บรรยากาศยามเช้าของวันนี้ค่อนข้างสดชื่นมากกว่าทุกวัน โดยเฉพาะชวินที่นั่งยิ้มรับมื้อเช้า อันที่จริงคือยิ้มไม่หุบตั้งแต่เมื่อวานตอนที่พ่อเดินมาบอกว่าพระอาจารย์จะส่งลูกศิษย์มาช่วยถึงบ้าน...ความช่วยเหลือกำลังจะมาแล้ววววว
“หาหมอไหมลูก พ่อว่าอาการหนักนะ” กฤษณะแซวลูกชายที่นั่งยิ้มเหมือนคนไร้สติ ไม่รู้ดีใจที่จะช่วยผีเด็กพยูได้หรือดีใจที่ตัวเองจะไม่ต้องโดนผีหลอกอีกกันแน่
“พ่อไม่เข้าใจจิตใจอันบอบบางของชวินหรอก พ่อไม่เคยรู้ว่าลูกชายคนนี้ผ่านอะไรมาบ้างกว่าจะกลับมานั่งตรงหน้าพ่อได้อย่างนี้”
“พอๆ ไม่งั้นจับส่งโรงฯ บาลจริงๆ นะ”
“ส่งไปเลยพ่อ นับวันยิ่งเพี้ยน” เต้บ่นเพื่อนที่เล่นใหญ่เกินหน้านักแสดงตัวจริงที่นั่งใกล้ๆ ชวินกำลังจะเอ่ยเถียงแต่แม่บ้านเดินเข้ามาแจ้งพอดีว่าแขกที่ให้รถไปรับมาถึงแล้ว
ชายสูงวัยรูปร่างผอมสูงผิวคล้ำเดินตามแม่บ้านเข้ามาถึงห้องรับแขก เจ้าบ้านอย่างกฤษณะลุกขึ้นรับไหว้จากคนอายุอ่อนกว่าแล้วเรียกมานั่งข้างๆ
“เด็กๆ นี่อาวุฒิ เป็นลูกศิษย์พระอาจารย์ที่พ่อบอก วุฒิคนนี้ชวินลูกชายพี่ น่าจะคุ้นกันอยู่แล้วนะ ส่วนนี่สิงหา โบ้ เต้ เพื่อนลูกชายพี่เอง”
“สวัสดีครับๆ ไม่เจอกันนาน พี่สบายดีนะ”
“เรื่อยๆ ล่ะช่วงนี้ กำลังทำงานใหญ่เลยยุ่งๆ ไม่ค่อยได้ไปหา เราล่ะสบายดีนะ” กฤษณะถามไถ่ทุกข์สุขเพื่อนรุ่นน้องที่ไม่ได้เจอกันมาหลายเดือน ผู้ใหญ่คุยกันเหมือนลืมจุดประสงค์หลักวันนี้ไปแล้ว ชวินที่ใจร้อนกว่าเพื่อนเลยแอบสะกิดเอวพ่อเบาๆ
“มีสะกิดๆ ไอ้เด็กพวกนี้มันใจร้อน คงเบื่อฟังเราคุย เข้าเรื่องกันเลยแล้วกัน”
“ครับพี่ ผมยังไม่รู้อะไรเลยนะครับ อาจารย์บอกให้มาช่วยผมก็มา พี่ณะมีเรื่องอะไรเหรอครับ”
“ไม่ใช่เรื่องพี่หรอก ปัญหาของเด็กๆ น่ะ พวกนี้ไปเจอผีมา ให้เขาเล่าเองแล้วกัน” กฤษณะเปิดโอกาสให้กลุ่มเด็กๆ เป็นคนเล่า ทุกคนผลัดกันเล่ารายละเอียดทุกอย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง มีเกินจริงบ้างนิดหน่อยจากคำพูดชวินแต่สิงหาก็ช่วยแก้ไข วุฒินั่งฟังอย่างตั้งใจ ไม่มีอาการแปลกใจหรือตกใจในเรื่องราวที่ได้ยิน สมัยก่อนเขาเคยบวชฝากตัวเป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิพระอาจารย์อยู่สิบสี่พรรษา ก่อนจะสึกออกมาเพื่อดูแลบุพการี แต่ยังคงถือศีลเคร่งครัดสม่ำเสมอ งานบุญใดไม่เคยนิ่งเฉย งานบางอย่างที่พระอาจารย์ไม่สะดวกมาช่วยก็จะมีลูกศิษย์ช่วยๆ กันแบ่งเบาภาระ ครั้งนี้ก็เช่นกัน
“อืม...เท่าที่อาฟังแล้ววิญญาณเด็กน่าจะบริสุทธิ์มาก ตอนมีชีวิตเป็นเด็กดีไม่เกเรความชั่วมีน้อย บาปมีน้อย ตอนตายไม่มีความแค้น วนเวียนอยู่แต่ความทรงจำตัวเอง ทำเรื่องเดิมๆ ที่เคยทำ วิ่งเล่น แอบคนร้าย รอพ่อ ที่หนุ่มๆ คิดมาอาก็เห็นด้วย ส่วนคนพ่อนี่ก่อนตายเขารู้ตัว เขาสู้ มีความโกรธแค้น ความกลัว เป็นห่วงลูก จิตขณะตายเขายึดติดตรงนั้นก็วนเวียนแค่นั้น จิตก่อนตายเนี่ยสำคัญ ไม่ว่าจะพูดในแง่ธรรมะหรือวิทยาศาสตร์ก็คล้ายๆ กัน ถ้าหากไม่เชื่อเรื่องผีน่ะนะ”
“คล้ายกันยังไงเหรอครับ” โบ้ถามอย่างสนใจเพราะไม่เคยมีใครบรรยายเรื่องแบบนี้ให้ฟังมาก่อน
“อาไม่พูดถึงเรื่องตายนะ อันนี้ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าขับรถกลับบ้านดึกๆ ดื่มมานิดหน่อยมึนๆ ถนนนี่มืดเลย แล้วอยู่ดีๆ ปัง! สติเราวูบดับไป ตื่นมาอีกทีคิดว่าจะคิดว่าตัวเองอยู่ที่ไหน”
“ในรถ” เต้ตอบคนแรก
“บ้าน” ตามด้วยชวิน
“โรงพยาบาล” โบ้และสุดท้ายคือสิงหา
“โรงฯ บาลเหมือนกันครับ”
“นี่ไงที่อาบอก จิตสุดท้ายขณะนั้นยึดติดกับอะไรก็จะวนเวียนไปกับสิ่งนั้น อาบอกแค่ว่า ปัง! อาจคิดไปว่ามีรถชน ไม่น่าจะหนักก็น่าจะตื่นมาอยู่ในรถเหมือนเดิม หรือรู้นั่นแหละว่ารถชนแน่ๆ คงวูบไปฟื้นที่โรงพยาบาลเลย ส่วนที่ตอบว่าบ้านอาจเคยทำ เมาแล้วขับกลับมาถึงบ้านได้ไงว้า”
“ฮ่าๆๆ” ชวินหัวเราะไม่สบตาพ่อเพราะเคยทำจริงๆ
“นั่นล่ะที่ลุงจะบอก พ่อลูกคู่นี้วนเวียนในสิ่งที่ยึดติดก่อนตาย คนหนึ่งอยู่ในตู้ คนหนึ่งอยู่ที่โกดัง”
“แล้วทำไมเขาไม่มาหากันล่ะครับ ในเมื่อก็คิดถึงกันอยู่” สิงหาถาม
“ในเรื่องพวกนี้ไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่าวิญญาณมีการติดต่อสื่อสารกันหรือเปล่า แต่อาเชื่อเรื่องเวลา เวลาเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น จิตหรือวิญญาณก็เช่นเดียวกัน เมื่อเขาวนเวียนในช่วงเวลาหรือในสถานที่ที่เขาคิดถึง นั่นคือห้วงเวลาของเขา ที่เล่าว่าไปเอาของในห้องตอนกลางวันก็ยังออกมาหลอก ความจริงในห้วงเวลาที่เขาวนเวียนอยู่มันอาจไม่มีกลางวันกลางคืนก็ได้ อาไม่รู้หรอกว่าอะไรทำให้เขาออกมาแสดงตัวบ่อยขึ้น อาจเพราะจำชวินได้ หรือเพราะอย่างอื่น เราไม่จำเป็นต้องรู้ ตอนนี้ก็รู้แค่ว่าเขาเป็นเด็กที่วนเวียนที่นั่นเพื่อรอพ่อมารับ ส่วนพ่อเขาก็กำลังโกรธแค้นและปกป้องลูกตัวเองอยู่เช่นกัน”
“หมายความว่าลุงโพนก็อาจจะไม่รู้ตัวว่าตายแล้วงั้นเหรอครับ” ชวินถาม ถ้าพยูออกมาหาเขาบ่อยๆ เพราะไม่รู้ตัวว่าตาย ลุงโพนก็น่าจะเป็นเหมือนกัน
“ก็อาจจะ ที่เล่ามาคือเขาสู้ยิบตาเลยใช่ไหม เขาคงโดนทำร้ายหนัก อาจจะสลบไปก่อนที่จะโดนฆ่าก็ได้ เป็นแค่การคาดเดา แต่ที่ยืนยันได้คือเสียงตะโกน เขาตะโกนว่าอะไรนะ” วุฒิถามชี้นำให้ชายหนุ่มกลุ่มนี้คิดตาม ดูจากท่าทางการพูดจาน่าจะเป็นคนหนุ่มที่เปิดกว้างทางความคิด คนแบบนี้คุยด้วยง่ายและทำให้งานนี้ง่ายกว่าเดิม
“....ช่วยด้วย....คนที่นั่นได้ยินเสียงร้องว่าช่วยด้วย” ชวินเอ่ยตอบ
“ใช่...เขาร้องให้ช่วย ไม่ใช่ช่วยแค่เขา แต่ช่วยลูกเขาด้วย ลูกน้อยที่เขาเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อไม่ให้โจรเข้าไปในโกดัง” วุฒิมองลูกชายเพื่อนรุ่นพี่ที่มีสีหน้าสลดลง ความสนิทสนมกับสองพ่อลูกนี้ตอนมีชีวิตทำให้เกิดความสงสาร แต่สงสารมากไปก็ไม่ดี ทำให้จิตใจเป็นทุกข์เปล่าๆ คนเป็นคนตายอย่างไรก็อยู่คนละโลก การยึดติดแบบนี้ไม่ใช่เรื่องดี
“ผมอยากช่วย อาแนะนำวิธีช่วยพ่อลูกคู่นี้ได้ไหมครับ”
“อาต้องบอกก่อนนะว่าอาไม่ใช่หมอผีคนทรงเจ้าอะไรแบบนั้น และที่วนเวียนอยู่นี่อาก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่าเป็นวิญญาณทั้งดวง หรือแค่เสี้ยวดวงจิตที่ยึดติดก่อนตาย”
“มันต่างกันเหรอวุฒิ” กฤษณะเอ่ยถามครั้งแรกเพราะเขาไม่เคยสนใจเรื่องนี้มาก่อน แต่เคยได้ยินได้ฟังมาบ้าง
“ก็แทบไม่ต่าง อย่างของขลังบางอย่างหรือสถานที่บางแห่งที่ผู้คนนับถือ เรานับถือที่ความดีเขาใช่ไหมพี่ คนดีมีบุญมากตามความเชื่อตายแล้วต้องขึ้นสวรรค์หรือไปเกิด แต่ทำไมของยังขลังอยู่ ทำไมยังตั้งศาลกราบไหว้ขอนั่นนี่หรือกระทั่งมีคนเคยเห็น ตัวผมเองเชื่อว่านั่นเป็นแค่เสี้ยวดวงจิตที่ยังอยู่ นานวันเข้าก็จะเสื่อมสลายไป ของขลังบางอย่างนานๆ ไปก็ไม่ขลัง หรือพวกบ้านผีสิงที่ว่าเฮี้ยนๆ แต่คนรุ่นหลังไปลองของกันเป็นว่าเล่นบอกไม่เห็นเจออะไร มันอาจเคยมีแต่เสื่อมสลายไปแล้ว”
“นั่นหมายความว่าถ้าในห้องสิงเป็นแค่เสี้ยว เราก็ไม่ต้องทำอะไรก็ได้ เดี๋ยวก็หายไปเอง” กฤษณะตีความตามคำพูดอย่างรวดเร็ว
“ห้องสิงนี่ผมไม่แน่ใจนะ เหมือนเขาจะเป็นดวงจิตทั้งดวงมากกว่า เพราะการกระทำเขาไม่ได้วนลูป แต่พ่อเขาที่โกดังผมว่าเป็นแค่เสี้ยวดวงจิตนะ ไม่งั้นคงไม่ทำอะไรซ้ำๆ เดิมตลอด ขนาดรื้อโกดังทิ้งก็ยังทุบอยู่เลย ของมันไม่มีแล้วเขาทุบอะไร ที่เขาทุบคือความทรงจำที่ยังยึดติดเอาไว้ในช่วงเวลาก่อนตาย หรือแม้แต่การที่เขาดึงขาคนโน้นคนนี้ก็บอกไม่ได้ว่าเป็นเศษเสี้ยวหรือดวงวิญญาณ เพราะเราไม่เห็นเหตุการณ์ต่อสู้ของเขา มันพูดยากเหมือนกันนะพี่ แต่ให้เดาคิดว่าคนพ่อนี่น่าจะแค่เสี้ยว” วุฒิพยายามอธิบายให้ทุกคนเข้าใจ เขาเองไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญแม้จะเคยแก้ปัญหาแบบนี้ให้หลายคน แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่มานั่งเปิดตำราแล้วแก้ได้เลย ต้องลองเดาทางกันทั้งนั้น
“งั้นเราจะทำยังไงล่ะ ที่นึงอยู่ครบ อีกที่มีเสี้ยวเดียว” กฤษณะมองหน้าลูกชาย ลึกๆ เขาก็สงสารและไม่ต้องการให้ลูกต้องยุ่งเกี่ยวกับปัญหานี้อีกแล้ว ต้องหาทางแก้ และแก้ให้เร็วที่สุด
“ต้องลองดูก่อน ถ้าเขาผูกพันกับลูกมาก แค่เสี้ยวเดียวก็มีผล” วุฒิพูดอย่างหนักแน่น สองพ่อลูกที่ต้องตายจากกันในสภาพนี้ชวนให้สงสารพอแล้ว ถ้าช่วยให้ทั้งคู่ได้อยู่ด้วยกันได้เร็วเท่าไรก็ยิ่งดี แต่เขาสังหรณ์ใจว่าเรื่องนี้มันไม่ง่าย
เสียงริมฝีปากเป่าลมระบายความเผ็ดภายในปากดังสลับเสียงสูดเส้นเข้าปากคำใหญ่ ปากเล็กๆ อมเส้นขนมจีนน้ำยาป่าไว้เต็มปาก เคี้ยวจั๊บๆ เด็ดผักชีฝรั่งใส่ปากตามเข้าไป เคี้ยวไปกลืนไป หมดคำก็หยิบปีกไก่ทอดมาแทะต่อ
“คุณสิงอิ่มแล้วเหรอ ไก่ทอดอร่อยนะ เข้ากัน”
“ผมกินเร็วอิ่มเร็ว เดี๋ยวแทะไก่เป็นเพื่อน” สิงหาหยิบปีกไก่มานั่งแทะจริงๆ น่านนทียิ้มแป้นแก้มกลมดิกเพราะตักขนมจีนคำใหม่เข้าปากคำใหญ่ เส้นในจานหมดแล้ว เติมอีกสักครึ่งจับพอ ตักน้ำยาราดโชกๆ ลูกชิ้นปลากรายสองลูกเน้นๆ เด็ดผักใส่เยอะๆ ถั่วงอกเอย ผักดองเลย ขาดไม่ได้คือผักชีฝรั่งที่เข้ากันมากๆ ผักชักเยอะไปละ น้ำแห้งเลย เติมน้ำยาอีกนิด มองเส้นไม่เห็นเลย เติมเส้นหน่อยแล้วกัน
“ดูมันกินนะพี่สิง เติมไปเรื่อย” แม่น่านนทีอดแขวะลูกชายตัวเองไม่ได้ คนอื่นเขาอิ่มกันแล้วเจ้าตัวดีนี่ยังไม่หยุด วันนี้สิงหาพามาส่งหลังเลิกงานเพราะเธอย้ำกับลูกชายแล้วว่าให้ชวนมา จะทำขนมจีนน้ำยาหม้อใหญ่ อยากให้มาลอง แต่คนที่ถูกใจคือคนที่ทั้งมือทั้งปากเลอะไปหมดนี่ล่ะ
“ฮ่าๆๆ ของชอบเขาครับ บ่นตลอดว่าอยากกินๆ แต่แม่ทำอร่อยจริงๆ นะครับ ผมก็ไม่ได้กินนานแล้วเหมือนกัน”
“ชอบก็เติมอีกนิด แข่งกับเจ้าปิงหน่อย เห็นลูกกินทีแม่ใจสลาย เหมือนแม่เลี้ยงให้อดๆ อยากๆ”
“แม่อะ ก็แม่ทำอร่อย แซ่บดี หอมกระชายด้วย ซื้อข้างนอกปลาก็น้อยแถมไม่หอมอีก แม่ต้องภูมิใจสิที่ลูกรักฝีมือแม่ขนาดนี้”
“จนคนอื่นเขาอิ่มหมดละ เรายังเติมไม่หยุดเลย”
“แม่อะ”
“ให้ลูกกินไปเถอะน่า แม่ขึ้นมาดูทีวีกับพ่อมา” พ่อตะโกนลงมาช่วยลูกรักจากชั้นสอง น่านนทีลอยหน้าลอยตาอวดแม่ที่มีคนเข้าข้าง”
“เหลือไก่ไว้ให้พี่เขาด้วยล่ะ ไม่ใช่กินเพลิน อิ่มก็พอ”
“กินไปเลยลูก หมดเดี๋ยวทอดใหม่ หมักไว้ตั้งเยอะ” พ่อยังคงตะโกนช่วยอีกครั้งจนแม่หมั่นไส้แกล้งบีบแก้มป่องๆ จนขนมจีนเกือบทะลักออกจากปาก
“แอ๊!!” น่านนทีดึงหน้าหนีแม่ตัวเองอย่างยากลำบากเพราะกลัวอาหารพุ่งออกมา แค่นี้สิงหาก็นั่งหัวเราะเขาจนอิ่มแล้ว
หลังผู้ใหญ่แยกตัวไป น่านนทีก็เริ่มถามความคืบหน้าของแก๊งปราบผี โดยกำชับให้สิงหาเลือกใช้คำที่ไม่น่ากลัว หรือข้ามอะไรที่น่ากลัวๆ ไปให้หมดเลยก็ได้ เล่าย่อๆ แบบไม่ต้องหลอนมาก สิงหาอมยิ้มก่อนเรียบเรียงคำพูดก่อนเล่าเรื่องพยูให้ฟัง แน่นอนว่าเรื่องของพยูกับพ่อไม่น่ากลัวแต่กลับน่าสงสารมากกว่า คนเตรียมตัวยกมือปิดหูก็ย้ายมาปาดน้ำตาตัวเองแทน เป็นแค่เด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้นเอง พ่อของพยูก็น่าสงสาร คงเป็นห่วงลูกมาก
“แล้วตกลงต้องทำอะไรบ้างถึงจะช่วยพ่อลูกคู่นี้ได้”
“ตอนนี้ก็ต้องหาวันก่อนว่าเขาเสียชีวิตวันไหน ถ้าทำพิธีวันครบรอบวันตายก็อาจจะได้ผลดีกว่า แต่ถ้าต้องรอนานมากก็ไม่จำเป็น แล้วก็ต้องไปติดต่อเจ้าของที่คนใหม่นั่นด้วยเพราะเราต้องไปทำพิธีที่นั่น พวกนี้ชวินกับเต้อาสาจัดการเอง”
“แล้วตู้คุณสิงล่ะ ต้องรื้อด้วยไหม”
“ต้องรื้อไปด้วย น่าจะต้องเผาทิ้งหรือไม่ก็เอาไปบริจาคให้วัดก็ได้ ต้องถามอาวุฒิอีกที” เรื่องตู้เขาเคยถามอาวุฒิแล้วว่าที่พยูออกมาอาละวาดหนักจะเกี่ยวกับพระพุทธรูปที่เอาไปใส่หรือเปล่า อาวุฒิไม่ได้ตอบอะไรแค่ถามให้คิดว่าคนดีต้องกลัวพระไหม...วิญญาณบริสุทธิ์ดวงหนึ่ง ทำไมต้องกลัวพระ
“เผาไม่ดีกว่าเหรอ ในเมื่อน้องติดอยู่ในตู้ เขาจะได้ไปเกิด”
“อาวุฒิบอกว่าเรื่องผีเนี่ยไม่เคยมีใครรู้จริงหรอก ส่วนมากลองผิดลองถูกทั้งนั้น อาศัยความเชื่อของตัวเองทดลองไปเรื่อย ตัวอาวุฒิเองเชื่อว่าพยูยึดติดกับคำพูดของพ่อมากกว่า ตอนเจอพวกโจรลุงโพนอาจบอกให้ลูกไปซ่อนตัว ส่วนตัวเองก็ปิดประตูโกดังอยู่ข้างนอกแล้วตะโกนหาคนมาช่วย ที่เด็กยึดติดจริงๆ อาจเป็นคำพูดของพ่อ ไม่ใช่ตู้ แต่นี่ก็แค่การเดาเอาเองล้วนๆ ถ้าทำพิธีแล้วเขาหายไป ตู้ก็เอาไปบริจาคตามวัดตามโรงเรียนจะเกิดประโยชน์กว่า ไม้แท้นะ แผ่นใหญ่เนื้อแข็ง ทำประโยชน์ได้มากกว่าเผาทิ้งเฉยๆ ถือว่าทำบุญให้สองพ่อลูกได้อีกทาง”
“ยังไงก็ได้ ขอแค่ไม่เอากลับไปตั้งในห้องเหมือนเดิมก็พอ”
“ตกลงสงสารหรือกลัวเนี่ย ตาแดงหมดแล้ว” สิงหาดึงทิชชู่เช็ดมือตัวเองก่อนส่งอีกแผ่นให้คนรักซับน้ำตา แต่น่านนทีเอาไปเช็ดปากแล้วหยิบปีกไก่มาแทะต่อ
“ก็สงสาร แต่ไม่ต้องเจอกันได้ไหมเล่า เดี๋ยวพาไปหาพ่อ”
“พูดเหมือนจะไปทำพิธีด้วยเลย ว่าไงครับ สนใจไหม”
“ไม่เอาอะ ปิงกลัว” เขาส่ายหัวจนหน้าสั่น ขออยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ เหมือนเดิม
“ไม่อยากเห็นเหรอ ไหนๆ ก็เคยเจอเขาที่ห้อง ถือว่าไปอโหสิกรรมครั้งสุดท้าย” สิงหาแกล้งตื้อเอ่ยชวนอีกครั้ง
“ขออโหสิที่บ้านได้ไหม เดี๋ยวใส่บาตรให้ทุกวันเลย นะๆๆ ปิงไม่ไปนะ”
“ครับ ผมก็ล้อเล่น ไม่ต้องไปน่ะดีแล้ว เดี๋ยวผมพะวงเปล่าๆ แค่ชวินคนเดียวก็ห่วงจะแย่แล้ว กลัวมันโดนอะไรอีก ทั้งพยูทั้งลุงโพน มันดันรู้จักทั้งคู่เลย”
“พี่ชวินจะไปเหรอ เดี๋ยวก็ช็อกอีกหรอก” พูดถึงชวินเขาก็เป็นห่วงเหมือนกัน พ่อบอกว่าคนจิตอ่อนโดนผีหลอกง่าย แล้วนี่จะไปพิธีไล่ผีด้วย ถ้าเกิดโดนสิงอีกรอบหรือเห็นอะไรจังๆ อีกจะทำไง
“มันร้องไห้เลยนะตอนรู้เรื่อง กลัวจะช็อกอีกเหมือนกัน แต่มันยืนยันว่าจะไปส่งน้องกับพ่อ”
“แล้วพ่อแม่คุณสิงตกลงจะมาเมื่อไร ปิงตื่นเต้น” น่านนทีเปลี่ยนเรื่อง เขารู้เท่าที่อยากรู้แล้ว เอาไว้จบเรื่องค่อยให้สิงหาเล่าให้ฟังอีกที
“วันจันทร์หน้าโน่นเลย ไม่ใช่จันทร์ที่จะถึงนี้นะ มาถึงเช้ามืดเลย สนใจไปรับพ่อแม่ผมด้วยกันไหม”
“ไม่เอา ปิงเขิน ขอรอต้อนรับที่คอนโดฯ แทนนะ”
“จองตัวไปดินเนอร์แล้วนะ ห้ามลืมห้ามเบี้ยว”
“ครับๆ ไม่เบี้ยวหรอกน่า”
“เฮ้ยๆๆๆ ทำอะไรกัน โห ไอ้อ้วน แทะกระดูกเป็นกองเลย เหลือให้พี่บ้างเปล่าเนี่ย” เสียงสมุทรดังลั่นบ้านเมื่อเดินเข้ามาแล้วเห็นน้องชายนั่งกับแฟนตามลำพัง ถึงบรรยากาศจะไม่ได้สวีตแต่คนโสดแบบเขาเห็นแล้วอิจฉา
“โอ๊ย! พูดมาก เหลือตั้งเยอะแยะ กองนี้มันของคนอื่นรวมๆ กันเหอะ ไม่ใช่ของปิงคนเดียวสักหน่อย”
“ไปเอาจานมาให้พี่ดิ๊ รถโคตรติด เมื่อยขาไปหมดแล้ว” สมุทรนั่งลงบนเก้าอี้ แย่งแก้วน้ำน้องมาดื่ม จะแย่งไก่ด้วยแต่มันรู้ตัวเอามือหลบทัน
“ไปเอาเองงงงง เดินไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้วเนี่ย”
“ก็ไปเอาให้หน่อย บริการพี่ชายหน่อยไม่ได้ไง”
“ฮึ่ยยยย เรื่องมาก กินเสร็จล้างเองด้วย” เขาบ่นแต่ก็ต้องลุกไปหยิบจานหยิบช้อนส้อมให้ ไม่งั้นก็โดนแกล้งไม่หยุดสักที
“ทำไม อิ่มแล้วเหรอ กินเป็นเพื่อนก่อน”
“อิ่มแล้ว....เดี๋ยวแทะไก่เป็นเพื่อนก็ได้ เอาอีกไหมอะ เดี๋ยวทอดใหม่ให้” น่านนทีตาปรอยมองปีกไก่สามปีกที่เหลือในจาน
“ฮ่าๆๆๆ โทษๆ มันหลุดนะ อย่างอนนะ” สิงหาหลุดหัวเราะเมื่อเห็นแววตาใสซื่อของแฟนตัวเอง อะไรคือกินเป็นเพื่อน นี่นั่งกินมาเกือบชั่วโมงยังไม่อิ่มอีกเหรอ ฟังเรื่องพยูไปกินไปเพลินใหญ่เลยนะ
การทำพิธีช่วยพยูและพ่อไม่ใช่เรื่องง่าย ด้วยปัญหาของเวลาและสถานที่ ชวินกลับไปคุยกับลุงโชคอีกครั้งเพื่อสอบถามวันและเวลาตายของสองพ่อลูก ลุงโชคและลูกชายยินดีให้ความร่วมมือทุกอย่าง วันครบรอบวันตายคือวันที่xxเดือนหน้า ส่วนเรื่องสถานที่นั้นลุงโชคยินดีจะไปคุยกับเจ้าของใหม่ให้ เพราะฝ่ายนั้นก็เจอปัญหาเหมือนกัน น่าจะอยากให้ทำพิธีมากพอๆ กัน อาวุฒิแนะนำว่าให้ทำพิธีในวันครบรอบวันตาย โดยเริ่มจากพิธีเรียกวิญญาณพยูที่ห้องสิงหา รื้อตู้แล้วย้ายมาประกอบใหม่ที่ที่ตั้งโกดังเก่า จากนั้นค่อยเรียกวิญญาณลุงโพน สุดท้ายคือพิธีสวดให้สองพ่อลูกได้หลุดพ้นจากโลกนี้
ช่วงนี้สิงหามีเทรนเนอร์ส่วนตัวรับหน้าที่ส่งปิ่นโตอาหารเพิ่มน้ำหนักให้ทุกวันจนน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ที่ผู้กำกับต้องการก็เริ่มถ่ายทำหนังสั้นทันที เนื่องจากเป็นหนังสั้นเฉลิมพระเกียรติซึ่งจะฉายในวันหยุดราชการตอนสิ้นปี บทพูดจึงค่อนข้างสำคัญโดยเฉพาะรายละเอียดสำคัญทางวิชาการ ทุกครั้งที่มีเวลาว่างเขาจะนั่งท่องบทอยู่เสมอ
กระทั่งตอนนี้ที่เขากำลังยืนรอที่จุดผู้โดยสารฝั่งขาเข้าก็ยืนอ่านบทที่จะถ่ายในวันพรุ่งนี้สลับกับเหลือบมองข้างหน้าตลอดเวลา ผู้คนรอบข้างมีบางส่วนที่เหลือบมองมาทางเขา แม้จะใส่แว่นสวมหมวกแต่ช่วงนี้มีข่าวบ่อย คนที่จำเขาได้ก็เลยมีอยู่บ้าง บางคนก็เดินเข้ามาขอถ่ายรูปด้วย บางคนก็ชมว่าหล่อกว่าในหนัง บางคนแสดงตัวว่าเป็นแฟนคลับตั้งแต่สมัยก่อน ดีใจที่เขาไม่ได้ผอมเหมือนในรูปแล้ว รอยยิ้มที่เขามีให้ทุกคนได้รับการตอบกลับมาอย่างดี หลายคนที่แอบมองอยู่ห่างๆ จึงเริ่มเข้ามาขอถ่ายรูปมากขึ้นอย่างคาดไม่ถึง กว่าคนจะเริ่มบางตาลงจน ใบหน้าหวานๆ ของหญิงไทยสูงวัยคนหนึ่งก็มายืนอยู่ตรงหน้า ข้างกายมีฝรั่งรูปร่างสูงใหญ่ ลงพุงนิดๆ ใบหน้าคมเข้มแต่มีรอยยิ้มใจดี ทั้งคู่ยืนส่งยิ้มมาให้เขา เป็นรอยยิ้มแห่งความคิดถึง และ...ภาคภูมิใจ
“พ่อ แม่...คิดถึง...ที่สุดเลยครับ”
—¤÷(`[ ♌ ♡ ▽ ]´)÷¤—
อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาแล้วววว ก็ใกล้จบแล้วน้า
เรื่องนี้จะทำหนังสือนะคะ ก่อนจบจะทำแบบสำรวจยอดจองนิดนึง ใครสนใจฝากติดตามด้วยน้า
Fanpage :
Gwa.NovelTwitter :
Gwa_Novel