บทที่ 8 ชอบใส่ใจเรื่องของทุกคน“กินข้าวเยอะกว่านี้หน่อยเหอะ ถือว่าพวกกูขอ”
“มึงดูโทรมมากรู้ตัวรึเปล่าวิน”
“ตอนไอ้เพิร์ธโทรไปเล่ากูก็คิดว่าจะไม่หนักขนาดนี้ นี่อะไรวะ แม่ง...”
“บ่นอะไรกัน กูก็กินอยู่” เพิร์ธ หนุ่ม และเขม สามหนุ่มวัยทำงานพยายามเคี่ยวเข็ญเพื่อนสนิทให้ตักข้าวเข้าปาก แม้วินจะทำตามอย่างว่าง่ายแต่ก็ไม่ได้ดูเอร็ดอร่อยกับมื้อบ่ายที่แคนทีนของโรงพยาบาล ข้าวราดแกงธรรมดาไร้รสชาติเมื่อเข้าไปอยู่ในปากของคนที่ไม่อยากจะกระทำสิ่งใดแม้แต่การเคี้ยวกลืน อาหารมื้อแรกของวันผ่านลำคอไปอย่างยากลำบาก ลำคอของวินแห้งผากจนต้องยกแก้วกาแฟขึ้นดื่มเป็นระยะ ไม่น่าเชื่อว่าแค่สามสี่วันร่างกายที่เคยสมบูรณ์จะดูซูบผอมจนเห็นได้ชัด รอยคล้ำตามจุดอ่อนโยนบนใบหน้าสะท้อนอกสะท้อนใจผู้มองจนต้องถอนหายใจออกมานับครั้งไม่ถ้วน
“เออ กูก็แค่พูด” เขมส่ายหน้าบางก่อนจะหันไปสบตากับเพิร์ธ กว่าที่เขาและหนุ่มจะปลีกตัวมาหาวินได้ก็ปาเข้าไปวันที่สี่เสียแล้ว ยังโชคดีที่เพิร์ธแวะเวียนเข้ามาและโทรศัพท์ไปเล่าให้ฟังอยู่บ้าง แต่ถึงกระนั้น ภาพของวินที่เห็นอยู่ตำตาก็นับว่าแย่กว่าที่คิดมากทีเดียว
“เออ เสื้อผ้าที่มึงฝากให้เอามา กูวางไว้ที่โซฟาในห้องมายด์นะ”
“อือ” วินพยักหน้ารับคำของเพิร์ธขณะพยายามกลืนข้าวคำสุดท้ายเข้าปาก
“นี่หลังจากวันนั้นมึงได้กลับบ้านบ้างรึเปล่า”
“ไม่ได้กลับ”
“กินนอนอยู่นี่เลยว่างั้น” หนุ่มเสริมก่อนจะดันแก้วน้ำให้เปล่าให้เพื่อน วินรับแก้วมาดูดน้ำเข้าไปอึกใหญ่ แต่จู่ๆ เขากลับวางแก้วลงและทุบเข้าไปที่กลางอกตนคล้ายคนที่จุกแน่นเพราะสำลัก
“แค่ก! อึก”
“เฮ้ย เป็นไรเปล่าวะ” เพื่อนทั้งสามตระหนกขึ้นมาไม่น้อยเมื่อเห็นวินนิ่วหน้าอึดอัดอย่างกับหายใจไม่ออก เขมที่นั่งอยู่ข้างๆ ลูบแผ่นหลังกว้างขึ้นลงอย่างเป็นกังวล
“ไม่ๆ กูโอเค” วินยกมือขึ้นโบกเบาๆ เชิงว่าตนยังปกติดี เขาวางมือนิ่งแผ่นอกซ้ายทั้งยังพยายามสูดลมหายใจแรงๆ เข้าออกให้เป็นจังหวะ สีหน้าที่พยายามปกติของวินทำได้แค่พยายามเท่านั้น หัวคิ้วของเขาขมวดเป็นปมและคลายออกเป็นระยะ
“ไหนกูดูดิ” เพิร์ธเห็นแบบนั้นก็เกิดนึกสงสัยขึ้นมา ชายหนุ่มโน้มตัวเข้าไปวางมือตนแทนที่มือเจ้าของร่าง วินทำท่าไม่อนุญาต แต่เขาไม่อาจสู้แรงแข็งขืนของเพิร์ธ
“ไม่มีอะไร”
“หัวใจมึงเต้นแรงมากไอ้วิน ขึ้นไปหาหมอมั้ย”
“จะหาหมอทำไม กูแค่เหนื่อย”
“เหนื่อยก็เหี้ยแล้ว แค่นั่งกินข้าว ไปขอให้พยาบาลเช็กหน่อยก็ยังดี” หนุ่มเสนอเมื่อเห็นว่าเพิร์ธมีสีหน้ากังวลมากกว่าเจ้าตัวที่อ้างว่าเหนื่อยเสียอีก และแน่นอน คนอย่างวินจะต้องปฏิเสธและยืนยันว่าตนไม่เป็นอะไร
“ไม่ คงเพราะกูกินกาแฟเยอะ” วินปัดมือของเพิร์ธออกและลุกจากเก้าอี้ทันที เพราะเป็นเพื่อนกันมานานคนทั้งสามจึงรู้ว่าไม่ควรเซ้าซี้กับวิน ทั้งหมดเดินตามวินออกมาจากตรงนั้นอย่างไม่มีทางเลือก แม้ว่าเบื้องลึกของสมองจะยังมีความสงสัยอยู่ก็ตาม
และแน่นอน
ยังมีอีกหนึ่งความสงสัยผูกติดอยู่กับวิน
‘เป็นอะไรนักหนาวิน เหนื่อยเหรอ เครียดเหรอ หรือรู้สึกผิด ถ้ามันท้อแท้ย่ำแย่นัก ปล่อยมายด์ไว้ตรงนี้เถอะ อย่ามายุ่งอีกเลย อย่าเอาชีวิตเรามาผูกกันไว้ อย่าทำให้เรื่องมันยากไปกว่าเดิม’
“หัวใจเต้นแรง หน้าแดงทุกที ใช่เธอหรือนี่ ที่คอยตลอดมา ควบคุมไม่อยู่ รู้เลยว่าตัวสั่น แค่เจอไม่นาน ถูกใจฉันเหลือเกิน เจอกันแล้ว อย่าผ่านเลยได้ไหม...” มายด์ไม่ปริปากเอ่ยคำพูดหรือคำสงสัยใดที่อยู่ในใจ แม้ว่าชาตะจะหยิบนำเหตุการณ์จริงมากลั่นเป็นบทเพลงที่ไม่ยึดติดกับท่วงทำนอง คงเป็นเวรเป็นกรรมของคนเปลี่ยนใจไม่อยากตายอย่างเขาจริงๆ นั่นแหละ ที่ต้องแบกความอึดอัดทั้งมวลเอาไว้กับตัว และรวมถึงการแบบร่างสีน้ำเงินเอาไว้บนบ่า
“ผู้มีอุปการคุณโปรดทราบ ขณะนี้เวลา 13.45 น. วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ 2562 โปรโมชั่นพิเศษส่งท้ายชีวิตเดินทางมาถึงวันที่สี่ แต่นายมนพัทธ์ผู้มีสิทธิยังไม่ประสงค์จะใช้โปรโมชั่น ขอบคุณครับ”
“คุณจะกดดันผมทำไม”
“เปล่ากดดัน แจ้งเตือนเฉย ๆ”
“วันนี้ผมจะไม่รีบร้อน”
“แน่ล่ะ ผ่านมาครึ่งทางแล้วเนอะ โอกาสน้อยลงทุกที”
“หรือคุณจะขยายเวลาให้ผมล่ะ”
“ไม่มีทาง”
“งั้นคุณช่วยอยู่เงียบๆ นั่งนิ่งๆ ได้มั้ย ผมหนัก ในข้อตกลงไม่ได้บอกว่าผมต้องแบกคุณไปมา” มายด์เงยหน้าขึ้นมองชาตะที่นั่งขี่คอเขาในสภาพเจ้ากรรมนายเวร ผู้คุมดวงจิตที่อ้างว่าบ้านไฟดับอยู่กวนอารมณ์มายด์ตั้งแต่เที่ยงคืนที่ผ่านมา หนนี้ชาตะคุมโทนน้ำเงินด้วยเสื้อยืดกางเกงขาสั้นและรองเท้าผ้าใบธรรมดา ออ ก็ไม่ธรรมดาหรอกถ้านับหมวกฟางใบโตบนหัวด้วย
วันเวลาผ่านไปมากกว่ายี่สิบสี่ชั่วโมงแต่มายด์ก็ยังไม่เอ่ยตอบเหตุผลข้อที่สี่เสียที แน่ล่ะนะ เขาไม่อยากด่วนตัดสินใจจนพลาดอีกครั้ง เหตุผลประการต่อไปนั้นช่างรางเลือนในความรู้สึก ปัญหาที่เกิดกับเขาและวินมันเหมือนเรื่องราวสะสมจนถึงจุดที่ยอมรับไม่ไหว อีกอย่าง… จากความไม่สมเหตุสมผลที่ชาตะพิสูจน์ให้เห็นกับตา ทำให้บางเรื่องที่เคยแน่ใจแทบไม่เหลือความมั่นใจใดๆ ในเวลานี้
“เงื่อนไขโปรโมชั่นเป็นไปตามที่ท่านชาตะกำหนด และท่านชาตะขอสงวนสิทธิ์การเปลี่ยนแปลงโปรโมชั่นโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า… อย่าบ่น ถ้าบ่นเดี๋ยวลดวันนะ ตัวฉันเบายิ่งกว่านุ่น” มายด์ส่ายหัวเบาเพราะไม่อยากเถียง ก็จริงแหละที่ชาตะบอกว่าตนตัวเบามากกว่าปุยนุ่น สถานะดวงจิตและอมนุษย์กึ่งเทพเป็นเหมือนภาวะไร้น้ำหนัก มายด์แค่รู้สึกรำคาญความเวิ่นเว้อไม่รู้จบของชาตะเท่านั้น
“วินถึงจะไม่ค่อยพูดแต่มีคนล้อมหน้าล้อมหลังตั้งเยอะ แล้วนายล่ะ นอนนิ่งมาตั้งหลายวัน นอกจากโพสต์เฟซบุ๊กให้กำลังใจ มีเพื่อนสนิทคนไหนมาเยี่ยมบ้าง” มายด์มองวินที่มีเพื่อนสนิทเดินกอดคออยู่เบื้องหน้าตามที่ชาตะพูด มันคงเป็นตลกร้ายล่ะมั้ง คนมนุษยสัมพันธ์ดีและรักการเข้าสังคมแบบเขามีคนรู้จักมากมาย แต่กลับไม่มีสักคนที่จะขวนขวายหาทางมาเยี่ยมคนใกล้ตาย
“พูดแบบนี้ก็แปลว่ารู้อยู่แล้ว อย่ามาหลอกถาม”
“เลิกขึ้นเสียงใส่แล้วหันมาเสียงแข็งแทนสินะ สงสัยอยากถูกลงโทษ อาการปวดแสบปวดร้อนในท้อง อ้วกจนแทบจะหมดลมมันเป็นยังไงนร้าาาาา” ชาตะบ่นพึมพำยกมือขึ้นขยับหมวกตนราวกับหลอดนีออนในโรงพยาบาลมันจะส่องแสงรุนแรงหนักหนา มายด์ถอนลมหายใจเพราะลึกๆ ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดกับคนที่เขาไม่มีทางชนะ
“แล้วแต่คุณเลย”
“จากเสียงแข็งเปลี่ยนเป็นเสียงปลงตก โถ่ๆ ๆ น่าสงสาร”
“ประทานโทษ คุณจะกวนผมอีกนานมั้ยชาตะ ถ้ายังอีกนาน อยากรู้อะไรถามผมมาเลย ผมจะตอบให้หมด”
“อุ๊บส์” ชาตะยกมือปิดปากพร้อมกับกรีดปลายนิ้วชี้ออก จริตจะก้านเกินมนุษย์ผู้ชายทำให้เลเวลความกวนตีนเพิ่มมากขึ้นไปอีก
“ว่าไงล่ะ คุณจะถาม หรือจะลงโทษผมที่ขัดใจคุณ”
“ถามได้จริงดิ”
“...”
“นี่ฉันไม่ได้อยากรู้เรื่องไหนของนายเลยนะ พูดจริงนะเนี่ย ว่าแต่… เพื่อนสนิทนายที่ชื่อเจมส์ หายไปไหนแล้วล่ะ” พูดจบชาตะก็ก้มหน้าลงมามองปฏิกิริยาของมายด์ทันที ดวงตากลมกระตุกวูบลงเล็กน้อยเมื่อต้องพูดถึงอดีตเพื่อนสนิทที่ไม่ได้เจอกันนับปี พวกเขาคุยกันครั้งล่าสุดก็คงจะเป็นตอนที่มายด์ส่งข้อความแสดงความคิดถึงแต่ไม่มีการตอบรับใดๆ กลับมา
“เจมส์...”
“ตอบเถอะน่า”
“ไม่รู้สิ… อยู่ดีๆ เจมส์ก็ย้ายไปเรียนต่อโดยไม่บอกผม”
“ไปเรียนต่อถึงอังกฤษแต่ไม่บอกเพื่อนสนิทเนี่ยนะ แย่จังเลยเนอะ” มายด์ยิ้มกับตัวเองเบาๆ กับข้อมูลที่ชาตะเสริมเข้ามา จะว่าไปการเล่าเรื่องของเราให้คนที่รู้เรื่องเราดีอยู่แล้วมันก็ไม่แย่สักเท่าไหร่หรอกมั้ง เผลอๆ มายด์น่าจะได้ความจริงที่สมเหตุสมผลกว่าจากชาตะด้วยซ้ำ
“จริงๆ เจมส์คงโกรธผมด้วยเรื่องก่อนหน้านั้น… มันก็สมควรแล้วแหละที่เจมส์จะลืมผมไป”
“ความสัมพันธ์ตั้งแต่มัธยมขาดสะบั้นลงเมื่อนายเลือกวิน ไม่ใช่เจมส์… เพื่อนสนิทกับคนรัก ต่อให้เลือกยากก็ต้องเลือก นายคิดแบบนั้นเหมือนกันใช่มั้ยมายด์” มือหนาของชาตะวางลงกลางกระหม่อมของมายด์ เส้นเลือดสีน้ำเงินเรืองแสงสีฟ้าอมครามขึ้นมาก่อนที่ดวงตาของมายด์จะสว่างวาบและปรากฏภาพเหตุการณ์สั้นๆ ในความทรงจำ
.
“จะไปไหน”
“งานวันเกิดเจมส์”
“ที่ไหน”
“บ้านเจมส์ไง”
“เจมส์ชวนเหรอ ชวนตั้งแต่วันไหน”
“ตั้งแต่วีคก่อนแล้ว”
“แล้วช่วงนี้ได้คุยกับเจมส์รึเปล่า”
“ก็ไม่… วินถามอะไรเนี่ย”
“ห้ามไป” มือหนาคว้าเข้าที่ต้นแขนของคนที่กำลังก้มใส่รองเท้า มายด์สะบัดมือของวินออกก่อนจะมองใบหน้าเข้มดุจริงจังอย่างไม่เข้าใจ
“ทำไมมายด์ถึงจะไปไม่ได้”
“ดึกแล้ว” วินเหลือบมองความมืดภายนอก ข้ออ้างข้างๆ คูๆ ถูกหยิบมาใช้ และยิ่งทำให้คนฟังไม่พอใจ
“จะบ้าเหรอวิน เจมส์เป็นเพื่อนสนิทมายด์นะ”
“เหรอ”
“เหอะ! เมื่อไหร่วินจะเลิกพูดไอ้คำเฮงซวยนี่สักทีวะ! ไม่ต้องมายุ่งเลย มายด์จะไป!” มายด์สวมรองเท้าทับส้นในทันที ร่างบางเดินกระแทกไหล่วินออกมาจากกรอบประตูบ้านอย่างคนหัวเสีย จะหาว่าเขางี่เง่าน่ะคงใช่ แต่คนที่งี่เง่ากว่าคงจะวินที่เดินมารั้งเขาเป็นครั้งที่สองมากกว่า
“วีคนี้มายด์ออกไปเที่ยวมาแล้วนะ ไหนสัญญากันว่าจะไม่เที่ยวเยอะแล้วไง”
“แต่นี่มายด์ไม่ได้ไปเที่ยว มายด์ไปงานวันเกิดเพื่อน” มายด์พยายามรักษาระดับน้ำเสียงตนให้อยู่ในระดับปกติ ส่วนวินน่ะ ไม่ต้องเป็นห่วงเขาหรอก จะดีร้ายยังไงน้ำเสียงแข็งทื่อก็มีค่าเท่าเดิม
“ยังไงมันก็ต้องมีเหล้าเบียร์ ยิ่งเป็นงานที่บ้านได้กินเต็มที่แบบนี้ ถ้าเมาคุมสติไม่ได้ขึ้นมาจะทำยังไง”
“แต่มายด์มีเจมส์ ไม่เป็นไรหรอก”
“ก็เพราะมีเจมส์นั่นแหละ!”
“ทำไมล่ะ เจมส์ทำไม!”
“มัน...”
“ปกติวินก็ไม่เคยสนใจมายด์ปะ! จะยุ่งทำไม ปล่อยมายด์เดี๋ยวนี้เลย รีบไปจะได้รีบกลับ” มายด์พยายามแกะมือวินให้หลุดไปจากต้นแขน แต่ยิ่งพยายาม วินก็ยิ่งออกแรงฝังนิ้วลงมาจนรู้สึกเจ็บ
“ถ้ามายด์จะไปก็เก็บข้าวของออกไปเลย” คำขาดที่มาจากปากร่างสูงนิ่งสนิทราวกับเจ้าตัวคิดแบบนั้นจริงๆ คนฟังหัวใจวูบโหวงมองคนรักด้วยหัวอกหัวใจที่เบาหวิวไปเสียหมด
“วิน...”
“วินไม่ให้ไป แล้วต่อจากนี้ห้ามไปเที่ยวกับเจมส์อีก ไม่ติดต่อกันเลยก็ยิ่งดี”
“ทำไมวินไม่มีเหตุผล บ้าปะวะ ตัวเองไม่เที่ยวไม่ชอบไปไหนแล้วทำไมต้องห้ามไม่ให้คนอื่นไปวะ แฟนหรือเจ้าชีวิตฮะ วินเป็นแฟนหรือเจ้าของชีวิตมายด์กันแน่! คอยแต่จะห้ามนู่นห้ามนี่ น่าเบื่อ น่ารำคาญ!”
“มายด์”
“โชคร้ายฉิบหายที่มาเอาคนอย่างวินเป็นแฟน!”
“วินมันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ”
“เออ คนอย่างวินอยู่คนเดียวไปนั่นแหละดีแล้ว!”
“เหรอ”
“เหรอ… เหรอ! เออ!” มายด์ลอยหน้าลอยตาพูดคำติดปากของวินอย่างกระแทกกระทั้น ก่อนที่สีหน้าของมายด์จะสลดลงเล็กน้อยเมื่อรู้ตัวว่าพูดจากระแทกภูมิหลังของวินเข้าให้ แต่วินาทีนั้นความโกรธที่มีมันสุมไฟร้อนได้มากกว่า จึงไม่มีความรู้สึกใดเย็นลงได้อีก
“คงจริงที่วินอยู่คนเดียวได้ ส่วนมายด์… จะอยู่กับวินหรืออยู่คนเดียว… เลือกเอา” แรงมือค่อยๆ คลายออกจากแขน ผิวขาวปรากฏร่องรอยแดงจากการบีบรัดชัดเจนไม่ต่างกับรอยในหัวใจคนทั้งคู่ วินเดินกลับเข้าไปในตัวบ้าน เขานั่งทิ้งสติอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ขณะที่มายด์กระทืบเท้าปึงปังขึ้นไปที่ชั้นสอง เสียงปิดประตูดังโครมเกือบจะทำให้แทบทั้งบ้านคลอนสั่น แต่ที่สั่นคลอนยิ่งกว่าก็คงจะเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่คิดจะหันหน้าคุยกัน
.
“สุดท้ายก็เลือกวินทั้งที่บอกว่าเขาน่าเบื่อและน่ารำคาญ”
“ผมไม่มีทางเลือก”
“ย้อนแย้งเนอะ”
“ผมทิ้งวินไปไม่ได้”
“เพราะสงสาร?”
“ไม่รู้สิ”
“ออ ลืมไป เพราะรักต่างหาก” มายด์นิ่งเฉยกับคำของชาตะ ร่างบางมองแผ่นหลังกว้างของวินด้วยความรู้สึกนานัปการ มายด์ไม่เคยเข้าใจคำของวินในวันนั้น ไม่เคยเข้าใจว่าทำไมจู่ๆ วินถึงมีอคติกับเจมส์ขึ้นมา หลังจากผิดนัดครั้งนั้นเจมส์ก็ค่อยๆ หายไปจากชีวิต ไม่ติดต่อ ไม่พูดคุย ไม่ขอคำปรึกษา ไม่ให้กำลังใจ และไม่เหลือเพื่อนสนิทให้มายด์ได้พูดคุยได้อย่างสบายใจอีกเลย ถ้าย้อนเวลากลับไปในตอนนั้น มายด์จะไม่ยอมให้ความงี่เง่าทำลายความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนลงเลย
“เฮ้ย!” ดวงจิตที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ เกือบจะล้มลงไปกลิ้งกับพื้น มายด์กางสองแขนออกเพื่อตั้งหลักให้ตัวเองก่อนจะโดนคนที่สับขาไวลากไปเหมือนครั้งก่อน มายด์เงยหน้าขึ้นมองคนบนบ่าเลิ่กลั่ก ทว่าท่านชาตะคนนั้นได้วับวาบลงไปวุ่นวายอยู่กับเส้นเชือกสีน้ำเงินที่ผูกคนสองคนเอาไว้
“ไม่มีสติเลย มนุษย์ต้องใช้ชีวิตบนความไม่ประมาทนะ ไม่รู้เหรอ”
“นั่นคุณจะทำอะไร”
“เห็นอยู่แล้วยังจะถามอีก” เชือกเส้นหนาถูกผูกเป็นปมเพื่อร่นระยะห่าง มายด์เข้ามาใกล้วินและกลุ่มเพื่อนมากขึ้นจนแทบจะได้ยินทุกบทสนทนาที่พยายามหลีกเลี่ยง
“ที่ผมเดินห่างๆ เพราะผมไม่อยากรู้ว่าพวกเขาคุยอะไรกัน”
“แต่ฉันอยากรู้ ฉันชอบใส่ใจเรื่องของทุกคน” ชาตะเผยรอยยิ้มพิมพ์ใจก่อนจะเดินไปรวมกลุ่มกับมนุษย์ตรงหน้า ผู้คุมร่างสูงวาดแขนคล้องขอของเขมก่อนจะชะโงกหน้ามองคนเหล่านั้นราวกับจะพูดคุยด้วยรู้เรื่อง
“คำสุภาพของเสือกสินะ” มายด์บ่นค่อยๆ กับตัวเอง ชาตะหันมากะพริบดวงตาสีเทาให้รู้ว่าถึงอย่างไรเขาก็ได้ยิน และไม่มีเรื่องไหนในเขตพื้นที่นี้ที่ผู้รอบรู้อย่างเขาจะไม่ใส่ใจ
“วิน มายด์เป็นแบบนี้ ไอ้เจมส์มันติดต่อมาบ้างรึเปล่า” แต่แล้วประโยคคำถามของเขมก็ทำให้ประเด็นเรื่องความใส่ใจเป็นอันตกไป ชาตะเอี้ยวทั้งตัวไปเบื้องหลังเพื่อขยิบหูขยิบตาใส่มายด์เมื่อมีสิ่งน่าสนใจ มายด์ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกใคร่รู้ขึ้นมาในทันที
“โอ๊ะ พอดีเลยมายด์ ฟังสิๆ อดีตเพื่อนสนิทนายกำลังจะถูกนินทาแหละ... ตายแล้ว เรื่องมันพอดิบพอดีอะไรขนาดนี้เนี่ย บังเอิญจังเลยที่คนพูดนี้พูดถึงเจมส์” มายด์ไม่ได้ตอบอะไรทั้งที่ในใจอยากจะรู้เรื่องนี้อยู่เหมือนกัน ร่างบางสาวเท้าเข้าใกล้เร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัว และหารู้ไม่ว่าชาตะกำลังเผยรอยยิ้มร้ายกาจเมื่อเจอเรื่องถูกอกถูกใจเหลือเกิน
ปรบมือข้างเดียวไม่ดังฉันใด
ความบังเอิญก็ไม่มีจริงฉันนั้น
“ไม่ว่ะ”
“แต่กูว่ามันรู้ แม่มายด์โพสต์ด่ามึงลั่นเฟซขนาดนั้น แค่มันไม่ติดต่อมาเอง” เพิร์ธเสริมคำพูดของวิน คนทั้งกลุ่มหยุดยืนที่ทางแยกไปอาคารจอดรถ ชาตะอาศัยจังหวะนั้นดึงมายด์เข้ามาประชิดตัว และคล้องแขนอีกฝ่ายเอาไว้ไม่เปิดโอกาสให้ขยับเขยื้อนไปไหน
“ใจดำฉิบหาย” เขมว่า แต่วินกลับส่ายหน้าเบาอย่างไม่อาจทราบเหตุผล อาจเพราะไม่เห็นด้วย หรืออาจเพราะร่างสูงเอือมระอาเกินกว่าจะพูดถึงเพื่อนของมายด์คนนี้
“มึงไปว่ามันใจดำก็ไม่ถูกไอ้เขม เจอไอ้วินเล่นไปซะขนาดนั้นกล้าติดต่อมาก็บ้าแล้ว” สิ้นเสียงของหนุ่มคิ้วของมายด์ก็ขมวดเป็นปม ทำไมจู่ๆ สีหน้าของวินก็เปลี่ยนไปคล้ายคนมีชนักติดหลัง ดวงตาคมกลอกไปมาซ้ายขวาราวกับไร้ซึ่งความมั่นใจ
“กูไม่อยากให้คนอื่นรู้” เมื่อได้ยินวินพูดเช่นนี้เส้นความอยากรู้ของมายด์ก็ยิ่งวิ่งทะลุกราฟ ร่างบางดึงแขนออกจากชาตะอย่างง่ายดาย ก่อนจะเดินทะลุร่างเขมเข้าไปยืนกลางวงสนทนาอย่างคนอยากรู้
“อย่าบอกกูนะ ว่ามายด์ยังไม่รู้เรื่องที่มึงจัดการไอ้เจมส์จนมันต้องหนีหายไปแบบนั้น” วินพยักหน้ารับคำพูดของเขม เสียงถอนหลายใจของเพื่อนอีกสามคนยิ่งกดดันให้ร่างสูงรู้สึกผิดขึ้นมา ทว่าในเวลานี้กลับมีอีกความรู้สึกที่สำคัญกว่า ดวงตาของมายด์ไหวระริก มือเล็กกำแน่นเมื่อเริ่มไม่แน่ใจว่ากำลังฟังเรื่องใดอยู่
“เปล่า มายด์ไม่รู้”
นั่นสินะ… จัดการเจมส์งั้นเหรอ ถ้ารู้ก็คงจะเป็นเรื่องที่แปลกดีพิลึก และถ้ามายด์พอจะรู้อะไรบ้างคงจะไม่ปล่อยให้เพื่อนสนิทหายไปเฉยๆ แบบนั้น
“แล้วมึงเล่าอะไรไปบ้าง”
“มายด์ไม่รู้อะไรทั้งนั้น ไม่รู้อะไรเลย” มายด์กัดริมฝีปากตัวเองเหมือนคนโกรธจัด หัวคิ้วเคลื่อนมาชนกันด้วยความเครียด ทั้งยังมองหน้านิ่งของวินตาไม่กะพริบ มายด์อยากรู้ อยากรู้จริงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น อยากรู้ว่าคนตรงหน้ามีจิตใจอยู่ในร่างกายบ้างหรือไม่
“ทำไมมึงไม่เล่าวะ นี่เท่ากับมายด์ไม่รู้เลยว่ามึงทำอะไรไปบ้าง”
“นั่นดิ กูว่ามายด์สมควรจะรู้” เขมและหนุ่มเอ่ยถามอย่างนึกสงสัย ด้านเพิร์ธเองก็ได้แต่ตบที่บ่าวินเบาๆ เพื่อแสดงความเข้าใจ
“ไม่อยากให้มายด์เสียความรู้สึก”
“แล้วคิดว่าตอนนี้มายด์รู้สึกดีนักเหรอ!” ดวงจิตผู้ตกอยู่ในอารามโมโหตวาดลั่นจนท่านผู้คุมต้องยกมืออุดหู มายด์ขึ้งโกรธจนหน้าสั่นตัวสั่น คนที่ยังไม่หมดข้อสงสัยใช้อารมณ์รุนแรงควบคุมตัวเองในที่สุด มือเล็กทุบตีลงกลางอกวินซ้ำๆ หวังร้ายให้รู้สึกเจ็บปวดเสียที ทว่าวินกลับไม่แสดงท่าทีรวดร้าวใดๆ และทำเพียงยกมือกุมอกซ้ายของตนไว้เท่านั้น
คนเจ็บปวดคือคนที่ทำร้ายคนอื่นจนหมดแรง
คนเจ็บปวดคือคนที่นำเรื่องราวเพียงเสี้ยวเดียวมาสานต่อในใจจนจบ
เป็นเพราะวิน เป็นฝีมือวินที่ทำให้เพื่อนคนเดียวของมายด์หายไป
“ทำไมหยุดแล้วล่ะมายด์”
“พอ พอแล้ว”
“อืม ถ้านายคิดว่าพอ มันก็คงพอแหละ” ชาตะเอ่ยถามขึ้นทั้งยังชี้นิ้วไปยังปมเชือก ปมแน่นสว่างวาบก่อนจะคลายออกให้มายด์ได้ระยะในการถอยห่างจากวินเช่นเดิม ชายร่างสูงโบกมือลากับเพื่อนสนิทและเดินกลับไปยังตัวอาคารที่วนเวียนอยู่มาหลายวัน มายด์มองแผ่นหลังกว้างด้วยรอยยิ้มระคนน้ำตา
ขอบคุณนะวิน
ขอบคุณที่เป็นคำตอบของกันเสมอมา
“ชาตะ”
“จ๋าจ๊ะ”
“เหตุผลข้อที่สี่ วินไม่เคยนึกถึงใจผม เห็นแก่ตัว เขาไม่เคยคิดจะใส่ใจผมเลย… ไม่เคยเลย”
“เอาจริงดิ แน่ใจแล้วถูกมั้ย ใช้สมองแล้วเนอะ”
“ผมแน่ใจ”
“น้อมรับเหตุผลตามความต้องการครับ” ชาตะถอดหมวกฟางออกจากศีรษะ โค้งตัวคำนับตามแบบฉบับผู้ดีอังกฤษ แสงและควันสีน้ำเงินเทาผสานกันออกมาจากหมวกใบนั้น มันพุ่งเข้าพัดวนรอบตัวมายด์ไม่ต่างจากลมพายุ ความทรงจำของมายด์กำลังย้อนกลับไปยังอดีตเมื่อไม่นานอีกครั้ง
เหตุผลข้อที่ 4 เขาไม่เคยนึกถึงใจผม ไม่ใส่ใจกัน รักเรามีแต่ความเห็นแก่ตัว
Talk
ฝากคอมเมนต์หรือทวิตติดแท็ก #เจ็ดเหตุผล ด้วยนะคะ เจอกันอีกครั้งวันวาเลนไทน์ค่า
