◄◄◄ VILLAIN | ร้ายออกฤทธิ์ ►►► ตอนที่ 24 จบบริบูรณ์ 3/3/2018 ❤️ จบแล้วจ้า END
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ◄◄◄ VILLAIN | ร้ายออกฤทธิ์ ►►► ตอนที่ 24 จบบริบูรณ์ 3/3/2018 ❤️ จบแล้วจ้า END  (อ่าน 49080 ครั้ง)

ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3
อ้างถึง
**********************************************************************

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ
                                                     

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
*********************************************************************


VILLAIN ร้ายออกฤทธิ์


เมื่อ "เต็ม" ผู้ชายที่เขารักกำลังเข้าเรือนหอกับผู้หญิงที่แสนเหมาะสม
คนถูกทิ้งอย่าง "พอช" คงทำได้แค่อวยพร...
ขอให้ชีวิตคู่มีแต่ความฉิบหาย! ขอให้เลิกกันในสามวันเจ็ดวัน!


"ผมกำลังอิจฉาผู้หญิงคนนั้นที่ได้ยืนข้าง ๆ เขา

และตัวร้ายอย่างผมก็พร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ของที่ควรจะเป็นของผมคืนมา

ต่อให้โดนตราหน้าว่าสารเลวแค่ไหน

...ผมก็ยอม..."


BE SILENT

เรื่องนี้อัพจบแล้วที่ธัญวลัย ReadAWrite Fictionlog นะคะ

อย่าลืมคอมเมนต์เป็นฟีดแบคให้คนเขียนบ้างนะคะ ความสุขของคนอ่านคือกำลังใจที่ดีมาก ๆ ค่ะ :hao5:


นิยายเรื่องอื่น ๆ ของ BE SILENT ใน Thaiboyslove
[END] The Faded Memory ▲ หมอกสีจาง
[END] Who is he ? ❤ แฟนผม...คนไหน

ฝากติดตามนักเขียน
ทวิตเตอร์ @BESILENT1993
เพจ https://www.facebook.com/besilentnovel/
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-03-2018 20:55:48 โดย be-silent »

ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3
Re: ◄◄◄ VILLAIN | ร้ายออกฤทธิ์ ►►►
«ตอบ #1 เมื่อ26-02-2018 22:20:26 »

Prologue ฉากแรกของละคร


ร้อยละแปดสิบของละครไทยมักจะประกอบไปด้วยสองตัวละครหลัก หนึ่งคือพระเอกรูปหล่อหน้าตาดีชาติตระกูลสูง สองคือนางเอกที่สวยเพียบพร้อมซึ่งถ้าไม่รวยล้นฟ้าก็ต้องผลัดพรากกับครอบครัวที่แท้จริงตั้งแต่เกิด ซึ่งแน่นอนว่าความรักมักจะต้องมีอุปสรรคก่อนจะแฮปปี้เอนดิ้งในตอนจบ บทตัวร้ายมักจะถูกเขียนขึ้นมากระทำการทุกอย่างให้บทรักของพระเอกนางเอกพังลง และผลพลอยได้คือการถูกเกลียดและคำสาปแช่งจากคนดู แล้วรู้อะไรมั้ยบางครั้งตัวร้ายที่คนดูสาปส่งเพราะคิดว่าจะมาแย่งพระเอกไปจากนางเอกเนี่ยล่ะที่เป็นฝ่ายถูกแย่งไปซะเอง

ซึ่งบทตัวร้ายนั้นมันคือผม...

สวัสดีครับ ผมชื่อพอช พัชกร ปีนี้อายุยี่สิบสี่ปีเต็ม พึ่งเรียนจบหมาด ๆ มาจากอังกฤษ ชาติตระกูลต่ำเตี่ยเรี่ยดินเพราะครอบครัวล้มละลายจนแม่ต้องยิงพ่อตายต่อหน้าต่อตาตอนอายุสิบขวบ แต่โชคดีของไอ้เด็กกำพร้าบัดซบคนนี้ที่ได้ทุนส่งเสียเลี้ยงดูจากเพื่อนสนิทพ่อจนพอจะเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาได้ คงต้องขอบคุณคุณอาบวรที่อุปการะเลี้ยงดูผม และพยายามดูแลให้เหมือนลูกในไส้ เติมเต็มให้กับผมเท่าที่จะทำได้ จนผมเกือบจะเป็นคนดีคนนึง

มันก็แค่เกือบ ....ทำไมน่ะหรอ ก็ผมมันเป็นคนประเภทขี้อิจฉาไงล่ะ

"พอชไปเร็วลูก ขบวนใกล้จะเริ่มแล้ว" ชายวัยกลางคนที่ทาบมือลงไหล่ขวาผมตอนนี้ก็คืออาบวร ผมจำใจหันไปยิ้มบาง ๆ เพราะว่าในใจตอนนี้มันไม่ค่อยจะเป็นสุขเท่าที่ควรนัก ผมในชุดสูทเรียบร้อยสีเทาหม่นเดินตามอาบวรมาห่าง ๆ ทันทีที่เห็นขบวนขันหมากตรงหน้าก็อดไม่ได้ที่จะแอบกระตุกยิ้มร้าย ๆ กับตัวเอง หึ วันนี้เป็นงานมงคล ฤกษ์งามยามดีที่คนสองคนจะได้เข้าสู่ประตูวิวาห์ ทุกคนที่มาก็เหมือนจะร่วมยินดีปรีดากับคู่บ่าวสาว แต่ยังไงซะก็ขอให้เว้นผมไว้คนนึงก็แล้วกัน

"ผมว่า ผมอยู่ตรงนี้ดีกว่าครับ"

"ไม่อยากเข้าไปในขบวนรึไงเรา เจ้าเต็มมันจะโกรธเอานะ"

"มันไม่โกรธผมหรอกครับอา เดี๋ยวผมช่วยดูความเรียบร้อยห่าง ๆ ดีกว่า"

แน่นอนอยู่แล้วที่เจ้าบ่าวไม่ใช่ผม แต่เป็นลูกชายคนโตของคุณอาบวรที่รุ่นราวคราวเดียวกัน เติบโตมาพร้อม ๆ กับผม ไปเรียนที่อังกฤษด้วยกัน กิน เที่ยว เล่นจนเหมือนอีกคนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ดวงตาเรียว ๆ ของผมมองแผ่นหลังเจ้าบ่าวด้วยแววตาที่เหมือนจะไร้ความรู้สึก แต่เปล่าเลยในใจตอนนี้มันอยากจะร้องไห้โวยวายหรือพังงานแต่งให้มันรู้แล้วรู้รอด





แต่ตามกฏแล้ว ตัวร้ายไม่เคยพังงานแต่งพระเอกนางเอกได้สำเร็จ

แล้วตัวร้ายจำเป็นอย่างผมมันจะไปทำอะไรได้

ใช่ คุณคิดถูกแล้ว ...ผมรักมัน





ผมรักคนที่กำลังจะแต่งงาน ถึงแม้จะเข้าใจว่ามันเป็นการแต่งงานเพราะเหตุจำเป็น แต่ทำไมกันวะ ทั้ง ๆ ที่ผมมาก่อน ผมรู้จักมันดีกว่าใคร ผมทำทุกอย่างเพื่อมัน มันเคยดูแลผมแค่คนเดียว แต่ทำไมตอนนี้ผมถึงถูกแย่งทุกอย่างไปโดยไม่ได้รับความสงสารจากใครเลย

นี่มันเป็นเรื่องที่ผมต้องจำยอมงั้นหรอ

"โห่.......ฮี้.....โห่....ฮี้......โห่..........ฮี้.....โห่ววววววว"

"ฮิ้ววววววววววว"

เสียงโห่ฮาดังขึ้นเป็นสัญญาณเริ่มพิธีมงคล ร่างสูงในบทบาทเจ้าบ่าวกำลังเดินไกลออกไปจากผมมากขึ้นเรื่อย ๆ ผมมองภาพนั้นแล้วหลับตาลงแน่นเพื่อลมล้างความคิดแย่ ๆ ในหัวตัวเอง แต่ยิ่งดวงตาปิดสนิทมากเท่าไหร่ภาพรอยยิ้มของผมกับมันก็ฉายชัดขึ้นเป็นฉาก ๆ และชัดมากพอที่จะทำให้ผมคว้าเอาดอกกุหลาบสีขาวที่เคยสะพรั่งประดับงานมาไว้ในมือ ผมพินิจมองกลีบดอกช้ำ ๆ เพราะแรงกระชากเมื่อครู่ ..กุหลาบสีขาวที่เจ้าสาวชอบหนักหนา ตอนนี้มันกำลังจะแหลกคามือผม

"ขอให้มีแต่ความสุข.... ขอให้เป็นคู่ที่มีแต่คนอิจฉา ขอให้รักกันมาก ๆ ... ขอให้...." กลีบกุหลาบที่เคยเป็นสีขาวแปรเปลี่ยนเป็นดำช้ำและค่อย ๆ โปรยปรายจากฝ่ามือลงสู่พื้น เช่นเดียวกับน้ำตาเจ้ากรรมที่ไม่รู้ว่าไหลออกมาตามแรงโน้มถ่วงของโลก หรือเพราะแรงของความรู้สึกใด ๆ ในใจกันแน่

"หึ... ขอให้ชีวิตคู่มีแต่ความฉิบหาย!! ขอให้เลิกกันในสามวันเจ็ดวัน!! " รองเท้าคัชชูสีดำขลับออกแรงเหยียบกลีบกุหลาบบนพื้นซ้ำ ๆ จนไม่เหลือร่องรอยของความสวยงาม คราบน้ำตาถูกปาดออกไปลวก ๆ เหลือเพียงใบหน้าเรียบเฉียบที่เก็บความรู้สึกทั้งหมดไว้เพียงในใจ

ผมยอมรับว่าผมกำลังอิจฉาผู้หญิงคนนั้น และตัวร้ายอย่างผมก็พร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ของที่ควรจะเป็นของผมคืนมา...

ต่อให้โดนตราหน้าว่าสารเลวแค่ไหน ...ผมก็ยอม





TBC




ฝากติชมนิยายเรื่องที่ 2 ที่ลงใน thaiboyslove ด้วยนะคะ จะทยอยมาอัพให้เรื่อย ๆ ตามวันว่างจนจบเรื่องค่ะ ^^
 :katai4: :katai4: :katai4:
ขอบคุณทุกวิว ทุกคอมเมนต์ และทุกคนคนล่วงหน้าคร่าาาา

ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3
Re: ◄◄◄ VILLAIN | ร้ายออกฤทธิ์ ►►►
«ตอบ #2 เมื่อ28-02-2018 21:20:27 »

Chapter 1 คลุมถุงชน

ว่าด้วยตอนแรกของละครไทย พล็อตยอดฮิตอย่างนึงที่คนดูจนจับทางได้ก็คือการที่นางเอกจำใจแต่งงานกับพระเอกเพื่อใช้หนี้ก้อนโตที่ครอบครัวสร้างไว้ สุดท้ายพระเอกหัวรั้นก็ต้องทิ้งคนอันเป็นที่รักไว้แล้วแต่งงานกับนางเอกอย่างไม่เต็มใจนัก ตัวร้ายในละครจะถือกำเนิดขึ้นตรงนี้แหละครับ ตัวร้ายที่พยายามทุกทางให้พระเอกกลับมาเป็นของตัวเอง แต่จนแล้วจนรอดสุดท้ายพระเอกนางเอกก็รักกันปานจะกลืนกินในตอนจบอยู่ดี ส่วนจุดจบของตัวร้ายถ้าไม่ตายก็เป็นบ้า ดีหน่อยก็คงแค่ติดคุก





ทุกคนดูจะแฮปปี้กับละครน้ำเน่าแบบนี้

นี่ไม่มีใครสังเกตุเลยหรอว่าจริง ๆ แล้วนางเอกมันแย่งพระเอกไปอย่างหน้าด้าน ๆ





"ขอเสียงปรบมือตอบรับคู่บ่าวสาวด้วยครับผมมมมม แหม่ เหมาะสมกันจริง ๆ เลยนะครับ" เสียงปรบมือเกรียวกราวดังขึ้นเมื่อคู่ชายหญิงก้าวขึ้นไปบนเวที มือเจ้าสาวเกาะแขนเจ้าบ่าวไว้แน่น ใบหน้าเธอดูเหมือนจะมีความสุขดีกับวันสำคัญของชีวิต ส่วนหน้าเจ้าบ่าวผมไม่กล้าหันไปมองเต็ม ๆ ตาตอนนี้หรอกครับ ...ใจมันยังไม่แข็งพอ

"พี่พอช นี่จะกินแทนน้ำเปล่าเลยรึไงคะ" 'น้องต้า'ลูกสาวคนเล็กของคุณอาบวรแตะเบา ๆ ที่ข้อมือเป็นการปรามผม ก็ไม่รู้หรอกว่าไอ้ไวน์ที่ดื่มเข้าไปนี่มันแก้วที่เท่าไหร่แล้ว ผมก็แค่อยากจะเฉลิมฉลองให้คู่บ่าวสาวก็เท่านั้น

"พี่คอแข็งจะตายค่ะต้า ยิ่งตอนอยู่ลอนดอนนะพี่ซัดยันเช้ายังตื่นไปเรียนปร๋อเลย"

"นี่แน่ะ! ไม่ต้องมาโกหก พี่เต็มเคยโทรมาเล่าให้ต้าฟังว่าพี่พอชเมาเลื้อนจนต้องลากกลับห้องประจำ"

เชี่ย ...แม่งโคตรเจ็บ

ไม่ได้เจ็บจากการฟาดเบา ๆ ของน้องต้าแต่เพราะประโยคที่มันจี๊ดใจนั่นต่างหาก ต่อไปนี้คงไม่มีใครมาลากไอ้ขี้เมาอย่างผมกลับไปนอนห่มผ้าอุ่น ๆ ที่ห้องแล้วสินะ เพราะว่าแขนแกร่งที่เคยดึงผมขึ้นหลังตอนนั้น ในตอนนี้มันมีใครคนนั้นยึดครองเป็นเจ้าของเกาะกุมไว้อย่างถูกต้อง

"ยังอีก!! ถ้ามีอีกแก้ว ต้าจะเดินไปฟ้องคุณพ่อแล้วนะคะ" น้องต้าถึงกับถลึงตาโตใส่เมื่อผมคิดอะไรเพลิน ๆ ในหัวแล้วเผลอกระดกเข้าไปซะหมดแก้ว

"ครับ ๆ ไม่กินแล้ว"

"ดีค่ะ เพราะว่านอกจากคุณพ่อแล้ว ต้าจะฟ้องพี่เต็มด้วยอีกคน"

ผมเผลอหันไปมองเวทีในจังหวะที่น้องต้ากำลังพูดแทงใจดำครั้งที่สอง พี่เต็มที่ว่านั่นก็คือไอ้เต็มของผม 'เต็ม เตวิน' อายุเท่ากันกับผมครับแต่มันจะแก่เดือนกว่าผมอยู่สี่เดือน รูปร่างหน้าตามันจัดอยู่ในเกณฑ์ดี ดวงตาคม ๆ คิ้วเข้ม ๆ กับผิวขาว ๆ แบบสมัยนิยม ผมที่ถูกตัดเป็นทรงอันเดอร์คัทนั่นก็ยิ่งขับให้มันดูดีไปกันใหญ่ หรือจะเป็นเพราะราศรีเจ้าบ่าวมันจับด้วยล่ะมั้ง ส่วนผมที่นั่งอยู่บนโต๊ะญาติเจ้าบ่าวตอนนี้จะมีก็แค่ผิวขาวที่เป็นตัวชูโรง ตาก็ตี่ ปากก็ยังเชิดชวนเรียกตีนอยู่ตลอดเวลาอีก เรื่องหุ่นนี่ยิ่งแล้วใหญ่ ถึงจะสูงแบบมาตรฐานชายไทยแต่เวลาเดินคู่ไปกับมันก็ยังดูตัวเล็กกว่าอยู่ดี

"วันนี้พี่เต็มหล่อเนอะ แต่ไม่ค่อยจะยิ้มเลยอ่ะ พี่พอชว่างั้นมั้ยคะ" สายตาผมมันเลื่อนไปมองใบหน้าที่พยายามจะหลีกเลี่ยงชัด ๆ แทบจะทันที มันก็มีส่วนจริงอย่างที่น้องต้าพูด แต่ใครจะรู้ไม่ยิ้มก็ไม่ได้แปลว่าไม่มีความสุขนี่

"ปกติพี่หล่อกว่ามันนะ แต่วันนี้ยอมให้วันนึง" ขนาดผมที่ใจมันร้องไห้จนแทบไม่มีน้ำตา แต่ก็ยังนั่งยิ้มแกล้งหัวเราะได้อย่างสบาย ๆ

"พี่เอมก็สวยนะ แต่ต้าก็ยังไม่ค่อยชอบอยู่ดี"

สีหน้าของน้องต้าสลดลงจนผมต้องเป็นฝ่ายกระตุกยิ้มแทน ‘เอม’ เจ้าสาวในวันนี้ ผู้หญิงที่ชายใดได้มองก็คงจะต้องมีหลงกันบ้าง แต่สำหรับผมใบหน้าสวยหวานและกริยาท่าทางคุณหนูแสนเรียบร้อยนั่นมันเหมือนการปิดบังนิสัยจริง ๆ ด้วยการเป็นแอฟ ทักษอรสิบคนมัดรวมกัน ทำไมผมจะมองสายตาล่อกแล่กกลัวไม่ได้แต่งงานนั่นไม่ออก





อยากมีผัวมาก จนต้องใช้วิธีสกปรก!!





งานแต่งงานในวันนี้เกิดจากความคลาสสิคของวงสังคมที่ต้องการให้ลูกมีคู่ครองที่ดี เชิดหน้าชูตาได้ ฐานะเท่าเทียมกัน ไอเดียโง่ ๆ เลยผุดขึ้นมาในหัวของคุณอาบวรที่ไปจับเอาลูกสาวผู้ดีเก่าที่ครอบครัวกำลังจะถูกฟ้องล้มละลายมาเป็นลูกสะใภ้ พร้อมเงื่อนไขที่จะจ่ายหนี้เกือบห้าสิบล้านให้





ทำไมแค่นี้ยังไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้มันก็ทำเพื่อเงิน!!

มันก็เหมือนการขายตัวนั่นแหละ!!





"เจ้าบ่าวครับ พอจะบอกหน่อยได้มั้ยครับว่ารักเจ้าสาวได้ยังไง"

"ผมไม่ทราบครับ" ก็แน่สิวะ มึงกลับมาถึงไทยพร้อมกูไม่ถึงสามวันก่อนแต่งงานจะเอาเวลาที่ไหนไปรักนังนั่น

"แหม่ คงรักแบบไม่รู้ตัวนะฮ่ะ แล้วเจ้าสาวล่ะครับ รักเจ้าบ่าวตอนไหน"

"เอมรักตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอเต็มเลยค่ะ เขาเป็นคนนิสัยดี ดูแลเทคแคร์เราได้ เอมมั่นใจเลยว่าเต็มจะดูแลเอมได้"





ตอแหล!! ตอแหล!! ตอแหล!!





ขอโทษแล้วกันนะครับ ที่บางจังหวะผมเองก็เหมือนจะควบคุมสติเอาไว้ไม่ค่อยอยู่ คนที่โดนแย่งของรักไปต่อหน้าต่อตาอย่างผมทนนั่งอยู่ตรงนี้ได้ก็เก่งแค่ไหนแล้ว ถ้าถามว่าทำไมผมไม่ทวงถามถึงสิทธิตัวเองตอนนี้ คำตอบก็คือผมไม่มีสิทธิไงครับ สถานะอย่างเป็นทางการของผมกับมันไม่เคยเกินเลยไปกว่าคำว่าเพื่อน





แต่เต็มมันเป็นของผม

มันเป็นคนของผม

ผมรักมัน และผมก็เคยบอกกับมันไปแล้ว แค่นี้มันยังไม่พออีกรึไง…





ทุกอย่างมันคลุมเครือไม่เคยชัดเจน เกินกว่าสี่ปีที่อังกฤษผมมั่นใจว่านั่นมันไม่ใช่สิ่งที่ผมคิดไปเองฝ่ายเดียว ถึงแม้ว่ามันจะไม่มีปฏิกิริยากับวันที่ผมรวบรวมความกล้าเพื่อพูดคำว่ารักเลยก็ตาม ทุกสิ่งที่มันทำให้ผมหัวเราะ ร้องไห้ ทำให้ผมยิ้ม ดูแลผม ทุกอย่างมันทำให้ผมรักมันมากขึ้นทุกวัน อ้อมกอดที่เคยโอบรัดไว้ทุกคืน รอยจูบที่ไม่ต้องพูดจาหวานเลี่ยนใด ๆ แต่ทุกอย่างมันอาจจะจบลงไปดื้อ ๆ ถ้าผมไม่ทำอะไรซักอย่างเพื่อทวงคืน...





ครืดดดดด!!





ดูเหมือนว่าผมจะลุกขึ้นยืนเร็วไปหน่อย เสียงเก้าอี้มันถึงได้ดังสนั่นหวั่นไหวจนทุกสิ่งในงานเงียบกริบ ไม่เว้นแม้แต่เจ้าบ่าวที่พึ่งจะหันมาสบตากับผมครั้งแรกในรอบวัน แต่สายตานั่นมันก็ดูเย็น ๆ เหมือนออกแนวคาดโทษซะมากกว่า แต่แล้วใครจะสนล่ะ ...ผมก็แค่อยากจะลุกไปเข้าห้องน้ำเท่านั้นนี่นา...

"พี่พอช ทำอะไรคะ"

"พี่จะไปเข้าห้องน้ำค่ะ รู้สึกมึน ๆ หัวยังไงไม่รู้" ผมโครงหัวไปมา ยกมือขึ้นบีบขมับตัวเองราวกับกำลังไม่สบายตัว ขณะที่ทุกอย่างในงานเริ่มกลับไปอยู่ในสภาวะปกติ และดูเหมือนว่าคราวนี้พิธีกรจะสัมภาษณ์คู่บ่าวสาวต่อไปอย่างราบรื่น

เอะ ...หรือว่าไม่

"ไม่สบายรึเปล่าคะ จริง ๆ ต้าสังเกตว่าพี่พอชสีหน้าไม่ดีมาตั้งแต่เช้าแล้ว"

"แค่มึน ๆ หัวน่ะ พี่ไม่เป็นไร"





เพล้ง!!!!





จู่ ๆ ร่างกายของผมมันก็ทรุดลงไปกับพื้นอย่างอ่อนแรง แต่ก็ไม่ลืมกระตุกผ้าปูโต๊ะสีขาวติดมือไปด้วยจนถ้วยชามจานแก้วพร้อมอาหารรสเลิศพากันกลิ้งตัวลงมาเล่นกันบนพื้นข้าง ๆ ตัว ดูเหมือนว่าตอนนี้สติของผมจะดับวูบลงไปและไม่รู้เนื้อรู้ตัวใด ๆ อีกต่อไปแล้ว

"พอช!! พอช!! " มือคู่นึงตบที่หน้าผมเบา ๆ ซ้ำ ๆ ก่อนจะยกตัวผมขึ้นพาดบ่าท่ามกลางเสียงโห่ฮารอบ ๆ งานที่ไม่รู้ว่าห่วงผมหรืออยากจะเสือกว่าผมตายรึยังกันแน่ แต่ข่าวดีคือตอนนี้ดูเหมือนว่าการสัมภาษณ์บนเวทีจะจบลงแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ และผมไม่ต้องทนฟังให้มันเจ็บจี๊ดอีกต่อไป





ส่วนข่าวร้าย...

แม่งเอ๊ยยยย!! บทแบบนี้!! กูมารยาเป็นลมขนาดนี้ คนช่วยกูมันต้องเป็นพระเอกดิว่ะไม่ใช่พ่อพระเอก!!

.

.

.

"มีคนมาล้มตึงกลางงานแต่งแบบนี้ โบราณเขาว่ามันเป็นลางไม่ดีนะคะคุณ"

"แล้วจะให้ผมทำยังไง ตาพอชเขาตั้งใจที่ไหนล่ะ คุณอย่าไปคิดมากเลยน่า ออกไปดูแลแขกที่งานกันเถอะ"

"คุณนะคุณ ตั้งแต่เลี้ยงเด็กคนนี้มามีอะไรดีขึ้นมาบ้าง งานมงคลแท้ ๆ มาทำตัวอัปมงคล เหอะ! "

"คุณแม่คะ"

"คุณโสม พูดแบบนี้ได้ยังไง ถ้าตาพอชแกตื่นมาได้ยินแกจะเสียใจนะ ไป!! ออกไปข้างนอกกับผม"

"ต้าขออยู่เฝ้าพี่พอชนะคะคุณแม่"

"ไม่ต้อง! ถ้ามีคนอยากนั่งเฝ้าก็ให้พ่อแกเฝ้า! "

"คุณโสม!! คุณ!! "

ผมค่อย ๆ ลืมตาขึ้นเมื่อเสียงฝีเท้าหลายคู่ออกไปจากห้อง จนแน่ใจว่าคนป่วยเฉพาะกิจอย่างผมถูกทิ้งไว้ในห้องพักเพียงคนเดียว นี่ล่ะนะชีวิตของตัวร้ายของจริง ขนาดเป็นลมล้มลงไปขนาดนั้นยังไม่มีใครคิดจะเข้ามาเป็นห่วงเป็นใยซักคน แถมยังถูกว่าร้ายกล่าวหาว่าเป็นตัวกาลกิณีงานแต่งลูกชายเขาซะงั้น

‘คุณโสม’ ภรรยาของอาบวรที่เกือบจะเป็นใหญ่ที่สุดในบ้าน คนที่ผมไม่มีวันจะเคารพรัก ผู้หญิงคนนี้ดูถูกผมสารพัดนับตั้งแต่วันที่ก้าวเท้าเข้าบ้านนี้ ถึงคุณอาจะดูแลส่งเสียเรื่องการเรียนและชีวิตความเป็นอยู่ของผมดีแค่ไหน แต่ชีวิตในบ้านที่คุณโสมเป็นใหญ่ผมก็เหมือนเป็นแค่เด็กในบ้านที่มีสิทธินอนแค่ห้องเล็กชั้นสามอยู่ดี นี่ผมก็ไม่เคยรู้หรอกว่าคุณอาต้องแลกมากับอะไรบ้างถึงสามารถทำให้ผมไปเรียนอังกฤษพร้อมเต็มโดยไม่โดนข้อหาชูคอ

ตอนนี้ผมนอนอยู่บนเตียงห้องพักรับรองในโรงแรม ใครซักคนน่าจะเป็นคนปลดไทด์ปลดสูทผมออกให้เหลือแค่เชิ้ตสีขาว ผมยันตัวเองให้ลุกขึ้นเพื่อมองกระจกที่ตั้งอยู่ปลายเตียง เพราะอะไรผมถึงต้องมานั่งอยู่ตรงนี้วะ เพราะผมเป็นผู้ชาย เพราะการคลุมถุงชนนั่น เพราะนิสัยเหี้ย ๆ ของผมมันกำลังจะออกฤทธิ์ ...หรือเพราะจริง ๆ เต็มมันไม่ได้รักผมเลย

แอบเสียใจอยู่เหมือนกันนะที่มันไม่ได้คิดมาสนใจผมซักนิด แม้แต่เสียงไถ่ถามอาการจากมันซักนิดผมก็ไม่ได้ยิน แต่แค่นี้มันไม่ได้หมายความว่าการร้ายครั้งนี้ของผมมันพังหรอก ....เพราะว่าสำหรับวันนี้ ...เมื่อกี้มันก็แค่เริ่มต้น

"นั่งผูกคิ้วใส่กระจกได้แบบนั้นได้ หายแล้วมั้งมึงน่ะ" ผมหลุดจากภวังค์แทบจะทันทีที่ได้ยินเสียงคุ้นเคยอยู่ไม่ไกล เต็มใส่ชุดเจ้าบ่าวเต็มยศยืนพิงผนังมองมายังผมด้วยสายตาเรียบ ๆ

"ก็ไม่ได้เป็นไร แค่มึนหัว"

"ก็ว่าอยู่ คนอย่างมึงคงไม่ตายง่าย ๆ "

"หึ ถ้ารู้ว่ายังไงกูก็ไม่ตายแล้วมึงมาทำไมวะ เจ้าสาวเขายอมปล่อยมือจากมึงล่ะหรอ" เต็มไม่ตอบในทันที มันกระตุกยิ้มเบา ๆ แล้วเดินมานั่งอีกฝั่งที่ปลายเตียง จากที่เคยมองกระจกแผ่นหนักนั่นก็กลายเป็นที่รองรับสายตาแทน มันในชุดนี้โคตรหล่อเลยว่ะ ถ้าผู้ชายอย่างผมมีโอกาสได้ยืนข้างมันในชุดนี้บ้างก็คงดี

"เขาก็ไม่ได้มัดกูไว้นี่"

"แปลว่าถ้าเขามัดมึงไว้ มึงจะไม่ได้มาคุยกับกูตรงนี้ใช่มั้ย"

"มึงเป็นอะไรนักหนาวะพอช ตั้งแต่กลับมาไม่พูดดี ๆ กับกูซักคำ" ...ตั้งแต่วันที่กลับมาแล้วเจอว่าที่เจ้าสาวมึงไปรับที่สนามบินน่ะหรอ...





วันที่กูหัวใจแตกเป็นเสี่ยง ๆ ตั้งแต่วินาทีแรกที่เหยียบเมืองไทยไง





"ม...มึง ...มึงจะไม่ทิ้งกูใช่มั้ย" เสียงจากความรู้สึกจริง ๆ มันสั่นเทาไปหมด คนที่นั่งอยู่ปลายเตียงเงียบเสียงไปพักใหญ่หลังจากฟังประโยคที่แสนจะตรงประเด็นจากผม ถ้าจะให้พูดว่าตอนนี้เป็นอะไรอยู่ ผมขอพูดเพื่อให้ได้คำตอบว่าจะใช้ชีวิตยังไงต่อไปดีกว่า

"กูจะทิ้งมึงได้ยังไง" แค่ได้ยินประโยคนี้หัวใจผมมันก็พองโตขึ้นอย่างบอกไม่ถูก ก่อนที่ประโยคถัดมาจะทำให้หัวใจผมมันกลับไปอยู่ในสถานะของแตกเช่นเดียวกันกับไม่กี่วินาทีก่อน

"...มึงเป็นเพื่อนกูนะ"





ผมเกลียดคำว่าเพื่อน... เพราะไอ้คำนี้คำเดียวที่ทำให้ผมไม่มีสิทธิโวยวายอะไรเลย

เกลียด ...เกลียดที่ตัวเองเป็นมากไปกว่านั้นไม่ได้





"ถ้าเพื่อนคนนี้ขอให้มึงอยู่กับกูตอนนี้ ขอให้มึงไม่ทิ้งกูออกไปแต่งงาน ...มึงจะทำให้ได้มั้ย" ใบหน้าคมหันมามองผมก่อนจะส่ายหน้าเบา ๆ แทนคำตอบ สีหน้าละห้อยของผมมันสู้ร่างทรงแอฟ ทักษอรนั่นไม่ได้ซักนิดเลยสินะ

"มึงก็รู้ว่าไม่ได้ อย่าทำให้อะไรมันยุ่งยากเลยว่ะพอช กูไม่อยากให้มึงมีปัญหา ...เรื่องที่อังกฤษ ...ถ้ามึงจะลืม กูก็อนุญาตให้ลืม" ร่างสูงเดินออกไปโดนทิ้งข้อความเหล่านั้นก้องอยู่ในหัวผม สองมือผมจิกลงกับผ้าปูเตียงด้วยความรู้สึกแค้นในใจ แค้นตัวเองที่ต้องรักคนคนนี้มากเหลือเกิน แค้นที่เกิดมาชีวิตก็ไม่เหลือใครให้รักอีกแล้วนอกจากมัน

"ได้เวลาสนุกแล้วสิ" ผมยกยิ้มที่มุมปากร้าย ๆ ท่ามกลางหยดน้ำตาที่ไหลลงมาเป็นสายข้างแก้ม สภาพผมในกระจกตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับนางร้ายในละครที่ถูกแย่งพระเอกไป แต่อาจจะต่างกันตรงที่ตอนจบผมจะไม่ยอมให้มันเป็นแบบนั้นแน่นอน





ครืดดดด ครืดดดดด





"ฮัลโหล"

"พรีเซนเทชั่นที่ให้เปลี่ยนเรียบร้อยแล้วนะครับคุณ ส่วนเรื่องคนเปิดน่าจะต้องเพิ่มเงินอีกนิดหน่อย"

"เรื่องเงินไม่ต้องห่วงหรอก จะจ่ายเพิ่มให้หลังงานเสร็จ ....อย่างงาม"

เหล่าตัวร้ายทำเรื่องดี ๆ นี่เขามีความรู้สึกแบบไหนกันนะ จะเหมือนผมตอนนี้ที่รู้สึกมีความสุขกับความแสนดีของตัวเองที่จัดเตรียมเซอร์ไพร์สไว้ให้คู่บ่าวสาวรึเปล่า หวังว่าจะชอบนะ สำหรับวิดีโอพรีเซนต์ที่ทำให้ใหม่... ก็แค่อยากจะใส่ข้อมูลที่แท้จริงให้คนในงานเขาเข้าใจเท่านั้นเอง ดีกว่าวิดิโอเฟค ๆ เดินหมุนตัวในสวนนั่นเป็นไหน ๆ





รับรองได้ว่าการแต่งงานครั้งนี้จะตราตรึงใจไปอีกนาน...

ขายตัวแลกเงิน.wmv



TBC




ออฟไลน์ net. net_n2537

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 305
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
 o13 แซ่บเวอร์

ออฟไลน์ Nekosama

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
แซ่บมาก ติดตามค่ะ ><

ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3
Chapter 2 คืนส่งตัว


เรื่องราวของสะใภ้คนใหม่ที่ถูกครอบครัวบังคับให้แต่งงานในละครไทยนั้นมักจะแบ่งได้เป็นสองกลุ่มใหญ่ ๆ ...หนึ่งครอบครัวพระเอกรักปานจะกลืนกินยัดเหยียดให้ได้เสียกันมันแทบทุกตอน กลุ่มนี้ตัวร้ายจะกลายเป็นตัวอันตรายไม่มีใครต้อนรับ ถ้าเอายาฆ่าแมลงมาฉีดได้ก็คงทำไปแล้ว ...สอง ครอบครัวพระเอกโดยเฉพาะคุณแม่ผัวรังเกียจเดียจฉันหาทางกำจัดแทบทุกวิถีทาง กลุ่มนี้ตัวร้ายจะกลายเป็นเทพมาจุติและถูกรักจากคนในบ้านแทบทุกตอน ...ยกเว้นตอนจบ

ส่วนเรื่องราวละครชีวิตจริงของผม ก็คงจะพอเดากันออกใช่มั้ยล่ะครับว่ามันคือเคสแรกอย่างไม่ต้องลังเล เพราะฉะนั้นในกรณีที่ผมจัดอยู่ในคนกลุ่มนี้ ถ้าผมเปิดเผยตัวตนออกไปตรง ๆ มีหวังถูกเนรเทศเฉดหัวออกจากบ้านตั้งแต่เริ่มเรื่องแน่

"มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไง! ทางออแกไนซ์ว่ายังไงยัยต้า" คุณโสมถามน้องต้าด้วยเสียงเครียด ขณะที่คุณอาบวรได้แต่นั่งเงียบถอนหายใจยาว ๆ เวลานี้ห้องนั่งเล่นของบ้านหลังใหญ่ได้กลายเป็นห้องประชุมเครียดของคนในครอบครัวแล้วก็รวมเด็กเหลือขออย่างผมเข้าไปอีกหนึ่ง ดูเหมือนพรีเซนเทชั่นที่ผมทำให้จะถูกใจทุกคนไม่เบาถึงได้พูดถึงกันอย่างต่อเนื่องไม่หยุดมาสามชั่วโมงติดแบบนี้





ส่วนเจ้าบ่าวเจ้าสาวคงสุขสมอารมณ์หมายไม่สนใจห่าอะไรอยู่ในห้องหอล่ะมั้ง





"เขาบอกว่ามีคนไปขอแจ้งเปลี่ยนห้านาทีก่อนเปิดค่ะคุณแม่ เขาก็ขอโทษมาเหมือนกันที่ไม่ได้เช็คก่อน"

"บ้าที่สุด ฉันอายจนไม่รู้จะสู้หน้าคนอื่นยังไงแล้ว"

"แต่ในคลิปนั่น มันก็จริงไม่ใช่หรอคะ" ...ใช่ ความจริงที่ว่าผู้หญิงคนนึงยอมแต่งงานกับผู้ชายที่เคยเจอหน้ากันมาก่อนเพื่อแลกกับเงินก้อนโต ...หรือว่ามีใครจะเถียง

"ยัยต้า!! "

"เอาน่าคุณ ขึ้นเสียงกับลูกไปแล้วมันจะได้อะไร เรื่องนี้ช่างมันไปเถอะ แค่เรารู้ก็พอว่าความจริงมันเป็นยังไง"

"ไม่ได้หรอกค่ะ เราต้องตามหาไอ้ตัวการนั่นให้ได้ มันจะมีซักกี่คนที่รู้เรื่องนี้ ยิ่งทางฝั่งครอบครัวหนูเอมเขาไม่พูดให้ลูกตัวเองเสียแน่ ๆ " ถึงผมจะเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเล่นโทรศัพท์ไม่ได้เงยหน้าขึ้นไปสบตาใคร หางตาผมมันก็ยังเห็นสายตาคุณโสมที่จ้องมาเหมือนกำลังจำผิดอยู่ดี

ว้า...โดนจับได้ซะล่ะ ไม่สนุกเลย

"ทำไมจ้องตาพอชแบบนั้นคุณ"

"ก็มันจะมีใครล่ะ นอกจากครอบครัวเรา ก็มีมัน" โอ้โห...คิดดูสิครับ อยู่บ้านเดียวกันมาเป็นสิบปียังไม่มีน้ำใจนับไอ้พอชเป็นครอบครัวเลย ...หึ

"เอ่อ ...คุณโสมครับ ผมไม่..." ผมเงยหน้าขึ้นจากจอมองหน้าสามคนพ่อแม่ลูกสลับกันไปมาเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ

"คุณจะบ้าหรอโสม เราก็เห็น ๆ กันอยู่ว่าตอนเกิดเรื่องตาพอชหลับพักอยู่ในห้อง คุณนี่มัน..."

"นั่นสิคะคุณแม่ อีกอย่างมันไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่พี่พอชต้องทำแบบนั้น"

นี่ล่ะนะ ผลจากการเป็นคนดี ทุกคนก็เลยต้องรักใคร่แบบนี้

"ใครจะไปรู้ล่ะ!! มันอาจจะเป็นประเภทรู้หน้าไม่รู้ใจก็ได้!! " คุณโสมกระแทกเสียงทิ้งท้าย ก่อนจะเดินปึงปังออกไปโดยทิ้งให้ผมตีหน้าเศร้าดึงคะแนนความสงสารอยู่คนเดียว

"ไม่คิดมากนะคะพี่พอช เดี๋ยวไม่หล่อนร้าาาา"

"อาขอโทษนะพอช..."

"อย่าขอโทษผมเลยครับคุณอา ผมรู้ว่าคุณโสมเธอรู้สึกยังไง อีกอย่างผมก็คงชินแล้วมั้งครับ" ผมส่งยิ้มบาง ๆ ให้สองคนพ่อลูก เรื่องที่ผมชินนี่เป็นเรื่องจริงที่สุด เพราะทางเลือกที่มีไม่มากนักมันบีบให้ผมต้องทนอยู่ที่นี่ เคยคิดเหมือนกันนะว่าถ้าที่นี่ไม่มีคุณโสมซักคนผมก็คงจะมีความสุขมากกว่านี้





แต่นี่มันชีวิตจริง ไม่ใช่เกมเดอะซิมส์ที่ผมจะเลือกบ้านหรือลบใครออกไปจากชีวิตก็ได้





"เห้อ งั้นไปนอนเถอะ พวกเราเหนื่อยกันมาตั้งแต่เช้าแล้ว" คุณอาบวรตบบ่าผมเบา ๆ ก่อนที่จะเดินนำออกไปและมีน้องต้าติดตามไปติด ๆ โดยที่ยังไม่ลืมที่จะหันมาส่งยิ้มเล็ก ๆ ให้กำลังใจผม

คราวนี้ถึงตาที่ผมจะลุกขึ้นบ้าง ผมเดินขึ้นบันไดชั้นสองก่อนจะหยุดยืนมองประตูของห้อง ๆ นึง คืนวันเข้าหอเจ้าบ่าวเจ้าสาวก็คงจะไม่ออกมาเลยทั้งคืน คิดแล้วสมองมันก็แยกฝั่งทะเลาะกันเอง ฟากนึงมันก็อยากจะปล่อยให้คนทั้งคู่มีความสุขปลอม ๆ ไปซักสิบชั่วโมง ส่วนอีกฟากมันก็ทั้งหวง ทั้งหึง และเสียใจไปพร้อม ๆ กัน

ผมห้ามตัวเองไม่ให้มองนานมากไปกว่านี้ ก่อนจะพาตัวเองขึ้นมาบนชั้นสามของบ้านซึ่งเป็นที่พำนักประจำของผม ที่ชั้นสามมีผมพักอยู่คนเดียวครับ มันเป็นชั้นที่มีไว้รับรองแขก นั่นก็หมายความว่าทั้งชั้นนี่ผมยึดครอง ...แต่นี่แหละที่ทำให้ผมเกลียด เพราะว่ามันให้ความรู้สึกเหมือนกับเป็นแฮรี่พอร์ตเตอร์ที่อยู่ในห้องใต้บันได

ความเงียบที่ปกคลุมทั่วทั้งชั้นทำให้ผมต้องหัวเราะหึหึกับตัวเอง คิดถึงในวัยเด็กที่ครอบครัวผมยังสมบูรณ์เหลือเกิน มีพ่อ มีแม่ มีผม และพี่ชายอีกหนึ่งคน ในตอนนั้นครอบครัวเราดูจะเป็นที่อิจฉาของคนอื่น ๆ แต่ชื่อเสียงเงินทองมันไม่เคยจีรัง ทุกอย่างจบลงเพียงชั่วข้ามคืน... คืนนั้นที่ทำให้ผมจำฝังใจไปตลอดการณ์

ปีพ.ศ.2547 พ่อถูกถอนจากตำแหน่งประธานบริษัทโดยผู้ถือหุ้นรายอื่น ๆ หลังจากนั้นไม่นานบ้านเราก็ถูกฟ้องล้มละลาย แต่พ่อก็ยังพยายามประคองมันมาเรื่อย ๆ จนถึงจุดที่บ้านเรากำลังจะกลายเป็นของคนอื่น ...สุดท้ายแม่แท้ ๆ ของผมคว้าปืนขึ้นมายิงกลางแสกหน้าพ่อต่อหน้าเด็กอายุสิบกว่าขวบอย่างผม ผมไม่เคยเข้าใจมันเลยตลอดชีวิตที่ผ่านมา เหตุผลอะไรที่แม่ต้องทำให้ผมกลายเป็นเด็กที่ต้องตายทั้งเป็นเพราะครอบครัวของพังนินาศ แม่ถูกศาลตัดสินให้จำคุกหลายสิบปี พี่ชายของผมที่ตอนนั้นอายุเพียง 18 ปีก็ปฏิเสธการรับเลี้ยงดูจากอาบวรและทิ้งผมไว้โดยไม่กลับมาอีกเลย





นอกจากอัฐิที่วัดของพ่อ ผมก็ไม่เคยรู้ถึงความเป็นไปของใคร...

ผมเดินมายังระเบียงของห้องให้ลมตีหน้าเพื่อคลายความรู้สึกเจ็บปวดในอดีตที่ไม่เคยลืม บ้านหลังใหญ่นี่ไม่เคยให้ความอบอุ่นได้จริง ๆ ซักครั้ง ผมมักจะอิจฉาทุกกิจกรรมที่ครอบครัวนี้ทำด้วยกัน อิจฉาทุกอ้อมกอดที่พ่อแม่มีให้ลูก อิจฉาความรักและการปกป้องของพี่ชายที่มีให้น้อง สิ่งเดียวที่เคยทำให้ผมมีความสุขที่นี่นอกจากความใจดีของอาบวรก็คงจะมีแค่เต็ม ผมไม่รู้ว่าควรจะเลิกรักมันยังไงเพราะฉะนั้นทางเดียวที่จะทำให้ชีวิตผมยังคงอยู่ต่อไปก็คือแย่งมันมา

ครื้นนนน ครื้นนนน

เสียงฟ้าร้องเบา ๆ ทำให้ผมผงะถอดกรูดเข้าไปในตัวห้อง มือที่เริ่มสั่นขึ้นปิดล็อคประตูระเบียงและผ้าม่านอย่างลนลาน ...มันกลับมาอีกแล้ว ความทรมานที่ฝังไว้ในหัวและทำให้ผมเจ็บปวดทุกครั้ง สองมือผมกำแน่นจิกเนื้อตัวเองราวกับไม่รู้สึกเจ็บใด ๆ สองขายังหยุดยืนอยู่กลางห้องเพื่อดูท่าทีปีศาจนั่น ...นี่ไม่ใช่เรื่องตลก ...คืนนั้นเป็นคืนที่ฝนตก สิ่งที่ผมกลัวมันไม่ใช่สายฝนแต่คือเสียงของมันของมันต่างหาก เสียงของมันที่ดังมาพร้อมการลั่นไกปืนที่สนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งบ้าน ผมกลายเป็นคนที่กลัวเสียงปังทุกอย่างไม่เว้นแม้แต่เสียงปิดประตูดัง ๆ





มันคือนรกสำหรับผม

ครื้นนนนนนนนนนนนนนนน

ผมถอยรูดสุดตัวจนกวาดเอากรอบรูปที่อยู่บนโต๊ะล่วงกราวลงไปกับพื้นพรม เสียงที่ดังขึ้นอีกระดับทำให้ร่างกายมันทรุดลงไปกับพื้นและหันหน้าเข้ามุมห้องเพราะคิดว่ามันน่าจะปลอดภัยที่สุด ผมกอดสองขาตัวเองไว้แน่นเพื่อบอกตัวเองว่าตอนนี้ต้องมีสติถึงแม้น้ำตามันจะเริ่มไหลออกมาเป็นสายแล้วก็ตามที ไม่อยากอยู่คนเดียว ยิ่งคิด ใจมันก็ยิ่งพาลนึกไปถึงใครบางคนที่คืนนี้เขาคงไม่สนใจผมแน่ ๆ ความฟุ้งซ่านตอนนี้ทำให้คนแข็งกระด้างอย่างผมร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างที่อั้นเอาไว้ไม่อยู่ เสียงฝนที่เทลงมากระทบหลังคายิ่งทำให้ผมกระชับกอดตัวเองแน่นขึ้น ...ได้โปรด อย่าทำให้ชีวิตกูมันน่าสมเพชมากไปกว่านี้เลย





เปรี้ยงงงงงงงงง!!





เสียงฟ้าผ่าเปรี้ยงใหญ่มันดึงสติผมจนขาดผึ่ง ผมโยกหัวกระแทกกับผนังหนังซ้ำ ๆ และแรงขึ้นโดยไม่รู้ตัว สองมือที่กอดตัวเองไว้เมื่อครู่เริ่มจิกที่ต้นแขนสองข้างของตัวเองแรงขึ้นอย่างไม่รู้เจ็บ ดวงตาที่หลับแน่นกำลังรับมือกับภาพนึงที่ไม่อยากจำ แต่มันดันแล่นเข้าหัวโดยฉับพลัน

"พ่อ...ไม่เอา ...ไม่เอา ...พอชไม่เอาแบบนี้ ...ฮึก..." ภาพของพ่อที่ล้มลงไปจมกองเลือดมันชัดเจนในความทรงจำ เสียงฟ้าร้องที่ยังดังต่อเนื่องไม่มีหยุดมันทำให้ผมสั่นเท่าไปทั้งตัวจนรู้สึกว่ากำลังจะตาย ทุกการกระทำของผมตอนนี้มันเหนือการควบคุมไปหมดแล้ว ความรู้สึกเจ็บที่เอาหัวกระแทกกับกำแพงตอนนี้มันก็ไม่มีซักนิด





ทำไมต้องเป็นคืนนี้วะ คืนที่เต็มมันไม่อยู่ตรงนี้ คืนที่มันไม่มีวันมาอยู่ตรงนี้





"มึงนี่เอาอีกละนะ" ผมไม่รู้ว่ามันเป็นเสียงที่คุ้นเคยนี่เกิดจากจิตใต้สำนึกหรือความฝัน แต่ลำแขนที่ดึงผมเข้าไปกอดทั้งตัวนั่นก็ทำให้อบอุ่นหัวใจได้อย่างบอกไม่ถูก ผมกลัวจนไม่กล้าแม้แต่จะลืมตาเพราะกลัวว่าอ้อมกอดอุ่น ๆ นี่มันจะหายไป สองมือที่จิกเอาไว้กับแขนตัวเองค่อย ๆ ถูกคลายออกแล้วแทนที่ด้วยการกระชับฝ่ามือของใครอีกคน





ครืดดดด!!





เสียงความไม่ปราณีจากฟ้าทำให้ผมเด้งตัวเข้าซุกอกเจ้าของอ้อมกอดโดยอัตโนมัติ มือหนาลูบไปมาบนเส้นผมที่เคยเซ็ตไว้เป็นทรง ถึงแม้ว่าตัวผมมันยังคงสั่นอยู่เหมือนเดิมแต่ก็ใช่ว่าจะไม่คลายความกังวลลงเลย เสียงฟ้าฝนดูจะไม่สงบลงง่าย ๆ เหมือนแกล้งกัน ยิ่งคิดยิ่งกลัวมันก็ยิ่งร้องไห้ออกมาไม่ต่างกับฝนข้างนอกนั่น แต่อย่างน้อยตอนนี้ผมก็รู้สึกว่ามีใครอีกคน ...ที่บางทีเขาอาจจะไม่ได้อยู่ตรงนี้จริง ๆ

“ฮึก.....ฮือออออ พ่ออออ”

“ไอ้พอช! หยุด! มึงตั้งสติสิวะ!” แรงตบเบา ๆ กระทบที่หน้าผมแต่นั่นก็ยังไม่ทำให้ผมหยุดร้องไห้แล้วลืมตาขึ้นมาได้

“เป็นแผลเลย ไอ้โง่เอ๊ยยยย!!” อ้อมกอดนั่นกระชับแน่นกว่าเดิมพร้อมกับลมหายใจแผ่วเบาที่เป่ามาโดนบริเวณหน้าผาก สติน้อยนิดที่กลับมาวินาทีนั้นมันบอกให้ผมกอดอีกฝ่ายกลับไปอย่างไม่รีรอใด ๆ





ถ้ามันเป็นความฝัน ...กูจะถือว่าเป็นฝันดี

ถ้ามันเป็นความจริง ...กูจะถือว่ามึงให้ความหวังกูแล้วนะเต็ม





“หลับซะนะมึง... หลับซะ...”

.

.

.

60%

แสงแดดอ่อน ๆ ยามเช้าลอดม่านเข้ามาทำให้ผมลืมตาตื่นได้ไม่ยากนัก ร่างกายบิดขี้เกียจอยู่พักใหญ่ก่อนจะลากสังขารเข้าห้องน้ำเพื่อชำระล้างร่างกาย ผมมองตัวเองผ่านกระจกบานใหญ่ในห้องน้ำระหว่างแปรงฟันอย่างใช้ความคิด รอยแผลเล็ก ๆ แถว ๆ ไรผมนี่น่าจะมาจากอาการขาดสติของผมเอง ส่วนไอ้ขอบตาคล้ำเล็ก ๆ นี่ก็มาจากการร้องไห้ลืมโลกอย่างไม่ต้องเดา แต่ยังมีอีกเรื่องที่ผมเองก็ยังไม่แน่ใจ





เมื่อคืนมันออกจากห้องหอเพื่อมาหาผมใช่มั้ย...

ผมรีบอาบน้ำแต่งตัวให้เสร็จเรียบร้อยก่อนจะลงมาจากชั้นสามด้วยชุดไปรเวทที่แสนจะธรรมดา โดยไม่ลืมปล่อยผมลงมาเพื่อปิดรอยแผลเล็ก ๆ นั่นด้วย ก่อนจะถึงบันไดขั้นสุดท้ายขาของผมก็หยุดชะงักลงเล็ก ๆ เมื่อสายตามันไปปะทะกับทุกคนบนโต๊ะอาหารกลางบ้านที่เอาแต่จ้องผมเป็นตาเดียว ...เกิดมาไม่เคยเห็นคนหรือไงวะ ...ออแล้วนั่นก็พร้อมหน้าพร้อมตาเป็นครอบครัวกันดีอยู่แล้วนี่

“ตาพอช มากินข้าวเร็ว วันนี้หนูเอมเขาโชว์ฝีมือข้าวต้มปลาเองเลยนะ”

“ไม่เป็นไรครับคุณอา เดี๋ยวผมไปกินในครัวเหมือนทุกทีดีกว่า” ผมเหลือบตามองลูกชายคนโตของบ้านอย่างมีความหวัง แต่เห็นท่าทางอิ่มเอมกับข้าวต้มปลานั่นแล้วผมก็อาจจะอาเจียนออกมาเป็นปลาทั้งโอเชี่ยนเวิร์ล หรือสุดท้ายแล้วอ้อมกอดเมื่อคืนมันจะเป็นแค่ความฝันจริง ๆ ...

“นอนกินบ้านเป็นเมือง” สาบานว่าที่ทำอยู่นั่นคือพูดคนเดียวนะครับคุณผู้หญิง แหม่ ผมนี่ได้ยินไปถึงอนุสาวรีย์ชัยกันเลยทีเดียว

“คุณโสม! ....ตาพอชมานั่งข้างยัยต้าเร็ว”

“ผมไม่....” ไม่อยากเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้น

“พอช... ถือว่าอาสั่ง จะได้มาคุยกับหนูเอมเขาให้มาก ๆ ” ทำไมจะต้องคุยให้มาก ๆ วะ ไม่ใช่เมียกูซะหน่อย

“ครับคุณอา” สุดท้ายผมก็ต้องแพ้อำนาจสายตาของคุณอาบวรอยู่ดี สายตาผมตอนนี้มันเอาแต่จ้องมองผู้หญิงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามสลับกับไอ้เต็มที่ไม่คิดจะเงยหน้าออกมาจากชามข้าวต้ม คงจะอร่อยกว่าโจ๊กซองที่ผมเคยต้มให้กินอยู่มากโขสินะ

“หนูเอม ตาพอชนี่เขาจบเกียรตินิยมกลับมาเลยนะ เก่งกว่าเจ้าเต็มตั้งเยอะ รายนี้ได้มาแค่เกรดนิยมก็ลำบากแทบแย่ นี่ไม่รู้ว่าถ้าตาพอชไม่ไปเรียนด้วยจะเข็นตัวเองจนจบรึเปล่า”

“คุณพ่อครับ” เต็มเหลือบตามามองเอมเล็ก ๆ ก่อนจะหันไปปรามพ่อตัวเองที่กำลังเผาลูกให้เจ้าสาวหมาด ๆ ฟัง …ทำไมมึงดูเหมือนคนมีความสุขจังวะเต็ม ...เออ แล้วนี่กูมานั่งเหี้ยอะไรตรงนี้

“เก่งจังเลยอ่ะพอช อนาคตไกลแบบนี้สาว ๆ ติดตรึมแน่เลย” โอ้โห... ทั้งสีหน้า ทั้งน้ำเสียง รังสีความแอ๊บแบ๊วลอยคละคลุ้งเต็มไปหมด นี่ตกลงแม่คุณยังหายใจด้วยอ็อกซิเจนอยู่ใช่มั้ย ไม่ใช่ก๊าซตอแหลเนอะ

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ จริง ๆ เต็มต่างหากที่ช่วยดูแลผม ถ้าไม่มีมันก็ไม่มีผมเหมือนกัน ส่วนเรื่องสาว ๆ ...ถ้าไม่มีใครไล่จับมาแต่งงาน ...ก็คงไม่มีหรอกครับ” ผมว่าแล้วตักข้าวต้มในชามเข้าปากตามมารยาท รสชาติไม่ได้ต่างอะไรกับข้าวต้มรสเข็นหน้าปากซอย จะอร่อยอะไรกันนักหนาวะ





โอ๊ะโอ้วววว เมื่อกี้ผมพูดอะไรผิดไปหรอ ทำไมทุกคนทำหน้าแบบนั้นล่ะ ไม่รู้ตัวเลยนะเนี่ย





“หึ ก็คงจริงอย่างตาพอชเขาว่านะหนูเอม เพราะคนแบบนี้ใครเขาอยากจะมาคบค้าสมาคม” คุณหญิงโสมรภีครับ ...นี่อยากจะกินข้าวต้มฝีมือลูกสะใภ้ดี ๆ หรืออยากกินผ่านทางหนังศรีษะครับคุณหญิง ไอ้พอชจะได้ช่วยกรุณา

“เอาอีกแล้ว นี่จะไม่ทะเลาะกันให้ฉันปวดหัวซักวันได้มั้ยห่ะ! เกรงใจหนูเอมเขาบ้างเถอะคุณโสม” ขอเถอะ จังหวะนี้ขอเวลาซักครึ่งวินาทีให้ไอ้พอชคนนี้ได้แอบเบ้ปากแรงแบบนางร้าย

“ผมขอโทษครับคุณอา ถ้าผมพูดอะไรที่ไม่ได้ตั้งใจออกไป”

“หึ ปากไม่มีหูรูด”

“คุณแม่คะ พี่พอช ทุกคนคะ เราทานกันต่อเถอะเนอะ เดี๋ยวเย็นแล้วมันจะไม่อร่อย” น้องต้าพยายามฉีกยิ้มทำลายบรรยากาศตึงเครียดรอบโต๊ะ ผมพยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะกล้ำกลืนเอาข้าวต้มผสมน้ำล้างตีนนี่ลงคอ ...เห็นหน้าคนทำแล้วมันกระเดือกไม่ลง ...ยิ่งเห็นหน้าคล้ายจะอิ่มเอมของผู้ชายข้าง ๆ คนทำยิ่งอยากจะเขวี้ยงชามทิ้ง

“เออ เมื่อคืนนอนได้รึเปล่าพอช อาเห็นฝนตกหนักเลย” ช้อนที่คนอยู่ในชามข้าวต้มหยุดชะงักแบบฉับพลัน ผมช้อนสายจากจากชามข้าวขึ้นมองหน้าของคนที่นั่งอยู่อีกฝั่ง เต็มมองเหลือบตามามองผมในจังหวะนั้นเช่นกัน จากที่ยังไม่ค่อยแน่ใจก็กลายเป็นว่าตอนนี้ผมกระตุกยิ้มเบา ๆ ได้อย่างผู้ชนะ...





สายตาที่มันมองผม มันคือสายตาที่สั่งไม่ให้ผมพูด ...นั่นแปลว่ามันยอมทิ้งคืนแรกในห้องหอเพื่อมาหาผม

แล้วมึงจะบอกให้กูลืมมึงเพื่ออะไรวะ





“ก็โอเคครับอา ตอนแรกก็หนักเอาการอยู่ แต่โชคดีที่...... ผมหลับไปซะก่อน” หึ สายตาแบบนั้นกลัวกูจะพูดอะไรออกไปหรอเต็ม

“มีอะไรกันหรอคะคุณพ่อ”

“พอดีพอชเขากลัวฟ้าร้องน่ะ สมัยก่อนหน้าฝนนี่เจ้าเต็มต้องไปนอนด้วยทุกคืนเลย” ผมแอบสังเกตเห็นสีหน้าแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นกับเอม เธอหันไปมองหน้าผู้ชายข้าง ๆ แวบหนึ่งก่อนจะหันมาพยักหน้ายิ้มเบา ๆ กับคุณอา ...กำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ใช่มั้ยล่ะเอม ดีใจด้วยนะที่บางสิ่งที่เธอกำลังคิดมันอาจจะจริง

“นี่ดีนะคะเนี่ยพี่พอช ที่อาการดีขึ้นแล้วอ่ะ พี่เต็มแต่งงานไปแล้วแบบนี้ไม่มีใครมากอดปลอบตอนร้องไห้ขี้มูกโป่งกลัวฟ้าผ่าแล้วนะ”

“เดี๋ยวเหอะต้า” ผมโยกหัวน้องต้าเบา ๆ แต่สายตายังหยุดนิ่งที่สายตาอีกคู่ที่กำลังมองมาเช่นกัน ทีแรกกูก็คิดแบบนั้นที่น้องต้าว่าแหละเต็ม แต่ถ้าการกลัวของกูมันจะทำให้มึงไม่ไปไหนกูก็จะขออยู่กับมันแบบนี้ไปจนตาย ไม่ว่าเมื่อคืนมึงจะทำเพราะสงสารหรือสมเพช กูก็จะมีความสุขกับมัน

“เอาจริง เมื่อคืนพี่เต็มไม่ได้แอบไปอยู่เป็นเพื่อนใช่ป่ะ” ใจเย็นว่ะเต็ม มึงไม่ต้องจ้องกูนิ่งขนาดนั้นก็ได้ แต่ถ้าน้องมึงปูมากูก็คงต้องเล่น...

“จะบ้าหรอต้า เมื่อคืนมันคืนส่งตัวเข้าหอ เจ้าบ่าวจะหนีเจ้าสาวออกมาจากห้องให้มันเป็นอัปมงคลในชีวิตคู่ทำไม ...จริงมั้ย ...เอม” แววตาสั่นระริกของหญิงสาวกำลังหลบสายตาเย้ยหยันจากผม เธอเอาแต่ก้มหน้าสูดลมหายใจเบา ๆ ก่อนจะตีหน้าใสซื่อขึ้นมาอีกครั้ง ...ให้ตายเถอะ นี่คนทั้งโต๊ะมองห่าอะไรไม่ออกเลยหรอ เรื่องเชี่ยอะไรก็จะให้กูมองออกอยู่คนเดียวใช่ป่ะ

“จ...จริงค่ะ” ผมยิ้มเย็น ๆ อย่างพอใจ ก่อนอาหารมื้อนี้ของผมจะจบลงในทันทีด้วยการลุกออกจากเก้าอี้แบบไม่สนใจใครทั้งนั้น คนจะเป็นตัวร้ายอะไรมันก็เอื้ออำนวยไปหมดแบบนี้สินะ ขนาดความกลัวที่เป็นจุดอ่อนของตัวเองยังได้เอามาใช้ประโยชน์ ...แต่จริง ๆ แล้วถ้าเรื่องแค่นี้อย่าเรียกว่าผมร้ายเลย มันก็แค่การแนะนำตัวต่อสะใภ้คนใหม่ของบ้านนี้อย่างเป็นทางการก็เท่านั้น

“พี่พอชอิ่มแล้วหรอคะ”

“พี่ไม่กินแล้วค่ะต้า ...มันคาว”





TBC





มาอัพแล้วค่าาาาาา ไม่รู้ว่าเรื่องสไตล์นี้จะถูกใจคนอ่านกันมั้ย ฝากไว้ด้วยนร้าาาาาาาา

ขอบคุณทุกคอมเมนต์ ทุกกำลังใจค่ะ 

ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3
Chapter 3 ทำความรู้จัก

"อย่านะคะ... อย่าทำอะไรแก้วเลยนะคะคุณฟ้า"

"จะมาขอร้องอะไรตอนนี้! ทำไมตอนที่แย่งพี่ดลไปจากฉัน เธอไม่รู้จักเจียมกะลาหัว!! " หญิงสาวในชุดเดรสสั้นสีแดงจิกเอาเส้นผมของผู้หญิงแต่งตัวเรียบร้อยอีกคนไว้ในมือ สายตาโกรธแค้นเดือดดานนั่นแทบจะกระเด็นหลุดออกจากเบ้าเสียให้ได้ ริมฝีปากแดงเพลิงสั่นเทาเพราะกำลังเก็บเอาคำหยาบต่าง ๆ นานาไว้เพียงแต่ภายในใจ

"แก้วเปล่านะคะ แก้วไม่ได้คิดจะแย่งคุณดลไปจากคุณฟ้าเลย"

"ไม่ได้คิดหรอ นี่เธอกล้าพูดว่าไม่ได้คิดหรอ!! ทั้งอ่อยทั้งให้ท่าเขาขนาดนั้น ...นังหน้าด้าน!! " คนที่ดูจะแข็งแรงกว่าออกแรงกระชากจนเหยื่อเซถลาลงไปกับพื้น ร่างอันบอบบางร้องไห้จนตัวสั่นเทาเพราะกลัวอารมณ์ฉุนเฉียวของผู้หญิงตรงหน้าที่อาจจะฆ่าตนเมื่อไหร่ก็ได้

"แก้ว ...ฮึก ...แก้ว..."

"ฟ้า!! นั่นคุณทำอะไรน่ะ!! " ว่าแล้วพระเอกขี่ม้าขาวก็ติดปีกเข้ามาช่วย ชายหนุ่มปรี่เข้าช้อนร่างหญิงผู้อ่อนแอไว้แนบกับอก ดวงหน้าเกรี้ยวกราดมองไปยังสาวริมฝีปากแดงไม่วางตา

"ฟ้าก็แค่จะสั่งสอนมัน นังสารเลวนี่มันแย่งคุณไปจากฟ้า!! "

"ไม่มีใครแย่งผมไปจากคุณทั้งนั้น เรื่องของเรามันจบไปแล้ว คุณกลับไปซะ แล้วอย่ากลับมาที่นี่อีก"

"ดลค่ะ ไหนคุณบอกว่าคุณรักฟ้าไงคะ คุณทำแบบนี้ได้ยังไง คุณไปเลือกผู้หยิงแพศยาคนนี้ได้ยังไง"

"ผู้หญิงแพศยาที่คุณว่า เธอคือภรรยาที่ถูกต้องตามกฏหมายของผม! กลับไปซะก่อนที่ผมจะให้คนมาลากคุณออกไป!! " สิ้นการลั่นวาจาของชายหนุ่ม หญิงสาวดูจะเกรี้ยวกราดขึ้นมากกว่าเดิม เธอเดินปึงปังหัวเสียออกมาอย่างจำใจ ปากสีแดงฉาดนั่นกัดฟันกรอดรอวันเอาคืน ...ก็พิลึกดีที่ไม่มีใครสังเกตเห็นแววตาสั่นระริกเพราะความเสียใจจากเธอเลย...

.

.

.





"แหม่!! สะใจจริง ๆ มันต้องเจอพระเอกฉลาด ๆ แบบนี้" เสียงป้าวรรณตบเข่าฉาดเล่นเอาผมต้องเงยหน้าออกจากชามมาม่าเพื่อมองฉากละครในทีวีที่ทนฟังมานาน ผมมองภาพในทีวีก็ได้แต่ส่ายหน้าให้ความเลวร้ายนั่นเบา ๆ ก็เพราะละครมันปลูกฝังสังคมแบบนี้ไง คนที่มาก่อนถึงกลายเป็นตัวร้ายทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรผิดซักนิด เอะอะก็จับใส่ชุดสั้นทาปากแดงมาทวงคืนพระเอก แถมยังให้กรี๊ด ๆ ทำอะไรโง่ ๆ ที่เหมือนไม่ได้ใช้สมองอีก ก็ลองให้ใส่ชุดแม่ชีโกนหัวมาถามหาผัวสิ นางเอกคงได้กลายเป็นนางร้ายกันบ้างล่ะ

"ผมก็ไม่เห็นจะฉลาดตรงไหนเลยครับป้า คุณฟ้าอะไรนั่นสวยกว่าตั้งเยอะ" ผมพูดตามหลักความเป็นจริง แต่ก็เจอป้าวรรณค้อนตาใส่เหมือนจะยึดถ้วยมาม่าตรงหน้าผมคืน ...อย่านะป้า นี่มันอาหารมื้อแรกที่ตกถึงท้องหลังจากเอาไอ้ข้าวต้มปลานั่นเข้าปากเลยนะ

"คุณพอชไม่รู้อะไร นังนี่มันร้ายมันจะจับพระเอกท่าเดียว"

"อ้าว เท่าที่ผมฟังดูเขาก็เป็นแฟนกันมาก่อนไม่ใช่หรอครับ"

"อูยยยย ไม่ใช่หรอกค่ะ นางตัวร้ายนี่คิดไปเอง คุณพอชอย่าเถียงป้าสิ ป้าดูทุกตอน"

".........." สุดท้ายผมก็ไม่เถียงจริง ๆ ครับ ที่ไม่เถียงเพราะมันจี๊ดใจจนพูดไม่ออก ผมก็ได้แต่ยิ้มแหย ๆ กลับไปอย่างยอมรับชะตากรรม นี่แสดงว่าผมก็ตกอยู่ในสภาพเดียวกันกับตัวละครปากแดงนั่นแล้วสินะ

"คุณพอชเอาอีกชามมั้ยคะ ดูท่าจะหิวเชียว ป้าบอกให้รอทานมื้อเที่ยงกับคุณ ๆ ก็ไม่ยอม"

"ป้า...แล้วถ้าเปลี่ยนจากทาปากแดงร้องวี้ด ๆ มาแต่งตัวเรียบร้อย จะมีคนสงสารนางร้ายมั้ยครับ" ป้าวรรณขมวดคิ้วมองผมแบบงง ๆ คงจะสงสัยนั่นแหละว่าวันนี้เกิดมีอะไรมาเข้าสิงผมถึงได้ดูสนใจเรื่องละครเป็นพิเศษ ป้าวรรณเป็นแม่บ้านประจำอยู่ที่นี่มานานแล้วครับ คอยดูแลแทบทุกเรื่องภายในบ้านซึ่งเมื่อก่อนก็หมายถึงการดูแลผมด้วย สมัยก่อนที่จะไปอังกฤษผมเข้าครัวมาให้ป้าวรรณกินข้าวเป็นเพื่อนแทบทุกวัน มีปัญหาอะไรที่พอเล่าได้ก็จะเล่าให้แกฟังบ้าง

"ไม่มีใครเขาสนใจตัวร้ายพวกนี้หรอกคุณพอช ยังไงตอนจบมันก็เป็นพระเอกคู่กับนางเอกอยู่ดี" ผมพยักหน้ารับเบา ๆ เหมือนจะเข้าใจในสัจธรรมข้อนี้ ...ก็ดีเหมือนกันนะที่ได้ยินป้าวรรณพูดแบบนี้ ผมจะได้รู้ไว้ว่าต่อให้ผมทำดีเหมือนเทพมาจุติก็คงไม่มีใครเห็นเงาหัวตัวร้ายอย่างผม อย่างน้อยเวลาเผลอทำอะไร ๆ ลงไปจะได้ไม่ต้องมานั่งละอายใจให้เสียเวลา

"แล้วป้าว่าถ้าสมมติตอนจบ นางร้ายแย่งพระเอกมาได้ มันจะเป็นยังไงครับ"

"โอย ไม่มีเรื่องไหนจบแบบนั้นหรอกค่ะคุณพอช"





ทำไมจะไม่มี... ไอ้พอชคนนี้นี่ล่ะที่จะจบเรื่องนี้แบบไม่มีใครจดจำนางเอกให้ดู





"คุยอะไรกันอยู่หรอคะ" ...อุ๊บส์ ตายละ พูดถึงนางเอกนางเอกก็เดินมาเสือกพอดีเลย

"อ้าวเอม พอดีดูละครกับป้าวรรณน่ะ เมื่อกี้ฉากที่นางเอกผู้ใสซื่อถูกทำร้ายพอดี ...น่าสงสาร" ผมก็ไม่แน่ใจในสายตาของตัวเองที่กำลังมองเอมอยู่เหมือนกันว่ามันให้ความรู้สึกแบบไหน สีหน้าเธอถึงได้เจื่อนราวกับกำลังเกร็ง ๆ กับการมองของผม

“งั้นคุณสองคนคุยกันไปนะคะ ป้าไม่กวนแล้ว เดี๋ยวไปช่วยไอ้หมอนดูหญ้าหลังบ้านดีกว่า” ผมพยักหน้าให้ป้าวรรณที่ทำตัวเหมือนรู้จังหวะที่จะเปิดโอกาสให้ผมได้ทำความรู้จักเมียเพื่อนคนนี้มากขึ้น ...แล้วเธอก็จะได้รู้จักผมขึ้นนี้มากขึ้นเช่นกัน

"ไม่ยักรู้ว่าพอชติดละครด้วย"

"ปกติก็ไม่ค่อยดูหรอก แต่สงสัยจะต้องศึกษาไว้ใช้ในชีวิตจริงบ้างแล้วล่ะ" พยายามแล้วครับที่จะจะสบตาเพื่อจับผิดตัวตนจริง ๆ ของผู้หญิงคนนี้ แต่จนแล้วจนรอดผมก็เห็นเพียงวิญญาณแอฟ ทักษอร ผสมกบ สุวนันท์ในแววตาเธอเท่านั้น

"พอชนี่ก็ตลกเหมือนกันเนอะ" เดี๋ยวก็รู้ว่าจะตลกหรือจะขำไม่ออก

"แล้วนี่เอมมาทำไร"

"เอมมาเตรียมอาหารเที่ยงน่ะ"

"หึ ...แต่งงานยังไม่ทันครบวันนี่ก็เป็นศรีภรรยาดีเนอะ" เอมชะงักไปเล็ก ๆ แต่ก็เดินหยิบจับของในครัวราวกับไม่ได้ยินในสิ่งที่ผมพูด ผมไล่มองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้าเป็นครั้งแรกตั้งแต่เจอกัน ก็ต้องยอมรับตรง ๆ ว่าผู้หญิงคนนี้ภายนอกดูสวยเพรียบพร้อมไปหมด ใบหน้าหมดจด กริยามารยาทสมมีต้นตระกูลเป็นผู้ดีเก่า ไม่แปลกเลยที่อาบวรจะหน้ามืดคว้าเอามาเป็นลูกสะใภ้ ...แต่ผมก็ยังเชื่อในทฤษฎีของตัวเองที่ว่า คงไม่มีผู้หญิงดี ๆ ที่ไหนยอมแต่งงานเพื่อแลกกับเงิน

"เอมก็แค่ทำตามหน้าที่" ผมเลิกคิ้วก่อนจะพยักหน้ารับคำตอบ ตอนนี้เอมไม่ได้สบตาผมแต่กำลังง่วนอยู่กับการล้างผักตะกร้าใหญ่

"มา เดี๋ยวเราช่วย" ผมยื่นมือเข้าไปหาเอมอย่างเป็นมิตร เธอยิ้มบาง ๆ ก่อนจะหลีกทางให้ผมเข้าไปจัดการผักที่ค้างอยู่ในอ่าง

"ขอบคุณนะ"

"ไม่เป็นไรหรอก ยังไงเราก็อยู่บ้านเดียวกัน ...ใช้ของร่วมกัน! " ผมเผลอกัดฟันกรอดจนเสียงต่ำลงในประโยคหลัง …เหอะ เวลานี้ต่อให้ผมด่าเอมไปตรง ๆ ก็คงจะเปล่าประโยชน์ ก็ผู้หญิงคนนี้เล่นทำตัวอ่อนต่อโลกตีมึนใส่ตลอดเวลา แต่เดี๋ยวก็รู้กันว่าจะใสซื่อไปได้อีกกี่วัน

“พอชชอบกินอะไรเป็นพิเศษมั้ย วันหลังเอมจะได้ทำให้กินด้วย”

“ไม่ต้องหรอก เรากินอะไรก็ได้”

“ได้ไงกันล่ะ คุณแม่ยกให้เอมดูแลเรื่องอาหารการกินในบ้านแล้ว เอมก็ต้องดูแลให้เท่าเทียมกันทุกคนสิ ตอบว่าเลยว่าชอบกินอะไร”

“อะไรที่ไอ้เต็มชอบ ...เราก็ชอบหมดแหละ” ผมเหลือบตาไปมองคนฟังเล็ก ๆ เอมทำทีหั่นเนื้อสัตว์บนเขียงไม้เหมือนไม่ได้สนใจอะไรนัก

“ดูพอชกับเต็มสนิทกันดีเนอะ”

“เรารู้จักเต็มดีกว่ามันรู้จักตัวเองซะอีก ตั้งแต่มาอยู่นี่ก็มีแค่มันที่คอยเป็นห่วง ...ต้องขอบคุณมันนะที่เห็นว่าเราเป็นคนสำคัญ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าแต่งงานไปแล้วมันจะเห็นว่าเราหรือเอมสำคัญมากกว่ากัน” ผมไม่รู้ว่าเอมกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ดูจากสีหน้าก็พอจะรู้ว่าเธอเองก็เริ่มเก็บคำพูดผมไปคิดเข้าบ้างแล้ว

"เอ่อ... พอชอยู่ที่นี่มานานแล้วหรอ ขอถามได้มั้ยว่าทำไมถึงมาอยู่นี่ได้" ผมเงียบเพราะไม่อยากจะตอบคำถามเบี่ยงเบนประเด็นโง่ ๆ นี่เท่าไหร่ ถึงแม้ว่ามันอาจจะเป็นคำถามที่ช่วยสานสัมพันธ์ระหว่างผมกับเอมให้แน่นแฟ้นขึ้นก็ตาม ก็ลองคุณถูกถามคำถามที่มันเกี่ยวกับความทรงจำฝังใจในชีวิตดูสิครับแล้วจะรู้ว่าการตอบแต่ละครั้งมันเจ็บแค่ไหน...

"แล้วเอมจะอยู่ที่นี่ไปอีกนานแค่ไหนล่ะ คิดดีแล้วหรอที่จะอยู่ที่นี่" รังสีเย็น ๆ ลอยฟุ้งไปทั่วห้องครัว ผมยกยิ้มที่มุมปากเบา ๆ ให้กับการใช้สีหน้าที่ออกจะอึ้ง ๆ ของเอม …เริ่มจะรู้สึกตัวเข้าบ้างแล้วสินะ

"ทำไมพอชถามแบบนั้น" เป็นครั้งแรกที่เอมหยุดการกระทำทุกอย่างแล้วจ้องหน้าผมนิ่ง ผมพยายามอ่านสีหน้าของผู้หญิงตรงหน้าแต่มันก็เกินกว่าที่ผมจะคาดเดานัยยะที่แท้จริงได้ในตอนนี้ ดวงตากลมที่นิ่งสนิทกำลังจะบอกอะไรกับผมกันแน่

"ก็แค่สงสัย ทำไมถึงตัดสินใจแต่งงานกับคนที่เขาไม่ได้รักตัวเอง ...กล้าได้ยังไง"

“เอมว่าจริง ๆ แล้วพอชก้รู้คำตอบของมันดีอยู่แล้ว เอมยอมทำเพราะว่ามันจำเป็น”

“แล้วเมื่อไหร่ความจำเป็นนี่มันจะจบลง...” ผมเริ่มเดินวนรอบตัวเอมและใช้สายตารังเกียจอย่างไม่ได้ตั้งใจ แววตาหวาด ๆ ของเอมเริ่มทำให้ผมเป็นต่อในเกมนี้

“พอช ...อ...เอมว่าเอมทำเองดีกว่า” เสียงของเอมละล่ำละลักเมื่อผมคว้าเอามีดที่อยู่บนเขียงมาไว้ในมือ สายตาผมเอาแต่จ้องคมกริบของมันอย่างสุขใจ ...ฟังไม่ผิดหรอก ผมมีความสุขที่ได้มองคมมีดมากกว่าหน้าผู้หญิงคนนี้หลายเท่านัก

“จำไว้นะเอม ...ของบางอย่างมันมีคนที่จองเป็นเจ้าของไว้อยู่แล้ว ต่อให้เอมเอามันไปได้ ...เจ้าของเขาก็จะกลับมาเอาคืนไปอยู่ดี” ปั๊ก!! ผมทิ้งน้ำหนักมือปักมีดลงกับเขียงไม้จนเอมสะดุ้งตัวโยน ความรู้สึกเกียจชังทั้งหมดทั้งมวลถูกส่งผ่านสายตาที่ผมกำลังใช้มองเธอ ดวงตากลมกำลังสั่นระริกคล้ายจะมีน้ำเอ่อ ๆ ที่ขอบตา ...แย่จังนะที่ต่อไปนี้ผมอาจจะกลายเป็นฆาตกรโรคจิตในสายตาเมียเพื่อนไปซะแล้ว

“พ...พอชหมายความว่ายังไง”

“หึ ...เรื่องเมื่อคืนที่อุตส่าห์ปล่อยเต็มมาอยู่กับเรา ...ขอบคุณนะ” การแสยะยิ้มร้าย ๆ แบบนี้อาจจะเป็นเรื่องไม่สมควรทำกับผู้หญิงซึ่งเป็นเพศแม่ แต่คนที่อยู่ในสถานะอย่างผมมันไม่ได้มีตัวเลือกให้เป็นคนดีมากมายนัก ถ้าผมจะทำชั่ว ๆ เพื่อให้ตัวเองอยู่รอดได้มันก็คงไม่แปลกอะไรใช่มั้ยครับ...





“ทำอะไรพอช”





โอ๊ยยยยย ให้ตายเถอะ ไอ้พอชคนนี้อยากจะขำออกมาซักสิบภาษา อะไรมันจะช่างพอดิบพอดีให้พ่อพระเอกเดินตาดีเดินผ่านเข้ามาขนาดนี้วะ นี่คือผมไม่ได้ดูภาพย้อนของละครเมื่อกี้ใช่มั้ย ...ออ หรือที่จริงแม่งไม่ใช่เรื่องบังเอิญใด ๆ แต่มันต้องการมาดูแลศรีภรรยาทำอาหารกลางวันให้รับประทาน ...แล้วหยุดใช้สายตามองกันด้วยความเป็นห่วงเป็นใยขนาดนั้นจะได้มั้ย จะอ้วก! เสียดายมาม่า

“ก็ไม่ได้ทำอะไร ก็แค่แกล้งเอมเขาเล่นนิดหน่อย ...ดูดิ กูแกล้งนิดเดียวสั่นไปทั้งตัวเลย” ผมถอยห่างออกจากเอมแต่เต็มมันก็ยังไม่เลิกมองอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วง

“เอมอย่าไปฟังมันมาก ไอ้พอชมันก็ชอบแกล้งอะไรไร้สาระแบบนี้แหละ กับยัยต้านี่ประจำ” ดูเหมือนเอมจะผ่อนคลายลงมากจากคำพูดโกหกทั้งเพของไอ้เต็ม เธอหันมามองผมด้วยสายตาเป็นมิตรที่เหมือนจะโล่งอกสุด ๆ ผิดกันกับเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนอย่างสิ้นเชิง ...สภาพงี้แม่งไม่น่าจบอนุบาลสองมาได้ อย่าบอกนะว่าอ่อนต่อโลกจนขนาดเชื่อเหี้ยอะไรง่าย ๆ ไปหมด ...กูจะพูดว่าโง่กูยังสงสารรากศัพท์เลยแม่ง

"ขอโทษนะที่ทำเอมตกใจ ...ไว้วันหลังเรามาเล่นกันใหม่นะ”

60%

ผมเดินผ่านไอ้เต็มให้ไหล่เราสัมผัสกันเพียงนิดอย่างตั้งใจ สองขาผมทิ้งจังหวะเดินช้ากว่าปกติเพราะเสียงฝีเท้าที่เดินตามมาห่าง ๆ แค่ดูสายตาที่มันคาดโทษผมก็รู้แล้วว่ามันไม่ยอมจบโดยที่ไม่ไถ่ถามอะไรผมแน่ เสียงฝีเท้านั่นเดินตามผมมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงชั้นสามแหล่งกบดานอันเงียบสงบของผม... ยังไงก็ขอขอบคุณคุณโสมด้วยแล้วกัน ที่ช่วยเนรเทศมาอยู่ในที่ดี ๆ แบบนี้

“มึงคิดจะทำอะไร” เสียงเย็นชาแต่เกรี้ยวกราดนั่นทำให้มือผมที่กำลังจะเปิดประตูห้องชะงักลง ผมหันกลับไปมองมันชัด ๆ ด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ที่เหนือกว่าสายตาโกรธเล็ก ๆ ของมันอยู่มากโข

“กูก็ไม่ได้ทำอะไรนี่ กูก็คุยกับเอมตามปกติ”

“กูบอกไว้ก่อนนะพอช มึงอย่าทำให้ตัวเองอยู่ยาก มันเป็นแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว อย่ายุ่งกับเอม อย่าเอาเรื่องบ้าบออะไรไปใส่หัวใคร!” เสียงเข้มนั่นทำใจผมที่แตกอยู่แล้วแหลกละเอียดเข้าไปใหญ่ ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้ว่าตัวมันไม่ได้คิดจะแคร์อะไรผมเลยซักนิด

“เรื่องบ้าบอที่มึงเอากูแทบทุกคืนอ่ะหรอ”

“เพอช!!” ไอ้เต็มเปิดประตูห้องในจังหวะที่ผมไม่ทันได้ตั้งตัว มันผลักผมเต็มแรกจนตัวกระแทกลงไปกับพื้นห้องเข้าอย่างจัง ก่อนที่มันจะปิดประตูดังปังจนผมใจเต้นสะดุ้งกลัว แววตาของเต็มมันเปลี่ยนไปแวบนึงตอนที่เห็นผมพยายามจะตั้งสติตัวเอง ก่อนที่มันจะทำขึงขังเหมือนเก่าในที่สุด

“ทำไมวะ กูพูดอะไรผิดตรงไหน” ผมขยับร่างตัวเองให้ไปนั่งพิงอยู่กับขอบเตียง เต็มมันยังใช้สายตาเดิมมองผมโดยที่มันไม่เคยรู้เลยว่าผมกำลังรู้สึกยังไง มันเร็วเกินไปที่ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปหมดแบบนี้ ทันทีที่กลับมาไอ้เต็มคนเดิมของผมมันก็หายตัวไป ...ผมทำผิดอะไรวะ มันบอกให้เป็นเพื่อนผมก็เป็น แล้วไอ้ที่ผมกำลังเจ็บเต็ม ๆ กับคำว่าเพื่อนตอนนี้มันเคยคิดจะรับผิดชอบอะไรบ้างมั้ย

“กับมึง ...กูก็แค่อยากลอง”

“หรอ ...ลองซะหลายทีเลยนะมึง”

“ไอ้พอช!!”

มันวิ่งเข้ามากระชากคอเสื้อจนผมตัวลอยขึ้นจากพื้น ดวงตาขึงขังนั่นจริง ๆ ก็ยังแอบสั่นอยู่ไม่เบา ผมอาศัยจังหวะนั้นเคลื่อนปากเข้าไปประกบเพื่อดูดกลืนเสียงหอบเบา ๆ ของเราทั้งคู่ มันตอบสนองผมกลับมาอย่างไม่ยากนัก สองมือของมันเริ่มเค้นเบา ๆ ที่ต้นคอผมตามสัญชาตญาณ เสียงลมหายใจหอบถี่ดังขึ้นเรื่อย ๆ ให้พอได้ยินกันเพียงสองคน มือของเต็มเริ่มซุกซนไปตามผิวกายของผม อารมณ์ที่เกิดทำให้มันดันผมในล้มตึงลงไปกับเตียง ก่อนที่ริมฝีปากสองคู่จะเริ่มขบเม้มสร้างรอยบนเรือนร่างของกันและกัน





และทุกอย่างก็จบลง

จบลงเพียงเท่านั้น





จู่ ๆ เต็มมันก็เด้งตัวออกจากผมเหมือนคนหัวเสีย ผมลุกขึ้นนั่งชันเข่าข้าง ๆ มันด้วยความรู้สึกที่ตื้อมากจนแทบจะเก็บเอาไว้ไม่อยู่ ทำไมมันถึงต้องทำสีหน้าเหมือนว่าการทำแบบนี้กับผมมันเป็นเรื่องผิดมหันต์ เพราะว่ามันรู้สึกผิดที่แต่งงานกับผู้หญิงที่พึ่งเจอกันสามวันนั่นน่ะหรอ หรือเพราะว่ามันกำลังคิดจะเฉดหัวผมทิ้ง แบบที่ใคร ๆ ก็ทำกับผม

“เพราะอะไรว่ะเต็ม ...ทำไมวะ...ฮึก เพราะมึงรักเอม ...ฮึก ...เพราะมึงรู้สึกผิดกับเอมหรอ” ผมไม่รู้ว่าตัวเองร้องไห้ตั้งแต่ตอนไหน รู้ตัวอีกทีเสียงมันก็สะอึกสะอื้นจนแทบจะพูดไม่รู้เรื่องอยู่แล้ว

“กูขอร้อง มึงอย่าพยายามทำอะไรที่มันไม่ส่งผลดีต่อต่อตัวมึงเอง กูแต่งงานแล้ว มึงก็อยู่ของมึงไป”

“แล้วเมื่อคืนมึงจะมาหากูทำไม! มึงจะมาทำเหี้ยอะไรวะ!” ผมคว้าหมอนฟาดเข้าไปที่หัวมันเต็มแรง แต่นอกจากว่ามันจะไม่สะท้กสะท้านอะไรแล้ว มันยังหันกลับมากำสองมือผมไว้แน่นจนรู้สึกเจ็บ ...แต่ฉไนเลยคำพูดของมันกลับทำให้ผมเจ็บยิ่งกว่า

“เพราะกูสงสารมึงไง กูสงสารที่มึงไม่มีใครเลย ...มึงฟังกู มองหน้ากูพอช ...เพราะว่าต่อจากนี้มึงคงต้องอยู่ด้วยตัวมึงเองแล้ว!”





ทำไมมันเจ็บแบบนี้วะ

เจ็บกว่าที่เคยคาดคิดไว้ก่อนหน้า

เจ็บทั้ง ๆ ที่ในใจก็เคยคิดไว้อยู่แล้วว่ามันจะเป็นแบบนี้





“กูไม่เชื่อมึงหรอกเต็ม… มันจะไม่จบแบบนี้ มึงคอยดู!” เป็นผมเองที่ลากตัวเองออกมาจากห้อง สองแขนยกขึ้นปาดคราบน้ำตาตัวเองลวก ๆ ก่อนที่ภาพแผนการต่าง ๆ จะซ้อนทับเข้ามาในหัวผมอย่างไม่ได้เชื้อเชิญ ผมเริ่มเข้าใจหัวอกของนางร้ายเดรสสั้นปากแดงนั่นขึ้นมาบ้างแล้ว ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมเธอถึงต้องเกรี้ยวกราดอย่างกับคนไม่มีสติ บนพื้นฐานของความรักและการแย่งมา ...อะไรมันก็เป็นไปได้ทั้งนั้น





ถ้าอยากให้ร้ายมากกว่านี้นัก ก็ลองดู


ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3
Chapter 4 น้องสะใภ้


บางทีความอิจฉา... อาจจะเป็นต้นเหตุของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในละครซักเรื่อง มันไม่ใช่ความอิจฉาที่อยากได้อยากเป็น แต่อิจฉาเพราะคิดว่ามันคงจะดีกว่าถ้าที่ตรงนั้นเป็นเรา คนดูไม่เคยเข้าใจความอิจฉาที่ว่านักหรอกครับ แล้วก็ไม่เคยทำความเข้าใจว่าการอิฉจามันไม่ใช่เรื่องแย่ เพราะอะไรล่ะ เพราะภาพที่ถูกนำเสนอมันก็มีแค่บทตัวร้ายขี้อิจฉาคอยถลึงตาและหมุนกรอกตาเป็นเลขแปด จะมีละครซักกี่เรื่องที่ยอมนำเสนอในแง่มุมความคิดของตัวร้าย ยอมอธิบายว่าทำไมกลุ่มคนที่ว่านี้ถึงอยู่ได้ด้วยความอิจฉา และจะมีผู้ปกครองกี่คนที่อธิบายให้ลูกฟังว่าตัวร้ายเหล่านั้นเขาก็มีหัวใจ

คนเหล่านั้นจะต้องทรมานแค่ไหนที่ต้องทนเห็นภาพบาดตาบาดใจ

ผมยืนมองเต็มกับเอมมานานกว่าครึ่งชั่วโมง คนสองคนที่นั่งนิ่งเงียบไม่สนใจกันในสวนกำลังทำให้ใจผมมันหงุดหงิดขั้นสุด ขนาดเต็มเอาแต่สนใจหนังสือนิยายฆาตกรรมในมือ แม่คุณเอมก็ยังเหลือบตามองมันเป็นระยะ ๆ เหมือนจะจับกินซะให้ได้ สายตาแบบนี้ จริตแบบนี้ อย่าคิดว่าคนอย่างผมจะรู้ไม่ทัน ทำตัวเป็นกบ สุวนันท์ไปเถอะ เดี๋ยวซักวันไอ้พอชคนนี้แหละจะกระชากหน้ากากกิ๊ก สุวัจณีออกมาให้ดู

"มองอะไรอยู่หึ ตาพอช" ฝ่ามือที่ทาบลงไหล่ซ้ายทำเอาผมเก็บสายตาของตัวเองแทบไม่ทัน ผมหันไปjยิ้มบาง ๆ ในกับอาบวรก่อนจะเดินนำเข้ามาในตัวบ้านเพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกตมากนัก ...ผมอาจจะถูกเฉดหัวทิ้งถ้าคุณอารู้ว่าผมกำลังวางแผนกำจัดลูกสะใภ้ที่เขาหามาประเคนลูกชาย

"มองอะไรไปเรื่อยเปื่อยนะครับ อะไร ๆ ที่นี่เปลี่ยนไปเยอะเลย" ผมกับคุณอาทิ้งตัวลงบนโซฟา ท่านใช้สายตามองผมอย่างเอ็นดูเหมือนที่เป็นมาตลอด

"กลับมาคราวนี้เราก็เปลี่ยนไปนะ ดูสุขุมเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเยอะ" สาบาน... สาบานว่าไอ้ที่เป็นอยู่นี่เรียกว่าสุขุม ดูไม่ออกจริง ๆ ใช่มั้ยว่าผมกำลังเก็บกด

"อะไรหลาย ๆ อย่างก็ทำให้ผมโตขึ้นครับอา เริ่มรู้ตัวแล้วว่าจะต้องใช้ชีวิตยังไง" ผมยกยิ้มที่มุมปากเล็ก ๆ ให้กับตัวเอง ...ใช่ รู้ตัวแล้ว

"แล้วเราเองวางแผนชีวิตในอนาคตไว้ว่ายังไง"

"............." ผมเงียบแทนคำตอบ เอาเข้าจริงเจอคำถามนี่้ผมก็ไปไม่เป็นเหมือนกัน ก็ในใจมันมีแต่แผนแย่งผู้ชายนี่หว่า...

"ทำหน้าแบบนี้แสดงว่ายังไม่มีแผน"

"คือผม..."

"งั้นพรุ่งนี้ไปเริ่มทำงานที่บริษัทอา อาเตรียมตำแหน่งไว้ให้แล้ว" ผมเลิกคิ้วมองอาบวรด้วยความตกใจ เพราะว่านั่นไม่ใช่ความต้องการลึก ๆ ของผม ไม่มีใครอยากใช้ชีวิตใต้บารมีผู้มีพระคุณไปตลอดหรอกครับ โดยเฉพาะผู้มีพระคุณที่มีเมียปากหมาอย่างกับร็อตไวเลอร์

"ผมไม่รับไว้ได้มั้ยครับ..."

"ถ้ากังวลเรื่องคุณโสม สิทธิขาดในบริษัทมันอยู่ที่อา พอชไม่ต้องกังวลไปหรอก"

"ไม่ได้หรอกครับอา ให้ผมไปหางานอื่นดีกว่า...”

"พอช ...ไปเถอะ ไปเป็นผู้ช่วยเจ้าเต็มมัน อาไว้ใจพอชมากกว่ามันนะ" เดี๋ยวนะ! เหมือนผมพึ่งจะได้ยินอะไรบางอย่างที่ดีต่อใจ ถ้าได้ทำงานกับไอ้เต็มอย่างที่คุณอาพูดจริง ๆ นั่นก็หมายความว่าผมมีโอกาสที่จะทวงมันคืนมาได้มากขึ้นน่ะสิ ...คิดดีแล้วใช่มั้ยที่จะเปิดทางให้ผมแบบนี้

"ผมเกรงใจน่ะครับ คุณอาให้ผมมาเยอะแล้ว ทั้งเรื่องที่คอยดูแลผม ไหนจะส่งผมไปเรียนถึงอังกฤษอีก" ...คุณ ๆ อย่าพึ่งนึกด่าผมในใจกันเลย คนเรามันก็ต้องมีพิธีเล่นตัวให้ดูมีมูลค่านิดนึงใช่มั้ยล่ะครับ

"งั้นก็คือว่าการยอมไปทำงานครั้งนี้ก็คือการตอบแทนบุญคุณอา ตกลงมั้ย"

“แต่ผมก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี”

“ไม่มีแต่”

“...ก...ก็ได้ครับ"

"ดี แค่พอชรับปากอาก็สบายใจแล้ว" ฝ่ามือหนาแตะเบา ๆ ที่ไหล่ผมอีกครั้ง ผมหลบตาต่ำลงเมื่อได้ยินคำว่าสบายใจของอา นี่ถ้ารู้ว่าในหัวผมมันไม่มีเรื่องงานเลยซักนิดอาจะรู้สึกยังไงกันนะ จะยังสบายใจอยู่เหมือนเดิมหรืออยากจะฆ่าเด็กเนรคุณอย่างผมให้ตาย ๆ ไปซะ หึ

แต่รับรอง ...ผมคนนี้จะทำงานตอบแทนให้สมกับที่อุตส่าห์ไว้ใจเลย

ผมยังนั่งคุยเรื่องสัพเพเหระกับคุณอาบวรอยู่พักใหญ่ ดูเหมือนว่าคุณอาเองก็ค่อนข้างที่จะไว้ใจผมถึงได้เล่าเรื่องปัญหาภายในบริษัทให้ผมฟังหลายเรื่อง ครอบครัวนี้ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครับ ก็กินส่วนแบ่งตลาดประเทศไทยได้เกือบสามสิบเปอร์เซ็น เรียกได้ว่าถูกจับตามองเป็นเบอร์์ต้น ๆ ในกลุ่มธุรกิจเดียวกัน เป็นโชคดีของผมที่คุณอาให้ความไว้วางใจเรื่องงานซึ่งเป็นเส้นเลือดหลักของครอบครัวได้ขนาดนี้ เพราะว่ามันก็จะเป็นผลดีกับเรื่องอื่น ๆ ที่อาจจะทำให้ผมได้รับความไว้ใจตามมาด้วย คราวนี้จะทำอะไร จะพูดอะไรมันก็แสนสะดวก... ถ้าจะเป่าหูก็คงไม่ยาก





ถ้าคุณจะถามผมว่าเคยคิดเรื่องอื่นนอกจากเรื่องชั่ว ๆ บ้างมั้ย

คำตอบคือไม่ ...เพราะชีวิตผมต้องดำเนินด้วยความรัก

อะไร?? หน้าผมมันไม่เหมาะกับการพูดอะไรแบบนี้หรอ หึหึ

"พี่พอชชชช อยู่นี่เอง" ต้าเดินเข้ามาด้วยท่าทางสดใส รอยยิ้มกว้าง ๆ นั่นผมเห็นมันมาตั้งแต่เด็ก จริง ๆ ผมก็รักน้องต้าเหมือนน้องสาว เธอเป็นเด็กน่ารัก รู้จักพูดมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่ก็อย่างว่าแหละ ...คนอย่างผมมันรักตัวเองมากกว่า

"อ้าว ไอ้ลูกคนนี้ พ่อนั่งหัวโด่ไม่ทักซักคำ"

"ก็ต้าเจอคุณพ่อตั้งแต่เช้าแล้วนี่คะ แต่ต้ายังไม่เจอพี่พอช"

"มีอะไรรึเปล่าต้า"

"มีค่ะ แต่ต้าจะคุยกับพี่พอชแค่สองคน" มือเล็ก ๆ นั่นพยายามฉุดกระชากอาบวรให้ยืนขึ้น ผู้เป็นพ่อส่ายหัวระอาเล็ก ๆ ก่อนจะยอมเดินจากไปแต่โดยดีตามคำขอร้อง? ของลูกสาวตัวเอง

"ว่าไง มีอะไรคะ"

"เอ่อ ...คือ รู้แล้วเหยียบนะคะพี่พอช"

"อืม มีอะไร หน้าระรื่นแบบนี้มีข่าวดีแน่ ๆ ใช่มั้ย" ต้าพยักหน้ารับก่อนจะก้มมาพูดเสียงเบาไม่ห่างจากหูผมนัก

"ต้าได้รับเลือกให้เป็นนางเอกละครเวทีแล้วค่ะ"

"เฮ้ย! จริงป่ะเนี่ย ดีใจด้วยนะคะ เก่งที่สุดเลยยย" ผมโยกหัวต้าแรง ๆ แสดงความยินดีตามประสา ไม่รู้ว่าผมเคยบอกไปรึยังว่าต้าเรียนยังเรียนอยู่ครับ ปีนี้ปีสี่แล้ว ถึงจะต้องเรียนบริหารตามคำบัญชาของคุณโสม แต่เธอก็ยังมีความพยายามในการทำตามความฝันของตัวเองอยู่ดี ตั้งแต่โตมาผมก็เห็นต้าแอบร้องรำทำเพลงอยู่บ่อย ๆ แถมหน้าตาน่ารัก ๆ นี่ก็ไปเป็นดาราได้สบาย ก็มีผมกับไอ้เต็มนี่ล่ะครับที่สมัยก่อนคอยไปดูยัยต้าตามงานโรงเรียน ถ้าผู้เป็นแม่ไม่เอาแต่ใจแล้วพยายามเข้าใจลูกบ้างป่านนี้ยัยต้าอาจจะเข้าวงการไปถึงไหนต่อไหนแล้ว

"พี่พอชต้องไปดูนะคะ ต้าพยายามมาสามปีแล้ว มาได้ปีนี้เพราะรอพี่พอชเลยนะเนี่ย"

"แน่นอนอยู่แล้ว พี่จะพลาดได้ไง"

"ออ... ห้ามบอกคุณแม่นะคะ ...คุณพ่อก็ห้าม"

"เอาอีกแล้ว เห้อ ให้พี่ตามปิดให้ตั้งแต่สมัยประถม นี่จะจบมหาลัยแล้วนะเราน่ะ"

"ช่วยไม่ได้ ก็คุณแม่ไม่ยอมเข้าใจเอง" สีหน้าน้องต้าดูสลดลงเล็ก ๆ ผมโยกหัวเธอเบา ๆ เป็นการปลอบใจ บางทีก็อาจจะมีแต่ผมกับไอ้เต็มที่เข้าใจน้องสาวคนนี้ว่าต้องการอะไร ถึงแม้บางครั้งจะดูเป็นเด็กหัวอ่อนแต่เด็กคนนี้ก็มีความคิดเป็นของตัวเองและมีความเปราะบางอยู่เช่นกัน

"โอเค คราวนี้ช่วยปิดให้แต่ต้องเลี้ยงข้าวพี่ด้วยนะ"

"ได้เลย แต่ต้าจะให้พี่เอมทำให้กินนะ"

"เอม...."

"ใช่ค่ะ ต้าบอกเรื่องนี้แค่พี่พอช พี่เต็ม แล้วก็พี่เอม เดี๋ยวต้าจะให้พี่เอมทำอาหารมื้อใหญ่เลี้ยงเป็นการตอบแทนนะคะ" จู่ ๆ ผมก็เผลอกำมือตัวแน่นเพราะว่าคาดการณ์บางอย่างผิดไป ทั้ง ๆ ที่คืนวันแต่งงานน้องต้ายังดูไม่ชอบใจพี่สะใภ้คนใหม่แต่ทำไมเวลาผ่านมาแค่ไม่กี่วันถึงได้ไว้ใจให้รู้ความลับที่สำคัญต่อเธอแบบนี้ ...มันไม่ควรเป็นแบบนี้สิ ผู้หญิงคนนี้ไม่ควรได้รับความไว้วางใจเทียบเท่าผม

"ไม่ได้ลงทุนเลยนะเรา" ผมแสร้งย้มออกไปทั้ง ๆ ที่ในใจกำลังประมวลผลเหตุการณ์ทุกอย่าง ผมคงจะลืมไปว่ามันจะต้องมีโมเม้นต์พี่สะใภ้กับน้องสาวคุยกันถูกคอโดยที่ผมไม่ได้อยู่ตรงนั้น พอได้คุยกับตามประสาผู้หญิงความสัมพันธ์มันก็ต้องพัฒนาเป็นธรรมดา เห็นทีงานนี้ผมจะปล่อยให้เอมมีคนคอยให้ท้ายเพิ่มขึ้นอีกคนไม่ได้แล้วล่ะ









ขอโทษนะ ...ถึงเวลาไอ้พอชมีพวกบ้างแล้ว









มื้อเย็นมาถึงเร็วกว่าที่ผมคิด อาหารไทยหน้าตาน่ากินถูกจัดเรียงมาเต็มโต๊ะ ดูก็รู้ว่าเป็นฝีมือลูกสะใภ้ผู้เป็นสุดยอดแม่ศรีเรือนที่รังสรรอาหารมาได้เหมือนกำเนิดเกิดในยุคอโยธา ไม่รู้ว่าเพราะกลิ่นของอาหารหรือเพราะกลิ่นตุ ๆ เรื่องใดที่ทำให้ผมมานั่งสาระแนนร่วมโต๊ะในตำแหน่งเดิมโดยไม่ต้องมีใครเชื้อเชิญ ไม่รู้ว่าทำไมวันนี้ถึงได้รู้สึกว่าผมจะเจริญอาหารเป็นพิเศษ

"วันนี้อาหารน่ากินจังเลยลูก ว่ามั้ยเต็ม"

"ครับ" ผมเงยหน้าขึ้นมองไอ้เต็มที่ไม่คิดแม้แต่จะหันมาแลผม เชื่อมั้ยล่ะครับ ตั้งแต่เรื่องคืนนั้นผมกับมันก็ไม่มีโอกาสได้พูดคุยกันอีกเลย ระหว่างที่มันตัวติดกันกับเอมผมก็เอาแต่ครุกอยู่ในห้องหรือไม่ก็มาแอบเหล่มองมันแล้วเบ้ปากซ้ายขวาอยู่ไกล ๆ อย่างกับโรคจิต แต่ถ้ารู้ว่ามันจะไม่สนใจใยดีขนาดนี้ คราวหลังจะได้ไปยืนมองตรง ๆ ให้มันรู้แล้วรู้รอด

"มีสะตอผัดกุ้งของโปรดต้าด้วย รู้ใจที่สุดเลยค่ะพี่เอม" น้องต้าเข้ามาทีหลังสุดก็มีอาการกระดี้กระด้าแฮปปี้กับอาหารอย่างเห็นได้ชัด ...เดี๋ยวก็รู้กันค่ะน้องต้า ว่าสะตอเนี่ย ...อร่อยรึเปล่า

"ชอบก็ทานเยอะ ๆ เลยนะ ถ้ารสชาติจานไหนไม่ถูกปากบอกเอมได้นะคะทุกคน" จ้า แม่นางฟ้า กูก็นึกว่าเซฟกะทะเหล็กลงมาจุติ

"ฝีมือของหนูเอมมันก็ต้องถูกปากพวกเราอยู่แล้ว" คำเยินยอของอาบวรทำให้ผมต้องพินิจพิจารณาจานอาหารทีละจานอีกรอบ ทีแรกก็กะจะมองว่ามันจะแดกได้ตามที่คนอื่นเชิดชูหรือเปล่า แต่มองไปมองมาผมกลับยกยิ้มสุขใจได้เต็มปาก ว้า... มันต้องมีความผิดพลาดเกิดขึ้นแน่ ๆ เลยเอม

"เต็มลองสะตอผัดกุ้งหน่อยนะ" ผมมองตามช้อนกลางที่ไปหยุดแหมะในจานของเต็ม คือถ้าฉลาดซักหน่อยเอมก็ควรจะเห็นสีหน้ายาก ๆ ของคนอื่น และสีหน้าหวานอมขมกลืนของเต็มที่มันเริ่มชัดซะยิ่งกว่าอะไร

"เอ่อ...."

"แต่งงานกันมาก็ตั้งหลายวันแล้วเนอะ ...แต่ดันไม่รู้ว่าไอ้เต็มมันแพ้กุ้ง" ทำไมทุกคนพร้อมใจกันหันมามองแบบนั้นล่ะ ไม่ต้องส่งสายตามาขอบคุณก็ได้ มันเป็นหน้าที่ของไอ้พอชอยู่แล้ว

"จริงหรอคะ" แหม่...พูดขนาดนั้นล้อเล่นมั้ง

"จริงจ่ะลูก แต่ไม่เป็นไรนะ แม่กับยัยต้าชอบมากเลยสะตอผัดกุ้งเนี่ย" ทำไมจะไม่เห็นว่าคุณโสมแอบส่งสายตาบอกรักมาให้ผม แล้วไหนจะสายตาหวานเยิ้มจากเต็มที่มองมาอีก ...อ้าว ไม่ใช่หรอ โทษที

"ก็เห็นเอมเคยบอกว่าอยากทำอาหารที่ทุกคนชอบ ผมก็นึกว่าเอมรู้นะเนี่ย"

"ขอบคุณนะพอช ถ้าพอชไม่พูดเอมก็ไม่รู้เลยจริง ๆ "

"ออ...อีกอย่าง เต็มมันไม่ชอบกินผักชี ถึงมันจะกินได้แต่มันก็ไม่ชอบกลิ่น" อุ๊บส์ เต็มแกงจืดไปหมดเลย บังเอิญจัง

"แกงกะทิมันก็ไม่ค่อยชอบนะ เพราะว่ามันเลี่ยน" อวสานมัสมั่น

"จริง ๆ มีอีกหลายอย่างเลยนะ แต่ว่าตอนนี้นึกไม่ออก ...ว่าง ๆ ก็หัดบอกคนรู้ใจบ้างนะเต็ม" ผมกระตุกยิ้มร้ายเบา ๆ ก่อนจะตักอาหารเข้าปากอย่างอิ่มเอมโดยไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนทั้งนั้น แหม่...ฝีมือแม่ครัววันนี้ดูจะอร่อยถูกปากผมเป็นพิเศษจริง ๆ แต่ถ้าจะให้ดีมื้อนี้ก็ควรจะมีของหวานปิดท้ายอีกซักหน่อยนะ

"ทานกันเถอะครับ อะไรผมก็ทานได้ทั้งนั้น" เต็มว่าก่อนจะเหลือบตามองผมแรง ๆ หนึ่งที สงสัยจะแตะต้องคุณเอมของมึงไม่ได้เลยใช่มั้ยล่ะครับคุณเต็ม มองแบบนี้ลุกขึ้นมาชี้หน้าด่ากูเลยดีกว่ามั้ง

"เอ่อ ...จริง ๆ วันนี้น้องต้ามีข่าวดีจะบอกทุกคนด้วยนะคะ"

“อะไรกันคะพี่เอม”

“ก็เรื่องที่มหาลัยไงต้า” สิ้นเสียงเอมยัยต้าก็หันมามองผมด้วยสีหน้าเลิ่กลั่ก ผมที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็ตบเข้าที่ไหล่เบา ๆ เพื่อบอกว่าให้ใจเย็นไปก่อน

"มีอะไรยัยต้า"

"บอกคุณแม่ไปสิต้า พูดเลย"

"ไม่มีอะไรค่ะคุณแม่" น้องต้าหลบสายตาพ่อกับแม่ตัวเองก่อนจะพยายามส่งสัญญาณให้ผู้หญิงที่กำลังยิ้มกว้างตรงหน้าหยุดพูดในสิ่งที่อาจจะทำความฝันของเธอพัง แต่ผู้หญิงฉลาด ๆ คนนี้ก็ยังไม่สังเกตเห็นสัญญาณจากใคร ไม่เว้นแม้แต่ผู้ทราบเรื่องอีกคนอย่างเต็มที่พยายามปรามทางสายตา

"เอ่อ เอม"

"น้องคงจะไม่กล้าพูดน่ะค่ะ คืองี้นะคะ น้องต้าได้รับเลือกเป็นนางเอกละครเวทีของมหาวิทยาลัยค่ะคุณพ่อ คุณแม่" โอ๊ะโอววววว ขนมหวานมาเร็วกว่าที่คิดแหะ

“อะไรนะ เป็นความจริงหรอต้า”

“บอกคุณแม่ไปสิ ท่านไม่ว่าอะไรหรอก” น้องต้ากำสองมือตัวเองแน่นราวกับกำลังโกรธจัด สีหน้าขุ่นเคืองนั่นทำให้เอมหน้าเสียไปเหมือนกัน ผมเอื้อมมือไปตบไหล่น้องต้าเบา ๆ ตามหน้าที่ ขณะที่เต็มเริ่มถอนหายใจเพราะรู้ชะตากรรมทุกชีวิตบนโต๊ะต่อจากนี้ดี

“จริงหรอต้า!”

“จ...จริงค่ะ” สุดท้ายก็คงต้องตอบความจริงออกไปอยากไม่มีทางเลือก น้องต้าก้มหน้าลงนิ่งเพราะไม่อยากมองสีหน้าที่โกรธยิ่งกว่าอะไรของคุณโสม ...รางสังหรณ์มันดังว่าจะมีระเบิดลงแหะ

“ทำไมถึงชอบไปยุ่งเรื่องไร้สาระแบบนี้ห่ะ!”

“มันไม่ได้ไร้สาระซักหน่อย”

“ไปถอนตัวซะ”

“คุณแม่!!”

“ลุกขึ้น แล้วไปคุยกับแม่เดี๋ยวนี้เลยต้า!!” คุณโสมพยายามฉุดน้องต้าให้เดินตามไปจากตรงนั้น ในขณะเดียวกันน้องต้าก็พยายามหันมาขอความช่วยเหลือจากผม

“คุณโสมครับ คือเรื่องนี้ผมอธิบายแทบต้าได้นะครับ ...คือ...” แต่ดวงตาถมึงทึงนั่นทำให้ผมเม้มปากแน่นแทบจะทันที คือพี่พยายามช่วยอย่างเต็มที่แล้วจริง ๆ แต่พอพี่เห็นหน้าแม่น้องต้าแล้ว ...พี่ไม่สู้ หึหึ

“ต้า ไปคุยกับแม่ให้รู้เรื่อง!!”

ซ่าาาา!! ผู้เป็นลูกสบัดแขนหาอิสรภาพให้ตัวเองอย่างสุดแรงเกิด ก่อนจะคว้าเอาแก้วน้ำเปล่าใกล้มือสาดเข้าหน้าเอมด้วยความโมโหทั้งหมดที่มี เรื่องมันกำลังจะดีอยุ่แล้วเชียวถ้าเอมไม่สะเออะพูดเรื่องต้องห้ามนี่ขึ้นมาบนโต๊ะอาหาร จนถึงวินาทีที่เปียกไปทั้งร่างก็ดูเหมือนว่าเอมพึ่งจะรู้ตัวว่าได้ตัดสินใจทำบางอย่างที่ผิดพลาดสุด ๆ ไป ...แต่เสียใจว่ะ ของแบบนี้มันย้อนเวลากลับไปคิดใหม่ไม่ได้อยู่แล้ว ....ว้า คงจบแล้วสินะ ...มิตรภาพดี ๆ ของพี่สะใภ้กับน้องสามี

“จำไว้นะพี่เอม!! จำไว้!!”



30 นาทีก่อนเริ่มมื้ออาหาร

“เอม... เราขอคุยอะไรด้วยหน่อยได้มั้ย”

“มีอะไรหรอพอช”

“เอมรู้แล้วใช่มั้ยเรื่องต้าได้แสดงละครเวที คือเมื่อกี้ต้ามาขอให้เราช่วยพูดกับคุณอา เห็นว่าจำเป็นต้องบอกภายในวันนี้ ทีแรกเราก็กะจะช่วยบอกให้ตอนมื้อเย็น แต่ก็กลัวว่าถ้าเป็นเราเรื่องมันอาจจะจบไม่สวย เอมก็รู้ว่าคุณอาโสมต้องไม่ฟังเราแน่ ๆ เราไม่รู้จะทำยังไงดี... เอมพอจะช่วยหน่อยได้มั้ย”

“แต่.....”

“ถ้าเอมไม่ช่วยก็ไม่มีใครช่วยต้าได้แล้วนะ มันขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเอม... เราไม่ได้บังคับ”

ไม่เคยคิดมาก่อนเลย ว่าการได้กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตามันจะมีความสุขขนาดนี้

เห้อ... มื้อนี้อาหารอร่อยจริง ๆ โว้ยยยยยยย!!

.

.

.

TBC




ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3
Chapter 5 สิ่งที่ทำให้ไม่ได้

เคยได้ยินว่าแรงโกรธของผู้หญิงมันน่ากลัวเหนือสิ่งอื่นใด ผมก็พึ่งเข้าใจเอาวันที่เห็นอิทธิฤทธิ์ของเด็กสาวคนนึงต่อหน้าต่อตาจนแทบจะปรบมือให้แก่ความร้ายกาจระดับประถมนั่น แต่ก็เพราะจังหวะความร้ายที่น่าเลื่อมใสนี่แหละ ที่ทำให้ผมเป็นผู้โชคดีได้น้องสาวพระเอกมาเป็นพวกเฉกเช่นเดียวกับตัวร้ายในละครน้ำเน่าหลาย ๆ เรื่อง ผมถือว่านี่เป็นการลงทุนทางสมองที่แสนคุ้มค่า ...สุดท้ายคติที่ว่าคนโง่ย่อมตกเป็นเหยื่อของคนฉลาดมันก็ยังใช้ได้เสมอ





จะว่าไปก็แอบสงสารเอมที่จู่ ๆ ก็เจอน้องสามีเกลียดเข้าไส้

แต่ไม่เป็นไร...เพราะว่าผมสงสารตัวเองมากกว่า





“จะไม่ไปเรียนแน่จริง ๆ หรอต้า พี่ไม่อยากเห็นเราเป็นแบบนี้เลย” ผมลูบเบา ๆ บนหัวนอกสาวนอกไส้ สภาพต้าตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่ผ่านศึกมาอย่างหนัก นี่ลักษณะก็คงจะร้องไห้มันทั้งคืนเพราะโดนคุณโสมยื่นคำขาดไม่ให้ไปยุ่งเกี่ยวกับละครเวทีที่เธอคิดเอาเองว่ามันไร้สาระเหลือเกิน

“ต้าไม่อยากไปค่ะ ในเมื่อคุณแม่ทำแบบนี้กับต้า ต้าก็จะไม่เรียนในสิ่งที่คุณแม่ชอบเหมือนกัน”

“เรื่องเรียนต้าไม่ต้องทำเพื่อคุณแม่ก็ได้ ทำเพื่อตัวเอง เพื่อพ่อ เพื่อไอ้เต็ม เพื่อพี่สิคะ ...ต้าใกล้จะเรียนจบอยู่แล้ว พอต้าผ่านตรงนี้ไปได้คราวนี้อยากจะทำอะไรต้าก็ค่อยทำ” ผมพยายามยิ้มกว้างสู้สีหน้าหมอง ๆ ของน้องต้า แววตาเลื่อมใสที่เธอกำลังมองมามันสะท้อนชัดว่าตอนนี้คำพูดของผมมันกำลังมีอิทธิพลมากแค่ไหน

“แต่ต้าไม่อยากไปเรียนแล้ว ถ้าต้าไปต้าก็ต้องไปลาออกจากงานละครอยู่ดี”

“ก็ไม่จำเป็นต้องไปลาออกนี่”

“พี่พอชหมายความว่ายังไงคะ” น้องต้ามองผมด้วยแววตาที่เป็นประกายและเปี่ยมไปด้วยความหวัง ผมวางมือทับลงกลางหัวน้องนิ่ง ๆ ราวกับกำลังออกคำสั่งให้ตั้งใจฟัง

“คุณแม่ไม่ได้ตามไปมหาลัยด้วยซะหน่อย เอาเป็นว่าถ้าไม่ซ้อมหนักกลับดึกจนผิดสังเกต ...พี่จะช่วยเอง”

“จริงนะคะ!! พี่พอชน่ารักที่สุดเลย” คนที่เคยนั่งหมองอยู่ก่อนหน้ากระโดดกอดผมด้วยความดีใจ ผมกอดตอบน้องต้าเบา ๆ ตามหน้าที่ของพี่ชายที่ดี การช่วยเหลือน้องสาวในยามที่กำลังทุกข์ใจถือเป็นเรื่องดีไม่ใช่หรอครับ ...เชื่อผมเถอะ บางทีผมมันก็ไม่ได้ชั่วขนาดนั้นหรอก

“แล้วเรื่องเอม...”

“ไม่! ต้าไม่ไปขอโทษ!” น้องต้าเด้งตัวออกจากอ้อมกอดแทบจะทันที แววตาโกรธแค้นกำลังฉายชัดราวกับฉายภาพย้อน นับตั้งแต่เกิดเรื่องก็ได้ข่าวว่าแม่นางเอกไม่กล้าแม้แต่จะเดินผ่านห้องน้องต้าด้วยซ้ำ แต่ที่หนักก็คือแม่คุณนั่งร้องไห้ทุกสิบวินาที โดนสาดน้ำเปล่าแก้วเล็กนิดเดียวทำเป็นสำออยฟูมฟายอย่างกับโดนสาดน้ำกรด ออ ...ลืมไป ถ้าเป็นนางเอกสภาพจิตใจมันต้องบอบบาง

“จริง ๆ พี่ก็แอบมีส่วนผิดนะต้า พี่ไม่น่าไปปรึกษาเขาจนเป็นเรื่องแบบนี้เลย แต่เอมก็คงหวังดีอยากจะช่วยเรานะ” เอาสิ ...ที่พูดมานี่ไอ้พอชไม่ได้โกหกนะ มันเป็นแบบนี้จริง ๆ

“พี่พอชไม่ต้องโทษตัวเองเลยนะคะ ต้าไม่น่าคิดไปไว้ใจผู้หญิงคนนั้นเลย สัญญาไว้แล้วแท้ ๆ ว่าจะไม่พูด ...เชื่อไม่ได้!”

“ไม่เอาละ ไม่ทำหน้ามุ่ยแล้วนะ อาบน้ำแต่งตัวไปเรียน ถ้าอยากจะทำอะไรเราก็ต้องตั้งใจทำให้มันดี แล้วพี่จะไปดูวันแสดง โอเคมั้ยคะ” ผมดีใจนะที่เห็นน้องต้ายิ้มกว้างได้สดใสแบบนี้ เพราะว่าอย่างน้อย ๆ เด็กผู้หญิงคนนี้จะได้จำได้ว้าใครเป็นคนอยู่ข้างเธอในยามที่กำลังเดือดเนื้อร้อนใจ ...และในยามที่เธอคิดจะหาที่พึ่ง ...จะได้นึกถึงผมคนนี้เป็นคนแรก

“โอเคค่ะ”

“งั้นพี่ไปทำงานแล้วนะ แต่งตัวออกจากห้องสวย ๆ หน้าตาสดใส ทำได้มั้ย”

“ทำได้ค่ะ ต้ารักพี่พอชที่สุดเลย” น้องตาโผเข้ากอดผมอีกครั้ง คราวนี้ผมลูบหัวเธอเบา ๆ ตอบกลับไป

“รักมากกว่าไอ้เต็มป่ะ”

“แน่นอนอยู่แล้ว รายนั้นให้เขารักเมียปีศาจไปคนเดียวเถอะ น้องนุ่งไม่คิดจะมาไถ่ถามซักคำ” โอ้โห... ผมนี่ประทับใจสุด ๆ เลยครับ ประโยคนี้มันใช่ ....เมียปีศาจ

“อ้าว เป็นงั้นไป”

“ไม่เอาแล้วค่ะ ต้าไม่คุยด้วยแล้ว พี่พอชไปทำงานเถอะ เดี๋ยวพี่เต็มจะรอ”

ถึงคราวหมดประโยชน์ต้าก็ดันผมออกจากห้องเธออย่างอารมณ์ดี ส่วนผมตอนนี้ก็มีอารมณ์ดี ๆ ไม่แพ้กัน วันนี้ผมต้องไปเริ่มงานวันแรกครับ และแน่นอนว่าอาบวรฝากฝังผมกับมันให้ช่วยเหลือกันและกันเรียบร้อย ผมก็หวังว่ามันจะเป็นอย่างที่ในใจลึก ๆ มันคาดไว้ อย่างน้อยถ้าผมมีเวลาได้อยู่ใกล้ชิดมันมากขึ้นอะไร ๆ มันอาจจะดีขึ้นมาก็ได้

“ไอ้เต็มล่ะครับป้าวรรณ” ผมเอ่ยถามเมื่อลงมากลางโถงชั้นล่างแล้วมองหาคนที่ควรจะนั่งรอผมอยู่ อย่าบอกนะว่า...

“คือ...คุณเต็มออกไปเมื่อกี้เองค่ะ” ทำไมผมไม่ไปเป็นเทพธิดาพยากรณ์ให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลยวะ ไอ้บ้านั่นไม่คิดจะรอผมเลยด้วยซ้ำ นี่ขนาดว่าพ่อมันสั่งไว้ว่าให้ผมไปพร้อมกันกับมันมันยังกล้าขัดซึ่ง ๆ หน้าได้ขนาดนี้ ...ก็เอาซี้ ถ้าคิดว่าแค่นี้จะทำให้ไอ้พอชบอบช้ำได้ ไม่รอก็ไม่ต้องรอสิวะ!!

.

.

.

สงสัยที่เขาว่าตัวร้ายมักจะกระทำความชั่วไม่สำเร็จมันจะพอมีมูลความจริงอยู่บ้างนะครับ เริ่มด้วยช่วงเช้าที่ไอ้เต็มไม่ยอมรอให้ผมเป็นตุ๊กตาผีหน้ารถออกมาด้วย ต่อด้วยวันแรกของการทำงานที่ผมได้รับเซอร์ไพร์สเป็นห้องพักทำงานสุดหรูที่ดันอยู่ไกลจากกรรมการบริษัทคนใหม่อย่างไอ้เต็มราว ๆ เจ็ดโยชน์





แม่งเอ๊ยยย งานก็ต้องทำ ผัวก็ต้องทวง ชีวิตแฮปปี้สัด ๆ





"คุณพอชคะ เอกสารที่เหลือพี่วางไว้ตรงนี้นะคะ"

"ขอบคุณครับ" ผมทิ้งตัวพิงลงกับเก้าอี้อย่างท้อแท้ ให้ตายเถอะอยากให้คุณรู้เหลือเกินว่าเมื่อกี้ผมกล้ำกลืนฝืนทนในการพูดคำว่าขอบคุณแค่ไหน เอกสารบ้าบอพวกนี้มันแทบจะล้มทับผมตายอยู่แล้ว ผมไม่ใช่คนขี้เกียจนะครับแต่เพียงว่าสมองและสภาพจิตมันไม่เอื้ออำนวยให้เป็นคนขยันเอาการเอางานตอนนี้จริง ๆ โคตรเข้าใจว่านางเอกละครทำไมต้องหาผัวรวย มันจะไม่ได้ต้องมาทำงานหลังคดหลังแข็งแบบนี้ไง

"ไหวมั้ยคะเนี่ย ทำงานไม่หยุดเลย ขยันสมกับที่คุณบวรไว้ใจจริง ๆ " พี่พริ้งผู้ช่วยคนเก่งที่อาบวรจัดหาให้ผมกำลังกล่าวชมอย่างปลื้มปิติ จริง ๆ ผมก็อยากจะเอ่ยชมพี่พริ้งแทบใจจะขาดเช่นกันที่ขยันหางานมาให้ทำตั้งแต่วันแรกแบบนี้ ....ประทับใจเชี่ย ๆ เลยครับพี่

"ไม่หรอกครับ ผมก็ทำเท่าที่ทำได้"

"งั้นถ้ามีอะไรให้พี่ช่วยรีบบอกนะคะ" ไม่มีอะไรให้ช่วยหรอกตอนนี้น่ะ นอกจากจะขอยาดมยาหม่องมาซักโหล





เดี๋ยวนะ ...เรื่องให้ช่วยหรอ





"เอ่อ......" จะถามถึงไอ้เต็มดีมั้ย ...ถ้าถามจะโป๊ะแตกป่าววะ

"มีอะไรคะ"

"คือ......" ก็จะถามแค่ว่ามันทำงานเป็นยังไงนี่หว่า ไม่เป็นไรมั้ง

"คุณพอชคะ" พี่พริ้งพยายามโบกไม้โบกมือเรียกสติผม ...หรือจริง ๆ แล้วผมไม่ควรถาม หรือทำอะไรเชิงสัญลักษณ์ตั้งแต่วันแรก

"ผมว่าจะขอออกไปยืดเส้นยืดสายหน่อยน่ะครับ" ผมตัดสินใจพูดออกไปแบบนั้น ไม่รู้ว่าผมจะคิดมากไปรึเปล่าว่าการที่ทำให้คนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องสงสัยมันจะทำให้ผมขยับตัวทำอะไรยากขึ้น





คิดจะชั่ว มันต้องชั่วอย่างรอบคอบ





"ได้สิคะ ให้พี่ไปเป็นเพื่อนมั้ย จะได้ถือโอกาสแนะนำแผนกอื่น ๆ ด้วย"

"ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมจัดการเองดีกว่า" ผมยิ้มเรียบ ๆ ตอบแทนความมีน้ำใจที่ไม่จำเป็นของพี่พริ้ง อาบวรก็ดูเป็นคนหัวสมัยใหม่นะครับถึงได้จัดออฟฟิตได้ดูน่าอยู่ มีจัดแบ่งโซนสำหรับพนักงานได้พักผ่อนชัดเจน ที่สำคัญกฏระเบียบก็ดูเหมือนจะมีไว้แปะข้างฝาเท่านั้น ทุกคนที่นี่ถึงได้ดูรื่นเริงยามทำงานขนาดนี้





ระหว่างทางเดินจากห้องทำงานของผมไปถึงห้องพักของกรรมการบริษัทคนใหม่คนนั้นจำเป็นต้องเดินผ่านในทุก ๆ แผนกอย่างเลี่ยงไม่ได้ เปรียบเทียบง่าย ๆ ว่าอยู่ตรงหัวราชสีห์กับหางหมาก็คงไม่ผิดนักมั้งครับ เอาดี ๆ นี่ก็เหมือนโดนหลอกเหมือนกันแหะ ถ้าจะจับแยกกันขนาดนี้ไม่เรียกว่ามาทำงานด้วยกันแล้วมั้ง หึหึ





"เออ แกได้เห็นหน้าลูกชายคุณบวรที่มาทำงานใหม่ยัง"

"เห็นละ ก็หล่อดีนะ แต่ท่าทางเหมือนคนทำงานไม่เป็นว่ะ" ขาผมสะดุดกึกทั้ง ๆ ที่อีกไม่ถึงสิบก้าวจะถึงห้องไอ้เต็มอยู่แล้ว สองตามันเหล่มองเจ้าของเสียงนั่นโดยอัตโนมัติ พนักงานสาวต็อกต๋อยกำลังใช้เวลางานในการนินทาเจ้านายงั้นหรอ ...น่าสนุกดีนะ

"จะเอาอะไร ลูกเจ้าของบริษัท อ่านหนังสือออกเซ็นลายเซ็นได้ก็พอละป่ะ" ผมหาที่เหมาะ ๆ ทำทีหันหน้ามองออกไปด้านนอกราวกับไม่ได้ตั้งใจจะฟังข้อความใด

"เออ จริง นี่เห็นว่ามีอีกคนที่มาเป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาด"

"ใช่ ๆ คนนี้เขากำลังเม้าท์กันเลยว่าหน้าหล่อ แต่ดูเหวี่ยงแถมบุคลิคหยิ่งมาก" เดี๋ยวนะครับ ที่กำลังพูดถึงอยู่นี่ไม่ใช่พูดถึงผมใช่มั้ยเอ่ย?

"อยากเห็นหน้าว่ะ แล้วคนนี้ใคร ญาติฝ่ายไหนของคุณบวรอีกล่ะ"

"นามสกุลไม่เหมือนคุณบวรนะ แต่เห็นพวกที่แผนกว่า....เป็นเด็กเหลือขอที่คุณบวรเก็บมาเลี้ยง" ประโยคหลังนี่ผมไม่รู้ว่าหญิงสาวพยายามจะกระซิบกระซาบหาพระแสงของ้าวอะไรอีก ถ้าจะปากไม่มีหูรูดกันขนาดนี้แล้วพูดออกมาตรง ๆ เสียงดัง ๆ ก็คงไม่เสียหายอะไรแล้วมั้ง

"จริงหรอวะแก ขนาดเขาเก็บมาเลี้ยงยังมีหน้ามาหยิ่งอีกหรอวะ"





เก็บมาเลี้ยงหรอ ....อืมจริง

เหลือขอหรอ ....อืมก็ใช่นะ

หยิ่งหรอ ....อืมมั้ง

เหวี่ยงหรอ ....อืม ....สงสัยจะต้องพิสูจน์ให้ดูซะแล้วมั้ง





"ขอโทษนะครับ" สองสาวทำหน้างง ๆ เมื่อเจอความเรียบร้อยและรอยยิ้มสดใสอันแสนจะเป็นมิตรบนใบหน้าผม

"คะ? มีอะไรรึเปล่า" แหม่ ช่างเป็นผู้หญิงที่จิตใจดีจริง ๆ อุตส่าห์จะมีน้ำใจ ...ออ แล้วไอ้ที่พยายามเก็บอารมณ์เคลิ้มกับหนังหน้าผมเนี่ย หยุดซะเถอะครับทั้งสองท่าน

"พอดีผมพึ่งมาทำงานที่นี่เป็นวันแรก เลยจะมาขอแนะนำตัวหน่อย" เธอสองคนหันไปมองหน้ายิ้ม ๆ ก่อนจะพยักหน้าให้ผมแสดงมิตรภาพออกไป

"ยินดีค่ะ"

"ผมชื่อพอชนะ เป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาดคนใหม่"

"ห่ะ....."

"เอ่อ....." โอ๊ะ หน้าสีไม่สดเหมือนเดิมเลยเนอะ

"เป็นเด็กเหลือขอที่คุณอาบวรเก็บมาเลี้ยง แถมหยิ่งด้วย" ถึงคราวที่ผมจะเป็นฝ่ายเปลี่ยนสีหน้าบ้าง สองคนตรงหน้าก้มหน้านิ่งเหลือบมองกันเหมือนเริ่มจะรู้ตัวว่ามีงานเข้า

"ข....ขอโทษนะคะ ค...คือเมื่อกี้ไม่คิดว่า...."

"ขอโทษค่ะ ขอโท..."

"ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ เพราะว่าผมไม่มีอะไรจะยกโทษให้! " ผมใช้เสียงกร้าวในการจัดการกับคนปากพล่อย คราวนี้คงจะได้เห็นหน้าหยิ่ง ๆ ของผมได้เต็มตาแล้วสินะ

"ค...คุณคะ"

"ถ้าวันหลังว่างงานมากนักก็ไปหาอย่างอื่นทำให้ชีวิตตัวเองดีขึ้นนะครับ ลองหางานใหม่สำรองไว้ก็ดี ...ผมว่าคุณอาเขาคงไม่ชอบพนักงานปากเสียเท่าไหร่" ผมดึงปึกเอกสารราว ๆ สิบใบในมือเธอคงนึงมาพลิกรายละเอียดด้านในดู ...เอกสารทางบัญชีนี่มันดูน่าเบื่อจริง ๆ แหะ มีแต่ตัวเลขที่สำคัญ ๆ ทั้งนั้นเลยเนอะ ...โอ๊ยยย ตายแล้ว ปากกระตุกยิ้มโดยไม่ได้ตั้งใจเฉยเลย

"ขอคืนนะคะ เราขอโทษจริง ๆ แต่ตอนนี้พวกเราจะต้องเอาเอกสารไปส่งที่ประชุมแล้ว"

"ประชุมกี่โมง"

"เอ่อ"

"ผมถามว่าประชุมกี่โมง! ทีแบบนี้ทำไมไม่พูด ชอบแต่เรื่องนินทาชาวบ้าน"

"อ....อีกไม่ถึงห้านาทีแล้วค่ะ"

"ดี...."

"คุณคะ พวกเราขอโทษจริง ๆ ขอเอกสารคืนก่อนนะคะ" สาบานว่านี่คือสีหน้าสำนึกผิดไม่ใช่สีหน้ากลัวโดนไล่ออก แต่ก็ไม่ต้องกลัวไปหรอกนะ ไอ้พอชไม่ใช่คนที่จะเอาชีวิตคนอื่นมาเล่นอยู่แล้ว... จริงมั้ย





ห้านาทีที่เธอบอก ...คงจะได้เวลานับถอยหลัง

ไม่ต้องห่วงนะนาฬิกาบนข้อมือพอชตั้งเวลาไว้ตรงเวลาสากลเป๊ะ

5 ....4 ....3 ....2 ....1

โอเค...5 วินาทีไม่ขาดไม่เกิน พอดีค่อนข้างเป็นคนตรงต่อเวลา





"ไปทำเอาใหม่แล้วกัน คราวหลังจะได้ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์" แคว๊กกกกกก!! เอกสารในมือผมถูกฉีกออกเป็นสองส่วน สี่ แปด และสิบหกตามลำดับ สีหน้าลนลานนั่นแฝงไปความโกรธระดับไหนทำไมผมจะไม่รู้ แต่มันก็สาสมแล้วกับการที่เอาปากมาแกว่งหาเรื่องเข้าตัวเอง ผมไม่ใช่มนุษย์ประเภทที่จะหาเรื่องคนอื่นไปทั่ว แต่ก็ใช่ว่าจะยอมกับเศษน้ำลายของคนพวกนี้

"คุณ!!! ทำไมทำแบบนี้ห่ะ!! "

"คิดว่าตัวเองเป็นใคร ทำงานบริษัทเสียหาย คุณบวรไม่เอาไว้แน่" ...ไม่น่าโง่เลยว่ะ พึ่งแนะนำตัวไปหมาด ๆ แท้ ๆ

"เชิญ ถ้าคิดว่าจะทำอะไรผมได้ อย่าลืมเรื่องที่ตัวเองปากพล่อยไว้เมื่อกี้ด้วยล่ะ ผมก็แค่อยากให้คิดดูดี ๆ นะ ว่าจะกลับไปทำมาใหม่ ...หรือหางานใหม่!!! "





"พอช!!! " ว้า...หมดสนุกเลย เจ้าของเสียงเข้มนั่นจะมาถูกที่ผิดเวลาเกินไปแล้ว ให้กูจัดการคนพวกนี้ให้เสร็จก่อนไม่ได้รึไงวะเต็ม ช่างโผล่มาถูกจังหวะแบบพระเอกละครไทยเป๊ะ ๆ

"ว่าไง"

"พวกคุณไปทำงานได้แล้ว" สองสาวนั่นยอมเดินจากไปตามคำสั่งเต็มแต่โดยดี สายตาโกรธแค้นนั่นคงจะฝังหน้าผมเอาไว้ในหัวเรียบร้อย ก็ตลกดีนะที่อยู่ดี ๆ ผมก็มีศัตรูเป็นผู้หญิงเพิ่มขึ้นอีกสองคนซะงั้น

"มีอะไรหรอครับคุณ...เต็ม"

"มึงกับกูมีเรื่องต้องเคลียร์กัน! "

"แต่กูจำได้ว่ามึงไม่ค่อยอยากจะคุยกับกู"

".....!! " เต็มมันไม่ยอมต่อประโยคยืดยาวกับผม ร่างสูงนั่นกระชากต้นแขนผมให้เดินตามเข้าห้องเร็วอย่างกับจูงควาย เหอะ! จะให้ผมดีใจที่เขาจับตัวก็ละอายแก่ใจเหลือเกินว่ะครับ





หลังจากถูกลากเข้ามาในห้อง ตัวการก็เหวี่ยงผมลงกับโซฟาแล้วยืนจ้องอย่างไม่ค่อยชอบใจนัก ปกติเรื่องสายตาคนผมจะฉลาดนะ แต่ทำไมครั้งนี้ถึงมองไม่ออกเลยว่าสายตาที่ดูวุ่นวายของมันกำลังคิดอะไรอยู่









จะด่า

จะอวยพร

หรือจะจับปล้ำ ...เออ ถ้าเป็นอันนี้บอกดี ๆ ก็ได้ หึหึ





"มึงจะทำตัวดี ๆ ไม่ได้รึไงวะ! "

"คนพวกนั้นมันว่ากูก่อน ทำไมมึงไม่เสือกเดินมาให้มันเร็ว ๆ ล่ะ! ไม่ใช่เอะอะก็โทษแต่กู! " ผมใส่อารมณ์จริง ๆ ลงไปในประโยคเต็มที่ และนั่นก็ทำให้อีกฝ่ายจะโมโหเพิ่มขึ้นไปอีก ....กินยาผิดมารึไงวะ เมื่อก่อนกูไล่ด่าคนทั้งผับยังไม่คิดจะห้ามกู

"ที่นี่ที่ทำงาน มึงจะมาใช้นิสัยแบบนั้นไม่ได้ ...แล้วสิ่งที่มึงทำ เอกสารพวกนั้นมันเป็นเอกสารของบริษัท"

"นี่มึงไม่รู้จริง ๆ หรือแกล้งไม่รู้ว่างานพวกนี้ยังไงมันก็มีซอฟไฟล์อยู่ในเครื่อง"

"แล้วยังไง คือมึงจะทำอะไรก็ได้ตามใจตั้งแต่วันแรกที่มาทำงานงั้นหรอ! " เต็มเดินเข้าไปใกล้ผมมากขึ้น จังหวะที่มันโน้มตัวเบา ๆ ลงเพื่อชี้หน้าผมได้ถนัด มือผมก็คว้าหมับเข้าที่เนคไทสีเทานั่นก่อนจะดึงเบา ๆ ให้อีกฝ่ายก้มลงมาตามแรงมือ

"อะไรของมึงวะเต็ม รู้ตัวมั้ยว่าตอนนี้มึงเป็นฝ่ายเข้ามายุ่งกับกูซะเอง ...ต่อให้กูโดนอาบวรไล่ออกตั้งแต่วันนี้ มันก็เรื่องของกูไม่ใช่รึไง"

"ก็เพราะว่า!! ... มึงเป็นเพื่อนกู" ด้วยระยะหน้าที่ห่างกันไม่เกินสองเซ็นทำให้ผมรู้สึกได้ในทุกลมหายใจของมัน เข้าใจในทุกคำพูดที่มันพยายามจะสื่อ รวมถึงสายตาที่มันกำลังมองที่ทำให้ผมยอมปล่อยเนคไทด์นั่นออกจากมือ

"จริง ๆ แล้วมึงก็คือคนเดิมที่กูรู้จัก มึงเหมือนเดิมทุกอย่างเลย ...ยกเว้นสายตาที่มึงมองกู..."

"กูบอกแล้วไง ว่าไม่ให้มึงพูดเรื่องพวกนี้อีก!! ลืมไปซะไม่ได้รึไงวะ!! "

"การแต่งงานมันทำให้สายตาที่มึงมองกูมันเปลี่ยนไปเร็วมากเลยว่ะ... ถ้ากูรู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้ กูจะไม่ปล่อยให้เรากลับมาที่นี่" ผมหลับตานิ่งพยายามสงบสติตัวเอง นี่รึเปล่าที่เขาบอกว่าการอ่อนแอต่อหน้าคนที่เรารักมันเจ็บที่สุด ผมต้องฟังข้อความพวกนี้ซ้ำอีกกี่ครั้ง ต้องพูดจุดยืนตัวเองอีกกี่หน หรือสุดท้ายผมมันก็ต้องสำออยยอมแพ้ไปเอง

"จะต้องให้กูทำยังไง มึงถึงจะไม่ขุดเอาเรื่องบ้า ๆ นั่นมาพูดอีก! กูแต่งงานแล้ว ทุกอย่างที่มันไม่เคยเริ่มก็ต้องจบ ทำไมมึงไม่ยอมเข้าใจวะ! ต้องให้กูทำยังไง! "

"จูบกู... กอดกู... แบบที่มึงเคยทำ ถ้าอยากให้กูออกไปจากชีวิตมึงนัก กูขอความรู้สึกแบบนั้นอีกแค่ครั้งเดียว มึงทำให้กูได้มั้ยล่ะ" เต็มเม้มปากแน่น หลบแววตาวูบไหวนั่นลงต่ำราวกับกำลังใช้ความคิดขจัดความลังเลมากมายออกไป

“ถ้าจะต้องคิดหนักขนาดนั้น กู...” สุดท้ายความลังเลของมันก็ต่อชีวิตผมไว้ไม่ได้อยู่ดี ร่างสูงก้มลงประกบปากร้อนชื้นนิ่งสนิททั้ง ๆ ที่ผมยังพูดไม่จบ แม้ว่าการสัมผัสกันครั้งนี้จะไม่ได้มีการเปิดปากออกแม้แต่น้อย แต่ผมกลับกำลังรู้สึกได้ถึงรสชาติความขมที่ข่มขื่นเหลือเกิน ทั้งที่เป็นฝ่ายท้าออกไปแบบนั้นแต่กลับไม่มีความสุขหรือความสะใจเลยแม้แต่นิด ...นี่ผมต้องสู้ต่อไปทั้งความรู้สึกแบบนี้น่ะหรอ ...ควรจะพอแล้วใช่มั้ยครับ ...กับความรู้สึกแย่ ๆ ที่ได้รับตอนนี้ เพราะมันเริ่มทำให้ผมไม่อยากสู้เรื่องนี้อีกต่อไปแล้ว

"จ...จูบแล้ว ...ก็กอดใช่มั้ย" เต็มรวบตัวผมไปไว้ในอ้อมกอดเย็นชานั่น มือหนาลูบไปมาเบา ๆ บนเส้นผมอย่างอ่อนโยน คล้ายกลับมันกำลังปลอบโยนผมอย่างที่เคยทำเมื่อเราเป็นเหมือนก่อน แต่ที่ผมรับรู้ได้ในตอนนี้มันช่างเป็นการกระทำที่ใจร้ายเกินกว่าที่ผมจะทน









ผลั่ก!!!





"ได้ ...กูไปเอง ...นับจากวันนี้มึงจะไม่ได้เห็นหน้ากูอีกเลย ไม่ว่าจะที่นี่ ที่บ้าน ...ฮึก...หรือที่ไหนก็ตามที่มีมึง!! " ผมผลักมันออกเต็มแรงจนร่างล้มตึงลงไปกองกับพื้น ร่างสูงที่ยังคงทิ้งตัวนิ่งอยู่ที่เดิมคล้ายอยากจะพูดอะไรบางอย่างเมื่อเห็นอาการร้องไห้แบบกลั้นสะอื้นเอาไว้ไม่อยู่ของผม ถ้ารู้ว่าการรักใครซักคนมันเจ็บได้ขนาดนี้ ผมจะไม่มีวันปล่อยให้ตัวเองเข้าใกล้มันจนความรู้สึกพวกนี้มันเกิดขึ้นมาเด็ดขาด

“กูไม่ได้บอกให้มึงไป! ...กูบอกให้มึงลืมไม่ได้บอกให้มึงไปจากกูพอช!”

“ทำไมมึงเหี้ยแบบนี้วะ!! มึงจะมีกูไว้ทำไมทั้ง ๆ ที่มึงไม่ได้ต้องการกูเลย ....ฮึก ….แค่ตอนนี้มึงยังเห็นกูเจ็บไม่พออีกหรอ”

"กู.... กู...."

"สองทางที่จะทำให้เรื่องนี้จบ คือถ้ากูไม่ได้มึงมา กูก็ต้องออกไปจากมึงซะ เพราะถ้าจะให้กูลืมมึง ...กูทำให้ไม่ได้หรอก! " ผมปล่อยตัวเองร้องไห้หนักกว่าเดิม ในใจตัวเองตอนนี้มันแย่เกินกว่าที่จะทำตัวเองให้เข้มแข็ง ...ผมควรทำยังไงต่อไปดี ...ควรหยุดทุกอย่างไว้แค่ตรงนี้ทั้งที่เริ่มมาเยอะแล้วงั้นหรอ …นี่ผมกำลังจะกลายเป็นแค่ไอ้ตัววายร้ายขี้แพ้ใช่มั้ย

“แต่จะให้มึงหายไปจากกู ...กูก็ทำไม่ได้เหมือนกัน” ผมไม่ค่อยเข้าใจในน้ำเสียงและสิ่งที่เต็มพูดนัก ประโยคที่คล้ายร้องขอนั่นกำลังจะจุดไฟความหวังที่เป็นอันตรายต่อผม ยิ่งในจังหวะที่มันเข้ามาจับคนที่กำลังร้องไห้ตัวโยนอย่างผมเข้าไปไว้ในอ้อมกอด ยิ่งทำให้ผมรู้สึกเหมือนมีไฟที่กำลังลุกโชนเผาความเสียใจไปซะหมด ผมกดหน้าตัวเองลงกับแผงอกอุ่น ๆ ที่เหมือนในเวลานี้มันมีแค่ผมที่เป็นเจ้าของ









“กูทำมาขนาดนี้แล้ว ...กูเสียมึงไปไม่ได้หรอกพอช”













"เต็มวันนี้เอ...."









"เอม/เอม!! " เสียงขอผู้มาเยือนทำให้ผมลืมใส่ใจคำพูดก่อนหน้าของเต็มไปเสียสนิท เครื่องหมายคำถามมากมายกำลังเด่นชัดอยู่บนหน้าของเอมตอนนี้ เต็มเด้งตัวออกจากผมแทบจะทันที เพราะมันเองก็ดูเหมือนจะตกใจอยู่ไม่น้อยที่เห็นใครอีกคนยืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตู เอมมองมายังผมที่ร้องไห้ไม่หยุดสลับกับหน้าเต็มอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าเต็มจะโกหกคำโตใด ๆ เพื่ออธิบายในสิ่งที่เธอกำลังมองอยู่

"พ...พอชเป็นอะไรรึเปล่า" ผมไม่ได้ตอบคำถามเอมแต่ให้รอยยิ้มเย็น ๆ ทั้งน้ำตาเป็นคำตอบแทน สุดท้ายผมก็ตัดสินใจหอบร่างที่คล้ายจะไร้ความรู้สึกเดินผ่านเอมออกมาจากห้องโดยไม่คิดจะหันกลับไปมองอีก





ไม่อยากตอบคำถาม

ไม่อยากถูกมองด้วยสายตาแบบนั้น

ไม่อยากอยู่ตอกย้ำตัวเองให้มันเจ็บมากไปกว่าเดิม

เพราะสุดท้ายแล้วความเจ็บปวดอาจจะทำให้ตัวร้ายปล่อยพระเอกได้เคียงคู่กับนางเอกสมใจ

และในที่สุดนั้นตัวร้ายที่กำลังเสพติดความเจ็บปวดอย่างผม …มันจะทนได้อีกซักกี่ครั้ง





ผมไม่ได้อยากยอมแพ้... และมันจะไม่มีวันนั้น...

.

.

.

TBC

ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3
Chapter 6 วิธีของนางเอก

"ไหนพูดกับอามาซิ ว่าเรามีปัญหาอะไรกันแน่"

"เปล่าครับ ...ผมก็แค่รู้สึกว่าตัวเองคงทำงานให้คุณอาไม่ได้"

"พอช เราไม่ใช่คนที่ถอดใจกับอะไรง่าย ๆ พูดกับอามาเถอะ"

"ผมอึดอัดครับ ที่คนอื่นมองว่าผมใช้เส้นคุณอาเข้ามาทำงาน ผมกลัวว่าถ้าผมทำได้ไม่ดีหรือควบคุมอารมณ์ตัวเองกับคำนินทาพวกนั้นไม่ได้ มันจะทำให้คุณอาและบริษัทเสียหาย ...ผมขอถอยออกมาก่อนดีกว่า"

"...เราตัดสินใจแบบนี้แล้วจริง ๆ น่ะหรอ"

"ครับ ผมตัดสินใจแล้ว"

"เสียดายนะ พอชเป็นคนมีความสามารถน่าจะพัฒนาบริษัทอาให้ดีขึนได้แน่ ๆ จริง ๆ อาเองก็ไม่ได้อยากบังคับเราหรอก เป็นเจ้าเต็มที่ขอให้เราเข้าไปทำงานในบริษัทด้วย แต่ในเมื่อเราไปทำแล้วมันไม่สุขใจก็ไม่เป็นไร"





หลายวันมานี้ผมได้ข้อพิสูจน์แล้วว่าบางทีความย้อนแย้งในบางเรื่องก็ทำให้เราคิดหนักได้มากกว่าเดิม เมื่อสามวันก่อนผมตัดสินใจคุยกับอาบวรเรื่องที่จะขอไม่ไปทำงานอีกแต่สิ่งผมได้รับกลับมาดันเป็นข้อความที่ทำให้ใจเต้นดังโครม





'เป็นเจ้าเต็มที่ขอให้เราไปทำงานในบริษัทด้วย'





คุณจะขำที่ผมกำลังเพ้อฝันกับประโยคแสนธรรมของคุณอาก็ตามแต่ใจเถอะ แต่สำหรับผมแค่นี้มันก็โคตรชัดแล้วว่าไอ้เต็มมันเป็นจำพวกปากไม่ตรงกับใจ ถ้ามันเป็นคนเอ่ยปากแบบนั้นจริง ๆ ก็แปลว่าลึก ๆ มันก็ให้ความสนใจความเป็นไปของผมอยู่ไม่น้อย ถึงมันจะดูเข้าข้างตัวเองไปหน่อยที่ผมคิดแบบนี้ แต่ยังไงซะมันก็ดีกว่าการที่ผมร้องไห้แทบเป็นแทบตายที่รู้สึกเป็นผู้แพ้แบบหลายวันก่อน





ความรู้สึกแพ้แบบนั้น มันจะต้องไม่เกิดขึ้นอีก





ผมขอเล่าย้อนเหตุการณ์หลังจากนั้นซักนิด หลังจากที่เอมเจอผมในสภาพร้องไห้เป็นเผาเต่าในห้องทำงานเต็มก็ดูเหมือนสายตาที่เธอใช้มองผมจะเปลี่ยนไป โดยเฉพาะการมองแบบจับผิดทุกครั้งที่ผมเดินเฉียดเข้าไปใกล้คนทั้งคู่ ทั้ง ๆ ที่หลังจากวันนั้นผมไม่ได้พูดจาใด ๆ กับเต็มอีกเลย เชื่อมั้ยครับช่วงสองวันแรกที่ผมเอาแต่เก็บตัวเงียบอยู่ในห้องก็มีแต่น้องต้ากับป้าวรรณที่คอยแวะเวียนมาดูเพราะกลัวว่าผมจะตายคาบ้านไปซะก่อน ผิดกับอีกคนที่ผมอยากให้มาสนใจแต่ก็ไม่เคยมองมาแม้แต่หางตาด้วยซ้ำ ...คงจะแค่ลืมไปมั้งว่าผมยังนั่งหายใจทิ้งอยู่ใต้หลังคาเดียวกันกับมัน





108 วิธีเรียกร้องความสนใจของนางเอกไทย





ผมเลื่อนหน้าจอไอแพดอ่านบทความหัวข้อประหลาดนี่อย่างตั้งใจมาร่วมชั่วโมง โบราณเขาว่าถ้าอยากได้ลูกเสือก็ต้องเข้าถ้ำเสือใช่มั้ย เพราะฉะนั้นบางทีถ้าผมใช้วิธีของนางเอกในการขุดหลุมฝังนางเอกมันอาจจะได้ผลดีก็ได้ ยอมรับตรง ๆ ว่าจนปัญญาอยู่เหมือนกัน ในเมื่อไอ้เต็มมันไม่ยอมสนใจผมง่าย ๆ แถมเอมเองก็ดูเป็นที่รักขึ้นทุกวี่วัน นี่ก็ไม่รู้ว่าน้องต้าจะหันกลับเห็นอกเห็นใจวันไหนอีก ...วิธีไหนที่พอจะใช้ได้ก็คงต้องลอง





ผมต้องเรียบร้อย

ผมต้องใจเย็น

ผมต้องยิ้มกว้าง ๆ

ผมต้องไม่จิกกัดใคร

ผมต้องบอบบาง

ผมต้องทำตัวให้น่าสงสาร





"การทำเป็นไม่สนใจและแสร้งว่าจะออกไปจากชีวิต เป็นวิธีที่เรียกความสนใจได้ดีที่สุด" ผมอ่านประโยคนี้แล้วก็ได้แต่นึกค้านเล็ก ๆ ในใจ ...ไอ้ที่ว่ามาก็ทำหมดแล้วนี่หว่า ไอ้ที่ขังตัวเองในห้อง ไม่ยอมไปทำงานนี่ก็ไม่ใช่ว่าจะให้มันหันมาสนใจหรอ ขนาดวิธีที่ดีที่สุดกูยังแห้วเลย ...เชี่ย





ร้ายเกินก็ไม่ได้ผล ทำเป็นนางเอกก็ยังไม่ได้ผลอีก

เอ๊ะ...หรือว่าจริง ๆ ...ผมอาจจะยังเข้าใจคำว่านางเอกไม่มากพอ





ก็อก ๆ ๆ เสียงเคาะประตูทำให้ผมกดล็อคหน้าจอไอแพดโดยพลัน ถ้าจะให้เดาคนที่มาเยือนผมถึงที่ได้ก็คงจะมีแค่น้องต้าไม่ก็ป้าวรรณ ถ้าจะเอาแบบผิดคาดไปนิดหน่อยก็คงเป็นคุณอาบวร ส่วนช้อยสุดท้ายที่จะเป็นไปได้ก็คงจะเป็นเต็ม แต่ก็อย่างว่าช้อยสุดท้ายนี่อัตราความเป็นไปได้เท่ากับศูนย์จุดศูนย์ห้า





"...อ....เอม"





เชี่ย... เกินคาดไปเยอะมาก





"เราเห็นพอชไม่ลงไปทานข้าวเลย เราเลยเอามาให้" ในใจมันเรียกร้องให้ปิดประตูกระแทกหน้าผู้หญิงคนนี้แรง ๆ ซักที แต่ในทางพฤตินัยผมทำแบบนั้นได้ที่ไหนกันล่ะ ยิ่งอยู่ในช่วงเวลาปลอมตัวเป็นนางเอกแบบนี้แล้วล่ะก็ ทำได้ก็แค่แสยะยิ้มในที่ลับตาคนเท่านั้นล่ะ

"ขอบคุณนะ แต่เราไม่หิว"

"พอชเป็นอะไรรึเปล่า เราว่าพอชดูแปลก ๆ ไปนะ" เป็น ...เป็นโรคเกลียดมึงไง

"แค่รู้สึกไม่ค่อยสบายน่ะ เอมลงไปเถอะ ขอบคุณนะ" ผมดันถาดอาหารคืนให้เอมพร้อมกับการฝืนยิ้มบนหน้าที่ดูจะไม่แฮปปี้เท่าไหร่

"เป็นอะไรมากรึเปล่า ไปหาหมอมั้ยพอช" โอ๊ยยยย มีความเสือกกกกก

"ไม่เป็นไร ดูแลตัวเองได้" ผมกำลังจะปิดประตูใส่หน้าเธอให้มันจบ ๆ เรื่อง เบื่อเต็มทีที่ยังต้องมาปั้นหน้าเป็นมิตรใส่แบบนี้ ไว้ถึงโอกาสเหมาะ ๆ เมื่อไหร่เถอะ แม่งจะร้ายต่อหน้าไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมหรือพระพุทธรูปองค์ไหนทั้งนั้น

"แน่ใจนะพอช ตั้งแต่ที่เราเห็นพอชร้องไห้วันนั้น พอชก็เอาแต่เก็บตัว..." ประโยคนี้ทำให้ผมชะงักไป แววตาที่เหมือนจะสงสารและเห็นใจนั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกโกรธ ทำไมผมจะต้องปล่อยให้คนที่ทำลายชีวิตผมยืนมองผมด้วยความสมเพชเวทนาแบบนี้ ผมไม่ได้ต้องการความเห็นใจ ที่ผมต้องการคือให้เธอได้รู้ตัวและรู้สึกซักทีว่าที่ผมต้องเป็นแบบนี้มันเพราะใคร

"มันไม่ใช่เรื่องของเอม"

"เราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนะ พอชทะเลาะอะไรกับเต็มรึเปล่า เอมถามเต็มก็ไม่ยอมพูด มีอะไรก็พูดกันสิพอช" นี่เองน่ะหรอ...วิถีที่แท้จริงของนางเอก ต้องทำตัวเป็นแสนดีสงสารคนอื่นเขาไปทั่วทั้งที่ไม่ใช่ธุระกงการของตัวเองแบบนี้น่ะหรอ โอเค เริ่มจะเข้าใจแล้วว่าแค่ทำตัวให้น่าสงสารมันไม่มากพอ

"ถอย เราจะพักผ่อน" ผมพยายามดันร่างของเอมให้ออกไปจากบริเวณประตู ไม่อยากให้ความงี่เง่ามันเข้าครอบงำจนทำให้เสียเรื่อง อุตส่าห์นิ่งเงียบรอวันเขาเห็นใจมาได้ตั้งหลายวัน ผมจะกลับไปเป็นตัวร้ายในเสี้ยววินาทีไม่ได้

"มันมีอะไรที่เราไม่ควรรู้หรอ!!? " ไม่น่าเชื่อว่าผมจะได้เห็นแววตาแข็ง ๆ บนใบหน้าเอมแวบหนึ่ง หึ จริง ๆ ก็เป็นเรื่องที่ควรรู้ตั้งนานแล้วนั่นแหละ แต่ถ้าบอกตรง ๆ มันก็ไม่สนุกน่ะสิ

"หึ ...ถ้าเอมถามเต็มแล้วมันไม่ตอบ เราก็ไม่มีสิทธิพูดหรอก"

“แปลว่าที่พอชร้องไห้วันนั้นมันเกี่ยวกับเต็มจริง ๆ ” ผมมองหน้าเอมนิ่ง ๆ เพื่อค้นหาว่าเธอกำลังคิดอะไรไว้ในหัวตอนนี้กันแน่ ทั้งแววตาทั้งน้ำเสียงที่ผู้หญิงคนนี้พูดมันดูแปลกไปจากปกติอยู่มาก จะว่าเอมแหกออกมาจากภาพลักษณ์นางเอกมันก็ไม่ใช่ มันก็แค่ดูจริงจังและทันโลกมากขึ้นเท่านั้นเอง ตอนนี้ถึงผมอยากจะตอกหน้าเอมกลับไปด้วยคำตอบจริง ๆ แค่ไหนก็ยังทำไม่ได้อยู่ดี เพราะผมไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น ถ้าโชคดีเอมอาจจะเป็นฝ่ายหลีกทางให้ง่าย ๆ แต่ถ้าโชคร้ายผมอาจจะถูกเขี่ยออกจากบ้านนี้อย่างกับหมาตัวนึง

“ที่มาถามเราถึงที่ขนาดนี้ก็คงจะพอรู้อยู่แก่ใจแล้วไม่ใช่หรอ”

“เราจะรู้ได้ยังไงถ้าไม่มีใครพูดให้เราฟังแบบนี้”

“ก็เพราะมันไม่ใช่เรื่องของเธอไง!!” จังหวะที่เน้นเสียงให้คนฟังได้ยินชัดเจนทีละคำ ผมก็ตัดสินใจปิดประตูกระแทกหน้าให้มันจบ ๆ เรื่อง ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดแล้วไม่ได้ประโยชน์ใด ๆ อีกอย่างตอนนี้ก็หงุดหงิดเกินกว่าจะพูดจาดี ๆ เพื่อขอความสงสารจากใครได้อีก ถ้าพูดครั้งนี้ก็คงระเบิดลงตู้ม ๆ ภาพลักษณ์นางเอกที่พยายามสร้างมาตั้งหลายวันก็จะ....ตู้มมม กลายเป็นโกโก้ครันซ์





เพล้ง!!!! เสียงเพล้งดังอึกทึกครึกโครมอยู่หน้าห้องมันบังคับให้ผมต้องเปิดประตูออกมาพบเศษซากถ้วยจานและสารพัดเมนูที่ระเนระนาดอยู่กับพื้น ผมเหลือบตาไปมองร่างบางของหญิงสาวที่ก้มจ้ำเบ้าอยู่กับพื้นด้วยสายตาที่เกลียดยิ่งกว่าอะไร ...พึ่งรู้วันนี้เองว่าแอฟ ทักษอรมีเชื้อโปลิโออยู่ในตัวมากขนาดที่ทรงตัวไม่ค่อยจะอยู่ ...มันหมดเวลาใช้สายตาแบบนั้นแล้วเอม หยุดใช้สายตาอ่อนแอใสซื่อเพื่อให้ได้ประโยชน์ หยุดทำตัวเป็นผู้หญิงแสนดีที่น่าสงสารต่อหน้าเราได้แล้ว



,



อย่าคิดนะว่ารู้ไม่ทัน

ได้ ...ถ้าอยากจะรีบเล่นสนุกให้เรื่องจบไว ๆ ก็จะจัดให้





“เป็นอะไรเอม เมื่อกี้เราปิดประตูใส่เอมแรงไปหรอ”

“....เอ่อ ....พอดีเอมไม่ได้ตั้งตัวตอนที่พอชปิดประตูน่ะ ขอโทษนะ” เอมดูลนลานไม่เบา ๆ มือเล็ก ๆ นั่นพยายามไล่เก็บเศษถ้วยจานที่แหลกละเอียดเป็นชิ้นอยู่กับพื้น ...เอาเลยเอม อีกซักแปบก็คงจะมีคนวิ่งตามเสียงขึ้นมาที่ชั้นสามนี่ คราวนี้ก็คอยลุ้นเอาแล้วกันว่าจะใช่คนที่เธออยากจะให้มารึเปล่า

“หรอ ...ล้มดีเลย์ไปเกือบนาทีแน่ะ ...แย่จังเลยเนอะ” ผมก้มลงไปยิ้มเศษจานกระเบื้องชิ้นใหญ่ไว้ในมือ สายตาสองคู่ที่พุ่งตรงหากันตอนนี้มันชัดเจนทางความรู้สึกมากกว่าทุกครั้ง ...เกลียดก็บอกว่าเกลียด ดูเหมือนว่าเกมนี้จะเริ่มสนุกขึ้นอีกขั้นแล้วสิครับ

“อืม แย่เนอะ”

“ไม่ต้องหรอกเอม เดี๋ยวเราเก็บเอง”

“จะให้พอชเก็บได้ไง เอมเป็นคนถือขึ้นมา ...เอมจะเป็นคนเก็บเอง ...ของพวกนี้มันเป็นของของเอมไม่ใช่ของพอช”









ของของเธองั้นหรอ…

ของเธองั้นหรอเอม...





“ก็แล้วแต่นะ ...ออ แล้วเอมรู้รึเปล่าว่านอกจากเมื่อกี้เราจะผลักเอมจนล้มแล้ว เศษจานพวกนี้มันต้องบังเอิญไปบาดมือเอมด้วยน่ะ” ผมยิ้มร้ายได้อย่างผู้ชนะเมื่อเหลือบไปเห็นผู้มาเยือนคนใหม่ที่กำลังเดินหน้าตาตื่นเข้ามายังที่เกิดเหตุ เสียใจด้วยนะที่อาจจะเป็นคนที่ผิดคาดไปจากความคิดของเธออยู่มาก ยังไงก็ขอบคุณแล้วกันที่มาช่วยมาให้ความรู้ว่าวิธีการที่แท้จริงของนางเอกเขาทำกันยังไง





แย่ว่ะ ....สงสัยเศษจานที่ถือขึ้นมาเมื่อกี้มันจะคมมากเกินไปหน่อย มือผมถึงได้ถูกบาดจนเป็นแผลลึกได้ขนาดนี้





“พอช...!”

“อย่าประเมินคนอื่นต่ำไปนะเอม เราเคยพูดแล้วว่าวันนึงของที่เอมได้ไปเจ้าของเขาจะมาทวงคืน ...มันไม่ใช่ของเอม”





50%





“พี่พอชเป็นอะไรคะ” น้องต้ารีบวิ่งเข้ามาจับมือผมขวาที่ชุ่มเลือดของผมอย่างทะนุถนอม ความเป็นห่วงเป็นใยที่ผมได้รับยิ่งทำให้รู้สึกว่าตัวเองเริ่มจะมาถูกทาง อยากจะหัวเราะดัง ๆ เมื่อเห็นใบหน้าที่กำลังพยายามเก็บเสียงกรี๊ดไว้ในใจของเอม หวังจะได้ความสงสารสุดท้ายก็ได้ไปแค่สายตาขวาง ๆ ของน้องต้าเท่านั้น

“พี่ไม่เป็นไรค่ะ ต้าไปดูเอมเถอะ” ผมยันตัวเองให้ลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล สายตาห่วงใยที่มองมายิ่งทำให้ผมเป็นต่อมากขึ้น

“ไม่เป็นอะไรได้ยังไง พี่เอมทำอะไรพี่พอช!!” โอ๊ะโอ....พอชเปล่านะ เด็กมันฉลาดเอง

“พี่เปล่า พอชเขา.....”

“พี่แค่จะช่วยเอมเขาเก็บเศษจาน พอดีไม่ทันระวังมันก็เลยบาดมือเอา” น้องต้าจ้องเอมอย่างเอาเป็นเอาตาย คิดไม่ผิดจริง ๆ ที่ให้โอกาสน้องสาวคนนี้เข้ามาอยู่ร่วมทีม ...ผมไม่ได้คิดจะหลอกใช้ใครทั้งนั้น แค่อยากจะยืมมือมาทำในเรื่องที่ผมทำเองไม่ได้ก็เท่านั้น

“เลือดออกใหญ่แล้ว เดี๋ยวต้ามาทำแผลให้นะคะ ...ไม่เอาดีกว่า ...พี่พอชลงไปข้างล่างกับต้าเลย ต้าไม่ไว้ใจ!!” น้องต้าลากแขนผมให้เดินตามโดยไม่ลืมที่จะหันมาใช้สายตารังเกียจไปยังพี่สะใภ้แสนเรียบร้อยของเธออีกครั้ง ดูเหมือนครั้งนี้เกมจะโอเว่อร์ลงง่าย ๆ โดยที่มีผมเป็นผู้ชนะ ...ช่วยไม่ได้นะเอม ...เธอเป็นคนที่พาตัวเองเข้ามาลองของเองแท้ ๆ ....น่าสงสารจริง ๆ

“พี่พอชนั่งรอต้าตรงนี้นะคะ เดี๋ยวต้ามา”

“ไม่เป็นไรต้า เดี๋ยวพี่จัดการเอง”

“ไม่ได้ค่ะ เชื่อต้า แล้วนั่งรออยู่ตรงนี้นะคะ” ต้าพาผมมานั่งที่โซฟากลางห้องนั่งเล่น จริง ๆ จากบรรยากาศตอนนี้ท้องฟ้ามันก็มืดลงมากแล้ว แต่ก็แปลกดีที่ทั้ง ๆ ที่บรรยากาศทั่วไปแสนเงียบแต่ก็ยักไม่มีใครมาสนใจใยดีเสียงเพล้งที่ดังสนั่นบ้านนั่นนอกจากน้องต้า ก็คงเพราะเสียงมันเกิดขึ้นที่ชั้นสามมั้งครับ สถานที่อยู่อาศัยของเด็กเหลือขอที่มักไม่มีคนสนใจอยู่แล้ว

“คุณพ่อคุณแม่ออกไปงานการเลี้ยงสมาคมการกุศลน่ะค่ะ ส่วนพี่เต็มน่าจะยังนั่งตากยุงอยู่ในสวน” เหมือนน้องต้าจะอ่านสีหน้าผมออก เธอกลับมาพร้อมกล่องปฐมพยาบาลกล่องใหญ่ ก่อนจะค่อย ๆ ใช้น้ำเกลือเช็ดผ่านแผลที่ฝ่ามือขวาของผมอย่างเบามือ ผมพินิจรอยแผลที่เกิดจากแรงมือตัวเองอย่างไม่รู้สึกเจ็บ ...ตลกดี ...ที่ทำเมื่อกี้แม่งไม่ได้ผ่านการคิดเลยซักนิด

“ต้าไปดูเอมหน่อยมั้ย น่าจะเจ็บตัวอยู่เหมือนกัน”

“ไม่ค่ะ” ผมพยายามถามเพื่อหยั่งเชิงน้องต้า แต่คำตอบที่ได้รับกลับมาแบบฉับพลันก็ชัดเจนเกินกว่าจะพูดคำใดออกไปได้อีก

“ต้า ...เอมเขาเป็น ...เป็น ...เป็นพี่สะใภ้ต้านะ”

“เอมไม่นับญาติกับเขาหรอกค่ะ พี่พอชรู้มั้ยว่าเขาพยายามจะมาใส่ร้ายพี่พอช เขาพยายามบอกต้าว่าเรื่องวันนั้นเป็นแผนของพี่พอช ต้ารู้จักพี่พอชมาตั้งกี่ปี ทำไมต้าจะไม่รู้ว่าพี่พอชเป็นคนยังไง ...ต้าเกลียดผู้หญิงคนนี้” ใช่...ทำไมน้องต้าจะไม่รู้ล่ะว่าพี่ชายแสนดีคนนี้เป็นคนยังไง ก็เหมือนที่ผมรู้จักน้องต้าดีจนรู้ว่าเธอเป็นคนแบบไหนไงล่ะ

“เอมเขาพูดแบบนั้นหรอ” ...หึ ถ้าแบบนั้นก็แปลว่าเรื่องเมื่อกี้ผมไม่ได้เดาผิดซักนิด เพียงแต่ผู้หญิงคนนี้ยังไม่รู้ตัวเท่านั้นว่ากำลังพยายามเล่นอยู่กับอะไร

“ใช่ค่ะ แต่พี่พอชไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ต้าไม่พลาดท่าหลงกลแน่ ๆ” น้องต้าคงไม่ได้มีโอกาสเห็นใบหน้าผู้ชนะที่แต้มอยู่บนหน้าผม เพราะตอนนี้เธอเอาแต่จัดการกับรอยแผลเหวอะหวะบนฝ่ามือที่เกิดจากอุบัติเหตุที่ผมไม่ได้ตั้งใจ?

“แต่เอมเป็นเมียเต็ม ...ซักวันต้าก็ต้องลืมเรื่องพวกนี้ไปอยู่ดี”

“เหอะ! นี่พี่พอชมองไม่ออกหรอคะ ที่พี่เต็มทำเป็นรักใคร่ดูแลอยู่เนี่ยก็คำสั่งจากคุณพ่อคุณแม่ล้วน ๆ ...คนมันไม่ได้รักกัน มันก็อยู่ได้ไม่นานหรอกค่ะ”

“ทำไมต้าคิดแบบนั้น...” นั่นน่ะสิ ก็เห็นมันดูมีความสุขกับชีวิตคู่ ดูแลภรรยาสาวสวยด้วยความเต็มใจดีอยู่นี่

“พี่พอชก็สังเกตดูสิคะ แต่ยังไงต้าก็แอบกังวลอยู่ดี กลัวพี่เต็มจะพลาดท่าหลงรักผู้หญิงคนนี้จนโงหัวไม่ขึ้นขึ้นมาอีกคน” ผมคิดตามทุกคำพูดของน้องต้า ...ใช่ นั่นคือสิ่งที่ผมกลัวที่สุด ถ้าเต็มมันรักเอมขึ้นมาจริง ๆ ถึงเวลานั้นต่อให้ผมดิ้นทุรนทุรายต่อหน้ามันก็คงไร้ประโยชน์ ...แค่เขาไม่รักเรามันไม่เจ็บเท่าเขารักคนอื่นหรอก …เคยได้ยินมั้ยครับ ...ถ้าเราไม่ได้ก็ต้องไม่มีใครได้ไป

“ใช่ ...กลัว”

“พี่พอชว่าอะไรนะคะ”

“...ป...เปล่า” ผมเหยียดยิ้มกลบเกลื่อนแววตาเศร้า ๆ ของตัวเอง ถึงจะได้น้องต้ามาเป็นพวกแต่ผมก็ไม่มีความมั่นใจเลยซักนิดที่จะเล่าในเรื่องที่เกี่ยวกับความรู้สึกแท้จริงของตัวเองออกไป ถ้าเกิดผมหลุดปากออกไปให้น้องต้ารู้ตอนนี้เหตุการณ์อาจจะกลับตาลปัตรจนผมตั้งตัวไม่ทันก็ได้

“เดี๋ยวต้าไปเอาผ้ามาปิดแผลให้นะคะ ในกล่องไม่มีเลย สงสัยจะหมด” ผมพยักหน้าตอบน้องต้าเบา ๆ แผลในมือเริ่มรู้สึกเจ็บ ๆ ชา ๆ ขึ้นมาบ้างแล้ว ...อะไรกันวะ ลงทุนขนาดนี้ทำได้แค่เรียกความเห็นใจจากน้องต้าเองหรอ มันต้องได้มากกว่านี้สิ ...ก็รู้ว่าทุกการลงทุนมันความเสี่ยง แต่ผลตอบแทนมันก็ควรจะคุ้มค่ากับสิ่งที่เสียไปไม่ใช่หรอ

“เป็นอะไร” เสียงเย็น ๆ ที่ดังขึ้นทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นเพื่อมองเจ้าของเสียงเต็ม ๆ ตา เต็มยืนค้ำหัวมองผมด้วยสายตาที่เหมือนจะแช่งให้ตายซะให้ได้ ...จบกัน ไอ้แผลเวรตะไลนี่ไม่มีประโยชน์ห่าอะไรอีกแล้ว จากหน้ามันตอนนี้ต่อให้ผมเอามีดมาจ่อคอแม่งก็คงไม่สนใจ

“..............” กฏข้อที่หนึ่งของการเป็นนางเอกเราต้องแกล้งทำเป็นไม่สนใจเขา

“ไปโดนอะไรมา”

“..............” กฏข้อที่สองของการเป็นนางเอกเราต้องเฉยชา หลบหลีกสายตาเพื่อให้เขาสนใจ

“กูถามทำไมไม่พูด”

“.............” กฏข้อที่สามของการเป็นนางเอกเราต้องหวงเนื้อหวงตัว ถ้าเขาจับเราต้องพยายามสะบัด

“ไอ้พอช!! กูถามว่าไปโดนอะไรมา!!”

“กูทะเลาะกับเอมมา เศษจานมันบาดมือ แล้วตอนนี้กูก็เจ็บมากด้วย!! มึงพอใจยัง!!” ผมตวาดไอ้เต็มลั่นจนสีหน้าเย็นชาของมันเริ่มเปลี่ยนไป ฝ่ามือที่กำข้อมือข้างที่เป็นแผลของผมแน่นค่อย ๆ คลายออกจนเผยให้เห็นรอยแดงโดยรอบชัดเจน ผมพยายามหลบเลี่ยงการมองหน้ามันแม้ว่าตอนนี้มันพยายามเหลือเกินที่จะล็อคหน้าผมไว้ในมือเพื่อประชันหน้ากันก็ตาม

“กูบอกแล้วใช่มั้ยว่าไม่ให้มึงยุ่งกับเอม”

“มึงก็ไปถามเอมสิ ...จะได้รู้ว่าใครเป็นคนมายุ่งกับกูก่อนกันแน่! ไม่ใช่เอะอะมึงก็เข้าข้างแต่เมียแล้วก็มาลงที่อดีตของเล่นอย่างกู!!”

“พอช!!” ผมหลับตาแน่นเมื่อเห็นฝ่ามือหนานั่นเงื้อมอยู่เหนือหัว ถึงแม้ว่าจะไม่เกิดแรงกระทบขึ้นที่แก้มข้างใดแต่นั่นก็ทำให้ผมเจ็บใจขึ้นมาหลายเท่า ...เอมมีอิทธิพลจนมันเกือบจะทำร้ายผม ...เอมกำลังทำให้มันรู้สึกได้มากกว่าผม

“มึงรู้อะไรมั้ย ...ที่กูยังอยู่ที่นี่ก็เพราะว่ากูรักมึง แต่บางทีกูก็เหนื่อยว่ะเต็ม เหนื่อยจนไม่อยากอยู่ให้มึงหงุดหงิดใจอีกต่อไปแล้ว” ผมเอ่ยออกมาเสียงสั่น ๆ กำสองมือตัวเองด้วยแรงเท่าที่มี จนหยดเลือดพากันไหลออกมาจากแผลอีกครั้ง แต่แล้วอีกร่างที่ยืนนิ่งมองอยู่ไม่ไกลก็ทำให้ผมหยุดการกระทำทุกอย่างเพื่อตั้งสติตัวเอง

“น้องต้า...”

“ต้า....” เต็มเองก็มีอาการอึ้ง ๆ ไม่ต่างจากผม แววตาน้องต้าตอนนี้มันเต็มไปด้วยคำถามที่ผมอยากจะตอบให้ฟังเสียเหลือเกิน ...คิดสิวะไอ้พอช วินาทีนี้มึงจะทำอะไรที่มันเพลย์เซฟได้บ้าง ทำแบบไหนมึงถึงจะปลอดภัยแถมยังได้ใจน้องต้ามาทั้งหมด ...ทำยังไงได้แผลที่มือนี่มันจะถูกใช้อย่างคุ้มค่ามากที่สุด

ผมปล่อยให้ตัวเองร้องไห้น้ำตาอาบแก้มจนเห็นแววตาเห็นใจจากน้องสาวตรงหน้า และในจังหวะที่ทุกคนนิ่งเงียบผมก็พาตัวเองวิ่งออกมาจากบ้านหลังใหญ่ในสภาวะที่ไม่มีแผนดี ๆ อยู่ในหัวเลย ...บางทีถ้าจะให้ได้ผลที่คุ้มค่าขึ้นเราก็ต้องลงทุนเสี่ยงมากขึ้นตามไปด้วยไม่ใช่หรอครับ ...ให้มันรู้กันไปว่าจะไม่มีใครซักคนมาเห็นใจคนที่เจ็บตัว เจ็บใจ คิดสั้น ๆ วิ่งหนีออกจากบ้านกลางดึกเพราะความเสียใจ โดยไม่มีเงินซักบาทหรือไม่มีแม้แต่โทรศัพท์ติดตัว









ลืมเรื่องกฏนางเอกพวกนั้นไปซะ

เพราะกฏข้อสุดท้ายของตัวร้ายเราต้องพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส





TBC

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3
Chapter 7 กลับไปไม่เหมือนเดิม

ดูเหมือนว่าผมคิดผิด ...ใช่แล้วล่ะ ผมคิดผิดด้วยประการทั้งปวง





นับตั้งแต่วินาทีที่ผมตัดสินใจประชดชีวิตด้วยการเดินตัวเปล่าออกจากบ้านก็ดูเหมือนว่าไม่ได้มีอะไรลงรูปลงรอยไปตามที่ผมคาดไว้ซักอย่าง เงินก็ไม่มีซักบาท โทรศัพท์ก็ไม่ได้พก แม้กระทั่งบัตรประชาชนยังไม่มีติดตัวออกมาเลย มืดก็มืด อากาศก็เย็น ยุงก็เยอะ แผลก็ดันเลือดซิบจนรู้สึกร้าวลามไปทั้งแขน ...พีคสุดก็คือไม่มีใครตามออกมาซักคน ...ให้ตายเถอะความชั่วของไอ้พอชไม่เคยได้รับผลตอบแทนเป็นแห้วทั้งสวนขนาดนี้มาก่อน

แล้วถ้าขืนกลับไปเองตอนนี้ก็หมาสิ เรื่องอะไรจะกลับให้ไอ้ตูบมันเรียกพี่

ผมไม่รู้ตัวหรอกว่าตัวเองใช้เวลาเดินออกมานานแค่ไหนแล้ว ช่วงแรก ๆ ใจมันก็ฮึดดีก้าวเอา ๆ แต่หลังจากตั้งสติได้ขามันก็เริ่มก้าวช้าลงจนแทบจะก้าวไม่ออกซะงั้น แถมไอ้แผลที่มือก็ดูท่าว่าจะปวดเอาการขึ้นมาเรื่อย ๆ ไอ้พอชเอ๊ย! มึงไม่น่าทำฉลาดจนจบด้วยเรื่องโง่ ๆ แบบนี้เลย

"ขอโทษนะครับป้า นี่กี่โมงแล้ว" ผมเดินเข้าไปถามป้าร้านบะหมี่ข้างทางอย่างไม่มีทางเลือกนัก จะทำไงได้ก็ผมมันนิสัยดีมากซะด้วย เพื่อนสนิทซักคนในกรุงเทพก็เลยไม่มี ญาติโกโหติกาก็ไม่คงไม่ต้องพูดถึง ไม่มีใครเขาคิดจะนับญาติมาตั้งนานแล้ว

"ห้าทุ่มกว่าแล้วจ้า ทานอะไรดีจ่ะพ่อหนุ่ม"

"ไม่ล่ะครับ ขอบคุณ" ผมเอ่ยคำขอบคุณสั้น ๆ ตอบแทนที่ป้ายังอุตส่าห์สละเวลาลวกก๋วยเตี๋ยวมาดูเวลาให้ผม ...ให้ตายเถอะ สี่ชั่วโมงแล้วนะเว้ย นี่ถ้าเป็นซินเดอเรลล่าเขาก็เตรียมตัวกลับบ้านก่อนเที่ยงคืนแล้ว มึงไม่คิดจะเป็นห่วงกูเลยจริง ๆ ใช่มั้ยไอ้เต็ม กูจะเป็นตายร้ายดียังไงมึงก็จะไม่สนงั้นสินะ





สัดเอ๊ย!! นี่กูกำลังโกรธมึงจริง ๆ แล้วนะ





ผมเดินต่อมาเรื่อย ๆ จนเข้ามาในเขตของสวนสาธารณะที่ผมจำได้ว่ามันอยู่ไม่ไกลจากบ้านเท่าไหร่นัก ผมทรุดตัวลงกับม้านั่งที่มีแสงไฟส่องถึงด้วยสภาพร่างกายที่แทบจะเดินต่อไปไม่ไหว ...แม่งโคตรโง่ มีอย่างที่ไหนว่ะทำให้ตัวเองลำบากเพราะหวังจะให้คนอื่นมาสนใจ แล้วตอนนี้เป็นไงล่ะต่อให้มึงโกรธเขาแทบเป็นแทบตายที่เขาไม่ตามมึงมาแล้วมึงจะทำอะไรได้วะ





สุดท้ายมึงก็ต้องกลับไปให้เขาดูถูกเยี่ยงหมาตัวนึง

โกรธ ...ตอนนี้ผมรู้สึกโกรธมากจนไม่อยากจะนึกถึงหน้ามันด้วยซ้ำ

หึ... อย่ามาทำสมน้ำหน้าผมเลย ...ผมทำตัวเองแล้วยังไงวะ ทำตัวเองแล้วไม่มีสิทธิโกรธหรอ??





นี่ถ้าผมเป็นนางเอกฉากน่าอดสูนี่พระเอกจะต้องโผล่มาเยี่ยงฮีโร่ แต่ในเมื่อความเป็นจริงมันไม่ใช่แบบนั้นผมจะไปเรียกร้องอะไรได้ ป่านนี้เขาคงนอนกอดกันจนถึงสวรรค์ชั้นแปดแล้ว ส่วนน้องต้าก็อาจจะกำลังสาปแช่งให้ผมตายห่าตายโหงในเร็ววัน ...แม่ง ไอ้พอช มึงดึงสติแปบ! ตัวร้ายต้องไม่โกรธแล้วน้อยใจป่ะ มันต้องโกรธแล้วกลับไปแก้แค้นดิ









โฮ่ง!! โฮ่ง!! แฮ่!!









"ไอ้หมาประสาท เห่าทำเหี้ยอะไรวะ!! " ผมโวกเวกชี้หน้าด่าหมาจรจัดพันธุ์ผสมที่เดินเข้ามาแยกเขี้ยวใส่ ก็มันหงุดหงิดนี่หว่า กูก็นั่งของกูอยู่ดี ๆ มึงจะเดินมาเห่าทำเพื่อ? กลัวกูมาแย่งที่นอนมึงคืนนี้รึไง ไม่ต้องห่วงกูเองก็ไม่ได้อยากอยู่นานนักหรอก แต่มันจำเป็น สัด!!

"มองกูทำไม กูหน้าเหมือนญาติฝ่ายพ่อมึงรึไงวะ!! " ยอมรับเถอะไม่มีใครเป็นคนดีได้เท่าผมที่กำลังพาลใส่หมาแล้วล่ะ

"เออ!! ไปเลยมึง!! ไปเลย!! " ผมตะโกนไล่หลังไอ้หมาหน้าขนที่เดินหนีไปเพราะคงจะรำคาญผมเต็มทน แล้วนี่สุดท้ายแล้วผมก็ต้องเดินลากขาตัวเองกลับบ้านหลังนั้นอย่างหมางั้นหรอ ...ไม่เว้ย!! ต่อให้เป็นหมาข้างถนนไอ้พอชคนนี้ก็จะไม่ยอมแพ้เด็ดขาด

"ไอ้เหี้ยเต็ม! จำไว้นะมึง กูไม่รักมึงแล้ว! " จู่ ๆ ความเฟลมันก็เข้าครอบงำจนต้องซุกหน้าลงกับเข่าตัวเองซะงั้น สาบานว่าไอ้อาการสาวน้อยขี้น้อยใจนี่พึ่งจะเกิดขึ้นแบบจริง ๆ จัง ๆ ครั้งแรกในชีวิตผม คอยดูนะต่อให้มันมายืนตรงหน้าตอนนี้ผมก็ไม่มีทางยอมกลับไปกับมันง่าย ๆ เด็ดขาด รอบนี้เจ็บแล้วต้องจำเว้ย!! (ก็ปกติไม่เคยจำนี่หว่า)

"มึงมาทำเหี้ยอะไรตรงนี้! " เหอะ...นี่ขนาดแค่คิดเสียงโมโหของมันก็ดังมาชัดขนาดนี้เลยหรอ นี่ถ้าตัวเป็น ๆ มายืนตรงหน้าแม่งไม่เอามีดปาดคอกันเลยรึไง ...เอ๊ะ หรือว่าเสียงนั่นจะเป็นมันจริง ๆ แต่คงไม่หรอกมั้ง ถ้ามันคิดจะตามออกมามันก็ต้องตามตั้งแต่ก้าวขาข้างแรกออกจากบ้านแล้ว

“กูหาแทบตาย ทำไมทำอะไรไม่คิดแบบนี้วะ”

นั่นไง... เสียงนั่นมันดังขึ้นมาอีกแล้ว คราวนี้เพื่อความแน่ใจผมจึงใช้วิธีเงียบฟัง แต่นั่นก็ทำให้ผมหลับตาลงแน่นกว่าเดิม โคตรแน่ใจว่าไอ้ประโยคเมื่อกี้มันอาการเพ้อพกของผมที่เอาแน่เอาไม่ได้ ก็ลองตัวจริงมายืนอยู่แถวนี้มันก็คงจะด่าออกมาอีกซักประโยค หรือไม่ก็เอามือกระชากหัวลากตัวผมลงหลุมไปแล้วล่ะ

"พอช..." เสียงเรียกแผ่วเบาใกล้ ๆ หูครั้งนี้มันบังคับให้ผมต้องลืมตาคนมาแล้วเงยหน้าเพื่อพบกับใครบางคนที่ในความเป็นจริงไม่ควรจะยืนอยู่ตรงนี้ ไอ้ที่ยืนหน้าโคตรเครียดอยู่นี่ใช่ไอ้เต็มตัวเป็น ๆ จริง ๆ หรอครับ ก็ดูสายตาที่มันมองผมสิ มันเหมือนสายตาที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง ใบหน้าคม ๆ นี่ก็น่าจะผ่านความเครียดมาอย่างหนักจนยังมีรอยคิ้วที่เคยขมวดเป็นปม

"........" ผมพูดอะไรไม่ออกเพราะความรู้สึกโกรธก่อนหน้าแม่งตีหน้ามึนขึ้นมาแย่งซีนความรู้สึกอื่นไปหมดแล้ว เห็นหน้ามันแล้วก็พาลให้ลุกขึ้นเดินหนีซะงั้น เหอะ นี่ถ้าไม่โกรธก็ว่าจะทำตัวเป็นนางเอกร้องห่มร้องไห้กระโดดกอดซักยกสองยก แต่ตอนนี้แม่งไม่ได้จริง ๆ ว่ะครับ ใจแม่งอยากกระโดดถีบสามสี่ยกมากกว่า

"มึงจะไปไหน" ฝ่ามือหนารวบข้อมือข้างที่เป็นแผลไว้แน่น ผมไม่สามารถเดินหนีต่อไปได้เนื่องจากแรงรั้งแรง ๆ นั่น ...เวรเอ๊ย อีกข้างมีไม่จับ เสือกจับข้างที่ที่กูกำลังปวดฉิบหาย ใครมันจะไปดิ้นหนีได้วะ

"เรื่องของกู"

"กลับบ้าน"

"ปล่อย"

"กลับกับกู"

"ปล่อยกู"

"กลับบ้านกับกู"

"กูไม่กลับ จะให้กูกลับไปทำไม มึงก็ไม่ได้ต้องการกูอยู่แล้ว! "

"แล้วที่กูทำอยู่เนี่ย ที่กูตามหามึงมาค่อนคืน ไม่ใช่เพราะกูอยากให้มึงอยู่กับกูรึไงวะ! " เสียงตวาดลั่นที่ดังกว่าเล่นเอาผมงงไปเหมือนกัน ประโยคนั่นกำลังทำให้ผมดูโง่พราะแปลความหมายมันไม่ออกทั้งหมด แล้วไหนจะสีหน้าเจื่อน ๆ ของไอ้เต็มที่ทำเหมือนหลุดพูดอะไรไม่ดีออกมานั่นอีก มันพยายามลากผมให้เดินตามขายาว ๆ ของมันโดยไม่สนใจความเต็มใจของผม ...เสียใจว่ะ ตอนนี้กูยังโกรธอยู่ ไม่มีอารมณ์มาคล้อยตามมึงง่าย ๆ แน่

"กูจะกลับไปกับมึงก็ได้... แต่กูจะไปเก็บของแล้วออกมาซะ..." เต็มหยุดเดินในทันที มันหันมามองหน้าผมแล้วถอนหายใจทิ้งเฮือกใหญ่ ผมถือโอกาสที่มันกำลังเอือมระอาดึงมือกลับมาเป่าเบา ๆ ที่รอยแผลเพราะความเจ็บที่ดูจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อีกฝ่ายเห็นแบบนั้นก็ดูจะตกใจไปแวบนึงก่อนจะตีสีหน้าขึงขังราวกับไม่ได้สนใจนัก

"กูไม่อนุญาต! "

"มึงผลักไสไล่ส่งกูขนาดนั้น กูคงไม่ต้องขออนุญาตมึงหรอกเต็ม มึงน่าจะดีใจด้วยซ้ำ ที่กูจะออกไปจากชีวิตมึงจริง ๆ ซักที"

"ถ้ากูไม่ให้ไป มึงก็ไม่มีสิทธิไปไหนทั้งนั้น! "

"ทำไมวะ มึงกลัวพ่อมึงว่าหรอ ...มึงไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวกูเคลียร์เอง" ผมยกยิ้มเบา ๆ ตอบกลับสีหน้าเครียดนั่น ถ้าถามว่าวินาทีนี้ผมคิดจะออกจากบ้านนั้นจริงมั้ย ตอบได้เลยว่าจริงครับ มันเป็นชั่ววูบนึงที่ไม่อยากจะสู้เพื่อสิ่งที่ไม่มีวันได้มาอีกแล้ว วูบนึงที่รู้สุกแพ้จนท้อ รู้สึกว่าต่อให้ทำยังไงเขาก็ไม่มีวันมองเราเปลี่ยนไปจากของเล่นชิ้นนึง ...แต่นั่น มันก็แค่วูบนึง

"มึงอย่างี่เง่าได้มั้ยพอช เคยมีคนบอกมึงรึยังว่าตอนนี้มึงมันงี่เง่าจนหน้ารำคาญ! "

"เออ!! กูงี่เง่า!! เอาเข้าจริงกูต่อให้มึงรำคาญกูแค่ไหน กูก็ไปไหนไม่ได้หรอก เพราะว่ากูมันรักมึงฉิบหายไง ให้กูเจ็บตอนเห็นมึงอยู่กับเอมแค่ไหนกูก็ต้องยอม ให้กูทรมานทุกครั้งเวลาที่มึงปฏิเสธกูกูก็ทนได้ ก็เพราะว่ากูมันงี่เง่าไง ไปดิ!! กูกลับก็ได้ กูจะกลับตอนนี้เลย"

"กูขอโทษ..." จู่ ๆ ร่างตรงหน้าก็ดึงผมเข้าไปไว้ในอ้อมกอดที่ผมไม่เคยคิดว่าจะได้ ผมปล่อยให้มันกอดนิ่ง ๆ เพราะลึก ๆ ก็รู้สึกดีเหลือเกินกับไออุ่นครั้งนี้ มือหนาลูบเส้นผมที่ละต้นคอเบา ๆ ระหว่างที่ผมทิ้งความรู้สึกลงกับไหล่คนที่โอบตัวผมไว้ บอกทีได้มั้ยว่าผมไม่ได้คิดไปเอง สิ่งทีมันทำตอนนี้คือมันกำลังรั้งผมไว้ไม่ให้ผมไปจากมันใช่มั้ย...

“มึงกำลังหลอกให้กูดีใจแล้วก็ทิ้งกูไปเหมือนเดิม”

“ทำไมมึงไม่มองดี ๆ วะ ...มึงจะได้รู้ว่ากูไม่เคยทิ้งมึงไปไหนเลย ...มองในมุมที่กูยืนบ้างสิพอช”

“งั้นหรอวะ ...เด็กประถมมันยังมองออกเลยว่ามึงพยายามแค่ไหนที่จะไล่กูออกไป” ผมผละตัวออกมาอย่างเลือกไม่ได้ จะร้องไห้มันก็ร้องไม่ออกแล้ว จะโวยวายสมองมันก็ตื้อไปหมดจนคิดคำด่าไม่ได้

“กูขอโทษ...”

“สัด...พ่อมึงสอนมาแค่คำว่าขอโทษรึไงวะ” ผมเผลอสบถออกไปเบา ๆ แต่ไอ้คนตรงหน้าก็ไม่ได้ว่าอะไร กลับจับมือข้างที่มีแผลไปจ้องอย่างเบามือ มันมองแผลสลับกับหน้าผมด้วยแววตาคาดโทษ ...ทำไม โกรธที่กูแย่งซีนดราม่าเมียมึงมาหรอ

“บ้าฉิบหาย แผลลึกขนาดนี้ยังจะทำปากดี”

“นี่มึงลืมไปหรือเปล่าว่าตอนนี้มึงกลับไทยมาแล้ว และมึงแต่งงานแล้วไงเต็ม มึงเป็นคนบอกเองว่าทุกอย่างมันต้องจบ ...แล้วมึงจะมาทำเป็นห่วงกูทำไมอีก” ผมถามในสิ่งที่ตัวเองยังไม่เข้าใจออกไปตรง ๆ ถ้ามองในแง่ร้ายสักหน่อยไอ้เต็มที่ยืนอยู่หน้าผมตอนนี้อาจจะแค่ต้องการปั่นหัวผมเล่นก็ได้

“....พอช.....กู”

“มึงมาทำดีกับกูก็คงเพราะพ่อมึงไม่ก็ต้าสั่งให้มาตามกูกลับ มึงพูดดี ๆ กับกูก็คงแค่จะปกป้องเอม...”

“มันไม่มีใครสั่งกูได้ทั้งนั้นล่ะ! ถ้ากูไม่เป็นห่วงกูจะตามหามึงเป็นชั่วโมง ๆ ทำเหี้ยอะไรวะ แม่งโคตรงี่เง่า ออกมาแบบไม่มีอะไรติดตัวซักอย่าง มันก็มีแต่พวกโง่ ๆ แบบมึงเท่านั้นแหละ”

“ใครใช้ให้มึงตาม....”

“ออ...แล้วมึงก็ช่วยจำใส่หัวไว้ด้วย ...กูไม่เคยปกป้องเอม ที่ทำไปทั้งหมดก็เพราะปกป้องคนอย่างมึง!! "

เต็มมันผลักเบา ๆ ที่หน้าผากผม แต่ผมดันรู้สึกมึน ๆ พื้นมันหมุนติ้วเหมือนมันผลักมาซะเต็มแรง เชี่ย... แล้วนั่นใครปิดไฟว่ะ ทำไมจู่ ๆ แม่งมืดพรึบลงไปหมดแบบนี้ ไอ้สัดเอ๊ย แม่งใช่เวลามาสำออยระดับเจ็ดล้มตึงเป็นนางเอกตอนนี้มั้ยล่ะ ใช่เรื่องที่จะมาหูดับจนไม่ได้ยินว่าประโยคสุดท้ายมันพูดว่าอะไร

‘อ๋อ...แล้วมึงก็ช่วยจำใส่หัวไว้ด้วย....’

เออ!! จะจำไว้เลย จำว่าไม่ได้ยินอะไรอีกเลยแม่ง!!

“พอช!! พอช!! ทำไมตัวร้อนแบบนี้วะ เห้ย!! พอช!!”





60%





"เช้านี้ยังมีไข้นิดหน่อยน่ะครับพ่อ หมอบอกว่าไม่มีอะไรน่าห่วงเป็นแค่อาการพิษไข้ธรรมดา ครับ... ไม่ต้องเป็นห่วงครับ"

บอกผมทีเถอะครับว่าใครมันมาคุยอะไรงุ้งงิ้ง ๆ ข้างหูน่ารำคาญแต่เช้าขนาดนี้ ผมค่อย ๆ ปรือเปลือกตาหนัก ๆ ขึ้นมาตามเสียงรบกวน ก่อนจะพบว่าบรรยากาศรอบตัวมันไม่มีอะไรคุ้นตายกเว้นร่างสูงที่ยืนคุยโทรศัพท์หันหน้ามองไปอีกทาง แวบแรกที่ทำให้ตื่นจากฝันดีก็ว่าจะด่าหรอกแต่พอรู้ว่าเป็นใครแล้วด่าไม่ลง

"อ้าว..." เต็มมันหันมาทำท่าตกใจที่เห็นผมนอนตาแป๋วอยู่กับเตียง มันควรจะเป็นผมมากกว่ารึเปล่าที่ต้องตกใจที่เห็นหน้าของมันโคตรยับโคตรเครียดเหมือนคนถูกหวยกินซักสิบงวดแบบนั้น

"หิว"

"มึงตื่นมาเพื่อพูดคำนี้เนี่ยนะ" นี่คำว่าหิวของผมมันน่าเอือมระอาจนมันต้องส่ายหน้าใส่เลยหรอ ทำไมวะ คือต้องให้ผมถามว่าที่นี่ที่ไหน ...ฉันมาทำอะไรที่นี่ คุณเป็นใคร ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง แบบสูตรสำเร็จนางเอกน่ะหรอ คือนอนบนเตียง มีสายน้ำเกลือจิ้มหลังมือคาตา อุปกรณ์การแพทย์ครบเซ็ตขนาดนี้อยู่พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์มั้ง

"ก็กูหิว"

"อาหารมาจนเย็นหมดแล้ว มึงไม่ตื่นมากินพรุ่งนี้เลยล่ะ"

"ก็ไม่บอกล่ะว่าอยากให้กูตื่นพรุ่งนี้ กูจะได้ไม่ตื่น"

"ถ้าจะตื่นมาปากดี กูน่าจะปล่อยให้มึงตาย ๆ ไปซะ" ปากมันว่าแต่ตัวมันก็เดินไปเลื่อนโต๊ะอาหารมาที่เตียง ผมพยายามดันตัวเองให้ลุกขึ้นเพราะท้องมันเรียกร้องอาหารยาไส้ตั้งแต่วินาทีแรกที่ลืมตาตื่น แต่โชคชะตาก็เล่นตลกนะครับ ...ข้างนึงเป็นแผล ...อีกข้างนึงเสียบสายน้ำเกลือไว้ เป็นการเริ่มต้นสำออยในแบบฉบับนางเอกที่สมบูรณ์แบบจนไอ้พระเอกมันสมเพชเลยต้องเข้ามาหิ้วปีกให้ลุกขึ้นนั่งอย่างทุลักทุเลเลเวลสิบ

"กูตายมึงคงดีใจแย่ จะได้อยู่กับเมียรักแบบสบายใจ"

"พอช..." ถ้าจะกดเสียงต่ำขนาดนี้มึงไม่กดหัวกูจุ่มไปกับชามข้าวต้มหน้าตาอุบาทว์นี่ไปเลยล่ะวะ

"ออ ลืมไป ปกติมึงก็สบายใจดีอยู่แล้ว"

"........" เออ! ไม่ต้องมองแล้ว กูจะแดกดี ๆ เนี่ยแหละ ไม่ได้อยากแดกทั้งน้ำตาหรอก

“กูถนัดขวา” ผมพูดขึ้นเมื่อรู้ตัวแล้วว่าไม่สามารถประคองช้อนเข้าปากโดยสวัสดิภาพได้ สาบานว่าตอนทำนี่ไม่ได้โง่นะ...ควายล้วน ๆ ไม่มีวัวปน

“มือซ้ายมึงก็ไม่ได้เป็นง่อยนี่” ผมช้อนสายตามองมันแรง ๆ แทบจะทันที เออว่ะ ก็ไม่ได้เป็นง่อยนี่เนอะ แค่มีสายน้ำเกลือน่ารำคาญฝังไว้ที่มือเท่านั้นเอง นี่ถ้าเป็นเอมป่วยคงแทบจะป้อนด้วยปากเลยล่ะมั้ง

“กูไม่กินแล้ว”

“เรื่องของมึง” เอ้า!! ไอ้เชี่ย ตามบทบาทถ้ากูบอกหิวมึงก็ต้องคะยั้นคะยอให้กูกินสิวะ ใช่สิ!! ไอ้พวกตัวร้ายอย่างกูมันไม่เคยได้สิทธินั้นอยู่แล้ว

"เออ ก็ไม่ได้ต้องการรับความสงสารจากใครอยู่แล้ว"

"หึ... ปากดีฉิบหาย จะให้กูป้อนก็พูดตรง ๆ ไม่ใช่บอกว่าถนัดขวา" ผมก้มหน้ากลืนน้ำลายตัวเองเพราะไม่รู้ว่าจะเอาคำไหนมาเถียงมันดี มันทิ้งตัวลงนั่งที่ว่างข้างเตียงตักข้าวต้มเต็มช้อนจ่อมาที่ปากจนต้องอ้ารับไว้ก่อนที่มันจะฆ่าผมจนตายคาชามข้าวต้มแทน ทีเรื่องแบบนี้ล่ะฉลาดนักนะมึง เรื่องที่ควรจะฉลาดล่ะเสือกโง่

"ตักคำใหญ่ดีเนอะ จะรีบกลับไปหาเมียหรอ"

"ไอ้พอช...นี่ตกลงที่กูพูดเมื่อคืนมึงไม่ได้จำเลยใช่มั้ย" ให้จังหวะกูคิดก่อนสิ มึงจะรีบยัดเข้าปากมาทำไม กูแค่หิวไม่ได้อดอยาก

"พูดอะไรวะ ประโยคไหนล่ะ มึงพูดยาวเป็นหางว่าว"

"มึงนี่มัน..."

"อูอันอำไออ่ะ" ไอ้ข้าวต้มนี่ก็จืดชืดไร้รสชาติชะมัด

"กินไปเลย ถ้ามึงยังพูดเรื่องเอมอีกคำเดียว มึงเจ็บหนักกว่าที่เป็นตอนนี้แน่" มือหนานั่นบีบเอา ๆ ที่คางจนผมแทบจะพ่นข้าวต้มออกมาใส่หน้ามัน เออ ...ไม่พูดก็ไม่พูด กูนึกด่าเมียมึงคนเดียวในใจก็ได้ว่ะ

“ไม่กินแล้ว อิ่ม”

“ไอ้.....พอช” เชี่ย นี่มึงคิดจะฆ่ากูจริง ๆ หรอ

“เออ!”

“กิน ๆ เข้าไปมึงอ่ะ จะได้หายกลับบ้านซักที”

“กูไม่...”

“ห้ามพูดว่ามึงจะไม่กลับ” มือหน้าบีบแก้มผมเพื่อยัดข้าวต้มช้อนใหญ่เข้ามาได้ง่ายขึ้น รอยยิ้มร้ายที่เหมือนจะสะใจนั่นทำให้ผมรู้สึกตื้อ ๆ ในหัวอย่างบอกไม่ถูก ไอ้คนที่กำลังยืนยิ้มอยู่ตอนนี้มันเหมือนไอ้เต็มของผมคนเดิมไม่มีผิด นี่ผมกำลังคิดไปเองว่ามันกำลังจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมหรือทั้งหมดมันเป็นเรื่องจริง

“มึงรู้ตัวป่ะ ...ว่าตอนนี้มึงกำลังทำตัวเหมือนเมื่อก่อนเลย...ตอนที่อยู่อังกฤษ...ตอนที่เรายัง...ยังเป็นเพื่อน ...เพื่อนแบบเดิม” ไอ้เต็มวางช้อนลงแล้วมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป แววตาใส ๆ เมื่อครู่ดูขุ่นขึ้นราวกับไม่เคยสดใสมาก่อน ...มันก็คงจะรู้ตัวล่ะมั้งว่ากำลังทำอะไรที่มันแปลกไปจากช่วงนี้ ...หึ สุดท้ายมันก็เป็นเรื่องที่ผมคิดไปเองอยู่ดี

“หรอ... กูไม่เห็นว่าจะเหมือนตรงไหน” คนพูดไม่พูดเปล่าแต่ก้มลงประทับริมฝีปากเบา ๆ กลางกระหม่อมผม สัมผัสเล็ก ๆ นั่นทำให้ผมใจชื้นขึ้นอย่างประหลาด ก็แปลกดีกับความรู้สึกตอนนี้ แปลกดีกับการกระทำของอีกฝ่ายที่ทำให้งุนงงและไม่เข้าใจอะไรเลย หรือนี่มันจะเป็นผลลัพธ์ที่มาจากการเป็นนางเอกจอมปลอมของผม





อะไรวะ แค่สำออยก็ชนะแล้วหรอ





“มึง........”

“ต่อไปนี้มันจะไม่เหมือนเดิมแล้วพอช... ถ้ามึงลองมองคนอื่นนอกจากตัวเองซักนิดมึงก็จะรู้ว่ากูไม่ใช่เพื่อนคนนั้นตั้งนานแล้ว”





TBC

ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3
Chapter 8 คนที่ไม่เคยเข้าใจ

มีคนเคยบอกผมว่าหลายครั้งโชคชะตามักเล่นตลกกับคนในกำมือมัน แต่ผมไม่ค่อยเชื่อหรอกครับว่าไอ้เรื่องแย่ ๆ หรือเรื่องที่ดีเกินคาดเดามันจะมาจากสิ่งที่เรามองไม่เห็น ความจริงก็คือเรื่องทุกเรื่องมันก็อยู่ในกำมือเราเนี่ยแหละ ถ้ามันไม่ได้มาจากตัวเราเองก็คงจะเป็นใครซักคนที่อยากจะสร้างสีสันให้ชีวิตเราโดยไม่ได้ร้องขอ









แต่บางที... ผมก็รู้สึกว่าช่วงนี้ชีวิตมันจะมีสีสันเยอะเกินไปแล้ว









ผมออกจากโรงพยาบาลมาตั้งแต่เมื่อวาน อาการไข้ ปวดหัว ตัวร้อนใด ๆ ไม่มีแล้ว จะเหลือก็แต่แผลที่มือที่พึ่งจะหายอักเสบ แต่ก็คงจะดีขึ้นตามลำดับถ้าผมไม่คิดทำอะไรพิเรนทร์ เอ๊ย ทำอะไรดี ๆ ขึ้นมาอีก ออ... แล้วถ้าคุณคิดว่าเรื่องนี้แม่งโคตรคุ้มค่าล่ะก็คุณคิดผิด เพราะนอกจากไอ้เต็มมันจะพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือในวันนั้นแล้ว ตอนนี้ดูเหมือนว่ามันจะพลิกจากหลังมือไปเป็นหลังตีนอีกรอบ

เรื่องมันเป็นแบบนี้ครับ หลังจากที่เหมือนว่าผมจะได้ไอ้เต็มคนเดิมกลับมาเป็นของตัวเองแล้วนั้น ทุกอย่างก็ดูจะผิดไปเมื่อสารร่างของผมกลับมาเหยียบบ้านหลังนี้อีกครั้ง สงสัยผมจะลืมไอ้เต็มคนเดิมทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลถึงได้ไอ้เต็มหน้ายักษ์นี่กลับมาแทนแบบนี้ บางทีผมก็อยากจะตะโกนออกไปว่ามันเป็นเหี้ยอะไรกลับมาถึงไม่ยอมพูดจาดี ๆ กับผมซักคำ หรือว่าไอ้ที่โรงพยาบาลนั่นผีเข้า งั้นก็แปลว่าไอ้ที่พูดมานั่นเชื่อไม่ได้เลยซักคำงั้นสินะ









“ต่อไปนี้มันจะไม่เหมือนเดิมแล้วพอช... ถ้ามึงลองมองคนอื่นนอกจากตัวเองซักนิดมึงก็จะรู้ว่ากูไม่ใช่เพื่อนคนนั้นตั้งนานแล้ว”









แน่ล่ะ ไม่มีอะไรเหมือนเดิมเลยสัด ที่โรงบาลกับที่บ้านนี่ก็ไม่เหมือน เหอะ!





ผมนอนอยู่โรงพยาบาลสองวันเต็ม และดูเหมือนไอ้เต็มจะหลอกคนที่บ้านว่าคืนนั้นผมกับมันออกไปข้างนอกแล้วผมเกิดสำออยป่วยขึ้นมากระทันหัน ด้านพยานหลักฐานหนึ่งเดียวที่เห็นฉากที่ไม่ควรเห็นอย่างน้องต้าก็ยังคงปิดปากเงียบไม่พูดจา และไม่ยอมสบตาผมซักนิด ...สงสัยว่าผมจะสูญเสียเพื่อนร่วมทีมคนสำคัญไปซะแล้ว ก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่าตอนนี้น้องต้าตีความภาพที่เห็นไปในรูปแบบไหน แต่นั่นมันไม่สำคัญหรอกเพราะว่าที่ผมสนใจคือเธอคิดยังไงกับมันต่างหาก แล้วถ้าเธอตีความได้ถูกต้องจะรับมันได้มั้ย จะรู้สึกแบบไหนกับผมต่อจากนี้









ก็อก! ก็อก! ก็อก!









ผมเปิดหน้าเปิดตาออกจากผ้าห่มหลังจากนอนคลุมโปงคิดอะไรเพลิน ๆ มาพักใหญ่ นี่ก็จะแปดโมงเช้าแล้วก็คงจะเป็นป้าวรรณเอาอาหารขึ้นมาให้กินประทังชีวิตนั่นล่ะครับ

"เชิญครับ ...ต...ต้า" ผมยันตัวเองให้ลงขึ้นจากหมอน ยอมรับว่าผมเองก็หน้าเปลี่ยนสีไปเหมือนกันที่เห็นหน้าผู้มาเยือนชัด ๆ น้องต้าท่าทางเกร็ง ๆ วางถาดข้าวต้มลงข้าง ๆ เตียงแต่ก็ยังไม่ยอมสบตาผมอยู่ดี

"พี่พอชเป็นไงบ้างคะ"

"ก็ดีขึ้นแล้ว"

".........."

".........." ดูเหมือนเราทั้งคู่จะตกอยู่ในสภาวะที่พูดอะไรไม่ออกทั้ง ๆ ที่ในใจจริง ๆ มันก็มีประโยคมากมายที่อยากจะพูดออกไป ผมพยายามมองหน้าน้องต้าเพื่อแสดงความจริงใจเท่าที่พอมี แต่ก็เป็นเธอเองที่เอาแต่ก้มหน้าไม่ยอมสบตาผม

"ต้า....คือ..." จริง ๆ แล้วผมเองก็ไม่กล้าที่จะพูดก่อน เพราะไม่รู้ว่าก่อนหน้าไอ้เต็มมันพูดกับน้องต้าไว้ว่ายังไงบ้าง ตอนนี้ผมก็อยากจะพูดความจริงออกไปให้มันจบ ๆ ถึงมันจะมีความเสี่ยงที่น้องต้าจะรับไม่ได้อยู่สูง แต่มันก็คุ้มถ้าเกิดเรื่องมันจะพลิกจนเป็นผลดีขึ้นมา

"พี่พอชคะ... ถ้าต้าถามอะไรพี่จะพูดตรง ๆ ใช่มั้ย"

"อืม..." ผมตอบอย่างไม่เต็มเสียงนัก แววตาไหว ๆ ของน้องตาเริ่มจะสบตาผมเข้าบ้างแล้ว

"ต้าพยายามถามจากพี่เต็มแล้ว เขาไม่ยอมตอบ ต้าหวังว่าพี่พอชจะไม่ทำแบบนั้นกับต้าอีกนะคะ"

"ถ้าพี่ตอบได้ พี่ก็จะตอบ"

"ที่ต้าเห็น... ที่ต้าได้ยิน... มันคืออะไร... พี่สองคนทะเลาะกันเรื่องอะไร" ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอถึงแม้ใจมันจะตกลงให้พูดออกไปตรง ๆ กับน้องตาแล้วก็ตาม มันไม่ง่ายเลยที่จะพูดเรื่องนี้ ถ้าเกิดน้องต้าเอาเรื่องนี้ไปบอกคุณอาหรือคุณโสม ผมคงไม่มีเงาหัวเหลือในบ้านหลังนี้แน่ ๆ แถมการได้ไอ้เต็มคืนมามันก็คงจะยากยิ่งกว่าเดิม ...นี่ผมต้องเสี่ยงไม่ใช่น้อยเลยนะครับ

"คือ..."

"........"

"ตอนที่อยู่อังกฤษ พี่กับเต็ม เราไม่ใช่แค่เพื่อนกัน ...จริง ๆ ก็ตั้งแต่อยู่ที่นี่" ผมก้มหน้าต่ำลงก่อนจะถอนหายใจทิ้งให้คลายอาการอึดอัด การไร้เสียงตอบรับจากผู้ฟังมันยิ่งทำให้ผมใจเสีย ดูเหมือนน้องต้าเองก็จะอึดอัดในความรู้สึกไม่แพ้กัน เอาเถอะ... ต่อให้น้องต้ารู้สึกแย่กับเรื่องนี้จริง ๆ ถึงตอนที่พูดออกไปแล้วแบบนี้ผมก็คงจะทำอะไรไม่ได้

“พี่พอชหมายความว่า....”

“พี่รักมัน....”

"เป็นแบบที่ต้าคิดไว้จริง ๆ "

"พี่ขอโทษ"

"มันเป็นแบบนี้ได้ยังไง เกิดเรื่องบ้าแบบนี้ได้ยังไงกันคะ"

"...ต้าจะเกลียดพี่ก็ได้ พี่..." น้ำตาผมคลอเบ้าโดยไม่ต้องบิ้วอะไรมากมาย ก็ไม่รู้ว่าตัวเองแกล้งทำไปงั้นหรือกำลังรู้สึกเสียใจจริง ๆ กันแน่ สุดท้ายแล้วถ้าเธอจะรับไม่ได้นาทีนี้ผมก็คงไม่มีสิทธิไปรั้งหรือขอร้องให้เธอเข้าใจผมอยู่ดี คนอย่างผมมันอยู่คนเดียวจนชินแล้วล่ะ

"ไม่ใช่แบบนั้นนะคะพี่พอช ต้ารักพี่พอช รักเหมือนพี่ชายแท้ ๆ ต้าจะเกลียดพี่ได้ยังไง แต่ต้าไม่เข้าใจว่าทำไมพี่เต็มปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ ทำไมถึงยอมแต่งงาน แล้ว..." ดูเหมือนคำถามมากมายที่น้องต้าพ่นออกมามันจะเข้าทางผม มือเล็ก ๆ ที่เกาะกุมมือผมไว้ยิ่งทำให้ผมอุ่นใจขึ้นว่าอย่างน้อยผมก็ไม่เสียลูกทีมที่ดีที่สุดไป









น้องสาวพระเอกเนี่ยแหละหมากเดินเกมที่ดีที่สุด









"มันคงไม่ได้รักพี่ ...เราไม่เคยมีสถานะใดนอกจากความสัมพันธ์ทางกาย... มันไม่เคยมีอะไรเป็นเครื่องยืนยันระหว่างพี่กับมันตั้งแต่แรกแล้วต้า พี่ไม่มีสิทธิอะไรทั้งนั้น ...ถ้ามันกำลังจะมีชีวิตดี ๆ ต่อให้พี่ต้องเจ็บแค่ไหนก็คงต้องยอม" ยินดีด้วยครับตอนนี้ผมได้กลายร่างเป็นนางเอกสวรรค์เบี่ยงผู้ถูกกระทำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

"........"

"พี่ขอโทษที่ต้องพูดแบบนี้... แต่ที่พี่ยังทนเจ็บอยู่ตรงนี้เพราะว่าพี่รักมัน... ต้าช่วยลืมเรื่องนี้ไปได้มั้ย พี่สัญญาว่าจะอยู่แต่ในที่ของตัวเอง หรือถ้าพี่ทนไม่ไหววันไหนพี่ก็คงต้องไปจากที่นี่จริง ๆ "

"พี่พอชคะ..." น้องต้าบีบมือผมแน่น แววตาเธอสั่นระริกคล้ายคนจะร้องไห้มากกว่าผมเสียอีก ร่างเล็กดูจะเห็นอกเห็นใจและเข้าใจผมดีมากกว่าใคร ...ซึ่งหมายถึงตอนนี้เธออาจจะเข้าข้างผมมากกว่าพี่ชายตัวเองด้วยซ้ำไป

"ทำไมมึงยังไม่ไปแต่งตัว" เสียงเข้มของผู้มาเยือนรายใหม่ทำให้ผมต้องผูกคิ้วตัวเองเป็นปม เต็มมันเดินเข้ามากระชากแขนผมให้ลุกขึ้นก่อนจะพลักร่างผมทั้งร่างให้ออกห่างจากน้องต้าโดยไม่เปิดโอกาสให้ผมได้ไถ่ถามอะไร รวมถึงมันเองก็ไม่ได้สนใจสีหน้าสับสนอลหม่านของน้องสาวมันตอนนี้ด้วย

"แต่งตัว? อะไรของมึง"

"มึงต้องไปทำงานที่บริษัทกับกู" ผมพยายามดิ้นให้หลุดออกจากมือกาวของมัน ไปก็เชี่ยล่ะ นี่พึ่งจะหายป่วยนะเว้ย ช่วยบอกล่วงหน้าซักเจ็ดวันได้ป่ะวะ

"กูไม่ไป" ร่างที่สูงกว่าพยายามยืนขวางไม่ให้ผมหนีไปไหน ตอนนี้ก็ทำได้แค่พยายามส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปยังน้องต้าที่ไม่รู้ว่าจะพึ่งพาได้รึเปล่า

"พี่เต็ม! ทำแบบนี้ไม่ได้นะคะ พี่พอชยังไม่หายดีเลย"

"ต้า ในเมื่อเรารู้แล้ว พี่ก็จะไม่อ้อมค้อมนะ ...พี่จะจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง" ...เชี่ย นี่แปลแอบฟังมาตั้งแต่ต้นเลยใช่มั้ย ดีนะเนี่ยที่ผมไม่ได้พิเศษใส่ใข่เพิ่มเข้าไป

"พี่เต็มจะทำอะไร นึกถึงใจคนอื่นด้วยนะคะ" น้องต้ามองหน้าผมสลับกับเต็ม ดูเหมือนทางพี่ชายแท้ ๆ ก็มีท่าทีอ่อนลงกับน้องสาว ...กูบอกว่ากูเจ็บมาทั้งเรื่อง มึงยังไม่คิดจะใจอ่อนกับกูเลย ...หึ

"มันเรื่องของพี่ พี่จัดการเองได้"

"ใช่ค่ะ มันเรื่องของพี่ แต่ถ้ามันมีอะไรที่ต้าเห็นว่ามันไม่สมควร หรืออะไรก็ตามที่จะกระทบกับพี่พอชมากกว่านี้ ...ต้าก็คงจะเก็บเรื่องนี้ไว้เงียบ ๆ ไม่ได้" น้องต้าทิ้งท้ายก่อนจะเดินออกไปจากห้อง โอ้โห...ผมนี่แทบจะปรบมือให้ความดีงามนี้ แม่งเป็นความเสี่ยงที่โคตรจะคุ้มค่าจริง ๆ ครับ

"หลบ" ผมพยายามดันร่างที่ยืนขวางไว้อยู่แต่เจ้าของสายตาดุดุนั่นก็ยังมีความพยายามที่จะดันผมเข้าไปในห้องน้ำไม่เลิก

"ไปอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อย กูจะไปรอข้างล่าง"

"กูคุยกับคุณอาแล้วว่ากูจะไม่กลับไปทำงาน"

"มึงไม่มีสิทธิเลือก! ถ้ากูบอกให้ไปมึงก็ต้องไป หรือจะไม่ฟังกู ก็คิดเอานะว่าถ้าอยากให้คนที่บริษัทมองว่าไม่ไม่เอาอ่าว... เนรคุณ... ไม่มีความรับผิดชอบ... มึงก็กลับไปนอนโง่ ๆ ที่เตียง"

“เออ กูชอบนอนโง่ ๆ มากกว่า”

“กูบอกว่ามึงไม่มีสิทธิเลือก.... คนอย่างมึงไม่ได้มีทางเลือกมากนักหรอก” ไอ้เต็มกระตุกยิ้มร้าย ๆ ก่อนจะยกมือขึ้นขยี้หัวผมแรงคล้ายคนกำลังหมั่นเขี้ยว ...นี่มันกำลังสับสนอะไรอยู่รึเปล่าครับถึงได้กระทำการที่มันขัดกันกับบริบทคำพูดของตัวเองแบบนั้น ถึงกูจะดูฉลาดแต่บางทีกูก็ไม่เข้าใจการกระทำโง่ ๆ ของมึงนะเว้ย!!

.

.

.

“พี่นึกว่าคุณพอชจะไม่กลับมาซะแล้ว ไม่สบายหายดีรึยังคะ”

“ก็โอเคแล้วครับ ...เหลือนี่อีกนิดหน่อย” ผมชูมือข้างที่เจ็บไว้ข้าง ๆ หน้าเซ็ง ๆ ของตัวเอง ก็ไม่ได้อยากจะกลับมานักหรอก กลับมาวันแรกก็มาเจอกองเอกสารกองเดิมที่พร้อมจะล้มทับให้ผมตาย ๆ ไปซะ นี่ยังไม่นับสายตาอีกเกือบร้อยคู่ที่มองผมไปนินทาไปอย่างสนุกปาก คงจะเพราะเรื่องที่ผมเคยพูดจาไพเราะไว้กับสองสาววันนั้น นี่ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ผมจะไม่พูดจาหรือทำอะไรแบบนั้นแน่นอนครับ …ยกหมัดซักสองหมัดให้วิ่งแจ้นออกบริษัทไปเลยน่าจะดีกว่า

“คุณพอชทำงานไหวแน่นะคะ ถึงจะเหลือแค่แผลที่มือแต่มันก็อักเสบได้นะคะเนี่ย” ขออันเชิญพี่พริ้งเดินไปบอกท่านผู้บริหารใหญ่ที่นั่งอยู่อีกฝั่งด้วยนะครับ เพราะว่ารายนั้นได้ลากผมมาโดยไม่ถามหาความสมัครใจซักคำ

“สบายครับพี่พริ้ง ไม่ต้องเป็นห่วง”

“งั้น ถ้าคุณพอชต้องการอะไรให้รีบแจ้งพี่เลยนะคะ เดี๋ยวเป็นอะไรหนักขึ้นมา คุณเต็มเอาพี่ตายเลย” จากที่กำลังเซ็ง ๆ อยู่เส้นเลือดในตัวผมมันก็สูบฉีดขึ้นทันที ...ก็พอจะรู้หรอกว่าช่วงที่ผมสำออยอู้งานไอ้เต็มมันต้องมาดูแลงานฝั่งนี้แทนโดยอ้างเหตุผลกับพนักงานคนอื่น ๆ ว่าผมป่วยล้มหมอนนอนเสื่อจนมาทำงานไม่ได้แทนที่จะบอกไปตรง ๆ ว่าผมเกิดไม่เห็นประโชยน์ของการทำงานก็เลยไม่มาซะดื้อ ๆ แล้วนี่อะไรคือความหมายของการที่มันอาจจะเอาชีวิตพี่พริ้ง

“เต็มเกี่ยวอะไรครับพี่พริ้ง ต่อให้ผมล้มตึงลงไปก็ไม่มีใครมาว่าพี่หรอก”

“หูย ได้ซะที่ไหนล่ะคะคุณพอช รายนั้นน่ะมากำชับพี่ด้วยตัวเองเลยนะคะ ทั้งเรื่องกินยา กินข้าว เรื่องงาน นี่ถ้าพี่บกพร่องข้อไหนไปนะคะ มีหวังพี่ต้องโดนตัดเงินเดือนเอาแน่เลย”

“พี่พริ้งก็เว่อร์ไปครับ คนอย่างมันจะมาจริงจังอะไรกับเรื่องแบบนี้”

“แต่คุณเต็มเธอดูเป็นห่วงคุณพอชจริง ๆ นะคะ เดินถือถุงยามาฝากพี่ไว้ด้วยตัวเองแบบนั้น คุณพอชโชคดีจริง ๆ ค่ะที่มีเพื่อนดีแบบนี้” พี่พริ้งพูดไปเคลิ้มไปอย่างกับไอ้ซาตานนั่นเป็นเทพบุตร ก็อาจจะใช่มั้งที่ว่ามันเป็นเพื่อนที่ดี แต่สำหรับผมเพราะว่ามันเป็น ‘เพื่อน’ ไงมันถึงไม่ดีน่ะ! แต่เอ๊ะ...เมื่อกี้ถ้าฟังไม่ผิดพี่พริ้งพูดว่าถุงยาใช่มั้ย ...ถุงยา! ไอ้ที่ผมโยนทิ้งแบบไม่ใยดีไว้บนเตียงก่อนจะมาน่ะหรอ

“.....................” เชี่ย!! ทำไมกูใจสั่นเหมือนวัยแตกเนื้อสาวแบบนี้วะ

“คุณพอชคะ.... คุณพอช... คิดอะไรอยู่คะเนี่ย”

“ป่าวครับ พี่พริ้งไปทำงานเถอะ ผมโอเค” ผมดึงสภาวะใจเต้นของตัวเองกลับมาให้เป็นปกติ เล่มเอกสารในมือที่ดึงมาพลิกไปพลิกมาแก้เก้อไม่ได้สร้างจุดโฟกัสให้ผมเลยแม้แต่น้อย ก็ยอมรับตรง ๆ ล่ะครับว่าดีใจมากที่รู้ว่าเต็มเองก็แอบเป็นห่วงผม ถึงแม้จะไม่ค่อยเข้าใจในหลาย ๆ สิ่งที่มันพยายามทำอยู่ตอนนี้ก็เถอะ เดี๋ยวก็ร้ายจนผมแทบแตก เดี๋ยวก็เหมือนจะทำดีใส่จนใจมันสั่นอย่างมีความหวัง นี่ผมควรจะรู้สึกแบบไหนกันแน่ครับ แล้วผมควรจะจัดการยังไงต่อไปกับเรื่องนี้ในเมื่อผมไม่เคยรับรู้ความรู้สึกจริง ๆ จากมันเลยซักครั้ง





หรือจริง ๆ แล้วมันเป็นผมเองที่ไม่เคยเข้าใจอะไรเลย





50%

"งั้นถ้ามีอะไรโทรเรียกพี่ได้นะคะ”

ผมพยักหน้าเล็ก ๆ ก่อนจะใช้ความพยายามตัดเรื่องวุ่นวายใจออกไปแล้วลองมาตั้งใจทำงานดูบ้าง จริง ๆ การทำงานมันก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่ถ้าไม่ติดว่าผมแม่งกำลังเป็นบ้าจนสมองไม่ยอมคิดเรื่องอื่น ผมไล่อ่านเอกสารทีละหน้าโดยละเอียดแล้วจดประเด็นสำคัญที่น่าจะมีประโยชน์ในการวางแผนการตลาดใหม่ ๆ ลงในสมุดโน๊ตด้วยมือขวาง่อย ๆ ที่จับอะไรก็ไม่ค่อยถนัดนัก ไม่น่าเชื่อนะครับเวลาไม่กี่ชั่วโมงที่ผมเอาแต่สนใจงานดันทำให้ผมสมองปลอดโปร่งขึ้นมาซะได้ เขามีแต่คนทำงานแล้วเครียดจนบ้า ก็คงจะมีผมเนี่ยล่ะครับที่ทำงานแล้วลืมเรื่องบ้า ๆ ไปซะแบบนั้น

“การตลาดโบราณขนาดนี้ อีกไม่นานเจอเจ้าอื่นซิวแชมป์แน่ ๆ” ผมพูดเบา ๆ กับตัวเองระหว่างที่อ่านแฟ้มรายงานแผนการตลาดของปีก่อน ๆ ที่แสนจะขัดใจผม จะพูดยังไงดีล่ะ คือมันเชยระเบิดเลยล่ะครับ อย่างของปีที่แล้วแทนที่จะจับโซเชี่ยลมีเดียที่มีความคุ้มค่าสูง แต่ดันไปให้ความสำคัญกับพวกฮาร์ดก็อปปี้ที่ลงทุนสูงกว่า ...เอาเถอะ สัญญาเลยว่าเรื่องแบบนี้แม่งจะไม่เกิดขึ้นในยุคของผม

ก็อก ๆ

“คุณพอช” เสียงเรียบ ๆ ของพี่พริ้งทำให้ผมสามารถเงยหน้าจากกองเอกสารตรงหน้าได้ซักที เหลือบไปมองถาดในมือพี่พริ้งก็เลยทำให้รู้ว่าผมก้มหน้าก้มตาอยู่บนโต๊ะนี่เกือบจะสามชั่วโมงเข้าไปแล้ว พอได้หมุนคอไปมาไล่ความปวดเมื่อยก็รู้สึกดีขึ้นมาเยอะ หลังจากเรียนจบผมก็ไม่ได้หลังขดหลังแข็งทำอะไรแบบนี้อีกเลย นึกถึงช่วงนั้นแล้วก็อดขำในใจไม่ได้เพราะว่าได้เต็มที่นั่งเก้าอี้ตำแหน่งใหญ่อยู่ตอนนี้มันขี้เกียจซะยิ่งกว่าอะไร ขนาดหนังสือมันก็ยังต้องให้ผมอ่านให้ฟัง การบ้านมันก็ไม่เคยทำ ไม่รู้ว่าพ่อแม่มันไปบนบานศาลไหนถึงเรียนจบมาได้

“อาหารกลางวันค่ะ ...พี่ลืมถามว่าคุณพอชอยากทานอะไร ทานได้มั้ยคะ” พี่พริ้งวางถาดนั่นลงบนโต๊ะรับรองที่อยู่ห่างจากโต๊ะทำงานผมไม่กี่เมตร ผมพยักหน้าตอบรับเพราะมองพิจารณาทุกอย่างแล้วก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ข้าวกระเพราหมูสับไข่ดาวธรรมดา ๆ ถูกจัดใส่จานมาให้ดูมีมูลค่า พร้อมน้ำเปล่าอีกหนึ่งแก้วที่น่าจะทำให้มื้อนี้ไม่ฝืดคอ ในยามที่อารมณ์ยังดีอยู่คนอย่างผมจะอะไรก็ได้อยู่แล้ว

“ได้ครับ” ผมตอบยิ้ม ๆ แต่วินาทีนั้นสายตามันก็ดันเหลือบไปเห็นเม็ดยาสองสามเม็ดที่ถูกจัดใส่มาในถ้วยใบเล็กและวางอยู่ในถาดเดียวกันกับข้าวกระเพราโง่ ๆ เมื่อครู่ ...มึงใส่ใจกูหรือว่ามึงสมเพชกูอย่างที่เคยพูดกันแน่วะเต็ม

“งั้นทานข้าวเสร็จแล้วอย่าลืมทานยานะคะ”

“พี่พริ้งครับ!” ผมรีบพูดออกไปเพื่อท้วงพี่พริ้งเอาไว้ก่อน ใบหน้าใจดีนั่นยิ้มรับเสียงผมราวกับยินดีให้บริการเต็มที่ ...ขอโทษนะครับพี่ ...ผมก็แค่อยากรู้ว่าถ้าผมลองไม่เอาอาหารและยาพวกนี้เข้าปากพี่จะกลายเป็นศพเพราะฝีมือไอ้เต็มจริง ๆ รึเปล่า.... โซซอรี่จริง ๆ นะ

“ผมไม่กินข้าวกระเพรา ไม่เอาน้ำเปล่า แล้วก็ไม่กินยาไร้สาระพวกนี้ด้วย”

“เอ๋....”

“ผมไม่กินครับ”

“งั้นคุณพอชจะก....”

“ไม่เอาอะไรทั้งนั้น พี่พริ้งยกออกไปได้เลย” สีหน้าของสาววัยสามสิบเริ่มเปลี่ยนทันที ดวงตานั่นกระพริบมองผมปริบ ๆ เหมือนมีอะไรแปลกไปจนเธอไม่เข้าใจ แต่พอเจอการตีหน้าเรียบเฉียบจากผมพี่พริ้งก็ยอมมายกถาดนั่นไว้ในมือแต่โดยดีถึงแม้จะเริ่มมีอาการถอนหายใจขึ้นมาให้ผมเห็นบ้างก็ตาม

“แต่คุณพอชต้องทานยานะคะ อีกอย่างคุณเต็มสั่งพี่ไว้ว...”

“ถ้าใครอยากให้ผมกิน ...เขาก็ต้องมาบอกผมเองสิครับ” ผมยิ้มบาง ๆ ระหว่างที่พี่พริ้งส่ายหัวเพราะน้ำจิ้มอิทธิฤทธิ์เล็ก ๆ น้อย ๆ จากผม

“งั้น...ก็คุยกันเองแล้วกันนะคะ” แทนที่จะถือถาดนั่นออกไป ผู้หญิงตรงหน้าก็วางมันลงตรงหน้าผมแทน แถมยังถือวิสาสะรวบแฟ้มที่กระจัดกระจายออกไปวางไว้อีกฝั่งโดยไม่ถามความสมัครใจจากผมแม้แต่น้อย พี่พริ้งสบตาผมยิ้ม ๆ ก่อนจะเดินออกไปโดยไม่ทิ้งจังหวะให้ผมได้พูดอะไรมาไปอีก และสุดท้ายคนที่เดินสวนพี่พริ้งเข้ามาพร้อมสีหน้าอำมหิตนั่นก็ทำให้ผมรู้คำตอบที่อยากรู้ในทันที

ไม่ใช่พี่พริ้งหรอกที่จะเป็นศพ ...เป็นผมแน่ ๆ ที่อาจจะถูกไอ้เต็มฆ่าตาย

“มึงมีปัญหาอะไรกับข้าวกระเพรา” ร่างสูงนั่นท้าวแขนทั้งสองข้างลงกับโต๊ะเพื่อก้มลงมองหน้าผมได้ถนัดขึ้น อย่าหวังเลยว่าจะได้เห็นหน้าซีด ๆ จากไอ้พอช ต่อให้มึงหน้าเหี้ยมกว่านี้แล้วถือปืนมาด้วยกูก็ยังให้หน้าเรียกตีนเหมือนเดิมเว้ย

“แล้วเกี่ยวอะไรกับมึง”

“ก็ไม่เกี่ยวหรอกก็แค่กลัวมึงตายคาบริษัท ...กิน ๆ ไปซะแล้วก็กินยากูไม่ได้มีเวลามาวุ่นวายกับมึงมากนักนะ”

“ขอบคุณที่อุตส่าห์เจียดเวลาเดินมาแถวนี้ว่ะ ...แต่ ...กู ...ไม่ ...กิน!!” ผมเมินหน้าหันไปมองอีกทาง แต่หางตามันก็ยังเห็นทุกอากัปกิริยาที่กำลังหัวเสียเหมือนกอริลลาเข้าสิง จริง ๆ ผมก็เห็นมันอาการแบบนี้ตั้งแต่ขับรถมาทำงานแล้ว คือเรื่องมันเป็นแบบนี้ครับเมื่อเช้าไอ้เต็มมันลากผมมากทำงานด้วยรถคันเดียวกันโดยที่ผมไม่มีสิทธิโต้แย้งใด ๆ แต่ที่น่ารำคาญลูกตาผมก็คือมันเอาแต่ทำท่าทางเหมือนคนหงุดหงิดฉิบหายมาตลอดทางทั้ง ๆ ที่มันเป็นคนลากผมมาเองแท้ ๆ นี่ถ้าไม่ติดว่ายังรักมันนะจะโบกหัวเข้าให้ซักที

“งั้นก็เรื่องของมึง” เอ้า!! ไอ้เชี่ย!! อยู่ดี ๆ มึงก็ถอยเฉย ๆ ง่าย ๆ แบบนี้เนี่ยนะ

“แม่ง....”

“หากินเอาเองละกัน พี่พริ้งเขาคงมาเป็นบริวารรับใช้หาอาหารรสเลิศกว่านี้มาให้มึงกินไม่ได้” ผมสบถออกมาอย่างคนที่โดนขัดใจโดยไม่รู้ตัว ร่างสูงหยิบถาดคล้ายจะยกหนีผมอย่างที่ปากพูดจริง ๆ แต่มือผมมันก็ดันแสนรู้คว้าข้อมือนั่นเอาไว้แบบอัตโนมัติ ...ยอมรับก็ได้วะ นอกจากจะรั้งมันไว้ให้อยู่ก่อนก็มีอีกเหตุผลนึงนั่นก็คือหิวนั่นแหละ

“เดี๋ยว... กูกินก็ได้”

“ดี... แล้วก็กินยาด้วยไม่ใช่โยน ๆ ทิ้งไว้บนเตียง ...กูไม่อยากหัวเราะตอนมึงแผลอักเสบตาย” เต็มมันวางถาดลงที่เดิมในขณะที่ผมก็ยังไม่ยอมปล่อยมือออกจากมันอยู่ดี

“กูบอกว่าจะกิน ...แต่มึงต้องป้อน”

“เหอะ... แบบนี้ก็ได้หรอวะ” มันเหลือบตามองผมอย่างกับเวทนาซะเต็มทน เสียใจว่ะตอนนี้กูด้านพอจนไม่รู้สึกเสียใจอะไรกับสายตาแบบนี้ของมึงอีกต่อไปแล้ว

“ก็กูถนัดขวา” ผมใช้มุกเดิมที่เคยใช้แล้วได้ผล แต่คราวนี้ไอ้เต็มมันกระตุกยิ้มขำแล้วใช้แววตาสะใจจ้องมองผมนิ่ง

“ไอ้มือที่มึงจับกูแน่นอยู่เนี่ย ...มันก็ข้างขวา แล้วไอ้ที่มึงจับปากกาเขียนมาตั้งหลายชั่วโมงมันไม่ใช่มือขวารึไงวะ” จบกัน... ผมพลาดซะแล้ว ถึงตอนนี้จะชักมือกลับมาแม่งก็คงไม่ทันการแล้วล่ะครับ แต่เดี๋ยวก่อนนะ.... สงครามยังไม่จบอย่าพึ่งด่วนสรุปผู้ชนะว่ามั้ยครับ

“มึงรู้ได้ไงว่ากูจับปากกาเขียน” ผมชะเง้อไปดูช่องกระจกที่ประตูแล้วได้โอกาสเป็นฝ่ายยิ้มร้ายขึ้นมาบ้าง กลายเป็นตอนนี้ไอ้เต็มเป็นฝ่ายที่ดูจะซีดแทนผมไปซะได้ ขอคิดเข้าข้างตัวเองแบบไม่ต้องมีใครมาบอกก็แล้วกันว่ามันคงจะมาแอบดูผมในจังหวะที่เอาแต่ทำงานจนไม่ได้สนใจอะไร

“กูก็ไม่ได้โง่นะ ...กูมีวิธีของกูก็แล้วกัน”

“แอบมาดูก็บอก เป็นห่วงกูก็พูดสิวะ มาทำอ้อมค้อมอยู่ได้ ทำไม? เกรงใจเมียรึไง”

“แค่สงสารเพื่อน ...คงไม่ต้องเกรงใจใครมั้ง” ถ้ามันจะเน้นคำว่าเพื่อนจนผมต้องแอบกลืนน้ำลายหนืด ๆ ลงคอขนาดนี้ คราวหลังก็ไม่ต้องมายุ่งวุ่นวายกันซะดีกว่ามั้ง อะไรวะ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เดี๋ยวก็ทำให้ผมมีความหวัง ถ้ามันคิดจะสงสารผมก็ไม่ได้ต้องการความสงสารนั่น ที่ผมทำอยู่ทุกวันนี้ก็แค่อยากได้ใจจากมันมาบ้าง ไม่ใช่ความสงสารที่สร้างความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ให้ผมไปวัน ๆ

“ก็แค่สงสารหรอ...”

“จริง ๆ กูก็ออกจะสมเพชมึงนะ เห็นว่าป่วยอยู่แล้วก็คงจะไม่มีใครมาเหลียวแลคนแบบมึงเท่าไหร่นัก” นั่นสินะ ...มันเป็นคำนี้จริง ๆ คำที่ได้ยินอีกซักกี่ครั้งมันก็ยังเจ็บอยู่ดี

“มึงไปเหอะ มึงเสียเวลาชีวิตมาสมเพชกูเยอะเกินไปแล้ว”

“ร...รู้ตัวก็ดีจะได้ไม่มาทำตัวให้เป็นภาระใครเขาอีก”

ผมหมุนเก้าอี้หันหน้าเข้าหาผนังเพื่อหันหลังให้มันแทน ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันครับว่าความรู้สึกตอนนี้มันคืออะไร ถึงผมจะทำอะไรที่คนดี ๆ เขาไม่ทำกันไปหลายเรื่องเพื่อให้มันกลับคืนมา แต่กลายเป็นว่าพอมันทำทีเหมือนจะสนใจผมขึ้นมาบ้างผมดันไม่รู้สึกดีใจจริง ๆ เลยซักนิด ทั้งเรื่องคืนนั้นที่มันออกไปตามหาผมอย่างที่ผมหวัง ทั้งที่มันยอมนอนเฝ้าผมที่โรงพยาบาลสองวันเต็ม ทั้งที่มันเหมือนจะใส่ใจความเป็นไปของผม แต่ทุกอย่างก็มักจะปิดท้ายด้วยไอ้เต็มที่ด้านชาเหมือนไม่ต้องการผม แล้วสิ่งที่รู้สึกอยู่ตอนนี้คือผมไม่รู้ว่าสิ่งไหนคือความจริงกันแน่... คือมันยอมใจอ่อนกับผมจริง ๆ หรือมันแค่สงสารเพื่อนคนนึงอย่างที่ปากพูด









มึงไม่เคยดูละครรึไงวะ ...ถ้ามึงไม่ได้รักจริง ๆ อย่าให้ความหวังตัวร้ายด้วยคำว่าสงสารหรือสมเพชเวทนา

เพราะว่าถ้าเขาเจ็บ... เขาจะร้ายมากขึ้นกว่าเดิม... หรือไม่เขาก็จะหายไปแล้วไม่กลับมาอีกเลย...









“งั้นมึงอย่าลืมกินยาก็แล้วกัน ...กูไม่อยากเห็นมึงตา....” ผมไม่รอให้มันได้พูดประโยครบกวนจิตใจนั่นจบ ประโยคยาว ๆ ที่แสนจะอัดอั้นของผมก็หลุดออกมาทำหน้าที่ของมันในทันที

“มึงก็รู้อยู่แก่ใจว่ากูรู้สึกยังไงกับมึง จะเอาอะไรกันนักกันหนาวะเต็ม จะดีกับกูมึงก็ดีให้มันจริง ๆ สิ มึงมาขึ้น ๆ ลง ๆ ใส่กูแบบนี้มึงไม่คิดว่ากูจะเจ็บบ้างรึไง ...มึงแต่งงานแล้วกูเข้าใจข้อนี้ดี แล้วมึงก็คงจะรู้ดีเหมือนกันว่ากูเองก็พยายามให้มึงกลับมาเป็นไอ้เต็มคนเดิมของกูแค่ไหน มึงรู้อะไรมั้ย ตอนนี้กูสามารถทำทุกอย่างโดยไม่สนเวรกรรมด้วยซ้ำ... แต่แม่งติดอยู่ข้อเดียวว่ะ ...ติดอยู่ที่การกระทำของมึง มึงไม่เคยชัดเจนพอให้กูเลือกเดินไปทางไหนซักทาง ...นี่ถ้ามึงเอาแต่ผลักไสไล่ส่งกูเหมือนช่วงแรก ๆ กูอาจจะมีความสุขกว่านี้ด้วยซ้ำ ...แต่นี่มึงมาทำเหมือนสนใจกูแล้วก็ผลักกูให้ตกลงมาเหมือนเดิม ถ้ามึงจะทำแบบนี้มึงก็ไม่ต้องมาสนใจกูเลย! ถ้ากูจะตายก็เรื่องของกู!! ไม่ต้องมาสมเพชกู!!” ผมทิ้งจังหวะเม้มปากนิ่งเป็นเส้นตรงเพื่อให้ตัวเองได้ตั้งสติบ้าง บรรยากาศในห้องมันเงียบจนผมไม่แน่ใจว่ามันยังฟังผมอยู่รึเปล่า บางทีมันอาจจะเดินหนีผมออกไปตั้งแต่ประโยคแรกแล้วก็ได้

“ถ้ากูพยายามแล้วไม่ได้มึงกลับคืนมาจริง ๆ วันนึงกูอาจจะถอดใจแล้วตายจากมึงไปซะ แต่นี่มึงกำลังรั้งกู รั้งให้กูเจ็บด้วยความหวังที่กูไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันมีอยู่จริงมั้ย ...มันไม่ได้ดีเลยนะเว้ย แม่งแย่กว่าตอนที่มึงบอกให้กูลืมมึงอีก” ดวงตาของผมค่อย ๆ ปิดลงเพราะแน่ใจแล้วว่ามันคงไม่ยืนฟังผมได้ถึงตอนนี้ แต่ก็ช่างมันเถอะ ถึงจะพูดในอากาศฟังผมก็จะถือว่าผมได้พูดในสิ่งที่อยากจะพูดตั้งนานออกไปแล้ว ต่อจากนี้ผมจะลองสู้ดูอีกซักยก สู้มันทุกทางเท่าที่จะทำเพื่อหัวใจตัวเองได้ ถ้า สุดท้ายแล้วใจมันไม่ไหวจริง ๆ ผมก็คงต้องยอมรับในบทบาทของตัวร้ายที่ผ่ายแพ้ยับเยินในตอนจบ

“กูอยากรู้จริง ๆ ว่าถ้ามึงไม่ต้องแต่งงานกับเอม ...มึงจะทำยังไงกับกู”

“ถ้ากูไม่ได้แต่งงาน ...กูจะบอกรักมึง”

ผมชาวาบไปทั้งตัวหลังเสียงเรียบที่ดังขึ้นตอบคำถามที่ไม่ได้ต้องการคำตอบตั้งแต่แรก ทันทีที่หันมาพบเต็มมันยืนตีหน้าเรียบอยู่ที่เดิมปากผมมันก็ดันสั่นพูดอะไรไม่ออก ประโยคนั่นมันมีอิทธิพลกับร่างกายผมทั้งร่างตั้งแต่สมอง หัวใจ เรื่อยมายันเส้นเลือดที่กำลังสูบฉีด มือหนาเชยเข้าที่กรอบหน้าผมก่อนจะใช้นิ้วโป้งไล้ไปมาบนแก้มที่ไม่อาจจะแสดงความรู้สึกใด ๆ ได้ในตอนนี้

“มึงมันไม่เคยมองคนอื่นนอกจากมองตัวเองเลยพอช ไม่เคยมองด้วยซ้ำว่ากูต้องใช้ความพยายามแค่ไหนที่จะเก็บมึงไว้ข้างกูให้ได้”

“.......”

“แค่กูจะรักษามึงไว้ด้วยวิธีของกู... มันเข้าใจยากตรงไหนวะพอช”






ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3
Chapter 9 ความในใจใครบางคน


เต็ม เตวิน

“ถ้ากูไม่ได้แต่งงาน ...กูจะบอกรักมึง”

“มึงมันไม่เคยมองคนอื่นนอกจากมองตัวเองเลยพอช ไม่เคยมองด้วยซ้ำว่ากูต้องใช้ความพยายามแค่ไหนที่จะเก็บมึงไว้ข้างกูให้ได้”

“แค่กูจะรักษามึงไว้ด้วยวิธีของกู... มันเข้าใจยากตรงไหนวะพอช…”

ผมนั่งฟังเสียงของตัวเองก้องในหัวซ้ำ ๆ มานานนับชั่วโมง ประโยคที่ดูอันตรายนั่นอาจทำให้เรื่องราวในชีวิตผมพลิกไปเป็นอีกฝั่ง คิ้วที่ขมวดเป็นปมมานานเริ่มทำให้หัวผมมีอาการปวดหนึบ ๆ จากความเครียด สิ่งที่ผมพูดออกไปไม่ได้เกิดจากข้อผิดพลาดใด ๆ ทั้งนั้น แต่ที่มันทำให้ผมวิตกกังวลอยู่ตอนนี้คือผลลัพธ์ที่มันกำลังจะตามมาต่างหาก ผมไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะพูดแบบนั้นกับใคร โดยเฉพาะ ...พอช เพื่อนสนิทคนเดียวที่ได้เติบโตมาในทุกช่วงชีวิตของผม

ภาพแรกในหัวก็คงจะเป็นภาพเพื่อนวัยเดียวกันที่ผมเห็นตั้งแต่ตัวเล็ก ๆ ครอบครัวเราค่อนข้างสนิทกันครับจำความได้ก็ไปมาหาสู่กันบ่อย ๆ ผมกับพอชเลยกลายเป็นเพื่อนเล่นกันไปโดยปริยาย ถึงแม้ว่าไอ้เด็กปากจัดอย่างพอชมันดูจะไม่ค่อยชอบใจเพื่อนอย่างผมซักเท่าไหร่ก็ตาม แต่ทุก ๆ เรื่องมันก็มีจุดเปลี่ยน เรื่องราวของผมกับมันก็เช่นกัน ...จุดเปลี่ยนแรกก็คงจะไม่พ้นวันที่พ่อพาพอชและพี่ชายเข้ามาเป็นสมาชิกคนใหม่ในบ้าน เพื่อนตัวเล็กของผมเอาแต่ร้องไห้ทุกวันจนทุกคนเหนื่อยใจ จนกระทั่งจุดเปลี่ยนครั้งที่สองที่มาเร็วจน้ำตาของพอชมันไม่พอให้ไหลอีกต่อไปแล้ว ‘พี่พีท’ คน ๆ เดียวที่พอชพอจะกอดได้หายออกไปจากบ้านแล้วไม่กลับมาอีกเลย

เด็กสิบขวบอย่างผมกลายเป็นคนเดียวที่พอจะพูดคุยกับพอชได้โดยที่มันไม่ได้ปิดกั้น เรากลายเป็นเพื่อนและสนิทกันเพิ่มมากขึ้นทุกวัน เรียนด้วยกัน เล่นด้วยกัน หัวเราะ ร้องไห้ ปลอบโยนในเวลาที่อีกฝ่ายกำลังกลัว เป็นกำลังใจในเวลาที่อีกคนกำลังคิดมาก เวลาสิบกว่าปีที่เห็นว่าอีกฝ่ายสูงขึ้นเท่าไหร่ มีความสุขดีมั้ย มีเรื่องอะไรในใจรึเปล่า ทั้งหมดนั่นมันทำให้ลืมไปแล้วว่าในช่วงเวลาที่ไม่มีอีกคนมันจะเป็นยังไง

และจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญก็คงหนีไม่พ้นการก้าวล้ำเส้นคำว่าเพื่อน เอาจริง ๆ มันก็เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่สมัยมัธยมปลาย ผมรู้ตัวดีว่าบางสิ่งมันกำลังก่อตัวในใจผมชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็น่าขำนะที่ผมพยายามสะกดจิตตัวเองไว้ตลอดเวลาว่าไม่ได้รู้สึกอะไรทั้ง ๆ ที่การแสดงออก การกระทำของตัวเองมันชัดเจนไปหมดแล้ว ...ผิดกับอีกคนที่มั่นใจในความรู้สึกตัวเองจนกล้าที่จะพูดออกมา มันเป็นความขี้ขลาดของผมที่ข้ามเส้นคำว่าเพื่อนได้แต่ดันไม่กล้าข้ามผ่านความกลัวในใจตัวเอง ท้ายที่สุดแล้วคงจะเป็นผมเอง ที่น่าสมเพชสิ้นดี

กลับมาที่ความจริงตอนนี้ก็อย่างที่ทุกคนอาจจะทราบดี ผมพึ่งจะแต่งงานและมีภรรยาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ชีวิตหลังแต่งงานของผมมันไม่ได้ราบรื่นน่าอิจฉานักหรอกครับ ถึงแม้ว่าเจ้าสาวของผมอาจจะดูสวยและประพฤติตนเป็นกุลสตรีแค่ไหน ...ผมไม่ได้รักเอม ผมไม่สามารถจะรักผู้หญิงที่พึ่งเจอกันสามวันก่อนแต่งงานได้ ถ้าจะพูดให้ชัด ๆ กว่านี้ก็คือผมกำลังรักใครอีกคน เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าเธอจะดีกับผมแค่ไหน สำหรับตอนนี้ผมไม่ได้รู้สึกอะไรมากไปกว่าเห็นเอมเป็นน้องสาวคนนึงที่ผมมีหน้าที่ต้องดูแลในฐานะสามี

มันอาจจะฟังดูเห็นแก่ตัว ซึ่งผมยอมรับครับ ยอมรับในแบบที่ไม่รู้ว่าจะปฏิเสธไปทำไมอีก แต่เชื่อเถอะสำหรับเรื่องนี้ผมก็มีเหตุผลของผม หลายคนอาจจะมองว่าผมมีทางเลือกที่จะปฏิเสธการแต่งงานครั้งนี้ แต่ผมขอบอกพวกคุณไว้เลยว่าในตอนนั้นการปฏิเสธเป็นทางเลือกสุดท้ายที่ผมจะทำ เพราะว่าผมคนนี้มันอาจจะเลวกว่าที่ทุกคนคิดไว้เยอะไงล่ะ…

“มึงจะพากูไปไหน นี่ไม่ใช่ทางกลับบ้าน” เสียงเรียกจากคนข้าง ๆ ทำให้ผมได้สติแล้วหันมาให้ความสนใจกับเส้นทางตรงหน้าอีกครั้ง ผมหันไปมองใบหน้าเหม่อลอยของคนที่นั่งอยู่ข้างคนขับแวบนึงแล้วยิ้มเบา ๆ ที่มุมปากตัวเอง จริง ๆ มันก็คงจะเหม่อไม่ต่างจากผมนักเพราะผมพามันออกนอกเส้นทางปกติมาตั้งนานแล้วแต่เจ้าตัวก็พึ่งจะมาทักท้วงเอาป่านนี้

“ก็คนละทางกันตั้งแต่ขับออกมาแล้วป่ะวะ” ถ้าเป็นไอ้พอชคนที่ผมรู้จักผมคงจะได้ยินเสียงยอกย้อนขึ้นมาจนต้องเถียงกลับ แต่ไอ้คนที่นั่งข้าง ๆ ผมตอนนี้ก็ได้แต่พูดออกมาเสียงเรียบจนผมใจหาย

“กูอยากกลับบ้าน ...จอดก็ได้ กูไปเอง” ผมไม่รู้ว่าแววตาสับสนของมันกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ เสียงเอ่ยเบา ๆ คล้ายคนหมดแรงนั่นก็ทำให้ผมรู้สึกเจ็บใจตัวเองที่ปล่อยให้ทุกอย่างมันเป็นแบบนี้

“ไปเที่ยวกัน กูอยากกินเหล้า”

“กูไม่อยากไป”

“ก็กูอยากกินเมากับมึงนี่หว่า ไปเป็นเพื่อนกูหน่อยดิ”

“............” เสียงเงียบข้าง ๆ ทำให้ผมใจหายไปอีกระดับ ผมชอบให้มันเถียงหรือใช้คำพูดแย่ ๆ กับผมมากกว่าที่จะมาเงียบใส่กันแบบนี้

“พอช... กูขอเวลาแค่ชั่วโมงเดียวก็ได้ แค่ไปนั่งเป็นเพื่อนกู ...ได้มั้ย”

“...........” ผมไม่ได้คำตอบคืนกลับมาก็คิดเองเออเองว่ามันไม่ได้ปฏิเสธ ดวงตาที่ออกจะช้ำมองเหม่อออกไปนอกรถโดยที่เจ้าตัวไม่ปริปากพูดคำใดออกมาอีก

ร้านนั่งดื่มเล็ก ๆ ที่พอจะรู้จักเป็นจุดหมายปลายทางที่ผมตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก ผมจอดรถเทียบไว้หลังร้านในจังหวะที่ตะวันกำลังจะลับขอบฟ้าพอดี การจราจรกรุงเทพมันทำให้ผมเสียเวลาไปเป็นชั่วโมงกับมนุษย์ที่เหมือนจะพูดไม่ได้ในรถ ผมจูงร่างบางเข้ามาในร้านโดยไม่ลืมที่จะเหลือบมองใบหน้าที่ไม่แสดงอารมณ์นั่นเป็นระยะ ๆ โอเคว่ะพอช ...กูเข้าใจแล้วว่าตอนที่กูแกล้งเงียบไม่พูดกับมึงมึงรู้สึกยังไง

“มึงอยากกินไรเป็นพิเศษมั้ยพอช”

“ไม่”

“ออ....อืม ....นานแล้วเนอะ ที่ไม่ได้มากินเหล้ากับมึง” ผมว่าพลางดันแก้วที่มีเครื่องดื่มสีเหลืองอำพันไปตรงหน้าคนอีกคน มันใช้สายตาเจ็บปวดมองผมนิ่ง ๆ จนผมต้องเป็นฝ่ายยกแก้วพรวดเข้าปากกลบความรู้สึกไปซะเอง

“มึงกำลังเล่นอะไร ...จะทำอะไรกับกู” ประโยคแรกหลังจากที่เงียบมานานและแววตาจริงจังนั่นทำให้ผมได้แต่แค่นยิ้มมองคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกผิด มันไม่ง่ายเลยกับเรื่องผ่าน ๆ มาที่ผมเล่นกับความรู้สึกของคนคนนึงทั้งที่รู้ดีว่ามันจะรู้สึกเจ็บได้แค่ไหน

“ไม่ได้เล่น ...แต่แค่ตอนนี้กูทนไม่ไหวแล้วว่ะ”

“ทำไม มึงเงี่ยนรึไง ถึงจะมาทำดีกับกู เมียมึงไม่ให้เอาหรอ” ไอ้คนที่ซดรวดหมดแก้วตอนนี้สิถึงจะเป็นไอ้พอชตัวจริง มือเล็ก ๆ ข้างที่เป็นแผลนั่นยกขึ้นปาดคราบเครื่องดื่มเลอะ ๆ ที่มุมปากตัวเองแล้วมองผมตาขวาง

“พอช ...กูขอโทษ” เสียงขอโทษแผ่ว ๆ ได้ออกจากปากคนเห็นแก่ตัวอย่างผม แววตาของพอชกำลังสับสนชัดเจนขึ้นมากกว่าเก่า

“หึ ตลกว่ะ ...นี่มึงไม่ด่ากูเรื่องพาดพิงเมียมึงแล้วหรอ”

“แล้วมึงไม่ใช่เมียกูรึไง” ท่าทางการพูดติดตลกของผมไม่ได้ทำให้พอชมันอารมณ์ดีขึ้นอย่างที่คาด ร่างบางยกขวดเครื่องดื่มเพียว ๆ เทพรวดลงไปในแก้ว จนผมต้องเลื่อนมือไปยั้งแต่มือเล็ก ๆ นั่นก็สะบัดหนีในทันที จากที่เห็นเข้าใจได้ว่าตอนนี้พอชกำลังสับสนเพราะการกระทำที่ดูเอาแน่เอานอนไม่ได้ของผม เอาเถอะเพราะขนาดตัวผมเองมันยังเคยสับสนจนทำอะไรไม่ถูกเลย

“ประสาทกลับหรอ!”

"ตรงนี้มีแค่กูกับมึง ไม่ต้องพูดถึงคนอื่นได้มั้ยวะ"

"คนอื่นที่มึงว่าก็คือคนที่มึงปกป้องมาตลอดไม่ใช่หรอ" เจ้าตัวกระตุกยิ้มร้ายแบบที่เคยทำบ่อย ๆ หนึ่งในข้อเสียของพอชคือใบหน้าที่แสนจะเย่อหยิ่งของมันเมื่อยามโกรธ หลายครั้งหลายคราตั้งแต่สมัยเด็ก ๆ ที่ผมต้องคอยห้ามทัพเวลามันเอาสีหน้าตัวเองไปหาเรื่องเข้าตัว พอชมันค่อนข้างจะมีนิสัยที่เป็นของตัวเองครับ ขนาดผมที่มั่นใจว่าตัวเองรู้จักมันดีที่สุด แต่ในบางครั้งมันก็ดันเซอร์ไพร์สทำให้ผมรู้สึกว่าไม่เคยรู้จักมันเลย

"กูปกป้องมึง... ไม่ใช่เอม" ผมขยับเก้าอี้ไปนั่งข้าง ๆ พอช ก่อนจะทิ้งหัวหนัก ๆ ลงกับไหล่เย็นเฉียบนั่น มันไม่ได้ขยับหนีแต่ก็หายใจเข้าออกแรงหลายครั้งจนผมรู้สึกได้

"มึงเล่นอะไรอยู่กันแน่เต็ม กูไม่สนุกนะเว้ย"

"กูแต่งงานมากี่วันแล้ววะ มึงจำได้มั้ย"

"สิบเก้า" หลังจากตอบคำถามผมได้ เหล้าอีกแก้วก็ถูกกลืนหายไปในลำคอคนตอบ

"เป็นสิบเก้าวันที่โคตรเหนื่อยเลยว่ะ เพราะมึงคนเดียว"

"กูก็กำลังจะไปจากมึงแล้วไง ...คิดว่ากูไม่เหนื่อยหรอ" ผมยกแขนโอบคนที่กำลังจะลุกหนีไว้แทบไม่ทัน บางทีผมก็คิดว่าช่วงนี้ไอ้ตัวแสบนี่ขี้แยเกินไป นี่ไม่ทันไรก็เริ่มน้ำตาคลอขึ้นมาอีกแล้ว ...นี่ไม่รู้เลยรึไงว่ามันอันตรายกับใจคนอื่น

"มึงทำให้ความอดทนกูแตกหมดแล้ว มึงจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น ยังไงมึงก็ต้องอยู่รับผิดชอบ"

"ตกลงมึงจะเอาไง ถ้าแค่อยากจะรั้งกูไว้สนุก ๆ ตอนนี้มึงสนุกมากพอรึยัง" เหมือนพอชมันจะเอาแต่สนใจเหล้าที่จะกล่อมให้มืนเมา สายตามันหยุดนิ่งอยู่กับก้อนน้ำแข็งที่กระทบไปมารอบขอบแก้วตามแรงมือ

"กูไม่ได้อยากจะรั้งมึงซักนิด ...ทีแรกกูก็อยากให้มึงลืม ๆ เรื่องพวกนั้นไปซะ เราจะได้ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกันอีก เวลาเจอหน้ากันกูจะได้รู้สึกแค่เจอเพื่อนร่วมบ้านคนนึง"

"เออ!! กูรู้แล้ว!! " พอชพยายามจะสะบัดแขนที่ผมพาดโอบไว้บนไหล่ แต่แรงนั่นก็ยังไม่มากพอแถมยังช่วยให้มือผมล็อคต้นคอนั่นไว้เบา ๆ เพื่อบังคับให้มันมองหน้ากันง่ายขึ้นด้วย ...ทำไมมึงไม่มองกูบ้างวะพอช ทำไมไม่มองว่าจริง ๆ แล้วความรู้สึกข้างในกูมันเป็นยังไง

"แต่กูทำไม่ได้แล้วว่ะ ...ในเมื่อมึงไม่ยอมลืมกูซักที ...แล้วกูจะลืมมึงได้ยังไง" เป็นครั้งแรกที่มันยอมมองลึกเข้ามาในแววตาผม ขอบดวงตาคล้ำ ๆ นั่นทำไมผมจะไม่รู้ว่ามันผ่านศึกมามากแค่ไหน ...แต่เชื่อเถอะ ถ้าคุณมองผมดี ๆ ผมเองก็ไม่ได้ต่างจากมันเท่าไหร่นัก

"ทำไม..."

"วันที่มึงเดินหนีกูออกจากบ้าน ...กูจะบ้าอยู่แล้ว ถ้าคืนนั้นกูไม่เจอมึงกูต้องรู้สึกผิดไปตลอดแน่ ๆ " กลายเป็นผมบ้างที่ถึงเวลาแสดงความอ่อนแอออกมา คืนนั้นพอชทำให้ผมแทบจะสติแตกออกมา เกินห้าชั่วโมงที่มันตามหามันด้วยสมองโล่ง ๆ ที่ไม่มีจุดหมาย แต่นั่นก็เป็นห้าชั่วโมงที่ทำให้ความอดทนทั้งหมดของผมหมดลง









ห้าชั่วโมงนั่นทำให้ผมรู้ว่าผมเสียพอชไปไม่ได้จริง ๆ









"ที่มึงกำลังพูด ไม่ได้หลอกกูใช่มั้ย"

"กูคงหลอกมึงไม่ไหวหรอกพอช ...แค่กูหลอกตัวเองว่าไม่ได้รักมึงกูยังจะแย่เลย" แววตาของคนฟังสั่นระริก ทั้งยังกัดริมฝีปากตัวเองแน่นเมื่อผมเลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้จนปลายจมูกเฉียดกันไม่ถึงเซนติเมตร มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เราใกล้กันจนได้สัมผัสลมหายใจแบบนี้ แต่ความรู้สึกจริง ๆ ที่ผมได้ปลดปล่อยกำลังทำให้ใจมันสั่นและอยากจะโฉบเอาริมฝีปากบางนั่นมาเป็นของตัวเอง

“มึงอย่าพูดอะไรที่มึงไม่ได้รู้สึก...”

“กูรู้สึก กูรู้สึกมานานแล้ว ...กูรักมึง มึงสำคัญกับกูที่สุด... ได้ยินมั้ยพอช” สายตาของพอชกำลังบอกว่ามันรับฟังสิ่งที่ผมอยากจะพูดมาตลอด ถึงแม้ว่ามันอาจจะช้าเกินไปซักนิดแต่ผมก็เชื่อว่ายังทันเวลาที่จะทำให้ผมรักษาคนคนนี้ไว้ได้

"....ถ...ถ้ากูสำคัญขนาดนั้น มึงจะแต่งงานกับเอมทำไม"

"ที่กูยอมแต่ง ...ก็เพราะว่ามึงสำคัญไง" ผมไม่รอให้พอชมันได้จังหวะแล้วยิงคำถามขึ้นมาอีกครั้ง ทุกเสียงถูกดูดกลืนด้วยริมฝีปากของผมที่กำลังจะทำให้เรากลายเป็นหนึ่งเดียวในช่วงเวลานี้ รสจูบที่ผมเองก็โหยหามาตลอดมันกำลังกลับมาทำลายความขมที่ตัวผมเองเคยเป็นคนสร้างไว้ ริมฝีปากเล็ก ๆ นั่นก็โต้ตอบกลับมาอย่างเชื่องช้า สมองผมมันฉายภาพความสุขในช่วงเวลาที่มีแค่ผมกับมันชัดเจนขึ้นมาอีกครั้ง ถึงแม้ว่าในตอนนั้นผมมันจะไม่เคยชัดเจนในความรู้สึกตัวเองเลยก็ตามที

“....ก....กูสำคัญยังไง มึงถึงไปแต่งงานกับคนอื่นว่ะ หึ...”

“คือ...”

“มึงมีเหตุผลดี ๆ ให้กูซักข้อมั้ยเต็ม”

“....กูไม่มี” ขอโทษว่ะพอชจริง ๆ แล้วกูพูดมันออกไปไม่ได้ต่างหาก

“งั้นมึงไปหย่ากับเอม”

“กูทำไม่ได้...”

“อืม... เหตุผลมึงยังไม่มีให้กู ให้หย่ากับเอมมึงก็บอกว่าทำไม่ได้ กูคงเชื่อที่มึงพูดได้มากสินะ วันก่อนนู้นยังเกลียดกูแทบตาย วันนี้มาบอกว่ารักกู ...จะให้กูทำยังไงกับความรู้สึกตัวเองวะเต็ม”

"ก็ไม่ต้องทำอะไร... เวลาที่มีแค่เราสองคนมันก็จะมีแค่เราสองคนแบบตอนนี้...."

“งั้นแปลว่าเวลาที่มีคนอื่น ...มึงก็จะเป็นสามีของเอมที่กูไม่มีสิทธิสินะ กูไม่ได้เจ็บน้อยลงไปกว่าเดิมเท่าไหร่เลยนะเว้ย!”

“ถ้างั้นมึงอยากไปจากกูมั้ยล่ะ... จบมันตรงนี้แล้วมึงจะได้ไม่ต้องเจ็บอีก กูมีทางเลือกให้มึงได้แค่ตอนนี้ ...ถ้ามึงอยากไปกูจะไม่รั้งเอาไว้เลย” ปากพูดว่าจะไม่รั้งแต่ไอ้มือไม่รักดีก็คว้ามือของพอชไว้แน่น ผมไม่รู้ว่าจะด่าตัวเองยังไงดี แต่พอพูดออกไปหมดแล้วแบบนี้มันก็ยากนะครับที่จะเก็บความรู้สึกอะไรไว้ข้างในใจได้อีก

“...ถ้ากูจะไป ...กูไปตั้งแต่วันที่มึงแต่งงานแล้ว” เสียงสั่น ๆ ทำให้ผมต้องดึงอีกฝ่ายเอามาซุกกับอก ไม่ถึงวินาทีต่อมาพอชก็พุ่งเข้ากอดจนผมแทบเซล้มลงจากเก้าอี้ ดีที่ยังทรงตัวไว้ได้ทันร่างบางถึงได้ซุกหน้าเข้ามาพร้อมทิ้งน้ำหนักทั้งตัวมายังผมแบบสุขใจ ผมเผลอยิ้มกว้างออกมาที่อย่างน้อยต่อไปนี้ผมก็ไม่ต้องพยายามทำให้คนคนนี้เจ็บปวดใจทั้ง ๆ ที่ตัวผมเองกำลังเจ็บมากกว่ามันอีกแล้ว

“กอดกูแบบนี้กูถือว่ายอมอยู่เป็นชู้กูแล้วนะ”

"มึงมันเห็นแก่ตัว! "

"เออ กูแม่งโคตรเห็นแก่ตัว ...และกูจะไม่มีวันเสียมึงไปเด็ดขาด"

"กูไม่รู้ว่ามึงมีเหตุผลอะไร กูไม่อยากรู้ก็ได้ แต่ตอนนี้กูโคตรดีใจเลยว่ะที่ไม่ใช่กูคนเดียว ...ที่เห็นแก่ตัว" วินาทีที่ผมกับพอชเผลอกระตุกขึ้นมาพร้อมกันก็ทำให้เสียงหัวเราะเบา ๆ หลุดออกจากปากของเราสองคน ผมดีใจนะที่มันไม่คิดจะถามหาเหตุผลที่ทำเรื่องใจร้ายซ้ำ ๆ จนมันต้องร้องไห้ไม่รู้กี่หน แค่ให้มันรู้ก็พอว่าวันนี้ผมหยุดที่จะทำลายหัวใจใครแล้ว ผมพอใจมากกว่าที่จะเห็นรอยยิ้มบนกรอบหน้านี้ รอยยิ้มบนใบหน้าเหวี่ยง ๆ ที่ทำให้ผมรักมันจนถอนตัวไม่ขึ้น





ก็รู้ว่าผิด... ผิดกับเอม ผิดกับพอชเอง ผิดกับทุกคน

แต่ถ้าร้ายแล้วไม่เสียพอชไป...

ให้ทำตัวสารเลวแค่ไหนผมก็ยอม





60%

ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3





“มึงจะให้กูเป็นชู้หรอ!! ไอ้เชี่ย!! พ่อมึงตายยยยยยยย!!” ผมพยายามจัดการกับมนุษย์ที่เมาเรื้อนอยู่ที่เบาะข้างคนขับรอบที่ร้อย สองแขนของพอชกวัดแกว่งไล่ชกอากาศโดยที่เจ้าตัวแทบจะลืมตาไม่ขึ้นด้วยซ้ำ นี่ถ้าโชคดีอาจจะแจ็คพ็อตแตกฟาดเข้าพวงมาลัยจนทำผมขับรถเสียหลักเมื่อไหร่ก็ได้ ผมไม่น่าปล่อยให้มันกินเหล้าต่อได้ตามอำเภอใจจนเมาเป็นหมาแบบนี้ ทั้ง ๆ ที่รู้แท้ ๆ ว่าไอ้พอชขาเมาคนนี้เมาแล้วจะเป็นยังไง นอกจากจะปากสุนัขเพิ่มขึ้นแล้ว แรงมันก็เยอะมากขึ้นจนผมไม่อาจจับการมันได้ด้วยมือข้างเดียว

“พอช กูจะขับรถ” ผมใช้มือซ้ายรวบข้อมือข้างนึงของมันไว้แน่น ผ้าปิดแผลที่ฝ่ามือเผยอหลุดจนมองเห็นแผลด้านไหนที่ยังไม่แห้งสนิทเท่าที่ควรนัก ...เจริญล่ะไอ้เต็ม พาคนป่วยไม่ยอมกินยาไปกินเหล้า งานนี้ต้องบังคับดูแลตัวเองยาวแน่ ๆ

“ปล่อยกู!! ไอ้สัด!! มึงคิดว่ามึงจะรั้งกูไว้ได้หรอเต็ม!! กูก็มีหัวจายนะเว้ยยยย!” แขนเล็ก ๆ นั่นสบัดแรงจนผมต้องยอมปล่อยมือ ใบหน้าแดงกล่ำจากฤทธิ์แอลกอฮอลเริ่มเบะปากคล้ายคนจะร้องไห้แต่ก็ไม่มีน้ำตาออกมาซักหยด

“งอแงเยอะไปแล้วนะมึงอ่ะ” ผมโยกหัวพอชเบา ๆ สายตาขวาง ๆ ที่จะหลับแหล่ไม่หลับแหล่มองผมอย่างเอาเรื่อง ก่อนที่มันจะรวบมือผมไปเป็นหมอนรองคอในที่สุด

“กูเสียใจนะเว้ย ...ต่อให้มึงมาทำดีกับกูกูก็ยังเสียใจนะ”

“.............” ที่เงียบอยู่นี้ผมไม่ได้ตั้งใจขับรถเลยซักนิด แต่ผมกำลังรู้สึกผิดจากคำพูดที่มันสะท้อนใจจนเจ็บลึกลงไปข้างใน ไม่ว่าผมจะทำอะไร ขอโทษมากมายแค่ไหนก็คงจะทดแทนสิ่งที่พอชเสียไปไม่ได้อยู่ดี ถ้าตอนนี้ย้อนเวลากลับไปได้ ผมก็คงจะไม่เลือกทางที่มันโคตรเห็นแก่ตัวจนมันต้องมาเจ็บปวดไปกับผมแบบนี้

“มึงมีเอมแล้ว ยังไงกูก็ยังผิดอยู่ดีป่ะ ...เหี้ย” ใช่… ก็เพราะว่าตอนนี้ผมมีหน้าที่ที่จะต้องดูแลเอม มันถึงทำให้ผมแสดงออกหรือทำอะไรได้ไม่เท่าที่ต้องการ มันไม่ใช่เรื่องง่ายหรอกนะครับที่เราจะต้องแอบมองคนที่เราแคร์จากมุมไกล ๆ คอยปกป้องดูแลเขาอยู่ห่าง ๆ โดยไม่ให้รู้ตัว

“ตอนนี้ก็มีแค่มึงกับกูไง.... แค่เรา”

“พอกลับไปถึงบ้านแม่งก็จะมีสามสี่ห้าหก หึ ....กูไม่อยากกลับเลยยยย” ไม่ใช่แค่มึงหรอกพอชที่ไม่อยากกลับไปในโลกของความเป็นจริง แต่ถึงเวลาไม่กี่ชั่วโมงตอนนี้มันจะเคลือบไปด้วยรสหวานแต่สุดท้ายความขมมันก็จะกลับมาหาเราอยู่ดี ...เว้นเสียแต่ว่าผมจะยอมทิ้งรสชาติความสุขเดียวของผมไป ...เว้นเสียแต่ผมจะยอมปล่อยพอชให้ออกไปจากตรงนี้โดยไม่หาทางรั้งมันไว้ข้างตัวอีก ...ซึ่งผม ...จะไม่ทำ

“มึงคิดดีแล้วใช่มั้ย... มึงยังมีทางเลือกที่จะไปจากกู” ผมพูดออกไปดื้อ ๆ จนคนเมาขมวดคิ้วแรง ๆ ก่อนจะคลี่ยิ้มร้าย ๆ ตามสไตล์จนผมเองก็ใจชื้นขึ้นมา

“ถ้ากูอยากไปจริง ๆ ...คงไม่ต้องรอให้มึงมาบอกหรอก มึง....ห้าววว ...ทำให้กูเสพติดมันไปแล้วเต็ม ให้กูถอยตอนนี้มันไม่ทันแล้ว”

“เออ รู้แล้วน่า กูก็ถอยไม่ได้แล้วเหมือนกัน...... หลับเหอะพอช ถึงบ้านแล้วกูจะปลุก” ผมส่งรอยยิ้มตอบกลับก่อนจะปล่อยให้พอชที่หาวไปพูดไปค่อย ๆ หลับตาลงเพราะฤทธิ์แอลกอฮอลที่ลดสติสัมปัญชญะของมันไปโดยสมบูรณ์ ผมเลื่อนมือไปจับมือขวาที่ตกอยู่ข้างตัวไว้หลวม ๆ เมื่อก่อนมันเป็นคนขี้แยซะยิ่งกว่าอะไรมีดบาดนิดเดียวก็ร้องโวกเวกแทบเป็นแทบตาย แต่ในวันนั้นแผลลึกขนาดนั้นผมกลับไม่เห็นมันโอดโอยเลยซักแอะ ...แต่สิ่งที่เห็นดันเป็นน้ำตาของมันที่มาจากผมเอง ต้นเหตุทั้งหมดมันมาจากคนเห็นแก่ตัวอย่างผม

ระยะทางจากร้านกลับมายังบ้านไม่ได้ใกล้นัก ถึงแม้มันจะเป็นเวลายามวิกาลแล้วแต่เราก็ยังใช้เวลาอยู่บนรถกว่าหนึ่งชั่วโมง คนข้าง ๆ ตั้งแต่หลับลงก็ปล่อยให้ผมคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอย่างวุ่นวายใจอยู่คนเดียว ซ้ำร้ายกว่าเดิมก็คือผมสังเกตเห็นฟ้าแลบออกมาเป็นสัญญาณของค่ำคืนที่ฝนอาจจะเทกระหน่ำลงมา ฤดูฝนมันเป็นช่วงเวลาที่พอชอ่อนแอที่สุด คงจะไม่ดีนักถ้าผมจะปล่อยเวลาให้ฝนตกฟ้าร้องทั้ง ๆ ที่เราสองคนยังไม่ถึงที่บ้าน

เกือบตีหนึ่งที่ผมจอดรถเทียบที่หน้าบ้านตัวเอง แต่พอเห็นลมแรงพัดจนต้นไม้โยกและเสียงฟ้าร้องครืนก็ทำให้ผมไม่กล้าปลุกคนที่กำลังหลับอยู่ แค่เสียงครืดเบา ๆ จนแทบไม่ได้ยินก็ทำให้มันกำมือเกร็งแน่นด้วยคำสั่งจากจิตใต้สำนึก ผมค่อย ๆ จับพอชขึ้นมาขี่หลังอย่างไม่มีทางเลือก ร่างบางดิ้นคลุกเหมือนจะรู้สึกตัวแต่ก็จบด้วยการซบหน้าลงกับไหล่ผมแล้วเงียบลงไปอย่างเดิม จริง ๆ ผมก็แอบชอบตอนที่มันเงียบจนไม่มีฤทธิ์มากกว่าไอ้ตัวแสบปากจัดนั่นนะ หึหึ

“ไอ้เต็มมมมมมมมมมม ....ไอ้คนโลเลลลลล”

“อือ อย่าดิ้น เดี๋ยวตกบันไดนะมึง” ผมกระชับคนบนหลังให้ง่ายต่อการทรงตัวมากกว่าเดิม แต่ยังไม่ทันที่จะได้ก้าวขาขึ้นบันไดอย่างใจคิด ใครบางคนที่เดินเข้ามาก็ทำให้ผมชะงักเพราะไม่คิดว่าจะยังมีใครตื่นรอรับขวัญเราสองคนในเวลานี้ ผมเหลือบตามองพอชที่ซบหัวหลับตาพริ้มอยู่กับบ่า จากนั้นก็ก้มหัวเล็กน้อยเป็นการทำความเคารพคนที่อุตส่าห์รอคอยผมแม้ว่ามันจะดึกดื่นขนาดไหนก็ตาม

“ไปเที่ยวไหนกันมาล่ะเรา ตาพอชหมดสภาพขนาดนี้”

“แค่แวะดื่มกันมานิดหน่อยครับ” ผมตอบพ่อด้วยเสียงเรียบ แววตาเป็นห่วงเป็นใยที่ส่งมายิ่งทำให้ผมต้องใช้หางตามองหน้าพอชเป็นระยะ ๆ เช่นเดียวกับพ่อที่เริ่มมองหน้าผมสลับกับคนที่ไร้สติอยู่บนหลัง

“จะไปไหนทำไมไม่โทรบอกที่บ้านก่อนล่ะ เราไม่ได้ตัวคนเดียวแล้วนะเต็ม”

“ไว้คราวหลังถ้าผมจะขยับตัวไปไหนจะโทรมาบอกพ่อก่อนก็แล้วกันครับ”

“ไม่ใช่บอกพ่อ แต่เป็นหนูเอม” คำพูดของพ่อเริ่มทำให้อารมณ์ผมขุ่นขึ้นจนอดไม่ได้ที่จะแสดงออกมาทางสีหน้า ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจสิ่งที่พ่อกำลังพูด ไม่ใช่ว่าไม่รู้ตัวว่าเรื่องนี้ผมก็มีความผิดที่ไม่ได้โทรมาบอกใครก่อนว่าจะไปไหนยังไง แต่ผมหงุดหงิดที่พ่อพยายามไล่ต้อนผมให้ทำตัวดีกับเอมในทุก ๆ ทาง ...บางทีผมก็อยากจะดูแลใจตัวเองมากกว่าดูแลคนอื่นตามคำสั่งบ้างก็เท่านั้น

“ครับ ...ผมขอตัว”

“พาพอชไปส่ง ...แล้วเราก็กลับไปนอนที่ห้องตัวเองนะ” สิ้นเสียงพ่อริมฝีปากผมมันก็กระตุกยิ้มขึ้นมาโดยพลัน ยิ่งไปกว่านั้นเสียงฟ้าร้องที่ลอดเข้ามาตัวบ้านก็ทำให้คนบนหลังยกสองแขนกอดคอผมแน่นราวกับต้องการบอกไม่ให้ผมหายไปไหน สายตาที่พ่อกำลังมองเราสองคนมันไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิม พ่อยังเป็นคนเดิมที่รักลูกอย่างผมและเอ็นดูเด็กในอุปการะอย่างพอช แต่ไอ้ความรู้สึกที่ส่งผ่านดวงตาคู่นั้นมาต่างหากที่มันเริ่มเข้มและจริงจังขึ้นจนผมเองก็อดที่จะรู้สึกกลัวไม่ได้

“คืนนี้คงไม่ได้ครับพ่อ” ผมตอบโดยไม่ได้สบตาพ่อแต่เฝ้ามองใบหน้าที่เริ่มขมวดคิ้วเพราะกลัวเสียงรบกวนรอบข้างบนหลังแทน สองแขนกระชับกอดผมแน่นขึ้นเรื่อย ๆ จนผมต้องหันไปก้มหัวเบา ๆ ให้พ่อเชิงบอกลา ...กูรู้แล้วพอช ...กูรู้แล้วว่าคืนนี้กูจะไม่ทิ้งมึงไปไหน

“อย่าลืมสัญญาของเราล่ะเต็ม” เสียงที่ดังตามมาจากด้านหลังทำให้ขาผมมันก้าวไม่ออกอีกครั้ง พ่อนี่ก็รู้ดีนะว่าผมคงจะไม่หันไปสบตาถึงได้เป็นฝ่ายเดินตามมาประชันหน้ากับผมด้วยตัวเองแบบนี้

“พ่อช่วยหลีกทางด้วยครับ พอชมันกลัว แล้วผมก็อยากพักผ่อน”

“...จะขังพอชไว้แบบนี้จนถึงเมื่อไหร่” ริมฝีปากผมมันเม้มแน่นเพราะแผงฟันในปากมันเริ่มสบกันดังกรอด ...ผมเกลียดคำถามที่พ่อพึ่งส่งมาเมื่อครู่ ใครกันแน่ที่เป็นคนขังพอชไว้

“ถ้าพ่อยอมให้ผมหย่า... เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น”

“สุดท้ายถ้าเต็มหย่ากับหนูเอมนั่นก็แปลว่าสัญญาของเรามันจบลง ...ถามใจตัวเองดี ๆ ว่าอยากหย่าแน่หรอเต็ม” เสียงของพ่อมันตอกย้ำใจผมมากขึ้นไปอีกระดับ ถ้าไม่ใช่พ่อที่เป็นคนเข้ามาคุยกับผมเรื่องแต่งงานก่อนวันที่กลับมาถึงไทย ตอนนี้ผมก็อาจจะยังมีความสุขดี และคนที่กอดผมแน่นตอนนี้ก็อาจจะไม่ต้องเสียน้ำตาเลยซักหยด

“ผมรู้อยู่แล้วน่า!!” ถึงอารมณ์ภายนอกของผมมันจะดูครุกกรุ่น แต่ความรู้สึกข้างในก็บอกให้ผมกระชับแขนให้พอชอยู่ในท่าที่สบายมากขึ้น เสียงฟ้าร้องด้านนอกยังคงดังต่อเนื่องจนผมหงุดหงิดใจที่ต้องมายืนฟังพ่อพูดเรื่องที่ผมรู้ดีแก่ใจ ...เงื่อนไขที่ไม่อาจปฏิเสธได้ของผู้มีพระคุณมันจารึกอยู่ในหัวสมองผมอยู่แล้ว

“รู้... ก็ดี งั้นส่งพอชมาให้พ่อ พ่อจะไปส่งเอง แล้วเดี๋ยวคืนนี้ให้ป้าวรรณไปนอนเป็นเพื่อน” ผมเบี่ยงตัวหลบไม่ให้ผู้เป็นพ่อได้สัมผัสมายังตัวพอช เงื่อนไขที่พ่อยื่นมานั่นผมไม่อาจรับไว้ได้ หากเป็นช่วงก่อนผมอาจจะตัดใจยอมพ่อง่าย ๆ แต่วันนี้ตอนนี้ผมรู้สึกตัวเองแล้วว่าผมจะปล่อยให้มันเป็นแบบนั้นไม่ได้อีกต่อไป

“ไม่”

“เรากำลังจะล้ำเส้นที่พ่อขีด...”

“แค่เพื่อนจะดูแลกัน ...พ่อไม่เป็นต้องห่วงหรอกครับ ...หึ” ผมก็ไม่รู้ว่าร้อยยิ้มตอนนี้มันมาจากการที่ผมสมเพชเวทนาตัวเอง หรือมาจากการสะใจที่ได้ปั่นหัวให้พ่อผูกคิ้วเล่นได้กันแน่

“จะทำอะไรก็ระวังตัวแล้วกัน ...ถ้าลูกละเมิดข้อสัญญาของเราเมื่อไหร่ ถึงเวลานั้นพ่อก็คงจะช่วยอะไรไม่ได้”

“ที่พ่อทำอยู่ตอนนี้ ก็ไม่ได้ช่วยเหลืออะไรผมนี่!” คราวนี้ผมรีบเดินขึ้นบันไดโดยไม่รอให้พ่อได้จังหวะเข้ามาขัดอีก สายตาที่มองตามมาไม่กระพริบยิ่งทำให้ผมเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นแม้ว่าน้ำหนักตัวของคนบนหลังมันจะไม่ใช่น้อย อาจจะจริงอย่างที่พ่อพูดที่ผมขังพอชไว้อย่างเห็นแก่ตัว แต่นั่นมันก็เป็นทางเลือกเดียวในชีวิตที่พ่อยื่นเข้ามาให้ผมเองไม่ใช่รึไง...





“เต็มต้องแต่งงานกับผู้หญิงที่พ่อหามาให้”

เสียงของพ่อในวันนั้นย้อนกลับเข้ามาในสามัญสำนึกผมอีกครั้ง มันเป็นการรับสายทางไกลจากประเทศไทยที่ทำให้ผมอึดอัดที่สุด ความอึดอัดที่เหมือนถูกตีวงล้อมจนไม่มีทางหนีทางใดอีก สำหรับคนอื่นอาจจะเรียกมันว่าความปรารถนาดีที่พ่อยังอุตส่าห์รักลูกโทรบอกผมล่วงหน้าก่อนกลับไทยตั้งหนึ่งวัน หึ... แต่สำหรับผมมันก็แค่การกระทำของผู้เป็นพ่อที่ไร้ความปราณีเท่านั้น....

“พ่อพูดอะไร ทำไมผมจะต้องแต่งงาน”

“ถึงจะอยู่ไกลกันแต่ทำอะไรไว้อย่าคิดว่าพ่อไม่รู้นะเต็ม พ่อรู้เรื่องเรากับพอชหมดแล้ว พ่อให้คนช่วยสืบจนแน่ใจแล้วด้วย เราต้องกลับมาแต่งงานทันทีที่ถึงเมืองไทย แล้วจบไอ้ความสัมพันธ์บ้า ๆ นี่ซะ”

“ผมไม่แต่ง… ถ้าพ่อคิดว่าตัวเองรู้อะไรจะมาบังคับให้ผมแต่งงานทั้งที่รู้ได้ยังไง”

“ตอนนี้เรายังแก้ไขกันทันนะเต็ม ชีวิตคนเรามันยังอีกยาวไกล คิดว่าเรากับพอชจะไปกันรอดรึไง ถึงเรื่องมันจะไม่เข้ามาถึงหูพ่อวันใดวันนึงมันก็ต้องจบอยู่ดี ...สู้ให้มันจบลงอย่างสวยงามตอนนี้ไม่ดีกว่าหรอ”

“พ่อไม่เข้าใจ… พ่อไม่มีสิทธิตัดสินอนาคตผม ผมไม่แต่ง...”

“ถ้ายืนยันว่าจะไม่แต่งจริง ๆ พ่อก็มีทางเลือกให้อีกทาง ...พอชคงอยู่ที่บ้านเราอีกต่อไปไม่ได้ เตรียมตัวตัดขาดจากกันได้เลย”

“ได้ ...งั้นก็เป็นพ่อนั่นแหละที่ต้องตัดขาดจากผม!”

“อย่าคิดที่จะไม่กลับมา ...อย่าคิดที่จะหนีเต็ม ...อย่าลืมว่าพ่อมีความลับอะไร แล้วอย่าลืมว่าเต็มเองก็เป็นคนนึงที่รู้เรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น ถ้าพอชรู้เข้าคิดว่าเขาจะยอมอยู่กับคนที่ทำครอบครัวเขาพังได้หรอ พ่อไม่ได้อยากขู่นะ พ่อก็รักพอชเหมือนลูกพ่อคนนึง แต่ถ้ามันอับจนหนทางจริง ๆ แล้วมันเป็นทางที่จะทำให้ลูกพ่อเลิกเป็นแบบนี้...”

“พ...พ่อ...”

“กลับมาแต่งงานซะ มันจะเป็นผลดีกับพอชแล้วก็ตัวเต็มเอง ...จำไว้ ...จบเรื่องนี้ซะ”





ใช่... ผมจำได้ขึ้นใจว่าการรับสายวันนั้นมันทำให้มือไม้ผมสั่นได้แค่ไหน ผมต้องตัดสินใจเดินตามเกมของพ่อด้วยเหตุผลอย่างไม่มีทางเลือก ...หนึ่ง คือผมต้องปกป้องพอชจากความจริงบางอย่างในอดีตที่อาจจะหวนกลับคืนมาทำร้ายจนกลับมาสาหัส ...สอง คือผมไม่อยากให้พอชหายไปจากชีวิต ...ไม่ว่าทางใดทางนึงที่ผมยังได้เห็นความเป็นไปถ้าผมทำได้ผมก็จะทำ





ถ้าพอชต้องออกจากบ้านนี้จะไปอยู่ที่ไหน ...แล้วผมจะอยู่ยังไง

ถ้าเราไม่ได้ติดต่อกันอีก พอชจะเหงามั้ย ...แล้วผมจะอยู่ยังไง

ถ้าในคืนฝนตกที่ตรงนั้นไม่มีผม ใครจะเป็นคนปลอบพอช ...แล้วผมจะอยู่ยังไง

ถ้าผมไม่รั้งมันไว้ ...แล้วผมจะอยู่ยังไง









มันชัดเจนอยู่แล้วว่าผมอยู่ไม่ได้ ...ผมอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีพอช

ผมขอโทษ ...ขอโทษที่เห็นแก่ตัวเกินไป

ขอโทษ ...ที่อาจเป็นต้นเหตุให้ใครเจ็บใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า





TBC

ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3
Chapter 10 ความสุข?

สงสัยเมื่อคืนจะหนัก

นี่คือข้อสงสัยที่ผมตั้งให้ตัวเองเมื่อตื่นมาพบกับสภาพร่างกายอ่อนเปรี้ยเพลียแรง ที่ปวดเนื้อปวดตัวไปหมดแบบนี้ก็คงจะหนีไม่พ้นอาการแฮงค์จากเหล้าที่กระดกเขาไปคนเดียวเกือบทั้งขวด จริง ๆ สติสตางค์ผมก็ยังอยู่ครบถ้วนนะครับ ที่กินเข้าไปขนาดนั้นก็แค่อยากจะให้ความเมามันละลายความเครียดออกไปบ้าง ...แล้วดูเหมือนจะได้ผลซะด้วยแหะเพราะว่าตอนนี้ผมหายเครียดเป็นปลิดทิ้งเลย

“ไปทำงาน” ผมพยายามยกแขนแกร่งของตัวการที่ทำให้ผมหายเครียดออกไปให้พ้นจากบริเวณเอว ใบหน้าคมนั่นยังคงจมหมอนราวกับยังไม่อยากตื่นจากฝัน ...จะพูดยังไงดีล่ะครับ ผมเองก็ไม่ได้อยากตื่นขึ้นมาเจอความจริงบางเรื่องเหมือนกัน แต่สำหรับเช้าวันนี้ความจริงตรงหน้าที่ผมตื่นมาเห็นว่าตกอยู่ในอ้อมกอดใครก็ทำให้โลกของผมมันน่าอยู่ขึ้นเยอะ ความสุขมันทวีขึ้นมาในใจแบบตั้งตัวไว้ไม่อยู่ ถึงแม้ว่าการกระทำของมันจะพลิกสถานกาณ์กลับมาอีกฝั่งจนผมไม่มีเวลาได้ตั้งตัวก็เถอะ

“อือ...แปบนึง” มือหนาตวัดร่างผมเข้าไปซุกไว้ในอกอุ่น ๆ นั่นอีกครั้ง ผมยิ้มบาง ๆ แล้วใช้หัวตัวเองสะบัดไปมาบริเวณปลายคางของอีกฝ่ายจนยอมผละผมออกในที่สุด แต่แววตาคาดโทษที่มองมาก็อยู่กับผมได้ไม่กี่วินาทีเพราะเจ้าตัวดึงผ้าห่มขึ้นไปคลุมโปรงหน้าตาเฉย

“งั้นถ้ามึงไม่ยอมตื่นตอนนี้กูจะนอนต่อแล้วนะ ...งานก็ไม่ไปทำแล้ว ขี้เกียจ” ไม่ต้องบอกก็พอจะรู้ว่าเต็มมันก็มีปฏิกิริยากับประโยคนี้อยู่ไม่น้อย แต่แทนที่มันจะรีบเด้งตัวตื่นตามที่ผมคาดไว้กลับพลิกตัวมาทับตัวผมไว้ทั้งตัว ใบหน้าที่เกือบจะแนบสนิทชิดกันทำผมตกลงไปในภวังค์ความคิดตัวเองอีกครั้ง ...ทำไมผมถึงได้มันกลับมาง่าย ๆ แบบนี้ แล้วผมจะไม่เสียมันไปอีกใช่มั้ย

“เต็ม....มึง”

“นอนต่ออีกแปบก็ได้ เป็นผู้บริหารไปสายไม่มีใครด่าหรอก” เต็มมันหลบตาผมอย่างกับรู้ว่าผมกำลังจะพูดอะไรออกไป ผมคว้าหมับเข้าที่คอเสื้อมันแล้วกำไว้แน่น ไม่มีทางหลุดมือไอ้พอชไปในตอนนี้ได้หรอก คนโง่เท่านั้นแหละที่จะปล่อยมันไปอีกครั้ง

“ทำไมเมื่อคืนมึงถึงอยู่กับกู”

“ถามตัวเองดีกว่ามั้งว่าใครแม่งกอดกูแน่นเพราะกลัวฟ้าร้องทั้งคืน”

“แล้วไง ...มึงเลือกที่จะไม่อยู่ก็ได้ไม่ใช่หรอ”

“.............” เต็มเลือกที่จะเงียบ ใช้สายตาสะกดจนผมเองก็พูดอะไรไม่ออกตามไปด้วย ไอ้มือเจ้ากรรมของผมก็เผลอปล่อยออกจากคอเสื้อมันอย่างง่ายดายซะนั้น ....กับอีแค่สายตาที่เหมือนจะรักใคร่หวงแหนนั่นทำไมมันทำมือไม้อ่อนไปหมดแบบนี้วะ

“ม........”

“ก็ตอนนี้กูเลือกที่จะอยู่แล้วไง” คำตอบที่ชัดเจนมันไปในทิศทางเดียวกันกับสีหน้าและแววตาของผู้พูด ร่างสูงรวบตัวผมไว้ก่อนจะพลิกตัวจนผมไปอยู่ทับร่างมันแทนอย่างเลี่ยงไม่ได้ ...คนเหี้ยอะไรว่ะหน้าด้านฉิบหาย อีตอนนั้นก็บอกว่าเป็นแค่เพื่อน ๆ พอแต่งงานก็จะมาขับไสไล่ส่งให้ลืมกัน พอมาตอนนี้ก็มาทำอย่างกับเราเป็นคนสำคัญขึ้นมาซะงั้น นี่ไม่ได้ไปลื่นล้มสมองกระทบกระเทือนที่ไหนมาถูกม่ะ

“ไม่สายไปหน่อยหรอที่จะมาอยู่ข้างกู ไม่รอให้เมียมึงคลอดลูกคนที่สามก่อนวะ”

“กวนตีน”

“มึงกวนตีนกูก่อนป่ะ ประสาทกลับไปกลับมาอยู่ได้ น่ารำคาญ”

“เออ กูก็ขอโทษแล้วไง”

“ขอโทษแล้วคิดว่ากูจะลืมหรอ ...ถามจริงว่ะเต็ม ...มึงจะให้กูอยู่ยังไง จะให้กูเป็นใครในชีวิตมึงกันแน่”

“ก็เป็นมึงแบบนี้แหละ มึงไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ...เดี๋ยวกูจะจัดการเอง” เต็มรวบหัวผมลงไปกดอยู่กับอกมันแน่น เสียงจังหวะการเต้นของหัวใจที่กำลังได้ยินทำให้ผมเผลอหลับตาแน่นเพื่อคลายความรู้สึกหน่วง ๆ ในใจตัวเอง

“มึงจะเลิกกันเอมใช่มั้ย”

“...............” นอกจากเสียงหัวใจที่จังหวะช้าลงแล้วคำตอบที่ผมได้ก็คือความเงียบเท่านั้น

“มึงแม่งเห็นแก่ตัวกว่าที่กูคิดอีกว่ะ ...หึ ใจดำฉิบหาย”

“มึงทนอีกแปบได้มั้ยวะ แล้วกูจะจัดการปัญหาพวกนี้เอง กูสัญญา...” จะให้ผมทนทั้ง ๆ ที่ไม่เคยทนได้มาก่อนเลยงั้นหรอ ...ไม่ใช่ว่าผมไม่เชื่อใจมัน คนอย่างผมมันเชื่อคนง่ายจะตาย ยิ่งเป็นเต็มด้วยแล้วยิ่งไม่ต้องใช้เวลาคิดไตร่ตรองประโยคที่มันพูด แต่สำหรับเรื่องนี้จะให้ผมทนอยู่เฉย ๆ ก็คงจะทำให้ไม่ได้หรอก

“มึงไม่เลิกแล้วจะจัดการยังไง ซื้อบ้านให้กูอยู่ข้างนอก มีเงินเดือนให้กูใช้ ไปหากูอาทิตย์ล่ะสองครั้งแบบเมียน้อยอาเสี่ยอ่ะหรอ”

“เออ! กูทำแบบนั้นก็ได้นี่หว่า ไอเดียมึงดีนะเนี่ย”

“กูประชดมั้ง สัด!” ผมเด้งตัวหนีมือกาวที่พยายามจะล็อคผมไว้ให้อยู่กับที่ ได้จังหวะที่ยันตัวเองให้ลุกขึ้นได้ขาขวาของผมก็ยันเอาที่ข้างลำตัวของมันเต็มแรง ถือว่ามันยังมีโชคดีอยู่มากถึงไม่กลิ้งตามแรงตีนลงไปกระแทกกับพื้น

“เอ้า ๆ ดูทำหน้าเข้า น่ารักตายห่า”

“แต่มึงก็บอกว่ารักกูไม่ใช่หรอ หึหึ” ผมไม่รู้ตัวหรอกว่าเมื่อกี้ผมทำสีหน้าแบบไหนออกไปจนเต็มมันหมั่นเขี้ยวลุกขึ้นมาดึงจมูกผมแรงจนหน้าโย้ แต่สีหน้าตลก ๆ ของเต็มตอนนี้ลักษณะจะพีคกว่าใคร สีหน้าเหวอนั่นไม่ได้ดูเขินแต่คงจะแค้นใจที่ผมตอกกลับมันไปได้

“ได้ทีแล้วเอาใหญ่นะมึง” แน่นอนสิครับ ไหน ๆ สวรรค์เมตตาคนดี ๆ อย่างพอชทั้งที มันก็แน่นอนอยู่แล้วที่จะต้องคว้าโอกาสไว้ไม่ให้หลุดมือไปไหนอีก

“อย่าให้กูเก้อทีหลังก็แล้วกัน ...กูยังไม่อยากเป็นฆาตกร” ผมลากตัวเองออกจากเตียงทั้งที่ลึก ๆ ก็ยังแสนจะขี้เกียจและมีอาการแฮงค์ต่อเนื่องจากเมื่อคืน ยังไงซะผมก็ควรจะลากสังขารไปทำงานตามหน้าที่ในความเป็นจริงไม่ใช่หรอครับ ต่อให้นอนขลุกกับไอ้เต็มได้ทั้งวันพออออกไปจากห้องนี้มันก็กลายเป็นสามีคนอื่นอยู่ดี สู้ออกไปต่อสู้กับความจริงแล้วใช้สติปัญญาอันปราดเปรื่องทำให้มันเป็นแค่ของผมโดยสมบูรณ์ไม่ดีกว่าหรือ ...เอาจริง ๆ ที่พยายามลากเหตุผลมาข้างต้นเนี่ยก็แค่อยากจะรีบออกไปดูสีหน้าเอมที่สามีตัวเองหายมานอนกับเพื่อนชายคนสนิททั้งคืนก็เท่านั้น

“กูจะจัดการเองพอช...แค่ขอเวลาให้กูก็พอ ทุกอย่างมันต้องจบ กูสัญญาแล้ว กูต้องทำได้” เต็มเข้าสวมกอดผมจากด้านหลัง ริมฝีปากหนากระซิบแผ่วเบาอยู่ที่ข้างหูจนหัวใจผมแทบจะออกมาเต้นนอกอก ทำยังไงได้ ก็ตอนนี้ใจผมมันกำลังยอมมันไปหมดแล้ว คำว่ารักจากมันโคตรมีอิทธิพลกับผม ขอแค่มันไม่ผิดสัญญาต่อให้อยู่ในสถานะไหนผมก็คงต้องยอม

“เวลาที่มึงว่า ...คือกูก็ต้องอยู่ในที่ของกูใช่มั้ย แล้วกูก็ต้องทำความเข้าใจว่ามึงมีเอมอยู่แบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะหมดเวลาที่มึงขอน่ะหรอ”

“ขอโทษว่ะ ...ขอโทษ ...ขอโทษที่กูไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากูพูดคำว่าขอโทษกับมึงมากพอแล้วรึยัง” แรงแขนที่รัดแน่นขึ้นมันก็เหมือนรัดหัวใจผมให้แน่นขึ้นกว่าเดิม ผมรู้สึกทุกคำขอโทษที่มันพูด ทำไมผมถึงยอมไม่สำนึกถูกผิดอะไรเลยแบบนี้ ทำไมไม่รู้จักจำ ไม่รู้จักโกรธ ทั้งที่มันเองก็เคยทำร้ายความรู้สึกผมมาไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง

“มึงกลับห้องไปอาบน้ำแต่งตัวเหอะ ...เดี๋ยวคนอื่นจะสงสัย” ผมไม่รู้ตัวเองว่ากลั้นใจพูดประโยคนี้ไปได้ยังไง แต่มันก็ทำให้คนที่ยืนโอบผมอยู่เมื่อครู่ยอมปล่อยมือแต่โดยดีจนเราเป็นอิสระจากกัน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเมื่อคืนทุกคำพูดหรือทุกสัมผัสจากเต็มมันทำให้ผมมีความสุขที่สุดในรอบหลายปี แต่ถึงแม้นับจากวินาทีนี้รสหวานมันจะเจอปนไปด้วยรสขมอีกครั้งผมก็จะยอมรับผลของมันแต่โดยดี เพราะว่ามันเป็นทางที่ผมเลือกเองมาตั้งแต่ต้น

“เดี๋ยวเจอกันข้างล่างนะ”

“อือ”

“พอช....” ร่างสูงหยุดยืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตูก่อนจะหันมาสบตาผมอีกครั้งด้วยแววตาจริงจังกว่าทุกครั้งที่เคย

“ว่าไง”

“ที่กูพูดว่ากูรักมึง ...กูพูดจริงนะ ถึงแม้ว่ามันจะช้าไปแต่ก็ไม่ได้แปลว่าก่อนหน้านี้กูไม่ได้รู้สึก ...ขอบคุณที่มึงทำให้กูเรียนรู้ว่าการรักใครจนไม่อาจเสียเขาไปมันเป็นยังไงว่ะ” ขอบคุณเช่นกันที่ทำให้ได้เรียนรู้ว่าคนเราสามารถทำเพื่อความรักลม ๆ แล้ง ๆ ได้มากแค่ไหน และที่อยากจะขอขอบคุณมาก ๆ ก็คือการเข้ามาต่อพลังนักสู้ของคนคนนี้ได้ถูกจังหวะพอดี





ถึงตอนนี้ก็คงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะถอดใจยอมแพ้อีกต่อไปแล้ว

เรื่องนี้ผมจะต้องไม่แพ้





50%

ชีวิตในโลกความจริงของผมเริ่มต้นอีกครั้งทันทีที่เท้าก้าวออกมาพ้นห้อง ผมต้องกลับมาผจญสายตาเหยียด ๆ ของคุณโสม สายตาเอ็นดูเกินความจำเป็นจากคุณอาบวร รวมไปถึงสายตาที่แสนจะเชื่อมั่นจากน้องต้า จะว่าไปครอบครัวหรรษานี่ก็กำลังมองผมด้วยแววตาที่แตกต่างกันไป คนนึงเกลียด คนนึงสงสาร คนนึงรักมากกว่าพี่ชายในไส้ แต่สุดท้ายสายตาพวกนั้นก็ไม่ได้ทำให้ผมสนใจได้เท่าสายตาสองคู่ที่ส่งยิ้มหวานให้กันที่อีกฝั่งของโต๊ะอาหารอยู่ดี

สาบานเถอะว่าไอ้ที่เห็นอยู่นั่นคือไม่ได้รักใคร่กันเลยซักนิด

โอเค... ไม่ต้องส่งสายตาดุ ๆ มาให้กูก็ได้ครับไอ้คุณเต็ม กูเชื่อก็ได้ว่ามึงกำลังตอแหล ...กูเชื่อคนง่าย หึหึ





"พอชเห็นเอกสารโครงการใหม่ที่เกาะช้างรึยัง ที่อาฝากพริ้งไปให้เมื่อวาน" ผมพยักหน้าตอบเบา ๆ ขณะที่ยังละเลียดอยู่กับแก้วกาแฟตรงหน้าอย่างใจเย็นราวกับคนว่างงาน ที่แรกก็ว่าจะรีบล่ะครับ แต่เห็นไอ้เต็มดูจะมีความสุขกับข้าวต้มจืด ๆ ของภรรยาแล้วไม่อยากจะขัดอารมณ์ เห็นทีคงจะไม่ต้องรีบ หึ

"โปรเจคร่วมที่จะเปิดตัวปลายเดือนนี้ใช่มั้ยครับ"

"อืมใช่ จริง ๆ งานนี้เราก็เป็นแค่หนึ่งในผู้ถือหุ้นไม่ได้เข้าไปจัดการอะไรมากมาย แต่อาอยากให้พอชเข้าไปดูแนวทางโปรโมทแล้วก็ตรวจความเรียบร้อยหน่อย ไม่รู้ว่าทีมงานฝั่งคุณสาโรจน์ดำเนินการไปถึงไหนแล้วบ้าง เผื่อมีอะไรปรับปรุงแก้ไขจะได้คุยกัน" คุณสาโรจน์ที่ว่าเป็นนักธุรกิจชื่อดังที่ขึ้นชื่อเรื่องการกว้านซื้อที่และกวาดเรียบเรื่องสัมปทานครับ จากที่ได้ยินมาก็มักจะร่วมหุ้นกับบริษัทเราอยู่บ่อย ๆ ทางเราได้ประโยชน์เรื่องที่ดิน ส่วนทางเขาก็ได้ประโยชน์เรื่องเงินทุนและความน่าเชื่อถือทางการตลาด

"ได้ครับ ยังไงผมขอรบกวนคุณอาติดต่อทางฝั่งคุณสาโรจน์ให้ผมก่อนนะครับ ผมพึ่งเข้ามาทำงาน ไม่อยากให้มันดูน่าเกียจ” ผมพูดไปตามที่คิดและหลักความเป็นจริง แต่ก็ไม่วายได้รับสีหน้าชวนอารมณ์เสียจากคุณโสมกลับมาอยู่ดี นี่ก็คงจะกลัวผมจะเข้ามาฮุบธุรกิจครอบครัวล่ะมั้งครับถึงได้คว่ำหน้าคว่ำปากมองซะขนาดนั้น

“อืม… จริง ๆ แล้ววันเสาร์นี้เขาจะเปิดให้พวกบล็อคเกอร์ที่จ้างมารีวิวได้ทดลองเข้าพักนะ พอชสนใจจะไปดูด้วยตัวเองมั้ยล่ะ ทีมของคุณสาโรจน์ก็น่าจะอยู่ที่นั่นทั้งหมด ถ้าเราไม่ติดอะไรสามารถจัดทีมงานไปเองได้เลย” ผมนิ่งคิดอย่างชั่งใจ จริง ๆ ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรที่จะไปไม่ได้หรอกครับนอกจากความขี้เกียจ แต่ก็นั่นล่ะ สุดท้ายต่อให้ผมขี้เกียจจนขนงอกก็ต้องแพ้ความเกรงใจที่มีต่อคุณอาอยู่ดี

“ได้ครับ ไม่มีปัญหา”

“ดี... เราเองก็จะได้ถือโอกาสพักผ่อนไปในตัวด้วย พึ่งหายป่วยไม่ทันไรก็กลับไปทำงานซะแล้ว ดูแลรักษาสุขภาพบ้าง”

“จะพยายามครับคุณอา” ผมรับปากอย่างว่าง่ายเพราะไม่มีอะไรต้องให้คิดมากนัก ก็ดีเหมือนกันไปสูดอากาศดี ๆ ซักวันสองวันให้สมองมันปลอดโปร่งบ้าง ...แต่เดี๋ยวก่อนนะทำไมเมื่อกี้ผมถึงรู้สึกได้ถึงแววตากังวลบนใบหน้าเต็ม สีหน้าที่บอกบุญไม่รับตอนที่ผมตอบตกลงนั่นคืออะไรวะ …คือเป็นห่วงงาน เป็นห่วงผม หรือว่าหวง?

“ผมไปด้วยแล้วกัน โครงการนี้คุณพ่อก็ให้ผมดูแลด้วยไม่ใช่หรอ” นั่น! ไอ้เต็มพูดขึ้นมาหน้าตาเฉยจนหน้าผมเริ่มร้อนขึ้นมาเล็ก ๆ จากการคิดเข้าข้างตัวเอง ถึงสีหน้าท่าทางมันตอนนี้มันดูไม่มีอะไรมากไปกว่าการอยากไปเพราะเรื่องงาน แต่เซนต์ผมมันก็บอกว่ามันไม่ได้อยากจะไปเพราะเรื่องงานแน่ ๆ

“เรามีนัดคุยงานกับมิสเตอร์ริชาร์ดพร้อมพ่อ ลืมรึไง”

“ไม่ลืมครับ แต่ซัพไพเออร์รายเล็ก ๆ นั่นผมว่าพ่อไปแค่คนเดียวเขาก็ดีใจจะแย่แล้ว โปรเจครีสอร์ทใหญ่ยักษ์ที่เกาะช้างน่าจะมีความสำคัญให้ผมไปเรียนรู้งานมากกว่านะครับ” เต็มร่ายยาวเหตุผลที่คงไม่มีใครเถียงออกโดยไม่หลบสายตาอาบวรเลยแม้แต่น้อย ดวงตาคมนั่นเหลือบมามองผมเพียงเสี้ยววินาทีก่อนที่ทั้งโต๊ะจะเงียบเหมือนมีอะไรผิดแปลกไป ...แปลกสิครับ ตั้งแต่ผมเจอมันครั้งแรกเคยเห็นมันพูดจาถือดีกับพ่อตัวเองแบบนี้ที่ไหนกันล่ะ

“แต่พ่อว่าพอชไปคนเดียวก็โอเคแล้วนะ เราจะไปทำไม ไว้รอตอนงานเปิดตัวไม่ดีกว่าหรอ”

“แล้วทำไมพ่อถึงจะไม่ให้ผมไป” อย่าว่าแต่ผมที่กำลังงงกับอาการที่ไม่ปกติของสองพ่อลูกตรงหน้า ทุกคนบนโต๊ะก็ดูจะอยู่ในโหมดกลืนน้ำลายไม่ลงคออยู่ไม่น้อย

“ให้พี่เต็มไปด้วยก็ดีนะคะคุณพ่อ จริง ๆ พี่เต็มตำแหน่งใหญ่กว่าพี่พอชควรจะไปมากกว่าอีก ไม่สิคะ ...ควรจะไปด้วยกันทั้งคู่นั่นแหละ” ถือว่าลูกทีมผมทำหน้าที่ได้ดีครับ ดีจนผมหันไปดึงแขนให้หยุดพูดแทบไม่ทัน คุณน้องต้าครับจะขยิบตาส่งซิกอะไรให้ผมรบกวนเช็คแววตาขึงขังของพ่อตัวเองนิดนึงเนอะ

“นั่นสิคะคุณ ให้ตาเต็มไปน่าจะดูเหมาะกว่า” โอโห้ คุณโสมครับ วันนี้ผมนี่เลิฟ ๆ คุณโสมเลย พูดดี คิดดีมากจริง ๆ

“งั้นก็แล้วแต่แล้วกัน อยากไปก็ไป ก็ไม่ได้มีอะไรเสียหายอยู่แล้วนี่”

“ดีเลยคะ งั้นหนูเอมไปด้วยนะลูก จะได้ถือโอกาสฮันนีมูลไปเลย” เชี่ย!! ขอคืนคำที่ชมว่าเป็นคนดีเมื่อไม่กี่วินาทีที่แล้ว ป้านี่มันมารคอหอยผมชัด ๆ เล่นเอาซะหุบยิ้มมุมปากแทบไม่ทัน ใครให้เอาไอเดียนี้ไปใส่หัวป้าวะ แม่ง! ไอ้ทรงผมตีกระบังลมนี่ไมได้ช่วยให้พื้นที่สมองเยอะขึ้นเลยใช่มั้ย ฮันนีมูลกับผีน่ะสิ!

“ไปทำงาน ผมว่าเอมไม่ต้อง......” พูดออกมาเต็ม มึงพูด!

“ดี พ่อเห็นด้วยกับแม่เรา” อวสาน... จบสิ้นแล้วชีวิตนี้ ละครฉากต่อไปไม่ต้องมาจินตนาการอะไรกันมากเลยครับ มันก็คงจะมีแค่ฉากสวีทของพระนางที่มีจอมวายร้ายไปเป็นก้างขวางคอ นี่เท่ากับว่าผมจะต้องไปทำงานพร้อมคู่แต่งงานใหม่ที่ผมแสนจะแฮปปี้ด้วยน่ะหรอ สนุกตายชักล่ะคราวนี้

“แต่เต็มเขาไปทำงาน เอมว่าเอมจะไปเกะกะป่าว ๆ ค่ะคุณพ่อ” รู้ตัวก็ดีแล้วจริง ๆ

“ไม่หรอกลูก จริง ๆ ก็แค่ไปตรวจเช็คความเรียบร้อยเฉย ๆ เหลือเวลาให้ไปเที่ยวกันเพียบเลย”

“งั้นต้าก็จะไปด้วยค่ะ!” เอา เอากันเขาไป เอาให้ไอ้พอชไม่ได้ซีนกันไปเลยตอนนี้ อยากจะไปก็ไปกันให้หมดเดี๋ยวจะอาสาเฝ้าบ้านให้เองก็ได้

“เราจะไปทำไม”

“ทีพี่เอมยังไปได้เลยนะคะคุณแม่ ต้าก็อยากจะไปพักผ่อนบ้างเหมือนกัน”

“แม่ไม่อนุญาต!”

“คุณแม่คะ!”

“อย่าเลยต้า เราเป็นผู้หญิง พี่เราเขาก็ไปกับเอม พอชก็ไปทำงาน ใครจะมามีเวลามาดูแลเราล่ะ ไว้ไปพร้อมพ่อครั้งหลังจะดีกว่า”

“พี่พอชชชชชช” ไม่ต้องมาขอความช่วยเหลือตอนนี้เลย วินาทีนี้ไม่สามารถจะช่วยอะไรได้เลยจริง ๆ

“ถ้างั้น... ผมไม่ไปก็ได้นะครับคุณอา เต็มคนเดียวก็น่าจะดูงานได้ ...จะได้ไปฉลองแต่งงานกันแบบสบายใจด้วย” นั่นสินะ ถ้ามีก้างชิ้นเท่ากระดูกไดโนเสาไปด้วยคุณแม่สามีคงจะไม่ค่อยปลื้มเท่าไหร่ล่ะมั้ง อยากไปก็ไปเหอะ ไม่ได้อยากไปยินมองมากนักหรอก

“ไม่ได้นะคะ พี่เอมต่างหากที่ไม่ต้องไป!” กลายเป็นน้องต้าที่เริ่มออกฤทธิ์แทนผม เต็มถอนถายใจเบาแล้วเหลือบมองต้าเหมือนก่อนหน้านี้ตัดสินใจอะไรผิดไป ...แต่สำหรับผมไม่คิดแบบนั้นหรอกครับ ถ้ารู้ว่าน้องต้าจะทำได้ดีขนาดนี้ ...บอกไปตั้งนานแล้วล่ะ

“น่ะ...นั่นสิคะ” เอมก้มหน้าก้มตาหลบสายตาสั่น ๆ ของตัวเอง ที่ผมก็ไม่รู้ว่าสั่นเพราะคำพูดสะเทือนใจจากน้องต้า หรือสั่นเพราะว่ากลัวว่าตัวเองจะไม่ได้ไปกันแน่

“พูดอะไรแบบนั้นยัยต้า” โอ๊ยยยย เบื่อบทรักแม่ผัวลูกสะใภ้จะแย่อยู่แล้ว ปกป้องกันเข้าไปเถอะ

“ก็ต้าพูดความจริง! คุณแม่ไม่.....”

“ก็ไปมันทั้งสามคนนั่นแหละ งั้นตกลงตามนี้นะครับ ...พอชไปทำงานกันได้แล้ว” ยังไม่ทันที่ต้าจะได้พูดจบตัวการหลักของเรื่องอย่างเต็มก็โพล่งขึ้นมาขัดอย่างกับรำคาญเหตุการณ์ตรงหน้าจนเหลือทน ร่างสูงลุกออกจากโต๊ะโดยไม่ลืมที่จะเดินอ้อมมาลากผมออกไปด้วย ผมเดินตามแรงมืออย่างไม่มีข้อต่อรองใด ๆ สีหน้าเซ็ง ๆ ของมันเริ่มเผยขึ้นทีละนิด ๆ ราวกับเก็บกดมาพักใหญ่ คิ้วหนาเริ่มผูกกันเป็นปมเมื่อมันหันมาเห็นว่าผมเองก็หลุดจากการเก็บกดแล้วเผลอยิ้มออกมาเหมือนกัน

“ทำไมวะ ดูทำหน้าเข้า อยากไปกับกูแค่สองคนก็ไม่บอกตั้งแต่แรก”

“ยังไม่รู้ตัวอีกนะมึงน่ะ!”

“รู้ตัวเชี่ยไร” ผมเปิดประตูยัดตัวเองเข้ามาในรถที่จอดรออยู่ที่หน้าบ้านอย่างรู้งาน ส่วนใครอีกคนที่กระแทกประตูอีกฝั่งดังปังก็กำลังหันมาจ้องผมราวกับจะเอาเลือดหัวออกให้ได้

“นี่มันฤดูฝน ...ถ้าฝนตกที่เกาะช้างก็นรกสำหรับมึงนั่นแหละ!!”









ถึงจะต้องดีความเอาเอง

แต่ประโยคเมื่อกี้ก็ทำให้ผมยิ้มไม่หุบอยู่ดี

เสียใจด้วยนะนางเอกแสนดี

ตอนนี้ตัวร้ายกำลังเป็นต่อ

เตรียมตัวอ่อนแอให้ทันก็แล้วกัน



TBC

ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3
Chapter 11 อารมณ์เสีย

ก็ถ้ารู้ว่าจะอึดอัดฉิบหายขนาดนี้ก็ไม่มาตั้งแต่แรกหรอก





นี่คือประโยคแรกที่ผมพูดกับตัวเองทันทีที่เริ่มสัมผัสถึงกลิ่นไอบรรยากาศแย่ ๆ ของการเดินทางไปยังเกาะช้างครั้งนี้ บอกตรง ๆ ว่าตอนนี้มองไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์เลยซักนิด นี่ถ้าบรรยากาศคิดจะทวีคูณความน่ากรีดร้องมากกว่านี้อีกหน่อย ผมก็อาจจะโดดลงทะเลให้มันรู้แล้วรู้รอด ให้ตายเถอะ! ทำไมผมถึงต้องมาอยู่ท่ามกลางบรรยากาศของสองสามีภรรยาที่น่าอิจฉา? แบบนี้ คิดดูเถอะครับว่าตอนนี้ผมต้องใช้ความอดทนแค่ไหนในการหายใจร่วมรถคันเดียวกันกับคู่ข้าวใหม่ปลามันที่พากันมาฮันนีมูน หึ พูดได้เลยว่าถ้าผมมากับเต็มและเอมแค่สามคนมันต้องเกิดโศกนาฏกรรมแน่ ๆ

“คุณพอชเป็นอะไรรึเปล่าคะ หน้าเครียดเชียว” ผมรีบละสายตาจากคนคู่นั้น พยายามดึงอารมณ์และสีหน้าตัวเองให้กลับมาเป็นปกติมากที่สุด ตอนนี้พวกเราอยู่บนรถตู้ของบริษัท สมาชิกก็ประกอบด้วยสองผัวเมียที่นั่งให้เห็นผมเห็นหัวรำไรอยู่ที่เบาะแถวหน้าสุด ถัดมาก็เป็นผมกับพี่พริ้งที่มาในฐานะคนมีการมีงานทำ แล้วก็ปิดท้ายด้วยเจและเอิร์ธพนักงานในแผนกที่ผมหิ้วมาช่วยกันทำงานในครั้งนี้ ออ แล้วก็ยังไม่นับรวมลุงคนขับรถด้วยอีกหนึ่ง

“เปล่านี่ครับ”

“แน่ใจนะคะ” พี่พริ้งพยายามมองผมอย่างจับผิด ผมรีบหลบสายตาทันทีที่เห็นว่าเธอเองก็เหลือบตามองเต็มสลับกับผมอยู่เนือง ๆ แต่ก็ช่างมันเถอะครับถ้าพี่พริ้งจะมารู้อะไรเข้า เพราะถ้าเธอเป็นคนจำพวกอันตรายจริง ๆ เรื่องของผมกับไอ้เต็มในห้องทำงานวันนั้นก็คงถูกนำไปเล่าให้คนทั้งแผนกฟังไปแล้วล่ะ พิรุธไอ้เต็มโผล่ขนาดนั้นถ้าไม่สงสัยบ้างก็บ้าไปแล้ว

“ครับพี่พริ้ง” แน่ใจซะยิ่งกว่าแน่ใจว่าตอนนี้ยังไม่เป็นอะไร แต่อีกนิดมันก็ไม่แน่นักหรอก ผมอาจจะลุกขึ้นมาฆ่าปาดคอใครเพราะความโมโหก็ได้ รู้งี้ช่วยให้น้องต้ามาด้วยก็ยังดี พาพี่พริ้งกับลูกน้องอีกสองคนมาก็กลายเป็นว่ายิ่งทำอะไรลำบากขึ้นไปใหญ่ ...นี่คงไม่กลายเป็นว่าแทนที่จะมาช่วยผมทำงาน กลับไปช่วยให้เต็มกับเอมสุขสมอารมณ์หมายกันมากขึ้นกว่าเดิมหรอกนะ

“ไม่มีอะไรแน่นะคะ คิ้วผูกกันอีกแล้ว” โอยยยย นี่ก็ตาดีซะเหลือเกินเว้ย

“โถ่ พี่พริ้งครับ ไม่มีอะไรจริง ๆ” ผมรู้ดีว่าถึงจะพยายามจะปฏิเสธแต่ก็ปกปิดสายตาและอารมณ์ที่แสดงออกมาทางสีหน้าของตัวเองไม่ได้ ยิ่งผมรู้ว่าเต็มมันให้ความสำคัญกับผมมากแค่ไหนใจมันก็ยิ่งรู้สึกว่าผมเป็นเจ้าของมัน ความหึง ความหวง ที่เคยเก็บไว้ได้ก่อนหน้านี้ก็เก็บไว้ในใจไม่ได้แล้วซะงั้น ...นี่ผมจะต้องสวดมนต์บทไหนถึงจะสงบสติตัวเองไว้ได้ตลอดรอดฝั่ง

การเดินทางใช้เวลาราว ๆ ห้าชั่วโมงพวกเราก็มาถึงจุดที่จะต้องเปลี่ยนไปขึ้นเรือของทางรีสอร์ทที่เตรียมมารับพวกเราโดยเฉพาะ จากนั้นไม่นานการเดินทางที่แสนจะยาวนานสำหรับผมมันก็สิ้นสุดลง รีสอร์ทโครงการใหญ่ตระหง่านอยู่ตรงหน้าผมเรียบร้อย การตกแต่งสไตล์ร่วมสมัยของที่นี่ดูจะขัดตากันไปซะหน่อยถ้าเทียบกันรีสอร์ทของเจ้าเล็กเจ้าน้อยรอบข้าง แต่ก็ต้องบอกเลยว่าทำเลตรงนี้น่าจะใช้ความสามารถของคุณสาโรจน์อยู่พอตัว ยิ่งการดีไซน์รูปแบบของรีสอร์ทที่ไม่กลมกลืนกับชาวบ้านแต่ดันโดดเด่นจนน่าจับตามองก็เรียกได้ว่าแนวคิดใช้ได้อยู่ทีเดียว

“สวยจังเลยค่ะเต็ม”

“อืม ผมก็ว่างั้น” ขอเถอะครับ จังหวะนี้ไอ้พอชขอเบ้ปากแล้วกรอกตาครบสามร้อยหกสิบองศาดูซักรอบ ...สวยจังเลยค่ะ ...ผมก็ว่างั้น ถุ้ยยยยย! ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้เลยนะมึง ท่องพุทโธ นะโม สังโฆเข้าไว้เว้ยไอ้พอช ลูกน้องมึงเดินตามมาเป็นโขยงเห็นมั้ย ตั้งสติ ตั้งสติ...

พวกเราใช้เวลาอยู่ที่ล็อบบี้ไม่นานนักก่อนจะพากันแยกย้ายไปตามห้องพักที่ทางนี้จัดไว้ให้ แน่นอนว่าไอ้เต็มก็ต้องนอนกับเมียมันอย่างสุขี เจกับเอิร์ธก็นอนด้วยกันอย่างไม่มีทางเลือก พี่พริ้งก็แยกไปนอนอยู่อีกห้องเพราะเป็นหญิงสาวหนึ่งเดียวในทีม ซึ่งก็เป็นที่แน่นอนว่าผมก็ต้องลากสังขารมานอนคนเดียวตามระเบียบ ที่น่าแค้นใจคือที่นี่จะแบ่งบ้านพักเป็นหลังครับ คู่ข้าวใหม่ปลามันนั่นก็ย่อมถูกแยกไปเพื่อให้ได้บรรยากาศ ส่วนผมกับพวกที่เหลือถึงจะแยกห้องกันคนละชายคาเช่นกันแต่ก็ต้องอยู่โซนเดียวกันอยู่ดี ...บอกเลยว่าไม่มีอะไรอธิบายอารมณ์ผมได้ดีไปมากกว่าคำว่าหงุดหงิด …หงุดหงิดโว้ยยยย!

“คุณพัชกรคะ คุณธากรเชิญคุณพัชกรพร้อมทีมที่ห้องจัดเลี้ยงค่ะ” นั่งพักบนโซฟาที่ห้องพักตัวเองได้ไม่ถึงยี่สิบนาทีพนักงานสาวท่าทางเรียบร้อยก็เข้ามาแจ้งข้อความดังกล่าวกับผม ผมพยักหน้าตอบรับทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าคุณธากรที่ว่านั่นเป็นใคร แต่ถ้าถึงระดับที่สามารถมาเชิญผมไปพบก็คงไม่พ้นคนใหญ่คนโตในบริษัทของคุณสาโรจน์นั่นแหละ

“ขอบคุณครับ” ผมตอบรับสั้น ๆ ง่ายก่อนจะหันไปพยักหน้าให้คนอื่น ๆ เป็นอันรู้กัน

“พี่พริ้งครับ คุณธากรนี่ใคร” ผมกระซิบถามพี่พริ้งขณะที่เดินตามพนักงานคนนั้นมาห่าง ๆ พี่พริ้งทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่นึงก่อนจะฉายสีหน้าราวกับเซอร์ไอแซคนิวตันตอนค้นพบแรงโน้มถ่วง

“พี่ไม่แน่ใจนะคะ แต่ถ้าพี่จำไม่ผิดน่าจะเป็นลูกชายคนโตของคุณสาโรจน์ เห็นว่าพึ่งเข้ามาทำงานเมื่อต้นปี ไฟแรงเชียวล่ะค่ะ” นี่ขนาดใช้คำว่าไม่แน่ใจนะครับ ถ้าพี่พริ้งเธอแน่ใจข้อมูลคงจะแน่นยิ่งกว่านายทะเบียน

“งั้นก็แปลว่าเราต้องประสานงานกับคุณธากรอะไรนี่งั้นสินะ...” ผมพึมพำกับตัวเองเบา ๆ อย่างไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก ระหว่างทางเดินบรรยากาศมันช่างชักชวนให้พักผ่อนมากกว่ามาทำงาน ยิ่งในช่วงที่รีสอร์ทยังไม่เปิดให้บริการเต็มรูปแบบแบบนี้แล้ว ความสงบก็ช่างน่าลิ้มลองจับจองเป็นเจ้าของเหลือเกิน แต่สำหรับการมาครั้งนี้ของผมก็คงจะแสวงหาความสงบสุขใด ๆ ไม่ได้เพราะในจังหวะที่ก้าวขาอยู่นั้นสายตาหาเรื่องของผมก็ไปดันโฟกัสไปยังบ้านพักอีกหลังที่ขณะนี้น่าจะมีคู่ฮันนีมูนอยู่ด้านใน





รู้ว่าเขาควรจะเป็นของเรา แต่ก็รู้ว่าไม่มีสิทธิ

รู้ว่าตัวเองกำลังเสียใจ แต่ก็ยากที่จะทำใจให้ตัวเองออกมา

ความรู้สึกนี้มันยิ่งกว่าชู้อีกแม่ง...





เดินใจลอยอยู่ไม่นานนักผมกับทุกคนก็เข้ามาอยู่ในห้องจัดเลี้ยงที่ตอนนี้ถูกจัดไว้คล้ายห้องประชุมย่อม ๆ หลายอย่างถูกเซ็ตไว้เตรียมพร้อมสำหรับพรีเซนต์เทชั่น มีทีมงานของที่นี่นั่งรอพวกเราอยู่แล้วราว ๆ ห้าหกคน ผมยิ้มรับไหว้ทุกคนบาง ๆ เพราะไม่ได้อยู่ในวัยที่จะไปยกมือรับไหว้ใครได้ แต่ก็ดูเหมือนทุกคนคงจะเข้าใจว่าผมหยิ่งถึงได้พากันซุบซิบแล้วใช้หางตามองมาแบบนั้น เอาเถอะไอ้พอชคนนี้จะยังให้โอกาส ...แต่อย่าให้เห็นสีหน้าแบบนั้นจากคนพวกนี้เป็นครั้งที่สองก็แล้วกัน

“หลบ”

“ค....ครับคุณเต็ม”

“ฉันจะนั่งตรงนี้” เสียงที่ผมคุ้นเคยดังขึ้นข้าง ๆ ตัว เอิร์ธที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ผมในตอนแรกยอมลุกแต่โดยดีเมื่อนายใหญ่ที่มาด้วยกันจากกรุงเทพสัมผัสผ่ามือลงบ่นไหล่พร้อมสีหน้าที่เหมือนจะตายด้านในความรู้สึก กลายเป็นว่าคนที่มาก่อนต้องลุกหนีไอ้เต็มที่จำเพาะเจาะจงจะมานั่งข้าง ๆ ผม ....สัด ไม่เอา มึงคิดเองเออเองแบบนี้ไม่เขินดิวะพอช

“เอิร์ธไม่ต้อง นั่งลง” ดูเหมือนจะเกิดความสับสนเล็ก ๆ ในหัวลูกน้องผม เอิร์ธที่พึ่งจะลุกขึ้นยืนต้องทรุดตัวลงนั่งที่เดิมตามคำสั่งเจ้านายที่แท้จริง เห็นแววตาร้องขอชีวิตที่มันมองไปยังเจกับพี่พริ้งแล้วก็อยากจะช่วยอยู่หรอกนะ แต่ในตอนนี้มันคงจะต้องช่วยเป็นหมากในเกมให้ผมก่อน

“เอิร์ธ ...ลุก”

“คงไม่ได้ว่ะเต็ม เอิร์ธต้องช่วยกูทำงาน” ผมหยิบเอกสารสองสามแผ่นที่วางอยู่ตรงหน้าโบกไปมาเพื่อกวนโมโหมันอย่างตั้งใจ แต่ร่างสูงนั่นก็ดึงมุมปากเบา ๆ ภายใต้ใบหน้าที่ยังคงเรียบเฉียบ ก่อนจะดึงคอเสื้อผู้ช่วยผมขึ้นจนตัวมันลอยหายไปจากเก้าอี้ราวกับเสกได้ เอิร์ธผู้น่าสงสารต้องระเห็จไปนั่งอยู่อีกฝั่งด้วยแววตาที่เหมือนจะโล่งใจ ...นี่คือมึงกลัวไอ้เต็มหรือว่ารังเกียจที่จะนั่งข้างกูกันวะเนี่ย

“แล้วกูไม่ต้องทำงานรึไง” มันทิ้งตัวลงนั่งเหมือนไม่ได้สนใจอาการกวนโอ๊ยที่ผมพยายามแสดงออกให้มันหลุดจากการเก๊กท่านิ่งขรึมเลยซักนิด

“มาฮันนี่มูนไม่ใช่หรอ...โอ๊ยยยย” ยังไม่ทันที่ผมจะสามารถประชดประชันได้จบประโยค ไอ้ตีนผีของคนข้าง ๆ ก็กระแทกแรงลงกับเท้าผมในแบบที่ไม่ได้สนใจสวัสดิภาพใด ๆ เลยซักนิด ออ... พึ่งจะสังเกตว่าเอมไม่ได้เข้ามาในห้องนี้ด้วย ก็แน่ล่ะนะ ถ้าเข้ามาด้วยก็คงจะโดนข้อหาว่าเสือกเปล่า ๆ แค่มาด้วยนี่ก็สะเออะจะแย่อยู่แล้ว

“โทษที มองไม่เห็นว่ะ ...ไม่มีอะไรครับทุกคน” โอโห....หันไปยิ้มแป้นบอกว่าไม่มีอะไรหน้าตาเฉยเลยนะมึง ไม่มีอะไรเลยไอ้ที่เหยียบมาเต็มปลายตีนกูเนี่ยไม่มีอะไรเลยมึงงงง

“มัน...เจ็บ...” ผมพยายามเค้นเสียงเบา ๆ ลอดไรฟันแทบไม่ขยับปากให้มันได้ยินเพียงแค่คนเดียว

“ใครใช้ให้พูดล่ะ” กลายเป็นผมต้องกัดฟันยอมรับผิดที่เป็นฝ่ายพูดเรื่องที่เคยตกลงกันไว้แล้วว่าจะไม่พูดถึงมันอีก ไหนใครก็ได้บอกผมทีว่าผมจะทำเป็นไม่สนใจที่มันพกเมียมาด้วยได้ยังไง ผมจะลืมได้ยังไงว่ามันมีคนอื่น แค่ข่มใจไว้ไม่ให้เจ็บก็อยากฉิบหายแล้วเว้ย

“สวัสดีครับทุกคน”

เสียงผู้มาเยือนรายใหม่ทำทุกคนหันไปมองที่ประตูเป็นตาเดียว ชายหนุ่มรูปร่างสูงสันทัดผิวขาวหมดจดสวมแว่นกรอบบางสะกดให้ผมหลงมองเขาอยู่นาน ...หล่อ แม่งโคตรจะหล่อ หล่อแบบคุณชายที่ดูแสนจะเป็นสุภาพบุรุษ ยิ่งรอยยิ้มกว้างที่แทบจะทำให้เห็นฟันทุกซี่นั่นก็แทบทำให้ผมละสายตาไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าอะไรกันแน่ที่ทำให้ผมเผลอมองเขาอย่างสนใจได้ขนาดนี้ เพราะองค์ประกอบหน้า เพราะบุคลิกที่ดูดีทุกย่างก้าว หรือเพราะผมเองก็รู้สึกว่าเขาเองก็มองผมอยู่เหมือนกัน กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่คนข้าง ๆ แม่งเอาขาทั้งขามาพาดทับขาผมไว้อย่างตั้งใจ

“อะไรเนี่ย”

“เปล่า”

“สวัสดีอีกครั้งนะครับ ผมธากร เป็นหัวหน้าดูแลโครงการที่นี่ ก่อนอื่นต้องขอโทษก่อนเลยนะครับที่รีบเรียกมาทั้งที่พึ่งมาถึงกัน พอดีอีกประมาณสามชั่วโมงกรุ๊ปของบล็อคเกอร์กำลังจะเข้ามาถึง ผมเลยอยากจะแจกแจงรายละเอียดให้คุณพัชกรกับทีมฟังก่อน เผื่อมีอะไรเพิ่มเติมจะก็อาจจะแก้ไขกันทัน” คุณธากรยิ้มกว้างก่อนจะหันไปวุ่นวายกับสไลด์ภาพในคอมพิวเตอร์ จริง ๆ ผมประสานงานล่วงหน้าโดยการขอดูแผนงานมาแล้วเมื่อสองวันก่อน ก็เป็นอย่างที่คาดนั่นแหละมีจุดผิดพลาดที่ไม่น่าจะเวิร์คให้แก้ไขอยู่เยอะ

“เอ่อ...คนไหนคุณพัชกรครับ” ดูเหมือนว่าเขาเองก็พึ่งจะนึกได้ว่าควรจะทำความรู้จักกับแขกก่อนเริ่มประชุม คนถามเงยหน้าจากจอคอมพิวเตอร์เพียงนิดเพื่อมองมายังผมและไอ้เต็มสลับกันไปมา เพื่อหาคุณพัชกรที่ว่าซึ่งนั่นก็คือผมเอง

“เรียกผมพอชก็ได้ครับ” ผมยืนยันตัวเองด้วยการแนะนำตัวด้วยชื่อเล่น

“ผมกรนะ ยินดีที่ได้รู้จักคุณพอชแล้วก็ทีมงานทุก ๆ คนนะครับ ได้ยินคุณพ่อบอกว่าคุณพอชพึ่งเข้ามาทำงานได้ไม่นาน แต่ผมเห็นรายงานแก้ไขที่ส่งมาล่วงหน้าที่นี่แล้ว ฝีมือไม่ธรรมดาเลยนะครับ เก่งจริง ๆ” ไม่นานอะไรล่ะ นับเป็นวันเถอะ

“ไม่หรอกครับ ผมก็ได้ทุกคนในทีมช่วย ๆ กัน”

“แล้วนี่คุณพอชได้เดินชมรอบ ๆ รีสอร์ทรึยังครับ”

“ก็พอได้เดินบ้างแล้วล่ะครับ แต่ก็ยังไม่ทั่วนัก” เดินจากห้องพักมาถึงห้องจัดเลี้ยงนี่ก็ขาลากอยู่นะ หึหึ

“งั้นดีเลย เดี๋ยวจบจากตรงนี้ผมจะอาสาพาเดินทัวร์เอง” คุณธากรหรือที่เรียกสั้น ๆ ง่าย ๆ ได้ว่าคุณกรฉีกยิ้มกว้างกว่าที่เป็นอยู่ก่อนจะยกมือขวาชูนิ้วโป้งคล้ายจะชมว่ายอดเยี่ยมกับผม ...มันมีอะไรน่ายินดีตรงไหนวะเนี่ย

“ได้เลยครับ ผมยินดีมาก ๆ”

“จะเริ่มกันได้รึยังครับ ภรรยาผมรออยู่” ...โอ้โหหหหห ไอ้เหี้ยเต็ม! กูนี่กรอกตารอบโลกแทบไม่ทัน พูดเต็มปากเต็มคำซะขนาดนั้นก็คงจะเป็นห่วงเป็นใยกันมากอยู่สินะ แล้วไอ้สายตาที่กำลังมองกูเหมือนมึงชนะเกมมาริโอ้นั่นอะไร ห้ามกูพูดแต่ตัวเองพูดได้งั้นสิ ไอ้ชาติชั่ว! ชาติหน้าใครได้ผู้ชายเหี้ย ๆ อย่างมึงไปเป็นผัวซวยฉิบหาย!!

ขออภัยครับ... เหมือนผมจะหัวเสียไปหน่อย (ไม่หน่อยล่ะมั้ง)

“ค... ครับ เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า คุณเอ่อ...คุณเต....”

“เต็ม” ผมเห็นสีหน้าบูด ๆ ของไอ้เต็มแล้วก็อดที่จะหงุดหงิดแทนคนถามไม่ได้ ดูจากลักษณะไอ้เต็มก็พอจะมองออกแล้วว่ามันคงไม่ถูกชะตากับคุณกรเท่าไหร่นัก แต่จะด้วยสัญญาณศัตรูแรกพบหรือสัญชาตญาณเขม่นผู้ต่อสู้อะไรก็ตามเถอะ มันไม่ควรจะหงุดหงิดจนแสดงอาการออกหน้าออกตามามากขนาดนี้ ...ไม่ควรจะหงุดหงิดที่ไม่ได้อยู่กับเมียออกมามากขนาดนี้!

“รีบไปหาเอมหรอ ไปเลยดิ ปล่อยทิ้งไว้คนเดียวนาน ๆ ไม่ดีนะ”

“ไม่เป็นไรหรอก เอมเขารอได้” จังหวะการยักคิ้วเยาะเย้ยของมันยิ่งทำให้ผมโมโห แต่ตอนนี้ก็คงจะทำได้เพียงแต่กำมือแน่นจนแผลที่เหมือนจะหายดีแทบจะปริออกมาซะให้ได้ เต็มมันก็คงจะอ่านผมออกพอ ๆ กับที่ผมอ่านมันออก มันรู้ว่าทำยังไงถึงจะยั่วโมโหผมได้ ...และผมก็รู้ว่าที่มันพูดก็เพื่อจะประชดให้ผมเลือดขึ้นหน้าเล่น ซึ่งความตลกก็คือต่อให้ผมรู้อยู่แก่ใจก็ยังหงุดหงิดตามเกมมันไปอยู่ดี

“อ๋อหรอ นึกว่าจะทิ้งการทิ้งงานไปฮันนีมูนอย่างเดียวซะแล้ว”

“เฮ้ย ก็รู้อยู่ว่ากูไม่ใช่คนแบบนั้น แยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวได้น่า ...ไม่ได้เหมือนใครบางคน” สาบานออกมาสิไอ้เต็มว่าที่กัดกูเป็นหมาอยู่เนี่ยต้องการแค่จะยั่วโมโหเล่นขำ ๆ ไม่ได้อยากให้กูอาละวาดให้รีสอร์ทแตกขึ้นหน้าหนึ่ง

“ไอ้เต็ม!”

“เอ่อ... เราจะเริ่มกันเลยมั้ยครับ”

“ครับ! /เออ!!!!” คำแรกของผม ส่วนคำหลังเป็นของไอ้เต็มมันครับ ดูคุณกรกับคนอื่น ๆ ก็ออกจะเหวอ ๆ ไปเหมือนกันที่เห็นการสบัดหน้าหนีไปคนละทางของเราสองคน มันใช่เรื่องที่มันจะมาทำท่าเหมือนโกรธผมมั้ยล่ะครับ แม่งเป็นคนเริ่มเองแท้ ๆ ดันมาทำหน้าทำตาเหมือนหมีแดกผึ้ง แล้วไหนจะสายตาที่เหลือบมองคุณกรแบบไม่มีมารยาทนั่นอีก ลักษณะแม่งเหมือนเด็กเจ็ดขวบเวลาพาลตอนโดนแย่งของเล่น เห็นแล้วอยากจะฟาดหัวด้วยรองเท้าข้างขวาเข้าซักที เหอะ ๆ

“ค่ะ ๆ เชิญคุณกรเริ่มได้เลยค่ะ” สงสัยงานนี้จะต้องขอบคุณพี่พริ้งที่ทำให้คุณกรที่ออกจะอึ้ง ๆ ได้สติแล้วเริ่มการประชุมเล็ก ๆ นี่ได้ซักที ต้องขอชื่นชนเลยล่ะครับว่าจากที่ผมส่งรายละเอียดมาขอแก้งานทีมงานที่นี่ทำได้ดีมาก รายละเอียดปลีกย่อยที่ผมไม่ได้สังเกตก็เก็บเรียบแก้ไขจนหมด ร่วมไปถึงแพลนงานเลี้ยงต้อนรับเหล่าบล็อกเกอร์ท่องเที่ยวที่จะเกิดขึ้นในคืนนี้ด้วยที่ดูเรียบ ๆ แต่น่าสนใจซึ่งน่าจะเรียกกระแสในอินเตอร์เน็ตได้อยู่ไม่น้อย

เราคุยกันอยู่ไม่นานนักทุกอย่างก็จบลงพร้อมเสียงปรบมือและสีหน้ายิ้มแย้มและคาดหวังกับงานนี้ของทุกคน นอกจากทีมของคุณกรที่ผมจะต้องชื่นชมแล้วก็คงจะมีคนอื่น ๆ ในทีมของผมที่ทำหน้าที่ได้สมกับที่ผมจิ้มนิ้วเลือกมามั่ว ๆ เอิร์ธกับเจที่ดูเหมือนจะนิ่ง ๆ กลับโต้ตอบข้อมูลแน่นปึกได้ดีในเวลางาน ส่วนพี่พริ้งก็คงจะไม่ต้องพูดถึงเพราะรายนี้นอกจากความรู้ระดับมันสมอง จิตวิทยาในการพูดก็เทพซะยิ่งกว่าเทพซะอีก ออ...อีกคนที่เป็นผู้บริหารใหญ่สงสัยจะเป็นใบ้ครับ นอกจากจะไม่พูดอะไรแล้วก็ยังทำตัวเหมือนคนหูหนวกหายใจทิ้งเปลืองอากาศตลอดเวลาด้วย

“คุณพอช เดี๋ยวก่อนครับ” คุณกรเรียกผมไว้ก่อนจะเดินออกมาจากห้องจัดเลี้ยง ผมพยักหน้าบอกคนอื่น ๆ ให้กลับไปพักผ่อนกันแล้วแต่ความสะดวก โดยไม่ลืมที่จะฝากแฟ้มเอกสารที่อยู่ในมือไปกับเจด้วย หนุ่มแว่นตรงหน้าก็เช่นกันที่ดูเหมือนจะฝากฝังงานที่เหลือไว้กับลูกน้องเรียบร้อยแล้วจึงเรียกผมไว้

“ว่าไงครับ”

“เรื่องชมบริเวณรีสอร์ทที่ผมบอก คุณพอชสะดวกรึเปล่า”

“ได้สิครับ เราไปกันเลยมั้ย”

“พอชสะดวกแต่ผมว่าคุณกรคงไม่สะดวกมั้งครับ อีกไม่เกินชั่วโมงแขกก็จะมาแล้ว เอาเวลาไปตรวจงานอีกรอบก่อนไม่ดีกว่าหรอ” ผมถึงกับจิ๊ปากออกมาเพราะไอ้คนที่เดินเข้ามาพาดแขนลงบนไหล่ผมไว้ในเวลาที่ไม่ต้องการ มีใครรู้บ้างมั้ยครับว่าวันนี้ผีห่าซาตานตัวไหนมันเข้าสิงไอ้เต็ม ทำตัวเหมือนคนสติไม่ดีตั้งแต่เริ่มการประชุมแล้วนะเว้ย เวลาเป็นการเป็นงานก็เข้ามากวนตีนอยู่ได้ เดี๋ยวแม่งก็ฟาดเข้าให้ด้วยหลังมือ

...ถามว่าจริง ๆ กล้ามั้ย ...ก็ไม่

...ถามว่าตอนนี้หน้าแดงทำไม ...ก็ไม่รู้

“เต็ม!” จริง ๆ อยากจะต่อท้ายด้วยประโยคที่ว่า .....ปากหมานะสัด! แต่ก็นั่นแหละไอ้เต็มมันพูดจาเสียมารยาทออกไปขนาดนี้แล้วให้ผมพูดหยาบ ๆ ออกไปอีกคนเดี๋ยวคนเขาจะหาว่าไม่มีคนสั่งสอนเอา

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับคุณเต็ม ลูกน้องผมไว้ใจได้ อีกอย่างแค่เดินชมรอบ ๆ ก็คงไม่ได้ใช้เวลามากอะไร” อ้าว เขามั่นใจขนาดนั้นหน้าเสียเลยสิมึง

“ยังไงผมก็ยังห่วงอยู่ดี”

“เชี่ย” ผมเผลออุทานออกมาโดยไม่ตั้งใจเมื่อไอ้เต็มดึงตัวผมเต็มแรงจนหน้าเซเข้าไปซบลงกับไหล่มัน ...แม่งเอ๊ย ไอ้เต็ม เวลากูอยากให้ทำแบบนี้ล่ะไม่เคยทำ แล้วตอนนี้เป็นไงเพราะได้กูเป็นชู้อย่างถูกต้อง? ก็เลยคิดว่าจะทำอะไรกับกูก็ได้งั้นหรอว่ะ ใครตามความคิดมึงทันก็หัวสมองระดับไอสไตน์แล้วเว้ย!

“ว่าไงครับคุณกร”

“เอ่อ...คุณพอชว่าไงดีครับ” คุณกรหันมาถามความคิดจากผม และสีหน้าไอ้คนข้าง ๆ ตอนนี้ผมก็แทบไม่ต้องคิดคำตอบเลยซักนิด

“เอาไว้ก่อนดีกว่า….” ยังไม่ทันที่ผมจะปฏิเสธคุณกรได้จบประโยค ไอ้คนข้าง ๆ ที่พยายามเหลือเกินที่จะรั้งผมไว้ก็เหมือนจะมีเหตุอันจำเป็นขึ้นมากระทันหันซะแบบนั้น เหตุจำเป็นที่ผมอยากจะเบ้หน้าบิดเป็นเลขแปดแล้วจับโทรศัพท์ในมือมันมาเขวี้ยงทิ้งแล้วกระทืบซ้ำให้รู้แล้วรู้รอด





แทบไม่ต้องชะเง้อมองก็รู้ว่าเมียสุดที่รักของมันโทรมา

รู้เวลาจังนะเอมของพอช…





“ครับเอม…” เต็มมันเหลือบตามองผมก่อนจะคุยกับปลายสายเสียงอ่อนเสียงหวานจนน่ากระทืบ ครับเอมมม ครับพ่องมึงสิ! ตั้งสติแล้วท่องไว้ว่าช่างมันไอ้พอช! เพราะว่าตอนนี้มึงควรโฟกัสอะไรดี ๆ ในหัวมากกว่า...

“เราไปกันเถอะครับคุณกร ผมพร้อมแล้ว”

“ครับ?” ดูเหมือนว่าคุณกรเองกำลังตามเรื่องราวที่พลิกไปมาไม่ทัน แต่เขาก็ยิ้มรับแม้ว่าจะยังมีสายตาขวางลำแม่น้ำจากไอ้เต็มมองมา ผมเองก็คงทำอะไรได้ไม่มากนอกจากจะยิ้มกว้าง ๆ ให้คนที่กำลังรับโทรศัพท์ได้เห็นชัด ๆ ซักทีแล้วเดินจากมาอย่างคนที่มีแต้มต่อ





อุ๊บส์ ได้กลิ่นเหมือนมีคนอารมณ์ไม่ดีแหะ







ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3



70%

“เอ่อ คุณเต็มเขาจะไปด้วยกันมั้ยครับ” คุณกรไม่ได้ถามเจ้าตัว แต่ถามผมที่เดินนำออกมาเหมือนไม่มีเต็มยืนอยู่ตรงนั้น ผมเหลียวหลังกลับไปมองก็เจอสายตาเข้ม ๆ ส่งมาทั้งที่มือก็ยังถือโทรศัพท์เอาไว้แนบหู จุดนี้ก็คงต้องทำใจใช่มั้ยครับเพราะว่าสองคนนั่นเขาตั้งใจมาดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์สวีทดู๋ดี๋… เอาไว้ถ้าผมว่างแล้วจะไปเสิร์ฟน้ำผึ้งขมให้ถึงที่ก็แล้วกัน

“ผมว่าคงไม่นะครับ เอมโทรมาตามแล้ว เราไปกันเถอะครับ ผมอยากได้ข้อมูลอื่น ๆ เพิ่มเติมด้วย เผื่อจะเจอกลุ่มบล็อคเกอร์ช่วงค่ำ” ผมพูดออกไปตรง ๆ ตามที่คิด สาบานว่าผมไม่ได้จะใช้คุณกรเป็นเครื่องมือปั่นหัวใครทั้งนั้นแหละ แค่บังเอิญผมสังเกตเห็นสัญญาณแปลก ๆ จากไอ้เต็มที่ช่างเหมาะเจาะกับการทำงานตอนนี้ก็เท่านั้น

“ยินดีครับ” คุณกรเริ่มพาผมเดินลัดเลาะไปตามช่วงสวนของรีสอร์ทที่ไม่ได้ติดแนวหาด ดูจากข้อมูลที่ผมได้จากเขาก็ค่อนข้างชัดว่าลูกชายคุณสาโรจน์คนนี้น่าจะเป็นคนลงพื้นที่ทำงานเองแทบจะทั้งหมด แถมยังดูได้รับความเคารพแบบจริงใจจากพนักงานทั้ง ๆ ที่อายุไม่ได้เยอะ ถ้าจะให้เดาผมว่าเขาน่าจะอายุมากกว่าผมอยู่ไม่กี่ปีเท่านั้น

“นอกจากโครงการที่นี่คุณกรมีดูแลโครงการอื่นอีกรึเปล่าครับ”

“ช่วงนี้ก็มีแต่ที่นี่แหละครับ ผมอยากทำให้มันดี ถ้าที่นี่เปิดตัวแล้วไปได้สวยก็ค่อยว่ากัน”

“แต่ผมว่าคุณกรมีฝีมือนะครับ ต่อให้จับหลายโครงการพร้อมกันก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไร”

“ชู่วววว อย่าพูดไปเชียวครับ โครงการแรกที่ผมจับยังขาดทุนร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่จนถึงทุกวันนี้” ผมเกือบจะหลุดขำเพราะการยกนิ้วชี้ขึ้นทาบปากตัวเองพร้อมสีหน้าติดตลกของคนตรงหน้า นี่ถ้าไม่เกรงใจคนงานที่เดินทำงานอยู่รอบตัวผมคงหัวเราะแหกหน้านายใหญ่ของที่นี่เข้าซักยก

“แบบคุณกรเนี่ยนะครับ”

“แบบผมนี่แหละครับ จริง ๆ ผมก็พึ่งเข้ามาทำงานจริงจัง นี่ถ้าคุณพ่อไม่บังคับก็คงจะไม่เห็นหน้าผมที่นี่แน่ ๆ”

“ไม่ต่างอะไรจากผมเลย นี่ถ้าคุณอาบวรไม่ขอก็คงไม่ได้เห็นหน้าที่นี่เหมือนกัน”

“ดูคุณบวรเขารักคุณพอชดีนะครับ”

“ครับ…” ประโยคเมื่อครู่ของคุณกรเล่นเอาผมก้าวขาต่อไปแทบไม่ออก นั่นน่ะสิ คุณอาทั้งแสนจะรักใคร่เอ็นดูผม ให้ผมทุกอย่าง กลับเป็นผมเองที่ไม่เคยทิ้งความอิจฉาเลวร้ายในใจออกไปได้ซักที แถมยังคิดจะเนรคุณทำลายครอบครัวลูกชายคนโตของเขาอีก แต่ถ้าถามว่าที่ผมคิดได้ขนาดนี้แล้วสำนึกมั้ย ...ก็ไม่

“เอ่อ… เมื่อกี้ผมพูดอะไรผิดไปรึเปล่า” ถ้าจะให้เดาคุณกรก็คงจะเห็นสีหน้าที่แปลกของผม แต่ช่างมันเถอะมันก็แค่แวบนึงของเสี้ยวความคิดที่ทำให้อารมณ์ผมเปลี่ยนไปเท่านั้น

“เปล่าเลยครับ ผมแค่คิดตามที่คุณกรพูด ว่าคุณอาท่านรักผมมากจริง ๆ”

“งั้นหรอครับ” คราวนี้เป็นผมที่สัมผัสได้ถึงน้ำเสียงที่ผิดปกติไปคล้ายคนพูดไม่เชื่อสิ่งที่ผมพูดนัก แต่คงไม่แปลกอะไรเพราะตั้งแต่เล็กจนโตคนที่ผ่านไปรอบตัวก็มักจะพูดเสมอว่าคุณอามีความจำเป็นจะต้องดูแลเด็กเหลือขออย่างผมทำไมนักหนา ...คุณกรก็แค่คนนึงที่คงรู้สึกแบบนั้น

“คุณกรไม่คิดแบบนั้นหรอครับ” ผมถามออกไปตรง ๆ แต่ได้รับเป็นรอยยิ้มที่อ่านยากของคุณกรมาเป็นคำตอบแทน

“ผมว่า… ผมเข้าใจคุณพอชนะครับ เพราะว่าจริง ๆ แล้วผมเองก็ไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของคุณพ่อ” ผมเลิกคิ้วให้กับข้อมูลใหม่ที่พึ่งได้รับรู้ สายตาที่มองกันตอนนี้เหมือนจะเข้าใจสถานะเด็กเก็บมาเลี้ยงของกันและกันเป็นอย่างดี ที่น่าแปลกใจคือในแววตาของคุณกรนั้นกลับไม่ได้มีความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจหรือความรู้สึกเลวร้ายอื่นใดแบบที่ผมมี… แววตาของเขามีเพียงความชื่นชมถึงผู้เลี้ยงดูอย่างจริงใจเท่านั้น

“ผมไม่คิดว่า…”

“ท่านไม่มีลูกน่ะครับ เลยเป็นโชคดีของผม”

“ครับ โชคดีจริง ๆ”

“เราเลิกคุยเรื่องนี้กันเถอะ ผมว่ายังมีเรื่องอื่นที่น่าสนใจกว่านี้เยอะ” คุณกรว่าก่อนจะคว้าเอาจักรยานที่จอดเอาไว้ใกล้ ๆ ตัวมานั่งค่อมแล้วหันมาพยักหน้าใส่ผมในเชิงที่ใคร ๆ ก็รู้ความหมาย

“จะไปไหนครับ”

“รอบรีสอร์ทนี่ล่ะครับ จากตรงนี้ไปจนถึงทางลงริมหาดค่อนข้างไกล จริง ๆ ควรจะเป็นรถกอล์ฟแต่ผมให้ลูกน้องไปเตรียมรอคณะบล็อคเกอร์หมดแล้ว หยวน ๆ ไม่ว่ากันนะ”

“ผมหนักปั่นไม่ออกไม่รู้นะ” ผมไหวไหล่สองสามครั้งก่อนจะก้าวขาขึ้นซ้อนอย่างว่าง่าย เอาจริง ๆ ก็มีความขี้เกียจเดินเกิดขึ้นในร่างกายผมนั่นแหละ เรื่องความเกรงใจก็เอาไว้ก่อนแล้วกัน

“ก็ไม่หนักนี่”

“ไม่หนักแต่ปั่นอย่างอืดอ่ะครับคุณกร”

“เปล่านะ ผมแค่อยากให้คุณสัมผัสบรรยากาศทั่ว ๆ ต่างหาก ….ออ ตรงขวามือนั่นเป็นโซนวีไอพีที่ผมเล่าให้ฟังครับ เราจัดทำพิเศษแล้วพนักงานก็จะเป็นอีกเซ็ตด้วย” ผมมองไปตามทิศทางที่คุณกรบอก บ้านพักหลังใหญ่ที่ดูจากภายนอกไม่แตกต่างอะไรกับที่พักโซนอื่นนักแต่คงจะพิเศษกว่าก็ต้องที่พื้นที่โดยรอบถูกกั้นไว้เป็นสัดส่วนชัดเจนและผมคิดว่ามันน่าจะถูกกั้นยาวไปจนถึงส่วนของหาด

“แบบนี้จะเปิดให้คนทั่วไปเข้าพักรึเปล่าครับ”

“เปิดครับ แต่พูดตามตรงก็คือเงินต้องหนาซักหน่อย เราเน้นกลุ่มลูกค้าที่วีไอพีจริง ๆ มากกว่า”

“แต่ผมดูจากตรงนี้แล้ว ข้างนอกไม่ต่างอะไรกับพวกบ้านพักเหมาหลังแถวพัทยาเลยนะครับ ในแพลนที่เห็นผมเข้าใจว่าจะดูดีกว่านี้ อีกอย่างกลุ่มคนมีเงินก็ชอบซื้อบรรยากาศอัพลงไอจีมากกว่าฟังก์ชั่นด้านในอยู่แล้ว”

“....หึ คุณพอชคิดแบบนั้นหรอครับ” กว่าจะรู้ตัวว่าตัวเองปล่อยพิตบูลออกไปทั้งฝูงก็ตอนที่ผมได้ยินเสียงหัวเราะเย็น ๆ จากคุณกร แต่จะให้ทำยังไงก็ภาพที่เห็นคาตามันเป็นแบบนั้นจริง ๆ นี่หว่า

“ครับ อาจจะต้องปรับบรรยากาศตกแต่งด้านหน้าอีกพอควร เพราะผมว่ามันกลืนกับโซนอื่นไปจนไม่จำเป็นที่จะต้องมาพักในราคาที่แพงกว่า”

“หึหึ หึหึหึ”

“หัวเราะแบบนี้หมายความว่ายังไงครับ ขอโทษที่ต้องพูดตรง ๆ แล้วกัน แต่บริษัทผมเทเงินไว้กับโครงการนี้…”

“ที่ผมหัวเราะเพราะคุณพอชคิดเหมือนผมเป๊ะเลย”

“อ้าว…”

“จริง ๆ เป็นเพราะคนงานลงสวนผิดแปลนน่ะครับ ตอนแรกผมว่าจะปล่อยเลยตามเลย แต่ได้ยินคุณพอชพูดอีกก็คงจะปล่อยไว้ไม่ได้แล้ว”

“เหอะ ทำงานชุ่ย ๆ เรื่องแบบนี้ทำผิดได้ยังไง นี่คุณกรตักเตือนไปบ้างแล้วรึยังครับ เป็นผมจะตัดเงินเดือนซะให้เข็ด” ผมสบถตามนิสัยแสนดีของตัวเอง และจังหวะนี้สีหน้าของผมมันก็คงจะเหวี่ยงตามสันดานที่แก้ไม่หายอย่างไม่ต้องเดา

“โธ่… คุณพอช มีใครบ้างล่ะที่ไม่เคยทำอะไรผิดพลาด” คุณกรชะลอความเร็วจักรยานจนจอดสนิท หันมามองหน้าผมด้วยใบหน้าที่ติดไปด้วยรอยยิ้ม แต่รอยยิ้มนั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมเข้าใจความหมายใดมากไปกว่าเขาเป็นคนดีระดับที่พระสงฆ์ยังจะต้องอาย

“คุณกรนี่ดูเป็นคนดีจัง” ผมพูดขึ้นระหว่างที่จักรยานหนัก ๆ กำลังเคลื่อนที่ตรงไปข้างหน้าอีกครั้ง

“เพราะแว่นช่วยชีวิตมากกว่าครับ”

“งั้นไอ้แว่นคนดีนี่คุณกรซื้อที่ไหนครับ ผมจะไปซื้อมาใส่บ้าง” เผื่อว่าพอชคนดีคนเดิมใส่แว่นแล้วจะกลายเป็นคนดีบ้าง แต่ขอประทานโทษคาดการณ์ไว้เลยว่าผมคงต้องใส่แว่นยี่สิบอันพร้อมกับธูปซักกำถึงจะดูเป็นคนดีกับชาวโลกเขาได้

“คุณพอชก็ดูเป็นคนดีอยู่แล้วนี่ครับ”

“เห็นผมเหวี่ยงลูกน้องคุณในที่ประชุมเมื่อกี้แล้วนี่ นั่นอิทธิฤทธิ์เลเวลหนึ่งผมเท่านั้นนะคุณ”

“ผมเรียกนั่นว่าการพูดความจริงนะครับ”

“เนี่ย ที่คุณกรพยายามชื่นชมผมเนี่ยมันก็เรียกว่าคนดีเหมือนกัน”

“ผมไม่ได้พยายาม ต่อให้คุณเหวี่ยงจริงผมก็ยังว่าคุณดีนะ คนเราไม่มีใครเป็นสีขาวสีดำหรอก เทา ๆ ด้วยกันทั้งนั้น” ...ครับ พอชก็เทา เทาเข้ม…

“ขออนุญาตสาธุยาว ๆ นะคุณกร สาธุ……!” แล้วเสียงหัวเราะที่เต็มเสียงครั้งแรกในรอบวันของผมก็เกิดขึ้น ยอมรับเลยว่าเป็นไม่กี่ครั้งที่ผมแฮปปี้กับการคุยกับคนแปลกหน้า ก็หวังว่าคุณกรจะกลายเป็นมิตรคนนึงของผมหลังจากที่สร้างศัตรูมามากกว่าครึ่งประเทศ

.

.

.

ผมกับคุณกรใช้เวลาอยู่บนจักรยานรอบ ๆ รีสอร์ทอยู่อีกพักใหญ่ ๆ ก่อนที่มันจะมาจอดสนิทอยู่ที่ริมทางลงหาดพร้อม ๆ กับการมาของกลุ่มบล็อคเกอร์และงานเลี้ยงต้อนรับบนหาดทรายยามพระอาทิตย์ตกดิน มาถึงนี่ก็เจอพี่พริ้ง เจ เอิร์ธ และทีมงานของที่นี่อยู่กับกลุ่มบล็อคเกอร์ก่อนแล้ว และก็ดูเหมือนว่าคุณกรเองก็จะไว้ใจยืนดูทุกอย่างอยู่ห่าง ๆ เท่านั้น ส่วนผมคงไม่เหมาะกับงานพูดคุยตอนรับแบบนี้เท่าไหร่ เอาไว้มีงานขับไล่เมื่อไหร่ค่อยมาเรียกใช้ก็แล้วกัน

“คุณพอชทานอะไรเลยมั้ยครับ”

“ไม่ล่ะครับ ยังไม่ค่อยหิว” ...หิว แต่มองหาใครบางคนแล้วไม่เจอที่นี่ร่างกายมันก็เลยไม่อยากจะยัดอาหารประเภทไหนเข้าปาก





ลืมไปเลยว่าผมปล่อยผู้ชายของผมไปกับภรรยาของเขา

อุ๊บส์… ลืมไปอีกอย่างว่าผมปิดเสียงโทรศัพท์เอาไว้ในกระเป๋ากางเกง





ผมอมยิ้มให้กับตัวเองเมื่อเห็นเบอร์โทรเข้าจากเต็มสิบห้าครั้งถ้วนในรอบชั่วโมง ไม่อยากจะคาดอะไรที่เข้าข้างตัวเองมากมายนัก เพราะตอนนี้มันก็คงกำลังสุขสมอารมณ์หมายกับถรรยาสาวสวยจนลืมหมาหัวเน่าที่ยืนอยู่ตรงนี้

“พรุ่งนี้ช่วงสายหลังเสร็จงาน คุณพอชสะดวกมาร่วมกิจกรรมที่เราจัดไว้ให้ทางบล็อคเกอร์มั้ยครับ เผื่อจะได้ถือโอกาสพักผ่อนจริง ๆ ก่อนกลับกรุงเทพด้วย”

“ครับ” ผมตอบรับคุณกรสั้น ๆ เพราะสายตามันยังพยายามมองหาเต็มทุกซอกลืบเท่าที่จะเป็นไปได้ หึ สุดท้ายแล้วคนที่ออกปากว่ามาทำงานก็นอนกกเมียอยู่กับห้องงั้นสินะ อย่าให้ไอ้พอชเดาถูกนักเลย ถ้าเกมไม่พลิกซักนิดเรื่องมันก็ไม่สนุกน่ะสิ

“ผมถือว่าสัญญาแล้วนะ อยากจะเล่นเซิร์ฟบอร์ดหรือดำน้ำรึเปล่า”

“ผมเล่นไม่เป็นหรอกครับ ว่ายน้ำยังไม่ค่อยจะรอดเลย” ตรงนั้น… นั่นมัน…

“ไม่ใช่เรื่องสำคัญเลย… เพราะว่าผมจะเป็นครูฝึกให้เอง”

“..........” ปากผมมันกำลังจะเอ่ยคำว่าไม่เป็นไรออกไปโดยไม่คิด และมันคงจะเป็นแบบนั้นถ้าไม่หันไปเห็นผู้มาเยือนคนใหม่เต็ม ๆ ตา ผู้ชายคนนั้นมีเมียเกาะแขนมาเหมือนชะนีน้อยในป่าใหญ่… รอยยิ้มของคนทั้งคู่ทั้งน่าประทับใจและทำให้บรรยากาศใกล้ค่ำตรงนี้กลายเป็นสีชมพูขึ้นในพริบตา

“คุณพอชครับ คุณพอช!”

“ค...ครับ”

“เป็นอะไรรึเปล่าครับ ทำไมทำหน้าแบบนั้น”





แต่เอ๊ะ รู้สึกว่าผมจะตาบอดสีชมพู





“เปล่านี่” ใช่… เปล่า เปล่าเลยที่ไม่ได้รู้สึกอะไรเพราะตอนนี้ใจมันเริ่มจะหงุดหงิดขั้นสุด ผมห้ามตัวเองให้เลิกมองแล้วละสายตาจากตรงนั้นแต่มันก็ทำได้ชั่วครู่ชั่วคราวเท่านั้น เมื่อคนคู่นั้นเข้ามาใกล้ตัวขึ้นเรื่อย ๆ เสียงโห่แซวจากลูกน้องผมเองก็ดังขึ้นต้อนรับ ไม่เว้นแม้แต่กลุ่มบล็อคเกอร์ที่ดูเหมือนว่าจะชื่นชมคู่รักคู่นี้ออกหน้าออกตาเสียเหลือเกิน





ผมอยากออกไปจากตรงนี้…

ออกไปแล้วกลับมาพร้อมมีดคม ๆ ซักเล่ม…





“ออกไปขี่เจ็ทสกีกันมั้ยครับ เวลาหงุดหงิดถ้าได้ความเร็วกับไอน้ำกระทบหน้ามันจะดีขึ้นนะ”

“ค…ครับ?” ผมมองหน้าคนข้างตัวด้วยความที่ไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูด คุณกรยักคิ้วให้ผมสองสามครั้งก่อนจะทอดสายตาลงทะเลและท้องฟ้าที่เริ่มมืดเหมือนไม่ได้พูดอะไรไว้กับผม ...หงุดหงิด... เขารู้ได้ยังไงว่าผมหงุดหงิด ครั้งนี้อาการผมมันออกจนมีคนจับได้เลยงั้นหรอ

“ว่าไงครับ สนใจมั้ย”

“ผมขี่ไม่เป็น ...ขอนั่งซ้อนคุณกรก็แล้วกัน” แต่ช่างเถอะไม่ว่าใครจะรู้อะไรหรือไม่รู้อะไรมันก็ไม่สำคัญ เพราะว่าตอนนี้ผมควรจะให้ความสำคัญกับสายตาของเต็มที่เริ่มมองมามากกว่า ไม่ว่าเกมนี้จะพลิกหรือไม่ ไม่ว่าเกมนี้ใครจะเป็นผู้ชนะ ผมจะยอมอยู่เฉย ๆ จนจบเกมแน่!

“หึ… ถ้างั้นคุณพอชกอดเอวผมไว้แน่น ๆ ก็พอครับ”





ได้สิครับ…

ไอ้พอชคนนี้จะกอดให้แน่นจนใครบางคนหายใจไม่ออกเลยคอยดู!



TBC

ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3
Chapter 12 ฮันนีมูนทริป

“ขอบคุณนะคุณกร หายหงุดหงิดจริง ๆ ด้วย” ไม่บ่อยครั้งนักที่คนอย่างผมจะเอ่ยคำขอบคุณออกมาจากปากง่าย ๆ และตรงกับสิ่งที่ใจคิด ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าการใช้ความเร็วบนผืนน้ำตอนค่ำ ๆ จะทำให้รู้สึกดีขึ้นมาได้ เวลากว่าชั่วโมงที่เขาขี่เจ็ทสกีปะทะกับเกลียวคลื่นวนอยู่บนผืนน้ำเช่นนั้น มันเป็นช่วงเวลาที่คนนั่งซ้อนท้ายอย่างผมได้ปล่อยใจใช้ความคิดจนรู้สึกดีขึ้น





ไม่ใช่เพราะผมปล่อยวางหรอกนะ

เพราะผมรู้แล้วว่าควรจะทำยังไงต่อไปต่างหาก





“ก็ผมบอกแล้วว่าได้ผล เมื่อก่อนสมัยเรียน เวลาหัวเสียผมก็ขี่มอไซค์เล่นบ่อย ๆ”

“เฮ้ มันเหมือนกันที่ไหน นี่หลอกผมมาตัวเปียกเล่นรึเปล่าเนี่ย”

“มันก็เหมือนกันนั่นแหละ อะไรที่ทำให้เราสงบลงได้มันก็เหมือนกัน จะแรง จะลม จะน้ำ จะอะไรก็ตาม ให้มันกระแทกความรู้สึกเราได้บ้างก็ดีทั้งนั้น” คุณกรถอดแว่นตัวเองมาถูกับเสื้อเปียก ๆ ก่อนจะสวมกลับเข้าที่เดิม

“คมมากกกก” ผมลากเสียงยาวขณะที่เดินไปหยิบโทรศัพท์ กระเป๋าสตางค์และนาฬิกาของตัวเองที่วางไว้บนเก้าอี้ริมหาด ไม่ต้องห่วงหรอกครับผมกับคุณกรเลี่ยงมาขึ้นลงเจ็ทสกีตรงอีกฝั่งของหาดไม่ใช่บริเวณที่จัดงานเลี้ยงอยู่แน่นอน ถึงแม้ว่าตลอดเวลาที่ผมใช้ความคิดอยู่นั้นคุณกรจะขี่เจ็ทสกีวนอยู่แถว ๆ หาดโซนนั้นคล้ายไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่ยังไงซะ จะตั้งใจหรือไม่ก็ตามผมล่ะอยากจะกราบขอบคุณซักสามสี่ที

“หิวรึยังครับ ไปหาอะไรกินกัน ที่ครัวน่าจะมีของกินอยู่เพียบ”

“ไปทั้งตัวเปียกแบบนี้เนี่ยนะครับ” ไม่ต้องสาธยายเลยครับสภาพไอ้พอชอย่างกับลูกหมา

“จริงสิ ผมลืมไปเลย งั้นเราแยกไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากันก่อนแล้วกัน”

“เอ่อ...จริง ๆ ไปหาอะไรมานั่งกินแบบเปียก ๆ ริมหาดนี่ก็ดีนะครับ”

“อ๋อ… ทำไมผมคิดไม่ได้เนี่ย” ดูเหมือนคุณกรจะเข้าใจผมได้ไม่ยากนัก สุดท้ายแล้วเจ้าถิ่นก็ใช้เวลาไม่นานที่จะกลับมาพร้อมกับถ้วยอาหารซ้อนกันสองสามใบที่ดูจะเป็นกับแกล้มซะมากกว่า และที่ขาดไม่ได้ก็คงจะเป็นเครื่องดื่มขวดสีชาที่ถูกแช่มาเต็มกระติก ผมกับคุณกรทิ้งตัวลงพื้นทรายแบบง่าย ๆ แสงไฟจาง ๆ และลมที่พักปะทะเสื้อผ้าเปียกจนรู้สึกเย็นวาบเป็นระยะทำให้การสนทนาของผมกับคนรู้จักคนใหม่ดูเหมือนจะราบรื่นเป็นอย่างดี

“คุณกรนี่คุยสนุกแบบนี้กับทุกคนมั้ย ดูคุณอารมณ์ดีตลอดเวลา เพื่อนไม่มีเป็นโหลหรอครับแบบนี้”

“จริง ๆ กับคนที่ไม่จำเป็น ผมก็ไม่คุยนะ ผมหยิ่งจะตาย”

“สาบานเถอะ” ผมส่ายหน้าขำเพราะคุณกรไม่ได้เสี้ยวของเสี้ยวของคำว่าหยิ่งด้วยซ้ำ ไอ้ที่หยิ่งอ่ะคนนี้… ไอ้คนที่ใช้สายตาเหล่มองคู่สนทนาแล้วกระดกเบียร์ลงคออยู่นี่

“เอาจริง ๆ ชีวิตนี้ผมมีเพื่อนไม่กี่คนหรอก แต่อย่างคุณพอช ผมว่าผมคุยด้วยแล้วรู้เรื่องเลยสะดวกจะคุยต่อเท่านั้นเอง” คุณกรยิ้มบาง ๆ แล้วยกขวดเบียร์ขึ้นจรดริมฝีปากอีกครั้ง

“ส่วนผมเนี่ย ...ตำแหน่งแชมป์มนุษย์สัมพันธ์แย่”

“ผมขอเถียงได้มั้ย ดู ๆ แล้วคุณก็แค่คนชอบมองโลกในแง่ร้าย ถ้าคุณลองโลกสวยกับใครเขาซักวันคุณอาจจะมีคนมารุมรักก็ได้”

“ผมไม่ต้องการให้ใครมารุมรักหรอก… ชินแล้วกับการไม่มีใคร” ผมตอบเสียงเรียบ และเริ่มรู้สึกว่าประโยคนี้ทำให้เบียร์อึกนี้มันขมกว่าอึกไหน ๆ

“งั้นต้องการมีเพื่อนซักคนมั้ยล่ะครับ”

“ทำไม? คุณกรจะเป็นเพื่อนให้ผมหรอ”

“อืม” คุณกรตอบสั้น ๆ แต่จ้องมองผมไม่ละสายตา

“เราคงเป็นเพื่อนกันไม่ได้หรอก”

“แย่จังนะ” เสียงของเขาไม่ได้แปลกใจในคำปฏิเสธของผม และดูเหมือนว่าประโยคคำถามต่อไปของผมยังจะทำให้เขาแปลกใจได้มากกว่า

“ปีนี้คุณกรอายุเท่าไหร่”

“สามสิบสอง ถามแบบนี้หมายความว่าไง จะหลอกด่าว่าผมแก่รึเปล่าเนี่ย”

“ปลายปีนี้ผมจะยี่สิบห้า ...เพื่อนน่ะไม่ค่อยอยากได้หรอก แต่ว่าตอนนี้ผมขาดพี่ชาย คุณกรเป็นพี่ชายให้ผมได้มั้ยล่ะ”

“..........” คุณกรไม่ได้ตอบอะไรในทันทีแต่ยกขวดเบียร์ขึ้นขอชนกับผม ซึ่งผมเองก็ต้องยกขวดชนกลับไปตามมารยาท

“ผมถือว่าคุณตกลงแล้วนะ”

“ครับ… น้องชาย”

“ดีจังเนอะ อยู่ดี ๆ ก็ได้พี่ชาย” ผมยกยิ้มที่มุมปากแล้วทอดสายตาลงไปยังผืนน้ำที่พยายามจะพัดเข้าฝั่ง เกลียวคลื่นพวกนั้นไม่ว่ามันจะกระทบกับหาดทรายกี่รอบก็ไม่มีครั้งไหนที่พวกมันจะไม่ต้องถอยกลับลงไปที่เดิม ...ตอนนี้ความรู้สึกของผมมันก็คงจะเป็นแบบนั้น ต่อให้แกล้งลืมใครไปในชีวิต วันนึงความคิดถึงมันก็กลับมาอยู่ดี

“คิดถึงใครอยู่หรอ” คุณกรเอ่ยถามหลังจากที่ปล่อยให้ผมเงียบไปเองคนเดียวอยู่นาน ผมส่ายหน้าบาง ๆ แล้วดื่มเบียร์ลงคออึกสุดท้ายเข้าไปจนหมดขวด

“ไม่รู้สิครับ ...คงไม่ได้คิดถึงหรอก อาจจะแค่นึกถึงวันเก่า ๆ”

“คนเรามันต้องเดินไปข้างหน้านะคุณพอช ต่อให้เราเป็นคนเดินช้าหรือเดินไม่เก่งเราก็ต้องเดินต่อไป ...อย่าย่ำอยู่ที่เดิมขณะที่โลกหมุนไปเรื่อย ๆ”

“.........” ผมไม่ได้ตอบอะไรแต่ล้มตัวลงนอนกับพื้นทรายแล้วหลับตาลงนิ่ง คนคนนี้จะไปรู้อะไรว่าผมเจออะไรมาบ้าง หรือว่าผมพยายามเดินมามากแค่ไหน แต่สิ่งที่ผมเจอคือโลกมันหมุนย้อนวนกับตัวผมเพราะฉะนั้นต่อให้ผมวิ่งจนแทบตายผมก็ออกไปจากจุด ๆ เดิมไม่ได้อยู่ดี

“ขอโทษนะ วันนี้เราพึ่งเจอกันแท้ ๆ ผมเอาแต่พูดเรื่องอะไรก็ไม่รู้” แม้จะยังไม่ลืมตาขึ้นแต่ผมก็พอจะเดาจากเสียงและความรู้สึกได้ว่าคุณกรกำลังทิ้งตัวลงนอนข้าง ๆ ตัว

“คุณเป็นคนแปลกหน้าคนแรกที่พูดกับผมเยอะขนาดนี้ เปลี่ยนจากคุณขอโทษเป็นผมขอบคุณน่าจะดีกว่า” เปลือกตาผมค่อย ๆ เปิดขึ้นเพื่อมองท้องฟ้าที่เป็นสีดำสนิทไม่มีแม้แสงดาวดวงใด ...แม้แต่พระจันทร์ก็ยังไม่โผล่มาให้ผมเห็นในระยะสายตาด้วยซ้ำ

“งั้นผมก็คงต้องขอบคุณคุณเหมือนกัน”

“ขอบคุณกันไปมาแบบนี้ เมื่อไหร่บุญคุณจะทดแทนกันหมดซักทีครับ”

“ก็ไม่ต้องตอบแทนบุญคุณอะไรผมนี่”

“ผมไม่ชอบติดค้างใครหรอกนะ ที่คุณพาผมขี่เจ็ทสกีวันนี้ บุญคุณต้องทดแทน ไว้เจอกันที่กรุงเทพผมเลี้ยงเหล้าจัดหนักให้ซักมื้อเป็นไงครับ”

“งั้นคุณพอชไม่ต้องห่วงหรอก คุณได้ตอบแทนผมสมใจอยากแน่ ๆ”

“.........”

“เพราะว่าความโชคดีจะทำให้เราเจอกันอีก”

“ความโชคดี…” ผมเอียงหน้าไปมองคู่สนทนาข้างตัวเมื่อรู้สึกคุ้นกับประโยคเมื่อครู่ แล้วผมก็พบว่าคุณกรมองใบหน้าผมด้วยสายตาเรียบ ๆ อยู่ก่อนแล้ว สายตาคู่นั้นทำให้ผมรู้สึกอุ่นแปลก ๆ ขึ้นมาในใจ จนท้ายที่สุดห้วงเวลาไม่กี่วินาทีตรงนั้นก็ทำให้ภาพของใครอีกคนซ้อนทับลงไปบนใบหน้าของคุณกรจนผมรู้สึกกลัว





ผมกำลังรู้สึกว่าภายในเขาเหมือนใครอีกคน

ใครอีกคนที่เป็นพี่ชายผมจริง ๆ

พี่พีท...





“ความโชคดีจะทำให้เราเจอกันอีกนะพอช”





“คุณทำหน้าเหมือนผมพูดอะไรผิดไปอีกแล้ว”

“พี่… ผมเรียกคุณว่าพี่ได้มั้ย พี่กร…”

“ได้สิ” แม้ว่าคุณกรจะดูนิ่งไปแต่สุดท้ายแล้วเขาก็ตอบผมพร้อมกับรอยยิ้ม บางทีผมก็เริ่มไม่เข้าใจตัวเอง ไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังคิด หรือสิ่งที่กำลังรู้สึก ทั้ง ๆ ที่ผมตั้งใจมากับคุณกรเพื่อยั่วโมโหใครอีกคนเท่านั้น ...แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นผมรู้สึกแพ้ทางคนที่พึ่งเจอกันไม่กี่ชั่วโมง ซึ่งผม ไม่เข้าใจ… ไม่เข้าใจอะไรเลย…





แต่ก็ช่างมันเถอะ ไม่ได้สำคัญอะไรมากมายอยู่แล้ว

ไอ้ที่สำคัญกว่ามันคือเรื่องที่ผมจะใช้ประโยชน์จากเขาได้ยังไงต่างหาก…





หลังจากที่ผมกับ ‘พี่กร’ พูดคุยเคล้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จนพอใจ ผมก็ตัดสินใจที่จะขอตัวแยกย้ายเพื่อพักผ่อนร่างกายและสภาพสมองที่มันล้าเกินคน อีกอย่างวันพรุ่งนี้ก็คงต้องแบกหน้ามาทำงานร่วมกันกับไอ้เต็มแต่เช้า พอนึกถึงแล้วริมฝีปากผมมันก็ยกขึ้นเหยียดยิ้มร้าย ๆ โดยอัตโนมัติ ครั้งนี้ถ้าผมเดินเกมไม่พลาดก็คงจะมีคนดิ้นตายกันบ้าง

ผมเกือบจะทิ้งตัวเองลงเตียงเมื่อเปิดประตูเข้ามาในห้องพัก ก็ยังโชคดีที่นึกขึ้นได้ว่าบนตัวตอนนี้นั้นเต็มไปด้วยเม็ดทรายและเสื้อผ้าที่ปกคลุกร่างกายก็ยังไม่ได้แห้งสนิท จะให้แปลเป็นภาษาคนง่าย ๆ ก็คือตัวผมตอนนี้มันโคตรสกปรกนั่นแหละ

“ลูกหมาชัด ๆ ...ลูกหมาหัวเน่า” ผมพูดขึ้นลอย ๆ เมื่อมองเห็นสภาพตัวเองผ่านกระจก คิดแล้วก็ตลกที่จู่ ๆ ผมก็ได้เพื่อนที่เรียกพี่ได้มาคนนึงซะงั้น งานนี้ก็คงจะต้องขอบคุณเต็มที่มีอาการหงุดหงิดจนพี่กรกลายเป็นหนึ่งในทางเลือกที่ดีที่สุดที่ผมจะใช้ในหมากเกมนี้ ความจริงก็ไม่อยากจะใช้ใครเป็นเครื่องมือหรอกนะ แต่ถามจริงว่าตอนนี้ไอ้พอชมีทางเลือกมากมายนักหรอครับ ดูสารร่างมันตอนนี้สิ แล้วลองจินตนาการถึงผู้ชายที่มันรักกอดรัดคลอเคลียอยู่กับชะนีแอ๊ปใสบนเตียง





แค่คิดก็อยากจะเอาเท้าช่วยสะกิดให้รักกันมากขึ้น

ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3
ครืด! ปัง! สงสัยสมองผมจะแล่นเร็วเกินจิตใจถึงได้สังการให้ตัวเองระบายอารมณ์ด้วยการเตะกระเป๋าเดินทางที่กองอยู่กับพื้นจนไถลไปอีกฝั่งของห้อง หงุดหงิด ถึงจะรู้สึกว่าเรียกความสนใจจากไอ้เต็มได้มากแต่ผมก็ยังหงุดหงิดอยู่ดี ผมอยากเห็นมันหัวฟัดหัวเหวี่ยง หรือเจ็บใจจะเป็นจะตายแบบที่ผมเคยเป็นซักครั้ง พวกคุณไม่ต้องมาหัวเราะสมเพชผมในใจหรอก เพราะว่ายังไง อะไรที่ที่ผมตั้งใจเอาไว้แล้วมันก็ต้องสำเร็จให้ได้ในซักวัน

ซ่าาาา!! จะมาคิดมโนภาพไปก็คงจะเสียสุขภาพจิตของคนดี ๆ อย่างผม สุดท้ายสายน้ำใต้ฝักบัวก็อาจจะเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ผมใจเย็นขึ้น สายน้ำเย็น ๆ ไหลผ่านตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าต่อเนื่องหลายนาทีจนกระทั่งผมเริ่มเข้าใจว่าต่อให้มีน้ำมนต์จากแม่ชีสิบวัดก็คงจะช่วยให้ผมลดความคิดใด ๆ ในใจไม่ได้





แม่ง!! หงุดหงิดโว้ย!!

ฮันนีมูน….

ฮันนีมูนบิดามึงตายเหอะ!!

เพล้ง!!

เชี่ย! ไอ้แก้วนี่ก็เกะกะขวางทางจังเว้ย!

เพล้ง!!

โว้ยยยยยยยยยย! ออกไปจากหัวซักทีสิวะ!





ผมไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงได้สติหลุดขนาดนี้ มารู้ตัวเองทีก็ตอนที่ข้าวของในห้องน้ำระเนระนาดอยู่กับพื้น อาจจะด้วยเบียร์สองสามขวดที่กรอกลงท้อง เพราะความเหงายามค่ำคืนของคนเดียวดายอย่างผม หรือเพราะรอยยิ้มของเอมที่หาดยังติดหัวผมชนิดที่เรียกว่าสะบัดไม่หลุด แต่จะเพราะอะไรมันก็ทำให้ผมหงุดหงิดจนอยากจะพังที่นี่เล่นอยู่ดี

“สติไอ้พอช!” ผมมองใบหน้าตัวเองในกระจกอีกหน ผมจ้องแววตาไม่สู้ดีของตัวเองจนมันค่อย ๆ นิ่งขึ้น หยดน้ำที่เกาะพราวทั่วใบหน้าถูกเช็ดออกลวก ๆ ก่อนที่ผมจะใช้เวลาเนิ่นนานกับการใช้ผ้าขนหนูเช็ดไล้ไปทั่วเส้นผมของตัวเอง





พ่อเคยทำให้ผมแบบนี้

พี่ชายเคยทำให้ผมแบบนี้

และไอ้เต็มเคยทำให้ผมแบบนี้

สิ่งที่อยู่ในหัวพวกนี้… ก็แค่เคยมี





ไม่นานนักผมก็คว้าผ้าขนหนูสีขาวมาคาดไว้ที่เอวลวก ๆ ขณะที่ผ้าผืนเล็กอีกผืนก็ยังถูกวางแปะไว้กับหัวเช่นเดิม ทีแรกผมคิดว่าเวลานี้ผมคงทำอะไรไม่ได้นอกจากสงบสติตัวเองแล้วนอน ๆ ไปซะเพื่อไม่ให้เสียเรื่องมากไปกว่าเดิม แต่วินาทีที่ผมละสายตาจากกระจกแล้วเห็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ได้รับเชิญยืนพิงประตูห้องน้ำมองอยู่ด้วยสายตาเรียบ ๆ ความคิดในหัวของผมมันก็เปลี่ยนไปทันที





หึ… ให้กูเสียเวลาหงุดหงิดตั้งนาน ไม่รอให้กูจุดไฟเผารีสอร์ทแล้วมึงค่อยมาล่ะวะ!





50%





“ไอ้เต็ม!”

“ตกใจอะไร คิดว่ากูเป็นใครหรอ” เต็มยืนกอดอกมองผมหัวจรดเท้าแล้วตามด้วยการกวาดสายตาไปทั่วพื้นที่ผมสร้างงานศิลปะแตกหักเอาไว้

“เข้ามาได้ไง” ผมพยายามจะเดินออกจากห้องน้ำแต่มันก็เบี่ยงตัวทั้งตัวมาขวางทางโดยไม่รู้ชะตากรรมตัวเองด้วยซ้ำว่ากำลังตกหลุมตื้น ๆ ของคนอย่างผม

“มึงปิดประตูไม่สนิท”

“หรอ ...แล้วมึงรู้มั้ยว่าเข้าห้องคนอื่นแบบนี้มันไม่มีมารยาท”

“.......” คนตรงหน้าไม่พูดอะไรได้แต่ยิ่งนิ่งสนิทเหมือนยักษ์วัดแจ้งยืนเฝ้าประตูก็ไม่ปาน

“ถอย”

“ทำไมกูต้องถอย”

“กูเหนื่อย กูเพลีย จะไปแต่งตัวแล้วก็นอน หลีกทางด้วย” ผมยกมือขึ้นขยี้ผ้าขนหนูที่ยังวางอยู่กับหัว สายตามองผ่านใครบางคนไปอย่างกับไร้ตัวตน การกระทำที่แสดงออกตอนนี้มันเหมือนว่าผมไม่ได้สนใจใยดีอะไรเต็มนัก ทั้ง ๆ ที่ความจริงถ้ามีใครสังเกตหางตาผมซักนิดก็จะรู้ ว่าในใจผมมันเต้นรัวจนแทบจะดิ้นตายอยู่แล้ว

แต่อย่างว่าล่ะครับ เท่าที่เห็นอารมณ์ที่เก็บไม่อยู่ของไอ้เต็มคราวนี้มันชัดแล้วว่า ...มันเป็นทีของผม

“เห็นท่าทางมีความสุขจะตาย… จะเหนื่อยอะไรนักหนา”

“.......” ผมไม่ได้ตอบโต้อะไรออกไป ใช้เพียงสายตาผู้ชนะและรอยยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปากเท่านั้น แต่นั่นก็ยิ่งทำให้คนตรงหน้าผมหลุดอาการโมโหออกมาเรื่อย ๆ มือหนาของเต็มยกขึ้นกั้นที่กรอบประตู ขณะที่สายตาของมันกำลังดุด่าว่าผมเหมือนไปทำความผิดร้ายแรงด่าพ่อฟ้องแม่ใครมา

อุ๊บส์…! พอชทำอะไรผิดหรอ ไม่รู้ตัวเลยนะเนี่ย

“พอช… มึงอย่ามานิ่งนะ”

“ก็มึงยืนขวางประตูอยู่ กูออกไปไม่ได้จะให้กูทำยังไง ร้องกรี๊ดแล้วผลักตัวมึงออกไปหรอ ...แบบนั้น กูไม่ทำหรอก” ผมย้อนถามมันด้วยน้ำเสียงกวน ๆ ก่อนจะเอาผ้าขนหนูเปียก ๆ ในมือพาดช่วงคออีกฝ่ายแล้วดึงตัวมันให้เข้ามาใกล้ผมอีกนิด

“มึงก็คงไปมองคุณกรเขาแบบนี้สินะ ถึงได้ถวายหัวเทคแคร์มึงขนาดนั้น” มอง… มองแบบไหนหรอ แบบที่กูมองเพื่อพร้อมจะเสียตัวเนี่ยอ่ะนะ ให้ไอ้พอชสาบานสิบเจ็ดวัดเถอะ ...สายตาแบบนี้ผมมีไว้มองมึงแค่คนเดียว

“พูดอะไร”

“อย่าคิดว่ากูไม่รู้นะพอช” เต็มเคลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้หูซ้ายผมเพื่อพูดด้วยเสียงแผ่วเบา แล้วลมหายใจอุ่น ๆ ก็ค่อย ๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้ช่วงหลังใบหูจนผมเผลอรู้สึกวาบแปลก ๆ ขึ้นมา

“มึงรู้อะไรล่ะ… กูไม่เห็นรู้”

“อย่ามาปั่นหัวกูด้วยการเข้าใกล้ไอ้หมอนั่นอีก… อย่าให้กูเห็นแบบนี้อีก!” เต็มกระแทกเสียงท้ายประโยค กดริมฝีปากขบเม้มแรง ๆ ช่วงสันกรามผมแทบจะทันที สัมผัสนุ่มหยุ่นที่ไม่มีการทะนุถนอมทำให้ผมยกสองมือดันอกมันโดยอัตโนมัติ แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยให้มันผละออกจากผม จนกระทั่ง…

“มึงหมายถึงใคร… พี่กรหรอ” เต็มหยุดการกระทำทุกอย่างทันที มันจับผ้าที่ต้นคอโยนใส่ตัวผมแล้วเปิดทางให้ผมเหมือนคนหัวเสีย ...เห็นมั้ยเต็ม กูไม่ได้ปั่นหัวมึงเลยซักนิด มึงนั่นแหละที่ปั่นตัวเองโดยที่กูแทบไม่ต้องออกแรงด้วยซ้ำ

“เจอกันไม่กี่ชั่วโมง สนิทกันถึงกับนับญาติได้แล้วหรอ”

“เขาก็ดีนะ กูว่า...พี่กรเป็นอีกคนที่กูอาจจะพูดทุกเรื่องด้วยได้” ผมเดินมาเปิดกระเป๋าเดินทางตัวเอง หยิบเสื้อ กางเกงออกมาลวก ๆ โดยไม่เลือกแล้วเดินมาหน้ากระจกที่ปลายเตียง เลยไม่มีโอกาสได้รู้ว่าไอ้เต็มมันทำสีหน้าแบบไหนหลังได้ยินประโยคสุดจะเฟคนี่ คนแบบผมน่ะหรอที่จะบอกทุกเรื่องกับคนอื่น หึหึ

“คำก็พี่ สองคำก็พี่… ถามจริง มึงไว้ใจคนที่เจอกันไม่ทันข้ามวันเนี่ยนะ” เต็มเข้ามากระชากต้นแขนขวาจนผมเซตามแรงไปกระทบที่แผงอกแกร่ง สายตาดุกร้าวตอนนี้ผมไม่ได้เห็นมันบ่อย ๆ ก็จะยกเรื่องวันนี้ให้เป็นอีกหนึ่งความภูมิใจในชีวิตก็แล้วกัน ที่ผมทำให้ตัวเองดูมีค่ามากขึ้นได้ขนาดนี้

“แล้วกับคนที่กูรู้จักมาเป็นสิบ ๆ ปี ...กูไว้ใจได้มากแค่ไหนล่ะ”

“พอช!” เต็มออกแรงบีบที่แขนผมมากกว่าเดิมแต่ไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยมือลงถ้าไม่ได้ยินอะไรที่พอใจ ก็ดี เพราะว่าผมคนนี้ก็จะไม่ยอมให้มันปล่อยมือออกไปง่าย ๆ เหมือนกัน

“กูผิดอะไร”

“มึงยังจะถามกูอีกหรอ!” ตัวผมทั้งตัวเซไปตามแรงเหวี่ยงและอารมณ์ครุกกรุ่นของคนตรงหน้า แต่ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้วผมก็จะทดลองเซลงเตียงดูก็แล้วกัน ...เออ แล้วนี่ถ้าผ้าขนหนูท่อนล่างผมหลุดก่อนเวลาอันควรใครจะรับผิดชอบ

“ตอบกูสิ ว่ากูผิดอะไร โกรธกูเรื่องอะไร”

“.........” ผมพยายามยันตัวขึ้นระหว่างที่อีกฝ่ายหุบปากเงียบแต่ดูโกรธจนเลือดหน้า เต็มมันเดินวนไปมาด้วยระยะสั้น ๆ ตรงหน้าผมเหมือนหนูติดจั่นที่พยายามจะหนีอะไรบางอย่าง ก็อย่างว่าแหละครับคนเราจะหนีอะไรก็หนีได้แต่หนีความรู้สึกตัวเองไม่ได้หรอก ตอนนี้ถ้ามันรู้สึกแบบไหนก็ควรแสดงออกมาแบบนั้นไม่ใช่รึไง

“กูก็แค่รับมิตรภาพที่คนอื่นมีให้เท่านั้น ตอบคำถามกูชัด ๆ สิเต็ม ว่ากูผิดตรงไหน” ผมจ้องเต็มนิ่ง ๆ และสุดท้ายก็กลายเป็นมันที่ต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ ทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ ผมแล้วจ้องกลับมาด้วยสายตาที่แตกต่างกัน

ผมกำลังท้าทายด้วยความสนุก

แต่มันกำลังโกรธด้วยความอึดอัดด้านใน

“มึงผิดเพราะว่ามึงไม่มีสิทธิไปใกล้คนอื่น โดยเฉพาะคนที่มองมึงตาไม่กระพริบตั้งแต่วินาทีแรกที่เจอ! โดยเฉพาะมันที่กูไม่ถูกชะตา!!” ยังไม่มันที่ผมจะได้ตั้งตัวหรือตั้งสติเพื่อตอบกลับใด ๆ ไอ้คนข้าง ๆ ก็พุ่งพรวดกดตัวผมทั้งตัวลงไปกับเตียง ซ้ำยังตรึงข้อมือผมเอาไว้อย่างกับคิดว่าผมจะหนี ...อ่ะ ๆ ดิ้นให้พอเป็นพิธีหน่อยก็ได้วะ

“เต็ม ปล่อยกู” ...กูแค่เล่นตัว อย่าคิดปล่อยจริงเชียวนะมึง

“นี่… สำหรับเรื่องที่มึงไม่ฟังกูแล้วไปซ้อนท้ายจักรยานมัน” สีหน้าที่เต็มไปด้วยไฟโกรธฉายชัดให้ผมเห็นตรงหน้า และการจู่โจมที่ไม่ได้คาดคิดไว้ก็ทำให้ผมต้องออกแรงดิ้นตามสัญชาตญาณ ที่เต็มมันกำลังจะทำให้เกิดร่องรอยทิ้งไว้ที่ต้นคอผมไม่ใช่แค่จูบหรือสัมผัสรักธรรมดา แต่มันกำลังดูดเม้มจนเลือดผมแทบจะไปกองคาปากมันตรงนั้น แถมยังปิดท้ายด้วยการกัดแรง ๆ ที่คงไม่ได้เกิดจากการพลาดแน่ ๆ

“โอ๊ยยยยยย! กูเจ็บ” ในที่สุดผมก็ดิ้นจนข้อมือสองข้างหลุดออกมาจากพันธนาการ จะว่าผมสู้แรงมันได้ก็คงไม่ถูกนักเพราะคล้ายว่ามันจะรู้ว่ามีอะไรที่จัดการผมได้อยู่หมัดมากกว่า… ซึ่งนั่นก็คือการที่มันใช้มือข้างนึงเกลี่ยรอบกรอบหน้าผมอย่างอ่อนโยนขัดกับการกระทำเมื่อครู่

“นี่… สำหรับการที่มึงกอดมันแน่นบทเจ็ทสกี” แต่ไอ้ความอ่อนโยนนั่นมันก็แค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น เต็มโน้มลงกดริมฝีปากเปียกชื้นที่ช่วงบ่า ออกแรงขบเม้มไล่ต่ำลงไปเรื่อย ๆ จนผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองหายใจหอบถี่ขึ้น มือไม้มันก็คว้าเอาที่กลุ่มผมของอีกฝ่ายไว้ในมือระบายความครั่นเนื้อครั่นตัว

“อือออ” เสียงครางเบา ๆ ดังขึ้นในลำคอ เมื่อไอ้คนที่เอาความโมโหบังหน้าเคลื่อนริมฝีปากมาเวียนวนอยู่บริเวณยอดอก ร่างกายผมเริ่มบิดเร่าใต้ร่างมันอย่างห้ามไม่ได้ ใจจริงก็ไม่อยากให้หมากตานี้มันจบลงง่าย ๆ แต่ผมหยุดความรู้สึกและความต้องการของตัวเองได้ซักครั้งที่ไหน ...ก็มีแต่มันที่ไม่ทันไรก็หยุดเอาไว้ให้ผมค้างเล่นทุกที

“ยิ้มให้กูสิพอช ยิ้มให้เหมือนตอนที่มึงนั่งจิบเบียร์ริมหาดทรายกับมัน”

“นี่มึง...” สิ้นเสียงมันก็กลายเป็นผมที่ต้องนิ่งไป นั่นเท่ากับว่าสิ่งที่ผมทุ่มเทมาทั้งหมดมันคุ้มค่าเสียยิ่งกว่าอะไร แววตาของคนที่พึ่งหยุดการกระทำทุกอย่างมันชัดเจนว่าผมเป็นตัวแปรสำคัญในทุกอารมณ์และความรู้สึก

“แล้วจำไว้พอช! เรื่องพวกนี้มึงห้ามทำไม่ว่ากับมัน! หรือกับใครหน้าไหนทั้งนั้น!” คงต้องขอบคุณตัวละครใหม่ที่เข้ามาในชีวิตผมอีกซักครั้ง ที่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนหมามีเจ้าของเป็นครั้งแรกในชีวิต ความรู้สึกที่ถูกหวงแหนยิ่งทำให้หัวใจพองโตขึ้นมาจนไม่รู้ถูกผิด สายตาที่เต็มจ้องมองผมชัดเจนว่าความรู้สึกหึงกำลังทำให้ผมแพ้มันอย่างราบคราบ ที่มันทำ ที่มันแสดงออกให้ผมเห็นตอนนี้คือสิ่งที่คนขี้อิจฉาอย่างผมอยากได้มาทั้งชีวิต

“มึงมีสิทธิข้อไหนมาห้ามกู” ถึงคราวที่ผมจะเริ่มทำให้เจ้าของคนใหม่ได้เรียนรู้ซะบ้างว่าหมาจรจัดอย่างผมมันก็แค่สัตว์ตัวนึงที่ถึงแม้จะจงรักภักดีแต่ก็พร้อมที่จะหนีไปได้ทุกเวลา สองแขนผมคล้องคอคนที่คล่อมอยู่ด้านบน ชันเข่าตัวเองขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้สัมผัสกับอวัยวะเบื้องล่างใต้กางเกงของอีกฝ่าย ...ถึงจะรู้สึกว่าตัวเองแพ้แต่ผมจะทำให้ครั้งนี้เป็นเกมโกงที่ผมยอมแพ้บายเท่านั้น

“ก็สิทธิทุกข้อ” เต็มโน้มตัวลงจูบผมอย่างเชื่องช้าและเนิบนาบ จูบที่อ่อนโยนทำให้คนตอบรับอย่างผมอยากให้โลกหยุดหมุนและหยุดทุกอย่างไว้ที่ตรงนี้

“อือ….” ผมรู้ตัวดีว่ากำลังส่งเสียงอู้อี้เพราะเริ่มหายใจไม่ทัน ลิ้นที่เกี่ยวตวัดไปมารอบโพรงปากมันรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ มือหนาเริ่มซนเปลื้องผ้าเช็ดตัวผืนเดียวของผมทิ้งไปแล้วเอาแต่ลูบไล้ที่ช่วงท้องน้อยทั้ง ๆ ที่ไอ้ลูกชายผมมันตื่นขึ้นมาได้ชาติเศษ

“คิดถึงกลิ่นมึงจังเลยว่ะ… ยืนมองหน้าห้องน้ำอยู่ตั้งนาน อยากฟัดใจจะขาดอยู่แล้ว” เสียงสั่น ๆ นั่นเต็มไปด้วยความหื่นกระหาย เต็มพรมจูบรอบอกผมก่อนจะยันตัวเองขึ้นให้ลุกขึ้นนั่งชันเข่าควานหากระดุมเสื้อตัวเองเหมือนคนไม่มีสติ

เดี๋ยว

เดี๋ยวก่อนสิ...

“มึงมาฮันนีมูนกับเมียไม่ใช่หรอ...กลับไปหาเอมเถอะ” ผมยันตัวเองให้ลุกขึ้นด้วยวิธีการคว้าเสื้อของคนตรงหน้าไว้ในมือแล้วให้มันเป็นเสาหลัก เต็มชะงักไปเมื่อได้ยินผมพูดประโยคเมื่อครู่เสียงเบา ความตอแหลระดับนางเอกที่ซึบซับเข้ามาในตัวบอกให้ผมเสตามองไปอีกทางเหมือนความรู้สึกเสียใจกำลังเข้าครอบงำ แต่แล้วสองแขนแกร่งของคนที่เงียบคิดก็คว้าเข้าที่ช่วงเอวผมก่อนที่เจ้าตัวจะโน้มลงกระซิบบางอย่างที่ข้างหู

“ก็เมียกูอยู่นี่… พอช ฟังนะ… กูไม่เคยมีอะไรกับเอม”

สิ้นเสียงกระซิบนั่นหัวใจผมมันก็เต้นรัวจนรู้สึกร้อนไปทั้งตัว คนพูดจ้องตาผมจากมุมข้างเหมือนต้องการประโยคไหนซักประโยคจากผม วงแขนที่เอวรัดแน่นขึ้นจนสมองผมมันประมวลผลแทบไม่ทัน อันที่จริงผมไม่เคยคาดว่าจะได้ยินประโยคนี้ด้วยซ้ำไป

“มึงไม่ได้พูดจริง….” มือผมออกแรงขย้ำเสื้อคนตรงหน้ามากขึ้นเรื่อย ๆ

“เชื่อกูสิพอช… กูมีมึงแค่คนเดียวจริง ๆ” ผมสบตาเต็มอีกครั้ง และครั้งนี้มันก็ทำให้ผมรู้ว่าตัวเองเชื่อคนง่ายขนาดไหน ไม่สิ ผมก็แค่กระแดะหัวอ่อนเวลาที่อยู่กับมัน และคงจะต้องยอมโง่แบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ คนใสซื่ออ่อนต่อโลกแบบผมจะไปต่อกรอะไรกับใครได้

ใช่มั้ยครับ?

แคว่ก! ไอ้มือสองข้างมันก็ไม่รักดีกระชากเสื้อของคนตรงหน้าจนกระดุมหลุดลุ่ยไปคนละทิศละทาง ผมไม่ทิ้งจังหวะให้เต็มมันกระตุกยิ้มเยาะได้มากกว่านี้ ความต้องการที่มีจึงต้องโถมเข้าไปสุดตัวจนตอนนี้เป็นเต็มที่อยู่ใต้ร่างผมแทน ถึงตาผมที่จะต้องสร้างรอยรักเอาไว้ที่ร่างของฝ่าย แต่รอยขบเม้มเล็ก ๆ ของผมมันสู้ร่องรอยที่เต็มมันทำไว้กับผมไม่ได้ซักนิด

“ยังเหมือนเดิมเลยนะพอช หึหึ” ผมฟังไม่ค่อยได้ศัพท์ว่ามันพูดอะไรถึงต้องปิดท้ายด้วยเสียงหัวเราะแบบนั้น จะว่าไปผมก็เอาแต่สนุกสนานกับร่างกายมันจนไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันถอดกางเกงตัวเองออกไปตั้งแต่ตอนไหน มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่มันคว้าหมับเอาที่น้องชายผมและตามด้วยการเสนอน้องชายตัวเองเข้ามาอยู่ในมือผมหน้าด้าน ๆ

“ช...ช้าหน่อยมึง” ผมแทบพูดไม่เป็นภาษาเมื่อเต็มขยับมือเป็นจังหวะขี้นลงอย่างรู้งาน คราวนี้มันรวบตัวผมลุกขึ้นนั่ง จนกลายเป็นว่าผมนั่งหันหน้าใช้ขาเกี่ยวร่างมันไว้โดยอัตโนมัติ

“มึงนั่นแหละ เร็วหน่อย” ไม่ว่าเปล่ามือมันก็เขี่ยที่จุดปลายของแก่นกายจนผมกัดปากตัวเองแน่นด้วยความเสียว แถมมันยังใช้สายตาดุ ๆ มองผมให้ทำแบบเดียวกันนี้ให้ไอ้แท่งใหญ่บึ้มของมัน แม่งเอ๊ย! ก็ไอ้ท่านี้มันทำได้ถนัดที่ไหนกันล่ะวะ

“อือ...อืม” ก็อย่างว่าผมคงจะทำอะไรได้ไม่ทันใจ บทจูบรุนแรงจึงเริ่มต้นขึ้น ทั้งยังทวีความหอมหวานและโหยหามากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งผมรู้สึกถึงสัมผัสเบา ๆ ไล้ไปมาที่ช่องทางด้านหลังจนต้องสะดุ้งตัวขึ้นตักเต็มในที่สุด

“ช่วยกันหน่อยนะ…” สิ้นเสียงเต็มก็เป็นฝ่ายผมที่ต้องเปลี่ยนเป็นรุกใส่ด้วยวิธีการจูบ นิ้วเย็น ๆ เริ่มเข้ามาในช่องทางหลังจนผมเผลอสะดุ้งตัวอีกครั้ง ก่อนที่มันจะเพิ่มเป็นสองและสามนิ้วตามลำดับ ถึงแม้ว่าแค่นิ้วจะไม่อาจทำให้ผมไปได้ถึงจุดนั้น แต่มันก็มากพอที่จะทำให้ผมต้องจิกลงกับต้นคอเต็มเพื่อระบายความเสียวซ่านออกไป

“อ๊ะ…!”

“ชู่วววว ใจเย็น ๆ รอเจอของจริงก่อน”

“เดี๋ยวดิ ไหนถุงยาง”

“หืมมม ทำอย่างกับไม่เคยเจอกันไปได้พอช” มือสองข้างของเต็มเปลี่ยนมาสัมผัสวนที่รอบก้น ผมรู้ดีว่าจังหวะนี้คงจะต้องยกตัวเองขึ้นเล็ก ๆ เพื่อรอแก่นกายชูชันที่เจ้าของพามาจ่อไว้ที่ช่องทางด้านหลัง

“อ๊ะ!! เชี่ยยยย!” ผมคงจะหลุดคำหยาบต่อ ๆ ไปแน่ถ้าเต็มมันไม่มาอุดเสียงนี้ไว้ด้วยปาก ใครสั่งใครสอนให้มันกดตัวผมลงไปทีเดียวจนมิดด้ามแบบนี้วะ ถึงของมันจะเคย ๆ กันอยู่แต่มันไม่ทันได้ตั้งตัวเว้ย

“อือ...อืม” เต็มเคลื่อนริมฝีปากพรมจูบทั่วใบหน้าผม ขณะที่ตัวผมเองก็เริ่มขยับตัวขึ้นลงเป็นจังหวะตามหน้าที่ที่ถูกยัดเยียดให้อย่างเต็มใจรับ แต่ก็ดูเหมือนว่าจะยังไม่ถูกใจเต็มอยู่ดีมันถึงได้คอยประครองสะโพกผมให้ขึ้นลงเร็วขึ้น

“ไม่ทันใจเลยว่ะ ฝีมือตกนะเราอ่ะ” ไม่ว่าเปล่า เต็มโน้มตัวจูบผมหนักขึ้นจนแผ่นหลังผมแนบลงไปกับเตียง คราวนี้คงได้ทันใจมันสมใจอยาก เพราะว่าแรงกระแทกกระทั้นที่เข้ามาอย่างต่อเนื่องทำให้ผมต้องเอื้อมมือจิกแผ่นหลังเต็มตลอดเวลา เสียงสวบสาบของการเสียดสีดังขึ้นสลับกับเสียงครางของเราทั้งคู่ บทเพลงรักดำเนินต่อไปไม่มีท่าทีว่าจะหยุดง่าย ๆ เต็มเร่งจังหวะเร็วขึ้นจนผมต้องเอื้อมมือช่วยลูกชายตัวเองที่ดูเหมือนจะอดกลั้นเต็มทน

“อือ ก...กูหายใจไม่ทัน” ต่อให้ผมพูดอะไรออกไปไอ้คนที่ใส่แรงเต็มที่มันฟังผมซะที่ไหน ก็คงจะดีอยู่อย่างคือตอนนี้มันพึ่งจะนึกขึ้นได้ว่าจะต้องช่วยลูกชายคนเดียวของผมด้วย

“อือ ไอ้ตัวเล็กมึงสู้มือดีจังเลยวันนี้ ...อ๊าาา ดีว่ะ” ตัวเล็กพ่องมึงสิ

“อ๊ะ อือ… เต็ม จูบ….” เมื่อร่างกายใกล้ถึงจุดนั้นขึ้นทุกขณะผมก็เรียกร้องหารสจูบหอมหวานอีกครั้ง ทุกครั้งที่แก่นกายของเต็มกระแทกเข้ามาเต็มแรงผมก็ต้องหาที่ฝังมือลงไปทุกครั้ง เดาได้ไม่ยากเลยว่าวันพรุ่งนี้รอยเล็บบนตัวเต็มก็คงจะมีไม่น้อยไปกว่ารอยช้ำบนตัวผม

“อึก!” จังหวะแรงครั้งนี้เล่นเอาผมจุกจนเกือบจะกัดเอาลิ้นของอีกฝ่ายที่อยู่ในปาก และเสี้ยววินาทีต่อจากนั้นผมก็รู้สึกถึงความอุ่นวาบที่ช่องทางด้านหลังพร้อม ๆ กับของเหลวสีขาวขุ่นที่ไหลปริ่มออกมาจากลูกชายของผมเอง เต็มค่อย ๆ ถอนอาวุธของมันออกแล้วทิ้งตัวทั้งตัวทับผมไว้และซุกมือเข้ากอด ปฏิเสธยากเหลือเกินว่านี่คือความสุขที่ผมโหยหา สัมผัสที่ผมต้องการ ขอแค่มีเต็มอยู่ข้าง ๆ กอดผมไว้แบบนี้ ผมก็แทบจะไม่ต้องการอะไรแล้ว

“กูรักมึงนะพอช…”

“มึงอย่าทิ้งกูนะ ...ไม่ว่ายังไง อย่าทิ้งกู” เราสองคนทิ้งให้ห้องเงียบอยู่นาน ระหว่างที่กอดกันอยู่นั้นผมไม่รู้ว่าเต็มมันกำลังคิดอะไร แต่สำหรับผมตอนนี้ก็คงคิดได้แค่เรื่องคำว่ารักของมัน คำว่ารักที่ผมพึ่งได้มาง่าย ๆ ทั้งที่เรียกหามาตลอด ผมจะรักษามันไว้ให้นานที่สุดและเป็นของผมคนเดียวได้ยังไง

แต่ช่างเถอะ ตอนนี้ผมควรจะคิดว่าควรจะชวนเต็มมันต่ออีกซักรอบสองรอบได้ยังไงมากกว่า …เอ๊ะ หรือว่าไม่ควรจะต้องคิด

“พอช… อีกรอบได้มั้ยครับ”

“ไม่อ่ะ”

“นะ พอชชชชช”

“บอกว่าไม่ไง… ให้กูลองทำความสะอาดลูกชายมึงด้วยปากก่อน ...ค่อยว่ากัน”

ก็บอกแล้วว่าเกมนี้ผมแพ้

เชื่อผม แล้วเหลือที่ยืนไว้ให้คนใส ๆ อย่างผมเถอะ

ถือว่าพอชขอ





.

.

.
TBC

ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3
Chapter 13 ไม่มีใคร

เช้าวันนี้ผมตื่นมาพร้อมอาการเมื่อยล้าไปทั้งตัว แม้จะไม่ถึงกับเจ็บปวดสารร่างจนใช้ชีวิตไม่ได้ แต่มันก็มากพอที่จะทำให้ผมอยากจะขอนอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงมันทั้งวัน แต่เอาเข้าจริงผมทำแบบนั้นได้ที่ไหนกันล่ะ มีงานมากมายและคนอีกนับสิบรอคำด่าพร้อมรอยยิ้มเสแสร้งจากผมอยู่ เพราะฉะนั้นตอนนี้ผมจึงต้องหอบร่างเยิน ๆ เดินมาตามทางเพื่อไปทานอาหารเช้าตามนัดก่อนเป็นอันดับแรก

ลมเย็น ๆ และแสงแดดอ่อน ๆ ยามเช้าทำให้ผมเผลอเดินซึมซับบรรยากาศจนลืมเหนื่อย จะพูดว่าเช้าวันนี้เป็นวันที่ผมอารมณ์ดีที่สุดในรอบเดือนก็คงไม่ผิดนัก เพราะว่าเมื่อคืนเต็มอยู่กับผมแทบจะทั้งคืน ก่อนที่เจ้าตัวจะจูบที่หน้าผากผมแผ่วเบาแล้วลุกออกไปจากห้องตอนเช้ามืด ก็คงจะไม่อยากให้ผมรู้ตัวนั่นแหละครับ แต่ประทานโทษผมกอดมันไว้แน่นอย่างกับกลัวของหายขนาดนั้นแค่ปลายเส้นผมมันขยับผมก็รู้สึกตัวแล้ว

จะว่าไปแค่คิดถึงเรื่องเมื่อคืนความสุขมันก็ผุดขึ้นในใจผมหน้าด้าน ๆ ถึงแม้จะรู้ดีว่านั่นมันก็แค่ความสุขชั่วครู่ชั่วคราวปลอม ๆ เท่านั้น ก็แล้วยังไงล่ะครับ จะให้ผมเอาแต่กดตัวเองอยู่กับความจริงที่แสนเจ็บปวดงั้นหรอ ใครที่ทนได้ก็คงจะพูดว่าอย่างน้อยความจริงก็ทำให้เขามีความสุขมากกว่ากว่าการหลอกตัวเองไปวัน ๆ แต่สำหรับผมมันไม่ใช่แบบนั้น ...ผมมีความสุขที่จะใช้ชีวิตของผมแบบนี้

เมื่อคืนเต็มมันเป็นของผม

ถึงแม้เช้าวันนี้มันจะกลายเป็นของใครอีกคนก็ตาม

แล้วไง… ใครแคร์

ผมสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เมื่อเห็นคนกลุ่มใหญ่อยู่ไม่ไกล จากการใช้สายตากวาดคราว ๆ ที่นั่นอยู่ตรงนั้นก็มีทีมงานของผมทั้งหมด พี่กรกับลูกน้องเขาอีกสองสามคน และที่สำคัญสองคนที่ขาดไม่ได้เลยก็คือเต็มกับภรรยาสาวสวยดราม่าเจ้าน้ำตาของเขา เห็นจากตรงนี้ผมก็เบ้หน้าให้แต่ไกลก่อนจะค่อย ๆ ปรับรูปปากให้ดูเหมือนยิ้มแม้จะขัดใจเหลือเกินก็ตาม

“สวัสดีครับทุกคน”

“อ้าว คุณพอช พี่ว่าจะไปตามอยู่เชียว” พี่พริ้งเป็นคนแรกที่เอ่ยทักผมทันที่ที่ทรุดตัวลงนั่ง

“พอดีลืมตั้งนาฬิกาปลุกน่ะครับพี่พริ้ง” แม้ว่าผมจะตอบคำถามพี่พริ้งแต่สายตาผมกลับมองไปยังหญิงสาวที่นั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามแล้วยิ้มเยาะเบา ๆ คิดแล้วก็ขำนะครับ เมื่อคืนสามีไม่อยู่ที่ห้องแท้ ๆ เช้านี้ก็ยังยิ้มระรื่นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอยู่ได้ อยากรู้จังว่าในใจเอมตอนนี้คิดอะไรอยู่ จะมีแวบนึงของความคิดที่อยากจะฆ่าผมให้ตายแบบที่ผมสาปแช่งเธอทุกวันมั้ยนะ

“คุณพอชทานอะไรดีคะ เดี๋ยวพี่จัดการให้”

“ขอแค่กาแฟก็พอครับ” พี่พริ้งยิ้มรับก่อนจะรีบลุกไปจัดแจงเครื่องดื่มยอดฮิตง่าย ๆ ให้ผม ขณะที่คนอื่น ๆ บนโต๊ะก็ยังสนุกกับการเล่นโทรศัพท์ไปทานอาหารไปโดยไม่ได้สนใจผู้ร่วมโต๊ะคนใหม่อย่างผมนัก จะยกเว้นก็แต่เอมที่เริ่มสบตาผมอย่างหลุกหลิก เต็มที่เหมือนจะเริ่มรู้ตัวว่าไม่ควรไว้ใจผมในเวลานี้ และพี่กรที่มองผมตาไม่กระพริบตั้งแต่เดินมาถึง

“เมื่อคืนเป็นไงบ้างพอช หลับสบายดีมั้ย” เป็นพี่กรที่เริ่มเปิดประโยคสนทนากับผม ถึงแม้ตอนนี้ผมกับเขาจะนั่งอยู่กันคนละมุมโต๊ะแต่ผมก็เริ่มรู้สึกถึงรังสีอำมหิตผ่านสายตาของเต็ม

“สบายดีครับ เตียงที่นี่ดีมากเลย” ผมตอบยิ้ม ๆ แล้วรับแก้วกาแฟมาจากพี่พริ้งเหมือนไม่ได้คิดอะไรในคำพูดของตัวเอง ก็จริงแหละผมไม่ได้คิดเองแต่แฝงไปให้คนอื่นคิดต่างหาก

“หืม พูดงี้นี่ถ้าเอาแฟนมาด้วย ผมคิดดีไม่ได้เลยนะครับคุณพอช” เจที่นั่งอยู่เยื้อง ๆ กับผมเอ่ยแซวโดยไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วย แล้วผมจะทำอะไรได้นอกจากจะรับมุกให้กระทบใครบางคนแล้วนั่งเนียน ๆ ต่อไป

“ยังไงกันเจ ผมจะทดสอบเตียงกับคนอื่นที่ไม่ใช่แฟนไม่ได้หรอ”

“อู้ววววววววววว” คราวนี้ไอ้คู่หูลูกนึงผมก็โห่ฮาขึ้นพร้อมกันสร้างเสียงหัวเราะไปทั้งโต๊ะ แต่ตอนนี้ให้หลับตามองผมก็รู้ว่ามีใครบางคนที่หัวเราะไม่ออก ออ ใช้คำว่าบางคนไม่ได้สิ ต้องใช้คำว่าสองคนที่นั่งตรงข้ามผมถึงจะถูก

“ลูกน้องพอชอารมณ์ดีนะเนี่ย”

“ผมก็พึ่งเห็นมันบังอาจมาแซวผมนี่แหละครับ หึหึ” ผมพยายามแล้วที่จะแสดงสีหน้าให้เหมือนการเล่นตลกหน้าตายมากที่สุด แต่ไหงทั้งเจและเอิร์ธถึงได้ทำสีหน้าเหมือนผมจะไปฆ่ามันตายแบบนั้นล่ะวะ

“ขอโทษครับคุณพอช”

“เฮ้ย ล้อเล่น อย่าไปซีเรียส” สองคนนั่นยิ้มแหย ๆ เหมือนไม่ค่อยมั่นใจในอารมณ์ผมนัก ก็อย่างว่าเรื่องที่ผมจัดการสองสาวที่บริษัทมันก็คงจะยังตราตรึงอยู่ในใจจนไม่อาจมองว่าประโยคของผมเมื่อครู่เป็นการล้อเล่นได้

“คุณพอชอย่าไปแกล้งมันสองคนเลยค่ะ ดูสิ หน้าซีดหมดแล้ว” เอาเถอะ ทั้งโต๊ะนี่ก็คงจะมีพี่พริ้งคนเดียวที่เหมือนจะเดาทีเล่นทีจริงของผมออก ผมยกกาแฟในแก้วขึ้นจิบขณะที่เหลือบมองเต็มผ่านไอร้อนในแก้ว ก่อนจะค่อย ๆ เคลื่อนสายตาไปยังเอมที่เหมือนยังเก็บอะไรเอาไว้ข้างในใจ

“เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับหรอเอม เช้านี้เหม่อเชียว” ผมถามคำถามที่อยากจะถามออกไปโดยไม่สนใจว่าจะมีสายตาดุ ๆ จากเต็มตามมาในภายหลัง

“เปล่านี่ ก็หลับสบายดีนะ ใช่มั้ยคะเต็ม” เอมเงยหน้าขึ้นสบตาผมแค่เสี้ยววินาที ก่อนจะหันไปมองคนข้างกายยิ้ม ๆ เหอะ! เห็นแบบนี้แล้วผมอยากจะเบ้ปากซักร้อยที อากัปกิริยาเหนียมอายแบบนี้น่ะหรอที่ผู้ชายชอบ มองดูจากเทือกภูเขาไฟฟูจิก็ยังรู้ว่าตอแหล

“ครับ” เต็มส่งสายตาขวาง ๆ หาผม แล้วยังไง คิดว่าผมจะสนใจ?

“ถ้ามีอะไรขาดเหลือบอกผมได้นะครับ”

“ได้เลยครับพี่กร”

“ขอบคุณนะครับคุณกร แต่บางเรื่องก็คงไม่ต้องถึงมือคุณ” ประโยคนี้ของเต็มทำให้ผมนิ่งเงียบได้มากกว่าสายตาดุ ๆ จากมันซะอีก หึ ทำเป็นพูดอ้อมไปสามโลกสุดท้ายคนฉลาดอย่างผมมันก็อ่านความหมายออกอยู่ดี ถึงขั้นนี้แล้วเปิดตัวซะเลยมั้ยล่ะ

“เอ๊ะ! คุณพอช ไปโดนอะไรมาครับเนี่ย” เสียงเจทำให้ผมเลิกคิดอะไรที่เข้าข้างตัวเอง รู้ตัวอีกทีก็เห็นมันพยายามชะเง้อมองเข้ามาที่สันกรามผมลามไปที่ต้อคออย่างเอาเป็นเอาตาย ...ซวยแล้วไอ้พอช ลืมไปซะสนิท แล้วดันใส่เสื้อเชิ้ตแขนสั้นมาอีก งานนี้มีแต่ตายกับตาย

จะตายเพราะไอ้เต็มมันฆ่าผมตายเนี่ยล่ะ

ถึงว่าแม่งใส่แขนยาวมิดชิดเชียว

“เอ่อ… ร...รอยอะไร” ผมลูบต้นคอตัวเองแก้เก้อ ไม่ใช่ว่าผมกลัวความจริงอะไรหรอก แต่จังหวะนี้มันยังไม่เหมาะนักถ้าเรื่องมันจะแดงขึ้นมา และผมก็คงจะไม่เอาตัวเองไปเสี่ยงให้เรื่องราวมันพังไม่เป็นท่า ตอนนี้ก็คงจะทำได้แค่ประครองเหตุการณ์ให้นิ่งพร้อม ๆ กับการทำให้ผู้หญิงคนนั้นเจ็บแสบจนแทบกระอัก

ก็ถ้าเราแก้วิกฤตไม่ได้ ก็ควรใช้วิกฤตนี่แหละให้เป็นประโยชน์

“นี่ไงครับ รอยเป็นจ้ำ ๆ โอ้โห ผมว่าไม่ธรรมดาแล้วนะครับเนี่ย” ขอบคุณครับไอ้เจที่ช่วยออกเสียงดังเบอร์สุดให้คนอื่นทำหูตาเป็นสัปรดกันทั้งโต๊ะ ไม่เว้นแม้กระทั่งเอมที่เริ่มมองมายังผมด้วยความครางแครงใจมากกว่าความสงสัย

“จริงหรอครับพี่พริ้ง ส่องกระจกเมื่อเช้าผมก็ไม่ได้สังเกต” ผมหันไปถามพี่พริ้งที่นั่งอยู่ข้างตัว ลูบมือผ่านช่วงสันกรามที่ไอ้ตัวทำรอยมันตั้งใจกัดเอาไว้เต็มแรง แววตานึกสนุกเหลือบมองเต็มที่พยายามทำเป็นเหมือนไม่สนใจ

“จริงค่ะ ...แพ้อะไรมาคะเนี่ย”

“ผมว่าเหมือนโดนอะไรกัดมามากกว่านะครับ” สวรรค์เปิด เทพบุตรผู้เปิดประเด็นมาแล้วครับท่าน สงสัยผมจะต้องเซ่นไหว้พี่กรที่ช่างถามออกมาได้เหมาะเจาะแบบสุด ๆ ผมแสร้งทำหน้าครุ่นคิดระลึกชาติว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืนจนทำให้เกิดรอยช้ำทั่วทั้งตัวแบบนี้

“เอ่อ...คือเมื่อคืนก็หลับสนิทดี นึกไม่ออกจริง ๆ ครับว่าจะโดนอะไรกัดเข้า” ผมมองจิกลงไปที่เอมอย่างตั้งใจ แต่น่าเสียดายที่เธอดันรู้ตัวว่าผมต้องการจะสื่อความหมายอะไรเร็วเกินไปจนต้องหลบสายตาไปพร้อมสีหน้าเศร้าใจแบบนั้น ผมมั่นใจว่าเอมรู้ว่ารอยพวกนี้มันมาจากใครเพียงแต่เธอยังทนทำตัวเป็นนางเอกอยู่เท่านั้น

“งั้นไปหาหมอมั้ยคะคุณพอช พี่ว่าท่าทางไม่มีดีเลย”

“ผมว่ารอยแบบนี้ไม่ต้องไปหาหมอหรอกมั้งครับ… มันเหมือน…”

“เจ…” พี่พริ้งปรามเจเสียงเรียบก่อนที่เอิร์ธจะเข้าตะครุบปากผู้เป็นเพื่อนเอาไว้ไม่ให้พูดอะไรออกมาอีก

“ไม่เป็นไรหรอกครับพี่พริ้ง คงจะโดนอะไรกัดเข้าจริง ๆ ไว้ถ้าโดนกัดเพิ่มค่อยว่ากันดีกว่า”

“แต่ถ้าเป็นพวกสัตว์มีพิษจะอันตรายนะครับ” พี่กรเดินเข้ามาใกล้ ๆ ผม ก่อนจะค่อย ๆ เชยคางผมขึ้นเพื่อพินิจร่องรอยอย่างตั้งใจ แต่เสี้ยวนึงของสายตาผมดันเห็นว่าพี่กรกระตุกยิ้มขำ แต่นั่นมันก็แค่นิดเดียวจนผมไม่แน่ใจว่าคิดไปเองรึเปล่า

“พิษคงไม่อันตรายอะไรมากมายหรอกครับ ไม่งั้นก็คงตายไปแล้ว” เสียงจากคนฝั่งตรงข้ามดังขึ้นมาขัดจังหวะจนพี่กรต้องค่อย ๆ ปล่อยคางผมลง สีหน้าหงุดหงิดจากเต็มทำให้ผมแทบอยากจะลุกขึ้นมาเต้นระบำชาวเกาะให้รู้แล้วรู้รอด ตลกสิ้นดีที่มันต้องทำเป็นไม่สนใจทั้งที่จริง ๆ ข้างในคงแทบจะอกแตกตายอยู่แล้ว

“นั่นสิครับ คงไม่เป็นอะไรหรอก” ผมสมทบตามที่เต็มพูดก่อนจะยิ้มกว้างให้กับความคิดแสนดีในหัวเพียงลำพัง

“แต่…”

“เพราะผมเห็นว่าที่คอเต็มก็มีเหมือนกัน… ถ้าตายก็คงจะต้องตายไปพร้อมกัน” อุ๊บส์ ดูเหมือนว่าประโยคนี้จะทำให้ทุกสิ่งสงบและสายตาเหล่านั้นก็เคลื่อนหนีจากผมไปยังเต็มที่มีร่องรอยจาง ๆ โผล่มาเพียงนิดจนแทบไม่เห็น และที่ทำให้ผมแฮปปี้ยิ่งกว่าอะไรก็คงจะเป็นเอมที่เริ่มแสดงอาการนั่งไม่ติดขยับมือกำแน่นแล้วปล่อยเหมือนคนกำลังโกรธ

“ก็ไม่เห็นมีนี่” เต็มยังคงทำนิ่งและขยับปกคอเสื้อเพื่อพยายามจะปิดแต่ก็ยังเร็วสู้สายตาเจไม่ได้อยู่ดี

“จริงด้วย ตรงนั้นไง!”

“หึหึ...แบบนี้ทั้งคุณเต็มและพอชไปหาหมอพร้อมกันเลยมั้ยครับ”

“ไม่เป็นไรครับ ผมสบายดี ...คงจะโดนแมลงสาบมันกัดเข้า” เต็มตีหน้าเรียบเฉียบตอบพี่กรแบบเรียบ ๆ ไม่ทุกข์ร้อนขณะที่เปรียบผมเป็นแมลงสาบ ก่อนที่มันจะลุกออกจากโต๊ะโดยมีเอมเดินตามเป็นผีสิงไปติด ๆ ผมไม่รู้จะบ่งบอกความรู้สึกตอนนี้ออกมาเป็นคำพูดได้ยังไง แต่มันตลกและสะใจไปพร้อม ๆ กัน และก็คงจะไม่มีอะไรทำให้ผมรู้สึกประสบความสำเร็จไปมากกว่าการที่ผมมีลูกน้องฉลาด ๆ และปากไม่ทีหูรูดถึงสองคน...

“เชี่ยเอิร์ธ”

“อะไรของมึงอีก”

“นั่นมันรอยดูดชัด ๆ ไม่มีใครมองออกเลยหรอวะ หรือว่าคุณพอชกับคุณเต็มเขา...”

“สัด! ถ้ายังไม่อยากหางานใหม่ก็นั่งแกล้งโง่ต่อไปเลยมึง!”

แกล้งโง่

นั่นสินะ…คนเราก็คงจะมีแค่สองประเภท หนึ่งคนที่โง่จริง และสองคนที่แสร้งทำเป็นโง่จนเหมือนจริง คงสนุกดีพิลึกถ้าผมมีเวลามากพอมานั่งตีความว่าหลายคนบนโต๊ะตอนนี้เป็นคนประเภทไหน ส่วนผม… มันเกินเส้นคำว่าแกล้งโง่มาไกลแล้วล่ะครับ





50%

.

.

.

“ฝากด้วยนะครับทุกคน” ประโยคสุดท้ายของการทำงานในวันนี้ทำให้ผมโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก ในที่สุดการทำความเข้าใจเรื่องแพลนโปรโมทกับกลุ่มบล็อคเกอร์ก็จบสิ้นลงเป็นงานสุดท้ายในเวลาที่ตะวันลงไปจากฟ้าพอดี หลังจากที่เมื่อเช้ามีเวลาเดินเล่นอยู่สองสามเก้า งานการที่ผมทิ้งไม่ได้ก็ตียาวมาจนถึงตอนนี้ ลืมไปซะเถอะครับไอ้เจ็ทสกี ดำน้ำ หรือสารพัดกิจกรรมที่พี่กรเกริ่นเอาไว้เมื่อวาน ณ จุดนี้ แค่ได้พักกินข้าวเย็นมันก็ดีแค่ไหนแล้ว

ค่ำนี้ไม่มีงานเลี้ยงเช่นเมื่อวานครับ หลังจากคุยกันเสร็จกลุ่มบล็อคเกอร์ก็แยกไปทานอาหารในห้องจัดเตรียมไว้ ส่วนผมและทีมงานก็คงจะทานกันง่าย ๆ ในห้องประชุมก่อนจะแยกย้ายไปพักผ่อนเพื่อเตรียมตัวกลับกรุงเทพในวันรุ่งขึ้น

“ขาดเหลืออะไรแจ้งพนักงานเลยนะครับ” อาหารมากมายถูกทยอยวางแทนที่แฟ้มเอกสารบนโต๊ะ ขณะที่พี่กรก็ยังทำหน้าที่เจ้าบ้านที่ดีเช่นเดิม ผมมองอาหารพวกนั้นแล้วก็แต่ทิ้งตัวลงพิงกับเก้าอี้เพราะยังรู้สึกอิ่มกับกาแฟและอาหารเบรคที่ยัดใส่ท้องทั้งวัน ผิดกับเจและเอิร์ธที่มองของกินตาเป็นมันเหมือนตายอดตายอยากมาหลายปี

“หูยยยยยยย กุ้งงงงงงงงง”

“เกิดมาไม่เคยเจอกุ้งรึไงเอิร์ธ”

“เคยเจอสิครับ แต่นี่กุ้งของฟรีมื้อสุดท้ายของทริป มันก็ต้องตื่นตากันหน่อยสิครับคุณพอช” ท่าทางกวนตีนที่เอิร์ธกำลังทำมันน่าจะโดนฝ่ามืออรหันต์เข้าให้ซักที แต่งานนี้คงไม่ต้องถึงมือผมหรอกครับพี่พริ้งจัดการด้วยคำพูดให้เรียบร้อยแล้ว

“เอิร์ธ… สำรวม! เจด้วย!”

“คร้าบบบบบ/ครับ” เสียงประสานนั่นทำให้ผมเกือบหลุดขำ แต่อย่าหวังว่าทั้งสองคนจะสลดเลยครับ นู่น เริ่มกินอาหารไม่สนใจใครไปแล้ว

“คุณพอชไม่ทานหรอคะ”

“ยังดีกว่าครับ” ผมตอบพี่พริ้งยิ้ม ๆ ก่อนจะหันไปมองเต็มที่นั่งวุ่นวายกับโทรศัพท์อยู่ด้านข้างผมท่าทางหงุดหงิด

“เป็นอะไรนักหนา”

“เปล่า ไม่ได้เป็น” เต็มตอบผมหน้าด้าน ๆ ทั้งที่เห็นอยู่ชัดเต็มตาว่ามันพยายามโทรหาใครซักคนอย่างเอาเป็นเอาตาย สีหน้าหงุดหงิดนั่นทำให้ผมหงุดหงิดยิ่งกว่า เต็มกำลังหัวเสียเพราะคนคนนึงที่ไม่ได้อยู่ในห้องนี้ตอนนี้ แล้วคนคนนั้นก็คงจะเป็นใครไม่ได้อีก.ฝนอกจากเอม

“หึ...ถ้าเปล่างั้นก็เลิกโทรซักทีสิวะ”

“..........” เต็มไม่พูดอะไร แต่ถอนหายใจทิ้งแล้วมองหน้าผมอย่างปลง ๆ เหมือนเริ่มจะเข้าใจสัจธรรมที่มาในรูปแบบรอยยิ้มเรียกตีนของผมแล้ว ก็ดี เราจะได้โฟกัสที่พฤติกรรมเรียกร้องความสนใจด้วยการไม่รับโทรศัพท์ของเอม

“เรียกร้องความสนใจ… คงจะนอนอ้ารอมึงอยู่ที่ห้อง” ผมพูดออกไปตรง ๆ ไม่สนว่าใครนอกจากมันจะได้ยิน

“พอช…มึงอย่าพูดจาแบบนี้”

“กูก็ชอบพูดของกูแบบนี้ กูชอบพูดตรง ๆ”

“พอช…!” น้ำเสียงของเต็มคลุ้งไปด้วยความโมโห ผมเริ่มรู้ตัวว่าตอนนี้คนทั้งโต๊ะเริ่มให้ความสนใจมันกับผม และวินาทีต่อจากนี้เต็มก็หมดความอดทนลุกเดินออกไปจากห้องโดยไม่สนสายตาสงสัยจากใคร ...ที่สำคัญ เต็มคงไม่ได้หมดความอดทนเพราะผม แต่เป็นเพราะเอม ก็ดี เพราะว่ามุกเรียกร้องความสนใจก็เริ่มจะคิดไม่ออกแล้วเหมือนกัน วันหลังจะได้เอาวิธีไม่รับโทรศัพท์ไปใช้บ้าง

“ขอตัวนะครับ” ผมลุกเดินตามเต็มออกมาโดยไม่ต้องคิดมาก ก้าวยาว ๆ ของมันทำให้ผมต้องเร่งสปีดจากปกติไปเกือบเท่าตัว

“ตามมาทำไม” เต็มรู้ตัวว่าผมเดินตามมาติด ๆ แต่ไม่ได้หยุดเดินหรือแม้แต่คิดจะชะลอความเร็วลง ...สงสัยรีบไปตามควาย!

“จะไปช่วยมึงหาเอมไง”

“ไม่ต้อง”

“นี่กูหวังดีนะ” ในที่สุดผมก็เดินทันมันจนได้ แต่ยังไม่ทันจะได้แผลงฤทธิ์อะไรออกไปให้เต็มรำคาญใจ แสงสว่างวาบกลางท้องฟ้าก็สะท้อนเข้าดวงตาจนขาผมแข็งทื่อไปหมด ...ฟ้าแลบ สัญญาณเริ่มต้นคืนนี้ที่ไม่ดีนักสำหรับผม

“พอช” เหมือนเต็มเองก็จะเริ่มรู้สึกว่าหัวใจผมมันเริ่มเต้นแรงเพราะความกลัวที่กำลังก่อตัวขึ้น แต่ผมก็ยังพยายามสะบัดปมในใจออกแล้วแสร้งแสดงออกไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ด...เดินต่อดิ”

“มึงกลับไปที่ห้องประชุมดีกว่ามั้ย หรือไม่ก็กลับห้องมึงไปเลย” กลายเป็นว่าตอนนี้ผมเป็นฝ่ายเดินนำและทำได้เพียงหันไปส่ายหน้าบาง ๆ ให้เต็ม

“..........”

“มึงอย่าดื้อ ฝนกำลังจะตก”

“แต่มันก็ยังไม่ตก ฟ้าก็ยังไม่ร้องนี่หว่า” ผมก็ดื้อด้านไปทั้งที่ใจมันก็เริ่มหวั่น ๆ เต็มเองก็มองผมเหมือนจะเบื่อหน่ายเต็มทน ช่างเถอะ แค่มีมันยืนอยู่ข้างตัวผมเรื่องน่ากลัวก็คงจะกลายเป็นเพียงแค่เรื่องสนุก

“แล้วมึงจะออกมาวุ่นวายทำไม กูแค่จะไปหาเอมที่ห้อง”

“เรื่องของกู”

“ทำไมจะต้องมาทำให้กูวุ่นวายเพิ่มขึ้นอีกวะ”

“นั่นก็เรื่องของกูเหมือนกัน”

“อย่าคิดทำอะไรให้เสียเรื่องนะพอช…” ประโยคนิ่ม ๆ ทำให้ผมกระตุกริมฝีปากได้ไม่ยาก ดูเหมือนว่างานนี้เต็มจะระแวงผิดคน ควรเอาเวลาไประแวงคนที่ไม่ยอมรับโทรศัพท์อยู่ตอนนี้ดีกว่ามั้ง

“เปลี่ยนจากเตือนกูไปดูแลเอมเถอะ ไม่รู้จะเป็นคนใส ๆ ไปได้ถึงเมื่อไหร่ หึ”

ครืนนนนนน!

เสียงฟ้าร้องก้องเข้ามาในหูจนผมต้องหลับตาปี๋กำมือแน่นเพราะความกลัว ลมแรง ๆ โถมพัดเข้ามาจนรู้สึกเย็นยะเยือกเข้าไปถึงด้านใน ไออุ่นจากฝ่ามือคนข้าง ๆ เข้ากอบกุมมือซ้ายของผมจนรู้สึกใจชื้นขึ้นมา ผมเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้เต็มจนแทบจะกอดโดยไม่ต้องคิดมาก วินาทีนี้ไหล่กว้างที่ให้ผมได้ซุกหน้าลงไปดูจะเป็นทางเลือกที่ดีเหมือนเช่นเคย





“ฮัลโหลเอม…. เอมเป็นอะไร!”





เพียงแต่ว่านั่นไม่ใช่เสียงปลอบประโลมผมเหมือนทุกที และไม่มีไออุ่นอื่นใดนอกจากฝ่ามือที่เริ่มเปลี่ยนเป็นเย็นเฉียบเมื่อผมได้ยินประโยคที่เต็มไปด้วยความห่วงใยนั่น

“ตอนนี้เอมอยู่ไหน… โอเค ๆ หยุดร้องไห้ก่อน”

เปรี้ยง!! เหมือนฟ้าจะเริ่มเข้าใจเหตุการณ์ถึงได้ผ่าเปรี้ยงลงมาทั้งที่ผมยังยืนอยู่ในที่แจ้ง ซ้ำร้ายเม็ดฝนยังเริ่มตกลงมาเป็นเม็ดเล็ก ๆ ราวกับต้องการจะแช่แข็งสติอันน้อยนิดของผม ผมไม่รู้ตัวว่าตัวเองกำมือเต็มกลับไปแน่นขนาดไหน แต่ที่ผมพอจะรู้ก็คือมันยังไม่แน่นพอที่จะรั้งมันเอาไว้

“เอมตั้งสตินะ เดี๋ยวผมไปหา แล้วเรากลับกรุงเทพด้วยกัน”

“เต็ม…” ทีแรกผมไม่กล้าแม้แต่จะลืมตาขึ้นมาด้วยซ้ำ แต่สัมผัสเย็นชื้นที่ฝ่ามือมันทำให้ผมไม่มีทางเลือกที่จะต้องลืมตาขึ้นมาเห็นความจริงที่ความสนใจของเต็มมันไม่ได้อยู่ที่ผม มันกำลังร้อนใจ กังวลใจ และอยากจะเดินออกไปจากตรงนี้ในวินาทีนี้ วินาทีที่ผมกำลังกลัวที่สุดในชีวิต ...เต็มกำลังคิดจะปล่อยมือผม

“พอช… คือเอมเขา...”

เปรี้ยง!!! สายฟ้าฟาดซ้ำลงมาเป็นครั้งที่สอง แต่ผมกลับนิ่งเงียบเหมือนคนไม่มีจิตใจ มีเพียงดวงตาที่กำลังมองเต็มอยู่เท่านั้นที่กระตุกวูบตามเสียงดังสนั่น ก่อนที่ท้ายที่สุดหยดน้ำตามันก็ไหลออกมาโดยที่ผมไม่ต้องร้องขออ้อนวอนใด ๆ

“ม...ไม่...ไม่ไปได้มั้ย” ผมยอมรับว่าผมกลัว กลัวว่าเต็มจะทิ้งผมไปหาเอม กลัวมากกว่าเสียงดังของท้องฟ้าที่มันเป็นปมในใจเสียด้วยซ้ำ

“...........” เต็มไม่ตอบรับหรือปฏิเสธอะไร เพียงแต่บีบมือผมกลับมาให้รู้สึกเจ็บใจเล่นเท่านั้น

“มึงก็รู้ว่ากูกลัว…”

“แต่ตอนนี้เอมเขาไม่มีใครเลย เข้าใจกูนะพอช” จะให้ผมเข้าใจงั้นหรอ แล้วผมมีคนข้างตัวมากมายนักรึไง คงมีใครพร้อมจะกอดร่างกายที่สั่นสะท้านจากความกลัวอีกหลายร้อยคนงั้นสิ

ครืนนนนน!!

“กูขอร้อง… เต็ม… กูอยู่ไม่ได้”

“มึงต้องเข้าใจกูนะพอช…”

“อย่าทิ้งกู… กูเคยบอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าทิ้งกู!”

“กูจะพามึงไปส่งที่ห้องประชุม… อยู่กับคนอื่น ๆ ไปก่อนนะพอช” เต็มไม่ได้ขอความเต็มใจใด ๆ จากผม มันลากตัวผมให้เดินกลับไปยังทางเดิมทั้ง ๆ ที่ผมพร้อมจะทรุดลงกับพื้นอยู่ทุกเมื่อ ผมรู้ดีว่ายิ่งได้ยินเสียงดังครืนนั่นมากเท่าไหร่สติผมมันก็จะน้อยลงมากขึ้นเท่านั้น

“อ้าว ผมกำลังจะไปตามพอดีเลย ….พอช” ยังไม่ทันจะถึงห้องประชุม พี่กรก็ปรากฎขึ้นตรงหน้าพร้อมเสียงที่อ่อนลงในท้ายประโยคเมื่อเห็นท่าทีที่แปลกไปจนน่าประหลาดใจของผม เต็มหันมามองหน้าผมอย่างสับสนจนสัญชาตญาณบอกให้ผมจิกนิ้วเข้าที่มือมันแน่นเพื่อยืนยันว่าคนเดียวที่จะทำให้ผมสู้กับความกลัวในใจได้ก็คือมัน

“คุณกร…”

“มีอะไรให้ผมช่วยรึเปล่าครับ”

“คือ...พอชเขากลัวเสียงฟ้าร้องน่ะครับ ถ้ายังไง..”

“เต็ม...กูขอร้อง”

“ผมฝากพอชด้วยนะครับคุณกร” ความรู้สึกมันคล้ายว่าดวงตาผมดับวูบจนมองไม่เห็นภาพใด ๆ ตรงหน้า ทั้งที่ความจริงมันชัดเจนจนผมอยากจะกรีดร้องออกมาให้ดังกว่าเสียงครืนและเสียงฝนที่เริ่มโถมกระหน่ำขึ้นเรื่อย ๆ สุดท้ายแล้วผมไม่ได้รั้งหรือดึงมือเต็มเอาไว้แม้แต่น้อย มันปล่อยมือจากผมง่ายดายแล้ววิ่งออกไปเพื่อตามหาคนที่มันกำลังเป็นห่วงจนร้อนใจได้มากกว่าผม

ครืนนนนน!

“พอช”

“ผม...ผมโอเคครับพี่กร ...ม...ไม่เป็นไร” ผมพูดออกมาทั้ง ๆ ที่น้ำตามันไหลออกมาไม่หยุด และดวงตาทั้งสองข้างก็ลุกลิกไม่อยู่นิ่งมองไปรอบตัวอย่างหวาดผวา ภาพในอดีตซ้อนทับขึ้นมาฉับพลันจนสติของผมที่จะดูแลตัวเองหมดสิ้นไปในที่สุด สองขามันวิ่งออกมาทั้ง ๆ ที่ฝนเริ่มตกหนัก ผมไม่รู้สึกรู้สาอะไรทั้งนั้น ไม่รู้สึกว่าร่างกายกำลังเปียกปอน ไม่รู้สึกถึงลมกรรโชกที่จะทำให้หนาวเย็น มีเพียงเสียงดังครืนที่ชัดเจนที่ทำให้ผมรู้สึกจุกขึ้นมาในอกเหมือนเช่นคืนนั้นไม่มีผิด

“ฮึกกกกก ฮืออออออ พอชไม่เอาแบบนี้” ออกมาได้ไม่ไกลขาสองข้างของผมมันก็ไร้แรงจนแทบจะพาร่างกายล้มลงไปกับพื้น ผมไม่รู้ว่าตัวเองกำลังวิ่งตามหาอะไร หรือใครคนไหน รู้แค่เพียงว่าภาพที่กำลังฉายในหัวมันสั่งให้ผมหนี หนีจากความจริงที่กำลังไล่ตามจนผมขาดใจตาย

“เต็ม...ฮืออออ ไอ้เต็ม!!” สุดท้ายแล้วจิตสำนึกผมก็สู้ร่างกายตัวเองไม่ไหว ผมทิ้งตัวลงกับพื้นอย่างไม่กลัวเจ็บ ใบหน้าหวาดกลัวแนบลงกับพื้นทางเดินและยังคงร้องไห้ไม่หยุด ณ ตอนนี้กลายเป็นภาพของเต็มเข้ามาแทนที่และทำให้ผมแทบจะขาดใจตาย หัวใจกำลังบอกว่าผมต้องการมัน ต้องการให้มันอยู่ตรงนี้ และเข้ามาทำให้ผมสงบลงได้เหมือนทุกที

“พอช…” เสียงเรียกแผ่วเบาทำให้ผมงอร่างกายขึ้นมากอดเอาไว้เพื่อปลอบโยนตัวเอง สัมผัสจากฝ่ามือเย็นชื้นที่คงจะเปียกฝนไม่แพ้กันแนบเข้าที่แก้มก่อนจะไล้ไปมาด้วยนิ้วโป้งซ้ำ ๆ

“ฮืออออ ไม่เอาแล้ว ไม่…. พอชไม่เอา ฮึก พ่อ…. เต็ม อย่าทิ้งกู ฮืออออ”

“ไม่เป็นไรนะ… ไม่เป็นไร…” ผมมีสติไม่มากพอที่จะรู้ด้วยซ้ำว่าคนที่กำลังพยายามฉุดร่างผมขึ้นจากพื้นตอนนี้เป็นใครกันแน่ แต่ไออุ่นที่เขากำลังโอบกอดและกดใบหน้าผมเข้ากับช่วงไหล่มันดันทำให้ผมสะอื้นขึ้นมามากขึ้นกว่าเดิม

“ฮึกกกก ฮือออออออ”





“ไม่ร้องไห้นะ… พี่อยู่นี่แล้วนะพอช… พี่อยู่กับพอชแล้ว”





นั่นพี่กรงั้นหรอ?





แล้วถ้าไม่ใช่ล่ะ… ใครกันที่กำลังทำให้ผมคลายความกลัวได้อย่างน่าประหลาดใจ ฝ่ามือของเขากำลังสัมผัสปลอบอย่างอ่อนโยน น้ำเสียงห่วงใยดูคล้ายใครคนนึงจนผมไม่อยากจะลืมตาขึ้นมามองความจริง ตอนนี้ผมกำลังกลัวยิ่งกว่าเดิม กลัวว่าคนที่ยื่นมือเข้ามาตอนนี้จะเป็นคนที่ทิ้งผมไว้ ทิ้งผมไว้ให้เผชิญชีวิตคนเดียว





...และกลัวว่าเขาจะกลับมาทำให้ผมอ่อนแอยิ่งกว่าเดิม


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3
Chapter 14 ใจลังเล

‘ละครน้ำเน่า’

ต่อให้ตัวร้ายแสดงความอ่อนแอภายในออกมาแค่ไหน ก็เป็นได้แค่ไอ้ขี้แพ้วันยังค่ำ





เคยมีครั้งไหนในชีวิตคุณมั้ยครับที่อยากจะทิ้งทุกอย่างที่ทำลงไปโดยไม่หันกลับไปสนใจมันอีก แล้วมีครั้งไหนมั้ยที่คุณสับสนระหว่างความรักกับความเจ็บปวดจนไม่สามารถตัดสินใจอะไรได้เลย ที่ว่ามาทั้งหมดมันคือความรู้สึกข้างในใจผมตอนนี้ ที่ไม่รู้ว่าควรจะปล่อยมือจากเต็มหรือรั้งมันไว้ทั้งที่ตัวเองกำลังเจ็บเจียนตาย





ผมควรจะพอ หรืออดทนสู้ต่อไป





“คุณพอชคะ ถึงแล้วค่ะ”

“.........”

“คุณพอช…” ผมรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่พี่พริ้งยื่นมือมาสัมผัสต้นแขน สติที่หลุดคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยกลับเข้าสู่ที่เดิมแต่ก็ยังไม่เข้าที่นัก ผมพยักหน้าเบา ๆ ถอนหายใจทิ้งแรง ๆ เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างรถตู้แล้วพบว่าตอนนี้ผมกลับมาถึงบ้านหลังเดิมพร้อมความรู้สึกครึ่งนึงที่ไม่เหมือนเดิม

“ครับ” ผมตอบพี่พริ้งด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ก่อนจะออกแรงเปิดประตูรถด้วยตัวเอง ถ้าเป็นทุกทีผมคงจะพร้อมเดินเข้าบ้านหลังใหญ่ด้วยท่าทางกระดี้กระด้าและพร้อมจะจิกกัดทุกคนที่เข้ามาขวางหน้า แต่ตอนนี้ผมแทบไม่มีแรงบันดาลใจที่จะดันทุรังอยู่ที่นี่ ก็ไม่แน่นะครับบางทีเรื่องนี้อาจจะจบเร็วขึ้นเพราะผมจะเป็นคนจบเกมทุกอย่างเอง





แต่ไม่ต้องห่วงหรอก ถ้าวันไหนผมคิดจะไปจริง ๆ

ผมจะจากไปในแบบที่ทุกคนที่นี่ไม่มีวันลืม





“คุณพอชคะ… ถ้ามีอะไรที่พูดกับใครไม่ได้ ไว้ใจพี่ได้นะ” ประโยคที่ดูจะห่วงใยจากพี่พริ้งทำให้ผมต้องชะงักแล้วหันไปสบตาเธอ ดูเหมือนว่าผู้หญิงคนนี้จะเข้าใจอะไรได้ไม่ยาก เธอคงจะพอเดาออกว่าผมมีท่าทีที่เปลี่ยนไป เมื่อช่วงเช้าเราพบว่าคู่รักที่เดินทางมาพร้อมกันฝ่าพายุฝนกลับกรุงเทพตั้งแต่เมื่อคืน แต่ก็ยังมีสิ่งนึงที่พี่พริ้งยังไม่รู้คือผมทุรนทุรายจนแทบบ้ามันทั้งคืน

“.........” ผมไม่ตอบอะไรและก้าวลงจากรถด้วยสีหน้าที่คงจะเย็นชาไม่น่าเข้าหา ก่อนจะคว้ากระเป๋าเดินทางที่คนรถนำลงมาวางอยู่ก่อนแล้ว ขอเถอะ อย่าให้ใครอยู่ในบ้านตอนนี้เลย ผมยังไม่พร้อมที่แกล้งทำตัวเข้มแข็งเก่งกล้าต่อหน้าใครทั้งนั้น

“พี่พอช!” ดูเหมือนว่าคำร้องขอในใจของผมมันจะไม่ได้ผล น้องต้าวิ่งเข้ามาพร้อมสีหน้ากังวลแปลก ๆ และยิ่งเธอเห็นสีหน้าที่ปรับไม่ทันของผมก็ดูจะเพิ่มความกังวลเข้าไปใหญ่

“ต้า...ว...วันนี้ไม่มีเรียนหรอ”

“มีค่ะ แต่ว่าต้าอยู่รอพี่พอช...” น้องต้าไม่ว่าเปล่า เธอคว้ากระเป๋าในมือผมไปถือไว้เสียเอง

“รอพี่… รอพี่ทำไม” ผมขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจนัก ยิ่งมองหน้าน้องต้าที่เหมือนมีอะไรในใจก็ยิ่งทำให้ผมไม่เข้าใจไปกันใหญ่

“คือว่าพี่เต็มเขาติดต่อพี่พอชไม่ได้…”

“...........” ริมฝีปากผมเม้นแน่นเมื่อได้ยินชื่อของเต็ม หึ… ถ้าติดต่อผมได้ก็คงแปลกเพราะโทรศัพท์ผมมันชุ่มน้ำฝนดับสนิทไปตั้งแต่เมื่อคืน แต่ก็อย่างว่าล่ะครับของแบบนี้ถ้ามันมีความพยายามที่อยากจะติดต่อผมได้ครึ่งนึงที่อยากจะติดต่อเอมก็คงจะไม่มีอะไรยากจนเกินไป

“พี่พอชอย่านิ่งแบบนี้สิคะ”

“พี่ขอตัวนะต้า” มือผมดึงกระเป๋าคืนมาจากน้องต้า สองขาเริ่มก้าวเดินต่อไปหนัก ๆ เพราะเรื่องในหัวใันตีกันจนวุ่นวายไปหมด ผมจะยอมทิ้งสิ่งที่ทุ่มเทลงไปได้จริง ๆ น่ะหรอ… หรือไม่เช่นนั้นความอดทนของผมจะมีมากพอไปจนถึงตอนไหน

“พี่เต็มเป็นห่วงพี่พอชนะคะ ที่เขาต้องกลับมาก่อนเพราะมันจำเป็นจริง ๆ”

“พี่ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่” ผมยังพยายามจะเดินต่อทั้ง ๆ ที่น้องต้ารั้งแขนข้างนึงไว้พร้อมสีหน้าเว้าวอนระคนลำบากใจ

“แต่ต้าดูออกว่าพี่พอชน้อยใจ” ...ใช่ ต้าดูออก แล้วใครอีกคนล่ะเคยเห็นความน้อยใจของผมครั้งไหนบ้างรึเปล่า

“ไม่มีสิทธิ… ต้า… พี่ไม่มีสิทธิจะน้อยใจหรือรู้สึกอะไรทั้งนั้น” ในที่สุดผมก็ต้องหยุดยืนอยู่กลางโถงบ้านเมื่อดูท่าทีว่าน้องต้าคงจะรั้งผมไว้ไม่ยอมหยุดแน่ ๆ

“พี่พอชคะ… คือเมื่อวาน พ่อพี่เอมเขามีปัญหาจนช็อคไป ตอนนี้ไม่ได้สติอยู่ที่โรงพยาบาล”

“พี่ไม่รู้หรอกนะว่ามันเกิดอะไรขึ้น เต็มมันมีความจำเป็นอะไร แต่เมื่อวานเสียงจากฟ้าแทบจะทำให้ใจพี่แตกเป็นเสี่ยง ๆ ...มันชัดเจนอยู่แล้วว่าพี่ไม่มีสิทธิอะไรเลย ไม่มีแม้แต่สิทธิที่จะรั้งมันไว้” ผมสบตาน้องต้าด้วยความจริงใจกว่าครั้งไหน ๆ ผมอยากให้ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนส่งผ่านดวงตาคู่นี้ไปให้น้องต้าได้รับรู้บ้าง ได้รับรู้ว่าพี่ชายเธอทิ้งผมไปอย่างที่ไม่คิดจะหันกลับมา และกลายเป็นว่าผมต้องตื่นขึ้นมาพบว่าใครอีกคนนอนเฝ้าผมอยู่ทั้งคืน

ภาพพี่กรนอนหลับอยู่ที่โซฟายังคงติดตาผมอยู่จนถึงตอนนี้ แม้ผมไม่แน่ใจนักว่าคนที่กอดผม ปลอบผม ในช่วงที่กลัวจนเสียสติ และทำให้นึกถึงพี่พีทเป็นใครกันแน่ แต่คนที่ผมเห็นอยู่ตำตาทันทีที่ได้สติ เขาก็คือพี่กร คนพึ่งรู้จักที่ไม่มีความจำเป็นอะไรจะต้องดูแลคนอย่างผม

“ต้าก็แค่อยากให้พี่พอชเข้าใจพี่เต็ม”

“พี่เข้าใจ เข้าใจว่ายังไงเต็มก็ต้องดูแลภรรยาเขา เข้าใจว่าพี่ก็แค่กลัวไม่ได้ถึงตาย เข้าใจว่าเขาก็คงไม่มีทางเลือกมากมายนัก แต่หัวใจพี่มันไม่เข้าใจเหมือนสมองน่ะสิต้า” ผมห้ามตัวเองไม่ให้แค่นยิ้มร้าย ๆ ออกมาไม่ได้ แต่ก็ช่างเถอะเพราะว่าตอนนี้ต่อให้ผมแสดงสีหน้าด้านซาตานออกมาเท่าไหร่ก็คงจะดูน่าสงสารไปหมด ถ้าไม่เชื่อก็ลองมาสัมผัสหยดน้ำตาที่ไหลออกมาข้างแก้มตอนนี้สิ

“ต้ารู้ว่ามันยาก แต่ต้าไม่อยากให้พี่พอชเป็นแบบนี้นะคะ ตอนนี้พี่เต็มก็คงอึดอัดไม่แพ้กัน ...พี่พอชรู้มั้ยเขามาฝากต้าติดต่อพี่พอชตั้งแต่กลับมาถึง ...แววตาพี่ชายต้าเขาไม่ได้ห่วงใยคนทางนี้เลย คนที่เขาห่วงคือพี่พอชนะคะ”

“.............” ห่วงผมงั้นหรอ คงจะห่วงใยกันมากสินะถึงได้เลือกที่ทิ้งผมเอาไว้แบบนั้น

“อีกอย่าง… ที่พี่เต็มต้องรีบกลับมาโดยไม่บอกใครก็เพราะคุณพ่อบังคับ ต้าได้ยินคุณพ่อคุยโทรศัพท์เสียงเครียดเมื่อคืน ต้ายืนยันได้ค่ะว่าพี่เต็มไม่ได้อยากจะทิ้งพี่พอชมาโดยไม่ได้บอก” ดวงตาผมกระตุกวูบเมื่อน้องต้าพูดจบ น่าสมเพชชะมัดที่ผมมันใจง่ายเชื่ออะไรง่าย ๆ จนใจอ่อนยวบไปมากกว่าครึ่ง อย่างน้อยเต็มก็ไม่ได้ใจร้ายเท่าที่ผมคิดเอาไว้ก่อนหน้า

“เรื่องนั้น… ช่างมันเถอะต้า ตอนนี้พี่รู้สึกเหนื่อยจนไม่อยากรับรู้อะไรแล้ว”

“พี่พอชอย่าโกรธพี่เต็มนะคะ!” น้องต้าโผเข้ากอดรั้งตัวผมไว้จนผมเองก็ตกใจอยู่ไม่น้อย ฝ่ามือผมลูบเบา ๆ ที่กลุ่มผมเด็กสาว ก่อนจะชะงักลงเพราะนึกได้ว่าคุณโสมเธอไม่ชอบให้ผมมาแตะเนื้อต้องตัวลูกสาวของเธอนัก

“ต้า… เดี๋ยวคุณโสมมาเห็นเข้าแล้วจะดุเอานะ”

“เรื่องนั้นช่างมันเถอะค่ะ ต้าสงสารพี่พอช สงสารพี่เต็ม ทำไมพี่สองคนต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย” นั่นสินะ… ทำไมกัน

“เรา… เราแก้ไขอะไรไม่ได้หรอกต้า” ใช่… นอกเสียจากจะผูกเป็มปมยิ่งกว่าเดิมแล้วทำให้ขาดกันไปข้าง

“ทำไมจะแก้ไม่ได้! พี่เต็มไม่แก้เองต่างหาก!” ผมเข้าใจว่าน้องต้าเธอคงจะอินกับเรื่องนี้แล้วใส่อารมณ์ร่วมเข้ามาจนมากเกินไป และนั่นก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกโดนกรีดเข้าที่อกแบบจัง ๆ ใช่… ที่น้องต้าพูดมันจริง ผมก็ไม่รู้จะทนหลอกตัวเองไปทำไมว่าการที่เต็มปล่อยให้เรื่องเป็นแบบนี้มันเป็นสาเหตุในวินาทีนี้ผมยังคิดไม่ตกว่าควรจะทำยังไงต่อไป

“ต้าว่าพี่ควรตัดใจมั้ย…” ผมพูดออกไปตรง ๆ น้องต้าปล่อยผมให้เป็นอิสระ เธอมองผมด้วยสายตาที่สับสนไม่แพ้กัน ริมฝีปากบางเม้มแน่นจนเกือบไม่มีประโยคใดหลุดออกมา

“ไม่ค่ะ” น้องต้าตอบเสียงเบา เธอหลุบตาต่ำลงไปเหมือนยังไม่แน่ใจในคำตอบตัวเอง

“แล้ว… จะมีวันนึงเป็นวันของพี่มั้ย” ขณะที่เอ่ยประโยคนี้ออกไปผมกำลังเอ่ยถามตัวเองไปในตัว ผมกำลังพยายามนับหนึ่งถึงสิบเพื่อทบทวนให้ได้คำตอบ ผมมีทางเลือกอยู่ไม่มาก หนึ่งในนั้นคือตัดใจแล้วเกลียดเต็มซะ ...แล้วจำไว้ว่าต่อให้ผมจะไป ผมจะไม่จากไปโดยปล่อยให้คนพวกนี้มีความสุขบนกองความทุกข์ของผม

“ต้า… ต้าไม่รู้”

“นั่นสิเนอะ เพราะว่าพี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน ...พี่เหนื่อย ขอตัวไปพักผ่อนก่อนนะคะ แล้วเดี๋ยวเราค่อยคุยกัน” ผมวางมือขยี้กลุ่มผมบนศรีษะของเธออย่างแผ่วเบา สร้างรอยยิ้มจอมปลอมก่อนจะหันหลังให้น้องต้าพร้อมจะเดินจากไป

“มันเป็นเพราะผู้หญิงคนนั้น! ...พี่พอชคะ! มันเป็นเพราะผู้หญิงเสแสร้งคนนั้น! พี่พอชไม่ได้ผิดอะไรเลย ...อย่า ...อย่ายอมแพ้นะคะ!! อย่ายอม!!” เสียงน้องต้าที่ไล่ตามหลังผมมาทุกก้าวเดินมันเหมือนเชื้อเพลิงดี ๆ ที่จะจุดไฟในใจผมให้ลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง ความลังเลเมื่อครู่ค่อย ๆ จางหายไปจนหมดสิ้น ไม่ใช่เพราะว่าผมตัดสินใจได้ แต่เพราะว่าต่อจากนี้ผมจะไม่ยอมแพ้กับอะไรก็ตามที่ทำให้ผมเสียใจ ต่อให้ปลายทางเป็นแบบไหนการเดินทางครั้งนี้ผมจะไม่อยู่เฉยอย่างคนแพ้ และตอนนี้ร่างกายมันหยุดยืนนิ่งพร้อมกับเรื่องดี ๆ ในหัวฉากใหญ่ ๆ น้องสาวนอกไส้ของผมไม่รู้ตัวหรอกว่ากำลังให้กำลังใจกับคนประเภทไหน เพราะคนประเภทผม…





มันพร้อมจะทำร้ายล้างทุกสิ่งโดยไม่สนใจอะไรอีกต่อไปแล้ว

จะอยู่หรือจะไปมันก็คงมีค่าเท่ากัน

เตรียมตัวรับมือกันให้ดีก็พอ





“ต้า… พ่อเอมอาการเขาเป็นยังไงบ้าง ...แล้วรู้มั้ยว่าเขามีปัญหาอะไร”





40%





เกือบค่ำวันนี้ผมลงจากแท็คซี่หยุดยืนอยู่ที่หน้าโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังพร้อมช่อดอกไม้โดยไม่ได้ตั้งใจ หลังจากได้ข้อมูลคนป่วยจากน้องต้าผมก็นั่งพักอยู่ไม่นาน ก่อนจะรับคัดสรรสิ่งดี ๆ แล้วรีบตรงมาที่นี่ น่าเสียดายที่น้องต้าไม่ได้มีข้อมูลเรื่องราว ‘ปัญหา’ มากมายนัก บอกได้แค่เพียงว่าเป็นเรื่องธุรกิจส่วนตัวของครอบครัวนั้น แต่ก็นับว่ายังโชคดีนะครับที่ผมพอจะหาข้อมูลได้จากผู้ช่วยใกล้ตัวอย่างพี่พริ้งที่ยังงง ๆ ที่จู่ ๆ ผมก็เป็นห่วงเป็นใยเอมออกหน้าออกตาแต่กลับไม่ถามเจ้าตัวเอาเอง

“ติดต่อเยี่ยมคุณศักดิ์ดาครับ” ผมเอ่ยถามประชาสัมพันธ์เพื่อความมั่นใจในหมายเลขห้อง ก่อนจะขึ้นลิฟท์พร้อมรอยยิ้มสดใสบนใบหน้า ตอนนี้ทั้งเต็ม คุณอาบวรและคุณโสม รวมไปถึงเอมและครอบครัวปลิงของเธอคงจะอยู่กันครบ มันก็ต้องทำหน้าตาแจ่มใสให้เหมาะแก่การมาเยี่ยมคนป่วยที่นอนเป็นผักเสียหน่อย

“พอช…” ขณะที่กำลังเดินหาจุดหมายอยู่นั้น เสียงคุ้นหูก็ทำให้ผมต้องหันไปมองต้นเสียงด้านหลัง หญิงสาวหน้าตาหมอง ๆ ยืนถือตะกร้าของเต็มสองมือมองมายังผมด้วยสีหน้าแปลกใจ

“อ้าว เอม” ผมยิ้มบาง ๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในลิฟท์และพยักหน้าให้เธอเดินตามเข้ามา

“พอชมาได้ยังไง” เธอเอ่ยถามผมทันทีที่ประตูลิฟท์ปิดลง

“แท็คซี่ ...เราช่วยถือ” ผมดึงตะกร้าใบนึงมาไว้ในมือด้วยเลือดความเป็นสุภาพบุรุษ?

“เอมไม่ได้หมายความแบบนั้น…”

“อ๋อ… ต้าบอกน่ะ แล้วพ่อเอมเป็นไงบ้าง นี่เราตั้งใจมาเยี่ยมเลยนะ” ผมยื่นดอกไม้เพื่อโชว์ให้เอมได้เห็นความตั้งใจดีของผม แต่เอ๊ะ… ทำไมเธอถึงได้ทำสีหน้ามีอะไรในใจแบบนั้น ไอ้ช่อดอกเบญจมาศสีขาวพร้อมโบว์สีดำด้านนี่ผมตั้งใจเลือกมาเชียวนะ ไม่เป็นพวงหรีดมาก็ดีเท่าไหร่แล้ว (มีความเชื่อว่าดอกเบญจมาศสีขาวเป็นดอกไม้ที่ใช้ในพิธีศพ หากนำไปเยี่ยมผู้ป่วยจะถือเป็นการสาปแช่ง)

“อาการก็ยังทรง ๆ …” เอมตอบเสียงเรียบและไม่สบตาผม ทั้ง ๆ ที่ผมเอียงหน้ามองเธอจนคอแทบหักอยู่แล้ว

“เสียใจด้วยนะ ทั้งเรื่องพ่อ แล้วก็เรื่องธุรกิจที่พังไม่เป็นท่า… พ่อเอมเขาเอาเงินไปทำอะไรหรอถึงได้หมดตัวเร็วขนาดนั้น” แม้เอมจะยังหลบตาแต่ผมก็ยังเห็นชัดเจนว่าแววตาเธอมีปฏิกิริยากับคำพูดของผม การสั่นไหวนั่นชัดเจนว่ามันกระทบกับจิตใจเธอแค่ไหน

“..........” ผมเห็นเอมเหลือบตามองเลขชั้นคล้ายรอคอยให้ความอึดอัดสิ้นสุดลง สงสัยผมคงจะต้องรีบพูดคุยก่อนที่เวลาสนุกจะหมดลงสินะ

“นี่อย่าบอกนะว่าไปก่อหนี้ใหม่ไว้อีกแล้ว หุ้นบริษัทไก่กาที่คุณอาบวรช่วยซื้อไว้ตั้งหลายสิบล้านยังอยู่ดีรึเปล่า… นี่ถ้ามีหนี้อีกจริง ๆ ก็คงแย่นะ ลูกสาวก็ขายกินไปแล้ว คราวนี้จะขายอะไรใช้หนี้”

“พอช!!!!!” แววตาแข็งกร้าวเพราะความโกรธตรงหน้าคือสิ่งที่ผมอยากเห็นมาตลอด ตอนนี้เอมกำลังโกรธจัดกำมือตัวเองแน่นจนตัวสั่นไปหมด เถียงออกมาซักคำสิว่ามันไม่จริง พูดออกมาด้วยอารมณ์ที่อยู่ด้านในตอนนี้ไม่ใช่สร้างภาพใจเย็นกดทุกอย่างไว้ด้านใน

“อะไรกัน… นี่เราแค่เดานะ ตกลงมันเป็นเรื่องจริงหรอถึงได้โกรธจนตัวสั่นแบบนี้”

“ต้องการอะไรถึงมาพูดจาแบบนี้ใส่เอม!”

“เปล่า… ก็แค่เกริ่นก่อนจะอวยพรให้พ่อเอมหายแล้วลุกขึ้นมาขายลูกให้ผู้ชายคนอื่นเพื่อใช้หนี้เร็ว ๆ ...เพราะว่าผู้ชายคนปัจจุบัน… ดูเหมือนว่าเจ้าของเขาจะอยากได้คืนแล้ว” ลิฟท์แจ้งเตือนเมื่อถึงชั้นปลายทาง ผมก้าวออกมาทันทีที่ประตูเปิดออกโดยไม่ได้สนใจว่าคนที่อยู่ในลิฟท์อีกคนจะเดินตามมาหรือไม่ ผมยกมือข้างที่ถือช่อดอกไม้ขึ้นดมอย่างอารมณ์ดี ไอ้กลิ่นจอมปลอมที่ตีจมูกมันช่างหอมหวลเสียยิ่งกว่าอะไร

“เดี๋ยวก่อนสิพอช…” เสียงเรียบแต่หนักแน่นที่เอ่ยตามจากด้านหลังทำให้ผมนึกแปลกใจไม่ได้ อะไรทำให้หญิงสาวเปลี่ยนน้ำเสียงได้เร็วขนาดนี้ ...มารยา หรือว่าความตอแหลโดยกมลสันดาน

“ว่าไง” ผมหลุดยืนแล้วหันไปประจันหน้ากับเอมอีกครั้ง

“ขอตะกร้าเอมคืนด้วย”

“.........” เอมยื่นมือเข้ามาดึงตะกร้าไปก่อนจะพูดว่าขอคืนเสียด้วยซ้ำ ผมมองกริยาท่าทางตอนนี้ของเธอเท่าไหร่ก็อ่านการนึกคิดไม่ออกเสียที

“ขอบคุณนะที่ช่วย… แต่พอชเห็นมั้ยว่าของของเอมยังไงมันก็เป็นของเอม เมื่อกี้พอชก็แค่คว้ามันไปถือเอาไว้ แต่สุดท้ายแล้วมันก็เป็นของเอมอยู่ดี ...ออ แล้วเอมก็รู้ตัวว่าพอชเอาของของเอมไปถือเอาไว้แต่ที่เอมไม่ได้พูดอะไรก็เพราะว่าเอมสงสาร… กลัวว่าจะเสียใจ อุตส่าห์มีน้ำใจมาช่วยถือของทั้งที”

“.........” กลายเป็นผมที่พูดอะไรไม่ออกและกำมือแน่นมองแววตานางเอกที่ยืนยิ้มบางอยู่ตรงหน้า ก็ไม่ได้สะกิดใจอะไรนักหนาหรอก แต่ไอ้สีหน้านางเอกไร้เดียงสาขัดกับคำพูดนี่ต่างหากที่เป็นปัญหา

“ออ… แล้วเรื่องครอบครัวเอม ขอบคุณนะ เอมว่าพอชก็คงจะเข้าใจเอมดีที่สุด ...เพราะว่าครอบครัวพอชก็พังเพราะหนี้จนบ้านแตก แต่บ้านเอมจะไม่เป็นแบบนั้นแน่นอน เป็นกำลังใจให้เอมด้วยแล้วกันนะ”

“นี่เธอ!!” ดูเหมือนว่าผมจะเสียท่าเธอเพราะเรื่องนี้ มือไม้สั่นกำแน่นโดยเฉพาะข้างที่ถือช่อดอกไม้เอาไว้ แรงบีบจากความโกรธของผมมันแทบจะทำให้ไอ้ของสวยงามนี่แหลกคามือ แต่ผมคงไม่รอให้ถึงตอนนั้นหรอก

“ต่างคนต่างอยู่เถอะพอช จริง ๆ เต็มเขาก็พูดกับเอมทุกเรื่อง แล้วเอมก็สัญญาแล้วว่าจะไม่ไปยุ่งกับเรื่องของพอช เว้นเสียแต่ว่าพอชจะเข้ามายุ่งกับเอมก่อน”

ตุ้บ!! ผมเขวี้ยงช่อดอกไว้ในมือลงกับพื้นจนกลีบดอกหลุดกระจายทั่วบริเวณ เอมปรายตามองลงกับพื้นตรงหน้าเธอแล้วเหลือบมองผมแบบปลง ๆ ระคนสมเพช แต่ว่าตอนนี้ผมไม่สนใจสายตาใครทั้งนั้นไม่ว่าจะเอม หรือใครก็ตามที่อยากยุ่งเรื่องชาวบ้านแล้วมองเข้ามา

“เหอะ… อย่าโลกสวยนักเลยเอม เดินออกมานอกทุ่งลาเวนเดอร์บ้าง เธอเองก็คงทนไม่ได้ที่รับรู้เรื่องนี้อยู่เต็มอก คิดว่าตัวเองเป็นใคร ถึงคิดว่าการอยู่ต่อไปเรื่อย ๆ แบบนี้มันจะดี ถอยไปแล้วจบเรื่องนี้ดีกว่า อย่ามาหาว่าเราไม่เตือน!”

“พอชถามว่าเอมเป็นใครหรอ… ภรรยาที่ถูกต้องตามกฏหมายไงพอช แล้วพอชล่ะเป็นใคร… ลองถามตัวเองดู” รอยยิ้มผู้ชนะฉาบขึ้นบนใบหน้าเอมให้ผมเห็นเป็นครั้งแรก เธอเดินผ่านหน้าผมไปโดยไม่คิดจะหันกลับมามอง หรือหยุดยืนเพื่อฟังประโยคสุดท้ายที่ผมอยากจะบอกเอาไว้ด้วยความหวังดี

“นอนกกทะเบียนสมรสเอาไว้ให้แน่นเถอะ แล้วอย่าลืมเหลือพื้นที่ไว้ให้ใบหย่าด้วยแล้วกัน!!” แม้ว่าอารมณ์ฉุนเฉียวจะยังคงอยู่แต่มันก็ไม่ได้ยากเกินกว่าที่ผมจะตีหน้าใสซื่อแล้วสาวเท้ายาวนำหน้าเอมไปยังห้องพักคนไข้ตามที่ตั้งใจ ริมฝีปากผมเหยียดยิ้มขึ้นเมื่อรู้ว่าเวลาสนุกกำลังจะเริ่มขึ้น

“พอช…” ใครบางคนที่เปิดประตูสวนออกมาก่อนที่มือผมจะได้สัมผัสประตู ดวงหน้ามั่นอกมั่นใจของผมเปลี่ยนไปถนัดตาเมื่อวินาทีนั้นได้สบตากับคนที่ยังไม่ค่อยอยากจะเจอเป็นการส่วนตัวเท่าไหร่ ยิ่งมองหัวใจผมมันก็ยิ่งเต้นเป็นจังหวะเชื่องช้าและเพิ่มความลังเลใจมากกว่าเดิม





ผมลังเลแม้กระทั่ง… จะเข้าไปด้านในหรือถอยกลับไปก่อนดี





“โทษที ผมคงมาผิดห้อง” ทันที่ฝ่ามือหนาคว้าเข้าที่ข้อมือขวา ผมก็ใช้เวลาคิดอยู่ไม่ถึงเสี้ยววินาที บิดแขนแรง ๆ ม้วนตัวกลับออกมาทันที โดยไม่ลืมที่จะส่งสัญญาณอาฆาตใส่เอมที่เดินตามมาติด ๆ เอาเป็นว่าวันหลังพอชจะมาเยี่ยมใหม่พร้อมช่อดอกไม้ที่ใหญ่กว่าเดิมแล้วกันนะ สำหรับวันนี้แค่ได้จุดชนวนเปิดศึกมันก็คงคุ้มค่าประมาณนึงแล้วล่ะมั้ง

“พอช หยุดก่อน”

“ขอทางด้วยครับ” ผมไม่ได้สบตาเต็ม เบี่ยงตัวเข้าลิฟท์ทั้งที่มันยืนขวางอยู่ และแน่นอนผมไม่ทิ้งจังหวะให้เต็มเข้ามาในลิฟท์พร้อมผมแน่ ๆ เลขบอกชั้นลดน้อยลงเรื่อย ๆ พร้อมกับเสียงถอนลมหายใจของผม ผมยังไม่พร้อมตอนนี้ ไม่พร้อมที่จะฟังคำแก้ตัวของมัน ไม่พร้อมจะโกรธ จะเกลียด หรือให้อภัยใครทั้งนั้น

ทันทีที่ประตูลิฟท์เปิดออกสองขาของผมก็ก้าวฉับ ๆ ความเร็วระดับเดียวกับสมองที่กำลังคิดว่าจะทำยังไงต่อไป ก่อนหน้านี้ผมไม่ได้คิดว่าการเจอหน้ามันจะทำให้ผมกลายเป็นคนขี้ขลาด ผมควรทำอะไร… ควรตีโพยตีพายร้องไห้ฟูมฟาย หรือทำอะไรให้มันเจ็บใจได้ซักครึ่งนึงของผม

“พอช! เดี๋ยวก่อน” ไม่ต้องเดาให้เสียเวลาเพราะว่าเต็มมันวิ่งกระหืดกระหอบตามผมมาติด ๆ และนั่นก็ทำให้ผมต้องรีบเร่งฝีเท้าให้เร็วกว่าเดิม

“พอช หยุดคุยกันก่อนสิ” เต็มคว้าแขนผมเอาไว้ทั้ง ๆ ที่ผมสับขาหนีออกมาจากตัวอาคารจนแทบจะโบกแท็คซี่ได้อยู่แล้ว ร่างสูงหยุดยืนด้วยลมหายใจหอบเหนื่อย เป็นยังไงบ้างล่ะ การวิ่งตามรู้สึกเหนื่อยบ้างมั้ย แต่นี่มันไม่ได้ครึ่งของการใช้ใจวิ่งตามหรอกนะ





จะอนุเคราะห์ให้ลองวิ่งตามดูซักครั้งก็แล้วกัน





“ปล่อย” ผมสะบัดหน้าไปมองมันด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์นัก

“มึงมาที่นี่ได้ไง”

“ผมดำน้ำจากเกาะช้างแล้วมาโผล่ท่อน้ำทิ้งที่นี่มั้งครับ” ไอ้มือนี่ก็จับแน่นจังวะ! เริ่มเจ็บแล้วนะเว้ย!

“อย่ากวนได้มั้ย”

“ผมไม่ได้กวนคุณนี่ครับ… ที่ตอบแบบนั้นก็เพราะว่าผมไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพูดอะไรอีก”

“คุยกันดี ๆ สิวะ”

“แล้วนี่มันไม่ดียังไงครับ” นั่นสิ ไม่ดียังไง นี่ผมลงทุนพูดจาไพเราะขัดกับสีหน้าและอารมณ์เลยเชียวนะ

“ก็….” เหมือนว่าคนตรงหน้าผมจะพึ่งนึกได้ว่าควรปล่อยให้ผมอารมณ์เสียฝ่ายเดียวน่าจะดีกว่า เต็มพยายามสูดลมหายใจเข้าออกและคลายน้ำหนักมือที่แขนผมลงก่อนที่จะเคลื่อนมาจับมือผมเอาไว้แน่นแทน ใช่ว่าผมจะไม่รู้สึกอะไร แต่ที่ยังยืนหน้านิ่งอยู่แบบนี้ก็เพราะว่าภาพที่เต็มปล่อยมือผมเมื่อคืนกำลังย้อนกลับมาแทนที่เหตุการณ์ตรงหน้า

“ผมว่า… คุณปล่อยผมเถอะ คุณน่าจะต้องรีบเข้าไปข้างใน ภรรยาคุณน่าจะรออยู่”

“ขอโทษ กูไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้”

“แบบไหนหรอครับ แบบที่คุณทำให้ผมเจ็บใจจนแทบแย่น่ะหรอ” ผมพยายามใช้มืออีกข้างของตัวเองแกะมือกาวของเต็มออก แต่ก็กลายเป็นว่ามันรวบมือผมสองข้างเอาไว้ด้วยกันเต็มแรง

“เข้าใจกูได้มั้ยพอชว่ามันจำเป็น กูพยายามติดต่อมึงแล้ว กูไม่ได้อยากทิ้งมึงมาโดยไม่ได้บอก ไม่ได้อยากทิ้งมึงไว้กับฝนฟ้าแบบนั้น ...กูพยายามแล้วจริง ๆ”

“โทรศัพท์ผมมันเปียกจนใช้งานไม่ได้น่ะครับคุณเต็ม แต่รู้อะไรมั้ยครับว่าตัวคุณเองไม่ได้พยายามอย่างที่พูด ถ้าคุณให้ความสำคัญกับผมจริง ๆ มันจะไม่เป็นแบบนี้”

“จะให้กูทำยังไงพอช เลิกพูดจาห่างกันแบบนี้ซักทีได้มั้ย”

“ปล่อย…” เสียงทุ้มต่ำและแววตาที่จริงจังทำให้เต็มค่อย ๆ ปล่อยมือจากผม จะให้ยอมคืนดีเพราะว่าคำขอโทษครั้งสองครั้งนี่มันคงง่ายไปหน่อยล่ะมั้ง

“พอช…”

“เลิกยุ่งกับผมซักระยะเถอะ… ผมอยากคิดอะไรคนเดียวบ้าง”

“แต่ว่า…”

“ถึงเราจะต้องอยู่บ้านเดียวกันเพราะผมไม่มีที่ไปแต่คุณไม่ต้องทักทายผม ไม่ต้องใส่ใจผม เวลาที่ฝนตกคุณก็อยู่ในห้องของคุณ ...เผื่อว่าวันนึงผมจะอยู่กับความกลัวคนเดียวได้ซักที” ผมรู้ตัวดีว่าผมเผื่อปล่อยให้เสียงที่ปลายประโยคสั่นเครือไปหมด แต่มันก็คงคุ้มค่าที่ทำให้ผมเห็นขอบตาที่เริ่มเอ่อของเต็ม ผมไม่ได้รู้สึกสะใจที่เห็นสีหน้าคนที่ใจมันรักเป็นแบบนี้ แต่ก็คงปฏิเสธไปไม่ได้เลยว่าผมชอบที่เต็มกำลังจะเป็นฝ่ายวิ่งตามผมบ้าง ...แค่ซักครั้งก็ยังดี

“ต้องให้กูทำยังไงมึงถึงจะยอมหายโกรธ”

“ผมไม่ได้โกรธ… ผมเข้าใจดีแล้วว่าคุณมีเหตุผลมากพอที่ปล่อยผมไว้กับคนอื่น เมื่อคืนคุณกรดูแลผมดีมาก คุณเต็มไม่ต้องรู้สึกผิดอะไรหรอกครับ” รอยยิ้มของผมคงไม่ได้ช่วยให้อะไร ๆ ณ ตอนนี้ดีขึ้น ดวงตาคมที่มองผมกระตุกวูบแล้วเข้มขึ้นคล้ายมีปฏิกิริยากับคำพูดทีแสนธรรมดาจากผม

“พอช…”

“ไว้ผมมีที่ไปเมื่อไหร่ คุณเต็มคงไม่ต้องคอยวุ่นวายเรื่องผมแล้วล่ะครับ” ผมทิ้งท้ายประโยคสุดท้ายก่อนจะโบกรถแท็คซี่คันที่ใกล้สายตาที่สุด ที่ทำอยู่นี่ผมไม่ได้อยากจะประชดชีวิตและไม่มีความจำเป็นอะไรที่ผมจะต้องประชด เพราะแค่ผมเห็นสายตาเต็มที่มองมาผมรู้ดีอยู่แล้วว่าผลลัพธ์เรื่องนี้มันจะเป็นยังไง นี่มันก็แค่การท้าทายให้ในใจคนร้อนรนจนแสดงออกทุกสิ่งเร็วขึ้นก็เท่านั้น





วิ่งตามมานะเต็ม

ตามมาตรงนี้ให้ทัน

เพียงแต่กูจะไม่สัญญาว่าจะอยู่รอ หรือจะจากไปเท่านั้นเอง




ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3
Chapter 15 คิดเข้าข้างตัวเอง

ชีวิตผมดำเนินต่อไปเฉกเช่นเดียวกันกับวันธรรมดาทั่วไป และแน่นอนว่ามันก็ยังคงขึ้น ๆ ลง ๆ ให้เหนื่อยใจเล่นอยู่เสมอ กว่าสัปดาห์ที่ผมทำตัวราวกับเต็มเป็นธาตุอากาศที่มีอยู่จริงแต่ผมดันมองไม่เห็น ทั้งที่มันพยายามเหลือเกินที่จะเข้าใกล้ผม เอาใจผมอยู่ห่าง ๆ หรือแม้แต่ทำหลาย ๆ เรื่องที่ไม่น่าจะทำ แต่สิ่งที่มันทำก็คงยังไม่เพียงพอที่จะพิสูจน์ได้ว่าคนแบบผมมันไม่ใช่ของตาย

“ตรงนี้ค่ะคุณพอช”

“.........”

“คุณพอชคะ!”

“ค...ครับ!” ผมสะดุ้งขึ้นเมื่อเผลอเหม่อไปครู่ใหญ่ขณะคุยบางเรื่องอยู่กับพี่พริ้ง กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่พี่พริ้งท้วงให้ผมเซ็นเอกสารเสียที เหอะ ก็ไม่ได้อยากจะโทษคนอื่นหรอกนะ แต่ก็เป็นเพราะไอ้เต็มนั่นแหละที่ทำให้ผมหลุดลอยไปไกลขนาดนี้

“เซ็นเอกสารให้พี่ด้วยค่ะ”

“เรียบร้อยครับ”

“โอเคค่ะ ถ้างั้นพี่ขอตัวก่อนนะคะ” ผมพยักหน้าและช่วยเธอรวบเอกสารที่กระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะ แต่ยังไม่ทันที่จะได้เอี้ยวตัวพ้นประตูห้อง ผู้ช่วยของผมคนนี้ก็หันกลับมาคล้ายนึกบางอย่างขึ้นมาได้

“ลืมไปเลยว่าคุณเต็มฝากพี่มาถามตั้งแต่เช้าแล้วว่า…”

“ไม่ครับ” ผมเอ่ยตอบพี่พริ้งก่อนที่จะได้ยินคำถามจบประโยคเสียอีก ทำไมผมจะไม่รู้ว่าพี่พริ้งจะถามว่าอะไร ก็คงจะเป็นคำถามเดิม ๆ ที่ผมได้รับในช่วงสามสี่วันที่มาทำงาน ...จะกลับบ้านกับมันมั้ย… ซึ่งคำตอบง่าย ๆ ก็คือไม่ ถึงแม้ว่าผมจะไม่ถูกใจคนขับและรถโกโรโกโสจากคุณอาเท่าไหร่ ก็คงจะดีกว่าการนั่งรถไปสองคนกับมันให้รำคาญใจ

“เห้อ… โกรธอะไรกันอยู่รึเปล่าคะเนี่ย” เหมือนว่าพี่พริ้งจะอดรนทนไม่ได้ถึงทำหน้าตาเหนื่อยอกเหนื่อยใจใส่ผม

“เปล่านี่ครับ” ผมสบตาพี่พริ้งแล้วกระพริบเบา ๆ สองสามครั้ง ถ้าเธอฉลาดพอก็คงจะเดาออกแล้วว่าที่ผมพูดมันไม่จริง

“คุณพอช อย่าหาว่าพี่ยุ่งเรื่องของเจ้านายเลยนะคะ มีปัญหาอะไรหันหน้าเข้าคุยกันเถอะค่ะ พี่ดูก็รู้ว่าคุณทั้งสองคนไม่ได้สบายใจเลย… ไม่มีใครจะดูแลกันได้มากกว่าคนที่เข้าใจกันหรอกนะคะ”

“............” ผมเงียบไปเพราะรู้สึกว่าพี่พริ้งกำลังพูดในโทนเสียงที่จริงจังมากกว่าทุกที เธอยิ้มบาง ๆ ให้ผมเหมือนจะสื่อสารว่าเธอเองก็มีมันสมองที่จะเดาเรื่องราวของผมกับเต็มได้บ้าง ถึงผมจะไม่ได้เล่าและเธอไม่ได้พูดสิ่งที่คิด แต่ผมว่าผมสามารถอ่านแววตาคู่ตรงหน้านี่ออก

“ตกลงว่าจะไม่กลับกับคุณเต็มใช่มั้ยคะ”

“ครับ…” ผมตอบสั้น ๆ แล้วคว้าแฟ้มบนโต๊ะมาพลิกไปพลิกมาทั้งที่จริง ๆ แล้วใจมันแทบไม่อยู่กับตัว ผมกำลังจะเข้าสู่โหมดของการเหม่อลอยอีกครั้ง ผมไม่ได้ใจแข็งขนาดนั้นแต่ก็ไม่ได้ใจอ่อนมากพอที่จะยอมหันหน้ากลับไปง่าย ๆ ใครจะด่าว่าผมเล่นตัวก็ช่างเพราะว่าผมรู้ดีว่าตัวผมเองต้องการอะไร ขอเวลาผมอีกซักวันเถอะ อีกแค่วันนี้วันเดียวที่ผมจะทำให้เต็มได้รู้สึกใจจะขาดแบบที่ผมเคยเป็น

“เดี๋ยวครับพี่พริ้ง…!” ผมเอ่ยขึ้นก่อนที่พี่พริ้งจะเดินออกไปพ้นห้อง ริมฝีปากเหยียดเป็นเส้นตรงเพราะทีแรกไม่แน่ใจในสิ่งที่จะพูดต่อไป แต่สุดท้ายแล้วรอยยิ้มร้าย ๆ ก็กระตุกขึ้นที่มุมปาก คนแบบผมมันจะมัวมาเสียเวลาลังเลได้ยังไง จริงมั้ยครับ?

“ว่าไงคะ”

“ผมฝากบอกคนรถด้วยนะครับว่าวันนี้ไม่ต้องรอ ออ แล้วก็บอกเต็มด้วยว่าที่ผมไม่กลับกับมันวันนี้… เพราะว่าผมมีนัดสำคัญ”

ทีแรกมันก็ไม่ใช่นัดสำคัญอะไรมากมายหรอก แต่ตอนนี้ผมจะยกระดับให้มันสำคัญขึ้นมาก็แล้วกัน ไหน ๆ ก็ดึงคนในแชทผมตอนนี้เข้ามาในเกมขนาดนี้แล้ว ขอยืมตัวอีกซักครั้งก็คงจะไม่เสียหายอะไร





Takorn

‘เย็นนี้ว่างเจอกันรึเปล่า พี่มีร้านเด็ดจะแนะนำ’





แหม่…

ว่างสิครับพี่กร พอชว่างเสียยิ่งกว่าว่างอีก พี่กรนั่นแหละครับที่คงต้องถามตัวเองดูว่ามีเวลามากพอมาเล่นสนุกกับพอชรึเปล่า





“เนี่ยน่ะหรอครับ ร้านที่พี่กรจะแนะนำ” ผมยืนงงเป็นไก่ตาแตกอยู่หน้าร้านข้าวต้มรถเข็นริมแม่น้ำเจ้าพระยา ส่วนข้าง ๆ ตัวก็เป็นคนพามาที่ยืนตีหน้ามืนเหมือนไม่ได้คิดอะไรผิดไป ไอ้ร้านเห่ย ๆ แสนธรรมดาเนี่ยน่ะหรอที่จะให้ผมพามาเลี้ยงตอบแทนตามสัญญา สภาพร้านที่พร้อมเจอเทศกิจทุกเมื่อแบบนี้จำเป็นต้องถ่อขับรถไปรับผมถึงบริษัทแล้ววนกลับมาอีกรอบเลยรึไงกัน

“นี่แหละ ของดี” พี่กรยักคิ้วกวน ๆ ใต้กรอบแว่น ก่อนจะเดินผ่านตัวผมเข้าไปนั่งที่โต๊ะโดยไม่ลืมที่จะกวักมือเรียก

“ไม่ยักรู้ว่าลูกชายคุณสาโรจน์ชอบขับรถหรูมากินร้านแบบนี้” ผมแซวขำ ๆ ถึงแม้จะมองไปยังโต๊ะที่ยังมีคราบจากการเช็ดลวก ๆ ด้วยสายตาเหยียด ๆ และไม่ได้รู้สึกขำซักนิด

“อย่าดูถูกเชียวพอช… แล้วจะติดใจ” พี่กรยิ้มท้าทายผมก่อนจะเดินไปสั่งอาหารกับอาเฮียเจ้าของร้าน จะว่าไปตรงนี้อากาศก็ดีในระดับนึง แต่ก็ยังไม่มากพอให้ผมเลิกใช้กระดาษทิชชู่เช็ดโต๊ะซ้ำด้วยอารมณ์เซ็ง ๆ ก็ไม่ได้กระแดะรักความสะอาดอะไรขึ้นมาหรอกครับ ร้านสกปรกกว่านี้ผมก็กินมาแล้ว แต่ว่าแค่ยังแปลกใจมากกว่าที่จู่ ๆ แผนถ่ายรูปดินเนอร์หรูเย้ยไอ้เต็มของผมต้องกลับกลายมาเป็นความชิลล์จนคาดไม่ถึงแบบนี้

“ถ้าผมติดใจแล้วพี่จะพาผมมากินอีกป่ะล่ะ” ผมถามเมื่อพี่กรกลับมานั่งที่โต๊ะพร้อมน้ำเปล่าสองแก้ว เจ้าตัวทำสีหน้ากวน ๆ ยันหน้าผากผมจนแทบหงายด้วยนิ้วชี้แค่นิ้วเดียว

“มีเวลาว่างรึเปล่าล่ะ ห่ะ ชวนตั้งหลายวันกว่าจะยอมมา”

“ก็ช่วงนี้ผมต้องเคลียร์งาน แล้วก็ปัญหาชีวิตอีกตั้งหลายเรื่อง เห็นใจกันหน่อยสิครับ” ผมยกแก้วน้ำขึ้นดูดแก้เก้อ เพราะว่าจริง ๆ แล้วผมใช้เวลากับเรื่องไม่เป็นเรื่องหลายเรื่องต่างหาก แค่ว่างคุยแชทกับพี่กรจบสนิทใจได้มากขึ้นแบบนี้มันก็ดีถมเถแล้วล่ะครับ

“ถามจริง งานรัดตัวขนาดนี้กะได้เงินเดือนเพิ่มจนรวยเละเลยรึเปล่า”

“เงินเดือนบ้าบออะไรล่ะ ผมไม่หวังอะไรหรอก ก็แค่ทำงานใช้หนี้ชีวิตเขาไปวัน ๆ” ผมตอบแบบปลงตกเมื่อคิดถึงชีวิตตัวเองที่ไม่สามารถแก้ไขเบื้องหลังไม่สวยหรูได้

“หนี้ชีวิต… พอชไปติดหนี้อะไรพวกเขานักหนา” พี่กรเลื่อนแก้วน้ำบนโต๊ะหลบเมื่อข้าวต้มถ้วยเล็ก ๆ สองถ้วยถูกยกมาเสิร์ฟและตามด้วยกับข้าวที่น่าจะเข้ากันได้อีกสองสามอย่าง

“ก็หลายเรื่อง ถ้าไม่มีคุณอาตอนนี้ผมอาจจะเป็นเด็กเดินยาอยู่ที่ไหนซักที่ก็ได้”

“ทำไมถึงคิดแบบนั้น พอชอาจจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้ก็ได้ถ้าไม่มีคุณบวร” ผมไม่ได้เข้าใจสิ่งที่พี่กรพูด แต่ก็ไม่ถามอะไรออกไปเพราะอีกฝ่ายกำลังตักอาหารเข้าปาก ซ้ำยังคีบหมูกรอบชิ้นโตมาวางในชามผม

“ไม่หรอก พ่อตาย แม่ติดคุก ชีวิตมันจะดีได้ยังไง” ผมตักข้าวต้มจืด ๆ เพื่อชิมรสชืด ๆ ของมัน ชินซะแล้วล่ะกับเรื่องราวความเป็นจริงเหล่านี้ จะให้พูดถึงอีกกี่ครั้งสภาพจิตใจผมข้างในผมมันก็ด้านชาเหมือนเดิม

“แต่พอชก็ยังมีพี่ชาย” หมูกรอบที่กำลังจะเข้าปากต้องชะงักและกลับลงสู่ชามข้าวต้มอีกครั้ง ผมเงยหน้าขึ้นสบตาพี่กรเพื่อสื่อสารว่าคนที่เขาพูดถึงมันไม่มีอยู่จริง แต่แล้วแววตาจริงจังและเชื่อมันของเขาก็ทำให้ผมลังเล ...หรือว่าผมจะยังเหลือพี่พีทอยู่กันนะ

“ไม่มีหรอก… เขาทิ้งผมไปนานขนาดนี้ ...ผมกับเขาต่างไม่มีพี่น้อง” ผมหวนคิดไปถึงวันที่พี่พีทเลือกที่จะทิ้งผมไป ผมไม่เคยเข้าใจการตัดสินใจของเขาในครั้งนั้น การตัดสินใจที่ทิ้งให้น้องชายร่วมสายเลือดเผชิญชีวิตในบ้านหลังใหญ่ของคนอื่นเพียงลำพัง

“พอชไม่ควรคิดแบบนั้น ตอนนี้เขาอาจจะยืนมองพอชอยู่ที่ไหนซักมุมก็ได้… และที่เขาทำแบบนั้นเขาก็คงจะมีเหตุผล”

“พอเถอะครับ ผมไม่อยากพูดถึงเขาแล้ว” ผมตัดบทเอาเสียดื้อ ๆ ทอดสายตาออกไปยังผืนน้ำที่ไหวไปมาตามแรงลม ป่วยการที่จะนึกคิดและพูดถึงพี่ชายใจร้ายคนนั้น บางครั้งผมก็คิดว่าตอนนี้เขาอาจจะตายจากผมไปแล้วอีกคนก็ได้

“โทษที ไม่ได้ตั้งใจทำให้พอชคิดมาก”

“ไม่เป็นไรนี่ครับ ผมโอเค”

“แต่พี่พูดจริง ๆ … พี่ไม่อยากให้พอชคิดว่าพีทเขาทิ้งพอช ยังไงซะพอชกับเขาก็เหลือกันอยู่แค่สองคนนะ”

“..........” พี่กรเอื้อมมือมาแตะที่ช่วงต้นแขน ผมพยักหน้ารับทั้งที่ในใจมันกำลังค้านสุดพลัง หลังจากนั้นมื้ออาหารก็ดำเนินต่อไปอย่างเชื่องช้าเพราะว่าเราเอาแต่พูดคุยเรื่องสัพเพเหระกันเสียมากกว่า ผมยอมรับว่าผมสบายใจมากขึ้นเมื่อได้คุยกับคนคนนี้ และปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหลาย ๆ ครั้งพี่กรเองก็มีความอบอุ่นทางคำพูดที่ทำให้ผมอ่อนลงราวกับรู้จักผมดี

50%

“เออ… แล้วคุณศักดิ์ดาพ่อคุณเอมอาการเป็นยังไงบ้าง” ผมเบ้ปากทันทีที่ได้ยินคำถามนี้ รสชาติอาหารในปากมันแย่ลงจนอยากจะคายทิ้ง พูดถึงแล้วมันนึกขยะแขยงครอบครัวนั้นที่สุดท้ายก็ต้องมายืมเงินคุณอาบวรไปใช้หนี้อีกจนได้ ทั้ง ๆ ที่ผมพยายามบอกว่าบ้านนั้นยุ่งเกี่ยวกับการพนันจนหนี้สินรุงรัง แต่คุณอาก็ยังคงเต็มใจช่วยลูกสะใภ้กาฝากที่ไม่รู้ว่าจะต้องสูบเลือดสูบเนื้อไปอีกมากเท่าไหร่

“ก็เห็นว่าดีขึ้นแล้วนะครับ เสียดาย นึกว่าจะได้ไปงานศพซะแล้ว”

“........” พี่กรชะงักไปเมื่อได้ยินประโยคขำ ๆ ที่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ขำด้วย นี่ถ้ารู้ว่าผมเกือบจะหิ้วพวงหรีดไปเยี่ยมไข้คนป่วยจะทำสีหน้าแบบไหนกันนะ

“ผมล้อเล่น ไม่ได้จะแช่งให้ใครตายจริง ๆ ซะหน่อย” แต่ถ้าใครซักคนจะต้องตายก็ควรจะเป็นตัวปัญหาอย่างผู้หญิงคนนั้น ว่ามั้ยครับ?

“พี่ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่”

“แต่หน้าพี่ตกใจอยากกับผมฆ่าคนตายไปแล้วซะงั้น”

“ก็แค่แปลกใจ ไม่คิดว่าคนอย่างพอชจะพูดอะไรแบบนี้ออกมา”

“งั้นพี่กรคงมองผมผิดแล้วล่ะ” ผมยิ้มขำและดูเหมือนว่าคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามก็จะเริ่มขำตามไปด้วย

“เรานี่มันจริง ๆ เลยนะ ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมไม่มีใครคบ”

“เดี๋ยวเถอะ!” ตะเกียบในมือผมแทบจะจิ้มเข้าตาพี่กรเพราะไอ้อาการหัวเราะร่วนที่เห็นอยู่ตรงหน้า

“แล้วตัวคุณเอมเป็นไง โอเคมั้ย”

“ก็น่าจะโอเคนะ เพราะพ่อคงไม่มีปัญญาลุกไปผลาญเงินแล้ว แถมอยู่ดี ๆ ก็มีคนใช้หนี้ให้ แต่งงานครั้งเดียวคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม”

“จะว่าไปก็แปลกนะ คนในวงการธุรกิจเขารู้กันหมดว่าบ้านคุณเอมมีปัญหา แถมยังเสี่ยงคดีความฟ้องร้องทุจริต คนแบบคุณบวรไม่น่าจะลงไปเสี่ยง”

“ก็นั่นมันลูกสะใภ้แสนรักของเขานี่ครับ”

“น้ำเสียงแบบนี้ถ้าเราไม่เคยคุยกันมาก่อน พี่จะตีความว่าเรากำลังเกลียดคุณเอมเขาเข้าไส้” ผมเลิกตามองพี่กรที่ดันเดาอะไรได้เก่งเกินไป

“ผมไม่ได้พูดนะ”

“งั้น...ที่พี่ตีความอะไรไปมั่ว ๆ เมื่อกี้ก็ถือซะว่าพี่ไม่ได้พูดก็แล้วกัน” พี่กรยักคิ้วแล้วกินต่อเหมือนไม่ได้พูดอะไรออกมาจริง ๆ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเขาอ่านผมออกจนแทบจะหมดสิ้น เริ่มจากการพูดคุยของเราหลังจากที่ผมกลับมาจากเกาะช้าง พี่กรไม่เคยถาม ไม่เคยพูดถึงเรื่องราวความกลัวจนเสียสติของผมในคืนนั้น ไม่เคยถามหาเหตุผลที่ผมเอาแต่ละเมอถึงใครอีกคน แต่กลับปลอบโยนและถามไถ่ทุกข์สุขได้ถูกจุดราวกับเข้าใจเรื่องราวของผม

“ดีมากครับ เพราะว่าผมยังอยากเป็นคนดีในสายตาพี่อยู่” คนฟังยิ้มเล็ก ๆ ระหว่างที่ยังเคี้ยวอาหารอยู่เต็มปาก

“เออ ถ้าเรามีเวลาว่างตรงกันอีก พี่มีอีกร้านนึงแนะนำ ไว้ไปด้วยกัน”

“แนะนำอีกแล้วหรอ ...ร้านสภาพแบบนี้ไม่เอาแล้วนะ” ผมใช้เวลากระซิบเสียงท้ายประโยคให้เบาที่สุด ก็ยังไม่อยากลงไปอยู่ในหม้อข้าวต้มตอนนี้นี่หว่า

“คราวหน้าถูกใจแน่ ร้านออส่วนกระทะร้อนที่พอชเคยชอบไง”

“ร้านตรงสุขุมวิทใช่ป่ะ”

“ถูกต้องครับผม”

“เดี๋ยวนะ…” ทั้งผมและพี่กรก็ต่างเงียบไป มือผมถือช้อนนิ่งอยู่อยู่แบบนั้น แววตาไม่เข้าใจมองคนตรงหน้าที่กำลังหลุบสายตาลงต่ำก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นมาเลิกคิ้วเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ม...มีอะไรรึเปล่า”

“ทำไมพี่รู้ว่าผมชอบกินออส่วนร้านนั้น…” พี่กรหยุดคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปากบอกผม

“ก็เราเป็นคนบอกพี่เองไง จำไม่ได้หรอ”

“ผมบอกพี่หรอ ตอนไหน”

“ริมหาดวันนั้นนั่นแหละ เมาแล้วหลงลืมนะเราอ่ะ” พี่กรเอื้อมมือมาโยกหัวผมก่อนจะดีดเบา ๆ เข้าที่หน้าผาก ดวงตาคมคายฉายแววสดใสตลอดเวลาที่อยู่ภายใต้กรอบแว่น ผมไม่รู้ว่าผมเผลอมองพี่กรนานแค่ไหน แต่มันก็มากพอให้ผมรู้สึกตื้อขึ้นมาในอกจนอยากจะร้องไห้

“ผมไม่เคยไปกินร้านนั้นอีกเลยตั้งแต่อยู่คนเดียว…” ผมไม่รู้ว่าที่พี่กรพูดมันจริงแค่ไหน ผมอาจจะเผลอบอกเขาไปตอนที่มีฤทธิ์แอลกอฮอลอยู่ในร่างกาย แต่ที่มันจริงตอนนี้คือการกระทำและคำพูดของเขามันทำให้ผมคืดถึงพี่ชายตัวเอง

“งั้นเดี๋ยวพี่จะพาไป… เพราะว่าพอชไม่ได้ตัวคนเดียวแบบที่คิด”

“ถ้าพี่กรหน้าคล้ายผมบ้างซักนิด… ตอนนี้ผมคงจะคิดเข้าข้างตัวเองว่าพี่พีทกลับมาแล้ว”





“พอชเด็กดื้อ ไม่ร้องไห้นะ ยังเหลือพี่อยู่ทั้งคน เดี๋ยวพาไปกินออส่วนของโปรดเอามั้ย” สัมผัสแผ่วเบาบนหัวเด็กสิบกว่าขวบ แรงดีดเบา ๆ บริเวณหน้าผากจากพี่ชายอายุสิบแปดถูกรีรันเข้ามาในหัว น้ำเสียงปลอบโยนในวันที่เหลือกันแค่สองพี่น้องดังก้องเข้ามาในสมองราวกับผมกำลังมีความหวัง ...ความหวังที่เป็นเพียงเรื่องลม ๆ แล้ง ๆ เท่านั้น





“คือว่า…”

“แต่มันก็แค่ความคิดของผมเท่านั้น ...เข้าใจครับ” ผมพยักหน้าให้กับตัวเองเพื่อทำความเข้าใจกับชะตากรรมที่หลีกหนีไม่ได้ ต่อให้ผมเจอคนที่ทำให้นึกถึงพี่พีทอีกกี่คน ความจริงที่ผมต้องเจอมันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปอยู่ดี ตอนนี้สิ่งที่ทำได้ก็คงจะแค่การแสร้งยิ้มออกไปเหมือนทุกที

“จิ้งจอก”

“อะไรนะครับ”

“ไอ้ท่ายิ้มพอชเมื่อกี้เหมือนหมาจิ้งจอก”

“เหมือนตรงไหน” ผมชี้นิ้วเข้าหน้าตัวเองที่ยังคงยิ้มค้างอยู่แบบเดิม ไอ้รอยยิ้มจอมปลอมแบบนี้ผมใช้มันมาทั้งชีวิต อย่างดีก็เคยได้ยินว่ามันน่าโดนกระทืบแค่นั้น

“หมาจิ้งจอกพึ่งหย่านมไงพอช ...เจ้าเล่ห์ เหมือนจะดุร้ายน่ากลัว แต่ดูไปดูมาจิ้งจอกตัวนี้ฟันยังไม่ขึ้นด้วยซ้ำ” พี่กรกระตุกยิ้มร้ายที่กัดผมจนแทบจะเหวอ ใครจะไปคิดว่าไอ้พี่แว่นที่ผมรู้จักจะพูดจาพร้อมสีหน้าร้ายกาจออกมาได้แบบนี้

“นี่พี่กรว่าผมหรอ!”

“พอชรู้สึกแบบไหนก็แสดงออกมาแบบนั้นเถอะ ลูกจิ้งจอกทำตัวเป็นจ่าฝูงได้ไม่นานหรอก วันนึงมันจะเจ็บเจียนตายเพราะว่าตัวมันเอง” คำพูดของพี่กรไม่ได้ซึมลึกเข้าไปในจิตใจผม แต่มันกำลังกัดเซาะเกราะป้องกันความรู้สึกที่ผมสร้างเอาไว้ป้องกันตัวเอง ไม่ได้อยากจะยอมรับความจริงเลยซักนิด ว่าผมมันก็แค่คนอ่อนแอคนนึงที่กำลังแพ้แล้วพาล...





“งานเปิดตัวโปรเจคใหม่บริษัทวันมะรืนพี่กรมาด้วยใช่มั้ยครับ” ผมถามขึ้นขณะที่พี่กรกำลังตั้งสมาธิกับการขับรถ และมีผมนั่งเป็นตัวทำลายสมาธิอยู่ข้าง ๆ ตัว หลังออกจากร้านข้ามต้มผมก็ขอให้พี่กรพาไปนั่งดื่มอีกพักใหญ่ ใจจริงก็อยากจะจัดหนักหัวราน้ำแล้วไปทิ้งตัวที่ไหนซักที่ แต่คนพามาดันคอยห้ามปรามจนผมรู้สึกว่าหยุดกินแล้วนั่งคุยเฉย ๆ น่าจะดีกว่า

“น่าจะไปนะ แต่คงต้องดูพ่อพี่อีกที ...เรามีอะไรรึเปล่า”

“ก็เปล่าหรอก จะได้รู้ว่าจะได้เจอกันอีก”

“เราต้องได้เจอกันแน่นอนอยู่แล้ว” พี่กรละมือจากพวงมาลัยรถมาขยี้ที่กลุ่มผมของผมอย่างเอ็นดู เสี้ยวหนึ่งของแววตาสลับมามองผมเพียงครู่หนึ่งก่อนที่เจ้าตัวจะโฟกัสที่ถนนหนทางตรงหน้าต่อไป

“นี่พี่จะเล่นหัวผมไปถึงไหนเนี่ย”

“ก็เรามันน่าหมั่นไส้นี่หว่า”

“ผมก็หมั่นไส้พี่เหมือนกัน” ผมชกเบา ๆ เข้าที่ต้นแขนพี่กรก่อนจะหันมาสนใจโทรศัพท์ตัวเองที่มีข้อความแชทค้างอยู่ตั้งแต่ช่วงสองทุ่ม นิ้วเรียวสัมผัสเปิดอ่านด้านในแล้วยกยิ้มมุมปากตามความรู้สึก บางทีความสะใจที่ได้เห็นตนที่เรารักร้อนรนเหมือนโดนสุมไฟมันก็ดีเหมือนกันนะครับ





‘อยู่ที่ไหนพอช’

‘ทำไมไม่รับโทรศัพท์’

‘อยู่กับใคร’

‘จะกลับตอนไหน’

‘อย่าเงียบไปได้มั้ย’

‘พอช อย่าทำให้กูโกรธ’

‘จะกลับกี่โมง กูอยากคุยด้วย’

‘กูรอหน้าซอยก่อนเข้าบ้านนะ อยากคุยจริง ๆ’





“กลับดึกแบบนี้คนที่บ้านคุณอาบวรเขาไม่ว่าหรอ” ผมเหลือบตามองเวลาทันทีเมื่อได้ยินสิ่งที่พี่กรพูด ช่วงเวลาตีหนึ่งกว่า ๆ แบบนี้คงไม่มีใครเขามาสนใจผู้อาศัยไร้ประโยชน์อย่างผมหรอกครับ

“ผมไม่ใช่เด็กแล้วนะ อีกอย่างคนบ้านนั้นเขาก็ไม่ได้สนใจผมนักหรอก”

“ไม่เว้นแม้แต่คุณเต็มหรอ…” ผมหันไปมองพี่กรทันทีแต่เจ้าตัวก็ยังคงมองตรงไปด้านหน้าราวกับไม่ได้จริงจังหรือแฝงความหมายใด ๆ มากับคำพูด

“อะไรทำให้พี่คิดว่าคนแบบมันจะมาใยดีอะไรผม”

“ไม่รู้สิ การกระทำ สายตา คำพูด มันก็ชัดเจนในตัวของมันอยู่นะว่าความสัมพันธ์ของพอชกับคุณกรไม่น่าจะใช่เรื่องธรรมดา ...พอชคิดว่าพี่ดูไม่ออกหรอ”

“เอ่อ…..” ผมแทบพูดไม่ออกเมื่อพี่กรพูดเหมือนรู้อะไรเข้าแล้วจริง ๆ สายตาหวาดหวั่นของผมเบี่ยงออกนอกหน้าต่างตัวรถ หรือว่าที่จริงพี่กรไม่ใช่หมากในเกมของผม อาจจะเป็นเขาเองที่คุมเกมเดินหมากเข้ามาในกระดานของผมเสียเองก็ได้

“หึ… พอชกับคุณเต็มก็คงจะเป็นเพื่อนที่สนิทกันมากเหมือนพี่น้อง เพราะโตมาด้วยกันก็เลยเป็นห่วงเป็นใย ดูแลกันเป็นพิเศษ ...พี่พูดถูกมั้ย”

“ครับ…” ผมตอบรับเสียงเบาและหวังว่าพี่กรจะเข้าใจตามที่พูดถึงแม้ว่าจะสัมผัสได้ว่าความหวังของผมมันริบหรี่เหลือเกิน และถ้าพี่กรจะรู้จริง ๆ ผมก็ไม่ได้เสียอะไรไป เผลอ ๆ อาจจะได้อะไร ๆ มามากกว่าเดิมด้วยซ้ำ แต่ว่าตอนนี้ผมอยากให้เขารู้จักผมเท่าที่ผมอยากให้รู้จักเท่านั้น

“อยู่กลางซอยเลยใช่มั้ย”

“ใช่ครับ… เดี๋ยวก่อนครับพี่กร จอดตรงนี้ดีกว่า” ผมร้องทักเมื่อวงเลี้ยวของรถเข้ามาในซอยได้เพียงไม่กี่เมตร พี่กรจอดเทียบฟุตบาทตามที่ผมขออย่างว่าง่าย สายตาผมมันพุ่งตรงไปยังรถอีกคันที่ผมจำได้ดีว่าเป็นรถของใคร เงาวูบไหวในรถมันชัดเจนว่าเต็มมันจอดรถเพื่อรออะไรบางอย่างอยู่ตรงนั้น

“ทำไม มันยังไม่ถึงบ้านเลยนี่”

“ผมลงตรงนี้ดีกว่าครับ”

“จะเอาแบบนั้นหรอ” พี่กรมองตามสายตาผมไปแล้วถามความมั่นใจจากผมอีกครั้ง ทั้ง ๆ ที่ตัวเขาเองกดเปิดล็อคประตูรถให้ผมเสร็จสรรพก่อนที่ผมจะตอบเสียด้วยซ้ำ

“ครับ”

“ถ้ายังไง ถึงบ้านแล้วแชทมาบอกพี่ด้วยแล้วกัน”

“ขอบคุณครับพี่กร” ผมเปิดประตูแล้วลงจากรถทั้งที่สายตายังคงมองไปยังรถคันนั้น จากระยะที่ห่างกันไม่ไกลนักทำให้ผมแน่ใจว่าคนที่นั่งอยู่บนเบาะคนขับกำลังมองมายังผมเช่นกัน จู่ ๆ ในใจผมมองพองโตขึ้นมาจนหุบรอยยิ้มเลวร้ายจากใจเบื้องลึกเอาไว้ไม่อยู่





จับตาเอาไว้ให้ดีนะเต็ม...





ก็อก! ๆ ๆ ผมเดินอ้อมไปยังฝั่งคนขับ เคาะกระจกสองสามครั้งจนพี่กรต้องลดกระจกลงพร้อมกับสร้างเครื่องหมายคำถามเอาไว้บนหน้า

“ว่าไง….” ผมไม่รอให้เสียโอกาสไปโดยเปล่าประโยชน์ คนที่ยื่นหน้าออกมาถามนิ่งไปทันทีเมื่อถูกผมจู่โจมเข้าโดยไม่ทันตั้งตัว ริมฝีปากผมสัมผัสเข้าที่มุมปากของพี่กรแผ่วเบาแทบจะไร้รู้สึก เจ้าตัวจ้องตาผมนิ่งและฉายแววเจ้าเล่ห์ขึ้นมาจนผมแทบจะเป็นฝ่ายหลับตาหนีสัมผัสเด็ก ๆ นี่เสียเอง

“ผม…” พี่กรวางนิ้วชี้ลงบนริมฝีปากผม คล้ายไม่อยากให้ผมเอ่ยคำแก้ตัวใด ๆ ออกไป เขาเผยรอยยิ้มกว้างก่อนจะเลื่อนหน้าไปกระซิบบางอย่างที่ข้างหู

“พอช… การแย่งชิงเพื่อให้ได้มามันเรียกว่าความรักไม่ได้หรอกนะ ถามตัวเองดูว่ารักจริง ๆ หรือว่าแค่อยากจะเอาชนะ ถ้านิยามความรักของพอชมันไม่เหมือนคนอื่นแล้วมีความสุขกับสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้จริง ๆ ...พี่ก็ดีใจด้วย” คำพูดของพี่กรเล่นเอาผมชาไปทั้งตัว และที่ทำให้ไร้รู้สึกมากยิ่งไปกว่านั้นก็คือการที่อีกฝ่ายเอื้อมมือรั้งต้นคอจนผมต้องโน้มตัวตาม ริมฝีปากหนาประทับลงด้วยสัมผัสที่ผมอธิบายไม่ถูก มันเป็นจูบเชื่องช้าที่เป็นจูบจริง ๆ แต่กลับไร้รู้สึกและน่าเบื่อหน่ายสิ้นดี





ชักรู้สึกว่ามันไม่สนุกเท่าไหร่แล้วสิ






ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3
Chapter 16 เหนี่ยวรั้ง

เต็ม เตวิน





ภาพที่เห็นตำตาตรงหน้าทำให้ผมกำหมัดแน่นกลัดความร้อนรุ่มไว้ในใจ เม็ดเหงื่อใสไหลลงข้างกรอบหน้าร่วมกับอาการใจสั่นไม่เป็นจังหวะ พอชกำลังทำให้ผมคลั่งตาย ใบหน้ายิ้มระรื่นระเรื่อสีมองมาทางรถผมบ่อยครั้งนั่นก็แปลความหมายโดยนัยได้แล้วว่ามันตั้งใจให้ผมเห็นมันจูบกับคนอื่นต่อหน้าต่อตา การที่ผมเป็นห่วงพอช อยากคุยกับพอชจนตรงมาจอดรถอย่างไร้จุดหมายอยู่ตรงนี้มันช่างคุ้มค่าซะจริง ๆ





ถ้าพอชคิดว่าการทำแบบนี้จะเรียกร้องความสนใจจากผมได้

โอเค… พอชคิดถูก





ผมนับถอยหลังรอคอยให้ความโมโหลดลงอยู่ไม่นานนักรถคันนั้นก็แล่นออกไปโดยมีพอชยืนโบกไม้โบกมือร่ำลาจนลับสายตา ผมตัดสินใจเปิดประตูก้าวลงจากรถแล้วยืนพิงมันไว้ด้วยความพยายามใจเย็นอย่างถึงที่สุด ไอ้ตัวการไม่ได้มีท่าทีสลดเมื่อเห็นผมตีหน้าเข้มรออยู่ตรงนี้ พอชตีหน้ามึนเดินเข้ามาเหมือนไม่ได้ทำความผิดอะไร โดยหารู้ไม่ว่าตอนนี้ผมใช้ความพยายามขนาดไหนที่จะไม่พุ่งตัวเข้าไปตะคอกระบายความรู้สึกใส่มัน

“ไง” ผมเอ่ยคำคำแรกออกไปด้วยน้ำเสียงที่พยายามจะปกติที่สุดถึงแม้ว่าตอนนี้สายตาผมมันแสดงอารมณ์โกรธไปจนหมดสิ้นแล้วก็ตาม

“ก็ไม่ยังไง” พอชยืนกอดอกมองไปทางอื่นเหมือนอย่างที่ทำกับผมมาทั้งสัปดาห์ แม้แสงไฟข้างถนนจะไม่มากนักแต่มันก็ทำให้ผมเห็นอาการเย็นชาเย่อหยิ่งและทำเหมือนผมไม่มีตัวตนได้ชัดเจน และมันก็ยิ่งทำให้ผมหงุดหงิด

“ไปถึงไหนกันมาล่ะ จูบลากันซะขนาดนั้น”

“เรื่องของผม” พอชไม่สบตาผมแม้แต่น้อยในขณะที่ตอบ ผมเกลียดคำเรียกแสนสุภาพที่ออกจากปากคนคนนี้ เพราะว่ามันทำให้ผมรู้สึกว่ากำลังจะเสียพอชไป

“บอกแล้วใช่มั้ยว่าไม่ให้ไปยุ่งกับมัน” ผมละตัวจากรถและค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้พอช เจ้าตัวเริ่มเงยหน้าขึ้นมาสบตาผม สายตานั่นกำลังท้าทายและจองหอง สายตาที่เหมือนไม่กลัวสิ่งใดแม้กระทั่งตัวผมที่กำลังระอุด้านในจนแทบจะลุกเป็นไฟ

“คุณเคยบอกหรอ… ผมไม่ได้จำ”

“เราต้องคุยกันให้รู้เรื่องแล้วพอช” ผมคว้าข้อมือของพอชเอาไว้ก่อนที่เจ้าตัวจะออกแรงสะบัดจนหลุดแล้วถอยห่างผมไปอีกสองสามก้าว

“เรื่องไหนล่ะครับ”

“เรื่องที่มึงไปจูบกับไอ้กรนั่นไง! อย่าคิดว่ากูไม่รู้นะว่ามึงตั้งใจให้กูเห็น! จะปั่นหัวกูด้วยวิธีไหนก็ได้พอช… แต่มึงอย่าใช้วิธีนี้ ถ้ากูบอกว่าไม่! ก็คือไม่!!” สุดท้ายผมก็ยั้งตัวเองเอาไว้ไม่ได้ สองมือคว้าต้นแขนสองข้างของคนตรงหน้าเอาไว้แน่น แรงบีบจากอารมณ์โกรธและเสียงตะคอกที่ดังเกินกว่าเป็นการพูดคุยธรรมดาเล่นเอาคนฟังอย่างพอชหน้าเปลี่ยนสีไปไม่ใช่น้อย

“ใช่!! กูตั้งใจให้มึงเห็น! มึงจะได้จำไว้ไงเต็มว่าตอนนี้กูกำลังจะมีทางไปของกู! มึงไม่มีสิทธิอะไรมาห้ามหรือมายุ่งเกี่ยวกับกูไม่ว่าเหตุผลข้อไหนทั้งนั้น!” เช่นกัน… เมื่อเสียงตวาดของคนในมือดังขึ้น สีหน้าของผมก็กำลังเปลี่ยนแปลงไป แต่เป็นการเปลี่ยนที่เต็มไปด้วยความโมโหและไอร้อนจากไฟที่มันกำลังปะทุได้ที่ ผมรู้ว่าพอชมันเป็นคนยังไง และไอ้การที่รู้ทั้งรู้ก็ทำให้ผมกลายเป็นคนอารมณ์ร้อนทั้งที่ไม่อยากเป็น ...ตอนนี้พอชมันเป็นบังคับผมเอง

“มึงกำลังจะบอกอะไรกู จะบอกว่ามึงมีสิทธิจะไปร่านที่ไหนก็ได้ทั้งที่เป็นเมียกูน่ะหรอ!”

“เมีย… มึงพูดอะไรออกมาเต็ม อย่าลืมว่ามึงกับกูไม่มีสถานะอะไรเกี่ยวข้องกันทั้งนั้น” พอชดันตัวผมออกเต็มแรง ดวงตาคู่นั้นไม่ได้ตัดพ้อผมอีกต่อไปแต่มันกำลังต่อว่าให้ผมรู้สึกเจ็บใจที่ความจริงแล้วผมแทบไม่มีสิทธิอะไรในตัวมันเลย แต่สถานการณ์ตอนนี้ผมไม่อาจทำความเข้าใจและยอมรับความจริงข้อนี้ได้

“แล้วมึงจะให้กูทำยังไง! อยากได้ไอ้สถานะพวกนั้นทำไมนักหนา!”

“ก็ไม่รู้สิ ว่ากูจะอยากได้ความชัดเจนที่ไม่มีจริงไปทำไม” พอชหยุดดิ้นและหยุดพยายามที่จะทำให้ตัวเองหลุดออกไปจากสองมือของผม รอยยิ้มไม่จริงใจฉายชัดขึ้นบนใบหน้า ก่อนที่เจ้าตัวจะขยับร่างกายเข้ามาใกล้ทิ้งใบหน้าซบลงบนบ่าผม ผมรู้ว่าคนแบบพอชไม่เคยสงบลงง่าย ๆ ถ้าไม่ได้สิ่งที่ต้องการ และก็รู้ดีว่านี่ก็คงเป็นเพียงกลวิธีนึงที่จะปั่นหัวผมจนเละ

“........”

“แต่ที่กูรู้ตอนนี้คือมึงไม่ต้องทำอะไรแล้วเต็ม ...เพราะเป็นกูเองที่คงต้องออกไปจากชีวิตมึงซักที” พอชอาศัยจังหวะที่ผมผ่อนแรงผลักผมจนแทบจะเซล้ม ยิ่งฟังผมก็ยิ่งรู้สึกโมโหเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ ทั้งโมโหคนตรงหน้า ทั้งโมโหตัวเองที่ปล่อยให้ทุกเรื่องดำเนินมาในทิศทางผิดพลาดแบบนี้

“มึงก็รู้ว่ากูไม่มีทางปล่อยให้มันเป็นแบบนั้น”

“เข้าใจผิดแล้ว กูไม่ได้ถามความเห็นมึงเลยเต็ม ...นี่มันชีวิตกูที่กูเคยยกให้มึงไปตั้งนานแล้ว แต่ตอนนี้กูขอคืน กูขอชีวิตที่ไม่มีมึงของกูกลับคืนมา กูเหนื่อยกับการที่ต้องพยายามอยู่ฝ่ายเดียวแล้วว่ะ” ผมพยายามจะสาวเท้าเข้าใกล้ตัวพอช แต่เจ้าตัวกลับเดินถอยหนีผมห่างขึ้นทุกที บรรยากาศรอบตัวเราตอนนี้มันเงียบจนแทบได้ยินเสียงหัวใจเหนื่อยล้าดังขึ้นมาข้างหู แต่อีกด้านนึงเสียงอารมณ์โกรธในตัวผมก็ยังคงดังอยู่เช่นกัน

“ใครบอกว่ามึงพยายามอยู่ฝ่ายเดียววะ!” คราวนี้ผมไม่ยอมให้พอชเดินหนีไปไกลกว่าเดิม เดินหน้าคว้าข้อมือขวาพอชเอาไว้ด้วยน้ำหนักมือที่มันคงจะเจ็บอยู่ไม่น้อย ตอนนี้แม้แต่จิตใต้สำนึกลึก ๆ ของผม มันก็ยังห้ามตัวเองเอาไว้ไม่ได้ แล้วจะเอาอะไรกับความเป็นมนุษย์โกรธได้เจ็บเป็นที่แสดงออกมาในตอนนี้

“แล้วมึงทำอะไร! ทำอะไรบ้างนอกจากปากที่บอกว่าไม่ให้กูไปไหน! ปล่อยกูเต็ม! ปล่อยกูเดี๋ยวนี้!!”

“แค่กูยอมแต่งงานเพื่อรั้งมึงไว้มันยังไม่พออีกรึไง!!” ผมสาดความอัดอั้นออกไปสุดเสียง แสดงอารมณ์เกรี้ยวกราดจนรู้สึกมึนตึงที่หัว แม้จะเริ่มรู้ตัวว่าพูดเรื่องที่ไม่ควรพูด จะให้ห้ามสิ่งที่หลุดพูดไปแล้วคงไม่ได้ ผมยังทำได้แค่ควบคุมตัวเองไม่ให้พูดอะไร ๆ จนมากไปเท่านั้น

“หมายความว่ายังไง” พอชหยุดดึงดันที่จะดิ้น กลับกันผมยิ่งออกแรงบีบข้อมือมันให้แรงมากขึ้นกว่าเดิม

“พ่อกูรู้เรื่องเรา เลยบีบให้กูแต่งงานแลกกับการที่มึงไม่ต้องไปไหน เข้าใจรึยัง!!” ผมไม่รู้ว่าคนฟังจะเข้าใจสิ่งที่ผมพูดแค่ไหนเมื่อไม่มีเหตุผลอีกข้อที่ไม่อยากพูดออกไป

“คุณอา…” ดวงตาพอชสั่นไหวเพียงครู่หนึ่งก่อนจะกลับไปเป็นความแข็งกร้าวเช่นเดิม

“เข้าใจมั้ยพอชว่าทำไมกูถึงหย่าไม่ได้”

“ไม่เข้าใจ…”

“มึงจะยังไม่เข้าใจอะไรอีก ถ้ากูหย่าก็เท่ากับมึงต้องออกจากบ้านกู แล้ว…” ผมชะงักตัวเองลงเมื่อคิดถึงเหตุผลอีกข้อที่เป็นคำขู่ของพ่อ ความลับเรื่องนั้นอาจจะทำให้ผมกลายเป็นคนที่พอชเกลียดที่สุด

“แล้วยังไง… ถ้าที่มึงพูดมันจริง กูพร้อมจะออกจากบ้านมึงทันทีเลยเต็ม กูไม่เข้าใจ ยิ่งมึงพูดกูก็ยิ่งไม่เข้าใจอะไรเลย”

“มึงออกไปแล้วมึงจะอยู่ยังไง เชื่อกูเถอะ กูพยายามแล้วพอช กูพยายามแล้วจริง ๆ”

“ไปหย่ากับเอม… แล้วเราไปอยู่ที่อื่นกัน” พอชพูดขึ้นมาเสียงแข็ง ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยคิดแบบนี้ แต่ก็อยากที่บอกว่าคำขู่ของพ่อมันยังรั้งคอผมอยู่เสมอ

“ไม่ได้…”

“รักกูไม่ใช่หรอ พยายามเพื่อกูไม่ใช่หรอ ทำไมวะ… ทำไมถึงทำไม่ได้...” พอชปล่อยให้ตัวเองร้องไห้ออกมาอย่างไร้เสียงสะอื้น น้ำเสียงนั่นไม่ได้สั่นแต่ทรงพลังมากพอที่จะกรีดลึกลงไปในใจคนเห็นแก่ตัวอย่างผม

“พอชเรื่องนี้มันไม่ใช่แค่กูหย่ากับเอมแล้วมันจะจบ มันไม่ได้ง่ายแบบนั้น”

“ดี… ก็ดี” ผมปล่อยให้พอชดึงมือตัวเองกลับไปเพราะอาการที่น้ำตาไหลออกมาไม่หยุด ผมไม่อยากคาดเดาว่าในใจพอชจะเจ็บแค่ไหน เพราะว่าในใจผมมันก็คงแหลกเหลวไม่แพ้กัน

“เข้าใจกูใช่มั้ย”

“เข้าใจหรอ...งั้นมั้ง” พอชยกมือขึ้นปาดคราบน้ำตาที่หน้าตัวเองแรง ๆ ผมเห็นแบบนั้นก็เอื้อมมือเข้าไปสัมผัสใบหน้านั่นอย่างแผ่วเบาโดยอัตโนมัติ แต่แล้วเจ้าของใบหน้าเสียใจผิดหวังก็ปัดมือผมออกอย่างไม่ใยดี จะว่าไปตอนนี้ขอบตาผมมันก็เริ่มร้อนผ่าวขึ้นมาเหมือนกัน

“กู…”

“มึงก็ช่วยเข้าใจกูด้วยแล้วกันเต็ม ว่ากูจะจูบกับพี่กรกี่ครั้งก็ได้ อยู่บนเตียงกับใครหน้าไหนก็ได้ ...กูมีสิทธิที่จะทำอะไรก็ได้เท่าที่ตัวกูต้องการ!” พอชใช้น้ำเสียงและสีหน้ายั่วอารมณ์โมโหทั้งที่ใบหน้าตัวเองยังเลอะไปด้วยคราบน้ำตา แววตาที่จ้องมองผมนั้นไม่กลัวอะไรเลยซักนิด แม้กระทั่งความหึงหวงที่ทำให้ไฟความโกรธถูกจุดติดขึ้นมาอีกครั้ง

“อย่าใช้เรื่องนี้ต่อรองพอช ...กูไม่ชอบ!!”

“อีกข้อที่มึงต้องเข้าใจ… คือเราไม่ได้เป็นอะไรกัน!” พอชคว้ามือซ้ายผมขึ้นมาชูระดับสายตา แหวนแต่งงานที่จำใจต้องใส่เห็นชัดจนสะท้อนความรู้สึกเราทั้งคู่อยู่ไม่น้อย และที่สะท้อนใจยิ่งกว่าก็คงจะเป็นคำพูดเสียดแทงซ้ำ ๆ จากคนตรงหน้าผม

“พอช…”

“เข้าใจแล้วใช่มั้ยว่ากูจะร่านยังไงก็ได้!”

“หยุดพูดพอช… หยุด…” พอชควรหยุดพูดก่อนที่ผมจะโมโหเพราะความหวงมากไปกว่านี้ คำก็ไม่มีสิทธิ สองคำก็ไม่มีสิทธิ แล้วไม่คิดบ้างรึไงว่าผมเองมันก็อยากจะเรียกร้องสิทธินั้นจนแทบจะบ้าตาย

“เรา… ไม่ได้เป็นอะไรกัน!!” พอชเน้นทีละคำให้ผมได้ยินชัด ๆ อีกครั้ง รอยยิ้มที่ถูกยกขึ้นที่มุมปากทำให้ความอดกลั้นของผมหมดลงตรงนั้น ความไม่พอใจสั่งให้ผมคว้าตัวพอชแล้วจับลากให้เดินตามอย่างใจสั่ง ความรู้สึกที่เข้าใจว่าตนเองเป็นคนผิดหายไปในฉับพลัน ประตูรถถูกเปิดออกก่อนที่ผมจะโยนตัวพอชเข้าไปในเบาะหลัง

“ได้พอช… มึงจะได้ระลึกได้ซักทีว่าเราเป็นอะไรกัน”

“อื้อ…” พอชหน้าเปลี่ยนสีไปไม่น้อยเมื่อเห็นความโกรธที่แปรเปลี่ยนเป็นการกระทำจากผม สัมผัสจูบดุดันรุนแรงเริ่มต้นขึ้นโดยไม่มีการทะนุถนอม ผมกดพอชลงกับเบาะรถด้วยแรงทั้งหมดที่มี เสียงอู้อี้ดึงดันใต้ร่างบ่งบอกได้ดีว่าจูบหนักหน่วงครั้งนี้ไม่ได้สร้างสุขให้ใครเลย

“จะดิ้นหนีความจริงไปทำไมพอช!”

“มึงจะมาทำเหี้ยตรงนี้ไม่ได้!” ผมยกปากยิ้มอย่างไม่รู้ถูกผิดเมื่อพอชพยายามใช้แขนดันตัวผมออก

“ทำไม… คนอื่นเขาก็จะได้รู้ไปพร้อม ๆ กันไงว่าสถานะของเรามันคืออะไร!” ผมหันหน้าไปมองประตูรถด้านหลังที่ยังเปิดโล่ง อันที่จริงผมก็คงจะประชด เพราะถนนตรงนี้มันแทบไม่มีใครผ่านไปผ่านมาด้วยซ้ำ

“ปล่อยกู!” ยิ่งพอชส่งเสียงแข็งและออกแรงดิ้นเหมือนรังเกียจ พละกำลังของผมมันก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น มือหนาข้างนึงบีบเข้าที่ช่วงกรอบหน้าพยศ ความรุนแรงนี้อาจจะทำให้ใบหน้าพอชแดงช้ำตามรอยมือ แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้แสดงอาการเจ็บปวดหรือเกรงกลัวออกมา หนำซ้ำยังจ้องผมเขม็งและพยายามพูดออกมาทั้งที่ถูกผมบีบแก้มเอาไว้แน่น

“ร้อยวันพันปีไม่เคยคิดจะแข็งข้อกับกู ...ทำไม ติดใจไอ้กรนั่นนักรึไง!” ผมโน้มหน้าลงมอบจูบหยาบ ๆ ให้กับพอชอีกครั้ง แม้เสียงพยายามหายใจของอีกฝ่ายจะชัดเจนในหู แต่ผมก็ยังไม่ลดละความพยายามที่จะตักตวงความเจ็บใจเอาไว้กับตัวเอง

เมื่อเห็นว่าพอชเริ่มหยุดนิ่งผมก็เริ่มใช้มือกระชากเสื้อเชิ้ตที่เจ้าตัวสวม ตามด้วยการสร้างรอยที่ทำให้ร่างบางเบื้องล่างบิดตัวสะดุ้งเป็นระยะ ก็แปลกดีที่ตอนนี้ผมไม่ได้มีความรู้สึก’ อยาก’ เกิดขึ้นมาในหัวเลยซักนิด สุดท้ายไอ้อาการนิ่งสนิทของผู้ถูกกระทำก็ทำให้ผมไม่สามารถบังคับตัวเองทำสิ่งที่ฝืนใจตัวเองและตัวพอชต่อไปได้ สองมือผมยันตัวเองกับเบาะเพื่อให้มองใบหน้าของพอชได้ชัดเจน ตอนนี้สายตานิ่ง ๆ มองขึ้นด้านบนราวกับผมเป็นเพียงฝุ่นผง

“แค่เจอมันไม่กี่วัน ถึงกับคิดจะไปจากกูจริง ๆ หรอ” เสียงแผ่วเอ่ยถามออกไปเมื่อความเงียบเริ่มทำให้ผมอยากจะร้องไห้ออกมาให้เรื่องมันจบ ๆ แต่แล้วพอชก็ยังคงนิ่งและทำเหมือนไม่ได้ยินสิ่งที่พูด

“มึงคิดจะไปจากกูจริง ๆ หรอพอช เพราะอะไรวะ...” เสียงผมมันแผ่วเบาเสียยิ่งกว่าเดิม คราวนี้พอชค่อย ๆ เหลือบสายตามามองผม ผมรู้ว่ามันโกรธ ผมรู้ว่ามันเสียใจ แต่ผมก็ไม่ได้อยากเสียมันไป ผมไม่ได้มีความเสียสละมากพอที่จะปล่อยให้หัวใจทั้งดวงออกไปจากชีวิต

“ที่กูอยากจะไปจากมึงเพราะอะไรยังไม่รู้ตัวอีกหรอ…”

“คือกู…”

“เพราะว่ากูจะไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกทิ้งเอาไว้เป็นครั้งที่สองไง!”

ผลัก!! พอชทั้งถีบทั้งผลักผมเต็มแรงจนร่างกายที่ไม่ทันได้ตั้งตัวล้มลงไปกระแทกกับพื้นถนน ผมไม่ได้เจ็บแม้ว่าการหงายหลังลงมาครั้งนี้มันจะสร้างรอยเล็ก ๆ เอาไว้ที่ฝ่ามือขวาและท่อนแขนซ้าย แต่ที่มันเจ็บกว่าคือการที่เห็นคนตรงหน้าพยายามพาตัวเองลงมาจากรถอย่างทุลักทุเล ใบหน้าเชิดหยิ่งไม่คิดแม้แต่จะก้มลงมาชายตาแล ผมกำลังโดนเอาคืน เช่นตอนที่ผมยอมให้การแต่งการแทนที่ตัวตนของตัวเองและแทนที่คนที่สำคัญกับใจผมที่สุด

“กูจะไม่ทำแบบนั้น” ผมไม่ได้ยันตัวเองให้ลุกขึ้นเพราะว่าพอชเองก็ยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าผมนิ่ง

“กูจะโทรให้พี่กรกลับมารับ มึงกลับบ้านไปเถอะ” พอชพูดเสียงเรียบ ขณะที่ผมเองกำลังสั่นและหมดแรงที่จะหวง ถึงพอชจะเป็นคนเอาแต่ใจ ดื้อรั้น และชอบประชดประชันเป็นที่สุด แต่ไอ้การแสดงออกของเจ้าตัวตอนนี้กลับเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยเห็น และไม่เคยคาดคิดว่าผมอาจจะทำให้พอชหายไปด้วยตัวของผมเอง

“กลับบ้านกับกูได้มั้ย…”

“คงไม่”

“นะพอช… กูขอร้อง” ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมตัวเองถึงพุ่งเข้าโอบกอดสองขาของพอชเอาไว้แน่น ตอนนี้ผมมันก็คงเป็นแค่คนพูดไม่รู้เรื่องคนนึงที่พยายามจะรั้งคนที่รักเอาไว้กับตัว ประโยคของพอชในคืนวันนั้นมันสะท้อนกลับมาเข้าหูจนน้ำตามันไหลออกมาอย่างไม่อาย ...พอชขอร้องให้ผมไม่ไป ขอร้องให้ผมอยู่กับมันในตอนนั้น แต่ผมกลับเลือกที่จะทิ้งมันไว้ เป็นผมเองที่เลือกว่าจะไม่ฟังคำขอร้องนั่น...





60%





“ขอร้องกูทำไม คำนี้มันไม่มีประโยชน์หรอก ...จริงมั้ย”

“...........” ผมไม่ได้ตอบแต่กลับกอดขาพอชเอาไว้แน่นมากกว่าเดิม และเช่นเดียวกัน… คืนวันนั้นพอชมันก็จับมือผมเอาไว้แน่นจนวินาทีสุดท้าย

“กูจะหาที่อยู่ใหม่ให้ได้ภายในสองอาทิตย์ กูสัญญาว่ากูจะย้ายออกถาวรทันทีที่มีที่ไป”

“พอช… กูขอโทษ กูเข้าใจแล้ว กูเข้าใจแล้ว!” เริ่มเข้าใจแล้วว่าการถูกทิ้งเอาไว้มันรู้สึกยังไง ตอนนั้นพอชคงกลัวมากที่ถูกผมทิ้งเอาไว้ท่ามกลางสายฝนที่เจ้าตัวกลัวจับใจ และตอนนี้ผมก็กำลังกลัวว่าจะเสียมันไปมากเช่นกัน

“ปล่อยกูไปเถอะเต็ม… ในเมื่อสาเหตุการแต่งงานของมึงมันเป็นเพราะกู ไม่ว่ามึงจะตัดสินใจยังไงหรือไม่ทำเหี้ยอะไรเลย ...ซักวันกูก็คงต้องไปอยู่ดี” พอชยังคงยืนนิ่งราวกับไร้ชีวิต ใบหน้านิ่งเฉยทอดมองออกไปข้างหน้าเหมือนคำขอร้องของผมไม่เคยเกิดขึ้น

“พอช กูขอโทษ กูไม่รู้จะทำยังไงแล้ว จะให้กูทำยังไงพอช” ผมยันตัวเองให้ลุกขึ้นชันเข่าขณะที่ยังกอดอีกฝ่ายเอาไว้ไม่ปล่อย ตอนนี้ผมขยับมาสวมกอดพอชเข้าที่ช่วงเอว ทั้งที่ใจลึก ๆ มันรู้ทั้งรู้ว่าจะกอดไหน ๆ ก็คงจะรั้งพอชเอาไว้ไม่ได้

“...........”

“ไม่รักกูแล้วรึไง…”

“เพราะกูรักมึงไงเต็ม เพราะกูรักมึงจนใจมันเหนื่อยไปหมดแล้ว… พอเถอะ กูต้องโทรหาพี่กร ดึกกว่านี้จะรบกวนเขามากเกินไป” พอชวางมือลงที่ไหล่ผมก่อนจะออกแรงดันเบา ๆ ให้ผมปล่อยเขาเป็นอิสระเสียที คนที่รั้งจนหมดแรงต้องยอมปล่อยมือทั้งที่ใจไม่ต้องการ ผมยันตัวเองให้ยืนขึ้นอย่างน่าขำ ก่อนหน้าเรื่องวุ่นวายผมเคยมีทางเลือกมากมายที่จะจัดการกับปัญหา แต่ตอนนี้ผมกำลังรู้สึกมืดแปดด้านที่ไม่อาจก้าวข้ามความกลัวของตัวเอง ตอนนี้แค่รู้ตัวว่าจะเสียพอชไปผมยังแทบบ้า แล้วถ้าวันที่พอชเกลียดผมเดินทางมาถึงผมจะประครองหัวใจตัวเองเอาไว้ได้ยังไง

“อย่างน้อย… คืนนี้กลับไปนอนที่บ้านได้มั้ย… ที่กูออกมารอตรงนี้เพราะกูเป็นห่วง อย่าให้กูห่วงมึงไปทั้งคืนเลยนะ” ผมกลั้นใจพูดออกไปเมื่อเห็นพอชกำลังกดโทรศัพท์หาใครคนนั้น คนฟังไม่ได้ปรายตามองผมแต่ก็ชะงักชั่งใจอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าอะไรที่ทำให้พอชที่เคยแกร่งกลายเป็นวัตถุที่แข็งยิ่งกว่าเพชร สิ่งนั้นก็ทำให้คนอย่างผมเปราะบางลงเช่นกัน





และสิ่งนั้นที่ว่า… ก็อาจจะเป็นความขี้ขลาดในตัวผมเอง





ความเงียบในเวลาใกล้รุ่งสางยิ่งทำให้ผมจมดิ่งลงไปกับความผิดทั้งหมดที่ระลึกได้ในใจตัวเอง พอชยอมกลับเข้ามาที่บ้านตามคำขอร้องของผมแม้ว่าหลังจากนั้นจะไม่มีคำพูดใดที่ผมได้ยินอีก พอชเลือกที่จะเดินเข้าห้องตัวเองและเก็บตัวเงียบ ทิ้งให้ผมกระวนกระวายใจอยู่กับแก้วเหล้าที่มุมนึงของบ้านเพียงลำพัง ความเย็นชาที่ได้รับมาหลายวันมันทำให้ผมเจ็บปวดได้ไม่เท่าสิ่งที่เจอในคืนนี้แค่คืนเดียว แล้วพรุ่งนี้ล่ะ? ...เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นแล้วผมต้องตีหน้านิ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเพื่อตบตาคนอื่น เมื่อผมต้องเก็บทุกอย่างเอาไว้ในใจ มันจะเจ็บซักแค่ไหน

แกร๊ก! ก้อนน้ำแข็งกระทบแก้วซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขณะที่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชั้นดีก็ถูกเติมลงไปไม่ขายสายเช่นกัน หลายชั่วโมงที่ผมใช้ความคิดคนเดียวมันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น ผมไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงให้พอชยังอยู่กับผม เสี้ยวหนึ่งของความคิดก็อยากจะพาพอชหนีไปในที่ที่ไกลแสนไกล แต่ต่อให้หนีไปไกลสุดขอบโลก ความจริงและความผิดที่ยังอยู่มันก็ยังติดตามไปอยู่ดี





อะไรกันที่ทำให้ผมเดินทางมาสู่จุดนี้…





ผมฟุบตัวลงกับโต๊ะ ดวงตาเลื่อนลอยมองเข้าไปในแก้วเหล้าอย่างไร้ความหมาย หากย้อนเวลากลับไปได้ซักครั้งสิ่งเดียวที่ผมอยากจะแก้ไขก็คือการกระทำของตัวเองในคืนที่พี่พีทออกจากบ้านไป…





“คุณอาทำแบบนี้กับพ่อได้ยังไง! นี่มันเลวร้ายมากสำหรับเพื่อนคนนึง!” เสียงเอะอะโวยวายกลางดึกทำให้เด็กวัยสิบเอ็ดย่างสิบสองอย่างผมชะงักฝ่าเท้ารีบหามุมเพื่อแอบฟังเรื่องผู้ใหญ่ตามประสา อันที่จริงเวลานี้ผมควรจะต้องนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงกับเพื่อนวัยเดียวกันที่พึ่งมาอาศัยอยู่ที่บ้าน แต่เป็นเพราะการดื้อรั้นแอบกินขนมบนห้องเมื่อช่วงค่ำทำให้ในตอนนี้อยากจะได้เพียงแค่น้ำซักแก้ว ...แต่เปล่าเลย เหตุการณ์ตรงหน้าทำให้ลำคอแห้งผากมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ

“พีท… ฟังอาก่อนนะ”

“ผมยังต้องฟังอะไรอีก ถ้าวันนี้ผมไม่แอบเข้าไปในห้องทำงานคุณ ผมจะเจอเอกสารสารเลวพวกนี้มั้ย!” พี่พีทชูกระดาษชุดนึงขึ้นเหนือหัว อาการโกรธของเด็กวัยรุ่นเลือดร้อนมันชัดเจนออกมาผ่านมือที่จับกระดาษเหล่านั้นไว้จนยับย่น ขณะที่อีกมือกำลังกำแน่นและคล้ายว่าจะยกมือขึ้นต่อยหน้าพ่อผมตอนไหนก็ได้

“มันเป็นเรื่องธุรกิจ พีทก็รู้อยู่แก่ใจว่าอาร่วมบริหารบริษัทพ่อพีทมาตั้งแต่ต้นด้วยซ้ำ แถมยังคอยช่วยพยุงทุก ๆ ครั้งที่ขาดทุน การโอนหุ้นพวกนี้อาก็แค่ช่วยเหลือเท่าที่ทำได้เท่านั้น ...แต่ว่าพ่อพีทเขาพลาดเอง” ใบหน้าพ่อบังเกิดเกล้าของผมในขณะนั้นนิ่งเฉย ราวกับมองว่าอาการโกรธของเด็กหนุ่มตรงหน้าเป็นเพียงเรื่องราวไร้สาระที่ไม่ควรค่าที่จะได้รับการสนใจ

“ช่วยด้วยการโอนหุ้นคืนให้พ่อผมทั้งหมด… ทั้งที่รู้ว่าบริษัทขาดทุนติดต่อกันมาหลายเดือนน่ะหรอ หึ”

“ถ้าอาไม่ทำแบบนั้นอาก็จะพังไปด้วย อายังมีบริษัทตัวเองที่ต้องดูแล พีทยังเด็กไม่เข้าใจเรื่องธุรกิจ ใจเย็นลงก่อนเถอะ” พ่อผมพยายามที่จะเดินเข้าไปหาพี่พีท แต่สายตากลับกำลังจับจ้องอยู่ที่เอกสารในมือ

“นั่นสิ… ผมคงยังเด็กจริง ๆ ถึงไม่เข้าใจว่าทำไมคุณอาถึงต้องปลอมแปลงเอกสารการประมูล เอกสารการซื้อขายแล้วเก็บสำเนาพวกนี้ไว้ในห้องตัวเองเป็นอย่างดี ...บริษัทอสังหามันทำเงินไม่พอกินรึไงครับ ถึงต้องมาหากินกับบริษัทรับเหมาของครอบครัวผม” พี่พีทถอยหลังออกห่างจากพ่อ ก่อนจะค่อย ๆ คลี่กระดาษในมือออกมาให้เห็นทีละแผ่น

“ปลอมแปลงอะไรกันพีท”

“เลขใบเสนอราคาเดียวกันแต่ถูกแก้ไขราคาถึงสามครั้ง… ไม่ปลอมมั้งครับ”

“พีทไม่เข้าใจหรอกน่า!”

“ครับ ผมไม่เข้าใจ! แต่พอจะสรุปเอาเองได้ว่า ...พอโกงบริษัทจนใกล้จะล้มก็โอนหุ้นในมือกว่าครึ่งคืนมาเพราะกลัวตัวเองจะเป็นหนี้ไปด้วย และที่เด็กอย่างผมไม่เข้าใจยิ่งกว่านั้นก็คือ ...ช่วงเวลามันช่างเหมาะเจาะพอดีกับการที่บริษัทคุณกำลังจะเปิดไลน์ธุรกิจรับเหมาขึ้นมา!”

“เห้อ เราจะมาจับผิดอะไรอาเนี่ย งานศพพ่อเราพึ่งจะเสร็จไปไม่กี่วัน อาว่าพีทคงเครียดมากเกินไป ขึ้นไปนอนดีกว่านะ เพราะว่าถ้าอาไม่หวังดีกับพ่อพีทหรือครอบครัวพีทจริง ๆ อาจะรับเรากับพอชมาอยู่ด้วยทำไม”

“เพื่อชดเชยความผิดตัวเองล่ะมั้ง…”

“พีท…” พ่อพยายามเข้าใกล้ตัวพี่พีทอีกครั้ง ขณะที่มือพยายามไล่คว้าเอกสารคืนมาเป็นของตน แต่ด้วยจังหวะความเร็วของพี่พีทก็ทำให้พ่อคว้าไปได้เพียงลมเท่านั้น

“จะไม่รู้สึกผิดเลยหรอ ที่แอบยักยอกเงินบริษัทเพื่อนรัก ดึงข้อมูลทุกอย่างเพื่อไปเปิดไลน์ธุรกิจใหม่ของตัวเองหน้าตาเฉย… จะไม่รู้สึกผิดบ้างเลยหรอที่เป็นต้นเหตุให้เพื่อนตัวเองต้องตาย!”

“นี่!”

“วันก่อนที่พ่อจะตาย พ่อพูดกับผมว่าเวลาคบเพื่อนอย่าให้ใจเขาไปมากนัก… จะบอกอะไรให้นะ! ผมเก็บมันไว้ในใจ สืบทุกอย่างทุกทางจนมันชัดเจนที่สุดในวันนี้ สะใจมั้ยที่คุณทำครอบครัวผมพัง!” ตอนนั้นผมยืนแอบฟังอย่างไม่เข้าใจอะไรนัก ที่รู้ก็คือความโกรธของพี่พีทมันปกคลุมไปทั่วบริเวณจนหัวใจเด็กพึ่งโตสั่นกลัวไม่เป็นจังหวะ

“เออ!!! สะใจ! พอใจรึยังล่ะ! ใครจะคิดว่ามันจะดวงซวยขนาดนี้วะ แล้วแม่แกมันก็เห็นแก่เงินจนสติแตกไปเอง!” เสียงพ่อตวาดออกมาทำให้ผมสะดุ้งเฮือก สีหน้าพ่อก็เริ่มจะมีอารมณ์โกรธออกมาแล้วเช่นกัน

“...เราคงต้องไปเจอกันครั้งหน้าที่ศาล ผมกับน้องต้องขอขอบคุณคุณอาที่อุตส่าห์สำนึกผิดมาดูแลเราอยู่หลายวัน แต่ต่อจากนี้ผมขอให้คุณไปสำนึกผิดในคุกก็แล้วกัน!”

“อย่าอวดเก่งนักเลยพีท จะพาน้องออกไปน่ะคิดให้ดีนะ จะมีปัญญาดูแลน้องรึไง เงินซักก้อนยังไม่มีติดตัว มีแต่หนี้ที่พ่อทิ้งไว้ให้ ...อย่างดีก็พากันไปอยู่สถานสงเคราะห์ล่ะมั้ง!”

“ก็ยังดีกว่าอยู่กับคนอย่างคุณแล้วกัน” พี่พีทกันหลังและกำลังเดินมาทางที่ผมหลบยืนอยู่ ผมถอยรูดด้วยความตกใจและก้มหน้าวิ่งอย่างไม่รู้ทิศรู้ทาง ก่อนที่ทิศทางการเดินของจะเปลี่ยนไปตามความคิดเด็ก ๆ ด้วยความที่สมองเล็ก ๆ ไร้ตรรกะกำลังประมวลผลได้ว่าพี่ชายคนนี้จะพาเพื่อนสนิทที่สุดออกไปจากบ้านทั้งที่พึ่งจะดีใจว่าได้อยู่ด้วยกันไม่กี่วัน

หมับ!

“เต็ม! เอาคืนพี่มานะ!” พี่พีทดูจะตกใจอยู่ไม่น้อยที่จู่ ๆ ผมก็วิ่งทะเล่อทะล่าเข้าไปดึงกระดาษพวกนั้นมากอดแนบไว้กับอก ยิ่งนึกถึงตอนนั้นผมก็ยิ่งโกรธตัวเองที่ไม่มีปัญญาคิดถึงความถูกผิดอะไรเลย

“เต็ม แกลงมาทำไม!” พ่อเองก็คงจะตกใจไม่แพ้กัน แต่เมื่อมองเห็นเอกสารอยู่กับผมก็ฉายรอยยิ้มออกมาเหมือนผมเป็นลูกรักนักหนา

“เอาคืนพี่มาเดี๋ยวนี้!”

“ขอเอกสารพวกนั้นให้พ่อนะลูก…” ทั้งสองคนเดินเข้ามาจนผมต้องถอย ความสำคัญของสิ่งที่อยู่กับตัวคือเรื่องที่ผมไม่ได้ตระหนักถึงในตอนนั้น

“พี่พีทจะพาพอชออกไปจากบ้านเราหรอครับ”

“ไม่ใช่เรื่องของเรา เอาคืนพี่มาเดี๋ยวนี้”

“ใช่ลูก… ถ้าเต็มเอาเอกสารให้พี่พีท พอชก็จะไม่อยู่กับเราแล้ว” ผมสบตากับพ่อด้วยความสับสัน เด็กชายอายุสิบเอ็ดปีโตพอที่จะรับรู้และตัดสินใจหลาย ๆ เรื่องได้แล้ว เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมคิดมันไม่อาจจะเอาความไร้เดียงสามาอ้างได้เต็มปาก เพียงแต่การตัดสินใจนั้นมันจะเป็นสิ่งที่ถูกควรหรือไม่เท่านั้นเอง





แคว๊ก!!!! เอกสารในมือถูกฉีกยับยู่ยี่ในเวลาเพียงเสี้ยววินาที แม้แววตาของผมจะยังสับสนแต่การกระทำนั้นมันไวกว่าความคิด ถ้าภาพในสมองตอนนี้สามารถย้อนกลับไปแก้ไข คืนนั้นผมจะหลับลงไปกับพอชบนเตียงเพื่อไม่ให้ตนเองรับรู้เรื่องราวใด ๆ





ผมรั้งพอชเอาไว้กับตัวครั้งแล้วครั้งเล่า

แต่ทำไมครั้งนี้ผมรู้สึกว่าการรั้งพอชไว้มันยากเหลือเกิน




ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3
Chapter 17 คนของหัวใจ

เต็ม เตวิน









“...สุดท้ายนี้นะครับผมอยากจะขอบคุณแขกผู้มีเกียรติทุกท่านที่มาร่วมงานในวันนี้ รวมไปถึงลูกค้าทุกท่านที่ให้ความไว้วางใจบริษัทเรามาโดยตลอด บวรพรอพโพตี้จะไม่มีวันนี้ถ้าปราศจากทุกท่านที่ยืนเคียงข้างเรา ขอบคุณครับ” เสียงปรบมือเกรียวกราวบังคับให้ผมยิ้มแข็งออกมาอย่างเลือกไม่ได้ ประโยคสวยหรูพวกนี้มันก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของสคริปที่พยายามทำให้ผมกลายเป็นผู้บริหารหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรง แววตาคนเบื้องล่างที่มองมายังผมเต็มไปด้วยความชื่นชม ผมคงจะทำอะไรไม่ได้นอกจากโค้งตัวรับ และเดินลงมาจากเวทีให้พิธีกรดำเนินงานในขั้นต่อไป

“เก่งมากเลยค่ะพี่เต็ม” ต้าเดินเข้ามาเกาะแขนผมเป็นคนแรก ดวงหน้าน้องสาวเต็มเปี่ยมไปด้วยความภูมิใจที่มอบให้พี่ชายคนนี้ มือเล็กยกนิ้วโป้งให้ผมเนื่องในโอกาสที่ได้ออกงานในฐานะผู้บริหารเต็มตัวเป็นครั้งแรก

“เกร็งแทบแย่” ผมตอบน้องต้ายิ้ม ๆ ก่อนจะกวาดสายตามองไปทั่วงาน นักธุรกิจและเหล่าคนในแวดวงสังคมถูกเชิญมาที่งานราวครึ่งพัน เป็นเรื่องปกติสำหรับทุกปีที่บริษัทจะต้องจัดงานเลี้ยงประจำปีและเปิดตัวโปรเจคสำคัญต่าง ๆ ไปพร้อมกัน ผมอยู่กับบรรยากาศแบบนี้มาหลายปี แต่ปีนี้เป็นปีแรกที่ผมมาที่นี่ในฐานะผู้บริหาร และความรู้สึกที่แตกต่างออกไป





ปีแรกผมมีเด็กที่พอชยืนหน้าบูดบึ้งอยู่ข้าง ๆ

ปีก่อนนั้นผมเคยมีพอชคอยบังคับให้ยิ้มตลอดเวลาที่อยู่ในงาน





แต่ว่าปีนี้ผมแสร้งยิ้มด้วยตัวเองทั้งที่ใจพัง ขณะที่พอชยืนอยู่อีกมุมของงานด้วยสายตาที่ไม่มีผม วันนี้เป็นวันที่สองถ้านับจากเรื่องราวคืนนั้น ยังโชคดีที่ตอนนี้พอชยังอยู่กับผม ไม่สิ พอชยังอยู่ที่บ้านผมโดยไม่ได้แสดงอาการหรืออารมณ์ใด ๆ ให้ใครสงสัยหรือระแคะระคายใจ ระหว่างที่ผมนั้นต้องเป็นฝ่ายหลบหลีกการพบเจอที่จะทำลายความอดทนของตัวเอง

“เมื่อกี้นะคะ คุณพ่อยิ้มภูมิใจใหญ่เลย”

“งั้นหรอ” ผมไม่ได้รู้สึกยินดีปรีดาอะไรกับประโยคที่ต้าพูด ตอนนี้พ่อผมยิ้มร่าอยู่กับเหล่าผู้หลักผู้ใหญ่ที่เป็นคู่ค้าสำคัญ ใบหน้ามีความสุขนั่นคงภูมิอกภูมิใจกับบริษัทนี้เอาซะมาก ๆ ผิดกับผมว่าที่ทายาทที่ไม่ได้มีความสุขกับมันซักเท่าไหร่

“มีอะไรรึเปล่าคะพี่เต็ม ดูทำหน้าเข้าสิ”

“ไม่มีอะไร พี่ก็แค่เหนื่อย ๆ เมื่อกี้ตื่นเต้นแทบแย่แน่ะ” ผมฝืนยิ้มออกมาอีกครั้ง ขณะที่สายตาก็ยังมองไปรอบงานไม่หยุด แน่นอนว่าเมื่อครู่ผมไม่ได้ตั้งใจจะมองหาพ่อ แต่ผมกำลังมองหาใครอีกคนที่หายไปจากมุมที่เคยยืน

“แน่ใจนะคะ ต้านึกว่ามองหาใครอยู่ซะอีก” ผมรีบหันไปมองหน้าตาเจ้าเล่ห์ของน้องสาวตัวเอง ไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องดีรึเปล่าที่ต้ารู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพอช เพราะอีกนัยนึงความไม่รู้เรื่องตื้นลึกของต้าก็ทำให้ผมลำบากใจ

“ถ้าต้ารู้แล้วจะถามพี่ทำไม”

“นี่ยังไม่ดีกันอีกหรอคะ เมื่อวานพี่พอชเลี่ยงที่จะคุยกับต้าทั้งวันเลย ไม่ได้ไปทะเลาะอะไรกันมาเพิ่มใช่มั้ย”

“ก็ไม่เชิง”

“เห้อ…”

“จะถอนหายใจทำไม ไม่มีอะไรหรอกน่า” ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าผมพูดเพื่อปลอบใจต้าหรือปลอบใจตัวเองกันแน่

“อยู่ตรงนั้นไงคะ” ต้าชี้นำทางผมไปยังมุมขวาสุดของห้องจัดเลี้ยง ภาพที่เห็นทำให้ความรู้สึกมันกระตุกอยู่ไม่น้อย พอชกำลังมีความสุขกับแก้วแชมเปญในมือ รอยยิ้มสดใสมันช่างเหมาะกับใบหน้านั่นมากกว่าความโศกเศร้าเป็นไหน ๆ แต่แล้วทำไมคนที่ทำให้พอชยิ้มได้ในวันนี้ดันไม่ใช่ผม

“อืม”

“คนที่พี่พอชยืนอยู่ด้วยนั่นใครอ่ะคะ ต้าไม่เคยเห็นหน้า ดูสนิทกันจัง”

“คุณธากร ลูกคุณสาโรจน์หุ้นส่วนโครงการเราที่เกาะช้าง” ขณะที่ผมกำลังตอบคำถาม เสี้ยวหนึ่งของเวลาพอชก็หันมาสบตากับผมเข้าพอดี แม้เราจะอยู่ห่างกันไกล แต่ผมก็สัมผัสได้ว่าแววตาพอชนั้นช่างว่างเปล่า เย็นชา และไม่เหลือให้เห็นแม้แต่เงาตัวผมอยู่ในนั้น

“ไม่ยักรู้ว่าพี่พอชมีเพื่อนคนอื่นนอกจากพี่เต็มนะคะเนี่ย” นั่นสิ ไม่ยักรู้ว่าพอชชอบปล่อยให้คนอื่นยกมือขึ้นเกลี่ยไรผมให้ง่ายดายขนาดนั้น

“พี่ไปทักทายแขกก่อนนะต้า เดี๋ยวจะโดนว่าเอา” ผมรีบตัดบทเพราะไม่รู้ว่าจะยืนมองต่อไปเพื่ออะไร ตราบใดที่ผมยังขี้ขลาด ตราบใดที่พอชยังยืนกรานที่จะไป ตราบใดที่เรื่องราวจะคงอยู่แบบนี้ไม่เปลี่ยนแปลง ผมก็คงต้องยอมรับชะตากรรมที่กำลังจะเกิดขึ้น

“เดี๋ยวค่ะพี่เต็ม… วันนั้นพี่พอชถามต้าว่าจะมีวันนึงเป็นของเขามั้ย พี่พอชพูดเหมือนจะตัดใจเลยว่ามั้ยคะ...”

“..........” ผมไม่รู้ว่าควรตอบกลับประโยคเหล่านี้ของน้องต้ายังไง ในเมื่อผมเองก็ไม่อาจให้คำตอบที่ถูกใจกับพอช ที่มันเป็นอยู่ตอนนี้ก็เพราะว่าการที่ผมไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้ไม่ใช่หรอ

“ต้าอยากจะบอกว่า… สู้ ๆ นะคะ ...ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น น้องสาวคนนี้จะอยู่ข้างพี่ ๆ ทั้งสองคนเสมอ”

“ขอบคุณนะต้า ขอโทษด้วยที่พาให้เราต้องมาเครียดไปอีกคน”

“ไม่เลยค่ะ” ต้ากอดแขนผมพร้อมกับยิ้มกว้าง ก่อนที่สุดท้ายผมจะต้องสูดลมหายใจเข้าแล้วทำหน้าที่ที่ควรจะทำให้งานวันนี้ ภาพลักษณ์ผู้บริหารไฟแรงที่จะพาองค์กรก้าวไปข้างหน้าแบบที่พ่อวาดหวัง ผู้นำครอบครัวแสนดีแบบที่แม่ต้องการ น่าเสียดายที่ไม่มีส่วนไหนเป็นความต้องการของผมเลย

“สวัสดีครับ ธุรกิจเป็นยังไงบ้างครับคุณลุง” ผมเริ่มต้นด้วยการทักทายนักธุรกิจใหญ่ติดท็อปเท็นของประเทศตามที่พ่อเคยสอนไว้เรื่องการจัดลำดับความสำคัญ งานดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ โดยมีการพรีเซ้นต์โครงการใหม่ที่เกิดขึ้นแล้วและกำลังจะเกิดเป็นระยะ ๆ รวมถึงรายงานสรุปยอดขายในโครงการต่าง ๆ ที่เหมือนว่าโดยรวมทั้งปีจะโตขึ้นกว่าปีก่อน

ต้องยอมรับว่าการตีสองหน้าพูดคุยเรื่องธุรกิจไปเรื่อย ๆ มันทำให้ผมเผลอลืมเรื่องทุกข์ใจไปในบ้าง แต่มันก็ชั่วครู่ชั่วคราวเท่านั้น เพราะสายตาของผมมันไม่อาจเลี่ยงไปจากร่างบางที่คุ้นเคย ไม่ว่าพอชจะขยับตัวไปตรงไหนหรือพูดคุยกับใคร หางตาของผมมันก็จะจับจ้องเอาไว้ได้เสมอ ที่แย่ก็คือความอึดอัดภายในเมื่อเห็นพอชยิ้มมีความสุขมันทำให้อารมณ์ผมแทบปะทุออกมา และที่แย่กว่านั้นคือมันไม่ใช่อารมณ์โกรธหรือแค้นใจใด ๆ ซ้ำยังเป็นเพียงความเสียใจที่น่าสมเพชสิ้นดี

“เต็มคะ” ผมสะดุ้งไม่น้อยเมื่อมีมือเล็กมาแตะเข้าที่ช่วงบ่า นับว่าโชคดีที่มีคนมาขัดจังหวะก่อนที่ผมจะมองความสุขสดใสนานไปมากกว่านี้ แก้วไวน์ในมือถูกยกขึ้นรวดเดียวก่อนจะยื่นคืนไปให้กับบริกร

“เป็นไงบ้าง คุยแต่เรื่องธุรกิจเบื่อมั้ย”

“เอมไม่เบื่อหรอกค่ะ สนุกดี เมื่อก่อนพ่อเอมก็พาออกงานสังคมบ่อย ๆ” เอมยิ้มเล็ก ๆ ก่อนจะขยับตัวมายืนเคียงข้างผม สายตาหลายคู่มองเข้ามาราวกับอิจฉาในความเหมาะสมภายนอกของเราสองคน อันที่จริงผู้หญิงแสนเพียบพร้อมคนนี้คงจะโชคดีกว่านี้ถ้าสามีที่แสนเหมาะสมคนนั้นไม่ใช่ผม

“พ่อเอมเป็นไงบ้าง โทษทีนะ สองสามวันนี้ไม่ได้เข้าไปเยี่ยมเลย”

“ก็ยังทรง ๆ ค่ะ เอมทำใจแล้วว่าถึงจะหายก็คงไม่ปกติเหมือนเดิม”

“ถ้าขาดเหลืออะไรเอมก็บอกแล้วกัน” เอมพยักหน้ารับทั้งที่ไม่ได้หันมาสบตาคู่สนทนา ผมเองก็เช่นกันที่ตอนนี้ต้องหาจุดรั้งสายตาที่ไม่ใช่พอชและทางเลือกที่ดีที่สุดก็คงจะเป็นบทพรรณาแสนน่าเบื่อบนเวที

“คงไม่ขาดอะไรแล้วล่ะ แค่นี้เอมก็เป็นหนี้ชีวิตครอบครัวเต็มมากพอแล้ว”

“ช่างเถอะ เรื่องพวกนั้น…”

“ยิ่งคุณพ่อช่วยเหลือเอมมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งหย่ากันยากขึ้นเท่านั้นไม่ใช่หรอเต็ม อย่าลืมสิ ...เอมรับน้ำใจมามันไม่เท่าไหร่หรอก อย่างมากก็หาเงินใช้หนี้หัวโตตอนที่หย่า แต่คนที่แย่มันจะเป็นเต็มเองนะ” น้ำเสียงเอมราบเรียบราวกับเธอไม่ได้รู้สึกอะไรกับการถูกตราบาปตีตอกหนาไว้ว่าแต่งงานเพื่อเงิน เอาเข้าจริงผมว่าผู้หญิงที่เหมือนจะอ่อนแอคนนี้ก็เข้มแข็งไม่น้อยเช่นกัน เช้าวันนั้นที่เกาะช้างผมตัดสินใจพูดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของผมกับพอชให้เอมรับรู้ หลังจากที่หายไปอยู่กับพอชทั้งคืน เธอดูไม่แปลกใจอะไรนัก มีเพียงเสียงลมหายใจที่ถูกถอนทิ้งดังขึ้นระหว่างคำสารภาพของผม





“เอมคิดไว้อยู่แล้ว แต่ก็ไม่ได้คาดไว้ว่าความคิดนั้นจะเป็นจริง”





“ช่างเถอะ… เพราะเรื่องของผมกับพอชคงจะต้องจบลงจริง ๆ แล้วล่ะ” ผมเหลือบตาขึ้นไปบนเพดาน แสงไฟจากโคมแชนเดอเรียสะท้อนเข้าตายิ่งทำให้ไอ้น้ำตาเอ่อ ๆ แทบจะไหลออกมา ผมไม่รู้จะใช้คำไหนมาแทนความน่าเวทนาที่เกิดขึ้นกับตัวเองดี ...โง่ ขี้ขลาด บัดซบสิ้นดี

“ทำไมคะ สุดท้ายแล้วก็ง้อพอชไม่ได้หรอ”

“ก็คงงั้น” แต่ที่ถูกมากกว่าก็คือพอชกำลังจะเลือกเส้นทางที่ดีกว่าการอยู่กับความไม่ชัดเจนในมือผม ดีกว่าความรักที่ผมพยายามสร้างขึ้นมาบนพื้นฐานความขี้ขลาดตาขาวของตัวเอง

“ไม่น่าเชื่อว่าคนแบบพอช อยู่ดี ๆ ก็นึกจะถอดใจขึ้นมาง่าย ๆ นะคะ”

“ลองคิด ๆ ดู ถ้าผมเป็นเขาก็คงจะไม่ทนแล้วเหมือนกัน ...หึ” เสียงหัวเราะเย็น ๆ ดังขึ้นในลำคอก่อนที่มันจะสะดุดไปเพราะภาพที่ปรากฎขึ้นตรงหน้า เรียวมือเล็กที่ผมไม่เคยทนุถนอมกำลังจัดแต่งเสื้อสูทให้กับคุณธากรอยู่ด้านข้างเวที ถ้ารู้ก่อนหน้าว่ามันจะเจ็บแบบนี้ผมจะไม่ลังเลอะไรเลย





จะช้าไปมั้ยพอช…

ช้าไปมั้ยกับการที่กูจะเลิกกลัวการที่ถูกมึงเกลียด...

มันจะช้าไปมั้ยถ้ากูอยากจะเลือกมึง แค่มึงคนเดียวในตอนนี้…





“ชีวิตคนเรามันก็เลือกอะไรตามใจมากไม่ได้หรอกค่ะเต็ม สุดท้ายแล้วเราอาจจะต้องใช้ชีวิตด้วยกันไปจนแก่ตายก็ได้”

“ถ้าอยู่แล้วมีความสุขมันก็ดีนะเอม แต่นี่… คุณต้องอยู่กับสามีที่เป็นเกย์และไม่มีวันรักคุณไปตลอด… ผมอยู่ได้นะ แต่เอมโอเคหรอ” ผมไม่รู้ว่าเอมทำสีหน้าแบบไหนตอนที่ได้ยินผมพูดประโยคแทนใจทั้งหมด ผมไม่รังเกียจเธอแต่ก็ไม่ได้เป็นคนดีมากพอที่จะรักใครคนนึงได้เพียงเพราะความดีและคำของคนที่พูดว่าเหมาะสม ตอนนี้ผมก็แค่รอวันที่ตัวเองหมดความอดทนและเลิกขี้ขลาดก็เท่านั้น

“.........”

“เราสองคนต่างถูกผูกเอาไว้ด้วยพันธะสัญญา ถ้าวันนึงผมไม่อยากรักษาสัญญาแล้วก็ขอโทษด้วยนะ ที่อาจจะทำให้เอมเดือดร้อนไปด้วย”

“เอมเข้าใจ… คนเราก็ต้องทำอะไรเพื่อตัวเองก่อนทั้งนั้น เอมเองก็เหมือนกันที่บางทีความจำเป็นก็บังคับให้ทำเรื่องที่ไม่ดี” เสียงหวานของเอมดูเย็นชากว่าที่เคยแต่ก็ไม่อาจเรียกความสนใจใด ๆ ไปจากผมได้ ดวงตาคู่เดียวที่มีอยู่ยังคงจับจ้องไปยังพอชที่ค่อย ๆ เคลื่อนตัวมาบริเวณที่ไม่ห่างจากหน้าเวทีมากนัก ส่วนคุณกรคนนั้นก็เดินขึ้นไปบนเวทีพร้อมหัวข้อโครงการรีสอร์ทที่เกาะช้าง ผู้ชายคนนี้ดูเจนเวทีและไม่มีอาการประหม่าใด ๆ ทั้งสิ้น น้ำเสียงน่าฟังค่อย ๆ พูดไปเรื่อย ๆ ขณะที่พอชยืนกอดอกฟังอย่างตั้งใจแทบไม่ละสายตา

“พอช…” ริมฝีปากผมขยับเบา ๆ จนแทบไม่ออกเสียง ยิ่งมองพอชนานเท่าไหร่บรรยากาศรอบตัวของผมก็ค่อย ๆ ละลายหายไปมากเท่านั้น หูของผมไม่ได้ยินเสียงบนเวทีหรือเสียงใด ๆ ด้วยซ้ำไป ในความรู้สึกมันมีแค่ผู้ชายแสนเย่อหยิ่งยืนอยู่ใจกลางห้อง ริมฝีปากยิ้มยกเชิดและแววตาสดใสสะท้อนเข้านัยตาผมจนจุกในอกไปเสียหมด

“ว้ายยยยยย!” เสียงกรี๊ดประสานอื้ออึงรอบตัวทำให้ผมหลุดออกจากวังวนความคิด ภาพที่เห็นตรงหน้าคือแววตาสดใสเมื่อครู่เริ่มสั่นเทาตื่นตระหนกอย่างไม่ทราบสาเหตุ ร่างกายของพอชนิ่งงันอยู่กับที่ทั้งที่สองมือกำลังกำแน่นจนน่ากลัว แผงฟันขาวเริ่มกัดริมฝีปากสั่น ๆ และส่ายหน้าปฏิเสธบางสิ่งที่กำลังทำให้หวาดกลัว หัวใจผมมันแทบจะหยุดเต้นเมื่อต้องหันไปมองที่จอตามสายตาของคนทั้งงาน





นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันวะ…!





60%

“เต็มคะ… นั่น…” เอมหันหน้าหลบลงมาซบที่แขนผม ขณะที่อาการที่เกิดขึ้นกับผมตอนนี้ก็ทำให้ร่างกายชานิ่งไม่แพ้พอชเช่นกัน

วิดีโอที่ฉายชัดอยู่บนจอรอบงานมันหนักหนาเกินกว่าจะตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว แทนที่จะเป็นวิดีโอนำเสนอโครงการเกาะช้างตามลำดับที่จัดเตรียมไว้ แต่มันกลับเป็นคลิปความสัมพันธ์ของผมกับพอชที่นั่นในค่ำคืนนั้นแทน และที่ตลกร้ายคือมันถูกตัดมาเฉพาะช่วงที่เห็นหน้าพอชชัดเจน ส่วนภาพของผมกลับถูกเบลอจนไม่อาจระบุตัวตนได้

“พอช…” ผมไม่ทิ้งจังหวะให้เรื่องย่ำแย่มากไปกว่าเดิม พอชเริ่มล่อกแล่กมองไปรอบกายเพราะกำลังถูกมองด้วยสายตาเหยียดหยามนับร้อยคู่ หยดน้ำตาหยดแรกไหลออกมาขณะที่เจ้าตัวเริ่มขยับขาสั่นเทาถอยหลังไปช้า ๆ

“นี่มันเรื่องอะไรวะ!! ปิดเดี๋ยวนี้!! ปิดวิดีโอนี่เดี๋ยวนี้นะเว้ย!!” ผมตวาดลั่นจนเอมแต่เอมเองก็สะดุ้งถอยออกไป แต่ยังไม่ทันที่ผมจะพุ่งเข้าไปหาพอชตามที่ใจสั่ง คุณกรก็กระโดดลงจากเวทีแล้วรวบตัวพอชไว้กับอก ใบหน้าเล็กนั่นถูกกดแน่นลงไปกับช่วงไหล่ คนถูกกอดเอาไว้ยังคงนิ่งงันระหว่างที่เสียงนินทาอื้ออึงยังคงดังต่อเนื่องไม่หยุด ที่เลวร้ายกว่านั้นคือคนที่การศึกษาสูงส่งบางคนกำลังยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาบันทึกภาพอย่างไรสำนึก

“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย” อีกคนที่เหมือนจะช็อคไปก็คงจะเป็นพ่อผมที่เริ่มจะตระหนักได้แล้วว่ากำลังเกิดเรื่องเชี่ย ๆ ขึ้นที่นี่ตอนนี้

“บอกให้ปิดไงวะ!!!” ผมแผรดเสียงขึ้นอีกครั้ง ความโมโหทำให้คว้าเอาคอเสื้อของสตาฟคนที่ใกล้มือที่สุดเอาไว้

“ค...ครับคุณเต็ม เห้ย! จัดการดิ!” ยิ่งเวลาเดินไปมากเท่าไหร่สติของผมก็ยิ่งลดลงมากขึ้นเท่านั้น ความโกรธแผลงฤทธิ์จนไม่อาจมีสิ่งใดรั้งอยู่ ผมคว้าเอาสิ่งที่ใกล้มือที่สุดอย่างแก้วเครื่องดื่มขว้างไปยังจอแอลอีดีกลางงานซ้ำแล้วซ้ำเล่า

เพล้ง!!

“ถ้าไม่อยากตายห่ากันหมด! หยุดถ่ายเดี๋ยวนี้! แล้วกลับกันไปให้หมด!! ปิดสิวะ!! เหี้ยเอ๊ย!!!” ผมกำลังเป็นเต็มที่สติแตกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน บรรดาแขกเรื่อไร้สำนึกยกมือถือลงแบบหวาด ๆ กับอากัปกิริยาที่ควบคุมไม่ได้ของผม ก่อนที่สุดท้ายแล้วจอพวกนั้นจะดับมืดลงพร้อมเรี่ยวแรงในตัวผมเอง เข่าสองข้างมันทรุดลงกับพื้นพร้อมแรงหอบเล็ก ๆ ที่ไม่ได้มากเท่าความเสียใจ ผมมองภาพคุณกรที่ยังกอดพอชเอาไว้นิ่งตรงหน้าพร้อมกับการหาคำตอบให้ตัวเอง ...ทำไมผมถึงปล่อยให้พอชเจ็บปวดอยู่คนเดียวทุกเรื่อง ...ทำไมถึงต้องกลัวการถูกเกลียด ทั้งที่การไม่ถูกรักมันเจ็บปวดมากกว่า

“พี่เต็ม”

“เต็มคะ…” ทั้งต้าทั้งเอมเดินเข้ามาหาผม ตอนนี้พ่อกับแม่ผมคงจะเป็นลมล้มพับอยู่ตรงไหนซักมุม เอมพยายามจะช้อนแขนผมให้ลุกขึ้นแต่การตัดสินใจของผมมันก็สั่งให้ยกแขนสะบัดความหวังดีนั้นทิ้งไปแล้วลุกขึ้นไปโดยไม่สนสายตาใครเสียที

“ผมจะพาพอชกลับ ช่วยเคลียร์แขกของคุณด้วย” คุณกรพูดขึ้นเมื่อผมเดินเข้าไปใกล้คนทั้งคู่ สายตาใต้แว่นนั่นมันก็ชัดพอควรว่าตัวเขาเองก็ตกใจและโกรธกับเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่แพ้กัน

“ปล่อยพอช… พอชต้องไปกับผม” คุณกรเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะนิ่งไปเพราะประโยคถัดมาของผม

“.............”

“คนของผม… ใจของผม... ผมขอดูแลเอง” ผมไม่รู้ว่าคุณกรคิดอะไรอยู่ระหว่างที่จ้องเข้ามาในดวงตาผม แต่สุดท้ายเขาก็ค่อย ๆ คลายอ้อมกอดออกให้ผมได้เห็นใบหน้าที่ยังคงช็อคและหวั่นกลัว หยดน้ำตาที่ไหลออกมาเป็นสายอาบแก้มพอชกำลังทำให้น้ำตาที่อดกลั้นไว้ของผมไหลออกมาเช่นกัน

ผมกับคุณกรไม่มีใครพูดอะไรอีก มีเพียงเสียงใครซักคนแว่วเข้าหูเพื่อขอความร่วมมือและขอโทษแขกในงานที่เกิดเรื่องระยำแบบนี้ขึ้น ผมรีบถอดสูทบนตัวออกก่อนจะคลุมมันที่ช่วงศรีษะและใบหน้าของคนที่ยืนนิ่งสนิทราวกับไร้ชีวิต ผมคว้ามือสั่น ๆ และเย็นเฉียบมาจับประสานเอาไว้ ก่อนจะลากพอชออกไปจากงานให้ได้เร็วที่สุด

ระหว่างทางเดินผมก้าวขาสับเท้าเร็วกว่าครั้งไหนในชีวิต ภายในสมองมันพยายามแต่จะคิดหาเหตุผลและหาต้นตอของคนที่ทำเรื่องต่ำช้าครั้งนี้ ใครที่ต้องการจะทำร้ายพอช มีความจำเป็นข้อไหนถึงต้องปิดบังใบหน้าผมไว้ อันที่จริงผมอาจจะไม่เจ็บใจและแค้นใจเท่านี้ถ้าในวิดีโอนั่นมันปรากฎชัดว่าคนทั้งคู่คือเราสองคน ...ทำไมมันถึงทำให้ผมกลายเป็นคนปล่อยให้พอชต้องเสียใจและอับอายอยู่คนเดียว

“แข็งใจเดินอีกหน่อยนะพอช” ผมกระชับมือให้แน่นขึ้นเมื่อพอชเริ่มเดินช้าลงและหยุดยืนในที่สุด เมื่อเห็นว่าพอชมีท่าทางไม่สู้ดีเอาซะเลยและทางเดินระหว่างชั้นที่เรายืนตรงนี้ก็ไม่ได้มีผู้คนมากมายอะไรนัก ผมจึงตัดสินใจหันกลับไปสนใจคนด้านหลังเต็ม ๆ ตา ความย่ำแย่ในใจของพอชมันยิ่งชัดขึ้นเมื่อผมค่อย ๆ ดึงเสื้อสูทที่คลุมออกมาพาดไว้กับแขนข้างหนึ่ง คนใจแข็งที่ผมรู้จักกำลังปล่อยให้ตัวเองร้องไห้ไม่หยุด แววตาพอชสะท้อนออกมาเพียงแค่ความรู้สึกผิดที่ตนเองไม่ได้ก่อ ขณะเดียวกันผมก็กำลังมองพอชด้วยความรู้สึกผิดที่มากกว่าเกือบเท่าตัว ไม่มีครั้งไหนที่พอชจะอ่อนแอ ไม่มีครั้งไหนที่พอชจะยอมร้องไห้ให้กับปัญหาที่เจอง่าย ๆ แบบนี้ แต่ผมกลับปกป้องอะไรพอชไม่ได้เลย

“เต็ม…”

“ไม่ร้องไห้นะ เดี๋ยวกูจะจัดการทุกอย่างเอง” ผมยกมือขึ้นปาดน้ำตาบนแก้มพอชแผ่วเบา แม้จะรู้ดีว่าต่อให้เช็ดมันซ้ำ ๆ กี่ครั้งผลลัพธ์มันก็ยังเท่าเดิม ไอ้ที่มันไหลลงมาผ่านแก้มผมอยู่ก็เช่นกัน ต่อให้ผมสั่งให้มันหยุดแต่เมื่อเห็นพอชเป็นแบบนี้มันก็หยุดเอาไว้ไม่ได้อยู่ดี

“ฮือออออ กูจะทำยังไงดี” วินาทีนั้นพอชโผเข้ากอดผมพร้อมเสียงสะอึกสะอื้นที่ยิ่งทำให้ตัวผมเองแย่ลง สองแขนยกขึ้นโอบรัดพอชเอาไว้ด้วยความรู้สึกทั้งหมดที่มีตอนนี้ แต่ก็ดูเหมือนว่าไออุ่นของผมมันยังไม่เพียงพอให้พอชหยุดสั่นเทาได้ซักนิด

“กอดกูไว้ไงพอช… กอดกูเอาไว้นะ”

“ฮึกกก ...ทำไมมันเป็นแบบนี้ ...กู …กูจะทำยังไง ฮือออออ”

“กูขอโทษนะ กูขอโทษที่ดูแลมึงไม่ดี ขอโทษที่ทำให้มึงต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ มันเป็นความผิดของกู ความผิดกูทั้งหมด” ผมกระชับกอด เอียงหัวลงไปสัมผัสกับคนที่กำลังซุกหน้าอยู่กับไหล่ ยากเหมือนกันนะที่ต้องบังคับเสียงไว้ไม่ให้สั่น ยากเหมือนกันที่คนขี้ขลาดแบบผมกำลังจะตัดสินใจเด็ดขาดกับใครเขาบ้างซักครั้ง

“..........”

“ต่อจากนี้กอดกูไว้ก็พอ กอดกูไว้แล้วไม่ต้องกลัวอะไรเลย” พอชยังคงร้องไห้สะอื้นจนตัวโยนไม่หยุด ก็ได้แค่เพียงหวังว่าสัมผัสจากผมจะทำให้พอชอุ่นใจขึ้นได้บ้าง ผมอยากให้พอชรู้ว่าเขาไม่ได้เจอปัญหานี้คนเดียว และผมก็จะไม่ปล่อยให้ไอ้สารเลวคนนั้นทำร้ายพอชอยู่ฝ่ายเดียวเช่นกัน





เต็มที่ขี้ขลาดมันได้ตายลงไปแล้ว


ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3
Chapter 18 ผู้ถูกกระทำ

เต็มจับมือผมไม่ปล่อยหลังจากเกิดเรื่องที่อาจจะทำให้ชีวิตทั้งชีวิตของผมเปลี่ยนไป ความอบอุ่นที่สอดประสานทำให้ใจที่เคยเหี่ยวเฉามันสดใสขึ้นมาได้บ้างแต่นั่นก็ไม่ใช่ทั้งหมด เต็มยืนยันที่จะพาผมกลับมาที่บ้าน ทั้งที่ตัวผมเองไม่พร้อมที่จะเจอใครทั้งนั้น การแสดงออกของผมมันยังไม่ชัดเจนใช่มั้ย? ใบหน้าที่ยังกังวลและยังเปียกชื้นไปด้วยคราบน้ำตายังเป็นคำตอบให้เต็มอีกไม่ได้รึไง ...ว่าใจผมมันพังเละไปหมดแล้ว

วินาทีที่ผมเห็นภาพตัวเองฉายชัดอยู่บนจอ ความรู้สึกที่ทำให้ผมนิ่งไปได้ขนาดนั้นคงยากที่จะอธิบายออกมาเป็นคำพูด อันที่จริงผมควรจะโวยวายและเอาเรื่องคนคนผิดให้ตายลงไปต่อหน้าตรงนั้น แต่เอาเข้าจริงสิ่งที่ผมพอจะทำได้ ก็แค่เพียงยอมรับชะตากรรมที่ไม่อาจกลับไปแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว





ตัวผม... แก้ไขอะไรที่เกิดขึ้นวันนี้ไม่ได้เลย





“เข้าบ้านกันเถอะ”

“กูไม่เข้าไปได้มั้ย…” ดวงตาผมทอดมองลงกับพื้น น้ำใส ๆ ทำให้มันสั่นไหวอยู่ตลอดเวลา หากต้องเงยหน้าขึ้นมาตอนนี้ผมต้องทำสีหน้าแบบไหนหรอครับ? แล้วสีหน้าของคนอื่นแบบไหนที่คนอย่างผมสมควรจะได้รับ หรือจะให้พูดเป็นประโยคง่าย ๆ ...การเจอเรื่องน่าอับอายเช่นนี้ผมคงไม่มีหน้าไปต่อสู้กับใครเขาอีก

“เราจะขึ้นไปบนห้องกันทันที… พักผ่อนจากเรื่องบ้า ๆ ไม่ต้องเจอใครทั้งนั้น โอเคมั้ย” เต็มพยายามที่จะกระชับมือเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผม น้ำเสียงนั่นแค่ฟังปราดเดียวก็รู้ว่าเต็มเองก็ไม่ได้เข้มแข็งมากไปกว่าผมซักเท่าไหร่ คนข้าง ๆ ผมตอนนี้เอาแต่โทษว่าเป็นความผิดของตัวเอง ความผิดที่ตัวเขาเองแทบไม่ได้ก่อเลยด้วยซ้ำ เรื่องราวคืนนั้นมันก็แค่ความสัมพันธ์ของคนสองคน ถ้าเราสองคนจะมีใครเป็นฝ่ายผิด ก็คงจะเป็นผมที่ปล่อยให้ตัวเองไปเสนอหน้าอยู่ในคลิปนั่น ...หึ ทุเรศสิ้นดี การกระทำพวกนั้นกับสังคมผู้ดีที่ไม่มีทางจะยอมรับ คราวนี้ ผมคงจะออกจากบ้านที่กำลังเหยียบยืนได้โดยไม่ต้องห่วงอะไรอีกต่อไปแล้ว

“เต็ม… กูขอไปจากที่นี่ได้มั้ย ไปตอนนี้เลย” น่าขำอยู่เหมือนกันที่ตอนนี้ผมพยายามเหยียดยิ้มขึ้นมาที่มุมปากทั้งที่น้ำตามันเริ่มไหลลงมาตามแรงโน้มถ่วงอีกครั้ง ใครจะไปคิดว่าคนปากเก่งอย่างผมจะมาพลาดท่าสิ้นลายกับเรื่องอับอายเรื่องนี้

“...........”

“ขอร้อง กูไม่อยากเข้าไป”

“ยังไม่ใช่ตอนนี้…”

“กูไม่ได้ขออนุญาตมึงซักหน่อยเต็ม ไหน ๆ กูก็จะไปอยู่แล้ว…”

“...........” เต็มไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา ร่างสูงลากผมให้เดินตามเข้าไปในบ้านทั้งที่ขาผมมันแทบจะก้าวไม่ออก ผมกลัวการพบเจอกับคุณอา ผมรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังเนรคุณด้วยการทำให้งานของบริษัทพังไม่เป็นท่า

“นั่นไง ไอ้ตัวการ!” ระหว่างที่ผมเดินตามเต็มเข้ามาในบ้านได้เพียงไม่กี่ก้าว น้ำเสียงโมโหของหญิงผู้เป็นเจ้าของบ้านก็ดังขึ้นก้องไปทั่วบริเวณ ความโกรธและเกลียดถูกถ่ายทอดออกมาผ่านเสียงของคุณโสมทั้งหมด และผมก็รับรู้มันเป็นอย่างดี วินาทีนี้ผมไม่กล้าจะเงยหน้าขึ้นมารับความจริงด้วยซ้ำว่ามีใครรอซ้ำเติมอยู่ตรงนี้บ้าง ...เอาเลย พอชเปิดโอกาสให้เต็มที่ ตอนนี้ก็ไม่มีสิทธิเสียงที่จะเถียงอะไรออกไปอยู่แล้วนี่

“คุณแม่!” เต็มส่งเสียงเข้มก่อนจะเคลื่อนตัวมาบังผมเอาไว้ด้านหลัง ขณะที่มือเราสองคนก็ยังไม่ได้ปล่อยจากกัน

“ไอ้พอช! แกออกมาจากหลังลูกชายฉันเดี๋ยวนี้นะ!”

“คุณใจเย็นสิ” แม้ว่าผมกำลังซุกหน้าลงกับหลังเต็มแต่ก็พอจะเดาได้ราง ๆ ว่าตอนนี้คุณอาบวรคงกำลังรั้งภรรยาตัวเองเอาไว้สุดแรง

“ผมขอทางนะครับ จะพาพอชขึ้นไปด้านบน” เต็มขยับขาได้เพียงนิดเสียงของผู้เป็นแม่ก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง

“เต็มจะพามันขึ้นไปไม่ได้! ไอ้คนวิปริตไม่มียางอายแบบนี้อย่าให้มันขึ้นไปเหยียบบนบ้านฉันอีก!”

“คุณแม่คะ ทำไมพูดแบบนั้นกับพี่พอช พี่เขาพึ่งเจอเรื่องไม่ดีมานะ” น้ำเสียงสงสารจากน้องต้ายิ่งทำผมต้องพยายามเก็บเสียงสะอื้นเอาไว้ทั้งที่อยากจะร้องไห้พรั่งพรูออกมาใจจะขาด เต็มคงจะสัมผัสได้ถึงแรงสั่นเทาจากผมถึงได้กระชับมือขึ้นแล้วบีบแทนความรู้สึกเบา ๆ

“เรื่องไม่ดี…! ไม่ใช่บ้านเราหรอกหรอที่เจอเรื่องไม่ดี! เด็กกาฝากมันก็ทำได้แค่สูบเลือดสูบเนื้อวันยังค่ำ!”

“นี่คุณ ผมว่ามันจะไปกันใหญ่แล้วนะ ตาพอชเขาตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้ที่ไหน คุณก็เห็นว่ามันมีคนไม่หวังดีกับเราแล้วก็กับพอช” โทนเสียงของคุณอามันราบเรียบเกินกว่าที่ผมจะคาดเดาความรู้สึกใด ๆ ขณะที่พูด

“ยังไงความผิดมันก็ตกอยู่ที่ความวิปริตผิดเพศของมัน!!”

“พอชไม่ผิด!!!” เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นเต็มตวาดใส่แม่ตัวเองเสียงดังลั่น คนที่กำลังป้องผมนั้นโกรธจนตัวสั่น สถานการณ์ที่เกิดขึ้นบังคับให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นมามองรอบตัวทั้งที่ยังร้องไห้ไม่หยุด คุณอาบวรรั้งคุณโสมไว้ด้วยมือข้างเดียว ด้านหน้าผมกับเต็มมีน้องต้ายืนขวางอยู่อีกชั้น ขณะที่เอมทำแค่เพียงนั่งมองผมอยู่ที่โซฟา ตอนที่เอมสบตาผม ผมไม่รู้และไม่อาจคาดเดาว่าเธอกำลังคิดอะไร อาจจะกำลังสมเพช สมหน้าหน้า หรือกำลังสะใจที่ในที่สุดกรรมที่ผมเคยทำเอาไว้กับเธอก็ย้อนกลับมาทำร้ายตัวจนได้

“นี่ลูกปกป้องมันออกหน้ามากไปแล้วนะตาเต็ม!”

“ใช่! ผมต้องปกป้องพอช! เพราะพอชไม่ได้ผิดอะไร!”

“หยุด! พอแล้ว! พอกันทั้งคู่นั่นแหละ! คุณโสมเรื่องนี้ผมจะจัดการเอง อย่ามาทำให้มันวุ่นวายเพิ่มขึ้นมาเลยน่า!”

“ถ้าฉันปล่อยให้คุณจัดการ คุณก็จะเข้าข้างไอ้เด็กนี่เหมือนทุกครั้งอยู่ดี!” คุณโสมพยายามสะบัดตัวให้หลุดจากคุณอาเพื่อพุ่งเข้ามาหาผม เห็นแบบนั้นผมก็หลบเข้าหลังเต็มไปโดยอัตโนมัติ ตอนนี้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว เรื่องที่เจอทำให้ผมไม่ใช่คนเข้มแข็งคนเดิมที่จะลุกขึ้นมาสู้ได้อย่างทุกครั้ง

“ต้า! พาคุณแม่ขึ้นไปบนห้อง”

“ค่ะคุณพ่อ” น้องต้าหันมามองผมด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะเดินเข้าไปหาคุณโสมตามที่คุณอาสั่ง แต่ว่าเรื่องมันก็คงไม่ง่ายแบบนั้น การที่คุณโสมรังเกียจผมมานับสิบปีมันก็ต้องมีวันที่ความอดทนอดกลั้นจะหมดไป ...และวันนั้นมันก็คงจะเป็นวันเลวร้ายวันนี้

“ปล่อยแม่! นี่คุณบวร ถ้าคุณไม่ให้ฉันจัดการเรื่องนี้ เราขาดกัน!” ดูท่าว่าคำขู่ของคุณโสมจะเป็นผลอย่างมาก บรรยากาศตรงหน้าเงียบลงขณะที่เสียงความกลัวในใจผมมันกำลังดังขึ้นเรื่อย ๆ ผมไม่รู้ว่าเต็มคิดอะไรอยู่ถึงได้พาผมกลับมาที่นี่ ผมไม่รู้ว่าเต็มกำลังคิดอะไรถึงได้จับมือผมเอาไว้ในช่วงเวลาที่แย่ที่สุด ...ช่วงเวลาที่ผมเกือบจะตัดใจไปจากมันได้อยู่แล้ว

“ถ้างั้นผมว่าไว้พรุ่งนี้เราค่อยคุยกันเถอะ”

“นั่นสิคะคุณแม่ ต้าเห็นด้วยกับคุณพ่อ”

“เอาตัวสกปรก ๆ ของแกออกมาจากหลังลูกชายฉัน!” น้ำเสียงเข้มโกรธจัดมันชัดเจนว่าคุณโสมไม่ได้ฟังคำทัดทานจากใครทั้งนั้น เต็มเอี้ยวตัวมามองผมกระชับมือผมจนแน่นเกินกว่าจะเรียกว่าจับเอาไว้ธรรมดา ผมรู้ดีว่ายังไงซะตอนนี้มันคงไม่ยอมปล่อยมือผม ก็น่าตลกดีที่ตอนนี้ผมอยากให้มันทิ้งผมไปให้จบเรื่อง

“พอช ไม่ต้อง…”

“ตาเต็ม!!”

“พอชจะไม่คุยอะไรกับแม่ทั้งนั้น”

“อย่าให้แม่โมโหมากกว่านี้นะเต็ม”

“เต็ม… กูโอเค” ผมพูดเสียงเบาก่อนจะดึงมือออกมาจากเต็มสุดแรง ทุกก้าวเดินที่ต้องประชันหน้ากับคุณโสมถูกใจบังคับให้เป็นไปอย่างเชื่องช้า แววตาที่เปลี่ยนไปวูบหนึ่งของเธอก็คงจะเพราะว่าไม่มีครั้งไหนที่เธอด่าทอผมแล้วผมยอมศิโรราบทรุดตัวคุกเข่าลงกับพื้นแบบนี้

“พอช…” เต็มทำท่าจะเข้ามาพยุงผมขึ้น แต่ก็ต้องหยุดยืนเพียงเพราะผมส่ายหน้าห้ามเบา ๆ เต็มมองผมด้วยความรู้สึกกระวนกระวายที่แสดงออกชัดมาทั้งจากใบหน้าและแววตาที่เจือไปด้วยความเสียใจ

“อะไรกัน วันนี้ไม่มายืนเถียงฉันฉอด ๆ แบบที่เคยทำแล้วรึไง” คุณโสมเดินเข้ามาใกล้ผมมากกว่าเดิม ผมที่ก้มหน้ามองพื้นอยู่เดิมก็กลับกลายเป็นต้องมองปลายเท้าของภรรยาผู้มีพระคุณที่ชุบเลี้ยงดูแลและให้ที่ซุกหัวนอนมาหลายปี

“ขอโทษครับ…” ผมไม่รู้ว่าคุณโสมจะได้ยินมันถูกหูแค่ไหนเพราะว่าเสียงเบา ๆ นี่มันเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ผมพอจะทำได้

“หึ… แกมันนี่เลี้ยงไม่เชื่องอย่างที่ฉันเคยพูดไว้นั่นแหละ เกือบสิบสามปีที่อยู่ผลาญเงินครอบครัวฉันมามันไม่ช่วยให้แกสำนึกเลยใช่มั้ยมาต้องทำตัวยังไง!” เรียวนิ้วของคุณโสมกดลงที่ข้างขมับขวาจนหัวผมเซไปตามแรงมือ

“ผ...ผมขอโทษ” แม้ว่าผมจะได้ยินเสียงถอนหายใจของใครหลาย ๆ คนรอบตัว แต่ก็คงไม่มีใครเอื้อมมือเขามาช่วยเหลือจิตใจผมได้ในตอนนี้ ไม่ว่ายังไงทุกอย่างก็ต้องเดินไปตามทางของมัน

“เงยหน้าขึ้นมามองฉันสิ! มองฉันเหมือนทุกทีที่แกอวดเก่งใส่ฉัน!”

“แม่!!” เต็มเกือบจะถลาเข้ามาแต่ก็เกรงกลัวสายตาแม่ของตัวเองที่หันขวับไปมอง เรียวนิ้วคุณโสมบีบรอบกรอบหน้าผมก่อนที่ผมจะต้องจำยอมมองเข้าไปในดวงตาแสนรังเกียจของเธอ

“แกจะเป็นเกย์ จะสำส่อนแค่ไหนไม่มีใครว่าหรอกนะ แต่จะทำอะไรให้นึกถึงหน้าคนที่เจียดเงินมาชุบเลี้ยงดูแลแกด้วย… อย่างที่แกนัดผู้ชายไปเอากันทั้งที่ไปทำงานมันน่าสมเพช น่ารังเกียจ น่าขยะแขยง!!” คุณโสมสะบัดมือแรงปล่อยให้ใบหน้าผมหลบมองไปอีกทาง สิ่งที่ผมกำลังเห็นคือเต็มกำมือแน่นและสั่นแทบจะทั้งตัว

“ผมไม่ได้ตั้งใจ ผมไม่รู้ว่า...”

“รู้มั้ยว่าแกทำอะไรลงไป!! ห่ะ!! งานวันนี้มันพังก็เพราะแก รีสอร์ทก็คงต้องเลื่อนการเปิดบริการเพราะไอ้คลิปอัปปรีย์ของแกมันหลุดออกมา! ...ไหนลองพูดออกมาให้ฉันชื่นใจสิ ว่าจะรับผิดชอบเรื่องนี้ยังไง!!”

“ผมจะออกจากที่นี่… ผ...ผม...” คำตอบนี้คงจะสร้างความพอใจให้คนฟังได้อยู่ไม่น้อย แต่อันที่จริงมันก็เป็นเพียงทางเดินที่ผมตัดสินใจเลือกเอาไว้แล้ว เพียงแต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันรวดรัดเวลาของผมให้เร็วขึ้นก็เท่านั้น

“พี่พอชคะ…”

“ดี!! งั้นก็ย้ายสารร่างสกปรกของแกออกไปจากครอบครัวฉันได้แล้ว!” ผมแอบเห็นว่าคุณโสมแอบยิ้มดีใจอยู่ไม่น้อย อันทีจริงเธอก็คงรอวันนี้มานาน วันที่จะไม่มีผมอยู่เป็นส่วนเกินในบ้านหลังนี้อีกต่อไป

“พอช อาว่าเราคุยกันก่อนดีกว่านะ อย่าวู่ว่ามเลย” น้ำเสียงคุณอาทำให้ผมรู้สึกเกรงใจที่ตัดสินใจแบบนี้ บุญคุณของคุณอามันเป็นเรื่องยากที่ผมจะสรรหาวิธีมาตอบแทนจนหมด ผมรู้ว่าท่านหวังดีและผมเองก็ทำให้ท่านหนักใจอยู่ตลอด ...ผมจากไปครั้งนี้บ้านก็คงจะเป็นบ้าน และเรื่องของผมกับเต็มที่มันจบไม่ลงจะได้จบลงอย่างถูกที่ถูกทางเสียที

“ขึ้นไปเก็บข้าวของของแกซะ! แล้วอย่าคิดจะหยิบของมีค่าอะไรของฉันติดมือไปแม้แต่ชิ้นเดียว! ไสหัวออกไปแล้วอย่ากลับมาวุ่นวายกับครอบครัวฉันอีก!” ผมมองตามแผ่นหลังที่สะบัดหนีไปของคุณโสมแล้วอดที่จะร้องไห้ออกมาไม่ได้ ไม่รู้สิ ความรู้สึกตอนนี้ ผมไม่รู้อะไรเลย

“ลุกขึ้น” เต็มเข้ามาประครองผมให้ลุกขึ้น เจ้าตัวไม่พูดอะไรนอกจากจับมือผมแล้วพาเดินตรงไปที่บันไดทันที ตอนนี้บรรยากาศรอบตัวมันช่างน่าอึดอัด คุณอาบวรมีสีหน้าเครียด น้องต้ากำลังจะร้องไห้ออกมา เอมเองก็ยังคงนิ่งเฉยจนเดาอะไรไม่ออก และคุณโสมที่เริ่มตาขวางอีกครั้งเมื่อเห็นว่าลูกชายของเธอกำลังจับมือผมไว้แน่น

“นั่นลูกทำอะไรเต็ม ปล่อยมือมันเดี๋ยวนี้นะ”

“ผมกับพอชก็จะไปเก็บของไงครับ ไม่ต้องห่วง… ผมไม่หยิบของมีค่าชิ้นไหนที่เป็นของแม่ออกไปหรอก” กลายเป็นผมที่นิ่งจนกระทั่งเต็มปล่อยมือแล้วเปลี่ยนมาโอบช่วงเอวผมไว้แทน สายตามุ่งมั่นจริงจังที่กำลังมองไปยังผู้เป็นแม่ทำให้ผมต้องร้องไห้ออกมาอีกครั้ง

“ลูกพูดอะไร…”

“เต็ม! จะทำอะไรคิดดี ๆ นะ” คุณอาบวรที่เต็มเคยบอกว่าเขารู้เรื่องเราตั้งแต่ต้นเริ่มมีสีหน้าไม่สู้ดีขึ้นมาอีกคน สายตาดุ ๆ ปรามมายังเต็มแต่เจ้าตัวก็ทำนิ่งเฉยเหมือนว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นี้ไม่ได้ผิดแปลกอะไร

“ผมคงไม่มีอะไรจะเสียแล้วมั้งครับ ...คงเป็นพ่อนั่นแหละที่ต้องคิดดี ๆ เพราะตอนนี้ไม่ว่าเรื่องไหนผมก็ไม่กลัว”

“นี่มันเรื่องอะไรกันคะคุณ”

“..........” คุณอาเงียบและไม่ตอบอะไร ซ้ำยังสะบัดตัวหนีภรรยาที่มารบเร้าขอฟังเรื่องที่เหมือนว่าจะยังมีเธอคนเดียวที่ยังไม่รู้

“ปล่อยมือจากคนสกปรกอย่างมันเดี๋ยวนี้นะเต็ม!” น้ำเสียงสั่นกลัวนั่นฟังดูก็รู้ว่าตอนนี้คุณโสมกำลังกลัวสิ่งที่กำลังคิดไว้ในใจ แววตาเธอกลัวลนลานขณะที่น้องต้าเริ่มเข้ามาประครองแม่ของตัวเองเอาไว้เผื่อว่าจะเกิดเหตุอะไรขึ้น

“น่าเสียดายนะครับ… ที่คุณแม่จำร่างกายลูกชายตัวเองที่อยู่ในคลิปไม่ได้…”

“นี่… ม… ไม่… ไม่จริง! ลูกพูดอะไร ลูกแม่เป็นผู้ชาย มีหนูเอมอยู่แล้วทั้งคน!” คุณโสมละล่ำละลักออกมาแทบไม่เป็นภาษา เธอลนลานหันไปมองลูกสะใภ้ที่ยังทำเพียงนั่งมองเหตุการณ์ราวกับไร้ความรู้สึก ...ไม่สิ อันที่จริงผมก็รู้สึกว่าเอมเองก็กำลังเสียใจอยู่ไม่น้อย

“คุณแม่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าผมโดนบังคับแต่งงาน แต่มีอีกสิ่งนึงที่คุณแม่ยังไม่รู้…”

“อะไร! แม่ยังไม่รู้อะไร!”

“ผมเป็นเกย์…”

“เต็ม” ผมกระตุกชายเสื้อเต็มเพื่อเตือนว่าให้หยุดการกระทำวู่วามพวกนี้ซักที แต่ดูท่าว่ามันจะไม่ได้ผล

“ถ้าแม่ไม่เชื่อแม่ก็ลองถามต้า พ่อ ...แล้วก็เอมดูสิครับ” เต็มปรายตามองทีละคนจนหัวใจของคนเป็นแม่แทบจะหล่นวูบ คุณโสมดูจะช็อคไปจนแทบจะพูดไม่ออก ด้านคนถูกเอ่ยถึงอย่างเอมก็ลุกเดินออกไปเพราะคงอดทนอยู่ในสถานการณ์ที่อึดอัดแบบนี้ต่อไปไม่ไหว

“หยุดเดี๋ยวนี้นะเต็ม แล้วไปคุยกับพ่อ!”

“ผมไม่คุยครับ ...ผมรักพอชแบบที่พ่อรู้ตั้งแต่ต้น แต่สิ่งที่พ่อไม่รู้คือตอนนี้ผมรักพอชมากกว่ารักตัวผมเองแล้ว เพราะฉะนั้นสิ่งที่พ่อเคยขู่ผมไว้… วันนี้มันใช้ไม่ได้แล้ว” ผมไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงไม่ได้ดีใจกับประโยคเหล่านี้เท่าที่ควร อาจจะเป็นเพราะสายตาของคุณอาและคุณโสมที่พุ่งเข้ามาราวกับผมเป็นคนผิด ทั้งที่ผมเองก็ไม่ได้คิดว่าเรื่องมันจะบานปลายมาจนถึงขนาดนี้

“ไม่… ไม่จริง… แม่ไม่เชื่อ!”

“จริงครับคุณแม่ และตัวผมเองก็คงจะสกปรกน่าขยะแขยงแบบที่คุณแม่ว่า ...อันที่จริงที่ผมพาพอชกลับมาที่นี่เพื่อมาเก็บของ เตรียมเอกสารพาสปอร์ตต่าง ๆ แล้วตั้งใจที่จะไปให้ไกลพรุ่งนี้เช้า แต่ในเมื่อมันเป็นแบบนี้ผมก็คงต้องไปคืนนี้เลย”

“พี่เต็มคะ”

“ฝากดูแลคุณแม่ด้วยนะต้า” เต็มยิ้มบาง ๆ ให้กับน้องสาวที่กำลังร้องไห้ออกมาจนดูน่าสงสาร ผมไม่รู้ว่าในใจเต็มตอนนี้มันเป็นยังไง ยังไหวเหมือนที่แสดงออกมารึเปล่า ผมรู้ก็แค่ว่าฝ่ามือที่จับผมเอาไว้ไม่ปล่อยกำลังทำให้ใจผมเต้นรัวและพองโตได้อีกครั้ง

“เต็ม! อย่าล้อแม่เล่นนะลูก อย่าทำแบบนี้กับแม่” คุณโสมพยายามที่จะเข้ามาหาลูกชายแต่ก็ถูกลูกสาวรั้งเอาไว้อย่างน่าสงสาร

“ฝากบอกเอมด้วยนะครับคุณพ่อว่าผมขอโทษ ...แต่เราคงต้องหย่า” เต็มเปลี่ยนมาจับมือผมเอาไว้เช่นเดิมก่อนจะพาเดินขึ้นบันไดโดยไม่หันไปสนใจเสียงหรือเหตุการณ์ใด ๆ ก็ตามที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น

“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด” ภาพสุดท้ายที่ผมเห็นของครอบครัวแสนสุขครอบครัวนี้คือคุณโสมกรีดร้องลั่นก่อนที่จะเป็นลมล้มพับลงไปกับพื้น ทั้งสามีและลูกสาวต่างเข้าประครองเอาไว้ด้วยความตกใจ โดยที่ลูกชายของเธอไม่คิดจะหันกลับไปมองแม้แต่นิดเดียว…





ครืด! ครืด! ครืด! มืออีกข้างที่ยังว่างของผมล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงเพื่อหยิบโทรศัพท์ออกมา ขณะที่ยังมองแผ่นหลังอุ่น ๆ ตรงหน้าเอาไว้ทั้งน้ำตา แผ่นหลังของคนที่พึ่งจะตัดสินใจทำทุกอย่างเพื่อผม





‘ทุกอย่างเรียบร้อยดี เป็นไปตามแผน’

‘ขอบคุณสำหรับการไว้วางใจเป็นครั้งที่ 2 นะครับ’

‘คุณนี่มันสุดยอดจริง ๆ’





ผมกดลบแชทพวกนั้นอย่างไม่ต้องคิดอะไรมากนัก ก่อนจะเก็บโทรศัพท์ลงไปในกระเป๋าตามเดิม ตอนนี้เต็มพาผมเดินมาถึงหน้าห้องตัวเองที่ชั้นสาม แต่ก่อนที่เจ้าตัวจะพาผมเข้าไปด้านในผมก็โผตัวเข้าสวมกอดแผ่นหลังนั่นเอาไว้แน่น ก่อนที่เสียงร้องไห้สะอื้นของผมมันจะดังขึ้นอีกครั้ง พร้อม ๆ ร้อยยิ้มร้ายกาจที่ไม่อาจมีใครได้เห็นมัน…





“ร้องไห้ทำไมอีก หึม… เลิกร้องแล้วช่วยกันเก็บของที่จำเป็นดีกว่า”

“..............”

“ที่ผ่านมาเราคงแก้ไขอะไรไม่ได้ ออกไปจากที่นี่แล้วเริ่มต้นกันใหม่นะพอช”





แก้ไขอะไรไม่ได้… ใช่…





ผมแก้ไขอะไรไม่ได้… เพราะว่าผมได้ก่อมันขึ้นมาด้วยสมองและสองมือ

ผมพ่ายแพ้รับชะตากรรม… เพราะไม่ว่ายังไงมันก็คือทางที่ผมเลือกเอง

ผมคงต้องยอมรับว่าตัวเองเลว… เพราะว่าถ้าผมแสนดีคงไม่เดินไปตั้งมือถือไว้ที่ปลายเตียงในคืนนั้น

ผมไตร่ตรองพวกมันแล้วทั้งหมด… เพราะผมเริ่มเดินเกมทันทีหลังจากตัดสินใจได้

ผมยอมรับว่าบทบาทผู้ถูกกระทำมันไม่ง่าย ...เพราะผมชินกับการอยู่เหนือทุกอย่าง

ผมยอมรับว่าผลลัพธ์มันเกินคาดไปมาก… เพราะตอนนี้ผมได้ทั้งเอาคืนเต็มและได้ตัวมันกลับคืนมา…





บทเรียนการแสดงครั้งนี้ผมคงต้องขอบคุณตัวเอง

ขอบคุณที่วันนี้ผมยังเป็นพอชคนเดิมโดยสมบูรณ์





TBC

ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3
Chapter 19 ความหวังที่เป็นจริง

ผมเคยได้ยินประโยคที่ว่าการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดในชีวิตของคนเราถูกกำหนดเอาไว้แล้วด้วยโชคชะตา ไม่ว่าจะเรื่องร้ายเรื่องดีล้วนเป็นผลมาจากเส้นทางที่เราไม่อาจกำหนดกฎเกณฑ์อะไรได้ ผมเองก็เคยเชื่อแบบนั้นเมื่อครั้งที่ชีวิตผมเปลี่ยนไปอย่างไม่มีหนทางย้อนกลับ แต่ตอนนี้สำหรับผมประโยคที่ว่านั่นมันก็เป็นแค่ทฤษฎีลม ๆ แล้ง ๆ ทฤษฎีนึง ...ชีวิตเรา เรากำหนดการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นได้ด้วยตัวเอง…

ความลังเลและเกรงกลัวกับการเปลี่ยนแปลงเคยเกิดขึ้นในใจผมเมื่อช่วงสัปดาห์ก่อน ผมไม่รู้ว่าจะจัดการยังไงกับชีวิตที่หัวใจผูกไว้กับใครอีกคนที่ไม่เคยคิดจะดูแลมัน ตอนนั้นความว้าวุ่นใจมันมากเกินไปจนผมอยากจะหยุดมันซะ สองทางที่โผล่เข้ามาในความคิดนั้นไม่ง่ายเลยที่ผมจะตัดสินใจเลือกทางใดทางหนึ่ง





ตัดใจแล้วไปจากเต็มซะ

หรืออดทนแล้วอยู่ที่เดิมของผมต่อไป





ทำไมคนผมจะต้องเป็นฝ่ายเลือก

ทำไมคนที่กระวนกระวายใจไม่ใช่เต็ม





ผมรู้ตัวดีว่ากำลังคิดอะไร ผมรู้ดีว่าการวางเงื่อนไขของผมมันเสี่ยงและอาจไม่ได้สิ่งใดที่ใจต้องการกลับมาเลย แต่แล้วยังไงล่ะ? ต่อให้เต็มมันไม่เลือกผมหรือไม่สนใจให้ค่ากับทุกเรื่องที่ผมก่อขึ้น สุดท้ายคนที่ตายทั้งเป็นและจดจำไปตลอดก็คือมันไม่ใช่หรอ? สิ่งที่ออกมาจากมันสมองของผมครั้งนี้ต่อให้ไม่ได้อะไรคืนมา ผมก็จะไม่เสียสิ่งใดไป





ผมเคยพูดแล้วว่าต่อให้ผมจะไป…

ผมจะไปอย่างที่ทุกคนที่บ้านนั้นไม่มีทางลืม





ผลลัพธ์ที่ได้ในวันนี้มันก็ชัดเจนแล้วว่าการเป็นผู้นำเกมของผมในครั้งนี้มันคุ้มค่าแก่การเสี่ยงแค่ไหน สิ่งที่ผมต้องการในทีแรกมันก็แค่ความสะใจที่ได้เห็นเต็มมันคลั่งเหมือนคนบ้า เรียกร้องขอให้ผมกลับคืนมาอย่างคนไม่มีศักดิ์ศรี การใช้พี่กรเป็นเครื่องมือจึงเป็นทางเลือกที่พิเศษที่สุด และตอนที่รู้จากปากเต็มว่าคุณอาบวรรับทราบเรื่องราวของผมกับมันมาตลอด แต่กลับเลือกที่จะบังคับเต็มแต่งงานทั้งที่ยังแสร้งแสดงออกว่ารักเอ็นดูผมนักหนา ไม่รู้สินะ สุดท้ายแล้วมันก็เป็นหนทางที่ทำให้ผมมั่นใจที่จะปล่อยให้การเสี่ยงดวงเพื่อการเปลี่ยนแปลงครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นโดยไม่ลังเลอีกต่อไป





ถ้าเต็มไม่เลือกผม ผมก็จะจากไปอย่างไม่เสียดายอะไรเลย





ผมไม่ใช่คนโง่ และคนฉลาดก็จะไม่เที่ยวบอกใครไปทั่วว่าตนเองฉลาด สิ่งที่ผมทำมันไม่ใช่การฆ่าตัวตายแบบที่ใครหลายคนคิด กับอีแค่คลิปลีลาบนเตียงพวกนั้นมันทำอะไรผมไม่ได้หรอกครับ เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่มันถูกเปิดเผยออกไปคนที่ถูกกระทำก็จะกลายเป็นผม ...คนที่วางแผนปล่อยมันสู่สาธารณะด้วยตัวเอง คนที่รอบคอบตัดใบหน้าของใครอีกคนออกเพื่อหวังผลลัพธ์ที่มันมากกว่า

ลองคิดดูสิครับหากคลิปนั่นมันชัดเจนว่าเป็นความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเต็ม การเรียกร้องความสนใจมันก็จะพังไม่เป็นท่า ไม่เพียงว่าคนจะไม่สนใจผมแต่มันรวมถึงการเป็นผู้ถูกกระทำที่น่าเวทนามันก็จะถูกลดทอนลงไปด้วย ที่สำคัญที่สุดนี่เป็นวิธีเดียวที่จะทำให้ผมหลุดจากข้อสงสัยไปโดยปริยาย





ใครกันที่จะเอาคลิปผสมพันธุ์ของตัวเองมาเผยแพร่

จริงมั้ยครับ?





“อืม… ถ้ายังไงพี่จะติดต่อกลับไป” ผมนั่งตีหน้าเศร้ามองเต็มเดินวนไปมาคุยโทรศัพท์กับน้องต้าได้พักใหญ่ ตอนนี้เราสองคนพึ่งจะเปิดประตูเข้ามาในคอนโดของคนรู้จักได้ไม่ถึงชั่วโมง เต็มทำตามอย่างที่พูดด้วยการพาผมออกจากบ้านมาพร้อมกระเป๋าของใช้ส่วนตัวคนละใบเท่านั้น ก็นับว่าโชคดีที่เราสองคนต่างมีบัญชีส่วนตัวของตัวเองที่สามารถนำเงินไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ดี ๆ ได้สบาย ๆ แต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็นหลักของการเริ่มต้นครั้งนี้อยู่ดี เพราะแค่เต็มเลือกที่จะยืนข้างผมตลอดไปเหมือนอย่างวินาทีนี้จะยากดีมีจนยังไงผมก็มีความสุขมากกว่าอยู่ที่นั่นอยู่ดี

ก็แปลกดีที่จู่ ๆ ผมมองใบหน้าที่เครียดจนคิ้วผูกกันแล้วก็ตีหน้าเศร้าออกมาโดยไม่ต้องเฟค ถึงผมจะไม่ได้รู้สึกผิดกับการกระทำร้าย ๆ ครั้งนี้ แต่ผมก็คงหลอกตัวเองไม่ได้ว่าการตัดสินใจของเต็มมันเกินกว่าที่คาดคิดจนรู้สึกเสียใจขึ้นมาในส่วนลึก และที่มากกว่านั้นคือมันกำลังจะทำให้ผมเคยตัวและไม่อาจจะเสียตัวมันหรือส่วนไหนของหัวใจไปได้อีก

“ต้าบอกว่าคนที่บริษัทจับตัวการได้แล้ว” เต็มทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ เอนตัวลงกับโซฟาเหมือนคนหมดแรง สิ่งที่ผมทำได้ก็คงแค่การเอื้อมไปจับมือเราสองคนเอาไว้ด้วยกัน

“ใคร...” ผมเอ่ยถามออกไปทั้งที่ไม่ได้อยากรู้คำตอบมากมายนัก เพราะรู้อยู่แล้วว่าคำตอบมันคงจะไม่ผิดเพี้ยนไปจากภาพที่ผมวางเอาไว้ในหัวก่อนหน้า สิ่งที่ทำให้ผมมั่นใจขนาดนี้ก็คืออาการนิ่งเงียบของเต็มหลังวางสายโทรศัพท์

“หัวหน้าฝ่ายไอทีของบริษัท ...เห็นว่าทำงานกับเรามานาน”

“..............” ผมเงียบฟังแม้ว่าเต็มจะทิ้งช่วงประโยคอยู่นานก็ตาม หัวผมค่อย ๆ ทิ้งลงสัมผัสกับบ่ากว้างของคนข้างตัว ดวงตาที่ร้องไห้จบบวมช้ำเคลื่อนปิดลงเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ต่าง ๆ นานาที่เกิดขึ้นภายใน… อารมณ์ที่อาจจะทำให้ผมเผลอยิ้มมีความสุขออกมาเมื่อไหร่ก็ได้

“เขายอมรับว่าต้องการใช้เงิน ก็เลยตกลงรับข้อเสนอของ…”

“ของใครหรอ” ผมลืมตาขึ้นเมื่อเห็นว่าเต็มเงียบไป เสียงลมหายใจถอนเข้าออกบอกว่าเต็มกำลังลำบากใจอยู่ไม่น้อย พูดออกมาสิว่านกอีกตัวที่ผมตั้งใจยิงด้วยปืนนัดเดียวครั้งนี้มันเป็นใคร

“เอม…” เสียงของเต็มแผ่วราวกับผิดหวัง ขณะที่ผมเองต้องสร้างสีหน้าผิดหวังขึ้นมาซ้อนทับความสะใจที่คับแน่นอยู่เต็มอก วงแขนแกร่งเคลื่อนโอบร่างกายผมจนแนบชิดเข้าไปที่อกอุ่น ๆ ผมไม่รู้ว่าเต็มคิดยังไงในวินาทีที่รู้ว่าผู้หญิงแสนดีคนนั้นเป็นคนสร้างเรื่องวุ่นวายทั้งหมด จะโกรธ จะงง หรือจะไม่เชื่อสิ่งที่แวดล้อมไปด้วยพยานหลักฐานขนาดนั้นกันนะ

“เอมงั้นหรอ…”

“เห้อ… ตอนนี้ทางนั้นคงต้องชะลอเรื่องแจ้งความไปก่อน น้ำเสียงต้าเมื่อกี้ก็ดูจะเครียดอยู่เหมือนกัน”

“มึงผิดหวังในตัวเอมมั้ย” ผมถามออกไปตามที่สมองคิด เต็มใช้มือเกลี่ยเส้นผมที่ปรกกรอบหน้าผมออก สายตาเราสองคนจ้องมองกันราวกันสนทนา แววตาเต็มไม่ได้ผิดหวังหรือเสียใจกับข้อมูลที่ได้รับ เพียงแต่ยังเคลือบแคลงสงสัยอยู่บ้างก็เท่านั้น

“เรียกว่าไม่เข้าใจมากกว่า เอมจะทำแบบนี้ไปทำไมทั้งที่คุยกับกูรู้เรื่องแล้ว”

“แก้แค้น….” ผมเอ่ยออกไปเสียงเรียบ ใบหน้าเต็มเปลี่ยนเป็นฉงนสงสัยในฉับพลัน ผมไม่ได้หลุดพูดหรือเผลอทำความลับใด ๆ ของตัวเองแตก นี่ก็แค่กรรมวิธีนึงที่จะทำให้คำพูดซัดทอดมีน้ำหนักขึ้นก็เท่านั้น

“มึงพูดอะไร”

“คลิปวันงานแต่งมึง… ฝีมือกูเอง แล้วเอมก็รู้เรื่องนี้” ผมก้มหน้าซุกลงไปกับอกเต็มราวกับหนีความผิด เสียงหัวใจของมันที่ยังคงเต้นสม่ำเสมอทำให้ผมสบายใจได้ว่าอย่างน้อยผมก็คาดไว้ไม่ผิดว่ามันคงไม่ได้โมโหผมจนแทบอยากจะฆ่าตาย

“เรื่องนั้น…”

“กูผิดเอง ขอโทษนะ… กูก็แค่อยากได้มึงกลับคืนมา”

“เรื่องนั้นกูพอจะเดาออก แล้วก็รู้อยู่แล้ว” คำตอบของเต็มคำให้ผมต้องนิ่งมากไปกว่าเดิม ประโยคที่ได้ยินนี้แปลว่าผมกำลังเดินมาถูกทาง เดาไว้ไม่มีผิดว่าอันที่จริงเต็มก็น่าจะระแคะระคายเรื่องคลิปวันนั้นอยู่บ้าง

“โกรธกูมั้ย รู้แล้วทำไมไม่พูด ทำไมไม่ด่าที่กูทำเรื่องเหี้ย ๆ แบบนั้น”

“เพราะความกลัวของกูบังคับให้มึงทำแบบนั้น กูจะโกรธมึงได้ยังไง” ...กูจะถือว่ามึงพูดแล้วนะเต็ม เพราะงั้นถ้ามึงโชคร้ายได้รู้เรื่องการประจานตัวเองของกูวันไหน… วันนั้นมึงไม่มีสิทธิแม้แต่คิดจะโกรธกู ...จำไว้ซะ

“นั่นสิ… อีกอย่างกูก็ได้รับบทเรียนแล้วนี่เนอะ”

“ตั้งแต่พรุ่งนี้เช้าเราเลิกพูดเรื่องพวกนี้กันนะพอช ลืมมันไปให้หมด จำเอาไว้ว่ามีเราแค่สองคนก็พอ…” ปลายมือหนาเชยคางผมขึ้น ก่อนที่นิ้วโป้งจะไล้ที่มุมปากผมให้ยกเชิดขึ้นตามแรงมือ ผมยิ้มตามที่เต็มต้องการก่อนที่เจ้าตัวจะพยายามยิ้มออกมาทั้งที่ในแววตายังคงเป็นกังวล

“ชีวิตกูมันมีแค่มึงตั้งนานแล้วเต็ม” คราวนี้ผมยิ้มในแบบที่เป็นรอยยิ้มที่สุขใจจริง ๆ ใครว่าคนทำความผิดจะไม่มีความสุขเพราะมีเรื่องราวค้างคาติดอยู่ในใจโดยตลอด ตอนนี้ผมพิสูจน์แล้วว่าบางทีการเดินในทางที่ใครบอกว่าไม่ถูกไม่ควรมันสร้างความสุขให้เราได้จริง ๆ ...ผมรู้สึกว่าความสัมพันธ์ของเราจะกลับไปเป็นเหมือนก่อนกลับมาเมืองไทยอีกครั้งในสถานะที่ไม่เหมือนเดิม ...ความรักของผมกำลังจะชัดเจน มันกำลังจะดีขึ้นในแบบที่ผมหวังมาตลอด

“มันกำลังจะดีขึ้นแล้วพอช” ...ใช่ ทุกอย่างมันกำลังจะดีขึ้นแล้ว

“ขอบคุณนะ” ผมเงยหน้ารับสัมผัสจากเต็มที่กำลังโน้มเข้ามา ริมฝีปากอุ่นของสองเราค่อย ๆ สัมผัสกันทีละนิดจนแนบสนิท เต็มขยับปากเชื่องช้าเนิบนาบแต่หนักแน่นไปด้วยรสชาติความรู้สึก มือหนาประครองสัมกรามผมให้ขยับเข้าไปใกล้มากขึ้นอีกเรื่อย ๆ จูบครั้งนี้มันกินเวลาเนิ่นนานกว่าที่คาด จนมีเพียงลมหายใจของกันและกันที่แลกเปลี่ยนต่อเติมชีวิตชีวาในห้วงเวลานี้

“เรากลับไปอยู่อังกฤษกันเถอะ หางานทำ ใช้ชีวิตแบบที่เราต้องการ ทันทีที่เราออกจากที่นี่เราจะหมดข้อครหาลูกอกตัญญู คนทรยศ ...หรือแม้แต่ไอ้พวกเกย์น่ารังเกียจ” น้ำเสียงจริงจังนั่นทำให้ผมดีใจอย่างบอกไม่ถูก ผมรู้ว่าเต็มไม่ได้โกหก ผมรู้ว่าเขาคาดหวังที่จะให้ชีวิตเราสองคนเป็นแบบนั้น และสิ่งที่เต็มกำลังบอกผมคือเดียวที่ผมพยายามพร่ำขอเขาอยู่เสมอ ผมโผเข้ากอดคนข้างกายเต็ม ๆ ตัว อยากจะร้องไห้ขึ้นมาอีกซักครั้งให้สาแก่ใจกับความสุขครั้งนี้ในชีวิต

“มึงพูดแล้วนะเต็ม พูดออกมาแล้วนะ”

“อืม กูสัญญา… แต่ขอเวลากูจัดการเรื่องที่บ้านให้เรียบร้อยก่อนนะ”

“มึง…. ลำบากใจมั้ย” ผมถามออกไปตรง ๆ เพราะคิดว่าในใจเต็มก็คงยังกังวลอยู่ไม่น้อย ภายใต้อกแกร่งที่ผมกำลังรับไออุ่นจะซ่อนอะไรไว้หรือรู้สึกยังไงก็คงไม่มีใครรู้ดีเท่ากับเจ้าตัวเอง

“ถ้ากูตอบว่าไม่ก็คงจะโกหกไปมั้ง… ลำบากใจแหละแต่ก็ไม่มาก” เต็มกระชับอ้อมกอดแรงจนผมเกือบจะรู้สึกเจ็บ เจ้าตัววางคางลงบนหัวผมก่อนจะโยกไปมาราวกับอารมณ์ดีทั้งที่น้ำเสียงไม่ได้เป็นไปในทิศทางนั้นเลย

“แล้วทำไมถึงตัดสินใจแบบนี้วะ… ทั้งที่มึงจะทิ้งกูไว้ก็ได้ ในคลิปนั่นก็ไม่ได้มีมึงซักหน่อย” คำถามนี้เหมือนคำถามที่ผมถามตัวเองเมื่อวางเงื่อนไขเหล่านั้นไว้ในหัว ผมไม่ได้มั่นใจว่าเต็มจะเลือกทางเดินแบบที่ผมต้องการ บางทีมันอาจจะจบแค่ผมทำให้เขาจำไปจนตายได้เท่านั้น

“มันไม่ใช่แค่เรื่องคลิป… กูตัดสินใจดีแล้วพอช ทุกอย่าง… กูว่ามันดีแล้ว”

“ใช่… ทุกอย่างมันเป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว”

“บางทีที่กูตัดสินใจแบบนี้อาจจะเพราะกูเก็บกดมานานก็ได้นะ ทั้งเรื่องที่พยายามหลอกตัวเองว่าไม่เคยรักมึง ทั้งเรื่องที่ต้องยอมทำทุกอย่างเพื่อรักษาหน้าคนอื่น ไหนจะต้องคอยจัดการปัญหาให้คนปากหมาอย่างมึงตั้งแต่เล็กจนโตอีก จริงมั้ย”

“เออ ตอนนี้ให้กูเป็นตัวอะไรกูก็ยอมหมดแหละ อย่าทิ้งกูไปก็พอ”

“ผิดแล้ว… มึงนั่นแหละที่อย่าทิ้งกู” ผมไม่รู้ว่าเราสองคนปล่อยเวลาไปกับการพูดถึงเรื่องราวในอดีตและเหตุการณ์ชีวิตในปัจจุบันเนิ่นนานแค่ไหน สิ่งเดียวที่รู้คือเราสองคนกอดกันเอาไว้แน่นและไม่ปล่อยมือจากกันแม้ซักวินาที และที่สำคัญที่สุดคือผมไม่อยากคิดถึงอนาคต ไม่อยากคิดถึงเหตุผลที่ทำให้เราสองคนมาอยู่ที่นี่ตอนนี้ ไม่ว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นยังไง เราจะยังเหมือนเดิมหรือมีสิ่งไหนเปลี่ยนแปลงไป สิ่งเดียวที่จะยังคงอยู่คือใจผมที่จะยังรักเต็มไม่เปลี่ยน ถ้าผมจะเกลียดเต็มวันไหน วันนั้นผมก็จะทั้งรักทั้งเกลียด ถ้าวันไหนที่มันเกลียดผม วันนั้นผมก็จะเกลียดตัวเองที่พาตัวเองออกไปจากมันไม่ได้ซักทีเช่นกัน

ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่า... สิ่งที่น่ากลัวกว่าความรักมันคือความผูกพันธ์ที่ตัดกันไม่ลงต่างหาก และตอนนี้ผมกำลังแพ้ภัยตัวเอง แพ้ให้กับแผนการเลว ๆ ของตัวเองอย่างราบคาบ การตัดสินปกป้องผมของเต็มมันอยู่เหนือการควบคุมทั้งหมด กลายเป็นผมไม่มีทางตัดความสัมพันธ์กับมันได้ลงแบบที่คิดเอาไว้ก่อนหน้าอีกแล้ว ที่จะเลวร้ายที่สุดก็คงเป็นแค่ผมรู้สึกเกลียดมากกว่ารักจนไม่อาจเสียน้ำตาให้เต็มได้อีกเท่านั้น





50%





.

.

“ผมเลือกแก้ว ...ส่วนคุณออกไปจากชีวิตผมซะ!!”

“กรี๊ดดดดดดดดดด!! ฟ้าไม่ยอมนะคะ!! กรี๊ดดดดดดดดดด” ผมยิ้มเหยเกให้เสียงกรี๊ดปรอดแตกที่ดังลอดออกมาจากทีวี ละครไร้สาระกับพล็อตน้ำเน่าเดิม ๆ พวกนี้ไม่รู้ว่าเรตติ้งสูงไปได้ยังไง สตอรี่ที่เล่าถึงนางร้ายผู้สูงศักดิ์ต้องพ่ายแพ้แก่นางเอกผู้ต่ำต้อยเพราะความแสนดี ตลกชะมัด สาบานว่าพระเอกมองไม่ออกว่านางเอกที่เขาเลือกมันก็แค่ต้องการเงินเพื่ออัพเกรดตัวเองเท่านั้น ความโบราณพวกนี้ควรจะหมดไปจากจอทีวีและเลิกมอมเมาป้า ๆ ยาย ๆ ซักที ยุคนี้สมัยนี้มันไม่ควรจะมีฉากตัวร้ายร้องวี้ดว้ายแบบนี้แล้วด้วยซ้ำ ที่สำคัญ… ควรถึงเวลาที่ตัวร้ายจะได้ทวงความยุติธรรมคืนมาบ้างแล้ว

“ไม่เห็นเคยรู้ว่ามึงชอบดูละครแบบนี้ด้วย” เสียงเจ้าของแขนที่ผมนอนหนุนอยู่ดังขึ้นเบา ๆ ข้างหู ผมส่ายหน้าปฏิเสธเบา ๆ ก่อนจะขยับตัวซุกเข้าหาอีกฝ่ายมากขึ้นกว่าเดิม ในชีวิตคนเรามีโอกาสนอนสบาย ๆ จนเที่ยงจนบ่ายไม่มากนักหรอกครับ นอกเสียจากว่าตกงานหรือไม่ก็เจอเรื่องในชีวิตจนหมดอะไรตายอยาก ซึ่งแน่นอนว่าผมกับเต็มที่นอนกลิ้งไปมาบนเตียงตอนนี้ทั้งตกงานและทั้งเซ็ง

“หืม ก็ไม่ได้ชอบนี่”

“หรอวะ นี่มึงดูตาไม่กระพริบเลยนะ รู้ตัวรึเปล่า”

“ไม่จริงหรอก” ผมเถียงข้าง ๆ คู ๆ ทั้งที่ยังมองจอดูละครตอนจบอย่างตั้งใจ ก็พิลึกดีที่เรื่องราวในตอนสุดท้ายดูเหมือนว่ามันจะถูกรวดรัดจนอะไร ๆ ก็ง่ายไปเสียหมด

“โกหก” คงจะเพราะความหมั่นไส้ เต็มถึงใช้มือนึงปิดตาผมในจังหวะที่เรื่องราวบนจอกำลังได้จังหวะพีคพอดี

“เอ๊ะ อย่าพึ่งกวนกูดิ” ผมปัดมือเต็มออกอย่างไวเพราะอยากรู้ว่าตัวละครที่ผมให้กำลังใจเธอมาตลอดจะมีจุดจบยังไง

“ไหนบอกไม่ชอบดู… นี่มึงดูละครกับป้าวรรณในครัวมากไปป่ะเนี่ย”

“กูก็แค่อยากรู้ตอนจบเท่านั้นแหละ” ผมกลัวว่าจะโดนเต็มขัดขวางฉากสำคัญจึงเด้งตัวเองลุกขึ้นนั่งแทบจะทันที ภาพในจอดำเนินไปเรื่อย ๆ พร้อม ๆ กับคนข้างตัวที่ลุกขึ้นนั่งตามแล้ววางคางลงที่ไหล่ผม แต่คราวนี้เจ้าตัวนิ่งเงียบเพราะคงรู้ว่าผมกำลังตั้งใจดูละครน้ำเน่าสุดคลาสสิคนี่เป็นพิเศษ





จบบริบูรณ์





“เชี่ย” ผมอุทานเบา ๆ ให้กับจุดจบที่ถูกอ้างว่าสมบูรณ์ตรงหน้า อาการหงุดหงิดตอนนี้คงเพราะอินกับเรื่องราวมากเกินไปทั้งที่เคยดูละครเรื่องนี้ผ่านตาเพียงครั้งสองครั้งก่อนหน้านี้เท่านั้น ผมพิงทั้งตัวลงไปหาเต็มที่นั่งซ้อนอยู่ด้านหลัง เสียงหัวเราะหึหึในลำคอของเจ้าเก้าอี้จำเป็นยิ่งทำให้ผมหัวเสียแบบบอกไม่ถูก

“ไอ้คนติดละคร ถึงกับต้องทำหน้าแบบนี้เลยหรอ โคตรตลก”

“มันไม่แฟร์ มึงก็เห็น”

“ไม่แฟร์ตรงไหน พระเอกนางเอกเขาก็กอดกันแฮปปี้”

“แล้วแฟนตัวจริงตายตอนจบเนี่ยนะ คิดได้ไงวะ” ผมรู้ว่าเต็มมันพยายามกลั้นขำ ก็ยอมรับว่าอาการหงุดหงิดของผมมันงี่เง่านั่นแหละ แต่ก็ช่วยไม่ได้ตอนนี้ผมได้หงุดหงิดราวกับเรื่องของตัวเองไปแล้ว

“ก็มีแล้วมั้ง อกหักนี่ ถ้าไม่ตายก็คงต้องจบแบบบวชชีป่ะวะ”

“ทั้งที่มาก่อน ดีกว่า สวยกว่า มีความถูกต้องมากกว่าแต่ต้องเสียทุกอย่างเนี่ยนะ… เสียใจแล้วยังต้องมาเสียชีวิตที่เป็นของตัวเองอีก”

“จะเอาอะไรมาตัดสินว่าใครถูกต้องมากกว่า หืม” เต็มวาดวงแขนโอบลำตัวผมไว้ ก่อนจะโยกร่างไปมาเบา ๆ ราวกับเปลกล่อมเด็กที่จะทำให้ผมอารมณ์เย็นลง

“ถึงจะร้ายก็เจ็บเป็นนะเว้ย ถึงบางทีเขาอาจจะทำอะไรไม่ถูกต้อง แต่กูก็ไม่เห็นความผิดในตัวเขาเลย…” เสียงผมอ่อนลงเมื่อคิดไปคิดมาแล้วพาลไปคิดถึงเรื่องของตัวเองจนได้ ทั้งที่วันนี้เราสองคนสัญญากันไว้ว่าจะไม่พูดถึงเรื่องเมื่อวานกันแล้วแท้ ๆ แต่ผมก็อดที่จะนึกถึงมันไม่ได้อยู่ดี

“อินไปแล้วมั้งพอช มึงน่ะ” เต็มแนบหน้าตัวเองลงที่ข้างแก้มผม สัมผัสทางกายที่กอดเข้ามาแน่นขึ้นทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาได้บ้าง ผมกำลังเป็นอะไรกันแน่… กำลังกลัวความผิดตัวเอง กลัวเต็มจะเปลี่ยนใจแล้วทิ้งผมไป หรือกลัวว่าจุดจบตัวร้ายอย่างผมจะเหมือนกับในละคร

“กูก็แค่… แค่รู้สึกว่ามันโหดร้ายเกินไป”

“ถ้ากูเป็นพระเอกกูก็เลือกนางเอกนะ จิตใจดี แถมอ่อยเก่งซะขนาดนั้น ยังไงก็เคลิ้ม”

“เออ!” ผมเอียงหน้าหันขวับไปหาคนพูดทันที เต็มยิ้มร้ายเชิงเป็นต่อขณะที่ตอนนี้ปลายจมูกเราห่างกันไม่ถึงเซนติเมตรด้วยซ้ำ สายตาคู่นั้นมองผมนิ่งแทบไม่กระพริบ ก็แปลกดีที่ผมยังใจเต้นทั้งที่ความจริงเราเคยอยู่ในสถานการณ์แบบนี้มาไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง

“แต่ถ้าเป็นตัวกูเอง… กูเลือกมึง” ผมยิ้มตอบรับแทบจะทันทีเมื่อประโยคที่ได้ยินทำให้ใจพองโตในระดับที่เรียกได้ว่าดีต่อใจ วงแขนแกร่งออกแรงรัดแน่นขึ้นไม่ให้ผมดิ้นตัวหนีหรือแม้แต่ขยับแขน ริมฝีปากรสชาติเดิม ๆ ที่คุ้นเคยทาบลงที่มุมปากของผมแผ่วเบาที่วาบหวามความรู้สึก สัมผัสเปียกชื้นนุ่มยุ่นค่อยดูดซับเข้ามาเรื่อย ๆ จนปากผมต้องเผยอออกเพื่อเปิดรับความต้องการ เรียวลิ้นอุ่นร้อนตวัดเกี่ยวรั้งหยอกล้ออยู่แบบนั้นโดยที่มือของเราก็หาได้อยู่นิ่ง

จากที่เคยกอดผมเอาไว้แน่นราวกับกลัวจะหนีหาย เต็มก็เปลี่ยนมาลูบไล้เร้าอารมณ์อยู่ที่บริเวณหน้าท้องผมจนรู้สึกว่าร่างกายมันร้อนวูบขึ้นมาฉับพลัน ถ้างั้นก็คงจะแปลกถ้าผมไม่พลิกตัวกลับมานั่งคล่อมอีกร่างเอาไว้เพื่อตอบสนองทุกความต้องการที่จะเกิดขึ้น ว่ามั้ยครับ?

“เลือกกูแล้ว ห้ามเปลี่ยนใจแล้วนะ”

“พูดอย่างกับกูหันหลังกลับไปที่เดิมได้งั้นแหละ… มึงก็รู้ว่ากูไม่เปลี่ยนใจแน่”

“มึงก็รู้… ว่ากูไม่รู้” ผมโถมตัวเข้าใส่คนตรงหน้าแบบไม่ยั้ง สองแขนรั้งต้นคอเต็มเข้ามามากขึ้นจนจูบรอบนี้แทบจะเรียกว่าเหนื่อยได้ในท้ายที่สุด ด้านเต็มก็ไม่ได้ปล่อยให้เวลาเสียเปล่า สัมผัสบีบเค้นบริเวณสะโพกผ่านชั้นผ้าบาง ๆ ยิ่งเร่งเร้าอารมณ์ราวกับเราไม่เคยผ่านความสัมพันธ์เช่นนี้มาก่อน

“ก็บอกให้รู้อยู่นี่ไง” เสียงแผ่วเบากระซิบผ่านที่ใบหู ก่อนที่สัมผัสเปียกชื้นบริเวณหลังใบหูจะตามมาจนผมต้องเชยหน้าขึ้นตามใจของร่างกาย ในบางจังหวะความต้องการที่รุนแรงก็ทำให้หลุดสะดุ้งออกมาอย่างห้ามไม่ได้ แต่แล้วยังไงล่ะ ในเมื่อทุกอย่างยังคงต้องดำเนินต่อไปโดยที่ห้ามไม่ได้อย่างทุกที





ออ ไม่ต้องห่วงนะ คราวนี้ไม่มีเวลาเดินไปตั้งกล้องหรอก





“เห้ย” ผมร้องเสียงหลงเมื่อคนที่กำลังทำให้ผมเคลิ้มจู่ ๆ ก็เหวี่ยงร่างผมให้แผ่นหลังหันมาชิดหัวเตียง แววตาของเต็มทำให้ผมหลงรักไม่เคยหยุด จะกี่ครั้ง กี่หน ก็ทำให้ผมตกหลุมลงไปใจสั่นได้ทุกครั้ง และครั้งนี้ก็เช่นกันที่ทำให้ผมอยากจะถวายตัวไปซะให้รู้แล้วรู้รอด

“ชู่ว….” เต็มยกนิ้วชี้ขึ้นทาบที่ปากตัวเองก่อนจะเคลื่อนมันมาชิดที่ริมฝีปากผม มือหนาล้วงผ่านชายเสื้อเข้ามาจนผมต้องขยับตัวถอดมันออกไปไม่ให้เกะกะ ขณะที่เต็มดันเลือกที่จะดึงกางเกงตัวเองออกเป็นอันดับแรก แก่นกายที่คับแน่นชูชันให้เห็นเต็มตาอยู่ตรงหน้า และไม่ต่างกันไอ้ลูกชายผมมันก็อยากจะออกมาผจญโลกภายนอกเต็มทีแล้ว

“อือ…” เสียงครางเบา ๆ ดังขึ้นเมื่อเต็มเริ่มเล่นสนุกบนยอดอกผม ไอ้มือที่ตามใจเจ้าของบีบเค้นที่ปุ่มไตจนพอใจ ก่อนที่เต็มจะโน้มหน้าลงมาโลมเลียมันทั้งคู่ และไม่ลืมที่จะคว้ามือผมเข้าไปช่วยปลอบประโลมลูกชายคนโตที่รอการเอาใจใส่อยู่ตรงหน้า

เพราะมัวแต่เชิดหน้าขึ้นตอบสนองสัมผัสที่คนอื่นมอบให้ กว่าจะจับจุดได้ผมก็ลูบคลำแก่นกายคุ้นมือที่ไม่ใช่ของตัวเองอยู่นาน จากนั้นสัญชาตญาณก็บอกให้ผมค่อย ๆ ใช้เรียวนิ้วสะกิดที่ปลายแล้วทิ้งจังหวะช้า ๆ ให้เจ้าของมันใจจะขาดเล่น ๆ

“พอช อย่าเล่นดิ” เต็มเหวเสียงออกมาอย่างหัวเสีย ก่อนจะเริ่มทำโทษด้วยการกัดลงไปบนผิวกายผม และเงยหน้าขึ้นมายิ้มเยาะราวกับคิดอะไรขึ้นมาได้ในหัว

“ก็ไม่ได้เล่นนี่” ผมเอียงหน้าหลบเพราะว่าทันเริ่มร้อนฉ่าขึ้นมาซะแบบนั้น ผมแพ้เวลาที่เต็มมองผมอย่างเอ็นดูราวกับเด็ก ๆ สีหน้ายิ้มเป็นต่อแบบนี้มันเหมือนผมเป็นเพียงลูกไก่ในกำมือ ออ ส่วนไอ้ที่อยู่ในกำมือลูกไก่ตอนนี้ก็คงเป็นไก่ที่ตัวใหญ่กว่าล่ะมั้ง

“อย่าแกล้ง” เอาจริง ๆ ตอนนี้ผมก็ไม่รู้ว่าใครกำลังแกล้งใครอยู่กันแน่ ทั้งที่ผมเริ่มรูดแก่นกายของเต็มขึ้นลงเป็นจังหวะ แต่เจ้าตัวกลับนิ่งสนิททิ้งตัวแนบผมให้กลิ่นไอความหื่นกระหายมันถ่ายทอดออกมาก็เท่านั้น

“มึงนั่นแหละ อย่าแกล้งดิ”

“งั้น… เลิกเล่น เลิกแกล้ง กูจะเอาจริงแล้วนะ” เต็มดึงมือผมออกจากแก่นกายตัวเองอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก กางเกงตัวบางของผมถูกดึงออกง่ายดายก่อนที่คนตรงหน้าใช้มือไล้ต้นขาผมไล่ต่ำลงมาเรื่อย ๆ สัมผัสที่ทำให้รู้สึกเสียวบังคับขาสองข้างผมให้ค่อย ๆ อ้าออกอย่างเลือกไม่ได้

“อะ!” มือนึงของผมขยำลงกับผ้าปูเตียงระหว่างที่มืออีกข้างรั้งหัวเตียงด้านหลังเอาไว้ทั้งลมหายใจหอบถี่ เต็มกำลังทำให้ผมจะบ้ากับการบรรจงจูบที่ซอกขาอย่างไม่มีรังเกียจ สัมผัสแผ่วเบาเวียนวนอยู่รอบโคนจุดศูนย์กลางของร่างกายยิ่งทำให้ร้อนวูบจนบิดเร่าตลอดสนอง และที่น่าแค้นใจที่สุดคือปลายนิ้วที่ลากผ่านช่องทางหลังไปมาช้า ๆ แต่ดันไม่คิดจะล่วงล้ำเข้าไปทั้งที่ผมกำลังต้องการ

“อือ เต็ม…”

“หืม… ทำไม ไม่ชอบหรอ ก็ดูมึงตอบสนองดีนี่” ดูก็รู้ว่าเต็มมันจงใจแกล้งผมคืนหน้าด้าน ๆ การเร้าอารมณ์ซ้ำ ๆ อยู่แบบนี้มันทรมานมากกว่าความต้องการที่ไม่ถูกตอบสนองเสียอีก

“อย่าเล่นดิ…”

“ก็เปล่านะ” พอปากพูดเสร็จเจ้าตัวก็ยังสัมผัสจูบเบา ๆ ลงที่ข้างแก่นกายผม ก่อนจะเลื่อนใบหน้าขึ้นมาใกล้กับริมฝีปากผมที่กัดความต้องการเอาไว้จนปากจะฉีกอยู่แล้ว

“ถ้าไม่เอาจริงซักที กูจะหงุดหงิดแล้วนะ”

“ก็จะเอาจริงแล้วไง เอาจริง ๆ เลย…” ถ้าจะเปรียบไอ้แรงที่โถมเข้าตัวผมทั้งตัวตอนนี้เป็นพลังช้างสารก็ตงจะน้อยเกินไป ริมฝีปากมอบจูบดุดันจนผมรู้สึกถึงรสชาติฝาดและกลิ่นคาวเลือด ความปรารถนาทุกสิ่งดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีสิ่งใดเข้ามาหยุดยั้งเอาไว้ได้ จนในที่สุดผมก็หลับลงทั้งที่ฟ้ายังสว่างเพราะร่างกายมันเหนื่อยราวกับวิ่งรอบกรุงเทพมาซักสิบรอบ





เหอะ… ก็บอกว่าอย่าเล่น ๆ





Rrrrrrrrrr





“ผมว่าจะโทรหาเอมอยู่พอดี” เสียงโทรศัพท์ดังซ้ำ ๆ เข้าหูทำให้ผมต้องลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย น้ำเสียงของคนข้างตัวที่รับสายและประโยคที่พอจะจับใจความได้ทำให้สติของผมมันตื่นตัวแทนจะเต็มร้อย แม้ว่าร่างกายมันจะบังคับตัวเองให้มุดหน้าลงไปกับหมอนอย่างรำคาญก็ตาม

“ป่าวหรอก ผมแค่จะนัดวันหย่า พรุ่งนี้เลยเป็นไงผมมีเวลาไม่มาก” ผมครุ่นคิดตามที่ได้ยินแล้วก็อดที่ยิ้มในใจคนเดียวไม่ได้ สัมผัสแผ่วเบาที่ลูบไปมาบนเส้นผมจากเต็มยิ่งทำให้เปลือกตาที่ปิดสนิทอยู่แล้ว ปิดแน่นขึ้นยิ่งกว่าเดิม

“เอางี้นะเอม ถ้าคุณมีอะไรเราค่อยไปคุยกันที่เขต” ...มีอะไรงั้นหรอ ตอนนี้เอมมีเรื่องอะไรที่อยากจะพูดกับเต็มมากกว่าเรื่องหย่าอย่างนั้นสินะ

“คือผมไม่ได้มีเวลามากขนาดนั้น อีกอย่างผมผมตั้งใจว่าถ้าเรื่องเราสองตนเรียบร้อย จะบินไปอังกฤษคืนวันพรุ่งนี้เลยทันที”

“ถ้าเป็นเรื่องที่คุณทำอะไรกับพอชผมไม่ฟัง แต่ถ้าเกี่ยวกับเรื่องที่เราจะหย่า ไว้เจอหน้ากันแล้วตกลงกันตรงนั้นดีกว่า”

“ขอโทษนะ ...อืม ...แล้วเจอกัน” แรงยวบบนเตียงบ่งบอกว่าเต็มขยับตัวลงนอนอีกครั้ง วงแขนหนัก ๆ พาดผ่านเอวผมก่อนจะดึงร่างเจ้าไปชิดช่วงอกของเขาเอาไว้ ความอบอุ่นและความสุขใจทำให้ผมไม่อาจหลับลงจริง ๆ ได้อีก ประโยคเหล่านั้นวนเวียนไปมาในหัวพร้อมกับภาพจินตนาการที่อยากได้มาตลอดชีวิต





ความฝันของผมกำลังจะเป็นจริง

ความฝันที่มีแค่ผมกับคนที่ผมรักซักคน

ความฝันที่มีเต็มอยู่เคียงข้างกาย





“เรากำลังจะมีชีวิตของเราแล้วนะพอช… รอกูอีกแค่วันเดียวนะ”





อีกแค่วันเดียว

วันเดียวเท่านั้น








ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3
Chapter 20 วันสุดท้าย

“ขอบคุณมากนะครับพี่พริ้ง ที่จัดการเรื่องเที่ยวบินให้” ผมต่อสายหาพี่พริ้งทันทีเมื่อได้รับซองเอกสารสีน้ำตาลจากเมสเซนเจอร์เมื่อไม่กี่นาทีก่อน ภายในซองพบตั๋วเครื่องบินสำหรับสองที่นั่ง เที่ยวบินตรงไปลอนดอนในช่วงสี่ทุ่มคืนนี้ และแน่นอนที่มันจะมีเพียงเที่ยวบินไปเท่านั้น

“ไม่เป็นไรเลยค่ะ เมื่อวานพอคุณเต็มโทรหา พี่ก็รีบจัดการให้ทันทีเลย” น้ำเสียงพี่พริ้งแสดงออกชัดเจนเต็มใจช่วยเหลือเต็มกับผมในเรื่องนี้จริง ๆ เมื่อวานเต็มคงจะอาศัยช่วงเวลาที่ผมหลับเป็นตายโทรหาพี่พริ้งให้จัดการเรื่องนี้ให้ แล้วก็เหมือนว่าโชคชะตามันจะเข้าทางเราไปหมดซะทุกอย่าง มีเที่ยวบินและที่นั่งในเวลาที่เราต้องการพอดี ฟังดูก็อาจจะกะทันหันไปหน่อยแต่สำหรับเราสองคนที่เสื้อผ้ายังอยู่เกือบครบในกระเป๋า จะให้เดินทางในอีกครึ่งชั่วโมงข้างหน้าก็ยังได้ ถ้าจะติดก็คงจะมีอยู่แค่เรื่องเดียว คือคนที่ออกไปทำธุระเรื่อง ‘หย่า’ ตั้งแต่ช่วงเช้าจัดการความยุ่งยากได้ไม่เรียบร้อย

“ขอบคุณนะครับ ...ทุกเรื่องเลยครับพี่พริ้ง ขอโทษด้วยที่ผมคอยแต่จะหาเรื่องปวดหัวมาให้ตลอด” ผมคงต้องยอมรับว่าในเรื่องงานพี่พริ้งเป็นพี่เลี้ยงและผู้ช่วยที่ดี หลายเรื่องผมได้เรียนรู้และเติบโตจากเธอ รวมถึงสร้างปัญหาให้เธอได้เรียนรู้จากผมด้วยเช่นกัน ช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ผู้หญิงคนนี้เข้ามาคอยดูแลผมตามหน้าที่ที่ปฏิเสธไม่ได้ ผมจะขอยกเอาไว้เป็นหนึ่งในเรื่องดีไม่กี่เรื่องในชีวิตผม

“ตัดสินใจดีแล้วหรอคะคุณพอช… พี่รู้ว่าเรื่องที่คุณพอชเจอมันหนัก แต่พี่ไม่อยากให้ทิ้งปัญหาไว้แบบนี้เลย”

“ไม่หรอกครับพี่พริ้ง ผมว่าผมกำลังวิ่งเข้าใส่ปัญหามากกว่า ผมหนีมันมามากพอแล้ว” ระหว่างที่พูดผมก็เก็บทุกอย่างวางเอาไว้บนกระเป๋าเดินทางที่ผมเตรียมเอาไว้ตั้งแต่ช่วงบ่าย เข็มนาฬิกาที่แขวนอยู่ตรงหน้าบอกเวลาหกโมงเย็นเศษ ๆ จะว่าไปตอนนี้เมื่อมองกระเป๋าเดินทางสองใบตั้งคู่กันอยู่ตรงนั้นใจมันก็หวิวแปลก ๆ เต็มออกไปตามนัดเพื่อจัดการเรื่องหย่าและทรัพย์สินตั้งแต่ยังไม่แปดโมงเช้า ผมเข้าใจดีว่าเขาคงอยากไปโดยไม่ให้มีอะไรคาราคาซังอยู่ที่นี่ ซึ่งตัวผมเองก็มองว่ามันเองก็เป็นเรื่องดีที่ผมเองจะได้หมดพันธะในข้อหาเป็นชู้กับสามีคนอื่นซักที แต่ช่วงเวลาทั้งวันที่มีเพียงการตอบแชทไม่กี่ครั้งมันก็อดที่จะหงุดหงิดใจไม่ได้





ไม่สิ…

ความจริงผมน่าจะเรียกช่วงเวลานี้ว่าการกังวลใจมากกว่า





“ถ้ามีปัญหาอะไรติดต่อพี่ได้นะคะ”

“ได้เลยครับพี่พริ้ง”

“ถึงพวกคุณไม่เคยพูดแต่พี่ดูออกนะคะ… พี่ดูออกว่าคุณเต็มรักคุณพอชมาก… ไม่รู้จะพูดยังไงดีเหมือนกันเนอะ แต่ไม่ว่าจะเจออะไรกันอีกต่อจากนี้อย่าหลงลืมความรักของคุณทั้งสองนะคะ”

“ค...ครับ” สายถูกวางลงไปพร้อมกับรอยยิ้มเล็ก ๆ บนใบหน้าผม ใช่… ผมรู้ว่าเต็มมันรักผมมาก แล้วผมจะมานั่งกังวลใจอยู่ตอนนี้เพื่อบั่นทอนตัวเองทำไม มันไม่มีประโยชน์ซักนิด คิดได้แบบนั้นผมก็ทิ้งตัวลงพิงกับโซฟาแล้วสูดลมหายใจเข้าออกแรง ๆ เพื่อให้ตัวเองรู้สึกผ่อนคลายขึ้น ซึ่งมันก็ได้ผลอยู่ไม่น้อย





‘จะกลับมาตอนไหน กูได้ตั๋วแล้วนะ’

‘สองทุ่มทันมั้ย’

‘เผื่อรถติด เผื่อเวลาเชคอินด้วย’

‘หรือจะไปเจอกันที่แอร์พอร์ต’





ผมพิมพ์แชทไม่กี่ประโยคไปยังไปปลายทาง ใช้เวลาเคาะนิ้วจอรออยู่ไม่นานเต็มก็ตอบกลับมาให้ชื่นใจและหายกังวลเป็นปลิดทิ้ง อย่างน้อย ๆ เต็มก็ไม่ได้ซ้อนแผนทิ้งผมรอเก้ออยู่ที่นี่





‘มึงรอกูอยู่ที่ห้องก่อนนะ’

‘เดี๋ยวกูกลับไป’

‘หาอะไรกินด้วย เป็นห่วง’





‘เป็นไงบ้าง ทางนั้นเรียบร้อยมั้ย’





มันไม่ได้อยากจะจู้จี้จุกจิกในเรื่องที่เต็มยังไม่ได้พูด อาจจะดูงี่เง่ากับคำถามที่คาใจผมมาทั้งวัน เพราะนี่มันก็เลยเวลาเขตปิดทำการมาหลายชั่วโมงแล้ว ถ้าเรื่องยังไม่เรียบร้อยผมก็คงต้องทิ้งตัวลงจากตึกเพราะฝันสลายไม่เป็นท่านั่นแหละครับ

แต่คราวนี้เมื่อแชทถูกเปิดอ่านก็ไม่มีทีท่าว่าเต็มจะตอบกลับมาซักที มันทำให้ผมหงุดหงิดจนอยากจะโทรไปถามให้รู้แล้วรู้รอด ที่ไม่ถามไม่โทรหาทั้งที่ใจต้องการมาทั้งวัน ก็เพราะลึก ๆ แล้วผมไว้ใจเต็ม ผมไว้ใจความรักของผม และผมไม่อยากทำลายความศรัทธาด้วยความกังวลงี่เง่าของตัวเอง





‘ทำไมไม่ตอบพี่เลยพอช’





แต่แล้วแชทของใครอีกคนก็ทำให้ผมละความสนใจไปจากแชทของเต็มได้บ้าง พี่กรทักผมมาไม่รู้ว่าครั้งที่เท่าไหร่ในรอบสองวัน นับจากที่ผมแชทไปขอบคุณเรื่องวันนั้นที่เขาโดดตัวเข้ามาปกป้องผม ตัวผมเองละอายแก่ใจเกินกว่าที่จะตอบข้อความใด ๆ กลับไปอีก คนอย่างผมให้ถูกมองว่าเป็นคนเนรคุณและเข้าหาคนอื่นเพื่อผลประโยชน์มันก็ถูกต้องที่สุดแล้ว





‘อย่างน้อยรับสายกันซักครั้งก็ยังดี’

‘พอชจะไปทั้งที่ไม่บอกลาพี่ซักคำหรอ’





คิ้วของผมขมวดเป็นปมเล็ก ๆ เมื่อข้อความล่าสุดมันเหมือนกับว่าพี่กรรู้ว่าผมจะเดินทางไปอังกฤษคืนนี้ ซึ่งนั่นมันไม่ควรจะเป็นข้อมูลที่พี่กรรู้ ข่าวที่ครอบครัวนั้นปิดเงียบไม่ควรจะรู้ไปถึงหูเพื่อนทางธุรกิจอย่างพี่กรด้วยซ้ำ หรือถ้ามันจะมาจะการคาดเดา นี่ก็เป็นการคาดเดาที่แม่นจนทำให้ผมอดแปลกใจไม่ได้อยู่ดี





‘ผมไม่เป็นไรแล้ว’

‘ขอบคุณครับ’





ผมตัดสินใจตอบกลับไปโดยไม่สนใจข้อความใด ๆ ทั้งนั้น โทรศัพท์ถูกล็อคหน้าจอคว่ำหน้าลงกับตักเพราะว่าผมคงไม่ดึงพี่กรเข้ามาให้เรื่องวุ่นวายอีก เสียดายนะ ที่ผมจะต้องเสียเพื่อนที่ดีที่สุดคนนึงไป และทิ้งความทรงจำเกี่ยวกับพี่ชายที่นับถือคนนี้ไว้กับความเห็นแก่ตัวของตัวเอง





‘พอชรักมันขนาดนั้นเลยหรอ’

‘บางที… มันอาจจะไม่ได้รักพอชจริง ๆ ก็ได้’

‘ถ้ามันรักพอชจริงมันจะไม่ขังพอชไว้แบบนี้ตั้งแต่แรก’

‘กี่ครั้งแล้วที่น้องชายของพี่ต้องตกอยู่ในนรกเพราะมัน’

‘อย่าลืมว่าพี่ยังอยู่ตรงนี้เสมอ’

‘ถ้าเจ็บให้หันกลับมาหาพี่’

‘เข้าใจมั้ยพอช’

‘ถ้าเจ็บขึ้นมา… ไม่ว่าพอชจะอยู่ที่ไหน พี่จะไปรับ’

‘เข้าใจใช่มั้ย’





เสียงแชทเตือนหลายครั้งติดทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะต้องเปิดมันขึ้นอ่านอีกครั้ง คราวนี้ความไม่เข้าใจทะลุผ่านออกมาในทุกตัวอักษร คำเรียกแทนว่ามันชัดเจนในความหมายว่าหมายถึงเต็ม และที่ทำให้ผมจนอดที่จะนิ่งไปไม่ได้ก็คงจะเป็นรูปประโยค ...น้องชายของพี่… ที่สะกิดใจจนรู้สึกจุกอย่างบอกไม่ถูก ผมไม่รู้ว่าพี่กรรู้สึกยังไงตอนที่พิมพ์ข้อความพวกนี้ แต่สิ่งที่คนอ่านอย่างผมได้รับมันคือความโกรธ ความโมโห ความห่วง และหวงผสมปนเปกันไปหมด





‘ผมไม่เข้าใจ’

‘พี่กรหมายความว่ายังไง’





‘พอชตัดสินใจไปแล้วนี่เนอะ ช่างมันเถอะ’

‘น่าเสียดายที่เราไม่ได้เจอกันอีกครั้ง’

‘Safe flight’





ผมอ่านทุกคำของพี่กรวนไปวนมาซ้ำ ๆ แต่ก็ไม่ได้มีอะไรชัดเจนขึ้นในสมอง ผมไม่รู้ว่าจะตอบกลับข้อความเหล่านั้นยังไงในเมื่อผมไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของมันเลย อันที่จริงผมก็เสียดายเช่นกันที่เราไม่ได้เจอกันอีก เพราะจากตัวอักษรที่ผมอ่านอยู่ตอนนี้มันเหมือนว่าผมไม่รู้จักพี่กรเลย แค่รู้สึกว่าความฉุนเฉียวที่แฝงอยู่มันไม่ใช่พี่กรที่ผมรู้จักเลยซักนิด





‘เรื่องทางนี้พี่จะจัดการต่อเอง’





ผมต้องขมวดคิ้วมากขึ้นอีกระดับกับข้อความสุดท้ายก่อนที่พี่กรจะเงียบไป ตอนนี้เหมือนผมถูกสร้างปริศนาธรรมมากมายใส่หัว มันเป็นครั้งแรกที่ผมคิดว่าตัวเองโง่จนเดาอะไรไม่ออก ไม่สิ ผมมืดแปดด้านจนไม่กล้าจะเดาอะไรด้วยซ้ำ ผมวางโทรศัพท์ลงแล้วหลับตาถอนหายใจเข้าเข้าออกยาว ๆ ซ้ำ ๆ อะไรที่มันไม่จำเป็นก็คงจะต้องตัดมันไปซะ อีกไม่กี่ชั่วโมงผมจะมีชีวิตที่ดีขึ้น เรื่องไม่กี่เดือนที่นี่จะเป็นเพียงความหลังที่น่าขำสำหรับผมเท่านั้น





ตู้ด! ตู้ด! ตู้ด!

ช่างน่าแปลกที่คนใจร้อนอย่างผมกำลังใจเย็นแบบที่ไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะทำได้ สายโทรศัพท์รอบที่สิบของผมมันสูญเปล่า ไม่มีวี่แววว่าคนที่ผมโทรหาจะรับสายแต่อย่างใด เมื่อสายตาเหลือบไปมองนาฬิกาบนผนังมันก็หยุดนิ่งจ้องมองเข็มวินาทีวนไปวนมาซ้ำ ๆ อยู่แบบนั้นจนเหมือนว่าผมจะใจเย็นขึ้นมากกว่าเดิม





20.35 น.





ผมใจเย็นจนรู้สึกว่ามือมันเย็นไปหมด ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวผมเองอดทนรอจนถึงตอนนี้ได้ยังไง ตอนที่เต็มไม่คิดแม้แต่จะอ่านแชทผม ไม่รับสายโทรศัพท์จากคนที่รอมันจนใจแทบจะขาด ผมได้แต่บอกให้ตัวเองตั้งสติแล้วมองโลกในแง่ดีแบบที่คนทั่วไปเขาทำกัน ทั้งที่ในหัวสมองกำลังว่างเปล่าขึ้นเรื่อย ๆ และไม่กล้าแม้กระทั่งจะจินตนาการถึงภาพเหตุการณ์ใด ๆ ก็ตามที่อาจจะเกิดขึ้นในทุกนาทีต่อจากนี้





‘อยู่ไหนแล้วเต็ม เดี๋ยวไปเช็คอินไม่ทันนะ’





พอก้มมองชุดที่ตัวเองใส่อยู่ผมก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองนิ่งไป ผมอาบน้ำเตรียมตัว จัดเตรียมของทุกอย่างไว้พร้อมสำหรับการเดินทาง หรือแม้แต่เสื้อผ้าของเต็มอีกชุดที่ผมเตรียมไว้เผื่อว่าเจ้าของจะกลับมาอาบน้ำก่อนที่จะไป แต่ตอนนี้… ผมไม่รู้ว่ามันยังจำเป็นอยู่มั้ย





21.20 น.

ตู้ด! ตู้ด! ตู้ด

ผมไม่เคยถอดใจที่จะโทร ไม่เคยถอดใจที่จะรอ และไม่เคยที่จะนิ่งเฉยกับเรื่องที่ควรกระวนกระวายใจได้เท่านี้ ความฝันของผมมันริบหรี่จนแทบจะดับลงไป สองขาเดินไปมารอบห้องช้า ๆ สีหน้าผมไม่ได้กังวลหรือแสดงอาการอะไรออกมา มันนิ่งเรียบราวกับตอนนี้ผมไร้ความรู้สึกลงไปแล้ว ในส่วนลึกของสมองและจิตใจมันได้แต่ภาวนาให้ตอนนี้เต็มยังปลอดภัยดีก็พอ… ส่วนเรื่องอื่น เรื่องที่มันอาจจะทิ้งผมไป ผมไม่กล้าแม้แต่จะจินตนาการถึงมันด้วยซ้ำ





22.40 น.

เวลาเครื่องออก… ผมทิ้งตัวเองลงนั่งกับพื้นด้วยสมองที่ตื้อไปหมด มือข้างที่ถือโทรศัพท์เอาไว้ออกแรงกำมันแน่นเสียยิ่งกว่าเดิม ตอนนี้ผมก็แค่อยากจะตะโกนหรือสบถคำไหนออกมาซักคำแต่แค่อ้าปากร่างกายผมกลับอึกอักราวกับคนที่พูดไม่ได้ แผ่นหลังที่พิงอยู่กับกำแพงทำให้ความเย็นมันมากขึ้นกว่าเดิม นี่ผมยังใจเย็นไม่พออีกหรอ ผมควรทำยังไง ควรทำยังไงดี

ตู้ด…

มือเย็นเฉียบยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูอีกครั้ง แต่คราวนี้ปลายสายที่ผมโทรหาเปลี่ยนไป ‘น้องต้า’ กลายเป็นเบอร์ที่ผมเลือกจะโทรหา เธอคงเป็นคนเดียวที่อาจจะให้คำตอบอะไรกับผมได้บ้าง ปลายสายปล่อยให้ผมรออยู่ไม่นานนักน้ำเสียงแปล่ง ๆ ก็ดังขึ้นทันทีที่เวลาสนทนาเริ่มนับตัวเลข

“ค่ะ...พี่พอช”

“ต้า…” ผมอึกอักเหมือนจะพูดไม่ออก ทุกอย่างมันจุกไปหมดจนไม่อาจจะเรียบเรียงคำพูดออกมาได้ง่าย ๆ

“........”

“เต็ม… ต้ารู้มั้ยว่าเต็มอยู่ไหน”

“........” น้องต้าเงียบไปจนผมต้องยกสองเข่าขึ้นมากอดเอาไว้ ความทรมานจากการใจเย็นมันยิ่งกว่าการที่ผมโวยวายหรือพูดสิ่งที่คิดออกไปร้อยเท่าพันเท่า แม้ผมจะมีสิทธิที่จะทำแบบเดิม เป็นคนเดิมเช่นทุกครั้ง แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรผมถึงกลายเป็นสิ่งที่ไร้ความรู้สึกไปซะแล้ว ผมแค่กลัวว่าถ้าผมใจร้อนขึ้นมาผมจะเสียทุกอย่างไป

“ต้าไม่รู้หรอ… งั้นพี่ไม่กวนแล้วนะ”

“พี่เต็มอยู่ที่โรงพยาบาลค่ะพี่พอช”

“ต...เต็มเป็นอะไร!” ร่างกายของผมกระตุกวูบ มือไม้มันชาจนรู้สึกเจ็บ เสียงแผ่วเบาไม่มั่นใจของน้องต้ากำลังทำให้ทุกอย่างที่เคยนิ่งโดยเฉพาะดวงตาสั่นไหวขึ้นมาระหว่างที่รอคำตอบ ก่อนที่ทุกสิ่งจะนิ่งลงอีกครั้งราวกับถูกกดสวิตซ์เมื่อได้ยินเสียงชัดเจนผ่านเครื่องโทรศัพท์ ตัวผม ใจผม สมองผม ตอนนี้มันคงไม่รู้สึกอะไรอีกแล้ว

“พี่เต็มไม่ได้เป็นอะไรค่ะ… คือ… พี่พอชคะ… พี่เอมท้อง”

“.........”

“พี่พอช…”

“ต้าพูดอะไร พี่ไม่ได้ยินเลย ...แค่นี้นะ” แปลกดีที่เสียงผมไม่ได้สั่น ผมไม่ได้ร้องไห้ แต่ใช่ว่าผมจะหลอกตัวเองสำเร็จ และใช่ว่าจะไม่รู้สึกอะไรเลย ผมรู้สึกทุกอย่างที่ควรจะรู้สึก แต่ว่าตอนนี้ความรู้สึกพวกนั้นมันถาโถมเข้ามามากเกินกว่าที่จะร้องไห้ฟูมฟายหรือโวยวายออกมา ผมยังจำได้ดีว่าเต็มเคยพูดเอาไว้ว่าไม่เคยมีสัมพันธ์ใด ๆ กับเอม …ผมจำได้ จำได้ดี





และเต็มบอกให้ผมรอที่นี่

เราจะไปเริ่มต้นใหม่

ผมก็จำได้เช่นกัน





60%

เวลาผ่านไปเรื่อย ๆ พร้อมกับความเงียบในห้อง ที่ได้ยินชัดเจนที่สุดก็คงจะเป็นเสียงเข็มวินาทีที่เดินต่อไปไม่มีหยุด ใจร้ายจังนะ จะหยุดรอกันซักหน่อยก็ไม่ได้ ดูสิ ดูคนแบบไอ้พอชเอาไว้ ยังนั่งรอความรักคนเดียวอยู่ที่เดิมพร้อมความหวังน้อยนิด ช่างเป็นไม่กี่ชั่วโมงที่เหนื่อยจนล้า ...ทำไมตอนนี้มึงไม่ลุกขึ้นมาทำอะไรซักอย่างวะพอช ทำไมมึงไม่ลุกขึ้นไปโวยวายแล้วเอาความจริงที่คาใจออกมาให้หมด





ทำไมวะ

มึงกลัวอะไรอยู่พอช





01.15 น.

ติ๊ด! แกร็ก! เสียงคีย์การ์ดตามด้วยเสียงเปิดประตูทำให้ผมต้องรีบเงยหน้าขึ้นมาจากเข่าตัวเอง ร่างสูงที่ผมคุ้นเคยปิดประตูลงแล้วมองมายังผมด้วยสีหน้าที่ผมไม่อยากจะอ่านเพื่อหาคำตอบ ขายาว ๆ นั่นค่อย ๆ ก้าวเดินมาหาผมที่ยังคงนั่งนิ่งจิกปลายเท้าลงกับพื้น อยากรู้จริง ๆ ว่าตัวผมเองแสดงสีหน้านิ่งสนิทขนาดนี้ออกไปได้ยังไง คงจะเพราะนี่มันดึกมากจนความรู้สึกอ่อนล้าไปหมดแล้วล่ะมั้ง

“ไง เรื่องหย่าเรียบร้อยดีมั้ย” เป็นผมที่ต้องเปิดปากพูดออกไปก่อน เต็มหยุดยืนอยู่ตรงหน้าผม มองผมเหมือนเป็นตัวประหลาดที่น่าสมเพชนักหนา ทำไมจะต้องทำท่าทางเหมือนผมมันน่าเวทนาขนาดนั้น ไม่หรอก… ไม่ได้น่าสงสารอะไรขนาดนั้นหรอก

“ก...กินข้าวรึยังพอช”

“ยังไม่หิวเลย” ผมยันตัวเองลุกขึ้นก่อนที่เต็มจะทรุดตัวนั่งตามลงมา สมองมันสั่งให้ผมเดินไปหยิบซองสีน้ำตาลซองนั้นแล้วยื่นไปตรงหน้าพร้อมรอยยิ้มที่รู้สึกว่าเสแสร้งที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต

“พอช...กู”

“มึงมาช้าไปหน่อย เราตกเครื่องแล้วว่ะ” เต็มไม่ได้รับซองนั่นไว้แต่กลับดึงผมเข้าไปกอดอย่างที่ไม่ควร ตอนนี้...เราสองคนกำลังนอกเรื่อง กำลังเบี่ยงเบนประเด็นที่จะทำให้เจ็บปวดใจ ไม่สิ บางทีอาจจะเป็นแค่ผมคนเดียวที่วันนี้นึกอยากจะมองโลกในแง่ดีกับเขาบ้าง

“กูขอโทษพอช กูขอโทษ…”

“ไม่เป็นไร เราจองไฟล์ทใหม่ก็ได้นี่”

“.........”

“ถ้ามึงยังจะไปกับกูตามสัญญา… ให้กูรออีกวันกูก็รอได้”

“........”

“กูรอมาทั้งชีวิตแล้ว อีกสองวัน สามวัน หรืออาทิตย์นึงกูก็รอได้นะเว้ย” อ้อมกอดครั้งนี้ทันช่างเย็นซะจนผมทนต่อไปไม่ไหว แรงผลักเล็ก ๆ ทำให้เต็มยอมปล่อยให้ผมเป็นอิสระ เรามองหน้ากันแบบที่คงไม่มีใครอ่านใครออก ตราบใดที่เต็มยังไม่พูดผมก็จะเจ้าคิดเข้าข้างตัวเองเอาไว้จนกว่าจะถึงที่สุด

“พอช… เรายังไปด้วยกันตอนนี้ไม่ได้”

“แค่ตอนนี้… หรือตลอดไปวะ” ผมกดสายตาตัวเองลงกับพื้น เจ็บใจจนเสียงสั่นแต่กลับไม่มีน้ำตาเล็ดลอดออกมาซักหยด เจ็บมากมั้ยพอช คราวนี้เจ็บแล้วจำ เจ็บแล้วทำแบบที่มึงเคยสัญญากับตัวเองนะ

“กูทำเอมท้อง” ในสมองผมมันไม่มีอะไรตอบรับสิ่งที่ได้ยินมากไปกว่าการสั่งให้ตัวเองถอนหายใจ ในที่สุดเต็มก็พูดในสิ่งที่ผมไม่อยากได้ยินออกมา

“ตลกละ ก็มึงบอกกูเองว่าไม่เคยมีอะไรกับเอมไง” ผมแค่นยิ้มออกมาอย่างยากลำบาก ไม่เข้าใจตัวเองซักนิดว่ามีเรื่องอะไรน่าขำนักหนา

“กูขอโทษ”

“เลิกล้อกูเล่นได้แล้ว ไม่ขำนะเว้ย”

“พอช…”

“ไม่งั้นเอมก็ท้องกับคนอื่น ใช่มั้ย? แบบในละครที่มึงต้องมารับผิดชอบทั้งที่ไม่ใช่ลูกมึง ...โคตรละครเลยว่ะ ว่ามั้ย?”

“กูโกหกมึงพอช… กูผิดเอง กูมีอะไรกับเอมไปแล้วจริง ๆ กูก็แค่…”

เพี๊ยะ!!! ผมปล่อยให้มือมันไวกว่าความคิด แรงสะบัดสัมผัสที่กรอบหน้าเต็มแรง ๆ จนมือของผมเองรู้สึกเจ็บ แต่นั่นก็คงเจ็บได้ไม่เท่าครึ่งนึงของก้อนเนื้อที่จุกคล้ายจะหยุดทำงานบริเวณอกด้านซ้าย ผมมองมือตัวเองที่กำลังสั่นด้วยดวงตาที่กำลังสั่นสับสน หรือว่าตอนนี้ที่น้ำตามันไม่ไหล ที่หัวใจผมเต้นช้าลงเป็นเพราะผมกำลังจะเกลียดเต็มเข้าแล้วจริง ๆ

“กูบอกให้มึงเลิกล้อเล่นไง!” ผมรู้ดีว่าตอนนี้ผมก็แค่พยายามหลอกตัวเองให้ได้นานที่สุด ถึงจะยื้อเวลาได้แค่ไม่กี่วินาทีผมก็จะทำ ...ผมจะทำจนกว่าความอดทนครั้งนี้จะหมดลง

“กูขอโทษ” ร่างกายของคนที่ดึงผมเข้าไปกอดไม่อาจทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นได้เหมือนอย่างเคย ที่รู้สึกมันก็แค่ความเย็นเฉียบจับขั้วหัวใจ ผมไม่ได้ตอบสนองอ้อมกอดที่ตัวเองคิดเอาเองว่าเย็นชา ไม่กอดตอบ ไม่ผลักไส ไม่แสดงอาการใด ๆ ออกมาทั้งที่สับสนวุ่นวาย จะกอดอีกกี่ครั้ง จะขอโทษอีกกี่หน ความรู้สึกของผมมันก็คงกลับไปไม่เหมือนเดิม

“หลอกกูทำไม…”

“กูก็แค่คิดว่าถ้ามีลูกให้พ่อซักคนแล้วเขาจะยอมปล่อยกู… พอช กูเคยมีอะไรกับเอมแค่ครั้งเดียว มันไม่ใช่ความรัก แล้วกูก็ไม่คิดว่าเขาจะท้องขึ้นมาจริง ๆ ...กูลืมไปแล้วด้วยซ้ำ กู...” เสียงเต็มอึกอักติดขัดเหมือนคนที่กำลังจะร้องไห้ เพราะว่ามันกอดผมอยู่ ผมจึงไม่ได้รู้ว่ตอนนี้มันกำลังแสดงสีหน้าแบบไหน ไอ้เสียงสั่น ๆ ที่ได้ยินนั่นมาจากความเสียใจ ความรู้สึกผิด หรือเพราะความกลัวความผิด

“ไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น…” ผมดันมือที่อกเต็มเบา ๆ เบี่ยงตัวเองออกมาจากวงแขนนั่น ผมเริ่มรู้ตัวว่าหากช้ากว่านี้อีกนิดอาจจะเป็นผมเองที่ประครองความอดทนเอาไว้ไม่ไหว

“.........”

“มึงมาหลอกให้กูรอทำไม… ให้กูรออย่างมีความหวังเพื่ออะไรวะ” ผมมองใบหน้าของเต็มนิ่ง ๆ พยายามจดจำและเก็บทุกรายละเอียดเท่าที่คนคนนึงจะทำได้ ไม่น่าเชื่อว่าเมื่อวานเจ้าของใบหน้านี้พึ่งจะทำให้ผมยิ้มได้อย่างมีความสุข แล้ววันนี้คนคนนี้ก็ดึงเอายิ้มสุขใจของผมไป… และผมคงไม่มีทางได้มันกลับคืนมาอีกเลย รอยยิ้มพวกนั้น ความสุขพวกนั้นคงไม่มีโอกาสได้กลับมาหาผมอีกต่อไปแล้ว

“กูแค่คิดว่ามันยังพอมีทาง… พอช มึงรอกูก่อนได้มั้ย วันนี้กูอาจจะจัดการอะไรไม่ได้เลย แต่ว่าพรุ่งนี้…”

“ไม่มีพรุ่งนี้… ไม่มี”

“มึงช่วยเข้าใจกูได้มั้ย… ที่กูทำก็เพื่อมึงทั้งนั้น” การสะบัดแขนเมื่อเต็มเอื้อมมือมาแตะคงจะแทบคำตอบว่าไม่ได้ชัดเจนที่สุด ผมไม่ได้โวยวายหรือไม่ได้อ่อนไหวไปกับสีหน้าของเต็มที่พร้อมจะปล่อยโฮออกมาทุกขณะ ตอนนี้นอกจากความนิ่งเฉยของใบหน้าใจผมก็คงจะนิ่งเฉยราวกับถูกแช่แข็งไปแล้วเช่นกัน

“ไม่แล้วล่ะ”

“พอช…”

“กูคงไม่ต้องทำความเข้าใจอะไรแล้ว… จริง ๆ ก็ดีนะ เพราะว่ากูก็หลอกมึงจนหมดสนุกแล้วเหมือนกัน”

“........” เต็มนิ่งไปมองหน้าผมอย่างไม่เข้าใจ

“เรื่องคลิปฝีมือกูเองแหละ สะใจอย่างบอกไม่ถูกเลยว่ะ ปั่นหัวมึงจนเละไม่เป็นท่าเลยสินะ ได้ทำให้บ้านมึงแตก ทำให้เอมคนดีของมึงเป็นคนผิดแบบไร้ข้อกังขา… คราวนี้เราหายกันแล้วนะ” รอยยิ้มนิ่ง ๆ ของผมคงจะยังไม่มากพอให้เต็มได้รู้สึกตัว ร่างสูงใช้เวลาประมวนผลอยู่นานก่อนที่มือหนาสองข้างจะค่อย ๆ กำแน่นเข้าหากันพร้อมสีหน้าที่เปลี่ยนไปพอควร

“นี่มึง…”

“ที่กูทำก็เพื่อมึง… เข้าใจใช่มั้ยล่ะ” ดวงตาสองคู่จดจ้องกันเอาไว้นิ่ง ผมไม่รู้ว่าเต็มกำลังคิดอะไร แต่ผมรู้ดีว่าตัวผมเองคิดอะไร เจ็บแค่ไหน และควรจัดการความรู้สึกของตัวเองยังไง

“กูไม่คิดว่ามึงจะทำได้ขนาดนี้เลยพอช!”

“แล้วมึงล่ะ! มีเรื่องอะไรที่กูคาดไม่ถึงซ่อนไว้อีกมั้ย!” เราสองคนตวาดใส่กันด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ น่าสมเพช ความอ่อนแอครั้งนี้ถูกแสดงออกมาในแง่มุมที่แตกต่างกัน เต็มกำลังโวยวายและใกล้จะฟูมฟายเช่นผมเมื่อก่อน แต่ผมกลับไม่ได้รู้สึกอยากจะแสดงอารมณ์ต่าง ๆ นานาออกมาแม้แต่น้อย หึ หรือว่าตอนนี้ผมจะกลายร่างเป็นนางเอกผู้เก็บอารมณ์ไปแล้วกันนะ

“คือ…”

“ส่วนกู… มีเพียบเลยว่ะ ตั้งแต่เด็กจนโตกูทำเรื่องโกหกตอแหลเอาไว้เพียบเลย คำว่าทำได้ขนาดนี้มันอาจจะน้อยไปก็ได้... มึงมันโง่ที่ปล่อยให้กูหลอก แต่คนที่โง่กว่ามันคือกู ...กูที่ดักดานเจ็บแล้วไม่เคยจำจนถึงทุกวันนี้ไง!”

“กูไม่ได้เลือกเอม กูไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้ แต่กูต้องจัดการทุกอย่างก่อนเพราะว่ากูเป็นคนผิด ...กูขอร้องนะพอช เราต้องทำความเข้าใจกัน กูไม่อยากให้ทุกอย่างมันพัง” เต็มพยายามจะคว้าที่มือผมและแสร้งทำเป็นใจเย็น แต่ผมก็เลือกที่จะก้าวถอยหลังให้ห่างออกมา เพราะไม่อยากให้ส่วนไหนของร่างกายมันถูกแตะต้องอีกต่อไปแล้ว ถึงคนตรงหน้าจะพยายามเว้าวอนแค่ไหนแต่ผมก็อ่านออกว่าลึก ๆ เขาก็โกรธผมอยู่ไม่น้อย ...ก็ดี ดีแล้วจริง ๆ

“ปล่อยให้มันพังไปซะบ้างก็ดี เหนื่อยเต็มทนแล้วที่ต้องทนอยู่เพื่อคนไม่เอาไหน… เหนื่อยพอแล้วกับครอบครัวจอมปลอมน่ารังเกียจของมึงที่แช่งเท่าไหร่ก็ไม่มีใครตายซักที!!”

“มึง!” เต็มถลาเข้ากระชากคอเสื้อผมเอาไว้ในมือ แรงที่มากทำให้ร่างกายผมเซไม่เป็นท่า รอยเส้นเลือดปูดขึ้นตลอดหลังมือที่กำเสื้อผมไว้ ถึงมันจะสั่นแต่กลับหนักแน่นจนอดที่จะแค่นยิ้มที่มุมปากออกมาไม่ได้

“ทำไม… กูพูดแค่นี้ถึงกับจะร้องไห้เลยหรอ ไม่ต้องดีใจขนาดนั้นหรอก ต่อไปนี้ครอบครัวมึงก็จะสมบูรณ์ ไม่มีกูคอยล้างผลาญสาปแช่งอีกต่อไปแล้ว ไว้ร้องไห้ดีใจตอนที่ลูกมึงคลอดก็ยังทัน” ผมใช้มือข้างนึงวางทาบทับลงที่ข้างแก้มของเต็ม ดวงตาสั่นระริกมองผมไม่กระพริบทั้งที่น้ำตากำลังเอ่อ ทำไมมันเจ็บแบบนี้… กับการที่จะต้องเกลียดใครซักคนที่ทำเราเจียนตายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำไมมันได้ปวดทุกความรู้สึกของร่างกายจนเหมือนจะหายใจไม่ออก

“กูจะพูดอีกครั้งนะพอช… กูรักมึง และกูไม่ได้เลือกเอม”

“จะพูดอีกกี่ครั้ง ตอนนี้กูคงไม่ได้ยินคำไหนของมึงแล้วล่ะ” เต็มปล่อยให้น้ำตาตัวเองไหลออกมาในที่สุด หยดน้ำใสไหลออกจากดวงตาผ่านมือผมเป็นสาย มือหนาค่อย ๆ คลายออกจากคอเสื้อผม ขณะที่ผมเองก็ค่อย ๆ ปล่อยมือจากกรอบหน้าที่คุ้นเคยนี่เช่นกัน

“มึงร้องออกมาให้พอก็แล้วกัน ...เพราะกูคงไม่ได้ร้องไห้ให้มึงอีกแล้วเต็ม กูสัญญากับตัวเองว่าถ้าวันไหนที่กูเกลียดมึงได้มากกว่ารัก วันนั้นกูจะไม่เสียน้ำตาให้มึงอีกต่อไป แล้วกูก็คิดว่าวันนั้นมันมาถึงแล้ว ถึงจะเร็วไปหน่อย...แต่กูก็ดีใจนะที่มันมาถึงซักที” ผมหลบตาลงตลอดเวลาที่พูดประโยคพวกนี้ ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าความรู้สึกคับแค้นในอกตอนนี้มันมากพอแล้วรึยัง แต่ตอนนี้ผมคงพอแล้วจริง ๆ ไม่มีประโยชน์เลยที่ผมจะรออย่างไม่มีความหวังอีกต่อไป ความรักผม ความฝันผม เต็มเป็นคนทำลายมันลงไปกับมือ ผมยอมแพ้แล้ว ผมต้องยอมแพ้และยอมรับความจริงว่าตัวร้ายมันก็ยังเป็นแค่ตัวร้ายวันยังค่ำ





ตัวร้ายไม่มีวันพรากคนสองคนออกจากกัน

ตัวร้ายไม่มีวันหลีกหนีจุดจบที่ไม่เหลือใคร





“........”

“จะออกไปหรือจะให้กูเป็นคนไปเอง” คนตรงหน้าไม่ยอมสบตาผมและเอาแต่ก้มหน้าลงกับพื้น สองมือนั่นพลัดกันเสยผมพัลวัน เต็มกำลังร้องไห้ ร้องไห้และเริ่มสะอึกสะอื้น ผิดกับผมที่ทุกอย่างมันมาจุกอยู่ที่ลำคอและขั้วหัวใจจนรู้สึกอึดอัดไปเสียหมด ...แม้แต่น้ำตามันก็ไม่ได้ไหลออกมา

“พอช…”

“งั้นกูไปเองก็แล้วกัน” ผมพยักหน้าตัดสินใจทุกอย่างด้วยตนเองเสร็จสรรพ เมื่อฝ่ามือจับเข้าที่กระเป๋าเดินทางความเย็นมันก็เข้ามาทักทายผมอีกครั้ง ไม่กี่ชั่วโมงก่อนกระเป๋าสองใบยังทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นและเปี่ยมไปด้วยความหวัง แต่ในปัจจุบันนี้กระเป๋าใบเดียวที่ผมลากมันออกมาจากห้องทำให้ผมหนาวจนแทบจะต้องกอดตัวเอง ...กอดความเจ็บปวดของตัวเองเอาไว้แล้วล้มลงไปทั้งยืน

แกร็ก! ประตูบานนึงที่กั้นเราสองคนเอาไว้ถูกปิดลง เสียงสะอึกสะอื้นที่ได้ยินเริ่มเบาลงเรื่อย ๆ ต่อไปนี้โลกของผมคงจะต้องโคจรในทิศทางที่แปลกออกไป ผมไม่เคยเข้าใจว่าความโกรธและเกลียดที่มาจากความผิดหวังมันเลวร้ายยังไง ไม่เคยเข้าใจว่าทำไมตอนสุดท้ายตัวร้ายในละครจะต้องตัดสินใจทำอะไรโง่ ๆ เพื่อบูชาความรักของตนเอง ไม่เคยเข้าใจเลย… ไม่เคย… จนกระทั่งได้พบเจอกับตัวเอง

“กูเกลียดมึง… เต็ม… กูเกลียดมึง” ผมเอ่ยประโยคแสนเบาผ่านบานประตูตรงหน้า ผมไม่ได้ต้องการให้เต็มหรือใครได้ยินมันทั้งนั้น แต่ผมกำลังบอกตัวเองและไอ้น้ำตาไม่รักดีที่ไหลออกมาจากหางตาขวาจนได้ ผมยกหลังมือขึ้นเช็ดน้ำตาเพื่อเป็นการสั่งสอนให้ตัวตนระลึกเอาไว้ว่าต่อจากนี้ ...ผมเกลียดมัน





‘กูสัญญากับตัวเองว่าถ้าวันไหนที่กูเกลียดมึงได้มากกว่ารัก วันนั้นกูจะไม่เสียน้ำตาให้มึงอีกต่อไป ...จำไว้เต็ม’


ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3
Chapter 21 สุดขีดความอดทน

หลังจากที่พยายามหอบตัวเองออกมาจากคอนโดนั่นผมก็ตั้งสติโทรหาพี่กรอย่างหน้าด้าน ๆ ผมไม่มีครอบครัวมานานแล้ว ไม่มีเพื่อนสนิทที่ไหน ถึงแม้จะคิดว่าคงอยู่ได้ด้วยตัวเอง แต่ในความเป็นจริง ผมกำลังยับเยินเกินกว่าที่จะยืนขึ้นโดยที่ไม่มีใครคอยพยุง ก่อนตัดสินใจโทรหาพี่กรอย่างหน้าด้าน ๆ ผมอ่านข้อความแชทของเขาซ้ำ ๆ แล้วพบว่าตัวเองโง่สิ้นดี โง่ที่ดันเชื่อมั่นในเรื่องที่ใคร ๆ ก็รู้ตอนจบดีอยู่แล้ว มันไม่มีทางที่พระเอกจะมาลงเอยกับตัวร้ายแล้วมีความสุขในท้ายที่สุด ไม่มี… ไม่มีทางที่จะมีวันนั้น





‘พอชรักมันขนาดนั้นเลยหรอ’

‘บางที… มันอาจจะไม่ได้รักพอชจริง ๆ ก็ได้’

‘ถ้ามันรักพอชจริงมันจะไม่ขังพอชไว้แบบนี้ตั้งแต่แรก’

‘กี่ครั้งแล้วที่น้องชายของพี่ต้องตกอยู่ในนรกเพราะมัน’

‘อย่าลืมว่าพี่ยังอยู่ตรงนี้เสมอ’

‘ถ้าเจ็บให้หันกลับมาหาพี่’

‘เข้าใจมั้ยพอช’

‘ถ้าเจ็บขึ้นมา… ไม่ว่าพอชจะอยู่ที่ไหน พี่จะไปรับ’

‘เข้าใจใช่มั้ย’





จนถึงตอนนี้ ตอนที่ผมนั่งนิ่งท่ามกลางความเงียบในรถพี่กร ในสมองผมก็ยังคงรีรันข้อความพวกนี้เพื่อย้ำเตือนตัวเอง ย้ำเตือนว่าในบางครั้งเราควรเห็นค่าในคำเตือนและความหวังดีของคนอื่นซะบ้าง โดยเฉพาะคนที่เราไม่เคยคาดคิดว่าเขาจะเป็นห่วงเราจากใจจริง คนที่ออกมารับเราตอนกลางดึกโดยไม่อิดออดและไม่คิดที่จะถามอะไรซักคำเดียว

เสียงไฟเลี้ยวดังขึ้นติดต่อกันเป็นจังหวะ ทำให้ผมที่นั่งหลับตานิ่งพิงอยู่กับเบาข้างคนขับต้องเปิดเปลือกตาหนัก ๆ ขึ้นมาช้า ๆ หลายสิบนาทีที่ผมกับพี่กรอยู่ในรถที่เงียบจนได้ยินเสียงเครื่องยนต์ ตอนนี้ภาพเบื้องหน้าคือบ้านหลังนึงที่ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากนักแต่ก็พอดูรู้ว่าเจ้าของคงจะมีฐานะไม่น้อย รถจอดสนิทเทียบริมฟุตบาทหน้าบ้าน ก่อนการเปิดประตูของคนขับจะทำให้ผมรู้ตัวว่าควรเปิดประตูลงจากรถเช่นกัน

“เข้ามาสิ นี่บ้านพี่เอง” พี่กรยิ้มราวกับมองไม่เห็นสีหน้าตายซากของผม เขายกกระเป๋าเดินทางของผมลง แล้วเดินไปเปิดประตูเล็กหน้าบ้าน ก่อนจะเปิดมันไว้แบบนั้นจนผมแทรกร่างไร้วิญญาณเข้าไปด้านใน ผมลากกระเป๋าหนักอึ้งแบบไม่มีจิตใจอยู่ได้ไม่นานพี่กรก็ดึงไปไว้ในมือเสียเอง อันที่จริงกระเป๋าใบนี้ผมก็อยากจะโยนทิ้งไปซะ โยนทิ้งไปพร้อมทุกอย่างที่ผมจะไม่โหยหามันอักต่อไปแล้ว แต่ทำไงได้… ตอนนี้มันอาจจะเป็นสิ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่ในชีวิตคนแบบผมก็ได้

“...........”

“พี่พึ่งย้ายมาอยู่ได้ไม่นาน รกหน่อยนะ พอดีพึ่งตัดสินใจซื้อน่ะ” พี่กรพูดต่อทันทีเมื่อผมก้าวเข้ามาพ้นขอบรั้ว สายตาผู้มาเยือนอย่างผมกวาดไปมารอบตัวตามสัญชาตญาณ ยังมีรถอีกคันที่จอดอยู่ในตัวบ้าน และดูเหมือนว่าบนชั้นสองจะถูกเปิดไฟทิ้งไว้หรือไม่ก็อาจจะมีใครซักคนที่ยังลืมตาตื่น

“ขอบคุณครับ” ผมเอ่ยคำแรกขึ้นมาหลักจากเงียบมานาน ผมไม่รู้ว่าคำขอบคุณจะเพียงพอสำหรับน้ำใจของพี่กรครั้งนี้แค่ไหน เขาไม่ถามหาเหตุผลที่ผมโทรหา ไม่คาดคั้นว่าผมต้องการอะไร หรือไม่แม้แต่จะเอ่ยอะไรออกมาทั้งที่สีหน้าสงสัย แถมยังพาผมกลับมาที่บ้านทั้งที่ควรจะทิ้งผมไว้กลางทางซักที่

“รถแฟนพี่น่ะ ...อยู่ชั้นบน” พี่กรคงจะเห็นว่าผมแสดงสีหน้าสงสัย ผมพยักหน้ารับ เขาหันไปไขกุญแจที่ตัวบ้านต่อราวกับไม่ได้พูดอะไรเอาไว้ ก็ไม่น่าแปลกใจที่คนเพียบพร้อมอย่างพี่กรจะมีคนดูแลดี ๆ ซักคน แต่ที่มีผลกับความรู้สึกคือพี่กรไม่เคยปริปากบอกผมซักครั้งว่ามีแฟนหรือคนที่รัก ก็คงเป็นเพราะทุกครั้งเราเอาแต่คุยเรื่องไร้สาระกันล่ะมั้ง เขาเลยไม่ได้สนใจที่จะเล่า

“แล้ว...พาผมมา แฟนพี่จะไม่ว่าเอาหรอ” ผมก้าวเท้าเข้ามาในบ้าน ความเหนื่อยล้าทำให้ทรุดตัวลงโซฟาโดยที่เจ้าของบ้านยังไม่เชื้อเชิญ พี่กรเดินเปิดไฟในบ้านเพื่อไม่ให้บรรยากาศรอบตัวผมมันไม่น่าอดสูมากไปกว่านี้ บ้านหลังใหม่ถูกตกแต่งไว้อย่างลงตัว ทุกอย่างดูอบอุ่นสดใส ไม่เว้นแม้แต่เจ้าของบ้านที่ทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ ผม

“ไม่หรอก เขาบอกให้พี่รีบไปด้วยซ้ำ”

“ครับ…” ถึงผมจะติดใจไม่น้อยกับคำว่าเขาแต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกไป ผมรู้ว่ายังไงซะการที่เขาไม่เคยพูดเรื่องแฟนก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะเป็นฝ่ายเอ่ยถามออกไปได้ ตอนนี้ผมควรจะจัดการกับปัญหาของตัวเองมากกว่าไปยุ่งเรื่องของคนอื่น

“พอชกินอะไรมารึยัง”

“เรียบร้อยแล้วครับ”

“รู้รึเปล่าว่าการโกหก มันทำให้คนอื่นเป็นห่วงนะ”

“ผมไม่หิว” ผมทิ้งแผ่นหลังลงไปกับโซฟา ค่อย ๆ ปิดเปลือกตาลงเพราะคิดว่าคงจะเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้ผมหลุดจากเรื่องบ้า ๆ แต่เปล่าเลย เพราะว่าทันทีที่ภาพตรงหน้าดำมืดใบหน้าของเต็มในทุกช่วงเวลาก็สลับสับเปลี่ยนเวียนกลับมา และยิ่งไปกว่านั้นทุกความเจ็บปวด เจ็บใจ ในชีวิต กำลังต่อขบวนเดินกลับมาหาผมพร้อม ๆ กัน ชีวิตของคนคนนึงมันควรจะมีเรื่องดี ๆ กับเขาซักเรื่องนึงมั้ยนะ แล้วชีวิตผมมันไม่มีอะไรที่ดีจริง ๆ จนน่าจดจำเลยรึไงกัน

“พอช…”

“.......” ผมไม่ได้หลับ ไม่ใช่ว่าไม่ได้ยิน เพียงแต่ใจมันว้าวุ่นจนไม่อาจจะตอบอะไรกลับไปก็เท่านั้น

“พี่ตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่ถามอะไร แล้วพอชมีอะไรจะถามพี่รึเปล่า” พี่กรพูดขึ้นเสียงเรียบ ผมค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาก่อนจะเหม่อไปข้างหน้านิ่ง ๆ ว่างเปล่าและไร้ความหมาย นั่นสินะ แล้วผมมีอะไรที่ควรจะถามพี่กรรึเปล่า

“ที่พี่ส่งแชทไปหาผม… ทำไมพี่คิดแบบนั้น… ทำไมถึงคิดว่าเต็มมันไม่ได้รักผมจริง ทำไมพี่พูดเหมือนพี่รู้อะไรเกี่ยวกับผมมากกว่าตัวผมเองด้วยซ้ำ”

“.......” พี่กรไม่ได้ตอบออกมา เขาหันหน้ามองไปทางอื่นพร้อมกับกำมือตัวเองเข้าไว้ด้วยกันจนแน่น ผมไม่ได้อยากรับรู้คำตอบอะไรมากมาย กลับกัน… ผมกำลังคิดว่าลึก ๆ พี่กรคงอยากจะฟังเรื่องจากผมมากกว่า

“ไม่ว่าพี่จะรู้อะไร… เอาเป็นว่า… พี่คิดถูก เต็มไม่ได้รักผมจริง ผมถูกทิ้งแล้วครับพี่กร และกำลังจะถูกทิ้งแบบถาวร สุดท้ายผมก็ต้องหันมาหาพี่แบบที่พี่พูดไว้จริง ๆ ”

“พอช… คนที่พิมพ์ข้อความพวกนั้นไม่ใช่พี่” ดูเหมือนว่าสมองที่โล่งอยู่แล้วจะต้องโล่งมากยิ่งขึ้นกว่าเก่า ผมหันไปมองพี่กรแทบจะทันที แต่เจ้าตัวกลับไม่คิดแม้แต่จะหันมาสบตา ท่าทางลำบากใจนั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกแปลกใจและรู้สึกหวิวอย่างบอกไม่ถูก

“พี่กรจะบอกอะไรกับผม”

“คือ…”

“ตอนนี้พี่เป็นคนเดียวที่ผมไว้ใจแล้วนะครับ” การพยายามคุมเสียงไม่ให้สั่นมันเกือบจะยากเกินไป ผมไม่รู้ว่าผมกำลังกลัวอะไร ผมไม่ได้ซื่อสัตย์เรื่องความสัมพันธ์กับพี่กรตั้งแต่แรก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมไม่ได้ให้ความไว้ใจกับคนที่โดดปกป้องผมหลายต่อหลายครั้ง และมันก็ไม่ได้หมายความว่าช่วงระยะเวลาสั้น ๆ จะไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกว่าพี่กรเป็นพี่ชายคนนึงของผมจริง ๆ

“พี่ขึ้นไปเตรียมห้องให้พอชก่อนนะ ตามสบายเลย” พี่กรลุกขึ้นเหมือนพยายามปิดบังความรู้สึกจริง ๆ ของตัวเองเอาไว้ เขาเดินขึ้นบันไดไปโดยไม่หันกลับมามองหรือเอ่ยประโยคใดกับผมอีก แต่ใจผมมันกลับวูบโหวงราวกับได้คำตอบกลับมาแล้ว หรือว่านี่จะเป็นแบบที่เขาว่ากัน ปลูกต้นไม้เช่นใดก็จะได้ดอกผลเช่นนั้น เดิมทีผมเข้าหาพี่กรเพียงเพราะต้องการใช้เขาเป็นเครื่องมือ และผมก็อาจจะเป็นเพียงเครื่องมือของการเดินเกมซักเกมเท่านั้น





คงไม่มีใครชีวิตบัดซบขนาดนั้นหรอก ว่ามั้ย?

ว่ามั้ยครับ? ใครก็ได้… ตอบผมที





“พอช… ชีวิตมึงทำไมมันบัดซบขนาดนี้วะ”

ผมคงไม่ต้องรอให้ใครตอบคำถาม เพราะว่าตัวผมเองคงจะตอบมันออกมาได้ดีและชัดเจนที่สุด ราวสิบวินาทีก่อนขาของผมมันสั่งตัวเองให้เดินเข้ามาใกล้กรอบรูปบานใหญ่ที่ติดอยู่ที่ผนังบ้าน กรอบรูปสีขาวธรรมดาที่ภายในเต็มไปด้วยรูปโพลาลอยด์หลายสิบรูป รูปพี่กรกับใครอีกคนในช่วงวัยรุ่นและเรื่อยมาจนปัจจุบัน ถ้าให้ผมเดาจากภาพชุดนักศึกษา ความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่อาจจะเริ่มต้นเมื่อราว ๆ สิบปีก่อนหรือมากกว่านั้น เขาคนนี้… คนที่เป็นเจ้าของยิ้มมีความสุขในทุก ๆ รูปคงจะเป็นแฟนที่พี่กรเอ่ยถึง ใบหน้าเปื้อนยิ้ม แววตาสุขใจ และการที่มีคนดี ๆ โอบกอดอยู่ข้าง ๆ ในทุกรูปมันช่างดูน่าอิจฉา น่าอิจฉาจนผมรู้สึกสมเพชในชีวิตตัวเอง ก็รู้ทั้งรู้ว่าชีวิตผมมันไม่เคยมีอะไรดี แต่ก็ไม่ได้คิดว่ามันจะแย่ขนาดนี้





แย่ขนาดที่ว่าในช่วงเวลาที่ย่ำแย่ที่สุดครั้งนึงในชีวิต ผมต้องมาทนเห็นรูปพี่ชายแท้ ๆ ของตัวเองมีความสุขตลอดเวลาที่ทิ้งผมไว้กับความเดียวดายที่โหดร้ายเพียงลำพัง





พี่พีท

30%

“พี่พีท…” ริมฝีปากผมเผลอขยับตามคำที่โผล่เข้ามาในสมอง มันเหมือนช่องทางการรับรู้ของผมกำลังถูกปิดตาย สองหูมันอื้ออึงไปด้วยทุกประโยคที่พี่กรเคยเอ่ยกับผม ภาพในดวงตาถูกซ้อนทับด้วยรอยยิ้มพี่ชายคนเดียวในรูปที่สลัดออกไปยังไงก็ไม่หลุด ร่างกายเย็นวูบขึ้นมาก่อนจะชานิ่งไปเพราะไร้รู้สึก หัวใจวูบไปราวกับตกจากที่สูง ตอนนี้ผมคงไม่ต่างอะไรกับคนที่ถูกผลักลงมาจากเหวซ้ำ ๆ





“เพราะความโชคดีจะทำให้เราเจอกันอีก”

“ไม่ร้องไห้นะ… พี่อยู่นี่แล้วนะพอช… พี่อยู่กับพอชแล้ว”

“พี่พูดจริง ๆ พี่ไม่อยากให้พอชคิดว่าพีทเขาทิ้งพอช ยังไงซะพอชกับเขาก็เหลือกันอยู่แค่สองคนนะ”

“พอชไม่ได้ตัวคนเดียวแบบที่คิด”

“ลูกจิ้งจอกทำตัวเป็นจ่าฝูงได้ไม่นานหรอก วันนึงมันจะเจ็บเจียนตายเพราะตัวมันเอง”





นั่นสินะ ที่เจ็บเจียนตายอยู่ตอนนี้ก็คงเพราะตัวผมเอง





เพล้งงงง!!





ผมพยายามแล้วที่จะยันขาตัวเองให้เหยียดยืนแล้วก้าวออกไปจากที่นี่ แต่ยิ่งขยับเพื่อถอยหนี ร่างกายก็ไม่อาจจะพยุงตัวเองเอาไว้ได้ไหว สองมือที่เกาะเข้ากับตู้โชว์กวาดเอาทุกสิ่งที่ใกล้เอื้อมลงมาพร้อมร่างกายหนัก ๆ ที่ทรุดลงกับพื้นกระเบื้องเย็นเฉียบ ทั้งที่บอกตัวเองให้เข้มแข็ง ทั้งที่ผ่านเรื่องไม่กี่ชั่วโมงก่อนโดยไม่ร้องไห้ออกมา แต่ตอนนี้ผมไม่สามารถรั้งความรู้สึกทั้งหมดของตัวเองเอาไว้ ผมทำไม่ได้ ผมสู้ความอ่อนแอภายในตัวเองไม่ไหว ไม่… ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว

“พอช!” เสียงเรียกคุ้นเคยดังขึ้นที่โถงบันได ดวงตาร้อนรนของพี่กรมองมายังผมคล้ายกับเป็นห่วงเป็นใย แต่เสียงที่ผมได้ยินกลับเป็นเสียงของคนที่ผมไม่คิดว่าจะเจอกับเขาอีก เสียงนี้เป็นเสียงเดียวกับที่ผมเคยได้ยินตอนที่กลัวจับใจที่เกาะช้าง เสียงที่ผมเคยเข้าใจว่าแค่คิดไปเอง ...แต่ตอนนี้เจ้าของเสียงกำลังยืนซ้อนอยู่ด้านหลังของพี่กร ใบหน้าที่ไม่เคยเปลี่ยนไปกำลังมองมายังผมด้วยน้ำตาที่เอ่อออกมาคลอเบ้า เขารีบสาวเท้าเข้ามาหาคนหมดสภาพอย่างผม เรียวมือขาวสะอาดเอื้อมมาสัมผัสบนไหล่ก่อนที่ผมจะปัดมันออกเพราะไม่ได้การมัน

“อย่า!” เสียงตวาดของผมมันมากพอที่จะทำให้เขาชะงัก ร่างโปร่งคุกเข่าลงมองผมที่กำลังถอยหนีด้วยความสมเพช ...ใช่สิ ไอ้สีหน้าแววตาแบบนี้คงจะแค่สมเพชเวทนาคนอย่างผมก็เท่านั้น ที่พี่กรกำลังยืนมองผมก็เหมือนกัน มันตีความออกมาได้เพียงความหมายเดียวนั่นก็คือผมมันโง่สิ้นดี

“นี่พี่ไงพอช… พี่พีทไง” เสียงของคนคนนี้ยิ่งทำให้ผมจุกมากกว่าเดิม เขาคิดว่าจะมีวันไหนที่ผมลืมเขาได้ลงงั้นหรอ ใช่… เขาคือพี่พีทที่ทิ้งผมไปนานแสนนาน นานเสียจนการพบเจอครั้งนี้ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีใจขึ้นมาซักนิด

“อย่ามายุ่งกับผม” ผมเหลือบตามองคนสองคนตรงหน้าสลับไปมาด้วยความโกรธที่มันกรุ่นอยู่ในอก น้ำตาที่ไหลมันก็แค่เศษเสี้ยวนึงที่ผมรู้สึกเท่านั้น

“พี่ขอโทษ… พอช อย่ามองพี่แบบนี้สิ”

“บอกว่าอย่ามายุ่งไง!!” ผมลั่นออกไปสุดเสียง สองแขนพาร่างถอยหนีออกมาได้ไม่ไกล เพราะความมึนงงและไม่สามารถเรียบเรียงสติสัมปชัญญะ ทำให้ผมไม่อาจลุกขึ้นและวิ่งออกไปอย่างที่ใจอยาก

“โกรธพี่หรอพอช…” เสียงสั่นเอื่อยเหนื่อยล้าไม่ได้ทำให้ความเจ็บใจของผมหายไป คนตรงหน้ากำลังตีสีหน้าร้องไห้ราวกับเสียใจเหลือเกินที่เห็นท่าทางรังเกียจหวาดกลัวจากผม อยากให้เขารู้เหลือเกินว่าสิบกว่าปีที่ผ่านมาผมมีสีหน้าแววตาแบบเขาตอนนี้กี่ครั้ง และทุกครั้งผมก็ดีขึ้นได้ด้วยตัวเอง ...แค่ตัวผมเองคนเดียว

“ผมไม่รู้จักคุณ ...ไม่รู้จักพวกคุณทั้งสองคน”

“ขอโทษ พี่ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ พอช พี่ขอโทษ” อ้อมกอดที่รวบตัวผมเข้าไปไว้แนบอกไม่ได้ทำให้ความรู้สึกส่วนไหนดีขึ้น ซ้ำร้ายที่ผมยอมหยุดนิ่งให้คนคนนี้กอด ก็เพียงเพราะผมไม่มีแม้แต่แรงที่จะตอบโต้เพื่อทวงคืนความเป็นอิสระของตัวเอง ไม่เข้าใจเลยว่าเขาพูดคำว่าขอโทษออกมามากมายเพื่ออะไร แล้ววันนี้ผมจะต้องฟังคำขอโทษจากคนอีกกี่คน อีกกี่ครั้งกี่หน โชคชะตาถึงจะพอใจและปราณีกับผมซักที

“...........”

“พี่ไม่ได้ตั้งใจจะทิ้งพอช แต่พี่พาพอชออกมาลำบากกับพี่ไม่ได้”

“...........” ผมยังคงเงียบทั้งที่ในใจมีประโยคผุดขึ้นมามากมาย เท่าที่เห็นก็มีความสุขดีนี่ คงจะไม่ได้ลำบากเท่าที่ผมทนลำบากใจมาเป็นสิบปีหรอกมั้ง

“พอช อย่านิ่งแบบนี้สิ” ผมรู้ว่าเขากำลังร้องไห้ออกมาจนแทบสะอื้น แต่ผมไม่อยากจะพูดอะไรออกมาทั้งนั้น ตอนนี้… แม้แต่ในความคิดผมก็ไม่อยากจะเอ่ยชื่อเขาด้วยซ้ำไป

“พีท ให้เวลาน้องหน่อยเถอะ” พี่กรทรุดตัวลงข้าง ๆ อีกคน เขาตบไหล่คนที่โอบกอดผมอยู่ก่อนจะเคลื่อนมาสัมผัสที่ไหล่ของผมบ้าง ผมรู้ตัวว่ากำลังเหม่อลอยและคิดฟุ้งซ่านไปต่าง ๆ นานา แต่ผมไม่อาจพาตัวเองออกมาจากวังวนความคิดได้เลย

“พอช… พีทเขามองพอชอยู่ตลอดเวลาเลยนะ” หรือนี่คือสิ่งที่พี่กรพยายามจะบอกผมมาตลอด แล้วยังไงล่ะ ทำไมถึงพึ่งมาบอกผมเอาป่านนี้

“..........”

“ตั้งแต่รู้จักกันมา พีทพูดถึงพอชให้พี่ฟังตลอด ไม่มีครั้งไหนที่เขาไม่คิดถึงน้องชาย ทุกเรื่อง ทุกอย่างนับตั้งแต่ที่เราเจอกัน พี่พยายามเป็นตัวแทนของพีทให้ดีที่สุด… รู้มั้ยว่าทุกครั้งมันอยู่ในสายตาของพีทตลอด คืนนั้นที่พอชกลัวฝนพีทเขาก็อยู่ดูแลพอชทั้งคืนททุกครั้งที่เราเจอกันพีทจะแอบตามไปตลอด ...พอช พีทเขาไม่เคยทิ้งพอชไปไหนไกลเลยนะ”

“...........” ผมอยากจะตะโกนออกไปว่าเลิกแก้ตัวแทนกันซักที ยิ่งพี่กรพยายามแก้ตัวแทนคนของเขามากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งกลายเป็นคนโง่เง่าที่อวดฉลาดคนนึงเท่านั้น

“พอเถอะกร พอแล้ว...” เจ้าของเสียงรวบตัวผมเข้าไปแน่นยิ่งกว่าเดิม ก่อนที่จะคลายอ้อมกอดออกแล้วทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ ผม เป็นครั้งแรกที่ผมยอมมองใบหน้าที่ไม่ได้เห็นมาหลายปี นอกจากกรอบหน้าที่เข้มขึ้นตามวัย ก็คงจะมีเพียงแต่ความรู้สึกเมื่อผมมองเขาที่เปลี่ยนไป ก็ตลกดีที่ผมไม่หลงเหลือความดีใจไว้ในเบื้องลึกแม้ซักนิด ตลกดีที่ผมได้พี่ชายกลับคืนมาด้วยความรู้สึกที่ไม่หลงเหลือใครอยู่ในชีวิตเลย

“จะไม่พูดอะไรเลยหรอพอช” ผมเหลือบตาไปมองพี่กรตามเสียง แค่คิดก็อยากจะขำ ตลอดเวลาที่ผมคิดว่าเขาเหมือนใครอีกคนมันไม่ใช่เรื่องที่คิดไปเอง มันเป็นเรื่องที่เขาตั้งใจทำ ตั้งใจพูด ตั้งใจบอกผมว่าให้เลิกคิดว่าตัวเองฉลาดและคุมเกมทั้งหมดได้เสียที

“........จะกลับมาทำเหี้ยอะไร” ในเมื่ออยากให้ผมพูด ผมก็จะพูด ผมจะไม่ถามว่าทิ้งผมไปทำไม แต่ผมอยากจะรู้ว่าในเมื่อมีชีวิตที่ดีแล้วจะกลับมาวนโคจรรอบตัวผมเพื่ออะไรอีก

“พอช…” ดูพี่กรจะผิดหวังกับคำพูดของผม ส่วนคนอีกคนที่พี่กรกำลังโอบไหล่ก็เอาแต่ร้องไห้ราวกับเจ็บใจเสียเหลือเกิน

“พี่กลับมาช่วยพอชออกมาคนพวกนั้นไง…” คนพูดตีสีหน้าเข้มขึ้นทั้งที่น้ำตายังไหลไม่หยุด ผมสังเกตเห็นว่าพี่กรบีบไหล่ให้กำลังใจเขาตามประสาคนรัก ...พวกเขามีชีวิตรักที่ดีจนผมอดไม่ได้ที่จะอิจฉาซ้ำ ๆ และช้ำมากไปกว่าเดิม

“พอชฟังนะ… จะโกรธพี่แค่ไหนก็ได้แต่พอชต้องฟังพี่”

“.........”

“ตอนนั้นพอชยังเด็ก พี่ไม่อยากพาน้องพี่ออกมาทั้งที่ไม่รู้ว่าชะตากรรมจะเป็นยังไง อย่างน้อยถ้าพอชอยู่ที่นั่นพี่ก็ไม่ต้องคอยกังวลว่าพอชจะมีข้าวกินมั้ย นอนหลับสบายดีรึเปล่า ...ลำบากคนเดียวพี่ทนได้ แต่พี่ทนเห็นพอชลำบากไม่ได้”

“ที่ผ่านมาเลยคิดว่าผมสุขสบายดีงั้นสินะ” ผมเริ่มเปิดปากพูดตามที่ใจบอก

“พี่รู้ว่า…”

“คุณไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการจากไปของคุณมันดีแค่ไหน”

“พอช…”

“ผมเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวนั้น มีเงินใช้ กินอิ่ม หลับสบาย ได้รับความรัก และเติบโตมาพร้อมคนรอบตัวอย่างที่ควรจะเป็น” จะมีซักกี่คนที่รู้ว่าผมต้องอดทนกัดฟันพูด ก็เขาอยากจะเห็นผมมีความสุขนักไม่ใช่รึไง? ตอนนี้เขาก็กำลังจะได้รับรู้ว่าการถูกทอดทิ้งมันช่างน่าสุขใจจริง ๆ

“พอชจะหลอกตัวเองว่ามีความสุขเพื่ออะไร! ทำไมพี่จะไม่รู้ว่า...” เขาดูโกรธจนเผลอขึ้นเสียงใส่ผม แต่สุดท้ายก็เริ่มรู้ตัวและสงบลงเพราะคนข้าง ๆ ที่กำลังปรามและให้กำลังใจอย่างออกหน้าออกตา ระหว่างที่ผมพยายามแล้วพยายามอีกที่จะกลับมาแข็งกร้าวได้อย่างเดิม ...เพียงลำพัง

“เพราะอย่างน้อย คนพวกนั้นก็ไม่เคยทิ้งผมไง อย่างมากก็แค่ลืมผมทิ้งไว้ที่โรงเรียน ต่อให้ความจริงรู้สึกแบบไหน ผมก็ต้องมีความสุข แบบนี้มันก็เป็นแบบที่คุณต้องการแล้วไม่ใช่หรอ ออกไปหาชีวิตดี ๆ คนเดียว แล้วทิ้งภาระเอาไว้ข้างหลัง ...เห็นแก่ตัว!” ผมพยายามยันตัวเองให้ลุกขึ้น แต่สุดท้ายก็ทรุดลงอยู่กับพื้นเช่นเดิม ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าสภาพจิตใจมันมีผลกับร่างกายคนเราได้มากขนาดนี้ ...หัวใจผม ตอนนี้แค่จะเหยียดยืนขึ้นยังทำให้กันไม่ได้เลยงั้นหรอ พอช… มึงกำลังอ่อนแอขนาดนั้นเลยหรอ

“มันจะมากไปแล้วนะพอช! คิดว่าพี่มีความสุขดีนักรึไง!” เขาแทบจะถลาเข้ามาใส่ผมถ้าไม่ติดว่าพี่กรกำลังรั้งความโมโหเขาเอาไว้อย่างยากลำบาก ใช่… ผมคิดว่าเขามีความสุขดี อาจจะดีมากกว่าผมเป็นสิบเท่าหรือร้อยเท่า จะมาโทษผมไม่ได้หรอกเพราะการไม่เคยกลับมาของเขามันทำให้ผมต้องคิดเอาเองแบบนี้

“พีท ใจเย็นสิ! น้องกำลังเสียใจอยู่นะ!”

“เสียใจเรื่องที่โดนไอ้เต็มมันหลอกเอาน่ะหรอ! แล้วพีทไม่เสียใจรึไงที่เห็นน้องตัวเองโง่ซ้ำซากอยู่แบบนั้น!!” จบสิ้นประโยคนี้ความคิดของผมก็ต้องสะดุดกึก เขาคงไม่ได้ตั้งใจพูดความจริงทิ่มแทงความรู้สึกผมหรอกมั้งครับ อีกอย่างผมก็ไม่ได้ถูกหลอกและก็ไม่ได้โง่ ที่ทำให้แย่อยู่ตอนนี้มันก็แค่ผมฉลาดไม่พอสำหรับความรักเองเท่านั้น

“พีท!!”

“.........” เจ้าของชื่อเงียบไปหลบแววตาลงต่ำ ระหว่างที่พี่กรถอนหายใจทิ้งแล้วพยายามดึงร่างข้าง ๆ ตัวให้ลุกขึ้นยืนด้วยแรงที่มากกว่า

“ขึ้นไปข้างบนก่อนเถอะ ขอกรคุยกับพอชเอง”

“นี่น้องพีทนะกร!”

“แต่พีทกำลังจะทำให้เสียเรื่อง พอชเขาไม่เข้าใจพีท แบบที่พีทไม่เข้าใจพอชตอนนี้นั่นล่ะ กรขอล่ะ...ขอให้กรคุยกับน้องพอชเองนะ” คนถูกร้องขอทำท่าทางดึงดันแต่สุดท้ายก็แพ้สายตาดุ ๆ และยอมเดินขึ้นไปด้านบนแต่โดยดี คนที่ผมเคยอยากจะขอบคุณเมื่อต้นชั่วโมงก่อนหันมาดึงต้นแขนให้ผมลุกขึ้นยืน ก่อนจะทั้งลากทั้งดึงผมกลับไปนั่งที่โซฟาเช่นเดิม ผมควรจะทำยังไง ชีวิตผมตอนนี้ทันมืดแปดด้านจนหาทางออกไม่เจอ ที่พึ่งคนสุดท้ายที่คิดว่าเหลืออยู่กลับสลายหายไปกับตา ตอนนี้ก็เหลือเพียงคนรู้จักนั่งอยู่บนโซฟาตัวเดียวกันเท่านั้น

“พี่น้องเหมือนกันไม่มีผิด ...ว่ามั้ย”

“ไม่รู้สิ ผมไม่เคยมีพี่น้อง” ผมกำลังยิ้ม ยิ้มและขำกับตัวเองราวกับคนไร้สติ เหนื่อยเหลือเกิน… ที่ยกปากยิ้มทั้งที่ตาหมองเศร้าก็เพราะความเหนื่อยล้าที่แทบจะทนรับไม่ไหว ผมเหนื่อยจนไม่อยากจะรับรู้อะไรเพิ่มเติมไปมากกว่านี้อีกแล้ว

“พอช… โกรธพี่ทั้งสองคนมากมั้ย”

“..........”

“ไม่ต้องตอบก็ได้ แต่ที่พี่ทำไปทั้งหมดเพราะพีทเขาเป็นห่วงพอชนะ ตลอดเวลาตั้งแต่รู้จักกันมาเขาจะเล่าเรื่องของพอชให้พี่ฟังทุกวัน แอบตามสืบเรื่องของพอชตั้งแต่ตอนนั้นจนตอนนี้ แอบไปมองน้องชายที่โรงเรียนแล้วก็กลับมาร้องไห้เหมือนเดิมทุก ๆ ครั้ง ทุกอย่างที่ตัวพี่ทำ พี่ไม่ได้หลอกพอช แต่เรื่องพีท… ที่พี่ไม่พูดเพราะมีเหตุผลที่พีทยังแสดงตัวตอนนี้ไม่ได้ พี่ไม่ได้อยากให้พอชเข้าใจทุกอย่างตอนนี้ แต่ถ้าพอชลองฟังในมุมของคนที่เดินจากไปบ้างมันจะไม่ดีกว่าหรอ”

“...........” ไม่ว่าผมจะพยายามนึกถึงเรื่องอื่นมากแค่ไหนผมก็ไม่สามารถบังคับตัวเองไม่ให้ฟังคำพูดที่ลั่นอยู่ข้างหู ไม่ได้อยากรู้ ไม่อยากรับฟัง ไม่อยากจะทำอะไรหรือคิดอะไรอีกแล้วทั้งนั้นในตอนนี้

“ก่อนหน้านี้พีทไม่ได้สุขสบายดีแบบที่พอชเข้าใจหรอกนะ… ครั้งแรกที่พี่เจอพีทเนื้อตัวเขาเต็มไปด้วยรอยเขียวช้ำ เสื้อผ้าตัวเก่ากับเงินติดตัวไม่ถึงร้อยบาท...แล้วพอชรู้อะไรมั้ยว่าพี่เจอเขาที่ไหน”

“...........” ผมเอียงหน้าหลบทิ้งหัวลงกับโซฟาแล้วหลับตาลงแน่น ได้แต่ภาวนาให้สองหูของตัวเองมันดับลงไปเสีย ทั้งที่รู้ว่าคำภาวนาลม ๆ แล้ง ๆ จะไม่มีทางได้ผล

“พี่เจอเขาที่คลับ… พีทขายตัวเพื่อให้ตัวเองอยู่รอดไปวัน ๆ ...พอชว่าเขาจะมีความสุขดีมั้ย”

.

.

.

วันที่หนักหนาแบบนี้จะให้ข่มตาลงนอนก็คงยาก พี่กรใช้ความพยายามอยู่นานกว่าจะลากผมขึ้นมานอนบนห้องรับรอง ห้องเงียบ ๆ และแสงไฟบางเบาจากโคมไม่อาจทำให้ผมหลับไหล จนกระทั่งตอนนี้ ตอนที่แสงสีส้มแรกของวันเริ่มแทรกผ่านเข้ามาในห้องที่ผมไม่คุ้นเคย





คืนทั้งคืนผมหยุดคิดไม่ได้เลย

ทั้งเรื่องคนที่จากไป และเรื่องของคนที่กลับมา





ศรีษะหนัก ๆ ยกขึ้นจากหมอนเพราะเบื่อหน่ายกับการนอนมองเพดาน วันใหม่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นโดยที่ผมไม่รู้เลยว่าควรจะทำยังไงกับชีวิตที่เหลืออยู่ เรื่องที่โถมเข้ามาพร้อมกันมันหนักเกินกว่าที่ผมจะมองโลกในแง่ดี ผมไม่กล้าคิดเลยว่าถ้ามีเรื่องเฮงซวยเข้ามาอีกซักเรื่องตัวผมจะเป็นยังไง จะกลั้นใจตายมันตรงนี้ หรือจะทำให้คนรอบตัวตายไปทีละคนซะดีกว่า

ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3





ก็น่าสนุกดีถ้าผมต้องเลือกซักทางจริง ๆ





แต่ตอนนี้ผมควรจะพาตัวเองออกไปจากที่นี่ ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ผมจะต้องหายใจทิ้งกับคนสองคนที่หลอกลวงผมไม่แตกต่างกับคนอื่น จะเหนื่อยแค่ไหน จะย่ำแย่ จะท้อแท้ ผมก็ต้องยืนหยัดให้ได้ด้วยสองขาของตัวเองเท่านั้น

“ทำไมไม่นอนต่ออีกซักหน่อย” เมื่อผมตัดสินใจเดินออกจากห้องเงียบ ๆ ฝ่าเท้าที่สัมผัสพื้นได้ไม่กี่ก้าวก็ต้องชะงักลง เสียงที่คาดว่าจะเป็นของพี่กรแว่วขึ้นไม่ไกล ก่อนที่เสียงใครอีกคนจะตามมาเพื่อทำให้ผมแน่ใจว่าผมมันก็แค่คนนอกบทสนทนา

“กรก็รู้ว่าพีทนอนไม่หลับ พีทเป็นห่วงน้อง” ผมแนบแผ่นหลังลงกับกำแพง สองคนนั่นนั่งเคียงข้างกันอยู่ในห้องเอกสารเล็ก ๆ ที่ถัดจากตรงนี้ไปไม่กี่เมตร ไม่รู้ว่ามันเป็นโชคไม่ดีของผมหรือของใครที่ต้องบังเอิญมาได้ยินสิ่งที่ไม่ควรจะได้ยิน

“ห่วง… แต่ก็ยังหลุดตวาดใส่น้องเนี่ยนะ”

“ก็ตอนนั้นมัน….”

“พีท… พีทต้องใจเย็นแล้วนะ เรื่องที่พีททำอยู่ก็เหมือนกัน กรว่าเราต้องชะลอไปก่อน”

“แต่เราเดินมาขนาดนี้แล้ว จริง ๆ มันก็อีกนิดเดียวเท่านั้น ดันเกิดเรื่องพอชซะก่อน ...พีทไม่อยากพลาด” ผมขมวดคิ้วเล็ก ๆ เมื่อได้ยินชื่อตัวเองในบทสนทนา เพราะหันหลังติดอยู่กับกำแพงผมจึงไม่รู้ว่าผู้พูดแสดงสีหน้าแบบไหน

“คิดดี ๆ นะ ...ตอนนี้พอชกลับไปที่นั่นไม่ได้แล้ว ลำพังคุณพริ้งจัดการเรื่องนี้คนเดียวไม่ได้หรอก” ผมรู้สึกว่าหัวใจตัวเองสั่นรัวขึ้นมาอีกครั้ง ยิ่งได้ยินตัวละครชื่อคุ้นหูความรู้สึกเย็นวาบก็เข้ามาเยือนจนดวงตาไหวสั่นไปหมด ...คุณพริ้ง… พี่พริ้งงั้นหรอ แล้วเรื่องจัดการที่ว่ามันคือเรื่องอะไรกันแน่

“รอพอชตื่นแล้วดีขึ้นซักหน่อย พีทจะบอกน้องเอง… พอชต้องกลับไปจัดการให้เราจนเสร็จ”

“แน่ใจใช่มั้ยว่าพอชจะไม่โกรธเราไปกันใหญ่ ถ้าพอชรู้ว่าจริง ๆ แล้วคุณพริ้งทำงานให้เรา… แล้วก็เรื่องที่เอกสารสอดไส้พวกนั้น การที่เราหลอกให้พอชเซ็นมันเท่ากับหลอกใช้พอชนะพีท ...พอชไม่ยอมเราแน่” หัวใจผมมันกำลังเต้นและดิ้นจนแทบจะหลุดจากอก ใบหน้าผมร้อนฉ่าทั้งที่ร่างกายกำลังเย็นเฉียบ สิ่งที่ได้ยินแม้จะจับใจความที่มาที่ไปไม่ได้แต่มันก็กรีดลึกลงไปในแผลเก่าจนเหวอะหวะยิ่งกว่าเดิม สิ่งที่กำลังเกิดกับผมตอนนี้คือการถูกมีดกดลงและยกขึ้นเรื่อย ๆ จนไม่อาจบรรยายความเจ็บปวดทรมานได้อีกแล้ว





เมื่อไหร่จะพอซักที…





“เราไม่ได้หลอกใช้พอช… เราแค่อาศัยความไว้ใจในตัวพอชหลอกไอ้เต็มต่างหาก ยังขาดเอกสารอีกแค่แผ่นเดียวหุ้นในส่วนของมันทั้งหมดก็จะเป็นของพอชแล้ว ...ถึงตอนนั้นมันก็แทบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าหลับหูหลับตาเซ็นเอกสารที่ไปจากพอชกี่ครัง” น้ำเสียงเยือกเย็นนั่นทำให้ผมนิ่งเอาไว้แทบไม่อยู่ สองมือจิกเข้าที่ต้นขาตัวเองเพื่อระบายความอึดอัดใจ ความจริงพวกนี้ทำให้ผมไม่ต่างอะไรกับสัตว์ตัวนึงที่ถูกจูงจมูกโดยไม่รู้ตัว

“ยังไงกรก็ไม่เห็นด้วยที่จะบอกพอชตอนนี้”

“ตอนนี้สิดี… ถ้าพอชรู้ว่าไอ้สารเลวบวรนั่นโกงพ่อจนทำให้ครอบครัวเราเป็นแบบนี้ พอชต้องเข้าใจและหายโกรธพีทแน่… อีกอย่าง ถ้าจะให้ตัดใจจากไอ้สารเลวเต็ม พอชก็ควรจะต้องรู้ว่าไอ้เต็มมันทำทุกอย่างเพื่อช่วยพ่อของมัน ถ้าตื่นเมื่อไหร่พีทจะเล่าให้ฟังด้วยตัวเองเป็นฉาก ๆ ...ว่าไอ้คนที่พอชรักนักหนา มันฉีกหลักฐานเอาผิดพ่อตัวเองกับมือโดยไม่เห็นหัวพอชด้วยซ้ำ”

“พีท ...กรพูดตรง ๆ นะ ตอนนี้พอชรับไม่ไหวหรอก”

“รับไม่ไหวก็ต้องรับ พอชต้องยอมรับความจริง”





จำไว้นะพอชว่าถ้ารับไม่ไหวก็ต้องรับ ลืมความอ่อนแอเสียใจโง่เง่าไปซะ เวลาเหตุการณ์เหี้ย ๆ ผ่านเข้ามาก็ต้องผ่านมันไปให้ได้ แล้วระลึกใส่สมองเอาไว้เลยว่าไม่มีใครในชีวิตที่จะหวังดีกับมึงนอกจากตัวมึงเองหรอก แล้วกับคนพวกนี้ คนที่เลี้ยงดู คนที่รัก คนที่ไว้ใจ คนที่มีสายเลือดเดียวกัน จงทำให้พวกมันจดจำและระลึกเอาไว้ว่าการที่ทำกับมึงด้วยการหลอกลวงซ้ำซากเหมือนสิ่งมีชีวิตโง่ ๆ ตัวนึง สัญชาตญาณดิบของสัตว์เดรัจฉานคือสิ่งที่พวกมันสมควรได้รับ





‘จำไว้ ระลึกไว้ ว่าไฟที่ลุกโชนตอนนี้ พวกมึงเป็นคนช่วยกันสุมไฟราดน้ำมัน ทำใจแล้วเตรียมตัวไว้ เพราะเพลิงร้ายของไอ้พอชคนนี้กำลังจะลามไปหาพวกมึงทุกคน’


TBC

ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3
Chapter 22 เกมสตาร์ท


ผมชื่อพอช พัชกร อายุยี่สิบสี่ปีเศษ ชีวิตครอบครัวเป็นเด็กกำพร้า เพราะว่าพ่อตาย ส่วนแม่ติดคุก พี่ชายคนเดียวก็หนีหายไปตั้งแต่ตอนนั้น เติบโตมาในกำมือของเพื่อนสนิทพ่อที่ยื่นมือเข้ามาอุปภัมภ์เลี้ยงดู และแย่หน่อยที่ผมดันเผลอรักลูกชายของผู้มีพระคุณแบบหัวปักหัวปำทั้งที่เขากำลังจะแต่งงาน





นั่น ...มันก็แค่สรุปเรื่องราวชีวิตของผมก่อนหน้านี้

แต่ว่าตอนนี้ชีวิตผมกำลังจะมีบทสรุปที่แตกต่างออกไป





ผมชื่อพอช พัชกร อายุยี่สิบสี่ปีเศษ ชีวิตครอบครัวตัวคนเดียว พ่อตาย แม่ติดคุก พี่ชายหนีไปขายตัวก่อนจะกลับมาใช้ผมเป็นเครื่องมือในการแก้แค้น ตลอดเวลาเติบโตมากับคนทรยศที่เป็นต้นเหตุให้พ่อผมตาย และเรื่องที่แย่คือผมรักลูกชายคนที่ทำลายครอบครัวผมจนพังยับไม่มีชิ้นดี แต่นั่นยังไม่ใช่เรื่องแย่หมายเลขหนึ่งหรอก ...ที่แย่ที่สุดก็คือผมถูกคนที่รักทรยศซ้ำซากไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง ผมไม่เคยนับและเจ็บไม่เคยพอ จนกระทั่งวันนี้





วันที่ผมไม่อาจยั้งตัวเองให้อยู่บนทางที่ถูกที่ควร

แต่อันที่จริง… เส้นทางใหม่ที่ผมเลือกมันอาจจะถูกและควรมากกว่าที่ผ่านมาก็ได้





หากการถูกทำร้ายความรู้สึกทำให้เกิดอาการบาดเจ็บทางจิตใจ ที่ผ่านมาผมคงมองแผลพวกนั้นเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยจนมองข้ามมันไป แต่ว่าตอนนี้แผลลึกที่ทำให้เกือบตายทำให้ผมรู้ว่าเราไม่ควรปล่อยให้ใครมาทำร้ายจนกลายเป็นความเคยชิน จะเป็นคนไหน สถานะอะไร หรือว่ารักมากเท่าไหร่ ไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิมาทำให้เราเจ็บปวดทั้งนั้น





8.19 AM

ผมเหลือบตามองเวลาที่หน้าปัดรถยนต์คันที่ถือวิสาสะขับออกมาโดยไม่ขออนุญาตเจ้าของ เมื่อราวชั่วโมงก่อนพอพวกเขารู้ว่าผมยืนฟังทุกอย่างอยู่ตรงนั้น เรื่องราวความจริงมากมายก็ถูกสาธยายออกมาเป็นฉาก ๆ สุดท้ายผมก็จากมาพร้อมกลิ่นไอความเกลียดชังที่หอมหวล ก็ไม่เชิงว่าพวกเขารู้ไม่เท่าทันคนอย่างผม แต่เพราะความรู้มากและประเมินผมต่ำไป ทำให้ทั้งพี่กรและผู้ชายคนนั้นถูกผมขังเอาไว้ในห้องของตัวเอง กว่าจะรู้ว่าโดนผมใช้ความอ่อนแอหลอกล่อ ก็คงตอนที่เสียงเครื่องยนต์เคลื่อนออกมาจากตัวบ้าน

ผมยังอยู่ในชุดเดียวกันกับเมื่อวาน ใบหน้าและร่างกายไม่ได้ผ่านน้ำหรือกินอาหารใด ๆ เข้าไป เสื้อผ้าที่เคยเรียบร้อยยับยู่ยี่ชายเสื้อหลุดรุ่ยไม่หลงเหลือความดูดี ซ้ำแล้วใบหน้ายังหมองคล้ำ ดวงตาแดงกล่ำจนเห็นเส้นเลือด และริมฝีปากแห้งผากยังถูกแผงฟันตัวเองขบเม้มซ้ำแล้วซ้ำเล่า สารร่างผมตอนนี้คงไม่ต่างอะไรกับ Homeless ที่ไม่น่าเข้าใกล้นัก

เส้นทางที่คุ้นเคยทำให้ขับรถกลับมาถึงบ้านแสนรักได้ไม่ยาก ผมดับเครื่องลงเมื่อจอดเทียบที่ริมรั้วบ้านที่ให้โอกาสผมเติบโตมาหลายปี บ้านที่ผมไม่เคยกล้าใช้คำว่าความสุขได้เต็มปาก แต่อย่างน้อยครั้งนึงที่นี่ก็เคยมอบโอกาสให้ผมได้ยิ้มขึ้นมาบ้าง และช่วงเวลาต่อจากนี้คงจะเป็นช่วงเวลาสุดท้ายที่ผมจะได้ตอบแทนทุกคนที่นี่ ผมเดินผ่านประตูรั้วกว้างเข้ามาด้วยรอยยิ้มแสนสดใสกว่าที่เคย สองขาก้าวเชื่องช้ากวาดสายตามองรอบตัวเดี๋ยวยิ้มเดี๋ยวนิ่งไปเหมือนคนวิกลจริต แต่เปล่าหรอกครับ ผมยังมีสตินึกคิดที่ดี เพียงแต่สถานที่เดิม ๆ ทำให้ผมระลึกถึงความรู้สึกในวันเก่า ๆ ขึ้นมาก็เท่านั้น

สองเท้าผมหยุดยืนเมื่อเริ่มเข้าใกล้ตัวบ้าน แสงตะวันที่พุ่งเข้ามาทำให้การมองเหม่อเข้าไปของผมมันไม่ง่าย ผมหลับตานิ่งลงขณะที่ช่วงขมับปวดตึบเพราะความเครียด ...ไม่มีทางที่จะถอยหลังกลับไปในตอนนี้ อย่าลืมนะพอชมึงมาที่นี่เพราะเหตุผลสามข้อที่ประกอบไปด้วยคนสำคัญสามคน คนที่ทำลายความรู้สึกมึงจนแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี





อาบวร

เต็ม

พี่พีท





ทำให้คนพวกนี้รู้ว่าต่อไปนี้…

พวกมันไม่มีสิทธิจะทำร้ายจิตใจใครได้ตามชอบใจอีกแล้ว...





“พี่พอช!” น้ำเสียงตกอกตกใจของน้องต้าทำให้ผมต้องเคลื่อนสายตามามองเธอ เด็กสาวในชุดนักศึกษาวิ่งเข้ามาหาผมด้วยน้ำตาเอ่อ ๆ ข้าวของในมือถูกปล่อยทิ้งก่อนที่เธอจะสวมแขนเข้ากอดผมราวกับคิดถึงเหลือเกิน ใช่… ผมก็คิดถึงเธอ เพราะไม่ว่าเมื่อไหร่เธอก็เป็นช้อยแรกที่ผมนึกถึงและเลือกมาใช้งานเสมอ

“ไงต้า…”

“พี่พอชเป็นยังไงบ้างคะ เมื่อคืนพี่เต็มทะเลาะกับคุณพ่อใหญ่เลย ฮึก… ต้าเป็นห่วงพี่พอชแทบแย่” น้องต้าเริ่มร้องไห้ขณะที่ผมกระตุกยิ้มขึ้นที่มุมปากอย่างพอใจ

“ตอนนี้ ทุกคนอยู่ไหน อยู่ที่นี่กันครบมั้ย…” ผมถามทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเวลานี้คนทำงานคงยังไม่ได้พากันออกจากบ้าน ส่วนคนอื่น ๆ ก็คงไม่ได้มีแรงใจจะพาตัวเองออกไปไหนในยามที่บ้านเกิดเรื่อง

“ค่ะ พี่เต็มเก็บตัวอยู่ในห้องพี่พอชตั้งแต่กลับมา พี่เอม คุณพ่อ คุณแม่ยังเครียดกันอยู่ที่ห้องรับแขก ...พี่พอชคะ จนถึงตอนนี้พี่เต็มเขายังยืนยันว่าจะหย่า”

“.........” ผมอยากจะพูดออกไปเหลือเกินว่าน้องต้าควรจะหยุดสาธยายเรื่องราวที่ผมไม่จำเป็นต้องรู้เสียที แต่ก็กลัวว่าเรื่องราวมันจะยิ่งมากความจนสิ่งที่ผมต้องการพังลงไปได้ง่าย ๆ ผมสูดลมหายใจเข้าตั้งสติอยู่หลายครั้ง ก่อนจะตัดสินใจให้ฝ่ามือเย็นเฉียบค่อย ๆ ล้วงเข้าไปให้กระเป๋ากางเกงตัวเอง เรียวนิ้วคว้าหยิบสิ่งนึงที่ถูกตระเตรียมมาถือไว้และกระชับให้ถนัดมือ

“อ๊ะ…! ...พ...พี่พอช” สีหน้าผมยิ่งนิ่งเฉียบขึ้นเมื่อมีดขนาดเหมาะมือถูกจ่อเข้าที่ข้างเอวคนที่กอดผมอยู่ด้วยความรัก เมื่อปลายมีดแหลมถูกแรงกดสัมผัสลงไปรอยเลือดสีแดงฉาดก็ค่อย ๆ ซึมผ่านขั้นเนื้อผ้าสีขาวสะอาดออกมาปรากฎให้เห็นตรงหน้า นี่นับว่าปราณีเท่าไหร่แล้วที่ปลายมีดสัมผัสเพียงชั้นผิวหนังของเจ้าของร่างเท่านั้น





ขอโทษนะ… คิดว่าทำบุญกับมนุษย์ตาดำ ๆ ด้วยเลือดไม่กี่หยดก็แล้วกัน





“ชู่วววว ไม่เป็นไรนะคะต้า ไม่เป็นไร” คงไม่มีคำนิยามให้กับรอยยิ้มที่น่ากลัวยากแท้ยั่งถึงภายในจิตใจของผม น้องต้าสบตาผมพร้อมเผยความหวาดกลัวออกมาจนหมด รวมทั้งความผิดหวัง และไม่เข้าใจเรื่องที่กำลังเกิดกับเธอแบบไม่ทันตั้งตัว

“ฮึก...พี่พอชจะทำอะไร” เมื่อคนตรงหน้ารู้ตัวและเริ่มตั้งสติเพื่อหนี ผมก็ยิ่งลงน้ำหนักคมมีดที่ยังชิดอยู่กับร่างกายเธอ อย่าคิดจะถอยหนี...เพราะว่าใครก็หนีกรรมที่ตนเองก่อไม่ได้ทั้งนั้น

“แค่เกมสนุก ๆ เท่านั้นค่ะ… ไม่มีอะไรน่ากังวลหรอก”





30%





“แค่เกมสนุก ๆ เท่านั้นค่ะ… ไม่มีอะไรน่ากังวลหรอก” ผมใช้มืออีกข้างที่เหลือโอบกอดช่วงคอและบ่าน้องต้าเอาไว้ แผ่นหลังเธอชิดอยู่กับอกผมจนสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะท้านหวาดกลัว

“พ...พี่พอชบ้าไปแล้ว ...ช่วยด้วยค่ะ!!! ช่วยต้าด้วย!!!” ผมถอนหายใจให้กับเสียงตะโกนเรียกร้องความช่วยเหลือ ก็มันจะพาคนไม่เกี่ยวข้องในบ้านโผล่เสนอหน้าออกมาอีกมากมายน่ะสิ ทั้งแม่บ้าน คนรถ และใครต่อใครที่ไม่ได้ทำอะไรผิดบาปกับผม แต่ก็ช่างเถอะ เกมสนุก ๆ เล่นด้วยกันหลาย ๆ คนอาจจะสนุกเพิ่มขึ้นมาก็ได้

“พี่มีสติคิดวิเคราะห์ได้ทุกอย่างค่ะ แต่ถ้าต้ายังไม่หยุดพี่อาจจะอยากบ้าขึ้นมาจริง ๆ ก็ได้ ...ว่าไง อยากเห็นพี่บ้ากับตาตัวเองมั้ย” ผมโน้มตัวลงกระซิบข้างหู และดันหลังน้องต้าให้เดินเข้าไปในบ้าน เอาล่ะ เรื่องราวน่าตื่นเต้นกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว เตรียมใจ เตรียมร่างกาย แล้วเรามาสรุกไปพร้อม ๆ กัน

“ฮึก…”

“เรียกคุณพ่อของต้าสิ…” ผมกระซิบข้างหูเธออีกครั้งเมื่อเราสองคนเดินมาถึงโถงกลางบ้าน คนในวงแขนผมเอาแต่ร้องไห้เหมือนมีญาติคนไหนซักคนตาย น่าสงสารจริง ๆ แค่จินตนาการเป็นเรื่องเป็นราวก็ร้องไห้ออกมาเป็นเผาเต่าซะแล้ว

“ค...คุณพ่อคะ...ฮึก คุณแม่…” เสียงน้องต้ามันเบาซะจนผมหงุดหงิด ผมโครงศรีษะไปมาก่อนจะเป็นฝ่ายเปร่งเสียงเร่งรัดเรื่องทุกอย่างเอง

“คุณอา!! คุณอาบวรครับ!!” น้ำเสียงเสแสร้งเริ่งร่าที่เปี่ยมไปด้วยความเคารพมันดังพอที่จะให้คนได้ยินกันทั้งบ้าน นับวินาทีรออยู่ไม่นานนักคนที่ผมอยากจะเจอก็โผล่เข้าในระยะสายตาตามที่ต้องการ สีหน้าตกใจยิ่งทำให้ผมรู้สึกภูมิใจที่ตัวเองล้มแล้วลุกขึ้นได้ไวขนาดนี้ นี่ถ้าผมยอมแพ้และยอมรับความผิดหวังไปซะก่อน คงไม่มีโอกาสได้มาดูอะไรที่น่าสนใจขนาดนี้สินะ

“พอช!! ยัยต้า!!” คุณอาที่เคารพรักทำท่าจะวิ่งถลาเข้ามาลูกสาวคนเล็ก แต่เพียงเห็นผมยกยิ้มและเอียงคอรับก็จำใจต้องหยุดยืนอยู่ในระยะที่เห็นแสงสะท้อนจากมีดได้ชัดเจน

“ค...คุณพ่อ…”

“นี่พอชจะทำอะไรน้อง!!”

“คนอื่นไปไหนกันหมดหรอครับคุณอา” ผมไม่ได้ตอบคำถาม ซ้ำยังเป็นฝ่ายถามกลับไปซะอีก จะว่าไปผมก็เห็นเอมเดินกึ่งวิ่งตามแม่สามีมาอยู่ไกล ๆ ผมเผลอมองหน้าท้องหญิงสาวตาไม่กระพริบ ในท้องนั่นคงจะมีสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ที่จะออกมาเผชิญโลกในอนาคตสินะ

“ต้า….! แกกลับมาทำไม! จะทำอะไรลูกสาวฉัน” คุณโสมร้องเสียงหลงวิ่งเข้ามาท่าทางตกอกตกใจ ก่อนที่เธอจะเข้ามาใกล้มากไปกว่านี้ ผมจึงหวังดีชูมีดขึ้นมาให้ดูเป็นขวัญตา และนำกลับไปไว้ตำแหน่งเดิมที่มีเลือดซึมออก เร่งเร้าปฏิกิริยาทุกคนรอบตัวตอนนี้

“เอม… เรารบกวนไปตามเต็มให้หน่อยได้มั้ย” ผมเอียงหน้าถามเอมด้วยน้ำเสียงใสซื่อบริสุทธิ์ ผู้หญิงคนนี้มีแววตาหลุกหลิกหวาดผวาก่อนจะรีบวิ่งขึ้นบันไดไปตามที่ผมต้องการ

“ฮืออออ คุณพ่อ… คุณพ่อช่วยต้าด้วย”

“พอช มีอะไรเรามาคุยกัน ปล่อยน้องเถอะนะ” สองมือของชายวันกลางคนพยายามยกขึ้นห้ามปรามผม ท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ และตื่นตระหนกที่ช่างน่าขำ ผู้บริหารใหญ่ที่ถูกนับหน้าถือตากำลังสั่นไปทั้งตัวเพราะห่วงความปลอดภัยของลูกสาวตัวเอง

“ปล่อยลูกฉันเดียวนี้นะ!” คุณโสมพยายามจะเข้ามาแย่งมีดผม แต่จังหวะนั้นผมก็ถอยยาวหนีโดดไม่ลืมที่จะลากต้าไปด้วย แววตาของผมเปลี่ยนเป็นโกรธขึ้น และจ้องเขม็งไปยังอาบวรเพียงผู้เดียว

“คุณแม่คะ”

“อยู่ในที่ ๆ พวกคุณสมควรจะยืนดีกว่านะครับ… ผมตั้งใจจะมาคุยบางเรื่องให้จบ ๆ ไป ไม่ได้วางแผนจะมาฆ่าใครหรอก” คำว่าฆ่าถูกเน้นให้ชัดเจนเรียกจังหวะหัวใจของน้องต้าให้เต้นแรงขึ้นอีกระดับ สองคนตรงหน้าก็เหมือนกันที่กำลังหน้าเปลี่ยนสีขึ้นมาทุกวินาที กลัวอะไรกันนักหนา สายตาผมตอนนี้มันออกจะเต็มไปด้วยความรักและความหวังดี

“แกจะเอาอะไร! เนรคุณจริง ๆ”

“ขอบคุณครับ” ขอบคุณนะคุณโสมที่ชื่นชมผมด้วยคำนี้สม่ำเสมอ ช่างน่าประทับใจจริง ๆ ไออุ่นที่ครอบครัวนี้มีให้ผมมันช่างต่อเนื่องยาวนานและทำให้ผมมีความสุขจริง ๆ

“พอช พอชอยากคุยกับอาเรื่องอะไร ปล่อยยัยต้าก่อนนะ น้องกลัวไปหมดแล้ว…”

“คุณทำอะไรกับครอบครัวผม”

“พอชพูดเรื่องอะไร อาไม่เข้าใจ”

“พี่ชายแสนดีของผม ...เขากลับมาแล้วครับคุณอา”

“พีทหรอ… อา อาไม่รู้เรื่องอะไรเลยจริง ๆ นะพอช!”

“จะบอกผมมาทีละข้อ หรือจะให้ผมกดมีดลงไปแรงกว่านี้อีก...” ผมตวาดลั่นเสียงสั่น มือกำด้ามมีดแน่นขึ้นและรู้สึกถึงเม็ดเหงื่อทั่วตัวที่เริ่มจะเปียกชื้นโดยเฉพาะบริเวณฝ่ามือ คิดแล้วสมองมันก็ตีกันวุ่นวาย เรื่องที่ผมพึ่งรับรู้กับภาพคุณอาแสนดีตลอดชีวิตของผมมันขัดกันอย่างสิ้นเชิง แต่ถึงกระนั้นความดีมันก็ไม่สามารถทดแทนเรื่องเลวร้ายได้อย่างสมบูรณ์

“นี่คุณทำอะไรซักอย่างสิ!”

“โอเค ๆ อายอมแล้ว!”

“พอช!!!” เสียงเรียกที่ตื่นตระหนกมากกว่าคนอื่นทำให้ผมเผลอหัวใจวูบหล่นลง อันที่จริงถ้าไม่มีความจำเป็นผมไม่อยากจะได้ยินแม้แต่เสียงลมหายใจของคนคนนี้ด้วยซ้ำ ร่างที่วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามามีสภาพความโทรมไม่ได้แตกต่างอะไรจากผม รอบขอบดวงตาดำคล้ำก็คงเพราะกระอักกับความเลวของตัวเองจนไม่ได้นอนมาทั้งคืน ส่วนแววตาเสียใจผิดหวังก็คงเพราะคิดว่าผมจะเสียใจจนหยุดหายใจไปแล้ว

“ดี มากันพร้อมหน้าจะได้คุยให้จบในครั้งเดียว”

“พอช… มึงทำแบบนี้ทำไม”

“มึงหุบปากไปเต็ม!! หุบปากแล้วยืนอยู่ตรงนั้นจนกว่ากูจะอนุญาตให้มึงพูด!!” มีดที่เคยจ่อที่เอวน้องต้าถูกยกขึ้นชี้หน้าคนที่พยายามจะเดินเข้ามาใกล้ผม แค่ต้องใช้อากาศร่วมบริเวณเดียวกันตอนนี้ผมก็รู้สึกกระอักกระอ่วนมากพอแล้ว อย่าได้เข้ามาใกล้มาไปกว่านี้เลย อย่าให้ความทรมานเข้าใกล้ตัวผมมากไปกว่านี้

“พอช…” เสียงอ่อนล้านั่นคงจะผิดหวังกับผมอยู่ไม่น้อย ต้องยอมรับว่าแววตาผมที่มองเต็มตอนนี้มันไม่เหมือนเดิม ความเกลียดชังที่เข้ามาแทนที่ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกโหยหาและต้องการมันอีกต่อไป แต่ก็ใช่ว่าในใจส่วนลึกจะไม่ได้รู้สึกรวดร้าวที่ข้างตัวของมันตอนนี้มีใครคนอื่นยืนอยู่ อาจจะเพราะมันยังเร็วเกินไปที่ผมจะต้องเกลียดคนที่เคยโง่รักจนหมดใจ

“ว่าไงครับคุณอา… ครบองค์ประชุมแล้ว ไหนลองพูดให้ผมฟังหน่อย”

“ไม่ว่าพอชจะไปฟังอะไรจากใครมา อาไม่เคยคิดร้ายกับพอชเลยนะ ...เรื่องพวกนั้นมันเป็นเรื่องเก่า อาเองก็ไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้”

“เรื่องนั้นนี่หมายถึงเรื่องไหนไม่ทราบครับ”

“โอ๊ยยย…!!”

“ต้า!!” ทุกคนประสานเสียงและหน้าเสียเพิ่มมากขึ้นเมื่อผมออกแรงที่ปลายด้ามมีดจนเลือดซึมออกมามากกว่าเดิม กลิ่นคาวเลือดไม่ใช่สิ่งที่ผมชอบ และผมก็ผ่านการทำร้ายตัวเองเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการมากลายต่อหลายครั้ง แต่พึ่งจะรู้วันนี้ว่าการทำร้ายคนอื่นมันสนุกกว่าตั้งเยอะ

“ฉันขอล่ะ แกอย่าทำอะไรลูกฉัน” คุณโสมแทบจะทรุดลงกับพื้นถ้าไม่ได้ลูกสะใภ้แสนดีช่วยเอาไว้ ผมกระตุกยิ้มมากขึ้นเมื่อเห็นว่าเหล่าคนงานคนใช้ในบ้านเริ่มเข้ามามุงให้กำลังใจเจ้านายกันยกใหญ่ ก็ดี… จะได้มาฟังความเลวจากปากพ่อพระพร้อม ๆ กัน

“ผมไม่รับปาก ถ้าคุณอายังไม่พูดเพื่อพิสูจน์ว่าเรื่องที่ผมได้ยินมามันจริงหรือไม่จริง”

“จริง! ทุกเรื่อง! ถ้าพอชได้ยินมาว่าอาทำอะไร โกงหุ้น ยักยอกเงินบริษัท ขโมยข้อมูลลูกค้า อาทำทุกอย่าง ทำมาตลอดจนบริษัทพ่อพอชล้ม พอใจรึยัง!!”

“...งั้นหรอ” ผมพยักหน้ารัวยอมรับกับสิ่งที่ได้ยิน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าลึก ๆ แล้วผมก็อยากให้คุณอายืนยันความบริสุทธิ์ตนเองซักครั้งว่าผมเข้าใจผิด และทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องหลอกลวงที่ผมบังเอิญไปได้ยินมาเท่านั้น แต่ก็ดีนะ… เพราะผมจะได้ทำทุกอย่างที่อยากทำโดยที่ไม่ต้องละอายแก่ใจ

“ปล่อยยัยต้าได้รึยัง!”

“ยัง!”

“นี่แก!” อาบวรที่ดูใจเย็นกว่าใครเริ่มขึ้นเสียง คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน ดวงตาแววโรจน์ไปด้วยความโกรธ แต่แล้วยังไงล่ะ คิดว่าผมจะเกรงกลัวอะไรตอนนี้งั้นหรอ ผมเลยจุดนั้นมานานแล้ว เลยจุดที่คิดถึงผิดชอบชั่วดีและความรู้สึกของคนอื่น โดยเฉพาะความรู้สึกผู้ชายวัยเดียวกันที่มีท่าทางผิดหวังจนแทบจะร้องไห้ออกมา ถ้าให้เดาจากสายตาที่มองผมอยู่ ตอนนี้เต็มคงรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัวกับภาพที่เห็นตอนนี้

“คุณโสมครับ ผมขอรบกวนอะไรซักอย่างสองอย่างได้มั้ย” ผมหันไปถามคนที่ไม่เคยญาติดีกันตลอดชีวิต ความหวาดกลัวของผู้เป็นแม่มองมาบริเวณช่วงเอวลูกสาวราวกับใจจะขาด ถ้าเจ็บแทนน้องต้าได้ในวินาทีนี้คุณโสมก็คงจะทำ แต่เสียใจนะครับ เพราะว่าวันนี้ทุกคนจะเจ็บใจแบบเท่า ๆ กัน ไม่มีใครอาสาเจ็บแทนใครได้ทั้งนั้น

“ก...แกจะเอาอะไร”

“มึงอยากได้อะไรบอกกูมาพอช…”

“กูบอกให้มึงอยู่เงียบ ๆ ไงเต็ม!!” ทั้งบ้านเงียบกริบหลังผมตวาดออกไปจนสุดเสียง คงจะมีแค่เพียงเสียงสะอื้นของน้องต้าและเสียงหอบเหนื่อยของผมที่ยังดังประสานกันอยู่

“ฮืออออ...คุณแม่คะ...”

“บอกฉันมา ต้องการอะไรฉันจะเอามาให้แกหมดเลย อย่าทำอะไรยัยต้านะ ฉันขอ”

“พูดกันให้รู้เรื่องง่าย ๆ ก็ดีครับ เพราะผมชักไม่สนุกแล้ว” ผมกวาดตามองทุกคนรอบตัวที่ยืนให้ความสนใจตัวผมอย่างที่ไม่เคยเป็นมากอด บรรยากาศที่ถูกห้อมร้อมนี่ก็ทำให้รู้สึกดีเหมือนกันนะ

“แค่บอกฉันมา จะให้ฉันทำอะไรบอกมาได้เลย ฮึก ต้าอดทนไว้นะลูก” นี่คงเป็นน้ำตาหยดแรกที่ผมได้เห็นจากคุณโสมนอกจากคราวที่เธอเจ็บปวด

“ข้อแรก...ผมอยากได้แบบร่างเอกสารโอนกรรมสิทธิ์หุ้น ผมจำได้ว่าที่ห้องคุณอาบวรมีอยู่ใช่มั้ยครับ” ผมหันไปถามคนที่เอ่ยถึงแต่เจ้าตัวกลับเงียบ ซ้ำยังเบนหน้าหนีกัดฟันแน่นเก็บความโมโหและเก็บอารมณ์ที่อยากจะฆ่าผมให้ตาย

“ด...ได้ จะเอาอะไรอีก”

“สอง ...ปืนของคุณอาที่อยู่ในลิ้นชักโต๊ะทำงาน”

“พอช!!” ผมหันขวับส่งสายตาขวาง ๆ ไปหาเต็มทันที ขอบตาของมันแดงก่ำ สองมือกำแน่นจนเห็นเส้นเลือดปูดโปนขึ้นที่ท่อนแขน คงจะเกลียดผมอย่างที่ผมเกลียดมันแล้วสินะ อันที่จริงก็ควรจะเป็นแบบนี้ตั้งนานแล้ว ปล่อยให้ความสัมพันธ์จอมปลอมอยู่ในชีวิตมาเสียนาน ตอนนี้เราเท่าเทียมและจริงใจต่อกันแล้วนะเต็ม

“นี่แกคิดจะทำอะไรห่ะ!!”

“คุณอาไม่มีสิทธิถามผมครับ ...แค่คุณโสมรีบไปเอามามันก็จบแล้ว ...ออ อย่าลืมปากกานะครับ ขอบคุณ” ผมยิ้มแบบไม่เห็นฟันออกมากว้าง ๆ แต่ไหงสีหน้าทุกคนมันถึงดูไม่สู้ดีแบบนั้นกันนะ รอยยิ้มพิมพ์ใจแบบนี้มันก็ต้องมีแต่เรื่องดี ๆ สิ

“โอเค ๆ ฉันเข้าใจแล้ว… ต้ารอแม่แปบเดียวนะลูก” คุณโสมกึ่งวิ่งกึ่งเดินออกไปทั้งที่ใจยังพะวง นี่ถ้ายังเสียเวลาพะวงหน้าพะวงหลังหันมามองอย่างอาลัยอาวรมากกว่านี้ ผมคงจำเป็นต้องทดลองกดมีดเข้าไปมากกว่านี้ซักนิด

“ต้าไหวใช่มั้ยลูก”

“ฮึก… คุณพ่อช่วยต้าด้วย พ...พี่พอชเป็นอะไรไปแล้วก็ไม่รู้ ฮือออ” ผมถอยหายใจทิ้งเบ้ปากคว่ำยิ่งกว่าสระอิ อันที่จริงน้องต้าน่าจะสำนึกรู้ได้แล้วว่านี่อาจจะเป็นตัวตนจริง ๆ ของพี่ชายนอกคอกคนนี้ ผมไม่ได้เป็นอะไรหรือเปลี่ยนแปลงไปเลย ...ไม่เลยซักนิด

“พอช อาขอได้มั้ย อายอมหมดเลย ปล่อยน้องเถอะนะ อาคืนทุกอย่างให้หมดเลยก็ได้ อาขอโทษ”

“คุณอาไม่ได้เอาอะไรไปจากผมนี่ครับ… อาให้ผมต่างหาก ให้ทุกอย่างที่ผมขาด… แต่ที่เหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นเพราะว่าผมรู้แล้วว่าคุณอาให้ผมทุกอย่างขนาดนั้นเพราะอะไร…”

“ฉันกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว… จะเอาอะไรอีก”

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด