ตอนที่แล้วมันสั้นไป มาต่อให้อีกตอนนะครับ
ตอนนี้ก็เกินครึ่งเรื่องมาละ ขอกำลังใจด้วยนะครับ
ช่วยคอมเมนท์ แนะนำ หรือบอกต่อทีนะ
+++
‘ไอติม’
มกราคม“เออ ติม น้องเฟมจะมาหามึงอีกเมื่อไหร่วะ”
นั่นไง ผมนึกไว้แล้วว่าภายในวันสองวันนี้ ไอ้ตี้ มันจะต้องถามผมเรื่องนี้แน่ๆ มันทำเป็นคีพคูลได้ไม่กี่วันหรอก เชื่อดิ อาการออกซะขนาดนี้ ถึงกับชวนพวกยัยป๋อมไปวิ่งออกกำลังกาย ตัดเผ้าตัดผมเตรียมต้อนรับผู้ชาย ซื้อเสื้อผ้าใหม่ แล้วยังมาทำเป็นปากแข็ง แบบนี้ต้องกวนตีนซะให้เข็ด
“ถามทำไม เกี่ยวอะไรกับมึง”
ได้ผล มันหันมามองแบบ สายตาพร้อมบวก
“กูไม่ถามก็ได้ ไอ้สัด”
“อะแน่ะ งอน มึงอยากรู้ละสิว่าน้องวินจะมาดัวยไหม เอางี้ เดี๋ยวกูให้เฟมชวน บอกว่ามึงคิดถึงละกัน”
“นี่มึงกวนตีนเหรอ”
“แล้วมึงอะ ซึนเหรอ”
ผมยักคิ้วให้ ส่วนมันกลอกตาใส่อย่างเหลืออด
“ใจเย็นเพื่อน วันศุกร์ก็ได้เจอแล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะได้เจอไอ้วินของมึงหรือเปล่านะ”
คราวนี้ถอนหายใจแล้วมองแรง ผมชอบแกล้งไอ้ตี้ก็เพราะงี้ จริงๆ แล้วมันน่ารักมากเลยนะ ยิ่งเวลาทำหน้าทำตาตอนโดนแกล้งนี่ ไม่รู้ว่ามันโง่จริงหรือแกล้งไม่รู้ว่าตัวเองไม่ได้แย่อย่างที่มันชอบบ่นเลยเหอะ
แต่ยังไงก็น่ารักสู้แฟนผมไม่ได้อยู่ดี เรียกว่าเทียบกันไม่ได้ดีกว่า
งื้อ คิดถึงๆ
คิดถึงแก้มนิ่มๆ กับตัวบางๆ หอมๆ แต่เดี๋ยวก็ได้เจอกันแล้ว นี่ก็เดือนนึงพอดีหลังจากทริป กทม. อยากรีบเรียนรีบจบโว้ย จะได้ย้ายไปหางานทำที่โน่น จะได้อยู่ด้วยกันตลอดๆ ไม่ต้องคิดถึงมากๆๆๆๆๆๆๆ แบบนี้
จริงๆ อยากจะคอลไลน์ไปหาตอนนี้เลย แต่รู้ว่าเฟมตั้งใจเรียน และเรียนหนักมาก ผมเลยไม่อยากกวน นี่ก็อีกอย่างหนึ่ง ผมรู้สึกเหมือนถูกหวยเลยอะ ที่อยู่ๆ ก็ได้คิวท์บอยตัวท็อปขนาดนี้มาเป็นแฟน ทั้งที่อยู่กันคนละฝั่งของประเทศ สติปัญญาก็คนละระดับแท้ๆ แล้วเฟมก็เป็นคนเริ่มจีบผมก่อนด้วยนะ แค่นึกถึงยังโคตรรู้สึกดีเลย
มันเป็นบ่ายวันหนึ่งของหน้าร้อน เดือนเมษายนปีที่แล้ว จำได้ว่าผมกำลังปั่นการบ้านวิชาการแปลอย่างสุดพลัง จู่ๆ ก็มีแจ้งเตือนไอจีดังรัวๆ
ที่จริงจะบอกว่าผิดปกติก็ไม่น่าใช่ เพราะถ้าผมโพสต์รูปใหม่ๆ ลงไปเมื่อไหร่มันก็เด้งรัวๆ เพลินๆ แบบนี้แหละ แต่ตอนนั้นผมดันจำได้ว่า ครั้งสุดท้ายที่โพสต์รุปในไอจีคือสองวันก่อน แล้วจู่ๆ ตอนนี้มันจะมาเด้งมารัวๆ ได้ยังไง ผมจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูด้วยความหงุดหงิด ก็อย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีคนเข้ามากดติดตามแล้วไลค์รูปรัวๆ เป็นสิบๆ รูป เพื่อเรียกร้องความสนใจ แต่หนนี้ผมถึงกับทิ้งการบ้านเอาไว้ทำทีหลัง เพราะเจ้าของไอจีที่เข้ามากดรัวกวนใจกวนการบ้าน คือคิวท์บอยมหาลัยดังที่ผมแอบตามส่องอยู่นั่นเอง
“เชี่ย เขาไลค์รูปกู”
“ชอบกูเหรอวะ”
“เขาชอบกูถูกมะ”
ผมตะโกนเป็นบ้าเป็นหลังอยู่คนในเดียวในหอพัก ก่อนจะรีบ dm ไปหา กลัวว่าเขาไปทำอย่างอื่นก่อน แล้วจะไม่ได้คุย
‘เอ่อ ใจเย็นนะ ที่กดหัวใจรัวๆ มานี่ ชอบรูปหรืออะไรครับ’
‘อ่า ขอโทษด้วยครับ มันเยอะไปเหรอ’
‘เยอะดิ ทำแบบนี้ เดี๋ยวผมไปกดหัวใจรัวๆ คืนมั่ง โดนแฟนตีไม่รู้ด้วยนะ’
‘ตามสบายเลยครับ เราไม่มีแฟน 555’
‘สาธุ ถ้าโกหกขอให้เลิกแฟนจริงๆ เด้อ’
‘จริงๆ สาบาน ฮือๆ เราขอโทษด้วยครับ ลืมคิดไปเลยว่าแฟนไอติมอาจจะว่าเอาได้’
‘ยังๆ ยังไม่มีเหมือนกันครับ แล้วนี่ รู้จักชื่อผมด้วยเหรอ’
‘ชื่อในไอจีไง ชื่อไอติมถูกปะครับ’
‘โห ดีใจจังที่น้องเฟมคิวท์บอยรู้จักชื่อผมด้วย’
‘ไม่เอา ห้ามเรียกคิวท์บอย เราเขิน ละอายแก่ใจ ไม่ได้หล่อขนาดนั้น 555’
‘หืม นี่ยังไม่เรียกหล่ออีกอ่อ งั้นให้เรียกอะไรดีอะ’
‘เรียกที่รักได้ไหมอะ ล้อเล่นนะ 555’
‘เหย ผมเรียกไปแล้วเหอะ เรียกในใจตั้งหลายทีแน่ะ’
‘อ่า ไอติม ชอบผู้ชายเหรอ’
‘ถามงี้เลยอ่อ 555’
‘อืม ถ้าใช่เราจะได้จีบ จีบได้ใช่ปะ’
‘ให้ผมจีบเฟมดีกว่าครับ’
ผมงี้ หน้าแดง สติหลุด ฟินไปนอกโลกโน่นแล้ว อยู่ดีๆ ก็ถูกตัวท็อประดับประเทศ dm มาขอจีบ แถมตอนนั้นไม่ได้คิดเอะใจอะไรด้วยว่า เจ้าของไอจีจะเป็นเฟมจริงๆ หรือเป็นแอคเคาท์ปลอม คือสมองมันเชื่อไปหมดแล้วไง โชคดีที่แอคเคาท์นี้เป็นของเฟมจริงๆ ไม่โดนปล้นโดนหลอก ไม่อย่างนั้น ตอนนี้นี่อาจจะเป็นหนังคนละม้วนกันไปแล้วก็ได้
แม่ง โคตรโชคดีอะ
จากนั้นก็อย่างที่ทุกคนพอจะนึกออกนั่นแหละครับ เราก็คุยกันมาเรื่อยๆ ยิ่งช่วงแรกๆ นี่ แทบจะตลอดเวลาที่ว่างเลย คือหัวปักหัวปำมาก ถึงขนาดที่ว่าต่อให้เป็นคนอื่นที่ไม่ใช่เฟมปลอมแอคเคาท์มาหลอก ถ้าหน้าไม่แย่มากจนเกินรับ ผมก็ยังจะชอบอยู่ดี ไปขั้นนั้นเลย มันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากจริงๆ นะ ไอ้การตกหลุมรักเนี่ย ยิ่งเป็นหลุมที่มีคนสองคนตกลงไปพร้อมๆ กันด้วยแล้ว
กลายเป็นว่า ปัญหาที่ใหญ่ที่สุด ไม่ใช่เรื่องที่ว่าเป็นเฟมจริงๆ ไหม เฟมชอบผมจริงๆ หรือแค่เจ้าชู้ หรือเป็นคนเหลวไหลจีบใครๆ ไปทั่วหรือเปล่า แต่ดันมาในรูปแบบของ เพื่อนสนิทที่สุดของเฟมที่ชื่อ วิน
ผมไม่ใจว่าไอ้เด็กนี่มันเป็นชายแท้ เกย์ หรือว่าไบแบบผม แต่เฟมเล่าว่ามันเองก็เพิ่งจะอกหักจากสาว เลยเบาใจไปเปราะหนึ่งว่ามันคงจะไม่ได้มีอะไรหรือคิดอะไรกับคนที่ผมชอบ แต่ถึงอย่างนั้น ผมเองก็ยังรู้สึกอึดอัดและไม่ชอบใจอยู่ดี ที่เฟมมีเพื่อนผู้ชายที่สนิทกว่า คุยกันเยอะกว่า แถมยังแชร์คอนโดอยู่ด้วยกันอีก แน่นอนครับว่าแว่บนึงในสมอง ผมคิดสงสัยไปแล้วว่า สองคนนี้อาจจะไม่ใช่แค่เพื่อนอย่างที่พูด
แต่ผมอยากจะเป็นคนที่มีเหตุผลมากกว่า เพราะถึงยังไง ตอนนี้ผมกับเฟมก็ได้ชื่อว่าเป็นแฟนกัน ไม่ใช่แค่เพื่อนหรือคนคุย แม้ว่าอะไรๆ มันจะยังไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ก็เถอะ
ผมไม่ได้มีแผนจะจับคู่ไอ้วินกับไอ้ตี้ เพื่อแยกแฟนผมออกจากเพื่อน อย่างที่ไอ้ตี้มันเข้าใจ แต่ผมก็ไม่ปฏิเสธว่าถ้าทำได้จริง มันก็จะเยี่ยมมาก แฮปปี้กันทุกคนทุกฝ่าย ถูกมะ
หลังจากคุยเปิดกล้องกันได้ประมาณสองเกือบสามเดือน ผมกับเฟมก็ตกลงที่จะมาเจอตัวกันจริงๆ โดยเฟมอาสาเป็นฝ่ายมาหาผมถึงที่เชียงใหม่ การเจอกันในครั้งนี้ยิ่งทำให้ผมแน่ใจยิ่งขึ้นว่าเฟมชอบผมจริงๆ เผลอๆ จะมากกว่าที่ผมเป็นฝ่ายชอบเขาซะอีก เช่น ตอนที่เขาขอกอดผมแทบจะทันที ที่ได้เราได้อยู่กันตามลำพัง
ใช่ครับ ตามลำพัง มันจะเป็นการอยู่ด้วยกันครั้งแรกที่ยอดเยี่ยมมากเลย ถ้าไม่มีเพื่อนสนิทของเฟมติดสอยห้อยตามมาด้วย จริงๆ ผมก็ไม่ได้รังเกียจเพื่อนแฟนหรอกครับ น้องมันก็ดี ไม่ได้มีท่าทีดูถูกดูแคลนอย่างที่ไอ้ตี้ว่า แต่มันก็ดีกว่าปะ ถ้าผมกับเฟมจะได้ใช้เวลาด้วยกันแบบเต็มๆ
ทีแรกจะให้ไอ้ตี้มาช่วยเอนเตอร์เทนน้อง ซึ่งผมรู้ว่ามันเต็มใจแหละ เพราะไอ้เด็กห่านี่ก็หล่อมาก หน้าเกาหลี หุ่นนายแบบ สเป็คเพื่อนผมเลย แต่กลายมาเป็นมีเรื่องกันไปซะนี่ ผมเลยจำเป็นที่จะต้องคุยกับเฟมตรงๆ
“วินมันหล่อมากเลยนะ อยู่ด้วยกัน เฟมไม่หวั่นไหวบ้างเหรอ”
ผมแกล้งถามหลังจากที่กลับมาค้างด้วยกันที่ห้องผม
“ทำไม พี่ติมหึงผมเหรอ”
เฟมหรี่ตา ยิ้มเจ้าเล่ห์
“เปล่าครับ ก็แค่ถามดู ถ้าไม่มีอะไรพี่ก็โล่งใจ เพราะถ้าให้แข่งกันยังไงพี่ก็แพ้ปะ”
“โห ดูพูดเข้า ไม่เอา ไม่น้อยใจดิ”
ว่าแล้วก็เข้ามาขอกอด เอาหน้ามาซุกไซร้ ทำเสียงอ้อน จนความเป็นชายของผมถูกปลุกให้ตื่นขึ้นอีกครั้ง
“วินมันไม่ชอบผมหรอก มันชอบผู้หญิง แล้วอีกอย่าง” น้องเอามือมาประคองใบหน้าผมแล้วระดมจูบ “แฟนผมน่ารักกว่า น่ากินกว่า แล้วก็แซ่บกว่าเยอะ”
นั่นแหละครับ ของจริง ไม่พูดเยอะ เจ็บ ค.
อีกอย่าง ผมเชื่อใจเฟมมากเลย ว่าเขาจะไม่มีมีทางโกหกผม เราสองคนคุยกันตั้งแต่ตอนเริ่มจีบกันแล้วว่า ถ้ารู้สึกว่าไม่ใช่ หรืออะไรๆ มันไม่เหมือนเดิม เราจะต้องบอกกันอย่างตรงไปตรงมา
ถึงแม้ว่าช่วงนี้เราจะไม่ค่อยได้คุยกันบ่อยเหมือนแต่ก่อนก็เถอะนะ
แปลกตรงไหนละ มันผ่านช่วงโปรมาสักพักแล้ว แล้วน้องก็ยุ่งมาก กลับมาจากทริปปีใหม่ก็เปิดเทอมเลยทันที มีบางวิชาที่เรียนไม่ทันเพื่อนไปตั้งหลายวัน แค่คิดยังเหนื่อยแทนเลย จะให้ว่างมาคุยไร้สาระกันตลอดมันก็ไม่ใช่ปะ
เนี่ย รากฐานของความรักคือความเข้าอกเข้าใจเว้ย ยังไงซะวันศุกร์นี้ก็จะได้เจอกันแล้ว
คุยกันน้อยลงหน่อย มันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรหรอก\
หวังว่านะ
+++
ผมขับรถไปรับเฟมกับวินที่สนามบินเหมือนครั้งก่อนๆ กับไอ้เด็กวิน เราคุ้นเคยกันมากขึ้น ส่วนกับเฟม ผมรู้สึกว่าเขาคือคนรัก คือครอบครัวจริงๆ ของผมไปแล้วตอนนี้
ผมยื่นแขนบีบไปแก้มเฟมด้วยความคิดถึง เฟมเพียงแต่ยิ้มอ่อนๆ ดูท่าทางเหนื่อยๆ เทอมนี้เฟมมีเรียนวันศุกร์เกือบทั้งวัน ไหนจะกิจกรรมคณะอีก แล้วยังต้องรีบมาขึ้นเครื่องให้ทัน
“ถ้าเฟมเหนื่อย ก็ไม่ต้องมาก็ได้นะ พี่ไม่งอนหรอก เอาจริงๆ”
“ไม่ได้ดิ ซื้อตั๋วไว้แล้ว แพลนกันไว้แล้ว อีกอย่าง ถ้าไม่มาคราวนี้ จะได้มาอีกทีตอนไหนไม่รู้”
ผมหันไปมองเฟม เพราะไม่เข้าใจ
“คือ เฟมมีซ้อมหลีดอะ ทุกเสาร์ อาทิตย์ ตารางออกมาแล้ว”
“ก็เดี๋ยวพี่ไปหาเฟมเองไง”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ”
ผมขยี้หัวเด็กน่ารักที่นั่งข้างๆ อย่างหมั่นเขี้ยว แล้วหันมองกระจก เพื่อทักทายกับไอ้เด็กวินที่นั่งอยู่เบาะหลัง
“วินอะ ไปเที่ยวสวิสกันมาเป็นไงมั่ง สนุกไหม”
“ก็ดีครับ อากาศหนาวดี ผมแค่แวะไปเจอเฟมแค่สองวันเองครับ เพราะไปกับที่บ้านเหมือนกัน”
“หนาวเท่าเชียงใหม่ตอนนี้เปล่า” ผมแกล้งแซว “มีคนเค้าถามหาอยู่นะ”
“ไม่มีหรอกครับ”
โอเค ไม่มีก็ไม่มี เรื่องของมึง
เราแวะทานมื้อค่ำกันในร้านอาหารฟิวชั่นงงๆ แถวนิมมาน (โทรชวนไอ้ตี้แล้ว แต่มันไม่ไป) นั่งกินดื่มคุยได้สักพักก็จวนเวลาที่ต้องไปเช็คอินก่อนเคาน์เตอร์โรงแรมจะปิด เฟมจองห้องในโรงแรมสี่ดาวเปิดใหม่ ซึ่งอยู่ใกล้ที่พักของผมมากกว่าเดิมให้กับเพื่อน ส่วนตัวเองก็แน่นอนว่าต้องมาค้างกับผมอยู่แล้ว เพราะถึงห้องผมจะไม่ใหญ่ แต่อย่างอื่นผมใหญ่
ผมจู่โจมเฟมทันทีที่เรามาถึงที่ห้อง ซึ่งน้องก็ยอมให้ผมทำมิดิมิร้ายแต่โดยดี ไม่มีขัดขืน นัวเนียกันอยู่พักใหญ่จนผมทนไม่ไหว อยากจะเอาเข้าข้างในแล้ว ปกติมาถึงขั้นนี้เฟมจะไม่ค่อยยอมให้ทำเท่าไหร่นัก เพราะขนาดของผมทำให้น้องเจ็บมากกว่าเสียว แต่คราวนี้กลับตกลงอย่างว่าง่าย ถึงจะค่อยๆ ทำ ค่อยๆ ขยับๆ และน้องน้ำตาไหลพรากๆ แต่ก็ไม่ยอมให้ผมเอาออก
“เฟมไหวแน่นะ”
“ไหวครับ เฟมอยากทำ”
“งั้นพี่จะพยายามเบาๆ ละกัน แต่ถ้าเฟมเจ็บต้องบอกพี่นะ”
“ครับพี่ติม” น้องน้ำตาไหลอีก “เฟมรักพี่ติมนะ”
“พี่ติมก็รักเฟมครับ”
เฟมทั้งแน่นและรัดเหมือนทุกครั้ง จนในที่สุดเราก็ถึงจุดหมาย ผมปล่อยข้างใน ในขณะที่ริมฝีปากของเราทั้งคู่ยังคงประกบกันอยู่ ส่วนเฟม ผมก็รู้สึกถึงน้องที่ปล่อยกระฉูดมาโดนหน้าท้องผมไปพร้อมๆ กัน ผมกอดเขาไว้แน่น เช่นเดียวกับที่น้องก็กอดผมเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
“ขอบคุณนะเฟม ที่ยอมลองทำไปด้วยกัน แต่ถ้าเฟมยังเจ็บ คราวหน้า เราไม่ต้องทำก็ได้นะ”
เฟมทำหน้ายู่ แล้วกอดผมแน่นกว่าเดิม
“ไม่เป็นไรหรอกครับ”
“แน่ใจนะ ว่ารับไหว” ผมขยี้หัวเขา แล้วยิ้มให้กับความไม่เดียงสา “ก็บอกแล้วว่าของพี่ติมอะ ใหญ่”
“พี่ติมครับ”
“หืม”
เฟมก้มหน้าไม่ยอมสบตาผม นานหลายนาทีก่อนที่น้องจะค่อยๆ พูดออกมาด้วยเสียงเบา เหมือนกล้าๆ กลัวๆ
“พี่ติมลืมเฟมไปเถอะนะครับ”
!?!
ผมที่กำลังยิ้มมีความสุขจากความสัมพันธ์ทางกายอันลึกซึ้งที่เพิ่งเกิดขึ้นอยู่ดีๆ พอได้ยินประโยคนั้น มีอันต้องช็อคตัวแข็ง!
สมัยเด็กผมเคยปีนเล่นต้นฝรั่งขี้นกหน้าบ้าน แล้วเหยียบกิ่งอ่อนหักตกลงหัวกระแทกพื้น ยังดีที่บริเวณนั้นเป็นดินอ่อนนุ่มปูหญ้าแพรกสิงโปร์ แรงกระแทกเลยไม่ค่อยรุนแรง แต่ถึงกระนั้น ก็ทำเอาภาพตัด หัวโน และได้ยินเสียงวิ้งๆ อยู่ในหูเป็นอาทิตย์
อาการดังกล่าวกำลังเกิดขึ้นกับผมอีกครั้งในตอนนี้
ผมพยายามผลักเฟมออกจากตัว เพราะอยากมองหน้าเขาเพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองฟังไม่ผิด แต่เขากำลังขัดขืน และกอดผมไว้แน่นกว่าเดิม ตัวเริ่มสั่นและร้องไห้
เดี๋ยว กูไหม ที่ต้องเป็นฝ่ายเสียใจฟูมฟาย
“อะไรของเฟมเนี่ย ล้อเล่นกันใช่ไหม”
“เฟมขอโทษครับพี่ติม”
“เดี๋ยวก่อนเฟม พี่ไม่เข้าใจ คืออะไรเนี่ย เฟมเป็นอะไร”
“เฟมขอโทษ”
ผมยอมรับว่าไม่ได้เตรียมใจว่ามันจะจบเร็วขนาดนี้ แต่ครับ มันคือเรื่องจริง
+++
“เฟมชอบพี่ติมจริงๆ นะครับ แต่เฟมเหนื่อย”“เหนื่อย” ผมทวนคำพูดของน้อง “เหนื่อยอะไรเฟม เรายังไม่เคยทะเลาะกันสักครั้งเดียว พี่ไม่เคยนอกใจเฟม เฟมก็ไม่เคยนอกใจ….”
“เฟมเองพี่” เฟมพูดสวนขึ้นมา “เฟมนอกใจพี่ติม เฟมไม่อยากโกหกพี่ติม ไม่อยากทำร้ายพี่ติมอีกแล้วครับ”
ผมนิ่งไปประมาณสิบวิได้
“แล้วถ้าพี่บอกว่าพี่รับได้อะ”
“เราก็ต้องเลิกกันอยู่ดีครับ เราไปกันไม่รอดหรอก เอาจริงๆ เฟมไม่อยากทำให้พี่ติมเสียใจไปกว่านี้ เฟมขอโทษจริงๆ”
ผมมองหน้าหล่อๆ ที่กำลังหันไปทางอื่นไม่ยอมสบตา
“คลิเช่ว่ะเฟม ถ้าจะบอกว่าพี่ดีไม่พอจะเป็นแฟนเฟม เฟมก็พูดออกมาเลย แค่นั้น”
เฟมส่ายหน้าแล้วร้องไห้
“แล้วจะร้องไห้ทำไม เออ เลิกก็เลิก เฟมอยากเลิกพี่ก็จะเลิกให้ พี่เข้าใจว่าที่ผ่านมาเราก็แค่สนุกๆ แก้เหงา”
“พี่ติม มันไม่ใช่แบบนั้นนะครับ”
“พอเหอะเฟม พี่เข้าใจแล้วว่าเฟมอยากเลิก มันไม่ต้องมีเหตุผลอะไรหรอก ถึงพี่จะไม่ฉลาดเท่าเฟมหรือเพื่อนเฟม แต่พี่รู้ว่าไม่รู้สึกก็คือไม่รู้สึก ไปล้างตัวใส่เสื้อผ้าซะ เดี๋ยวพี่ไปส่ง”
ผมบอกแล้วหยิบเสื้อกับกางเกงขึ้นมาสวมแบบลวกๆ
แม่งโคตรเกลียดเลย คนที่ใช้น้ำตาเพื่อให้ตัวเองดูน่าสงสารเนี่ย จริงๆ แล้ว ถ้าจะมาเพื่อจะบอกเลิกกันแค่นี้ แค่ส่งข้อความมาก็ได้ สมัยนี้ใครๆ เขาก็ทำกัน นี่ยังอุตส่าห์ดั้นด้นมา ยอมเหนื่อย ยอมเจ็บ ยอมโกหกว่ารัก เอาตัวเข้าแลกเพราะหวังว่าผมจะรู้สึกโอเคมากขึ้น แต่ไม่เลย ผมรู้สึกว่านี่มันคือการดูถูก เขาคิดแค่ว่าผมอยากได้ตัวเขา แล้วพอผมได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว ก็จะยอมปล่อยไปง่ายๆ
ถ้าคิดว่าผมเป็นคนแบบนั้นละก็ เราก็ไม่เหมาะสมกันจริงๆ นั่นแหละครับ
…
เฟมพยายามจะพูดอะไรอยู่หลายครั้ง ระหว่างทางจากคอนโดของผมถึงโรงแรม แต่ผมแสดงทีท่าไม่อยากรับฟังอย่างชัดเจน จนเขาไม่กล้าที่พูดต่อและเอาแต่ร้องไห้
‘เออ มึงร้องเลย มึงสมควรต้องร้องแล้ว’ ผมคิดในใจ
ยิ่งเฟมร้องออกมาเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งรู้สึกโกรธมากขึ้นเท่านั้น พอมาถึงถนนหน้าโรงแรม เฟมทำท่าเหมือนไม่อยากจะลงจากรถ จนผมรำคาญต้องเอื้อมมือไปปลดเบลท์และประตูให้ จะได้จบๆ ซีนดาราม่าห่าเหวนี่ซะที
“เฟมขอกอดพี่ติมเป็นครั้งสุดท้ายได้ไหมครับ”
น้องพูดด้วยเสียงเบาปนสะอื้นจนผมรู้สึกเจ็บจุก น้ำตารื้น
“ถึงแล้ว”
“พี่ติม”
“เพื่ออะไร เพื่อความสะมใจเหรอ จะเอาให้เห็นน้ำตาพี่ให้ได้ใช่ไหม ทำไมเฟมใจร้ายอย่างงี้วะ พี่เคยไปทำอะไรให้เฟมเกลียดเหรอ”
“ไม่ครับ เฟมผิดเองครับพี่ติม เฟมมันเลวเอง เฟมขอโทษ”
“ลงไปได้แล้วไป ถ้าคิดจะใจร้าย ก็ไม่ต้องเหลือความสงสารให้พี่ แล้วก็อย่าขอโทษพร่ำเพรื่อ เพราะมันจะทำให้ทุกคำที่ออกมาจากปากเรา ฟังดูไม่มีค่า”
ด่าขนาดนี้ ไม่เจ็บให้มันรู้ไป
ผมเปิดประตูฝั่งคนขับแล้วเดินอ้อมไปอีกฝั่ง ดึงตัวเฟมที่กำลังร้องไห้ออกจากรถ ปิดประตู กลับเข้าไปอยู่หลังพวงมาลัย แล้วติดขับเครื่องออกไป โยบังคับตัวเองไม่ให้มองกระจกมองข้าง
แต่ถึงจะมองก็คงมองอะไรไม่เห็นหรอก เพราะน้ำตาที่ผมกลั้นเอาไว้ มันไหลท่วมบดบังทัศนียภาพและการมองเห็นของผมไปหมดแล้ว
เชี่ยเอ้ย
แม่ง+++