาเลย

      “เบาๆ ก็บอกว่ามันเจ็บ”

      “ก็เบามือแล้ว”

      “นี่น่ะเหรอเบา เจ็บมากกว่าเดิมอีก ไม่ต้องทำแล้ว!” โชปัดมือผมออก

      “ทำไม…ถ้าไอ้ภามเป็นคนทำให้คงไม่เจ็บสินะ”

      “เออ”

      “ถ้างั้นก็ไปให้มันทำให้ซะสิ”

      เชี่ย…พูดอะไรออกไปเนี่ยกู พอพูดออกไปแบบนั้นโชก็กำลังจะลุกขึ้นไปจริงๆ แต่ยังไม่ทันที่จะรั้งตัวไว้ไอ้ภามก็เดินมาซะก่อน

      “โช เจ็บมากมั้ย” มันถามพลางนั่งลงข้างๆ แล้วจับแขนโชมาดู

      “มึงจัดกิจกรรมอะไรเนี่ย....เห็นมั้ยว่ามีคนต้องเจ็บตัว กิจกรรมมึงมันไม่ได้เรื่องเลย” ผมว่ามันด้วยความโมโห

      “กูก็แค่อยากให้น้องได้สนุก ตื่นเต้นไปกับสัตว์ต่างๆ ที่นำมาให้ดู…พี่ขอโทษนะโช” ไอ้ภามพูดกับผมก่อนจะหันไปบอกโช

      “เฮ้ย…ไม่เป็นไร กิจกรรมที่พี่ภามจัดไม่ใช่กิจกรรมที่ไม่ได้เรื่องซะหน่อย มันทั้งสนุกแล้วก็ตื่นเต้นอย่างที่พี่บอกจริงๆ น่ะแหละ” พูดแล้วก็ส่งรอยยิ้มหวานละมุนไป

      ทั้งที่ตัวเองกลัวแล้วก็ได้รับบาดเจ็บแต่ก็ยังพูดเข้าข้างแล้วก็ปลอบใจมัน…ทั้งที่ผมบอกว่าไม่ได้เรื่องแต่โชกลับว่าทั้งสนุกแล้วก็ตื่นเต้นเอาใจมัน

    นี่โช…


      ชอบไอ้ภามมันไปแล้วจริงๆ ใช่มั้ย


----TBC----


Banoffee's zone

แหม...เฮียขุน เป็นห่วงน้อง หวงน้อง แล้วไปโยนความผิดว่ากิจกรรมของคนอื่นไม่ดี

หน้าหงอยไปสิ...เพราะโชดันเข้าข้างพี่ภาม

ยังไงก็โปรดติดตามภารกิจทวงรักคืนใจให้กับใจที่แพ้รักโชของเฮียขุนด้วยนะคร้าบบบบ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-06-2019 14:18:37 โดย ิbanoffee »

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
หึหึหึ

ออฟไลน์ ิbanoffee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ตอนที่ 21


       ถ้าหากเป็นเมื่อก่อนผมก็คงคิดเข้าข้างตัวเองไปแล้วที่เฮียขุนโผล่มาดักคอพี่ภามราวกับว่ามาตามหึงหวงผม แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ การแสดงออกที่ผิดเพี้ยนไปของเขามันทำให้ผมสงสัยว่าแท้จริงแล้วคนอย่างเฮียขุนมีจุดประสงค์อะไรที่ต้องการจากผมกันแน่

      วันนี้เป็นวันเฟรชชี่ซึ่งเราปีหนึ่งมีกิจกรรมวิ่งพบปะคณะต่างๆ ทั่วมหาวิทยาลัยโดยมีพี่ปีสองตามติด ทว่าผมกับเห็นพี่ปีสามที่มีหน้าที่เฝ้าซุ้มอย่างเฮียขุนติดตามมาด้วย

      จะให้ไม่คิดเลยก็ไม่ได้ เฮียกุนที่เห็นผมอยู่กับพี่ภามตามปกติเฮียแกก็จะมาขัดนั่นนี่ตลอด แต่หน้าที่นั้นกลับเป็นของเฮียขุนซะอย่างนั้น

      ผมไม่อยากถามว่าทำไม ต้องการจะทำอะไร ไม่อยากถามอะไรอีกเพราะไม่อยากเสวนาพาทีกับคนๆ นั้นให้รำคาญใจ ได้แต่สงสัยเองคนเดียวเงียบๆ และแค่เห็นหน้าเขาผมก็รู้สึกหงุดหงิดไปหมดแล้ว

      ไม่ใช่แค่เฮียขุนและเฮียกุน แต่พฤติกรรมและวิสัยทัศน์ของไอ้นักก็ดูแปลกไป ก่อนหน้าโกรธพี่ชายของตัวเองแทนผมจนแทบจะต่อยหน้าเขา หลังๆ กลับเออออห่อหมกไปกับเฮียขุนซะทุกอย่าง ดูไม่ค่อยปกป้องผมจากพี่ชายอันตรายของมันเหมือนอย่างเคย

      ไม่รู้ไอ้พวกสามพี่น้องจรัสวาณิชย์มันเป็นอะไรกันไปหมด


      “ทำกิจกรรมต่อไหวมั้ย ถ้าไม่ไหวก็พักที่ซุ้มพี่ก่อนเดี๋ยวพี่ดูแลเอง” พี่ภามบอกผม แต่ฟังแล้วความหมายโดยนัยเหมือนกำลังบอกใครอีกคน

      “ไม่ต้อง แค่แขนศอกถลอกไม่ตายหรอก ยังไงก็วิ่งต่อไหวอยู่แล้ว” ใครอีกคนที่ว่านั้นก็ปากเสียชวนวาจาไม่น่าฟังเช่นเดิม

      “แต่โชไม่ไหวอ่ะ มันหน้ามืดเหมือนจะวูบ แล้วก็รู้สึกเริ่มปวดระบมที่แผลด้วย” ผมบอกพลางยกแขนศอกให้พี่ภามดูผิวรอบๆ ของพลาสเตอร์ซึ่งมันกำลังเปลี่ยนเป็นสีเขียวม่วง

      ที่จริงผมก็ไม่ได้อ่อนแอถึงขนาดจะทำกิจกรรมต่อไม่ไหวหรอก แต่อยากแสดงละครขัดใจใครบางคนที่บอกว่าผมแค่แขนศอกถลอกไม่ถึงตาย เพราะพอได้เห็นสีหน้าที่ไม่พอใจของเฮียขุนแล้วผมรู้สึกได้ใจอย่างบอกไม่ถูก

      “ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนพี่ภามด้วยนะครับ”

      “เหอะ…รุ่นพี่คณะตัวเองก็ยืนอยู่ทนโท่ยังมีหน้าไปรบกวนรุ่นพี่คณะอื่นอีก”

       “ไม่เป็นไรไอ้ขุน ไม่ต้องเกรงใจ ไม่ว่ารุ่นน้องคณะไหนก็เป็นรุ่นน้องเหมือนกัน โดยเฉพาะรุ่นน้องอย่างโช กูจะดูแลให้อย่างดีเลย”

      สถานการณ์ชวนให้คิดไปเองอีกแล้ว ถ้าไม่ติดว่าอีกคนเป็นเฮียขุน คนที่เขาเกลียดขี้หน้าผมนักหนา…ผมก็คงคิดว่าสถานกาณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าคือพระเอกและพระรองกำลังแย่งตัวนางเอกอย่างผม

       ก็ทั้งสองคนยืนปะทะสายตาและคารมณ์ราวกับจะฟาดฟันกัน…มันเลยทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองสำคัญยังไงก็ไม่รู้สิ

      “ถ้าไม่ไหวเดี๋ยวจะพากลับซุ้มคณะ” เฮียขุนพูดขึ้นมาในขณะที่สายตายังจ้องเขม่นพี่ภาม

      “ไม่อ่ะ ผมคงเดินกลับไม่ไหว กว่าจะถึงแถมแดดที่ร้อนจัดจนทำให้ไข่สุกได้แบบนี้ผมคงได้เป็นลมกลางทางกันพอดี” ผมจะขัดเขาทุกอย่าง แล้วก็เป็นอย่างที่ผมคิดว่าสีหน้าของเขาดูไม่พอใจจริงๆ

      “นั่นสิ โชอยู่นี่แหละ” พี่ภามพูดเสริม

      “เดินไม่ไหวใช่มะ…ได้”

      “โอ้ย…เฮียทำบ้าอะไรเนี่ย”

      เฮียขุนละสายตาปะทะจากพี่ภามหันมามองผม จากนั้นเขาก็กระชากแขนผมที่นั่งอยู่อย่างแรงจนผมต้องเด้งตัวยืนขึ้นตามแรงของเขา

      “ไอ้ขุน ทำไมมึงต้องทำอะไรแรงๆ วะ มึงก็รู้ว่าโชแขนเจ็บ…ไหนมาให้พี่ดูซิ แขนระบมเพิ่มหรือเปล่าเนี่ย”

      โอ้ยย…ไอ้พี่ภาม แขนผมจะระบมเพิ่มเพราะมันเนี่ยแหละ ว่าให้เฮียขุนแต่ตัวเองก็กระชากกลับแรงเหมือนกัน

      ทั้งคู่เหมือนไม่ได้สนจริงๆ หรอกว่าผมจะเจ็บ สถานการณ์ที่จ้องเขม่นกันแล้วก็กระชากแขนผมไปมาอยู่นี่คงเพื่อจะเอาชนะกันเท่านั้นน่ะผมว่า

      “ปล่อย!” เฮียขุนปัดมือพี่ภามออกจากแขนผม จากนั้นเขาก็ดึงผมจนเซถลาทำให้ใบหน้าไปจุมปุกที่แผงหน้าอกของเขา

       “เฮียขุน!” ผมเงยขึ้นมาแล้วเอามืออีกข้างหน้าปัดหน้าปัดตาก่อนตะคอกใส่เขาเสียงดัง ชักจะหงุดหงิดจนเริ่มทนไม่ไหว เห็นแขนผมเป็นเชือกที่ใช้เล่นชักเย่อหรือไง ดึงกันไปมาอยู่นั่นแหละ

      “เดินไม่ไหวใช่มั้ย…งั้นก็ไม่ต้องเดิน” ทันทีที่บอกผมแบบนั้นเฮียขุนก็ยกตัวผมขึ้นพาดบ่าตัวเองอย่างง่ายดาย ทำราวกับผมเป็นเพียงหมอนปุยนุ่นที่เบาหวิวอย่างนั้นน่ะ

      “ไอ้ขุน ปล่อยโชเดี๋ยวนี้นะ”

      “มึงอย่างมายุ่งไอ้ภาม กูบอกแล้วว่ารุ่นน้องคณะกู กูจะดูแลเอง” เขาชี้หน้าพูดกับพี่ภามก่อนจะออกสเต็ปท์เท้าก้าวเดินไป

       ส่วนพี่ภามก็ยืนนิ่งทำราวกับว่าคำพูดของเฮียขุนเป็นคำประกาศิตสาปไว้ให้ไม่เดินตามมาช่วยผม ได้แต่มองผมถูกแบกไปอย่างนี้เนี่ยนะ

       แต่แน่นอนว่าผมไม่อยู่เฉย ผมทั้งออกแรงดิ้นแล้วก็เอาแต่ทุบกลางหลังคนแบกอย่างแรงหวังจะให้เขาปล่อยแต่กลับไม่เป็นผล เพราะกำลังแขนที่เขาใช้รัดขาผมไว้นั้นดูเหมือนว่าจะมีมากกว่าผมเยอะ

      เฮียขุนแบกผมเดินผ่านสายตาผู้คนที่จ้องมอง…ผมรู้สึกอายที่ตกเป็นเป้าสายตาและผมก็ไม่คิดเลยว่าคนอย่างเฮียขุนจะทำอะไรแบบนี้…นี่มันไม่ใช่วิสัยของเขา ยิ่งกับผมแล้วด้วย

      เขากำลังแบกคนที่ไม่อยากให้ยุ่งเกี่ยวกับชีวิตเขาอยู่นะ คนที่เขาชอบใช้สายตาและท่าทีผลักไส เขาไม่อยากให้ผมอยู่ใกล้ เขาไม่อยากให้ผมชอบเขาและผมก็กำลังทำตามที่เขาต้องการ

      แต่แล้วทำไมเขากลับกลายเป็นคนที่ต้องเข้ามายุ่งกับผมซะเองด้วยยยยย

      น่ารำคาญใจฉิบหายเลยโว้ย…ไอ้คนๆ นี้

      “ไอ้นัก…ไอ้นักช่วยกูด้วย!” ผมเรียกไอ้เพื่อนรักในขณะที่เดินผ่าน มันเอาแต่มองผมแล้วยังยิ้มร่าทั้งยังโบกมือให้

      แทนที่ไอ้นักจะต้องรีบมาช่วยผมจากการกระทำของพี่มัน แต่นี่มันกลับยืนมองดูด้วยสายตาที่สนับสนุน…มันโกรธที่พี่มันแกล้งผมไม่ใช่หรือไงแล้วทำไมมันกลับปล่อยให้เพื่อนรักของมันอยู่ในสภาพที่ถูกห้อยหัวโตงเตงแบบนี้ ผมเริ่มรู้สึกเวียนหัวจริงๆ แล้วนะ

      ไอ้นัก…รีบมาช่วยกูสิโว้ยยย

      “เฮียขุน…ปล่อย!” ผมทั้งทุบทั้งตะโกนสั่งให้เฮียขุนปล่อยผมจนเขาเดินเลยเถิดกลับมาถึงคณะนิติศาสตร์ “ไม่ปล่อยใช่มั้ย” นาทีนั้นทำอะไรไม่ได้มากครับ ถ้าทุบแล้วยังไม่ปล่อย งั้นเจอนี่…

      “โอ้ยยย!”

       ผมกัดเข้าไปกลางหลังเฮียขุนเต็มแรงจนเขาต้องปล่อยตัวผมลงแล้วรีบเอามือลูบไปที่หลังของตัวเอง สาบานได้ว่าถ้าหากเขายังไม่ปล่อยอีกผมก็จะกัดเขาให้ฝังเขี้ยวจนได้เลือดกันไปเลย

      “มันเจ็บนะ” เขาโอดครวญ

      “คนอย่างอย่างเฮียเจ็บเป็นด้วยหรือไง เฮียทำแบบนี้ทำไม ผมเคยถามเฮียแล้วใช่มั้ยว่าต้องการอะไรจากผมก็พูดมาเลยดิ เกลียดผม บอกให้ผมเลิกชอบแล้วจะมายุ่งกับผมเองทำไม”

      “เลิกชอบกูแล้วไปชอบไอ้ภามเนี่ยนะ”

      “มันเรื่องของผมปะ ผมจะชอบใครก็ได้ ผมเลิกชอบเฮียได้มันก็ดีไม่ใช่เหรอ เฮียต้องการแบบนั้นไม่ใช่หรือไง”

      “…” เขาเงียบ

      เงียบอีกแล้ว สีหน้าคาดเดาไม่ออก ไม่รู้ว่าคิ้วที่ขมวดเข้าหากันนั้นกำลังครุ่นคิดอะไร คำถามที่ผมถามเขาไปไม่เห็นจะยากตรงไหน ก็ตอบมาสิว่า ก็ดีที่มึงเลิกชอบกูได้ อย่างที่เขาควรจะพูด ทำไมต้องคิดมาก

      “ตอบมาว่าเฮียมายุ่มย่ามกับผมทำไม”

      “ก็…ก็กูบอกแล้วว่ามึงเป็นรุ่นน้องคณะกู กูก็แค่ทำตามหน้าที่รุ่นพี่ที่ดี”

      “คนอย่างเฮียไม่เห็นจำเป็นต้องทำก็ได้นี่ แต่ถ้าห่วงภาพพจน์การเป็นรุ่นพี่นัก ถ้าอย่างนั้น…พรุ่งนี้ผมจะไปย้ายคณะให้มันรู้แล้วรู้รอด เฮียจะได้ไม่ต้องเหนื่อยมาแสร้งทำตัวเป็นรุ่นพี่ที่ดีกับผม และถึงแม้จะยังอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยแต่ถ้าผมย้ายคณะไปอย่างน้อยเฮียก็จะได้ไม่ขัดหูขัดตาเห็นผมเดินในคณะบริหารอีก ผมทำให้ได้เท่านี้แหละ อ่อ เดี๋ยวจะย้ายออกจากหอให้ด้วย โอเคมะ?” พูดจบผมก็พรูลมหายใจออกมายาวตัดความรำคาญใจก่อนจะเดินไป

      “ไม่ คือ…แล้วนั่นจะเดินไปไหน กลับไปหาไอ้ภามอย่างนั้นเหรอ” เฮียขุนถามเพราะเห็นผมกำลังเดินกลับไปทางคณะสัตวแพทย์

      “จะกลับไปทำกิจกรรมต่อ” ผมหันไปบอกเขา

      “ไหนบอกว่าทำต่อไม่ไหว”

      “เมื่อกี้ไม่ไหว…แต่ตอนนี้ผมไหวแล้ว” ขัดใจเขาจนวินาทีสุดท้ายและผมคงไม่เดินกลับซุ้มไปกับเขาหรอก

      ผมเดินกลับมายังคณะสัตวแพทย์ในขณะที่เพื่อนๆ ทำกิจกรรมเสร็จและกำลังจะถูกปล่อยตัวให้ไปคณะถัดไป ผมจึงรีบเดินพุ่งตรงเข้าไปหาไอ้นักในแถวทันที

      “ไอ้นัก…ทำไมมึงไม่ช่วยกู” ผมสอยท้ายทอยไอ้เพื่อนรักโดยที่มันไม่ทันตั้งตัว

      “อ้าว เพื่อนรัก แหม…จะให้ช่วยอะไรล่ะ เพื่อนรักไม่ได้ตกอยู่ในอันตรายอะไรซะหน่อย” พูดแบบนี้ทั้งที่มันก็รู้ดี

      “การที่กูได้อยู่กับพี่มึงนั่นแหละคืออันตราย มึงไม่สงสัยอะไรเลยหรือไงว่าทำไมจู่ๆ พี่มึงก็เข้าหากู มึงก็ด้วยไอ้นัก มึงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟที่เฮียขุนทิ้งเพื่อนรักของมึงไว้กลางทางไม่ใช่หรือไง ไหนมึงบอกว่าจะไม่แซว ไม่ชงกูให้พี่มึงแล้ว…แล้วนี่มันเรื่องเชี่ยอะไรเนี่ย”

      “ฟังกูนะเพื่อน กูคิดว่าตอนนี้เฮียขุนเขากำลังสำนึกผิดกับมึงอยู่ เฮียเขาก็เลยเข้าหาแล้วก็ทำตัวดีๆ กับมึงไง”

      เหตุผลฟังขึ้นแต่ไม่ใช่กับเฮียขุน คนอย่างเขาน่ะเหรอจะสำนึกผิดกับผม

      “พี่มึงบอกว่าทำไปเพราะเป็นหน้าที่ของรุ่นพี่ที่ดี เขาก็แค่รักษาภาพพจน์ให้ตัวเอง กูก็เลยบอกเขาไปว่ากูจะย้ายคณะเพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องเหนื่อยแสร้งเป็นรุ่นพี่ที่ดีกับกู แล้วกูก็จะย้ายออกจากหอด้วยให้สมกับความต้องการของพี่มึงที่ไม่อยากเห็นหน้ากู”

      “เชี่ย!” ไอ้นักอุทานออกมาเสียงดังจนเพื่อนรอบข้างหันมามอง “มึงแค่พูดออกไปเพราะหงุดหงิดเฮียขุนใช่ป่ะวะ”

      “เออ…แต่กูก็จะทำอย่างที่กูพูด”

      “ไม่เอาอ่ะ อย่าทิ้งกูไป เวลาเรียนกูจะนั่งกับใครแล้วเวลานอนกูจะนอนกับใคร กูไม่อยากนอนหอคนเดียว กูกลัวววว” มันพูดพลางเกาะแล้วเอาหัวถูไถแขนของผม

      ผมจึงผลักมันออก “มึงเป็นเด็กหรือไง ห๊ะ ไม่รู้แหละ กูพูดยังไงออกไปกูก็จะทำอย่างที่พูด”

      “ไอ้โช ทำไมมึงพูดง่ายๆ วะ ย้ายหอไม่เท่าไหร่แต่นี่ย้ายคณะเลยนะเว้ย”

      แม้จะไม่ได้ตั้งใจและตั้งตัวที่จะทำอย่างที่พูด แต่เพราะคนที่ผมพูดด้วยคือเฮียขุน ผมจึงจะต้องทำตามที่ว่าและต้องยอมรับผลที่ตามมา แต่ผลที่ผมคิดไม่ถึงเพราะยั้งปากตัวเองไม่ทันคือ…แล้วจะบอกพ่อยังไงว่าจะย้ายหอแล้วก็จะย้ายคณะด้วย ถ้าบอกไปมีหวังพ่อได้บึ่งรถมาหาถึงที่แล้วจับเข่าคุยด้วยความซีเรียสก่อนจะตะโกนใสหน้าผมว่า…ไม่ได้! แน่ๆ เลยครับ

      ปีหนึ่งคณะบริหารถูกปล่อยตัวออกมาจากซุ้มสัตวแพทย์ นั่นทำให้ผมเห็นเฮียขุนกำลังยืนคุยกับเฮียกุนอยู่นอกซุ้ม พลันสายตาของเขาจับจ้องมาที่ผมทันทีที่เดินออกมา

      นี่เขาไม่ได้กลับซุ้มบริหารแต่เดินตามผมกลับมาที่ซุ้มสัตวแพทย์

      จะเอาอะไรอีก ยังไม่พอใจอีกหรือไงที่ผมบอกว่าจะย้ายออกจากคณะแล้วก็ย้ายออกจากหอให้ด้วย

      จะให้ผมออกห่างจากชีวิตเขาไกลขนาดไหนถึงจะพอใจ

      แล้วผมจะต้องไปไกลขนาดไหนถึงจะตัดความรำคาญใจของตัวเองที่มีให้เขาได้

      เมื่อก่อนอยากเข้าใกล้เขาก็ไม่กล้าเข้าใกล้…ตอนนี้อยากหลีกหนีจากเขาแต่ก็ทำอะไรตามใจตัวเองได้ไม่มากอีก

      เฮ้อออ~

      “โช เสร็จกิจกรรมแล้วพี่ไปหานะ” พี่ภามตะโกนบอกผมในขณะที่กำลังเดินไปคณะถัดไป

      “ครับ” ผมพยักหน้า

      แน่นอนว่าพี่ภามตะโกนเสียงดังอยู่พอควร ใครหลายคนได้ยินและหนึ่งในหลายคนนั้นก็คงมีเฮียขุนรวมอยู่ด้วย เขาจึงไม่วายที่จะหันไปมองค้อนพี่ภามก่อนจะหันสายตาดุมามองผม

      นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกัน…ทำไมเฮียขุนต้องดูเหมือนไม่อยากให้ผมชอบพี่ภามหรือเพราะพี่ภามเป็นเพื่อน เขาก็แค่ไม่อยากให้ผมไปยุ่งกับเพื่อนเขา…

      แต่ความรู้สึกผมมันไม่ได้บอกแบบนั้น

      ปีหนึ่งวิ่งทำกิจกรรมไปอีกหกคณะ โดยมีพี่ปีสามอย่างเฮียขุนตามไปจนจบกิจกรรมและตลอดที่ผมทำกิจกรรมเขาก็ไม่ละเว้นสายตาไปจากผมเลย สายตาดุๆ สายตาที่ดูกังวล สายตาอะไรก็ไม่รู้ที่มีความรู้สึกหลากหลายผสมปนเปกันไปหมด

       คนถูกจ้องมองอย่างผมจึงอยากจะบอกว่า…อึดอัดฉิบหาย

      จนเราวนกลับมาที่คณะของตัวเอง รุ่นพี่ก็ดูแลโดยการคอยบริการน้ำเย็นๆ ให้ดื่มจากความเหนื่อยแล้วก็แจกแจงถึงกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นในตอนเย็นคือการประกวดดาวเดือนมหาวิทยาลัยและจบลงด้วยคอนเสิร์ต

      ซึ่งเวลาก่อนที่จะถึงกิจกรรมนั้นถูกจัดสรรให้เพียงพอกับการปล่อยตัวให้กลับไปบ้านหรือหอ เพื่อจัดการกับสภาพที่เลอะเทอะและกลิ่นเหงื่อไคลของตัวเองจากการทำกิจกรรมตอนกลางวัน แล้วค่อยมาเจอกันอีกทีตอนหนึ่งทุ่มที่หน้าเวทีของกิจกรรม

      นั่นเป็นเหตุผลที่พี่ภามบอกกับผมตอนที่เดินออกมาจากซุ้มของคณะเขา

      “โช” มาได้ตรงเวลามาก พอผมถูกรุ่นพี่ปล่อยปุ๊ป พี่ภามก็มาทันที “ไปกัน”

       “ไปไหนวะ” ไอ้นักที่ยืนอยู่ข้างๆ ถาม

      “ก็กลับหอไง” ผมบอกมัน

      ที่พี่ภามชวนผมกลับหอด้วยเพราะรู้อยู่แล้วว่าผมจะได้กลับหอคนเดียว ไอ้นักมันอยู่ที่มหาวิทยาลัยเพราะต้องไปเตรียมตัวขึ้นประกวด มันได้เตรียมของมาพร้อมแล้วและไม่ต้องกลับไปอาบน้ำผลัดผ้าที่หอ ส่วนเดือนมหาวิทยาลัยปีก่อนอย่างเฮียกุนก็อยู่เตรียมตัวที่มหาวิทยาลัยเช่นกัน

      ดังนั้นพี่ภามจึงเสนอตัวมารับผมกลับหอด้วยกันเพราะคิดว่าคงไม่มีใครมาดักคอเขาแล้ว แต่…

      “ไม่ได้!” เสียงของจรัสวาณิชย์อีกคนที่ผมไม่ได้เอ่ยถึงและคิดไม่ถึงว่านอกจากเขาจะตามผมไปขัดพี่ภามเวลาอยู่กับผมอย่างหาเหตุผลไม่ได้แล้ว เขายังจะมาขัดไม่ให้ผมกลับกับพี่ภามอีก

      “ถึงไอ้นักกับผมจะไม่ได้กลับหอ แต่ยังมีอีกคนที่อยู่หอเดียวกันกับไอ้โชนะครับพี่ภาม” เฮียกุนที่เดินมาด้วยพูดขึ้น

      รู้ครับว่าเฮียกุนหมายถึงใคร “แต่ผมจะกลับกับพี่ภาม ไปเถอะพี่ภาม” ผมบอกก่อนจะคว้ามือพี่ภามให้เดินไปด้วยกัน

      “ก็บอกว่าไม่ได้!” เฮียขุนคว้ามือของผมไว้แล้วกระชากกลับ

      “ไอ้ขุน ปล่อยโช โชเลือกแล้วว่าจะไปกับกู”

      “แต่กูไม่ให้ไป…มานี่” เขาบอกกับพี่ภาม จากนั้นแขนทั้งสองข้างก็รวบเอวผมจากข้างหลังแล้วยกผมอุ้มแล้วเดินไป

      “ปล่อยนะเว้ย!”

      “โช!” ส่วนพี่ภามก็ถูกทั้งไอ้นักและเฮียกุนพร้อมใจกันรวบตัวไว้ไม่ให้ตามมา

      “พี่ภาม!” ผมตะโกนในสภาพที่ตัวเองถูกหิ้ว “หลังจบคอนเสิร์ตแล้วโชจะให้คำตอบที่พี่ภามเคยถาม!”

      “…” พี่ภามพยักหน้าแล้วยิ้มให้

      สถานการณ์นี้ดูราวกับฉากในละครที่พระเอกและนางเอกถูกจับให้พรากจากกันยังไงยังงั้น…และเป็นสถานการณ์ที่ผมหงุดหงิดกับไอ้สามพี่น้องจรัสวาณิชย์นี่เหลือเกิน

      “ตัดสินใจแล้วสินะ” ผมได้ยินเสียงงึมงำอะไรไม่รู้จากไอ้คนที่กำลังอุ้มผม

      “ก็บอกให้ปล่อยไงวะ!” ผมแหกปากตะโกนพลางแกะมือที่รัดเอวผมแน่น

      “ถ้าไม่อายคนก็เงียบแล้วจะปล่อย แต่ต้องเดินตามมาดีๆ”

      พอเฮียขุนพูดออกมาแบบนั้นผมจึงหุบปากลงทันทีแล้วหันมองผู้คนที่กำลังมองเราเป็นจุดสนใจเดียวกัน “งั้นก็ปล่อย” ผมบอก

      “พูดมาก่อนว่าจะเดินตามมาดีๆ”

      ทำไมผมต้องทำตามข้อต่อรองของเขาด้วยวะ “เออ จะเดินตามไปดีๆ”

      เฮียกุนจึงปล่อยผมลงและดูเหมือนเขาจะรู้ทัน…เพียงแค่ผมก้าวเท้าทำท่าจะวิ่งเท่านั้นแหละ เขาก็คว้าหมับที่ข้อมือผมแน่นแล้วก็ลากจูงให้เดินตามเขาไป

      ผมใช้เวลาที่มีไม่กี่นาทีตลอดที่นั่งรถจนถึงหอไปกับการครุ่นคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับไอ้คนขับที่นั่งข้างๆ ดูไม่ออกเลยว่ากำลังร้ายหรือดี แต่ที่ดูออกและมั่นใจคือเขากำลังพยายามกันพี่ภามออกจากผม
 
      ซึ่งผมก็ไม่รู้อีกว่าสิ่งที่เขาทำอยู่นี้มันหมายความว่ายังไงกันแน่


      “ให้เวลายี่สิบนาทีแล้วเจอกันหน้าห้อง”

      ผมเปิดประตูเข้าห้องมาโดยไม่ได้ตอบรับหรือแม้แต่พยักหน้ากับประโยคที่เฮียขุนบอก ไม่สิ นั่นมันประโยคคำสั่งชัดๆ

      ยี่สิบนาทีเหรอ…หึ นานไปมั้ง ผมจะใช้เวลาให้เร็วก่อนยี่สิบนาทีแล้วก็ออกไปก่อนเฮียขุน ผมจะได้ไม่ต้องเจอแล้วก็จะไม่นั่งรถกลับมหาวิทยาลัยไปกับเขาแน่

      ผมถึงขนาดเอามือถือมาจับเวลาไว้ ถอดเสื้อผ้าแล้วอาบน้ำ อาบน้ำเสร็จแล้วก็ใส่เสื้อผ้า ทั้งหมดนี้ผมจะพยายามใช้เวลาเพียงแค่สิบนาทีเท่านั้น หรืออย่างมากก็สักสิบสองถึงสิบสามนาที จากนั้นก็จะเปิดประตูออกไปแล้วเดินย่องให้เบาที่สุด

      แต่ว่า…

      ก๊อกๆ
ทันทีที่ผมก้าวออกมาจากห้องน้ำและเพิ่งใช้เวลาไปทั้งหมดแค่แปดนาทีเท่านั้น

      ผมได้เดินไปที่ประตูเพื่อส่องดูว่าใครมาเคาะ

      เฮียขุน!

      เขาอยู่ในเสื้อเชิ้ตสีดำและกางเกงยีนส์สีเข้ม ปลายผมดูเปียกชื้นบ่งบอกว่าผ่านการอาบน้ำมาเรียบร้อยแล้ว แต่ว่าวิ่งผ่านน้ำหรือไงวะ ทำไมถึงได้เสร็จเร็วนัก…ไหนบอกว่าให้เวลายี่สิบนาทีค่อยเจอกันหน้าห้องแล้วเขาจะรีบมาเคาะประตูห้องผมทำไม

      “ผมยังไม่เสร็จ!” ผมตะโกนบอกออกไป

      “จะเข้าไปรอในห้อง” เฮียขุนตะโกนกลับเข้ามา

      นี่มันอะไรวะเนี่ย…จะเข้ามารอห้องผมเพื่ออะไรแล้วทำไมไม่นั่งรอห้องตัวเอง จะว่าไปแล้วนี่เป็นครั้งแรกที่เฮียขุนมาเคาะประตูห้องผมแล้วยังบอกว่าจะเข้ามาในห้องผมอีก

      แล้วผมควรจะทำยังไง “เฮียรออยู่ข้างนอกนั่นแหละ ผมแต่งตัวแป๊ปเดียวก็เสร็จแล้ว”

      “ก็บอกว่าจะเข้าไปรอข้างใน เปิดประตู!” แถมมาใช้ประโยคคำสั่งกับผมอีก

      “ไม่เปิด!”

      “ถ้าไม่เปิดจะพังเข้าไป เปิดเดี๋ยวนี้!” เฮียขุนพูดพร้อมกับเคาะประตูรัวๆ

      ผมสับสนมากกับสถานการณ์ที่เจออยู่นี้ ราวกับว่ามีโรคจิตพยายามเคาะห้องเพื่อที่จะเข้ามาในห้องผมให้ได้และโรคจิตที่ว่านั้นก็คือเฮียขุน ผมไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเขาต้องการอะไรจากผม

      ด้วยความรำคาญกับเสียงประตูที่ดังถี่ๆ ผมจึงเปิดประตูให้เฮียขุนเข้ามาด้วยสีหน้าที่ไม่เต็มใจและด้วยสภาพที่ไม่เต็มตัวเพราะมีเพียงผ้าขนหนูผืนเดียวที่ปิดบังส่วนล่างของผมไว้เท่านั้น

      เฮียขุนใช้สายตาเรียบนิ่งตรวจสภาพผมตั้งแต่หัวจรดเท้า…นี่ไม่ได้ตาฝาดหรือมองผิดใช่มั้ยว่าผมเห็นเฮียขุนแอบอมยิ้มตอนเดินเข้ามาด้วย

      พอเขาเข้ามาอยู่ในห้องผมก็รู้สึกอึดอัดและเกร็งแปลกๆ และเพิ่งมารู้สึกวาบหวิวตรงท่อนบนที่เปลือยเปล่าเพราะอีกคนที่อยู่ในห้องยังคงเอาแต่จ้องมองไม่วางตา

      ผมจึงรีบเดินไปที่ตู้แล้วจัดแจงเสื้อผ้าเอาเข้าไปใส่ในห้องน้ำ

      กลายเป็นว่าผมเสร็จช้ากว่าเฮียขุนทั้งๆ ที่ผมอุตส่าห์กำหนดเวลาให้ตัวเองเร็วกว่าที่เขาบอก และไหนๆ แผนการก็ถูกเปลี่ยนแล้ว ผมจึงหยิบเอาไดร์เป่าผมออกมาทำให้ผมตัวเองแห้งและเซตให้เรียบร้อยที่จะก่อนออกไป

      ในขณะที่กำลังเป่าผมอยู่ เฮียขุนก็เอาแต่มองผมอยู่นั่น วันนี้โดนเขามองทั้งวี่วันแต่ผมก็ยังรู้สึกอึดอัดและไม่ชินกับสายตาของคนๆ นี้อยู่ดี เลยจะคิดซะว่าผมได้เลี้ยงหมาเลี้ยงแมวไว้ในห้องแล้วมันก็กำลังนั่งจ้องผมอยู่ละกัน

      “เจ็บอ่ะ”

      ผมได้ยินเฮียขุนพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่เพราะเสียงของไดร์เป่าผมทำให้ผมได้ยินไม่ถนัดนักจึงกดปิดแล้วหันไปมอง

      หรือผมหูแว่วไปเอง พอหันไปมองก็ไม่เห็นว่าเขาจะบอกหรือพูดอะไร และเฮียขุนก็ยังคงอยู่ในรีแอคชั่นท่าเดิมคือจ้องมอง…ผมจึงหันมาเปิดไดร์เป่าผมอีกครั้ง

      “เจ็บ”

      ผมได้ยินอีกแล้ว เฮียขุนพูดอะไรสักอย่าง ผมปิดไดร์เป่าผมแล้วหันไปมองเขาอีกรอบ “เฮียพูดอะไร” ผมขมวดคิ้วถาม

      “พูดว่าเจ็บ” เขาบอก

      “เจ็บอะไรของเฮีย”

      “ก็ที่กัดข้างหลัง”

      “สมน้ำหน้า บอกให้ปล่อยแล้วไม่ปล่อยเอง” ผมหันหน้ากลับมาพูดกับตัวเองเบาๆ จากนั้นก็เปิดไดร์เป่าผมต่อโดยไม่ได้สนใจที่เขาบอกเมื่อครู่มากนัก

      “ก็บอกว่าเจ็บ”

      “เชี่ย!” ผมอุทานออกมาด้วยความตกใจที่เห็นเฮียขุนมายืนอยู่ข้างหลังจากในกระจกที่ส่องอยู่

      “มันเจ็บ” เขายังคงบอกผมคำเดิมราวกับว่ากำลังเรียกร้องความสนใจ

      “แล้วไง เฮียมาบอกผมทำไม” ผมหันหน้าไปหาเขาแล้วผลักอกเขาออกไป

      “ตอนอาบน้ำส่องกระจกแล้วหันหลังดู มันบวมเป็นรอยฟันแล้วก็ช้ำ ตอนนี้มันเจ็บมากแล้วก็ไม่มียาทาด้วย”

      “…” หลังจากที่งุดๆ กับการเก็บไดร์เป่าผมเสร็จ ผมก็เงยหน้าขึ้นมามองคนที่ผมไม่คิดว่าจะมาทำตัวอ่อนแอต่อหน้าผม

      แล้วที่พูดเนี่ย ต้องการจะให้ผมรู้สึกผิดหรือว่าอะไร

       แล้วทำไมพอฟังเขาพูดแบบนั้นแล้วผมถึงต้องอยากดูข้างหลังของเขาด้วย

       “มียามั้ย ทาให้หน่อย”

      ว่าไงนะ…ทั้งงุนงงและสงสัย ไม่คิดไม่ฝันว่าจะมีวันที่ขุนศึกมาขอให้โชกุนทายาให้

      มันเกิดอะไรขึ้นกับคนตรงหน้าผมเนี่ย

      การได้อยู่กับเฮียขุนมันเป็นอะไรที่ผมไม่ไว้ใจและระแวงไปหมดว่าเขาจะมาไม้ไหน

      ถึงอย่างนั้นคนอย่างผมก็ไม่ได้ใจร้ายแบบเขา ถึงคนๆ นี้จะกลายเป็นคนที่ผมเห็นหน้าแล้วรู้สึกหงุดหงิดและรำคาญตาไปแล้ว แต่ผมก็จะรับผิดชอบที่ทำให้เขาเจ็บโดยการทายาให้ก็ได้

      ผมเลิกเสื้อของคนที่นั่งหันหลังให้ผมขึ้น

      อืม…หนักเอาการ ผมเบ้ปากสมน้ำหน้าหลังจากได้เห็นรอยฟันของตัวเองฝังอยู่บนแผ่นหลังขาวๆ ของเฮียขุน ไม่ได้แปลกใจหรือตกใจกับรอยที่มันช้ำมาก เพราะตอนที่กัดเขาผมก็กดเขี้ยวลงไปหนักพอควร ผมจึงพอเดาสภาพออกว่าผลมันจะเป็นแบบนี้

      ยังถือว่าหนังด้านพอควรที่กัดแรงขนาดนั้นแล้วเลือดไม่ออก สำหรับเขาแล้วผมว่านี่ยังถือว่าน้อยไปด้วยช้ำ ใจเสาะฉิบหาย แค่นี้ทำเป็นมาบ่นว่าเจ็บอยู่ได้

      ที่ผ่านมาผมไม่เจ็บมากกว่าหรือไง ถึงแม้จะไม่ได้โดนทำร้ายร่างกายสาหัสก็เถอะ แต่เจ็บกายของเฮียคงไม่สู้กับความเจ็บปวดใจของผมหรอก

      ผมป้ายยาแล้วก็ถูวนๆ สองสามที “เสร็จแล้ว” ผมบอกแล้วก็เอาเสื้อลงให้เขา

      “ทำไมเสร็จไว” เฮียขุนหันหน้ามาถาม

      “รอยเท่ามดกัด จะทาอะไรมากมาย”

      “เดี๋ยว” ผมปิดฝายาแล้วก็กำลังทำท่าจะลุกเอายาไปเก็บแต่กลับถูกเฮียขุนดึงแขนให้นั่งลงท่าเดิม

      เขาหันหน้ามาหาผม

      “เฮียจะทำอะไร!” ผมตกใจที่จู่ๆ เฮียขุนก็ค่อยๆ ก้มหน้าลงมาซุกที่ไหล่ของผม “ทำบ้าอะไรอีก!” ผมผลักเขา ส่วนตัวเองก็ขยับก้นถอดกรูดออกมา

      “…” เขาเงยหน้าขึ้นมามอง แววตาชัดเจนที่เขาใช้จ้องผมตอนนี้ ผมดูออก…มันทั้งอ่อนโยนและเว้าวอน แต่เพื่ออะไรกัน?

      “เฮียทำแบบนี้ทำไม บอกมาเลยดีกว่าว่าต้องการอะไรจากผมกันแน่ คนใจร้ายและเกลียดผมอย่างเฮีย มาเข้าใกล้ มาทำตัวดีกับผมเพื่ออะไร”

      “ก็แค่…อยากจะบอกว่า…”

       “…” ผมมองและตั้งใจฟังสิ่งที่เขาจะพูดออกมา

      “ไม่ต้องย้ายคณะ ไม่ต้องย้ายหอไปไหนทั้งนั้น แล้วก็…”

      “แล้วก็อะไร?”



      “ไม่ชอบไอ้ภามได้มั้ย”



-----TBC-----

ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9
เอาแล้ววววววๆ เฮียขุนผู้อ่อนโยนกลับมาแล้ววววววว

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด