LIFE OR DEATH บันทึก(รัก)ยมทูต 27.5.19 บทส่งท้าย 100 %
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: LIFE OR DEATH บันทึก(รัก)ยมทูต 27.5.19 บทส่งท้าย 100 %  (อ่าน 11920 ครั้ง)

ออฟไลน์ Sailomcc.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
โอยย ลุ้น
สรุปว่าที่ปาร์คทำเพื่อยื้อชีวิตแม่ตัวเองเอาไว้
ส่วนฟ้าก็ได้รับพลังมืดมาจากตาแก่ แล้วก็จะส่งต่อให้ดาริณต่อไปใช่มั้ยคะ
เราเข้าใจถูกหรือป่าว  :katai1: :katai1:



เข้าใจถูกแล้วค่าาาาาาาาาาาาาาา อย่าลืมตามอ่านต่อนะคะ

ออฟไลน์ Sailomcc.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
ความสยองใกล้จะมแล้ว ตื่นเต็น ๆ   :hao3:

สยองก่อน หรือเเวะซดมาม่าดีคะ

ออฟไลน์ Sailomcc.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
11


TRUTH


ร้านเหล้าในตอนกลางวันไม่ได้ต่างอะไรไปจากร้านร้างเพราะตอนนี้คนที่อยู่ในร้านแทบจะนับคนได้ มีพนักงานที่พักอยู่บริเวณหลังร้านสองสามคนกำลังแบกกล่องเครื่องดื่มจากรถที่มาส่งหน้าร้านเพื่อเข้าไปเก็บที่โกดังด้านหลัง พ่อครัวประจำร้านกำลังตรวจเช็คของสดของแห้งอย่างเคร่งเครียด ส่วนผู้จัดการร้านอย่างอาโปก็เร่งทำบัญชีประจำเดือนเพื่อสรุปเอาไปส่งเจ้าของร้าน ถ้าใครมองเห็นอีกมุมนึงตรงเคาท์เตอร์มีคนคนหนึ่งกำลังทำหน้าเคร่งเครียดในมือถือบุหรี่ที่ยังไม่ได้จุดพร้อมกับแก้วน้ำอัดลมที่เขาไม่ได้ดื่มมานาน


ปิติภัทรนั่งจ้องไปยังบุหรี่ที่มือของตนอย่างชั่งใจ เขาเครียดจนไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนดีเพราะทางเลือกของตัวเขาเองก็มีไม่มากนัก ถ้าเขาเลือกแม่ แม่ที่เป็นคนในครอบครัวเพียงคนเดียวที่เขาเหลืออยู่ คนรักของเขาก็ต้องเดือดร้อนแต่ถ้าเขาไม่ยอมทำตามเงื่อนไขโลกหลังความตาย แม่ของเขาก็จะสิ้นอายุไขทันที


เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อสามปีก่อน


ปิติภัทรเป็นเด็กธรรมดาๆคนหนึ่งที่ยังคงอยู่ในวัยสนุกสนานและรักอิสระ เขาเที่ยวกลางคืนทุกคน รักเพื่อนกินเหล้าหนัก นอนกับผู้หญิงหรือผู้ชายทุกคนที่เขาถูกใจ เป็นเด็กนักกิจกรรมตัวยงทำให้เขาไม่ค่อยมีเวลาที่จะกลับไปบ้านเท่าไหร่นักถึงแม้ว่าที่บ้านจะมีแม่ที่รอเขากลับมาโดยตลอด จนกระทั่งวันหนึ่งระหว่างที่เขาต้องออกไปทำค่ายอาสาที่บนดอย ไร้ซึ่งสัญญาณโทรศัพท์มือถือ เขาถูกตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิงเป็นเวลากว่าเจ็ดวัน และทันทีที่กลับลงไปด้านล่างโทรศัพท์มือถือของเขาก็มีข้อความเบอร์ที่พยายามติดต่อเขาเข้ามากว่าร้อยสาย นั่นคือเบอร์ของ แม่


เขากลับไปที่บ้านกลับไม่พบผู้เป็นมารดาอยู่จึงพยายามที่จะโทรติดต่อกลับไปที่เบอร์ของแม่ตนเองหลายต่อหลายครั้งแต่ว่าเขากลับไม่สามารถติดต่อได้จนกระทั่ง มีเบอร์จากโรงพยาบาลโทรกลับเข้ามาแจ้งอาการ มือของเขาสั่นเทาไปด้วยความกลัวและโกรธในเวลาเดียวกัน ภาพความสนุกสนานที่ลืมคนข้างหลังย้อนมาในหัวตัดสลับกับรอยยิ้มของแม่เวลาเขากลับมาที่บ้าน ดวงตาของเขาร้อนผ่าวไม่นานน้ำตาแห่งความสำนึกผิดก็ไหลออกมาเป็นทางอย่างไม่สามารถห้ามได้


ทันทีที่เขาไปถึงโรงพยาบาลอาโปที่รออยู่หน้าห้องฉุกเฉินเดินเข้ามากอดพร้อมทั้งร้องไห้ออกมา สิ่งนี้คงเป็นคำตอบได้ดีว่าเขามาไม่ทันเวลาเสียแล้ว


ภายในห้องสี่เหลี่ยมที่อุณหภูมิเย็นจัด ตรงกลางห้องมีหญิงสาวใบหน้าเปื้อนยิ้มริมฝีปากซีดเซียวใบหน้าซูบตอบนอนคลุมผ้าอยู่ถึงบริเวณอก เสียงในหัวของปิติภัทรมีแต่คำก่นด่าตัวเอง และด่าความไม่ยุติธรรมบนโลกใบนี้ เขาไม่เคยรู้เลยว่าแม่ของเขาเป็นมะเร็ง เขาไม่เคยรู้เลยว่าเขาจะสูญเสียแม่เขาไปได้รวดเร็วขนาดนี้ มือหนาเอื้อมไปสัมผัสฝ่ามือที่เลี้ยงดูเขามาตามลำพังหลังจากที่พ่อของเขาเสียชีวิตไป น้ำตาลูกผู้ชายอาบแก้มทั้งสองข้าง มือนั้นมันไม่อุ่นเหมือนที่เคย มันกลับเย็นเฉียบและแข็งกระด้างเป็นการตอกย้ำว่าเขามาช้า มาช้าเกินกว่าที่จะได้ดูใจแม่ของเขาก่อนที่จะเสียชีวิต แต่ใบหน้าของแม่เขากลับมีรอยยิ้มซึ่งเป็นรอยยิ้มแบบนี้เสมอมาตั้งแต่พ่อเขาเสีย


ใจของเขาตอนนี้เต็มไปด้วยความเคียดแค้น แค้นตัวเองและแค้นคนที่ดึงแม่เขาเข้าสู่โลกหลังความตาย โลกมันไม่มีความยุติธรรมเลย แม่ของเขาเป็นคนดี แม่ของเขาควรที่จะอยู่ดูความสำเร็จ ถ้าแม่ของเขากลับมาได้เขาจะทำตัวเป็นคนดี รับโทรศัพท์ของแม่ทุกครั้งที่โทรมาหา เขาจะกลับบ้านไปเยี่ยมหาแม่เท่าที่แม่อยากเจอ แต่เขาจะทำมันได้อย่างไรในเมื่อแม่ของเขาตัดขาดจากโลกใบนี้
ไปแล้ว


   ขายวิญญาณให้ข้าสิ


เสียงๆหนึ่งดังลอยมาตามสายลม ภายในห้องไม่มีใครอยู่นอกจากเขากับแม่ เสียงๆนั้นแหบพร่าทำเขาขนของปิติภัทรลุกชันไปทั่วทั้งตัว


   ปลิดชีพสิ่งมีชีวิตเพื่อแลกชีวิต เรียกข้ามา ข้าจะช่วยเจ้า


เขาไม่สนว่าเสียงนั้นคือใครแต่สำหรับเขาแล้วนั้นเสียงนั่นคือโอกาส โอกาสที่ตัวเขาจะได้แก้ตัวอีกครั้ง ปิติภัทรสั่งห้ามฉีดสารเคมีเข้าสู่ร่างกายของแม่ตนเองก่อนที่จะกลับไปที่บ้าน โคโค่ สุนัขพันปอมเปอเรเรียนสีขาววิ่งตรงมาหาเขาพร้อมทั้งคลอเคลียไปทั่วทั้งขา เขาอุ้มมันขึ้นมามันเลียไปที่ใบหน้าแสดงความรักอย่างที่เคยทำ


   ชีวิตแลกชีวิต กรีดเลือดเจ้าเพื่อขอชีวิต


เขาอุ้มเจ้าโคโค่ตรงไปที่ห้องครัว แววตาของสุนัขที่เขาเลี้ยงมาจ้องมองมายังเขาอย่างไม่รู้ชะตากรรมของตน มือด้านขวาที่ถนัดเอื้อมไปหยิบมีดที่วางอยู่ที่ด้านข้าง เขาหลับตาเสียบมีดนั้นทะลุบริเวณคอของเจ้าโคโค่ มันร้องออกมาแค่เพียงครั้งเดียว เขาวางมันลงกับพื้นก่อนจะหลับตาเพื่อหลบภาพตรงหน้าภาพที่เจ้าโคโค่ดิ้นอยู่กับพื้นที่ชุ่มเลือดสีแดงจนตัวของมันเต็มไปด้วยเลือด เมื่อภาพตรงหน้าสงบลง เขาใช้มีดอีกเล่มกรีดลงไปที่ฝ่ามือของตนเอง


   “ ชีวิตแลกชีวิต” เลือดของเขาหยดลงบนตัวเจ้าโคโค่ น้ำตาของเขาไหลอาบไปทั่วทั้งแก้ม


เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการทำแบบนี้แม่ของเขาจะฟื้นขึ้นมาหรือไม่ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเสียงที่เขาได้ยินเป็นเสียงของใครมีตัวตนอยู่จริงบนโลกใบนี้หรือเปล่า หรือว่าเป็นเพียงเสียงที่ตัวเขาหลอนแล้วได้ยินมันขึ้นมาเอง และคำตอบที่ยืนยันได้แน่นอนก็คือ ไม่นานหลังจากที่เขาหลั่งเลือดลงไป เสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น ซึ่งทางโรงพยาบาลโทรกลับมาแจ้งว่า แม่ของเขาได้ฟื้นขึ้นมาตอนนี้กำลังตรวจเช็คอาการอยู่


เขาจัดการกับศพเจ้าโคโค่โดยการนำไปฝังไว้ที่สวนหลังบ้าน เขายืนนิ่งอยู่ด้านหน้าศพของมันก่อนจะรีบกลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วกลับไปโรงพยาบาล


เมื่อไปถึง ภาพที่เคยเห็นก็เปลี่ยนไป มีคนถือสมุดใส่เสื้อคลุมสีฟ้าเดินไปมาในโรงพยาบาล บ้างกำลังยืนคุยกันบ้างกำลังฉุดกระชากวิญญาณ


   “ สวัสดี ฉันเป็นคู่หูเธอ ฉันชื่อ ดาริณเป็นคู่หูของเธอ”


หลังจากวันนั้นเขาก็ทำหน้าที่ที่คนปกติไม่ทำกัน นั่นคือการรับส่งวิญญาณ และทุกครั้งที่มีวิญญาณที่ตายก่อนเวลา เขาจะทำการแลกเปลี่ยนเวลานั้นมาให้แม่ของเขาโดยที่ไม่รู้เลยว่ามันผิดกฎ




“ น้องเฟิร์ส น้องเฟิร์ส”


   “ ครับ” เขาสะดุ้งหลุดออกจากภวังค์ในทันทีเมื่อเสียงของอาโปทักขึ้น


   “ เหม่อไปถึงสาวที่ไหนเนี่ย” เธอยิ้มแซว “ พี่เรียกตั้งนานแล้ว”


   “ เปล่าครับ”


   “ บุหรี่นั่นน่ะจะสูบหรือไม่สูบพี่เห็นเถือไปมาอยู่นานแล้ว” เธอชี้ไปที่บุหรี่


   “ ไม่ครับ”


   “ งั้นพี่ขอนะ” มือที่ทาเล็บเป็นสีดำยื่นมาหยิบก่อนที่จะจุดมันแล้วสูบควันเข้าไปเต็มปอดก่อนจะพ่นควันออกมา “ มีเรื่องเครียดอะไรหรือเปล่า ปรึกษาพี่ได้นะ”


   “ ไม่มีอะไรหรอกครับพี่” เขาปฏิเสธ


   “ โอเคไม่เล่าไม่เป็นไร แต่ถ้ามีอะไรบอกพี่ได้เสมอเลยนะพี่พร้อมช่วย” เขาส่งยิ้มมาให้ “ พี่เห็นแกเป็นน้องชายคนนึงเลยนะ”


   “ อ้าววันนั้นยังบอกว่าอยากได้ผมอยู่เลย” เขาพูดติดตลก


   “ พี่น้องท้องติดกันไงล่ะจ้ะ” เธอหยิกแก้มของปิติภัทรไปหนึ่งที


   “ ไม่คุยด้วยแล้ว ขึ้นห้องก่อนนะวันนี้ผมว่าจะกลับบ้านเสียหน่อย”


   “ ดีเลยพี่ฝากเอาบิลกลับไปที่บ้านด้วยนะ คุณนายแกร้อนใจแย่แล้ว”


   “ ได้ครับพี่ เดี๋ยวผมขึ้นไปข้างบนก่อนนะ”


เขาพูดจบก็เดินขึ้นตึกไปป่านนี้คนที่รออยู่ข้างบนคงร้อนใจแย่เพราะเขาเดินลงมาด้านล่างนานแล้ว และเป็นอย่างที่คาดพอขึ้นไปถึงห้องเขายังไม่ทันที่ก้าวขาเข้าไปในห้องใบหน้าบึ้งตึงก็ไปรออยู่ที่หน้าประตู


   “ ไปไหนมา คนรอมันก็รอไปดิ เป็นห่วงนะเว้ยสถานการณ์แบบนี้ถ้าจะหายไปไหนก็น่าจะบอกกันหน่อย” ไม่มีคำตอบออกจาก
ปากของปิติภัทร เขาปิดประตูลงก่อนจะกอดคนที่อยู่ตรงหน้า ทำให้เสียงนั้นเงียบลง ปณิธานกลืนคำพูดที่คิดจะพูดทั้งกลับเข้าไปในความคิด “ มึงเป็นอะไร”


   “ เฟิร์สจะทำยังไงดีปาร์ค เฟิร์สจะทำยังไงดี”


   “ ถ้ามึงไม่บอกกูกูจะช่วยมึงยังไงล่ะ เราเป็นแฟนกันนะเว้ย กูเริ่มอึดอัดแล้วนะ ก่อนมึงลงไปมึงก็เป็นแบบนี้ มึงกลับเข้ามาก็
เป็นแบบนี้อีก”


   “ ช่างเถอะเดี๋ยวเฟิร์สให้ปาร์คเป็นอิสระแล้วกัน ขอโทษนะที่ทำแบบนี้” เขาโบกมือผ่านอากาศ “ แต่ปาร์คต้องระวังตัวนะ”


   “ แล้วมึงจะรีบไปไหนเห็นเมื่อกี้เดินมารีบๆ”


   “ พอดีเฟิร์สจะกลับบ้านน่ะ เดี๋ยวปาร์คไปดูลุงปาร์คก่อนเลยนะมีอะไรบอกเฟิร์สได้”


   “ เดี๋ยวกูไปกับมึง”


   “ ไม่ได้” เขาโพล่งขึ้นมา “ เอ่อเฟิร์สหมายถึง ไม่เป็นไร แยกกันไปดูก่อนดีกว่าเผื่อลุงของปาร์คต้องการความช่วยเหลือนะ”


   “ เอาอย่างนั้นก็ได้” พูดจบปณิธานก็ชูมือไปที่อากาศก่อนที่สมุดเล่มสีฟ้าจะลอยมา “ บลูพาฉันไปหาลุงเกรียงไกรเดี๋ยวนี้” สิ้นคำพูร่างของปณิธานก็หายไปในทันที


คนที่มีความลับถอนหายใจออกมาเฮือกโตก่อนจะเดินไปหยิบสมุดของตนพร้อมกับกุญแจรถเพื่อขับกลับไปที่บ้าน ทางกลับบ้านในครั้งนี้เหมือนใกล้กว่าทุกครั้ง เพราะเขายังคิดไม่ออกเลยว่าถ้าไม่มีแม่ของเขาเขาจะอยู่ได้อย่างไร


ตรงหน้าเป็นบ้านสีขาวที่เต็มไปด้วยความทรงจำเขามองไปที่กระจกก่อนจะลองฝึกฉีกยิ้มออกมาให้กว้างที่สุด แล้วกดเปิดประตูรั้วจากรีโมตคอนโทรลจากในรถเพื่อทำการเปิดประตูรถออก เขาดับรถก่อนจะเดินเข้าไปในบ้าน แม่ของเขานั่งอยู่ที่โซฟาตัวสีครีมในมือเป็นไหมพรมสีน้ำตาลที่ถูกถักเป็นผ้าพันคอไปแล้วบ้างบางส่วน เธอยกมือรีโมตขึ้นมากดเบาเสียงรบกวนจากโทรทัศน์ก่อนจะหันมาส่งยิ้มให้กับลูกชายที่เดินเข้ามา


   “ ไงตัวดี หายไปนานเลยนะช่วงนี้” รอยยิ้มนั้นทำให้คนที่เพิ่งฝึกยิ้มบนรถเมื่อครู่หุบยิ้มทันที


ปิติภัทรรู้สึกว่าน้ำตาตัวเองรื้นขึ้นมาที่ดวงตา เขาพยายามกลั้นมันโดยการกัดกรามจนปูดนูนขึ้นมาและดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ผล เขาเดินเข้าไปกอดคนที่เป็นแม่ก่อนจะร้องไห้ออกมาอย่างห้ามไม่ได้ มือของคนเป็นแม่ประคองใบหน้าลูกของตนขึ้นมาสบตา ก่อนจะส่งยิ้มให้


   “ เป็นอะไรเรา มีอะไรบอกแม่ได้นะ” เธอถามด้วยน้ำเสียงที่แสนจะใจดี “ หรือว่ามีใครหักอกลูกแม่”


   “ ไม่มีครับ ผมแค่คิดถึงแม่เฉยๆครับ” ปิติภัทรปฏิเสธพร้อมทั้งเช็ดน้ำตาออก   


   “ คิดถึงแล้วทำไมไม่กลับบ้าน หรือว่ามีใครกกไว้หรือเปล่า”


   “ เอ่อ”


   “ นิ่งไปแบบนี้ต้องมีแล้วแน่ๆเลย ใช่คนที่ลูกชอบเล่าให้แม่ฟังหรือเปล่า” เธอยิ้มออกมาอย่างมีความสุข “ ก็ดีนะ ถ้าเป็นคนที่ลูกเล่าแม่ก็เบาใจ แม่จะได้ตายไปแบบสบายใจเสียที”


   “ ทำไมแม่พูดอย่างนั้นล่ะครับ”


   “ ลูกก็รู้ว่าแม่มีชีวิตอยู่ได้เพราะอะไร ลูกควรหยุดได้แล้วนะ” ยังไม่ทันพูดจบใบหน้าของเธอก็บิดเบี้ยวไปด้วยความทรมาน “
ลูกควร” เธอนิ่งไปสักพัก


   “ แม่ครับ”


   “ แกไม่ควรอ่อนแอแบบนี้” น้ำเสียงใจดีเมื่อครู่หายไปน้ำเสียงแข็งกระด้างมาแทนที่พร้อมกับรอยยิ้มที่มาดร้าย “ แกจะกลายเป็นลูกอกตัญญูหรือไงฮะ”


   “ แกออกไปจากตัวของแม่ฉันเดี๋ยวนี้นะ” ปิติภัทรตะวาด    


   “ แกอย่าลืมสิที่แม่แกมีชีวิตอยู่ได้ ครึ่งหนึ่งก็มีฉันอยู่เหมือนกัน”


   “ นั่นสินะ ฉันควรจะเชื่อแม่ของฉันว่าฉันควรจะจบเรื่องนี้เสียที” เขาลุกขึ้นจากพื้นพร้อมไปที่แม่ของเขา “ ถ้าเป็นแม่ฉันแม่ฉันก็จะให้ฉันทำแบบนี้”


   “ เอาเลย วิญญาณแม่แกเป็นของฉัน แกยกร่างแม่แกให้ฉันแล้ว”


   “ ฉันไปยกให้ตอนไหนฮะ”


   “ วันที่แกหยดเลือดลงไปในศพของหมาแกไงล่ะ แกบอกกับฉันว่า แกยอมแลกทุกอย่างเพื่อให้แม่แกกลับมา”
จบคำพูดของคนตรงหน้าเข่าของปิติภัทรก็ทรุดลงกับพื้นไปในทันที เขาใช้อารมณ์มากกว่าสมองเสมอมา และการตัดสินใจด้วยอารมณ์ของเขาในครั้งนั้นมันส่งผลถึงหลายๆคนรวมทั้งความรู้สึกของตัวเขาเองด้วย


   “ ช่วยแม่ด้วย”


   “ แม่”


   “ หุบปาก” ร่างของแม่เขากำลังพยายามควบคุมสติ “ แกไม่มีสิทธิ์พูดถ้าฉันไม่อนุญาต”


   “ แม่” เขาร้องเรียก


   “ กลับไปทำในสิ่งที่แกควรทำซะ” เธอพูดก่อนจะวิ่งกลับขึ้นไปที่ห้องด้านบนพร้อมกับเสียงปิดประตูที่ดังสนั่น


   “ เจ้านายทำดีที่สุดแล้วล่ะ” เรย์ปลอบใจ “ ผมยอมรับการตัดสินใจของเจ้านายเสมอ


ใครจะไปรู้ว่าการสนทนาเมื่อครู่จะมีอีกคนที่ยืนอยู่บริเวณหน้าบ้านกำลังยืนจ้องมองอยู่ แววตาของคนที่แอบมองเต็มไปด้วยความสงสารและอยากยื่นมือเข้าไปช่วย


   “ กูจะช่วยมึงยังไงดีวะไอ้เฟิร์ส”


ออฟไลน์ Sailomcc.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0


การใช้ชีวิตบนความหวาดระแวงทำให้คนที่เคยดูมีสง่าราศีกลับดูแย่ไปอย่างถนัดตา หนวดเคราเริ่มขึ้นบริเวณใบหน้า เขาระแวงทุกครั้งที่จับของมีคมเพราะเขากลัวเหลือเกินว่าในขณะที่จับนั้นตัวเขาจะไม่ใช่ตัวเขา


ลุงเกรียงไกรนั่งจ้องวิชัยที่อยู่ในสภาพที่ไม่ต่างกันแต่วิชัยดูแย่กว่า เขาซูบผอมอย่างเห็นได้ชัด แก้มที่เคยมีน้ำมีนวลกลับตอบซีดผมที่เคยย้อมดำกลับมีสีขาวขึ้นมาแซมจนมองเห็นได้อย่างชัดเจน


อาหารตรงหน้าถูกวางโดยไม่มีใครแตะจนกระทั่งมันเย็นจนไม่น่ารับประทาน ข้ามต้มฝนชามขนาดเล็กอืดขึ้นมาจนไม่เหลือน้ำ ไม่มีการพูดคุย ในห้องอาการเต็มไปด้วยความเงียบ ความเครียดและแรงกดดันสำหรับตัวของวิชัยเอง


"จะเล่าได้หรือยังว่ามันเกิดอะไรขึ้น หรือจะต้องให้มีคนตายเพิ่มขึ้นอีกอย่างนั้นเหรอ" ลุงเกรียงไกรพูดฝ่าความเงียบขึ้นมา ทำให้คนที่กำลังถูกถามตัวสั่นเทาราวกับลูกนกตกน้ำ


" เปล่า มึงกินข้าวเถอะ" เขาหลุบตาต่ำตอบกลับไป


วิชัยตักข้าวต้มที่ขึ้นอืดเข้าปากไปอย่างไม่เต็มใจนัก คนที่ถามเองก็ไม่ได้ซักไซ้อะไรแล้วเพราะยิ่งถามคนที่ถูกถามก็ยิ่งพูดน้อยลง วิชัยเปลี่ยนไปมากตั้งแต่เกิดเรื่อง คนที่มาสามารถติดต่อได้อีกคนอย่างดนัยก็เป็นอีกคนที่เขาเป็นห่วงมากที่สุดและเหมือนว่าเบื้องบนจะตอบรับความหวังของเขาเมื่อโทรศัพท์ตรงหน้าดังขึ้นแสดงหน้าจอว่า


   ดนัย


   “ มึงโทรหากูมีอะไรหรือเปล่าครับ เห็นเลขาบอกว่ามึงกับพวกไอ้ชัยโทรมาหากูหลายครั้งแล้ว” ดนัยพูดออกมาด้วยความร้อนใจ


   “ เมฆกับไอ้บีมตายแล้ว กูอยากให้เรามารวมกันไว้”


   “ อะไรนะ” เขาร้องออกมาอย่างตกใจ


   “ ฟังไม่ผิดหรอกไอ้เมฆกับไอ้บีมมันตายแล้ว ฟ้าเป็นคนทำ” เขาพยายามพูดชื่อผู้หญิงคนนั้นให้เบาที่สุด


   “ เป็นไปไม่ได้ ฟ้ามันตายไปแล้วไม่ใช่เหรอวะ  แล้วมันจะมาตามฆ่าได้ยังไง” เสียงปลายสายเถียงกลับมา “ มึงอย่ามาอำกูหน่อยเลย”


   “ ไม่มีใครล้อเล่นทั้งนั้นแหละถ้ามึงไม่อยากเป็นรายต่อไปก็ระวังตัวให้ดี เดี๋ยวฉันกับไอ้ชัยจะไปหา” ลุงเกรียงไกรตอบกลับไป “ อย่าไว้ใจใครล่ะระวังตัวเองให้ดีด้วย” พูดจบลุงเกรียงไกรก็ตัดสายทิ้งไป


เขาหันมามองคนที่นั่งหมดอาลัยตายอยากตรงหน้าอย่างวิชัย ที่เขาเหมือนไม่อยากรับรู้กับเรื่องที่จะเกิดขึ้นอีกแล้ว แววตาของวิชัยล่องลอยราวกับคนไม่ได้นอน


   “ มึงไปอาบน้ำอาบท่าก่อนไป เดี๋ยวเราไปหาไอ้ดุ๊กกัน” ลุงเกรียงไกรพูดพร้อมกับเดินเข้าไปหาวิชัย “ ยังไงมึงก็เหมือนน้องชายแท้ๆของกูอีกคนกูไม่ยอมให้แกเป็นอะไรหรอก”


พูดจบมือหนาก็ตบบ่าของวิชัยเบาๆน้ำตาจากคนที่นั่งนิ่งอยู่หยดลงมาอย่างไม่สามารถห้ามได้ วิชัยหลับตาสนิท ปากของเขาพยายามที่จะพูดบางอย่างแต่มีหลายอย่างที่เขาไม่สามารถพูดออกได้ ยิ่งเกรียงไกรปลอบเท่าไหร่ความกล้าในตัวเขายิ่งมากขึ้นทุกที


   “ พี่ไกร” เสียงสั่นเครือเรียกชื่อพี่ชายเบาๆ


   “ เห้ย แค่กูบอกว่าเห็นมึงเป็นน้อง ไม่ต้องเรียกกูพี่ก็ได้”


 “ ผมเอง ผมเป็นคนที่พาพวกนั้นไปข่มขืนฟ้าเอง” มือที่แตะไหล่ของวิชัยหยุดลง เขาไม่พูดอะไรปล่อยให้คนที่กำลังพูดได้พูดต่อ “ ผมมันเหี้ยเองพี่ ตอนนั้นผมได้แต่คิดว่า ทำไมแม่งมีแต่คนรุมรักพี่ ทั้งๆที่พี่ก็เป็นเด็กซิ่วมา ทำไมมีแต่คนเคารพพี่ทำไมผมต้องให้พี่เป็นหัวหน้ากลุ่ม ทำไมผมที่เรียนเก่งกว่าต้องเป็นรองพี่ที่เรียนรั้งท้าย ทำไมทุกอย่างต้องเป็นพี่ไม่ใช่ผม ทำไมคนที่ฟ้าเลือกไม่เป็นผมทำไมเป็นพี่ ผมมองฟ้าตั้งแต่เข้ามาเรียนวันแรก ทำไมต้องเป็นพี่ที่ได้ฟ้าไปหรือแค่พี่เป็นพี่คณะของฟ้าอย่างนั้นเหรอ หรือเพราะพี่แม่งมีอำนาจแต่ผมไม่มี” เขาพูดออกมาพร้อมกับน้ำตาที่ไหลหยดออกมาเป็นสายเสียงสะอื้นดังคลอมากับเสียงคำสารภาพ “ ผมเองผมเป็นคนที่ทำให้เรื่องวันนั้นมันเกิดขึ้น ผมเห็นว่าพี่กำลังระหองระแหงกับฟ้า ผมเลยไปบอกกับทุกคนว่า พี่อยากขอความช่วยเหลือ พี่อยากให้ฟ้าออกไปจากชีวิตพี่ ผมเลย ผมเลย”


มือที่จับอยู่ที่ไหล่ของวิชัยบีบแน่นขึ้น เกรียงไกรกัดกรามแน่นจนปูดนูนขึ้นมาด้วยความโกรธ ภายในตัวของเขาร้อนไปหมดทั้งตัว เขาเองก็ไม่คิดเลยว่าคนที่เขารักเหมือนน้องแท้ๆจะทำกับเขาได้ลงคอ


   “ มึงพังชีวิตของฟ้ามึงรู้หรือเปล่า” เขาพยายามกดอารมณ์ถามกลับไป “ ฟ้าเป็นความหวังของที่บ้าน เขามีแม่ที่ต้องดูแล พ่อที่เป็นโรคความจำเสื่อม แกรู้หรือเปล่าว่าแม่ของเธอเองตายหลังจากที่รู้ว่าฟ้าฆ่าตัวตาย”


   “ ผมขอโทษพี่ ผมขอโทษ” วิชัยลุกออกจากเก้าอี้ลงไปนั่งกับพื้นก่อนจะกราบลงที่เท้าของเกรียงไกร “ ผมผิดเอง ผมเป็นคนที่เริ่มต้นเรื่องนี้ทั้งหมดผมจะจบเรื่องนี้เอง ผมจะไม่ทำให้ใครเดือดร้อนอีกแล้ว”


พูดจบวิชัยก็วิ่งออกจากประตูบ้านไปที่รถซึ่งจอดอยู่ตรงหน้าประตูทางออกพอดี เขาขึ้นไปนั่งและปิดมันอย่างรวดเร็ว แล้วขับออกไปโดยที่ไม่รู้เลยว่ามีบางอย่างนั่งรอเขาอยู่บนรถนั้นแล้วด้วย บางอย่างที่กำลังรอคอยการชำระแค้น
เกรียงไกรรีบขึ้นไปนั่งบนรถอีกคันแล้วขับตามออกไป เขาพยายามที่จะติดต่อดนัยแต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้เพราะทางนั้นไม่ยอมที่จะรับสายของตนเลย และคนที่เขาคิดถึงในหัวอีกคนคือ คนที่เขากันออกไปจากเรื่องนี้




   ปิติภัทร


เขาโทรกลับไปยังเบอร์ที่ไม่ได้บันทึกลงในสมุดโทรศัพท์ด้วยซ้ำ ไม่นานปลายสายก็รับสายด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก


   “ สวัสดีครับคุณลุง”


   “ ฉันมีเรื่องให้ช่วย” ลุงเกรียงไกรตอบกลับไปสั้นๆ “ ตอนนี้ฉันกำลังไปที่สุสาน” เขาพูดพร้อมทั้งดูที่โทรศัพท์มือถืออีกเครื่องซึ่งเชื่อมต่อกับจีพีเอสของรถคันที่วิชัยขับออกไป “ มาเจอกันที่นั่นหน่อย น้องของฉันกำลังตกอยู่ในอันตราย”


   “ ครับ เดี๋ยวผมจะรีบไปครับ” ปลายสายตัดสายไปเขาจึงหันมาใจจดใจจ่อกับการเร่งรถที่เขาขับให้เร็วขึ้น
รถคันสีดำรุ่นเก่าของลุงเกรียงไกรเคลื่อนตัวไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว สุสานที่ฝังศพของฟ้าลดาอยู่ที่ต่างอำเภอซึ่งเป็นเขตรอบนอกที่ค่อนข้างห่างไกลผู้คน ยิ่งขับไปเขตเมืองที่มีตึกราบ้านช่องก็หายไปความเป็นธรรมชาติเข้ามาแทนที่แทน รถของเขาต้องรถความเร็วลง ซึ่งผิดกับรถของวิชัยซึ่งเป็นรถสำหรับขับขึ้นดอยยังคงความเร็วเดิมไว้ทำให้เขากำลังออกห่างจากวิชัยขึ้นเรื่อยๆ
ใจของคนที่อยู่หลังพวงมาลัยรถร้อนลนไปทุกขณะ เพราะเหมือนว่ารถของวิชัยจอดลงแล้ว แสงสว่างบริเวณรอบๆเขาค่อยๆหายลงไปทุกที ยิ่งทำให้ลุงเกรียงไกรจำเป็นต้องเร่งรถให้เร็วขึ้น จนกระทั่งมาหยุดลงบริเวณที่มีรถกระบะสีประตูจอดอยู่ ด้านหน้าเป็นสุสาน สุสานที่สำหรับบรรจุร่างของคนตายเอาไว้


เขาเดินตรงไปทางส่วนที่เก็บศพของฟ้าลดา ซึ่งตรงนั้นเป็นกำแพงปูนหนาเนียงยาวไป จนสุดสายตา ที่นี่เป็นสถานที่สำหรับเก็บศพคนไร้ญาติ เพราะวันที่ฟ้าลดาตายไม่มีใครมารับศพเลยเพราะอับอายที่ฆ่าตัวตายเพราะเรื่องผู้ชาย


เมื่อสิ้นสุดเขตกำแพงปูนเปลือยด้านหน้าเป็นแท่นปูนลักษณะคล้ายกล่องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ที่ถูกซอยย่อยเป็นช่องเล็กๆสำหรับบรรจุร่างของผู้เสียชีวิตลงไป ด้านหน้าจะเป็นปูดฉาบปิดไว้และรูปตั้งเรียงรายไว้ เขาเดินไปที่มุมด้านในสุดเพราะที่ที่ฟ้าลดาถูกเก็บไว้อยู่ด้านในสุด แสงอาทิตย์ที่กำลังจะดับลงบวกกับต้นไม้ที่เหมือนกันไปหมดและต้นหญ้าที่สูงขึ้นไปทุกที ทำให้การเดินของลุงเกรียงไกรยิ่งช้าลง เพราะเขาเหมือนกับจะหลงทางเสียแล้ว เขาหยุดลงแล้วโทรศัพท์หาวิชัยแต่ทว่ากลับไม่มีคนรับสาย แต่เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์นั้นดังอยู่ไม่ไกลออกไปจากจุดที่เขายืนอยู่เลย ลุงเกรียงไกรวิ่งตามเสียงนั้นไปจนกระทั่งมาหยุดลงที่แท่นปูนแท่นสุดท้าย ตรงหน้าของเขาเขียนไว้ว่า นางสาว ฟ้าลดา นำออก พร้อมกับระบุวันที่เสียชีวิต ตรงหน้าแท่นใส่ศพนั้น มีรองเท้าของวิชัยถอดอยู่พร้อมกับจอบที่วางอยู่ เขาจึงพยายามที่จะโทรหาวิชัยอีกครั้งแต่เสียงเรียกเข้านั้นดังมาจากด้านในของแท่นปูนนั้นแท่นปูนที่มีช่องโหว่ของการทุบทำลายไปแล้วบางส่วน


ลุงเกรียงไกรหยิบจอบที่วางอยู่ที่พื้นขึ้นมาก่อนจะง้างมันขึ้นจนสุดแขนแต่ไม่ได้ฟาดจบนั้นลงที่แท่นใส่ศพ หญิงสาวในชุดสีแดงเพลิงก็มาปรากฏตัวตรงหน้า แววตาอาฆาตจ้องมองมายังผู้มาเยือน ผมที่ยาวปกคลุมใบหน้าบางส่วนของเธอแต่สำหรับลุงเกรียงไกรแล้ว เขาจำใบหน้านั้นได้เป็นอย่างดี


   “ ฟ้า” เขาเรียกชื่อนั้นออกมาเบาๆ


   “ ยังจำกันได้อยู่อีกเหรอ” เธอถามกลับมา


   “ ปล่อยไอ้ชัยมันไปเถอะนะ เรื่องนี้มันเกิดจากผม ให้มันจบที่ผมเถอะ ถ้าจะมีคนตายแล้วจบเรื่องนี้มันควรจะเป็นผมไม่ใช่เหรอ ผมเป็นคนที่ทำให้คุณเสียใจนะ”


   “ พวกแกนี่รักกันดีนะ ตอนที่ไอ้ชัยมันมาถึงที่นี่มันก็พูดกับฉันแบบนี้ มันบอกว่ามันเป็นคนผิดกับเรื่องทั้งหมด แล้วให้ฆ่ามันแค่คนเดียวแล้วปล่อยทุกคนไปซะ ทำไมวะ ทำไมทุกคนต้องให้ทางเลือกให้กับตัวเองด้วย แล้วกูล่ะ วันนั้นกูขอไม่ให้พวกมันทำ ทำไมมันยังทำกู วันนี้กูก็ไม่จำเป็นที่จะต้องรับคำขอร้องอะไรจากพวกมึงทั้งนั้น” เธอตะคอกกลับก่อนจะลดเสียงแผ่วลง “ แต่มีอย่างหนึ่งที่ฉันจะตอบสนองทางเลือกพวกแกได้ นั่นก็คือความตาย และมันจะไม่ได้ตายเพราะตัวฉันหรอกนะ มันจะต้องตายด้วยมือของแกเอง”


   “ พอได้แล้ว” เสียงของใครอีกคนดังมาพร้อมกับโซ่เส้นสีฟ้าที่พุ่งตรงมายังร่างของฟ้าลดา
คนที่มองไม่เห็นอีกโลกเห็นว่าฟ้าลดาหยุดนิ่งลงจึงใช้จอบตรงหน้าทำลายแท่นปูนตรงหน้าลง จนเห็นว่าด้านในมีวิชัยกำลังนอนไม่ได้สติอยู่ ลุงเกรียงไกรดึงร่างของรุ่นน้องลงมากองกับพื้น


   “ เสือกดีนักนะ” ฟ้าลดาดึงโซ่สีฟ้าจนขาดสะบั้น พร้อมกับฟาดโซ่เส้นสีดำทำให้ปิติภัทรกระเด็นไป อีกทางแต่ยังไม่ทันที่ร่างของยมทูติหนุ่มจะกระแทกกับอะไรก็มีอีกคนมารอรับที่ด้านหลัง


   “ มึงไปช่วยลุงกูตรงนี้กูจัดการเอง ขอโทษที่มาช้า” ปณิธานเอ่ยพร้อมกับฟาดโซ่เส้นสีฟ้ากลับไปทางฟ้าลดา แต่คงช้าไปเพราะเธอหลบไปยืนอยู่บนแท่นปูนด้านบน


   “ ขอโทษที่มาช้านะครับ” ปิดติภัทรกลับคืนเป็นร่างมนุษย์วิ่งตรงไปยังลุงเกรียงไกรที่พยายามประคองร่างของวิชัยอยู่ “ มาทางนี้ครับ” เขาประคองร่างของวิชัยไว้ก่อนจะพาเดินกลับไปที่ที่รถจอดอยู่


   “ อ้ากกก” เสียงของปณิธานจากด้านหลังดังขึ้นทำให้ขาของเขาหยุดวิ่งลง “ ลุงพาลุงวิชัยกลับไปก่อนนะครับ แล้วถ้าถึงรถแล้วไม่ต้องเป็นห่วงผม ให้ลุงไปเลย”


   “ แต่”


   “ ไม่มีข้อแม้ครับ เชื่อผมเถอะครับผมเอาตัวรอดได้” เขาส่งวิชัยกลับคืนไปยังเกรียงไกรก่อนจะหายตัวไปต่อหน้าต่อตาซึ่งเป็นคำตอบให้กับเกรียงไกรเลยว่า คนที่เขาคุยด้วยไม่ใช่คนธรรมดา



ภาพที่ปิติภัทรเห็นตอนนี้คือร่างของปณิธานที่กำลังถูกของเหลวสีดำกำลังพยายามที่จะไหลไปทั่วทั้งร่างกาย ที่ต้นขามีรอยช้ำจากการถูกรัดของโซ่เส้นสีดำ แต่ว่าไม่มีร่องรอยของฟ้าลดาเลยแม้แต่น้อย เขาเอื้อมมือไปดึงของเหลวที่เต้นตุบๆตรงบริเวณปากของปณิธานออก


   “ มันเป็นกับดัก มันไปดักลุงข้างหน้าแล้ว” คำพูดนั้นทำให้หน้าของปิติภัทรเจื่อนลงอย่างเห็นได้ชัด  “ เรย์ เปิดทาง”  เขาประคองร่างของปธิธานผ่านไปตรงจุดที่เรย์เปิดทางให้ ภาพตรงหน้าที่เขาเห็นคือ วิชัยกำลังยืนอยู่ด้านหน้าของลุงเกรียงไกร เนื้อตัวของทั้งคู่เต็มไปด้วยเลือด แต่ไม่สามารถตอบได้ว่าเป็นเลือดของใครจนกระทั่งแขนของวิชัยที่เคยยึดติดไว้กับตัวร่วงลงกับพื้น เขาร้องออกมาด้วยความทรมาน ลุงเกรียงไกรที่ถือมีดอยู่เขาทรุดลงกับพื้น


ไฟรถที่ดับสนิทอยู่ ติดขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ปิติภัทรวางร่างของปณิธานลงก่อนจะวิ่งไปคว้าร่างของลุงเกรียงไกรให้หลบรถที่กำลังพุ่งมาทางพวกเขา รถคันนั้นขับผ่านไปอย่างหวุดหวิด มีเสียงเผละจากด้านหลังเหมือนกับลูกมะพร้าวที่โดนมีดเฉาะเพื่อเปิดเปลือก ทั้งคู่หันกลับไปก็พบว่า ขาของวิชัยขยับไปมาเหมือนเส้นกระตุก ตรงกลางลำตัวถูกรถบดทับไปจนถึงบริเวณศีรษะ


ลุงเกรียงไกรร้องไห้ออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ถึงแม้ว่าเขาจะโกรธวิชัยสักแค่ไหน แต่วิชัยก็เป็นเหมือนน้องชายของเขาคนหนึ่ง และเขายังไม่ได้บอกน้องชายคนนั้นเลยว่า เขายกโทษเรื่องที่น้องชายเขาทำลงไปทั้งหมด ภาพตรงหน้าถูกจัดการไปในเวลาต่อมา หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึง เสียงผู้คนและบรรดานักข่าวเริ่มให้ความสนใจกับคดีนี้ รวมถึงคนใหม่ที่มาเยือน


   “ เป็นไงบ้างวะ”



มาต่อกันน้าาาาาาา

ออฟไลน์ nofsnof

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 364
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
ฉากฆาตกรรมน่ากลัวมากค่ะ อ่านทีไรขนลุกทุกที
ลุ้นๆว่าเรื่องจะเป็นยังไงต่อ  :katai4: :katai4:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
สงสารทั้งแม่ ทั้งน้องหมาเลย  :hao5:

ออฟไลน์ Sailomcc.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
ฉากฆาตกรรมน่ากลัวมากค่ะ อ่านทีไรขนลุกทุกที
ลุ้นๆว่าเรื่องจะเป็นยังไงต่อ  :katai4: :katai4:

ขอบคุณค่าาาาาา อย่าลืมติดตามต่อไปนะคะ ฮืออออออ

ออฟไลน์ Sailomcc.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
สงสารทั้งแม่ ทั้งน้องหมาเลย  :hao5:


กอดค่ะ สงสารมากจิงๆ

ออฟไลน์ Sailomcc.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
12



BROKEN



เสียงหวอของเจ้าหน้าที่ตำรวจกับไฟไซเรนสีแดงวุ่นวายไปทั่วทั้งบริเวณ เจ้าหน้าที่บางส่วนกลับไปดูบริเวณเกิดเหตุก่อนหน้านี้คือบริเวณที่เก็บศพของฟ้าลดาแต่ทว่ากลับไม่มีโครงกระดูกนั้นหลงเหลืออยู่เลย คนที่อยู่อีกโลกได้แต่มองอย่างสงสัยว่าใครเป็นคนเอาศพนั้นออกไป



กลับมาอีกฟากหนึ่งของสุสานศพไร้ญาติคนที่มาใหม่ยืนทำหน้านิ่งจ้องลุงเกรียงไกรและปิติภัทรอย่างไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แววตานั้นมองทะลุแว่นที่สวมไว้บนใบหน้าออกมาอย่างเห็นได้ชัดว่าตอนนี้เขามีคำถามมากมายอยู่ในหัว ลุงเกรียงไกรนั่งนิ่งให้พยาบาลทำแผลที่บริเวณไหล่ของต้นที่ได้เลือดมาเล็กน้อย ใบหน้าของเขานิ่งเรียบไม่พูดไม่จาอะไรมีเพียงหยดน้ำตาที่ไหลออกมาที่แก้มทั้งสองข้าง เขามองตรงไปที่ศพของวิชัยที่เจ้าหน้าที่และนั่งข่าวกำลังรุมอยู่


   “ ถ้าฉันห้ามมันไว้ได้ทัน ถ้าฉันมาไวกว่านี้ทุกอย่างมันต้องเป็นแบบนี้”


   “ มันเป็นไรวะพี่” ดนัยถามด้วยเสียงสั่นเครือ “ นี่มันเกิดอะไรขึ้นพี่ช่วยอธิบายให้ผมฟังหน่อยได้หรือเปล่า ไอ้ชัยมันโทรหาผมแล้วให้ผมมาที่นี่แล้วทำไม”


   “ ฟ้า” ลุงเกรียงไกรพูดแทรก “ ฉันบอกแกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าออกมานอกบ้าน ทำไมไม่ฟ้งกันบ้างเลยวะ”


   “ ลุงใจเย็นก่อนครับ” ปิติภัทรคว้าแขนคนที่กำลังควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ซึ่งกำลังพุ่งตรงไปยังตัวของดนัย “ นั่งลงก่อนนะครับเดี๋ยวผมคุยให้ ตอนนี้ร่างกายคุณลุงไม่ค่อยแข็งแรงนะครับ”


   “ นายเป็นใครกันแน่


   “ ผมเป็นใครไม่สำคัญหรอกครับ แต่สิ่งที่ผมจะเล่ามันอาจจะฟังดูเชื่อยากแต่ได้โปรดเถอะ ฟังที่ผมจะเล่าให้จบก็พอ” เขาพยักหน้ารับแบบขอไปที แต่สายตาที่มองผ่านแว่นออกมานั้นเต็มไปด้วยการจับผิด


 ปิติภัทรถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะเริ่มเล่าทุกอย่างออกไป ตั้งแต่เรื่องของเมฆา การตายของชลชาติรวมทั้งการตายของคนที่เพิ่งถูกเก็บศพไปอย่างวิชัย ใบหน้าของคนฟังนิ่งเงียบเกินกว่าจะคาดเดาได้ ทุกอย่างรอบตัวกำลังดำเนินไปอย่างเร่งรีบแต่สำหรับคนที่เล่าเรื่องอยู่นั้นมันผ่านไปช้าเหลือเกิน เขารอให้ดนัยพูดออกมาแต่กลับไม่มีคำใดออกมาจากปากของดนัยเลย


   “ แกจะเชื่อที่เด็กคนนี้หรือเปล่าฉันไม่รู้หรอกนะ แต่ฉันยืนยันว่ามันเกิดขึ้นจริงๆและมันกำลังเกิดขึ้นต่อไปจนกว่าพวกเราจะ
ตายกันหมด” ลุงเกรียงไกรพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดูไร้เรี่ยวแรงโดยที่ไม่หันมาสบตาคนที่กำลังยืนฟังอยู่เลยแม้แต่น้อย


ดนัยยืนนิ่งไม่ตอบสนองกับสิ่งที่พูดตรงหน้า ถึงใบหน้าของเขาจะดูว่างเปล่าแต่ในหัวของเขาสับสนไปหมด เขาพยายามต่อสู่กับความคิดที่บอกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นความบังเอิญแต่เพื่อนรอบตัวของตนก็ตายไปกันจนหมด


   “ แล้วพี่จะให้ผมทำยังไง” เขาถาม


   “ ระวังตัว อย่าออกไปไหน”    


   “ ได้ไงพี่ ชีวิตของผมกำลังไปได้ดี ช่องรายการโทรทัศน์ที่ผมซื้อมากำลังไปได้สวย ผมกำลังมีอนาคต พี่ไม่มีคำตอบที่ดีให้ผมมากกว่านี้เลยหรือยังไง ในเมื่อคนที่พี่บอกว่ามันกำลังตามฆ่าผมอยู่มันคือแฟนเก่าพี่” เขาดูเหมือนพยายามสะกดอารมณ์ให้มากที่สุดแต่ก็เหมือนจะทำได้ยาก นี่แหละนะสันดานของมนุษย์ที่เวลากลัวหรือจนตรอกแล้วจะทำได้ทุกอย่าง


   “ ถ้าพวกมึง ไม่ไปข่มขืนฟ้า ฟ้าคงไม่เป็นแบบนี้” ลุงเกรียงไกรพูดจบก็ลุกออกจากบริเวณนั้นไปทันทีทิ้งให้คนที่เพิ่งอารมณ์ร้อนเมื่อครู่นิ่งไปราวกับถูกสาปให้เป็นหิน


กว่าเรื่องราวในคืนนั้นจะผ่านไปก็ปาเข้าไปเกือบถึงเช้า ปิติภัทรต้องไปโรงพักเป็นครั้งที่สองแต่ว่าครั้งนี้ลุงเกรียงไกรช่วยพูดและเป็นพยานให้ว่าเขาไม่เกี่ยวข้องกับการตายที่เกิดขึ้น ทางตำรวจเองก็สรุปคดีนี้ง่ายๆว่ารถยนต์ของเกรียงไกรระบบขัดข้องทำให้เครื่องยนต์ทำงานเอง ส่วนเรื่องศพ ลุงเกรียงไกรขอให้ทางตำรวจช่วยกันตามหาศพให้เจอเพื่อที่เขาจะทำการสวดศพส่งวิญญาณให้กับฟ้าลดา ตอนแรกปิติภัทรจะขอไปอยู่ที่ไร่ด้วยแต่ลุงเกรียงไกรบอกเกรงใจเขาเลยกลับมานอนที่บ้านของตนแต่ส่งสมุดสองเล่มไปดูแลแทน ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้อยู่ในสายตาของปณิธานทุกอย่าง เขาเฝ้ามองลุงของตนที่ควรจะเป็นคนร่าเริงแต่ตอนนี้กลับเงียบเศร้ามัวหมองอย่างที่ไม่เคยเป็นยิ่งทำให้ยมทูติหนุ่มถึงกับซึมจนคนที่อยู่ข้างๆสัมผัสได้


ปิติภัทรนอนอยู่บนเตียงจ้องไปยังคนรักของตนที่กำลังนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ตัวโปรดพร้อมกับจ้องไปที่ผนังอย่าล่องลอย ใบหน้าของปณิธานเต็มไปด้วยความหวาดกลัว


   “ ปาร์ค” เขาเรียกเบาๆ


   “ หืม” เขาหันมาทางต้นเสียงช้าๆ “ นอนไม่หลับเหรอ”


   “ อืม ปาร์คมานอนข้างๆเฟิร์สนะ” เขาเอามือตบเตียง “ นอนอย่างเดียวเฟิร์สสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรปาร์คหรอก”


   “ อืม” ปณิธานเดินมาทิ้งตัวนอนข้างๆปิติภัทร “ บางทีกูก็อยากหลับนะหลับแล้วได้หยุดคิดเรื่องบางเรื่องได้สักพัก กูเหนื่อยว่ะเฟิร์สทำไมวะ กูควรตายไปแล้วกูไม่ควรมารับรู้หรือต้องมาทุกข์แล้วไม่ใช่เหรอวะ ทำไมกูต้อง”


   “ ไม่เอาไม่พูดแล้ว” เฟิร์สโอบเอวคนที่กำลังเครียดจากด้านหลังก่อนจะกระชับให้เข้าหาตัวเอง “ ถ้าปาร์คไม่มาเป็นยมทูติเฟิร์สก็ไม่ได้เจอปาร์คอีกน่ะสิหรือว่าเฟิร์สก็เป็นเรื่องแย่ๆในชีวิตของปาร์คด้วย”


   “ เปล่า มึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดของกูในตอนนี้เลยนะ กูเนี่ยสิกลายมาเป็นความทรงจำแย่ๆของมึง ชีวิตมึงควรสงบมากกว่านี้หรือเปล่าวะ”


   “ ถามเฟิร์สแล้วหรือไง” เขาพลิกตัวคนที่อยู่ในอ้อมแขนให้กลับมาประจันหน้า “ ปาร์คเป็นความทรงจำที่ดีที่สุดของเฟิร์สเลยนะ เฟิร์สเคยคิดนะว่าการที่เฟิร์สมาเป็นยมทูติในขณะที่มีชีวิตเนี่ยมันเป็นอะไรที่แย่มากจริงๆ มันแย่จนเรียกว่าเหี้ยเลยก็ได้ ทุกครั้งที่ต้องรับดวงวิญญาณของคนที่ตัวเองรู้จักหรือสนิทสนมด้วย มันยากเกินจะรับไหวจริงๆแต่ปาร์ครู้หรือเปล่าแต่นั่นทำให้เฟิร์สได้ข้อคิดนะ”


   “ ข้อคิดไร” เขาถามเพื่อรอฟังอย่างใจจดใจจ่อ


   “ ก็ข้อคิดที่ว่าชีวิตของเรามันสั้น อยากทำอะไรก็ให้รีบทำ รู้สึกอะไรกับใครหรือรักใครก็ให้ทำดีกับเขาให้มากๆเราไม่สามารถรู้เลยว่าเราจะเสียเขาไปวันไหน ได้รู้ว่าเราไม่สามารถรั้งใครไว้ได้นานหรอกเราแค่ต้องยอมรับความจริงก็แค่นั้น แต่แย่หน่อยที่เฟิร์สเป็นพวกยอมรับความจริงยากบางครั้งเฟิร์สเองยังรู้สึกเกลียดตัวเองเลย”


   “ พูดอะไรเนี่ยตอนแรกกำลังๆดีแล้วมึงมาเกลียดตัวเองทำไม กูงงไปหมดแล้ว”


   “ สงสัยยาแก้ปวดที่กินเข้าไปเมื่อกี้มันออกฤทธิ์แล้ว เฟิร์สเบลอๆพูดไม่รู้เรื่องแล้วล่ะ” เขาส่งยิ้มมาให้ “ วันนี้เป็นหมอนข้างให้เฟิร์สนะ”


   “ แล้วเห็นขยับไปไหนหรือเปล่าล่ะ”


   “ เย้น่ารักจัง” เขากระชับคนรักของตนเข้าไปหาตัวเองโดยไม่รู้เลยว่าคนที่กำลังถูกกอดออยู่นั้นรอฟังความจริงจากปากของเขาอยู่


ปณิธานอยากจะบอกคนที่นอนอยู่ตรงหน้าไปว่ารู้ความจริงทั้งหมดแล้วแต่ก็ไม่กล้าพอเพราะเขากลัวว่าปิติภัทรจะไม่เหมือนเดิม สิ่งที่เขาทำได้ดีที่สุดตอนนี้คืออยู่ข้างๆและรอให้เขาร้องขอความช่วยเหลือก็พอ


เวลาผ่านไปไม่นานเท่าไหร่คนที่กระชับกอดเขานั้นเริ่มเกร็งตัว ใบหน้าของปิติภัทรบิดเบี้ยวด้วยความทรมาน มือที่กอดเขาอยู่จิกลงที่กลางแผ่นหลัง ร่างของปณิธานเหมือนถูกบางอย่างดึงเข้ามา เข้ามาในความทรงจำของ ปิติภัทร


หญิงสาววัยกลางคนนั่งอยู่บนเก้าอี้โยกสีขาวอยู่บริเวณกลางสนามหญ้าหน้าบ้าน โดยมีสุนัขพันธุ์ปอมเปอเรเนียนตัวสีขาว วิ่งอยู่รอบๆ เธอส่งเสียงหัวเราะอย่างมีความสุข พร้อมกับส่งยิ้มมาให้เขา ไม่ใช่สิต้องบอกว่าส่งยิ้มมาให้ลูกชายของเขาถึงจะถูกเพราะตอนนี้ปณิธานอยู่ในร่างของปิติภัทร


เขามองภาพตรงหน้าและรับรู้ความรู้สึกผ่านมุมมองและความคิดของปิติภัทรอย่างไม่สามารถที่จะขัดขืนได้เพราะเขากลัวว่าความทรงจำแสนดีของปิติภัทรมันจะบิดเบี้ยวไปอย่างที่ไม่ควรจะเป็น


ปิติภัทรก้าวขาเดินไปยังผู้หญิงที่นั่งอยู่ที่สวน เธออยู่ในชุดกระโปรงผ้าระบายสีขาวยาวจะถึงตาตุ่ม รองเท้าสีขาววางอยู่ด้านข้างเก้าอี้โยก ในมือของผู้หญิงคนนั้นเป็นรูปของปิติภัทรที่กำลังถ่ายรูปคู่กับตัวเอง เธอยิ้มให้กับรูปใบนั้นก่อนจะวางมันลงเมื่อปิติภัทรเดินตรงเข้าไปหา เธอส่งยิ้มรับของจากลูกชาย ในมือเป็นน้ำสีแดงมีกลิ่นคาวคล้ายเลือด เธอรับมันไปอย่างไม่เต็มใจเท่าไหร่นักแล้วจัดการเทมันเข้าปาก แววตาใจดีเมื่อครู่แข็งกร้านขึ้นก่อนจะฉีกยิ้มที่ชวนสยองออกมา ไรฟันของเธอเต็มไปด้วยคราบสีแดงที่น่าสะอิดสะเอียน มือที่ถือแก้วอยู่ยื่นส่งกลับมาให้ปิติภัทร ก่อนจะก้มลงไปมองที่พื้นหมาน้อยที่เคยวิ่งเล่นอยู่เมื่อครู่นอนจมกองเลือดอยู่ พื้นหญ้าที่เป็นสีเขียว ไม่สิต้องบอกว่าเคยเป็นสีเขียวเพราะตอนนี้มันกำลังชุ่มไปด้วยเลือดสีแดงเข้มที่ส่งกลิ่นคาวไม่ต่างจากเมื่อครู่ เสื้อผ้าสีขาวของแม่ปิติภัทรเปียกโชกไปด้วยเลือด เธอไม่ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย แต่ตรงกันข้ามเธอกลับลุกขึ้นมากระโดดโลดเต้นราวกับว่าเด็กๆที่กำลังเล่นน้ำฝน ปิติภัทรวิ่งตาเธอไปอย่างรวดเร็ว


เขามาหยุดตรงที่ลานกว้างที่หน้าบ้านของตัวเอง ตรงหน้ามีโครงกระดูกของผู้หญิงที่แขวนอยู่บนเสาไม้ โครงกระดูกนั้นเมื่อได้สัมผัสหยดเลือดที่ตกลงมาจากท้องฟ้าก็ค่อยๆคืนกลับสู่สภาพเดิม บริเวณที่เคยเป็นโครงกระดูกกลับมามีเนื้อหนังมังสาผมที่เคยหายไปจนเหลือแต่กะโหลกกลับคืนมาเป็นผมยามตรงเงางาม ใบหน้าที่คุ้นตากำลังประกอบกลับเข้ามาสู่สภาพเดิม และปณิธานที่อยู่ในร่างของปิติภัทรถึงกับตกใจเพราะคนที่อยู่ที่เสานั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่มันคือผู้หญิงที่เขารู้จักมากที่สุด คือผู้หญิงที่เขาตามหามานานแสนนาน คือผู้หญิงที่เป็นภัยต่อคนที่เขารัก


   เธอคือ ฟ้าลดา


เสียงหัวเราะของแม่ปิติภัทรดังไปทั่วบริเวณอีกครั้งเมื่อดินตรงหน้าของศพที่แขวนอยู่บนไม้นั่นยุบตัวลงไปเป็นหลุมขนาดเท่ากับหลุมฝังศพทั้งหมดหกหลุมซึ่งสามหลุมแรกมีคนนอนรอเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


หลุมแรกเป็นดารารุ่นใหญ่ที่นอนลืมตาเบิกโพลงใบหน้าบิดเบี้ยวและมีรอดปาดลึกที่ลำคอ หลุมที่สองเป็นศพของชลชาติแน่เพราะตัวของเขาไหม้ดำเป็นถ่าน และอีกคนอยู่ในสภาพที่หัวสมองของเขาเปิดออกจนเห็นมันสีเหลืองไหลเยิ้มออกมา ทุกคนนอนพนมมือหันหัวไปทางเท้าของคนที่อยู่บนเสาไม้นั่น


   “ อีกแค่สามหลุมเท่านั้น ทุกอย่างมันกำลังจะจบลงแล้ว แกต้องช่วยฉัน แล้วแกจะได้แม่ของแกคืนไป” เสียงแหลมๆของแม่ปิติภัทรตะโกนฝ่าสายฝนเลือดนั่นมาก่อนจะพุ่งตัวมาตรงหน้า แล้วอย่าทำให้ฉันโกรธอีก อย่าพยายามที่จะยื้อหรือช่วยพวกมันอีกไม่อย่างนั้น” เธอยิ้มที่มุมปากก่อนจะยกเศษกระจกที่มาจากไหนไม่รู้ขึ้นมาแล้วกรีดมันลงที่แขนสีขาวของตัวเอง “ แกจะไม่มีวันได้เห็นแม่ของแกอีก”


   “ อย่าไปฟังมัน” เสียงของใครอีกคนดังขึ้นมา


   “ ฉันไม่ให้แกพูดก็หุบปาก อีอ่อนแอลูกมึงกำลังช่วยมึงอยู่” เธอตบหน้าตัวเองอย่างแรง ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้แล้วเอามือที่ชุ่มไปด้วยเลือดมาสัมผัสที่ใบหน้าของปิติภัทร “ มองหน้าแม่ไว้นะ มองหน้าแม่ไว้ อย่าคิดเนรคุณ ตัวแกจะทำผิดกับแม่อีกรอบอย่างนั้นเหรอ มองหน้าไว้สิ จะหลบหน้าทำไม” ปิติภัทรพยายามเบือนหน้าหนีแต่ไม่สามารถทำได้เพราะมือทั้งสองข้างของแม่ตนเองไม่ใช่สิคนที่อยู่ในร่างแม่ของเขาอีกคนกำลังบีบหน้าของเขาแน่น “ คนที่เหลือนั่น มันไม่ได้มีค่ากับแกหรอกนะ”


   “ ไม่” ปณิธานที่อยู่ในร่างของปิติภัทรผลักร่างนั้นจนกระเด็นก่อนที่ตัวของเขาเองจะถูกดูดกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง แรงดีดบางอย่างผลักเขาออกมาหล่นอยู่ที่พื้นเตียง เขาไม่สามารถที่จะขยับร่างกายของตัวเองได้


   “ ปาร์ค” ปิติภัทรที่หลุดออกจากความฝันวิ่งตรงมาหาคนที่หมดแรงอยู่


   “ ออกไป” เขาใช้แรงที่มีอยู่ยกมือห้าม


   “ แต่”


   “ มึงไม่ได้ตั้งใจช่วยลุงกูตั้งแต่แรกอยู่แล้ว มึงรู้เรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ที่จริงแล้วมึงก็แค่กำลังหลอกใช้กู” เขาถอยหลังไปจนติดอ่านหนังสือ “ กูรู้แล้วว่าแม่มึงตายแล้ว กูนี่โง่เนอะที่กำลังคิดว่าจะช่วยมึงยังไง แต่พอได้รู้บางอย่างกูยิ่งโง่กว่าเดิม กูพามึงให้เข้าใจลุงกู ให้ลุงกูไว้ใจ แล้วมึงก็จะปล่อยให้ลุงกูตายอย่างที่คนอื่นๆตายใช่หรือเปล่าล่ะ”


   “ ปาร์คฟังเฟิร์สก่อน”


   “ หุบปาก กูมันโง่เอง โง่ให้มึงหลอกใช้ มึงหรอกให้กูรักแล้วก็ไว้ใจ มึงมันเหี้ย”


   “ เฟิร์สขอโทษที่โกหกนะ แต่เฟิร์สไม่เคยโกหกว่าเฟิร์สรักปาร์คเลยนะ เฟิร์สรักปาร์คจริงๆ” เขาพูดออกมาทั้งน้ำตาที่เริ่มไหลออกมาทั้งสองแก้ม “ ปาร์คไว้ใจเฟิร์สนะ กลับมาหาเฟิร์สเหอะนะ” เขายื่นมืออกไป


   “ กูไม่เชื่อมึงแล้ว” ปณิธานเองก็ปล่อยน้ำตาออกมาอย่างไม่อายเช่นกัน เขาพยายามที่จะกั้นมันแต่ก็ไม่สามารถที่จะทำได้ “ บลู” เขาเรียกสมุดของตน


   “ จะไปไหน” ปิติภัทรถามด้วยสีหน้าที่ตกใจ


   “ ไปที่ที่ไม่มีมึง กูจะไปช่วยลุงของกู ด้วยมือของกู ถ้ามึงยังอยากที่จะฆ่าลุงกู กูก็พร้อมที่จะให้มึงฆ่ากูก่อนก่อนที่มึงจะฆ่าลุงกูจำไว้” สิ้นคำสมุดเล่มสีฟ้าของปณิธานก็ปรากฏขึ้น


   “ ครับเจ้านาย”


   “ ไปไร่เกรียงไกร” คำสั่งนั้นทำให้สมุดเปิดแสงสว่างขึ้นแล้วพาคนที่เคยนั่งอยู่ตรงเก้าอี้หายไปต่อหน้าต่อตาของปิติภัทร


   “ เรย์” เขาเรียกสมุดของเขาไม่นานมันก็มาปรากฏตรงหน้า


   “ ครับเจ้านาย”


   “ ไปไร่เกรียงไกร” สมุดเปิดสว่างกว้าง ปิติภัทรกำลังจะก้าวผ่านแต่ไม่สามารถทำได้เพราะรอยสีดำที่อยู่ด้านหลังของเขามันร้อนราวกับไฟ


   “ เจ้านายเพิ่งไปเจอกับยมทูติสีดำมาใช่หรือเปล่า” เรย์ถามด้วยความเป็นห่วง


   “ ใช่” เขาตอบอย่างงๆ  “ มีอะไร”


   “ เจ้านายข้าขอดูรอยหน่อย”  ปิติภัทรหันหลังให้พร้อมกับถอดเสื้อออก “ มันมีรอยใหม่ปรากฏอยู่ ต้องรอให้รอยจางก่อน”


   “ แต่ ปาร์คมัน”


   “ ถ้าเจ้านายไปตอนนี้ร่างกายของเจ้านายอาจจะแย่ได้นะ”


   “ ฉันจะไป”


   “ เจ้านาย ถ้าไปตอนนี้เจ้านายอาจกลายเป็นยมทูติสีดำไปตลอดกาลเลยนะ รอให้รอยจางก่อน ถ้าฝืนไปตอนนี้กับดักยมทูติเปิดทางให้เจ้านายแน่”


   “ แม่งเอ้ย” เขาเตะเตียงด้วยความโมโห


ปิติภัทรลงไปหยิบกุญแจรถก่อนจะขับรถออกไปจากร้านอย่างรวดเร็ว เขาเหยียบคันเร่งจนสุดปลายเท้าแต่ว่ารถมันไม่ได้เร็วไปอย่างที่ใจเขาหวังเลย เส้นทางข้างหน้ารถติดยาวไปจนสุดสายตา เขาปรับสายตาเป็นสายตายมทูติก็พบว่าด้านหน้ามีอุบัติเหตุ เหตุผลนี้ยิ่งทำให้เขายิ่งร้อนใจเพราะอุบัติเหตุข้างหน้าเหมือนมันมีคนจัดฉากรอไว้ มีบางอย่างไม่อยากให้เขาไปที่ไร่เกรียงไกร

ออฟไลน์ Sailomcc.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
ต่อ






สมุดเล่มสีฟ้าลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ คู่กับเจ้านายของตนที่นั่งนิ่งเหม่อมองโกศใส่กระดูกของตนเองอย่างเหม่อลอย ดอกกุหลาบสีขาวที่เคยบานสะพรั่งสวยงามตอนนี้มันกลับเริ่มเหี่ยวเฉาและโรยลาไปทีละดอกสองดอกบางต้นดอกสีขาวของมันช้ำน้ำเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลคล้ำ จนทำให้คนที่มองยิ่งหดหู่ใจ เขาไว้ใจคนผิด 


ในหัวของปณิธานตอนนี้มันตีกันไปหมด เขาไม่แน่ใจเลยว่าสิ่งที่เขากำลังพบเจอตอนนี้มันคืออะไร อะไรที่เป็นความจริงบ้างหรือนี่เป็นแค่บททดสอบของยมทูติ หรือว่ามันเป็นชะตากรรมที่เขาทำเอาไว้แต่ชาติปางไหน ทำไมเขาจะต้องกลายมาเป็นเหยื่อความรักซ้ำไปมา ทั้งเหยื่อความรักจากครอบครัวของเขาเอง เขานั่งยิ้มเมื่อนึกถึงเรื่องราวของครอบครัวของตัวเอง ภาพที่พ่อทำร้ายทุบตีแม่มันก็ตีขึ้นมาในความทรงจำ เสียงเด็กร้องไห้ระงมซึ่งเป็นเสียงของเขาเองดังขึ้นมาในหัว ภาพของมันฉายย้อนกลับไปในวันนั้นราวกับว่าเป็นเครื่องย้อนเวลาย้อนไปตอนที่พ่อของเขากลับมาจากการดื่มสุรากับเพื่อน เสียงโหวกเหวกโวยวายดังไปลั่นบ้านของแม่ ก่อนจะจบด้วยเลือดสีแดงของแม่เขาเปื้อนอยู่ตามมุ้งที่ใช้คลุมนอน เสียงนั้นสงบลง เขาจ้องตาผู้เป็นบิดาอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นเขาจดจำใบหน้าที่ขาดสติและรอยยิ้มที่ไร้เยื่อใยได้เป็นอย่างดีก่อนที่ทุกอย่างจะค่อยๆเลือนราง เขาหัวเราะกับตัวเองพร้อมน้ำตาที่ไหลออกมาอาบแก้มทั้งสองข้าง


   “ ขนาดพ่อแม่ที่หลายๆคนบอกว่าจะเป็นคนที่รักเรามากที่สุด ยังมารักมึงเลย มึงจะคาดหวังให้คนอื่นที่ไม่ใช่พ่อไม่ใช่แม่มารักมึงได้ยังไง ไอ้ปาร์คเอ้ย มึงมันโง่จริงๆเลย โง่ๆ โง่ฉิบหายที่ไปรักคนแบบนั้น กูไม่น่าเลย” เขานั่งหัวเราะให้กับความโง่ของตัวเองอย่างเสียสตินานเท่านาน จากท้องฟ้าที่เคยสว่างค่อยๆมืดมิดลงและมืดสนิท รอบตัวเขาเต็มไปด้วยเสียงแมลงกลางคืนที่ร้องเจื้อยแจ้ว ท้องฟ้าในวันนี้เป็นคืนเดือนดับยิ่งสร้างความมืดมิดให้กับบริเวณรอบได้อย่างสมบูรณ์


   “ เจ้านาย” บลูตัดสินใจเรียกออกไปเมื่อเห็นว่าคนเป็นเจ้านายเงียบนานเกินไปเสียแล้ว


   “ ว่าไง” คนที่ฟุบลงไปกับกับพื้นอย่างคนไม่มีแรงเงยหน้ามามองสมุดของตัวเอง


   “ เจ้านายต้องสู้นะครับ  อย่างน้อยก็สู้เพื่อคนที่เจ้านายรักและรักเจ้านายนะครับ ลุงเกรียงไกรไม่ใช่เหรอครับที่มอบความรักให้กับเจ้านายจริงๆโดยที่ไม่หวังผลตอบแทนใดๆ อย่าเอาไม่บรรทัดของคนอื่นมาวัดตัวเราเลยครับ พ่อแม่ที่ทิ้งลูกมีเยอะแยะไป ถ้าเราคิดดูอีกที เขาก็เป็นแค่คนที่ทำให้เราเกิดมามีชีวิตแต่คนที่ทำให้เราเป็นเรา และมีชีวิตอยู่ได้ตอนนี้คือใครครับ ตัวเราและคนที่อยู่ข้างๆเราไม่ใช่เหรอ เราแคร์คนๆนั้นก่อนดีหรือเปล่าครับ”


   “ จริงด้วย ลุงเกรียงไกร” ปณิธานเหมือนถูกเอาน้ำเย็นๆสาดหน้า เขาลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็วแววตาที่เคยอ่อนแอเมื่อครู่หายไปทันตาเห็น “ นายก็พูดดีๆเป็นเหมือนนะ ขอบใจมากบลู นายก็คือเอ่อ สมุดที่ฉันรักนะ”


   “ ครับ คำพูดพวกนั้นผมก็จำๆเขามา”


   “ พาฉันไปหาลุงหน่อย”


พูดจบสมุดก็เรืองแสงแล้วพาปณิธานมายืนอยู่บริเวณห้องน้ำ พื้นกระเบื้องสีขาวสะอาดกับผนังปูนเปลือยเปล่าที่ถูกขัดจนมันขวับประดับตกแต่งด้วยแมกไม้สีเขียวที่ลุงชอบ ถึงแม้ว่ามันจะดูขัดๆกับสีพื้นที่เป็นกระเบื้องอย่างดี แต่สำหรับลุงเกรียงไกรแล้วมันคือศิลปะ เขาเองก็เคยมาที่ห้องน้ำนี้บ่อยๆตอนเด็กๆ มันไม่เปลี่ยนไปเลย ไม่นาน คนที่เขากำลังคิดถึงก็เดินมาหยุดที่หน้ากระจก ใบหน้าที่มีหนวดขึ้นจนรกรุงรังตอบลงอย่างเห็นได้ชัดเขาส่องไปที่กระจก มือหนาเอื้อมไปหยิบมีดโกนหนวดด้วยความสั่นเทา ก่อนจะค่อยๆทาครีมสีขาวบริเวณหนวดเคราบนใบหน้า หลังจากนั้นเขาก็ค่อยๆลงมีดอย่างกล้าๆกลัวๆ เศษหนวดร่วงหล่นสู่อ่างล้างหน้าเส้นแล้วเส้นเล่าจนกระทั่ง ลุงเกรียงไกรวักน้ำขึ้นมาล้างหน้า ใบหน้าที่แสนใจดีกลับมาอีกครั้ง แต่แววตาของเขากลับไม่สดใสเลยแม้แต่น้อย มีดโกนหวดในมือถูกวางลงกลับที่เดิม ปณิธานถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจไม่ต่างจากคนที่เพิ่งวางใบมีดนั้นลงไปที่เดิมเลย


ปณิธานเดินออกมารอด้านนอกห้องน้ำ เพราะมันคงไม่สะดวกใจเท่าไหร่นักกับการที่ไปยืนดูลุงตัวเองแก้ผ้าอาบน้ำ เขาเดินสำรวจไปรอบๆห้อง ตรงหัวเตียงของลุงเกรียงไร มีกรอบรูปไม้วางอยู่ใต้โคมไฟ ในรูปนั้นมีเด็กผู้ชายกำลังถือเครื่องบินบังคับลายทหารอยู่เด็กคนนั้นฉีกยิ้มกว้างอยู่ในชุดทหารกับผู้ชายที่สวมเสื้อสีขาวกับกางเกงบลูยีนส์ที่ฉีกยิ้มแข่งกับเด็กผู้ชายคนนั้น ปณิธานจำได้ทันทีว่าภาพนี้เป็นภาพงานวันเด็กปีแรกที่ลุงของเขาพาไปเที่ยวที่กองบินสี่สิบเอ็ดในตัวเมืองเชียงใหม่ มันเป็นงานวันเด็กวันเด็กครั้งแรกที่เขามีคนพาไป เขาจำได้ว่าเขาตื่นตาตื่นใจกับบรรดาเครื่องบินและการแสดงโชว์เครื่องบินผาดโผนเอามากๆ พอกลับมาถึงบ้านเครื่องบินลำนี้ก็ถูกยื่นมาให้จากลุงของเขา


   ‘ ลุงจะทำหน้าที่ทั้งพ่อและแม่ให้แกเองนะปาร์ค ‘


เป็นคำพูดที่เขาจำ จำมาจนถึงตอนนี้ ถึงแม้ว่าวินาทีสุดท้ายของชีวิตเขาเขาจะตัดสินใจทำอะไรโง่ๆเพื่อคนที่เขารัก แต่เขาลืมไปเลยว่าคนที่รักเขาจะรู้สึกอย่างไร


ไม่นาน เสียงประตูห้องน้ำก็เปิดลง ลุงเกรียงไกรอยู่ในชุดนอนสีฟ้าเป็นผ้าสีมันเลื่อมเขาทิ้งตัวนั่งลงแทบจะซ้อนทับร่างของปณิธานที่นั่งอยู่


ลุงเกรียงไกรเอื้อมไปหยิบกรอบรูปนั้นมาไว้ในมือ หยดน้ำตาหยดลงบนรูปทีละหยดสองหยด ไม่มีคำพูดใดออกจากปากของชายวัยกลางคนเลยแม้แต่น้อย เขาพยายามกลั้นเสียงเอาไว้ให้มากที่สุดเหมือนกลัวว่าจะมีใครมาได้ยิน


คนที่นั่งข้างๆได้แต่นั่งมองลุงอันเป็นที่รักแต่เขาไม่สามรถบอกอะไรลุงเขาได้เลย ไม่แม่แต่จะแสดงตัวให้เห็น เขาอยากบอกความรู้สึกที่มีตอนนี้ทั้งหมด เขาอยากกอด เขาอยากขอโทษ เขาอยากเตือนในเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่มันคงเป็นไปไมได้เพราะหากลุงของเขาจะสามารถสื่อลุงเขาต้องไม่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้วซึ่งตัวเขาเองก็ไม่ต้องการ


   “ ผมจะทำยังไงดีนะ ผมจะทำยังไงดี” เขามองลุงเกรียงไกรร้องไห้จนเสร็จหลังจากนั้นลุงเขาก็ทิ้งตัวลงนอน “ ใช่ เข้าฝัน เข้าฝันได้หนิ”


   “ มันไม่ปลอดภัยนะครับเจ้านาย”  บลูที่ลอยอยู่ข้างๆห้าม


   “ แต่มันเป็นวิธีเดียว” สิ้นคำเขาก็หายเข้าไปในร่างที่กำลังหลับตาสนิทอยู่ทันที


แสงสีขาวสว่างวาบขึ้น รอบตัวของเขาเป็นเหมือนเขตพื้นที่ที่ไม่มีวันสิ้นสุด มันว่างเปล่าไร้สิ่งปลูกสร้างใดๆ ครั้งนี้เขาไม่ได้อยู่ในร่างของลุงเกรียงไกรแต่เขาอยู่อยู่สิ่งที่เป็นตัวเขาเอง


ภาพรอบกายค่อยๆปรากฏเป็นภาพชัดเจนขึ้นกลุ่มควันที่รอยเคว้งอยู่ในอากาศประกอบเป็นรูปร่าง เขายืนอยู่กลางสนามเด็กเล่น สนามเด็กเล่นที่วันแรกเขามาเล่นกับลุงเกรียงไกรที่นี่ ใบหน้าของเด็กน้อยที่ผ่านความโหดร้ายทั้งด้านจิตใจและร่างกายไร้ซึ่งรอยยิ้ม เด็กคนนั้นดูเศร้าสร้อยและมองไปรอบๆตัวอย่างไร้จุดหมาย ตรงกันข้ามกับคนที่กำลังไกวชิงช้าให้อยู่ด้านหลัง ที่กำลังส่งเสียงหัวเราะและพยามยามชวนคุยเรื่องสนุกสนานอย่างไม่มีทีท่าว่าจะเหนื่อย


   “ ไม่สนุกเหรอตาปาร์ค” เสียงทุ้มถามในขณะที่มือของเขายังคงไกวชิงช้าอย่างไม่หยุด


   “ สนุกครับ แต่ผมคิดถึงพ่อกับแม่”


   “ อยู่กับลุงแล้วไม่ต้องคิดถึงใครแล้ว มีแค่ลุงคนเดียวเนอะ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ ถ้าสนุกก็หัวเราะออกมาเลย เห็นเด็กที่วิ่งอยู่ตรงนั้นไหม” เขาชี้ไปยังเด็กรุ่นราวคราวเดียวกับหลานชาย ที่กำลังวิ่งไล่จับกันอย่างสนุกสนาน “ เห็นไหม ว่าเขาสนุกกันแค่ไหน หลานลุงก็ต้องสนุกได้เหมือนกันนะ”


   “ ครับ”


   “ รับปากลุงแล้วนะ” เขาส่งยิ้มให้หลานชายก่อนจะหยุดไกวชิงช้า “ เดี๋ยวลุงพาไปเลี้ยงไอศกรีมเป็นของรางวัล”


   “ เย้” เด็กชายกระโดดลงจากชิงช้าก่อนจะวิ่งไปที่ถนนซึ่งมีปณิธานยืนอยู่ “ โอ้ย” เขาชนร่างของปณิธานอย่างจัง


   “ เป็นอะไรหรือเปล่า” ลุงเกรียงไกรจับหลานชายลุกขึ้นยืนก่อนจะหันไปทางคนที่กำลังยืนตัวแข็งทำอะไรไม่ถูกอยู่ “ น้องๆ” ลุงเกรียงไกรเรียกคนที่ยืนนิ่งอยู่


เสียงเรียกนั้นทำให้ตัวของปณิธานสั่นเทิ้มเพราะมันได้ตอกย้ำแล้วว่า ลุงของเขามองเห็นเขาจริงๆ น้ำตาแห่งความโหยหาไหลออกมาอย่างไม่สามารถห้ามได้ เขาวิ่งตรงไปยังคนที่อยู่ตรงหน้าพร้อมกับสวมกอด คนที่ถูกสวมกอดได้แต่ยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก บรรยากาศรอบตัวเงียบไปชั่วขณะได้ยินเพียงเสียงสะอื้นจากปณิธานเท่านั้น


   “ ผมขอโทษครับลุง ผมขอโทษ” เขาพูดคำพวกนี้วนไปมา


   “ เดี๋ยวก่อนใจเย็นๆก่อนนะ “ ลุงเกรียงไกรพยายามตั้งสติกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น “ เรารู้จักกันด้วยเหรอครับ”


ปณิธานยิ่งร้องไห้มากกว่าเดิม เพราะเขาไม่สามารถที่จะคุยกับลุงและให้ลุงจำเขาได้เลย ยิ่งไปกว่านั้น ภาพรอบตัวของเขารวมถึงลุงเกรียงไกรกำลังจะค่อยๆเลือนหายไป


   “ ลุง ลุง ลุงครับตื่นๆ” เสียงของคนที่เขาคุ้นชินดังเข้ามาในหัว “ ลุงครับ”


เขาดึงตัวเองกลับมายืนอยู่ข้างเตียงก่อนจะลืมตาขึ้นมอง ลุงเกรียงไกรนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง สภาพร่างของชายวัยกลางคนตรงหน้า เต็มใบด้วยเลือดที่ไหลออกผ่านจมูก ดวงตาทั้งสองและใบหู ยมทูติหนุ่มยืนขาแข็งอยากตกใจ


   “ ลุง” เขาเรียกเบาๆ


   “ ลุง” คนที่ยืนอยู่ข้างๆเขย่าตัว “ พี่มายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ พะ พี่ทำอะไรลุง” เขาผละออกจากลุงเกรียงไกรแล้วถอยไปติดกำแพง “ ออกไปเลยนะ”


   “ ใจเย็นๆก่อน เดี๋ยวกูอธิบายให้ฟัง ช่วยลุงกูก่อน”


   “ แล้วพี่ทำอะไรลุงพี่เล่า”


   “ ไม่รู้เว้ย มึงค่อยถามได้หรือเปล่าวะ ช่วยลุงกูก่อน” ปณิธานตะคอกกลับไป ก่อนจะพยายามที่จะสัมผัสลุงของเขาแต่ว่ามีบางอย่าง บางอย่างที่เขาไม่ต้องการติดมือมาด้วย


   “ ปาร์ค” สิ่งที่ออกมาจากร่างของลุงเกรียงไกรเอ่ย ก่อนจะโผเข้าไปกอดปณิธาน


สัมผัสอบอุ่นที่เขาถวิลหา คนที่เป็นทุกอย่างของเขา กำลังสัมผัสเขาอยู่ น้ำตาของเขาไหลออกมาเป็นสาย คำพูดที่ปณิธานอยากพูดมันหายไปหมด แต่เขาถ่ายทอดมันผ่านอ้อมกอดอบอุ่นนั้น


   “ พี่ ลุงพี่เป็นอะไรไม่รู้” กิตติที่กำลังพยายามปลุกคนที่นอนนิ่งตะโกนเรียกทำให้ปณิธานตั้งสติได้ว่าเขาเองไม่ควรทำแบบนี้
ร่างของลุงเกรียงไกรเกร็งไปทั้งตัว เลือดกระอักออกปลากจนกระจายไปจนทั่วเตียง เสียงหายใจของลุงดังติดๆขัดๆไม่เป็นจังหวะ


   “ ยังไม่ถึงเวลาของลุงนี่” บลูที่ปรากฏตัวขึ้นเอ่ย


   “ ลุงกลับเข้าร่างไปเถอะครับ” ปณิธานร้องขอ


   “ ลุงอยากจัดการเรื่องของลุงก่อน ลุงอยากไปเจอ”


   “ ฟ้าลดา” ชื่อนี้ทำให้ลุงเกรียงไกรเงียบลงในทันที “ ครับผมรู้ และผมกำลังช่วยลุงอยู่ ลุงเชื่อในตัวผมนะครับ เพราะผมไม่รู้จะหากำลังใจที่ไหนได้ดีเท่าลุงอีกแล้ว”


   “ ลุงเชื่อในตัวแกเสมอ ไม่นานเราคงได้เจอกัน” สายตาแห่งความอาธรจ้องมายังปณิธาน


   “ ครับ แต่ต้องไม่ใช่ตอนนี้” ปณิธานออกแรงผลักดวงวิญญาณของลุงเกรียงไกร เข้าร่างไป


ร่างกายที่สั่นเมื่อครู่หยุดการเคลื่อนไหวเสียงลมหายใจค่อยๆกลับมาเป็นจังหวะเดิม คนที่นอนอยู่บนเตียงค่อยๆขยับตัวลุกขึ้นมานั่งอย่างไม่เข้าใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นรวมถึงคนที่กำลังประคองให้เขานั่งด้วย


   “ นายเป็นใคร”


   “ เอ่อ ผมเป็นรุ่นน้องของพี่ปาร์คครับ คือพี่เฟิร์สที่เป็นเพื่อนของพี่ปาร์คเขาให้ผมมาดูแลพี่ปาร์คน่ะครับแต่”


   “ นายมองเห็นปาร์คเหรอ” ลุงเกรียงไกรถามออกไป


   “ ครับ” กิตติมองสลับระหว่างลุงเกรียงไกรกับปณิธานสลับไปมา “ แต่ผมไม่รู้ว่าพี่ปาร์คเอ่อ เสียไปแล้วน่ะครับ เพิ่งรู้ไม่นานมานี้นี่เอง”


   “ นายเป็นคนมีสัมผัสพิเศษเหรอ แต่ทำไมฉันมองไม่เห็นล่ะ”


   “ บอกลุงไปว่าฉันเป็นยมทูติ ลุงมองไม่เห็นฉันหรอก” ปณิธานพูด


   “ ยมทูติ” กิตติร้องออกมาอย่างตกใจ


   “ ว่าไงนะ” ลุงเกรียงไกรหันมาทางกิตติที่กำลังหน้าตาตื่น


   “ พี่ปาร์คบอกว่าเขาเป็นยมทูติครับ” กิตติไม่อยากเชื่อที่ตัวเองพูดเท่าไหร่แต่เหตุการณ์เมื่อสักครู่ตอบเขาได้ดีว่าทำไมเขาควรเชื่อ “ ผมไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องเป็นผมที่มองเห็น”


   “ ฉันรู้” ลุงเกรียงไกรพูดก่อนจะดึงเอาสร้อยคอของกิตติที่ห้อยอยู่ที่คออกมา สร้อยคอที่เป็นจี้รูปหัวใจทรงรี มันสามารถเปิดปิดได้หรือเรียกอีกอย่างว่าล็อกเก็ต “ ไปได้มาจากไหน”


   “ แม่ผมให้ไว้ก่อนที่จะเสียครับ”


   “ นภา”


   “ แม่” ปณิธานร้องเสียงหลง


   “ ลุงรู้จักแม่ผมเหรอครับ”


   “ อืม เป็นน้องสะใภ้ฉันเอง” ลุงเกรียงไกรยืนสร้อยคอกลับคืนไป “ แล้วนภาไปไหนแล้ว”


   “ แม่ผมเสียแล้วครับ คือแม่บอกว่าตอนที่แม่ทะเลาะกับพ่อครั้งสุดท้ายแม่ทิ้งพี่ชายของผมไว้กับพ่อ แล้วหนีออกมาแม่เองก็ไม่รู้ว่ามีผมอยู่ในท้อง ตอนนั้นแม่ไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหนเลยกลับไปที่บ้านยาย ไม่นานแม่ก็มาป่วยอีก ตอนที่แม่ป่วยหนักๆแม่เอาแต่เพ้อถึงพี่ และวันนั้นแม่กลัวว่าผมจะอยู่คนเดียวไม่ได้เลยเอายาฆ่าแมลงใส่ลงนมให้ผม โชคดีที่ยายของผมกลับมาจากตลาดเสียก่อนผมเลยรอดมาได้แต่แม่เสียแล้วครับ พอผมฟื้นผมอยู่กับยายจนเก้าขวบยายของผมก็เสียหลังจากนั้นก็อยู่คนเดียวมาโดยตลอด ผมตั้งใจว่าจะตามหาพี่ชายให้เจอแล้วจะได้เอากระดูกแม่ไปลอยอังคารด้วยกันครับ แต่เมื่อกี้นี้ผมได้ยินพี่ปาร์คเรียก”


   “ ใช่ นภาคือแม่ของปาร์ค และปาร์คก็เป็นพี่ของเอ็ง”


น้ำตาของกิตติไหลออกอาบทั้งสองแก้ม ความหวังที่เขาจะได้มีญาติพี่น้องกับเขาสักคนพังครืนลงไปทันตาเห็น เขาไม่คิดเลยว่าเขาจะได้มาเจอพี่ชายตัวเองในสภาพแบบนี้


   “ ขอโทษนะ กูคงเอ่อ พี่คงเอากระดูกแม่ไปลอยอังคารด้วยไม่ได้แล้ว”
กิตติโผกอดปณิธานทันที เขาร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายใคร น้ำตานี้เป็นน้ำตาแรกที่ไหลออกจากตาของเขาหลังจากงานศพของยาย เขาไม่เคยร้องไห้อีกเพราะน้ำตาเป็นสัญลักษณ์ของคนอ่อนแอแต่ตอนนี้เขาไม่สามารถกลั้นมันไว้ได้อีกต่อไปแล้ว


   “ ผมมาช้าไป ผมไม่เหลือใครแล้ว ผม ฮึก”


   “ จะไม่เหลือใครได้ยังไง ข้าก็เป็นลุงของเอ็งเหมือนกันนะอย่าลืมสิ” ลุงเกรียงไกรลุงขึ้นมากอดกิตติเขาไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าในอ้อมกอดของเขานั้นมีหลานชายอีกคนอยู่ด้วย “ เอาล่ะเดี๋ยวลุงไปอาบน้ำก่อนเลอะไปหมดแล้ว ดูซิมีแต่เลือด” เขาพูดติดตลกก่อนจะเดินตรงไปที่ห้องน้ำ


   “ ลำบากมากหรือเปล่า” ปณิธานถามน้องชายตัวเอง เพราะเขาเองก็จำได้ดีว่ากว่าจะปรับตัวกับการที่ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่นั้นมันทรมานแค่ไหน


   “ สบายดีครับ ว่าแต่พี่เถอะทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ พี่เฟิร์สเป็นห่วงพี่มากเลยนะ เขาขอร้องให้ผมนำมาก่อน โชคดีนะที่ผมมาทำธุระกับเพื่อนที่แม่ริมพอดีเลยมาได้ทันเวลา”


   “ พี่ถามเรื่องแกอยู่อย่าพูดถึงคนอื่น”


   “ ครับ”


   “ หลังจากนี้ดูแลลุงแทนพี่ด้วยนะ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น อย่าอยู่ห่างจากลุงแล้วก็ลาออกจากร้านนั่นซะ” กิตติทำท่าจะท้วงแต่พี่ชายของเขายื่นคำขาดย้ำอีกครั้งเสียก่อน “ เข้าใจหรือเปล่า”


   “ ครับ”


   “ เจ้านาย ท่านเฟิร์สมา” เสียงบลูทักพร้อมกับแสงสีฟ้าปรากฏเป็นวงกว้างตรงหน้า




ปณิธานคว้าน้องชายที่นั่งอยู่ตรงหน้าเข้ามาประกบริมฝีปากก่อนจะสอดแทรกลิ้นเข้าไปในริมฝีปากคนตรงหน้า ทันทีที่แสงสีฟ้าดับลง คนที่มาเห็นภาพสองคนตรงหน้ากำหมัดแน่น แววตาสีฟ้าค่อยๆถูกสีดำกลืนกินรวมทั้งรอยสีดำที่คอของเขากำลังประทุขึ้นเรื่อยๆเพราะมันกำลังตอบสนองความโกรธของร่างกาย











สาธุๆๆๆๆๆ ตอนแรกเครียดมาก ทำไมวิวไม่ขึ้น จนตอนนี้ มาคิดว่า ตอนที่เริ่มเขียนเรื่องแรกๆที่แบบ เราเขียนให้เพื่อนอ่านคนเดียวแล้วพอลงเรื่องพีคๆวิวสูงๆมันสนุกกับการเขียนมาก พอตอนนี้มันเริ่มนอยที่วิวไม่ขึ้น แต่โครโชคดี ที่มีคนอ่านและคอยให้กำลังใจตลอด ขอบคุณทุกคนที่ตามเม้นนะ มันคือกำลังใจในการไปต่อในการเขียนของเรามาก


สุขสันต์วันสงกรานต์ มาสาดนิยายให้ก่อนจร้าาาาาาาาาาา

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
จะให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดหรอ ถึงได้ถ่ายทอดน้ำลายยายสายให้กับน้องชายน่ะ  :hao4:

ออฟไลน์ Sailomcc.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
:katai2-1:
 :3123:
 :pig4:

ขอบคุณที่ติดตามค่ะ

ออฟไลน์ Sailomcc.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
จะให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดหรอ ถึงได้ถ่ายทอดน้ำลายยายสายให้กับน้องชายน่ะ  :hao4:


555 น้ำลายยายสาย เอาซะเห็นภาพเลย

ออฟไลน์ Sailomcc.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0

13


FIND


บรรยากาศภายในห้องเงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจของยมทูติหนุ่มที่ยืนมองราวกับว่าอยากฉีกน้องชายที่เคยไว้ใจตรงหน้าออกให้สะบั้น แววตาของเขาร้อนผ่าว มือของเขากำหมัดแน่น กรามขบกันจนปูดอย่างเห็นได้ชัด


คนที่นั่งอยู่บนเตียงมองกลับอย่างไม่ละสายตา แววตานั้นเต็มไปด้วยความเปี่ยมล้นที่อยากจะเอาชนะ แววตานั้นกำลังมองเยาะเย้ยในสิ่งที่ตัวเขาทำนั้นชนะแล้ว โดยไม่รู้เลยว่าคนที่อยู่ตรงหน้ากำลังจะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ เขาส่งยิ้มไปให้พร้อมกับจับที่ใบหน้าของน้องชายตัวเองมาประจันหน้าอีกครั้งแล้วค่อยๆดึงใบหน้านั้นกลับเข้ามาอีกครั้งแต่มือหน้าของคนที่ยืนอยู่ห่างเมื่อครู่จับมันและบีบมันแน่นจนเป็นรอย อีกมือของปิติภัทรผลักร่างของกิตติลอยไปกระแทกกับกำแพงดังลั่นไปทั่งห้อง กรอบรูปวิวภูเขาที่แขวนอยู่ร่วงลงมาแตกกระจายเต็มไปทั่วพื้น เศษกระจกนั้นบาดมือของกิตติจนเลือดไหลออกมา หัวที่กระแทกกำแพงก็ค่อยๆมีเลือดซึมออกมาเช่นกัน ปิติภัทรผลักปณิธานร่วงลงบนเตียงก่อนจะพุ่งตัวไปหาคนที่กำลังพยายามดันตัวเองให้ลุกขึ้นยืน
มือหนาคว้าที่คอของกิตติแล้วยกตัว ขาของเขาลอยไม่ติดพื้นและเหยียดตรง ใบหน้าของเขาเริ่มเปลี่ยนสี จากสีขาวค่อยๆซีดลงอย่างเห็นได้ชัด ปณิธานพุ่งมาจากเตียงแล้วผลักปิติภัทรจนไถลไปกับพื้รที่มีเศษกระจกแตกกระจายอยู่ รอยที่คอของเขาแดงขึ้นเรื่อยๆ


   “ ช่วยหยุดเจ้านายที” เสียงของเรย์ร้องมาจากด้านหลัง เสียงของเขาเหมือนกับว่ากำลังจะร้องไห้ “ ช่วยหยุดเจ้านายที เจ้านายคุมตัวเองไม่ได้แล้ว” เรย์พูดพร้อมกับประกายไฟที่กำลังเผาไหม้ตัวเองอยู่


   “ มันเกิดอะไรขึ้น” ลุงเกรียงไกรที่ออกมาจากห้องน้ำทักก่อนจะเข้ามาประคองร่างของกิตติขึ้นจากพื้น


   “ เจ้านาย คู่หูของเจ้านายกำลังโดนยมทูติมืดครอบงำ” เสียงของบลูท้วงขึ้น


   “ ปา ปาร์ค” เสียงแหบแห้งของคนที่นอนอยู่บนกองเลือดตัวเองเอ่ยพร้อมทั้งพยายามยกแขนเรียกคนรักให้เข้าไปหา “ ปาร์ค

เฟิร์สขอโทษ”


   “ พี่ปาร์ค เข้าไปดูพี่เฟิร์สหน่อยเถอะครับ” เสียงของกิตติที่ลุงเกรียงไกรประคองอยู่เอ่ยขึ้น “ นะครับ พี่เขาเป็นห่วงพี่มาก
จริงๆนะครับ”


   “ โธ่โว้ย” เขาเดินดุ่มๆเข้าไปใกล้ตัวของคู่หู


“ อย่าแตะตัวนะครับเจ้านาย” บลูร้องตะโกนท้วงมา แต่คงช้าไปเพราะมือของปณิธานดึงตัวของปิติภัทรที่นอนอยู่บนพื้นมาวางบนตัวเองแล้ว


รัศมีไอดำเคลื่อนตัวจากปิติภัทรเข้าสู่ตามตัวของปณิธานอย่างรวดเร็ว อาการของคนที่นอนซมกลับมาเป็นปกติ แต่ว่าแขนของปณิธานนั้นมีไอดำเคลื่อนตัวไปมา แล้วไปกองรวมกันเป็นสัญลักษณ์ของยมทูติสีดำ ที่แผ่นหลัง


ปิติภัทรที่ตั้งสติได้ลุกขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนจะจับปณิธานฉีกเสื้อออก แต่ปรากฏว่ารอยนั้นได้ทำการฝังตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถึงว่ามันจะจางเหมือนกับรอยสักที่ยังลงสีไม่เสร็จแต่มันก็มองได้ออกว่า เขาไม่สามารถทำงานให้ยมทูติสีดำได้แล้ว


   “ โอเคหรือเปล่า” ปิติภัทรถามคนรัก “ ตอบอะไรเฟิร์สหน่อยสิ”


   “ อืม กูก็ปกติดี มึงนั่นแหละโอเคขึ้นหรือยัง” คนที่นอนอยู่บนพื้นถามกลับ


   “ มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย บอกลุงหน่อยได้หรือเปล่า” ลุงเกรียงไกรที่กำลังจ้องมองพื้นที่ตรงหน้าที่ว่างเปล่า


ร่างของปฎิภัทรค่อยๆปรากฏตัวขึ้นในมิติของโลกมนุษย์ ลุงเกรียงไกรจำภาพครั้งก่อนได้ดี แต่เขาไม่คิดว่าจะมาเห็นอีกครั้ง ในวันนี้ เขาตรงไปหาเพื่อนของหลานชายในทันที


   “ ปาร์คเป็นไงบ้าง” เขาถามออกมาอย่างรวดเร็วเพราะสภาพของคนตรงหน้าตอนนี้โทรมเหมือนผ่านการสู้รบมา เลือดที่ไหลออกที่มุมปากและจมูกทำเอาคนที่มองไม่เห็นหลานชายเริ่มใจคอไม่ดี



   “ ปาร์คสบายดีครับ” เขาฝืนยิ้มออกไปก่อนจะหันไปมองคู่หูตัวเองที่กำลังมองดูรอยที่เกิดใหม่


   “ แต่นาย มีเรื่องต้องเคลียกับฉัน” เขาชี้ไปยังกิตติที่นั่งอยู่บนเตียง


   “ จะเคลียอะไรกับหลานฉัน ไม่เห็นหรือไงว่ามันบาดเจ็บอยู่ มีอะไรก็คุยกันตรงนี้ หรือว่ามันเป็นเรื่องอะไรที่ฉันรู้ไม่ได้” ลุง
เกรียงไกรมายืนบังหลานชายคนเล็กของตัวเองไว้


   “ เมื่อกี้ลุงว่ายังไงนะครับ” เขาถามออกไปด้วยความตะกุกตะกัก


   “ ใช่ หลานของฉัน” ลุงเกรียงไกรยืนยันเสียงแข็ง “ โก้เป็นน้องชายแท้ๆของปาร์ค”


คำพูดของลุงเกรียงไกรทำให้ปิติภัทรหันไปมองปณิธานที่ยืนอยู่ด้านหลังอย่างรวดเร็ว ตาของเขาเปลี่ยนสีเป็นสีน้ำเงินตัดขาดจากทางโลก


   “ นี่มันเรื่องอะไรกัน”


   “ เรื่องของคนรักกันครับ” โก้ตอบลุงเกรียงไกรก่อนจะพาลุงของตนเดินออกห้องไป


ภายในห้องตอนนี้ทิ้งไว้เพียงห้องว่างเปล่าแลเศษซากของความรุนแรงที่เกิดไปไม่นานมานี้แต่สำหรับอีกโลกหนึ่งแล้ว มีผู้ชายสอง
คนที่กำลังยืนจ้องมองกันโดยไม่พูดอะไร


   “ ทำแบบนี้ทำไม” ปิติภัทรถามออกไป สายตานั้นยังคงจ้องไปที่คนรักของตนอย่างเอาจริงเอาจัง “ ทำไมไม่ตอบเฟิร์สล่ะ ตอ
บดิวะ”


   “ เออ มึงมันเหี้ยไง มึงหลอกใช้กู มึงทำทุกอย่างให้แม่มึงมีชีวิต จริงๆแล้วมึงก็เป็นพวกเดียวกับไอ้พวกเหี้ยพวกนั้นใช่ไหมล่ะ ลุงกูกับเพื่อนๆของลุงกูมึงก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะช่วยตั้งแต่แรกใช่ไหมล่ะ กี่คนแล้ว กี่คนแล้วที่ต้องตายเพื่อรักษาชีวิตแม่มึง แม่มึงที่ตายไปแล้ว ฮะ มึงตอบกูสิ” ดวงตาของปณิธานจ้องกลับอย่างไม่ลดละ แต่ในแววตานั้นกำลังปล่อยน้ำตาที่คลอเอ่อออกมาอย่างไม่ขาดสาย “ มึงมันเหี้ย” เขาทุบอกคนตรงหน้าเรื่อยๆ คนตรงหน้าได้แต่นิ่ง “ แล้วเหลืออีกสองคน มึงจะเอาชีวิตใครก่อนดีล่ะ แต่กูบอกเลยนะว่า กูจะเป็นคนขัดขวางทุกอย่างเอง”


   “ ไม่ต้องหรอก”  คนที่โดนทุบเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับน้ำตาที่อาบทั้งสองแก้ม “ เฟิร์สจะจบเรื่องนี้เอง” เอาดึงมือของปณิธานมาไว้แล้วทาบลงที่กลางอก “ แต่เฟิร์สอยากจะบอกปาร์คไว้นะว่า เฟิร์สไม่เคยหลอกใช้ปาร์ค เฟิร์สไม่เคยโกหกปาร์ค ทั้งเรื่องที่เฟิร์สรักปาร์ค เฟิร์สโกหกปาร์คเรื่องเดียวคือเรื่องแม่และยมทูติสีดำ เชื่อเฟิร์สเถอะนะ”


   “ กู ไม่ ไว้ ใจมึง”


   “ ทะ…”


   “ กูยังพูดไม่จบ” เขาพยายามกลั้นยิ้ม “ แต่กูจะทำตามความรู้สึกสักครั้ง”


   “ ขอบคุณนะ ขอบคุณนะครับ” ปิติภัทรดึงคนที่อยู่ตรงหน้ามากอดอย่างอบอุ่น สัมผัสที่เขาอยากได้คืนกลับมา มันกลับมาอยู่ที่เขาแล้วถึงแม้ว่ามันจะมีปัญหาบ้างก็ตาม แต่เขาจะพยายามจบเรื่องแบบนี้ให้เร็วที่สุด เขาจะไม่ยอมให้เรื่องผิดธรรมชาติเกิดขึ้นอีกต่อไปแล้ว และเรื่องนี้ควรหยุดลงเสียที


ทั้งสองประคองกันเละกันขึ้นมาจากพื้น ปณิธานดึงแขนเสื้อของคนตรงหน้าขึ้น รอยสัญลักษณ์ของดาวหกแฉกชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เส้นเลือดสีดำเส้นเล็กๆปรากฏลากไปเป็นรอยยาว ความกังวลฉายบนใบหน้าอย่างชัดเจน เพราะเวลาน่าจะใกล้หมดเต็มที


   “ เฟิร์สไม่เป็นไรหรอก เรามาจบเรื่องนี้กันนะครับ” เขาดึงคนตรงหน้าเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด สายตาของเขาก็ไปพบเข้ากับบางอย่างที่บริเวณลำคอของคนรัก มันคือร่องรอยของยมทูติสีดำ เหมือนกับเขาที่เคยได้มันมาในตอนแรก “ สัญญากับเฟิร์สได้ไหมว่าหลังจากนี้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเฟิร์ส ปาร์คจะทำตามที่เฟิร์สบอกอย่างไม่ลังเลแม้ว่า”


   “ ไม่ต้องพูดตอนนี้หรอก ไม่ต้องพูด”


ทั้งคู่ต่างเงียบทุกอย่างลงปล่อยให้ความรู้สึกต่างๆผ่านอ้อมกอดนั้น ความรักและความไว้ใจมักจะมาคู่กันเสมอ แต่บางครั้งความรักมักจะชนะทุกอย่าง แม้ในใจของปณิธานเองยังมีข้อกังขาหลายข้อในตัวของคนรัก แต่เขาเลือกที่จะเก็บมันไว้ในส่วนลึกที่สุดเพราะความรักมันมากกว่าที่จะไม่เชื่อใจแล้ว


เวลาผ่านไปเนิ่นนานพอสมควร ปิติภัทรเดินออกจากห้องมายังห้องรับแขกด้านล่างซึ่งกิตติและลุงเกรียงไกรกำลังนั่งคุยกันอย่างสนุกสนาน แม้สถานการณ์ในตอนนี้จะแย่ กิตติก็ยังคงสร้างเสียงหัวเราะได้เสมอ


   “ เราต้องไปตามหาคนที่เหลือครับ” ปิติภัทรตัดสินใจพูดแทรกเสียงหัวเราะนั้นออกไป “ มีทางเดียวที่เรื่องนี้จะจบ เราต้องตามหาคนที่เหลือมาอยู่ใกล้ๆตัวเราเข้าไว้ และเราต้องหาร่างที่หายไปของฟ้าลดาให้เจอครับ ผมหวังว่ามันจะทันนะครับเพราะตอนนี้ผมว่ามันน่าจะต้องการทำอะไรสักอย่าง เพราะในฝันของผมผมเห็นหลุมศพทั้งหมดหกหลุม ตายไปสามเหลืออีกสาม มีใครบ้างครับที่รู้เรื่องนี้อีก เพราะหกศพนั่นจะเท่ากับจำนวนแฉกของสัญลักษณ์ของยมทูติสีดำ มันกำลังทำพิธีสืบอำนาจใหม่ครับ”


   “ ไม่มีแล้ว ตอนนี้เหลือแค่ไอ้ดุ้ก แล้วก็” ลุงเกรียงไกรพูดไม่ออกเหมือนมีอะไรติดอยู่ที่แต่เขาก็เค้นมันออกมาจนได้ “ ฉันเอง”


   “ ผมจะไม่ยอมให้ลุงเป็นอะไรครับ” กิตติพูดด้วยหน้าตาจริงจัง


   “ นายกลับไปเถอะ นายไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้”


   “ จะไม่เกี่ยวได้ยังไงเพราะคนที่จะตายเป็นคนต่อไปก็คือลุงของผม ผมเสียพ่อ แม่ พี่ชายของผมไปแล้ว ผมไม่เหลือใครแล้วพี่จะให้ผมอยู่เฉยๆรอเห็นใครสักคนจากไปอีกเหรอ มันเหนื่อยนะเว้ยที่จะต้องทนผ่านเรื่องพวกนี้ไป ผมเบื่อ ผมอยากสู้เพื่อคนที่ผมรักบ้าง” ดวงตาของเขาแดงฉานกราบที่ถูกกัดเพื่อกลั้นความรู้สึกเอาไว้ปรากฏอย่างชัดเจน


   “ ลุงจะไม่เป็นไร เชื่อที่เฟิร์สบอกเถอะ” ลุงเกรียงไกรเอื้อมมือมากุมมือหลานชายตัวเอง


   “ เดี๋ยวพี่จะดูแลลุงเองนะ”


   “ ไม่ครับผมตัดสินใจแล้ว” เขายังคงดื้อดึง


   “ เออ ได้ ตามนี้” ปิติภัทรตัดสินใจแทนทุกคน ทุกสายตามองมาที่เขาอย่างตกใจ ปณิธานทำท่าจะท้วงแต่ปิติภัทรพูดขัดก่อน “ สิ่งที่นายต้องทำคือ อยู่ใกล้คุณลุงกับเพื่อนให้ได้มากที่สุด ไม่ว่าอะไรแปลกๆเกิดขึ้นให้เรียกฉันทันที”


   “ ครับ”


   “ ส่วนลุงรอผมอยู่ที่นี่นะครับ เดี๋ยวผมจะไปตามหาเพื่อนของลุงอีกคนเอง”


   “ ไปด้วยกันหมดนี่แหละจะได้ไม่ต้องมัวแต่ห่วงกันไปห่วงกันมา” ลุงเกรียงไกรยื่นคำขาด


รถกระบะโฟวิลสี่ประตูสีดำถูกขับออกไปจากไร่เกรียงไกรอย่างรวดเร็วโดยที่ท้องฟ้าที่เป็นลักษณะคล้ายๆกลุ่มเมฆสีดำได้เริ่มแผ่กระจายตามรถคันนั้นเช่นกัน


บนรถทุกคนต่างนิ่งเงียบไร้การพูดจา ลุงเกรียงไกรเองก็วุ่นอยู่กับการติดต่อเพื่อนสนิทที่ยังคงติดต่อไม่ได้และขาดการติดต่อ กิตติมองออกไปนอกรถอย่างเหม่อลอย ตอนนี้เขากลัวไปหมดกลัวว่าจะสูญเสียทุกอย่าง ทั้งครอบครัวและชีวิตของตัวเอง ตัวปณิธานเองก็นั่งอยู่ข้างๆลุงของเขาไม่ยอมห่างไปไหน


ท้องฟ้าที่เคยสลัวตอนนี้กลัวมืดลงอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย หนทางด้านหน้ามืดแบบไร้แสงนำทาง ไฟตามถนนที่ควรจะสว่างก็เหมือนขัดข้องมันติดๆดับๆยิ่งสร้างความไม่สบายใจให้กับคนร่วมทาง ยิ่งเส้นทางจากอำเภอฝางเข้าตัวเมืองไม่ใช่หน้าเทศกาลรถลาที่สวนมาก็จะนานๆครั้ง ทำให้รถของพวกเขาในตอนนี้คือรถเพียงคันเดียวที่แล่นอยู่บนถนน


ปิติภัทรเองก็พยายามที่จะควบคุมสติให้มากที่สุด เพราะยิ่งเงามืดที่ปกคลุมตอนนี้มืดสนิทเท่าไหร่ แผลที่ลำคอและสัญลักษณ์ที่บริเวณข้อมือก็ร้อนเหมือนมีใครเอาเหล็กร้อนๆมาวางทาบทุกที ดวงตาของเขาอยากจะเปลี่ยนสีเป็นพลังด้านมืดให้รู้แล้วรู้รอด มือของชายหนุ่มเต็มไปด้วยเหงื่อที่ชุ่มแม้ว่าในรถจะมีแอร์เปิดอยู่ตลอดเวลา หัวใจของเขาเต้นเร็วแรงราวกับจังหวะกลองชุด


   “ พี่เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” กิตติที่นั่งอยู่ด้านข้างคนขับถามขึ้นหลังจากหันกลับมาจากนอกตัวรถ


   “ เปล่า”


   “ แต่พี่เหงื่อออกเต็มไปหมดเลยนะครับ”


   “ ร้อนมั้ง”


   “ ไหวแน่นะ” เสียงคนที่อยู่เบาะด้านหลังถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง “ ถ้ามึงไม่ไหวให้โก้มันลงไปขับแทนก่อนก็ได้นะ”


   “ ไหวครับ” เขาตอบพร้อมกับส่งยิ้มผ่านกระจกไป ทั้งๆที่ภายในตัวของเขาร้อนไปหมด “ ขอเร่งแอร์หน่อยนะครับ” เขาบิดแอร์ไปจนสุดพร้อมกับเหยียบคันเร่งไปจนสุดแรงเหมือนกัน


ไม่นานจากรอบข้างมีแต่ป่าสีเขียวตอนนี้กลับเข้ามาเป็นเขตเมืองแม้ว่ามันมืดเหมือนกับว่าท้องฟ้าปิดแต่ก็มีไฟรถที่ช่วยส่องสว่างได้พอสมควร แต่ข้อเสียคือ พวกเขาไม่สามารถขยับรถไปไหนได้เลยเพราะรถติดเหลือเกิน


   “ ทำไมมึงเพิ่งรับสาย” เสียงที่เงียบไปตลอดทางโพล่งขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย “ มึงอยู่ไหน” ทุกคนหันมาให้ความสนใจกับคนที่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่เป็นสายตาเดียว “ จอดรอตรงนั้นแหละ หาที่ที่คนเยอะๆเดี๋ยวไปหา”


   “ อยู่ที่ไหนครับ”


   “ เส้นเชียงใหม่ลำพูน เราต้องกลับรถไป”

รถคันสีขาวที่เพิ่งวางสายไปจากเพื่อนเปิดไฟเลี้ยวเพื่อที่จะกลับไปยังปั้มน้ำมันที่เขาเพิ่งผ่านมาเพราะตรงนั้นน่าจะมีคนเยอะและปลอดภัยอย่างที่มีคนเตือนเขามา


ท้องฟ้าที่เคยสว่างกลับมืดลงอย่างกะทันหันที่ที่อยู่ในรถเริ่มมองรอบตัวอย่างหวาดระแวงก่อนจะขับรถเดินหน้าไปยังจุดหมายของตนที่ตั้งใจจะไปเข้าไว้ เขามองตรงไปด้านหน้าแม้ว่าหางตาของเขาจะเห็นบางอย่างอยู่ข้างทางตลอด


หญิงสาวในชุดนักศึกษากระโปรงทรงเอที่มีเลือดไหลลงมาที่ขาโบกมือเรียกเขาอยู่ข้างทาง เขาจำได้ดีว่าเธอคนนั้นเป็นใคร ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเสี้ยวนาทีก็ตาม เธอคือฟ้าลดา


เขาขับรถตรงมาจะกระทั่งเห็นป้ายสีฟ้าที่เป็นตราสัญลักษณ์ของปั้มน้ำมันปรากฏขึ้น ดนัยเปิดไฟเลี้ยวเพื่อให้สัญญาณและดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรเป็นใจเมื่อ สัญญาณไฟจราจรตรงหน้าขึ้นเป็นไฟสีแดง เขาจึงเบรกรถอย่างกะทันหัน


แปร้นนน เสียงแตรรถจากด้านหลังดังขึ้นคนที่อยู่ในรถดวงตาเบิกโพลงเมื่อรถสิบล้อที่บรรทุกท่อเหล็กเบรคอย่างรวดเร็วสายเคเบิลที่มัดติดไว้ขาดสะบั้นเหมือนมีอะไรมาตัดให้ขาด ท่อเหล็กขนาดใหญ่เทลงมาทางหน้าหน้าตามแรงโน้มถ่วงทะลุกระจกรถของดนัยเข้ามา ชายวัยกลางคนถูกเหล็กที่แทงทะลุเบาะตรึงติดกับร่างกาย แต่ในความโชคร้ายเขาโชคดีตรงที่เขาก้มหัวลงในจังหวะที่แท่งเหล็กแทงทะลุเบาะบริเวณที่หัวของเขาเคยอยู่มาได้


เสียงผู้คนรอบตัวโหวกเหวกโวยวาย ตามถนนมีคนมาเริ่มมุงดูพร้อมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่พยายามควบคุมสถานการณ์ คนที่นั่งอยู่ในรถนั่งน้ำตาไหลออกมา เพราะรู้ดีว่านี่คงเป็นคราวของเขาแล้ว ความเจ็บปวดบริเวณหัวไหล่ที่ถูกตรึงค่อยๆจางหายไปเพราะมันเจ็บจนเริ่มชา เขาหันหัวที่ยังคงขยับได้ไปมองเหล็กที่แทงทะลุเบาะออกมาอย่างหวาดระแวง


   “ เป็นไงบ้างคะ กับการที่ขยับตัวไม่ได้ จะไปไหนก็ไม่ได้ จะหนีก็ไม่ได้” เสียงของใครบางคนดังมาจากเบาะด้านข้าง
หญิงสาวในชุดนักศึกษาที่คุ้นตาฉายยิ้มอันหน้าสะอิดสะเอียนมาให้ พร้อมกับรอยน้ำตาที่ไหลออกมาเป็นสายเลือด กลิ่นคาวเริ่มคละคลุ้งไปทั่วเมื่อบริเวณระหว่างขาของเธอมีเลือดไหลรินออกมาอย่างไม่ขาดสาย
   


“ จับมันแน่นๆสิวะ” เสียงของชายหนุ่มรุ่นพี่ตะโกนขึ้นตอนที่ตนรับไม้ต่อจากรุ่นน้อง ใบหน้าของเขาไร้ความปราณี แม้ว่าหญิงสาวตรงหน้าจะขอร้องทั้งน้ำตาเท่าไหร่ก็ตาม


   “ พี่พอเหอะ มันเลือดไปหมดแล้วเนี่ย” คนที่กดไหล่หญิงสาวเอ่ยขึ้น


   “ มึงกดๆไปเหอะ ตอนกูกดกูยังไม่บ่นเลย กูเอานานไปหน่อยแค่เนี้ยทำเป็นบ่น” เขาตะวาดอย่างหัวเสียก่อนจะหันมาสนใจบทเพลงสวาทที่กำลังทำอยู่ เสียงหวีดร้องของคนตรงหน้าสร้างความพึงพอใจให้กับเขาเป็นอย่างมาก ความรู้สึกเกลียดชังหญิงสาวตรงหน้าที่มาเป็นแฟนของคนที่เขาแอบรักมันทวีความรุนแรงขึ้น ทุกขณะมันควรต้องจบแบบนี้ คนที่เขารักไม่ควรยุ่งกับมันแบบนี้ ดนัยมองหญิงสาวที่หลับตาร้องไห้ตรงหน้าอย่างสมเพชเขาไม่เคยถูกแย่งของรักเพราะฉะนั้นคนที่แย่งของของเขาต้องได้รับบทเรียน


   “ กูว่าพอเหอะ มันจะตายแล้วเนี่ย เลือดมันไหลด้วย” วิชัยมองไปตรงเตียงสีขาวที่เต็มไปด้วยคราบเลือด


   “ มึงจะมาคนดีอะไรตอนนี้วะ จำที่เราคุยกันไม่ได้หรือไง มึงจะได้ขึ้นมาเป็นที่หนึ่งไง”


   “ ผมไม่เอาแล้วนะพี่” คนที่นั่งทำหน้าเหมือนจะอาเจียนรีบพุ่งออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว


   “ ไอ้ไก่อ่อนเอ้ย” ดนัยส่ายหัวให้กับรุ่นน้องที่วิ่งออกไปก่อนจะหันกลับมาสนใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เขาดึงของของตัวเองออกมาแล้วดึงแผ่นยางใสๆออกก่อนจะทำในสิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิด


   “ มึงทำเหี้ยไรเนี่ย” คนที่กดไหล่อยู่ผงะกับการกระทำตรงหน้า “ มึงจะบ้าไปแล้วเหรอวะ เราคุยกันแล้วไงถ้าเรื่องมันเลยเถิดจะทำยังไง”


   “ หุบปาก แล้วเตรียมกลับ” เขาจัดการใส่กางเกงแล้วเดินออกจากห้องปล่อยให้หญิงสาวที่นอนหมดแรงอยู่บนเตียงอย่างไม่ใยดี สภาพตอนนั้นเธอไม่ต่างจากขยะเปียกที่ถูกทิ้งลงในบ่อน้ำเน่า กลิ่นคาวในห้องคละคลุ้งไปหมด ความเจ็บปวดที่ตรงจุดสำคัญเป็นการบอกว่าเธอไม่ใช่แค่ฝันร้ายแต่มันคือเรื่องจริง



“ มึงจำได้ไหมว่ามันเจ็บแค่ไหน”  สิ้นเสียงของฟ้าลดาเหล็กที่อยู่เฉยเมื่อครู่กลับขยับขึ้นมาอีกครั้งมันเคลื่อนตัวมาด้านหน้าทำให้คนที่ถูกตรึงไว้ร้องโอดครวญขึ้นมาอย่างเสียสติ น้ำตาจากแววตาที่เจ็บปวดไหลออกมาเป็นสาย เขาพยายามประคองมือขึ้นมาพนมแล้วหันไปทางหญิงสาวที่นั่งนิ่งแทบจะไม่หันมามองเขาด้วยซ้ำ


   “ ขอโทษ พี่ขอโทษ” ไม่มีแม้แต่การตอบสนองของหญิงสาว


คนที่อยู่ด้านนอกตัวรถได้แต่ตะโกนร้องเรียกให้คนที่อยู่ด้านในมาเปิดประตูให้แต่ดูจะไม่เป็นผลเพราะคนที่อยู่ในรถกลับไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย แม้กระทั่งเสียงโทรศัพท์ที่โทรเข้ามาก็ตาม


หน้าจอสี่เหลี่ยมแสดงเบอร์ของ เกรียงไกร  ซึ่งมันถูกกดรับสายอัตโนมัติแม้ไม่มีคนไปยุ่งกับมัน คนที่อยู่ปลายสายได้แต่รับฟังเสียงที่เซงแซ่


   “ สัพเพสัตตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยการทั้งหมดทั้งสิ้น” เขาท่องออกมาทั้งน้ำตา


   “ ท่องทำเหี้ยอะไร” เธอหันมาตะวาด “ คนใจบาปอย่างมึงไม่มีใครช่วยหรอก”
เธอส่งยิ้มให้เบาๆก่อนที่ท่อเหล็กจะแทงทะลุมาจากด้านหลังบริเวณหน้าท้องอีกหนึ่งครั้ง เสียงของดนัยดังก้องไปทั่วแต่ก็ไม่มีใครสามารถที่จะเข้าไปช่วยได้เลย






“ ไอ้ดุ้ก ไอ้ดุ้ก มึงได้ยินกูไหม” 







มาแล้วน้าาาาาาาาาา มาหลอนต่อกันเถอะ จะจบแล้วเด้อ

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
และแล้วก็ตามไปอีกหนึ่งแล้ว  :sad3:

ออฟไลน์ Sailomcc.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
และแล้วก็ตามไปอีกหนึ่งแล้ว  :sad3:


ใครจะเป็นรายต่อไป โปรดติดตามงับ

ออฟไลน์ Sailomcc.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0

14


FAH LADAH


   อีกฝากฝั่งของถนนรถสีดำเพิ่งมาจอดเทียบข้างทางเมื่อทางข้างหน้ากำลังถูกปิดไปบางส่วน บรรดาเจ้าหน้าที่และไทยมุงกำลังทำหน้าที่ของตัวเอง รถสิบล้อที่บรรทุกเหล็กมาจอดอยู่หลังรถสีขาวโดยมีท่อเหล็กแทงทะลุเชื่อมถึงกันอยู่ เป็นภาพที่ไม่น่ามองเท่าไหร่นัก


คนที่นั่งอยู่ในรถได้แต่ภาวนาว่าอย่าเป็นคนที่เขารู้จักเลย มือหนาพยายามกดติดต่อถึงคนที่นัดหมายเอาไว้ เสียงสัญญาณทำให้เขาหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก จนกระทั่ง


“ สัพเพสัตตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยการทั้งหมดทั้งสิ้น” เสียงของปลายสายดังตอบกลับมา น้ำตาของลุงเกรียงไกรไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้ เขามาช้าเกินไปหรือเปล่า


“ ลุงรออยู่ที่นี่นะครับ” พูดจบร่างของเฟิร์สที่นั่งอยู่ที่เบาะคนขับหายวาบไปสู่โลกหลังความตาย คนที่มองเห็นอย่างกิตติได้แต่มองออกไปนอกรถเพื่อรับรู้ความเป็นไปแค่นั้น มืออีกข้างเขาเอื้อมไปจับมือลุงของตนที่ด้านหลังของรถ


“ มันจะต้องสำเร็จครับ”


รอบรถคันสีขาวผู้คนต่างถอยห่างเมื่อตัวรถสิบล้อด้านหลังเริ่มเคลื่อนตัว บรรดาเหล็กแหลมร่วงหล่นบนทำให้เจ้าหน้าที่ที่กำลังมาให้ความช่วยเหลือต้องถอยออกห่างเพราะว่าไม่มีความปลอดภัย เช่นเดียวอีกภพที่มีรัศมีไอดำห้อมล้อมรถเอาไว้กลิ่นคาวปนเหม็นเน่าลอยฟุ้งทั่วไปทั้งบริเวณ


ยิ่งใกล้ไอดำเท่าไหร่รอยที่อยู่ด้านหลังของปิติภัทรยิ่งตอบสนองต่อมันเท่านั้น รอยสีดำค่อยๆปรากฏและเปลี่ยนเป็นสีแดงเหมือนรอยไหม้ เหงื่อของชายหนุ่มเต็มไปหมดดวงตาสีน้ำเงินเหมือนถูกกลืนไปด้วยสีดำ ดวงตาสีขาวของเขาตัดสลับสีไปมาเหมือนคนที่กำลังถูกครอบงำกำลังควบคุมมันอยู่จนคนที่อยู่ข้างๆสังเกตได้


   “ มึงไหวหรือเปล่าวะ” ไม่มีการตอบรับ “ ไอ้เฟิร์ส เฟิร์ส”


   “ คะ…ครับ”


   “ มึงไหวหรือเปล่าวะ”


   “ ไหว” เขาเรียกโซ่ที่เป็นอาวุธคู่กายออกมาแต่ทว่า โซ่นั่นควรเป็นสีน้ำเงินแต่ว่า กว่าครึ่งของเส้นนั้นถูกกลืนไปด้วยสีดำ คนที่เรียกได้แต่จ้องมันอย่างตกใจ


   “ มึงอยู่เฉยๆ เดี๋ยวกูเอง”  พูดจบปณิธานก็เหวี่ยงอาวุธของตัวเองไปในรถ ซึ่งแน่นอนมันถูกตวัดกลับด้วยแรงบางอย่าง เสียง
หัวเราะอันแสนคุ้นหูดังไปทั่ว พร้อมกับท้องฟ้าที่มืดครึ้มราวกับว่าเป็นเวลากลางคืน ชาวบ้านที่อยู่บริเวณนั้นต่างยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปราวกับว่าตนเป็นนักข่าวมือสมัครเล่นไปเสียแล้ว


   “ ปาร์คไม่ไหวหรอก “


   “ มึงอยู่เฉยๆไป”


เพล้ง ! เสียงกระจกด้านหน้าแตกทำเอาคนที่กำลังยืนเถียงกันต้องหยุดลง ตรงหน้ามีคนที่กำลังถือแท่งเหล็กขนาดใหญ่ในกำมือ


   “ โก้” 


   “ มาช่วยคนข้างในก่อนครับ” เสียงของโก้เป็นเหมือนเสียงเตือนสติทั้งมนุษย์และยมทูติเพราะเจ้าหน้าที่ในบริเวณนั้นวิ่งเข้ามาในที่เกิดเหตุใหม่อีกครั้งแต่ดูเหมือนว่ามันไม่ง่ายอย่างที่คิด รถบรรทุกเริ่มเคลื่อนตัวทำเอาท่อเหล็กด้านบนหล่นลงมาอีกครั้ง


   “ ออกไปก่อน” ปณิธานร้องบอกน้องชายที่ยังพยายามเปิดประตู


   “ ไม่ อร้ากกก” ร่างของโก้ลอยออกไปจากบริเวณนั้นด้วยแรงผลักของปณิธาน


   “ แค่นี้ก็พอแล้ว” เขาส่งยิ้มไปให้ก่อนจะหันมาสนใจกับสิ่งตรงหน้า


หญิงสาวในเงาสีดำกำลังนั่งยิ้มต้อนรับของเขาราวกับว่ารอเวลานี้อยู่ แต่ในแววตาอีกแววตาหนึ่งที่ปณิธานสัมผัสได้คือแววตาแห่งความเศร้าและความเหนื่อยล้า


   “ เธอไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ก็ได้นะฟ้าลดา ฉันเชื่อว่าลึกๆแล้วเธอไม่อยากทำแบบนี้หรอก อย่าปล่อยให้มันครอบงำเธอเลยนะ”


   “ อีฟ้าคนเก่ามันน่าสมเพช มันอ่อนแอ มันถึงได้ตายอย่างอนาถอย่างนั้นไงล่ะ ดูตอนนี้สิฉันมีอำนาจ จะเล่นกับไอ้พวกสวะนี้ยังไงก็ได้” มือของเธอเกร็งเหมือนพยามยามควบคุมแท่งอะลูมิเนียมตรงหน้าที่แทงทะลุกลางอกของดนัย เสียงร้องนั้นทำให้หญิงสาวยิ่งคลั่ง


   “ พอได้แล้ว เรามาจบเรื่องนี้กันเถอะ” ปณิธานกระโดดไปคว้าร่างของยมทูติสีดำทะลุไปอีกฝั่ง แต่ทว่าเหมือนปณิธานกำลังคว้าอากาศอยู่เพราะร่างของฟ้าลดายังคงนั่งอยู่ที่เดิม เสียงหัวเราะดังขึ้นอีกรครั้งและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเมื่อร่างของฟ้าลดากำลังเพิ่มจำนวนขึ้นทั้งหลังรถบรรทุก หลังรถของดนัย หน้ากระโปงรถ ในมือของเขา


   “ มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกไอ้โง่”


เสียงแตรรถจากด้านหน้าที่กำลังพุ่งตรงมายังรถของดนัย ทำให้ทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นต่างหลบหนีกันไปคนละทิศคนละทาง
ปิติภัทรพยายามใช้โซ่ของคนลดความเร็วของรถเก๋งสีขาวให้ได้มากที่สุด และสิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิดคือรถสีดำที่จอดนิ่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามขับเข้ามาขวางเอาไว้ รถเก๋งสีขาวเองก็ไม่มีทีท่าที่จะหยุด มันไถลยาวมาจนติดกับรถของดนัย แต่ใครจะไปคิดว่าแรงกระแทกเบาๆทำเอาสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อลดอัตตาการเสียชีวิตอย่างถุงลมนิรภัยพองขึ้นมา คนที่นั่งอยู่ในรถดวงตาเบิกโพลงเมื่อถุงนั้นขยายออกมาด้วยความเร็ว หัวของเขาเสียบทะลุกับท่อนเหล็กที่แทงทะลุเบาะออกมา เสียงกรีดร้องดังไปทั่วบริเวณ เมื่อเจ้าหน้าที่ถ่ายรูปทำแผนเสร็จ ถุงลมที่อยู่ตรงหน้าที่น่าจะรั่วค่อยๆยุบตัวลง ไขมันกึ่งแข็งกึ่งเหลวร่วงหล่น ใบหน้าของดนัยอาบไปด้วยเลือดสีแดง เขาตายสนิทด้วยดวงตาที่เบิกโพลงและใบหน้าที่บิดไม่ได้รูป เจ้าหน้าที่ประคองร่างหนึ่งออกจากรถสีดำที่โชคดีว่าชนแค่

บริเวณท้ายกระบะมาตรงจุดเกิดเหตุ น้ำตาแห่งความกลัวปนความอาลัยไหลออกมาเป็นสาย ลุงเกรียงไกรทรุดลงกับพื้นอย่างห้ามไม่ได้ เขาตัวสั่นเทิ้มมือหนายกขึ้นมาพยายามจับร่างตรงหน้าแต่ว่าเจ้าหน้าที่ห้ามไว้ กิตติที่อยู่ใกล้จึงเข้ามาช่วงพยุงร่างของลุงตัวเองมานั่งพักที่ท้ายรถพยาบาลที่เพิ่งมาถึงไม่นาน
ตรงมุมหนึ่งของอีกโลก หญิงสาวในผ้าคลุมสีดำจ้องเขม็งมายังคนที่กำลังเสียใจอยู่ ก่อนจะค่อยๆยิ้มออกมาอย่างรู้สึกดีแล้วค่อยๆสลายไป



“ ผู้ตายเป็นอะไรกับคุณครับ” เจ้าหน้าที่ตำรวจถามขึ้นหลังจากลุงเกรียงไกรเข้ามานั่งในห้องนี้ได้ไม่นาน บรรยากาศในห้องเงียบและอุดอู้แม้จะมีเครื่องปรับอากาศก็ตาม


   “ เขาเป็นเพื่อนร่วมรุ่นของผมตอนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยครับ”


   “ เหมือนกับคนก่อนหน้านี้สินะครับ ทั้งคุณเมฆา คุณชลชาติ คุณวิชัย ตอนนี้มาคุณดนัย”


   “ …” ไม่มีการตอบโต้


   “ คุณว่ามันบังเอิญเกินไปไหมครับ”


   “ บังเอิญ” ลุงเกรียงไกรทวนคำพูด


   “ ครับ มันบังเอิญตรงที่ทุกคนที่ตายเป็นคนรอบตัวคุณทั้งหมดอีกทั้ง บางคนการตายของเขาคุณก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วยซ้ำ”


   “ คนต่อไปอาจเป็นผมก็ได้” ลุงเกรียงไกรตัดสินใจพูดออกไป


   “ คุณหมายความว่ายังไงครับ”


ไม่เว้นแต่คนที่ยืนเฝ้ามองอย่างเป็นห่วงอีกโลกหนึ่ง ซึ่งตกใจไม่แพ้ตำรวจคนนั้นเลย เขาไม่คิดว่าลุงเขาจะคิดแบบนี้ ใบหน้าของคนที่เคยยิ้มแย้มดูย่ำแย่ลงทุกที ในห้องเองก็เช่นกัน
   “ ผมไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี”


   “ คุณเสพยาหรือเปล่าครับ”


   “ ไม่ครับ”


ผ่านไปนานสองนานกับการถามคำถาม แต่ก็ได้เพียงคำตอบเดิมๆบวกกับการไม่มีหลักฐานทำเอาคนสอบสวนถึงกับปวดหัว


   “ ครับ หวังว่าจะไม่เจอกันอีกนะครับ”
การสอบสวนผ่านไปได้ด้วยดีลุงเกรียงไกรพ้นความผิด กิตติมารับที่หน้าห้องสอบสวนซึ่งเขาได้ถูกสอบสวนเสร็จไปแล้วก่อนหน้านี้


   “ อยู่เป็นเพื่อนลุงนะ” ปณิธานบอกน้องชายก่อนจะหายวาบไปพร้อมกับคู่หูของตนเอง




ภายในห้องพักของปิดติภัทร เงียบทันทีที่มาถึง เขาประคองร่างของชายหนุ่มลงบนเตียงก่อนจะดึงเสื้อที่ใส่ออกมา รอยดำที่อยู่บนหลังชัดเจนขึ้นและมันกำลังจะกลืนกินตัวตนของคนตรงหน้า


   “ ถ้าไม่รีบจบเรื่องนี้คู่หูเจ้านายต้องกลายเป็นยมทูติมืดแน่ๆ” บลูที่อยู่ข้างๆเอ่ย


   “ เราจะทำยังไงกันดี”


   “ ทางที่ดีห้ามให้เจ้านายใกล้ยมทูติสีดำอีกน่าจะเป็นทางดีที่สุด” เรย์เอ่ยด้วยน้ำสียงที่ไม่สู้ดีเพราะอาการของเขาเองก็อ่อน

แรงลงทุกที สมุดที่เคยส่องประกายสีน้ำเงินก็เริ่มเปลี่ยนสีไปตามเจ้านายของต้นเอง


   “ ลุงพักเถอะ”


   “ ใช่นายควรได้พักผ่อน” ปณิธานโบกมือในอากาศ สมุดเล่นนั้นหล่นลงมาอยู่ด้านข้างเจ้านายของตัวเอง
ตัวของปิติภัทร มีเหงื่อไหลตลอดเวลา ใบหน้าของชายหนุ่มมีเส้นเลือดสีดำขึ้นลางๆลากยาวมาถึงบริเวณข้อมือที่ปรากฏสัญลักษณ์ของดาวหกแฉกอยู่


น้ำตาเป็นทางออกเดียวที่เขาสามารถระบายออกมาได้ตอนนี้ มันไหลออกมาผ่านแก้มสีซีดของปณิธานหยดแล้วหยดเล่า ยมทูติหนุ่มพยายามที่จะเก็บเสียงให้ได้มากที่สุด มือของเขากุมมือของคนตรงหน้าอย่างไม่ห่าง มันเป็นความรู้สึกเป็นห่วง กลัว และเสียใจปะปนไปหมด


   “ เป็นไรครับ” คนที่นอนอยู่ปรือตามองอีกคนที่กำลังร้องไห้ “ ไม่สมกับเป็นปาร์คเลยนะ”


   “ มึงเป็นอะไร แล้วกูต้องทำยังไง ฮือๆ…” เขาโผเข้าไปกอดร่างที่นอนอยู่บนเตียงอย่างห้ามไม่ได้ เขารู้แล้วว่าตอนนี้นอกจากลุงและน้องของเขาก็มีอีกคนที่เขารักจนสุดหัวใจ


   “ เฟิร์สไม่เป็นอะไรหรอก อย่าร้องไห้นะ”


   “ ไม่เป็นไรได้ยังไง ตอนนี้มึงแทบจะขยับตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำไป”


   “ เฟิร์สแค่นอนเดี๋ยวเดียวก็หายแล้ว ยิ่งรู้ว่าปาร์คเป็นห่วงเฟิร์สขนาดนี้นะรับรองหายเป็นปลิดทิ้ง” เขากระชับอ้อมกอดให้แน่นมากขึ้น “ ดูสิเฟิร์สยังมีแรงกอดปาร์คอยู่เลย มีแรงหอมด้วย” ไม่ว่าเปล่าชายหนุ่มก็เอาปากของตัวเองประทับลงบนปากของฝ่ายตรงข้าม “ ให้ทำอย่างอื่นก็ไหวนะ”



   “ อย่าฝืนเลย” ปณิธายเอ่ยเพราะว่ายิ่งชายหนุ่มฝืนร่างกายตัวเองเท่าไหร่ เลือดก็เริ่มไหลออกตามจมูกของเขาแล้ว “ มึงพักเถอะ กูจะจบเรื่องนี้เอง”



   “ ปาร์คจะไปไหน”


   “ ไปหาฟ้าลดา”

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ฟ้าลดาทำเองจริง ๆ หรอ หรือจะเป็นเหยื่อล่อ  :hao4:

ออฟไลน์ Sailomcc.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
ต่อง้าบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ

สิ้นคำพูดของเขาประตูที่หน้าห้องก็มีคนเคาะขึ้น และดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ล็อกเพราะมันค่อยๆบิดและเปิดอ้าออก ชายหนุ่มสองคนที่แสนคุ้นหน้าปรากฏตัวขึ้นที่หน้าห้อง


   “ ไอ้นนท์ จักร”


   “ โก้มันโทรไปหาเราน่ะ แล้วเราก็เห็นข่าวเมื่อตอนเย็นผ่านทีวี แล้วก็แชร์ผ่านโซเชียลเต็มไปหมด เลยคิดว่ามันไม่ปกติเลยกลับมาช่วยน่ะ” รณจักรพูดเพราะเป็นคนเดียวที่เห็นว่ามีปณิธานยืนอยู่


   “ มึงไม่ต้องปฏิเสธนะไอ้ปาร์ค พวกกูกลับมาช่วยมึงเพราะมึงเป็นเพื่อนไม่ใช่เพราะติดหนี้บุญคุณมึง” ชยานนท์พูดอย่างรู้ใจเพื่อนสนิทของตน


   “ ขอบคุณมากนะเว้ย” ปณิธานยิ้มออกมาทั้งน้ำตา “ อาการไอ้เฟิร์สมันไม่สู้ดีเลยว่ะ “


   “ แล้วมีอะไรให้พวกเราช่วยบ้างล่ะ”


   “ หาร่างของฟ้าลดาให้เจอ”


ปณิธานเล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้รณจักรฟังและรณจักรก็เป็นล่ามให้คนรักของตัวเองฟังอีกครั้ง ในห้องเต็มไปด้วยความเงียบเพราะทั้งสามกำลังช่วยกันคิดว่าควรเริ่มจากที่ไหนก่อน


   “ มีอะไรที่ยังไม่เล่าอีกหรือเปล่า”   


   “ คือ” เขาเองก็ไม่กล้าที่จะเล่าเรื่องฟ้าลดา แม่ของปิติภัทรเท่าไหร่นัก


   “ ไปที่บ้านกู” คนที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงเอ่ยขึ้น


   “ กูคิดว่ามึงหลับแล้ว” ปณิธานพูดด้วยใบหน้าที่ตกใจ


   “ มันอยู่สักที่ในบ้านกู”


   “ ขอบคุณมาก” ชยานนท์พูดก่อนที่ทุกคนจะวิ่งออกจากห้องไป


ทั้งสามคนได้แผนที่บ้านของปิติภัทรมาจากเจ๊อาโปก่อนจะขับรถตรงดิ่งไปแถวเขตชานเมือง ชยานนท์ที่เป็นคนขับรถขับเลี้ยวเข้าไปในหมู่บ้านโดยใช้ใบผ่านทางของปณิธาน


บ้านของปณิธานตั้งอยู่ในหมู่บ้านจัดสรรเป็นบ้านปูนสองชั้นสีขาวออกไปทางครีมหลังคาสีส้มอิฐเข้ม ส่วนใหญ่หน้าบ้านของทุกหลังจะเป็นสวนและมีที่จอดรถ พวกเขาขับมาจนสุดซอยซึ่งในบริเวณหน้าบ้านหลังนี้ก็เป็นเช่นเดียวกับหลังอื่นๆคือเป็นสวนขนาดเล็กมีดอกไม้นานาพันธุ์ปลูกประดับเป็นสัดเป็นส่วนรวมถึงพื้นหญ้าที่เขียวขจี เหมือนกับว่าที่นี่เป็นบ้านปกติหากมองในตาของมนุษย์ แต่อีกโลกหนึ่งนั้น ไอดำจากยมทูติสีดำปกคลุมเต็มไปทั่วทั้งบริเวณ ปณิธานเพ่งมองไปรอบๆ ประตูหน้าบ้านมีคนในเสื้อคลุมสองคนกำลังยืนรออยู่


   “ มีพวกมันสองคนตรงประตู” เขาร้องบอกรณจักร


   “ โอเค นายรออยู่ตรงนี้ก่อนเดี๋ยวเรากับนนท์จะเข้าไปดูด้านในว่ามีอะไรผิดปกติหรือน่าสงสัยหรือเปล่า ยังไงเราจะส่งสัญญาณบอก” รณจักรเดินลงจากรถไปพร้อมกับแฟนของตัวเอง


เขาเดินตรงเพื่อไปกดกริ่งแต่ประตูบ้านก็เปิดออกอัตโนมัติ หญิงวัยกลางคนในชุดพื้นเมือง คือเสื้อสีขาวทำจากผ้าฝ้ายแล้วใส่ซิ่นสีดำ ยืนยิ้มตอนรับอยู่ ในมือของเธอมีแมวสีดำที่กำลังจ้องเขม็งมาทางผู้มาเยือน


   “ สวัสดีครับ” ทั้งสองยกมือไหว้อย่างรวดเร็ว


   “ มาหาใครเหรอจ้ะ ไม่คุ้นหน้าเลย”  เธอส่งยิ้มมาให้อย่างอ่อนโยน


   “ อ่อครับ ผมสองคนเป็นเพื่อนกับเฟิร์สน่ะครับพอดีว่าเฟิร์สให้แวะมารอที่นี่ก่อนเดี๋ยวเขาจะตามเข้ามาครับ” รณจักรพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้ลอกแลก


   “ แปลกนะ ปกติแล้วเฟริ์สจะไม่ค่อยนัดใครมาที่บ้าน”


   “ เขาบอกว่าจะให้ผมมาคุยกับคุณแม่เรื่องโปรโมทร้านน่ะครับ พอดีว่าผมทำโปรเจคจบเลยเลือกที่ร้านเพื่อทำการขายน่ะครับ” รณจักรตอบ


   “ เขามาก่อน บ้านรกหน่อยนะป้าอยู่คนเดียว ไอ้ลูกตัวดีนั่นก็ไม่ค่อยกลับป้าเลยไม่ค่อยมีเวลาทำความสะอาดเท่าไหร่ คนแก่ก็อย่างนี้แหละ” เธอพาเดินเข้ามาในตัวบ้าน “ นั่งก่อนสิ” เธอผายมือไปที่เก้าอี้ตัวสีแดงตรงหน้า


   “ ครับ”


   “ เดี๋ยวป้าไปหาน้ำมาให้ก่อนแล้วนี่ทานอะไรกันมาหรือยังล่ะ”


   “ เรียบร้อยแล้วล่ะครับ”


เมื่อฟังผู้มาเยือนจบเจ้าของบ้านก็เดินกลับหายไปในครัว ภายใต้ใบหน้าที่ยิ้มแย้มใครจะรู้ว่าร่างนั้นเต็มไปด้วยไอดำที่ลอยอยู่รอบตัว และดวงวิญญาณอีกดวงที่ซ้อนอยู่ในร่างนั้นกำลังทุกทรมาน ชยานนท์กำมือจักรแน่นเพราะตนเองเห็นดวงวิญญาณของแม่ปิติภัทรซ้อนอยู่


   “ มีอะไรหรือเปล่า”


   “ นี่ไม่ใช่แม่ไอ้เฟิร์สแน่ๆ”


   “ นนท์เห็นยมทูติแล้วเหรอ”


   “ เปล่า เราเห็นแม่อยู่ในร่างนั้นแต่ไม่ได้ควบคุมร่างนั้น จริงๆแม่มันคงตายไปนานแล้วสินะที่อยู่ได้คงเป็นเพราะ…”


   “ น้ำมาแล้วจ้ะ” คนที่หายไปเมื่อครู่เอ่ยขึ้นพร้อมกับวางถาดน้ำลงบนโต๊ะที่ทำจากกระจกตรงหน้า


   “ ขอบคุณครับ”


   “ แม่อยู่คนเดียวไม่เหงาเหรอครับ” รณจักรถาม


   “ เหงานะ แต่ให้ทำไงได้ลูกมันไม่ยอมกลับมาบ้านเท่าไหร่ ดื่มน้ำหน่อยสิ แม่ไม่รู้ชงหวานเกินไปหรือเปล่า” เธอชี้ไปยังน้ำแดงที่เพิ่งถูกยกมาวางเมื่อครู่


คนที่มองเห็นโลกของยมทูติได้นั่งจ้องไปที่น้ำแก้วนั้นอย่างกล้ำกลืนเพราะในน้ำนั่นนอกจากมีน้ำแดงแล้วเหมือนมีเส้นพยาธิหรืออะไรสักอย่างสีดำลอยอยู่


   “ ไม่เป็นไรดีกว่าครับ เดี๋ยวผมถามเรื่องงานแม่ก่อนดีกว่า” รณจักรปฏิเสธ


   “ ไหนบอกว่าจะรอเฟิร์สก่อนไงล่ะ”


   “ อ่อ ผมเกรงใจคุณแม่น่ะครับ เดี๋ยวผมถามคุณแม่เสร็จเดี๋ยวโทรบอกมันไปเจอข้างนอกก็ได้ครับ”


   “ เธอสองคนต้องการอะไรกันแน่”


   “ เปล่าครับเราแค่อยากจะ”


   “ โกหก” แววตาที่เคยแสนดีเปลี่ยนไปเป็นดุดัน บานหน้าต่างที่เคยเปิดให้แสงสว่างผ่านมาได้ปิดลงอย่างรวดเร็ว ผ้าม่านถูกรูดอัตโนมัติ แสงด้านนอกพลันดับลงวูบลงทำให้ในบ้านมองไม่เห็นอะไรเลย กลิ่นเหม็นสาบลอยเข้ามาเตะจมูกทั้งสองคน ทั้งคู่จับมือกันแน่น รณจักรยกโทรศัพท์ขึ้นมาส่องไปรอบๆ ที่นี่เหมือนบ้านร้างไม่มีคนอยู่ หยากไย่และเก้าอี้วางอย่างไม่เป็นระเบียบ


   “ แกคิดว่าฉันโง่เหรอ” เสียงโหยหวนดังออกมาจากความมืด


พวกเขาติดกับฟ้าลดาเสียแล้วล่ะ

คนที่นั่งรออยู่ในรถเริ่มกระวนกระวายเพราะเขาไม่สามรถมองเข้าไปด้านในได้เลย จู่ๆท้องฟ้าด้านนอกก็มืดลงอย่างกะทันหัน


ปณิธานเริ่มร้อนใจเพราะสองคนนั้นยังคงอยู่ข้างใน


ปัง ปัง ปัง เสียงบานหน้าจากพับปิดเข้ากับตัวบ้านทำให้เขาทนไม่ไหวที่จะทนเก็บตัวเองในรถได้อีกต่อไป ปณิธานโบกมือไปใน

อากาศเรียกสมุดของตัวเองออกมา
   “ พาฉันเข้าไปด้านใน”


สิ้นคำแสงสว่างก็จ้าขึ้นในทันที ขาของปณิธานก้าวออกจากประตูมิติที่บลูพามา เขายืนอยู่ใจกลางห้องโดยด้านหน้าของเขาคือฟ้าลดา ส่วนรณจักรและชยานนท์ล้มลงอยู่ที่พื้นตามตัวเต็มไปด้วยบาดแผล


   “ เจอกันอีกจนได้นะ” ฟ้าลดาเอ่ย


ที่นี่ช่างคุ้นตาเขาเสียเหลือเกิน ใช่แล้ว มันคือภาพในความฝันของปิติภัทรที่เขาเคยเข้ามาในความฝันนี้ ทั้งเก้าอี้โซฟาแสดงว่าร่าง
ของฟ้าลดายังคงอยู่ไม่ไกล


   “ แกควรหยุดเรื่องนี้ได้แล้ว”


   “ แกมีสิทธิ์อะไรมาสั่งฉันฮะไอ้ยมทูติกระจอก”


   “ สองคนนี้ไม่เกี่ยว” เขาชี้ไปยังคนที่กองอยู่บนพื้น


   “ ในเมื่อมันเข้ามาอยู่ในที่ของข้า มันก็เป็นของของข้า”


ไม่พูดเปล่าแสงสีดำพุ่งตรงมาทางพวกเขาจู่ๆก็มีโซ่สีน้ำเงินมาขวางไว้ ร่างของปิติภัทรยืนอ่อนแรงอยู่ด้านหลัง เขาส่งยิ้มมาให้คู่หูตัวเองอย่างฝืนๆ


   “ เรามาจบเรื่องที่เราเริ่มไว้ด้วยกันเถอะ” พูดจบเขาก็พุ่งไปยังฟ้าลดายืนโกรธอยู่ “ ไปตามหาร่างของฟ้าลดาเร็ว” ปิติภัทรตะโกนเรียกสติทุกคนที่กำลังตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น



   “ กูจะช่วยมึง” ปณิธานว่าแต่ถูกพลังงานจากตัวของปิติภัทรดีดออกมา


   “ ไม่ต้อง ไม่หาร่างฟ้าลดาให้เจอแล้วเผามันซะ” ปิติภัทรหันหน้ามาตะวาดแล้วผลักทุกคนออกไปจากบริเวณนั้นด้วยพลังมหาศาลที่ไม่อาจควบคุมมันได้อีกแล้ว



   


ใบหน้ากว่าครึ่งของปิติภัทรซูบตอบลงอย่างเห็นได้ชัดเส้นเลือดสีดำปูดนูนขึ้นมาจนหน้ากลัว ดวงตาข้างขวาของชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นสีดำทั้งหมด น้ำตาของเขาไหลออกมาเมื่อจองมองไปยังมารดาของตัวเองที่กำลังทรมานตรงหน้า มือหนายื่นมือไปตรงหน้า ก่อนจะพยายามรวบรวมสติให้ได้มากที่สุด

   “ ดวงวิญญาณ นาง สุชาดา ปาติณมา ชาตะ สี่ สิงหาคม  มรณะ ฮึก “ เขาร้องไห้ออกมาอย่างหนัก


   “ ลูกทำได้เชื่อแม่”  น้ำเสียงที่คุ้นหูดังมาจากร่างตรงหน้าก่อนจะเปลี่ยนไปเป็นอีกคน “ แกทำได้จริงๆเหรอ แกจะฆ่าแม่ของแกจริงๆเหรอ  แกเคยทิ้งแม่แกมารอบนึงแล้ว ครั้งนี้แกจะฆ่าแม่แกจริงๆเหรอ”


   “ อ้ากกกก” แรงจากผู้หญิงตรงหน้าพุ่งเข้าใส่ยมทูติหนุ่มที่กำลังลังเลอยู่
ปิติภัทรลงไปนอนทุราทุรายอยู่กับพื้น ไอสีดำลอยฟุ้งไปในอากาศ เขากรีดร้องออกมาด้วยความทรมาน เสียงหัวเราะจากฟ้าลดาดัง
เข้าหูจนแสบแก้วหูไปหมด


    “ หึ ฟ้าลดายิ้มเยาะก่อนจะยกร่างที่กำลังมีแต่ไอดำรอบตัวลอยขึ้นฟ้า “ อ้ากกก” เธอร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดเมื่อแสง
สีดำพุ่งมาที่แขนของตัวเธอเอง “ แก”


   “ พอได้แล้ว” เสียงของบุคคลที่สามดังขึ้น


   “ แกอย่ายุ่งกับเรื่องนี้”


“ ดา…ริณ”


   “ จำได้ไหม ว่าฉันจะคอยช่วยเธอเอง” เธอส่งยิ้มให้ก่อนจะพุ่งไปด้านหน้าเข้าห้าฟ้าลดาที่กำลังตั้งรับอยู่


“ ในความฝัน ฉันจำได้ว่ามันมีหลุมฝังศพคนที่ตายอยู่แถวๆนี้”


ปณิธานเอ่ยขึ้นหลังจากที่ทุกคนวิ่งแยกออกมาจากตัวบ้าน แม้ในใจจะห่วงกับคนที่อยู่คนเดียวในตัวบ้าน เขาต้องจบเรื่องนี้ให้เร็วที่สุดเพราะคนที่จะเป็นรายต่อไปก็คือลุงของเขา


   “ ขุดตรงนี้” เสียงหนึ่งดังขึ้นระหว่างที่ทุกตร่ำเคร่งอยู่กับการขุดไปทั่วบริเวณ


   “ คะ…คุณ” ปณิธานหันมาด้วยความตกใจพร้อมทั้งเตรียมตั้งรับการต่อสู้


   “ ผมไม่ไว้ใจคุณ” ปณิธานตอบกลับทำให้ที่อยู่ด้านหลังเตรียมพร้อมที่จะทำการต่อสู้ด้วย


   “ แต่”


   “ ถ้าคุณหวังดีกับเราจริง ขอบคุณมากแต่ไปเหอะ” เขาพูดโดยไม่สบตาด้วยซ้ำ


รณจักรกับชยานนท์ที่ยืนดูสถานการณ์เริ่มทำการขุดเมื่อปณิธานให้สัญญาณ กองดินด้านข้างเริ่มเพิ่มมากขึ้น พร้อมกับความมืดและ
อุณหภูมิที่ค่อยๆลดต่ำลงอย่างผิดปกติ รังสีดำพุ่งออกมาจากหลุมตรงหน้า คนที่เพิ่งใช้พลั่วแทงดินลงไปกระเด็นไปคนละทาง
ลำแสงสีดำลอยเคว้งอยู่ในอากาศเคลื่อนที่วนไปวนมาเป็นวงกลมคล้ายกับพายุขนาดเล็ก อากาศที่เคยสงบนิ่งกลับเคลื่อนไหวแรงขึ้น ไม่ช้าเสียงเหมือนฟ้าผ่าก็ดังสะท้านไปทั่วบริเวณ


   “ ระวัง” ยมทูติสีดำที่ยืนตรงหน้าพุ่งเข้าขวาง ลำแสงสีดำที่ก่อตัวอยู่บนฟากฟ้าเข้าสู่ร่างตรงหน้าร่างของผู้เป็นพ่อนึ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะทิ้งตัวลงกับพื้น ตามผิวหนังของเขาบวมและพองและเหมือนมีก้อนพลังงานเคลื่อนที่อยู่ภายใต้ผิวหนังก็ไม่ปาน มันเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วไปตามส่วนแขนขา และใบหน้าจนแทบไม่เป็นทรง


   “ นั่นไง” เสียงของรณจักรตะโกนพร้อมทั้งหยิบถังน้ำมันที่อยู่บริเวณนั้นราดลงไปบนโครงกระดูกที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น


   “ จบกันสักที” ปณิธานปล่อยไฟในมือลงสู่หลุมด้านล่างก่อนจะหันกลับมามองสิ่งที่อยู่ตรงหน้า “คุณทำแบบนี้ทำไม” เสียงของเขาเริ่มสั่น แม้ว่าตอนเด็กๆของเขาจะไม่ได้รับการดูแลเท่าที่ควรแต่คนตรงหน้าก็เคยทำให้เขามีความสุขกับช่วงเวลาสั้นๆก่อนที่พ่อของเขาจะเข้าสู่วงจรอบายมุข



“ พ่อกลับมาแล้วมากินขนมเร็วพ่อซื้อขนมที่ปาร์คชอบมาฝากด้วย” ภาพใบหน้าที่ยิ้มแย้มผลุดขึ้นมาในความทรงจำ “ วันนี้พ่อเช่าวีดีโอมาให้ด้วยนะมาดูด้วยกันเร็ว”



   “ พ่อขอโทษนะลูก พ่อขอโทษ พ่อไม่น่าทำกับปาร์คแบบนี้เลย แต่พ่อดีใจนะที่วันนี้พ่อได้ทำในสิ่งที่พ่อคนนึงควรจะทำบ้าง นั่นคือการปกป้องลูก” น้ำตาของนพพรไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้ “ แม้ว่าจะเป็นตอนตายก็ตามเถอะ พ่อมันบาปหนาต้องทนทุกข์ทรมาน ลูกช่วยบอกรักพ่อสักครั้งได้ไหม”


   “ คุณรักผมเหรอ” เขาค่อยๆเดินไปทิ้งตัวลงตรงด้านหน้าคนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ให้กำเนิด “ ทำไมคุณไม่เคยบอกผมบ้าง”


   “ พ่อรักลูกนะ พ่อขอโทษ” เขาเอื้อมมืออันอ่อนแรงมาสัมผัสที่ใบหน้าของลูกชาย “ ลูกหน้าเหมือนแม่มากเลยนะ อ้ากกก”  ผิวหนังของเขาเหมือนจะระเบิดออกมาเต็มที “ บอกรักพ่อสักครั้งเถอะ ได้โปรด”


   “ ผม…”  เขาหันหลังหนี


   “ อ้ากกกกกก” แสงสีดำภายในร่างกายระเบิดร่างของยมทูติสีดำแหลกเป็นจุล พร้อมกับการหายไปของร่างฟ้าลดา


   “ ผมรักพ่อนะครับ” เขามองขึ้นไปบนฟ้าที่เป็นเศษธุลีจากการระเบิด


   “ กรี้ด” เสียงของหญิงสาวดังมาจากในบ้าน


   “ ไปกันเถอะ” ชยานนท์วิ่งนำหน้าเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว



ตรงหน้าของเขาคือร่างของปิติภัทรที่อยู่ในสภาพสะบักสะบอม ดวงวิญญาณของฟ้าลดาหลุดออกจากร่างของแม่ปิติภัทรแล้ว ร่างของแม่ปิติภัทรค่อยๆแปรสภาพจากผิวขาวนวลเป็นซีดเผือดเป็นร่างที่ไร้วิญญาณอีกครั้ง ตรงมุมห้องทางขึ้นชั้นสองมีร่างของดาริณกำลังถูกพันธนการบางอย่างตรึงยึดเข้าไว้กับกำแพง


   “ ฆ่าฉัน” เสียงของดาริณร้องบอกมาจากตรงนั้น


   “ ไม่” ปิติภัทรพยุงร่างของตัวเองจากพื้นมาสมทบกับกลุ่มของปณิธานที่เพิ่งเข้ามา


   “ เธอสัญญากับฉันแล้วนะ ฉันไม่อยากทรมานอย่างฟ้าลดา ขอร้องล่ะ ทำลายฉัน” ยังไม่ทันสิ้นคำพูดโซ่เส้นสีฟ้าก็พุ่งตรงไปรัดคอของดาริณแล้วกระชากออกจนหัวกับร่างของหญิงสาวขาดวิ่น ไอสีดำที่กำลังเคลื่อนที่เข้าร่างของดาริณ กรีดร้องออกมาเป็นเสียงผู้ชายดังก้องห้องไปหมด


   “ ดาริณ” เข้าตะโกนเรียกร่างที่ค่อนๆสลายไปในอากาศ


   “ ขอบคุณนะ” เสียงของฟ้าลดาดังขึ้นมาทำให้ทุกอย่างต้องสิ้นสุดลง “ ยมทูติสีดำมันเอาดวงวิญญาณของฉันไปไล่ฆ่าผู้คนมากมายเลย ฉันไม่ได้ตั้งใจเลยนะ” เธอส่งยิ้มมาให้ ใบหน้ารูปไข่ของเธอเต็มไปด้วยคราบน้ำตาที่ไหล่เอ่อออกมา



   “ ฟ้า” เสียงของผู้มาเยือนคนใหม่ดังขึ้น


   “ พี่ไกร”


   “ พี่ขอโทษกับเรื่องที่เกิดขึ้นเลยนะ ถ้าพี่รู้สักนิดพี่จะห้ามพวกมันไม่ให้ทำแบบนี้ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นจากพี่ ฟ้ายกโทษให้พี่ด้วยนะ”


   “ จ้ะ ฟ้าไม่เคยโกรธพี่เลยนะ ฟ้ารู้แล้วว่าพี่ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องนี้ ตอนนี้ฟ้าต้องไปชดใช้กรรมแล้วนะ”


พูดจบดวงวิญญาณของเธอก็หายไปพร้อมกับความไม่ปกติที่กลับเข้ามาอีกครั้ง เมื่อสัญลักษณ์ตรายมทูติสีดำของปิติภัทรส่องประกายขึ้นมาอีกครั้ง อณูของยมทูติสีดำในอากาศพุ่งกลับเข้ามาในร่างของเขาอีกครั้ง ดวงตาของชายหนุ่มเบิกโพลงด้วยความเจ็บปวด เข้าลงไปกองลงกับพื้น


   “ อย่าเข้าไปเจ้านาย” บลูร้องห้ามหลังจากที่ปณิธานทำท่าขยับตัวเข้าไปหาคนรัก


   “ อ้ากกกกกกก” เสียงของเรย์ดังขึ้นจากด้านหลัง ไฟสีดำแผดเผาจนร่างนั้นสลายไปอย่างไม่มีชิ้นดี


   “ มันเกิดอะไรขึ้นบลู”


“คู่หูเจ้านายกำลังเข้าสู่ความมืด เวลาของโลกมนุษย์กำลังจะจบลงแล้ว”


   “ ไม่จริง” เขาเดินเข้าไปหาปิติภัทร รังสีสีดำแผ่ไปทั่วร่างกายของปิติภัทร เลือดเริ่มไหลออกจากดวงตา หู จมูกและปาก


   “ อย่าเข้าไปเจ้านาย”


เขาไม่คิดจะฟังคำทัดทานเลยเพราะใจของเขาแทบขาดเมื่อเห็นคนรักกำลังจะตายไปต่อหน้าต่อตา ปณิธานเดินตรงไปโอบร่างที่กำลังทรมานตรงหน้าเอาไว้ เขาบรรจงจูบไปที่ริมฝีปากของปิติภัทร ไอดำทั้งหมดเคลื่อนตัวเข้ามาหาปณิธานอย่างรวดเร็ว ร่องรอยยมทูติสีดำในตัวของเขาตอบสนองเป็นอย่างดี เขาทิ้งร่างปิติภัทรลง


   “ ลาก่อน” เขาบอกก่อนจะหันไปสั่งบลู “ พาฉันไปโลกหลังความตาย”


   “ ไม่ได้เจ้านายไปแบบนี้ไม่ได้ไม่อย่างนั้น”


   “ เดี๋ยวนี้”


สิ้นคำสั่งของเจ้านาย บลูจำต้องทำตามอย่างเสียไม่ได้ วงแหวนสีน้ำเงินปรากฏขึ้น ปณิธานหันมายิ้มให้ทุกคนที่กำลังตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนจะหายเข้าไปในช่องว่างนั้น







มาต่อแล้วน้าาาา

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Sailomcc.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
ฟ้าลดาทำเองจริง ๆ หรอ หรือจะเป็นเหยื่อล่อ  :hao4:


ต้องตามต่อแล้วววววววววววววว

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ทำไมมันง่ายจัง มีอะไรแอบแฝงอะป่าว  :hao4:

ออฟไลน์ Sailomcc.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
แง้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ อันนี้เป็นไง

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
แง้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ อันนี้เป็นไง

 :sad3: o21 :ling3:

ออฟไลน์ Sailomcc.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
15
FOREST


   แมกไม้นานาชนิดที่ไม่คุ้นตา บางต้นเหมือนเพิ่งการเผาไหม้มา บ้างมีหนามที่เป็นเหล็กแหลมยาวงองุ้มอยากไม่เป็นรูปอยู่เต็มต้น สิ่งที่แปลกสำหรับป่านี้คือเหมือนรอบตัวของเขามันมีชีวิต


ความมืดมิดมักจะมาพร้อมกับความเยือกเย็นเสมอ เสียงสัตว์ภายในป่าที่ควรจะมีเสียงร้องบ้างของสัตว์กลางคืน ตอนนี้กลับเงียบลงราวกับว่าในป่านี้ไม่มีสัตว์ป่าอาศัยอยู่เลย


ยมทูติหนุ่มที่เพิ่งผ่านการทำผิดกฎของโลกหลังความตายมากำลังนอนอยู่บนพื้น ร่างกายของปณิธานที่นอนกองสะบักสะบอมค่อยๆขยับร่างกาย ดวงตาของเขาที่เพิ่งลืมพยายามปรับสายตามองฝ่าความมืดแล้วมองไปรอบๆก่อนจะลุกขึ้นเดินสำรวจกับดินแดนที่เรียกว่ากับดักยมทูติ ความเจ็บปวดของร่างกายที่เพิ่งผ่านการโจมตีมามันยังคงอยู่ แววตาและเสียงเรียกสุดท้ายของคนรักมันยังคงก้องอยู่ในความทรงจำ เขาพยายามนึกถึงและจดจำทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้น น้ำตาแห่งความอาวรณ์ก็ไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้เพราะตอนนี้มันคงไม่สามารถย้อนกลับไปเป็นเหมือนเดิมแล้วเพราะตอนนี้เขาและปิติภัทรอยู่กันคนละโลกอย่างแท้จริงแล้ว


บรรยากาศรอบตัวของเขาเย็นลงทุกขณะและสิ่งที่เขารับรู้ได้ตอนนี้คือ ความไม่ปลอดภัยเพราะเหมือนมีบางอย่างกำลังจ้องเขาและเคลื่อนตัวอยู่ตลอดเวลา


   ‘ นี่คือกับดักยมทูติ อย่าไปสนใจมัน’


เสียงของปิติภัทรดังผุดขึ้นมาในหัว แต่เขาไม่เคยรู้รายละเอียดอะไรเกี่ยวข้องกับที่นี่เลยแม้แต่น้อย


   “ สวัสดีเจ้ายมทูติผู้กระทำความผิดและหลงใหลในชีวิตดำมืด ที่นี่คือสถานที่ที่ใช้ลงทัณฑ์ของคนอย่างเช่นพวกเจ้า” เสียง
ของใครสักคนดังฝ่าความมืดเข้ามา “ เจ้าต้องอยู่ที่นี่จนกว่าจะมีคนมีดวงวิญญาณที่ยังไม่สินบุญมาแลกตัวเจ้ากลับมา” เสียงนั่นหัวเราะกับมุกตลกของตัวเอง “ แต่มันคงไม่มีมนุษย์คนไหนแวะมาที่นี่ได้จริงไหมล่ะ”
เสียงของเราะของเขาดังสนั่นไปทั่วทั้งป่า มันเหมือนเป็นเช่นดังนาฬิกาปลุกที่ปลุกทุกสรรพสิ่งที่หลับใหลมานานให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง



ไม้เลื้อยที่เคยเกาะแน่นสงบนิ่งอยู่บนซากค่อยๆเคลื่อนตัวราวกับงูที่รอจะเข้ามาทำร้ายเหยื่อ ปณิธานถอยหลังช้าๆตามสัญชาตญาณแต่คงช้าไปเพราะไม้เลื้อยที่อยู่ด้านหลังได้พันที่รอบขาของเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มันดึงเขาให้ล้มลงบนพื้นก้นจะลากไปตรึงติดกับต้นไม้ที่อยู่ใกล้ที่สุด


   “ มันจะดึงเอาความทรงจำที่แกอยากลืมมาทำร้ายตัวแกเอง” เสียงปริศนากล่าวขึ้นหลังจากที่ไม้เลื้อยอีกเส้นจะเข้ามาพันที่รอบหัวของเขา มันเจาะแกนแหลมของมันเข้าไปในหัวของปณิธาน ดวงตาของเขาเบิกกว้างก่อนที่แสงสว่างในหัวจะปรากฏ



ภายในห้องสีขาวสะอาดร่างที่นอนอยู่บนเตียงขยับส่วนที่เคลื่อนไหวง่ายที่สุดอย่างนิ้วมือก่อนค่อยๆขยับเปลือกตาให้เปิดออกมารับรู้สิ่งแวดล้อมรอบข้างภายในห้องแห่งนี้ ตรงบริเวณมุมห้องมีโซฟาสีดำที่มีคนที่กำลังนอนฟุบอยู่อย่างไม่มีสติ ที่มือของเขาเองก็มีเข็มที่เจาะอยู่ ตามตัวก็มีสายระโยงรยางค์เต็มไปหมด เขาเอื้อมมือไปหยิบที่ควบคุมเตียงมาเพื่อปรับพนักพิงให้อยู่ในสภาพที่นั่งง่ายขึ้น ตอนนี้คอของเขาแห้งผาด คนที่เพิ่งฟื้นเอือมไปหยิบแก้วหวังที่จะรินน้ำเพื่อดับกระหาย


เพล้ง ! แก้วที่เขาพยายามคว้าร่วงลงสู่พื้นจนแตกกระจาย คนที่นอนอยู่บนโซฟาสะดุ้งตื่นจากภวังค์พร้อมทั้งวิ่งตรงมายังจุดเกิดเหตุอยากดีอกดีใจซึ่งเป็นเวลาเดียวกับประตูห้องถูกเปิดออก


   “ น้องเฟิร์สฟื้นแล้ว” คนที่มาใหม่พูดด้วยความดีใจ “ นี่แกทำอะไรของแกเนี่ย “ อาโปหันไปแหวใส่คนที่กำลังก้มเก็บเศษแก้วอยู่ที่พื้นพร้อมทั้งวางข้าวของที่ถือมาลงบนพื้นแล้วตรงดิ่งไปหาคนที่เพิ่งฟื้น “ เป็นไงบ้าง”


   “ ผมโอเคครับ” เขาตอบด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ พี่อย่าไปว่าไอ้อาร์มมันเลยครับ ผมไม่เรียกมันเอง”


   “ นี่จะดื่มน้ำเหรอ รอเดี๋ยวเดียวนะ” อาโปหันไปหยิบน้ำรินใส่แก้วพร้อมทั้งใส่หลอดป้อนคนที่อยู่บนเตียง “ จะไม่ให้ว่าได้ยังไง พี่ฝากมันไว้แค่แป้บเดียวเอง “ อาโปบ่นออกมาอย่างหัวเสีย “ เอาล่ะๆ พี่มัวแต่หงุดหงิด ลืมเลย เราต้องตามหมอก่อน” เธอกดออดที่หัวเตียง “ คนไข้ฟื้นแล้วค่ะ” เธอบอกกับสายนั้นก่อนจะกลับมาสนใจคนที่อยู่บนเตียง “ เป็นไงบ้างหลับไปนานเลยนะ” เธอลูบที่ศีรษะอย่างเบามือด้วยความอ่อนโยน


   “ พี่อาโปครับ แม่”


   “ พี่เสียใจด้วยนะ แม่ของน้องเสียแล้วตอนนี้พี่เก็บศพไว้ที่ห้องเก็บศพนะ พี่รอเฟิร์สฟื้นมาก่อนแล้วค่อยจัดการต่อ”


   “ ครับขอบคุณครับ” น้ำตาของเขาไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้


   “ ไม่เป็นไรจ้ะ พี่เคยบอกแกแล้วใช่ไหม ว่าพี่เห็นแกเป็นน้องชายของพี่เลยนะอีกอย่างถ้าไม่มีแม่แกป่านนี้พี่เองก็ไม่รู้ว่าจะไปอยู่ที่ไหน” เธอน้ำตารื้นขึ้นมา “ ทำไมหมอยังไม่มาสักทีนะ” เธอหันหลังแล้วเดินออกจากห้องไปเพื่อไม่อยากให้คนไข้เห็นเธอในมุมที่อ่อนแอ


   “ อาร์ม”


   “ ครับ” คนที่เพิ่งเก็บเศษแก้วเสร็จขานรับ


   “ พี่หลับไปกี่วัน”


   “ สามวันครับ ทุกคนคิดว่าพี่จะไม่ฟื้นขึ้นมาแล้วนะครับพี่เล่นนอนแน่นิ่งไปเลย “ อาร์มที่เป็นเด็กที่ร้านตอบกลับติดตลก “ ตอนที่ผมกับเจ๊อาโปมาถึงโรงพยาบาลเพื่อนของพี่ที่ชื่อ ชื่ออะไรนะ” เขาทำท่าทางคิด “ อ๋อพี่นนท์บอกว่าพี่ตกบันไดอาการหนักมาก เจ๊อาโปแกนี่ร้องไห้โฮเลย ไม่น่าเชื่อเจ๊แกจะอ่อนไหวง่ายขนาดนี้”


   “ พูดมากไปแล้วนะ” คนที่เพิ่งถูกพูดถึงเดินเข้ามาพร้อมกับหมอ




   “ เป็นไงบ้างครับ”



   “ มึนๆนิดหน่อยครับ หมอครับผมจะออกจากโรงพยาบาลได้วันไหนครับ”


   “ เพิ่งฟื้น รอดูอาการหน่อยเถอะ” อาโปตอบแทน


   “ คือผม”


   “ ใจเย็นๆนะครับ” หมอยกมือห้ามศึกระหว่างคนป่วยกับคนห่วง “ หมอขอดูอาการก่อนนะครับแล้วจะแจ้งให้ทราบอีกที”


   “  ขอบคุณครับ”


หลังจากที่หมอออกไปไม่นานประตูห้องก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง น้ำตาของเขาไหลออกมาทันทีเพราะเขาหวังว่าจะได้พบคนที่เขาอยากเจอมากที่สุด


   “ เป็นไงบ้าง” ลุงเกรียงไกรเอ่ยทักพร้อมกับเดินเข้ามาที่ข้างเตียง


   “ ดีขึ้นแล้วครับ”


   “ สวัสดีครับ” คนที่มาใหม่ยกมือไหว “ สวัสดีครับเจ๊อาโป”


   “ โก้ ปาร์คอยู่ไหน ไม่ได้มาด้วยกันเหรอ”


   “ เอ่อ…คือว่า”


   “ ทำไมไม่ตอบพี่ล่ะ ปาร์คไปไหน” เขาถามด้วยความร้อนใจ


   “ เดี๋ยวพี่กับไอ้อาร์มไปซื้อของก่อนนะ” อาโปที่เห็นว่าสถานการณ์นี้ไม่ควรอยู่เลยจูงมือเด็กที่กำลังยืนสอดรู้สอดเห็นอยู่ให้เดินตามออกมา


เสียงประตูปิดลง ในห้องยังคงเงียบได้ยินเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศที่ยังทำงานอยู่


   “ ทำไมไม่มีใครพูดอะไรล่ะครับ”


   “ ทุกอย่างมันจบแล้ว” ลุงเกรียงไกรถอนหายใจ “ วันที่นายสลบไป”


   “ ไม่มีใครเจอพี่ปาร์คอีกเลยครับ หลังจากที่เขาเข้ามาช่วยพี่ที่กำลังทุรนทุรายผมจำได้ว่า ตามตัวพี่มีรอยสีดำเต็มไปหมด
แล้วพี่ปาร์คเขาก็สัมผัสที่ตัวพี่จนอาการของพี่เป็นปกติ หลังจากนั้นพี่ปาร์คก็หายไปเลยครับ”


   “ ไม่จริง” เขาโพล่งออกมาด้วยความตกใจ “ ปาร์คจะมาเป็นคนที่รับผลในสิ่งที่ผมทำไม่ได้”


   “ หมายความว่ายังไง” ลุงเกรียงไกรถามด้วยสีหน้าตกใจ


   “ คือผมทำผิดกฎของยมทูติเรื่องช่วยแม่ครับ ผมควรจะต้องถูกจองจำอยู่ที่กับดักยมทูติที่เป็นเหมือนคุกของบรรดายมทูติครับ”


   “ แล้วจะทำยังไงครับ”


   “ พี่รู้แค่ว่า ต้องดวงวิญญาณที่ยังไม่ถึงฆาตไปขอปล่อยตัวยมทูติออกมาได้”


   “ ผมไปเองครับ” โก้อาสา


   “ ไม่ได้ ลุงไปเองถ้าพลาดขึ้นมาล่ะ”


   “ ไม่ต้องห่วงครับผมจะไปช่วยพี่ปาร์คเอง”


   “ เราก็จะช่วยด้วย”


คนที่มาใหม่เดินเข้ามาสมทบที่บริเวณข้างเตียง


   “ ขอโทษนะครับที่เสียมารยาทเราได้ยินตอนที่เข้ามาในห้อง ถ้าเป็นการช่วยปาร์คเราจะช่วยด้วยครับ” ชยานนท์เสนอ


   “ ไม่มีใครต้องเดือดร้อนทั้งนั้น ผมจะไปเองครับ”


   “ นายที่นอนเดี้ยงบนเตียงอย่างนี้น่ะเหรอ” รณจักรว่า “ นายแค่บอกทางเข้าและการเอาตัวรอดมาก็พอเราจะเป็นคนไปเอง”


   “ ไม่มีทาง นนท์ไม่ให้จักรไปแน่”


   “ โอ้ย เราจะไม่เถียงกัน เอางี้ มาจับไม้สั้นไม้ยาวกัน” เขาหยิบไม้จิ้มฟันที่วางอยู่บนโต๊ะอาหารมา “ ไปกันสองคนคนที่ได้ไม้ยาวอยู่”


   “ ทำไมมีสามอันล่ะ” ลุงเกรียงไกรถาม


   “ ลุงอยู่ที่นี่รอดูอาการเถอะครับ ผมเชื่อว่าลุงเรียกวิญญาณพวกเราได้” รณจักรว่า “ มาเริ่ม”


ทุกคนต่างหยิบไม้จิ้มฟันที่อยู่ในมือของรณจักรไปอย่างรวดเร็ว เขาแบมืออกมาปรากฏว่าทั้งสองได้ไม้สั้นและเป็นที่จะต้องไปช่วยวิญญาณของปณิธานที่โลกหลังความตาย


   “ เราจะทำพิธีกันที่นี่อย่างน้อยถ้าเกิดอะไรขึ้นจะได้มีหมอคอยช่วยอีกแรง” ลุงเกรียงไกรเสนอ “ ส่วนเรื่องห้องไม่ต้องห่วง ลุงจะโทรไปขอให้เพื่อนลุงช่วย โรงพยาบาลนี้มันเป็นผู้อำนวยการอยู่”


   “ ขอบคุณครับ” ชยานนท์เอ่ย


   “ เราต้องใช้อะไรบ้าง”


ลุงเกรียงไกรหันไปหยิบกระดาษออกมา เพื่อจดอะไรบางอย่างอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งยื่นของให้คนตรงหน้า “ ไปตามหาของพวกนี้มา เราจะเริ่มพิธีกันตอนห้าทุ่มห้าสิบห้าเพื่อให้คาบเกี่ยวกับช่วงเวลาเปลี่ยนผันวัน ประตูทางโลกของทั้งสองจะเปิดพร้อมกัน ห้ามสายกว่านี้ เพราะเราจะมีเวลาทำพิธีแค่ถึงตอนตีสามหากสายกว่านี้วิญญาณที่ถูกถอดออกไปจะไม่สามารถที่จะกลับเข้าร่างได้”


   “ ผมอยากช่วยด้วย” ปิติภัทรหัวเสียเพราะตัวเองเหมือนเป็นคนที่ไม่มีประโยชน์อะไรเลย


   “ นายเขียนทุกอย่างที่เกี่ยวกับที่นั่นมาให้พวกเราก็พอ” ลุงเกรียงไกรว่าก่อนจะยื่นแผ่นกระดาษมาให้กับรณจักร “ ฝากด้วยนะ”


   “ ครับ”


สิ่งที่ต้องเตรียม


เทียนสีขาว  7 เล่ม 


ไดอารี่ของปาร์ค เศษกระจกจากคนตาย


    “ จำไว้จะต้องกลับมาที่นี่ก่อนห้าทุ่ม” ลุงเกรียงไกรกำชับ


ไม่รอช้าทุกคนออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว รวมทั้งกิตติที่รีบวิ่งตามมาอย่างรวดเร็ว “ เดี๋ยวครับ”


   “ ว่าไง” รณจักรถาม   


   “ ผมรู้จักที่ที่นึงที่เราจะไปเอาของมาได้ พี่ไปเอาไดอารี่พี่ปาร์คกับเทียน เดี๋ยวผมไปหากระจกคนตายเอง”



   “ นายไปเอามาจากไหน”



   “ เพื่อนผมทำงานมูลนิธิครับ”


พูดจบเขาก็เดินแยกออกไปทันที ตอนนี้กิตติกำลังมุ่งตรงไปยังหน่วยงานที่เป็นหน่วยกู้ภัยหรือโดยทั่วไปเรียกว่า ปอเต็กตึ้งหรือมูลนิธิร่วมกตัญญูอะไรเทือกนี้


20.00 นาฬิกา


ด้านหน้าในตอนกลางวันมีแค่ผู่คนบางส่วนเท่านั้นที่ยังคงอยู่ ในบริเวณนั้นมีรถกระบะสีขาวจอดอยู่ ที่ตัวรถคาดตราสัญลักษณ์ของ
มูลนิธิเอาไว้ คนที่นอนอยู่ที่กระบะหลังรถดีดตัวขึ้นมาทันทีเมื่อมีคนเดินเข้ามา


   “ ไงวะ” เขาเอ่ยทัก “ หายหน้าหายตาไปเลยนะช่วงนี้”


ก่อนหน้านี้หลังจากที่กิตติสูญเสียแม่ไปนอกจากที่เขาจะเป็นนักดนตรีกลางคืนแล้วที่ที่นึงที่เขาเคยอยู่เหมือนบ้านก็คือที่นี่แหละ ที่ที่
มีทั้งที่พักและอาหาร


ที่นี่ไม่ใช่สาขาใหญ่คนจึงไม่ค่อยมาก จะมีก็แค่คนที่แวะเวียนมาบริจาคโลงศพซึ่งไม่ได้ใหญ่โตหรือมีพิธีรีตองอะไร ซึ่งที่นี่จะเป็นจุดที่เอาไว้เพื่อให้ญาติหรือรอเตรียมพร้อมให้การช่วยเหลือ ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อผู้ตายเสียชีวิตไปแล้วจะมีการเก็บของเพื่อรอญาติมารับ ซึ่งนี่เป็นเหตุผลที่เขามาในวันนี้


   “ไอ้นัท กูมีเรื่องให้ช่วยว่ะ”


   “ เรื่องอะไรวะ”


   “ กูอยากได้ของของคนตาย” คนที่ได้ฟังตาโต


   “ มึงจะเล่นของเหรอวะ”


   “ กูอยากช่วยพี่กู มึงรู้แค่นี้ก็พอ” คนที่ได้ฟังไม่พูดอะไรมากเพราะปกติแล้วกิตติจะเป็นคนที่ไม่ชอบพึ่งพาใครจะขอร้องคนอื่นก็ต่อเมื่อจำเป็นจริงๆ


   “ เออ อยากได้อะไรวะ เพิ่งมีคนถูกรถชนเมื่อวานนี้เอง”


   “ กระจก”


   “ ฮะ”


   “ เออ ฟังไม่ผิดหรอก กูอยากได้กระจก”


   “ เดี๋ยวกูไปดูให้มึงรู้ใช่ไหมว่าเรากำลังทำอะไรอยู่”


   “ เออ กูรับผิดชอบเอง”


   “ เออๆๆๆๆ มึงคงไม่เปลี่ยนใจแล้วล่ะ” เพื่อนของกิตติเดินหายลับไปด้านในก่อนจะกลับมาพร้อมกับตลับแป้งในมือ “ อันนี้ได้หรือเปล่าวะ ด้านในมันมีกระจกอยู่ร้าวด้วย ของศพเมื่อวาน”


   “ กูเอาแค่กระจกไป ส่วนนี้มึงเอาไปคืนเถอะ” เขาเคาะๆเอากระจกออกมาจากตลับแป้ง “ ขอบคุณมากนะเว้ย”


   “ เออ ยังไงมึงก็กลับมาที่นี่บ้างนะเว้ย มีแต่คนคิดถึงเสียงกีต้าร์มึง”


   “ เออถ้าไม่ตายก่อนนะเว้ย”


เขาพูดติดเล่นก่อนจะเดินออกไปใครจะรู้ว่าในเงาของเขาที่กระทบลงกับพื้นจะทำเอาคนที่ดีใจว่าเพื่อนรักกลับมาถึงกลับเขาอ่อนเพราะเงาของกิตติที่เขาเห็นนั้นไม่มีหัว


มาต่อกันน้า จะจบเเล้ว ยอดรีดไม่ขยับเลย งื้อออออออออออออออออออออ

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ไม่นะ หนูกิตติจะไปอีกคนหรอ วานสาว ๆ คนไหนก็ได้ ช่วยเอากระโปรงคลุมหัวหนูกิตติให้หน่อยซิ  :m5:

ออฟไลน์ Sailomcc.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
ต่อกันน้าาาาาาาาา

22.30 นาฬิกา


   ที่โรงพยาบาลภายในห้องกำลังจัดเตรียมโดยส่วนของห้องพักคนมาเยี่ยมไข้ถูกจัดเป็นสถานที่ทำพิธีกรรมโดยได้รับความร่วมมือจากเพื่อนของลุงเกรียงไกร ปิติภัทรถูกจับมานอนแยกจากห้องนั้นโดยมีผ้าม่านกั้นเพื่อไม่ให้มีใครสงสัยเวลามาตรวจ


   “ ลุงครับ”


   “ นอนไปเถอะกินยาแล้วไม่ง่วงหรือไง”


   “ ครับเริ่มง่วงแล้วครับ”


   “ ดีแล้วล่ะ” เขาส่งยิ้มให้พร้อมกับหันไปดูเพราะมีคนกำลังเปิดประตูเข้ามาให้ห้อง “ อ้าวแล้วโก้ล่ะ”


   “ เราแยกกันครับ โก้ยังมาไม่ถึงอีกเหรอครับ”


   “ ตายจริงไม่ไม่นานแล้วนะ”


   “ มาเหนื่อยๆดื่มน้ำกันก่อนสิ” ปิติภัทรยื่นแก้วน้ำไปให้ทั้งสอง


   “ ขอบใจนะ”


พวกเขานั่งรอคนที่ยังมาไม่ถึงด้วยความร้อนรน นาฬิกาที่เดินไปด้านหน้าตามที่มันควรจะเป็นแสดงเวลาห้าทุ่มตรง ลุงเกรียงไกรเดินวนไปมาอย่างร้อนใจ


   “ ขอโทษครับที่ช้า” เสียงของกิตติทำให้คนที่กำลังรอใจชื้นขึ้นมา “ รถติดมากเลยครับ”


   “ มาเริ่มกันเลย ไปปลุกสองคนนั้นเร็ว”


ลุงเกรียงไกรเดินแยกไปบริเวณที่จะทำพิธี ปล่อยให้กิตติเดินไปปลุกคนที่กำลังนอนสลบแต่ดูเหมือนว่าทั้งสองยังคงไม่มีทีท่าว่าจะตื่นเลย


   “ ทำไมยังไม่มากันอีก” คนที่อยู่ในห้องพิธีกรรมตะโกนขึ้น


   “ พี่นนท์กับพี่จักรไม่ตื่นครับ”


 คนที่หลับตาอยู่บนเตียงลืมตาขึ้นมาแล้วเด้งตัวออกจากเตียงอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งคว้ามือกิตติที่กำลังปลุกสองคนนั้นแล้วเดินตรงดิ่งมายังโถงที่เตรียมทำพิธีการ


   “ เร็วไม่มีเวลาแล้ว” ลุงเกรียงไกรหลับตาพร้อมทั้งยื่นอุปกรณ์ที่เตรียมมาให้หลานชาย


   “ ลุงครับ”


   “ อะไรอีก” เขาลืมตาขึ้นมามอง “ เฮ้ย ! ทำไมมานั่งตรงนี้”


   “ ยาที่ลุงให้ผมสองคนนั้นกินไปหมดแล้วครับ มาเลยครับไม่มีเวลาแล้ว” ปณิธานทิ้งตัวลงบนเตียง


ตรงบริเวณที่จัดพิธีตรงกลางมีโต๊ะที่วางเทียนสีขาวอยู่รวมกับ สมุดไดอารี่และรูปถ่ายของปณิธาน ที่พันด้วยสายสิญจน์ สีขาวซึ่งโยงไปที่เตียงของโรงพยาบาลที่ตั้งอยู่ทั้งสองด้าน ด้านซ้ายเป็นปิติภัทรที่เพิ่งทิ้งตัวลงนอนไป ฝั่งทางด้านขวาเป็นกิตติที่ก้มตัวลงนอนอย่างงงๆ


ลุงเกรียงไกรหยิบเทียนสีขาวทั้งสองเล่มมาไว้ในมือแล้วนำเส้นผมของทั้งสองคนที่นั่งอยู่บนเตียงแล้วมัดเพื่อแสดงเป็นเจ้าของของแต่ละอันก่อนที่จะนำมาโยงกับสายสิญจน์อีกครั้ง ยื่นเทียนไปให้ทั้งสองและใช้กระจกคนตายกรีดลงไปที่ฝ่ามือเทียนนั่นชุ่มไปด้วยเลือด


   “ ตั้งจิตให้มั่นแล้วบอกชื่อ นามสกุล วันเดือนปีเกิดไว้ซะ กลับมาให้พูดวันเดือนปีเกิดกับข้าทันที ข้าจะได้รู้ว่าเป็นพวกแก
จริงๆ” พูดจบทั้งสองก็รับเทียนมาอยู่ในมืออย่างว่าง่าย “ เอาล่ะทิ้งตัวนอนลงไป ฟังเสียงข้าอย่างเดียวข้าจะเปิดทางยมโลกให้ โอม พะยามะราชะ อุปาทะวะตายะ มะหิสสะ พาหะนายะ ทักขิณะทิสะ ฐิตายะ อาคัจฉัญภุญชะตุ ขิปปะยะตุ วิปปะยะตุ สะวาหะ สะวาหะยะ สัพพะ อุปาทะวะ วินาสายะ สัพพะ อันตะรายะ วินาสายะ สุขขะวัฑฒะโก โหตุ อายุ วัญญะ สุขะ พะลัง อัมหากัง รักขันตุ สะวาหะ สะวาหายะโอม พะยามะราชะ อุปาทะวะตายะ มะหิสสะ พาหะนายะ ทักขิณะทิสะ ฐิตายะ อาคัจฉัญภุญชะตุ ขิปปะยะตุ วิปปะยะตุ สะวาหะ สะวาหะยะ สัพพะ อุปาทะวะ วินาสายะ สัพพะ อันตะรายะ วินาสายะ สุขขะวัฑฒะโก โหตุ อายุ วัญญะ สุขะ พะลัง อัมหากัง รักขันตุ สะวาหะ สะวาหายะโอม พะยามะราชะ อุปาทะวะตายะ มะหิสสะ พาหะนายะ ทักขิณะทิสะ ฐิตายะ อาคัจฉัญภุญชะตุ ขิปปะยะตุ วิปปะยะตุ สะวาหะ สะวาหะยะ สัพพะ อุปาทะวะ วินาสายะ สัพพะ อันตะรายะ วินาสายะ สุขขะวัฑฒะโก โหตุ อายุ วัญญะ สุขะ พะลัง อัมหากัง รักขันตุ สะวาหะ สะวาหายะ” เสียงท่องคาถาทำให้ตัวของทั้งสองเบาขึ้นแล้วออกมายืนอยู่ด้านข้างร่างของตัวเองทันที “ เดินตามแสงไป” ลุงเกรียงไกรเอ่ย


00.00 นาฬิกา


ด้านหน้าของทั้งสองเป็นทางมืดมีเพียงแสงสว่างอยู่ที่ปลายอุโมงค์เท่านั้น พอทั้งคู่เดินเข้าไปรอบข้างก็พลันมืดสนิททันที เสียงร้อยโหยหวนของสัมภเวสีเข้ามาทักทายกลิ่นกายละเอียดที่เพิ่งหลุดออกจากร่างในทันที บ้างอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์มองผิวเผินเหมือนกับมนุษย์ทั่วไป บ้างแขนขาดวิ่นร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด แต่จริงๆแล้วหาได้รู้สึกไม่ บ้างกำลังทำกิจวัตรประจำวันอยู่ราวกับว่ายังไม่รู้ว่าตัวเองตาย บางคนนั่งจ้องมองผู้มาเยือนแล้วยิ้มให้จนน่าขนหัวลุกซึ่งสร้างความหวาดหวั่นให้กับคนที่เพิ่งเข้ามาในโลกนี้เป็นครั้งแรกใหม่


   “ มองไปที่แสงสว่างข้างหน้าอย่างเดียวอย่าไปสนใจพวกมัน” ปิติภัทรเรียกดึงสติพร้อมทั้งดันตัวกิตติไปอยู่หน้าตัวเอง “ อย่าออกนอกเส้นทาง อย่าทักเข้าใจไหม”


   “ ครับ”


ทั้งคู่เดินเข้ามาสู่ความมืดที่แสนเยือกเย็นคนที่มาใหม่สัมผัสได้ตอนนี้คือ กลิ่นที่นี่ค่อนข้างเหม็นอับ ไม่มีเสียงใดๆเกิดขึ้น เสียงที่เขาได้ยินคือเสียงฝีเท้าของคนที่มาด้วยเท่านั้น ภายในห้องนี้เหมือนไม่ได้มีแค่พวกเขา แต่เหมือนมีอะไรบางอย่างคอยจับตามองเขาอยู่ตลอดเวลา


“ ระวังตัวให้ดี ตามมาทางนี้” ปิติภัทรกึ่งลากกึ่งจูงเพราะตอนนี้เขาได้เข้าสู่โลกหลังความตายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เมื่อสายตาปรับเข้ากับความมืดได้ เขาเริ่มสังเกตได้ว่าตอนนี้สองข้างทางเต็มไปด้วยป่าไม้เลื้อยที่เคลื่อนตัวพันกันไปมาเหมือนว่ามันมีชีวิต


ตรงหน้ามีประตูไม้เก่าๆกับพวกไม้เลื้อยเมื่อครู่พันบริเวณโซ่พันล็อกเอาไว้ เพื่อไม่ให้ผู้เกี่ยวข้องผ่านเข้าไป ปิติภัทรดึงกิตติเข้าไปหลบหลังมุมเสาหินที่เปรอะเปื้อนซึ่งตั้งอยู่ด้านข้าง


“ เราต้องรอคนมาเปิด”


ไม่นานก็มียมทูติสองคนกับดวงวิญญาณตรงมาเปิดประตูนั้นออกโซ่ตรงหน้าปลดล็อคตัวเองไม้เลื้อยที่เคยพันติดไว้ เลื้อยกลับไปชิดที่ขอบประตูไม้มันนิ่งสงบราวกับว่ามันไม่เคยมีชีวิตมาก่อน ดวงไฟที่คบเพลิงซึ่งติดอยู่ตรงประตูติดขึ้นทำให้บริเวณโดยรอบสว่างขึ้น


“ ที่นี่คือปากทางเข้าสู่โลกหลังความตาย” 


คบเพลิงที่เรียงรายตลอดสองข้างทางสว่างต้อนรับผู้มาเยือน ทั้งคู่เดินไปเรื่อยๆอย่างกลมกลืนจนกระทั่งมาถึงปลาทางที่คนมาด้วยหยุดชะงักตรงหน้าของทั้งสองเป็นเหวลึกที่มองอย่างไรก็ไม่มีทางไป คนที่นำทางอย่างปิติภัทรก็ยังคงก้าวขายาวไปอย่างไม่ยอมลดละ เขาก้าวไปในอากาศ


“ ก้าวมาเถอะมันเป็นภาพลวงตา”


กิตติกลั้นใจเดินตามมากไม่มีใครหล่นไปสู่ด้านล่างเพราะทันทีที่เท้าสัมผัส สะพานเหล็กกล้าก็ปรากฏขึ้นในทันที ท้องฟ้าด้านบนเปลี่ยนเป็นแสงสีเขียวสะท้อนแสงเพื่อเป็นการตอนรับอีกครั้ง ใต้สะพานเป็นลำธารลาวาไหลส่งไอร้อนขึ้นมาให้คนที่อยู่ด้านบ้าง กิตติทั้งตื่นตาตื่นใจและตกใจในคราเดียวเพราะรอบตัวมีทั้งอสูรกายหน้าตาประหลาดและจุดที่เป็นจุดลงโทษพวกคนบาปเมื่อเดินมาเหมือนว่าจะเป็นทางตันเพราะตรงหน้าไม่มีทรงไปมีเพียงกำแพงหินเท่านั้น   


    “ ตรงหน้า เป็นประตูแลกเศษวิญญาณ” พวกเขาหยุดลงเพราะมีเปลวไฟพุ่งมาใส่


   “ พวกแกไม่ใช่ยมทูติ”


   “ ข้าเคยเป็น ดวงวิญญาณที่อยู่ด้านข้างข้านี้ยังไม่ถึงฆาตและต้องการเข้าไปในกับดักยมทูติ” เขาตะโกนตอบกลับไป เปลวเพลิงที่เคยแผดเผาพวกเขาสงบลง


   “ ไหลเอาเลือดของเจ้าใส่ลงไปในอ่างซิ”


   ผู้ตายก่อนกำหนด


   “ เราขอเข้าไปที่ กับดักยมทูติ”


   “ หึ หึ หึ ย่อมได้” สิ้นเสียหัวเราะอันน่าสะพรึงกลัวร่างของทั้งสองก็หายวับไป


ทันทีที่พวกเขาสัมผัสกับพื้น ไม้เลื้อยต่างถอยตัวกลับด้วยพลังชีวิตของคนที่มาเยือนตรงสุดโถงทางเดินมีร่างของใครบางคนที่ถูกตรึงติดกับต้นไม้อยู่ ใบหน้าของคนนั้นแม้ไม่ชัดเจนแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะมองไม่ออก นั่นคือ ปณิธาน
ร่างของปณิธานถูกหนามที่เป็นเหล็กของไม้เลื้อยแทงทะลุเข้าไปด้านในจนรอบร่างกาย ดวงตาของเขาเบิกโพลงไร้นัยน์ตาเหลือเพียงตาขาวที่ออกเทาเหมือนตกอยู่ในภวังค์ ที่หูทั้งสองข้างมีไม้เลื้อยแทงทะลุอยู่เหมือนมันเข้าไปในร่างกายของคนที่ถูกตรึงเอาไว้


   “ พี่ปาร์ค” กิตติวิ่งเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว


   “ ระวัง” ปิติภัทรกระโดดไปดึงตัวของรุ่นน้องออกเพราะมีต้นไม้โค่นลงมาขวางเอาไว้


   “ ออกไป ที่นี่ไม่ใช่ที่ของพวกเจ้า” เสียงนั้นดังลั่นไปทั่วทั้งบริเวณ


   “ พวกเรามาช่วย”


   “ เอาอะไรมาแลก” ไม่ต้องรอให้กิตติพูดจบเสียงนั้นก็ตอบกลับมาราวกับว่ารู้จุดประสงค์นั้นชัดเจนอยู่แล้ว


   “ แลกอะไร” ปิติภัทรถาม


    “จะเอาออกไปหนึ่งสิ่ง ต้องทิ้งไว้ที่นี่หนึ่งสิ่ง จริงๆเจ้าควรรู้อะไรเกี่ยวกับที่นี่ก่อนที่จะเข้ามานะ” พูดจบมันก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเพราะตัวเขาเป็นผู้ชนะแล้ว


   “ ผมจะอยู่ที่นี่เอง” ปิติภัทรเดินเข้าไปหา “ ผมขอคุยกับปาร์คก่อนได้หรือเปล่า”


   “ มนุษย์นี่เยอะสิ่งจริง”


พูดจบร่างของปณิธานก็ร่วงสู่พื้นดังตุ้บ ปิติภัทรและกิตติวิ่งเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว คนที่ไปถึงก่อนประคองร่างของคนรักเข้ามาอยู่ในอ้อมแขน


ปณิธานค่อยๆปรือตาขึ้นมาช้าๆอย่างอ่อนแรง เขาพยายามจะพูดอะไรแต่เสียงนั่นกลับไม่ออกมาเพราะพลังงานในชีวิตของเขาแทบไม่เหลือแล้ว


   “ ปาร์ค ไม่ต้องห่วงนะเฟิร์สมาช่วยแล้ว” เขาอุ้มร่างหน้ามาไว้ในอ้อมอกแล้วลุกขึ้น “ เห็นทางนั้นหรือเปล่า” เขาส่งสัญญาณ
ให้กิตติมองไปที่ด้านหลัง “ ต้นไม้พวกนั้นมันกลัวพลังชีวิตของเรา พี่นับสามแล้ววิ่งเลยนะ”


   “ ครับ”


   “ หนึ่ง” สายตาของเข้ามองไปยังปลายทางอย่างมุ่งมั่น “ สอง” ชายหนุ่มสูดหายใจ “ สะ…อร้ากกกกกก” จู่ๆร่างของปิติภัทรก็ค่อยๆจางลงคนที่อยู่ในอ้อมอกร่วงสู่พื้น ดวงตาของเขาพร่ามัวมองไม่เห็นอะไรอีกจนกระทั่งเขากลับมาสู่โลกใบเดิมที่พวกเขาเคยก้าวข้ามมา


ในห้องมีพยาบาลจำนวนหนึ่งกำลังช่วยปั้มหัวใจของเขาอย่างเร่งด่วน เขาควรจะนอนอยู่บนเตียงเดิมแต่ไม่เลยตอนนี้เขาอยู่ที่เตียงคนไข้มีสายระโยงรยางค์เต็มไปหมด


   “ เกิดอะไรขึ้นครับ” เขาถามขึ้นทำให้คนที่อยู่ตรงนั่นถอนหายใจอย่างโล่งอก


   “ โอเคแล้วค่ะลุง” ปริยาหันหน้ามาบอก


   “ ขอบคุณมากนะปายที่มาช่วยลุงอีกแล้ว”


   “ เดี๋ยวนะครับเกิดอะไรขึ้น”


   “ ร่างกายของนายไม่ไหวเลยช็อคไป ข้าก็บอกแล้วใช่ไหมว่าให้พัก” ลุงเกรียงไกรลุง


   “ แล้วโก้ล่ะครับ”


   “ ยังไม่กลับมา” เขาหันไปมองคนที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงอีกฝั่ง จากนั้นเทียนก็พลันดับลงไปทันที “ ไม่นะ ไม่ๆๆๆ เกิดอะไรขึ้น”


   “ ลุงครับมีอะไร” ทุกคนในห้องต่างถามเพราะท่าทีของลุงเกรียงไกรไม่ดีเลย


   “ ดวงวิญญาณของโก้ตัดขาดจากโลกนี้แล้ว” เขาตอบ “ โก้ โก้ โก้ ปายมาช่วยลุงหน่อย”    


   “ ค่ะ” เธอเดินตรงไปพร้อมกับเข็มฉีดยาที่บรรจุยากระตุ้นหัวใจไว้อยู่


พรึ้บ ไม่นาเทียนที่อยู่หัวเตียงของโก้ก็ติดขึ้นมาอย่างช้าๆ คนที่นอนอยู่บนเตียงค่อยๆลืมตาขึ้นมาอย่างอ่อนแรง เขามองไปรอบตัวอย่างงุนงง


   “ โก้ โก้ได้ยินเสียงลุงหรือเปล่า” เท่านั้นน้ำตาของเขาก็ไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย เพราะประโยคสุดท้ายที่เขาได้ยินก่อนที่จะฟื้นกลับมาคือ


   “ สิ่งที่ผมอยากเจอมากที่สุดในชีวิตคือครอบครัว ตอนนี้ผมเจอแล้ว ผมพอแล้วครับ แล้ววันนี้ผมก็จะทำเพื่อแม่ด้วย ผมจะดูแลพี่เอง”




มาต่อกันน้า ตอนจบอาจไม่ถูกใจใครหลายๆคน ขอโทษล่วงหน้าเลย

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
แล้วไงต่อล่ะ อยากเผือก ๆ  :ling1: :ling1:

ออฟไลน์ Sailomcc.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
16


NEW LIFE


สองวันหลังจากออกจากโรงพยาบาล ทุกคนก็กลับสู่ความปกติ ไม่มีคนตายเพิ่มด้วยคดีที่แปลกๆ ไม่มีใครมาคอยตามราวีลุงเกรียง
ไกรอีก ส่วนกิตติที่ฟื้นขึ้นมานั้นก็ไม่ค่อยพูดค่อยจาร่าเริงเหมือนเดิม เขาลาออกจากร้านกลับมาอยู่ที่ไร่ส้มกับลุงเกรียงไกรระหว่างที่รอเปิดเทอมใหม่ ใครจะรู้ว่าเขาไม่ดีใจเลยด้วยซ้ำกับการมีชีวิตใหม่ ในร่างของน้องชาย


   “ พี่ปาร์ค พี่ได้ยินผมไหม” เสียงของน้องชายเขาร้องเรียกหลังจากที่เขาลืมตามอง “ พี่เฟิร์สเขาพาผมมาช่วยพี่นะ ตอนนี้พี่เขาน่าจะไปแล้ว พี่วิ่งตามแสงนั่นไปนะ”


   “ พูดเรื่องอะไรแล้วนายล่ะ”


   “ ผมเอ่อ ผมก็จะวิ่งตามพี่ไปไง พี่ไม่ต้องห่วงผมจะถ่วงเวลาไว้”


   “ ถึงเวลาต้องแลกแล้ว ถ้าแกแลกแกจะได้เป็นอย่างที่พี่แกเป็นแล้วไม่ต้องอยู่ที่ป่านี้ ถ้าแกกลับพี่แกต้องทรมานที่นี่ ” เสียงปริศนาดังขึ้น


   “ มันต้องแลกอะไร ใครจะอยู่ใครจะไปอะไรกัน”


   “สิ่งที่ผมอยากเจอมากที่สุดในชีวิตคือครอบครัว ตอนนี้ผมเจอแล้ว ผมพอแล้วครับ แล้ววันนี้ผมก็จะทำเพื่อแม่ด้วย ผมจะดูแลพี่เอง” สิ้นคำกิตติก็ผลักปณิธานไปสู่แสงสว่างตรงหน้าและน้อมรับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นที่นั่นเอง


   “ โก้ โก้” เสียงเรียกจากหน้าห้องทำให้เขาต้องหลุดจากภวังค์


   “ ครับลุง”


   “ พี่เฟิร์สมาน่ะ พาพี่เขาไปเยี่ยมพี่ปาร์คที ร่างกายยังไม่แข็งแรงเลย”


   “ ครับ”


เขารีบเปิดประตูห้องวิ่งลงไปข้างล่างอย่างรวดเร็วพร้อมกับใบหน้าที่ยิ้มออกมาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เพราะนานมากแล้วที่เขาไม่เคยเจอหน้าปิติภัทรเลย


   “ ไงมึง” ปิติภัทรตบบ่าของคนตรงหน้า


   “ มึงล่ะเป็นไง” คนในร่างของกิตติถามกลับ


   “ ไอ้นี่ลามปามใหญ่แล้วนะ” เขาฟาดลงไปบนหัวของกิตติ


   “ ครับ พี่เฟิร์สมาหาพี่ปาร์คเหรอ”


   “ อืม พี่เฟิร์สหายดีหรือยัง กินข้าวมาหรือยัง นอนหรือยัง”


   “ ถามอะไรมากวะ เดี๋ยวกูไปหาปาร์คก่อนนะ”


   “ พี่เฟิร์สเอาขนมไปด้วยดีไหมครับเผื่อหิว ผมว่าพี่ยังไม่น่าได้กินอะไร”


   “ เออๆ เซ้าซี้จังวะ” พูดจบเขาก็เดินออกไปจากตรงนั้น


วันนี้โชคดีที่นักท่องเที่ยวที่มาที่นี่น้อยเพราะไม่ใช่วันหยุดยาวหรือเสาร์อาทิตย์ทำให้นี่นี่ไม่ครึกครื้นและสงบได้มากทีเดียว เขาเดินนำหน้าคนที่ไปเอาขนมมาไกลพอสมควรจนกระทั่งมาถึงบริเวณที่มีทุ่งกุหลาบสีขาวที่ถูกดูแลอย่างดี โกศสีขาวตั้งอยู่อย่างกลมกลืนเป็นอย่างดี ปิติภัทรทิ้งตัวลงนั่งอยู่ด้านหน้าแล้วมองรูปที่แปะอยู่ที่ด้านหน้าอย่าอาวรณ์ เขาหยิบไดอารี่มาอ่านให้คนตรงหน้าฟัง เขาหัวเราะเขาโมโหราวกับว่าคนที่ฟังจะได้ยินด้วย แต่ถ้ามองจริงๆแล้วคงได้ยินจริงๆแหละหากแต่ว่าเขาไม่รู้เท่านั้นเอง


อีกมุมหนึ่งไม่ไกลจากตรงนั้นคนที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้มองมาทางปิติภัทรอย่างอาวรณ์ เขากัดฟันแน่นเพราะว่าเขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย น้ำตาของเขาไหลออกมาเช่นกันมันห้ามไม่ได้ เขาอยากออกไปตะโกนตรงหน้าว่าตัวเขาอยู่ตรงนี้ เขาอยู่ใกล้ๆตรงนี้แต่ทำได้แค่แอบมอง จนคนที่คุยจ้อเมื่อครู่นอนหลับแนบไปกับพื้นหญ้าสีเขียวหน้าโกศกระดูก


 ปณิธานในร่างกิตติเดินเข้าไปใกล้มากขึ้น เขาอยากสัมผัสใบหน้า อยากกอด อยากจับมือและปลอบคนตรงหน้าเหลือเกิน เขาทิ้งตัวนั่งข้างๆเมื่อเห็นว่าคนนอนอยู่หลับตาพริ้มจึงประทับริมฝีปากลงบนปากของอีกฝ่าย


พลั้ก !!  ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากเมื่อใบหน้าของเขาร้อนและปวดไปพร้อมๆกันเมื่อคนที่นอนหลับอยู่เมื่อครู่ลืมตาขึ้นมาแล้วต่อยเข้ามาที่ใบหน้าของเขาอย่างจัง


   “ มึงทำเหี้ยอะไร”


   “ กูขอโทษ”


   “ ถึงกูจะชอบผู้ชายกูก็ไม่ได้รักได้ทุกคนนะเว้ย มึงออกไปเลยนะ ออกไป อย่าให้กูต้องต่อยมึงอีกครั้งนึง” เขาตะวาด


   “ แต่กู”


   “ มึงว่าไงนะ มึงกูมึงกับกูเหรอ เราสนิทกันขนาดนั้นเลยเหรอฮะ”


“ มึงมันไม่เคยรักกูเลย มึงบอกว่ารักกูที่กูเป็นกู ตอนนี้กูอยากรู้ว่ามึงเคยรักกูบ้างไหม กูกลับมาอยู่ตรงนี้แล้วไง ไหนมึงว่าไม่ต้องกลัวไงว่าเจ็บสักแค่ไหน เราแค่จำช่วงเวลาที่มีความสุขก็พอไม่ใช่เหรอ” น้ำตาของคนที่กองอยู่กับพื้นจ้องไปยังคนที่เขารัก กลิ่นคาวเลือดที่ซึมที่มุมยิ่งสร้างความเจ็บปวดทวีคูณเมื่อถูกกระทำจากคนตรงหน้า “ มึงเคยจำกูได้บ้างไหม จำที่กูเป็นกู” เขาดันตัวเองลุกขึ้นมาไปคว้าของในมือของปิติภัทร “มามาเลดที่กูเคยทำ ไดอารี่ของกูเนี่ยไม่ต้องอ่าน กูอยู่ตรงนี้แล้วไง มึงหันมามองกูสิ มองมา ไม่ต้องบอกแล้วหลุมศพของกู กูอยู่นี่ไง” น้ำตาของเขาไหลออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน “ มึงกลับไปเหอะไมต้องกลับมาที่นี่อีก”


   “ ปาร์คจริงๆเหรอ”


   “ กลับไปซะ แล้วไม่ต้องมาที่นี่อีก” พูดจบเขาก็เดินออกจากบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว


   “ เฟิร์สขอโทษ” เขาวิ่งไปโอบกอดคนที่กำลังเดินไปเหมือนคนไร้ชีวิต “ เฟิร์สขอโทษ เฟิร์สแค่สับสน แต่ตอนนี้เฟิร์สไม่สน
แล้วนะว่าปาร์คจะอยู่ในร่างนี้หรือร่างไหนก็แล้วแต่ กลับมานะมาอยู่กับเฟิร์ส” เขาร้องไห้ยืนมองแผ่นหลังของคนที่เขาเพิ่งชกไป
น้ำตาของทั้งคู่ไหลออกมาอย่างไม่สามารถห้ามได้ คนที่กอดอยู่กระชับอ้อมกอดนั้นเข้ามาหาตนด้วยความถวิลหา มานานแสนนานตอนนี้กลับมาสู่เขาอีกครั้ง สัมผัสอบอุ่นในยามเช้า แสงแรกของวันในตอนเช้าเหมือนเปิดต้อนรับความรักของทั้งสองในฐานะของคนที่มีลมหายใจ ปณิธานหันหน้ามาจ้องมองคนรักของตัวเอง มือหนาของคนที่ร้องไห้หนักกว่าประคองใบหน้าของปณิธานที่อยู่ในร่างของกิตติเข้ามาหาตัวเอง


   “ ถ้ามองตาแบบนี้ตั้งแต่แรก เฟิร์สก็จำได้ตั้งนานแล้วเพราะโก้มันไม่ใช่คนเกรี้ยวกราดใส่เฟิร์สแบบนี้”


   “ เหรอ ที่กูจูบมึงเมื่อกี้แล้วมึงต่อยกูเนี่ยนะที่เรียกว่าจำได้”


   “ ขอโทษครับ” เขาจับใบหน้าของคนรักอย่างเบามือ “ เจ็บหรือเปล่าครับ”


   “ ลองไหมล่ะ” คนที่ถูกถามทำท่าง้างมือขู่


   “ อืม เอาเลยครับ” เขาหลับตารอหมัดหนักจากคนตรงหน้า


ใครจะรู้ว่าไม่มีความเจ็บปวดสัมผัสใบหน้า มีเพียงแต่สัมผัสนุ่มๆมาสัมผัสลงที่ริมฝีปาก มันเป็นสัมผัสที่มีชีวิต ดวงตาทั้งสองมองเข้าหากัน ปิติภัทรตอบสนองสัมผัสนั้นอยากรวดเร็วอย่างนุ่มนวล เขาประคองมุมหน้าให้เข้าเข้าหากันมากที่สุด  แม้มันไม่เย็นยะเยือกเหมือนตอนสัมผัสในครั้งแรก ตอนนี้มันอบอุ่นและมีเสียงของลมหายใจที่แสดงว่าทั้งสองอยู่ในโลกดัวยกันแล้ว


   “ กูไม่ใช่คนที่หวานหรือพูดจาดีๆแบบคนอื่นนะ จะให้กูมาพูดจาดีๆกับมึงหรือหวานกันมากๆคงไม่ได้นะ”


   “ อย่าหวานไปมากกว่านี้เลย แค่นี้เฟิร์สก็ไม่ไหวแล้ว” เขายิ้มให้


   “ ปากดี”


   “ ดีสิ ไม่เชื่อมาลองชิมอีกได้”


   “ กูมีเรื่องจะขอมึงนะ”


   “ ได้ครับ”


   “ หลังจากนี้เรียกกูว่าโก้ได้หรือเปล่า” ปิติภัทรมองกลับด้วยสายตาที่ไม่เข้าใจ “ขอแค่ต่อหน้าคนอื่นโดยเฉพาะกับลุงกูก็ได้ อยู่กับมึงกูก็จะเป็นกู กูไม่อยากให้ลุงกูเสียใจเพราะว่าโก้มันต้องมาตายกับเรื่องที่เกิดขึ้น”


   “ ครับ เฟิร์สเข้าใจครับ”


   “ แล้วจะว่าอะไรไหมครับถ้ากูจะขออยู่กับลุงที่นี่”


   “ ไม่ว่าครับ แค่นี้เองสบายครับ” เขาฉีกยิ้มกว้าง “ มีอะไรอีกหรือเปล่า”


   “ มะ…อื้อออ”


ยังไม่ทันพูดจบคนที่อยู่ตรงหน้าก็ประทับริมฝีปากลงมา ของริมฝีปากนุ่มกดลงอย่างเป็นจังหวะ เสียงลมหายใจของทั้งสองสอดรับเป็นจังหวะเดียวกัน ลิ้นของปิติภัทรสอดแทรกเข้าไปเกลี่ยฟันของอีกฝ่ายอย่างรู้งาน สายลมอ่อนๆในยามเช้าของฤดูหนาวพัดผ่านทั้งสองโดยที่ทั้งคู่ไม่สามารถรับรู้ถึงความหนาวนั้นได้เลย เพราะความอุบอุ่นของทั้งสองกำลังส่งผ่านถึงกันและกันได้เป็นอย่างดี
บางคนบอกว่ากว่าจะรักกันก็เกือบจะถึงวันสุดท้ายของชีวิตเพราะเราไม่สามารถรู้เวลาตายของเราได้ บางคนตองรอให้มีการจากลาเสียก่อนถึงจะมาหวนคิดถึงวันดีๆที่เคยผ่านมากับคนรักได้ หลายคนที่พลาดความรักไปแล้วไม่เคยมีโอกาสได้แก้ไข จะมีสักกี่คนที่จะได้โอกาสนั้นอีกครั้ง หาคุณยังมีโอกาสอยู่ จงโอบกอดคนที่คุณรักไว้ให้แนบแน่นที่สุด แต่อย่าแน่นจนลืมผ่อนให้เขาได้สบายบ้าง หากใครที่กำลังวิ่งตามหามัน จงมอบความรักที่เรามีอยู่ให้กับคนรอบตัวก่อนสักวันมันจะเป็นวันของคุณ



สวัสดีอย่างเป็นทางการนะคะ ก่อนอื่นขอขอบคุณรีดเด้อทุกท่าน ที่ตามอ่านตามเม้น 5555 ภาคต่อจาก YOU SAW ME แอบแป้กเบาๆ เพราะไม่ตามเป้า ตอนแรกถอดใจไปแล้ว แต่คิดได้ว่า ยังมีคนอ่านอยู่ถึงแม้จะคนเดียวหรือสองคน นี่ก็ต้องลงให้จบ ตอนหน้าจะเป็นตอนเกริ่นไปเล่มสามนะ ขอบคุณทุกการติดตาม รัก SAILOM CC.

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
หลานโก้ของฉานนนนนนนนนนนนนน หวังว่าจะไปปรากฏตัวในเล่ม 3 นะ   :hao5:
ส่วนคู่รักกันด้วยลำแข้ง ขอให้รักกันไปนาน ๆ  :กอด1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด