ลำนำรักสีรุ้ง ตอนพิเศษ ของขวัญวันปีใหม่ p.47 (29/12/56)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ลำนำรักสีรุ้ง ตอนพิเศษ ของขวัญวันปีใหม่ p.47 (29/12/56)  (อ่าน 463023 ครั้ง)

ออฟไลน์ Seiki

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 838
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2726/-64

LOT

  • บุคคลทั่วไป
กอดคนเขียนหนึ่งที :กอด1:

ยังไม่รู้เลยว่าน้องนะน้อยใจเรื่องอะไร เป้กะวิวก็มาเคืองๆ กันซะงั้น  :z3:


รอ ร้อ รอ ต่อไปค่า


ออฟไลน์ Ferfa

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1481
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +163/-2

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
ตอนที่ 21: Our Celebration (ครึ่งหลัง)

“เฮ้ยเป้ โทษทีว่ะที่ให้รอ นี่จะรีบกลับกันหรือเปล่า?”

ผมกับนะเร่งฝีเท้าเข้าไปหาเพราะนึกว่าทั้งสองคนอารมณ์ไม่ดีที่พวกผมมาสาย เป้ที่ยืนกอดอกพิงราวเหล็กข้างถนนอยู่จึงเงยหน้าขึ้นมองผมแว่บหนึ่งแล้วก็ส่ายหน้า แต่ทว่าร่องรอยแห่งความกังวลที่สัมผัสได้ก็ทำให้ผมต้องเลิกคิ้วมองคนที่ยืนอยู่ข้างเจ้าตัวแทนอย่างมีคำถาม

ร่างสูงโปร่งใช้มือหนึ่งบีบไหล่หนาของคนที่ยืนเงียบเบาๆก่อนจะหันมาหา สีหน้าที่ฉายชัดถึงความห่วงใยของวิวทำให้ผมคิดว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะเกี่ยวกับการที่ผมกับนะมาช้ากว่าเวลานัด และคำตอบที่ได้รับในอึดใจถัดมาก็ยืนยันข้อสันนิษฐานของผมได้เป็นอย่างดี

“เปล่าหรอกอ๊อฟ พอดีแม่ของเป้โทรมาบอกว่าพ่อล้มเลยต้องพาส่งโรงพยาบาล เลยกำลังคุยกันว่าพรุ่งนี้เรากับเป้อาจต้องกลับกรุงเทพฯกันก่อน”

“อ้าวเฮ้ย! แล้วเป็นอะไรมากมั้ย แล้วนี่แม่เค้ามีคนอื่นอยู่เป็นเพื่อนหรือเปล่า?” ผมรีบหันไปถามเป้ด้วยความตกใจ เพราะไม่เห็นเพื่อนเคยเล่าให้ฟังมาก่อนว่าพ่อมีปัญหาทางสุขภาพ  คราวนี้คนถูกถามเลยถอนหายใจสั้นๆก่อนจะส่ายหน้าอีกครั้ง

“เห็นแม่บอกว่าหมอให้นอนให้น้ำเกลือแล้วก็ดูอาการก่อน ปกติพ่อเค้าไม่ได้เป็นโรคอะไรเลยเป็นไปได้ว่าเพราะช่วงนี้ทำงานหนักไปหน่อย ที่จริงแม่เค้าก็ไม่ได้เร่งให้กลับหรอกเพราะพี่ปิ่นกับยายปอนด์ก็อยู่ แต่ยังไงกูก็ว่าควรจะกลับไปอยู่ด้วยอีกคนดีกว่า”

ท้ายประโยคเป้หันไปหาวิวพลางดึงมืออีกฝ่ายที่อยู่บนไหล่ไปกุมไว้แทน ผมเห็นสีหน้ากังวลจากเสี้ยวหน้าด้านข้างของเพื่อนจึงเข้าไปตบไหล่ให้กำลังใจ เพราะถ้าหากเป็นผมที่ได้รับโทรศัพท์ว่าแม่ต้องเข้าโรงพยาบาล ผมก็คงต้องการความมั่นคงจากคนข้างกายไม่ต่างกัน

“ดีแล้วล่ะมึง พี่ปูมก็อยู่ต่างประเทศ ตอนนี้เหลือลูกชายคนเดียว มึงกลับไปอยู่เป็นเพื่อนพ่อแหละดีแล้ว”

เพื่อนผมหันกลับมาพยักหน้าให้ ก่อนจะเบนสายตามาทางคนตัวเล็กที่ยืนกุมมือผมอยู่ด้วยสีหน้าลำบากใจ “ว่าแต่น้องนะจะเอาไง? ถ้าอยากอยู่เที่ยวกับอ๊อฟต่อก็ไม่เป็นไรนะเพราะพี่ขอห้องไว้สองคืนอยู่แล้ว เดี๋ยวพอวันที่จะกลับค่อยให้คนของรีสอร์ตพามาส่งที่ท่ารถก็ได้”

พอคนตัวเล็กได้ยินคำถามก็ทำท่าอึกอัก ใบหน้าหวานหันมามองผมเป็นเชิงขอความเห็น แต่ผมแค่ยักไหล่เพราะนะว่ายังไงผมก็ว่าตามนั้นอยู่แล้ว พ่อหนูน้อยเลยทำท่าชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันกลับไปหาคนถาม

“ถ้าพี่เป้กับพี่วิวจะกลับก่อน นะกับพี่อ๊อฟก็กลับด้วยดีกว่าฮะ อุตส่าห์มาด้วยกันจะให้เที่ยวสนุกกันแค่สองคนได้ไง”

คนตัวเล็กพูดจบก็บีบมือผมเบาๆ ผมเลยก้มลงยิ้มให้แล้วบีบมือตอบเพราะสิ่งที่นะพูดนั้นตรงกับความคิดผมอยู่เหมือนกัน และต่อให้รู้ว่าเป้คงจะไม่ถือสา แต่ผมก็คงทำใจเที่ยวต่อในขณะที่เพื่อนต้องกลับไปเฝ้าพ่อที่โรงพยาบาลโดยไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจไม่ได้อยู่ดี

เป้ยิ้มแล้วก็ตบบ่าของร่างเล็กเป็นเชิงขอบคุณแม้หัวคิ้วจะยังไม่คลายจากกันเสียทีเดียว จากนั้นพวกเราทั้งสี่คนจึงเดินกลับไปที่รถด้วยกัน แต่ขณะกำลังจะเลี้ยวเข้าในตรอกเล็กๆที่มีรถยาริสสีดำจอดทิ้งเอาไว้ผมก็เกิดฉุกคิดขึ้นมาได้

ฉิบหาย!! ถ้าเลื่อนวันกลับขึ้นมา ไอ้ที่ผมจะเซอร์ไพรส์นะคืนพรุ่งนี้ก็ล่มน่ะสิ!!!

“เฮ้ยเป้! เดี๋ยวดิ๊”

ผมรีบรั้งไหล่เพื่อนที่เดินนำอยู่จนเจ้าตัวหันกลับมามองผมงงๆ แต่คงเพราะเราสนิทกันมากพอที่ไอ้เพื่อนหน้าหล่อจะดูออกว่าผมมีเรื่องอยากคุยเป็นการส่วนตัว เป้เลยหยิบพวงกุญแจรถจากกระเป๋ากางเกงออกมาแล้วยื่นให้แฟนตัวเองที่ยืนอยู่ข้างๆ

“วิวพาน้องนะไปสตาร์ทรถรอก่อนแล้วกัน เดี๋ยวคุยกับอ๊อฟมันเสร็จแล้วจะตามไป”

ตอนแรกวิวรับกุญแจไปถือไว้ด้วยสีหน้างงๆ แต่พอหันมาสบตากับผมนัยน์ตาวาววับก็เปล่งประกายราวกับนึกอะไรขึ้นได้ อีกฝ่ายอมยิ้มรู้ทันก่อนจะหันไปแตะไหล่คนตัวเล็กที่มองหน้าพวกเราสามคนสลับไปมาอย่างไม่เข้าใจแล้วพาเดินต่อ ผมรอจนทั้งคู่เข้าไปนั่งในรถเรียบร้อยจึงค่อยหันไปหาเป้ที่กำลังยืนกอดอกรออยู่ แต่ยังไม่ทันอ้าปากไอ้ตัวดีก็ยิ้มแล้วชิงเอ่ยขึ้นก่อน

“เรื่องเซอร์ไพรส์ของมึงใช่มั้ย ขอโทษทีว่ะ เมื่อกี้กูก็มัวแต่ห่วงเรื่องพ่อจนลืมไป”

เอ่อ...เค้าว่าเพื่อนสนิทกันนี่ บางทีแค่มองหน้าก็รู้ใจจริงๆแฮะ แต่ข้อดีของการมีเพื่อนความจำดีก็ตรงนี้เอง ผมจะได้ไม่ต้องตีโค้งอ้อมแม่น้ำแควเพราะความเกรงใจกว่าจะได้เข้าเรื่อง

“นั่นแหละ คือเรื่องกลับเร็วขึ้นน่ะกูไม่มีปัญหาหรอกนะเว่ย เพียงแต่ไหนๆก็อุตส่าห์วางแผนไว้ว่าจะให้ของขวัญนะที่นี่ กูไม่อยากรอจนกลับไปถึงกรุงเทพฯแล้วค่อยให้อ่ะ ไม่งั้นฟีลมันก็ไม่ใช่แล้ว”

เป้ฟังผมแล้วก็ครางในคอพลางพยักหน้า แต่ทว่าเวลานี้ก็ดึกเกินกว่าที่เราจะกลับไปรีสอร์ตแล้วทำตามแผนเดิมที่ผมตั้งใจเอาไว้เพราะห้องอาหารคงปิดแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย แถมที่ที่เราพักก็ไม่ได้มีบาร์ที่เปิดตลอดคืนเพราะเป็นบูติกรีสอร์ตขนาดเล็กที่เน้นความเป็นส่วนตัว ผมพยายามนึกว่าจะใช้ประโยชน์จากสถานที่ในรูปแบบไหนแทนดี แล้วฉับพลันก็เกิดความคิด (ที่น่าจะ) ดีขึ้นมา

 “เฮ้ย กูนึกออกละ ตกลงแบบนี้แล้วกัน”

ผมเล่าให้เป้ฟังถึงแผนที่เพิ่งคิดสดขึ้นได้แบบคร่าวๆ เจ้าตัวฟังจบแล้วก็หัวเราะพลางส่ายหน้าก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมากดโทรออกให้ “มึงนี่มันช่างคิดจริงๆ เอ้า ลองดูแล้วกัน แต่ไม่น่าจะมีปัญหาหรอก”

เป้ใช้เวลาคุยกับปลายสายไม่นานก็ยกนิ้วโป้งขึ้นบอกเป็นสัญญาณว่าโอเค เราจึงตกลงอะไรกันต่ออีกนิดหน่อยก่อนจะเดินไปที่รถโดยให้ผมเป็นคนขับเหมือนเดิม ระหว่างทางเป้ให้ผมแวะปั๊มเพื่อเติมน้ำมันขณะเจ้าตัวหายไปซื้อของในเซเว่นแป๊บหนึ่ง และพอกลับถึงที่พักปุ๊บพวกเราสี่คนก็แยกย้ายกันกลับห้องใครห้องมันทันทีเพราะดึกมากแล้ว แต่เมื่อหันไปเห็นรอยยิ้มจากเป้และวิวผมก็วางใจว่าเรื่องที่ฝากฝังไว้คงไม่มีปัญหา

เรื่องบางเรื่องในชีวิตคิดไปแล้วก็แปลกดี ทั้งที่ตอนแรกผมเคยคิดไว้แล้วว่าจะเซอร์ไพรส์นะด้วยวิธีไหน พอเป้ชวนมาเที่ยวก็เลยปรับแผนให้เป็นอีกอย่างหนึ่ง แต่พอถึงสถานที่จริงก็ต้องเปลี่ยนแผนอีก แต่ในเมื่อผมตั้งใจไว้แล้วว่ายังไงก็จะสร้างความทรงจำดีๆให้คนตัวเล็กที่นี่ให้ได้ เพราะงั้นต่อให้ต้องพลิกแผนกันเป็นสิบตลบผมก็จะดันทุรังทำให้ได้อยู่ดีนั่นแหละ

พอกลับเข้าห้องผมก็ให้คนตัวเล็กเข้าไปอาบน้ำก่อนเพราะดูออกว่าอีกฝ่ายท่าทางจะเพลียมาก แล้วก็อาศัยช่วงที่นะเข้าห้องน้ำโทรถามเป้ว่าเตรียมการให้เรียบร้อยดีไหม หลังจากนั้นก็นั่งดูทีวีรออยู่บนเตียงไปเรื่อยๆ ความจริงผมเองก็เหนื่อยนิดๆเหมือนกันเพราะใช้พลังงานทำอะไรไปตั้งมากมายในวันเดียว แต่เพราะความตื่นเต้นกับแผนการที่จะต้องทำให้สำเร็จในคืนนี้จึงทำให้ไม่รู้สึกง่วงเลยสักนิด

ระหว่างกำลังกดรีโมทเปลี่ยนช่องเพราะหนังในช่องเคเบิลเพิ่งจบไป นะก็เปิดประตูห้องน้ำแล้วเดินออกมาในชุดกางเกงขาสั้นกับเสื้อยืดแขนกุดตัวหลวม พอพาดผ้าขนหนูกับราวข้างตู้เสื้อผ้าแล้วคนตัวเล็กก็เลิกผ้าห่มฝั่งตัวเองขึ้นแล้วซุกตัวลงอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง ผมเลยขยับตัวขึ้นนั่งพิงหมอนแล้วใช้ปลายนิ้วสางผมเส้นเล็กละเอียดไปมา

“เหนื่อยแล้วเหรอเรา? ทำไมคืนนี้รีบนอนจัง”

คนถูกทักหรี่ตาขึ้นนิดหนึ่งแล้วก็เขยิบเข้ามาใกล้ๆก่อนจะหลับตาลงใหม่อีกครั้ง แต่คราวนี้มือเล็กจับมือผมแล้วเอาไปซุกไว้ที่ซอกคอ ผิวของนะที่เพิ่งอาบน้ำมาใหม่ๆนั้นทั้งเย็นทั้งเนียนจนลื่นมือไปหมด

“ไม่เหนื่อยได้ไง ก็ตอนลงทะเลใครก็ไม่รู้บอกให้นะตีขาๆอยู่ได้ แถมตอนไปเดินตลาดเมื่อกี้ก็พาเดินเบียดคนจนเหงื่อออกไปหมดอีก นะง่วงนอนจะแย่อยู่แล้วเนี่ย”

พ่อหนูน้อยบ่นอุบอิบทั้งที่ไม่ยอมลืมตา ว่าแต่ผมจำได้ว่าตอนไปเดินตลาดนั่นเจ้าตัวเป็นคนชี้ชวนว่าอยากดูนั่นดูนี่เองนะ ไปๆมาๆไหงกลายเป็นว่าผมเป็นคนผิดไปได้ล่ะเนี่ย แต่ก็เอาเถอะ...ท่าทางนะคงจะอยากพักผ่อนจริงๆ ผมเลยรอจนเจ้าตัวหลับแล้วจึงค่อยดึงมือออกก่อนจะก้มลงหอมแก้มที่กรุ่นกลิ่นสบู่เบาๆ

ผมปิดโคมไฟในห้องให้เหลือเพียงดวงเดียวแล้วก็เข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าให้สดชื่น หลังจากกลับออกมาและมองให้แน่ใจว่าคนบนเตียงยังหลับสนิทดีอยู่ ผมก็หยิบกระเป๋าที่ใส่ของขวัญไว้แล้วแอบเปิดประตูออกจากห้อง แต่ก่อนจะออกไปก็ไม่ลืมวางโทรศัพท์ของนะไว้ข้างหมอนเพื่อที่เจ้าตัวจะได้ได้ยินถนัดเมื่อผมโทรหา เพราะปกติแล้วเวลาที่เหนื่อยมากๆนะจะหลับลึกจนบางทีผมเปิดทีวีเสียงดังยังไม่ยอมตื่นเลย

ด้วยเวลาที่ล่วงผ่านเที่ยงคืนมานานทำให้รอบด้านไม่มีแสงไฟลอดออกมาจากห้องพักอื่นเลยสักห้อง แต่แสงไฟจากโคมสีส้มดวงเล็กที่วางอยู่ตามขอบทางเดินก็ช่วยให้ผมเดินไปที่ชายหาดได้โดยไม่สะดุด เมื่อถึงหาดทรายหน้ารีสอร์ตผมก็ต้องโล่งใจเมื่อเห็นว่ามีโต๊ะและเก้าอี้ตามที่เป้ติดต่อกับทางรีสอร์ตไว้ให้วางอยู่ ส่วนของที่อยู่บนโต๊ะก็คือขนมเค้กก้อนเล็กที่เป้ช่วยซื้อให้จากมินิมาร์ทในปั๊มน้ำมัน ข้างกล่องเค้กมีช่อกุหลาบสีแดงช่อเล็กๆซึ่งตรงก้านถูกมัดไว้ด้วยรากไม้ที่สานไปมาจนแน่นเอาไว้ด้วย เห็นเป้บอกว่าวิวเป็นคนทำช่อดอกไม้นี้ให้ด้วยการไปขอแบ่งจากเคาน์เตอร์ตรงล็อบบี้หลังจากที่เราแยกกันกลับห้องนั่นเอง

หลังจากกวาดตามองข้าวของที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วผมก็ต้องเท้าเอวพลางส่ายหน้ายิ้มๆ เพราะแผนดั้งเดิมที่ผมวางไว้สำหรับคืนพรุ่งนี้คือจะให้เป้กับวิวทำทีเป็นลุกไปที่อื่นระหว่างทานข้าวเย็นกัน แล้วค่อยให้พนักงานยกเค้กที่สั่งทำพร้อมกับดอกไม้ช่อใหญ่ออกมาให้เพื่อเป็นเซอร์ไพรส์ในโอกาสพิเศษให้กับนะ แต่พอมองของที่อยู่ตรงหน้าแทนแล้วก็...เอาน่ะ สงสัยผมคงเหมาะจะทำเซอร์ไพรส์ให้แฟนด้วยของบ้านๆพื้นๆแบบนี้มากกว่าของสั่งทำหรูๆเสียกระมัง 

ผมหยิบของขวัญออกจากกระเป๋าแล้ววางลงบนโต๊ะ หลังจัดระเบียบของต่างๆให้เข้าที่เข้าทางดีแล้วก็สูดหายใจเข้าลึกทีหนึ่งก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมากดโทรออก ระหว่างรอสายก็รู้สึกว่าใจเต้นแรงจนเหมือนกับจะดังเข้าไปในโทรศัพท์ด้วยก็ไม่ปาน แต่หลังจากรอแล้วรออีกจนเริ่มคิดว่าจะไปเคาะประตูเรียกเจ้าตัวซะดีไหมก็ได้ยินเสียงงัวเงียดังมาตามสาย

“พี่อ๊อฟ...ทำไมโทรมาล่ะ...แล้วนี่อยู่ไหนเนี่ย...” เสียงสะลึมสะลือมาเชียว นี่ตกลงว่าคนรับตื่นแน่แล้วหรือกำลังละเมออยู่ก็ไม่รู้

“พี่ออกมาเดินเล่น เห็นพระจันทร์สวยดี นะลงมาดูด้วยกันสิ”

ผมพยายามบังคับเสียงตัวเองไม่ให้ฟังดูตื่นเต้นจนเกินไป เสียงผ้าที่เสียดสีกันดังสวบสาบบอกให้รู้ว่าอีกฝ่ายคงกำลังพลิกตัว อึดใจใหญ่ถัดมาผมถึงได้ยินเสียงง่วงๆดังขึ้นอีกครั้ง

“ก็ดูจากระเบียงห้องก็เห็นนี่...พี่อ๊อฟจะลงไปข้างล่างทำไมล่ะ”

เออแฮะ...สงสัยพ่อหนูน้อยจะง่วงจัดจริงๆถึงได้อิดออดไม่อยากลุกซะขนาดนี้ แต่ถ้าหากเจ้าตัวไม่ยอมลงมา ไอ้ที่ผมอุตส่าห์เจ้ากี้เจ้าการให้เพื่อนช่วยเตรียมโน่นเตรียมนี่ให้ก็เสียแผนหมดน่ะสิ

“เอาน่า มาเดินเล่นเป็นเพื่อนพี่แป๊บนึงแล้วเดี๋ยวค่อยไปนอนต่อก็ได้ แล้วตอนลงมาฝากหยิบของที่พี่ลืมไว้หน้าประตูลงมาด้วยนะครับ”

ผมพูดจบก็รีบตัดสายเพื่อไม่ให้คนในห้องมีโอกาสปฏิเสธอีก หลังจากปลุกคนตัวเล็กสำเร็จผมก็รีบกดหาเพลงในมือถือเพื่อเปิดรอ อดรู้สึกตื่นเต้นเหมือนตอนที่ขอให้เจ้าตัวย้ายห้องมาอยู่ด้วยกันครั้งแรกไม่ได้ ก็ขนาดกับแฟนคนก่อนผมยังไม่เคยทำอะไร ‘พิเศษ’ แบบนี้ให้เลยนี่นา

คงเพราะความเงียบสงัดรอบด้านทำให้เสียงคลื่นที่เซาะหาดทรายดังกังวานไปทั่ว ผมเบนสายตาจากหน้าจอมือถือไปยังผืนทะเลสีเข้ม น่าแปลกที่ทั้งที่คืนนี้ท้องฟ้ามีเมฆมาก แต่บริเวณรอบๆดวงจันทร์ทรงกลดสีเหลืองนวลกลับไม่มีเมฆบดบังจนทำให้เห็นแสงสีเงินที่สะท้อนบนผิวน้ำได้กระจ่างตา

เสียงคลื่นและความสงบโดยรอบทำให้หัวใจผมที่กำลังเต้นแรงค่อยๆผ่อนจังหวะลง ผมนึกย้อนกลับไปถึงวันเดียวกันนี้เมื่อหกเดือนก่อนแล้วก็ต้องยิ้ม ภาพของนะที่นอนไข้ขึ้นอยู่บนเตียงในห้องผมยังแจ่มชัดในความทรงจำ อุณหภูมิของผิวเนื้อยามกอดร่างเล็กไว้ในอ้อมแขนก็ยังทำให้รู้สึกอุ่นซ่านในหัวใจทุกครั้งที่ได้สัมผัส แม้กระทั่งตอนนี้ผมก็ยังจำสีหน้าของคนตัวเล็กหลังจากจูบแรกของเราสองคนและนัยน์ตากลมโตที่เบิ่งกว้างหลังผมชวนให้มาอยู่ห้องเดียวกันได้เหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน และแม้ว่าตอนนี้ผมจะได้เห็นเจ้าของใบหน้าหวานทุกวันทั้งยามหลังตื่นและก่อนนอนแล้วก็ตาม แต่ผมก็ไม่เคยรู้สึกว่ารอยยิ้มที่เจ้าตัวมอบให้ยามที่อยากอ้อนผมนั้นจะน่ารักน้อยลงเลยสักครั้ง

ไม่รู้ว่าผมหลงรักพ่อหนูน้อยตั้งแต่ตอนไหนก่อนที่จะรู้สึกตัวและกล้าเอ่ยออกไปเป็นคำพูด และแม้เวลาที่พวกเราเริ่มตกลงคบกันอย่างจริงจังอาจไม่ใช่เวลาที่ยาวนานนักในสายตาของคนอื่นๆ แต่สำหรับผม มันคือการเริ่มชดเชยเวลาที่เราเสียไปสมัยอยู่ม.ปลายซึ่งคนตัวเล็กคอยมองผมข้างเดียว และช่วงเวลาที่เราได้ใช้แบ่งปันประสบการณ์ต่างๆร่วมกันตั้งแต่ย้ายมาอยู่ห้องเดียวกันนั้นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่มีค่ามาก เพราะมันทำให้ผมมั่นใจว่านะคือคนที่ผมจะปกป้องดูแลนับจากนี้ไป เช่นเดียวกับที่ผมเชื่อว่านะเองก็พร้อมที่จะใช้เวลาต่อจากนี้เพื่อเรียนรู้สิ่งใหม่ๆในชีวิตและเติบโตเป็นผู้ใหญ่ไปร่วมกับผมเช่นกัน

ผมยิ้มให้กับความคิดของตัวเอง และกดเล่นเพลงที่ต้องการในมือถือเมื่อหาเจอโดยปรับโวลุ่มไม่ให้ดังจนรบกวนบรรดาห้องพักที่อยู่ชั้นล่าง ความจริงแล้วผมเพิ่งหาเพลงนี้เจอโดยบังเอิญเมื่อไม่นานมานี้เอง แต่เพียงแค่ครั้งแรกที่ได้ฟังก็สะดุดใจกับเนื้อหาที่ตรงกับความรู้สึกจนต้องโหลดเก็บเอาไว้ และแม้ว่าหลังจากนั้นผมจะได้เปิดเพลงนี้ฟังอีกหลายครั้งแล้วก็ตาม แต่เนื้อหาในเพลงก็ยังคงทำให้นึกถึงความสัมพันธ์ของตัวเองกับพ่อหนูน้อยเหมือนครั้งแรกที่ได้ฟังไม่มีผิดอยู่ดี

 
รู้ทั้งรู้ ฉันไม่ได้มีพร้อม
ยังคงไกล ห่างจากคำว่าดี
ฉันก็รู้ว่าแค่ไหน สิ่งที่ตัวฉันมี
รู้ว่ายังคงไกลจากฝันของเธอ

รู้ทั้งรู้ ก็ยังต้องการขอ
ขอให้ฉันอยู่กับเธอเรื่อยไป
เพราะว่ารักจากเธอนั้น
ส่งเรี่ยวแรงให้หัวใจ ผลักให้ชีวิตฉันก้าวไป

ไม่ขอให้มากกว่านี้ แค่ให้สิ่งที่มี
ขอให้อยู่ตรงนี้ กับฉันนานๆ



เสียงฝีเท้าบนพื้นทรายที่ดังขึ้นไม่ห่างทำให้ผมละสายตาขึ้นจากโต๊ะ และก็ได้เห็นคนที่รออยู่กำลังเดินมาหาโดยในอ้อมแขนกอด ‘ของที่ผมลืมไว้’ จากหน้าประตูห้องเอาไว้แน่น นัยน์ตากลมโตสบตากับผมผ่านแสงเทียนที่จุดอยู่บนเค้กขณะที่เพลงยังดังคลอไปเรื่อยๆ


แค่เธอนั้นได้อยู่ข้างเคียงกันเรื่อยไป
ฉัน ขอเพียงแค่เท่านี้ ทุกๆ สิ่งที่มี
ขอให้อยู่อย่างนี้ อย่าเสียมันไป
แค่มีเธอข้างกาย สิ่งเดียวที่ใจต้องการ

ฝันของฉัน ถึงยังอยู่อีกไกล
มีอะไรอีกมากมายให้เจอ
ขอแค่ฉันอยู่กับเธอ
เจอะอะไรก็ไม่กลัว
ฉันพร้อมเผชิญ ทุกอย่าง


เสียงเพลงที่เล่นจบไปแล้วรอบหนึ่งเริ่มดังซ้ำขึ้นอีกครั้ง คนตัวเล็กยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมโดยไม่ได้หนีสายตาผมเลย และแม้แสงจากเทียนเล็กๆไม่กี่แท่งจะไม่ได้สว่างอะไรนัก แต่ผมก็เห็นได้ว่าขอบตาอีกฝ่ายแดงเรื่อและมีม่านน้ำใสคลออยู่ ผมจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้และอ้าแขนออกรับคนที่เดินย่ำเท้าเร็วๆเข้ามาหาทันที

“เห็นของที่พี่ลืมไว้แล้วใช่มั้ยครับ?”

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
ผมถามเสร็จก็หอมแก้มของคนตรงหน้าแรงๆให้สมกับความรู้สึกที่เอ่อล้นอยู่ในใจทีหนึ่ง คนในอ้อมแขนเลยหัวเราะเบาๆทั้งที่น้ำตาซึมแล้วก็พยักหน้า นะดันตัวออกแล้วยกตุ๊กตาเพนกวินที่ผมซื้อตอนไปเลือกของขวัญด้วยกันขึ้นมา ปีกข้างหนึ่งของเจ้าเพนกวินสีฟ้าหนีบการ์ดที่ผมเขียนด้วยลายมือไว้ที่ซองว่า ‘For Na: Happy 6th Months Anniversary’ เอาไว้ด้วย

ครับ...เซอร์ไพรส์ที่ผมตั้งใจเตรียมไว้ให้นะมาเป็นอาทิตย์ ก็คือวันครบรอบหกเดือนที่นะตอบตกลงคบเป็นแฟนผมนี่เอง อาจไม่ใช่เวลาที่เนิ่นนาน แต่ก็มีค่าและความหมายจนผมต้องทำอะไรสักอย่างให้คนตัวเล็กได้รู้ว่าผมเห็นความสำคัญของ ‘เรา’ แค่ไหน

นะกระชับอ้อมแขนกอดเอวผมแน่นพลางเหลือบมองสิ่งต่างๆที่วางอยู่บนโต๊ะ ใบหน้าหวานเงยขึ้นส่งยิ้มมาให้ทั้งที่ปลายจมูกแดงเรื่อ

“ไม่อยากเชื่อเลยว่าพี่อ๊อฟจะนับไว้ด้วย” คนตัวเล็กเอ่ยขึ้นแล้วก็ซุกหน้าลงกับอกผมอีกครั้ง ผมเลยลูบผมนิ่มเบาๆอย่างที่เจ้าตัวชอบให้ทำก่อนจะก้มจูบข้างขมับที่มีผมสีน้ำตาลระอยู่

“นับสิครับ วันสำคัญของเราสองคนนี่นา”

ผมจับมือนะไว้แล้วก็พาไปนั่งตักที่เก้าอี้ ก่อนจะพยักหน้าไปทางการ์ดในซองที่ยังหนีบอยู่ใต้ปีกเจ้านกเพนกวินในมือของคนตัวเล็ก

“ตกลงได้อ่านการ์ดที่พี่เขียนไว้ยัง?”

แก้มเนียนสองข้างของคนตรงหน้าเป็นสีเรื่อจนเห็นได้ชัดใต้แสงจันทร์และแสงเทียน นะพยักหน้าก่อนจะเม้มริมฝีปากแล้วจ้องตาผมนิ่ง นัยน์ตากลมโตดูวูบไหวราวกับมีน้ำตารื้นขึ้นมาอีกครั้ง

“พี่อ๊อฟพูดจริงหรือเปล่า? ต่อจากนี้จะฉลองกับนะทุกปีจริงๆนะ?”

พ่อหนูน้อยถามแล้วก็สูดน้ำมูก ไม่น่าแปลกใจที่นะจะถามแบบนี้ เพราะเนื้อความที่คนใช้คำไม่เก่งอย่างผมเขียนในการ์ดก็คือ



‘ถึงเด็กคนนี้จะขี้งอน แต่ก็เป็นแฟนที่น่ารักของพี่เสมอตลอดหกเดือนที่ผ่านมา แล้วเรามารอฉลองครบรอบปีที่หนึ่งและปีต่อๆไปด้วยกันนะ

รักครับ

พี่อ๊อฟ’




ผมยิ้มให้แล้วโน้มคออีกฝ่ายจนริมฝีปากเราสัมผัสกันอย่างแผ่วเบา ผมค่อยๆไล่จูบจากริมฝีปากนิ่มที่สั่นระริกขึ้นไปบนผิวแก้ม เปลือกตาและหน้าผาก จู่ๆก็รู้สึกว่าคนตรงหน้าบอบบางจนต้องคอยระวังเวลาจับต้องไปหมด

“พูดจริงสิครับ ตอนไปเจอพ่อกับแม่ของนะพี่ก็เคยบอกแล้วนี่ว่าจะคอยดูแลเราเอง พี่เคยโกหกนะที่ไหน”

ผมพูดจบก็ย้ำริมฝีปากลงบนเรียวปากนิ่มอีกครั้ง แต่คราวนี้คนที่กอดคอพลางซบไหล่ผมอยู่กลับดันตัวเองออกแล้วก็ทำหน้าตึงๆก่อนจะหันหนี

แล้วปฏิกิริยาโต้ตอบของผมหลังจากเพิ่งผ่านอารมณ์อุ่นหวานเมื่อครู่ เมื่อจู่ๆก็มาเจอท่าทางเย็นชากะทันหันของคนตรงหน้าจะเป็นอะไรไปได้ นอกจาก...เอ๋อรับประทานสิครับ! ก็เมื่อกี้เพิ่งจะซึ้งกันอยู่หยกๆ แล้วผมพูดอะไรไม่เข้าหูขึ้นมากันล่ะเนี่ย??

คนตัวเล็กปรายตามามองผม แต่คงเพราะสีหน้างุนงงจับต้นชนปลายไม่ถูกทำให้เจ้าตัวทำหน้าเบ้ขึ้นมาทันที

“ทำไมจะไม่เคยโกหก วันก่อนที่พี่อ๊อฟอ้างว่าไปทำรายงานกับเพื่อนน่ะ นะรู้นะว่าที่จริงพี่อ๊อฟแอบไปที่อื่นมาต่างหากใช่มั้ยล่ะ?”

นะว่าแล้วก็ปล่อยมือจากคอผมไปกอดเจ้าตุ๊กตาเพนกวินตัวเล็กแทน ตอนแรกผมยังงงอยู่เพราะเรียบเรียงประโยคที่ได้ยินไม่ทัน แต่พอโดนคนบนตักส่งค้อนจนตาแทบคว่ำมาให้ก็ถึงบางอ้อ

ที่แท้สาเหตุที่ทำให้ผมโดนงอนมาตั้งแต่เมื่อวานก็เรื่องนี้เอง ว่าแต่นะไปรู้มาจากไหนล่ะเนี่ย? เป้กับวิวที่ไปด้วยกันก็ไม่น่าจะเล่าให้ฟังนี่นา

“ไม่ต้องถามว่ารู้มาจากใคร เอาเป็นว่ารู้ก็แล้วกัน”

เหมือนนะจะรู้ว่าผมจะถามอะไรเลยพูดดักซะก่อน ผมมองท่าทางปากยื่นๆแก้มป่องนิดๆของอีกฝ่ายแล้วก็ต้องยิ้มอย่างอ่อนใจ แต่ไหนๆก็ได้เวลาให้ของขวัญแล้ว ยอมรับความจริงไปเลยคงจะดีกว่า

“โอเค พี่ยอมรับว่าคราวนั้นโกหก แต่ถ้าหากพี่บอกไปตามตรงนะก็รู้ไต๋หมดสิว่าพี่จะไปซื้อของขวัญให้ ยังไงแกะกล่องดูก่อนสิครับ”

ผมหอมแก้มคนงอนอีกฟอดก่อนจะพยักหน้าไปทางกล่องของขวัญบนโต๊ะ พ่อหนูน้อยจึงมองกล่องอย่างชั่งใจก่อนจะหยิบขึ้นมาแกะกระดาษกับริบบิ้นออก พอดึงของในกล่องออกมาคนบนตักก็หันมามองผมตาโตเหมือนไม่ค่อยอยากเชื่อสายตา

“พี่อ๊อฟซื้อน้ำหอมให้นะเหรอ?”

พอโดนถามด้วยเสียงประหลาดใจผมเลยชักจะเขินขึ้นมา เพราะดูแล้วผมก็ไม่น่าจะเป็นคนซื้ออะไรแบบนี้ให้ใครจริงๆน่ะแหละ แต่ก็เพราะรู้ว่านะก็คงจะคิดแบบนี้เหมือนกันถึงตั้งใจซื้อไอ้เจ้านี่ให้เป็นเซอร์ไพรส์ไง

“อื้อ ก็ขวดเก่าที่นะใช้มันใกล้หมดแล้วพี่เลยว่าจะซื้อกลิ่นอื่นที่น่าจะเหมาะกับเราให้ แต่ถ้าไปเลือกคนเดียวก็กลัวแป้กเลยให้เป้กับวิวไปช่วยเลือก ที่จริงพี่ก็ไม่อยากปิดหรอกนะ แต่ขืนให้เรารู้ก่อนมันก็ไม่ลุ้นใช่มั้ยล่ะ ยังไงขอโทษนะครับที่ทำให้รู้สึกไม่ดี ทีนี้จะหายโกรธพี่ได้ยัง?”

นะพลิกขวดแก้วทรงเหลี่ยมในมือไปมาก่อนจะคลี่ยิ้มแล้วหันมาหอมแก้มผมกลับ ผมเลยเร่งให้เป่าเทียนเพราะว่าแทบจะละลายใส่เจ้าเค้กก้อนเล็กกะจิ๋วหลิวหมดแล้ว แต่ยังไม่ทันที่จะได้ตักเค้กผมก็รู้สึกถึงสัมผัสเย็นๆจากหยดน้ำที่หล่นลงมาบนแขน พวกเราสองคนหันมามองหน้ากันโดยไม่ต้องนัดหมาย ก่อนจะรีบลุกแล้วคว้าทุกอย่างบนโต๊ะวิ่งกลับขึ้นห้องทันที

โชคดีว่าระยะห่างจากหน้าชายหาดกับอาคารที่พักของพวกเราไม่ได้ไกลนัก แต่กว่าจะวิ่งไปถึงก็ทำเอาทั้งผมทั้งนะหลังเปียกชุ่มเพราะอยู่ดีๆห่าฝนจากไหนไม่รู้ก็เทลงมาโครมใหญ่จนตอนนี้นอกกระจกระเบียงกลายเป็นภาพมัวๆไปหมด  พอเข้าห้องปุ๊บผมก็รีบคว้าผ้าขนหนูมาเช็ดผมและเนื้อตัวให้คนตัวเล็กทันที นะก้มมองถาดเค้กที่อุตส่าห์ประคองวิ่งขึ้นมาแล้วก็ทำหน้ามุ่ย

“เละหมดเลยพี่อ๊อฟ นะขอโทษ”

พ่อหนูน้อยเอ่ยเสียงอ่อยๆ เพราะว่าเจ้าสิ่งที่เหลือติดอยู่บนถาดกระดาษแข็งซึ่งเจ้าตัวถือมาตอนนี้แปรสภาพเป็นก้อนฟองน้ำเละๆที่มีครีมชุ่มฝนไหลเยิ้ม ผมเลยรับถาดนั้นมาแล้วหย่อนลงในถังขยะข้างโต๊ะเครื่องแป้งแทน เพราะต่อให้เอาไปแช่ตู้เย็นจนครีมอยู่ตัวขึ้นมาก็คงไม่มีใครกินลงอยู่ดี

“ของแค่นี้ไม่ต้องเสียดายหรอก เดี๋ยวกลับไปกรุงเทพแล้วพี่จะซื้อเค้กที่ดีๆกว่านี้ให้ แต่ตอนนี้นะไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดีกว่าไปจะได้ไม่เป็นหวัด”

ผมบอกพลางถอดเสื้อตัวเองออกแล้วก็หันไปเปิดตู้เพื่อหยิบชุดสำหรับใส่นอนชุดใหม่ แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อถูกอ้อมแขนเรียวเล็กกอดรัดเข้าที่เอวพร้อมๆกับความอบอุ่นที่แนบลงบนแผ่นหลังเปลือยเปล่า พ่อหนูน้อยเกลือกแก้มตัวเองกับหลังผมไปมาแล้วก็พูดด้วยเสียงอู้อี้ แต่สิ่งที่ได้ยินก็ทำให้ผมยิ้มและหันกลับไปรวบร่างเล็กมากอดตอบพร้อมกับแนบริมฝีปากลงบนริมฝีปากอิ่มอย่างแผ่วเบาด้วยความดีใจ

คงไม่มีใครโชคดีและมีความสุขกว่าผมแล้วในคืนนี้ อย่างน้อยก็ในวินาทีนี้ที่มีคนตัวเล็กอยู่ในอ้อมแขนของผมแหละน่า

“พี่อ๊อฟก็รักนะที่สุดเหมือนกันครับ”


+------+


เสียงฝนที่ยังคงดังเปาะแปะกระทบระเบียงอยู่ภายนอกรั้งให้เปลือกตาผมค่อยๆเปิดขึ้นด้วยความงัวเงีย พอเอื้อมมือไปหยิบมือถือขึ้นมากดดูเวลาก็เห็นว่าเพิ่งจะหกโมงครึ่งเท่านั้น และเมื่อหันไปมองคนข้างๆที่ตะแคงซุกผมอยู่ด้วยท่าทางหลับสนิทก็ต้องหันไปกอดแล้วหอมแก้มนิ่มอย่างอดใจไม่ไหว

ผมระบายลมหายใจยาวก่อนจะปิดตาลงอย่างสะลึมสะลือ แต่ก็ผลอยหลับไปได้ไม่นานก่อนจะโดนเสียงสัญญาณปลุกจากมือถือฉุดให้ต้องตื่นขึ้นมาอีกรอบ ผมรีบกดปิดเสียงเพราะกลัวจะรบกวนคนที่เริ่มขมวดคิ้วเพราะถูกรบกวนการนอนกะทันหัน แต่แล้วก็ให้นึกขึ้นได้ว่าที่ตั้งนาฬิกาปลุกไว้เพราะวันนี้เป้ต้องรีบกลับบ้านไปหาพ่อ ผมเลยต้องจำใจลุกขึ้นมาทั้งที่ยังง่วงโดยไม่ลืมแซะคนข้างตัวขึ้นมาด้วยกันแม้ว่าอีกฝ่ายจะอิดออดอยู่บ้าง

“อื้อ...พี่อ๊อฟก็ไปอาบน้ำก่อนสิ”

คนโดนแซะเบี่ยงตัวหนีแล้วก็ล้มลงนอนใหม่แถมหันหนีผมซะอีก พอมองคนที่ทิ้งตัวลงนอนนิ่งอย่างไม่มีวี่แววจะลุกแล้วก็ต้องถอนใจ แต่จะว่าไปไอ้รอยแดงๆตามเนื้อตัวอีกฝ่ายที่เห็นได้ชัดใต้แสงยามเช้าอย่างนี้ทำให้ผมเกิดอารมณ์อยากแกล้งอย่างบอกไม่ถูก ผมเลยงัดไม้ตายซึ่งใช้ประจำเวลาที่จำเป็นต้องปลุกให้คนตัวเล็กตื่นทั้งที่อีกฝ่ายไม่เต็มใจขึ้นมา ด้วยการยื่นปลายนิ้วชี้ลากลงบนแนวแผ่นหลังเนียนเบาๆจนอีกฝ่ายสะดุ้ง แล้วก็...

“ฮ่าๆๆ โอ๊ย! พี่อ๊อฟ ตื่นแล้ว หยุดๆๆ!!”

ในเมื่อปลุกกันดีๆไม่ยอมก็ต้องจี้เอวกันนี่แหละ แถมนะเส้นตื้นอยู่แล้ว แล้วเมื่อคืนเราก็นอนกันแบบไม่ได้ใส่เสื้อผ้าเลยยิ่งทำให้แกล้งง่ายเข้าไปใหญ่ พ่อหนูน้อยหัวเราะจนหอบหน้าแดงตัวงอเป็นกุ้ง ผมเลยฉวยโอกาสนี้ช้อนตัวร่างเล็กขึ้นอุ้มแล้วพาเดินเข้าห้องน้ำซะเลย ทีนี้ถึงจะงอแงไม่อยากลุกอีกก็สายไปเสียแล้วล่ะ

พวกเราใช้เวลาแต่งตัวและเก็บของกันไม่นานก็เดินลงไปที่ห้องอาหารด้านล่าง ความที่ห้องอาหารของรีสอร์ตไม่ได้ใหญ่แถมยังเป็นแบบเปิดโล่งทำให้ผมมองเห็นเป้และวิวทันทีที่เดินเข้าไป ผมกับนะวางสัมภาระลงบนเก้าอี้ว่างก่อนจะผละกันไปตักอาหารเช้าซึ่งมีทั้งแบบไทยและอเมริกันแล้วเดินกลับไปที่โต๊ะ

“เป็นไงมั่งทั้งสองคน งานฉลองเมื่อคืนนี้?”

เป้เอ่ยถามขึ้นยิ้มๆเมื่อพวกเรานั่งลงประจำที่ นะเลยเหลือบตามองผมก่อนจะพยักหน้าให้คนถามด้วยแก้มที่เป็นสีชมพูเรื่อ

“ก็...ดีฮะ ขอบคุณพี่เป้กับพี่วิวด้วยฮะ”

ตอบเสร็จปุ๊บพ่อหนูน้อยก็ทำทีเป็นสนใจกับการจัดการไส้กรอกและไข่ดาวตรงหน้าจนผมต้องลูบท้ายทอยอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู ที่จริงเมื่อคืนผมก็บอกนะไปแล้วว่านอกจากไปช่วยเลือกน้ำหอมแล้ว เป้กับวิวก็ช่วยเรื่องจัดหาของและเตรียมสถานที่เมื่อคืนด้วย แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่แปลกอะไรที่นะจะเขิน เพราะความที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวมาก่อนเกี่ยวกับเซอร์ไพรส์ครั้งนี้ทำให้เจ้าตัวเผลองอนผมอวดเพื่อนๆไปแทบทั้งวันเลยนี่นา

“แล้วพ่อเป็นไงมั่งแล้ววะเป้ แม่เค้าได้โทรมาบอกอะไรเพิ่มหรือเปล่า?”

ผมเปลี่ยนเรื่องคุยด้วยการถามถึงพ่อของเป้แทน ร่องรอยคล้ำนิดๆใต้ตาของเจ้าตัวทำให้พอจะเดาได้ว่าเพื่อนผมคงหลับไม่สนิทเท่าไหร่ตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา

“น่าจะดีขึ้นแล้วล่ะ เมื่อเช้าโทรถามแม่เค้าก็บอกว่าพ่อตื่นมารอบนึงแล้วก็บ่นว่าจะพาส่งโรงพยาบาลทำไม ยังไงถึงกรุงเทพแล้วคงต้องโทรเช็คอีกทีว่าหมอจะให้กลับบ้านวันนี้เลยหรือจะให้อยู่ดูอาการต่อ”

เป้ตอบแล้วก็ยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ ผมเลยพยักหน้ารับรู้ก่อนจะเริ่มจัดการอาหารเช้าของตัวเองบ้าง ขณะที่พวกเรากำลังกินไปพลางคุยไปถึงเรื่องสอบปลายภาคที่กำลังใกล้เข้ามาพลางนั่นเองก็มีเสียงผู้หญิงดังขึ้น

“อรุณสวัสดิ์ค่ะ นี่จะกลับกันแล้วเหรอ?”

ผมหันไปตามเสียง แล้วก็เห็นว่าเจ้าของคำถามเป็นหญิงสาวรูปร่างเพรียว คะเนแล้วน่าจะสูงกว่านะนิดหน่อย เจ้าหล่อนใส่เสื้อเชิ้ตลายทางตัวโคร่งพับแขนขึ้นถึงศอกแบบสมัยนิยมทับกางเกงขาสั้นอวดเรียวขา ผมสีดำสนิทที่รวบขึ้นเป็นมวยหลวมๆมีปอยหล่นลงมาระข้างแก้มและต้นคอ ขับให้ผิวที่ขาวอยู่แล้วยิ่งขาวเข้าไปอีก นัยน์ตาเรียวซึ่งใส่คอนแทคต์เลนส์สีเทาอมฟ้าส่งยิ้มให้ทุกคนในโต๊ะแต่ดูจะจับจ้องที่เป้ซึ่งนั่งตรงข้ามผมเป็นพิเศษ ผมเหลือบมองวิวซึ่งนั่งอยู่ข้างเพื่อนแล้วก็เห็นว่าเจ้าตัวเพียงยิ้มตอบเรียบๆมาให้

เป้เหลือบมองคนข้างตัวนิดหนึ่งก่อนจะหันไปหาคนถาม และแม้ว่าผู้หญิงคนนี้จะหน้าเด็กจนเหมือนอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพวกผม แต่จากท่าทางและการพูดจาทำให้ผมรู้สึกว่ายังไงเจ้าตัวก็น่าจะเรียนจบและทำงานแล้ว

“ครับ พอดีมีธุระด่วนเลยต้องรีบกลับ”

สาวเจ้าเอียงคอทำท่ารับรู้ ก่อนจะถอนหายใจแล้วพูดต่อด้วยท่าทางเสียดายที่แม้แต่ผมซึ่งไม่ได้ชำนาญเรื่องผู้หญิงอะไรก็ยังพอมองออกว่าเพื่อนผมโดน ‘อ่อย’ อยู่

“อะไรกัน เห็นเมื่อวานบอกว่าจะมาพักสองคืน กะว่าวันนี้จะชวนทุกคนมาทานข้าวกับพวกเพื่อนๆของเมย์อยู่เชียว”

กล้าชะมัด...คือความคิดแรกที่ผุดขึ้นในหัวหลังได้ยินประโยคนั้น ผมอดทึ่งไม่ได้กับการแสดงออกว่ากำลัง ‘รุก’ อย่างชัดเจนของหญิงสาวซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเพื่อนไปทำความรู้จักด้วยตั้งแต่ตอนไหน แต่นึกไปนึกมาอีกครั้งก็เริ่มจำได้ลางเลือนว่าเมื่อวานมีผู้หญิงมานั่งคุยกับเป้ระหว่างที่พวกผมสามคนเล่นน้ำกันอยู่ สงสัยว่าคงไม่แคล้วจะเป็นคนนี้เสียกระมัง

จากหางตาผมเห็นว่านะหยุดทานแล้วและกำลังแอบมองผู้หญิงคนนั้นสลับกับวิวที่ยังคงนั่งจิบโอวัลตินเหมือนทองไม่รู้ร้อนอยู่ ท่าทางของอีกฝ่ายที่ดูสงบนิ่งทั้งที่แฟนกำลังโดนจีบต่อหน้ากลับทำให้ผมเสียวสันหลังยังไงชอบกล เพราะตั้งแต่รู้จักกันมาก็ยังไม่เคยเห็นวิวเป็นแบบนี้ซะด้วยสิ

โชคยังดีว่าผมกับนะไม่ต้องทนนั่งเกร็งกันอยู่นาน เพราะเป้ซึ่งคงจะรู้ดีว่าต้องรับมืออารมณ์ไหนของคนข้างตัวอย่างไรเพียงหันไปพยักหน้ายิ้มๆให้วิวที่ยังนั่งเงียบก่อนจะหันกลับไปหาผู้หญิงคนนั้นอีกครั้ง

“ต่อให้ผมอยู่ต่อก็คงโอเคทันทีเลยไม่ได้หรอกครับ เพราะยังไงก็ต้องขออนุญาตแฟนก่อนอยู่ดี ใช่มั้ยวิว?”

คนถูกพาดพิงถึงเพียงชำเลืองไปทางคนถามด้วยแววตาเหมือนขำปนระอาพลางยกแก้วในมือขึ้นจิบอีกครั้ง หญิงสาวที่เข้ามาทักพวกเราจึงเงียบไปนิดหนึ่งก่อนจะยิ้มและเอ่ยเสียงที่ฟังดูก็รู้ว่า ‘แสร้ง’ ทำให้สดใสขึ้นมาอีกครั้ง

“ว้า! น่าเสียดายจัง ถ้าเย็นนี้ได้ทานข้าวด้วยกันกลุ่มใหญ่น่าจะสนุกแท้ๆเลย ยังไงขอให้กลับบ้านปลอดภัยนะคะ ถ้าโชคดีคงได้มีโอกาสเจอกันที่กรุงเทพ”

ผมไม่แน่ใจว่าอากาศที่ลอยอยู่ตรงหน้ามีประจุไฟฟ้าอัดแน่นอยู่มากแค่ไหน แต่ผมว่าสายตาของเมย์ที่มองวิวก่อนจะหันหลังเดินจากไปนั้นแทบจะทำให้ผมเห็นสายฟ้าแลบเปรี๊ยะอยู่ตรงหน้าได้เลยทีเดียว และพอหันไปมองคนตัวเล็กข้างๆก็ต้องยิ้มออกมาเมื่อเห็นนะทำท่าถอนหายใจโล่งอกราวกับกลั้นหายใจมานานอย่างนั้นแหละ

“เป็นอะไรครับน้องนะ นี่เพิ่งเคยเห็นพี่วิวเป็นแบบนี้ครั้งแรกล่ะสิ?”

“เอ้อ...ก็”

นะตอบเป้เสียงอ้อมแอ้มจนคนถามหัวเราะ อย่าว่าแต่นะเลย ขนาดผมอยู่กับสองคนนี้บ่อยๆก็ไม่เคยเห็นเหมือนกัน แต่ก็ต้องยอมรับว่าวิวรับสถานการณ์ได้สมเป็นวิวจริงๆ ถ้าเทียบกับผมเวลาเห็นคนอื่นมาเกาะแกะนะนี่ก็เหมือนเด็กอนุบาลกับนักศึกษาปริญญาโทเลยล่ะมั้ง

“ไอ้บ้า! ไม่ได้เป็นบ่อยซักหน่อย แล้วนี่ตกลงจะกินข้าวเช้าให้เสร็จซักทีได้มั้ย เอาแต่ยิ้มแล้วอิ่มรึไง?”

วิวหันไปแขวะคนข้างตัวทั้งที่ใบหน้าเริ่มจะมีสีแดงแต้มจางๆเหมือนกัน แต่พอเห็นเพื่อนจอมกวนของผมยังยิ้มตาพราวให้ไม่เลิกเลยถอยเก้าอี้ออกแล้วพึมพำว่าจะไปเดินเล่น เป้เลยลุกตามทั้งที่เพิ่งกินอาหารเช้าในจานไปได้แค่ครึ่งเดียวก่อนจะหันมาขยิบตาให้พวกผม

“สงสัยจะงอนแล้วล่ะ ยังไงทั้งสองคนกินข้าวไปก่อนแล้วกัน เดี๋ยวจะกลับแล้วจะโทรหา”

ผมมองตามหลังเพื่อนทั้งสองคนที่เดินออกไปทางชายหาดแล้วก็หันมาสบตากับนะ ก่อนจะหัวเราะเบาๆออกมาพร้อมกัน ไม่น่าเชื่อว่าตอนขามาผมจะต้องปวดหัวกับการตามง้อคนตัวเล็กโดยไม่รู้ว่าโดนงอนเพราะอะไร แต่กลับกลายเป็นว่าขากลับเป้ต้องไปง้อวิวแทนเรื่องที่แซวจนเจ้าตัวเขิน จะว่าไปพวกผมนี่ก็สมแล้วที่เป็นเพื่อนกันจริงๆเลยแฮะ

พวกผมนั่งทานอาหารเช้ากันต่อแบบไม่รีบร้อน และหลังจากนั่งพักกันเพียงไม่นานเป้กับวิวก็กลับมา ไม่รู้เพราะวิธีง้อของเป้หรือเพราะนิสัยปกติของวิวที่ไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อย แต่ผมก็รู้สึกดีที่เพื่อนทั้งสองคนไม่ขัดใจกันนานๆ เพราะถ้าเป็นแบบผมกับนะล่ะก็สงสัยกว่าจะได้กลับกันก็คงสายๆหรือไม่ก็เที่ยงโน่นเลยเป็นอย่างเร็ว

“กลับกันเถอะ เมื่อกี้แม่โทรมาบอกว่าอีกเดี๋ยวคงพาพ่อออกจากโรงพยาบาลแล้ว กว่าจะกลับไปถึงกรุงเทพก็คงอยู่บ้านกันพอดี กูจะได้แวะไปส่งมึงกับน้องนะที่หอก่อน”

เป้หันมาบอกผมก่อนจะหยิบแว่นกันแดดที่เกี่ยวอยู่บนคอเสื้อขึ้นใส่ ผมเลยหยิบกระเป๋าของตัวเองขึ้นมาบ้าง แต่เนื่องจากคราวนี้ไม่จำเป็นต้องปิดนะแล้วว่าแอบอะไรไว้ ผมเลยเอาข้าวของของพวกเราสองคนยัดลงกระเป๋าผมใบเดียวให้หมดเรื่องหมดราวไปเลย วิวหันมามองกระเป๋าที่ตุงจนป่องบนหลังของผมกับนะที่เอาตุ๊กตาเพนกวินมาถือไว้แล้วก็ยิ้มๆแต่ไม่พูดอะไร

ระหว่างที่เป้กับวิวไปเช็คเอ๊าท์ที่ล็อบบี้และกล่าวร่ำลาผู้จัดการรีสอร์ต ผมก็เดินไปหาคนตัวเล็กที่กำลังมองไปรอบๆราวจะจดจำสถานที่ที่เราฉลองครบรอบหกเดือนด้วยกัน ก่อนจะรีบก้มลงไปหอมแก้มขาวเนียนเบาๆจนเจ้าตัวไม่ทันได้โวย กลิ่นหอมจางที่อ้อยอิ่งอยู่ตรงปกคอเสื้อทำให้ผมยิ้มออกมาเพราะว่านั่นเป็นกลิ่นจากของขวัญที่ผมเพิ่งมอบให้เจ้าตัวไปเมื่อคืน

“เดี๋ยวครบรอบหนึ่งปีเมื่อไหร่เราหาที่ไปเที่ยวกันเองสองคนนะ เดี๋ยวคราวนี้พี่ไปเปิดหนังสือหาเลยว่าจะไปที่ไหนดี หรือถ้านะอยากไปไหนก็บอกพี่ตั้งแต่เนิ่นๆแล้วกัน ดีมั้ยครับ?”

ผมพูดพลางก็ลูบผมนิ่มของอีกฝ่ายไปด้วย แม้ว่านะจะไม่ได้ตรงเข้ามากอดผมเหมือนทุกครั้งเวลาอยู่กันสองคน แต่นัยน์ตาที่เป็นประกายระยับด้วยความสุขก็เพียงพอที่จะบอกให้รู้ว่าคนตรงหน้าดีใจกับสิ่งที่ผมบอกแค่ไหน คนตัวเล็กพยักหน้าแล้วตอบรับสั้นๆในคอด้วยรอยยิ้มที่ไม่ว่าจะมองกี่ครั้งก็ทำให้ผมตกหลุมรักนะใหม่ได้ทุกครั้ง

“อื้อ”


+---tbc---+



บอกแล้วว่าครึ่งหลังยาว อิอิ สำหรับเพลงประกอบของตอนนี้มีชื่อว่า "แค่นี้...ที่ต้องการ" แต่ด้วยความโลเทคและง่วงสุดๆของป้าทำให้ไม่มีเวลาศึกษาวิธีเอาเพลงลงบอร์ด แต่ถ้าใครอยากฟังก็คลิกที่ชื่อเพลงได้เลยจ้า   :really2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-08-2009 12:30:01 โดย bellbomb »

ออฟไลน์ [N]€ẃÿ{k}uñĢ

  • ~ῲเจ้าแม่Dramaῴ~
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5186
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +740/-5
 o13 o13 o13
โรแมนติกมากมายป้า อ่านแล้วแอบยิ้มกับตัวเอง
หลงรักอ๊อฟเพิ่มอีกนิดเลยนะเนี่ย 555+
มาตอนนี้อารมณืช่วงต้นๆอ่านแล้วก็แอบๆจะกังวลดีที่ไม่มีอะไรมาก
โล่งใจไปได้นิดนึง แล้วจะรออ่านต่อน๊าาาาาาา

นิว

ออฟไลน์ Ferfa

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1481
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +163/-2
ตอนแรกว่าจะไปนอนแหละ แต่ดีนะที่เข้ามาดูอีกครั้ง เป้วิวยังน่ารักเหมือนเดิม

น้องนะก็ยังน่ารักเหมือนเดิม

น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
น้องนะเนี่ย น่ารักแบบเด็กๆ จริงๆ

ส่วนเป้ก็ยังน่ารักมากๆ เหมือนเดิม น่ารักตรงที่รักวิวมากนี่แหละ

กอดป้าทีนึง แล้วก็ทวงเรื่องนั้น เรื่องโน้น เรื่องนี้ ต่อไป

ออฟไลน์ sukie_moo

  • ปัจจุบัน คือ อดีตของอนาคต
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-15
เฮ้อ!!(ถอนหายใจดังๆเลย) โล่งเลยนะเนี่ยที่ เป้ กะ วิว ไม่ได้ทะเลาะอะไรกัน  ยังไงคู่นี้ก็ยังน่ารักเสมอเลย 

พี่อ๊อฟ โรแมนติกชะมัด น่าอิจฉา นะ จริงๆ:-[

ออฟไลน์ thaitanoi

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1451
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2
 :3123:หวานกันน่าดู ขอบคุณนะครับ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






loveorlike

  • บุคคลทั่วไป
 :z2:วิ่งมาแปะอุ้งเท้าจอง

เดี๋ยวพรุ่งนี้จะเข้ามาอ่านนนนนนนนนนนนนนนน

กอดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด :กอด1:

ออฟไลน์ jaaeyboy

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 522
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
ในที่สุด ก้อแฮปปี้เอนดิ้ง เข้าใจกันแล้ว อิอิ

พี่อ๊อฟโรแมนติคมากเลยอ่ะ  อิจฉาอ่ะ

แล้วจารอตอนต่อไปน่ะค่ะ

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
น้องนะเนี่ย น่ารักแบบเด็กๆ จริงๆ

ส่วนเป้ก็ยังน่ารักมากๆ เหมือนเดิม น่ารักตรงที่รักวิวมากนี่แหละ

กอดป้าทีนึง แล้วก็ทวงเรื่องนั้น เรื่องโน้น เรื่องนี้ ต่อไป


สองประโยคแรกอ่านไปยิ้มแอ๊บแบ๊วไป

แต่พอถึงประโยคสุดท้าย...

-->
  :z3:

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
หลงเสน่ห์ความน่ารักของ น้องนะ เต็มๆๆ   :m1:

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
ครึ่งหลังมาแล้ว อยากได้เป้เป็นแฟนจัง หรือว่าเราจะเป็นน้อง นะ ดี  :-[

ออฟไลน์ Seiki

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 838
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2726/-64
 :mc4: ครึ่งหลังมาแล้ว หวานกันได้อีกคู่นี้  :impress2:

ออฟไลน์ moonlight

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 985
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-0
หวานซะไม่มี

น่ารักทั้ง2คู่เลย

 :กอด1 ป้าด้วยความคิดถึง

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
ครึ่งหลังมาแล้ว อยากได้เป้เป็นแฟนจัง หรือว่าเราจะเป็นน้อง นะ ดี  :-[

ง่า พี่หนึ่งจะควบ(?)เลยเหรอจ๊า เหอๆๆ ระวังคนที่บ้านงอนน้า  :laugh:

pickki_a

  • บุคคลทั่วไป
เซอร์ไพรซ์หวานได้อีกอ่ะ
เสียดายที่ฝนตก ไม่งั้นน่าจะหวานกว่านี้อีกมั้ง  o13
(Base on true story หรือเปล่าป้า  :laugh:)

LOT

  • บุคคลทั่วไป
ในที่สุดเค้าก็ได้ฉลองกันซะที  :กอด1:

ขอบคุณสำหรับน้ำตาลยามดึกนะคะ หวานมากกกกกกกกกกกก

ชอบเวลาที่คนเขียนบรรยายถึงน้องนะจังค่ะ อ่านแล้วแอบอยากเข้าไปหอมแก้มทุกทีเลย


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
ลำนำรักสีรุ้ง ตอนพิเศษ: ขอแค่มีรัก

เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นเป็นจังหวะสามครั้งฉุดความสนใจผมจากข่าวภาคดึกที่กำลังดูอยู่ ผมจึงค่อยพลิกตัวลุกขึ้นจากท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนบนเตียงแล้วเดินไปที่หน้าห้อง ผมรู้อยู่แล้วว่าคนที่มาหาคือใคร พอๆกับที่เจ้าตัวก็รู้อยู่แล้วว่าผมอยู่ในห้อง จึงไม่ถือวิสาสะไขกุญแจเข้ามาทั้งที่ตัวเองก็มีก๊อปปี้อยู่แล้ว

“ไง”

เจ้าของเสียงยิ้มทักทายพลางเบี่ยงตัวเข้ามาด้านใน หลังจากปิดประตูตามหลังแล้วแขนแกร่งก็ดึงผมเข้าไปกอดแน่นอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง ริมฝีปากอุ่นซึ่งแนบลงบนขมับบวกกับลมหายใจอุ่นซึ่งเป่าลงบนใบหูอย่างแผ่วเบาทำให้จั๊กกะจี้หน่อยๆ แต่ความคิดถึงก็ทำให้ผมยกแขกขึ้นกอดอีกฝ่ายตอบแล้วลูบแผ่นหลังกว้างไปมา

เราซึมซับความอบอุ่นในอ้อมแขนของกันและกันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ผมจะถอยออกและยิ้มให้กับเป้ที่ยิ้มมองผมอยู่แล้ว แต่ถึงกระนั้นผมก็สังเกตได้ถึง ริ้วรอยของความเหนื่อยล้าที่รอยยิ้มสดใสนั้นปิดไว้ไม่มิด ผมจึงเลื่อนมือทั้งสองลงไปจับมือของเป้เอาไว้แล้วบีบเบาๆ

“ตกลงเสร็จเรียบร้อยแล้วนะ?”

เป้พยักหน้าก่อนจะจูงมือผมไปที่เตียง พอได้นั่งปุ๊บพ่อตัวดีก็รั้งเอวผมเข้าไปกอดไว้หลวมๆก่อนจะซบหน้าลงมาบนไหล่ ดูแล้วอย่างกับเด็กที่กำลังต้องการออดอ้อนก็ไม่ปาน

“เหนื่อยเป็นบ้า ไม่เข้าใจเลยว่าอาจารย์จะบังคับจัดกลุ่มให้ทำไม นี่ถ้าให้เลือกสมาชิกกันเองตั้งแต่ต้นเป้คงทำรายงานเสร็จไปนานแล้ว”

พอจบประโยคคนพูดก็ถอนหายใจยาวก่อนจะไซ้คอผมไปมา แต่เหมือนด้วยอารมณ์ง่วงๆเสียมากกว่าผมเลยไม่ได้ทักท้วงอะไร และที่จริงผมก็เห็นใจคนข้างตัวอยู่เหมือนกัน เพราะรายงานกลุ่มที่ว่านี้เป็นวิชาบังคับของเป้ซึ่งผมไม่ได้ลงด้วยเพราะเราเรียนกันคนละเอก แถมอาจารย์ที่สอนก็ใช้วิธีบังคับจับกลุ่มให้แบบสุ่มเลือกรหัสนักศึกษา กลุ่มที่เป้ต้องทำรายงานด้วยจึงมีแต่เพื่อนที่ไม่เคยสนิทกันมาก่อน แถมกว่าจะรู้ว่าเนื้อหาที่เตรียมมาของเพื่อนบางคนมีปัญหาก็เมื่อไม่กี่วันก่อนทั้งๆที่กำลังจะต้องเตรียมพรีเซ้นต์กันอยู่แล้ว ดังนั้นช่วงที่ผ่านมาเป้จึงต้องไปขลุกอยู่กับกลุ่มเพื่อนที่ทำรายงานนั้นด้วยกันเพื่อช่วยซ่อมรายงานใหม่จนดึกดื่นแทบทุกวัน ประกอบกับช่วงเดียวกันผมก็ยุ่งกับการทำรายงานของตัวเองแม้ว่าจะเป็นรายงานเดี่ยวก็ตามที เป้เลยกลับไปนอนที่บ้านเพราะถึงอย่างไรก็ปลอดภัยกว่าต้องขับรถมาหาผมตอนดึกๆ ทำให้เราได้เจอกันแค่ที่มหาวิทยาลัยตอนกลางวันและโทรคุยกันตอนกลางคืนเท่านั้น

ผมเหลือบตามองนาฬิกาบนฝาผนังก่อนจะเหลือบกลับลงหาเด็กโข่งที่เป่าลมหายใจรดคอผมอยู่ ตอนนี้สี่ทุ่มกว่าซึ่งตามปรกติก็นับว่าเลยเวลาของมื้อเย็นมาพอสมควรแล้ว แต่ถึงยังไงก็ควรจะถามเพื่อให้แน่ใจไว้ก่อนว่าคนที่มาหาไม่ได้กำลังหิวโซอยู่

“เป้หิวหรือเปล่า? จะไปตลาดโต้รุ่งกันก่อนมั้ย เดี๋ยววิวไปนั่งเป็นเพื่อน”

ผมถามไปก็ยักไหล่เป็นเชิงปลุกไปด้วยเพราะไม่รู้เป้หลับหรือเปล่า พอจบประโยคคำถามปุ๊บ อ้อมแขนที่ตอนแรกโอบเอวผมไว้หลวมๆก็รัดแน่นขึ้นทันที ก่อนที่คนตัวโตจะถอยออกแล้วยิ้มนัยน์ตาเป็นประกายราวกับไม่เคยง่วงมาก่อนอย่างนั้นแหละ

“ไม่เอาล่ะ เมื่อเย็นกินข้าวกับพวกที่ทำรายงานด้วยกันไปแล้ว ตอนนี้เป้อยากกินของหวานมากกว่า”

ผมมองนัยน์ตาเจ้าเล่ห์ของคนพูดที่อยู่ห่างออกไปไม่ถึงคืบแล้วก็รู้สึกว่ามุมปากตัวเองยกขึ้นนิดๆโดยอัตโนมัติ แต่เพราะความอ่อนใจมากกว่าเขิน ถ้าหากโดนแหย่แบบนี้ตอนเพิ่งเริ่มคบกันใหม่ๆเป้อาจโดนผมโวยใส่ไปแล้ว แต่เดี๋ยวนี้ผมคิดว่าตัวเองรับมือเวลาโดนแซวได้ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะ...ล่ะมั้ง?

“ของหวานอะไร เมื่อกี้ยังบ่นเหนื่อยอยู่เลย ไปอาบน้ำแล้วนอนดีกว่าไป เดี๋ยววิวเอากางเกงนอนให้”

ผมแงะมือที่รัดเอวเอาไว้แล้วลุกหนีไปเปิดตู้เสื้อผ้า ทว่าพอหยิบกางเกงแล้วหันกลับมาก็ต้องสะดุ้งเพราะคนร่วมห้องลุกตามมายืนอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แถมตอนนี้ยังยื่นแขนสองข้างมายันประตูตู้เสื้อผ้าไว้ไม่ให้ผมหนีเสียอีกด้วย

“อาบก็ได้ แต่ไหนๆก็ไม่ได้มาหาตั้งหลายวัน วิวช่วยอาบให้หน่อยสิ”

เป้ก้มหน้าเข้ามาใกล้แล้วพูดเสียงต่ำทั้งที่ยังมีรอยยิ้มบนมุมปากจนผมต้องกลอกตา เอากับพ่อเจ้าประคุณสิ ขนาดตรรกกะที่ฟังแล้วไม่ได้ขึ้นเลยยังจะอุตส่าห์เอามาใช้แถเข้าข้างตัวเองจนได้ เวลาใครพูดถึงเป้ให้ฟังว่าดูเป็นผู้ใหญ่เกินวัยนี่ผมอยากให้มาได้ยินประโยคเมื่อกี้เสียจริงๆ ผมไม่เถียงหรอกว่าบางทีเป้ก็ดูเป็นผู้ใหญ่อย่างที่คนอื่นว่า แต่เวลาอยู่กับผมสองคนแล้วรู้สึกว่าความเป็นเด็กที่เจ้าตัวซุกซ่อนไว้จะชอบออกมาวิ่งเล่นอย่างเริงร่าเสียเหลือเกิน

“เรื่องอะไร ขืนไปอาบให้ก็...ฮื้อ”

ผมพูดไม่ทันจบประโยค จู่ๆแขนแกร่งข้างหนึ่งก็รั้งเอวผมเข้าไปหาก่อนที่ริมฝีปากอุ่นจะแนบลงมาแบบไม่ให้ตั้งตัว เป้ใช้ร่างตัวเองดันเข้าหาจนหลังผมติดกับตู้เสื้อผ้าโดยไม่ยอมปล่อยริมฝีปากออก ความที่ร่างกายถูกเบียดระหว่างแผ่นไม้ด้านหลังกับร่างหนาจนเจ็บข้อศอก ทำให้ผมต้องยอมปล่อยกางเกงในมือให้ร่วงลงบนพื้น แล้วยกแขนทั้งสองขึ้นโอบรอบคอของร่างสูงเพราะไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านั้น แต่ถึงแม้ว่าเรียวลิ้นของเป้จะยังรุกไล้หยอกเย้าบนเรียวปากผมไม่ห่าง ผมก็บอกได้โดยสัญชาติญาณว่าอีกฝ่ายต้องกำลังยิ้มอยู่แน่ๆ

เสียงหอบหายใจของเราสองคนก้องกังวานแข่งกับเสียงโทรทัศน์ที่ผมไม่รู้ว่ากำลังฉายรายการอะไร แต่แล้วเมื่อลำแขนข้างที่ไม่ได้โอบเอวผมอยู่เลื่อนลงยกขาข้างหนึ่งขึ้นทั้งในท่ายืน สติผมก็ถูกดึงกลับมาและบอกตัวเองให้รีบลืมตาและทุบแผงอกกว้างเพื่อประท้วงทันที แต่ดูท่าคนตัวโตกว่าจะไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย ซ้ำยังอมยิ้มชอบใจกลับมาให้เสียอีก

“เป้! เล่นอะไรเนี่ย!?”

ผมพยายามทำตาดุใส่คู่กรณีซึ่งดูเหมือนจะไม่ได้ผล เพราะนอกจากอีกฝ่ายจะไม่ยอมปล่อยขาผมแล้วยังแถมจงใจเบียดร่างกายท่อนล่างเข้าหามากกว่าเดิมเสียอีก ความใกล้ชิดที่เกิดขึ้นทำให้ผมรับรู้ได้ถึงความร้อนและเกร็งแน่นที่แนบท่อนล่างของตัวเองอยู่แม้เราจะยังสวมเสื้อผ้ากันครบทุกชิ้นก็ตาม ผิวหน้าของผมร้อนผ่าวขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้เมื่อใบหน้าคมโน้มลงหาแล้วขบติ่งหูเบาๆจนต้องหดคอหนี ขาที่ถูกรั้งขึ้นข้างหนึ่งทำให้ผมยืนไม่ถนัด และถ้าไม่ใช่เพราะด้านหลังเป็นตู้เสื้อผ้าและด้านหน้าเป็นร่างสูงที่เบียดจนชิดผมก็คงเสียหลักล้มลงไปบนพื้นแล้ว

“ไม่ได้เล่น แค่คิดว่าทำตรงนี้ก็ไม่เลวเหมือนกันนะ หรือวิวว่าไง?”

เป้พูดเสียงต่ำพลางไล้ริมฝีปากอุ่นไปมาผะแผ่วอยู่บนผิวแก้ม แค่นั้นไม่พอ พอเห็นผมเม้มปากแน่นพลางหลบตาหนี พ่อเจ้าประคุณก็ยกขาผมอีกข้างขึ้นแล้วช้อนตัวจนขาลอยจากพื้น อารามตกใจทำให้ผมอุทานและรีบโอบแขนรอบลำคอแกร่งพร้อมกับหนีบขาทั้งสองไว้รอบเอวหนาเพราะกลัวหล่น ทว่าพอได้เห็นนัยน์ตาซุกซนที่กำลังจ้องมายิ้มๆก็ให้นึกอยากเปลี่ยนจากที่กำลังโอบคออีกฝ่ายเป็นบีบคอแทนขึ้นมาทันที

คนเป็นผู้ใหญ่จริงเค้าจะทำอะไรแบบนี้กันมั้ยล่ะ!!

“เป้มีให้สองตัวเลือก วิวเลือกแล้วกันว่าจะเอาแบบไหน”

คนพูดพูดไปก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ไป ผมจึงพยายามขืนตัวออกเพราะรับรู้ได้ถึงอันตรายตรงหน้า แม้ว่าจากท่าที่โดนอุ้มอยู่จะไม่เปิดโอกาสให้ผมทำอย่างที่ใจต้องการได้สักเท่าไหร่ แต่ความคุ้นเคยกับความเอาแต่ใจแบบเด็กๆของเป้ก็ทำให้รู้ว่า ถึงจะมีตัวเลือกมาให้สักกี่สิบตัวผมก็ขาดทุนทั้งขึ้นทั้งล่องอยู่ดี

“ไม่เอาแบบไหนทั้งนั้นแหละ เมื่อกี้ใครนะที่บ่นว่าเหนื่อย โกหกกันเห็นๆเลยนี่”

ผมพยายามบ่ายเบี่ยงและหลบสายตาคมที่หรี่มองผมยิ้มๆไปด้วย พลันก็นึกอยากให้ตัวเองตัวใหญ่เท่าเป้หรือไม่ก็อ้วนกว่านี้จนอีกฝ่ายอุ้มไม่ไหว ผมจะได้เลิกโดนแกล้งแบบโต้ตอบไม่ได้แบบนี้เสียที แต่ท่าทางคนแกล้งจะไม่ได้นำพากับความคิดกระด้างกระเดื่องในใจของผมเลยสักนิด

“ไม่ได้โกหก เมื่อกี้เหนื่อยจริงๆแต่ตอนนี้หายแล้ว ว่าแต่วิวไม่ยอมเลือกเองแบบนี้...งั้นเป้เลือกให้ก็แล้วกัน”

ร่างสูงก้าวถอยโดยที่ยังอุ้มผมไว้ราวไม่รับรู้ถึงน้ำหนัก แต่พอร่างกายผละออกจากตู้เสื้อผ้าที่คอยรองรับ อากาศเย็นๆในห้องที่พรูผ่านเสื้อเข้ามาบนแผ่นหลังก็ทำให้ผมรู้สึกหวิวจนต้องโอบแขนรอบคอแข็งแรงแน่น ทว่าเมื่อได้เห็นจุดหมายที่เป้กำลังพาเดินไปก็ต้องถอยออกถลึงตาให้คนตัวโตที่เกิดหน้าเป็นผิดเวลาขึ้นมาทันที น่าจะรู้อยู่แล้วแท้ๆว่าเป้เก่งแค่ไหนกับการใช้คำพูดของผมมาย้อนใช้กับผมเอง แต่ทั้งที่รู้อย่างนั้นก็ยังหาวิธีรับมือเจ้าคนตัวโตแถมเอาแต่ใจคนนี้ไม่ได้อยู่ดีสิน่า

“ก็วิวอยากให้เป้อาบน้ำไง แต่ไหนๆคืนนี้วิวก็ต้องอาบน้ำใหม่อยู่แล้ว งั้นก็อาบด้วยกันเลยดีกว่าจะได้เสร็จๆไปทีเดียว”


+------+


ผมนอนมองแสงไฟจากทางต่างระดับที่เห็นได้ลิบๆจากหน้าต่างห้อง ด้านหลังมีคนตัวใหญ่นอนประกบอยู่โดยที่แขนข้างหนึ่งล็อกเอวผมไว้หลวมๆ ลมหายใจอุ่นซึ่งระอยู่บนต้นคอด้านหลังอย่างสม่ำเสมอทำให้รู้สึกผ่อนคลาย แต่น่าแปลกที่ถึงแม้จะล่วงเลยเวลาแห่งการอาบน้ำของเราสองคนมานานแล้ว แต่ผมกลับยังไม่รู้สึกง่วงเลยแม้แต่น้อย และไม่ได้รู้สึกอึดอัดหรือกระวนกระวายที่นอนไม่หลับอีกด้วย

สายตาของผมจับจ้องไปยังแสงบนทางต่างระดับต่อไปอีกครู่หนึ่ง ก่อนจะรู้สึกว่าเสียงลมหายใจด้านหลังสะดุดลงจึงหันกลับไปมอง แล้วก็ได้เห็นว่าเป้กำลังเท้าศอกข้างหนึ่งขึ้นพลางจ้องมองผมอยู่ มือใหญ่อีกข้างยกขึ้นบีบจมูกผมเบาๆจนผมต้องย่นจมูกใส่

“ตื่นมาทำไม? พรุ่งนี้ต้องพรีเซ้นต์งานแต่เช้าไม่ใช่เหรอ?”

ผมเอ่ยถามก่อนจะพลิกตัวตะแคงกลับไปหาและเว้นระยะไว้นิดหนึ่ง ถึงเราจะรักกันก็ไม่ได้หมายความว่าต้องกอดกันกลมตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันตามลำพัง เพราะถึงอย่างไรระหว่างคนสองคนก็ต้องมีที่ว่างเว้นไว้บ้างเพื่อไม่ให้ต่างคนต่างอึดอัดจนเกินไป ผมจึงคิดว่านี่เป็นข้อดีข้อหนึ่งของการที่เป้ไปๆมาๆระหว่างบ้านกับหอของผม เพราะมันทำให้เราต่างได้มีเวลาที่เป็นส่วนตัวอย่างแท้จริงเหลืออยู่บ้าง

“ไม่รู้สิ สงสัยนอนดึกติดกันหลายคืนร่างกายเลยชินมั้ง งีบไปแค่นิดเดียวก็หายง่วงแล้ว วิวน่ะแหละทำไมยังไม่นอนอีก?”

เป้พูดไปก็เลื่อนมือขึ้นเสยผมให้ ผมจึงหลับตาลงพลางระบายลมหายใจยาวกับสัมผัสอ่อนโยนจากปลายนิ้วแกร่ง ก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้งเมื่อรู้สึกถึงการขยับตัวที่บอกให้รู้ว่าร่างสูงใหญ่ลดตัวลงนอนตะแคงอยู่ข้างๆ แม้ไฟในห้องจะดับหมดแล้วแต่แสงไฟสลัวจากนอกหน้าต่างก็สะท้อนจนผมเห็นนัยน์ตาวาววามของเป้ได้ชัด

“ไม่รู้เหมือนกัน พยายามจะนอนแล้วแต่มันไม่ง่วงน่ะ”

ผมตอบเสียงเบา อาจเป็นเพราะความมืดและความเงียบของยามค่ำคืนทำให้แม้แต่เสียงลมหายใจก็ยังสะท้อนดังจนผมไม่อยากทำลายความสงบนั้น คนร่วมเตียงจึงส่งเสียงรับรู้ก่อนจะโอบเอวผมเข้าไปหาแล้วลูบแผ่นหลังผ่านเสื้อเนื้อบางไปมา ผมอดจะอมยิ้มหน่อยๆไม่ได้เมื่อนึกได้ว่าความจริงแล้วคนที่น่าจะเป็นคนกล่อมอีกฝ่ายให้หลับมันน่าจะเป็นผมมากกว่า ในเมื่อวันรุ่งขึ้นคนที่ต้องรีบตื่นเพื่อเตรียมไปพรีเซ้นต์หน้าห้องคือเป้แท้ๆ กลับกลายเป็นตอนนี้เจ้าตัวพยายามจะช่วยให้ผมหลับไปเสียนี่

“ทำไมวิวไม่ค่อยห้อยแหวนที่เป้ให้เลยล่ะ”

เพราะความที่เราสองคนต่างเงียบกันไปนานจนผมเองก็เริ่มจะเคลิ้มเพราะสัมผัสอบอุ่นบนหลัง พอได้ยินคำถามจึงลืมตาขึ้น แล้วก็เห็นว่าสายตาคมกำลังจับจ้องคอของผมพร้อมๆกับที่ใช้ปลายนิ้วอุ่นไล้ผิวบริเวณนั้นไปมา ผมจึงยกมือขึ้นจับมือเป้เอาไว้เพราะเริ่มจะจั๊กกะจี้ขึ้นมาหน่อยๆ

“ก็กลัวหายเลยเก็บไว้ที่ห้อง กลัวมันดำด้วย อีกอย่างเป้ก็รู้นี่ว่าวิวไม่ค่อยชอบใส่ของพวกนี้”

ผมตอบพลางระบายลมหายใจออกมาเบาๆ ความจริงก็พอจะรู้ว่าคนถามคงน้อยใจอยู่เหมือนกันที่ผมไม่ค่อยใส่ของขวัญวันเกิดที่เจ้าตัวซื้อให้อวดใครต่อใครบ้างเลย แต่ว่าปรกติผมก็เป็นอย่างนี้อยู่แล้ว คือนอกจากของที่มีฟังก์ชันใช้งานได้อย่างนาฬิกาข้อมือแล้วผมจะไม่ใส่เครื่องประดับอย่างอื่นเลย ขนาดสร้อยพระก็ยังไม่เคยห้อยเลยด้วยซ้ำ จู่ๆจะให้เปลี่ยนความเคยชินกันแบบฉับพลันทันทีก็คงจะยาก

เป้เงียบไปเมื่อได้ยินคำตอบ ก่อนจะถอนหายใจออกมาบ้างแล้วรั้งตัวผมเข้าไปกอดอีกครั้ง แต่คราวนี้สิ่งที่อีกฝ่ายพูดทำให้ผมต้องหัวเราะเบาๆออกมา

“เอาเถอะ รักเค้าไปแล้วนี่ทำไงได้ วิวไม่โยนแหวนเป้ทิ้งก็ดีเท่าไหร่แล้ว”

ถ้าไม่ติดว่าโดนกอดอยู่ผมจะทุบคนพูดเข้าให้สักอึ้ก ไอ้คำพูดที่เหมือนไม่มีอะไรแต่ทำให้คนฟังรู้สึกตะหงิดในใจได้นี่พ่อตัวดีเก่งนักเชียว แต่อย่านึกเลยว่าแค่นี้จะทำให้ผมรู้สึกผิดได้ เพราะผมก็รู้ดีพอๆกับที่เป้ก็รู้ ว่าใช่ว่าผมจะไม่รู้คุณค่าของสิ่งที่เป้ให้มาเสียเมื่อไหร่

“รู้ตัวก็ดี งั้นก็หยุดบ่นได้แล้ว ยังไงวันหลังจะเอาออกมาใส่บ้างแล้วกัน...ถ้าไม่ลืม”

ผมสำทับไปก่อนจะหลับตาลงใหม่ ในใจคิดว่าคราวนี้คงจะได้หลับพักผ่อนจริงๆเสียที แต่แล้วก็ต้องลืมตาพรวดแล้วขืนตัวออกทำตาดุใส่คนที่แกล้งหลับทั้งที่เพิ่งตีก้นผมไปหมาดๆ

“เป้ ยังอยากนอนบนเตียงอยู่มั้ย!?”

ผมลืมตัวโวยเสียงเขียว แต่ตอนนี้ผมไม่สนใจแล้วว่าตัวเองจะเสียงห้วนหรือเปล่า ก็ใครใช้ให้เป้มาทำร้ายร่างกายผมก่อนล่ะ ต่อให้เป็นแฟนกันก็ตามทีเถอะ แต่ดูเหมือนคำพูดแข็งๆกับตาวาวๆของผมจะไม่ทำให้คนทำผิดสำนึกตัวขึ้นมาเลยสักนิด เพราะคนถูกโวยแค่หรี่ตาข้างหนึ่งขึ้นมองผมยิ้มๆก่อนจะปิดตาลงแล้วดึงตัวผมเข้าไปกอดแน่นอีกครั้ง

“แหงสิครับ แฟนเป้นอนที่ไหนเป้ก็นอนที่นั่นแหละ วิวก็นอนได้แล้วนะ พรุ่งนี้ยังต้องไปเรียนด้วยกันแต่เช้าอีก ฝันดีครับ”

โอ๊ย!! ไอ้ตอแหล!!! ทีอย่างนี้ล่ะทำหน้าซื่อตาใส พูดจามีหางเสียงเอาใจขึ้นมาเชียว ผมอดจะกลอกตาอย่างเหนื่อยใจไม่ได้ แต่ก็รู้ดีว่าถึงจะบ่นหรือดิ้นหนีตอนนี้ไปก็เปล่าประโยชน์ เพราะสองแขนที่รัดร่างไว้แน่นบวกกับตาที่ปิดสนิทและรอยยิ้มน้อยๆนั่นก็บอกให้รู้ว่าอีกฝ่ายตัดบทสนทนาไปแล้ว สุดท้ายผมจึงต้องยอมนอนนิ่งๆและหลับตาลงแต่โดยดีบ้าง ทว่าระหว่างที่ในหัวเริ่มจะพร่าเลือนเพราะถูกความง่วงงุนเข้าครอบงำ ผมก็ยังไม่วายคิดถึงคำพูดของเป้ตอนที่คุยกันเรื่องแหวนขึ้นมาอีก และความคิดนั้นก็ทำให้ต้องถอนหายใจเบาๆก่อนจะสอดแขนออกไปโอบเอวคนที่ทำท่าจะไม่ยอมปล่อยผมทั้งคืนตอบ

เอาเถอะ ก็รักเค้าไปแล้วนี่ ทำไงได้ล่ะนะ...


+----End ขอแค่มีรัก---+
 

เป็นตอนพิเศษที่ใช้เวลาเขียนสั้นเป็นประวัติการณ์เมื่อเทียบกับตอนอื่นๆ ใครเป็นแฟนคู่เป้-วิวคงหายคิดถึงกันมั่งนะจ๊ะ :impress2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-08-2009 18:01:13 โดย bellbomb »

ออฟไลน์ jaaeyboy

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 522
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
ดีใจที่ได้อ่านตอนพิเศษ

คิดถึงคู่เป้-วิวอ่ะ 

ตอนนี้แอบหวานเล็กน้อย  ชอบจังเลย  :o8:

ออฟไลน์ nirun4

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 491
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
น่ารัก  :-[ ชอบตอนแบบนี้ลงบ่อยๆนะ เป้น่ารัก อยากได้อีกแล้ว
.
.
.
.
คนที่บ้านไม่ต้องห่วงเดะในคอนโทรล  :laugh5:

ออฟไลน์ kitty

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3289
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +258/-7
miz  เป้-วิว ที่สุดดดดดดดดดดดดดดดดดด o13 ขอบคุนจ้า :t3:

ออฟไลน์ [N]€ẃÿ{k}uñĢ

  • ~ῲเจ้าแม่Dramaῴ~
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5186
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +740/-5
 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
กอดป้า กอดเป้ และกอดวิว
อ่านตอนนี้แล้วแบบว่าเป้น่าร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก
อยากได้งี้ซักคนจริงๆน่ารักมากอะไรมาก
ถ้าเป็นเป้นะจะแอบงอลด้วยเหอะว่าไม่ยอมเอาแหวนมาห้อย
ทั้งๆที่ให้ไปแล้ว ไม่รู้เกินไปเปล่าแต่แอบอยากงอล 555+
ตอนพิเศษน่ารักดีรออ่านตอนหลักต่อกำลังเครียดๆด้วยมาอ่านแบบนี้ขั้นก็ดี
นิว

ออฟไลน์ thaitanoi

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1451
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2
รักกันก็ต้องเข้าใจกันนะ

ออฟไลน์ moonlight

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 985
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-0
น่ารักจริงๆเป้ วิว ชอบๆ

น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
อืมม์  อ่านแล้วหายคิดถึงไปได้หน่อยนึง   คิดถึงคนแต่งด้วยละ :กอด1:

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
ชอบๆๆๆ หวานไม่น้อยหน้าคู่ อ๊อฟ กะ น้องนะ เลย

ขอบคุณนะคะ  :man1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด