เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 31 END (06/08/62) P.3
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เสาไฟฟ้าต้นที่สาม ตอนที่ 31 END (06/08/62) P.3  (อ่าน 11426 ครั้ง)

ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
ตอนที่ 12 ไม่อยากเข้าใจ



“จิง...ลาเต้สี่แก้ว อเมริกาโน่สาม ชั้นสิบสาม คุณริน บริษัท z”


“อ่า” ผมทวนรายการตามถุงแก้วในใจ แล้วก็นึกได้ว่าที่พี่ชินพูดมานั่นคือบริษัทที่คนที่ทำให้ผมใจฟูมาตั้งแต่เช้า “ครบครับ”


“ส่งรอบนี้เสร็จเราก็ไปพักได้เลยนะ พี่นุชมาพอดี”


“ครับ”


ติ๊ง


   ผมเดินเข้าไปในลิฟต์ด้วยใจที่ประหม่า ทั้งๆ ที่จะไม่ได้ไปเจอพี่นนสักหน่อย แต่ใจผมก็เต้นดังจนรู้สึกรำคาญ ที่ผมเป็นแบบนี้ก็เพราะพี่ชินแท้ๆ เลย ที่พูดอะไรแบบนั้นออกมา ผมยืนหลับตาทำสมาธิและเผลอยืนสั่นขาไปมาในลิฟต์ภาวนาให้ไม่เจอเขา ยังไม่พร้อม...ตอนนี้ผมยังควบคุมหัวใจตัวเองไม่ได้


ติ๊ง


“เอ่อ เอากาแฟมาส่งครับ” เอ่ยปากบอกพี่สาวคนเดิมที่นั่งประจำโต๊ะประชาสัมพันธ์ด้วยใจเต้นรัว ตอนนี้ผมอยากจะฝากกาแฟทั้งหมดไว้ที่พี่เขาแล้ววิ่งหนีไปชะมัด


“เอ่อ พี่รบกวนน้องเดินเข้าไปส่งให้หน่อยนะจ้ะ” พี่เขาเงยหน้าจากเอกสารและเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์กดอะไรยุกยิกแล้วหันมากระซิบกับผม “เอาไปวางในห้องครัวนะจ้ะ พอดีตอนนี้ทุกคนยุ่งมากเลย นี่เงินที่รินฝากไว้ พอดีเป๊ะ ไม่ต้องทอน”


“เอ่อ ครับ”


“ฝากด้วยนะจ้ะ” พูดแบบนั้นแล้วส่งยิ้ม แถมขยิบตาให้ผมหนึ่งทีและหันไปทำงานต่อ “สวัสดีค่ะ บริษัท Z นะคะ...”


   ผมเม้มปากมองพี่สาวประชาสัมพันธ์คุยโทรศัพท์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนจะต้องถอนหายใจออกมา นี่มันมัดมือชกชัดๆ ไหนบอกไม่ให้คนนอกเข้าไง ฮือ ไม่อยากเข้าไปเลย แต่สุดท้ายผมก็ต้องจำใจเปิดประตูกระจกเข้าไปในออฟฟิศของบริษัทนี้เพราะมันเป็นหน้าที่


   โต๊ะที่วางเรียงรายเป็นแถวยาวๆ ถูกกั้นคอกไว้ดูน่าหดหู่ในสายตาผม ถ้าเป็นผมเป็นเจ้าของที่นี่คงจัดให้ออฟฟิศนี้ดูน่าทำงานมากกว่านี้ โทนของบริษัทเป็นสีขาวสลับน้ำเงินทำให้บรรยากาศดูเคร่งเครียด ไม่ต้องถามเลยว่าทำไมผมถึงรู้ ใบหน้าที่เคร่งเครียดของทุกคนที่นี่บ่งบอกอยู่แล้ว


“มาหาใครคะ”


“เอ่อ มาส่งกาแฟครับ” ผมตอบพี่ผู้หญิงร่างท้วมที่เอ่ยถามผมที่เพิ่งเดินเข้ามา


“อ่อ ครัวอยู่ด้านนู้นจ้ะ”


“ครับ” ผมก้มหัวตอบรับแล้วเดินไปทางที่พี่เขาชี้ เฮ้อ บรรยากาศอึดอัดชะมัด ถึงว่าพี่นนถึงหน้าตายขนาดนั้นเพราะโดนบรรยากาศแบบนี้ครอบงำนี่เอง เฮ้อ ทำไมพี่นนวิ่งเข้ามาในหัวอีกแล้วนะ


   ผมวางถุงกาแฟไว้บนโต๊ะกลมในครัว ที่มีเพียงตู้เย็น เคาน์เตอร์และโซนชงกาแฟ ผมนับเงินที่ได้รับ จัดการเสียบบิลไว้ในถุงและเตรียมตัวจะเดินออกจากที่นี่เพื่อไปทำงานที่ร้านกาแฟต่อแต่เสียงบางอย่างจากด้านหน้าห้องครัวก็ทำให้ผมหยุดเดิน
 

“ฮ่าๆ พี่นนอะ” เสียงหัวเราะ ของผู้หญิง ทำให้ผมหยุดเดิน ไม่ใช่เสียงหัวเราะสิ เป็นเพราะชื่อของคนที่ผมมองหาตั้งแต่เดินเข้ามาในบริษัทนี้ต่างหาก ที่ทำให้ผมหยุดเดินและแอบมองพวกเขา


   พี่นนยืนอยู่ทางเดินหน้าห้องครัวกับผู้หญิงคนหนึ่ง เธอใส่ชุดนักศึกษา ตัวเล็กและมีใบหน้าที่น่ารัก น่ารักแบบที่ผมชอบแต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกครุกกรุ่นในใจเพราะใบหน้ายิ้มแย้มของเธอที่ยิ้มให้กับเขา


“ขอโทษนะครับ” เสียงทุ้มของพี่นนทำให้ผมได้สติ แต่การกระทำที่พี่นนยื่นมือไปดึงบางอย่างออกจากผมของเธอทำให้ใจผมกระตุก ดูเหมือนว่าใจที่ฟูฟ่องเมื่อเช้ากำลังฟีบลงและมันก็ทำให้ผมรูสึกอึดอัดในอกแปลกๆ


“เอ่อ ขอบคุณค่ะ”


“…” พี่นนยิ้มเบาๆ ให้เธอและนั่นก็ทำให้ที่อึดอัดของผมกลายเป็นความเจ็บ ไม่ชอบเลย ไม่ชอบให้เขายิ้มให้เธอเลย


“หนูไปหาเอกสารย้อนหลังในห้อง..อ้าว” เป็นเธอที่เห็นว่าผมยืนอยู่ตรงนี้ก่อนเขา


“...”


 “จิง” เขาเรียกผมและจ้องมองมา มองมาด้วยใบหน้านิ่งๆ เหมือนเคย


“จิงเอากาแฟมาส่ง” พยายามตอบให้เป็นปกติที่สุด ทั้งที่ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ไม่เข้าใจ


“งั้นเดี๋ยวหนูยกไปให้พี่ๆ นะคะ”


 “เดี๋ยวพี่ช่วย”


“ค่ะ”


“...” ผมยืนนิ่งมองคนทั้งสองที่ช่วยกันถือแก้วกาแฟไป พี่นนสบตากับผมแค่แป๊บเดียว เหมือนจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็เดินผ่านผมไป


   ผมมองด้านหลังพวกเขาที่เดินจากไปแล้วก็รู้สึกเจ็บที่ใจ จนน้ำตาคลอแล้วสุดท้ายก็กลายเป็นหยดน้ำตาที่ไหลลงมา ไม่เข้าใจเลย...ผมไม่อยากเข้าใจความรู้สึกนี้เลย


“เหอะ” ทำได้แค่แค่นหัวเราะกับตัวเอง ปาดน้ำตาลวกๆ แล้วเดินออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด



.

.


ซ่าๆ


   สายฝนข้างนอกทำให้สถานการณ์ในตอนนี้แย่ลง หลังจากกลับมาผมก็เอาแต่เงียบ ส่วนพี่นนก็เงียบเป็นปกติอยู่แล้ว ผมลุกขึ้นจากเตียงและเดินไปที่ระเบียงที่มีอีกคนกำลังเก็บเสื้อผ้าอยู่ ถึงจะเจ็บที่เขาดีกับคนอื่นแต่ผมไม่ควรทำแบบนี้ งอนเขาทั้งที่ไม่ได้สำคัญอะไรกับเขาเลย


“เอ่อ จิงช่วย”


“ไม่เป็นไร เสร็จแล้ว” พี่นนตอบผมเสียงนิ่ง “เข้าไปข้างในเถอะ ฝนตก”


“อือ”


“เป็นอะไรไหม” เขาถามผมตอนวางเสื้อผ้าลงที่เตียง


“หะ”


“เป็นอะไรไหม เอ่อ ผมต้องกอดคุณไว้ไหม”


“คือ...จิง”


พรึ่บ


   ไฟทั้งห้องดับลงทำเอาผมสะดุ้ง แต่แล้วผมก็ต้องสะดุ้งอีกรอบเพราะสัมผัสจากมือใหญ่ที่จับมือผมเอาไว้ สัมผัสเพียงแค่นี้ทำใจผมเต้นรัวไม่หยุดจนต้องขบริมฝีปากตัวเองเรียกสติ ทำไปเพื่อหวังให้ใจเต้นเบาลงแต่ไม่เป็นผลเลยสักนิด


“กอดกันไหมครับ”


“อย่ามาจับจิง” ความรู้สึกข้างในลึกๆ เผยออกมาทันทีที่พี่นนเริ่มใจดีกับผม


ฟรึ่บ


“จิง” เขาทำให้ผมรู้สึกสำคัญจนผมต้องสะบัดข้อมืออกจากมือใหญ่แต่ไม่ว่าผมจะดึงมือตัวเองกลับมาแรงแค่ไหนก็ยังคงไม่หลุดจากมือใหญ่นี่อยู่ดี


“ปล่อย” ผมเงยหน้ามองเขาท่ามกลางความมืด พอสายตาเริ่มชินกับความมืด ผมก็สบตาเขาและบอกให้ปล่อยกัน ไม่อยากใจเต้นแรงไปกับเขาแล้ว ไม่อยากรู้สึกอะไรทั้งนั้น


“เป็นอะไรครับ โกรธผมเหรอ”


“ไม่ต้องมายุ่ง ไม่ต้องมาคุยกับจิง” พูดออกไปด้วยความรู้สึกเจ็บในอก มองออกไปที่ระเบียงที่มีแสงจันทร์สาดส่องเข้ามาเพื่อซ่อนน้ำตาตัวเอง ผม...น้อยใจจนจะบ้าแล้ว


“จิง” เสียงทุ้มเรียกชื่อผมและสัมผัสจากมือใหญ่ก็เอื้อมมาเชยคางผมให้ไปจ้องตากับเขา


   ผมจ้องตากับเขาผ่านน้ำตาที่คลอเต็มหน่วย ยิ่งเห็นใบหน้านิ่งๆ นี้แล้วก็ยิ่งน้อยใจ ทั้งที่คิดว่าตัวเองสำคัญ ได้รับทุกอย่างที่พิเศษจากเขาแต่ไม่ใช่เลย มีแต่ผมที่คิดไปคนเดียว เขาก็ดีกับทุกคน เขาก็ยิ้มให้กับทุกคน

 
ตึกตัก ตึกตัก


   แต่ต่อให้ผมน้อยใจแค่ไหนแต่สัมผัสจากมือใหญ่ที่ประคองหน้าผมไว้สองข้างก็ช่างอบอุ่นจนใจผมเต้นดังไปหมด ดวงตานิ่งๆ นั้นจ้องมองมาที่ผมเหมือนทุกครั้ง ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าข้างในรู้สึกอะไร ไม่รู้เลยว่ารู้สึกกับผมยังไง ผมสับสนจนนึกโกรธแต่สัมผัสอุ่นที่ไล้แก้มผมไปมาก็ทำให้ผมสะดุ้งและจ้องตาเขาอีกครั้ง


   แต่ครั้งนี้ผมสังเกตเห็นความวูบไหวในสายตานิ่งๆ นั้น แต่ก่อนที่ผมจะประมวลผลอะไรได้ ผมก็มองเห็นแค่เพียงขนตายาวที่พริ้มหลับลงของคนตรงหน้า หัวใจผมเต้นดังจนหูอื้ออึง ไม่ได้ยินเสียงอะไรนอกจากหัวใจที่เต้นดังและรู้สึกแค่เพียงสัมผัสร้อนที่ทาบทับอยู่บนริมฝีปาก ผมเบิกตากว้างด้วยความตกใจและก่อนที่ผมจะยืนไม่อยู่เพราะความตกใจนี้ แขนแกร่งก็เอื้อมมารัดเอวผมไว้และกดย้ำสัมผัสลงมาที่ริมฝีปากผมให้ผมได้สติว่า ตอนนี้...พี่นนกำลังจูบผม


“พี่นน…” ผมเรียกชื่อเขาทั้งที่ริมฝีปากเราสัมผัสกันอยู่ สัมผัสร้อนที่ริมฝีปากทำให้ในหัวผมมันหมุนคว้างไปหมด


   เขาไม่สนใจที่ผมเรียกชื่อเขาด้วยซ้ำ ยังคงไล้ปากไปมากับริมฝีปากผม เริ่มขบกัดและจูบย้ำซ้ำๆ จนผมแทบละลายแต่แล้วผมก็ต้องเจ็บที่ใจเมื่อคิดเหตุการณ์ที่ผ่านมาเมื่อเที่ยง ใจน้อยของผมมันน้อยใจประท้วงขึ้นมา จนผมได้สติไม่หลงเคลิบเคลิ้มและผลักเขาออกด้วยความโกรธ


พลั่ก


“จูบจิงทำไม”

 
“...” เขายังคงกอดผมไว้ เงียบและทำหน้านิ่งเหมือนเดิมจนผมโมโห


“พี่คงแค่เหงาสินะ เห็นจิงเป็นตัวแทนใครล่ะ” ความน้อยใจเอ่อล้นออกมาพร้อมน้ำตา ทุบอกคนที่กอดรัดผมไม่ปล่อย “ใช่คนที่พี่ช่วยถือกาแฟวันนี้ไหมล่ะ”


“...”


“ใช่สิ พี่เป็นคนดีไง” ผมจ้องเขาทั้งน้ำตา  “ดีไปทั่ว ดีกับทุกคน...อื้อ”


   เสียงของผมขาดหายไปเหลือแค่เสียงอู้อี้ในลำคอเพราะริมฝีปากร้อนนั้นทาบทับมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้สัมผัสมันช่างแตกต่าง ราวกับว่าเต็มไปด้วยความต้องการ ตะกละตะกลาม บดขยี้จนขาผมอ่อน แรงรัดที่เอวเพิ่มมากขึ้นและสัมผัสร้อนชื้นก็บุกเข้ามาเกี่ยวกระหวัดเข้าที่ลิ้น ผมแทบจะยืนต่อไปไม่ไหว ใจเต้นดังจนเหมือนหัวใจจะวายไป อยากขัดขืนแต่สุดท้ายผมทำได้แค่ขยุ้มเสื้อคนตรงข้ามไว้เป็นที่ยึดเกาะ หลับตามึนเมาไปกับสัมผัสที่ทำให้เสียงดูดดึงดังไปทั่วห้องเล็ก


.

.


   ผมควานหาความหวานไปทั่วปากเล็กด้วยความรู้สึกวาบหวาม ยิ่งลิ้นเล็กหดหนีผมยิ่งได้ใจและกวาดต้อนจนได้ครอบครองสมใจ ทั้งดีใจ อยากครอบครองและอยากปราบเขาให้อยู่หมัด จิงหลับตายอมรับสัมผัสผม มือเล็กกำเสื้อผมไว้ด้วยความสั่นเทา เห็นแล้วก็นึกสงสารจนต้องถอนสัมผัสออกมา แต่ด้วยความเสียดายผมเลยจูบซับมุมปากชื้นเบาๆ อีกครั้งก่อนจะผละมามาองคนหน้าแดงที่ทำหน้าจะร้องไห้อีกครั้ง


“ทำแบบนี้กับจิงทำไม ฮึก” เขาพูดแล้วน้ำตาก็ไหลมาจากดวงตาคู่สวย “ทำไม...”


   ผมทิ้งระยะความเงียบไว้ตัดสินใจ มองใบหน้าแดงก่ำที่จ้องมองผมด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งที่ผมควรตัดใจและช่วยเขา แต่ผมก็ไม่สามารถปฏิเสธหัวใจของตัวเองที่มันเต้นดังเพราะเขาได้เลย ยิ่งได้จ้องมองดวงตากลมโตที่เต็มไปด้วยน้ำตาแล้ว ผมก็ตัดสินใจได้ในทันทีและต่อไปนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมจะรับผิดชอบต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นทั้งหมดเอง


“พี่ชอบจิง”



****************************************************
TBC


ออฟไลน์ kawisara

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1586
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-7
ชัดเจนสักทีนะพี่นน

จิงคิดมากจนร้องไห้แล้ว

พูดบอกอะไรกันบ้าง

อย่าเอาแต่เงียบ

แล้วทำหน้าไร้อารมณ์

ใส่จิงแบบนร้

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Duangjai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 658
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
……


มาอ่านรวดเดียว12 ตอน สนุก หยุดไม่ลง ทั้งที่ตาจะปิดละ

พี่นนท์กับน้องจิง. เห็นภาพผู้ชายนิ่งๆแต่เอาใจใส่กับน้องจิงที่ยิ้มสดใสและแฝงความเศร้าในบางครั้ง

แล้วเราจะตายพร้อมกัน.  อยากให้เปลี่ยนเป็น เราจะอยู่เพื่อกันและกัน. แทนอ่ะ


 :hao3:  :hao4:  :hao3:  :hao4:  :hao3:  :hao4:


………

ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
ตอนที่ 13 คนผวนไม่เป็นคือคนกากๆ



 “อะไร”


   ผมมองคนตัวเล็กที่เบิกตากว้างแล้วก็แปรเปลี่ยนเป็นขมวดคิ้วเหมือนกำลังเถียงกับตัวเองในใจ จิงถามซ้ำอีกครั้งว่า ‘อะไร’ ที่จริงแล้วเหมือนพูดซ้ำกับตัวเองมากกว่า เขาสะบัดหัวไปมาและเริ่มดิ้นออกจากอ้อมแขนผมอีกครั้ง ผมรู้สึกใจหาย...คงโดนเกลียดเข้าแล้ว


“พี่ชอบจิง” แต่ถึงจะรู้ว่าอาจจะโดนเกลียดแต่ก็อยากจะย้ำความรู้สึกที่มีต่อเขาให้เขาได้ฟัง


“เดี๋ยวๆ” ในที่สุดเขาก็ดิ้นหลุด จิงก้าวเท้าถอยหลังไปจากผมประมาณสองก้าว แถมยังยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาห้ามผมไม่ให้เดินเข้าไปใกล้


“...” แล้วผมจะทำอะไรได้นอกจากมองเขานิ่งๆ อยู่แบบนี้


“เอ่อ...แล้วๆ” เห็นคนตัวเล็กที่พูดจาติดๆ ขัดๆ แล้วก็รู้สึกผิดขึ้นมา ผมไม่ควรจูบ ไม่ควรบอกออกไปเลย ระหว่างเราคงกลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ได้


เปรี้ยง


“อึก...”


   เสียงฟ้าผ่าดังลั่น ทำให้เขาสะดุ้ง ตัวเริ่มสั่นและเขาก็เอามือทั้งสองปิดหน้าตัวเองเอาไว้ จากที่รู้สึกดีใจที่ได้สัมผัสริมฝีปากนุ่ม ความรู้สึกผมก็กลับมาหม่นหมองอีกครั้งที่เห็นอาการของเขา ถึงแม้จะคิดเกินเลยกับเขาแต่ผมก็ต้องทำหน้าที่ปกป้องเขา แม้การทำแบบนี้จะทำให้ผมรู้สึกชอบเขามากขึ้นอีกผมก็จะทำ ผมยอมทุกอย่างให้เขาดีขึ้น


   ผมอาศัยแสงไฟเพียงเล็กน้อยจากด้านนอกนำทางฝ่าความมืดเข้าไปหาเขาที่ยืนปิดหน้าตัวเองอยู่ จับแขนเล็กและออกแรงดึงให้เขยิบมาใกล้กัน โอบกอดและลูบหลังเขาเบาๆ


“ไม่ร้องนะ ผมอยู่ตรงนี้”


“จิง...” เสียงพูดอู้อี้ทำให้ผมต้องก้มหัวขยับเข้าไปใกล้เขาอีก “พี่ชอบจิงหรอ”


“ครับ” ผมยอมรับเพราะถ้าผมเลือกที่จะโกหก ผมก็คงหาอะไรมาแก้ตัวไม่ได้ว่าทำไมถึงจูบเขา


“จิง...ไม่รู้”


“ขอโทษถ้ามันทำให้จิงอึดอัด ผมย้ายออกได้” ผมพูดไปตามความจริงแม้นั่นจะทำให้ผมเจ็บที่ใจไม่น้อยแต่ผมก็จะทำเพื่อเขา “แต่ผมชอบจิงจริงๆ”


   ในเมื่อไม่สามารถย้อนเวลาไปแก้ไขที่จูบเขาไปแล้วดังนั้นในตอนนี้ผมก็อยากให้เขารู้ว่าผมชอบเขาและเขามีผลต่อหัวใจผมแค่ไหน...แค่ได้กอดแค่นี้ใจผมก็เต้นแรงมากแล้ว ยิ่งตอนที่เขาพูดเหมือนหึงหวงกัน ผมยิ่งได้ใจและควบคุมตัวเองไม่อยู่...จนจูบเขาไป


“ทำไมถึงพูดออกมาเล่า”


“ขอโทษครับ”


“ทำไมไม่พูดตอนอื่นอะ”


   จิงทุบอกผมแต่ไม่ดิ้นออกจากอ้อมกอดผมแล้ว เขาเอาแต่ก้มหน้าซบอกผมอยู่แบบนั้น ผมมองใบหูที่ขึ้นสีแดง ก็นึกสงสัยหรือเขาจะเขินผมแค่คิดว่าเขาเขินผมก็ยิ้มออกมาแล้ว แต่แล้วก็ต้องหุบยิ้ม เมื่อนึกถึงความจริง จะเป็นไปได้ยังไง เด็กหนุ่มอย่างเขาจะมาสนใจผมทำไมกัน


“ไม่รู้สิ” ผมหลับตาซบหน้าลงไหล่เล็ก แล้วพูดไปตามความจริง “เพราะคุณพูดเหมือนหวงผม ผมเลยได้ใจไง”


“ก็” เขาเปลี่ยนจากทุบอกผม มากำเสื้อเชิ้ตผมไว้แทน แถมยังซุกหน้าลงแรงกว่าเดิมและเสียงกระตุกกระตักที่มาจากคนเตี้ยกว่าทำเอาใจผมเต้นผิดจังหวะ “กะ ก็...หะ หวงจริงๆ อะ”


“จริงเหรอครับ” ผมยิ้มกว้าง แล้วกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นอีก


.

.



“จิงอะ” ผมซ่อนใบหน้าตัวเองที่เห่อร้อนไว้กับอกพี่นน ผมเขินจะตายแล้ว ใครจะไปคิดว่า จู่ๆ จะถูกเขาจูบแล้วบอกชอบแบบนี้


   ตอนแรกที่เขาบอกว่าชอบนึกว่าจะหัวใจวายตายแล้ว แต่ก็ไม่...ผมยังไม่ตายแต่มาเขินจนจะตายจริงๆ แบบนี้เพราะคำบอกชอบที่ออกมาจากปากคนหน้านิ่งไม่หยุด ใจผมเต้นรัวจนหายใจไม่ทั่วท้อง ความรู้สึกดีใจ ตื่นเต้นตีรวนไปหมดเพราะว่า...เราคิดตรงกัน

“ว่าไงครับ”


“จิงต้องเป็นคนเดียวที่พี่ใจดีด้วยดิ”


   ผมพูดเอาแต่ใจออกไป หลังจากต้องเสียน้ำตาและเสียใจเพราะความน้อยใจ แต่ตอนนี้เราคิดตรงกันแล้ว ไม่ใช่คิดตรงกัน...ความรู้สึกของเราตรงกัน ยิ่งได้ซบอกเขาแบบนี้ยิ่งรู้ถึงความรู้สึกคนหน้านิ่งเพราะหัวใจพี่นนเต้นแรงมากและมันก็เต้นเป็นจังหวะเดียวกันกับผม



ฟรึ่บ


   ไฟห้องที่สว่างขึ้นทำให้เราทั้งคู่ตกใจและผละออกจากกัน พอไฟสว่างเห็นทุกอย่างในห้องชัดเจนแล้วผมยิ่งอาย เหมือนตอกย้ำว่าเหตุการณ์เมื่อครู่เกิดขึ้นจริง ผมก้มหน้าแทบจะชิดอก ไม่ยอมมองหน้าคนที่ยืนอยู่ตรงกันข้าม ผมถอยหลังหนีคนตรงหน้าทันทีแต่แขนผมก็โดนกระชากไปหาเขาและผมก็โดนกอดไว้เหมือนเดิม


“นี่คือคำสารภาพรักเหรอครับ”


“ทำไมต้องยิ้มให้เขาขนาดนั้นด้วย” ผมเปลี่ยนเรื่อง “รู้ไหมตอนนั้นจิงรู้สึกแย่แค่ไหน”


“ขอโทษครับ” พี่นนวางคางไว้บนหัวผม มือใหญ่ลูบไปทั่วแผ่นหลังผม “น้องเขาเป็นนักศึกษาฝึกงานและผมก็ได้รับหน้าที่สอนงานน้อง”


“แล้วทำไมต้องไปลูบหัวอะ”


“หึ คิดมากขนาดนี้เลยเหรอครับ”


“...”


“มีฝุ่นติดผมน้องเขาครับ”


“เหอะ ไม่ต้องมาลูบผมจิงเลย” ผมดิ้นหนีสัมผัสจากมือใหญ่ที่ลูบหัวผมเล็กน้อย แต่ก็ยังกอดเอวเขาไม่ปล่อยและยอมให้เขาลูบในที่สุด แอบย่นจมูกใส่ตัวเองที่ได้ใจที่เขาบอกชอบ แล้วแสดงความเอาแต่ใจออกไปไม่หยุด “พี่ห้ามใจดีมากๆ กับคนอื่น”


“ครับ”


“จิงขอฟังอีกรอบได้ไหม” ผมเงยหน้าถามคนที่กอดผมไว้แน่น


“ผม...ชอบจิง” เห็นใบหน้านิ่งขึ้นสีแล้วผมก็ยิ้มกว้าง “ยิ้มทำไมครับ”


“ทั้งที่จิงเป็นผู้ชายอะนะ”


“แล้วไงครับ” ผมตกใจที่ได้ยินแบบนี้เพราะพี่นนไม่ใช่เกย์ แถมยังเกือบจะแต่งงานกับผู้หญิงและที่สำคัญคือผมเองก็ไม่ใช่ ผมถึงได้รู้ถึงความสับสนกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นและจะไม่แปลกเลยถ้าเขาจะหยุดคิดเมื่อเจอกับคำถามแบบนี้ ดังนั้นเลยค่อนข้างตกใจที่พี่นนพูดออกมาด้วยความมั่นใจโดยไม่มีการหยุดคิดแบบนี้เพราะนั่นแปลว่าเขาได้คิดเรื่องผมมาดีแล้ว “ผมชอบที่จิงเป็นจิง”


“หูย ชอบจิงขนาดนี้เลยอะ”


“จิง”


“ฮ่าๆ” ผมหัวเราะที่เขาทำหน้านิ่งใส่ ผมซบลงไปที่อกกว้างแล้วแอบยิ้มออกมาเพราะชอบความมั่นใจของเขา ความมั่นใจของเขาทำให้ความรู้สึกของผมกล้าที่จะชัดเจน ผมเงยหน้าจ้องคนตัวสูงแล้วยิ้มกว้างก่อนจะพูดออกไปว่า “จิงว่า...จิงชอบพี่มากกว่าอีก”


“อึก”


“จะรัดจนจิงหายใจไม่ออกรึไง” ผมพูดแซวคนที่หายใจสะดุดและรัดเอวผมให้แน่นกว่าเดิม


“น่ารัก”


“หะ”


“จิงน่ารัก”


“อะ พะ พูดอะไรเนี่ย”


“ก็จิงน่ารัก”

   
   กลายเป็นผมที่หน้าเห่อร้อนจนต้องมุดไปซ่อนกับอกเขาไว้ ร้ายกาจ...พี่นนร้ายกาจ เมื่อกี้ต้องเป็นการเอาคืนผมแน่ๆ แอทแทคได้รุนแรงมาก


“ต่อไปนี้ พี่ห้ามยิ้ม ห้ามพูดแบบนี้กับใครนะ” ผมทำเป็นใจกล้าเงยหน้าจ้องเขาเขม็ง


“แบบนี้คือแสดงความเป็นเจ้าของใช่ไหมครับ”


“ชะ ใช่ ใจดีมากๆ กับจิงแค่คนเดียว”


“อืม ไม่ศึกษากันก่อนหรอครับ”


“ไม่”


“หึ”

   พี่นนยิ้มแบบที่ผมชอบแล้ววางมือบนหัวผม โยกไปมาอย่างกับผมเป็นลูกหมา แต่ผมน่ะ เป็นคนคูล ผมไม่ยอมให้เขาเล่นกับหัวใจตัวเองง่ายๆ หรอก ทำผมเขินแล้ว ผมก็ต้องทำให้เขาเขินกลับให้ได้


“พี่เป็นฟิงแจนแล้ว”


“หืม อะไรนะครับ”


“พี่เป็นฟิงแจน”


“แปลว่าอะไรครับ”


“กากอะ”


   ผมยกยิ้มด้วยความภูมิใจ อย่างน้อยผมก็ยังมีมุกที่เขาตามไม่ได้นั่นคือการผวนคำ ผมเคยแกล้งพี่นนบ่อยๆ ด้วยการผวนคำ ส่วนมากเขาก็ตอบไม่ได้ครั้งนี้ก็คงเหมือนกันเพราะใบหน้านิ่งนั้นเริ่มขมวดคิ้วแล้ว ผมเลือกผวนประโยคสำคัญเขาจะได้ขอร้องอ้อนวอนให้ผมเฉลย หึ ให้รู้กันไปเลยว่าจิงก็สู้คนนะ


   ยิ้มได้ไม่นานก็ต้องตกใจเพราะมือใหญ่รั้งท้ายทอยผมให้เงยหน้าไปรับสัมผัสจากริมฝีปากร้อน ผมหลับตาปี๋เพราะตกใจ ไม่ได้นึกกลัวหรือรังเกียจในใจลึกๆ กลับชอบด้วยซ้ำ มันเหมือนผมกำลังจะละลายลงไปด้วยสัมผัสบดคลึงเบาๆ บนริมฝีปากและสัมผัสร้อนชื้นที่เอาแต่ใจ ดูดดึงเหมือนจะสูบวิญญาณผมออกไปให้ได้ ผมเงยหน้าและโอบกอดลำคอเขาไว้กำลังจะตอบรับแต่พี่นนก็ผละออกไปก่อน


“ตกลง” เขาพูดออกมาด้วยเสียงทุ้มนิ่งๆ ผมลืมตามองก็เห็นใบหน้าที่ยกยิ้มร้ายจนผมที่หอบหนักจากจูบสูบวิญญาณเมื่อครู่ถึงกลับขนลุกเกรียว “พี่เป็นแฟนจิงแล้ว”


“แฮ่กๆ หะ” ผมหอบหายใจ อ้าปากงงเป็นไก่ตาแตก ทำไมครั้งนี้ทายถูกล่ะ...ภาพในจินตนาการที่เขาต้องมาขอร้องอ้อนวอนผมให้เฉลยหายวับไปกับตา


“เปลี่ยนใจไม่ได้แล้วนะครับ” ผมจ้องตาคนที่ยิ้มเจ้าเล่ห์ ดวงตาที่นิ่งสงบของเขาทำให้ใจผมเต้นแรงเหมือนทุกครั้ง...แต่แล้วดวงตาที่เคยนิ่งนั้นก็เปลี่ยนไป ผมรู้สึกวาบหวามในอกเพราะแววตาที่ปรากฏความวูบไหว ผมเริ่มแปลออกแล้วว่ามันคืออะไร


“ดะ เดี๋ยว...จูบอีกแล้วเหรอ พอก่อ...อื้อ”






****************************************************************************
เตรียมตัวรับมือให้ทันนะหนูจิงคนคูล
ว่ากันว่าคนนิ่งๆ นั้น มักจะ...หุหุ
TBC


ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
 :mc4: :man1: :mc4:

 :L1: :pig4: :L1:

 o13

ออฟไลน์ kawisara

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1586
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-7

ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
ตอนที่ 14 แฟนวันแรก

      


 
                    เพดานสีขาวคือสิ่งแรกที่มองเห็นหลังจากตื่นขึ้นมาจากการหลับใหล กระพริบตาถี่ๆ ไล่ความง่วง ผมกำลังจะยกมือขึ้นมาขยี้ตาแต่ก็ต้องชะงักไปเพราะมือของผมโดนมือใหญ่ของคนที่นอนข้างกายกุมไว้อยู่ หันไปมองตามสัญชาตญาณ ใบหน้าคมที่ตัวโตกว่าผมกำลังหลับ พี่นนไม่ใช่คนหล่อขนาดที่ใครต้องหยุดมองแต่ก็มีเสน่ห์แปลกๆ ออกมาจากเขา มันเป็นเหมือนปริศนามากกว่าว่าเขาซ่อนอะไรไว้ในใบหน้านิ่งๆ นั้นเพราะอย่างนั้นผมถึงหยุดมองไม่ได้

 
           เอื้อมมือไปจับเส้นผมสีดำที่ชี้ขึ้นอย่างนึกสนุก ตอนนี้หมอนข้างที่กั้นเราไว้นั้นได้หายไปอยู่ข้างกำแพงแล้ว ผมขยับเข้าไปใกล้อีกนิดมองขนตายาวที่ผมแอบชมในใจด้วยใจที่สั่นไหว จูบลงไปเบาๆ ที่ดวงตาที่ปิดสนิทแล้วผละออกมายิ้มกว้าง

 
ไม่รู้ว่าเริ่มชอบเมื่อไหร่ แต่ที่รู้ในตอนนี้คือดูเหมือนผมจะชอบเขามากขึ้นทุกวิเลย

 
“แต๊ะอั๋งผมเหรอครับ”

 
“อือ” ผมขานตอบในลำคอและสบตาเขาแล้ว “จิงจะรับผิดชอบพี่เอง”

 
“หึ ขอโทษที่เมื่อคืนเอาแต่ใจครับ” เขาดึงมือผมขึ้นไปจุ๊บแรงๆ

 
จุ๊บ

 
“พี่พูดเหมือนเราจึ๋งกึ๋ยกันแล้วอะ”

 
“ถึงจะแค่นั้นแต่...”

 
“แค่จูบเอง” ผมพูดตัดบทแล้วลุกขึ้นนั่ง หันไปจ้องคนที่นอนหน้านิ่งจ้องผมอยู่ “พอๆ จิงอายจนหายใจไม่ทันแล้ว”

 
“แต่มันก็หลายครั้งนี่ครับ”

 
“พ๊อออ” ผมพูดเสียงสูงแล้วปิดหูตัวเองไว้ รู้สึกหน้าผมกำลังจะไหม้เลย

 
“หึ”

 
“จิงไม่รู้ว่าเป็นแฟนกัน มันต้องทำไงบ้าง” ผมพูดตอนที่พี่นนลุกจากเตียงขึ้นมาพับผ้าห่ม เขาจ้องหน้าผมสักพักแล้วหลบสายตาผม

 
“อืม ก็เป็นเหมือนเดิมครับ” เขาพูดนิ่งๆ พับผ้าห่มไปด้วยแบบไม่รีบร้อน มองแผ่นหลังกว้างที่สะบัดผ้าห่มของผมและจับมุมพับเข้าหากันอย่างขะมักเขม้นแล้วก็รู้สึกอบอุ่นในใจ “แค่รู้สึกอะไรก็บอกกันได้โดยไม่ต้องเก็บไว้ เวลาสุขก็สุขด้วยกันหรือเวลาทุกข์เราก็ให้กำลังใจกัน หรืออาจจะร้องไห้ไปด้วยก็ได้ ผมไม่ว่าครับ”

 
“งั้น...” ผมลุกจากที่นอนไปกอดข้างหลังคนตัวสูงไว้ซบหน้าลงแผ่นหลังกว้างแล้วพูดออกไป “จิงฝากตัวด้วยนะครับ”

 
“ทำไมน่ารักแต่เช้าเลย” เขาหมุนตัวมากอดผมตอบแถมยังหอมหัวผมไปฟอดใหญ่ “หื้ม”

 
“พอแล้ว เดี๋ยวไปทำงานสาย” ผมห้ามเขาไว้ในตอนที่เขาจะก้มลงมาจูบกัน ก่อนจะดิ้นออกจากอ้อมแขนเขาแล้ววิ่งเข้าห้องน้ำไป

 
          ผมจ้องมองตัวเองที่ยิ้มกว้างในกระจกในห้องน้ำแล้วก็เผลอร้องไห้ออกมา ผมหัวเราะออกมาเล็กน้อยที่เห็นตัวเองยิ้มทั้งน้ำตาแบบนี้ นานแค่ไหนแล้วที่ผมไม่ได้ยิ้มจากใจจริงแบบนี้ นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ต้องรู้สึกเคว้งคว้าง นานแค่ไหนที่ไม่ได้รับความรักและความอบอุ่นแบบนี้ ต่อไปนี้ผมจะไม่โดดเดี่ยวแล้วใช่ไหม...ทั้งหมดนี่เหมือนผมฝันไปเลย

 
.
 

.

 
          ผมนั่งรออีกคนอาบน้ำด้วยใจที่ร้อนรน ปฏิเสธไม่ได้ว่าตื่นเต้นที่ได้เป็นแฟนเขา แต่อีกความรู้สึกก็กลัวเหลือเกิน ผมมันเป็นคนตัวเปล่าไม่มีอะไรเลย ผมไม่ควรได้รับความรักจากเขา แต่ทั้งเมื่อคืนและเมื่อเช้าก็ตอกย้ำว่าทั้งหมดเป็นเรื่องจริง ผมไม่เคยคิดว่ามันกลายมาเป็นแบบนี้ ไม่เคยว่าจะได้เป็นแฟนคนที่อยู่ในใจมาตลอด ผมกังวลว่าตัวเองจะไม่ดีพอจนปวดหัวไปหมด

 
แกรก

 
“พร้อมแล้วค้าบบ” คนตัวเล็กเปิดประตูออกมาด้วยรอยยิ้มสดใส “ไปทำงานกัน”

 
“ครับ” ทั้งที่ทำหน้าปกติแต่ในใจผมกลับกังวลไม่หาย ผมจะคู่ควรกับรอยยิ้มที่สดใสขนาดนี้ได้จริงๆ เหรอ

 
          ระหว่างทางมาทำงานจิงก็จับเอวผมไว้หลวมๆ นั่นทำให้ผมรู้สึกดีกว่าเขาไปจับที่จับด้านหลังเยอะเลย ผมขับมาเรื่อยๆ อย่างใจเย็นในหัวก็คิดทบทวนเรื่องทั้งหมด แต่ก็ไม่ได้คำตอบอะไรนอกจากความกังวลของตัวเอง วันนี้เรามาถึงที่จอดรถเร็วกว่าทุกวัน อากาศไม่ร้อนอบอ้าวเหมือนทุกวันทำให้จิงดูอารมณ์ดีมาก ดูเหมือนทุกอย่างจะดีไปหมดยกเว้นความคิดผม มองคนตัวเล็กที่อมยิ้มมาตลอดทางก็รู้สึกผิดที่ตัวเองคิดมากแบบนี้


"ผมช่วย" ผมพยายามไม่คิดมาก แล้วเอื้อมมือไปช่วยเขาถอดหมวกกันน็อคออก

 
“ขอบคุณครับ” เขาว่าเสียงร่าเริงแล้วยิ้มให้ผม เป็นการเปลี่ยนแปลงแรกที่ส่งผลต่อจิตใจผมเป็นอย่างมาก เขาพูดเพราะขึ้น แถมแววตาที่มองมาก็พิเศษจนเหมือนโดนบอกรักตลอดเวลา
         

“จิง”

 
“หื้อ”

 
“จิงอยากเป็นแฟนพี่จริงๆ เหรอ” ผมพูดออกไปอย่างที่คิดในตอนนี้

 
“ใช่” เขาตอบผมพร้อมรอยยิ้มกว้างแต่รอยยิ้มนั้นก็ค่อยๆ หุบลงไป “พี่เป็นอะไร”

 
“พี่แค่ไม่มั่นใจ”

 
“ทำไมพูดแบบนี้อะ” จิงขมวดคิ้วจ้องผม ในแววตาเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ “ไหนเมื่อเช้าพูดซะดิบดี”

 
“พี่แค่กลัว” แต่ผมก็ยังจะเลือกพูดต่อไป

 
“กลัวอะไรอะหรือไม่ชอบจิงแล้ว”

 
“จิง..." และกว่าผมจะรู้ตัวว่าคำพูดที่จริงใจของผม ได้ทำลายแววตาและรอยยิ้มสดใสไปก็ตอนนี้

 
“ทำไมอะ เพิ่งมารู้สึกว่าไม่ใช่เหรอ” สายตาตัดพ้อที่ส่งมาทำเอาผมรู้สึกผิด

 
“ไม่ใช่แบบนั้น” อยากจะดึงเขาเข้ามากอดก็ทำไม่ได้เพราะตอนนี้คนเยอะเกินไป

 
“แล้วแบบไหน”

 
“พอเป็นเรื่องเราพี่กลัวไปหมด” ผมหลบตาอยากจะหยุดคุยเรื่องที่ทำให้เรารู้สึกแย่แบบนี้

 
“แล้วคิดว่าจิงไม่กลัวรึไง” ผมหันกลับไปสบตาเขา ความรู้สึกผิดถาโถมเข้ามาไม่หยุดที่เห็นเขาน้ำตาคลอ

 
“จิง พี่ขอ..”

 
“อ้าว จิง”

 
          ผมอยากขอโทษที่ทำให้เขาไม่มั่นใจและทำให้เขารู้สึกแย่แบบนี้เพราะความกังวลของตัวเอง แต่เสียงขอโทษขอผมก็โดนคนที่มาใหม่กลบจนมิด

 
“เอ่อ พี่ชิน” จิงละสายตาไปจากผมแล้วหันไปไหว้เจ้านายตัวเอง “สวัสดีครับ”

 
“สวัสดีๆ เอ่อ”

 
“...”

 
“ไปทำงานกันเถอะครับ” เป็นจิงที่ทำลายบรรยากาศที่น่าอึดอัดนี่และดึงแขนเจ้านายตัวเองให้เดินออกไป โดยที่ไม่หันกลับมามองผมสักนิด

 
          ผมถอนหายใจด้วยความเหนื่อยใจกับความซื่อบื้อของตัวเอง แค่คิดตื้นๆ ว่าต้องจริงใจแต่ไม่ได้คิดถึงความรู้สึกของเขา แถมยังรั้งเขาไว้ไม่ได้อีก...ผมมันก็แค่คนขี้ขลาด

 
 







*********************************************
TBC



ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0

ตอนที่ 15 ฝนไม่ตก



 
“จิง!”

 
“อะ ครับ” ผมสะดุ้งหันไปมองพี่ชินทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเอง

 
“เหม่ออะไรน่ะเรา พี่เรียกตั้งนาน”

 
“อ่อ เปล่าครับ”

 
“ไปล้างหน้าล้างตาหน่อยไหม”

 
“ไม่เป็นไรครับ” ผมตอบแล้วเดินไปหาพี่ชินที่กำลังยกเก้าอี้ขึ้นบนโต๊ะ “เดี๋ยวจิงช่วย”

 
“ตามใจแล้วกัน”

 
          ผมเดินไปด้านในสุดของร้านแล้วเริ่มยกเก้าอี้ขึ้นไปวางบนโต๊ะ ในสมองเอาแต่คิดทวนเหตุการณ์เมื่อเช้าซ้ำไปมา ในตอนนั้นผมโกรธเพราะผมดันไปตั้งความหวังเรื่องของเราไว้เยอะ นึกว่าจะไม่ต้องโดดเดี่ยว ไม่ต้องเหงาต่อไปแต่สายตาที่มองมาแบบไม่มั่นใจนั้น ทำให้ผมรู้สึกเหมือนโดนล้อเล่นและมันทำให้ผมเจ็บปวด ช่วยไม่ได้ที่ความคิดที่ว่าหรือจะมีแค่ผมที่ชอบเขาจะเกิดขึ้นและนั่นก็ทำให้ผมน้อยใจจนถึงตอนนี้

 
“จิง ผู้ปกครองเรามารับแล้ว”

 
“หะ ครับ” ผมหันไปมองพี่ชินที่ชี้นิ้วไปด้านหน้าร้าน มองตามไปก็เห็นพี่นนยืนหน้านิ่งอยู่

 
“รีบกลับเถอะ ดูเหมือนฝนกำลังจะตกนะ”

 
“ครับ”

 
          ผมยกมือไหว้พี่ชินแล้วเดินไปหยิบกระเป๋าเป้สีแดงของตัวเองขึ้นมาสะพายหลัง สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเปิดประตูร้านออกไปประจันหน้ากับคนที่ติดอยู่ในความคิดของผมทั้งวัน

 
“พี่ขอโทษ”

 
“...” ผมเม้มปากแน่นที่ได้ยินเขาพูดแบบนี้ ใบหน้าที่เคยไร้ความรู้สึกของเขากลับปรากฏเป็นความเศร้า...แค่นี้ใจผมก็อ่อนยวบแล้ว ผมพยายามพูดให้เป็นปกติแต่เสียงที่พูดออกไปกลับแข็งจนผมนึกเกลียดตัวเอง “กลับบ้านเถอะ”

 
“จิง”

 
          ผมเดินนำมาก่อนโดยไม่สนใจที่เขาเรียก ไม่ได้ตั้งใจทั้งเสียงแข็งและการเดินหนีแบบนี้ผมแค่ตั้งตัวไม่ทัน ไม่นึกว่าเขาจะขอโทษผมด้วยใบหน้าแบบนั้น เขาทำให้ผมรู้สึกผิดเพราะเมื่อเช้าผมก็พูดเอาแต่ใจตัวเองไปไม่น้อยด้วย จะทำยังไงดี...จะเริ่มขอโทษเขาคืนยังไงดี

 
.

.


 
          ผมแอบมองคนตัวเล็กที่นั่งซ้อนท้ายอยู่ด้านหลัง จิงยังไม่ยอมพูดกับผมเลยตั้งแต่เดินออกมาจากออฟฟิศ ปกติแล้วเขาจะกวนผมจนกว่าจะถึงหอ แต่นี่เขานิ่งไปเลย แถมยังขมวดคิ้วตลอดเวลาอีก ผมคงทำเขาโกรธจริงๆ เข้าแล้ว แต่ถ้าเป็นผมผมก็คงโกรธเหมือนกัน

 
          ทั้งที่เป็นคนบอกชอบและจูบเขา ทำเป็นพูดชัดเจน แล้วพอรู้ว่าเขาคิดเหมือนกัน พอทุกอย่างจริงจังขึ้นมา ผมดันขี้ขลาดและทำให้เขาสับสนแบบนั้น เป็นผมที่ทำทุกอย่างผิดพลาดไปหมด ทั้งที่อยากดูแล อยากช่วยเขาแต่ในตอนนี้กลับกลายเป็นผมเองที่ทำให้เขาแย่ลง

 
“เฮ้อ”

 
          ผมหลุดถอนหายใจออกมาตอนรถติดไฟแดง มองคนในกระจกด้านข้างอีกครั้ง ยิ่งเห็นเขาไม่จับเอวผมเหมือนเมื่อเช้าแล้วยิ่งรู้สึกแย่...สักวันหนึ่งผมจะถอดที่จับด้านหลังเบาะออก

 
.

.

 
 
          เรามาถึงห้องกันช้ากว่าปกติเพราะรถติด พอพี่นนเปิดห้อง ผมก็เข้าไปอาบน้ำทันที ส่วนพี่นนก็เดินไปเทกับข้าวใส่ถ้วยใส่จานเหมือนทุกวัน ถึงแม้ว่าวันนี้เราจะทะเลาะกันแต่การที่พี่นนทำทุกอย่างเหมือนเดิมแบบนี้ผมก็รู้สึกโล่งใจขึ้น คงไม่ได้โกรธผมล่ะมั้ง

 
“...”
 

          ใครว่าไม่โกรธล่ะ ความเงียบที่เกิดขึ้นระหว่างเราในตอนนี้ทำให้ผมอึดอัด จำได้ว่าเขาแอบถอนหายใจตอนที่ติดไฟแดงด้วย ผมทำเขาโกรธจริงๆ ด้วย เขี่ยข้าวในจานไปแอบมองคนที่นั่งเคี้ยวข้าวไป พอจะสบตากันผมก็ก้มหลบ ไม่เข้าใจตัวเองจริงๆ เลย แค่จะขอโทษเขาบ้าง ทำไมมันพูดยากขนาดนี้หรือแค่จะบอกว่าหายโกรธแล้วก็ไม่รู้จะเริ่มยังไง สุดท้ายกับข้าวมื้อนี้ก็จบลงด้วยผมกินไปแค่สองคำ

 
“เฮ้อ” ถอนหายใจออกมาเพราะเริ่มจะทนกับความเงียบระหว่างเราไม่ไหวแล้ว ผมไม่ได้โกรธเลย ไม่สิ โกรธแค่ตอนเช้าแล้วก็กลายเป็นน้อยใจแต่พอได้รับคำขอโทษผมก็หายโกรธเป็นปลิดทิ้ง เรื่องนี้จะไม่กลายเป็นแบบนี้เลย ถ้าผมกล้าตอบรับคำขอโทษหรือขอโทษเขากลับ

 
          นั่งกอดเข่าตัวเองบนเตียง มองบรรยากาศข้างนอกที่มืดลงแล้ว วันนี้พี่ชินบอกว่าฝนตกแต่ก็ไม่ตกแหะ พยายามคิดเรื่องอื่นให้ตัวเองหยุดกังวลแต่สุดท้ายสายตาผมก็เลื่อนไปแอบมองแผ่นหลังกว้างที่ล้างจานอยู่ด้านนอกด้วยใจโหยหา อยากกอด อยากอ้อนแล้วอะ เมื่อไหร่พี่นนจะหายโกรธกันสักที

 
“เดี๋ยวผมมานะ”

 
“...”

 
          หลังจากล้างจานเสร็จเขาก็เดินหน้านิ่งมาหาผม พูดแบบนั้นแล้วเดินไปหยิบกุญแจที่หลังตู้เย็น นี่พี่นนโกรธผมขนาดจะหนีกันเลยเหรอ ใจผมหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม พอแล้ว...ไม่เอาแบบนี้นะ

 
ตึง ตึง ตึง

 
          ผมตัดสินใจวิ่งไปรั้งคนที่กำลังจะเดินไปที่ประตู ทิ้งความกังวล ความกลัวและอีโก้ก่อนหน้านี้ไปให้หมด ดึงแขนเขาให้หันกลับมาและใช้แขนทั้งสองข้างโน้มลำคอเขาให้ก้มลงมาและประกบริมฝีปากตัวเองลงไป...ยอมทุกอย่างแล้ว

 
จุ๊บ

 
          เสียงจุ๊บดังขึ้นมาตอนที่ผมพยายามจูบริมฝีปากร้อนตรงหน้า ดันตัวเองเข้าหาคนที่ตัวใหญกว่า พี่นนดูตกใจที่ผมทำแบบนี้แต่พอผมเริ่มเบียดริมฝีปากเข้าหาอย่างเงอะงะอีกครั้ง เขาก็ใช้มือใหญ่นั้นประคองใบหน้าผมให้เอียงรับสัมผัสร้อนชื้นที่เข้ามารุกรานผม
 

“อื้อ”

 
          ใจผมเต้นดังจนน่าหนวกหู แต่ก็ยังได้ยินเสียงครางในลำคอ เสียงดูดดึงและเสียงหอบหายใจระหว่างเรา ผมปรือตามองคนที่สูบพลังผมไม่หยุด เหมือนความร้อนในห้องนี้เพิ่มขึ้นอย่างห้ามไม่ได้ ผมจับมือที่ประคองหน้าผมอยู่ให้ลากสัมผัสลงมาตั้งแต่ลำคอจนถึงหน้าท้องตัวเอง ความรู้สึกจากฝ่ามือร้อนทำให้ผมรู้สึกวาบหวานจดต้องหดเกร็งหน้าท้อง

 
ยอมทุกอย่างแล้วจริงๆ แค่อย่าทิ้งผมไป

 
“อะ” ผมร้องออกมาตอนที่พี่นนผละออกและดึงมือกลับไป “พี่นน”

 
“...” เรียกร้องเขาด้วยเสียงกระเสร่าแต่เขากลับมองผมนิ่งๆ แล้วหันหลังเดินออกจากห้องไป

 
 “ฮึก” สุดท้ายผมก็ปล่อยโฮออกมาและทรุดนั่งลงตรงนั้น...ทั้งที่ยอมทุกอย่างแล้ว ทำไมถึงทิ้งผมไปอีก “ฮือ”


 
.

 
.

 
          ผมรีบเดินกลับห้องด้วยความใจรีบร้อน ใช้กุญแจไขเข้าห้อง สูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อตั้งสติก่อนเจอภาพในห้อง จิงนั่งอยู่ที่พื้นที่เดิมที่เราจูบกัน เขานั่งกอดเข่าตัวเองอยู่แบบนั้น ไม่ต่างจากที่ผมคิดไว้เท่าไหร่ ยังดีที่เขาไม่หนีออกไปจากห้อง ผมวางสิ่งที่ออกไปซื้อไว้ข้างตัวแล้วพยุงเขาให้ลุกขึ้นยืน
 

“ขอโทษ จิงขอโทษ”

 
“ครับ” ผมลูบหัวเขาที่พูดพึมพำขอโทษผมไม่หยุด ผมกุมมือสองข้างไว้ ลูบเบาๆ ที่หลังมือให้เขาใจเย็นๆ

 
“พี่นน” เขาเงยหน้ามองผมด้วยแววตาตัดพ้อ ก่อนที่จะก้มไปมองถุงที่วางอยู่ข้างๆ เรา “พี่ไปไหนมา...ฮึก ราดหน้าเหรอ”

 
“ครับ พี่เห็นว่าจิงชอบ” เพราะเมื่อเย็นเขากินน้อยมาก ผมกลัวว่าเขาจะหิวเลยออกไปซื้อมาเผื่อไว้ “กลัวว่าจิงจะหิว”

 
“ฮึก” เขาหลับตาแล้วทุบที่อกผม

 
“ขอโทษที่ออกไปแบบนั้น พี่แค่กลัว” ...กลัวว่าจะห้ามตัวเองไม่ได้

 
“อึก” จิงสะอื้นเหมือนพยายามจะหยุดร้องไห้แล้วเอนหัวมาพิงที่อกผม

 
“พี่มันไม่ได้ดีขนาดที่จิงคิดไว้หรอกนะ” ผมลูบหัวเขาเรื่อยๆ พร้อมพูดความรู้สึกที่เกิดขึ้นทั้งหมด “ที่พูดไปเมื่อเช้า มันไม่ได้แปลว่าพี่เกิดลังเลหรือไม่ชอบจิง พี่แค่กลัวว่าพี่จะดีไม่พอ”

 
“ฮึก”

 
“พี่แค่อยากได้คำยืนยัน ขอโทษที่ถามแบบนั้น ขอโทษที่ไม่ได้คิดถึงความรู้สึกของจิง” ในตอนนี้จิงหยุดร้องไห้แล้วแต่ยังไม่ยอมเงยหน้ามองผม “พี่อยากให้จิงรู้ไว้นะ ว่าความรู้สึกของพี่มันไม่ได้เกิดจากความสงสารหรือผูกพัน พี่ชอบจิงจริงๆ”

 
 
“...”

 
“พอจิงเดินหนีพี่ไปแบบนั้น พี่ไม่รู้เลยว่าจะเอาอะไรมารั้งจิงไว้” ผมลูบผมนิ่มเบาๆ “แม้แต่ในตอนนี้ ไม่รู้จะทำยังไงให้หายโกรธ พี่มีแค่ของที่จิงชอบกินกับคำพูดจากใจพวกนี้”

 
“พูดอีก จิงอยากฟังอีก”

 
“จิง...พี่มันแค่พนักงานออฟฟิศธรรมดา แถมยังมีหนี้อีก พี่กังวลว่าอาจจะดูแลจิงได้ไม่ดีพอ แต่ความรู้สึกพี่มันเป็นของจริงนะ” ผมก้มหัวไปใกล้แล้วเอาหน้าผากเราแนบกันไว้ “ชอบ”

 
“จิงไม่ใช่คนที่ดีขนาดที่พี่ต้องมากังวลเลย” เสียงของจริงแหบเล็กน้อยเพราะผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก “เมื่อเช้าพี่ก็เห็นว่าจิงงี่เง่าแล้วก็เอาแต่ใจมากๆ ด้วย...ขอโทษครับ”

 
“...”
 

“จิงไม่โกรธ ไม่น้อยใจแล้วและจิงก็อยากให้พี่รู้ไว้ ว่าต่อให้จิงไม่ได้อยู่กับพี่แบบนี้ ถ้าเราเจอกันในสถานการณ์อื่น จิงก็ชอบพี่อยู่ดี” เป็นอีกครั้งที่เข้ามาจูบผมก่อน หัวใจผมสั่นไหวเพราะความร้อนที่แสนน่ารัก “ชอบ”

 
“รู้ไหมพี่กลัวอะไรที่สุด” ผมพูดออกไปทั้งที่ปากเรายังแตะกันอยู่

 
“กลัวไม่มีเงินเลี้ยงจิงล่ะสิ” เขาผละออกมาแลบลิ้นใส่ผม

 
“หึ ไม่เลย พี่กลัวว่าจะทำให้จิงมีความสุขไม่ได้ต่างหาก”

 
“แล้วรู้ไหมจิงกลัวอะไร”

 
“อะไรครับ”

 
“จิงกลัวว่าจะทำให้พี่มีความสุขไม่ได้เหมือนกัน”

 
“กลัวจะเสียจิงไป”

 
“เหมือนกันเลย” จิงยิ้มสดใสให้ผม “ต่อไปนี้จิงรู้สึกอะไรก็จะบอกพี่นะ แล้วก็จะไม่คิดมาก จะใจเย็นลงด้วย”

 
“เหมือนกันครับ”

 
          ผมหยิบถุงที่ใส่ซื้อราดหน้าที่ผมซื้อมายื่นให้กับคนตรงหน้าเพราะยังไม่รู้ว่าเขาชอบอะไรนอกจากราดหน้าบ้าง ต่อไปนี้เราคงต้องเรียนรู้กันอีกเยอะแยะเลย ไม่รู้เหมือนกันว่าต่อไปนี้พวกเราต้องเจออะไรบ้างแต่ยังไงผมก็มีความสุขขอแค่เป็นเรื่องของเขา...แค่คิดผมก็มีความสุขแล้ว

 
“ให้จิงเหรอ”

 
“จิงจะเป็นแฟนกับพี่ไหม”

 
“หึ” เขารับถุงนั้นไปแล้วยิ้มจนตาหยี “อื้อ จี้เป็นแฟนพิง”
 

“แปลว่าอะไรครับ” ผมยกยิ้ม

 
“จิงเป็นแฟนพี่” จิงใช้สองมือมากุมใบหน้าผมไว้ แล้วยืดแก้มผมไปมา “กินราดหน้ากัน”

 
          เขาหัวเราะร่าที่ได้แกล้งผมก่อนจะเดินไปหยิบถ้วยกับช้อนมาสองคัน ลากผมไปนั่งตรงข้ามกันโดยมีถ้วยกั้นกลางระหว่างเราไว้ จิงเทราดหน้าและเงยหน้ามายิ้มให้ผมอีกครั้ง

 
“ต่อไปนี้เรามาทำตามที่พี่พูดไว้ดีกว่า”

 
“ยังไงครับ”

 
“มีความสุขก็สุขไปด้วยกัน ถ้าทุกข์ก็นั่งกินราดหน้าด้วยกันเนอะ”

 
“ผมไม่ได้พูดแบบนั้นสักหน่อย”

 
“ฮ่าๆ”


          ผมยิ้มและหัวเราะตามเขา ชอบที่เรามีความสุขด้วยกันแบบนี้จนอยากหยุดเวลาไว้ ผมกล้ำกลืนความรู้สึกที่ไม่คู่ควรลงไปและดำดิ่งกับความรักครั้งนี้ ในเมื่อความรักมันเกิดขึ้นแล้ว ผมก็จะรัก รักให้ดีที่สุด...ก่อนที่จะไม่มีวันพรุ่งนี้สำหรับเรา มองไปที่เขาก็เจอกับรอยยิ้ม ใช่ จิงเหมาะกับรอยยิ้ม ในที่สุดรอยยิ้มสดใสของเขาก็กลับมาแล้ว ที่ผมต้องการจริงๆ ก็มีแค่นี้ แค่ให้เขามีความสุขในทุกๆ วันก็พอแล้ว








*****************************************************************************
จะสงสารก็สงสาร จะขำก็ขำกับการใช้ราดหน้าขอเป็นแฟน ฮ่าๆ
TBC



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ kawisara

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1586
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-7
จะโดเนทเงินซื้อราดหน้าให้พี่นนซื้อมาง้อจริงบ่อยๆได้ทางใหนบ้าง

เย้ๆๆเขาดีกันแล้วค่ะคุณ

ออฟไลน์ Tiffany

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
เค้าเรียก ราดหน้าสื่อรัก

ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
ตอนที่ 16 ป้ายรถเมล์

         

          หลังจากวันนั้นทุกอย่างก็เป็นปกติ เราใช้ชีวิตด้วยกันเหมือนเดิม...แต่สำหรับผมมันไม่เหมือนเดิมเลย ถึงแม้เราจะกินข้าวด้วยกัน ไปทำงาน ไปเที่ยวหรือเข้านอนพร้อมกันเหมือนเดิมแต่อารมณ์มันต่างออกไป

 
          ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็พวกคำถามว่าอร่อยไหม วันนี้เป็นยังไงบ้าง มันอาจจะดูธรรมดาแต่กลับทำให้ข้างในใจผมมันรู้สึกพิเศษ มุมปากที่ยกยิ้มให้ผม สัมผัสอบอุ่นที่ลูบหัวผม อ้อมกอดที่เหมือนได้กลับบ้านและรสจูบที่ตราตรึงในใจ ทุกอย่างมันใหม่ไปหมดไม่เหมือนเดิมเลยสักนิดแต่ผมก็ชอบมันมากและนั่นก็ทำให้ผมอยากอยู่แบบนี้ตลอดไป

 
“เราคงไม่ทันฝนแน่ๆ เดี๋ยวผมจะหาที่จอดหลบฝนนะครับ”

 
“อือ”

 
          ผมพยักหน้ารับพี่นนที่หันมาบอกผมตอนที่เราติดไฟแดง เงยหน้ามองท้องฟ้าตอนเกือบจะสองทุ่ม มันมืดมิดและมีก้อนเมฆดำทะมึนก้อนใหญ่อยู่บนนั้น ผมเดาว่าภายในไม่กี่นาทีข้าหน้า มันคงละลายลงมาเป็นหยดน้ำแน่ๆ ในตอนนี้ลมก็เริ่มพัดแรงจนในใจผมเริ่มหวิวและเผลอกำเสื้อคนข้างหน้าแรงขึ้น

 
“ไม่เป็นไรนะครับ” ผมพยักหน้าและแอบอมยิ้มในตอนที่พี่นนหันไปเร่งความเร็วเมื่อไฟเขียวแล้ว...คำว่าไม่เป็นไรของเขาทำให้ผมอุ่นใจขึ้น

 
          ในตอนนี้ฝนเริ่มตกแบบปอยๆ ผมเบ้หน้าเล็กน้อยเพราะรู้ได้ว่าเราคงไปไม่ถึงหอแบบพี่นนว่าจริงๆ เราตากละอองฝนกันสักพักพี่นนก็เลี้ยวเข้าซอยหนึ่งก่อนที่จะถึงซอยหอเราอีกประมาณห้าซอย เขาจอดรถที่หน้าป้ายรถเมล์ที่ตอนนี้ได้กลายสภาพเป็นที่รอรถสองแถวส่งคนในซอยและซอยใกล้เคียงแล้ว

 
          ด้วยตอนนี้ฝนกำลังจะตกทำให้บริเวณนี้ร้างผู้คน ประกอบกับตรงข้ามป้ายนี้เป็นโรงงานอะไรสักอย่างที่มีกำแพงสูง ดังนั้นแถวนี้จึงปราศจากบ้านคน ทำให้รอบข้างช่างวังเวงและค่อนข้างมืด ยังดีที่มีไฟดวงเล็กที่ติดอยู่ด้านบนป้ายพอให้แสงสว่างได้ แต่ยังไงที่นี่ก็วังเวงจนผมอดรู้สึกกลัวไม่ได้

 
“หิวไหม ผมมีขนมปังในกระเป๋า”

 
“ไม่อะ รอกลับไปกินที่บ้านก็ได้”

 
          ผมพูดแล้วลงจากฟีโน่คู่ใจพี่นน เดินไปนั่งตรงม้านั่งยาวๆ ตรงป้าย มองพี่นนที่ดูแลรถคู่ใจก่อนจะมองสำรวจด้านหลัง มันเป็นป้ายโฆษนาที่โดนแต่งแต้มสีสันโดยพวกมือบอน เงยหน้ามองหลังคาที่ยื่นออกมาพอกันฝนได้ก็สบายใจ อย่างน้อยพวกเราอาจจะโดนฝนสาดแต่ก็ดีกว่าเปียกทั้งตัว

 
“ชุดกันฝนครับ”

 
“ขอบคุญคร้าบ” ผมแกล้งตอบรับเสียงยาวแล้วนำเสื้อกันฝนสีเหลืองมาใส่ ผมมองพี่นนที่ใส่เสื้อกันฝนสีฟ้าด้วยรอยยิ้มขำ เขาทำหน้านิ่งกว่าเดิมใส่ผมและทิ้งตัวนั่งข้างกัน

 
“ผมว่าอีกนานนะครับ กว่าฝนจะหยุด” เขาหันไปหยิบขนมปังที่ว่าก่อนหน้านี้ออกมาและยื่นห่อขนมปังมาให้ผม “กินเถอะ”

 
“หือ” ผมรับมาเพราะคงถียงความตั้งใจของเขาไม่ไหว มองห่อขนมปังสอดไส้สังขยาในมือแล้วยกยิ้มทะเล้นให้เขา “ไม่มีราดหน้าเหรอพี่”

 
“จิง”

 
“ฮ่าๆ โอเค ไม่ล้อแล้วๆ” ผมขำเมื่อเห็นหน้าที่นิ่งอยู่แล้วของเขานิ่งขึ้นไปอีก แถมหูยังขึ้นสีแดงอย่างน่ารัก จนผมต้องยอมแกะขนมปังและก้มลงไปกัดกินคำโตแล้วพูดไปทั้งที่ขนมปังยังเต็มปาก “อย่อย”

 
“ดีแล้วครับ ผมชอบที่คุณกินเยอะๆ”

 
“คร้าบบ” ลากเสียงยาวอ้อนเขาและตอนที่มือใหญ่นั้นลูบหัวผมผ่านเสื้อกันฝนนี้ผมก็เอียงหัวเข้าหาฝ่ามือนั้นอีก มองอ้อนคนที่มองผมอยู่แล้วและเริ่มก่อกวนเขาอีกรอบ "พี่กลับมาพูดผมกับคุณแล้วอะ"

 
"อะไรกันครับ" พี่นนพูดเสียงเบาและหยุดลูบหัวผม

 
"ตอนแทนตัวเองว่าพี่นี่คือเอาไว้อ้อนใช่ปะ" ผมยิ่งได้ใจตอนเห็นเขาเม้มปาก

 
"ผมเหนื่อยจะรบกับคุณแล้วครับ" เขาเขิน...จนหันไปทางอื่น

 
"ฮ่าๆ" ผมหัวเราะร่าและกินขนมปังต่อ

 
เปาะแปะๆๆ
 

          ในตอนที่ขนมปังหมดลง เสียงเม็ดฝนที่เพิ่มขนาดใหญ่ขึ้นและเริ่มตกกระทบลงมาถี่จนเกิดเสียงดังสนั่น กลิ่นดินฟุ้งไปทั่ว ลมเย็นพัดพาละอองน้ำบางส่วนมาโดนพวกเรา บรรยากาศเริ่มคล้ายวันนั้นขึ้นมาทุกที ผมหอบหายใจแรงขึ้นและหันไปมองคนหน้านิ่งที่ดึงมือสั่นเทาของผมไปเกาะกุมไว้



.

.
 


 “กลัวไหมครับ”

 
“อือ” ผมถามคนที่มือเริ่มสั่น จิงหอบหายใจแรง ใบหน้าเริ่มซีดแต่ก็ยังพยายามยิ้มให้กับผม “พี่ว่าตายไปแล้วเราจะเจอกันไหม"

 
“...” ผมเงียบไปเพราะคำถามของเขา ถึงช่วงนี้เขาจะยิ้มบ่อยขึ้น ร่าเริง ขี้อ้อนกับผมแต่เขาไม่เคยลืมว่าอยากจะฆ่าตัวตาย

 
“พี่นน”

 
“ต้องเจอสิ”

 
ครืน

 
“อึก ปวดหัวจัง” เสียงฟ้าร้องทำเขาสะดุ้งและอาการแย่ลง เขาบีบมือผมแน่น

 
“กอดไหม”

 
“…ถ้าจิงตายไปก็ดีสิ ไม่ต้องมาเป็นภาระ..”

 
“จิง!” ผมเรียกเขาเสียงดังแข่งกับเสียงฝน ดึงเขาให้มานั่งใกล้กันขึ้นจนไหล่เราเบียดกัน

 
“ปวดหัวๆๆๆ” เขาพูดซ้ำๆ และซบหัวลงที่ไหล่ผม

 
“ไหนบอกจะทำให้พี่มีความสุขไง” ผมพูดแล้วใช้มืออีกข้างที่ยังว่างลูบหัวเขา อีกข้างก็กระชับฝ่ามือเขาไว้

 
“อึก” เขาสะดุ้งแต่ยังซบหน้ากับไหล่ผม

 
“ถ้าจิงหายกลัว พี่คงมีความสุขมากๆ เลย” ผมพูดและก้มลงไปจูบลงบนหัวเขาผ่านพลาสติกบางๆ ของชุดกันฝน “เราจะทำให้พี่มีความสุขใช่ไหม...จะเข้มแข็งใช่ไหมครับ”

 
ครืน

 
“ฮึก พี่นน จิงกลัว อึก” เหมือนฟ้าฝนกลั่นแกล้ง ฝนเทลงมาห่าใหญ่ ลมพัดแรงจนเกิดเสียงน่ากลัว

 
“พี่จะอยู่ข้างๆ จิง กอดกันไหม”

 
“ไม่เอา จิงต้องหายสิ ฮึบ” เขาเงยหน้ามายิ้มให้ผมทั้งที่น้ำตาคลอเบ้า ใจผมแทบจะขาดลงตรงนี้ “ถ้าหายพี่นนต้องยิ้มนะ”

 
“ครับ สัญญาเลย”

 
“เพราะจิง ชะ ชอบยิ้มของพี่มากเลย” เขาซบหน้าลงตรงไหล่ผมอีกครั้งและหลับตาลง พูดเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมานานแล้ว เหมือนเล่าความฝันที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อคืนให้ผมฟัง “มันเหมือนตอนนั้น  กะ ก่อนที่จิงจะหลับไป จิงเห็นพระอาทิตย์มันสวยมากเลย...เหมือนรอยยิ้มของพี่เลย”

 
“จิง” เรียกชื่อคนที่ยิ้มทั้งน้ำตา

 
          ทำไมฟ้าต้องทำให้เขาพบเจอกับเรื่องแบบนี้ โดนพ่อตัวเองทำร้ายร่างกายจนเช้า แต่เขาก็ยังทำทุกอย่างเพื่อคนที่ทำร้ายเขาเพื่อความรักและความอบอุ่น แต่เขาก็ยังโดนทำร้ายอีกครั้งแต่ครั้งนี้ดันเป็นที่จิตใจ เขาเคว้งคว้างจนมาเจอคนไร้ชีวิตแบบผม...คนไร้ชีวิตที่อยากทำให้เขามีชีวิต

 
“จิงต้องหายๆๆ” เสียงพูดย้ำดังขึ้นมาอีกครั้งเรียกให้ผมได้สติ

 
“จิงรู้ไหม” ผมพูดและโอบไหล่เขาไว้ให้เข้ามาซบในอ้อมแขน

 
“ฮึก” จิงสะอื้นออกมา ผมเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาของเขาแล้วก็เจ็บไปทั้งใจ ทั้งที่คิดว่าดีขึ้นแล้ว...

 
“พี่อยากเห็นจิงโตไปเรื่อยๆ” ถึงแม้จะมีชุดกันฝนกั้นเราไว้แต่ผมก็ภาวนาให้ความรักที่ผมมีส่งไปให้ถึงเขา

 
“โถ ลุง” แม้แต่ในเวลาแบบนี้ที่ตัวเองกลัวจนตัวสั่น ยังเงยหน้ามาทำหน้าสงสารผม

 
“หึ สะเทือนใจเหมือนกันนะครับ เอาความจริงมาพูดแบบนี้” ผมเลือกที่จะเปลี่ยนเรื่อง ดึงความสนใจของเขาให้มาอยู่ที่ผม

 
“อะไร” เขาทำหน้าตกใจและยื้อตัวที่ยังสั่นอยู่ออกไปนั่งดีๆ และจ้องหน้าผม

 
“อีกไม่กี่เดือนผมก็เลขสามสองตัวแล้ว”

 
“หะ” เขาทำหน้าเหวอและใช้มือเล็กทั้งสองข้างมาประกบแก้มผม...ผมขำในลำคอกับดวงตาที่เบิกกว้างของเขา “เฮ้ย! จริงดิ”

 
“ครับ”

 
“พี่ต้องใช้สูตรโกงอายุแน่ๆ” จิงพูดเป็นปกติทั้งที่ก่อนหน้านี้พูดติดขัดเพราะความกลัว เขาทำหน้าหยุดคิดและเบิกตากว้างพร้อมกับออกแรงบีบแก้มผมอีกนิด “เห้ย! เราห่างกันเก้าปีเลยอะ”

 
“ครับ”

 
“ลุงของจิง”

 
“...”

 
“ฮ่าๆ”

 
“จิง” ผมเรียกเขาที่หัวเราะกว้าง แถมยังยืดแก้มผมไปมาอีก

 
“อื้อ” ส่งเสียงกลับมาแล้วช้อนสายตาลูกหมามองผม

 
“ผมยังไม่แก่ขนาดนั้นสักหน่อย”

 
“ก็จริง” เขาพยักหน้าและปล่อยมืออกแต่กลับยกมือผมไปแนบแก้มตัวเองไว้แทน “แต่ไม่กล้าเรียกพี่แล้วอะ”

 
“ผมยังไม่สี่สิบสักหน่อย”

 
“ลุงครับ”

 
“จิง” ผมแกล้งทำหน้าเหนื่อยหน่ายมองใบหน้าใสที่ตอนนี้คราบน้ำตาได้แห้งไปแล้ว เหลือก็แต่รอยยิ้มอ้อนที่มองมาที่ผม


 
.
 
.
 


“ฮ่าๆ แฟนใครน่ารักจัง” ผมหัวเราะเพราะพี่นนทำหน้านิ่งเบอร์สิบใส่กัน สงสัยคงงอนที่ผมเรียกลุงจริงๆ แล้วล่ะมั้ง

 
เปรี้ยง!

 
“อะไรนะครับ” เขาโน้มตัวลงมาใกล้เพื่อฟังคำที่ผมพูดเมื่อครู่อีกครั้ง

 
“แฟนใครน่ารักจัง” ผมยืดตัวไปพูดข้างหูเขา เพื่อให้ได้ยินประโยคเมื่อครู่ชัดๆ พี่นนยิ้มแล้ววางมือบนหัวผม

 
“ถ้าวันไหนฝนตกก็คิดถึงวันนี้นะครับ”

 
"..." ผมเงียบ มองใบหน้านิ่งที่ยกยิ้มมุมปากและผมก็เข้าใจความหมายนั้น หันไปมองสายฝนข้างหน้า...ลืมคิดถึงมันไปตั่งแต่เมื่อไหร่กันนะ

 
          จู่ๆ ฟ้าก็แลบขึ้นมาหนึ่งครั้งและไม่ช้าเสียงฟ้าผ่าก็ดังออกมาอีกครั้ง น่าแปลก...ผมไม่ได้กลัวว่ามันจะเกิดอย่างเคย แค่สะดุ้งเพราะเสียงที่ดังของมัน ผมเอื้อมมือไปกุมมือใหญ่แล้วยิ้มกว้างให้เขาและพยักหน้ารับคำพูดเมื่อกี้
 
         
 “พี่นน ขอบคุณนะ” พูดไปพร้อมความตื้นตันใจ สังเกตตัวเองที่มือเริ่มไม่สั่น อาการปวดหัวเริ่มหายไป ผมบีบมือพี่นนไว้เพื่อย้ำกับตัวเองว่าไม่ได้ฝันไป มองสายฝนที่เทลงมาไม่หยุดและมองมือเราที่กอบกุมกันไว้ ทุกอย่างเป็นเรื่องจริง

 
“พี่ไม่ได้ทำอะไรเลย พี่แค่อยู่ข้างจิง”

 
“...” ผมส่ายหน้า พี่นนทำ...เขาทำให้ผมไม่ไปจดจ่ออยู่กับอดีต เขาดึงผมออกมาจากตรงนั้น

 
“ไม่ว่าเมื่อไหร่พี่ก็อยู่กับจิงเสมอ”

 
          พี่นนจูบลงที่หน้าผากผมแผ่วเบาแล้วกอดผมไว้โยกตัวไปมาราวกับปลอบใจเด็กน้อยจิงจิงคนนั้นที่นอนหายใจโรยรินท่ามกลางความมืด ความเจ็บที่เกิดกับร่างกายเกินจะต้านทาน ส่งผลให้ดวงตามืดมิด แต่แล้วก็มีแสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ในตอนนั้นแค่ความอบอุ่นเล็กน้อยจากแสงอาทิตย์ที่ไล้เลียผิวกาย ทำให้ผมยิ้มท่ามกลางความปวดร้าวได้
 

          แต่ในวันนี้ที่ผมได้รับความอบอุ่นมากมายขนาดนี้ มันมากมายจนแทรกซึมเข้ามาในหัวใจ ผมยิ้มกว้างกว่าเดิม เมื่อภาพตอนโดนทำร้ายซ้ำๆ แปรเปลี่ยนเป็นความทรงจำที่ไม่เจ็บปวดอย่างเคย ผมหลับตาลงมองมันด้วยความเข้าใจ บอกลาและลืมตาขึ้นมองปัจจุบัน

 
          เหมือนได้ยินเสียงปลดล็อคในความทรงจำที่มืดมิด เสียงฝนตก ฟ้าร้องและเสียงลม กลายเป็นเสียงปกติ ไม่ใช่เสียงกรีดร้องของตัวเองในวันวาน ในที่สุดภาพวันนั้นก็เป็นเพียงความทรงจำ ที่ผมไม่สามารถย้อนกลับไปได้และมันก็ไม่สามารถทำร้ายผมได้อีก

 
“สัญญาแล้วนะครับ ว่าจะคิดถึงวันนี้...จะเข้มแข็ง”

 
“อื้อ” และผมก็สัญญาว่าจะเก็บความอบอุ่นนี้ไว้ให้ดีที่สุด

 
          พี่นนยิ้มให้ผมตามสัญญาก่อนหน้านี้ที่จะมอบรอยยิ้มให้กัน มันเป็นรอยยิ้มที่เหมือนแสงแรกในยามเช้าแม้เสี้ยวนาทีก็สวยงาม ผมยิ้มจากใจที่เต็มไปด้วยความสุขตอบกลับไป เราจูบกันหนึ่งครั้ง จับมือกันอีกครั้งและจดจำไว้ว่าวันนี้ความกลัวของผมได้หายไปแล้ว
 

 
 






*******************************************************
TBC



ออฟไลน์ Tiffany

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
ขอให้ทั้งสองคนเข้มแข็งขึ้นในทุกๆวัน

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
 :L2: :pig4:  :L2:

ออฟไลน์ Readyaoi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
ขอใฟ้ไม่มีดราม่า ขอให้ทั้งคู่รักกันอย่างไร้อุปสรรคด้วยเทด คนเขียนสู้ๆน้าาาา

ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0

ตอนที่ 17 ดูดวงลายมือ



 
“จิง...อเมริกาโน่ โต๊ะสาม”

 
“ครับ”

 
          ผมตอบรับพี่ชินแล้วถือถาดที่มีแก้วอเมริกาโน่แบบร้อนวางอยู่ หยิบเค้กช็อกโกแลตวางไว้ข้างกันตามเมนูที่ลูกค้าสั่งและเดินไปที่โต๊ะนั้น ผมบอกทวนชื่อเมนูทั้งสองและวางไว้บริเวณที่ว่างของโต๊ะ แอบมองกระดาษที่เป็นโครงร่างอะไรสักอย่างและชาร์ทสีสีอย่างถือวิสาสะ

 
“ขอบคุณครับ” เสียงทุ้มของลูกค้าทำให้ผมเงยหน้าสบตาเขา เขามองผมแล้วยิ้มขอบคุณ ผมเลยยิ้มกลับและโค้งหัวให้หันหลังและเดินออกมา
 

          ผมเดินไปส่งกาแฟรอบที่สองของวัน เขาก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ผมไปพักกินข้าวกลับมาอีกครั้ง เขาคนนั้นก็ยังนั่งอยู่ที่เดิมแต่ดูเหมือนตอนนี้ใบหน้าของเขาจะเคร่งเครียดกว่าปกติ ผมมองไปที่โต๊ะก็พบว่ามีจานเค้กและแก้วเครื่องดื่มต่างๆ จำนวนมากจนเริ่มล้นโต๊ะ จึงเดินเข้าไปเก็บ
 

“ขออนุญาตเก็บนะครับ”

 
“อ่า ครับ” เขาเงยหน้าจากเอกสารและมองที่ผมสักพักก่อนจะยกมือมานวดขมับตัวเองไปมา “เอ่อ ผมเอาน้ำเปล่าขวดหนึ่งนะครับ”

 
“ครับ” ผมตอบแล้วผมลอบมองใบหน้าแบบลูกครึ่งของเขา เขาไว้ผมยาวแล้วมวยผมไว้ข้างหลัง เขาดูติสท์แต่ก็ดูดีมากเลย มองเขาหยิบชาร์ทสีขึ้นมาเทียบกับกระดาษที่มีโครงร่างของร้านอะไรสักอย่างแต่ให้เดาคงเป็นพวกร้านเครื่องประดับเพราะเต็มไปด้วยตู้กระจก เพราะเห็นเขามัวแต่ขมวดคิ้วเครียดเลยหลุดปากพูดออกไป “ถ้าเป็นร้านเครื่องประดับแบบนี้ โทนพื้นส่วนใหญ่ ผมว่าสีดำคงเหมาะนะครับ สีมันน่าจะตัดให้พวกเครื่องประดับดูเด่นชัดขึ้น...”

 
“...” เขาเงยหน้าจากกระดาษมาจ้องตาผม

 
“เอ่อ ขอโทษที่พูดมากครับ”

 
“ไม่เป็นไรๆ แล้ว...ถ้าผมแทรกสีทองไปด้วยมันจะเป็นยังไง” เขาว่ายิ้มๆ และหยิบกระดาษสีทองและดำออกมาจากชาร์ทสีและวางบนกระดาษโครงร่าง

 
“อย่าเลยครับ มันจะทำให้...” ผมเม้มปากอีกรอบเพราะเผลอพูดมากเกินไป กำลังจะขอตัวแต่เขาก็ขัดขึ้นมาก่อน

 
“พูดต่อเลยครับ”

 
“มันจะทำให้พวกเครื่องประดับไม่โดดเด่น”

 
“แล้ว” เขาพยักหน้าและยิ้มอย่างพึงพอใจ “สีดำโทนไหนดีล่ะ”

 
“เอ่อ” เขาวางชาร์ทสีดำลงมากลางกระดาษ ผมลอบมองไปด้านเคาน์เตอร์ ถึงจะอยากเลือกแต่ผมไม่ควรอยู่ตรงนี้เพราะผมยังทำงานอยู่

 
“โอเคๆ” เขามองผมแล้วเก็บแผ่นชาร์ทสีลง “ผมชอบความคิดคุณ เราคิดตรงกันนะแต่ลูกค้าเขาบรีฟผมมาแบบนี้ผมก็ต้องทำ”

 
“อ่า ครับ” ผมมองกระดาษโครงร่างอีกรอบที่มีสีดำกับสีทองอยู่บนนั้น

 
“หน้าที่ผมคงต้องจัดวางสองสีนี้ ให้อยู่ด้วยกันแล้วออกมาดูดีที่สุด”

 
“ครับ” ผมตอบรับอย่างเข้าใจ

 
“ขอบคุณนะที่ช่วย” เขาว่ายิ้มๆ และเริ่มเก็บเอกสารบนโต๊ะ “ผมหายเครียดได้เยอะเลย”

 
“ครับ” ผมก้มหน้าหลบสายตาของเขาที่เริ่มเปลี่ยนไป “ถ้าอย่างนั้นขอตัวนะครับ เดี๋ยวน้ำเปล่าผมจะเอามาให้ที่โต๊ะนะครับ”

 
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมไปเอาที่เคาน์เตอร์พร้อมคุณเลย ได้เวลาที่ผมต้องไปหาลูกค้าแล้วล่ะ”

 
“อ่า ครับ”

 
          เขาออกจากร้านไปแล้ว ส่วนผมก็ทำงานต่อและไม่ได้คิดถึงเขาอีก จนกระทั่งในช่วงเย็นที่ใกล้ถึงเวลาที่จะต้องปิดร้าน เขากลับมายืนตรงหน้าผมอีกครั้งและมองผมด้วยสายตาที่ผมขนลุก สายตาของเขาเหมือนสายตาของลุงโรคจิตที่เคยจับก้นผม แย่แล้วสิ

 
“ลาเต้เย็นหนึ่งแก้วครับ”

 
“ครับ”

 
          ผมตอบรับและยื่นมือไปรับเงิน ส่งเงินทอนให้เขาตามปกติ พยายามไม่สบสายตาที่มองผมแบบชัดเจนนั้น ผมหันไปรับกาแฟจากพี่ชินโดยมีสายตาของเขามองตามตลอด นั่นมันทำให้ผมขนลุก

 
“ลาเต้เย็นได้แล้วครับ”

 
“ขอบคุณครับ”

 
“อะ” ผมสะดุ้งเพราะตอนที่ผมยื่นแก้วให้เขาแทนที่เขาจะรับมันไปดีๆ แต่กลับลูบวนที่หลังมือผมและมอบรอยยิ้มที่ทำให้ผมรู้สึกขนลุกกว่าเดิม ผมรีบดึงมือคืนและปั้นหน้ายิ้มให้เขา

 
“เย็นนี้คุณว่างไหม”

 
“เอ่อ ขอโทษด้วยนะ..” ยังไม่ทันพูดจบของก็พูดแทรกขึ้นมา

 
“ผมอยากพาคุณไปทาอาหารอร่อยๆ สักมื้อตอบแทนที่คุณช่วยผมไว้ไง”

 
“เอ่อ คือ...”

 
“เท่าไหร่ล่ะ”

 
“...” ผมชะงักไปที่เขาพูดแบบนั้น

 
“จะไปทานข้าวกับผมใช่ไหม เท่าไหร่ดี” สายตาคุกคามมองไปทั่วใบหน้าผมและมองต่ำลงไปเรื่อยๆ ผมหันไปมองพี่ชินและขอความช่วยเหลือเขาทางสายตา

 
“คุณ..” ในตอนที่พี่ชินกำลังเดินเข้ามาเพื่อช่วยผมแก้สถานการณ์ เขาคนนั้นก็เซไปเพราะแรงผลักของใครบางคน

 
ผลั่ก

 
“เอาลาเต้ครับ” ใครคนนั้นมีใบหน้าเรียบนิ่งทั้งที่เพิ่งผลักผู้ชายคนนั้นจนกระเด็น ผมมองสบตากับเขา คนที่อยู่ห้องเดียวกันกับผม แฟนของผม...

 
 
“เฮ้ย! ไม่เห็นรึไงว่าคนอื่นยืนอยู่” ผู้ชายคนนั้นผลักไหล่พี่นนคืนและพวกเขาก็จ้องหน้ากัน ผมมองพี่นนที่กำมือแน่นด้วยความกังวล

 
“โทษทีครับ นึกว่าแมลง” พี่นนมองไปที่เขาคนนั้นด้วยสีหน้านิ่งเหมือนเดิมแต่แววตากลับน่ากลัวจนคนนั้นชะงักไป “เห็นพูดอะไรไม่รู้ น่ารำคาญมากเลยครับ”

 
“ไอ้!”

 
“พอเถอะครับ” เป็นพี่ชินที่แยกเขาทั้งสองคนออกจากกัน “ขอโทษแทนทุกคนด้วยนะครับ”

 
 “เหอะ” เป็นเขาที่หยุดไปแล้วหันมามองหน้าผมแบบเหยียดหยามและหันไปมองหน้าพี่นน “มันมาอ่อยกูเองนะ”

 
“...”

 
          ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบหลังจากที่ผู้ชายคนนั้นเดินออกไป น่าเศร้าที่ก่อนหน้านี้ผมแอบชื่นชมเขาในใจและโชคดีที่ไม่มีลูกค้าเหลืออยู่ในร้านแล้ว ไม่งั้นผมคงไม่กล้ามาที่นี่อีก  ผมมองหน้าพี่ชินที่เดินเข้ามาลูบหลังผม พี่ชินทำหน้าเหนื่อยหน่ายใจเล็กน้อยแต่ก็ยังมอบรอยยิ้มใจดีให้ผม

 
“ไม่เป็นไรแล้วนะ”

 
           พี่ชินเดินเข้ามาปลอบผม เขาคงกลัวผมตกใจเพราะเป็นคนเห็นเหตุการณ์แต่แรกเลยพอจะเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่กับพี่นนที่ตอนนี้ยืนนิ่งจ้องผมอยู่ด้วยใบหน้านิ่ง ผมไม่รู้ว่าเขาจะคิดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยังไง

 
 “เดี๋ยวผมรอข้างนอก” พี่นนพูดและเดินออกไปโดยไม่รอฟังอะไรจากผมสักคำ

 
“อ่า เก็บร้านกันดีกว่า”

 
“ครับพี่ชิน จิงขอโทษนะครับ” ผมยกมือไหว้เขา

 
“ไม่เป็นไร เราไม่ผิดสักหน่อย” พี่ชินว่าและตบไหล่ผมเบาๆ “เก็บร้านกันดีกว่า”

 
“ครับ” ผมตอบรับและเริ่มช่วยพี่ชินเก็บร้าน แต่ใจก็กังวลอยู่ที่พี่นน

 
.
 
.

 
          ผมมานั่งสงบสติอารมณ์ตัวเองที่สวนสาธารณะแถวบริษัท มองต้นไม้ มองผู้คนที่ออกมาวิ่งเรื่อยๆ ในหัวก็นึกย้อนไปเหตุการณ์เมื่อครู่ที่ได้ยินคำพูดคุกคามจิง ในตอนนั้นผมเกือบต่อยเขาไปแล้วแต่ยังดีที่ชินเข้ามาห้ามผมไว้ ไม่อย่างนั้นจิงคงกลัวผมไปอีกคน

 
“พี่นน” ผมเงยหน้ามองคนที่นั่งลงข้างกัน ใบหน้าน่ารักมองผมอย่างกังวล “จิงไม่ได้ทำแบบที่เขาบอกนะ”

 
“ครับ” ผมอมยิ้มที่เห็นเขาขมวดคิ้วกังวล “ผมเชื่อ”

 
“แล้วทำไมมาอยู่ตรงนี้ล่ะ จิงเดินตามหาตั้งนาน”

 
“ขอโทษที่ไม่ได้บอก” ผมบอกเขาและหยิบกล่องที่วางอยู่บนตักตัวเองให้เขา “ผมว่าวันนี้คุณคงเหนื่อย เลยมาซื้ออะไรก็ได้ที่ทำให้คุณยิ้มได้”

 
“หูย” เขาเปิดกล่องกระดาษที่บรรจุเค้กไว้สองชิ้น

 
“ผมทำสำเร็จไหม”

 
“อือ” เขาหันมายิ้มตาหยีให้ผม จนผมต้องยิ้มตาม

 
          เรานั่งข้างกันเงียบๆ ผมมองเขาที่สนใจกล่องเค้กด้วยรอยยิ้มสดใสแล้วก็รู้สึกชื่นใจ ผมชอบเวลาที่ได้อยู่กับเขาแบบนี้ ได้เป็นตัวของตัวเอง สบายใจและหลงรักในรอยยิ้มของเขาไปเรื่อยๆ ลมในตอนเย็นพัดผ่านเราสองคนไปทำให้ผมหน้าม้าของเขาเสียทรง ผมเอื้อมมือไปช่วยจัดทรงให้เขา เราสบตากันและจิงก็ยิ้มให้ผม
 

“จิงชอบพี่”

 
“ครับ” ผมตอบรับอย่างประหลาดใจที่เขาพูดออกมา

 
 “จิงแค่อยากให้พี่รู้เพราะตอนนี้มันเหมือนความรู้สึกของจิงจะมันจะทะลักออกมาเลย”

 
“…” เขาใช้มือข้างที่ว่างขึ้นมากุมอกและนั่นทำให้ผมยิ้มได้กับท่าทางน่ารักของเขา

 
“ในตอนแรกจิงไม่รู้ว่าที่รู้สึกกับพี่มันคืออะไรกันแน่” ผมมองเขาที่มองไปที่สระน้ำกว้างตรงหน้า แอบมองปากเล็กที่พูดระบายความในใจออกมา “แต่จิงชอบเวลาที่จิงอยู่กับพี่ ตอนที่พี่จับมือจิงนะ ในใจจิงมันจี๊ดๆ ไปหมดเลย”

 
“แบบนี้เหรอครับ” ผมคว้ามือของเขามากุมไว้และวางลงระหว่างระยะห่างของเราเพื่อหลบซ่อนสายตาของผู้คน

 
“อือ จิงชอบทุกอย่างเวลาที่เราได้อยู่ด้วยกันมากเลย” ผมมองดวงตาที่จ้องมาที่ผมอย่างซื่อสัตย์ด้วยใจเต้นระรัว “และถ้าจิงทำอะไรให้พี่ยิ้มได้ ใจจิงมันจะฟูมากๆ เลยอะ

 
“...” ผมมองไปที่สระน้ำเหมือนกันกับเขาเพื่อซ่อนความประหม่าที่เขาพูดออกมาตรงๆ

 
“พี่ชอบจิง ชอบที่จิงมีความสุขแบบนี้”
 

“แล้วถ้าไม่มีความสุขล่ะ” เขาพูดแล้วก้มหน้าลงเล็กน้อยและเป็นผมที่เชยคางนั้นให้ดวงตาเราประสานกันไว้ “...ถ้าจิงไม่มีความสุข พี่จะชอบจิงไหม”

 
“พี่ชอบทุกอย่างที่เป็นจิง ไม่ว่าจะเสียใจ โกรธหรือหึงหวง”

 
“จิงก็เหมือนกัน” เขาพูดเบาๆ ด้วยใบหน้าที่ขึ้นสีแดง “จิงชอบนะ ที่พี่หึงจิง”

 
“จูบได้ไหม” พูดออกไปตรงๆ แบบเขาบ้างและพยายามก้มหน้าไปใกล้เขา

 
“ไม่เอา” จิงพูดแล้วหลบสายตา ก้มหน้าหนีผมและยกกล่องเค้กมากั้นระหว่างใบหน้าเราสองคน “อยากกินเค้กก่อนอะ”

 
“หึ ได้ครับ” ผมยิ้มแต่ในใจก็นึกหึงหวงเค้กที่แย่งความสนใจของเขาไป

 
 
.
 
.

 
          หลังจากที่ผมเผลอบอกชอบพี่นนเพราะบรรยากาศเป็นใจแล้ว ผมก็ขอพักยกกินเค้กก่อน เราขยับมานั่งใกล้กันมากขึ้นเพื่อกินเค้กด้วยกัน ผมมองเขาที่ตักเค้กเข้าปาก ถึงจะหน้านิ่งเหมือนเดิมแต่ผมก็สังเกตได้ว่ามีประกายในดวงตาของเขา ผมลอบยิ้มเล็กน้อยเล็กท่องจำไว้ว่าพี่นนชอบของหวาน

 
“อร่อยอะ”

 
“ครับ ชอบรสอะไรมากกว่ากัน”

 
“อือ ไวท์ช็อกโกแลตอะ” ผมตอบแล้วมองใบหน้าด้านข้างคนหน้านิ่ง “พี่ชอบช็อกโกแลตใช่ปะ”

 
“ครับ”

 
“เดี๋ยววันหลังจิงจะทำเค้กช็อกโกแลตให้กินบ้างดีกว่า”

 
“ผมจะรอครับ”

 
“เตรียมพุงรอไว้ได้เลย”

 
          ผมหัวเราะและอ้อนคนที่วางมือบนหัวตัวเองด้วยการไถหัวไปกับมือเขา พอกินเค้กกันจนหมดแล้ว เราก็นั่งพักผ่อนกันเงียบๆ ผมมองไปทั่วบริเวณนี้เป็นสวนสาธารณะใจกลางเมืองที่ค่อนข้างใหญ่ มีสระน้ำใหญ่อยู่ตรงกลาง พี่นนเคยบอกว่าเขาชอบที่จะมานั่งมองตรงนี้และเราเคยมาด้วยกันหลายครั้ง ผมเลยเดาออกว่าพี่นนตองมาอยู่ตรงนี้

 
          ผมที่กำลังจะหาเรื่องแกล้งคนหน้านิ่งให้ยิ้ม ชะงักไปเพราะสายตาผมก็ไปปะทะเข้ากับป้ายที่อยู่ข้างๆ ป้าคนหนึ่งที่นั่งหันหลังไกลไปจากตรงนี้ ป้ายนั้นเขียนไว้ว่ารับดูดวงลายมือ หืม รับดูดวงอย่างงั้นเหรอ

 
“หูย” ผมจับมือพี่โตให้วางที่ตักตัวเองและหงายมือนั้นขึ้น ใช้นิ้ววาดตามลายมือและพยักหน้ากับตัวเอง ก่อนจะมองหน้าพี่นนแบบจริงจัง “ดวงคุณนี่มีแฟนหล่อนะ แถมยังนิสัยดีมากๆ เลยนะครับเนี่ย”

 
“หึ” เขาหลุดขำและขยี้หัวผม “ถ้าผมขี้หวงก็ต้องโทษที่ตัวเองน่ารักแล้วล่ะครับ”

 
“โอ๊ย พอเลย” ผมว่าคนที่ขยี้หัวผม

 
จุ๊บ

 
“พี่! เดี๋ยวคนเห็น” ผมสะดุ้งที่เขาก้มหน้าลงมาจุ๊บที่ปากของผมแบบรวดเร็วและกลับไปนั่งหน้านิ่งเหมือนเดิม

 
“ไหนผมขอดูบ้าง” พี่นนว่าแล้วจับมือไปดู ไม่สนใจผมที่เขินจนหน้าดำหน้าแดง “ดวงคุณก็มีแฟนหล่อและใจดีที่สุดในโลกเหมือนกันนะเนี่ย”

 
“แฟนจิงหน้านิ่งที่สุดในโลกต่างหาก” ผมยกมือตัวเองมาชี้ให้เขาดูและแลบลิ้นทะเล้นให้เขา

 
“แฟนผมก็คงจะเป็นน่ารักที่สุดในโลกนะ” เขาว่ายิ้มๆ และยกมือตัวเองมาดูบ้าง

 
“พอก่อนๆ” เป็นผมที่ขอยอมแพ้เพราะความร้อนบนใบหน้าเยอะเกินไป “เขินไม่ทันแล้ว จิงต้องตายก่อนสัญญาเราแน่ๆ อะ”

 
 “หึ” พี่นนขำและดึงมือผมไปกอบกุมไว้ เขายิ้มให้ผมและใช้มืออีกข้างไล้แก้มผมเบาๆ ก่อนจะพูดอะไรบางอย่างออกมาให้ผมได้ยิน “จิงมีชีวิตต่อไปได้ไหม”

 
“...แล้วสัญญาของเราล่ะ” ผมเงียบไปแล้วทวงถามสัญญา ถึงแม้ผมจะไม่อยากเห็นคนข้างกันตายไปแต่ก็อยากถามเหตุผลที่เขาเปลี่ยนใจ “ทำไมถึงเปลี่ยนใจ”

 
“พี่ไม่ได้เปลี่ยนใจ ไม่ได้ยกเลิกสัญญาของเรา” เขามองผมด้วยสายตาแบบที่อธิบายไม่ถูก เป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความเว้าวอนและเต็มไปด้วยความรัก มันลึกซึ้งจนใจผมบีบรัด

 
“พี่นน” ผมสบตากับเขาท่ามกลางแสงอาทิตย์สีส้มที่กำลังบอกลาเราทั้งสอง

 
“สัญญากับพี่ได้ไหม ว่าจิงจะมีชีวิตอยู่” ถ้ามีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว ผมจะทำยังไงกับชีวิตที่เหลืออยู่ล่ะและเหมือนพี่นนจะได้ยินความกังวลในใจของผม จึงพูดประโยคที่ทำให้ใจที่บีบรัดเต้นดังและทำให้อบอุ่นในเวลาเดียวกัน “จนกว่าจิงจะหายไป พี่จะอยู่ข้างจิง”

 
“จิง...” ถ้ามีเขาอยู่ด้วยกัน แค่มีเขาจับมือผมไว้แบบนี้ โลกใบนี้คงไม่โหดร้ายเกินไปสำหรับผมล่ะมั้ง ขอแค่มีเขา...ผมก็จะอยู่ “จิงสัญญา”

 
          เรายิ้มและเอนหลังพิงพนักเก้าอี้และชวนกันคุยถึงเรื่องราวของวันนี้โดยที่ยังไม่ปล่อยมือจากกัน ในใจผมรับรู้ถึงความอบอุ่นที่ชัดเจน ผมรู้ว่ามันไม่ได้เป็นเพราะภาพวิวแสนสวยตรงหน้า แต่นั่นเป็นเพราะคำสัญญาเมื่อครู่ คำสัญญาของเรานั้นไม่ได้หายไป แต่ความหมายของมันได้เปลี่ยนไปแล้ว บางทีคำว่าชอบของเราอาจจะเปลี่ยนเป็นคำว่ารักในตอนนี้

 
 
 
 
*******************************************************************
สวัสดีปีใหม่ไทยค่ะทุกคน :3123:
แวะเอาความหวานมาสาดส่งท้ายวันสงกรานต์จ้า
TBC


ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
ตอนที่ 18 What happened on Monday.



   วันนี้เป็นวันจันทร์และวันนี้เป็นวันครบรอบสามเดือนที่ผมอยู่ที่นี่ สามเดือนแล้วที่ผมมีพี่นนในชีวิต พอนึกถึงคำสัญญาของเราที่ความหมายมันได้เปลี่ยนไปแล้วก็รู้สึกเขินขึ้นมาเพราะความหมายที่ว่าจะตายไปด้วยกันจนกว่าใครอีกคนจะหายไป นี่มันลึกซึ้งกว่าการบอกรักซะอีก


“แวะกินโจ๊กกันก่อนไหมครับ”


“อือ” ผมตอบรับ


   พี่นนเลี้ยวรถและจอดไว้ข้างร้านโจ๊กที่ของเรามากินด้วยกันบ่อยๆ โจ๊กพิเศษใส่ไข่ไม่ใส่ขิงเป็นเมนูประจำของเราและเพราะวันนี้ได้นั่งตรงข้ามกัน ผมจึงเห็นใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน พี่นนนั่งหน้านิ่งมองมาที่ผมอย่างง่วงๆ สงสัยยังตื่นไม่เต็มที่ ผมเลยเอาน้ำแข็งอันเล็กไปวางบนมือเขา พี่นนปัดออกแล้วแกล้งผมด้วยกันวางน้ำแข็งบนมือผมบ้าง เราหัวเราะและสงบศึกนี้ตอนที่ถ้วยโจ๊กวางตรงหน้า


   พี่นนเทซอสให้ผมหนึ่งช้อนและเหยาะพริกไทยลงบนถ้วยของผม ก่อนที่จะปรุงของตัวเอง พริกหนึ่งช้อน น้ำตาลหนึ่ง ซอสอีกหนึ่งช้อนและไม่ลืมเหยาะพริกไทยเล็กน้อย เราไม่ชอบกินเปรี้ยวเหมือนกัน พวกเราเป่าไล่ความร้อนและลงมือกินโจ๊กตรงหน้า


“ยิ้มอะไรครับ”


“เปล่า” ผมยิ้มและเผลอเรียกเขาตอนที่นึกบางอย่างออก “พี่นน”


“ครับ”


“ต่อไปนี้เราจะทำอะไรกัน เอ่อ หมายถึงถ้าพี่ใช้หนี้หมดแล้ว”


“ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลย คิดแค่ว่าอยากอยู่กับคุณไปเรื่อยๆ”


“อะ” ผมพยายามไม่แสดงออกว่าเขินคำพูดของคนหน้านิ่งมากแค่ไหน แต่ก็ดูเหมือนว่าจะเปล่าประโยชน์เพราะผมสัมผัสได้ถึงความร้อนที่วิ่งพล่านบนใบหน้าได้อย่างชัด หน้าผมคงแดงมากแน่ๆ


“แล้วจิงล่ะ” เขาเงยหน้ามองผม คงเป็นเพราะหน้าผมคงแดงมาก พี่นนเลยยิ้มขำก่อนจะทำเป็นกินโจ๊กต่อ “เรียนจบแล้ว จะทำไงต่อครับ”


“เอ่อ” กลายเป็นผมที่เงียบไป แต่แล้วก็นึกสนุกตอบเขาไปเพราะอยากแกล้งแหย่ให้คนหน้านิ่งอายบ้าง “จิงคงหางานทำ แล้วเก็บเงินไปสู่ขอพี่”


“หึ ผมจะรอ” พี่นนยิ้มเบาๆ และจ้องผมด้วยสายตาที่ทำเอาผมหน้าร้อนกว่าเดิม


“ระ รีบกินสิ เดี๋ยวไปทำงานสาย”


“ครับ” ชีวิตหลังจากคบกันก็เป็นแบบนี้ พี่นนกับผมทำให้วันธรรมดาพิเศษขึ้นมาอีกนิดเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันและทุกครั้งที่เรามองตากันเหมือนในตอนนี้ ชีวิตธรรมดาของพวกเราก็ดูเหมือนจะพิเศษขึ้นอีกมากๆ เลย


   หลังจากกินเสร็จ ผมก็ขึ้นซ้อนฟีโน่ลูกรักเพื่อที่จะไปทำงานแต่แล้วผมใจหายขึ้นมาเพราะนึกได้ว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วที่ผมจะทำงานที่ร้านกาแฟของพี่ชินเพราะว่าผมที่กำลังจะจบมหาวิทยาลัยนั้นจำต้องลาออกจากร้านพี่ชินเพราะต้องการนำเวลาไปทุ่มเทกับโค้งสุดท้ายในชีวิตมหาลัย


“เจอกันตอนเย็นนะพี่” ผมบอกพี่นนและยื่นหมวกกันน็อคไปให้เขา


“ครับ” พี่นนรับหมวกกันน็อคของผมไปและวางมือลงบนหัวผม “วันสุดท้ายแล้ว อยากฉลองอะไรไหมครับ”


“อือ ตอนเย็นแวะซุปเปอร์กัน” ผมพยักหน้าและยิ้มกว้างให้พี่นน แอบเบียดหัวเข้ากับมือใหญ่เพื่อออดอ้อนเขา


“ได้ครับ” เขาลูบหัวผมและเลื่อนมือไปลูบที่ท้ายทอยผมเบาๆ และนั่นทำให้ผมขนลุกแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ารู้สึกดี


“อะ ไปดีกว่า” ผมสะดุ้งเพราะความรู้สึกวาบหวามแบบแปลกๆ ที่เกิดขึ้น ก่อนที่จะรีบหมุนตัวเดินหนีพี่นนไปทำงาน


   ผมคบกับพี่นนเพราะความรัก ความสบายใจ ความอบอุ่นและความรู้สึกที่ปลอดภัยเหมือนได้รับอ้อมกอดอบอุ่นตลอดเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าระหว่างเรามันมีอะไรบางอย่าง ความรู้สึกร้อนแรงที่ซ่อนไว้ลึกๆ

 
   พักหลังนี้เราต่างก็ต้องการความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันขึ้น เรากอด เราจูบกันด้วยความรู้สึกที่ร้อนแรงเหมือนจะหลอมละลายเกือบทุกครั้ง แต่พี่นนก็หยุดทุกครั้งก่อนที่จะเลยเถิด เขาให้เหตุผลว่าเราเป็นผู้ชายคนแรกของกันทั้งคู่ พี่นนกลัวและผมก็กลัวแต่ก็ไม่ได้รังเกียจกัน พี่นนขอเวลาสำหรับเรื่องนี้ ส่วนผมนั้นไม่เคยและไม่รู้ว่ามันจะออกมาเป็นแบบไหน จึงได้แต่นิ่งเงียบแต่หัวใจข้างในของผมก็ต้องการ…


“จิง!”


“อะ ครับ”


“เหม่ออีกแล้วเรา”


“ขอโทษครับ พอดีจิง...เอ่อ”


“หืม”


“เอ่อ เดี๋ยวจิงช่วยเก็บครับ”


   ผมว่าแล้วเดินไปหยิบไม้กวาดมาช่วยกวาดพื้นร้านเป็นครั้งสุดท้าย พยายามปรับอารมณ์ให้เป็นปกติจากการคิดถึงเรื่องเมื่อเช้า ผมลอบมองออกไปนอกร้านภายนอกเริ่มมืดครึ้มแล้วความรู้สึกที่ใจหายนิดหน่อยก็กลายเป็นเริ่มเศร้าแล้ว การจากลาผมไม่เคยจะชอบมันเลย


“พี่ชิน”


“ว่าไง” พี่ชินหันมาสบตากับผม


“วันนี้...จิงทำงานเป็นวันสุดท้ายแล้วนะครับ”


“ใจหายเหมือนกันเนอะ” เขาว่าแล้วยิ้มเบาๆ


“ครับ”


“ถ้าว่างก็แวะมาหากันบ้างล่ะ”


“ครับ” ผมกำลังจะเดินไปกวาดพื้นแถวประตูแต่เสียงบางอย่างจากข้างนอกก็ทำเอาผมชะงักไป


ครืน


   ฟ้าร้อง...พอหันหลังกลับไปมองด้านนอกผ่านกระจกใสภายในร้านก็พบว่า ฝนกำลังเทลงมาเหมือนฟ้ารั่ว ผมหยุดยืนอยู่ที่เดิมพร้อมมองสายฝนที่เทลงมากระทบพื้น ใจผมรู้สึกโหวงๆ แต่พอนึกถึงที่พี่นนบอกในวันที่เราติดฝนด้วยกันแล้วก็สบายใจขึ้น แม้ตอนนี้ไม่ได้อยู่ด้วยกันแต่ผมก็รู้ว่าผมไม่ได้อยู่คนเดียวอีกแล้ว ผมจะปลอดภัยและตอนนี้ผมก็ไม่ได้เกิดอาการน่ากังวลเหมือนแต่ก่อนแล้ว


“จิง” เสียงทุ้มที่ผมคุ้นเคยดังขึ้นจากด้านหลัง


“พี่นน” ผมหันไปมองเขาที่ดูรีบร้อนเปิดประตูร้านแล้ววิ่งมาหาผม “จิงไม่เป็นไรแล้ว”


“อ้าว ผู้ปกครองมารับแล้วเหรอ” พี่ชินยิ้มแซว ผมมองพี่นนและยิ้มให้เขาเพื่อยืนยันว่าผมไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ อยากจะเข้าไปกอดเพื่อบอกว่าผมรักเขามากแค่ไหน แต่เสียงพี่ชินก็ดังขึ้นมาก่อน “นั่งก่อนสิ ผมว่าอีกนานเลยกว่าฝนจะหยุด”


“เอ่อ ครับ”


   พี่นนตอบรับและไปนั่งรอที่โซฟา แต่พอผมเริ่มยกเก้าอี้ พี่นนก็ลุกขึ้นมาช่วยยกบ้าง หลังจากนั้นเราก็เก็บร้านช่วยกันและสุดท้ายก็มานั่งพักเหนื่อยกันที่โซฟากลางร้าน นั่งสักพักพี่ชินก็หายไปหลังร้านเพื่อคุยโทรศัพท์ ส่วนผมกับพี่นนจ้องตากันอยู่แบบนี้ เขายื่นมือมาจับมือผมไว้ราวกับอ่านใจผมได้


“ถ้าว่างก็แวะมาได้ครับ อย่าทำหน้าเศร้าแบบนี้เลย”


“อือ” ผมจับมือพี่นนไว้แน่น ถึงจะไม่กลัวฝน ไม่กลัวเหตุการณ์ในอดีตแล้วแต่การจากลายังไงก็มีผลกับจิตใจที่อ่อนแอของผม พยายามกลั้นน้ำตาที่เอ่อคลอแต่ก็ต้องพ่ายแพ้เพราะมือใหญ่ที่เอื้อมมาลูบหัวผม


“ร้องไห้แบบนี้เดี๋ยวก็โดนชินเขาล้อนะครับ”


“ไม่ร้องแล้ว” ผมว่าแล้วปาดน้ำตาออก พอดีกลับพี่ชินที่เปิดประตูออกมา ผมกระเด้งตัวออกจากพี่นนและทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น


“พี่ชิน” ผมเรียกเจ้านายใจดีที่ถือเค้กมาหาผมพร้อมรอยยิ้มสดใส เหมือนวันแรกที่เขาเจอผม


“นี่เค้กสำหรับเรา...ถึงพี่นุชจะอยู่ฉลองกับเราไม่ได้แต่เค้กนี้ พี่กับพี่นุชก็ช่วยกันเลือกมาเลยนะ”


“ขอบคุณมากครับ” ผมรับเค้กช็อคโกแลตก้อนกลมมาถือไว้ในมือ บนหน้าเค้กเป็นคำขอบคุณที่ทำผมน้ำตาคลออีกครั้ง “ขอบคุณครับ ขอบคุณสำหรับทุกอย่างเลยครับ”


“ขอบคุณกันเยอะเกินไปแล้ว พี่ก็ต้องขอบคุณเราเหมือนกัน” เขายิ้มให้ผมก่อนจะเดินไปนั่งโซฟาฝั่งพี่นน “ขอบคุณที่ช่วยงานพี่มาตลอดนะ ลองกินเค้กสิ”


“ครับ” ผมตอบรับและนั่งลงกินเค้ก ความหวานและขมที่กำลังพอดีกระจายไปทั่วปากนั่นทำให้ผมต้องเอ่ยปากชม “หืม อร่อยมากเลยครับ”


“กินเยอะๆ นะ” พี่ชินว่าแล้วเดินไปหยิบขนมและเครื่องดื่มจำนวนหนึ่งมาวางที่โต๊ะ “มาเลี้ยงส่งคนเก่งของเรากัน”


   เราสามคนนั่งคุยกันหลายเรื่อง ทั้งเรื่องสมัยพี่ชินอยู่มหาลัยหรือแม้กระทั่งเรื่องของผมที่มาอยู่กับพี่นนแต่ผมก็ไม่ได้บอกว่าเราคบกัน เรากินขนมและเค้กกันจนฝนหยุด พวกเราบอกลากันและช่วยกันเก็บของบนโต๊ะ


“พี่เก็บถุงเค้กไว้หลังตู้เย็นแน่เลย” พี่ชินบ่นขึ้นมาเมื่อหาที่เคาน์เตอร์ไม่เจอ


“เดี๋ยวจิงหยิบมาให้เองครับ พอดีจิงจะไปเข้าห้องน้ำด้วย”


“โอเค เดี๋ยวพี่ปิดกล่องเค้กให้”


“ครับ เอ่อ พี่นนรอจิงแป๊บเดียวนะ”


“ได้ครับ” พี่นนตอบรับผมและเดินไปนั่งที่โซฟาของร้าน ส่วนพี่ชินก็เดินไปดูแลเครื่องชงกาแฟของเขา


   ผมเดินยิ้มอย่างอารมณ์ดีไปหลังร้านเพื่อเข้าห้องน้ำ ในตอนที่กำลังจะเปิดประตูห้องน้ำเพื่อไปทำธุระส่วนตัว ผมก็สังเกตเห็นแสงวูบวาบจากมือถือเครื่องสวยที่ผมจำได้ว่าเป็นของพี่ชิน มันโชว์สายเข้าวางอยู่บนเคาน์เตอร์ของครัว


   ที่หน้าจอขึ้นคำว่าคุณแม่ ผมหยิบขึ้นมาตอนแรกทำท่าว่าจะรับแต่ก็กลัวเสียมารยาทและด้วยกลัวว่าจะเป็นเรื่องเร่งด่วน เลยหยิบมือถือของพี่ชินขึ้นมาแล้วรีบเดินกลับไปที่ประตูเพื่อที่จะนำไปให้หัวหน้าผู้ใจดีของผม แต่เสียงบทสนทนาที่ผมไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังดันเล็ดลอดเข้ามาและทำให้ผมยืนนิ่งจับลูกบิดอยู่แบบนี้

   
“มึงกับจิงนี่ยังไง” ผมตกใจกับสรรพนามที่สนิทสนมของพวกเขา ทั้งที่เมื่อกี้ยังแทนคุณกับผม


“ก็คบกัน”


“แล้วอายุห่างกันขนาดนี้ไม่เป็นไรเหรอวะ”


“ก็ไม่นะ”


“แล้วเมื่อไหร่มึงจะบอกความจริงไป”


“ไอ้ชิน มึงมาพูดไรตรงนี้ เดี๋ยวจิงก็ได้ยินหมด”


“สบายใจได้ห้องน้ำมันไกลจากนี่เว้ย” ผมได้ยินเสียงเดินที่ห่างออกไปแต่เสียงที่พวกเขาคุยกันยังชัดเจน “...กูก็ไม่ได้จะคาดคั้นอะไรมึงหรอกนะ แต่กูสงสารจิงว่ะ”


“เออ เรื่องมันยากขึ้นเพราะกูเอง” ผมขมวดคิ้วแน่น “กูไม่รู้จะทำยังไงต่อไปแล้ว ไม่รู้จะเริ่มยังไง”


“....ก็เริ่มบอกจากมึงเป็นใคร ต้องการอะไร”


“...” ในตอนที่พี่นนเงียบ ใจผมกลับเต้นแรง


“ไม่ก็บอกไปเลยว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดคือแผนของมึง”


“ไอ้ชิน...พูดมากไปแล้ว”


“ครับ คุณนน...ว่าแต่กูแกล้งไม่รู้จักมึงเนียนไหม ฮ่าๆ”


“เออ” ...ผมไม่ได้โกรธเรื่องที่พวกเขาสนิทกัน แต่โกรธที่เขาบอกว่ามันคือการแกล้งทำและรู้สึกโกรธกับเรื่องที่พูดถึงแผนของพี่นนนั้น


   แผนอะไรกัน...แผนทั้งหมดของพี่นนคืออะไร พยายามที่จะไม่คิดในแง่ร้ายแต่มันก็เผลอคิดไปแล้วว่าแผนที่ว่าคงเกี่ยวกับผมและคงเป็นเรื่องที่ผมเป็นแฟนกับพี่นน หรืออาจจะเป็นเรื่องที่เราเจอกันวันแรกที่เสาไฟฟ้านั่นและถ้ามันเป็นแบบนั้น ที่ผ่านมาทั้งหมดมันคืออะไร มันคงจะเป็นแผนและคำโกหกทั้งหมดสินะ แค่คิดว่ามันจะเป็นแบบนั้นก็เหมือนกับโลกของผมจะถล่ม


   มือผมที่จับลูกบิดอยู่สั่นไปด้วยความกลัวและไม่เข้าใจ นี่มันเรื่องอะไรกัน อยากเปิดประตูออกไปถามเรื่องทั้งหมดแต่ก็ทำไม่ได้ เหมือนสมองของผมหยุดทำงานไปชั่วคราวแต่ความรู้สึกในใจตีรวนไม่ยอมหยุด มันทั้งโกรธทั้งกลัว แล้วถ้าเป็นแบบที่ผมคิดไว้จริงๆ พี่นนทำแบบนี้ทำไม จะโกหกผมไปเพื่ออะไร...







************************************************
TBC



ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
ตอนที่ 19 พร้อม



   ผมรู้ว่าจิงคงใจหายที่ต้องออกจากงานพาร์ทไทม์ที่ร้านกาแฟของชิน แต่ผมก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะเสียใจและเงียบไปขนาดนี้เพราะตั้งแต่เมื่อวานแล้วที่เขาเงียบไป ผมวางกระเป๋าไว้ข้างเตียงที่มีคนตัวเล็กนอนหลับอยู่ ก้มลงไปหอมหน้าผากมนแล้วเดินเข้าไปอาบน้ำ พอออกมาจากห้องน้ำจิงก็เปลี่ยนท่านอนหันหลังให้ผม


   ผมรู้ว่าเขาไม่ได้หลับ รู้ตั้งแต่เข้าไปหอมหน้าผากเขาแล้ว จิงแปลกไปจริงๆ ปกติแล้วถ้าผมกลับจากที่ทำงานเขาจะเข้ามากอดมาอ้อนผมหรือบางครั้งก็เล่าเรื่องราวที่เจอในมหาลัยให้ผมฟัง แบบนี้มันผิดปกติเกินไป ผมเริ่มกังวลเลยตัดสินใจขึ้นไปบนเตียงคร่อมคนตัวเล็กกว่าไว้ ถึงจะทำแบบนี้จิงก็เอาแต่นอนหันหลังแบบเดิม สายตาเขาเอาแต่มองออกไปนอกระเบียงโดยไม่สนใจผมที่คร่อมตัวเขาอยู่เลยสักนิด


“ไปมหาลัยมาเป็นยังไงบ้างครับ” ถามแล้วจับแขนคนที่นอนอยู่ด้านล่างออกแรงดึงให้เขานอนหงาย ผมก้มลงไปสูดดมความหอมจากพวงแก้มนุ่มนิ่มซุกอยู่แบบนั้นและสูดดมเข้าไปจนสุดปอด “หืม”


“อือ” จิงครางตอบรับผมในลำคอและดันหน้าผมออกเบาๆ และในตอนนี้เองที่เราได้สบตากัน


“จิงเป็นอะไร” ผมถามออกมาทันทีที่เห็นแววตาของเขา


“เปล่า” เขาว่าพร้อมหลบตาผมและความอดทนผมก็สิ้นสุดลง


   ผมก้มลงไปจูบที่ริมฝีปากเล็กอย่างรวดเร็ว บดเบียดเข้าหาด้วยความรุนแรง ขบเม้มริมฝีปากล่างของเขาแรงขึ้นเมื่อเขายังคงปิดปากแน่นไม่ตอบรับกัน จิงตกใจและเผลออ้าปาก ตอนนั้นเองที่ผมส่งความชื้นไปทักทายลิ้นเล็กเกี่ยวกระหวัดและดูดแรงขึ้น เมื่อนึกโกรธที่เขาไม่ยอมพูดและเอาแต่เงียบ...นี่คือบทลงโทษของเด็กดื้อของผม


“อื้อ” จิงประท้วงด้วยเสียงในลำคอแล้วใช้มือทุบอกผม ผมถอนจูบผละใบหน้ามาจ้องตาเขาตรงๆ ใช้มือลูบไปทั่วตัวเขา จิงสะดุ้งกับสัมผัสของผมและเริ่มดิ้น “...พี่นน”


“ยอมพูดกับพี่แล้วใช่ไหม” ว่าแบบนั้นแล้วก้มลงไปจูบริมฝีปากเล็กอีกรอบ มืออีกข้างก็ล้วงไปใต้เสื้อยืดตัวโคร่ง ลูบไล้ไปบนหน้าท้องแบนนุ่มนิ่ม ผมถอนจูบออกมาอีกครั้งและเรียกชื่อเขาด้วยความปรารถนา บางที...มันอาจจะถึงเวลานั้นแล้ว “จิง”


“ทำแบบนี้กับจิงทำไม ฮึก”


"โอเคๆ พี่ไม่ทำแล้ว” ผมตกใจและรีบผละตัวออกจากเขาหลังจากที่เห็นว่าคนใต้ร่างตัวเองกำลังร้องไห้และมองมาที่ผมอย่างตัดพ้อ ผมถอนหายใจและเช็ดน้ำตาเขาออกจาด้วยปลายนิ้วของตัวเอง “ไม่ร้องนะครับ พี่ขอโทษ จิงไม่พร้อมก็ไม่เป็นไร พี่รอได้"


"ฮึก พี่โกหกจิง..."


“...” กลายเป็นผมที่นิ่งไปบ้างเพราคำพูดของเขา


“คนโกหก” ใจผมหล่นหายไปอยู่ที่พื้นเพราะสายตาของเขาที่มองมา ราวกลับเขารู้แล้ว รู้ความจริงทั้งหมด


"พี่โกหกเราเรื่องอะไรครับ" ผมพยายามควบคุมเสียงตัวเองไม่ให้สั่น พร้อมประคองใบหน้าเล็กให้หันมาสบตากันตรงๆ "ไหนบอกพี่สิ"


"จิง...ได้ยินพี่คุยกับพี่ชิน"


"...." ความลับไม่มีบนโลกใบนี้...


"ที่ผ่านมามันเป็นเรื่องโกหกหมดเลยใช่ไหม"


"...จิง" ในที่สุดก็ถึงวันที่เขารู้ วันที่ผมต้องบอกความจริงของผมออกไป


"โกหกจิงทำมะ อื้อ" ผมก้มลงมอบจูบให้เขาอีกครั้งแต่ครั้งนี้ผมจูบเขาด้วยความอ่อนโยน พยายามไล่ต้อนมอบความหวานให้เขาอย่างระมัดระวัง จิงยังคงหลับตาแน่นและยื้อใบหน้าตัวเองออก


 "ฟังพี่นะจิง" ผมพูดตอนถอนริมฝีปากออกมาและก้มลงไปสัมผัสให้ริมฝีปากเราแตะกันเบาๆ อีกครั้ง "ได้โปรด ฟังพี่นะครับ"
 

"..." จิงเงียบไปและยอมเงยหน้าสบตาผมในที่สุด  ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยน้ำตา ผมซุกหน้าลงกับซอกคอหอมก่อนจะกดจูบลงไปเบาๆ แต่เสียงที่ดังขึ้นมาข้างหูก็ทำเอาผมเจ็บปวดไปทั้งใจ “จะโกหกอะไรจิงอีก”


"ต่อไปนี้พี่จะพูดแต่ความจริง” ผมพูดตอนที่ปาดน้ำตาเขาออกและจ้องตาเขาไว้ด้วยความจริงใจ “แค่ถามพี่มาพี่จะตอบทุกอย่างตามความจริงนะครับ"


“พี่เป็นใคร”


“...” เป็นผมที่ชะงักไปและจ้องมองดวงหน้าน่ารักด้วยความกังวล...กังวลว่าเขาจะเกลียดผม


“แค่นี้ก็ตอบไม่ได้แล้วเหรอ”


“จิง” ผมเรียกชื่อเขาและดึงแขนให้เราลุกขึ้นนั่งหันหน้าเข้าหากัน ผมจับมือเล็กไว้ดึงมาจูบหนึ่งครั้งและเริ่มที่จะเล่าความจริงออกไป “จำผู้ชายคนนั้นได้ไหม”


“...” จิงมองผมด้วยสยตาไม่เข้าใจ ผมยิ้มและลูบหัวเขาเบาๆ


“ผู้ชายท่าทางหน้ากลัวที่อยู่ที่สะพานนั้น ผู้ชายที่จิงยื่นดอกไม้ให้คนนั้น”


จิงเงียบไปก่อนจะเบิกตากว้างและมองหน้าผมด้วยความตกใจ


.


.



   ความรักเป็นสิ่งที่ผมโหยหามันมาตลอด ในตอนที่พ่อแม่จากไป ผมก็ล้มทั้งยืนแต่ผมก็ตั้งหลักได้และมีชีวิตอยู่ต่อเพื่อสะสางหนี้ของเจ๊หงส์ คิดว่าจะมีชีวิตอยู่กับการใช้หนี้ต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าหนี้จะหมดและลาโลกใบนี้ไป แต่แล้วผมก็ได้เจอความรักที่ผมวาดฝัน ความรักที่เป็นท้องฟ้าของผม ผมรักฟ้าแบบไม่เผื่อใจและคิดว่ามันจะอยู่ตลอดไป แต่ท้ายที่สุดความรักก็จากผมไปอีกครั้ง อดที่จะคิดไม่ได้ว่าทั้งหมดเป็นความผิดของผมเอง เป็นผมเองที่ไม่เหมาะกับความรัก


   ผมเหม่อมองไปที่ท้องฟ้าที่เริ่มกลายเป็นสีที่เข้มขึ้น ความเงียบทำเอาใจที่โดดเดี่ยวของผมเจ็บปวดขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งที่คิดว่าจะมีความสุขกับความฝันที่จะได้สร้างครอบครัวกับฟ้า สุดท้ายผมกลับตกลงมาจากฝันอันสวยงาม แผ่นหลังกระแทกกับความจริงที่ว่าไม่เหลือใคร มันช่างเจ็บปวดจนไม่อยากหายใจต่อไป


ไม่มีใครรัก ไม่มีใครสนใจ จะอยู่ไปเพื่ออะไรกัน

ผมจับราวสะพานแน่น หลับตาลงและเตรียมกระโดดข้ามชีวิตตัวเองไป

จะมีชีวิตต่อไปทำไม ในเมื่อผมมันก็เหมือนคนไม่มีชีวิตแล้ว



“นี่...”


“...” ผมลืมตาโดยอัตโนมัติและหันไปหาทางเสียงที่ดังขึ้นจากข้างหลัง


“จิงให้”


   ดวงตากลมโตพยายามจับจ้องมาที่ผมอย่างจริงใจ ส่วนผมมีแต่ความเงียบมอบกลับไปให้เขา สายลมพัดมาระลอกใหญ่ทำให้เส้นผมคนตรงหน้าพัดไปตามสายลม เส้นผมสีดำที่ปลิวไปตามสายลม ดูอ่อนไหวและนุ่มสลวยเหมือนใบหน้าของเขา


 “ความจริงแล้วจิงไม่ค่อยอยากได้แต่ก็ต้องรับไว้น่ะ” เขาว่ายิ้มๆ แล้วยื่นดอกไม้หนึ่งดอกมาตรงหน้าผม “จิงว่าพี่คงอยากได้มันมากกว่า...จิงให้”


“...”


“สุขสันต์วันแห่งความรักครับ”


   สุดท้ายดอกกุหลาบสีแดงสดหนึ่งดอกก็มาอยู่ในมือผม ผมลอบมองสังเกตเขา เขาสูงแค่อกผมชุดนักเรียนที่เขาใส่อยู่มีดาวสี่ดวงอยู่บนปกเสื้อทำให้ผมรู้ว่าเขาคงจะอยู่ชั้นม.สี่และอักษรย่อที่อกบอกว่าเขาเรียนโรงเรียนเอกชนแถวนี้


“พี่ว่าถ้าเราตกลงไปจะตายไหม” เขาทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แล้วเดินไปเท้าแขนมองลงไปที่แม่น้ำด้านล่างด้วยความสงสัย


“ไม่น่ารอดครับ” ผมว่าและเดินไปเท้าแขนที่ราวสะพานข้างเขา...ผมรู้ว่าเขารู้ว่าผมคิดจะทำอะไร


“พี่จะโดดลงไปจริงๆ เหรอ” แต่เขายังคงแกล้งถามผมทั้งที่รู้อยู่แล้ว


“ใช่...” ผมเงียบไปแล้วย้ายสายตาตัวเองมองไปที่สายน้ำที่ไหลผ่านไป “รู้ได้ยังไง”


“ไม่รู้เหมือนกัน” เขาว่ายิ้มๆ กับตัวเอง


“ผมเคยโดดแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อไม่กี่ปีมาแล้ว” ผมเคยโดดตอนที่พ่อแม่จากผมไป...ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมถึงบอกความจริงกับเขา อาจจะเพราะว่าผมไม่ได้คุยกับใครมานานหรือบางทีอาจจะเป็นเพราะเขา “แต่ตอนนั้นเป็นหน้าร้อนน่ะ ผมแขนหักเพราะน้ำลึกไม่พอ แต่ถ้าเป็นตอนนี้ต่อให้ผมเคยเป็นนักกีฬาว่ายน้ำยังไงก็คงไม่รอด”


“สุดยอดเลย” ผมมองใบหน้าด้านข้างของคนที่ยังคงยิ้มให้ผม “เป็นนักกีฬาว่ายน้ำนี่สุดยอดไปเลย จิงนะทั้งว่ายน้ำไม่เป็นแถมยังเรียนไม่เก่งอีก”


“หึ” ผมหลุดขำกับประโยคที่เด็กคนนี้พูดออกมา “เราแทนชื่อตัวเองแบบนี้กับทุกคนเลยเหรอ”


“ใช่ จิงติดแล้วน่ะ ฮ่าๆ” เขาหัวเราะและหุบยิ้มลงไปเล็กน้อย “พี่น่ะดีมากเลยนะ ที่มีเรื่องที่เก่งบ้าง จิงน่ะนะนอกจากรักป๊าเก่งแล้ว นอกนั้นก็ห่วยหมดเลย”


“หึ” ผมมองแววตาที่มีความสุขของเขาด้วยใจที่บีบรัด แม้ในนั้นจะมีความสุขแต่ผมก็รู้ว่ามันมีบางอย่างซ่อนอยู่ “...ตอนนี้ก็เริ่มมืดแล้ว พี่ว่าเรากลับบ้านดีกว่าไหม”


“อือ พี่ก็ด้วยล่ะ รีบกลับนะ”


“พี่ไม่เป็นไรหรอก”


“เป็นสิ”


“...” ผมเงียบไปแล้วสบสายตาเข้ากับเด็กที่ยืนอยู่ข้างกาย ทั้งที่หลีกเลี่ยงการสบตากับคนอื่นมาตลอด ทั้งที่กลัวจะรับรู้ถึงความรู้สึกของคนอื่น ทั้งที่เป็นแบบนั้นแต่ผมก็ยังคงจ้องตาเขาและเขาก็จ้องตาผมกลับ ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน



น่าแปลก...ที่ไม่กลัว


น่าแปลก...ที่ความรู้สึกโดดเดี่ยวที่ซ่อนไว้ถูกพังทลาย


ราวกับเจอคนคนเดียวกัน




“พี่อาจจะคิดว่าพี่ไม่เป็นไร แต่จริงๆ ก็เป็นใช่ไหมล่ะ”


“...”


“กลับบ้านดีๆ จิงเป็นห่วงพี่นะ” เขาว่าแบบนั้นแล้วยิ้มให้ผมอีกครั้ง ก่อนที่จะโบกมือลาผม “บาย”


   ผมยืนอยู่ที่เดิมมองแผ่นหลังเล็กที่ถือกระเป๋าและช่อดอกไม้พะรุงพะรัง หันหลังเดินจากไป มองดอกไม้สีแดงในมือ ผมนึกถึงรอยยิ้มของเขาอีกครั้ง มันไม่ใช่รอยยิ้มที่สวยที่สุดแต่เป็นรอยยิ้มที่ทำให้ผมนึกย้อนถามตัวเองว่ากำลังทำอะไรอยู่


   สายลมพัดผ่านไปอีกครั้ง ผมปล่อยมือจากราวสะพานและหันกลับไปมองทางที่เขาเดินจากผมไป เด็กที่แทนตัวเองด้วยชื่อ เด็กที่มีรอยยิ้มบนใบหน้าเสมอ เด็กที่มอบดอกไม้หนึ่งดอกให้ผม เขาหายไปแล้วและเราคงไม่ได้เจอกันอีก...น่าแปลกที่ตอนนี้ผมกลับอยากมีชีวิตอยู่


บางทีอาจจะเป็นเพราะเขา เขาที่อ่อนแอและเข้มแข็งในเวลาเดียวกัน

เขาทำให้ผมอยากจะมีชีวิตอีกครั้ง แม้ผมจะรู้ว่าชีวิตในวันข้างหน้าของตัวเองนั้นคงจะเป็นชีวิตทุลักทุเลไปบ้าง

แต่ผมก็ยังอยากที่จะอยู่... อยากที่จะเห็นดอกไม้ที่พยายามจะผลิบานต่อไป


ผมว่า...ผมเข้าใจแล้วล่ะ



.


.


“รู้ไหมว่าพี่เจ็บปวดแค่ไหน ตอนที่พี่เห็นเราอยู่ที่เดิม” ผมแล้ววางดอกไม้ที่เคยเป็นสีแดงสดลงบนมือของเขา


“..ฮึก” จิงสะอื้นและมองดอกไม้แห้งเหี่ยวที่แสนบอบบาง


“ที่เดิม...ที่พี่เดินออกมาเพื่อเด็กคนนั้น แต่เขากำลังจะทำในสิ่งที่พี่เคยอยากทำ”


“...”


“จิงคือคนที่ทำให้พี่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ” ผมมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาของ ก้มหน้าลงไปจูบที่ดวงตาที่เริ่มบวมจากการร้องไห้ “พี่จะไม่ขอให้จิงมีชีวิตเพื่อพี่ แต่ได้โปรดมีชีวิตต่อไปเถอะนะ”


“...จิงจะอยู่กับพี่”


"จิงรู้ใช่ไหมว่าเราต้องโตขึ้น เราจะหนีไปตลอดไม่ได้" ผมดึงเขาเข้ามากอดและลูบผมเขาเบาๆ "พี่อยากเห็นจิงได้ทำตามฝัน มีความสุขและประสบความสำเร็จในชีวิตนะ"


"พี่พูดเหมือนเป็นสูตรสำเร็จอะ" จิงยื้อตัวเองออก แล้วมองผม


"เปล่าพี่พูดความจริง” ผมว่าแล้วช่วยเขาเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้า “ถ้าชีวิตเราไม่มีหนึ่งในที่พูดมาคงจะเศร้าน่าดู"


"จิงไม่มีอะไรแบบนั้นหรอก"


"พี่ก็ไม่มี แต่ตอนที่พี่อยู่กับจิงพี่ความสุขมากๆ เลย” ผมเงียบไปและถามเขาต่อ “จิงอยู่กับพี่ จิงมีความสุขไหม"


"อือ"


"เข้าใจหรือยังครับ" ผมถามเด็กที่โตขึ้นจากวันนั้นมากทีเดียว


"ไม่เข้าใจ" เขาตอบผมเสียงเบาก่อนจะพิงหัวนั้นลงมาที่อกผม


"พี่รักจริง" ผมพูดออกไปโดยไม่รู้เลยว่าความรักที่ผมมีให้เขาจะเพียงพอให้เขาเปลี่ยนความคิดไปรึเปล่า


"จิงก็รัก แต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี” เขาว่าอู้อี้กับอกผมแล้วจับมือผมไว้แน่น “ถ้าจิงไม่มีพี่แล้ว จิงจะอยู่ยังไง จิงจะมีความสุขได้ยังไง"


"ไม่เห็นต้องกังวลเลย พี่จะอยู่กับจิงเสมอ"


"จริงนะ"


“ครับ” ผมว่าและก้มหน้าลงไปชิดแนบหน้าผากเราเข้าหากัน “พอรู้ว่าพี่คือคนนั้นแล้ว จริงกลัวพี่ไหม”


“ไม่อะ” จิงก้มลงมองมือตัวเอง “พอรู้ว่าพี่คือเขาคนนั้น จิงรู้สึกว่าเราผูกพันกันมากกว่าเดิมอีก”


“จิง...” ผมกอดเขาอีกครั้งและเพราะความรู้สึกผิดที่ล้นออกมาจากใจ ทำให้ผมเริ่มบอกความจริงออกไป  “ครั้งแรกที่พี่เจอจิงพี่จำจิงได้ทันทีและเจ็บปวดที่เห็นจิงเป็นแบบนี้ ในตอนแรกแผนของพี่คือทำให้จิงหยุดความคิดแบบนั้น ทำยังไงก็ได้ให้ดอกไม้ของพี่อยู่ไปตามกาลเวลา”


“...”


“แล้วพอจิงยืนขึ้นได้อีกครั้ง พี่ก็จะขอมองดูอยู่ไกลๆ มองดอกไม้ของพี่เติบโตไปเรื่อยๆ” ผมจูบลงขมับเขาเบาๆ แล้วพูดต่อ “แต่พี่ไม่ได้เตรียมแผนสำรองสำหรับรักเราไว้เลย...ไม่คิดเลยว่าพี่จะรักเราขนาดนี้ รักจนกลัวที่จะบอกความจริง กลัวที่จะเสียความรักไป”


“...”


“จิงเกลียดพี่ไหม”


“จิงไม่เกลียดพี่” เขาพูดเสียงเบาและจ้องมองดอกไม้ดอกนั้น “จิงรักพี่”


“จิง...พี่รักจิง รักมาก” ผมว่าแล้วเกลี่ยน้ำตาออกจากใบหน้าเนียน จิงยิ้มให้ผมแล้วลูบแก้มผมไปมา


“ตอนนั้นพี่หนวดเฟิ้มเลยอะ ไม่เห็นจะหล่อเหมือนตอนนี้เลย”


“หึ” ผมยิ้มกว้างเพราะคำพูดน่ารักของเขา “ไม่โกรธพี่ใช่ไหมครับ”


“โกรธ” ผมใจหาย แต่ก็กลับมายิ้มกว้างกว่าเดิมด้วยประโยคถัดมาจากเขา “โกรธที่พี่ปล่อยให้จิงเป็นจิงที่ไม่รู้อะไรเลย ปล่อยให้พี่จำได้อยู่คนเดียว”


“ขอโทษครับ”


“ต่อไปนี้เราจะมีแต่ความจริงนะ”


“ครับ”


“จิงหายโกรธแล้ว จริงๆ ไม่โกรธเลยด้วยซ้ำ จิงกลัวและเสียใจมากกว่าถ้าที่ผ่านมาเป็นเรื่องโกหก แต่พอรู้ความจริงแล้ว ในใจจิงมันอุ่นไปหมดเลย”


“ไหนขอจับหน่อย”


“พี่นน!”


“หึ”


“อย่าเพิ่งกวนจิงมากนะ จิงยังไม่หายงอนเท่าไหร่หรอกนะ” เขาว่าพร้อมกอดอกจ้องผม ก่อนที่จะทำหน้าตกใจ “เฮ้ย นี่พี่ชอบจิงตั้งแต่ตอนม.สี่เลยเหรอ”


“ไม่ใช่ครับ”


“อ้าว แล้วตอนไหนอะ”


“ตอน...จิงทำท่าเห่า”


“ฮ่าๆๆๆ” จิงขำตัวโยนและซบหัวลงที่หัวไหล่ผม “โอ๊ย ท้องจิง ฮ่าๆๆๆ”


“ครับ” ผมพยายามทำหน้านิ่งไม่สนใจคนตัวเล็กที่หัวเราะจนน้ำหูน้ำตาไหล


“ฮ่าๆ แล้วที่เราเจอกันที่เสาไฟฟ้านั่นก็เป็นแผนด้วยเหรอ”


“ไม่ครับ นั่นบังเอิญจริงๆ” ผมว่าไปตามความจริง “แผนพี่เริ่มตอนที่เราสัญญากันน่ะครับ”


“อ่อ แล้วพี่กับพี่ชินสนิทกันเหรอ” ผมมองคนตัวเล็กที่เริ่มถามผมไม่หยุดเป็นเจ้าหนูจำไม


“ใช่ แต่เรื่องพาร์ทไทม์ร้านชินมันขาดคนจริงๆ” ผมดึงมือเขามากุมไว้อีกครั้ง “เรื่องของเรานั้นมันบังเอิญหลายอย่าง จนบางครั้งพี่ก็คิดว่าใครกำหนดไว้รึเปล่า”


“เน่าอีกแล้วอะ” จิงว่าแบบนั้นก่อนจะเบะปาก แต่ผมก็สังเกตเห็นว่าหน้าเขาแดงขึ้น


“ขอโทษที่พี่ไม่บอกเราให้เร็วกว่านี้ จนจิงต้องมารู้เองแบบนี้ ขอโทษที่ทำให้จิงรู้สึกแย่”


“อือ แค่พี่บอกความจริง แค่พี่รักจิงจริงๆ ก็พอแล้ว”


“จิง” ผมมองภาพคนตัวเล็กที่ดึงมือผมไปแนบแก้มตัวเองไว้แล้วช้อนสายตาอ้อนผมด้วยใจเต้นรัว “พี่ว่าพี่คิดแผนใหม่ได้แล้วล่ะครับ”


“แผนอะไรอะ” เขามองสบตาผมอย่างสนใจ


   ผมอาศัยตอนคนตัวเล็กเผลอ ก้มลงไปจูบปากเล็กแรงๆ อีกครั้ง ไม่ได้ตั้งใจจะถลำลึกแต่ใจของผมก็อดไม่ได้ที่จะเกี่ยวกระหวัดหยอกล้อลิ้นเล็กที่สั่นไปด้วยความประหม่าอยู่ดี ผมถอนริมฝีปากออกแล้วจ้องมองลึกลงไปที่ตากลมโต


“ทำให้เราเป็นของกันและกัน”


“...อะ”


“หน้าแดงใหญ่เลย” ผมหยอกล้อคนที่อ้าปากค้างและหน้าแดงลามไปถึงคอ จิงน่ารักจนผมเผลอหลุดพูดไป “ทำกันไหม”


“หะ ทำอะไร” จิงพูดติดขัดและชะงักไปที่ผมก้มลงไปจุ๊บที่คอเขาเบาก่อนที่จะตะโกนโวยวาย “พะ พี่นน!!”


“ครับ” ผมตอบรับยิ้มขำและดันคนตัวเล็กให้นอนลงกับเตียง ผมยิ้มและคร่อมเขาไว้ในอ้อมกอดแนบตัวทับคนข้างล่างไว้แนบแน่น พร้อมหยิบอะไรบางอย่างออกมาวางบนหัวเตียง


แกร่ก


“พี่เตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว”


“พะ พี่..” จิงอ้าปากค้างเรียกผมเมื่อมองไปที่สองสิ่งนั้นที่ผมเพิ่งวางไว้บนหัวเตียง


“พี่พร้อมแล้ว” ผมจูบจมูกรั้นแล้วหยิบซองออกมาจากกล่องสี่เหลี่ยมและแกล้งเปิดฝาเจลแกล้งคนข้างล่าง


“จิงไม่พร้อม!”


“เรามาเริ่มแผนต่อไปกันดีกว่า”


“ไม่เอา!!!” จิงร้องโวยวายและดีดดิ้นไปมาโดยที่ทั้งหน้านั้นแดงแจ๋ ผมยิ้มขำกับความน่ารักของเขา ก่อนจะก้มลงไปจูบหน้าผากคนที่เขินจนหน้าแดงตัวแดงไปหมด


“เอาเถอะ”


“ม่ายยยย”








**********************************************************************************
คำเตือนนิยายเรื่องนี้สามารถทำให้ท่านเป็นไบโพลาร์ได้  :z1:
TBC

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0

ตอนที่ 20 ผ่าน




“วันนี้พรีเซ้นต์เป็นยังไงบ้างครับ”


“อืม ก็ดีนะ แต่จิงอะ ตื่นเต้นเสียงเลยสั่นแต่ก็รอดมาได้ พี่รู้ไหมอาจารย์อะ...”


   ผมนอนมองหน้าคนที่นอนอยู่ข้างกัน จิงพูดถึงการพรีเซ้นโปรเจควันนี้ไม่หยุด ผมมองใบหน้าน่ารักที่ยิ้มไปพูดไปของเขาแล้วก็ยิ้มตาม แววตาเศร้าของเขาที่ผมเจอในวันแรกนั้นเริ่มจางหาย จิงเริ่มมีความสุขขึ้นและมันก็ทำให้ผมก็รู้สึกแบบนั้นตาม


 “พี่ว่าจิงจะผ่านปะ”


“ผ่านอยู่แล้วครับ” ผมตอบไปแบบไม่ต้องคิด


“สาธุ” จิงยกมือท่วมหัวก่อนจะขยับตัวมากอดผมเอาไว้ พร้อมซุกหน้าลงที่อกผม


“หึ” ผมขำออกมาที่เขาอ้อนผม ตอบรับการกระทำน่ารักด้วยการกอดตอบ เนื้อตัวนุ่มนิ่มหอมๆ ของเขาทำผมหวั่นไหวทุกครั้ง ยิ่งสัมผัสใจยิ่งเต้นแรง นึกย้อนไปวันนั้นที่ผมแกล้งหยอกล้อด้วยอุปกรณ์พวกนั้นก็หลุดขำอีกรอบ พอผมเปิดฝาเจลจิงก็ดิ้นไม่หยุดจนเหนื่อยแล้วนิ่งไปเองส่วนผมก็ยอมแพ้กับความน่ารักนั่นและเราก็กอดกันและหลับยันเช้าด้วยกันทั้งคู่ โดยมีขวดเจลและถุงยางวางอยู่ข้างๆ “จูบหน่อย”


“อือ” คนตัวเล็กเงยหน้าให้ริมฝีปากเราสัมผัสกัน ไม่ได้รุกล้ำแค่แตะกันไว้ “ถ้าจิงผ่านแล้ว เรามาฉลองด้วยกันนะ”


“ครับ”


   ผมก้มลงไปจูบเขาอีกครั้ง พลิกตัวคร่อมคนตัวเล็กกว่า จิงยกสองแขนกอดคอผมไว้ ลิ้นพวกเราเกี่ยวกระหวัด ดูดดึงโหยหากันราวกับจะขาดใจ ในหัวผมเริ่มนึกถึงของสองสิ่งนั้นที่เก็บไว้ตู้ข้างเตียงไปด้วย ผมลากมือไปตามหน้าท้องคนข้างล่างสอดเข้าไปใต้เสื้อยืดตัวบางแต่เพราะเสียงร้องในลำคอของจิงกับเนื้อขาวที่สั่นเทา ทำให้ผมหยุดลงและกลับไปนอนกอดเขาเหมือนเดิม



“ฝันดีครับ” ผมหลับตาข่มความรู้สึกและบอกฝันดีคนในอ้อมกอดด้วยความอึดอัด อีกใจอยากก้าวข้ามผ่านเส้นของเรา แต่อีกใจผมก็ยังทำไม่ได้ ยิ่งจิงตัวสั่นขนาดนี้ ผมยิ่งทำไม่ได้



.


.


“พี่นน คืนนี้จิงออกไปฉลองกับเพื่อนนะ” ผมพูดเสียงเบาแล้วเดินไปกอดคนที่เพิ่งกลับจากที่ทำงาน ผมซุกหัวอ้อนคนตัวสูงกว่าแล้วพูดออกไปด้วยความรู้สึกผิด “ขอโทษที่ไม่ได้ทำตามที่ตกลงกันไว้”


“ไม่เห็นเป็นไรเลย พี่เข้าใจ” พี่นนว่าแล้วลูบหัวผมเบาๆ “เที่ยวให้สนุก ไม่ต้องคิดมาเข้าใจไหมครับ”


“อื้อ”


“พี่ดีใจด้วยนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เราค่อยไปฉลองกันนะครับ”


“อื้อ จิงจะรีบกลับ”


“มีอะไรก็โทรหาพี่ได้ตลอดนะ จำเบอร์พี่ได้ใช่ไหม”


“คร้าบ”


   ผมยิ้มให้พี่นนอีกครั้ง ก่อนจะตรงไปอาบน้ำและเริ่มแต่งตัวออกไปเที่ยว ผมเดินไปขึ้นรถเพื่อนที่ขับมารับที่หน้าปากซอย พอขึ้นรถไปแล้วก็เหมือนผมหลุดไปอีกโลกใบหนึ่ง พวกเราพูดคุยกัน เฮฮากันไปตลอดทาง


   ในที่สุดผมกับเพื่อนก็มาถึงผับดังแห่งหนึ่ง ปกติแล้วพวกมันก็ชวนผมมากันบ่อยๆ แต่ทุกครั้งผมก็ปฏิเสธตลอดแต่ครั้งนี้ผมจำเป็นต้องมาจริงๆ เพราะมันเป็นเหมือนนัดสุดท้ายที่จะมาเที่ยวผับด้วยกันแบบนี้ เสียงเพลงดังและแสงสีที่กระพริบไปมาทำให้ผมมึนโดยที่ยังไม่ได้แตะแอลกอฮอล์และพอไปถึงโต๊ะที่จองกันไว้ ผมก็นั่งลงข้างแอลเพื่อนสนิทที่สุดของผม


   พอมากันครบแก๊งพวกเราก็เริ่มกระดกเหล้าเข้าปาก แทบจะไม่มีบทสนทนาอะไรมากเพราะเสียงเพลงที่ดังและบางส่วนก็ลุกออกไปเต้นปลดปล่อยความเครียดแล้วแล้ว ผู้คนรอบกายเริ่มมึนเมา เต้นและหัวเราะเฮฮาตามภาษาการเที่ยวกลางคืน ผมยิ้มหัวเราะไปกับแสงสีเหล่านี้แต่ผมก็ยิ้มก็แค่ภายนอกเท่านั้น ใจผมในตอนนี้มันวูบโหวงจนรู้สึกใจหาย ผมคิดถึงใครบางคนที่รอผมอยู่ที่ห้อง ใครคนนั้นที่เป็นความสุขของผมจริงๆ


“แอล ยืมมือถือหน่อย” ผมเดินไปกระซิบคนที่ออกลีลาเต้นอยู่ข้างๆ โต๊ะ


“ได้ๆ” แอลยื่นมือถือให้ผมและหันไปคุยกับคนที่เต้นอยู่ข้างๆ ที่ผมไม่รู้จัก ผมคว้ามือถือแอลไว้และเดินฝ่าผู้คนออกไปข้างนอก ตรงไปที่จอดรถของแอลเพราะว่าตรงนี้ค่อนข้างเงียบและไม่วุ่นวายเหมือนแถวหน้าร้าน ผมลงทุนเดินมาที่นี่เพื่อที่จะคุยกับเขาให้ได้ยินชัดเจน


ตู้ด ตู้ด


“สวัสดีครับ”


“...”  เสียงทุ้มที่ได้ยินทำให้ใจผมกลับมาอบอุ่นอีกครั้ง


“ฮัลโหล สวัสดีครับ”


“พี่นน...” แค่ได้เรียกชื่อเขาความคิดถึงของผมก็แทบจะทะลักออกมา อยากกลับไปกอด คิดถึงเขาจนใจมันเจ็บไปหมด


“จิง...เป็นไง สนุกไหมครับ”


“อื้อ”


“เป็นอะไรรึเปล่า”


“จิง...” ผมเม้มปากและมองตัวเองในกระจกรถที่เวลานี้หน้าแดงเล็กน้อยเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ที่ดื่มไป “พี่ต้องไม่เชื่อแน่ๆ ว่าจิงคิดถึงพี่แค่ไหน”


“หึ”


“ไม่ต้องมาขำเลย คิดถึงอะ คิดถึงมากๆๆ”


“อ้อนขนาดนี้อยากได้อะไรครับ หื้ม”


“...อยากกลับแล้ว”


“อยู่ที่ xx ใช่ไหม”


“อือ”


“เดี๋ยวพี่ไปรับ ถ้าถึงแล้วพี่จะโทรไป ไม่ต้องออกมารอข้างนอกนะ”


“ครับ”


“...ไว้เจอกัน”


“พี่นน”


“ครับ”


“ว่าไง..”


“จิงอยากเป็นของพี่”


“...”


กึก


   พี่นนสายตัดไปพร้อมกับผมที่นั่งยองๆ ลงข้างรถ ผมเอามือกอดเข่าตัวเองไว้ รับรู้ได้ว่าความร้อนของร่างกายันปะทุไปที่ใบหน้าไม่หยุด ใจผมยังเต้นแรงไม่เพราะรู้สึกเขินอายที่พูดแบบนั้นออกไป ผมสูดลมหายใจเรียกกำลังใจให้ตัวเอง ก่อนจะรีบเดินกลับเข้าไปหาเพื่อนๆ


“จิง แฟนมารับแล้ว”


   เป็นแอลที่เข้ามากระซิบผมและชี้ไปที่มือถือตัวเอง ผมพยักหน้าและกระดกเหล้าเข้าปากตัวเองจนหมดแก้ว ก่อนจะหันไปโบกมือให้เพื่อนๆ ที่เริ่มเมากันแล้ว พวกมันโบกมือกลับและพยักหน้าให้ผม ไม่มีการบอกลากันอย่างซาบซึ้งซึ่งนั่นเป็นปกติของพวกเรา ผมเดินฝ่าผู้คนที่แน่นกว่าเดิมออกมาและพอออกมาได้สายตาผมก็ปะทะเข้ากับคนที่นั่งอยู่บนฟีโน่ที่จอดอยู่ฝั่งตรงข้ามร้านทันที เราจ้องตากันอยู่แบบนั้น แล้วเป็นผมเองที่หลบตาและข้ามถนนไปหาเขา


“ใส่หมวกกันน็อคด้วยครับ”


“อือ”


   ผมรับหมวกกันน็อคมาใส่และขึ้นซ้อนท้ายเขา ผมเม้มปากด้วยความประหม่าอยากกลับไปกินเหล้าให้ตัวเองเมากว่านี้แต่ก็ทำไม่ได้แล้ว พอรถเริ่มออกตัวผมก็ฟุบหน้าลงหลังกว้างทันทีเพราะมึนหัวและใจเต้นแรงไปหมด ผมกำเสื้อพี่นนไว้เพื่อย้ำกับตัวเองว่าผมไม่ได้กำลังฝันไป



ปัง


   เสียงประตูปิดลงพร้อมกับร่างทั้งสองที่พุ่งเข้าหากัน ริมฝีปากพวกเราทั้งคู่ดึงดูดกันและกันแทนคำพูดว่าโหยหากันแค่ไหน รสจูบที่ผสมกลิ่นแอลกอฮอล์ ทำผมมึนงงและเกิดความต้องการจนต้องยกแขนโอบรอบคอคนตัวสูงกว่าเอาไว้เป็นหลัก แรงรัดที่เอวทำให้พวกเราใกล้ชิดกันขึ้นไปอีก เสียงหอบหายใจและความร้อนที่เสียดสีกันทำให้ห้องที่มีเพียงแสงจันทร์สาดส่องเข้ามาร้อนระอุ


“จิง...”


“อือ พี่นน” ผมครางตอบรับตอนที่เขาก้มลงไปฝากรอยจูบที่ต้นคอผม สัมผัสร้อนทำเอาผมหมดแรงและเกาะไหล่หนาไว้


“เมารึเปล่า” เสียงทุ้มกระซิบข้างหู พร้อมกดจูบลงมา


“อื้อ” ผมร้องเพราะรู้สึกแปลกๆ กับความร้อนที่ใบหูและเราก็ได้สบตากัน ใบหน้านิ่งมองผมด้วยสายตาที่ทำเอาผมลอบกลืนน้ำลาย มันร้อนแรงและเตรียมที่จะแผดเผาผม ผมอึกอักก่อนจะตัดสินใจกดจูบลงไปที่ต้นคอของพี่นนและพูดออกไป “จิงไม่เมา”


“แน่ใจแล้วใช่ไหมครับ”


 “จิงอยาก...อื้อ” ประโยคย้ำความมั่นใจของตัวเองไม่ทันออกไปหมด ริมฝีปากร้อนก็ประกบลงมาอย่างรวดเร็ว ดุดันและผมก็ชอบมันมากๆ





.


.


   เสื้อผ้าของพวกเราถูกถอดออกหมดและโยนไปทั่วห้อง ผมมองภาพจิงที่เปลือยกายนอนลงบนเตียงสีขาวด้วยใจที่เต้นรัว จิงขาวและเพราะแบบนั้น ตอนที่เกิดอารมณ์ บวกกับฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่เขาเพิ่งดื่มมาทำให้เขาตัวกลายเป็นสีชมพู


   ผมเอื้อมมือไปเปิดลิ้นชักและเอาสองสิ่งนั้นออกมาวางไว้ข้างคนที่นอนหลับตาอยู่ ผมขึ้นไปคร่อมเขาไว้และแนบตัวลงจนอะไรๆ มันสัมผัสกัน จิงลืมตาสะดุ้งและเราก็ได้สบตากัน แววตาที่เขินอายแต่ก็เต็มไปดวยความต้องการของเขาทำผมลอบกลืนน้ำลาย


“พี่รักจิงนะครับ”


“จิงก็รักพี่ รัก...อื้อ”


   ผมประกบปากลงไปครอบครองริมฝีปากบางไว้ ไล้เลียไปทั่วฟันขาวและตวัดปลายลิ้นเกี่ยวกระหวัด มือข้างหนึ่งประครองใบหน้าเล็กไว้ อีกข้างก็ปัดป่ายไปทั่วความเนียนขาวของคนใต้ร่าง ผิวจิงเนียนละเอียดมือจนผมเผลอขยำไปทั่ว ลูบไล้ไปทั่วท้องนิ่มก่อนจะบดขยี้ตุ่มไตเล็กด้วยความหมั่นเขี้ยว


“อื้อ” ผมถอนจูบแล้วลากริมฝีปากกดจูบไปทั่วใบหน้าลำคอ อกบางและครอบครองตุ่มไตสีสดเข้าปาก “อ๊ะ พี่นน”


   ผมลูบมือทั่วตัวเขาและลงแรงดูดดุนจนหลังจิงแอ่นไม่ติดเตียง ผมซุกหน้าลงหน้าท้องแบนที่นุ่มนิ่ม ลงลิ้นแอ่งสะดือสวยและลากยาวมาหยุดมองที่ตัวตนของอีกคนที่เริ่มช่ำน้ำ


“น่ารักจัง” ผมหยอกคนที่นอนเกร็งตอนที่ผมก้มลงไปครอบครองส่วนนั้นไว้ทั้งหมด ผมผงกหัวเข้าออก


“พี่นน ทำอะ อะไร อ๊ะ”    จิงสบตากับผมและผลักผมเบาๆ ผมลากลิ้นไปทั่วและเร่งความเร็ว จนจิงนอนครวญครางตัวบิดไปมา จิงร้องว่าใกล้ถึงฝั่งฝันให้ผมผละออกแต่ก็ไม่ทันแล้วเขาปล่อยน้ำเข้ามาในปากผม ผมกลืนลงคอไปพร้อมมองหน้าเขาไปด้วย จิงอายจนหน้าแดงและเริ่มโวยวาย “พี่ กะ กลืนเข้าไปทำไม โอ๊ย จิงอายจะตายอยู่แล้ว”


“หึ” ผมขำและจับขาจิงให้แยกกว้างเป็นรูปตัวเอ็ม เปิดฝาเจลและเทลงมือไปมองคนที่นอนทำตาโตมองผมไป “พร้อมนะ”


 “อื้อ” ผมนำจนนั้นนวดคลายที่ด้านหลังเขา นวดวนและค่อยๆ กดเข้าไป หนึ่ง สอง “อ๊ะ พี่นนมันแปลกๆ อา”


“ตรงนี้ใช่ไหม”


“อื้อ” ผมเพิ่มเป็นสามและกดย้ำอยู่อยากนั้นจนจิงกลับมาช่ำเยิ้มอีกครั้ง พอแน่ใจแล้วว่าอีกคนจะไม่เจ็บ ผมก็เริ่มใส่ถุงยาง


“จิงเป็นผู้ชายคนแรกของพี่นะครับ” ผมพูดแล้วกดส่วนหัวเข้าไปในช่องทางคับแคบ


“อื้อ” จิงขยำที่นอนและเกร็งไปทั้งตัว ถึงเขาไม่พูดผมก็รู้ว่าผมเป็นคนแรกของเขา...เราเป็นคนแรกของกันและกัน “จะ เจ็บ”


“อืม” ผมครางตอนที่เราเข้าไปได้ไม่ถึงครึ่งของทาง จิงรัดแน่นจนผมปวดหนึบ ผมก้มลงไปจูบปากเล็กของเขาและใช้มือช่วยชักนำให้จิงลืมความเจ็บเกร็ง พอเขาเริ่มผ่อนคลายผมก็กดลงไปจนสุดความยาว


“อึก อื้อ” จิงสะดุ้งเกร็ง เบิกตากว้างและร้องในลำคอ ผมคว้ามือสวยให้จับแขนตัวเองที่คร่อมเขาไว้ก่อนจะถอนจูบออก “เจ็บ จิงเจ็บ”


“ไม่ร้องนะครับ” ผมว่าและเช็ดน้ำตาที่ไหลลงมาที่หาตาคนตัวเล็ก ก่อนที่การบีบรัดจากในตัวเขาทำผมเกือบถึง “อา จิง”


“มันจุก อ๊ะ” ผมเริ่มขยับตัวเข้าออกช่องทางสีสวยช้าๆเราสบตากันด้วยความปรารถนา จิงบีบรัดผมอีกครั้งตอนที่ผมไปโดนจุดนึ่งเข้า ผมยกยิ้มและเข้าออกเน้นย้ำตรงนั้น จิงหลุดครางและจิกเล็บลงมาที่ต้นแขนผมอย่างแรง “อ๊า พี่นนตรงนั้น...เสียว”


.

.


“อือ” ผมร้องตอนที่ส่วนปลายนั้นเข้ามาตรงที่ทำให้ผมรู้สึกไม่หยุด พี่นนทำผมเกือบจะขาดใจไปทุกครั้งที่โดนจุดกระสัน มันทั้งทรมาน ทั้งมีความสุข “อ๊า พี่นน”


“ซี้ด”


   ผมมองคนที่เข้าออกในตัวผมด้วยใจเต้นรัว ใบหน้านิ่งของเขาในยามนี้ปรากฏความตึงเครียดจากการร่วมรักของเราจนผมรู้สึกวาบหวิว ใช้มือตัวเองลูบหน้าท้องที่ขยับเข้าออกสร้างความเสียวให้ผมจนแทบขาดใจ ลมหายใจร้อนของเรากลายเป็นหนึ่งเดียวอีกครั้งตอนพี่นนก้มมาจูบผมทั้งที่ยังไม่หยุดเอวนั้น


“อะ พี่นน อือ”


“รัดพี่แน่นจังเลย”


“อึก” คำพูดหยอกล้อทำให้ผมเกิดอารมณ์ขึ้นมาและเหมือนพี่นนจะรู้ เขายกยิ้มและใช้มือใหญ่ชักนำผมเข้าใกล้ฝั่งฝัน “อ๊า จิงจะถึง อ๊ะ”


.


.



กึกๆๆๆ


   เสียงหัวเตียงกระทบกับกำแพงดังแรงขึ้นไปตามแรงอารมณ์ของเราทั้งคู่ เสียงครางและเสียงหอบหายใจดังสลับกันจากกิจกรรมร่วมรัก ผมมองคนตัวแดงที่ใกล้ถึงฝั่งฝันอีกครั้งและเผลอใส่แรงเข้าไปอีกเพราะภาพใบหน้าเหยเกกัดปากใกล้ถึงของคนตรงหน้า จิงยั่วยวนผมโดยที่ไม่รู้ตัว


“อ๊ะ อ๊า พี่ อา” จิงหลับตาแน่นและกระตุกเกร็งปลดปล่อยในมือผม จิงปรือตามองผมแล้วดึงมือผมเข้าไปเลียน้ำรักของตัวเองทั้งที่ยังจ้องมองผมอยู่...ผมคิดผิด จิงน่ะ ทั้งยั่วยวนผมแบบตั้งใจและไม่ตั้งใจต่างหาก

 
“หึ่ม ตัวแสบ” ผมครางฮือในลำคอเพราะการกระทำน่าขย้ำของคนตรงหน้าและกระแทกบั้นท้ายคนด้านล่างด้วยแรงอารมณ์


   ผมจ้องหน้าคนที่ถึงฝั่งฝันที่ยังคงเลียนิ้วผมเล่นและกัดปากตัวเองยั่วยวนกัน ผมเร่งความเร็วขึ้นและหลับตาลงตอนที่ถึงฝั่งฝันตามเขาไป ความร้อนที่ถูกปล่อยไปทำเอาจิงสะดุ้งและสบตาผมแบบอายๆ


“อา” ผมครางตอนที่ถอนส่วนนั้นออกมาและดึงถุงยางออก ทิ้งตัวทับคนตัวเล็กและซุกไซร้เข้าหากลิ่นหอมจากซอกคอชื้น


“พี่รักจิง”


“อือ” ผมกระซิบบบอกรักข้างหูแต่ได้เสียงครางตอบกลับ มองคนที่ยังคงหอบหายใจตัวแดงอยู่หนักด้วยความรู้สึกหวาบหวาม ตัวขาวๆ ของจิงมีรอยแดงจากที่ผมทำไปทั่ว ทั้งอก หน้าท้องหรือแม้กระทั่งซอกขาที่ยังคงอ้ากว้างล่อสายตาผม จิงคงไม่รู้ว่าเขาเซ็กซี่แค่ไหนและผมก็ไม่รู้มาก่อนเหมือนกัน แต่ตอนนี้ผมรู้แล้ว...รู้ดีเลย และนั่นทำเอาผมต้องคว้าถุงยางมาอีกรอบ


“พรุ่งนี้วันเสาร์ครับ” บอกคนที่จ้องผมอย่างงงๆ ผมยิ้มแล้วฉีกซองถุงยางจับมือเล็กมาสัมผัสของตัวเองให้ช่วยใส่มันเข้าไป


“พะ พี่นน” จิงตกใจเรียก แต่แล้วก็ยอมใส่ให้ผมโดยที่ไม่ยอมมองมัน ผมจูบลงไปที่ปากเล็กที่เริ่มบวมตอนที่เขาใส่ให้ผมเสร็จ ผมจูบที่หน้าผากเขาก่อนจะจับเขาพลิกตัวนอนคว่ำ จิงร้องประท้วงเล็กน้อยแต่ก็ยอมพลิกตัวตามด้วยท่าทีเก้ๆ กังๆ “อือ เจ็บ”


“พรุ่งนี้พี่จะดูแลจิงเอง จะดูแลทุกวันเลย”


“อือ อ๊ะ” จิงร้องครางออกมาตอนผมจับสะโพกเขาให้โก่งโค้งมาหาตัวเอง จับมือขาวให้จับยึดหัวเตียงเอาไว้ ก่อนที่จะแทรกกายเข้าไปในตัวเขาและบรรเลงบทรักของเราอีกรอบและอีกรอบ







**************************************************
ไม่รู้ไม่ชี้เป็นหัวเตียง  :z2:
TBC

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
 :mc4: o13 :mc4:




 :L1: :pig4: :L1:

ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0

ตอนที่ 21 น้ำเต้าหู้หวานน้อย



“...พี่นน” ผมเรียกคนที่นอนหลับตากอดผมอยู่ แผงอกร้อนๆ ทำเอาผมหน้าร้อนต้อนรับเช้าวันใหม่ได้อย่างง่ายดาย


“ครับ” เสียงทุ้มติดแหบตอบกลับมาอย่างเนือยๆ


   ผมยิ้มแล้วกอดให้แน่นกว่าเดิมเพราะความน่ารักของเขา ทั้งที่ยังตื่นไม่เต็มตาแต่ก็ยังรีบตอบรับผม ดวงตาเบื่อโลกกระพริบถี่ๆ พยายามไล่ความง่วงออกไป เพื่อมองหน้าผม น่ารัก...ทำไมพี่นนน่ารักขนาดนี้นะ


   มือใหญ่ลูบไปทั่วใบหน้าที่เพิ่งตื่นของผมเบาๆ ลูบตั้งแต่หน้าผาก จมูก แก้ม แล้วลูบย้ำที่ริมฝีปากผมอยู่แบบนั้น ผมงับนิ้วเขาไว้แล้วเราก็หัวเราะทั้งที่เรายังเปลือยกายกอดก่ายกัน และเพราะเมื่อคืนเราไม่ได้ปิดผ้าม่าน ทำให้แสงแดดตอนเช้าส่องเข้ามาจนทั้งห้องสว่างไปหมด เป็นครั้งแรกที่เห็นใบหน้าที่เพิ่งตื่นของเขาชัดเจนขนาดนี้


“เจ็บไหมครับ”


“เจ็บ” ผมพูดไปตามความจริง ก่อนจะลูบแก้มคนที่นอนตะแคงมองหน้าผมอยู่ “แต่ไม่เป็นไร”


“...”


“จิงมีความสุข”


“พี่ก็เหมือนกัน”


   ผมยิ้มกว้างให้เขาแล้วกระชับอ้อมกอด ซุกหน้าลงกับอกของคนตรงหน้าและหลับตาลงอย่างเอาแต่ใจ  ผมไม่รู้ว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว ผมไม่รู้ว่าผมเหลือเวลาอีกแค่ไหน แต่ขอนอนอีกหน่อย ขอนอนกอดคนที่ผมรักหมดหัวใจคนนี้นานกว่านี้หน่อย



.


.



“ค่าเช่าชุดครุย ยืมผมก่อนก็ได้นะครับ”


“ไม่เอา จิงมีเงินเก็บอยู่”


“โอเคๆ” พี่นนตอบอย่างยอมแพ้ แล้วดันรถเข็นมาตรงหน้าผม “ผมฝากเราหยิบครีมอาบน้ำที”


“อือ”


“ไปเจอกันที่คิดเงินเลยนะ”


   ผมพยักหน้ารับ มองคนตัวสูงทิ้งผมไว้ที่รถเข็นคนเดียวแล้วเดินไปอีกทาง เข็นรถเข็นเดินไปหยิบครีมอาบน้ำใส่รถเข็นและเดินไปรอพี่นนที่จ่ายเงิน


“จิง”


“อือ”


   ผมตอบรับแล้วเดินไปวางของที่เคาน์เตอร์คิดเงินแต่สิ่งที่วางอยู่แล้วของคนข้างๆ ทำเอาผมหน้าร้อนและหันไปมองคนหน้านิ่ง แต่ก็ต้องชะงักไปเพราะเขาดันมองผมก่อนอยู่แล้ว


“ที่ห้องใกล้หมดแล้ว”


“จะ จิงไปรอข้างนอก!”


   ผมพูดติดขัดแล้วรีบเดินออกมาแต่สายตาเจ้ากรรมก็ดันไปสบตากับน้องผู้หญิงที่หยิบถุงยางกับเจลหล่อลื่นไปคิดเงินแบบยิ้มๆ พอได้สบตากัน น้องก็ยิ้มกว้างกว่าเดิม ผมแอบได้ยินเสียงหวีดเบาๆ ในคอของน้องเขาด้วย ฮือ อายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหนแล้ว


“จิง รอพี่ด้วย”


“ไม่” ผมพูดไปแบบนั้นแต่ก็ยอมเดินช้าลงให้พี่นนได้เดินข้างกัน แย่งถุงในมือใหญ่มาถือไว้แต่ก็ยังไม่ยอมมองหน้าเขา ผมอายกับเรื่องเมื่อกี้มากจนไม่รู้จะทำยังไงแล้ว


“ก็ที่ห้องมันจะหมดแล้วจริงๆ ผมไม่ได้โกหก”


“ก็พี่เล่นทำทุกวันขนาดนั้น จะไม่หมดได้ยัง..งะ ไง”


“ฮ่าๆ”


“หึ่ย ไม่ต้องมาจับเลย” ผมสะบัดหัวออกจากอ้อมแขนคนตัวโตกว่าทันที่ที่เขากอดคอผม


“ก็เราน่ารัก”


“น่ารักอะไรเล่า จิงหล่อ”


“หึ ครับ”


   ผมเบะปากใส่คนที่ยังยิ้มไม่หยุดด้วยความหมั่นไส้ ถึงตอนแรกจะกังวลเรื่องเซ็กของพวกเราแต่สุดท้ายแล้ว เราก็มีความสุขและผมก็ดันชอบด้วย ชอบที่ได้สัมผัสกัน มันเหมือนผมโดนโอบกอดด้วยความอบอุ่นในรูปแบบที่ไม่เคยได้สัมผัส มันเต็มไปด้วยความรัก ความต้องการจนใจผมอุ่นซ่านไปทั้งใจ



ปัง


   ถึงผมจะขัดขืนกับการโดนกอดคอในตอนแรกแต่ก็ยอมให้เขาเดินกอดคอไปเรื่อยๆ จนถึงบ้านของเรา พอถึงห้องผมก็เดินออกจากอ้อมแขนั้น วางของทุกอย่างไว้พื้นแถวหน้าตู้เย็นและพุ่งตัวลงเตียงทันที พี่นนเดินมาใกล้ผมก่อนจะดึงเสื้อยืดตัวใหญ่ของผมขึ้นมาคลุมหัวผมไว้แล้วนอนทับลงมาที่ผม


“พี่นน ทำอะไรเนี่ย จิงหนัก”


“ชาร์จพลัง”


“กอดเฉยๆ ก็ได้ ดึงเสื้อจิงขึ้นมาทำไมเนี่ย” ผมดิ้นพยายามดันคนตัวโตกว่าให้ลุกแต่พี่นนกลับทิ้งตัวนอนลงข้างๆ แล้วดึงผมเข้าไปกอดแทน


“ขาวดี”


“ทะลึ่ง”


“ยอมรับครับ”


“ชิ” ผมดึงเสื้อตัวเองลงแล้ววาดแขนกอดคนตัวโตไว้ “พี่นน...อาทิตย์หน้าจิงนัดถ่ายรูปกับเพื่อน”


“ให้พี่ไปด้วยไหม”


“อือ วันเสาร์นะ”


“โอเคครับ”  พี่นนมองผม ผมก็มองเขาเราไม่ได้พูดอะไรกันแค่มองและปล่อยให้ความเงียบระหว่างเราทำงานไปเรื่อยๆ “จิง...อยากไปหาป๊าไหม”


“...” และเป็นผมที่หลับตาลง หนีสายตาคนหน้านิ่งที่ดึงมือผมไปจูบเบาๆ


“เราจะเรียนจบแล้วนะ ถ้าป๊าจิงรู้ พี่ว่าป๊าจิงต้องดีใจมากๆ เลย”


“...”


“ไม่คิดถึงป๊าเหรอครับ”


“อึก” คำว่าคิดถึงของพี่นนกรีดลงมากลางใจที่แสนอ่อนแอของผม คิดถึงสิ ต่อให้ผมจะโกรธ จะเสียใจกับสิ่งที่ครอบครัวมอบให้ยังไงแต่ความรักที่ผมมีต่อครอบครัวไม่ได้ลดน้อยลงเลย “คิดถึง”


“งั้นพรุ่งนี้ เราไปหาป๊าจิงกันนะครับ”


 “อือ”


“คนเก่ง”


“พี่นน พี่จะไปด้วยใช่ไหม” ไม่ว่าผมจะโดนไล่ออกมาอีกครั้ง ไม่ว่าผมจะไม่มีที่ยืนบนโลกใบนี้ “พี่จะอยู่ข้างๆ จิงใช่ไหม”


“ครับ พี่จะอยู่ข้างจิง”


ขอแค่มีพี่นนแค่นี้ก็พอแล้ว


.


.


   เสียงดังของพ่อค้าแม่ค้าที่เรียกลูกค้าในยามเช้า เป็นสิ่งที่ผมคุ้นเคยมาตั้งแต่เกิด ผมอยู่ย่านนี้มานานและจากมันไปหนึ่งปี แต่แล้วผมก็ได้กลับมาอีกครั้งพร้อมกับผู้ชายที่ผมรัก พี่นนยืนอยู่ข้างผมเหมือนที่บอกก่อนหน้านี้ ผมเม้มปากด้วยความกังวลเมื่อเราเดินผ่านตลาดไปเรื่อยๆ จนเจอกับตึกแถวยาวที่อยู่ด้านข้างตลาด ร้านขายของชำ ร้านข้าวมันไก่และร้านน้ำเต้าหู้ที่อยู่หัวมุมนั้นยังคงเหมือนเดิม


“ถึงแล้วเหรอครับ”


“อื้อ”


   ผมตอบรับในลำคอและมองไปที่ร้านน้ำเต้าหู้ที่ตอนนี้มีลูกค้านั่งอยู่ประปราย ไอน้ำที่พวยพุ่งจากสองหม้อใหญ่เป็นภาพที่ผมคุ้นเคย ตรงนั้นก็มีผู้ชายผิวขาวหน้าตาออกไปทางจีนและมีรอยยิ้มบนใบหน้าเสมอที่ผมคุ้นเคย เขาก็ยังคงยิ้มแล้วพูดคุยกับลูกค้าเฉกเช่นทุกวัน แต่ตอนนี้รอยยิ้มนั้นได้จางหายไปเมื่อเราได้สบตากัน


“ป๊า...”


“...อาจิง”


   ผมกำมือแน่นตอนที่ป๊าหลบสายตาผม ไม่มีรอยยิ้ม ไม่มีท่าทางดีใจกลับการกลับมาของผมแบบที่ผมเคยวาดฝัน ป๊าหลบตาผมและหันไปตักน้ำเต้าหู้อีกครั้ง ทำเหมือนผมไม่มีตัวตน ใจผมเจ็บปวดจนอยากจะร้องไห้แต่ผมกลับไม่มีน้ำตาเลยสักหยด


“เอาน้ำเต้าหู้หวานน้อย ใส่ทุกอย่างสองแก้วครับ” ผมมองแผ่นหลังกว้างที่เดินตรงไปสั่งน้ำเต้าหู้ด้วยใบหน้านิ่งๆ “ผมเอาปาท่องโก๋ด้วยครับ”


“...” ผมเดินตามคนตัวสูงเข้าไปนั่งในโต๊ะในสุดของร้าน มองไปยังบันไดที่อยู่ข้างๆ ด้วยความรู้สึกแปลกๆ ทั้งที่ขึ้นบันไดไปเลี้ยวซ้ายก็จะเจอกับห้องของตัวเองแต่ผมดันรู้สึกไม่คุ้นเคยกับที่นี่เลย ทั้งที่ผมนั่งอยู่ในบ้านแต่เหมือนไม่ใช่บ้านผมเลย


“ขอบคุณครับ” พี่นนเอ่ยขอบคุณทันทีที่ของที่สั่งไว้วางลงที่โต๊ะ


“อือ” เสียงทุ้มที่ผมไม่ได้ยินมาหนึ่งปีดังขึ้นตอบรับ เขาลากเก้าอี้และนั่งลงตรงข้ามกับผม ทันทีที่ได้สบตา ผมก็รู้ว่าบ้านของผมคือเขา ผู้ชายที่นั่งตรงข้ามกับผมอยู่ตอนนี้


“...”


   ผมเงียบแล้วสบตากับเขา มองดูริ้วรอยที่เกิดขึ้นตามกาลเวลา เส้นผมสีขาว ร่องแก้มที่ขึ้นชัดเจนเพราะเขาเอาแต่ยิ้ม ไม่ว่าจะเศร้าหรือดีใจของก็จะยิ้ม ยิ้มเหมือนกับผม


“หายไปไหนมา”


“จิงเรียนจบแล้วนะป๊า” ผมชะงักไปที่เราดันพูดขึ้นมาพร้อมกัน


“ป๊ายินดีด้วย” ป๊าพูดและยิ้มให้ผม


“...”


“ป๊า...” ป๊ายิ้มแบบที่ผมเกลียดและเหมือนได้ยินที่ผมพูด ป๊าหุบยิ้มลงแล้วมองมาที่ผมตรงๆ “ป๊าขอไปงานรับปริญญาของจิงได้ไหม”


“ฮึก” ใจของผมกระตุกด้วยความเจ็บ น้ำตาผมคลอขึ้นมาจนภาพข้างหน้าพร่าเลือนไปหมด “ได้สิ ป๊าต้องไปนะ”


“ป๊าขอโทษนะ” ป๊าประสานมือตัวเองวางไว้บนโต๊ะและก้มหน้าลง ไม่ยอมสบตากับผม “ป๊าขอโทษ”


“ฮือ ป๊า” ผมเสียใจ และน้ำตาก็ไหลมาอย่างช่วยไม่ได้ ผมดึงมือที่ทำงานหนักมาตลอด มากุมไว้แล้วซุกหน้าลงไป “จิงขอโทษ ฮือ ขอโทษ”


“อาจิง”


“ขอโทษ”


   กว่าผมจะร้องไห้เสร็จก็กินเวลาไปจนน้ำเต้าหู้สองแก้วนั้นเริ่มอุ่น ป๊าลุกไปขายน้ำเต้าหู้ต่อ ทั้งโต๊ะเลยเหลือแค่ผมกับพี่นนที่นั่งอยู่ข้างกัน เรานั่งมองผู้ชายผมขาวที่ทำงานตรงหน้ากันเงียบๆ ป๊าใส่ที่รัดเอวไว้เพราะความปวดร้าวจากการทำงานหนักอย่างเคยและผมก็ร้องไห้ออกมาอีกครั้ง...ผมทิ้งผู้ชายคนนี้ให้อยู่คนเดียวได้ยังไง


“อย่าโทษตัวเองเลย”


“...ฮึก”


“เราทุกคนผิดเหมือนกัน” พี่นนพูดแล้วดึงมือผมไปกุมไว้และวางลงบนตักของตัวเอง “แล้วเราก็ไม่ได้ผิดเหมือนกัน รู้ใช่ไหม”


“...อือ”


“เรื่องมันผ่านไปแล้ว เราเริ่มใหม่ได้นะ”


“พี่นน”


“พี่รักจิง แล้วพี่ก็จะอยู่กับจิงเสมอนะ”


“จิงก็รักพี่” ผมบีบมือที่ใหญ่กว่าไว้แน่น ก่อนที่จะปล่อยมือนี้ไปเช็ดน้ำตาตัวเอง แล้วลุกขึ้นไปช่วยป๊าขายน้ำเต้าหู้เหมือนแต่ก่อน


.


.



“จิงมาอยู่กับผมได้สักสามสี่เดือนแล้วครับ”


“...”


“ก่อนหน้านี้เขาก็ไปอยู่กับเพื่อนบ้าง ไปอยู่ตามโฮสเทลบ้างอย่างที่คุณพ่อทราบ”


“อืม อั๊วน่ะ ผิดเองที่เลี้ยงเขามาแบบตามใจ แล้วก็ผิดที่ไล่เขาไปแบบนั้น”


“...”


   ผมเงียบแล้วละสายตาไปมองคนตัวเล็กที่ตักน้ำเต้าหู้อย่างคล่องแคล่ว ถึงแม้ใต้ตาของเขาจะยังมีรอยแดงจากการร้องไห้มาอย่างหนักแต่รอยยิ้มที่อยู่บนหน้านั้นก็ทำให้รู้ว่าเขามีความสุขแค่ไหน


“อั๊วดีใจนะ ที่เห็นอาจิงกลับมา...ดีใจที่เขาดูมีความสุขมากขนาดนี้” คนแก่กว่าสบตาผม “ที่ผ่านมาขอบใจนะ”


“ครับ”


“ยังไงก็ดูแลอาจิงด้วย อั๊วก็มีมันอยู่คนเดียว”


“ครับ” ผมตอบรับไปอย่างจริงใจ “ผมจะดูแลจิงให้ดีที่สุด”


“ดีแล้ว” คนมีอายุยิ้มรับและลุกขึ้นไปหาลูกชายของตัวเอง ผมมองสองพ่อลูกที่ยืนอยู่ข้างกันแล้วยิ้มเบาๆ กับตัวเอง จิงพูดอะไรสักอย่างกับพ่อของเขาแล้ววิ่งมาหาผมด้วยรอยยิ้ม


“พี่...ไปห้องจิงกัน”


“ครับ”


   ผมลุกขึ้นตามแรงดึงที่เขาลากแขนผมไปอย่างตื่นเต้น เราเดินขึ้นบันไดกันไปยังชั้นสองของร้าน จิงเดินนำผมไปยังประตูไม้ที่มีรูปสติ๊กเกอร์สไปเดอร์แมนแปะอยู่สองสามอัน ผมมองแผ่นหลังเล็กที่ยืนนิ่งอยู่หน้าประตูแต่ไม่ยอมเปิดเข้าไปสักทีด้วยความเป็นห่วง


“ถ้าไม่ไหวก็บอกพี่เข้าใจไหมครับ”


ฟรึ่บ


   ผมตกใจเล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าเขาจะหันหลังมากอดผมแบบนี้ คนตัวเล็กกอดผมไว้แน่น ไม่ช้าอกของผมก็ได้รับความชื้นจากน้ำตาของคนรักของผม


“จิงสับสนไปหมดเลย” เสียงอู้อี้ดังออกมาทำเอาผมปวดใจ “ทั้งที่จิงอยากตาย ทั้งที่จิงไม่คิดจะกลับมาแล้ว แต่...แต่ตอนนี้จิงอยู่ที่นี่”


“ครับ...พี่ฟังอยู่”


“ฮึก จิงรู้สึกแย่ที่จิงดีใจ จิงรู้สึกแย่ที่จิงมีความสุขที่ได้กลับมา มีความสุขที่ได้เจอป๊า”


“ไม่เห็นเป็นไรเลยครับ...เพราะพี่ก็มีความสุขที่เห็นจิงมีความสุข”


“ฮึก” ผมสบตากับคนที่เงยหน้าขึ้นมามองหน้าผม ผมยิ้มแล้วปาดน้ำตาออกจากใบหน้าเนียน


“แค่เรามีความสุข แค่นี้ก็พอแล้วไม่ใช่เหรอครับ”


“อือ” จิงยิ้มให้ผมและหันหลังไปเปิดประตูห้องของตัวเอง


   เราเดินเข้าไปในห้องพร้อมกัน จิงเปิดไฟที่อยู่ข้างประตูแล้วห้องก็สว่างขึ้นมา เตียงเดี่ยววางอยู่ด้านขวาของห้อง ข้างๆ หัวเตียงก็เป็นโต๊ะคอมที่มีหนังสือการ์ตูนวางสะเปะสะปะ ด้านซ้ายเป็นตู้เสื้อผ้าและชั้นวางหนังสือของเขา


“โห ป๊าคงเข้ามาทำความสะอาดบ่อยแน่ๆ เลย” จิงพูดตอนที่เอามือไปรูดบนจอคอม “ไม่มีฝุนเลยอะ”


“หึ” ผมหลุดขำแล้วเดินไปนั่งบนเตียงเขาอย่างถือวิสาสะ


“เฮ้อ ป๊าทำให้จิงจะร้องไห้อีกรอบ”


   ผมขำและมองคนตัวเล็กเดินไปทั่วห้องตัวเอง จิงดึงหนังสือการ์ตูนมาให้ผมดูและบังเอิญที่เราก็ชอบเรื่องนี้เหมือนกัน เราพูดถึงการ์ตูน เกมส์หรือแม้กระทั่งชีวิตวัยมัธยมไปด้วยกันอย่างมีความสุข เรามีความสุขจนลืมเวลา


“พี่รู้ปะตอนปีหนึ่งอะ จิงเก็บเงินเองเพื่อซื้อฟิกเกอร์เลยนะ แพงโคตร...” ผมเงียบมองปากเล็กที่พูดเจื้อยแจ้วไม่หยุด ดูก็รู้ว่าเขาดีใจแค่ไหนที่ได้กลับมาบ้านของตัวเอง มีความสุขแค่ไหนที่ได้กลับมาเป็นตัวเองอีกครั้ง


“จิง อยากกลับมาอยู่บ้านไหม”


“...” เขาที่กำลังจะหยิบฟิกเกอร์ตัวโปรดมาให้ผมดูชะงักไปแล้วหันมาสบตาผม


“มานี่ครับ” ผมว่าแล้วดึงแขนให้เขานั่งลงที่เตียงข้างๆ กัน “ลองกลับมาอยู่บ้านไหมครับ ลองอยู่สักอาทิตย์”


“...แต่”


“พี่ไม่เป็นไร แล้ววันเสาร์เราค่อยมาเจอกันก็ได้นี่ครับ” ผมว่าแล้วดึงมือเล็กขึ้นมาจูบ แม้จะรู้สึกวูบโหวงที่ใจแต่ผมก็จะพยายาม “จะได้ดูแลป๊าด้วย”


“จิง...จะลองดู” และคำตอบของเขาก็ทำให้ผมยิ้มได้ แม้ข้างในใจของผมจะเจ็บปวดก็ตาม


“คนเก่งของพี่”






*************************************************
เอาน้ำตา เอ้ย น้ำเต้าหู้มาส่งจ้า
TBC

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
 :pig4:
ติดตามค่ะ
 :katai2-1:

ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
ตอนที่ 22 คิดถึง




“อาจิงอ่า กินข้าวให้หมดสิ เสียดายของ”


“ครับป๊า”


   ผมตักข้าวคำโตเข้าปากแล้วรีบเคี้ยวให้หมดคำ  หลังจากข้าวหมดจานผมก็ยกจานเปล่าไปวางที่อ่างล้างจาน แล้วรีบวิ่งขึ้นบันไดไปที่ห้องของตัวเองทันทีโดยไม่สนใจป๊าที่นั่งอยู่ตรงข้ามกัน ที่ผมต้องรีบก็เพราะตอนนี้เป็นเวลาที่เรานัดกันไว้ ผมใช้โทรศัพท์บ้านที่ถูกย้ายมาในห้องของตัวเองต่อสายเบอร์ที่ผมจำได้ขึ้นใจ


ตู้ด ตู้ด


   สัญญาณรอสายที่ดังแต่ละครั้งทำให้ความคิดถึงของผมยิ่งเพิ่มขึ้น เหลือบมองนาฬิกาบนโต๊ะที่บอกเวลาสองทุ่มตรงแล้ว...บางทีพี่นนอาจจะรถติดหรือจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นรึเปล่านะ ผมกังวลใจจนเผลอกำหมอนในมือแน่นแต่หลังจากผมกังวลใจได้ไม่นานเกินรอ สัญญาณโทรศัพท์ก็หยุดและเสียงทุ้มปลายสายก็ทำให้ผมหลุดจากภวังค์


“ฮัลโหลครับ”


“...” เสียงทุ้มที่คุ้นเคยดังมาจากปลายสาย ทำผมน้ำตารื้น ทั้งที่คิดว่าตัวเองเข้มแข็งขึ้นแล้ว แต่ไม่เลยผมคิดถึงพี่นน...คิดถึงมากจริงๆ


“จิง”


“คิดถึงอะ”


“หึ”


“ไม่ต้องมาขำเลย" ผมอมยิ้มแล้วกอดหมอนแทนกอดคนปลายสาย "ไม่คิดถึงจิงรึไง”


“...ครับ”


“...คิดถึง”


“หึ ครับ"


"ผ่านไปแค่สองวันแต่เหมือนสองปีเลยอะ” ผมว่ายิ้มๆ แล้วปาดน้ำตาออกลวกๆ พยายามทำเสียงให้ปกติที่สุด


“เดี๋ยววันเสาร์ก็ได้เจอกันแล้วนะครับ”


“อือ”


"วันนี้เป็นไงบ้างครับ"


   ผมยิ้มแล้วเริ่มเล่าเรื่องวันนี้ให้เขาฟัง ถึงเนื้อเรื่องจะคล้ายเมื่อวานที่ผ่านมา พี่นนก็ยังคงตั้งใจฟังแล้วถามผมเป็นระยะ และความใส่ใจเล็กๆที่ผมได้รับยิ่งทำให้ผมคิดถึงเขามากขึ้นไปอีก อยากเห็นหน้า อยากกอด อยากสัมผัสความอบอุ่นจากคนตัวใหญ่


"แล้ววันนี้พี่เป็นยังไงบ้าง"


"เหมือนเดิมครับ อ้อ ไอ้ชินถามถึงเราด้วยล่ะ"


"จริงเหรอ พี่ชินสบายดีใช่ไหม"


"อือ"


"ทำไมเสียงแบบนี้อะ หึงเหรอ"


"เปล่าครับ"


"หึงจริงด้วย ฮ่าๆๆ"


"..."


"โอเคๆ จิงไม่ขำละ"


"นอนได้แล้วนะครับ จะสี่ทุ่มแล้ว"


"อือ ไม่อยากวางเลย"


“ฝันดีนะครับ”


“อือ ฝันดี”


"พี่คิดถึง"


แกร่ก


   ผมทิ้งตัวลงนอนบนเตียงของตัวเองด้วยใจที่เต้นแรง คิดถึง...พี่นนบอกคิดถึงผม ผมยิ้มกว้างก่อนจะดิ้นไปมาบนเตียง ลูบอกข้างซ้ายของตัวเองไปมาให้มันเต้นช้าลง ผมนอนยิ้มอยู่แบบนั้นสักพักแต่ก็ต้องรีบลุกจากเตียงและวิ่งลงไปด้านล่างเพราะเพิ่งนึกบางอย่างออก


“ป๊า..." ผมเรียกคนที่ยืนหันหลังล้างจานอยู่คนเดียวในห้องครัวเงียบๆ ป๊าชะงักไปแล้วหันมามองหน้าผมแค่เพียงแป๊บเดียว ก็หันกลับไปเปิดน้ำราดจานที่เปื้อนอาหารออก ผมถอนหายใจแล้วเดินไปแย่งจานในมือป๊ามาล้างเอง "เดี๋ยวจิงล้างเอง”


"อ้าว คุยกับแฟนเสร็จแล้วเหรอ"


"ป๊า" ผมมองค้อนป๊าที่พูดแบบนั้น แล้วหันมาล้างจานต่อ


“...อะไรของลื๊อ เรียกแล้วก็ไม่พูด”


"เฮ้อ ป๊าไปนั่งพักไป" ผมว่าแล้วใช้มือข้างที่ยังไม่เปียกดันให้ป๊าเดินไปด้านหลัง ป๊ายอมเดินไปนั่งแล้วก็ถอนหายใจ แล้วก็เกิดความเงียระหว่างเราแต่ก่อนที่ผมจะรู้สึกอึดอัด ป๊าก็พูดทำลายความเงียบขึ้นมาเสียก่อน


"แล้วนนเป็นไงบ้าง" แต่คำถามของป๊าดันทำให้ผมเงียบไปกว่าเดิม


"..." ผมยังคงเงียบและหันหลังให้ป๊าอยู่แบบนี้แม้จะรับรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่จ้องมองมาจากด้านหลังก็ตาม ผมเงียบได้ไม่นานก็ทนกับบรรยากาศกดดันแบบนี้ไม่ไหว "กะ ก็ดีป๊า"


"ดีแล้ว” ป๊าเงียบไปเหมือนคิดอะไรบางอย่าง “เขาเป็นคนดีนะ ที่ดูแลลื๊อให้ที่อยู่ที่กิน"


"อือ"


   แล้วความเงียบก็กลับครอบงำพวกเราไปอีกครั้ง เหมือนเราตกอยู่ในความคิดภายในหัวของตัวเอง ผมเอาแต่กังวลเพราะผมไม่รู้ว่าควรบอกป๊าดีไหมว่าผมกับพี่นนเป็นอะไรกัน แล้วถ้าบอกไป ผมจะโดนเกลียดไหม ส่วนป๊าผมไม่รู้เลยว่าป๊าคิดอะไรอยู่


   พอผมล้างจานเสร็จ ผมก็เดินไปเปิดถุงกระสอบตักถั่วขึ้นมาเพื่อแยกเมล็ดดีเมล็ดเสีย นำกะละมังใส่น้ำมาแล้วไปวางไว้บนโต๊ะและนั่งตรงข้ามป๊าที่มองคอยมองผมอยู่ตลอดทุกการกระทำ


"อั๊วรับได้ทุกอย่าง"


"..." ผมเม้มปากแน่น จ้องมองถั่วที่อยู่ในถาด


"สำหรับอั๊วแล้วแค่ลื้อมีความสุขก็พอ"


"..." มืออันสั่นเทาของผมเลือกหยิบถั่วที่ไม่สวยทิ้ง แล้วเอาที่เหลือแช่น้ำในกะละมังไว้ ผมลอบมองใบหน้าป๊าที่ยิ้มเบาๆ ให้ผม รอยยิ้มของป๊าดูพร่าเลือนเพราะน้ำตาผมเอ่อขึ้นมาบดบัง ผมเม้มปากกลั้นเสียงสะอื้น เมื่อน้ำตาเริ่มไหลออกจากดวงตาไม่หยุด ผมใช้มือที่เปียกน้ำปาดน้ำตาออกจากใบหน้าอย่างลวกๆ "ป๊า ฮึก ถั่วรอบนี้เสียเยอะเลย"


"นั่นสิ งั้นเดี๋ยวคืนนี้เราแยกออกให้หมดเลยนะ"


"ครับป๊า"


"เดี๋ยวอั๊วไปตักถั่วมาให้"


   ผมมองผู้ชายผมสีขาวที่มีรอยยิ้มประดับสีหน้าเสมอค่อยๆ ลุกเพื่อจะไปหลังร้านแต่ตอนที่ป๊ากำลังจะเดินผ่านผมไป ผมก็จับแขนป๊าไว้ให้ป๊าหยุดเดินแล้วผมก็ใช้แขนโอบกอดเอวป๊าไว้ซุกใบหน้าเปื้อนน้ำตาของตัวเองไว้ข้างเอวนิ่ม


"ฮึก ป๊า...ขอบคุณครับ"


"เฮ้อ" ถึงจะถอนหายใจแต่มือหยาบก็วางลงบนกลุ่มผมของผมก่อนจะลูบไปมาเบาๆ "ป๊าก็ขอบคุณที่ลื๊อกลับมานะ"


"จิงรักป๊านะ"


"..."


"แล้วม๊าเป็นไงบ้าง" ผมถามไปทั้งที่ยังซุกหน้าอยู่กับเอวป๊า


“เขาไม่มาอีกแล้วล่ะ ตั้งแต่ลี๊อไป...ก็หายไปเลย”


“จิงไม่อยากไปอยู่กับม๊า”


“ทำไมล่ะ ถ้าลื๊อไปอยู่กับเขา ลื๊อจะสบายกว่านี้นะจิง”


“...ไม่ไป”


“ไม่ไปก็ไม่ไป” มือหยาบขยี้หัวผมแรงขึ้น "...อย่าหนีไปแบบนี้อีก"


"ครับป๊า" ผมกอดป๊าแน่นขึ้นแล้วเงยหน้ามองป๊า “ป๊า จิงรักป๊านะ”


“รู้แล้วน่า"


“ก่อนหน้านี้ จิงอยากจะฆ่าตัวตายด้วย”


“อาจิง” ป๊ามองตาผมแบบไม่สบอารมณ์ที่ผมพูดแบบนี้


“แต่พี่นนมาช่วยไว้ พี่นนเขาดีกับจิงมากเลย”


“...”


“จิงรักพี่นน”


“อือ”


“...ป๊ารับได้จริงๆ เหรอ”


“อั๊วน่ะ จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ สำหรับอั๊วแค่ลื๊อมีความสุขก็พอแล้ว”


“ป๊าอย่าพูดแบบนี้สิ ป๊าต้องอยู่กับจิงไปนานๆ” ผมว่าแล้วซุกหน้าลงเอวป๊าอีกครั้ง “จิงจะดูแลป๊าเองนะ”


“ตัวเท่าลูกหมา ดูแลตัวเองให้รอดก่อนไป”


“ป๊าอะ!”


“ฮ่าๆ” แล้วคืนนั้นผมก็ได้รู้ว่าคำว่าบ้านนั้นอบอุ่นแค่ไหน


.


.


แกร่ก


   สิ่งแรกที่เปิดมาเห็นในห้องเช่าเก่าๆ ที่ผมอยู่มานานหลายปีนี้คือเด็กผู้ชายตัวเล็กที่มีรอยยิ้มสดใสแต่แววตาเศร้าหมอง เขาลุกมาหาผมด้วยรอยยิ้มแล้วสวมกอดผมอย่างออดอ้อน ใช่ เมื่อก่อนมันจะต้องเป็นแบบนี้ แต่ไม่ใช่วันนี้ไม่ใช่หนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา ที่พอผมเปิดประตูเข้ามาก็พบเจอกับความเงียบแบบนี้


   ผมเปิดไฟแล้วปิดห้องลง ทั้งห้องเงียบสงัดเมื่อมีแค่ผมคนเดียวที่ยืนอยู่แบบนี้ ความเงียบทำให้ใจของผมเหงาจนรู้สึกเจ็บ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็อยู่คนเดียวมาตลอดแต่พอเขาเข้ามาในโลกของผมแล้ว ผมก็ไม่สามารถเป็นแบบเดิมได้อีก อาการที่ผมเป็นในตอนนี้ทำเอาผมอดขำกับตัวเองไม่ได้ เหมือนผมได้กลับไปเป็นวัยรุ่นอีกครั้ง ความรู้สึกที่แสนวู่วาม คิดถึง อยากเจอ อยากสัมผัส ความรู้สึกพวกนี้ทำให้รู้ว่าผมมีความรัก


และทำให้รู้ว่าผมคิดถึงเขา...ผมคิดถึงจิงมากจริงๆ


"เฮ้อ" ผมถอนหายใจออกมา ในวันพรุ่งนี้ผมจะได้เจอกับจิงคนรักของผมแล้ว คนที่เข้ามาในชีวิตที่โดดเดี่ยวของผม


   ผมรับรู้ได้ว่าจิงเข้มแข็งขึ้นแล้วจากการคุยกันทุกวันแต่ผมก็อดใจหายไม่ได้เพราะความเข้มแข็งของเขา ทั้งที่ควรดีใจแต่ก็แอบรู้สึกแย่เมื่อรู้ว่าเขาอยู่ได้จริงๆ ถ้าไม่มีผม ถึงเขาจะบอกคิดถึงผมทุกวัน แต่ผมก็รู้ว่าเขากำลังโตขึ้น กำลังจะเข้าใจโลกใบนี้อย่างถ่องแท้ ส่วนผมจะเหมือนเดิมไปตลอด จะเฝ้ามองเขา หวังดีต่อเขาและรักเขา


ก๊อก ก๊อก


   เสียงเคาะประตูดังขึ้นตอนที่ผมออกมาจากห้องน้ำด้วยชุดนอนพอดี ผมเดินไปหยุดยืนอยู่หลังประตูสักพัก ห้ามหัวใจตัวเองไม่ให้คิดไปเองว่าจะมีคนตัวเล็ก ผิวขาว หน้าตาน่าเอ็นดูยืนยิ้มแฉ่งอยู่หลังประตูด้านตรงข้ามกับผม


แอ๊ด


ผมจะห้ามให้ตัวเองไม่ยิ้มได้ยังไง


   เมื่อภาพที่ผมคิดไว้เกิดขึ้นจริงๆ จิงยืนสะพายเป้สีแดงยืนอยู่ตรงข้ามกับผม ดวงหน้าน่ารักเงยขึ้นมองผมและเมื่อเราได้สบตากัน จิงก็ยิ้มกว้าง แววตาที่เคยเศร้าหมองกลับส่งประกายระยิบระยับจนใจผมเต้นแรงเพราะรับรู้ได้ถึงความรักจากคนตรงหน้า


“แหะๆ” จิงหัวเราะเบาๆ และยิ้มแบบลูกหมาให้ผม


“...ไหนบอกว่าจะมาเช้าวันเสาร์ไงครับ” กว่าจะงมหาเสียงตัวเองเจอก็ตอนที่คนตัวเล็กวางเป้สีแดงใบโปรดไว้ข้างเตียงแล้ว


ฟรึ่บ


“คิดถึงจังเลย” จิงไม่ตอบคำถามผมแต่วิ่งเข้ามากอดผมแทน


“หึ”


“จูบหน่อย”


“อ้อนอะไรขนาดนี้ครับ” ผมกอดและลูบหัวคนที่ถูไถหัวไปมากับอกผมไม่หยุด


“ก็คิดถึง คิดถึงๆๆๆ” จิงยิ้มกว้างและพูดแบบนั้นพร้อมมองตาผมไปด้วย “พี่นน...อื้อ”


   ผมก้มหน้าลงไปจูบกลีบปากน้อยสีแดงที่พูดคิดถึงผมซ้ำๆ ด้วยความหมั่นเขี้ยว จูบย้ำๆ ซ้ำๆ โดยไม่ได้รุกล้ำและได้รับการตอบรับจากเจ้าลูกหมาตัวน้อยเป็นการจูบแบบเดียวกันกลับมา


“จิงบอกป๊าว่าจะกลับบ้านวันจันทร์” จิงพูดขณะที่ริมฝีปากเรายังสัมผัสกันเบาๆ เราแนบอิงหน้าผากเข้าหากันและจ้องตากัน “จิงบอกว่ามาหาพี่นน”


“ดีแล้วครับที่ไม่โกหก” ผมยิ้มและกดจูบริมฝีปากนุ่มนิ่มอีกครั้งเป็นรางวัลของเด็กดี


“จิงอะ เก่งที่สุดแล้ว”


“ครับ คนเก่ง”


“...จิงรักพี่”


“ครับ” ผมยิ้มรับและประคองใบหน้าเล็กไว้ในสองมือของตัวเอง ครอบครองริมฝีปากไว้และใช้มือดันท้ายทอยให้ใบหน้าเราชิดกันแนบแน่นขึ้น ผมส่งลิ้นความชื้นเข้าไปทักทายและเราก็เกี่ยวกระหวัดกัน แต่แล้วผมก็สะดุ้งเมื่อมือเล็กแสนซุกซนสัมผัสเข้ากับส่วนล่างของผมผ่านกางเกงนอนบางๆ ผมผละใบหน้ามามองคนหน้าแดงที่ไม่ยอมสบตาผม “ทำอะไรครับ คนเก่ง”


“...อยู่เฉยๆ” จิงขมวดคิ้วมองผมทั้งที่ใบหน้าแดงแจ๋


“จิง” ผมเรียกชื่อเขาตอนที่โดนผลักให้นั่งลงที่ปลายเตียงและเขาก็คุกเข่าลงที่พื้นระหว่างขาผม


"จิงอยากทำให้พี่"



   ผมลอบกลืนน้ำลายตอนที่มองใบหน้าขาวที่อยู่ระหว่างขาผม มือเล็กกอบกุมเข้ากับส่วนอ่อนไหวของผม จิงสบตาเข้ากับผมแล้วเบนสายตาไปทางอื่น ใบหน้าขาวขึ้นสีแดงจัด เขาเม้มปากและเริ่มชักนำส่วนนั้นของผมด้วยมืออันสั่นเทาโดยที่ไม่มองมัน


"จิง...อยากทำจริงๆ ใช่ไหม"


"อะ อือ"


"ถ้าอย่างนั้นสบตาพี่"


"..." จิงลังเลสักพักและยอมสบตากับผมในที่สุด ผมยิ้มเบาๆแล้วลูบมือลงแก้มเนียนนุ่ม ใช้นิ้วโป้งเกลี่ยแก้มขาวและลากไล้ย้ำไปมาที่ริมฝีปากของเขา ก่อนจะกดนิ้วเข้าไปหยอกเย้าลิ้นเล็กที่ดูดดึงนิ้วผมด้วยสายตาหยาดเยิ้ม "อือ พี่นน"


"อ้าปาก"


"อะ" จิงหลุดเสียงร้องตอนที่ผมจับท้ายทอยเขาให้เขยิบเข้ามาใกล้ส่วนนั้นของผมมากกว่าเดิม ริมฝีปากร้อนที่ผมหลงรักสัมผัสเข้ากับของผม และผมก็ได้รู้ว่าริมฝีปากของเขาสามารถร้อนได้อีกในตอนที่เขาครอบปากลงบนส่วนหัว


"อย่างนั้น ค่อยๆ ใจเย็นๆ"


"อึก" คนเก่งของผมพยายามครอบครองทั้งหมดแต่ก็ดูจะทำไม่ได้ ผมยิ้ม ปลอบใจด้วยการลูบหัวเขาและปล่อยให้เขาปรนเปรอผมไปเรื่อยๆ เสียงดูดดึงดังไปทั่วห้องเล็ก ทำเอาผมรู้สึกวาบหวาม มองใบหน้าน่ารักที่ใช้ลิ้นเล็กเลียไปทั่วแท่งร้อนด้วยท่าทีเงอะงะเพราะพยายามไม่ให้ฟันโดนของผม น่ารัก...น่ารักจนใจผมเจ็บไปหมด


"อ่า คนเก่งของพี่" ตอนที่เขาผงกหัวเข้าออกแรงและเร็วขึ้นทำเอาอารมณ์ผมพุ่งสูงจนเผลอกดท้ายทอยของเขาให้เข้าหาตัวเองแรงขึ้นและเริ่มโยกเอวไปตามสัญชาตญาณของตัวเอง


"อ่อก อึก" กว่าจะรู้ตัวก็ตอนเผลอทำรุนแรงไปแล้ว จิงจะสำลักแต่ก็พยายามทำต่อ


"อ่า จิง" ถึงจะเห็นว่าเขาเริ่มทรมานแต่ความรู้สึกที่มีก็ทำเอาผมขาดสติ คว้าท้ายทอยเขาไว้แล้วเร่งจังหวะ


“อึก”


"จิง อ่า พอก่อน" เมื่อใกล้ถึงฝั่งฝันผมพยายามผละตัวออกแต่จิงยังคงครอบครองของผมไว้อย่างนั้น แถมยังส่งสายตามองมาเหมือนบอกว่าจะทำต่อ


"อื้อ" คนเก่งของผมส่ายหัวประท้วงและดูดดึงแรงขึ้น เร็วขึ้น จนในที่สุด


"อ่า" ผมก็ปลดปล่อย


"อะ แค่กๆๆ แฮ่ก" ผมมองหน้าคนที่สำลักหน้าดำหน้าแดงเพราะกลืนกินของผมไป ผมถอนหายใจปาดเอาบางส่วนที่เลอะออกมาจากปากแดง ในตอนที่ผมจะลุกไปหาทิชชู่เพื่อจะเช็ดส่วนที่ยังหลงเหลืออยู่ออกจากใบหน้าเล็ก แต่จิงกลับทำสิ่งที่ผมนึกไม่ถึง เขาดึงมือผมไปและเลียส่วนที่เหลือเข้าปากจนหมดแล้วก็ยิ้มให้ผม ยิ้มโดยไม่รู้ตัวเลยว่าจะเจออะไรที่ทำแบบนี้ไป


"จิง"


"เฮ้ย" จิงร้องด้วยความตกใจตอนที่ผมอุ้มเขาขึ้นจากพื้นและโยนลงบนเตียง


"โดนดีแน่"


"อื้อ"







*******************************
รูดก้านมะยมing
TBC



ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0

ออฟไลน์ Tiffany

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
ดีใจกับน้องจิง คืนดีกับป๊าแล้ว

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
เริ่มสดใสกันขึ้นทีละน้อยๆ ประคับประคองกันไปดีๆนะ

ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
ตอนที่ 23 ครั้งแรก


“ไปเที่ยวบ้านพี่ไหม”


   เป็นคำถามที่ทำให้ผมประหลาดใจในเช้ามืดวันเสาร์ พี่นนยืนหน้านิ่งจ้องมองผมอย่างนั้น ส่วนผมก็เลิกคิ้วประหลาดใจเพราะเป็นครั้งแรกที่เขาชวนผมออกไปไหนก่อน


“ไปสิ วันไหนอะ”


“พรุ่งนี้”


“หะ” ผมขมวดคิ้วหันไปมองหน้าพี่นนแบบไม่แน่ใจในสิ่งที่ได้ยิน แล้ววางถุงน้ำเต้าหู้ที่เพิ่งถูกมัดใส่ถุง ก่อนจะหันไปบอกลูกค้าที่ยืนรออยู่ “สามสิบบาทครับ”


“พรุ่งนี้”


“โอเค เดี๋ยวจิงบอกป๊าไว้” ผมตอบไปอย่างไม่คิดมาก แล้วตักน้ำเต้าหู้ใส่แก้วที่ใส่เครื่องไว้แล้ว “พี่เอานี่ไปให้โต๊ะสาม ปาโก๋ด้วยสิบบาท”


“ครับ”


   หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้คุยกับพี่นนอีก จนเวลาล่วงเลยไปถึงเก้าโมงเช้า ซึ่งเป็นตอนที่ลูกค้าเริ่มน้อยลง พวกเราจึงมีเวลากินข้าวกัน ปกติแล้วเสาร์อาทิตย์พี่นนจะมาช่วยป๊ากับจิงที่ร้านตลอด แต่ยังไม่เคยได้กินข้าวพร้อมกันแบบนี้เลย ครั้งนี้จึงเป็นครั้งแรกที่ได้กินข้าวพร้อมกัน ผมประหม่าเล็กน้อย แล้วผมก็คิดว่าพี่นนก็คงจะประหม่าเหมือนกันเพราะป๊าเองก็รับรู้แล้วว่าเราคบกัน


“กินเยอะๆ ล่ะ วันนี้จะอยู่ร้านทั้งวันเลยใช่ไหมล่ะ” ป๊าว่าแล้วจ้องคนที่นั่งตรงข้ามกับตัวเอง “งานหนักนะ ลื๊อทำได้รึเปล่า”


“ทำได้ครับ”


“ป๊า” ผมมองค้อนป๊าที่พูดข่มพี่นน “งานหนักอะไร จิงตัวแค่นี้ยังทำได้เลย”


“จิง...ไม่เอาครับ”


“ชิ” ผมเบะปากใส่พี่นนที่นั่งข้างตัวเอง ทั้งที่ผมปกป้องยังมาว่ากันอีก อย่างนี้ผมต้องเปลี่ยนทีมว่าแล้วก็ตักเนื้อปลานึ่งซีอิ๊วให้ป๊า “จิงอุตส่าห์ปกป้อง จิงย้ายไปอยู่ทีมป๊าแล้ว”


“ฮ่าๆ ให้มันได้งี้สิ เป็นลูกป๊าก็ต้องอยู่ข้างป๊าสิ”


“แต่ถ้าป๊ายังเบ่งอีก จิงก็จะย้ายไปอยู่ข้างพี่นน” ผมว่าแล้วมองหน้าป๊าอย่างกวนๆ ก่อนจะตักปลาให้พี่นนเหมือนกัน


“อาจิง” ป๊าหุบยิ้มลง แกล้งทำหน้าเศร้าใส่ผม


“ฮ่าๆ” แล้วก็เป็นผมที่หัวเราะบ้าง


   เราลงมือกินข้าวกันอย่างเงียบๆ ในตอนแรกก็ปกติดีแต่แล้วผมกลับรู้สึกอึดอัดอย่างอธิบายไม่ถูกเพราะป๊าเอาแต่ทำหน้านิ่ง ส่วนคนหน้านิ่งก็เอาแต่กินข้าวเงียบและเป็นผมที่ทำลายความเงียบเมื่อนึกบางอย่างได้ “เอ่อ ป๊าพรุ่งนี้จิงไปเที่ยวกับพี่นนนะ”


“หือ”


“เอ่อ คือ” ผมกำลังจะอธิบายต่อแต่พี่นนก็พูดขึ้นมาก่อน


“พอดีวันจันทร์เป็นวันหยุด ผมจะขอคุณพ่อพาน้องไปเที่ยวครับ”


“อ่อ” ป๊าพยักหน้าแล้วมองหน้าพี่นนอย่างจริงจังแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน


“เราจะไปอยุธยากัน ไปบ้านเกิดผมน่ะครับ” พี่นนหันมามองหน้าผมเล็กน้อย แล้วหันไปมองป๊าต่อ “ไปพรุ่งนี้แล้วก็กลับวันจันทร์เลยครับ”


“ก็ดีหนิ ช่วงนี้อาจิงว่างด้วย พาไปเปิดหูเปิดตาบ้างก็ดี”


“ไปด้วยกันไหมครับ”


“ไม่ล่ะ ป๊าปวดหลังไปไม่ไหวหรอก” ผมที่กำลังจะตักข้าวเข้าปากถึงกลับชะงักไป แล้วมองหน้าป๊าที่แทนตัวเองว่า ’ป๊า’ กับพี่นน


“ครับ”


“ฝากด้วยละกัน”


“ครับป๊า”


   ผมมองพี่นนอย่างทึ่งๆ ที่เรียกป๊าว่าป๊าแล้วก็ตักผัดผักบุ้งให้ป๊า สลับกับมองหน้าป๊าที่เพิ่งมีรอยยิ้มกลับมา นี่มันอะไรกัน แล้วบรรยากาศอึดอัดกันเมื่อกี้หายไปไหนหมด แล้วทำไมผมต้องรู้สึกเขินด้วยเนี่ย


แต่ก็ดีแล้วที่เป็นแบบนี้ ดีแล้ว...ที่ป๊ารับพวกเราทั้งสองคนได้จริงๆ



.


.



   เมื่อคืนผมแพ็คกระเป๋าตัวเองด้วยความตื่นเต้นเพราะจะได้ไปเที่ยวและอีกส่วนหนึ่งก็ตื่นเต้นเพราะเพื่อนผมโทรมาว่าได้รับรูปที่เราไปถ่ายด้วยกันแล้ว แต่เนื่องจากผมไม่มีมือถือ วันนี้ก่อนที่ผมจะไปเที่ยวกับพี่นน ผมจึงขอให้เราแวะห้างสรรพสินค้าเพื่อไปซื้อโทรศัพท์กันก่อน เราเดินอยู่ในช็อปกันสักครู่แล้วผมก็ตัดสินใจได้ ยืนยันใช้เงินเก็บของตัวเองเป็นคนซื้อกับพี่นนอยู่นานแต่สุดท้ายผมก็ได้มันมาใช้


   พี่นนเริ่มขับรถมอเตอร์ไซต์ออกจากกรุงเทพตอนเกือบเที่ยงและเราก็เสียเวลาแวะกินข้าวกันที่ปั๊มน้ำมันกันสักพัก ทำให้มาถึงอยุธยากันช่วงบ่ายสาม พี่นนพาผมไปแวะเที่ยวตลาดน้ำอย่างที่เราวางแผนกันไว้ แต่ด้วยความที่ขี่มอเตอร์ไซต์กันมาทำให้เราใส่เสื้อผ้าที่ค่อนข้างมิดชิดกัน ผมจึงกระซิบบอกกับพี่นนว่าเราเหมือนคนเก็บเงินกู้เลย เพียงเท่านี้ก็เรียกเสียงหัวเราะของเราสองคนได้ไม่ยาก


   เราเดินดูของในตลาดย้อนยุคข้างกันเงียบๆ มีคุยกันบ้างบางเป็นระยะเมื่อเจอสิ่งที่น่าสนใจ เดินได้สักพักพี่นนก็พาผมแวะร้านขนมสายไหมที่ผมงอแงอยากกินตั้งแต่เมื่อคืน เขาซื้อให้ผมหนึ่งชุดและซื้อฝากป๊าหนึ่งชุด หลังจากนั้นก็เหมือนกับเทศกาลซื้อของฝาก เราเข้าร้านนั้นร้านนู้นไม่หยุดจนได้ของฝากเยอะเต็มมือ สุดท้ายก็มานั่งพักกินข้าวเย็นกันร้านริมแม่น้ำ


 “พี่นนดูดิ” ผมเปิดไลน์ที่เพื่อนส่งรูปมาให้ ให้พี่นนดูตอนที่เรานั่งรออาหารมาเสิร์ฟ “ตากล้องเก่งมากเลยอะ ภาพสวยมาก ดูดิจิงอย่างหล่อ”


“น่ารักต่างหาก”


“หล่อเถอะ” ผมว่า แล้วปัดดูรูปถัดไป มันเป็นรูปที่ผมยืนยิ้มแช่งชูสองนิ้วให้กล้องและมีคนข้างๆ ยืนจัดทรงผมให้ผมอยู่ข้างๆ “พอยืนข้างกันแล้วจิงหล่อกว่าตั้งเยอะ”


“...” พี่นนเงียบไปแล้วมองรูปนั้นนิ่งๆ “ส่งให้พี่ด้วย”


“อือ” ผมตอบรับ ไม่กล้าสบตากับคนที่นั่งข้างกันและหาเรื่องทำลายบรรยากาศที่ทำให้ผมเขินอาย “มาถ่ายรูปกัน”


“ครับ”


   ผมยกโทรศัพท์ที่เพิ่งซื้อใหม่ขึ้นมา เปิดกล้องหน้าให้เห็นเราทั้งสองในจอ พี่นนก้มตัวลงมาเล็กน้อย ผมนับหนึ่งสองสามแล้ว กดปุ่มด้านข้างให้จับภาพเราไว้ ผมกดรัวๆ แต่ถ่ายได้ไม่นานอาหารก็มาเสิร์ฟ ผมหยุดถ่ายและดูรูปที่เพิ่งถ่ายเสร็จ ในรูปผมเปลี่ยนท่าไปเรื่อยๆ ทั้งยิ้มและทำหน้าตลกแต่พี่นนก็ยังคงหน้านิ่งทุกรูปจนผมขำ


“พี่นนดูนี่”


“ครับ” พี่นนก้มลงมองหน้าจอที่ผมเพิ่งเปลี่ยนเป็นรูปคู่ของเราแล้วยิ้มเบาๆ ก่อนจะหันไปตักกุ้งให้ผม “ส่งมาให้พี่บ้างสิครับ ทั้งหมดเลย”


“ฮ่าๆ” ผมหัวเราะเสียงดังเพราะความน่ารักของเขา


.


.



   เรามาถึงบ้านพี่นนตอนเกือบสองทุ่ม ผมลงจากรถและยืนมองพี่นนที่ไขกุญแจอยู่หน้าบ้านแล้วเดินมาจูงมอเตอร์ไซต์เข้าไปในบ้าน ผมมองตามเข้าไปก็เห็นบ้านเดี่ยวใต้ถุนสูงอยู่ลางๆ พี่นนเดินหายไปใต้ถุนบ้านสักพัก ไฟบริเวณใต้ถุนและหน้าบ้านก็สว่างขึ้น ทำให้ผมมองเห็นได้ชัดเจนขึ้น พี่นนเดินมาหาผมและดึงมือผมไปจับไว้ ก่อนจะสบตาผม


“พร้อมรึยัง”


“พร้อมครับ” ผมว่าพยายามกลั้นน้ำตาตอนที่มองแผ่นหลังกว้างที่เดินนำผมเข้าบ้านไป แผ่นหลังกว้างที่โดดเดี่ยวเหมือนผม


“พรุ่งนี้เราจะไปหาพ่อกับแม่พี่ที่วัดกัน คืนนี้เราค้างที่บ้านพี่กันนะครับ”


“อือ” ผมว่าและวางเป้ไว้ข้างบันไดทางขึ้น ก่อนจะมองไปรอบๆ บริเวณบ้าน “บ้านพี่น่าอยู่จัง ต้นไม้เยอะเลย”


“อือ แต่เงียบไปหน่อยว่าไหม”


“พี่นน...” ผมเม้มปากและจับมือพี่นนให้แน่นขึ้น


“นน!” เสียงผู้หญิงที่ดังขึ้นทำให้เราปล่อยมือออกจากกันและหันไปมองด้านที่เสียงดังขึ้นมา “นนใช่ไหมลูก”


“ป้าพา...” พี่นนพึมพำ แล้วหันมามองผม แล้วเดินไปทางด้านข้างของบ้าน ก่อนจะหันมากวักมือเรียกผมให้ตามไป


“นนจริงๆ ด้วย”


“สวัสดีครับป้าพา”


“สวัสดีครับ” ผมพูดแล้วยกมือไหว้คนตรงหน้า


“สวัสดีค่ะ” คุณป้าท่าทางใจดีพูดกับพี่นนและผม


“นี่ จิงครับ”


“อ้อ น้องจิง“ ป้าหันมายิ้มให้ผม ก่อนจะเอื้อมมือมาลูบแขนพี่นน “พอนนบอกว่าจะมาป้าเลยทำกับข้าวเตรียมไว้เต็มเลย อ้อ ป้าทำเผื่อทำบุญวันพรุ่งนี้แล้วนะ”


“ขอบคุณครับ ผมไม่รู้เลยทานข้าวเย็นกันมาแล้ว ขอโทษด้วยนะครับ”


“ไม่เป็นไรจ้ะ เดี๋ยวป้าเก็บไว้ให้พรุ่งนี้นะ” ป้าพายิ้มแล้วหันมายิ้มให้กับผมด้วย “งั้นไปพักผ่อนกันเถอะนะลูก เดินทางกันมาเหนื่อยๆ”


“ครับ” พี่นนตอบแล้วเดินกลับ ส่วนผมก็หันไปโค้งให้คุณป้าอีกครั้งแล้วเดินตามพี่นนมาด้วยคำถาม

   
“เขาเป็นคนที่พี่ฝากบ้านไว้น่ะครับ” ยังไม่ทันเอ่ยปากพี่นนก็ตอบคำถามของผมแล้ว


“อ้อ” ผมพยักหน้าเข้าใจ แล้วยกกระเป๋าเป้และของที่ซื้อมาจากตลาดน้ำเดินตามพี่นนขึ้นบันไดไป


   บ้านพี่นนเป็นบ้านไม้ทรงไทยเหมือนที่ผมเคยเห็นในหนัง แต่มันไม่ได้ใหญ่โตขนาดนั้นแต่ก็คงราคาสูงน่าดู ผมเดินเข้าประตูไม้เข้าไปก็พบกับลานไม้ตรงกลางที่แบ่งครึ่งระหว่างห้องไม้สองห้อง ไม่นึกสงสัยเลยว่าทำไมพี่นนถึงไม่ขายบ้านหลังนี้ไปเพราะตั้งแต่ผมเข้าในบ้านหลังนี้มาพี่นนก็ดูเศร้าลงไปเยอะ อาจจะเป็นเพราะบ้านหลังนี้คงเต็มไปด้วยความทรงจำของครอบครัวเขา


“บ้านพี่มีศาลาริมน้ำด้วยอะ” ผมพูดทำลายความเงียบที่เกิดขึ้นและเดินไปจนสุดลานเพื่อมองดูหลังบ้านที่ติดกับแม่น้ำและมีศาลาเล็กอยู่ตรงนั้น

 
“แถวนี้มีกันทุกหลังล่ะครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่จะพาไปนะ” ผมพยักหน้าแล้วเดินตามพี่นนไป เขาหยุดเดินระหว่างกลางทางเดิน แล้วมองไปห้องด้านขวาสักพักแล้วหันมาบอกผม “ฝั่งนี้เป็นห้องพ่อแม่พี่ ส่วนฝั่งซ้ายเป็นห้องพี่”


“โอเค” ผมว่าแล้วเดินตามพี่นนไปยังห้องที่อยู่ด้านซ้าย พอเปิดประตูเข้าไปก็เห็นฟูกนอนสีขาวขนาดใหญ่วางอยู่ชิดกำแพงด้านซ้าย ด้านขวาเป็นตู้เสื้อผ้าและโต๊ะเขียนหนังสือของพี่นน ตามพนังไม้ก็มีรูปโปสเตอร์การ์ตูนแปะอยู่ประปราย ผมหยิบกรอบรูปที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาดู พี่นนใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวทรงผมยาวระต้นคอทำเอาผมรู้สึกแปลกๆ ที่ได้เห็น


“ตอนนั้นพี่อยู่มหาลัย”


“อ่อ ตอนนี้หล่อกว่าอีกอะ”


“หึ” พี่นนขำแล้วปิดตู้เสื้อผ้าลง หลังจากเอาเสื้อผ้าทั้งของตัวเองกับของผมใส่ไว้เรียบร้อย “นี่ชุดนอนครับ”


“ขอบคุณครับ”



“ไปอาบน้ำได้แล้ว” พี่นนว่ายิ้มๆ เหมือนกับเจอเรื่องสนุก “ห้องน้ำอยู่ด้านล่างนะครับ”


“พี่นน...” ผมมองหน้าพี่นนอย่างหวาดๆ แค่คิดว่าต้องฝ่าความมืดลงไปคนเดียวผมก็ขนลุกวาบแล้ว “ไปเฝ้าจิงหน่อยนะ”


.


.



“พี่นน”


“ครับ”


“ห้ามไปไหนนะ”


“รู้แล้วครับ หึ”


“ห้ามขำ!”


“ครับๆ”


   ผมมองค้อนให้กับประตูไม้ราวกับว่ามันเป็นพี่นน แล้วรีบถอดเสื้อผ้าเพื่อที่จะอาบน้ำ ถึงบ้านพี่นนจะไม่ได้เก่ามากเพราะมีป้าพาช่วยดูแลตลอด แต่บ้านที่ไม่มีใครอยู่ก็ทำผมรู้สึกวังเวงจนใจหาย ยิ่งนึกถึงห้องตรงข้ามกับพี่นนแล้วยิ่งขนลุก ถึงผมจะมาฝากตัวกับท่านแต่ผม...ผมก็กลัวอยู่ดี ฮือ ยิ่งมาอยู่ในห้องน้ำคนเดียวเงียบๆ ยิ่งขนลุก ผมจะล้างหน้ายังไงเนี่ย ไม่อยากหลับตาเลย


ซ่า ซ่า ซ่า


“พี่นน”


“...” ความเงียบที่ได้รับกลับมาทำเอาผมใจหาย


“พี่นน!” ผมรู้สึกไม่ดีจนต้องปิดฝักบัวเพื่อเรียกเขาอีกแล้ว “พี่นน! ไม่เล่นงี้นะ พี่นน”


“ครับ” ผมสะดุ้งเพราะเสียงทุ้มที่ได้ยินดังขึ้นด้านหลังผม ซึ่งมันใกล้จนผมขนลุกและผมก็ตัดสินใจหันไปมอง


“เฮ้ย พี่นน” ผมตกใจที่พี่นนยืนเปลือยมองผม ผมสบสายตาเบื่อโลกที่กำลังจ้องมองผมไปทั้งตัว ด้วยความงุนงง แต่กว่าจะนึกได้ว่าตัวเองยังเปลือยเปล่าเหมือนกัน ก็ไม่ทันคนมือไวที่ดึงเอวผมไปกอดไว้แล้ว “อะไรของพี่เนี่ย”


“ก็จิงกลัว พี่เลยมาอาบเป็นเพื่อน” ถึงจะพูดแบบนั้นแต่สายตาวิบวับนี่ก็ทำผมรู้ถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของเขา


“ไม่เอา อื้ม” แต่คำปฏิเสธของผมไม่เคยสำเร็จเลยสักครั้ง


   ในตอนแรกผมปฏิเสธสัมผัสร้อนที่ช่วงชิงลมหายใจผมไป แต่แล้วความวาบหวานก็ทำให้ผมพ่ายแพ้ เผลอจูบตอบคนตัวสูงกว่าด้วยความรู้สึกต้องการ เอื้อมมือไปโอบลำคอเขาไว้ พยายามเขย่งยืนให้ริมฝีปากเราสัมผัสใกล้กันอีก


“อื้อ” ผมครางตอบรับ ตอนที่มือใหญ่บีบเคล้นสะโพกผมด้วยความแรงเท่าที่ใจเขาต้องการ


“อืม” ผมหลับตาแน่นตอนที่นิ้วใหญ่พยายามเบิกช่องทางด้านหลังอย่างไร้สารหล่อลื่นอย่างเคย


“อะ เจ็บ” ผมผละจูบออกมาบอกคนตัวสูง


“ไหวไหม” พี่นนถามตอนป้ายน้ำลายเข้าไปช่วย มันเข้าได้ลึกขึ้นแต่ยังเจ็บ ผมเม้มปากเพราะส่วนหน้าผมโดนมือใหญ่ปลุกเร้าจนหัวสมองผมเริ่มมึนงงและความเจ็บจากด้านหลังที่ได้รับก็เริ่มกลายเป็นความเสียวเมื่อไปโดนบริเวณหนึ่ง


“วะ ไหว” ที่สร้างความสุขสมได้เหมือนกัน “อ่า พี่นน”


“รัดแน่นจัง คนเก่ง” พี่นนกระซิบข้างหูตอนที่สามนิ้วของเขาหายเข้าในช่องทางนั้น ผมหอบตัวโยนและขาสั่นจนยืนแทบไม่ไหว พี่นนขยับมือทั้งสองข้างไม่หยุด จนผมต้องจับไหล่เขาไหวเมื่อเริ่มจะทรงตัวไม่อยู่


“อะ จิงไม่ไหว” ผมบอกไปตามความจริงเมื่อทั้งข้างหน้าและหลังโดนกระตุ้นพร้อมกัน ไม่ช้าผมก็ปลดปล่อย “อ๊า”


“คนเก่งของพี่” พี่นนพูดแล้วนำน้ำรักของผมไปถูส่วนนั้นของตัวเอง ก่อนจะพลิกตัวผมให้เกาะผนังห้องน้ำเอาไว้และค่อยๆ กดส่วนนั้นเข้ามา


“อื้อ” ผมพยายามกลั้นเสียง แม้เราจะมีอะไรกันหลายครั้ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เราไม่ได้ป้องกัน มันทำให้ใจผมรู้สึกปั่นป่วนกว่าเดิม ความใหญ่โตที่แสนร้อนแทรกเข้ามาจนขาผมสั่นกว่าเดิม สั่นจนแทบยืนไม่ไหว “อ๊ะ พี่นน”


“คนเก่ง จุ๊บ” พี่นนจูบลงไปกลางหลังผมและเอื้อมมือมาชักนำผมข้างหน้าอีกครั้ง ความวาบหวามพุ่งขึ้นมา จนผมเคลิบเคลิ้มและหายกร็งแต่แล้วก็ถูกแทนที่ด้วยความเจ็บเพราะแก่นกายที่แทรกเข้ามาจนสุด “อะ อ๊ะ พี่นน”


“ชู่”


ซ่า ซ่า ซ่า


“อ๊ะๆ” ผมกระตุกเพราะความเจ็บ พี่นนแช่อยู่แบบนั้นสักพัก แล้วเริ่มบรรเลงเพลงรัก ผมร้องครางด้วยความเจ็บในตอนแรกแต่แล้วความเจ็บได้กลายเป็นความสุขสม เมื่อพี่นนขยับเข้าออกโดนบริเวณที่ผมรู้สึก เสียงน้ำจากฝักบัวกลบเสียงร่วมรักของเราได้ดี แต่คนตัวโตกว่าก็โน้มตัวมาครางใกล้หูให้ผมได้ยิน


“จิง คนเก่งของพี่ อืม”


“อา” ผมหอบหนักเพราะความเสียวซ่านที่ได้รับจากทั้งหน้าและหลัง ไม่ช้าผมก็กระตุกปลดปล่อยออกมาเป็นครั้งที่สอง “อ๊า แฮ่กๆๆ พี่นน”


“อืม” ผมเกาะกำแพงไว้ท่าเดิมรองรับแรงกระแทกอย่างแรงจากด้านหลังที่โหมกระหน่ำไม่หยุด พี่นนบีบสะโพกผมแรงขึ้นพร้อมกับเร่งความเร็ว ตัวผมสั่นคลอนไปทั้งตัว ผมหลับตาแน่นเพราะเริ่มจุกและเริ่มรู้สึกวาบหวานขึ้นมาอีกครั้งและแล้วเขาก็กระตุกเกร็งปลดปล่อยน้ำร้อนๆ เข้ามาในช่องทางของผม “อ่า”


   พี่นนฟุบตัวมากอดผมจากด้านหลังทั้งที่ส่วนนั้นยังคงเชื่อมต่อกัน เสียงหอบของเราทั้งสองดังประสานกับเสียงน้ำไหล พี่นนจูบแก้มผมเบาๆ แล้วถอดถอนส่วนนั้นออก ผมสัมผัสได้ถึงของเหลวที่ไหลออกมายังต้นขาและความชาที่เกิดขึ้นบริเวณนั้น หน้าผมร้อนฉ่าและไม่กล้าขยับตัวเพราะกลัวจะเจ็บ แต่เหมือนพี่นนจะรู้เลยจับผมให้หันหน้าไปหาเขา

“เจ็บใช่ไหม”


“อือ แต่ไม่เป็นไร”


“คนเก่ง”


“แน่นอน “ ผมยิ้มทะเล้นให้พี่นน แล้วพยายามเขย่งขาที่สั่นเหมือนเจ้าเข้าไปจูบปากเขาอย่างเบาๆ


“เดี๋ยวพี่ล้างให้”


“อะ” ผมสะดุ้งเพราะมือใหญ่ที่วาลงบนสะโพกตัวเองและครางออกมาตอนที่นิ้วใหญ่ลูบเบาๆ ตรงบริเวณช่องทางนั้นและกดลงมา “อือ”


“อีกรอบนะครับ”


“อ๊ะ พี่นน”


ซ่า ซ่า ซ่า


   
   
   


************************************
ไม่รู้ไม่ชี้เป็นฝักบัว
TBC


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด