พิมพ์หน้านี้ - เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 31 END (06/08/62) P.3

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: gigibabe ที่ 15-03-2019 23:55:19

หัวข้อ: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 31 END (06/08/62) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: gigibabe ที่ 15-03-2019 23:55:19
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

******************************************************************************************





เสาไฟฟ้าต้นที่สาม





ผมเจอ 'เขา' ที่เสาไฟฟ้าต้นที่สามในซอยบ้านเจ๊หงส์ ใครจะไปคิดว่าการสบตาเพียงครั้งเดียว


จะทำให้ผมต้องมาหายใจร่วมกับเด็กคนนี้เพราะเราดันมีเป้าหมายเดียวกัน


"ตกลง เราจะตายไปพร้อมกัน"







*******************************************************************************************



ฝากติดตามนิยายเรื่องนี้ด้วยนะคะ :mew1:
หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 1 (16/03/62)
เริ่มหัวข้อโดย: gigibabe ที่ 15-03-2019 23:57:06


ตอนที่ 1 ใครๆ ก็เป็นหนี้



“ฮัลโหลครับ”

 

"อานนทกรอ่า ถ้าลื้อยังไม่จ่ายงวดนี้ อั๊วจะไม่ใจดีแล้วน่า"

 

"เอ่อ เจ๊หงส์ครับ"

 

"ไม่ต้องมาครับน่า ไม่ใจอ่อนแล้วน่า" ผมได้ยินเสียงกุกกักๆ ดังมาตามสาย "อานนทกร ถึงลื้อจะเป็นคนดีและเป็นสเป็คอั๊ว แต่หนี้ของลื้อมันก็เยอะจนอั๊วต้องทวงน่า ลื๊อเข้าใจอั๊วหน่อยซี่"

 

"ครับ ผมเข้าใจ ที่เจ๊ไม่คิดดอกเบี้ยผมก็ถือว่าเจ๊เมตตาผมมากพอแล้วครับ"

 

"ใครก็ได้! มาทำความสะอาดห้องรับแขกที...” ผมเอียงหัวจากโทรศัพท์เพราะเสียงตะโกนแหลมๆ ที่ผมเดาอารมณ์ว่าคงกำลังหงุดหงิดอะไรบางอย่างอยู่แน่ๆ ...ซวยแล้ว “อ่า ลื้อเข้าใจนี่ ว่าอั๊วเมตตา แต่นี่มันสี่เดือนแล้ว มันแปลว่าอะไร!!!"

 

"อ่า.." ผมเอียงหน้าหนีอีกครั้งที่เจ๊หงส์ตะโกนใส่ "ผมรู้ครับ แต่ผมเพิ่งเริ่มงานได้เดือนแรก คือผมยังไม่ได้เงินเดือนเต็มๆ เลยครับ"

 

"เฮ้อ” เจ๊หงส์เงียบไปสักพัก ก่อนจะพูดต่อ “งั้นอั๊วจะลดให้แต่ต้องจ่ายวันนี้เท่านั้นนะ"

 

"เจ๊หงส์ครับ" พูดออกไปด้วยเสียงอ่อนแรง เมื่อคิดถึงจำนวนหนี้หกหลัก ถึงผมจะได้รับเงินเดือนมาหมาดๆ แต่เงินเดือนผมนั้นถูกหักไปเกือบครึ่งของเงินเดือนทั้งหมด ไหนจะต้องจ่ายค่าไฟ ค่าน้ำและค่าใช้จ่ายชีวิตประจำวัน

 

"วันนี้ เดี๋ยวนี้!!!"

 

"อ่า ครับ" สุดท้ายก็ต้องยอมเพราะที่ซุกหัวนอนเก่าๆ ที่ผมอยู่ฟรีในตอนนี้ก็เป็นของเจ๊หงส์

 

"อั๊วให้ลื้อผ่อนเดินละสองพัน แต่ลื้อหายไปสี่เดือนเต็มๆ" ผมได้ยินเสียงถอนหายใจของเจ๊ “เจ๊เข้าใจเรื่องเงินเดือนลื้อนะ...งั้นรอบนี้เจ๊คิดสี่พันแล้วกัน”

 

"..." ผมเงียบไปบ้างเพราะรู้สึกซึ้งน้ำใจเจ้าหนี้ แต่ก็ต้องขมวดคิ้วคิดหนักเพราะถ้าหักหนี้ไปแล้วคงเหลือเงินประมาณห้าพันกับการใช้ชีวิตอีกหนึ่งเดือนเต็มๆ สงสัยผมต้องงดข้าวกลางวันด้วยแล้ว "ครับ"

 

          ผมเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกงด้วยความรู้สึกเหนื่อยล้า ทั้งจากงานที่ทำมาทั้งวันและจากการคุยโทรศัพท์กับเจ้าหนี้ ผมเดินไปเข้าลิฟท์เบียดกับผู้คนแล้วลอบถอนหายใจเบาๆ น่าเบื่อเหมือนทุกวัน มองตัวเลขที่นับถอยหลังไปเรื่อยๆ แล้วก็มีความคิดอยากให้เกิดลิฟต์ตกขึ้นมา คงจะดีไม่น้อย

 

“น้องนน กลับบ้านดีๆ นะคะ”

 

“...”

 

“เอ่อ คือ น้องนน ได้ยินไหมคะ”

 

“ครับ”

 

          ผมยิ้มบางๆ ให้กับพี่ผู้หญิงที่เข้ามาคุยกับผม พี่เขาเป็นพนักงานบริษัทหนึ่งที่อยู่ในตึกเดียวกันนี้ ผมรู้ว่าพี่เขาคงอยากสานสัมพันธ์กับผม แต่ผมไม่อยากยุ่งกับเรื่องพวกนี้อีกแล้ว มือเรียวนั้นเอื้อมมือมาแตะแขนผมเบาๆ แล้วยิ้มให้ ผมยิ้มตอบ ยกมือไหว้ ก่อนจะรีบสาวเท้าเดินออกจากตึกไปและรีบเดินเร่งฝีเท้าเข้าไปโรงจอดรถ

 

บรืน

 

          ผมสตาร์ทฟีโน่คู่ใจ ใส่หมวกกันน๊อคสีดำและเร่งรถออกไป รีบกลับห้องเก่าๆ ของตัวเอง ขับไปเรื่อยๆ ผมก็นึกถึงผู้หญิงที่เจอหน้าลิฟต์เมื่อกี้ที่พยายามจะสานสัมพันธ์กับผม เฮ้อ อย่างผมน่ะ ไม่เหมาะที่จะมีความรักหรอก

 

.



.

 

          ผมเดินทอดน่องเข้าซอยบ้านเจ๊หงส์เพื่อเป็นการถ่วงเวลา ไม่ขี่มอเตอร์ไซต์เข้ามาเพราะเปลืองน้ำมัน เลยจอดไว้ที่หอที่อยู่ถัดจากซอยนี้เพียงสามซอย มองเข้าไปในซอยแล้วถอนหายใจ แค่เดินเข้าไป ผ่านเสาไฟไปห้าต้น...เงินเดือนผมก็จะหายไปครึ่งหนึ่ง

 

          ในตอนนี้รอบข้างเริ่มมืดลง ในระหว่างที่ผมเดินเข้าไปเสาไฟฟ้าพวกนี้ก็สว่างขึ้นมาต้อนรับผม ผมมองนู้นนี่ระหว่างทางไปเรื่อยๆ แบบไม่รีบร้อนนักเพราะข้างทางในตอนนี้น่าสนใจกว่าบ้านหลังใหญ่ที่ผมจะไปตั้งเยอะ และการสังเกตการณ์ของผมก็ได้เริ่มต้นขึ้น เสาไฟฟ้าต้นที่หนึ่งค่อนข้างสภาพดีเพราะอยู่ติดป้ายชื่อซอย ต้องเป็นหน้าตาของซอยเสียหน่อย

 

          เสาไฟฟ้าต้นที่สองมีแผ่นกระดาษแปะไว้ทั่ว ทั้งใบรับสมัครแม่บ้าน งานซ่อมต่างๆ และการประกาศตามหาแมวที่มีค่าตอบแทนเป็นเงินรางวัลหมื่นกว่าบาท เยอะกว่าผมที่ทำงานมาเต็มเดือนอีกหรือบางทีผมจะไปทำอาชีพคนล่าแมวดีนะ   

 

          เสาไฟฟ้าต้นที่สามคือที่สิ้นสุดของกำแพงของบ้านหลังใหญ่ที่อยู่หน้าซอยนี้ ถัดไปจากต้นนี้ก็เป็นป่ารกร้าง จนไปถึงต้นที่ห้าก็จะเป็นบ้านหลังใหญ่ของเจ๊หงส์ ผมเดินห่างออกจากบริเวณเสานี้เล็กน้อยเพราะมีถังขยะเหล็กสีเขียวขนาดใหญ่วางไว้อยู่และแน่นอนขยะก็ยังล้นส่งกลิ่นเหม็นออกมาจนทำผมต้องกลั้นหายใจ เห็นแมลงสาบสองตัวเดินคู่กันแล้วก็แทบจะไปเดินลงไปกลางถนน ในใจก่นด่าทั้งแมลงสาบทั้งการจัดการขยะของประเทศตัวเอง

 

          ผมกำลังจะผ่านเสาต้นนี้ไป แต่สิ่งมีชีวิตที่นั่งกอดเข่าตัวเองและซุกหน้าตัวเองไว้ที่เข่า ทำให้ผมเห็นเพียงแค่เส้นผมสีดำสนิทอยู่ข้างเสาไฟฟ้านั้น ก็ทำให้ผมชะงักไปเล็กน้อยและรีบสาวเท้าเดินให้ไวขึ้นกว่าเดิม

 

          นี่มัน...อันตรายชะมัด ไม่มีเวลานึกถึงต้นที่สี่และห้า ผมรีบเดินเร็วๆ ให้พ้นป่าข้างทางให้ไปถึงบ้านเจ๊หงส์เร็วๆ ที่ต้องรีบไปจากตรงนี้เพราะเกรงว่าคนบ้าคนนั้นจะลุกขึ้นมาอาละวาดเสียก่อน…ไม่อยากจะวุ่นวายและยุ่งเกี่ยวกับใคร

 

.



.



“เดือนหน้าก็จ่ายด้วยล่ะ”

 

“ครับ”

 

“อย่าหายไปอีกน่า”

 

“ครับ”

 

“...อั๊วเป็นห่วง”

 

“ครับ”

 

          พูดได้แค่คำว่าครับ แล้วเดินตัวเบาออกมาจากคฤหาสน์แสนสวย เดินเหม่อลอยมาเรื่อยๆ เงยหน้ามองฟ้าถามคนบนนั้น จะทดสอบความอดทนกันอีกนานไหม เหมือนผมอดทนมาเพื่อเจอกับเรื่องที่ต้องอดทนกว่าเดิมและเป็นรอบที่เท่าไหร่ของวันแล้วก็ไม่รู้ ที่ผมคิดอยากหายไป

 

          ถ้าผมหายไปทุกอย่างคงไม่มีอะไรเปลี่ยนไป ผมไม่มีพ่อแม่ ไม่มีคนรัก ไม่มีใครต้องเสียใจกับการหายไปของผม ถ้าหายไป...ทุกอย่างก็คงจะเงียบสงบเหมือนบรรยากาศของซอยในตอนนี้ ที่มีเพียงเสียงลมพัดไปเป็นเสียงเดียวที่ดังที่สุด แต่แล้วก็มีเสียงสะอื้นของใครบางคนที่ทำลายความเงียบนี้ลงไป

 

“ฮึก”

 

“...”

 

          ผมยืนหยุดนิ่งตรงเสาไฟฟ้าต้นที่สาม มองคนที่นั่งกอดเข่าอยู่ที่พื้นอย่างช่วยไม่ได้เพราะเขาเป็นเจ้าของเสียงสะอื้นที่ได้ยิน กลุ่มผมสีดำค่อยๆ ยกขึ้นจากเข่า ทำให้ผมได้เห็นใบหน้าขาวซีดและดวงตาที่มีประกายสดใส แต่ดวงตาคู่นั้นกลับเต็มไปด้วยความเศร้าและน้ำตา เขาเบิกตามองผมด้วยความตกใจก่อนที่จะหลบตา แล้วใช้แขนเสื้อสีขาวปาดน้ำตาตัวเองออก

 

          เขาเงยหน้ามามองสบตาผมอีกครั้งและไม่รู้อะไรที่ทำให้ผมจ้องมองไปที่ดวงตากลมที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้านั้นอีกครั้ง

 

น่าแปลก...ที่ไม่กลัว

 

น่าแปลก...ที่ความรู้สึกโดดเดี่ยวที่ซ่อนไว้ถูกพังทลาย

 

ราวกับเจอคนคนเดียวกัน

 

“...”

 

          ไม่มีเสียงสะอื้นใดหลุดออกมาจากปากบางสีสดนั้นอีก เราจ้องตากันอยู่แบบนั้นสักพัก แต่แล้วก็เป็นเขาที่หลบสายตาผม เขารีบลุกขึ้นยืนและหยิบกระเป๋าเป้สีแดงบนพื้นขึ้นมาสะพายขึ้นหลัง ร่างบางที่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวกับ กางเกงสแล็คสีดำและรองเท้าผ้าใบสีขาวนั้นดูบอบบางจนเหมือนจะปลิวหายไปกับสายลม

 

          ผมคงเข้าใจผิดที่คิดว่าเขาเป็นคนบ้า...มองคนที่ตัวเล็กกว่าผมอีกครั้ง เขาก้มหน้าลงเล็กน้อยแล้วเดินผ่านผมไป ผมยังคงยืนเขามองอยู่แบบนั้นจนภาพร่างเล็กที่สะพายกระเป๋าสีแดงที่ใหญ่กว่าตัวนั่นเริ่มเล็กลง ไม่รู้ว่าเพราะอะไรผมจึงมองเขาไม่วางตาและไม่รู้ว่าเพราะอะไร ผมถึงตัดสินใจแอบเดินตามเขาไปด้วย

 

.

 

.

 

          ลมเย็นพัดผ่านไป ผมเสยผมที่ปลิวมาบังสายตาและเดินเงียบๆ ตามหลังเด็กกระเป๋าแดงต่อไป เขายังคงเดินไปเรื่อยๆ ไม่มีท่าทีว่าจะหยุด จนมาถึงบริเวณท้ายซอย

 

          ผมหยุดเดินตรงจุดตัดของถนนปูนที่เชื่อมกับถนนที่เป็นดินลาดลงไป ทางลาดนั้นทอดยาวไปจนถึงสะพานเก่าๆ บริเวณนี้ค่อนข้างมืด โชคดีที่ยังมีแสงไฟจากหลอดไฟเพียงหลอดเดียวบนสะพานที่ส่องสว่างอยู่ช่วยให้ผมมองเห็นร่างเล็กที่เดินไปหยุดตรงกลางสะพานนั้นได้

 

          เส้นทางนี้เป็นทางลัดที่เอาไว้ใช้ไปอีกซอยหนึ่งได้เพียงแค่ข้ามสะพานไม้ที่เอาไว้ใช้ข้ามคลองนี้ไป ก็จะไปยังท้ายซอยของอีกซอยได้ แต่เพราะข่าวการปล้นจี้ในบริเวณนี้ ทำให้เส้นทางนี้เป็นทางที่ไม่มีใครอยากผ่านในเวลากลางคืนของคนทั้งสองซอย

 

          ผมมองร่างเล็กที่ดูบอบบางจนผมกลัวว่าเขาจะปลิวไปกับสายลม เขายืนนิ่งอยู่กลางสะพานนั้น ผมมองเส้นผมสีดำที่ปลิวไปตามสายลม ดูอ่อนไหวและนุ่มสลวยเหมือนใบหน้าของเขา น้ำตาของเขายังคงไหลออกมาจากดวงตาคู่สวยซ้ำแล้วซ้ำเล่า

 

          แต่แล้วเขาก็เริ่มขยับ ถอดเป้สีแดงวางไว้ มือเรียวจับราวสะพานไว้ แล้วก้าวขาขึ้นไปนั่งบนนั้น เขาขึ้นไปนั่งห้อยขาบนนั้นและก้มมองลงไปในคลองนั้น ผมเห็นเขาหลับตาลงและผมก็ไม่ต้องการสังเกตอะไรอีกแล้ว

 

ฟรึ่บ

 

“เห้ย!”

 

“...”

 

“ปล่อย!”

 

“...”

 

“ฮึก ปล่อย! อย่ามามอบความโชคดีที่จิงไม่ต้องการ!” ร่างเล็กยังคงดิ้นไม่หยุด พร่ำเพ้อพูดออกมาด้วยเสียงสะอื้น เตะต่อยแขนขาผอมๆ นั่นไปมาแต่เพราะโดนผมกอดรัดไว้จากด้านหลังทำให้แขนขาที่เตะต่อยไปทั่วนั้นไม่ได้ทำร้ายผม “จิงไม่อยากได้!”

 

“คุณ”

 

“ปล่อย!”

 

“อยากตายขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

 

“..ฮึก ใช่!”

 

“อย่าทำแบบนี้เลย...”

 

“ไม่ต้องมายุ่ง ปล่อยๆๆ”

 

ฟรึ่บ

 

          ดิ้นไปสักพักร่างเล็กก็หมดแรงและเป็นลมไป ผมตกใจเพราะไม่คิดว่าเขาจะสลบไปแบบนี้ พลิกตัวประครองให้หันมาหากัน พินิจมองไปทั่วใบหน้าขาวซีด...ผมคงต้องทำอะไรสักอย่าง

 

.

 

.

 

          กลิ่นหอมเย็นๆ เป็นสิ่งแรกที่ผมรู้สึก แล้วสมองก็สั่งให้ลืมตา ภาพที่มองเห็นเบลอไปสักพักก่อนจะชัดเจนขึ้น สิ่งแรกที่มองเห็นคือใบหน้าของคนที่ผมไม่รู้จักและผมก็ลุกขึ้นนั่งโดยอัตโนมัติ

 

          ท่ามกลางความเงียบ เราจ้องกันอยู่แบบนั้น ใบหน้าของเขานิ่งเฉยจนผมรู้สึกหวาดหวั่นอยู่ในใจ เขาเป็นใคร แล้วผมมานอนอยู่ตรงนี้ได้ยัง ผมเผลอขมวดคิ้ว แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อเขายื่นยาดมนั่นมาที่จมูกผม

 

“เห้ย” อุทานออกไปแล้ว เผลอขยับตัวให้ออกห่างคนที่นั่งข้างกัน

 

ฟรึ่บ

 

          ตกใจอีกครั้งเพราะผมดันถอยหลังมากไป จนจะหงายหลังตกจากเตียง กำลังจะเตรียมใจรับความเจ็บ แต่ก็ต้องผมเบิกตากว้างตกใจ เมื่อคนที่ตัวใหญ่กว่าผมเขาดึงผมไว้และดึงเข้าไปหาเขา ผมเลยมานั่งเกยอยู่บนตักเขาและใบหน้าเราห่างกันแค่คืบ

 

“เดี๋ยวตกครับ”

 

          เสียงทุ้มพูดออกมานิ่งๆ แล้วจ้องมองเข้ามาในตาผม จ้องและจ้อง จนผมรู้สึกเกร็ง ใช้มือดันอกเขาออกแล้วกระเถิบตัวเองลงจากตักเขา มานั่งข้างกันเหมือนเดิม แล้วทุกอย่างในห้องก็เงียบ ผมแอบมองคนที่ตัวใหญ่ที่นั่งข้างกัน ทำหน้านิ่งหมุนปิดฝายาดม...จำได้แล้ว เขาคือคนที่ยืนจ้องผม ก่อนที่ผมจะ...

 

“มาห้ามจิงไว้ทำไม”

 

“คุณพูดแบบนี้กับคนที่ช่วยคุณไว้เหรอครับ”

 

“…จิงไม่ได้ขอ”

 

“...” เขาเงียบไปแต่ยังคงจ้องหน้าผมอยู่

 

“ขอโทษที่ทำให้เดือดร้อนแล้วกัน จิงจะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ”

 

“ประทับใจมากเลยครับ”

 

“พี่จะเอาอะไร ไม่ได้ขอให้ช่วยแล้วยังจะมาเหน็บกันอีก”

 

“...”

 

“รู้ไหมว่าจิงทรมานแค่ไหน” ผมจ้องคนที่นั่งหน้านิ่งอยู่ข้างผม เขาจ้องกลับมาและถอนหายใจใส่ผม ก่อนจะขยับลงจากเตียงไป หน้านิ่งของเขาทำให้ผมหงุดหงิดจนเผลอตะโกนออกไปด้วยความรู้สึกครุกกรุ่นอยู่ในใจ “จิงอยากตาย ได้ยินไหม!”

 

“เหมือนกันเลย” เสียงทุ้มพูดกลับมานิ่งๆ แล้วลุกออกจากเตียงไป เขาเดินไปเลื่อนประตูกระจกออกไปนั่งที่พื้นตรงระเบียง  ทิ้งผมให้นั่งอยู่กับอารมณ์ของตัวเอง

 

          ผมถอนหายใจด้วยความหงุดหงิด ลุกไปหยิบกระเป๋าตัวเองเตรียมหันหลังจะออกจากห้องนี้ แต่ภาพแผ่นหลังใหญ่ในตอนที่เดินออกไปที่ระเบียงและในตอนนี้ที่กำลังพิงประตูกระจกอยู่นี้ดูโดดเดี่ยว...เหมือนกับผม นั่นทำให้ผมหยุดอยู่ที่เดิม

 

.

 

.

 

 “ผมไม่ชอบกลิ่นบุหรี่” ผมพูดออกมาตอนที่เด็กคนนี้เดินมานั่งข้างผม ผมขยับไปไปข้างๆ อีกนิดให้คนตัวเล็กกว่ามานั่งด้วยกัน แต่เพราะขนาดระเบียงที่เล็กมาก ทำให้เรานั่งชิดกันอยู่ดี…ชิดจนไหล่เราเบียดกัน

 

“อ่อ โอเค”

 

          เด็กคนนั้นจี้มันลงที่ราวจับและเก็บเข้ากระเป๋าเสื้อตัวเอง ความเงียบก่อตัวอีกครั้ง มีเพียงลมเย็นๆ พัดมาแทรกความเงียบของเราทั้งคู่

 

... ผมละสายตาจากท้องฟ้ามืดมิดตรงหน้า มองคนที่นั่งอยู่ข้างกัน

 

“ออกมานั่งด้วยทำไมครับ”

 

“ไม่รู้” ปากบางพูดออกมาเสียงแผ่วเบา ดวงตาคู่นั้นมองไปที่ท้องฟ้าสีดำและผมก็ละสายตาไปมองมันบ้าง “ที่พี่พูดเมื่อกี้ หมายความว่าอะไร”

 

“ครับ?”

 

“เมื่อกี้…”

 

“อ่อ ที่บอกอยากตายใช่ไหมครับ”

 

“...” ความเงียบทำให้ผมหันกลับมามองเขา แล้วพบว่าเขามองผมอยู่ เขาไม่ได้หลบสายตาผมอีกแต่กลับจ้องตาผมแล้วพยักหน้าขึ้นลงแทนคำตอบ

 

“ใช่ ผมหมายความว่าอย่างนั้นจริงๆ” เว้นวรรคละสายตาไปมองที่ภาพท้องฟ้าอีกครั้ง “ผมอยากตายจริงๆ แต่ยังติดบางอย่างอยู่ครับ”

 

“พี่กลัวเหรอ”

 

“ไม่ได้กลัว” ผมหันกลับมามองลึกไปที่ดวงตานั้นแล้วพูดออกไป “แค่ยังมีเรื่องติดค้าง แต่ก็เคยพยายามนะแต่ความตายมันยาก…คุณเชื่อผมไหม”

 

“เชื่อ...เพราะพี่ก็เพิ่งช่วยจิงมา”

 

“หึ” อดที่จะขำกับคำพูดของคนที่ชอบแทนชื่อตัวเองไม่ได้

 

“แล้วพี่ติดอะไรอยู่”

 

“จริงๆ แล้วผมติดหนี้อยู่ครับ”

 

“จริงดิ” ผมมองรอยยิ้มที่เกิดขึ้นที่มุมปากของคนข้างๆ  “จริงๆ แล้วจิงก็เหมือนกัน”

 

“...”

 

“ทนทำสิ่งที่ติดค้างมาตลอด แต่ตอนที่ยืนอยู่บนสะพาน มัน...”

 

“มันทนไม่ไหวแล้วใช่ไหมครับ”

 

“อือ”

 

“ถ้าผมทำสิ่งนั้นเสร็จแล้ว ผมก็คงจากไป”

 

“เหมือนกันเลยพี่”

 

“ครับ?”

 

“พอใช้หนี้เสร็จหมดแล้ว เรามาตายพร้อมกันดีไหมพี่”

 

“…”

 

          ผมเงียบไปมองคนที่มองผมอยู่ ดวงตาสวยที่เต็มไปด้วยประกายสดใส แต่ถ้ามองดีๆ แล้วในควงตาคู่นี้ก็ยังคงเศร้าหมอง ไหล่เล็กดูโดดเดี่ยวจนน่าสงสาร ริมฝีปากบางสีสดเม้มไปมาเหมือนประหม่ากับสิ่งที่พูดไป ผมยื่นมือไปตรงหน้าคนหลงทาง

 

“…” เขามองมือผม แล้วรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้าหวาน เป็นรอยยิ้มที่สว่างไสวกว่าดาวประจำเมืองบนท้องฟ้า

 

“ตกลง” ทันทีที่ผมพูดออกไป มือขาวก็ยื่นมาจับมือผม มองใบหน้าที่ยิ้มกว้างกว่าเดิมเมื่อผมตกปากรับคำก็อดไม่ได้ที่จะยกมุมปากยิ้มตาม “เราจะตายไปพร้อมกัน”

 

 

 

 
*********************************

TBC
หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 1 (16/03/62)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 16-03-2019 10:45:50
 :a5:อะไร เจอกันครั้งแรกก็มาชวนกันตาย บ้าป่าว อิอิ
หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 1 (16/03/62)
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 16-03-2019 17:58:33
ยังดีที่คิดใช้หนี้ก่อนตาย

ถือว่าเป็นคนมีความรับผิดชอบ

สู้ๆนะทั้ง2คน
หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 2 (16/03/62)
เริ่มหัวข้อโดย: gigibabe ที่ 16-03-2019 21:33:05


ตอนที่ 2 มีเวลาฟังสักสามนาทีไหม


     
 




          ผมกอดอกยืนมองคนที่ความสูงเท่าอกผมยืนพายกระเป๋าสีแดงใบโตทำหน้าเลิ่กลั่ก แล้วผมก็ต้องถอนหายใจออกมา เขาทำท่าทางแบบนี้และมองผมอยู่กลางห้องมาสักพักแล้ว

 

“จะกลับแล้วเหรอครับ”

 

“อะ อือ” เขาตอบผมแบบไม่สบสายตา มือเล็กกำสายสะพายทั้งสองข้างไว้ มองหน้าผมสลับกับเตียงข้างหลัง “คือ...จิง”

 

“ครับ?”

 

“พี่อยู่คนเดียวเหรอ”


“ใช่ครับ”

 

“คือ เอ่อ”

 

“เรามาแลกไลน์กันไว้ก็ได้ครับ”

 

“คือจิงไม่มีโทรศัพท์”

 

          ผมเลิกคิ้วมองคนตรงหน้าอีกครั้ง ไม่มีโทรศัพท์ แบกกระเป๋าใบโต ไปนั่งร้องไห้อยู่ในซอยเปลี่ยว รวมทั้งหมดเข้าด้วยกัน ก็เดาได้ไม่ยากว่าเด็กคนนี้คง...

 

“หนีออกจากบ้านมาใช่ไหม”


“...อือ”

 

“คุณ”


ฟรึ่บ

 

“ให้จิงอยู่กับพี่เถอะนะ” เขาทรุดตัวลงไปนั่งคุกเข่าที่พื้น แล้วจับขาผมไว้

 

“คุณ...” ผมพยายามดึงขาออกมาแต่มือเล็กที่ดูอ่อนแรงกลับยึดไว้แน่นไม่ปล่อย


“นะพี่” มือเล็กจับขาผมไว้แล้วทำหน้าอ้อน แถมจับขาผมเขย่าไปมาอีก “นะๆๆ”

 

“ลุกขึ้น”

 

“ไม่ลุก นะพี่นะๆๆ”

 

“เฮ้อ ก็ได้” ผมถอนหายใจยอมแพ้ให้กับเขา “ลุกขึ้นก่อน”


“เย้” เขายอมปล่อยผมยืนขึ้นถอดกระเป๋าด้วยรอยยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นก็หุบลงภายหน้าเสี้ยววิ เปลี่ยนเป็นทำหน้าตายมองผม แล้วก็พูดออกมาว่า “กระเป๋าหนักเป็นบ้า”

 

“...”

 

          ผมยืนกอดอกมองคนตัวเล็กที่ลากกระเป๋าตัวเองไปวางไว้ข้างตู้เสื้อผ้า เขาถอดเข็มขัดออก ปลดกระดุมออกสองเม็ด พับเสื้อเชิ้ตแขนยาวขึ้นจนถึงข้อศอก แล้วหันมายิ้มแฉ่งให้ผม...คิ้วขวาผมกระตุก

 

“ห้องพี่มีน้ำร้อนปะ”

 

“มี คุณไม่สงสัยเหรอว่าทำไมผมยอมให้อยู่ด้วย”

 

“ไม่อะ เราเข้ากันได้ดีขนาดนี้จะถามอะไรอีกพี่”  คิ้วขวาผมกระตุกอีกรอบ

 

“คุณไม่กลัวผมเหรอ”

 

“ไม่อะ” ผมเริ่มปวดหัวกับคำว่าไม่อะของเด็กตรงหน้า “ถ้าพี่จะทำร้ายผมจริงๆ คงไม่แบกผมกลับมานี่อะ”

 

“...” ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามไม่ถือสาคนที่เพิ่งรอดจากการฆ่าตัวตายมา

 

“เรามาเปิดใจกันไหมพี่”

 

“ตกลง คุณเล่าเรื่องของคุณมา แล้วผมจะบอกเรื่องของผม”

 

“ดีล” เขายกนิ้วโป้งแล้วให้ผมแล้วยิ้มอีกครั้ง ทำไมผมเริ่มหวั่นใจกับรอยยิ้มของเขากันนะ “ว่าแต่พี่พอจะมีเวลาสักสามนาทีไหม”

 

.

 

.

 

          ผมนั่งอยู่บนตียงมองคนตัวเล็กที่เดินวุ่นไปทั่วในห้องแคบๆ นี่ เขาเดินไปเปิดกระเป๋าหยิบมาม่าออกมาสองห่อแล้วหันมายิ้มให้ผม

 

“พี่มีถ้วยปะ”

 

“มีครับ” ผมชี้ไปแถวตู้เย็นขนาดกลางที่มีกาต้มน้ำร้อนกับกล่องใสใส่ถ้วยจานวางไว้ข้างๆ

 

“เยี่ยม” ผมมองเด็กคนนั้นที่นั่งยองๆ แถวบริเวณนั้นอย่างมุ่งมั่น ต่างจากคนที่เขาเจอเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว “หูย กาต้มน้ำแบบเร็วด้วยอะ สุดยอด”

 

“...” ผมนั่งพิงหัวเตียงหลับตาขมวดคิ้วฟังเสียงนั้น คิดถูกหรือคิดผิดไม่รู้ที่ยอมรับเด็กคนนี้ให้มาอยู่ด้วย

 

“มาแล้วพี่” ไม่นานเขาก็ยกถ้วยสองถ้วยเดินมานั่งที่พื้นข้างเตียง ผมลงไปนั่งตรงข้ามกับเขา “ระหว่างรอสุก เรามาเปิดใจกันเนอะ”

 

“ครับ” ผมยกมือขึ้นกอดอก พร้อมจ้องคนที่นั่งตรงข้าม

 

“เราจะเล่าเรื่องตัวเองแค่ภายในสามนาทีนี้เท่านั้น โอเคปะพี่” ผมพยักหน้าตอบไปและพยักหน้าให้เขาเล่าก่อน “จิงชื่อจิง”

 

“...”

 

“ตอนนี้อยู่ปีสี่ อีกไม่กี่เดือนก็เรียนจบแล้ว” เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ เหมือนเรียกความมั่นใจให้ตัวเอง “อ้อ ถ้าพี่สงสัยว่าทำไมจิงถึงขออยู่กับพี่...เพราะจิงไม่มีบ้านให้กลับ ที่จริงจิงเปลี่ยนที่อยู่ไปเรื่อยๆ มาตั้งแต่ปีสี่เทอมแรกแล้ว จิงไปนอนบ้านเพื่อนบ้าง โฮสเทลบ้างแต่วันนี้จิงดันทำกระเป๋าเงินหาย...”

 

“ฟังอยู่ครับ”

 

“โทรศัพท์ก็ขายไปจ่ายค่าเทอมเทอมสุดท้าย”

 

“...”

 

“อืม เรื่องของจิงก็มีแค่นี้อะพี่”

 

“แล้วติดหนี้ไว้เท่าไหร่”


“ปริญญาหนึ่งใบ”

 

“...”

 

“อย่าบอกว่าจิงงี่เง่า”


“ผมไม่ได้พูดอะไร” ผมจ้องเข้าไปในตาใสนั้น “เพราะหนี้ผมก็คล้ายๆ คุณ”

 

“ยังไงอะ”

 

“หนึ่งแสนกว่าบาท เห็นไหมเท่าๆ ค่าเทอมคุณเลย”


“ฮ่าๆ” เขาหัวเราะออกมา...นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นความเศร้าหายไปจากคนตรงหน้า...แต่ก็แค่ชั่วคราว “พี่นี่ตลกว่ะ เออ ว่าแต่พี่ชื่อไรอะ”

 

“นน”

 

“อ่อ” เขาก้มหน้ามองนาฬิกาข้อมือตัวเองและเงยหน้ามามองผม “กินมาม่ากันพี่ ครบสามนาทีแล้ว”

 

“ครับ”

 

          เราก้มหน้ากินมาม่าด้วยความหิวโหย กลิ่นหอมๆ ลอยคละคลุ้งไปทั่วห้อง ผมทำเป็นไม่ใส่ใจกับเรื่องที่เขาเล่ามาและเขาก็ทำเป็นไม่ใส่ใจเรื่องของผมเหมือนกัน

 

          เรารู้ว่าเรื่องระหว่างเรามันแปลก แต่อย่างว่าเราแค่อยากหายไปเหมือนกัน คงไม่ต้องเอาเรื่องน่าปวดหัวของกันมาใส่ใจ แค่รู้ที่มาแบบคร่าวๆ แต่ก็ทำให้เราสามารถเดาเหตุผลได้ค่อนข้างชัด

 

          แค่คนที่ว่างเปล่า โดดเดี่ยวแต่ก็ไม่อยากมีอะไรติดค้างกับโลกใบนี้เหมือนกัน ไม่มีอะไรไปมากกว่าความบังเอิญ แต่ในจังหวะที่ผมยืดตัวขึ้นตักน้ำซุปเข้าปาก เราดันสบตากันพอดี ผมมองปากบางที่มันวาว

 

“พี่นน” ปากนั้นขยับเรียกชื่อผมและยิ้มออกมา “ขอบคุณนะพี่”

 

บางทีอาจจะมีอะไรซ่อนอยู่ในความบังเอิญ ที่ทำให้ผมแอบยิ้มในตอนนี้ก็ได้

 

.

 

.

 

 

“พี่...จิงขอหารค่าห้อง แล้วก็ค่าน้ำค่าไฟนะ”

 

“จ่ายแค่ค่าไฟก็พอ”

 

“แต่จิง...”

 

“ไม่เป็นไร” แล้วผมก็เถียงอะไรไม่ออกเมื่อเจ้าของห้องพูดออกมาพร้อมใบหน้านิ่งๆ เพราะผมไม่รู้เลยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ไม่อยากผิดใจกันตั้งแต่วันแรก

 

 “เดี๋ยวจิงเอาถ้วยไปล้างเอง” ผมรีบพูดออกมาตอนที่เขาเดินไปหยิบถ้วยมาม่าขึ้นมาจากพื้น เขาหันมามองผมนิ่งๆ โดยไม่พูดอะไร แต่เหมือนเขากำลังบอกผมเองว่าปล่อยให้เขาล้างไปเถอะ


“ไปอาบน้ำเถอะครับ มันต้องออกไปล้างตรงระเบียง เดี๋ยวยุงกัด”

 

“โอเค” ตกใจเล็กน้อยกับประโยคยืดยาวของคนหน้านิ่ง “ถ้าอย่างนั้น จิงอาบน้ำนะ”

 

          เขาพยักหน้าให้ผมและออกไปที่ระเบียง ผมมองไปทั่วห้องเล็กๆ ภายในห้องนี้มีเพียงเตียง ตู้เสื้อผ้าและตู้เย็น ผมแอบมองแผ่นหลังที่กำลังล้างจานอยู่ข้างนอกอีกครั้ง เขาเป็นคนแปลกๆ ในหลายครั้งดูเหม่อลอย เหมือนจะปล่อยทุกอย่างไปตามโชคชะตา

 

          แต่บางครั้งผมก็รู้สึกว่าเขาไม่ได้เป็นแบบนั้น ผมไม่รู้ว่าการที่เขาใจดีกับผมแบบนี้มีอะไรไม่ชอบมาพากลรึเปล่า แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าต้องไปนอนในที่ที่ไม่ปลอดภัย ที่จริงผมก็ไม่ค่อยเข้าใจทำไมต้องคิดว่าที่นี่จะปลอดภัยก็ไม่รู้

 

ซ่า

 

          เสียงน้ำกระทบกระเบื้องทำให้ผมเลิกคิดอะไรวุ่นวายไปได้บ้าง น้ำเย็นไหลผ่านใบหน้าไปทำให้ผมผ่อนคลาย ผมที่เผลอยืนนิ่งใต้ฝักบัวไปนาน ก็เพิ่งนึกถึงปัญหาใหญ่ออก...จะนอนกันยังไงวะเนี่ย ยังไงผมก็ไม่กล้าขึ้นไปนอนบนเตียงคู่นั่นแน่ๆ

 

แกรก

 

“พี่นน” เป็นไว้อย่างที่คิด

 

“เดี๋ยวผมนอนฝั่งติดกำแพงเองครับ” ผมมองเตียงคู่ที่โดนแบ่งข้างด้วยหมอนข้าง ผ้าห่มสองผืนวางอยู่ปลายเตียงอย่างเรียบร้อย ผมเงียบมองคนที่ตัวสูงกว่าผมเดินไปหยิบเสื้อผ้าออกจากตู้เสื้อผ้าและเดินไปเข้าห้องน้ำด้วยท่าทีมึนๆ

 

“ทำไม..” ผมหลุดพูดสิ่งที่คิดออกมาเบาๆ ตอนที่เขาเข้าห้องน้ำไปแล้ว “ทำไมต้องทำดีกับจิงถึงขนาดนี้”

 

           ผมล้มตัวลงนอนลงบนเตียงฝั่งของตัวเอง นอนคิดเรื่องที่ผ่านมาทั้งวัน ผมที่เลือกจบชีวิตตัวเองแต่สุดท้ายกลับมานอนอยู่บนเตียงคนแปลกหน้าที่ช่วยชีวิตตัวเองไว้ แถมยังตกลงจะจบชีวิตด้วยกันอีก

 

“หึ” ผมหลุดขำ ไม่รู้ทำไมถึงเป็นแบบนี้ แต่เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ก็ทำให้ผมยิ้มได้เยอะกว่าทุกวันที่ผ่านมา

 

แกรก



          หลังจากเสียงน้ำหยุดลงพี่นนก็ออกมาจากห้องน้ำด้วยชุดนอนสีน้ำตาล เขาเดินไปเช็คความเรียบร้อยที่ระเบียง ล็อคประตูและเดินไปที่สวิตซ์ไฟ

 

“ผมปิดไฟแล้วนะครับ”

 

“อะ อือ”                   

 

          ไฟทั้งห้องดับลงแต่แสงไฟจากมือถือของคนที่ยืนอยู่ปลายเตียงกลับสว่างขึ้น พี่นนเดินมาแค่ก้าวเดียวก็ถึงเตียง เขาขึ้นมาบนเตียงจากปลายเตียงและทิ้งตัวลงในฝั่งติดกำแพง แล้วเราก็เงียบไป

 

“พรุ่งนี้ผมจะตั้งปลุกหกโมงเช้านะครับ”

 

“...อือ” ผมตอบรับและนอนหันหลังให้เขา พยายามข่มตาให้หลับเพราะบรรยากาศอึดอัดระหว่างเรา

 

“พรุ่งนี้ไปเรียนรึเปล่า”

 

“ไม่อะ ทั้งอาทิตย์จิงมีเรียนวันเดียว”

 

“ครับ” เขาปิดหน้าจอโทรศัพท์ลง ภายในห้องมืดสนิท

 

“...”

 

“...”

 

“คือ...”

 

“จริงๆ แล้วจิงเพิ่งโดนไล่ออกจากงานพาร์ทไทม์” ผมตัดสินใจเล่าเรื่องนี้ให้เขาฟังเพื่อทำลายบรรยากาศอึดอัด “เพราะจิงดันไปต่อยหน้าตาแก่โรคจิตที่แอบจับก้นผม”


“ถึงขนาดต้องไล่กันออกเลยเหรอครับ คุณไม่ผิดสักหน่อย”

 

“ตาแก่นั่นเป็นเจ้าของร้านอะพี่”

 

“อ่า”

 

“ฮ่าๆ จิงขำหน้าพี่อะ”

 

“อะไรกันครับ มืดขนาดนี้”

 

“จิงนึกออกไง“

 

“...”

 

          แล้วเราก็เงียบลงไป สายตาผมที่เพิ่งจะปรับเข้ากับความมืดได้ ก็เริ่มมองเห็นสิ่งของในห้องจากแสงข้างนอกที่เข้ามาทางประตูกระจก ผมกระชับผ้าห่มเข้าหาตัว ในใจเริ่มปล่อยความกลัวออกมา กลัวที่ใหม่ๆ บรรยากาศใหม่ๆ

 

“พี่หลับแล้วเหรอ”

 

“ยังครับ” ผมพลิกตัวหันไปมองคนที่นอนอยู่ข้างๆ แต่ก็พบเข้ากับหมอนข้างสีขาวแทน

 

“ทำไมพี่ถึงให้จิงอยู่ด้วยอะ”

 

“ไหนบอกจะไม่ถามผมไง”


“อยากรู้”

 

“ผมก็ไม่รู้”

 

“เหอะ งั้นจิงนอนแล้วนะ”


“เดี๋ยวครับ”

 

“อะไรเหรอพี่” ผมยังคงมองอยู่อย่างนั้นทั้งที่เห็นแค่หมอนข้างสีขาว แต่ใบหูและเส้นผมที่โผล่ออกมาเล็กน้อย ทำให้ผมรู้ว่าเขาหันหน้ามาทางผมและผมเองก็หันหน้ามองเขาอยู่

 

“ที่ร้านกาแฟใต้ตึกที่ผมทำงานอยู่ เปิดรับพนักงานพาร์ทไทม์”

 

“จริงเหรอพี่”

 

“ใช่ครับ”

 

“งั้นพรุ่งนี้จิงไปด้วยนะ”

 

“ครับ”

 

“จิงนอนแล้วนะ ถ้าพรุ่งนี้จิงไม่ยอมตื่น พี่เขย่าจิงแรงๆ นะ”

 

“ครับ”

 

          ผมหันหลังให้กับหมอนข้างและหลับตาลง ทุกอย่างมันแปลก เขาแปลกที่ไว้ใจผมและผมก็แปลกที่ไว้ใจเขามากขนาดนี้ ทำไมต้องใจดีกับผมแบบนี้ ทั้งเรื่องที่ให้อยู่ด้วยและเรื่องพาร์ทไทม์

 

          เฮ้อ ช่างมันเถอะ ผมไม่อยากคิดมากแล้ว ถ้าเขาจะทำร้ายผมก็คงไม่เป็นไร ยังไงผมก็อยากตายอยู่แล้วนี่ ถ้าเขาเกิดลุกมาฆ่ากันจริง ผมคงขอร้องว่าฆ่าผมให้ตายไปจริงๆ ไม่ต้องตื่นขึ้นมาอีก

 

.

 

.

 

          ท่ามกลางความเงียบงันในกลางดึก ดวงตาคู่หนึ่งลืมตาขึ้นมาท่ามกลางความมืดมิด รอสักพักให้สายตาชินกับความมืดและในตอนที่เริ่มมองเห็นภาพลางๆ ก็ค่อยๆ พลิกตัวหันหน้าเข้าหาคนที่นอนหลับไปแล้ว มือนั้นค่อยๆ เอื้อมผ่านหมอนข้างที่กั้นคนทั้งสองไว้ไปวางลงบนแก้มคนที่กำลังหลับสนิทลูบไล้ไปมาด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ก่อนที่จะละมือออกมาแล้วกลับไปนอนตามเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น










*********************************

TBC
หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 2 (16/03/62)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 16-03-2019 22:06:42
อะไรยังไง ยังงงๆ แต่ก็อย่าแอบปล้ำกันนะ อิอิอิ
หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 3 (17/03/62)
เริ่มหัวข้อโดย: gigibabe ที่ 17-03-2019 17:14:58

ตอนที่ 3 ผมน่ะ โคตรคูล




“ไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้ครับ”


“จิงกลัวไม่ทัน”


“จะไปไหนครับ” ผมดึงข้อมือเล็กไว้เมื่อเห็นว่าเขาจะเดินไปทางออกด้านหน้าของตึก


“ก็ไปขึ้นรถเมล์ไงพี่”


“ไปรถเมล์ตอนนี้ไม่ทันหรอก”


“จิงเลยต้องรีบนี่ไง”


“ผมมีรถ”


“อ้าว แล้วก็ไม่บอกกันตั้งแต่แรก” เขาเบะปากแล้วดึงมือไปกอดอกตัวเองไว้ ก่อนจะยกคิ้วทำหน้าทะเล้นใส่ผม “แต่ตอนนี้ยังไงรถพี่ก็ติดตั้งแต่ยังไม่ออกจากหอปะ”


“เดี๋ยวก็รู้ครับ”


บรืน


“พี่ช้าหน่อย!”


“เดี๋ยวไปทำงานไม่ทันครับ”


“พูดไรอะ ไม่ได้ยิน ช้าหน๊อยย!”


“หึๆ”


   ผมขำที่ได้แกล้งคนตัวเล็กที่นั่งซ้อนอยู่ข้างหลัง มือเล็กกำเสื้อผมไว้แน่น เตรียมจะเร่งความเร็วขึ้นอีกนิดเพราะด้านหน้าไฟเขียวพอดี ตัดสินใจดึงมือที่เกาะเสื้อผมไว้ให้กอดเอวตัวเองเอาไว้แต่ผมคงดึงแรงไปหน่อยเพราะรู้สึกถึงหมวกกันน็อคของอีกคนกระแทกเข้ามาที่หลัง


“โอ๊ย!”


บรืน


“เหวอ” ได้ยินอีกคนหลุดเสียงตกใจ ผมก็ยิ้มออกมาด้วยความสนุกและยิ้มกว้างอีกครั้งตอนที่แขนเล็กทั้งสองข้างกอดเอวผมไว้แน่น...อยากให้แยกหน้าไฟเขียวอีกจัง


.


.


“นี่เราตายยังอะ”


“หึ สนุกไหมครับ”


“พี่สนุกคนเดียวเหอะ วันหลังจิงจะรีดเสื้อไว้ตั้งแต่ตอนกลางคืนเลย” ผมมองปากเล็กๆ นั่นที่บ่นไม่หยุด “พรุ่งนี้ไม่ต้องรีบแล้วนะ”


“ครับๆ” ผมรับปากไปแบบส่งๆ แต่ในใจก็เถียงไปว่าไม่รีบก็ไม่สนุกสิ “คุณ..”


“อะ...” เขาตกใจที่ผมจับคางเขาให้เงยหน้าขึ้น เขาเบิกตากว้างแล้วปัดมือผมออก


“พี่ทำไรเนี่ย” เขาว่าแบบนั้นแล้วหันมองซ้ายขวา


“จะถอดหมวกันน็อค”


“จิงถอดเองได้”


“เห็นมันรัดแก้ม ผมแค่อยากช่วย”


“พี่ว่าจิงอ้วนเหรอ”


“...” ผมหยุดคิด เขาไม่ได้อ้วนแต่... “คุณผอมแต่แก้มเยอะ”


“ฮึ่ย” ปากเล็กเบะออกมาอีกรอบ เขาทำปากขมุบขมิบเหมือนด่าผมในลำคอ แล้วแกะที่ล็อคหมวกกันน็อคออกจากคาง แก้มย้วยคืนตัวจากการโดนรัดเด้งไปมา ล่อตาล่อใจจน...


จึก


“เห้ย พี่จิ้มแก้มจิงทำไมเนี่ย”


“เปล่า” ผมเอามือออกจากความนุ่มนั้น คว้าหมวกกันน็อคจากมือเล็กนั้นมาเก็บ แล้วรีบเดินเข้าตึก


“รอจิงด้วย” ผมเดินเร็วไม่รอคนข้างหลัง ในใจก็ทวนประโยคคำถามของเขา นั่นสิ ผมจิ้มแก้มเขาทำไม


.


.


“ร้านนี้ครับ ผมต้องรีบไปแล้ว”


“โอเค ตอนเย็นเจอกันที่รถนะพี่”


“ครับ”


   ผมมองคนที่เพิ่งหันหลังเดินจากไป แผ่นหลังกว้างสะพายกระเป๋าใส่โน๊ตบุ๊คเหมือนพนักงานออฟฟิศทั่วไป นึกถึงใบหน้านิ่งๆ ของเขาแล้วก็เบะปากออกมาด้วยความอิจฉา อยากทำหน้านิ่งแล้วดูดีบ้าง ผมเคยทำหน้านิ่งแล้วพ่อของผมบอกว่าเหมือนปลาตาย...เอ่อ แล้วผมจะคิดถึงผู้ชายคนนั้นทำไมกัน


จึกๆ


   ผมหันไปหาแรงที่จิ้มไหล่ผมทันที ชะงักไปเล็กน้อยกับสิ่งที่ที่หันไปเจอ ผมกะว่าจะมองหน้าคนที่มาสะกิดกันแต่ผมดันเจอคางของคนที่สูงกว่าแทน เงยหน้ามองก็ต้องชะงักไปกว่าเดิม...พี่เขายิ้มให้ผมทำไมอะ


“เอ่อ ทักคนผิดแล้วครับ”


“ไม่ผิดๆ จะมาสมัครพาร์ทไทม์ใช่ไหมล่ะ”


“อ่อ ใช่ครับ”


“รอตรงนี้ก่อนนะ”


   ผมยืนนิ่งไม่ได้พูดอะไรเพราะยังงงอยู่ เขาวิ่งกลับเข้าไปในร้านแล้ววิ่งถือถุงที่ใส่แก้วกาแฟหลายแก้วกลับมา เขายัดถุงพวกนั้นให้ผมถือจนเต็มมือทั้งสองข้าง


“นี่งานแรก ชั้นสิบห้า คุณเอิน บริษัท y”


“คะ ครับ” ผมตอบรับพร้อมท่องจำในใจ “แต่ยังไม่ได้ให้เอกสารสมัครเลยนะครับ”


“ไม่เป็นไร รับแล้ว” พี่เขาฉีกยิ้มให้ “ว่าแต่เราชื่ออะไร”


“จิงครับ เอ่อ จรัสครับ”


“โอเค จิงจรัส”


“เอ่อ” ผมมองหน้าคนตัวสูงกว่า หน้าตาใจดีและยิ้มตลอดเวลาทำเอาผมทำตัวไม่ถูกเท่าไหร่ ทำไมต้องสดใสขนาดนั้น


“รีบไปเร็ว เดี๋ยวน้ำแข็งละลาย


“ครับๆ” นี่ผมได้งานแล้วใช่ไหม


.


.


“คาปูชิโน่ของโต๊ะสอง”


“ครับ” ผมรับถาดกาแฟที่มีแก้วกาแฟแบบร้อนวางไว้ เดินไปอย่างระมัดระวังแล้ววางลงบนโต๊ะไม้ “คาปูชิโน่ครับ”


“พี่นุชมีอะไรให้จิงช่วยไหมครับ” ผมถามพี่ร่วมงานอีกคนในร้านนี้
 

“ไม่เป็นไร ชื่อจิงสินะ”


“ครับ”


“ไปพักกินข้าวก่อนไป เดี๋ยวพี่เฝ้าเคาน์เตอร์เอง”


“เอ่อ นี่เก้าอี้ครับ” ผมลากเก้าอี้ให้พี่นุชนั่งลง ด้วยความเป็นห่วงเพราะเธอกำลังท้องอยู่ “ถ้าอย่างนั้นจิงไปพักแล้วนะครับ”


“จ้า ขอบใจนะ”


   ผมเปิดประตูเข้ามาหลังร้านแต่ก็ต้องชะงักไปที่เจอเจ้าของร้าน เอ่อ เขาคือคนเดียวกันกับคนที่ยัดกาแฟใส่มือผมไปเมื่อเช้า เขายิ้มให้ผมอีกแล้ว แถมยังกอดอกยืนขวางทางผมไว้อีก


“จะไปพักใช่ไหม”


“ครับ”


“รับไปสิ”


“อ่า” ผมรับแผ่นป้ายชื่อของตัวเองมา แล้วกลัดเข้ากับเสื้อเชิ้ตตัวเอง “ขอบคุณครับ”


“ทำงานด้วยกันไปนานๆ นะ มีปัญหาอะไรก็บอกพี่”


“ครับ”


“พี่ชื่อชิน”


“ครับพี่ชิน”


“เราทำงานแปดโมงเช้าถึงสี่โมงเย็นนะ แล้วก็ช่วงนี้พี่อาจจะขอยืมแรงเราหนักหน่อยเพราะพี่นุชเขาท้องอยู่”


“ได้ครับ”


“เรื่องค่าจ้างเราอ่านในใบสมัครแล้วใช่ไหม”


“ครับ”


“ต่อไปนี้ก็ฝากด้วยนะ” ผมสะดุ้งเพราะพี่ชินวางมือบนหัวผม “มีอะไรจะถามไหม”


“เอ่อ” ผมพยายามเอียงหัวออกจากมือใหญ่ “ทำไมพี่ถึงเลือกจิงครับ”


“อ๋อ เพราะเราใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวแล้วดูดีน่ะ”


“หะ” ผมหลุดพูดไม่มีหางเสียงออกไป


“ร้านเราคัดหน้าตาน่ะ ฮ่าๆ” พี่ชินพูดไปหัวเราะไปแล้วตบบ่าผมเบาๆ “ล้อเล่น ไปพักเถอะ อีกหนึ่งชั่วโมงเจอกัน”


“ครับ”


.


.


“จิง ลาเต้สี่แก้ว อเมริกาโน่สาม ชั้นสิบสาม คุณริน บริษัท z”


“ครบครับ”


   ผมทวนรายการในใจแล้วเก็บบิลเข้ากระเป๋าคาดอกที่พี่ชินให้ไว้ รีบเดินไปขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นสิบสาม นี่เป็นการมาส่งกาแฟบนตึกนี้เป็นครั้งที่ห้าของวัน วันนี้พี่ชินบอกคนค่อนข้างสั่งน้อย ปกติแล้วพี่ชินกับพี่นุชเดินกันให้วุ่นกว่าวันนี้อีก


   ผมลอบถอนหายใจในลิฟต์ที่มีพนักงานออฟฟิศอยู่ด้วยไม่กี่คน งานค่อนข้างเหนื่อยแต่ผมทนได้เพราะได้ค่าตอบแทนตั้งห้าร้อย แถมยังมีเจ้านายและเพื่อนร่วมงานที่ใจดีอย่างพี่นุช ผมก็พอใจแล้วดีกว่าเจองานหนักและเพื่อนร่วมงานแย่ๆ


 ติ๊ง


   ผมมองป้ายบริษัท z แล้วเดินเข้าไป แจ้งประชาสัมพันธ์ข้างหน้าแล้วยืนรอบริเวณเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ แอบมองเข้าไปข้างในก็เห็นโต๊ะพนักงานวางเรียงรายกันไปหมด บริษัทที่นี่ค่อนข้างเล็กไม่เหมือนที่ผมเคยเห็นมาก่อน


จึก


“อะ” กำลังจะตะโกนด้วยความตกใจเพราะจู่ๆ ก็มีอะไรมาจิ้มแก้ม แต่ก็ต้องเงียบไปเพราะคิดได้ว่าไม่ควรเสียงดังในบริษัท แต่พอเห็นหน้านิ่งๆ ของคนที่เอานิ้วมาจิ้มแก้มผมแล้วมันก็อดไม่ได้จริงๆ “พี่จิ้มทำไมเนี่ย!”


“ชู่” พี่มันเอานิ้วที่จิ้มแก้มผมไปแทบที่ปากตัวเอง แล้วทำเสียงห้ามผมพูด ผมชะงักไปที่เห็นนิ้วนั้นอยู่ที่ริมฝีปากของเขา มันก็เหมือนพี่มันหอมแก้มผมไม่ใช่หรอ!


“ฮึ่ย” ผมสะบัดหัวไล่ความคิดไร้สาระ แต่ความร้อนบนใบหน้าก็ยังปะทุไม่หยุด


“มารับกาแฟค่ะ”


“อ้อ” เหมือนเสียงสวรรค์ ผมซ่อนใบหน้าร้อนๆ ตัวเอง ด้วยการหันหลังไปส่งกาแฟให้ลูกค้าทันที “นี่ครับ คุณรินใช่ไหมครับ”


   ทำการรับเงิน ทอนเงินกันอยู่สักพัก ลูกค้าก็เดินจากไปแต่พี่นนยังอยู่ เขาทำหน้านิ่งเหมือนเดิมเพิ่มเติมคือกอดอกมองผม ผมเลิกคิ้วกอดอกตามแล้วมองเขาแบบกวนๆ ชี้นิ้วไปที่ป้ายติดอกเสื้อตัวเอง


   พี่นนมองตามก่อนจะยกมุมปากขึ้นนิดเดียว แล้วพยักหน้าขึ้นลงเบาๆ ก่อนจะทำหน้านิ่งสบตาผมเหมือนเดิน ผมยกมุมปากตามแล้วตบอกตัวเองเป็นการแสดงออกว่า ผมน่ะ โคตรคูล เขาชูนิ้วโป้งให้ผมโดยที่ยังทำหน้านิ่งแล้วเดินผ่านผมไปทั้งอย่างนั้น
 

“หึๆ” ผมหัวเราะในลำคอเบาๆ หลังอวดที่ตัวเองได้งานเสร็จ กำลังจะเดินออกจากบริษัทนี้ไปขึ้นลิฟต์ แต่…


“อุ๊บ ฮ่าๆ”


“เอ่อ” ผมหันหน้าไปมองพี่ที่นั่งอยู่ฝ่ายประชาสัมพันธ์หัวเราะออกมา


“อุ๊ย น้อง พี่ขอโทษๆ พี่แค่ขำน้องกับพนักงานคนเมื่อกี้”


“อ่อ ครับ”


“ดูสนิทกันจังนะ”


“เอ่อ ครับ งั้นขอตัวนะครับ”


“จ้าๆ”


ติ๊ง


   ผมเดินเข้าไปในลิฟต์ร้างผู้คน กดลงไปที่ชั้นแรกเพื่อกลับไปยังร้านกาแฟ ในหัวนึกย้อนเรื่องเมื่อสักครู่ หึ สนิทที่ไหน เจอกันแค่วันเดียวเอง แต่ผมก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่ได้อวดป้ายชื่อกับเขาและได้รับคำชมเป็นมุมปากที่ยกขึ้นนิดเดียวกับการชูนิ้วโป้งแบบนั้น มันรู้สึกดีไม่น้อยเลย


อยากทำให้ยิ้มได้เหมือนตอนที่เรานั่งอยู่ระเบียงด้วยกันจัง


“อะ” ผมตกใจที่เห็นใบหน้าตัวเองกำลังยิ้มสะท้อนกับกระจกในลิฟต์

 
ยิ้มได้โดยลืมคิดถึงเรื่องนั้นไปแล้วเหรอจิง





**********************************
TBC



หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 3 (17/03/62)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 17-03-2019 18:12:22
โห..ได้งานเร็วจัง ขยันมากๆ นะ
หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 3 (17/03/62)
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 17-03-2019 18:54:48
ดีใจด้วยนะจ๊ะที่ได้งาน

แถมเจ้านายหล่อและใจดี

อยู่กับพี่นนและช่วยกันแก้ปัญหา

เผื่อวันข้างหน้าจะเปลี่ยนใจ

ไม่คิดฆ่าตัวตายกันทั้งคู่

สู้ๆทั้งคุณนักเขียน

และน้องนนกับจิง
หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 3 (17/03/62)
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 17-03-2019 20:30:50
เป็นกำลังใจให้ทั้งคู่  และ ผู้แต่ง ^^
หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 4 (18/03/62)
เริ่มหัวข้อโดย: gigibabe ที่ 18-03-2019 22:29:00

ตอนที่ 4 ครึ่งๆ



 

“ทำงานวันแรกแล้วหยุดเลย เจ้าของร้านไม่ว่าอะไรเหรอครับ”

 

“ไม่อะ จิงบอกแล้วว่าจิงมีเรียนทุกวันอังคารแล้ว”

 

“ดีแล้ว”

 

“ใช่ดีมากๆๆๆ” ผมพูดย้ำๆ และรับหมวกกันน๊อคมาใส่ “พี่รู้ปะ บางที่ไม่รับจิงพราะทำจันทร์ถึงศุกร์ไม่ได้ก็ตั้งเยอะ พี่ชินใจดีมาก แถมไม่ต้องทำงานชดวันเสาร์อาทิตย์ด้วย”

 

“ดีแล้ว”

 

          ผมซ้อนท้ายฟีโน่สีดำของคนหน้านิ่งเหมือนเดิม จับที่จับด้านหลังไว้ ผมปวดหลังนิดหน่อยเพราะวันนี้เดินและยกกาแฟเกือบทั้งวันเลย หลับตารับลมเย็นในตอนเย็นของวันนี้ไว้ ในที่สุดก็เลิกงานสักที ได้รับเงินห้าร้อยบาทมาแล้วก็ชื่นใจ แอบมองคนหน้านิ่งที่กำลังบิดมอเตอร์ไซด์ผ่านกระจกข้างหน้า แล้วผมก็ลอบยิ้ม อยากเล่าเรื่องวันนี้ให้พี่นนฟังอีกเยอะๆ เลยอะ

 

.

 

.

 

“พี่ไม่กินไรหรอ”

 

“ไม่หิวครับ”

 

          ผมพยักหน้ารับ เดินไปหยิบเสื้อผ้าในกระเป๋าไปเปลี่ยนในห้องน้ำ เสื้อยืดตัวใหญ่ๆ กับกางเกงบอลขาสั้นเป็นชุดโปรดของผม ออกมาเจอคนตัวใหญ่หลับอยู่ในเตียงฝั่งตัวเองแล้วผมก็แอบยิ้ม ค่อยๆ เดินไปแอบมองใบหน้าคนที่หลับไปแล้วใกล้ๆ

 

          แอบจับปลายผมดำที่ปรกที่ตาออกให้เขา แล้วก็ลอบยิ้มอยู่คนเดียว วันนี้คงเหนื่อยมากสินะ ทั้งที่เลิกงานเร็วกว่าผมแต่ก็ยังนั่งรอกันจนหกโมงเย็นเพราะผมต้องช่วยพี่ชินปิดร้าน อืม ซื้ออะไรมาให้เจ้าของห้องใจดีคนนี้ดีกว่า

 

จึก

 

“ขอเอาคืนหน่อยเถอะ” หลังจากแอบจิ้มแก้มเขาไปแล้วก็กระซิบเบาๆ แล้วรีบเดินออกจากห้องไปโดยคว้าเอากุญแจที่วางอยู่บนตู้เย็นไปด้วย

 

          ถ้าตอนที่กำลังปิดประตู จิงหันกลับไปมองคนบนเตียงคงจะได้เห็นรอยยิ้มที่เขาอยากเห็นมาทั้งวันแน่ๆ

 

.

 

.

 

“พอได้โชคดีแล้วก็อยากโชคดีไปเรื่อยๆ อะพี่”

 

“โลภ”

 

          ผมว่าคนที่นั่งกินบะหมี่เกี๊ยวตรงข้ามแบบไม่จริงจัง รู้สึกขอบคุณเด็กคนนี้ด้วยซ้ำที่มีน้ำใจปลุกผมมากินข้าวเย็นด้วยกัน จิงใส่บะหมี่เกี๊ยวน้ำในถ้วยให้ผม ส่วนตัวเองก็กินแบบแห้งโดยใส่ห่อกระดาษไว้เหมือนเดิม ผมไล่ไปใส่ถ้วยก็ไม่ไปบอกผมว่ากินแบบนี้อร่อยกว่า

 

“ว่าแต่ผม เมื่อตอนเย็น จิงเห็นพี่เดินไปซื้อล๊อตเตอรี่หน้าตึก”

 

“เผื่อโชคดีไงครับ”

 

“เหอะ”

 

          แล้วเราก็ก้มหน้ากินบะหมี่เกี๊ยวกันต่อ ผมลอบมองคนที่กำลังเคี้ยวตุ้ยๆ แล้วนึกเอ็นดูเขาคงกินเข้าไปคำใหญ่มากเพราะแก้มที่กลมอยู่แล้วยิ่งกลมเข้าไปใหญ่ พอเห็นแก้มที่ขึ้นเป็นลูกๆ นั่นก็เกือบจะยกมือไปจิ้มแต่ก็ต้องทนไว้เดี๋ยวโดน ‘เอาคืน’ อีก

 

“เรื่องสัญญานั่นเอาจริงดิพี่”

 

“ครับ”

 

          ตอบไปโดยไม่ต้องคิด อย่างที่เคยบอกไว้ ผมน่ะจะตายเมื่อไหร่ก็ได้เพราะไม่เหลือคนบนโลกให้ต้องเสียใจกับการจากไปของผมอยู่แล้ว ที่อยู่จนถึงทุกวันนี้ก็เพื่อใช้หนี้

 

“จิงนึกว่าพี่จะพูดเพราะอารมณ์ตอนนั้น”

 

“งั้นมาเลือกกันไหมว่าจะตายแบบไหนดี”

 

“อืม โดดให้รถสิบล้อชนไหมพี่”

 

“ศพไม่สวย ทำให้คนอื่นเดือดร้อน” ผมพูดออกไปและคิดวิธีการต่อไป “กรีดข้อมือ”

 

“หูย กว่าเลือดจะหมด”

 

“โดดตึก ไม่ๆ ผมกลัวความสูง”       

 

“ฮ่าๆ”

 

“อะไรครับ”

 

“เปล่าๆ ผมว่าเราทั้งคู่ประหลาดดี”

 

“ผมก็ว่างั้น” จะมีใครมานั่งคิดวิธีฆ่าตัวตานตอนกินข้าวด้วยกัน

 

“มาเป่ายิ้งฉุบกัน ใครแพ้จ่าย” หลังจากกินอิ่ม เขาก็พูดขึ้นมาแบบนี้

 

“ผมนึกว่าคุณจะเลี้ยงผมซะอีก”

 

“ยันยิงเยา ปักกะเป้า เป่ายิ้ง...ฉุบ”

 

“...”

 

          ผมมองค้อนในมือตัวเองโดนมือขาวที่กางออกเป็นกระดาษกำไว้ ผมเงยหน้ามองคนที่ยิ้มเจ้าเล่ห์ให้ผมก็เกิดความรู้สึกแปลกๆ เข้ามาที่อกด้านซ้าย เลยรีบดึงค้อนออกมาจากกระดาษ

 

“เยส จิงชนะ”

 

“เฮ้อ”

 

“ขอบคุณสำหรับอาหารครับ”

 

“ผมไม่นึกว่าคุณจะเป็นคนแบบนี้”

 

“ฮ่าๆ”

 

“ทั้งหมดเท่าไหร่ครับ”

 

“จิงออกหนึ่งร้อย ครึ่งๆ ”

 

“ครึ่งยังไงครับ บะหมี่เกี๊ยวพิเศษสองห่อ นี่ก็หนึ่งร้อยบาทพอดีแล้ว”

 

“ก็ครึ่งนี้จิงจ่าย ครึ่งหน้าพี่จ่ายไง”


“นั่นมุกเหรอครับ”

 

“ฮ่าๆ ” ผมคิ้วกระตุกกับเสียงหัวเราะตรงข้าม แต่แล้วผมก็เริ่มหัวเราะตาม

 

“เห้ย พี่ยิ้มอะ”

 

“นี่คุณ” ผมหุบยิ้มลงทันที

 

“ดีใจอะ”

 

“อะไรกันครับ” แค่ผมยิ้มทำไมต้องดีใจและยิ้มขนาดนั้นด้วย “ผมไปล้างจานดีกว่า”

 

“ฮ่าๆ พี่เขินอะ หน้าแดงเลย”

 

“...” ผมเดินหนีออกมาที่ระเบียงและเริ่มล้างจาน พยายามไม่สนใจคนที่เอาหน้ามาแนบกระจกแล้วรูดขึ้นลงเพื่อแกล้งผม แล้วเขาก็ทำสำเร็จ “หึ” 

 

ในวันนี้ผมหัวเราะออกมาเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้

หัวเราะได้อีกครั้งก็เพราะเขา

 

 

 

 

 

*********************************************

          ขอบคุณทุกคอมเม้น ทุกกำลังใจนะคะ

TBC
หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 4 (18/03/62)
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 18-03-2019 22:45:29
เนื้อเรื่องสนุก

และเป็นการให้กำลังใจกันอย่านึง

ถ้าคนเราไม่หยุดนิ่ง

ชีวิตย่อมมีทางออก

ขอให้โชคดีจงสถิตย์อยู่กับน้องทั้งสองคน
หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 5 (21/03/62)
เริ่มหัวข้อโดย: gigibabe ที่ 21-03-2019 00:14:06

ตอนที่ 5 ขนมล่องหนกับคนซ่อนแอบ




“วันศุกร์แล้ว โว๊ย!!!”


“คุณอย่าตะโกน”


“ฮ่าๆ”


ผมเปิดเบาะฟีโน่คู่ใจแล้วยื่นหมวกกันน็อคให้เขา ใส่หมวกกันน็อคให้ตัวเองแล้วขึ้นรถสตาร์ทรอ สักพักเขาก็ขึ้นมาซ้อนแล้วกำเสื้อผมไว้อย่างเคย พอเขานั่งเรียบร้อยแล้วผมก็ขับออกจากออฟฟิศทันที วันนี้เราตกลงจะไปซุปเปอร์มาร์เก็ตกันก่อนกลับบ้าน


.


.


ผมมองสบตาคนที่เข็นรถเข็นเล่นอยู่ด้านหลัง เขาเงยหน้ามองผมแล้วยิ้ม ก่อนจะวิ่งไปหยิบขวดเบียร์มาแนบกับใบหน้าตัวเองและยิ้มแฉ่งให้ผม


“นี่ก็ครบหนึ่งอาทิตย์แล้วอะ เราฉลองกันไหมพี่”


“ฉลองที่คบกันเหรอครับ”


“เหอๆ ตลกจังเลยอะ” เขามองบนใส่ผม แล้วเอาขวดเบียร์เดินไปเก็บ


“หึ” ผมขำออกมาเล็กน้อยที่เห็นเขาเบะปากใส่ “ผมยังไงก็ได้แต่ห้ามสูบบุหรี่”


“ดีล”


ผมเดินออกไปหาโซนของแห้งกะจะซื้อตุนไว้ ในหัวก็คำนวณเงินที่เหลือไปพลางๆ ปล่อยให้เด็กซนคนนั้นเลือกเครื่องดื่มและขนมให้เต็มที่ สักพักเขาก็วิ่งมาหาผมที่โซนแชมพูกับพวกครีมอาบน้ำ พร้อมรถเข็นที่มีเบียร์ขวดใหญ่แค่สองขวดกับขนมสองห่อ


“แหะๆ”


“อะไรครับ”


“พอคิดถึงเงินเก็บที่เหลืออยู่ เลยหยิบมาแค่นี้อะ”


“ดีแล้วครับ เอาเท่าที่ไม่ลำบากพอ”


“หูย เข้าใจแล้วครับป๊า”


ป๊อก


“โอ๊ย พี่” ผมหยิบเอาขวดครีมอาบน้ำเคาะหัวเด็กดื้อไปหนึ่งที


“หึ” ผมยิ้มออกมาเพราะคนตัวเล็กลูบหัวตัวเองป้อยๆ “ชอบกลิ่นนี้ไหม”


“อะ ครับ”


“โอเค” ผมวางขวดครีมอาบน้ำลงบนรถเข็นกำลังจะถามคนข้างๆ ว่าอยากได้อะไรอีกไหมแต่เขากลับยืนหันหลังให้ผม ดูเหมือนกำลังสนใจในครีมนวดผมอยู่ ผมมองแผ่นหลังเล็กๆ แล้วยิ้มออกมาอีกครั้ง


ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมาหนึ่งอาทิตย์ผมก็ได้รู้ว่าเขาเป็นเด็กที่สดใส ขี้เล่น แต่ในบางครั้งเขาก็จะเก็บตัวเงียบและพยายามปิดบังความเศร้าเอาไว้ นั่นทำให้ผมละสายตาจากเขาไม่ได้ ไม่รู้ว่าสงสาร เป็นห่วงหรือเป็นเรื่องที่จะต้องทำ


“จิงรอที่จ่ายเงินนะ”


“ครับ” ผมมองคนที่เดินหนีผมไปทางอื่นด้วยความสงสัย เป็นอะไรของเขากันนะ


.


.


ผมนั่งหน้าร้อน ซ้อนท้ายคนตัวใหญ่กว่าด้วยใจที่เต้นเร็ว อาการเหมือนถูกจับได้ว่าทำความผิด ที่ผมเป็นแบบนี้ก็เพราะคำถามที่ว่าผมชอบกลิ่นครีมอาบน้ำนั้นไหมและผมก็ตอบออกไปว่าชอบ มันอาจจะเป็นคำถามคำตอบที่ธรรมดาแต่สำหรับผมมันไม่ใช่


ถึงเหตุผลที่เราใช้ครีมอาบน้ำขวดเดียวกันเพื่อประหยัดเงิน แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นของเรื่องนี้คือคำตอบของผมที่ตอบว่าชอบออกไปเพราะตอนที่ผมตอบไปแบบนั้น ผมไม่ได้หมายความว่าผมชอบกลิ่นนั้นจากขวดนั่นน่ะสิ เพราะผมน่ะ ผม...ชอบกลิ่นที่อยู่บนตัวพี่นนต่างหาก


อ๊าก อยากตกรถตายไปเลย


“คุณ! นั่งดีๆ”


ผมเบะปากรับ แล้วนั่งกอดถุงใบใหญ่ที่ใส่ของมาจากซุปเปอร์ไว้ มืออีกข้างก็กำเสื้อเขาไว้แน่น พยายามกลั้นหายใจไม่สูดดมกลิ่นหอมที่พัดมาตามลมของคนขับไว้...ไม่อยากให้ใจมันเต้นเร็วกว่านี้ ตั้งสมาธิของตัวเองด้วยการมองแผ่นหลังกว้างแล้วปล่อยความคิดไป


ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมาหนึ่งอาทิตย์ ทำให้รู้ว่าพี่นนเป็นคนหน้านิ่ง นิ่งจนผมไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ แบบนิ่งจริงๆ ขนาดเจอแมลงสาบที่เขาบ่นว่าเกลียดนักเกลียดหนา แต่ก็ไม่หลุดสีหน้าอะไรออกมาเลย แค่เดินมาแอบอยู่ข้างหลังผมและกำเสื้อผมไว้


“หึ” แค่คิดถึงตอนนั้นผมก็หลุดหัวเราะแล้ว


ผมมองกระจกข้างลอบมองหน้าคนขับแต่เพราะหมวกกันน็อคผมถึงเห็นแค่ตาของเขา ดวงตาที่ว่างเปล่า นิ่งจนไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ นิ่งจนเหมือนคนไม่มีความรู้สึกแต่หลายๆ ครั้งการกระทำของเขาก็ใจดีอย่างไม่มีเหตุผล บางทีอาจจะเป็นเพราะทั้งหมดที่ว่ามาของเขา...คนหน้านิ่งที่ใจดีคนนี้ ผมเลยอยู่ยังตรงนี้


บรืน


“ว๊าก พี่นน!” ผมตะโกนออกมาและกอดเอวเขาไว้ทั้งที่มีถุงคั่นกลาง นี่พี่มันแกล้งเขาอีกแล้ว ผมขอถอนคำพูด! ถอนทั้งหมดเลย! ไม่มีคนใจดีอะไรทั้งนั้น!


“ฮ่าๆ” ผมทุบเบาๆ กลางหลังคนที่ขับรถอยู่ เขาชะลอความเร็วลงและหันมามองผม ผมเบะปากใส่เขาและนั่นทำให้เขาหันกลับไปหัวเราะอีกครั้ง บางทีผมก็นึกเกลียดหมวกกันน็อค ที่ทำให้ผมไม่เห็นรอยยิ้มของเขาในตอนนี้


.
.


“พี่ไปงานรับปริญญาจิงด้วยนะ”


“...แล้วพ่อแม่เราล่ะ” ผมมองหน้าคนที่นั่งพิงปลายเตียง ถามคนตัวเล็กที่ทั้งหน้าและตัวเริ่มแดง ทั้งที่กินเบียร์ไปแค่ครึ่งขวด


“ไม่มี” ผมมองดวงตาที่เคยสดใสนั้นหม่นหมองลงไปเมื่อพูดถึงเรื่องนี้


“เหมือนกันเลย”


“ที่จริงแล้ว...ก็มี”เขาพูดอ้อแอ้แล้วยิ้มให้ผม “แต่จิงไม่อยากให้ไป”


“จิง” ผมเรียกชื่อเขาด้วยเสียงที่เข้มขึ้น ไม่อยากให้เขาพูดแบบนี้


“หูย โดนเรียกชื่อครั้งแรก” เด็กคนนั้นยิ้มกว้างแล้วมองผม แววตาระยิบระยับที่เกิดขึ้นเพราะแอลกอฮอล์นั้นทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ


“ติ๊งต๊อง”


พูดแบบนั้นแล้วโยนห่อขนมที่แกะแล้วไปให้คนคออ่อน เขาใช้ฟันกัดห่อขนมไว้แล้วคลานมารินเบียร์ให้ผม รินเสร็จแล้วก็ทิ้งตัวลงนั่งข้างผม มือขาวหยิบขนมเข้าปากแต่ไม่รู้ว่าเพราะอาการเมารึเปล่าขนมนั้นจึงร่วงตกพื้น


“ฮ่าๆ พี่...ขนมล่องหน”


“หึ”
ผมขำและชะงักไปที่คนตัวแดงล้มตัวลงนอนลงที่พื้น แต่เอาหัววางลงที่ต้นขาผม ผมเกร็งขึ้นมาทันที มองคนที่นอนหลับตายิ้มอยู่อย่างไม่เข้าใจในตัวเอง เบียร์แค่ขวดเดียวไม่สะกิดต่อมเมาผมด้วยซ้ำ...ทำไมใจถึงเต้นแรงขนาดนี้


“วันนั้นจิงคงไปกินข้าวกับป๊าม๊า แล้วจิงก็อยากให้พี่ไปด้วย” ดวงตากลมโตลืมขึ้นมาสบตาผม


“เจอกันหลังกินข้าวดีกว่าครับ” ผมพูดหลบตาแล้วเสมองไปทางอื่น


“โอเค แล้วเราค่อยไปโดดสะพานที่เราเจอกันครั้งแรกเนอะ”


“อือ”


“ตอบเบาอะ หรือพี่เปลี่ยนใจแล้ว”


“เปล่า”


“พี่นน” ผมมองคนที่มองผมด้วยใบหน้าแดงก่ำ “จิงขอโทษอีกครั้งที่โกหกเรื่องพ่อแม่ไป”


“ไม่เป็นไร”


“แล้วพ่อกับแม่พี่อยู่ที่อื่นเหรอ ไม่เห็นมาหาพี่เลย”


“เสียแล้วทั้งคู่”


“...ขอโทษ” แล้วเราก็เงียบกันไป


นึกย้อนกลับไปเมื่อตอนที่ผมกำลังเรียนจบ ในตอนนั้นผมก็วัยเดียวกับจิงในตอนนี้ ช่วงนั้นเหมือนผมเจอกับมรสุมชีวิต ผมเป็นหนี้เจ๊หงส์เพราะเอาเงินไปรักษาแม่ที่ป่วย แต่สุดท้ายแม่ก็จากไปและพ่อก็จากไปด้วยอุบัติเหตุ ผมไม่เคยปักใจเชื่อว่าพ่อเมาแล้วขับ เพราะพ่อผมไม่ดื่ม...บางทีพ่ออาจไม่อยากอยู่ในโลกที่ไม่มีแม่ พ่อคงตั้งใจทำแบบนั้น


และนั่นทำให้ผมเอาแต่โทษตัวเองที่ไม่มีค่าพอที่จะเหนี่ยวรั้งใครไว้ให้อยู่ด้วย ใช้ชีวิตเสเพลไปกับเงินมรดกที่ได้มาจนหมด กว่าจะมีสติอีกครั้งก็ในตอนที่เจ๊หงส์มาพังประตูห้องที่นี่และบอกให้ผมใช้หนี้ที่ค้างไว้เป็นล้าน ตอนนั้นผมหัวเราะทั้งน้ำตาและลุกขึ้นหางานทำใช้หนี้เพราะมันเป็นอย่างสุดท้ายที่ผมติดค้างไว้กับโลกใบนี้และเป็นอย่างสุดท้ายที่โลกจดจำผม


“ไม่เป็นไร” ตอบออกไปด้วยความจริงใจและสบตากับดวงตาคู่สวยที่มองจ้องผมอยู่


จึก


“หน้านิ่งๆ นี้ซ่อนอะไรไว้บ้างนะ” มือขาวยกขึ้นมาจิ้มแก้มผมแล้วหัวเราะ ผมสะดุ้งมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ผมไม่ได้ผลักไสสัมผัสนี้ ทำได้แค่อยู่นิ่งๆ มองหน้าเขา สักพักแขนเล็กก็ตกลงที่พื้นทันทีที่คนตัวแดงหลับตาหมดสติไปเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์


ฟุ่บ


“เฮ้อ” ผมถอนหายใจ แล้วใช้ปลายนิ้วเกลี่ยผมหน้าม้าที่ปรกตาคนที่นอนอยู่บนตักตัวเองออก ลูบปลายจมูกรั้นและลากมาถึงปากบางสีสด ก่อนจะเกลี่ยมุมปากนั้นเบาๆ “แล้วในรอยยิ้มของจิง ซ่อนอะไรไว้บ้างครับ”







*************************************
TBC



หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 5 (21/03/62)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 21-03-2019 01:33:57
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 5 (21/03/62)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 21-03-2019 10:07:51
รออ่านต่อ
เป็นกำลังใจให้นักเขียนคร่าา
 :3123:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 6 (21/03/62)
เริ่มหัวข้อโดย: gigibabe ที่ 21-03-2019 18:25:01
ตอนที่ 6 อะไรในตู้




   เข้าสู่อาทิตย์ที่สามแล้วที่ผมอยู่ที่นี่ วันเวลาผ่านไปเร็วจนผมรู้สึกแปลกใจ ทั้งที่ก่อนหน้านี้มันเชื่องช้าจนผมรู้สึกทรมาน กิจวัตรประจำวันทุกอย่างยังเหมือนเดิม ไปทำงานพร้อมพี่นน กลับพร้อมกัน กินข้าวพร้อมกัน นอนพร้อมกัน ทำทุกอย่างด้วยกันแทบจะตลอดเวลา น่าแปลกที่ผมปรับตัวเข้าหาคนอื่นได้ไวขนาดนี้ ไม่ได้รู้สึกอึดอัดอย่างที่เคยเป็นแต่ยังไงผมก็ไม่เข้าใจในหน้านิ่งๆ ของเขาอยู่ดี

   วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ผมไปมหาลัยคนเดียว นั่นทำให้ผมรู้ว่าการที่ไม่ได้เถียงกับพี่นนก่อนออกจากห้อง การขึ้นรถเมล์เงียบๆ คนเดียวไม่ได้โดนแกล้งให้กอดคนขับ มันก็เหงาแปลกๆ แต่อย่างไรก็เถอะตอนนี้ผมกลับมาจากมหาลัยแล้ว อีกไม่นานพี่นนคงกลับมา อืม...หาเรื่องแกล้งคนหน้านิ่งดีไหมนะ

   ผมนอนเกลือกกลิ้งอยู่บนเตียงสักพัก ก็เดินไปอาบน้ำ นึกถึงตอนที่อยู่มหาลัยแล้วก็ยิ้มออกมาได้ การได้พูดคุยกับเพื่อนที่มหาลัยก็ทำให้ลืมโลกแห่งความจริงไปได้บ้าง แต่ก็แค่เวลานั้นเพราะทันทีแยกย้ายกันกลับ ผมก็กลายเป็นคนที่หนีออกจากบ้านและมาอาศัยอยู่กับคนแปลกหน้า

ผมไม่ได้บอกใครว่าอยู่กับเขา...ไม่มีใครรู้

แกรก

“กลับมานานรึยัง”

“ก่อนหน้านี้แป็บเดียวเองพี่” ผมมองคนหน้านิ่งที่เปิดห้องเข้ามา แล้วเดินเช็ดผมตัวเองไปเปิดหาอะไรในตู้เย็นกิน

“เป็นไงบ้าง”

“ก็เรื่อยๆ” ผมยกน้ำเปล่าขึ้นมาดื่ม มองออกไปที่ระเบียงก็เห็นว่าข้างนอกที่เริ่มมืดแล้ว “เดี๋ยวจิงเก็บเสื้อผ้าให้”

“เก็บเสร็จแล้ววางไว้บนเตียงก่อนก็ได้ครับ” เขาพูดแล้วมองหน้าผมนิ่งๆ “คุณใช้ตู้เสื้อผ้าผมได้นะ ผมเก็บฝั่งขวาไว้แล้ว”

“โอเคครับ คุณเจ้าของห้อง”

“ครับ” เขาเดินไปหยิบเสื้อผ้าในตู้เสื้อผ้าและเข้าห้องน้ำไป

   ผมเก็บเสื้อผ้ามาจากระเบียงและแยกเสื้อผ้าของเราที่เอาไปยอดเหรียญซักไว้บนเตียง หลังจากผมพับเสื้อผ้าให้พี่นนเรียบร้อยแล้ว ก็หันมาจัดการยกเสื้อผ้าที่พับแล้วของตัวเองไปวางไว้ในตู้ฝั่งด้านขวาที่ว่างเปล่า ว่าง...จนผมนึกสงสัยว่าเขาเอาเวลาตอนไหนมาเก็บ

   ผมเดินไปยกกองเสื้อที่พับแล้วของเขามาเพื่อจะเก็บบ้าง ใช้มือแหวกเสื้อเชิ้ตที่รีดเรียบร้อยออกเล็กน้อย เพื่อวางทับกองเสื้อยืดที่วางไว้ด้านล่างของตู้ แต่บางส่วนของชุดด้านซ้ายสุดในตู้ที่โผล่มาเล็กน้อย ก็ทำเอาผมหยุดยืนนิ่งอยู่แบบนั้น ผมเลื่อนบรรดาเสื้อเชิ้ตไปยังฝั่งขาวเพื่อมองชุดนั้นให้ชัดเจน

ชุดแต่งงานสีขาว…ของผู้หญิง

   ความคิดแรกของผมคือพี่เขาครอสเดรสเหรอวะ แต่ผมว่าไม่หรอก ตัวใหญ่ขนาดนี้ แต่ๆๆๆ อะไรก็รับประกันไม่ได้ ผมมีเพื่อนเก้งก็ตัวใหญ่แต่แต่งหญิง ไม่ๆๆ อาจจะเป็นของเจ้าของห้องคนเก่าพี่มันเลยเก็บไว้ แต่พอคิดได้แบบนี้ผมก็ขนลุกเลย ถ้าเป็นของคนอื่นจริงๆ นี่มันเข้าอีหรอบหนังผีชัดๆ

“อย่ากัดเล็บครับ”

“โทษๆ” ผมสะดุ้งมองคนที่ใส่ชุดนอนเดินออกมาจากห้องน้ำ พี่นนเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าดูแล้วปิดมันลงอย่างรวดเร็ว ดีนะ..ที่ผมเลื่อนเสื้อเชิ้ตกลับไว้ที่เดิมแล้ว

“ขอบใจนะ ที่พับผ้าให้ผม”

   เขานั่งลงบนเตียง ส่วนผมที่นั่งอยู่บนพื้นปลายเตียงก็สะดุ้งเล็กน้อย ที่เขาวางมือใหญ่นั่นไว้บนหัวผม ถึงจะไม่ได้แสดงออกว่าเจอความลับอะไรของพี่มันมา แต่ไอ้ชุดแต่งงานบ้านั่นก็ตามหลอกหลอนผมในความคิดไม่หยุด จนเผลอนั่งสั่นขา ในใจก็คิดถึงชุดนั้นไปเรื่อย....หรือจะมีแค่ผมคนเดียวที่มองเห็นชุดนั้น

“เอ่อ จิงออกไปสูบบุหรี่ได้ปะ”

“ไม่ครับ”

“อ้าว”

“ถ้าคุณสูบมันก็เหมือนคุณโกงผม คุณอาจตายก่อนผมก็ได้” พี่มันโยกหัวผมไปมา “แล้วคุณก็จะผิดสัญญาระหว่างเรา”

“โห เหตุผลโคตรดราม่า”

“เรามากินข้าวกันดีกว่าครับ”

.

.

“นี่เหรอ ข้าวพี่” จิงชี้ถ้วยสองใบที่มีจานวางปิดไว้ “บ้านจิงเรียกมาม่า”

“ครับ”

"แต่จิงกินได้ไง" ผมรีบพูดออกมาเพราะเห็นแววตาคนที่นั่งตรงข้ามหม่นแสงลง "กินเก่งมากด้วย"

"ครับ"

   แล้วเราก็เงียบกันทั้งคู่ ไม่น่าปากไวเลยไอ้จิงเพราะตอนนี้พี่นนทำหน้าหงอยจนรู้สึกผิด รู้ทั้งรู้ว่าคนตรงหน้าประหยัดเพื่อใช้หนี้แค่ไหนแต่ยังพูดแบบนั้นไปอีก น่าแปลกที่ผมแคร์เขามากขนาดนี้ทั้งที่แต่ก่อนผมไม่เคยสนใจคำพูดของตัวเองเลยด้วยซ้ำ ว่ามันจะทำร้ายใครบ้างเพราะไม่มีใครสนใจผม ทำไมต้องสนใจคนอื่น

ผมมองไปทั่วห้องจะชวนคุยอะไรดีนะ ถ้าคุยเรื่องชุดนั้นจะเป็นอะไรรึเปล่า

"เอ่อ เราหายาพิษมาใส่ดีไหมพี่ ได้ตายแบบอร่อยเลยนะ" ผมที่ใช้สมองน้อยๆ ของตัวเองหาเรื่องคุยได้ก็รู้สึกดีใจ จนยิ้มแฉ่งไปให้คนตรงหน้า ถึงจะเป็นเรื่องแปลกๆ แต่ห้องของเราจะได้ไม่เงียบอีก

"จะไปเอามาจากไหน"

"เอ่อ นั่นดิ" ผมทำหน้าคิด "น้ำยาล้างห้องน้ำไหม"

"มันไม่อร่อยหรอกครับ"

"จริงเหรอ โกหกเปล่าอะ"

"เคยเอาลิ้นแตะ ไม่ไหวๆ"

"งั้นเรากินแบบนี้ไปก็ได้" ผมทำหน้ามุ่ยที่เขาเคยลองชิมน้ำยาล้างห้องน้ำ

"..."

"พี่ดูดิ มีแต่เส้นก็เหมือนเรากำลังสะสมแต้มตายเหมือนกัน ฮ่าๆ"

"ครับ" ดูเหมือนคนที่นั่งตรงข้ามผมจะอารมณ์ดีขึ้นบ้างแล้ว จากมุมปากที่ยกขึ้นเล็กน้อย

ซู้ด

“พี่จิงถามได้ปะ” หลังจากสูดเส้นเสียงดังเข้าปาก ผมก็ตัดสินใจจะถามเรื่องที่คาใจผมอยู่กับเขาตรงๆ

“ครับ”

“พี่ครอสเดรสหรอ”

“คืออะไรครับ”

“แบบๆ” ผมวางตะเกียบกับช้อนและชี้ไปที่ตู้เสื้อผ้าที่อยู่หลังพี่นน “จิงเห็นชุดเจ้าสาวอยู่ในตู้เสื้อผ้าพี่อะ”

“อ่อ..” เขาพยักหน้าและตอบผมนิ่งๆ “ของแฟนเก่าครับ”

“หะ” ไม่รู้ต้องรู้สึกยังไง “เอ่อ ขอโทษจิงไม่รู้”

 “ไม่เป็นไรครับ” ผมมองคนที่ยังคงจ้องผมอยู่ ใบหน้านิ่งๆ ที่เดาอารมณ์ไม่ได้ นั่นทำให้ผมทำตัวไม่ถูก “ผมไม่ได้อะไรแล้ว”

“...” แต่ก็ยังเก็บชุดไว้

.

.

“พรุ่งนี้ผมจะเอาไปคืนแล้ว”

 “...”

“ไม่ต้องทำหน้าเศร้าหรอกครับ ผมไม่เป็นอะไรจริงๆ ” ผมว่าไปตามความรู้สึก จ้องมองคนตรงหน้าที่สีหน้าเปลี่ยนไป “เธอไม่ได้เสียเหมือนพ่อแม่ผมหรอก เราแค่แยกทางกันแค่นั้นเองครับ”

   ในตอนที่ชีวิตผมตั้งหลักได้ ผมมีปัญญาผ่อนเงินเจ๊หงไปเกินครึ่งแล้วและตอนที่ ’ฟ้า’ เข้ามาโลกของผมเปลี่ยนไป ในตอนนั้นทุกอย่างดูดีไปหมด ท้องฟ้าของผมสว่างไสวในทุกๆ วัน ผมอยากใช้ชีวิตกับผู้หญิงคนนี้ไปตลอดชีวิต เราจึงตัดสินใจจะแต่งงานกัน แต่พอใกล้จะถึงวันสำคัญ เราดันมองเป้าหมายในชีวิตไม่เหมือนกัน เธอบอกว่าเธอมองไม่เห็นอนาคตที่เราจะอยู่ด้วยกันได้ เราเลยแยกจากกันไปแค่เพียงสองสัปดาห์ก่อนแต่งงาน

   ผมลาออกจากที่ทำงานเดิมที่กำลังไปได้สวยเพราะไม่อยากเจอกันอีก ไม่อยากเจอเธอกับคนที่มีเป้าหมายเดียวกับเธอ เป็นผมที่ระหกระเหินจากมาด้วยความเสียใจมาซุกหัวนอนในห้องเล็กๆ ของเจ๊หงส์อีกครั้ง ไม่เป็นผู้เป็นคนเพราะความรักครั้งนั้น คร่ำครวญเสียใจและโทษตัวเองที่ไม่สามารถอยู่ในเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ของฟ้าได้...

 “งั้นพรุ่งนี้  จิงไปด้วยได้ไหม” เสียงใสพูดขึ้นมาตอนผมกำลังจมไปในอดีตนั้น

“ได้ครับ” ผมจ้องมองคนตรงและยิ้มให้เบาๆ ในตอนที่เราสบตากัน “ขอบใจนะจิง”

.

.

   ผมถือชุดแต่งงานสีขาวไว้แน่นเพราะกลัวมันจะปลิว พี่นนไม่ได้ขับเร็วอะไรเพราะรู้อยู่แล้วว่าควรระวัง ผมไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร ถึงปล่อยมือจากเสื้อคนที่กำลังขับรถและไปจับที่จับด้านหลังไว้แทน...พี่นนหันมามองผมเล็กน้อยแล้วขับต่อไป
   
   เรามาหยุดรถที่หน้าบ้านหลังหนึ่งในหมู่บ้านจัดสรรสุดหรู ผมเห็นพี่นนถือชุดเจ้าสาวไปให้คุณป้าท่าทางใจดีคนหนึ่ง ดูเหมือนเขาจะชวนพี่นนเข้าไปในบ้านแต่พี่นนก็ยกมือปฏิเสธและชี้มาทางผม พวกเขาหันไปคุยกันต่อ สักพักพี่นนก็เดินกลับมาหาผมที่นั่งอยู่บนรถ

.

.

“ขอบใจนะครับ ที่มาเป็นเพื่อนผม”

“เอ่อ ไม่เป็นไรพี่” ผมตอบอึกอักแล้วคว้าแก้วน้ำมาดูด “วันนี้วันเสาร์ด้วย ก็ว่างไง ฮ่าๆ”

“...”

“ร้อนจัง” พูดอะไรออกไปวะไอ้จิง

“ขอบใจที่เป็นห่วงผม”

“ไม่..” กำลังจะปฏิเสธแต่สายตาคนตรงหน้าที่มองมาพร้อมรอยยิ้ม ก็ทำให้ผมเปลี่ยนคำพูด “แล้วแต่จะคิด”

   เราก้มหน้ากินกินราดหน้าที่ถูกนำมาเสิร์ฟด้วยความหิว พอเริ่มอิ่มและมีสติขึ้นจากความหิวโหย ผมก็ชวนคุยเหตุการณ์ก่อนหน้าที่เราจะมากินราดหน้ากัน

“ตอนแรกจิงนึกว่าจะเอาไปคืนร้านอะ”

“ฟ้า เอ่อ แฟนเก่าผมเขาอยากประหยัดน่ะ เลยไปยืมญาติ”

“ถึงว่าพี่คุยกับคุณป้านานเลย”

“ครับ”

“พี่...” ผมเงียบไปเพราะคนตรงหน้าผมเริ่มเงียบกว่าปกติ “โอเคไหม”

“ป้าเขาบอกผมว่าฟ้ามีลูกแล้วล่ะ”

“...”

“ผมควรดีใจ แต่มันก็ใจหายแปลกๆ ครับ “

“พี่นน”

“ไม่เป็นไร” เขายิ้ม ให้ผมเบาๆ “กินให้หมดล่ะ ครึ่งนี้ผมเลี้ยง”

   ผมส่งยิ้มกลับไป ก่อนจะก้มหน้าก้มตากินราดหน้าต่อ แทนที่ผมจะรู้สึกขำที่เขาเล่นมุกนั้นกับผม แต่ผมดันรู้สึกอึดอัดในอก ไม่รู้จะวางความรู้สึกน่าอึดอัดนี่ไว้ตรงไหนและที่น่าแปลกกว่านั้นคือรอยยิ้มของพี่นนในครั้งนี้ ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีใจที่ทำให้คนหน้านิ่งยิ้มได้เหมือนทุกๆ ครั้ง รอยยิ้มของเขาในครั้งนี้กลับทำให้ผมรู้สึกเจ็บที่ใจแปลกๆ




**************************************
TBC


หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 6 (21/03/62)
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 21-03-2019 19:22:59
โอ๋ๆๆๆดีแล้วพี่นน

ที่ฟ้าเขาทิ้งพี่ไปตอนนั้น

เพราะถ้าเขาไม่ทิ้งพี่

น้องจิงคงไม่มีสิทธิเข้ามาอยู่กับพี่แบบนี้

ไม่มีใครมาปรึกษากันเรื่องฆ่าตัวตายแบบนี่

แถมพี่นนได้ขิงจิงเรื่องลองชิมน้ำยาล้างห้องน้ำ

จิงอิจฉาจุดนี้ของพี่อยู่นะ

55555สู้ๆ "คู่คิดสั้น"
หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 6 (21/03/62)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 21-03-2019 22:12:47
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 7 (22/03/62)
เริ่มหัวข้อโดย: gigibabe ที่ 22-03-2019 20:13:42

ตอนที่ 7 น้ำตก vs คอหมูย่าง

   
 
          วันเวลาเข้าสู่เดือนที่สองที่ผมอาศัยอยู่ร่วมกับมนุษย์หน้านิ่งนามว่าพี่นน มนุษย์ออฟฟิศธรรมดาที่ติดหนี้เป็นแสนและวางแผนจะตายไปกับผม ในตอนนี้พวกเรากำลังทำตามภารกิจสุดท้ายของชีวิตอยู่ นั่นคือพี่นนต้องใช้หนี้เงินหนึ่งแสนบาทให้ครบ ส่วนผม...เรียนให้จบ

 
“ตอนนี้จิงเหลืออีกเดือนกว่าก็จะจบแล้วนะพี่”
 

“ผมเหลืออีกห้าหมื่นกว่าบาท”

 
“ทำไมเร็วจังอะ”

 
“ผมเอาโน๊ตบุ๊คไปขายแล้ว”

 
“อ้าว”


“ไม่ได้ใช้และไม่รู้จะใช้ทำไม”

 
“แล้วแต่พี่เลย”
 

“ครับ”

 
          ตอนนี้เราอยู่ร้านอาหารอีสานแถวหอ เราสั่งอาหารกันแล้วนั่งรอกันที่โต๊ะ ผมเม้มปากนึกถึงเรื่องที่ผ่านๆ มา ไม่คิดว่าจะมาถึงจุดนี้ จุดที่อยู่ด้วยกันแทบจะตลอดเวลา แม้แต่เสาร์อาทิตย์ยังอยู่ด้วยกัน บางอาทิตย์ก็ออกไปข้างนอกด้วยกัน แต่ส่วนมากจะอยู่ห้องทำความสะอาดช่วยกันมากกว่า
 

          ไม่รู้ทำไมถึงต้องตัวติดกันขนาดนี้ แต่รู้แค่ว่าสนุกดีเวลาที่ได้อยู่ด้วยกัน ได้เถียงกัน ผมน่ะ สนุกแต่ไม่รู้ว่าคนตรงหน้าคิดเหมือนกันไหมเพราะเขาเอาแต่ทำหน้านิ่ง ไม่รู้ว่าเซลล์บนใบหน้ายังมีชีวิตอยู่รึเปล่า ไม่นานนักแม่ค้าก็ยกจานส้มตำไม่เผ็ด คอหมูย่างและน้ำตก มาวางที่โต๊ะเราและผมก็เบะปากทันที
 

“จิงบอกพี่แล้วว่าไม่เอาน้ำตกก็ได้อะ”

 
“ผมเห็นคุณอยากกิน”

 
“พี่ฟังจิง”

 
“รู้แล้วครับ คุณบอกแล้ว”


“ฟังจิงนะ” ผมหายใจลึกๆ จ้องคนตรงข้ามด้วยเสียงหนักแน่น “น้ำตกมันคือคอหมูย่างที่ใส่พริกอะ”
 

“ครับ”

 
“จิงบอกกินคอหมูย่างอยากเดียวก็ได้ไง”


“กินเถอะครับ”
 

“พี่นน”
 

“จิง”
 

“พี่...อื้อ” พี่นนคงทนไม่ไหว ถึงเอาเข้าเหนียวมายัดปากกันแบบนี้ ยัดปากผมไม่พอแต่ใช่นิ้วนั่นหนีบปากผมอีก เหมือนไฟฟ้าช๊อตไปทั่วร่างผม สัมผัสที่โดนปากก็ทำเอาผมหน้าร้อนขึ้นมา แล้วนั่นก็ทำให้ผมแพ้ไปในการต่อสู้ครั้งนี้ ผมก้มหน้าก้มตากินส้มตำอนุบาลโดยไม่มองคนนั่งตรงข้ามอีก
 

          และนี่คือสิ่งที่เปลี่ยนไป ถึงแม้จะอยู่ด้วยกันตลอดแต่ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ผมจะพยายามไม่โดนตัวเขา ผมแปลกไปในทุกครั้งที่พี่นนสัมผัสกัน ทุกครั้งผมจะใจเต้นแรง รู้สึกร้อนที่หน้า ผม...ผมไม่รู้ว่าผมเริ่มอายกับการสัมผัสเขาตั้งแต่ตอนไหน กว่าจะรู้ตัวผมก็ไม่จับเสื้อเขาตอนซ้อนท้ายฟีโน่แล้ว
 

“ต่อไปนี้พี่ต้องอยู่ห่างๆ จิง” ผมพูดออกมาตอนเราเดินกลับหอ
 

“ทำไม”
 

“จิงร้อน นี่ฤดูร้อนนะพี่”


“โอเคๆ เชื่อก็ได้”
 

“ฮึ่ย” ผมทำเป็นฟึดฟัดแล้วเดินเร็วๆ ทิ้งให้พี่นนเดินตามหลังมาคนเดียว
 

รู้ตัวอีกทีก็ไม่อยากอยู่ใกล้ ไม่อยากไม่เป็นตัวของตัวเอง

 
.

 
.
 

          ตั้งแต่เมื่อวานผมก็พยายามรักษาระยะห่างจากพี่นนอย่างจริงจัง ตั้งแต่เช้าผมยังไม่มองหน้าเขาเลย ผมทำเหมือนผมมีทางเลือกในการหลบจากเขามากนัก เพิ่งมารู้ตัวว่าที่ทำมาตั้งแต่เช้าไร้ค่าก็ตอนนี้ ตอนที่คนที่ผมนึกถึงกลับมายืนหน้านิ่งจ้องผมแบบนี้


          โดยปกติแล้วเขาจะไม่เคยมาหาผมตอนทำงานเลยแต่วันนี้เขาบอกว่ามาซื้อกาแฟที่คนอื่นฝากซื้อ แต่ไม่ซื้อให้ตัวเองเพราะต้องประหยัดเงิน ผมพยักหน้าส่งๆ คิดไว้ว่าจะทำหน้านิ่งบ้าง อาจจะมีสติขึ้นมาบ้าง แต่พอมองหน้าเขาแล้ว ผมกลับทำหน้าไม่ถูก อยากยิ้มแต่ก็ไม่อยากให้เขาเห็น

 
“ลาเต้ได้แล้วครับ”

 
“ผมชอบที่คุณพูดเพราะ”

 
“อึก” ผมชะงักไปเพราะคำว่าชอบของเขา “ได้เงินทอนแล้วก็ไปดิ”

 
“จิง เราต้องต้องพูดเพราะๆ กับลูกค้านะ”
 

“พี่ไม่ใช่”
 

“ครับ หึๆ”
 

“หัวเราะไรอะ”
 

“ตั้งใจทำงาน”
 

“ฮึ่ย”
 

          ผมเอียงหัวออกจากสัมผัสมือใหญ่ ส่งเสียงในลำคอให้อีกคนรู้ว่าผมหงุดหงิดที่เขาทำแบบนี้ มองไปทั่วร้านเพราะกลัวมีคนเห็น หลบตาเขาและแกล้งเดินไปเช็ดโต๊ะ ปล่อยให้เขาเดินออกไปโดยไม่หันกลับไปมองอีก ใจผมเต้นแรงอย่างบ้าคลั่งเพราะสัมผัสจากมือใหญ่พร้อมรอยยิ้มอบอุ่นจากเขา เดี๋ยวนะอบอุ่นงั้นเหรอ ผมเป็นบ้าอะไรเนี่ย
 

.
 
.

 
บรืน
 

          ความเร็วที่เพิ่มขึ้นทำให้ผมกลัวว่าคนข้างหลังจะตก ทั้งที่ปกติแล้วแค่เริ่มเร่งเขาก็จะกอดผมแล้วแต่ครั้งนี้แปลก เขาเอาแต่จับที่จับหลังรถไว้แน่น ไม่ยอมกอดเอวผม ผมสัมผัสได้ถึงความแปลกไปของเขา จึงลดความเร็วลงแล้วหันไปมองคนข้างหลัง เขาแลบลิ้นให้ผม ก็ปกติดี...ผมอาจจะคิดมากไป ผมเปลี่ยนไปขับรถด้วยความเร็วปกติไปจนถึงหอ
 

“งานหนักเหรอครับ”
 

“อือ คนเยอะมาก” เขาตอบผมโดยที่ไม่มองหน้ากัน มือเล็กปลดสายล็อคที่คางแล้ววางหมวกกันน็อคลงบนเบาะ ก่อนจะหันหลังและรีบเดินหนีไป เขาทำแบบนี้ตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว
 

“จิง...” ผมเรียกชื่อเขาไว้เขาหยุดเดินแต่ไม่หันมายิ้มให้ผมเหมือนเคย “มานี่”
 

“พี่” เขาเดินกลับมาแล้วเรียกผม เราสบตากัน ผมเห็นแววตาที่สับสนของเขาเพียงชั่วครู่ หลังจากนั้นเขาก็ยิ้มกว้างให้ผม...ยิ้มสดใสเหมือนเดิม
 

“เดี๋ยวผมจัดผมให้”
 

“ไม่เอา”
 

          ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ก็ยืนทำหน้ามุ่ยให้ผมจัดผมให้ดีๆ ผมมองดวงตากลมที่หลุบสายตาหนีกัน มองจมูกเล็กและริมฝีปากสีสดที่ทำบู้บี้เพราะไม่พอใจที่ผมจัดผมให้ นึกเอ็นดูจนอยากแกล้ง ผมเลยขยี้ผมนิ่มที่กำลังจะเป็นทรงให้ฟูฟ่อง
 

“พี่ อย่าโดนหู มันจั๊กจี้ ฮ่าๆ”
 

“ฮ่าๆ” ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ ผมหัวเราะออกมาเมื่อเขาเอาแก้มหนีบแขนผมไว้กับไหล่ ไม่ให้จับหูของเขา หน้าขาวขึ้นสีแดง ดวงตากลมโตหยีลงจนเป็นสระอิบวกกับรอยยิ้มกว้าง “เหมือนลูกหมาเลย”


“อะ” เขาดูตกใจ แต่ก็เอามือสองข้างที่กำไว้ของตัวเองมารองใต้คาง พร้อมกับทำเสียงเห่าเล็กๆ ออกมา “บ๊อกๆ”
 

“อึก” ผมชะงักหุบยิ้มไปทันที มองคนหน้าแดงที่กำลังหัวเราะอยู่ แล้วผมก็ใจเต้นผิดจังหวะ ชักมือกลับจากผมนุ่มราวกับว่าเจอของร้อนและรีบหันหลังเดินเข้าหอทันที
 

“อ้าว พี่นนรอจิงด้วย!” เสียงใสตะโกนตามมายิ่งทำให้ใจผมว้าวุ่น ไม่ใช่จิงที่แปลก เป็นผมเองที่แปลกไปเพราะเมื่อกี้มันเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าเขาน่ารัก
 
 
 


******************************************************
พี่นนคะ เขาเรียกว่าเสียอาการค่ะ หุๆ
TBC
หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 7 (22/03/62)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 22-03-2019 21:16:29
โอ้ย คนตกหลุมรักโดยไม่รู้ตัว
 :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 7 (22/03/62)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 23-03-2019 00:20:59
 :z1:

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 8 (23/03/62)
เริ่มหัวข้อโดย: gigibabe ที่ 23-03-2019 20:14:08

ตอนที่ 8 ฮัดเช้ย



“นี่ค่าไฟเดือนแรกของจิง”


“ครับ”


“พี่ให้จิงจ่ายค่าน้ำด้วยเถอะนะ” ผมขอร้องออกไปเพราะว่าค่าไฟมันช่างน้อยนิด ผมเคยถามพนักงานข้างล่างหอแล้วก็ได้รู้มาว่าค่าเช่ารายเดือนที่นี่นั้นหลายพันทีเดียว ค่าไฟไม่กี่บาทของผมจะไปช่วยแบ่งเบาเขาได้เท่าไหร่กันเชียว


“ทำตามที่ตกลงกันสิครับ”


“ก็ได้” ผมตอบเสียงเบา อย่างยอมแพ้


“อยากได้อะไรไหม เดี๋ยวผมมา”


“ไม่อะ” พูดไปพร้อมส่ายหัวประกอบ มองคนตัวสูงเดินไปหยิบหมวกแก๊ปมาใส่ วันนี้พี่นนแต่งตัวดีเป็นพิเศษ เชิ้ตสีดำพับแขนไปถึงข้อศอกกับกางเกงยืนเข้ารูปสีดำขาดเข่า ใส่สีดำทั้งตัวแบบดำมาก แต่พี่นนยังเอาอยู่...โคตรเท่เลย “ไปไหนอะ จิงไปด้วยดิ”


“ไปใช้หนี้ครับ”


 “อ้าว” ผมอุทานออกมาอย่างผิดหวัง นึกว่าจะไปเที่ยวที่ไหนซะอีก “เดี๋ยวจิงเฝ้าห้องให้เอง”


“หึๆ เด็กดื้อ”


อีกแล้ว...เดินมาโยกหัวผมไปมาอีกแล้ว สงสัยจะเห็นผมเป็นลูกหมาจริงๆ อย่างที่เคยพูดไว้ ผมเอียงหัวออกทิ้งตัวลงที่นอน พยายามไม่หาคำตอบว่าทำไมใจถึงเต้นแรงขนาดนี้


“รีบกลับมานะ”


“ครับ”


.

.


เมื่อไหร่พี่นนจะกลับ คำนี้ดังวนเวียนในหัวตั้งแต่เขาเดินออกไปจากห้อง ผมนอนกลิ้งเล่นบนเตียงมองนาฬิกาที่อยู่บนตู้เย็นไปพลางๆ หนึ่งชั่วโมงผ่านไป ผมลุกขึ้นนั่ง อาการปวดหัวเริ่มถามหาและความกลัวก็ถาโถมเข้ามา ในห้องนี้เงียบเกินไปสำหรับผม


แกรก


“พี่” ผมรีบวิ่งไปหาคนที่เปิดห้องเข้ามาด้วยความโล่งใจ...ไม่ต้องอยู่คนเดียวอีกแล้ว


“ฮัดเช้ย”


“เอ่อ” ผมชะงักไปเพราะคนตัวสูงปิดปากแล้วจามออกมา ผมเห็นเขาเอาแขนเท้าประตูทำท่าโงนเงนเหมือนจะล้มเลยเข้าไปใกล้ จับแขนเขาพาดไหล่ตัวเองไว้ เงยหน้ามองใบหน้าภายใต้หมวกแก๊ปแล้วใจหาย หน้าพี่นนซีดมาก แถมแขนที่โดนบริเวณคอเขาก็ร้อนเหมือนไฟ “พี่นน! ไหวไหม”


“ไหว...ไหว นอนพักก็หาย”


“ทำไมเป็นแบบนี้อะ” ผมพูดออกไปด้วยเสียงสั่นเครือเพราะกลัวคนหน้านิ่งจะเป็นอะไรไป


“ผมไม่เป็นไรครับ”


“นอนเฉยๆ จิงจะดูแลพี่เอง”


ผมประคองคนตัวใหญ่กว่าให้ล้มตัวลงนอน พังทำลายกำแพงที่เรียกว่าหมอนข้างออกไป ถอดหมวกแก๊ปให้เขาแล้วก็ต้องถอนหายใจออกมา หน้าซีด ปากซีดขนาดนี้ยังมาบอกเขาว่าไม่เป็นไรอีก ผมน้ำตาคลอเพราะความน้อยใจที่เขาฝืนตัวเอง พาลโทษทุกอย่างแบบไร้เหตุผล


อยากให้สัญญาเราจบเร็วขนาดนั้นเลยรึไง ถึงฝืนตัวเองขี่มอเตอร์ไซต์ออกไปกลางแดดร้อนๆ แบบนี้ ผมกำมือแน่นเดินไปหาผ้าขนหนูผืนเล็กมาชุบน้ำ บิดให้หมาดก่อนจะเดินไปหาคนที่นอนอยู่บนเตียง


“ไม่ต้องมายิ้มเลย” ว่าคนตัวใหญ่ที่พยายามยิ้มให้กัน ผมเอาผ้านั้นเช็ดไปตามใบหน้าและลำคอที่ชื้นเหงื่อ “กินอะไรมารึยัง พี่ต้องกินยานะ”   


“กินมาแล้ว ในกระเป๋ามีราดหน้าที่จิงชอบด้วย”


“บอกให้นอนเงียบๆ ไง ฮึก”


ผมสะอื้นไปด้วยความกลัว วางผ้าหมาดๆ นั่นลงไปไว้ที่หน้าผากคนดื้อ แล้วเดินไปหายาแก้ไข้ในกระเป๋าตัวเอง ประคองคนตัวใหญ่ให้นั่งพิงหัวเตียง พี่นนเอาแต่มองผมไม่หยุดจนผมรู้สึกหงุดหงิด


“มองอะไร”


“มองพยาบาลลูกหมา โอ๊ย”


“เป็นคนไข้ต้องไม่พูดมาก” ผมตีแขนเขาด้วยมืออันสั่นเทาของตัวเอง


“โหดจัง”


พอกินยาเสร็จพี่นนก็ยอมนอนลงอย่างว่าง่าย สงสัยคงหมดแรงเถียงกับผมแล้ว ผมเดินไปหาเสื้อยืดกับกางเกงผ้าในตู้เสื้อผ้ามายื่นให้คนปรือตามองผม


“เปลี่ยนเร็ว จะได้นอนสบายๆ”


“ไม่มีแรง”


“พี่นน”


“ปวดหัวจังเลยครับ”


“ก็ได้ๆ”


ผมถอดกระดุมเสื้อเชิ้ตของคนที่นอนอยู่ออก ไม่ได้เขินอายอะไรที่ต้องมาถอดเสื้อผ้าให้ผู้ชายด้วยกัน พยายามบอกตัวเองแบบนั้นแต่ก็ไม่สามารถควบคุมเสียงหัวใจที่เต้นแรงของตัวเองได้ ทั้งที่เรามีเหมือนกันแค่ต่างที่ผมผอมบางกว่า ที่จริงก็บางกว่ามากๆ แต่ผมก็อดที่จะอายไม่ได้ อายทั้งรูปร่างคนที่นอนอยู่และสายตาของคนป่วยที่มองมาตลอด ผมเอาผ้าเช็ดไปทั่วตัวเขาและรีบถอดกางเกงยีนส์เขาออก


เหลือบ็อกเซอร์ให้คนป่วย แล้วดึงเขาให้นั่งขึ้นเพราะจะสวมเสื้อให้ ผมชันเข่ากับเตียงแล้วสวมเสื้อลงหัวเขาเข้าไปแต่แทนที่พี่นนจะสอดแขนเข้าไปในแขนเสื้อ แขนใหญ่นั้นกับรัดเอวผมไว้แล้วซุกหน้าลงมาที่อกผมแทน


“พี่!”


“ผมไม่เป็นอะไรจริงๆ ครับ”


“...”


ผมเม้มปากแน่น ปล่อยให้เข็มวินาทีของนาฬิกาดังกว่าเสียงของเราแต่ดูเหมือนเสียงหัวใจของเราจะเต้นเสียงดังกว่าเสียงนั้น ผมหลับตาลงพยายามหักห้ามความรู้สึกของตัวเอง สุดท้ายก็ทนไม่ไหว ใช้แขนโอบกอดรอบคอคนที่ซุกหน้าอยู่ที่อกผมไว้


“ทำไม ฮึก ทำไมต้องทำให้จิงรู้สึกแบบนี้” ผมปล่อยโฮออกมาด้วยความกลัว “จิงกลัว พี่ห้ามเป็นอะไรนะ”


“จิง”


“อย่าทิ้งจิงนะ” พูดความในใจที่แสนอ่อนแอออกไป กอดเขาแน่นขึ้น “พี่จะทำตามสัญญาใช่ไหม”


“รอบที่ล้านแล้วจิง”


“คำตอบอะ”


“เหมือนเดิม” ได้ยินแบบนั้นผมก็ร้องไห้จนตัวโยน ฟุบนั่งลงกับเตียง “ร้องไห้ทำไมครับ”


“ไม่รู้” ผมส่ายหน้าเอามือปิดหน้าตัวเองไว้


“ไม่สบายรึเปล่า” เสียงทุ้มพูดขึ้นมาหลังจากใส่เสื้อเสร็จ เขาพยายามแงะมือผมออกจากใบหน้าแต่ผมก็ไม่ยอม


 “ฮึก” ผมสะอื้นแรงขึ้นเมื่อเขาลากตัวผมเข้าไปใกล้แล้วโอบกอดผมไว้


“ดีขึ้นไหมครับ”


“อือ” ผมพยักหน้าซบอกเขาไว้ ไม่อยากให้เขาเห็นน้ำตา ไม่อยากให้มองว่าผมอ่อนแอ


พี่นนขยับตัวเข้ามาใกล้และดันให้ผมล้มตัวนอนลง แล้วเขาก็นอนลงมาข้างผม ดึงผมเข้าไปในอ้อมกอดอันอบอุ่น ผมหลับตานิ่งในอ้อมกอดของคนป่วย อยากให้กอดผมไว้แบบนี้ตลอดไป อยากให้เขาเป็นความอบอุ่นให้ผมตลอดไป ผมได้ยินเสียงทุ้มที่กระซิบข้างหูของผม


“ผมจะรักษาสัญญา”


น้ำตาผมไหลลงมาอีกครั้ง ทำไมไม่อยากให้เขาตอบตกลง ผมเสียใจเพราะผมผิดสัญญา ผิดสัญญาที่ผมอยากให้เขามีชีวิตต่อไป เขาควรที่จะมีชีวิตต่อไป เป็นเพราะผมที่งี่เง่า มีแค่ผมที่เป็นตัวถ่วง ไม่มีค่าพอสำหรับอ้อมกอดอบอุ่นนี้ ผมไม่ควรจะอยู่ตรงนี้ คิดโทษตัวเองด้วยความสับสนและหลับไปพร้อมน้ำตา


.

.


ผมตื่นขึ้นมามองคนในอ้อมแขนที่ร้องไห้จนหลับไป ไม่ได้ตกใจที่เขาเป็นแบบนี้ แต่ตกใจที่เขาดูแลผมเพราะปกติแล้วเขาจะหนี...หนีไปก่อนที่ตัวเองจะรู้สึกเจ็บปวด ผมรู้ว่าที่เขาร้องไห้ก็เพราะกลัว กลัวการอยู่คนเดียว กลัวที่จะไม่เหลือใคร เขาเอาแต่ยิ้มเอาใจผมเพราะกลัวผมจะเบื่อ กลัวผมจะทิ้งเขาไป นี่คือจิงที่ผมรู้จักในหนึ่งเดือนที่ผ่านมา


ผมพยายามเป็นอย่างมากที่จะไม่ไปกระตุ้นความรู้สึกนั้นของเขา เขาบอบบางจนน่าใจหาย แต่วันนี้ผมดันไม่สบายขึ้นมาเพราะแดดร้อน จึงทำให้เขาเป็นแบบนี้ ผมพลิกตัวให้คนที่ขดตัว นอนหงายดีๆ ห่มผ้าให้และลุกจากเตียงนำผ้าเช็ดตัวของผมเดินไปเก็บ


เป็นเพราะยาของเขาผมถึงดีขึ้นขนาดนี้ แต่ผมก็ต้องระวังตัวเองไม่ให้เขาติดหวัดจากผมด้วยการเอาหมอนข้างมากั้นระว่างเราไว้อีกครั้ง ผมเดินไปอาบน้ำและจัดการตรวจความเรียบร้อยของห้องก่อนที่จะเข้านอนอีกครั้ง


ล็อคทุกอย่างเรียบร้อยแต่ก่อนที่จะเดินไปปิดไฟ ผมก็อดห้ามใจตัวเองไม่ได้จริงๆ ที่จะมานั่งข้างร่างเล็กที่นอนหลับสนิท ผมวางมือลงบนผมนิ่ม ลูบเบาๆ แล้วก้มลงไปจูบบนหน้าผากใสอย่างแผ่วเบา จับมือเล็กที่วันนี้ดูแลเช็ดตัวให้ผมด้วยความสั่นเทาจากความกลัว จูบลงที่หลังมือขาวด้วยความชื่นชม ก่อนจะกระซิบเบาๆ บอกความในใจที่ซ่อนเอาไว้ตลอดมา


“พี่ต้องทำยังไงจิงถึงไม่อยากตาย”







******************************************************
มาลุ้นกันว่าจะไปยังไงต่อไป ติชม ให้กำลังใจกันได้เสมอจ้า
TBC
หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 9 (27/03/62)
เริ่มหัวข้อโดย: gigibabe ที่ 27-03-2019 16:46:56
ตอนที่ 9 ความกลัว




          เมื่อเช้าเราออกมาทำงานพร้อมกัน ทุกอย่างเป็นปกติ ไม่ใช่สิ...เหมือนจะมีแค่ผมที่พยายามทำทุกอย่างให้เป็นปกติ พี่นนยังหน้านิ่งเหมือนเดิมและอาการป่วยก็ดีขึ้นแล้ว เขาเดินมาส่งผมที่ร้านแล้วเราก็แยกกันไปทำงาน วันนี้ลูกค้าก็มาซื้อกาแฟเยอะเหมือนเคยและผมก็ทำหน้าที่ส่งกาแฟเหมือนทุกวัน

 

“พักก่อนไหมจิง”

 

“ไม่เป็นไรครับพี่นุช”

 

“ขยันจังเลยน้า” พี่นุชพูดแล้วยื่นขวดน้ำให้ผม ผมยกมือไหว้ รับขวดน้ำนั้นมาดื่มด้วยความกระหายเพราะวันนี้ผมเดินไปส่งกาแฟเป็นรอบที่สี่แล้ว “อ่า เฝ้าเคาน์เตอร์ให้พี่ทีนะ พี่จะไปเข้าห้องน้ำสักหน่อย”

 

“ครับ”

 

“เอ่อ รับอะไรดีครับ” พยายามปั้นหน้าให้เป็นปกติที่สุดเพราะคนตรงหน้าทำให้ใจผมเต้นไม่ปกติทุกครั้งที่มองตากัน



“ลาเต้เย็นหนึ่งแก้วครับ”


“ครับ” ผมรับออเดอร์แล้วเดินไปบอกพี่ชิน “เอ่อ ไปนั่งรอก็ได้ครับ”

 

“เหงื่อออกขนาดนี้ไม่สบายรึเปล่า”

 

“อะ” ผมเอนตัวหลบผ้าเช็ดหน้าสีน้ำเงินเข้มที่เขายื่นมาจะเช็ดหน้าให้ผม “จิงไม่เป็นไร”

 

“ครับ ดีแล้ว” เขาเว้นจังหวะเงียบไป “ผมเป็นห่วง”


“พี่ชิน ละ ลาเต้ไดรึยัง”

 

          ผมหันหลังหนีคนที่พูดประโยคนั้นออกมาด้วยหน้านิ่งๆ ใจผมเต้นรัวจนหูอื้อตาลาย ร้อนไปทั้งใบหน้า เรียกพี่ชินติดๆ ขัดๆ ยิ่งคิดถึงว่าเมื่อวานทำอะไรลงไปแล้ว...ยิ่งอายเพราะเมื่อวานผมดันหลุดออกไปว่าเป็นห่วงเขามากแค่ไหน ผมเดินไปรับแก้วลาเต้นั้นมายัดใส่มือคนตัวสูงกว่าแบบรีบร้อน

 

“เอ่อ นี่เงินทอน ขะ ขอบคุณครับ”

 

“ครับ”

 

          อีกแล้ว...ลูบหัวผมอีกแล้ว ครั้งนี้ผมหลบไม่ทันเลยโดนสัมผัสจากมือใหญ่เต็มๆ ผมทำหน้าแสร้งว่าไม่ชอบ แล้วเอียงหัวออกจากสัมผัสนั้น ยิ่งผมเขินอายกับเขาเท่าไหร่ ผมยิ่งอยากออกห่างจากเขาเพราะกลัวความรู้สึกตัวเองแต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทั้งใจของผมกลับรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาดจากการที่ได้รับการดูแลแบบนี้ และเผลอคิดว่าถ้าผมได้อยู่กับเขาตลอดไปมันจะดีแค่ไหนกัน

 

.

 

.

 

          ผมมานั่งรอคนตัวเล็กอยู่ด้านนอกออฟฟิศ ยอมรับตามตรงว่าคิดเกินเลยกับเขาไปไกลแล้ว ทั้งรอยยิ้ม ดวงตาสดใสแบบนั้น ควรจะเปลี่ยนคำถามจากผมคิดเกินเลยได้ยังไง เป็นอดทนไหวได้ยังไงมากกว่า ผมก็เป็นผู้ชายคนหนึ่งเหมือนกัน...ถึงผมจะชอบผู้หญิง

 

          แต่การที่ได้อยู่ใกล้กับคนน่ารัก ก็เป็นธรรมดาที่ผมจะหวั่นไหว ไม่รู้ว่าเพราะเริ่มจากความสงสารหรืออะไร แต่สุดท้ายความสนใจทั้งหมดของผมก็ไปอยู่ที่เขา ทั้งเป็นห่วงและอยากทำให้เขามีความสุข ในที่สุดในใจผมมันก็กลายเป็นคำว่าชอบไปแล้ว ผมชอบทุกรอยยิ้ม ชอบทุกความเศร้าในตัวเขา แต่ผมก็หลงลืมว่าตัวเองไม่เหมาะสมกับความรัก

 

ไม่ดีเลย...ผมไม่ควรปล่อยความรู้สึกตัวเองจนกลายมาเป็นรูปแบบนี้

ผมมันไม่รู้จักยับยั้งช่างใจ

คงต้องเริ่มตัดใจตั้งแต่วันนี้ก่อนอะไรจะสายไป

 

          มองไปที่ประตูด้านหลังออฟฟิศเห็นคนตัวขาวเปิดประตูออกมาก็ยืนขึ้นโดยอัตโนมัติ กำลังจะยิ้มให้เขาที่มองมาแต่ก็ต้องหุบยิ้มลงเพราะเจ้าของร้านกาแฟคนนั้นตามออกมาด้วย พวกเขายืนคุยกันสักพัก แล้วเขาคนนั้นก็วางมือใหญ่ลงบนผมนุ่มนิ่มของจิง ในใจผมร้อนรนขึ้นมาทันที

 

          หวง...ความรู้สึกแบบนี้ ที่ไม่ได้เกิดขึ้นนานทำเอาผมควบคุมอารมณ์แทบไม่ได้ อยากไปกระชากคนตัวเล็กออกมา อยากให้เขายิ้มให้ผมคนเดียวและผมนิ่มนั้น ควรจะมีแค่ผมที่ได้จับ

 

.

 

.

 

“พี่หงุดหงิดอะไรมาเนี่ย”

 

“เปล่า” พูดออกไปเสียงแข็งโดยที่ไม่ตั้งใจ

 

“พี่เป็นอะไรอะ พี่นน”

 

“จิง ผมขออยู่คนเดียวสักพัก” ผมพูดแล้วเดินออกไปที่ระเบียง

         

          ผมต้องการสงบสติอารมณ์ ไม่อยากเป็นแบบนี้ต่อหน้าเขา แค่เห็นจิงอยู่กับผู้ชายคนอื่นยังเป็นขนาดนี้ แล้วผมจะช่วยจิงจากความอยากตายนั้นได้ยังไง จะทำยังถึงจะรักษาเขาไว้ จะทำยังไงให้เขาไม่รู้สึกแย่ที่ผมเผลอไปรู้สึกกับเขาแบบนี้ ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกแย่กับตัวเอง

 

“พี่นน...”

 

“จิง!!!”

 

          เผลอตะคอกไปด้วยความรู้สึกที่อึดอัดอยู่ภายใน มองคนตัวเล็กกว่าที่หน้าถอดสี จิงตกใจจนตาโตและเริ่มสั่น เข้าไม่สบตาผม แล้วก้าวถอยหลังไปเรื่อยๆ

 

“อึก”

 

“จิง ผะ ผมขอโทษ”

 

“ขอโทษที่รบกวนพี่ จิง ฮึก ขอโทษ”


“จิง กลับมาก่อน จิง!”

 

ปัง

 

          เสียงประตูปิดลงทำให้ผมได้สติก้าวขาวิ่งออกไปตามคนที่วิ่งจากผมไป ก่อนจะออกไปผมก็สังเกตเห็นว่าที่พื้นข้างเตียงมีถ้วยที่มีฝาปิดทั้งสองถ้วยวางอยู่ ผมขบกรามตัวเองแน่น จิงไม่รู้อะไรเลย เป็นผมที่ทำร้ายเขา ผมคว้ากุญแจรถและโทรศัพท์มาไว้ เผื่อฉุกเฉิน...ผมจะทำยังไงถ้าเขาหายไป

 

ครืน

 

“โธ่เว้ย!” เสียงฟ้าร้องและความมืดที่คืบคลานเข้ามาทำผมหัวเสียกว่าเดิม ผมรีบวิ่งออกไปจากหอ ในใจก่นด่าตัวเองสารพัด ถ้าจิงเป็นอะไรไป ผมจะไม่มีวันให้อภัยตัวเอง

 

.

 

.

 

เปรี้ยง!

 

“ฮึก” ผมสะดุ้งเพราะเสียงของฟ้าผ่า ผมวิ่งหนีพี่นนออกมาเพราะความกลัว กลัวที่จะโดนทิ้ง ในตอนนี้ผมอยากจะหยุดร้องไห้และกลับไปหาเขา แต่ก็ทำไม่ได้ กลัว...ความกลัวเกาะกุมหัวใจผมไปหมด เผลอตะโกนออกไปด้วยภาพในอดีตที่ย้อนกลับมาเพราะเสียงฟ้าฝน “อย่า!”

 

          ยิ่งเสียงฟ้าร้องและฝนที่เทลงมายิ่งทำให้ผมปวดหัว ภาพในวันนั้นไหลย้อนเข้ามาในหัวจนผมควบคุมความสั่นเทาของตัวเองไม่ได้ ผมยกเข่าขึ้นมากอดไว้ ป้ายรถเมล์ที่ร้างผู้คนช่างว่างเปล่าและผมต้องอยู่คนเดียวอีกแล้ว

 

          เหม่อมองรถที่วิ่งฝ่าสายฝนไปมาผ่านม่านน้ำตา...ถ้าวิ่งออกไป ผมคงไม่ต้องทรมานแบบนี้ ไม่ต้องโดนทิ้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า...แค่อึดใจเดียว ทนหน่อยนะจิง

 

ปิ๊นๆๆ

 

“จิง!”

 

ฟรึ่บ

 

“อะ..ฮึก พี่นน!” ชั่ววินาทีก่อนที่รถจะถึงตัวผม ตัวผมก็ล้มลงมากองที่พื้นด้วยแรงกระชากจากด้านหลังผมเบิกตากว้างมองหน้าคนที่ดึงแขนผมไว้ ผมมองเขาด้วยใจที่เจ็บปวด ผมทำให้พี่นนเดือดร้อนเพราะความคิดชั่ววูบของตัวเองอีกแล้ว “พี่นน ฮือ”

 

“ไม่เป็นไรๆ” พี่นนดึงผมให้ขึ้นมานั่งบนฟุตบาท เขานั่งลงข้างๆ พร้อมกับลูบหลังผมไปมา

 

 “วันนั้น...ฮือ” ผมกอดเข่าตัวเองด้วยความกลัว สายฝนที่เทลงมาทำให้เราเปียกปอน ความหนาวเย็นทำให้ความคิดในสมองผมหลุดลอยไปกับภาพในอดีตที่ไหลเข้ามาไม่หยุด

 

.

 

.

 

“ผมฟังอยู่” ผมวางมือลงบนหัวที่เปียกของร่างเล็กที่นั่งกอดเข่าตัวเองอยู่

 

“วันนั้นฝนตก วันนั้นจิงถูกทิ้งให้อยู่กับป๊า” เพราะเสียงฝนที่เทลงมาไม่หยุด ทำให้ผมขยับเข้าไปใกล้เพื่อฟังเสียงใสที่พูดออกมาแผ่วเบา “จิงโดนทิ้งให้อยู่กับป๊าที่เมาไม่รู้เรื่อง”

 

“...”

 

“จิงกลัว พี่นน” เหมือนผมจะหยุดหายใจเพราะเสียงที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดของคนตัวเล็ก “กลัว”

 

          ผมมองเขาที่เริ่มขดตัวกอดเข่าตัวเองให้แน่นขึ้นและไหล่น้อยที่สั่นเทิ้มไปด้วยความกลัว ทำให้ผมเจ็บที่ใจจนต้องคว้าร่างเล็กมากอดเอาไว้จนจมอกตัวเอง ไม่ว่าจะต้องกอดแน่นแค่ไหนผมก็จะทำ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ผมจะทำทุกทางให้จิงที่สดใสกลับคืนมา



"กลับบ้านเรากันนะครับ"

 

 


*************************************************



TBC

หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 9 (27/03/62)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 27-03-2019 17:43:43
 :mew4:
 :3123:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 9 (27/03/62)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 27-03-2019 18:41:56
 :hao4:



 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 10 (29/03/62)
เริ่มหัวข้อโดย: gigibabe ที่ 29-03-2019 21:45:34
ตอนที่ 10 เท่าไหร่
 




“เจ็บตรงไหนไหมครับ”

 

“...”

 

          เขาส่ายหน้าเป็นคำตอบ แล้วทรุดตัวนั่งลงที่พื้น ผมมองเขาสักพักแล้วถอนหายใจออกมาเพราะคิดไม่ตก ไม่รู้จะทำให้เขากลับมาเป็นจิงคนเดิมได้ด้วยวิธีใด แต่ก่อนอื่นผมควรจัดการตัวที่เปียกของเราทั้งคู่ควรก่อน ผมเดินไปหยิบเสื้อผ้าของเขาและของตัวเองออกมาจากตู้เสื้อผ้า วางให้เขาที่นั่งนิ่งอยู่ที่พื้นข้างเตียง เมื่อเห็นว่าเขายังคงนิ่งอยู่แบบเดิม ผมจึงเดินเข้าห้องน้ำไปจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าของตัวเองก่อน

         

          ออกมาก็ยังเห็นเขานั่งอยู่แบบเดิม ผมเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวของเขามาคลุมหัวเขา แล้วลงไปนั่งตรงข้ามคนที่นั่งก้มหน้ามองพื้น เช็ดผมเขาเบาๆ เขายังคงก้มหน้าไม่มองผม ท่าทางที่เหมือนเด็กหลงทางเหมือนวันแรกที่เราเจอกันทำให้ผมนึกเอ็นดูปนสงสาร

 

“รีบเข้าไปอาบน้ำเถอะครับ เดี๋ยวไม่สบายเอา”

 

“จิงขอโทษ” เขาพูดงึมงำทั้งที่ยังก้มหน้าอยู่

 

“ขอโทษทำไม ผมต่างหากที่ต้องขอโทษ” ผมดึงผ้าเช็ดตัวออก แล้วประคองใบหน้าเขาด้วยมือทั้งสองข้างของตัวเองให้เงยหน้าขึ้น สิ่งแรกที่เห็นคือดวงตากลมโตที่คลอไปด้วยน้ำตา “ขอโทษที่ตะคอกใส่คุณ”

 

“จิงขอโทษที่วิ่งออกไป ขอโทษที่ทำให้พี่เดือดร้อน ขอโทษที่งี่เง่า...ขอโทษที่เป็นแบบนี้ ฮึก”

 

“ไม่เป็นไรครับ” ผมลูบหัวคนตรงหน้าที่เริ่มสะอื้นออกมาอีกครั้ง จะมีทางไหนไหมที่ผมจะรู้ว่าเขาซ่อนอะไรไว้ แล้วผมควรจะแก้ไขปัญหานี้ยังไง “ไม่เป็นไรจริงๆ”

 

“...” เขาเงียบไปแล้วจ้องตาผม แววตาของเขาดูสับสนแต่สุดท้ายเขาก็พูดออกมาด้วยเสียงที่ไม่มั่นใจ “จิงวันนั้น ฝน”

 

“ครับ ใจเย็นๆ” ผมยิ้มให้เขา พยายามลูบหัวคนตัวเล็กไปด้วยให้เขารู้สึกปลอดภัยและยอมเล่าสิ่งที่อยู่ในใจออกมา “ไม่ต้องกลัวนะ ผมฟังคุณอยู่”

 

“...วันที่ม๊าทิ้งจิงไว้กับป๊า ป๊านอนอยู่ที่พื้น” เขาหลบตาผมแล้วเอามือเล็กนั้นมาจับข้อมือผมไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยว ผมเลยดึงมือทั้งสองข้างนั้นมากุมไว้และวางมันลงที่ตักของผม ใช้นิ้วโป้งคลึงหลังมือเบาๆ ให้เขารู้สึกผ่อนคลาย “ตอนนั้นจิงนั่งร้องไห้อยู่ข้างป๊ามันมืดและเงียบ มีแค่เสียงฟ้าร้อง เสียงมันดังมาก จิงกลัว”

 

“ครับ”

 

 “แล้วป๊าก็ลุกขึ้นมา อึก”

 

“...”


“ป๊าตีจิง จิงเจ็บ”

 

“...” ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามควบคุมความโกรธของตัวเอง

 

“แต่…จิงไม่โกรธหรือกลัวป๊าแล้ว” ผมมองเขาที่พูดแล้วยิ้มเบาๆ มองลึกไปในตากลมโตที่เต็มไปด้วยความเศร้า ความเจ็บปวดและความคิดถึง ผมก็รู้สึกเจ็บไปด้วย

 

“...”

 

“แต่จิงกลัวเสียงฟ้าร้อง มันทำให้จิงนึกถึงความเจ็บในตอนนั้น”

 

“ไม่เป็นไรแล้วนะ” ผมปลอบเขาด้วยคำว่าไม่เป็นไรอีกครั้ง ทั้งที่รู้ว่ามันไม่อาจบรรเทาความเจ็บปวดของเขาได้ แต่ผมก็อยากจะพูดออกไป อยากให้เขารู้ว่าเขายังมีผม ยังมีที่จะอยู่กับเขาตรงนี้เสมอ ผมบีบมือเขาเบาๆ “ผมอยู่ตรงนี้”

 

.

 

.

 

“...” ผมมองหน้าคนที่บีบมือผมเอาไว้ ลังเลที่จะเล่าต่อไป

 

“ขอโทษที่ผมปล่อยคุณให้ออกไปในวันที่ฝนตกแบบนี้ ขอโทษที่พูดไม่ดี”

 

“ฮึก” ผมสะอื้น มองคนที่ขอโทษและมองผมด้วยความรู้สึกผิด มือใหญ่ปาดน้ำตาให้ผมโดยไม่รังเกียจ

 

“ถอดเสื้อเถอะนะ เดี๋ยวไม่สบาย”

 

“...”

 

          ความเงียบระลอกใหญ่เกิดขึ้นตอนที่เสื้อเชิ้ตของผมหลุดออกไปจากตัวผม โดยฝีมือคนที่นั่งตรงข้ามกัน พี่นนจ้องมองรอยแผลเป็นจากการโดนทำร้ายในคืนนั้นด้วยใบหน้าที่นิ่งงันแต่มือใหญ่ที่กำลังเอื้อมมาลูบรอยแผลที่ยาวจากหัวไหล่ซ้ายไปยังกลางอกกลางกลับสั่นเทา ใบหน้าเขายังคงนิ่งเหมือนเดิมแต่ผมก็รับรู้ได้จากสายตาเขาว่าเขากำลังโกรธ

 

“ทำไม” เป็นครั้งแรกที่เห็นแววตาเจ็บปวดจากเขาและเพราะแบบนั้น ผมก็ไม่ลังเลเลยที่จะเล่าความจริงออกไป

 

“ตอนที่เขาตีจิง เขาหยิบขวดเหล้าที่แตกขึ้นมาแทงจิง” ผมจำตอนนั้นได้ไม่ลืม ผมดิ้นหนีทุรนทุรายด้วยความเจ็บและความกลัว...ในตอนนั้นเขาไม่ใช่ป๊าของผม “เขาโกรธที่จิงหน้าเหมือนม๊า”

 

“จิง...ถ้าไม่ไหวก็พอ ผมไม่อยากเห็นคุณร้องไห้แบบนี้”

 

“พอป๊ามีสติ ป๊าก็พาจิงไปโรงพยาบาล...” ใบหน้านิ่งๆ ที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงของเขา ทำให้ผมเริ่มเล่าทุกอย่างออกไป เสียงพูดของผมมันดังในหัวจนไม่ได้ยินสายฝนข้างนอก ราวกลับผมด่ำดิ่งลงไปในอดีต

 

 



“อาจิง” นั่นเป็นเสียงแรกที่ผมได้ยิน ก่อนที่ผมจะลืมตามา ภาพเพดานสีขาวและกลิ่นฉุนของโรงพยาบาลทำให้ผมอยากจะร้องไห้

 

“ป๊าขอโทษ”

 

“ป๊า อย่าทำจิง” ผมมองหน้าคนที่ทำร้ายผมด้วยความกลัว

 

“ป๊าขอโทษ”

 

“ฮือ”

 

“อาจิงไม่ต้องร้อง ป๊าสัญญาป๊าจะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว” ผมมองหน้าป๊าที่ร้องไห้อย่างหนัก

 

“ป๊า”

 

“ป๊าจะไม่ทำอีกแล้ว”

 

“ฮือ”

 

“อาจิงอย่าโกรธป๊าเลยนะ เราเหลือกันแค่นี้แล้วนะ อาจิง”


“ป๊า” เสียงของผมแทบจะหายไปเมื่อนึกถึงหน้าของม๊าที่บอกลาผมไป ม๊าไม่มองหน้าผมตอนเดินออกจากบ้านเลย ม๊าผลักผมและวิ่งออกไป ไกลออกไปเรื่อยๆ

 

“ป๊าสัญญาป๊าจะดูแลจิงให้ดีที่สุด” ป๊ากอดผมให้แน่นขึ้น แรงกอดทำให้นึกถึงตอนที่โดนบีบคอจากมือของเขา แต่เพราะอ้อมกอดในตอนนี้และเพราะแรงสะอื้นจากป๊าที่ร้องไห้จนตัวโยน ทำให้ผมอบอุ่นขึ้น อยากให้ความอบอุ่นแบบนี้อยู่กับผมตลอดไป “จิงเป็นทุกอย่างของป๊านะ”

 

“ฮึก ป๊าเป็นทุกอย่างของจิงเหมือนกัน” อยากสำคัญพอที่จะไม่ทำให้ใครหันหลังให้ได้อีก


 





“ตั้งแต่นั้นมาวันทุกวันของจิงก็ทำเพื่อป๊า” ผมพูดออกไปด้วยรอยยิ้ม “ทั้งที่เขาคือคนที่ทำร้ายจิงแต่จิงก็รักป๊าและป๊าก็ไม่เคยทำให้จิงเสียใจอีกเลย จิงตั้งใจเรียนต่อบริหารเพราะอยากทำให้กิจการของป๊าดีขึ้น โลกของจิงมีแค่ป๊าและจิงก็ลืมผู้หญิงคนนั้นที่ทิ้งจิงกับป๊าไปจนหมด”

 

“...” เขาเงียบและกุมมือผมแน่นขึ้น

 

 “ตั้งแต่วันนั้น...จิงก็ไม่เคยเจอม๊าอีกเลย” แล้วรอยยิ้มผมก็หายไป ผมเงยหน้าสบตากับพี่นนที่ตั้งใจฟังผมแต่ครั้งนี้เขากลับหลบตามองมือของเราแทน “แต่ปีที่แล้วผมก็ได้เจอกับม๊าและม๊ากับป๊าทำให้ผมอยู่ตรงนี้”

 





“จิงไม่ไป”

 

         ผมที่เพิ่งกลับจากมหาลัยพูดกับผู้หญิงแต่งตัวดีที่ยืนอยู่ตรงข้ามผมกับป๊า เขามาขอร้องให้ผมไปรับมรดกสืบทอดกิจการของเขาอย่างเห็นแก่ตัว ไม่สนใจทั้งผมและป๊าจะรู้สึกยังไง ผมจับแขนป๊าไว้แน่นเพราะกลัวป๊าเสียใจ

 

“เลี้ยงมายังไงถึงดื้อด้านแบบนี้”

 

“ม๊าห้ามว่าป๊านะ อย่างน้อยป๊าเขาเลี้ยงจิงได้แล้วกัน”

 

“เหรอ ได้ถามรึเปล่าล่ะ ว่าค่าเทอม ค่าอยู่ค่ากินมาจากร้านน้ำเต้าหู้งี่เง่านี่สักกี่บาทกัน”

 

“ป๊า” ผมมองป๊าที่ก้มหน้าลงแล้วเจ็บที่ใจ ทำไมป๊าไม่เคยบอกผมเลย “ออกไปจากชีวิตจิงกับป๊าเถอะม๊า”

 

“เท่าไหร่” เสียงแหลมๆ ที่พูดคำนั้นออกมาช่างบาดใจผม “ม๊าต้องจ่ายเท่าไหร่ อาจิงถึงจะกลับไปอยู่กับม๊า”

 

“จิงไม่ไป”

 

“ไปเถอะอาจิง ป๊าส่งจิงเรียนไม่จบหรอก” เสียงของป๊าทำใจผมหล่นไปอยู่ที่พื้น

 

“ป๊า!”

 

“ออกไป...” และใจของผมก็โดนเหยียบย่ำแค่คำไม่กี่คำจากป๊า คนที่เป็นโลกทั้งใบของผม


 





“….แล้วผมก็หนีออกมา” เรื่องในอดีตตามหลอกหลอนผมจนปวดหัว จนต้องซบหน้าผากลงที่อกคนข้างหน้าเพื่อยืนยันว่าความเจ็บปวดในตอนนั้นได้ผ่านมาแล้ว

 

“...”

 

 “พอป๊าไล่จิงไปอยู่กับม๊า มันเหมือนโลกทั้งใบของจิงพังลงเพราะทุกอย่างที่จิงทำ จิงทำเพื่อป๊ามาตลอด” ผมพยายามควบคุมเสียงตัวเองไม่ให้สั่นเพราะความรู้สึกที่ตีขึ้นมาจากอก “แต่เขากลับไล่จิง มันเหมือนกับจิงพยายามเท่าไหร่ก็ไม่พอ ทุกอย่างมันว่างเปล่าไปหมดเลย”

 

“...”

 

“วันที่จิงนั่งอยู่ใต้เสาไฟฟ้า จิงคิดจะกลับไปใช้ชีวิตนะ แต่พอคิดว่าต้องไปใช้ชีวิตที่ไม่มีชีวิตแบบนั้น จิงยอมตายดีกว่า” สุดท้ายน้ำตาผมไหลออกมาอีกครั้งเพราะได้พูดถึงสิ่งที่เก็บเอาไว้ในใจออกมา

 

 

ฟรึ่บ

 

“ไม่เป็นไรแล้ว” เขาดึงผมเข้าไปกอดหลวมๆ ผมซบใบหน้าลงที่ไหล่กว้าง

 

“จิงมันว่างเปล่า แต่ความว่างเปล่ามันน่ากลัวมากเลย” ผมร้องไห้ออกมาอีกครั้งเมื่อความรู้สึกลึกๆ ข้างในได้เผยออกมา “พี่นน...จิงจะอยู่ไปทำไม จิงมันไม่มีค่าอะไรเลย”

 

“เดี๋ยวฝนก็หยุดตกแล้วครับ” เขาบอกกับผมแบบนั้น พี่นนกอดผมให้แน่นขึ้น วางคางไว้บนหัวของผม “ผมจะอยู่ข้างคุณเอง”

 

“พี่” เรียกเขาโดยไร้สาเหตุ ความรู้สึกในใจตอนนี้เหมือนกับได้หยุดพักหลังจากเดินทางมาเนิ่นนาน เหมือนผมถูกค้นเจอในซอกมุมที่มืดที่สุด

 

“ครับ” เขาตอบรับ มือใหญ่ยังคงลูบหลังที่เปลือยเปล่าของผมไปเรื่อยๆ และผมก็ผล็อยหลับลงไปในอ้อมกอดอันอบอุ่นด้วยความเหนื่อยล้าและเสียงหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ แต่เสียงของมันช่างชัดเจนเหลือเกิน

 

 

 

 

********************************************************

TBC

หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 10 (29/03/62)
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 29-03-2019 23:20:09
โถ๋

อาจริงน่าสงสาร

ป๋าก็น่าสงสาร

แต่ม๊านิ่ใจร้ายมาก

พี่นนอย่าทิ้งจิงนะ

จิงเศร้าแบบนี้

พี่นนต้องดูแล

 ให้ดีนะ
หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 10 (29/03/62)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 30-03-2019 13:32:37
 o22


 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 11 (31/03/62)
เริ่มหัวข้อโดย: gigibabe ที่ 31-03-2019 20:07:19
ตอนที่ 11 ฟู



   ตื่นมาพร้อมกับการทำตัวไม่ถูกครั้งยิ่งใหญ่ของชีวิต ตอนนี้ผมทำอะไรไม่ถูกมากๆ แค่จะขยับไปมองว่าคนที่นอนอยู่ข้างๆ ตื่นรึยัง ผมยังไม่กล้าเลยเพราะผมอาย...ที่อายก็เพราะเมื่อวานผมพูดสิ่งที่เก็บไว้ข้างในมาตลอดกับเขา


   ไม่รู้เลยว่าเขาจะคิดยังไง หลังจากได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด อีกทั้งเมื่อวานเรายังกอดกันแถมจับมือกันด้วย ผมลืมสิ่งที่พูดกับตัวเองไว้ทั้งหมดเลยว่าจะไม่เข้าใกล้เขา อยากจะทึ้งหัวตัวเองที่ทำแบบนั้นไปเพราะความไม่มีสติล้วนๆ ทั้งเรื่องวิ่งออกจากห้อง ทั้งเรื่องที่สัมผัสกัน มันเหมือนอาการมึนเมาที่โดนกระตุ้นด้วยปัจจัยหลายๆ อย่าง


   เฮ้อ ว่าแต่ว่าทำไมผมมานอนบนเตียงแบบนี้ แล้วเสื้อผ้าเปียกๆ ของผม ทำไมถึงกลายเป็นเสื้อยืดกางเกงบอลแบบนี้ แถมยังไม่ใส่บ็อกเซอร์ไว้ด้วย อย่าบอกนะว่าเป็นฝีมือของคนข้างๆ โอ๊ย ผมจะเอาหน้าร้อนๆ นี้ไปไว้ไหนดี


แกร่ก


“ไปอาบน้ำได้แล้วครับ เดี๋ยวสาย”


“เอ่อ” ผมชะงักไปเพราะไม่คิดว่าพี่นนจะเปิดประตูห้องน้ำออกมา ผมมองคนที่เดินออกมาจากห้องน้ำ พี่นนอยู่ในชุดทำงานเรียบร้อยแล้ว พอสบตากันก็เป็นผมที่หลบสายตาไปมองที่ระเบียงแทน “คือ เสื้อผ้าจิงล่ะ”


“ผมเปลี่ยนให้ ไม่โกรธใช่ไหม”


“อือ” ตอบรับแบบไม่กล้าสบตา อยากบอกเหลือเกินว่าไม่โกรธหรอกแต่อาย อย่างนี้พี่นนก็เห็นจูดี้ของผมแล้วอะดิ ฮือ


“ทำไมทำหน้าจะร้องไห้แบบนั้นครับ” เขาพูดแล้วเดินมานั่งที่เตียงข้างผมที่นอนอยู่ “หรือยังโกรธที่ผมตะคอกใส่”


“จิงไม่ได้โกรธพี่” ผมพูดอู้อี้ในลำคอเพราะความอึดอัดจากความเขินอาย ลากผ้าห่มขึ้นมาคลุมหน้าไว้ เหลือแค่ดวงตาที่จ้องคนหน้านิ่งอยู่ “พี่นน ถามจริงถ้าพี่โดนผีหลอกจะทำหน้านิ่งแบบนี้อยู่ปะ”


“หึ” น่าแปลกที่พอผมเห็นเขาหลุดยิ้มก็รู้สึกผ่อนคลายลง “กวนผมได้แบบนี้แสดงว่าหายดีแล้วสินะ ถ้าอย่างนั้นก็ลุกไปอาบน้ำได้แล้วครับ”


“อือ พี่นน...เมื่อวานขอบคุณนะ” ผมหลับหูหลับตาพูดแล้ววิ่งเข้าห้องน้ำไป โดยไม่รอฟังคำตอบอะไรจากเขาทั้งนั้น โอ๊ย ไอ้หัวใจบ้าหยุดเต้นแรงสักที


.

.


บรืน


“พี่นนไม่สาย ไม่ต้องรีบ!”


“หึ”

   ผมหัวเราะออกมาและหลุดยิ้มกว้างตอนที่แขนเล็กกอดเอวผมไว้แน่น มองกระจกข้างก็เห็นเขาทำหน้างอปากเล็กขยับไม่หยุด ไม่รู้ว่าบ่นอะไรผมบ้างแต่เขาที่เป็นแบบนี้ก็ทำให้ผมอารมณ์ดีสุดๆ ยังไงก็ดีกว่าร้องไห้และทำหน้าเศร้าแบบเมื่อคืน


   พอได้รู้เหตุผลจริงๆ ที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ใจผมก็รู้สึกเศร้าไม่ได้ ก่อนหน้านี้เขาต้องอดทนแค่ไหน ต้องเคว้งคว้างแค่ไหนผมไม่อยากจินตนาการเลย เด็กที่สดใสและยิ้มแย้มแบบเขาต้องทนเก็บเรื่องพวกนี้ไว้ใต้ใบหน้าเปื้อนยิ้ม มันช่างโหดร้าย...แต่โลกแห่งความจริงมันก็เป็นแบบนี้ ต้องอดทนเก็บความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองไว้ใต้หน้ากาก


“ตั้งใจทำงานนะครับ”


“อือ” เขาพยักหน้าทั้งที่มือผมยังวางไว้บนผมนิ่ม น่าแปลกที่ครั้งนี้เขาไม่เอียงหัวหลบผม แถมยังส่งรอยยิ้มขี้เล่นยิ้มให้ผมอีก “เจอกันตอนเย็นนะพี่”


“ครับ”


   ผมมองแผ่นหลังเล็กที่วิ่งเข้าร้านไป แอบมองมือตัวเองแล้วก็ยิ้มออกมา แค่ได้อยู่ใกล้ ได้สัมผัสแค่นี้หัวใจผมก็เต้นรัวไปหมด เป็นเอามากจริงๆ ผมชอบจิงมากจริงๆ ในเมื่อผมรู้สาเหตุแล้ว ต่อไปก็คือต้องทำให้เขาอยากจะมีชีวิตอยู่ ส่วนความรู้สึกของผม ผมก็ต้องจัดการตัดใจให้เร็วที่สุด ก่อนที่จะสายไปก่อนจะรักเขาไปหมดทั้งใจ


   

.

.



   ผมพยักหน้ารับทั้งที่เขายังลูบหัว ตอบรับไปว่าเจอกันตอนเย็นเหมือนทุกๆ วันและรีบวิ่งเข้ามาในร้านกาแฟ ใจผมเต้นรัวกับสัมผัสนั้น พยายามมองข้ามมันแต่ก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้จริงๆ เพราะความใจดีของเขา


“แหม ยิ้มเข้ามาเชียว”


“อ่า” ผมชะงักเท้าที่กำลังจะเดินไปที่เคาน์เตอร์เพราะเจ้านายของผมกำลังยืนยิ้มกว้างให้ผมอยู่อยู่หลังเคาน์เตอร์ “พี่ชิน สวัสดีครับ”


“สวัสดีครับ” พี่ชินรับไว้ผมแล้วเดินมาหาผมที่หยุดยืนอยู่กลางร้าน “ว่าไง มีอะไรดีๆ เกิดขึ้นเหรอ”


“ก็...มั้งครับ”


“มีความรักสิท่า หน้าอิ่มเอมขนาดนี้”


“เอ่อ ไม่ใช่ๆ พี่” ผมรีบตอบออกไปพร้อมยกมือโบกไปมา


“หน้าแดงเชียว”


“จิงเปล่า”


“มีอะไรปรึกษาพี่ได้นะ”


“คร้าบ” ผมลากเสียงยาวใส่พี่ชินแล้วเดินไปหลังเคาน์เตอร์หยิบผ้ากันเปื้อนมาสวม แต่พอหันมาเจอพี่ชิน ผมก็ต้องย่นจมูกใส่พี่ชินเพราะเขาทำหน้าตาล้อเลียนผม “พี่ชิน”


“ฮ่าๆ” พี่ชินหัวเราะแล้วกวักมือเรียกผม “มาช่วยพี่ยกเก้าอี้หน่อยมา”


“ครับๆ”


   แล้วผมก็เดินไปช่วยยกเก้าอี้ลงจากโต๊ะ เสร็จแล้วก็คว้าไม้กวาดมากวาด เช็ดโต๊ะและเคาน์เตอร์อย่างขยันขันแข็ง ในหัวก็เอาแต่คิดเรื่องที่พี่ชินว่าความรักงั้นหรอ ไร้สาระน่า


   ที่ผมควรจะคิดในตอนนี้ที่สุดคือเหตุผลที่พี่นนใจดีกับผมมากกว่า ทำไมเขาถึงดีกับผมขนาดนี้ ทำไมไม่รำคาญ ทำไมไม่ผลักไส ทั้งที่ผมก็แค่เด็กที่หนีออกจากบ้าน เป็นคนแปลกหน้า ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่เขาจะต้องมาสนใจคนอย่างผม


   ที่สำคัญเขาดูไม่ใช่คนที่จะใจดีขนาดนี้ หน้านิ่งๆ ไม่สนใจอะไร แถมยังมีความคิดที่จะฆ่าตัวตายอีก  ผมคิดวนไปในหัวไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่จะทำให้เขาดีกับผมขนาดนี้ ผมมองพี่ชินที่เตรียมเครื่องชงกาแฟอยู่ด้วยความสับสน เอาวะ หลายความคิดดีกว่าความคิดเดียว



“เอ่อ พี่ชินว่าถ้ามีคนใจดีกับพี่มากๆ มันแปลว่าอะไรเหรอครับ” สุดท้ายผมก็ถามพี่ชินออกไปจนได้


“หืม” พี่ชินเงยหน้าจากการเตรียมเครื่องชงกาแฟมาจ้องผม “ใจดียังไง”


“อืม ก็คอยช่วยเหลือทุกอย่าง คอยปลอบเวลาจิงเสียใจ”


“ตอบยากแหะ” พี่ชินว่ายิ้มๆ ก่อนจะพูดต่อ “แต่ถ้าปกติเขาไม่ใช่คนที่ใจดีไปทั่วแล้วดันใจดีกับเราแค่คนเดียว พี่ว่าเราก็คงเป็นคนพิเศษสำหรับเขา”


“ละ แล้วถ้าเขากอดกับจับมือเรา”


“อืม” พี่ชินยิ้มกว้างแล้วเดินมาลูบหัวผมเบาๆ “เขาคงชอบจิงแล้วล่ะ”


“อึก” ผมสะดุ้งไปเพราะเหมือนมีอะไรวิ่งมาชนกลางใจ “ชะ ชอบเหรอครับ”


“อ่าหะ”


“พี่ชินมั่ว”


“ฮ่าๆ อะ สวัสดีครับคุณลูกค้า” ผมหันไปมองลูกค้าที่เดินเข้ามาแล้วพยายามยิ้มให้ ทำเป็นไม่ตกใจกับเรื่องเมื่อกี้ แต่พี่ชินดันก้มลงมากระซิบข้างหูผม “เราเขินขนาดนี้ เราเองก็คงชอบเขาไม่น้อยเลยล่ะ”


   ผมหยุดนิ่งอยู่ตรงนั้นสักพัก แล้วค่อยเดินไปทำงานต่อ ทำเหมือนไม่ตกใจอีกครั้ง ผมแกล้งทำเป็นไม่สนใจในสิ่งที่พี่ชินพูด เดินไปรับลูกค้า ทวนชื่อกาแฟ รับเงิน ทอนเงิน ทำทุกอย่างเป็นปกติ ทั้งที่สมองผมเอาแต่ทวนคำพูดของพี่ชิน ‘ชอบ’ ใจผมเต้นรัวและดังมาก เหมือนอะไรบางอย่างชัดเจนขึ้นมาในใจ แล้วผมจะทำยังไงกับใจตัวเองที่มันฟูฟ่องขึ้นมาแบบนี้ดี

   



*******************************************
พี่ชินทำดีมากค่ะ  o13
TBC

หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 11 (31/03/62)
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 31-03-2019 21:29:21
พี่ชินชี้โพรงให้กระรอก

กระรอกจะมองเห็นโพรงใหมน๊า~~~~~
หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 12 (01/04/62)
เริ่มหัวข้อโดย: gigibabe ที่ 01-04-2019 22:15:58
ตอนที่ 12 ไม่อยากเข้าใจ



“จิง...ลาเต้สี่แก้ว อเมริกาโน่สาม ชั้นสิบสาม คุณริน บริษัท z”


“อ่า” ผมทวนรายการตามถุงแก้วในใจ แล้วก็นึกได้ว่าที่พี่ชินพูดมานั่นคือบริษัทที่คนที่ทำให้ผมใจฟูมาตั้งแต่เช้า “ครบครับ”


“ส่งรอบนี้เสร็จเราก็ไปพักได้เลยนะ พี่นุชมาพอดี”


“ครับ”


ติ๊ง


   ผมเดินเข้าไปในลิฟต์ด้วยใจที่ประหม่า ทั้งๆ ที่จะไม่ได้ไปเจอพี่นนสักหน่อย แต่ใจผมก็เต้นดังจนรู้สึกรำคาญ ที่ผมเป็นแบบนี้ก็เพราะพี่ชินแท้ๆ เลย ที่พูดอะไรแบบนั้นออกมา ผมยืนหลับตาทำสมาธิและเผลอยืนสั่นขาไปมาในลิฟต์ภาวนาให้ไม่เจอเขา ยังไม่พร้อม...ตอนนี้ผมยังควบคุมหัวใจตัวเองไม่ได้


ติ๊ง


“เอ่อ เอากาแฟมาส่งครับ” เอ่ยปากบอกพี่สาวคนเดิมที่นั่งประจำโต๊ะประชาสัมพันธ์ด้วยใจเต้นรัว ตอนนี้ผมอยากจะฝากกาแฟทั้งหมดไว้ที่พี่เขาแล้ววิ่งหนีไปชะมัด


“เอ่อ พี่รบกวนน้องเดินเข้าไปส่งให้หน่อยนะจ้ะ” พี่เขาเงยหน้าจากเอกสารและเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์กดอะไรยุกยิกแล้วหันมากระซิบกับผม “เอาไปวางในห้องครัวนะจ้ะ พอดีตอนนี้ทุกคนยุ่งมากเลย นี่เงินที่รินฝากไว้ พอดีเป๊ะ ไม่ต้องทอน”


“เอ่อ ครับ”


“ฝากด้วยนะจ้ะ” พูดแบบนั้นแล้วส่งยิ้ม แถมขยิบตาให้ผมหนึ่งทีและหันไปทำงานต่อ “สวัสดีค่ะ บริษัท Z นะคะ...”


   ผมเม้มปากมองพี่สาวประชาสัมพันธ์คุยโทรศัพท์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนจะต้องถอนหายใจออกมา นี่มันมัดมือชกชัดๆ ไหนบอกไม่ให้คนนอกเข้าไง ฮือ ไม่อยากเข้าไปเลย แต่สุดท้ายผมก็ต้องจำใจเปิดประตูกระจกเข้าไปในออฟฟิศของบริษัทนี้เพราะมันเป็นหน้าที่


   โต๊ะที่วางเรียงรายเป็นแถวยาวๆ ถูกกั้นคอกไว้ดูน่าหดหู่ในสายตาผม ถ้าเป็นผมเป็นเจ้าของที่นี่คงจัดให้ออฟฟิศนี้ดูน่าทำงานมากกว่านี้ โทนของบริษัทเป็นสีขาวสลับน้ำเงินทำให้บรรยากาศดูเคร่งเครียด ไม่ต้องถามเลยว่าทำไมผมถึงรู้ ใบหน้าที่เคร่งเครียดของทุกคนที่นี่บ่งบอกอยู่แล้ว


“มาหาใครคะ”


“เอ่อ มาส่งกาแฟครับ” ผมตอบพี่ผู้หญิงร่างท้วมที่เอ่ยถามผมที่เพิ่งเดินเข้ามา


“อ่อ ครัวอยู่ด้านนู้นจ้ะ”


“ครับ” ผมก้มหัวตอบรับแล้วเดินไปทางที่พี่เขาชี้ เฮ้อ บรรยากาศอึดอัดชะมัด ถึงว่าพี่นนถึงหน้าตายขนาดนั้นเพราะโดนบรรยากาศแบบนี้ครอบงำนี่เอง เฮ้อ ทำไมพี่นนวิ่งเข้ามาในหัวอีกแล้วนะ


   ผมวางถุงกาแฟไว้บนโต๊ะกลมในครัว ที่มีเพียงตู้เย็น เคาน์เตอร์และโซนชงกาแฟ ผมนับเงินที่ได้รับ จัดการเสียบบิลไว้ในถุงและเตรียมตัวจะเดินออกจากที่นี่เพื่อไปทำงานที่ร้านกาแฟต่อแต่เสียงบางอย่างจากด้านหน้าห้องครัวก็ทำให้ผมหยุดเดิน
 

“ฮ่าๆ พี่นนอะ” เสียงหัวเราะ ของผู้หญิง ทำให้ผมหยุดเดิน ไม่ใช่เสียงหัวเราะสิ เป็นเพราะชื่อของคนที่ผมมองหาตั้งแต่เดินเข้ามาในบริษัทนี้ต่างหาก ที่ทำให้ผมหยุดเดินและแอบมองพวกเขา


   พี่นนยืนอยู่ทางเดินหน้าห้องครัวกับผู้หญิงคนหนึ่ง เธอใส่ชุดนักศึกษา ตัวเล็กและมีใบหน้าที่น่ารัก น่ารักแบบที่ผมชอบแต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกครุกกรุ่นในใจเพราะใบหน้ายิ้มแย้มของเธอที่ยิ้มให้กับเขา


“ขอโทษนะครับ” เสียงทุ้มของพี่นนทำให้ผมได้สติ แต่การกระทำที่พี่นนยื่นมือไปดึงบางอย่างออกจากผมของเธอทำให้ใจผมกระตุก ดูเหมือนว่าใจที่ฟูฟ่องเมื่อเช้ากำลังฟีบลงและมันก็ทำให้ผมรูสึกอึดอัดในอกแปลกๆ


“เอ่อ ขอบคุณค่ะ”


“…” พี่นนยิ้มเบาๆ ให้เธอและนั่นก็ทำให้ที่อึดอัดของผมกลายเป็นความเจ็บ ไม่ชอบเลย ไม่ชอบให้เขายิ้มให้เธอเลย


“หนูไปหาเอกสารย้อนหลังในห้อง..อ้าว” เป็นเธอที่เห็นว่าผมยืนอยู่ตรงนี้ก่อนเขา


“...”


 “จิง” เขาเรียกผมและจ้องมองมา มองมาด้วยใบหน้านิ่งๆ เหมือนเคย


“จิงเอากาแฟมาส่ง” พยายามตอบให้เป็นปกติที่สุด ทั้งที่ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ไม่เข้าใจ


“งั้นเดี๋ยวหนูยกไปให้พี่ๆ นะคะ”


 “เดี๋ยวพี่ช่วย”


“ค่ะ”


“...” ผมยืนนิ่งมองคนทั้งสองที่ช่วยกันถือแก้วกาแฟไป พี่นนสบตากับผมแค่แป๊บเดียว เหมือนจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็เดินผ่านผมไป


   ผมมองด้านหลังพวกเขาที่เดินจากไปแล้วก็รู้สึกเจ็บที่ใจ จนน้ำตาคลอแล้วสุดท้ายก็กลายเป็นหยดน้ำตาที่ไหลลงมา ไม่เข้าใจเลย...ผมไม่อยากเข้าใจความรู้สึกนี้เลย


“เหอะ” ทำได้แค่แค่นหัวเราะกับตัวเอง ปาดน้ำตาลวกๆ แล้วเดินออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด



.

.


ซ่าๆ


   สายฝนข้างนอกทำให้สถานการณ์ในตอนนี้แย่ลง หลังจากกลับมาผมก็เอาแต่เงียบ ส่วนพี่นนก็เงียบเป็นปกติอยู่แล้ว ผมลุกขึ้นจากเตียงและเดินไปที่ระเบียงที่มีอีกคนกำลังเก็บเสื้อผ้าอยู่ ถึงจะเจ็บที่เขาดีกับคนอื่นแต่ผมไม่ควรทำแบบนี้ งอนเขาทั้งที่ไม่ได้สำคัญอะไรกับเขาเลย


“เอ่อ จิงช่วย”


“ไม่เป็นไร เสร็จแล้ว” พี่นนตอบผมเสียงนิ่ง “เข้าไปข้างในเถอะ ฝนตก”


“อือ”


“เป็นอะไรไหม” เขาถามผมตอนวางเสื้อผ้าลงที่เตียง


“หะ”


“เป็นอะไรไหม เอ่อ ผมต้องกอดคุณไว้ไหม”


“คือ...จิง”


พรึ่บ


   ไฟทั้งห้องดับลงทำเอาผมสะดุ้ง แต่แล้วผมก็ต้องสะดุ้งอีกรอบเพราะสัมผัสจากมือใหญ่ที่จับมือผมเอาไว้ สัมผัสเพียงแค่นี้ทำใจผมเต้นรัวไม่หยุดจนต้องขบริมฝีปากตัวเองเรียกสติ ทำไปเพื่อหวังให้ใจเต้นเบาลงแต่ไม่เป็นผลเลยสักนิด


“กอดกันไหมครับ”


“อย่ามาจับจิง” ความรู้สึกข้างในลึกๆ เผยออกมาทันทีที่พี่นนเริ่มใจดีกับผม


ฟรึ่บ


“จิง” เขาทำให้ผมรู้สึกสำคัญจนผมต้องสะบัดข้อมืออกจากมือใหญ่แต่ไม่ว่าผมจะดึงมือตัวเองกลับมาแรงแค่ไหนก็ยังคงไม่หลุดจากมือใหญ่นี่อยู่ดี


“ปล่อย” ผมเงยหน้ามองเขาท่ามกลางความมืด พอสายตาเริ่มชินกับความมืด ผมก็สบตาเขาและบอกให้ปล่อยกัน ไม่อยากใจเต้นแรงไปกับเขาแล้ว ไม่อยากรู้สึกอะไรทั้งนั้น


“เป็นอะไรครับ โกรธผมเหรอ”


“ไม่ต้องมายุ่ง ไม่ต้องมาคุยกับจิง” พูดออกไปด้วยความรู้สึกเจ็บในอก มองออกไปที่ระเบียงที่มีแสงจันทร์สาดส่องเข้ามาเพื่อซ่อนน้ำตาตัวเอง ผม...น้อยใจจนจะบ้าแล้ว


“จิง” เสียงทุ้มเรียกชื่อผมและสัมผัสจากมือใหญ่ก็เอื้อมมาเชยคางผมให้ไปจ้องตากับเขา


   ผมจ้องตากับเขาผ่านน้ำตาที่คลอเต็มหน่วย ยิ่งเห็นใบหน้านิ่งๆ นี้แล้วก็ยิ่งน้อยใจ ทั้งที่คิดว่าตัวเองสำคัญ ได้รับทุกอย่างที่พิเศษจากเขาแต่ไม่ใช่เลย มีแต่ผมที่คิดไปคนเดียว เขาก็ดีกับทุกคน เขาก็ยิ้มให้กับทุกคน

 
ตึกตัก ตึกตัก


   แต่ต่อให้ผมน้อยใจแค่ไหนแต่สัมผัสจากมือใหญ่ที่ประคองหน้าผมไว้สองข้างก็ช่างอบอุ่นจนใจผมเต้นดังไปหมด ดวงตานิ่งๆ นั้นจ้องมองมาที่ผมเหมือนทุกครั้ง ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าข้างในรู้สึกอะไร ไม่รู้เลยว่ารู้สึกกับผมยังไง ผมสับสนจนนึกโกรธแต่สัมผัสอุ่นที่ไล้แก้มผมไปมาก็ทำให้ผมสะดุ้งและจ้องตาเขาอีกครั้ง


   แต่ครั้งนี้ผมสังเกตเห็นความวูบไหวในสายตานิ่งๆ นั้น แต่ก่อนที่ผมจะประมวลผลอะไรได้ ผมก็มองเห็นแค่เพียงขนตายาวที่พริ้มหลับลงของคนตรงหน้า หัวใจผมเต้นดังจนหูอื้ออึง ไม่ได้ยินเสียงอะไรนอกจากหัวใจที่เต้นดังและรู้สึกแค่เพียงสัมผัสร้อนที่ทาบทับอยู่บนริมฝีปาก ผมเบิกตากว้างด้วยความตกใจและก่อนที่ผมจะยืนไม่อยู่เพราะความตกใจนี้ แขนแกร่งก็เอื้อมมารัดเอวผมไว้และกดย้ำสัมผัสลงมาที่ริมฝีปากผมให้ผมได้สติว่า ตอนนี้...พี่นนกำลังจูบผม


“พี่นน…” ผมเรียกชื่อเขาทั้งที่ริมฝีปากเราสัมผัสกันอยู่ สัมผัสร้อนที่ริมฝีปากทำให้ในหัวผมมันหมุนคว้างไปหมด


   เขาไม่สนใจที่ผมเรียกชื่อเขาด้วยซ้ำ ยังคงไล้ปากไปมากับริมฝีปากผม เริ่มขบกัดและจูบย้ำซ้ำๆ จนผมแทบละลายแต่แล้วผมก็ต้องเจ็บที่ใจเมื่อคิดเหตุการณ์ที่ผ่านมาเมื่อเที่ยง ใจน้อยของผมมันน้อยใจประท้วงขึ้นมา จนผมได้สติไม่หลงเคลิบเคลิ้มและผลักเขาออกด้วยความโกรธ


พลั่ก


“จูบจิงทำไม”

 
“...” เขายังคงกอดผมไว้ เงียบและทำหน้านิ่งเหมือนเดิมจนผมโมโห


“พี่คงแค่เหงาสินะ เห็นจิงเป็นตัวแทนใครล่ะ” ความน้อยใจเอ่อล้นออกมาพร้อมน้ำตา ทุบอกคนที่กอดรัดผมไม่ปล่อย “ใช่คนที่พี่ช่วยถือกาแฟวันนี้ไหมล่ะ”


“...”


“ใช่สิ พี่เป็นคนดีไง” ผมจ้องเขาทั้งน้ำตา  “ดีไปทั่ว ดีกับทุกคน...อื้อ”


   เสียงของผมขาดหายไปเหลือแค่เสียงอู้อี้ในลำคอเพราะริมฝีปากร้อนนั้นทาบทับมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้สัมผัสมันช่างแตกต่าง ราวกับว่าเต็มไปด้วยความต้องการ ตะกละตะกลาม บดขยี้จนขาผมอ่อน แรงรัดที่เอวเพิ่มมากขึ้นและสัมผัสร้อนชื้นก็บุกเข้ามาเกี่ยวกระหวัดเข้าที่ลิ้น ผมแทบจะยืนต่อไปไม่ไหว ใจเต้นดังจนเหมือนหัวใจจะวายไป อยากขัดขืนแต่สุดท้ายผมทำได้แค่ขยุ้มเสื้อคนตรงข้ามไว้เป็นที่ยึดเกาะ หลับตามึนเมาไปกับสัมผัสที่ทำให้เสียงดูดดึงดังไปทั่วห้องเล็ก


.

.


   ผมควานหาความหวานไปทั่วปากเล็กด้วยความรู้สึกวาบหวาม ยิ่งลิ้นเล็กหดหนีผมยิ่งได้ใจและกวาดต้อนจนได้ครอบครองสมใจ ทั้งดีใจ อยากครอบครองและอยากปราบเขาให้อยู่หมัด จิงหลับตายอมรับสัมผัสผม มือเล็กกำเสื้อผมไว้ด้วยความสั่นเทา เห็นแล้วก็นึกสงสารจนต้องถอนสัมผัสออกมา แต่ด้วยความเสียดายผมเลยจูบซับมุมปากชื้นเบาๆ อีกครั้งก่อนจะผละมามาองคนหน้าแดงที่ทำหน้าจะร้องไห้อีกครั้ง


“ทำแบบนี้กับจิงทำไม ฮึก” เขาพูดแล้วน้ำตาก็ไหลมาจากดวงตาคู่สวย “ทำไม...”


   ผมทิ้งระยะความเงียบไว้ตัดสินใจ มองใบหน้าแดงก่ำที่จ้องมองผมด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งที่ผมควรตัดใจและช่วยเขา แต่ผมก็ไม่สามารถปฏิเสธหัวใจของตัวเองที่มันเต้นดังเพราะเขาได้เลย ยิ่งได้จ้องมองดวงตากลมโตที่เต็มไปด้วยน้ำตาแล้ว ผมก็ตัดสินใจได้ในทันทีและต่อไปนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมจะรับผิดชอบต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นทั้งหมดเอง


“พี่ชอบจิง”



****************************************************
TBC

หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 12 (01/04/62) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 01-04-2019 22:28:27
ชัดเจนสักทีนะพี่นน

จิงคิดมากจนร้องไห้แล้ว

พูดบอกอะไรกันบ้าง

อย่าเอาแต่เงียบ

แล้วทำหน้าไร้อารมณ์

ใส่จิงแบบนร้
หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 12 (01/04/62) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 01-04-2019 22:43:32
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 12 (01/04/62) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 02-04-2019 01:00:10
……


มาอ่านรวดเดียว12 ตอน สนุก หยุดไม่ลง ทั้งที่ตาจะปิดละ

พี่นนท์กับน้องจิง. เห็นภาพผู้ชายนิ่งๆแต่เอาใจใส่กับน้องจิงที่ยิ้มสดใสและแฝงความเศร้าในบางครั้ง

แล้วเราจะตายพร้อมกัน.  อยากให้เปลี่ยนเป็น เราจะอยู่เพื่อกันและกัน. แทนอ่ะ


 :hao3:  :hao4:  :hao3:  :hao4:  :hao3:  :hao4:


………
หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 13 (05/04/62) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: gigibabe ที่ 05-04-2019 22:30:40
ตอนที่ 13 คนผวนไม่เป็นคือคนกากๆ



 “อะไร”


   ผมมองคนตัวเล็กที่เบิกตากว้างแล้วก็แปรเปลี่ยนเป็นขมวดคิ้วเหมือนกำลังเถียงกับตัวเองในใจ จิงถามซ้ำอีกครั้งว่า ‘อะไร’ ที่จริงแล้วเหมือนพูดซ้ำกับตัวเองมากกว่า เขาสะบัดหัวไปมาและเริ่มดิ้นออกจากอ้อมแขนผมอีกครั้ง ผมรู้สึกใจหาย...คงโดนเกลียดเข้าแล้ว


“พี่ชอบจิง” แต่ถึงจะรู้ว่าอาจจะโดนเกลียดแต่ก็อยากจะย้ำความรู้สึกที่มีต่อเขาให้เขาได้ฟัง


“เดี๋ยวๆ” ในที่สุดเขาก็ดิ้นหลุด จิงก้าวเท้าถอยหลังไปจากผมประมาณสองก้าว แถมยังยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาห้ามผมไม่ให้เดินเข้าไปใกล้


“...” แล้วผมจะทำอะไรได้นอกจากมองเขานิ่งๆ อยู่แบบนี้


“เอ่อ...แล้วๆ” เห็นคนตัวเล็กที่พูดจาติดๆ ขัดๆ แล้วก็รู้สึกผิดขึ้นมา ผมไม่ควรจูบ ไม่ควรบอกออกไปเลย ระหว่างเราคงกลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ได้


เปรี้ยง


“อึก...”


   เสียงฟ้าผ่าดังลั่น ทำให้เขาสะดุ้ง ตัวเริ่มสั่นและเขาก็เอามือทั้งสองปิดหน้าตัวเองเอาไว้ จากที่รู้สึกดีใจที่ได้สัมผัสริมฝีปากนุ่ม ความรู้สึกผมก็กลับมาหม่นหมองอีกครั้งที่เห็นอาการของเขา ถึงแม้จะคิดเกินเลยกับเขาแต่ผมก็ต้องทำหน้าที่ปกป้องเขา แม้การทำแบบนี้จะทำให้ผมรู้สึกชอบเขามากขึ้นอีกผมก็จะทำ ผมยอมทุกอย่างให้เขาดีขึ้น


   ผมอาศัยแสงไฟเพียงเล็กน้อยจากด้านนอกนำทางฝ่าความมืดเข้าไปหาเขาที่ยืนปิดหน้าตัวเองอยู่ จับแขนเล็กและออกแรงดึงให้เขยิบมาใกล้กัน โอบกอดและลูบหลังเขาเบาๆ


“ไม่ร้องนะ ผมอยู่ตรงนี้”


“จิง...” เสียงพูดอู้อี้ทำให้ผมต้องก้มหัวขยับเข้าไปใกล้เขาอีก “พี่ชอบจิงหรอ”


“ครับ” ผมยอมรับเพราะถ้าผมเลือกที่จะโกหก ผมก็คงหาอะไรมาแก้ตัวไม่ได้ว่าทำไมถึงจูบเขา


“จิง...ไม่รู้”


“ขอโทษถ้ามันทำให้จิงอึดอัด ผมย้ายออกได้” ผมพูดไปตามความจริงแม้นั่นจะทำให้ผมเจ็บที่ใจไม่น้อยแต่ผมก็จะทำเพื่อเขา “แต่ผมชอบจิงจริงๆ”


   ในเมื่อไม่สามารถย้อนเวลาไปแก้ไขที่จูบเขาไปแล้วดังนั้นในตอนนี้ผมก็อยากให้เขารู้ว่าผมชอบเขาและเขามีผลต่อหัวใจผมแค่ไหน...แค่ได้กอดแค่นี้ใจผมก็เต้นแรงมากแล้ว ยิ่งตอนที่เขาพูดเหมือนหึงหวงกัน ผมยิ่งได้ใจและควบคุมตัวเองไม่อยู่...จนจูบเขาไป


“ทำไมถึงพูดออกมาเล่า”


“ขอโทษครับ”


“ทำไมไม่พูดตอนอื่นอะ”


   จิงทุบอกผมแต่ไม่ดิ้นออกจากอ้อมกอดผมแล้ว เขาเอาแต่ก้มหน้าซบอกผมอยู่แบบนั้น ผมมองใบหูที่ขึ้นสีแดง ก็นึกสงสัยหรือเขาจะเขินผมแค่คิดว่าเขาเขินผมก็ยิ้มออกมาแล้ว แต่แล้วก็ต้องหุบยิ้ม เมื่อนึกถึงความจริง จะเป็นไปได้ยังไง เด็กหนุ่มอย่างเขาจะมาสนใจผมทำไมกัน


“ไม่รู้สิ” ผมหลับตาซบหน้าลงไหล่เล็ก แล้วพูดไปตามความจริง “เพราะคุณพูดเหมือนหวงผม ผมเลยได้ใจไง”


“ก็” เขาเปลี่ยนจากทุบอกผม มากำเสื้อเชิ้ตผมไว้แทน แถมยังซุกหน้าลงแรงกว่าเดิมและเสียงกระตุกกระตักที่มาจากคนเตี้ยกว่าทำเอาใจผมเต้นผิดจังหวะ “กะ ก็...หะ หวงจริงๆ อะ”


“จริงเหรอครับ” ผมยิ้มกว้าง แล้วกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นอีก


.

.



“จิงอะ” ผมซ่อนใบหน้าตัวเองที่เห่อร้อนไว้กับอกพี่นน ผมเขินจะตายแล้ว ใครจะไปคิดว่า จู่ๆ จะถูกเขาจูบแล้วบอกชอบแบบนี้


   ตอนแรกที่เขาบอกว่าชอบนึกว่าจะหัวใจวายตายแล้ว แต่ก็ไม่...ผมยังไม่ตายแต่มาเขินจนจะตายจริงๆ แบบนี้เพราะคำบอกชอบที่ออกมาจากปากคนหน้านิ่งไม่หยุด ใจผมเต้นรัวจนหายใจไม่ทั่วท้อง ความรู้สึกดีใจ ตื่นเต้นตีรวนไปหมดเพราะว่า...เราคิดตรงกัน

“ว่าไงครับ”


“จิงต้องเป็นคนเดียวที่พี่ใจดีด้วยดิ”


   ผมพูดเอาแต่ใจออกไป หลังจากต้องเสียน้ำตาและเสียใจเพราะความน้อยใจ แต่ตอนนี้เราคิดตรงกันแล้ว ไม่ใช่คิดตรงกัน...ความรู้สึกของเราตรงกัน ยิ่งได้ซบอกเขาแบบนี้ยิ่งรู้ถึงความรู้สึกคนหน้านิ่งเพราะหัวใจพี่นนเต้นแรงมากและมันก็เต้นเป็นจังหวะเดียวกันกับผม



ฟรึ่บ


   ไฟห้องที่สว่างขึ้นทำให้เราทั้งคู่ตกใจและผละออกจากกัน พอไฟสว่างเห็นทุกอย่างในห้องชัดเจนแล้วผมยิ่งอาย เหมือนตอกย้ำว่าเหตุการณ์เมื่อครู่เกิดขึ้นจริง ผมก้มหน้าแทบจะชิดอก ไม่ยอมมองหน้าคนที่ยืนอยู่ตรงกันข้าม ผมถอยหลังหนีคนตรงหน้าทันทีแต่แขนผมก็โดนกระชากไปหาเขาและผมก็โดนกอดไว้เหมือนเดิม


“นี่คือคำสารภาพรักเหรอครับ”


“ทำไมต้องยิ้มให้เขาขนาดนั้นด้วย” ผมเปลี่ยนเรื่อง “รู้ไหมตอนนั้นจิงรู้สึกแย่แค่ไหน”


“ขอโทษครับ” พี่นนวางคางไว้บนหัวผม มือใหญ่ลูบไปทั่วแผ่นหลังผม “น้องเขาเป็นนักศึกษาฝึกงานและผมก็ได้รับหน้าที่สอนงานน้อง”


“แล้วทำไมต้องไปลูบหัวอะ”


“หึ คิดมากขนาดนี้เลยเหรอครับ”


“...”


“มีฝุ่นติดผมน้องเขาครับ”


“เหอะ ไม่ต้องมาลูบผมจิงเลย” ผมดิ้นหนีสัมผัสจากมือใหญ่ที่ลูบหัวผมเล็กน้อย แต่ก็ยังกอดเอวเขาไม่ปล่อยและยอมให้เขาลูบในที่สุด แอบย่นจมูกใส่ตัวเองที่ได้ใจที่เขาบอกชอบ แล้วแสดงความเอาแต่ใจออกไปไม่หยุด “พี่ห้ามใจดีมากๆ กับคนอื่น”


“ครับ”


“จิงขอฟังอีกรอบได้ไหม” ผมเงยหน้าถามคนที่กอดผมไว้แน่น


“ผม...ชอบจิง” เห็นใบหน้านิ่งขึ้นสีแล้วผมก็ยิ้มกว้าง “ยิ้มทำไมครับ”


“ทั้งที่จิงเป็นผู้ชายอะนะ”


“แล้วไงครับ” ผมตกใจที่ได้ยินแบบนี้เพราะพี่นนไม่ใช่เกย์ แถมยังเกือบจะแต่งงานกับผู้หญิงและที่สำคัญคือผมเองก็ไม่ใช่ ผมถึงได้รู้ถึงความสับสนกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นและจะไม่แปลกเลยถ้าเขาจะหยุดคิดเมื่อเจอกับคำถามแบบนี้ ดังนั้นเลยค่อนข้างตกใจที่พี่นนพูดออกมาด้วยความมั่นใจโดยไม่มีการหยุดคิดแบบนี้เพราะนั่นแปลว่าเขาได้คิดเรื่องผมมาดีแล้ว “ผมชอบที่จิงเป็นจิง”


“หูย ชอบจิงขนาดนี้เลยอะ”


“จิง”


“ฮ่าๆ” ผมหัวเราะที่เขาทำหน้านิ่งใส่ ผมซบลงไปที่อกกว้างแล้วแอบยิ้มออกมาเพราะชอบความมั่นใจของเขา ความมั่นใจของเขาทำให้ความรู้สึกของผมกล้าที่จะชัดเจน ผมเงยหน้าจ้องคนตัวสูงแล้วยิ้มกว้างก่อนจะพูดออกไปว่า “จิงว่า...จิงชอบพี่มากกว่าอีก”


“อึก”


“จะรัดจนจิงหายใจไม่ออกรึไง” ผมพูดแซวคนที่หายใจสะดุดและรัดเอวผมให้แน่นกว่าเดิม


“น่ารัก”


“หะ”


“จิงน่ารัก”


“อะ พะ พูดอะไรเนี่ย”


“ก็จิงน่ารัก”

   
   กลายเป็นผมที่หน้าเห่อร้อนจนต้องมุดไปซ่อนกับอกเขาไว้ ร้ายกาจ...พี่นนร้ายกาจ เมื่อกี้ต้องเป็นการเอาคืนผมแน่ๆ แอทแทคได้รุนแรงมาก


“ต่อไปนี้ พี่ห้ามยิ้ม ห้ามพูดแบบนี้กับใครนะ” ผมทำเป็นใจกล้าเงยหน้าจ้องเขาเขม็ง


“แบบนี้คือแสดงความเป็นเจ้าของใช่ไหมครับ”


“ชะ ใช่ ใจดีมากๆ กับจิงแค่คนเดียว”


“อืม ไม่ศึกษากันก่อนหรอครับ”


“ไม่”


“หึ”

   พี่นนยิ้มแบบที่ผมชอบแล้ววางมือบนหัวผม โยกไปมาอย่างกับผมเป็นลูกหมา แต่ผมน่ะ เป็นคนคูล ผมไม่ยอมให้เขาเล่นกับหัวใจตัวเองง่ายๆ หรอก ทำผมเขินแล้ว ผมก็ต้องทำให้เขาเขินกลับให้ได้


“พี่เป็นฟิงแจนแล้ว”


“หืม อะไรนะครับ”


“พี่เป็นฟิงแจน”


“แปลว่าอะไรครับ”


“กากอะ”


   ผมยกยิ้มด้วยความภูมิใจ อย่างน้อยผมก็ยังมีมุกที่เขาตามไม่ได้นั่นคือการผวนคำ ผมเคยแกล้งพี่นนบ่อยๆ ด้วยการผวนคำ ส่วนมากเขาก็ตอบไม่ได้ครั้งนี้ก็คงเหมือนกันเพราะใบหน้านิ่งนั้นเริ่มขมวดคิ้วแล้ว ผมเลือกผวนประโยคสำคัญเขาจะได้ขอร้องอ้อนวอนให้ผมเฉลย หึ ให้รู้กันไปเลยว่าจิงก็สู้คนนะ


   ยิ้มได้ไม่นานก็ต้องตกใจเพราะมือใหญ่รั้งท้ายทอยผมให้เงยหน้าไปรับสัมผัสจากริมฝีปากร้อน ผมหลับตาปี๋เพราะตกใจ ไม่ได้นึกกลัวหรือรังเกียจในใจลึกๆ กลับชอบด้วยซ้ำ มันเหมือนผมกำลังจะละลายลงไปด้วยสัมผัสบดคลึงเบาๆ บนริมฝีปากและสัมผัสร้อนชื้นที่เอาแต่ใจ ดูดดึงเหมือนจะสูบวิญญาณผมออกไปให้ได้ ผมเงยหน้าและโอบกอดลำคอเขาไว้กำลังจะตอบรับแต่พี่นนก็ผละออกไปก่อน


“ตกลง” เขาพูดออกมาด้วยเสียงทุ้มนิ่งๆ ผมลืมตามองก็เห็นใบหน้าที่ยกยิ้มร้ายจนผมที่หอบหนักจากจูบสูบวิญญาณเมื่อครู่ถึงกลับขนลุกเกรียว “พี่เป็นแฟนจิงแล้ว”


“แฮ่กๆ หะ” ผมหอบหายใจ อ้าปากงงเป็นไก่ตาแตก ทำไมครั้งนี้ทายถูกล่ะ...ภาพในจินตนาการที่เขาต้องมาขอร้องอ้อนวอนผมให้เฉลยหายวับไปกับตา


“เปลี่ยนใจไม่ได้แล้วนะครับ” ผมจ้องตาคนที่ยิ้มเจ้าเล่ห์ ดวงตาที่นิ่งสงบของเขาทำให้ใจผมเต้นแรงเหมือนทุกครั้ง...แต่แล้วดวงตาที่เคยนิ่งนั้นก็เปลี่ยนไป ผมรู้สึกวาบหวามในอกเพราะแววตาที่ปรากฏความวูบไหว ผมเริ่มแปลออกแล้วว่ามันคืออะไร


“ดะ เดี๋ยว...จูบอีกแล้วเหรอ พอก่อ...อื้อ”






****************************************************************************
เตรียมตัวรับมือให้ทันนะหนูจิงคนคูล
ว่ากันว่าคนนิ่งๆ นั้น มักจะ...หุหุ
TBC

หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 13 (05/04/62) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 06-04-2019 00:34:01
 :mc4: :man1: :mc4:

 :L1: :pig4: :L1:

 o13
หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 13 (05/04/62) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 06-04-2019 17:12:05
 :mew5: o22
หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 14 (06/04/62) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: gigibabe ที่ 06-04-2019 23:06:45
ตอนที่ 14 แฟนวันแรก

      


 
                    เพดานสีขาวคือสิ่งแรกที่มองเห็นหลังจากตื่นขึ้นมาจากการหลับใหล กระพริบตาถี่ๆ ไล่ความง่วง ผมกำลังจะยกมือขึ้นมาขยี้ตาแต่ก็ต้องชะงักไปเพราะมือของผมโดนมือใหญ่ของคนที่นอนข้างกายกุมไว้อยู่ หันไปมองตามสัญชาตญาณ ใบหน้าคมที่ตัวโตกว่าผมกำลังหลับ พี่นนไม่ใช่คนหล่อขนาดที่ใครต้องหยุดมองแต่ก็มีเสน่ห์แปลกๆ ออกมาจากเขา มันเป็นเหมือนปริศนามากกว่าว่าเขาซ่อนอะไรไว้ในใบหน้านิ่งๆ นั้นเพราะอย่างนั้นผมถึงหยุดมองไม่ได้

 
           เอื้อมมือไปจับเส้นผมสีดำที่ชี้ขึ้นอย่างนึกสนุก ตอนนี้หมอนข้างที่กั้นเราไว้นั้นได้หายไปอยู่ข้างกำแพงแล้ว ผมขยับเข้าไปใกล้อีกนิดมองขนตายาวที่ผมแอบชมในใจด้วยใจที่สั่นไหว จูบลงไปเบาๆ ที่ดวงตาที่ปิดสนิทแล้วผละออกมายิ้มกว้าง

 
ไม่รู้ว่าเริ่มชอบเมื่อไหร่ แต่ที่รู้ในตอนนี้คือดูเหมือนผมจะชอบเขามากขึ้นทุกวิเลย

 
“แต๊ะอั๋งผมเหรอครับ”

 
“อือ” ผมขานตอบในลำคอและสบตาเขาแล้ว “จิงจะรับผิดชอบพี่เอง”

 
“หึ ขอโทษที่เมื่อคืนเอาแต่ใจครับ” เขาดึงมือผมขึ้นไปจุ๊บแรงๆ

 
จุ๊บ

 
“พี่พูดเหมือนเราจึ๋งกึ๋ยกันแล้วอะ”

 
“ถึงจะแค่นั้นแต่...”

 
“แค่จูบเอง” ผมพูดตัดบทแล้วลุกขึ้นนั่ง หันไปจ้องคนที่นอนหน้านิ่งจ้องผมอยู่ “พอๆ จิงอายจนหายใจไม่ทันแล้ว”

 
“แต่มันก็หลายครั้งนี่ครับ”

 
“พ๊อออ” ผมพูดเสียงสูงแล้วปิดหูตัวเองไว้ รู้สึกหน้าผมกำลังจะไหม้เลย

 
“หึ”

 
“จิงไม่รู้ว่าเป็นแฟนกัน มันต้องทำไงบ้าง” ผมพูดตอนที่พี่นนลุกจากเตียงขึ้นมาพับผ้าห่ม เขาจ้องหน้าผมสักพักแล้วหลบสายตาผม

 
“อืม ก็เป็นเหมือนเดิมครับ” เขาพูดนิ่งๆ พับผ้าห่มไปด้วยแบบไม่รีบร้อน มองแผ่นหลังกว้างที่สะบัดผ้าห่มของผมและจับมุมพับเข้าหากันอย่างขะมักเขม้นแล้วก็รู้สึกอบอุ่นในใจ “แค่รู้สึกอะไรก็บอกกันได้โดยไม่ต้องเก็บไว้ เวลาสุขก็สุขด้วยกันหรือเวลาทุกข์เราก็ให้กำลังใจกัน หรืออาจจะร้องไห้ไปด้วยก็ได้ ผมไม่ว่าครับ”

 
“งั้น...” ผมลุกจากที่นอนไปกอดข้างหลังคนตัวสูงไว้ซบหน้าลงแผ่นหลังกว้างแล้วพูดออกไป “จิงฝากตัวด้วยนะครับ”

 
“ทำไมน่ารักแต่เช้าเลย” เขาหมุนตัวมากอดผมตอบแถมยังหอมหัวผมไปฟอดใหญ่ “หื้ม”

 
“พอแล้ว เดี๋ยวไปทำงานสาย” ผมห้ามเขาไว้ในตอนที่เขาจะก้มลงมาจูบกัน ก่อนจะดิ้นออกจากอ้อมแขนเขาแล้ววิ่งเข้าห้องน้ำไป

 
          ผมจ้องมองตัวเองที่ยิ้มกว้างในกระจกในห้องน้ำแล้วก็เผลอร้องไห้ออกมา ผมหัวเราะออกมาเล็กน้อยที่เห็นตัวเองยิ้มทั้งน้ำตาแบบนี้ นานแค่ไหนแล้วที่ผมไม่ได้ยิ้มจากใจจริงแบบนี้ นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ต้องรู้สึกเคว้งคว้าง นานแค่ไหนที่ไม่ได้รับความรักและความอบอุ่นแบบนี้ ต่อไปนี้ผมจะไม่โดดเดี่ยวแล้วใช่ไหม...ทั้งหมดนี่เหมือนผมฝันไปเลย

 
.
 

.

 
          ผมนั่งรออีกคนอาบน้ำด้วยใจที่ร้อนรน ปฏิเสธไม่ได้ว่าตื่นเต้นที่ได้เป็นแฟนเขา แต่อีกความรู้สึกก็กลัวเหลือเกิน ผมมันเป็นคนตัวเปล่าไม่มีอะไรเลย ผมไม่ควรได้รับความรักจากเขา แต่ทั้งเมื่อคืนและเมื่อเช้าก็ตอกย้ำว่าทั้งหมดเป็นเรื่องจริง ผมไม่เคยคิดว่ามันกลายมาเป็นแบบนี้ ไม่เคยว่าจะได้เป็นแฟนคนที่อยู่ในใจมาตลอด ผมกังวลว่าตัวเองจะไม่ดีพอจนปวดหัวไปหมด

 
แกรก

 
“พร้อมแล้วค้าบบ” คนตัวเล็กเปิดประตูออกมาด้วยรอยยิ้มสดใส “ไปทำงานกัน”

 
“ครับ” ทั้งที่ทำหน้าปกติแต่ในใจผมกลับกังวลไม่หาย ผมจะคู่ควรกับรอยยิ้มที่สดใสขนาดนี้ได้จริงๆ เหรอ

 
          ระหว่างทางมาทำงานจิงก็จับเอวผมไว้หลวมๆ นั่นทำให้ผมรู้สึกดีกว่าเขาไปจับที่จับด้านหลังเยอะเลย ผมขับมาเรื่อยๆ อย่างใจเย็นในหัวก็คิดทบทวนเรื่องทั้งหมด แต่ก็ไม่ได้คำตอบอะไรนอกจากความกังวลของตัวเอง วันนี้เรามาถึงที่จอดรถเร็วกว่าทุกวัน อากาศไม่ร้อนอบอ้าวเหมือนทุกวันทำให้จิงดูอารมณ์ดีมาก ดูเหมือนทุกอย่างจะดีไปหมดยกเว้นความคิดผม มองคนตัวเล็กที่อมยิ้มมาตลอดทางก็รู้สึกผิดที่ตัวเองคิดมากแบบนี้


"ผมช่วย" ผมพยายามไม่คิดมาก แล้วเอื้อมมือไปช่วยเขาถอดหมวกกันน็อคออก

 
“ขอบคุณครับ” เขาว่าเสียงร่าเริงแล้วยิ้มให้ผม เป็นการเปลี่ยนแปลงแรกที่ส่งผลต่อจิตใจผมเป็นอย่างมาก เขาพูดเพราะขึ้น แถมแววตาที่มองมาก็พิเศษจนเหมือนโดนบอกรักตลอดเวลา
         

“จิง”

 
“หื้อ”

 
“จิงอยากเป็นแฟนพี่จริงๆ เหรอ” ผมพูดออกไปอย่างที่คิดในตอนนี้

 
“ใช่” เขาตอบผมพร้อมรอยยิ้มกว้างแต่รอยยิ้มนั้นก็ค่อยๆ หุบลงไป “พี่เป็นอะไร”

 
“พี่แค่ไม่มั่นใจ”

 
“ทำไมพูดแบบนี้อะ” จิงขมวดคิ้วจ้องผม ในแววตาเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ “ไหนเมื่อเช้าพูดซะดิบดี”

 
“พี่แค่กลัว” แต่ผมก็ยังจะเลือกพูดต่อไป

 
“กลัวอะไรอะหรือไม่ชอบจิงแล้ว”

 
“จิง..." และกว่าผมจะรู้ตัวว่าคำพูดที่จริงใจของผม ได้ทำลายแววตาและรอยยิ้มสดใสไปก็ตอนนี้

 
“ทำไมอะ เพิ่งมารู้สึกว่าไม่ใช่เหรอ” สายตาตัดพ้อที่ส่งมาทำเอาผมรู้สึกผิด

 
“ไม่ใช่แบบนั้น” อยากจะดึงเขาเข้ามากอดก็ทำไม่ได้เพราะตอนนี้คนเยอะเกินไป

 
“แล้วแบบไหน”

 
“พอเป็นเรื่องเราพี่กลัวไปหมด” ผมหลบตาอยากจะหยุดคุยเรื่องที่ทำให้เรารู้สึกแย่แบบนี้

 
“แล้วคิดว่าจิงไม่กลัวรึไง” ผมหันกลับไปสบตาเขา ความรู้สึกผิดถาโถมเข้ามาไม่หยุดที่เห็นเขาน้ำตาคลอ

 
“จิง พี่ขอ..”

 
“อ้าว จิง”

 
          ผมอยากขอโทษที่ทำให้เขาไม่มั่นใจและทำให้เขารู้สึกแย่แบบนี้เพราะความกังวลของตัวเอง แต่เสียงขอโทษขอผมก็โดนคนที่มาใหม่กลบจนมิด

 
“เอ่อ พี่ชิน” จิงละสายตาไปจากผมแล้วหันไปไหว้เจ้านายตัวเอง “สวัสดีครับ”

 
“สวัสดีๆ เอ่อ”

 
“...”

 
“ไปทำงานกันเถอะครับ” เป็นจิงที่ทำลายบรรยากาศที่น่าอึดอัดนี่และดึงแขนเจ้านายตัวเองให้เดินออกไป โดยที่ไม่หันกลับมามองผมสักนิด

 
          ผมถอนหายใจด้วยความเหนื่อยใจกับความซื่อบื้อของตัวเอง แค่คิดตื้นๆ ว่าต้องจริงใจแต่ไม่ได้คิดถึงความรู้สึกของเขา แถมยังรั้งเขาไว้ไม่ได้อีก...ผมมันก็แค่คนขี้ขลาด

 
 







*********************************************
TBC


หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 14 (06/04/62) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 07-04-2019 10:33:37
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 15 (07/04/62) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: gigibabe ที่ 07-04-2019 23:24:04

ตอนที่ 15 ฝนไม่ตก



 
“จิง!”

 
“อะ ครับ” ผมสะดุ้งหันไปมองพี่ชินทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเอง

 
“เหม่ออะไรน่ะเรา พี่เรียกตั้งนาน”

 
“อ่อ เปล่าครับ”

 
“ไปล้างหน้าล้างตาหน่อยไหม”

 
“ไม่เป็นไรครับ” ผมตอบแล้วเดินไปหาพี่ชินที่กำลังยกเก้าอี้ขึ้นบนโต๊ะ “เดี๋ยวจิงช่วย”

 
“ตามใจแล้วกัน”

 
          ผมเดินไปด้านในสุดของร้านแล้วเริ่มยกเก้าอี้ขึ้นไปวางบนโต๊ะ ในสมองเอาแต่คิดทวนเหตุการณ์เมื่อเช้าซ้ำไปมา ในตอนนั้นผมโกรธเพราะผมดันไปตั้งความหวังเรื่องของเราไว้เยอะ นึกว่าจะไม่ต้องโดดเดี่ยว ไม่ต้องเหงาต่อไปแต่สายตาที่มองมาแบบไม่มั่นใจนั้น ทำให้ผมรู้สึกเหมือนโดนล้อเล่นและมันทำให้ผมเจ็บปวด ช่วยไม่ได้ที่ความคิดที่ว่าหรือจะมีแค่ผมที่ชอบเขาจะเกิดขึ้นและนั่นก็ทำให้ผมน้อยใจจนถึงตอนนี้

 
“จิง ผู้ปกครองเรามารับแล้ว”

 
“หะ ครับ” ผมหันไปมองพี่ชินที่ชี้นิ้วไปด้านหน้าร้าน มองตามไปก็เห็นพี่นนยืนหน้านิ่งอยู่

 
“รีบกลับเถอะ ดูเหมือนฝนกำลังจะตกนะ”

 
“ครับ”

 
          ผมยกมือไหว้พี่ชินแล้วเดินไปหยิบกระเป๋าเป้สีแดงของตัวเองขึ้นมาสะพายหลัง สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเปิดประตูร้านออกไปประจันหน้ากับคนที่ติดอยู่ในความคิดของผมทั้งวัน

 
“พี่ขอโทษ”

 
“...” ผมเม้มปากแน่นที่ได้ยินเขาพูดแบบนี้ ใบหน้าที่เคยไร้ความรู้สึกของเขากลับปรากฏเป็นความเศร้า...แค่นี้ใจผมก็อ่อนยวบแล้ว ผมพยายามพูดให้เป็นปกติแต่เสียงที่พูดออกไปกลับแข็งจนผมนึกเกลียดตัวเอง “กลับบ้านเถอะ”

 
“จิง”

 
          ผมเดินนำมาก่อนโดยไม่สนใจที่เขาเรียก ไม่ได้ตั้งใจทั้งเสียงแข็งและการเดินหนีแบบนี้ผมแค่ตั้งตัวไม่ทัน ไม่นึกว่าเขาจะขอโทษผมด้วยใบหน้าแบบนั้น เขาทำให้ผมรู้สึกผิดเพราะเมื่อเช้าผมก็พูดเอาแต่ใจตัวเองไปไม่น้อยด้วย จะทำยังไงดี...จะเริ่มขอโทษเขาคืนยังไงดี

 
.

.


 
          ผมแอบมองคนตัวเล็กที่นั่งซ้อนท้ายอยู่ด้านหลัง จิงยังไม่ยอมพูดกับผมเลยตั้งแต่เดินออกมาจากออฟฟิศ ปกติแล้วเขาจะกวนผมจนกว่าจะถึงหอ แต่นี่เขานิ่งไปเลย แถมยังขมวดคิ้วตลอดเวลาอีก ผมคงทำเขาโกรธจริงๆ เข้าแล้ว แต่ถ้าเป็นผมผมก็คงโกรธเหมือนกัน

 
          ทั้งที่เป็นคนบอกชอบและจูบเขา ทำเป็นพูดชัดเจน แล้วพอรู้ว่าเขาคิดเหมือนกัน พอทุกอย่างจริงจังขึ้นมา ผมดันขี้ขลาดและทำให้เขาสับสนแบบนั้น เป็นผมที่ทำทุกอย่างผิดพลาดไปหมด ทั้งที่อยากดูแล อยากช่วยเขาแต่ในตอนนี้กลับกลายเป็นผมเองที่ทำให้เขาแย่ลง

 
“เฮ้อ”

 
          ผมหลุดถอนหายใจออกมาตอนรถติดไฟแดง มองคนในกระจกด้านข้างอีกครั้ง ยิ่งเห็นเขาไม่จับเอวผมเหมือนเมื่อเช้าแล้วยิ่งรู้สึกแย่...สักวันหนึ่งผมจะถอดที่จับด้านหลังเบาะออก

 
.

.

 
 
          เรามาถึงห้องกันช้ากว่าปกติเพราะรถติด พอพี่นนเปิดห้อง ผมก็เข้าไปอาบน้ำทันที ส่วนพี่นนก็เดินไปเทกับข้าวใส่ถ้วยใส่จานเหมือนทุกวัน ถึงแม้ว่าวันนี้เราจะทะเลาะกันแต่การที่พี่นนทำทุกอย่างเหมือนเดิมแบบนี้ผมก็รู้สึกโล่งใจขึ้น คงไม่ได้โกรธผมล่ะมั้ง

 
“...”
 

          ใครว่าไม่โกรธล่ะ ความเงียบที่เกิดขึ้นระหว่างเราในตอนนี้ทำให้ผมอึดอัด จำได้ว่าเขาแอบถอนหายใจตอนที่ติดไฟแดงด้วย ผมทำเขาโกรธจริงๆ ด้วย เขี่ยข้าวในจานไปแอบมองคนที่นั่งเคี้ยวข้าวไป พอจะสบตากันผมก็ก้มหลบ ไม่เข้าใจตัวเองจริงๆ เลย แค่จะขอโทษเขาบ้าง ทำไมมันพูดยากขนาดนี้หรือแค่จะบอกว่าหายโกรธแล้วก็ไม่รู้จะเริ่มยังไง สุดท้ายกับข้าวมื้อนี้ก็จบลงด้วยผมกินไปแค่สองคำ

 
“เฮ้อ” ถอนหายใจออกมาเพราะเริ่มจะทนกับความเงียบระหว่างเราไม่ไหวแล้ว ผมไม่ได้โกรธเลย ไม่สิ โกรธแค่ตอนเช้าแล้วก็กลายเป็นน้อยใจแต่พอได้รับคำขอโทษผมก็หายโกรธเป็นปลิดทิ้ง เรื่องนี้จะไม่กลายเป็นแบบนี้เลย ถ้าผมกล้าตอบรับคำขอโทษหรือขอโทษเขากลับ

 
          นั่งกอดเข่าตัวเองบนเตียง มองบรรยากาศข้างนอกที่มืดลงแล้ว วันนี้พี่ชินบอกว่าฝนตกแต่ก็ไม่ตกแหะ พยายามคิดเรื่องอื่นให้ตัวเองหยุดกังวลแต่สุดท้ายสายตาผมก็เลื่อนไปแอบมองแผ่นหลังกว้างที่ล้างจานอยู่ด้านนอกด้วยใจโหยหา อยากกอด อยากอ้อนแล้วอะ เมื่อไหร่พี่นนจะหายโกรธกันสักที

 
“เดี๋ยวผมมานะ”

 
“...”

 
          หลังจากล้างจานเสร็จเขาก็เดินหน้านิ่งมาหาผม พูดแบบนั้นแล้วเดินไปหยิบกุญแจที่หลังตู้เย็น นี่พี่นนโกรธผมขนาดจะหนีกันเลยเหรอ ใจผมหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม พอแล้ว...ไม่เอาแบบนี้นะ

 
ตึง ตึง ตึง

 
          ผมตัดสินใจวิ่งไปรั้งคนที่กำลังจะเดินไปที่ประตู ทิ้งความกังวล ความกลัวและอีโก้ก่อนหน้านี้ไปให้หมด ดึงแขนเขาให้หันกลับมาและใช้แขนทั้งสองข้างโน้มลำคอเขาให้ก้มลงมาและประกบริมฝีปากตัวเองลงไป...ยอมทุกอย่างแล้ว

 
จุ๊บ

 
          เสียงจุ๊บดังขึ้นมาตอนที่ผมพยายามจูบริมฝีปากร้อนตรงหน้า ดันตัวเองเข้าหาคนที่ตัวใหญกว่า พี่นนดูตกใจที่ผมทำแบบนี้แต่พอผมเริ่มเบียดริมฝีปากเข้าหาอย่างเงอะงะอีกครั้ง เขาก็ใช้มือใหญ่นั้นประคองใบหน้าผมให้เอียงรับสัมผัสร้อนชื้นที่เข้ามารุกรานผม
 

“อื้อ”

 
          ใจผมเต้นดังจนน่าหนวกหู แต่ก็ยังได้ยินเสียงครางในลำคอ เสียงดูดดึงและเสียงหอบหายใจระหว่างเรา ผมปรือตามองคนที่สูบพลังผมไม่หยุด เหมือนความร้อนในห้องนี้เพิ่มขึ้นอย่างห้ามไม่ได้ ผมจับมือที่ประคองหน้าผมอยู่ให้ลากสัมผัสลงมาตั้งแต่ลำคอจนถึงหน้าท้องตัวเอง ความรู้สึกจากฝ่ามือร้อนทำให้ผมรู้สึกวาบหวานจดต้องหดเกร็งหน้าท้อง

 
ยอมทุกอย่างแล้วจริงๆ แค่อย่าทิ้งผมไป

 
“อะ” ผมร้องออกมาตอนที่พี่นนผละออกและดึงมือกลับไป “พี่นน”

 
“...” เรียกร้องเขาด้วยเสียงกระเสร่าแต่เขากลับมองผมนิ่งๆ แล้วหันหลังเดินออกจากห้องไป

 
 “ฮึก” สุดท้ายผมก็ปล่อยโฮออกมาและทรุดนั่งลงตรงนั้น...ทั้งที่ยอมทุกอย่างแล้ว ทำไมถึงทิ้งผมไปอีก “ฮือ”


 
.

 
.

 
          ผมรีบเดินกลับห้องด้วยความใจรีบร้อน ใช้กุญแจไขเข้าห้อง สูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อตั้งสติก่อนเจอภาพในห้อง จิงนั่งอยู่ที่พื้นที่เดิมที่เราจูบกัน เขานั่งกอดเข่าตัวเองอยู่แบบนั้น ไม่ต่างจากที่ผมคิดไว้เท่าไหร่ ยังดีที่เขาไม่หนีออกไปจากห้อง ผมวางสิ่งที่ออกไปซื้อไว้ข้างตัวแล้วพยุงเขาให้ลุกขึ้นยืน
 

“ขอโทษ จิงขอโทษ”

 
“ครับ” ผมลูบหัวเขาที่พูดพึมพำขอโทษผมไม่หยุด ผมกุมมือสองข้างไว้ ลูบเบาๆ ที่หลังมือให้เขาใจเย็นๆ

 
“พี่นน” เขาเงยหน้ามองผมด้วยแววตาตัดพ้อ ก่อนที่จะก้มไปมองถุงที่วางอยู่ข้างๆ เรา “พี่ไปไหนมา...ฮึก ราดหน้าเหรอ”

 
“ครับ พี่เห็นว่าจิงชอบ” เพราะเมื่อเย็นเขากินน้อยมาก ผมกลัวว่าเขาจะหิวเลยออกไปซื้อมาเผื่อไว้ “กลัวว่าจิงจะหิว”

 
“ฮึก” เขาหลับตาแล้วทุบที่อกผม

 
“ขอโทษที่ออกไปแบบนั้น พี่แค่กลัว” ...กลัวว่าจะห้ามตัวเองไม่ได้

 
“อึก” จิงสะอื้นเหมือนพยายามจะหยุดร้องไห้แล้วเอนหัวมาพิงที่อกผม

 
“พี่มันไม่ได้ดีขนาดที่จิงคิดไว้หรอกนะ” ผมลูบหัวเขาเรื่อยๆ พร้อมพูดความรู้สึกที่เกิดขึ้นทั้งหมด “ที่พูดไปเมื่อเช้า มันไม่ได้แปลว่าพี่เกิดลังเลหรือไม่ชอบจิง พี่แค่กลัวว่าพี่จะดีไม่พอ”

 
“ฮึก”

 
“พี่แค่อยากได้คำยืนยัน ขอโทษที่ถามแบบนั้น ขอโทษที่ไม่ได้คิดถึงความรู้สึกของจิง” ในตอนนี้จิงหยุดร้องไห้แล้วแต่ยังไม่ยอมเงยหน้ามองผม “พี่อยากให้จิงรู้ไว้นะ ว่าความรู้สึกของพี่มันไม่ได้เกิดจากความสงสารหรือผูกพัน พี่ชอบจิงจริงๆ”

 
 
“...”

 
“พอจิงเดินหนีพี่ไปแบบนั้น พี่ไม่รู้เลยว่าจะเอาอะไรมารั้งจิงไว้” ผมลูบผมนิ่มเบาๆ “แม้แต่ในตอนนี้ ไม่รู้จะทำยังไงให้หายโกรธ พี่มีแค่ของที่จิงชอบกินกับคำพูดจากใจพวกนี้”

 
“พูดอีก จิงอยากฟังอีก”

 
“จิง...พี่มันแค่พนักงานออฟฟิศธรรมดา แถมยังมีหนี้อีก พี่กังวลว่าอาจจะดูแลจิงได้ไม่ดีพอ แต่ความรู้สึกพี่มันเป็นของจริงนะ” ผมก้มหัวไปใกล้แล้วเอาหน้าผากเราแนบกันไว้ “ชอบ”

 
“จิงไม่ใช่คนที่ดีขนาดที่พี่ต้องมากังวลเลย” เสียงของจริงแหบเล็กน้อยเพราะผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก “เมื่อเช้าพี่ก็เห็นว่าจิงงี่เง่าแล้วก็เอาแต่ใจมากๆ ด้วย...ขอโทษครับ”

 
“...”
 

“จิงไม่โกรธ ไม่น้อยใจแล้วและจิงก็อยากให้พี่รู้ไว้ ว่าต่อให้จิงไม่ได้อยู่กับพี่แบบนี้ ถ้าเราเจอกันในสถานการณ์อื่น จิงก็ชอบพี่อยู่ดี” เป็นอีกครั้งที่เข้ามาจูบผมก่อน หัวใจผมสั่นไหวเพราะความร้อนที่แสนน่ารัก “ชอบ”

 
“รู้ไหมพี่กลัวอะไรที่สุด” ผมพูดออกไปทั้งที่ปากเรายังแตะกันอยู่

 
“กลัวไม่มีเงินเลี้ยงจิงล่ะสิ” เขาผละออกมาแลบลิ้นใส่ผม

 
“หึ ไม่เลย พี่กลัวว่าจะทำให้จิงมีความสุขไม่ได้ต่างหาก”

 
“แล้วรู้ไหมจิงกลัวอะไร”

 
“อะไรครับ”

 
“จิงกลัวว่าจะทำให้พี่มีความสุขไม่ได้เหมือนกัน”

 
“กลัวจะเสียจิงไป”

 
“เหมือนกันเลย” จิงยิ้มสดใสให้ผม “ต่อไปนี้จิงรู้สึกอะไรก็จะบอกพี่นะ แล้วก็จะไม่คิดมาก จะใจเย็นลงด้วย”

 
“เหมือนกันครับ”

 
          ผมหยิบถุงที่ใส่ซื้อราดหน้าที่ผมซื้อมายื่นให้กับคนตรงหน้าเพราะยังไม่รู้ว่าเขาชอบอะไรนอกจากราดหน้าบ้าง ต่อไปนี้เราคงต้องเรียนรู้กันอีกเยอะแยะเลย ไม่รู้เหมือนกันว่าต่อไปนี้พวกเราต้องเจออะไรบ้างแต่ยังไงผมก็มีความสุขขอแค่เป็นเรื่องของเขา...แค่คิดผมก็มีความสุขแล้ว

 
“ให้จิงเหรอ”

 
“จิงจะเป็นแฟนกับพี่ไหม”

 
“หึ” เขารับถุงนั้นไปแล้วยิ้มจนตาหยี “อื้อ จี้เป็นแฟนพิง”
 

“แปลว่าอะไรครับ” ผมยกยิ้ม

 
“จิงเป็นแฟนพี่” จิงใช้สองมือมากุมใบหน้าผมไว้ แล้วยืดแก้มผมไปมา “กินราดหน้ากัน”

 
          เขาหัวเราะร่าที่ได้แกล้งผมก่อนจะเดินไปหยิบถ้วยกับช้อนมาสองคัน ลากผมไปนั่งตรงข้ามกันโดยมีถ้วยกั้นกลางระหว่างเราไว้ จิงเทราดหน้าและเงยหน้ามายิ้มให้ผมอีกครั้ง

 
“ต่อไปนี้เรามาทำตามที่พี่พูดไว้ดีกว่า”

 
“ยังไงครับ”

 
“มีความสุขก็สุขไปด้วยกัน ถ้าทุกข์ก็นั่งกินราดหน้าด้วยกันเนอะ”

 
“ผมไม่ได้พูดแบบนั้นสักหน่อย”

 
“ฮ่าๆ”


          ผมยิ้มและหัวเราะตามเขา ชอบที่เรามีความสุขด้วยกันแบบนี้จนอยากหยุดเวลาไว้ ผมกล้ำกลืนความรู้สึกที่ไม่คู่ควรลงไปและดำดิ่งกับความรักครั้งนี้ ในเมื่อความรักมันเกิดขึ้นแล้ว ผมก็จะรัก รักให้ดีที่สุด...ก่อนที่จะไม่มีวันพรุ่งนี้สำหรับเรา มองไปที่เขาก็เจอกับรอยยิ้ม ใช่ จิงเหมาะกับรอยยิ้ม ในที่สุดรอยยิ้มสดใสของเขาก็กลับมาแล้ว ที่ผมต้องการจริงๆ ก็มีแค่นี้ แค่ให้เขามีความสุขในทุกๆ วันก็พอแล้ว








*****************************************************************************
จะสงสารก็สงสาร จะขำก็ขำกับการใช้ราดหน้าขอเป็นแฟน ฮ่าๆ
TBC


หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 15 (07/04/62) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 08-04-2019 16:56:36
จะโดเนทเงินซื้อราดหน้าให้พี่นนซื้อมาง้อจริงบ่อยๆได้ทางใหนบ้าง

เย้ๆๆเขาดีกันแล้วค่ะคุณ
หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 15 (07/04/62) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 08-04-2019 19:47:38
เค้าเรียก ราดหน้าสื่อรัก
หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 16 (10/04/62) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: gigibabe ที่ 10-04-2019 16:54:11
ตอนที่ 16 ป้ายรถเมล์

         

          หลังจากวันนั้นทุกอย่างก็เป็นปกติ เราใช้ชีวิตด้วยกันเหมือนเดิม...แต่สำหรับผมมันไม่เหมือนเดิมเลย ถึงแม้เราจะกินข้าวด้วยกัน ไปทำงาน ไปเที่ยวหรือเข้านอนพร้อมกันเหมือนเดิมแต่อารมณ์มันต่างออกไป

 
          ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็พวกคำถามว่าอร่อยไหม วันนี้เป็นยังไงบ้าง มันอาจจะดูธรรมดาแต่กลับทำให้ข้างในใจผมมันรู้สึกพิเศษ มุมปากที่ยกยิ้มให้ผม สัมผัสอบอุ่นที่ลูบหัวผม อ้อมกอดที่เหมือนได้กลับบ้านและรสจูบที่ตราตรึงในใจ ทุกอย่างมันใหม่ไปหมดไม่เหมือนเดิมเลยสักนิดแต่ผมก็ชอบมันมากและนั่นก็ทำให้ผมอยากอยู่แบบนี้ตลอดไป

 
“เราคงไม่ทันฝนแน่ๆ เดี๋ยวผมจะหาที่จอดหลบฝนนะครับ”

 
“อือ”

 
          ผมพยักหน้ารับพี่นนที่หันมาบอกผมตอนที่เราติดไฟแดง เงยหน้ามองท้องฟ้าตอนเกือบจะสองทุ่ม มันมืดมิดและมีก้อนเมฆดำทะมึนก้อนใหญ่อยู่บนนั้น ผมเดาว่าภายในไม่กี่นาทีข้าหน้า มันคงละลายลงมาเป็นหยดน้ำแน่ๆ ในตอนนี้ลมก็เริ่มพัดแรงจนในใจผมเริ่มหวิวและเผลอกำเสื้อคนข้างหน้าแรงขึ้น

 
“ไม่เป็นไรนะครับ” ผมพยักหน้าและแอบอมยิ้มในตอนที่พี่นนหันไปเร่งความเร็วเมื่อไฟเขียวแล้ว...คำว่าไม่เป็นไรของเขาทำให้ผมอุ่นใจขึ้น

 
          ในตอนนี้ฝนเริ่มตกแบบปอยๆ ผมเบ้หน้าเล็กน้อยเพราะรู้ได้ว่าเราคงไปไม่ถึงหอแบบพี่นนว่าจริงๆ เราตากละอองฝนกันสักพักพี่นนก็เลี้ยวเข้าซอยหนึ่งก่อนที่จะถึงซอยหอเราอีกประมาณห้าซอย เขาจอดรถที่หน้าป้ายรถเมล์ที่ตอนนี้ได้กลายสภาพเป็นที่รอรถสองแถวส่งคนในซอยและซอยใกล้เคียงแล้ว

 
          ด้วยตอนนี้ฝนกำลังจะตกทำให้บริเวณนี้ร้างผู้คน ประกอบกับตรงข้ามป้ายนี้เป็นโรงงานอะไรสักอย่างที่มีกำแพงสูง ดังนั้นแถวนี้จึงปราศจากบ้านคน ทำให้รอบข้างช่างวังเวงและค่อนข้างมืด ยังดีที่มีไฟดวงเล็กที่ติดอยู่ด้านบนป้ายพอให้แสงสว่างได้ แต่ยังไงที่นี่ก็วังเวงจนผมอดรู้สึกกลัวไม่ได้

 
“หิวไหม ผมมีขนมปังในกระเป๋า”

 
“ไม่อะ รอกลับไปกินที่บ้านก็ได้”

 
          ผมพูดแล้วลงจากฟีโน่คู่ใจพี่นน เดินไปนั่งตรงม้านั่งยาวๆ ตรงป้าย มองพี่นนที่ดูแลรถคู่ใจก่อนจะมองสำรวจด้านหลัง มันเป็นป้ายโฆษนาที่โดนแต่งแต้มสีสันโดยพวกมือบอน เงยหน้ามองหลังคาที่ยื่นออกมาพอกันฝนได้ก็สบายใจ อย่างน้อยพวกเราอาจจะโดนฝนสาดแต่ก็ดีกว่าเปียกทั้งตัว

 
“ชุดกันฝนครับ”

 
“ขอบคุญคร้าบ” ผมแกล้งตอบรับเสียงยาวแล้วนำเสื้อกันฝนสีเหลืองมาใส่ ผมมองพี่นนที่ใส่เสื้อกันฝนสีฟ้าด้วยรอยยิ้มขำ เขาทำหน้านิ่งกว่าเดิมใส่ผมและทิ้งตัวนั่งข้างกัน

 
“ผมว่าอีกนานนะครับ กว่าฝนจะหยุด” เขาหันไปหยิบขนมปังที่ว่าก่อนหน้านี้ออกมาและยื่นห่อขนมปังมาให้ผม “กินเถอะ”

 
“หือ” ผมรับมาเพราะคงถียงความตั้งใจของเขาไม่ไหว มองห่อขนมปังสอดไส้สังขยาในมือแล้วยกยิ้มทะเล้นให้เขา “ไม่มีราดหน้าเหรอพี่”

 
“จิง”

 
“ฮ่าๆ โอเค ไม่ล้อแล้วๆ” ผมขำเมื่อเห็นหน้าที่นิ่งอยู่แล้วของเขานิ่งขึ้นไปอีก แถมหูยังขึ้นสีแดงอย่างน่ารัก จนผมต้องยอมแกะขนมปังและก้มลงไปกัดกินคำโตแล้วพูดไปทั้งที่ขนมปังยังเต็มปาก “อย่อย”

 
“ดีแล้วครับ ผมชอบที่คุณกินเยอะๆ”

 
“คร้าบบ” ลากเสียงยาวอ้อนเขาและตอนที่มือใหญ่นั้นลูบหัวผมผ่านเสื้อกันฝนนี้ผมก็เอียงหัวเข้าหาฝ่ามือนั้นอีก มองอ้อนคนที่มองผมอยู่แล้วและเริ่มก่อกวนเขาอีกรอบ "พี่กลับมาพูดผมกับคุณแล้วอะ"

 
"อะไรกันครับ" พี่นนพูดเสียงเบาและหยุดลูบหัวผม

 
"ตอนแทนตัวเองว่าพี่นี่คือเอาไว้อ้อนใช่ปะ" ผมยิ่งได้ใจตอนเห็นเขาเม้มปาก

 
"ผมเหนื่อยจะรบกับคุณแล้วครับ" เขาเขิน...จนหันไปทางอื่น

 
"ฮ่าๆ" ผมหัวเราะร่าและกินขนมปังต่อ

 
เปาะแปะๆๆ
 

          ในตอนที่ขนมปังหมดลง เสียงเม็ดฝนที่เพิ่มขนาดใหญ่ขึ้นและเริ่มตกกระทบลงมาถี่จนเกิดเสียงดังสนั่น กลิ่นดินฟุ้งไปทั่ว ลมเย็นพัดพาละอองน้ำบางส่วนมาโดนพวกเรา บรรยากาศเริ่มคล้ายวันนั้นขึ้นมาทุกที ผมหอบหายใจแรงขึ้นและหันไปมองคนหน้านิ่งที่ดึงมือสั่นเทาของผมไปเกาะกุมไว้



.

.
 


 “กลัวไหมครับ”

 
“อือ” ผมถามคนที่มือเริ่มสั่น จิงหอบหายใจแรง ใบหน้าเริ่มซีดแต่ก็ยังพยายามยิ้มให้กับผม “พี่ว่าตายไปแล้วเราจะเจอกันไหม"

 
“...” ผมเงียบไปเพราะคำถามของเขา ถึงช่วงนี้เขาจะยิ้มบ่อยขึ้น ร่าเริง ขี้อ้อนกับผมแต่เขาไม่เคยลืมว่าอยากจะฆ่าตัวตาย

 
“พี่นน”

 
“ต้องเจอสิ”

 
ครืน

 
“อึก ปวดหัวจัง” เสียงฟ้าร้องทำเขาสะดุ้งและอาการแย่ลง เขาบีบมือผมแน่น

 
“กอดไหม”

 
“…ถ้าจิงตายไปก็ดีสิ ไม่ต้องมาเป็นภาระ..”

 
“จิง!” ผมเรียกเขาเสียงดังแข่งกับเสียงฝน ดึงเขาให้มานั่งใกล้กันขึ้นจนไหล่เราเบียดกัน

 
“ปวดหัวๆๆๆ” เขาพูดซ้ำๆ และซบหัวลงที่ไหล่ผม

 
“ไหนบอกจะทำให้พี่มีความสุขไง” ผมพูดแล้วใช้มืออีกข้างที่ยังว่างลูบหัวเขา อีกข้างก็กระชับฝ่ามือเขาไว้

 
“อึก” เขาสะดุ้งแต่ยังซบหน้ากับไหล่ผม

 
“ถ้าจิงหายกลัว พี่คงมีความสุขมากๆ เลย” ผมพูดและก้มลงไปจูบลงบนหัวเขาผ่านพลาสติกบางๆ ของชุดกันฝน “เราจะทำให้พี่มีความสุขใช่ไหม...จะเข้มแข็งใช่ไหมครับ”

 
ครืน

 
“ฮึก พี่นน จิงกลัว อึก” เหมือนฟ้าฝนกลั่นแกล้ง ฝนเทลงมาห่าใหญ่ ลมพัดแรงจนเกิดเสียงน่ากลัว

 
“พี่จะอยู่ข้างๆ จิง กอดกันไหม”

 
“ไม่เอา จิงต้องหายสิ ฮึบ” เขาเงยหน้ามายิ้มให้ผมทั้งที่น้ำตาคลอเบ้า ใจผมแทบจะขาดลงตรงนี้ “ถ้าหายพี่นนต้องยิ้มนะ”

 
“ครับ สัญญาเลย”

 
“เพราะจิง ชะ ชอบยิ้มของพี่มากเลย” เขาซบหน้าลงตรงไหล่ผมอีกครั้งและหลับตาลง พูดเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมานานแล้ว เหมือนเล่าความฝันที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อคืนให้ผมฟัง “มันเหมือนตอนนั้น  กะ ก่อนที่จิงจะหลับไป จิงเห็นพระอาทิตย์มันสวยมากเลย...เหมือนรอยยิ้มของพี่เลย”

 
“จิง” เรียกชื่อคนที่ยิ้มทั้งน้ำตา

 
          ทำไมฟ้าต้องทำให้เขาพบเจอกับเรื่องแบบนี้ โดนพ่อตัวเองทำร้ายร่างกายจนเช้า แต่เขาก็ยังทำทุกอย่างเพื่อคนที่ทำร้ายเขาเพื่อความรักและความอบอุ่น แต่เขาก็ยังโดนทำร้ายอีกครั้งแต่ครั้งนี้ดันเป็นที่จิตใจ เขาเคว้งคว้างจนมาเจอคนไร้ชีวิตแบบผม...คนไร้ชีวิตที่อยากทำให้เขามีชีวิต

 
“จิงต้องหายๆๆ” เสียงพูดย้ำดังขึ้นมาอีกครั้งเรียกให้ผมได้สติ

 
“จิงรู้ไหม” ผมพูดและโอบไหล่เขาไว้ให้เข้ามาซบในอ้อมแขน

 
“ฮึก” จิงสะอื้นออกมา ผมเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาของเขาแล้วก็เจ็บไปทั้งใจ ทั้งที่คิดว่าดีขึ้นแล้ว...

 
“พี่อยากเห็นจิงโตไปเรื่อยๆ” ถึงแม้จะมีชุดกันฝนกั้นเราไว้แต่ผมก็ภาวนาให้ความรักที่ผมมีส่งไปให้ถึงเขา

 
“โถ ลุง” แม้แต่ในเวลาแบบนี้ที่ตัวเองกลัวจนตัวสั่น ยังเงยหน้ามาทำหน้าสงสารผม

 
“หึ สะเทือนใจเหมือนกันนะครับ เอาความจริงมาพูดแบบนี้” ผมเลือกที่จะเปลี่ยนเรื่อง ดึงความสนใจของเขาให้มาอยู่ที่ผม

 
“อะไร” เขาทำหน้าตกใจและยื้อตัวที่ยังสั่นอยู่ออกไปนั่งดีๆ และจ้องหน้าผม

 
“อีกไม่กี่เดือนผมก็เลขสามสองตัวแล้ว”

 
“หะ” เขาทำหน้าเหวอและใช้มือเล็กทั้งสองข้างมาประกบแก้มผม...ผมขำในลำคอกับดวงตาที่เบิกกว้างของเขา “เฮ้ย! จริงดิ”

 
“ครับ”

 
“พี่ต้องใช้สูตรโกงอายุแน่ๆ” จิงพูดเป็นปกติทั้งที่ก่อนหน้านี้พูดติดขัดเพราะความกลัว เขาทำหน้าหยุดคิดและเบิกตากว้างพร้อมกับออกแรงบีบแก้มผมอีกนิด “เห้ย! เราห่างกันเก้าปีเลยอะ”

 
“ครับ”

 
“ลุงของจิง”

 
“...”

 
“ฮ่าๆ”

 
“จิง” ผมเรียกเขาที่หัวเราะกว้าง แถมยังยืดแก้มผมไปมาอีก

 
“อื้อ” ส่งเสียงกลับมาแล้วช้อนสายตาลูกหมามองผม

 
“ผมยังไม่แก่ขนาดนั้นสักหน่อย”

 
“ก็จริง” เขาพยักหน้าและปล่อยมืออกแต่กลับยกมือผมไปแนบแก้มตัวเองไว้แทน “แต่ไม่กล้าเรียกพี่แล้วอะ”

 
“ผมยังไม่สี่สิบสักหน่อย”

 
“ลุงครับ”

 
“จิง” ผมแกล้งทำหน้าเหนื่อยหน่ายมองใบหน้าใสที่ตอนนี้คราบน้ำตาได้แห้งไปแล้ว เหลือก็แต่รอยยิ้มอ้อนที่มองมาที่ผม


 
.
 
.
 


“ฮ่าๆ แฟนใครน่ารักจัง” ผมหัวเราะเพราะพี่นนทำหน้านิ่งเบอร์สิบใส่กัน สงสัยคงงอนที่ผมเรียกลุงจริงๆ แล้วล่ะมั้ง

 
เปรี้ยง!

 
“อะไรนะครับ” เขาโน้มตัวลงมาใกล้เพื่อฟังคำที่ผมพูดเมื่อครู่อีกครั้ง

 
“แฟนใครน่ารักจัง” ผมยืดตัวไปพูดข้างหูเขา เพื่อให้ได้ยินประโยคเมื่อครู่ชัดๆ พี่นนยิ้มแล้ววางมือบนหัวผม

 
“ถ้าวันไหนฝนตกก็คิดถึงวันนี้นะครับ”

 
"..." ผมเงียบ มองใบหน้านิ่งที่ยกยิ้มมุมปากและผมก็เข้าใจความหมายนั้น หันไปมองสายฝนข้างหน้า...ลืมคิดถึงมันไปตั่งแต่เมื่อไหร่กันนะ

 
          จู่ๆ ฟ้าก็แลบขึ้นมาหนึ่งครั้งและไม่ช้าเสียงฟ้าผ่าก็ดังออกมาอีกครั้ง น่าแปลก...ผมไม่ได้กลัวว่ามันจะเกิดอย่างเคย แค่สะดุ้งเพราะเสียงที่ดังของมัน ผมเอื้อมมือไปกุมมือใหญ่แล้วยิ้มกว้างให้เขาและพยักหน้ารับคำพูดเมื่อกี้
 
         
 “พี่นน ขอบคุณนะ” พูดไปพร้อมความตื้นตันใจ สังเกตตัวเองที่มือเริ่มไม่สั่น อาการปวดหัวเริ่มหายไป ผมบีบมือพี่นนไว้เพื่อย้ำกับตัวเองว่าไม่ได้ฝันไป มองสายฝนที่เทลงมาไม่หยุดและมองมือเราที่กอบกุมกันไว้ ทุกอย่างเป็นเรื่องจริง

 
“พี่ไม่ได้ทำอะไรเลย พี่แค่อยู่ข้างจิง”

 
“...” ผมส่ายหน้า พี่นนทำ...เขาทำให้ผมไม่ไปจดจ่ออยู่กับอดีต เขาดึงผมออกมาจากตรงนั้น

 
“ไม่ว่าเมื่อไหร่พี่ก็อยู่กับจิงเสมอ”

 
          พี่นนจูบลงที่หน้าผากผมแผ่วเบาแล้วกอดผมไว้โยกตัวไปมาราวกับปลอบใจเด็กน้อยจิงจิงคนนั้นที่นอนหายใจโรยรินท่ามกลางความมืด ความเจ็บที่เกิดกับร่างกายเกินจะต้านทาน ส่งผลให้ดวงตามืดมิด แต่แล้วก็มีแสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ในตอนนั้นแค่ความอบอุ่นเล็กน้อยจากแสงอาทิตย์ที่ไล้เลียผิวกาย ทำให้ผมยิ้มท่ามกลางความปวดร้าวได้
 

          แต่ในวันนี้ที่ผมได้รับความอบอุ่นมากมายขนาดนี้ มันมากมายจนแทรกซึมเข้ามาในหัวใจ ผมยิ้มกว้างกว่าเดิม เมื่อภาพตอนโดนทำร้ายซ้ำๆ แปรเปลี่ยนเป็นความทรงจำที่ไม่เจ็บปวดอย่างเคย ผมหลับตาลงมองมันด้วยความเข้าใจ บอกลาและลืมตาขึ้นมองปัจจุบัน

 
          เหมือนได้ยินเสียงปลดล็อคในความทรงจำที่มืดมิด เสียงฝนตก ฟ้าร้องและเสียงลม กลายเป็นเสียงปกติ ไม่ใช่เสียงกรีดร้องของตัวเองในวันวาน ในที่สุดภาพวันนั้นก็เป็นเพียงความทรงจำ ที่ผมไม่สามารถย้อนกลับไปได้และมันก็ไม่สามารถทำร้ายผมได้อีก

 
“สัญญาแล้วนะครับ ว่าจะคิดถึงวันนี้...จะเข้มแข็ง”

 
“อื้อ” และผมก็สัญญาว่าจะเก็บความอบอุ่นนี้ไว้ให้ดีที่สุด

 
          พี่นนยิ้มให้ผมตามสัญญาก่อนหน้านี้ที่จะมอบรอยยิ้มให้กัน มันเป็นรอยยิ้มที่เหมือนแสงแรกในยามเช้าแม้เสี้ยวนาทีก็สวยงาม ผมยิ้มจากใจที่เต็มไปด้วยความสุขตอบกลับไป เราจูบกันหนึ่งครั้ง จับมือกันอีกครั้งและจดจำไว้ว่าวันนี้ความกลัวของผมได้หายไปแล้ว
 

 
 






*******************************************************
TBC


หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 16 (10/04/62) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 10-04-2019 19:04:10
ขอให้ทั้งสองคนเข้มแข็งขึ้นในทุกๆวัน
หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 16 (10/04/62) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 10-04-2019 20:24:54
 :L2: :pig4:  :L2:
หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 16 (10/04/62) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Readyaoi ที่ 11-04-2019 10:22:11
ขอใฟ้ไม่มีดราม่า ขอให้ทั้งคู่รักกันอย่างไร้อุปสรรคด้วยเทด คนเขียนสู้ๆน้าาาา
หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 17 (15/04/62) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: gigibabe ที่ 15-04-2019 11:15:18

ตอนที่ 17 ดูดวงลายมือ



 
“จิง...อเมริกาโน่ โต๊ะสาม”

 
“ครับ”

 
          ผมตอบรับพี่ชินแล้วถือถาดที่มีแก้วอเมริกาโน่แบบร้อนวางอยู่ หยิบเค้กช็อกโกแลตวางไว้ข้างกันตามเมนูที่ลูกค้าสั่งและเดินไปที่โต๊ะนั้น ผมบอกทวนชื่อเมนูทั้งสองและวางไว้บริเวณที่ว่างของโต๊ะ แอบมองกระดาษที่เป็นโครงร่างอะไรสักอย่างและชาร์ทสีสีอย่างถือวิสาสะ

 
“ขอบคุณครับ” เสียงทุ้มของลูกค้าทำให้ผมเงยหน้าสบตาเขา เขามองผมแล้วยิ้มขอบคุณ ผมเลยยิ้มกลับและโค้งหัวให้หันหลังและเดินออกมา
 

          ผมเดินไปส่งกาแฟรอบที่สองของวัน เขาก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ผมไปพักกินข้าวกลับมาอีกครั้ง เขาคนนั้นก็ยังนั่งอยู่ที่เดิมแต่ดูเหมือนตอนนี้ใบหน้าของเขาจะเคร่งเครียดกว่าปกติ ผมมองไปที่โต๊ะก็พบว่ามีจานเค้กและแก้วเครื่องดื่มต่างๆ จำนวนมากจนเริ่มล้นโต๊ะ จึงเดินเข้าไปเก็บ
 

“ขออนุญาตเก็บนะครับ”

 
“อ่า ครับ” เขาเงยหน้าจากเอกสารและมองที่ผมสักพักก่อนจะยกมือมานวดขมับตัวเองไปมา “เอ่อ ผมเอาน้ำเปล่าขวดหนึ่งนะครับ”

 
“ครับ” ผมตอบแล้วผมลอบมองใบหน้าแบบลูกครึ่งของเขา เขาไว้ผมยาวแล้วมวยผมไว้ข้างหลัง เขาดูติสท์แต่ก็ดูดีมากเลย มองเขาหยิบชาร์ทสีขึ้นมาเทียบกับกระดาษที่มีโครงร่างของร้านอะไรสักอย่างแต่ให้เดาคงเป็นพวกร้านเครื่องประดับเพราะเต็มไปด้วยตู้กระจก เพราะเห็นเขามัวแต่ขมวดคิ้วเครียดเลยหลุดปากพูดออกไป “ถ้าเป็นร้านเครื่องประดับแบบนี้ โทนพื้นส่วนใหญ่ ผมว่าสีดำคงเหมาะนะครับ สีมันน่าจะตัดให้พวกเครื่องประดับดูเด่นชัดขึ้น...”

 
“...” เขาเงยหน้าจากกระดาษมาจ้องตาผม

 
“เอ่อ ขอโทษที่พูดมากครับ”

 
“ไม่เป็นไรๆ แล้ว...ถ้าผมแทรกสีทองไปด้วยมันจะเป็นยังไง” เขาว่ายิ้มๆ และหยิบกระดาษสีทองและดำออกมาจากชาร์ทสีและวางบนกระดาษโครงร่าง

 
“อย่าเลยครับ มันจะทำให้...” ผมเม้มปากอีกรอบเพราะเผลอพูดมากเกินไป กำลังจะขอตัวแต่เขาก็ขัดขึ้นมาก่อน

 
“พูดต่อเลยครับ”

 
“มันจะทำให้พวกเครื่องประดับไม่โดดเด่น”

 
“แล้ว” เขาพยักหน้าและยิ้มอย่างพึงพอใจ “สีดำโทนไหนดีล่ะ”

 
“เอ่อ” เขาวางชาร์ทสีดำลงมากลางกระดาษ ผมลอบมองไปด้านเคาน์เตอร์ ถึงจะอยากเลือกแต่ผมไม่ควรอยู่ตรงนี้เพราะผมยังทำงานอยู่

 
“โอเคๆ” เขามองผมแล้วเก็บแผ่นชาร์ทสีลง “ผมชอบความคิดคุณ เราคิดตรงกันนะแต่ลูกค้าเขาบรีฟผมมาแบบนี้ผมก็ต้องทำ”

 
“อ่า ครับ” ผมมองกระดาษโครงร่างอีกรอบที่มีสีดำกับสีทองอยู่บนนั้น

 
“หน้าที่ผมคงต้องจัดวางสองสีนี้ ให้อยู่ด้วยกันแล้วออกมาดูดีที่สุด”

 
“ครับ” ผมตอบรับอย่างเข้าใจ

 
“ขอบคุณนะที่ช่วย” เขาว่ายิ้มๆ และเริ่มเก็บเอกสารบนโต๊ะ “ผมหายเครียดได้เยอะเลย”

 
“ครับ” ผมก้มหน้าหลบสายตาของเขาที่เริ่มเปลี่ยนไป “ถ้าอย่างนั้นขอตัวนะครับ เดี๋ยวน้ำเปล่าผมจะเอามาให้ที่โต๊ะนะครับ”

 
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมไปเอาที่เคาน์เตอร์พร้อมคุณเลย ได้เวลาที่ผมต้องไปหาลูกค้าแล้วล่ะ”

 
“อ่า ครับ”

 
          เขาออกจากร้านไปแล้ว ส่วนผมก็ทำงานต่อและไม่ได้คิดถึงเขาอีก จนกระทั่งในช่วงเย็นที่ใกล้ถึงเวลาที่จะต้องปิดร้าน เขากลับมายืนตรงหน้าผมอีกครั้งและมองผมด้วยสายตาที่ผมขนลุก สายตาของเขาเหมือนสายตาของลุงโรคจิตที่เคยจับก้นผม แย่แล้วสิ

 
“ลาเต้เย็นหนึ่งแก้วครับ”

 
“ครับ”

 
          ผมตอบรับและยื่นมือไปรับเงิน ส่งเงินทอนให้เขาตามปกติ พยายามไม่สบสายตาที่มองผมแบบชัดเจนนั้น ผมหันไปรับกาแฟจากพี่ชินโดยมีสายตาของเขามองตามตลอด นั่นมันทำให้ผมขนลุก

 
“ลาเต้เย็นได้แล้วครับ”

 
“ขอบคุณครับ”

 
“อะ” ผมสะดุ้งเพราะตอนที่ผมยื่นแก้วให้เขาแทนที่เขาจะรับมันไปดีๆ แต่กลับลูบวนที่หลังมือผมและมอบรอยยิ้มที่ทำให้ผมรู้สึกขนลุกกว่าเดิม ผมรีบดึงมือคืนและปั้นหน้ายิ้มให้เขา

 
“เย็นนี้คุณว่างไหม”

 
“เอ่อ ขอโทษด้วยนะ..” ยังไม่ทันพูดจบของก็พูดแทรกขึ้นมา

 
“ผมอยากพาคุณไปทาอาหารอร่อยๆ สักมื้อตอบแทนที่คุณช่วยผมไว้ไง”

 
“เอ่อ คือ...”

 
“เท่าไหร่ล่ะ”

 
“...” ผมชะงักไปที่เขาพูดแบบนั้น

 
“จะไปทานข้าวกับผมใช่ไหม เท่าไหร่ดี” สายตาคุกคามมองไปทั่วใบหน้าผมและมองต่ำลงไปเรื่อยๆ ผมหันไปมองพี่ชินและขอความช่วยเหลือเขาทางสายตา

 
“คุณ..” ในตอนที่พี่ชินกำลังเดินเข้ามาเพื่อช่วยผมแก้สถานการณ์ เขาคนนั้นก็เซไปเพราะแรงผลักของใครบางคน

 
ผลั่ก

 
“เอาลาเต้ครับ” ใครคนนั้นมีใบหน้าเรียบนิ่งทั้งที่เพิ่งผลักผู้ชายคนนั้นจนกระเด็น ผมมองสบตากับเขา คนที่อยู่ห้องเดียวกันกับผม แฟนของผม...

 
 
“เฮ้ย! ไม่เห็นรึไงว่าคนอื่นยืนอยู่” ผู้ชายคนนั้นผลักไหล่พี่นนคืนและพวกเขาก็จ้องหน้ากัน ผมมองพี่นนที่กำมือแน่นด้วยความกังวล

 
“โทษทีครับ นึกว่าแมลง” พี่นนมองไปที่เขาคนนั้นด้วยสีหน้านิ่งเหมือนเดิมแต่แววตากลับน่ากลัวจนคนนั้นชะงักไป “เห็นพูดอะไรไม่รู้ น่ารำคาญมากเลยครับ”

 
“ไอ้!”

 
“พอเถอะครับ” เป็นพี่ชินที่แยกเขาทั้งสองคนออกจากกัน “ขอโทษแทนทุกคนด้วยนะครับ”

 
 “เหอะ” เป็นเขาที่หยุดไปแล้วหันมามองหน้าผมแบบเหยียดหยามและหันไปมองหน้าพี่นน “มันมาอ่อยกูเองนะ”

 
“...”

 
          ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบหลังจากที่ผู้ชายคนนั้นเดินออกไป น่าเศร้าที่ก่อนหน้านี้ผมแอบชื่นชมเขาในใจและโชคดีที่ไม่มีลูกค้าเหลืออยู่ในร้านแล้ว ไม่งั้นผมคงไม่กล้ามาที่นี่อีก  ผมมองหน้าพี่ชินที่เดินเข้ามาลูบหลังผม พี่ชินทำหน้าเหนื่อยหน่ายใจเล็กน้อยแต่ก็ยังมอบรอยยิ้มใจดีให้ผม

 
“ไม่เป็นไรแล้วนะ”

 
           พี่ชินเดินเข้ามาปลอบผม เขาคงกลัวผมตกใจเพราะเป็นคนเห็นเหตุการณ์แต่แรกเลยพอจะเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่กับพี่นนที่ตอนนี้ยืนนิ่งจ้องผมอยู่ด้วยใบหน้านิ่ง ผมไม่รู้ว่าเขาจะคิดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยังไง

 
 “เดี๋ยวผมรอข้างนอก” พี่นนพูดและเดินออกไปโดยไม่รอฟังอะไรจากผมสักคำ

 
“อ่า เก็บร้านกันดีกว่า”

 
“ครับพี่ชิน จิงขอโทษนะครับ” ผมยกมือไหว้เขา

 
“ไม่เป็นไร เราไม่ผิดสักหน่อย” พี่ชินว่าและตบไหล่ผมเบาๆ “เก็บร้านกันดีกว่า”

 
“ครับ” ผมตอบรับและเริ่มช่วยพี่ชินเก็บร้าน แต่ใจก็กังวลอยู่ที่พี่นน

 
.
 
.

 
          ผมมานั่งสงบสติอารมณ์ตัวเองที่สวนสาธารณะแถวบริษัท มองต้นไม้ มองผู้คนที่ออกมาวิ่งเรื่อยๆ ในหัวก็นึกย้อนไปเหตุการณ์เมื่อครู่ที่ได้ยินคำพูดคุกคามจิง ในตอนนั้นผมเกือบต่อยเขาไปแล้วแต่ยังดีที่ชินเข้ามาห้ามผมไว้ ไม่อย่างนั้นจิงคงกลัวผมไปอีกคน

 
“พี่นน” ผมเงยหน้ามองคนที่นั่งลงข้างกัน ใบหน้าน่ารักมองผมอย่างกังวล “จิงไม่ได้ทำแบบที่เขาบอกนะ”

 
“ครับ” ผมอมยิ้มที่เห็นเขาขมวดคิ้วกังวล “ผมเชื่อ”

 
“แล้วทำไมมาอยู่ตรงนี้ล่ะ จิงเดินตามหาตั้งนาน”

 
“ขอโทษที่ไม่ได้บอก” ผมบอกเขาและหยิบกล่องที่วางอยู่บนตักตัวเองให้เขา “ผมว่าวันนี้คุณคงเหนื่อย เลยมาซื้ออะไรก็ได้ที่ทำให้คุณยิ้มได้”

 
“หูย” เขาเปิดกล่องกระดาษที่บรรจุเค้กไว้สองชิ้น

 
“ผมทำสำเร็จไหม”

 
“อือ” เขาหันมายิ้มตาหยีให้ผม จนผมต้องยิ้มตาม

 
          เรานั่งข้างกันเงียบๆ ผมมองเขาที่สนใจกล่องเค้กด้วยรอยยิ้มสดใสแล้วก็รู้สึกชื่นใจ ผมชอบเวลาที่ได้อยู่กับเขาแบบนี้ ได้เป็นตัวของตัวเอง สบายใจและหลงรักในรอยยิ้มของเขาไปเรื่อยๆ ลมในตอนเย็นพัดผ่านเราสองคนไปทำให้ผมหน้าม้าของเขาเสียทรง ผมเอื้อมมือไปช่วยจัดทรงให้เขา เราสบตากันและจิงก็ยิ้มให้ผม
 

“จิงชอบพี่”

 
“ครับ” ผมตอบรับอย่างประหลาดใจที่เขาพูดออกมา

 
 “จิงแค่อยากให้พี่รู้เพราะตอนนี้มันเหมือนความรู้สึกของจิงจะมันจะทะลักออกมาเลย”

 
“…” เขาใช้มือข้างที่ว่างขึ้นมากุมอกและนั่นทำให้ผมยิ้มได้กับท่าทางน่ารักของเขา

 
“ในตอนแรกจิงไม่รู้ว่าที่รู้สึกกับพี่มันคืออะไรกันแน่” ผมมองเขาที่มองไปที่สระน้ำกว้างตรงหน้า แอบมองปากเล็กที่พูดระบายความในใจออกมา “แต่จิงชอบเวลาที่จิงอยู่กับพี่ ตอนที่พี่จับมือจิงนะ ในใจจิงมันจี๊ดๆ ไปหมดเลย”

 
“แบบนี้เหรอครับ” ผมคว้ามือของเขามากุมไว้และวางลงระหว่างระยะห่างของเราเพื่อหลบซ่อนสายตาของผู้คน

 
“อือ จิงชอบทุกอย่างเวลาที่เราได้อยู่ด้วยกันมากเลย” ผมมองดวงตาที่จ้องมาที่ผมอย่างซื่อสัตย์ด้วยใจเต้นระรัว “และถ้าจิงทำอะไรให้พี่ยิ้มได้ ใจจิงมันจะฟูมากๆ เลยอะ

 
“...” ผมมองไปที่สระน้ำเหมือนกันกับเขาเพื่อซ่อนความประหม่าที่เขาพูดออกมาตรงๆ

 
“พี่ชอบจิง ชอบที่จิงมีความสุขแบบนี้”
 

“แล้วถ้าไม่มีความสุขล่ะ” เขาพูดแล้วก้มหน้าลงเล็กน้อยและเป็นผมที่เชยคางนั้นให้ดวงตาเราประสานกันไว้ “...ถ้าจิงไม่มีความสุข พี่จะชอบจิงไหม”

 
“พี่ชอบทุกอย่างที่เป็นจิง ไม่ว่าจะเสียใจ โกรธหรือหึงหวง”

 
“จิงก็เหมือนกัน” เขาพูดเบาๆ ด้วยใบหน้าที่ขึ้นสีแดง “จิงชอบนะ ที่พี่หึงจิง”

 
“จูบได้ไหม” พูดออกไปตรงๆ แบบเขาบ้างและพยายามก้มหน้าไปใกล้เขา

 
“ไม่เอา” จิงพูดแล้วหลบสายตา ก้มหน้าหนีผมและยกกล่องเค้กมากั้นระหว่างใบหน้าเราสองคน “อยากกินเค้กก่อนอะ”

 
“หึ ได้ครับ” ผมยิ้มแต่ในใจก็นึกหึงหวงเค้กที่แย่งความสนใจของเขาไป

 
 
.
 
.

 
          หลังจากที่ผมเผลอบอกชอบพี่นนเพราะบรรยากาศเป็นใจแล้ว ผมก็ขอพักยกกินเค้กก่อน เราขยับมานั่งใกล้กันมากขึ้นเพื่อกินเค้กด้วยกัน ผมมองเขาที่ตักเค้กเข้าปาก ถึงจะหน้านิ่งเหมือนเดิมแต่ผมก็สังเกตได้ว่ามีประกายในดวงตาของเขา ผมลอบยิ้มเล็กน้อยเล็กท่องจำไว้ว่าพี่นนชอบของหวาน

 
“อร่อยอะ”

 
“ครับ ชอบรสอะไรมากกว่ากัน”

 
“อือ ไวท์ช็อกโกแลตอะ” ผมตอบแล้วมองใบหน้าด้านข้างคนหน้านิ่ง “พี่ชอบช็อกโกแลตใช่ปะ”

 
“ครับ”

 
“เดี๋ยววันหลังจิงจะทำเค้กช็อกโกแลตให้กินบ้างดีกว่า”

 
“ผมจะรอครับ”

 
“เตรียมพุงรอไว้ได้เลย”

 
          ผมหัวเราะและอ้อนคนที่วางมือบนหัวตัวเองด้วยการไถหัวไปกับมือเขา พอกินเค้กกันจนหมดแล้ว เราก็นั่งพักผ่อนกันเงียบๆ ผมมองไปทั่วบริเวณนี้เป็นสวนสาธารณะใจกลางเมืองที่ค่อนข้างใหญ่ มีสระน้ำใหญ่อยู่ตรงกลาง พี่นนเคยบอกว่าเขาชอบที่จะมานั่งมองตรงนี้และเราเคยมาด้วยกันหลายครั้ง ผมเลยเดาออกว่าพี่นนตองมาอยู่ตรงนี้

 
          ผมที่กำลังจะหาเรื่องแกล้งคนหน้านิ่งให้ยิ้ม ชะงักไปเพราะสายตาผมก็ไปปะทะเข้ากับป้ายที่อยู่ข้างๆ ป้าคนหนึ่งที่นั่งหันหลังไกลไปจากตรงนี้ ป้ายนั้นเขียนไว้ว่ารับดูดวงลายมือ หืม รับดูดวงอย่างงั้นเหรอ

 
“หูย” ผมจับมือพี่โตให้วางที่ตักตัวเองและหงายมือนั้นขึ้น ใช้นิ้ววาดตามลายมือและพยักหน้ากับตัวเอง ก่อนจะมองหน้าพี่นนแบบจริงจัง “ดวงคุณนี่มีแฟนหล่อนะ แถมยังนิสัยดีมากๆ เลยนะครับเนี่ย”

 
“หึ” เขาหลุดขำและขยี้หัวผม “ถ้าผมขี้หวงก็ต้องโทษที่ตัวเองน่ารักแล้วล่ะครับ”

 
“โอ๊ย พอเลย” ผมว่าคนที่ขยี้หัวผม

 
จุ๊บ

 
“พี่! เดี๋ยวคนเห็น” ผมสะดุ้งที่เขาก้มหน้าลงมาจุ๊บที่ปากของผมแบบรวดเร็วและกลับไปนั่งหน้านิ่งเหมือนเดิม

 
“ไหนผมขอดูบ้าง” พี่นนว่าแล้วจับมือไปดู ไม่สนใจผมที่เขินจนหน้าดำหน้าแดง “ดวงคุณก็มีแฟนหล่อและใจดีที่สุดในโลกเหมือนกันนะเนี่ย”

 
“แฟนจิงหน้านิ่งที่สุดในโลกต่างหาก” ผมยกมือตัวเองมาชี้ให้เขาดูและแลบลิ้นทะเล้นให้เขา

 
“แฟนผมก็คงจะเป็นน่ารักที่สุดในโลกนะ” เขาว่ายิ้มๆ และยกมือตัวเองมาดูบ้าง

 
“พอก่อนๆ” เป็นผมที่ขอยอมแพ้เพราะความร้อนบนใบหน้าเยอะเกินไป “เขินไม่ทันแล้ว จิงต้องตายก่อนสัญญาเราแน่ๆ อะ”

 
 “หึ” พี่นนขำและดึงมือผมไปกอบกุมไว้ เขายิ้มให้ผมและใช้มืออีกข้างไล้แก้มผมเบาๆ ก่อนจะพูดอะไรบางอย่างออกมาให้ผมได้ยิน “จิงมีชีวิตต่อไปได้ไหม”

 
“...แล้วสัญญาของเราล่ะ” ผมเงียบไปแล้วทวงถามสัญญา ถึงแม้ผมจะไม่อยากเห็นคนข้างกันตายไปแต่ก็อยากถามเหตุผลที่เขาเปลี่ยนใจ “ทำไมถึงเปลี่ยนใจ”

 
“พี่ไม่ได้เปลี่ยนใจ ไม่ได้ยกเลิกสัญญาของเรา” เขามองผมด้วยสายตาแบบที่อธิบายไม่ถูก เป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความเว้าวอนและเต็มไปด้วยความรัก มันลึกซึ้งจนใจผมบีบรัด

 
“พี่นน” ผมสบตากับเขาท่ามกลางแสงอาทิตย์สีส้มที่กำลังบอกลาเราทั้งสอง

 
“สัญญากับพี่ได้ไหม ว่าจิงจะมีชีวิตอยู่” ถ้ามีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว ผมจะทำยังไงกับชีวิตที่เหลืออยู่ล่ะและเหมือนพี่นนจะได้ยินความกังวลในใจของผม จึงพูดประโยคที่ทำให้ใจที่บีบรัดเต้นดังและทำให้อบอุ่นในเวลาเดียวกัน “จนกว่าจิงจะหายไป พี่จะอยู่ข้างจิง”

 
“จิง...” ถ้ามีเขาอยู่ด้วยกัน แค่มีเขาจับมือผมไว้แบบนี้ โลกใบนี้คงไม่โหดร้ายเกินไปสำหรับผมล่ะมั้ง ขอแค่มีเขา...ผมก็จะอยู่ “จิงสัญญา”

 
          เรายิ้มและเอนหลังพิงพนักเก้าอี้และชวนกันคุยถึงเรื่องราวของวันนี้โดยที่ยังไม่ปล่อยมือจากกัน ในใจผมรับรู้ถึงความอบอุ่นที่ชัดเจน ผมรู้ว่ามันไม่ได้เป็นเพราะภาพวิวแสนสวยตรงหน้า แต่นั่นเป็นเพราะคำสัญญาเมื่อครู่ คำสัญญาของเรานั้นไม่ได้หายไป แต่ความหมายของมันได้เปลี่ยนไปแล้ว บางทีคำว่าชอบของเราอาจจะเปลี่ยนเป็นคำว่ารักในตอนนี้

 
 
 
 
*******************************************************************
สวัสดีปีใหม่ไทยค่ะทุกคน :3123:
แวะเอาความหวานมาสาดส่งท้ายวันสงกรานต์จ้า
TBC

หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 18 (21/04/62) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: gigibabe ที่ 21-04-2019 00:35:18
ตอนที่ 18 What happened on Monday.



   วันนี้เป็นวันจันทร์และวันนี้เป็นวันครบรอบสามเดือนที่ผมอยู่ที่นี่ สามเดือนแล้วที่ผมมีพี่นนในชีวิต พอนึกถึงคำสัญญาของเราที่ความหมายมันได้เปลี่ยนไปแล้วก็รู้สึกเขินขึ้นมาเพราะความหมายที่ว่าจะตายไปด้วยกันจนกว่าใครอีกคนจะหายไป นี่มันลึกซึ้งกว่าการบอกรักซะอีก


“แวะกินโจ๊กกันก่อนไหมครับ”


“อือ” ผมตอบรับ


   พี่นนเลี้ยวรถและจอดไว้ข้างร้านโจ๊กที่ของเรามากินด้วยกันบ่อยๆ โจ๊กพิเศษใส่ไข่ไม่ใส่ขิงเป็นเมนูประจำของเราและเพราะวันนี้ได้นั่งตรงข้ามกัน ผมจึงเห็นใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน พี่นนนั่งหน้านิ่งมองมาที่ผมอย่างง่วงๆ สงสัยยังตื่นไม่เต็มที่ ผมเลยเอาน้ำแข็งอันเล็กไปวางบนมือเขา พี่นนปัดออกแล้วแกล้งผมด้วยกันวางน้ำแข็งบนมือผมบ้าง เราหัวเราะและสงบศึกนี้ตอนที่ถ้วยโจ๊กวางตรงหน้า


   พี่นนเทซอสให้ผมหนึ่งช้อนและเหยาะพริกไทยลงบนถ้วยของผม ก่อนที่จะปรุงของตัวเอง พริกหนึ่งช้อน น้ำตาลหนึ่ง ซอสอีกหนึ่งช้อนและไม่ลืมเหยาะพริกไทยเล็กน้อย เราไม่ชอบกินเปรี้ยวเหมือนกัน พวกเราเป่าไล่ความร้อนและลงมือกินโจ๊กตรงหน้า


“ยิ้มอะไรครับ”


“เปล่า” ผมยิ้มและเผลอเรียกเขาตอนที่นึกบางอย่างออก “พี่นน”


“ครับ”


“ต่อไปนี้เราจะทำอะไรกัน เอ่อ หมายถึงถ้าพี่ใช้หนี้หมดแล้ว”


“ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลย คิดแค่ว่าอยากอยู่กับคุณไปเรื่อยๆ”


“อะ” ผมพยายามไม่แสดงออกว่าเขินคำพูดของคนหน้านิ่งมากแค่ไหน แต่ก็ดูเหมือนว่าจะเปล่าประโยชน์เพราะผมสัมผัสได้ถึงความร้อนที่วิ่งพล่านบนใบหน้าได้อย่างชัด หน้าผมคงแดงมากแน่ๆ


“แล้วจิงล่ะ” เขาเงยหน้ามองผม คงเป็นเพราะหน้าผมคงแดงมาก พี่นนเลยยิ้มขำก่อนจะทำเป็นกินโจ๊กต่อ “เรียนจบแล้ว จะทำไงต่อครับ”


“เอ่อ” กลายเป็นผมที่เงียบไป แต่แล้วก็นึกสนุกตอบเขาไปเพราะอยากแกล้งแหย่ให้คนหน้านิ่งอายบ้าง “จิงคงหางานทำ แล้วเก็บเงินไปสู่ขอพี่”


“หึ ผมจะรอ” พี่นนยิ้มเบาๆ และจ้องผมด้วยสายตาที่ทำเอาผมหน้าร้อนกว่าเดิม


“ระ รีบกินสิ เดี๋ยวไปทำงานสาย”


“ครับ” ชีวิตหลังจากคบกันก็เป็นแบบนี้ พี่นนกับผมทำให้วันธรรมดาพิเศษขึ้นมาอีกนิดเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันและทุกครั้งที่เรามองตากันเหมือนในตอนนี้ ชีวิตธรรมดาของพวกเราก็ดูเหมือนจะพิเศษขึ้นอีกมากๆ เลย


   หลังจากกินเสร็จ ผมก็ขึ้นซ้อนฟีโน่ลูกรักเพื่อที่จะไปทำงานแต่แล้วผมใจหายขึ้นมาเพราะนึกได้ว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วที่ผมจะทำงานที่ร้านกาแฟของพี่ชินเพราะว่าผมที่กำลังจะจบมหาวิทยาลัยนั้นจำต้องลาออกจากร้านพี่ชินเพราะต้องการนำเวลาไปทุ่มเทกับโค้งสุดท้ายในชีวิตมหาลัย


“เจอกันตอนเย็นนะพี่” ผมบอกพี่นนและยื่นหมวกกันน็อคไปให้เขา


“ครับ” พี่นนรับหมวกกันน็อคของผมไปและวางมือลงบนหัวผม “วันสุดท้ายแล้ว อยากฉลองอะไรไหมครับ”


“อือ ตอนเย็นแวะซุปเปอร์กัน” ผมพยักหน้าและยิ้มกว้างให้พี่นน แอบเบียดหัวเข้ากับมือใหญ่เพื่อออดอ้อนเขา


“ได้ครับ” เขาลูบหัวผมและเลื่อนมือไปลูบที่ท้ายทอยผมเบาๆ และนั่นทำให้ผมขนลุกแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ารู้สึกดี


“อะ ไปดีกว่า” ผมสะดุ้งเพราะความรู้สึกวาบหวามแบบแปลกๆ ที่เกิดขึ้น ก่อนที่จะรีบหมุนตัวเดินหนีพี่นนไปทำงาน


   ผมคบกับพี่นนเพราะความรัก ความสบายใจ ความอบอุ่นและความรู้สึกที่ปลอดภัยเหมือนได้รับอ้อมกอดอบอุ่นตลอดเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าระหว่างเรามันมีอะไรบางอย่าง ความรู้สึกร้อนแรงที่ซ่อนไว้ลึกๆ

 
   พักหลังนี้เราต่างก็ต้องการความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันขึ้น เรากอด เราจูบกันด้วยความรู้สึกที่ร้อนแรงเหมือนจะหลอมละลายเกือบทุกครั้ง แต่พี่นนก็หยุดทุกครั้งก่อนที่จะเลยเถิด เขาให้เหตุผลว่าเราเป็นผู้ชายคนแรกของกันทั้งคู่ พี่นนกลัวและผมก็กลัวแต่ก็ไม่ได้รังเกียจกัน พี่นนขอเวลาสำหรับเรื่องนี้ ส่วนผมนั้นไม่เคยและไม่รู้ว่ามันจะออกมาเป็นแบบไหน จึงได้แต่นิ่งเงียบแต่หัวใจข้างในของผมก็ต้องการ…


“จิง!”


“อะ ครับ”


“เหม่ออีกแล้วเรา”


“ขอโทษครับ พอดีจิง...เอ่อ”


“หืม”


“เอ่อ เดี๋ยวจิงช่วยเก็บครับ”


   ผมว่าแล้วเดินไปหยิบไม้กวาดมาช่วยกวาดพื้นร้านเป็นครั้งสุดท้าย พยายามปรับอารมณ์ให้เป็นปกติจากการคิดถึงเรื่องเมื่อเช้า ผมลอบมองออกไปนอกร้านภายนอกเริ่มมืดครึ้มแล้วความรู้สึกที่ใจหายนิดหน่อยก็กลายเป็นเริ่มเศร้าแล้ว การจากลาผมไม่เคยจะชอบมันเลย


“พี่ชิน”


“ว่าไง” พี่ชินหันมาสบตากับผม


“วันนี้...จิงทำงานเป็นวันสุดท้ายแล้วนะครับ”


“ใจหายเหมือนกันเนอะ” เขาว่าแล้วยิ้มเบาๆ


“ครับ”


“ถ้าว่างก็แวะมาหากันบ้างล่ะ”


“ครับ” ผมกำลังจะเดินไปกวาดพื้นแถวประตูแต่เสียงบางอย่างจากข้างนอกก็ทำเอาผมชะงักไป


ครืน


   ฟ้าร้อง...พอหันหลังกลับไปมองด้านนอกผ่านกระจกใสภายในร้านก็พบว่า ฝนกำลังเทลงมาเหมือนฟ้ารั่ว ผมหยุดยืนอยู่ที่เดิมพร้อมมองสายฝนที่เทลงมากระทบพื้น ใจผมรู้สึกโหวงๆ แต่พอนึกถึงที่พี่นนบอกในวันที่เราติดฝนด้วยกันแล้วก็สบายใจขึ้น แม้ตอนนี้ไม่ได้อยู่ด้วยกันแต่ผมก็รู้ว่าผมไม่ได้อยู่คนเดียวอีกแล้ว ผมจะปลอดภัยและตอนนี้ผมก็ไม่ได้เกิดอาการน่ากังวลเหมือนแต่ก่อนแล้ว


“จิง” เสียงทุ้มที่ผมคุ้นเคยดังขึ้นจากด้านหลัง


“พี่นน” ผมหันไปมองเขาที่ดูรีบร้อนเปิดประตูร้านแล้ววิ่งมาหาผม “จิงไม่เป็นไรแล้ว”


“อ้าว ผู้ปกครองมารับแล้วเหรอ” พี่ชินยิ้มแซว ผมมองพี่นนและยิ้มให้เขาเพื่อยืนยันว่าผมไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ อยากจะเข้าไปกอดเพื่อบอกว่าผมรักเขามากแค่ไหน แต่เสียงพี่ชินก็ดังขึ้นมาก่อน “นั่งก่อนสิ ผมว่าอีกนานเลยกว่าฝนจะหยุด”


“เอ่อ ครับ”


   พี่นนตอบรับและไปนั่งรอที่โซฟา แต่พอผมเริ่มยกเก้าอี้ พี่นนก็ลุกขึ้นมาช่วยยกบ้าง หลังจากนั้นเราก็เก็บร้านช่วยกันและสุดท้ายก็มานั่งพักเหนื่อยกันที่โซฟากลางร้าน นั่งสักพักพี่ชินก็หายไปหลังร้านเพื่อคุยโทรศัพท์ ส่วนผมกับพี่นนจ้องตากันอยู่แบบนี้ เขายื่นมือมาจับมือผมไว้ราวกับอ่านใจผมได้


“ถ้าว่างก็แวะมาได้ครับ อย่าทำหน้าเศร้าแบบนี้เลย”


“อือ” ผมจับมือพี่นนไว้แน่น ถึงจะไม่กลัวฝน ไม่กลัวเหตุการณ์ในอดีตแล้วแต่การจากลายังไงก็มีผลกับจิตใจที่อ่อนแอของผม พยายามกลั้นน้ำตาที่เอ่อคลอแต่ก็ต้องพ่ายแพ้เพราะมือใหญ่ที่เอื้อมมาลูบหัวผม


“ร้องไห้แบบนี้เดี๋ยวก็โดนชินเขาล้อนะครับ”


“ไม่ร้องแล้ว” ผมว่าแล้วปาดน้ำตาออก พอดีกลับพี่ชินที่เปิดประตูออกมา ผมกระเด้งตัวออกจากพี่นนและทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น


“พี่ชิน” ผมเรียกเจ้านายใจดีที่ถือเค้กมาหาผมพร้อมรอยยิ้มสดใส เหมือนวันแรกที่เขาเจอผม


“นี่เค้กสำหรับเรา...ถึงพี่นุชจะอยู่ฉลองกับเราไม่ได้แต่เค้กนี้ พี่กับพี่นุชก็ช่วยกันเลือกมาเลยนะ”


“ขอบคุณมากครับ” ผมรับเค้กช็อคโกแลตก้อนกลมมาถือไว้ในมือ บนหน้าเค้กเป็นคำขอบคุณที่ทำผมน้ำตาคลออีกครั้ง “ขอบคุณครับ ขอบคุณสำหรับทุกอย่างเลยครับ”


“ขอบคุณกันเยอะเกินไปแล้ว พี่ก็ต้องขอบคุณเราเหมือนกัน” เขายิ้มให้ผมก่อนจะเดินไปนั่งโซฟาฝั่งพี่นน “ขอบคุณที่ช่วยงานพี่มาตลอดนะ ลองกินเค้กสิ”


“ครับ” ผมตอบรับและนั่งลงกินเค้ก ความหวานและขมที่กำลังพอดีกระจายไปทั่วปากนั่นทำให้ผมต้องเอ่ยปากชม “หืม อร่อยมากเลยครับ”


“กินเยอะๆ นะ” พี่ชินว่าแล้วเดินไปหยิบขนมและเครื่องดื่มจำนวนหนึ่งมาวางที่โต๊ะ “มาเลี้ยงส่งคนเก่งของเรากัน”


   เราสามคนนั่งคุยกันหลายเรื่อง ทั้งเรื่องสมัยพี่ชินอยู่มหาลัยหรือแม้กระทั่งเรื่องของผมที่มาอยู่กับพี่นนแต่ผมก็ไม่ได้บอกว่าเราคบกัน เรากินขนมและเค้กกันจนฝนหยุด พวกเราบอกลากันและช่วยกันเก็บของบนโต๊ะ


“พี่เก็บถุงเค้กไว้หลังตู้เย็นแน่เลย” พี่ชินบ่นขึ้นมาเมื่อหาที่เคาน์เตอร์ไม่เจอ


“เดี๋ยวจิงหยิบมาให้เองครับ พอดีจิงจะไปเข้าห้องน้ำด้วย”


“โอเค เดี๋ยวพี่ปิดกล่องเค้กให้”


“ครับ เอ่อ พี่นนรอจิงแป๊บเดียวนะ”


“ได้ครับ” พี่นนตอบรับผมและเดินไปนั่งที่โซฟาของร้าน ส่วนพี่ชินก็เดินไปดูแลเครื่องชงกาแฟของเขา


   ผมเดินยิ้มอย่างอารมณ์ดีไปหลังร้านเพื่อเข้าห้องน้ำ ในตอนที่กำลังจะเปิดประตูห้องน้ำเพื่อไปทำธุระส่วนตัว ผมก็สังเกตเห็นแสงวูบวาบจากมือถือเครื่องสวยที่ผมจำได้ว่าเป็นของพี่ชิน มันโชว์สายเข้าวางอยู่บนเคาน์เตอร์ของครัว


   ที่หน้าจอขึ้นคำว่าคุณแม่ ผมหยิบขึ้นมาตอนแรกทำท่าว่าจะรับแต่ก็กลัวเสียมารยาทและด้วยกลัวว่าจะเป็นเรื่องเร่งด่วน เลยหยิบมือถือของพี่ชินขึ้นมาแล้วรีบเดินกลับไปที่ประตูเพื่อที่จะนำไปให้หัวหน้าผู้ใจดีของผม แต่เสียงบทสนทนาที่ผมไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังดันเล็ดลอดเข้ามาและทำให้ผมยืนนิ่งจับลูกบิดอยู่แบบนี้

   
“มึงกับจิงนี่ยังไง” ผมตกใจกับสรรพนามที่สนิทสนมของพวกเขา ทั้งที่เมื่อกี้ยังแทนคุณกับผม


“ก็คบกัน”


“แล้วอายุห่างกันขนาดนี้ไม่เป็นไรเหรอวะ”


“ก็ไม่นะ”


“แล้วเมื่อไหร่มึงจะบอกความจริงไป”


“ไอ้ชิน มึงมาพูดไรตรงนี้ เดี๋ยวจิงก็ได้ยินหมด”


“สบายใจได้ห้องน้ำมันไกลจากนี่เว้ย” ผมได้ยินเสียงเดินที่ห่างออกไปแต่เสียงที่พวกเขาคุยกันยังชัดเจน “...กูก็ไม่ได้จะคาดคั้นอะไรมึงหรอกนะ แต่กูสงสารจิงว่ะ”


“เออ เรื่องมันยากขึ้นเพราะกูเอง” ผมขมวดคิ้วแน่น “กูไม่รู้จะทำยังไงต่อไปแล้ว ไม่รู้จะเริ่มยังไง”


“....ก็เริ่มบอกจากมึงเป็นใคร ต้องการอะไร”


“...” ในตอนที่พี่นนเงียบ ใจผมกลับเต้นแรง


“ไม่ก็บอกไปเลยว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดคือแผนของมึง”


“ไอ้ชิน...พูดมากไปแล้ว”


“ครับ คุณนน...ว่าแต่กูแกล้งไม่รู้จักมึงเนียนไหม ฮ่าๆ”


“เออ” ...ผมไม่ได้โกรธเรื่องที่พวกเขาสนิทกัน แต่โกรธที่เขาบอกว่ามันคือการแกล้งทำและรู้สึกโกรธกับเรื่องที่พูดถึงแผนของพี่นนนั้น


   แผนอะไรกัน...แผนทั้งหมดของพี่นนคืออะไร พยายามที่จะไม่คิดในแง่ร้ายแต่มันก็เผลอคิดไปแล้วว่าแผนที่ว่าคงเกี่ยวกับผมและคงเป็นเรื่องที่ผมเป็นแฟนกับพี่นน หรืออาจจะเป็นเรื่องที่เราเจอกันวันแรกที่เสาไฟฟ้านั่นและถ้ามันเป็นแบบนั้น ที่ผ่านมาทั้งหมดมันคืออะไร มันคงจะเป็นแผนและคำโกหกทั้งหมดสินะ แค่คิดว่ามันจะเป็นแบบนั้นก็เหมือนกับโลกของผมจะถล่ม


   มือผมที่จับลูกบิดอยู่สั่นไปด้วยความกลัวและไม่เข้าใจ นี่มันเรื่องอะไรกัน อยากเปิดประตูออกไปถามเรื่องทั้งหมดแต่ก็ทำไม่ได้ เหมือนสมองของผมหยุดทำงานไปชั่วคราวแต่ความรู้สึกในใจตีรวนไม่ยอมหยุด มันทั้งโกรธทั้งกลัว แล้วถ้าเป็นแบบที่ผมคิดไว้จริงๆ พี่นนทำแบบนี้ทำไม จะโกหกผมไปเพื่ออะไร...







************************************************
TBC


หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 18 (21/04/62) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 21-04-2019 01:24:39
 o22


 :3123: :pig4: :pig4: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 19 (29/04/62) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: gigibabe ที่ 29-04-2019 16:48:11
ตอนที่ 19 พร้อม



   ผมรู้ว่าจิงคงใจหายที่ต้องออกจากงานพาร์ทไทม์ที่ร้านกาแฟของชิน แต่ผมก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะเสียใจและเงียบไปขนาดนี้เพราะตั้งแต่เมื่อวานแล้วที่เขาเงียบไป ผมวางกระเป๋าไว้ข้างเตียงที่มีคนตัวเล็กนอนหลับอยู่ ก้มลงไปหอมหน้าผากมนแล้วเดินเข้าไปอาบน้ำ พอออกมาจากห้องน้ำจิงก็เปลี่ยนท่านอนหันหลังให้ผม


   ผมรู้ว่าเขาไม่ได้หลับ รู้ตั้งแต่เข้าไปหอมหน้าผากเขาแล้ว จิงแปลกไปจริงๆ ปกติแล้วถ้าผมกลับจากที่ทำงานเขาจะเข้ามากอดมาอ้อนผมหรือบางครั้งก็เล่าเรื่องราวที่เจอในมหาลัยให้ผมฟัง แบบนี้มันผิดปกติเกินไป ผมเริ่มกังวลเลยตัดสินใจขึ้นไปบนเตียงคร่อมคนตัวเล็กกว่าไว้ ถึงจะทำแบบนี้จิงก็เอาแต่นอนหันหลังแบบเดิม สายตาเขาเอาแต่มองออกไปนอกระเบียงโดยไม่สนใจผมที่คร่อมตัวเขาอยู่เลยสักนิด


“ไปมหาลัยมาเป็นยังไงบ้างครับ” ถามแล้วจับแขนคนที่นอนอยู่ด้านล่างออกแรงดึงให้เขานอนหงาย ผมก้มลงไปสูดดมความหอมจากพวงแก้มนุ่มนิ่มซุกอยู่แบบนั้นและสูดดมเข้าไปจนสุดปอด “หืม”


“อือ” จิงครางตอบรับผมในลำคอและดันหน้าผมออกเบาๆ และในตอนนี้เองที่เราได้สบตากัน


“จิงเป็นอะไร” ผมถามออกมาทันทีที่เห็นแววตาของเขา


“เปล่า” เขาว่าพร้อมหลบตาผมและความอดทนผมก็สิ้นสุดลง


   ผมก้มลงไปจูบที่ริมฝีปากเล็กอย่างรวดเร็ว บดเบียดเข้าหาด้วยความรุนแรง ขบเม้มริมฝีปากล่างของเขาแรงขึ้นเมื่อเขายังคงปิดปากแน่นไม่ตอบรับกัน จิงตกใจและเผลออ้าปาก ตอนนั้นเองที่ผมส่งความชื้นไปทักทายลิ้นเล็กเกี่ยวกระหวัดและดูดแรงขึ้น เมื่อนึกโกรธที่เขาไม่ยอมพูดและเอาแต่เงียบ...นี่คือบทลงโทษของเด็กดื้อของผม


“อื้อ” จิงประท้วงด้วยเสียงในลำคอแล้วใช้มือทุบอกผม ผมถอนจูบผละใบหน้ามาจ้องตาเขาตรงๆ ใช้มือลูบไปทั่วตัวเขา จิงสะดุ้งกับสัมผัสของผมและเริ่มดิ้น “...พี่นน”


“ยอมพูดกับพี่แล้วใช่ไหม” ว่าแบบนั้นแล้วก้มลงไปจูบริมฝีปากเล็กอีกรอบ มืออีกข้างก็ล้วงไปใต้เสื้อยืดตัวโคร่ง ลูบไล้ไปบนหน้าท้องแบนนุ่มนิ่ม ผมถอนจูบออกมาอีกครั้งและเรียกชื่อเขาด้วยความปรารถนา บางที...มันอาจจะถึงเวลานั้นแล้ว “จิง”


“ทำแบบนี้กับจิงทำไม ฮึก”


"โอเคๆ พี่ไม่ทำแล้ว” ผมตกใจและรีบผละตัวออกจากเขาหลังจากที่เห็นว่าคนใต้ร่างตัวเองกำลังร้องไห้และมองมาที่ผมอย่างตัดพ้อ ผมถอนหายใจและเช็ดน้ำตาเขาออกจาด้วยปลายนิ้วของตัวเอง “ไม่ร้องนะครับ พี่ขอโทษ จิงไม่พร้อมก็ไม่เป็นไร พี่รอได้"


"ฮึก พี่โกหกจิง..."


“...” กลายเป็นผมที่นิ่งไปบ้างเพราคำพูดของเขา


“คนโกหก” ใจผมหล่นหายไปอยู่ที่พื้นเพราะสายตาของเขาที่มองมา ราวกลับเขารู้แล้ว รู้ความจริงทั้งหมด


"พี่โกหกเราเรื่องอะไรครับ" ผมพยายามควบคุมเสียงตัวเองไม่ให้สั่น พร้อมประคองใบหน้าเล็กให้หันมาสบตากันตรงๆ "ไหนบอกพี่สิ"


"จิง...ได้ยินพี่คุยกับพี่ชิน"


"...." ความลับไม่มีบนโลกใบนี้...


"ที่ผ่านมามันเป็นเรื่องโกหกหมดเลยใช่ไหม"


"...จิง" ในที่สุดก็ถึงวันที่เขารู้ วันที่ผมต้องบอกความจริงของผมออกไป


"โกหกจิงทำมะ อื้อ" ผมก้มลงมอบจูบให้เขาอีกครั้งแต่ครั้งนี้ผมจูบเขาด้วยความอ่อนโยน พยายามไล่ต้อนมอบความหวานให้เขาอย่างระมัดระวัง จิงยังคงหลับตาแน่นและยื้อใบหน้าตัวเองออก


 "ฟังพี่นะจิง" ผมพูดตอนถอนริมฝีปากออกมาและก้มลงไปสัมผัสให้ริมฝีปากเราแตะกันเบาๆ อีกครั้ง "ได้โปรด ฟังพี่นะครับ"
 

"..." จิงเงียบไปและยอมเงยหน้าสบตาผมในที่สุด  ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยน้ำตา ผมซุกหน้าลงกับซอกคอหอมก่อนจะกดจูบลงไปเบาๆ แต่เสียงที่ดังขึ้นมาข้างหูก็ทำเอาผมเจ็บปวดไปทั้งใจ “จะโกหกอะไรจิงอีก”


"ต่อไปนี้พี่จะพูดแต่ความจริง” ผมพูดตอนที่ปาดน้ำตาเขาออกและจ้องตาเขาไว้ด้วยความจริงใจ “แค่ถามพี่มาพี่จะตอบทุกอย่างตามความจริงนะครับ"


“พี่เป็นใคร”


“...” เป็นผมที่ชะงักไปและจ้องมองดวงหน้าน่ารักด้วยความกังวล...กังวลว่าเขาจะเกลียดผม


“แค่นี้ก็ตอบไม่ได้แล้วเหรอ”


“จิง” ผมเรียกชื่อเขาและดึงแขนให้เราลุกขึ้นนั่งหันหน้าเข้าหากัน ผมจับมือเล็กไว้ดึงมาจูบหนึ่งครั้งและเริ่มที่จะเล่าความจริงออกไป “จำผู้ชายคนนั้นได้ไหม”


“...” จิงมองผมด้วยสยตาไม่เข้าใจ ผมยิ้มและลูบหัวเขาเบาๆ


“ผู้ชายท่าทางหน้ากลัวที่อยู่ที่สะพานนั้น ผู้ชายที่จิงยื่นดอกไม้ให้คนนั้น”


จิงเงียบไปก่อนจะเบิกตากว้างและมองหน้าผมด้วยความตกใจ


.


.



   ความรักเป็นสิ่งที่ผมโหยหามันมาตลอด ในตอนที่พ่อแม่จากไป ผมก็ล้มทั้งยืนแต่ผมก็ตั้งหลักได้และมีชีวิตอยู่ต่อเพื่อสะสางหนี้ของเจ๊หงส์ คิดว่าจะมีชีวิตอยู่กับการใช้หนี้ต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าหนี้จะหมดและลาโลกใบนี้ไป แต่แล้วผมก็ได้เจอความรักที่ผมวาดฝัน ความรักที่เป็นท้องฟ้าของผม ผมรักฟ้าแบบไม่เผื่อใจและคิดว่ามันจะอยู่ตลอดไป แต่ท้ายที่สุดความรักก็จากผมไปอีกครั้ง อดที่จะคิดไม่ได้ว่าทั้งหมดเป็นความผิดของผมเอง เป็นผมเองที่ไม่เหมาะกับความรัก


   ผมเหม่อมองไปที่ท้องฟ้าที่เริ่มกลายเป็นสีที่เข้มขึ้น ความเงียบทำเอาใจที่โดดเดี่ยวของผมเจ็บปวดขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งที่คิดว่าจะมีความสุขกับความฝันที่จะได้สร้างครอบครัวกับฟ้า สุดท้ายผมกลับตกลงมาจากฝันอันสวยงาม แผ่นหลังกระแทกกับความจริงที่ว่าไม่เหลือใคร มันช่างเจ็บปวดจนไม่อยากหายใจต่อไป


ไม่มีใครรัก ไม่มีใครสนใจ จะอยู่ไปเพื่ออะไรกัน

ผมจับราวสะพานแน่น หลับตาลงและเตรียมกระโดดข้ามชีวิตตัวเองไป

จะมีชีวิตต่อไปทำไม ในเมื่อผมมันก็เหมือนคนไม่มีชีวิตแล้ว



“นี่...”


“...” ผมลืมตาโดยอัตโนมัติและหันไปหาทางเสียงที่ดังขึ้นจากข้างหลัง


“จิงให้”


   ดวงตากลมโตพยายามจับจ้องมาที่ผมอย่างจริงใจ ส่วนผมมีแต่ความเงียบมอบกลับไปให้เขา สายลมพัดมาระลอกใหญ่ทำให้เส้นผมคนตรงหน้าพัดไปตามสายลม เส้นผมสีดำที่ปลิวไปตามสายลม ดูอ่อนไหวและนุ่มสลวยเหมือนใบหน้าของเขา


 “ความจริงแล้วจิงไม่ค่อยอยากได้แต่ก็ต้องรับไว้น่ะ” เขาว่ายิ้มๆ แล้วยื่นดอกไม้หนึ่งดอกมาตรงหน้าผม “จิงว่าพี่คงอยากได้มันมากกว่า...จิงให้”


“...”


“สุขสันต์วันแห่งความรักครับ”


   สุดท้ายดอกกุหลาบสีแดงสดหนึ่งดอกก็มาอยู่ในมือผม ผมลอบมองสังเกตเขา เขาสูงแค่อกผมชุดนักเรียนที่เขาใส่อยู่มีดาวสี่ดวงอยู่บนปกเสื้อทำให้ผมรู้ว่าเขาคงจะอยู่ชั้นม.สี่และอักษรย่อที่อกบอกว่าเขาเรียนโรงเรียนเอกชนแถวนี้


“พี่ว่าถ้าเราตกลงไปจะตายไหม” เขาทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แล้วเดินไปเท้าแขนมองลงไปที่แม่น้ำด้านล่างด้วยความสงสัย


“ไม่น่ารอดครับ” ผมว่าและเดินไปเท้าแขนที่ราวสะพานข้างเขา...ผมรู้ว่าเขารู้ว่าผมคิดจะทำอะไร


“พี่จะโดดลงไปจริงๆ เหรอ” แต่เขายังคงแกล้งถามผมทั้งที่รู้อยู่แล้ว


“ใช่...” ผมเงียบไปแล้วย้ายสายตาตัวเองมองไปที่สายน้ำที่ไหลผ่านไป “รู้ได้ยังไง”


“ไม่รู้เหมือนกัน” เขาว่ายิ้มๆ กับตัวเอง


“ผมเคยโดดแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อไม่กี่ปีมาแล้ว” ผมเคยโดดตอนที่พ่อแม่จากผมไป...ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมถึงบอกความจริงกับเขา อาจจะเพราะว่าผมไม่ได้คุยกับใครมานานหรือบางทีอาจจะเป็นเพราะเขา “แต่ตอนนั้นเป็นหน้าร้อนน่ะ ผมแขนหักเพราะน้ำลึกไม่พอ แต่ถ้าเป็นตอนนี้ต่อให้ผมเคยเป็นนักกีฬาว่ายน้ำยังไงก็คงไม่รอด”


“สุดยอดเลย” ผมมองใบหน้าด้านข้างของคนที่ยังคงยิ้มให้ผม “เป็นนักกีฬาว่ายน้ำนี่สุดยอดไปเลย จิงนะทั้งว่ายน้ำไม่เป็นแถมยังเรียนไม่เก่งอีก”


“หึ” ผมหลุดขำกับประโยคที่เด็กคนนี้พูดออกมา “เราแทนชื่อตัวเองแบบนี้กับทุกคนเลยเหรอ”


“ใช่ จิงติดแล้วน่ะ ฮ่าๆ” เขาหัวเราะและหุบยิ้มลงไปเล็กน้อย “พี่น่ะดีมากเลยนะ ที่มีเรื่องที่เก่งบ้าง จิงน่ะนะนอกจากรักป๊าเก่งแล้ว นอกนั้นก็ห่วยหมดเลย”


“หึ” ผมมองแววตาที่มีความสุขของเขาด้วยใจที่บีบรัด แม้ในนั้นจะมีความสุขแต่ผมก็รู้ว่ามันมีบางอย่างซ่อนอยู่ “...ตอนนี้ก็เริ่มมืดแล้ว พี่ว่าเรากลับบ้านดีกว่าไหม”


“อือ พี่ก็ด้วยล่ะ รีบกลับนะ”


“พี่ไม่เป็นไรหรอก”


“เป็นสิ”


“...” ผมเงียบไปแล้วสบสายตาเข้ากับเด็กที่ยืนอยู่ข้างกาย ทั้งที่หลีกเลี่ยงการสบตากับคนอื่นมาตลอด ทั้งที่กลัวจะรับรู้ถึงความรู้สึกของคนอื่น ทั้งที่เป็นแบบนั้นแต่ผมก็ยังคงจ้องตาเขาและเขาก็จ้องตาผมกลับ ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน



น่าแปลก...ที่ไม่กลัว


น่าแปลก...ที่ความรู้สึกโดดเดี่ยวที่ซ่อนไว้ถูกพังทลาย


ราวกับเจอคนคนเดียวกัน




“พี่อาจจะคิดว่าพี่ไม่เป็นไร แต่จริงๆ ก็เป็นใช่ไหมล่ะ”


“...”


“กลับบ้านดีๆ จิงเป็นห่วงพี่นะ” เขาว่าแบบนั้นแล้วยิ้มให้ผมอีกครั้ง ก่อนที่จะโบกมือลาผม “บาย”


   ผมยืนอยู่ที่เดิมมองแผ่นหลังเล็กที่ถือกระเป๋าและช่อดอกไม้พะรุงพะรัง หันหลังเดินจากไป มองดอกไม้สีแดงในมือ ผมนึกถึงรอยยิ้มของเขาอีกครั้ง มันไม่ใช่รอยยิ้มที่สวยที่สุดแต่เป็นรอยยิ้มที่ทำให้ผมนึกย้อนถามตัวเองว่ากำลังทำอะไรอยู่


   สายลมพัดผ่านไปอีกครั้ง ผมปล่อยมือจากราวสะพานและหันกลับไปมองทางที่เขาเดินจากผมไป เด็กที่แทนตัวเองด้วยชื่อ เด็กที่มีรอยยิ้มบนใบหน้าเสมอ เด็กที่มอบดอกไม้หนึ่งดอกให้ผม เขาหายไปแล้วและเราคงไม่ได้เจอกันอีก...น่าแปลกที่ตอนนี้ผมกลับอยากมีชีวิตอยู่


บางทีอาจจะเป็นเพราะเขา เขาที่อ่อนแอและเข้มแข็งในเวลาเดียวกัน

เขาทำให้ผมอยากจะมีชีวิตอีกครั้ง แม้ผมจะรู้ว่าชีวิตในวันข้างหน้าของตัวเองนั้นคงจะเป็นชีวิตทุลักทุเลไปบ้าง

แต่ผมก็ยังอยากที่จะอยู่... อยากที่จะเห็นดอกไม้ที่พยายามจะผลิบานต่อไป


ผมว่า...ผมเข้าใจแล้วล่ะ



.


.


“รู้ไหมว่าพี่เจ็บปวดแค่ไหน ตอนที่พี่เห็นเราอยู่ที่เดิม” ผมแล้ววางดอกไม้ที่เคยเป็นสีแดงสดลงบนมือของเขา


“..ฮึก” จิงสะอื้นและมองดอกไม้แห้งเหี่ยวที่แสนบอบบาง


“ที่เดิม...ที่พี่เดินออกมาเพื่อเด็กคนนั้น แต่เขากำลังจะทำในสิ่งที่พี่เคยอยากทำ”


“...”


“จิงคือคนที่ทำให้พี่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ” ผมมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาของ ก้มหน้าลงไปจูบที่ดวงตาที่เริ่มบวมจากการร้องไห้ “พี่จะไม่ขอให้จิงมีชีวิตเพื่อพี่ แต่ได้โปรดมีชีวิตต่อไปเถอะนะ”


“...จิงจะอยู่กับพี่”


"จิงรู้ใช่ไหมว่าเราต้องโตขึ้น เราจะหนีไปตลอดไม่ได้" ผมดึงเขาเข้ามากอดและลูบผมเขาเบาๆ "พี่อยากเห็นจิงได้ทำตามฝัน มีความสุขและประสบความสำเร็จในชีวิตนะ"


"พี่พูดเหมือนเป็นสูตรสำเร็จอะ" จิงยื้อตัวเองออก แล้วมองผม


"เปล่าพี่พูดความจริง” ผมว่าแล้วช่วยเขาเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้า “ถ้าชีวิตเราไม่มีหนึ่งในที่พูดมาคงจะเศร้าน่าดู"


"จิงไม่มีอะไรแบบนั้นหรอก"


"พี่ก็ไม่มี แต่ตอนที่พี่อยู่กับจิงพี่ความสุขมากๆ เลย” ผมเงียบไปและถามเขาต่อ “จิงอยู่กับพี่ จิงมีความสุขไหม"


"อือ"


"เข้าใจหรือยังครับ" ผมถามเด็กที่โตขึ้นจากวันนั้นมากทีเดียว


"ไม่เข้าใจ" เขาตอบผมเสียงเบาก่อนจะพิงหัวนั้นลงมาที่อกผม


"พี่รักจริง" ผมพูดออกไปโดยไม่รู้เลยว่าความรักที่ผมมีให้เขาจะเพียงพอให้เขาเปลี่ยนความคิดไปรึเปล่า


"จิงก็รัก แต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี” เขาว่าอู้อี้กับอกผมแล้วจับมือผมไว้แน่น “ถ้าจิงไม่มีพี่แล้ว จิงจะอยู่ยังไง จิงจะมีความสุขได้ยังไง"


"ไม่เห็นต้องกังวลเลย พี่จะอยู่กับจิงเสมอ"


"จริงนะ"


“ครับ” ผมว่าและก้มหน้าลงไปชิดแนบหน้าผากเราเข้าหากัน “พอรู้ว่าพี่คือคนนั้นแล้ว จริงกลัวพี่ไหม”


“ไม่อะ” จิงก้มลงมองมือตัวเอง “พอรู้ว่าพี่คือเขาคนนั้น จิงรู้สึกว่าเราผูกพันกันมากกว่าเดิมอีก”


“จิง...” ผมกอดเขาอีกครั้งและเพราะความรู้สึกผิดที่ล้นออกมาจากใจ ทำให้ผมเริ่มบอกความจริงออกไป  “ครั้งแรกที่พี่เจอจิงพี่จำจิงได้ทันทีและเจ็บปวดที่เห็นจิงเป็นแบบนี้ ในตอนแรกแผนของพี่คือทำให้จิงหยุดความคิดแบบนั้น ทำยังไงก็ได้ให้ดอกไม้ของพี่อยู่ไปตามกาลเวลา”


“...”


“แล้วพอจิงยืนขึ้นได้อีกครั้ง พี่ก็จะขอมองดูอยู่ไกลๆ มองดอกไม้ของพี่เติบโตไปเรื่อยๆ” ผมจูบลงขมับเขาเบาๆ แล้วพูดต่อ “แต่พี่ไม่ได้เตรียมแผนสำรองสำหรับรักเราไว้เลย...ไม่คิดเลยว่าพี่จะรักเราขนาดนี้ รักจนกลัวที่จะบอกความจริง กลัวที่จะเสียความรักไป”


“...”


“จิงเกลียดพี่ไหม”


“จิงไม่เกลียดพี่” เขาพูดเสียงเบาและจ้องมองดอกไม้ดอกนั้น “จิงรักพี่”


“จิง...พี่รักจิง รักมาก” ผมว่าแล้วเกลี่ยน้ำตาออกจากใบหน้าเนียน จิงยิ้มให้ผมแล้วลูบแก้มผมไปมา


“ตอนนั้นพี่หนวดเฟิ้มเลยอะ ไม่เห็นจะหล่อเหมือนตอนนี้เลย”


“หึ” ผมยิ้มกว้างเพราะคำพูดน่ารักของเขา “ไม่โกรธพี่ใช่ไหมครับ”


“โกรธ” ผมใจหาย แต่ก็กลับมายิ้มกว้างกว่าเดิมด้วยประโยคถัดมาจากเขา “โกรธที่พี่ปล่อยให้จิงเป็นจิงที่ไม่รู้อะไรเลย ปล่อยให้พี่จำได้อยู่คนเดียว”


“ขอโทษครับ”


“ต่อไปนี้เราจะมีแต่ความจริงนะ”


“ครับ”


“จิงหายโกรธแล้ว จริงๆ ไม่โกรธเลยด้วยซ้ำ จิงกลัวและเสียใจมากกว่าถ้าที่ผ่านมาเป็นเรื่องโกหก แต่พอรู้ความจริงแล้ว ในใจจิงมันอุ่นไปหมดเลย”


“ไหนขอจับหน่อย”


“พี่นน!”


“หึ”


“อย่าเพิ่งกวนจิงมากนะ จิงยังไม่หายงอนเท่าไหร่หรอกนะ” เขาว่าพร้อมกอดอกจ้องผม ก่อนที่จะทำหน้าตกใจ “เฮ้ย นี่พี่ชอบจิงตั้งแต่ตอนม.สี่เลยเหรอ”


“ไม่ใช่ครับ”


“อ้าว แล้วตอนไหนอะ”


“ตอน...จิงทำท่าเห่า”


“ฮ่าๆๆๆ” จิงขำตัวโยนและซบหัวลงที่หัวไหล่ผม “โอ๊ย ท้องจิง ฮ่าๆๆๆ”


“ครับ” ผมพยายามทำหน้านิ่งไม่สนใจคนตัวเล็กที่หัวเราะจนน้ำหูน้ำตาไหล


“ฮ่าๆ แล้วที่เราเจอกันที่เสาไฟฟ้านั่นก็เป็นแผนด้วยเหรอ”


“ไม่ครับ นั่นบังเอิญจริงๆ” ผมว่าไปตามความจริง “แผนพี่เริ่มตอนที่เราสัญญากันน่ะครับ”


“อ่อ แล้วพี่กับพี่ชินสนิทกันเหรอ” ผมมองคนตัวเล็กที่เริ่มถามผมไม่หยุดเป็นเจ้าหนูจำไม


“ใช่ แต่เรื่องพาร์ทไทม์ร้านชินมันขาดคนจริงๆ” ผมดึงมือเขามากุมไว้อีกครั้ง “เรื่องของเรานั้นมันบังเอิญหลายอย่าง จนบางครั้งพี่ก็คิดว่าใครกำหนดไว้รึเปล่า”


“เน่าอีกแล้วอะ” จิงว่าแบบนั้นก่อนจะเบะปาก แต่ผมก็สังเกตเห็นว่าหน้าเขาแดงขึ้น


“ขอโทษที่พี่ไม่บอกเราให้เร็วกว่านี้ จนจิงต้องมารู้เองแบบนี้ ขอโทษที่ทำให้จิงรู้สึกแย่”


“อือ แค่พี่บอกความจริง แค่พี่รักจิงจริงๆ ก็พอแล้ว”


“จิง” ผมมองภาพคนตัวเล็กที่ดึงมือผมไปแนบแก้มตัวเองไว้แล้วช้อนสายตาอ้อนผมด้วยใจเต้นรัว “พี่ว่าพี่คิดแผนใหม่ได้แล้วล่ะครับ”


“แผนอะไรอะ” เขามองสบตาผมอย่างสนใจ


   ผมอาศัยตอนคนตัวเล็กเผลอ ก้มลงไปจูบปากเล็กแรงๆ อีกครั้ง ไม่ได้ตั้งใจจะถลำลึกแต่ใจของผมก็อดไม่ได้ที่จะเกี่ยวกระหวัดหยอกล้อลิ้นเล็กที่สั่นไปด้วยความประหม่าอยู่ดี ผมถอนริมฝีปากออกแล้วจ้องมองลึกลงไปที่ตากลมโต


“ทำให้เราเป็นของกันและกัน”


“...อะ”


“หน้าแดงใหญ่เลย” ผมหยอกล้อคนที่อ้าปากค้างและหน้าแดงลามไปถึงคอ จิงน่ารักจนผมเผลอหลุดพูดไป “ทำกันไหม”


“หะ ทำอะไร” จิงพูดติดขัดและชะงักไปที่ผมก้มลงไปจุ๊บที่คอเขาเบาก่อนที่จะตะโกนโวยวาย “พะ พี่นน!!”


“ครับ” ผมตอบรับยิ้มขำและดันคนตัวเล็กให้นอนลงกับเตียง ผมยิ้มและคร่อมเขาไว้ในอ้อมกอดแนบตัวทับคนข้างล่างไว้แนบแน่น พร้อมหยิบอะไรบางอย่างออกมาวางบนหัวเตียง


แกร่ก


“พี่เตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว”


“พะ พี่..” จิงอ้าปากค้างเรียกผมเมื่อมองไปที่สองสิ่งนั้นที่ผมเพิ่งวางไว้บนหัวเตียง


“พี่พร้อมแล้ว” ผมจูบจมูกรั้นแล้วหยิบซองออกมาจากกล่องสี่เหลี่ยมและแกล้งเปิดฝาเจลแกล้งคนข้างล่าง


“จิงไม่พร้อม!”


“เรามาเริ่มแผนต่อไปกันดีกว่า”


“ไม่เอา!!!” จิงร้องโวยวายและดีดดิ้นไปมาโดยที่ทั้งหน้านั้นแดงแจ๋ ผมยิ้มขำกับความน่ารักของเขา ก่อนจะก้มลงไปจูบหน้าผากคนที่เขินจนหน้าแดงตัวแดงไปหมด


“เอาเถอะ”


“ม่ายยยย”








**********************************************************************************
คำเตือนนิยายเรื่องนี้สามารถทำให้ท่านเป็นไบโพลาร์ได้  :z1:
TBC
หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 19 (29/04/62) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 29-04-2019 18:56:11
 :man1:


 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 20 (01/05/62) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: gigibabe ที่ 01-05-2019 23:15:33

ตอนที่ 20 ผ่าน




“วันนี้พรีเซ้นต์เป็นยังไงบ้างครับ”


“อืม ก็ดีนะ แต่จิงอะ ตื่นเต้นเสียงเลยสั่นแต่ก็รอดมาได้ พี่รู้ไหมอาจารย์อะ...”


   ผมนอนมองหน้าคนที่นอนอยู่ข้างกัน จิงพูดถึงการพรีเซ้นโปรเจควันนี้ไม่หยุด ผมมองใบหน้าน่ารักที่ยิ้มไปพูดไปของเขาแล้วก็ยิ้มตาม แววตาเศร้าของเขาที่ผมเจอในวันแรกนั้นเริ่มจางหาย จิงเริ่มมีความสุขขึ้นและมันก็ทำให้ผมก็รู้สึกแบบนั้นตาม


 “พี่ว่าจิงจะผ่านปะ”


“ผ่านอยู่แล้วครับ” ผมตอบไปแบบไม่ต้องคิด


“สาธุ” จิงยกมือท่วมหัวก่อนจะขยับตัวมากอดผมเอาไว้ พร้อมซุกหน้าลงที่อกผม


“หึ” ผมขำออกมาที่เขาอ้อนผม ตอบรับการกระทำน่ารักด้วยการกอดตอบ เนื้อตัวนุ่มนิ่มหอมๆ ของเขาทำผมหวั่นไหวทุกครั้ง ยิ่งสัมผัสใจยิ่งเต้นแรง นึกย้อนไปวันนั้นที่ผมแกล้งหยอกล้อด้วยอุปกรณ์พวกนั้นก็หลุดขำอีกรอบ พอผมเปิดฝาเจลจิงก็ดิ้นไม่หยุดจนเหนื่อยแล้วนิ่งไปเองส่วนผมก็ยอมแพ้กับความน่ารักนั่นและเราก็กอดกันและหลับยันเช้าด้วยกันทั้งคู่ โดยมีขวดเจลและถุงยางวางอยู่ข้างๆ “จูบหน่อย”


“อือ” คนตัวเล็กเงยหน้าให้ริมฝีปากเราสัมผัสกัน ไม่ได้รุกล้ำแค่แตะกันไว้ “ถ้าจิงผ่านแล้ว เรามาฉลองด้วยกันนะ”


“ครับ”


   ผมก้มลงไปจูบเขาอีกครั้ง พลิกตัวคร่อมคนตัวเล็กกว่า จิงยกสองแขนกอดคอผมไว้ ลิ้นพวกเราเกี่ยวกระหวัด ดูดดึงโหยหากันราวกับจะขาดใจ ในหัวผมเริ่มนึกถึงของสองสิ่งนั้นที่เก็บไว้ตู้ข้างเตียงไปด้วย ผมลากมือไปตามหน้าท้องคนข้างล่างสอดเข้าไปใต้เสื้อยืดตัวบางแต่เพราะเสียงร้องในลำคอของจิงกับเนื้อขาวที่สั่นเทา ทำให้ผมหยุดลงและกลับไปนอนกอดเขาเหมือนเดิม



“ฝันดีครับ” ผมหลับตาข่มความรู้สึกและบอกฝันดีคนในอ้อมกอดด้วยความอึดอัด อีกใจอยากก้าวข้ามผ่านเส้นของเรา แต่อีกใจผมก็ยังทำไม่ได้ ยิ่งจิงตัวสั่นขนาดนี้ ผมยิ่งทำไม่ได้



.


.


“พี่นน คืนนี้จิงออกไปฉลองกับเพื่อนนะ” ผมพูดเสียงเบาแล้วเดินไปกอดคนที่เพิ่งกลับจากที่ทำงาน ผมซุกหัวอ้อนคนตัวสูงกว่าแล้วพูดออกไปด้วยความรู้สึกผิด “ขอโทษที่ไม่ได้ทำตามที่ตกลงกันไว้”


“ไม่เห็นเป็นไรเลย พี่เข้าใจ” พี่นนว่าแล้วลูบหัวผมเบาๆ “เที่ยวให้สนุก ไม่ต้องคิดมาเข้าใจไหมครับ”


“อื้อ”


“พี่ดีใจด้วยนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เราค่อยไปฉลองกันนะครับ”


“อื้อ จิงจะรีบกลับ”


“มีอะไรก็โทรหาพี่ได้ตลอดนะ จำเบอร์พี่ได้ใช่ไหม”


“คร้าบ”


   ผมยิ้มให้พี่นนอีกครั้ง ก่อนจะตรงไปอาบน้ำและเริ่มแต่งตัวออกไปเที่ยว ผมเดินไปขึ้นรถเพื่อนที่ขับมารับที่หน้าปากซอย พอขึ้นรถไปแล้วก็เหมือนผมหลุดไปอีกโลกใบหนึ่ง พวกเราพูดคุยกัน เฮฮากันไปตลอดทาง


   ในที่สุดผมกับเพื่อนก็มาถึงผับดังแห่งหนึ่ง ปกติแล้วพวกมันก็ชวนผมมากันบ่อยๆ แต่ทุกครั้งผมก็ปฏิเสธตลอดแต่ครั้งนี้ผมจำเป็นต้องมาจริงๆ เพราะมันเป็นเหมือนนัดสุดท้ายที่จะมาเที่ยวผับด้วยกันแบบนี้ เสียงเพลงดังและแสงสีที่กระพริบไปมาทำให้ผมมึนโดยที่ยังไม่ได้แตะแอลกอฮอล์และพอไปถึงโต๊ะที่จองกันไว้ ผมก็นั่งลงข้างแอลเพื่อนสนิทที่สุดของผม


   พอมากันครบแก๊งพวกเราก็เริ่มกระดกเหล้าเข้าปาก แทบจะไม่มีบทสนทนาอะไรมากเพราะเสียงเพลงที่ดังและบางส่วนก็ลุกออกไปเต้นปลดปล่อยความเครียดแล้วแล้ว ผู้คนรอบกายเริ่มมึนเมา เต้นและหัวเราะเฮฮาตามภาษาการเที่ยวกลางคืน ผมยิ้มหัวเราะไปกับแสงสีเหล่านี้แต่ผมก็ยิ้มก็แค่ภายนอกเท่านั้น ใจผมในตอนนี้มันวูบโหวงจนรู้สึกใจหาย ผมคิดถึงใครบางคนที่รอผมอยู่ที่ห้อง ใครคนนั้นที่เป็นความสุขของผมจริงๆ


“แอล ยืมมือถือหน่อย” ผมเดินไปกระซิบคนที่ออกลีลาเต้นอยู่ข้างๆ โต๊ะ


“ได้ๆ” แอลยื่นมือถือให้ผมและหันไปคุยกับคนที่เต้นอยู่ข้างๆ ที่ผมไม่รู้จัก ผมคว้ามือถือแอลไว้และเดินฝ่าผู้คนออกไปข้างนอก ตรงไปที่จอดรถของแอลเพราะว่าตรงนี้ค่อนข้างเงียบและไม่วุ่นวายเหมือนแถวหน้าร้าน ผมลงทุนเดินมาที่นี่เพื่อที่จะคุยกับเขาให้ได้ยินชัดเจน


ตู้ด ตู้ด


“สวัสดีครับ”


“...”  เสียงทุ้มที่ได้ยินทำให้ใจผมกลับมาอบอุ่นอีกครั้ง


“ฮัลโหล สวัสดีครับ”


“พี่นน...” แค่ได้เรียกชื่อเขาความคิดถึงของผมก็แทบจะทะลักออกมา อยากกลับไปกอด คิดถึงเขาจนใจมันเจ็บไปหมด


“จิง...เป็นไง สนุกไหมครับ”


“อื้อ”


“เป็นอะไรรึเปล่า”


“จิง...” ผมเม้มปากและมองตัวเองในกระจกรถที่เวลานี้หน้าแดงเล็กน้อยเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ที่ดื่มไป “พี่ต้องไม่เชื่อแน่ๆ ว่าจิงคิดถึงพี่แค่ไหน”


“หึ”


“ไม่ต้องมาขำเลย คิดถึงอะ คิดถึงมากๆๆ”


“อ้อนขนาดนี้อยากได้อะไรครับ หื้ม”


“...อยากกลับแล้ว”


“อยู่ที่ xx ใช่ไหม”


“อือ”


“เดี๋ยวพี่ไปรับ ถ้าถึงแล้วพี่จะโทรไป ไม่ต้องออกมารอข้างนอกนะ”


“ครับ”


“...ไว้เจอกัน”


“พี่นน”


“ครับ”


“ว่าไง..”


“จิงอยากเป็นของพี่”


“...”


กึก


   พี่นนสายตัดไปพร้อมกับผมที่นั่งยองๆ ลงข้างรถ ผมเอามือกอดเข่าตัวเองไว้ รับรู้ได้ว่าความร้อนของร่างกายันปะทุไปที่ใบหน้าไม่หยุด ใจผมยังเต้นแรงไม่เพราะรู้สึกเขินอายที่พูดแบบนั้นออกไป ผมสูดลมหายใจเรียกกำลังใจให้ตัวเอง ก่อนจะรีบเดินกลับเข้าไปหาเพื่อนๆ


“จิง แฟนมารับแล้ว”


   เป็นแอลที่เข้ามากระซิบผมและชี้ไปที่มือถือตัวเอง ผมพยักหน้าและกระดกเหล้าเข้าปากตัวเองจนหมดแก้ว ก่อนจะหันไปโบกมือให้เพื่อนๆ ที่เริ่มเมากันแล้ว พวกมันโบกมือกลับและพยักหน้าให้ผม ไม่มีการบอกลากันอย่างซาบซึ้งซึ่งนั่นเป็นปกติของพวกเรา ผมเดินฝ่าผู้คนที่แน่นกว่าเดิมออกมาและพอออกมาได้สายตาผมก็ปะทะเข้ากับคนที่นั่งอยู่บนฟีโน่ที่จอดอยู่ฝั่งตรงข้ามร้านทันที เราจ้องตากันอยู่แบบนั้น แล้วเป็นผมเองที่หลบตาและข้ามถนนไปหาเขา


“ใส่หมวกกันน็อคด้วยครับ”


“อือ”


   ผมรับหมวกกันน็อคมาใส่และขึ้นซ้อนท้ายเขา ผมเม้มปากด้วยความประหม่าอยากกลับไปกินเหล้าให้ตัวเองเมากว่านี้แต่ก็ทำไม่ได้แล้ว พอรถเริ่มออกตัวผมก็ฟุบหน้าลงหลังกว้างทันทีเพราะมึนหัวและใจเต้นแรงไปหมด ผมกำเสื้อพี่นนไว้เพื่อย้ำกับตัวเองว่าผมไม่ได้กำลังฝันไป



ปัง


   เสียงประตูปิดลงพร้อมกับร่างทั้งสองที่พุ่งเข้าหากัน ริมฝีปากพวกเราทั้งคู่ดึงดูดกันและกันแทนคำพูดว่าโหยหากันแค่ไหน รสจูบที่ผสมกลิ่นแอลกอฮอล์ ทำผมมึนงงและเกิดความต้องการจนต้องยกแขนโอบรอบคอคนตัวสูงกว่าเอาไว้เป็นหลัก แรงรัดที่เอวทำให้พวกเราใกล้ชิดกันขึ้นไปอีก เสียงหอบหายใจและความร้อนที่เสียดสีกันทำให้ห้องที่มีเพียงแสงจันทร์สาดส่องเข้ามาร้อนระอุ


“จิง...”


“อือ พี่นน” ผมครางตอบรับตอนที่เขาก้มลงไปฝากรอยจูบที่ต้นคอผม สัมผัสร้อนทำเอาผมหมดแรงและเกาะไหล่หนาไว้


“เมารึเปล่า” เสียงทุ้มกระซิบข้างหู พร้อมกดจูบลงมา


“อื้อ” ผมร้องเพราะรู้สึกแปลกๆ กับความร้อนที่ใบหูและเราก็ได้สบตากัน ใบหน้านิ่งมองผมด้วยสายตาที่ทำเอาผมลอบกลืนน้ำลาย มันร้อนแรงและเตรียมที่จะแผดเผาผม ผมอึกอักก่อนจะตัดสินใจกดจูบลงไปที่ต้นคอของพี่นนและพูดออกไป “จิงไม่เมา”


“แน่ใจแล้วใช่ไหมครับ”


 “จิงอยาก...อื้อ” ประโยคย้ำความมั่นใจของตัวเองไม่ทันออกไปหมด ริมฝีปากร้อนก็ประกบลงมาอย่างรวดเร็ว ดุดันและผมก็ชอบมันมากๆ





.


.


   เสื้อผ้าของพวกเราถูกถอดออกหมดและโยนไปทั่วห้อง ผมมองภาพจิงที่เปลือยกายนอนลงบนเตียงสีขาวด้วยใจที่เต้นรัว จิงขาวและเพราะแบบนั้น ตอนที่เกิดอารมณ์ บวกกับฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่เขาเพิ่งดื่มมาทำให้เขาตัวกลายเป็นสีชมพู


   ผมเอื้อมมือไปเปิดลิ้นชักและเอาสองสิ่งนั้นออกมาวางไว้ข้างคนที่นอนหลับตาอยู่ ผมขึ้นไปคร่อมเขาไว้และแนบตัวลงจนอะไรๆ มันสัมผัสกัน จิงลืมตาสะดุ้งและเราก็ได้สบตากัน แววตาที่เขินอายแต่ก็เต็มไปดวยความต้องการของเขาทำผมลอบกลืนน้ำลาย


“พี่รักจิงนะครับ”


“จิงก็รักพี่ รัก...อื้อ”


   ผมประกบปากลงไปครอบครองริมฝีปากบางไว้ ไล้เลียไปทั่วฟันขาวและตวัดปลายลิ้นเกี่ยวกระหวัด มือข้างหนึ่งประครองใบหน้าเล็กไว้ อีกข้างก็ปัดป่ายไปทั่วความเนียนขาวของคนใต้ร่าง ผิวจิงเนียนละเอียดมือจนผมเผลอขยำไปทั่ว ลูบไล้ไปทั่วท้องนิ่มก่อนจะบดขยี้ตุ่มไตเล็กด้วยความหมั่นเขี้ยว


“อื้อ” ผมถอนจูบแล้วลากริมฝีปากกดจูบไปทั่วใบหน้าลำคอ อกบางและครอบครองตุ่มไตสีสดเข้าปาก “อ๊ะ พี่นน”


   ผมลูบมือทั่วตัวเขาและลงแรงดูดดุนจนหลังจิงแอ่นไม่ติดเตียง ผมซุกหน้าลงหน้าท้องแบนที่นุ่มนิ่ม ลงลิ้นแอ่งสะดือสวยและลากยาวมาหยุดมองที่ตัวตนของอีกคนที่เริ่มช่ำน้ำ


“น่ารักจัง” ผมหยอกคนที่นอนเกร็งตอนที่ผมก้มลงไปครอบครองส่วนนั้นไว้ทั้งหมด ผมผงกหัวเข้าออก


“พี่นน ทำอะ อะไร อ๊ะ”    จิงสบตากับผมและผลักผมเบาๆ ผมลากลิ้นไปทั่วและเร่งความเร็ว จนจิงนอนครวญครางตัวบิดไปมา จิงร้องว่าใกล้ถึงฝั่งฝันให้ผมผละออกแต่ก็ไม่ทันแล้วเขาปล่อยน้ำเข้ามาในปากผม ผมกลืนลงคอไปพร้อมมองหน้าเขาไปด้วย จิงอายจนหน้าแดงและเริ่มโวยวาย “พี่ กะ กลืนเข้าไปทำไม โอ๊ย จิงอายจะตายอยู่แล้ว”


“หึ” ผมขำและจับขาจิงให้แยกกว้างเป็นรูปตัวเอ็ม เปิดฝาเจลและเทลงมือไปมองคนที่นอนทำตาโตมองผมไป “พร้อมนะ”


 “อื้อ” ผมนำจนนั้นนวดคลายที่ด้านหลังเขา นวดวนและค่อยๆ กดเข้าไป หนึ่ง สอง “อ๊ะ พี่นนมันแปลกๆ อา”


“ตรงนี้ใช่ไหม”


“อื้อ” ผมเพิ่มเป็นสามและกดย้ำอยู่อยากนั้นจนจิงกลับมาช่ำเยิ้มอีกครั้ง พอแน่ใจแล้วว่าอีกคนจะไม่เจ็บ ผมก็เริ่มใส่ถุงยาง


“จิงเป็นผู้ชายคนแรกของพี่นะครับ” ผมพูดแล้วกดส่วนหัวเข้าไปในช่องทางคับแคบ


“อื้อ” จิงขยำที่นอนและเกร็งไปทั้งตัว ถึงเขาไม่พูดผมก็รู้ว่าผมเป็นคนแรกของเขา...เราเป็นคนแรกของกันและกัน “จะ เจ็บ”


“อืม” ผมครางตอนที่เราเข้าไปได้ไม่ถึงครึ่งของทาง จิงรัดแน่นจนผมปวดหนึบ ผมก้มลงไปจูบปากเล็กของเขาและใช้มือช่วยชักนำให้จิงลืมความเจ็บเกร็ง พอเขาเริ่มผ่อนคลายผมก็กดลงไปจนสุดความยาว


“อึก อื้อ” จิงสะดุ้งเกร็ง เบิกตากว้างและร้องในลำคอ ผมคว้ามือสวยให้จับแขนตัวเองที่คร่อมเขาไว้ก่อนจะถอนจูบออก “เจ็บ จิงเจ็บ”


“ไม่ร้องนะครับ” ผมว่าและเช็ดน้ำตาที่ไหลลงมาที่หาตาคนตัวเล็ก ก่อนที่การบีบรัดจากในตัวเขาทำผมเกือบถึง “อา จิง”


“มันจุก อ๊ะ” ผมเริ่มขยับตัวเข้าออกช่องทางสีสวยช้าๆเราสบตากันด้วยความปรารถนา จิงบีบรัดผมอีกครั้งตอนที่ผมไปโดนจุดนึ่งเข้า ผมยกยิ้มและเข้าออกเน้นย้ำตรงนั้น จิงหลุดครางและจิกเล็บลงมาที่ต้นแขนผมอย่างแรง “อ๊า พี่นนตรงนั้น...เสียว”


.

.


“อือ” ผมร้องตอนที่ส่วนปลายนั้นเข้ามาตรงที่ทำให้ผมรู้สึกไม่หยุด พี่นนทำผมเกือบจะขาดใจไปทุกครั้งที่โดนจุดกระสัน มันทั้งทรมาน ทั้งมีความสุข “อ๊า พี่นน”


“ซี้ด”


   ผมมองคนที่เข้าออกในตัวผมด้วยใจเต้นรัว ใบหน้านิ่งของเขาในยามนี้ปรากฏความตึงเครียดจากการร่วมรักของเราจนผมรู้สึกวาบหวิว ใช้มือตัวเองลูบหน้าท้องที่ขยับเข้าออกสร้างความเสียวให้ผมจนแทบขาดใจ ลมหายใจร้อนของเรากลายเป็นหนึ่งเดียวอีกครั้งตอนพี่นนก้มมาจูบผมทั้งที่ยังไม่หยุดเอวนั้น


“อะ พี่นน อือ”


“รัดพี่แน่นจังเลย”


“อึก” คำพูดหยอกล้อทำให้ผมเกิดอารมณ์ขึ้นมาและเหมือนพี่นนจะรู้ เขายกยิ้มและใช้มือใหญ่ชักนำผมเข้าใกล้ฝั่งฝัน “อ๊า จิงจะถึง อ๊ะ”


.


.



กึกๆๆๆ


   เสียงหัวเตียงกระทบกับกำแพงดังแรงขึ้นไปตามแรงอารมณ์ของเราทั้งคู่ เสียงครางและเสียงหอบหายใจดังสลับกันจากกิจกรรมร่วมรัก ผมมองคนตัวแดงที่ใกล้ถึงฝั่งฝันอีกครั้งและเผลอใส่แรงเข้าไปอีกเพราะภาพใบหน้าเหยเกกัดปากใกล้ถึงของคนตรงหน้า จิงยั่วยวนผมโดยที่ไม่รู้ตัว


“อ๊ะ อ๊า พี่ อา” จิงหลับตาแน่นและกระตุกเกร็งปลดปล่อยในมือผม จิงปรือตามองผมแล้วดึงมือผมเข้าไปเลียน้ำรักของตัวเองทั้งที่ยังจ้องมองผมอยู่...ผมคิดผิด จิงน่ะ ทั้งยั่วยวนผมแบบตั้งใจและไม่ตั้งใจต่างหาก

 
“หึ่ม ตัวแสบ” ผมครางฮือในลำคอเพราะการกระทำน่าขย้ำของคนตรงหน้าและกระแทกบั้นท้ายคนด้านล่างด้วยแรงอารมณ์


   ผมจ้องหน้าคนที่ถึงฝั่งฝันที่ยังคงเลียนิ้วผมเล่นและกัดปากตัวเองยั่วยวนกัน ผมเร่งความเร็วขึ้นและหลับตาลงตอนที่ถึงฝั่งฝันตามเขาไป ความร้อนที่ถูกปล่อยไปทำเอาจิงสะดุ้งและสบตาผมแบบอายๆ


“อา” ผมครางตอนที่ถอนส่วนนั้นออกมาและดึงถุงยางออก ทิ้งตัวทับคนตัวเล็กและซุกไซร้เข้าหากลิ่นหอมจากซอกคอชื้น


“พี่รักจิง”


“อือ” ผมกระซิบบบอกรักข้างหูแต่ได้เสียงครางตอบกลับ มองคนที่ยังคงหอบหายใจตัวแดงอยู่หนักด้วยความรู้สึกหวาบหวาม ตัวขาวๆ ของจิงมีรอยแดงจากที่ผมทำไปทั่ว ทั้งอก หน้าท้องหรือแม้กระทั่งซอกขาที่ยังคงอ้ากว้างล่อสายตาผม จิงคงไม่รู้ว่าเขาเซ็กซี่แค่ไหนและผมก็ไม่รู้มาก่อนเหมือนกัน แต่ตอนนี้ผมรู้แล้ว...รู้ดีเลย และนั่นทำเอาผมต้องคว้าถุงยางมาอีกรอบ


“พรุ่งนี้วันเสาร์ครับ” บอกคนที่จ้องผมอย่างงงๆ ผมยิ้มแล้วฉีกซองถุงยางจับมือเล็กมาสัมผัสของตัวเองให้ช่วยใส่มันเข้าไป


“พะ พี่นน” จิงตกใจเรียก แต่แล้วก็ยอมใส่ให้ผมโดยที่ไม่ยอมมองมัน ผมจูบลงไปที่ปากเล็กที่เริ่มบวมตอนที่เขาใส่ให้ผมเสร็จ ผมจูบที่หน้าผากเขาก่อนจะจับเขาพลิกตัวนอนคว่ำ จิงร้องประท้วงเล็กน้อยแต่ก็ยอมพลิกตัวตามด้วยท่าทีเก้ๆ กังๆ “อือ เจ็บ”


“พรุ่งนี้พี่จะดูแลจิงเอง จะดูแลทุกวันเลย”


“อือ อ๊ะ” จิงร้องครางออกมาตอนผมจับสะโพกเขาให้โก่งโค้งมาหาตัวเอง จับมือขาวให้จับยึดหัวเตียงเอาไว้ ก่อนที่จะแทรกกายเข้าไปในตัวเขาและบรรเลงบทรักของเราอีกรอบและอีกรอบ







**************************************************
ไม่รู้ไม่ชี้เป็นหัวเตียง  :z2:
TBC
หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 20 (01/05/62) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 02-05-2019 01:45:13
 :mc4: o13 :mc4:




 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 21 (12/05/62) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: gigibabe ที่ 12-05-2019 21:18:09

ตอนที่ 21 น้ำเต้าหู้หวานน้อย



“...พี่นน” ผมเรียกคนที่นอนหลับตากอดผมอยู่ แผงอกร้อนๆ ทำเอาผมหน้าร้อนต้อนรับเช้าวันใหม่ได้อย่างง่ายดาย


“ครับ” เสียงทุ้มติดแหบตอบกลับมาอย่างเนือยๆ


   ผมยิ้มแล้วกอดให้แน่นกว่าเดิมเพราะความน่ารักของเขา ทั้งที่ยังตื่นไม่เต็มตาแต่ก็ยังรีบตอบรับผม ดวงตาเบื่อโลกกระพริบถี่ๆ พยายามไล่ความง่วงออกไป เพื่อมองหน้าผม น่ารัก...ทำไมพี่นนน่ารักขนาดนี้นะ


   มือใหญ่ลูบไปทั่วใบหน้าที่เพิ่งตื่นของผมเบาๆ ลูบตั้งแต่หน้าผาก จมูก แก้ม แล้วลูบย้ำที่ริมฝีปากผมอยู่แบบนั้น ผมงับนิ้วเขาไว้แล้วเราก็หัวเราะทั้งที่เรายังเปลือยกายกอดก่ายกัน และเพราะเมื่อคืนเราไม่ได้ปิดผ้าม่าน ทำให้แสงแดดตอนเช้าส่องเข้ามาจนทั้งห้องสว่างไปหมด เป็นครั้งแรกที่เห็นใบหน้าที่เพิ่งตื่นของเขาชัดเจนขนาดนี้


“เจ็บไหมครับ”


“เจ็บ” ผมพูดไปตามความจริง ก่อนจะลูบแก้มคนที่นอนตะแคงมองหน้าผมอยู่ “แต่ไม่เป็นไร”


“...”


“จิงมีความสุข”


“พี่ก็เหมือนกัน”


   ผมยิ้มกว้างให้เขาแล้วกระชับอ้อมกอด ซุกหน้าลงกับอกของคนตรงหน้าและหลับตาลงอย่างเอาแต่ใจ  ผมไม่รู้ว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว ผมไม่รู้ว่าผมเหลือเวลาอีกแค่ไหน แต่ขอนอนอีกหน่อย ขอนอนกอดคนที่ผมรักหมดหัวใจคนนี้นานกว่านี้หน่อย



.


.



“ค่าเช่าชุดครุย ยืมผมก่อนก็ได้นะครับ”


“ไม่เอา จิงมีเงินเก็บอยู่”


“โอเคๆ” พี่นนตอบอย่างยอมแพ้ แล้วดันรถเข็นมาตรงหน้าผม “ผมฝากเราหยิบครีมอาบน้ำที”


“อือ”


“ไปเจอกันที่คิดเงินเลยนะ”


   ผมพยักหน้ารับ มองคนตัวสูงทิ้งผมไว้ที่รถเข็นคนเดียวแล้วเดินไปอีกทาง เข็นรถเข็นเดินไปหยิบครีมอาบน้ำใส่รถเข็นและเดินไปรอพี่นนที่จ่ายเงิน


“จิง”


“อือ”


   ผมตอบรับแล้วเดินไปวางของที่เคาน์เตอร์คิดเงินแต่สิ่งที่วางอยู่แล้วของคนข้างๆ ทำเอาผมหน้าร้อนและหันไปมองคนหน้านิ่ง แต่ก็ต้องชะงักไปเพราะเขาดันมองผมก่อนอยู่แล้ว


“ที่ห้องใกล้หมดแล้ว”


“จะ จิงไปรอข้างนอก!”


   ผมพูดติดขัดแล้วรีบเดินออกมาแต่สายตาเจ้ากรรมก็ดันไปสบตากับน้องผู้หญิงที่หยิบถุงยางกับเจลหล่อลื่นไปคิดเงินแบบยิ้มๆ พอได้สบตากัน น้องก็ยิ้มกว้างกว่าเดิม ผมแอบได้ยินเสียงหวีดเบาๆ ในคอของน้องเขาด้วย ฮือ อายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหนแล้ว


“จิง รอพี่ด้วย”


“ไม่” ผมพูดไปแบบนั้นแต่ก็ยอมเดินช้าลงให้พี่นนได้เดินข้างกัน แย่งถุงในมือใหญ่มาถือไว้แต่ก็ยังไม่ยอมมองหน้าเขา ผมอายกับเรื่องเมื่อกี้มากจนไม่รู้จะทำยังไงแล้ว


“ก็ที่ห้องมันจะหมดแล้วจริงๆ ผมไม่ได้โกหก”


“ก็พี่เล่นทำทุกวันขนาดนั้น จะไม่หมดได้ยัง..งะ ไง”


“ฮ่าๆ”


“หึ่ย ไม่ต้องมาจับเลย” ผมสะบัดหัวออกจากอ้อมแขนคนตัวโตกว่าทันที่ที่เขากอดคอผม


“ก็เราน่ารัก”


“น่ารักอะไรเล่า จิงหล่อ”


“หึ ครับ”


   ผมเบะปากใส่คนที่ยังยิ้มไม่หยุดด้วยความหมั่นไส้ ถึงตอนแรกจะกังวลเรื่องเซ็กของพวกเราแต่สุดท้ายแล้ว เราก็มีความสุขและผมก็ดันชอบด้วย ชอบที่ได้สัมผัสกัน มันเหมือนผมโดนโอบกอดด้วยความอบอุ่นในรูปแบบที่ไม่เคยได้สัมผัส มันเต็มไปด้วยความรัก ความต้องการจนใจผมอุ่นซ่านไปทั้งใจ



ปัง


   ถึงผมจะขัดขืนกับการโดนกอดคอในตอนแรกแต่ก็ยอมให้เขาเดินกอดคอไปเรื่อยๆ จนถึงบ้านของเรา พอถึงห้องผมก็เดินออกจากอ้อมแขนั้น วางของทุกอย่างไว้พื้นแถวหน้าตู้เย็นและพุ่งตัวลงเตียงทันที พี่นนเดินมาใกล้ผมก่อนจะดึงเสื้อยืดตัวใหญ่ของผมขึ้นมาคลุมหัวผมไว้แล้วนอนทับลงมาที่ผม


“พี่นน ทำอะไรเนี่ย จิงหนัก”


“ชาร์จพลัง”


“กอดเฉยๆ ก็ได้ ดึงเสื้อจิงขึ้นมาทำไมเนี่ย” ผมดิ้นพยายามดันคนตัวโตกว่าให้ลุกแต่พี่นนกลับทิ้งตัวนอนลงข้างๆ แล้วดึงผมเข้าไปกอดแทน


“ขาวดี”


“ทะลึ่ง”


“ยอมรับครับ”


“ชิ” ผมดึงเสื้อตัวเองลงแล้ววาดแขนกอดคนตัวโตไว้ “พี่นน...อาทิตย์หน้าจิงนัดถ่ายรูปกับเพื่อน”


“ให้พี่ไปด้วยไหม”


“อือ วันเสาร์นะ”


“โอเคครับ”  พี่นนมองผม ผมก็มองเขาเราไม่ได้พูดอะไรกันแค่มองและปล่อยให้ความเงียบระหว่างเราทำงานไปเรื่อยๆ “จิง...อยากไปหาป๊าไหม”


“...” และเป็นผมที่หลับตาลง หนีสายตาคนหน้านิ่งที่ดึงมือผมไปจูบเบาๆ


“เราจะเรียนจบแล้วนะ ถ้าป๊าจิงรู้ พี่ว่าป๊าจิงต้องดีใจมากๆ เลย”


“...”


“ไม่คิดถึงป๊าเหรอครับ”


“อึก” คำว่าคิดถึงของพี่นนกรีดลงมากลางใจที่แสนอ่อนแอของผม คิดถึงสิ ต่อให้ผมจะโกรธ จะเสียใจกับสิ่งที่ครอบครัวมอบให้ยังไงแต่ความรักที่ผมมีต่อครอบครัวไม่ได้ลดน้อยลงเลย “คิดถึง”


“งั้นพรุ่งนี้ เราไปหาป๊าจิงกันนะครับ”


 “อือ”


“คนเก่ง”


“พี่นน พี่จะไปด้วยใช่ไหม” ไม่ว่าผมจะโดนไล่ออกมาอีกครั้ง ไม่ว่าผมจะไม่มีที่ยืนบนโลกใบนี้ “พี่จะอยู่ข้างๆ จิงใช่ไหม”


“ครับ พี่จะอยู่ข้างจิง”


ขอแค่มีพี่นนแค่นี้ก็พอแล้ว


.


.


   เสียงดังของพ่อค้าแม่ค้าที่เรียกลูกค้าในยามเช้า เป็นสิ่งที่ผมคุ้นเคยมาตั้งแต่เกิด ผมอยู่ย่านนี้มานานและจากมันไปหนึ่งปี แต่แล้วผมก็ได้กลับมาอีกครั้งพร้อมกับผู้ชายที่ผมรัก พี่นนยืนอยู่ข้างผมเหมือนที่บอกก่อนหน้านี้ ผมเม้มปากด้วยความกังวลเมื่อเราเดินผ่านตลาดไปเรื่อยๆ จนเจอกับตึกแถวยาวที่อยู่ด้านข้างตลาด ร้านขายของชำ ร้านข้าวมันไก่และร้านน้ำเต้าหู้ที่อยู่หัวมุมนั้นยังคงเหมือนเดิม


“ถึงแล้วเหรอครับ”


“อื้อ”


   ผมตอบรับในลำคอและมองไปที่ร้านน้ำเต้าหู้ที่ตอนนี้มีลูกค้านั่งอยู่ประปราย ไอน้ำที่พวยพุ่งจากสองหม้อใหญ่เป็นภาพที่ผมคุ้นเคย ตรงนั้นก็มีผู้ชายผิวขาวหน้าตาออกไปทางจีนและมีรอยยิ้มบนใบหน้าเสมอที่ผมคุ้นเคย เขาก็ยังคงยิ้มแล้วพูดคุยกับลูกค้าเฉกเช่นทุกวัน แต่ตอนนี้รอยยิ้มนั้นได้จางหายไปเมื่อเราได้สบตากัน


“ป๊า...”


“...อาจิง”


   ผมกำมือแน่นตอนที่ป๊าหลบสายตาผม ไม่มีรอยยิ้ม ไม่มีท่าทางดีใจกลับการกลับมาของผมแบบที่ผมเคยวาดฝัน ป๊าหลบตาผมและหันไปตักน้ำเต้าหู้อีกครั้ง ทำเหมือนผมไม่มีตัวตน ใจผมเจ็บปวดจนอยากจะร้องไห้แต่ผมกลับไม่มีน้ำตาเลยสักหยด


“เอาน้ำเต้าหู้หวานน้อย ใส่ทุกอย่างสองแก้วครับ” ผมมองแผ่นหลังกว้างที่เดินตรงไปสั่งน้ำเต้าหู้ด้วยใบหน้านิ่งๆ “ผมเอาปาท่องโก๋ด้วยครับ”


“...” ผมเดินตามคนตัวสูงเข้าไปนั่งในโต๊ะในสุดของร้าน มองไปยังบันไดที่อยู่ข้างๆ ด้วยความรู้สึกแปลกๆ ทั้งที่ขึ้นบันไดไปเลี้ยวซ้ายก็จะเจอกับห้องของตัวเองแต่ผมดันรู้สึกไม่คุ้นเคยกับที่นี่เลย ทั้งที่ผมนั่งอยู่ในบ้านแต่เหมือนไม่ใช่บ้านผมเลย


“ขอบคุณครับ” พี่นนเอ่ยขอบคุณทันทีที่ของที่สั่งไว้วางลงที่โต๊ะ


“อือ” เสียงทุ้มที่ผมไม่ได้ยินมาหนึ่งปีดังขึ้นตอบรับ เขาลากเก้าอี้และนั่งลงตรงข้ามกับผม ทันทีที่ได้สบตา ผมก็รู้ว่าบ้านของผมคือเขา ผู้ชายที่นั่งตรงข้ามกับผมอยู่ตอนนี้


“...”


   ผมเงียบแล้วสบตากับเขา มองดูริ้วรอยที่เกิดขึ้นตามกาลเวลา เส้นผมสีขาว ร่องแก้มที่ขึ้นชัดเจนเพราะเขาเอาแต่ยิ้ม ไม่ว่าจะเศร้าหรือดีใจของก็จะยิ้ม ยิ้มเหมือนกับผม


“หายไปไหนมา”


“จิงเรียนจบแล้วนะป๊า” ผมชะงักไปที่เราดันพูดขึ้นมาพร้อมกัน


“ป๊ายินดีด้วย” ป๊าพูดและยิ้มให้ผม


“...”


“ป๊า...” ป๊ายิ้มแบบที่ผมเกลียดและเหมือนได้ยินที่ผมพูด ป๊าหุบยิ้มลงแล้วมองมาที่ผมตรงๆ “ป๊าขอไปงานรับปริญญาของจิงได้ไหม”


“ฮึก” ใจของผมกระตุกด้วยความเจ็บ น้ำตาผมคลอขึ้นมาจนภาพข้างหน้าพร่าเลือนไปหมด “ได้สิ ป๊าต้องไปนะ”


“ป๊าขอโทษนะ” ป๊าประสานมือตัวเองวางไว้บนโต๊ะและก้มหน้าลง ไม่ยอมสบตากับผม “ป๊าขอโทษ”


“ฮือ ป๊า” ผมเสียใจ และน้ำตาก็ไหลมาอย่างช่วยไม่ได้ ผมดึงมือที่ทำงานหนักมาตลอด มากุมไว้แล้วซุกหน้าลงไป “จิงขอโทษ ฮือ ขอโทษ”


“อาจิง”


“ขอโทษ”


   กว่าผมจะร้องไห้เสร็จก็กินเวลาไปจนน้ำเต้าหู้สองแก้วนั้นเริ่มอุ่น ป๊าลุกไปขายน้ำเต้าหู้ต่อ ทั้งโต๊ะเลยเหลือแค่ผมกับพี่นนที่นั่งอยู่ข้างกัน เรานั่งมองผู้ชายผมขาวที่ทำงานตรงหน้ากันเงียบๆ ป๊าใส่ที่รัดเอวไว้เพราะความปวดร้าวจากการทำงานหนักอย่างเคยและผมก็ร้องไห้ออกมาอีกครั้ง...ผมทิ้งผู้ชายคนนี้ให้อยู่คนเดียวได้ยังไง


“อย่าโทษตัวเองเลย”


“...ฮึก”


“เราทุกคนผิดเหมือนกัน” พี่นนพูดแล้วดึงมือผมไปกุมไว้และวางลงบนตักของตัวเอง “แล้วเราก็ไม่ได้ผิดเหมือนกัน รู้ใช่ไหม”


“...อือ”


“เรื่องมันผ่านไปแล้ว เราเริ่มใหม่ได้นะ”


“พี่นน”


“พี่รักจิง แล้วพี่ก็จะอยู่กับจิงเสมอนะ”


“จิงก็รักพี่” ผมบีบมือที่ใหญ่กว่าไว้แน่น ก่อนที่จะปล่อยมือนี้ไปเช็ดน้ำตาตัวเอง แล้วลุกขึ้นไปช่วยป๊าขายน้ำเต้าหู้เหมือนแต่ก่อน


.


.



“จิงมาอยู่กับผมได้สักสามสี่เดือนแล้วครับ”


“...”


“ก่อนหน้านี้เขาก็ไปอยู่กับเพื่อนบ้าง ไปอยู่ตามโฮสเทลบ้างอย่างที่คุณพ่อทราบ”


“อืม อั๊วน่ะ ผิดเองที่เลี้ยงเขามาแบบตามใจ แล้วก็ผิดที่ไล่เขาไปแบบนั้น”


“...”


   ผมเงียบแล้วละสายตาไปมองคนตัวเล็กที่ตักน้ำเต้าหู้อย่างคล่องแคล่ว ถึงแม้ใต้ตาของเขาจะยังมีรอยแดงจากการร้องไห้มาอย่างหนักแต่รอยยิ้มที่อยู่บนหน้านั้นก็ทำให้รู้ว่าเขามีความสุขแค่ไหน


“อั๊วดีใจนะ ที่เห็นอาจิงกลับมา...ดีใจที่เขาดูมีความสุขมากขนาดนี้” คนแก่กว่าสบตาผม “ที่ผ่านมาขอบใจนะ”


“ครับ”


“ยังไงก็ดูแลอาจิงด้วย อั๊วก็มีมันอยู่คนเดียว”


“ครับ” ผมตอบรับไปอย่างจริงใจ “ผมจะดูแลจิงให้ดีที่สุด”


“ดีแล้ว” คนมีอายุยิ้มรับและลุกขึ้นไปหาลูกชายของตัวเอง ผมมองสองพ่อลูกที่ยืนอยู่ข้างกันแล้วยิ้มเบาๆ กับตัวเอง จิงพูดอะไรสักอย่างกับพ่อของเขาแล้ววิ่งมาหาผมด้วยรอยยิ้ม


“พี่...ไปห้องจิงกัน”


“ครับ”


   ผมลุกขึ้นตามแรงดึงที่เขาลากแขนผมไปอย่างตื่นเต้น เราเดินขึ้นบันไดกันไปยังชั้นสองของร้าน จิงเดินนำผมไปยังประตูไม้ที่มีรูปสติ๊กเกอร์สไปเดอร์แมนแปะอยู่สองสามอัน ผมมองแผ่นหลังเล็กที่ยืนนิ่งอยู่หน้าประตูแต่ไม่ยอมเปิดเข้าไปสักทีด้วยความเป็นห่วง


“ถ้าไม่ไหวก็บอกพี่เข้าใจไหมครับ”


ฟรึ่บ


   ผมตกใจเล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าเขาจะหันหลังมากอดผมแบบนี้ คนตัวเล็กกอดผมไว้แน่น ไม่ช้าอกของผมก็ได้รับความชื้นจากน้ำตาของคนรักของผม


“จิงสับสนไปหมดเลย” เสียงอู้อี้ดังออกมาทำเอาผมปวดใจ “ทั้งที่จิงอยากตาย ทั้งที่จิงไม่คิดจะกลับมาแล้ว แต่...แต่ตอนนี้จิงอยู่ที่นี่”


“ครับ...พี่ฟังอยู่”


“ฮึก จิงรู้สึกแย่ที่จิงดีใจ จิงรู้สึกแย่ที่จิงมีความสุขที่ได้กลับมา มีความสุขที่ได้เจอป๊า”


“ไม่เห็นเป็นไรเลยครับ...เพราะพี่ก็มีความสุขที่เห็นจิงมีความสุข”


“ฮึก” ผมสบตากับคนที่เงยหน้าขึ้นมามองหน้าผม ผมยิ้มแล้วปาดน้ำตาออกจากใบหน้าเนียน


“แค่เรามีความสุข แค่นี้ก็พอแล้วไม่ใช่เหรอครับ”


“อือ” จิงยิ้มให้ผมและหันหลังไปเปิดประตูห้องของตัวเอง


   เราเดินเข้าไปในห้องพร้อมกัน จิงเปิดไฟที่อยู่ข้างประตูแล้วห้องก็สว่างขึ้นมา เตียงเดี่ยววางอยู่ด้านขวาของห้อง ข้างๆ หัวเตียงก็เป็นโต๊ะคอมที่มีหนังสือการ์ตูนวางสะเปะสะปะ ด้านซ้ายเป็นตู้เสื้อผ้าและชั้นวางหนังสือของเขา


“โห ป๊าคงเข้ามาทำความสะอาดบ่อยแน่ๆ เลย” จิงพูดตอนที่เอามือไปรูดบนจอคอม “ไม่มีฝุนเลยอะ”


“หึ” ผมหลุดขำแล้วเดินไปนั่งบนเตียงเขาอย่างถือวิสาสะ


“เฮ้อ ป๊าทำให้จิงจะร้องไห้อีกรอบ”


   ผมขำและมองคนตัวเล็กเดินไปทั่วห้องตัวเอง จิงดึงหนังสือการ์ตูนมาให้ผมดูและบังเอิญที่เราก็ชอบเรื่องนี้เหมือนกัน เราพูดถึงการ์ตูน เกมส์หรือแม้กระทั่งชีวิตวัยมัธยมไปด้วยกันอย่างมีความสุข เรามีความสุขจนลืมเวลา


“พี่รู้ปะตอนปีหนึ่งอะ จิงเก็บเงินเองเพื่อซื้อฟิกเกอร์เลยนะ แพงโคตร...” ผมเงียบมองปากเล็กที่พูดเจื้อยแจ้วไม่หยุด ดูก็รู้ว่าเขาดีใจแค่ไหนที่ได้กลับมาบ้านของตัวเอง มีความสุขแค่ไหนที่ได้กลับมาเป็นตัวเองอีกครั้ง


“จิง อยากกลับมาอยู่บ้านไหม”


“...” เขาที่กำลังจะหยิบฟิกเกอร์ตัวโปรดมาให้ผมดูชะงักไปแล้วหันมาสบตาผม


“มานี่ครับ” ผมว่าแล้วดึงแขนให้เขานั่งลงที่เตียงข้างๆ กัน “ลองกลับมาอยู่บ้านไหมครับ ลองอยู่สักอาทิตย์”


“...แต่”


“พี่ไม่เป็นไร แล้ววันเสาร์เราค่อยมาเจอกันก็ได้นี่ครับ” ผมว่าแล้วดึงมือเล็กขึ้นมาจูบ แม้จะรู้สึกวูบโหวงที่ใจแต่ผมก็จะพยายาม “จะได้ดูแลป๊าด้วย”


“จิง...จะลองดู” และคำตอบของเขาก็ทำให้ผมยิ้มได้ แม้ข้างในใจของผมจะเจ็บปวดก็ตาม


“คนเก่งของพี่”






*************************************************
เอาน้ำตา เอ้ย น้ำเต้าหู้มาส่งจ้า
TBC
หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 21 (12/05/62) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 13-05-2019 11:00:59
 :pig4:
ติดตามค่ะ
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 22 (20/05/62) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: gigibabe ที่ 20-05-2019 18:28:46
ตอนที่ 22 คิดถึง




“อาจิงอ่า กินข้าวให้หมดสิ เสียดายของ”


“ครับป๊า”


   ผมตักข้าวคำโตเข้าปากแล้วรีบเคี้ยวให้หมดคำ  หลังจากข้าวหมดจานผมก็ยกจานเปล่าไปวางที่อ่างล้างจาน แล้วรีบวิ่งขึ้นบันไดไปที่ห้องของตัวเองทันทีโดยไม่สนใจป๊าที่นั่งอยู่ตรงข้ามกัน ที่ผมต้องรีบก็เพราะตอนนี้เป็นเวลาที่เรานัดกันไว้ ผมใช้โทรศัพท์บ้านที่ถูกย้ายมาในห้องของตัวเองต่อสายเบอร์ที่ผมจำได้ขึ้นใจ


ตู้ด ตู้ด


   สัญญาณรอสายที่ดังแต่ละครั้งทำให้ความคิดถึงของผมยิ่งเพิ่มขึ้น เหลือบมองนาฬิกาบนโต๊ะที่บอกเวลาสองทุ่มตรงแล้ว...บางทีพี่นนอาจจะรถติดหรือจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นรึเปล่านะ ผมกังวลใจจนเผลอกำหมอนในมือแน่นแต่หลังจากผมกังวลใจได้ไม่นานเกินรอ สัญญาณโทรศัพท์ก็หยุดและเสียงทุ้มปลายสายก็ทำให้ผมหลุดจากภวังค์


“ฮัลโหลครับ”


“...” เสียงทุ้มที่คุ้นเคยดังมาจากปลายสาย ทำผมน้ำตารื้น ทั้งที่คิดว่าตัวเองเข้มแข็งขึ้นแล้ว แต่ไม่เลยผมคิดถึงพี่นน...คิดถึงมากจริงๆ


“จิง”


“คิดถึงอะ”


“หึ”


“ไม่ต้องมาขำเลย" ผมอมยิ้มแล้วกอดหมอนแทนกอดคนปลายสาย "ไม่คิดถึงจิงรึไง”


“...ครับ”


“...คิดถึง”


“หึ ครับ"


"ผ่านไปแค่สองวันแต่เหมือนสองปีเลยอะ” ผมว่ายิ้มๆ แล้วปาดน้ำตาออกลวกๆ พยายามทำเสียงให้ปกติที่สุด


“เดี๋ยววันเสาร์ก็ได้เจอกันแล้วนะครับ”


“อือ”


"วันนี้เป็นไงบ้างครับ"


   ผมยิ้มแล้วเริ่มเล่าเรื่องวันนี้ให้เขาฟัง ถึงเนื้อเรื่องจะคล้ายเมื่อวานที่ผ่านมา พี่นนก็ยังคงตั้งใจฟังแล้วถามผมเป็นระยะ และความใส่ใจเล็กๆที่ผมได้รับยิ่งทำให้ผมคิดถึงเขามากขึ้นไปอีก อยากเห็นหน้า อยากกอด อยากสัมผัสความอบอุ่นจากคนตัวใหญ่


"แล้ววันนี้พี่เป็นยังไงบ้าง"


"เหมือนเดิมครับ อ้อ ไอ้ชินถามถึงเราด้วยล่ะ"


"จริงเหรอ พี่ชินสบายดีใช่ไหม"


"อือ"


"ทำไมเสียงแบบนี้อะ หึงเหรอ"


"เปล่าครับ"


"หึงจริงด้วย ฮ่าๆๆ"


"..."


"โอเคๆ จิงไม่ขำละ"


"นอนได้แล้วนะครับ จะสี่ทุ่มแล้ว"


"อือ ไม่อยากวางเลย"


“ฝันดีนะครับ”


“อือ ฝันดี”


"พี่คิดถึง"


แกร่ก


   ผมทิ้งตัวลงนอนบนเตียงของตัวเองด้วยใจที่เต้นแรง คิดถึง...พี่นนบอกคิดถึงผม ผมยิ้มกว้างก่อนจะดิ้นไปมาบนเตียง ลูบอกข้างซ้ายของตัวเองไปมาให้มันเต้นช้าลง ผมนอนยิ้มอยู่แบบนั้นสักพักแต่ก็ต้องรีบลุกจากเตียงและวิ่งลงไปด้านล่างเพราะเพิ่งนึกบางอย่างออก


“ป๊า..." ผมเรียกคนที่ยืนหันหลังล้างจานอยู่คนเดียวในห้องครัวเงียบๆ ป๊าชะงักไปแล้วหันมามองหน้าผมแค่เพียงแป๊บเดียว ก็หันกลับไปเปิดน้ำราดจานที่เปื้อนอาหารออก ผมถอนหายใจแล้วเดินไปแย่งจานในมือป๊ามาล้างเอง "เดี๋ยวจิงล้างเอง”


"อ้าว คุยกับแฟนเสร็จแล้วเหรอ"


"ป๊า" ผมมองค้อนป๊าที่พูดแบบนั้น แล้วหันมาล้างจานต่อ


“...อะไรของลื๊อ เรียกแล้วก็ไม่พูด”


"เฮ้อ ป๊าไปนั่งพักไป" ผมว่าแล้วใช้มือข้างที่ยังไม่เปียกดันให้ป๊าเดินไปด้านหลัง ป๊ายอมเดินไปนั่งแล้วก็ถอนหายใจ แล้วก็เกิดความเงียระหว่างเราแต่ก่อนที่ผมจะรู้สึกอึดอัด ป๊าก็พูดทำลายความเงียบขึ้นมาเสียก่อน


"แล้วนนเป็นไงบ้าง" แต่คำถามของป๊าดันทำให้ผมเงียบไปกว่าเดิม


"..." ผมยังคงเงียบและหันหลังให้ป๊าอยู่แบบนี้แม้จะรับรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่จ้องมองมาจากด้านหลังก็ตาม ผมเงียบได้ไม่นานก็ทนกับบรรยากาศกดดันแบบนี้ไม่ไหว "กะ ก็ดีป๊า"


"ดีแล้ว” ป๊าเงียบไปเหมือนคิดอะไรบางอย่าง “เขาเป็นคนดีนะ ที่ดูแลลื๊อให้ที่อยู่ที่กิน"


"อือ"


   แล้วความเงียบก็กลับครอบงำพวกเราไปอีกครั้ง เหมือนเราตกอยู่ในความคิดภายในหัวของตัวเอง ผมเอาแต่กังวลเพราะผมไม่รู้ว่าควรบอกป๊าดีไหมว่าผมกับพี่นนเป็นอะไรกัน แล้วถ้าบอกไป ผมจะโดนเกลียดไหม ส่วนป๊าผมไม่รู้เลยว่าป๊าคิดอะไรอยู่


   พอผมล้างจานเสร็จ ผมก็เดินไปเปิดถุงกระสอบตักถั่วขึ้นมาเพื่อแยกเมล็ดดีเมล็ดเสีย นำกะละมังใส่น้ำมาแล้วไปวางไว้บนโต๊ะและนั่งตรงข้ามป๊าที่มองคอยมองผมอยู่ตลอดทุกการกระทำ


"อั๊วรับได้ทุกอย่าง"


"..." ผมเม้มปากแน่น จ้องมองถั่วที่อยู่ในถาด


"สำหรับอั๊วแล้วแค่ลื้อมีความสุขก็พอ"


"..." มืออันสั่นเทาของผมเลือกหยิบถั่วที่ไม่สวยทิ้ง แล้วเอาที่เหลือแช่น้ำในกะละมังไว้ ผมลอบมองใบหน้าป๊าที่ยิ้มเบาๆ ให้ผม รอยยิ้มของป๊าดูพร่าเลือนเพราะน้ำตาผมเอ่อขึ้นมาบดบัง ผมเม้มปากกลั้นเสียงสะอื้น เมื่อน้ำตาเริ่มไหลออกจากดวงตาไม่หยุด ผมใช้มือที่เปียกน้ำปาดน้ำตาออกจากใบหน้าอย่างลวกๆ "ป๊า ฮึก ถั่วรอบนี้เสียเยอะเลย"


"นั่นสิ งั้นเดี๋ยวคืนนี้เราแยกออกให้หมดเลยนะ"


"ครับป๊า"


"เดี๋ยวอั๊วไปตักถั่วมาให้"


   ผมมองผู้ชายผมสีขาวที่มีรอยยิ้มประดับสีหน้าเสมอค่อยๆ ลุกเพื่อจะไปหลังร้านแต่ตอนที่ป๊ากำลังจะเดินผ่านผมไป ผมก็จับแขนป๊าไว้ให้ป๊าหยุดเดินแล้วผมก็ใช้แขนโอบกอดเอวป๊าไว้ซุกใบหน้าเปื้อนน้ำตาของตัวเองไว้ข้างเอวนิ่ม


"ฮึก ป๊า...ขอบคุณครับ"


"เฮ้อ" ถึงจะถอนหายใจแต่มือหยาบก็วางลงบนกลุ่มผมของผมก่อนจะลูบไปมาเบาๆ "ป๊าก็ขอบคุณที่ลื๊อกลับมานะ"


"จิงรักป๊านะ"


"..."


"แล้วม๊าเป็นไงบ้าง" ผมถามไปทั้งที่ยังซุกหน้าอยู่กับเอวป๊า


“เขาไม่มาอีกแล้วล่ะ ตั้งแต่ลี๊อไป...ก็หายไปเลย”


“จิงไม่อยากไปอยู่กับม๊า”


“ทำไมล่ะ ถ้าลื๊อไปอยู่กับเขา ลื๊อจะสบายกว่านี้นะจิง”


“...ไม่ไป”


“ไม่ไปก็ไม่ไป” มือหยาบขยี้หัวผมแรงขึ้น "...อย่าหนีไปแบบนี้อีก"


"ครับป๊า" ผมกอดป๊าแน่นขึ้นแล้วเงยหน้ามองป๊า “ป๊า จิงรักป๊านะ”


“รู้แล้วน่า"


“ก่อนหน้านี้ จิงอยากจะฆ่าตัวตายด้วย”


“อาจิง” ป๊ามองตาผมแบบไม่สบอารมณ์ที่ผมพูดแบบนี้


“แต่พี่นนมาช่วยไว้ พี่นนเขาดีกับจิงมากเลย”


“...”


“จิงรักพี่นน”


“อือ”


“...ป๊ารับได้จริงๆ เหรอ”


“อั๊วน่ะ จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ สำหรับอั๊วแค่ลื๊อมีความสุขก็พอแล้ว”


“ป๊าอย่าพูดแบบนี้สิ ป๊าต้องอยู่กับจิงไปนานๆ” ผมว่าแล้วซุกหน้าลงเอวป๊าอีกครั้ง “จิงจะดูแลป๊าเองนะ”


“ตัวเท่าลูกหมา ดูแลตัวเองให้รอดก่อนไป”


“ป๊าอะ!”


“ฮ่าๆ” แล้วคืนนั้นผมก็ได้รู้ว่าคำว่าบ้านนั้นอบอุ่นแค่ไหน


.


.


แกร่ก


   สิ่งแรกที่เปิดมาเห็นในห้องเช่าเก่าๆ ที่ผมอยู่มานานหลายปีนี้คือเด็กผู้ชายตัวเล็กที่มีรอยยิ้มสดใสแต่แววตาเศร้าหมอง เขาลุกมาหาผมด้วยรอยยิ้มแล้วสวมกอดผมอย่างออดอ้อน ใช่ เมื่อก่อนมันจะต้องเป็นแบบนี้ แต่ไม่ใช่วันนี้ไม่ใช่หนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา ที่พอผมเปิดประตูเข้ามาก็พบเจอกับความเงียบแบบนี้


   ผมเปิดไฟแล้วปิดห้องลง ทั้งห้องเงียบสงัดเมื่อมีแค่ผมคนเดียวที่ยืนอยู่แบบนี้ ความเงียบทำให้ใจของผมเหงาจนรู้สึกเจ็บ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็อยู่คนเดียวมาตลอดแต่พอเขาเข้ามาในโลกของผมแล้ว ผมก็ไม่สามารถเป็นแบบเดิมได้อีก อาการที่ผมเป็นในตอนนี้ทำเอาผมอดขำกับตัวเองไม่ได้ เหมือนผมได้กลับไปเป็นวัยรุ่นอีกครั้ง ความรู้สึกที่แสนวู่วาม คิดถึง อยากเจอ อยากสัมผัส ความรู้สึกพวกนี้ทำให้รู้ว่าผมมีความรัก


และทำให้รู้ว่าผมคิดถึงเขา...ผมคิดถึงจิงมากจริงๆ


"เฮ้อ" ผมถอนหายใจออกมา ในวันพรุ่งนี้ผมจะได้เจอกับจิงคนรักของผมแล้ว คนที่เข้ามาในชีวิตที่โดดเดี่ยวของผม


   ผมรับรู้ได้ว่าจิงเข้มแข็งขึ้นแล้วจากการคุยกันทุกวันแต่ผมก็อดใจหายไม่ได้เพราะความเข้มแข็งของเขา ทั้งที่ควรดีใจแต่ก็แอบรู้สึกแย่เมื่อรู้ว่าเขาอยู่ได้จริงๆ ถ้าไม่มีผม ถึงเขาจะบอกคิดถึงผมทุกวัน แต่ผมก็รู้ว่าเขากำลังโตขึ้น กำลังจะเข้าใจโลกใบนี้อย่างถ่องแท้ ส่วนผมจะเหมือนเดิมไปตลอด จะเฝ้ามองเขา หวังดีต่อเขาและรักเขา


ก๊อก ก๊อก


   เสียงเคาะประตูดังขึ้นตอนที่ผมออกมาจากห้องน้ำด้วยชุดนอนพอดี ผมเดินไปหยุดยืนอยู่หลังประตูสักพัก ห้ามหัวใจตัวเองไม่ให้คิดไปเองว่าจะมีคนตัวเล็ก ผิวขาว หน้าตาน่าเอ็นดูยืนยิ้มแฉ่งอยู่หลังประตูด้านตรงข้ามกับผม


แอ๊ด


ผมจะห้ามให้ตัวเองไม่ยิ้มได้ยังไง


   เมื่อภาพที่ผมคิดไว้เกิดขึ้นจริงๆ จิงยืนสะพายเป้สีแดงยืนอยู่ตรงข้ามกับผม ดวงหน้าน่ารักเงยขึ้นมองผมและเมื่อเราได้สบตากัน จิงก็ยิ้มกว้าง แววตาที่เคยเศร้าหมองกลับส่งประกายระยิบระยับจนใจผมเต้นแรงเพราะรับรู้ได้ถึงความรักจากคนตรงหน้า


“แหะๆ” จิงหัวเราะเบาๆ และยิ้มแบบลูกหมาให้ผม


“...ไหนบอกว่าจะมาเช้าวันเสาร์ไงครับ” กว่าจะงมหาเสียงตัวเองเจอก็ตอนที่คนตัวเล็กวางเป้สีแดงใบโปรดไว้ข้างเตียงแล้ว


ฟรึ่บ


“คิดถึงจังเลย” จิงไม่ตอบคำถามผมแต่วิ่งเข้ามากอดผมแทน


“หึ”


“จูบหน่อย”


“อ้อนอะไรขนาดนี้ครับ” ผมกอดและลูบหัวคนที่ถูไถหัวไปมากับอกผมไม่หยุด


“ก็คิดถึง คิดถึงๆๆๆ” จิงยิ้มกว้างและพูดแบบนั้นพร้อมมองตาผมไปด้วย “พี่นน...อื้อ”


   ผมก้มหน้าลงไปจูบกลีบปากน้อยสีแดงที่พูดคิดถึงผมซ้ำๆ ด้วยความหมั่นเขี้ยว จูบย้ำๆ ซ้ำๆ โดยไม่ได้รุกล้ำและได้รับการตอบรับจากเจ้าลูกหมาตัวน้อยเป็นการจูบแบบเดียวกันกลับมา


“จิงบอกป๊าว่าจะกลับบ้านวันจันทร์” จิงพูดขณะที่ริมฝีปากเรายังสัมผัสกันเบาๆ เราแนบอิงหน้าผากเข้าหากันและจ้องตากัน “จิงบอกว่ามาหาพี่นน”


“ดีแล้วครับที่ไม่โกหก” ผมยิ้มและกดจูบริมฝีปากนุ่มนิ่มอีกครั้งเป็นรางวัลของเด็กดี


“จิงอะ เก่งที่สุดแล้ว”


“ครับ คนเก่ง”


“...จิงรักพี่”


“ครับ” ผมยิ้มรับและประคองใบหน้าเล็กไว้ในสองมือของตัวเอง ครอบครองริมฝีปากไว้และใช้มือดันท้ายทอยให้ใบหน้าเราชิดกันแนบแน่นขึ้น ผมส่งลิ้นความชื้นเข้าไปทักทายและเราก็เกี่ยวกระหวัดกัน แต่แล้วผมก็สะดุ้งเมื่อมือเล็กแสนซุกซนสัมผัสเข้ากับส่วนล่างของผมผ่านกางเกงนอนบางๆ ผมผละใบหน้ามามองคนหน้าแดงที่ไม่ยอมสบตาผม “ทำอะไรครับ คนเก่ง”


“...อยู่เฉยๆ” จิงขมวดคิ้วมองผมทั้งที่ใบหน้าแดงแจ๋


“จิง” ผมเรียกชื่อเขาตอนที่โดนผลักให้นั่งลงที่ปลายเตียงและเขาก็คุกเข่าลงที่พื้นระหว่างขาผม


"จิงอยากทำให้พี่"



   ผมลอบกลืนน้ำลายตอนที่มองใบหน้าขาวที่อยู่ระหว่างขาผม มือเล็กกอบกุมเข้ากับส่วนอ่อนไหวของผม จิงสบตาเข้ากับผมแล้วเบนสายตาไปทางอื่น ใบหน้าขาวขึ้นสีแดงจัด เขาเม้มปากและเริ่มชักนำส่วนนั้นของผมด้วยมืออันสั่นเทาโดยที่ไม่มองมัน


"จิง...อยากทำจริงๆ ใช่ไหม"


"อะ อือ"


"ถ้าอย่างนั้นสบตาพี่"


"..." จิงลังเลสักพักและยอมสบตากับผมในที่สุด ผมยิ้มเบาๆแล้วลูบมือลงแก้มเนียนนุ่ม ใช้นิ้วโป้งเกลี่ยแก้มขาวและลากไล้ย้ำไปมาที่ริมฝีปากของเขา ก่อนจะกดนิ้วเข้าไปหยอกเย้าลิ้นเล็กที่ดูดดึงนิ้วผมด้วยสายตาหยาดเยิ้ม "อือ พี่นน"


"อ้าปาก"


"อะ" จิงหลุดเสียงร้องตอนที่ผมจับท้ายทอยเขาให้เขยิบเข้ามาใกล้ส่วนนั้นของผมมากกว่าเดิม ริมฝีปากร้อนที่ผมหลงรักสัมผัสเข้ากับของผม และผมก็ได้รู้ว่าริมฝีปากของเขาสามารถร้อนได้อีกในตอนที่เขาครอบปากลงบนส่วนหัว


"อย่างนั้น ค่อยๆ ใจเย็นๆ"


"อึก" คนเก่งของผมพยายามครอบครองทั้งหมดแต่ก็ดูจะทำไม่ได้ ผมยิ้ม ปลอบใจด้วยการลูบหัวเขาและปล่อยให้เขาปรนเปรอผมไปเรื่อยๆ เสียงดูดดึงดังไปทั่วห้องเล็ก ทำเอาผมรู้สึกวาบหวาม มองใบหน้าน่ารักที่ใช้ลิ้นเล็กเลียไปทั่วแท่งร้อนด้วยท่าทีเงอะงะเพราะพยายามไม่ให้ฟันโดนของผม น่ารัก...น่ารักจนใจผมเจ็บไปหมด


"อ่า คนเก่งของพี่" ตอนที่เขาผงกหัวเข้าออกแรงและเร็วขึ้นทำเอาอารมณ์ผมพุ่งสูงจนเผลอกดท้ายทอยของเขาให้เข้าหาตัวเองแรงขึ้นและเริ่มโยกเอวไปตามสัญชาตญาณของตัวเอง


"อ่อก อึก" กว่าจะรู้ตัวก็ตอนเผลอทำรุนแรงไปแล้ว จิงจะสำลักแต่ก็พยายามทำต่อ


"อ่า จิง" ถึงจะเห็นว่าเขาเริ่มทรมานแต่ความรู้สึกที่มีก็ทำเอาผมขาดสติ คว้าท้ายทอยเขาไว้แล้วเร่งจังหวะ


“อึก”


"จิง อ่า พอก่อน" เมื่อใกล้ถึงฝั่งฝันผมพยายามผละตัวออกแต่จิงยังคงครอบครองของผมไว้อย่างนั้น แถมยังส่งสายตามองมาเหมือนบอกว่าจะทำต่อ


"อื้อ" คนเก่งของผมส่ายหัวประท้วงและดูดดึงแรงขึ้น เร็วขึ้น จนในที่สุด


"อ่า" ผมก็ปลดปล่อย


"อะ แค่กๆๆ แฮ่ก" ผมมองหน้าคนที่สำลักหน้าดำหน้าแดงเพราะกลืนกินของผมไป ผมถอนหายใจปาดเอาบางส่วนที่เลอะออกมาจากปากแดง ในตอนที่ผมจะลุกไปหาทิชชู่เพื่อจะเช็ดส่วนที่ยังหลงเหลืออยู่ออกจากใบหน้าเล็ก แต่จิงกลับทำสิ่งที่ผมนึกไม่ถึง เขาดึงมือผมไปและเลียส่วนที่เหลือเข้าปากจนหมดแล้วก็ยิ้มให้ผม ยิ้มโดยไม่รู้ตัวเลยว่าจะเจออะไรที่ทำแบบนี้ไป


"จิง"


"เฮ้ย" จิงร้องด้วยความตกใจตอนที่ผมอุ้มเขาขึ้นจากพื้นและโยนลงบนเตียง


"โดนดีแน่"


"อื้อ"







*******************************
รูดก้านมะยมing
TBC


หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 22 (20/05/62) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 21-05-2019 08:27:03
:กอด1: :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 22 (20/05/62) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 21-05-2019 12:09:52
ดีใจกับน้องจิง คืนดีกับป๊าแล้ว
หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 22 (20/05/62) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 21-05-2019 21:23:01
เริ่มสดใสกันขึ้นทีละน้อยๆ ประคับประคองกันไปดีๆนะ
หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 23 (21/05/62) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: gigibabe ที่ 21-05-2019 21:27:43
ตอนที่ 23 ครั้งแรก


“ไปเที่ยวบ้านพี่ไหม”


   เป็นคำถามที่ทำให้ผมประหลาดใจในเช้ามืดวันเสาร์ พี่นนยืนหน้านิ่งจ้องมองผมอย่างนั้น ส่วนผมก็เลิกคิ้วประหลาดใจเพราะเป็นครั้งแรกที่เขาชวนผมออกไปไหนก่อน


“ไปสิ วันไหนอะ”


“พรุ่งนี้”


“หะ” ผมขมวดคิ้วหันไปมองหน้าพี่นนแบบไม่แน่ใจในสิ่งที่ได้ยิน แล้ววางถุงน้ำเต้าหู้ที่เพิ่งถูกมัดใส่ถุง ก่อนจะหันไปบอกลูกค้าที่ยืนรออยู่ “สามสิบบาทครับ”


“พรุ่งนี้”


“โอเค เดี๋ยวจิงบอกป๊าไว้” ผมตอบไปอย่างไม่คิดมาก แล้วตักน้ำเต้าหู้ใส่แก้วที่ใส่เครื่องไว้แล้ว “พี่เอานี่ไปให้โต๊ะสาม ปาโก๋ด้วยสิบบาท”


“ครับ”


   หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้คุยกับพี่นนอีก จนเวลาล่วงเลยไปถึงเก้าโมงเช้า ซึ่งเป็นตอนที่ลูกค้าเริ่มน้อยลง พวกเราจึงมีเวลากินข้าวกัน ปกติแล้วเสาร์อาทิตย์พี่นนจะมาช่วยป๊ากับจิงที่ร้านตลอด แต่ยังไม่เคยได้กินข้าวพร้อมกันแบบนี้เลย ครั้งนี้จึงเป็นครั้งแรกที่ได้กินข้าวพร้อมกัน ผมประหม่าเล็กน้อย แล้วผมก็คิดว่าพี่นนก็คงจะประหม่าเหมือนกันเพราะป๊าเองก็รับรู้แล้วว่าเราคบกัน


“กินเยอะๆ ล่ะ วันนี้จะอยู่ร้านทั้งวันเลยใช่ไหมล่ะ” ป๊าว่าแล้วจ้องคนที่นั่งตรงข้ามกับตัวเอง “งานหนักนะ ลื๊อทำได้รึเปล่า”


“ทำได้ครับ”


“ป๊า” ผมมองค้อนป๊าที่พูดข่มพี่นน “งานหนักอะไร จิงตัวแค่นี้ยังทำได้เลย”


“จิง...ไม่เอาครับ”


“ชิ” ผมเบะปากใส่พี่นนที่นั่งข้างตัวเอง ทั้งที่ผมปกป้องยังมาว่ากันอีก อย่างนี้ผมต้องเปลี่ยนทีมว่าแล้วก็ตักเนื้อปลานึ่งซีอิ๊วให้ป๊า “จิงอุตส่าห์ปกป้อง จิงย้ายไปอยู่ทีมป๊าแล้ว”


“ฮ่าๆ ให้มันได้งี้สิ เป็นลูกป๊าก็ต้องอยู่ข้างป๊าสิ”


“แต่ถ้าป๊ายังเบ่งอีก จิงก็จะย้ายไปอยู่ข้างพี่นน” ผมว่าแล้วมองหน้าป๊าอย่างกวนๆ ก่อนจะตักปลาให้พี่นนเหมือนกัน


“อาจิง” ป๊าหุบยิ้มลง แกล้งทำหน้าเศร้าใส่ผม


“ฮ่าๆ” แล้วก็เป็นผมที่หัวเราะบ้าง


   เราลงมือกินข้าวกันอย่างเงียบๆ ในตอนแรกก็ปกติดีแต่แล้วผมกลับรู้สึกอึดอัดอย่างอธิบายไม่ถูกเพราะป๊าเอาแต่ทำหน้านิ่ง ส่วนคนหน้านิ่งก็เอาแต่กินข้าวเงียบและเป็นผมที่ทำลายความเงียบเมื่อนึกบางอย่างได้ “เอ่อ ป๊าพรุ่งนี้จิงไปเที่ยวกับพี่นนนะ”


“หือ”


“เอ่อ คือ” ผมกำลังจะอธิบายต่อแต่พี่นนก็พูดขึ้นมาก่อน


“พอดีวันจันทร์เป็นวันหยุด ผมจะขอคุณพ่อพาน้องไปเที่ยวครับ”


“อ่อ” ป๊าพยักหน้าแล้วมองหน้าพี่นนอย่างจริงจังแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน


“เราจะไปอยุธยากัน ไปบ้านเกิดผมน่ะครับ” พี่นนหันมามองหน้าผมเล็กน้อย แล้วหันไปมองป๊าต่อ “ไปพรุ่งนี้แล้วก็กลับวันจันทร์เลยครับ”


“ก็ดีหนิ ช่วงนี้อาจิงว่างด้วย พาไปเปิดหูเปิดตาบ้างก็ดี”


“ไปด้วยกันไหมครับ”


“ไม่ล่ะ ป๊าปวดหลังไปไม่ไหวหรอก” ผมที่กำลังจะตักข้าวเข้าปากถึงกลับชะงักไป แล้วมองหน้าป๊าที่แทนตัวเองว่า ’ป๊า’ กับพี่นน


“ครับ”


“ฝากด้วยละกัน”


“ครับป๊า”


   ผมมองพี่นนอย่างทึ่งๆ ที่เรียกป๊าว่าป๊าแล้วก็ตักผัดผักบุ้งให้ป๊า สลับกับมองหน้าป๊าที่เพิ่งมีรอยยิ้มกลับมา นี่มันอะไรกัน แล้วบรรยากาศอึดอัดกันเมื่อกี้หายไปไหนหมด แล้วทำไมผมต้องรู้สึกเขินด้วยเนี่ย


แต่ก็ดีแล้วที่เป็นแบบนี้ ดีแล้ว...ที่ป๊ารับพวกเราทั้งสองคนได้จริงๆ



.


.



   เมื่อคืนผมแพ็คกระเป๋าตัวเองด้วยความตื่นเต้นเพราะจะได้ไปเที่ยวและอีกส่วนหนึ่งก็ตื่นเต้นเพราะเพื่อนผมโทรมาว่าได้รับรูปที่เราไปถ่ายด้วยกันแล้ว แต่เนื่องจากผมไม่มีมือถือ วันนี้ก่อนที่ผมจะไปเที่ยวกับพี่นน ผมจึงขอให้เราแวะห้างสรรพสินค้าเพื่อไปซื้อโทรศัพท์กันก่อน เราเดินอยู่ในช็อปกันสักครู่แล้วผมก็ตัดสินใจได้ ยืนยันใช้เงินเก็บของตัวเองเป็นคนซื้อกับพี่นนอยู่นานแต่สุดท้ายผมก็ได้มันมาใช้


   พี่นนเริ่มขับรถมอเตอร์ไซต์ออกจากกรุงเทพตอนเกือบเที่ยงและเราก็เสียเวลาแวะกินข้าวกันที่ปั๊มน้ำมันกันสักพัก ทำให้มาถึงอยุธยากันช่วงบ่ายสาม พี่นนพาผมไปแวะเที่ยวตลาดน้ำอย่างที่เราวางแผนกันไว้ แต่ด้วยความที่ขี่มอเตอร์ไซต์กันมาทำให้เราใส่เสื้อผ้าที่ค่อนข้างมิดชิดกัน ผมจึงกระซิบบอกกับพี่นนว่าเราเหมือนคนเก็บเงินกู้เลย เพียงเท่านี้ก็เรียกเสียงหัวเราะของเราสองคนได้ไม่ยาก


   เราเดินดูของในตลาดย้อนยุคข้างกันเงียบๆ มีคุยกันบ้างบางเป็นระยะเมื่อเจอสิ่งที่น่าสนใจ เดินได้สักพักพี่นนก็พาผมแวะร้านขนมสายไหมที่ผมงอแงอยากกินตั้งแต่เมื่อคืน เขาซื้อให้ผมหนึ่งชุดและซื้อฝากป๊าหนึ่งชุด หลังจากนั้นก็เหมือนกับเทศกาลซื้อของฝาก เราเข้าร้านนั้นร้านนู้นไม่หยุดจนได้ของฝากเยอะเต็มมือ สุดท้ายก็มานั่งพักกินข้าวเย็นกันร้านริมแม่น้ำ


 “พี่นนดูดิ” ผมเปิดไลน์ที่เพื่อนส่งรูปมาให้ ให้พี่นนดูตอนที่เรานั่งรออาหารมาเสิร์ฟ “ตากล้องเก่งมากเลยอะ ภาพสวยมาก ดูดิจิงอย่างหล่อ”


“น่ารักต่างหาก”


“หล่อเถอะ” ผมว่า แล้วปัดดูรูปถัดไป มันเป็นรูปที่ผมยืนยิ้มแช่งชูสองนิ้วให้กล้องและมีคนข้างๆ ยืนจัดทรงผมให้ผมอยู่ข้างๆ “พอยืนข้างกันแล้วจิงหล่อกว่าตั้งเยอะ”


“...” พี่นนเงียบไปแล้วมองรูปนั้นนิ่งๆ “ส่งให้พี่ด้วย”


“อือ” ผมตอบรับ ไม่กล้าสบตากับคนที่นั่งข้างกันและหาเรื่องทำลายบรรยากาศที่ทำให้ผมเขินอาย “มาถ่ายรูปกัน”


“ครับ”


   ผมยกโทรศัพท์ที่เพิ่งซื้อใหม่ขึ้นมา เปิดกล้องหน้าให้เห็นเราทั้งสองในจอ พี่นนก้มตัวลงมาเล็กน้อย ผมนับหนึ่งสองสามแล้ว กดปุ่มด้านข้างให้จับภาพเราไว้ ผมกดรัวๆ แต่ถ่ายได้ไม่นานอาหารก็มาเสิร์ฟ ผมหยุดถ่ายและดูรูปที่เพิ่งถ่ายเสร็จ ในรูปผมเปลี่ยนท่าไปเรื่อยๆ ทั้งยิ้มและทำหน้าตลกแต่พี่นนก็ยังคงหน้านิ่งทุกรูปจนผมขำ


“พี่นนดูนี่”


“ครับ” พี่นนก้มลงมองหน้าจอที่ผมเพิ่งเปลี่ยนเป็นรูปคู่ของเราแล้วยิ้มเบาๆ ก่อนจะหันไปตักกุ้งให้ผม “ส่งมาให้พี่บ้างสิครับ ทั้งหมดเลย”


“ฮ่าๆ” ผมหัวเราะเสียงดังเพราะความน่ารักของเขา


.


.



   เรามาถึงบ้านพี่นนตอนเกือบสองทุ่ม ผมลงจากรถและยืนมองพี่นนที่ไขกุญแจอยู่หน้าบ้านแล้วเดินมาจูงมอเตอร์ไซต์เข้าไปในบ้าน ผมมองตามเข้าไปก็เห็นบ้านเดี่ยวใต้ถุนสูงอยู่ลางๆ พี่นนเดินหายไปใต้ถุนบ้านสักพัก ไฟบริเวณใต้ถุนและหน้าบ้านก็สว่างขึ้น ทำให้ผมมองเห็นได้ชัดเจนขึ้น พี่นนเดินมาหาผมและดึงมือผมไปจับไว้ ก่อนจะสบตาผม


“พร้อมรึยัง”


“พร้อมครับ” ผมว่าพยายามกลั้นน้ำตาตอนที่มองแผ่นหลังกว้างที่เดินนำผมเข้าบ้านไป แผ่นหลังกว้างที่โดดเดี่ยวเหมือนผม


“พรุ่งนี้เราจะไปหาพ่อกับแม่พี่ที่วัดกัน คืนนี้เราค้างที่บ้านพี่กันนะครับ”


“อือ” ผมว่าและวางเป้ไว้ข้างบันไดทางขึ้น ก่อนจะมองไปรอบๆ บริเวณบ้าน “บ้านพี่น่าอยู่จัง ต้นไม้เยอะเลย”


“อือ แต่เงียบไปหน่อยว่าไหม”


“พี่นน...” ผมเม้มปากและจับมือพี่นนให้แน่นขึ้น


“นน!” เสียงผู้หญิงที่ดังขึ้นทำให้เราปล่อยมือออกจากกันและหันไปมองด้านที่เสียงดังขึ้นมา “นนใช่ไหมลูก”


“ป้าพา...” พี่นนพึมพำ แล้วหันมามองผม แล้วเดินไปทางด้านข้างของบ้าน ก่อนจะหันมากวักมือเรียกผมให้ตามไป


“นนจริงๆ ด้วย”


“สวัสดีครับป้าพา”


“สวัสดีครับ” ผมพูดแล้วยกมือไหว้คนตรงหน้า


“สวัสดีค่ะ” คุณป้าท่าทางใจดีพูดกับพี่นนและผม


“นี่ จิงครับ”


“อ้อ น้องจิง“ ป้าหันมายิ้มให้ผม ก่อนจะเอื้อมมือมาลูบแขนพี่นน “พอนนบอกว่าจะมาป้าเลยทำกับข้าวเตรียมไว้เต็มเลย อ้อ ป้าทำเผื่อทำบุญวันพรุ่งนี้แล้วนะ”


“ขอบคุณครับ ผมไม่รู้เลยทานข้าวเย็นกันมาแล้ว ขอโทษด้วยนะครับ”


“ไม่เป็นไรจ้ะ เดี๋ยวป้าเก็บไว้ให้พรุ่งนี้นะ” ป้าพายิ้มแล้วหันมายิ้มให้กับผมด้วย “งั้นไปพักผ่อนกันเถอะนะลูก เดินทางกันมาเหนื่อยๆ”


“ครับ” พี่นนตอบแล้วเดินกลับ ส่วนผมก็หันไปโค้งให้คุณป้าอีกครั้งแล้วเดินตามพี่นนมาด้วยคำถาม

   
“เขาเป็นคนที่พี่ฝากบ้านไว้น่ะครับ” ยังไม่ทันเอ่ยปากพี่นนก็ตอบคำถามของผมแล้ว


“อ้อ” ผมพยักหน้าเข้าใจ แล้วยกกระเป๋าเป้และของที่ซื้อมาจากตลาดน้ำเดินตามพี่นนขึ้นบันไดไป


   บ้านพี่นนเป็นบ้านไม้ทรงไทยเหมือนที่ผมเคยเห็นในหนัง แต่มันไม่ได้ใหญ่โตขนาดนั้นแต่ก็คงราคาสูงน่าดู ผมเดินเข้าประตูไม้เข้าไปก็พบกับลานไม้ตรงกลางที่แบ่งครึ่งระหว่างห้องไม้สองห้อง ไม่นึกสงสัยเลยว่าทำไมพี่นนถึงไม่ขายบ้านหลังนี้ไปเพราะตั้งแต่ผมเข้าในบ้านหลังนี้มาพี่นนก็ดูเศร้าลงไปเยอะ อาจจะเป็นเพราะบ้านหลังนี้คงเต็มไปด้วยความทรงจำของครอบครัวเขา


“บ้านพี่มีศาลาริมน้ำด้วยอะ” ผมพูดทำลายความเงียบที่เกิดขึ้นและเดินไปจนสุดลานเพื่อมองดูหลังบ้านที่ติดกับแม่น้ำและมีศาลาเล็กอยู่ตรงนั้น

 
“แถวนี้มีกันทุกหลังล่ะครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่จะพาไปนะ” ผมพยักหน้าแล้วเดินตามพี่นนไป เขาหยุดเดินระหว่างกลางทางเดิน แล้วมองไปห้องด้านขวาสักพักแล้วหันมาบอกผม “ฝั่งนี้เป็นห้องพ่อแม่พี่ ส่วนฝั่งซ้ายเป็นห้องพี่”


“โอเค” ผมว่าแล้วเดินตามพี่นนไปยังห้องที่อยู่ด้านซ้าย พอเปิดประตูเข้าไปก็เห็นฟูกนอนสีขาวขนาดใหญ่วางอยู่ชิดกำแพงด้านซ้าย ด้านขวาเป็นตู้เสื้อผ้าและโต๊ะเขียนหนังสือของพี่นน ตามพนังไม้ก็มีรูปโปสเตอร์การ์ตูนแปะอยู่ประปราย ผมหยิบกรอบรูปที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาดู พี่นนใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวทรงผมยาวระต้นคอทำเอาผมรู้สึกแปลกๆ ที่ได้เห็น


“ตอนนั้นพี่อยู่มหาลัย”


“อ่อ ตอนนี้หล่อกว่าอีกอะ”


“หึ” พี่นนขำแล้วปิดตู้เสื้อผ้าลง หลังจากเอาเสื้อผ้าทั้งของตัวเองกับของผมใส่ไว้เรียบร้อย “นี่ชุดนอนครับ”


“ขอบคุณครับ”



“ไปอาบน้ำได้แล้ว” พี่นนว่ายิ้มๆ เหมือนกับเจอเรื่องสนุก “ห้องน้ำอยู่ด้านล่างนะครับ”


“พี่นน...” ผมมองหน้าพี่นนอย่างหวาดๆ แค่คิดว่าต้องฝ่าความมืดลงไปคนเดียวผมก็ขนลุกวาบแล้ว “ไปเฝ้าจิงหน่อยนะ”


.


.



“พี่นน”


“ครับ”


“ห้ามไปไหนนะ”


“รู้แล้วครับ หึ”


“ห้ามขำ!”


“ครับๆ”


   ผมมองค้อนให้กับประตูไม้ราวกับว่ามันเป็นพี่นน แล้วรีบถอดเสื้อผ้าเพื่อที่จะอาบน้ำ ถึงบ้านพี่นนจะไม่ได้เก่ามากเพราะมีป้าพาช่วยดูแลตลอด แต่บ้านที่ไม่มีใครอยู่ก็ทำผมรู้สึกวังเวงจนใจหาย ยิ่งนึกถึงห้องตรงข้ามกับพี่นนแล้วยิ่งขนลุก ถึงผมจะมาฝากตัวกับท่านแต่ผม...ผมก็กลัวอยู่ดี ฮือ ยิ่งมาอยู่ในห้องน้ำคนเดียวเงียบๆ ยิ่งขนลุก ผมจะล้างหน้ายังไงเนี่ย ไม่อยากหลับตาเลย


ซ่า ซ่า ซ่า


“พี่นน”


“...” ความเงียบที่ได้รับกลับมาทำเอาผมใจหาย


“พี่นน!” ผมรู้สึกไม่ดีจนต้องปิดฝักบัวเพื่อเรียกเขาอีกแล้ว “พี่นน! ไม่เล่นงี้นะ พี่นน”


“ครับ” ผมสะดุ้งเพราะเสียงทุ้มที่ได้ยินดังขึ้นด้านหลังผม ซึ่งมันใกล้จนผมขนลุกและผมก็ตัดสินใจหันไปมอง


“เฮ้ย พี่นน” ผมตกใจที่พี่นนยืนเปลือยมองผม ผมสบสายตาเบื่อโลกที่กำลังจ้องมองผมไปทั้งตัว ด้วยความงุนงง แต่กว่าจะนึกได้ว่าตัวเองยังเปลือยเปล่าเหมือนกัน ก็ไม่ทันคนมือไวที่ดึงเอวผมไปกอดไว้แล้ว “อะไรของพี่เนี่ย”


“ก็จิงกลัว พี่เลยมาอาบเป็นเพื่อน” ถึงจะพูดแบบนั้นแต่สายตาวิบวับนี่ก็ทำผมรู้ถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของเขา


“ไม่เอา อื้ม” แต่คำปฏิเสธของผมไม่เคยสำเร็จเลยสักครั้ง


   ในตอนแรกผมปฏิเสธสัมผัสร้อนที่ช่วงชิงลมหายใจผมไป แต่แล้วความวาบหวานก็ทำให้ผมพ่ายแพ้ เผลอจูบตอบคนตัวสูงกว่าด้วยความรู้สึกต้องการ เอื้อมมือไปโอบลำคอเขาไว้ พยายามเขย่งยืนให้ริมฝีปากเราสัมผัสใกล้กันอีก


“อื้อ” ผมครางตอบรับ ตอนที่มือใหญ่บีบเคล้นสะโพกผมด้วยความแรงเท่าที่ใจเขาต้องการ


“อืม” ผมหลับตาแน่นตอนที่นิ้วใหญ่พยายามเบิกช่องทางด้านหลังอย่างไร้สารหล่อลื่นอย่างเคย


“อะ เจ็บ” ผมผละจูบออกมาบอกคนตัวสูง


“ไหวไหม” พี่นนถามตอนป้ายน้ำลายเข้าไปช่วย มันเข้าได้ลึกขึ้นแต่ยังเจ็บ ผมเม้มปากเพราะส่วนหน้าผมโดนมือใหญ่ปลุกเร้าจนหัวสมองผมเริ่มมึนงงและความเจ็บจากด้านหลังที่ได้รับก็เริ่มกลายเป็นความเสียวเมื่อไปโดนบริเวณหนึ่ง


“วะ ไหว” ที่สร้างความสุขสมได้เหมือนกัน “อ่า พี่นน”


“รัดแน่นจัง คนเก่ง” พี่นนกระซิบข้างหูตอนที่สามนิ้วของเขาหายเข้าในช่องทางนั้น ผมหอบตัวโยนและขาสั่นจนยืนแทบไม่ไหว พี่นนขยับมือทั้งสองข้างไม่หยุด จนผมต้องจับไหล่เขาไหวเมื่อเริ่มจะทรงตัวไม่อยู่


“อะ จิงไม่ไหว” ผมบอกไปตามความจริงเมื่อทั้งข้างหน้าและหลังโดนกระตุ้นพร้อมกัน ไม่ช้าผมก็ปลดปล่อย “อ๊า”


“คนเก่งของพี่” พี่นนพูดแล้วนำน้ำรักของผมไปถูส่วนนั้นของตัวเอง ก่อนจะพลิกตัวผมให้เกาะผนังห้องน้ำเอาไว้และค่อยๆ กดส่วนนั้นเข้ามา


“อื้อ” ผมพยายามกลั้นเสียง แม้เราจะมีอะไรกันหลายครั้ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เราไม่ได้ป้องกัน มันทำให้ใจผมรู้สึกปั่นป่วนกว่าเดิม ความใหญ่โตที่แสนร้อนแทรกเข้ามาจนขาผมสั่นกว่าเดิม สั่นจนแทบยืนไม่ไหว “อ๊ะ พี่นน”


“คนเก่ง จุ๊บ” พี่นนจูบลงไปกลางหลังผมและเอื้อมมือมาชักนำผมข้างหน้าอีกครั้ง ความวาบหวามพุ่งขึ้นมา จนผมเคลิบเคลิ้มและหายกร็งแต่แล้วก็ถูกแทนที่ด้วยความเจ็บเพราะแก่นกายที่แทรกเข้ามาจนสุด “อะ อ๊ะ พี่นน”


“ชู่”


ซ่า ซ่า ซ่า


“อ๊ะๆ” ผมกระตุกเพราะความเจ็บ พี่นนแช่อยู่แบบนั้นสักพัก แล้วเริ่มบรรเลงเพลงรัก ผมร้องครางด้วยความเจ็บในตอนแรกแต่แล้วความเจ็บได้กลายเป็นความสุขสม เมื่อพี่นนขยับเข้าออกโดนบริเวณที่ผมรู้สึก เสียงน้ำจากฝักบัวกลบเสียงร่วมรักของเราได้ดี แต่คนตัวโตกว่าก็โน้มตัวมาครางใกล้หูให้ผมได้ยิน


“จิง คนเก่งของพี่ อืม”


“อา” ผมหอบหนักเพราะความเสียวซ่านที่ได้รับจากทั้งหน้าและหลัง ไม่ช้าผมก็กระตุกปลดปล่อยออกมาเป็นครั้งที่สอง “อ๊า แฮ่กๆๆ พี่นน”


“อืม” ผมเกาะกำแพงไว้ท่าเดิมรองรับแรงกระแทกอย่างแรงจากด้านหลังที่โหมกระหน่ำไม่หยุด พี่นนบีบสะโพกผมแรงขึ้นพร้อมกับเร่งความเร็ว ตัวผมสั่นคลอนไปทั้งตัว ผมหลับตาแน่นเพราะเริ่มจุกและเริ่มรู้สึกวาบหวานขึ้นมาอีกครั้งและแล้วเขาก็กระตุกเกร็งปลดปล่อยน้ำร้อนๆ เข้ามาในช่องทางของผม “อ่า”


   พี่นนฟุบตัวมากอดผมจากด้านหลังทั้งที่ส่วนนั้นยังคงเชื่อมต่อกัน เสียงหอบของเราทั้งสองดังประสานกับเสียงน้ำไหล พี่นนจูบแก้มผมเบาๆ แล้วถอดถอนส่วนนั้นออก ผมสัมผัสได้ถึงของเหลวที่ไหลออกมายังต้นขาและความชาที่เกิดขึ้นบริเวณนั้น หน้าผมร้อนฉ่าและไม่กล้าขยับตัวเพราะกลัวจะเจ็บ แต่เหมือนพี่นนจะรู้เลยจับผมให้หันหน้าไปหาเขา

“เจ็บใช่ไหม”


“อือ แต่ไม่เป็นไร”


“คนเก่ง”


“แน่นอน “ ผมยิ้มทะเล้นให้พี่นน แล้วพยายามเขย่งขาที่สั่นเหมือนเจ้าเข้าไปจูบปากเขาอย่างเบาๆ


“เดี๋ยวพี่ล้างให้”


“อะ” ผมสะดุ้งเพราะมือใหญ่ที่วาลงบนสะโพกตัวเองและครางออกมาตอนที่นิ้วใหญ่ลูบเบาๆ ตรงบริเวณช่องทางนั้นและกดลงมา “อือ”


“อีกรอบนะครับ”


“อ๊ะ พี่นน”


ซ่า ซ่า ซ่า


   
   
   


************************************
ไม่รู้ไม่ชี้เป็นฝักบัว
TBC

หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 24 (03/06/62) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: gigibabe ที่ 03-06-2019 17:16:29
ตอนที่ 24 ทำบุญตักบาตร




"จิง"


"อือ" ผมครางในลำคอและพยายามเปิดเปลือกตาอย่างยากลำบากหลังจากได้ยินเสียงทุ้มที่ดังใกล้ใบหู พอลืมตาได้ก็พบกับคนที่นอนตะแคงจ้องมองผมอยู่ พอได้สบตากันอย่างจริงจังเรื่องเมื่อคืนก็ไหลเข้ามาจนผมรู้สึกร้อนที่ใบหน้า ผมเสมองไปทางอื่นแทนเพื่อจัดการกับความเขินของตัวเองและพอตั้งสติได้ก็เพิ่งนึกได้ว่าวันนี้เรามีนัดกัน "...ตักบาตร"


"ครับ" พี่นนพูดแล้วลุกขึ้นนั่งแต่ก็ยังไม่หยุดมองผม "อีกสิบห้านาทีพระท่านจะมาถึง"


"งั้น...” ผมลุกขึ้นนั่งตามบ้างแต่ความเจ็บที่แล่นเข้ามาก็ทำเอาผมชะงักไป


“ลุกไหวไหม"


   เสียงทุ้มที่ผมคุ้นเคยเหมือนตอกย้ำกัน ภาพเมื่อคืนย้อนกลับมาอีกครั้งทำเอาผมหน้าร้อนไปหมด มองคนข้างกายที่ใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วก็เหลือบมองตัวเองที่ใส่เสื้อผ้าครบชิ้นเหมือนกัน ทั้งที่เมื่อคืนผมหลับไปอย่างโป๊ๆ ก็คงเป็นฝีมือของพี่นนนั่นล่ะที่ใส่ให้ผม โอ๊ย ผมเขินกว่าเดิมอีก


"ไหวๆ" ผมบอกพร้อมพยักหน้าลวกๆ ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน พอเห็นผมจะลุกพี่นนก็เข้ามาประคองกันเหมือนผมเป็นผู้หญิงท้องแก่ กำลังจะเอ่ยแซวแต่ความเจ็บที่สะโพกก็เอาผมพูดไม่ออกและเผลอส่งเสียงร้องให้คนที่ช่วยประคองได้ยิน "โอ๊ย"


"เจ็บมากไหม" พี่นนพูดเสียงหงอย แล้วกอดผมไว้หลวมๆ เมื่อผมลุกยืนสำเร็จ "ขอโทษ นอนพักไหม พี่ไปคนเดียวได้"


"ไม่เอา จิงอยากไปด้วย" ผมว่าแล้วเงยหน้าจากอ้อมกอดนี้ สบตากับคนที่มอบความอบอุ่นให้กัน "รีบไปกันเถอะ"


   ผมรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เป็นชุดที่เรียบร้อยกว่าเสื้อกล้ามตัวใหญ่กับบ็อกเซอร์ย้วยๆของตัวเอง แล้วเดินตามคนตัวสูงลงมาข้างล่าง ตกใจเล็กน้อยตอนที่เจอป้าพานั่งอยู่ใต้ถุนบ้านพร้อมของที่จะนำไปใส่บาตรหลายอย่างที่วางอยู่ในถาด


   ผมยิ้มรับตอนที่ป้าพายิ้มให้ พี่นนเอ่ยขอบคุณและยกถาดนั้นมาถือไว้ แล้วหันมาบอกผมให้เดินตามกันไป ในตอนแรกผมนึกว่าเราจะไปวัดกัน แต่พี่นนกลับพาผมเดินไปที่ศาลาริมน้ำที่ผมเห็นเมื่อวานนี้แทน


“จิงนึกว่าเราจะไปที่วัดซะอีก” ผมพูดขึ้นมาตอนที่พี่นนนั่งลงที่ม้านั่งในศาลานี้ พอพูดจบผมก็นั่งลงข้างพี่นนและมองไปรอบๆ อย่างสนใจ


“เดี๋ยวไปช่วงสายกว่านี้ครับ ตอนนี้ตักบาตรกันก่อน”


“อือ” ผมพยักหน้าและมองไปที่แม่น้ำที่สงบนิ่ง เรานั่งรอกันได้ไม่นานก็เห็นเรือลำหนึ่งพายเข้ามาใกล้ พี่นนยืนขึ้นและยกถาดขึ้นเหนือหัว


“มาอธิษฐานเร็วครับ”


“อือ” ผมว่าแล้วแตะแขนคนที่ยืนข้างกันแล้วหลับตาอธิษฐาน


"นิมนต์ครับ"


   เราเดินลงไปที่บันไดที่ยื่นออกไปเพื่อใส่บาตรด้วยกัน นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้ใส่บาตรกับพระที่พายเรือมาแบบนี้ ผมตั้งใจใส่บาตรและจำทุกรายละเอียดไว้ทั้งหมดด้วยความสนใจ แต่แล้วในตอนที่เรานั่งคุกเข่ารับพรจากพระ บางอย่างที่อยู่บนมือผมก็ดึงดูดความสนใจผมไปหมด จนกระทั่งเราเดินกลับมาจากศาลาแล้ว’สิ่งนั้น’ก็ยังคงอยู่ในความคิดผมตลอด


“อาบน้ำก่อนเลยนะ เดี๋ยวพี่ไปหาป้าพาก่อน แล้วเราค่อยไปกินข้าวกัน”


“…พี่นน”


“ครับ” พี่นนหันมามองผมที่นั่งลงกับฟูกนอนนุ่มนิ่ม


“นี่มัน...” ผมว่าเสียงเบาแล้วยกมือซ้ายขึ้นมา “...อะไร”


“จิง” พี่นนเรียกผมเสียงเบาก่อนจะนั่งลงบนพื้นตรงข้ามกับผม ดึงมามือข้างนั้นของผมไปจูบ พี่นนจูบลงบน’สิ่งนั้น’ที่นิ้วนางข้างซ้ายของผม “นี่เป็นแหวนของแม่พี่”


“...”


“แม่บอกให้พี่เก็บไว้ให้กับคนที่พี่รัก” ใบหน้าที่เบื่อโลกเสมอค่อยๆ ยิ้มให้ผม “ชอบไหม”


“พี่นน...” ผมบีบมือใหญ่แน่นด้วยใจที่บีบรัด “ชอบมากเลย”


“ดีใจจังครับ”


“ขอบคุณครับ” ผมดึงมือใหญ่มารองที่แก้มของตัวเองแล้วหลับตาลง ภาวนาให้คำอธิษฐานของผมเป็นจริง


ขอให้เราได้อยู่ด้วยกันตลอดไป




.



.


   ผมมองคนที่นั่งซ้อนท้ายกันผ่านกระจกมองข้าง ใบหน้าที่ผมมองว่าน่ารักมองไปข้างทางอย่างสนใจ มือเล็กที่กำเสื้อผมไว้ที่เอวทำเอาผมใจเต้นเหมือนเด็กๆ ตั้งแต่อยู่กับเขาเหมือนผมจะเด็กลงไปอีกหลายปีเลย ผมขำกับความคิดตัวเองแล้วเลี้ยวรถเข้าวัดที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านของผมเท่าไหร่นัก


“วัดเงียบมากเลยอะ”


“วัดก็ต้องเงียบสิครับ”


“เออ จริงด้วย” จิงพยักหน้าขึ้นลงอย่างเห็นด้วยจนผมนิ่มสะบัดไปด้วย ผมยิ้มแล้วรีบเดินนำคนตัวเล็กไปอีกด้านหนึ่งของวัดทันที กลัวความคิดอกุศลของตัวเองจะผุดขึ้นมาเพราะเรื่องเล็กน้อยที่น่ารักมากๆ ของเขา


“ถึงแล้วครับ”


   ผมว่าแล้วมองไปที่เจดีย์บรรจุอัฐิของพ่อกับแม่ของผมไว้ มันดูเก่าลงกว่าปีที่แล้วที่ผมมาเล็กน้อย แต่มันไม่ได้เศร้าเหมือนปีที่แล้ว ไม่ใช่สิ ผมต่างหากที่ไม่ได้ว่างเปล่าและเต็มไปด้วยความเศร้าเหมือนปีที่แล้ว


“สวัสดีครับ” เพราะผมมีเขาแล้ว คนคนเดียวที่ยึดผมไว้กับโลกใบนี้ คนที่กำลังประหม่าและทำตัวไม่ถูก “เอ่อ...”


   ผมหันไปมองคนที่เพิ่งยกมือไหว้พ่อกับแม่ผม จิงเดินมาหยุดยืนข้างผมและขยับมายืนจนแขนเราชิดกัน มือเล็กประสานเข้าหากันด้วยความประหม่า ผมสังเกตเห็นนิ้วเล็กที่ลูบแหวนสีทองเรียบที่อยู่บนนิ้วนางของเขาอย่างพอดิบพอดี จิงเม้มปากและมองไปที่เจดีย์อย่างแน่วแน่จนผมรู้สึกสงสัยว่าเขาคิดอะไรอยู่กันแน่


“ขอบคุณครับ”


“...” ผมเลิกคิ้วที่ได้ยินแบบนั้นและผมก็ไม่คิดเลยว่าเขาจะพูดอะไรแบบนี้ออกมา


“ขอบคุณที่ทำให้โลกนี้มีพี่นน” ผมมองใบหน้าขาวที่ขึ้นสีแดงขึ้นมาระเรื่อที่พวงแก้มนิ่มด้วยความเอ็นดู “ต่อไปนี้ผมจะดูแลพี่นนเองครับ”


“หึ” ผมอดที่จะขำออกมาไม่ได้ที่เห็นจิงในมุมแบบนี้ จิงน่ารักและถ้าพ่อกับแม่ยังมีชีวิตอยู่ก็คงได้เห็นความน่ารักของเขา ผมเอนตัวไปพูดเสียงเบาใกล้ๆ เขา ให้ได้ยินกันแค่สองคน “เหมือนกันครับ”


“...อือ” ผมมองคนที่เปลี่ยนดอกไม้ในแจกันและวางพวงมาลัยลงที่ฐานเจดีย์ ผมมองรูปพ่อกับแม่สักพักและมองแผ่นหลังเล็กที่นั่งคุกเข่าพนมมือไหว้ด้วยความรู้สึกบีบรัดที่อก พ่อกับแม่คงรับรู้ใช่ไหมครับ รับรู้คำอธิษฐานของผมใช่ไหม คำอธิษฐานที่ผม…


อยากอยู่กับเขาคนนี้ ไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ของผม



.



.




   ไม่รู้ทำไมหลังจากที่เรากลับจากวัด เราคุยกันน้อยลง เรานั่งกินข้าวด้วยกันสองคนท่ามกลางความเงียบ กับข้าวที่ป้าพาเตรียมไว้ให้นั้นอร่อยมากแต่ความรู้สึกบางอย่างในอกของผมกลับทำให้ผมกินได้น้อยลง


“จิงไปนั่งเล่นที่ศาลานะ” ผมว่าแล้วยกจานข้าวของตัวเองไปล้างโดยไม่รอฟังคำตอบของคนที่นั่งตรงข้ามกัน ไม่แม้จะสบตากัน


   ลมเย็นพัดมาจนผมหน้าม้าของผมปลิวไปตามสายลม เส้นผมของผมคงพันกันยุ่งเหยิงไม่ต่างจากความรู้สึกของผมในตอนนี้ที่มันช่างซับซ้อนเหลือเกิน ผมหลับตาลงเอนตัวพิงกับพนักของม้านั่ง ทั้งที่ทุกอย่างสว่างชัดเจนแต่ผมกลับเลือกที่จะหลับตาให้ทุกอย่างมืดลง


ผมกลัว...กลัวความรักครั้งนี้เหลือเกิน


“เรากลับกันสักสี่ห้าโมงดีไหม” เสียงทุ้มดังขึ้นข้างกายพร้อมกับแรงจากมือใหญ่ที่สางเส้นผมของผมอย่างเบามือ ผมลืมตาแล้วมองคนที่ยังคงวางมือไว้บนหัวผมอยู่แบบนั้น พี่นนไม่ได้จ้องมองผมเหมือนเมื่อเช้า เขามองไปข้างหน้า มองไปที่สายน้ำที่นิ่งสงบ


“...”   


“ว่าไง หรืออยากกลับแล้วครับ” มือใหญ่ละออกไปและวางลงบนตักตัวเอง


“ตอนนี้...” ผมก้มหน้าลงมองมือตัวเองที่วางอยู่บนตัก มองแหวนวงนั้น “จิงมีความสุขมากเลย”


“...”


“จิงมีความสุขได้ก็เพราะพี่” ผมลูบแหวนไปมาแล้วหันไปมองคนข้างๆ


“...” พี่นนเงียบไปแล้วย้ายสายตาเบื่อโลกมาสบตากับผม


“แค่มีพี่จิงก็จะผ่านเรื่องทุกอย่างไปได้” ผมยิ้มแล้วมองไปในตาคู่นั้น ที่เศร้าลงไปกว่าเดิมหลังจากที่เรากลับจากวัด ผมรู้ว่าพี่นนอ้างว้างและว่างเปล่าแค่ไหน...เราเหมือนกันตรงนี้


“…”


“เราจะผ่านไปได้ จิงเชื่อแบบนั้น”


”ถ้าไม่มีพี่” ในที่สุด...พี่นนก็พูดสิ่งที่เราหวาดกลัวออกมา “จิงก็ต้องอยู่ให้ได้ ต้องผ่านไปให้ได้นะครับ”


“จิงจะอยู่ให้ได้” ผมรับปากอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก “แต่ก็คงผ่านไปแบบไม่มีความสุข”


“เหมือนกันเลยครับ” พี่นนดึงมือผมไปจับไว้แล้วมองแหวนนั้นครู่หนึ่ง ก่อนจะสบตาผมอีกครั้ง “รู้ไหม พี่ไม่เหลือใครแล้ว พี่เหลือแค่จิง”


“...” ผมเม้มปากแน่นมองแววตาที่เศร้าลงด้วยความรู้สึกเจ็บปวด


“ถ้าจิงรักพี่ จิงต้องรักตัวเองนะ”


“พี่ด้วย” ผมพูดแล้วบีบมือใหญ่ไว้แน่น “ถ้ารักจิง ก็ต้องรักตัวเองนะ”


“...”


“พี่บอกให้จิงรักตัวเอง พี่อยากให้จิงมีชีวิต” ผมว่าเสียงสั่น “พี่ก็ต้องทำเหมือนกันนะ เพราะพี่คือคนสำคัญของจิง พี่มีความหมายกับจิงมากๆ นะ แล้วจิงก็อยากให้พี่มีชีวิตต่อไปเหมือนกัน”


“เข้าใจแล้วครับ”


   พี่นนยิ้มแล้วกระชับมือของเราให้แน่นกว่าเดิม เราต่างมองกันด้วยความกลัว กลัวความรักในครั้งนี้ กลัวว่าจะรักษามันไว้ไม่ได้ ความรักที่แสนล้ำค่าของพวกเรา เราจะรักษามันไว้ได้ใช่ไหม มันจะหายไปราวกับสายลมเหมือนความรักที่เราเคยพบเจอหรือเปล่า มันจะทำร้ายเราให้เจ็บปวด ว่างเปล่าและบีบรัดเราให้แตกสลายเหมือนเดิมไหม


“เราจะตายไปพร้อมกันใช่ไหม”


“ครับ”


   ผมยิ้มหลังจากได้ยินคำตอบรับนั้น แล้วแรงที่กระชับเข้าหากันก็ลดผ่อนลง เหมือนกับเราว่ายน้ำในมหาสมุทรกว้างใหญ่เพื่อตามหาฝั่ง มันช่างมืดมน ท้อแท้ เหน็ดเหนื่อย เราหากันมาไกลเหลือเกิน ในที่สุดตอนนี้เราก็ถึงฝั่งนั้นสักที เราหอบเหนื่อยกับการหาฝั่งกันสักพักและล้มตัวนอนลงข้างกัน ในที่สุดก็ได้หยุดพักและได้พบกับความรักจริงๆ สักที


ไม่ว่าจะเป็นยังไง ผมก็จะรัก จะรักให้สมกับที่ได้พบเจอ

ได้เป็นครึ่งหนึ่งของกันและกัน

ได้อยู่เคียงข้างกันแบบนี้


แค่นี้ก็เพียงพอให้ความกลัวทั้งหมดของผมหายไปแล้ว




.



.




   ผมมองใบหน้าน่ารักที่ค่อยๆ หันมองไปข้างหน้า จิงมองไปยังสายน้ำด้านหน้าเหมือนกันกับผม เราต่างปล่อยความคิดไปเรื่อยๆ พร้อมกับแรงบีบมือที่ลดน้อยลง เราปล่อยให้ความเงียบทำหน้าที่ของมัน ปล่อยให้สายลมพัดผ่านเราไป ปล่อยทุกความกลัวของเราให้ลอยหายไปด้วย


   มือของเราเกี่ยวมือของกันและกันไว้ ไม่ได้จับไว้แน่นแต่ก็ไม่ได้ปล่อยออกจากกัน สัมผัสในครั้งนี้มันเต็มไปด้วยความรักที่เราสัมผัสได้โดยไม่ต้องพยายาม เราไม่ได้กระชับหากันด้วยความรู้สึกโหยหาความรู้สึกรัก เพื่อมาเติมเต็มความรู้สึกว่างเปล่าแบบที่เราทำมาตลอดอีกแล้ว ช่องว่างที่กลวงโบ๋ในใจของเราถูกเติมเต็มได้โดยแค่เรานั่งอยู่ข้างกัน ไม่ต้องมีคำพูดอะไรสำหรับเราแล้ว



“กลับตอนเย็นก็ดีเหมือนกันนะ” รอยยิ้มน่ารักส่งมาให้ผมอีกครั้ง ก่อนเขาจะเอนตัวลงพิงกับพนักม้านั่ง แววตาที่เปี่ยมไปด้วยความสุขของเขาทำผมยิ้มได้เป็นอีกครั้งของวัน “เรามานอนกันสักงีบดีกว่าเนอะ”


“ครับ”


   ผมมองใบหน้าน่ารักที่ค่อยๆ หลับตาลง จิงดูสดใสและเข้มแข็งขึ้นมากจากวันแรกที่ได้เจอกัน จริงๆ แล้ว เขาดูดีกว่าตอนที่เคยเจอกันเมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ด้วยซ้ำ...แบบนี้ถือว่าผมทำสำเร็จแล้วรึเปล่านะ








******************************************
TBC

หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 24 (03/06/62) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: KK ก้านแก้ว ที่ 03-06-2019 23:51:21
รอ :katai5: :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 25 (04/06/62) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: gigibabe ที่ 04-06-2019 22:03:53

ตอนที่ 25 ก๊อกๆๆ



   

“ระหว่างรอรับปริญญา จิงจะสมัครงานไว้หลายๆ ที่เลย” ผมพลิกตัวนอนตะแคงข้างแล้วมองใบหน้าพี่นนที่มองผมอยู่ก่อนแล้ว
 

   ผมยิ้มตอนที่เราสบตากัน ใบหน้าเขายังคงไร้อารมณ์เหมือนวันแรกที่เราเจอกัน น่าตลกดีที่ไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้เราวางแผนที่จะฆ่าตัวตายไปด้วยกัน ถึงต่อให้เป็นความตั้งใจของเขาที่จะเปลี่ยนการตัดสินใจของผมแต่การเริ่มต้นของเราสองคนนั้นก็น่าตลกอยู่ดี


“ดีแล้วครับ”


“อือ” ผมครางในลำคอตอนที่พี่นนกอดผมและผมการซุกหน้าลงไปที่อกเปลือยเปล่าของคนตัวใหญ่กว่า ผิวเปลือยเปล่าของเราสัมผัสกัน มันช่างร้อนรุ่มและทำเอาใจผมเต้นแรงอีกครั้ง “จิงว่าจะขอป๊ามาอยู่กับพี่”


“อันนี้พี่ไม่เห็นด้วย”


“อื้อ” ผมหงุดหงิดคนที่ว่าผมเสียงดุเลยผลักไหล่พี่นน แล้วขึ้นไปนอนทับตัวเขาไว้ด้วยความหมั่นไส้ที่ขัดใจผม


“ทำไมลูกหมาตัวนี้หนักจังนะ” พี่นนพูดหยอกล้อผมแล้วบีบสะโพกผมแรงๆ ส่วนผมก็ตอบรับด้วยการจูบลงไปบนปากบางนั้นแรงๆ เช่นกัน ผมผละออกมาจ้องเขาเชิงท้าทาย ส่วนพี่นนถอนหายใจเหมือนยอมแพ้แล้วพูดต่อ “พี่พูดจริงๆ นะ จิงอยู่กับป๊าน่ะดีแล้ว”


“ไม่เอา” ผมซุกหน้าลงกับซอกคอพี่นนอย่างเอาแต่ใจ


“เสาร์อาทิตย์เราค่อยเจอกันแบบนี้ก็ได้ไงครับ โอเคไหมครับ”


“อือ”


“ถ้าจิงมาอยู่นี่ ใครจะคอยดูแลป๊าล่ะ”


“อือ โอเค” ทั้งที่ก็เข้าใจว่าควรจะทำอะไร เข้าใจว่าเราต่างมีหน้าที่ แต่อาการคิดถึงและโหยหาแบบนี้ก็ทำเอาผมจะเป็นบ้ามาแล้วทั้งสัปดาห์ บางทีผมอาจจะอยู่ในช่วงโปรโมชั่นอย่างที่เคยอ่านเจอมาก็ได้


“ไปอาบน้ำกันครับ”


“อือ” ผมว่าอย่างยอมแพ้ ถ้าหมดโปรเมื่อไหร่ผมจะเล่นตัวให้ดู แต่ตอนนี้ขออ้อนเยอะๆ หน่อยแล้วกัน “อุ้มหน่อย”


“หึ ลูกหมา” ผมมองคนที่ลูบหัวผมเล่นไปมา เขาชอบทำเหมือนผมเป็นเด็กๆ ก่อนหน้านี้ก็คงใช่ ตอนที่ผมไม่ยอมเข้าใจอะไร แต่ในตอนนี้ผมยอมโตแล้ว ผมยอมมองโลกใหม่ พยายามมีชีวิตก็เพราะเขา คนที่ลูบหัวผมไปมาเหมือนปลอบเด็กน้อยอยู่คนนี้


“บ๊อก บ๊อก” แต่ผมก็ชอบเป็นเด็กน้อยของเขามากๆ เลย


.




.




“อย่อย”


“เคี้ยวให้หมดแล้วค่อยพูดสิครับ” ผมว่าคนที่นั่งกินราดหน้าอยู่ตรงข้ามกัน หลังจากที่อาบน้ำกันเสร็จ ผมก็เดินลงไปซื้อราดหน้ามาให้ลูกหมาที่หิวโหยเพราะโดนผมสูบพลังไปจนหมด


“ก็มันอร่อย” ลูกหมาเถียงผมก่อนจะตักราดหน้าคำโตเข้าปากแล้วเคี้ยวจนแก้มตุ้ย ยิ้มตาหยีจนผมนึกอยากแกล้งแย่งราดหน้ามากินเอง แต่พอเห็นเขากินอย่างมีความสุขขนาดนี้ผมก็ไม่กล้าแกล้งแล้วล่ะครับ “พี่นนไม่หิวเหรอ”


“ไม่ครับ กินจิงจนอิ่มแล้ว”


“เหอะ” จิงย่นจมูกใส่ผมก่อนจะก้มหน้าก้มตากินราดหน้าต่อ โดยทิ้งท้ายคำพูดน่าหยิกไว้ “ขอให้คืนนี้ปวดเอว”


“ฮ่าๆ” ส่วนผมก็หัวเราะมีความสุขที่ได้แกล้งเขาแบบนี้ ผมมองคนที่กินอย่างมีความสุขอีกครั้ง ...อยากให้เรามีแต่ความสุขแบบนี้ตลอดไป



.



.




ครืด ครืด


   โทรศัพท์ของพี่นนที่วางอยู่บนเตียงสั่นขึ้นมาเรียกความสนใจของเราสองคน พี่นนลุกขึ้นไปหยิบมันขึ้นมาดูแต่ก็ไม่ได้รับสาย


“ทำไมไม่รับอะพี่” ผมถามออกไปด้วยความสงสัย


“เบอร์ไม่รู้จักน่ะครับ” พี่นนตอบผมด้วยหน้านิ่งๆ แล้วนั่งลงบนเตียง


“อ่อ” ผมพยักหน้าเข้าใจก่อนจะหันมากินราดหน้าต่อ


“จิง”


“อือ” ผมตอบกลับแต่ไม่ได้หันไปมองคนที่นั่งบนเตียงเพราะมัวแต่สนใจราดหน้าเจ้าเก่าที่ผมไม่ได้กินมาเกือบเดือน “มีอะไรพี่”


“เปล่า”


ครืด ครืด


“สวัสดีครับ”


   ผมหันไปมองพี่นนที่ถือโทรศัพท์ไว้แนบหูแล้วเดินเปิดประตูออกไปที่ระเบียงห้อง ในตอนที่เขาหันมาปิดประตู เราสบตากัน ไม่รู้ทำไมใจผมถึงกระตุกแปลกๆ ผมรีบหลบสายตาแล้วหันหน้าหนีเขา เวลาผ่านไปจนผมกินราดหน้าหมด พี่นนก็ยังคุยไม่เสร็จจนผมนึกสงสัยและหันไปมองแผ่นหลังกว้างที่ออกไปคุยโทรศัพท์ข้างนอกระเบียงอีกครั้ง


   ผมปลอบตัวเองว่าไม่มีอะไร ผมจะไม่เชื่อสัญชาตญาณงี่เง่าของตัวเอง จนกระทั่งตอนที่เราเข้านอนแล้ว ผมกอดแขนพี่นนไว้ด้วยความเคยชิน แต่ในตอนที่ผมกำลังจะเคลิ้มหลับไป ท่ามกลางความเงียบและมืดมิด โทรศัพท์พี่นนก็มีสายเข้ามาอีกครั้ง


ครืด ครืด


“สวัสดีครับ” เสียงทุ้มพูดประโยคเดิมแล้วเดินไปที่ระเบียง ปิดประตูกระจกทิ้งผมไว้ในห้องเพียงลำพัง ผมลุกขึ้นนั่ง แล้วจ้องมองแผ่นหลังนั้นอีกครั้ง ขอบตาผมร้อนผ่าวโดยไร้สาเหตุ จนกระทั่งประตูกระจกนั้นเลื่อนเปิด แล้วพี่นนก็เดินเข้ามา น้ำตาผมก็ไหลอาบแก้ม “จิง...ร้องไห้ทำไมครับ”


“ไม่รู้” ผมตอบเสียงเบาและทั้งตัวผมก็โดนโอบกอดไว้


“ไม่ร้องนะครับ”


“อือ” ยิ่งปลอบ ผมยิ่งน้ำตาไหลออกมาไม่หยุด ผมกลัว...ทั้งที่ความจริงมันอาจจะไม่มีอะไรเลยก็ได้ “ขอโทษที่จิงงี่เง่า”


“ไม่เป็นไรครับ” เสียงทุ้มพูดอยู่ข้างหูและลูบหัวผมอย่างปลอบโยน แต่พี่นนก็ไม่ได้บอกสิ่งที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้ “นอนกันเถอะนะ”


พี่นนกำลังปกปิดอะไรบางอย่างจากผม...



“อือ” ผมเอนตัวล้มลงนอน ยอมตกอยู่ในอ้อมกอดของเขา ทั้งที่ผมมีสิทธิ์ถามแต่ก็ไม่อยากทำ “พี่นน สัญญากับจิงได้ไหม”


“สัญญาอะไรครับ”


“วันจิงรับปริญญาพี่นนต้องไปนะ” ไม่รู้ทำไม ผมถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมา


“ครับ...สัญญา”


ครืด ครืด


“สวัสดีครับ” และเป็นอีกครั้ง ที่พี่นนทิ้งให้ผมนอนอยู่บนเตียงคนเดียว



.



.



   เช้าวันอาทิตย์ที่ควรจะสดใส เช้าวันอาทิตย์ที่ควรจะเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเรา มันควรจะเป็นอย่างนั้น แต่ในตอนนี้มันไม่ใช่เลย หลังจากที่เราสลับกันอาบน้ำ พี่นนก็เอาแต่นั่งเงียบอยู่บนเตียงโดยมีผมที่นั่งเงียบอยู่ข้างๆ ผมเจ็บปวดไปทั้งใจ สุดท้ายก็ทำได้แค่กอดเอวเขาไว้แล้วซบหน้าลงไหล่กว้างของคนที่ผมรัก


“เราเป็นแบบนี้เพราะอะไร พี่นนบอกจิงได้ไหม”


“...”


“เรารักกันไม่ใช่เหรอ จิงทำอะไรผิดไปเหรอ” ผมถามเขาเสียงสั่นแต่กลับไม่มีน้ำตาสักหยด “พี่นน”


“จิง” พี่นนยอมพูดกับผมแล้ว ผมควรจะดีใจแต่ใจผมกลับบีบรัดไปด้วยความกลัว “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พี่รักจิง”


“…”


 “พี่นน” ผมเรียกพี่นนแล้วประครองหน้าเขาให้หันมาสบตา พอได้สบตาแล้วผมก็ใจหาย ในแววตานั้นเต็มไปด้วยความเศร้าและความรู้สึกผิดที่ผมไม่เข้าใจ “พี่นนเป็นอะไร”


“พี่รักจิง” เขาว่าแล้วดึงผมเข้าไปกอด จมูกโด่งซบลงที่ซอกคอของผมพร้อมกับจูบลงมาเบาๆ


“...จิงก็รักพี่” ถึงจะยังไม่เข้าใจอะไรแต่ใจผมกลับหวาดกลัวไปหมด กลัวทั้งที่เรากำลังบอกรักกัน


“พี่รักจิง รักมาก”


“...” มันเป็นการบอกรักที่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนจะถูกบอกลา


ก๊อกๆๆ


   เสียงประตูดังขึ้นพร้อมกับอ้อมกอดจากพี่นนที่จากผมไป เขาเดินไปหยุดอยู่หน้าประตูที่ยังคงโดนเคาะไม่หยุด ผมเห็นเขาถอนหายใจหนึ่งครั้งแล้วหันมามองผม พี่นนมองผมนิ่งๆ แล้วพูดหนึ่งคำที่ทำผมชะงักไป


“ขอโทษ”


“...” ผมหลับตาลง สูดหายใจเข้าลึกๆ  เพราะได้ยินคำที่ไม่อยากได้ยิน


“สวัสดีครับ” นั่นคือประโยคคุ้นเคยที่ผมได้ยินในเมื่อวาน แต่ในตอนนี้พี่นนกำลังพูดกับคนที่ยืนอยู่ด้านนอก คนที่พี่นนเลือกที่จะทำร้ายผม แล้วไปเปิดประตูให้เขาเข้ามา พี่นนเปิดประตูออกให้กว้างขึ้น แต่ด้วยแผ่นหลังกว้างของพี่นนนั้นบดบังคนนั้นไว้ ผมก็เลยยังไม่รู้ว่าคนคนนั้นคือใคร พี่นนยกมือไหว้เขาแล้วพูดอีกครั้ง “สวัสดีครับ...เจ๊หงส์”


   ผมมองพี่นนที่หันกลับมามองผมด้วยแววตารูสึกผิดที่ผมไม่เข้าใจอีกครั้ง พี่นนก้าวถอยหลังเปิดทางให้คนนั้นเดินเข้ามาในห้องและทันทีที่คนนั้นเดินเข้ามา ทันทีที่ผมได้สบตากับคนคนนั้น ผมก็เข้าใจทุกอย่าง



“ม๊า…”






**************************************************
TBC


หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 26 (11/06/62) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: gigibabe ที่ 11-06-2019 23:06:30
ตอนที่ 26 มีชีวิต



 
          สัญญาณเตือนที่ผมได้รับมันช่างน้อยนิด น้อยจนทำให้ผมเข้มแข็งไม่พอที่จะรับมือกับสถานการณ์แบบนี้

 
“อาจิง” เสียงม๊าทำให้มือของผมสั่นเทาไปด้วยความกลัว

 
“...”ผมทำได้แค่เงียบแล้วมองม๊าเดินเข้ามาในห้อง ม๊าไม่เปลี่ยนไปจากปีที่แล้วเท่าไหร่นัก

 
“ม๊าจะพูดกับอาจิงดีๆ กลับไปกับม๊า” จริงๆ แล้ว ม๊าไม่เปลี่ยนไปเลย

 
“ไม่กลับ” และผมเองก็เช่นกัน

 
          ผมว่าแล้วยืนขึ้น เดินไปหยุดตรงหน้าพี่นนคนที่ผมรัก ผมมองจ้องพี่นนที่จ้องผมกลับ แววตาของเขาช่างว่างเปล่าเหมือนตอนแรกที่เราเจอกันและนั่นทำให้ผมเจ็บปวดจนน้ำตาคลอ

 
“อั๊วบอกให้กะ..”

 
“จิงไม่ไปไหนทั้งนั้น!” ผมตะโกนใส่ผู้ชายตรงหน้าแบบที่ไม่เคยทำมาก่อน ในแววตานั้นยังคงนิ่งสงบ พอๆกับใบหน้าที่เย็นชาของเขา “จิงไม่ไปไหนทั้งนั้น...ได้ยินไหมพี่นน”

 
 
“...”

 
“จิงจะไม่ไปอยู่กับป๊าหรือม๊า...หรือใครทั้งนั้น” ผมพูดไปด้วยเสียงที่สั่นเครือ ไม่ช้าน้ำตาผมก็ไหลออกมา “จิงจะอยู่กับพี่”

 
“ได้! ถ้าพูดกันดีๆ ไม่รู้เรื่อง” ม๊าตะโกนตอบผมแล้วหันไปมองพวกลูกน้องที่มากับม๊า “ไปเอาตัวอาจิงมา”

 
ฟรึ่บ

 
“ปล่อย!” ผมตะโกนแล้วเริ่มดิ้นทันทีที่ผู้ชายตัวใหญ่สองคนที่เป็นลูกน้องของม๊าเดินเข้ามาหิ้วแขนผมทั้งสองข้าง จนผมตัวลอยไปตามแรงกระชากของพวกเขา

 
“ลื๊อหยุดบ้าได้แล้ว ป่านนี้ยังไม่รู้อีกหรือไงว่าคนที่ลื๊อร้องจะไปอยู่ด้วยน่ะ...” ม๊ามองหน้าผมแล้วพูดความจริงที่ผมไม่อยากได้ยิน “สุดท้ายก็เห็นแก่เงิน”

 
“....เจ๊หงส์ครับ” พี่นนหันไปสบตากับม๊า เหมือนเชิงบอกให้หยุดพูด

 
“เขาทำเพื่อเงิน เพื่อที่จะหมดหนี้จากอั๊ว” แต่ม๊าก็เหมือนเดิม ทำร้ายผมด้วยคำพูดอย่างเคย

 
“ไม่...” ผมนิ่งไปแล้วพึมพำมองเขาทั้งน้ำตา “ไม่จริงใช่ไหม พี่นน”

 
“...” พี่นนไม่ยอมสบตาผม

 
“ตอบไปสิ อานนทกร”

 
“ครับ” พี่นนตอบและสบตาผมอีกครั้งด้วยสายตาว่างเปล่า ทั้งที่เรายืนห่างกันไม่กี่ก้าวแต่ผมกลับรู้สึกว่าเราห่างไกลกันออกไปทุกที “เป็นเรื่องจริง”

 
“ฮึก” ผมสะอื้นไห้ปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมา เพื่อระบายความรู้สึกเจ็บในใจ ไม่อยากคิดอะไรต่อจากความรู้สึกที่โดนหักหลังนี้แล้ว

 
“อาจิง ลื๊อเข้าใจแล้วนะ” ม๊าพูดกับผมที่ทรุดตัวนั่งลงกับพื้นโดยที่ยังมีลูกน้องของม๊ายืนประกบข้างอยู่ “เอาเป็นว่าเรื่องหนี้ของอานนทกร อั๊วยกให้”

 
“ครับ”

 
“แล้วเรื่องที่มันเกินเลยไป ก็ขอให้มันหายไปพร้อมลื๊อ” ม๊าถอนหายใจแล้วคลายแขนที่กอดอกลง เหมือนกับหมดธุระแล้ว “เข้าใจใช่ไหม”

 
“ครับ”

 
“...ฮึก” ผมทำได้แค่ร้องไห้ ยกมือที่มีแหวนของเขามาจับที่อกที่กำลังบีบรัดของตัวเอง

 
แกร่ก

 
“เอาตัวอาจิงออกไป” เป็นม๊าที่เดินไปเปิดประตูห้องแล้วมองไปยังพี่นน

 
ฟรึ่บ

 
          แต่ในจังหวะที่ลูกน้องของม๊ากำลังเผลอ ผมก็สะบัดมือที่จับต้นแขนผมอยู่แล้ววิ่งกลับมาหาเขา ผมจับเสื้อเชิ้ตของเขาไว้แน่น พี่นนตกใจและจับหัวไหล่ทั้งสองผมไว้ เหมือนกลัวผมจะล้มลงไป สัมผัสอันคุ้นเคยทำให้ผมสับสน คนที่เผลอมองผมด้วยความเจ็บปวดแบบนี้ คนที่เคยบอกรักผม คนที่ให้แหวนกับผมคนนี้ เขาโกหกผมอย่างนั้นเหรอ

 
“ที่ผ่านมาเป็นเรื่องโกหกเหรอพี่นน” ผมพูดออกไปด้วยเสียงสั่นเครือ มือไม้ของผมสั่นไปด้วยความกลัวและเจ็บปวด “เรารักกันใช่ไหม”

 
“...” พี่นนไม่สบตาผม และผมก็โดนดึงออกจากเขาอีกครั้ง

 
พลั่ก

 
“บอกจิงสิ ว่าที่ผ่านมาพี่ไม่ได้โกหก” ผมดิ้นต้านแรงที่ดึงไว้ แล้วถลาไปเกาะแขนพี่นนเอาไว้ทั้งน้ำตา “บอกจิงมาเถอะนะ”

 
“…” เป็นอีกครั้งที่เขาหลบตาผม แล้วดึงแขนที่ผมเกาะกุมไว้ออกเอง

 
“ฮึก” ผมหมดแรงที่จะยื้อ ยอมปล่อยตัวเองไปตามแรงลากของผู้ชายสองคนนั้น ก่อนจะพูดออกไปอย่างหมดเรี่ยวแรง “จิงเชื่อทุกอย่างที่พี่บอก พี่ก็รู้ใช่ไหม”

 
“...” แต่แล้วในตอนที่ตัวผมกำลังจะออกไปจากห้องนี้ เสียงทุ้มก็พูดประโยคนั้นออกมาเบาๆ “...พี่รักจิง”

 
“อานนทกร!”

 
“ปล่อย!!” มันเบาบางแต่ก็มากพอที่จะทำให้ผมมีแรงที่จะวิ่งกลับไปหาเขา แต่แรงของผมก็ไม่มากพอที่จะหลุดไปจากมือที่จับผมไว้ได้ ทำได้แค่ยื้อตัวเองเอาไว้เพื่อมองใบหน้าคนที่ผมรัก เราสบตากัน ผมร้องไห้อย่างช่วยไม่ได้ ส่วนพี่นนเขามองผมนิ่งๆ ก่อนจะขยับปากแบบไม่มีเสียงพูด

 

‘มีชีวิต’


 
พลั่ก

 
“ฮึก พี่นน!” ผมตะโกนเรียกคนตรงหน้าที่โดนต่อยจนล้มลงไปกับพื้น “ปล่อย! อย่าทำพี่นน ฮือ”

 
พลั่ก

 
“ไม่...” ผมมองภาพที่พี่นนโดนลูกน้องของม๊ารุมทำร้ายด้วยใจที่แตกใจสลาย พยายามดิ้นออกไปหาเขา แต่ก็โดนลูกน้องของม๊าอุ้มออกจนตัวลอยจากพื้น ไม่ว่าจะดิ้นสักเท่าไหร่ก็ไม่มีทางหลุดได้ ผมดิ้นจนหมดแรง ร้องไห้จนแทบขาดใจกว่าความเจ็บปวดทางใจจะพอใจ ผมก็หมดแรงลง ภาพข้างหน้าเริ่มเลือนราง แต่สิ่งสุดท้ายที่เห็นอย่างชัดเจนคือใบหน้าเปื้อนเลือดของคนที่ผมรักกำลังสลบลงไปบนพื้น “พี่นน...”

 
“ลื๊อจะไม่มีวันได้เห็นหน้ามันอีก” และนี่คือประโยคสุดท้ายที่ผมได้ยิน ก่อนที่ผมจะไม่ได้ยินเสียงใดๆ อีก

 

.
 
 
.


 
 
“ลื๊อจะไม่มีวันได้เห็นหน้ามันอีก” นั่นคือสิ่งสุดท้ายก็ที่ผมจะหมดสติไป

 
แปะ แปะ

 
          แต่แล้วแรงตบที่หน้าก็ทำให้ผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ผมหอบหายใจอย่างหนักเพราะความจุกที่ท้อง พอนอนหงายได้สำเร็จก็เห็นเพดานห้องอยู่ตรงหน้า ผมถอนหายใจแล้วเบนหน้าไปสบตากับคนที่เพิ่งจะตบหน้าผมเพื่อเรียกสติที่ตอนนี้กำลังนั่งอยู่บนเตียงของผม

 
“จริงๆ อั๊วก็ไม่อยากทำแบบนี้หรอกนะ” เธอพูดแล้วมองผม “แต่ลื๊อมันโง่”

 
“...” ผมหลับตาเบนหน้าหนีเสียงแหลมๆ ของเธอ ถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะพยายามลุกขึ้นนั่งแล้วหันไปประจันหน้าเธอตรงๆ “ขอโทษครับ เจ๊หงส์”

 
“เอาเถอะ มันผ่านไปแล้ว” เธอทำมือปัดๆ แล้วลุกขึ้นยืนแล้วเดินมาหยุดตรงหน้าผม “เฮ้อ อั๊วก็นึกว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้วนะอานนทกร”

 
“ขอโทษครับ” ผมพูดพร้อมคุกเข่าอยู่ต่อหน้าเธอ “ผมกับจิง เรา..”

 
“คิดว่าอั้วไม่รู้เหรอไง ว่าลื๊อสองคนมีความสัมพันกันแบบไหน” เธอถอนหายใจ แล้วกอดอกอีกครั้ง “หึ ความรักงั้นเหรอ”

 
“...ครับ”

 
“อานนทกร ลื๊อก็แค่คนฉวยโอกาสตอนที่ลูกอั๊วไม่มีใคร” ผมกำมือแน่นเพื่อระงับอารมณ์โกรธของตัวเอง “แล้วอาจิงก็ใสซื่อจนคิดว่านี่คือความรัก”

 
“...เรารักกันครับ”

 
“ฮ่าๆๆ” เสียงหัวเราะแหลมๆ ของเธอทำเอาใจผมกระตุกไปด้วยความเจ็บ แต่ผมก็คิดน้อยไปเพราะมีบางอย่างที่ผมกำลังจะรู้ต่อไปนี้ มันจะทำให้ผมเจ็บปวดกว่าที่เจอนี้เสียอีก “จิงจะแต่งงานและจะเป็นประธานคนต่อไปของบริษัทอั๊ว”

 
“…” มันคือสิ่งที่เรียกว่าความจริง มันคือสิ่งที่ทำให้ผมเจ็บปวดที่สุด

 
“หึ ลื๊อจะกลายเป็นคนแปลกหน้าของอาจิง จะเป็นแค่อดีตที่เขาไม่อยากจดจำ” เธอพูดแล้ววางมือลงบนไหล่ผม “เข้าใจใช่ไหมว่าอาจิงนั้นมีอนาคตอีกยาวไกล”

 
“...ครับ”

 
“ดี” เธอตบบ่าผมแล้วกอดอกอีกครั้ง “เข้าใจอะไรบ้างล่ะ”

 
“ผมเข้าใจทุกอย่าง แล้วผมก็จะหายไปตามที่ได้สัญญาก่อนหน้านี้ครับ” เธอพยักหน้า คลายแขนลง แล้วหันหลังเดินจากผมไปยังประตูห้อง “...แต่ผมอยากให้รู้ไว้ว่าที่ผ่านมา ความรู้สึกของผมที่มีต่อจิงเป็นเรื่องจริง”

 
“...” เธอไม่ได้หันมามองผม เธอแค่หยุดฟังและจับลูกบิดประตูไว้

 
“ผมรักจิง...จริงๆ” ก่อนที่จะเปิดประตูออกไปและปิดประตูอย่างแรงโดยไม่พูดอะไรอีก

 
ปัง!

 
 




**************************************
TBC
หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 26 (11/06/62) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 17-06-2019 09:53:56
:กอด1: :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 26 (11/06/62) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 17-06-2019 10:18:03
โอ๊ย

สู้ๆนะ

พี่นนท์น้องจิง
หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 27 (18/06/62) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: gigibabe ที่ 18-06-2019 20:36:01

ตอนที่ 27 เหมือนกัน



   ผมเดินด้วยสติล่องลอยไปยังบ้านเจ๊หงส์ เดินนับเสาไฟไปเรื่อยๆ แค่นยิ้มเมื่อความช้ำที่อกทำให้รู้สึกเจ็บปวดเกือบทุกย่างก้าว หนึ่ง สอง สาม...ผมยืนนิ่ง จ้องมองเสาไฟฟ้าต้นที่สาม ที่มีถังขยะอยู่ตรงนั้น มันยังคงเหมือนเดิมและภาพที่เขานั่งกอดเข่าตัวเองยังคงติดตาผมอยู่จนกระทั่งตอนนี้ ในตอนนั้นแค่ได้สบตากันเพียงครั้งเดียว ผมก็รู้ว่าเป็นเขา

‘จิงไม่อยากได้!’

   เขาดิ้นต่อต้านแรงผมสุดชีวิต แต่จากสภาพร่างกายผอมแห้งของเขาแล้ว มันก็เหมือนกับแรงดิ้นของลูกหมาตัวเล็กไร้ทางสู้ แต่เสียงตะโกนที่ทำเอาผมแสบแก้วหูนั้นก็ทำให้ผมตกใจได้ แต่ก็ไม่ตกใจเท่ากับการแทนชื่อตัวเองแบบนั้น และนั่นก็ทำให้ผมแน่ใจจริงๆ ว่าคือ ‘เขา’ คนในความทรงจำผม เมื่อเจ็ดปีก่อน

‘เราแทนชื่อตัวเองแบบนี้กับทุกคนเลยเหรอ’

‘ใช่ จิงติดแล้วน่ะ ฮ่าๆ’

   ผมกอดร่างคนที่สลบไปแล้วให้แน่นขึ้น จับใบหน้าที่เปื้อนน้ำตามาพินิจอีกครั้ง เป็นเขาจริงๆ คนที่ทำให้ผมยังมีลมหายใจมาจนถึงตอนนี้เพราะคำพูดเล็กน้อยของเขา

‘กลับบ้านดีๆ จิงเป็นห่วง’

   ตั้งแต่วันนั้นผมก็มีแค่เขา เขาเป็นคนเดียวที่เป็นห่วงผมและเป็นคนเดียวที่รับรู้การมีอยู่ของผม เหมือนกับมือที่ดึงผมออกไปจากความมืด ผมรู้ว่ามันอาจจะเป็นคำพูดที่ไม่มีความหมายอะไรต่อเขา เขาอาจจะจำผมไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ผมจำเขาได้...คนที่ทำให้ผมมีชีวิตจนถึงวันนี้

‘อยากตายขนาดนั้นเลยเหรอครับ’

‘..ฮึก ใช่!’

   แล้วทำไมโชคชะตาของเขาถึงเป็นแบบนี้ ทำไมเขาต้องเลือกมาจบชีวิตตัวเองด้วยวิธีเดียวกับผม ในใจผมมันเจ็บไปหมด...ผมต้องทำอะไรสักอย่าง


.

.


   การแบกเด็กวัยรุ่นผู้ชายพร้อมเป้ใบใหญ่หนึ่งใบ ไม่ใช่เรื่องง่ายต่อวัยอย่างผม ผมหอบหายใจอย่างหนัก แล้วตัดสินใจโบกแท็กซี่เพื่อไปยังหอพักของผม ระหว่างทางก็อดบ่นคนตัวเล็กกว่าในใจไม่ได้ที่ทำให้ผมเหนื่อยแบบนี้ แต่พอมองร่องรอยน้ำตาของเขาแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ผมจะมีอะไรไปโกรธเขาได้...น่าสงสารขนาดนี้

‘มาห้ามจิงไว้ทำไม’

   ตลกดี...ที่คนที่ไม่สนโลกอย่างผม จะรู้สึกเจ็บขึ้นมากับคำพูดแบบนี้ของเขา คงเป็นเพราะดันไปคาดหวังว่าเขาจะจำผมได้ แต่พอนึกทบทวนอาการที่เขาอยากกระโดดลงจากสะพานนั้นแล้ว เขาก็คงเปลี่ยนไปมาก คงเจออะไรมากมายที่ทำให้เป็นแบบนี้

‘ตกลง เราจะตายไปพร้อมกัน’

   ผมเลือกตอบตกลงเพื่อยื้อเขาไว้และในคืนนั้นเอง หลังจากที่นอนมองหน้าคนที่หลับด้วยความเหนื่อยล้า มือของผมก็เอื้อมไปสัมผัสแก้มเขาอัตโนมัติและคนที่อยู่ไปวันๆ อย่างผมก็ขอทำอะไรสักอย่างเพื่อตอบแทนคนที่ต่อชีวิตให้ผม

‘ฮัลโหล สวัสดีครับเจ๊หงส์’

‘อานนทกรเหรอ มีอะไรล่ะ โทรมาซะดึกดื่น’

‘ผมเจอลูกชายของเจ๊ครับ’

‘…’

‘เขาพยายามฆ่าตัวตาย’

‘…’

‘แต่ตอนนี้เขาปลอดภัยแล้ว ไม่ต้องห่วงนะครับ’

‘ละ ลื๊อรู้ได้ยังไงว่าเป็นลูกอั๊ว’

‘เมื่อตอนเย็น...ผมเจอรูปเขาบนโต๊ะในบ้านเจ๊ครับ’

‘…’

‘เขาชื่อจิงใช่ไหมครับ’

 ‘อานนทกร ลื๊อต้องการอะไร’

‘ผมจะทำให้เขากลับบ้านให้ได้ครับ’

‘…ฮึก ช่วยเขาทีนะอานนทกร ฮือ พาเขากลับบ้านที’

‘ครับ’

‘ลื๊อไม่ต้องห่วงอะไรนะ เรื่องหนี้ถ้าเขากลับบ้านเมื่อไหร่ อั๊วจะยกหนี้ให้ลื๊อทั้งหมด’

‘ครับ เจ๊หงส์...’


   ถึงชีวิตแต่ละวันที่ผ่านมาของผมจะน่าเบื่อแต่การได้หายใจ การได้เหงา ได้เศร้า ได้เจ็บปวดมันก็ทำให้ผมรู้สึกมีชีวิต ผมอยากให้เขาได้รู้สึกทั้งความทุกข์และความสุข เขาควรจะมีชีวิต...ทุกคนควรมีชีวิต จนกว่าความตายมันจะวิ่งมาหาเราเอง

   ในตอนแรกผมก็คิดแบบนั้น แต่ทุกวันที่ได้อยู่กับเขาความคิดของผมก็เปลี่ยนไป ผมอยากให้เขามีแต่ความสุขในทุกๆ วัน ผมชอบที่เห็นเขายิ้ม ชอบเวลาเขาพูดจากวนประสาทผม ชอบมากกว่าเวลาที่เขาเหม่อลอยและร้องไห้ ผมรู้ว่าควรจะหักห้ามใจแต่สุดท้ายผมก็ตกหลุมรักเขา รักทั้งความสุขและความเศร้าของเขา

   วันเวลาผ่านไปเจ๊หงส์ยิ่งร้อนใจ ผมไม่รู้จะทำยังไงกับเรื่องนี้ เมื่อผมเพิ่งรู้ว่าสาเหตุที่ทำให้จิงหนีออกจากบ้านคือคนที่ผมตกปากรับคำว่าจะพาไปหา ผมสับสนและผมก็เลือกที่จะพาเขากลับไปหาพ่อแทน...เป็นผมที่ทำทุกอย่างพัง

   เจ๊หงส์โกรธผมหรือบางทีอาจจะเกลียดไปแล้ว ผมได้แต่เก็บงำความรู้สึกและทุกๆ อย่างไว้ ไม่ให้จิงรู้เพราะกลัว กลัวว่าจะรักษาเขาไว้ไม่ได้ กลัวเขาหนีไป กลัวเขาหายไปจากโลกใบนี้ ผมพยายามบ่ายเบี่ยงเจ๊หงส์และหนี พาจิงไปยังอีกโลกของผมและผมก็ยิ่งรักเขามากขึ้นเมื่อได้ใกล้กันเข้าไปอีกก้าวและผมก็ตัดสินใจมอบแหวนที่แม่ผมฝากไว้ให้แก่เขา

เพราะผมอยากให้เขาได้รู้ว่าเขาไม่ใช่แค่คนที่ต่อชีวิตของผม
แต่เป็นคนที่ผมรัก
และเราเป็นครึ่งหนึ่งของกันและกัน

‘ถ้ารักจิง ก็ต้องรักตัวเองนะ’

   ในตอนนั้นผมรู้ได้เลยว่าความจริงหาเราเจอแล้ว จิงเข้มแข็งแล้ว เขาดีขึ้นและพร้อมจะไปจากผมแล้ว ผมได้แต่ยินดีและเศร้าใจไปพร้อมกัน

‘พรุ่งนี้อั๊วจะไปรับอาจิงกลับ’

‘...’

‘อาจิงอาการดีขึ้นแล้วไม่ใช่เหรอ’

‘ครับ แต่...’

‘หึ พาไปหาป๊ามันแล้วนี่ คงดีขึ้นจริงๆ’

‘ผมขอโทษครับ’

‘รู้เรื่องทุกอย่างแล้วก็ดี อั๊วมันคงเป็นแม่ที่ไม่ดีในสายตาพวกลื๊อสินะ’

‘เปล่าครับ แต่ผมขอเวลา...’

‘มันจบแล้วอานนทกร ลื๊อทำไม่สำเร็จ’

‘...ครับ’ 

‘ทำตามสัญญาระหว่างเราด้วยล่ะ หนี้พวกนั้นอั๊วยกให้’

‘ครับ’

‘ต่อไปนี้ ลื๊อก็หายไปจากชีวิตของพวกเราซะ’

‘ครับ ผมจะรักษาสัญญา’


.

.


   ในที่สุดผมก็เดินมาถึงหน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ ภายในบ้านและบริเวณรอบๆ เปิดไฟสว่าง ผมมองเข้าไปเห็นรถตู้สีดำคันใหญ่จอดอยู่ บางทีจิงอาจจะอยู่ในบ้านตอนนี้ แค่คิดถึงใบหน้าของเขาที่ร้องไห้จนสลบไป ใจผมก็จะขาดลงตรงนี้ ผมไม่ได้เดินเข้าไปใกล้อีก แค่ยืนมองอยู่แบบนั้น ถอนหายใจแรงๆ และลูบหน้าตัวเองเรียกสติ จริงๆ ผมไม่ควรจะมายืนอยู่ตรงนี้ด้วยซ้ำ

   สุดท้ายผมก็เดินกลับ หันหลังให้กับทุกอย่าง มันคือสิ่งที่ผมควรจะทำที่สุดในตอนนี้ ถึงต่อให้ไม่มีเรื่องหนี้ ผมก็เลือกที่จะจากมาเพราะมันเป็นทางเดียวที่จะทำให้จิงเติบโต เขาควรจะมีชีวิตอย่างที่ควรจะเป็น

‘จิงจะแต่งงานและจะเป็นประธานคนต่อไปของบริษัทอั๊ว’

   ใช่ จิงควรจะมีชีวิตแบบนั้น มีชีวิตปกติทั่วไป ไม่ใช่จมปลักอยู่กับผม ชีวิตของเขายังอีกยาวไกล ทุกอย่างต้องเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรก เป็นผมเองที่ทำลายทุกอย่างและผมก็ควรได้รับบทลงโทษแบบนี้...รักเขาต่อไป เฝ้ามองและยินดีกับเขาห่างๆ

‘ลื๊อจะกลายเป็นคนแปลกหน้าของอาจิง จะเป็นแค่อดีตที่เขาไม่อยากจดจำ’

   วันเวลาจะทำให้เขาผ่านไปได้ ไม่รู้ว่าคำสุดท้ายที่ผมบอกไป เขาจะเข้าใจแค่ไหน…จนกว่าจะถึงเวลานั้น ผมได้แต่ภาวนาให้เขาเข้มแข็งพอที่จะเผชิญกับความจริง เผชิญกับโลกใบนี้และ

มีชีวิต

เหมือนคำสุดท้ายที่ผมได้บอกเขาไป
และผมก็บอกตัวเองเหมือนกัน





**************************************
TBC

หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 28 (24/06/62) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: gigibabe ที่ 24-06-2019 18:51:03

ตอนที่ 28 อยู่ไหน


   หลังจากตื่นขึ้นมาบนรถตู้คันใหญ่แล้ว ผมก็นั่งนิ่งเงียบไม่สนใจม๊าที่นั่งอยู่ข้างๆ ผม รถยังคงวิ่งไปด้วยความเร็วปกติแล้วเลี้ยวเข้าซอยหนึ่งที่ผมเคยมา ผ่านเสาไฟฟ้าไป หนึ่ง สอง และสาม เสาไฟฟ้าต้นนั้นที่ผมเคยมานั่งตัดสินใจจบชีวิตตัวเอง...ตอนนี้มันก็ยังเหมือนเดิม

   ในรถตู้เต็มไปด้วยความอึดอัด ผมเงียบและม๊าก็เงียบเช่นกัน ผมไม่รู้เลยว่าม๊าคิดอะไรอยู่และผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าควรจะทำอะไรต่อไป จนกระทั่งรถตู้จอดลงที่หน้าประตูของคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ผมเคยเดินมาด้อมๆ มองๆ

   มันยังคงสวยงามและอลังการจนผมนึกอิจฉา ม๊าเดินลงไปจากรถ โดยมีบรรดาแม่บ้านมารอต้อนรับ ผมได้แต่นั่งมองมือตัวเองอยู่ที่เดิม ไม่อยากลง...แต่เพราะแรงผลักให้ลงจากรถของลูกน้องของม๊าที่นั่งประกบผมมาด้วย ผมจึงจำใจเดินตามลงไป...ทุกสายตาจ้องมองมาที่ผม

“สวัสดีค่ะ คุณจิง”

“...” ผมยกมือไหว้ผู้หญิงมีอายุคนหนึ่งที่ยิ้มแย้มต้อนรับผม ผมไม่รู้เลย ว่าใบหน้ายิ้มแย้มนั้นคิดอะไรอยู่ ผมกลัว...ทำได้แค่หลบสายตาทุกคนแล้วเดินตามหลังม๊าไป

   ผมเดินตามม๊ามาเรื่อยๆ สายตาก็มองไปรอบๆ บ้านหลังใหญ่ของผู้หญิงตัวเล็กที่เดินนำอยู่ข้างหน้า ที่นี่ตกแต่งอย่างสวยงาม พื้นบ้านเป็นกระเบื้องหินอ่อน มีโซฟา รูปปั้น ภาพวาดหรูหราแบบที่เคยเห็นในละคร ตอนนี้มันอยู่ในสายตาผมทั้งหมด

   ผมควรจะตื่นเต้นกับความอลังการนี้...แต่ในใจผมกลับรู้สึกเจ็บปวด ยิ่งเห็นรูปถ่ายใบใหญ่ที่ติดอยู่บริเวณห้องโถงนี้ผมก็ยิ่งเจ็บ รูปที่มีผู้ชายที่ผมไม่รู้จักยืนอยู่ข้างม๊าที่นั่งกอดเด็กผู้ชายตัวเล็กอยู่บนตัก พวกเขาดูมีความสุขจนผมรู้สึกเจ็บและน้อยใจในชะตาชีวิตตัวเองอย่างช่วยไม่ได้

“วันนี้ลื๊อจะกลับไปที่ร้านป๊าลื๊อก่อนก็ได้ เดี๋ยวอั๊วให้ลูกน้องไปส่ง” ม๊าพูดขึ้นมาหลังจากที่ผมนั่งลงบนโซฟาหรูที่อยู่ตรงข้ามม๊าได้สักพักหนึ่ง ม๊ากอดอกแล้วเอนตัวลงพนักพิง ทำเหมือนก่อนหน้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างใจเย็น “แต่พรุ่งนี้ตอนเช้า ลื๊อต้องเข้าบริษัทเพื่อไปเรียนรู้งานนะอาจิง”

“...”

“อ้อ นี่อาจิน” ม๊าผายมือไปยังผู้ชายคนหนึ่งที่ดูท่าจะวัยไล่เลี่ยกับผม เขาหน้าตาออกไปทางจีนมากกว่าผมซะอีก คงจะเป็นเด็กผู้ชายคนที่นั่งอยู่บนตักม๊าในรูปนั้นสินะ “เป็นน้องเรา”

“สวัสดีครับ”

“ม๊าต้องการอะไรจากจิง...” ผมจ้องมองไปที่ม๊าแทน ไม่สนใจคนที่ยกมือไหว้ผม...ไม่มองหน้าด้วยซ้ำ

“...” ม๊าคลายแขนที่กอดอกลงแล้วเบือนหน้าหนีผม แล้วเงียบไป

“ตอนที่จิงต้องการม๊า...ม๊าไปอยู่ไหน ม๊าทิ้งจิงกับป๊าเพื่อ...” ผมพูดรัวออกมาด้วยความรู้สึกเจ็บปวดที่อยู่ในใจมาเป็นเวลานาน มองไปรอบๆ บ้านหลังใหญ่แล้วสบสายตาเข้ากับเขาคนนั้น ลูกชายอีกคนของแม่  “เพื่อทุกอย่างที่ม๊ามี”

“อาจิง…”

“พอจิงเริ่มอยู่ได้ พอจิงมีความสุข ม๊าก็กลับมาในชีวิตจิงอีกครั้ง” พอผมเอ่ยประโยคนั้นออกไปน้ำตาที่ผมเกลียดก็เอ่อคลอขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ “แล้วในตอนนี้ที่จิงมีความสุข จิงอยากเริ่มมีชีวิตอีกครั้ง ม๊าก็กลับมาอีก”

“...”

“ม๊าอยากเห็นจิงตายจริงๆ ใช่ไหม”

“อาจิง!” ม๊าตวาดผม แล้วลุกเดินมาใกล้ผม จับแขนผมให้ลุกขึ้นยืน แล้วบีบแขนผมแน่นขึ้น...ม๊ากำลังโมโห “อานนทกรเขาทำให้ลื๊อเป็นบ้าถึงขนาดนี้เลยหรอไง”

“ใช่! จิงรักพี่นน” ผมตะโกนออกไปทั้งที่ยังจ้องหน้าม๊าอยู่

“หึ มันก็แค่ลูกหนี้ที่เห็นแก่ตัวและ...ฉวยโอกาส”

“ไม่จริง”

“ลี๊อยังไม่เข้าใจ มันไม่ใช่ความรัก” ม๊าปล่อยมือออกแล้วกอดอก ยืนประจันหน้าผม ก่อนจะพูดประโยคที่ผมไม่อยากได้ยิน “เรื่องระหว่างลื๊อสองคนมันไม่ใช่ความรัก!”

“เรารักกัน” ผมพูดนิ่งๆ ตอบม๊าไปด้วยใจที่ปวดร้าว

“ลื๊อไม่เข้าใจหรือไง! อานนทกรทำทั้งหมดนั่นก็เพื่อปลดหนี้จากอั๊ว” ม๊ามองผมแล้วแค่นยิ้มให้ผม “ป่านนี้คงหนีไปถึงไหนต่อไหนแล้ว”

“...” ส่วนผมก็ทำได้แค่เงียบไปเพราะความหวาดหวั่นในใจ

“ลื๊อตัดใจเถอะ เขาไม่มีวันกลับมาหาลื๊ออีกแล้ว” ม๊าถอนหายใจแล้วเอื้อมมือมาจับแขนผมอีกครั้ง “ต่อไปนี้ลื๊อก็เริ่มต้นชีวิตใหม่เถอะนะ มาสืบทอดกิจการของอั๊ว”

“...”

“ส่วนเรื่องของพวกลื๊อ...ก็ไม่ต้องกังวล อั๊วรับปากเพื่อนอั๊วไว้แล้ว” ม๊าค่อยๆ พูดแล้วลูบแขนผมไปมา พยายามปลอบใจผม “ให้ลื๊อกับอาหลินแต่งงานกัน”

“...”

“จะไม่มีใครรู้เรื่องของพวกลื๊อ แล้วลื๊อก็จะลืมเรื่องราวทั้งหมดนี่ไปเอง” ม๊าพยายามปลอบผม ด้วยคำพูดที่ทำร้ายผมที่สุด “มาเริ่มต้นชีวิตกันใหม่นะ...อั๊วไม่ได้บังคับให้ลื๊อมาอยู่ด้วยกัน ลื๊อจะกลับไปหาป๊าลื๊อก็ได้”

“...”

“แต่อย่างที่อั๊วบอก ลื๊อต้องมาสืบทอดกิจการอั๊วและแต่งงานนะ”

“...ไม่” ผมดึงแขนตัวเองกลับมาแล้วจ้องหน้าม๊า “จิงจะไปหาพี่นน”

   พูดเสร็จผมก็หันหลังและเดินออกไปทางประตูใหญ่ ในใจผมเจ็บปวดไม่มีชิ้นดีจากคำพูดของม๊า มือผมสั่นไปด้วยความกลัวที่ไม่เข้าใจ น้ำตาไหลออกมาอย่างช่วยไม่ได้เมื่อตอนนึกถึงใบหน้าเปื้อนเลือดของคนที่ผมรัก อยากเจอพี่นน อยากกอด อยากอยู่ในอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นนั้น ผมจะรู้สึกปลอดภัย ผมต้องการเขา ผมต้องการพี่นนเดี๋ยวนี้

“ถ้าลื๊อออกไป...อั๊วก็ไม่รับรองความปลอดภัยของอานนทกร”

“...” ผมชะงักไป หยุดเดิน แล้วค่อยๆ หันไปสบตากับม๊าที่เดินตามมาและแค่นยิ้มด้วยใจที่แตกสลาย “ม๊าคงอยากเห็นจิงตายจริงๆ”

เพี๊ยะ!

“มีสติหน่อยอาจิง” แรงตบจากม๊าทำเอาหน้าของผมชาไปทั้งด้าน ผมหันหน้าที่หันไปตามแรงตบไปมองหน้าม๊าอีกครั้ง

“... ไม่” ไม่รู้ว่าความเจ็บที่ใจกับที่ใบหน้าแบบไหนมันเจ็บกว่ากัน

“ม๊า พอเถอะครับ”

“เฮอะ” ผมแค่นหัวเราะใส่ม๊า ตอนที่ลูกชายของม๊าอีกคนเดินเข้ามาดึงแขนของม๊าไว้

“อั๊วดูแลลื๊อเงียบๆ มาตลอดเพื่อให้ลื๊อมาเถียงอั๊ว” ส่วนม๊าก็ยังเป็นม๊า “เพื่อให้ลื๊อมาพูดทำร้ายจิตใจอั๊วแบบนี้เหรอ... ถ้าลื๊อยังเป็นแบบนี้…”

“ฮึก ทำไมม๊าต้องมายุ่งกับชีวิตจิงด้วย!” เป็นม๊าที่ทำร้ายผมครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยคำพูดของม๊า  “ทิ้งจิงกับป๊าไปเลยสิ ทิ้งให้เหมือนวันนั้น ไม่ต้องมาสนใจจิงอีกได้ไหม”

“…”

“ม๊ามีทุกอย่างแล้วไง ทำไมต้องมายุ่งกับจิงด้วย!” ผมสติแตก ผมรู้ว่าผมกำลังเป็นแบบนั้น ผมตะโกนลั่นไปทั่วบ้านหลังนี้ ร้องไห้สะอึกสะอื้นแบบควบคุมตัวเองไม่ได้  “ฮึก ทำไมต้องอยากให้จิงทำอะไรแบบนั้น เพื่ออะไร ม๊าทำทั้งหมดนี้เพื่ออะไรตอบจิงสิ!”

“...”

“ตอบจิงได้ไหม ฮือ ทำแบบนี้กับจิงทำไม” เหมือนอะไรบางอย่างในใจผมมันทะลักทลายออกมา ผมกลัวตัวเองในตอนนี้ ผมแค่ต้องการใครสักคนที่ช่วยเป็นหลักให้ผม แบบที่ผมเคยได้รับ “พี่นน..ฮึก พี่นน...”

“...ถ้ายังไม่ฟังใครและยังเป็นแบบนี้” เสียงเล็กแหลมพูดขึ้นมาหลังจากมองผมที่ระเบิดอารมณ์ออกมา ผมไม่รู้เลยว่าม๊าคิดอะไรอยู่ ไม่รู้และไม่เคยเข้าใจเลย “ชาตินี้ลื้อก็ไม่มีวันได้เจออานนทกร”

“...ได้ จิงจะทำ” ผมตอบไปด้วยเสียงสั่นเครือ มองคนที่ยืนอยู่ตรงกันข้ามโดยมีลูกชายอีกคนของม๊าประคองอยู่ข้างๆ ผมปาดน้ำตาและกำมือข้างที่มีแหวนที่พี่นนให้ไว้แน่น “ฮึก จิงจะทำทุกอย่างที่ม๊าต้องการ”

“...ดี”

“แต่ถ้าพี่นนกลับมา...ม๊าไม่มีสิทธิ์มาห้ามเรื่องของพวกเรา”

“ได้ อั๊วจะคอยดู”

มีชีวิต...




***********************************
TBC
หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 28 (24/06/62) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 24-06-2019 20:15:45
ไม่เข้าใจม๊าอ่ะ มีลูกชายอีกคนแล้วจะมายุ่งกับจิงอีกทำไม
หวังว่าพี่นนจะไม่ถอดใจ กลับมาหาจิงนะกลับมา
หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 29 (09/07/62) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: gigibabe ที่ 09-07-2019 19:15:47
ตอน 29 จิงใจไม่จิงโจ้


 
 
มีชีวิต...
นี่เหรอคือสิ่งที่พี่นนอยากให้ผมทำ


 
          ผ่านไปสามเดือนแล้วที่ผมมาทำงานกับม๊า โดยเริ่มจากการเป็นเด็กฝึกงานในบริษัทของม๊าที่ทำเกี่ยวกับพวกจิวเวอรี่ ผมเริ่มจากตำแหน่งเด็กฝึกงานโดยพนักงานที่นี่ไม่มีใครรู้ว่าผมจะเข้ามาบริหารที่นี่และเริ่มตำแหน่งต่อไปเลยภายในหนึ่งอาทิตย์ และนั่นก็ทำให้คนในบริษัทรู้เข้า แล้วผมก็ต้องปรับตัวกับการปฏิบัติตัวของคนอื่นกับตัวเองอีกรอบ แต่ทุกอย่างมันไม่ได้แย่นัก ผมหมายถึงทั้งเรื่องที่ทำงานและภายในครอบครัวผม

          ผมเพิ่งรู้ว่าสามีใหม่ของม๊าเสียไปหลายปีแล้ว ม๊าต้องแบกรับทั้งครอบครัวและบริษัทไว้คนเดียว เป็นทั้งเจ้าของบริษัทและเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว ผมรู้เรื่องจากจินน้องชายของผม ไม่น่าเชื่อที่ผมสามารถเข้ากับจินได้เป็นอย่างดี อาจจะเพราะว่าเราห่างกันแค่ปีเดียว แถมเรายังเรียนบริหารเหมือนกัน จึงทำให้เรามีความชอบหลายๆ อย่างคล้ายกัน

          โดยปกติแล้วผมจะนอนค้างที่บ้านม๊าก็ต่อเมื่อวันไหนที่เลิกงานดึกหรือในวันที่เหนื่อยจนขับรถกลับไปนอนบ้านป๊าไม่ไหว ชีวิตผมวนเวียนอยู่แบบนี้ ทำงานที่บริษัทม๊า ดูแลป๊า...มีชีวิต ที่พี่นนหมายถึงคงเป็นแบบนี้

 
ผมเข้าใจแล้ว
...แต่ทำไมใจของผม
กลับไม่มีชีวิตเลย
 

 
          หลังจากวันนั้นที่ผมรับปากกับม๊า ผมก็ตามหาพี่นนไปทั่ว ผมไปหาเขาที่ห้อง แน่นอนว่าเขาไม่อยู่แล้ว ที่ทำงาน ร้านกาแฟพี่ชินหรือแม้กระทั่งร้านราดหน้าที่ผมชอบกินก็ไม่เจอเขา เบอร์โทรศัพท์ที่ผมจำได้ขึ้นใจก็ไม่สามารถติดต่อได้ ใจผมแหลกสลายเมื่อคำพูดของม๊าดังวนเวียนอยู่ในหัว
 
“เรื่องระหว่างลื๊อสองคนมันไม่ใช่ความรัก!”
 
          มีหลายๆ ครั้งที่ผมเผลอคิดว่าบางทีอาจจะมีแค่ผมที่คิดไปเอง บางทีอาจจะมีแค่ผมที่รักเขา น่าขำที่คนที่ทำให้ผมอยากมีชีวิตต่อ คนที่ปลุกผมมาเผชิญกับความจริงนั้นคือคนเดียวกันกับคนที่ทำให้ผมอยากอยู่ในความฝันตลอดไป ความฝันที่เขาอยู่เคียงข้างผมยังไงก็ดีกว่าโลกแห่งความจริงใบนี้ โลกที่ผมเริ่มเข้าใจมันและผมก็หยุดตามหาเขา
 
          ผมยอมรับว่าเสี้ยวหนึ่งในใจผมยอมแพ้ให้กับเรื่องของเรา แหวนยังคงอยู่บนนิ้วผม ความรักของผมก็ยังคงอยู่ ผมยังรักพี่นน รักและคิดถึงตลอดเวลา แต่ความเป็นจริงก็คือพี่นนหายไปแบบไม่ทิ้งร่องรอยไว้ เขาหายไปจากชีวิตผมเหมือนกับเรื่องราวก่อนหน้านี้เป็นแค่ความฝัน
 
บางทีความรักของเขาก็คงหายไปเหมือนความฝันเช่นกัน
 
“พี่จิง! พี่จิงคะ...”
 
“เอ่อ ครับ”
 
“เหม่ออะไรกัน หลินเรียกตั้งนาน”
 
“อ่อ เปล่า มีอะไรรึเปล่า” ผมถอนหายใจและจอดรถชิดริมรั้วบ้านหลังใหญ่
 
“เมื่อกี้หลินถามว่าพี่จิงอยากได้อะไรเป็นของขวัญวันรับปริญญาคะ”
 
“เอ่อ อะไรก็ได้ครับ”
 
“ตอบยากจัง แบบนี้หลินก็แย่สิ”

“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน”
 
          ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมจะยอมทำตามที่ม๊าพูดขนาดนี้ ผมยิ้มกับตัวเองแล้วหันไปมอง ผู้หญิงหน้าตาน่ารักที่เป็นเมื่อก่อนผมคงใจเต้นแรงเมื่อได้อยู่ใกล้แบบนี้ แล้วผมเองคงดีใจไม่น้อยที่จะได้แต่งงานกับผู้หญิงที่น่ารักและนิสัยดีแบบเธอ แต่ตอนนี้ผมเปลี่ยนไปแล้ว ผมรักใครไม่ได้อีกแล้ว
 
“เฮ้อ ถ้าคิดออกเมื่อไหร่ก็บอกหลินด้วยนะคะ หลินจะได้เตรียมทันอีกไม่กี่สัปดาห์แล้วนะคะ”
 
“ครับ”
 
“งั้นหลินเข้าบ้านก่อนนะ ขอบคุณที่มาส่งค่ะ” หลินยิ้มให้ผมอย่างจริงใจ ก่อนจะยกมือไหว้ผมเพราะผมแก่กว่าหลินหนึ่งปี “แล้วก็ขอบคุณที่ออกมาเป็นเพื่อนหลิน ไม่งั้นคุณแม่หลินคงบ่นตายเลย”

“พี่ก็เหมือนกันครับ”
 
“ขอบคุณที่พี่ยอมทำตามคำขอของหลินนะคะ”
 
          เราจะไม่มีวันแต่งงานกันเพราะเราทั้งคู่ต่างมีคนที่รักอยู่แล้ว นี่คือข้อตกลงของเราตั้งแต่วันแรกที่ม๊าพาผมไปดูตัว เราจะเป็นแฟนกันปลอมๆ ไปก่อนจนกว่าหลินจะเรียนจบ ถึงวันนั้นหลินก็จะทิ้งผม ในตอนนี้เราแค่ทำให้ผู้ใหญ่สบายใจ หลินมีคนรักอยู่แล้ว ผมก็มีที่ผมคนรักอยู่แล้ว
 
“ครับ ฝันดีนะครับ”
 
“ค่ะ พี่จิงด้วยนะคะ”
 
“ครับ”
 
          ผมขับรถออกจากหมู่บ้านของหลินแล้วมุ่งตรงไปบ้านม๊าเพื่อเคลียร์เอกสารบางส่วน ตอนนี้เป็นเวลาเกือบสี่ทุ่มแล้ว วันนี้ผมคงต้องนอนที่บ้านใหญ่ ผมขับรถเข้าไปในซอยที่คุ้นเคย หนึ่ง สอง สาม... ผมเริ่มเกลียดซอยนี้เพราะเสาไฟฟ้าต้นที่สามต้นนี้ ไม่รู้ทำไมผมถึงชะลอรถเมื่อถึงตรงนี้ทุกครั้ง เหมือนผมคาดหวังให้เขายืนอยู่ตรงนั้น ให้เขาเดินเข้ามาหาผมเหมือนวันนั้น แต่มันก็ว่างเปล่าเหมือนทุกครั้ง
 
          ผมหอบแฟ้มเอกสารจากเบาะหลัง ล็อครถแล้วเดินเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ที่เงียบสงบ สงสัยทุกคนคงเข้านอนกันหมดแล้ว ผมนั่งมองกระดาษที่มีตัวอักษรเต็มไปหมดด้านหน้าด้วยใจที่ว่างเปล่า ผมถอนหายใจรอบที่ร้อยของวัน มองวันที่ในโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่แล้วก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง คืนวันผ่านไปวันแล้ววันเล่า ความกลัวก็กัดกินในใจผมไปหมด
 
เขาจะคิดถึงผมบ้างไหม
เขารักผมจริงๆ แบบที่พูดหรือเปล่า
หรือเขาแค่ทำตามความต้องการของม๊าจริงๆ

 
 
“อาจิง”
 
“...”
 
“อาจิง”
 
“ครับ”

“มัวแต่เหม่อนะเรา”
 
“จิง เปล่าครับ” หยิบเอกสารสำคัญของบริษัทขึ้นมาอ่านอีกรอบ
 
“ถ้าไม่เข้าใจอะไรก็ถามจินได้นะ ถึงรายนั้นจะยังเรียนไม่จบแต่ก็พอจะรู้เรื่องในบริษัทดีเลย”
 
“ครับ” ม๊าเลื่อนเก้าอี้มานั่งข้างผม “ม๊า จิงอยากทำเกี่ยวกับงานออกแบบ”
 
“...” ม๊าเม้มปากแล้วเงยหน้าสบตาผม มือที่นุ่มนวลวางลงบนมือผม “แต่จิงเรียนบริหารมานะ”
 
“ม๊า ม๊าก็รู้ว่าจินทำได้ดีกว่าจิง”
 
“...”
 
“ม๊า จินเขาทำเพื่อบริษัทมาตลอดเลยนะครับ”
 
“แต่อั๊ว...เฮ้อ” ม๊าเลือกที่จะหลบสายตาผมแล้วถอนหายใจ
 
“จิงขอไปเรียนออกแบบได้ไหม”
 
“...”
 
          ม๊าเงียบไม่ตอบผมแล้วลุกขึ้นเดินหนีผมออกไปจากห้องนั่งเล่น ผมลูบหน้าตัวเองด้วยความเครียด ทั้งที่หลีกเลี่ยงการปะทะอารมณ์กับม๊ามาตลอด แต่วันนี้อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ผมวิ่งไปคว้าแขนของม๊าไว้แล้ว เผชิญหน้ากับความจริงที่เราไม่ยอมพูดกันตั้งแต่แรก
 
 “อั๊วจะทบทวนใหม่” เป็นม๊าที่ตัดบทสนทนาของเราอีกครั้ง “วันนี้นอนบ้านรึเปล่า”
 
“ครับ” แต่ผมจะไม่ยอมปล่อยเรื่องเราที่ค้างคาใจกันอยู่ลึกๆ อีกต่อไปแล้ว “ม๊าไม่ต้องห่วงจิงแล้วนะ”
 
“...” ม๊าเงียบไปแล้วเบือนหน้าหนีผม ผมยิ้มแล้วจับมือทั้งสองข้างของม๊าไว้
 
“จิงรู้ว่าม๊า...รักจิง” ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดต่อ “และม๊าก็คงโทษตัวเองที่ทิ้งจิงไว้ในคืนนั้นมาตลอด”
 
“...”
 
“แต่ตอนนี้จิงเข้มแข็งแล้ว ม๊าไม่ต้องห่วงนะ” ผมยิ้มพร้อมน้ำตาที่ไหลออกมา
 
“อาจิง”
 
“ม๊ากับจิงไม่ควรมารู้สึกผิดต่อกันแบบนี้” ผมดึงม๊าเข้ามากอดไว้
 
“...จิง” ม๊าเรียกผมหลังผละออกจากอ้อมกอดของผม แล้วเอื้อมมือมาเช็ดน้ำตาให้ผมอย่างอ่อนโยน แววตาของม๊าเต็มไปด้วยคำถามและความรู้สึกผิด “ที่ลื๊อยอมไปทำงานที่บริษัท ที่ยอมคบหาดูใจกับหนูหลิน ที่ลื๊อทำทั้งหมดเพราะอานนทกรเหรอ”
 
“....” ผมใจกระตุกกับชื่อที่อยู่ในดวงใจมาตลอด นานแล้วที่ผมกับม๊าไม่เอ่ยชื่อนี้ออกมา “ครับ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด”
 
“...”
 
 “พี่นนบอกให้จิงมีชีวิตแต่เขาไม่ได้บอกให้จิงทำเพื่อเขาเลย เป็นจิงเองที่ตัดสินใจทำแบบนี้ จิงเลือกที่อยากมีชีวิตที่ดีขึ้น” ผมยิ้มแล้วมองผู้หญิงตรงหน้าด้วยความจริงใจ
 
“อาจิง”
 
“แต่จิงก็ไม่รู้หรอกว่าชีวิตที่ดีมันหมายถึงอะไร แต่ถ้ามันเป็นอย่างที่ม๊าบอก ทำงานและแต่งงาน จิงก็จะทำ” ผมหยุดพักและจับมือม๊าไว้ “จิงทำเพราะเบื้องหลังการทำแบบนี้คือการที่จิงจะได้มีความสุข จิงจะได้อยู่กับป๊า อยู่กับม๊ากับจินและจิงจะได้เจอพี่นนอีกครั้ง”
 
“...”
 
“จิงขอแค่ได้เจอเขา ได้รับรู้ว่าคนที่บอกให้ผมมีชีวิตนั้น เขาก็จะมีชีวิตอย่างที่บอกให้ผมมีจริงๆ”
 
“...ฮึก” ม๊าพยักหน้าหลายครั้งแล้วเริ่มร้องไห้สะอื้นออกมา ผมเจ็บปวดกับภาพตรงหน้าจนต้องกอดม๊าไว้อีกครั้ง
 
“ม๊าอย่าร้องไห้เลยนะ” ผมพูดแล้วลูบหลังเล็กที่สั่นเทา “จิงแค่อยากมีชีวิตที่มีความสุขและความสุขของจิงมันประกอบไปด้วยป๊า ม๊าและพี่นน จิงถึงทำทุกอย่างที่ม๊าบอก”
 
“อาจิง”
 
“ทำทุกอย่างเพื่อที่เราจะได้อยู่ด้วยกัน”
 
“ฮือ”
 
“แต่ ฮึก จิง...จิงคิดถึงพี่นน” ผมบอกม๊าด้วยความรู้สึกคิดถึงที่อัดแน่นอยู่ในอก แล้วก้มลงซบใบหน้าลงที่ไหล่เล็กของม๊าแล้วร้องไห้ออกมา “ขอจิงมีชีวิตได้ไหมครับ ฮือ”
 
“...ฮึก อาจิง ลื๊อรักเขาขนาดนี้เลยหรือ”

“...ครับ ฮึก จิงขอโทษ ขอโทษที่เป็นแบบที่ม๊าอยากให้เป็นไม่ได้” ผมกอดม๊าแน่นขึ้น พยายามควบคุมไม่ให้ตัวเองเสียงสั่น “แต่จิงสัญญาว่าจิงจะช่วยดูแลบริษัทในส่วนที่จิงทำได้ ดูแลป๊า ดูแลม๊า”
 
“อาจิง”
 
“จิงรักม๊านะ”
 
“...อั๊วขอโทษ ที่อั๊วทำทั้งหมดเพราะอั๊วหวังดีต่อลื๊อ ฮึก ลื๊อเข้าใจใช่ไหม
 
“ครับ จิงก็ขอโทษที่พูดไม่ดีกับม๊า”
 
“อาจิง อั๊วก็ขอโทษ ขอโทษจริงๆ อั๊วขอโทษ”
 
“ม๊าไม่ต้องขอโทษแล้ว”
 
“อาจิง” ม๊าผละออกจากอ้อมกอดของผมและลูบแก้มผมด้วยความอ่อนโยนอีกครั้ง แล้วจ้องมองผมอย่างจริงใจ “เขาจะรักษาสัญญา อานนทกรบอกอั๊วแบบนั้น”
 
“ขอบคุณที่บอกจิงนะครับ” อย่างน้อยผมก็มีความหวังจนถึงวันนั้นที่เราสัญญากันไว้ “ขอบคุณจริงๆ”
 
 
 
“วันจิงรับปริญญา พี่นนต้องมานะ”
“ได้ครับ”
“สัญญาสิ”
 
 
 
“สัญญาครับ”

 
 
ความหวังสุดท้ายของผม
 
 
 
**************************************
ยื่นทิชชู่
TBC

หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 29 (09/07/62) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 19-07-2019 18:17:51
+1 o13 ขอบคุณมากครับ :pig4:
หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 30 (06/08/62) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: gigibabe ที่ 06-08-2019 16:06:41

ตอน 30 จบแล้วนะ



     ท่ามกลางคนมากมายที่มาร่วมยินดีกับเหล่าบัณฑิตจบใหม่ ป๊าบ่นกับผมว่าวันเวลาช่างผ่านไปเร็ว หลังจากที่ผมออกมาจากหอประชุมของมหาลัยในช่วงเย็นของวันนี้ ป๊ายิ้มอย่างดีใจในวันสำคัญของผม รอยยิ้มที่มองมาด้วยความภูมิใจทำให้ผมยิ้มตาม ป๊ายิ้มให้ผมอีกครั้งแล้วตบลงที่ไหล่ผมเบาๆ
 
“ป๊าภูมิใจในตัวลื๊อมากๆ นะ”
 
“ครับป๊า” ผมยังจำภาพที่ป๊าแอบเดินไปร้องไห้คนเดียว หลังจากที่เราสองคนกอดกันได้เป็นอย่างดี
 
“พี่จิงกินนี่สิคะ”
 
“เอ่อ” ผมหลุดจากภวังค์ที่นึกย้อนกลับไปเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา ผมยิ้มให้หลินเบาๆ แล้วเอ่ยขอบคุณหลินที่นั่งอยู่ข้างผม ”ขอบคุณครับ”
 
“กินเยอะๆ หน่อยสิ อาจิง นี่วันสำคัญของลื้อนะ”
 
“ครับม๊า”
 
          ผมตอบรับม๊าแล้วหันไปมองป๊าที่ส่งยิ้มให้ผมเบาๆ หลังจากสิ้นสุดพิธีรับปริญญาในวันนี้ ครอบครัวผมที่ประกอบไปด้วย ป๊า ม๊า ผมและจินก็มาทานข้าวฉลองกันที่บ้าน ในตอนแรกม๊าจะไปร้านอาหารของเพื่อนม๊าแต่เพราะผมเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว เลยขอมาฉลองที่บ้านม๊าแทน
 
“ยินดีด้วยอีกครั้งนะคะพี่จิง” หลินพูดแล้วยื่นกล่องของขวัญขนาดเล็กมาให้ผม ผมรับมาและยิ้มรับด้วยความจริงใจ
 
“ขอบคุณครับ” ผมยิ้มให้หลินอีกครั้งและหันไปสบตากับคุณแม่ของหลิน ก่อนจะยกมือไหว้ขอบคุณแม่ของหลิน ถึงแม้ว่าการแต่งงานของเราจะไม่เกิดขึ้นแล้วแต่ความสัมพันธ์ดีๆ ของเรายังคงอยู่เพราะหลินก็เป็นเหมือนน้องสาวแท้ๆของผม
 
“ไว้หลินกลับบ้านไปแล้วค่อยเปิดนะ”
 
“ได้ครับ” ผมวางมือลงบนศรีษะเล็กแล้วลูบไปมา หลินยิ้มแล้วหันไปตักอาหารให้ผมอีกครั้ง
 
“กินเยอะๆ นะคะ พี่จิง” หลังจากหลินขอร้องคุณแม่ให้ยกเลิกการแต่งงานและสารภาพไปว่าตัวเองมีคนที่รักอยู่แล้ว ผมก็กลายเป็นเป็นพี่ชายที่ดีของหลินอย่างแท้จริง เราไม่ต้องโกหกใครอีก โชคดีที่คุณแม่ของหลินยอมรับและเข้าใจ ที่สำคัญคือม๊าก็ยอมรับและเข้าใจผมเหมือนกัน
 
“หลินด้วย กินเยอะๆ หน่อย ดูสิตัวเล็กจนจะปลิวแล้ว”
 
“ไม่ขนาดสักหน่อยพี่จิง”
 
          ท่ามกลางสายตาของครอบครัวผมและแม่ของหลิน เต็มไปด้วยความเสียดายที่เราไม่ได้ลงเอยกันด้วยการแต่งงาน แต่สำหรับผมและหลินนั้น ที่เราเป็นแบบนี้ มันดีมาก ดีที่สุดแล้ว ที่สำคัญคือผมรู้สึกกับหลินมากกว่านี้ไม่ได้ หลินก็เช่นกัน เพราะพวกเราต่างมีคนที่รักอยู่แล้ว แล้วใครคนนั้นของผม ก็คือคนใจร้าย คนที่ไม่ยอมทำตามสัญญา คนที่ทิ้งผมไว้ตรงนี้ ทิ้งผมอย่างง่ายดาย
 
“วันจิงรับปริญญา พี่นนต้องมานะ”
“ได้ครับ”
“สัญญาสิ”
 "สัญญาครับ”
 

          คนผิดสัญญา...ผมเผลอกำช้อนในมือแน่น จินคงสังเกตเห็นอาการที่ผิดปกติของผม เขาจึงวางมือลงบนมือของผม ก่อนจะดึงให้ผมลุกขึ้นยืนตามแรงดึงของเขา
 
“เอ่อ ขอตัวพี่ชายผมสักพักนะครับ”
 
“อ่อ สงสัยคงจะไปคุยกันตามภาษาพี่น้องใช่ไหมคะ” เป็นหลินที่พูดทำลายบรรยากาศที่น่าอึดอัดในห้องทานข้าว
 
“ครับ”
 
“อ่อ พี่น้องบ้านนี้รักกันดีจริงๆ”
 
“หลินเห็นด้วยค่ะ ฮ่าๆ”
 
“ขะ ขอตัวครับ” ผมพูดแล้วโค้งให้ทุกคนแล้วเดินตามแรงดึงของจินไปอย่างว่าง่าย
 
          ผมยื้อแขนตัวเองออกจากมือที่กุมแขนของผมเอาไว้ทันที หลังจากที่เราเดินออกมาจากห้องกินข้าว จินเดินนำพาผมเดินมาบริเวณทางเดินหน้าบ้าน ในตอนนี้เป็นเวลาสี่ทุ่มกว่าแล้ว ดังนั้นบริเวณรอบบ้านจึงมืดและเงียบสงัด ยังดีที่มีแสงไฟจากโคมไฟริมทางเดิน ทำให้ยังพอมองเห็นใบหน้าของน้องชายตัวแสบของผมได้ ผมถอนหายใจและพยายามหลบเลี่ยงสายตาที่จ้องมองมาเหมือนจะเค้นหาคำตอบของเขา
 
“พี่จิง...”
 
“มีอะไรก็รีบพูดมา พี่ยังกินไม่อิ่มเลย”
 
“คืนนั้น ผมไม่ได้ตั้งใจ แต่ผมได้ยินหมดแล้ว” ผมลอบกลืนน้ำลายและเงยหน้าสบตากับน้องชายที่สูงกว่าตัวเอง “วันนี้ที่พี่เป็นแบบนี้...เพราะเขาใช่ไหม”
 
“เหอะ อะไรกัน พี่ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”
 
“หึ เป็นอยู่นี่ไง ไอ้อาการพยายามยิ้ม พยายามหัวเราะทั้งที่กลั้นน้ำตาจนตาแดงขนาดนี้”
 
“ปะ เปล่า” เหมือนมีมีดมาแทงกลางใจดำของผม ความร้อนเห่อร้อนขึ้นดวงตาและจมูกจนผมหนักขึ้นกว่าเดิม “ไม่ได้รอสักหน่อย”
 
“เฮ้อ”
 
ฟึ่บ
 
“จิน ฮือ” เป็นเพราะอ้อมกอดของน้องชายที่ตัวใหญ่กว่าที่กอดผมไว้ น้ำตาที่ผมกลั้นมาก็ไหลทะลักลงมาทันที
 
“ร้องออกมาเถอะ อย่าฝืนตัวเองอีกเลย”
 
“จิน ฮือ เขาไม่กลับมาแล้ว ฮึก พี่นนเขาไม่กลับมาหาพี่แล้ว”
 
“...”
 
“เขาลืมพี่ไปแล้ว ฮือ เขาไม่รักพี่แล้ว”


“...”
 
“พี่จะทำยังไง ทำยังไงดี ฮึก พี่จะอยู่ต่อยังไง” ผมร้องไห้กอดคนตรงข้างหน้าไว้ สะอื้นไห้จนเหมือนจะขาดใจและทรุดตัวลงนั่งกับพื้น “พี่ต้องทำยังไงต่อ ฮือ”
 
“พี่จิง...” จินไม่ได้ดึงผมให้ลุกขึ้นยืน แต่เขากับนั่งยองลงตรงหน้าผมและมอบรอยยิ้มอ่อนโยนให้เหมือนที่เคยทำตลอดมา “ถ้าเป็นจิน ผมจะตามหาเขา หาจนกว่าจะเจอและบอกให้รู้ว่าผมรักเขาแค่ไหน”
 
“ฮึก...”
 
“ไปสิ” ผมมองใบหน้าที่กำลังยิ้มให้ผมอย่างสับสน ตามหางั้นเหรอ ผม...ผมตามหาเขามาตลอด แต่... “เป็นผมจะรีบเอาดอกไม้ในรถช่อนั้น ไปให้เขานะครับ”
 
 
“จิน...” อะไรบางอย่างสั่งให้ผมลุกขึ้น แล้ววิ่งไปหยิบดอกไม้ช่อนั้นในรถตามที่จินบอก แล้ววิ่งออกไปจากบ้านหลังนี้ ตามหา...ผมมันโง่ที่หยุดตามหาเขา “ขอบใจนะ”
 
 
.
 
.
 
.
 
“อ๋อ อานนทกรน่ะเหรอ เขากลับมาเมื่อเช้าแป๊บนึงน่ะ มาทำเรื่องย้ายออก” เหมือนหัวใจผมหยุดเต้น “ทำเรื่องเสร็จก็ออกไปตั้งแต่เช้าแล้วล่ะ”
 
“...” ผมทำได้แค่ยืนหอบหายใจ ถือช่อดอกไม้อยู่แบบนี้
 
“เขาคงไม่กลับมาแล้วล่ะ ว่าแต่เจ๊หงส์เป็นไงบ้างพักนี้ไม่มาเยี่ยมอั๊วที่หอเลย”
 
“ผม..ผม..” เหมือนสมองของผมได้หยุดทำงานไปแล้ว ผมช็อคแล้ววิ่งออกมาโดยที่ไม่ได้ตอบคำถามของเจ๊ที่เฝ้าหอ ใจผมมันร้อนรนไปหมด หลังจากได้ฟังคำที่เจ๊บอก ผมควรจะทำยังไง ผมจะไปตามหาเขาได้ที่ไหนอีก
 
“โธ่เว้ย!” ผมสบถออกมาแล้วนั่งลงที่ม้านั่งหน้าหอที่ผมคุ้นเคย ผมหมดแรงที่จะก้าวต่อไปแล้ว เรื่องทั้งหมดนี่เหมือนมีแค่ผมคนเดียวที่วิ่งตามเขา เหมือนมีแค่ผมที่ทนทุกข์ทรมานแบบนี้ ผมมองช่อดอกไม้ในมือด้วยใจที่เจ็บปวดหรือก่อนหน้านี้จะมีแค่ผมที่ฝันไป มีแค่ผมที่รักเขา ผมเหยียดยิ้มให้ตัวเองแล้วเดินกลับไปทางเดิน ทางเดินที่ผมวิ่งมา
 
หนึ่ง
 
สอง
 
สาม
 
          ผมเดินนับเสาไฟฟ้าไปด้วยใจที่ว่างเปล่า ในมือถือช่อดอกไม้ที่เริ่มเฉาลง เนื่องจากผมทั้งถือ ทั้งกอดมันไว้ในอ้อมแขนในตอนที่ผมวิ่งไปที่หอนั้น ผมหยุดยืนอยู่ที่เดินใต้เสาไฟฟ้าต้นที่สาม แล้วนั่งลงที่เดิมที่เคยนั่ง วางดอกไม้ไว้ข้างกาย ก่อนจะงอเข่าเข้ามากอดไว้เหมือนในคืนนั้น ที่เราพบกัน
 
          ไม่รู้ว่าผ่านไปนานไหน สุดท้ายคนที่ผมรอมาตลอดก็ไม่มา เขาคงไม่กลับมาอีกแล้ว น้ำตาบนใบหน้าผมก็ได้แห้งเหือดไปแล้ว ราวกลับว่ามันจะไม่ไหลออกมาอีก นั่นยิ่งทำให้ความเจ็บปวดในใจผมยิ่งทวีคูณขึ้นมาเพราะได้รู้ว่าความหวังสุดท้ายของผมที่จะได้เจอเขา มันไม่มีอีกแล้ว
 
          ผมลุกขึ้นยืน เหม่อมองช่อดอกไม้ที่วางอยู่ข้างเสาไฟฟ้า ช่อดอกกุหลาบสีขาวที่บรรจงห่อด้วยกระดาษสีขาว เหมือนเป็นตัวแทนบอกความรักที่แสนบริสุทธิ์ของผม ผมยิ้มเยาะกับตัวเอง เมื่ออ่านการ์ดใบเล็กที่เสียบอยู่ด้านข้าง
 
‘จิงเรียนจบแล้วนะ ขอบคุณที่กลับมาหาจิง’

“หึ กลับมาอะไรกัน ฮึก”
 
          และแล้วน้ำตาผมไหลลงมาอีกครั้ง ผมหลับตาแน่น ข่มความรู้สึกขมปร่าที่ซัดเข้ามาในอก เงยหน้ามองท้องฟ้าที่มืดมิด หัวเราะกับตัวเองอีกครั้งที่ร้องไห้ออกมาจนได้ ผมเดินล่องลอยไปเรื่อยๆ ตามขาของตัวเองจะนำพาไป ไม่รู้ว่าจุดหมายที่ผมกำลังจะเดินไป มันจะทำให้ผมลืมความรู้สึกเจ็บปวดครั้งนี้ได้รึเปล่า
 
 
.
 
.
 
.
 
          ลมในตอนกลางคืนมันช่างเย็นจนผม รู้สึกหนาวไปทั้งใจ ในครั้งนี้ผมกลับมาเคว้งคว้างอีกครั้ง กลับมาที่เดิมที่เคยคิดจะจบชีวิตตัวเอง แต่ในรอบนี้ผมไม่ได้จะมาทำแบบนั้นอีกแล้ว ผมเข้าใจและรู้ซึ้งในสิ่งที่พี่นนบอก มีชีวิต ผมเข้าใจแล้ว
 
          แต่ความเจ็บปวดระหว่างที่มีชีวิตพี่นนไม่เห็นเคยบอกให้ผมเข้าใจมันเลย ผมสะอื้นร้องไห้ตัวโยนอีกรอบ มันเจ็บ เจ็บไปท้งใจเมื่อนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมาทั้งหมด คนที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้ ทำให้ผมมีชีวิตอีกครั้ง ทำให้ผมรัก กลับเป็นคนเดียวกับที่ทำให้ผมเจ็บแบบนี้
 
“พี่นน...” ผมพูดออกมาเบาๆ หลังจากที่ปีนขึ้นมานั่งบนราวสะพานไม้เก่าๆ ที่เดิมที่ผมกับพี่นนพบกันครั้ง “...ไม่รักกันแล้วหรือ”
 
          ผมร้องไห้แล้วมองแหวนที่อยู่บนมือตัวเอง ลูบเบาๆ กลัวว่ามันจะแตกสลายไปอีกอย่าง เพราะวันนี้ใจของผมได้แตกสลายไปแล้ว ผมรอคอยวันนี้มาตลอดเกือบครึ่งปี ผมอยู่ได้ด้วยความหวังว่าเราจะกลับมาเจอกัน เราจะได้อยู่ด้วยกัน แต่วันนี้ผมก็ได้รู้แล้วว่ามันจะไม่มีวันนั้น
 
          พี่นนไม่มาตามสัญญาที่ให้ไว้จริงๆ และพี่นนไม่ได้ตามหาผม ทั้งที่เขากลับมาแต่เขากลับไม่มาหาผม การโดนปฏิเสธความรักมันเจ็บปวดอย่างนี้นี่เอง ผมหลับตาลงปาดน้ำตาออกจากใบหน้าและให้ลมเย็นๆ พัดผ่านไป ภาวนาให้น้ำตาที่ไหลลมาอีกครั้งแห้งเหือดไปเร็วๆ บางทีผมอาจจะต้องตัดใจจากเรื่องของเราจริงๆ
 
          บางทีผมควรจะทิ้งแหวนวงนี้ไปซะ แล้วเริ่มต้นใหม่ทุกอย่าง คิดว่าเรื่องทั้งหมดเป็นแค่ฝัน เป็นแค่อดีตที่ผมไม่อยากนึกถึง ผมกำมือข้างที่มีแหวนไว้แน่น
 
ทำไม่ได้...ผมทำไม่ได้
ผมรักเขา ผมอยากมีเขาในชีวิต
 
          ผมลืมตาขึ้น สูดหายใจเข้าลึกๆ ในเมื่อเขาไม่มาหาผม ผมก็จะไปหาเขาเอง ผมจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ แบบนี้อีกแล้ว เพราะในตอนนี้ผมรู้แล้วว่าผมรักพี่นนมากจริงๆและผมก็อยากมีพี่นนในชีวิต แต่ถ้าพี่นนหมดรักผมจริงๆ อย่างน้อยในตอนนี้ผมก็ทำเต็มที่แล้ว อย่างน้อยผมก็จะได้คุยกับเขาเป็นครั้งสุดท้าย ผมจะไม่ยอมให้เรื่องของเราจบไปเงียบๆ แบบนี้แน่
 
แกร่ก
 
          แต่ในจังหวะที่ผมกำลังปีนกลับ เสียงไม้ลั่นจากราวสะพานก็ทำให้ผมชะงักไป ผมขยับตัวอีกครั้งและนั่นก็ทำให้ใจผมหล่นวูบ ราวสะพานไม้ที่ผมกำลังนั่งอยู่ดังลั่นอีกหนึ่งครั้งและโยกไปมา ผมจับราวไว้แน่น ตัวผมส่ายไปมา ผมทำได้แค่หลับตาปี๋อย่างจำยอม ในตอนที่ราวสะพานเอียงไปด้านหน้า ผมกำลังจะตกลงไปในแม่น้ำด้านล่างอย่างแน่นอน
 
แต่ผมว่ายน้ำไม่เป็น...ผมยังไม่อยากตาย
 
“ช่วย!..”
 
“จิง!”
 
“พี่นน!” ผมเบิกตากว้างหันไปมองตามเสียงเรียกที่ผมคุ้นเคย
 
 “จิง!” เสียงของเขาที่ผมอยากได้ยินมาตลอด ยังไม่ทันได้สบตาสะพานไม้ก็หักลงไปยังด้านล่าง ตัวผมลอยคว้างไปตามอากาศ
 
ฟรึ่บ
 
          แขนของผมโดนกระชากไว้จนเกิดเสียงดัง ตัวผมห้อยลงมาจากสะพาน แขนผมโดนดึงไว้อย่างแรงจนรู้สึกเจ็บ ผมเงยหน้าสบตากับคนที่ผมคิดถึงตลอดมา เป็นพี่นน เป็นเขาจริงๆ ทันทีที่ผมสบตากับเขา ใจผมก็เต้นแรงจนเจ็บไปหมด ในตอนนี้แววตาของพี่นนฉายแววกังวลจนเห็นได้ชัด
 
“จับแขนพี่ไว้ พี่จะดึงจินขึ้น ส่งแขนอีกข้างมา”
 
“ฮึบ” แขนสองข้างผมโดนเขาจับไว้แน่น ในตอนนี้แขนของเราทั้งคู่สั่นไปหมด พี่นนออกแรงดึงอีกครั้งและในตอนที่ผมตัวผมลอยขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ตัวพี่นนกลับสวนทางกับผมที่โน้มตัวลงมาใกล้ผมเรื่อยๆ
 
“ไม่เป็นไรนะ” รอยยิ้มที่ส่งมาปลอบใจผม ทำให้ผมรู้ว่าเขาจะทำอะไรเพราะน้ำหนักผู้ชายด้วยกัน พี่นนคงดึงผมขึ้นไปไม่ไหว เหลือทางสุดท้ายที่ทำได้คือ... “จิงต้องไม่เป็นไร เชื่อพี่นะ”
 
“ไม่! อย่านะ ไม่เอาแบบนี้” ผมร้องไห้อีกครั้งเพราะรอยยิ้มของเขา “พี่นน...”
 
ฟรึ่บ
 
          หลังจากแรงดึงอย่างแรง ทำให้ตัวผมลอยขึ้นไปจนสามารถคว้าขอบสะพานไว้ได้ ต่างจากพี่นนที่ใช้น้ำหนักตัวเองเพื่อดึงผมขึ้นไปและพุ่งลงด้านล่างแทนผม ในเสี้ยววินาทีที่เราสวนทางกัน ทำให้รู้ว่าที่ผ่านมาพี่นนไม่เปลี่ยนไปเลยเพราะแววตาของพี่นนที่ใช้มองผมนั้นไม่ต่างอะไรจากเมื่อก่อนเลยและนั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมได้เห็น ก่อนที่ร่างของเขาจะดิ่งลงแม่น้ำด้านล่าง
 
“ไม่! พี่นน”
 
ตู้ม!
 
“พี่นน!!!”
 
 

**********************************
TBC


หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 31 END (06/08/62) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: gigibabe ที่ 06-08-2019 22:33:45
ตอนที่ 31 ช่อดอกไม้


ผมกลับมาที่นี่อีกครั้ง

กลับมาที่จุดเริ่มต้นของเรา

 

          ไม่รู้ว่าป่านนี้เขาจะมีชีวิตอย่างที่ผมได้บอกไว้ได้หรือเปล่า สำหรับผมแล้วการเดินออกมาจากเขาช่างง่ายดาย แต่ชีวิตหลังจากนั้นของผมกลับเจ็บปวดไปทั้งใจ มันเจ็บปวด จนด้านชา ราวกลับหัวใจของผมมันสูญหายไปอีกครั้ง

 

          ผมเริ่มจากไม่กลับไปที่หอและลาออกจากบริษัทที่ผมทำมาหลายปี ทุกคนในบริษัทตกใจและหัวหน้าผมก็เช่นกัน ผมคิดว่าการหายตัวไปมันจะง่ายอย่างที่คิดไว้ แต่ก็จบลงที่ผมกลายเป็นคนตกงานโดยสมบูรณ์ ไม่นานผมก็ต้องแบกหน้าไปของานจากหัวหน้าและลงเอยด้วยการมาเป็นพนักงานบริษัทเดิมแต่เป็นสาขาต่างจังหวัด ผมทำงาน กลับห้องพัก ทุกอย่างดูน่าเบื่อ โดดเดี่ยวและเหงากว่าเดิมเป็นร้อยเท่า

 

          ทุกวันผมเหมือนคนบ้าที่คอยเขียนบันทึกถึงเขา เด็กผู้ชายคนนั้นที่เราเจอกันเหมือนกับความฝัน เราผ่านช่วงเวลาที่ผมคงหาไม่ได้อีกแล้วในชีวิตนี้มาด้วยกัน จิงเหมือนแสงที่สว่างที่สุดในชีวิตผม ผมรักเขาและมีแต่ความหวังดีให้แก่เขา อยากให้เขามีชีวิตที่ดี อยากเห็นเขาประสบความสำเร็จและมีรอยยิ้มอยู่เสมอ

 

          ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน มันราวกับความฝัน แต่แล้ววันที่เราจำเป็นต้องตื่นจากความฝันก็มาถึงและผมก็ได้รู้ว่าผมไม่เหมาะที่จะยืนอยู่ข้างเขา ผมยอมแพ้อย่างคนขี้ขลาด ทิ้งเขาไว้อย่างเห็นแก่ตัวและหนีมา ทิ้งจิงไว้ให้อยู่กับคำพูดที่ยัดเยียดแต่ความหวังดีให้ โดยที่ผมไม่ถามเขาสักคำ

 

‘จิงเรียนจบแล้วนะ ขอบคุณที่กลับมาหาจิง’

 

“จิง...พี่ขอโทษ” ผมเอื้อมมือไปหยิบช่อดอกไม้นั้นขึ้นมากอดไว้ มองตามแผ่นหลังเล็กเจ้าของช่อดอกไม้ที่ผมแอบตามมาทั้งวันเดินห่างออกไปเรื่อยๆ ผมยืนอยู่ตรงนี้สักพัก ก่อนจะเดินตามเขาไปห่างๆ อย่างเงียบเชียบ

 

          เพียงแค่เห็นแผ่นหลังเล็กที่กำลังนั่งห้อยขาอยู่บนราวสะพาน ใจที่ด้านชาของผมกลับเต้นรัวขึ้นมาอีกครั้ง ผมกลับมาครั้งนี้เพราะผมพร้อมแล้ว ผมได้กลับมาเป็นหัวหน้าที่บริษัทเดิมและในตอนนี้ผมก็ไม่ต้องพึ่งพาหอพักของเจ๊หงส์แล้ว ในตอนนี้ผมพร้อมที่จะมีชีวิตที่เคียงข้างจิงได้แล้ว ผมพร้อมที่จะก้าวเข้าไปหาเขา พร้อมที่จะบอกว่าผมรักเขาและอยากอยู่กับเขามากแค่ไหน

 

          ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ในมือทั้งสองข้างถือช่อดอกไม้ทั้งสองไว้แน่น ค่อยๆ เดินไปใกล้สะพานนั้น แผ่นหลังสั่นเทาอยู่ไม่ไกลจากผมแล้ว อีกนิด...อีกนิดเดียวข้อความบนช่อดอกไม้ของผมจะไปถึงยังคนที่ผมรักสักที

 

‘พี่กลับมาแล้ว ต่อจากนี้พี่จะอยู่ข้างๆ จิงตลอดไป พี่รักจิง’

 

“พี่นน...ไม่รักกันแล้วหรือ” เสียงที่ผมคิดถึงพูดขึ้นมาทำลายความเงียบก่อนที่ผมจะเดินขึ้นสะพานไป ผมหยุดอยู่ที่เดิมเพราะในใจผมปวดร้าวทันทีที่ได้ยินประโยคนี้ ทั้งที่เราต่างรักกัน ทั้งที่เราโหยหากันขนาดนี้ เป็นผม...ที่ทิ้งเขาให้เผชิญกับความเจ็บปวดแบบนี้

 

ในตอนนี้ผมอยากขอโทษ

อยากกอดเขาไว้ให้แน่นที่สุดแล้วบอกเขาไปว่าผมรักเขา

และผมจะไม่มีวันทิ้งเขาไปไหนอีก

 

แกร่ก

 

          เพียงแค่ก้าวเดียวที่ผมเหยียบบนสะพาน เสียงจากราวสะพานไม้ก็ดังลั่นขึ้นจนผมตกใจเผลอปล่อยดอกไม้ทั้งสองช่อลงกับพื้น ภาพด้านหน้าทำผมใจตกไปอยู่ที่พื้น ราวสะพานกำลังหักลงไปด้านหน้า ส่งผมให้คนตัวเล็กที่นั่งอยู่ด้านบนเซไปข้างหน้าและไม่ช้าเขาต้องตกลงไปแม่น้ำข้างล่างแน่นอน

 

“ช่วย!..”

 

“จิง!” ผมก้าวเท้าเข้าไปหาจิงโดยอัตโนมัติ โชคดีที่ผมคว้าแขนเขาไว้ทัน แต่จังหวะที่ผมจะออกแรงดึง แรงกระชากจากการดึงก็ทำให้ผมเซไปด้านหน้า ผมรู้ว่าเรากำลังจะตกลงไปด้วยกันทั้งคู่ แต่ผมจะไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น “จับแขนพี่ไว้ พี่จะดึงจินขึ้น ส่งแขนอีกข้างมา”

 

“ฮึบ” ผมจับแขนสองข้างของจิงไว้แน่น ในตอนนี้แขนของเราทั้งคู่สั่นไปหมด

 

“ไม่เป็นไรนะ” ผมยิ้มปลอบใจคนที่จ้องมองหน้าผมไม่หยุด จิงร้องไห้เพราะผมอีกแล้ว ผมรู้ว่าในตอนนี้ผมคงดึงตัวจิงไว้ต่อไปไม่ไหว ตอนนี้เหลือเพียงทางเดียวแล้ว นั่นคือการดึงเขาขึ้นไปและส่งตัวเองลงไปข้างล่างแทนเขา ผมสบตากับคนที่ผมคิดถึงตลอดมาอีกครั้ง “จิงต้องไม่เป็นไร เชื่อพี่นะ”

 

“ไม่! อย่านะ ไม่เอาแบบนี้” ผมยิ้ม แค่จิงปลอดภัยแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว “พี่นน...”

 

ฟรึ่บ

 

“ไม่! พี่นน”

 

          ผมยิ้มให้กับท่าทีที่ตกใจของเขา ในเสี้ยววินาทีที่เราสบตากันระหว่างที่ผมลอยอยู่กลางอากาศ ผมคิดถึงเขามากจริงๆ ดวงตากลมโตที่เต็มไปด้วยน้ำตา ปากเล็กที่พร่ำเรียกชื่อผม เพียงเท่านี้ผมก็รู้แล้วว่าการกลับมาในครั้งนี้มันช่างคุ้มค่ากับการรอคอยของเราเหลือเกิน ผมหลับตาลงและความเย็นของน้ำก็ถาโถมเข้าหาตัวผมอย่างแรง

 

ตู้ม

 

“พี่นน!!!”

 

 

.

 

.

 

 

.

 

 “ไม่ พี่นน ไม่” ผมพูดวนซ้ำไปมาหลังจากขึ้นมานั่งบนสะพานได้สำเร็จ มือไม้ผมสั่นไปหมด ทำได้แค่คลานไปมองด้านล่างจากบนสะพาน ผืนน้ำด้านล่างเกิดฟองสีขาวขนาดใหญ่เพราะพี่นนตกลงไปตรงนั้น พอตั้งสติได้ผมก็วิ่งลงจากสะพาน ล้วงโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรตามคนมาช่วยทันที

 

“ม๊า ม๊าช่วยด้วยพี่นนจมน้ำ ช่วยด้วย ฮือ”

 

“หะ อาจิง ใจเย็นๆ นะ ตอนนี้ลื้ออยู่ไหน”

 

“สะพานท้ายซอย รีบมาช่วยทีม๊า ม๊าช่วยด้วย”

 

“ได้ๆ แต่ลื๊ออย่าลงไปในน้ำนะ เข้าใจไหม”

 

“คะ ครับม๊า”

 

          หลังจากวางสายไปผมก็กลับมากังวลอีกครั้ง ผมพยายามเดินไปใกล้ทางลาดลงแม่น้ำ ที่ใกล้จุดที่พี่นนตกลงไปให้มากที่สุด ผมใช้ไฟฉายจากมือถือส่องไปทั่วบริเวณนั้น มือผมสั่นเหมือนเจ้าเข้า ใจผมเต้นรัวและเหมือนจะหยุดเต้นไปเพราะความกลัวเช่นกัน กลัวจะไม่ได้เจอเขาอีก กลัวว่าเขาจะหายไปจากผมตลอดกาล

 

“พี่นน ฮือ พี่นน กลับมา พี่นน!” ผมทั้งตะโกนทั้งร้องไห้ เดินริมแม่น้ำไปมาเหมือนคนบ้า

 

“...” เป็นเหมือนทุกครั้ง มีแต่ความเงียบที่สะท้อนกลับมาจนผมปวดใจไปหมด

 

“ได้โปรด” อย่าทำแบบนี้เลย ขอโอกาสให้เราได้อยู่ด้วยกันอีกสักครั้ง ให้เราได้รักกันสักที “พี่นน ฮือ”

 

“เฮือก อะ แค่กๆๆ”

 

“พี่นน!” ผมหันไปเรียกตามเสียงสำลักน้ำ แล้ววิ่งตามเสียงนั้นไปเรื่อยๆ

 

          ผมเบิกตากว้างเมื่อเห็นพี่นนนอนอยู่บนพื้นโคลนที่ห่างจากสะพานไม่ไกลนัก ผมวิ่งไปหาร่างเปียกชุ่มที่นอนอยู่ตรงนั้นทันที ผมคุกเข่าลงข้างตัวเขา โน้มตัวซบหน้าฟังเสียงหัวใจจากอกแกร่งอย่างลนลาน

 

“พี่นน พี่นน” ในตอนนี้ผมกลัวจนทำอะไรไม่ถูก

 

“หึ แค่กๆๆ พะ พี่” ส่วนพี่นนก็ยังเป็นพี่นน เป็นความอบอุ่นของผม มือใหญ่ที่เอื้อมมาจับมือผมไว้ทำให้ผมเย็นลงได้อย่างเหลือเชื่อ “พี่ไม่เป็นไรแล้ว ไม่เป็นไร”

 

“จิงกลัว” ผมพุ่งตัวเข้าไปกอดคนที่ลุกขึ้นนั่งแทบจะทันที

 

“หึๆ” เสียงทุ้มที่หวเราะเบาๆ ทำให้ผมร้องไห้อีกครั้ง

 

“รู้ไหมว่าจิงกลัวแค่ไหน ถ้าพี่เป็นอะไรไป...”

 

“พอแล้ว” พี่นนว่าแล้วจับไหล่ผมให้ผละตัวออกมาสบตากัน “พี่มาตามสัญญาแล้วนะ”

 

“ฮึก พี่นน..” ผมยิ้มและร้องไห้ไปพร้อมกัน เงยหน้ามองใบหน้าที่เปียกชุ่มด้วยใจที่เต้นระรัว เกือบครึ่งปีที่เราไม่ได้เจอกัน พี่นนไม่เปลี่ยนไปเลย ผมเสยผมที่เปียกลู่กับใบหน้าเย็นๆ ของเขาออก ลูบหยดน้ำออกจากใบหน้าที่คนที่ผมรักด้วยความทะนุถนอม “จิงคิดถึงพี่”

 

“จิง..” พี่นนยิ้มแบบที่ผมชอบ ยิ้มที่สว่างไสวที่สุด เขาเอียงใบหน้าซบลงกับมือผมหลับตาลง แล้วบอกพูดคำที่ผมอยากได้ยินที่สุดออกมา “พี่คิดถึงจิง คิดถึง...พี่รักจิงนะครับ”

 

ผมไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว

แค่พี่นนรักผม เหมือนที่ผมรักเขามาตลอด

แค่เรารักกันก็พอแล้ว

 

“ตะ ตอนนี้จิงมีชีวิตแบบที่พี่นนบอกแล้วนะครับ”

 

“ครับ”

 

“แต่ต่อจากนี้จิงจะมีชีวิตของจิงสักที”

 

“...”

 

“ชีวิตของจิงคือการมีพี่นนอยู่ในชีวิตด้วยนะครับ” ผมพูดแล้วซบลงกับอกแกร่งที่เปียกชุ่ม “ต่อไปนี้เรามาใช้ชีวิตที่เหลือด้วยกันนะ”

 

“พี่ดีใจที่จิงเข้าใจแล้ว” มือใหญ่ของพี่นนวางลงบนหัว แล้วลูบไปมาเหมือนทุกครั้ง



"อย่าหายไปไหนอีกนะ"



 “ต่อไปนี้พี่จะไม่ไปไหนแล้ว”



          เรายิ้มให้กันแล้วกอดกันไว้ด้วยใจที่โหยหา จากคำพูดของคนแปลกหน้า คำสัญญาในวันที่ไม่อยากมีชีวิตต่อ ได้ทำให้ผมมีชีวิตอีกครั้ง ทำให้ผมได้เห็นตัวเองเติบโต ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆ อย่าง ได้รัก ได้เสียใจ ได้เข้าใจและได้เข้มแข็งขึ้น

 

“อย่าลืมทำตามสัญญาของเราด้วยล่ะ” ผมพูดแล้วยิ้มให้คนที่ผมรัก

 

“เราจะตายไปพร้อมกันใช่ไหม”

 

          ท่ามกลางความเงียบของท้ายซอยแห่งหนึ่งบนโลกใบนี้ มีคนสองคนที่จ้องมองกันด้วยความรัก พวกเขาต่างรับรู้การมีอยู่ของกันและกัน รอยจูบที่แสนอบอุ่นเกิดขึ้นบนริมฝีปากของพวกเขาและความอบอุ่นนั้นก็แผ่ซ่านไปทั้งใจที่แสนเศร้าของเขาทั้งสองคน

 

          คำสัญญาในวันที่ไร้ความหวัง คำสัญญาของคนสองคนที่เคยหันหลังให้กับการมีชีวิต ต่อจากนี้มันจะกลายเป็นคำสัญญาที่ทำให้พวกเขาอยากมีชีวิตต่อไป

 

“ตกลง เราจะตายไปพร้อมกัน”

 

เป็นคำสัญญาที่มีแค่พวกเขาสองคนที่เข้าใจ

 

 

 









-------------------------------------------- END ------------------------------------------













 

จบแล้วจ้า ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านกันมาจนถึงตอนจบนะคะ

 

อยากจะบอกว่าเรื่องนี้แต่งยากมาก (ไม่น่าชั่ววูบเลย) ฮ่าๆ

ยอมรับเลยว่าเจอทั้งตอนที่ตัน ตอนที่ไปต่อไม่ได้และบางครั้งก็พบเจอกับอาการหมดไฟของตัวเอง

จนเกือบไม่ได้เขียนต่อ แต่สุดท้ายก็ผ่านช่วงนั้นมาได้และเขียนจนมาถึงตอนจบ : )

 

สุดท้ายนี้หวังว่าเรื่องนี้จะช่วยให้กำลังใจและเป็นความสุขเล็กๆ ของรีดเดอร์ทุกคนนะคะ

ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้อีกครั้งและที่สำคัญขอบคุณทุกคอมเม้น ทุกกำลังใจเลยนะคะ

ถ้ามีโอกาสเปิดเรื่องใหม่ ฝากติดตามกันด้วยนะคะ

LOVE


หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 31 END (06/08/62) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 06-08-2019 22:35:53
 o13


 :กอด1: :L2: :L1: :pig4: :pig4: :pig4: :L1: :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 31 END (06/08/62) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 07-08-2019 00:14:24
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆจ้า  :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 31 END (06/08/62) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 07-08-2019 22:45:47
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 31 END (06/08/62) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: naezapril ที่ 09-08-2019 07:39:47
ขอบคุณ​ ขอบคุณ​ ขอบคุณ
สนุกมาก​ ไบโพร่าสุดๆ
่อ่านรวดเดียวเหมือนเป็นคนบ้าอ่ะ
แง้งงงงงงงง
หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 31 END (06/08/62) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: abcee ที่ 05-09-2019 19:14:44
เราจะตายไปพร้อมกัน มันยิ่งกว่าคำบอกรักอีกนะ ขอบคุณนักเขียนมากๆ นิยายสนุกมากๆๆครับ
หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 31 END (06/08/62) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Gatjang_naka ที่ 11-09-2019 13:06:26
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 31 END (06/08/62) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Bb nale ที่ 07-10-2019 16:28:00
น้ำตาหมดเป็นก๊อกแล้วนะ ขอบคุณคนเขียนมากเลยสำหรับนิยายดีๆหลังจากไม่ได้เข้ามาในเล้านาน
หัวข้อ: Re: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 31 END (06/08/62) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 09:08:34
 :pig4: