เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 31 END (06/08/62) P.3
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 31 END (06/08/62) P.3  (อ่าน 11494 ครั้ง)

ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
ตอนที่ 24 ทำบุญตักบาตร




"จิง"


"อือ" ผมครางในลำคอและพยายามเปิดเปลือกตาอย่างยากลำบากหลังจากได้ยินเสียงทุ้มที่ดังใกล้ใบหู พอลืมตาได้ก็พบกับคนที่นอนตะแคงจ้องมองผมอยู่ พอได้สบตากันอย่างจริงจังเรื่องเมื่อคืนก็ไหลเข้ามาจนผมรู้สึกร้อนที่ใบหน้า ผมเสมองไปทางอื่นแทนเพื่อจัดการกับความเขินของตัวเองและพอตั้งสติได้ก็เพิ่งนึกได้ว่าวันนี้เรามีนัดกัน "...ตักบาตร"


"ครับ" พี่นนพูดแล้วลุกขึ้นนั่งแต่ก็ยังไม่หยุดมองผม "อีกสิบห้านาทีพระท่านจะมาถึง"


"งั้น...” ผมลุกขึ้นนั่งตามบ้างแต่ความเจ็บที่แล่นเข้ามาก็ทำเอาผมชะงักไป


“ลุกไหวไหม"


   เสียงทุ้มที่ผมคุ้นเคยเหมือนตอกย้ำกัน ภาพเมื่อคืนย้อนกลับมาอีกครั้งทำเอาผมหน้าร้อนไปหมด มองคนข้างกายที่ใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วก็เหลือบมองตัวเองที่ใส่เสื้อผ้าครบชิ้นเหมือนกัน ทั้งที่เมื่อคืนผมหลับไปอย่างโป๊ๆ ก็คงเป็นฝีมือของพี่นนนั่นล่ะที่ใส่ให้ผม โอ๊ย ผมเขินกว่าเดิมอีก


"ไหวๆ" ผมบอกพร้อมพยักหน้าลวกๆ ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน พอเห็นผมจะลุกพี่นนก็เข้ามาประคองกันเหมือนผมเป็นผู้หญิงท้องแก่ กำลังจะเอ่ยแซวแต่ความเจ็บที่สะโพกก็เอาผมพูดไม่ออกและเผลอส่งเสียงร้องให้คนที่ช่วยประคองได้ยิน "โอ๊ย"


"เจ็บมากไหม" พี่นนพูดเสียงหงอย แล้วกอดผมไว้หลวมๆ เมื่อผมลุกยืนสำเร็จ "ขอโทษ นอนพักไหม พี่ไปคนเดียวได้"


"ไม่เอา จิงอยากไปด้วย" ผมว่าแล้วเงยหน้าจากอ้อมกอดนี้ สบตากับคนที่มอบความอบอุ่นให้กัน "รีบไปกันเถอะ"


   ผมรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เป็นชุดที่เรียบร้อยกว่าเสื้อกล้ามตัวใหญ่กับบ็อกเซอร์ย้วยๆของตัวเอง แล้วเดินตามคนตัวสูงลงมาข้างล่าง ตกใจเล็กน้อยตอนที่เจอป้าพานั่งอยู่ใต้ถุนบ้านพร้อมของที่จะนำไปใส่บาตรหลายอย่างที่วางอยู่ในถาด


   ผมยิ้มรับตอนที่ป้าพายิ้มให้ พี่นนเอ่ยขอบคุณและยกถาดนั้นมาถือไว้ แล้วหันมาบอกผมให้เดินตามกันไป ในตอนแรกผมนึกว่าเราจะไปวัดกัน แต่พี่นนกลับพาผมเดินไปที่ศาลาริมน้ำที่ผมเห็นเมื่อวานนี้แทน


“จิงนึกว่าเราจะไปที่วัดซะอีก” ผมพูดขึ้นมาตอนที่พี่นนนั่งลงที่ม้านั่งในศาลานี้ พอพูดจบผมก็นั่งลงข้างพี่นนและมองไปรอบๆ อย่างสนใจ


“เดี๋ยวไปช่วงสายกว่านี้ครับ ตอนนี้ตักบาตรกันก่อน”


“อือ” ผมพยักหน้าและมองไปที่แม่น้ำที่สงบนิ่ง เรานั่งรอกันได้ไม่นานก็เห็นเรือลำหนึ่งพายเข้ามาใกล้ พี่นนยืนขึ้นและยกถาดขึ้นเหนือหัว


“มาอธิษฐานเร็วครับ”


“อือ” ผมว่าแล้วแตะแขนคนที่ยืนข้างกันแล้วหลับตาอธิษฐาน


"นิมนต์ครับ"


   เราเดินลงไปที่บันไดที่ยื่นออกไปเพื่อใส่บาตรด้วยกัน นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้ใส่บาตรกับพระที่พายเรือมาแบบนี้ ผมตั้งใจใส่บาตรและจำทุกรายละเอียดไว้ทั้งหมดด้วยความสนใจ แต่แล้วในตอนที่เรานั่งคุกเข่ารับพรจากพระ บางอย่างที่อยู่บนมือผมก็ดึงดูดความสนใจผมไปหมด จนกระทั่งเราเดินกลับมาจากศาลาแล้ว’สิ่งนั้น’ก็ยังคงอยู่ในความคิดผมตลอด


“อาบน้ำก่อนเลยนะ เดี๋ยวพี่ไปหาป้าพาก่อน แล้วเราค่อยไปกินข้าวกัน”


“…พี่นน”


“ครับ” พี่นนหันมามองผมที่นั่งลงกับฟูกนอนนุ่มนิ่ม


“นี่มัน...” ผมว่าเสียงเบาแล้วยกมือซ้ายขึ้นมา “...อะไร”


“จิง” พี่นนเรียกผมเสียงเบาก่อนจะนั่งลงบนพื้นตรงข้ามกับผม ดึงมามือข้างนั้นของผมไปจูบ พี่นนจูบลงบน’สิ่งนั้น’ที่นิ้วนางข้างซ้ายของผม “นี่เป็นแหวนของแม่พี่”


“...”


“แม่บอกให้พี่เก็บไว้ให้กับคนที่พี่รัก” ใบหน้าที่เบื่อโลกเสมอค่อยๆ ยิ้มให้ผม “ชอบไหม”


“พี่นน...” ผมบีบมือใหญ่แน่นด้วยใจที่บีบรัด “ชอบมากเลย”


“ดีใจจังครับ”


“ขอบคุณครับ” ผมดึงมือใหญ่มารองที่แก้มของตัวเองแล้วหลับตาลง ภาวนาให้คำอธิษฐานของผมเป็นจริง


ขอให้เราได้อยู่ด้วยกันตลอดไป




.



.


   ผมมองคนที่นั่งซ้อนท้ายกันผ่านกระจกมองข้าง ใบหน้าที่ผมมองว่าน่ารักมองไปข้างทางอย่างสนใจ มือเล็กที่กำเสื้อผมไว้ที่เอวทำเอาผมใจเต้นเหมือนเด็กๆ ตั้งแต่อยู่กับเขาเหมือนผมจะเด็กลงไปอีกหลายปีเลย ผมขำกับความคิดตัวเองแล้วเลี้ยวรถเข้าวัดที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านของผมเท่าไหร่นัก


“วัดเงียบมากเลยอะ”


“วัดก็ต้องเงียบสิครับ”


“เออ จริงด้วย” จิงพยักหน้าขึ้นลงอย่างเห็นด้วยจนผมนิ่มสะบัดไปด้วย ผมยิ้มแล้วรีบเดินนำคนตัวเล็กไปอีกด้านหนึ่งของวัดทันที กลัวความคิดอกุศลของตัวเองจะผุดขึ้นมาเพราะเรื่องเล็กน้อยที่น่ารักมากๆ ของเขา


“ถึงแล้วครับ”


   ผมว่าแล้วมองไปที่เจดีย์บรรจุอัฐิของพ่อกับแม่ของผมไว้ มันดูเก่าลงกว่าปีที่แล้วที่ผมมาเล็กน้อย แต่มันไม่ได้เศร้าเหมือนปีที่แล้ว ไม่ใช่สิ ผมต่างหากที่ไม่ได้ว่างเปล่าและเต็มไปด้วยความเศร้าเหมือนปีที่แล้ว


“สวัสดีครับ” เพราะผมมีเขาแล้ว คนคนเดียวที่ยึดผมไว้กับโลกใบนี้ คนที่กำลังประหม่าและทำตัวไม่ถูก “เอ่อ...”


   ผมหันไปมองคนที่เพิ่งยกมือไหว้พ่อกับแม่ผม จิงเดินมาหยุดยืนข้างผมและขยับมายืนจนแขนเราชิดกัน มือเล็กประสานเข้าหากันด้วยความประหม่า ผมสังเกตเห็นนิ้วเล็กที่ลูบแหวนสีทองเรียบที่อยู่บนนิ้วนางของเขาอย่างพอดิบพอดี จิงเม้มปากและมองไปที่เจดีย์อย่างแน่วแน่จนผมรู้สึกสงสัยว่าเขาคิดอะไรอยู่กันแน่


“ขอบคุณครับ”


“...” ผมเลิกคิ้วที่ได้ยินแบบนั้นและผมก็ไม่คิดเลยว่าเขาจะพูดอะไรแบบนี้ออกมา


“ขอบคุณที่ทำให้โลกนี้มีพี่นน” ผมมองใบหน้าขาวที่ขึ้นสีแดงขึ้นมาระเรื่อที่พวงแก้มนิ่มด้วยความเอ็นดู “ต่อไปนี้ผมจะดูแลพี่นนเองครับ”


“หึ” ผมอดที่จะขำออกมาไม่ได้ที่เห็นจิงในมุมแบบนี้ จิงน่ารักและถ้าพ่อกับแม่ยังมีชีวิตอยู่ก็คงได้เห็นความน่ารักของเขา ผมเอนตัวไปพูดเสียงเบาใกล้ๆ เขา ให้ได้ยินกันแค่สองคน “เหมือนกันครับ”


“...อือ” ผมมองคนที่เปลี่ยนดอกไม้ในแจกันและวางพวงมาลัยลงที่ฐานเจดีย์ ผมมองรูปพ่อกับแม่สักพักและมองแผ่นหลังเล็กที่นั่งคุกเข่าพนมมือไหว้ด้วยความรู้สึกบีบรัดที่อก พ่อกับแม่คงรับรู้ใช่ไหมครับ รับรู้คำอธิษฐานของผมใช่ไหม คำอธิษฐานที่ผม…


อยากอยู่กับเขาคนนี้ ไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ของผม



.



.




   ไม่รู้ทำไมหลังจากที่เรากลับจากวัด เราคุยกันน้อยลง เรานั่งกินข้าวด้วยกันสองคนท่ามกลางความเงียบ กับข้าวที่ป้าพาเตรียมไว้ให้นั้นอร่อยมากแต่ความรู้สึกบางอย่างในอกของผมกลับทำให้ผมกินได้น้อยลง


“จิงไปนั่งเล่นที่ศาลานะ” ผมว่าแล้วยกจานข้าวของตัวเองไปล้างโดยไม่รอฟังคำตอบของคนที่นั่งตรงข้ามกัน ไม่แม้จะสบตากัน


   ลมเย็นพัดมาจนผมหน้าม้าของผมปลิวไปตามสายลม เส้นผมของผมคงพันกันยุ่งเหยิงไม่ต่างจากความรู้สึกของผมในตอนนี้ที่มันช่างซับซ้อนเหลือเกิน ผมหลับตาลงเอนตัวพิงกับพนักของม้านั่ง ทั้งที่ทุกอย่างสว่างชัดเจนแต่ผมกลับเลือกที่จะหลับตาให้ทุกอย่างมืดลง


ผมกลัว...กลัวความรักครั้งนี้เหลือเกิน


“เรากลับกันสักสี่ห้าโมงดีไหม” เสียงทุ้มดังขึ้นข้างกายพร้อมกับแรงจากมือใหญ่ที่สางเส้นผมของผมอย่างเบามือ ผมลืมตาแล้วมองคนที่ยังคงวางมือไว้บนหัวผมอยู่แบบนั้น พี่นนไม่ได้จ้องมองผมเหมือนเมื่อเช้า เขามองไปข้างหน้า มองไปที่สายน้ำที่นิ่งสงบ


“...”   


“ว่าไง หรืออยากกลับแล้วครับ” มือใหญ่ละออกไปและวางลงบนตักตัวเอง


“ตอนนี้...” ผมก้มหน้าลงมองมือตัวเองที่วางอยู่บนตัก มองแหวนวงนั้น “จิงมีความสุขมากเลย”


“...”


“จิงมีความสุขได้ก็เพราะพี่” ผมลูบแหวนไปมาแล้วหันไปมองคนข้างๆ


“...” พี่นนเงียบไปแล้วย้ายสายตาเบื่อโลกมาสบตากับผม


“แค่มีพี่จิงก็จะผ่านเรื่องทุกอย่างไปได้” ผมยิ้มแล้วมองไปในตาคู่นั้น ที่เศร้าลงไปกว่าเดิมหลังจากที่เรากลับจากวัด ผมรู้ว่าพี่นนอ้างว้างและว่างเปล่าแค่ไหน...เราเหมือนกันตรงนี้


“…”


“เราจะผ่านไปได้ จิงเชื่อแบบนั้น”


”ถ้าไม่มีพี่” ในที่สุด...พี่นนก็พูดสิ่งที่เราหวาดกลัวออกมา “จิงก็ต้องอยู่ให้ได้ ต้องผ่านไปให้ได้นะครับ”


“จิงจะอยู่ให้ได้” ผมรับปากอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก “แต่ก็คงผ่านไปแบบไม่มีความสุข”


“เหมือนกันเลยครับ” พี่นนดึงมือผมไปจับไว้แล้วมองแหวนนั้นครู่หนึ่ง ก่อนจะสบตาผมอีกครั้ง “รู้ไหม พี่ไม่เหลือใครแล้ว พี่เหลือแค่จิง”


“...” ผมเม้มปากแน่นมองแววตาที่เศร้าลงด้วยความรู้สึกเจ็บปวด


“ถ้าจิงรักพี่ จิงต้องรักตัวเองนะ”


“พี่ด้วย” ผมพูดแล้วบีบมือใหญ่ไว้แน่น “ถ้ารักจิง ก็ต้องรักตัวเองนะ”


“...”


“พี่บอกให้จิงรักตัวเอง พี่อยากให้จิงมีชีวิต” ผมว่าเสียงสั่น “พี่ก็ต้องทำเหมือนกันนะ เพราะพี่คือคนสำคัญของจิง พี่มีความหมายกับจิงมากๆ นะ แล้วจิงก็อยากให้พี่มีชีวิตต่อไปเหมือนกัน”


“เข้าใจแล้วครับ”


   พี่นนยิ้มแล้วกระชับมือของเราให้แน่นกว่าเดิม เราต่างมองกันด้วยความกลัว กลัวความรักในครั้งนี้ กลัวว่าจะรักษามันไว้ไม่ได้ ความรักที่แสนล้ำค่าของพวกเรา เราจะรักษามันไว้ได้ใช่ไหม มันจะหายไปราวกับสายลมเหมือนความรักที่เราเคยพบเจอหรือเปล่า มันจะทำร้ายเราให้เจ็บปวด ว่างเปล่าและบีบรัดเราให้แตกสลายเหมือนเดิมไหม


“เราจะตายไปพร้อมกันใช่ไหม”


“ครับ”


   ผมยิ้มหลังจากได้ยินคำตอบรับนั้น แล้วแรงที่กระชับเข้าหากันก็ลดผ่อนลง เหมือนกับเราว่ายน้ำในมหาสมุทรกว้างใหญ่เพื่อตามหาฝั่ง มันช่างมืดมน ท้อแท้ เหน็ดเหนื่อย เราหากันมาไกลเหลือเกิน ในที่สุดตอนนี้เราก็ถึงฝั่งนั้นสักที เราหอบเหนื่อยกับการหาฝั่งกันสักพักและล้มตัวนอนลงข้างกัน ในที่สุดก็ได้หยุดพักและได้พบกับความรักจริงๆ สักที


ไม่ว่าจะเป็นยังไง ผมก็จะรัก จะรักให้สมกับที่ได้พบเจอ

ได้เป็นครึ่งหนึ่งของกันและกัน

ได้อยู่เคียงข้างกันแบบนี้


แค่นี้ก็เพียงพอให้ความกลัวทั้งหมดของผมหายไปแล้ว




.



.




   ผมมองใบหน้าน่ารักที่ค่อยๆ หันมองไปข้างหน้า จิงมองไปยังสายน้ำด้านหน้าเหมือนกันกับผม เราต่างปล่อยความคิดไปเรื่อยๆ พร้อมกับแรงบีบมือที่ลดน้อยลง เราปล่อยให้ความเงียบทำหน้าที่ของมัน ปล่อยให้สายลมพัดผ่านเราไป ปล่อยทุกความกลัวของเราให้ลอยหายไปด้วย


   มือของเราเกี่ยวมือของกันและกันไว้ ไม่ได้จับไว้แน่นแต่ก็ไม่ได้ปล่อยออกจากกัน สัมผัสในครั้งนี้มันเต็มไปด้วยความรักที่เราสัมผัสได้โดยไม่ต้องพยายาม เราไม่ได้กระชับหากันด้วยความรู้สึกโหยหาความรู้สึกรัก เพื่อมาเติมเต็มความรู้สึกว่างเปล่าแบบที่เราทำมาตลอดอีกแล้ว ช่องว่างที่กลวงโบ๋ในใจของเราถูกเติมเต็มได้โดยแค่เรานั่งอยู่ข้างกัน ไม่ต้องมีคำพูดอะไรสำหรับเราแล้ว



“กลับตอนเย็นก็ดีเหมือนกันนะ” รอยยิ้มน่ารักส่งมาให้ผมอีกครั้ง ก่อนเขาจะเอนตัวลงพิงกับพนักม้านั่ง แววตาที่เปี่ยมไปด้วยความสุขของเขาทำผมยิ้มได้เป็นอีกครั้งของวัน “เรามานอนกันสักงีบดีกว่าเนอะ”


“ครับ”


   ผมมองใบหน้าน่ารักที่ค่อยๆ หลับตาลง จิงดูสดใสและเข้มแข็งขึ้นมากจากวันแรกที่ได้เจอกัน จริงๆ แล้ว เขาดูดีกว่าตอนที่เคยเจอกันเมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ด้วยซ้ำ...แบบนี้ถือว่าผมทำสำเร็จแล้วรึเปล่านะ








******************************************
TBC


ออฟไลน์ KK ก้านแก้ว

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
รอ :katai5: :katai5: :katai5: :katai5:

ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0

ตอนที่ 25 ก๊อกๆๆ



   

“ระหว่างรอรับปริญญา จิงจะสมัครงานไว้หลายๆ ที่เลย” ผมพลิกตัวนอนตะแคงข้างแล้วมองใบหน้าพี่นนที่มองผมอยู่ก่อนแล้ว
 

   ผมยิ้มตอนที่เราสบตากัน ใบหน้าเขายังคงไร้อารมณ์เหมือนวันแรกที่เราเจอกัน น่าตลกดีที่ไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้เราวางแผนที่จะฆ่าตัวตายไปด้วยกัน ถึงต่อให้เป็นความตั้งใจของเขาที่จะเปลี่ยนการตัดสินใจของผมแต่การเริ่มต้นของเราสองคนนั้นก็น่าตลกอยู่ดี


“ดีแล้วครับ”


“อือ” ผมครางในลำคอตอนที่พี่นนกอดผมและผมการซุกหน้าลงไปที่อกเปลือยเปล่าของคนตัวใหญ่กว่า ผิวเปลือยเปล่าของเราสัมผัสกัน มันช่างร้อนรุ่มและทำเอาใจผมเต้นแรงอีกครั้ง “จิงว่าจะขอป๊ามาอยู่กับพี่”


“อันนี้พี่ไม่เห็นด้วย”


“อื้อ” ผมหงุดหงิดคนที่ว่าผมเสียงดุเลยผลักไหล่พี่นน แล้วขึ้นไปนอนทับตัวเขาไว้ด้วยความหมั่นไส้ที่ขัดใจผม


“ทำไมลูกหมาตัวนี้หนักจังนะ” พี่นนพูดหยอกล้อผมแล้วบีบสะโพกผมแรงๆ ส่วนผมก็ตอบรับด้วยการจูบลงไปบนปากบางนั้นแรงๆ เช่นกัน ผมผละออกมาจ้องเขาเชิงท้าทาย ส่วนพี่นนถอนหายใจเหมือนยอมแพ้แล้วพูดต่อ “พี่พูดจริงๆ นะ จิงอยู่กับป๊าน่ะดีแล้ว”


“ไม่เอา” ผมซุกหน้าลงกับซอกคอพี่นนอย่างเอาแต่ใจ


“เสาร์อาทิตย์เราค่อยเจอกันแบบนี้ก็ได้ไงครับ โอเคไหมครับ”


“อือ”


“ถ้าจิงมาอยู่นี่ ใครจะคอยดูแลป๊าล่ะ”


“อือ โอเค” ทั้งที่ก็เข้าใจว่าควรจะทำอะไร เข้าใจว่าเราต่างมีหน้าที่ แต่อาการคิดถึงและโหยหาแบบนี้ก็ทำเอาผมจะเป็นบ้ามาแล้วทั้งสัปดาห์ บางทีผมอาจจะอยู่ในช่วงโปรโมชั่นอย่างที่เคยอ่านเจอมาก็ได้


“ไปอาบน้ำกันครับ”


“อือ” ผมว่าอย่างยอมแพ้ ถ้าหมดโปรเมื่อไหร่ผมจะเล่นตัวให้ดู แต่ตอนนี้ขออ้อนเยอะๆ หน่อยแล้วกัน “อุ้มหน่อย”


“หึ ลูกหมา” ผมมองคนที่ลูบหัวผมเล่นไปมา เขาชอบทำเหมือนผมเป็นเด็กๆ ก่อนหน้านี้ก็คงใช่ ตอนที่ผมไม่ยอมเข้าใจอะไร แต่ในตอนนี้ผมยอมโตแล้ว ผมยอมมองโลกใหม่ พยายามมีชีวิตก็เพราะเขา คนที่ลูบหัวผมไปมาเหมือนปลอบเด็กน้อยอยู่คนนี้


“บ๊อก บ๊อก” แต่ผมก็ชอบเป็นเด็กน้อยของเขามากๆ เลย


.




.




“อย่อย”


“เคี้ยวให้หมดแล้วค่อยพูดสิครับ” ผมว่าคนที่นั่งกินราดหน้าอยู่ตรงข้ามกัน หลังจากที่อาบน้ำกันเสร็จ ผมก็เดินลงไปซื้อราดหน้ามาให้ลูกหมาที่หิวโหยเพราะโดนผมสูบพลังไปจนหมด


“ก็มันอร่อย” ลูกหมาเถียงผมก่อนจะตักราดหน้าคำโตเข้าปากแล้วเคี้ยวจนแก้มตุ้ย ยิ้มตาหยีจนผมนึกอยากแกล้งแย่งราดหน้ามากินเอง แต่พอเห็นเขากินอย่างมีความสุขขนาดนี้ผมก็ไม่กล้าแกล้งแล้วล่ะครับ “พี่นนไม่หิวเหรอ”


“ไม่ครับ กินจิงจนอิ่มแล้ว”


“เหอะ” จิงย่นจมูกใส่ผมก่อนจะก้มหน้าก้มตากินราดหน้าต่อ โดยทิ้งท้ายคำพูดน่าหยิกไว้ “ขอให้คืนนี้ปวดเอว”


“ฮ่าๆ” ส่วนผมก็หัวเราะมีความสุขที่ได้แกล้งเขาแบบนี้ ผมมองคนที่กินอย่างมีความสุขอีกครั้ง ...อยากให้เรามีแต่ความสุขแบบนี้ตลอดไป



.



.




ครืด ครืด


   โทรศัพท์ของพี่นนที่วางอยู่บนเตียงสั่นขึ้นมาเรียกความสนใจของเราสองคน พี่นนลุกขึ้นไปหยิบมันขึ้นมาดูแต่ก็ไม่ได้รับสาย


“ทำไมไม่รับอะพี่” ผมถามออกไปด้วยความสงสัย


“เบอร์ไม่รู้จักน่ะครับ” พี่นนตอบผมด้วยหน้านิ่งๆ แล้วนั่งลงบนเตียง


“อ่อ” ผมพยักหน้าเข้าใจก่อนจะหันมากินราดหน้าต่อ


“จิง”


“อือ” ผมตอบกลับแต่ไม่ได้หันไปมองคนที่นั่งบนเตียงเพราะมัวแต่สนใจราดหน้าเจ้าเก่าที่ผมไม่ได้กินมาเกือบเดือน “มีอะไรพี่”


“เปล่า”


ครืด ครืด


“สวัสดีครับ”


   ผมหันไปมองพี่นนที่ถือโทรศัพท์ไว้แนบหูแล้วเดินเปิดประตูออกไปที่ระเบียงห้อง ในตอนที่เขาหันมาปิดประตู เราสบตากัน ไม่รู้ทำไมใจผมถึงกระตุกแปลกๆ ผมรีบหลบสายตาแล้วหันหน้าหนีเขา เวลาผ่านไปจนผมกินราดหน้าหมด พี่นนก็ยังคุยไม่เสร็จจนผมนึกสงสัยและหันไปมองแผ่นหลังกว้างที่ออกไปคุยโทรศัพท์ข้างนอกระเบียงอีกครั้ง


   ผมปลอบตัวเองว่าไม่มีอะไร ผมจะไม่เชื่อสัญชาตญาณงี่เง่าของตัวเอง จนกระทั่งตอนที่เราเข้านอนแล้ว ผมกอดแขนพี่นนไว้ด้วยความเคยชิน แต่ในตอนที่ผมกำลังจะเคลิ้มหลับไป ท่ามกลางความเงียบและมืดมิด โทรศัพท์พี่นนก็มีสายเข้ามาอีกครั้ง


ครืด ครืด


“สวัสดีครับ” เสียงทุ้มพูดประโยคเดิมแล้วเดินไปที่ระเบียง ปิดประตูกระจกทิ้งผมไว้ในห้องเพียงลำพัง ผมลุกขึ้นนั่ง แล้วจ้องมองแผ่นหลังนั้นอีกครั้ง ขอบตาผมร้อนผ่าวโดยไร้สาเหตุ จนกระทั่งประตูกระจกนั้นเลื่อนเปิด แล้วพี่นนก็เดินเข้ามา น้ำตาผมก็ไหลอาบแก้ม “จิง...ร้องไห้ทำไมครับ”


“ไม่รู้” ผมตอบเสียงเบาและทั้งตัวผมก็โดนโอบกอดไว้


“ไม่ร้องนะครับ”


“อือ” ยิ่งปลอบ ผมยิ่งน้ำตาไหลออกมาไม่หยุด ผมกลัว...ทั้งที่ความจริงมันอาจจะไม่มีอะไรเลยก็ได้ “ขอโทษที่จิงงี่เง่า”


“ไม่เป็นไรครับ” เสียงทุ้มพูดอยู่ข้างหูและลูบหัวผมอย่างปลอบโยน แต่พี่นนก็ไม่ได้บอกสิ่งที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้ “นอนกันเถอะนะ”


พี่นนกำลังปกปิดอะไรบางอย่างจากผม...



“อือ” ผมเอนตัวล้มลงนอน ยอมตกอยู่ในอ้อมกอดของเขา ทั้งที่ผมมีสิทธิ์ถามแต่ก็ไม่อยากทำ “พี่นน สัญญากับจิงได้ไหม”


“สัญญาอะไรครับ”


“วันจิงรับปริญญาพี่นนต้องไปนะ” ไม่รู้ทำไม ผมถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมา


“ครับ...สัญญา”


ครืด ครืด


“สวัสดีครับ” และเป็นอีกครั้ง ที่พี่นนทิ้งให้ผมนอนอยู่บนเตียงคนเดียว



.



.



   เช้าวันอาทิตย์ที่ควรจะสดใส เช้าวันอาทิตย์ที่ควรจะเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเรา มันควรจะเป็นอย่างนั้น แต่ในตอนนี้มันไม่ใช่เลย หลังจากที่เราสลับกันอาบน้ำ พี่นนก็เอาแต่นั่งเงียบอยู่บนเตียงโดยมีผมที่นั่งเงียบอยู่ข้างๆ ผมเจ็บปวดไปทั้งใจ สุดท้ายก็ทำได้แค่กอดเอวเขาไว้แล้วซบหน้าลงไหล่กว้างของคนที่ผมรัก


“เราเป็นแบบนี้เพราะอะไร พี่นนบอกจิงได้ไหม”


“...”


“เรารักกันไม่ใช่เหรอ จิงทำอะไรผิดไปเหรอ” ผมถามเขาเสียงสั่นแต่กลับไม่มีน้ำตาสักหยด “พี่นน”


“จิง” พี่นนยอมพูดกับผมแล้ว ผมควรจะดีใจแต่ใจผมกลับบีบรัดไปด้วยความกลัว “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พี่รักจิง”


“…”


 “พี่นน” ผมเรียกพี่นนแล้วประครองหน้าเขาให้หันมาสบตา พอได้สบตาแล้วผมก็ใจหาย ในแววตานั้นเต็มไปด้วยความเศร้าและความรู้สึกผิดที่ผมไม่เข้าใจ “พี่นนเป็นอะไร”


“พี่รักจิง” เขาว่าแล้วดึงผมเข้าไปกอด จมูกโด่งซบลงที่ซอกคอของผมพร้อมกับจูบลงมาเบาๆ


“...จิงก็รักพี่” ถึงจะยังไม่เข้าใจอะไรแต่ใจผมกลับหวาดกลัวไปหมด กลัวทั้งที่เรากำลังบอกรักกัน


“พี่รักจิง รักมาก”


“...” มันเป็นการบอกรักที่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนจะถูกบอกลา


ก๊อกๆๆ


   เสียงประตูดังขึ้นพร้อมกับอ้อมกอดจากพี่นนที่จากผมไป เขาเดินไปหยุดอยู่หน้าประตูที่ยังคงโดนเคาะไม่หยุด ผมเห็นเขาถอนหายใจหนึ่งครั้งแล้วหันมามองผม พี่นนมองผมนิ่งๆ แล้วพูดหนึ่งคำที่ทำผมชะงักไป


“ขอโทษ”


“...” ผมหลับตาลง สูดหายใจเข้าลึกๆ  เพราะได้ยินคำที่ไม่อยากได้ยิน


“สวัสดีครับ” นั่นคือประโยคคุ้นเคยที่ผมได้ยินในเมื่อวาน แต่ในตอนนี้พี่นนกำลังพูดกับคนที่ยืนอยู่ด้านนอก คนที่พี่นนเลือกที่จะทำร้ายผม แล้วไปเปิดประตูให้เขาเข้ามา พี่นนเปิดประตูออกให้กว้างขึ้น แต่ด้วยแผ่นหลังกว้างของพี่นนนั้นบดบังคนนั้นไว้ ผมก็เลยยังไม่รู้ว่าคนคนนั้นคือใคร พี่นนยกมือไหว้เขาแล้วพูดอีกครั้ง “สวัสดีครับ...เจ๊หงส์”


   ผมมองพี่นนที่หันกลับมามองผมด้วยแววตารูสึกผิดที่ผมไม่เข้าใจอีกครั้ง พี่นนก้าวถอยหลังเปิดทางให้คนนั้นเดินเข้ามาในห้องและทันทีที่คนนั้นเดินเข้ามา ทันทีที่ผมได้สบตากับคนคนนั้น ผมก็เข้าใจทุกอย่าง



“ม๊า…”






**************************************************
TBC



ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
ตอนที่ 26 มีชีวิต



 
          สัญญาณเตือนที่ผมได้รับมันช่างน้อยนิด น้อยจนทำให้ผมเข้มแข็งไม่พอที่จะรับมือกับสถานการณ์แบบนี้

 
“อาจิง” เสียงม๊าทำให้มือของผมสั่นเทาไปด้วยความกลัว

 
“...”ผมทำได้แค่เงียบแล้วมองม๊าเดินเข้ามาในห้อง ม๊าไม่เปลี่ยนไปจากปีที่แล้วเท่าไหร่นัก

 
“ม๊าจะพูดกับอาจิงดีๆ กลับไปกับม๊า” จริงๆ แล้ว ม๊าไม่เปลี่ยนไปเลย

 
“ไม่กลับ” และผมเองก็เช่นกัน

 
          ผมว่าแล้วยืนขึ้น เดินไปหยุดตรงหน้าพี่นนคนที่ผมรัก ผมมองจ้องพี่นนที่จ้องผมกลับ แววตาของเขาช่างว่างเปล่าเหมือนตอนแรกที่เราเจอกันและนั่นทำให้ผมเจ็บปวดจนน้ำตาคลอ

 
“อั๊วบอกให้กะ..”

 
“จิงไม่ไปไหนทั้งนั้น!” ผมตะโกนใส่ผู้ชายตรงหน้าแบบที่ไม่เคยทำมาก่อน ในแววตานั้นยังคงนิ่งสงบ พอๆกับใบหน้าที่เย็นชาของเขา “จิงไม่ไปไหนทั้งนั้น...ได้ยินไหมพี่นน”

 
 
“...”

 
“จิงจะไม่ไปอยู่กับป๊าหรือม๊า...หรือใครทั้งนั้น” ผมพูดไปด้วยเสียงที่สั่นเครือ ไม่ช้าน้ำตาผมก็ไหลออกมา “จิงจะอยู่กับพี่”

 
“ได้! ถ้าพูดกันดีๆ ไม่รู้เรื่อง” ม๊าตะโกนตอบผมแล้วหันไปมองพวกลูกน้องที่มากับม๊า “ไปเอาตัวอาจิงมา”

 
ฟรึ่บ

 
“ปล่อย!” ผมตะโกนแล้วเริ่มดิ้นทันทีที่ผู้ชายตัวใหญ่สองคนที่เป็นลูกน้องของม๊าเดินเข้ามาหิ้วแขนผมทั้งสองข้าง จนผมตัวลอยไปตามแรงกระชากของพวกเขา

 
“ลื๊อหยุดบ้าได้แล้ว ป่านนี้ยังไม่รู้อีกหรือไงว่าคนที่ลื๊อร้องจะไปอยู่ด้วยน่ะ...” ม๊ามองหน้าผมแล้วพูดความจริงที่ผมไม่อยากได้ยิน “สุดท้ายก็เห็นแก่เงิน”

 
“....เจ๊หงส์ครับ” พี่นนหันไปสบตากับม๊า เหมือนเชิงบอกให้หยุดพูด

 
“เขาทำเพื่อเงิน เพื่อที่จะหมดหนี้จากอั๊ว” แต่ม๊าก็เหมือนเดิม ทำร้ายผมด้วยคำพูดอย่างเคย

 
“ไม่...” ผมนิ่งไปแล้วพึมพำมองเขาทั้งน้ำตา “ไม่จริงใช่ไหม พี่นน”

 
“...” พี่นนไม่ยอมสบตาผม

 
“ตอบไปสิ อานนทกร”

 
“ครับ” พี่นนตอบและสบตาผมอีกครั้งด้วยสายตาว่างเปล่า ทั้งที่เรายืนห่างกันไม่กี่ก้าวแต่ผมกลับรู้สึกว่าเราห่างไกลกันออกไปทุกที “เป็นเรื่องจริง”

 
“ฮึก” ผมสะอื้นไห้ปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมา เพื่อระบายความรู้สึกเจ็บในใจ ไม่อยากคิดอะไรต่อจากความรู้สึกที่โดนหักหลังนี้แล้ว

 
“อาจิง ลื๊อเข้าใจแล้วนะ” ม๊าพูดกับผมที่ทรุดตัวนั่งลงกับพื้นโดยที่ยังมีลูกน้องของม๊ายืนประกบข้างอยู่ “เอาเป็นว่าเรื่องหนี้ของอานนทกร อั๊วยกให้”

 
“ครับ”

 
“แล้วเรื่องที่มันเกินเลยไป ก็ขอให้มันหายไปพร้อมลื๊อ” ม๊าถอนหายใจแล้วคลายแขนที่กอดอกลง เหมือนกับหมดธุระแล้ว “เข้าใจใช่ไหม”

 
“ครับ”

 
“...ฮึก” ผมทำได้แค่ร้องไห้ ยกมือที่มีแหวนของเขามาจับที่อกที่กำลังบีบรัดของตัวเอง

 
แกร่ก

 
“เอาตัวอาจิงออกไป” เป็นม๊าที่เดินไปเปิดประตูห้องแล้วมองไปยังพี่นน

 
ฟรึ่บ

 
          แต่ในจังหวะที่ลูกน้องของม๊ากำลังเผลอ ผมก็สะบัดมือที่จับต้นแขนผมอยู่แล้ววิ่งกลับมาหาเขา ผมจับเสื้อเชิ้ตของเขาไว้แน่น พี่นนตกใจและจับหัวไหล่ทั้งสองผมไว้ เหมือนกลัวผมจะล้มลงไป สัมผัสอันคุ้นเคยทำให้ผมสับสน คนที่เผลอมองผมด้วยความเจ็บปวดแบบนี้ คนที่เคยบอกรักผม คนที่ให้แหวนกับผมคนนี้ เขาโกหกผมอย่างนั้นเหรอ

 
“ที่ผ่านมาเป็นเรื่องโกหกเหรอพี่นน” ผมพูดออกไปด้วยเสียงสั่นเครือ มือไม้ของผมสั่นไปด้วยความกลัวและเจ็บปวด “เรารักกันใช่ไหม”

 
“...” พี่นนไม่สบตาผม และผมก็โดนดึงออกจากเขาอีกครั้ง

 
พลั่ก

 
“บอกจิงสิ ว่าที่ผ่านมาพี่ไม่ได้โกหก” ผมดิ้นต้านแรงที่ดึงไว้ แล้วถลาไปเกาะแขนพี่นนเอาไว้ทั้งน้ำตา “บอกจิงมาเถอะนะ”

 
“…” เป็นอีกครั้งที่เขาหลบตาผม แล้วดึงแขนที่ผมเกาะกุมไว้ออกเอง

 
“ฮึก” ผมหมดแรงที่จะยื้อ ยอมปล่อยตัวเองไปตามแรงลากของผู้ชายสองคนนั้น ก่อนจะพูดออกไปอย่างหมดเรี่ยวแรง “จิงเชื่อทุกอย่างที่พี่บอก พี่ก็รู้ใช่ไหม”

 
“...” แต่แล้วในตอนที่ตัวผมกำลังจะออกไปจากห้องนี้ เสียงทุ้มก็พูดประโยคนั้นออกมาเบาๆ “...พี่รักจิง”

 
“อานนทกร!”

 
“ปล่อย!!” มันเบาบางแต่ก็มากพอที่จะทำให้ผมมีแรงที่จะวิ่งกลับไปหาเขา แต่แรงของผมก็ไม่มากพอที่จะหลุดไปจากมือที่จับผมไว้ได้ ทำได้แค่ยื้อตัวเองเอาไว้เพื่อมองใบหน้าคนที่ผมรัก เราสบตากัน ผมร้องไห้อย่างช่วยไม่ได้ ส่วนพี่นนเขามองผมนิ่งๆ ก่อนจะขยับปากแบบไม่มีเสียงพูด

 

‘มีชีวิต’


 
พลั่ก

 
“ฮึก พี่นน!” ผมตะโกนเรียกคนตรงหน้าที่โดนต่อยจนล้มลงไปกับพื้น “ปล่อย! อย่าทำพี่นน ฮือ”

 
พลั่ก

 
“ไม่...” ผมมองภาพที่พี่นนโดนลูกน้องของม๊ารุมทำร้ายด้วยใจที่แตกใจสลาย พยายามดิ้นออกไปหาเขา แต่ก็โดนลูกน้องของม๊าอุ้มออกจนตัวลอยจากพื้น ไม่ว่าจะดิ้นสักเท่าไหร่ก็ไม่มีทางหลุดได้ ผมดิ้นจนหมดแรง ร้องไห้จนแทบขาดใจกว่าความเจ็บปวดทางใจจะพอใจ ผมก็หมดแรงลง ภาพข้างหน้าเริ่มเลือนราง แต่สิ่งสุดท้ายที่เห็นอย่างชัดเจนคือใบหน้าเปื้อนเลือดของคนที่ผมรักกำลังสลบลงไปบนพื้น “พี่นน...”

 
“ลื๊อจะไม่มีวันได้เห็นหน้ามันอีก” และนี่คือประโยคสุดท้ายที่ผมได้ยิน ก่อนที่ผมจะไม่ได้ยินเสียงใดๆ อีก

 

.
 
 
.


 
 
“ลื๊อจะไม่มีวันได้เห็นหน้ามันอีก” นั่นคือสิ่งสุดท้ายก็ที่ผมจะหมดสติไป

 
แปะ แปะ

 
          แต่แล้วแรงตบที่หน้าก็ทำให้ผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ผมหอบหายใจอย่างหนักเพราะความจุกที่ท้อง พอนอนหงายได้สำเร็จก็เห็นเพดานห้องอยู่ตรงหน้า ผมถอนหายใจแล้วเบนหน้าไปสบตากับคนที่เพิ่งจะตบหน้าผมเพื่อเรียกสติที่ตอนนี้กำลังนั่งอยู่บนเตียงของผม

 
“จริงๆ อั๊วก็ไม่อยากทำแบบนี้หรอกนะ” เธอพูดแล้วมองผม “แต่ลื๊อมันโง่”

 
“...” ผมหลับตาเบนหน้าหนีเสียงแหลมๆ ของเธอ ถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะพยายามลุกขึ้นนั่งแล้วหันไปประจันหน้าเธอตรงๆ “ขอโทษครับ เจ๊หงส์”

 
“เอาเถอะ มันผ่านไปแล้ว” เธอทำมือปัดๆ แล้วลุกขึ้นยืนแล้วเดินมาหยุดตรงหน้าผม “เฮ้อ อั๊วก็นึกว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้วนะอานนทกร”

 
“ขอโทษครับ” ผมพูดพร้อมคุกเข่าอยู่ต่อหน้าเธอ “ผมกับจิง เรา..”

 
“คิดว่าอั้วไม่รู้เหรอไง ว่าลื๊อสองคนมีความสัมพันกันแบบไหน” เธอถอนหายใจ แล้วกอดอกอีกครั้ง “หึ ความรักงั้นเหรอ”

 
“...ครับ”

 
“อานนทกร ลื๊อก็แค่คนฉวยโอกาสตอนที่ลูกอั๊วไม่มีใคร” ผมกำมือแน่นเพื่อระงับอารมณ์โกรธของตัวเอง “แล้วอาจิงก็ใสซื่อจนคิดว่านี่คือความรัก”

 
“...เรารักกันครับ”

 
“ฮ่าๆๆ” เสียงหัวเราะแหลมๆ ของเธอทำเอาใจผมกระตุกไปด้วยความเจ็บ แต่ผมก็คิดน้อยไปเพราะมีบางอย่างที่ผมกำลังจะรู้ต่อไปนี้ มันจะทำให้ผมเจ็บปวดกว่าที่เจอนี้เสียอีก “จิงจะแต่งงานและจะเป็นประธานคนต่อไปของบริษัทอั๊ว”

 
“…” มันคือสิ่งที่เรียกว่าความจริง มันคือสิ่งที่ทำให้ผมเจ็บปวดที่สุด

 
“หึ ลื๊อจะกลายเป็นคนแปลกหน้าของอาจิง จะเป็นแค่อดีตที่เขาไม่อยากจดจำ” เธอพูดแล้ววางมือลงบนไหล่ผม “เข้าใจใช่ไหมว่าอาจิงนั้นมีอนาคตอีกยาวไกล”

 
“...ครับ”

 
“ดี” เธอตบบ่าผมแล้วกอดอกอีกครั้ง “เข้าใจอะไรบ้างล่ะ”

 
“ผมเข้าใจทุกอย่าง แล้วผมก็จะหายไปตามที่ได้สัญญาก่อนหน้านี้ครับ” เธอพยักหน้า คลายแขนลง แล้วหันหลังเดินจากผมไปยังประตูห้อง “...แต่ผมอยากให้รู้ไว้ว่าที่ผ่านมา ความรู้สึกของผมที่มีต่อจิงเป็นเรื่องจริง”

 
“...” เธอไม่ได้หันมามองผม เธอแค่หยุดฟังและจับลูกบิดประตูไว้

 
“ผมรักจิง...จริงๆ” ก่อนที่จะเปิดประตูออกไปและปิดประตูอย่างแรงโดยไม่พูดอะไรอีก

 
ปัง!

 
 




**************************************
TBC
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-06-2019 23:29:13 โดย gigibabe »

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0

ออฟไลน์ kawisara

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1583
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-7
โอ๊ย

สู้ๆนะ

พี่นนท์น้องจิง

ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0

ตอนที่ 27 เหมือนกัน



   ผมเดินด้วยสติล่องลอยไปยังบ้านเจ๊หงส์ เดินนับเสาไฟไปเรื่อยๆ แค่นยิ้มเมื่อความช้ำที่อกทำให้รู้สึกเจ็บปวดเกือบทุกย่างก้าว หนึ่ง สอง สาม...ผมยืนนิ่ง จ้องมองเสาไฟฟ้าต้นที่สาม ที่มีถังขยะอยู่ตรงนั้น มันยังคงเหมือนเดิมและภาพที่เขานั่งกอดเข่าตัวเองยังคงติดตาผมอยู่จนกระทั่งตอนนี้ ในตอนนั้นแค่ได้สบตากันเพียงครั้งเดียว ผมก็รู้ว่าเป็นเขา

‘จิงไม่อยากได้!’

   เขาดิ้นต่อต้านแรงผมสุดชีวิต แต่จากสภาพร่างกายผอมแห้งของเขาแล้ว มันก็เหมือนกับแรงดิ้นของลูกหมาตัวเล็กไร้ทางสู้ แต่เสียงตะโกนที่ทำเอาผมแสบแก้วหูนั้นก็ทำให้ผมตกใจได้ แต่ก็ไม่ตกใจเท่ากับการแทนชื่อตัวเองแบบนั้น และนั่นก็ทำให้ผมแน่ใจจริงๆ ว่าคือ ‘เขา’ คนในความทรงจำผม เมื่อเจ็ดปีก่อน

‘เราแทนชื่อตัวเองแบบนี้กับทุกคนเลยเหรอ’

‘ใช่ จิงติดแล้วน่ะ ฮ่าๆ’

   ผมกอดร่างคนที่สลบไปแล้วให้แน่นขึ้น จับใบหน้าที่เปื้อนน้ำตามาพินิจอีกครั้ง เป็นเขาจริงๆ คนที่ทำให้ผมยังมีลมหายใจมาจนถึงตอนนี้เพราะคำพูดเล็กน้อยของเขา

‘กลับบ้านดีๆ จิงเป็นห่วง’

   ตั้งแต่วันนั้นผมก็มีแค่เขา เขาเป็นคนเดียวที่เป็นห่วงผมและเป็นคนเดียวที่รับรู้การมีอยู่ของผม เหมือนกับมือที่ดึงผมออกไปจากความมืด ผมรู้ว่ามันอาจจะเป็นคำพูดที่ไม่มีความหมายอะไรต่อเขา เขาอาจจะจำผมไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ผมจำเขาได้...คนที่ทำให้ผมมีชีวิตจนถึงวันนี้

‘อยากตายขนาดนั้นเลยเหรอครับ’

‘..ฮึก ใช่!’

   แล้วทำไมโชคชะตาของเขาถึงเป็นแบบนี้ ทำไมเขาต้องเลือกมาจบชีวิตตัวเองด้วยวิธีเดียวกับผม ในใจผมมันเจ็บไปหมด...ผมต้องทำอะไรสักอย่าง


.

.


   การแบกเด็กวัยรุ่นผู้ชายพร้อมเป้ใบใหญ่หนึ่งใบ ไม่ใช่เรื่องง่ายต่อวัยอย่างผม ผมหอบหายใจอย่างหนัก แล้วตัดสินใจโบกแท็กซี่เพื่อไปยังหอพักของผม ระหว่างทางก็อดบ่นคนตัวเล็กกว่าในใจไม่ได้ที่ทำให้ผมเหนื่อยแบบนี้ แต่พอมองร่องรอยน้ำตาของเขาแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ผมจะมีอะไรไปโกรธเขาได้...น่าสงสารขนาดนี้

‘มาห้ามจิงไว้ทำไม’

   ตลกดี...ที่คนที่ไม่สนโลกอย่างผม จะรู้สึกเจ็บขึ้นมากับคำพูดแบบนี้ของเขา คงเป็นเพราะดันไปคาดหวังว่าเขาจะจำผมได้ แต่พอนึกทบทวนอาการที่เขาอยากกระโดดลงจากสะพานนั้นแล้ว เขาก็คงเปลี่ยนไปมาก คงเจออะไรมากมายที่ทำให้เป็นแบบนี้

‘ตกลง เราจะตายไปพร้อมกัน’

   ผมเลือกตอบตกลงเพื่อยื้อเขาไว้และในคืนนั้นเอง หลังจากที่นอนมองหน้าคนที่หลับด้วยความเหนื่อยล้า มือของผมก็เอื้อมไปสัมผัสแก้มเขาอัตโนมัติและคนที่อยู่ไปวันๆ อย่างผมก็ขอทำอะไรสักอย่างเพื่อตอบแทนคนที่ต่อชีวิตให้ผม

‘ฮัลโหล สวัสดีครับเจ๊หงส์’

‘อานนทกรเหรอ มีอะไรล่ะ โทรมาซะดึกดื่น’

‘ผมเจอลูกชายของเจ๊ครับ’

‘…’

‘เขาพยายามฆ่าตัวตาย’

‘…’

‘แต่ตอนนี้เขาปลอดภัยแล้ว ไม่ต้องห่วงนะครับ’

‘ละ ลื๊อรู้ได้ยังไงว่าเป็นลูกอั๊ว’

‘เมื่อตอนเย็น...ผมเจอรูปเขาบนโต๊ะในบ้านเจ๊ครับ’

‘…’

‘เขาชื่อจิงใช่ไหมครับ’

 ‘อานนทกร ลื๊อต้องการอะไร’

‘ผมจะทำให้เขากลับบ้านให้ได้ครับ’

‘…ฮึก ช่วยเขาทีนะอานนทกร ฮือ พาเขากลับบ้านที’

‘ครับ’

‘ลื๊อไม่ต้องห่วงอะไรนะ เรื่องหนี้ถ้าเขากลับบ้านเมื่อไหร่ อั๊วจะยกหนี้ให้ลื๊อทั้งหมด’

‘ครับ เจ๊หงส์...’


   ถึงชีวิตแต่ละวันที่ผ่านมาของผมจะน่าเบื่อแต่การได้หายใจ การได้เหงา ได้เศร้า ได้เจ็บปวดมันก็ทำให้ผมรู้สึกมีชีวิต ผมอยากให้เขาได้รู้สึกทั้งความทุกข์และความสุข เขาควรจะมีชีวิต...ทุกคนควรมีชีวิต จนกว่าความตายมันจะวิ่งมาหาเราเอง

   ในตอนแรกผมก็คิดแบบนั้น แต่ทุกวันที่ได้อยู่กับเขาความคิดของผมก็เปลี่ยนไป ผมอยากให้เขามีแต่ความสุขในทุกๆ วัน ผมชอบที่เห็นเขายิ้ม ชอบเวลาเขาพูดจากวนประสาทผม ชอบมากกว่าเวลาที่เขาเหม่อลอยและร้องไห้ ผมรู้ว่าควรจะหักห้ามใจแต่สุดท้ายผมก็ตกหลุมรักเขา รักทั้งความสุขและความเศร้าของเขา

   วันเวลาผ่านไปเจ๊หงส์ยิ่งร้อนใจ ผมไม่รู้จะทำยังไงกับเรื่องนี้ เมื่อผมเพิ่งรู้ว่าสาเหตุที่ทำให้จิงหนีออกจากบ้านคือคนที่ผมตกปากรับคำว่าจะพาไปหา ผมสับสนและผมก็เลือกที่จะพาเขากลับไปหาพ่อแทน...เป็นผมที่ทำทุกอย่างพัง

   เจ๊หงส์โกรธผมหรือบางทีอาจจะเกลียดไปแล้ว ผมได้แต่เก็บงำความรู้สึกและทุกๆ อย่างไว้ ไม่ให้จิงรู้เพราะกลัว กลัวว่าจะรักษาเขาไว้ไม่ได้ กลัวเขาหนีไป กลัวเขาหายไปจากโลกใบนี้ ผมพยายามบ่ายเบี่ยงเจ๊หงส์และหนี พาจิงไปยังอีกโลกของผมและผมก็ยิ่งรักเขามากขึ้นเมื่อได้ใกล้กันเข้าไปอีกก้าวและผมก็ตัดสินใจมอบแหวนที่แม่ผมฝากไว้ให้แก่เขา

เพราะผมอยากให้เขาได้รู้ว่าเขาไม่ใช่แค่คนที่ต่อชีวิตของผม
แต่เป็นคนที่ผมรัก
และเราเป็นครึ่งหนึ่งของกันและกัน

‘ถ้ารักจิง ก็ต้องรักตัวเองนะ’

   ในตอนนั้นผมรู้ได้เลยว่าความจริงหาเราเจอแล้ว จิงเข้มแข็งแล้ว เขาดีขึ้นและพร้อมจะไปจากผมแล้ว ผมได้แต่ยินดีและเศร้าใจไปพร้อมกัน

‘พรุ่งนี้อั๊วจะไปรับอาจิงกลับ’

‘...’

‘อาจิงอาการดีขึ้นแล้วไม่ใช่เหรอ’

‘ครับ แต่...’

‘หึ พาไปหาป๊ามันแล้วนี่ คงดีขึ้นจริงๆ’

‘ผมขอโทษครับ’

‘รู้เรื่องทุกอย่างแล้วก็ดี อั๊วมันคงเป็นแม่ที่ไม่ดีในสายตาพวกลื๊อสินะ’

‘เปล่าครับ แต่ผมขอเวลา...’

‘มันจบแล้วอานนทกร ลื๊อทำไม่สำเร็จ’

‘...ครับ’ 

‘ทำตามสัญญาระหว่างเราด้วยล่ะ หนี้พวกนั้นอั๊วยกให้’

‘ครับ’

‘ต่อไปนี้ ลื๊อก็หายไปจากชีวิตของพวกเราซะ’

‘ครับ ผมจะรักษาสัญญา’


.

.


   ในที่สุดผมก็เดินมาถึงหน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ ภายในบ้านและบริเวณรอบๆ เปิดไฟสว่าง ผมมองเข้าไปเห็นรถตู้สีดำคันใหญ่จอดอยู่ บางทีจิงอาจจะอยู่ในบ้านตอนนี้ แค่คิดถึงใบหน้าของเขาที่ร้องไห้จนสลบไป ใจผมก็จะขาดลงตรงนี้ ผมไม่ได้เดินเข้าไปใกล้อีก แค่ยืนมองอยู่แบบนั้น ถอนหายใจแรงๆ และลูบหน้าตัวเองเรียกสติ จริงๆ ผมไม่ควรจะมายืนอยู่ตรงนี้ด้วยซ้ำ

   สุดท้ายผมก็เดินกลับ หันหลังให้กับทุกอย่าง มันคือสิ่งที่ผมควรจะทำที่สุดในตอนนี้ ถึงต่อให้ไม่มีเรื่องหนี้ ผมก็เลือกที่จะจากมาเพราะมันเป็นทางเดียวที่จะทำให้จิงเติบโต เขาควรจะมีชีวิตอย่างที่ควรจะเป็น

‘จิงจะแต่งงานและจะเป็นประธานคนต่อไปของบริษัทอั๊ว’

   ใช่ จิงควรจะมีชีวิตแบบนั้น มีชีวิตปกติทั่วไป ไม่ใช่จมปลักอยู่กับผม ชีวิตของเขายังอีกยาวไกล ทุกอย่างต้องเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรก เป็นผมเองที่ทำลายทุกอย่างและผมก็ควรได้รับบทลงโทษแบบนี้...รักเขาต่อไป เฝ้ามองและยินดีกับเขาห่างๆ

‘ลื๊อจะกลายเป็นคนแปลกหน้าของอาจิง จะเป็นแค่อดีตที่เขาไม่อยากจดจำ’

   วันเวลาจะทำให้เขาผ่านไปได้ ไม่รู้ว่าคำสุดท้ายที่ผมบอกไป เขาจะเข้าใจแค่ไหน…จนกว่าจะถึงเวลานั้น ผมได้แต่ภาวนาให้เขาเข้มแข็งพอที่จะเผชิญกับความจริง เผชิญกับโลกใบนี้และ

มีชีวิต

เหมือนคำสุดท้ายที่ผมได้บอกเขาไป
และผมก็บอกตัวเองเหมือนกัน





**************************************
TBC


ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0

ตอนที่ 28 อยู่ไหน


   หลังจากตื่นขึ้นมาบนรถตู้คันใหญ่แล้ว ผมก็นั่งนิ่งเงียบไม่สนใจม๊าที่นั่งอยู่ข้างๆ ผม รถยังคงวิ่งไปด้วยความเร็วปกติแล้วเลี้ยวเข้าซอยหนึ่งที่ผมเคยมา ผ่านเสาไฟฟ้าไป หนึ่ง สอง และสาม เสาไฟฟ้าต้นนั้นที่ผมเคยมานั่งตัดสินใจจบชีวิตตัวเอง...ตอนนี้มันก็ยังเหมือนเดิม

   ในรถตู้เต็มไปด้วยความอึดอัด ผมเงียบและม๊าก็เงียบเช่นกัน ผมไม่รู้เลยว่าม๊าคิดอะไรอยู่และผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าควรจะทำอะไรต่อไป จนกระทั่งรถตู้จอดลงที่หน้าประตูของคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ผมเคยเดินมาด้อมๆ มองๆ

   มันยังคงสวยงามและอลังการจนผมนึกอิจฉา ม๊าเดินลงไปจากรถ โดยมีบรรดาแม่บ้านมารอต้อนรับ ผมได้แต่นั่งมองมือตัวเองอยู่ที่เดิม ไม่อยากลง...แต่เพราะแรงผลักให้ลงจากรถของลูกน้องของม๊าที่นั่งประกบผมมาด้วย ผมจึงจำใจเดินตามลงไป...ทุกสายตาจ้องมองมาที่ผม

“สวัสดีค่ะ คุณจิง”

“...” ผมยกมือไหว้ผู้หญิงมีอายุคนหนึ่งที่ยิ้มแย้มต้อนรับผม ผมไม่รู้เลย ว่าใบหน้ายิ้มแย้มนั้นคิดอะไรอยู่ ผมกลัว...ทำได้แค่หลบสายตาทุกคนแล้วเดินตามหลังม๊าไป

   ผมเดินตามม๊ามาเรื่อยๆ สายตาก็มองไปรอบๆ บ้านหลังใหญ่ของผู้หญิงตัวเล็กที่เดินนำอยู่ข้างหน้า ที่นี่ตกแต่งอย่างสวยงาม พื้นบ้านเป็นกระเบื้องหินอ่อน มีโซฟา รูปปั้น ภาพวาดหรูหราแบบที่เคยเห็นในละคร ตอนนี้มันอยู่ในสายตาผมทั้งหมด

   ผมควรจะตื่นเต้นกับความอลังการนี้...แต่ในใจผมกลับรู้สึกเจ็บปวด ยิ่งเห็นรูปถ่ายใบใหญ่ที่ติดอยู่บริเวณห้องโถงนี้ผมก็ยิ่งเจ็บ รูปที่มีผู้ชายที่ผมไม่รู้จักยืนอยู่ข้างม๊าที่นั่งกอดเด็กผู้ชายตัวเล็กอยู่บนตัก พวกเขาดูมีความสุขจนผมรู้สึกเจ็บและน้อยใจในชะตาชีวิตตัวเองอย่างช่วยไม่ได้

“วันนี้ลื๊อจะกลับไปที่ร้านป๊าลื๊อก่อนก็ได้ เดี๋ยวอั๊วให้ลูกน้องไปส่ง” ม๊าพูดขึ้นมาหลังจากที่ผมนั่งลงบนโซฟาหรูที่อยู่ตรงข้ามม๊าได้สักพักหนึ่ง ม๊ากอดอกแล้วเอนตัวลงพนักพิง ทำเหมือนก่อนหน้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างใจเย็น “แต่พรุ่งนี้ตอนเช้า ลื๊อต้องเข้าบริษัทเพื่อไปเรียนรู้งานนะอาจิง”

“...”

“อ้อ นี่อาจิน” ม๊าผายมือไปยังผู้ชายคนหนึ่งที่ดูท่าจะวัยไล่เลี่ยกับผม เขาหน้าตาออกไปทางจีนมากกว่าผมซะอีก คงจะเป็นเด็กผู้ชายคนที่นั่งอยู่บนตักม๊าในรูปนั้นสินะ “เป็นน้องเรา”

“สวัสดีครับ”

“ม๊าต้องการอะไรจากจิง...” ผมจ้องมองไปที่ม๊าแทน ไม่สนใจคนที่ยกมือไหว้ผม...ไม่มองหน้าด้วยซ้ำ

“...” ม๊าคลายแขนที่กอดอกลงแล้วเบือนหน้าหนีผม แล้วเงียบไป

“ตอนที่จิงต้องการม๊า...ม๊าไปอยู่ไหน ม๊าทิ้งจิงกับป๊าเพื่อ...” ผมพูดรัวออกมาด้วยความรู้สึกเจ็บปวดที่อยู่ในใจมาเป็นเวลานาน มองไปรอบๆ บ้านหลังใหญ่แล้วสบสายตาเข้ากับเขาคนนั้น ลูกชายอีกคนของแม่  “เพื่อทุกอย่างที่ม๊ามี”

“อาจิง…”

“พอจิงเริ่มอยู่ได้ พอจิงมีความสุข ม๊าก็กลับมาในชีวิตจิงอีกครั้ง” พอผมเอ่ยประโยคนั้นออกไปน้ำตาที่ผมเกลียดก็เอ่อคลอขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ “แล้วในตอนนี้ที่จิงมีความสุข จิงอยากเริ่มมีชีวิตอีกครั้ง ม๊าก็กลับมาอีก”

“...”

“ม๊าอยากเห็นจิงตายจริงๆ ใช่ไหม”

“อาจิง!” ม๊าตวาดผม แล้วลุกเดินมาใกล้ผม จับแขนผมให้ลุกขึ้นยืน แล้วบีบแขนผมแน่นขึ้น...ม๊ากำลังโมโห “อานนทกรเขาทำให้ลื๊อเป็นบ้าถึงขนาดนี้เลยหรอไง”

“ใช่! จิงรักพี่นน” ผมตะโกนออกไปทั้งที่ยังจ้องหน้าม๊าอยู่

“หึ มันก็แค่ลูกหนี้ที่เห็นแก่ตัวและ...ฉวยโอกาส”

“ไม่จริง”

“ลี๊อยังไม่เข้าใจ มันไม่ใช่ความรัก” ม๊าปล่อยมือออกแล้วกอดอก ยืนประจันหน้าผม ก่อนจะพูดประโยคที่ผมไม่อยากได้ยิน “เรื่องระหว่างลื๊อสองคนมันไม่ใช่ความรัก!”

“เรารักกัน” ผมพูดนิ่งๆ ตอบม๊าไปด้วยใจที่ปวดร้าว

“ลื๊อไม่เข้าใจหรือไง! อานนทกรทำทั้งหมดนั่นก็เพื่อปลดหนี้จากอั๊ว” ม๊ามองผมแล้วแค่นยิ้มให้ผม “ป่านนี้คงหนีไปถึงไหนต่อไหนแล้ว”

“...” ส่วนผมก็ทำได้แค่เงียบไปเพราะความหวาดหวั่นในใจ

“ลื๊อตัดใจเถอะ เขาไม่มีวันกลับมาหาลื๊ออีกแล้ว” ม๊าถอนหายใจแล้วเอื้อมมือมาจับแขนผมอีกครั้ง “ต่อไปนี้ลื๊อก็เริ่มต้นชีวิตใหม่เถอะนะ มาสืบทอดกิจการของอั๊ว”

“...”

“ส่วนเรื่องของพวกลื๊อ...ก็ไม่ต้องกังวล อั๊วรับปากเพื่อนอั๊วไว้แล้ว” ม๊าค่อยๆ พูดแล้วลูบแขนผมไปมา พยายามปลอบใจผม “ให้ลื๊อกับอาหลินแต่งงานกัน”

“...”

“จะไม่มีใครรู้เรื่องของพวกลื๊อ แล้วลื๊อก็จะลืมเรื่องราวทั้งหมดนี่ไปเอง” ม๊าพยายามปลอบผม ด้วยคำพูดที่ทำร้ายผมที่สุด “มาเริ่มต้นชีวิตกันใหม่นะ...อั๊วไม่ได้บังคับให้ลื๊อมาอยู่ด้วยกัน ลื๊อจะกลับไปหาป๊าลื๊อก็ได้”

“...”

“แต่อย่างที่อั๊วบอก ลื๊อต้องมาสืบทอดกิจการอั๊วและแต่งงานนะ”

“...ไม่” ผมดึงแขนตัวเองกลับมาแล้วจ้องหน้าม๊า “จิงจะไปหาพี่นน”

   พูดเสร็จผมก็หันหลังและเดินออกไปทางประตูใหญ่ ในใจผมเจ็บปวดไม่มีชิ้นดีจากคำพูดของม๊า มือผมสั่นไปด้วยความกลัวที่ไม่เข้าใจ น้ำตาไหลออกมาอย่างช่วยไม่ได้เมื่อตอนนึกถึงใบหน้าเปื้อนเลือดของคนที่ผมรัก อยากเจอพี่นน อยากกอด อยากอยู่ในอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นนั้น ผมจะรู้สึกปลอดภัย ผมต้องการเขา ผมต้องการพี่นนเดี๋ยวนี้

“ถ้าลื๊อออกไป...อั๊วก็ไม่รับรองความปลอดภัยของอานนทกร”

“...” ผมชะงักไป หยุดเดิน แล้วค่อยๆ หันไปสบตากับม๊าที่เดินตามมาและแค่นยิ้มด้วยใจที่แตกสลาย “ม๊าคงอยากเห็นจิงตายจริงๆ”

เพี๊ยะ!

“มีสติหน่อยอาจิง” แรงตบจากม๊าทำเอาหน้าของผมชาไปทั้งด้าน ผมหันหน้าที่หันไปตามแรงตบไปมองหน้าม๊าอีกครั้ง

“... ไม่” ไม่รู้ว่าความเจ็บที่ใจกับที่ใบหน้าแบบไหนมันเจ็บกว่ากัน

“ม๊า พอเถอะครับ”

“เฮอะ” ผมแค่นหัวเราะใส่ม๊า ตอนที่ลูกชายของม๊าอีกคนเดินเข้ามาดึงแขนของม๊าไว้

“อั๊วดูแลลื๊อเงียบๆ มาตลอดเพื่อให้ลื๊อมาเถียงอั๊ว” ส่วนม๊าก็ยังเป็นม๊า “เพื่อให้ลื๊อมาพูดทำร้ายจิตใจอั๊วแบบนี้เหรอ... ถ้าลื๊อยังเป็นแบบนี้…”

“ฮึก ทำไมม๊าต้องมายุ่งกับชีวิตจิงด้วย!” เป็นม๊าที่ทำร้ายผมครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยคำพูดของม๊า  “ทิ้งจิงกับป๊าไปเลยสิ ทิ้งให้เหมือนวันนั้น ไม่ต้องมาสนใจจิงอีกได้ไหม”

“…”

“ม๊ามีทุกอย่างแล้วไง ทำไมต้องมายุ่งกับจิงด้วย!” ผมสติแตก ผมรู้ว่าผมกำลังเป็นแบบนั้น ผมตะโกนลั่นไปทั่วบ้านหลังนี้ ร้องไห้สะอึกสะอื้นแบบควบคุมตัวเองไม่ได้  “ฮึก ทำไมต้องอยากให้จิงทำอะไรแบบนั้น เพื่ออะไร ม๊าทำทั้งหมดนี้เพื่ออะไรตอบจิงสิ!”

“...”

“ตอบจิงได้ไหม ฮือ ทำแบบนี้กับจิงทำไม” เหมือนอะไรบางอย่างในใจผมมันทะลักทลายออกมา ผมกลัวตัวเองในตอนนี้ ผมแค่ต้องการใครสักคนที่ช่วยเป็นหลักให้ผม แบบที่ผมเคยได้รับ “พี่นน..ฮึก พี่นน...”

“...ถ้ายังไม่ฟังใครและยังเป็นแบบนี้” เสียงเล็กแหลมพูดขึ้นมาหลังจากมองผมที่ระเบิดอารมณ์ออกมา ผมไม่รู้เลยว่าม๊าคิดอะไรอยู่ ไม่รู้และไม่เคยเข้าใจเลย “ชาตินี้ลื้อก็ไม่มีวันได้เจออานนทกร”

“...ได้ จิงจะทำ” ผมตอบไปด้วยเสียงสั่นเครือ มองคนที่ยืนอยู่ตรงกันข้ามโดยมีลูกชายอีกคนของม๊าประคองอยู่ข้างๆ ผมปาดน้ำตาและกำมือข้างที่มีแหวนที่พี่นนให้ไว้แน่น “ฮึก จิงจะทำทุกอย่างที่ม๊าต้องการ”

“...ดี”

“แต่ถ้าพี่นนกลับมา...ม๊าไม่มีสิทธิ์มาห้ามเรื่องของพวกเรา”

“ได้ อั๊วจะคอยดู”

มีชีวิต...




***********************************
TBC

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ไม่เข้าใจม๊าอ่ะ มีลูกชายอีกคนแล้วจะมายุ่งกับจิงอีกทำไม
หวังว่าพี่นนจะไม่ถอดใจ กลับมาหาจิงนะกลับมา

ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
ตอน 29 จิงใจไม่จิงโจ้


 
 
มีชีวิต...
นี่เหรอคือสิ่งที่พี่นนอยากให้ผมทำ


 
          ผ่านไปสามเดือนแล้วที่ผมมาทำงานกับม๊า โดยเริ่มจากการเป็นเด็กฝึกงานในบริษัทของม๊าที่ทำเกี่ยวกับพวกจิวเวอรี่ ผมเริ่มจากตำแหน่งเด็กฝึกงานโดยพนักงานที่นี่ไม่มีใครรู้ว่าผมจะเข้ามาบริหารที่นี่และเริ่มตำแหน่งต่อไปเลยภายในหนึ่งอาทิตย์ และนั่นก็ทำให้คนในบริษัทรู้เข้า แล้วผมก็ต้องปรับตัวกับการปฏิบัติตัวของคนอื่นกับตัวเองอีกรอบ แต่ทุกอย่างมันไม่ได้แย่นัก ผมหมายถึงทั้งเรื่องที่ทำงานและภายในครอบครัวผม

          ผมเพิ่งรู้ว่าสามีใหม่ของม๊าเสียไปหลายปีแล้ว ม๊าต้องแบกรับทั้งครอบครัวและบริษัทไว้คนเดียว เป็นทั้งเจ้าของบริษัทและเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว ผมรู้เรื่องจากจินน้องชายของผม ไม่น่าเชื่อที่ผมสามารถเข้ากับจินได้เป็นอย่างดี อาจจะเพราะว่าเราห่างกันแค่ปีเดียว แถมเรายังเรียนบริหารเหมือนกัน จึงทำให้เรามีความชอบหลายๆ อย่างคล้ายกัน

          โดยปกติแล้วผมจะนอนค้างที่บ้านม๊าก็ต่อเมื่อวันไหนที่เลิกงานดึกหรือในวันที่เหนื่อยจนขับรถกลับไปนอนบ้านป๊าไม่ไหว ชีวิตผมวนเวียนอยู่แบบนี้ ทำงานที่บริษัทม๊า ดูแลป๊า...มีชีวิต ที่พี่นนหมายถึงคงเป็นแบบนี้

 
ผมเข้าใจแล้ว
...แต่ทำไมใจของผม
กลับไม่มีชีวิตเลย
 

 
          หลังจากวันนั้นที่ผมรับปากกับม๊า ผมก็ตามหาพี่นนไปทั่ว ผมไปหาเขาที่ห้อง แน่นอนว่าเขาไม่อยู่แล้ว ที่ทำงาน ร้านกาแฟพี่ชินหรือแม้กระทั่งร้านราดหน้าที่ผมชอบกินก็ไม่เจอเขา เบอร์โทรศัพท์ที่ผมจำได้ขึ้นใจก็ไม่สามารถติดต่อได้ ใจผมแหลกสลายเมื่อคำพูดของม๊าดังวนเวียนอยู่ในหัว
 
“เรื่องระหว่างลื๊อสองคนมันไม่ใช่ความรัก!”
 
          มีหลายๆ ครั้งที่ผมเผลอคิดว่าบางทีอาจจะมีแค่ผมที่คิดไปเอง บางทีอาจจะมีแค่ผมที่รักเขา น่าขำที่คนที่ทำให้ผมอยากมีชีวิตต่อ คนที่ปลุกผมมาเผชิญกับความจริงนั้นคือคนเดียวกันกับคนที่ทำให้ผมอยากอยู่ในความฝันตลอดไป ความฝันที่เขาอยู่เคียงข้างผมยังไงก็ดีกว่าโลกแห่งความจริงใบนี้ โลกที่ผมเริ่มเข้าใจมันและผมก็หยุดตามหาเขา
 
          ผมยอมรับว่าเสี้ยวหนึ่งในใจผมยอมแพ้ให้กับเรื่องของเรา แหวนยังคงอยู่บนนิ้วผม ความรักของผมก็ยังคงอยู่ ผมยังรักพี่นน รักและคิดถึงตลอดเวลา แต่ความเป็นจริงก็คือพี่นนหายไปแบบไม่ทิ้งร่องรอยไว้ เขาหายไปจากชีวิตผมเหมือนกับเรื่องราวก่อนหน้านี้เป็นแค่ความฝัน
 
บางทีความรักของเขาก็คงหายไปเหมือนความฝันเช่นกัน
 
“พี่จิง! พี่จิงคะ...”
 
“เอ่อ ครับ”
 
“เหม่ออะไรกัน หลินเรียกตั้งนาน”
 
“อ่อ เปล่า มีอะไรรึเปล่า” ผมถอนหายใจและจอดรถชิดริมรั้วบ้านหลังใหญ่
 
“เมื่อกี้หลินถามว่าพี่จิงอยากได้อะไรเป็นของขวัญวันรับปริญญาคะ”
 
“เอ่อ อะไรก็ได้ครับ”
 
“ตอบยากจัง แบบนี้หลินก็แย่สิ”

“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน”
 
          ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมจะยอมทำตามที่ม๊าพูดขนาดนี้ ผมยิ้มกับตัวเองแล้วหันไปมอง ผู้หญิงหน้าตาน่ารักที่เป็นเมื่อก่อนผมคงใจเต้นแรงเมื่อได้อยู่ใกล้แบบนี้ แล้วผมเองคงดีใจไม่น้อยที่จะได้แต่งงานกับผู้หญิงที่น่ารักและนิสัยดีแบบเธอ แต่ตอนนี้ผมเปลี่ยนไปแล้ว ผมรักใครไม่ได้อีกแล้ว
 
“เฮ้อ ถ้าคิดออกเมื่อไหร่ก็บอกหลินด้วยนะคะ หลินจะได้เตรียมทันอีกไม่กี่สัปดาห์แล้วนะคะ”
 
“ครับ”
 
“งั้นหลินเข้าบ้านก่อนนะ ขอบคุณที่มาส่งค่ะ” หลินยิ้มให้ผมอย่างจริงใจ ก่อนจะยกมือไหว้ผมเพราะผมแก่กว่าหลินหนึ่งปี “แล้วก็ขอบคุณที่ออกมาเป็นเพื่อนหลิน ไม่งั้นคุณแม่หลินคงบ่นตายเลย”

“พี่ก็เหมือนกันครับ”
 
“ขอบคุณที่พี่ยอมทำตามคำขอของหลินนะคะ”
 
          เราจะไม่มีวันแต่งงานกันเพราะเราทั้งคู่ต่างมีคนที่รักอยู่แล้ว นี่คือข้อตกลงของเราตั้งแต่วันแรกที่ม๊าพาผมไปดูตัว เราจะเป็นแฟนกันปลอมๆ ไปก่อนจนกว่าหลินจะเรียนจบ ถึงวันนั้นหลินก็จะทิ้งผม ในตอนนี้เราแค่ทำให้ผู้ใหญ่สบายใจ หลินมีคนรักอยู่แล้ว ผมก็มีที่ผมคนรักอยู่แล้ว
 
“ครับ ฝันดีนะครับ”
 
“ค่ะ พี่จิงด้วยนะคะ”
 
“ครับ”
 
          ผมขับรถออกจากหมู่บ้านของหลินแล้วมุ่งตรงไปบ้านม๊าเพื่อเคลียร์เอกสารบางส่วน ตอนนี้เป็นเวลาเกือบสี่ทุ่มแล้ว วันนี้ผมคงต้องนอนที่บ้านใหญ่ ผมขับรถเข้าไปในซอยที่คุ้นเคย หนึ่ง สอง สาม... ผมเริ่มเกลียดซอยนี้เพราะเสาไฟฟ้าต้นที่สามต้นนี้ ไม่รู้ทำไมผมถึงชะลอรถเมื่อถึงตรงนี้ทุกครั้ง เหมือนผมคาดหวังให้เขายืนอยู่ตรงนั้น ให้เขาเดินเข้ามาหาผมเหมือนวันนั้น แต่มันก็ว่างเปล่าเหมือนทุกครั้ง
 
          ผมหอบแฟ้มเอกสารจากเบาะหลัง ล็อครถแล้วเดินเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ที่เงียบสงบ สงสัยทุกคนคงเข้านอนกันหมดแล้ว ผมนั่งมองกระดาษที่มีตัวอักษรเต็มไปหมดด้านหน้าด้วยใจที่ว่างเปล่า ผมถอนหายใจรอบที่ร้อยของวัน มองวันที่ในโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่แล้วก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง คืนวันผ่านไปวันแล้ววันเล่า ความกลัวก็กัดกินในใจผมไปหมด
 
เขาจะคิดถึงผมบ้างไหม
เขารักผมจริงๆ แบบที่พูดหรือเปล่า
หรือเขาแค่ทำตามความต้องการของม๊าจริงๆ

 
 
“อาจิง”
 
“...”
 
“อาจิง”
 
“ครับ”

“มัวแต่เหม่อนะเรา”
 
“จิง เปล่าครับ” หยิบเอกสารสำคัญของบริษัทขึ้นมาอ่านอีกรอบ
 
“ถ้าไม่เข้าใจอะไรก็ถามจินได้นะ ถึงรายนั้นจะยังเรียนไม่จบแต่ก็พอจะรู้เรื่องในบริษัทดีเลย”
 
“ครับ” ม๊าเลื่อนเก้าอี้มานั่งข้างผม “ม๊า จิงอยากทำเกี่ยวกับงานออกแบบ”
 
“...” ม๊าเม้มปากแล้วเงยหน้าสบตาผม มือที่นุ่มนวลวางลงบนมือผม “แต่จิงเรียนบริหารมานะ”
 
“ม๊า ม๊าก็รู้ว่าจินทำได้ดีกว่าจิง”
 
“...”
 
“ม๊า จินเขาทำเพื่อบริษัทมาตลอดเลยนะครับ”
 
“แต่อั๊ว...เฮ้อ” ม๊าเลือกที่จะหลบสายตาผมแล้วถอนหายใจ
 
“จิงขอไปเรียนออกแบบได้ไหม”
 
“...”
 
          ม๊าเงียบไม่ตอบผมแล้วลุกขึ้นเดินหนีผมออกไปจากห้องนั่งเล่น ผมลูบหน้าตัวเองด้วยความเครียด ทั้งที่หลีกเลี่ยงการปะทะอารมณ์กับม๊ามาตลอด แต่วันนี้อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ผมวิ่งไปคว้าแขนของม๊าไว้แล้ว เผชิญหน้ากับความจริงที่เราไม่ยอมพูดกันตั้งแต่แรก
 
 “อั๊วจะทบทวนใหม่” เป็นม๊าที่ตัดบทสนทนาของเราอีกครั้ง “วันนี้นอนบ้านรึเปล่า”
 
“ครับ” แต่ผมจะไม่ยอมปล่อยเรื่องเราที่ค้างคาใจกันอยู่ลึกๆ อีกต่อไปแล้ว “ม๊าไม่ต้องห่วงจิงแล้วนะ”
 
“...” ม๊าเงียบไปแล้วเบือนหน้าหนีผม ผมยิ้มแล้วจับมือทั้งสองข้างของม๊าไว้
 
“จิงรู้ว่าม๊า...รักจิง” ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดต่อ “และม๊าก็คงโทษตัวเองที่ทิ้งจิงไว้ในคืนนั้นมาตลอด”
 
“...”
 
“แต่ตอนนี้จิงเข้มแข็งแล้ว ม๊าไม่ต้องห่วงนะ” ผมยิ้มพร้อมน้ำตาที่ไหลออกมา
 
“อาจิง”
 
“ม๊ากับจิงไม่ควรมารู้สึกผิดต่อกันแบบนี้” ผมดึงม๊าเข้ามากอดไว้
 
“...จิง” ม๊าเรียกผมหลังผละออกจากอ้อมกอดของผม แล้วเอื้อมมือมาเช็ดน้ำตาให้ผมอย่างอ่อนโยน แววตาของม๊าเต็มไปด้วยคำถามและความรู้สึกผิด “ที่ลื๊อยอมไปทำงานที่บริษัท ที่ยอมคบหาดูใจกับหนูหลิน ที่ลื๊อทำทั้งหมดเพราะอานนทกรเหรอ”
 
“....” ผมใจกระตุกกับชื่อที่อยู่ในดวงใจมาตลอด นานแล้วที่ผมกับม๊าไม่เอ่ยชื่อนี้ออกมา “ครับ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด”
 
“...”
 
 “พี่นนบอกให้จิงมีชีวิตแต่เขาไม่ได้บอกให้จิงทำเพื่อเขาเลย เป็นจิงเองที่ตัดสินใจทำแบบนี้ จิงเลือกที่อยากมีชีวิตที่ดีขึ้น” ผมยิ้มแล้วมองผู้หญิงตรงหน้าด้วยความจริงใจ
 
“อาจิง”
 
“แต่จิงก็ไม่รู้หรอกว่าชีวิตที่ดีมันหมายถึงอะไร แต่ถ้ามันเป็นอย่างที่ม๊าบอก ทำงานและแต่งงาน จิงก็จะทำ” ผมหยุดพักและจับมือม๊าไว้ “จิงทำเพราะเบื้องหลังการทำแบบนี้คือการที่จิงจะได้มีความสุข จิงจะได้อยู่กับป๊า อยู่กับม๊ากับจินและจิงจะได้เจอพี่นนอีกครั้ง”
 
“...”
 
“จิงขอแค่ได้เจอเขา ได้รับรู้ว่าคนที่บอกให้ผมมีชีวิตนั้น เขาก็จะมีชีวิตอย่างที่บอกให้ผมมีจริงๆ”
 
“...ฮึก” ม๊าพยักหน้าหลายครั้งแล้วเริ่มร้องไห้สะอื้นออกมา ผมเจ็บปวดกับภาพตรงหน้าจนต้องกอดม๊าไว้อีกครั้ง
 
“ม๊าอย่าร้องไห้เลยนะ” ผมพูดแล้วลูบหลังเล็กที่สั่นเทา “จิงแค่อยากมีชีวิตที่มีความสุขและความสุขของจิงมันประกอบไปด้วยป๊า ม๊าและพี่นน จิงถึงทำทุกอย่างที่ม๊าบอก”
 
“อาจิง”
 
“ทำทุกอย่างเพื่อที่เราจะได้อยู่ด้วยกัน”
 
“ฮือ”
 
“แต่ ฮึก จิง...จิงคิดถึงพี่นน” ผมบอกม๊าด้วยความรู้สึกคิดถึงที่อัดแน่นอยู่ในอก แล้วก้มลงซบใบหน้าลงที่ไหล่เล็กของม๊าแล้วร้องไห้ออกมา “ขอจิงมีชีวิตได้ไหมครับ ฮือ”
 
“...ฮึก อาจิง ลื๊อรักเขาขนาดนี้เลยหรือ”

“...ครับ ฮึก จิงขอโทษ ขอโทษที่เป็นแบบที่ม๊าอยากให้เป็นไม่ได้” ผมกอดม๊าแน่นขึ้น พยายามควบคุมไม่ให้ตัวเองเสียงสั่น “แต่จิงสัญญาว่าจิงจะช่วยดูแลบริษัทในส่วนที่จิงทำได้ ดูแลป๊า ดูแลม๊า”
 
“อาจิง”
 
“จิงรักม๊านะ”
 
“...อั๊วขอโทษ ที่อั๊วทำทั้งหมดเพราะอั๊วหวังดีต่อลื๊อ ฮึก ลื๊อเข้าใจใช่ไหม
 
“ครับ จิงก็ขอโทษที่พูดไม่ดีกับม๊า”
 
“อาจิง อั๊วก็ขอโทษ ขอโทษจริงๆ อั๊วขอโทษ”
 
“ม๊าไม่ต้องขอโทษแล้ว”
 
“อาจิง” ม๊าผละออกจากอ้อมกอดของผมและลูบแก้มผมด้วยความอ่อนโยนอีกครั้ง แล้วจ้องมองผมอย่างจริงใจ “เขาจะรักษาสัญญา อานนทกรบอกอั๊วแบบนั้น”
 
“ขอบคุณที่บอกจิงนะครับ” อย่างน้อยผมก็มีความหวังจนถึงวันนั้นที่เราสัญญากันไว้ “ขอบคุณจริงๆ”
 
 
 
“วันจิงรับปริญญา พี่นนต้องมานะ”
“ได้ครับ”
“สัญญาสิ”
 
 
 
“สัญญาครับ”

 
 
ความหวังสุดท้ายของผม
 
 
 
**************************************
ยื่นทิชชู่
TBC


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
+1 o13 ขอบคุณมากครับ :pig4:

ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0

ตอน 30 จบแล้วนะ



     ท่ามกลางคนมากมายที่มาร่วมยินดีกับเหล่าบัณฑิตจบใหม่ ป๊าบ่นกับผมว่าวันเวลาช่างผ่านไปเร็ว หลังจากที่ผมออกมาจากหอประชุมของมหาลัยในช่วงเย็นของวันนี้ ป๊ายิ้มอย่างดีใจในวันสำคัญของผม รอยยิ้มที่มองมาด้วยความภูมิใจทำให้ผมยิ้มตาม ป๊ายิ้มให้ผมอีกครั้งแล้วตบลงที่ไหล่ผมเบาๆ
 
“ป๊าภูมิใจในตัวลื๊อมากๆ นะ”
 
“ครับป๊า” ผมยังจำภาพที่ป๊าแอบเดินไปร้องไห้คนเดียว หลังจากที่เราสองคนกอดกันได้เป็นอย่างดี
 
“พี่จิงกินนี่สิคะ”
 
“เอ่อ” ผมหลุดจากภวังค์ที่นึกย้อนกลับไปเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา ผมยิ้มให้หลินเบาๆ แล้วเอ่ยขอบคุณหลินที่นั่งอยู่ข้างผม ”ขอบคุณครับ”
 
“กินเยอะๆ หน่อยสิ อาจิง นี่วันสำคัญของลื้อนะ”
 
“ครับม๊า”
 
          ผมตอบรับม๊าแล้วหันไปมองป๊าที่ส่งยิ้มให้ผมเบาๆ หลังจากสิ้นสุดพิธีรับปริญญาในวันนี้ ครอบครัวผมที่ประกอบไปด้วย ป๊า ม๊า ผมและจินก็มาทานข้าวฉลองกันที่บ้าน ในตอนแรกม๊าจะไปร้านอาหารของเพื่อนม๊าแต่เพราะผมเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว เลยขอมาฉลองที่บ้านม๊าแทน
 
“ยินดีด้วยอีกครั้งนะคะพี่จิง” หลินพูดแล้วยื่นกล่องของขวัญขนาดเล็กมาให้ผม ผมรับมาและยิ้มรับด้วยความจริงใจ
 
“ขอบคุณครับ” ผมยิ้มให้หลินอีกครั้งและหันไปสบตากับคุณแม่ของหลิน ก่อนจะยกมือไหว้ขอบคุณแม่ของหลิน ถึงแม้ว่าการแต่งงานของเราจะไม่เกิดขึ้นแล้วแต่ความสัมพันธ์ดีๆ ของเรายังคงอยู่เพราะหลินก็เป็นเหมือนน้องสาวแท้ๆของผม
 
“ไว้หลินกลับบ้านไปแล้วค่อยเปิดนะ”
 
“ได้ครับ” ผมวางมือลงบนศรีษะเล็กแล้วลูบไปมา หลินยิ้มแล้วหันไปตักอาหารให้ผมอีกครั้ง
 
“กินเยอะๆ นะคะ พี่จิง” หลังจากหลินขอร้องคุณแม่ให้ยกเลิกการแต่งงานและสารภาพไปว่าตัวเองมีคนที่รักอยู่แล้ว ผมก็กลายเป็นเป็นพี่ชายที่ดีของหลินอย่างแท้จริง เราไม่ต้องโกหกใครอีก โชคดีที่คุณแม่ของหลินยอมรับและเข้าใจ ที่สำคัญคือม๊าก็ยอมรับและเข้าใจผมเหมือนกัน
 
“หลินด้วย กินเยอะๆ หน่อย ดูสิตัวเล็กจนจะปลิวแล้ว”
 
“ไม่ขนาดสักหน่อยพี่จิง”
 
          ท่ามกลางสายตาของครอบครัวผมและแม่ของหลิน เต็มไปด้วยความเสียดายที่เราไม่ได้ลงเอยกันด้วยการแต่งงาน แต่สำหรับผมและหลินนั้น ที่เราเป็นแบบนี้ มันดีมาก ดีที่สุดแล้ว ที่สำคัญคือผมรู้สึกกับหลินมากกว่านี้ไม่ได้ หลินก็เช่นกัน เพราะพวกเราต่างมีคนที่รักอยู่แล้ว แล้วใครคนนั้นของผม ก็คือคนใจร้าย คนที่ไม่ยอมทำตามสัญญา คนที่ทิ้งผมไว้ตรงนี้ ทิ้งผมอย่างง่ายดาย
 
“วันจิงรับปริญญา พี่นนต้องมานะ”
“ได้ครับ”
“สัญญาสิ”
 "สัญญาครับ”
 

          คนผิดสัญญา...ผมเผลอกำช้อนในมือแน่น จินคงสังเกตเห็นอาการที่ผิดปกติของผม เขาจึงวางมือลงบนมือของผม ก่อนจะดึงให้ผมลุกขึ้นยืนตามแรงดึงของเขา
 
“เอ่อ ขอตัวพี่ชายผมสักพักนะครับ”
 
“อ่อ สงสัยคงจะไปคุยกันตามภาษาพี่น้องใช่ไหมคะ” เป็นหลินที่พูดทำลายบรรยากาศที่น่าอึดอัดในห้องทานข้าว
 
“ครับ”
 
“อ่อ พี่น้องบ้านนี้รักกันดีจริงๆ”
 
“หลินเห็นด้วยค่ะ ฮ่าๆ”
 
“ขะ ขอตัวครับ” ผมพูดแล้วโค้งให้ทุกคนแล้วเดินตามแรงดึงของจินไปอย่างว่าง่าย
 
          ผมยื้อแขนตัวเองออกจากมือที่กุมแขนของผมเอาไว้ทันที หลังจากที่เราเดินออกมาจากห้องกินข้าว จินเดินนำพาผมเดินมาบริเวณทางเดินหน้าบ้าน ในตอนนี้เป็นเวลาสี่ทุ่มกว่าแล้ว ดังนั้นบริเวณรอบบ้านจึงมืดและเงียบสงัด ยังดีที่มีแสงไฟจากโคมไฟริมทางเดิน ทำให้ยังพอมองเห็นใบหน้าของน้องชายตัวแสบของผมได้ ผมถอนหายใจและพยายามหลบเลี่ยงสายตาที่จ้องมองมาเหมือนจะเค้นหาคำตอบของเขา
 
“พี่จิง...”
 
“มีอะไรก็รีบพูดมา พี่ยังกินไม่อิ่มเลย”
 
“คืนนั้น ผมไม่ได้ตั้งใจ แต่ผมได้ยินหมดแล้ว” ผมลอบกลืนน้ำลายและเงยหน้าสบตากับน้องชายที่สูงกว่าตัวเอง “วันนี้ที่พี่เป็นแบบนี้...เพราะเขาใช่ไหม”
 
“เหอะ อะไรกัน พี่ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”
 
“หึ เป็นอยู่นี่ไง ไอ้อาการพยายามยิ้ม พยายามหัวเราะทั้งที่กลั้นน้ำตาจนตาแดงขนาดนี้”
 
“ปะ เปล่า” เหมือนมีมีดมาแทงกลางใจดำของผม ความร้อนเห่อร้อนขึ้นดวงตาและจมูกจนผมหนักขึ้นกว่าเดิม “ไม่ได้รอสักหน่อย”
 
“เฮ้อ”
 
ฟึ่บ
 
“จิน ฮือ” เป็นเพราะอ้อมกอดของน้องชายที่ตัวใหญ่กว่าที่กอดผมไว้ น้ำตาที่ผมกลั้นมาก็ไหลทะลักลงมาทันที
 
“ร้องออกมาเถอะ อย่าฝืนตัวเองอีกเลย”
 
“จิน ฮือ เขาไม่กลับมาแล้ว ฮึก พี่นนเขาไม่กลับมาหาพี่แล้ว”
 
“...”
 
“เขาลืมพี่ไปแล้ว ฮือ เขาไม่รักพี่แล้ว”


“...”
 
“พี่จะทำยังไง ทำยังไงดี ฮึก พี่จะอยู่ต่อยังไง” ผมร้องไห้กอดคนตรงข้างหน้าไว้ สะอื้นไห้จนเหมือนจะขาดใจและทรุดตัวลงนั่งกับพื้น “พี่ต้องทำยังไงต่อ ฮือ”
 
“พี่จิง...” จินไม่ได้ดึงผมให้ลุกขึ้นยืน แต่เขากับนั่งยองลงตรงหน้าผมและมอบรอยยิ้มอ่อนโยนให้เหมือนที่เคยทำตลอดมา “ถ้าเป็นจิน ผมจะตามหาเขา หาจนกว่าจะเจอและบอกให้รู้ว่าผมรักเขาแค่ไหน”
 
“ฮึก...”
 
“ไปสิ” ผมมองใบหน้าที่กำลังยิ้มให้ผมอย่างสับสน ตามหางั้นเหรอ ผม...ผมตามหาเขามาตลอด แต่... “เป็นผมจะรีบเอาดอกไม้ในรถช่อนั้น ไปให้เขานะครับ”
 
 
“จิน...” อะไรบางอย่างสั่งให้ผมลุกขึ้น แล้ววิ่งไปหยิบดอกไม้ช่อนั้นในรถตามที่จินบอก แล้ววิ่งออกไปจากบ้านหลังนี้ ตามหา...ผมมันโง่ที่หยุดตามหาเขา “ขอบใจนะ”
 
 
.
 
.
 
.
 
“อ๋อ อานนทกรน่ะเหรอ เขากลับมาเมื่อเช้าแป๊บนึงน่ะ มาทำเรื่องย้ายออก” เหมือนหัวใจผมหยุดเต้น “ทำเรื่องเสร็จก็ออกไปตั้งแต่เช้าแล้วล่ะ”
 
“...” ผมทำได้แค่ยืนหอบหายใจ ถือช่อดอกไม้อยู่แบบนี้
 
“เขาคงไม่กลับมาแล้วล่ะ ว่าแต่เจ๊หงส์เป็นไงบ้างพักนี้ไม่มาเยี่ยมอั๊วที่หอเลย”
 
“ผม..ผม..” เหมือนสมองของผมได้หยุดทำงานไปแล้ว ผมช็อคแล้ววิ่งออกมาโดยที่ไม่ได้ตอบคำถามของเจ๊ที่เฝ้าหอ ใจผมมันร้อนรนไปหมด หลังจากได้ฟังคำที่เจ๊บอก ผมควรจะทำยังไง ผมจะไปตามหาเขาได้ที่ไหนอีก
 
“โธ่เว้ย!” ผมสบถออกมาแล้วนั่งลงที่ม้านั่งหน้าหอที่ผมคุ้นเคย ผมหมดแรงที่จะก้าวต่อไปแล้ว เรื่องทั้งหมดนี่เหมือนมีแค่ผมคนเดียวที่วิ่งตามเขา เหมือนมีแค่ผมที่ทนทุกข์ทรมานแบบนี้ ผมมองช่อดอกไม้ในมือด้วยใจที่เจ็บปวดหรือก่อนหน้านี้จะมีแค่ผมที่ฝันไป มีแค่ผมที่รักเขา ผมเหยียดยิ้มให้ตัวเองแล้วเดินกลับไปทางเดิน ทางเดินที่ผมวิ่งมา
 
หนึ่ง
 
สอง
 
สาม
 
          ผมเดินนับเสาไฟฟ้าไปด้วยใจที่ว่างเปล่า ในมือถือช่อดอกไม้ที่เริ่มเฉาลง เนื่องจากผมทั้งถือ ทั้งกอดมันไว้ในอ้อมแขนในตอนที่ผมวิ่งไปที่หอนั้น ผมหยุดยืนอยู่ที่เดินใต้เสาไฟฟ้าต้นที่สาม แล้วนั่งลงที่เดิมที่เคยนั่ง วางดอกไม้ไว้ข้างกาย ก่อนจะงอเข่าเข้ามากอดไว้เหมือนในคืนนั้น ที่เราพบกัน
 
          ไม่รู้ว่าผ่านไปนานไหน สุดท้ายคนที่ผมรอมาตลอดก็ไม่มา เขาคงไม่กลับมาอีกแล้ว น้ำตาบนใบหน้าผมก็ได้แห้งเหือดไปแล้ว ราวกลับว่ามันจะไม่ไหลออกมาอีก นั่นยิ่งทำให้ความเจ็บปวดในใจผมยิ่งทวีคูณขึ้นมาเพราะได้รู้ว่าความหวังสุดท้ายของผมที่จะได้เจอเขา มันไม่มีอีกแล้ว
 
          ผมลุกขึ้นยืน เหม่อมองช่อดอกไม้ที่วางอยู่ข้างเสาไฟฟ้า ช่อดอกกุหลาบสีขาวที่บรรจงห่อด้วยกระดาษสีขาว เหมือนเป็นตัวแทนบอกความรักที่แสนบริสุทธิ์ของผม ผมยิ้มเยาะกับตัวเอง เมื่ออ่านการ์ดใบเล็กที่เสียบอยู่ด้านข้าง
 
‘จิงเรียนจบแล้วนะ ขอบคุณที่กลับมาหาจิง’

“หึ กลับมาอะไรกัน ฮึก”
 
          และแล้วน้ำตาผมไหลลงมาอีกครั้ง ผมหลับตาแน่น ข่มความรู้สึกขมปร่าที่ซัดเข้ามาในอก เงยหน้ามองท้องฟ้าที่มืดมิด หัวเราะกับตัวเองอีกครั้งที่ร้องไห้ออกมาจนได้ ผมเดินล่องลอยไปเรื่อยๆ ตามขาของตัวเองจะนำพาไป ไม่รู้ว่าจุดหมายที่ผมกำลังจะเดินไป มันจะทำให้ผมลืมความรู้สึกเจ็บปวดครั้งนี้ได้รึเปล่า
 
 
.
 
.
 
.
 
          ลมในตอนกลางคืนมันช่างเย็นจนผม รู้สึกหนาวไปทั้งใจ ในครั้งนี้ผมกลับมาเคว้งคว้างอีกครั้ง กลับมาที่เดิมที่เคยคิดจะจบชีวิตตัวเอง แต่ในรอบนี้ผมไม่ได้จะมาทำแบบนั้นอีกแล้ว ผมเข้าใจและรู้ซึ้งในสิ่งที่พี่นนบอก มีชีวิต ผมเข้าใจแล้ว
 
          แต่ความเจ็บปวดระหว่างที่มีชีวิตพี่นนไม่เห็นเคยบอกให้ผมเข้าใจมันเลย ผมสะอื้นร้องไห้ตัวโยนอีกรอบ มันเจ็บ เจ็บไปท้งใจเมื่อนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมาทั้งหมด คนที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้ ทำให้ผมมีชีวิตอีกครั้ง ทำให้ผมรัก กลับเป็นคนเดียวกับที่ทำให้ผมเจ็บแบบนี้
 
“พี่นน...” ผมพูดออกมาเบาๆ หลังจากที่ปีนขึ้นมานั่งบนราวสะพานไม้เก่าๆ ที่เดิมที่ผมกับพี่นนพบกันครั้ง “...ไม่รักกันแล้วหรือ”
 
          ผมร้องไห้แล้วมองแหวนที่อยู่บนมือตัวเอง ลูบเบาๆ กลัวว่ามันจะแตกสลายไปอีกอย่าง เพราะวันนี้ใจของผมได้แตกสลายไปแล้ว ผมรอคอยวันนี้มาตลอดเกือบครึ่งปี ผมอยู่ได้ด้วยความหวังว่าเราจะกลับมาเจอกัน เราจะได้อยู่ด้วยกัน แต่วันนี้ผมก็ได้รู้แล้วว่ามันจะไม่มีวันนั้น
 
          พี่นนไม่มาตามสัญญาที่ให้ไว้จริงๆ และพี่นนไม่ได้ตามหาผม ทั้งที่เขากลับมาแต่เขากลับไม่มาหาผม การโดนปฏิเสธความรักมันเจ็บปวดอย่างนี้นี่เอง ผมหลับตาลงปาดน้ำตาออกจากใบหน้าและให้ลมเย็นๆ พัดผ่านไป ภาวนาให้น้ำตาที่ไหลลมาอีกครั้งแห้งเหือดไปเร็วๆ บางทีผมอาจจะต้องตัดใจจากเรื่องของเราจริงๆ
 
          บางทีผมควรจะทิ้งแหวนวงนี้ไปซะ แล้วเริ่มต้นใหม่ทุกอย่าง คิดว่าเรื่องทั้งหมดเป็นแค่ฝัน เป็นแค่อดีตที่ผมไม่อยากนึกถึง ผมกำมือข้างที่มีแหวนไว้แน่น
 
ทำไม่ได้...ผมทำไม่ได้
ผมรักเขา ผมอยากมีเขาในชีวิต
 
          ผมลืมตาขึ้น สูดหายใจเข้าลึกๆ ในเมื่อเขาไม่มาหาผม ผมก็จะไปหาเขาเอง ผมจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ แบบนี้อีกแล้ว เพราะในตอนนี้ผมรู้แล้วว่าผมรักพี่นนมากจริงๆและผมก็อยากมีพี่นนในชีวิต แต่ถ้าพี่นนหมดรักผมจริงๆ อย่างน้อยในตอนนี้ผมก็ทำเต็มที่แล้ว อย่างน้อยผมก็จะได้คุยกับเขาเป็นครั้งสุดท้าย ผมจะไม่ยอมให้เรื่องของเราจบไปเงียบๆ แบบนี้แน่
 
แกร่ก
 
          แต่ในจังหวะที่ผมกำลังปีนกลับ เสียงไม้ลั่นจากราวสะพานก็ทำให้ผมชะงักไป ผมขยับตัวอีกครั้งและนั่นก็ทำให้ใจผมหล่นวูบ ราวสะพานไม้ที่ผมกำลังนั่งอยู่ดังลั่นอีกหนึ่งครั้งและโยกไปมา ผมจับราวไว้แน่น ตัวผมส่ายไปมา ผมทำได้แค่หลับตาปี๋อย่างจำยอม ในตอนที่ราวสะพานเอียงไปด้านหน้า ผมกำลังจะตกลงไปในแม่น้ำด้านล่างอย่างแน่นอน
 
แต่ผมว่ายน้ำไม่เป็น...ผมยังไม่อยากตาย
 
“ช่วย!..”
 
“จิง!”
 
“พี่นน!” ผมเบิกตากว้างหันไปมองตามเสียงเรียกที่ผมคุ้นเคย
 
 “จิง!” เสียงของเขาที่ผมอยากได้ยินมาตลอด ยังไม่ทันได้สบตาสะพานไม้ก็หักลงไปยังด้านล่าง ตัวผมลอยคว้างไปตามอากาศ
 
ฟรึ่บ
 
          แขนของผมโดนกระชากไว้จนเกิดเสียงดัง ตัวผมห้อยลงมาจากสะพาน แขนผมโดนดึงไว้อย่างแรงจนรู้สึกเจ็บ ผมเงยหน้าสบตากับคนที่ผมคิดถึงตลอดมา เป็นพี่นน เป็นเขาจริงๆ ทันทีที่ผมสบตากับเขา ใจผมก็เต้นแรงจนเจ็บไปหมด ในตอนนี้แววตาของพี่นนฉายแววกังวลจนเห็นได้ชัด
 
“จับแขนพี่ไว้ พี่จะดึงจินขึ้น ส่งแขนอีกข้างมา”
 
“ฮึบ” แขนสองข้างผมโดนเขาจับไว้แน่น ในตอนนี้แขนของเราทั้งคู่สั่นไปหมด พี่นนออกแรงดึงอีกครั้งและในตอนที่ผมตัวผมลอยขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ตัวพี่นนกลับสวนทางกับผมที่โน้มตัวลงมาใกล้ผมเรื่อยๆ
 
“ไม่เป็นไรนะ” รอยยิ้มที่ส่งมาปลอบใจผม ทำให้ผมรู้ว่าเขาจะทำอะไรเพราะน้ำหนักผู้ชายด้วยกัน พี่นนคงดึงผมขึ้นไปไม่ไหว เหลือทางสุดท้ายที่ทำได้คือ... “จิงต้องไม่เป็นไร เชื่อพี่นะ”
 
“ไม่! อย่านะ ไม่เอาแบบนี้” ผมร้องไห้อีกครั้งเพราะรอยยิ้มของเขา “พี่นน...”
 
ฟรึ่บ
 
          หลังจากแรงดึงอย่างแรง ทำให้ตัวผมลอยขึ้นไปจนสามารถคว้าขอบสะพานไว้ได้ ต่างจากพี่นนที่ใช้น้ำหนักตัวเองเพื่อดึงผมขึ้นไปและพุ่งลงด้านล่างแทนผม ในเสี้ยววินาทีที่เราสวนทางกัน ทำให้รู้ว่าที่ผ่านมาพี่นนไม่เปลี่ยนไปเลยเพราะแววตาของพี่นนที่ใช้มองผมนั้นไม่ต่างอะไรจากเมื่อก่อนเลยและนั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมได้เห็น ก่อนที่ร่างของเขาจะดิ่งลงแม่น้ำด้านล่าง
 
“ไม่! พี่นน”
 
ตู้ม!
 
“พี่นน!!!”
 
 

**********************************
TBC



ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
ตอนที่ 31 ช่อดอกไม้


ผมกลับมาที่นี่อีกครั้ง

กลับมาที่จุดเริ่มต้นของเรา

 

          ไม่รู้ว่าป่านนี้เขาจะมีชีวิตอย่างที่ผมได้บอกไว้ได้หรือเปล่า สำหรับผมแล้วการเดินออกมาจากเขาช่างง่ายดาย แต่ชีวิตหลังจากนั้นของผมกลับเจ็บปวดไปทั้งใจ มันเจ็บปวด จนด้านชา ราวกลับหัวใจของผมมันสูญหายไปอีกครั้ง

 

          ผมเริ่มจากไม่กลับไปที่หอและลาออกจากบริษัทที่ผมทำมาหลายปี ทุกคนในบริษัทตกใจและหัวหน้าผมก็เช่นกัน ผมคิดว่าการหายตัวไปมันจะง่ายอย่างที่คิดไว้ แต่ก็จบลงที่ผมกลายเป็นคนตกงานโดยสมบูรณ์ ไม่นานผมก็ต้องแบกหน้าไปของานจากหัวหน้าและลงเอยด้วยการมาเป็นพนักงานบริษัทเดิมแต่เป็นสาขาต่างจังหวัด ผมทำงาน กลับห้องพัก ทุกอย่างดูน่าเบื่อ โดดเดี่ยวและเหงากว่าเดิมเป็นร้อยเท่า

 

          ทุกวันผมเหมือนคนบ้าที่คอยเขียนบันทึกถึงเขา เด็กผู้ชายคนนั้นที่เราเจอกันเหมือนกับความฝัน เราผ่านช่วงเวลาที่ผมคงหาไม่ได้อีกแล้วในชีวิตนี้มาด้วยกัน จิงเหมือนแสงที่สว่างที่สุดในชีวิตผม ผมรักเขาและมีแต่ความหวังดีให้แก่เขา อยากให้เขามีชีวิตที่ดี อยากเห็นเขาประสบความสำเร็จและมีรอยยิ้มอยู่เสมอ

 

          ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน มันราวกับความฝัน แต่แล้ววันที่เราจำเป็นต้องตื่นจากความฝันก็มาถึงและผมก็ได้รู้ว่าผมไม่เหมาะที่จะยืนอยู่ข้างเขา ผมยอมแพ้อย่างคนขี้ขลาด ทิ้งเขาไว้อย่างเห็นแก่ตัวและหนีมา ทิ้งจิงไว้ให้อยู่กับคำพูดที่ยัดเยียดแต่ความหวังดีให้ โดยที่ผมไม่ถามเขาสักคำ

 

‘จิงเรียนจบแล้วนะ ขอบคุณที่กลับมาหาจิง’

 

“จิง...พี่ขอโทษ” ผมเอื้อมมือไปหยิบช่อดอกไม้นั้นขึ้นมากอดไว้ มองตามแผ่นหลังเล็กเจ้าของช่อดอกไม้ที่ผมแอบตามมาทั้งวันเดินห่างออกไปเรื่อยๆ ผมยืนอยู่ตรงนี้สักพัก ก่อนจะเดินตามเขาไปห่างๆ อย่างเงียบเชียบ

 

          เพียงแค่เห็นแผ่นหลังเล็กที่กำลังนั่งห้อยขาอยู่บนราวสะพาน ใจที่ด้านชาของผมกลับเต้นรัวขึ้นมาอีกครั้ง ผมกลับมาครั้งนี้เพราะผมพร้อมแล้ว ผมได้กลับมาเป็นหัวหน้าที่บริษัทเดิมและในตอนนี้ผมก็ไม่ต้องพึ่งพาหอพักของเจ๊หงส์แล้ว ในตอนนี้ผมพร้อมที่จะมีชีวิตที่เคียงข้างจิงได้แล้ว ผมพร้อมที่จะก้าวเข้าไปหาเขา พร้อมที่จะบอกว่าผมรักเขาและอยากอยู่กับเขามากแค่ไหน

 

          ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ในมือทั้งสองข้างถือช่อดอกไม้ทั้งสองไว้แน่น ค่อยๆ เดินไปใกล้สะพานนั้น แผ่นหลังสั่นเทาอยู่ไม่ไกลจากผมแล้ว อีกนิด...อีกนิดเดียวข้อความบนช่อดอกไม้ของผมจะไปถึงยังคนที่ผมรักสักที

 

‘พี่กลับมาแล้ว ต่อจากนี้พี่จะอยู่ข้างๆ จิงตลอดไป พี่รักจิง’

 

“พี่นน...ไม่รักกันแล้วหรือ” เสียงที่ผมคิดถึงพูดขึ้นมาทำลายความเงียบก่อนที่ผมจะเดินขึ้นสะพานไป ผมหยุดอยู่ที่เดิมเพราะในใจผมปวดร้าวทันทีที่ได้ยินประโยคนี้ ทั้งที่เราต่างรักกัน ทั้งที่เราโหยหากันขนาดนี้ เป็นผม...ที่ทิ้งเขาให้เผชิญกับความเจ็บปวดแบบนี้

 

ในตอนนี้ผมอยากขอโทษ

อยากกอดเขาไว้ให้แน่นที่สุดแล้วบอกเขาไปว่าผมรักเขา

และผมจะไม่มีวันทิ้งเขาไปไหนอีก

 

แกร่ก

 

          เพียงแค่ก้าวเดียวที่ผมเหยียบบนสะพาน เสียงจากราวสะพานไม้ก็ดังลั่นขึ้นจนผมตกใจเผลอปล่อยดอกไม้ทั้งสองช่อลงกับพื้น ภาพด้านหน้าทำผมใจตกไปอยู่ที่พื้น ราวสะพานกำลังหักลงไปด้านหน้า ส่งผมให้คนตัวเล็กที่นั่งอยู่ด้านบนเซไปข้างหน้าและไม่ช้าเขาต้องตกลงไปแม่น้ำข้างล่างแน่นอน

 

“ช่วย!..”

 

“จิง!” ผมก้าวเท้าเข้าไปหาจิงโดยอัตโนมัติ โชคดีที่ผมคว้าแขนเขาไว้ทัน แต่จังหวะที่ผมจะออกแรงดึง แรงกระชากจากการดึงก็ทำให้ผมเซไปด้านหน้า ผมรู้ว่าเรากำลังจะตกลงไปด้วยกันทั้งคู่ แต่ผมจะไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น “จับแขนพี่ไว้ พี่จะดึงจินขึ้น ส่งแขนอีกข้างมา”

 

“ฮึบ” ผมจับแขนสองข้างของจิงไว้แน่น ในตอนนี้แขนของเราทั้งคู่สั่นไปหมด

 

“ไม่เป็นไรนะ” ผมยิ้มปลอบใจคนที่จ้องมองหน้าผมไม่หยุด จิงร้องไห้เพราะผมอีกแล้ว ผมรู้ว่าในตอนนี้ผมคงดึงตัวจิงไว้ต่อไปไม่ไหว ตอนนี้เหลือเพียงทางเดียวแล้ว นั่นคือการดึงเขาขึ้นไปและส่งตัวเองลงไปข้างล่างแทนเขา ผมสบตากับคนที่ผมคิดถึงตลอดมาอีกครั้ง “จิงต้องไม่เป็นไร เชื่อพี่นะ”

 

“ไม่! อย่านะ ไม่เอาแบบนี้” ผมยิ้ม แค่จิงปลอดภัยแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว “พี่นน...”

 

ฟรึ่บ

 

“ไม่! พี่นน”

 

          ผมยิ้มให้กับท่าทีที่ตกใจของเขา ในเสี้ยววินาทีที่เราสบตากันระหว่างที่ผมลอยอยู่กลางอากาศ ผมคิดถึงเขามากจริงๆ ดวงตากลมโตที่เต็มไปด้วยน้ำตา ปากเล็กที่พร่ำเรียกชื่อผม เพียงเท่านี้ผมก็รู้แล้วว่าการกลับมาในครั้งนี้มันช่างคุ้มค่ากับการรอคอยของเราเหลือเกิน ผมหลับตาลงและความเย็นของน้ำก็ถาโถมเข้าหาตัวผมอย่างแรง

 

ตู้ม

 

“พี่นน!!!”

 

 

.

 

.

 

 

.

 

 “ไม่ พี่นน ไม่” ผมพูดวนซ้ำไปมาหลังจากขึ้นมานั่งบนสะพานได้สำเร็จ มือไม้ผมสั่นไปหมด ทำได้แค่คลานไปมองด้านล่างจากบนสะพาน ผืนน้ำด้านล่างเกิดฟองสีขาวขนาดใหญ่เพราะพี่นนตกลงไปตรงนั้น พอตั้งสติได้ผมก็วิ่งลงจากสะพาน ล้วงโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรตามคนมาช่วยทันที

 

“ม๊า ม๊าช่วยด้วยพี่นนจมน้ำ ช่วยด้วย ฮือ”

 

“หะ อาจิง ใจเย็นๆ นะ ตอนนี้ลื้ออยู่ไหน”

 

“สะพานท้ายซอย รีบมาช่วยทีม๊า ม๊าช่วยด้วย”

 

“ได้ๆ แต่ลื๊ออย่าลงไปในน้ำนะ เข้าใจไหม”

 

“คะ ครับม๊า”

 

          หลังจากวางสายไปผมก็กลับมากังวลอีกครั้ง ผมพยายามเดินไปใกล้ทางลาดลงแม่น้ำ ที่ใกล้จุดที่พี่นนตกลงไปให้มากที่สุด ผมใช้ไฟฉายจากมือถือส่องไปทั่วบริเวณนั้น มือผมสั่นเหมือนเจ้าเข้า ใจผมเต้นรัวและเหมือนจะหยุดเต้นไปเพราะความกลัวเช่นกัน กลัวจะไม่ได้เจอเขาอีก กลัวว่าเขาจะหายไปจากผมตลอดกาล

 

“พี่นน ฮือ พี่นน กลับมา พี่นน!” ผมทั้งตะโกนทั้งร้องไห้ เดินริมแม่น้ำไปมาเหมือนคนบ้า

 

“...” เป็นเหมือนทุกครั้ง มีแต่ความเงียบที่สะท้อนกลับมาจนผมปวดใจไปหมด

 

“ได้โปรด” อย่าทำแบบนี้เลย ขอโอกาสให้เราได้อยู่ด้วยกันอีกสักครั้ง ให้เราได้รักกันสักที “พี่นน ฮือ”

 

“เฮือก อะ แค่กๆๆ”

 

“พี่นน!” ผมหันไปเรียกตามเสียงสำลักน้ำ แล้ววิ่งตามเสียงนั้นไปเรื่อยๆ

 

          ผมเบิกตากว้างเมื่อเห็นพี่นนนอนอยู่บนพื้นโคลนที่ห่างจากสะพานไม่ไกลนัก ผมวิ่งไปหาร่างเปียกชุ่มที่นอนอยู่ตรงนั้นทันที ผมคุกเข่าลงข้างตัวเขา โน้มตัวซบหน้าฟังเสียงหัวใจจากอกแกร่งอย่างลนลาน

 

“พี่นน พี่นน” ในตอนนี้ผมกลัวจนทำอะไรไม่ถูก

 

“หึ แค่กๆๆ พะ พี่” ส่วนพี่นนก็ยังเป็นพี่นน เป็นความอบอุ่นของผม มือใหญ่ที่เอื้อมมาจับมือผมไว้ทำให้ผมเย็นลงได้อย่างเหลือเชื่อ “พี่ไม่เป็นไรแล้ว ไม่เป็นไร”

 

“จิงกลัว” ผมพุ่งตัวเข้าไปกอดคนที่ลุกขึ้นนั่งแทบจะทันที

 

“หึๆ” เสียงทุ้มที่หวเราะเบาๆ ทำให้ผมร้องไห้อีกครั้ง

 

“รู้ไหมว่าจิงกลัวแค่ไหน ถ้าพี่เป็นอะไรไป...”

 

“พอแล้ว” พี่นนว่าแล้วจับไหล่ผมให้ผละตัวออกมาสบตากัน “พี่มาตามสัญญาแล้วนะ”

 

“ฮึก พี่นน..” ผมยิ้มและร้องไห้ไปพร้อมกัน เงยหน้ามองใบหน้าที่เปียกชุ่มด้วยใจที่เต้นระรัว เกือบครึ่งปีที่เราไม่ได้เจอกัน พี่นนไม่เปลี่ยนไปเลย ผมเสยผมที่เปียกลู่กับใบหน้าเย็นๆ ของเขาออก ลูบหยดน้ำออกจากใบหน้าที่คนที่ผมรักด้วยความทะนุถนอม “จิงคิดถึงพี่”

 

“จิง..” พี่นนยิ้มแบบที่ผมชอบ ยิ้มที่สว่างไสวที่สุด เขาเอียงใบหน้าซบลงกับมือผมหลับตาลง แล้วบอกพูดคำที่ผมอยากได้ยินที่สุดออกมา “พี่คิดถึงจิง คิดถึง...พี่รักจิงนะครับ”

 

ผมไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว

แค่พี่นนรักผม เหมือนที่ผมรักเขามาตลอด

แค่เรารักกันก็พอแล้ว

 

“ตะ ตอนนี้จิงมีชีวิตแบบที่พี่นนบอกแล้วนะครับ”

 

“ครับ”

 

“แต่ต่อจากนี้จิงจะมีชีวิตของจิงสักที”

 

“...”

 

“ชีวิตของจิงคือการมีพี่นนอยู่ในชีวิตด้วยนะครับ” ผมพูดแล้วซบลงกับอกแกร่งที่เปียกชุ่ม “ต่อไปนี้เรามาใช้ชีวิตที่เหลือด้วยกันนะ”

 

“พี่ดีใจที่จิงเข้าใจแล้ว” มือใหญ่ของพี่นนวางลงบนหัว แล้วลูบไปมาเหมือนทุกครั้ง



"อย่าหายไปไหนอีกนะ"



 “ต่อไปนี้พี่จะไม่ไปไหนแล้ว”



          เรายิ้มให้กันแล้วกอดกันไว้ด้วยใจที่โหยหา จากคำพูดของคนแปลกหน้า คำสัญญาในวันที่ไม่อยากมีชีวิตต่อ ได้ทำให้ผมมีชีวิตอีกครั้ง ทำให้ผมได้เห็นตัวเองเติบโต ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆ อย่าง ได้รัก ได้เสียใจ ได้เข้าใจและได้เข้มแข็งขึ้น

 

“อย่าลืมทำตามสัญญาของเราด้วยล่ะ” ผมพูดแล้วยิ้มให้คนที่ผมรัก

 

“เราจะตายไปพร้อมกันใช่ไหม”

 

          ท่ามกลางความเงียบของท้ายซอยแห่งหนึ่งบนโลกใบนี้ มีคนสองคนที่จ้องมองกันด้วยความรัก พวกเขาต่างรับรู้การมีอยู่ของกันและกัน รอยจูบที่แสนอบอุ่นเกิดขึ้นบนริมฝีปากของพวกเขาและความอบอุ่นนั้นก็แผ่ซ่านไปทั้งใจที่แสนเศร้าของเขาทั้งสองคน

 

          คำสัญญาในวันที่ไร้ความหวัง คำสัญญาของคนสองคนที่เคยหันหลังให้กับการมีชีวิต ต่อจากนี้มันจะกลายเป็นคำสัญญาที่ทำให้พวกเขาอยากมีชีวิตต่อไป

 

“ตกลง เราจะตายไปพร้อมกัน”

 

เป็นคำสัญญาที่มีแค่พวกเขาสองคนที่เข้าใจ

 

 

 









-------------------------------------------- END ------------------------------------------













 

จบแล้วจ้า ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านกันมาจนถึงตอนจบนะคะ

 

อยากจะบอกว่าเรื่องนี้แต่งยากมาก (ไม่น่าชั่ววูบเลย) ฮ่าๆ

ยอมรับเลยว่าเจอทั้งตอนที่ตัน ตอนที่ไปต่อไม่ได้และบางครั้งก็พบเจอกับอาการหมดไฟของตัวเอง

จนเกือบไม่ได้เขียนต่อ แต่สุดท้ายก็ผ่านช่วงนั้นมาได้และเขียนจนมาถึงตอนจบ : )

 

สุดท้ายนี้หวังว่าเรื่องนี้จะช่วยให้กำลังใจและเป็นความสุขเล็กๆ ของรีดเดอร์ทุกคนนะคะ

ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้อีกครั้งและที่สำคัญขอบคุณทุกคอมเม้น ทุกกำลังใจเลยนะคะ

ถ้ามีโอกาสเปิดเรื่องใหม่ ฝากติดตามกันด้วยนะคะ

LOVE



ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ ซีเนียร์

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆจ้า  :L2: :pig4: :L2:

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1

ออฟไลน์ naezapril

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 120
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
ขอบคุณ​ ขอบคุณ​ ขอบคุณ
สนุกมาก​ ไบโพร่าสุดๆ
่อ่านรวดเดียวเหมือนเป็นคนบ้าอ่ะ
แง้งงงงงงงง

ออฟไลน์ abcee

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
เราจะตายไปพร้อมกัน มันยิ่งกว่าคำบอกรักอีกนะ ขอบคุณนักเขียนมากๆ นิยายสนุกมากๆๆครับ

ออฟไลน์ Gatjang_naka

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0

ออฟไลน์ Bb nale

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
น้ำตาหมดเป็นก๊อกแล้วนะ ขอบคุณคนเขียนมากเลยสำหรับนิยายดีๆหลังจากไม่ได้เข้ามาในเล้านาน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด