บทที่ 13.3
จากใจกรมรินทร์
“ คอลหาได้ไหม” ผมเบะปากพูดล้อเลียนข้อความของพี่มันเสียงเบา แต่ผมก็ไม่ได้บอกพี่กรมว่ามีแจ้งเตือนขึ้นมา ปล่อยให้พี่มันนั่งพิมพ์ไปครับ ผู้หญิงคนนี้ก็ไม่รู้เวลารึไงว่าเขาทำงานทำการอยู่ ไอ้ฉิบหาย! ผมรู้ว่าเธอไม่ผิดแต่ทำไมผมห้ามอารมณ์ตัวเองไม่ให้พาลไม่ได้วะ
“ ไอ้กรมมึง กูขอวันนี้นะ”
“ เออ จะพยายาม” ผมเข้าใจพี่มันนะว่าการที่เอาความรู้และสิ่งที่คิดอยู่ในหัวออกมาเป็นตัวอักษรมันค่อนข้างที่จะยาก โดยเฉพาะการเปลี่ยนให้เป็นภาษาวิชาการ อันนี้แม่งยากกว่า
“ พี่ต้องการแถวไหนอะ เราต้องลงด้วยหรอพี่มันทั้งประเทศเลยนะ” ก็เพราะนโยบายเป็นการวางแผนที่เป็นบริการสาธารณะคนส่วนใหญ่ทั้งประเทศต้องได้รับ แล้วทีนี้จะไปหาพื้นที่จากไหนละวะ
“ ลงไปเพื่อสอบถามบางส่วน” พี่กรมเป็นคนตอบผมขณะที่เขายัวคงจ้องหน้าจอและพิมพ์อย่างรวดเร็ว “ เอาใกล้ๆกรุงเทพฯก็ได้”
“ คิดไม่ออกครับ” ผมก็ไม่รู้อยู่ดีว่าจะไปที่ไหนเพราะผมเองก็คิดไม่ออกว่าถ้าจะไปหาแหล่งที่ผู้สูงอายุที่ไหน นอกจากบ้านพักบางแค แต่นั่นก็จะได้แค่ผู้สูงอายุบางกลุ่มเท่านั้น แต่ผมอยากได้ข้อมูลที่หลากหลายมากกว่านี้
“ ค่อยๆคิดไป ไม่เห็นต้องรีบ” ผมนี่เบะปากใส่พี่มันเลย ทำตัวเป็นคุณพ่อรู้ดี
“ จ้ะ” ผมเลิกสนใจพี่กรม ก่อนจะหันมาสนใจโทรศัพท์ของพี่มันต่อที่ยังมีข้อความของผู้หญิงคนนั้นเด้งมาเรื่อยๆจนผมรำคาญ ยื่นโทรศัพท์ไปให้พี่มัน
“ รำคาญอะ ไปคุยๆกันให้เสร็จนะพี่” ตอนแรกพี่กรมมันก็ทำหน้างงครับ แต่พอรับมาดูเขาก็กดโทรออกทันที ย้ำนะครับว่ากดโทรออกทั้งๆที่ผมยังนั่งอยู่ตรงนี้....
“ เมย์ครับ กรมมาทำงานบ้านเทพนะ กรมขอโทษที่ปล่อยให้เมย์รอ” น้ำเสียงที่พี่มันใช้กับสาวนี่อ่อนโยนมากครับ อ่อนโยนกว่าที่พี่มันใช้กับผมเป็นสิบเท่า เจ็บฉิบหาย!
“ โอ้ย เหนื่อยยย!!” ผมแกล้งพูดออกมาเสียงดังให้เข้าไปในปลายสายของพี่มัน “ ทำงานนะพี่ ไม่ใช่มาคุยโทรศัพท์”
“ แป๊บนะครับเมย์” พี่มันป้องปากบอกคนปลายสายก่อนจะทำหน้าดุใส่ผม “ มึงบอกให้กูไปคุยเอง อย่าลืมดิ กูทำให้มึงแล้วนี่ไง”
“ .......” ผมพูดไม่ออกนอกจากเงียบและฟังพี่มันคุยกับผู้หญิงคนนั้นต่อ เพราะปากกูอีกแล้วครับ ทำไมปากผมมันต้องพาผมเจ็บด้วยวะ ทั้งๆที่ตั้งใจว่าจะอยู่เฉยๆแล้วแท้ๆ น้องพีขอโทษนะหัวใจ
ผมลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินออกหาอะไรเย็นๆกินด้านนอก อยู่ในนี้ก็ฟุ้งซ่าน ผมหิวนะทั้งๆที่ตอนเย็นผมก็กินอิ่มแล้ว ผมเหลือบสายตาไปมองกุ้งและอาหารทะเลที่พี่มันซื้อมาวางอยู่บนโต๊ะ กุ้งที่ผมยังไม่ได้กินเลย ทำให้ผมนั่งลงและค่อยๆแกะกุ้งกิน โดยที่ลืมเจตนารมณ์ในตอนแรกที่ตั้งใจว่าจะแค่ออกมาหาอะไรเย็นๆกิน
“ อร่อย ทำไมมึงต้องเกิดมาเป็นกุ้งวะ กูพาลนะอย่ามองหน้ากู เดี๋ยวจับแดกให้หมดเลย” ผมแกะแล้วแกะเล่าก่อนจะนั่งกินจนเพลินโดยไม่ได้ยินหรือรู้สึกว่ามีใครบางคนยืนอยู่ด้านหลัง จนกระทั่งเสียงเลื่อนเก้าอี้นั่นทำให้ผมรู้เลยว่าใครบางคนที่ผมหนีออกมานั่นเองที่นั่งอยู่ข้างๆผม
“ ออกมาทำไมพี่ คุยเสร็จแล้วรึไง? เห็นคุยกับหวานหยดย้อยเชียว รักกันมากดิ ไม่แต่งงานไปเลยหละครับ” ไอ้เวรเอ้ย ห้ามปากตัวเองไม่ได้จริงๆครับ นับวันกูยิ่งนิสัยเหมือนผู้หญิงทุกที
“ ประชดเพื่อ?”
“ เรื่องของผมไหมอะ”
“ ไอ้พี มึงชักจะเอาใหญ่ละนะ ไหนมาคุยกันให้รู้เรื่องดิ” พี่มันจับไหล่ทั้งสองข้างของผมให้หันมามองพี่มันตรงๆไอ้ผมมันก็คนใจง่ายไงครับ ค่อยๆหันมาตามแรงพี่มันโดยที่ไม่ขัดขืนเลยสักนิด
“ เป็นอะไรไหนพูด?” พี่มันมองหน้าผมตรงๆก่อนที่จะใช้มือของพี่มันวางบนศีรษะของผมอย่างเคยชิน แต่ขอโทษนะครับครั้งนี้ผมเองที่ขยับศีรษะออกก่อนที่มือของพี่มันจะวางลง
“ เป็นน้องชาย”
“ ไอ้พี” พี่มันเรียกผมเสียงดุทันทีที่ผมพูดประชดออกมาแบบนั้น “ มีเหตุผลหน่อยดิวะ”
“ เหตุผลเหี้ยอะไรวะพี่ พี่จะเอาไงกับผม” ผมลุกขึ้นยืนทันทีที่พี่มันถามหาเหตุผลกับคนอย่างผมทั้งที่การกระทำของพี่มันก็ไม่เคยเหตุผลให้ผมอะไรสักอย่าง นอกจากบอกว่าเหตุการณ์นั้นมันทำให้เขาตัดสินใจอะไรบางอย่างได้ ตัดสินใจที่จะไปมีความสุขกับคนอื่นทั้งๆที่ผมเองก็ต้องมานั่งคิดมากอยู่แบบนี้ “ พี่มาถามหาเหตุผลกับผมทั้งๆที่พี่เองก็ไม่เคยให้....”
ภาพวันนั้นที่ผมตื่นขึ้นมาหวังว่าจะเจอใครอีกคนที่นอนกอดผมอยู่ แต่เปล่าครับ ผมพบแค่ความว่างเปล่า นั่นก็ทำให้ผมรู้แล้วว่ามันไม่มีทางที่จะกลับมาเหมือนเดิมได้อีกต่อไป แม้ว่าในใจของผมมันจะรู้สึกไปแล้วก็เถอะ
“ พี กูไม่อยากเสียมึงไป” พี่มันลุกขึ้นยืนเสมอกับผมพร้อมกับจับไหล่ทั้งสองข้างของผมเอาไว้เหมือนเดิม “ อยากให้มึงอยู่ข้างๆกูแบบนี้ ไม่ได้หรอวะ?”
“ ......”
“ พี...แบบนี้มันดีสำหรับเราทั้งคู่”
“ กับพี่แค่คนเดียว ไม่ใช่กับผม”
“ ได้ไหม...” ยิ่งพี่มันทำสายตาอ้อนวอนผมมากเท่าไหร่ ไอ้หัวใจไม่รับดีมันก็สั่งให้ผมตอบรับพี่มันไป
“ ขอเวลา”
“ นานเท่าไหร่”
“ อย่ามาถามเลยพี่ ถ้าผมพร้อมผมก็คุยเอง อย่างไงผมก็ไปไหนไม่ได้ละหนิ ผมไปไหนไม่ได้แล้ว พี่จะเก็บผมไว้ในฐานะเหี้ยอะไรผมปฏิเสธพี่ได้ไหมละ พี่แม่งก็รู้ว่าผม......” ยังไม่ทันที่ผมจะพูดอะไรออกมาพี่กรมก็ยื่นนิ้วของเขามาทาบที่ริมฝีปากของผมเพื่อห้ามไม่ให้ผมพูดคำนั้นออกมา
“ อย่าพูดเลย...อย่าพูดมันออกมา” ผมพยักหน้าตามที่พี่มันพูดก่อนจะเบื่อนหน้าหนีไปทางอื่น “ ขอจูบได้ไหม?”
“......” ผมไม่ได้ตอบหรืออนุญาตพี่มันออกไป แต่สิ่งที่ผมได้รับกลับมาคือริมฝีปากของพี่กรมแนบลงมาบนนิ้วมือของเขาที่ทาบริมฝีปากของผมอยู่ ก่อนที่นิ้วนั้นจะเลื่อนออกและนั่นทำให้ริมฝีปากของเราทั้งคู่สัมผัสกันตรงๆ ผมหลับตาปล่อยให้ความรู้สึกในตอนนี้มันพาทุกอย่างไป แม้จะรู้ว่าผิดแต่ผมก็ไม่สามารถที่จะผลักพี่มันให้ออกห่างจากตัวของผมได้ จนแล้วจนเล่าที่เราสองคนจูบกันอยู่แบบนั้นโดยที่ไม่มีทีท่าว่าใครสักคนจะผลักมันออก จนกระทั่งเป็นผมเองที่ยอมแพ้ผลักพี่มันออกมา
“ พอแล้วพี่ มันมากไปสำหรับวันนี้แล้ว” ผมใช้หลังมือเช็ดริมฝีปากของตัวเอง ก่อนจะเดินกลับไปทำงานที่ห้องต่อ โดยไม่ได้สนใจว่าพี่กรมจะกลับเข้ามาตอนไหนจนกระทั่งผมเผลอหลับไป........
Jaokom’s talk
หลังจากเหตุการณ์ที่ผมห้ามตัวเองไม่ให้จูบไอ้พีไป แต่แล้วสมองของผมมันก็ดันแพ้ให้กับหัวใจ ทำให้ผมจูบมันไปทั้งๆที่ตั้งใจเอาไว้ว่าจะไม่ลุ่มล่ามกับไอ้พีจนกว่าผมจะไดคำตอบท่ชัดเจนจากตัวเอง แต่เหตุการณ์นี้มันก็ทำให้ผมได้คำตอบมาแล้วแหละครับ แต่....บางครั้งคำตอบอย่างเดียวมันก็ไม่มากพอที่จะทำให้ผมเห็นแก่ตัวสำหรับทุกอย่าง แค่ผมเห็นแก่ตัวกับไอ้พีผมก็รู้สึกแย่มากๆแล้วครับ ครั้งที่ไอ้พีกอดไอ้เทพแล้วร้องไห้ออกมาหลังจากที่ทะเลาะกับผมไปก่อนหน้า ผมเห็นทุกอย่าง ถามว่าผมเจ็บไหม เจ็บครับ เจ็บที่ทำให้ไอ้พีมันต้องเสียน้ำตาให้กับคนอย่างผม เจ็บที่ไม่สามารถเป็นอกที่แข็งแกร่งที่ปกป้องมันได้ แต่กลับเป็นตัวทำลายให้ไอ้พีเสียใจ
“......” ผมปล่อยตัวปล่อยใจให้ล่องลอยไปกับสายลมที่พัดอ่อนๆ มองดูดาวบนฟ้าที่วันนี้มีดาวส่องสว่างมากกว่าทุกวัน คงออกมาสมน้ำหน้าคนขี้แพ้อย่างผมมั้งครับ ผมก้มลงมองควันของบุหรีที่ล่องลอยออกมา นับว่าเป็นรอบหลายเดือนที่ผมใช้มัน บางทีมันก็อาจจะช่วยให้ผ่อนคลายได้บ้าง แต่มันก็แค่ชั่วขณะเท่านั้น พอสูบหมดความกังวลก็กลับมาอีกครั้ง
ยิ่งเวลาผมเห็นสายตาที่ไอ้พีมองมาที่ผมด้วยความเจ็บปวด นั่นก็ยิ่งตอกย้ำว่าผมเองก็ทรมานไม่ต่างจากไอ้พีเลย ทำไมผมต้องเกิดมาแบกรับกับอะไรหลายๆอย่าง? แค่ความรักแบบคนปกติผมยังทำไม่ได้ แล้วแบบนี้ผมจะไปดูแลมันอย่างไร แล้วอะไรจะเป็นตัวประกันว่าถ้าในอนาคตมันคบกับผมแล้วมันจะสบายและมั่นคง...
ผมเดินกลับเข้ามาอีกทีก็เห็นว่าไอ้เด็กผีของผมมันหลับไปแล้ว...เด็กบ้าตื่นมาก็โวยวาย หลับไปแบบนี้แม่งก็น่ารักดีนะครับ แต่ผมชอบตอนมันตื่นมากกว่า ไม่รู้เผลอมองหน้ามันนานเท่าไหร่ จนกระทั่งไอ้เทพเดินมานั่งลงข้างๆไอ้พีพร้อมกับผ้าห่มผืนหนาห่มให้ไอ้พีที่นอนหลับอยู่ ทำไมผมรู้สึกที่ไม่พอใจที่ไอ้เทพทำแบบนี้...
“ มันไม่ตายหรอก” ผมพูดประชดขึ้นมาลอยๆ กับสิ่งที่ไอ้เทพทำทั้งๆที่จริงแล้วควรเป็นผมที่ต้องดูแลมันไม่ใช่ให้ไอ้เทพดูแล
“ กูรู้ เดี๋ยวน้องมันหนาว” เมื่อเห็นว่าไอ้เทพไม่ยอมหยุดผมก็โอบไหล่ให้ไอ้พีเข้ามานอนใกล้ๆตัวผม
“ ถ้าหนาวก็ให้มานอนในอกกูหนิ ผ้าบางๆของมึงจะไปสู้อกอุ่นๆของกูได้อย่างไง?”
“ หมาหวงก้างฉิบหาย ไอ้พีมันก็น้องกู” ไอ้เทพมันก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะเอาตัวไอ้พีออกไปจากตัวผม แต่มันกลับนั่งลงข้างๆ “ มึงทำตัวมึงเองนะกรม กูเตือนมึงแล้ว”
“ เออ” ไอ้เทพเป็นเพื่อนที่ผมสนิทที่สุดมีอะไรผมก็บอกมันทุกอย่าง โดยเฉพาะเรื่องของไอ้เด็กเวรนี่ ผมปรึกษากับมันมาได้สักพักก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์นั้น ผมถามมันว่าถ้าเรารู้สึกดีกับผู้ชายด้วยกันมันได้ไหมผมถามมันตั้งแต่ผมรู้ตัวว่าชอบเอาตัวเองไปอยู่ใกล้ไอ้พีทั้งๆที่ผมไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ไม่ใช่รู้สึกเหมือนเพื่อนหรือเหมือนน้อง แต่มันมากกว่านั้น และผมเองก็ตอบไม่ได้ว่ามันมากขนาดไหน ไอ้เทพมันก็บอกผมว่าไม่ต้องรีบปล่อยให้มันเป็นเรื่องของเวลา ถ้าวันหนึ่งใช่มันก็จะใช่เองแล้วถึงเวลามันจะเป็นไปตามธรรมชาติโดยที่ผมจะไม่ต้องมานั่งคิดมากแบบนี้ แต่แล้วตัวของผมเองครับที่รีบร้อนอยากรู้คำตอบของตัวเอง จนกระทั่งมันเกินเลยไปขนาดนี้
“ มึงผิดที่ดึงเมย์เข้ามาเกี่ยว”
“ ............”
“ มึงผิดที่ไม่ทำตามใจตัวมึงเอง”
“ ...........”
“ และมึงผิดที่กำลังทำแบบนี้ เข้าใจที่กูพูดไหม” ผมพยักหน้าให้กับไอ้เทพ ผมบอกแล้วว่าผมรู้ตัวทุกอย่างว่ากำลังทำผิด กำลังทำร้ายใครเพิ่มอีกหนึ่งคน นอกจากตัวผมตัวของไอ้พี...แต่ผมยังดึงเมย์เข้ามาเกี่ยว
ผมเห็นแก่ตัว สิ่งที่ผมทำผมยอมรับทุกอย่าง...ผมพลาด คนที่พลาดคือผมเอง
“ กูขอเวลา แล้วกูจะจบทุกอย่างเอง” มันจะง่ายกว่านี้ถ้าไอ้พีเป็นผู้หญิง มันจะง่ายกว่านี้ที่ไอ้พีมันไม่ใช่ผู้ชาย มันจะง่ายกว่านี้ถ้าผมไม่เป็นที่รู้จักของสังคม และมันจะง่ายกว่านี้ที่ผมเป็นลูกคนธรรมดาไม่ใช่ลูกชายของหัวหน้าพรรคการเมืองดังที่คอยรักษาหน้าตาให้พ่อในทุกๆเรื่องแม้กระทั่งเรื่องส่วนตัว ถ้าถึงวันนั้นผมคบกับไอ้พีผมไม่รู้เลยว่ากระแสที่จะเข้ามาโจมตีพ่อผมกระแสแบบไหน ถึงปากของใครหลายๆคนว่าเปิดกว้างเรื่องเพศแต่ขึ้นชื่อว่าประเทศไทยอย่างไงมันก็ต้องมีคนไม่เห็นด้วย ผมไม่อยากให้ไอ้พีถูกวิจารณ์ ผมไม่อยากให้ไอ้พีมันก้าวเข้ามาในสังคมของผม ผมแค่อยากให้มันอยู่กับผมแบบนี้ในฐานะที่ไม่ต้องกังวลอะไรอย่างน้องชาย มันเห็นแก่ตัวผมรู้ดี ผมรู้ดีทุกอย่างแต่ผม...ไม่รู้ว่าเลือกทางไหนจะทำให้ทุกฝ่ายเจ็บน้อยที่สุด
“ กูจะเอาใจช่วยมึง” ไอ้เทพมันตบไหล่ของผมเบาๆอย่างให้กำลังใจ ก่อนที่มันจะเดินกลับไปนั่งที่เดิมก่อนจะมองไปที่ไอ้คินที่นั่งอยู่อีกมุมด้วยสีหน้าที่เครียดและสับสน เรื่องของผมเมื่อเทียบกับมันแล้ว....เรื่องของผมมันเล็กไปเลยครับ
ผมนั่งทำงานต่อไปโดยที่มีไอ้เด็กผีนอนอยู่ข้างๆ ผมสังเกตเห็นว่ามันไม่มีทีท่าจะขยับ มันนอนท่านี้มาตั้งแต่แรกไม่รู้ว่าเกร็งหรืออะไร จนกระทั่งผมทนไม่ไหวจับตัวไอ้พีให้นอนลงราบบนพื้นพรมนุ่มๆโดยที่ค่อยๆจับศีรษะของมันหนุนที่ตักของผม ยิ่งเห็นใบหน้าโง่ๆแบบนี้ของมันก็ทำให้ผมผ่อนคลายขึ้นมาแปลกๆ อยากจะก้มไปหอมแก้มมันแรงๆสักที แต่ติดที่ว่าการกระทำของผมอาจจะอยู่ในสายตาของเพื่อนผมคนใดคนหนึ่ง แต่....ความอยากนั้นก็ไม่สามารถที่จะทำให้ผมทนไหวอีกต่อไป เมื่อผมก้มหน้าลงเอาหนังสือขึ้นมาปิดไว้ก่อนที่จะจูบลงบนหน้าผากของไอ้พีเบาๆแล้วผลักออก แค่นี้ก็พอแล้วครับสำหรับพลังที่ผมได้รับจากมัน... ไอ้น้องผีของผม
Pee’s talk
ผมตื่นขึ้นมาในเวลาเช้าไม่ซิสายของอีกวัน ผมลุกขึ้นเพื่อนปรับระดับสายตาก่อนจะมองไปรอบๆก็เห็นว่าพี่ๆทั้งหมดต่างหามุมนอน พี่วินพี่คินนอนพิงกันอยู่ที่โซฟา พี่เทพนอนฟุบอยู่บนโต๊ะคอม ส่วนพี่กรม....นอนอยู่ข้างๆผมเมื่อเห็นว่าพี่ๆยังคงหลับกันอยู่ทำให้ผมเดินไปล้างหน้าแปรงฟันและลงไปด้านล่างเพื่อว่าจะมีอะไรให้ผมทำได้บ้างนอกจากรอให้พี่ๆตื่น
“ น้องพี” ผมได้ยินเสียงคุณแม่ของไอ้พี่เทพเรียกขณะที่ผมกำลังจะก้าวเดินออกไปนอกบ้าน ทำให้ผมเปลี่ยนทิศทางตรงมาหาคุณแม่ทันที
“ ตื่นเช้าจังครับ” ผมเดินมานั่งลงข้างๆท่านที่บนตักของท่านมีแมวตัวเล็กสีขาวขนฟูอยู่ “ น่ารักจัง” ผมยื่นมือไปสัมผัสขนของมันเบาๆ เมื่อมือของผมสัมผัสลงบนขนของเจ้าแมวตัวขาว มันค่อยๆหลับตาและทำหน้าพริ้มสุขเหมือนว่าชอบให้ผมลูบมันอย่างนั้น
“ แมวของตาเทพเขาลูก เห็นหน้าโหดแต่อยู่ในโหมดคิตตี้นะลูกชายของแม่” อันนี้ผมเห็นด้วยครับเพราะถ้าคนไม่รู้จักหรือผมตอนแรกๆที่รู้จักกับพี่มัน พี่เทพเป็นบุคคลที่โคตรจะกวนตีนเลยครับแถมยังดูไม่น่าคบหาสักเท่าไหร่ จนกระทั่งอยู่กับพี่มันไปเรื่อยๆผมก็ได้เห็นด้านที่น่ารักของพี่มัน
“ ชื่ออะไรครับเนี่ย” ผมยังคงลูบขนของเจ้าแมวน้อยอยู่อย่างนั้นเหมือนว่าผมถูกดูดกับความน่ารักของมันที่ทำให้ผมหยุดมือหรือเอามือออกจากมันไม่ได้
“ จิ๋มจ่ะ”
“ ห้ะ??” ผมถึงกับชะงักมือทันทีที่แม่ของพี่เทพพูดออกมาแบบนั้น
“ แม่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมลูกเทพของแม่ถึงตั้งชื่อลูกแมวน่ารักๆว่าจิ๋ม แม่ห้ามแล้วนะแต่ตาเทพไม่ฟัง แม่ก็พยายามไม่เรียกชื่อของจิ๋มเขา”
“ แปลกดีครับ” ผมช็อกนะ ไม่รู้ว่ามีใครในประเทศนี้อีกไหมที่ตั้งชื่อแมวน่ารักๆแบบนี้ว่าจิ๋ม ยิ่งผมเห็นหน้าแมวน้อยตัวนี้ผมก็อดที่จะสงสารมันไม่ได้ที่ต้องเป็นแมวของไอ้พี่เทพ เกิดมาน่ารักแต่แอบมีกรรมก็เพราะเป็นแมวของพี่เทพนี่แหละครับ
ผมคุยกับแม่สักพักก่อนที่แม่จะให้ผมเอาข้าวต้นขึ้นไปให้พวกพี่ๆที่คาดว่าน่าจะตื่นกันแล้ว และทำให้ผมกินข้าวบนนั้นเลย จนกระทั่งเราได้เค้าโครงของงานมาเป็นที่เรียบร้อยในเวลาเพียงแค่หนึ่งคืนจากการปั่นงานของพี่กรม ที่ผมแอบได้ยินว่าพี่มันทำเสร็จเกือบๆตีสี่ ผมมีหน้าที่ตรวจคำผิดอีกครั้งเพื่อความเรียบร้อย โดยที่คนที่ใช้ผมก็คือพี่กรมเหมือนเคย เพราะพี่มันบอกว่าพิมพ์ตอนกลางคืนมันง่วงเลยให้ผมตรวจสอบอีกรอบเพื่อความรอบครอบ แต่เท่าที่ผมตรวจดูมาเกือบๆสามสิบหน้า ก็ไม่มีคำไหนที่พี่มันพิมพ์ผิดเลย แล้วจะให้ผมตรวจอีกทำไมวะ แต่ช่างมันเถอะครับเพราะผมตรวจเสร็จแล้ว
ตอนนี้ก็เกือบๆเที่ยงพวกพี่ๆให้เรามาลงพื้นที่แถวๆย่านรังสิตเพราะพี่วินบอกว่าเขาหาข้อมูลมาบอกว่าที่รังสิตมีชมรมผู้สูงอายุที่ได้รับรางวัล มีโรงเรียนผู้สูงอายุ มี Day care และมี Care manager ที่คอยให้คำปรึกษารวมถึงสถานที่ที่เตรียมให้การบริการเกี่ยวกับการทำกายภาพบำบัดให้กับผู้สูงอายุ ถือเป็นชุมชนต้นแบบของประเทศเลยก็ว่าได้ที่มีแหล่งบริการสาธารณะที่ครอบคลุมให้ผู้สูงอายุขนาดนี้ อีกอย่างคือมันก็ค่อนข้างที่จะใกล้กับมหาวิทยาลัยของผมอยู่เหมือนกัน ทำให้ตอนนี้พวกเรามาถึงสถานที่เทศบาลเพื่อติดต่อ อย่างว่าแหละครับวันนี้วันเสาร์ก็จริงแต่ก็มีพนักงานคอยให้บริการอยู่ครึ่งวัน และดีที่ว่าพี่กรมโทรมาติดต่อเมื่อตอนเช้าก่อน ไม่งั้นก็คงต้องมาลงพื้นที่ในวันธรรมดาแน่ๆ
“ สวัสดีครับ” พี่กรมเดินเข้าไปสวัสดีพี่ผู้หญิงคนหนึ่งที่ท่าทางมีภูมิฐาน คาดว่าน่าจะเป็นบุคคลมีตำแหน่งแต่แค่ผมยังไม่รู้ว่าเธอทำหน้าที่อะไรก็เท่านั้น ก็คงต้องรอให้พี่กรมแนะนำ “ นี่คุณวรรณานะเป็นปลัดกองสาธารณะสุขของที่นี่” พี่กรมหันมาแนะนำให้พวกผมรู้จัก
“ ครับ สวัสดีครับ” ผมยกมือขึ้นทำความเคารพเธอเหมือนกับพี่ๆคนอื่น
“ น้องกรมมากะทันหันไป น้าไม่ได้เตรียมอะไรไว้ให้เลยค่ะ”
“ แค่นี้กรมก็เกรงใจน้าวรรณมากแล้วครับที่มารบกวนเวลาทำงานครึ่งวันข้างน้า” พี่กรมเดินเคียงคู่มากับคุณปลัดด้วยท่าทางสนิทสนม ผมแอบได้ยินว่าพี่กรมเรียกเธอว่าน้าสงสัยจะรู้จักแน่ๆ
“ กรมอยากรู้เรื่องส่วนไหนละ” เธอหันมาถามพี่กรมขณะที่ตอนนี้หยุดอยู่ที่ห้องทำงานที่ด้านหน้ามีป้ายเขียนชื่อตำแหน่งของเธอเอาไว้
“ เกี่ยวกับผู้สูงอายุเน้นๆเลยครับ ตามที่น้าวรรณดูแลเลย” เธอเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงานพี่กรมเดินมานั่งเก้าอี้ด้านหน้าส่วนพวกผมเดินมานั่งที่โซฟาข้างๆห้องและรอฟังบทสนทนาของทั้งคู่
“ แบ่งกลุ่มไหม มากี่คน เอาเป็นสองสามก็ได้ น้าจะส่งไปดูพวกบริการสาธารณะขั้นพื้นฐานส่วนอีกสามคนก็ไปไล่ถามผู้สูงอายุตามบ้าน ตอนนี้มีโครงการเกี่ยวกับผู้สูงอายุหลายประเภทเลย ผู้สูงอายุที่อยู่ในช่วงวัยหกสิบต้นๆก็ยังเป็นพวกติดสังคม งานที่น้าดูแลก็จะเป็นโรงเรียนผู้สูงอายุที่จัดอาทิตย์ละหนึ่งวัน ส่วนผู้สูงอายุที่ติดบ้านติดเตียงน้าก็จะจัดผู้เชี่ยวชาญและอสม.ไปดูแลและตรวจสุขภาพทุกๆอาทิตย์ ส่วนเรื่องบริการก็น่าจะมีประมาณนี้ ที่เทศบาลของเราส่วนมากจะเน้นเรื่องผู้สูงอายุที่ติดสังคมสะส่วนใหญ่ ส่วนติดบ้านติดเตียงตอนนี้ก็กำลังวางแผนอยู่” ผมนั่งจดตามที่ปลัดเธอพูดออกมา ถือว่าน่าสนใจมากๆเลยครับสำหรับโรงเรียนผู้สูงอายุ เพราะผมเคยเห็นและได้ยินแค่ชมรมผู้สูงอายุเท่านั้นที่บ้านของผมก็มี แต่โครงสร้างโครงการอ่อนแอมากครับ ผู้สูงอายุก็ไม่ค่อยให้ความร่วมมือสักเท่าไหร่ ขนาดย่าผมยังไม่ไปเลยครับ แกบอกว่าอยู่บ้านสบายกว่า
“ เดี๋ยวผมไปกับน้าวรรณครับ ส่วนไอ้เทพไอ้วินไอ้คินไปกับเจ้าหน้าที่อีกคนนะ พวกมึงก็ถามว่าอยากได้บริการอะไร อยากให้ภาครัฐจัดอะไรบ้าง เดี๋ยวกูไปกับไอ้พี” พี่กรมมันเหลือบสายตามมามองหน้าผมเพียงแค่เสี่ยววินาทีก่อนจะหันกลับไปเหมือนเดิม
ถูกมัดมือชกอีกแล้วครับ???? มันเป็นงานต้องเข้าใจ ไอ้พีเอาเรื่องส่วนตัวออกจากเรื่องงานให้ได้นะเว้ย
“ งั้นไปกันเลยครับ” เมื่อพี่กรมลุกขึ้นผมก็ต้องลุกขึ้นตามทันทีก่อนจะเดินตามหลังพี่มันออกไป ส่วนพวกพี่เทพก็นั่งรออยู่ในห้อง
“ ไม่ได้เอาหมวกมา?” เมื่อเดินลงมาถึงด้านล่างของตึกพี่กรมหันมาถามผมที่ยืนทำตัวไม่ถูกอยู่ข้างๆเขา
“ ครับ ผมไม่รู้ว่าแดดจะร้อน” มันค่อนข้างกะทันหันมาก ไม่คิดว่าจะได้ลงพื้นที่วันนี้
“ เอาไป” พี่กรมเดินเอาหมวกมาสวมให้ผม และจัดแจงสวมให้ผมอย่างเรียบร้อย ทำให้ผมเงยหน้าขึ้นไปมองหน้าพี่กรมอย่างไม่เข้าใจว่าพี่มันทำแบบนี้กับผมทำไม ผมไม่เข้าใจสถานะครึ่งๆกลางๆแบบนี้เลย
“ ดูแลผมทำไมอะ?”
“ เรื่องของกู” เวรมากครับ ถามดีๆได้คำตอบว่าเรื่องของกูมาผมนี่เลิกถามเลย เอาเป็นว่าอยากจะดูแลเหี้ยไรก็ดูแลมาเลย ผมโอเคมากๆ มากจริงๆ ไม่เชื่อผมหรอกหรอครับ??? เอามือปาดน้ำตาในใจแพรบ
หลังจากนั้นผมก็ขึ้นรถมากับปลัดวรรณาที่พามาดูแหล่งบริการสาธารณะประโยชน์ที่เป็นส่วนร่วมและเป็นศูนย์กลางของประชาชนได้มาใช้ประโยชน์โดยเฉพาะผู้สูงอายุ และอีกสถานที่มากมาย จนกระทั่งผมจดลายละเอียดงานส่วนพี่กรมก็มีหน้าที่สอบถามข้อมูลมาให้ได้เยอะที่สุด จนกระทั่งตอนนี้ผมกับพี่กรมกลับมาก่อนในช่วงเกือบๆบ่ายสาม
“ หิวข้าวยัง?” พี่กรมถามผมขณะที่ตอนนี้เรานั่งรออยู่ที่ชั้นล่างของเทศบาลหลังจากไปลงพื้นที่มาเสร็จ
“ ก็นิดหน่อยพี่”
“ ไปกินไหม”
“ แล้วพวกพี่เทพละครับ”
“ ไม่ต้องห่วงมันหรอก” ผมพยักหน้าตามก่อนที่จะลุกขึ้นเดินไปหาพี่กรมที่ตอนนี้เดินออกมาหน้าเทศบาลซึ่งเป็นถนนใหญ่
“ แถวนี้ไม่มีอะไรกินหวะ ไปฟิวไหม?”
“ ฟิวเลยหรอ” แต่ระยะทางจากเทศบาลไปฟิวเจอร์ก็ค่อนข้างไกลครับ ถ้าเดินไปเดินไปได้แต่ว่าตอนนี้อากาศมันร้อนเกินกว่าที่พวกผมจะเดิน
“ เดี๋ยวเรียกแท็กซี่ไป” พี่กรมพูดเสร็จไม่ได้รอให้ผมตอบ แต่เขากลับเดินไปเรียกแท็กซี่จนกระทั่งเมื่อได้แท็กซี่แล้วพี่กรมก็เอี้ยวตัวกลับมาเรียกให้ผมเข้าไปนั่งด้านหลังกับพี่กรม
“ อยากกินอะไร” เมื่อนั่งมาได้สักพักพี่กรมก็ถามขึ้นเพื่อไม่ให้บรรยากาศบนรถดูเงียบเหงามากจนเกินไป
“ อะไรก็ได้พี่”
“ ไม่มีหรอกนะอะไรได้” ผมหันไปมองหน้าพี่มันทันทีด้วยความไม่พอใจ ก็ผมไม่รู้หนิครับว่าผมอยากกินอะไร “งั้นกิน KFC ก็แล้วกัน”
“ ตามใจพี่เหอะ” กินอะไรก็ได้เพราะผมก็เริ่มหิวแล้วเหมือนกันนี่ก็เลยเวลากินข้าวมานานแล้ว
PS. สารจากกรมรินทร์ ฉบับที่ 1
" เคยรู้สึกว่าตัวเองเลวไหมครับ? ตอนนี้ผมรู้สึกแบบนั้น" ถ้าทำให้คนที่รักมีความสุขไม่ได้อย่างแท้จริงก็ไม่ควรดึงเขาเข้ามาเกี่ยวและปล่อยให้เขาตัดใจจากไป... มันอาจจะเจ็บแปบเดียวแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ครับ ผมรู้ ผมเข้าใจทุกอย่าง และผมก็รู้สึกเหมือนที่ทุกคนรู้สึกกัน ผมมีทางเลือกอยู่สองทาง
หนึ่ง ปล่อยให้ไอ้พีเดินจากไป..ให้เจอกับคนที่ดีกว่า และพร้อมที่จะดูแลมันมากกว่าผม
สอง เห็นแก่ตัวกั๊กมันเอาไว้ในฐานะน้องชาย
ทุกคนคงเดาไม่อยากว่าผมจะเลือกทางไหน? แล้วมาดูกันครับ
-กรมรินทร์-
(13 มี.ค. 2562)