ผมถามเสร็จก็หอมแก้มของคนตรงหน้าแรงๆให้สมกับความรู้สึกที่เอ่อล้นอยู่ในใจทีหนึ่ง คนในอ้อมแขนเลยหัวเราะเบาๆทั้งที่น้ำตาซึมแล้วก็พยักหน้า นะดันตัวออกแล้วยกตุ๊กตาเพนกวินที่ผมซื้อตอนไปเลือกของขวัญด้วยกันขึ้นมา ปีกข้างหนึ่งของเจ้าเพนกวินสีฟ้าหนีบการ์ดที่ผมเขียนด้วยลายมือไว้ที่ซองว่า
‘For Na: Happy 6th Months Anniversary’ เอาไว้ด้วย
ครับ...เซอร์ไพรส์ที่ผมตั้งใจเตรียมไว้ให้นะมาเป็นอาทิตย์ ก็คือวันครบรอบหกเดือนที่นะตอบตกลงคบเป็นแฟนผมนี่เอง อาจไม่ใช่เวลาที่เนิ่นนาน แต่ก็มีค่าและความหมายจนผมต้องทำอะไรสักอย่างให้คนตัวเล็กได้รู้ว่าผมเห็นความสำคัญของ ‘เรา’ แค่ไหน
นะกระชับอ้อมแขนกอดเอวผมแน่นพลางเหลือบมองสิ่งต่างๆที่วางอยู่บนโต๊ะ ใบหน้าหวานเงยขึ้นส่งยิ้มมาให้ทั้งที่ปลายจมูกแดงเรื่อ
“ไม่อยากเชื่อเลยว่าพี่อ๊อฟจะนับไว้ด้วย” คนตัวเล็กเอ่ยขึ้นแล้วก็ซุกหน้าลงกับอกผมอีกครั้ง ผมเลยลูบผมนิ่มเบาๆอย่างที่เจ้าตัวชอบให้ทำก่อนจะก้มจูบข้างขมับที่มีผมสีน้ำตาลระอยู่
“นับสิครับ วันสำคัญของเราสองคนนี่นา”
ผมจับมือนะไว้แล้วก็พาไปนั่งตักที่เก้าอี้ ก่อนจะพยักหน้าไปทางการ์ดในซองที่ยังหนีบอยู่ใต้ปีกเจ้านกเพนกวินในมือของคนตัวเล็ก
“ตกลงได้อ่านการ์ดที่พี่เขียนไว้ยัง?”
แก้มเนียนสองข้างของคนตรงหน้าเป็นสีเรื่อจนเห็นได้ชัดใต้แสงจันทร์และแสงเทียน นะพยักหน้าก่อนจะเม้มริมฝีปากแล้วจ้องตาผมนิ่ง นัยน์ตากลมโตดูวูบไหวราวกับมีน้ำตารื้นขึ้นมาอีกครั้ง
“พี่อ๊อฟพูดจริงหรือเปล่า? ต่อจากนี้จะฉลองกับนะทุกปีจริงๆนะ?”
พ่อหนูน้อยถามแล้วก็สูดน้ำมูก ไม่น่าแปลกใจที่นะจะถามแบบนี้ เพราะเนื้อความที่คนใช้คำไม่เก่งอย่างผมเขียนในการ์ดก็คือ
‘ถึงเด็กคนนี้จะขี้งอน แต่ก็เป็นแฟนที่น่ารักของพี่เสมอตลอดหกเดือนที่ผ่านมา แล้วเรามารอฉลองครบรอบปีที่หนึ่งและปีต่อๆไปด้วยกันนะ
รักครับ
พี่อ๊อฟ’ผมยิ้มให้แล้วโน้มคออีกฝ่ายจนริมฝีปากเราสัมผัสกันอย่างแผ่วเบา ผมค่อยๆไล่จูบจากริมฝีปากนิ่มที่สั่นระริกขึ้นไปบนผิวแก้ม เปลือกตาและหน้าผาก จู่ๆก็รู้สึกว่าคนตรงหน้าบอบบางจนต้องคอยระวังเวลาจับต้องไปหมด
“พูดจริงสิครับ ตอนไปเจอพ่อกับแม่ของนะพี่ก็เคยบอกแล้วนี่ว่าจะคอยดูแลเราเอง พี่เคยโกหกนะที่ไหน”
ผมพูดจบก็ย้ำริมฝีปากลงบนเรียวปากนิ่มอีกครั้ง แต่คราวนี้คนที่กอดคอพลางซบไหล่ผมอยู่กลับดันตัวเองออกแล้วก็ทำหน้าตึงๆก่อนจะหันหนี
แล้วปฏิกิริยาโต้ตอบของผมหลังจากเพิ่งผ่านอารมณ์อุ่นหวานเมื่อครู่ เมื่อจู่ๆก็มาเจอท่าทางเย็นชากะทันหันของคนตรงหน้าจะเป็นอะไรไปได้ นอกจาก...เอ๋อรับประทานสิครับ! ก็เมื่อกี้เพิ่งจะซึ้งกันอยู่หยกๆ แล้วผมพูดอะไรไม่เข้าหูขึ้นมากันล่ะเนี่ย??
คนตัวเล็กปรายตามามองผม แต่คงเพราะสีหน้างุนงงจับต้นชนปลายไม่ถูกทำให้เจ้าตัวทำหน้าเบ้ขึ้นมาทันที
“ทำไมจะไม่เคยโกหก วันก่อนที่พี่อ๊อฟอ้างว่าไปทำรายงานกับเพื่อนน่ะ นะรู้นะว่าที่จริงพี่อ๊อฟแอบไปที่อื่นมาต่างหากใช่มั้ยล่ะ?”
นะว่าแล้วก็ปล่อยมือจากคอผมไปกอดเจ้าตุ๊กตาเพนกวินตัวเล็กแทน ตอนแรกผมยังงงอยู่เพราะเรียบเรียงประโยคที่ได้ยินไม่ทัน แต่พอโดนคนบนตักส่งค้อนจนตาแทบคว่ำมาให้ก็ถึงบางอ้อ
ที่แท้สาเหตุที่ทำให้ผมโดนงอนมาตั้งแต่เมื่อวานก็เรื่องนี้เอง ว่าแต่นะไปรู้มาจากไหนล่ะเนี่ย? เป้กับวิวที่ไปด้วยกันก็ไม่น่าจะเล่าให้ฟังนี่นา
“ไม่ต้องถามว่ารู้มาจากใคร เอาเป็นว่ารู้ก็แล้วกัน”
เหมือนนะจะรู้ว่าผมจะถามอะไรเลยพูดดักซะก่อน ผมมองท่าทางปากยื่นๆแก้มป่องนิดๆของอีกฝ่ายแล้วก็ต้องยิ้มอย่างอ่อนใจ แต่ไหนๆก็ได้เวลาให้ของขวัญแล้ว ยอมรับความจริงไปเลยคงจะดีกว่า
“โอเค พี่ยอมรับว่าคราวนั้นโกหก แต่ถ้าหากพี่บอกไปตามตรงนะก็รู้ไต๋หมดสิว่าพี่จะไปซื้อของขวัญให้ ยังไงแกะกล่องดูก่อนสิครับ”
ผมหอมแก้มคนงอนอีกฟอดก่อนจะพยักหน้าไปทางกล่องของขวัญบนโต๊ะ พ่อหนูน้อยจึงมองกล่องอย่างชั่งใจก่อนจะหยิบขึ้นมาแกะกระดาษกับริบบิ้นออก พอดึงของในกล่องออกมาคนบนตักก็หันมามองผมตาโตเหมือนไม่ค่อยอยากเชื่อสายตา
“พี่อ๊อฟซื้อน้ำหอมให้นะเหรอ?”
พอโดนถามด้วยเสียงประหลาดใจผมเลยชักจะเขินขึ้นมา เพราะดูแล้วผมก็ไม่น่าจะเป็นคนซื้ออะไรแบบนี้ให้ใครจริงๆน่ะแหละ แต่ก็เพราะรู้ว่านะก็คงจะคิดแบบนี้เหมือนกันถึงตั้งใจซื้อไอ้เจ้านี่ให้เป็นเซอร์ไพรส์ไง
“อื้อ ก็ขวดเก่าที่นะใช้มันใกล้หมดแล้วพี่เลยว่าจะซื้อกลิ่นอื่นที่น่าจะเหมาะกับเราให้ แต่ถ้าไปเลือกคนเดียวก็กลัวแป้กเลยให้เป้กับวิวไปช่วยเลือก ที่จริงพี่ก็ไม่อยากปิดหรอกนะ แต่ขืนให้เรารู้ก่อนมันก็ไม่ลุ้นใช่มั้ยล่ะ ยังไงขอโทษนะครับที่ทำให้รู้สึกไม่ดี ทีนี้จะหายโกรธพี่ได้ยัง?”
นะพลิกขวดแก้วทรงเหลี่ยมในมือไปมาก่อนจะคลี่ยิ้มแล้วหันมาหอมแก้มผมกลับ ผมเลยเร่งให้เป่าเทียนเพราะว่าแทบจะละลายใส่เจ้าเค้กก้อนเล็กกะจิ๋วหลิวหมดแล้ว แต่ยังไม่ทันที่จะได้ตักเค้กผมก็รู้สึกถึงสัมผัสเย็นๆจากหยดน้ำที่หล่นลงมาบนแขน พวกเราสองคนหันมามองหน้ากันโดยไม่ต้องนัดหมาย ก่อนจะรีบลุกแล้วคว้าทุกอย่างบนโต๊ะวิ่งกลับขึ้นห้องทันที
โชคดีว่าระยะห่างจากหน้าชายหาดกับอาคารที่พักของพวกเราไม่ได้ไกลนัก แต่กว่าจะวิ่งไปถึงก็ทำเอาทั้งผมทั้งนะหลังเปียกชุ่มเพราะอยู่ดีๆห่าฝนจากไหนไม่รู้ก็เทลงมาโครมใหญ่จนตอนนี้นอกกระจกระเบียงกลายเป็นภาพมัวๆไปหมด พอเข้าห้องปุ๊บผมก็รีบคว้าผ้าขนหนูมาเช็ดผมและเนื้อตัวให้คนตัวเล็กทันที นะก้มมองถาดเค้กที่อุตส่าห์ประคองวิ่งขึ้นมาแล้วก็ทำหน้ามุ่ย
“เละหมดเลยพี่อ๊อฟ นะขอโทษ”
พ่อหนูน้อยเอ่ยเสียงอ่อยๆ เพราะว่าเจ้าสิ่งที่เหลือติดอยู่บนถาดกระดาษแข็งซึ่งเจ้าตัวถือมาตอนนี้แปรสภาพเป็นก้อนฟองน้ำเละๆที่มีครีมชุ่มฝนไหลเยิ้ม ผมเลยรับถาดนั้นมาแล้วหย่อนลงในถังขยะข้างโต๊ะเครื่องแป้งแทน เพราะต่อให้เอาไปแช่ตู้เย็นจนครีมอยู่ตัวขึ้นมาก็คงไม่มีใครกินลงอยู่ดี
“ของแค่นี้ไม่ต้องเสียดายหรอก เดี๋ยวกลับไปกรุงเทพแล้วพี่จะซื้อเค้กที่ดีๆกว่านี้ให้ แต่ตอนนี้นะไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดีกว่าไปจะได้ไม่เป็นหวัด”
ผมบอกพลางถอดเสื้อตัวเองออกแล้วก็หันไปเปิดตู้เพื่อหยิบชุดสำหรับใส่นอนชุดใหม่ แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อถูกอ้อมแขนเรียวเล็กกอดรัดเข้าที่เอวพร้อมๆกับความอบอุ่นที่แนบลงบนแผ่นหลังเปลือยเปล่า พ่อหนูน้อยเกลือกแก้มตัวเองกับหลังผมไปมาแล้วก็พูดด้วยเสียงอู้อี้ แต่สิ่งที่ได้ยินก็ทำให้ผมยิ้มและหันกลับไปรวบร่างเล็กมากอดตอบพร้อมกับแนบริมฝีปากลงบนริมฝีปากอิ่มอย่างแผ่วเบาด้วยความดีใจ
คงไม่มีใครโชคดีและมีความสุขกว่าผมแล้วในคืนนี้ อย่างน้อยก็ในวินาทีนี้ที่มีคนตัวเล็กอยู่ในอ้อมแขนของผมแหละน่า
“พี่อ๊อฟก็รักนะที่สุดเหมือนกันครับ”
+------+
เสียงฝนที่ยังคงดังเปาะแปะกระทบระเบียงอยู่ภายนอกรั้งให้เปลือกตาผมค่อยๆเปิดขึ้นด้วยความงัวเงีย พอเอื้อมมือไปหยิบมือถือขึ้นมากดดูเวลาก็เห็นว่าเพิ่งจะหกโมงครึ่งเท่านั้น และเมื่อหันไปมองคนข้างๆที่ตะแคงซุกผมอยู่ด้วยท่าทางหลับสนิทก็ต้องหันไปกอดแล้วหอมแก้มนิ่มอย่างอดใจไม่ไหว
ผมระบายลมหายใจยาวก่อนจะปิดตาลงอย่างสะลึมสะลือ แต่ก็ผลอยหลับไปได้ไม่นานก่อนจะโดนเสียงสัญญาณปลุกจากมือถือฉุดให้ต้องตื่นขึ้นมาอีกรอบ ผมรีบกดปิดเสียงเพราะกลัวจะรบกวนคนที่เริ่มขมวดคิ้วเพราะถูกรบกวนการนอนกะทันหัน แต่แล้วก็ให้นึกขึ้นได้ว่าที่ตั้งนาฬิกาปลุกไว้เพราะวันนี้เป้ต้องรีบกลับบ้านไปหาพ่อ ผมเลยต้องจำใจลุกขึ้นมาทั้งที่ยังง่วงโดยไม่ลืมแซะคนข้างตัวขึ้นมาด้วยกันแม้ว่าอีกฝ่ายจะอิดออดอยู่บ้าง
“อื้อ...พี่อ๊อฟก็ไปอาบน้ำก่อนสิ”
คนโดนแซะเบี่ยงตัวหนีแล้วก็ล้มลงนอนใหม่แถมหันหนีผมซะอีก พอมองคนที่ทิ้งตัวลงนอนนิ่งอย่างไม่มีวี่แววจะลุกแล้วก็ต้องถอนใจ แต่จะว่าไปไอ้รอยแดงๆตามเนื้อตัวอีกฝ่ายที่เห็นได้ชัดใต้แสงยามเช้าอย่างนี้ทำให้ผมเกิดอารมณ์อยากแกล้งอย่างบอกไม่ถูก ผมเลยงัดไม้ตายซึ่งใช้ประจำเวลาที่จำเป็นต้องปลุกให้คนตัวเล็กตื่นทั้งที่อีกฝ่ายไม่เต็มใจขึ้นมา ด้วยการยื่นปลายนิ้วชี้ลากลงบนแนวแผ่นหลังเนียนเบาๆจนอีกฝ่ายสะดุ้ง แล้วก็...
“ฮ่าๆๆ โอ๊ย! พี่อ๊อฟ ตื่นแล้ว หยุดๆๆ!!”
ในเมื่อปลุกกันดีๆไม่ยอมก็ต้องจี้เอวกันนี่แหละ แถมนะเส้นตื้นอยู่แล้ว แล้วเมื่อคืนเราก็นอนกันแบบไม่ได้ใส่เสื้อผ้าเลยยิ่งทำให้แกล้งง่ายเข้าไปใหญ่ พ่อหนูน้อยหัวเราะจนหอบหน้าแดงตัวงอเป็นกุ้ง ผมเลยฉวยโอกาสนี้ช้อนตัวร่างเล็กขึ้นอุ้มแล้วพาเดินเข้าห้องน้ำซะเลย ทีนี้ถึงจะงอแงไม่อยากลุกอีกก็สายไปเสียแล้วล่ะ
พวกเราใช้เวลาแต่งตัวและเก็บของกันไม่นานก็เดินลงไปที่ห้องอาหารด้านล่าง ความที่ห้องอาหารของรีสอร์ตไม่ได้ใหญ่แถมยังเป็นแบบเปิดโล่งทำให้ผมมองเห็นเป้และวิวทันทีที่เดินเข้าไป ผมกับนะวางสัมภาระลงบนเก้าอี้ว่างก่อนจะผละกันไปตักอาหารเช้าซึ่งมีทั้งแบบไทยและอเมริกันแล้วเดินกลับไปที่โต๊ะ
“เป็นไงมั่งทั้งสองคน งานฉลองเมื่อคืนนี้?”
เป้เอ่ยถามขึ้นยิ้มๆเมื่อพวกเรานั่งลงประจำที่ นะเลยเหลือบตามองผมก่อนจะพยักหน้าให้คนถามด้วยแก้มที่เป็นสีชมพูเรื่อ
“ก็...ดีฮะ ขอบคุณพี่เป้กับพี่วิวด้วยฮะ”
ตอบเสร็จปุ๊บพ่อหนูน้อยก็ทำทีเป็นสนใจกับการจัดการไส้กรอกและไข่ดาวตรงหน้าจนผมต้องลูบท้ายทอยอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู ที่จริงเมื่อคืนผมก็บอกนะไปแล้วว่านอกจากไปช่วยเลือกน้ำหอมแล้ว เป้กับวิวก็ช่วยเรื่องจัดหาของและเตรียมสถานที่เมื่อคืนด้วย แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่แปลกอะไรที่นะจะเขิน เพราะความที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวมาก่อนเกี่ยวกับเซอร์ไพรส์ครั้งนี้ทำให้เจ้าตัวเผลองอนผมอวดเพื่อนๆไปแทบทั้งวันเลยนี่นา
“แล้วพ่อเป็นไงมั่งแล้ววะเป้ แม่เค้าได้โทรมาบอกอะไรเพิ่มหรือเปล่า?”
ผมเปลี่ยนเรื่องคุยด้วยการถามถึงพ่อของเป้แทน ร่องรอยคล้ำนิดๆใต้ตาของเจ้าตัวทำให้พอจะเดาได้ว่าเพื่อนผมคงหลับไม่สนิทเท่าไหร่ตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา
“น่าจะดีขึ้นแล้วล่ะ เมื่อเช้าโทรถามแม่เค้าก็บอกว่าพ่อตื่นมารอบนึงแล้วก็บ่นว่าจะพาส่งโรงพยาบาลทำไม ยังไงถึงกรุงเทพแล้วคงต้องโทรเช็คอีกทีว่าหมอจะให้กลับบ้านวันนี้เลยหรือจะให้อยู่ดูอาการต่อ”
เป้ตอบแล้วก็ยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ ผมเลยพยักหน้ารับรู้ก่อนจะเริ่มจัดการอาหารเช้าของตัวเองบ้าง ขณะที่พวกเรากำลังกินไปพลางคุยไปถึงเรื่องสอบปลายภาคที่กำลังใกล้เข้ามาพลางนั่นเองก็มีเสียงผู้หญิงดังขึ้น
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ นี่จะกลับกันแล้วเหรอ?”
ผมหันไปตามเสียง แล้วก็เห็นว่าเจ้าของคำถามเป็นหญิงสาวรูปร่างเพรียว คะเนแล้วน่าจะสูงกว่านะนิดหน่อย เจ้าหล่อนใส่เสื้อเชิ้ตลายทางตัวโคร่งพับแขนขึ้นถึงศอกแบบสมัยนิยมทับกางเกงขาสั้นอวดเรียวขา ผมสีดำสนิทที่รวบขึ้นเป็นมวยหลวมๆมีปอยหล่นลงมาระข้างแก้มและต้นคอ ขับให้ผิวที่ขาวอยู่แล้วยิ่งขาวเข้าไปอีก นัยน์ตาเรียวซึ่งใส่คอนแทคต์เลนส์สีเทาอมฟ้าส่งยิ้มให้ทุกคนในโต๊ะแต่ดูจะจับจ้องที่เป้ซึ่งนั่งตรงข้ามผมเป็นพิเศษ ผมเหลือบมองวิวซึ่งนั่งอยู่ข้างเพื่อนแล้วก็เห็นว่าเจ้าตัวเพียงยิ้มตอบเรียบๆมาให้
เป้เหลือบมองคนข้างตัวนิดหนึ่งก่อนจะหันไปหาคนถาม และแม้ว่าผู้หญิงคนนี้จะหน้าเด็กจนเหมือนอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพวกผม แต่จากท่าทางและการพูดจาทำให้ผมรู้สึกว่ายังไงเจ้าตัวก็น่าจะเรียนจบและทำงานแล้ว
“ครับ พอดีมีธุระด่วนเลยต้องรีบกลับ”
สาวเจ้าเอียงคอทำท่ารับรู้ ก่อนจะถอนหายใจแล้วพูดต่อด้วยท่าทางเสียดายที่แม้แต่ผมซึ่งไม่ได้ชำนาญเรื่องผู้หญิงอะไรก็ยังพอมองออกว่าเพื่อนผมโดน ‘อ่อย’ อยู่
“อะไรกัน เห็นเมื่อวานบอกว่าจะมาพักสองคืน กะว่าวันนี้จะชวนทุกคนมาทานข้าวกับพวกเพื่อนๆของเมย์อยู่เชียว”
กล้าชะมัด...คือความคิดแรกที่ผุดขึ้นในหัวหลังได้ยินประโยคนั้น ผมอดทึ่งไม่ได้กับการแสดงออกว่ากำลัง ‘รุก’ อย่างชัดเจนของหญิงสาวซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเพื่อนไปทำความรู้จักด้วยตั้งแต่ตอนไหน แต่นึกไปนึกมาอีกครั้งก็เริ่มจำได้ลางเลือนว่าเมื่อวานมีผู้หญิงมานั่งคุยกับเป้ระหว่างที่พวกผมสามคนเล่นน้ำกันอยู่ สงสัยว่าคงไม่แคล้วจะเป็นคนนี้เสียกระมัง
จากหางตาผมเห็นว่านะหยุดทานแล้วและกำลังแอบมองผู้หญิงคนนั้นสลับกับวิวที่ยังคงนั่งจิบโอวัลตินเหมือนทองไม่รู้ร้อนอยู่ ท่าทางของอีกฝ่ายที่ดูสงบนิ่งทั้งที่แฟนกำลังโดนจีบต่อหน้ากลับทำให้ผมเสียวสันหลังยังไงชอบกล เพราะตั้งแต่รู้จักกันมาก็ยังไม่เคยเห็นวิวเป็นแบบนี้ซะด้วยสิ
โชคยังดีว่าผมกับนะไม่ต้องทนนั่งเกร็งกันอยู่นาน เพราะเป้ซึ่งคงจะรู้ดีว่าต้องรับมืออารมณ์ไหนของคนข้างตัวอย่างไรเพียงหันไปพยักหน้ายิ้มๆให้วิวที่ยังนั่งเงียบก่อนจะหันกลับไปหาผู้หญิงคนนั้นอีกครั้ง
“ต่อให้ผมอยู่ต่อก็คงโอเคทันทีเลยไม่ได้หรอกครับ เพราะยังไงก็ต้องขออนุญาตแฟนก่อนอยู่ดี ใช่มั้ยวิว?”
คนถูกพาดพิงถึงเพียงชำเลืองไปทางคนถามด้วยแววตาเหมือนขำปนระอาพลางยกแก้วในมือขึ้นจิบอีกครั้ง หญิงสาวที่เข้ามาทักพวกเราจึงเงียบไปนิดหนึ่งก่อนจะยิ้มและเอ่ยเสียงที่ฟังดูก็รู้ว่า ‘แสร้ง’ ทำให้สดใสขึ้นมาอีกครั้ง
“ว้า! น่าเสียดายจัง ถ้าเย็นนี้ได้ทานข้าวด้วยกันกลุ่มใหญ่น่าจะสนุกแท้ๆเลย ยังไงขอให้กลับบ้านปลอดภัยนะคะ ถ้าโชคดีคงได้มีโอกาสเจอกันที่กรุงเทพ”
ผมไม่แน่ใจว่าอากาศที่ลอยอยู่ตรงหน้ามีประจุไฟฟ้าอัดแน่นอยู่มากแค่ไหน แต่ผมว่าสายตาของเมย์ที่มองวิวก่อนจะหันหลังเดินจากไปนั้นแทบจะทำให้ผมเห็นสายฟ้าแลบเปรี๊ยะอยู่ตรงหน้าได้เลยทีเดียว และพอหันไปมองคนตัวเล็กข้างๆก็ต้องยิ้มออกมาเมื่อเห็นนะทำท่าถอนหายใจโล่งอกราวกับกลั้นหายใจมานานอย่างนั้นแหละ
“เป็นอะไรครับน้องนะ นี่เพิ่งเคยเห็นพี่วิวเป็นแบบนี้ครั้งแรกล่ะสิ?”
“เอ้อ...ก็”
นะตอบเป้เสียงอ้อมแอ้มจนคนถามหัวเราะ อย่าว่าแต่นะเลย ขนาดผมอยู่กับสองคนนี้บ่อยๆก็ไม่เคยเห็นเหมือนกัน แต่ก็ต้องยอมรับว่าวิวรับสถานการณ์ได้สมเป็นวิวจริงๆ ถ้าเทียบกับผมเวลาเห็นคนอื่นมาเกาะแกะนะนี่ก็เหมือนเด็กอนุบาลกับนักศึกษาปริญญาโทเลยล่ะมั้ง
“ไอ้บ้า! ไม่ได้เป็นบ่อยซักหน่อย แล้วนี่ตกลงจะกินข้าวเช้าให้เสร็จซักทีได้มั้ย เอาแต่ยิ้มแล้วอิ่มรึไง?”
วิวหันไปแขวะคนข้างตัวทั้งที่ใบหน้าเริ่มจะมีสีแดงแต้มจางๆเหมือนกัน แต่พอเห็นเพื่อนจอมกวนของผมยังยิ้มตาพราวให้ไม่เลิกเลยถอยเก้าอี้ออกแล้วพึมพำว่าจะไปเดินเล่น เป้เลยลุกตามทั้งที่เพิ่งกินอาหารเช้าในจานไปได้แค่ครึ่งเดียวก่อนจะหันมาขยิบตาให้พวกผม
“สงสัยจะงอนแล้วล่ะ ยังไงทั้งสองคนกินข้าวไปก่อนแล้วกัน เดี๋ยวจะกลับแล้วจะโทรหา”
ผมมองตามหลังเพื่อนทั้งสองคนที่เดินออกไปทางชายหาดแล้วก็หันมาสบตากับนะ ก่อนจะหัวเราะเบาๆออกมาพร้อมกัน ไม่น่าเชื่อว่าตอนขามาผมจะต้องปวดหัวกับการตามง้อคนตัวเล็กโดยไม่รู้ว่าโดนงอนเพราะอะไร แต่กลับกลายเป็นว่าขากลับเป้ต้องไปง้อวิวแทนเรื่องที่แซวจนเจ้าตัวเขิน จะว่าไปพวกผมนี่ก็สมแล้วที่เป็นเพื่อนกันจริงๆเลยแฮะ
พวกผมนั่งทานอาหารเช้ากันต่อแบบไม่รีบร้อน และหลังจากนั่งพักกันเพียงไม่นานเป้กับวิวก็กลับมา ไม่รู้เพราะวิธีง้อของเป้หรือเพราะนิสัยปกติของวิวที่ไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อย แต่ผมก็รู้สึกดีที่เพื่อนทั้งสองคนไม่ขัดใจกันนานๆ เพราะถ้าเป็นแบบผมกับนะล่ะก็สงสัยกว่าจะได้กลับกันก็คงสายๆหรือไม่ก็เที่ยงโน่นเลยเป็นอย่างเร็ว
“กลับกันเถอะ เมื่อกี้แม่โทรมาบอกว่าอีกเดี๋ยวคงพาพ่อออกจากโรงพยาบาลแล้ว กว่าจะกลับไปถึงกรุงเทพก็คงอยู่บ้านกันพอดี กูจะได้แวะไปส่งมึงกับน้องนะที่หอก่อน”
เป้หันมาบอกผมก่อนจะหยิบแว่นกันแดดที่เกี่ยวอยู่บนคอเสื้อขึ้นใส่ ผมเลยหยิบกระเป๋าของตัวเองขึ้นมาบ้าง แต่เนื่องจากคราวนี้ไม่จำเป็นต้องปิดนะแล้วว่าแอบอะไรไว้ ผมเลยเอาข้าวของของพวกเราสองคนยัดลงกระเป๋าผมใบเดียวให้หมดเรื่องหมดราวไปเลย วิวหันมามองกระเป๋าที่ตุงจนป่องบนหลังของผมกับนะที่เอาตุ๊กตาเพนกวินมาถือไว้แล้วก็ยิ้มๆแต่ไม่พูดอะไร
ระหว่างที่เป้กับวิวไปเช็คเอ๊าท์ที่ล็อบบี้และกล่าวร่ำลาผู้จัดการรีสอร์ต ผมก็เดินไปหาคนตัวเล็กที่กำลังมองไปรอบๆราวจะจดจำสถานที่ที่เราฉลองครบรอบหกเดือนด้วยกัน ก่อนจะรีบก้มลงไปหอมแก้มขาวเนียนเบาๆจนเจ้าตัวไม่ทันได้โวย กลิ่นหอมจางที่อ้อยอิ่งอยู่ตรงปกคอเสื้อทำให้ผมยิ้มออกมาเพราะว่านั่นเป็นกลิ่นจากของขวัญที่ผมเพิ่งมอบให้เจ้าตัวไปเมื่อคืน
“เดี๋ยวครบรอบหนึ่งปีเมื่อไหร่เราหาที่ไปเที่ยวกันเองสองคนนะ เดี๋ยวคราวนี้พี่ไปเปิดหนังสือหาเลยว่าจะไปที่ไหนดี หรือถ้านะอยากไปไหนก็บอกพี่ตั้งแต่เนิ่นๆแล้วกัน ดีมั้ยครับ?”
ผมพูดพลางก็ลูบผมนิ่มของอีกฝ่ายไปด้วย แม้ว่านะจะไม่ได้ตรงเข้ามากอดผมเหมือนทุกครั้งเวลาอยู่กันสองคน แต่นัยน์ตาที่เป็นประกายระยับด้วยความสุขก็เพียงพอที่จะบอกให้รู้ว่าคนตรงหน้าดีใจกับสิ่งที่ผมบอกแค่ไหน คนตัวเล็กพยักหน้าแล้วตอบรับสั้นๆในคอด้วยรอยยิ้มที่ไม่ว่าจะมองกี่ครั้งก็ทำให้ผมตกหลุมรักนะใหม่ได้ทุกครั้ง
“อื้อ”
+---tbc---+บอกแล้วว่าครึ่งหลังยาว อิอิ สำหรับเพลงประกอบของตอนนี้มีชื่อว่า "แค่นี้...ที่ต้องการ" แต่ด้วยความโลเทคและง่วงสุดๆของป้าทำให้ไม่มีเวลาศึกษาวิธีเอาเพลงลงบอร์ด แต่ถ้าใครอยากฟังก็คลิกที่ชื่อเพลงได้เลยจ้า 