ด้วยความคิดถึงพี่อ๊อฟกับน้องนะอย่างที่สุด (เว่อร์ไหม?) ป้าก็เลยเขียนตอนพิเศษออกมาค่ะ สำหรับใครที่สงสัยว่าทำไมของเรื่องนี้ถึงไม่ทำเป็นตอนโบนัสแล้วต้องเอาพาสเวิร์ดไปอ่านที่บล็อกเหมือนของเป้กับวิว เพราะว่าเนื้อหาที่ลงในเล่มกับในบอร์ดของอ๊อฟนะจะเกือบๆเท่ากัน แต่ของเป้วิว ในรวมเล่มมีตอนพิเศษและตัวละครอื่นเพิ่มขึ้นจากเวอร์ชันบอร์ดเยอะมาก ถ้าใครไม่ได้อ่านรวมเล่มมาก่อนก็รับรองว่าอ่านตอนโบนัสแล้วงงชัวร์ ก็เลยเป็นฉะนี้ละน้อ (ตัดความกันดื้อๆงี้ละ)
หวังว่าคงมีคนอ่านที่คิดถึงพี่อ๊อฟกับน้องนะเหมือนกันนะคะ 
++------++
เมื่อหัวใจเราใกล้กัน ตอนพิเศษ: กับสิ่งที่มี“นะครับ เลือกได้หรือยัง?”
ผมถามคนตัวเล็กที่ยืนอยู่ข้างๆ วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ผมไม่มีนัดกับลูกค้า หลังกินข้าวเช้ากันแล้วพวกเราก็เลยมาเดินซื้อของที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งตั้งแต่ห้างเปิด เพราะว่าเดี๋ยวบ่ายๆมีแผนจะไปที่อื่นกันต่ออีก
พ่อหนูน้อยตวัดสายตามองผม จากนั้นก็เหลือบกลับไปที่ชุดที่แขวนอยู่ในมือข้างละชุด รอยย่นบนหัวคิ้วกับริมฝีปากที่เม้มและยื่นขึ้นน้อยๆบอกให้รู้ว่ากำลังหนักใจกับตัวเลือกตรงหน้าอย่างยิ่ง
“สีแดงก็น่ารักดี แต่สีเทามีฮู้ดก็น่ารักดี...พี่อ๊อฟคิดว่าไง?”
นะเอ่ยแล้วก็เงยหน้าขึ้นมาขอความเห็นจากผม พอเห็นท่าทางรักพี่เสียดายน้อง ผมเลยหัวเราะแล้วก็หยิบชุดทั้งสองชุดมาใส่ลงตะกร้าเสียเลย
“งั้นก็เอาทั้งคู่นั่นแหละ นี่เราก็ซื้อถุงเท้ากับหมวกแล้วก็ของเด็กอ่อนอีกหลายอย่างแล้วนะ พี่ว่าถ้าเราไปเยี่ยมทุกเดือนนี่มุ้ยกับพี่หล่งคงไม่ต้องช้อปปิ้งให้น้องพู่กันเองแล้วล่ะ”
พอผมเอ่ยแบบนั้น พ่อหนูน้อยเลยยิ้มแหยๆ เพราะว่าบ่ายวันนี้พวกเรากะว่าไปเยี่ยมมุ้ยกับพี่หล่งที่บ้านด้วยกัน ซึ่งนี่เป็นคล้ายๆการเยี่ยมประจำเดือนเพราะผมกับนะจะหาโอกาสว่างเดือนละครั้งไปเยี่ยมมุ้ยที่บ้านตั้งแต่เพื่อนผมคลอดลูกเมื่อห้าเดือนก่อน ลูกชายของทั้งสองคนได้รับการตั้งชื่อว่า ‘พู่กัน’ เพราะว่ามุ้ยชอบวาดรูป เมื่อตอนที่ผมกับนะไปเยี่ยมที่โรงพยาบาลตอนมุ้ยเพิ่งคลอดใหม่ๆ ยายตัวดียังบอกว่าเสียดายที่ไม่ได้ฝาแฝด ไม่งั้นจะได้ตั้งชื่ออีกคนว่า ‘ผ้าใบ’ จะได้เข้าคู่กัน ดูความช่างครีเอทของเพื่อนผมเถอะ
พนักงานที่แคชเชียร์ยิ้มแย้มขณะรับตะกร้าที่อุดมด้วยของสำหรับเด็กอ่อนไปคิดเงิน โชคดีว่าผมมีคูปองของห้างอยู่จึงประหยัดเงินไปหลายบาท ซึ่งคูปองนี้เป็นส่วนหนึ่งของงบประมาณที่บริษัทของผมจัดสรรให้เซลส์ทุกคนสำหรับไว้ซื้อของไปฝากลูกค้าหรือพาลูกค้าไปกินเลี้ยง แต่เพราะทางบริษัทไม่เคยมาขอตรวจว่าเราใช้จ่ายคูปองพวกนี้อย่างไร ดังนั้นเซลส์ทุกคนก็จะเอาบางส่วนไปใช้สำหรับซื้อของให้ตัวเองอยู่แล้ว ซึ่งบริษัทก็ดูจะรู้เรื่องนี้ดี แต่ก็ไม่ได้ห้ามปรามหากว่าไม่ได้ใช้เยอะจนน่าเกลียด
หลังจากจ่ายเงินเสร็จเรียบร้อย ผมก็เอาของไปฝากที่เคาน์เตอร์รับฝากของแล้วพานะไปทานมื้อกลางวันที่ฟู้ดคอร์ทกันก่อน เพราะไม่อยากไปรบกวนอาหารกลางวันที่บ้านเพื่อน เมื่ออิ่มแล้วก็ซื้อขนมกับผลไม้สำหรับไปฝากมุ้ยกับพี่หล่ง แล้วก็รวมไปถึงพ่อกับแม่ของพี่หล่งด้วย เพราะว่าหลังจากทั้งคู่แต่งงานแล้วก็ไปอาศัยอยู่กับพ่อแม่พี่หล่งที่บ้านตรงชานเมือง ตอนที่เพิ่งแต่งงานใหม่ๆ มุ้ยเคยมาบ่นให้ผมฟังว่าความจริงเจ้าหล่อนอยากไปเช่าบ้านหรือปลูกบ้านอยู่กันสองคนสามีภรรยามากกว่า แต่หลังจากที่ลูกชายคลอดออกมาแล้ว ตอนนี้ผมกลับได้ยินคุณเธอบอกว่าโชคดีแล้วที่ไม่ได้แยกออกไปอยู่กันเอง เพราะถ้าหากต้องเลี้ยงลูกคนเดียวระหว่างที่พี่หล่งออกไปทำงานโดยไม่ได้คุณปู่กับคุณย่าช่วยเลี้ยงเลย มีหวังเหนื่อยตายแน่ๆ
พวกเราสองคนออกจากห้างกันตอนเกือบๆบ่ายสอง จากนั้นก็ตรงไปบ้านของพี่หล่งที่อยู่ค่อนข้างจะนอกเมืองไปสักนิดทางฝั่งธน ระหว่างทางก็ผ่านหอเดิมของพวกเราแถวปิ่นเกล้าไปด้วย ผมเหลือบมองคนข้างตัวก็เห็นว่านะพยายามชะเง้อมองหาห้องเดิมของพวกเราระหว่างที่ผมขับรถขึ้นทางต่างระดับ
“ไม่รู้ตอนนี้ใครเช่าห้องต่อจากเรานะพี่อ๊อฟ แล้วไม่รู้อาม่าที่ดูแลหอยังแข็งแรงดีหรือเปล่า”
หลังจากผมขับรถมาไกลจนมองไม่เห็นหอเพราะถูกคอนโดและอพาร์ตเม้นต์ที่เพิ่งสร้างขึ้นใหม่บดบังแล้ว นะก็หันมาพูดเปรยๆกับผม ผมจึงชำเลืองมองแล้วก็เอามือลูบหัวนะเบาๆ ไม่แปลกที่นะจะผูกพันกับหอนั้น เพราะว่าพวกเราก็อยู่ที่นั่นด้วยกันมาตั้งหลายปี มีความทรงจำร่วมกันมากมายก่อนที่จะย้ายมาอยู่คอนโดปัจจุบัน และสำหรับนะที่ค่อนข้างอ่อนไหวกับเรื่องราวเล็กๆน้อยๆแล้ว เจ้าตัวก็คงอดจะคิดถึงช่วงเวลาเหล่านั้นไม่ได้ แถมนั่นยังเป็นการออกมาอยู่หอครั้งแรกของนะอีกด้วย ก็คงจะยิ่งผูกพันมากเป็นธรรมดา
“เดี๋ยวไว้วันไหนสักวันเราแวะเข้าไปดูก็แล้วกัน จะได้ซื้อขนมฝากอาม่าแกด้วย”
พอผมบอกแบบนั้น นะเลยยิ้มแล้วก็เอามือมาบีบนวดแขนผมอย่างเอาใจจนอดหัวเราะไม่ได้ นี่ขนาดเจ้าตัวอายุ 25 แล้วนะ แต่เวลาอ้อนผมทีไรนี่ทำให้ผมนึกว่านะยังอายุเท่าตอนที่เรียนปีหนึ่งทุกที
พอขึ้นทางต่างระดับมาได้สักพัก ผมก็หักเลี้ยวลงตรงทางแยกที่เชื่อมกับถนนตัดใหม่ซึ่งผ่านบ้านของพี่หล่ง ผมจำได้ว่าสมัยที่ผมยังเรียนอยู่ แถวนี้ยังดูเป็นบ้านนอกๆราวกับไม่ใช่ส่วนหนึ่งของกรุงเทพฯอยู่เลย แต่ว่าตั้งแต่สายใต้ใหม่ย้ายออกมาจากที่เดิม และมีถนนตัดใหม่ก็ทำให้ชุมชนแถวนี้เจริญขึ้นมาก ตามสองข้างทางมีหมู่บ้านจัดสรรกับสวนอาหารมาเปิดกันแน่นไปหมด
ราวยี่สิบนาทีหลังลงจากทางต่างระดับ ผมก็เลี้ยวเข้าทางลัดที่เป็นทางเข้าด้านหลังของหมู่บ้านจัดสรรของพี่หล่งอย่างคุ้นเคย เนื่องจากหมู่บ้านนี้มีมานานก่อนที่จะมีถนนตัดใหม่เสียอีก บ้านเรือนในหมู่บ้านจึงไม่ค่อยมีขนาดใหญ่มาก และทางเข้าก็ไม่ได้รับการสร้างให้หรูหราอลังการเหมือนพวกหมู่บ้านจัดสรรที่เพิ่งสร้างเสร็จ แต่ผมว่าแบบนี้กลับทำให้รู้สึกอบอุ่นมากกว่า เพราะมันมีบรรยากาศของความเป็นชุมชนที่ผู้อาศัยไม่ได้ต่างคนต่างอยู่ในบ้านหลังใหญ่เบ้อเริ่มโดยไม่รู้ว่าคนข้างบ้านหน้าตาเป็นยังไง
ผมจอดรถที่ริมถนนใกล้กับรั้วบ้านสีแดงอันคุ้นตา จากนั้นพวกเราสองคนก็ช่วยกันขนข้าวของที่ซื้อมาฝากทั้งหลายลงจากรถ ความที่รั้วบ้านของมุ้ยไม่ได้สูงจนท่วมหัว และเจ้าตัวก็คงเห็นรถของผมตอนที่มองออกมาจากหน้าต่าง พวกเรายังไม่ทันต้องกดออดก็เห็นยายตัวดีเดินยิ้มแต้มาเปิดรั้วให้ ตอนนี้มุ้ยดูมีน้ำมีนวล แถมอวบขึ้นกว่าเดิมเยอะตั้งแต่คลอดลูกเป็นต้นมา ความจริงเพื่อนผมก็ไม่ใช่คนผอมบางปลิวลมตั้งแต่ก่อนจะแต่งงานแล้ว ออกจะไปทางทะมัดทะแมงสมส่วนมากกว่า แต่ตั้งแต่มีน้องพู่กันนี่ผมยังไม่เห็นเพื่อนผมกลับไปหุ่นแบบนั้นอีกเลย
“คิดถึงจังเลยค่าน้องนะ โอ้ยไอ้อ๊อฟ! แกขนอะไรมาเยอะแยะเนี่ย!? บ้านชั้นไม่ใช่โรงรับบริจาคนะ”
เจอกันปุ๊บก็หาเรื่องกันเลยสิน่า แถมประโยคทักทายผมกับนะที่ต่างกันหน้ามือเป็นหลังมือนี่ฟังแล้วน่าเอาอะไรครอบปากคนพูดชะมัดยาด ขนาดจะสามสิบอยู่อีกไม่กี่ปีนี่แถมเป็นคุณแม่แล้วก็ยังวาจาชวนหาเรื่องไม่เปลี่ยน
“ก็เห็นว่าแกว่างงานไม่ใช่หรือไง อุตส่าห์ช่วยซื้อของใช้กับอาหารมาให้ ถ้าไม่อยากได้คราวหน้าจะได้ไม่ซื้อมาให้”
“ชั้นเป็นฟรีแลนซ์ย่ะไม่ได้ว่างงาน แค่จะบอกว่าคราวหลังมาเยี่ยมแต่ตัวก็ได้ มาทีไรก็ขนของมาให้เต็มทุกที ชั้นกลัวลูกชั้นจะโดนสปอยล์เพราะน้าๆตั้งแต่ยังไม่รู้ความนี่ล่ะ นี่ดีนะว่าวันนี้พ่อกับแม่พี่หล่งไม่อยู่ ไม่งั้นแกจะโดนบ่นเยอะกว่านี้อีก”
มุ้ยตอบฉับพลางเลื่อนประตูกระจกเข้าไปในบ้าน จากนั้นก็ต้องรีบปิดตามหลังพวกผมทันทีเพื่อกันไม่ให้ยุงบินเข้า บ้านชานเมืองที่ยังมีเรือกสวนอยู่ก็ยุงชุมแบบนี้ แต่คงเพราะว่าในบ้านเปิดแอร์อ่อนๆไว้ด้วย จึงต้องปิดทั้งหน้าต่างและประตูทั้งหมดเพื่อไม่ให้แอร์ออก
“พี่หล่ง หวัดดีครับ”
นะเอ่ยทักเมื่อเห็นรุ่นพี่ของผมกำลังเล่นกับลูกชายตัวน้อยอยู่บนเบาะตรงพื้นห้องนั่งเล่นพอดี พี่หล่งจึงเงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยทักพวกเราสองคน ตอนนี้รุ่นพี่ผมไม่ได้ไว้เคราดกเหมือนตอนสมัยเรียนแล้ว เห็นว่าเพราะมุ้ยขู่เข็ญแกมบังคับว่าให้ไปตัดแต่งให้เรียบร้อย อีกอย่างก็ดูเหมาะสมกว่าเวลาไปทำงานด้วย ตอนนี้รุ่นพี่ผมจึงมีแค่หนวดบางๆเหนือริมฝีปากกับเคราแพะสั้นๆเท่านั้น
“ไง โชคดีวันนี้น้องพู่ตื่นอยู่พอดีเลย ไหนไหว้น้าอ๊อฟกับน้านะสิลูก”
พี่หล่งเอ่ยแล้วก็อุ้มน้องพู่กันขึ้นมานั่งตัก จากนั้นก็จับมือเล็กๆทั้งสองข้างทำท่าพนมมือ เด็กชายตัวน้อยอ้วนปั้กมองพวกผมด้วยตากลมโตอย่างงงๆนิดหน่อย แต่แป๊บเดียวก็ยิ้มแล้วก็เขย่าแขนขึ้นลงอย่างอยู่ไม่สุข ท่าทางกำลังอารมณ์ดี
“ตัวเองช่วยเอาของไปเก็บหน่อยสิ อ๊อฟมันซื้อของฝากมาถมที่อีกแล้ว”
มุ้ยเอ่ยพลางวางถุงของฝากที่ช่วยแบ่งไปถือลงบนโซฟา น้ำเสียงฟังดูกึ่งอ้อนกึ่งออกคำสั่งพิกล พี่หล่งเลยหัวเราะหึๆแล้วก็วางลูกให้นอนลง แต่พ่อหนูน้อย(ที่ไม่ใช่นะ)ก็พลิกตัวอย่างว่องไวแล้วทำท่าชูคอขึ้นเหมือนไม่อยากนอนอยู่เฉยๆ
“ท่าทางอีกไม่นานก็คลานได้แล้วนะครับเนี่ย”
นะเอ่ยแล้วก็ลงไปนั่งเล่นกับน้องพู่กัน ส่วนพี่หล่งก็เข้ามาช่วยถือพวกขนมกับผลไม้ไปเก็บในครัวให้ มุ้ยนั่งลงพลางหยิบชุดสำหรับเด็กที่พวกเราซื้อมาฝากแล้วก็ร้องโอ๊ย
“หลานแกแทบจะใส่เสื้อผ้าวันละชุดอยู่แล้วนะเนี่ย ใครมาเยี่ยมก็ชอบซื้อเสื้อผ้ามาฝาก ปู่กับย่าก็ชอบซื้อให้ สงสัยโตขึ้นลูกชั้นได้เป็นเด็กสำอางแหงๆ”
ผมหัวเราะขณะหยิบหนึ่งในชุดที่ซื้อมาออกจากมือมุ้ย เพราะว่าที่เราซื้อมาให้น่ะไม่ใช่แค่สองชุดที่นะเลือกไม่ได้เท่านั้น แต่ยังมีอีกสี่ชุดที่ซื้อก่อนหน้านั้นวางอยู่ในถุงด้วย
“เอาน่า นี่ก็อุตส่าห์ซื้อแบบเผื่อไซส์ให้แล้วนะ ถ้าอันไหนยังใส่ไม่ได้ตอนนี้จะได้เอาไว้ใส่ตอนโตไง แต่ดูท่าทางลูกแกเจริญอาหารดีนี่ เรานึกว่าแกจะแย่งลูกกินของฝากจนหลานผอมหมดซะอีก”
พูดไม่ทันจบคำ ผมก็โดนยายตัวดีตีแขนดังเพียะจนต้องร้องอูย พอดีกับที่พี่หล่งเดินออกจากครัวและทันได้ยินที่ผมพูด รุ่นพี่ของผมจึงเอ่ยพร้อมรอยยิ้มมีเลศนัย
“เอาน่ะมึง เพิ่งคลอดเสร็จไม่กี่เดือนจะให้กลับไปผอมเท่าเดิมปั๊บเลยไม่ได้หรอก อีกอย่างกูว่าแบบนี้แหละดีแล้ว เต็มไม้เต็มมือดี”
“ไอ้ป๊า เงียบไปเลย ชั้นไปตากผ้าก่อนดีกว่า”
มุ้ยชี้หน้าพี่หล่งพลางพูดปรามทั้งที่หน้าแดง จากนั้นก็ลุกจากโซฟาที่นั่งข้างผมแล้วออกเดินไปทางหลังบ้าน เวลามุ้ยอารมณ์ดีๆก็จะเรียกแทนพี่หล่งว่า ‘ตัวเอง’ แต่เวลาอารมณ์ไม่ดีจะเรียกว่า ‘ไอ้ป๊า’ นัยว่าฟังแล้วไม่ถึงกับตัดรอนกันเกินไป แต่ยังสื่อให้รู้ได้ว่าอย่ามากวนฉันให้มากนักประมาณนั้น
เพื่อนผมทำท่าจะเดินไปหลังบ้านเพื่อไปตากผ้าอย่างที่บอก แต่พอเดินผ่านพี่หล่งก็โดนรุ่นพี่ผมเอามือตีก้นจนยายตัวดีหันมาตีไหล่อีกฝ่ายเต็มแรงแล้วก็รีบเดินเร็วๆหนีไป รุ่นพี่ผมเลยหัวเราะทั้งที่เอามือลูบไหล่ป้อยๆ ท่าทางคงเจ็บอยู่เหมือนกันเพราะพี่หล่งใส่เสื้อกล้าม ฝ่ามือของมุ้ยเมื่อครู่เลยประเคนลงบนเนื้ออย่างเต็มๆ แต่ผมว่าสองคนนี้เขาก็รักกันดีในแบบของเขา ถึงวิธีแสดงออกจะดูรุนแรงไปบ้างก็ตาม ไม่งั้นคงไม่แต่งงานกันแล้วก็มีลูกด้วยกันได้หรอก
“งานเป็นไงมั่งล่ะอ๊อฟ?”
พี่หล่งเดินมาทรุดตัวนั่งลงข้างผมแล้วก็เอ่ยถามขึ้น พวกเราจึงเปลี่ยนไปคุยกันเรื่องงาน จากนั้นก็คุยกันเรื่องเพื่อนๆและรุ่นน้องสมัยทำชุมนุม เห็นว่าไอ้เติ้ล รุ่นน้องของผมที่ชอบกวนบาทาหน่อยจะถูกป๊าของมันส่งให้ไปเรียนภาษาที่เมืองจีนตั้งแต่ปีใหม่ที่ผ่านมา เพราะจะได้กลับมาช่วยสืบทอดกิจการโรงงานน้ำปลาของที่บ้าน ฟังแล้วก็อดจะขำปนสงสารไม่ได้ เพราะสมัยเรียนนั้นมันชอบบอกใครๆว่าจะไม่ยอมทำโรงงานน้ำปลาแล้วหนีไปเปิดค่ายเพลงอินดี้ แต่ดูเหมือนตอนนี้เจ้ารุ่นน้องผมต้องศิโรราบให้กับบัญชาของป๊าไปเสียแล้ว
ระหว่างที่พวกเรานั่งคุยกันไป ผมก็เหลือบมองนะที่กำลังเล่นกับน้องพู่กันเป็นระยะ อาจเพราะเรามากันเพียงเดือนละครั้ง น้องพู่กันจึงยังจำนะไม่ได้ในตอนแรก แต่พอเริ่มคุ้นเคยแล้ว ตอนนี้นะเล่นอะไรหรือพูดอะไรด้วย เจ้าตัวเล็กก็หัวเราะเอิ๊กอ๊ากไปหมด ภาพที่เห็นทำให้ผมยิ้มตามไปด้วย พี่หล่งสังเกตผมอยู่ครู่หนึ่งก็ถามขึ้น
“มึงไม่อยากมีของมึงเองบ้างเหรอ?”
น้ำเสียงที่ถามประโยคนั้นเบากว่าน้ำเสียงปกติ ผมจึงหันไปทำสายตามีคำถามเหมือนไม่แน่ใจว่าพี่หล่งหมายความว่าอย่างไร แต่พออีกฝ่ายพยักหน้าไปทางนะที่กำลังจับน้องพู่กันให้ลองทำท่าหัดเดิน ผมก็เข้าใจคำถามทันที
“ไม่ใช่ว่ากูไม่เห็นด้วยกับเรื่องของมึงนะ เพียงแต่พอกูมีครอบครัวของตัวเองแล้ว...กูก็อดสงสัยแทนมึงไม่ได้”
พี่หล่งขยายความต่อ ผมเลยจ้องหน้าอีกฝ่ายโดยไม่ตอบอยู่ครู่หนึ่ง ที่รุ่นพี่ของผมถามแบบนั้นคงเพราะเจ้าตัวก็รู้ว่าแฟนเก่าของผมก่อนที่จะมาคบกับนะเป็นผู้หญิง และนอกจากนะแล้วผมก็ไม่ได้มีทีท่าสนใจใครที่เป็นผู้ชายเหมือนกันอีก ดังนั้นจึงไม่แปลกหากพี่หล่งจะเกิดคำถามขึ้นมา แต่ผมก็รู้นิสัยคนถามดีพอว่าคงไม่ได้อยากยุยงส่งเสริมให้ผมไปมีคนอื่น เพียงแต่สงสัยจริงๆจึงเอ่ยถามตามประสาคนที่สนิทกันเท่านั้น
ผมกลับไปมองนะอีกครั้ง ตอนนี้อีกฝ่ายอุ้มเจ้าตัวเล็กขึ้นมาแล้วก็ก้มลงไปฟัดพวงแก้มแดงๆจนพ่อหนูพู่กันหัวเราะไม่หยุด ผมมองสีหน้ามีความสุขของนะแล้วก็ส่ายหน้า
“ไม่ล่ะพี่ ชีวิตผมมีครบแล้ว ถ้าอยากมีลูกเมื่อไหร่ผมมาขอเล่นกับน้องพู่กันก็พอ”
ผมเอ่ยแล้วก็หันกลับไปมองคนถาม เมื่อเห็นแววตาของผม พี่หล่งก็ดูจะชะงักไปนิดหนึ่ง จากนั้นอีกฝ่ายก็ยิ้มแล้วเอามือตบลงบนไหล่ผมเบาๆ
“กูได้ยินแบบนั้นก็สบายใจ กูรู้ว่ามึงเป็นคนไม่วอกแวกกับสิ่งที่ตัวเองเลือกอยู่แล้ว แต่แค่สงสัยก็เลยถามดู ก็ดีแล้วที่ได้ยินมึงพูดอย่างนั้น ไม่งั้นกูกับมุ้ยนี่ล่ะจะจัดการมึงเองถ้ามึงทิ้งน้องนะ”
“อ้าวพี่หล่ง ไหงงั้นวะเนี่ย?”
ผมหัวเราะออกมาบ้าง แต่แล้วเราสองคนก็หันไปทางนะพร้อมกันเมื่อได้ยินเสียงร้องของน้องพู่กัน นะอุ้มเจ้าตัวน้อยขึ้นพาดบ่าแล้วจับโยกตัวเบาๆขณะหันมาทางพวกผมสองคน
“เมื่อกี้ยังเล่นอยู่เลยครับ แต่ไม่รู้ทำไมจู่ๆก็ร้อง”
ผมถอยตัวลงจากโซฟาไปนั่งข้างๆ จากนั้นก็รับน้องพู่กันมาอุ้มบ้าง แต่ว่าพ่อหนูน้อยก็ยังร้องไม่หยุด แก้มยุ้ยสองข้างแดงจัดขณะที่น้ำตาซึมจากหางตา ผมเลยจะหันไปส่งลูกให้พี่หล่งอุ้มแทน ก็พอดีกับที่มุ้ยเดินเร็วๆเข้ามาจากหลังบ้าน
“ลูกร้องแน่ะมุ้ย หิวนมแล้วล่ะมั้ง”
พี่หล่งนั่งพูดยิ้มๆอยู่บนโซฟา ท่าทางไม่ได้เดือดร้อนเท่าไหร่กับการที่เห็นลูกร้อง สงสัยเพราะเห็นว่าผมกับนะช่วยกันพยายามโอ๋แทนให้กันเป็นพัลวันอยู่กระมัง มุ้ยจึงรับน้องพู่กันไปจากมือผมแล้วก็หันไปมองนาฬิกา
“จะสี่โมงแล้วนี่นา วันนี้หิวช้านะเรา งั้นเดี๋ยวขอตัวพาน้องพู่ไปให้นมก่อนละกัน ขอโทษนะจ๊ะน้องนะที่หมดเวลาเล่นแล้ว”
ฟังเพื่อนผมพูดแล้วกลายเป็นว่านะเสียอีกที่อดเล่นสนุกเพราะน้องพู่กันร้องหิวนม พอเพื่อนผมทำท่าจะเดินขึ้นบันไดเพื่อไปให้นมลูกที่ชั้นบน พี่หล่งก็ร้องเรียกไว้ทั้งที่ยังนั่งอยู่บนโซฟานั่นแหละ
“มุ้ยจะไปไหนเล่า ให้นมลูกตรงนี้เลยก็ได้ คนกันเองทั้งนั้น”
ผมเห็นยิ้มเจ้าเล่ห์ของพี่หล่งกับประโยคท้าทายนั่นแล้วก็รู้สึกเหมือนเหงื่อตก จริงอยู่หรอกว่าตรงนี้มีแต่คนกันเอง แต่ครั้งสุดท้ายที่ผมเห็นหน้าอกมุ้ยนี่สงสัยจะตอน ป. 1 ล่ะมั้งเพราะยังโดนจับอาบน้ำด้วยกัน แต่ถ้าให้มาเห็นตอนนี้ก็คงกระดากชอบกล ปรากฏว่ามุ้ยหันมาทำตาเขียวใส่คนพูดแล้วก็ทำเสียงดุ
“อย่าท้ากันนะ มุ้ยไม่อายหรอกจะบอกให้ กลัวน้องนะจะเขินต่างหาก โอ๋ๆๆ น้องพู่ไม่ร้องนะลูก เดี๋ยวมี้ให้กินนมแล้วนะจ๊ะ”
มุ้ยเอ่ยแล้วก็อุ้มลูกเดินหายขึ้นชั้นสองไป สถานการณ์อย่างนี้ก็ยังไม่วายโยนลูกให้คนอื่นจนได้สิน่า กลายเป็นว่าคนที่เขินคือนะจริงๆเพราะพอผมหันไปหาก็เห็นเจ้าตัวหน้าแดงแจ๋ แถมพี่หล่งก็ยังหัวเราะอย่างไม่เกรงใจกันเสียอีก
ผมกับนะนั่งคุยกับพี่หล่งต่อระหว่างที่รอมุ้ยให้นมลูกเสร็จ พอยายตัวดีเดินลงมา ผมก็เห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้ว จึงขอลาเพื่อพานะกลับเสียที
“อ้าว ไม่อยู่กินข้าวเย็นด้วยกันล่ะ เห็นว่าวันนี้เดี๋ยวพ่อกับแม่เค้าจะซื้อกับข้าวมาเยอะแยะเลยนะ”
มุ้ยเอ่ยทักขึ้น ผมเลยส่ายหน้า “วันนี้ขอตัวก่อนแล้วกัน ฝากสวัสดีพ่อกับแม่พี่หล่งด้วย บอกว่าเดี๋ยววันหลังว่างๆจะมาใหม่ พี่หล่งผมไปก่อนนะ”
“เออ ขอบใจสำหรับของฝากวันนี้นะ ขับรถกลับกันดีๆล่ะ”
หลังจากล่ำลากันแล้ว มุ้ยกับพี่หล่งก็เดินมาส่งผมกับนะที่หน้ารั้ว แต่พอนะหันกลับไปจะไหว้ทั้งสองคนอีกที มุ้ยก็ดึงนะไปกอดจนเจ้าตัวกะพริบตาปริบๆเพราะตั้งตัวไม่ทัน พี่หล่งเลยหันไปถามภรรยาตัวเอง
“ทำอะไรกับแฟนชาวบ้านเขาน่ะ?”
“ก็เห็นน้องนะแล้วอยากกอดนี่ มีปัญหาหรือไง?”
พี่หล่งหรี่ตามองมุ้ยที่ทำหน้ายียวนทั้งที่ยังไม่ปล่อยนะจากอ้อมแขน แต่ผมว่ารอยยิ้มของรุ่นพี่ผมดูแล้วโคตรเจ้าเล่ห์ยังไงบอกไม่ถูก
“ตอนนี้น่ะไม่มี แต่คืนนี้ไม่รู้”
มุ้ยได้ยินก็ปล่อยน้องนะแล้วหันไปตีแขนพี่หล่งดังเพียะ แถมคราวนี้เป็นไหล่คนละข้างกับที่โดนไปเมื่อกลางวันเสียด้วย ผมล่ะสงสัยขึ้นมาจริงๆจังๆแล้วว่าที่พี่หล่งติดใจมุ้ยจะเป็นเพราะยายตัวดีชอบเล่นเจ็บๆเสียกระมัง
“วันหลังมากันอีกนะอ๊อฟ น้องนะ”
มุ้ยร้องบอกผมเป็นครั้งสุดท้ายหลังจากผมกับนะเดินมาถึงที่รถแล้ว พอมองกลับไปอีกทีก็เห็นพี่หล่งกับมุ้ยเดินจูงมือกันเข้าไปในบ้าน ผมละตามอารมณ์คู่นี้ไม่ทันเลยจริงๆ แต่ดูท่าทางแล้วคงไม่ต้องห่วงว่าจะมีปัญหาหึงหวงนอกใจหรือเลิกกันเป็นแน่ ก็เล่นหยอกกันร้อนแรงซะขนาดนี้ตั้งแต่กลางวันแสกๆนี่นา
“สงสัยอีกไม่เกินปีน้องพู่กันคงได้มีน้องแหงๆ”
ผมเอ่ยขึ้นพลางเข้าเกียร์ออกรถ นะได้ยินที่ผมพูดก็หัวเราะ แต่เจ้าตัวคงเข้าใจว่าผมหมายความว่ายังไง เพราะแก้มสองข้างเป็นสีแดงนิดๆ ผมเลยอาศัยจังหวะที่จอดรถตรงทางแยกเข้าซอยบ้านเพื่อรอดูว่ามีรถสวนหรือไม่ แล้วก็ยื่นตัวไปหอมแก้มคนข้างๆเสียทีหนึ่ง
“อื้อ อะไรเนี่ยพี่อ๊อฟ”
นะถามอย่างงุนงงเมื่อผมหันกลับไปข้างหน้าและขับรถออกจากหมู่บ้านต่อ ผมเลยจับมือของนะข้างหนึ่งมากุมไว้
“ก็ตอนเดินออกมาจากบ้านพี่เห็นเราทำท่าซึมๆน่ะสิ ทั้งที่ตอนเล่นกับหลานยังหัวเราะอยู่เลย พี่ว่าที่มุ้ยกอดนะตอนกำลังจะกลับกันก็คงเพราะเห็นเหมือนพี่นี่แหละ มีอะไรหรือเปล่า?”
ผมถามขึ้น เพราะผมมั่นใจว่าตัวเองจับสังเกตอาการของนะได้แน่นอนเพราะความที่เราคบกันมาหลายปี ส่วนมุ้ยก็คงดูออกเพราะสัญชาตญานของความเป็นแม่นั่นเอง ทั้งที่เมื่อก่อนยายนั่นไม่มีทางจะสังเกตเรื่องเล็กๆน้อยๆแบบนี้ออกเด็ดขาด
นะขยับนิ้วที่ยังอยู่ในอุ้งมือผมไปมาครู่หนึ่ง ใบหน้าหวานดูยุ่งยากใจเล็กน้อย แต่เจ้าตัวก็คงรู้เหมือนกันว่าถ้าหากไม่ตอบผมก็คงไม่สบายใจไปด้วย สุดท้ายก็เลยถอนหายใจเบาๆ
“คือ...นะได้ยินที่พี่หล่งถามพี่อ๊อฟนะ ถึงพี่หล่งจะคิดว่าพูดเบาแล้วก็เถอะ”
ผมเลิกคิ้วเมื่อได้ยินนะอธิบายด้วยเสียงอุบอิบ แต่ก็เข้าใจทันทีว่าคำถามที่เจ้าตัวได้ยินคือคำถามไหน ผมจึงบีบมือของนะแน่นขึ้นอีก
“พี่หล่งเขาก็ถามไปอย่างนั้นเอง นะไม่ได้ยินเหรอที่พี่เขาลงท้ายว่าถ้าหากพี่นอกใจนะล่ะก็จะมาจัดการพี่น่ะ?”
นะเม้มปากแล้วก็พยักหน้า แต่ว่าตรงหัวคิ้วยังมุ่นอยู่นิดๆ “ได้ยิน...แต่ถึงงั้นก็เถอะ พี่อ๊อฟเคยมีความคิดแว้บๆในหัวอย่างที่พี่หล่งถามบ้างหรือเปล่า?”
น้ำเสียงของคนพูดบ่งบอกว่าเจ้าตัวหวั่นไหวกับคำถามของพี่หล่งพอสมควร ตอนนี้ผมเลยชักหงุดหงิดขึ้นมาที่รุ่นพี่ของผมถามคำถามนั้นโดยไม่รอให้เราห่างจากรัศมีการได้ยินของนะเสียก่อน เพราะถึงแม้นะจะรู้ดีว่าผมรักเจ้าตัวแค่ไหน แต่กับเรื่องละเอียดอ่อนแบบนี้ย่อมทำให้เจ้าตัวคิดมากได้อยู่แล้ว
“ไม่เคย”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ผมก็ตอบเสียงหนักแน่นโดยไม่สงสัยตัวเองเลยสักนิดเดียว อาจเป็นเพราะผมไม่ใช่คนที่ชอบมาคิดจุกจิกว่าถ้าหากตอนนั้นผมไม่ทำอย่างนี้แล้วตอนนี้ชีวิตผมจะเป็นยังไง ดังนั้นผมจึงไม่เคยนึกถึงชีวิตอีกแบบที่มีใครอื่นอยู่เคียงข้างที่ไม่ใช่นะเลยสักครั้ง และมีแต่อยากทำให้ทุกวันที่เราได้อยู่ด้วยกันเป็นวันที่ดีของเราทั้งคู่เท่านั้น
“นะไม่ต้องคิดมากนะ”
ผมเอ่ยย้ำแล้วยกมือที่จับมือนะเมื่อครู่ขึ้นลูบผมอีกฝ่ายเบาๆ จากนั้นก็ละมือมาจับพวงมาลัยรถเหมือนเดิม หลังจากนั้นก็ไม่มีคำพูดใดๆหลุดลอดจากริมฝีปากของเราสองคนอีกเลยตลอดทางกลับคอนโด
หลังจากจอดรถที่ที่จอดประจำเรียบร้อย ผมกับนะก็ขึ้นลิฟต์ไปที่ห้องบนชั้นสิบหก แต่ว่าก็ยังไม่มีใครพูดอะไรก่อน จนกระทั่งผมเปิดประตูห้องแล้วพวกเราสองคนเดินเข้าไปข้างในแล้วนั่นแหละ ผมถึงชะงักเพราะโดนกอดเอวจากด้านหลังแน่น
“พี่อ๊อฟ โกรธนะเหรอ?”
พอได้ยินคำถามนั้นผมก็อยากเอาหัวตัวเองโขกฝาแรงๆสักที เพราะดูเหมือนท่าทางของผมจะทำให้นะเข้าใจผิดไป ผมก็เลยแงะมือของนะออกแล้วหันกลับไปดึงร่างเล็กเข้ามากอด
“เปล่าครับ พี่จะโกรธนะทำไมล่ะ แต่พี่ไม่อยากให้เราคิดมาก พี่หล่งก็คงรู้สึกผิดเหมือนกันถ้ารู้ว่าทำให้นะคิดมากแบบนี้ เพราะงั้นนะเลิกคิดเรื่องนี้ได้แล้วนะ”
พ่อหนูน้อยเกลือกแก้มกับอกผม จากนั้นก็กอดเอวผมแน่นขึ้นแล้วเงยหน้าขึ้นมาหา ในแววตากลมโตยังดูมีร่องรอยของความกังวลอยู่
“พี่อ๊อฟไม่เคยนึกเสียดายจริงๆนะ?”
นี่คบกันมานานขนาดนี้แล้วยังต้องสงสัยอีกหรือ ผมนึกอ่อนใจจนอยากจะหัวเราะออกมา แต่ก็กลัวว่าเดี๋ยวจะกลายเป็นทำให้นะงอนไปเสียอีกเพราะนึกว่าผมไม่เห็นความสำคัญของคำถามนั้น ผมเลยเลือกตอบด้วยวิธีที่ไม่ต้องเลือกคำพูด และเป็นวิธีที่จะทำให้นะแน่ใจได้รวดเร็วที่สุด
“พี่อ๊...”
ผมก้มลงปิดริมฝีปากนิ่มด้วยริมฝีปากตัวเองก่อนที่นะจะทันเอ่ยชื่อผมเสร็จ จากนั้นก็รั้งร่างเล็กเข้าหามากเข้าขณะที่พาเดินไปทางห้องนอนไปด้วย แม้พ่อหนูน้อยจะทำท่าเหมือนไม่ทันตั้งตัวในตอนแรก แต่ไม่นานเจ้าตัวก็หลับตาและปล่อยให้ผมพาเข้าห้องนอนแต่โดยดี เมื่อเจ้าตัวลืมตาขึ้นอีกครั้งก็คือตอนที่ผมพาล้มลงบนเตียงแล้ว
“พี่อ๊อฟ...ไม่หิวข้าวเหรอ?”
นะเอ่ยถามขึ้น แก้มเนียนทั้งสองข้างซับสีเลือดจนเป็นสีชมพูเข้ม แต่มือสองข้างที่โอบคอผมไว้แน่นก็บอกให้รู้ว่าเจ้าตัวไม่คิดจะปล่อยผมให้เป็นอิสระในวินาทีนี้แน่ๆ ผมจึงก้มลงเอาจมูกดุนกับจมูกเจ้าตัวเบาๆเหมือนที่นะทำกับน้องพู่กันเมื่อตอนบ่าย
“ข้าวน่ะยังไม่หิว ตอนนี้พี่หิวนะมากกว่า”
“ทะลึ่ง”
ทั้งที่ปากพูดอย่างนั้น แต่เจ้าตัวกลับโน้มคอผมลงไปหาทั้งที่ยังหัวเราะเสียงเบา ผมจึงฟัดซอกคอขาวที่โผล่พ้นคอเสื้อของเจ้าตัวขึ้นมา และเมื่อเห็นรอยยิ้มของอีกฝ่ายพร้อมทั้งแก้มแดงๆของคนที่กำลังยื่นมือมาปลดกระดุมเสื้อให้ ผมก็มั่นใจว่าผมไม่สงสัยกับคำตอบที่ให้พี่หล่งไปเมื่อตอนบ่ายเลยแม้แต่นิดเดียว
สิ่งสำคัญสำหรับแต่ละคนอาจจะต่างกันออกไป แต่ถ้าหากว่าพบสิ่งนั้นแล้ว ก็ไม่เห็นจำเป็นจะต้องตั้งคำถามและสงสัยกับสิ่งที่ตัวเองมีเลยสักนิด หากว่าสิ่งนั้นคือสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขอยู่แล้ว และผมก็มั่นใจว่าคำตอบของผมจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงต่อให้ใครมาถามคำถามเดียวกับพี่หล่งสักกี่ครั้ง
ก็ในเมื่อ...ทุกสิ่งที่ผมต้องการอยู่ในอ้อมแขนของผมแล้วนี่นา...
++--- End กับสิ่งที่มี ---++