เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 31 END (06/08/62) P.3
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 31 END (06/08/62) P.3  (อ่าน 11466 ครั้ง)

ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

******************************************************************************************





เสาไฟฟ้าต้นที่สาม





ผมเจอ 'เขา' ที่เสาไฟฟ้าต้นที่สามในซอยบ้านเจ๊หงส์ ใครจะไปคิดว่าการสบตาเพียงครั้งเดียว


จะทำให้ผมต้องมาหายใจร่วมกับเด็กคนนี้เพราะเราดันมีเป้าหมายเดียวกัน


"ตกลง เราจะตายไปพร้อมกัน"







*******************************************************************************************



ฝากติดตามนิยายเรื่องนี้ด้วยนะคะ :mew1:
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-08-2019 22:34:11 โดย gigibabe »

ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0


ตอนที่ 1 ใครๆ ก็เป็นหนี้



“ฮัลโหลครับ”

 

"อานนทกรอ่า ถ้าลื้อยังไม่จ่ายงวดนี้ อั๊วจะไม่ใจดีแล้วน่า"

 

"เอ่อ เจ๊หงส์ครับ"

 

"ไม่ต้องมาครับน่า ไม่ใจอ่อนแล้วน่า" ผมได้ยินเสียงกุกกักๆ ดังมาตามสาย "อานนทกร ถึงลื้อจะเป็นคนดีและเป็นสเป็คอั๊ว แต่หนี้ของลื้อมันก็เยอะจนอั๊วต้องทวงน่า ลื๊อเข้าใจอั๊วหน่อยซี่"

 

"ครับ ผมเข้าใจ ที่เจ๊ไม่คิดดอกเบี้ยผมก็ถือว่าเจ๊เมตตาผมมากพอแล้วครับ"

 

"ใครก็ได้! มาทำความสะอาดห้องรับแขกที...” ผมเอียงหัวจากโทรศัพท์เพราะเสียงตะโกนแหลมๆ ที่ผมเดาอารมณ์ว่าคงกำลังหงุดหงิดอะไรบางอย่างอยู่แน่ๆ ...ซวยแล้ว “อ่า ลื้อเข้าใจนี่ ว่าอั๊วเมตตา แต่นี่มันสี่เดือนแล้ว มันแปลว่าอะไร!!!"

 

"อ่า.." ผมเอียงหน้าหนีอีกครั้งที่เจ๊หงส์ตะโกนใส่ "ผมรู้ครับ แต่ผมเพิ่งเริ่มงานได้เดือนแรก คือผมยังไม่ได้เงินเดือนเต็มๆ เลยครับ"

 

"เฮ้อ” เจ๊หงส์เงียบไปสักพัก ก่อนจะพูดต่อ “งั้นอั๊วจะลดให้แต่ต้องจ่ายวันนี้เท่านั้นนะ"

 

"เจ๊หงส์ครับ" พูดออกไปด้วยเสียงอ่อนแรง เมื่อคิดถึงจำนวนหนี้หกหลัก ถึงผมจะได้รับเงินเดือนมาหมาดๆ แต่เงินเดือนผมนั้นถูกหักไปเกือบครึ่งของเงินเดือนทั้งหมด ไหนจะต้องจ่ายค่าไฟ ค่าน้ำและค่าใช้จ่ายชีวิตประจำวัน

 

"วันนี้ เดี๋ยวนี้!!!"

 

"อ่า ครับ" สุดท้ายก็ต้องยอมเพราะที่ซุกหัวนอนเก่าๆ ที่ผมอยู่ฟรีในตอนนี้ก็เป็นของเจ๊หงส์

 

"อั๊วให้ลื้อผ่อนเดินละสองพัน แต่ลื้อหายไปสี่เดือนเต็มๆ" ผมได้ยินเสียงถอนหายใจของเจ๊ “เจ๊เข้าใจเรื่องเงินเดือนลื้อนะ...งั้นรอบนี้เจ๊คิดสี่พันแล้วกัน”

 

"..." ผมเงียบไปบ้างเพราะรู้สึกซึ้งน้ำใจเจ้าหนี้ แต่ก็ต้องขมวดคิ้วคิดหนักเพราะถ้าหักหนี้ไปแล้วคงเหลือเงินประมาณห้าพันกับการใช้ชีวิตอีกหนึ่งเดือนเต็มๆ สงสัยผมต้องงดข้าวกลางวันด้วยแล้ว "ครับ"

 

          ผมเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกงด้วยความรู้สึกเหนื่อยล้า ทั้งจากงานที่ทำมาทั้งวันและจากการคุยโทรศัพท์กับเจ้าหนี้ ผมเดินไปเข้าลิฟท์เบียดกับผู้คนแล้วลอบถอนหายใจเบาๆ น่าเบื่อเหมือนทุกวัน มองตัวเลขที่นับถอยหลังไปเรื่อยๆ แล้วก็มีความคิดอยากให้เกิดลิฟต์ตกขึ้นมา คงจะดีไม่น้อย

 

“น้องนน กลับบ้านดีๆ นะคะ”

 

“...”

 

“เอ่อ คือ น้องนน ได้ยินไหมคะ”

 

“ครับ”

 

          ผมยิ้มบางๆ ให้กับพี่ผู้หญิงที่เข้ามาคุยกับผม พี่เขาเป็นพนักงานบริษัทหนึ่งที่อยู่ในตึกเดียวกันนี้ ผมรู้ว่าพี่เขาคงอยากสานสัมพันธ์กับผม แต่ผมไม่อยากยุ่งกับเรื่องพวกนี้อีกแล้ว มือเรียวนั้นเอื้อมมือมาแตะแขนผมเบาๆ แล้วยิ้มให้ ผมยิ้มตอบ ยกมือไหว้ ก่อนจะรีบสาวเท้าเดินออกจากตึกไปและรีบเดินเร่งฝีเท้าเข้าไปโรงจอดรถ

 

บรืน

 

          ผมสตาร์ทฟีโน่คู่ใจ ใส่หมวกกันน๊อคสีดำและเร่งรถออกไป รีบกลับห้องเก่าๆ ของตัวเอง ขับไปเรื่อยๆ ผมก็นึกถึงผู้หญิงที่เจอหน้าลิฟต์เมื่อกี้ที่พยายามจะสานสัมพันธ์กับผม เฮ้อ อย่างผมน่ะ ไม่เหมาะที่จะมีความรักหรอก

 

.



.

 

          ผมเดินทอดน่องเข้าซอยบ้านเจ๊หงส์เพื่อเป็นการถ่วงเวลา ไม่ขี่มอเตอร์ไซต์เข้ามาเพราะเปลืองน้ำมัน เลยจอดไว้ที่หอที่อยู่ถัดจากซอยนี้เพียงสามซอย มองเข้าไปในซอยแล้วถอนหายใจ แค่เดินเข้าไป ผ่านเสาไฟไปห้าต้น...เงินเดือนผมก็จะหายไปครึ่งหนึ่ง

 

          ในตอนนี้รอบข้างเริ่มมืดลง ในระหว่างที่ผมเดินเข้าไปเสาไฟฟ้าพวกนี้ก็สว่างขึ้นมาต้อนรับผม ผมมองนู้นนี่ระหว่างทางไปเรื่อยๆ แบบไม่รีบร้อนนักเพราะข้างทางในตอนนี้น่าสนใจกว่าบ้านหลังใหญ่ที่ผมจะไปตั้งเยอะ และการสังเกตการณ์ของผมก็ได้เริ่มต้นขึ้น เสาไฟฟ้าต้นที่หนึ่งค่อนข้างสภาพดีเพราะอยู่ติดป้ายชื่อซอย ต้องเป็นหน้าตาของซอยเสียหน่อย

 

          เสาไฟฟ้าต้นที่สองมีแผ่นกระดาษแปะไว้ทั่ว ทั้งใบรับสมัครแม่บ้าน งานซ่อมต่างๆ และการประกาศตามหาแมวที่มีค่าตอบแทนเป็นเงินรางวัลหมื่นกว่าบาท เยอะกว่าผมที่ทำงานมาเต็มเดือนอีกหรือบางทีผมจะไปทำอาชีพคนล่าแมวดีนะ   

 

          เสาไฟฟ้าต้นที่สามคือที่สิ้นสุดของกำแพงของบ้านหลังใหญ่ที่อยู่หน้าซอยนี้ ถัดไปจากต้นนี้ก็เป็นป่ารกร้าง จนไปถึงต้นที่ห้าก็จะเป็นบ้านหลังใหญ่ของเจ๊หงส์ ผมเดินห่างออกจากบริเวณเสานี้เล็กน้อยเพราะมีถังขยะเหล็กสีเขียวขนาดใหญ่วางไว้อยู่และแน่นอนขยะก็ยังล้นส่งกลิ่นเหม็นออกมาจนทำผมต้องกลั้นหายใจ เห็นแมลงสาบสองตัวเดินคู่กันแล้วก็แทบจะไปเดินลงไปกลางถนน ในใจก่นด่าทั้งแมลงสาบทั้งการจัดการขยะของประเทศตัวเอง

 

          ผมกำลังจะผ่านเสาต้นนี้ไป แต่สิ่งมีชีวิตที่นั่งกอดเข่าตัวเองและซุกหน้าตัวเองไว้ที่เข่า ทำให้ผมเห็นเพียงแค่เส้นผมสีดำสนิทอยู่ข้างเสาไฟฟ้านั้น ก็ทำให้ผมชะงักไปเล็กน้อยและรีบสาวเท้าเดินให้ไวขึ้นกว่าเดิม

 

          นี่มัน...อันตรายชะมัด ไม่มีเวลานึกถึงต้นที่สี่และห้า ผมรีบเดินเร็วๆ ให้พ้นป่าข้างทางให้ไปถึงบ้านเจ๊หงส์เร็วๆ ที่ต้องรีบไปจากตรงนี้เพราะเกรงว่าคนบ้าคนนั้นจะลุกขึ้นมาอาละวาดเสียก่อน…ไม่อยากจะวุ่นวายและยุ่งเกี่ยวกับใคร

 

.



.



“เดือนหน้าก็จ่ายด้วยล่ะ”

 

“ครับ”

 

“อย่าหายไปอีกน่า”

 

“ครับ”

 

“...อั๊วเป็นห่วง”

 

“ครับ”

 

          พูดได้แค่คำว่าครับ แล้วเดินตัวเบาออกมาจากคฤหาสน์แสนสวย เดินเหม่อลอยมาเรื่อยๆ เงยหน้ามองฟ้าถามคนบนนั้น จะทดสอบความอดทนกันอีกนานไหม เหมือนผมอดทนมาเพื่อเจอกับเรื่องที่ต้องอดทนกว่าเดิมและเป็นรอบที่เท่าไหร่ของวันแล้วก็ไม่รู้ ที่ผมคิดอยากหายไป

 

          ถ้าผมหายไปทุกอย่างคงไม่มีอะไรเปลี่ยนไป ผมไม่มีพ่อแม่ ไม่มีคนรัก ไม่มีใครต้องเสียใจกับการหายไปของผม ถ้าหายไป...ทุกอย่างก็คงจะเงียบสงบเหมือนบรรยากาศของซอยในตอนนี้ ที่มีเพียงเสียงลมพัดไปเป็นเสียงเดียวที่ดังที่สุด แต่แล้วก็มีเสียงสะอื้นของใครบางคนที่ทำลายความเงียบนี้ลงไป

 

“ฮึก”

 

“...”

 

          ผมยืนหยุดนิ่งตรงเสาไฟฟ้าต้นที่สาม มองคนที่นั่งกอดเข่าอยู่ที่พื้นอย่างช่วยไม่ได้เพราะเขาเป็นเจ้าของเสียงสะอื้นที่ได้ยิน กลุ่มผมสีดำค่อยๆ ยกขึ้นจากเข่า ทำให้ผมได้เห็นใบหน้าขาวซีดและดวงตาที่มีประกายสดใส แต่ดวงตาคู่นั้นกลับเต็มไปด้วยความเศร้าและน้ำตา เขาเบิกตามองผมด้วยความตกใจก่อนที่จะหลบตา แล้วใช้แขนเสื้อสีขาวปาดน้ำตาตัวเองออก

 

          เขาเงยหน้ามามองสบตาผมอีกครั้งและไม่รู้อะไรที่ทำให้ผมจ้องมองไปที่ดวงตากลมที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้านั้นอีกครั้ง

 

น่าแปลก...ที่ไม่กลัว

 

น่าแปลก...ที่ความรู้สึกโดดเดี่ยวที่ซ่อนไว้ถูกพังทลาย

 

ราวกับเจอคนคนเดียวกัน

 

“...”

 

          ไม่มีเสียงสะอื้นใดหลุดออกมาจากปากบางสีสดนั้นอีก เราจ้องตากันอยู่แบบนั้นสักพัก แต่แล้วก็เป็นเขาที่หลบสายตาผม เขารีบลุกขึ้นยืนและหยิบกระเป๋าเป้สีแดงบนพื้นขึ้นมาสะพายขึ้นหลัง ร่างบางที่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวกับ กางเกงสแล็คสีดำและรองเท้าผ้าใบสีขาวนั้นดูบอบบางจนเหมือนจะปลิวหายไปกับสายลม

 

          ผมคงเข้าใจผิดที่คิดว่าเขาเป็นคนบ้า...มองคนที่ตัวเล็กกว่าผมอีกครั้ง เขาก้มหน้าลงเล็กน้อยแล้วเดินผ่านผมไป ผมยังคงยืนเขามองอยู่แบบนั้นจนภาพร่างเล็กที่สะพายกระเป๋าสีแดงที่ใหญ่กว่าตัวนั่นเริ่มเล็กลง ไม่รู้ว่าเพราะอะไรผมจึงมองเขาไม่วางตาและไม่รู้ว่าเพราะอะไร ผมถึงตัดสินใจแอบเดินตามเขาไปด้วย

 

.

 

.

 

          ลมเย็นพัดผ่านไป ผมเสยผมที่ปลิวมาบังสายตาและเดินเงียบๆ ตามหลังเด็กกระเป๋าแดงต่อไป เขายังคงเดินไปเรื่อยๆ ไม่มีท่าทีว่าจะหยุด จนมาถึงบริเวณท้ายซอย

 

          ผมหยุดเดินตรงจุดตัดของถนนปูนที่เชื่อมกับถนนที่เป็นดินลาดลงไป ทางลาดนั้นทอดยาวไปจนถึงสะพานเก่าๆ บริเวณนี้ค่อนข้างมืด โชคดีที่ยังมีแสงไฟจากหลอดไฟเพียงหลอดเดียวบนสะพานที่ส่องสว่างอยู่ช่วยให้ผมมองเห็นร่างเล็กที่เดินไปหยุดตรงกลางสะพานนั้นได้

 

          เส้นทางนี้เป็นทางลัดที่เอาไว้ใช้ไปอีกซอยหนึ่งได้เพียงแค่ข้ามสะพานไม้ที่เอาไว้ใช้ข้ามคลองนี้ไป ก็จะไปยังท้ายซอยของอีกซอยได้ แต่เพราะข่าวการปล้นจี้ในบริเวณนี้ ทำให้เส้นทางนี้เป็นทางที่ไม่มีใครอยากผ่านในเวลากลางคืนของคนทั้งสองซอย

 

          ผมมองร่างเล็กที่ดูบอบบางจนผมกลัวว่าเขาจะปลิวไปกับสายลม เขายืนนิ่งอยู่กลางสะพานนั้น ผมมองเส้นผมสีดำที่ปลิวไปตามสายลม ดูอ่อนไหวและนุ่มสลวยเหมือนใบหน้าของเขา น้ำตาของเขายังคงไหลออกมาจากดวงตาคู่สวยซ้ำแล้วซ้ำเล่า

 

          แต่แล้วเขาก็เริ่มขยับ ถอดเป้สีแดงวางไว้ มือเรียวจับราวสะพานไว้ แล้วก้าวขาขึ้นไปนั่งบนนั้น เขาขึ้นไปนั่งห้อยขาบนนั้นและก้มมองลงไปในคลองนั้น ผมเห็นเขาหลับตาลงและผมก็ไม่ต้องการสังเกตอะไรอีกแล้ว

 

ฟรึ่บ

 

“เห้ย!”

 

“...”

 

“ปล่อย!”

 

“...”

 

“ฮึก ปล่อย! อย่ามามอบความโชคดีที่จิงไม่ต้องการ!” ร่างเล็กยังคงดิ้นไม่หยุด พร่ำเพ้อพูดออกมาด้วยเสียงสะอื้น เตะต่อยแขนขาผอมๆ นั่นไปมาแต่เพราะโดนผมกอดรัดไว้จากด้านหลังทำให้แขนขาที่เตะต่อยไปทั่วนั้นไม่ได้ทำร้ายผม “จิงไม่อยากได้!”

 

“คุณ”

 

“ปล่อย!”

 

“อยากตายขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

 

“..ฮึก ใช่!”

 

“อย่าทำแบบนี้เลย...”

 

“ไม่ต้องมายุ่ง ปล่อยๆๆ”

 

ฟรึ่บ

 

          ดิ้นไปสักพักร่างเล็กก็หมดแรงและเป็นลมไป ผมตกใจเพราะไม่คิดว่าเขาจะสลบไปแบบนี้ พลิกตัวประครองให้หันมาหากัน พินิจมองไปทั่วใบหน้าขาวซีด...ผมคงต้องทำอะไรสักอย่าง

 

.

 

.

 

          กลิ่นหอมเย็นๆ เป็นสิ่งแรกที่ผมรู้สึก แล้วสมองก็สั่งให้ลืมตา ภาพที่มองเห็นเบลอไปสักพักก่อนจะชัดเจนขึ้น สิ่งแรกที่มองเห็นคือใบหน้าของคนที่ผมไม่รู้จักและผมก็ลุกขึ้นนั่งโดยอัตโนมัติ

 

          ท่ามกลางความเงียบ เราจ้องกันอยู่แบบนั้น ใบหน้าของเขานิ่งเฉยจนผมรู้สึกหวาดหวั่นอยู่ในใจ เขาเป็นใคร แล้วผมมานอนอยู่ตรงนี้ได้ยัง ผมเผลอขมวดคิ้ว แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อเขายื่นยาดมนั่นมาที่จมูกผม

 

“เห้ย” อุทานออกไปแล้ว เผลอขยับตัวให้ออกห่างคนที่นั่งข้างกัน

 

ฟรึ่บ

 

          ตกใจอีกครั้งเพราะผมดันถอยหลังมากไป จนจะหงายหลังตกจากเตียง กำลังจะเตรียมใจรับความเจ็บ แต่ก็ต้องผมเบิกตากว้างตกใจ เมื่อคนที่ตัวใหญ่กว่าผมเขาดึงผมไว้และดึงเข้าไปหาเขา ผมเลยมานั่งเกยอยู่บนตักเขาและใบหน้าเราห่างกันแค่คืบ

 

“เดี๋ยวตกครับ”

 

          เสียงทุ้มพูดออกมานิ่งๆ แล้วจ้องมองเข้ามาในตาผม จ้องและจ้อง จนผมรู้สึกเกร็ง ใช้มือดันอกเขาออกแล้วกระเถิบตัวเองลงจากตักเขา มานั่งข้างกันเหมือนเดิม แล้วทุกอย่างในห้องก็เงียบ ผมแอบมองคนที่ตัวใหญ่ที่นั่งข้างกัน ทำหน้านิ่งหมุนปิดฝายาดม...จำได้แล้ว เขาคือคนที่ยืนจ้องผม ก่อนที่ผมจะ...

 

“มาห้ามจิงไว้ทำไม”

 

“คุณพูดแบบนี้กับคนที่ช่วยคุณไว้เหรอครับ”

 

“…จิงไม่ได้ขอ”

 

“...” เขาเงียบไปแต่ยังคงจ้องหน้าผมอยู่

 

“ขอโทษที่ทำให้เดือดร้อนแล้วกัน จิงจะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ”

 

“ประทับใจมากเลยครับ”

 

“พี่จะเอาอะไร ไม่ได้ขอให้ช่วยแล้วยังจะมาเหน็บกันอีก”

 

“...”

 

“รู้ไหมว่าจิงทรมานแค่ไหน” ผมจ้องคนที่นั่งหน้านิ่งอยู่ข้างผม เขาจ้องกลับมาและถอนหายใจใส่ผม ก่อนจะขยับลงจากเตียงไป หน้านิ่งของเขาทำให้ผมหงุดหงิดจนเผลอตะโกนออกไปด้วยความรู้สึกครุกกรุ่นอยู่ในใจ “จิงอยากตาย ได้ยินไหม!”

 

“เหมือนกันเลย” เสียงทุ้มพูดกลับมานิ่งๆ แล้วลุกออกจากเตียงไป เขาเดินไปเลื่อนประตูกระจกออกไปนั่งที่พื้นตรงระเบียง  ทิ้งผมให้นั่งอยู่กับอารมณ์ของตัวเอง

 

          ผมถอนหายใจด้วยความหงุดหงิด ลุกไปหยิบกระเป๋าตัวเองเตรียมหันหลังจะออกจากห้องนี้ แต่ภาพแผ่นหลังใหญ่ในตอนที่เดินออกไปที่ระเบียงและในตอนนี้ที่กำลังพิงประตูกระจกอยู่นี้ดูโดดเดี่ยว...เหมือนกับผม นั่นทำให้ผมหยุดอยู่ที่เดิม

 

.

 

.

 

 “ผมไม่ชอบกลิ่นบุหรี่” ผมพูดออกมาตอนที่เด็กคนนี้เดินมานั่งข้างผม ผมขยับไปไปข้างๆ อีกนิดให้คนตัวเล็กกว่ามานั่งด้วยกัน แต่เพราะขนาดระเบียงที่เล็กมาก ทำให้เรานั่งชิดกันอยู่ดี…ชิดจนไหล่เราเบียดกัน

 

“อ่อ โอเค”

 

          เด็กคนนั้นจี้มันลงที่ราวจับและเก็บเข้ากระเป๋าเสื้อตัวเอง ความเงียบก่อตัวอีกครั้ง มีเพียงลมเย็นๆ พัดมาแทรกความเงียบของเราทั้งคู่

 

... ผมละสายตาจากท้องฟ้ามืดมิดตรงหน้า มองคนที่นั่งอยู่ข้างกัน

 

“ออกมานั่งด้วยทำไมครับ”

 

“ไม่รู้” ปากบางพูดออกมาเสียงแผ่วเบา ดวงตาคู่นั้นมองไปที่ท้องฟ้าสีดำและผมก็ละสายตาไปมองมันบ้าง “ที่พี่พูดเมื่อกี้ หมายความว่าอะไร”

 

“ครับ?”

 

“เมื่อกี้…”

 

“อ่อ ที่บอกอยากตายใช่ไหมครับ”

 

“...” ความเงียบทำให้ผมหันกลับมามองเขา แล้วพบว่าเขามองผมอยู่ เขาไม่ได้หลบสายตาผมอีกแต่กลับจ้องตาผมแล้วพยักหน้าขึ้นลงแทนคำตอบ

 

“ใช่ ผมหมายความว่าอย่างนั้นจริงๆ” เว้นวรรคละสายตาไปมองที่ภาพท้องฟ้าอีกครั้ง “ผมอยากตายจริงๆ แต่ยังติดบางอย่างอยู่ครับ”

 

“พี่กลัวเหรอ”

 

“ไม่ได้กลัว” ผมหันกลับมามองลึกไปที่ดวงตานั้นแล้วพูดออกไป “แค่ยังมีเรื่องติดค้าง แต่ก็เคยพยายามนะแต่ความตายมันยาก…คุณเชื่อผมไหม”

 

“เชื่อ...เพราะพี่ก็เพิ่งช่วยจิงมา”

 

“หึ” อดที่จะขำกับคำพูดของคนที่ชอบแทนชื่อตัวเองไม่ได้

 

“แล้วพี่ติดอะไรอยู่”

 

“จริงๆ แล้วผมติดหนี้อยู่ครับ”

 

“จริงดิ” ผมมองรอยยิ้มที่เกิดขึ้นที่มุมปากของคนข้างๆ  “จริงๆ แล้วจิงก็เหมือนกัน”

 

“...”

 

“ทนทำสิ่งที่ติดค้างมาตลอด แต่ตอนที่ยืนอยู่บนสะพาน มัน...”

 

“มันทนไม่ไหวแล้วใช่ไหมครับ”

 

“อือ”

 

“ถ้าผมทำสิ่งนั้นเสร็จแล้ว ผมก็คงจากไป”

 

“เหมือนกันเลยพี่”

 

“ครับ?”

 

“พอใช้หนี้เสร็จหมดแล้ว เรามาตายพร้อมกันดีไหมพี่”

 

“…”

 

          ผมเงียบไปมองคนที่มองผมอยู่ ดวงตาสวยที่เต็มไปด้วยประกายสดใส แต่ถ้ามองดีๆ แล้วในควงตาคู่นี้ก็ยังคงเศร้าหมอง ไหล่เล็กดูโดดเดี่ยวจนน่าสงสาร ริมฝีปากบางสีสดเม้มไปมาเหมือนประหม่ากับสิ่งที่พูดไป ผมยื่นมือไปตรงหน้าคนหลงทาง

 

“…” เขามองมือผม แล้วรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้าหวาน เป็นรอยยิ้มที่สว่างไสวกว่าดาวประจำเมืองบนท้องฟ้า

 

“ตกลง” ทันทีที่ผมพูดออกไป มือขาวก็ยื่นมาจับมือผม มองใบหน้าที่ยิ้มกว้างกว่าเดิมเมื่อผมตกปากรับคำก็อดไม่ได้ที่จะยกมุมปากยิ้มตาม “เราจะตายไปพร้อมกัน”

 

 

 

 
*********************************

TBC

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
 :a5:อะไร เจอกันครั้งแรกก็มาชวนกันตาย บ้าป่าว อิอิ

ออฟไลน์ kawisara

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1583
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-7
ยังดีที่คิดใช้หนี้ก่อนตาย

ถือว่าเป็นคนมีความรับผิดชอบ

สู้ๆนะทั้ง2คน

ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0


ตอนที่ 2 มีเวลาฟังสักสามนาทีไหม


     
 




          ผมกอดอกยืนมองคนที่ความสูงเท่าอกผมยืนพายกระเป๋าสีแดงใบโตทำหน้าเลิ่กลั่ก แล้วผมก็ต้องถอนหายใจออกมา เขาทำท่าทางแบบนี้และมองผมอยู่กลางห้องมาสักพักแล้ว

 

“จะกลับแล้วเหรอครับ”

 

“อะ อือ” เขาตอบผมแบบไม่สบสายตา มือเล็กกำสายสะพายทั้งสองข้างไว้ มองหน้าผมสลับกับเตียงข้างหลัง “คือ...จิง”

 

“ครับ?”

 

“พี่อยู่คนเดียวเหรอ”


“ใช่ครับ”

 

“คือ เอ่อ”

 

“เรามาแลกไลน์กันไว้ก็ได้ครับ”

 

“คือจิงไม่มีโทรศัพท์”

 

          ผมเลิกคิ้วมองคนตรงหน้าอีกครั้ง ไม่มีโทรศัพท์ แบกกระเป๋าใบโต ไปนั่งร้องไห้อยู่ในซอยเปลี่ยว รวมทั้งหมดเข้าด้วยกัน ก็เดาได้ไม่ยากว่าเด็กคนนี้คง...

 

“หนีออกจากบ้านมาใช่ไหม”


“...อือ”

 

“คุณ”


ฟรึ่บ

 

“ให้จิงอยู่กับพี่เถอะนะ” เขาทรุดตัวลงไปนั่งคุกเข่าที่พื้น แล้วจับขาผมไว้

 

“คุณ...” ผมพยายามดึงขาออกมาแต่มือเล็กที่ดูอ่อนแรงกลับยึดไว้แน่นไม่ปล่อย


“นะพี่” มือเล็กจับขาผมไว้แล้วทำหน้าอ้อน แถมจับขาผมเขย่าไปมาอีก “นะๆๆ”

 

“ลุกขึ้น”

 

“ไม่ลุก นะพี่นะๆๆ”

 

“เฮ้อ ก็ได้” ผมถอนหายใจยอมแพ้ให้กับเขา “ลุกขึ้นก่อน”


“เย้” เขายอมปล่อยผมยืนขึ้นถอดกระเป๋าด้วยรอยยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นก็หุบลงภายหน้าเสี้ยววิ เปลี่ยนเป็นทำหน้าตายมองผม แล้วก็พูดออกมาว่า “กระเป๋าหนักเป็นบ้า”

 

“...”

 

          ผมยืนกอดอกมองคนตัวเล็กที่ลากกระเป๋าตัวเองไปวางไว้ข้างตู้เสื้อผ้า เขาถอดเข็มขัดออก ปลดกระดุมออกสองเม็ด พับเสื้อเชิ้ตแขนยาวขึ้นจนถึงข้อศอก แล้วหันมายิ้มแฉ่งให้ผม...คิ้วขวาผมกระตุก

 

“ห้องพี่มีน้ำร้อนปะ”

 

“มี คุณไม่สงสัยเหรอว่าทำไมผมยอมให้อยู่ด้วย”

 

“ไม่อะ เราเข้ากันได้ดีขนาดนี้จะถามอะไรอีกพี่”  คิ้วขวาผมกระตุกอีกรอบ

 

“คุณไม่กลัวผมเหรอ”

 

“ไม่อะ” ผมเริ่มปวดหัวกับคำว่าไม่อะของเด็กตรงหน้า “ถ้าพี่จะทำร้ายผมจริงๆ คงไม่แบกผมกลับมานี่อะ”

 

“...” ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามไม่ถือสาคนที่เพิ่งรอดจากการฆ่าตัวตายมา

 

“เรามาเปิดใจกันไหมพี่”

 

“ตกลง คุณเล่าเรื่องของคุณมา แล้วผมจะบอกเรื่องของผม”

 

“ดีล” เขายกนิ้วโป้งแล้วให้ผมแล้วยิ้มอีกครั้ง ทำไมผมเริ่มหวั่นใจกับรอยยิ้มของเขากันนะ “ว่าแต่พี่พอจะมีเวลาสักสามนาทีไหม”

 

.

 

.

 

          ผมนั่งอยู่บนตียงมองคนตัวเล็กที่เดินวุ่นไปทั่วในห้องแคบๆ นี่ เขาเดินไปเปิดกระเป๋าหยิบมาม่าออกมาสองห่อแล้วหันมายิ้มให้ผม

 

“พี่มีถ้วยปะ”

 

“มีครับ” ผมชี้ไปแถวตู้เย็นขนาดกลางที่มีกาต้มน้ำร้อนกับกล่องใสใส่ถ้วยจานวางไว้ข้างๆ

 

“เยี่ยม” ผมมองเด็กคนนั้นที่นั่งยองๆ แถวบริเวณนั้นอย่างมุ่งมั่น ต่างจากคนที่เขาเจอเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว “หูย กาต้มน้ำแบบเร็วด้วยอะ สุดยอด”

 

“...” ผมนั่งพิงหัวเตียงหลับตาขมวดคิ้วฟังเสียงนั้น คิดถูกหรือคิดผิดไม่รู้ที่ยอมรับเด็กคนนี้ให้มาอยู่ด้วย

 

“มาแล้วพี่” ไม่นานเขาก็ยกถ้วยสองถ้วยเดินมานั่งที่พื้นข้างเตียง ผมลงไปนั่งตรงข้ามกับเขา “ระหว่างรอสุก เรามาเปิดใจกันเนอะ”

 

“ครับ” ผมยกมือขึ้นกอดอก พร้อมจ้องคนที่นั่งตรงข้าม

 

“เราจะเล่าเรื่องตัวเองแค่ภายในสามนาทีนี้เท่านั้น โอเคปะพี่” ผมพยักหน้าตอบไปและพยักหน้าให้เขาเล่าก่อน “จิงชื่อจิง”

 

“...”

 

“ตอนนี้อยู่ปีสี่ อีกไม่กี่เดือนก็เรียนจบแล้ว” เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ เหมือนเรียกความมั่นใจให้ตัวเอง “อ้อ ถ้าพี่สงสัยว่าทำไมจิงถึงขออยู่กับพี่...เพราะจิงไม่มีบ้านให้กลับ ที่จริงจิงเปลี่ยนที่อยู่ไปเรื่อยๆ มาตั้งแต่ปีสี่เทอมแรกแล้ว จิงไปนอนบ้านเพื่อนบ้าง โฮสเทลบ้างแต่วันนี้จิงดันทำกระเป๋าเงินหาย...”

 

“ฟังอยู่ครับ”

 

“โทรศัพท์ก็ขายไปจ่ายค่าเทอมเทอมสุดท้าย”

 

“...”

 

“อืม เรื่องของจิงก็มีแค่นี้อะพี่”

 

“แล้วติดหนี้ไว้เท่าไหร่”


“ปริญญาหนึ่งใบ”

 

“...”

 

“อย่าบอกว่าจิงงี่เง่า”


“ผมไม่ได้พูดอะไร” ผมจ้องเข้าไปในตาใสนั้น “เพราะหนี้ผมก็คล้ายๆ คุณ”

 

“ยังไงอะ”

 

“หนึ่งแสนกว่าบาท เห็นไหมเท่าๆ ค่าเทอมคุณเลย”


“ฮ่าๆ” เขาหัวเราะออกมา...นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นความเศร้าหายไปจากคนตรงหน้า...แต่ก็แค่ชั่วคราว “พี่นี่ตลกว่ะ เออ ว่าแต่พี่ชื่อไรอะ”

 

“นน”

 

“อ่อ” เขาก้มหน้ามองนาฬิกาข้อมือตัวเองและเงยหน้ามามองผม “กินมาม่ากันพี่ ครบสามนาทีแล้ว”

 

“ครับ”

 

          เราก้มหน้ากินมาม่าด้วยความหิวโหย กลิ่นหอมๆ ลอยคละคลุ้งไปทั่วห้อง ผมทำเป็นไม่ใส่ใจกับเรื่องที่เขาเล่ามาและเขาก็ทำเป็นไม่ใส่ใจเรื่องของผมเหมือนกัน

 

          เรารู้ว่าเรื่องระหว่างเรามันแปลก แต่อย่างว่าเราแค่อยากหายไปเหมือนกัน คงไม่ต้องเอาเรื่องน่าปวดหัวของกันมาใส่ใจ แค่รู้ที่มาแบบคร่าวๆ แต่ก็ทำให้เราสามารถเดาเหตุผลได้ค่อนข้างชัด

 

          แค่คนที่ว่างเปล่า โดดเดี่ยวแต่ก็ไม่อยากมีอะไรติดค้างกับโลกใบนี้เหมือนกัน ไม่มีอะไรไปมากกว่าความบังเอิญ แต่ในจังหวะที่ผมยืดตัวขึ้นตักน้ำซุปเข้าปาก เราดันสบตากันพอดี ผมมองปากบางที่มันวาว

 

“พี่นน” ปากนั้นขยับเรียกชื่อผมและยิ้มออกมา “ขอบคุณนะพี่”

 

บางทีอาจจะมีอะไรซ่อนอยู่ในความบังเอิญ ที่ทำให้ผมแอบยิ้มในตอนนี้ก็ได้

 

.

 

.

 

 

“พี่...จิงขอหารค่าห้อง แล้วก็ค่าน้ำค่าไฟนะ”

 

“จ่ายแค่ค่าไฟก็พอ”

 

“แต่จิง...”

 

“ไม่เป็นไร” แล้วผมก็เถียงอะไรไม่ออกเมื่อเจ้าของห้องพูดออกมาพร้อมใบหน้านิ่งๆ เพราะผมไม่รู้เลยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ไม่อยากผิดใจกันตั้งแต่วันแรก

 

 “เดี๋ยวจิงเอาถ้วยไปล้างเอง” ผมรีบพูดออกมาตอนที่เขาเดินไปหยิบถ้วยมาม่าขึ้นมาจากพื้น เขาหันมามองผมนิ่งๆ โดยไม่พูดอะไร แต่เหมือนเขากำลังบอกผมเองว่าปล่อยให้เขาล้างไปเถอะ


“ไปอาบน้ำเถอะครับ มันต้องออกไปล้างตรงระเบียง เดี๋ยวยุงกัด”

 

“โอเค” ตกใจเล็กน้อยกับประโยคยืดยาวของคนหน้านิ่ง “ถ้าอย่างนั้น จิงอาบน้ำนะ”

 

          เขาพยักหน้าให้ผมและออกไปที่ระเบียง ผมมองไปทั่วห้องเล็กๆ ภายในห้องนี้มีเพียงเตียง ตู้เสื้อผ้าและตู้เย็น ผมแอบมองแผ่นหลังที่กำลังล้างจานอยู่ข้างนอกอีกครั้ง เขาเป็นคนแปลกๆ ในหลายครั้งดูเหม่อลอย เหมือนจะปล่อยทุกอย่างไปตามโชคชะตา

 

          แต่บางครั้งผมก็รู้สึกว่าเขาไม่ได้เป็นแบบนั้น ผมไม่รู้ว่าการที่เขาใจดีกับผมแบบนี้มีอะไรไม่ชอบมาพากลรึเปล่า แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าต้องไปนอนในที่ที่ไม่ปลอดภัย ที่จริงผมก็ไม่ค่อยเข้าใจทำไมต้องคิดว่าที่นี่จะปลอดภัยก็ไม่รู้

 

ซ่า

 

          เสียงน้ำกระทบกระเบื้องทำให้ผมเลิกคิดอะไรวุ่นวายไปได้บ้าง น้ำเย็นไหลผ่านใบหน้าไปทำให้ผมผ่อนคลาย ผมที่เผลอยืนนิ่งใต้ฝักบัวไปนาน ก็เพิ่งนึกถึงปัญหาใหญ่ออก...จะนอนกันยังไงวะเนี่ย ยังไงผมก็ไม่กล้าขึ้นไปนอนบนเตียงคู่นั่นแน่ๆ

 

แกรก

 

“พี่นน” เป็นไว้อย่างที่คิด

 

“เดี๋ยวผมนอนฝั่งติดกำแพงเองครับ” ผมมองเตียงคู่ที่โดนแบ่งข้างด้วยหมอนข้าง ผ้าห่มสองผืนวางอยู่ปลายเตียงอย่างเรียบร้อย ผมเงียบมองคนที่ตัวสูงกว่าผมเดินไปหยิบเสื้อผ้าออกจากตู้เสื้อผ้าและเดินไปเข้าห้องน้ำด้วยท่าทีมึนๆ

 

“ทำไม..” ผมหลุดพูดสิ่งที่คิดออกมาเบาๆ ตอนที่เขาเข้าห้องน้ำไปแล้ว “ทำไมต้องทำดีกับจิงถึงขนาดนี้”

 

           ผมล้มตัวลงนอนลงบนเตียงฝั่งของตัวเอง นอนคิดเรื่องที่ผ่านมาทั้งวัน ผมที่เลือกจบชีวิตตัวเองแต่สุดท้ายกลับมานอนอยู่บนเตียงคนแปลกหน้าที่ช่วยชีวิตตัวเองไว้ แถมยังตกลงจะจบชีวิตด้วยกันอีก

 

“หึ” ผมหลุดขำ ไม่รู้ทำไมถึงเป็นแบบนี้ แต่เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ก็ทำให้ผมยิ้มได้เยอะกว่าทุกวันที่ผ่านมา

 

แกรก



          หลังจากเสียงน้ำหยุดลงพี่นนก็ออกมาจากห้องน้ำด้วยชุดนอนสีน้ำตาล เขาเดินไปเช็คความเรียบร้อยที่ระเบียง ล็อคประตูและเดินไปที่สวิตซ์ไฟ

 

“ผมปิดไฟแล้วนะครับ”

 

“อะ อือ”                   

 

          ไฟทั้งห้องดับลงแต่แสงไฟจากมือถือของคนที่ยืนอยู่ปลายเตียงกลับสว่างขึ้น พี่นนเดินมาแค่ก้าวเดียวก็ถึงเตียง เขาขึ้นมาบนเตียงจากปลายเตียงและทิ้งตัวลงในฝั่งติดกำแพง แล้วเราก็เงียบไป

 

“พรุ่งนี้ผมจะตั้งปลุกหกโมงเช้านะครับ”

 

“...อือ” ผมตอบรับและนอนหันหลังให้เขา พยายามข่มตาให้หลับเพราะบรรยากาศอึดอัดระหว่างเรา

 

“พรุ่งนี้ไปเรียนรึเปล่า”

 

“ไม่อะ ทั้งอาทิตย์จิงมีเรียนวันเดียว”

 

“ครับ” เขาปิดหน้าจอโทรศัพท์ลง ภายในห้องมืดสนิท

 

“...”

 

“...”

 

“คือ...”

 

“จริงๆ แล้วจิงเพิ่งโดนไล่ออกจากงานพาร์ทไทม์” ผมตัดสินใจเล่าเรื่องนี้ให้เขาฟังเพื่อทำลายบรรยากาศอึดอัด “เพราะจิงดันไปต่อยหน้าตาแก่โรคจิตที่แอบจับก้นผม”


“ถึงขนาดต้องไล่กันออกเลยเหรอครับ คุณไม่ผิดสักหน่อย”

 

“ตาแก่นั่นเป็นเจ้าของร้านอะพี่”

 

“อ่า”

 

“ฮ่าๆ จิงขำหน้าพี่อะ”

 

“อะไรกันครับ มืดขนาดนี้”

 

“จิงนึกออกไง“

 

“...”

 

          แล้วเราก็เงียบลงไป สายตาผมที่เพิ่งจะปรับเข้ากับความมืดได้ ก็เริ่มมองเห็นสิ่งของในห้องจากแสงข้างนอกที่เข้ามาทางประตูกระจก ผมกระชับผ้าห่มเข้าหาตัว ในใจเริ่มปล่อยความกลัวออกมา กลัวที่ใหม่ๆ บรรยากาศใหม่ๆ

 

“พี่หลับแล้วเหรอ”

 

“ยังครับ” ผมพลิกตัวหันไปมองคนที่นอนอยู่ข้างๆ แต่ก็พบเข้ากับหมอนข้างสีขาวแทน

 

“ทำไมพี่ถึงให้จิงอยู่ด้วยอะ”

 

“ไหนบอกจะไม่ถามผมไง”


“อยากรู้”

 

“ผมก็ไม่รู้”

 

“เหอะ งั้นจิงนอนแล้วนะ”


“เดี๋ยวครับ”

 

“อะไรเหรอพี่” ผมยังคงมองอยู่อย่างนั้นทั้งที่เห็นแค่หมอนข้างสีขาว แต่ใบหูและเส้นผมที่โผล่ออกมาเล็กน้อย ทำให้ผมรู้ว่าเขาหันหน้ามาทางผมและผมเองก็หันหน้ามองเขาอยู่

 

“ที่ร้านกาแฟใต้ตึกที่ผมทำงานอยู่ เปิดรับพนักงานพาร์ทไทม์”

 

“จริงเหรอพี่”

 

“ใช่ครับ”

 

“งั้นพรุ่งนี้จิงไปด้วยนะ”

 

“ครับ”

 

“จิงนอนแล้วนะ ถ้าพรุ่งนี้จิงไม่ยอมตื่น พี่เขย่าจิงแรงๆ นะ”

 

“ครับ”

 

          ผมหันหลังให้กับหมอนข้างและหลับตาลง ทุกอย่างมันแปลก เขาแปลกที่ไว้ใจผมและผมก็แปลกที่ไว้ใจเขามากขนาดนี้ ทำไมต้องใจดีกับผมแบบนี้ ทั้งเรื่องที่ให้อยู่ด้วยและเรื่องพาร์ทไทม์

 

          เฮ้อ ช่างมันเถอะ ผมไม่อยากคิดมากแล้ว ถ้าเขาจะทำร้ายผมก็คงไม่เป็นไร ยังไงผมก็อยากตายอยู่แล้วนี่ ถ้าเขาเกิดลุกมาฆ่ากันจริง ผมคงขอร้องว่าฆ่าผมให้ตายไปจริงๆ ไม่ต้องตื่นขึ้นมาอีก

 

.

 

.

 

          ท่ามกลางความเงียบงันในกลางดึก ดวงตาคู่หนึ่งลืมตาขึ้นมาท่ามกลางความมืดมิด รอสักพักให้สายตาชินกับความมืดและในตอนที่เริ่มมองเห็นภาพลางๆ ก็ค่อยๆ พลิกตัวหันหน้าเข้าหาคนที่นอนหลับไปแล้ว มือนั้นค่อยๆ เอื้อมผ่านหมอนข้างที่กั้นคนทั้งสองไว้ไปวางลงบนแก้มคนที่กำลังหลับสนิทลูบไล้ไปมาด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ก่อนที่จะละมือออกมาแล้วกลับไปนอนตามเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น










*********************************

TBC
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-03-2019 11:37:54 โดย gigibabe »

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
อะไรยังไง ยังงงๆ แต่ก็อย่าแอบปล้ำกันนะ อิอิอิ

ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0

ตอนที่ 3 ผมน่ะ โคตรคูล




“ไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้ครับ”


“จิงกลัวไม่ทัน”


“จะไปไหนครับ” ผมดึงข้อมือเล็กไว้เมื่อเห็นว่าเขาจะเดินไปทางออกด้านหน้าของตึก


“ก็ไปขึ้นรถเมล์ไงพี่”


“ไปรถเมล์ตอนนี้ไม่ทันหรอก”


“จิงเลยต้องรีบนี่ไง”


“ผมมีรถ”


“อ้าว แล้วก็ไม่บอกกันตั้งแต่แรก” เขาเบะปากแล้วดึงมือไปกอดอกตัวเองไว้ ก่อนจะยกคิ้วทำหน้าทะเล้นใส่ผม “แต่ตอนนี้ยังไงรถพี่ก็ติดตั้งแต่ยังไม่ออกจากหอปะ”


“เดี๋ยวก็รู้ครับ”


บรืน


“พี่ช้าหน่อย!”


“เดี๋ยวไปทำงานไม่ทันครับ”


“พูดไรอะ ไม่ได้ยิน ช้าหน๊อยย!”


“หึๆ”


   ผมขำที่ได้แกล้งคนตัวเล็กที่นั่งซ้อนอยู่ข้างหลัง มือเล็กกำเสื้อผมไว้แน่น เตรียมจะเร่งความเร็วขึ้นอีกนิดเพราะด้านหน้าไฟเขียวพอดี ตัดสินใจดึงมือที่เกาะเสื้อผมไว้ให้กอดเอวตัวเองเอาไว้แต่ผมคงดึงแรงไปหน่อยเพราะรู้สึกถึงหมวกกันน็อคของอีกคนกระแทกเข้ามาที่หลัง


“โอ๊ย!”


บรืน


“เหวอ” ได้ยินอีกคนหลุดเสียงตกใจ ผมก็ยิ้มออกมาด้วยความสนุกและยิ้มกว้างอีกครั้งตอนที่แขนเล็กทั้งสองข้างกอดเอวผมไว้แน่น...อยากให้แยกหน้าไฟเขียวอีกจัง


.


.


“นี่เราตายยังอะ”


“หึ สนุกไหมครับ”


“พี่สนุกคนเดียวเหอะ วันหลังจิงจะรีดเสื้อไว้ตั้งแต่ตอนกลางคืนเลย” ผมมองปากเล็กๆ นั่นที่บ่นไม่หยุด “พรุ่งนี้ไม่ต้องรีบแล้วนะ”


“ครับๆ” ผมรับปากไปแบบส่งๆ แต่ในใจก็เถียงไปว่าไม่รีบก็ไม่สนุกสิ “คุณ..”


“อะ...” เขาตกใจที่ผมจับคางเขาให้เงยหน้าขึ้น เขาเบิกตากว้างแล้วปัดมือผมออก


“พี่ทำไรเนี่ย” เขาว่าแบบนั้นแล้วหันมองซ้ายขวา


“จะถอดหมวกันน็อค”


“จิงถอดเองได้”


“เห็นมันรัดแก้ม ผมแค่อยากช่วย”


“พี่ว่าจิงอ้วนเหรอ”


“...” ผมหยุดคิด เขาไม่ได้อ้วนแต่... “คุณผอมแต่แก้มเยอะ”


“ฮึ่ย” ปากเล็กเบะออกมาอีกรอบ เขาทำปากขมุบขมิบเหมือนด่าผมในลำคอ แล้วแกะที่ล็อคหมวกกันน็อคออกจากคาง แก้มย้วยคืนตัวจากการโดนรัดเด้งไปมา ล่อตาล่อใจจน...


จึก


“เห้ย พี่จิ้มแก้มจิงทำไมเนี่ย”


“เปล่า” ผมเอามือออกจากความนุ่มนั้น คว้าหมวกกันน็อคจากมือเล็กนั้นมาเก็บ แล้วรีบเดินเข้าตึก


“รอจิงด้วย” ผมเดินเร็วไม่รอคนข้างหลัง ในใจก็ทวนประโยคคำถามของเขา นั่นสิ ผมจิ้มแก้มเขาทำไม


.


.


“ร้านนี้ครับ ผมต้องรีบไปแล้ว”


“โอเค ตอนเย็นเจอกันที่รถนะพี่”


“ครับ”


   ผมมองคนที่เพิ่งหันหลังเดินจากไป แผ่นหลังกว้างสะพายกระเป๋าใส่โน๊ตบุ๊คเหมือนพนักงานออฟฟิศทั่วไป นึกถึงใบหน้านิ่งๆ ของเขาแล้วก็เบะปากออกมาด้วยความอิจฉา อยากทำหน้านิ่งแล้วดูดีบ้าง ผมเคยทำหน้านิ่งแล้วพ่อของผมบอกว่าเหมือนปลาตาย...เอ่อ แล้วผมจะคิดถึงผู้ชายคนนั้นทำไมกัน


จึกๆ


   ผมหันไปหาแรงที่จิ้มไหล่ผมทันที ชะงักไปเล็กน้อยกับสิ่งที่ที่หันไปเจอ ผมกะว่าจะมองหน้าคนที่มาสะกิดกันแต่ผมดันเจอคางของคนที่สูงกว่าแทน เงยหน้ามองก็ต้องชะงักไปกว่าเดิม...พี่เขายิ้มให้ผมทำไมอะ


“เอ่อ ทักคนผิดแล้วครับ”


“ไม่ผิดๆ จะมาสมัครพาร์ทไทม์ใช่ไหมล่ะ”


“อ่อ ใช่ครับ”


“รอตรงนี้ก่อนนะ”


   ผมยืนนิ่งไม่ได้พูดอะไรเพราะยังงงอยู่ เขาวิ่งกลับเข้าไปในร้านแล้ววิ่งถือถุงที่ใส่แก้วกาแฟหลายแก้วกลับมา เขายัดถุงพวกนั้นให้ผมถือจนเต็มมือทั้งสองข้าง


“นี่งานแรก ชั้นสิบห้า คุณเอิน บริษัท y”


“คะ ครับ” ผมตอบรับพร้อมท่องจำในใจ “แต่ยังไม่ได้ให้เอกสารสมัครเลยนะครับ”


“ไม่เป็นไร รับแล้ว” พี่เขาฉีกยิ้มให้ “ว่าแต่เราชื่ออะไร”


“จิงครับ เอ่อ จรัสครับ”


“โอเค จิงจรัส”


“เอ่อ” ผมมองหน้าคนตัวสูงกว่า หน้าตาใจดีและยิ้มตลอดเวลาทำเอาผมทำตัวไม่ถูกเท่าไหร่ ทำไมต้องสดใสขนาดนั้น


“รีบไปเร็ว เดี๋ยวน้ำแข็งละลาย


“ครับๆ” นี่ผมได้งานแล้วใช่ไหม


.


.


“คาปูชิโน่ของโต๊ะสอง”


“ครับ” ผมรับถาดกาแฟที่มีแก้วกาแฟแบบร้อนวางไว้ เดินไปอย่างระมัดระวังแล้ววางลงบนโต๊ะไม้ “คาปูชิโน่ครับ”


“พี่นุชมีอะไรให้จิงช่วยไหมครับ” ผมถามพี่ร่วมงานอีกคนในร้านนี้
 

“ไม่เป็นไร ชื่อจิงสินะ”


“ครับ”


“ไปพักกินข้าวก่อนไป เดี๋ยวพี่เฝ้าเคาน์เตอร์เอง”


“เอ่อ นี่เก้าอี้ครับ” ผมลากเก้าอี้ให้พี่นุชนั่งลง ด้วยความเป็นห่วงเพราะเธอกำลังท้องอยู่ “ถ้าอย่างนั้นจิงไปพักแล้วนะครับ”


“จ้า ขอบใจนะ”


   ผมเปิดประตูเข้ามาหลังร้านแต่ก็ต้องชะงักไปที่เจอเจ้าของร้าน เอ่อ เขาคือคนเดียวกันกับคนที่ยัดกาแฟใส่มือผมไปเมื่อเช้า เขายิ้มให้ผมอีกแล้ว แถมยังกอดอกยืนขวางทางผมไว้อีก


“จะไปพักใช่ไหม”


“ครับ”


“รับไปสิ”


“อ่า” ผมรับแผ่นป้ายชื่อของตัวเองมา แล้วกลัดเข้ากับเสื้อเชิ้ตตัวเอง “ขอบคุณครับ”


“ทำงานด้วยกันไปนานๆ นะ มีปัญหาอะไรก็บอกพี่”


“ครับ”


“พี่ชื่อชิน”


“ครับพี่ชิน”


“เราทำงานแปดโมงเช้าถึงสี่โมงเย็นนะ แล้วก็ช่วงนี้พี่อาจจะขอยืมแรงเราหนักหน่อยเพราะพี่นุชเขาท้องอยู่”


“ได้ครับ”


“เรื่องค่าจ้างเราอ่านในใบสมัครแล้วใช่ไหม”


“ครับ”


“ต่อไปนี้ก็ฝากด้วยนะ” ผมสะดุ้งเพราะพี่ชินวางมือบนหัวผม “มีอะไรจะถามไหม”


“เอ่อ” ผมพยายามเอียงหัวออกจากมือใหญ่ “ทำไมพี่ถึงเลือกจิงครับ”


“อ๋อ เพราะเราใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวแล้วดูดีน่ะ”


“หะ” ผมหลุดพูดไม่มีหางเสียงออกไป


“ร้านเราคัดหน้าตาน่ะ ฮ่าๆ” พี่ชินพูดไปหัวเราะไปแล้วตบบ่าผมเบาๆ “ล้อเล่น ไปพักเถอะ อีกหนึ่งชั่วโมงเจอกัน”


“ครับ”


.


.


“จิง ลาเต้สี่แก้ว อเมริกาโน่สาม ชั้นสิบสาม คุณริน บริษัท z”


“ครบครับ”


   ผมทวนรายการในใจแล้วเก็บบิลเข้ากระเป๋าคาดอกที่พี่ชินให้ไว้ รีบเดินไปขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นสิบสาม นี่เป็นการมาส่งกาแฟบนตึกนี้เป็นครั้งที่ห้าของวัน วันนี้พี่ชินบอกคนค่อนข้างสั่งน้อย ปกติแล้วพี่ชินกับพี่นุชเดินกันให้วุ่นกว่าวันนี้อีก


   ผมลอบถอนหายใจในลิฟต์ที่มีพนักงานออฟฟิศอยู่ด้วยไม่กี่คน งานค่อนข้างเหนื่อยแต่ผมทนได้เพราะได้ค่าตอบแทนตั้งห้าร้อย แถมยังมีเจ้านายและเพื่อนร่วมงานที่ใจดีอย่างพี่นุช ผมก็พอใจแล้วดีกว่าเจองานหนักและเพื่อนร่วมงานแย่ๆ


 ติ๊ง


   ผมมองป้ายบริษัท z แล้วเดินเข้าไป แจ้งประชาสัมพันธ์ข้างหน้าแล้วยืนรอบริเวณเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ แอบมองเข้าไปข้างในก็เห็นโต๊ะพนักงานวางเรียงรายกันไปหมด บริษัทที่นี่ค่อนข้างเล็กไม่เหมือนที่ผมเคยเห็นมาก่อน


จึก


“อะ” กำลังจะตะโกนด้วยความตกใจเพราะจู่ๆ ก็มีอะไรมาจิ้มแก้ม แต่ก็ต้องเงียบไปเพราะคิดได้ว่าไม่ควรเสียงดังในบริษัท แต่พอเห็นหน้านิ่งๆ ของคนที่เอานิ้วมาจิ้มแก้มผมแล้วมันก็อดไม่ได้จริงๆ “พี่จิ้มทำไมเนี่ย!”


“ชู่” พี่มันเอานิ้วที่จิ้มแก้มผมไปแทบที่ปากตัวเอง แล้วทำเสียงห้ามผมพูด ผมชะงักไปที่เห็นนิ้วนั้นอยู่ที่ริมฝีปากของเขา มันก็เหมือนพี่มันหอมแก้มผมไม่ใช่หรอ!


“ฮึ่ย” ผมสะบัดหัวไล่ความคิดไร้สาระ แต่ความร้อนบนใบหน้าก็ยังปะทุไม่หยุด


“มารับกาแฟค่ะ”


“อ้อ” เหมือนเสียงสวรรค์ ผมซ่อนใบหน้าร้อนๆ ตัวเอง ด้วยการหันหลังไปส่งกาแฟให้ลูกค้าทันที “นี่ครับ คุณรินใช่ไหมครับ”


   ทำการรับเงิน ทอนเงินกันอยู่สักพัก ลูกค้าก็เดินจากไปแต่พี่นนยังอยู่ เขาทำหน้านิ่งเหมือนเดิมเพิ่มเติมคือกอดอกมองผม ผมเลิกคิ้วกอดอกตามแล้วมองเขาแบบกวนๆ ชี้นิ้วไปที่ป้ายติดอกเสื้อตัวเอง


   พี่นนมองตามก่อนจะยกมุมปากขึ้นนิดเดียว แล้วพยักหน้าขึ้นลงเบาๆ ก่อนจะทำหน้านิ่งสบตาผมเหมือนเดิน ผมยกมุมปากตามแล้วตบอกตัวเองเป็นการแสดงออกว่า ผมน่ะ โคตรคูล เขาชูนิ้วโป้งให้ผมโดยที่ยังทำหน้านิ่งแล้วเดินผ่านผมไปทั้งอย่างนั้น
 

“หึๆ” ผมหัวเราะในลำคอเบาๆ หลังอวดที่ตัวเองได้งานเสร็จ กำลังจะเดินออกจากบริษัทนี้ไปขึ้นลิฟต์ แต่…


“อุ๊บ ฮ่าๆ”


“เอ่อ” ผมหันหน้าไปมองพี่ที่นั่งอยู่ฝ่ายประชาสัมพันธ์หัวเราะออกมา


“อุ๊ย น้อง พี่ขอโทษๆ พี่แค่ขำน้องกับพนักงานคนเมื่อกี้”


“อ่อ ครับ”


“ดูสนิทกันจังนะ”


“เอ่อ ครับ งั้นขอตัวนะครับ”


“จ้าๆ”


ติ๊ง


   ผมเดินเข้าไปในลิฟต์ร้างผู้คน กดลงไปที่ชั้นแรกเพื่อกลับไปยังร้านกาแฟ ในหัวนึกย้อนเรื่องเมื่อสักครู่ หึ สนิทที่ไหน เจอกันแค่วันเดียวเอง แต่ผมก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่ได้อวดป้ายชื่อกับเขาและได้รับคำชมเป็นมุมปากที่ยกขึ้นนิดเดียวกับการชูนิ้วโป้งแบบนั้น มันรู้สึกดีไม่น้อยเลย


อยากทำให้ยิ้มได้เหมือนตอนที่เรานั่งอยู่ระเบียงด้วยกันจัง


“อะ” ผมตกใจที่เห็นใบหน้าตัวเองกำลังยิ้มสะท้อนกับกระจกในลิฟต์

 
ยิ้มได้โดยลืมคิดถึงเรื่องนั้นไปแล้วเหรอจิง





**********************************
TBC




ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
โห..ได้งานเร็วจัง ขยันมากๆ นะ

ออฟไลน์ kawisara

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1583
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-7
ดีใจด้วยนะจ๊ะที่ได้งาน

แถมเจ้านายหล่อและใจดี

อยู่กับพี่นนและช่วยกันแก้ปัญหา

เผื่อวันข้างหน้าจะเปลี่ยนใจ

ไม่คิดฆ่าตัวตายกันทั้งคู่

สู้ๆทั้งคุณนักเขียน

และน้องนนกับจิง

ออฟไลน์ lovenine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 250
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
เป็นกำลังใจให้ทั้งคู่  และ ผู้แต่ง ^^

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 3 (17/03/62)
« ตอบ #9 เมื่อ: 17-03-2019 20:30:50 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0

ตอนที่ 4 ครึ่งๆ



 

“ทำงานวันแรกแล้วหยุดเลย เจ้าของร้านไม่ว่าอะไรเหรอครับ”

 

“ไม่อะ จิงบอกแล้วว่าจิงมีเรียนทุกวันอังคารแล้ว”

 

“ดีแล้ว”

 

“ใช่ดีมากๆๆๆ” ผมพูดย้ำๆ และรับหมวกกันน๊อคมาใส่ “พี่รู้ปะ บางที่ไม่รับจิงพราะทำจันทร์ถึงศุกร์ไม่ได้ก็ตั้งเยอะ พี่ชินใจดีมาก แถมไม่ต้องทำงานชดวันเสาร์อาทิตย์ด้วย”

 

“ดีแล้ว”

 

          ผมซ้อนท้ายฟีโน่สีดำของคนหน้านิ่งเหมือนเดิม จับที่จับด้านหลังไว้ ผมปวดหลังนิดหน่อยเพราะวันนี้เดินและยกกาแฟเกือบทั้งวันเลย หลับตารับลมเย็นในตอนเย็นของวันนี้ไว้ ในที่สุดก็เลิกงานสักที ได้รับเงินห้าร้อยบาทมาแล้วก็ชื่นใจ แอบมองคนหน้านิ่งที่กำลังบิดมอเตอร์ไซด์ผ่านกระจกข้างหน้า แล้วผมก็ลอบยิ้ม อยากเล่าเรื่องวันนี้ให้พี่นนฟังอีกเยอะๆ เลยอะ

 

.

 

.

 

“พี่ไม่กินไรหรอ”

 

“ไม่หิวครับ”

 

          ผมพยักหน้ารับ เดินไปหยิบเสื้อผ้าในกระเป๋าไปเปลี่ยนในห้องน้ำ เสื้อยืดตัวใหญ่ๆ กับกางเกงบอลขาสั้นเป็นชุดโปรดของผม ออกมาเจอคนตัวใหญ่หลับอยู่ในเตียงฝั่งตัวเองแล้วผมก็แอบยิ้ม ค่อยๆ เดินไปแอบมองใบหน้าคนที่หลับไปแล้วใกล้ๆ

 

          แอบจับปลายผมดำที่ปรกที่ตาออกให้เขา แล้วก็ลอบยิ้มอยู่คนเดียว วันนี้คงเหนื่อยมากสินะ ทั้งที่เลิกงานเร็วกว่าผมแต่ก็ยังนั่งรอกันจนหกโมงเย็นเพราะผมต้องช่วยพี่ชินปิดร้าน อืม ซื้ออะไรมาให้เจ้าของห้องใจดีคนนี้ดีกว่า

 

จึก

 

“ขอเอาคืนหน่อยเถอะ” หลังจากแอบจิ้มแก้มเขาไปแล้วก็กระซิบเบาๆ แล้วรีบเดินออกจากห้องไปโดยคว้าเอากุญแจที่วางอยู่บนตู้เย็นไปด้วย

 

          ถ้าตอนที่กำลังปิดประตู จิงหันกลับไปมองคนบนเตียงคงจะได้เห็นรอยยิ้มที่เขาอยากเห็นมาทั้งวันแน่ๆ

 

.

 

.

 

“พอได้โชคดีแล้วก็อยากโชคดีไปเรื่อยๆ อะพี่”

 

“โลภ”

 

          ผมว่าคนที่นั่งกินบะหมี่เกี๊ยวตรงข้ามแบบไม่จริงจัง รู้สึกขอบคุณเด็กคนนี้ด้วยซ้ำที่มีน้ำใจปลุกผมมากินข้าวเย็นด้วยกัน จิงใส่บะหมี่เกี๊ยวน้ำในถ้วยให้ผม ส่วนตัวเองก็กินแบบแห้งโดยใส่ห่อกระดาษไว้เหมือนเดิม ผมไล่ไปใส่ถ้วยก็ไม่ไปบอกผมว่ากินแบบนี้อร่อยกว่า

 

“ว่าแต่ผม เมื่อตอนเย็น จิงเห็นพี่เดินไปซื้อล๊อตเตอรี่หน้าตึก”

 

“เผื่อโชคดีไงครับ”

 

“เหอะ”

 

          แล้วเราก็ก้มหน้ากินบะหมี่เกี๊ยวกันต่อ ผมลอบมองคนที่กำลังเคี้ยวตุ้ยๆ แล้วนึกเอ็นดูเขาคงกินเข้าไปคำใหญ่มากเพราะแก้มที่กลมอยู่แล้วยิ่งกลมเข้าไปใหญ่ พอเห็นแก้มที่ขึ้นเป็นลูกๆ นั่นก็เกือบจะยกมือไปจิ้มแต่ก็ต้องทนไว้เดี๋ยวโดน ‘เอาคืน’ อีก

 

“เรื่องสัญญานั่นเอาจริงดิพี่”

 

“ครับ”

 

          ตอบไปโดยไม่ต้องคิด อย่างที่เคยบอกไว้ ผมน่ะจะตายเมื่อไหร่ก็ได้เพราะไม่เหลือคนบนโลกให้ต้องเสียใจกับการจากไปของผมอยู่แล้ว ที่อยู่จนถึงทุกวันนี้ก็เพื่อใช้หนี้

 

“จิงนึกว่าพี่จะพูดเพราะอารมณ์ตอนนั้น”

 

“งั้นมาเลือกกันไหมว่าจะตายแบบไหนดี”

 

“อืม โดดให้รถสิบล้อชนไหมพี่”

 

“ศพไม่สวย ทำให้คนอื่นเดือดร้อน” ผมพูดออกไปและคิดวิธีการต่อไป “กรีดข้อมือ”

 

“หูย กว่าเลือดจะหมด”

 

“โดดตึก ไม่ๆ ผมกลัวความสูง”       

 

“ฮ่าๆ”

 

“อะไรครับ”

 

“เปล่าๆ ผมว่าเราทั้งคู่ประหลาดดี”

 

“ผมก็ว่างั้น” จะมีใครมานั่งคิดวิธีฆ่าตัวตานตอนกินข้าวด้วยกัน

 

“มาเป่ายิ้งฉุบกัน ใครแพ้จ่าย” หลังจากกินอิ่ม เขาก็พูดขึ้นมาแบบนี้

 

“ผมนึกว่าคุณจะเลี้ยงผมซะอีก”

 

“ยันยิงเยา ปักกะเป้า เป่ายิ้ง...ฉุบ”

 

“...”

 

          ผมมองค้อนในมือตัวเองโดนมือขาวที่กางออกเป็นกระดาษกำไว้ ผมเงยหน้ามองคนที่ยิ้มเจ้าเล่ห์ให้ผมก็เกิดความรู้สึกแปลกๆ เข้ามาที่อกด้านซ้าย เลยรีบดึงค้อนออกมาจากกระดาษ

 

“เยส จิงชนะ”

 

“เฮ้อ”

 

“ขอบคุณสำหรับอาหารครับ”

 

“ผมไม่นึกว่าคุณจะเป็นคนแบบนี้”

 

“ฮ่าๆ”

 

“ทั้งหมดเท่าไหร่ครับ”

 

“จิงออกหนึ่งร้อย ครึ่งๆ ”

 

“ครึ่งยังไงครับ บะหมี่เกี๊ยวพิเศษสองห่อ นี่ก็หนึ่งร้อยบาทพอดีแล้ว”

 

“ก็ครึ่งนี้จิงจ่าย ครึ่งหน้าพี่จ่ายไง”


“นั่นมุกเหรอครับ”

 

“ฮ่าๆ ” ผมคิ้วกระตุกกับเสียงหัวเราะตรงข้าม แต่แล้วผมก็เริ่มหัวเราะตาม

 

“เห้ย พี่ยิ้มอะ”

 

“นี่คุณ” ผมหุบยิ้มลงทันที

 

“ดีใจอะ”

 

“อะไรกันครับ” แค่ผมยิ้มทำไมต้องดีใจและยิ้มขนาดนั้นด้วย “ผมไปล้างจานดีกว่า”

 

“ฮ่าๆ พี่เขินอะ หน้าแดงเลย”

 

“...” ผมเดินหนีออกมาที่ระเบียงและเริ่มล้างจาน พยายามไม่สนใจคนที่เอาหน้ามาแนบกระจกแล้วรูดขึ้นลงเพื่อแกล้งผม แล้วเขาก็ทำสำเร็จ “หึ” 

 

ในวันนี้ผมหัวเราะออกมาเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้

หัวเราะได้อีกครั้งก็เพราะเขา

 

 

 

 

 

*********************************************

          ขอบคุณทุกคอมเม้น ทุกกำลังใจนะคะ

TBC

ออฟไลน์ kawisara

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1583
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-7
เนื้อเรื่องสนุก

และเป็นการให้กำลังใจกันอย่านึง

ถ้าคนเราไม่หยุดนิ่ง

ชีวิตย่อมมีทางออก

ขอให้โชคดีจงสถิตย์อยู่กับน้องทั้งสองคน

ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0

ตอนที่ 5 ขนมล่องหนกับคนซ่อนแอบ




“วันศุกร์แล้ว โว๊ย!!!”


“คุณอย่าตะโกน”


“ฮ่าๆ”


ผมเปิดเบาะฟีโน่คู่ใจแล้วยื่นหมวกกันน็อคให้เขา ใส่หมวกกันน็อคให้ตัวเองแล้วขึ้นรถสตาร์ทรอ สักพักเขาก็ขึ้นมาซ้อนแล้วกำเสื้อผมไว้อย่างเคย พอเขานั่งเรียบร้อยแล้วผมก็ขับออกจากออฟฟิศทันที วันนี้เราตกลงจะไปซุปเปอร์มาร์เก็ตกันก่อนกลับบ้าน


.


.


ผมมองสบตาคนที่เข็นรถเข็นเล่นอยู่ด้านหลัง เขาเงยหน้ามองผมแล้วยิ้ม ก่อนจะวิ่งไปหยิบขวดเบียร์มาแนบกับใบหน้าตัวเองและยิ้มแฉ่งให้ผม


“นี่ก็ครบหนึ่งอาทิตย์แล้วอะ เราฉลองกันไหมพี่”


“ฉลองที่คบกันเหรอครับ”


“เหอๆ ตลกจังเลยอะ” เขามองบนใส่ผม แล้วเอาขวดเบียร์เดินไปเก็บ


“หึ” ผมขำออกมาเล็กน้อยที่เห็นเขาเบะปากใส่ “ผมยังไงก็ได้แต่ห้ามสูบบุหรี่”


“ดีล”


ผมเดินออกไปหาโซนของแห้งกะจะซื้อตุนไว้ ในหัวก็คำนวณเงินที่เหลือไปพลางๆ ปล่อยให้เด็กซนคนนั้นเลือกเครื่องดื่มและขนมให้เต็มที่ สักพักเขาก็วิ่งมาหาผมที่โซนแชมพูกับพวกครีมอาบน้ำ พร้อมรถเข็นที่มีเบียร์ขวดใหญ่แค่สองขวดกับขนมสองห่อ


“แหะๆ”


“อะไรครับ”


“พอคิดถึงเงินเก็บที่เหลืออยู่ เลยหยิบมาแค่นี้อะ”


“ดีแล้วครับ เอาเท่าที่ไม่ลำบากพอ”


“หูย เข้าใจแล้วครับป๊า”


ป๊อก


“โอ๊ย พี่” ผมหยิบเอาขวดครีมอาบน้ำเคาะหัวเด็กดื้อไปหนึ่งที


“หึ” ผมยิ้มออกมาเพราะคนตัวเล็กลูบหัวตัวเองป้อยๆ “ชอบกลิ่นนี้ไหม”


“อะ ครับ”


“โอเค” ผมวางขวดครีมอาบน้ำลงบนรถเข็นกำลังจะถามคนข้างๆ ว่าอยากได้อะไรอีกไหมแต่เขากลับยืนหันหลังให้ผม ดูเหมือนกำลังสนใจในครีมนวดผมอยู่ ผมมองแผ่นหลังเล็กๆ แล้วยิ้มออกมาอีกครั้ง


ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมาหนึ่งอาทิตย์ผมก็ได้รู้ว่าเขาเป็นเด็กที่สดใส ขี้เล่น แต่ในบางครั้งเขาก็จะเก็บตัวเงียบและพยายามปิดบังความเศร้าเอาไว้ นั่นทำให้ผมละสายตาจากเขาไม่ได้ ไม่รู้ว่าสงสาร เป็นห่วงหรือเป็นเรื่องที่จะต้องทำ


“จิงรอที่จ่ายเงินนะ”


“ครับ” ผมมองคนที่เดินหนีผมไปทางอื่นด้วยความสงสัย เป็นอะไรของเขากันนะ


.


.


ผมนั่งหน้าร้อน ซ้อนท้ายคนตัวใหญ่กว่าด้วยใจที่เต้นเร็ว อาการเหมือนถูกจับได้ว่าทำความผิด ที่ผมเป็นแบบนี้ก็เพราะคำถามที่ว่าผมชอบกลิ่นครีมอาบน้ำนั้นไหมและผมก็ตอบออกไปว่าชอบ มันอาจจะเป็นคำถามคำตอบที่ธรรมดาแต่สำหรับผมมันไม่ใช่


ถึงเหตุผลที่เราใช้ครีมอาบน้ำขวดเดียวกันเพื่อประหยัดเงิน แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นของเรื่องนี้คือคำตอบของผมที่ตอบว่าชอบออกไปเพราะตอนที่ผมตอบไปแบบนั้น ผมไม่ได้หมายความว่าผมชอบกลิ่นนั้นจากขวดนั่นน่ะสิ เพราะผมน่ะ ผม...ชอบกลิ่นที่อยู่บนตัวพี่นนต่างหาก


อ๊าก อยากตกรถตายไปเลย


“คุณ! นั่งดีๆ”


ผมเบะปากรับ แล้วนั่งกอดถุงใบใหญ่ที่ใส่ของมาจากซุปเปอร์ไว้ มืออีกข้างก็กำเสื้อเขาไว้แน่น พยายามกลั้นหายใจไม่สูดดมกลิ่นหอมที่พัดมาตามลมของคนขับไว้...ไม่อยากให้ใจมันเต้นเร็วกว่านี้ ตั้งสมาธิของตัวเองด้วยการมองแผ่นหลังกว้างแล้วปล่อยความคิดไป


ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมาหนึ่งอาทิตย์ ทำให้รู้ว่าพี่นนเป็นคนหน้านิ่ง นิ่งจนผมไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ แบบนิ่งจริงๆ ขนาดเจอแมลงสาบที่เขาบ่นว่าเกลียดนักเกลียดหนา แต่ก็ไม่หลุดสีหน้าอะไรออกมาเลย แค่เดินมาแอบอยู่ข้างหลังผมและกำเสื้อผมไว้


“หึ” แค่คิดถึงตอนนั้นผมก็หลุดหัวเราะแล้ว


ผมมองกระจกข้างลอบมองหน้าคนขับแต่เพราะหมวกกันน็อคผมถึงเห็นแค่ตาของเขา ดวงตาที่ว่างเปล่า นิ่งจนไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ นิ่งจนเหมือนคนไม่มีความรู้สึกแต่หลายๆ ครั้งการกระทำของเขาก็ใจดีอย่างไม่มีเหตุผล บางทีอาจจะเป็นเพราะทั้งหมดที่ว่ามาของเขา...คนหน้านิ่งที่ใจดีคนนี้ ผมเลยอยู่ยังตรงนี้


บรืน


“ว๊าก พี่นน!” ผมตะโกนออกมาและกอดเอวเขาไว้ทั้งที่มีถุงคั่นกลาง นี่พี่มันแกล้งเขาอีกแล้ว ผมขอถอนคำพูด! ถอนทั้งหมดเลย! ไม่มีคนใจดีอะไรทั้งนั้น!


“ฮ่าๆ” ผมทุบเบาๆ กลางหลังคนที่ขับรถอยู่ เขาชะลอความเร็วลงและหันมามองผม ผมเบะปากใส่เขาและนั่นทำให้เขาหันกลับไปหัวเราะอีกครั้ง บางทีผมก็นึกเกลียดหมวกกันน็อค ที่ทำให้ผมไม่เห็นรอยยิ้มของเขาในตอนนี้


.
.


“พี่ไปงานรับปริญญาจิงด้วยนะ”


“...แล้วพ่อแม่เราล่ะ” ผมมองหน้าคนที่นั่งพิงปลายเตียง ถามคนตัวเล็กที่ทั้งหน้าและตัวเริ่มแดง ทั้งที่กินเบียร์ไปแค่ครึ่งขวด


“ไม่มี” ผมมองดวงตาที่เคยสดใสนั้นหม่นหมองลงไปเมื่อพูดถึงเรื่องนี้


“เหมือนกันเลย”


“ที่จริงแล้ว...ก็มี”เขาพูดอ้อแอ้แล้วยิ้มให้ผม “แต่จิงไม่อยากให้ไป”


“จิง” ผมเรียกชื่อเขาด้วยเสียงที่เข้มขึ้น ไม่อยากให้เขาพูดแบบนี้


“หูย โดนเรียกชื่อครั้งแรก” เด็กคนนั้นยิ้มกว้างแล้วมองผม แววตาระยิบระยับที่เกิดขึ้นเพราะแอลกอฮอล์นั้นทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ


“ติ๊งต๊อง”


พูดแบบนั้นแล้วโยนห่อขนมที่แกะแล้วไปให้คนคออ่อน เขาใช้ฟันกัดห่อขนมไว้แล้วคลานมารินเบียร์ให้ผม รินเสร็จแล้วก็ทิ้งตัวลงนั่งข้างผม มือขาวหยิบขนมเข้าปากแต่ไม่รู้ว่าเพราะอาการเมารึเปล่าขนมนั้นจึงร่วงตกพื้น


“ฮ่าๆ พี่...ขนมล่องหน”


“หึ”
ผมขำและชะงักไปที่คนตัวแดงล้มตัวลงนอนลงที่พื้น แต่เอาหัววางลงที่ต้นขาผม ผมเกร็งขึ้นมาทันที มองคนที่นอนหลับตายิ้มอยู่อย่างไม่เข้าใจในตัวเอง เบียร์แค่ขวดเดียวไม่สะกิดต่อมเมาผมด้วยซ้ำ...ทำไมใจถึงเต้นแรงขนาดนี้


“วันนั้นจิงคงไปกินข้าวกับป๊าม๊า แล้วจิงก็อยากให้พี่ไปด้วย” ดวงตากลมโตลืมขึ้นมาสบตาผม


“เจอกันหลังกินข้าวดีกว่าครับ” ผมพูดหลบตาแล้วเสมองไปทางอื่น


“โอเค แล้วเราค่อยไปโดดสะพานที่เราเจอกันครั้งแรกเนอะ”


“อือ”


“ตอบเบาอะ หรือพี่เปลี่ยนใจแล้ว”


“เปล่า”


“พี่นน” ผมมองคนที่มองผมด้วยใบหน้าแดงก่ำ “จิงขอโทษอีกครั้งที่โกหกเรื่องพ่อแม่ไป”


“ไม่เป็นไร”


“แล้วพ่อกับแม่พี่อยู่ที่อื่นเหรอ ไม่เห็นมาหาพี่เลย”


“เสียแล้วทั้งคู่”


“...ขอโทษ” แล้วเราก็เงียบกันไป


นึกย้อนกลับไปเมื่อตอนที่ผมกำลังเรียนจบ ในตอนนั้นผมก็วัยเดียวกับจิงในตอนนี้ ช่วงนั้นเหมือนผมเจอกับมรสุมชีวิต ผมเป็นหนี้เจ๊หงส์เพราะเอาเงินไปรักษาแม่ที่ป่วย แต่สุดท้ายแม่ก็จากไปและพ่อก็จากไปด้วยอุบัติเหตุ ผมไม่เคยปักใจเชื่อว่าพ่อเมาแล้วขับ เพราะพ่อผมไม่ดื่ม...บางทีพ่ออาจไม่อยากอยู่ในโลกที่ไม่มีแม่ พ่อคงตั้งใจทำแบบนั้น


และนั่นทำให้ผมเอาแต่โทษตัวเองที่ไม่มีค่าพอที่จะเหนี่ยวรั้งใครไว้ให้อยู่ด้วย ใช้ชีวิตเสเพลไปกับเงินมรดกที่ได้มาจนหมด กว่าจะมีสติอีกครั้งก็ในตอนที่เจ๊หงส์มาพังประตูห้องที่นี่และบอกให้ผมใช้หนี้ที่ค้างไว้เป็นล้าน ตอนนั้นผมหัวเราะทั้งน้ำตาและลุกขึ้นหางานทำใช้หนี้เพราะมันเป็นอย่างสุดท้ายที่ผมติดค้างไว้กับโลกใบนี้และเป็นอย่างสุดท้ายที่โลกจดจำผม


“ไม่เป็นไร” ตอบออกไปด้วยความจริงใจและสบตากับดวงตาคู่สวยที่มองจ้องผมอยู่


จึก


“หน้านิ่งๆ นี้ซ่อนอะไรไว้บ้างนะ” มือขาวยกขึ้นมาจิ้มแก้มผมแล้วหัวเราะ ผมสะดุ้งมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ผมไม่ได้ผลักไสสัมผัสนี้ ทำได้แค่อยู่นิ่งๆ มองหน้าเขา สักพักแขนเล็กก็ตกลงที่พื้นทันทีที่คนตัวแดงหลับตาหมดสติไปเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์


ฟุ่บ


“เฮ้อ” ผมถอนหายใจ แล้วใช้ปลายนิ้วเกลี่ยผมหน้าม้าที่ปรกตาคนที่นอนอยู่บนตักตัวเองออก ลูบปลายจมูกรั้นและลากมาถึงปากบางสีสด ก่อนจะเกลี่ยมุมปากนั้นเบาๆ “แล้วในรอยยิ้มของจิง ซ่อนอะไรไว้บ้างครับ”







*************************************
TBC




ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
 :3123: :pig4: :3123:

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
รออ่านต่อ
เป็นกำลังใจให้นักเขียนคร่าา
 :3123:
 :pig4:

ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
ตอนที่ 6 อะไรในตู้




   เข้าสู่อาทิตย์ที่สามแล้วที่ผมอยู่ที่นี่ วันเวลาผ่านไปเร็วจนผมรู้สึกแปลกใจ ทั้งที่ก่อนหน้านี้มันเชื่องช้าจนผมรู้สึกทรมาน กิจวัตรประจำวันทุกอย่างยังเหมือนเดิม ไปทำงานพร้อมพี่นน กลับพร้อมกัน กินข้าวพร้อมกัน นอนพร้อมกัน ทำทุกอย่างด้วยกันแทบจะตลอดเวลา น่าแปลกที่ผมปรับตัวเข้าหาคนอื่นได้ไวขนาดนี้ ไม่ได้รู้สึกอึดอัดอย่างที่เคยเป็นแต่ยังไงผมก็ไม่เข้าใจในหน้านิ่งๆ ของเขาอยู่ดี

   วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ผมไปมหาลัยคนเดียว นั่นทำให้ผมรู้ว่าการที่ไม่ได้เถียงกับพี่นนก่อนออกจากห้อง การขึ้นรถเมล์เงียบๆ คนเดียวไม่ได้โดนแกล้งให้กอดคนขับ มันก็เหงาแปลกๆ แต่อย่างไรก็เถอะตอนนี้ผมกลับมาจากมหาลัยแล้ว อีกไม่นานพี่นนคงกลับมา อืม...หาเรื่องแกล้งคนหน้านิ่งดีไหมนะ

   ผมนอนเกลือกกลิ้งอยู่บนเตียงสักพัก ก็เดินไปอาบน้ำ นึกถึงตอนที่อยู่มหาลัยแล้วก็ยิ้มออกมาได้ การได้พูดคุยกับเพื่อนที่มหาลัยก็ทำให้ลืมโลกแห่งความจริงไปได้บ้าง แต่ก็แค่เวลานั้นเพราะทันทีแยกย้ายกันกลับ ผมก็กลายเป็นคนที่หนีออกจากบ้านและมาอาศัยอยู่กับคนแปลกหน้า

ผมไม่ได้บอกใครว่าอยู่กับเขา...ไม่มีใครรู้

แกรก

“กลับมานานรึยัง”

“ก่อนหน้านี้แป็บเดียวเองพี่” ผมมองคนหน้านิ่งที่เปิดห้องเข้ามา แล้วเดินเช็ดผมตัวเองไปเปิดหาอะไรในตู้เย็นกิน

“เป็นไงบ้าง”

“ก็เรื่อยๆ” ผมยกน้ำเปล่าขึ้นมาดื่ม มองออกไปที่ระเบียงก็เห็นว่าข้างนอกที่เริ่มมืดแล้ว “เดี๋ยวจิงเก็บเสื้อผ้าให้”

“เก็บเสร็จแล้ววางไว้บนเตียงก่อนก็ได้ครับ” เขาพูดแล้วมองหน้าผมนิ่งๆ “คุณใช้ตู้เสื้อผ้าผมได้นะ ผมเก็บฝั่งขวาไว้แล้ว”

“โอเคครับ คุณเจ้าของห้อง”

“ครับ” เขาเดินไปหยิบเสื้อผ้าในตู้เสื้อผ้าและเข้าห้องน้ำไป

   ผมเก็บเสื้อผ้ามาจากระเบียงและแยกเสื้อผ้าของเราที่เอาไปยอดเหรียญซักไว้บนเตียง หลังจากผมพับเสื้อผ้าให้พี่นนเรียบร้อยแล้ว ก็หันมาจัดการยกเสื้อผ้าที่พับแล้วของตัวเองไปวางไว้ในตู้ฝั่งด้านขวาที่ว่างเปล่า ว่าง...จนผมนึกสงสัยว่าเขาเอาเวลาตอนไหนมาเก็บ

   ผมเดินไปยกกองเสื้อที่พับแล้วของเขามาเพื่อจะเก็บบ้าง ใช้มือแหวกเสื้อเชิ้ตที่รีดเรียบร้อยออกเล็กน้อย เพื่อวางทับกองเสื้อยืดที่วางไว้ด้านล่างของตู้ แต่บางส่วนของชุดด้านซ้ายสุดในตู้ที่โผล่มาเล็กน้อย ก็ทำเอาผมหยุดยืนนิ่งอยู่แบบนั้น ผมเลื่อนบรรดาเสื้อเชิ้ตไปยังฝั่งขาวเพื่อมองชุดนั้นให้ชัดเจน

ชุดแต่งงานสีขาว…ของผู้หญิง

   ความคิดแรกของผมคือพี่เขาครอสเดรสเหรอวะ แต่ผมว่าไม่หรอก ตัวใหญ่ขนาดนี้ แต่ๆๆๆ อะไรก็รับประกันไม่ได้ ผมมีเพื่อนเก้งก็ตัวใหญ่แต่แต่งหญิง ไม่ๆๆ อาจจะเป็นของเจ้าของห้องคนเก่าพี่มันเลยเก็บไว้ แต่พอคิดได้แบบนี้ผมก็ขนลุกเลย ถ้าเป็นของคนอื่นจริงๆ นี่มันเข้าอีหรอบหนังผีชัดๆ

“อย่ากัดเล็บครับ”

“โทษๆ” ผมสะดุ้งมองคนที่ใส่ชุดนอนเดินออกมาจากห้องน้ำ พี่นนเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าดูแล้วปิดมันลงอย่างรวดเร็ว ดีนะ..ที่ผมเลื่อนเสื้อเชิ้ตกลับไว้ที่เดิมแล้ว

“ขอบใจนะ ที่พับผ้าให้ผม”

   เขานั่งลงบนเตียง ส่วนผมที่นั่งอยู่บนพื้นปลายเตียงก็สะดุ้งเล็กน้อย ที่เขาวางมือใหญ่นั่นไว้บนหัวผม ถึงจะไม่ได้แสดงออกว่าเจอความลับอะไรของพี่มันมา แต่ไอ้ชุดแต่งงานบ้านั่นก็ตามหลอกหลอนผมในความคิดไม่หยุด จนเผลอนั่งสั่นขา ในใจก็คิดถึงชุดนั้นไปเรื่อย....หรือจะมีแค่ผมคนเดียวที่มองเห็นชุดนั้น

“เอ่อ จิงออกไปสูบบุหรี่ได้ปะ”

“ไม่ครับ”

“อ้าว”

“ถ้าคุณสูบมันก็เหมือนคุณโกงผม คุณอาจตายก่อนผมก็ได้” พี่มันโยกหัวผมไปมา “แล้วคุณก็จะผิดสัญญาระหว่างเรา”

“โห เหตุผลโคตรดราม่า”

“เรามากินข้าวกันดีกว่าครับ”

.

.

“นี่เหรอ ข้าวพี่” จิงชี้ถ้วยสองใบที่มีจานวางปิดไว้ “บ้านจิงเรียกมาม่า”

“ครับ”

"แต่จิงกินได้ไง" ผมรีบพูดออกมาเพราะเห็นแววตาคนที่นั่งตรงข้ามหม่นแสงลง "กินเก่งมากด้วย"

"ครับ"

   แล้วเราก็เงียบกันทั้งคู่ ไม่น่าปากไวเลยไอ้จิงเพราะตอนนี้พี่นนทำหน้าหงอยจนรู้สึกผิด รู้ทั้งรู้ว่าคนตรงหน้าประหยัดเพื่อใช้หนี้แค่ไหนแต่ยังพูดแบบนั้นไปอีก น่าแปลกที่ผมแคร์เขามากขนาดนี้ทั้งที่แต่ก่อนผมไม่เคยสนใจคำพูดของตัวเองเลยด้วยซ้ำ ว่ามันจะทำร้ายใครบ้างเพราะไม่มีใครสนใจผม ทำไมต้องสนใจคนอื่น

ผมมองไปทั่วห้องจะชวนคุยอะไรดีนะ ถ้าคุยเรื่องชุดนั้นจะเป็นอะไรรึเปล่า

"เอ่อ เราหายาพิษมาใส่ดีไหมพี่ ได้ตายแบบอร่อยเลยนะ" ผมที่ใช้สมองน้อยๆ ของตัวเองหาเรื่องคุยได้ก็รู้สึกดีใจ จนยิ้มแฉ่งไปให้คนตรงหน้า ถึงจะเป็นเรื่องแปลกๆ แต่ห้องของเราจะได้ไม่เงียบอีก

"จะไปเอามาจากไหน"

"เอ่อ นั่นดิ" ผมทำหน้าคิด "น้ำยาล้างห้องน้ำไหม"

"มันไม่อร่อยหรอกครับ"

"จริงเหรอ โกหกเปล่าอะ"

"เคยเอาลิ้นแตะ ไม่ไหวๆ"

"งั้นเรากินแบบนี้ไปก็ได้" ผมทำหน้ามุ่ยที่เขาเคยลองชิมน้ำยาล้างห้องน้ำ

"..."

"พี่ดูดิ มีแต่เส้นก็เหมือนเรากำลังสะสมแต้มตายเหมือนกัน ฮ่าๆ"

"ครับ" ดูเหมือนคนที่นั่งตรงข้ามผมจะอารมณ์ดีขึ้นบ้างแล้ว จากมุมปากที่ยกขึ้นเล็กน้อย

ซู้ด

“พี่จิงถามได้ปะ” หลังจากสูดเส้นเสียงดังเข้าปาก ผมก็ตัดสินใจจะถามเรื่องที่คาใจผมอยู่กับเขาตรงๆ

“ครับ”

“พี่ครอสเดรสหรอ”

“คืออะไรครับ”

“แบบๆ” ผมวางตะเกียบกับช้อนและชี้ไปที่ตู้เสื้อผ้าที่อยู่หลังพี่นน “จิงเห็นชุดเจ้าสาวอยู่ในตู้เสื้อผ้าพี่อะ”

“อ่อ..” เขาพยักหน้าและตอบผมนิ่งๆ “ของแฟนเก่าครับ”

“หะ” ไม่รู้ต้องรู้สึกยังไง “เอ่อ ขอโทษจิงไม่รู้”

 “ไม่เป็นไรครับ” ผมมองคนที่ยังคงจ้องผมอยู่ ใบหน้านิ่งๆ ที่เดาอารมณ์ไม่ได้ นั่นทำให้ผมทำตัวไม่ถูก “ผมไม่ได้อะไรแล้ว”

“...” แต่ก็ยังเก็บชุดไว้

.

.

“พรุ่งนี้ผมจะเอาไปคืนแล้ว”

 “...”

“ไม่ต้องทำหน้าเศร้าหรอกครับ ผมไม่เป็นอะไรจริงๆ ” ผมว่าไปตามความรู้สึก จ้องมองคนตรงหน้าที่สีหน้าเปลี่ยนไป “เธอไม่ได้เสียเหมือนพ่อแม่ผมหรอก เราแค่แยกทางกันแค่นั้นเองครับ”

   ในตอนที่ชีวิตผมตั้งหลักได้ ผมมีปัญญาผ่อนเงินเจ๊หงไปเกินครึ่งแล้วและตอนที่ ’ฟ้า’ เข้ามาโลกของผมเปลี่ยนไป ในตอนนั้นทุกอย่างดูดีไปหมด ท้องฟ้าของผมสว่างไสวในทุกๆ วัน ผมอยากใช้ชีวิตกับผู้หญิงคนนี้ไปตลอดชีวิต เราจึงตัดสินใจจะแต่งงานกัน แต่พอใกล้จะถึงวันสำคัญ เราดันมองเป้าหมายในชีวิตไม่เหมือนกัน เธอบอกว่าเธอมองไม่เห็นอนาคตที่เราจะอยู่ด้วยกันได้ เราเลยแยกจากกันไปแค่เพียงสองสัปดาห์ก่อนแต่งงาน

   ผมลาออกจากที่ทำงานเดิมที่กำลังไปได้สวยเพราะไม่อยากเจอกันอีก ไม่อยากเจอเธอกับคนที่มีเป้าหมายเดียวกับเธอ เป็นผมที่ระหกระเหินจากมาด้วยความเสียใจมาซุกหัวนอนในห้องเล็กๆ ของเจ๊หงส์อีกครั้ง ไม่เป็นผู้เป็นคนเพราะความรักครั้งนั้น คร่ำครวญเสียใจและโทษตัวเองที่ไม่สามารถอยู่ในเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ของฟ้าได้...

 “งั้นพรุ่งนี้  จิงไปด้วยได้ไหม” เสียงใสพูดขึ้นมาตอนผมกำลังจมไปในอดีตนั้น

“ได้ครับ” ผมจ้องมองคนตรงและยิ้มให้เบาๆ ในตอนที่เราสบตากัน “ขอบใจนะจิง”

.

.

   ผมถือชุดแต่งงานสีขาวไว้แน่นเพราะกลัวมันจะปลิว พี่นนไม่ได้ขับเร็วอะไรเพราะรู้อยู่แล้วว่าควรระวัง ผมไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร ถึงปล่อยมือจากเสื้อคนที่กำลังขับรถและไปจับที่จับด้านหลังไว้แทน...พี่นนหันมามองผมเล็กน้อยแล้วขับต่อไป
   
   เรามาหยุดรถที่หน้าบ้านหลังหนึ่งในหมู่บ้านจัดสรรสุดหรู ผมเห็นพี่นนถือชุดเจ้าสาวไปให้คุณป้าท่าทางใจดีคนหนึ่ง ดูเหมือนเขาจะชวนพี่นนเข้าไปในบ้านแต่พี่นนก็ยกมือปฏิเสธและชี้มาทางผม พวกเขาหันไปคุยกันต่อ สักพักพี่นนก็เดินกลับมาหาผมที่นั่งอยู่บนรถ

.

.

“ขอบใจนะครับ ที่มาเป็นเพื่อนผม”

“เอ่อ ไม่เป็นไรพี่” ผมตอบอึกอักแล้วคว้าแก้วน้ำมาดูด “วันนี้วันเสาร์ด้วย ก็ว่างไง ฮ่าๆ”

“...”

“ร้อนจัง” พูดอะไรออกไปวะไอ้จิง

“ขอบใจที่เป็นห่วงผม”

“ไม่..” กำลังจะปฏิเสธแต่สายตาคนตรงหน้าที่มองมาพร้อมรอยยิ้ม ก็ทำให้ผมเปลี่ยนคำพูด “แล้วแต่จะคิด”

   เราก้มหน้ากินกินราดหน้าที่ถูกนำมาเสิร์ฟด้วยความหิว พอเริ่มอิ่มและมีสติขึ้นจากความหิวโหย ผมก็ชวนคุยเหตุการณ์ก่อนหน้าที่เราจะมากินราดหน้ากัน

“ตอนแรกจิงนึกว่าจะเอาไปคืนร้านอะ”

“ฟ้า เอ่อ แฟนเก่าผมเขาอยากประหยัดน่ะ เลยไปยืมญาติ”

“ถึงว่าพี่คุยกับคุณป้านานเลย”

“ครับ”

“พี่...” ผมเงียบไปเพราะคนตรงหน้าผมเริ่มเงียบกว่าปกติ “โอเคไหม”

“ป้าเขาบอกผมว่าฟ้ามีลูกแล้วล่ะ”

“...”

“ผมควรดีใจ แต่มันก็ใจหายแปลกๆ ครับ “

“พี่นน”

“ไม่เป็นไร” เขายิ้ม ให้ผมเบาๆ “กินให้หมดล่ะ ครึ่งนี้ผมเลี้ยง”

   ผมส่งยิ้มกลับไป ก่อนจะก้มหน้าก้มตากินราดหน้าต่อ แทนที่ผมจะรู้สึกขำที่เขาเล่นมุกนั้นกับผม แต่ผมดันรู้สึกอึดอัดในอก ไม่รู้จะวางความรู้สึกน่าอึดอัดนี่ไว้ตรงไหนและที่น่าแปลกกว่านั้นคือรอยยิ้มของพี่นนในครั้งนี้ ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีใจที่ทำให้คนหน้านิ่งยิ้มได้เหมือนทุกๆ ครั้ง รอยยิ้มของเขาในครั้งนี้กลับทำให้ผมรู้สึกเจ็บที่ใจแปลกๆ




**************************************
TBC



ออฟไลน์ kawisara

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1583
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-7
โอ๋ๆๆๆดีแล้วพี่นน

ที่ฟ้าเขาทิ้งพี่ไปตอนนั้น

เพราะถ้าเขาไม่ทิ้งพี่

น้องจิงคงไม่มีสิทธิเข้ามาอยู่กับพี่แบบนี้

ไม่มีใครมาปรึกษากันเรื่องฆ่าตัวตายแบบนี่

แถมพี่นนได้ขิงจิงเรื่องลองชิมน้ำยาล้างห้องน้ำ

จิงอิจฉาจุดนี้ของพี่อยู่นะ

55555สู้ๆ "คู่คิดสั้น"

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
 :3123: :pig4: :3123:

ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0

ตอนที่ 7 น้ำตก vs คอหมูย่าง

   
 
          วันเวลาเข้าสู่เดือนที่สองที่ผมอาศัยอยู่ร่วมกับมนุษย์หน้านิ่งนามว่าพี่นน มนุษย์ออฟฟิศธรรมดาที่ติดหนี้เป็นแสนและวางแผนจะตายไปกับผม ในตอนนี้พวกเรากำลังทำตามภารกิจสุดท้ายของชีวิตอยู่ นั่นคือพี่นนต้องใช้หนี้เงินหนึ่งแสนบาทให้ครบ ส่วนผม...เรียนให้จบ

 
“ตอนนี้จิงเหลืออีกเดือนกว่าก็จะจบแล้วนะพี่”
 

“ผมเหลืออีกห้าหมื่นกว่าบาท”

 
“ทำไมเร็วจังอะ”

 
“ผมเอาโน๊ตบุ๊คไปขายแล้ว”

 
“อ้าว”


“ไม่ได้ใช้และไม่รู้จะใช้ทำไม”

 
“แล้วแต่พี่เลย”
 

“ครับ”

 
          ตอนนี้เราอยู่ร้านอาหารอีสานแถวหอ เราสั่งอาหารกันแล้วนั่งรอกันที่โต๊ะ ผมเม้มปากนึกถึงเรื่องที่ผ่านๆ มา ไม่คิดว่าจะมาถึงจุดนี้ จุดที่อยู่ด้วยกันแทบจะตลอดเวลา แม้แต่เสาร์อาทิตย์ยังอยู่ด้วยกัน บางอาทิตย์ก็ออกไปข้างนอกด้วยกัน แต่ส่วนมากจะอยู่ห้องทำความสะอาดช่วยกันมากกว่า
 

          ไม่รู้ทำไมถึงต้องตัวติดกันขนาดนี้ แต่รู้แค่ว่าสนุกดีเวลาที่ได้อยู่ด้วยกัน ได้เถียงกัน ผมน่ะ สนุกแต่ไม่รู้ว่าคนตรงหน้าคิดเหมือนกันไหมเพราะเขาเอาแต่ทำหน้านิ่ง ไม่รู้ว่าเซลล์บนใบหน้ายังมีชีวิตอยู่รึเปล่า ไม่นานนักแม่ค้าก็ยกจานส้มตำไม่เผ็ด คอหมูย่างและน้ำตก มาวางที่โต๊ะเราและผมก็เบะปากทันที
 

“จิงบอกพี่แล้วว่าไม่เอาน้ำตกก็ได้อะ”

 
“ผมเห็นคุณอยากกิน”

 
“พี่ฟังจิง”

 
“รู้แล้วครับ คุณบอกแล้ว”


“ฟังจิงนะ” ผมหายใจลึกๆ จ้องคนตรงข้ามด้วยเสียงหนักแน่น “น้ำตกมันคือคอหมูย่างที่ใส่พริกอะ”
 

“ครับ”

 
“จิงบอกกินคอหมูย่างอยากเดียวก็ได้ไง”


“กินเถอะครับ”
 

“พี่นน”
 

“จิง”
 

“พี่...อื้อ” พี่นนคงทนไม่ไหว ถึงเอาเข้าเหนียวมายัดปากกันแบบนี้ ยัดปากผมไม่พอแต่ใช่นิ้วนั่นหนีบปากผมอีก เหมือนไฟฟ้าช๊อตไปทั่วร่างผม สัมผัสที่โดนปากก็ทำเอาผมหน้าร้อนขึ้นมา แล้วนั่นก็ทำให้ผมแพ้ไปในการต่อสู้ครั้งนี้ ผมก้มหน้าก้มตากินส้มตำอนุบาลโดยไม่มองคนนั่งตรงข้ามอีก
 

          และนี่คือสิ่งที่เปลี่ยนไป ถึงแม้จะอยู่ด้วยกันตลอดแต่ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ผมจะพยายามไม่โดนตัวเขา ผมแปลกไปในทุกครั้งที่พี่นนสัมผัสกัน ทุกครั้งผมจะใจเต้นแรง รู้สึกร้อนที่หน้า ผม...ผมไม่รู้ว่าผมเริ่มอายกับการสัมผัสเขาตั้งแต่ตอนไหน กว่าจะรู้ตัวผมก็ไม่จับเสื้อเขาตอนซ้อนท้ายฟีโน่แล้ว
 

“ต่อไปนี้พี่ต้องอยู่ห่างๆ จิง” ผมพูดออกมาตอนเราเดินกลับหอ
 

“ทำไม”
 

“จิงร้อน นี่ฤดูร้อนนะพี่”


“โอเคๆ เชื่อก็ได้”
 

“ฮึ่ย” ผมทำเป็นฟึดฟัดแล้วเดินเร็วๆ ทิ้งให้พี่นนเดินตามหลังมาคนเดียว
 

รู้ตัวอีกทีก็ไม่อยากอยู่ใกล้ ไม่อยากไม่เป็นตัวของตัวเอง

 
.

 
.
 

          ตั้งแต่เมื่อวานผมก็พยายามรักษาระยะห่างจากพี่นนอย่างจริงจัง ตั้งแต่เช้าผมยังไม่มองหน้าเขาเลย ผมทำเหมือนผมมีทางเลือกในการหลบจากเขามากนัก เพิ่งมารู้ตัวว่าที่ทำมาตั้งแต่เช้าไร้ค่าก็ตอนนี้ ตอนที่คนที่ผมนึกถึงกลับมายืนหน้านิ่งจ้องผมแบบนี้


          โดยปกติแล้วเขาจะไม่เคยมาหาผมตอนทำงานเลยแต่วันนี้เขาบอกว่ามาซื้อกาแฟที่คนอื่นฝากซื้อ แต่ไม่ซื้อให้ตัวเองเพราะต้องประหยัดเงิน ผมพยักหน้าส่งๆ คิดไว้ว่าจะทำหน้านิ่งบ้าง อาจจะมีสติขึ้นมาบ้าง แต่พอมองหน้าเขาแล้ว ผมกลับทำหน้าไม่ถูก อยากยิ้มแต่ก็ไม่อยากให้เขาเห็น

 
“ลาเต้ได้แล้วครับ”

 
“ผมชอบที่คุณพูดเพราะ”

 
“อึก” ผมชะงักไปเพราะคำว่าชอบของเขา “ได้เงินทอนแล้วก็ไปดิ”

 
“จิง เราต้องต้องพูดเพราะๆ กับลูกค้านะ”
 

“พี่ไม่ใช่”
 

“ครับ หึๆ”
 

“หัวเราะไรอะ”
 

“ตั้งใจทำงาน”
 

“ฮึ่ย”
 

          ผมเอียงหัวออกจากสัมผัสมือใหญ่ ส่งเสียงในลำคอให้อีกคนรู้ว่าผมหงุดหงิดที่เขาทำแบบนี้ มองไปทั่วร้านเพราะกลัวมีคนเห็น หลบตาเขาและแกล้งเดินไปเช็ดโต๊ะ ปล่อยให้เขาเดินออกไปโดยไม่หันกลับไปมองอีก ใจผมเต้นแรงอย่างบ้าคลั่งเพราะสัมผัสจากมือใหญ่พร้อมรอยยิ้มอบอุ่นจากเขา เดี๋ยวนะอบอุ่นงั้นเหรอ ผมเป็นบ้าอะไรเนี่ย
 

.
 
.

 
บรืน
 

          ความเร็วที่เพิ่มขึ้นทำให้ผมกลัวว่าคนข้างหลังจะตก ทั้งที่ปกติแล้วแค่เริ่มเร่งเขาก็จะกอดผมแล้วแต่ครั้งนี้แปลก เขาเอาแต่จับที่จับหลังรถไว้แน่น ไม่ยอมกอดเอวผม ผมสัมผัสได้ถึงความแปลกไปของเขา จึงลดความเร็วลงแล้วหันไปมองคนข้างหลัง เขาแลบลิ้นให้ผม ก็ปกติดี...ผมอาจจะคิดมากไป ผมเปลี่ยนไปขับรถด้วยความเร็วปกติไปจนถึงหอ
 

“งานหนักเหรอครับ”
 

“อือ คนเยอะมาก” เขาตอบผมโดยที่ไม่มองหน้ากัน มือเล็กปลดสายล็อคที่คางแล้ววางหมวกกันน็อคลงบนเบาะ ก่อนจะหันหลังและรีบเดินหนีไป เขาทำแบบนี้ตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว
 

“จิง...” ผมเรียกชื่อเขาไว้เขาหยุดเดินแต่ไม่หันมายิ้มให้ผมเหมือนเคย “มานี่”
 

“พี่” เขาเดินกลับมาแล้วเรียกผม เราสบตากัน ผมเห็นแววตาที่สับสนของเขาเพียงชั่วครู่ หลังจากนั้นเขาก็ยิ้มกว้างให้ผม...ยิ้มสดใสเหมือนเดิม
 

“เดี๋ยวผมจัดผมให้”
 

“ไม่เอา”
 

          ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ก็ยืนทำหน้ามุ่ยให้ผมจัดผมให้ดีๆ ผมมองดวงตากลมที่หลุบสายตาหนีกัน มองจมูกเล็กและริมฝีปากสีสดที่ทำบู้บี้เพราะไม่พอใจที่ผมจัดผมให้ นึกเอ็นดูจนอยากแกล้ง ผมเลยขยี้ผมนิ่มที่กำลังจะเป็นทรงให้ฟูฟ่อง
 

“พี่ อย่าโดนหู มันจั๊กจี้ ฮ่าๆ”
 

“ฮ่าๆ” ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ ผมหัวเราะออกมาเมื่อเขาเอาแก้มหนีบแขนผมไว้กับไหล่ ไม่ให้จับหูของเขา หน้าขาวขึ้นสีแดง ดวงตากลมโตหยีลงจนเป็นสระอิบวกกับรอยยิ้มกว้าง “เหมือนลูกหมาเลย”


“อะ” เขาดูตกใจ แต่ก็เอามือสองข้างที่กำไว้ของตัวเองมารองใต้คาง พร้อมกับทำเสียงเห่าเล็กๆ ออกมา “บ๊อกๆ”
 

“อึก” ผมชะงักหุบยิ้มไปทันที มองคนหน้าแดงที่กำลังหัวเราะอยู่ แล้วผมก็ใจเต้นผิดจังหวะ ชักมือกลับจากผมนุ่มราวกับว่าเจอของร้อนและรีบหันหลังเดินเข้าหอทันที
 

“อ้าว พี่นนรอจิงด้วย!” เสียงใสตะโกนตามมายิ่งทำให้ใจผมว้าวุ่น ไม่ใช่จิงที่แปลก เป็นผมเองที่แปลกไปเพราะเมื่อกี้มันเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าเขาน่ารัก
 
 
 


******************************************************
พี่นนคะ เขาเรียกว่าเสียอาการค่ะ หุๆ
TBC

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
โอ้ย คนตกหลุมรักโดยไม่รู้ตัว
 :z2: :z2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 7 (22/03/62)
« ตอบ #19 เมื่อ: 22-03-2019 21:16:29 »





ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
 :z1:

 :L2: :pig4: :L2:

ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0

ตอนที่ 8 ฮัดเช้ย



“นี่ค่าไฟเดือนแรกของจิง”


“ครับ”


“พี่ให้จิงจ่ายค่าน้ำด้วยเถอะนะ” ผมขอร้องออกไปเพราะว่าค่าไฟมันช่างน้อยนิด ผมเคยถามพนักงานข้างล่างหอแล้วก็ได้รู้มาว่าค่าเช่ารายเดือนที่นี่นั้นหลายพันทีเดียว ค่าไฟไม่กี่บาทของผมจะไปช่วยแบ่งเบาเขาได้เท่าไหร่กันเชียว


“ทำตามที่ตกลงกันสิครับ”


“ก็ได้” ผมตอบเสียงเบา อย่างยอมแพ้


“อยากได้อะไรไหม เดี๋ยวผมมา”


“ไม่อะ” พูดไปพร้อมส่ายหัวประกอบ มองคนตัวสูงเดินไปหยิบหมวกแก๊ปมาใส่ วันนี้พี่นนแต่งตัวดีเป็นพิเศษ เชิ้ตสีดำพับแขนไปถึงข้อศอกกับกางเกงยืนเข้ารูปสีดำขาดเข่า ใส่สีดำทั้งตัวแบบดำมาก แต่พี่นนยังเอาอยู่...โคตรเท่เลย “ไปไหนอะ จิงไปด้วยดิ”


“ไปใช้หนี้ครับ”


 “อ้าว” ผมอุทานออกมาอย่างผิดหวัง นึกว่าจะไปเที่ยวที่ไหนซะอีก “เดี๋ยวจิงเฝ้าห้องให้เอง”


“หึๆ เด็กดื้อ”


อีกแล้ว...เดินมาโยกหัวผมไปมาอีกแล้ว สงสัยจะเห็นผมเป็นลูกหมาจริงๆ อย่างที่เคยพูดไว้ ผมเอียงหัวออกทิ้งตัวลงที่นอน พยายามไม่หาคำตอบว่าทำไมใจถึงเต้นแรงขนาดนี้


“รีบกลับมานะ”


“ครับ”


.

.


เมื่อไหร่พี่นนจะกลับ คำนี้ดังวนเวียนในหัวตั้งแต่เขาเดินออกไปจากห้อง ผมนอนกลิ้งเล่นบนเตียงมองนาฬิกาที่อยู่บนตู้เย็นไปพลางๆ หนึ่งชั่วโมงผ่านไป ผมลุกขึ้นนั่ง อาการปวดหัวเริ่มถามหาและความกลัวก็ถาโถมเข้ามา ในห้องนี้เงียบเกินไปสำหรับผม


แกรก


“พี่” ผมรีบวิ่งไปหาคนที่เปิดห้องเข้ามาด้วยความโล่งใจ...ไม่ต้องอยู่คนเดียวอีกแล้ว


“ฮัดเช้ย”


“เอ่อ” ผมชะงักไปเพราะคนตัวสูงปิดปากแล้วจามออกมา ผมเห็นเขาเอาแขนเท้าประตูทำท่าโงนเงนเหมือนจะล้มเลยเข้าไปใกล้ จับแขนเขาพาดไหล่ตัวเองไว้ เงยหน้ามองใบหน้าภายใต้หมวกแก๊ปแล้วใจหาย หน้าพี่นนซีดมาก แถมแขนที่โดนบริเวณคอเขาก็ร้อนเหมือนไฟ “พี่นน! ไหวไหม”


“ไหว...ไหว นอนพักก็หาย”


“ทำไมเป็นแบบนี้อะ” ผมพูดออกไปด้วยเสียงสั่นเครือเพราะกลัวคนหน้านิ่งจะเป็นอะไรไป


“ผมไม่เป็นไรครับ”


“นอนเฉยๆ จิงจะดูแลพี่เอง”


ผมประคองคนตัวใหญ่กว่าให้ล้มตัวลงนอน พังทำลายกำแพงที่เรียกว่าหมอนข้างออกไป ถอดหมวกแก๊ปให้เขาแล้วก็ต้องถอนหายใจออกมา หน้าซีด ปากซีดขนาดนี้ยังมาบอกเขาว่าไม่เป็นไรอีก ผมน้ำตาคลอเพราะความน้อยใจที่เขาฝืนตัวเอง พาลโทษทุกอย่างแบบไร้เหตุผล


อยากให้สัญญาเราจบเร็วขนาดนั้นเลยรึไง ถึงฝืนตัวเองขี่มอเตอร์ไซต์ออกไปกลางแดดร้อนๆ แบบนี้ ผมกำมือแน่นเดินไปหาผ้าขนหนูผืนเล็กมาชุบน้ำ บิดให้หมาดก่อนจะเดินไปหาคนที่นอนอยู่บนเตียง


“ไม่ต้องมายิ้มเลย” ว่าคนตัวใหญ่ที่พยายามยิ้มให้กัน ผมเอาผ้านั้นเช็ดไปตามใบหน้าและลำคอที่ชื้นเหงื่อ “กินอะไรมารึยัง พี่ต้องกินยานะ”   


“กินมาแล้ว ในกระเป๋ามีราดหน้าที่จิงชอบด้วย”


“บอกให้นอนเงียบๆ ไง ฮึก”


ผมสะอื้นไปด้วยความกลัว วางผ้าหมาดๆ นั่นลงไปไว้ที่หน้าผากคนดื้อ แล้วเดินไปหายาแก้ไข้ในกระเป๋าตัวเอง ประคองคนตัวใหญ่ให้นั่งพิงหัวเตียง พี่นนเอาแต่มองผมไม่หยุดจนผมรู้สึกหงุดหงิด


“มองอะไร”


“มองพยาบาลลูกหมา โอ๊ย”


“เป็นคนไข้ต้องไม่พูดมาก” ผมตีแขนเขาด้วยมืออันสั่นเทาของตัวเอง


“โหดจัง”


พอกินยาเสร็จพี่นนก็ยอมนอนลงอย่างว่าง่าย สงสัยคงหมดแรงเถียงกับผมแล้ว ผมเดินไปหาเสื้อยืดกับกางเกงผ้าในตู้เสื้อผ้ามายื่นให้คนปรือตามองผม


“เปลี่ยนเร็ว จะได้นอนสบายๆ”


“ไม่มีแรง”


“พี่นน”


“ปวดหัวจังเลยครับ”


“ก็ได้ๆ”


ผมถอดกระดุมเสื้อเชิ้ตของคนที่นอนอยู่ออก ไม่ได้เขินอายอะไรที่ต้องมาถอดเสื้อผ้าให้ผู้ชายด้วยกัน พยายามบอกตัวเองแบบนั้นแต่ก็ไม่สามารถควบคุมเสียงหัวใจที่เต้นแรงของตัวเองได้ ทั้งที่เรามีเหมือนกันแค่ต่างที่ผมผอมบางกว่า ที่จริงก็บางกว่ามากๆ แต่ผมก็อดที่จะอายไม่ได้ อายทั้งรูปร่างคนที่นอนอยู่และสายตาของคนป่วยที่มองมาตลอด ผมเอาผ้าเช็ดไปทั่วตัวเขาและรีบถอดกางเกงยีนส์เขาออก


เหลือบ็อกเซอร์ให้คนป่วย แล้วดึงเขาให้นั่งขึ้นเพราะจะสวมเสื้อให้ ผมชันเข่ากับเตียงแล้วสวมเสื้อลงหัวเขาเข้าไปแต่แทนที่พี่นนจะสอดแขนเข้าไปในแขนเสื้อ แขนใหญ่นั้นกับรัดเอวผมไว้แล้วซุกหน้าลงมาที่อกผมแทน


“พี่!”


“ผมไม่เป็นอะไรจริงๆ ครับ”


“...”


ผมเม้มปากแน่น ปล่อยให้เข็มวินาทีของนาฬิกาดังกว่าเสียงของเราแต่ดูเหมือนเสียงหัวใจของเราจะเต้นเสียงดังกว่าเสียงนั้น ผมหลับตาลงพยายามหักห้ามความรู้สึกของตัวเอง สุดท้ายก็ทนไม่ไหว ใช้แขนโอบกอดรอบคอคนที่ซุกหน้าอยู่ที่อกผมไว้


“ทำไม ฮึก ทำไมต้องทำให้จิงรู้สึกแบบนี้” ผมปล่อยโฮออกมาด้วยความกลัว “จิงกลัว พี่ห้ามเป็นอะไรนะ”


“จิง”


“อย่าทิ้งจิงนะ” พูดความในใจที่แสนอ่อนแอออกไป กอดเขาแน่นขึ้น “พี่จะทำตามสัญญาใช่ไหม”


“รอบที่ล้านแล้วจิง”


“คำตอบอะ”


“เหมือนเดิม” ได้ยินแบบนั้นผมก็ร้องไห้จนตัวโยน ฟุบนั่งลงกับเตียง “ร้องไห้ทำไมครับ”


“ไม่รู้” ผมส่ายหน้าเอามือปิดหน้าตัวเองไว้


“ไม่สบายรึเปล่า” เสียงทุ้มพูดขึ้นมาหลังจากใส่เสื้อเสร็จ เขาพยายามแงะมือผมออกจากใบหน้าแต่ผมก็ไม่ยอม


 “ฮึก” ผมสะอื้นแรงขึ้นเมื่อเขาลากตัวผมเข้าไปใกล้แล้วโอบกอดผมไว้


“ดีขึ้นไหมครับ”


“อือ” ผมพยักหน้าซบอกเขาไว้ ไม่อยากให้เขาเห็นน้ำตา ไม่อยากให้มองว่าผมอ่อนแอ


พี่นนขยับตัวเข้ามาใกล้และดันให้ผมล้มตัวนอนลง แล้วเขาก็นอนลงมาข้างผม ดึงผมเข้าไปในอ้อมกอดอันอบอุ่น ผมหลับตานิ่งในอ้อมกอดของคนป่วย อยากให้กอดผมไว้แบบนี้ตลอดไป อยากให้เขาเป็นความอบอุ่นให้ผมตลอดไป ผมได้ยินเสียงทุ้มที่กระซิบข้างหูของผม


“ผมจะรักษาสัญญา”


น้ำตาผมไหลลงมาอีกครั้ง ทำไมไม่อยากให้เขาตอบตกลง ผมเสียใจเพราะผมผิดสัญญา ผิดสัญญาที่ผมอยากให้เขามีชีวิตต่อไป เขาควรที่จะมีชีวิตต่อไป เป็นเพราะผมที่งี่เง่า มีแค่ผมที่เป็นตัวถ่วง ไม่มีค่าพอสำหรับอ้อมกอดอบอุ่นนี้ ผมไม่ควรจะอยู่ตรงนี้ คิดโทษตัวเองด้วยความสับสนและหลับไปพร้อมน้ำตา


.

.


ผมตื่นขึ้นมามองคนในอ้อมแขนที่ร้องไห้จนหลับไป ไม่ได้ตกใจที่เขาเป็นแบบนี้ แต่ตกใจที่เขาดูแลผมเพราะปกติแล้วเขาจะหนี...หนีไปก่อนที่ตัวเองจะรู้สึกเจ็บปวด ผมรู้ว่าที่เขาร้องไห้ก็เพราะกลัว กลัวการอยู่คนเดียว กลัวที่จะไม่เหลือใคร เขาเอาแต่ยิ้มเอาใจผมเพราะกลัวผมจะเบื่อ กลัวผมจะทิ้งเขาไป นี่คือจิงที่ผมรู้จักในหนึ่งเดือนที่ผ่านมา


ผมพยายามเป็นอย่างมากที่จะไม่ไปกระตุ้นความรู้สึกนั้นของเขา เขาบอบบางจนน่าใจหาย แต่วันนี้ผมดันไม่สบายขึ้นมาเพราะแดดร้อน จึงทำให้เขาเป็นแบบนี้ ผมพลิกตัวให้คนที่ขดตัว นอนหงายดีๆ ห่มผ้าให้และลุกจากเตียงนำผ้าเช็ดตัวของผมเดินไปเก็บ


เป็นเพราะยาของเขาผมถึงดีขึ้นขนาดนี้ แต่ผมก็ต้องระวังตัวเองไม่ให้เขาติดหวัดจากผมด้วยการเอาหมอนข้างมากั้นระว่างเราไว้อีกครั้ง ผมเดินไปอาบน้ำและจัดการตรวจความเรียบร้อยของห้องก่อนที่จะเข้านอนอีกครั้ง


ล็อคทุกอย่างเรียบร้อยแต่ก่อนที่จะเดินไปปิดไฟ ผมก็อดห้ามใจตัวเองไม่ได้จริงๆ ที่จะมานั่งข้างร่างเล็กที่นอนหลับสนิท ผมวางมือลงบนผมนิ่ม ลูบเบาๆ แล้วก้มลงไปจูบบนหน้าผากใสอย่างแผ่วเบา จับมือเล็กที่วันนี้ดูแลเช็ดตัวให้ผมด้วยความสั่นเทาจากความกลัว จูบลงที่หลังมือขาวด้วยความชื่นชม ก่อนจะกระซิบเบาๆ บอกความในใจที่ซ่อนเอาไว้ตลอดมา


“พี่ต้องทำยังไงจิงถึงไม่อยากตาย”







******************************************************
มาลุ้นกันว่าจะไปยังไงต่อไป ติชม ให้กำลังใจกันได้เสมอจ้า
TBC

ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
ตอนที่ 9 ความกลัว




          เมื่อเช้าเราออกมาทำงานพร้อมกัน ทุกอย่างเป็นปกติ ไม่ใช่สิ...เหมือนจะมีแค่ผมที่พยายามทำทุกอย่างให้เป็นปกติ พี่นนยังหน้านิ่งเหมือนเดิมและอาการป่วยก็ดีขึ้นแล้ว เขาเดินมาส่งผมที่ร้านแล้วเราก็แยกกันไปทำงาน วันนี้ลูกค้าก็มาซื้อกาแฟเยอะเหมือนเคยและผมก็ทำหน้าที่ส่งกาแฟเหมือนทุกวัน

 

“พักก่อนไหมจิง”

 

“ไม่เป็นไรครับพี่นุช”

 

“ขยันจังเลยน้า” พี่นุชพูดแล้วยื่นขวดน้ำให้ผม ผมยกมือไหว้ รับขวดน้ำนั้นมาดื่มด้วยความกระหายเพราะวันนี้ผมเดินไปส่งกาแฟเป็นรอบที่สี่แล้ว “อ่า เฝ้าเคาน์เตอร์ให้พี่ทีนะ พี่จะไปเข้าห้องน้ำสักหน่อย”

 

“ครับ”

 

“เอ่อ รับอะไรดีครับ” พยายามปั้นหน้าให้เป็นปกติที่สุดเพราะคนตรงหน้าทำให้ใจผมเต้นไม่ปกติทุกครั้งที่มองตากัน



“ลาเต้เย็นหนึ่งแก้วครับ”


“ครับ” ผมรับออเดอร์แล้วเดินไปบอกพี่ชิน “เอ่อ ไปนั่งรอก็ได้ครับ”

 

“เหงื่อออกขนาดนี้ไม่สบายรึเปล่า”

 

“อะ” ผมเอนตัวหลบผ้าเช็ดหน้าสีน้ำเงินเข้มที่เขายื่นมาจะเช็ดหน้าให้ผม “จิงไม่เป็นไร”

 

“ครับ ดีแล้ว” เขาเว้นจังหวะเงียบไป “ผมเป็นห่วง”


“พี่ชิน ละ ลาเต้ไดรึยัง”

 

          ผมหันหลังหนีคนที่พูดประโยคนั้นออกมาด้วยหน้านิ่งๆ ใจผมเต้นรัวจนหูอื้อตาลาย ร้อนไปทั้งใบหน้า เรียกพี่ชินติดๆ ขัดๆ ยิ่งคิดถึงว่าเมื่อวานทำอะไรลงไปแล้ว...ยิ่งอายเพราะเมื่อวานผมดันหลุดออกไปว่าเป็นห่วงเขามากแค่ไหน ผมเดินไปรับแก้วลาเต้นั้นมายัดใส่มือคนตัวสูงกว่าแบบรีบร้อน

 

“เอ่อ นี่เงินทอน ขะ ขอบคุณครับ”

 

“ครับ”

 

          อีกแล้ว...ลูบหัวผมอีกแล้ว ครั้งนี้ผมหลบไม่ทันเลยโดนสัมผัสจากมือใหญ่เต็มๆ ผมทำหน้าแสร้งว่าไม่ชอบ แล้วเอียงหัวออกจากสัมผัสนั้น ยิ่งผมเขินอายกับเขาเท่าไหร่ ผมยิ่งอยากออกห่างจากเขาเพราะกลัวความรู้สึกตัวเองแต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทั้งใจของผมกลับรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาดจากการที่ได้รับการดูแลแบบนี้ และเผลอคิดว่าถ้าผมได้อยู่กับเขาตลอดไปมันจะดีแค่ไหนกัน

 

.

 

.

 

          ผมมานั่งรอคนตัวเล็กอยู่ด้านนอกออฟฟิศ ยอมรับตามตรงว่าคิดเกินเลยกับเขาไปไกลแล้ว ทั้งรอยยิ้ม ดวงตาสดใสแบบนั้น ควรจะเปลี่ยนคำถามจากผมคิดเกินเลยได้ยังไง เป็นอดทนไหวได้ยังไงมากกว่า ผมก็เป็นผู้ชายคนหนึ่งเหมือนกัน...ถึงผมจะชอบผู้หญิง

 

          แต่การที่ได้อยู่ใกล้กับคนน่ารัก ก็เป็นธรรมดาที่ผมจะหวั่นไหว ไม่รู้ว่าเพราะเริ่มจากความสงสารหรืออะไร แต่สุดท้ายความสนใจทั้งหมดของผมก็ไปอยู่ที่เขา ทั้งเป็นห่วงและอยากทำให้เขามีความสุข ในที่สุดในใจผมมันก็กลายเป็นคำว่าชอบไปแล้ว ผมชอบทุกรอยยิ้ม ชอบทุกความเศร้าในตัวเขา แต่ผมก็หลงลืมว่าตัวเองไม่เหมาะสมกับความรัก

 

ไม่ดีเลย...ผมไม่ควรปล่อยความรู้สึกตัวเองจนกลายมาเป็นรูปแบบนี้

ผมมันไม่รู้จักยับยั้งช่างใจ

คงต้องเริ่มตัดใจตั้งแต่วันนี้ก่อนอะไรจะสายไป

 

          มองไปที่ประตูด้านหลังออฟฟิศเห็นคนตัวขาวเปิดประตูออกมาก็ยืนขึ้นโดยอัตโนมัติ กำลังจะยิ้มให้เขาที่มองมาแต่ก็ต้องหุบยิ้มลงเพราะเจ้าของร้านกาแฟคนนั้นตามออกมาด้วย พวกเขายืนคุยกันสักพัก แล้วเขาคนนั้นก็วางมือใหญ่ลงบนผมนุ่มนิ่มของจิง ในใจผมร้อนรนขึ้นมาทันที

 

          หวง...ความรู้สึกแบบนี้ ที่ไม่ได้เกิดขึ้นนานทำเอาผมควบคุมอารมณ์แทบไม่ได้ อยากไปกระชากคนตัวเล็กออกมา อยากให้เขายิ้มให้ผมคนเดียวและผมนิ่มนั้น ควรจะมีแค่ผมที่ได้จับ

 

.

 

.

 

“พี่หงุดหงิดอะไรมาเนี่ย”

 

“เปล่า” พูดออกไปเสียงแข็งโดยที่ไม่ตั้งใจ

 

“พี่เป็นอะไรอะ พี่นน”

 

“จิง ผมขออยู่คนเดียวสักพัก” ผมพูดแล้วเดินออกไปที่ระเบียง

         

          ผมต้องการสงบสติอารมณ์ ไม่อยากเป็นแบบนี้ต่อหน้าเขา แค่เห็นจิงอยู่กับผู้ชายคนอื่นยังเป็นขนาดนี้ แล้วผมจะช่วยจิงจากความอยากตายนั้นได้ยังไง จะทำยังถึงจะรักษาเขาไว้ จะทำยังไงให้เขาไม่รู้สึกแย่ที่ผมเผลอไปรู้สึกกับเขาแบบนี้ ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกแย่กับตัวเอง

 

“พี่นน...”

 

“จิง!!!”

 

          เผลอตะคอกไปด้วยความรู้สึกที่อึดอัดอยู่ภายใน มองคนตัวเล็กกว่าที่หน้าถอดสี จิงตกใจจนตาโตและเริ่มสั่น เข้าไม่สบตาผม แล้วก้าวถอยหลังไปเรื่อยๆ

 

“อึก”

 

“จิง ผะ ผมขอโทษ”

 

“ขอโทษที่รบกวนพี่ จิง ฮึก ขอโทษ”


“จิง กลับมาก่อน จิง!”

 

ปัง

 

          เสียงประตูปิดลงทำให้ผมได้สติก้าวขาวิ่งออกไปตามคนที่วิ่งจากผมไป ก่อนจะออกไปผมก็สังเกตเห็นว่าที่พื้นข้างเตียงมีถ้วยที่มีฝาปิดทั้งสองถ้วยวางอยู่ ผมขบกรามตัวเองแน่น จิงไม่รู้อะไรเลย เป็นผมที่ทำร้ายเขา ผมคว้ากุญแจรถและโทรศัพท์มาไว้ เผื่อฉุกเฉิน...ผมจะทำยังไงถ้าเขาหายไป

 

ครืน

 

“โธ่เว้ย!” เสียงฟ้าร้องและความมืดที่คืบคลานเข้ามาทำผมหัวเสียกว่าเดิม ผมรีบวิ่งออกไปจากหอ ในใจก่นด่าตัวเองสารพัด ถ้าจิงเป็นอะไรไป ผมจะไม่มีวันให้อภัยตัวเอง

 

.

 

.

 

เปรี้ยง!

 

“ฮึก” ผมสะดุ้งเพราะเสียงของฟ้าผ่า ผมวิ่งหนีพี่นนออกมาเพราะความกลัว กลัวที่จะโดนทิ้ง ในตอนนี้ผมอยากจะหยุดร้องไห้และกลับไปหาเขา แต่ก็ทำไม่ได้ กลัว...ความกลัวเกาะกุมหัวใจผมไปหมด เผลอตะโกนออกไปด้วยภาพในอดีตที่ย้อนกลับมาเพราะเสียงฟ้าฝน “อย่า!”

 

          ยิ่งเสียงฟ้าร้องและฝนที่เทลงมายิ่งทำให้ผมปวดหัว ภาพในวันนั้นไหลย้อนเข้ามาในหัวจนผมควบคุมความสั่นเทาของตัวเองไม่ได้ ผมยกเข่าขึ้นมากอดไว้ ป้ายรถเมล์ที่ร้างผู้คนช่างว่างเปล่าและผมต้องอยู่คนเดียวอีกแล้ว

 

          เหม่อมองรถที่วิ่งฝ่าสายฝนไปมาผ่านม่านน้ำตา...ถ้าวิ่งออกไป ผมคงไม่ต้องทรมานแบบนี้ ไม่ต้องโดนทิ้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า...แค่อึดใจเดียว ทนหน่อยนะจิง

 

ปิ๊นๆๆ

 

“จิง!”

 

ฟรึ่บ

 

“อะ..ฮึก พี่นน!” ชั่ววินาทีก่อนที่รถจะถึงตัวผม ตัวผมก็ล้มลงมากองที่พื้นด้วยแรงกระชากจากด้านหลังผมเบิกตากว้างมองหน้าคนที่ดึงแขนผมไว้ ผมมองเขาด้วยใจที่เจ็บปวด ผมทำให้พี่นนเดือดร้อนเพราะความคิดชั่ววูบของตัวเองอีกแล้ว “พี่นน ฮือ”

 

“ไม่เป็นไรๆ” พี่นนดึงผมให้ขึ้นมานั่งบนฟุตบาท เขานั่งลงข้างๆ พร้อมกับลูบหลังผมไปมา

 

 “วันนั้น...ฮือ” ผมกอดเข่าตัวเองด้วยความกลัว สายฝนที่เทลงมาทำให้เราเปียกปอน ความหนาวเย็นทำให้ความคิดในสมองผมหลุดลอยไปกับภาพในอดีตที่ไหลเข้ามาไม่หยุด

 

.

 

.

 

“ผมฟังอยู่” ผมวางมือลงบนหัวที่เปียกของร่างเล็กที่นั่งกอดเข่าตัวเองอยู่

 

“วันนั้นฝนตก วันนั้นจิงถูกทิ้งให้อยู่กับป๊า” เพราะเสียงฝนที่เทลงมาไม่หยุด ทำให้ผมขยับเข้าไปใกล้เพื่อฟังเสียงใสที่พูดออกมาแผ่วเบา “จิงโดนทิ้งให้อยู่กับป๊าที่เมาไม่รู้เรื่อง”

 

“...”

 

“จิงกลัว พี่นน” เหมือนผมจะหยุดหายใจเพราะเสียงที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดของคนตัวเล็ก “กลัว”

 

          ผมมองเขาที่เริ่มขดตัวกอดเข่าตัวเองให้แน่นขึ้นและไหล่น้อยที่สั่นเทิ้มไปด้วยความกลัว ทำให้ผมเจ็บที่ใจจนต้องคว้าร่างเล็กมากอดเอาไว้จนจมอกตัวเอง ไม่ว่าจะต้องกอดแน่นแค่ไหนผมก็จะทำ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ผมจะทำทุกทางให้จิงที่สดใสกลับคืนมา



"กลับบ้านเรากันนะครับ"

 

 


*************************************************



TBC


ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
 :mew4:
 :3123:
 :pig4:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
 :hao4:



 :3123: :pig4: :3123:

ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
ตอนที่ 10 เท่าไหร่
 




“เจ็บตรงไหนไหมครับ”

 

“...”

 

          เขาส่ายหน้าเป็นคำตอบ แล้วทรุดตัวนั่งลงที่พื้น ผมมองเขาสักพักแล้วถอนหายใจออกมาเพราะคิดไม่ตก ไม่รู้จะทำให้เขากลับมาเป็นจิงคนเดิมได้ด้วยวิธีใด แต่ก่อนอื่นผมควรจัดการตัวที่เปียกของเราทั้งคู่ควรก่อน ผมเดินไปหยิบเสื้อผ้าของเขาและของตัวเองออกมาจากตู้เสื้อผ้า วางให้เขาที่นั่งนิ่งอยู่ที่พื้นข้างเตียง เมื่อเห็นว่าเขายังคงนิ่งอยู่แบบเดิม ผมจึงเดินเข้าห้องน้ำไปจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าของตัวเองก่อน

         

          ออกมาก็ยังเห็นเขานั่งอยู่แบบเดิม ผมเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวของเขามาคลุมหัวเขา แล้วลงไปนั่งตรงข้ามคนที่นั่งก้มหน้ามองพื้น เช็ดผมเขาเบาๆ เขายังคงก้มหน้าไม่มองผม ท่าทางที่เหมือนเด็กหลงทางเหมือนวันแรกที่เราเจอกันทำให้ผมนึกเอ็นดูปนสงสาร

 

“รีบเข้าไปอาบน้ำเถอะครับ เดี๋ยวไม่สบายเอา”

 

“จิงขอโทษ” เขาพูดงึมงำทั้งที่ยังก้มหน้าอยู่

 

“ขอโทษทำไม ผมต่างหากที่ต้องขอโทษ” ผมดึงผ้าเช็ดตัวออก แล้วประคองใบหน้าเขาด้วยมือทั้งสองข้างของตัวเองให้เงยหน้าขึ้น สิ่งแรกที่เห็นคือดวงตากลมโตที่คลอไปด้วยน้ำตา “ขอโทษที่ตะคอกใส่คุณ”

 

“จิงขอโทษที่วิ่งออกไป ขอโทษที่ทำให้พี่เดือดร้อน ขอโทษที่งี่เง่า...ขอโทษที่เป็นแบบนี้ ฮึก”

 

“ไม่เป็นไรครับ” ผมลูบหัวคนตรงหน้าที่เริ่มสะอื้นออกมาอีกครั้ง จะมีทางไหนไหมที่ผมจะรู้ว่าเขาซ่อนอะไรไว้ แล้วผมควรจะแก้ไขปัญหานี้ยังไง “ไม่เป็นไรจริงๆ”

 

“...” เขาเงียบไปแล้วจ้องตาผม แววตาของเขาดูสับสนแต่สุดท้ายเขาก็พูดออกมาด้วยเสียงที่ไม่มั่นใจ “จิงวันนั้น ฝน”

 

“ครับ ใจเย็นๆ” ผมยิ้มให้เขา พยายามลูบหัวคนตัวเล็กไปด้วยให้เขารู้สึกปลอดภัยและยอมเล่าสิ่งที่อยู่ในใจออกมา “ไม่ต้องกลัวนะ ผมฟังคุณอยู่”

 

“...วันที่ม๊าทิ้งจิงไว้กับป๊า ป๊านอนอยู่ที่พื้น” เขาหลบตาผมแล้วเอามือเล็กนั้นมาจับข้อมือผมไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยว ผมเลยดึงมือทั้งสองข้างนั้นมากุมไว้และวางมันลงที่ตักของผม ใช้นิ้วโป้งคลึงหลังมือเบาๆ ให้เขารู้สึกผ่อนคลาย “ตอนนั้นจิงนั่งร้องไห้อยู่ข้างป๊ามันมืดและเงียบ มีแค่เสียงฟ้าร้อง เสียงมันดังมาก จิงกลัว”

 

“ครับ”

 

 “แล้วป๊าก็ลุกขึ้นมา อึก”

 

“...”


“ป๊าตีจิง จิงเจ็บ”

 

“...” ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามควบคุมความโกรธของตัวเอง

 

“แต่…จิงไม่โกรธหรือกลัวป๊าแล้ว” ผมมองเขาที่พูดแล้วยิ้มเบาๆ มองลึกไปในตากลมโตที่เต็มไปด้วยความเศร้า ความเจ็บปวดและความคิดถึง ผมก็รู้สึกเจ็บไปด้วย

 

“...”

 

“แต่จิงกลัวเสียงฟ้าร้อง มันทำให้จิงนึกถึงความเจ็บในตอนนั้น”

 

“ไม่เป็นไรแล้วนะ” ผมปลอบเขาด้วยคำว่าไม่เป็นไรอีกครั้ง ทั้งที่รู้ว่ามันไม่อาจบรรเทาความเจ็บปวดของเขาได้ แต่ผมก็อยากจะพูดออกไป อยากให้เขารู้ว่าเขายังมีผม ยังมีที่จะอยู่กับเขาตรงนี้เสมอ ผมบีบมือเขาเบาๆ “ผมอยู่ตรงนี้”

 

.

 

.

 

“...” ผมมองหน้าคนที่บีบมือผมเอาไว้ ลังเลที่จะเล่าต่อไป

 

“ขอโทษที่ผมปล่อยคุณให้ออกไปในวันที่ฝนตกแบบนี้ ขอโทษที่พูดไม่ดี”

 

“ฮึก” ผมสะอื้น มองคนที่ขอโทษและมองผมด้วยความรู้สึกผิด มือใหญ่ปาดน้ำตาให้ผมโดยไม่รังเกียจ

 

“ถอดเสื้อเถอะนะ เดี๋ยวไม่สบาย”

 

“...”

 

          ความเงียบระลอกใหญ่เกิดขึ้นตอนที่เสื้อเชิ้ตของผมหลุดออกไปจากตัวผม โดยฝีมือคนที่นั่งตรงข้ามกัน พี่นนจ้องมองรอยแผลเป็นจากการโดนทำร้ายในคืนนั้นด้วยใบหน้าที่นิ่งงันแต่มือใหญ่ที่กำลังเอื้อมมาลูบรอยแผลที่ยาวจากหัวไหล่ซ้ายไปยังกลางอกกลางกลับสั่นเทา ใบหน้าเขายังคงนิ่งเหมือนเดิมแต่ผมก็รับรู้ได้จากสายตาเขาว่าเขากำลังโกรธ

 

“ทำไม” เป็นครั้งแรกที่เห็นแววตาเจ็บปวดจากเขาและเพราะแบบนั้น ผมก็ไม่ลังเลเลยที่จะเล่าความจริงออกไป

 

“ตอนที่เขาตีจิง เขาหยิบขวดเหล้าที่แตกขึ้นมาแทงจิง” ผมจำตอนนั้นได้ไม่ลืม ผมดิ้นหนีทุรนทุรายด้วยความเจ็บและความกลัว...ในตอนนั้นเขาไม่ใช่ป๊าของผม “เขาโกรธที่จิงหน้าเหมือนม๊า”

 

“จิง...ถ้าไม่ไหวก็พอ ผมไม่อยากเห็นคุณร้องไห้แบบนี้”

 

“พอป๊ามีสติ ป๊าก็พาจิงไปโรงพยาบาล...” ใบหน้านิ่งๆ ที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงของเขา ทำให้ผมเริ่มเล่าทุกอย่างออกไป เสียงพูดของผมมันดังในหัวจนไม่ได้ยินสายฝนข้างนอก ราวกลับผมด่ำดิ่งลงไปในอดีต

 

 



“อาจิง” นั่นเป็นเสียงแรกที่ผมได้ยิน ก่อนที่ผมจะลืมตามา ภาพเพดานสีขาวและกลิ่นฉุนของโรงพยาบาลทำให้ผมอยากจะร้องไห้

 

“ป๊าขอโทษ”

 

“ป๊า อย่าทำจิง” ผมมองหน้าคนที่ทำร้ายผมด้วยความกลัว

 

“ป๊าขอโทษ”

 

“ฮือ”

 

“อาจิงไม่ต้องร้อง ป๊าสัญญาป๊าจะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว” ผมมองหน้าป๊าที่ร้องไห้อย่างหนัก

 

“ป๊า”

 

“ป๊าจะไม่ทำอีกแล้ว”

 

“ฮือ”

 

“อาจิงอย่าโกรธป๊าเลยนะ เราเหลือกันแค่นี้แล้วนะ อาจิง”


“ป๊า” เสียงของผมแทบจะหายไปเมื่อนึกถึงหน้าของม๊าที่บอกลาผมไป ม๊าไม่มองหน้าผมตอนเดินออกจากบ้านเลย ม๊าผลักผมและวิ่งออกไป ไกลออกไปเรื่อยๆ

 

“ป๊าสัญญาป๊าจะดูแลจิงให้ดีที่สุด” ป๊ากอดผมให้แน่นขึ้น แรงกอดทำให้นึกถึงตอนที่โดนบีบคอจากมือของเขา แต่เพราะอ้อมกอดในตอนนี้และเพราะแรงสะอื้นจากป๊าที่ร้องไห้จนตัวโยน ทำให้ผมอบอุ่นขึ้น อยากให้ความอบอุ่นแบบนี้อยู่กับผมตลอดไป “จิงเป็นทุกอย่างของป๊านะ”

 

“ฮึก ป๊าเป็นทุกอย่างของจิงเหมือนกัน” อยากสำคัญพอที่จะไม่ทำให้ใครหันหลังให้ได้อีก


 





“ตั้งแต่นั้นมาวันทุกวันของจิงก็ทำเพื่อป๊า” ผมพูดออกไปด้วยรอยยิ้ม “ทั้งที่เขาคือคนที่ทำร้ายจิงแต่จิงก็รักป๊าและป๊าก็ไม่เคยทำให้จิงเสียใจอีกเลย จิงตั้งใจเรียนต่อบริหารเพราะอยากทำให้กิจการของป๊าดีขึ้น โลกของจิงมีแค่ป๊าและจิงก็ลืมผู้หญิงคนนั้นที่ทิ้งจิงกับป๊าไปจนหมด”

 

“...” เขาเงียบและกุมมือผมแน่นขึ้น

 

 “ตั้งแต่วันนั้น...จิงก็ไม่เคยเจอม๊าอีกเลย” แล้วรอยยิ้มผมก็หายไป ผมเงยหน้าสบตากับพี่นนที่ตั้งใจฟังผมแต่ครั้งนี้เขากลับหลบตามองมือของเราแทน “แต่ปีที่แล้วผมก็ได้เจอกับม๊าและม๊ากับป๊าทำให้ผมอยู่ตรงนี้”

 





“จิงไม่ไป”

 

         ผมที่เพิ่งกลับจากมหาลัยพูดกับผู้หญิงแต่งตัวดีที่ยืนอยู่ตรงข้ามผมกับป๊า เขามาขอร้องให้ผมไปรับมรดกสืบทอดกิจการของเขาอย่างเห็นแก่ตัว ไม่สนใจทั้งผมและป๊าจะรู้สึกยังไง ผมจับแขนป๊าไว้แน่นเพราะกลัวป๊าเสียใจ

 

“เลี้ยงมายังไงถึงดื้อด้านแบบนี้”

 

“ม๊าห้ามว่าป๊านะ อย่างน้อยป๊าเขาเลี้ยงจิงได้แล้วกัน”

 

“เหรอ ได้ถามรึเปล่าล่ะ ว่าค่าเทอม ค่าอยู่ค่ากินมาจากร้านน้ำเต้าหู้งี่เง่านี่สักกี่บาทกัน”

 

“ป๊า” ผมมองป๊าที่ก้มหน้าลงแล้วเจ็บที่ใจ ทำไมป๊าไม่เคยบอกผมเลย “ออกไปจากชีวิตจิงกับป๊าเถอะม๊า”

 

“เท่าไหร่” เสียงแหลมๆ ที่พูดคำนั้นออกมาช่างบาดใจผม “ม๊าต้องจ่ายเท่าไหร่ อาจิงถึงจะกลับไปอยู่กับม๊า”

 

“จิงไม่ไป”

 

“ไปเถอะอาจิง ป๊าส่งจิงเรียนไม่จบหรอก” เสียงของป๊าทำใจผมหล่นไปอยู่ที่พื้น

 

“ป๊า!”

 

“ออกไป...” และใจของผมก็โดนเหยียบย่ำแค่คำไม่กี่คำจากป๊า คนที่เป็นโลกทั้งใบของผม


 





“….แล้วผมก็หนีออกมา” เรื่องในอดีตตามหลอกหลอนผมจนปวดหัว จนต้องซบหน้าผากลงที่อกคนข้างหน้าเพื่อยืนยันว่าความเจ็บปวดในตอนนั้นได้ผ่านมาแล้ว

 

“...”

 

 “พอป๊าไล่จิงไปอยู่กับม๊า มันเหมือนโลกทั้งใบของจิงพังลงเพราะทุกอย่างที่จิงทำ จิงทำเพื่อป๊ามาตลอด” ผมพยายามควบคุมเสียงตัวเองไม่ให้สั่นเพราะความรู้สึกที่ตีขึ้นมาจากอก “แต่เขากลับไล่จิง มันเหมือนกับจิงพยายามเท่าไหร่ก็ไม่พอ ทุกอย่างมันว่างเปล่าไปหมดเลย”

 

“...”

 

“วันที่จิงนั่งอยู่ใต้เสาไฟฟ้า จิงคิดจะกลับไปใช้ชีวิตนะ แต่พอคิดว่าต้องไปใช้ชีวิตที่ไม่มีชีวิตแบบนั้น จิงยอมตายดีกว่า” สุดท้ายน้ำตาผมไหลออกมาอีกครั้งเพราะได้พูดถึงสิ่งที่เก็บเอาไว้ในใจออกมา

 

 

ฟรึ่บ

 

“ไม่เป็นไรแล้ว” เขาดึงผมเข้าไปกอดหลวมๆ ผมซบใบหน้าลงที่ไหล่กว้าง

 

“จิงมันว่างเปล่า แต่ความว่างเปล่ามันน่ากลัวมากเลย” ผมร้องไห้ออกมาอีกครั้งเมื่อความรู้สึกลึกๆ ข้างในได้เผยออกมา “พี่นน...จิงจะอยู่ไปทำไม จิงมันไม่มีค่าอะไรเลย”

 

“เดี๋ยวฝนก็หยุดตกแล้วครับ” เขาบอกกับผมแบบนั้น พี่นนกอดผมให้แน่นขึ้น วางคางไว้บนหัวของผม “ผมจะอยู่ข้างคุณเอง”

 

“พี่” เรียกเขาโดยไร้สาเหตุ ความรู้สึกในใจตอนนี้เหมือนกับได้หยุดพักหลังจากเดินทางมาเนิ่นนาน เหมือนผมถูกค้นเจอในซอกมุมที่มืดที่สุด

 

“ครับ” เขาตอบรับ มือใหญ่ยังคงลูบหลังที่เปลือยเปล่าของผมไปเรื่อยๆ และผมก็ผล็อยหลับลงไปในอ้อมกอดอันอบอุ่นด้วยความเหนื่อยล้าและเสียงหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ แต่เสียงของมันช่างชัดเจนเหลือเกิน

 

 

 

 

********************************************************

TBC


ออฟไลน์ kawisara

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1583
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-7
โถ๋

อาจริงน่าสงสาร

ป๋าก็น่าสงสาร

แต่ม๊านิ่ใจร้ายมาก

พี่นนอย่าทิ้งจิงนะ

จิงเศร้าแบบนี้

พี่นนต้องดูแล

 ให้ดีนะ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
 o22


 :L2: :pig4: :L2:

ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
ตอนที่ 11 ฟู



   ตื่นมาพร้อมกับการทำตัวไม่ถูกครั้งยิ่งใหญ่ของชีวิต ตอนนี้ผมทำอะไรไม่ถูกมากๆ แค่จะขยับไปมองว่าคนที่นอนอยู่ข้างๆ ตื่นรึยัง ผมยังไม่กล้าเลยเพราะผมอาย...ที่อายก็เพราะเมื่อวานผมพูดสิ่งที่เก็บไว้ข้างในมาตลอดกับเขา


   ไม่รู้เลยว่าเขาจะคิดยังไง หลังจากได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด อีกทั้งเมื่อวานเรายังกอดกันแถมจับมือกันด้วย ผมลืมสิ่งที่พูดกับตัวเองไว้ทั้งหมดเลยว่าจะไม่เข้าใกล้เขา อยากจะทึ้งหัวตัวเองที่ทำแบบนั้นไปเพราะความไม่มีสติล้วนๆ ทั้งเรื่องวิ่งออกจากห้อง ทั้งเรื่องที่สัมผัสกัน มันเหมือนอาการมึนเมาที่โดนกระตุ้นด้วยปัจจัยหลายๆ อย่าง


   เฮ้อ ว่าแต่ว่าทำไมผมมานอนบนเตียงแบบนี้ แล้วเสื้อผ้าเปียกๆ ของผม ทำไมถึงกลายเป็นเสื้อยืดกางเกงบอลแบบนี้ แถมยังไม่ใส่บ็อกเซอร์ไว้ด้วย อย่าบอกนะว่าเป็นฝีมือของคนข้างๆ โอ๊ย ผมจะเอาหน้าร้อนๆ นี้ไปไว้ไหนดี


แกร่ก


“ไปอาบน้ำได้แล้วครับ เดี๋ยวสาย”


“เอ่อ” ผมชะงักไปเพราะไม่คิดว่าพี่นนจะเปิดประตูห้องน้ำออกมา ผมมองคนที่เดินออกมาจากห้องน้ำ พี่นนอยู่ในชุดทำงานเรียบร้อยแล้ว พอสบตากันก็เป็นผมที่หลบสายตาไปมองที่ระเบียงแทน “คือ เสื้อผ้าจิงล่ะ”


“ผมเปลี่ยนให้ ไม่โกรธใช่ไหม”


“อือ” ตอบรับแบบไม่กล้าสบตา อยากบอกเหลือเกินว่าไม่โกรธหรอกแต่อาย อย่างนี้พี่นนก็เห็นจูดี้ของผมแล้วอะดิ ฮือ


“ทำไมทำหน้าจะร้องไห้แบบนั้นครับ” เขาพูดแล้วเดินมานั่งที่เตียงข้างผมที่นอนอยู่ “หรือยังโกรธที่ผมตะคอกใส่”


“จิงไม่ได้โกรธพี่” ผมพูดอู้อี้ในลำคอเพราะความอึดอัดจากความเขินอาย ลากผ้าห่มขึ้นมาคลุมหน้าไว้ เหลือแค่ดวงตาที่จ้องคนหน้านิ่งอยู่ “พี่นน ถามจริงถ้าพี่โดนผีหลอกจะทำหน้านิ่งแบบนี้อยู่ปะ”


“หึ” น่าแปลกที่พอผมเห็นเขาหลุดยิ้มก็รู้สึกผ่อนคลายลง “กวนผมได้แบบนี้แสดงว่าหายดีแล้วสินะ ถ้าอย่างนั้นก็ลุกไปอาบน้ำได้แล้วครับ”


“อือ พี่นน...เมื่อวานขอบคุณนะ” ผมหลับหูหลับตาพูดแล้ววิ่งเข้าห้องน้ำไป โดยไม่รอฟังคำตอบอะไรจากเขาทั้งนั้น โอ๊ย ไอ้หัวใจบ้าหยุดเต้นแรงสักที


.

.


บรืน


“พี่นนไม่สาย ไม่ต้องรีบ!”


“หึ”

   ผมหัวเราะออกมาและหลุดยิ้มกว้างตอนที่แขนเล็กกอดเอวผมไว้แน่น มองกระจกข้างก็เห็นเขาทำหน้างอปากเล็กขยับไม่หยุด ไม่รู้ว่าบ่นอะไรผมบ้างแต่เขาที่เป็นแบบนี้ก็ทำให้ผมอารมณ์ดีสุดๆ ยังไงก็ดีกว่าร้องไห้และทำหน้าเศร้าแบบเมื่อคืน


   พอได้รู้เหตุผลจริงๆ ที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ใจผมก็รู้สึกเศร้าไม่ได้ ก่อนหน้านี้เขาต้องอดทนแค่ไหน ต้องเคว้งคว้างแค่ไหนผมไม่อยากจินตนาการเลย เด็กที่สดใสและยิ้มแย้มแบบเขาต้องทนเก็บเรื่องพวกนี้ไว้ใต้ใบหน้าเปื้อนยิ้ม มันช่างโหดร้าย...แต่โลกแห่งความจริงมันก็เป็นแบบนี้ ต้องอดทนเก็บความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองไว้ใต้หน้ากาก


“ตั้งใจทำงานนะครับ”


“อือ” เขาพยักหน้าทั้งที่มือผมยังวางไว้บนผมนิ่ม น่าแปลกที่ครั้งนี้เขาไม่เอียงหัวหลบผม แถมยังส่งรอยยิ้มขี้เล่นยิ้มให้ผมอีก “เจอกันตอนเย็นนะพี่”


“ครับ”


   ผมมองแผ่นหลังเล็กที่วิ่งเข้าร้านไป แอบมองมือตัวเองแล้วก็ยิ้มออกมา แค่ได้อยู่ใกล้ ได้สัมผัสแค่นี้หัวใจผมก็เต้นรัวไปหมด เป็นเอามากจริงๆ ผมชอบจิงมากจริงๆ ในเมื่อผมรู้สาเหตุแล้ว ต่อไปก็คือต้องทำให้เขาอยากจะมีชีวิตอยู่ ส่วนความรู้สึกของผม ผมก็ต้องจัดการตัดใจให้เร็วที่สุด ก่อนที่จะสายไปก่อนจะรักเขาไปหมดทั้งใจ


   

.

.



   ผมพยักหน้ารับทั้งที่เขายังลูบหัว ตอบรับไปว่าเจอกันตอนเย็นเหมือนทุกๆ วันและรีบวิ่งเข้ามาในร้านกาแฟ ใจผมเต้นรัวกับสัมผัสนั้น พยายามมองข้ามมันแต่ก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้จริงๆ เพราะความใจดีของเขา


“แหม ยิ้มเข้ามาเชียว”


“อ่า” ผมชะงักเท้าที่กำลังจะเดินไปที่เคาน์เตอร์เพราะเจ้านายของผมกำลังยืนยิ้มกว้างให้ผมอยู่อยู่หลังเคาน์เตอร์ “พี่ชิน สวัสดีครับ”


“สวัสดีครับ” พี่ชินรับไว้ผมแล้วเดินมาหาผมที่หยุดยืนอยู่กลางร้าน “ว่าไง มีอะไรดีๆ เกิดขึ้นเหรอ”


“ก็...มั้งครับ”


“มีความรักสิท่า หน้าอิ่มเอมขนาดนี้”


“เอ่อ ไม่ใช่ๆ พี่” ผมรีบตอบออกไปพร้อมยกมือโบกไปมา


“หน้าแดงเชียว”


“จิงเปล่า”


“มีอะไรปรึกษาพี่ได้นะ”


“คร้าบ” ผมลากเสียงยาวใส่พี่ชินแล้วเดินไปหลังเคาน์เตอร์หยิบผ้ากันเปื้อนมาสวม แต่พอหันมาเจอพี่ชิน ผมก็ต้องย่นจมูกใส่พี่ชินเพราะเขาทำหน้าตาล้อเลียนผม “พี่ชิน”


“ฮ่าๆ” พี่ชินหัวเราะแล้วกวักมือเรียกผม “มาช่วยพี่ยกเก้าอี้หน่อยมา”


“ครับๆ”


   แล้วผมก็เดินไปช่วยยกเก้าอี้ลงจากโต๊ะ เสร็จแล้วก็คว้าไม้กวาดมากวาด เช็ดโต๊ะและเคาน์เตอร์อย่างขยันขันแข็ง ในหัวก็เอาแต่คิดเรื่องที่พี่ชินว่าความรักงั้นหรอ ไร้สาระน่า


   ที่ผมควรจะคิดในตอนนี้ที่สุดคือเหตุผลที่พี่นนใจดีกับผมมากกว่า ทำไมเขาถึงดีกับผมขนาดนี้ ทำไมไม่รำคาญ ทำไมไม่ผลักไส ทั้งที่ผมก็แค่เด็กที่หนีออกจากบ้าน เป็นคนแปลกหน้า ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่เขาจะต้องมาสนใจคนอย่างผม


   ที่สำคัญเขาดูไม่ใช่คนที่จะใจดีขนาดนี้ หน้านิ่งๆ ไม่สนใจอะไร แถมยังมีความคิดที่จะฆ่าตัวตายอีก  ผมคิดวนไปในหัวไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่จะทำให้เขาดีกับผมขนาดนี้ ผมมองพี่ชินที่เตรียมเครื่องชงกาแฟอยู่ด้วยความสับสน เอาวะ หลายความคิดดีกว่าความคิดเดียว



“เอ่อ พี่ชินว่าถ้ามีคนใจดีกับพี่มากๆ มันแปลว่าอะไรเหรอครับ” สุดท้ายผมก็ถามพี่ชินออกไปจนได้


“หืม” พี่ชินเงยหน้าจากการเตรียมเครื่องชงกาแฟมาจ้องผม “ใจดียังไง”


“อืม ก็คอยช่วยเหลือทุกอย่าง คอยปลอบเวลาจิงเสียใจ”


“ตอบยากแหะ” พี่ชินว่ายิ้มๆ ก่อนจะพูดต่อ “แต่ถ้าปกติเขาไม่ใช่คนที่ใจดีไปทั่วแล้วดันใจดีกับเราแค่คนเดียว พี่ว่าเราก็คงเป็นคนพิเศษสำหรับเขา”


“ละ แล้วถ้าเขากอดกับจับมือเรา”


“อืม” พี่ชินยิ้มกว้างแล้วเดินมาลูบหัวผมเบาๆ “เขาคงชอบจิงแล้วล่ะ”


“อึก” ผมสะดุ้งไปเพราะเหมือนมีอะไรวิ่งมาชนกลางใจ “ชะ ชอบเหรอครับ”


“อ่าหะ”


“พี่ชินมั่ว”


“ฮ่าๆ อะ สวัสดีครับคุณลูกค้า” ผมหันไปมองลูกค้าที่เดินเข้ามาแล้วพยายามยิ้มให้ ทำเป็นไม่ตกใจกับเรื่องเมื่อกี้ แต่พี่ชินดันก้มลงมากระซิบข้างหูผม “เราเขินขนาดนี้ เราเองก็คงชอบเขาไม่น้อยเลยล่ะ”


   ผมหยุดนิ่งอยู่ตรงนั้นสักพัก แล้วค่อยเดินไปทำงานต่อ ทำเหมือนไม่ตกใจอีกครั้ง ผมแกล้งทำเป็นไม่สนใจในสิ่งที่พี่ชินพูด เดินไปรับลูกค้า ทวนชื่อกาแฟ รับเงิน ทอนเงิน ทำทุกอย่างเป็นปกติ ทั้งที่สมองผมเอาแต่ทวนคำพูดของพี่ชิน ‘ชอบ’ ใจผมเต้นรัวและดังมาก เหมือนอะไรบางอย่างชัดเจนขึ้นมาในใจ แล้วผมจะทำยังไงกับใจตัวเองที่มันฟูฟ่องขึ้นมาแบบนี้ดี

   



*******************************************
พี่ชินทำดีมากค่ะ  o13
TBC

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-03-2019 21:56:26 โดย gigibabe »

ออฟไลน์ kawisara

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1583
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-7
พี่ชินชี้โพรงให้กระรอก

กระรอกจะมองเห็นโพรงใหมน๊า~~~~~

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด