ตอนพิเศษตอนนี้ จริงๆแล้วผิดลำดับการเขียนน่าดู เพราะเป็นตอนที่เป้กับวิวเริ่มคบกันใหม่ๆ แต่ไอ้ที่โพสต์ๆไปก่อนหน้านี้มันข้ามขั้นไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ เอาเป็นว่า ก็ไม่ต้องไปสนใจเรื่องลำดับเวลาแล้วกันนะจ๊ะ อ่านกันขำๆละกัน จะให้ดีย้อนไปอ่านตอนหนึ่งใหม่แล้วต่อด้วยตอนนี้จะอินมากขึ้นจ้า (เอ๊ะ อิป้านี่ยังไงเนี่ย)
ลำนำรักสีรุ้ง ตอน แรกเปิดใจนับจากวันที่โอ๊คบินไปเรียนต่อที่ออสเตรเลียก็สองเดือนได้แล้ว หลังจากสอบปลายภาคปีสองเสร็จผมก็แวะกลับไปเยี่ยมบ้านที่สกลนครเป็นช่วงเวลาสั้นๆก่อนจะกลับมากรุงเทพฯอีกครั้ง เพราะว่าผมตั้งใจไว้ว่าจะทำงานพาร์ทไทม์ที่บริษัทซึ่งรุ่นพี่แนะนำให้ช่วงปิดเทอมใหญ่นี้ ความจริงแล้วด้วยฐานะทางบ้านของผม ตราบใดที่ผมไม่ทำตัวเป็นเด็กเที่ยวและซื้อของฟุ่มเฟือย พ่อแม่ของผมก็สามารถจ่ายค่าเทอมและค่าใช้จ่ายอื่นๆให้ได้อย่างไม่มีปัญหา แต่ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากลองสัมผัสประสบการณ์การทำงานในออฟฟิศจริงๆ ตลอดจนการหารายได้ด้วยตัวเองดูบ้าง เพราะถึงอย่างไรด้วยสายการเรียนของผม เมื่อเรียนจบผมก็คงจะหางานทำในกรุงเทพฯอยู่แล้ว
และวันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่ผมต้องอยู่ทำงานที่ออฟฟิศล่วงเวลา ปกติถ้าไม่ใช่ช่วงที่งานยุ่งจริงๆ ยังไม่ทันหกโมงทั้งออฟฟิศก็แทบจะร้างคน แต่ทั้งๆที่ตอนนี้เกือบจะหนึ่งทุ่มแล้วแต่ก็ยังมีพนักงานนั่งทำงานกันอยู่ประปราย ในส่วนห้องที่ผมนั่งทำงานอยู่ด้านในนั้นเป็นห้องที่ทางแผนกบุคคลมีแผนจะปรับแต่งใหม่ในอีกไม่นาน ดังนั้นนอกจากโต๊ะทำงานและคอมพิวเตอร์แล้วทั้งห้องจึงค่อนข้างโล่ง พนักงานที่นั่งในห้องนี้มีสามคน หนึ่งในนั้นก็คือผมและรุ่นพี่อีกสองคน แต่คนหนึ่งกลับบ้านไปแล้วเพราะว่าต้องรีบไปดูแลลูกที่ยังเป็นทารกแบเบาะอยู่ และก็เป็นพี่คนนั้นเองที่แนะนำผมให้มาฝึกงานที่นี่เพราะว่าเป็นสายรหัสของผมสมัยเรียน
“งานยุ่งมากเหรอวิว ยังไม่กลับบ้านอีก”
เมื่อได้ยินเสียงทักผมจึงหันหลังไปตามเสียงเรียก เพราะว่าโต๊ะของผมหันเข้าหาหน้าต่าง ซึ่งเท่ากับว่านั่งหันหลังให้ประตูและคนอื่นๆในห้องด้วย แล้วก็เห็นว่าพี่ศิลป์ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกร่วมห้องกำลังเก็บโน้ตบุ๊คลงกระเป๋าอยู่
“ผมยังหารูปกับข้อมูลเพิ่มเติมให้พี่ก้อยยังไม่เสร็จน่ะครับ พอดีพรุ่งนี้เช้าเค้าต้องรีบเข้ามาทำพรีเซ้นต์ให้ลูกค้า”
หลังจากตอบคำถามแล้วผมก็หันกลับมาคลิกเมาส์เพื่อเลือกรูปต่อ บริษัทที่ผมมาฝึกงานนี้เป็นบริษัทด้านมาร์เก็ตติ้งโซลูชันส์แบบครบวงจร แม้จะไม่ใช่บริษัทขนาดใหญ่ แต่ก็เปิดโอกาสให้นักศึกษาเข้ามาทำงานช่วงปิดเทอมได้โดยมีค่าตอบแทนให้ นอกจากนั้นยังให้ผมได้ลงมือทำงานจริงๆ ไม่ใช่เพียงมาคอยถ่ายเอกสารหรือส่งแฟกซ์แบบที่เคยได้ยินเพื่อนที่ไปฝึกงานที่อื่นบ่นให้ฟัง ดังนั้นแม้บางครั้งจะถูกโยนงานมาให้แต่ผมก็ไม่บ่นเพราะคิดว่าจะได้ฝึกฝนตัวเองไปด้วย
“หือม์ ไอ้ก้อยมันลุกไปตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย จริงๆเล้ยยายคนนี้ งานตัวเองแท้ๆดันเอาให้น้องให้นุ่งทำ แต่มีลูกเล็กอยู่ก็ว่าเค้ามากไม่ได้แหละนะ”
พี่ศิลป์บ่นจบแล้วก็เดินมาหยุดยืนอยู่ข้างหลัง สาเหตุที่ผมรู้เพราะว่าพี่เขามาบังแสงจากไฟด้านหลังพอดีทำให้หน้าจอมืดไปนิดหนึ่ง แต่ผมไม่อยากเสียมารยาทจึงเพียงเอื้อมมือไปเปิดสวิทช์โคมไฟข้างโต๊ะเพื่อเพิ่มแสงสว่าง
“เฮ้ ภาพนี้สวยดีนี่นา ไม่ๆ ไม่ใช่อันนั้น อันที่สองน่ะ เอ้อนั่นแหละ”
พี่ศิลป์พูดไปก็ยื่นมือข้างหนึ่งไปชี้บนจอพร้อมกับชะโงกหน้าข้ามไหล่ผมจนหน้าแทบชิดกัน ผมกำลังจะบอกขอบคุณและขยับตัวหนีเพราะรู้สึกว่าพี่เขาเข้ามาชิดเกินไปหน่อย แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงที่ดังขึ้นตรงประตู
“วิว เสร็จหรือยัง?”
ผมหันหน้าไปทางประตูโดยระวังไม่หันไปทางพี่ศิลป์ แล้วก็ได้เห็นว่าเป้กำลังยืนกอดอกพิงกรอบประตูอยู่ ท่าทางพี่ศิลป์คงตกใจเหมือนกันที่จู่ๆก็มีคนนอกเข้ามาในบริษัท ผมจึงถือโอกาสนี้หันกลับไปเซฟภาพลงคอมฯแล้วปิดเครื่องเสียเลย
“เสร็จแล้วล่ะ พี่ศิลป์ครับ รบกวนปิดไฟห้องด้วยแล้วกันนะครับ แล้วเจอกันพรุ่งนี้ครับพี่”
พี่ศิลป์พยักหน้า แต่สายตายังคงมองผู้ชายตัวโตที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องด้วยความสงสัย ผมจึงรีบหยิบกระเป๋าขึ้นสะพายบ่าแล้วเดินนำเป้ออกมา เพราะถึงแม้ว่าคนที่มารอจะไม่แสดงอะไรออกมาทางสีหน้า แต่ว่าน้ำเสียงห้วนสั้นที่ได้ยินเมื่อครู่ก็พอจะบอกได้ว่าเจ้าตัวกำลังอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่
ผมชะงักเมื่อจู่ๆก็ถูกฝ่ามืออุ่นทาบลงบนหลังจากคนที่เดินตามมาจนต้องหันไปมอง แต่ก็รู้ดีว่าไม่ควรพูดอะไรตอนนี้เพราะยังมีพนักงานคนอื่นนั่งอยู่ในบริษัท แม้ว่าจะไม่มีใครทำท่าสนใจพวกเรานักก็ตาม ผมจึงรีบหันกลับและเดินจ้ำไปที่ลิฟต์เพื่อที่จะได้คุยกับเป้สองคนได้โดยที่คนอื่นไม่ได้ยิน
“เคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าอย่าทำด้วยเหมือนเป็นผู้หญิง ไม่ชอบ”
ผมหันไปบอกเป้เมื่อเราสองคนเข้ามาในลิฟต์กันเรียบร้อยแล้ว เจ้าของใบหน้าหล่อคมที่ทั้งสาวแท้และสาวเทียมชอบมองเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นมองผมจนผมชักคันไม้คันมือขึ้นมา รู้ทั้งรู้อยู่แล้วว่าผมหมายความว่าอะไรยังจะแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อีก
“ไอ้ที่...มาประคองเมื่อกี้น่ะ ไม่ชอบ ชัดหรือยัง?”
พูดจบปุ๊บผมก็ต้องถอยหลังเข้าด้านในเพราะลิฟต์หยุดที่ชั้นถัดลงมาและมีคนอื่นทยอยเดินเข้ามาในลิฟต์ แต่แล้วก็ต้องหันไปส่งตาเขียวให้คนที่ยืนเงยหน้ามองตัวเลขแสดงชั้นยิ้มๆโดยไม่หันมามองผมกลับ แต่ผมมั่นใจว่าเป้รู้ตัวแน่ๆว่าโดนผมจ้องอยู่ ก็จะไม่จ้องได้ยังไงในเมื่อไอ้คุณชายจอมเอาแต่ใจเอามือผมไปกุมไว้แน่นเลยนี่นา ยังดีว่าตอนนี้คนแน่นและพวกเรายืนอยู่ด้านในสุดเลยไม่มีใครหันมาสังเกต แต่ถ้าผมสะบัดมือหรือพูดอะไรออกมาล่ะก็รับรองว่าได้เป็นจุดสนใจขึ้นมาแน่ ผมเลยหันกลับไปมองด้านหน้าเหมือนเดิมและข่มใจที่จะไม่หันกลับไปส่งสายตาพิฆาตให้เป้อีกครั้ง ก็ไอ้มือที่กุมมือผมมันไม่ได้อยู่เฉยๆ แต่ดันใช้นิ้วโป้งมาไล้หลังมือผมไปด้วยเนี่ยสิ!
ผมนึกโมโหที่บริษัทของตัวเองอยู่บนชั้นสี่สิบขึ้นมาทันที แล้วทำไมลิฟต์ตอนเย็นๆแบบนี้มันจะต้องจอดแทบทุกชั้นด้วยนะ!?
หลังจากเร่งในใจให้ลิฟต์ลงไปถึงชั้นลานจอดรถใต้ดินเร็วๆ ในที่สุดเป้ก็ยอมปล่อยมือผมแต่โดยดีเพราะคนในลิฟต์เริ่มเหลือน้อยลงแล้ว หลังจากเราเดินออกจากลิฟต์และลงบันไดไปอีกชั้น เป้ก็รั้งข้อมือผมเอาไว้จนผมต้องหันไปขมวดคิ้วมองด้วยความสงสัย เป้จึงถอนหายใจก่อนจะปล่อยมือแต่โดยดี
“ขอโทษสำหรับเมื่อกี้แล้วกัน รู้อยู่แล้วล่ะว่าวิวไม่ชอบให้ทำรุ่มร่ามเวลาอยู่ข้างนอก แต่ว่าเมื่อกี้น่ะมันจำเป็น”
“ฮะ? จะบ้าเหรอ จำเป็นเรื่องอะไร ว่าแต่ทำไมเข้าไปในบริษัทได้ล่ะ ทุกทีคนนอกต้องรอที่หน้ารีเซฟชันนี่นา”
ผมไม่ได้ถามซอกแซกอีกเรื่องที่เป้ประคองผมเมื่อครู่ เพราะผมถือว่าต่างคนต่างโตๆกันแล้ว ถ้าหากผมเคยบอกแล้วว่าชอบหรือไม่ชอบอะไรก็ไม่ควรให้ต้องพูดซ้ำซากหลายหน เลยเปลี่ยนไปถามเรื่องที่จู่ๆเป้ก็เดินเข้ามาในบริษัทจนถึงห้องที่ผมทำงานได้แทน
“ไม่เห็นยาก บอกรีเซฟชันว่ารุ่นพี่ของวิวฝากเอางานด่วนมาให้ เค้าก็เลยให้เข้าไปข้างในได้”
เป้พูดยิ้มๆพลางสตาร์ทรถและขับออกจากที่จอด ผมจึงยกมือขึ้นบีบขมับอย่างเหนื่อยใจก่อนจะดึงสายเข็มขัดนิรภัยมาคาดเมื่อออกมานอกตึกแล้ว นี่ผมจะไปแจ้งผู้จัดการฝ่ายบุคคลดีไหมนะว่ารีเซฟชันทำงานหละหลวม แต่คิดอีกทีผมก็เป็นแค่พนักงานพาร์ทไทม์ที่มาทำงานชั่วคราว อีกอย่างเป้ก็ไม่ใช่คนร้ายที่จะไปขโมยของในบริษัทเพราะฐานะที่บ้านก็รวยจนไม่จำเป็นต้องอยากได้อะไรแล้ว ดังนั้นจะยอมเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ให้ก็แล้วกัน
ว่าแต่ความจริงผมยังแอบติดใจนิดๆที่เป้บอกว่าจำเป็นต้องแสดงท่าทางเป็นเจ้าข้าวเจ้าของผมเมื่อกี้ แต่ผมรีบปัดความสงสัยทิ้งไป วันนี้นั่งทำงานจ้องคอมมาทั้งวันจนทั้งแสบตาทั้งเวียนหัวไปหมด เพราะงั้นไม่ถามดีกว่า
“...วิว วิว”
“หือม์?”
ผมลืมตาเมื่อถูกเขย่าไหล่ แล้วก็ต้องสะดุ้งเพราะหน้าเป้อยู่ห่างออกไปแค่คืบจึงรีบถอยหลังหนีจนชิดหน้าต่าง
“วันนี้เหนื่อยมากล่ะสิ ออกจากตึกมาก็หลับตลอดทางเลย จะบอกว่าแวะกินข้าวเย็นกันแถวนี้ก่อนแล้วกัน เดี๋ยวเป้ค่อยพาไปส่งหอ”
คนตัวโตถอยหลังไปเมื่อผมพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ หวังว่าเป้คงไม่ได้ยินเสียงหัวใจของผมที่มันเต้นแรงขึ้นเมื่อกี้นี้หรอกนะ ก็จู่ๆเล่นเข้ามาใกล้ขนาดนั้นจะไม่ให้ตกใจได้ยังไงกัน จริงอยู่ว่าผมตกปากรับคำขอคบเป็นแฟนของเจ้าตัวไปแล้วตั้งแต่เมื่อสองเดือนก่อน แต่ว่าเวลามองตากันใกล้ๆยังไงก็ยังไม่หายเขินอยู่ดี
พวกเราลงจากรถแล้วเดินเข้าไปในร้านอาหารริมแม่น้ำซึ่งไม่ไกลจากหอผมเท่าไหร่ หลังจากสั่งข้าวเปล่าคนละจานและกับข้าวอีกสองสามอย่างแล้ว เป้ก็หันไปคีบน้ำแข็งกับรินน้ำเปล่าให้ผม ส่วนเจ้าตัวเองดื่มเบียร์จากขวด ผมมองเป้ที่กำลังยกขวดเบียร์ขึ้นดื่มพลางมองไปทางแสงจากเรือล่องแม่น้ำที่แล่นผ่านไปมา เคยนึกสงสัยอยู่เหมือนกันว่าเป้น่าจะเคยเป็นเด็กเที่ยว แต่ทำไมตั้งแต่คบกับผมแล้วจึงไม่ค่อยไปสังสรรค์กับเพื่อนกลุ่มตัวเองบ่อยๆ แต่คำตอบเจ้าตัวก็ทำเอาผมเลิกถามไปเลย
“ทำไมชอบมาอยู่ด้วยดึกๆทุกวันเลย ไม่ไปเที่ยวกับเพื่อนบ้างเหรอเป้ กลุ่มสมัย ม.ปลาย เค้าชอบชวนไม่ใช่รึไง”
“ก็สมัยยังไม่มีแฟนก็ไปกับพวกมันอยู่หรอก แต่ตอนนี้มีแฟนแล้วก็ต้องอยู่กับแฟนสิ หรือวิวไม่ชอบให้เป้อยู่ด้วย?”ผมนึกถึงบทสนทนาในคืนหนึ่งหลังเป้พาไปดูหนังรอบดึกที่เลิกตอนตีหนึ่ง ก่อนเจ้าตัวจะพาไปนั่งเล่นที่โป๊ะริมแม่น้ำแล้วก็ต้องยิ้มออกมา นี่ถ้าผู้หญิงคนไหนมาได้ยินเป้พูดอ้อนแบบนี้คงละลายกันเป็นแถบ แต่ตอนที่ได้ยินนั่นผมกลับหมั่นไส้มากกว่า เพราะพ่อตัวดีเล่นใส่คำว่าแฟนลงในประโยคตั้งไม่รู้กี่รอบ กลัวผมจำไม่ได้หรือไงนะว่าตอนนี้ตกลงคบกันอยู่ ทำเป็นคนย้ำคิดย้ำทำไปได้
ผมมองเป้ที่เคาะนิ้วมือข้างหนึ่งบนโต๊ะเหมือนไม่รู้ตัวแล้วก็รู้ว่าเป้คงอยากสูบบุหรี่ แต่ว่าตอนนี้ลมแรงแถมยังอยู่ในร้านอาหาร ถึงแม้ส่วนที่เรานั่งอยู่จะเป็นโซนด้านนอกที่ไม่มีหลังคาก็ตามเจ้าตัวเลยต้องอดใจไว้ จะว่าไปนี่ก็เป็นนิสัยประจำตัวอีกอย่างหนึ่งที่ผมสังเกตเห็นและเริ่มคุ้นเคย ใช่ว่าผมจะรับคนสูบบุหรี่ไม่ได้ เพราะว่าสมัยพ่อผมยังหนุ่มๆก็เป็นคนสูบบุหรี่จัดเหมือนกัน เพียงแต่ผมไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งตัวเองจะมาคบกับผู้ชายตัวโตกว่าแถมสูบบุหรี่ด้วยนี่นา ถ้าใครมาถามผมเมื่อสองเดือนก่อนว่าอยากได้แฟนแบบไหน ผมก็คงบอกว่าขอผู้หญิงที่เรียบร้อย นิสัยดีและไม่เอาแต่ใจ แน่นอนล่ะว่านั่นมันตรงข้ามกับคนที่นั่งอยู่อีกฝั่งโต๊ะตอนนี้เป็นคนละขั้วเลย
“เป็นอะไรวิว นั่งยิ้มคนเดียว”
“เอ๊ะ? เปล่าซักหน่อย อ้อ...ขอบคุณครับ”
ผมกะพริบตาเมื่อโดนเป้ทัก ก่อนจะหันไปขอบคุณพนักงานที่เอาข้าวและอาหารมาเสิร์ฟให้ ถึงผมจะหิวแต่ก็เหนื่อยเกินกว่าจะกินอะไรหนักๆไหว อาหารที่สั่งมาจึงมีแต่ของง่ายๆ เช่นไข่เจียวปู ผัดก้านคะน้าน้ำมันหอยแล้วก็แกงส้มไข่ปลาเท่านั้นเอง
“แน่นะว่าไม่ได้คิดอะไรทะลึ่งอยู่ เมื่อกี้เห็นมองเป้ด้วย”
เป้ยกเบียร์ขึ้นจิบอีกครั้งก่อนจะยิ้มล้อๆ ผมเลยทำไม่รู้ไม่ชี้แล้วตักอาหารใส่จาน ถึงจะเพลียมาแค่ไหน แต่เจอข้าวสวยกับอาหารร้อนๆควันฉุยอยู่ตรงหน้าก็ทำให้น้ำย่อยในกระเพาะเริ่มทำงานขึ้นมาทันที
“แถวนี้ไม่มีใครคิดอะไรทะลึ่งหรอก ถ้าจะมีก็คนพูดคนเดียวน่ะแหละ ทะลึ่งได้ตลอดไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย”
ผมกัดคนที่นั่งด้วยไปเล็กๆก่อนจะตักอาหารขึ้นทาน รสแกงส้มเข้มข้นกำจายไปทั่วทั้งปาก ความอร่อยของรสอาหารทำให้ลืมความเหนื่อยไปแทบจะในทันควัน แต่แล้วผมก็แทบจะสำลักเมื่อได้ยินเป้พูดประโยคถัดมา
“หึๆ งั้นก็แปลว่ารู้เหมือนกันนี่ว่าเป้คิดเรื่องทะลึ่งอยู่ แต่ช่วยไม่ได้นะ เห็นคนตรงหน้าแล้วมันน่า...”
เป้พูดทิ้งท้ายเหมือนละคำพูดในประโยคไว้ แต่ไม่รู้ว่าเพราะผมถลึงตาใส่หรือเพราะเจ้าตัวตั้งใจให้ฟังดูคิดลึกอยู่แล้วถึงไม่พูดต่อ ผมเลยชิงตักอาหารใส่จานให้เสียเลยเพื่อที่เจ้าคนพูดมากจะได้ปากไม่ว่างเสียที
“พอแล้ว พามากินข้าวไม่ใช่รึไง รีบๆกินเข้าไปเลย นั่งดูคนอื่นกินอยู่ได้ เสียมารยาท”
ผมได้ยินเป้หัวเราะเบาๆในคอต่อ แต่ผมไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองเป้ตอนนี้เพราะรู้ว่าตัวเองหน้าแดงอยู่แน่ๆ แต่เป้ก็ไม่ได้แซวอีกและเริ่มจัดการอาหารตรงหน้าแต่โดยดี เราต่างคนต่างกินข้าวเงียบๆไปสักพักเป้จึงเอ่ยขึ้นมาอีก
“ที่จริงวิวน่าจะมาฝึกงานที่บริษัทของพ่อเป้นะ”
ผมละสายตาขึ้นจากจานข้าวที่พร่องไปเกินครึ่งพลางขมวดคิ้วมองคนพูด เป้กินข้าวส่วนของตัวเองหมดแล้วและตอนนี้กำลังเท้าคางมองผมอยู่ สายตาที่จ้องเขม็งทำให้ผมต้องเบนสายตาลงที่จานข้าวของตัวเองตามเดิม แต่ว่าความอยากอาหารตอนนี้น้อยลงจนเกือบเป็นศูนย์ ถ้ามองในแง่ดีก็สงสัยว่าผมคงจะอิ่มแล้วกระมัง
“เป้พูดจริงนะ...ถึงปกติที่บริษัทจะไม่มีนโยบายให้ค่าจ้างนักศึกษาที่มาขอฝึกงานก็เถอะ แต่กรณีของวิวเดี๋ยวเป้คุยให้ก็ได้ บอกว่าเป็นเพื่อนที่คณะ พ่อเค้าไม่มีปัญหาอยู่แล้ว”
เป้พูดต่ออีก ผมเขี่ยข้าวที่เหลือในจานแล้วก็พาลไม่อยากกินต่อขึ้นมาดื้อๆเลยรวบช้อนส้อมแล้วยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม พอเหลือบตาขึ้นอีกครั้งก็เห็นว่าเป้ยังจ้องอยู่เหมือนเดิม ผมจึงเสมองไปด้านนอกร้านยังเหล่าเรือและแสงไฟจากคอนโดที่เรียงรายอยู่ฝั่งตรงข้ามแทน
“ไม่เอา...นโยบายของบริษัทเป็นยังไงก็ต้องยึดตามนั้นสิ ถึงสนิทกับลูกชายท่านประธานก็ไม่ใช่ว่าจะต้องได้สิทธิพิเศษเหนือคนอื่นนี่ อีกอย่าง...ออฟฟิศที่ทำตอนนี้ก็ดีอยู่แล้ว”
จะเรียกว่าเป็นความยึดติดกับศักดิ์ศรี หรือแค่ความหัวแข็งของผมก็ตามทีเถอะ ถึงคบกันก็ไม่ได้หมายความว่าผมต้องอยู่ในสายตาของเป้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงนี่นา อีกอย่างแค่เรื่องหางานพาร์ทไทม์ทำน่ะผมหาเองได้ ไม่ได้ต้องคอยงอมืองอเท้ารอให้ใครยื่นความช่วยเหลือให้สักหน่อย ถึงจะบ้าเรียนแต่ผมก็ไม่อยากโดนใครมองว่าทำอะไรนอกจากอ่านหนังสือกับไปสอบไม่เป็น นี่คบกันมาสองเดือนแล้วเป้ยังไม่เข้าใจวิธีคิดของผมอีกหรือไงกันนะ
ผมได้ยินเสียงเป้ถอนหายใจ ผมจึงกำมือตัวเองที่วางอยู่บนโต๊ะแน่นขึ้นแต่ยังไม่หันกลับไปมอง เป้ไม่รู้หรอกว่านอกจากเหตุผลที่ผมบอกไปแล้ว สาเหตุสำคัญอีกอย่างคือผมเริ่มเกรงความใกล้ชิดที่กำลังเพิ่มมากขึ้นทุกที หลังจากได้คบกันและรู้จักกันและกันมากขึ้น ผมก็ได้รู้ว่าสมัยมัธยมเป้เคยมีแฟนมาแล้วสามคน และมีคนหนึ่งที่เป้เคยคบอย่างจริงจังอยู่ถึงสี่ปีก่อนจะเลิกกันไปตอนเจ้าตัวอยู่ปีหนึ่ง การที่เป้ไม่มีใครต่อจากนั้นเลยเกือบปีเต็มๆบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวคงต้องใช้เวลาทำใจจากความรักครั้งนั้นมากพอดู และถึงแม้เป้จะให้เหตุผลว่าที่คบกับโอ๊คนั้นเพราะโอ๊คมาขอร้อง แต่ทั้งสองคนก็คบกันอยู่ถึงสองเดือนก่อนจะเลิกกันไป แล้วสำหรับผมล่ะ ตอนนี้เราก็คบกันมาได้สองเดือนแล้ว เป้เห็นอะไรในตัวผมกันถึงได้เข้ามาขอคบด้วยตอนนั้น เราจะคบกันไปได้อีกนานแค่ไหนในเมื่อผมเองไม่เคยทำตัวออดอ้อนเอาใจอย่างคนที่เป็นแฟนกันควรทำเลย แล้ว...ตอนนี้เป้จะเริ่มเบื่อผมที่ชอบขัดใจคำขอของเจ้าตัวอยู่เรื่อยหรือยัง
เราต่างคนต่างไม่มีใครเอ่ยอะไรขึ้นต่อจากนั้นอีกครู่ใหญ่ ลูกค้าโต๊ะอื่นๆเริ่มทยอยลุกกันออกไปเพราะเริ่มดึกแล้วและวันรุ่งขึ้นก็เป็นวันทำงาน สักพักเป้จึงยกมือขึ้นโบกเรียกพนักงานให้มาเก็บโต๊ะและคิดเงิน
“ไปเดินเล่นกันก่อนแล้วกันนะ วิวยังไม่ง่วงใช่มั้ย?”
ผมเงยหน้าขึ้นมองคนเรียกหลังจากพวกเราเดินออกมาจากร้านแล้ว ท่าทางผมคงใจลอยน่าดูถึงได้เดินตามมาโดยไม่รู้ตัวเลยว่าเป้เดินเลยบริเวณลานจอดรถออกมาไกลพอควร ผมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูและเห็นว่ายังไม่สี่ทุ่มดี และปกติผมก็ไม่ใช่คนนอนเร็วอยู่แล้วถ้าไม่ได้เหนื่อยจนตาแทบปิดจริงๆ จึงพยักหน้าและเลี้ยวตามเป้ไปยังทางเดินที่ทำไว้เลียบแม่น้ำและมีโคมไฟแขวนอยู่ตามเสาเป็นจุดๆ
เป้หยุดยืนก่อนจะหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดแล้วหันไปพ่นควันทางทิศที่จะไม่ลอยมาโดนผม ผมจึงเดินไปเท้าแขนที่ราวทางเดินพลางมองไปยังแสงไฟฝั่งตรงข้ามและรอให้อีกฝ่ายสูบบุหรี่หมดมวนโดยไม่พูดอะไร เพราะผมถือว่าเวลานี้เป็นเวลาส่วนตัวสำหรับให้อีกฝ่ายใช้ความคิดอะไรเงียบๆคนเดียวได้ และบางครั้งผมเองก็ต้องการช่วงเวลาที่ได้ใช้ความคิดอยู่กับตัวเองระหว่างที่อยู่ด้วยกันสองคนเหมือนกัน
สักครู่เป้ก็หันไปขยี้ก้นบุหรี่ทิ้งแล้วหันมาสะกิดผมให้ออกเดินไปตามทางเดินเลียบแม่น้ำด้วยกัน กลิ่นนิโคตินเจือจางที่อ้อยอิ่งอยู่บนตัวคนตัวสูงที่เดินอยู่ข้างๆทำให้ผมรู้สึกสบายใจ ซึ่งถือเป็นเรื่องแปลกเพราะความจริงแล้วถ้ามีใครจุดบุหรี่ยื่นส่งมาให้ หรือว่ามีใครที่เพิ่งสูบบุหรี่จนกลิ่นติดเสื้อมายืนอยู่ใกล้ๆผมจะทำหน้ายู่ทันที แต่พอเป็นกลิ่นที่ติดตัวของคนคนนี้ผมกลับรับได้ และที่ยิ่งทำให้น่าตกใจยิ่งไปกว่านั้นคือ ผมคิดว่าผมชอบกลิ่นนี้ของเป้เสียด้วยสิ แต่ไม่มีวันเสียล่ะที่ผมจะบอกออกไปให้เป้ได้ใจ เขาว่ากันว่าเด็กๆไม่ควรโดนตามใจจนเหลิง ดังนั้นผมก็เลยกำลังพยายามดูแลไม่ให้เด็กโข่งคนนี้เหลิงเกินไปอยู่ล่ะมั้ง (ถึงเป้จะแก่เดือนกว่าผมก็ตามเถอะ)
“ลมเย็นดีนะ”
“อืม...”
ผมตอบรับในคอ เพราะลมริมน้ำตอนกลางคืนแบบนี้เย็นดีจริงๆ ทั้งที่เป็นหน้าร้อน เราเดินกันได้สักพัก เป้ก็ดึงมือผมให้ไปนั่งที่ม้านั่งว่างตัวหนึ่งด้วยกัน ม้านั่งตัวนั้นไม่ได้อยู่ใต้โคมไฟเสียทีเดียวทำให้แสงไม่จัดจ้าจนเกินไป ด้านหน้าหันเข้าหาแม่น้ำ ส่วนด้านหลังคงเป็นอาคารสำนักงานที่ปิดไฟมืดไปแล้ว พอนั่งลงเรียบร้อยผมก็หันไปเลิกคิ้วมองคนที่พาดแขนมาบนพนักพิงด้านหลังเอาไว้ เป้คงรอจังหวะมานานเลยก้มลงมาจูบขมับผมก่อนจะถอยออกยิ้มให้ แต่ผมยังไม่ทันพูดอะไรอีกฝ่ายก็ชิงพูดขึ้นก่อน